Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 5 บทที่ 33 สังหารศัตรูถวาย ข้าเป็นคนแรก

ภาคที่ 5 บทที่ 33 สังหารศัตรูถวาย ข้าเป็นคนแรก

ปีแรกของรัชศกเส้าไท่ บรรยากาศปีใหม่พลันมลาย

เพราะปรารถนาให้ฝนฝ้าตกต้องตามฤดูกาลปีใหม่บรรยากาศใหม่ ปีก่อนฮ่องเต้กับขุนนางทั้งหลายจึงหารือกันอย่างจริงจังหนึ่งเดือนออกราชโองการเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นเส้าไท่ ใครก็คิดไม่ถึงว่าวันแรกหลังเปลี่ยนรัชศกครั้งนี้ก็ได้ต้อนรับชาวจินลอบจู่โจมด่านจวินจื่อ

อิงอู่ชินอ๋องทั่วป๋าไท่ของชาวจินนำกำลังพลสามหมื่นจากด่านจวินจื่อมาตามแม่น้ำฮูถัวรุกตรงเข้ามาในเขตเหอเจียน พร้อมกันนั้นต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูก็นำทหารสามหมื่นกว่านาย บุกเข้าหมู่บ้านฉางเฟิงจากค่ายจางเจียที่ป้าโจวเป็นกองหนุน

และในที่ไกลกว่านั้น ทหารจินหลายหมื่นกำลังข้ามด่านกำแพงหมื่นลี้ที่เป่าโจวมา

ชั่วพริบตา ไฟสัญญาณที่ติ้งโจว ฉีโจว เหอเจียนจุดขึ้นรอบด้านประหนึ่งนรกบนดิน

เหอเป่ย ตงเป่ยสองมณฑลกำลังทหารเคลื่อนพลอย่างรีบเร่ง กรมกลาโหมถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้บัญชาการทหารของที่ต่างๆ นำทหารเข้าช่วยเหลืออีกครั้ง

เมืองหลวงระวังแน่นหนา

เดือนหนึ่งบรรยากาศปีใหม่สักนิดก็ไม่มี บนถนนมีม้าเร็วควบเร็วรี่ขี่ผ่านไปเป็นระยะๆ

บนถนนแม้ยังมีคนไม่น้อยเดินไปมา แต่ไม่คึกคักครึกครื้นเบียดเสียดกันแบบปีใหม่เช่นนั้น ม้าเร็วไม่ต้องใช้แส้หรือด่าทอก็โล่งตลอดทาง

“ทำไมรบกันอีกแล้วเล่า?”

“ไม่ใช่เจรจาสงบศึกแล้วหรือ?”

“ก็บอกตั้งนานแล้วว่าชาวจินเชื่อไม่ได้”

“คราวนี้แย่แล้ว เฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว ชิงเหอปั๋วสู้กับชาวจินได้หรือไม่น่ะ?”

“พวกเจ้าเก็บของแล้วหรือยัง? หนีไม่หนี?”

“ไม่เป็นไรกระมัง? ไม่ใช่บอกว่าขวางไว้ได้แล้วหรือ?”

นี่คือประเด็นสนทนาที่ผู้คนบนถนนพูดคุยยามพบหน้ากัน กังวลวิตกแต่ยังไม่ตระหนกลนลาน น่าจะเป็นเพราะปีที่แล้วเพิ่งผ่านสงครามไปอย่างตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย

ประชาชนทั้งหลายจึงยังสงบได้อยู่บ้าง ค่อนครึ่งเพราะไม่รู้สถานการณ์การบอย่างละเอียด แต่สำหรับฮ่องเต้แล้วนอนไม่หลับมาหลายวันนักแล้ว

“…ชาวจินบอกว่าทหารกับชาวบ้านของพวกเราฝั่งนี้ปล้นวัวแพะของชาวบ้านพวกเขาไป…”

“…นี่เหลวไหลทั้งเพ…”

“…ไม่ใช่นะ บอกกันว่าถูกราชสำนักเร่งให้ส่งบรรณาการ…”

“…บ้าบอ ใครเร่งให้พวกเขาจ่ายกัน….พูดขึ้นมาบรรณาการก็ยังไม่ได้ให้นี่…”

“…ชาวจินเดิมก็เจ้าเล่ห์เชื่อไม่ได้ ตอนนั้นก็ไม่ควรเจรจาสงบศึก…”

“…นี่ต้องลองถามใต้เท้าหวงแล้ว ชาวจินอธิบายอะไรกับเขา…”

ฮ่องเต้ตบโต๊ะทีหนึ่งดังป้าบ ในท้องพระโรงเสียงทะเลาะเอะอะเงียบลงทันที

“ข้าไม่อยากรู้ว่าพวกเขากลับคำ! ข้าไม่อยากได้ยินด้วยว่าความผิดใคร!” พระองค์ตวาด “ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ว่าขวางได้หรือไม่?”

ในตำหนักเงียบงันไปชั่วครู่

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ทัพใหญ่ที่แดนเหนือแบ่งเป็นสามทางดักโจมตีทหารจินแล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้บัญชาการทหารของซานตง ซานซีเข้ามาช่วย เร่งเดินทางมาถึงมณฑลเหอเป่ยสองทาง ต้องฆ่าล้างโจรจินได้แน่”

ขุนนามกรมกลาโหมทำอันใดไม่ได้ได้แต่ก้าวออกมาพูด

แต่ฮ่องเต้ผู้ที่ขุนนางราชสำนักทั้งหลายพูดอะไรก็ฟังสิ่งนั้นมาตลอดเวลานี้กลับยิ้มหยัน

“เจ้าพูดมากมายปานนี้ ยังไม่ใช่บอกว่าขวางไม่อยู่หรือ?” พระองค์ตวาด พิโรธทั้งยังโศกเศร้า “พวกเจ้าตัวไร้ประโยชน์เหล่านี้ที่แท้ทำอะไรกันอยู่ฮะ?”

ขุนนางกรมกลาโหมผู้นั้นเงยศีรษะขึ้น

“ฝ่าบาท นี่ล้วนเป็นเพราะชิงเหอปั๋วโยกย้ายการวางการป้องกัน ทำให้ขวัญกำลังใจทหารไม่มั่นคง แม่ทัพทหารไม่คุ้น ทำให้ชาวจินฉวยโอกาส” เขากัดฟันเอ่ย

“ใต้เท้าหลิว นี่คือท่านอยากโยนความผิดให้ผู้อื่น ไม่กลัวไร้คำพูด” ในตอนนั้นก็มีขุนนางคนอื่นก้าวออกมาโต้อย่างโกรธแค้น

ฮ่องเต้มองขุนนางกรมกลาโหมคนนี้อย่างเย็นชาเช่นกัน

ขวัญกำลังใจทหารไม่มั่นคง แม่ทัพทหารไม่คุ้นชิน ทำให้ชาวจินฉวยโอกาส?

สองข้อนี้ไม่พอกระมัง ที่จริงยังมีสาเหตุอีกข้อหนึ่งกระมัง?

เฉิงกั๋วกงจูซานถูกถอดอำนาจทางทหาร นี่ถึงเป็นคำที่พวกเขาในใจต้องการเอ่ยสินะ?

สีพระพักตร์ฮ่องเต้อับอายโกรธเกรี้ยวผสานกัน

นี่ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ นี่เป็นความผิดของพวกเจ้า นี่เป็นความผิดของชิงเหอปั๋ว

“บอกชิงเหอปั๋ว ข้าต้องการให้เขามอบคำอธิบายให้ข้า” พระองค์ตรัสเสียงเย็นชา

เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ หลังทะเลาะกันพักหนึ่งขุนนางทั้งหลายก็เลิกประชุมโดยไม่ได้ข้อสรุปอันใด ร้อนรนรอคอยข่าวสารจากแม่ทัพทหารที่ส่งไปต่อ

สีหน้าของหวงเฉิงก็ไม่น่าดูยิ่งเช่นกัน

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นชาวจินจึงบุกเข้ามา?” เขาเอ่ยถาม

“ใต้เท้า ปิดบังไม่พูดมาตลอด แรกสุดน่าจะมีสายลับเปิดประตูด่านจวินจื่อให้ชาวจินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ทหารที่ประจำการอยู่ที่ด่านจวินจื่อไม่ทันป้องกันถูกสังหารหมดสิ้น หากไม่ใช่ทหารไม่รู้ว่าคนไหนใช้ตนเองจุดไฟสัญญาณ เมืองเหอเจียนก็คงได้ข่าวสายไปแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

หวงเฉิงด่าคำหนึ่ง แต่ก็เหมือนคิดอะไรได้อีก

“อยู่ดีๆ จะมีสายลับได้อย่างไรเล่า?” เขาเอ่ย พลันหันหน้ามาถาม “ตอนนี้จูซานหนีไปถึงที่ใดแล้ว?”

ขุนนางทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง คล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมา

ไม่ผิด เรื่องมาถึงวันนี้จำต้อง ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารทั้งราชสำนักล้วนชี้หัวหอกมายังการเจรจาสงบศึก มายังการลงโทษเฉิงกั๋วกง และคนที่ชี้นำทุกสิ่งนี้ก็คือฮ่องเต้กับหวงเฉิง ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางยอมรับผิด ถ้าเช่นนั้นคนที่โชคร้ายย่อมมีเพียงหวงเฉิงแล้ว หวงเฉิงล้ม พวกเขาย่อมไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน

เวลานี้จำต้องมีแพะรับบาปคนหนึ่ง

และเฉิงกั๋วกงที่แบกความผิดโทษฐานคิดกบฏหลบหนีก็เหมาะสมยิ่งกว่าสิ่งใด

“เรื่องนี้กระหม่อมจะให้ชิงเหอปั๋วตรวจสอบ” ขุนนางคนหนึ่งทำหน้าจริงจังเอ่ย

เห็นขุนนางทั้งหลายรับคำสั่งไป หวงเฉิงคิ้วก็คลายออกอยู่บ้างนิดหนึ่ง เดินมาถึงหน้ารถม้ามองเด็กรับใช้ที่เข้ามารับ

“ไปติดต่อคนของอวี้ฉือไห่หน่อยซิ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าต้องการคำอธิบาย!”

เด็กรับใช้ขานรับพลางพยุงหวงเฉิงนั่งบนรถม้า

……………………………………….

……………………………………….

บนทุ่งร้างที่หิมะกับน้ำแข็งจับ เสียงแตรดังขึ้น พร้อมกันนั้นกีบเท้าม้าดังกุบกับ ทหารจินกองแล้วกองเล่าคล้ายผุดขึ้นมาจากใต้ทุ่งร้าง รวมพลเป็นผืนมุ่งตรงไปยังเมืองแห่งหนึ่งด้านหน้า

เสียงกีบเท้าม้า เสียงสายลมหวีดหวิด ธงแดงขาวหลังร่างประหนึ่งมหาสมุทร

มากมายถี่ยิบมองไปทีหนึ่งมีถึงหลายพันคน ล้วนเป็นทหารชั้นดีสวมเกราะหนัก พาบรรยากาศน่าสะพรึงมืดฟ้ามัวดินมา

เมืองด้านหน้าคล้ายวังเวงเงียบสงัด เดินหน้าเข้าใกล้ก็เห็นศพคนตายนับไม่ถ้วนร่วงกระจายเต็มพื้น บนกำแพงก็ยังทิ้งร่องรอยการปีนป่ายอยู่ เห็นชัดยิ่งว่ามันถูกโจมตีมาหลายครั้งแล้ว

กำแพงเมืองไม่สูงใหญ่แล้วยังมีบางส่วนชำรุด พร้อมกับที่กีบเท้าสั่นสะเทือน กำแพงเมืองทั้งหมดก็ประหนึ่งผู้เฒ่าถอนหายใจ

ทหารจินยิ่งมายิ่งใกล้ เวลานี้เองเมืองที่ปิดสนิทอยู่ด้านหน้าพลันเปิดออก ทหารม้ากองแล้วกองเล่าวิ่งออกมา

สถานการณ์นี้ทำให้ทหารจินตกใจสะดุ้งโหยง

โจมตีเมืองนานปานนี้ เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นทหารโจวเป็นฝ่ายออกจากเมืองมารับศึก

บ้าไปแล้วรึ?

นี่ยังไม่หมด ทหารโจวที่พุ่งออกมายังแปรแถวเผยรถเกราะคันแล้วคันเล่าด้านหลัง

ไม่เคยได้ยินว่าใช้รถเกราะมาขวางทหารม้านะ…

ทหารจินทั้งหลายคิดขึ้นมา ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแหลม ยังไม่ทันตอบสนองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หอกยาวประหนึ่งฝนก็พาแสงไฟมา

ทหารม้าที่เผชิญหน้าอยู่พริบตาถูกเสียบทะลุ ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นพรวน พร้อมกันนั้นก็มีกระสุนหินบินมาพร้อมกับแสงไฟที่ลุกขึ้นรอบด้าน ด้านหน้าเมืองทั้งหมดพริบตาประหนึ่งนรกบนดิน

เสียงกรีดร้องดังเข้าหู ควันและเปลวไฟเข้าสู่สายตา ทำให้ทหารจินในค่ายใหญ่ด้านหลังสีหน้าสะพรึง

“ซู่หนิงที่นี่กองทัพที่ไหนประจำการ?” ในค่ายจินเสียงตะโกนดังขึ้น “ทำไมโจมตีต่อเนื่องสามหนแล้วยังโจมตีไม่ได้ นอกจากนี้ยังกล้ารับศึก”

พร้อมกับที่เอ่ยถาม ทหารม้าหลายพันของชาวจินก็ถูกโจมตีล่าถอยมา คนที่โชคดีเหลือรอดพากันหนีกลับมา ส่วนด้านหลังพวกเขาเป็นทหารม้าของชาวโจวที่แปรกระบวนทัพระหว่างที่เคลื่อนกำลังบีบเข้าใกล้

ทหารม้ามีหอกยาวธงทิวเรียงราย ธงใหญ่ผืนหนึ่งในนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ

“กองทหารชิงซาน!” แม่ทัพจินคนหนึ่งหน้าถอดสีร้องตะโกน

ชื่อนี้เข้าหูปุบกองทหารที่เดิมทียังรักษาความเคร่งขรึมฉับพลันวุ่นวายวูบหนึ่ง ม้าก็คล้ายฟังคำนี้เข้าใจ ส่งเสียงกรีดร้องกระทืบพื้นไม่สงบ

นี่ทำให้แม่ทัพจินในนั้นที่คุมอยู่อับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง

“กองทหารชิงซานกองหนึ่งเท่านั้น จะมีสักกี่คน?” เขาตวาดเอ่ย “พวกเรามีคนมากมายเช่นนี้ ด้านหลังไม่ไกลยังมีทัพใหญ่ของอิงอู่ชินอ๋องเสริมอีก”

ใช่แล้ว คำนี้ทำให้กระบวนทัพที่วุ่นวายค่อยๆ สงบลง แต่นาทีต่อมาก็เห็นเหนือเมืองตรงหน้าดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่าแย้มบานพร้อมกับเสียงหวีดหวิวแหลม แดง ส้ม เหลือง เขียวนานา

นี่คืออะไรอีก?

แม่ทัพจินอึ้งอยู่บ้าง เวลานี้แล้ว ทหารโจวเหล่านี้ยังฉลองปีใหม่กันอยู่อีกหรือ?

“ใต้เท้า ใต้เท้าไม่ดีแล้วขอรับ รอบด้านมีทหารโจวมา” มีทหารสอดแนมรีบแจ้งข่าว

รอบด้าน?

แม่ทัพเจียงบนรถมองไปรอบด้าน เห็นในทุ่งรอบด้านควันขโมง ธงทิวตั้งเรียงราย กองทัพมากมายถี่ยิบมุ่งมายังด้านนี้อย่างที่ว่า

ซู่หนิงด้านนี้มีกองทหารประจำการอยู่ไม่น้อย แต่กองทหารประจำการเหล่านี้น้อยนักจะช่วยทำสงคราม ไม่ต้องพูดถึงยามเมืองแห่งหนึ่งถูกล้อมโจมตีแล้วเป็นฝ่ายออกจากเมืองมาช่วยเหลือ

ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น?

เสียงกลองศึกดังมาจากเมืองด้านหน้า

และนี่ไม่ใช่เพียงกลองศึกของการประจันศึก แม่ทัพจินยืนอยู่บนที่สูงมองเห็นชัดเจน พร้อมกับกลองศึก ทหารโจวที่แห่มารอบด้านก็เริ่มต้นแปรกระบวนทัพ

แม้โกลาหลอยู่บ้าง ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็จวนเจียนตั้งกระบวนทัพที่พาไอเย็นเยียบมาด้วยได้

สภาพเช่นนี้จะล้อมสังหารพวกเขาหรือ?

เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขามักทำเสมอ

แม่ทัพจินทั้งสะพรึงทั้งโกรธแค้น อยู่บนแท่นสูงชูดาบใหญ่ในมือขึ้น

“ประจันศึก”

แตรดังรอบด้าน เสียงกลองศึกปะทุ เข่นฆ่าสะเทือนฟ้า

……………………………………….

……………………………………….

การเข่นฆ่าที่ซู่หนิง ทหารทั้งหลายที่อยู่ไกลถึงด่านเป่ยวั่งไม่เห็นด้วยตาตนเอง แต่คนนับไม่ถ้วนสนใจ

คบไฟส่องป้อมปราการด่านทั้งหมดประหนึ่งกลางวัน แทบแบ่งแยกกลางวันหรือกลางคืนไม่ชัด

ชิงเหอปั๋วยืนอยู่หน้าแผนที่รวมถึงแผนผังจำลอง แม่ทัพทั้งหลายข้างกายบ้างเงียบงันไม่พูด บ้างเดินไปมา ไม่กล้าเอ่ยวาจาเสียงดัง บ้างสนทนากันเสียงเบาบ้างเข้าออกมือเบาเท้าเบา

ด้านนอกเสียงฝีเท้าเร่งรีบเสียงหนึ่งลอยมา

“ข่าวด่วน ข่าวด่วน” พลทหารถ่ายทอดคำสั่งตะเบ็งเสียงตะโกน พุ่งพรวดเข้ามาคุกเข่าบนพื้น

ชิงเหอปั๋วประหนึ่งถูกน้ำกะละมังหนึ่งสาดตื่นสายตาคมกริบมองไป

“ที่ไหน?” เขาตวาด

“ด่านซู่หนิงขอรับ” พลทหารถ่ายทอดคำสั่งตะโกน

ในห้องเสียงตกตะลึงยินดีเบาๆ ฉับพลันดังระงม กระทั่งหมัดของชิงเหอปั๋วยังออกแรงกำ

“รู้อยู่แล้วเชียวว่ากองทหารชิงซานป้องกันอยู่” มีแม่ทัพเอ่ยขึ้น

คิ้วที่ขมวดแน่นของชิงเหอปั๋วคลายออก ได้ยินประโยคนี้สีหน้าก็อารมณ์สับสนปนเปอยู่บ้าง

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเสียสมาธิ

“ซู่หนิงกันได้แล้ว สถานการณ์ของพวกเราก็จะบรรเทาลงแล้ว” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นต่อไปก็ควรเป็นพวกเราโจมตีแล้ว”

เขาพูดพลางยืนหน้าแผนผังจำลอง แม่ทัพทั้งหลายก็รีบล้อมเข้ามาด้วย

แสงอรุณทอดเข้ามาในกระโจมค่าย ปฏิกิริยาของคบไฟทำให้คนง่วงงุนอยู่บ้าง นายทหารทั้งหลายไล่ดับทีละดวงอย่างระวัง

……………………………………….

……………………………………….

ธงหลากสีสะบัดปลิว แตรดังขึ้น นี่คือคำสั่งหยุดไล่ตามโจมตี กองทหารที่รุกคืบหยุดลงแล้ว

พร้อมกับที่กองทัพหยุดลง เสียงโห่ร้องยินดีระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นบนพื้นดินที่แสงอรุณแรกปรากฏ

แสงอรุณของฤดูหนาวเย็นเยียบ บนหน้านายทหารแต่ละคนทั้งแดงทั้งขาว บนร่างก็เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่พวกเขาล้วนแววตาสุกใสโห่ร้องคึกคัก

มีความยินดีที่มีชีวิตรอดหลังเภทภัย แล้วยิ่งมีความตื่นเต้นที่ศึกใหญ่ได้ชัยชนะ

เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง นายทหารทั้งหลายมองดูธงสีที่เหวี่ยงสะบัด ฉับพลันยืนตัวตรงจัดเท้า แปรกระบวนทัพโดยไม่รู้ตัว เริ่มเก็บอาวุธของข้าศึกกับพี่น้องทั้งหลายที่เสียสละ

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเราถึงกับล้อมโจมตีทหารจิน นอกจากนี้ยังตีพวกเขาแตกกระเจิงอีก” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ

“ใช่แล้ว พูดความจริงข้าไม่อยากออกรบเลยจรงิๆ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

พวกเขาคุยกันเสียงเบา มีเสียงกีบเท้าม้ารัวพร้อมกับเสียงตะโกนของทหารทั้งหลาย ทั้งสองคนเงยหน้ามองไป เห็นกำลังคนกลุ่มหนึ่งที่คนนำหน้าเป็นสตรีคนหนึ่งมา

สตรีคนนี่สวมชุดออกศึกพร้อมกับหมวกใบหนา บนแก้มมีรอยแผลเลือนรางแถบหนึ่งอยู่ แต่ในสนามรบไม่มีใครสนใจเรื่องนี้

จ้าวฮั่นชิงหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา คันศรบนแผ่นหลังยังมีคราบเลือดติดอยู่ ก้มมองพวกเขาลงมาจากที่สูง

แม่ทัพสองคนสบตากัน ยกมือให้นางนิดหนึ่งอย่างเคารพ

ตำแหน่งของพวกเขาสูงกว่าจ้าวฮั่นชิงมาก เป็นฝ่ายคำนับก่อนเช่นนี้ก็แสดงความเคารพมากนักแล้ว

“ข้าเคยบอกแล้วว่าหากทุกคนฟังข้า ข้าจะไม่ให้พวกเขาไปรนหาที่ตาย” จ้าวฮั่นชิงไม่มองพวกเขาอีก แต่มองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงดัง “แต่ครั้งนี้ ยังมีทหารกองหนึ่งไม่ฟังคำสั่งที่ให้ออกจากเมือง ในเมื่อเขาไม่ฟังคำสั่งของข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่นับเขาเป็นสหาย”

นี่คือเด็กสาวโมโหหรือ? แม่ทัพทั้งสองคนสบตากันทีหนึ่ง

ตรรกะเหมือนไม่ค่อยถูกต้อง ทุกคนไม่น่าจะฟังคำสั่งเจ้านะ? ชิงเหอปั๋วบอกว่าให้เจ้ามาช่วยทุกคนฝึกทหาร แต่ไม่ได้ให้เจ้ามาเป็นผู้บัญชาการนา ทำไมกลายเป็นล้วนต้องฟังคำสั่งเจ้าแล้วเล่า?

“ไม่ผิดนี่ เดินทัพทำสงครามต้องการกระบวนทัพ นางสั่งสอนพวกเรา ถึงเวลาแปรกระบวนทัพก็ไม่ใช่ฟังกลองศึกของนางหรือ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

ก็นะ นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ กระบวนทัพที่รักษาชีวิตทั้งยังทำสงครามชนะได้ ทุกคนอย่างไรก็ต้องฟัง

“…พวกเราต้องป้องกันด่านซู่หนิงเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นต่อไปข้าจะจัดสรรรถปืนใหญ่คันหนึ่งกับรถยิงศรคันหนึ่งให้แต่ละกองทัพของพวกเจ้า…”

เสียงใสกังวานของเด็กสาวสะท้อนก้อง

แม่ทัพทั้งสองฉับพลันฉุกคิดได้ ไหนเลยยังจะสนอะไรว่านางควรไม่ควรโมโหเป็นเด็กน้อยไม่นับคนที่ไม่เชื่อฟังเป็นสหาย

รถปืนใหญ่กับรถยิงศรนี่ร้ายกาจเท่าไรทุกคนล้วนเห็นกับตาแล้ว หากได้แบ่งมาสักคันย่อมเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างแท้จริง

สงครามเป็นสิ่งที่เปลืองทหารที่สุด ไม่มีแม่ทัพคนไหนยินดีเห็นทหารของตนสูญเสียสาหัส ดังนั้นจึงพยายามที่สุดที่จะติดอาวุธยุทโธปกรณ์

กองทหารชิงซานนี่ถึงกับยอมสละศาสตราเทพอาวุธร้ายกาจเช่นนี้แบ่งให้กับพวกเขา

นี่เห็นเป็นแขนขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว

บนสนามรบความเป็นความตายคาบเกี่ยวกัน ยังมีสิ่งใดให้พูดอีก

เสียงโห่ร้องยินดีรอบด้านดังอื้ออึงขึ้น

จ้าวฮั่นชิงดึงม้าย่ำเท้าอยู่กับที่ สายตากวาดผ่านผู้คน

“ร่วมเป็นร่วมตาย! ไม่กลัวไม่ถอย!” นางชูคันศร ตะโกนเสียงดัง

“ร่วมเป็นร่วมตาย! ไม่กลัวไม่ถอย!”

เสียงร้องม้วนตลบท่วมฟ้ากลบผืนดิน

หลี่กั๋วรุ่ยอดไม่ได้ทั้งร่างขนลุก

เอาล่ะ ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป กองทหารชิงซานแห่งด่านซู่หนิงเป็นพี่ใหญ่แล้ว

“ฮั่นชิงของข้านี่เอง”

คุณหนูจวินพูดขึ้น บนหน้าเผยรอยยิ้ม

ช้อนที่ลู่อวิ๋นฉีส่งมาถึงริมฝีปากนางหยุดลง

“แม่นางคนนั้นร้ายกาจนัก” เขาเอ่ย “ตอนนั้นทหารที่ด่านซู่หนิงทั้งหมดล้วนเชื่อฟังคำสั่งการของนาง”

“นางจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดว้าวุ่น ให้นางสังหารศัตรูนางก็คิดแต่เรื่องนี้” คุณหนูจวินพูดขึ้น “ความเป็นความตายไม่กลัว”

ลู่อวิ๋นฉีบีบแก้มนาง ป้อนข้าวกับน้ำแกงช้อนหนึ่งเข้าไป

“พอแล้ว ข้ากินเอง” คุณหนูจวินเบี่ยงศีรษะนิดหนึ่งจะสะบัดมือเขาออกเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีรั้งมือกลับ เพียงใช้ช้อนป้อนนาง

“ฝ่าบาทดีพระทัยยิ่ง” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าคำหนึ่ง

“ดีพระทัย?” นางเอ่ย สีหน้าเหยียดหยัน “เขายังมีหน้าดีพระทัย!”

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม ไม่แย้งแล้วก็ไม่ปฏิเสธ

“ทุกสิ่งนี่ล้วนเป็นเพราะเขา” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ มือที่ถูกมัดอยู่ด้านหน้าร่างกำแน่น “เพราะเขาโง่เขลาเบาปัญญา ขับไล่ขุนนางผู้จงรักแม่ทัพฝีมือดี ใช้งานพวกคนชั่วตัวไร้ประโยชน์ ทำไมชาวจินลอบโจมตีกะทันหันตอนนี้ ก็เพราะชาวจินรู้เหมือนกันว่าแดนเหนือที่ไม่มีเฉิงกั๋วกงมีโอกาสให้ฉวย”

ลู่อวิ๋นฉีตั้งใจคนน้ำแกงตักขึ้นมาหนึ่งช้อน

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่พูดเรื่องเหล่านี้” เขาเอ่ย

เวลานั้นเขาเล่าเรื่องข้างนอกให้นางฟังนางไม่เคยวิจารณ์สิ่งใด เพียงทำเป็นเรื่องขำขันสนุกทีหนึ่งก็หยุด เลิกแล้วกับมัน นางจะเล่าเรื่องในบ้านให้เขาฟัง วันนี้อ่านหนังสืออะไร เขียนตัวอักษรเท่าไร ดอกไม้ที่ปลูกใหม่บานแล้ว

ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ?

“ไม่ใช่ ข้าไม่เคยเปลี่ยน” คุณหนูจวินมองเขาส่ายศีรษะอย่างติดจะยโส “เพียงแต่ข้าที่เจ้ารู้จักไม่ใช่ข้าที่แท้จริง”

องค์หญิงจิ่วหลิงที่แต่งงานกับเขาคือองค์หญิงผู้สูญเสียวิญญาณ

ยอมรับชะตา จนปัญญา คล้อยตาม เฉยชา เหมือนวิหคที่ตัดปีก ดอกไม้ที่ถูกขุดจากดิน

เขาไม่รู้จักนางตัวจริง แล้วก็เพราะนางไม่ให้เขารู้จัก เพราะเขาไม่คู่ควร

ลู่อวิ๋นฉีมองสีหน้าของนาง จากนั้นก็ยิ้มแล้ว

“จะหนาวแล้ว” เขาเอ่ย ส่งช้อนมาถึงริมฝีปากนาง

คุณหนูจวินกัดไว้

“ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คนนั้นยังกินข้าวลงได้หรือไม่” นางกัดฟันเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“ชิงเหอปั๋วตรวจสอบพิสูจน์แล้วว่าขุนนางทหารที่ด่านจวินจื่อถูกผู้อื่นบงการให้เปิดประตู” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินตะลึง

ผู้อื่น?

คนที่บงการขุนนางทหารที่ด่านจวินจื่อได้ย่อมเป็นคนที่พวกเขาเชื่อถือ

คำพูดนี้ของชิงเหอปั๋วหมายความว่าอย่างไร ใครก็ล้วนคิดออก

เขาชี้ว่าเฉิงกั๋วกงเป็นสายลับชัดๆ ทหารที่ด่านจวินจื่อล้วนตายแล้ว คนตายแล้วย่อมพิสูจน์ความจริงไม่ได้

ทหารเหล่านั้นสละร่างรบจนตัวตาย กลับยังต้องถูกใส่ร้ายให้ชื่อเป็นมลทินเช่นนี้

คุณหนูจวินฟันกัดช้อนจนดังกึก

“ชี้ขลาด” นางเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

ฮ่องเต้ดื่มน้ำแกงตรงหน้าคำเดียวหมดแล้ววางลง บนหน้าเหงื่อออกนิดๆ แลดูใบหนาอิ่มเอิบ

“ขอบพระทัยไทเฮาแทนข้าด้วย” พระองค์ตรัสกับขันที “รอข้ายุ่งเสร็จแล้วจะไปเฝ้าไทเฮา”

ขันทีค้อมกายหลายครั้ง

“ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารได้ องค์ไทเฮาก็วางพระทัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาเอ่ยอย่างตื้นตัน “องค์ไทเฮาตรัสว่าฝ่าบาทต้องรักษาพระวรกายให้ดี สารพันเรื่องราวรีบร้อนไปก็แก้ปัญหาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ขานรับ พลางมองไปด้านในตำหนัก

ด้านในตำหนักขุนนางสิบกว่าคนนั่งอยู่ เวลานี้ก็ล้วนกำลังทานอาหาร ได้ยินเข้าก็ค้อมกายขานรับพ่ะย่ะค่ะ

“หลายวันนี้ทุกคนลำบากแล้ว” ฮ่องเต้ตรัส “กินนอนไม่สบายใจ”

“ฝ่าบาทเหนื่อยยากแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

ทุกคนล้วนเจอบ่อยจนชินแล้ว ได้ยินก็ไม่มีใครส่งสายตามองเขาอีก

“ฝ่าบาทเหนื่อยยากแล้ว” พวกเขาเอ่ยตาม

“แต่สถานการณ์วันนี้ยังคงไม่ปล่อยให้โล่งอก” ฮ่องเต้ตรัสอีกครั้ง วางผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดพระโอษฐ์ลง

ขันทีทั้งหลายเก็บโต๊ะทันที คนก็ถอยออกไป ในตำหนักกลับมาหารือการงานใหม่อีกครั้ง

“ที่สำคัญคือชาวจินมากะทันหันเหลือเกิน ทุกคนชั่วขณะรับมือไม่ทัน ไม่ใช่ขวางไม่อยู่” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

คำนี้พูดได้น่าขำจริงๆ เหมือนก่อนหน้านี้ชาวจินบุกมาล้วนตั้งใจทักทายปราศรัยกับเจ้าก่อน

มีปากของขุนนางไม่น้อยกระตุก แต่นึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนมีขุนนางหลายคนเพราะโวยวายตำหนิว่าไม่ควรเจรจาสงบศึก ไม่ควรเปลี่ยนแม่ทัพง่ายๆ ถูกฮ่องเต้อ้างว่าทำให้หัวใจทหารและหัวใจประชาชนสั่นคลอนจับเข้าคุก ทุกคนจึงล้วนกลืนคำพูดกลับไปแล้ว

ได้ยินว่ากะทันหันสองคำ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันบึ้งตึง

“ข้าฝันก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉิงกั๋วกงเขาถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” พระองค์ตรัส

“ฝ่าบาท เขาคิดก่อกบฏแล้ว ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลก” หวงเฉิงเอ่ย “พูดขึ้นมาตอนนั้นก็มีคนเคยพูดว่า บอกจะเจรจาสงบศึกกับให้ถอนทหารแล้วชัดๆ เฉิงกั๋วกงกลับวิ่งไปอี้โจวของชาวจิน ใครจะรู้ว่าเวลานั้นก็ตกลงกับชาวจินเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

ฮ่องเต้ฟาดฎีกาลงบนโต๊ะ

“เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าผิดต่อเขาที่ใด?” พระองค์ตรัส ตรัสถึงตรงนี้ก็สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้นอีก “ต่อให้ข้าผิดต่อเขา เขาไม่พอใจข้าก็ขอให้เห็นแก่บุญคุณของอดีตฮ่องเต้กับพี่ชายรัชทายาทเมื่อครั้งกระโน้นที่มีต่อเขา ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร”

พระองค์ตรัสพลางลุกขึ้นยืน

“พวกเจ้าไปถามเขาดูสิ ที่แท้เขาต้องการให้ข้าทำอย่างไร? ขอเพียงแลกความสงบสุขของต้าโจวได้ ข้าจะยอมรับผิดกับเขา”

“ฝ่าบาท ทรงอย่าตรัสถ้อยคำเช่นนี้” หวงเฉิงสีหน้าขรึมเอ่ย ก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “กับคนถ่อยเช่นนี้ ความเมตตาไม่มีประโยชน์กับพวกเขา มีแต่จะให้เขาได้คืบเอาศอก”

“ใช่แล้ว กับกบฏเช่นนี้ จำต้องโจมตีโหดเหี้ยมให้ล่าถอย” ขุนนางคนอื่นก็พากันเอ่ยด้วย

หลังเอ่ยเกลี้ยกล่อมพักหนึ่ง สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ฟื้นคืน ถอนพระปัสสาสะ

“ข้าทนเห็นประชาชนแดนเหนือเดือดดร้อนไม่ได้จริงๆ” พระองค์ตรัส

“ขอฝ่าบาทวางพระทัย” หวงเฉิงเอ่ย “ชิงเหอปั๋วขึ้นเหนือ โจมตีโจรจินที่รุกเข้าเหอเจียนล่าถอยไปแล้ว ”

เขาเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้ขุนนางของกรมกลาโหม ขุนนางก้าวเข้าไปข้างหน้าชี้บนแผนที่ซึ่งกางอยู่ด้านข้างให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร

“…เมื่อวานนี้เองข่าวส่งมาบอกว่าโจรจินที่เป่าโจวถอยกลับไปปากด่านแล้ว โจรจินที่ป้าโจวก็ถอยกลับไปรักษาฉางเฟิงแล้วด้วย”

“…กองทัพสามทางรวมพลกันแล้ว รวดเดียวขับไล่โจรจินกลับไปแน่นอน…”

……………………………………….

……………………………………….

ปลายเดือนหนึ่ง แม้ฤดูใบไม้ผลิเริ่มแล้ว แต่แดนเหนือยังคงเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง หนาวเย็นไปหมด

เสียงกลองฉับพลันดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน นี่เป็นกลองระดมพล ชั่วขณะทหารขยับพร้อมเพรียง นอกเมืองกำลังพลหมื่นกว่านายรวมตัวตั้งแถวอย่างรวดเร็วยิ่ง ธงนานาสีสันเครื่องแบบทหารประดับผืนดิน เคร่งขรึมและสง่างาม

ในกระโจมชิงเหอปั๋วบนร่างสวมขุดเกราะหนาชุดหนึ่ง แผ่นเกราะเก่า เสื้อคลุมตัวใหญ่หลังร่างย้อมคราบเลือดประปราย

“ตามนี้ แม่ทัพทั้งหลายฟังคำสั่ง แบ่งทหารเป็นสี่ทาง ขับไล่โจรจินออกจากดินแดนของเรา” เขาเอ่ย เสียงแม้นับไม่ได้ว่ากังวาน แต่สองตาดุดันน่าเกรงขาม

ในกระโจมแม่ทัพสิบกว่าคนยืนเคร่งขรึมอยู่ ได้ยินพลันขานรับเสียงพร้อมเพรียง

แต่มีแม่ทัพคนหนึ่งเพียงขยับปากนิดหนึ่ง สีหน้ากังวล

“ท่านปั๋ว” เขาอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ในที่สุดก็ยังคงก้าวออกมา “ผู้น้อยคิดว่า อย่าต้อนศัตรูจนตรอก ชาวจินพ่ายแพ้ถอยยับเยิน ป้องกันอย่าให้มีเล่ห์หลอก”

ประโยคนี้ของเขาเอ่ยออกมาแม่ทัพรอบด้านไม่ผิดคาดอันใด กระทั่งชิงเหอปั๋วก็สีหน้านิ่งสงบ เห็นชัดยิ่งว่าคำนี้ไม่ใช่เขาเอ่ยครั้งแรก

“ผู้บัญชาการทหารหยาง” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ท่านไตร่ตรองรอบคอบนัก หลายวันนี้ทหารสอดแนมทิศต่างๆ ไปสอดแนมอย่างใกล้ชิดแล้วว่าชาวจินมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่”

ผู้บัญชาการทหารหยางพยักหน้า สีหน้าขัดเขินอยู่บ้าง

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยไม่ได้รักตัวกลัวตาย” เขาเอ่ย “เพียงแต่กลยุทธ์ของชาวจินนี่ไม่อาจดูแคลน พวกเขาทหารแข็งแกร่งอาชาว่องไว ถนัดโจมตีกะทันหันรุกเร็วอย่างที่สุด”

คำพูดเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นสายตาที่ชิงเหอปั๋วมองเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ในใจอดไม่ได้ยิ้มเจื่อนทีหนึ่ง พูดผิดแล้วสิ

ชิงเหอปั๋วยกตนว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งแดนเหนือมาตลอด เกลียดคนเหล่านี้ที่ทำเหมือนเขาเป็นหน้าใหม่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากได้ยินว่าเขาไม่คุ้นเคยกับชาวจินคำพูดเช่นนี้

ผู้บัญชาการทหารหยางก้มศีรษะลง

“ท่านปั๋วย่อมรู้ดีที่สุด” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง

เขาย่อมรู้ดี แล้วเขาก็จะให้คนใต้หล้ารู้ดีด้วยว่าเขาโจวเจียงคู่ควรกับความดีความชอบที่แดนเหนือ เขาโจวเจียงเดิมก็ควรเป็นชิงเหอกง

ชิงเหอปั๋วไม่มองผู้บัญชาการทหารหยางอีก ยกมือสะบัดดาบยาว

“โจรจินเหิมเกริมสังหารประชาชนของเรา ทำลายบ้านเมืองของเรา ผู้ใดเป็นประชาชนต้าโจว ถือว่าอาฆาตแค้นศัตรูร่วมกัน สังหารโจรตอบแทนประเทศ” เขาเอ่ย

แม่ทัพทั้งหลายในกระโจมพากันสะบัดแขน

“สังหารโจรตอบแทนประเทศ”

เสียงตะโกนนี่ดังออกไป กำลังพลนอกเมืองก็ชูแขนตะโกนดังด้วยอย่างรวดเร็วยิ่ง

“สังหารโจรตอบแทนประเทศ สังหารโจรตอบแทนประเทศ”

ชั่วขณะม้วนตลบผืนดิน อำนาจประหนึ่งรุ้ง

……………………………………….

……………………………………….

เพราะข่าวดีต่อเนื่อง หลังผ่านพ้นเดือนหนึ่งเมืองหลวงจึงฟื้นกลับมาครึกครื้นดังเดิม ถึงขั้นครึกครื้นยิ่งกว่าวันวาน คล้ายผู้คนต้องการชดเชยความครึกครื้นของการเฉลิมฉลองที่หายไปในเดือนหนึ่งกลับมา

แม้มีขุนนางมีองครักษ์เปิดทาง ยามหวงเฉิงกลับมาถึงบ้านก็ช้ากว่าวันวานมากนัก

เขาโขยกเขยกลงจากรถม้า ข้ารับใช้ทั้งหลายที่ประตูแห่เข้ามา คนหนึ่งในนั้นขยับเข้าใกล้ส่งจดหมายฉบับหนึ่ง

“นายท่าน จดหมายของในร้านขอรับ” เขาก้มศีรษะเอ่ย

หวงเฉิงมีกิจการร้านค้าไม่น้อย แต่ไม่มีร้านไหนจะเขียนจดหมายให้เขา

ร้านนี่ก็คือคำเรียกแทนอวี้ฉือไห่

หวงเฉิงเดินเข้าประตูบ้านพลางแกะจดหมายออก

“ข้าก็อยากดูสิว่าขี้ข้าสุนัขตัวนี้จะพูดอะไร” เขาท่าทางเคียดแค้นเอ่ยขึ้น สายตาจับบนกระดาษจดหมายปุบกลับตะลึง “ท่านปู่?”

ท่านปู่?

เขาเรียกใคร? คนที่คู่ควรให้หวงเฉิงเรียกว่าปู่สักคำล้วนเป็นคนตายไปหมดแล้ว ข้ารับใช้ทั้งสองข้างไม่เข้าใจอยู่บ้าง

หวงเฉิงก็ไม่เข้าใจนักเช่นกัน มองสองคำบนกระดาษจดหมาย

บนกระดาษจดหมายหนึ่งแผ่นมีเพียงอักษรตัวใหญ่เขียนด้วยหมึกดำเข้มสองคำ

ท่านปู่

ท่านปู่? หมายความว่าอย่างไร? หวงเฉิงอดไม่ได้ขบคิดหลายรอบ ฉับพลันคิดถึงอันใดขึ้นได้ สีหน้าพลันแดง สองสามทีก็ฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“ขี้ข้าสุนัข ถึงกับกล้าหยอกข้าเล่น” เขาเอ่ยด่าแล้วหมุนตัวยกมือขึ้น “ใครมานี่ซิ สำเร็จโทษคนของขี้ข้าสุนัขแซ่อวี้คนนั้นให้หมด”

ข้ารับใช้ฟังประโยคนี้เข้าใจฉับพลันขานรับพาคนวิ่งออกไปข้างนอกทันที

และเวลานี้ที่ป้าโจว อวี้ฉือไห่ที่ถูกแม่ทัพกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมยืนอยู่บนประตูเมืองก็พลันยกมือนับ

“เฮ้อ” เขาเอ่ยขึ้น “หลานคนดี”

อะไร?

เขาคิดถึงหลานของเขาหรือ? แม่ทัพรอบด้านมองมาอย่างไม่เข้าใจ

หน้าที่ถูกลมพัดจนแดงของอวี้ฉือไห่ปรากฏรอยยิ้ม

“ต่อไปข้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นหลานแล้ว” เขาเอ่ยต่อ “พวกเจ้าสมควรเป็นหลานจริงๆ แล้ว”

พูดจบก็ยกมือโบกทีหนึ่ง

“บุรุษทั้งหลาย ศัตรูถูกล่อรุกเข้ามาลึกแล้ว รวบตาข่ายจับเถิด”

พร้อมกับคำพูดของเขา แม่ทัพสองด้านพลันก้มศีรษะขานรับ มองกำลังพลแถวแล้วแถวเล่าพุ่งไปรอบด้านแล้ว อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่บนประตูเมืองถึงหมุนตัว

“ข้าก็ควรไปดูสถานที่อันรุ่งเรืองนั่นสักหน่อยแล้ว” เขาเอ่ย รับผ้าคลุมกันลมที่ผู้ติดตามส่งมา ปิดศีรษะกับใบหน้าไว้ก้าวยาวจากไป

สีหน้าเขานิ่งสนิท น้ำเสียงไม่ยอมให้ตั้งคำถามเหมือนวันนั้นที่จับนางได้เช่นนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

คุณหนูจวินกัดเนื้อที่ส่งมาถึงในปากพลางมองเขา

เนื้อกับน้ำแกงไม่เหมือนกัน จำต้องเคี้ยวถึงจะดี

นางใช้ฟันกัดลงไปทีละนิดๆ ช้าๆ

มือของลู่อวิ๋นฉีที่ริมฝีปากของนางปล่อยออก ลูบศีรษะนางเบาๆ

คุณหนูจวินกลืนเนื้อลงไป

“เจ้าพูดผิดแล้ว” นางเอ่ย “สิ่งที่ทำร้ายคนไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นคน”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง คุณหนูจวินกลับไม่มองเขา ผละสายตาออกอย่างเฉยเมย

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวหั่นเนื้อแพะช้าๆ ต่อ ในห้องเงียบสงัดบางครั้งมีน้ำมันร้อนหยดลงบนไฟถ่านส่งเสียงชี่ดังออกมา

ท่ามกลางเสียงประทัดรัว ปีใหม่ปีหนึ่งมาเยือนแล้ว

โคมไฟในเมืองหลวงส่องสว่างประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์ ในพระราชวังฮ่องเต้กับไทเฮาก็นั่งล้อมวงเช่นกัน มองเหล่าสนมกับเด็กๆ ในตำหนักหัวเราะโวยวายกันสนุกสนาน ประชาชนทั้งหลายไม่ว่ายากจนร่ำรวยก็นั่งสุขสันต์พร้อมทั้งครอบครัว ตั้งแต่เหนือจรดใต้ครึกครื้นรุ่งเรืองไปหมด

กระทั่งด่านจวินจื่อ ณ เมืองเหอเจียนที่ค่อนข้างห่างไกลก็โอบล้อมด้วยเสียงประทัดดังเป็นช่วงๆ หมู่บ้านและอำเภอที่ห่างไกลไฟโคมประหนึ่งดวงดาวดารดาษ มองไปเพิ่มความอบอุ่นให้คนในหน้าหนาวนี้อยู่บ้าง

แต่ไม่นานสายลมคลั่งหอบใหญ่ก็พัดหิมะเต็มฟ้าโปรยปรายร่อนระบำ ต่อให้หลบอยู่ในบ้านก็คล้ายสัมผัสความร้อนไม่ได้สักนิด

แต่แม้เป็นเช่นนี้บ้านดินข้างใต้ป้อมปราการก็มีคนเบียดกันอยู่เจ็ดแปดคน ท่ามกลางนายทหารที่สวมชุดทหารเก่าทั้งหลายยังมีบุรุษวัยกลางคนอวบอ้วนผิวขาวสวมเสื้อหนังตัวใหญ่คนหนึ่งด้วย

แม้ในห้องนับว่าเขาใส่เสื้อผ้าหนาที่สุด เขายังแทบจะยื่นมือเท้าเข้าไปในถาดไฟ คล้ายมีเพียงความเจ็บปวดของไฟที่แผดเผาถึงทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นได้

“อากาศที่นี่ของพวกเจ้าทำไมหนาวเช่นนี้เล่า” เขาเอ่ยเสียงสั่นอยู่บ้าง ถึงขั้นที่สำเนียงแดนเหนือซึ่งเดิมทีก็ไม่คุ้นเพิ่งร่ำเรียนเป็นปิดสำเนียงแดนใต้อันชัดเจนไว้ไม่มิดอีกต่อไป

นายทหารหลายคนหัวเราะขึ้นมา

“ก็หนาวเช่นนี้เสมอนะ” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย ส่งไหสุราใบหนึ่งให้เขา “ข้าว่านายท่านผู้ร่ำรวยคนนี้อย่างท่านคงไม่เคยลำบากเช่นนี้ล่ะสิ?”

บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะรัว รับสุราที่นายทหารส่งมาดื่มคำหนึ่ง ฉับพลันสำลักไอติดๆ กัน น้ำหูน้ำตาไหลเป็นสาย

ความอเนจอนาถนี่ทำให้นายทหารทั้งหลายในห้องประสานเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่ทุกคนยังคงส่งชาร้อนชามหนึ่งไปให้เขาอีกอย่างรวดเร็วยิ่ง

“อย่าคิดว่านี่พวกเราแกล้งท่านเล่า อยู่ที่นี่ก็ต้องดื่มสุราชนิดนี้” ทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เงียบงันไม่เอ่ยวาจามาตลอดเอ่ยขึ้น “ราตรีของฤดูหนาวเดินทางหรือสอดแนมเฝ้าระวัง หากไม่มีสุราคำนี้ เอนหลังหลับตาลงนิดหนึ่งก็ลืมตาไม่ขึ้นอีกต่อไปแล้ว”

บุรุษวัยกลางคนสีหน้าซาบซึ้งทั้งยังนับถือ

“นายทหารทั้งหลายของหัวหน้าหมู่ต่งลำบากจริงๆ ” เขาเอ่ยขึ้น “ผู้แซ่ฟู่นับถือจากใจจริง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาที่นี่จึงไม่รู้ ครั้งนี้มาถึงแดนเหนือเดินทางรอบหนึ่ง ต่อให้ยามไม่ทำสงครามนี่ก็ยากลำบากพอแล้ว”

เขาพูดพลางชูไหสุราที่เมื่อครู่ส่งมาขึ้น

“มา มา ข้าคารวะทุกท่านหนึ่งจอก”

พูดจบพลันแหงนศีรษะดื่มคำโตคำหนึ่ง

ครั้งนี้แม้ไม่ได้อเนจอนาถเช่นนั้นอย่างครั้งก่อน แต่ก็หน้าแดงในพริบตา น้ำตากลิ้งอยู่ในดวงตา

พ่อค้าร่ำรวยที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยคนหนึ่งเกรงใจพวกเขาเช่นนี้ได้ นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนยากปิดบังความเบิกบานใจเอ่ยขอบคุณชูไหสุราในมือขึ้น

บรรยากาศในห้องครื้นเครง ขับไล่ความหนาวเย็นไป

แต่หัวหน้าหมู่ต่งไม่ได้ดื่ม สีหน้าติดจะทะมึนอยู่บ้างมองบุรุษผู้นี้

“ข้าไม่รู้ว่าท่านหัวหน้ากองทำไมยอมให้พวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่พักค้างคืน” เขาเอ่ยขึ้น “ตามกฎที่เป็นมาของพวกเรา ต่อให้พวกเจ้าแข็งตายอยู่บนถนน ก็ไม่อาจเหยียบเข้าด่านแห่งนี้ได้สักก้าว”

คำพูดนี้เอ่ยออกมาโดยไม่เกรงใจอย่างแท้จริง แต่พ่อค้าคนนี้นิสัยดียิ่ง ไม่ได้อับอายโกรธเกรี้ยว

“ใช่แล้ว พวกเราก็รู้ว่าไม่ถูกกฎระเบียบ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ล้วนโทษพวกเราไม่คุ้นกับสถานที่ เดินสะเปะสะปะ เสียเวลาเดินทาง หากไม่ใช่ท่านหัวหน้ากองกับหัวหน้าหมู่รักประชาชนดั่งบุตร พวกเราคงไม่รอดแน่แล้ว”

หัวหน้าหมู่ต่งยกมือห้าม

“เฮ้อ ไม่ต้องชมข้า ข้าย่อมไม่กล้ารับว่ารักประชาชนดั่งบุตรอันใด” เขาเอ่ย “ข้าเป็นเพียงผู้ที่รักจะรักษากฎระเบียบเท่านั้น”

เขามองพ่อค้าคนนี้

“สถานที่พักของพวกเจ้าข้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสักก้าวก็ไม่อนุญาตให้เหยียบออกมา หากพบว่าท่านหรือผู้ติดตามของท่านเดินส่งเดชปุบ พวกเราจะไม่ถามเหตุผลสังหารเดี๋ยวนั้น”

พ่อค้าพยักหน้าหงึกๆ

“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านวางใจ วางใจ พวกเราก็ไม่กล้าเดินส่งเดชเช่นกัน หากถูกลมพัดไปถึงด้านนั้นของชาวจินก็แย่แล้ว”

มีนายทหารแย้มริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา แต่ก็รีบหุบอีกหน

“เจ้าวางใจ ขอเพียงประตูป้อมปราการแห่งนี้ของพวกเราไม่เปิด ต่อให้ลมแรงอีกเท่าใด ก็ไม่มีผู้ใดไปถึงเขตของชาวจินได้ เช่นเดียวกันชาวจินก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” หัวหน้าหมู่ต่งเอ่ยพลางโบกมือให้พ่อค้า “เอาล่ะ ดึกแล้ว พวกเราที่นี่ก็ไม่มีการละเล่นสนุกอันใด นายท่านฟู่รีบไปพักผ่อนเถิด”

พ่อค้าขานทราบแล้วติดกันหลายคำ จากนั้นประสานมือคำนับนายทหารทั้งหลายในห้อง

“ถ้าเช่นนั้นทุกคนสุขสันต์วันปีใหม่นะขอรับ” เขาเอ่ย

นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางคำนับคืน มองพ่อค้าเดินออกไปพร้อมกับนายทหารคนหนึ่งที่ไปเป็นเพื่อน

แทนที่จะบอกว่าไปเป็นเพื่อน ที่จริงเป็นการเฝ้าคุมเสียมากกว่า ดูเขาเดินออกไป

“พ่อค้าคนนี้ก็จริงๆ เชียว หาเงินมากปานนั้นมีประโยชน์อันใด ถ้าปีใหม่นี่ต้องทรมาน” นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางวิพากษ์วิจารณ์

หัวหน้าหมู่ต่งดื่มสุราคำหนึ่ง

“ดังนั้นตอนนั้นท่านกั๋วกงจึงบอกว่าพ่อค้านี่ดูถูกไม่ได้ นั่นก็เป็นผู้ที่เหี้ยมที่สุดเช่นกัน” เขาเอ่ย

เอ่ยถึงท่านกั๋วกง นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้าหม่นหมองไปชั่วครู่

หัวหน้าหมู่ต่งลุกขึ้นยืน

“กลางคืนล้วนตื่นตัวระวังหน่อย พวกเราไม่แบ่งว่าปีใหม่ไม่ปีใหม่” เขาเอ่ย “ท่านกั๋วกงกล่าวไว้ พวกเราผู้เป็นทหารเหล่านี้ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ทุกวันก็คือปีใหม่”

นายทหารทั้งหลายล้วนลุกขึ้นยืนพรึบพรับขานรับพร้อมเพรียง

……………………………………….

……………………………………….

ราตรียิ่งมืดมิดขึ้นทุกที หิมะหยุดแต่สายลมบ้าคลั่งยังคงเดิม ทำให้เสียงประทัดไกลออกไปเลือนราง

เสียงฝีเท้าของนายทหารทั้งหลายกลายเป็นแทบไม่ได้ยิน มีเพียงคบไฟที่ส่องประสานกันจึงทำให้ทุกคนมองเห็นอีกฝ่าย

“หลับฝันดี”

นายทหารทั้งหลายที่มารับเวรต่อเอ่ยกับนายทหารทั้งหลายที่สิ้นสุดการลาดตระเวน

นี่คือคำอวยพรที่เรียบง่ายที่สุดแล้วก็ล้ำค่าที่สุดเช่นกัน

สองฝ่ายสวนกันจากนั้นก็แยกไป คบไฟแถวหนึ่งไปทางบ้านพักในป้อมปราการ แถวหนึ่งขึ้นไปบนป้อมปราการ

ท่ามกลางสายลมคลั่งจับจ้องทุ่งกว้างดำสนิทผืนหนึ่งอย่างระวังระไว

นี่คือชีวิตอันแห้งแล้งที่ซ้ำไปมาวันแล้ววันเล่าของพวกเขา แต่แม้ในยามดึกดื่นที่ง่วงที่สุด สายลมแทบจะพัดบาดหนังตา พวกเขาก็ลืมตาไม่กะพริบตาตั้งแต่ต้นจนจบ

ฝีเท้าเหยียบผ่านบนประตูเมือง คนที่ยืนอยู่ด้านล่างคล้ายสัมผัสได้ถึงดินทรายที่ร่วงลงมา

นี่คือนายทหารถือโคมไฟคนหนึ่ง คนที่เหลือขึ้นกำแพงเมืองไปแล้ว ส่วนเขารั้งอยู่ตรวจดูประตูเมืองเล็กน้อย

ที่จริงไม่ต้องดู ประตูหนาหนัก มีดาลประตูถึงสามชั้น ต่อให้ข้างนอกใช้ท่อนไม้สองท่อนก็กระแทกไม่เปิด

แต่ดินทรายของประตูเมืองไม่แน่นหรือ?

นายทหารเงยศีรษะขึ้นมองข้างบนโดยไม่รู้ตัว เพิ่งเงยศีรษะขึ้น ข้างหูพลันได้ยินเสียงพรวดทีหนึ่ง

นี่คือเสียงลูกศรแทงเข้าร่าง

ก่อนหน้าศรแทงเข้าร่างยังมีเสียงแหวกอากาศ แต่คืนนี้ลมแรงเกินไปแล้ว เสียงแหวกอากาศจึงไม่ได้ยิน

นายทหารความคิดสุดท้ายนี้แล่นผ่าน คนก็ล้มตึงลงไปแล้ว โคมไฟตกแตก ศรดอกหนึ่งในลำคอใต้แสงไฟที่ลุกโหมบนน้ำมันโคมสาดส่องผลิบุปผาสีเลือดดอกหนึ่ง จากนั้นพลันดับสลาย

โคมไฟที่ปักอยู่บนช่องประตูก็ถูกยิงร่วง มีเงาร่างเจ็ดแปดร่างโถมเข้ามาท่ามกลางราตรี คบเพลิงถูกผ้าคลุมปิด แสงสว่างที่หลงเหลือส่องบุรุษวัยกลางอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งที่ห่อตัวอยู่ในเสื้อหนังสัตว์

บนหน้าของเขาติดจะกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดใบหน้าก็เหี้ยมเกรียมนิดๆ ยกเท้าเหยียบบนคบเพลิง สองสามทีช่องประตูเมืองพลันตกสู่ความมืดมิด

เสียงกึกเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางสายลมราตรี ตามติดมาด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ในราตรีมืดมิดคล้ายหนอนยักษ์ตัวหนึ่งคืบคลาน

คบเพลิงจากบนกำแพงเมืองส่องลงมา

“เดี๋ยว” นาทีนั้นที่คนบนกำแพงเมืองจะเดินลงมา นายทหารที่เป็นหัวหน้าพลันหยุดฝีเท้า มองประตูเมืองที่มืดสนิท “โคมที่ประตูเมืองทำไมดับไป?”

“ถูกลมพัดดับกระมัง?” มีคนเอ่ยขึ้น

นี่ก็เป็นเรื่องที่มีเป็นปกติ

นายทหารที่เป็นหัวหน้าส่ายศีรษะ มือชักดาบข้างเอวออกมา

นายทหารคนอื่นแม้รู้สึกว่าไม่จำเป็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวตามเขาทันที

“ซานจิน?” นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนเรียก “ซานจิน?”

ไม่มีคนตอบรับ ความเงียบทำให้หัวใจคนเต้นระทึก

นายทหารที่เป็นหัวหน้าหยุดฝีเท้า ฉับพลันยกมือโยนคบไฟไปด้านหน้า

ท่ามกลางราตรีเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับแสงสว่างของคบเพลิง นายทหารก็เห็นบนพื้นไม่ไกลคนผู้หนึ่งกระโดดลุกขึ้น

คบเพลิงตกลงบนศีรษะเขาพอดี เส้นผมดกที่ไม่สวมหมวกเกราะพริบตาถูกจุดติดไฟ ส่องใบหน้าบิดเบี้ยวน่าหวาดกลัวของเขา

ใบหน้าของนายทหารที่เป็นหัวหน้าพริบตาบิดเบี้ยวเช่นกัน

“จิน…” เขาอ้าปากตะโกน

แต่ศรดอกหนึ่งพลันปักลงบนหน้าผากของเขาพาเขาล้มตึงลงไปแล้ว รอบด้านเสียงฟึบๆ ดังขึ้น ศรนับไม่ถ้วนประหนึ่งสายฝนตัดผ่านสายลมคลั่ง

เสียงกรีดร้องพริบตาถูกสายลมกลบหาย คบเพลิงร่วงตกพื้นจุดคนให้ลุกติดไฟ ส่องประตูเมืองทั้งหมดให้สว่างขึ้นมา แล้วก็ส่องคนมากมายยุบยับเบื้องหน้ามันด้วย

ในมือพวกเขากำศร บนร่างสะพายดาบยาว ข้างเอวห้อยขวานสั้นไว้ ดวงหน้าซีดขาวดวงตาดุร้ายเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ประหนึ่งสัตว์ร้ายลงเขามองไปด้านหน้า

……………………………………….

……………………………………….

ในเวลาเดียวกันนี้ปีใหม่ก็มาถึง เสียงประทัดดังระงมบนแผ่นดินกว้างใหญ่ ชาวหมู่บ้านของหมู่บ้านห่างไกลที่ข้ามคืนปีใหม่อยู่ท่ามกลางเสียงประทัดที่สะเทือนหูแทบดับคล้ายได้ยินเสียงแตรกรีดแหลม โหยหวนทั้งยังเร่งร้อนแหวกท้องฟ้ายามราตรี

พวกเขามองมาด้านนี้โดยไม่รู้ตัว เห็นเปลวเพลิงกองโตคล้ายลุกไหม้อยู่ที่ขอบฟ้า เผาท้องฟ้ายามราตรีครึ่งหนึ่งแดงฉาน

แสงเปลวเพลิงลุกขึ้นรอบด้าน ควันสัญญาณลอยขโมง

……………………………………….

……………………………………….

กั้นด้วยแม่น้ำฮูถัว บนแผ่นดินทิศเหนือแสงดาวจุดหนึ่งสว่างขึ้นก่อน จากนั้นพลันประหนึ่งทุ่งร้างถูกจุดติดไฟ ขยายลามพรวดพราดจนผืนดินทั้งหมดล้วนสว่างขึ้นมา

ยืนอยู่สูงบนรถมองออกไป ที่ลุ่มแม่น้ำฮูถัวทั้งหมดกำลังพลพร้อมรบกระจายอยู่ทั่ว

“เวลามาถึงแล้ว”

สายลมคลั่งพัดหมวกคลุมหน้าออกเผยใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง อวี้ฉือไห่ที่เคยปรากฏตัวที่เมืองหลวงนั่นเอง เวลานี้บนหน้าเขาไม่มีความถ่อมตัวต้อยต่ำสักนิด มีเพียงความหยิ่งโยสรวมถึงความบ้าคลั่ง

“บุรุษทั้งหลาย ผืนดินอันรุ่งเรืองของชาวโจวเปิดประตูใหญ่ต้อนรับพวกเราแล้ว”

เขายกมือชี้ไปทางทิศใต้

“ไปเถิด”

หมื่นอาชาร้องพร้อมเพรียง ย่ำบนผืนดินประหนึ่งอสนีบาต เหยียบแม่น้ำน้ำแข็งทะลุ ถาโถมมาประหนึ่งเมฆา

สีหน้าเขานิ่งสนิท น้ำเสียงไม่ยอมให้ตั้งคำถามเหมือนวันนั้นที่จับนางได้เช่นนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

คุณหนูจวินกัดเนื้อที่ส่งมาถึงในปากพลางมองเขา

เนื้อกับน้ำแกงไม่เหมือนกัน จำต้องเคี้ยวถึงจะดี

นางใช้ฟันกัดลงไปทีละนิดๆ ช้าๆ

มือของลู่อวิ๋นฉีที่ริมฝีปากของนางปล่อยออก ลูบศีรษะนางเบาๆ

คุณหนูจวินกลืนเนื้อลงไป

“เจ้าพูดผิดแล้ว” นางเอ่ย “สิ่งที่ทำร้ายคนไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นคน”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง คุณหนูจวินกลับไม่มองเขา ผละสายตาออกอย่างเฉยเมย

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวหั่นเนื้อแพะช้าๆ ต่อ ในห้องเงียบสงัดบางครั้งมีน้ำมันร้อนหยดลงบนไฟถ่านส่งเสียงชี่ดังออกมา

ท่ามกลางเสียงประทัดรัว ปีใหม่ปีหนึ่งมาเยือนแล้ว

โคมไฟในเมืองหลวงส่องสว่างประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์ ในพระราชวังฮ่องเต้กับไทเฮาก็นั่งล้อมวงเช่นกัน มองเหล่าสนมกับเด็กๆ ในตำหนักหัวเราะโวยวายกันสนุกสนาน ประชาชนทั้งหลายไม่ว่ายากจนร่ำรวยก็นั่งสุขสันต์พร้อมทั้งครอบครัว ตั้งแต่เหนือจรดใต้ครึกครื้นรุ่งเรืองไปหมด

กระทั่งด่านจวินจื่อ ณ เมืองเหอเจียนที่ค่อนข้างห่างไกลก็โอบล้อมด้วยเสียงประทัดดังเป็นช่วงๆ หมู่บ้านและอำเภอที่ห่างไกลไฟโคมประหนึ่งดวงดาวดารดาษ มองไปเพิ่มความอบอุ่นให้คนในหน้าหนาวนี้อยู่บ้าง

แต่ไม่นานสายลมคลั่งหอบใหญ่ก็พัดหิมะเต็มฟ้าโปรยปรายร่อนระบำ ต่อให้หลบอยู่ในบ้านก็คล้ายสัมผัสความร้อนไม่ได้สักนิด

แต่แม้เป็นเช่นนี้บ้านดินข้างใต้ป้อมปราการก็มีคนเบียดกันอยู่เจ็ดแปดคน ท่ามกลางนายทหารที่สวมชุดทหารเก่าทั้งหลายยังมีบุรุษวัยกลางคนอวบอ้วนผิวขาวสวมเสื้อหนังตัวใหญ่คนหนึ่งด้วย

แม้ในห้องนับว่าเขาใส่เสื้อผ้าหนาที่สุด เขายังแทบจะยื่นมือเท้าเข้าไปในถาดไฟ คล้ายมีเพียงความเจ็บปวดของไฟที่แผดเผาถึงทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นได้

“อากาศที่นี่ของพวกเจ้าทำไมหนาวเช่นนี้เล่า” เขาเอ่ยเสียงสั่นอยู่บ้าง ถึงขั้นที่สำเนียงแดนเหนือซึ่งเดิมทีก็ไม่คุ้นเพิ่งร่ำเรียนเป็นปิดสำเนียงแดนใต้อันชัดเจนไว้ไม่มิดอีกต่อไป

นายทหารหลายคนหัวเราะขึ้นมา

“ก็หนาวเช่นนี้เสมอนะ” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย ส่งไหสุราใบหนึ่งให้เขา “ข้าว่านายท่านผู้ร่ำรวยคนนี้อย่างท่านคงไม่เคยลำบากเช่นนี้ล่ะสิ?”

บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะรัว รับสุราที่นายทหารส่งมาดื่มคำหนึ่ง ฉับพลันสำลักไอติดๆ กัน น้ำหูน้ำตาไหลเป็นสาย

ความอเนจอนาถนี่ทำให้นายทหารทั้งหลายในห้องประสานเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่ทุกคนยังคงส่งชาร้อนชามหนึ่งไปให้เขาอีกอย่างรวดเร็วยิ่ง

“อย่าคิดว่านี่พวกเราแกล้งท่านเล่า อยู่ที่นี่ก็ต้องดื่มสุราชนิดนี้” ทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เงียบงันไม่เอ่ยวาจามาตลอดเอ่ยขึ้น “ราตรีของฤดูหนาวเดินทางหรือสอดแนมเฝ้าระวัง หากไม่มีสุราคำนี้ เอนหลังหลับตาลงนิดหนึ่งก็ลืมตาไม่ขึ้นอีกต่อไปแล้ว”

บุรุษวัยกลางคนสีหน้าซาบซึ้งทั้งยังนับถือ

“นายทหารทั้งหลายของหัวหน้าหมู่ต่งลำบากจริงๆ ” เขาเอ่ยขึ้น “ผู้แซ่ฟู่นับถือจากใจจริง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาที่นี่จึงไม่รู้ ครั้งนี้มาถึงแดนเหนือเดินทางรอบหนึ่ง ต่อให้ยามไม่ทำสงครามนี่ก็ยากลำบากพอแล้ว”

เขาพูดพลางชูไหสุราที่เมื่อครู่ส่งมาขึ้น

“มา มา ข้าคารวะทุกท่านหนึ่งจอก”

พูดจบพลันแหงนศีรษะดื่มคำโตคำหนึ่ง

ครั้งนี้แม้ไม่ได้อเนจอนาถเช่นนั้นอย่างครั้งก่อน แต่ก็หน้าแดงในพริบตา น้ำตากลิ้งอยู่ในดวงตา

พ่อค้าร่ำรวยที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยคนหนึ่งเกรงใจพวกเขาเช่นนี้ได้ นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนยากปิดบังความเบิกบานใจเอ่ยขอบคุณชูไหสุราในมือขึ้น

บรรยากาศในห้องครื้นเครง ขับไล่ความหนาวเย็นไป

แต่หัวหน้าหมู่ต่งไม่ได้ดื่ม สีหน้าติดจะทะมึนอยู่บ้างมองบุรุษผู้นี้

“ข้าไม่รู้ว่าท่านหัวหน้ากองทำไมยอมให้พวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่พักค้างคืน” เขาเอ่ยขึ้น “ตามกฎที่เป็นมาของพวกเรา ต่อให้พวกเจ้าแข็งตายอยู่บนถนน ก็ไม่อาจเหยียบเข้าด่านแห่งนี้ได้สักก้าว”

คำพูดนี้เอ่ยออกมาโดยไม่เกรงใจอย่างแท้จริง แต่พ่อค้าคนนี้นิสัยดียิ่ง ไม่ได้อับอายโกรธเกรี้ยว

“ใช่แล้ว พวกเราก็รู้ว่าไม่ถูกกฎระเบียบ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ล้วนโทษพวกเราไม่คุ้นกับสถานที่ เดินสะเปะสะปะ เสียเวลาเดินทาง หากไม่ใช่ท่านหัวหน้ากองกับหัวหน้าหมู่รักประชาชนดั่งบุตร พวกเราคงไม่รอดแน่แล้ว”

หัวหน้าหมู่ต่งยกมือห้าม

“เฮ้อ ไม่ต้องชมข้า ข้าย่อมไม่กล้ารับว่ารักประชาชนดั่งบุตรอันใด” เขาเอ่ย “ข้าเป็นเพียงผู้ที่รักจะรักษากฎระเบียบเท่านั้น”

เขามองพ่อค้าคนนี้

“สถานที่พักของพวกเจ้าข้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสักก้าวก็ไม่อนุญาตให้เหยียบออกมา หากพบว่าท่านหรือผู้ติดตามของท่านเดินส่งเดชปุบ พวกเราจะไม่ถามเหตุผลสังหารเดี๋ยวนั้น”

พ่อค้าพยักหน้าหงึกๆ

“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านวางใจ วางใจ พวกเราก็ไม่กล้าเดินส่งเดชเช่นกัน หากถูกลมพัดไปถึงด้านนั้นของชาวจินก็แย่แล้ว”

มีนายทหารแย้มริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา แต่ก็รีบหุบอีกหน

“เจ้าวางใจ ขอเพียงประตูป้อมปราการแห่งนี้ของพวกเราไม่เปิด ต่อให้ลมแรงอีกเท่าใด ก็ไม่มีผู้ใดไปถึงเขตของชาวจินได้ เช่นเดียวกันชาวจินก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” หัวหน้าหมู่ต่งเอ่ยพลางโบกมือให้พ่อค้า “เอาล่ะ ดึกแล้ว พวกเราที่นี่ก็ไม่มีการละเล่นสนุกอันใด นายท่านฟู่รีบไปพักผ่อนเถิด”

พ่อค้าขานทราบแล้วติดกันหลายคำ จากนั้นประสานมือคำนับนายทหารทั้งหลายในห้อง

“ถ้าเช่นนั้นทุกคนสุขสันต์วันปีใหม่นะขอรับ” เขาเอ่ย

นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางคำนับคืน มองพ่อค้าเดินออกไปพร้อมกับนายทหารคนหนึ่งที่ไปเป็นเพื่อน

แทนที่จะบอกว่าไปเป็นเพื่อน ที่จริงเป็นการเฝ้าคุมเสียมากกว่า ดูเขาเดินออกไป

“พ่อค้าคนนี้ก็จริงๆ เชียว หาเงินมากปานนั้นมีประโยชน์อันใด ถ้าปีใหม่นี่ต้องทรมาน” นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางวิพากษ์วิจารณ์

หัวหน้าหมู่ต่งดื่มสุราคำหนึ่ง

“ดังนั้นตอนนั้นท่านกั๋วกงจึงบอกว่าพ่อค้านี่ดูถูกไม่ได้ นั่นก็เป็นผู้ที่เหี้ยมที่สุดเช่นกัน” เขาเอ่ย

เอ่ยถึงท่านกั๋วกง นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้าหม่นหมองไปชั่วครู่

หัวหน้าหมู่ต่งลุกขึ้นยืน

“กลางคืนล้วนตื่นตัวระวังหน่อย พวกเราไม่แบ่งว่าปีใหม่ไม่ปีใหม่” เขาเอ่ย “ท่านกั๋วกงกล่าวไว้ พวกเราผู้เป็นทหารเหล่านี้ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ทุกวันก็คือปีใหม่”

นายทหารทั้งหลายล้วนลุกขึ้นยืนพรึบพรับขานรับพร้อมเพรียง

……………………………………….

……………………………………….

ราตรียิ่งมืดมิดขึ้นทุกที หิมะหยุดแต่สายลมบ้าคลั่งยังคงเดิม ทำให้เสียงประทัดไกลออกไปเลือนราง

เสียงฝีเท้าของนายทหารทั้งหลายกลายเป็นแทบไม่ได้ยิน มีเพียงคบไฟที่ส่องประสานกันจึงทำให้ทุกคนมองเห็นอีกฝ่าย

“หลับฝันดี”

นายทหารทั้งหลายที่มารับเวรต่อเอ่ยกับนายทหารทั้งหลายที่สิ้นสุดการลาดตระเวน

นี่คือคำอวยพรที่เรียบง่ายที่สุดแล้วก็ล้ำค่าที่สุดเช่นกัน

สองฝ่ายสวนกันจากนั้นก็แยกไป คบไฟแถวหนึ่งไปทางบ้านพักในป้อมปราการ แถวหนึ่งขึ้นไปบนป้อมปราการ

ท่ามกลางสายลมคลั่งจับจ้องทุ่งกว้างดำสนิทผืนหนึ่งอย่างระวังระไว

นี่คือชีวิตอันแห้งแล้งที่ซ้ำไปมาวันแล้ววันเล่าของพวกเขา แต่แม้ในยามดึกดื่นที่ง่วงที่สุด สายลมแทบจะพัดบาดหนังตา พวกเขาก็ลืมตาไม่กะพริบตาตั้งแต่ต้นจนจบ

ฝีเท้าเหยียบผ่านบนประตูเมือง คนที่ยืนอยู่ด้านล่างคล้ายสัมผัสได้ถึงดินทรายที่ร่วงลงมา

นี่คือนายทหารถือโคมไฟคนหนึ่ง คนที่เหลือขึ้นกำแพงเมืองไปแล้ว ส่วนเขารั้งอยู่ตรวจดูประตูเมืองเล็กน้อย

ที่จริงไม่ต้องดู ประตูหนาหนัก มีดาลประตูถึงสามชั้น ต่อให้ข้างนอกใช้ท่อนไม้สองท่อนก็กระแทกไม่เปิด

แต่ดินทรายของประตูเมืองไม่แน่นหรือ?

นายทหารเงยศีรษะขึ้นมองข้างบนโดยไม่รู้ตัว เพิ่งเงยศีรษะขึ้น ข้างหูพลันได้ยินเสียงพรวดทีหนึ่ง

นี่คือเสียงลูกศรแทงเข้าร่าง

ก่อนหน้าศรแทงเข้าร่างยังมีเสียงแหวกอากาศ แต่คืนนี้ลมแรงเกินไปแล้ว เสียงแหวกอากาศจึงไม่ได้ยิน

นายทหารความคิดสุดท้ายนี้แล่นผ่าน คนก็ล้มตึงลงไปแล้ว โคมไฟตกแตก ศรดอกหนึ่งในลำคอใต้แสงไฟที่ลุกโหมบนน้ำมันโคมสาดส่องผลิบุปผาสีเลือดดอกหนึ่ง จากนั้นพลันดับสลาย

โคมไฟที่ปักอยู่บนช่องประตูก็ถูกยิงร่วง มีเงาร่างเจ็ดแปดร่างโถมเข้ามาท่ามกลางราตรี คบเพลิงถูกผ้าคลุมปิด แสงสว่างที่หลงเหลือส่องบุรุษวัยกลางอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งที่ห่อตัวอยู่ในเสื้อหนังสัตว์

บนหน้าของเขาติดจะกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดใบหน้าก็เหี้ยมเกรียมนิดๆ ยกเท้าเหยียบบนคบเพลิง สองสามทีช่องประตูเมืองพลันตกสู่ความมืดมิด

เสียงกึกเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางสายลมราตรี ตามติดมาด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ในราตรีมืดมิดคล้ายหนอนยักษ์ตัวหนึ่งคืบคลาน

คบเพลิงจากบนกำแพงเมืองส่องลงมา

“เดี๋ยว” นาทีนั้นที่คนบนกำแพงเมืองจะเดินลงมา นายทหารที่เป็นหัวหน้าพลันหยุดฝีเท้า มองประตูเมืองที่มืดสนิท “โคมที่ประตูเมืองทำไมดับไป?”

“ถูกลมพัดดับกระมัง?” มีคนเอ่ยขึ้น

นี่ก็เป็นเรื่องที่มีเป็นปกติ

นายทหารที่เป็นหัวหน้าส่ายศีรษะ มือชักดาบข้างเอวออกมา

นายทหารคนอื่นแม้รู้สึกว่าไม่จำเป็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวตามเขาทันที

“ซานจิน?” นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนเรียก “ซานจิน?”

ไม่มีคนตอบรับ ความเงียบทำให้หัวใจคนเต้นระทึก

นายทหารที่เป็นหัวหน้าหยุดฝีเท้า ฉับพลันยกมือโยนคบไฟไปด้านหน้า

ท่ามกลางราตรีเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับแสงสว่างของคบเพลิง นายทหารก็เห็นบนพื้นไม่ไกลคนผู้หนึ่งกระโดดลุกขึ้น

คบเพลิงตกลงบนศีรษะเขาพอดี เส้นผมดกที่ไม่สวมหมวกเกราะพริบตาถูกจุดติดไฟ ส่องใบหน้าบิดเบี้ยวน่าหวาดกลัวของเขา

ใบหน้าของนายทหารที่เป็นหัวหน้าพริบตาบิดเบี้ยวเช่นกัน

“จิน…” เขาอ้าปากตะโกน

แต่ศรดอกหนึ่งพลันปักลงบนหน้าผากของเขาพาเขาล้มตึงลงไปแล้ว รอบด้านเสียงฟึบๆ ดังขึ้น ศรนับไม่ถ้วนประหนึ่งสายฝนตัดผ่านสายลมคลั่ง

เสียงกรีดร้องพริบตาถูกสายลมกลบหาย คบเพลิงร่วงตกพื้นจุดคนให้ลุกติดไฟ ส่องประตูเมืองทั้งหมดให้สว่างขึ้นมา แล้วก็ส่องคนมากมายยุบยับเบื้องหน้ามันด้วย

ในมือพวกเขากำศร บนร่างสะพายดาบยาว ข้างเอวห้อยขวานสั้นไว้ ดวงหน้าซีดขาวดวงตาดุร้ายเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ประหนึ่งสัตว์ร้ายลงเขามองไปด้านหน้า

……………………………………….

……………………………………….

ในเวลาเดียวกันนี้ปีใหม่ก็มาถึง เสียงประทัดดังระงมบนแผ่นดินกว้างใหญ่ ชาวหมู่บ้านของหมู่บ้านห่างไกลที่ข้ามคืนปีใหม่อยู่ท่ามกลางเสียงประทัดที่สะเทือนหูแทบดับคล้ายได้ยินเสียงแตรกรีดแหลม โหยหวนทั้งยังเร่งร้อนแหวกท้องฟ้ายามราตรี

พวกเขามองมาด้านนี้โดยไม่รู้ตัว เห็นเปลวเพลิงกองโตคล้ายลุกไหม้อยู่ที่ขอบฟ้า เผาท้องฟ้ายามราตรีครึ่งหนึ่งแดงฉาน

แสงเปลวเพลิงลุกขึ้นรอบด้าน ควันสัญญาณลอยขโมง

……………………………………….

……………………………………….

กั้นด้วยแม่น้ำฮูถัว บนแผ่นดินทิศเหนือแสงดาวจุดหนึ่งสว่างขึ้นก่อน จากนั้นพลันประหนึ่งทุ่งร้างถูกจุดติดไฟ ขยายลามพรวดพราดจนผืนดินทั้งหมดล้วนสว่างขึ้นมา

ยืนอยู่สูงบนรถมองออกไป ที่ลุ่มแม่น้ำฮูถัวทั้งหมดกำลังพลพร้อมรบกระจายอยู่ทั่ว

“เวลามาถึงแล้ว”

สายลมคลั่งพัดหมวกคลุมหน้าออกเผยใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง อวี้ฉือไห่ที่เคยปรากฏตัวที่เมืองหลวงนั่นเอง เวลานี้บนหน้าเขาไม่มีความถ่อมตัวต้อยต่ำสักนิด มีเพียงความหยิ่งโยสรวมถึงความบ้าคลั่ง

“บุรุษทั้งหลาย ผืนดินอันรุ่งเรืองของชาวโจวเปิดประตูใหญ่ต้อนรับพวกเราแล้ว”

เขายกมือชี้ไปทางทิศใต้

“ไปเถิด”

หมื่นอาชาร้องพร้อมเพรียง ย่ำบนผืนดินประหนึ่งอสนีบาต เหยียบแม่น้ำน้ำแข็งทะลุ ถาโถมมาประหนึ่งเมฆา

ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว

“เจ้าพูดเช่นนี้ ผ่านไปนานปานนี้แล้ว ข้าก็ไม่รู้สึกว่าโกรธเช่นนั้นแล้วจริงๆ” พระองค์ดำรินิดหนึ่งก็ตรัสขึ้น แล้วถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง “ไม่ว่าพูดอย่างไร คอนนั้นเขาก็ทำสงครามมเพื่อประเทศนานปีปานนั้น บางทีอาจเป็นข้าตรงไหนทำไม่ดีทำให้เขาไม่พอใจ ขอเพียงเขายอมกลับมา…”

“ฝ่าบาท” หวงเฉิงร้องขึ้นมาคล้ายรีบร้อนอยู่บ้าง ก้าวเข้ามาคำนับ

ฮ่องเต้สรวลอีกครั้ง

“รู้ รู้ ข้าไม่พูดแล้ว” พระองค์ตรัส “กฎหมายบ้านเมืองเหล่านี้ตกทอดมาจากบรรพชน ข้าไม่อาจทำเป็นเด็กเล่น”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

ครั้งนี้หวงเฉิงกับหนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นค้อมกายคำนับเอ่ย

“แต่ ข้าก็ยังหวังว่าจะไม่ต้องพบเขาอีกแล้ว” ฮ่องเต้สรวลตรัส แล้วมองหวงเฉิงทีหนึ่ง

ประโยคนี้สำหรับหนิงอวิ๋นเจาแล้วเป็นการตอบรับประโยคที่ว่าข่าวดีนั่นของเขา หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะตามด้วยแล้ว

แต่สำหรับหวงเฉิงแล้วย่อมมีความหมายอีกชั้นหนึ่ง

พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท จูซานไม่มีทางรอดกลับมาแน่นอน

เขาค้อมกายคำนับไม่เอ่ยวาจาอีก

“หิมะด้านนอกคล้ายตกหนักกว่าเดิม” ในพระเนตรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หิมะต้องฤดูปีหน้าคงบริบูรณ์ ปีนี้ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงอะไรได้สีหน้าเคร่งขรึมอีกหน

“ระวังภัยพิบัติด้วย อย่าให้ชาวบ้านที่ประสบภัยจากหิมะตกหนักต้องระหกระเหินเร่ร่อน”

หวงเฉิงค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย” เขาเอ่ย เงยหน้าพร้อมแย้มรอยยิ้ม “กำลังจะทูลข่าวดีเรื่องหนึ่งกับฝ่าบาทพอดี เต๋อเซิ่งชางแห่งซานซีบริจาคเงินล้านตำลึงใช้จัดการภัยหิมะฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจัดการแจกจ่ายไปถึงผู้อพยพแดนเหนือตามที่ต่างๆ แล้ว”

ฮ่องเต้สีพระพักตร์ยินดีอย่างคิดไม่ถึง

“นั่นเป็นข่าวดีจริงๆ” พระองค์ลุกขึ้นยืนเอ่ยตรัส ถอนพระปัสสาสะอย่างพึงพอใจอีกหน “เต๋อเซิ่งชางนี่เป็นตระกูลผู้สั่งสมบุญจริงๆ”

“ไม่ผิดต่อน้ำพระทัยของฝ่าบาทที่ทรงพระอักษรมอบป้ายให้” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ย

ฮ่องเต้พยักพระพัตร์ ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ขันที

“ใครมานี่ซิ ข้าจะพระราชทานอักษรคำว่ามงคลให้เต๋อเซิ่งชางเป็นการชมเชย” พระองค์ตรัส

เรื่องฮ่องเต้มีน้ำพระทัยพระราชทานรางวัลตัดผ่านหิมะที่ตกหนักขึ้นทุกทีมาถึงตระกูลฟางที่หยางเฉิงอย่างรวดเร็วที่สุด

ตระกูลฟางจุดประทัดตีฆ้องร้องป่าวอยู่ครึ่งวันไม่พัก กั้นด้วยม่านประตูหนา ในห้องที่อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฟางเฉิงอวี่สวมหมวกหนามองอักษรคำว่ามงคงตัวหนาสีแดงที่วางอยู่บนหัวโต๊ะอย่างจริงจัง ตราประทับของฮ่องเต้บนนั้นเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

ผู้ดูใหญ่เกามองอักษรคำว่ามงคลตัวนี้ด้วย แต่บนหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มสักนิด

“นี่พระราชทานมงคลที่ไหน” เขาเอ่ยพึมพำ “นี่มันเร่งให้ไปตาย”

เขาพูดพลางมองไปหาฟางเฉิงอวี่

“นายน้อย เมื่อครู่ความหมายของคำพูดที่คนของทางการส่งมาเอ่ย ท่านก็ฟังออกสินะขอรับ? ท่านว่าจะทำอย่างไร?”

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าจดจ่อ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่อาจไม่เพิ่มเสียงขึ้น

“อ้อ เจ้าว่าอะไรนะ?” ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือปลดหมวกลง หลังจากก็ปลดหมวกลงเอาที่ปิดหูขนปุยสองชิ้นออก แล้วจึงมองไปหาผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยถามขึ้น

ผู้ดูแลใหญ่เกามองเขาแล้วอับจนวาจาอยู่บ้าง

คิดว่าฟางเฉิงอวี่ร่างกายอ่อนแอดังนั้นจึงสวมหมวกในห้อง กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาทำเพื่อปิดหู

ถ้าเช่นนั้นถ้อยคำที่ขุนนางทั้งหลายผู้มามอบอักษรมงคลพระราชทานของฮ่องเต้จากเมืองไท่หยวนเอ่ย สักประโยคเขาก็ไม่ได้ฟังเลยสิ?

“หนวกหูเกินไปแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มนิดๆ “อีกอย่าง ขุนนางพวกนั้นพูดมาพูดไปล้วนอีหรอบนั้น ขอแค่ยิ้มพยักหน้าก็พอแล้ว”

“นายน้อย แต่พยักหน้าครั้งเดียวนี่ จ่ายล้านตำลึงเงินออกไปแล้วนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาถอนหายใจเอ่ย “บอกว่ายืมใช้ แต่ข้าว่าพวกเขาไม่คิดจะคืนสักนิด”

ฟางเฉิงอวี่ขานอ้อ

“ไม่คิดก็ไม่คิดสิ อย่างไรก็ใช้มาจัดการประชาชนผู้ประสบภัย ไม่ได้ใช้ส่งเดช” เขาเอ่ยแล้วมองอักษรคำว่ามงคลอีกหนพลางยิ้มนิดๆ “ไม่แน่อาจเปลี่ยนเป็นคำว่าโชคดีคำหนึ่งกลับมาได้อีก”

นั่นมีประโยชน์อันใดเล่า พวกเขาเป็นพ่อค้า สิ่งที่ต้องการคือร่ำรวย ทำเงินไม่ได้ อักษรที่เทพเซียนประทานให้ก็แค่กระดาษไร้ค่าหนึ่งแผ่น

ผู้ดูแลใหญ่เกาสีหน้ากังวล

“อีกอย่าง พักนี้พ่อค้าหลายเจ้านั่นก็มายืมเงินอีกแล้ว” เขาเอ่ย

ฟางเฉิงอวี่ขานอ้อ

“ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยไปตามกฎ”

เขาเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ก็ไม่ใช่ไม่เคยปล่อยเสียหน่อย”

ปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเป็นเรื่องปกติของร้านแลกเงิน ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่มีสิ่งใดคุ้ยเคยมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เขายังคงคิ้วขมวด

“ข้าคิดว่าคนเหล่านี้มาอย่างประหลาด” เขาเอ่ย “ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินมากปานนั้นแล้วขอรับ”

ประการแรกแยกตระกูล ประการที่สองอาศัยจังหวะแบ่งตระกูลยังมีเงินส่วนหนึ่งถูกปล่อยอกไป จำนวนก็ไม่ใช่น้อย

“ข้ากลัวจะหนี้สูญ” เขาเอ่ย “นายน้อย หากหนี้สูญปุบ แล้วเกิดการแห่ถอนเงินอีก ถ้าเช่นนั้นเต๋อเซิ่งชางก็คง…”

เขามองไปทางฟางเฉิงอวี่ ฟางเฉิงอวี่สีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

เขาไม่กล้ารบกวน นิ่งรอครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามต่อ

“นายน้อย ท่านคิดอย่างไรขอรับ?” เขาเอ่ยถาม

ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจแผ่วเบา

“ข้าคิดว่าจิ่วหลิงยังสบายดีหรือไม่?” เขาเอ่ย

คิดตั้งนาน กำลังคิดถึงสตรี? ผู้ดูแลใหญ่เกาอับจนวาจาไปพักหนึ่ง

ฟางเฉิงอวี่นั่งลง มือค้ำคางถอนหายใจอีกครั้ง

“ปีใหม่ครานี้ไม่ดีเลยจริงๆ” เขาเอ่ย

ผู้ดูแลใหญ่เกาถอนหายใจอีกหน

“นายน้อย ท่านลองคิดดีๆ ว่าเรื่องตอนนี้จะทำอย่างไรสิขอรับ? คิดวิธีรับมือออก ปีใหม่นี้พวกเราก็ฉลองดีๆ ได้” เขาเอ่ยกล่อม

ฟางเฉิงอวี่คิดก็ไม่คิดส่ายศีรษะ

“ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่คิดเรื่องอื่น” เขาเอ่ยขึ้น

นั่นเรียกเรื่องอื่นหรือ? นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเต๋อเซิ่งชางเชียวนานายน้อยของข้า ผู้ดูแลใหญ่เกากลอกตาทีหนึ่งอย่างจนปัญญา ปีใหม่ครานี้ไม่ดีจริงๆ

ไม่ว่าดีหรือไม่ดี หลังเข้าสู่เดือนนสิบสองฝีเท้าของเวลาก็ยิ่งเร็วแล้ว ต่อให้เป็นจวนสกุลลู่ที่ร่องรอยคนน้อยนัก ก็ได้ยินเสียงประทัดข้างนอกต่อเนื่องไม่ขาดได้เช่นกัน

องค์หญิงจิ่วหลีก้าวเดินช้าๆ บนถนนที่ปูด้วยก้อนกรวดละเอียด ได้ยินเสียงประทัดดังมาจากด้านนอกก็หยุดฝีเท้า

“ไม่เช่นนั้นพวกเราจุดประทัดเล่นบ้างไหม?” นางเอ่ยกับบ่าวหญิงด้านหลังร่าง

คำสั่งขององค์หญิงจิ่วหลี บ่าวหญิงทั้งหลายแต่ไหนแต่ไรล้วนเชื่อฟังทำตาม ได้ยินเข้าก็ยิ้มพยักหน้า

“ดีเพคะ ดีเพคะ” พวกนางเอ่ย

แล้วก็มีคนหมุนตัว

“บ่าวไปนำประทัดมานะเพคะ” นางเอ่ย

องค์หญิงจิ่วหลีชี้ด้านหน้า

“ด้านนั้นเป็นที่ว่างดีที่สุด” นางเอ่ยพลางก้าวเท้าช้าๆ เข้าไป เพิ่งเดินมาถึงสายตาพลันจับอยู่ที่เพิงฟางหลังหนึ่งด้านข้าง “ที่นี่มีเพิงฟางด้วยหรือ?”

สิ้นเสียงของนางพลันเห็นสตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากในเพิงฟาง สองคนสบตากันล้วนตกใจสะดุ้งโหยง

“ถวายพระพรองค์หญิง” นางก้มศีรษะคำนับ

“ที่นี่คือ…” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถาม

“ที่นี่คือเพิงดอกไม้เพคะ” นางเอ่ยตอบ

ได้ยินคำว่าเพิงดอกไม้สองคำ สีหน้าขององค์หญิงจิ่วหลีพลันตะลึงเล็กน้อย

“ถึงกับเดินมาถึงที่นี่แล้วหรือ” นางเอ่ยขึ้น จากนั้นถอนหายใจแผ่วเบาหมุนตัว “เย็นเกินไปแล้ว พวกเรากลับไปก่อน ค่อยมาเล่นวันหลังเถอะ”

บ่าวหญิงทั้งหลายรีบขานรับหมุนตัวห้อมล้อมองค์หญิงจิ่วหลีไป

บ่าวหญิงสองคนที่รั้งอยู่ด้านหลังสบตากันทีหนึ่งแล้วหันศีรษะมองเพิงดอกไม้ทีหนึ่งอีกหน

“ทำไมหรือ?” บ่าวหญิงคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา

“นี่เป็นเพิงดอกไม้ขององค์หญิงจิ่วหลิง” อีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “องค์หญิงกลัวเห็นเข้าจะเสียพระทัยกระมัง”

บ่าวหญิงคนก่อนหน้านี้เข้าใจรีบส่งเสียงให้เงียบ สุดท้ายก็อดไม่ได้หันศีรษะมองทีหนึ่ง เห็นสตรีที่เดินออกมาจากในเพิงดอกไม้นั่นหายไปแล้ว

“เพิงดอกไม้เปลี่ยนหญิงดูแลดอกไม้คนใหม่หรือ? ไม่เคยเห็นคนนี้นะ” นางเอ่ยพึมพำกับตนเอง

“เปลี่ยนแล้วอย่างไร” บ่าวหญิงอีกคนหนึ่งเอ่ย “ในบ้านล้วนเป็นคนใหม่เปลี่ยนคนเก่า”

นั่นก็ใช่ บ่าวหญิงหดศีรษะไม่เอ่ยวาจาอีกก้าวเร็วไวตามองค์หญิงจิ่วหลีด้านหน้าไป

“ใกล้จะข้ามปีแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีที่เดินลงมาตามบันไดเอ่ยขึ้นพลางวางกล่องอาหารในมือลง

คุณหนูจวินมองเขาหิ้วกล่องอาหาร กล่องอาหารนี่ใหญ่กว่าวันวานมากนัก

ลู่อวิ๋นฉีเปิดกล่องอาหาร หิ้วราวย่างราวหนึ่งออกมา แล้วเอาถาดถ่านถาดหนึ่งออกมาด้วย จากนั้นเอาขาแพะที่สุกครึ่งหนึ่งขาหนึ่งออกมาอีก

“กิจวัตรของพวกเรา” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้คุณหนูจวินทีหนึ่ง

นางชอบกินขาแพะย่าง แล้วก็ชอบย่างด้วยตนเอง

คุณหนูจวินมองอุปกรณ์ตรงหน้า สีหน้ายังคงเฉยเมย

“กิจวัตรของข้า” นางเอ่ย “กิจวัตรของข้ากับอาจารย์”

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะประกอบราวขาแพะอย่างชำนิชำนาญ

“อืม” เขาเอ่ย “กิจวัตรของข้า”

นางทำตามอาจารย์ของนางจนเป็นกิจวัตร ส่วนเขาก็ทำตามนางจนกลายเป็นกิจวัตรของเขา

ขาแพะย่างจนสุกอยู่แล้ว เพียงเอามาที่นี่แค่อุ่นอีกสักหน่อย ไม่นานกลิ่นหอมก็กระจายไปรอบด้าน

ลู่อวิ๋นฉีวางจานไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหยิบมีดออกมา

สายตาของคุณหนูจวินจับอยู่บนมีดในมือเขา

กริชไม่ใหญ่ไม่เล็กเล่มหนึ่ง คมกริบวาดผ่านบนขาแพะ ตัดเนื้อชิ้นหนึ่งออกมา

“ท่านแก้มัดมือข้า ข้ากินเอง” นางพลันเอ่ยขึ้น

ตอนนี้หลังลู่อวิ๋นฉีมาจะแก้มัดที่ขานางออก ให้นางขยับเดินไปมาที่นี่ แต่สองมือถูกมัดอยู่ตลอด

ลู่อวิ๋นฉีไม่เงยศีรษะ จดจ่ออยู่กับเนื้อแพะชิ้นนั้น

“ไม่ต้องหมายตามีดเล่มนี้ของข้า” เขาเอ่ย “เจ้าอย่าคิดเลย”

เขาเงยศีรษะขึ้น

“เจ้าคิดว่าถือสิ่งเหล่านี้จะทำร้ายคนที่เจ้าชิงชังได้ แต่ที่จริงพวกมันก็ทำร้ายเจ้าได้เช่นกัน”

เขาพูดไม่ผิด

หากตอนนี้นางลงมือสังหารเขา ตนเองย่อมไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่นอน

ต่อให้มีข้ออ้างหมื่นพัน ลู่อวิ๋นฉีก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยขาดไม่ได้ ส่วนนางวันนี้เป็นตะปูทิ่มตาฮ่องเต้

ก็เหมือนครั้งนั้นที่นางจะสังหารฮ่องเต้ มีดน่ะมีคม คมกริบ จะทำร้ายผู้อื่นก็ยากเลี่ยงทำร้ายถูกตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่า ครอบครองข้อได้เปรียบมากกว่าตนเอง

ลู่อวิ๋นฉีหยิบเนื้อแพะชิ้นหนึ่ง วางมีดลงบีบปากของนางไว้

“ข้าไม่มีทางให้พวกมันทำร้ายเจ้าได้อีก” เขาเอ่ยขึ้น

ตอบรับรวดเร็วเช่นนี้แล้วหรือ?

แม่ทัพกองซุ่มโจมตีผู้ไม่มีความดีความชอบใหญ่หลวงอะไรคนหนึ่งยังโวยวายเพราะการโยกย้ายยกหนึ่งเลยนะ

ใต้เท้าอู๋ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

“ออกเดินทางเมื่อไร?” จ้าวฮั่นชิงถามต่อ

เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากแล้ว เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ใต้เท้าอู๋ลูบหนวด

“งานสำคัญยิ่งยวด วันพรุ่งนี้เดินทางทันที” เขาเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงมองท้องฟ้ายามราตรี ทางตะวันออกแสงสีขาวเลือนรางแล้ว นางยกมือทันที

“เตรียมรื้อกระโจม…” นางเอ่ยเสียงดัง

ใต้เท้าอู๋สะดุ้งโหยง เด็ดขาดฉับไวเอาเรื่องจริงๆ…

“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยว” เขาไม่อาจไม่ห้าม “คุณหนูจ้าวคำพูดของข้ายังเอ่ยไม่จบเลยนะ”

จ้าวฮั่นชิงมองเขา

“ทำไมเจ้าช้าเช่นนี้” นางเอ่ย “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

กลับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งรังเกียจแล้ว? ใต้เท้าอู๋หน้าดำไปวูบหนึ่ง

“เป็นเช่นนี้ ชิงเหอปั๋วคิดว่าการปกครองกองทัพของพวกเจ้าดียิ่ง” เขากระแอมทีหนึ่ง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระสุนเหล่านี้ของพวกเจ้า แต่การเดินทัพการจัดกระบวนทัพไม่ใช่กองทหารกองเดียวจะทำสำเร็จได้ นายหทารมากกว่านี้เป็นเช่นนี้ได้ถึงจะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นหวังว่าหลังพวกเจ้าไปถึงที่นั่แล้วจะชวยฝึกทหาร ดีที่สุดเลือกคนจำนวนหนึ่งมาเรียนว่ารถกระสุนนี่ของพวกเจ้าใช้อย่างไรด้วย…”

หลี่กั๋วรุ่ยบรรลุเข้าใจแล้ว

ที่แท้เป็นเช่นนี้ เขาก็ว่าแล้ว บนโลกนี้ไหนเลยมีคนใจดีอะไร

ที่แท้ชิงเหอปั๋วมีเป้าหมายเช่นนี้เอง

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของกองทหารชิงซานคือสิ่งใด ก็คือการปกครองทหารอันเข้มงวด กระบวนทัพน่าเกรงขาม รวมถึงอาวุธที่มีเอกลักษณ์

ชิงเหอปั๋วให้กองทหารชิงซานสอนสิ่งเหล่านี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ขอเพียงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ชิงเหอปั๋วก็เปลี่ยนลูกน้องของเขาให้กลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ กองทหารชิงซานเพิ่มมาหนึ่งน้อยลงหนึ่งอย่างไรก็ได้

ตอบรับไม่ได้! ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติให้พวกชิงเหอปั๋วหวาดกลัวพวกเขาแล้ว ไม่ตอบรับหนึ่งวัน ถ้าอย่างนั้นชิงเหอปั๋วก็เกรงใจพวกเขาอยู่บ้างหนึ่งวัน

เขาไม่สนว่าจะถูกใต้เท้าอู๋เห็น ส่งสายตาให้เซี่ยหย่งกับหยางจิ่ง

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองเขาแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ใต้เท้าอู๋ย่อมเห็นการกระทำของหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน ในใจหัวเราะหยัน เขากำลังจะกล่อมให้เห็นใจอธิบายด้วยเหตุผลต่อ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้าแล้ว

“ได้” นางเอ่ย “นี่เป็นสิ่งสมควร ในเมื่อทุกคนเป็นสหายร่วมชาติก็สมควรดูแลกันและกัน”

ใต้เท้าอู๋สำลักอีกหน

ตกลงแล้ว หรือ?

“ยังมีเรื่องอื่นไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม “หากไม่มีพวกเราจะเตรียมถอนค่ายแล้ว”

ใต้เท้าอู่ขานอืม ส่ายศีรษะ

“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ยอึ้งๆ เห็นจ้าวฮั่นชิงหมุนตัวจะจากไป เขาก็โพล่งเรียกไว้ “คุณหนูจ้าวตกลงจริงหรือ?”

จ้าวฮั่นชิงมองเขาแล้วขมวดคิ้ว คล้ายสิ่งที่เขาถามเป็นคำถามที่แปลกนัก

“ทำไมจะไม่ตกลง พวกเราเป็นทหารของต้าโจว เชื่อฟังคำสั่งเบื้องบน นี่ไม่ใช่สิ่งสมควรหรือ?” นางเอ่ยถาม พูดจบก็สั่งถอนค่ายเสียงดังอีกหน ที่ตั้งค่ายเริ่มเอะอะ

ใช่แล้ว เป็นสิ่งสมควร

ใต้เท้าอู๋กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าคำถามที่ตนเองถามโง่นัก จากนั้นก้าวเท้าอย่างยากลำบากจากไป

ใต้เท้าอู๋เข้าใจแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังไม่เข้าใจ

“ข้าว่าพวกเจ้าที่แท้เข้าใจหรือไม่เข้าใจ? พวกเขานี่ไม่ใช่หวังดี” เขาไล่ตามพวกจ้าวฮั่นชิงสามคนมา โกรธเดือดดาลเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่พวกเขาเห็นความสำคัญของพวกเรา เพราะพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกง นี่คือพวกเขาจะบีบพวกเราให้อ่อนแรงหลังจากนั้นกำจัดเสีย…”

จ้าวฮั่นชิงพลันหยุดฝีเท้า

“แต่พวกเราไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงนี่” นางเอ่ย

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่กั๋วรุ่ยได้ยินคำนี้แล้ว เขาตะลึงนิดหนึ่ง

“ไม่ใช่หรือ?” เขาถามย้อน

“แน่นอนไม่ใช่สิ พวกเราคือทหารของต้าโจว ฟังบัญชาของฮ่องเต้” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “พี่สาวข้าบอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นทหารอย่างแท้จริงแล้ว ปกบ้านป้องเมือง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเฉิงกั๋วกง ก่อนหน้านี้ฟังเขาก็เพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเรา ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาคือชิงเหอปั๋ว พวกเราย่อมต้องฟังเขา นี่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”

นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ที่เดิมนิ่งอึ้ง

ใช่แล้ว พวกเขาไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงจริงๆ หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนของใครให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คือเป็นคนของคุณหนูจวินคนนั้น

ลองฟังคำพูดประโยคนี้ที่จ้าวฮั่นชิงเอ่ยสิ พี่สาวข้าบอกว่า…

คำพูดของพี่สาวนางถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเชื่อฟัง

“แต่ พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาไม่แน่นะ” หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มขมขื่นนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเขาจะถือว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วทารุณกดขี่”

“แต่ก็ไม่นี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ยังคิดว่าคำพูดของเขาแปลกยิ่ง “พวกไม่ใช่ต้องการพวกเรายิ่งหรือ? ไม่เช่นนั้นทำไมยังเชิญพวกเราไปช่วยฝึกทหาร?”

“นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการสร้างคนมาแทนที่พวกเจ้าแล้วทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า” หลี่กั๋วรุ่ยรีบเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาไม่อาจหาคนมาแทนที่พวกเราได้ก็พอแล้ว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ

หา?

หลี่กั๋วรุ่ยตะลึงอีกหน

เช่นนี้รึ ได้หรือ?

เหมือนจะได้กระมัง เขาหันหน้ามองไป รอบด้านคบไฟโชติช่วง ทหารทั้งหลายตั้งแถวเป็นระเบียบ ม้าส่งเสียงร้องกระโจมถูกเก็บ ดูแล้วสับสนวุ่นวาย แต่กลับไม่เหมือนกองทหารอื่นถอนค่าย มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์

กองทหารชิงซานนี่บอกว่าชื่อกองทหารชิงซาน แต่ทั้งกองทหารกำลังคนของกองทหารชิงซานแต่เดิมก็แค่ไม่กี่สิบคน ท่ามกลางกองทหารใหญ่โตนี่น้อยนิดจนน่าเมินเฉยได้อย่างแท้จริง แต่นี่เพิ่งนานเท่าไรกลับไม่มีใครมองข้ามพวกเขา ตรงกันข้ามล้วนยึดพวกเขาเป็นผู้นำ

พวกเขามีความสามารถอย่างแท้จริง จริงใจถ่อมตัวสอนหมดหน้าตักไม่มีหมกเม็ดอย่างใด ปฏิบัติกับทหารเสมือนหนึ่งคนของตนเองด้วยความจริงใจ ทำให้ทหารทั้งหลายเหล่านี้เชื่อถือ

กองทหารชิงซานกองนี้ไม่ใช่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ ต่อให้ติดป้ายว่าของเฉิงกั๋วกงจนถูกคนสงสัยระแวง แต่หัวใจไร้ความเห็นแก่ตัวของกองทหารนี้ก็ยังคงคำรามได้ คิดว่าชิงเหอปั๋วมองเห็นนานเข้าก็คงตัดใจทอดทิ้งพวกเขาไม่ลงเช่นกัน แต่คงเก็บไว้ใช้เสียเอง

ใช่แล้ว ตนคิดมากไปแล้วจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ท่ามกลางราตรีใกล้สว่างอันเย็นเยียบ ตอนนี้ถึงรู้สึกบรรลุ

“พวกเขาคิดเช่นนี้ นั่นดีที่สุดแล้ว”

ชิงเหอปั๋วฟังรายงานเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของกองทหารชิงซานจากใต้เท้าอู๋แล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่ก็เข้าใจ

“นี่ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก กองทหารชิงซานอาศัยเฉิงกั๋วกงถึงตั้งเป็นกองทัพขึ้นมา แต่พวกเขาไม่แน่ว่าจะจดจำบุญคุณของเฉิงกั๋วกงจริงๆ”

เขาก้าวเดินช้าๆในห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน

“พูดไปแล้ว เฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่พวกเขาช่วยไว้ ต้องจดจำบุญคุณก็คงเป็นเฉิงกั๋วกงจดจำบุญคุณของพวกเขา”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มหยันอีกหน

“ข้าบอกตั้งนานแล้ว โจรพวกนี้ไม่มีค่าให้เห็นความสำคัญ ที่ไหนมีเนื้อติดมันก็วิ่งไปที่นั่น ไม่รู้จักเจ้าของหรอก”

ใต้เท้าอู๋ก็บรรลุเข้าใจแล้วเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ไม่ใช่แค่กินเนื้อหรือ ในมือท่านปั๋วสาดไปส่งๆ สักหน่อยก็หลอกล่อใช้งานพวกเขาได้” เขายิ้มเอ่ย

ชิงเหอปั๋วลูบหนวดหัวเราะเบาๆ

“หมาในย่อมไม่อาจนับเป็นอาจารย์ของพยัคฆ์และหมาป่าได้” เขาเอ่ยขึ้น

“จัดการกองทหารชิงซานนี่แล้ว ที่เหลือก็ล้วนราบรื่น” ใต้เท้าอู๋ยิ้มประจบเอ่ย “ก่อนเข้าเดือนสิบสอง แดนเหนือแห่งนี้ก็จะอยู่ในมือท่านปั๋วอย่างราบรื่น”

ชิงเหอปั๋วเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา แต่จากนั้นก็หุบลง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจับเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยขึ้น “มอบให้ฝ่าบาทแล้วทำให้แดนเหนือสงบมั่นคงอย่างแท้จริง”

ใต้เท้าอู๋สีหน้าเคร่งขรึมค้อมกาย

“ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง

……………………………………….

……………………………………….

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดเกล็ดหิมะบนพื้นตลบขึ้นมา ทำให้ขันทีหลายคนที่กำลังก้าวเร็วไวอยู่รีบกำกระชับคอเสื้อ

“หิมะตกน่ารำคาญจริงๆ” ขันทีน้อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยบ่น

“ตีปาก” ขันทีเฒ่าด้านหน้าเอ่ย “พูดเหลวไหลจริงๆ หิมะต้องฤดูปีหน้าย่อมบริบูรณ์”

ขันทีน้อยรีบยื่นมือตีตนเองสองที

“ท่านขันทีสั่งสอนถูกต้อง” เขายิ้มประจบเอ่ย

“ไม่เห็นรึหลายวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดียิ่ง” ขันทีเฒ่าเอ่ยขึ้น

พร้อมกับที่พูดพวกเขาก็เดินมาถึงใต้ชายคาแล้ว กระทืบเท้าสะบัดเกล็ดหิมะบนร่างแล้วก็ได้ยินเสียงสรวลของฮ่องเต้ดังมาจากด้านในตำหนัก

“นี่ล้วนเป็นข่าวดี” ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงแล้วตรัสขึ้น “ประชาชนทั้งหลายฉลองสิ้นปีอย่างมีความสุขได้ เรื่องกวนใจเหล่านั้นของข้าก็หายไปแล้ว”

พูดถึงเรื่องกวนใจ พระองค์พลันทอดพระเนตรหวงเฉิงที่ยืนก้มศีรษะอยู่ทีหนึ่ง

“ฝ่าบาท จูซานคนนี้หนีเข้าเจียซานไปแล้ว กระทั่งม้าก็ทิ้ง หนีอเนจอนาถยิ่งกว่าสุนัข” หวงเฉิงรีบเอ่ย

ฮ่องเต้แค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

“นั่นก็ยังหนีไปแล้ว” พระองค์ตรัส “นี่สำหรับข้าแล้วก็เป็นข่าวดี…”

เสียงคำของพระองค์ยังไม่จบ

หนิงอวิ๋นเจาพลันค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น

ฮ่องเต้สำลักแล้ว หวงเฉิงก็เหล่ตามองเขาเช่นกัน

ประโยคนั้นที่ฮ่องเต้เพิ่งตรัสเห็นชัดว่ายังตรัสไม่จบ กำลังจะเติมคำว่าหรือคำหนึ่ง นี่จึงเป็นประโยคย้อนถาม

เจ้าหนูคนนี้พูดฝ่าบาททรงพระปรีชาพูดคล่องเกินไปจนห้ามปากไม่อยู่ใช่หรือไม่?

“เขายิ่งหนีเช่นนี้นาน ประชาชนทั้งหลายยิ่งผิดหวังกับเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง กลับเอ่ยต่อ “หนีก็คือโจร ไม่ต้องให้ฝ่าบาทกำหนดโทษให้เขา ยิ่งไม่ต้องให้ฝ่าบาทสลัดเขาหลุด”

พูดถึงตรงนี้พลันถอนหายใจทีหนึ่ง มองฮ่องเต้

“ด้วยหัวใจเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท หากจูซานถูกจับกลับมา ร่ำไห้หาข้ออ้างของตอนนั้นกับฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่สืบสาวโทษหนักของเขาแล้ว”

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอยู่บ้างแล้ว

“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าเป็นผู้ที่เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่นรึ?” พระองค์ตรัส

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยอมรับผิดอย่างหวั่นกลัว

“ฝ่าบาทมิได้เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่น ฝ่าบาทเพียงน้ำพระทัยกว้างขวางเกินไป จดจำได้เพียงความดีของผู้อื่น” เขาเอ่ย

ถุย ไอ้ขี้ประจบ ไอ้หน้าไม่อาย หวงเฉิงเหล่ตา ในใจเอ่ยด่า หน้าของบัณฑิตถูกเจ้าทำเสียหมดสิ้นแล้ว

กองทหารชิงซานเป็นกองทหารที่เฉิงกั๋วกงผลักดันให้กลายเป็นกองทหาร แน่นอนต้องนับเป็นคนในสังกัดของเฉิงกั๋วกงแน่นอน

“กองทหารชิงซานนี่ร้ายกาจจริงๆ” ชิงเหอปั๋วยิ้ม เหมือนคิดอะไรได้เอ่ยขึ้น “โจรกลุ่มหนึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นทหารสมใจ”

ชิงเหอปั๋วเคยบอกกับพวกเขาแล้ว กองทหารชิงซานกองนี้ยี่สิบกว่าปีก่อนเป็นกองทหารอาสาของแดนเหนือ ถือกำเนิดมาจากหมู่โจรสารพัดมารวมกัน ตอนนั้นก็แค่ไม่มีทางเลือกจึงใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ใช้พวกเขาตามโอกาสก็เท่านั้น ไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นเรื่องสำคัญ คิดไม่ถึงนานปีเช่นนี้กลับโผล่ออกมาอีกหน

“ถ้าเช่นนั้นท่านปั๋วก่อนหน้านี้เคยติดต่อกับพวกเขา ในนั้นยังมีคนรู้จักไหมขอรับ?” แม่ทัพคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายเอ่ย หากมีคนรู้จัก บางทีอาจดึงมาเป็นคนของพวกเขาได้…

ชิงเหอปั๋วยิ้มดูแคลน

“ข้าไม่เคยติดต่อกับพวกเขา ล้วนเป็นเจี่ยงเจ๋อตาเฒ่าหนังเหนียวนั่นทำคนเดียว” เขาเอ่ย “กลัวแต่ผู้อื่นจะแย่งคุณงามความชอบของเขา ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เขาเท้าเหยียบความตายปุบ คุณงามความชอบไม่ใช่ก็เป็นของพวกเราที่มีชีวิตอยู่เหล่านี้หรือ”

ตอนนั้นกลุ่มทหารที่แดนเหนือซับซ้อน เปลืองสมองเปลืองแรงไม่แพ้สู้รบกับชาวจิน อดีตไม่อาจเอ่ยถึงอีก แม่ทัพทั้งหลายยิ้มประจบพยักหน้า

“ท่านปั๋วย่อมไม่ต้องดึงใครเป็นพวก” พวกเขาเอ่ย “ผู้มีความสามารถที่รู้จักสถานการณ์จึงจะเป็นยอดวีรบุรุษที่แท้จริง ถึงควรใช้งาน”

“ไม่ว่าพวกเขาก่อนหน้านี้ร้ายกาจจริงหรือร้ายกาจปลอม ตอนนี้กองทหารชิงซานกองนี้หนึ่งต้านสิบได้จริงๆ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเบี่ยงประเด็นเอ่ย “ผู้น้อยเคยเห็นพวกเขารบกับชาวจินกับตา ดุร้ายร้ายกาจจริงๆ”

“ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ดุร้ายบางทีอาจไม่ใช่คน เป็นอาวุธของพวกเขา” ชิงเหอปั๋วลูบเคราเอ่ยขึ้น

กองทหารชิงซานมาถึงที่นี่แล้ว เพราะได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานาน แม่ทัพทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไปดูด้วยตาตนเองมาแล้ว รวมถึงรถยิงกระสุนกับกระสุนหินประหลาดเหล่านั้นด้วย กองทหารชิงซานก็ไม่ปิดบังเช่นกัน ฟังคำสั่งแล้วยังสาธิตให้ชิงเหอปั๋วดูอีก

สถานการณ์ตอนนั้นแม้เทียบไม่ได้กับผลลัพธ์ในสนามรบจริงๆ แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนตื่นตะลึง

“อาวุธเหล่านี้ทำอย่างไรพวกเขาบอกว่าไม่ทราบ บอกเพียงว่าจวินจิ่วหลิงคนนั้นถึงทำเป็น” แม่ทัพคนหนึ่งขมวดคิ้ว “พวกเขาใช้เป็นเท่านั้น”

ชิงเหอปั๋วไม่เห็นด้วย

“ขอเพียงเป็นเครื่องใช้ ย่อมไม่มีคนเป็นคนเดียวคำพูดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาวุธ นั่นเป็นของที่ต้องใช้จำนวนมาก หากมีคนเป็นคนเดียวจริงๆ ยังนับว่าเป็นอาวุธอันใดอีก” เขาเอ่ย “ให้นายช่างของกองทัพแกะออกมาวิจัยสักหนึ่งปีครึ่ง ข้าไม่เชื่อว่าสร้างออกมาไม่ได้”

นั่นก็ใช่ แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า

“ยังต้องให้พวกเขาสอนว่าใช้อาวุธเหล่านี้อย่างไรกับทหารมากกว่าเดิมด้วย” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสริม ถึงขั้นจินตนาการภาพทหารใต้สังกัดของตนติดอาวุธชนิดนี้แล้ว นั่นคงเหยียบราบทุกทิศ ความชอบในสงครามเลื่องลืออย่างแท้จริง สีหน้าเขาปิดความตื่นเต้นไม่อยู่

“ถ้าพูดเช่นนี้ กองทหารชิงซานยังไม่อาจแตะได้ชั่วคราว?” ชิงเหอปั๋วครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“ขอรับ ท่านปั๋ว ผู้น้อยก็ขบคิดถึงจุดนี้ถึงรู้สึกว่ายุ่งยากทำไม่ง่าย จึงมาขอคำชี้แนะ” แม่ทัพที่เอ่ยปัญหาออกมาคนแรกสุดเอ่ยขึ้น “มันเป็นกองกำลังของเฉิงกั๋วกง แต่ก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว…”

ตามหลักแล้วยิ่งร้ายกาจยิ่งไม่ต้องขบคิดต้องกำจัดไปทันที แต่ดันร้ายกาจถึงขั้นที่พวกเขาตัดทิ้งไม่ลงแล้วก็ไม่อาจกำจัดได้ทำให้คนยุ่งยากใจจริงๆ

“นั่นมีสิ่งใดลำบากใจ ถ้าเช่นนั้นก็เก็บไว้ชั่วคราว” ชิงเหอปั๋วเอ่ยแล้วยิ้มนิดๆ อีกหน

“เลือกสถานที่สำคัญสักแห่งให้พวกเขาไป”

สถานที่สำคัญ? แม่ทัพทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง

“สถานที่ที่ยังต้องวางทหารไว้มากที่สุด” ชิงเหอปั๋วเอ่ยต่อ

แม่ทัพทั้งหลายยิ่งไม่เข้าใจแล้ว นั่นไยไม่ใช่ให้ความสำคัญยกย่องพวกเขา?

“ให้ความสำคัญสิ ให้ความสำคัญพวกเขา พวกเขาร้ายกาจเช่นนี้ย่อมสมควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องประคับประคองสหายร่วมชาติ เดินทัพทำสงครามแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่วีรบุรุษคนเดียว ให้ทุกคนล้วนร้ายกาจ เช่นนี้ถึงรักษาชายแดนให้ดีได้” ชิงเหอปั๋วเอ่ย

แม่ทัพทั้งหลายพลันกระจ่าง ที่แท้ให้พวกเขาไปสอนทหารคนอื่น วางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดจะอ้าปากให้พวกเขาแบ่งปันอาวุธก็ย่อมสมเหตุสมผล ส่วนพวกเขาเพื่อความปลอดภัยของตนเองก็ย่อมหวังให้ทหารคนอื่นร้ายกาจขึ้นเช่นกัน นี่คือเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ไม่มีใครชี้ปัญหาได้

ส่วนสั่งสอนศิษย์เป็นแล้ว อาจารย์ควรจัดการอย่างไรก็ง่ายดายยิ่งแล้ว

“หากมีเรื่องขึ้น พวกเขาก็ต้านไว้ก่อนได้ด้วย” ชิงเหอปั๋วตบดาบประจำกายปลดออกโยนไว้ด้านข้าง สีหน้าผ่อนคลาย “ใช้ประโยชน์ให้คุ้มถึงไม่สิ้นเปลืองไหม”

“ท่านปั๋วขบคิดรอบคอบ ฉลาดเฉลียว” แม่ทัพทั้งหลายพากันลุกขึ้นยิ้มเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

ค่ายทหารยามค่ำคืนยังคงครึกครื้น

“ได้ยินหรือยัง?”

นายทหารอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งวิ่งก้าวสั้นๆ มาถึงหน้ากองไฟกองหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

“เหวยซุ่นชิ่งแม่ทัพของกองซุ่มโจมตีก็ถูกจับไปด้วยแล้ว”

นายทหารไม่น้อยที่นั่งล้อมอยู่หน้ากองไฟได้ยินพลันฮือฮาเบาๆ

“อีกคนแล้ว…”

“นี่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ…”

“มีจบสิ ขอแค่กำจัดกำลังคนของเฉิงกั๋วกงได้เกลี้ยงก็จบแล้ว…”

“นี่ไม่มีเหตุผลสักข้อบอกจะจับก็จับแล้วหรือ?”

“แม่ทัพกองซุ่มโจมตีคนเดียวต้องการเหตุผลอะไร ขนาดเฉิงกั๋วกงบอกจะจับก็จับเลยเหมือนกัน”

“ชู่ชู่อย่าพูดถึงเรื่องนี้”

หลังเสียงชู่เบาๆ ครู่หนึ่ง เสียงซุบซิบก็หยุดลง แต่สีหน้าของผู้คนกลับปั้นยากยิ่งนักอีกหน

เฉิงกั๋วกงคนผู้เคยถูกทุกคนพูดถึงอย่างเป็นเกียรติผู้นี้ ตอนนี้กระทั่งพูดถึงก็ไม่กล้าพูดแล้ว

อาศัยอะไร!

นายทหารคนหนึ่งอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ ยกกำปั้นทุบบนพื้น ทิ้งหลุมหลุมหนึ่งไว้

“พอแล้ว ระวังหน่อย อย่าถูกคนเห็นเข้า” นายทหารที่อายุมากหน่อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น ยังคงมองไปรอบด้านอย่างระวัง

“กลัวอะไร ต่อให้พวกเราไม่ได้พูดอะไร” นายทหารอีกคนหนึ่งหน้าแดง ลำคอตั้งตรง “ผู้อื่นก็คิดว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงอยู่ดี”

ใช่แล้ว พวกเขาเป็นกองทหารใหม่ที่เฉิงกั๋วกงตั้งขึ้น นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่สีหน้าเศร้าหมอง ส่วนหลี่กั๋วรุ่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เหม่อลอยอยู่บ้าง

โชคชะตาพลิกผันยากคาดเดาจริงๆ

ใครจะคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ก้าวเท้าแรกมีหน้ามีตาไม่หมดสิ้นอนาคตดั่งแพรไหม ก้าวขาหลังกลับเหยียบเข้าไปในกองป่านหยาบ จริงดังที่ประโยคนั้นว่าในลาภซ่อนเคราะห์

“ดูท่าพวกเราก็ยากหนีแล้ว” เขาเอ่ยพลางหันหน้ามองคนด้านข้าง “ไม่รู้ว่าจะไล่พวกเราไปที่ไหน”

บุรุษสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่ได้ยินคำพูดของเขา กระทั่งไม่ได้สนใจการถกเถียงด้วยความวิตกของนายทหารทั้งหลายด้านนี้

หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งกำลังคุยกันเสียงเบา ไม่รู้คุยอะไรยังหัวเราะออกมาอีก

หลี่กั๋วรุ่ยจนปัญญาอยู่บ้าง ชาติกำเนิดเป็นโจรก็ไม่ดีตรงนี้ รู้จักแต่รบราฆ่าฟัน อย่างไรก็ไม่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในกองทัพ

“ข้าว่าต่อไปจะทำอย่างไร?” เขาไม่อาจเอ่ยย้ำอีกครั้ง

หยางจิ่งตอนนี้ถึงมองมาหาเขา

“ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นสิ” เขาเอ่ย

“หากวางพวกเราไปป้องกันสถานที่ซึ่งมีก็ได้ไม่มีก็ได้บางแห่ง…” หลี่กั๋วรุ่ยขมวดคิ้วเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปสิ พวกเราเป็นทหารย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งเคลื่อนพล” หยางจิ่งเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

หลี่กั๋วรุ่ยกะพริบตา

“ข้าพูดถึงที่พวกเขามองพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วกดขี่ข่มเหง…” เขากดเสียงเบาเอ่ย

“พวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงได้อย่างไร” หยางจิ่งขมวดคิ้วเอ่ย “พวกเราเป็นทหารหลวง เป็นทหารของต้าโจว ไม่ใช่คนของใคร”

หลี่กั๋วรุ่ยกลอกตาทีหนึ่ง จะพูดอะไรก็หยุดไป มองไปทิศทางหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“มาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “มาเร็วจริงๆ คราวนี้ไม่รู้จะถูกส่งไปสถานที่ใด”

แต่เมื่อคนที่มาประกาศสถานที่ซึ่งพวกเขาต้องไป หลี่กั๋วรุ่ยพลันตกใจสะดุ้งโหยง

“ค่ายซู่หนิง” เขาเอ่ย “ใต้เท้าอู๋ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง?”

คนที่มาคือแม่ทัพหนวดเฟิ้มแซ่อู๋คนหนึ่ง ได้ยินคำพูดพลันถลึงตา

“ทำไม? พวกเจ้าไม่ยินดีหรือ?” เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ เน้นเสียงติดจะมีนัยยะอยู่บ้างอีก “พวกเราทหารย่อมไม่อาจถกกันว่าเป็นคนของใคร ที่ไหนต้องการก็ต้องไปที่นั่น”

หลี่กั๋วรุ่ยรีบส่ายศีรษะ

ค่ายซู่หนิงย่อมไปสิ นั่นเป็นถึงด่านปราการสำคัญแห่งหนึ่ง ที่ผ่านมาเป็นสถานที่ซึ่งนายทหารต้องแย่งกัน เมืองกว้างใหญ่ทหารประจำการมากมาย

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่กองทหารซุ่นอันยังผลัดไม่ถึงไปที่นี่เลย คิดไม่ถึงตอนนี้ชิงเหอปั๋วถึงกับส่งพวกเขาไป นี่เป็นสถานที่ซึ่งคนสนิทเท่านั้นถึงจะได้ไปเชียวนะ

ชิงเหอปั๋วนี่เป็นอะไรไปแล้ว?

แต่เขายินดีไม่ยินดีก็ไม่ใช่คนตัดสินใจ หลี่กั๋วรุ่ยมองไปทางหยางจิ่งกับเซี่ยหย่ง

หยางจิ่งกับเซี่ยงหย่งกลับหันหน้ามองไปทางกระโจมหลังหนึ่งตะโกนคำหนึ่งว่าฮั่นชิง

แม่ทัพอู๋เลิกคิ้ว มองเห็นสตรีเยาว์วัยคนหนึ่งเดินออกมา

สตรีปรากฏตัวในค่ายทหารยากพบนักจริงๆ แต่กองทหารชิงซานเป็นข้อยกเว้น ไม่เพียงมีสตรีสิบกว่าคนตั้งเป็นกองสตรี ในกองทหารชิงซานยังมีสตรีคนหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจด้วย

แต่ไร้หนทาง รถยิงกระสุนที่ร้ายกาจเหล่านั้นก็เป็นคนของกองสตรีเหล่านี้ควบคุม นอกจากนี้เด็กสาวที่ชื่อจ้าวฮั่นชิงคนนี้ก็ขี่ม้ายิงธนูร้ายกาจอย่างที่สุดด้วย

“เรื่องอันใด?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม

ไม่รอใต้เท้าอู๋เอ่ยวาจา เซี่ยหย่งพลันแจ้งเรื่องราวกับนาง

“คุณหนูจ้าว นี่เป็นเรื่องสำคัญของการวางกำลังป้องกัน ไม่อาจทำเป็นเด็กเล่น ท่าน…” ใต้เท้าอู๋อดกลั้นอารมณ์เสริมอย่างอดทน พวกสตรีเหล่านี้ใช้อารมณ์เก่งที่สุด

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ จ้าวฮั่นชิงพลันขัดเขา

“คำสั่งของใคร?” นางเอ่ยถาม

ดูสิดูสิมาแล้วไหม แม่ทัพอู๋ในใจหัวเราะหยัน กองทหารชิงซานนี่ก็แยบยลพอตัวจริงๆ ถึงเวลาให้เด็กสาวคนนี้โวยวายไม่เชื่อฟังคำสั่ง ใครจะทำอันใดพวกเขาได้อีก

“ชิงเหอปั๋ว” เขากัดฟันเอ่ย “คุณหนูจ้าว ข้าทราบว่าพวกท่านเป็นคนที่เฉิงกั๋วกงผลักดันขึ้นมา แต่ในฐานะ…”

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้า

“ทราบแล้ว” นางเอ่ย

ทราบแล้ว? ใต้เท้าอู๋สำลักไปแล้ว เขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง

ถูกคนชม ไม่ใช่เวลาใดล้วนทำให้คนเบิกบานใจ

คุณหนูจวินเฉยชา

ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ใช่คนที่ถนัดชมผู้อื่น นี่ก็เพราะเกี่ยวข้องกับคุณหนูจวินจึงเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึก

หนิงอวิ๋นเจาปฏิบัติต่อคุณหนูจวินเช่นนี้ แน่นอนไม่ใช่เพราะหน้าตาของนาง แต่มองผ่านหน้าตาไปถึงวิญญาณข้างใน

“คนที่เรียนหนังสือรู้อักษรร้ายกาจกว่าข้า” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขา

“ท่านถ่อมตัวจริง” นางเอ่ยอย่างจริงใจ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ไม่สืบสาวคำเสียดสีของนาง และยิ่งไม่โกรธเพราะเรื่องนี้

“กินข้าวเถอะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือบีบหน้าของนางไว้

หลายวันนี้พวกเขายังคงเป็นเช่นนี้

นางไม่ถอย เขาก็ไม่ถอย ประจันหน้ากันอย่างเงียบงัน

ป้อนนางกินเสร็จ ลู่อวิ๋นฉีค่อยกินของตนเอง

“ใครๆ ล้วนรู้ว่าเฉิงกั๋วกงจะหนีไปแดนเหนือ” เขาคุยสัพเพเหระตามสบายไปพลาง “น่าสนใจมาก พวกเขาสองฝั่งล้วนเชื่อมั่นในตนเองยิ่ง”

พูดให้ชัด นั่นไม่น่าจะนับว่าหนี สำหรับเฉิงกั๋วกงแล้ว คำว่ากลับคงเหมาะสมกว่า

เขามาเมืองหลวงก็เพราะเขาอยากมาลองดู ไม่ใช่ถูกฮ่องเต้บีบบังคับ เช่นเดียวกันเขาต้องการไปก็ไม่ใช่การหนี

คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง

“แดนเหนือแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากมีคนคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน นางเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีวางตะเกียบลง

“ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” เขาเอ่ยนิ่งๆ

คุณหนูจวินมองเขา

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” นางเอ่ย สีหน้าจริงจังทั้งยังดื้งดึง

นางกับเขา ไม่ใช่พวกเราอีกต่อไปแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีมองนางจากนั้นก็ยิ้ม ให้บ่าวหญิงเก็บชามกับตะเกียบไป

“เจ้าลุกขึ้นมาเดินหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวจะแช่เท้าให้เจ้า” เขาเอ่ยบอก

สองวันนี้ยามลู่อวิ๋นฉีกลับมาจะแก้มัดที่เท้าคุณหนูจวิน ให้นางขยับเดินในห้อง ไม่ให้นั่งนานจนไม่สบาย

คุณหนูจวินไม่ได้พยายามวิ่งไปข้างนอก เพราะนั่นเป็นความพยายามที่ไม่จำเป็นสักนิด

พร้อมกับที่พันธนาการคลายออก นางก็ลุกขึ้นก้าวเท้าช้าๆ สีหน้านิ่งสงบก้าวเท้ามั่นคง เดินช้าๆ รอบแล้วรอบเล่า เหมือนว่าไม่ได้อยู่ในห้องคับแคบ แต่ยังอยู่ในเรือนที่ตนเองอาศัยที่หยางเฉิงหรือเมืองหลวง

ลู่อวิ๋นฉีจุดโคมไฟสว่าง นั่งอยู่ด้านข้างพลิอ่านเอกสารและรายงานที่นำมาด้วย บางครั้งก็พูดเรื่องในรายงานสองสามประโยคกับคุณหนูจวิน เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แน่นอนคุณหนูจวินไม่มีทางตอบสนองอย่างใด

หลายวันนี้เขาทำเช่นนี้เสมอ

คุณหนูจวินหยุดเท้า

“ลู่อวิ๋นฉี” นางเอ่ยเรียก

ลู่อวิ๋นฉีเงยศีรษะมองนาง แม้ใต้แสงโคมไฟสีหน้านิ่งสนิท แต่บางครั้งเพราะแววตาก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูไปแล้วอ่อนโยนแปลกออกไป

“ไม่มีทางเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ

“ดังนั้นเจ้าจะไม่ตายเป็นครั้งที่สอง” เขาตอบ

“อย่าหลอกตนเองเลย เจ้าไม่ใช่ยมราชจริงๆ ความเป็นความตายของผู้อื่นเจ้าตัดสินไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย “ความเป็นความตายที่เจ้าคิดว่าตัดสินได้ ที่จริงก็แค่ถูกคนอื่นควบคุม”

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

“เจ้าพูดไม่ผิด” เขาเอ่ยพลางวางรายงานในมือลง “เดินเหนื่อยแล้วไหม? ข้าแช่เท้าให้เจ้านะ”

ประเด็นนี้เขา เขาไม่ยอมรับ ไม่ตอบ ไม่ถกเถียง

ถ้าเช่นนั้นระหว่างนางกับเขาก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดกันได้แล้ว

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าฟื้นกลับมาเฉยเมย

……………………………………….

……………………………………….

สำหรับทหารแดนเหนือแล้ว เดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนล้วนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรู้สึกว่าเหนื่อย คนที่รู้สึกว่าเหนื่อยเหล่านั้นล้วนตายแล้ว เทียบกับความตาย มีชีวิตอยู่เหน็ดเหนื่อยหน่อยก็ยังเป็นสิ่งที่ดี

ราตรีมืดมิดแล้ว ท่ามกลางฤดูหนาวอันรกร้างกีบเท้าม้าเหยียบย่ำ คบไฟประหนึ่งงูตัวยาวลากยาวบนผืนดินกว้างไปจรดเมืองแห่งหนึ่ง

แดนเหนือเฝ้าระวังตรวจตราเข้มงวด แต่เมืองแห่งนี้เวลานี้กลับเปิดประตูเมืองกว้าง ขบวนคนแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้าเร็วรี่เข้าไป แล้วก็มีขบวนคนขบวนแล้วขบวนเล่าขี่ม้าเร็วรี่ออกมา ทุกหนทุกแห่งเอะอะและโหวกเหวก

ขบวนคนถือคบไฟเพิ่งเข้าเมืองมาก็วิ่งตรงไปยังจวนหลังหนึ่ง ที่นี่ก็ประตูใหญ่เปิดกว้าง โคมไฟส่องสว่างประหนึ่งกลางวันเช่นกัน

แม่ทัพคนหนึ่งพลิกกายลงจากม้า เสื้อเกราะบนร่างส่งเสียงเกรียวกราว พร้อมกับที่เสียงนี้ดังขึ้นก็ก้าวยาวเดินไปด้านใน

ในเรือนมีขุนนางฝ่ายพลเรือนเดินผ่านเป็นระยะ นายทหารหน้าโถงที่ว่าการยืนตัวตรงเคร่งขรึม ในห้องบุรุษผู้สวมชุดแม่ทัพคนหนึ่ง แม้อายุห้าสิบปี เส้นผมขาวประปราย แต่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมน่าเกรงขามยิ่ง

เวลานี้กลางคืนดึกแล้ว เขาก็ไม่มีความเหนื่อยล้าสักนิด แววตาใสกระจ่างมองแผนผังจำลองตรงหน้า พลางฟังแม่ทัพทั้งหลายข้างตัวเอ่ยชี้แจง

“ท่านปั๋ว” แม่ทัพก้าวเข้ามาในโถงแล้วคำนับ

ชิงเหอปั๋วเงยศีรษะมองเขา

“แม่ทัพเหวย” เขาพยักหน้าเอ่ย “ท่านมาเร็วนัก”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเหวยคำนับอีกครั้ง

“ผู้น้อยไม่กล้าขัดขืนบัญชา” เขาเอ่ย

ชิงเหอปั๋วมองไปหาแม่ทัพอีกคนหนึ่ง

“ในเมื่อแม่ทัพเหวยมาแล้วก็ให้คนของเขาไปกองทหารหย่งจิ้ง เจ้าพาคนของเจ้าไปเจียวเหอ” เขาเอ่ย

แม่ทัพผู้นั้นขานรับ

แม่ทัพเหวยที่อยู่ด้านข้างอยากจะพูดก็หยุดไป

“แม่ทัพเหวยเร่งเดินทางลำบากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” ชิงเหอปั๋วเอ่ยขึ้นทั้งที่ไม่เงยศีรษะ

แม่ทัพเหวยเอ่ยขอบคุณ แต่ยังคงยืนอยู่ไม่ขยับ

แม่ทัพทั้งหลายในห้องบ้างพูดคุยกันเสียงเบาบ้างมองชิงเหอปั๋ว คล้ายไม่รู้สึกตัวว่าในห้องคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

เม่ทัพเหวยยืนอยู่ตรงนี้สีหน้าปั้นยาก คบไฟฉายส่องใบหน้าของเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดไม่นิ่ง

เขาย่อมรู้ว่านี่หมายความว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเขา เท้าของเขายับหมุนจะเดินไปด้านหลัง แต่ครู่ต่อมาเขาก็ยังหยุดวูบหนึ่ง

“ท่านปั๋ว” เขากัดฟันทีหนึ่งเอ่ยขึ้น

ชิงเหอปั๋วมองไปทางเขา แม่ทัพคนอื่นก็ล้วนมองไปหาเขาด้วย คล้ายทุกคนตกตะลึงที่เขายังอยู่ที่นี่

“แม่ทัพเหวยยังมีเรื่องอันใดหรือ?” ชิงเหอปั๋วเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว พักนี้การโยกย้ายกำลังพลถี่อยู่บ้าง” แม่ทัพเหวยเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินว่ากำลังพลส่วนหนึ่งล้วนจัดสรรใหม่”

“ใช่แล้ว นี่เป็นการวางกำลังป้องกันใหม่หลังท่านปั๋วพิเคราะห์แล้ว ไม่ใช่บอกพวกเจ้าแล้วหรือ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่าทางติดจะยโสแล้วขมวดคิ้ว “ทำไม โยกย้ายแม่ทัพทหารยังต้องการเหตุผลอะไรหรือ?”

แม่ทัพบัญชา นายทหารเชื่อฟัง ย่อมไม่อาจถามหาเหตุผลได้

ชิงเหอปั๋วยกมือห้ามแม่ทัพผู้นั้น

“แม่ทัพเหวยมีความเห็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยคิดว่าเวลานี้ไม่เหมาะจัดการป้องกันใหม่ขนาดใหญ่บ่อยเช่นนี้” แม่ทัพเหวยเอ่ย “โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันด่านชายแดน กำลังพลที่นี่ล้วนคุ้ยเคยกับชาวจินอย่างที่สุด เปลี่ยนการป้องกันกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนล้วนไม่สะดวก…”

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่จบก็ถูกแม่ทัพคนหนึ่งขัดแล้ว

“ไม่สะดวกอะไร?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “ไม่สะดวกพวกเจ้าชำนาญลู่ทางแอบขี้เกียจรึ?”

แม้นิสัยอดกลั้น แต่ไม่มีแม่ทัพยินดีได้ยินคำว่าแอบขี้เกียจสองคำ นี่หยามหมิ่นประหนึ่งด่าพวกเขาว่าไอ้ขี้ขลาด

“ผู้บัญชาการมณฑลจาง” แม่ทัพเหวยตวาด “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“นี่ข้าหมายความว่าอย่างไร” ผู้บัญชาการมณฑลจางยิ้มหยัน “ความหมายของข้าคือไม่จำเป็นให้เจ้ามาสอนท่านปั๋วว่าคุมทัพวางทัพอย่างไร เมื่อครั้งท่านปั๋วจัดการกับชาวจินที่แดนเหนือ เจ้ายังเลี้ยงม้าอยู่เลย”

แม่ทัพเหวยหน้าแดง

“ผู้น้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น ตัวเป็นแม่ทัพจึงไม่ถนัดพูดจา

ชิงเหอปั๋วมองเขา

“แม่ทัพเหวยไม่ยินดีโยกย้ายหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยไม่ใช่ไม่ยินดีโยกย้าย เพียงแค่การโยกย้ายแม่ทัพและกำลังพลของท่านปั๋วครั้งนี้ไม่เหมือนเพื่อวางการป้องกัน แต่เพื่อ…” แม่ทัพเหวยเอ่ย กัดฟันทีหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ถอนกำลังป้องกัน กระจายทหาร กระจายอำนาจ”

บรรยากาศในห้องฉับพลันหนักอึ้ง สีหน้าชิงเหอปั๋วค่อยๆ เย็นชาขึ้นเช่นกัน

วาจาเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว แม่ทัพเหวยก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว

“…นอกจากนี้พักนี้แม่ทัพจำนวนหนึ่งยังถูกลงโทษถูกจับถูกปลดจากตำแหน่ง ท่านปั๋ว คนเหล่านี้แล้วก็พวกเราที่ถูกโยกย้ายเหล่านี้ล้วนมีจุดหนึ่งคล้ายคลึงกัน ในใจทุกคนก็ล้วนรู้ชัด” เขาหน้าแดงเอ่ย

ชิงเหอปั๋วขานอ้ออย่างไม่ยินดียินร้ายทีหนึ่ง

“ในใจพวกเจ้ารู้ชัดอะไร?” เขาเอ่ย

แม่ทัพเหวยเหงยหน้ามองเขา

“ท่านปั๋ว ท่านหวั่นเกรงที่พวกเราเป็นคนในสังกัดของเฉิงกั๋วกง ต้องการกดขี่พวกเรา พวกเราก็เข้าใจได้” เขากัดฟันเอ่ย “แต่ขอได้โปรดอย่าเป็นเวลานี้ ไม่เช่นนั้นทำฝีเข็มยุ่งเหยิงขึ้นมา จะปล่อยให้ชาวจินมีโอกาสให้ฉวย”

สิ้นเสียงเขา แม่ทัพทั้งหลายในห้องฉับพลันฮือฮา

“เหวยซุ่นชิ่ง มารดาเจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”

“มารดา คำพูดเหลวไหลจิรงๆ”

ทุกคนพากันด่าทอ ยิ่งมีคนโมโหก้าวเข้าไปคว้าแม่ทัพเหวย

“เฉิงกั๋วกงปกครองทหารเช่นนี้รึ? นี่ก็คืออำนาจทหารชื่อเสียงเลื่องลือของพวกเจ้ารึ? ไม่เชื่อฟังคำสั่งโยกย้าย แล้วยังกล้าดูหมิ่นเบื้องบนอีก” เขาเอ่ยด่า

ในโถงที่ว่าการกลายเป็นอื้ออึงวุ่นวาย

“หุบปากให้หมด” ชิงเหอปั๋วอ้าปากเอ่ย ห้ามเสียงโวยวายของทุกคน เขามองไปหาแม่ทัพเหวย “เจ้าพูดไม่ผิด การโยกย้ายวางการป้องกันครั้งนี้ของข้า เพื่อกดแม่ทัพคนสนิทคนในสังกัดเฉิงกั๋วกงเหล่านี้อย่างพวกเจ้าจริงๆ”

ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง

การโยกย้ายทหารครั้งใหญ่ที่แดนเหนือครั้งนี้เพราะชิงเหอปั๋วต้องการล้างบางผลัดเปลี่ยนเป็นแม่ทัพในสังกัดของของตน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่าชิงเหอปั๋วจะพูดออกมาตรงไปตรงมาเช่นนี้

แม่ทัพทั้งหลายชั่วขณะไม่ทราบว่าควรตอบสนองอย่างไร

ชิงเหอปั๋วสีหน้านิ่งสงบ

“ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะฝ่าบาทมีบัญชาให้จับกุมเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงคิดกบฏหวั่นเกรงโทษหลบหนีพวกเจ้าล้วนรู้ ถ้าเช่นนั้นเฉิงกั๋วกงหนีมาถึงแดนเหนือแล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่?”

คนในห้องบางคนรู้บางคนไม่รู้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม ชิงเหอปั๋วยกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบ

“แม่ทัพเหวย เฉิงกั๋วกงทำไมต้องหนีมาถึงแดนเหนือ?” เขาเอ่ย สายตาจับบนร่างแม่ทัพเหวย

แม่ทัพเหวยหน้าแดงอยากพูดอะไรก็ไม่รู้จะพูดอะไร

“เพราะเฉิงกั๋วกงรู้ว่าแดนเหนือนี่เป็นแผ่นดินของเขา” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ก็เพราะมีพวกเจ้าคนเหล่านี้อยู่ เขาจึงเชื่อว่าตนเองจะได้รับการปกป้อง”

แม่ทัพเหวยคล้ายอับอายแล้วก็คล้ายโกรธเกรี้ยว

“ไม่ ท่านปั๋ว พวกเราคือทหารของต้าโจว หากเฉิงกั๋วกงมีความผิด พวกเราไม่มีทางปกป้อง” เขาเอ่ยขึ้น “ท่านสงสัยพวกเราเช่นนี้ไม่ได้ แดนเหนือนี่แม่ทัพทหารมากมายเช่นนี้ล้วนเคยเป็นลูกน้องของเฉิงกั๋วกง แต่แดนเหนือไม่ใช่ของเขา พวกเราล้วนเป็นของต้าโจว…”

คำพูดของเขาเอ่ยยังไม่ทันจบ ชิงเหอปั๋วพลันหัวเราะขัดเขา

“ข้ากำลังสงสัยพวกเจ้าหรือ?” เขาเอ่ย มือค้ำเอวตบดาบประจำกายเสียงดังเคร้งๆ “เจ้าไม่ได้ยินคำที่ข้าพูดหรือ?”

คำใด?

ทุกคนมองเขา

“เฉิงกั๋วกงหนีมาถึงแดนเหนือแล้ว” ชิงเหอปั๋วเอ่ย ใบหน้าที่เดิมทีนิ่งสงบฉับพลันคิ้วขาวเลิกตั้ง ดาบประจำกายในมือชักออกมาฟาดฟันลงบนแผนผังจำลอง

โต๊ะแผนผังจำลองใหญ่โตส่งเสียงดังโครมถูกเขาฟันแยกล้มกับพื้น

เสียงดังกังวานท่ามกลางราตรีเสียดแทงหูเป็นพิเศษ ด้านในด้านนอกกลับล้วนเงียบกริบ

“เขามาถึงแดนเหนือได้อย่างไร?”

เสียงโกรธแค้นของชิงเหอปั๋วดังขึ้น

“จากเมืองหลวงมาถึงด่านหม่าเลวี่ยไกลเท่าไร? มีทหารประจำการเท่าไร? มีด่านเท่าไร?”

“เขาถึงกับตรงดิ่งเข้ามาโดยไม่มีใครรู้?”

ดาบในมือเขาชี้ไปหาแม่ทัพเหวย

“เจ้าพูดสิ เขาทำได้อย่างไร?”

แม่ทัพเหวยสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา นี่ไม่ใช่หวาดกลัวเพราะถูกปลายดาบเย็นเยียบชี้ปลายจมูก

“ผู้น้อย..” เขาอ้าปากเสียงแหบ

ชิงเหอปั๋วเก็บดาบกลับไปแล้วหมุนร่างหันหน้าไปสีหน้าเย็นชา

“หากไม่มีใครให้การปกป้อง เขาบินก็บินข้ามมาไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น

แม่ทัพทั้งหลายได้สติกลับมา พากันพยักหน้าทันที

“ไม่ผิด ก็เป็นเช่นนี้”

“ข้าก็คิดอยู่นานแล้วว่าด่านเหล่านี้พึ่งไม่ได้”

พวกเขาเอ่ยขึ้นอย่างโกรธแค้น ขณะเอ่ยถอยคำนี้ล้วนสีหน้าถากถางมองแม่ทัพเหวย

“แม่ทัพเหวย เจ้ายังมีสิ่งใดพูดอีก?” ยังมีคนหัวเราะหยันเอ่ย แล้วเหล่ตาประเมินเขา “ไม่แน่ครั้งนี้ที่แม่ทัพเหวยมาตั้งคำถามท่านปั๋ว ก็อาจเพราะถูกคนไหว้วานมานะ ที่บอกว่าโยกย้ายไม่สะดวก ไม่สะดวกกับใครบางคนกระมัง?”

แม่ทัพเหวยหน้าแดงขึ้นอีก

“ข้าไม่กล้ารับประกันว่ามีคนเช่นนี้หรือไม่” เขาเอ่ย “แต่ข้าไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด แม้เฉิงกั๋วกงมีความผิดคิดกบฏหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ในเมื่อท่านปั๋วกับราชสำนักล้วนออกคำสั่งให้จับกุม หากข้าทราบร่องรอยของเฉิงกั๋วกงย่อมจับเขาไว้ตามคำสั่งแน่นอน”

ชิงเหอปั๋วขานอ้อ

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี แม่ทัพเหวยพาคนไปจับกุมเถอะ” เขาเอ่ยนิ่งๆ “ราชสำนักเร่งมาด่วนนัก”

คราวนี้กระทั่งกองทหารหย่งจิ้งก็ไม่ต้องไปแล้ว พวกแม่ทัพคนอื่นสีหน้าเยาะเย้ย แม่ทัพเหวยสีหน้ายิ่งไม่น่าดู

“ท่านปั๋ว ความสงสัยของท่านไม่มีปัญหา แต่ผู้น้อยคิดว่ายามนี้เวลานี้ยังไม่เหมาะทำเช่นนี้ ขอท่านปั๋วเห็นแก่ภาพรวม เชื่อแม่ทัพทั้งหลายในแดนเหนือ ต่อให้โยกย้ายวางการป้องกัน ก็ขอโปรดค่อยเป็นค่อยไป เวลานี้ทำเช่นนี้สั่นคลอนขวัญกำลังใจทหาร…” เขากัดฟันเอ่ย

ชิงเหอปั๋วหันหน้ามามองเขาจากนั้นก็ยิ้ม

“ดูท่าเฉิงกั๋วกงจะดีกับพวกเจ้าพอตัวจริงๆ” เขาเอ่ย “แต่ละคนๆ ปากคอเราะรายโต้แย้งตั้งคำถามเบื้องบนเป็นวรรคเป็นเวร”

แม่ทัพทั้งหลายยิ่งโกรธเกรี้ยวด้วยแล้ว

“เหวยซุ่นชิ่ง มารดามัน เจ้าเข้าใจอันใด เจ้ากี้เจ้าการให้มันน้อยๆ หน่อย” ทุกคนเอ่ยด่า “เจ้ารู้มากกว่าท่านปั๋วหรือ?”

แม่ทัพเหวยกัดฟันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“หากท่านปั๋วรู้มากนัก ตอนนั้นทำไมเกิดทหารก่อความวุ่นวายได้เล่า?” เขาเอ่ยเสียงดัง

คำนี้ออกมาปุบ สีหน้าชิงเหอปั๋วฉับพลันเปลี่ยนไป

จุดพลิกผันของชะตาชีวิตชิงเหอปั๋วอยู่ที่ศึกใหญ่แม่น้ำหม่าเจีย เขาผู้รบไม่เคยปราชัยมาตลอดพบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุด และทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะชาวจินร้ายกาจ แต่เพราะในกองทัพเกิดการลุกฮือของทหาร

ก็เพราะการลุกฮือของทหารครั้งนี้ เขาจึงเกือบทุกฮ่องเต้บัญชาให้ตัดศีรษะ ยังดีคนมากมายช่วยร้องขอจึงรักษาชีวิตไว้ได้ แต่นับจากนั้นก็เสียอำนาจทหารในแดนเหนือแล้วจากไปอย่างเงียบงัน

นี่เป็นอดีตที่ชิงเหอปั๋วไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยถึง ยิ่งไม่เคยถูกผู้ใดชี้จมูกตั้งคำถามเช่นนี้มาก่อน พวกแม่ทัพคนอื่นตาโตอ้าปากค้าง

“ดีมาก” ชิงเหอปั๋วมองแม่ทัพเหวยแล้วพยักหน้า ยกมือชี้ เสียงนิ่งสงบ “ใครมานี่ซิ จับตัวไป”

“ท่านปั๋ว ท่านกีดกันคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกันจัดการคนของเฉิงกั๋วกงข้าไม่มีความเห็น ข้าก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ยากเลี่ยง ข้าเพียงหวังให้ท่านคิดเพื่อภาพรวม ต้องรู้ว่าชาวจินยังจับจ้องมาดร้ายอยู่ข้างนอก…” แม่ทัพเหวยตะโกน

แม่ทัพทั้งหลายที่เหลือได้สติกลับมา ไม่รอชิงเหอปั๋วสั่งพลันแห่เข้ามา กดแม่ทัพเหวนไว้ไม่ให้เขาพูดต่อไป

“ก็เพราะชาวจินจับจ้องมาดร้าย ถึงยิ่งต้องให้ข้างในสงบ ไม่เช่นนั้นเฉิงกั๋วกงกบฏผู้นี้สมคบกับชาวจินขึ้นมา นั่นถึงอันตรายที่สุด” ชิงเหอปั๋วเอ่ยเสียงเย็นชา “พาออกไป สืบว่าเขาถูกผู้ใดบงการ มุ่งหมายอันใด ถึงขัดขวางการวางกำลังป้องกันของข้า”

แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียงลากแม่ทัพเหวยออกไปข้างนอก

“ท่านปั๋ว ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง…ไม่อาจทำลายขวัญกำลังใจของทหาร…ทำเช่นนี้ก็ไม่มีข้อดีกับท่านเช่นกัน…” แม่ทัพเหวยดิ้นรนพลางตะโกน แต่เสียงเจ็บปวดครั้งหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็วจากนั้นเสียงของเขาก็พลันเงียบหายไป

เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นพักหนึ่งในเรือนจากนั้นความสงบก็ฟื้นคืนอีกครั้ง

นายทหารที่ยืนอยู่นอกโถงที่ว่าการสีหน้ายังคงเคร่งขรึมคล้ายสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น ขุนนางพลเรือนที่ไปมาสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเงียบกริบประหนึ่งจักจั่นหน้าหนาวก้มศีรษะรีบร้อนจากไป

ด้านในโถงที่ว่าการก็เงียบกริบเช่นกัน แผนผังจำลองบนพื้นร่วงกระจาย ชิงเหอปั๋วยืนอยู่ท่ามกลางข้าวของระเกะระกะสีหน้ายิ่งสนิท

“ท่านปั๋ว” แม่ทัพคนหนึ่งก้าวเข้ามาหยั่งเชิง “เหวยซุ่นชิ่งคนนี้จูซานเลื่อนขั้นมากับมือ ตอนนั้นเคยก่อเรื่องเกี่ยวกับเบี้ยหวัดจะต้องประหาร เขาต้อง…”

ชิงเหอปั๋วยกมือห้าม

“ไม่ต้องพูดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา” เขาเอ่ยพลางประสานมือไปทางเมืองหลวง “ตอนนี้สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือไม่ผิดต่อบัญชาของฮ่องเต้จับจูซานให้ได้ จูซานยังจับไม่ได้วันหนึ่ง แดนเหนือก็ไม่อาจสงบได้วันหนึ่ง”

แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียง เรียกนายทหารเข้ามาตั้งแผนผังจำลองใหม่อีกครั้งทันที แต่คืนนี้คงไม่อาจใช้ได้แล้วแน่นอน ชิงเหอปั๋วให้ทุกคนแยกย้ายไป เหลือเพียงแม่ทัพไม่กี่คนอยู่ข้างกาย ตนเองก็เดินไปโถงด้านข้างเตรียมพักผ่อน

“ท่านปั๋ว การโยกย้ายส่วนใหญ่ล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาใด” แม่ทัพคนหนึ่งมองแผนผังการวางกำลังป้องกันในมือ “มีเพียงกองทหารกองหนึ่งไม่รู้จะจัดการอย่างไร…”

ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่ทัพคนหนึ่งด้านข้างรีบเอ่ยปากก่อน

“เจ้าสี่ คำนี้เจ้ายังจะพูด คำสั่งทหารประหนึ่งเขาล้ม ยังจัดการไม่ง่ายอีกหรือ?” เขาตำหนิ

แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าเจ้าสี่ยิ้มประจบนิดหนึ่ง

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ย “เพียงแต่กำลังพลกองนี้ยุ่งยากอยู่บ้าง”

“ยุ่งยาก?” ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้ว “ยุ่งยากอย่างไร?”

“กองทหารชิงซานขอรับ” แม่ทัพเอ่ยขึ้น

กองทหารชิงซานนี่เอง ชื่อนี้เอ่ยอออกมา ทุกคนด้านในรวมถึงชิงเหอปั๋วล้วนสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง

โคมไฟในโถงด้านข้างจุดสว่างเพียงไม่กี่ดวง เทียบกับในโถงที่ว่าการอ่อนโยนกว่ากันอยู่บ้าง คนก็น้อยกว่ามากนัก มีเพียงสี่ห้าคนนั่งล้อมวงอยู่ บรรยากาศเย็นเยียบน้อยลงมีความสงบของราตรีเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง

แต่คำพูดที่พวกเขาเอ่ยไม่สงบอ่อนโยนเลย

“กองทหารชิงซานนี่จำต้องกำจัด” แม่ทัพคนหนึ่งทำหน้าโหดเหี้ยมเอ่ยขึ้น

เทียบกับความรกร้างฤดูหนาวของแดนเหนือ ที่เมืองหลวงสิ่งที่เข้าสู่สายตายังคงเขียวชอุ่ม แต่สายลมหวีดหวิดที่พัดลอดประตูหน้าต่างโถมเข้ามาในตำหนักด้านในพระราชวังก็พาความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกมาเช่นกัน

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เย็นเยียบยิ่งเช่นกัน

“ตัวไร้ประโยชน์จริงๆ นานปานนี้กระทั่งคนผู้หนึ่งก็หาไม่พบ” พระองค์ฟาดฎีกาลงบนโต๊ะแล้วตวาด “ข้าไม่เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงยังจะติดปีกบินหนีได้!”

“เฉิงกั๋วกงสั่งสมมาสิบกว่าปี คบหาคนกว้างขว้าง ไม่รู้คนเท่าไรช่วยเขาปกปิด” หวงเฉิงค้อมกายเอ่ย

คำนี้ของเขาย่อมไม่ใช่เพื่อบอกปัด แต่เพื่อสุมไฟให้ฮ่องเต้อีกกอง

เป็นอย่างที่คิด ฮ่องเต้พิโรธหนัก

“ใต้หล้านี่แซ่จูแล้วรึ?” พระองค์ตวาด สายตามองไปทางลู่อวิ๋นฉี “ลู่อว๋นฉี เจ้าว่าเฉิงกั๋วกงเวลานี้อยู่ที่ใด?”

“ครั้งสุดท้ายสืบไปได้ถึงปรากฏตัวที่ด่านหม่าเลวี่ย ทิศทางน่าจะมุ่งไปเป่าโจว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

“สืบพบทำไมจับไม่ได้?” ฮ่องเต้ตรัส

ลู่อวิ๋นฉีค้อมกาย

“เพรากระหม่อมเป็นตัวไร้ประโยชน์” เขาเอ่ย

คิดไม่ถึงลู่อวิ๋นฉีจะตอบเช่นนี้ มีขุนนางใหญ่หวิดกลั้นไม่อยู่หัวเราะออกมา โชคดีกลั้นไว้ทันเวลา

ฮ่องเต้ปาฎีกาลงพื้นดังป้าบ

“ได้ยินไหม เฉิงกั๋วกงมุ่งไปแดนเหนือแล้ว บอกชิงเหอปั๋ว ข้าต้องการดูว่าเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่งหรือไม่” พระองค์ตรัสเสียงเย็นชา

หวงเฉิงค้อมกายขานรับ

“เฉิงกั๋วกงถึงกับมุ่งไปแดนเหนือ นั่นไยไม่ใช่เอาตนเองไปติดกับ?” ขุนนางทั้งหลายออกจากที่ประชุมก็อดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา

หวงเฉิงแค่นเสียงเหอะแล้ว

“เขาย่อมต้องไปแดนเหนือ” เขาเอ่ย “ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนอยู่ที่แดนเหนือ สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุดเช่นกัน”

ขุนนางทั้งหลายที่ติดตามพยักหน้า

“บอกชิงเหอปั๋ว ฝ่าบาทบัญชาให้เขาดำเนินการตามสบาย” หวงเฉิงเอ่ย “เขาอย่าได้ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”

พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักอีกครั้ง

“แล้วก็อย่าทำให้ตัวเขาเองผิดหวังอีก”

ขุนนางทั้งหลายขานรับ สีหน้ายากปิดบังความยินดี

แม้ยังจับเฉิงกั๋วกงไม่ได้ แต่เฉิงกั๋วกงวันนี้ก็ไม่แตกต่างอันใดกับตายไปแล้ว อำนาจทางทหารไม่มีแล้ว ที่ตัวแบกโทษ ชื่อเสียงหมดสิ้นแล้ว ต่อให้มีคนไม่น้อยช่วยเหลือในที่ลับ แต่ก็ได้แต่กระทำการในที่ลับ ไม่กล้าโผล่ศีรษะโผล่หน้าอย่างสง่าผ่าเผยอีกต่อไปแล้ว

เฉิงกั๋วกงหลังจากนี้ไปจะกลายเป็นประหนึ่งหนูไม่อาจพบแสงตะวันได้อีกต่อไป

สำหรับวีรบุรุษคนหนึ่งแล้ว จากยอดเมฆร่วงหล่นมาถึงบึงโคลน นี่ทรมานยิ่งกว่าตายอย่างแท้จริง

เสียงพูดคุยแผ่วเบาและเสียงหัวเราะเยาะหลายเสียงที่ดังขึ้นมาเป็นระยะของขุนนางทั้งหลายเหล่านี้ด้านหน้า ลู่อวิ๋นฉีที่เดินอยู่ด้านหลังไม่สนใจ นอกจากนี้ยังหยุดเท้า

เขาหันกลับไป มองหนิงอวิ๋นเจาที่ตามอยู่ด้านหลัง

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มก้าวเข้ามา

“ใต้เท้าลู่กลับกรมหรือกลับบ้านเล่า” เขาเอ่ยขึ้น เหมือนไม่ได้ตามลู่อวิ๋นฉีมาตลอด แต่บังเอิญพบเข้าจึงทักทายอย่างสบายๆ

หนิงอวิ๋นเจาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในราชสำนัก ยามเผชิญหน้ากับลู่อวิ๋นฉี ปฏิกิริยาของคนในราชสำนักไม่เหยียดหยามอย่างพระญาติเชื้อพระวงศ์ลูกหลานผู้มียศศักดิ์สูงประเภทนั้นเช่นจูจั้น ก็ดูแคลนอย่างขุนนางพลเรือนยอดบัณฑิตพวกนี้เช่นหนิงเหยียน ไม่ว่าหวาดกลัวหรือดูแคลน ทุกคนล้วนอยู่ห่างจากเขา

แน่นอนก็มีคนประจบเข้าใกล้เช่นกัน แต่ไม่มีใครคุยสัพเพเหระสบายๆ เช่นนี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาได้

ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจเขาหันศีรษะก้าวเดินต่อ

“ท่านเดาว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย มองรอบด้านทีหนึ่ง

รอบด้านสายตาไม่น้อยบ้างโจ่งแจ้งบ้างแอบๆ มองพวกเขาอยู่ เต็มไปด้วยการคาดเดา

ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่สนใจเขา หนิงอวิ๋นเจาก็ไม่รอคำตอบของเขาเช่นกัน

“แน่นอนพวกเขาต้องคิดว่าข้าใจกล้าเอาการ” เขาเอ่ย แล้วก็คล้ายคิดถึงเรื่องน่าขันอะไรได้ “ข้าใจกล้าเอาการนะ ใต้เท้าลู่ทราบไหม? ตอนนั้นข้าบุกเข้าไปในตระกูลฟางตอนเที่ยงคืนพบปะยามราตรีกับคุณหนูจวิน”

ลู่อวิ๋นฉีหยุดก้าวเท้า

“วันที่สามเดือนสามหอจิ้นอวิ๋น หลังจากน้องสาวเจ้ากับคุณหนูตระกูลหลินสมคบกันวางแผนทำร้ายนางหรือ?” เขาเอ่ยถาม

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้า

“เจ้าอยากพูดอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม

“ข้าอยากบอกว่าข้ามักจะขอพบนางในเวลาที่ไม่เหมาะสม ไม่สะดวก ไม่สมควรเสมอ” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้น “ดังนั้นตอนนี้ข้าไปพบนางได้ไหม?”

ตอนนี้เทียบกับเมื่อตอนนั้นที่พบปะภรรยาผู้อื่นยามค่ำคืนไม่เหมาะสมยิ่งกว่า ไม่สะดวกยิ่งกว่า นอกจากนี้อันตรายยิ่งกว่า

แต่หนิงอวิ๋นเจายังคงเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ

ลู่อวิ๋นฉีมองเขาครู่หนึ่ง

“เจ้าใจกล้าไม่น้อยจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มมองเขา

“ถ้าเช่นนั้น…” เขาเอ่ยถาม

“ไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขัดเขา หมุนตัวจากไป

ไม่ได้ อย่างน้อยก็ยืนยันว่าคนอยู่ในมือเขา หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันอยู่ด้านหลัง

“นี่” เขาติดตามไปอีกหลายก้าว “ถ้าเช่นนั้นส่งของบางอย่างไปได้ไหม?”

ลู่อวิ๋นฉีศีรษะก็ไม่หันกลับเดินจากไปแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้กลับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ตรงกลับมาถึงในบ้าน บ่าวหญิงคนหนึ่งรออยู่ที่ประตู เห็นเขาเข้ามาก็คำนับอย่างขัดเขิน

“องค์หญิงมีธุระใดหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีอ้าปากเอ่ยถามก่อน

ความตื่นเต้นของบ่าวหญิงฉับพลันสลายไป ใต้เท้าลู่ปฏิบัติกับองค์หญิงต่างไปจริงๆ

“เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้องค์หญิงถามว่าใต้เท้าลู่กลับมาหรือยัง” นางเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีขานอืมคำหนึ่งตรงมายังเรือนขององค์หญิงจิ่วหลี

“ทำเสื้อนวมตัวหนึ่งให้จิ่วหรง” องค์หญิงจิ่วหลีส่งเสื้อตัวหนึ่งให้เขา “รบกวนใต้เท้าแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีรับมามองดูฝีเย็บถี่ยิบทีหนึ่งแล้วขานอืมตอบ

“ข้าจะไปส่งมอบด้วยตนเอง” เขาเอ่ย

จิ่วหลีอมยิ้มเอ่ยขอบคุณ

“เช้าเช่นนี้ก็กลับมาแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวสินะ?” นางเอ่ยถาม มองด้านข้างทีหนึ่ง “ที่นี่เพิ่งตั้งโต๊ะ…”

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ

“ข้ายังมีธุระ ขอบคุณองค์หญิงยิ่ง” เขาเอ่ยตอบ

องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มพยักหน้าไม่เกรงใจอีกต่อไป ขณะที่มองดูลู่อวิ๋นฉีเดินออกไป สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เคร่งขรึม นั่งลงหน้าโต๊ะอาหารทานอาหารช้าๆ ฉับพลันชี้จานหนึ่ง

“จานนี้ทำได้ค่อนข้างดี พวกเจ้าไปบอกใต้เท้าลู่ ให้ห้องครัวส่งสิ่งนี้ไปให้ไหวอ๋องชุดหนึ่ง” นางเอ่ย

บ่าวหญิงคนหนึ่งรีบขานรับเจ้าค่ะ หลังออกไปไม่นานก็กลับมา สีหน้ากระวนกระวายอยู่บ้าง

“บอกแล้วรึ?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถาม

“บอกแล้วเพคะ” บ่าวหญิงตอบ “เพียงแต่ใต้เท้าอยู่ที่เรือนฝูอวิ๋น บ่าวไม่ได้พบจึงให้พวกเขาบอกต่อ“

ไม่มีคำสั่งของลู่อวิ๋นฉี ไม่มีใครกล้าส่งของไปยังวังไหวอ๋อง จำต้องให้ลู่อวิ่นฉีพยักหน้าถึงจะได้

องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้า

“พูดแล้วก็พอ ไม่รีบร้อน” นางอมยิ้มเอ่ย

บ่าวหญิงก้มศีรษะถอยอกไป องค์หญิงจิ่วหลีทานอาหารช้าๆ

ณ เรือนฝูอวิ๋น

ในห้องที่สว่างอ่อนโยน ลู่อวิ๋นฉีนั่งลงด้านหน้าคุณหนูจวิน บนโต๊ะวางอาหารอยู่ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงมือป้อนอาหาร แต่มองดูนาง มองดูนางอย่างตั้งใจ

คุณหนูจวินมองเขาอย่างเฉยชา ไม่หลบไม่หลีกและไม่จ้อง

“วันนี้ใต้เท้าหนิงหนิงอวิ๋นเจาคนนั้นค่อนข้างน่าสนใจ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “เขาถึงกับบอกข้าว่าต้องการพบเจ้า”

หนิงอวิ๋นเจาหรือ แววตาของคุณหนูจวินอ่อนโยนลงอยู่บ้าง

ลู่อวิ๋นฉีมองดวงตาของนาง

“เขาค่อนข้างชอบเจ้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นมา “คนมีเพียงยามชอบยิ่งนักเท่านั้น ความกล้าถึงจะมากเป็นพิเศษ”

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา สีหน้าฟื้นกลับมาเฉยชา

“เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไม่พอใจทำร้ายเขา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ข้าดีใจยิ่ง เจ้าก็คือเจ้า ไม่ว่าเป็นสภาพไหนก็ล้วนดีเช่นนี้ ทำให้คนชื่นชอบ”

ผ่านเมืองต้าหมิงไป คนบนถนนยิ่งมาก คนที่หนีภัยไปยามสงครามก่อนหน้านี้ล้วนทยอยกลับมา ผนวกกับทหารที่ประจำการสามเมืองแต่เดิมถอยกลับมา ทหารด้านนี้จึงมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก บนถนนใหญ่จะเห็นทหารสวมเกราะเด่นสะดุดตาขี่ม้าเร็วรี่ผ่านไปเป็นระยะๆ

ท่ามกลางคนที่เดินทางไปมานี้ นอกจากประชาชนธรรมดาที่หิ้วหาบข้าวของแล้ว ยังมีคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราขี่ม้าตัวโตสำเนียงต่างถิ่นอีกไม่น้อย

“ทำไมคนต่างถิ่นมากปานนี้?” มีชาวบ้านเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ดูแล้วก็ไม่เหมือนหนีภัยนะ”

อีกอย่างใครหนีมาที่นี่ของพวกเขา แดนเหนือชายแดน กองทัพใหญ่ชาวจินรวมพลอยู่ แม้บอกว่าเจรจาสงบศึกแล้วไม่ทำสงครามแล้ว แต่ก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี

“หนีภัยอะไร” มีคนเดินเท้าส่ายศีรษะ “มีคนหนีภัยที่ไหนแต่งตัวเช่นนี้ พวกนี้ล้วนเป็นพวกพ่อค้า”

ขอเพียงเป็นสถานที่ซึ่งมีคนย่อมมีการค้า นี่ไม่มีสิ่งใดแปลก เพียงแต่มณฑลเหอเป่ยตงกับเหอเป่ยซีภายใต้การปกครองของเฉิงกั๋วกงสิบกว่าปีนี้ควบคุมพ่อค้าเข้มงวดยิ่งนัก

แน่นอนแดนเหนือทำการค้าได้ แต่เฉิงกั๋วกงขึ้นทะเบียนพวกเขาแยกต่างหากควบคุมเข้มงวด ทั้งยังกำหนดจุดค้าขายแน่นอน เคลื่อนไหวตามใจระหว่างเมืองมณฑลต้องแจ้ง ส่วนป้อมปราการชายแดนยิ่งไม่อนุญาตให้เข้าใกล้

“ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงเบา “ชิงเหอปั๋วบอกว่าแดนเหนือทำสงครามทุกข์ยากมาหลายปีต้องให้ชาวบ้านมั่งคั่งร่ำรวย เช่นนี้ถึงทหารแข็งแกร่งอาชาพ่วงพีได้ ดังนั้นพ่อค้าทั้งหลายจึงล้วนรีบมา”

ชาวบ้านทั้งหลายคล้ายเข้าใจแต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ

“ที่นี่ของพวกเรามีอะไรให้ทำการค้าได้รึ” ทุกคนส่ายศีรษะ “แล้วยังอันตรายเช่นนี้ ไม่กลัวขาดทุนไร้สิ่งใดกลับไปเสียบ้าง”

“ใครจะรู้ อย่างไรพ่อค้าทั้งหลายไล่ตามผลประโยชน์เก่งที่สุด ในเมื่อมีเงินให้แย่งก็ไม่กลัวสิ่งใด” คนเดินทางผายมือเอ่ย พูดพลางก็พยักพเยิดศีรษะไปข้างหน้า “ดูด่านด้านนั้นต่อแถวรออยู่เท่าไร”

แม้บอกว่าอนุญาตให้พ่อค้าเคลื่อนไหวตามใจ แต่ด่านก็ยังคงเข้มงวดยิ่งนัก คนไม่น้อยล้วนถูกปฏิเสธไล่ไป

“ใต้เท้าซุน พวกเราเพียงต้องการไปทำการค้า ทำไมไม่ให้ผ่านเล่า?” ผู้คนที่ถูกปฏิเสธขมวดคิ้วหน้าเป็นทุกข์สอบถาม

แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าซุนสีหน้าเย็นชา

“ไม่มีเหตุผล” เขาเอ่ย

ดียิ่ง แม่ทัพคนนี้ดูปราดเดียวก็เป็นแม่ทัพเก่า ได้รับอิทธิพลจากวิธีการใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบนั้นของเฉิงกั๋วกงมาอย่างลึกซึ้ง

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เฉิงกั๋วกงปกครองแล้ว นอกจากนั้นเฉิงกั๋วกงก็คิดกบฏหลบไปซ่อนแล้วด้วย ยังวางอำนาจอะไรอีก พ่อค้าทั้งหลายที่ถูกขวางไว้นอกด่านไม่ได้สลายตัวไปทันที แต่โหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอก

ม่านขนสัตว์หนาหนักทิ้งตัวลงมา เสียงโวยวายด้านนอกถูกกั้นออกไปทันที

“ดูสิ ม่านนี่ไม่เหมือนกัน” บุรุษคิ้วเรียวหน้ายาวอายุราวห้าสิบปีคนหนึ่งคลึงผ้าม่านแล้วเอ่ยด้วยสำเนียงแดนใต้จัด “ของดีจริงๆ”

แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องหัวเราะพรืดแล้ว

“ม่านขาดผืนหนึ่งนับเป็นของดีอะไร” เขาเอ่ยพลางดื่มชาคำโตดังอึ้ก ยกเท้าวางไว้บนโต๊ะเตี้ย เกราะบนร่างส่งเสียงเกรียวกราว การเคลื่อนไหวหยาบเถื่อนนี่ส่งความน่ากลัวออกมา

“ใต้เท้าซ่ง อย่าดูถูกม่านขาดนี่เชียว เอาไปถึงทางใต้ของพวกเรา ผืนหนึ่งหาเงินได้ตั้งหลายสิบอีแปะ” บุรุษเอ่ยเสียงแผ่วเบากระซิบ

แม่ทัพซ่งหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง

“สิบอีแปะเจ้าก็เห็นอยู่ในสายตาด้วยรึ?” เขาหัวเราะเอ่ย

“ทำการค้าน่ะ ไม่แบ่งเงินมากน้อย ขอแค่เป็นเงินล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น” บุรุษอมยิ้มเอ่ย นั่งลงฝั่งตรงข้ามของแม่ทัพซ่ง “ดังนั้นใต้เท้าซ่ง แดนเหนืออันแร้นแค้นแห่งนี้ในสายตาพวกท่าน ในสายตาพวกเราทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเงิน”

แม่ทัพซ่งลูบหนวดส่งเสียงเหอะๆ สองที

“ข้าเป็นทหารคนหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ของพวกเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น จากนั้นหรี่ตาลงในดวงตาระยิบระยับ “ข้ารู้เพียงว่าสถานที่ซึ่งพวกเจ้าจะไปไม่เหมาะ เป่าโจว สยงโจว ป้าโจวสามเมืองใกล้ๆ ไม่มีม่านขาดสักเท่าไร หรือพวกเจ้าจะไปทำการค้ากับชาวจินเล่า?”

ทำการค้ากับชาวจินที่แดนเหนือจะถูกมองว่าเป็นสายลับ จับได้มีโทษหนักตัดศีรษะทันที

บุรุษไม่ได้ถูกคำข่มขู่นี้ทำให้หวาดกลัวหน้าถอดสี ยังคงนั่งนิ่งสงบ

“ใต้เท้า คำนี้ข้ารับไม่ไหวจริงๆ” เขาหัวเราะเอ่ย “ใต้เท้าทั้งหลายต้านทานชาวจินไม่หวั่นกลัวความตาย แม้พวกเรารักเงินตรา แต่เทียบกับความเป็นความตายแล้ว เงินนับเป็นอันใด ใต้เท้า พวกท่านอยู่ต่อหน้าชาวจินกระทั่งความเป็นความตายยังไม่กลัว พวกเราย่อมไม่มีทางทำการค้ากับชาวจินเพื่อเงินไม่กี่อีแปะเด็ดขาด”

แม่ทัพซ่งแสดงออกว่าพึงพอใจมากกับคำยกยอ ขยับขาที่พาดอยู่บนโต๊ะเปลี่ยนท่าทีหนึ่ง

“รู้ก็ดี” เขาเอ่ย “อย่าแตะเรื่องที่ไม่ควรแตะเพื่อเงิน”

บุรุษอมยิ้มขานรับ เอนกายเล็กน้อยเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดฝุ่นดินที่ไม่มีอยู่บนรองเท้าบู้ทให้แม่ทัพซ่ง

“รองเท้าบู้ทนี่ของใต้เท้าสวมมานานพอตัวแล้วจริงๆ” เขาถอนหายใจเอ่ย

แม่ทัพซ่งขานอ้อ

“ไหนเลยมีงบทหารมากปานนั้นใช้กับเครื่องแบบ ได้กินข้าวอิ่ม อาวุธไม่ขาดถึงสำคัญที่สุด” เขาเอ่ย

บุรุษพยักหน้าหลายหนขานว่าใช่

“ร้านของเราค้าขายเครื่องหนัง สิ่งอื่นไม่มี รองเท้าหนังกับเสื้อหนังสัตว์เหล่านี้มากนัก” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ฤดูหนาวใกล้มาเยือน หวังว่าใต้เท้ากับทหารทั้งหลายจะได้สวมใส่อบอุ่นบ้าง ก็ไม่มาก มีแค่สองคันรถ”

เขาพูดพลางชี้ไปด้านนอก

ทะลุผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมองเห็นรถสองคนที่จอดอยู่ในลานและของที่กองสูงใช้ผ้าปิดคลุมไว้อย่างแน่นหนาได้

แม่ทัพซ่งหรี่ตาลง

“เอาสิ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอบคุณเจ้าแทนนายทหารทั้งหลายแล้ว” เขาเอ่ย ยกมือปุบก็ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากในรองเท้าบู้ทสะบัดทีหนึ่ง “จำไว้ทำการค้าตรงไปตรงมา”

บุรุษยินดียิ่งยื่นมือรับไปอย่างนอบน้อม ก้มต่ำคำนับ

“ใต้เท้าโปรดวางใจ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “พวกเราเข้าใจ ไม่มีชีวิตที่สงบมั่นคง พวกเราก็ไม่มีการค้าให้ทำ หาเงินไม่ได้เช่นกัน”

บุรุษถอยออกไปอย่างนอบน้อม แม่ทัพขยับก็ไม่ขยับ ไม่นานข้างนอกก็มีขุนนางพลเรือนคนหนึ่งเข้ามา กระซิบข้างหูแม่ทัพสองประโยค คล้ายพูดเรื่องน่ายินดีอันใด ตนเองกลั้นไม่อยู่หัวเราะพรืดก่อนแล้ว

แม่ทัพก็หัวเราะเช่นกัน เบิกตาอีก

“สำรวมหน่อย ท่าทางเหมือนไม่มีการศึกษา” เขาเอ่ย

ขุนนางผู้น้อยรีบเก็บรอยยิ้ม แต่จากนั้นก็ส่งเสียงพรืดๆ ออกมาอีก

แม่ทัพก็ไม่กล่าวโทษเขา ขาที่พาดอยู่เขย่าเป็นจังหวะ

นอกประตูเสียงฝีเท้าสับสนพักหนึ่ง พร้อมกับเสียงห้าม

“ใต้เท้าซุน ท่านเข้าไปไม่ได้”

“ใต้เท้าซุน ใต้เท้าซ่งพักผ่อนอยู่นะขอรับ”

ได้ยินเสียงนี่ ความสำราญใจบนหน้าใต้เท้าซ่งฉับพลันสลายไป

ขุนนางผู้น้อยรีบเอ่ย

“ใต้เท้า ผู้น้อยไปจัดการเขาเอง”

ใต้เท้าซ่งทีหนึ่งถีบโต๊ะออก ก้าวยาวเดินออกมา แม่ทัพคนหนึ่งผลักนายทหารที่ขวางออกไป ยืนอยู่ในลาน เห็นใต้เท้าซ่งเดินออกมาเขาก็หยุดเท้า

“ใต้เท้าซุน มีเรื่องใดหรือ?” ใต้เท้าซ่งเอ่ยถามอย่างไม่นำพา

ใต้เท้าซุนมองเขา

“ทำไมปล่อยพ่อค้าพวกนี้เดินทางไปชายแดนโดยพลการ?” เขาเอ่ยขึ้น

“อะไรคือปล่อยโดยพลการ?” ใต้เท้าซ่งเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้แดนเหนือสงบมั่นคง ผู้อื่นทำการค้าคนย่อมเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง อาศัยอะไรไม่ปล่อย?”

“วันนี้ชาวจินรุกคืบเข้ามาในแดนเหนือของเรา จำต้องตรวจสอบเข้มงวดป้องกันแน่นหนาไม่ให้สายลับแทรกซึม” ใต้เท้าซุนเอ่ย

ใต้เท้าซ่งส่ายศีรษะ

“ข้าว่าซุนน้อย เจ้าคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ผู้อื่นเพียงทำการค้า ทำไมกลายเป็นสายลับแล้วเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าลองคิดดูสิ กลายเป็นสายลับให้ชาวจินถาโถมสู่แดนเหนือ พวกเขามีประโยชน์อันใด นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ พ่อค้าเหล่านี้ก็ไม่ได้โง่”

ใต้เท้าซุนมองเขาสีหน้าเคร่งขรึม

“ท่านประเมินพ่อค้าเหล่านี้ต่ำเกินไป เพื่อเงินพวกเขาสิ่งใดล้วนไม่สนใจ ขอเพียงมีผลประโยชน์มากพอ พวกเขาก็กล้ารนหาที่ตาย” เขาเอ่ย “ใต้เท้าซ่ง ท่านเพิ่งมายังไม่รู้ชัด นี่เป็นบทเรียนที่พวกเราใช้เลือดแลกมา…”

ใต้เท้าซ่งสีหน้าฉับพลันเปลี่ยนไป

“ข้าเพิ่งมา? พูดเหมือนข้าไม่เคยทำสงครามไม่เคยสังหารศัตรู สิ่งใดล้วนไม่เข้าใจ” ฉับพลันเขาก็โกรธจัด ยื่นมือชี้แม่ทัพซุน “คนแซ่ซุนข้าบอกเจ้า ตอนนั้นที่ข้าสังหารโจรจินเจ้ายังกินนมอยู่เลย เจ้าสิเข้าใจอะไร”

ใต้เท้าซุนสีหน้าแข็งทื่อ ฉับพลันเดินไม่กี่ก้าวไปหยุดอยู่หน้ารถสองคันในลาน ขณะที่ผู้คนยังไม่ทันตอบสนองก็ก้าวเข้ามาทึ้งผ้าคลุมออก

ใต้เท้าซ่งกับขุนนางผู้น้อยอุทานตกใจทีหนึ่ง

ผ้าคลุมเปิดออกเผยเสื้อหนังสัตว์กับรองเท้าบู้ทหนังที่กองสุมอยู่บนรถ

“เจ้าทำอะไร!” ขุนนางผู้น้อยตะโกน กระโดดเข้ามาหลายก้าว “นี่เป็นของที่จะให้พี่น้องทั้งหลายใช้ผ่านหน้าหนาว ใต้เท้าคิดถึงพี่น้องทั้งหลายถึงตั้งใจขอมาจากพ่อค้าพวกนั้น…”

คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ แม่ทัพซุนก็ยกเท้าถีบบนรถ

เรี่ยวแรงของเขามากอย่างที่สุด รถที่ดูแล้วเต็มแน่นถึงกับถูกถีบเอนไปด้านข้าง พร้อมกับเสียงร้องตกใจของขุนนางผู้น้อย เสียงโครมทีหนึ่งรถก็พลิก รองเท้าหนังเสื้อหนังสัตว์ร่วงพรืดบนพื้น ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้สอดแทรกด้วยของสีขาวแวววาว ซึ่งทำให้คนในลานล้วนตาลายไปวูบหนึ่ง

นั่นมัน…เงินแท่ง

ท่ามกลางรองเท้าบู้ทหนังและเสื้อหนังสัตว์ที่ร่วงเกลื่อนอยู่เต็มไปด้วยก้อนเงินและแท่งเงิน

ในเรือนเงียบกริบ

“ใต้เท้าซ่ง ข้าไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร?” แม่ทัพซุนมองใต้เท้าซ่ง เอ่ยอย่างเย็นชา “หรือใต้เท้ายังขอเงินจากพ่อค้ามาเป็นเบี้ยหวัดของพี่น้องทั้งหลายด้วยรึ?”

สีหน้าใต้เท้าซ่งเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง ฉับพลันคิ้วตั้ง

“คนแซ่ซุน เจ้าทำงานของเจ้าไปให้ดี ยุ่งไม่เข้าเรื่องให้มันน้อยๆ หน่อย” เขาตวาด

“ซ่งจื้อเจี๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เจ้ากำลังทำอันใด? นี่เจ้ากำลังช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว นี่เจ้ากำลังทำลายรากฐานของแดนเหนือ…” แม่ทัพซุนก็ตวาดบ้าง สีหน้าโกรธเกรี้ยว ยื่นมือชี้แม่ทัพซ่ง

“ข้าช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว?” ใต้เท้าซ่งสีหน้าเหี้ยมขึ้นมา ยกมือสะบัด “กุมตัวไว้!”

นายทหารทั้งหลายที่นิ่งงันในลานได้สติขึ้นมา ไม่ลังเลสักนิดโถมเข้าไปกดใต้เท้าซุนไว้

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ใต้เท้าซุนตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

“ข้าคิดจะทำอะไร? ข้าก็อยากถามเจ้าว่าคิดจะทำอะไร?” ใต้เท้าซ่งสีหน้าเย็นเยียบ “เจ้าพาคนปิดด่านแน่นหนาแมลงวันยังผ่านไม่ได้ ก่อเรื่องจนเสียงโอดครวญกระจายไปทั่ว เจ้าจะลอบส่งข่าวให้พวกเฉิงกั๋วกงพ่อลูกให้พวกเขาหลบเลี่ยงการจับกุมที่นี่ใช่หรือไม่?”

ใต้เท้าซุนโกรธจนหน้าแดงหมดแล้ว

“บ้าบอจริงๆ บ้าบอจริงๆ” เขาตวาด พลางดิ้นรน

ใต้เท้าซ่งกลับยังไม่เลิกราก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง

“พูด เฉิงกั๋วกงติดต่อเจ้าใช่หรือไม่? เขาให้เจ้าทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เขาตวาดเอ่ย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ “ซุนจั้น เจ้าเป็นคนที่ติดตามเฉิงกั๋วกงมาสิบปี…”

“ข้าไม่ใช่คนที่ติดตามใครมาสิบปี ข้าคือคนที่ทำศึกเพื่อต้าโจวมาสิบปี เขาเป็นแม่ทัพข้าเชื่อฟังเขา หากเขาเป็นกบฏข้าจับเขาไม่เว้น ซ่งจื้อเจี๋ย นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสี!” แม่ทัพซุนตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

ใต้เท้าซ่งก้มมองเขาจากที่สูง

“ใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ ตรวจสอบดูก็รู้ชัดแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา สะบัดมือทีหนึ่ง “พาไป”

นายทหารทั้งหลายไม่สนการดิ้นรนของใต้เท้าซุนประหนึ่งหมาป่าประหนึ่งพยัคฆ์อุดปากเขาไว้คุมตัวไปแล้ว

“ในที่สุดก็สงบแล้ว” ขุนนางผู้น้อยยิ้มประจบใต้เท้าซ่ง “อย่างไรก็เป็นใต้เท้าเด็ดขาดฉับไว”

ใต้เท้าซ่งแค่นเสียงเหอะ

“พวกเราเป็นทหารคุยเหตุผลด้วยกำปั้น” เขาเอ่ย “วันนี้กำปั้นใครใหญ่ คนที่มองไม่ชัดก็สมควรเคราะห์ร้าย”

พูดจบก็มองเงินที่ร่วงกระจายบนพื้น ยกมือขึ้น

“เก็บพวกนี้เสีย ส่งให้ชิงเหอปั๋ว”

คิดถึงอะไรได้ก็ชะงักนิดหนึ่งอีกหน

“จำไว้ว่าเก็บส่วนหนึ่งไว้ให้พวกเราใช้ตอนปีใหม่ด้วย ที่ควรกดขี่ก็กดขี่ ที่ควรให้รางวัลก็ยังต้องให้รางวัล”

“ใต้เท้าฉลาดเฉลียว!” ขุนนางผู้น้อยคำนับขานรับอย่างปิติยินดี

……………………………………….

……………………………………….

ด่านถูกทิ้งไว้เบื้องหลังร่างไกลโพ้น ถนนด้านหน้าราบเรียบกว้างขวางเหมาะแก่ม้าโผทะยาน แต่คนที่ขับรถกลับไม่ได้เร่งม้าควบขี่เร็วรี่ ทว่าหันศีรษะกลับไปมอง

“ข้ายอมผ่านมาไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น

คนขับรถคนนี้หน้าตาแก่ชรา สวมหมวกหนาปิดบังเส้นผมกระเซอะกระเซิง แลดูซกมกยิ่ง แต่เสียงกลับอ่อนโยนสะอาด

“พ่อ ข้ารู้ความหมายของท่าน” บุรุษหนวดที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างก้าวเข้ามาเอ่ยเสียเข้ม “พวกเราผ่านมาได้เช่นนี้ พ่อค้าคนอื่นก็ผ่านมาเช่นนี้ได้ พวกเขาจ่ายเงินมากปานนั้นไป ย่อมไม่มีทางโยนทิ้งเปล่า ต้องตักตวงคืนกลับมาแน่นอน”

ส่วนจะตักตวงอย่างไร เบื้องหน้าเงินทองผลประโยชน์ คนบ้าคลั่งได้ทั้งยังไม่มีขีดจำกัด

คนรถมองเบื้องหลังด้วยแววตาหม่นหมองครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ถอนใจอันใดอีก มองไปทางบุรุษหนวด

“คุณหนูจวินไม่มีข่าวเลย” เขาเอ่ยถาม “บางทีอาจไม่เป็นไร”

บุรุษหนวดยิ้มแล้ว

“พ่อ ท่านไม่รู้จักเจ้าลูกกระต่ายนั่น” เขาเอ่ยขึ้น “หากนางปลอดภัยไม่เป็นไร เขาจะต้องให้ข้ารู้ จะได้โอ้อวดมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น หากนางไม่สบายนิดหนึ่ง เจ้าหนูนี่จะต้องปิดบัง เขาน่ะไม่อยากให้ข้าไปทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม”

“บางทีตอนนี้เขาคงรู้ว่าเจ้าก็ไร้หนทางทำตัวเป็นวีรบุรุษ ถ้าไปกลับจะเพิ่มความวุ่นวาย” คนรถเอ่ยเสียงอ่อนโยน

บุรุษหนวดพรูลมหายใจ สะบัดแส้ในมือ

“สถานที่ซึ่งวีรบุรุษองอาจห้าวหาญต่างกัน” เขาเอ่ย “พวกเราก็ไปทำตัวเป็นวีรบุรุษในสถานที่ซึ่งควรไปเถอะ”

พูดจบพลันควบม้าเร็วรี่

คนรถไม่ได้เอ่ยวาจาอีก ยกมือสะบัดเบาๆ ม้าวิ่งกุบกับ ธงที่ปักบนรถรับลมสะบัดพรึบพรับ ขบวนคนด้านหน้าด้านหลังเคลื่อนตาม ตะโกนคำขวัญเหมือนเช่นขบวนพ่อค้าทั้งหมด วิ่งมุ่งหน้าไปอย่างครึกครื้น

หน้าหนาวของเขตมณทลเหอเป่ยตะวันออก เพราะก่อนหน้านี้ประสบคลื่นคนอพยพ เปลือกไม้ต้นหญ้าล้วนถูกขุดจนเกลี้ยง เวลานี้ยิ่งแลดูเปล่าเปลี่ยวทรุดโทรม

แต่ดีเลวก็ไม่น่าหวาดหวั่นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว บนถนนใหญ่พลุกพล่านเอะอะทั้งยังครึกครื้น

ที่หมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งนอกเมืองต้าหมิงไม่ไกลพอดีเป็นงานวัด ชาวบ้านใกล้ไกลล้วนเร่งเดินทางมาขายและหาซื้อฟืนข้าวสารำน้ำมันเกลือรวมถึงของป่าชนิดต่างๆ

“การค้านี่ทำไม่ง่ายนะ”

“ชีวิตวันนี้ล้วนไม่มั่งคั่ง”

“ใช่แล้ว เพิ่งผ่านสงครามวุ่นวายมา”

คนตัดฟืนหลายคนนั่งยองอยู่ที่ประตูเมือง มือสอดไว้ในแขนเสื้อรอทำการค้าไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง

ในหมู่พวกเขา บุรุษวัยสามสิบกว่าปีคนหนึ่งเงียบงันยิ่งนัก

“น้องชายคนนี้ฟืนไม่น้อยนี่” มีคนเป็นฝ่ายเอ่ยสานสัมพันธ์

เขาขานรับ สีหน้าเขินอาย

“น้องชายก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น” คนตัดฟืนอีกคนยื่นศีรษะมาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้

หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่ คนตัดฟืนคนขายฟืนที่ไปๆ มาๆ มักเป็นคนกลุ่มนี้เสมอ มากน้อยก็คุ้นหน้ากันอยู่บ้าง

“อ้อ ข้ามาครั้งแรก” บุรุษแปลกหน้าเอ่ยขึ้น

คนทั้งสองฝั่งล้วนหัวเราะแล้ว ล้วนเป็นสำเนียงถิ่นเดียวกันคุ้นเคยนัก

“เว่ยเตี้ยนหรือ?” คนก่อนหน้านั้นเอ่ยถาม

บุรุษแปลกหน้าขานอืมพยักหน้า

“ฟืนนี่ของเจ้ามากเหลือเกิน” คนด้านข้างชี้อย่างกระตือรือร้น “ไม่น่าตัดมาเยอะเช่นนี้ เยอะไปยิ่งไม่ได้ราคา”

“แต่ ก็ไม่แน่นะ ข้าได้ยินว่าพักนี้มีคนรับฟืนจำนวนมาก” มีคนเอ่ยขึ้นบ้าง “เต๋อเซิ่งชางของเมืองต้าหมิง”

นั่นเป็นถึงตระกูลร่ำรวยแห่งหนึ่ง ทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที

“เต๋อเซิ่งชางตระกูลเช่นนั้นจะต้องการฟืนมากมายเช่นนั้นไปทำอันใดเล่า?”

“นอกจากทำอาหาร พวกเขาก็ไม่เผาฟืน ล้วนใช้ถ่าน”

สำหรับชาวบ้านทำงานหนักอดมื้อกินมื้อเหล่านี้ ชีวิตที่คนรวยใช้กันล้วนยากจะจินตนาการได้

“พูดขึ้นมาแล้วก็ค่อนข้างน่าขำ” คนผู้นั้นเอ่ย ส่งสัญญาณให้ทุกคนมารวมตัวกันหน่อย

บุรุษจากเว่ยเตี้ยนคนนั้นก็ท่าทางสงสัยใคร่รู้เบียดเข้ามาด้วย

“เต๋อเซิ่งชางกำลังแยกตระกูลทุกคนได้ยินมาแล้วสินะ?”

บางคนเคยได้ยิน บางคนไม่รู้ อย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ทั้งชีวิตล้วนไม่มีโอกาสยุ่งเกี่ยวกับร้านแลกเงิน

คนผู้นั้นเล่าเรื่องสั้นๆ

“ดังนั้นตอนนี้คนของคุณหนูทั้งสองกับคนของนายน้อยจึงแบ่งร้านแลกเงินที่เมืองต้าหมิงกัน ล้วนเป็นมือเก๋ามากผู้คร่ำหวอด คนหนึ่งฉลาดกว่าอีกคนหนึ่ง นายน้อยฟางด้านนี้เพื่อให้พวกเขารีบไสหัวออกไปหน่อย จึงจงใจซื้อฟืนมาเผาไฟสร้างความอบอุ่น ทั้งจวนไฟลุกควันสุม แต่ละคนๆ ข้างในไอกันไม่หยุด น่าขำแทบตายจริงๆ”

เรื่องนี้ค่อนข้างน่าขำจริงๆ

“ทำจนกลายเป็นเช่นนี้ออกจะน่าอาย”

“เจ้าเข้าใจอะไร พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีให้ชัด คนรวยเหล่านี้แบ่งกันชัดที่สุดแล้ว”

ทุกคนหัวเราะวิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งเสียงกีบเท้าม้าหยุดข้างกาย

“เฮ้ย พวกเจ้ามีฟืนเท่าไร? ข้าเอาหมด” พร้อมกันนั้นก็มีเสียงบุรุษยโสเสียงหนึ่งเอ่ยถาม

ไม่มีทางกระมัง หรือว่าจะจริง…

เหล่าคนตัดฟืนมองไปอย่างไม่อยากเชื่อ

“แต่ต้องส่งไกลสักหน่อย ไปที่เต๋อเซิ่งชางเมืองต้าหมิง” เขาเอ่ย “แน่นอน ส่งฟืนจะคิดเงินให้พวกเจ้าต่างหาก”

เป็นเต๋อเซิ่งชางจริงๆ โชคดียิ่งแล้ว คนตัดฟืนทั้งหลายฉับพลันฮือฮาขึ้นมา รีบลนลานตอบรับไปพลาง รีบลนลานเก็บฟืนของตนเองไปพลาง

เมืองต้าหมิงคุ้มกันเข้มงวดกว่าก่อนหน้านี้มาก ผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางที่ก่อนหน้านี้เคยตรงดิ่งเข้ามาในเมืองต้าเมิงได้ก็ไม่อาจไม่รับการตรวจค้น คนตัดฟืนเหล่านี้ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น ฟืนล้วนถูกหอกยาวรุมแทงพักหนึ่ง

“ไม่ใช่ไม่ทำสงครามแล้วหรือ? เข้มงวดเช่นนี้ทำไม?” คนตัดฟืนอดไม่ได้เอ่ยถามเสียงเบา

“พวกเจ้ายังไม่รู้รึ” ชาวบ้านที่ถูกตรวจค้นเหมือนกันด้านข้างเอ่ยเสียงเบา “เฉิงกั๋วกงคิดกบฏกลัวโทษหลบหนี ตอนนี้กำลังจับพวกเขาทั้งครอบครัวอยู่แน่ะ”

ชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงทุกคนล้วนรู้ คนตัดฟืนทั้งหลายฉับพลันลืมตาโต

“เฉิงกั๋วกงคิดกบฏได้อย่างไร?” พวกเขาอดไม่ได้หลุดปากตะโกน

ชาวบ้านรอบด้านตกใจรีบโบกมือให้พวกเขา

“อยากตายรึ พวกเจ้าอยากถูกจับในฐานะพรรคพวกเดียวกันรึ?” พวกเขาเอ็ดเสียงเบา

คนตัดฟืนทั้งหลายเงียบเสียงไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง สีหน้าหวาดกลัว

“แต่เฉิงกั๋วกงคิดกบฏได้อย่างไรเล่า?” มีคนยังคงทนไม่ได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา

นี่ไม่ใช่คำถาม นี่คือการปฏิเสธ

คำนี้ทำให้ทุกคนล้วนเงียบงันไปครู่หนึ่ง สำหรับชาวบ้านแดนเหนือแล้ว เฉิงกั๋วกงเป็นตัวตนประหนึ่งเทพ

“เรื่องของเบื้องบนพวกเราจะรู้ได้อย่างไร” มีคนถอนหายใจเสียงเบา

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าเมืองเถอะ” คนด้านหลังเอ่ยเร่ง “สนแต่เรื่องตนเองให้ดีเถอะ”

พวกเขาชาวบ้านเบี้ยน้อยหอยน้อยเหล่านี้ ชีวิตตนยังยาก ไหนเลยจะยุ่งกับเรื่องใหญ่เบื้องบนเหล่านี้ได้

ความหม่นหมองที่ประตูเมืองสลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งพร้อมกับที่เห็นอักษรเต๋อเซิ่งชางสามคำ

“ข้าว่านะคนเว่ยเตี้ยน ครั้งนี้เจ้ารวยแล้ว โชคดียิ่ง” มีคนเอ่ยขึ้น มองบุรุษที่กองฟืนสูงที่สุดมากที่สุดในหมู่คน

บุรุษยิ้มขัดเขินอย่างซื่อๆ แม้ไม่พูดอะไร ในดวงตากลับเปล่งประกายระยิบระยับ

“เจ้าคนที่ไหนน่ะ?” ผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางมองพวกเขาแบกฟืนเดินเรียวแถวเข้ามาไปพลาง เหมือนจะถือโอกาสเอ่ยถามคุยเล่นไปพลาง

คนตัดฟืนทั้งหลายตอบทีละคนๆ เมื่อผลัดถึงบุรุษคนนี้ เขาก็มองผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางเพิ่มหลายที

“คนเว่ยเตี้ยนขอรับ” เขาเอ่ย ชะงักนิดหนึ่ง “บ้านเมียข้าอยู่หรู่หนาน”

คนชนบทตื่นเต้นแล้วจะไม่พูด แต่ก็มีที่ตื่นเต้นแล้วพูดมากด้วย การที่บุรุษคนนี้แจ้งว่าภรรยาของตนเป็นคนที่ไหนออกมาด้วย ผู้ดูแลจึงไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงขานอ้อคำหนึ่ง

เขาก้มศีรษะแบกกองฟืนจะเข้าไป ผู้ดูแลคนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นขานเรียกคำหนึ่งอีกหน

“ฟืนนี่ของเจ้าไม่น้อย” เขามองประเมิน “กำลังไม่น้อยนี่”

บุรุษขัดเขิน

ผู้ดูแลชี้ไปด้านใน

“พอดี ด้านในมีฟืนไม่น้อย เจ้าไปช่วยขนไปในห้อง” เขาเอ่ย “คิดค่าแรงต่างหากให้เจ้า”

งานดีจริงๆ คนตัดฟืนคนอื่นทำหน้าอิจฉามองบุรุษคนนี้ บุรุษเอ่ยขอบคุณแบกฟืนตามพนักงานคนหนึ่งเข้าไปในเรือนด้านใน

ในเรือนจุดไฟสุมควันจริงๆ เรือนหลังค่อนข้างดีหน่อย ผู้เฒ่าสวมเสื้อไหมคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงทางเดินดื่มชา

“อย่างไรก็เป็นที่นี่เงียบสงบ ข้าใกล้จะถูกรมตายแล้ว เจ้าคนกลุ่มนี้กลับยังทำงานได้ไม่ไป” เขาบ่นกับเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้า “ไปซื้อฟืนมาอีก เผา เผาให้เหี้ยมๆ”

เด็กรับใช้ยิ้มขานรับ ผู้เฒ่าดื่มชาคำหนึ่งเห็นบุรุษที่เดินเข้ามา

“นายท่านโจวให้เข้ามาขนฟืนขอรับ” พนักงานเอ่ยแนะนำ

ผู้เฒ่ามองประเมินบุรุษคนนี้

บุรุษก้มศีรษะตื่นเต้นอยู่บ้าง

“ท่านลุงชอบเล่นหมากไหม?” เขาพลันกัดฟันทีหนึ่งเอ่ยถาม

นี่คือไม่มีเรื่องคุยหาเรื่องคุยใช่ไหม? พนักงานทั้งหลายขำอยู่บ้าง

ผู้เฒ่าก็หัวเราะด้วยแล้ว

“เจ้าคนชนบทคนนี้เล่นหมากเป็นด้วยรึ?” เขาเอ่ยถาม แล้วหยุดชะงักนิดหนึ่ง “เจ้าเคยได้ยินหมากหมูไหม?”

หมากหมูคือหมากอันใด?

พนักงานทั้งหลายหัวเราะอีกครั้ง บนโลกมีหมากหมูอะไรที่ไหน ผู้ดูแลใหญ่เฒ่านี่หลอกคนชนบทแล้ว

“เคยได้ยินขอรับ” บุรุษกลับเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างตั้งใจ “บ้านเมียข้าเป็นคนหรู่หนานจึงเล่นเป็นอยู่”

มีจริงด้วยรึ?

พนักงานทั้งหลายคิดไม่ถึงอยู่บ้าง ผู้ดูแลใหญ่เฒ่าหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“ไม่เลวไม่เลว เป็นวิธีการเล่นของทางนั้นจริงๆ” เขาเอ่ยพลางโบกมือ “ไปเถอะ ไปเถอะ ไปทำงานไป”

บุรุษเดินจากไปตามคำบอก

“ทำดีๆ เงินรางวัลนี่เจ้าเอาไปหาสุรากิน” ผู้ดูแลใหญ่เรียกเขาอีกหน ถือโอกาสปลดถุงเงินที่เอวโยนมา

ถุงเงินร่วงตรงเท้าของบุรุษ เขาเห็นชัดยิ่งทว่าตกใจไม่กล้าหยิบ ยังเป็นพนักงานคนหนึ่งเก็บขึ้นมายัดให้เขา

“น้ำใจของผู้ดูแลใหญ่ของพวกเรา อย่าเกรงใจรับไปเถอะ” เขาเอ่ยอย่างไม่สนใจ

สำหรับคนตัดฟืนคนหนึ่งเศษเงินถุงหนึ่งมากนัก แต่สำหรับผู้ดูแลใหญ่เฒ่าของเต๋อเซิ่งชางแล้วประหนึ่งเศษดินทรายอย่างแท้จริง

เขาเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงหน้าซื่อๆ ปิดบังรอยยิ้มไม่อยู่ รอยยิ้มนี่คงอยู่จนกระทั่งออกจากเต๋อเซิ่งชาง

คนตัดฟืนที่ร่วมทางมาด้วยกันมองถุงเงินหนักอึ้งที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขาแล้วอิจฉายิ่งนัก

เที่ยวนี้เขาได้เงินมามากที่สุด แต่ก็ช่วยไม่ได้ผู้อื่นขายแรงงานแล้ว

การตรวจตราที่ประตูเมืองยังคงเข้มงวดนัก ออกจากเมืองก็ไม่เว้น แต่ละคนๆ ตรวจค้นอย่างละเอียด นอกจากเงินคนเหล่านี้ก็ไม่ได้พกสิ่งอื่นออกมาอีก เงินนี่ไม่มีปัญหาอย่างไรก็ขายฟืนแลกมา

ทหารเฝ้ายามทั้งหลายรีบโบกมือให้พวกเขาผ่านไป

เขาไม่ได้เดินตามคนตัดฟืนเหล่านี้ไปไกลนัก บอกว่าจะไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งแล้วจากไป เดิมก็เป็นคนที่พบพานด้วยความบังเอิญ ทุกคนจึงไม่ถือสาต่างแยกย้ายกันไป

เขาเดินตามทางไปเงียบๆ เดินจนกระทั่งค่ำมืด เข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตรงเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง

ในเรือนโคมไฟสว่าง มีเสียงสตรีทอผ้าดังกึกกักลอยมา เงียบสงบเฉกเช่นครอบครัวชาวบ้านชนบททั้งหมด

เขาผลักประตูเข้าห้องไป ในห้องเล็กๆ คนสิบกว่าคนบ้างนั่งบ้างยืนอยู่ ประตูถูกปิดลง

“พี่ใหญ่ ได้มาแล้ว” เขามองบุรุษหนวดเคราเต็มหน้าที่ก้มศีรษะอยู่คนหนึ่งในนั้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นชูถุงเงินขึ้น

บุรุษหนวดเงยหน้าขึ้น ใบหน้าชราอยู่บ้าง แต่สองตาเยาว์วัยทั้งยังสุกสกาว

“มีจริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ใช่ขอรับ เต๋อเซิ่งชางประกาศว่าต้องการฟืนเช่นนี้ รอพี่ใหญ่อยู่จริงๆ” บุรุษเอ่ยอย่างตื่นเต้น “คำที่ท่านให้ข้าพูดล้วนตรงเผง เหมือนกับคุยกันไว้เรียบร้อยจริงๆ”

นั่นแน่นอน หัวใจเชื่อมถึงกัน คำนี้ไม่ได้พูดขึ้นมั่วๆนะ

หน้าของบุรุษหนวดแย้มรอยยิ้ม ยื่นมือปลดหนวดลงมาเผยใบหน้าเจิดจ้าและสว่างไสวของจูจั้น

“นางจัดการหรือ?” เขาเอ่ยถาม

เขาส่ายศีรษะ

“ไม่ได้เอ่ยถึงคน ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นการจัดการของคุณหนูจวินหรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเบา

รอยยิ้มบนหน้าของจูจั้นหม่นลง จากนั้นก็พยักหน้า

“สหายน้อยนั่นหัวไวนัก” เขาพึมพำกับตนเอง “แต่ก็ยังคงเป็นนางร้ายกาจ หากไม่ใช่นาง เจ้าหนูนั่นต้องจับข้าไปแลกเงินแน่”

ไม่ผิด เจ้าลูกกระต่ายแซ่ฟางไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด นั่นน่ะเดิมก็เป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่ง

เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี เขาปลุกใจยื่นมือออกไป

เงินในถุงเงินถูกเทลงบนโต๊ะ บุรุษหลายคนใช้มือหยิบเศษเงิน หลังชั่วครู่เศษเงินไม่น้อยถูกแหวกออก ถึงกับเป็นเงินกลวง แต่ทุกคนกลับไม่ได้โกรธแค้นที่ติดกับถูกหลอก ตรงกันข้ามสีหน้ากลับตะลึงยินดี ดึงแถบกระดาษน้อยแผ่นแล้วแผ่นเล่าออกมาจากตรงกลาง

อาศัยไฟโคมเห็นว่าที่เขียนอยู่ด้านบนล้วนเป็นชื่อตำแหน่งที่ตั้งสถานที่

แถบกระดาษถูกทยอยวางลงบนโต๊ะ มากมายถี่ยิบมีถึงสิบกว่าแผ่น

จูจั้นยืนอยู่หน้าโต๊ะ นิ้วลูบแถบกระดาษทีละแผ่น หลังจากนั้นยกมือขึ้น

“ไป ไปรับเงิน” เขาเอ่ย ตนเองหยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วตรงไปข้างนอก

บุรุษทั้งหลายที่เหลือ ต่างถือขึ้นมาแผ่นหนึ่งเช่นเดียวกับเขาจากนั้นเดินเรียงแถวออกจากห้องหายไปท่ามกลางราตรี

ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว หน้าประตูเมืองสี่ด้านของเมืองต้าหมิงต่างมีรถม้าหลายคันขับมา

เห็นสัญลักษณ์ของเต๋อเซิ่งชางบนรถ เหล่าทหารเฝ้าประตูกลับไม่ได้ตั้งคำถามกลับเปิดประตูเมือง ติดจะหัวเราะขำขันอยู่บ้างด้วย

“ในที่สุดก็ทนถูกรมไม่ไหวจากไปแล้วรึ?” มีทหารเฝ้าประตูเมืองหัวเราะเอ่ย

ผู้ดูแลที่เป็นหัวหน้าของเต๋อเซิ่งชางยิ้มพลางส่ายศีรษะ

“ทนไม่ไหวกันหมดแล้ว” เขาเอ่ย “ก็คงเป็นประมาณนี้กระมัง”

ทหารเฝ้าประตูเมืองส่ายศีรษะ

“คนนี่ยิ่งมีเงินยิ่งชอบคิดเล็กคิดน้อย” เขาเอ่ย

ผู้ดูแลก้าวเข้าไปส่งเงินหนักอึ้งถุงหนึ่งให้เขา ทหารเฝ้าประตูเมืองไม่หลบเลี่ยงสักนิดรับไป

“แต่ ที่ควรตรวจก็ยังต้องตรวจ” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ผู้ดูแลหัวเราะแล้ว เบี่ยงกายหลีกทาง

“นั่นแน่นอน ใต้เท้าท่านตรวจแล้วพวกเราก็บริสุทธิ์ เดินทางทำธุระสะดวก” เขาเอ่ย

แม่ทัพโบกมือ นายทหารทั้งหลายที่รออยู่ชูดาบหอกเข้าไป รถหลายคันถูกเปิดออก เผยเงินแท่งขาวแวววาวที่วางไว้ข้างใน มองจนทุกคนตาลาย ทนแสบตาใช้ดาบหอกทิ่มในกองเงินแท่งอยู่พักหนึ่ง

ขนเสียเต็มเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงซ่อนคนแล้ว กระทั่งแมลงวันก็ซุกเข้าไปไม่ได้ แม่ทัพโบกมืออย่างไม่มีน้ำอดน้ำทน นายทหารทั้งหลายเก็บอาวุธถอยออกมา

“ไปเถอะ” แม่ทัพเอ่ย

ผู้ดูแลยิ้มพลางคำนับเอ่ยขอบคุณ กระโดดขึ้นรถม้า

“ไป ไปส่งเงิน” เขาตะเบ็งเสียงเอ่ย

แม่ทัพมองรถม้าหนักอึ้งขับออกจากประตูเมืองแล้วส่ายศีรษะแค่นหัวเราะ

“ส่งเงินยังดีใจปานนี้” เขาเอ่ยแล้วไม่สนใจอีก ตรวจตราในนอกประตูเมืองอย่างเคร่งขรึมและเฝ้าระวัง “ดูให้ดี พบครอบครัวเฉิงกั๋วกงปุบ สังหารไม่เว้น”

ราตรีมาเยือน ในจวนสกุลลู่โคมไฟส่องสว่าง

จิ่วหลีวางเข็มกับด้ายในมือลง มองบรรดาบ่าวหญิงที่กำลังจุดโคมไฟมากกว่าเดิม

“ใต้เท้าลู่วันนี้ก็กลับมาแล้วหรือ?” นางเอ่ยถาม

บรรดาบ่าวหญิงประหลาดใจอยู่บ้าง องค์หญิงจิ่วหลีน้อยครั้งจะเป็นฝ่ายถามถึงลู่อวิ๋นฉี แต่นี่ก็ไม่มีอะไร คำถามนี้พวกนางยังตอบได้

“กลับมาแล้วเพคะ” บ่าวหญิงคนหนึ่งตอบอย่างนอบน้อม “ออกจากที่ประชุมก็กลับมาแล้ว”

“องค์หญิงมีเรื่องใดหรือเจ้าคะ?” บ่าวหญิงอีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

องค์หญิงจิ่วหลีน้อยครั้งนักจะเป็นฝ่ายเรียกหาใต้เท้าลู่

แม้พวกนางอยู่ที่บ้านก็ไม่กล้าไปรบกวนใต้เท้าลู่ แต่หากเป็นถ้อยคำที่องค์หญิงจิ่วหลีส่งต่อยังคงไม่มีปัญหา

องค์หญิงจิ่วหลีเอียงศีรษะเล็กน้อยมองไฟโคมอยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่ ไม่มีอะไร” นางส่ายศีรษะเอ่ย แล้วหยุดนิดหนึ่งอีกหน “แค่คิดขึ้นได้ว่าไม่ได้เห็นเขาหลายวันแล้ว”

แม้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันไม่มาก แต่ก่อนหน้านี้เมื่อลู่อวิ๋นฉีกลับบ้านมักจะมาที่นี่ดูนางอยู่บ้างเสมอ

อยู่ดีๆ ก็ไม่มาแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่?

องค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นเดินออกมา ยืนอยู่ตรงใต้ชายหลังคา

เขาไม่ชอบบ้านหลังนี้ แล้วก็ไม่ได้เห็นที่นี่เป็นบ้าน ถึงขั้นถือว่าที่นี่เป็นบ้านของนาง ส่วนเขาเป็นเพียงแขก

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้สิ่งใดทำให้เขาถือว่าที่นี่เป็นบ้าน ทุกวันกลับมาตามเวลาแล้วเล่า?

ข้างนอกต้องเกิดเรื่องแน่ จดหมายติดต่อระหว่างบัณฑิตกู้กับนางถูกหยุดไปหลายวันนักแล้ว ข้างนอกต้องมีข่าวที่ลู่อวิ๋นฉีไม่อยากให้นางล่วงรู้แน่นอน

ที่จริงมีข่าวอันใดที่นางสนใจ โลกข้างนอกไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

หากจะพูดว่ามี แม่นางคนนั้น…

คิ้วขององค์หญิงจิ่วหลิงขมวดขึ้นมา มองไปทางเรือนลึกเข้าไป

แม่นางคนนั้นเกิดเรื่องแล้วหรือ?

ที่จริงแม่นางคนนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางเพียงหวังให้แม่นางคนนั้นมีชีวิตเป็นอิสระสรี กระทำตามใจไม่ถูกล่ามอย่างไร้สาเหตุก็เท่านั้น

แม้นั่นเป็นชีวิตของผู้อื่น แต่ได้เห็นคนมีชีวิตเช่นนี้ได้ นางก็เบิกบานใจนักอย่างไร้สาเหตุ

มุกราตรีถูกครอบปิด แสงสว่างอ่อนโยนในห้องค่อยๆ หายไป จมสู่ความมืดมิด

“วันพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาเร็วหน่อย เอาเป็ดที่ถนนตะวันออกมาให้เจ้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางนั่งลงบนเตียง บีบนวดแขนของคุณหนูจวินบรรเทาความปวดเมื่อยที่ถูกมัดให้อย่างตั้งอกตั้งใจ

คุณหนูจวินไม่พูดสักคำคล้ายหลับไปแล้ว

“เจ้าไปกินมาแล้วหรือยัง?” ลู่อวิ๋นฉีชะงักนิดหนึ่งเอ่ยถาม

สิ่งที่ตอบเขายังคงเป็นความเงียบงัน

ลู่อวิ๋นฉีพลิกร่างนางให้หันข้างเบาๆ บีบนวดขาและท้า

“เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ในมือเจ้าหรือ?” เขาพลันเอ่ยถาม

เขารู้ด้วย

เขาต้องรู้แน่

ความตายของปิงเอ๋อร์ต้องไม่ใช่ป่วยตายแน่นอน

เวลานี้จิตใต้สำนึกของนางควรโต้สักประโยคบอกไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่การกระทำที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือสิ่งใดล้วนไม่พูด

แต่สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้ว ปฏิกิริยาใดๆ ล้วนไม่สำคัญ

“จิ่วหลิง พวกนั้นล้วนไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ยต่อ “มีแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเอง”

“กระทั่งตนเองยังไม่กล้าทำร้าย มีคุณสมบัติอันใดไปทำร้ายผู้อื่น” คุณหนูจวินเอ่ยเรียบๆ

ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดแล้ว ลู่อวิ๋นฉีกลับเงียบ เขานอนลงอิงแอบข้างกายนางเช่นนั้นอย่างปกติ หลับไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

คุณหนูจวินลืมตาขึ้นในความมืด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มือที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันด้านหน้าร่างพลันขยับนิดๆ

ข้อมือมัดแน่นยิ่ง มือกุมอยู่ด้วยกันแน่นถูได้เล็กน้อย การเคลื่อนไหวนี่ไม่มีภัยคุกคามอันใดจึงละเลยไม่ใส่ใจได้อย่างสิ้นเชิง

ลู่อวิ๋นฉีที่วางมืออยู่บนร่างนางหลับลึก

คุณหนูจวินถูมือช้าๆ สัมผัสความหยาบกระด้างของหนังด้านบนฝ่ามือ

แม้จวินเจินเจินบิดามารดาเสียแล้วทั้งคู่ แต่ถูกเลี้ยงมาดีอย่างแน่นอน มือน้อยคู่หนึ่งเลี้ยงมาขาวนุ่มนิ่ม ทว่าตั้งแต่กลายเป็นจิ่วหลิง ต่อยหลักไม้ ทำยา งานหนักต่างๆ สั่งสม บนมือนางวันนี้ก็เต็มไปด้วยหนังด้านบางๆ ชั้นหนึ่ง

หนังด้านบางๆ นี่เป็นประจักษ์หลักฐานความเหนื่อยยากของนาง พร้อมกันนั้นก็เป็นเครื่องป้องกันชั้นหนึ่งด้วย

‘ร่างกายของพวกเราบอบบางยิ่ง แล้วก็แข็งแกร่งยิ่ง หนังน้อยๆ แต่ละชั้นๆ ก็ซ่อนอาวุธสังหารคนได้’

อาจารย์เคยพูดอย่างคลุมเครือ ตอนนั้นเขากำลังนั่งยองฉีกหนังไก่ชั้นหนึ่งบนหินภูเขา เคี้ยวเนื้ออ่อนนุ่มด้านใน

‘แต่คุณหนูผู้ดีเช่นนี้อย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องฟังเรื่องน่ากลัวเหล่านี้หรอกกระมัง!’

เขาพูดพลางมองนางอีกหน

‘แต่ใครจะบอกได้แน่เล่า’

ใครบอกได้แน่เล่า? เขาพูดได้แม่นจริงๆ

นางถูฝ่ามือช้าๆ สัมผัสร่องรอยของเข็มยาวบางเล่มหนึ่งที่ค่อยๆ ปรากฏ

ฤดูหนาวฟ้าสว่างช้า แต่ลูกค้าที่มาหาหมอเอายาไม่แบ่งเช้าค่ำ บานประตูของโรงหมอจิ่วหลิงเพิ่งถอดออกท่ามกลางหมอกยาวเช้าขมุกขมัวก็มีคนยื่นศีรษะเข้ามา

นี่เป็นข้ารับใช้ของตระกูลที่แต่งกายดีคนหนึ่ง

“คุณหนูจวินอยู่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างนอบน้อม แต่ดวงตามองสะเปะสะปะด้านในโรงหมอแล้ว

“คุณหนูจวินไม่อยู่” พนักงานร้านเอ่ย “ท่านต้องการรับยาหรือ?”

ข้ารับใช้สีหน้าผิดหวังอยู่บ้างแล้วก็แปลกใจอยู่บ้าง

“คุณหนูจวินไม่อยู่อีกแล้วหรือ? คุณหนูจวินไม่ใช่กลับมาแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม

“ตระกูลที่หยางเฉิงมีเรื่องนิดหน่อย” เฉินชีออกมาจากด้านใน ได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงถือโอกาสเอ่ยตอบ “เจ้าไม่ต้องมาหานาง นางไม่ออกตรวจเสียหน่อย อยู่หรือไม่อยู่ล้วนเหมือนกัน”

นั่นก็ใช่ ข้ารับใช้หัวเราะฮ่ะฮ่ะ ส่งเทียบยามา พนักงานร้านรับไปจัดยา

“ได้ยินว่าตระกูลที่หยางเฉิงของคุณหนูจวินกำลังแบ่งสมบัติตระกูล?” ข้ารับใช้มองเฉินชีพลางเอ่ยขึ้น

เฉินชีกระแอมเบาๆทีหนึ่ง

“นั่นเป็นเรื่องของตระกูลผู้อื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก” เขาเอ่ย

ต่อให้ไม่พูดด้านนอกก็ลือกันทั่วแล้ว อย่างไรเต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงก็เป็นร้านแลกเงินที่ใหญ่มาก สถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินมีลมพัดหญ้าไหวทุกคนล้วนรู้

ข้ารับใช้ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นความปลื้มปิติที่ซ่อนไม่มิดในดวงตาของเฉินชี

คุณหนูจิ่นซิ่วเสมียนของโรงหมอจิ่วหลิงครั้งนี้ก็ได้ส่วนแบ่ง เป็นเสมียนบัญชีของผู้อื่นย่อมไม่สู้มีภูเขาทองลูกหนึ่งของตนเอง

“นายท่านเจ็ดหลังจากนี้ร่ำรวยแล้ว แต่งเข้าไปไม่กังวลกินดื่ม ตนเองเป็นผู้ดูแลใหญ่ของตนเอง” ข้ารับใช้หัวเราะคิกๆ เอ่ยประจบ

เฉินชีหัวเราะฮ่ะฮ่ะ หัวเราะครู่หนึ่งฉับพลันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“พูดจาเหลวไหลอะไร? ใครแต่งเข้า? แต่งให้ใคร?” เขาถลึงตาเอ่ย โบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ไปไปไป”

ข้ารับใช้หัวเราะฮ่ะฮ่ะ รับยาเสร็จก็วิ่งไปแล้ว

เฉินชีท่าทางอับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างยืนอยู่ที่ประตูมองส่ง เห็นทหารแถวแล้วแถวเล่าบนถนนก้าวเร็วไวผ่านไป ทำลายความเงียบสงบของรุ่งอรุณ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ? หลายวันนี้ทำไมมักจะมีทหารม้าเดินอยู่บ่อยๆ?”

“ยังมีตระกูลขุนนางจำนวนหนึ่งถูกล้อมตรวจค้นด้วย”

ชาวบ้านริมถนนเอ่ยถามเสียงเบา

“พวกเจ้ายังไม่รู้รึ?” มีคนยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงก่อกบฏแล้ว”

บนถนนฉับพลันเสียงร้องตกใจดังขึ้นจากนั้นก็อื้ออึง

“…ถึงกับ…”

“นี่เป็นไปได้อย่างไร…”

“ทำไม่เป็นไปไม่ได้ ได้ยินว่าสืบพบว่าความชอบทางทหารของเฉิงกั๋วกงทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม…”

“เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นความดีความชอบช่วงก่อนหน้านี้ ที่จริงยังเป็นของคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงเลย…”

“ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็บอกได้ไม่แน่แล้วเช่นกันว่าเป็นของใครนะ”

“…คิดไม่ถึงจริงๆ …ถ้าอย่างนั้นจับได้แล้วหรือ?”

“…ทั้งครอบครัวหนีไปแล้ว…ออกประกาศจับแล้ว…”

“…คิดไม่ถึงจริงๆ…”

เฉินชีรู้สึกเพียงหัวใจหงุดหงิดหมุนตัวเข้าประตูไปทันที

“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึง พวกเจ้าคิดอะไรเป็นบ้างเล่า” เขาพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์

แต่เขาก็ถอนหายใจอีก หันหน้ากลับไปมองคนกับม้าอีกแถวหนึ่งบนถนนวิ่งเร็วรี่ผ่านไป ตามจับเข้มงวดเช่นนี้ แล้วยังแบกโทษคิดกบฏอีก ไม่รู้ว่าจะหนีรอดได้หรือไม่

แผ่นดินกว้างใหญ่จะหนีไปไหนได้อีกเล่า? หนีทั้งชีวิตหรือ? นี่ก็คือจุดจบของวีรบุรุษรึ?

เฉินชียืนอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิงรู้สึกเพียงหลังร่างลมเย็นทิ่มแทงกระดูก

ส่วนในเต๋อเซิ่งชางที่หยางเฉิงเวลานี้ อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฟางเฉิงอวี่สวมเสื้อผ้าธรรมดาบางๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้นอนอย่างเกียจคร้านกระดิกขากินสาลี่แก้วกร้วมๆ สีหน้ามีความสุขลุกขึ้นนั่ง

“จริงหรือ? นั่นดีเหลือเกินแล้ว” คิ้วและดวงตาของเขาล้วนแย้มยิ้ม “ในที่สุดก็มีเรื่องให้ทำแล้ว”

ผู้ดูแลใหญ่เกาอับจนวาจาอยู่บ้าง แม้กั้นด้วยประตูหน้าต่างก็ได้ยินเสียงวุ่นวายเอะอะด้านนอก การแบ่งสมบัตินำพาเรื่องนับไม่ถ้วนมาทำให้เต๋อเซิ่งชางช่วงนี้ยุ่งวุ่นวายนัก นายน้อยยังบอกว่าไม่มีเรื่องให้ทำ

อีกอย่าง เฉิงกั๋วกงคิดกบฏ นับว่าดีเหลือเกินอะไรเล่า?

เฉิงกั๋วกงคิดกบฏเกรงแต่จะพัวพันมาถึงคุณหนูจวินน่ะสิ และพัวพันมาถึงคุณหนูจวินก็คือพัวพันมาถึงเต๋อเซิ่งชางกับตระกูลฟางเช่นกัน

เกรงแต่ว่าเรื่องจะยิ่งร้อนจนหัวไหม้

ไม่เข้าใจพวกคนหนุ่มสาวจริงๆ ว่าที่แท้คิดอย่างไร

“ในที่สุดก็มีที่ให้ใช้เงินแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ถูมือ ยิ้มตาหยีดวงตาเปล่งประกายวิบวับ คล้ายตื่นเต้นแล้วก็คล้ายน่าขนลุก “เงินเช่นนี้ก็ควรใช้เช่นนี้”

ปล่อยออกมา? เขาหมายความว่าอะไร?

สายตาคุณหนูจวินจับอยู่บนกริชในมือลู่อวิ๋นฉี

“เจ้ากลับมาได้อย่างไร?” เขามองใบหน้าของนาง “เพราะเจ้าเปลี่ยนไปเป็นหน้าตาเช่นนี้ ถึงไม่กล้ามาพบข้า ไม่กล้ายอมรับว่ารู้จักข้าหรือ?”

มือของเขาเลื่อนลงมา กริชแนบลงบนหน้าของนาง

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปล่อยเจ้าออกมา” เขาสีหน้านิ่งเฉยเอ่ยขึ้น

ปลายคมของกริชคล้ายกรีดทะลุหนังของนาง คุณหนูจวินรู้สึกว่ามีหยดเลือดซึมออกมา

คนบ้าคนนี้!

“ลู่อวิ๋นฉี!” คุณหนูจวินตะโกนโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นบ้าอะไร !”

คบไฟเต้นระริก ทำให้ใบหน้าของลู่อวิ๋นฉีเปลี่ยนเป็นเลือนรางอยู่บ้าง

“ข้าเป็นบ้าอะไร? ข้าเป็นบ้าเพราะเจ้ากลับมาแล้วทำไมปิดบังข้า” เขาเอ่ยขึ้น กริชวาดบนหน้าคุณหนูจวินช้าๆ

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังยิ้ม

“เจ้าไม่เข้าใจ? เจ้าวิ่งหนีอะไรเล่า?” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องร้องเพลงนั้นใส่ข้า?”

มือที่เขากำกริชพลิกทีหนึ่ง หลังมือแนบบนหน้าของคุณหนูจวินแล้วไล้เบาๆ

“ข้าวิ่งเพราะเจ้าเป็นศัตรูของข้า ลู่อวิ๋นฉี จุดนี้เจ้าและข้าในใจล้วนรู้ชัด” คุณหนูจวินนิ่งขึงเอ่ย “ส่วนเพลงอะไร ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง หลังมือแนบติดบนใบหน้าของนาง

“งั้นหรือ” เขาเอ่ยอย่างนิ่งเฉย หลังจากนั้นไม่พูดอีกเพียงมองนาง

สีหน้านิ่งเฉย แววตาจ้องนิ่ง คล้ายจะมองทะลุไปถึงกระดูกของนาง

คบไฟเต้นระริกไม่กี่ทีก็ไหม้หมด ในห้องดำสนิท

แต่คุณหนูจวินรู้สึกได้ว่าลู่อวิ๋นฉียังคงนั่งยองอยู่ตรงหน้าตนเอง สายตามองตรงมาที่นาง

เขาไม่พูดจา เพียงมองเงียบงันเช่นนี้

เงียบงัน มืดมิด หายใจไม่ออก เหมือนห้วงน้ำลึก แล้วค่อยๆ มีความเงียบสงบอีกแบบ

“พูดสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรจริงๆ” คุณหนูจวินพลันเอ่ยขึ้น

มือที่แนบอยู่บนหน้าสั่นไหวเล็กน้อยอยู่บ้าง คล้ายไม่อาจควบคุมแรงที่ใช้ได้

“เอามือออกไป” คุณหนูจวินเอ่ย

มือที่แนบบนใบหน้าพริบตาก็รั้งกลับไป

“นี่คือที่ไหน?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

“คุกใต้ดินที่บ้านของพวกเรา” เสียงลู่อวิ๋นฉีดังขึ้น

ในความมืดมองไม่เห็นหน้าของเขา ได้ยินเพียงเสียงทื่อๆ

คุณหนูจวินขานอ้อ

“ใต้เรือนฝูอวิ๋นที่ข้าปลูกดอกไม้หลังนั้นรึ?” นางเอ่ย

ลมหายใจในความมืดชะงักนิ่งไปอยู่บ้าง คล้ายผ่านไปเนิ่นนานนักแล้วก็คล้ายเพียงชั่วลมหายใจ

“ใช่” เสียงของลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น อากาศไหลเคลื่อนในความมืด คล้ายเขากำลังออกแรงพยักหน้า “ดอกไม้ยังปลูกอยู่ ปลูกได้ดีเหมือนที่เจ้าปลูก”

คุณหนูจวินหัวเราะทีหนึ่ง

“ข้าปลูกอะไรได้ดี” นางเอ่ย “ข้าปลูกดอกไม้เป็นที่ไหน ข้าเป็นแต่กินพวกมัน”

ในความมืดตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง คนที่นั่งยองๆ อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือตรงหน้าคล้ายไม่มีลมหายใจ คล้ายคงอยู่แต่ก็คล้ายหายไปแล้ว แต่คุณหนูจวินยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา สายตาของเขาทะลุผ่านความมืดจับจ้องนิ่งอยู่บนร่างนางตลอดไม่เคยละออกไป

“ก่อนหน้านี้ข้าตายเป็นความตายของข้าเอง จิ่วหลีกับจิ่วหรงไม่เกี่ยว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ข้ามีชีวิตก็เป็นชีวิตของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเช่นกัน ข้าตายได้ หวังว่าจะไม่ต้องพัวพันถึงพวกเขา…”

คำพูดของนางยังไม่ทันเอ่ยจบ หลังมือของลู่อวิ๋นฉีพลันปิดปากนาง

“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจชัดๆ” เสียงของเขายังคงทื่อมะลื่อ

เข้าใจอะไร?

คุณหนูจวินกัดฟันแน่น

“จิ่วหลิง พวกเราเป็นสามีภรรยา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้”

รู้อะไร?

รู้ว่าเขาแต่งงานกับนางเพื่อกักขังนาง รู้ว่าเขารู้ชัดว่าบิดามารดาของนางตายอย่างไรยังปิดบังนาง รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนร้ายที่สังหารพระบิดาพระมารดาของนาง รู้ว่าเขาเป็นคนของฮ่องเต้

คุณหนูจวินอ้าปากกัดหลังมือเขา กัดลงไปอย่างแรง ประหนึ่งสัตว์ร้ายตัวน้อยกัดกระชาก

รสสนิมเหล็กหวานคาวพริบตาคลุ้งในปากจมูก

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่รู้สึกรู้สาปล่อยให้นางกัด มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของคุณหนูจวิน ลูบแผ่วเบา

“จิ่วหลิง ไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเรากลับบ้านแล้ว พวกเราอยู่ในบ้าน ไม่ต้องกลัว”

อยู่ในบ้าน นี่ไม่ใช่บ้านของนาง นี่คือคุก

ต่อให้ในบ้านแห่งนั้นมีพี่สาว นางก็ไม่มีทางเข้าไปเด็ดขาด สิ่งที่นางต้องทำคือช่วยพี่สาวออกมา ไม่ใช่เอาตนเองเข้าไปอีก

คุณหนูจวินสะบัดศีรษะอย่างแรง ปล่อยปาก ดิ้นรน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ปล่อยข้า” นางกัดฟันเอ่ย “เจ้าปล่อยข้า”

ลู่อวิ๋นฉียังคงนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้นดินอยู่ในความมืดเช่นเดิม

“จิ่วหลิง ข้างนอกอันตรายเกินไป เจ้าออกไปไม่ได้” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินสบถทีหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะ

“ข้างนอกอันตรายเกินไป? เจ้าพูดผิดแล้วกระมัง ที่นี่อันตรายที่สุดชัดๆ” นางยิ้มพลางเอ่ย

“จิ่วหลิง ไม่ว่าเจ้าพูดอย่างไร ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าออกไปอีก” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ “ข้าจะไม่ให้เจ้าเกิดเรื่องอีกแล้ว”

คุณหนูจวินดิ้นรนจะลุกขึ้นแต่ไร้ผล

“ลู่อวิ๋นฉี ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ถึงจะเกิดเรื่อง” นางตะโกน “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าข้าถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่จึงยังสำราญใจ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”

นางตะเบ็งเสียงตะโกน น้ำตาไหลร่วง

“ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เจ้ายินดีมองข้าถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่หรือ?”

มือของลู่อวิ๋นฉีลูบบนใบหน้านางพลางเช็ดน้ำตาไป

“ข้าเพียงอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่” เขาเอ่ยบอก

คุณหนูจวินออกแรงเงยศีรษะขึ้นชนใบหน้าเขาอย่างแรง

ทว่าลู่อวิ๋นฉีมือประคองใบหน้านาง ขวางไม่ให้นางเข้าใกล้อย่างมั่นคง

“กระแทกเจ้าจะเจ็บเอา” เขาเอ่ยขึ้น

สายตาปรับเข้ากับความมืดสลัว ระยะห่างชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของอีกฝ่าย คุณหนูจวินกัดฟันมองเขา

“เจ้าเพียงอยากให้ข้ามีชีวิต ข้าจะมีชีวิตได้อย่างไร? ขอเพียงข้าไม่ตายหนึ่งวัน ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้” นางเอ่ยทีละคำๆ

ขอเพียงไม่ตายวันหนึ่ง นางก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้อยคำนี้ฟังดูพิกลแล้วก็ขัดแข้ง แต่ลู่อวิ๋นฉีรู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร

นางไม่ตายวันหนึ่ง ใจคิดแก้แค้นก็ไม่ดับมอด ยังไม่ได้แก้แค้นวันหนึ่ง นางก็ไม่อาจสงบใจมีชีวิตได้

“จิ่วหลิง นี่เจ้าจะไปตายเปล่า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าออกไปจะแก้แค้นได้หรือ?”

เขาส่ายศีรษะ

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าหลังเจ้าออกไปตายอย่างไร?”

เขาส่ายศีรษะอีกครั้ง

“ข้ายังไม่ลืม”

คุณหนูจวินถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาคำหนึ่ง

“นั่นขอโทษด้วยจริงๆ ทำให้เจ้ากลัวแล้ว” นางเอ่ยอย่างเย็นชา

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เช็ดน้ำลายบนใบหน้าออก เพียงกดศีรษะคุณหนูจวินที่ประคองอยู่วางกลับไปบนไม้กระดานเตียงช้าๆ

“ตอนนี้ก็เหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้มีเฉิงกั๋วกง เขาก็เป็นกำลังช่วยเจ้าไม่ได้” เขาเอ่ยนิ่งๆ ”ตรงกันข้ามเขาจะถ่วงทำร้ายเจ้า พวกเจ้าล้วนไม่รู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้ขี้ขลาดไร้ความสามารถจริงๆ”

เขาพูดพลางดึงผ้าผืนกว้างผืนหนึ่งออกมาอีก

“เฉิงกั๋วกงถูกฟ้องโทษหนักฐานคิดกบฏแล้ว เวลานี้กองทหารองครักษ์ไล่ตามล้อมจับเขาอยู่ ต้องการจับกุมเขากลับเมืองหลวง หลังจากนั้นก็คือตาย”

ผ้าผืนกว้างมัดหัวไหล่ของคุณหนูจวินไว้ นางยิ่งกระดิกไม่ได้ ส่วนนางก็ถูกข่าวนี้ทำให้ตกตะลึงชั่วขณะจนลืมกระดิก

คิดกบฏ?

ความผิดบ้าบอน่าขันเช่นนี้โน้มน้าวผู้คนให้เชื่อได้อย่างไร?

“จิ่วหลิง ไม่มีโน้มน้าวได้ไม่ได้อะไรหรอก ขอแค่คนตายแล้ว โน้มน้าวได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย นอนลงบนไม้กระดาน

“เจ้าจะทำอะไร?” คุณหนูจวินตกใจเอ่ยขึ้น รู้สึกได้ว่าเขาเข้ามาใกล้รวมถึงสองมือกอดตนเองไว้ นางดิ้นรนอีกครั้ง

มือบนร่างออกแรงรัดนางไว้ คนก็แนบชิดอยู่ข้างกายนาง ศีรษะหนุนอยู่บนหัวไหล่ของนาง

แต่ก็เพียงเท่านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก

“ข้าง่วงแล้ว ข้าอยากนอน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น อาจเพราะฝังศีรษะอยู่กับหัวไหล่ของนาง เสียงทื่อมะลื่อจึงแผ่วเบางึมงำอยู่บ้าง คล้ายเหนื่อยล้าเต็มที่ แต่ก็มีความยินดีสายหนึ่งกระโดดโลดเต้นอยู่ “ข้าหลับได้สนิทดีสักที”

คนบ้าคนนี้!

คุณหนูจวินจะดิ้นรนก็ทำอันใดไม่ได้ ได้แต่ด่าสาปแช่งอย่างโกรธแค้น

แต่ลู่อวิ๋นฉีทำเหมือนไม่ได้ยิน ทั้งยังคล้ายได้ยินคำด่าสาปแช่งของนางเป็นเพลงกล่อมนอน ไม่นานก็หลับไปจริงๆ

หลับไปจริงๆ ไม่ใช่เสแสร้ง เพราะเขาแนบชิดอยู่ใกล้นัก คุณหนูจวินจึงสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาผ่อนคลาย คนผู้นั้นหลังนอนหลับจะผ่อนคลายไร้การระวังอย่างสิ้นเชิง ข้างหูยังมีเสียงกรนเบาๆ เหมือนเช่นก่อนนี้

ก่อนนี้สองคำนี้แล่นผ่าน คุณหนูจวินพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกหน ไม่คิดถึงก่อนนี้ ต้องคิดถึงตอนนี้ ตอนนี้ เฉิงกั๋วกงพวกเขาเป็นอย่างไรแล้ว?

……………………………………….

……………………………………….

กีบเท้าม้าย่ำพร้อมเพรียง ทหารม้าเกือบร้อยประหนึ่งพัดคลี่ออก นายทหารทั้งหลายบนม้าดาบหอกในมือเล็งพร้อมเพรียงมาที่คณะของเฉิงกั๋วกง

จูจั้นชักม้าหมุนวนอยู่ที่เดิมรอบหนึ่ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองพวกเขา

“ทำไม? นี่จะสำเร็จโทษพวกเราที่นี่รึ?” เขาเอ่ย

“เฉิงกั๋วกง เชิญกลับเมืองหลวงกับพวกเรา” แม่ทัพทหารที่เป็นหัวหน้าไม่ได้สนใจการล้อเล่นของจูจั้น เอ่ยอย่างเย็นชาพลางมองรถม้าเรียบง่ายคันนี้

ม่านสีดำของรถม้าถูกเลิกเปิด เฉิงกั๋วกงที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาชุดหนึ่งเหมือนบัณฑิตปัญญาชนคนหนึ่งเสียมากกว่าปรากฏตัวตรงหน้าผู้คน

“นี่เป็นคำสั่งของผู้ใด?” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

“นี่เป็นบัญชาของฝ่าบาท” แม่ทัพประสานมือไปทางทิศทางของวังหลวง หน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกง ท่านจะขัดราชโองการหรือ?”

เฉิงกั๋วกงเคยขัดราชโองการ ตอนนั้นฮ่องเต้ให้ทหารแดนเหนือกลับมาป้องกัน เฉิงกั๋วกงปฏิเสธ

แต่นี่ที่จริงก็ไม่นับว่าขัดราชโองการ เรียกได้ว่าเป็นการประเมินสถานการณ์ในสนามรบ หรือก็คือแม่ทัพออกรบ ไม่รอคำสั่งนายเหนือหัว

นอกจากนี้ต่อมาเฉิงกั๋วกงก็เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้จากแดนเหนือกลับมาถึงเมือหลวง

อดีตฮ่องเต้เคยกล่าวว่าเฉิงกั๋วกงเป็นคนที่ภักดีกล้าหาญแข็งแกร่งเด็ดขาดคนหนึ่ง คำว่าภักดีคำนี้วางอยู่ด้านหน้าสุด เขาสังหารศัตรูตอบแทนประเทศชาติกล้าหาญไร้คู่ต่อกร เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ยอดขุนนางผู้ภักดีในสายตาชาวบ้านทั้งหลาย

“พวกเขาฟ้องข้าโทษฐานอะไร?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม

“คิดกบฏ” แม่ทัพเอ่ยเคร่งขรึม

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คล้ายได้ยินถ้อยคำที่น่าขันที่สุดบนโลกใบนี้

“คิดกบฏ” เขาเอ่ย “คิดกบฏ!”

เขาไม่พูดคำอื่นอีก เพียงย้ำสองคำนี้ซ้ำๆ เฉิงกั๋วกงก็ไม่เอ่ยวาจาเพียงมองแม่ทัพคนนี้ สีหน้าของเขาอ่อนโยน กระทั่งความโกรธเกรี้ยวสักนิดก็ไม่มี

แต่แม่ทัพกลับอดไม่ได้หลบสายตา

“มีหลักฐานไหม?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

แม่ทัพสายตาไหววูบ

“ก็คงมีกระมัง” เขาเอ่ย

จูจั้นกระตุ้นม้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“ก็คงมี?” เขาคิ้วตั้งตวาด “พวกเจ้ารู้ไหมว่าพวกเจ้ากำลังพูดสามคำนี้กับใครอยู่?”

เขายื่นมือทึ้งเสื้อออก เผยร่างกายแข็งแกร่งท่อนบน ชี้รอยแผลดาบธนูที่แผ่เต็มด้านหน้าด้านหลัง

“พวกเราอาบเลือดสู้รบสิบกว่าปี ทิ้งแผลทั้งร่างนี่ไว้ ก็คงมี แค่สามคำเลื่อนลอยนี้ก็จะเอาผิดพวกเรา? พวกเจ้าพูดออกมาได้อย่างไร?”

สีหน้าแม่ทัพยังคงรักษาความเคร่งขรึมเย็นชานี่ไว้ แต่ตนเองก็รู้สึกแสบร้อน สายตาทนมองจูจั้นไม่ได้

“ดังนั้น” น้ำเสียงของเขาผ่อนลงอยู่บ้าง “ฝ่าบาทถึงต้องการให้พวกท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวง ตรวจสอบพิสูจน์กระจ่างจะได้มอบความบริสุทธิ์ให้พวกท่าน”

จูจั้นหัวเราะหยันต้องการจะพูดอะไร เฉิงกั๋วกงก็เรียกเขาคำหนึ่ง

“พอแล้วจั้นเอ๋อร์ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ย

จูจั้นหมุนตัวมาท่าทางร้อนรนอยู่บ้าง

“พ่อ” เขาเอ่ยเรียก “พวกเราจะกลับไปเช่นนี้หรือ?”

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว

“แน่นอนไม่” เขาเอ่ย

แน่นอน…ไม่?

แม่ทัพตะลึง เขาฟังผิดหรือไม่?

แต่นาทีต่อไปเขาก็เห็นเฉิงกั๋วกงดึงดาวยาวเล่มหนึ่งออกมาจากในตัวรถ

ดาบนี้เขาคุ้นเคยนัก เฉกเช่นเดียวกับที่คนในใต้หล้าคุ้นเคยกับเฉิงกั๋วกง นั่นคือดาวยาวที่เฉิงกั๋วกงพกติดตัวไม่ห่าง เข่นฆ่าชาวจินนับไม่ถ้วน

“ดาบเล่มนี้ไม่ได้ไว้ใช้จัดการคนของตนเอง” เฉิงกั๋วกงเอ่ย ฉับพลันหันดาบกลับหัว กำปลายดาบไว้ หันด้ามดาบออกข้างนอก สีหน้าอ่อนโยนมองไปทางแม่ทัพ

สีหน้าแข็งทื่อของแม่ทัพค่อยๆ กลายเป็นสีขาว

“ท่านกั๋วกง ท่าน ท่านนี่หมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยติดอ่าง

“ความหมายก็คือ ข้าไม่กลับไป ข้าจะไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ย ยิ้มอ่อนโยนให้เขาทีหนึ่ง สิ้นเสียงด้ามดาบพลันตบลงบนก้นม้าด้านหน้า

ม้าส่งเสียงร้องทีหนึ่ง ส่วนคนรถก็โยนแส้ยาวในมือทิ้ง ยืนขึ้นจับเชือกบังเหียนไว้แน่น

“ฮ่า” เขาตวาด

ม้าประหนึ่งธนูพุ่งออกจากแล่งตะบึงไปด้านหน้า

แม่ทัพหนาวทั้งร่าง

“จับเขาไว้!” เขาตะโกนพลางชักดาบข้างเอวออกมา วิ่งเข้าไปหารถม้าของเฉิงกั๋วกงคนแรก

เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ดาบในมือจูจั้นกระแทกดาบของเขาปลิวไป

แรงกระแทกมหาศาลส่งแม่ทัพกลิ้งร่วงลงจากหลังม้าทันที

รอบด้านเสียงตะโกนตวาดวุ่นวายดังขึ้น นายทหารเกือบร้อยล้อมรถม้าของเฉิงกั๋วกงไว้แล้ว

หอกยาวประหนึ่งผืนป่าแทงเข้าใส่เฉิงกั๋วกง

เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบนั่งอยู่ด้านหน้ารถ สะบัดด้ามดาบในมือ

เสียงเปรี้ยงปร้างพรวนหนึ่งดังขึ้น หอกยาวใกล้ๆ ถูกกวาดร่วง นายหทารบนม้าถูกพากลิ้งร่วงลงไป

หอกร่วงด้ามดาบพลันเก็บกลับ ไม่แตะถูกร่างกายพวกเขาสักนิด

ใช้ด้ามดาบจัดการ เพียงเคาะอาวุธพวกเขาร่วงหล่น เรี่ยวแรงพอเหมาะหอดี ไม่ทำร้ายชีวิตนายทหารเหล่านี้สักนิด

แม่ทัพที่กลิ้งร่วงอยู่บนพื้นสีหน้าใกล้จะร้องไห้แล้ว

ท่านกั๋วกง ในเมื่อท่านจะขัดบัญชา ท่านก็เหี้ยมสักหน่อยสิ ไยต้องให้พวกเขาลำบากใจเช่นนี้

นายทหารทั้งหลายเห็นได้ชัดว่าก็คิดเช่นนี้ด้วย ถึงขั้นหนักยิ่งกว่าแม่ทัพ

สำหรับพวกเขาแล้ว เฉิงกั๋วกงนั่นเป็นตัวตนประหนึ่งเทพ พวกเขาเคารพเทิดทูนก้มกราบ จนปัญญาด้วยคำสั่งจึงลำบากใจเดินทางมาตามจับ เวลานี้ยังเห็นเฉิงกั๋วกงใช้ด้ามดาบรับมือ ไม่ทำร้ายชีวิตของพวกเขา หัวใจพริบตาพังทลาย

นายทหารที่ถูกโจมตีร่วงยังอยู่บนพื้น นายทหารทั้งหลายข้างหลังพลันถอยออกพรึบพรับ หอกยาวในมือตกลง

จูจั้นคนเดียวนำไปก่อน รถม้าของเฉิงกั๋วกงวิ่งเร็วรี่ไปด้านหน้า พุ่งออกจากการล้อมโจมตีของบรรดานายทหาร

“มารดา พวกเจ้ากำลังทำอะไร!” ขุนนางของศาลต้าหลี่ที่ติดตามมาซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังตลอดได้สติกลับมา ตะโกนโกรธเกรี้ยวอยู่บนม้า “ให้นักโทษหนีไม่ได้!

เขากระตุ้นม้ามาด้านหน้า มองรถหนึ่งคันม้าหนึ่งตัวที่ทะยานเร็วรี่ไปเบื้องหน้า

เฉิงกั๋วกงรถเบาผู้ติดตามน้อย ออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ แค่ครอบครัวสามคน นอกจากคนรถคนหนึ่ง ไม่มีผู้ติดตามคนอื่น

นี่ล้วนเป็นเรื่องที่สืบกระจ่างมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาถึงรวมพลหนึ่งร้อยนาย กำลังคนเหล่านี้เพียงพอคุมตัวครอบครัวสามคนนี่กลับมา

คิดไม่ถึงเฉิงกั๋วกงถึงกับกล้าขัดราชโองการ

ในเมื่อขัดราชโองการ….

ดวงตาของขุนนางหรี่ลง ฉายแววเย็นเยียบ

“พลธนู” เขาตะโกน “เฉิงกั๋วกงกลัวความผิดหลบหนี สังหารทันที”

แม่ทัพและนายทหารทั้งหลายตกใจสะดุ้งโหยง อึ้งงันไม่ขยับ

“พวกเจ้าก็จะขัดราชโองการด้วยหรือ?” ขุนนางตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว มองนายทหารเหล่านี้อย่างเย็นชา “อย่าลืมว่าพวกเจ้าเป็นทหารของต้าโจว พวกเจ้าที่แท้ฟังคำสั่งของใคร?”

ใต้แผ่นฟ้าไม่มีผืนดินใดไม่ใช่ของจักรพรรดิ บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าของจักรพรรดิ

แม่ทัพกัดฟันทีหนึ่งยกมือ

“พลธนู” เขาตวาด

นายทหารทั้งหลายเอาธนูออกมาอย่างพร้อมเพรียงเล็งไปยังรถม้าที่วิ่งทะยานไปข้างหน้า

“ยิง” แม่ทัพตะโกนเอ่ย พร้อมกันนั้นก็หลับตาทนดูไม่ได้

เสียงแหวกอากาศฟึบฟึบดังขึ้น ธนูดั่งสายฝนบินไปยังรถม้าของเฉิงกั๋วกง

ม้ากรีดร้อง ม้าใต้ร่างจูจั้นต้องศรล้มร่วง แต่จูจั้นกลับไม่ได้ล้มลงไปตามมัน ร่างทะยานขึ้นบนรถม้า

ม้าที่ลากรถก็ต้องศรล้มลงเช่นกัน แต่รถม้ากลับไม่ได้พลิกร่วงแตกกระจาย

รถนั่นดูไปแล้วเป็นรถม้าที่ธรรมดายิ่ง ทว่าชั่วพริบตาหลังคารถพลันกางออกประหนึ่งปีก เสียงติงติงดังขึ้นไม่หยุด นั่นคือเสียงศรร่วงลงบนนั้น หลังจากนั้นร่วงหล่น

ขุนนางและแม่ทัพด้านนี้สีหน้าประหลาดใจ รถม้านี่ถึงกับทำมาจากเกราะ!

เฉิงกั๋วกงผู้นี้ไม่ได้ออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดอย่างว่าง่ายจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ไม่เป็นโจรใจไม่กลัว ทำไมใช้เกราะทำรถม้า เขาป้องกันอะไร!

ขุนนางโกรธเกรี้ยวในบัดดล

มีเกราะขวางศรแล้วอย่างไร ไม่มีรถม้า พวกเขาสามครอบครัวติดปีกก็ยากหนี

“จับพวกเขาไว้” เขาตวาด

นายทหารทั้งหลายยกคันศรควบม้าไปล้อมเฉิงกั๋วกง

บนพื้นแรงสะเทือนส่งมา

ไม่ถูกต้องนะ

แม่ทัพก้มศีรษะมองใต้เท้า จากนั้นฉุกคิดได้มองไปด้านหลัง จากนั้นหน้าถอดสี

หลังร่างไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรปรากฏกำลังพลกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาสวมเสื้อป่านแต่ในมือกลับกำคันศรดาบยาว

ไม่ใช่แค่หลังร่าง คนอื่นก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน มองไปรอบด้านอย่างตกตะลึง

ประหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กำลังคนหลายร้อยคนล้อมเข้ามาจากรอบด้าน

พวกเขาไม่พูดสักคำ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา กีบเท้าม้าย่ำพร้อมเพรียง คันศรในมือทอประกายเย็นเยียบ ล้อมนายทหารเหล่านี้ไว้

ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยวาจา นายทหารทั้งหลายที่ชูคันศรล้อมเข้าไปหาเฉิงกั๋วกงก็ล้วนหยุด

“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใคร?” ขุนนางสีหน้าซีดขาวตวาด

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะไม่จำเป็นต้องตอบ

เฉิงกั๋วกงเดินออกมาจากหลังรถม้า จูจั้นประคองนายหญิงอวี้ คนที่มาจูงม้าสามตัวมารับพวกเขา

ปลดผู้คุ้มกัน ไม่มีทหารส่วนตัว ไอ้คนหลอกลวง! ไร้ยางอาย! ขุนนางทั้งร่างสั่นระริกสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว

“เฉิงกั๋วกง”

ขุนนางมองครอบครัวเฉิงกั๋วกงด้านนั้นพลิกกายขึ้นม้า อดไม่ได้อีกต่อไปตวาดขึ้นมา

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าไปครานี้หมายความว่าอย่างไร?”

เฉิงกั๋วกงหันศีรษะมองไปหาเขา

ไปครั้งนี้จะเป็นการกลัวความผิดหลบหนี จะเป็นการยืนยันความผิดหนักคิดกบฏ บารมีไม่เหลือ ถูกชาวบ้านถ่มน้ำลาย ความชอบที่ทำศึกสิบกว่าปีสลายกลายเป็นความว่างเปล่า

ขุนนางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าซีดเผือด สีหน้าจริงใจ

“เฉิงกั๋วกง ในเมื่อบริสุทธิ์ใจไม่มีซ่อนเร้นก็เชิญกลับไปบอกแก่ใต้หล้า” เขาเอ่ยเสียงสั่น “ไยต้องเป็นโจร!”

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง พลิกดาบยาวในมือหมุนกลับสะพายไว้หลังร่าง สักคำก็ไม่เอ่ยควบม้าไปด้านหน้า

ฝีมือขี่ม้าของนายหญิงอวี้ก็เห็นชัดว่าไม่เลว ตามไปติดๆ

จูจั้นถ่มน้ำลายใส่ด้านนี้คำหนึ่ง ยกดาบในมือขึ้นขว้างมาหาขุนนาง

“เจ้าไปเองสิ” เขาตะโกน หมุนตัวควบม้าเร็วรี่

แม้ระยะทางไกล แต่ดาบนั่นบินมาประหนึ่งศร ขุนนางไม่ทันรู้ตัวร้องเสียงเบาทีหนึ่งถอยไปข้างหลัง

ดาบครึ่งหนึ่งปักทแยงลงห่างจากปลายเท้าเขาไม่กี่ก้าว พัดฝุ่นขึ้นขณะจมลงดิน

……………………………………….

……………………………………….

“กบฏแล้ว!”

เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่ง ฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาบนโต๊ะลงพื้น เหวี่ยงมือสองข้างตวาดโกรธเกรี้ยว

“เขากบฏแล้ว!”

ในท้องพระโรงขุนนางทั้งหลายพากันค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” พวกเขาเอ่ยกล่อม

ฮ่องเต้ไม่ได้ขว้างถ้วยชาล้มโต๊ะอีก ทรงนั่งกลับไปบนบัลลังก์อย่างหดหู่

“ข้าไม่ได้โกรธ ข้าเสียใจ” พระองค์หลั่งน้ำพระเนตรตรัส สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้น “ข้าฝันก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าเชื่อเขา ข้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ข้าผิดต่อเขาที่ใด? เขาถึงทำเช่นนี้กับข้า?”

พระองค์ยื่นมือตบปลอบตนเอง มองหมู่ขุนนาง

“พวกเจ้าว่าข้าผิดต่อเขาที่ใด?”

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงชั่วช้าเลวทรามเอง” มีขุนนางคุกเข่าเอ่ย “ฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิตนเอง”

มีคนไม่น้อยเอ่ยคล้อยตามเขา มีบางคนสีหน้าสลับซับซ้อน ไม่อยากคล้อยตามแต่ก็รู้ว่าเวลานี้ไม่มีถ้อยคำอื่นใดให้พูดได้ ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดจา

หวงเฉิงกวาดสายตาผ่านในท้องพระโรง จดจำคนที่ก้มหน้าไม่พูดเหล่านี้ ท้ายที่สุดจับอยู่บนร่างหนิงอวิ๋นเจาที่ก้มศีรษะอยู่ด้านหน้า

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตะโกนลั่นว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ แน่นอนตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเอ่ยว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา ทว่าเขาก็ไม่ได้คล้อยตาม เขาก้มศีรษะสีหน้าจริงจังจดจ่อขยับพู่กันเขียนหนังสือว่องไว

ในด้านความรับผิดชอบของขุนนางจดบันทึกพระดำรัสคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งใดที่ตำหนิได้

หวงเฉิงหัวเราะหยันในใจ ก่อนหน้านี้ทำไมเขาจำความรับผิดชอบของตนเองไม่ได้เล่า? คิดถึงตรงนี้สีหน้าก็ทะมึนขึ้นหลายส่วน

เขาก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงถึงกับขัดราชโองการหลบหนีไป เขายังคิดอยู่ว่าเฉิงกั๋วกงทำไมจึงต้องเข้าเมืองหลวงมาสร้างเรื่องพรวนหนึ่ง อาศัยความดีความชอบปลุกปั่นประชาชน คิดไม่ถึงเขากลับหนีไปเช่นนี้แล้ว

ครั้งนี้ความผิดพลาดใหญ่ที่สุดก็คือให้ทหารองครักษ์กับศาลต้าหลี่ไปจับกุมเฉิงกั๋วกง

นายทหารเหล่านี้เดิมก็ยำเกรงเฉิงกั๋วกง ทหารองครักษ์เป็นนานเข้ามักจะมีท่าทางน่าเกรงขามข่มประชาชนให้กลัวได้ แต่เทียบกับพ่อลูกเฉิงกั๋วกงคนที่เกิดมาจากสนามรบฝ่าออกมาจากความตายเช่นนั้นย่อมไม่เหมือนกัน

น่าจะให้องครักษ์เสื้อแพรไปจับกุม

องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เลือดเย็นไร้หัวใจทั้งยังไม่หวาดกลัวความตาย หากฮ่องเต้ออกคำสั่งให้ตาย พวกเขาก็ประหนึ่งสุนัขบ้าคลั่งฝูงหนึ่ง ต่อให้ตายก็ต้องกัดเฉิงกั๋วกงพ่อลูกให้ตายไปด้วย

ที่แท้ครั้งนั้นหนิงอวิ๋นเจาขวางไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปแต่ให้ศาลาต้าหลี่ไปจับกุม เป้าหมายก็คือสิ่งนี้

เจ้าหนูตัวดี รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่มีเจตนาดี

หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจาอย่างเหี้ยมเกรียม แต่นั่นแล้วอย่างไร ผลลัพธ์ก็ยังคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน เฉิงกั๋วกงกลับมาก็ตาย หนีไปยิ่งตาย

“ฝ่าบาท” เขาออกจากแถวร้องเรียกดังลั่น “ใจกบฏของเฉิงกั๋วกงเห็นชัด ขอฝ่าบาทอย่าเมตตาอีกต่อไป สั่งจับกุมกบฏจูซานทันที”

เขาเอ่ยพลางคุกเข่าลงกับพื้น

“กบฏจูซานผิดต่ออดีตฮ่องเต้ ผิดต่อฝ่าบาท ผิดต่อแผ่นดินต้าโจวของเรา มีเพียงทำเช่นนี้ถึงปลอบประโลมได้”

เรื่องมาถึงตจอนนี้ ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงไม่ว่ายินดีหรือไม่ยินดีก็ได้แต่คุกเข่าขอร้องเสียงพร้อมเพรียงแล้ว

ฮ่องเต้มองขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารนับร้อยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้นค่อยๆ นิ่งสงบ นั่งพระวรกายตรง

“อนุญาติ” พระองค์ตรัส

……………………………………….

……………………………………….

ท้องพระโรงทั้งหมดวุ่นวาย ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารทั้งหลายรีบร้อนถอยออกไป บ้างเงียบงันไม่พูดจาก้าวเท้าเร็วไว บ้างหลายคนจับกลุ่มวิพากษ์วิจาร์เสียงเบาด้วยกัน

“ใต้เท้าหนิง เรื่องนี้พวกเรา…” ขุนนางหลายคนมองหนิงอวิ๋นเจาแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทั้งหมดล้วนถือพระราชประสงค์เป็นบรรทัดฐาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตอบเสียงเบา

ตอนนี้พระประสงคือสิ่งใด? เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงก่อกบฏจริงหรือ?

พวกเขากำลังจะเอ่ยถามต่อ หนิงอวิ๋นเจาพลันยกมือให้พวกเขา คำนับขอตัวไปก่อน ก้าวเร็วไปเดินไปยังทิศทางหนึ่ง

ท่างกลางขุนนางที่เดินแห่แหนมีคนผู้หนึ่งคล้ายโดดเดี่ยวแปลกแยกจากพวก ที่ที่อยู่ว่างไปบริเวณหนึ่งเอง

“ใต้เท้าลู่” หนิงอวิ๋นเจาคำนับเอ่ยเรียก

ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันหน้านิดๆ มองเขา ไม่พูดสักคำ

เขาพูดจาน้อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นฝ่ายพูดก่อน

“ท่านพาคนไปสินะ?” หนิงอวิ๋นเจาก็รู้นิสัยของเขาจึงอ้าปากเอ่ยถามตรงๆ

คำนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย กระทั่งชื่อคนก็ไม่เอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมาแต่ไม่ตอบสักคำเดินหน้าต่อ

“ใต้เท้าลู่” หนิงอวิ๋นเจาตามไปเอ่ยเรียก “ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม…”

ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันหน้ามา

“ใต้เท้าหนิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม” เขาใช้คำพูดทื่อๆ เช่นเดิมขัดเขา “ท่านคิดว่าเวลานี้เอ่ยว่านางหายไป ทุกคนจะคิดถึงสิ่งใด?”

เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการหลบหนี โทษคิดกบฏแน่ชัด คุณหนูจวินความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉิงกั๋วกง ยามนี้บอกว่าคุณหนูจวินหายไปแล้ว ทุกคนจะคิดอย่างไร? กลัวโทษหลบหนีไปด้วยกันรึ?

ต่อให้ไม่คิดเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมมีหนทางทำให้ทุกคนคิดเช่นนี้ นอกจากนี้ฮ่องเต้เดิมทีก็ไม่ชอบคุณหนูจวิน

“นี่คือการข่มขู่หรือ?” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย

ขุนนางมากมายยามเผชิญหน้ากับเขาน้อยนักจะยิ้มออกมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังแย้มยิ้มได้สบายใจเช่นนี้

ลู่อวิ๋นฉีมองเขา

“เต้าหู้ทอดอร่อยไหม?” เขาพลันเอ่ยถาม

หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปนิดหนึ่ง เต้าหู้ทอด?

“ข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า” ลู่อวิ๋นฉีละสายตาออกแล้วเอ่ยต่อ “ข้าเพียงบอกเจ้า ผลัดไม่ถึงเจ้ามาเป็นห่วง”

เขาพูดจบก็เดินไปข้างหน้า

หนิงอวิ๋นเจามองแผ่นหลังของเขาสีหน้าเคร่งขรึม

“ใต้ท้าลู่” เขาก้าวตามมาเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำร้ายนาง แต่กับคนที่ชอบ หากให้นางเบิกบานใจได้ ไม่ใช่ยิ่งดีหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้า ศีรษะไม่หันกลับมาเช่นกัน

“ไม่ใช่” เขาเอ่ยตอบ

ถ้าอย่างนั้นยังพูดสิ่งใดได้อีก หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง มิน่าลู่อวิ๋นฉีคนนี้ถึงคบหายาก ประการแรกเพราะฐานะของเขา ประการที่สองก็เพราะนิสัยของเขา ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ

เห็นลู่อวิ๋นฉีเดินจากไป ขุนนางหลายคนด้านข้างก็โล่งอก แล้วท่าทางสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างอีก หรือหนิงอวิ๋นเจาจะไปสืบพระประสงค์ของฮ่องเต้จากลู่อวิ๋นฉี?

ทั้งราขสำนักนี่ผู้ที่รู้พระทัยของฮ่องเต้ที่สุดไม่มีใครเกินลู่อวิ๋นฉี

ใต้เท้าน้อยหนิงไม่เหมือนกับหนิงเหยียนจริงๆ ไม่รังเกียจพวกใช้อุบายหน้าไม่อาย

พวกเขายกเท้าก้าวไปข้างหน้าเตรียมสอบถาม หนิงอวิ๋นเจากลับก้าวเร็วไวจากไปแล้ว ตัดผ่านขุนนางทั้งหลายที่สีหน้าสับสนกำลังสนทนากันเสียงเบาในใจลอบคิดคำนวนอยู่ ตรงไปด้านนอก

เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ คงรีบร้อนกลับไปปรึกษากับหนิงเหยียนกระมัง ถ้าอย่างนั้นก็รอพวกเขาหารือกันเรียบร้อยค่อยว่ากันเถอะ

แต่หนิงอวิ๋นเจาออกจากพระราชวังมากลับไม่ได้ตรงกลับบ้านของหนิงเหยียน แต่เหยียบเข้าโรงหมอจิ่วหลิง

เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในโรงหมอจิ่วหลิงนั่งประจันหน้ากันสีหน้าเคร่งขรึม เห็นเขาเข้ามาก็รีบลุกขึ้นมา

“อยู่ในมือเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รอพวกเขาเอ่ยถามก็เอ่ยขึ้น

เฉินชีถีบม้านั่งทีหนึ่ง

“เอาคนติดอาวุธไปขอคน” เขาตะโกน

“จะขออย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถลึงตาใส่เขา “เอาคนติดอาวุธไปล้อมกรมสืบสวนฝ่ายเหนือรึ?”

นี่ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว ในมือพวกเขาไม่มีราชโองการ นอกจากนี้แต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือล้อมโจมตีผู้อื่น ล้อมโจมตีกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ นั่นไยไม่ใช่รนหาที่ตาย? พวกเขาไม่ใช่จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงสักหน่อย

นอกจากนี้จูจั้นที่ตอนนั้นกล้าทำเช่นนี้ก็อาศัยที่ฮ่องเต้ต้องการซื้อใจเฉิงกั๋วกงเท่านั้น

เฉินชีหดหู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“ดูท่าได้แต่ประกาศข่าวให้ผู้คน อาศัยเจตจำนงประชาชนช่วยเหลือ…” เขาเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้ไม่ได้แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขัดเขา “ครอบครัวเฉิงกั๋วกงถูกตัดสินให้มีความผิดคิดกบฏ ขัดราชโองการหลบหนีไปแล้ว”

อะไรนะ?

เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงงัน

“ข่าวน่าจะประกาศแก่สาธารณชนเดี๋ยวนี้แล้ว และพร้อมกันนี้การให้ร้ายเฉิงกั๋วกงก็ย่อมกระจายออกไปตาม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวินที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉิงกั๋วกงย่อมยากหนีพ้น

เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเข้าใจทันทีเช่นกัน

“ทำไมเร็วเช่นนี้” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพึมพำ

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร?” เฉินชีเอ่ยอย่างร้อนรน

หนิงอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ” เขาเอ่ย

สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ? ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวิน…

“โชคดีในความไม่ดีก็คือคุณหนูจวินตกไปอยู่ในมือลู่อวิ๋นก่อน ไม่ได้ตกไปอยู่ในมือฮ่องเต้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

นี่มีสิ่งใดแตกต่างหรือ? ลู่อวิ๋นฉีกับฮ่องเต้นั่นไม่ได้เป็นร่างเดียวกันรึ เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ข้าคิดว่า มีความยึดติดอย่างน้อยก็ยังนับได้ว่าเป็นคนผู้หนึ่ง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย มองไปยังคำว่าโรงหมอจิ่วหลิงสามคำที่แขวนอยู่หน้าโรงหมอ “เป็นคนผู้หนึ่งย่อมดีกว่าไม่ใช่คนเล็กน้อย”

……………………………………….

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง แสงสว่างอ่อนโยนของมุกราตรีส่องเงาร่างคน

“ข้ากลับมาช้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางวางกล่องอาหารในมือลงอย่างเต็มไปด้วยการขออภัย เขามองไปยังคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างเตียง “หิวแล้วไหม? เดี๋ยวพวกเราทานอาหารกัน”

คุณหนูจวินแม้ไม่ถูกมัดอยู่บนแผ่นกระดานอย่างเช่นก่อนหน้านี้ แต่มือเท้ายังคงถูกมัดแน่นหนา

ลู่อวิ๋นฉีนั่งลงเบื้องหน้านาง ถือช้อนคันหนึ่งขึ้นมาส่งน้ำแกงแปดสมบัติมาถึงริมฝีปากนางอย่างตั้งใจและชำนาญ

คุณหนูจวินกัดช้อนทีหนึ่ง มองลู่อวิ๋นฉีอย่างดุร้าย

ช้อนกระเบื้องขาวกระจุ๋มกระจิ๋มเนื้อละเอียด ถูกกัดไว้อย่างไม่เปลืองแรงสักนิด

ฟันกัดด้านบนส่งเสียงดังกึก

เหมือนกับหนูกำลังลับฟัน

ในคุกแห่งนี้ไม่มีแสงเทียนลุกไหม้ วางไว้เพียงมุกราตรีเพิ่มแสงสว่าง

แสงของมุกราตรีอ่อนโยน ขับเน้นดวงหน้างดงามของสตรีตรงหน้า ดวงตาเบิกกลมคู่นั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่นางคิด ตรงกันข้ามยิ่งมีชีวิตชีวา

ลู่อวิ๋นฉีกำช้อน มองนางอย่างตั้งใจ

“ตอนเจ้าไปกินเต้าหู้ทอด ข้าจำไม่ได้สักนิด” เขาเอ่ย “ข้าผิดเอง”

ยามนั้นนางไม่ให้เขาจำได้ เขาย่อมจำไม่ได้

คุณหนูจวินกัดช้อนมองเขาอย่างดุร้าย

เอ่ยขออภัยอย่างเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย

อีกมือหนึ่งของลู่อวิ๋นฉีบีบคางของนาง

“ที่แท้ก็ไม่เกี่ยวกับหน้าตา เจ้าคือเจ้า ดังนั้นถึงเป็นเจ้า” เขาเอ่ยพลางบีบเบาๆ

คุณหนูจวินอ้าปาก ช้อนถูกเอาออกมา

“กัดไปฟันจะเสีย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

คุณหนูจวินยังคงไม่พูดไม่จามองเขาอย่างเย็นชา

ลู่อวิ๋นฉีก็มองนางด้วย แม้ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ใบหน้าก็อ่อนโยนกว่าอยู่ข้างนอกมากนัก

“จิ่วหลิง ยามใดก็ตามคนไม่อาจมีปัญหากับการกินดื่ม” เขาเอ่ยขึ้น

คำนี้เป็นคำที่นางพูด

มีครั้งหนึ่งลู่อวิ๋นฉีกลับมาทำท่าอารมณ์ไม่ดีไม่อยากกินข้าว นางจึงกล่อมเขาเช่นนี้

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มหยันทีหนึ่ง

“ข้าพูดเหลวไหลไปเรื่อย” นางเอ่ยขึ้น “เหมือนเจ้าที่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเสแสร้ง”

“เจ้ายังจำได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย มุมปากยกโค้งแล้ว

“ข้าความจำดียิ่ง” คุณหนูจวินมองเขา “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจำได้กระจ่างชัดเจน จะได้ให้ข้าเห็นชัดเจนทุกเวลาทุกนาทีว่าตนเองเป็นคนโง่อย่างไร”

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะคนน้ำแกงแปดสมบัติ

“จิ่วหลิง พวกเรากินข้าวก่อนเถิด” เขาเอ่ยพลางยกช้อนขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยข้า คุณหนูจวินเอ่ยบอก “ข้ากินเอง”

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ไปโตอยู่ที่วัด แต่ติดตามหมอเทวดาจางออกเดินทาง” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าร้ายกาจยิ่ง”

แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเอ่ยถึงอดีตกับเขา ส่วนเขาก็ไม่เคยถามอดีตของนางสักนิด

ความทรงจำในอดีตไม่ใช่มีความสุขนัก นางไม่อยากเอ่ยถึง

แต่คิดขึ้นมา ด้วยฐานะของเขาอดีตเหล่านั้นคงรู้นานแล้ว ไม่จำเป็นต้องถาม

เขารู้ว่านางทำยาพิษได้ ซ่อนอาวุธลับมากมายได้ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก

คุณหนูจวินมองตนเอง เสื้อผ้าของนางตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอกถูกเปลี่ยนทั้งหมด เส้นผมสางใหม่แล้ว นางเชื่อว่าตอนที่นางสลบ กระทั่งในปากในหูในซอกเล็บเขาก็คงตรวจหาหมดแล้ว

เรื่องเช่นนี้สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้วไม่นับเป็นเรื่องยากอันใด

“ใต้เท้าลู่ไม่เชื่อว่าตนเองร้ายกาจนักหรือ?” นางเอ่ยเรียบๆ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“หากข้าร้ายกาจปานนั้นจริง เจ้าจะกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ย

เขาร้ายกาจปานนั้น แต่นางปิดบังเขา พกอาวุธลับซ่อนติดตัวมุ่งสู่พระราชวังไปตายเพียงลำพัง

ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันขวางไว้ ตอนนี้ต้องขวางนางไว้

ลู่อวิ๋นฉียื่นมือจับแก้มของนาง

“ลู่อวิ๋นฉี!” คุณหนูจวินตะโกนโกรธเกรี้ยว แต่อ้าปากปุบช้อนก็ส่งเข้ามาแล้ว

น้ำแกงกระดูกอ่อนที่อุ่นกำลังพอดีหลั่งรินเข้ามาในปาก กั้นเสียงของนางไว้

มือของลู่อวิ๋นฉีบนแก้มนางไล้ลงไปเบาๆ

น้ำแกงที่เข้าปากไม่ได้ถูกลิ้นพ่นออกมาสักนิดกลับไหลลงลำคออย่างรวดเร็ว

อาหารคำนี้ป้อนเข้าไปคุณหนูจวินกลับไม่ได้สำลักหรือไม่สบาย ราวกับนางกินเอง

ทว่านี่ย่อมไม่เหมือนกัน

คุณหนูจวินไม่ได้ด่าทออีก นางเพียงจ้องลู่อวิ๋นฉี ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความอัปยศ

ลู่อวิ๋นฉีเป็นองครักษ์เสื้อแพร ความเป็นความตายของนักโทษที่ตกอยู่ในมือล้วนขึ้นอยู่กับเขา ดังนั้นลู่อวิ๋นฉีถึงมีฉายาว่ายมราช

เขาให้พวกเขาตาย พวกเขาก็ตาย เขาให้พวกเขาอยู่ พวกเขาก็ตายไม่ได้

วิธีการทารุณตนเองอย่างอดอาหารจำพวกนั้น สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้วไม่มีประโยชน์สักนิด

ดังนั้นนางถูกเขาปฏิบัติด้วยเฉกเช่นนักโทษ

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท คล้ายมองไม่เห็นความโกรธแค้นอัปยศของนาง

น้ำแกงคำแล้วคำเล่าป้อนลงไป อาหารที่มีน้ำแกงมีเนื้อมีผักสลับปะปนกันป้อนเข้ามาในปากของนางไม่รีบร้อนไม่ชักช้าให้นางกลืนลงไป

“เจ้ากินมากกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง” เขาเอ่ย มองดูอาหารแล้วก็มองคุณหนูจวิน “สาเหตุเพราะร่างกายของจวินเจินเจินยังกำลังโตสินะ”

นี่หมายความว่ากระทั่งปกตินางกินเท่าไรเขาก็สืบมาได้แล้ว

คุณหนูจวินมองเขา

“ข้าเพียงอยากให้ตนเองมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงเท่านั้น” นางหัวเราะหยันเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีขานอืม

“เช่นนี้ดียิ่ง” เขาพยักหน้าเอ่ย เช็ดปากให้นางอย่างใส่ใจ หลังจากนั้นหยิบชามตะเกียบอีกชุดหนึ่งขึ้นมา “ข้ากินข้าวแล้ว”

อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเวลานี้เย็นแล้ว แต่ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่รู้สึก เขากินอย่างตั้งใจยิ่ง บางครั้งเงยหน้ามองดูสายตาเย็นชาของคุณหนูจวิน หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงกินอย่างตั้งใจอีกหน

“รสนิยมของเจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย ร่างกายที่เติบโตที่ฝู่หนิงร่างนี้คงส่งผลกับเจ้า” เขาเอ่ย ชิมอาหารที่ทำตามชีวิตปกติของคุณหนูจวินอย่างละเอียด

คุณหนูจวินไม่พูดจา ในเมื่ออารมณ์ในเวลานี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์

ลู่อวิ๋นฉีวางชามตะเกียบลง เรียกบ่าวหญิงคนหนึ่งที่รับใช้ที่นี่ยามกลางวันมา บ่าวหญิงมาจากองครักษ์เสื้อแพรอย่างเห็นชัดยิ่ง กลางวันเฝ้าอยู่ที่นี่ประหนึ่งไม่อยู่ เวลานี้สีหน้านิ่งสนิทเก็บชามตะเกียบถอยออกไปแล้ว

“เจ้า มีใครรู้บ้าง?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม

คุณหนูจวินไม่พูดสักคำ

ลู่อวิ๋นฉีไม่ถามอีก

“เจ้าไม่ชอบอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นข้าส่งเจ้าไปพบองค์หญิงจิ่วหลี” เขาเอ่ย

เขาอยู่ในห้องลับนี่ยังมัดมือเท้าของนางไว้ กลับยังกล้าจะส่งนางออกไป ความกล้านี้ย่อมมีเครื่องรับประกัน

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้านิ่งสงบ

“เจ้ากำลังถามทางเลือกของข้า?” นางเอ่ย “ข้ามีทางเลือกหรือ? พวกเรามีทางเลือกหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ริมฝีปากบางเม้ม คล้ายอยากพูดอะไรก็ไม่ได้พูด

“ให้ข้าที่เป็นเช่นนี้ไปพบจิ่วหลี ให้นางได้เห็นว่าข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยังหนีชะตาชีวิตนี่ไม่พ้น” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ให้พวกเราดูเสียให้ชัด นี่ก็คือสิ่งตอบแทนที่ผู้แพ้สมควรได้รับ ความอัปยศนี่ดียิ่งรุนแรงยิ่ง ไม่เสียทีเป็นใต้เท้าลู่จริง ทำให้คนนับถือจริงๆ”

ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน พาสายลมจางๆ หอบหนึ่งไหลเคลื่อน

“จิ่วหลิง เจ้าคิดว่าที่ข้าแต่งงานกับเจ้าเพื่อหยามเกียรติเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขา

“ไม่เช่นนั้นอะไร?” นางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ซาบซึ้งบุญคุณที่เจ้าไม่สังหารรึ?”

ใต้แสงไข่มุกสาดส่อง เงยศีรษะแหวนมอง ใบหน้าของลู่อวิ๋นฉีคล้ายยิ่งขาว แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น

“นั่งมาทั้งวันแล้ว ข้าให้คนยกน้ำมาแช่เท้านะ” เขาเอ่ยเสียงนิ่งสงบ นั่งลงมาอีกครั้ง

คุณหนูจวินแค่นเสียงหัวเราะทีหนึ่ง ไม่พูดไม่จา

ลู่อวิ๋นฉีสั่งข้างนอกคำหนึ่งก็ก้มศีรษะถอดถุงเท้าให้นาง

“เฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว คนที่ไปถ่ายทอดราชโองการจับเขาไม่ได้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายสบายๆ ประหนึ่งสามีที่ทำงานข้างนอกทั้งวันกลับมาคุยเรื่อยเปื่อยตามปกติกับภรรยา

เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ละครเช่นนี้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้นางอยู่ที่บ้านเบื่อหน่าย เพื่อไม่ให้นางคิดเหลวไหลไร้สาระ เขาจะเล่าเรื่องข้างนอกให้นางฟัง

คนเหล่านั้น เรื่องเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบด้านล้วนยังมีชีวิตชีวา หลอกล่อนาง

ที่ยิ่งทำให้คนแค้นชังก็คือ เรื่องที่เขามักเล่าเรื่องที่ล่อนางได้ออกมาเสมอ

“ไม่หนีจะกลับมาตายรึ?” นางหัวเราะหยันเอ่ย

แต่ในใจนางยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง มากยิ่งกว่าคือความโล่งใจ

เฉิงกั๋วกงในเมื่อตัดสินใจแล้วก็จัดการได้รอบคอบจริงๆ

แม้ถูกตัดสินว่าผิดจริงถูกไล่ลงจากแท่นดั่งที่ฮ่องเต้หวังแต่นี่ก็แค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น แทนที่จะป้องกันโจรพันวัน ไม่สู้ตัดสินไปเลย

“แต่นี่ไม่ได้มีสิ่งใดแตกต่าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย รับอ่างไม้จากบ่าวหญิงมา ใช้มือลองอุณหภูมิน้ำก่อน ค่อยวางเท้าของคุณหนูจวินลงไป “ล้วนต้องการให้เขาตาย ช้าเร็วเท่านั้น”

“ต้องการให้เขาตาย?” คุณหนูจวินเอ่ย “เขาต้องการให้เขาตายก็จะตายหรือ? เขาคิดว่าเขาเป็นโอรสสวรรค์จริงรึ? ไม่ต้องพูดถึงเขาไม่ใช่ ต่อให้เขาใช่ เขาก็ไม่ใช่สวรรค์”

นางหัวเราะหยัน

“ข้าไม่ใช่ยังมีชีวิตอยู่รึ”

ลู่อวิ๋นฉีเงยศีรษะมองนาง เม้มริมฝีปากบาง ยิ้มทีหนึ่ง

“ใช่” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินมองเขา

“ข้าอยากเตะอ่างน้ำนี่” นางบอก

นางบอกว่านางอยากแต่ไม่ขยับสักนิด เพราะเท้าของนางขอเพียงขยับเล็กน้อยก็ถูกมือของลู่อวิ๋นฉีจับไว้แน่น

แต่นางยังคงเอ่ยประโยคนี้ออกมา เหมือนว่านางทำได้แล้ว

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“ได้” เขาพยักหน้า เหมือนว่านางแตะอ่างน้ำคว่ำได้แล้ว “ข้าไปเปลี่ยนอ่างใหม่มา”

Jun Jiu Ling  หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 2 อ่านนิยาย (ภาค 2 ตอนที่ 1 – 90)  อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


ฤดูหนาวปีที่สามแห่งรัชสมัยไท่คัง

มีเด็กสาวผู้หนึ่งมาทวงสัญญาแต่งงานจากตระกูลหนิงแห่งอำเภอเป่ยหลิวเมืองหยางเฉิงถึงหน้าจวน

หลังถูกปฏิเสธการแต่งงงาน เด็กสาวตัดสินใจผูกคอตายเพื่อแสดงจุดยืนของตน

เมื่อเด็กสาวผู้หมดลมหายใจไปลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

นับแต่นั้นชะตาชีวิตของคนมากมายก็ถึงคราวพลิกผัน


Options

not work with dark mode
Reset