Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 146 เรื่องจบเรื่องเริ่ม

ภาคที่ 4 ตอนที่ 146 เรื่องจบเรื่องเริ่ม

ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกเปาะแปะๆ มาครึ่งเดือน ในที่สุดก็หยุดแล้ว ทว่าศาลไต่สวนในที่วาการอำเภอยังคงดำเนินต่อไป

 

เสียงของเจี่ยงซื่อซานแม้ไม่หยุดมาครึ่งวันแล้วก็ยังคงไม่มีความเหนื่อยล้าสักนิด

 

“ร้ายกาจจริงๆ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย แม้ถ้อยคำที่พูดไม่ถึงครึ่งของเจี่ยงซื่อซาน แต่ในเสียงก็ยากปิดบังความเหนื่อยล้า “เขาไม่เหนื่อยเลยรึ”

 

ฟางอวิ๋นซิ่วยกชาให้นางด้วยตนเอง สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยทั้งยังวิตก

 

“ท่านแม่ถ่อมตัวจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ตอนนั้นท่านแม่ตรวจสอบบัญชีสิ้นปี คนเดียวเผชิญหน้าผู้ดูแลใหญ่ยี่สิบสี่คนจากสิบสามเมือง ไม่เป็นรองจูเก๋อเลี่ยงโต้คารมเหล่าปราชญ์ครั้งกระโน้น”

 

นายหญิงใหญ่ฟางหัวเราะแล้ว

 

“ไม่กล้า วีรบุรุษไม่เอ่ยถึงผู้กล้าในอดีต” นางเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นข้ามีท่านย่าของเจ้าหนุนหลัง”

 

พูดถึงตรงนี้พลันมองบุตรสาวสองคนรวมถึงคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ในห้องทีหนึ่ง

 

ฟางจิ่นซิ่วยังอยู่ในหยางเฉิง แต่ไม่เคยพบหน้านาง ยิ่งไม่มีทางนั่งรวมกับพวกนาง

 

“จะบอกว่าร้ายกาจ ข้าก็ร้ายกาจสู้พวกเจ้าไม่ได้” นายหญิงใหญ่ฟางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย

 

นางปากเอ่ยว่าพวกนางร้ายกาจ แต่สายตาจับเพียงบนร่างคุณหนูจวิน

 

วันนี้นางรู้ความจริงของเรื่องราวแล้ว แม้ไม่โมโหบุตรสาวทั้งหลายอีก แต่ก็นับไม่ได้ว่าดีใจเท่าไร กระทั่งนางเองยังบอกไม่ชัดว่ารสชาติอันใด

 

แค่เพราะประโยคเดียวของคุณหนูจวินคนนี้ บุตรสาวสามคนบุตรชายหนึ่งคนไม่ลังเลสักนิด ไม่หารือกับที่บ้านสักนิดก็กล้าทำเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ออกมา

 

สัญญาเมื่อตอนนั้นดูท่าคงเป็นจริงแล้ว นางรักษาชีวิตของเฉิงอวี่ได้ ทุกสิ่งที่เฉิงอวี่ควรได้จะประคองมอบให้

 

ตระกูลฟางแห่งนี้ เป็นของนางโดยสมบูรณ์แล้ว

 

“ที่จริงไม่มีสิ่งใดร้ายกาจไม่ร้ายกาจ” คุณหนูจวินมองไปหานาง “ก็แค่เลือกไม่ได้เท่านั้น”

 

นายหญิงใหญ่ฟางขานอ้อ

 

“แต่เลือกไม่ได้คือเลือกไม่ได้ ข้าคิดว่าข้าก็ร้ายกาจมาก” นางเอ่ย

 

ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วกับคุณหนูจวินงุนงงครู่หนึ่ง ฟางอวิ๋นซิ่วตอบสนองไม่ทัน คุณหนูจวินก็คิดไม่ถึงว่านายหญิงใหญ่ฟางจะเอ่ยวาจาเช่นนี้

 

“ท่านป้าพูดถูกต้อง บนโลกคนที่เลือกไม่ได้มากไป ทว่าไม่ใช่ทุกคนล้วนทำได้เช่นนี้อย่างท่านป้า” นางยิ้มละไมเอ่ย

 

ยิ้มนี้ทำให้บรรยากาศในห้องกลายเป็นกลมเกลียวมากนัก ด้านนอกเจี่ยงซื่อซานก็คล้ายคุยกับนายอำเภอรื่นเริงยิ่ง

 

บรรยากาศนี่ทำให้ฟางเฉิงอวี่ที่เดินเข้ามารอยยิ้มยิ่งกว้าง

 

“ท่านแม่ พี่สาวทั้งหลาย ลำบากแล้ว” เขาคำนับเอ่ย “เรื่องนี้จบได้แล้ว”

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองมาทางเขา

 

“ไม่เป็นไรแล้วรึ?” นางเอ่ยถาม

 

“คนไปหมดแล้วขอรับ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

 

บทสนทนาของพวกเขาเรียบง่าย แต่ทุกคนล้วนเข้าใจว่าพูดอะไร เริ่มตั้งแต่พ่อค้ามาเอาเงินก็มีคนสอดแนมมากมายกระจายอย่ที่หยางเฉิงไปจนถึงในเขตเจ๋อโจว ตอนนี้คนเหล่านั้นในที่สุดล้วนจากไปแล้วหรือ?

 

ได้รับข่าวนี้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันโล่งอก แล้วท่าทางเศร้าอยู่บ้าง

 

“สิ่งที่ควรก็เอาไปแล้ว นับจากนี้สองฝ่ายก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” นางเอ่ย

 

เรื่องเงินเหล่านั้นถูกนางกับจูจั้นปล้นไป คนตระกูลฟางไม่รู้ คุณหนูจวินเบี่ยงกายยกชา มองเห็นฟางเฉิงอวี่กำลังมองนางอยู่

 

อืม ก็ไม่ใช่คนทั้งหมดของตระกูลฟางล้วนไม่รู้ คุณหนูจวินยิ้มให้เขา

 

ข้ออ้างที่นางไปไท่หยวนเชิญเจี่ยงซื่อซานปิดบังเขาไม่อยู่

 

แต่เรื่องนี้เดิมก็เป็นการเสี่ยง แม้จัดหาตัวปลอมยืมรถม้าปิดหน้าตบตา แต่กลบเกลื่อนได้ราบรื่นเช่นนี้ก็เหนือความคาดคิดเช่นกัน

 

หยวนเป่าขันทีคนเหล่านั้นบางทีอาจหลอกได้ องครักษ์เสื้อแพรของลู่อวิ๋นฉีเล่า?

 

บางทีครั้งนี้องครักษ์เสื้อแพรอาจไม่ได้จับจ้องนางอยู่? อย่างไรเรื่องเงินนี่ฮ่องเต้ก็ระวังอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ล้วนไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรได้รู้

 

นี่ก็นับว่ามุดผ่านช่องว่างของฮ่องเต้เช่นกัน

 

“จิ่วหลิง?” เสียงของฟางเฉิงอวี่เอ่ยเรียก

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมามองเขา

 

“ถ้าเช่นนั้นต่อไป…” นางเอ่ย

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักขัดนาง

 

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องต่อไป จิ่วหลิงเจ้าก็ไม่ต้องสอดมือแล้ว” เขาเอ่ยพลางมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “ท่านย่าออกหน้าก็พอ”

 

อย่างไรก็เป็นหลานนอกตระกูล หากให้นางออกหน้าจบเรื่องนี้ อนาคตนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่หยางเฉิงคงยากเลี่ยงถูกคนล้อเป็นเรื่องตลก

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

“ถ้าอย่างนั้นจิ่วหลิงเจ้ากลับเมืองหลวงก่อนเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขัดนางอีกหน สีหน้าจริงจังอยู่บ้าง “เมืองหลวงด้านนั้น ข้ายังไม่วางใจ”

 

ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้คว้าเงินไปไม่ได้ดั่งที่หวัง ต่อให้คว้าได้แล้ว เขาก็ไม่มีทางพอใจปล่อยวางเรื่องนี้ลงเช่นนี้

 

“เรื่องนี้ไม่ใช่จบ แต่เริ่มต้น” คุณหนูจวินเอ่ย

 

ก่อนหน้านี้ตระกูลฟางมีราชโองการมีเงินลับที่ไม่อาจเผยแก่โลกได้ นี่เป็นสิ่งผูกมัดฮ่องเต้ไว้ ตอนนี้สิ่งผูกมัดไม่มีแล้ว ฮ่องเต้คงกำเริบเสิบสาน

 

“ในบ้านด้านนี้เจ้าวางใจ พวกเราเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ดวงตาเป็นประกายเอ่ย

 

คุณหนูจวินมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเหล่มองนางทีหนึ่ง

 

“ทำไม มีแค่เจ้าที่ร้ายกาจรึ?” นางเอ่ย

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ลุกขึ้นคำนับผู้คนตระกูลฟางด้านในห้อง

 

“ไม่ พวกท่านล้วนร้ายกาจกว่าข้า” นางเอ่ย จริงจังทั้งยังจริงใจ

 

นางตายแล้วเกิดใหม่ถึงเดินมาถึงวันนี้ได้ เวลามากมายล้วนอาศัยนางรู้จักผู้อื่น ผู้อื่นไม่รู้จักนางถึงก้าวข้ามด่านยากมาได้ นี่เป็นความโชคดีที่สวรรค์ประทานให้นาง แต่สตรีทั้งหลายเหล่านี้ของตระกูลฟางกลับไม่มีข้อได้เปรียบเช่นนี้ พวกนางตัดสินใจเลือกอย่างไร้ความหวาดกลัวสักนิดในด่านยากสถานการณ์อันตรายหลายครั้งได้ถึงร้ายกาจอย่างแท้จริง

 

“ในเมื่อพวกเราล้วนร้ายกาจช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีกเล่า?” ฟางอวี้ซิ่วพลิกสองมือทีหนึ่งเอ่ย

 

……………………………………….

 

……………………………………….

 

ดังเช่นยามมาหนึ่งคนหนึ่งอาชา มีเพียงฟางจิ่นซิ่วไม่ได้จากไปด้วยกัน

 

“จิ่วหลิงไม่ต้องกังวล รอที่นี่วุ่นจบแล้ว ข้าจะให้คนส่งจิ่นซิ่วกลับไป” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

 

คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ฟางจิ่นซิ่วพลันปฏิเสธเด็ดขาด

 

“เฉินชีจ้างผู้คุ้มกันให้ข้าแล้ว” นางเอ่ย แล้วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง “เงินเจ้าออก”

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ พยักหน้า

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อน” นางมองฟางเฉิงอวี่แล้วเอ่ยขึ้น

 

ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือ บนหน้าเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจอาลัยอาวรณ์

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างกระแอมทีหนึ่ง

 

“สายเล้วนะ” เขาเอ่ย

 

ฟางเฉิงอวี่กอดคุณหนูจวินท่าทางขัดใจอยู่บ้าง

 

“รีบเดินทางเถอะ รีบเดินทางเถอะ” แต่ปากเขากลับเอ่ยบอก

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ตบปลอบเขาเบาๆ

 

ฟางเฉิงอวี่ปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์ คุณหนูจวินมองไปทางพวกฟางอวิ๋นซิ่วสามคนอีกหน

 

“เฮ้อ ไม่ต้องแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วไม่รอนางเอ่ยวาจาก็รีบโบกมือ “ข้าไม่คุ้นชินกับการกอดคน”

 

คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยปากอย่างยิ่งดี

 

“ข้าทำแทนพี่รอง” เขาเอ่ยยื่นมืออีกครั้ง

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า ฟางอวิ๋นซิ่วก็ปิดปากัวเราะ ก้าวเข้าไปย่อเข่าคำนับให้คุณหนูจวิน

 

“เดินทางปลอดภัย” นางเอ่ย

 

คุณหนูจวินอมยิ้มคำนับคืน

 

“รักษาตัวด้วย” นางเอ่ยตอบ

 

……………………………………….

 

……………………………………….

 

เงาคนบนถนนใหญ่มองไม่เห็นนานแล้ว ฟางเฉิงอวี่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิมมองอย่างตั้งใจ

 

ส่วนพวกฟางอวี้ซิ่วสามพี่น้องอยู่ด้านข้างคุยกัน

 

“กลับไปพักที่บ้านเถอะ ตอนนี้กลับไปได้แล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ย มองฟางจิ่นซิ่วด้วยสีหน้าทอดถอนใจ

 

ไม่พบหน้ากันเนิ่นนานแล้ว นอกจากนี้มาหยางเฉิงนานเช่นนี้ ทุกคนนอกจากพบหน้ากันครั้งสองครั้งในศาล ยังไม่เคยคุยกันดีๆ เช่นนี้

 

ฟางจิ่นซิ่วยิ้ม

 

“กลับไม่ได้” นางเอ่ยขึ้นมา

 

กลับไม่ได้ประโยคนี้ความหมายที่ซ่อนไว้ค่อนข้างทำให้คนเศร้าใจและจนปัญญา ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ได้สีหน้าเศร้าหมอง

 

“เฮ้อ พี่ใหญ่ ท่านก็ให้นางพักโรงเตี๊ยมเถอะ” ฟางอวี้ซิ่วคล้องไหล่ฟางจิ่นซิ่วไว้ ขัดบรรยากาศที่หยุดชะงักไปนิดๆ “ผู้ดูแลใหญ่จิ่นซิ่ววันนี้รวยแล้ว นี่เป็นผ้าที่เป็นที่นิยมที่สุดของเมืองหลวงเชียวนะ? พวกเรายังไม่ทันซื้อมาได้เลย”

 

ฟางจิ่นซิ่วตวัดตามองนางทีหนึ่ง ไม่สนใจนาง แต่กลับไม่ได้ผลักนางออก

 

ความเศร้าหมองของฟางอวิ๋นซิ่วสลายไป รอยยิ้มยิ่งอ่อนโยน

 

ต่อให้กลับไปไม่ได้แล้วอย่างไร พวกนางล้วนยังอยู่ดี ถ้าเช่นนั้นก็มองไปข้างหน้าก็พอแล้ว

 

“พวกเรากลับเถอะ” เสียงของฟางเฉิงอวี่ดังขึ้นด้านหลัง

 

ฟางอวี้ซิ่วขานอืม

 

“ยังคิดว่าเจ้ายังมองไม่พอแน่ะ” นางเอ่ยขึ้น

 

ฟางอวิ๋นซิ่วถลึงตาตำหนิฟางอวี้ซิ่วทีหนึ่ง

 

ฟางจิ่นซิ่วได้ยินเข้าก็หมุนตัวจะไป ฟางเฉิงอวี่กลับเรียกนางไว้

 

“มีเรื่องหนึ่งข้าอยากหารือกับพี่สาวทั้งหลายสักหน่อย” เขาเอ่ย

 

ทั้งสามคนล้วนมองเขา

 

“มีเรื่องอันใดเจ้าบอกมาก็พอแล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยขึ้น

 

“หารืออะไร? แบ่งสมบัติตระกูลให้พวกเราหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วยิ้มเอ่ยถาม

 

ก็พูดแล้วว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ยังแบ่งสมบัติตระกูลอะไรอีก ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้ม แต่นาทีต่อมารอยยิ้มของนางก็ชะงักไป

 

“ใช่แล้ว” ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า สีหน้าจริงจัง “แต่พวกท่านต้องรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งของข้า”

 

“เงื่อนไขอะไร?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม

 

“พวกท่านต้องรับประกันว่า หากข้าตายไป ร้านแลกเงินของพวกท่านต้องเชื่อฟังคำพูดจิ่วหลิงเหมือนเช่นร้านแลกเงินของข้า” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

 

พี่สาวน้องสาวตระกูลฟางสามคนสีหน้าตะลึง

 

……………………

ฝนฤดูใบไม้ร่วงรอบหนึ่งลมหนาวรอบหนึ่ง  สายลมสอดแทรกด้วยสายฝนพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง อาลักษณ์หลินที่นั่งอยู่ในห้องทำงานอดไม่ได้ตัวสั่นเทา กระชับชุดขุนนางบนร่างนิดหนึ่ง เอียงหูฟังเสียงดังเบาที่ดังๆ หยุดๆ

 

 

นี่เป็นเสียงของเจี่ยงซื่อซานหมอความชื่อดังของเมืองไท่หยวน

 

 

“…พูดเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อยๆ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินกฎหมายเช่นนี้?”

 

 

“…นายหญิงใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ศาลต้าหลี่ยกขึ้นมาตอนคดีหวังซานเหนียงที่กานโจว ไม่ได้อยู่บนกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ยอมรับ…”

 

 

ฟังถึงตรงนี้ อาลักษณ์หลินพลันหาววอดหนึ่ง คุณหนูจวินคนหนึ่งก็จัดการยากแล้ว ยังเชิญหมอความที่จัดการยากคนนี้มาอีก ดูท่านายหญิงผู้เฒ่าฟางครั้งนี้อยากสลัดหลุดโดยไม่เสียเนื้อไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 

 

ในความเป็นจริงตอนนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางเสียเงินไปไม่น้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านนายอำเภอจะไม่มีเวลากระทั่งหยอกแมว วันๆ นั่งอยู่ในศาลฟังพวกเขาเถียงกัน ยังไม่ใช่เพื่อเงินรึ

 

 

แต่เงินนี่เขาไม่กล้าต้องการ ตัวก่อเภทภัยนั่นอย่างไรก็อยู่ห่างหน่อยเป็นดี อาลักษณ์หลินยื่นมือยกชาบนโต๊ะ พลันมีคนเลิกม่านเข้ามากะทันหัน

 

 

อาลักษณ์หลินคิดว่าเป็นขุนนางตำแหน่งน้อยในที่ว่าการอำเภอ เงยสายตาขึ้นกลับเป็นสตรีชราแปลกหน้าคนหนึ่ง

 

 

“เฮ้ย เจ้าทำอะไรน่ะ?” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม

 

 

สตรีชรากระอักกระอ่วน

 

 

“ข้า ข้ามาหาคุณหนูจวิน” นางเอ่ยขึ้น คุกเข่าดังตึกลง “ขอร้องคุณหนูจวินช่วยชีวิตด้วย”

 

 

มาหาคุณหนูจวินรักษาโรค หลายวันนี้พบไม่น้อย อาลักษณ์หลินโบกมืออย่างรำคาญ

 

 

“ไปไป คุณหนูจวินไม่ได้อยู่ที่นี่” เขาเอ่ยพลางร้องเรียกคน

 

 

เจ้าพนักงานหลายคนวิ่งเข้ามาหิ้วสตรีชราเดินไปด้านนอก

 

 

“ทำไมให้คนบุกเข้ามาได้” อาลักษณ์หลินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ารู้ว่าพักนี้คนที่มาดูเรื่องสนุกมาก แต่ที่ว่าการอำเภอก็ไม่ใช่เหลาสุราโรงน้ำชาที่ผู้ใดก็บุกเข้ามาได้นะ”

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายขานรับ หิ้วสตรีชราเดินออกไป

 

 

“ข้าต้องการพบคุณหนูจวิน” สตรีชรายังคงวิงวอนอย่างกระวนกระวาย

 

 

“คุณหนูจวินไม่อยู่” เจ้าพนักงานคนหนึ่งถูกโวยวายจนเอ่ยอย่างรำคาญ

 

 

คุณหนูจวินไม่อยู่? ในดวงตาสตรีชราประกายแสงจางๆ เส้นหนึ่งแล่นผ่าน

 

 

“คุณหนูจวิน…” นางคว้าแขนเสื้อเจ้าพนักงานไว้รีบร้อนเอ่ย เสียงคำยังไม่ทันจบ ก็เห็นประตูที่ว่าการอำเภอวุ่นว่ายครู่หนึ่ง มีคนก้าวเท้าช้าๆ เข้ามา

 

 

ผ้าคลุมสีเหลืองลูกห่านปิดบังเรือนร่างอ้อนแอ้นไม่อยู่ คุณหนูจวินนั่นเอง

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายอึ้งไปชั่วครู่ รีบคว้าสตรีชราไม่ให้นางพุ่งเข้าไป

 

 

สตรีชรากลับคล้ายอึ้งงันไม่ตอบสนอง มองคุณหนูจวินเดินเข้าศาลไปเช่นนี้

 

 

“คุณหนูจวินเพิ่งกลับมาไม่พักสักหน่อยก็มาแล้ว” เจ้าพนักงานทั้งหลายได้สติกลับมาคุยกันเสียงเบา

 

 

ได้ยินประโยคนี้ แววตาของสตรีชราพลันทอประกายอีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไปที่ไหนมาหรือ? ทำไมข้ามาหานางไม่พบตลอด” นางเอ่ยเสียงสั่น

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายตวัดตามองนาง แล้วพยักเพยิดคางไปทางศาลอีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไปเมืองไท่หยวนเชิญเจี่ยงซื่อซาน” เจ้าพนักงานคนหนึ่งในนั้นเอ่ย

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง สตรีชราแววตาคล้ายคิดบางสิ่ง

 

 

“คุณหนูจวิน ช่วยครอบครัวข้า…” นางคล้ายเพิ่งได้สติกลับมาจะพุ่งเข้าไปในศาล

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายขวางนางไว้ โยนออกไปอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

 

 

สตรีชราผู้นั้นนั่งอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอเช็ดน้ำตาครู่หนึ่งกลับไม่ได้อยู่ที่นี่รอคอยตามตื๊อ ลุกขึ้นโขยกเขยกจากไปแล้ว ออกจากสายตาของชาวบ้านทั้งหลายเลี้ยวเข้าซอยน้อยปุบ รูปร่างของนางพลันเหยียดตรง ฝีเท้าก็ไม่เห็นโขยกเขยกเช่นกัน ก้าวเท้าเร็วไวประหนึ่งบินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง

 

 

“ร่องรอยไม่น่าสงสัยจริงๆ รึ?”

 

 

ฟังรายงาน บุรุษในเรือนพลันสีหน้ายุ่งยาก

 

 

“ตอนนี้อยู่ที่หยางเฉิง นอกจากนี้ที่ๆ ช่วงก่อนหน้านี้ไปก็คือไท่หยวน เชิญหมอความเจี่ยงซื่อซาน”

 

 

เขาเดินไปมา นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟางแล้ว ถ้าเช่นนั้นที่แท้ใครทำเล่า?

 

 

เขายกเท้าถีบม้านั่งเตี้ยออกไป

 

 

“เจอผีแล้วจริงๆ”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนเป่าก้มศีรษะเดินอย่างรีบร้อน ท่าทางเทียบกับยามปรากฏตัวในวังครั้งก่อนหน้านี้ลดลงมากนัก เพราะก้มศีรษะจนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมแผ่วเบาด้านนั้นถึงพบว่ามีคน

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเห็นลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ตรงหน้า ข้างกายองครักษ์เสื้อแพรสี่คนสีหน้าเย็นชาจ้องเขาอยู่

 

 

“ใต้เท้าลู่” เขารีบคำนับอย่างเคารพ คิดถึงอะไรได้จึงค้อมร่างลงอีกหน “ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้งหรือไม่?”

 

 

เสียงของเขาติดจะประจบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืม เบี่ยงกายหลีกทาง

 

 

หยวนเป่าคำนับอีกหนเดินผ่านพวกเขาไป

 

 

“เจ้าหนูนี่ทำไมแสร้งทำเป็นผู้น้อยเช่นนี้กะทันหันเล่า?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งมองแผ่นหลังของหยวนเป่าแล้วเอ่ยขึ้น ไม่ใช่แอบเรียกตนเองว่าตนถึงจะเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของฝ่าบาทหรือ?”

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าพวกไม่มีอัณฑะกลุ่มนั้นยิ่งเหิมเกริมขึ้นทุกทีแล้ว ถึงขั้นกล้าแตะสายของพวกเรา” องครักษ์เสื้อแพรอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

“รู้จักคำว่าฝ่าบาทก็พอ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ล้วนทำงานให้ฝ่าบาท”

 

 

ใครยังสูงส่งกว่าใคร ล้วนเหมือนกัน

 

 

หยวนเป่าคุกเข่าดังตึกลงบนพื้น ทั้งตัวค้อมลงไปคล้ายฟุบหมอบ

 

 

“ฝ่าบาท บ่าวสมควรตาย” เขาร่ำไห้เอ่ย

 

 

ฮ่องเต้บนพระที่นั่งด้านหน้าในมือถือฎีกาคล้ายจดจ่อสมาธิทั้งหมด ไม่ได้ยินแล้วก็มองไม่เห็น

 

 

เปลี่ยนเป็นผู้อื่นอาจไม่กล้าเอ่ยวาจาแล้ว แต่อย่างไรหยวนเป่าก็ติดตามตั้งแต่เล็กจนโต

 

 

“หาพบเพียงร่องรอยรถที่ถูกเผา” เขาฟุบอยู่บนพื้นน้ำหูน้ำตาไหลเอ่ย “เงินเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบหาไม่พบ ตระกูลฟางด้านนั้นก็สืบไม่พบสิ่งใด บ่าวสมควรตาย”

 

 

เขาพูดพลางโขกศีรษะตึกตึก บนหน้าผากพริบตาเป็นจ้ำเขียวม่วงแดง

 

 

“พอแล้ว” เสียงของฮ่องเต้ลอยลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับเสียงดังปังทีหนึ่ง

 

 

หยวนเป่าไม่กล้าส่งเสียงอีกทันที ฟุบอยู่บนพื้นนิ่งไม่กระดิก

 

 

“หายไปแล้วก็หายไปแล้ว หาไม่พบก็หาไม่พบ ก็ไม่มีอะไรใหญ่โต” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ไม่มีอะไร? หยวนเป่าเงยศีรษะขึ้นอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นฮ่องเต้สีพระพักตร์อ่อนโยน ไม่มีความพิโรธสักนิด

 

 

ฮ่องเต้น้อยครั้งนักจะกริ้ว แน่นอนนี่เป็นเพียงภายนอก แต่ตอนนี้หยวนเป่าสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้ไม่มีความกริ้วโกรธจริงๆ

 

 

ฝ่าบาทนี่คือคิดถึงไมตรีเก่า ดังนั้นจึงปล่อยเขาหรือ? หยวนเป่าคิดอย่างคลางแคลง เขาจะมองตนเองสูงไปหรือไม่? อย่างไรเงินนั่นก็ไม่ใช่เงินธรรมดา…

 

 

“เงินก็คือเงิน” ฮ่องเต้เอ่ย บนพระพักตร์มีรอยพระสรวลอยู่นิดหน่อย “เงินมีเพียงอยู่ในมือคนที่เจาะจงถึงไม่ธรรมดา”

 

 

หยวนเป่าไม่เข้าใจอยู่บ้าง น้ำมูกน้ำตานองหน้ามองฮ่องเต้

 

 

“โง่เง่าเหมือนกับยัยแก่นั่น” ฮ่องเต้พลันโพล่งออกมาหนึ่งประโยคท่าทางรังเกียจ “ตนเองโง่เขลาชัดๆ ยังด่าผู้อื่นว่าโง่”

 

 

ยัยแก่…

 

 

คนแก่ในวังมีเพียงพระองค์เดียวแล้ว…

 

 

หากผู้อื่นได้ยินคำนี้เกรงว่าคงตกใจไม่น้อย ทว่าหยวนเป่าเพียงสีหน้าลนลานนิดหนึ่งเท่านั้น

 

 

“ฝ่าบาท โปรดระวังวาจาด้วย” เขากล่อมห้ามอย่างวิตกอยู่บ้าง

 

 

ฮ่องเต้เคาะฎีกาบนโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

“ระวังอะไร ข้าระวังมาครึ่งชีวิตแล้ว ระวังจนไล่ตัวปัญหาสองคนได้แล้ว ก็เหลือแต่คนนี้ นานปีเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว” พระองค์ตรัส

 

 

กลัวก็ไม่ใช่กลัว แต่ไม่ว่าพูดอย่างไรก็เป็นเสด็จแม่ของตนเอง หยวนเป่ากระอักกระอ่วน

 

 

“เงินนี่แน่นอนสำคัญ” ฮ่องเต้ตรัสต่อ ท่าทางเสียดสีอยู่บ้าง “ทว่าพวกเจ้าล้วนไม่ได้คิดเข้าใจเรื่องหนึ่ง”

 

 

เรื่องอันใด?

 

 

หยวนเป่ามองฮ่องเต้อย่างไม่เข้าใจ

 

 

“เงินนี้ขอเพียงออกจากตระกูลฟางแล้ว ไม่ว่าโผล่ออกมาที่ใดล้วนอธิบายได้” ฮ่องเต้เอ่ย “อาจเป็นขโมย อาจเป็นปล้น ถึงขนาดอาจไหลมาจากในมือชาวจิน นี่เกี่ยวอันใดกับข้าอีกเล่า?”

 

 

มีเพียงอยู่ที่ตระกูลฟาง เต๋อเซิ่งชาง ร้านแลกเงิน ก่อตั้งตระกูลที่ซานตง ภูมิหลังที่เกี่ยวพันสายนี้ถึงนำปัญหามาได้

 

 

หยวนเป่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ พูดเช่นนี้เหมือนไม่ได้น่ากลัวปานนั้นแล้วจริงๆ

 

 

“มีสิ่งใดน่ากลัว” ฮ่องเต้ไล้ผิวโต๊ะ “พวกเจ้าลืมสิ้นแล้วใช่หรือไม่ ข้าคือฮ่องเต้ กลัวไม่กลัวนี่ ข้าเป็นผู้ตัดสิน ข้าบอกกลัว ก็คือให้พวกเจ้ารู้สึกว่าข้ากลัวแล้ว ข้าบอกว่าไม่กลัว…”

 

 

พระองค์สรวลเล็กน้อย ฉวยฎีกาด้านหน้าติดมือขึ้นมาโยนทีหนึ่ง

 

 

“ข้าย่อมจะให้พวกเจ้ารู้ว่า ข้าไม่กลัว”

 

 

…………………………

 

 

 

เพราะการแย่งสมบัติตระกูลของตระกูลฟาง เจ้าพนักงานในที่ว่าการอำเภอหยางเฉิงจึงวุ่นวายหัวไหม้ ส่วนนายท่านขุนนางของอำเภอหยางอู่ในเขตเหอเหนานก็ปวดหัวอยู่บ้างเช่นกัน  

 

 

“นี่เป็นเรื่องใหญ่! เรื่องใหญ่หลวง! รีบเรียกกำลังพลค้นหาจับกุม!”  

 

 

เสียงตะโกนเช่นนี้คงอยู่ในที่ว่าการอำเภอมาครึ่งวันแล้ว โวยวายจนปวดหัว  

 

 

นายอำเภอของหยางอู่ยื่นมือกุมหน้าผาก เลิกเปลือกตามองบุรุษที่ผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิง จะว่าพ่อค้าแผงลอยก็ไม่เหมือนพ่อค้าแผงลอย จะว่าเศรษฐีก็ไม่คล้ายเศรษฐีห้าคนตรงหน้า  

 

 

เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่หลวง หยางอู่เคยมีเรื่องใหญ่หลวงเกิดขึ้นเรื่องเดียว  

 

 

“งั้นหรือ?” เขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น “มีจอมพลังทุ่มหินอีกแล้วหรือไง? ข้าต้องรับบัญชาค้นหาทั่วหล้าสิบวันรึ?”  

 

 

เล่ากันว่าจางเหลียงรวบรวมจอมพลังลอบสังหารฉินสื่อหวงที่หาดปั๋วหลางอำเภอหยางอู่แต่พลาดถูกรถที่ติดตาม เพราะหาตัวไม่พบ จึงบัญชาให้ค้นหาทั่วหล้าสิบวัน  

 

 

ได้ฟังคำนี้ปุบทั้งห้าคนในโถงก็ตอบสนองไม่ทัน  

 

 

“ไม่ว่าสิบวันหรือห้าวัน ก็ต้องจับโจรนี่มาให้ได้” คนหนึ่งในนั้นยังเอ่ยอีก  

 

 

พวกบ้านนอกมาจากที่ไหน รองนายอำเภอหยางอู่หัวเราะพรืดแล้ว  

 

 

“ไม่ยักรู้ว่าที่แท้ฝ่าบาทฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

ทั้งห้าคนตะลึงนิดหนึ่ง ตอนนี้ถึงฉับพลันคิดได้ อับอายหงุดหงิดโดยพลัน  

 

 

“เจ้าลูกกระจ๊อก…” คนหนึ่งในนั้นกลั้นอารมณ์โกรธไม่อยู่ก้าวเข้าไปจะคว้ารองนายอำเภอ  

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไร?” รองนายอำเภออยู่กับนักเลงและอันธพาลจนคุ้นชินแล้ว ถอยหลังตะโกนเสียงแหลมทันที  

 

 

เจ้าพนักงานที่ยืนอยู่สองด้านพลันชูกระบองน้ำไฟ [1] ทิ่มล้อมพวกเขาไว้  

 

 

เจ้าพนักงานที่ยามปกติได้แต่ขมขู่ชาวบ้านไม่กี่คนนี้ไม่อยู่ในสายตาพวกเขาสักนิด แต่ตอนนี้ก่อเรื่องไม่ได้  

 

 

คนที่เป็นหัวหน้าห้ามพรรคพวกไว้ สีหน้าทะมึน  

 

 

“ใต้เท้า ของของพวกเราถูกขโมยที่โรงเตี๊ยม” เขาเอ่ยเสียงขรึม “เพราะของที่ถูกขโมยล้ำค่านัก อย่างไรก็ขอให้ใต้เท้าประกาศจับขโมยด้วย”  

 

 

รองนายอำเภอก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ได้ยินเข้าก็ยิ้ม  

 

 

“ถูกขโมยก็ถูกขโมยสิ ไม่ต้องโวยวายประหนึ่งสังหารคน” เขาเอ่ย พลางกวักมือเรียกนายท่านเข้ามา “เล่าสิ อะไรหาย?”  

 

 

“เงินหมื่นตำลึง” เขาเอ่ย  

 

 

รองนายอำเภอเบิกตาโต  

 

 

“เงินหมื่นตำลึง?”  

 

 

 เขาเอ่ยถามอย่างตกตะลึง จากนั้นหรี่ตาลงอีกหน “พวกเจ้าทำอันใด?”  

 

 

“เจ้าสนทำไมว่าพวกเราทำอะไร…” ในห้าคนมีคนอดไม่ได้ตวาดอีกหน  

 

 

รองนายอำเภอหัวเราะมองสำรวจพวกกเขาอย่างสงสัย  

 

 

“ข้าต้องพิสูจน์ความจริงลวงของเรื่องราวนี่ เงินหมื่นตำลึงมาอย่างไร?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

“ของที่หายเป็นของพวกเรา ท่านไม่ไปจับโจร สอบสวนพวกเราทำอะไร?” คนผู้นั้นกลั้นความโกรธไม่ได้อีกต่อไป ก้าวเข้าไปแจกหนึ่งหมัดให้รองนายอำเภอ  

 

 

รองนายอำเภอกุมปลายจมูกร้อง ในจวนที่ว่าการอำเภอตกอยู่ในความโกลาหลทันที  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ตัวไร้ประโยชน์!”  

 

 

ในห้องมืดสลัว หยวนเป่าสีหน้าบึ้งตึงเอ่ย มองห้าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า หลังร่างพวกเขายังมาสิบกว่าคนยืนกระจายอยู่อีก  

 

 

“ข้าให้พวกเจ้าแสร้งร้องทุกข์ ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปวิวาท”  

 

 

ทั้งห้าคุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นระริก  

 

 

“ใต้เท้า ขุนนางคนนั้นน่าโมโหเกินไปแล้ว” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงแหบ  

 

 

“น่าโมโห?” เสียงหยวนเป่าฉับพลันแหลมสูง “พวกเจ้าก็รู้จักน่าโมโหด้วยรึ? น่าโมโหอีกเท่าใด มีน่าโมโหกว่าพวกเจ้าตัวโง่งมเหล่านี้รึ?”  

 

 

เขาเดินไปมาในห้อง เหวี่ยงสองแขนอย่างโกรธเกรี้ยว  

 

 

“รถสามคัน ถูกขโมยใต้หนังตา พวกเจ้าเป็นคนตายรึ?”  

 

 

คนทั้งหมดในห้องก้มศีรษะ แต่เวลานั้นในตัวพวกเขามียาสลบ ไม่แตกต่างกับคนตาย แน่นอนคำนี้ไม่กล้าพูดออกมา  

 

 

“ใต้เท้า ขโมยรถสามคันอย่างเงียบเชียบไม่ใช่คนผู้เดียวทำแน่นอน นี่ต้องเป็นมหาโจรโจรภูเขาอะไร ดูท่าพวกเราถูกจับจ้องตั้งแต่แรกแล้ว” พ่อค้าวัยกลางคนผู้นั้นก้าวออกมาเอ่ย “ในเมื่อตัวตนเปิดเผยแล้ว…”  

 

 

เขาพูดพลางมองห้าคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เพื่อเอาตัวพวกเขาออกมาจากในที่ว่าการอำภออู่หยาง ไม่อาจไม่แสดงตัวตน  

 

 

“ก็เคลื่อนทางการทหารท้องถิ่นจับกุมเลยเถอะขอรับ” เขาเอ่ยต่อ “ไม่เช่นนั้นพวกเราลอบสืบหา ไม่สะดวกจริงๆ”  

 

 

“หาเอิกเกริก ก็สะดวกรึ?” หยวนเป่าคิ้วตั้งตวาด  

 

 

“ใต้เท้า ไม่มีสิ่งใดไม่สะดวก” พ่อค้ากัดฟันทีหนึ่ง ทำท่ามือฟันศีรษะทีหนึ่ง “อย่างมาก หลังจบก็จัดการให้หมด”  

 

 

ไม่ว่าโจร หรือทหารที่ช่วยจับกุม ขอเพียงเกี่ยวข้องกับเงินนี่ ไม่ว่าพวกเขาเห็นหรือไม่เห็นคำที่จารึกบนเงินหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องสนว่าพวกเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจความนัยของคำที่จารึกเหล่านี้ล้วนต้องตาย  

 

 

มีเพียงคนตายถึงปลอดภัยที่สุด  

 

 

หยวนเป่าสีหน้ายิ่งเย็นยะเยือก  

 

 

คนอื่นตายไม่ตายเขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่าพวกเขาจะต้องตายด้วยแล้ว  

 

 

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ใครทำ? เขาไม่ใช่โง่ถึงกับไม่เตรียมป้องกันสักนิด ออกจากหยางเฉิงพวกเขาก็สร้างตัวปลอมปิดบังสิบกว่าคน รถใส่เงินที่แยกกันออกไปก็มีตั้งยี่สิบกว่าคัน ปลอมปะปนจริงจนเขาเองยังแยกไม่ชัด  

 

 

ตลอดทางที่เดินทางมานี้กำลังคนของพวกเขาไม่ขาด อ้อมทางเปลี่ยนตัวตน ถึงขั้นยังถูกคนจับจ้องปล้นรถเงินไปอย่างเงียบเชียบได้อีก  

 

 

นี่เป็นการวางแผนล่วงหน้าหรือพบโดยบังเอิญ?  

 

 

“ตระกูลฟางด้านนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติสักนิดจริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

มีคนก้าวออกมาขานรับว่าใช่  

 

 

“คนของพวกเราจับตาตั้งแต่ต้นจนจบ ตระกูลฟางด้านนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินกับท่านชายล้วนยังอยู่ที่ตระกูลฟางในหยางเฉิง ที่ศาลยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ตอนนี้คุณหนูสามตระกูลฟางได้เปรียบแล้ว…”  

 

 

“ข้าไม่สนว่าใครได้เปรียบ” หยวนเป่าเสียงแหลมขัดเขา ท่าทางโมโห “ข้าเพียงอยากรู้ว่าใครปล้นเงินของข้าไป!”  

 

 

“ใต้เท้า ฝีมือนี่ ความเร็วนี่ย่อมต้องเป็นโจรเก่าสั่งสมมานานปีถึงทำได้” พ่อค้าเอ่ย สีหน้าขอคำสั่ง “ใต้เท้า จับขโมยกวาดล้างโจรเถอะ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“พูดขึ้นมา ก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่ระวังรอบคอบเช่นนี้” จูจั้นเอ่ย พลางสาดถังน้ำมันในมือขึ้นไปบนรถ “กวาดเงินมาได้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนตั้งหนึ่งคัน”  

 

 

ถังน้ำมันรินรดหมดหยดสุท้าย คุณหนูจวินก็โยนคบไฟที่ลุกไหม้อยู่เข้าไป เสียงบึ้มทีหนึ่ง รถสามคันฉับพลันตกอยู่ในทะเลเพลิง  

 

 

แสงไฟร้อนระอุรวมถึงควันหนาทึบทิ่มแทงจมูก คุณหนูจวินถอยหลังก้าวหนึ่ง หลังจากนั้นมองคนสิบกว่าคนย้ายเงินลงมาจากรถแยกย้ายใส่ในสัมภาระ ในหีบหนังสือ ในตะกร้าสมุนไพร รถลากล้อเดียว ถึงขั้นยังมีอยู่ในชะลอมหมูด้วย  

 

 

พวกเขารูปร่างอ้วนผอมไม่เหมือนกัน บนหน้าก็ซื่อๆ ตรงไปตรงมา โยนไปในหมู่คนก็ไม่มีทางถูกมองเพิ่มสักหนประเภทนั้น เวลานี้สวมชุดก็แตกต่างไม่เหมือนกัน  

 

 

นี่ก็คือคนตัดฟืนในคำเล่าลือหรือ?  

 

 

“ไม่สู้บอกว่าเป็นโจร” จูจั้นลูบปลายจมูกท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้าง “โจรที่อยู่มานานปี โจรจินต้องสังหาร เงินก็ต้องปล้น”  

 

 

“คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่แดนเหนือหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยพลางมองเขา “ที่แท้ท่านล้วนพามาแล้ว”  

 

 

จูจั้นหัวเราะ แสงไฟส่องดวงหน้าของเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง  

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ข้าระแวงฮ่องเต้ยิ่งนัก” เขาเอ่ย “โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่เห็นชัดว่าไม่ชอบพวกเราพระองค์นี้”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว  

 

 

“พี่ใหญ่”  

 

 

ด้านนั้นมีคนเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น  

 

 

“พวกเราเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วขอรับ”  

 

 

จูจั้นพยักหน้าให้พวกเขาแล้วโบกมือทีหนึ่ง  

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยสั้นกระฉับแบไว  

 

 

คนสิบกว่าคนนี่ก็หมุนตัวอย่างฉับไวทันที บ้างขี่ม้า บ้างก้าวเดิน เข็นรถ แบกหาบกระจัดกระจายไปเช่นนี้ พริบตาก็หายไปจากในสายตา  

 

 

คุณหนูจวินมองจนเหม่อลอยอยู่บ้าง จนกระทั่งนางพลันคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งได้  

 

 

“เงินเหล่านี้ท่านจะให้พวกเขาซ่อนไว้ที่ไหน?” นางเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นร้องเอ๋  

 

 

“ไม่ซ่อนสิ หลอมเสีย ใช้จ่ายเสีย” เขาเอ่ย กะพริบตา คล้ายคำถามที่นางถามแปลกนัก เงินไม่ใช่เอามาใช้จ่ายหรือ?  

 

 

คุณหนูจวินขานอาคำหนึ่ง คล้ายประหลาดใจยิ่งกับคำตอบของเขาเช่นกัน  

 

 

“ปล้น จริงๆ รึ?” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

เดิมทีนางอยากติดตามขบวนรถขนเงิน พูดไปแล้วน่าอดสูยิ่ง นางถึงขั้นยังต้องปกป้องไม่ให้เงินเหล่านี้เกิดปัญหา แต่จูจั้นกลับเรียกให้นางไปทำเรื่องบางอย่างด้วยกัน  

 

 

‘พวกเราไปปล้นมัน’ เขาเอ่ย ‘ให้เขาลิ้มรสการถูกผู้อื่นตลบหลังเสียบ้าง’  

 

 

เขาคนนี้ที่ว่าย่อมคือฮ่องเต้  

 

 

ใช่แล้ว นางไม่มีทางให้เงินเหล่านี้เปิดเผยแก่ผู้คน แต่ก็ไม่ใช่ทำได้แค่ให้ฮ่องเต้เอาเงินเหล่านี้ไป  

 

 

ตรงกันข้ามไม่มีทางให้เขาเอาไปได้เด็ดขาด  

 

 

ไม่มีทางให้เขาตั้งแต่นี้หนุนหมอนไร้กังวล กำเริบเสิบสานข้ามแม่น้ำรื้อสะพานปลดโม่สังหารล่าได้  

 

 

ดังนั้นนางจึงติดตามจูจั้นตลอดทาง จูจั้นก็เรียกคนของเขามา รอคอยอย่างอดทน จัดการสะกดรอยอย่างระวัง ในที่สุดก็หาโอกาสลงมือ  

 

 

แต่นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังปล้นมาแล้วจะทำอย่างไร ได้แต่คิดว่าจะเก็บซ่อนไว้  

 

 

“การเก็บซ่อนที่ดีที่สุดก็คือใช้มันเสีย ให้มันหายไป” จูจั้นเอ่ย “นอกจากนี้ เก็บมันไว้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด หรือเจ้าอยากใช้มันข่มขู่เขาหรือ?”  

 

 

ใช้เรื่องเช่นนี้ข่มขู่ฮ่องเต้ ไม่มีประโยชน์อันใดกับนางเช่นกัน คุณหนูจวินยิ้มแล้ว แต่…  

 

 

“ยกประโยชน์ให้ท่านแล้ว” นางเอ่ย มองจูจั้นที่ใบหน้ายิ้มแย้มปิดไม่มิด  

 

 

นี่เป็นถึงเจ้าคนที่ชอบเงินคนหนึ่ง ครั้งแรกที่พบกันก็ปล้นเงินจากแผนการโคมไฟของนางไป คิดถึงเรื่องเก่า บนหน้าคุณหนูจวินพลันผุดรอยยิ้ม  

 

 

“พริบตาปล้นเงินได้มากเช่นนี้ เบิกบานใจล่ะสิ?” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วหุบรอยยิ้ม  

 

 

“ที่ข้าเบิกบานใจเพราะใช้ของให้ได้ประโยชน์ที่สุด เงินเหล่านี้ให้คนดีเช่นนี้อย่างข้าใช้เป็นความยุติธรรมของสวรรค์” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง  

 

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ หันหน้ามองรถที่ยังลุกไหม้อยู่ทีหนึ่ง ใช่แล้ว ให้คนดีได้ดีให้คนชั่วไม่อาจสมใจ ยุติธรรมจริงๆ  

 

 

นางโบกมือ ยกเท้าจะไปข้างหน้า  

 

 

จูจั้นรีบตาม  

 

 

“นั่นน่ะ” เขาพลันกระแอมเสียงเบาทีหนึ่ง บีบนิ้วมือ “เจ้าลืมอะไรนิดหน่อยหรือไม่?”  

 

 

ลืมอะไร? คุณหนูจวินคิดอย่างตั้งใจ งานก็ทำได้น่าจะไม่มีช่องโหว่อันใดหรือทิ้งรองรอยไว้ใหญ่เกินไปกระมัง? เพราะหยวนเป่าคนเหล่านั้นทำงานลับๆ ล่อๆ จึงสะดวกให้พวกเขาลงมือยิ่งนัก  

 

 

“นี่ข้านับว่าช่วยงานเจ้าแล้วกระมัง” จูจั้นเอ่ย “ตลอดมาเจ้าไม่ใช่ช่างเกรงใจนัก ชอบแสดงความขอบคุณรึ”  

 

 

ต้องการเงินรึ? คุณหนูจวินเหล่ตามองเขา เป็นเจ้าพวงเงินคนหนึ่งจริงๆ ช่วงก่อนหน้านี้เพราะรู้ว่าตนคือองค์หญิงจิ่วหลิงกะทันหันจึงยั้งตนเองไว้ไม่น้อย ดูท่าตอนนี้คุ้นชินแล้ว ฟื้นท่าทางก่อนหน้านี้กลับมาอีกแล้ว  

 

 

“ท่านพูดผิดแล้วกระมัง” นางมองเขา “น่าจะเป็นข้าช่วยท่านแล้ว แม้ท่านกำลังคนมาก แต่กับดักเป็นข้าวาง ยาสลบเป็นข้าผสม ที่สำคัญที่สุดคือท้ายที่สุดเงินเป็นท่านเอาไป ท่านสิควรขอบคุณข้า”  

 

 

จูจั้นร้องอ้อ มองนางคล้ายเข้าใจอยู่บ้าง  

 

 

“เช่นนี้เอง ก็ถูก” เขาพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าควรขอบคุณเจ้า”  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านจะ…” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย  

 

 

คำยังพูดไม่ทันจบ จูจั้นพลันยื่นมือกอดนางไว้ การเคลื่อนไหวของเขารีบเร่งอยู่บ้างแข็งทื่ออยู่บ้างเงอะงะยิ่งนัก  

 

 

แต่ยังดี ครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีตที่ติ้งโจวแสร้งทำท่าเป็นสามีภรรยาปลอมๆ โอบกอดชนถูกจมูกนาง  

 

 

แต่ ปัญหาไม่ใช่เรื่องนี้ ปัญหาคือนี่เขากำลัง…  

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา กำลังจะเอ่ยวาจา จูจั้นก็ปล่อยมืออกแล้ว  

 

 

“ขอบคุณ” เขาเอ่ย ก้มศีรษะถูกปลายเท้าบนพื้น เดินแซงนางไปข้างหน้า  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าอึ้งงัน มองบุรุษที่เดินสามก้าวเป็นสองก้าว สองก้าวแล้วเป็นสามก้าวอีกด้านหน้า  

 

 

อะไรกัน?  

 

 

…………………

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ในวังไทเฮายิ่งบุปผานานาสีสัน ยามฮ่องเต้เสด็จมานางกำนัลและขันทีทั้งหลายกำลังจัดกระถางดอกไม้ ดอกเบญจมาศนานาสีสันแข่งกันอวดโฉม  

 

 

ในตำหนักเสียงหัวเราะของสตรีทั้งหลายดังมา ขนาบด้วยเสียงเอะอะของพวกเด็กน้อย  

 

 

ฮ่องเต้ห้ามขันทีไม่ให้แจ้ง ดำเนินเข้าไป เห็นด้านในตำหนักไทเฮาพระสนมองค์หญิงพระชายาทั้งหลายนั่งล้อมวงอยู่ แล้วมีเด็กน้อยทั้งหลายอายุมากอายุน้อยมีนางกำนัลและขันทีทั้งหลายเล่นเป็นเพื่อน เห็นภาพครอบครัวสุขสันต์นี่ ฮ่องเต้ก็ทรงเผยรอยยิ้ม  

 

 

“ฮ่องเต้มาแล้ว” ไทเฮาแย้มสรวลตรัส  

 

 

ผู้คนในตำหนักตอนนี้ถึงรู้สึกตัว คำนับต้อนรับอย่างยินดี สนทนาพาทีกันอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็ขอตัวออกไปตามสัญญาณที่ไทเฮาส่งมา  

 

 

“ฮ่องเต้พักนี้สำราญพระทัยมากนะ” ไทเฮาตรัส  

 

 

ฮ่องเต้ตรัสรับ  

 

 

“ประเทศร่มเย็นประชาชนสงบสุขการปกครองโปร่งใส” พระองค์ตรัสตอบ  

 

 

ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอพระทัย  

 

 

“นี่ก็ถูกต้องแล้ว เดิมก็ควรสำราญพระทัย” นางเอ่ย “ส่วนขุนนางที่ไม่เชื่อฟังไม่กี่คน พระองค์เป็นฮ่องเต้คนหนึ่ง ไปพิโรธอะไรพวกเขา ลดตัว”  

 

 

ฮ่องเต้ขานรับอย่างเคารพ  

 

 

“ขุนนางนี่ใช้หรือไม่ใช้ ใช้อย่างไรล้วนเป็นเจ้าตัดสิน พวกเขาอยู่บนฝ่ามือของเจ้า ถูกพวกเขาจับวางซ้ายขวาได้ที่ไหน” ไทเฮาตรัส  

 

 

พูดง่าย ท่านไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกเขาเสียหน่อย ฮ่องเต้แย้งในใจ บนหน้าไม่กล้าเผยออกมาสักนิด ยิ่งขานรับอย่างเคารพ  

 

 

“เสด็จแม่สั่งสอนได้ถูกต้อง” พระองค์ตรัสตอบ  

 

 

ไทเฮาทอดพระเนตรเขาทีหนึ่ง บุตรของตนตนรู้จักดีแก่ใจ คงเพราะตั้งแต่เล็กเล่นละครเล่นจนชินแล้ว จึงมักหน้าอย่างใจอย่าง ปากเอ่ยวาจาน่าฟัง ในใจไม่แน่ว่ากำลังบ่นอะไรอยู่ แต่รอยสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้วันนี้กว้างอยู่ตลอด  

 

 

“มีเรื่องดีอะไรหรือ?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้  

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรซ้ายขวานิดหนึ่ง คล้ายระวังอะไร  

 

 

“มองอะไรเล่า” ไทเฮาคิ้วตั้งทันที “ข้าล่ะทนมองท่าทางเช่นนี้ของเจ้าไม่ได้! วันนี้เจ้าเป็นฮ่องเต้แล้ว นี่เป็นใต้หล้าของเจ้า เจ้าลับๆ ล่อๆ ทำอะไร?”  

 

 

“เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ” ฮ่องเต้รีบตรัส ขยับเข้าใกล้อีกครั้ง กดเสียงเบาเอ่ย “ของเหล่านั้นเมื่อตอนนั้นเอากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ไทเฮามองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“ตอนนั้นของมากมายปานนั้น? อันไหนเล่า?” นางตรัสถาม  

 

 

ฮ่องเต้ยิ่งขยับเข้าใกล้  

 

 

“เงิน” พระองค์ตรัสเสียงเบา  

 

 

ไทเฮาสีหน้าเปลี่ยนไปมาวูบหนึ่ง  

 

 

“ของนั่นยังใช้ไม่หมดอีกรึ?” นางขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

“ยังเหลือไม่น้อย” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเบา “ก็คิดไม่ถึงว่าคนแซ่ฟางนั่นจะเก่งกาจเช่นนี้ ตั้งตระกูลแล้วเงินยังเหลือไม่น้อย แล้วยังซื่อสัตย์ เขามีเงินแล้วก็ไม่ใช่เงินนั่นอีกต่อไป”  

 

 

“ซื่อสัตย์? ข้าว่าเขาเจ้าเล่ห์ รอคอยเก็บของนี่ไว้บีบน่ะสิ” ไทเฮาตรัสเสียงเย็น  

 

 

ฮ่องเต้ขานรับ  

 

 

“เวลานั้นเสด็จพ่อยังอยู่ จึงไม่กล้าบีบบังคับมากเกินไป กลัวว่าหาก…” พระองค์ตรัสอธิบาย “แต่ตอนนี้ดีแล้ว ล้วนเอากลับมาแล้ว ราชโองการก็ดี เงินก็ดี ไม่มีช่องโหว่อีกต่อไป”  

 

 

ไทเฮาขานตอบ  

 

 

“ในเมื่อเรื่องจัดการเสร็จแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขารีบตายรีบเกิดใหม่เถอะ” นางเอ่ย แล้วขานอ้ออีกครั้ง “ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็นับว่ามีความชอบต่อฝ่าบาท เกียรติยศที่ควรได้ยามเป็นยามตายล้วนไม่อาจขาด”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็โบกหัตถ์  

 

 

“มากหน่อยล่ะ”  

 

 

ฮ่องเต้ขานรับ ในดวงตาซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ แล้วก็คล้ายยกหินมหึมาออกจากหัวใจผ่อนคลายอย่างยากจะปิดบัง  

 

 

“ดูท่าท่างนี่ของเจ้า” ไทเฮาถลึงตาอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องแค่เท่านี้มีค่าให้เป็นเช่นนี้รึ”  

 

 

ฮ่องเต้เพียงสรวลขานรับ  

 

 

ไทเฮาก็สรวลด้วยแล้ว  

 

 

“ข้ารู้พระทัยของท่าน ที่จริงไม่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง” นางสีหน้าติดจะเย็นเยียบมองไปด้านในตำหนัก “ราชบัลลังก์นี่เดิมทีก็เป็นของท่าน ใต้หล้านี่ก็เป็นของท่านเช่นกัน ส่วนรัชทายาทพี่ชายของท่าน เขาน่ะสมควรตาย”  

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางด้านในตำหนักโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ด้านนอกแสงตะวันสว่างงดงาม ยิ่งขับเน้นด้านในตำหนักให้มืดหม่นขึ้นหลายส่วน ในความมืดคล้ายมีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่  

 

 

เขาสวมชุดผ้าไหมหรูหรา ศีรษะสวมรัดเกล้าหยก ท่วงท่าสูงส่งสง่างาม  

 

 

“เสด็จแม่พักนี้เสวยพระกระยาหารได้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” พระองค์ตรัส เสียงนุ่มสุขุม ทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นไยแต่ก็ไม่จงใจ เหมือนความชิดใกล้ที่เกิดจากใจเช่นนั้นระหว่างมารดาและบุตรอย่างแท้จริง  

 

 

พระหัตถ์ที่วางอยู่บนพระชานุกำหมัด  

 

 

ที่จริงพระองค์จำหน้าตาของพี่ชายองค์รัชทายาทคนนี้ได้ไม่ชัดแล้ว ตอนเล็กพระองค์ได้แม่นมเลี้ยงจนโต ต่อมาอายุยังน้อยก็ออกจากเมืองหลวงไปซานตง จำนวนครั้งที่กลับมานับนิ้วได้  

 

 

แต่พระองค์กลับจำบุคลิกของเขาได้ ทุกคนล้วนชื่นชมบอกว่าฮองเฮาอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นภาพเหมือนของฮองเฮา  

 

 

เขาถึงเป็นโอรสแท้ๆ ของฮองเฮา ทว่าเขาเดินออกมากลับมีแต่ถูกคนล้อเลียน  

 

 

“นั่นไม่ใช่ล้อเลียน นั่นคืออดกลั้น” ฮ่องเฮาเตือนพระองค์เสียงเย็นชา  

 

 

อดกลั้น? ในใจฮ่องเต้หัวเราะหยัน ในเมื่อพระองค์เดิมก็ควรเป็นฮ่องเต้ ไยต้องอดกลั้นเช่นนี้? ทำไมพระองค์ต้องเหนื่อยยากปานนี้ถึงได้เป็นฮ่องเต้คนนี้เล่า? อาศัยอะไรเขาต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้  

 

 

พูดเสียตนเองร้ายกาจนัก ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้อาศัยตัวเขาเองถึงทำได้  

 

 

ฮ่องเต้มองไปด้านในตำหนัก แววตาเหี้ยมเหรียมยกพระหัตถ์สะบัดวูบหนึ่ง คนในภาพลวงตาผู้นั้นฉับพลันกลายเป็นความว่างเปล่า  

 

 

นอกตำหนักเสียงหัวเราะของเด็กๆ ลอยมา ไม่ทราบพวกนางกำนัลกำลังเล่นการละเล่นอันใดเป็นเพื่อนพวกเขา  

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ ใบหน้าของไทเฮาพลันผ่อนคลายลงหลายส่วน  

 

 

“ครอบครัวเดียวกันก็คือครอบครัวเดียวกัน แต่ให้กำเนิดเองกับผู้อื่นให้กำเนิด อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน” นางตรัส พลางมองฮ่องเต้ “เจ้าจำไว้ เขาเดิมทีก็ต้องตาย เพียงแค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น การที่เจ้าเป็นฮ่องเต้นี่ก็เป็นเพียงเรื่องช้าเร็วเท่านั้นเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจโต้แย้งได้”  

 

 

ฮ่องเต้ขานรับอย่างเคารพ  

 

 

“เรียกเด็กๆ เข้ามาเถอะ” ไทเฮาตะเบ็งเสียงเอ่ย “วันนี้อารมณ์ดี รับสำรับที่นี่ให้หมด”  

 

 

พูดพลางก็มองฮ่องเต้ทีหนึ่ง  

 

 

“ฮ่องเต้ไม่ต้องแล้ว ราชกิจเร่งด่วน”  

 

 

คนงามไม่ให้รับ งานเลี้ยงรื่นเริงไม่อนุญาต ในดวงตานางเขาก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งสินะ? คนที่ตนเลี้ยงกับคนที่คนอื่นเลี้ยง อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ในใจฮ่องเต้หัวเราะหยัน  

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” พระองค์แย้มสรวลเอ่ยอย่างนอบน้อม เพิ่งเดินออกจากตำหนักก็เห็นขันทีคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมา  

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” เขาไม่ทันสนใจฐานะพิธีการ กระทั่งคำนับยังลืม ประชิดเข้ามา “จดหมายจากหยวนกงกงพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ฮ่องเต้รับไปท่าทางไม่ใส่ใจ แกะครั่งออก จดหมายสั้นกระชับยิ่ง กวาดตามองทีหนึ่งสีหน้าอ่อนโยนของเขาพลันเปลี่ยนไป หมุนร่างดำเนินเข้าไปในตำหนักของไทเฮา  

 

 

ฮองเฮาพระสนมองค์หญิงทั้งหลายเพิ่งเข้ามายังไม่ทันนั่งมั่นคงก็รีบลุกขึ้นอีก  

 

 

ฮ่องเต้ไม่สนใจก้าวเร็วไวไปถึงตรงหน้าไทเฮา  

 

 

“เสด็จแม่ ไม่ดีแล้ว เงินไม่อยู่แล้ว” พระองค์เอนตัวมาที่หูเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ไทเฮาสีหน้าตะลึง จากนั้นโกรธจัด  

 

 

“ตัวไร้ประโยชน์!” นางตวาด  

 

 

ฮ่องเต้กลัวตัวสั่นเทาวูบหนึ่ง ฮองเฮาพระสนมทั้งหลายยิ่งสีหน้าซีดขาวลุกขึ้น  

 

 

“ออกไปให้หมด” ไทเฮาคิ้วตั้งเอ่ย  

 

 

ฮองเฮาไม่กล้าชักช้ารีบพาคนรีบร้อนถอยอออกไป ฮ่องเต้ไม่ทันรู้ตัวจะดำเนินตามไปด้วย  

 

 

“ใครให้เจ้าไป?” ไทเฮาตวาด  

 

 

ฮ่องเต้รีบหยุดยืน  

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ไทเฮาตวาด  

 

 

“รายละเอียดยังไม่ทราบชัด บอกเพียงว่าตอนเดินทางมาถึงเหอหนานถูกปล้น” ฮ่องเต้ตรัส “หยวนเป่ากำลังไล่สืบอยู่”  

 

 

ไทเฮามองเขา  

 

 

“ไร้ประโยชน์จริงๆ” นางกัดฟันเอ่ย “เรื่องเช่นนี้ยังทำให้เรียบร้อยไม่ได้”  

 

 

บางทีนางอาจกำลังด่าคนที่ลงมือทำเรื่องอย่างเช่นหยวนเป่าอยู่ แต่ได้ยินอยู่ในพระกรรณฮ่องเต้ รู้สึกว่าคือด่าพระองค์  

 

 

ไร้ประโยชน์…  

 

 

ฮ่องเต้ก้มเศียร แววตาอับอายโกรธเกรี้ยว  

 

 

นางคิดว่านางเป็นใคร ก็แค่ขยับปากนิดเดียว ส่วนพระองค์ตั้งแต่เล็กจนโตทำงานเท่าไร งานเท่าไรล้วนเป็นเขาทำเอง ไร้ประโยชน์ นางคิดว่าอาศัยแค่นางก็เป็นฮ่องเต้ได้หรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ในวังเกิดเรื่องรึ?”  

 

 

ได้ยินคำนี้ ลู่อวิ๋นฉีพลันเงยหน้าขึ้น  

 

 

“ไม่มีทาง” เขาส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างไม่ลังเล  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงลังเลครู่หนึ่ง  

 

 

“รู้เพียงฮ่องเต้ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ไทเฮาก็บันดาลโทสะ” เขาเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็เก็บซ่อนความโกรธไว้อยู่บ้าง “จดหมายนี่ส่งมาทางลูกน้องของขันทีแซ่หยวนคนนั้น ฝ่าบาทจัดสรรตำแหน่งเจ้าพนักงานจับกุมอะไรอันหนึ่งจากกรมขันทีพิธีการให้เขา ทำงานแปลกประหลาดทั้งยังโอหัง กระทั่งพวกเราล้วนยุ่งไม่ได้”   

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่หมายความว่าฮ่องเต้ไม่ไว้วางพระทัยพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรเช่นนั้นแล้วหรือ? การมีอยู่ของพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นอยู่กับความไว้วางพระทัยของฮ่องเต้อย่างสิ้นเชิง หาก…  

 

 

สีหน้าลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉย  

 

 

               “ล้วนทำงานเพื่อฝ่าบาท” เขาเอ่ยเรียบๆ “ไม่มีสิ่งใดแปลก เชื่อฟังฝ่าบาทก็พอ คนอื่นเรื่องอื่นล้วนไม่ใช่ธุระ”  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงทิ้งมือขานรับ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงียบงันครู่หนึ่ง  

 

 

“น่าจะเป็นเรื่องที่หยางเฉิง” เขาเอ่ย  

 

 

นี่คือตอบคำพูดก่อนหน้านี้ หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้ว  

 

 

“หยางเฉิงก็ไม่มีเรื่องอันใด แค่การแย่งสมบัติตระกูล” เขาเอ่ยขึ้นแล้วท่าทางละอายอยู่บ้าง “พวกผู้น้อยจะสืบทิศทางที่คุณหนูจวินไปออกมาให้เร็วที่สุดแน่นอนขอรับ”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกลับลูบโต๊ะ  

 

 

“นาง ไม่ได้อยู่ที่หยางเฉิงหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

ตระกูลฟางแสร้งทำทีว่าคุณหนูจวินอยู่ที่หยางเฉิง หัวหน้ากองพันเจียงตะลึง แต่นางไม่อยู่นะ  

 

 

ถ้าเช่นนั้นความหมายของลู่อวิ๋นฉีก็คือจะปิดบังให้นาง?  

 

 

หากฮ่องเต้พิโรธเพราะเรื่องที่หยางเฉิงจริงๆ นั่นใช่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจวินหรือไม่?  

 

 

จะปิดบังหรือ?  

 

 

“ขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงทิ้งมือลงขานรับ  

 

 

………………………

 

 

 

สามวันให้หลัง พวกพ่อค้าที่ท่าทางอดรนทนไม่ได้ก็มาพบนายหญิงผู้เฒ่าฟางในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง  

 

 

“ตอนนี้ขนใส่รถได้แล้ว?” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เรื่องที่บ้านเจ้าจัดการแล้วหรือ?”  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางท่าทางอับอายอยู่บ้าง  

 

 

“ขายหน้าท่านแล้ว ยังไม่ได้จัดการ แต่นี่ไม่กระทบการค้า” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

ไม่กระทบหรือ? ชาวบ้านมากปานนั้นแล้วยังมีทางการล้วนจับตาประตูบ้าน ถูกคุณหนูไม่กี่คนนั่นปลุกปั่น ออกไปข้างนอกขนย้ายของจะไม่เกาะรถเข้าหรือ?  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว  

 

 

“ท่านล้อเล่นแล้วจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร” นางเอ่ย สีหน้าเก้อเขิน “แม้ข้าชราแล้ว แต่ยังสยบคนได้อยู่บ้าง”  

 

 

พ่อค้าขานอืม ก้มมองนางจากที่สูงทีหนึ่ง  

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นนายหญิงผู้เฒ่าท่านก็ไม่ผิดจากชื่อเสียงที่เลืองลือจริงๆ” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น  

 

 

คำนี้นับไม่ได้ว่าเป็นคำไม่น่าฟัง แต่ก็นับไม่ได้ว่าเป็นคำที่น่าฟังอะไร  

 

 

ชื่อเสียงเลื่องลือของนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่ปากเขาเอ่ยถึงย่อมคือใช้อำนาจบาตรใหญ่ตัดขาดญาติมิตร  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าผู้เป็นเช่นนี้เสียสามีไป เสียบุตรชายไป แต่สิบปียังคงรักษากิจการใหญ่โตนี่ไม่ล้มได้ แค่สตรีรุ่นหลังไม่กี่คนจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไรเล่า  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาเยือนถึงที่เชื้อเชิญแสดงความจริงใจ จากนั้นก็ขอตัวก่อนก้าวหนึ่ง พ่อค้ากลับไม่ได้ไปคฤหาสน์ตระกูลฟางทันที แต่พาผู้ติดตามทั้งหลายมายังถนนใหญ่  

 

 

สามวันนี้หัวถนนท้ายซอยประเด็นที่ร้อนที่สุดก็ยังเป็นการแย่งสมบัติตระกูลของเหล่าสตรีตระกูลฟาง หัวข้อสนทนาที่เดิมทีถูกกดลงไป เพราะคุณหนูสามฟ้องทางการจึงโหมกระพือขึ้นมาอีก  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับคุณหนูสามคนนี้หรือ?” พ่อค้าเอ่ยถามอย่างค่อนข้างสนใจ  

 

 

ชาวบ้านที่สนทนาพาทีกันอยู่ก็ไม่สนว่ารู้จักหรือไม่รู้จักเขา พวกเขามีความสุขที่จะแบ่งปันอย่างยิ่ง สุขคนเดียวไม่สู้สุขร่วมกัน  

 

 

“ไม่ใช่ คุณหนูสามคนนั้นวิ่งมาแย่งสมบัติตระกูล คุณหนูทั้งสองคนในบ้านไม่เห็นด้วย นายหญิงผู้เฒ่าเลยให้นายหญิงใหญ่ฟางพาคุณหนูทั้งสองคนไปจวนที่ว่าการทะเลาะกับคุณหนูสามคนนั้นแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งยิ้มเล่า  

 

 

พ่อค้ายิ้มแล้ว  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าคนนี้ไร้หัวใจเอาการจริงๆ” เขาเอ่ย “ให้ครอบครัวของตนเองไปเข่นฆ่ากัน”  

 

 

“นี่นับเป็นอะไร” ชาวบ้านทั้งหลายไม่สนใจสักนิด รู้สึกว่าถูกต้องสมควร  

 

 

“วันนี้เพิ่งเริ่มก็ครึกครื้นนัก คนหยางเฉิงล้วนไปที่ว่าการอำเภอมุงดูแล้ว” ยังมีคนชี้แนะอย่างกระตือรือร้น  

 

 

พ่อค้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูสามคนเดียว ทั้งยังไม่ถูกด้วยเหตุผลเช่นนั้นอีก นางสู้แม่ลูกตระกูลฟางสามคนได้หรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ได้ยินว่ามารดาผู้ให้กำเนิดคุณหนูสามคนนี้ทำร้ายนายน้อยฟางเชียวนะ นายหญิงใหญ่ฟางไม่กินนางทั้งเป็นก็ไม่เลวแล้ว”  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายเผยท่าทางได้ใจอย่างคนอยู่เหนือกว่าอยู่บ้างออกมา  

 

 

“สหายร่วมบ้านเกิดท่านนี้ นี่เจ้าไม่รู้เสียแล้ว” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย “นายหญิงใหญ่ฟางร้ายกาจมาก แต่คุณหนูสามก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว เบื้องหลังก็มีที่พึ่งเหมือนกัน”  

 

 

พ่อค้าสีหน้าไม่เข้าใจ  

 

 

“นางคนเช่นนี้ ยังมีที่พึ่งอันใด?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“ท่านไม่รู้สินะ ที่พึ่งของนาง นายหญิงผู้เฒ่าฟางยังต้องหวั่นเกรงอยู่สามส่วน” ชาวบ้านคนหนึ่งแย่งพูด คิ้วเลิกสูง นิ้วโป้งตั้งขึ้น “จวินจิ่วหลิง คุณหนูจวิน เจ้ารู้จักไหม?”  

 

 

พ่อค้าร้องอ้อ เรื่องคุณหนูจวินกลับหยางเฉิงเขาย่อมรู้ตั้งแต่แรกเช่นกัน ที่แท้ก็เพื่อเรื่องนี้เอง  

 

 

“คุณหนูจวินคนนี้ถึงกับต้องการช่วยคุณหนูสาม?” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “นี่ไม่ค่อยดีกระมัง”  

 

 

“คุณหนูจวินทำสิ่งใดย่อมต้องมีเหตุผล” ชาวบ้านทั้งหลายต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว สีหน้าไม่พอใจเขาอยู่บ้าง  

 

 

พ่อค้าคล้ายถูกโกรธเพราะคุณหนูจวินคนนี้จนตกสใจสะดุ้งโหยง ท่าทางเก้อเขินอยู่บ้าง ยิ้มประจบพูดอีกหลายประโยค ทว่าเมื่อออกจากฝูงชนแล้วบนหน้าของเขาความเก้อเขินสักนิดก็ไม่มี  

 

 

“ที่แท้คุณหนูวินคนนี้ก็เป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่งเช่นกัน” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย  

 

 

“นายท่าน คุณหนูจวินเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากร้านแลกเงินตระกูลฟางที่สุด หากไม่ใช่เพราะเต๋อเซิ่งชางแห่งนี้นางไหนเลยจะมีความชอบทางการทหาร กระทั่งเฉิงกั๋วกงคนนั้นก็คงตายอยู่ที่แดนเหนือแล้วเหมือนกัน” ผู้ติดตามเอ่ย “คนมีแต่จะยิ่งตะกละมากขึ้นๆ ใครมีก็ไม่สู้ตนเองมีนะขอรับ จนปัญญาที่นางเป็นหลานสาวนอกตระกูลคนหนึ่งไม่มีเหตุผลไปแก่งแย่งสมบัติตระกูลของผู้อื่นได้ ตอนนี้ดีแล้ว ให้คุณหนูสามออกหน้า นางหนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องกัดเนื้อติดมันอย่างโหดเหี้ยมคำหนึ่งแน่นอน”  

 

 

พ่อค้ายิ่งยิ้มกว้าง ท่าทางเย็นชาอยู่บ้าง(  

 

 

“กัดเลย กัดเลย พวกโง่เง่าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำฝูงหนึ่ง” เขาเอ่ย  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเรา…” ผู้ติดตามเอ่ยถามขอคำสั่ง  

 

 

“นับว่านายหญิงผู้เฒ่าคนนี้เด็ดขาด ไล่พวกนางไปทะเลาะกันที่จวนที่ว่าการ ไม่ถ่วงเวลาพวกเราทำธุระ” พ่อค้าสะบัดแขนเสื้อไพล่มืออยู่หลังร่าง “พวกเราเอาของแล้วไป หลังจากนั้นไม่สนแล้วว่าพวกเขาจะตายหรือเป็น”  

 

 

…………….  

 

 

…………….  

 

 

เงินตำลึงเป็นพ่อค้าพาคนไปขนออกมาใส่รถด้วยตนเอง นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ตามลงไป เงินตำลึงที่ขนออกมาย่อมปะปนกัน ใส่เต็มสองรถ  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ท่านต้องนับหน่อยหรือไม่ ไม่กลัวพวกเราขนเงินของท่านมาเพิ่มหรือ” พ่อค้าเอ่ยขึ้น  

 

 

ในเมื่อบอกว่าจะเอาเงินทุนไป ย่อมมีบัญชีต้องเดิน จำนวนก็ต้องแน่นอนด้วย  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าซับซ้อน  

 

 

“ท่านล้อเล่นแล้ว ไม่มีของท่าน ไหนเลยมีของข้า” นางเอ่ยแฝงความนัย  

 

 

พ่อค้ายิ้มไม่พูด สายตาของนายหญิงผู้เฒ่าฟางจับบนรถขนเงิน ท่าทางผิดหวังอยู่บ้าง  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ล้วนเป็นของท่านแล้ว” พ่อค้ายิ้มกระซิบเสียงเบา “ท่านต้องดีใจถึงจะถูก”  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา สีหน้าจริงจังคำนับ  

 

 

“ยังคงเป็นประโยคนั้น ไม่มีท่าน ไหนเลยมีข้า” นางเอ่ย  

 

 

พ่อค้าหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ท่าทางพึงพอใจอยู่บ้างถอนหายใจอีกหน  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า การค้าขายไม่มีแล้ว แต่มิตรภาพยังอยู่” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าขอบคุณคำนับ  

 

 

“สายแล้ว พวกเราจำต้องออกเดินทางแล้ว” พ่อค้าเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางคำนับอีกหน ไปส่งด้วยตนเอง เพิ่มมาส่งถึงประตูก็ถูกพ่อค้าปฏิเสธ ได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูมองคนขบวนหนึ่งจากไปตามถนน หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

“ท่านย่า รู้สึกอย่างไร?” ฟางเฉิงอวี่เดินเข้ามาเอ่ยถาม  

 

 

รู้สึกอย่างไร?  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกำไม้เท้าในมือ  

 

 

ด้านในไม้เท้าไม่มีราชโองการที่ทำให้นางคิดถึงทั้งวันทั้งคืนอีกต่อไปแล้ว  

 

 

นางหันกลับไปมองคฤหาสน์ ในคฤหาสน์ก็ไม่มีก้อนเงินที่ทำให้นางยากสงบทั้งวันทั้งคืนแล้วเช่นกัน  

 

 

ความลับหลายสิบปี บอกว่าไม่มีก็ไม่มีแล้ว  

 

 

“ข้าไม่ต้องกังวลว่าตอนข้าตายเจ้าจะไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว” นางพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

ความลับนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสืบทอดต่อไปอีกแล้ว จะลงหลุมไปด้วยกันกับนาง  

 

 

“ข้ารู้สึก ว่างเปล่า” นางยื่นมือกดหน้าอก จากนั้นก็ยิ้ม “แต่ก็เบาสบายนัก”  

 

 

……….  

 

 

……….  

 

 

ระหว่างทางที่ขบวนรถเดินทาง ด้านหน้าด้านหลังผู้คนขี่ม้าเดินทางห้อมล้อม ยังมีคนเอาถุงสุราโยนมาโยนไปอีกด้วย เสียงหัวเราะไม่ขาด  

 

 

“พวกเขาสบายใจจริงนะ”  

 

 

บนเนินเขาลูกหนึ่งไม่ไกล คุณหนูจวินที่คลุมหญ้าสานสวมหมวกฟางใบหนึ่ง แทบจะกลืนไปกับเนินเขาเป็นร่างเดียวเอ่ยขึ้นเรียบๆ สายตาจ้องคนกลุ่มนั้นอย่างโหดเหี้ยม  

 

 

หลังร่างเสียงลมเร็วรี่ดังขึ้น กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเหวี่ยงลงบนศีรษะของคุณหนูจวิน  

 

 

“ทำอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามด้วยท่าทางโมโหอยู่บ้าง  

 

 

จูจั้นไม่ได้สนใจอารมณ์เสียๆของนาง เลิกคิ้วปุบก็ยิ้ม  

 

 

“พวกเราไปเล่นกันเถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินก้มจากที่สูงมองเชา คิ้วยังขมวดอยู่ด้วยกัน  

 

 

“เล่นอะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

………………………

 

 

นางไม่ได้นอนทั้งคืน คนมากมายของตระกูลฟางก็ไม่ได้นอนทั้งคืน

 

 

มองพ่อบ้านที่ประตูเห็นนางกลับมาแล้วโล่งอก จากนั้นมองฟางเฉิงอวี่ที่ก้าวเร็วไวออกมารับจากในห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ทานอาหารแล้วหรือยัง?”

 

 

“เช้าขนาดนี้ยังไม่ได้ทานอาหารแน่เลยสินะ?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น ไม่ถามว่านางไปไหนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่อนคลายสบายๆ ประหนึ่งเช้าตรู่ตื่นมาพบหน้ากัน แต่ความกังวลจนไม่ได้นอนคืนหนึ่งบนหน้าจะปิดบังไปได้อย่างไรเล่า

 

 

เมื่อคืนวานตนเองฉับพลันเสียกิริยาออกจากบ้านไปหนึ่งคืนไม่กลับ แล้วยังเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ พวกเขาต้องร้อนใจแทบบ้าแน่

 

 

“ขอโทษด้วย ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นท่าทางขออภัย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มตาหยี

 

 

“ไม่หรอก เจ้าทำสิ่งใดย่อมไม่มีปัญหา” เขาเอ่ย “พวกเราเชื่อใจเจ้า”

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราเชื่อ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่นั่งอยู่ในห้องได้ยินคำนี้ก็เอ่ยขึ้น “แต่หวังว่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับพวกเราสักหน่อยด้วย จวินเจินเจิน พวกเราเป็นคน ไม่ใช่ก้อนหิน”

 

 

รู้จักเป็นห่วงหวาดกลัวแทนเจ้าอย่างไร กังวลวิตกอย่างไร อยากตามหาอย่างไรแต่ก็กลัวเพิ่มความลำบากให้เจ้าจนไม่กล้าตามหา เจ้าขอโทษประโยคหนึ่งง่ายๆ เช่นนี้ก็จบแล้วหรือ?

 

 

“จวินเจินเจิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าบึ้งเอ่ย “เจ้าทำเกินไปแล้ว เจ้าที่แท้เห็นพวกเราเป็นใคร…”

 

 

เสียงพูดของนางยังไม่ทันจบ ก็เห็นสตรีตรงหน้าพลันน้ำตาหยดร่วง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางตกใจสะดุ้งโหยง คำที่เหลือชะงักกะทันหัน

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ่งแทบจะน้ำตาร่วงตาม แม้ไม่รู้ว่าทำไมนางหลั่งน้ำตา

 

 

“จิ่วหลิง จิ่วหลิง เจ้าอย่าเสียใจ” เขารีบร้อนเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลร่วงลงมาสองหยด เค้นรอยยิ้มจางๆ ออกมาให้พวกเขา

 

 

นางพูดไม่ได้ว่าเสียใจหรืออะไร แค่ยามที่ความรู้สึกค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง ได้ยินนายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเห็นพวกเราเป็นใคร ใช่แล้ว พวกเขาเป็นใคร? ครอบครัวของจวินเจินเจิน คนที่อาศัยเงินไถ่ชีวิตพระปัยกาก่อตั้งตระกูลจนมั่งคั่ง ทว่าก็เป็นคนน่าสงสารด้วย

 

 

นางมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง เวลาสลักร่องรอยชีวิตบนหญิงชราคนนี้ อาภรณ์ผ้าไหมอาหารเลิศรสห้อมล้อมก็ยากจะปิดบังความทุกข์ทรมานที่นางผ่าน ครอบครัวจากโลกไปตามต่อกันโดยไม่กระจ่าง ทายาทสิ้นหวังรอความตายมาสิบปี

 

 

นางคิดถึงความแน่วแน่ยามนายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตายประโยคนั้นเมื่อคาดเดาความจริงออก ความแน่วแน่เช่นนี้เป็นความสิ้นหวังแล้วก็ความภาคภูมิใจกระมัง

 

 

คุณหนูจวินพลันคิดถึงชื่อของนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางขึ้นมา คนหนึ่งชื่อฟางโส่วอี้ คนหนึ่งชื่อฟางเนี่ยนจวิน รักษาคุณธรรม ระลึกถึงเจ้าแผ่นดิน รอบคอบขยันขันแข็งทุ่มใจทุ่มความคิด คิดว่าการทำงานให้เจ้าแผ่นดินคือเกียรติยศหรือ?

 

 

สิ่งที่น่าเสียดายคือ เงินของเจ้าแผ่นดินที่พวกเขาถืออยู่ ตัวมันเองก็คลุ้งคาวเลือดไม่อาจพบหน้าคน ยิ่งไม่มีสิ่งใดควรค่าให้ภาคภูมิใจ

 

 

ไม่เพียงไร้เกียรติยศ ยังอาจเป็นการช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว มีเพียงภัยข้ามแม่น้ำรื้อสะพานสังหารคนปิดปาก

 

 

ครั้งนั้นนายท่านผู้เฒ่าฟางรุ่นก่อนรู้ที่มาที่แท้จริงของเงินเหล่านี้หรือไม่?

 

 

หากบอกว่าไม่ทราบ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ลังเลตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับครอบครัว ให้สายเลือดนี้ของตนกลายเป็นโดดเดี่ยวเดียวดาย ชาวบ้านทั้งหลายล้วนกล่าวว่านี่เพราะละโมบทรัพย์จึงไร้หัวใจ แต่จะพูดว่าตัดขาดสายเลือดตระกูลไม่ให้ถูกหางเลขก็ได้ใช่หรือไม่?

 

 

นายท่านผู้เฒ่ารุ่นก่อนทำเช่นนี้ นายท่านผู้เฒ่าฟางก็ได้รับคำกำชับใช่หรือไม่ จึงปฏิบัติกับครอบครัวของตนเองเช่นนี้ด้วย ไม่เสียดายต่อให้แบกชื่อเสียงเลวทรามว่าตัดขาดญาติมิตรก็ต้องตัดทิ้ง?

 

 

พวกเขาที่แท้รู้หรือว่าไม่รู้? หากรู้แล้วรู้มากน้อยเท่าไร?

 

 

บางทีอาจไม่ได้รู้สิ่งใด แต่เป็นเช่นที่จูจั้นว่าเช่นนั้น ขุนนางระแวงจักรพรรดิโดยธรรมชาติ เสี่ยงถึงจะได้ลาภยศ มีลาภยศย่อมมีอันตราย ดังนั้นถึงระวังล่วงหน้าเช่นนี้ ไม่ให้ภัยใหญ่มาเยือนศีรษะทั้งตระกูลล่มจม

 

 

อีกอย่างเรื่องครั้งนั้นที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ในเมื่อเป็นเงินค่าไถ่ที่ใช้เจรจาสงบศึกกับแคว้นจิน ทำไมมาถึงซานตงอีก? ตระกูลฟางทำไมถูกเลือกมาทำเรื่องนี้? แล้วอดีตฮ่องเต้ทำไมเขียนราชโองการเช่นนั้นแผ่นหนึ่ง?

 

 

รายละเอียดที่ไม่ทราบมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นยากเข้าใจเกินไปแล้ว

 

 

น้ำเย็นเจี๊ยบหลายหยดสอดแทรกด้วยกลิ่นเหม็นขี้เถ้าพืชฉับพลันพรมลงบนหน้า คุณหนูจวินรู้สึกตัว เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางยืนอยู่ตรงหน้า กำลังจุ่มนิ้วลงในชามใส่น้ำใบหนึ่ง หลังจากนั้นดีดมาอีกหน

 

 

“ท่านยาย ท่านทำสิ่งใด?” คุณหนูจวินรีบหลบพลางเอ่ยถาม

 

 

“ไล่สิ่งชั่วร้าย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยตามตรง สีหน้าเพ่งพิจมองนาง “เจ้าทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ ไม่อาจควบคุมตนเองได้ใช่หรือไม่ อาจเจอสิ่งชั่วร้ายเข้าให้แล้ว”

 

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ ยิ้มจนดวงตาปวดอยู่บ้าง แล้วก็พยักหน้า

 

 

“ท่าทางคงใช่กระมังเจ้าคะ บางทีท่านตาพบหน้าข้าครั้งแรกคงดีใจมาก” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“ท่านตาของเจ้าไม่ใช่คนที่จะหลอกเด็กน้อยเสียหน่อย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าหายดีแล้วกระมัง?” ฟางเฉิงอวี่รีบเอ่ยถาม พลางส่งสายตาให้จิ่วหลิง เขยิบเข้าใกล้ด้านหลังนางกระซิบบอก “รีบบอกว่าหายดีแล้ว ไม่เช่นนั้นนางจะให้เจ้าดื่มน้ำขี้เถ้าพืชนี่แล้ว”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า

 

 

“หายแล้ว บ่งบอกว่าใช้ได้ ยิ่งต้องดื่ม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางได้ยินก็สีหน้าเย็นชาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“ท่านยาย ท่านไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องเทพผีหรือ” นาเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร ข้าก็แค่คิดบางเรื่องได้จึงเสียกิริยาไปบ้าง เมื่อคืนวานข้าก็ไม่ได้เดินมั่วซั่ว แต่ไปหาสหายคนหนึ่งที่นั่นพูดคุยกันสักหน่อย”

 

 

นางมีสหายหรือ? นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดขึ้นมา น้อยนักจริงๆ

 

 

ส่วนฟางเฉิงอวี่สีหน้าน้อยใจ เกลียดจริงๆ

 

 

“เรื่องจะยื้ออย่างไรเจ้าไม่ต้องกังวล” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยออกมาตรงๆ อีกหน “เวทีเจ้าจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปพวกเราร้องเองก็พอ”

 

 

สีหน้าของนางท่าทางผ่อนคลายอยู่บ้าง แล้วก็ทะนงอยู่บ้างอีกหน

 

 

“ร้องเล่นละครเรื่องนี้ พวกเราถนัดนัก”

 

 

พูดจบก็ทำท่าให้คุณหนูจวินนั่ง

 

 

“เมื่อคืนวานข้าคิดดีแล้ว แล้วก็หารือกับเฉิงอวี่แล้ว ก่อนอื่นให้จิ่นซิ่วฟ้องร้องต่อไป…”

 

 

เห็นท่าทางนายหญิงผู้เฒ่าฟางกระตือรือร้นอยากคุยละเอียดกับตนว่าจะทำอย่างไร คุณหนูจวินก็กลั้นใจขัดไม่ได้อยู่บ้าง เป็นนางทำให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดทั้งคืนว่าจะทำอย่างไร ส่วนสิ่งที่นางคิดทั้งคืนคือจะไม่ทำ

 

 

“จิ่วหลิง เจ้ามีความคิดใหม่อะไรหรือ?” ฉับพลันฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยขึ้น ขัดนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็มองมาหานางเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

 

 

“ข้าคิดว่าอย่างไรก็ให้พวกเขาเอาไปเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าอึ้งอยู่บ้าง

 

 

“หา?” นางคล้ายฟังไม่ชัด

 

 

“ข้าคิดมาคิดไป ยื้อไว้ก็ไม่ใช่วิธี” คุณหนูจวินอ้าปากเอ่ยประโยคแรกก็พูดอย่างฉับไว “ไม่มีใครป้องกันโจรพันวัน ในเมื่อพวกเขาจะเอาให้ได้ หากเอาไปไม่ได้ต้องอับอายหงุดหงิดจนกลายเป็นโกรธเกรี้ยวแน่นอน กลับจะไม่ดีกับพวกเรา ไม่สู้หลบคมศาสตราของเขาเถอะ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานอ้อ คล้ายเข้าใจแล้วก็คล้ายไม่เข้าใจ

 

 

ความเงียบงันทำให้บรรยากาศในห้องแปลกประหลาดอยู่บ้าง

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันคิดให้ดีเอง แม้คาดเดาเรื่องบางอย่างได้แล้ว แต่หลังเห็นของเหล่านั้นชัดๆ ข้าจึงรู้สึกว่าความคิดเดิมของข้าขาดความเหมาะสมอยู่บ้าง” คุณหนูจวินเอ่ยต่ออีกครั้ง สีหน้ายากปิดบังความอับอาย

 

 

ความอับอายนี่จริงแท้ แต่แน่นอนไม่ใช่เพราะขบคิดได้ไม่เหมาะสม

 

 

ในห้องเงียบงันอีกหน

 

 

ขณะที่คุณหนูจวินกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างอีก นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันเอ่ยปากก่อนแล้ว

 

 

“ได้” นางพยักหน้า เอ่ยอย่างเด็ดขาดยิ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองนาง ชั่วขณะไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

 

“ขอบคุณ” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“ขอบคุณอะไร นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่พวกเราควรทำ” นางเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“ทหารมาแม่ทัพต้าน ต่อไปพวกเราก็ทำเรื่องที่พวกเราควรทำต่อ” นางเอ่ย แล้วหยุดครู่หนึ่งอีกหน “ท่านยาย ท่านระวังด้วย”

 

 

พวกท่านวางใจ ความเป็นมาของเงินนี่แม้นางไม่อาจไม่ร่วมปิดบังด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกระทำได้ดั่งใจ

 

 

จูจั้นพูดถูกต้อง ไม่ว่าพระอัยกาตอนนั้นทำสิ่งใด นั่นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉีอ๋องกระทำเลวทรามหรือให้พระบิดาของนางรวมถึงคนเหล่านี้ของตระกูลฟางควรถูกทำร้ายเปล่าๆ ได้

 

 

นี่ยังคงเป็นความยุติธรรม โลกนี้ต้องมีความยุติธรรม

 

 

คุณหนูจวินคำนับขอตัวถอยออกมา เห็นคุณหนูจวินเดินออกไปแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ถอนหายใจแผ่วเบา

 

 

“ท่านย่า ขอบคุณท่านแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยด้วย “ท่านไม่ตำหนิจิ่วหลิงที่นางพูดแล้วกลับคำเช่นนี้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม สีหน้าฟื้นกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

 

 

“ตำหนินางทำอะไร เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง ผลลัพธ์ก็ไม่เกี่ยวกับนาง” นางเอ่ยขึ้น “นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้า”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิดหนึ่งอีกหน มองเงาร่างของสตรีที่หายไปจากสายตา

 

 

“นอกจากนี้ นางก็ตกใจจริงๆ ผ่านมาหนึ่งคืนตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ข้าคิดว่าไม่ใช่เด็กเล่น”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า คล้องแขนนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ท่านย่า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ไม่กลัว” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า

 

 

“กลัวอันใด” นางเอ่ยขึ้นแล้วยิ้ม “นางไม่ใช่เคยบอกว่าบนโลกนี้มีความยุติธรรมหรือ”

 

 

……………………………………….

ในห้องประหนึ่งพู่กันเปื้อนหมึกด้ามหนึ่งจุ่มลงน้ำ สีดำเข้มกระจายออกหลังจากนั้นค่อยๆ จางลง ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขับไล่ราตรีไป

 

 

จูจั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังร่างจึงหันไป สบสายตากับคุณหนูจวิน

 

 

นางไม่ได้ลุกขึ้นยังคงห่ออยู่ในผ้าห่ม เผยออกมาเพียงดวงตาคู่หนึ่งจ้องจูจั้น

 

 

จูจั้นรวบเสื้อไว้ท่าทางระแวง

 

 

“เจ้าคิดทำอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้หลุดหัวเราะ จากนั้นสีหน้าก็นิ่งสงบลง

 

 

“ท่านไม่นอนทั้งคืนหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

แม้เขาดูแล้วไม่ตกใจเช่นนี้เหมือนตน แต่ปุบปับได้ยินเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ก็คงสะเทือนใจบ้าง เช่นเดียวกับตนที่หลบอยู่ในผ้าห่มนอนไม่หลับทั้งคืน เขาก็นั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเช่นกัน

 

 

“ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกน่ากลัวนักน่าขันนักใช่หรือไม่?” นางยิ้มเยาะเย้ยตนเองเอ่ยขึ้นมา

 

 

จูจั้นขมวดคิ้ว

 

 

“ความจริงของเรื่องราวยังไม่กระจ่างชัด” เขาเอ่ย “บางทีนี่อาจเป็นเพียงการกระทำของฉีอ๋องตอนนั้นคนเดียว พระอัยกาของเจ้าไม่รู้เรื่อง”

 

 

ถ้าเช่นนั้นราชโองการของอดีตฮ่องเต้จะอธิบายอย่างไร?

 

 

นอกจากนั้นเรื่องเช่นนี้ คนผู้เดียวทำได้หรือ?

 

 

แม้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด แต่คิดดูแล้วความจริงก็คงไม่มีทางดีกว่าที่คาดเดาอยู่ตอนนี้ไปถึงไหน

 

 

คุณหนูจวินหลุบสายตา

 

 

“อีกอย่าง ต่อให้เป็นเช่นนี้จริงก็ไม่มีสิ่งใดให้คิด” จูจั้นเอ่ยต่อ “ไม่ใช่แค่การแย่งชิงอำนาจจักรพรรดิรึ เรื่องเช่นนี้เห็นน้อยนักหรือ? พูดไม่น่าฟังประโยคหนึ่งก็คืออดีตฮ่องเต้ไม่ยอมรับฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา แม้ไร้หัวใจ แต่สำหรับอ๋องที่อาลัยอำนาจจักรพรรดิคนหนึ่งแล้วสมเหตุผลยิ่ง ทว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณธรรมสักเท่าไร แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้คิดจริงๆ”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ลูบปลายจมูกอีกหน

 

 

“แน่นอน ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน ในสายตาข้านั่นคือจักรพรรดิ พระทัยของจักรพรรดิย่อมไม่อาจมองเหมือนปกติได้ พูดไม่น่าฟังประโยคหนึ่งก็คือจักรพรรดิกับขุนนางพึ่งพากันแล้วก็ระวังกัน แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยวาดหวังให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเป็นพวกเมตตาดีงาม”

 

 

อย่างไรฮ่องเต้ในสายตาเขาล้วนเป็นคนเลว คนเลวทำเรื่องเลวก็ไม่มีอันใดน่าประหลาดใจ

 

 

ตรงไปตรงมาจนโหดร้ายจริงๆ คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา

 

 

เสียงของจูจั้นผ่อนลงอยู่บ้างอีก

 

 

“แต่เจ้า นั่นเป็นปู่ของเจ้า นั่นเป็นปู่ทวดของเจ้า เป็นท่านอาของเจ้า ในใจเจ้าเป็นครอบครัวของเจ้า ครอบครัวโหดเหี้ยมไร้หัวใจต่อสู้เข่นฆ่ากันเช่นนี้ น่ากลัวยากยอมรับนักอย่างแท้จริง”

 

 

คุณหนูจวินหลุบตา ฉับพลันก็ยิ้ม

 

 

“จริงๆ เลย เรื่องน่ากลัวเช่นนี้ ทำไมถูกท่านพูดเช่นนี้ทีหนึ่ง กลับเหมือนข้าตื่นตูมโวยวายโดยไม่มีเหตุผลแล้ว” นางเอ่ย

 

 

“ไม่เช่นนั้นแล้วยังไง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะฆ่าตัวตายชดใช้โทษแทนพระอัยกาของเจ้ารึ?” จูจั้นผายมือเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง

 

 

“ตอนนั้น หากให้เงินค่าไถ่พอ ไม่ต้องพูดถึงความเป็นความตายของฮ่องเต้เหรินเซี่ยว สงครามก็คงไม่รุนแรงยาวนานสิบกว่าปีเช่นนี้กระมัง?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

คำพูดของนางเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นพลันคิ้วตั้ง

 

 

“คำพูดนี่ของเจ้าบ้าบอจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ไถ่คืน? ไม่ต้องพูดถึงโจรจินตีเมืองของข้า ฆ่าล้างประชาชนของข้า ยึดครองผืนดินของข้า แค่คำว่าไถ่คำเดียวนี่ก็คือความอัปยศ ความอัปยศเช่นนี้ มีแต่ต้องใช้เลือดและสงครามล้าง เวลานั้นบางทีอดีตฮ่องเต้อาจเจรจาสงบศึกอย่างจริงใจ แต่ชาวจินไม่เลิกคิดร้ายแน่นอน เงินค่าไถ่ไม่พอหรือพอสำหรับพวกเขาแล้วล้วนเหมือนกัน ไม่พอก็ทำให้พวกเขาถือโอกาสก่อเรื่องเท่านั้น ต่อให้มอบให้พอ พวกเขาก็ไม่มีทางเลิกราเช่นนี้”

 

 

เขาสีหน้าภาคภูมิทั้งยังโกรธแค้น

 

 

“นอกจากนี้ที่ขุนนางทหารเช่นพ่อข้าสู้ตายกับชาวจิน แค่เพียงเพื่อฮ่องเต้เหรินเซี่ยวที่ถูกทำร้ายหรือ? ต่อให้พวกเขาคืนฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา แล้วความแค้นของประชาชนหลายแสนของพวกเราเล่า? แล้วแผ่นดินประเทศเราที่พวกเขายึดครองเล่า? ตอนนี้เจ้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ไม่ผิดต่อทหารทั้งหลายที่กรำศึกสิบกว่าปี สละชีพไปนับไม่ถ้วนหรือ?”

 

 

คุณหนูจวินเลิกผ้าห่มขึ้นนั่งตัวตรง

 

 

“ข้าก็แค่พูดออกมาเฉยๆ ท่านโกรธอะไรเล่า” นางเอ่ย

 

 

“เรื่องเช่นนี้ พูดเฉยๆ ก็ไม่ได้” จูจั้นหน้าบึ้งเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินขานอืม

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว” นางทำหน้าจริงจังพูดขึ้น

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งหมุนตัวไป

 

 

“นี่ข้าไม่ใช่รู้สึกละอายรึ” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ

 

 

ได้ยินคำนี้จูจั้นพลันหมุนตัวมาอีกหน

 

 

“เจ้าละอายอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“ข้าคิดมาตลอดว่าที่ข้ามีชีวิตรอดมาได้เพราะสวรรค์ยุติธรรม แต่ตอนนี้ดูแล้ว…” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว? ตอนนี้นี่ไม่ใช่ยิ่งพิสูจน์แล้วหรือ?” จูจั้นเอ่ยขัดนาง “พระอัยกาของเจ้าไม่สนใจบิดากับน้องชายเพื่อความปรารถนาส่วนตัว พระปิตุลาของเจ้าสังหารพี่ชายบีบบังคับบิดาจนตายแย่งราชบัลลังก์ นี่ไม่ใช่กงเกวียนกำเกวียนกรรมตามสนองหรือ? ยุติธรรมนักเชียว”

 

 

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าพิกลอยู่บ้าง คล้ายอยากพูดก็หยุดไป

 

 

“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ” จูจั้นกอดอกเงยหน้ามองจากเบื้องสูงลงมาเอ่ยขึ้น

 

 

“นี่เป็นเรื่องเศร้าสลดเอาการชัดๆ ท่านพูดทีหนึ่งกลับเป็นเหมือนเด็กเล่นและน่าขำอยู่นิดๆ แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

จูจั้นไม่อับอายหงุดหงิดแต่ยิ้ม

 

 

“เรื่องบนโลกนี้บางครั้งเดิมทีก็น่าขัน” เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “พวกเราหัวเราะผู้อื่น ผู้อื่นหัวเราะพวกเรา พวกเราหัวเราะคนยุคก่อน คนรุ่นหลังหัวเราะพวกเรา ใครถูกใครผิด คนไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจ สวรรค์มีความยุติธรรม”

 

 

คุณหนูจวินไร้คำพูด

 

 

“ไม่ว่าพระอัยกาของเจ้าเคยทำสิ่งใด นี่ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่พระบิดาของเจ้าควรถูกพระปิตุลาของเจ้าสังหาร” จูจั้นเอ่ย “ยิ่งไม่เกี่ยวอันใดกับที่เจ้าจะแก้แค้นให้พระบิดา”

 

 

คุณหนูจวินขานอืม พลางมองจูจั้น

 

 

จูจั้นก็มองนาง

 

 

สองคนใครก็ไม่พูดจา คล้ายต่างรออีกฝ่ายเอ่ยวาจา แล้วก็คล้ายไม่รู้จะพูดสิ่งใด ดวงตาสี่ข้างก็สบกันเช่นนี้ บรรยากาศกลายเป็นแปลกประหลาดอยู่บ้าง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มก่อน จูจั้นฉับพลันไม่เคร่งขรึมอย่างก่อนหน้า หลบสายตาไปอย่างขัดเขินอยู่บ้าง

 

 

“ที่ออกจะน่าขำก็คือ ตอนนี้ข้าต้องล้มทุกสิ่งนี่ในแผนการของตนเองแล้ว ไม่เพียงไม่อาจขวาง ยังต้องเกลี้ยกล่อมให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางปล่อยคนเหล่านั้นเอาเงินเหล่านี้ไปด้วย” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นางพูดพลางมือหนึ่งแกะผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ม้วนใหม่ให้เรียบร้อยง่ายๆ พลางลงจากเตียง

 

 

เพราะไม่ได้ถอดเสื้อนอนอยู่ในผ้าห่มทั้งคืน เสื้อผ้าจึงยับยุ่งอยู่บ้าง คุณหนูจวินก้มศีรษะจัด จูจั้นกลอกตาหันสายตาหนี

 

 

“นั่นแน่นอน นี่อย่างไรก็เป็นเรื่องน่าเกลียดของราชวงศ์ มิน่าตระกูลฟางต้องถูกลอบสังหารหมายปิดปาก แม้เงินหลวงรัชศกไท่เหยียนปีที่สามถูกหล่อออกมาอย่างเป็นความลับ คนที่รู้ไม่มาก แต่หล่อเงินเรื่องใหญ่เช่นนี้ล้วนมีบันทึก ย่อมต้องมีคนรู้ เมื่อเปิดเผยออกมาปุบ นั่นย่อม…” เขาเอ่ยขึ้น เสียงคำยังไม่ทันเอ่ยจบ คุณหนูจวินพลันเดินเข้ามายื่นมือกอดเขา

 

 

“ขอบคุณ” นางเอ่ยเสียงเบา

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางกอด ยิ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่นางจับนั่นจับนี่ตนเอง แต่เอ่ยขอบคุณเหมือนจะเป็นครั้งแรก จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ สมองสับสนอยู่บ้างคิด

 

 

ครั้งนั้นนอกวังไหวอ๋องก็เคยบ้าขึ้นมาครั้งหนึ่ง เมื่อเขาสัญญากับนางว่าหากนางรักษาไหวอ๋องหายดีตนจะปกป้องชีวิตนาง แน่นอนตอนนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมยามนั้นนางอยู่ดีๆ เป็นบ้าขึ้นมา

 

 

นั่นก็แสดงความขอบคุณ ความขอบคุณที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยแสดงออก ตอนนี้คำว่าขอบคุณนี่เอ่ยออกมาได้แล้ว

 

 

ขอบคุณที่ยังดีมีเขา ทำให้คำพูดกำเริบเสิบสานของนางระบายออกมาได้ ไม่เช่นนั้นตนคงเก็บกลั้นจนเป็นบ้าแล้วกระมัง

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้มาไม่คืนกลับคงไร้มารยาท เขาก็ไม่อาจขี้เหนียวได้กระมัง

 

 

จูจั้นยกมือเตรียมจะตอบกลับ คนในอ้อมแขนกลับปล่อยมือก้าวออกไปแล้ว

 

 

“ข้าไปจัดการธุระล่ะ” นางเอ่ยพลางก้าวเร็วไวไปข้างนอก

 

 

มือของจูจั้นยังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

 

 

“เฮ้ย” เขาอดไม่ได้ร้องเรียก

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา

 

 

“อะไรหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“แค่ กอดเฉยๆ รึ?” สายตาจูจั้นมองไปด้านข้างเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“อืม แค่กอดเฉยๆ ทำไมหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นบื้อใบ้อยู่บ้าง

 

 

“ไม่ทำไม” เขาเอ่ยตอบ “ก็แค่ถามดู”

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่งหมุนกายเดินออกไป

 

 

ตอนนี้จูจั้นถึงมองไปทางประตู บีบนิ้วมือ

 

 

“มองก็มองแล้ว ลูบก็ลูบแล้ว กอดก็กอดแล้ว ไม่รับผิดชอบรึ” เขาเอ่ยพึมพำ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่นอกประตูคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางใหม่อีกครั้ง อารมณ์ซับซ้อน ก้าวเท้าหนักอึ้งอยู่บ้าง ความหมายมาดจะเอาให้ได้เมื่อตอนกลับมาจากเมืองหลวงหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางถึงขั้นไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับนายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างไร

 

 

นาทีนี้ นางก็อยากด่าคำหยาบสักคำเหมือนปฏิกิริยาแรกของจูจั้นหลังได้รู้เรื่องราวเหมือนกัน

 

 

สวรรค์นี่หนอ ท่านช่างเห็นสรรพสัตว์ไร้ค่าจริงเชียว

 

 

……………………

คุณหนูจวินคิดออกแล้ว ที่จริงนางเคยเห็นเงินนี่มาก่อน

 

 

ตอนยังเล็กมากนางค้นมั่วซั่วในห้องหนังสือของพระบิดา ค้นเจอเงินก้อนหนึ่ง เพราะได้ยินนางกำนัลทั้งหลายพูดว่าตัดเงินไปใช้ นางจึงเอากรรไกรเตรียมจะลองดู

 

 

พระบิดาพบเข้าจึงตะโกนหยุดนาง

 

 

แต่พระบิดาไม่ได้ตกอกตกใจที่นางเล่นกรรไกรเช่นนั้นเหมือนพี่สาวกับนางกำนัลแม่นมทั้งหลาย

 

 

“เงินก้อนนี้ไม่อาจตัดได้” เขาเพียงเอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

เงินตัดแล้วก็ยังเป็นเงิน ทำไมตัดไม่ได้เล่า?

 

 

“เพราะนี่เป็นเงินของรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” พระบิดาเอ่ยอย่างจริงจังอยู่บ้าง “จิ่วหลิงเอ๋ย เจ้าต้องจำไว้ นี่คือเงินของรัขศกไท่เหยียนปีที่สาม”

 

 

รัชศกไท่เหยียนปีที่สามทำไมหรือ?

 

 

“นั่นคือความอัปยศ” พระบิดาเอ่ยเสียงเข้ม มองก้อนเงินในมือ “เงินนี้เป็นเงินที่หล่อขึ้นมาเพื่อไถ่พระปัยกาของเจ้ากลับมาโดยเฉพาะ”

 

 

สำหรับนางที่อายุยังน้อยนิดแล้ว ยังไม่รู้จักว่าพระปัยกาคือใคร แล้วพระปัยกาอยู่ที่ไหน? ไถ่กลับมาหมายความว่าอย่างไร?

 

 

“พระปัยกาของเจ้าถูกชาวจินจับตัวไป” พระบิดาเอ่ย

 

 

นี่สำหรับนางเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่ง พระราชวังใหญ่เช่นนี้ กระทั่งวังหลังนางยังเดินออกไปไม่ได้ ถึงกับมีคนจับตัวพระปัยกาไปได้?

 

 

พระบิดาถูกคำพูดของนางทำให้หัวเราะแล้ว หัวเราะพลางเต็มไปด้วยความเศร้าสลด

 

 

“พระปัยกาของเจ้าไม่ได้ถูกจับไปที่นี่ เขาไปแนวหน้าทำสงคราม” พระองค์เอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักอีก “ต่อให้ไม่ได้อยู่แนวหน้า แคว้นล่มแล้ว กำแพงสูงคฤหาสน์กว้างยังขวางอะไรได้อีกเล่า? คนที่ถูกจับไปไม่ใช่แค่พระปัยกาของเจ้า ยังมีข้าราชบริพารมากมาย แล้วยังมีอนุชาพระองค์หนึ่งของพระอัยกาเจ้าด้วย”

 

 

ในวังที่แท้มีคนมากปานนั้นเชียว? ยามปกติคนที่มักพบในวังก็มีเพียงครอบครัวของพวกนางแล้วก็ครอบครัวของพระอัยกา อ้อ ยังมีท่านอ๋องอนุชาของพระอัยกาอีกหลายคน ปีก่อนเคยพบครั้งหนึ่ง บอกว่าอยู่ในสถานที่ต่างๆ กัน ไม่อาจมาเมืองหลวงบ่อยๆ ได้

 

 

หลังจากนั้นพระบิดายังพูดอะไรอีกบางอย่าง แต่สำหรับนางที่อายุยังน้อยนิดคนนั้นน่าเบื่อยิ่งนัก ฟังไม่เข้าใจก็ไม่จำ หลังจากนั้นนึกย้อนไปก็จำได้เพียงสีหน้าเศร้าสลดและโกรธแค้นของพระบิดาเท่านั้น

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าต้องจำไว้ รัชศกไท่เหยียนปีที่สามคือความอัปยศ จำไว้ให้มั่น อย่าให้มีความอัปยศเช่นนี้อีก ต้องทำให้แคว้นแข็งแกร่งทหารเข้มแข็ง”

 

 

เสียงของพระบิดาในความทรงจำทอดยาว ห้องหนังสือปกคลุมด้วยสีเหลืองแห้งเหี่ยวของฤดูใบไม้ร่วง เงินที่ถูกนางใช้กรรไกรทิ่มจนเป็นรอยแตกรอยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือส่องแสงหม่นๆ ออกมา

 

 

“เวลานั้นมอบเงินทองแพรพรรณแก้ชาวจิน ชาวจินกลับตัดรอนทำลายข้อตกลง บอกว่าชาวโจวเชื่อไม่ได้ ปฏิเสธไม่คืนฮ่องเต้เหรินเซี่ยว ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวตระหนกประชวรหนักสวรรคตในเมืองของชาวจิน” จูจั้นเอ่ยช้าๆ ทำลายความเงียบสงบที่ทำให้คนหายใจไม่ออกในห้อง” “ทุกคนล้วนด่าชาวจินว่าไร้ยางอายไม่รักษาสัญญา ใต้หล้าประชาชนเดือดดาล ที่แท้…”

 

 

เสียงของเขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ในห้องตกสู่ความเงียบงันอีกหน แต่คุณหนูจวินรู้ความหมายที่เขาจะพูด

 

 

ที่แท้ที่ชาวจินด่าถูกต้องแล้ว เงินที่ตกลงกันแล้วกลับไม่ได้ส่งให้ชาวจิน แต่มาถึงซานตง มาถึงในมือของตระกูลฟาง กลายเป็นกิจการแห่งหนึ่งให้กำเนิดเงินมากกว่าเดิม

 

 

และทุกสิ่งนี่ปิดบังคนทั้งใต้หล้า ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวไม่อาจไถ่กลับคืน ถูกชาวจินทำร้ายจนตาย พวกเขาราชวงศ์ตระกูลฉู่โศกเศร้าที่เสียครอบครัวรวมถึงได้รับความอัปยศ พร้อมกันนั้นก็ได้รับความสงสารจากคนทั้งใต้หล้า

 

 

อัปยศหนอ

 

 

มือของคุณหนูจวินแทบจะจิกใบหน้าลงมา นางไม่มีหน้าพบคนแล้ว ร่างกายนางสั่นเทา

 

 

ใครทำ? ฉีอ๋อง? พระอัยกา? พระบิดารู้ไหม?

 

 

ทำไมต้องทำเช่นนี้?

 

 

“ข้าขบคิดไม่เข้าใจ ข้าขบคิดไม่เข้าใจ” เสียงนางงึมงำประหนึ่งสะอื้น

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“เจ้าขบคิดไม่เข้าใจจริงหรือ?” เขาเอ่ย เสียงเข้มต่ำแต่ไม่ลังเลสักนิด “ข้าได้ยินว่าตอนนั้นคนที่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวโปรดที่สุดคือซู่อ๋อง”

 

 

คุณหนูจวินฝังศีรษะต่ำลงอีก

 

 

นางไม่ได้อายุน้อยแล้ว ภายหลังเติบใหญ่ก็รู้แล้วว่าพระปัยกาเป็นใคร รู้จักพระญาติทั้งหลายมากมายที่ไม่เคยพบในพระราชวังแต่มีชื่ออยู่

 

 

ซู่อ๋อง เป็นโอรสองค์ที่แปดของพระปัยกา เป็นน้องแปดของพระอัยกาของนาง แม้ได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องแต่ไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก รั้งอยู่ในพระราชวังมาตลอด บอกว่าเพราะอายุน้อย ที่จริงเห็นชัดว่าได้รับความโปรดปราน แต่ก็เพราะเช่นนี้ เมื่อชาวจินบุกตีเมืองแตกบุกพระราชวังจึงชิงพระองค์ไปด้วย

 

 

ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวสวรรคต ฉีกการเจรจาสงบสุข สองแคว้นทำสงคราม ข้าราชบริพารเช่นซู่อ๋องย่อมไม่มีเวลาสนใจ ต่อมาไม่นานนักก็ประชวรสวรรคตด้วยแล้ว

 

 

ใช่แล้ว นางไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว นางรู้ว่า ‘ฮ่องเต้เหรินเซียนโปรดปรานซู่อ๋อง’ ประโยคนี้ของจูจั้นหมายความว่าอย่างไร หากฮ่องเต้เหรินเซี่ยวยังอยู่ ผู้ที่เถลิงราชย์เป็นฮ่องเต้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอัยกาของนาง

 

 

พระอัยกาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เพราะประเทศไม่อาจไร้เจ้าแผ่นดินแม้หนึ่งวัน แต่ประเทศก็ไม่อาจมีเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ได้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นหากรับฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมาแล้วพระอัยกาจะทำอย่างไรเล่า? คืนตำแหน่งแก่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยว? คืนแล้วหลังจากนั้นเล่า? ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวยังจะเลือกพระอัยกาเป็นฮ่องเต้พระองค์ต่อไปไหม?

 

 

ดังนั้น…

 

 

ไม่ใช่นางขบคิดไม่เข้าใจ นางไม่กล้าคิด ถูกคำพูดประโยคนี้ของจูจั้นบีบให้ไม่อาจไม่คิด หนาว ปลายนิ้วแตะถูกผ้าห่ม จึงยื่นมือกระชากมาห่มตัวเองไว้เสีย

 

 

หนาวจริงเชียว หนาวนักเชียว

 

 

จูจั้นได้แต่สวมเพียงกางเกงตัวใน ท่อนบนเปลือยเปล่านั่งอยู่บนเตียง ถลึงตา

 

 

“แม้ฟังดูแล้วน่ากลัวนัก” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “แต่ราชวงศ์ไม่มีบิดาบุตรพี่น้อง…”

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันแหวกผ้าห่มโผล่ศีรษะออกมา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อก็ไม่มีสิ่งใดน่าสงสาร เขาถูกทำร้ายก็ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้โกรธ” นางเอ่ย “ฉีอ๋องแย่งบัลลังก์นี่ของเขาไปก็ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง บัลลังก์นี่เดิมทีก็แย่งชิงมา ล้วนเป็นคนเลว ล้วนแย่งชิง ล้วนเข่นฆ่า ..ล้วนสู้เดรัจฉานยังไม่ได้”

 

 

“เจ้าดูเจ้าสินี่ไร้เหตุผลแล้ว” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนสมองเจ้าไม่แจ่มใสก็ไม่ต้องคิดแล้ว”

 

 

“สมองข้าแจ่มใสยิ่ง” คุณหนูจวินตะโกน

 

 

“เจ้าสติแจ่มใสบัดซบน่ะสิ” จูจั้นโต้กลับอย่างไม่เกรงใจสักนิด

 

 

สารเลวคนนี้! คุณหนูจวินถลึงตามองเขา

 

 

“หากเจ้าสติแจ่มใสก็ควรตระหนักว่าพระอัยกาของเจ้า พระบิดาของเจ้ากับฉีอ๋อง ไม่ใช่คนเดียวกัน สิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งที่แทนตัวเองได้เท่านั้น” จูจั้นเอ่ย “เจ้าไม่อาจเพราะเรื่องที่พวกเขาทำผิด ก็คิดว่าพ่อเจ้าตายไม่ผิด ตายสมควรแล้วได้”

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าพระบิดาของข้าสมควรตาย” คุณหนูจวินเอ่ย ทิ้งศีรษะลง

 

 

นางเพียงไม่รู้ว่าพระบิดาทราบเรื่องนี้หรือไม่

 

 

“บิดาเจ้ารู้หรือไม่รู้ เป็นคนละเรื่องกับที่เขาถูกทำร้าย” จูจั้นเอ่ย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ตอนนี้เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เจ้าต้องการทำคือสิ่งใด เจ้าจะแก้แค้นให้บิดาของเจ้า ส่วนความลับน่าละอายนานาในการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ายุ่งได้รวมถึงยุ่งไหว”

 

 

คุณหนูจวินห่อผ้าห่ม เหตุผลนางล้วนเข้าใจ แต่…

 

 

“จูจั้น” นางเงยหน้ามองบุรุษผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า “ท่านรู้สึกรังเกียจไหม?”

 

 

จูจั้นยิ้มแล้ว

 

 

“เรื่องน่ารังเกียจในใต้หล้ามากไป” เขาเอ่ย “ข้ารังเกียจไม่ไหวหรอก แล้วข้าก็ไม่ว่างรังเกียจด้วย”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาจากนั้นก็ยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี่น่าดูกว่าร่ำไห้ไม่เท่าไร

 

 

“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว ตอนนี้เจ้าอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป เลอะเทอะอยู่แน่ะ” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ข้าไม่คิดแล้ว” นางเอ่ยบอก “ข้าง่วงแล้ว ข้านอนก่อนล่ะ”

 

 

นางพูดจบก็โถมตัวนอนลงบนเตียง กระชากผ้าห่มคลุมปิดศีรษะ

 

 

จูจั้นหวิดถูกเบียดร่วงลงไป มองคุณหนูจวินที่ห่อตัวเองเป็นก้อนอย่างอึ้งๆ

 

 

“นี่เป็นเตียงของข้า” เขาเอ่ย

 

 

แต่คุณหนูจวินคล้ายหลับไปแล้วไม่สนใจสักนิด

 

 

จูจั้นได้แต่เอาตัวเองลงมา ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วงมีความเย็นอยู่เจือจาง เวลานี้เขาเพิ่งพบว่าตนเองยังคงเปลือยท่อนบน ฉับพลันหน้าแดง ลนลานอยู่บ้างกระชากเสื้อจากบนราวมาสวม

 

 

แต่เวลานี้สวมไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว ดูไม่ใช่ดูไปหมดแล้วรึ

 

 

“เติงถูจื่อ” เขาพึมพำประโยคหนึ่งแล้วมองเตียงที่ถูกยึดครองไป เตียงไม่ใหญ่ แต่สตรีคนนั้นห่อผ้าห่มจนหดกลายเป็นก้อน ดูไปแล้วเล็กกระจ้อยทั้งยังน่าสงสาร

 

 

เขาถอนหายใจแผ่วเบา นั่งลงบนพื้นข้างเตียง ในห้องตกสู่ความเงียบสงบ ค่ำคืนยิ่งมืดลง

 

 

……………………

เสียงตึกทีหนึ่ง คุณหนูจวินเหยียบถึงพื้นดิน

 

 

ปากโพรงห่างจากคลังใต้ดินไม่ลึก สูงแค่หนึ่งคนกว่าเท่านั้น ใต้เท้าเป็นแผ่นหินเรียบ

 

 

“ด้านนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่ห่างไปหนึ่งก้าว กำลังยื่นมือผลักแผ่นหินสลักฉลุลายแผ่นหนึ่งขยับ แสงสว่างเลือนรางลอดออกมาจากเบื้องหลังนั่น

 

 

แผ่นหินถูกผลักเปิดก็เป็นบันได คุณหนูจวินชูคบไฟ เดินตามนายหญิงผู้เฒ่าฟางลงไป

 

 

หลังบันไดไม่มีกลไกกั้นขวางอันใดอีกต่อไป เป็นห้องเก็บของที่ตั้งชั้นวางอยู่

 

 

“จะเอากลไกอะไรเล่า ก็แค่ห้องเก็บของห้องหนึ่ง ไม่ลึกลับเช่นนั้นอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการหรอก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเอ่ย ยืนอยู่หน้าชั้นไม้อันหนึ่งพลางดึงลิ้นชักเอาไม้ปัดฝุ่นด้ามหนึ่งออกมาอย่างพึงพอใจนัก “สิ่งนี้ครั้งก่อนข้าใส่เข้าไป ยังคิดอยู่ว่าครั้งหน้าตอนมาอีกหนจะปัดกวาดสักหน่อย”

 

 

นางพูดพลางปัดที่ชั้นไม้นิดหนึ่ง ฝุ่นปลิวฟุ้ง ทำให้นางอดไม่ได้ไอค่อกแค่ก

 

 

คุณหนูจวินกำลังมองไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่ในกำแพงสี่ด้านประหนึ่งดวงดาราดาษดา แสงเลือนรางทั้งคลังนี่ก็เป็นพวกมันส่องออกมานี่เอง ได้ยินเสียงไอก็หันหน้าไปมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ท่านยาย ท่านคนเดียวปัดกวาดไม่ไหวหรอก” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางย่อมรู้ วางไม้ปัดฝุ่นกลับไปใหม่อีกหน

 

 

“ปัดกวาดก็ไม่จำเป็นหรอก” นางเอ่ย “ไม่มีใครรังเกียจเงินที่สกปรก”

 

 

สายตาคุณหนูจวินกวาดในห้อง ใช่แล้ว แม้ปกคลุมด้วยฝุ่น ก้อนเงินแท่งเงินลูกเงินที่วางบนชั้นวางชั้นแล้วชั้นเล่าเหล่านี้ก็ทำให้คนใจเต้นเร็วขึ้นเช่นกัน

 

 

แต่ นางไม่สนใจอะไรเงิน

 

 

“อยู่ด้านนั้น” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย ยื่นมือชี้มุมตะวันตกเฉียงใต้

 

 

คุณหนูจวินไม่ลังเลเดินเข้าไป ที่วางไว้ทั้งมุมตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเป็นก้อนเงิน แต่ละชั้นๆ แต่ละกองๆ มองความแตกต่างอันใดไม่ออก

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินเข้ามา ยื่นมือหยิบก้อนเงินก้อนหนึ่งออกมาจากช่องหนึ่งในนั้น พลิกกลับมา

 

 

ใต้ก้อนเงินประทับตราสี่เหลี่ยมตราหนึ่ง

 

 

“เต๋อเซิ่งชาง” คุณหนูจวินรับมาอ่าน

 

 

ก้อนเงินของร้านแลกเงินทุกร้านย่อมมีตราประทับของตนเอง ตราประทับ คุณหนูจวินสีหน้าอึ้งเล็กน้อย ความลับอยู่ที่ตราประทับรึ?

 

 

นางยื่นมือหยิบก้อนเงินขึ้นมาจากในช่อง เต๋อเซิ่งชางหนึ่งก้อน เต๋อเซิ่งชางสองก้อน…

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พูดไม่จาแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวอีก เพียงมองอย่างนิ่งสงบ

 

 

ไม่ทราบพลิกไปถึงก้อนที่เท่าไร มือของคุณหนูจวินพลันหยุด ยังคงเป็นก้อนเงิน ส่วนก้นยังคงมีตราประทับดังเดิม เพียงแต่ตราประทับนี่ คำจารึกในตราประทับไม่ใช่เต๋อเซิ่งชางเหมือนก่อนหน้านี้ จำนวนอักษรมากอยู่บ้าง

 

 

“ท้องพระคลังหลวง” นางอ่าน “รัชศกต้าเหยียนปีที่สามเดือนแปดห้าสิบตำลึง”

 

 

เงินหลวง บอกว่าเงินของท้องพระคลังชัดเจน ท้องพระคลังของราชวงศ์แม้เงินของท้องพระคลังฟังดูแล้วที่มาใหญ่ยิ่ง แต่ในเมื่อเป็นประเภทหนึ่งของเงินหลวง เก็บซ่อนไว้ในร้านแลกเงินก็ปกติยิ่ง

 

 

นี่ค่าให้ระมัดระวังลับๆ ล่อๆ เช่นนี้เชียวรึ?

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่าของเหล่านี้ที่จริงไม่นับว่าเป็นความลับอันใดสักนิด” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย

 

 

แต่ความลับที่แท้จริงคือเรื่องราวเบื้องหลังเงินเหล่านี้ อาศัยเพียงเงินไม่อาจบอกชัดสิ่งใดได้

 

 

คุณหนูจวินก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน ผิดหวังอยู่บ้างวางเงินกลับไป

 

 

“ดังนั้นนอกจากราชโองการ อีกสิ่งหนึ่งก็คือเงินหลวงเหล่านี้?” นางเอ่ยถาม

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานอืม

 

 

“ยังมีเทียบเชิญแผ่นหนึ่ง” นางเอ่ย “ความหมายไม่ต่างจากราชโองการมาก เชิญทางการกับทหารเคลื่อนพลได้ แต่สิ่งนั้นใช้ได้เพียงครั้งเดียว”

 

 

คุณหนูจวินนึกขึ้นมาได้ ทหารที่ซุ่มโจมตีคนที่เดิมทีซุ่มโจมตีพวกเขาเหล่านั้นตอนระหว่างทางจากหรู่หนานกลับหยางเฉิงนั่นเอง

 

 

นางค้นบนชั้นต่ออีกครู่หนึ่ง เงินหลวงเหล่านี้แทรกอยู่ในก้อนเงินของเต๋อเซิ่งชางเป็นจำนวนไม่น้อย

 

 

“เดิมทีมากกว่าตอนนี้อีก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “เริ่มแรกใช้ไปมากอยู่ ต่อมากิจการใหญ่ขึ้นก็ไม่ต้องแล้ว”

 

 

หรือก็คือจะบอกว่าเงินหลวงกลายเป็นเงินส่วนตัว เงินให้กำเนิดเงิน เงินซัดเงิน หลังหลายปีเช่นนี้ เทียบเชิญเคลื่อนทหาร ราชโองการล้วนเก็บคืนไปแล้ว เก็บเงินหลวงเหล่านี้ที่เหลือกลับไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟางกับราชวงศ์ก็กำจัดร่องรอยหมดสิ้นแล้ว รอนายหญิงผู้เฒ่าฟางตายไป ความลับนี่ก็ไม่มีคนล่วงรู้อีกต่อไป

 

 

“แม้เงินเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นหลักฐานอะไรก็ไม่อาจให้พวกเขาได้” คุณหนูจวินวางก้อนเงินในมือลง สีหน้าแน่วแน่เอ่ย “สรุปคือสิ่งที่คนเลวอยากได้ไม่อาจให้ได้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหลุดหัวเราะ วางก้อนเงินในมือกลับไปด้วย

 

 

“ได้” นางเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะฟังเจ้าสักครั้ง ไม่เช่นนั้นการแย่งสมบัติตระกูลของพวกเรานี่ก็เป็นเด็กเล่นเกินไปแล้ว ยิ่งเหมือนเล่นละคร ก่อเรื่องต่อไปสักพักเถอะ”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ขอบคุณท่านยายที่เชื่อข้า” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว

 

 

“เจ้ายังต้องการดูอีกไหม?” นางเอ่ย มองรอบคลังเงิน

 

 

นางไม่ได้มาดูเงินเสียหน่อย คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

“พวกเรากลับไปเถอะ” นางเอ่ย “หารือกันหน่อยว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหมุนตัวเดินไปด้านนอกด้วยกันกับนาง จากนั้นก็มองรอบด้านอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างอีกหน

 

 

“เงินด้านในนี้อายุมากกว่าพวกเจ้าอีก” นางเอ่ยขึ้น “เป็นสมัยท่านตาทวดเจ้าตอนนั้น เวลานั้นข้ายังเล็กอยู่เลย”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

ท่านตาทวดของจวินเจินเจินเวลานั้นก็ประมาณสมัยพระอัยกาของนาง เวลานั้นพระบิดาก็ยังเล็ก นางยังไม่เกิด

 

 

“…ได้ยินท่านตาทวดของเจ้าบอกว่า เวลานั้นลำบากนัก สงครามโกลาหล ชาวจินเพิ่งรุกราน ความหวาดผวาที่ฮ่องเต้ถูกจับไปยังไม่จาง ขนเงินมากเช่นนี้จากซานตงมาถึงซานซี นั่นหวาดผวาจริงๆ…” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยต่อ ฉับพลันคุณหนูจวินข้างกายก็ไม่ก้าวเดินแล้ว นอกจากนี้มือที่พยุงแขนนางไว้ก็คล้ายสั่นเล็กน้อย

 

 

เป็นอะไรไป?

 

 

กลัวแล้วหรือ?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปอย่างประหลาดใจ สายตที่ปรับเข้ากับแสงมุกราตรีในห้องแล้วมองเห็นใบหน้าที่กลายเป็นซีดเผือดใต้แสงมุกชั้นหนึ่งเคลือบของสตรีข้างกาย

 

 

“เป็นอะไรไป?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางรีบเอ่ย กวาดมองรอบด้านอย่างไม่ทันรู้ตัวอีกครั้ง

 

 

คลังใต้ดินเพราะอยู่ใต้ดิน เข้าใกล้ปรโลก ชาวบ้านมักมีเรื่องเล่าว่ามีภูตผีเรื่องประหลาดออกมา เด็กนี่คงไม่โดนอะไรเข้าหรอกนะ?

 

 

คุณหนูจวินมองนาง ริมฝีปากสั่นระริก

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” นางพ่นออกมาไม่กี่คำ

 

 

รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม? นายหญิงผู้เฒ่าฟางงงงันนิดหนึ่ง อักษรสลักบนก้อนเงินเมื่อครู่

 

 

“เวลานั้นคือรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” คุณหนูจวินมองนางเสียงสั่นเอ่ยขึ้นอีก

 

 

เวลานั้น? นายหญิงผู้เฒ่าฟางงงงันวูบหนึ่งอีกครั้ง เมื่อครู่ที่นางพูด…

 

 

“อ้อใช่แล้วล่ะ ตอนท่านตาทวดของเจ้าจากซานตงมาถึงซานซีก็คือรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” นางรีบเอ่ย แล้วออกแรงตบหลังของคุณหนูจวิน “เจ้าเคยได้ยินบิดาเจ้าเล่าไหม? ชีวิตเวลานั้นไม่ง่ายอยู่บ้าง โกลาหลยิ่ง แต่ก็ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องกลัว…”

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ยกเท้าเดินไปข้างนอก ก้าวเท้าของนางเร่งรีบและโซเซอยู่บ้าง คล้ายที่นี่มีหมาป่าหิวโหยพยัคฆ์ร้ายอันใด คิดแต่จะหนีออกไป

 

 

คงไม่ใช่เจอสิ่งชั่วร้ายเข้าจริงๆ กระมัง?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้าวเร็วไวเอาไม้ปัดฝุ่นด้ามนั้นออกมาจากในลิ้นชักที่ชั้นวางข้างประตู เคาะบนชั้นวางแรงๆ ทีหนึ่ง

 

 

“อย่ามาหลอกเด็กบ้านข้านะ!” นางคิ้วตั้งตาดุเริ่มด่าขับไล่

 

 

คุณหนูจวินที่ก้าวเท้าพุ่งขึ้นบันไดอยู่ฝีเท้าชะงัก นางรู้จักสิ่งนี้ เคยเห็นกับอาจารย์ สตรีชนบทตอนที่คิดว่าเด็กๆ พบสิ่งชั่วร้ายจะด่าเสียงดัง เช่นนี้จะขู่ไล่สิ่งชั่วร้ายไปได้

 

 

คุณหนูจวินมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเท้าเอวตีไม้ปัดฝุ่นด่าเสียงดังอยู่ในคลังเงิน สีหน้าอึ้งงันวูบหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดสิ่งใดก็ไม่ได้พูด หันหน้าก้าวไวๆ เดินออกไป

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างไรก็ไม่วางใจ โยนไม้ปัดฝุ่นทิ้งตามออกไป รอนางปิดประตูคลังใต้ดินเรียบร้อย ปีนขึ้นไปกลับพบว่าข้างนอกไม่มีเงาของคุณหนูจวินแล้ว

 

 

อาจกลับห้องไปก่อนแล้ว แต่เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าฟางสอบถามถึงได้รู้ว่าคุณหนูจวินออกจากจวนไปแล้ว

 

 

“ดึกป่านนี้ไปที่ไหน?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางประหลาดใจเอ่ยถาม

 

 

พ่อบ้านส่ายศีรษะ พวกเขาไม่กล้าขวางยิ่งไม่กล้าถามคุณหนูจวิน

 

 

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วสีหน้ากังวลวิตก

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เสียงปังทีหนึ่ง ประตูถูกชนเปิด จูจั้นที่เพิ่งถอดเสื้อผ้าตกใจกระโดดลุกขึ้น แน่นอนไม่ได้ระแวงอันตรายความเป็นความตาย เพราะคนที่ฝ่าข้ามการป้องกันที่เขาวางไว้ได้อย่างชำนาญเช่นนี้ไม่มีทางมีคนอื่น

 

 

“ข้าว่าเจ้าคิดทำอะไร…” เขาจะเอาผ้าห่มคลุมบนร่างโดยสัญชาติญาณ แต่ยังสายไปก้าวหนึ่งคุณหนูจวินพุ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้แล้ว

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้ว่านั่นคือสิ่งใดแล้ว” นางเอ่ยเสียงแหบ

 

 

สีหน้าของนางซีดขาว น้ำเสียงสั่นเทา บนร่างฉาบลมเย็นต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมหายใจจากจมูกปากร้อนระอุ พุ่งโจมตีจูจั้นที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน

 

 

ท่าทางนี่ของนางไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายครั้งนั้นที่ไหวอ๋องประชวรอยู่บ้าง

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นางถึงตกใจจนเป็นเช่นนี้?

 

 

จูจั้นสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง พลิกมือกุมหัวไหล่นาง

 

 

“อะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“สิ่งที่คนพวกนั้นจะเอาไปคือเงิน” นางเอ่ย “เงินเหล่านั้นเป็นเงินหลวง”

 

 

จูจั้นอืมตอบ

 

 

“แล้วอย่างไร?” เพียงชั่วความคิดเขาก็คิดออกแล้ว เอ่ยเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินริมฝีปากสั่นมองเขา

 

 

“ท่านรู้เรื่องรัชศกไท่เหยียนปีที่สามไหม?” ในที่สุดนางก็เอ่ยหลายคำนี้ออกมา

 

 

ดวงตาจูจั้นไม่แม้กระทั่งกะพริบ

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม หลังทำสงครามเกือบสิบปี ในที่สุดชาวจินก็ถอยออกจากที่ราบภาคกลางแล้วเริ่มเจรจาสงบศึก ยินดีคืนเจ้านายและข้าราชบริพารเช่นฮ่องเต้เหรินเซี่ยวที่ถูกจับตัวไปกักขังไว้ที่แคว้นจิน” เขาเอ่ย “แต่ท้ายที่สุดชาวจินก็ฉีกข้อตกลง สังหารฮ่องเต้เหรินเซี่ยว ฉีกการเจรจาสงบศึก”

 

 

คุณหนูจวินมองเขา ก้มศีรษะ

 

 

“ทำไม?” จูจั้นเอ่ยถามเสียงเข้มอีกครั้ง

 

 

“เงินหลวงที่เก็บอยู่ในคลังของตระกูลฟาง คือของรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” คุณหนูจวินคล้ายไม่อยากมองเขา ก้มศีรษะเอ่ยเสียงแหบ

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง รอนางเอ่ยต่อ

 

 

คุณหนูจวินกลับคล้ายยากเปิดปาก ยิ่งก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม ท้องพระคลังหลวงหล่อเงินหลวงเพียงชุดเดียว” นางเอ่ยเสียงแหบ พูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

 

 

จูจั้นตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ฉุกคิดได้

 

 

“ไม่มีทาง หรือว่า…” เขาหลุดปากร้อง

 

 

คุณหนูจวินคล้ายจะฝังศีรษะไปที่หน้าอก ทว่ายังไม่พอจึงใช้สองมือปิดหน้าอีก

 

 

จูจั้นสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว นั่งอยู่บนเตียงเนิ่นนานถึงพ่นคำหนึ่งออกมาใส่อากาศ

 

 

“ระยำ”

 

 

…………………………

ในห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟางตกสู่ความเงียบ

 

 

“เจ้าใจกล้านักจริงๆ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางฉับพลันยิ้มเอ่ยขึ้น “มิน่าถึงกล้าทำเรื่องที่คิดไม่ถึงมากมายเช่นนั้น”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว

 

 

“ก็แค่ปรารถนาความยุติธรรมเท่านั้น” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า

 

 

“ความยุติธรรมที่ว่า ย่อมมีได้มีเสีย พูดขึ้นมาท่านตาทวดของเจ้าก็เป็นชาวบ้านตัวเปล่าคนหนึ่งที่เลี้ยงชีพด้วยผืนดิน ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ วิ่งไปตะวันออกวิ่งไปตะวันตกก็ไม่แน่ว่าจะได้กินอิ่ม เจอปีแล้งข้าวหยากหมากแพงลูกหลานในบ้านก็เลี้ยงไม่ไหว ท่านยายทวดของเจ้าล้มป่วยไม่มีเงินเชิญหมอไม่มียาให้กินจึงตายไปทั้งอย่างนั้น” นางเอ่ย จากนั้นลุกนั่งตัวตรงยื่นมือชี้กวาดรอบด้าน “แล้วดูวันนี้สิ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้เอาออกไปแลกก็ทำให้ครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งมีกินมีดื่มได้ทั้งปีหรือกระทั่งทั้งชีวิต”

 

 

แล้วนางก็มองไปด้านนอกอีก

 

 

“กินดื่มอาหารโอชาสวมทองสวมเงิน ที่หยางเฉิงนี่ ที่ซานซีนี่ วันนี้อำนาจชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง”

 

 

มุมปากนางอมยิ้มมองไปทางคุณหนูจวิน

 

 

“เจินเจิน นี่ยุติธรรมใช่หรือไม่? ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าแผ่นดินคนนี้มีความผิดอันใด นี่เป็นทางที่ตระกูลฟางเลือกเอง”

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าของนางค่อยๆ เคร่งขรึม

 

 

“ต่อให้เป็นทางตายก็ต้องเดินต่อไป”

 

 

สีหน้าของนางแน่วแน่ แต่คุณหนูจวินก็มองเห็นความสิ้นหวังจางๆ อยู่ในนั้นด้วย ใช่แล้วเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย ไยไม่ใช่ความสิ้นหวังแบบหนึ่ง

 

 

ใต้แผ่นฟ้าไม่มีผืนดินใดไม่ใช่ของจักรพรรดิ บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าของจักรพรรดิ เจ้าแผ่นดินผู้นี้ต้องการต้อนเจ้าให้จนมุม เจ้าจะหนีได้อย่างไรอีก

 

 

แทนที่จะดิ้นรนอย่างไร้ค่าลำบากไปถึงคนรุ่นหลัง ไม่สู้ตนเองเลือกไปตายอย่างเด็ดเดี่ยว บางทีเช่นนี้อาจเหลือทางรอดทางหนึ่งไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้

 

 

นางกล่าวโทษนายหญิงผู้เฒ่าฟางผิดไปหน่อยแล้ว คุณหนูจวินดวงตาขัดเคืองเล็กน้อย

 

 

“ท่านยาย ท่านยังไม่เข้าใจความหมายของข้า” นางเอ่ย “ข้าจะบอกว่าเจ้าแผ่นดินคนนั้นที่ท่านเชื่อไม่ใช่เจ้าแผ่นดินองค์นี้ตอนนี้ ท่านลืมแล้ว ราชโองการนี้เป็นอดีตฮ่องเต้ประทานให้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปหานาง

 

 

“ใช่แล้ว อดีตฮ่องเต้ประทานให้ แต่ล้วนเป็นเจ้าแผ่นดิน มีสิ่งใดแตกต่าง?” นางเอ่ย

 

 

“แน่นอนย่อมแตกต่าง เจ้าแผ่นดินก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ข้าไม่คิดว่าเจตนาของอดีตฮ่องเต้จะต้องการให้ข้าราชบริพารที่ทำงานให้ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องที่เจ้าแผ่นดินองค์นี้ทำวันนี้ ขัดกับเจตนาของอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นข้าถึงบอกว่าท่านเชื่อผิดแล้ว”

 

 

เช่นนี้หรือ?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งตัวตรงมองนาง พินิจอยู่บ้าง

 

 

“ทำไมเจ้าคิดเช่นนี้?” นางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร?”

 

 

เพราะฮ่องเต้พระองค์นี้ตอนนี้สังหารเชษฐา บีบอดีตฮ่องเต้ให้ตายชิงราชบัลลังก์

 

 

“เพราะเขาเป็นคนเลวคนหนึ่ง” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหลุดหัวเราะ

 

 

“เจ้าช่าง…” นางเอ่ย

 

 

เป็นเด็กน้อย คำสุดท้ายนั่นไม่ได้เอ่ยออกมา

 

 

แม่นางคนนี้ทำเรื่องมากมายเช่นนี้ จะเป็นเด็กน้อยจริงๆ ได้เสียที่ไหน นางอยู่ที่เมืองหลวงเนิ่นนาน พบกับฮ่องเต้ก็หลายครั้ง บางทีคงมีเรื่องใดทำให้นางคิดเช่นนี้กระมัง

 

 

“เจินเจิน…” นางสีหน้าอ่อนโยนลุกนั่งตัวตรงอยู่บ้าง “เรื่องนี้…”

 

 

“ท่านยาย ร้านแลกเงินนี่ของตระกูลฟางเปิดแทนอดีตฮ่องเต้ใช่หรือไม่?” คุณหนูจวินรับช่วงคำของนาง เอ่ยถามตรงๆ “พวกท่านทำการค้าแทนอดีตฮ่องเต้”

 

 

ประโยคนี้ในที่สุดก็เผยกระจ่างแล้ว

 

 

แม้ทุกคนล้วนรู้กระจ่างอยู่แก่ใจหมดแล้วก็ตาม

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบ

 

 

“นี่ไม่ใช่ท่านบอกข้า นี่เป็นสิ่งที่ข้าคาดเดา นี่เดาง่ายนัก มีราชโองการของอดีตฮ่องเต้ มีเรื่องที่พวกท่านอยู่ดีๆ มั่งคั่งเมื่อยี่สิบปีก่อน” คุณหนูจวินไม่ได้ต้องการคำตอบของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง เอ่ยต่อทันที

 

 

ใช่แล้ว เอาราชโองการออกมา ความลับของตระกูลฟางก็เผยออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมหลายปีเช่นนี้นางจึงเก็บรักษาไว้ตลอดไม่เผยสู่ข้างนอก จนกระทั่งเพื่อตามหาจวินเจินเจิน

 

 

 นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม

 

 

“ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องไม่ดีอะไร ดังนั้นที่ท่านตา ท่านลุงและเฉิงอวี่พบการทำร้ายตามต่อกันถึงแลดูแปลก” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น มองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “ท่านยาย ท่านถึงขั้นไม่คิดว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้พวกท่านตายสักนิด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุและไม่สมผล”

 

 

ใช่แล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางแววตาผิดหวัง

 

 

“ดังนั้น ท่านยาย ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางต้องดื้อดึงไม่ตาย พวกเราตายได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องตายอย่างกระจ่าง” คุณหนูจวินขยับเข้าไปใกล้กุมหัวเข่าของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง มองนางด้วยสีหน้าจริงใจ “รู้ว่าทำไมตนเองตาย รู้ว่าใครต้องการให้พวกเราตาย ไม่อาจสับสนเลอะเลือน เช่นนี้ไม่แน่ว่าจะจงรักภักดีกับเจ้าแผ่นดิน ตรงกันข้ามเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะขัดบัญชาของเจ้าแผ่นดิน บัญชาเจ้าแผ่นดินของอดีตฮ่องเต้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง สีหน้าในที่สุดก็อ่อนโยนลงบ้าง

 

 

“เจินเจิน แต่วันนี้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว” นางเอ่ย

 

 

“คนจากไปชื่อยังคง ห่านบินผ่านเสียงยังอยู่ ต่อให้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่ แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ปัจจุบันพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

เอ่ยคำพูดเด็กน้อยอีกแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มขมขื่นอีกครั้ง

 

 

“แต่ไม่ใช่เขาพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นหรือ? แล้วจะอย่างไรได้เล่า?” นางเอ่ย

 

 

“แน่นอนทำอะไรได้อยู่ หากไม่ใช่หวาดกลัวพวกท่าน เขาไยต้องระมัดระวังลับๆ ล่อๆกระทำการ?” คุณหนูจวินเอ่ย “สิ้นเปลืองความคิดจะเอาราชโองการไป แล้วยังระมัดระวังปานนี้มาให้ท่านเปิดคลังสวรรค์ เห็นชัดยิ่งว่ากลัวสิ่งใดอยู่”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเปลี่ยนไปมาชั่วครู่

 

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วควรทำอย่างไร?” นางถาม

 

 

“เรื่องอื่นตอนนี้ไม่ทราบ แต่ตอนนี้ ของที่พวกเขาต้องการให้ไม่ได้เด็ดขาด” คุณหนูจวินตอบ กุมมือของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแน่น

 

 

เช่นนี้หรือ นายหญิงผู้เฒ่าฟางครุ่น่คิด

 

 

“ต่อให้ใช้การแย่งสมบัติตระกูลมายื้อ นี่ก็ยื้อได้ไม่นานเท่าไร” นางลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น

 

 

ในที่สุดก็อ่อนลงแล้ว คุณหนูจวินอดไม่ได้โล่งอก บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“ยื้อได้เท่าไรก็เท่านั้น นอกจากนี้การยื้อนี้บางทีอาจบังคับให้พวกเขาทำเรื่องอื่นออกมา เผยช่องว่างมากกว่าเดิม” นางเอ่ย “สรุปคือวันนี้พวกเราอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง พวกเราไม่ใช่เนื้อปลาให้ผู้ใดเชือดอีกต่อไปแล้ว”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจไม่เอ่ยอีกต่อไป

 

 

“อีกประการ ท่านยาย” คุณหนูจวินกุมมือนางอีกครั้ง “ข้าไม่ถามเรื่องครั้งนั้นที่ท่านไม่อาจพูดกับผู้อื่นว่าเป็นเรื่องอันใด ข้าดูคลังสวรรค์ได้ไหม?”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มือที่ถูกนางกุมไว้พลันกำด้วย

 

 

คุณหนูจวินไม่ปล่อยมือ ขยับเข้าใกล้นายหญิงผู้เฒ่าฟางอีกครั้ง

 

 

“ข้าเพียงอยากดูซิว่าที่พวกเขารีบร้อนเช่นนี้ระวังเช่นนี้จะเอาอะไรไป” นางเอ่ย “และสิ่งนี้ก็พอดีเป็นสิ่งที่พวกเราข่มขู่พวกเขาได้ด้วย”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม

 

 

“ที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่สิ่งที่เจ้าเดาได้พวกนั้น” นางเอ่ย “ครั้งนั้นที่ตกลงกันก็คือ ตระกูลฟางมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ได้ ยามข้าตายถึงบอกเฉิงอวี่ได้”

 

 

นางพูดขึ้นคล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง ปลดพวงกุญแจลงมา จากนั้นมองไปหาคุณหนูจวิน

 

 

“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลฟาง”

 

 

……………………………………….

 

 

ราตรีมาเยือน ไฟโคมของตระกูลฟางหม่นแสงกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ดุจดังความรู้สึกของคนตระกูลฟางหลายวันนี้

 

 

พี่น้องครอบครัวเดียวกันแก่งแย่งสมบัติตระกูลอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกไม่ดียิ่งนัก

 

 

เรือนข้างฝั่งตะวันออกด้านนี้ยิ่งไม่เห็นเงาคน ไฟโคมคล้ายจะไม่มี แต่ที่นี่กลับเป็นสถานที่ซึ่งระวังเข้มงวดที่สุด ไม่มีใครเข้าใกล้ได้โดยง่าย เพราะที่นี่ก็คือที่ซึ่งทางเข้าคลังสวรรค์อยู่

 

 

คบเพลิงในเรือนฉับพลันสว่าง น้ำมันส่งเสียงเผาไหม้ดังฉี่ฉี่ ส่องเงาร่างหนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์สองคน

 

 

“ที่จริงนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ข้าเข้าคลังแห่งนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย คบไฟส่องบนสีหน้าที่ติดจะย้อนคำนึง “ครั้งแรกเป็นตอนท่านตาของเจ้าใกล้ตาย”

 

 

“ครั้งนี้พวกเราใครก็จะไม่ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม ก้มตัวหมุนกุญแจบนหินเขียวแผ่นใหญ่หลายหน ยื่นมือจับลูกบอลสลักลายที่คาบอยู่ในปากสิงโตสลักบนหินเขียวแผ่นใหญ่ออกแรงกดทีหนึ่ง

 

 

หินเขียวแผ่นใหญ่ฉับพลันจมลงไป เผยโพรงอันหนึ่ง ข้างในไม่ได้ดำมืดมิด สิ่งที่แตะสายตากลับเป็นแสงสว่างจางๆ

 

 

“มาเถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูด ตนเองจับสองฝั่งไถลลงไปช้าๆ ก่อน

 

 

ความลับของตระกูลฟาง ในที่สุดก็จะเห็นแล้ว ไม่ พูดให้ชัดคือความลับของพระอัยยิกา ความลับของฉีอ๋อง หากไม่ได้ฟื้นกลับมา นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ ตระกูลธรรมดาแห่งหนึ่งเช่นนี้จะเกี่ยวพันกับราชวงศ์

 

 

คุณหนูจวินชูคบไฟกระโดดเข้าไปอย่างว่องไว

 

 

…………………

ฟางเฉิงอวี่เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินออกไปแล้วเห็นคุณหนูจวินหมุนตัวนั่งข้างกองไฟก็จะยกเท้าวิ่งเข้าไป แต่จูจั้นดึงเขาไว้อีกหน  

 

 

“ไปไหนเล่า” เขาเอ่ยพลางผลักเขาไปด้านนอก “รีบไปปลอบท่านย่าเจ้า เจ้าเด็กไม่กตัญญูคนนี้”  

 

 

พูดจบตนก็ก้าวยาวเดินมาหาคุณหนูจวินด้านนี้  

 

 

โกรธจะตายแล้ว ฟางเฉิงอี่กัดฟัน  

 

 

“ท่านไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องของสตรีบุรุษอย่าสอดมือ” เขาเอ่ย  

 

 

จูจั้นเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน สองสามก้าวก็มายืนข้างกายคุณหนูจวินแล้ว  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ฮึดฮัดกระทืบเท้า ได้แต่หมุนตัวตามนายหญิงผู้เฒ่าฟางไป  

 

 

ไม่ทราบว่าเขาพูดอันใด ท้ายที่สุดก็ปีนขึ้นรถของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง ทิ้งผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งไว้ พาผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งจากไปอย่างฉับไว  

 

 

ด้านหลังร่างค่อยๆ เงียบสงบลง มีเพียงกองไฟส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ  

 

 

จูจั้นขยับไม้ฟืนท่อนหนึ่งเข้ามาช้าๆ สะกิดเท้าของคุณหนูจวิน  

 

 

“ทำอะไร?” คุณหนูจวินเลื่อนเท้าออก ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

“ไม่มีอะไรนี่” จูจั้นเอ่ย ปักไม้ฟืนบนพื้น “ดูว่าเจ้ากำลังทำอะไร”  

 

 

นั่งอยู่ไม่ขยับชัดๆ ยังถามว่าทำอะไร  

 

 

คุณหนูจวินพรูลมหายใจ  

 

 

“กำลังโกรธ” นางเอ่ย  

 

 

“ความคิดระหว่างคนกับคนย่อมไม่เหมือนกัน โกรธเรื่องนี้ไร้ความหมาย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้นจะมีประโยคนั้นที่ว่าไม่ชนกำแพงใต้ไม่หันกลับไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาได้อย่างไร”  

 

 

“ข้าก็แค่โกรธ” คุณหนูจวินขึ้นเสียงมองเขา “ไม่ได้หรือ?”  

 

 

“ได้” จูจั้นพยักหน้าหน้าขรึม “ได้แน่นอน ความหมายของข้าคือเจ้าทำถูกต้อง ที่นางทำผิด ไม่เชื่อฟังย่อมควรโกรธ”  

 

 

เขาก็พูดจาน่าฟังเป็นด้วย คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง จับไม้ฟืนในมือเขาโยนเข้าไปในกองไฟ  

 

 

“ข้าไม่รู้แล้วว่านางคิดอย่างไร นางคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

รู้ชัดว่าบนเขามีเสือดันจะเดินทางขึ้นเขา?  

 

 

ไม่ นั่นหมายถึงไม่กลัวความยากลำบาก แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางนี่เรียกอะไร แมงเม่าบินเข้ากองไฟ?  

 

 

“เจ้ารู้ว่าตัวเจ้าเองคิดอะไรก็พอ” จูจั้นเอ่ย “ส่วนผู้อื่นคิดอย่างไรที่จริงอย่างไรก็ได้ เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่ศึกษาว่าผู้อื่นทำไมคิดเช่นนี้ พวกเราเพียงต้องให้เขาทำตามที่พวกเราคิดเท่านั้น”  

 

 

ก็ถูก  

 

 

ที่จริงนางก็ทำเช่นนี้มาตลอดนี่ ไม่ว่าตอนเพิ่งมาถึงตระกูลฟางเกลี้ยกล่อมนายหญิงผู้เฒ่าฟางผ่านการรักษาฟางเฉิงอวี่ หรือที่เมืองหลวงสร้างชื่อเสียงผ่านการรักษาฝีดาษ ผู้อื่นคิดอย่างไรมีสิ่งใดสำคัญ นางทำเรื่องที่นางต้องทำก็พอแล้ว  

 

 

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ทำไมอยู่ดีๆ โกรธเช่นนี้เล่า คงเป็นเพราะเศร้าใจที่เขาไม่สู้กระมัง  

 

 

นางนับคนตระกูลฟางเป็นครอบครังจริงๆ จังๆ เห็นครอบครัวคิดเพียงจะมุ่งไปตายเช่นนี้เช่นนี้ จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร  

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบา  

 

 

“ท่าน ตอนรู้ว่าข้าตาย โกรธมากหรือไม่?” ฉับพลันนางก็หันหน้ามองจูจั้นแล้วเอ่ยถาม  

 

 

“แน่นอน” จูจั้นเอ่ย “เจ้าเขลาบัดซบ”  

 

 

คุณหนูจวินถลึงตามองเขา  

 

 

“ข้ายินดี” นางเอ่ย   

 

 

จูจั้นสีหน้าบึ้งวูบหนึ่ง  

 

 

“ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้” เขาเอ่ย แล้วหันหน้ามองกองไฟ “เจ้าโกรธตอนนี้ยังทัน แต่เวลานั้นข้าโกรธก็ไม่มีความหมายอย่างสิ้นเชิง”  

 

 

เวลานั้นตนตายแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินมองใบหน้าด้านข้างของเขา ยามไม่พูดไม่ยิ้ม บนหน้าของเขามักจะมีความเศร้าสร้อยปกคลุมอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกแล้ว เวลานี้ตอนนี้ยิ่งเห็นชัด  

 

 

“ยังดีตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่ก็บ่งบอกว่า ไม่ใช่ความสิ้นหวังทั้งหมดจะไร้ความหวังจริงๆ”  

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะทีหนึ่ง  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นไปเถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วก็ยิ้ม จูจั้นก็ยิ้มด้วย  

 

 

ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินไปหาม้าด้านนั้น  

 

 

“แต่พูดขึ้นมานายหญิงผู้เฒ่าคนนี้ก็วางอำนาจเอาเรื่อง” จูจั้นเอ่ย  

 

 

“ใช่แล้ว นางวางอำนาจยิ่งมาเสมอ” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ท่านก็มองออกเหมือนกันรึ?”  

 

 

“มองออกสิ เห็นข้ากลับไม่ตื่นเต้นสักนิด ไม่คำนับด้วย” จูจั้นเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืดแล้ว  

 

 

“นั่นเพราะนางไม่รู้จักท่าน ข้ากับเฉิงอวี่ก็ลืมแนะนำท่านด้วย นางคิดว่าท่านเป็นผู้ติดตามของข้ากระมัง” นางเอ่ยบอก  

 

 

“พูดเหลวไหล” จูจั้นเอ่ยพลางเลิกคิ้ว “ข้ายังต้องให้แนะนำ? ข้าสติปัญญาสูงส่งวรยุทธ์ล้ำเลิศหน้าตาไม่ธรรมดาดูปุบก็ไม่ใช่คนธรรมดา”  

 

 

คุณหนูจวินถุยทีหนึ่ง หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น  

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ มองคนสองคนพลิกกายขึ้นม้ามุ่งไปทางหยางเฉิง ผู้คุ้มกันทั้งหลายของตระกูลฟางพลันโล่งอก เมื่อครู่นายหญิงผู้เฒ่าฟางเห็นชัดว่าไม่ได้จากกับคุณหนูจวินด้วยดี ยังดีๆ คุณหนูจวินไม่ได้จากไปเสียให้จบๆ ไม่เช่นนั้นนายน้อยคงร้อนใจแล้ว พวกเขารีบติดตามไป  

 

 

บนถนนใหญ่ของหยางเฉิงครึกครื้นยิ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนถกเถียงเรื่องคุณหนูสามที่เกิดจากอนุภรรยาคนนั้นของตระกูลฟางมาฟ้องตระกูลฟาง เลืาลือกันว่าระหว่างนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ แล้วออกจากที่ว่าการอำเภอ หลังจากนั้นก็กลับมาอีก แม้ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ในรถไม่ได้เผยหน้า แต่ชาวบ้านทั้งหลายที่คุ้นเคยกับฟางเฉิงอวี่มองปราดเดียวก็จำผู้คุ้มกันของเขาได้  

 

 

“นายน้อยฟางกลับมาแล้ว”  

 

 

“นายน้อยฟางทำไมเพิ่งกลับมา?”  

 

 

“โธ่ เวลานี้กลับมาได้อย่างไร พี่สาวทั้งหลายในตระกูลจะแย่งสมบัติตระกูล เขาลำบากใจเท่าใด”  

 

 

นายน้อยฟางกลับมาทำให้ทุกคนยิ่งวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาทิศทางความเป็นไปของเรื่องราว ไม่นานนักก็มีคนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินผ่านถนนใหญ่อีก  

 

 

ตอนคนผู้นี้เพิ่งขี่ม้าเข้าทุกคนยังไม่ทันสนใจ จนกระทั่งผ่านไปถึงมีคนสังเกต  

 

 

“นั่นไม่ใช่คุณหนูจวินหรือ?”  

 

 

สตรีที่รู้สึกตัวตะโกน  

 

 

สายตาทั้งหมดล้วนมองไป เห็นผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งล้อมสตรีที่ลงจากม้า แม้แค่แผ่นหลัง แม้ไม่ได้เห็นหลายปีอยู่บ้างแล้ว แต่ยังคงจดจำได้  

 

 

บนถนนใหญ่ฉับพลันตกสู่ความอลหม่าน  

 

 

“คุณหนูจวินก็กลับมาด้วยแล้ว”  

 

 

“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นายหญิงผู้เฒ่าเชิญนางกลับมากระมัง?”  

 

 

“คุณหนูจวินกลับมาก็ดีแล้ว มีคุณหนูจวินคุม เรื่องราวต้องคลี่คลายอย่างราบรื่นแน่”  

 

 

อาลักษณ์หลินที่ยืนอยู่มุมถนนได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ของชาวบ้านทั้งหลายในใจก็อดไม่ได้สบถทีหนึ่ง  

 

 

คนโง่เหล่านี้นี่นะ คิดว่าคุณหนูจวินคนนี้เป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ แล้ว ยังให้นางมาธำรงความยุติธรรมอีก ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นนางก่อเรื่องขึ้นมา  

 

 

ช่าง…  

 

 

อาลักษณ์หลินส่ายศีรษะมองไปทางแผ่นหลังของสตรีคนนั้นที่หายไปบนถนนใหญ่ แล้วอิจฉาอยู่บ้าง  

 

 

ดังนั้นจึงพูดกันว่าชื่อเสียงนี่ผู้แข็งแกร่งเขียนขึ้นเอง นางแข็งแกร่ง นางจึงเป็นราชา ต่อให้สิ่งที่ทำล้วนเป็นงานของยมราช นางก็เป็นนักบุญเป็นเทพเซียนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยโลกช่วยบำบัดทุกข์เข็ญ  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางเงียบสงบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้  

 

 

เห็นบุตรชายที่จากไปนาน นายหญิงใหญ่ฟางไม่ได้ดีใจอย่างที่เคยคาดคิด ตรงกันข้ามสีหน้ากลับบึ้งตึง  

 

 

“เป็นแผนลับของเจ้าใช่หรือไม่?” นางตวาดเสียงเบา มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าบึ้งเดินตรงดิ่งเข้าไปปฏิเสธไม่ให้พวกนางติดตาม  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก  

 

 

“ไม่นับว่าใช่กระมัง” เขาเอ่ย “แผนถูกพวกท่านเดาออกหมดแล้ว ยังนับว่าลับอะไร”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสบถทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าทำลายชื่อเสียงพวกพี่สาวของเจ้าย่อยยับแล้ว” นางเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หน้าขรึม  

 

 

“ท่านแม่ ชื่อเสียงของพวกพี่สาวจะเสียหายเพราะเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า? อีกอย่างชื่อเสียงของพวกเราคนตระกูลฟาง ไยต้องให้คนอื่นมาตัดสิน” เขาเอ่ย เชิดคางเล็กน้อย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางพรูลมหายใจกำลังจะเอ่ยวาจากลับก็เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา นางตกใจสะดุ้งโหยงจากนั้นก็เข้าใจ  

 

 

“ที่แท้เจ้า…” นางเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินคำนับนายหญิงใหญ่ฟาง  

 

 

“ท่านป้าตระหนกแล้ว เรื่องโดยละเอียดหลังจากนี้ข้าจะกล่าวกับท่าน” นางเอ่ย “ข้าขอไปพบท่านยายก่อน”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าสับสนไม่พูดอีกมองคุณหนูจวินเข้าไปด้านใน นางมองบุตรชายที่หัวเราะคิกคักอยู่ข้างกายอีกหน  

 

 

“ข้าไม่สนแล้ว” นางเอ่ย ยื่นมือกุมหน้าผากหมุนตัวก็จากไป  

 

 

รอนายหญิงใหญ่ฟางออกไปแล้ว ฟางเฉิงอวี่กำลังจะไป ก็มีสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งมุดออกมาจากด้านข้าง  

 

 

“นายน้อยเจ้าคะ นายน้อยเจ้าคะ คุณหนูรองฝากมาบอกว่านายน้อยอย่าสนใจแต่ลูกพี่ลูกน้องจนลืมพี่สาว” นางเอ่ยอย่างขลาดๆ จากนั้นทำใจกล้าเลียนแบบน้ำเสียงของฟางอวี้ซิ่ว “อย่างอื่นไม่พูด ก่อนอื่นส่งอาหารเครื่องดื่มดีๆมาหน่อย”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าไปพบพี่สาวทั้งหลายสักหน่อย” เขาเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินไปทางที่ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วอยู่ คุณหนูจวินก็ก้าวเท้าเข้าห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง สาวใช้หญิงรับใช้ด้านนอกแม้พยายามขัดขวาง แต่ไหนเลยจะขวางอยู่เล่า  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางนอนอยู่บนเก้าอี้โยกคล้ายเหนื่อยอย่างที่สุด หลับตานอนหลับอยู่  

 

 

“ข้าทราบว่าท่านยายเหนื่อยนัก ทว่าถ้อยคำบางอย่างข้ายังคงต้องพูด” คุณหนูจวินนั่งลงด้านข้างเอ่ยขึ้น “ท่านยาย สิ่งที่ท่านพูดไม่ถูกต้อง”  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแต่ไม่ลืมตา  

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ข้าพูดถูกต้อง” นางเอ่ย “นี่เป็นเพียงความเชื่อของข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่ถูก ข้าคิดว่าข้าถูก โต้เถียงกันไม่มีความหมายอันใด เหมือนเช่นที่บัณฑิตเหล่านั้นพูด วิถีต่างไม่ร่วมก่อการก็เท่านั้น”  

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่ ความหมายของข้าไม่ได้จะบอกว่าความเชื่อของท่านยายถูกหรือผิด” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ยังไม่ลืมตา  

 

 

“ข้าจะบอกว่าเจ้าแผ่นดินคนนี้ที่ท่านเชื่อ ผิด” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ  

 

 

เจ้าแผ่นดินคนนี้ที่เชื่อ?  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางลืมตาขึ้น มองมาทางคุณหนูจวินอย่างติดจะดุดันอยู่บ้าง  

 

 

“เจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรไหม?” นางเอ่ยเสียงเข้ม  

 

 

“ข้ารู้” คุณหนูจวินมองนาง “ที่ข้าบอกว่าอันตราย ก็คือความหมายนี้”  

 

 

………………………

คุณหนูจวินยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ ออกแรงแทงหอกเล่มหนึ่งลงไปในน้ำ

 

 

เสียงซ่าทีหนึ่ง หยาดน้ำกระจายรอบด้าน

 

 

พร้อมกับที่ยกหอกขึ้น ปลาตัวหนึ่งก็ตามหอกขึ้นมาด้วย

 

 

“ข้าตกปลาไม่เป็น” นางเอ่ย

 

 

สิ้นเสียง เสียงซ่าพลันดังขึ้นอีกครั้ง จูจั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ใช้หอกยาวแทงปลาตัวหนึ่งขึ้นมาบ้าง

 

 

“ข้าก็ตกปลาไม่เป็น” เขาเอ่ย “ข้าเพียงจับปลาได้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ริมแม่น้ำปากเม้ม เหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกอาจารย์ตำหนิจนกระวนกระวาย

 

 

ตกปลาก็เพื่อปลา แสร้งทำท่าคือเสียเปล่าหรือ?

 

 

คุณหนูจวินถลึงตาใส่จูจั้นทีหนึ่ง

 

 

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นคล้ายไม่เข้าใจ

 

 

“หมายความว่าอย่างไรเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ

 

 

แกล้งโง่!

 

 

พี่ชายคนนี้เลวร้ายเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินตวัดตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“ต้องการสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น” นางเอ่ย นั่งลงหน้าฟางเฉิงอวี่ โยนปลาให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่ง “ข้าต้องการปลาดังนั้นถึงจับปลา เจ้าไม่ต้องการปลาก็ไม่ต้องจับสิ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มทันที พยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าอยากกินปลาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เจ้าว่าพวกเรากินอย่างไร?”

 

 

“ย่อมต้องย่างกินสิ” คุณหนูจวินเอ่ย พูดจบก็มองไปทางจูจั้น

 

 

จูจั้นเหล่ตามองนาง

 

 

“มองข้าทำอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

“ตกลงให้ท่านมาจัดการเรื่องกินจัดการที่อยู่จัดการหาน้ำ ท่านคิดว่าทำอะไรเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ก้มตัวคว้าปลาเดินไปข้างหนึ่งอย่างไม่ใคร่ยินดีไม่ใคร่ยินยอม พลางไล่ผู้คุ้มกันของฟางเฉิงอวี่ไปจุดไฟ แล้วฟังคุณหนูจวินเอ่ยวาจาอยู่ด้านหลังไปพลาง

 

 

“ปลาที่ท่านย่างอร่อยยิ่ง”

 

 

นั่นแน่นอน เขาทำสิ่งใดไม่อร่อย จูจั้นยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจนิดๆ เขาคนร้ายกาจเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนดีที่สุด

 

 

ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจแวผ่เบาทีหนึ่ง

 

 

อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากกินปลาแล้ว

 

 

ปลาย่างเสร็จเร็วยิ่ง แต่มีแค่สองตัวอย่างไรก็ไม่มากนัก

 

 

“อร่อยจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ชมไม่ขาดปาก “พี่ชายร้ายกาจจริงๆ”

 

 

“อร่อยก็กินมากหน่อย” คุณหนูจวินส่งอีกตัวหนึ่งให้เขา

 

 

“จิ่วหลิงเจ้ากินเถอะ” ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะผลักกลับไป

 

 

“ข้ากิน”

 

 

เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่หันหน้าไป ประหนึ่งเพิ่งค้นพบ ยินดีอย่างยิ่ง

 

 

“ท่านย่า” เขาร้องเรียกลุกขึ้นยืน

 

 

รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางจอดอยู่ไกลออกไป นางห้ามผู้คุ้มกันไว้ไม่ให้รบกวนทั้งสามคนที่นั่งย่างปลาอยู่ริมแม่น้ำ เดินเข้ามาหาด้วยตนเอง แน่นอนสามคนริมแม่น้ำก็รับรู้ว่านางมาถึงแล้วเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินลุกขึ้นเอ่ยเรียกท่านยายคำหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พูดจาเดินเข้ามานั่งลงข้างกองไฟ รับปลาย่างในมือคุณหนูจวินมาเริ่มกินจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักนั่งลงข้างกายนาง

 

 

“ท่านย่า” เขาเอ่ยเรียก ทุบไหล่ให้นางอย่างเป็นเด็กดี

 

 

“ข้าต้องการคำอธิบาย” นางเอ่ย

 

 

“ท่านย่า ท่านรู้ว่าจิ่วหลิงกลับมาแล้วได้อย่างไร?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ หัวเราะคิกคักเอ่ยถาม

 

 

“นอกจากจวินจิ่วหลิง ใครจะทำให้เด็กบ้านข้าทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้ได้?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินคำนับนาง

 

 

“ให้ท่านยายตระหนกแล้ว เป็นความผิดข้าเอง” นางเอ่ย

 

 

“ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นข้า…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบ จูจั้นที่อยู่ด้านข้างก็กอดหัวไหล่เขา

 

 

“สหายน้อย ผู้ใหญ่จะคุยกันอย่าสอดปาก มา พวกเราไปตกปลา” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ใคร่ยินดีแต่ต้านแรงของจูจั้นไม่ได้ จูจั้นจึงลากเขาไปถึงด้านข้างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ

 

 

“ไม่ต้องแย่งความชอบ เรื่องร้ายกาจเช่นนี้ย่อมมีเพียงนางที่ทำได้” จูจั้นเอ่ย

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่ไม่มีรอยยิ้มแล้วก็ไม่มีน้อยใจหวาดกลัว ในความนิ่งสงบปรากฏโทสะเป็นครั้งแรก

 

 

“นางไม่มีทางชอบท่าน” เขาพลันเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นแค่นเสียง

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย “ข้าคนเช่นนี้ คนผู้ใดไม่ชอบ”

 

 

ไม่รอฟางเฉิงอวี่เอ่ยวาจา ก็ขานอ้อทีหนึ่งโบกมืออีก

 

 

“นายน้อยฟางไม่ชอบข้า” เขาเอ่ยแล้วเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นนายน้อยฟางก็ไม่ใช่คน”

 

 

เขาเอ่ยจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น

 

 

โกรธจะตายแล้ว ฟางเฉิงอวี่ถลึงตามองเขา คิดถึงคุณชายสิบหนิงจริงๆ

 

 

ด้านนี้ตัวโตตัวเล็กทะเลาะกัน นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับคุณหนูจวินล้วนไม่สนใจ

 

 

“เดิมทีข้าไม่มั่นใจ แต่อวี้ซิ่วร้ายกาจอีกเท่าใดก็ไม่อาจดำเนินการได้ถี่ถ้วนเช่นนี้ เหมือนชั่วคืนหนึ่งคนทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของเฉิงอวี่แน่ ข้ารู้ว่าเขาอยากเก็บเงินในตระกูลทั้งหมดไว้ให้เจ้ายิ่งนักมาตลอด แต่เห็นจิ่นซิ่วก็มาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าเรื่องนี้เป็นเจตนาของเจ้า”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ใช่ เรื่องนี้เป็นเจตนาของข้า ข้าให้เฉิงอวี่เดินทางช้าลง ให้พี่ใหญ่พี่รองพี่สามมาแย่งสมบัติตระกูล” นางเอ่ย

 

 

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าทำเพื่อเงิน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางแล้วเอ่ยขึ้น “แม้เจ้าต้องการเงินก็ตาม”

 

 

ในดวงตาของคุณหนูจวินรอยยิ้มล้นปรี่ออกมา

 

 

“ถูกต้อง ท่านยาย” นางเอ่ย เสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

 

 

“เพราะข้าจะเปิดคลังสวรรค์รึ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร?”

 

 

“ที่จริงข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงไร้หนทางเอ่ยกล่อมท่านยายตั้งแต่แวบแรกให้ไม่ทำเช่นนี้ อย่างไรอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาขอกับท่านแล้ว ทว่าข้ารู้ทำเช่นนี้ไม่มีผลดีกับตระกูลฟาง ดังนั้นข้าถึงไม่อาจไม่ถ่วงไว้จะได้มีเวลาเร่งเดินทางกลับมา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“เจ้าเร่งเดินทางกลับมาจะพูดสิ่งใดกับข้า?” นางเอ่ย “ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร คนทำการค้าให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ สิ่งที่ควรคืนย่อมต้องคืน”

 

 

“หากอีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์เล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางทราบความหมายที่นางพูด หลังจับผู้ดูแลใหญ่ซ่งกับนายอำเอหลี่ออกมาได้ คุณหนูจวินแสดงออกหลายครั้งหลายคราว่าคนที่หวังร้ายกับตระกูลฟางยังมีอีก อันตรายยังไม่ถูกขจัดสิ้น

 

 

“แรกสุดเจ้าบอกว่าเพราะเห็นขันทีคนหนึ่ง” นางเอ่ย “ขันทีคนหนึ่งปรากฏตัวที่หยางเฉิง ทว่าเมื่อข้าเอาราชโองการออกมา คิดว่าเจ้าก็ควรรู้เช่นกัน ขันทีปรากฏตัวรอบตระกูลฟางของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ข้าไม่แปลกใจเรื่องนี้ ความหมายของข้าคือ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่อันตราย” นางเอ่ย “ท่านยาย ไม่อาจไม่ป้องกัน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง ฉับพลันก็ยิ้ม

 

 

“เจินเจิน” นางเอ่ย “มีคำประโยคหนึ่งเจ้ามักลืมอยู่เสมอ”

 

 

คุณหนูจวินงุนงง

 

 

“คำอะไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

 นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“เจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย” นางเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าพลันเปลี่ยน

 

 

“ท่าน” นางเอ่ย อ้าปากแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไร

 

 

คล้ายอยากหัวเราะทั้งคล้ายโกรธเกรี้ยว

 

 

นางคิดว่านายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เชื่อว่ามีอันตราย คิดอยู่ตลอดว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาเอ่ยกล่อม คิดไม่ถึงนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่จริงไม่ใช่ไม่เชื่อ

 

 

“ท่านนี่นับว่าหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ยขึ้น “พูดเช่นนี้ถ้าเช่นนั้นเรื่องมากมายข้าก็ทำเสียเปล่าแล้วงั้นสิ? ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง? ข้าไม่ควรช่วยเฉิงอวี่ไว้?”

 

 

นางยื่นมือชี้ฟางเฉิงอวี่ที่อยู่ไม่ไกล

 

 

ฟางเฉิงอวี่ที่สีหน้าไม่พอใจสัมผัสได้ทันที ค้นพบว่าบรรยากาศด้านนี้ไม่ชอบมาพากล เขาจึงจะเข้ามาโดยสัญชาติญาณ กลับถูกจูจั้นดึงไว้อีกหน

 

 

“เจ้านั่งดีๆ” เขาเอ่ย “สตรีพูดกัน บุรุษไม่ต้องสอดปาก”

 

 

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าหงุดหงิด

 

 

“พวกนางทะเลาะกันแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

“กลัวอะไร ใครทะเลาะสู้นางได้” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ถุย ในใจฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น จะโกรธตายแล้ว

 

 

คุณหนูจวินโกรธมากจริงๆ

 

 

“ข้าไม่ควรค้นหาผู้ดูแลใหญ่ซ่งจับนายอำเภอหลี่ ควรให้พวกเขาอยู่ต่อไป ทำร้ายพวกท่านต่อไป” นางเอ่ย “แก้แค้นให้ท่านตากับท่านลุงทำอะไรเล่า? ตายก็สมควรแล้ว ทั้งยังเป็นเกียรติยิ่งไหม”

 

 

“ท่านยายเวลานั้นท่านรู้สึกว่าข้าก่อเรื่องใช่หรือไม่? ข้าทำวุ่นวายสินะ?”

 

 

คุณหนูจวินเคยด่าคน เคยเสียดสีคน สีหน้าเคยเฉยชา เคยเย็นเยือก เคยซุกซน ทว่าไม่เคยโกรธกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้มาก่อน

 

 

เห็นได้ว่าโกรธจัดจริงๆ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว

 

 

“อย่าเอ่ยคำพูดเด็กน้อยเช่นนี้” นางเอ่ย “เจ้ารู้พวกเราไม่ได้คิดเช่นนี้”

 

 

นางลุกขึ้นยืน โบกมือ

 

 

“เอาล่ะ นี่ก็คือเจตนาของข้า เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เจ้ากลับมาแล้ว อยากพักอยู่ในบ้านช่วงหนึ่งก็พักอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่อยากอยู่ก็กลับไปเถอะ”

 

 

เพราะโบกมือจึงเห็นว่าในมือยังถือปลาย่างที่กินไปคำหนึ่งไว้ นางยัดให้คุณหนูจวิน

 

 

“อร่อยดีทีเดียว” นางเอ่ย พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวจากไป

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของนาง โยนปลาย่างในมือพึ่บเข้าไปในกองไฟ เสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น ควันกับสะเก็ดไฟกระเด็นวูบหนึ่ง กลิ่นหอมไหม้ฟุ้งอบอวล

 

 

………………………

ที่จริงเรื่องราวไม่ถูกต้องอยู่บ้าง อาลักษณ์หลินมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ในโถง รู้สึกว่าไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก  

 

 

“พวกเราเคยพบกัน” ฟางจิ่นซิ่วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ปีนั้นวันที่สามเดือนสามที่หอจิ้นอวิ๋น ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์”  

 

 

วันที่สามเดือนสาม อาลักษณ์หลินด่ามารดาคำหนึ่งในใจ สำหรับเขาแล้วนั่นไม่ใช่ความทรงจำที่มีความสุขอันใด  

 

 

ก็ตรงนี้แหละที่ไม่ถูก  

 

 

พูดไปแล้วเขากับคุณหนูจวินไม่ได้เป็นสหายสนิทอันใดกระมัง ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นศัตรูกันนะ  

 

 

บุตรสาวของเขาถูกนางทำร้ายจนชื่อเสียงย่อยยับ จนถึงวันนี้ยังกักขังไว้ที่ศาลบรรพชนของตระกูล วัยแรกแย้มก็เสียเวลาไปเช่นนี้ แม้นายหญิงหลินจะไหว้วานคนหาคู่หมายในสถานที่ไกลหน่อยให้บุตรสาวแล้ว แต่ชีวิตนั่นก็ไม่เหมือนกับชีวิตที่คุณหนูหลินเดิมทีควรครอบครองอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน  

 

 

เขาไม่แก้แค้นให้บุตรสาวก็ช่างเถิด กลับยังต้องฟังคำของนาง ช่วยนางอีก ทั้งนางยังพูดเสียเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ เหมือนตนติดค้างน้ำใจนาง  

 

 

อาศัยอะไร!  

 

 

“นางบอกว่าใต้เท้าหลินท่านเป็นคนดี” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ย  

 

 

คนดี?  

 

 

อาลักษณ์หลินมองฟางจิ่นซิ่ว ดวงหน้านี้แปลกตานัก เขาก็นึกไม่ออกว่าคุณหนูจวินคนนั้นหน้าตาอย่างไร   

 

 

แต่แววตาเย็นยะเยือกของสตรีคนนี้ตรงหน้าทำให้เขาฉุกคิดได้  

 

 

ครั้งนั้นที่หอจิ้นอวิ๋น คุณหนูจวินคนนั้นก็เคยใช้สายตาเช่นนี้มองเขา  

 

 

เขาคิดถึงความลับที่สตรีคนนั้นข่มขู่ตน ความลับนี่เพียงพอทำให้เขาไปตายได้อย่างแท้จริง ทั้งยังลากทั้งตระกูลไปด้วย  

 

 

บุตรสาวของท่านไม่ดีถูกลงโทษไปแล้ว ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นข้าเลือกไม่สังหารท่าน  

 

 

พูดเช่นนี้ เหมือนตนติดค้างน้ำใจนางจริงๆ แล้ว  

 

 

อาลักษณ์หลินยื่นมือกุมหน้าผาก  

 

 

“คุณหนูฟาง ท่านจะฟ้องอะไรตระกูลฟาง? ทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูหรือ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

หากเป็นเรื่องนี้ก็ไม่นับว่ายุ่งยากนัก เขาแค่บากหน้าไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟางพูดดีๆ สักหน่อย  

 

 

“ไม่ใช่ ข้าต้องการแบ่งสมบัติตระกูล” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย  

 

 

มือที่กุมหน้าผากของอาลักษณ์หลินตบหน้าผากทันที  

 

 

สารเลว!  

 

 

เรื่องคุณหนูสองคนของตระกูลฟางแย่งสมบัติเขาย่อมรู้เช่นกัน ยังชมดูสนุกสนานอยู่เลย ตอนนายหญิงผู้เฒ่าฟางลงมือรุนแรงจับคุณหนูสองคนกลับไปกลางถนนใหญ่ให้เต๋อเซิ่งชางเปิดร้านอีกหน เขายังเสียดายอยู่นิดๆเลย  

 

 

ก่อเรื่องเพิ่มอีกสักหลายวันดีเท่าไร ทุกคนจะได้ดูละครไหม  

 

 

คิดไม่ถึงละครนี่ถึงกับเกี่ยวโยงมาถึงเขาที่นี่แล้ว  

 

 

เขาเพียงอยากชมละครไม่อยากเล่นละครตกลงไหม  

 

 

“คุณหนูฟาง เจ้าเด็กสาวตัวคนเดียวจะแย่งอย่างไรเล่า?” เขาสูดลมหายใจลึกคำหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

“ข้าไม่รู้กฎหมาย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้นตามตรง “ดังนั้นถึงจะเชิญอาลักษณ์หลินธำรงความยุติธรรมแล้ว”  

 

 

อาลักษณ์หลินในใจด่ามารดาคำหนึ่ง ถลึงตาจนกลม เท่ากับให้เขาคิดวิธีสิ? พวกเจ้าเพียงออกคนก็พอรึ?  

 

 

พวกเจ้า อาลักษณ์หลินเอ่ยในใจ เห็นชัดยิ่งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฟางจิ่นซิ่วหัวร้อนจะมาทำ  

 

 

เรื่องนี้เห็นชัดยิ่งว่าเป็นความคิดของตัวก่อเภทภัยคนนั้น  

 

 

ตัวก่อเภทภัยคนนี้เหี้ยมจริงเชียว ถึงกับจะแย่งสมบัติตระกูลกับตระกูลท่านยาย น่ากลัวจริงๆ  

 

 

อาลักษณ์หลินสีหน้าเปลี่ยนไปมา ตัวก่อเภทภัยที่น่ากลัวเช่นนี้กระทั่งครอบครัวของตนยังงับปากกัดคำหนึ่งอย่างไม่ลังเลสักนิดได้ นับประสาอะไรกับเขาคนแปลกหน้าคนนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้ข่มขู่เขาได้ ตอนนี้นางชื่อเสียงเลื่องลือจะบีบตนเองให้ตายยิ่งง่ายดายประหนึ่งบี้มดตัวหนึ่งตาย   

 

 

ตระกูลฟางหาเรื่องไม่ง่าย ทว่าตัวก่อเภทภัยคนนี้ยิ่งหาเรื่องไม่ง่าย สหายตายข้าไม่ตายก็พอแล้วกัน  

 

 

“ใครมานี่ซิ” เขาตะเบ็งเสียงเอ่ย  

 

 

นอกประตูขุนนางตำแหน่งน้อยขานรับเข้ามา  

 

 

“ไปดูซิว่าใต้เท้านายอำเภอว่างหรือไม่” อาลักษณ์หลินเอ่ย  

 

 

ขุนนางผู้น้อยขานรับจากไป ไม่นานนักก็บอกว่าใต้เท้านายอำเภอเพิ่งตื่นกำลังเล่นกับแมวอยู่  

 

 

ในฐานะอาลักษณ์ที่อยู่อำเภอหยางเฉิงมาหลายสมัย พบกับนายอำเภอที่รู้จักไมตรี เรื่องมากมมายล้วนฟังคำของเขา  

 

 

ส่วนคนที่ไม่รู้จักไมตรี อาลักษณ์หลินจะคิดวิธีให้เขาย้ายสถานที่ไป นี่สำหรับเขาผู้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับขุนนางในอำเภอทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยากอะไร  

 

 

อาลักษณ์หลินลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ยืนอยู่ตรงหน้าฟางจิ่นซิ่วอีกหน  

 

 

“แม้ข้ามีวิธีให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางถูกฟ้อง ทว่าคุณหนูสามฟาง ชื่อเสียงนี่ของท่านคงไม่น่าฟัง” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูสองคนนั้นของตระกูลฟางแย่งสมบัติตระกูลยังพูดไปได้ อย่างไรก็เป็นบุตรที่นายหญิงใหญ่ฟางให้กำเนิดเอง แต่ฟางจิ่นซิ่วคนนี้ไม่ต้องพูดถึงเป็นบุตรอนุ อนุภรรยามารดาผู้ให้กำเนิดนางยังลอบทำร้ายทายาทตระกูลฟางอีกแน่ะ  

 

 

ชาติกำเนิดบุตรอนุเช่นนี้ไม่หนีไปไกลโพ้นขอบคุณบุญคุณตระกูลฟางที่ไม่สังหาร ยังวิ่งออกมาแย่งสมบัติตระกูล ช่าง…เดรัจฉานก็สู้ไม่ได้กระมัง?  

 

 

“ข้าต้องการชื่อเสียงไปทำอันใด” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเรียบๆ “กินได้หรือดื่มได้หรือ?”  

 

 

ก็ถูก  

 

 

อาลักษณ์หลินหัวเราะแล้ว ในใจนับถือคุณหนูจวินคนนั้นอีกครั้ง  

 

 

ได้ยินว่าฟางจิ่นซิ่วคนนี้หลังออกจากตระกูลฟางก็ถูกคุณหนูจวินรับไว้ที่เมืองหลวง เก็บเด็กสาวคนนี้ไว้ก็เอาออกมาจัดการตระกูลฟางได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำลายชื่อเสียงของตัวนางเองอีก  

 

 

“คุณหนูสามฟางรอสักครู่ ตอนนี้ข้าจะไปหารือกับใต้เท้านายอำเภอ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

ขณะที่ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็พบพ่อค้าคนนั้นอีกครั้งเช่นกัน  

 

 

“อับอายจริงๆ ในบ้านเกิดเรื่องนิดหน่อย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางแสดงท่าทางขออภัย  

 

 

บุรุษวัยกลางคนยิ้ม  

 

 

“ตระกูลใหญ่ กิจการใหญ่ เด็กเติบใหญ่แล้ว นี่ล้วนยากเลี่ยง” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถือสา  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ไม่เอ่ยวาจาอื่นอีกลุกขึ้นทันที  

 

 

“คุยเล่นไม่ต้องพูดแล้ว เสียเวลาพวกท่านมาหลายวันเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราขนใส่รถเถอะ” นางเอ่ย  

 

 

บุรุษวัยกลางคนก็ไม่เอ่ยถ้อยคำเกรงใจอมยิ้มลุกขึ้น  

 

 

คนรับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลฟางล้วนถูกให้ถอยหลบไปแล้ว มุมที่คลังสวรรค์อยู่รถสี่คันจอดไว้เรียบร้อย ผู้ติดตามที่บุรุษวัยกลางคนพามายืนทิ้งแขนแนบลำตัวอยู่  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองพื้นที่ถอดแผ่นหินหลอกออกไป สีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า การค้าไม่ทำแล้ว แต่มิตรภาพนี่ยังคงอยู่” บุรุษวัยกลางคนอมยิ้มเอ่ย  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเก็บรอยยิ้มเหม่อลอยไป พยักหน้าหลายหน  

 

 

“เชิญเถิด ข้าพาพวกท่านเข้าคลัง” นางเอ่ยพลางเอากุญแจดอกหนึ่งออกมา  

 

 

บุรุษวัยกลางคนอมยิ้มมองนาง สีหน้าติดจะผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่ตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกำลังจะเปิดแผ่นหิน ก็มีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอก  

 

 

นี่เป็นผู้ติดตามที่บุรุษวัยกลางพามา  

 

 

“นายท่าน ไม่ดีแล้วขอรับ ด้านนอกคนมากมาย” เขารีบร้อนเอ่ย “คนของทางการก็มาด้วยแล้ว”  

 

 

ทางการ?  

 

 

บุรุษวัยกลางคนกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนหน้าถอดสี  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”  

 

 

อาลักษณ์หลินที่ถูกปล่อยเข้ามาจากนอกประตูกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

 

“คุณหนูสามของบ้านท่านฟ้องขอให้คืนสมบัติตระกูลที่ควรได้ ใต้เท้านายอำเภอจึงให้ข้าน้อยมาถามสักหน่อย”  

 

 

สมบัติตระกูลอีกแล้ว!  

 

 

คุณหนูสาม?  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าถมึงทึง  

 

 

“อาลักษณ์หลินล้อเล่นแล้ว บ้านข้ามีคุณหนูแค่สองคน ไม่มีคุณหนูสาม” นางเอ่ยอย่างเย็นชา “เชิญใต้เท้านายอำเภอไล่คนไปก็พอ”  

 

 

พูดจบพลันสะบัดแขนเสื้อจะส่งแขก อาลักษณ์หลินกลับไม่ก้าวเท้า เจ้าพนักงานข้างกายก็ยังก้าวเข้าไประวังผู้คุ้มกันของตระกูลฟาง  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง อย่างไรก็เชิญไปสักครั้งเถิด มีสิ่งใดพวกเราพูดกันในศาลให้เรียบร้อย จะได้สะดวกให้คำอธิบายแก่ประชาชน” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจัด  

 

 

“เรื่องตระกูลข้าต้องให้คำอธิบายอันใดกับผู้อื่น” นางตวาด  

 

 

อาลักษณ์หลินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

 

“คุณหนูสามฟางบอกว่านางถูกขับไล่ออกจากตระกูล มารดานางก็ถูกใส่ร้าย” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

พูดอย่างอื่นก็ช่างเถิด แต่คำนี้แตะเส้นขีดจำกัดของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแล้ว นางก้าวเข้าไปก็ถ่มน้ำลาย  

 

 

“เหลวไหลไร้สาระ” นางเอ่ยด่า  

 

 

อาลักษณ์หลินสีหน้านิ่งสงบเช็ดน้ำลายบนเสื้อผ้าไป  

 

 

“ดังนั้น อย่างไรก็เชิญนายหญิงผู้เฒ่าฟางไปกับพวกเราสักเที่ยวเถิด พูดเหลวไหลไร้สาระหรือไม่ ประโยคสองประโยคพูดให้กระจ่างก็เรียบร้อยแล้วไหมขอรับ” เขาเอ่ย “ข้าอยู่ข้างนอกรอท่าน”  

 

 

พูดจบก็เดินออกไป ยืนอยู่นอกประตูไม่ไปจริงๆ นี่ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ยิ่งสงสัยใคร่รู้ ถกเถียงกันอื้ออึง  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจนตัวสั่น ส่วนบุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ความโกรธก็ค่อยๆ เกิดขึ้นเช่นกัน มองลอดช่องประตูเห็นชาวบ้านที่ออเต็มดูเรื่องสนุกข้างนอก แล้วเห็นเจ้าพนักงานทั้งหลายของทางการสอดส่องในคฤหาสน์ทำหน้าทำตาเหมือนโจร  

 

 

แล้วยังเป็นบุตรสาวอนุภรรยาที่ถูกขับไล่ ทั้งแย่งสมบัติตระกูล ทั้งบอกว่ามารดาของบุตรอนุถูกใส่ร้ายอีก ไม่มีหนึ่งเดือนเรื่องนี้คงเรียบร้อยไม่ได้  

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง” แววตาของเขาทะมึนลงช้าๆ “นี่จะจบไม่จบ เจ้าไม่อยากคืนเงินทุนของพวกเราใช่หรือไม่?”  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสูดลมหายใจลึก  

 

 

“เรื่องนี้ข้าจะจัดการทันที” นางเอ่ย “ขอให้ท่านเชื่อข้า”  

 

 

บุรุษวัยกลางคนมองนางอย่างเย็นชา  

 

 

“หวังว่าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังอีก” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางคำนับให้เขา ยกเท้าเดินไปข้างนอก  

 

 

“ใครมานี่ซิ เตรียมรถไปที่ว่าการอำเภอ” นางเอ่ยสั่ง  

 

 

รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางทะลุผ่านฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ ตามคณะของอาลักษณ์หลินมาถึงที่ว่าการอำเภอ ฟางจิ่นซิ่วหมุนตัวมามองนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดินเข้าประตู  

 

 

ไม่ได้พบกันเนิ่นนานแล้ว  

 

 

แต่ไม่มีอารมณ์อบอุ่น ถึงขั้นไม่มีความโกรธแค้น  

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

“นางอยู่ไหน?” นางเพียงเอ่ยถามเสียงเย็น  

 

 

…………………

เสียงอสนีบาตครืนหนึ่งผ่านไป ฝนเท้าเมล็ดถั่วก็ร่วงลงมา เสียงซ่าๆ ดังระรัวบนแผ่นหินเขียวของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ

 

 

องครักษ์เสื้อแพรสวมผ้ากันฝนสวมหมวกกสานเดินผ่านม่านฝนเข้ามาในห้องแห่งหนึ่ง

 

 

“คุณหนูจวินเข้าเขตซานซีแล้วขอรับ” เขาคำนับเอ่ยเสียงเบา

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงโบกมือให้เขา องครักษ์เสื้อแพรค้อมกายถอยออกไป

 

 

“คุณหนูจวินจะช่วยนายน้อยฟางรักษาสมบัติตระกูลรึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ลู่อวิ๋นฉีที่พลิกเอกสารอยู่ไม่แม้กระทั่งเงยหน้า

 

 

“นี่นับเป็นเรื่องด้วยรึ? ยังต้องให้นางลงมือรึ?” เขาเอ่ย

 

 

ในใจเขาคุณหนูจวินคนนี้ยิ่งโตยิ่งร้ายกาจสินะ? หัวหน้ากองพันเจียงคิดในใจแล้วะกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

 

 

“ใต้เท้า จินสือปากลับซานซีแล้ว จะเรียกเขาให้ฉวยโอกาส…” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ไม่ต้อง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

เพราะมีบุตรชายเฉิงกั๋วกงไปด้วยหรือ? ทว่าเขาแค่คนเดียว มีประโยชน์อันใด

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงมองลู่อวิ๋นฉี

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้า

 

 

“นางจะกลับมา” เขาเอ่ย จากนั้นหยุดนิดหนึ่ง “ข้ารอนางกลับมา”

 

 

ท่าทีที่ใต้เท้ามีต่อคุณหนูจวินคล้ายไม่เหมือนก่อนหน้านี้ หัวหน้ากองพันเจียงคิดในใจ ก่อนหน้านี้เขาจะต้องเอาคุณหนูจวินมาให้ได้ คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ตอนนี้เขาเพียงแอบสอดส่องอยู่ด้านข้าง ไม่เข้าใกล้และยิ่งไม่บีบบังคับ

 

 

แต่นี่ก็ไม่มีอะไร รอจัดการความยุ่งยากอย่างเฉิงกั๋วกงได้ คุณหนูจวินคนนี้ช้าเร็วก็เป็นของในกระเป๋า

 

 

“แดนเหนือด้านนั้นเริ่มลงมือแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืมทีหนึ่ง สีหน้านิ่งเฉย

 

 

เมืองหลวงฝนใหญ่มหาศาล ส่วนซานซีฟ้าแจ้งตะวันลอยสูง

 

 

เด็กหนุ่มสวมหมวกสานกำเบ็ดตกปลานั่งอยู่ริมธารมาเกือบครึ่งวันแล้ว สีหน้าจดจ่อเช่นเดิม

 

 

“นายน้อย”

 

 

เสียงผู้คุ้มกันดังขึ้นหลังร่าง

 

 

“อย่าเสียงดัง” ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกนิดหนึ่งให้ด้านหลัง “ปลาจะตกใจหนีไปแล้ว”

 

 

ผู้คุ้มกันหลังร่างไม่เอ่ยวาจาอีก เสียงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ มีคนยืนอยู่หลังร่างเขา เอนร่างมาข้างหน้าเล็กน้อยมองไป

 

 

“เอ ในลำธารนี่มีปลาหรือ?” เสียงสตรีอ่อนโยนเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่ร้องอ๊ะทีหนึ่งกระโดดลุกขึ้น

 

 

“จิ่วหลิง! เจ้าก็มาด้วย!” เขาตะโกนอย่ายินดี มองสตรีตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

 

 

นางเลิกผ้าคลุมหน้าออก ชุดเดินทางมอมแมม ในมือถึงขั้นยังกำแส้ม้าเอาไว้

 

 

“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมต้องมา” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้ารัว

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “ในใจข้าที่จริงกลัวนักล่ะ”

 

 

พูดพลางยื่นมือจะไปกอดคุณหนูจวิน ทว่ามีคนยื่นมือมาจากด้านข้าง คว้าเบ็ดตกปลาในมือของเขาไว้ แล้วก็ขวางเขาเข้าใกล้คุณหนูจวินด้วย

 

 

“นี่ไม่มีตะขอหนิ ตกปลาอะไร” จูจั้นเอ่ย “เจ้าอายุเท่านี้แสร้งเป็นเจียงไท่กง[1]ไม่ได้หรอกนะ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ทำหน้าถูกรังแก โยนเบ็ดตกปลาทิ้ง

 

 

“นี่คือเสพความรู้สึก” เขาเอ่ย “ตกปลาก็ไม่แน่ว่าจะต้องตกได้ปลานี่”

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ทำเป็นทุกข์โศกเพื่อเขียนบทกวีบทใหม่โดยแท้ ก็มีแต่พวกเจ้าเด็กน้อยหล่านี้ถึงชอบทำท่าเช่นนี้” เขาเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขาอย่างอับอายโกรธเกรี้ยว แล้วมองไปทางจิ่วหลิงอีกหน

 

 

“มีอะไรน่าขัน” คุณหนูจวินถลึงตาใส่จูจั้น “พูดเหมือนท่านไม่เคยเป็นเด็ก”

 

 

“ข้าเคยเป็นเด็ก แต่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขา แล้วมองคุณหนูจวินอีก ในใจถอนหายใจ เวลาสั้นๆ ระหว่างพวกเขาก็ฟื้นกลับมาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

 

 

ประโยคนี้ฟังแล้วประหลาดยิ่ง แต่พูดไปแล้วก็ธรรมดา สักช่วงหนึ่งที่เมืองหลวงไม่ทราบเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระหว่างทั้งสองคนทำตัวเกร็งแปลกๆ แต่ตอนนี้ดูท่าความเกร็งแปลกๆ นี่หายไปแล้ว พวกเขาสบายใจเช่นนั้นเหมือก่อนหน้านี้อีกครั้งแล้ว

 

 

“พี่ชายท่านทำไมมาด้วยเล่า?” เขาเอ่ยท่าทางติดจะตื่นเต้น “ตั้งใจมาช่วยพวกเราหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่” จูจั้นเอ่ย “ข้ามาดูเรื่องสนุก”

 

 

พูดพลางมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง

 

 

“นางต้องการคนช่วยเหลือที่ไหน”

 

 

คำพูดนี้เจ็บอยู่บ้าง แต่จูจั้นก็ยังคงเอ่ยออกมาแล้ว

 

 

คุณหนูจวินเหล่มองจูจั้นทีหนึ่ง ไม่สนใจเขา

 

 

ก็บอกแล้วว่าพี่ชายคนนี้หนังหน้าหนาจริงๆ ! ในใจฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจอีกหน มองซ้ายขวาอีกรอบ

 

 

“จิ่นซิ่วเล่า? จิ่วหลิงเจ้าไม่ใช่บอกว่าจะให้นางกลับมาหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“นางล่วงหน้ากลับหยางเฉิงไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “เวลาก็พอประมาณแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าหงึกๆ สีหน้าเริงร่าอีกหน

 

 

“จิ่วหลิง พี่รองร้ายกาจนัก” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มๆ คิดถึงคุณหนูรองตระกูลฟางที่ปฏิสัมพันธ์กันไม่มากคนนี้

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางจิ่นซิ่วล้วนเคยเสียท่าในมือจวินเจินเจิน มีเพียงฟางอวี้ซิ่วคนนี้วางตัวอยู่ข้างนอก ยามเผชิญหน้ากับตน ฟางจิ่นซิ่วจะท้าทายหาเรื่องหลายครั้งถึงไร้ผลก็ยังปากแข็ง มีแค่ฟางอวี้ซิ่วคนนี้จงใจสังเกตเงียบๆ ครั้งหนึ่งพบว่าไม่ติดกับก็แสดงความเป็นมิตรทันที

 

 

นางรู้อยู่แล้วว่าคุณหนูรองฟางคนนี้ไม่หมือนภาพลักษณ์ข้างนอกที่เป็นนกกระทาซื่อๆ เช่นนั้น

 

 

“พี่สาวของเฉิงอวี่คนไหนไม่ร้ายกาจ” นางยิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

หลงตัวเองจริงๆ จูจั้นที่อยู่ข้างหลังคิด แต่ก็มีดีให้หลงอยู่จริงๆ เขาหันหน้าหนีหัวเราะหึหึทีหนึ่ง

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ฟางจิ่นซิ่วรั้งม้าหยุดหน้าประตูเมือง เงยหน้ามองไปทางประตูเมือง

 

 

ไม่ได้กลับมานานเท่าใดแล้ว? หนึ่งปีสองปี? ผ่านไปเร็วจริงๆ ส่วนประตูเมืองก็ยังคงเดิม ชาวบ้านไปมาต่างเดินทาง ไม่มีใครมองนางเพิ่มสักที

 

 

อดีตสวยสดงดงามก็ดี อดีตถูกทอดทิ้งก็ดี คนหยางเฉิงคงล้วนลืมคุณหนูสามตระกูลฟางหมดแล้วกระมัง

 

 

แต่อีกเดี๋ยวทุกคนก็จะต้องจำนางได้อีกหนแล้ว

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่ง นางอายุสิบกว่าปีแต่ผ่านชีวิตรุ่งเรืองตกต่ำมามากมายจริงๆ

 

 

เสียงปั้บทีหนึ่ง นางยกแส้ควบม้าผ่านประตูเมืองไป

 

 

ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ชาวบ้านสงบสุข งานเมืองทำเสร็จ อาลักษณ์หลินก็นั่งสบายอยู่ในห้อง รินสุรามีความสุขกับตนเองอย่างหาได้ยาก

 

 

อิ่มสุราอิ่มข้าวก็ยากเลี่ยงคิดถึงอย่างอื่นบางอย่างขึ้นมาได้ง่าย

 

 

คิดถึงมือของแม่หม้ายสาวร้านขายสุราที่ทั้งขาวทั้งนุ่ม ไม่รู้ว่าบนร่างจะเหมือนกันด้วยหรือไม่

 

 

นอกจากนี้ยังยักคิ้วหลิ่วตาให้ตนเอง ยังจงใจทำผ้าเช็ดหน้าร่วงไว้อีก

 

 

น่าเสียดายก็แต่นับแต่เรื่องแอบเลี้ยงเมียเก็บแดงเมื่อหลายปีก่อน นายหญิงหลินก็โวยวายอยู่นาน แล้วยังถูกพวกพี่ภรรยาน้องภรรยาของบ้านภรรยาข่มขู่หลอกเอาเงินทองไปอีก เขาจึงอยู่อย่างสงบมาตลอด

 

 

คิดถึงเรื่องนั้นก็ไม่อาจไม่คิดถึงจวินเจินเจินตัวก่อเภทภัยคนนั้น

 

 

คิดถึงชื่อนี้ เขาก็มองไปรอบด้านโดยไม่รู้ตัว แล้วก็อับอายหงุดหงิดกับความหวาดกลัวเช่นนี้ของตนเอง

 

 

จวินเจินเจินคนนี้ตั้งแต่ไปจากหยางเฉิงก็ประหนึ่งเมฆาตามมังกรวาโยตามพยัคฆ์ยุ่งจนลมพัดน้ำกระเพื่อมเรื่องหนึ่งน่าตกใจกว่าอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไร นางก็ไปก่อเภทภัยที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ก่อเภทภัยที่หยางเฉิงเล้ว

 

 

บางทีอาจเป็นเวลาเลี้ยงเมียเก็บอีกหนแล้ว…

 

 

ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงเคาะก๊อกๆดังขึ้นข้างนอก อาลักษณ์หลินตกใจตัวสั่นวูบหนึ่ง

 

 

“ใครน่ะ? ทำอะไรเล่า?” เขาตวาดอย่างโมโห

 

 

ขุนนางผู้น้อยสีหน้าหวาดหวั่นวิ่งเข้ามา

 

 

“ใต้เท้า ไม่ดีแล้วขอรับ มีคนจะฟ้องร้อง” เขาเอ่ย

 

 

อาลักษณ์หลินเรียกหัวใจกลับมา พรูลมหายใจ

 

 

“ฟ้องร้องทำไมไม่ดี ฟ้องร้องเป็นเรื่องดีสิ” เขาเอ่ย

 

 

ฟ้องร้องก็หมายความว่าจะมีเงิน หยางเฉิงสงบสุข ไม่มีคนมาร้องเรียนทางการหลายเดือนนักแล้ว

 

 

ขุนนางผู้น้อยสีหน้ายังคงวิตก

 

 

“แต่ คนที่ฟ้องร้องฟ้องตระกูลฟางของเต๋อเซิ่งชางนะขอรับ” เขาเอ่ย

 

 

ตระกูลฟาง ก็เท่ากับคนแซ่จวิน จวินเจินเจิน

 

 

อาลักษณ์หลินหวิดกระโดดลุกขึ้น

 

 

อย่าพูดถึงคนลับหลังจริงๆ

 

 

เขาน่ะไม่กล้ายั่วโมโหตัวก่อเภทภัยคนนี้หรอก

 

 

“ฟ้องอะไรเล่ารีบไล่ไป” เขาเอ่ย

 

 

“คุณหนูคนนั้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ใต้เท้าหลินขอรับ” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา

 

 

อาลักษณ์หลินสีหน้าสงสัยรับมาเปิดออก

 

 

บนจดหมายสั้นกระจับนัก เพียงอักษรหนึ่งบรรทัด

 

 

ใต้เท้าหลิน เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งรบกวนท่าน น้องสาวข้าจะฟ้องร้อง ท่านดูแลหน่อย ขอบคุณไม่จบสิ้น จวินจิ่วหลิง

 

 

บัดซบ ตัวก่อเภทภัยคนนี้กลับมาอีกแล้ว อาลักษณ์หลินสีหน้าคล้ำเขียว

 

 

……………………………………….

 

 

 

 

[1]  เจียงไท่กง (姜太公)  นักปกครองที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของจีน ขุนนางที่มีความดีความชอบสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์โจว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวไปพบขุนนางผู้มากความสามารถคนนี้ขณะที่เขาตกปลาอยู่ริมแม่น้ำ

ของที่เขาต้องการยังไม่ทันขนออกมาเลย

 

 

นี่หากขนย้ายจะถูกคนว่างงานเหล่านี้ของหยางเฉิงรื้อค้นหรือไม่? ของข้างในนั่น…

 

 

แม้เขามีคนเพียงพอ ทว่าหาก

 

 

เรื่องอื่นก็ช่างเถิด เรื่องนี้สิ่งไม่คาดฝันสักนิดก็ไม่อาจเกิดได้จริงๆ

 

 

เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตราย

 

 

ชายร่ำรวยสีหน้าเขียวคล้ำโมโหอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนกลายเป็นพิกล เรื่องนี้บังเอิญเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

 

 

ลูกสาวตระกูลฟางก่อเรื่องครานี้ คงไม่ใช่เล่นงานตนกระมัง?

 

 

สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

“อาจเพราะพวกเรา แล้วก็อาจไม่ใช่เพราะพวกเรา” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “คลังสวรรค์ของตระกูลฟางนี่ไม่เคยเปิดมาก่อน เป็นความลับยิ่งมาตลอด ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าของตระกูลฟางล้วนซ่อนไว้ข้างใน นายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่ดีๆ จะเปิดคลัง คงกระตุ้นคุณหนูทั้งหลายของตระกูลฟางเข้าแล้ว”

 

 

“ถูกต้อง ฝ่าบาทมอบเกียรติยศเช่นนี้ให้ตระกูลฟาง ทั้งนายน้อยตระกูลฟางก็ร่างกายแข็งแรง พวกนางเองก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว รักษากิจการมานานปีปานนี้ จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร” ผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้คุณหนูสองคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ถูกพ่อค้าอบรมเลี้ยงดูมา ทั้งยังยุ่งอยู่กับกองเงินนานปีปานนี้ ผลประโยชน์มากเช่นนี้บอกจะทิ้งก็ทิ้งได้อย่างไรเล่า”

 

 

ชายร่ำรวยมองพวกเขาทีหนึ่ง

 

 

“พวกเจ้าอธิบายมีเหตุผลยิ่ง” เขาเอ่ย “ทว่าเรื่องยิ่งมีเหตุผลดูแล้วยิ่งเหมือนเล่นละคร”

 

 

สิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาด้านหลังจึงเอี้ยวศีรษะมองไปโดยไม่รู้ตัว ในดวงตาอดไม่ได้หรี่ลงเล็กน้อย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาแล้ว

 

 

เสียงตะโกนส่งต่อจากด้านหลังมาถึงในฝูงชนที่เอะอะ สายตาล้วนมองไปข้างหลัง เห็นบ่าวชายสิบกว่าคนรุมล้อมรถม้าคันหนึ่ง

 

 

รถม้าที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางมักใช้นั่นเอง

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาแล้ว”

 

 

“ให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูด”

 

 

ฝูงชนทั้งหลายพูดกันวุ่นวาย

 

 

บนหน้าฟางอวิ๋นซิ่วปรากฎความวิตกอยู่บ้าง

 

 

“ไม่ต้องกลัว มีอะไรพูดกันดีๆ นะ” สตรีทั้งหลายใกล้ๆ ข้างหน้าสัมผัสได้จึงรีบเอ่ยปลอบ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางส่ายศีรษะ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ มองฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องที่ถูกฝูงชนล้อมอยู่

 

 

“พูดดีๆ นายหญิงผู้เฒ่าฟางแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนที่จะพูดจาดีๆ” นางเอ่ย “พวกเจ้าสองคน ก่อเรื่องเกินไปแล้วจริงๆ”

 

 

สิ้นเสียง รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนั้นก็หยุด แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกลับไม่ได้ลงจากรถ กลับเป็นหญิงรับใช้ที่นั่งอยู่รถคันหน้าคนหนึ่งโบกมือให้บรรดาบ่าวชาย

 

 

ผู้คุ้มกันทั้งหลายลงรถม้าอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกันนั้นก็ปลดไม้กระบองลงมาจากบนหลังม้า สีหน้าเคร่งขรึมก้าวเร็วไวไปหาฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่ว

 

 

ฝูงชนทั้งหลายอึ้ง

 

 

นี่คือจะ…

 

 

ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงเด็กสาวสองคนกรีดร้องทีหนึ่ง ต่างถูกผู้คุ้มกันสองคนจับไว้ ไม่พูดสักคำก็หิ้วจากไป

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายฉับพลันฮือฮา

 

 

“มีอะไรพูดจากันดีๆ สิ”

 

 

“ทำกับเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

“ดีเลวก็เป็นคุณหนูของตระกูลตนนะ เหมือนจับนักโทษได้อย่างไร”

 

 

ผู้คนแห่เข้ามาขวาง

 

 

แต่ไม่เหมือนกับหญิงรับใช้ไม่กี่คนนั้นก่อนหน้านี้ ผู้คุ้มกันสิบกว่าคนเล็งไม้กระบองในมือใส่ชาวบ้านเหล่านั้นอย่างพร้อมเพรียง

 

 

“ถอยไป!” พวกเขาตวาดเอ่ย

 

 

ถึงขั้นจะลงมือกับพวกเขาหรือ? ชาวบ้านทั้งหลายฮือฮอา

 

 

“ทำอะไร!”

 

 

“ยังจะตีพวกเราด้วยรึ!”

 

 

“ตีสิ ตีสิ”

 

 

สตรีไม่น้อยโถมเข้ามาทันที

 

 

สถานการณ์ตกสู่ความโกลาหล เสียงตะโกน เสียงร้อง เสียงด่าทอของผู้คุ้มกัน

 

 

“ตี!”

 

 

ท่ามกลางความวุ่นวายนี้เสียงตวาดที่ชราแต่เต็มไปด้วยกำลังพลันดังขึ้น

 

 

ผู้คนอึ้งมองไป เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดินออกมาจากในรถม้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มีหญิงรับใช้สองคนเคียงข้าง ในมือกุมไม้เท้า สีหน้าเย็นเยียบ

 

 

“ตี!” นางตวาดอีกหน

 

 

พร้อมกับที่เสียงนี้สั่ง ผู้คุ้มกันทั้งหลายของตระกูลฟางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ยกไม้กระบองในมือขึ้นตีเข้าใส่ผู้คนที่ล้อมอยู่จริงๆ ฉับพลันเสียงกรีดร้องเสียงร้องเจ็บปวดดังระงม มีคนล้มลง มีคนถอยหลัง เจ้าผลักข้าข้าผลักเจ้า ชุลมุนยุ่งเหยิง

 

 

นางหยวนแอบอยู่หลังร่างนายหญิงใหญ่ฟาง กลัวจนทนดูไม่ได้

 

 

“ตีแล้วอย่างไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ ไม่หวาดกลัวความชุลมุนด้านนี้สักนิด เอ่ยเสียงกังวาน “กล้าแย่งสมบัติตระกูลข้า ยุ่งเรื่องตระกูลข้า กระทั่งมารดาข้า ข้ายังตี พวกเจ้านับเป็นอะไร!”

 

 

ท่ามกลางห่าฝนพายุกระบองครั้งนี้ ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่อเนจอนาถกระจายออก ได้ยินคำพูดนี้ของนางสีหน้าล้วนซีดขาว

 

 

“ถึงอย่างนั้นท่านก็ตีคนไม่ได้นะ” มีคนที่ถูกตีตะโกนขึ้นมา

 

 

“นั่นเพราะพวกเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปตรงที่ส่งเสียง ตวาดขึ้นทันที “เรื่องตระกูลฟางของพวกเราผลัดถึงพวกเจ้าชี้มือชี้ไม้รึ บอกพวกเจ้าประโยคหนึ่งว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด พวกเจ้าก็คิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญจริงๆ แล้วรึ? พวกเจ้ากันเด็กตระกูลข้าไว้คิดจะทำอะไร? ลักพาตัวหรือเรียกข้าไถ่? ตีพวกเจ้า ส่งพวกเจ้าไปพบทางการข้าก็มีเหตุผล!”

 

 

ใช่แล้ว…

 

 

ผู้อื่นเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่จริงๆ ก็…

 

 

ที่นั่นตกสู่ความเงียบ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหันหน้ามองไปทางฟางอวิ๋นซิ่วฟางอวี้ซิ่วพี่น้องที่ถูกผู้คุ้มกันหิ้วไว้อีกครั้ง

 

 

“สมบัติตระกูล” นางเอ่ยเสียงเย็นชา “สมบัติตระกูลของตระกูลฟาง ขอแค่ข้าอยู่วันหนึ่ง ก็เป็นของข้า ข้าบอกให้พวกเจ้าก็ให้พวกเจ้า ข้าบอกว่าไม่ให้พวกเจ้า สักอีแปะเดียวพวกเจ้าก็เอาไปไม่ได้! พูดถึงสมบัติตระกูลกับข้า พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?”

 

 

นางมองสองพี่น้องตระกูลฟาง

 

 

“พวกเจ้าเหนื่อยยากเพื่อตระกูลฟางมีความชอบ นี่ไม่ใช่ความชอบของพวกเจ้า นี่เป็นของพ่อเจ้า เป็นของแม่เจ้า เป็นพวกเขาเลี้ยงดูพวกเจ้ามา หากไม่เช่นนั้นจะมีเรื่องอันใดของพวกเจ้า”

 

 

นางยื่นมือชี้นายหญิงใหญ่ฟาง แล้วชี้ตนเอง เชิดคางขึ้น

 

 

“ส่วนที่พ่อเจ้าเลี้ยงพวกเจ้าได้ ก็เพราะมีข้า ดังนั้นนี่ล้วนเป็นของข้า ข้าให้พวกเจ้าได้ พวกเจ้าเรียกร้องเอาจากข้าไม่ได้”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วดิ้นรนนิดหนึ่งมองนาง

 

 

“ท่านย่า นี่ไม่ยุติธรรม” นางเอ่ย

 

 

“ยุติธรรม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเย็นชา “เจ้าเด็กกว่าข้า เจ้าเป็นหลานสาวของข้า นี่ตัวมันเองก็ไม่ยุติธรรม”

 

 

พูดจบพลันโบกมือ

 

 

“พาไป”

 

 

นางมองไปยังผู้คนที่ล้อมอยู่ “ข้าจะดูซิใครกล้าขวาง”

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายรอบด้านบ้างปิดหน้าบ้างถอยหลัง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก

 

 

ฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องถูกผุ้คุ้มกันหิ้วไป หญิงรับใช้ด้านนั้นก็รีบเข้ามาผลักขึ้นรถม้า

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินไปหลายก้าวยืนนิ่งอยู่หน้าเต๋อเซิ่งชาง

 

 

“ไม่มีตราประทับของพวกนางไม่ออกเงิน ไม่เดินบัญชี น่าขำจริงๆ” นางเอ่ย “เต๋อเซิ่งชางของข้านี่ อาศัยคน ไม่ใช้สิ่งของไร้ชีวิต ข้าก็อยากดูซิ ข้าบอกว่าจะเดินบัญชี จะเปิดคลัง ใครกล้าไม่ฟัง”

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เการีบก้าวเข้าไปคำนับ

 

 

“ไม่กล้า ไม่กล้า” เขาเอ่ยย้ำๆ แล้วหมุนตัวโบกมือ “เปิดประตูๆ เปิดร้านๆ”

 

 

พนักงานและผู้ดูแลทั้งหลายรีบวุ่นทันที บานประตูของเต๋อเซิ่งชางถูกถอดออก พนักงานทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนยืนอยู่ด้านในเรียบร้อย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกวาดสายตามองรอบด้านอย่างเย็นชา

 

 

“พวกเด็กน้อยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ น่าขำจริงๆ” นางเอ่ย หยุดไม้เท้านิดหนึ่ง หมุนร่างก้าวยาวเดินไปทางรถม้า

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนรีบก้มศีรษะติดตาม

 

 

ชาวบ้านที่ล้อมมุงอยู่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางขึ้นรถม้าไปท่ามกลางการรุมล้อมของหญิงรับใช้กับผู้คุ้มกันประหนึ่งสายลมหอบหนึ่ง ฉับพลันมาแล้วก็ฉับพลันไป

 

 

สายลมพัดผ่านกวาดราบความวุ่นวาย รถม้าที่แตกกระจายถูกเก็บกวาด ประตูร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางที่ปิดสนิทมาหลายวันก็เปิดออกด้วย ทุกสิ่งเหมือนสิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น

 

 

“บอกแล้วไง กระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่งจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไร” ชายร่ำรวยที่มุมถนนอมยิ้มลูบเครา “นี่ก็ปลอมเกินไปแล้ว”

 

 

พวกผู้ติดตามก็โล่งอกเหมือนกัน

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนายท่าน วันพรุ่งนี้พวกเราก็…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ชายร่ำรวยมองชาวบ้านที่ยังวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบายังไม่กระจายตัวไปบนถนนแล้วส่ายศีรษะ

 

 

“รออีกสักหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อน” เขาเอ่ยแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่งอีกหน “ก็ไม่อาจรอนานเกินไปได้ ไม่ให้ค่ำคืนยาวฝันมาก แค่สามสี่วันแล้วกัน”

 

 

ผู้ติดตามขานรับ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

โอ้ยเสียงร้องแผ่วเบาคำหนึ่ง ฟางอวี้ซิ่นอนคว่ำบนเตียงจากนั้นก็ร้องเจ็บอีกหน

 

 

“เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามอย่างกังวล ก้าวเข้าไปพยุง

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือตบไม้กระดานเตียง

 

 

“เตียงนี้แข็งเกินไปแล้ว” นางเอ่ย “ทำข้ากระอักแล้ว”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะอยู่บ้าง มองรอบด้านทีหนึ่ง พวกนางไม่ได้ถูกมัดกลับไปห้องของตนเอง แต่ถูกโยนไว้ในห้องเก็บฟืนอย่างไม่เกรงใจสักนิด

 

 

ใช้แผ่นไม้ต่อเป็นเตียงชั่วคราวฉพาะหน้า รอบด้านไม้ฟืนวางกองไว้ หน้าต่างบานน้อย ในห้องกลิ่นราชื้นกระจายอยู่

 

 

“ตอนนี้ทำอย่างไรเล่า?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางอวี้ซิ่วอยู่บนเตียงบิดคอนิดหนึ่ง

 

 

“ตอนนี้หมดหนทางแล้ว” นางเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วร้องอ้อทีหนึ่ง ยังไม่ทันตอบสนองก็เห็นฟางอวี้ซิ่วลุกขึ้นมาบนเตียงอีกหน

 

 

“ท่านย่า ท่านย่า” นางเดินไปถึงข้างประตู เกาะอยู่บนประตูตะโกนผ่านรอยแยกไปข้างนอก “ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วเกือบเป็นลม

 

 

อะไรกัน!

 

 

ฟางอวี้ซิ่วตบประตูตะโกนต่อ

 

 

“ต่อให้ไม่ปล่อยข้าออกไป ก็เอาน้ำลิ้นจี่กาหนึ่งมาให้ข้าเถอะ

 

 

“ส้มทองก็ได้”

 

 

“เอาขนมบัวมาอีกจาน”

 

 

……………………

เรื่องคุณหนูสองคนของตระกูลฟางแย่งสมบัติตระกูลเล่าลือกันฮือฮาแล้ว แต่นั่นล้วนเป็นการฟังกันมาเล่าต่อ อย่างไรก็รู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่าง

 

 

วันนี้เวลานี้เห็นเจ้าของเรื่องแล้ว นอกจากนี้อ้าปากก็เป็นคำพูดน่าตระหนกเช่นนี้

 

 

แย่งสมบัติตระกูล ย่าสังหารหลานสาว นี่สะเทือนอารมณ์เกินไปแล้วจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนบนรถตะลึงไปแล้ว

 

 

ตั้งแต่ยกรถขึ้นจนร่วงลงมาแตก จนไปถึงฟางอวี้ซิ่วร่วงกลิ้งไปตรงหน้าผู้คนตะโกนหนึ่งประโยคนี้ แทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในพริบตาเดียว ลื่นไหลราบรื่นเกิดขึ้นในเฮือกเดียว

 

 

หญิงรับใช้ที่เฝ้านางสี่คนนั้นเพิ่งลุกขึ้นมา มึนศีรษะหันไปจะจับฟางอวี้ซิ่ว

 

 

แต่ฟางอวี้ซิ่วพุ่งเข้าไปในฝูงชนแล้ว

 

 

คล้ายค่อนข้างอ่อนแอเหลือทน คล้ายผวาหวาดหวั่น ล้มลุกคลุกคลานกับพื้น ข้างหน้าบังเอิญเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง

 

 

“ท่านป้าท่านอาทั้งหลายช่วยข้าด้วย” นางยื่นมือร้องเรียกน้ำตาคลอ “พวกท่านเห็นข้าโตมา”

 

 

คุณหนูตระกูลฟางไม่เหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยตระกูลอื่น เพราะต้องจัดการกิจการ ตั้งแต่เล็กพวกนางจึงโผล่หน้ามาข้างนอก คนหยางเฉิงคุ้นหน้าคุ้นตาหน้าพวกนาง ก็เหมือนที่ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย พวกนางเห็นนางโตขึ้นมา

 

 

นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงคุณหนูทั้งสองของตระกูลฟางปฏิบัติกับผู้อื่นเป็นมิตรมาตลอด ประคองคนแก่ ช่วยคนยากจน เอาแค่สาวน้อยบอบบางคนหนึ่งล้มลงตรงหน้าวิงวอนเช่นนี้ผู้ใดก็ทนไม่ได้

 

 

สตรีทั้งหลายถูกเสียงร้องเรียกครั้งนี้ทำใจสั่นไหว มีหลายคนย่อตัวพยุงนางขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่กลัวนะ ไม่กลัว” พวกนางลูบพลางปลอบพลาง รวมตัวเข้ามา

 

 

หญิงรับใช้หลายคนนั้นที่พุ่งเข้ามาถูกขวางไว้แล้ว

 

 

“มีอะไรพูดจาดีๆ สิ”

 

 

“อย่าทำเด็กน้อยตกใจกลัว”

 

 

สตรีทั้งหลายต่างคนต่างห้ามปราม

 

 

หญิงรับใช้สี่คนแม้มีกำลัง แต่ต้านทานคนมากไม่ไหว จึงไม่อาจเข้าใกล้ฟางอวี้ซิ่วได้

 

 

หญิงรับใช้สี่คนอับอายโมโหอยู่บ้าง

 

 

พวกนางสี่คนเฝ้าแม่นางน้อยคนเดียวก็ไม่ได้ ขายหน้าจริงๆ

 

 

“พวกเจ้าหลีกไป!” หญิงรับใช้คนหนึ่งอดกลั้นโทสะไม่อยู่ตะคอก “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”

 

 

แรงล้วนส่งผลต่อกัน หญิงรับใช้คนนี้โมโหร้ายขึ้นมา สตรีทั้งหลายที่ล้อมอยู่ฉับพลันก็ไม่มีสีหน้าเป็นมิตรแบ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านหลังเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของฟางอวี้ซิ่วลอยมา

 

 

“ข้าไม่กลับไป ข้าไม่กลับไป”

 

 

เห็นคุณหนูตระกูลฟางที่ยามปกติฉลาดเฉลียวทำงานเก่งกลัวจนเป็นอย่างไร สตรีทั้งหลายก็โมโหขึ้นมาบ้าง

 

 

“เจ้าตะคอกอะไรฮะ”

 

 

“กลางถนนกลางวันแสกๆ พวกเราก็แค่ยืนอยู่ตรงนี้ เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”

 

 

“ยุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างไร? ผ่านทางพบความอยุติธรรมไม่เคยได้ยินรึ?”

 

 

โต้เถียงทะเลาะ สตรีทั้งหลายล้วนเป็นยอดฝีมือ ใครก็ไม่กลัวใคร ชั่วขณะหนึ่งบนถนนใหญ่ดันๆ ผลักๆ ทะเลาะกันขึ้นมา ในนั้นยังสอดแทรกเสียงตะโกนเสียงลากยาวของสตรีด้วย

 

 

“โธ่ ตีกันแล้ว!”

 

 

สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายขึ้นทุกที คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมากขึ้นทุกที นายหญิงใหญ่ฟางถอนหายใจ เลิกม่านรถขึ้นเดินลงมา

 

 

นางหยวนก็รีบตามมาหยุง แล้วถลึงตาใส่พนักงานทั้งหลายที่ยืนอึ้งโง่เง่าอยู่หน้าร้านแลกเงินอย่างชิงชัง

 

 

“พวกเจ้ายังไม่รีบช่วยอีก?” นางตวาดเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายคล้ายตอนนี้เพิ่งได้สติจะก้าวเข้าไป

 

 

เด็กตระกูลตนร้องว่าจะถูกคนในตระกูลสังหาร หลังจากนั้นยังจะแย่งคนจากในมือฝูงชนที่ไม่เกี่ยวข้องอีก ถ้าเช่นนั้นหน้าตาของตระกูลฟางคงเสียหน้าหมดสิ้นแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยกมือห้าม ตนเองเดินเข้าไป

 

 

หญิงรับใช้สี่คนหน้าแดงหูแดงหลีกออกไป

 

 

ฝูงชนทั้งหลายยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตากับนายหญิงใหญ่ฟาง อย่างไรก็เป็นมารดาของฟางอวี้ซิ่ว เสียงทะเลาะค่อยๆ เงียบลง

 

 

“อวี้ซิ่ว นี่เจ้าทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเพียงมองฟางอวี้ซิ่วที่ถูกบังอยู่หลังผู้คน “เจ้ายังก่อเรื่องไม่พอหรือ?”

 

 

แม้วาจาเรียบง่าย แต่น้ำเสียงนั่นนิ่งเรียบทั้งยังติดจะเหนื่อยล้า ประหนึ่งบิดามารดาทั้งหมดที่ปวดหัวจนปัญญากับความซุกซนของบุตร

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นมากเท่าไรเป็นแม่ อดคิดถึงบุตรที่บ้านตนไม่ได้ ใครไม่เคยมีเวลาที่ถูกก่อเรื่องจนโกรธ ร้องจะตีร้องจะฆ่าก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที

 

 

“นายหญิงใหญ่ มีอะไรพูดกันดีๆเถอะ”

 

 

“เด็กน่ะ อย่างไรก็ต้องค่อยๆ สอนนะเจ้าคะ”

 

 

สตรีหลายคนพูดเซ็งแซ่

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางอวี้ซิ่วที่ฝูงชนค่อยๆ หลีกทางให้เผยตัวออกมา

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้ารู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรไหม?” นางเอ่ย ยากปิดบังความปวดใจปวดหัว “เจ้าทำเช่นนี้ เคยคิดดีๆ ไหม?”

 

 

สตรีทั้งหลายอดไม่ได้ล้วนมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“คุณหนูรอง มีคำใดพูดกันดีๆ นะเจ้าคะ”

 

 

“ไม่ตีท่านจริงๆหรอก”

 

 

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางหยวนพลันส่งสายตาให้บรรดาหญิงรับใช้ข้างกาย ทุกคนเข้าใจเข้าใกล้ไปทางฟางอวี้ซิ่วช้าๆ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วนั่งตัวตรง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตาเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งในดวงตาไม่มีน้ำตาแม้แต่น้อยแต่นิด

 

 

“พูดจาดีๆ ย่อมดี ทว่าท่านย่ากับท่านแม่ไม่พูดจาดีๆ กับพวกเรา กลับลงมือจะกักขังบังคับพวกเรา” นางเอ่ย “ทุกคนเกิดเรื่องล้วนพึ่งพิงครอบครัวและตระกูลได้ แต่พวกเราล่ะ นอกจากพึ่งพิงคนนอก ยังพึ่งพิงใครได้อีก?”

 

 

นางพูดพลางถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง มองชาวบ้านรอบด้าน

 

 

“หากไม่ใช่ท่านป้าท่านอาทั้งหลายเมื่อครู่ ข้าก็ถูกจับมัดแบกเข้าไปแล้ว พวกท่านที่ถือไม้กระบองกับเชือกมาจะพูดจาดีๆ กับข้าหรือ? อยู่ในบ้านหลายวันเช่นนี้ หากพูดจากันดีๆ จะมาถึงตอนนี้เช่นนี้ได้หรือ?”

 

 

นางพูดพลางลุกขึ้นยืน จัดเสื้อกระโปรงเบาๆ คุกเข่าคำนับรอบด้าน

 

 

“ขอบคุณท่านลุงท่านอาท่านป้าท่านน้าทั้งหลายที่ปกป้อง โบราณว่าไว้ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด ทุกคนล้วนรู้ตระกูลฟางของข้านับแต่ท่านย่าของข้าก็ไม่มีญาติ วันนี้ข้าฟางอวี้ซิ่วทำให้ท่านย่าโมโหแล้ว ญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับย่อมไม่มีญาติห่างไกลคนในตระกูลแล้วเช่นกัน ที่พึ่งได้ก็มีเพียงพวกท่านผู้อาวุโสร่วมบ้านเกิดเหล่านี้แล้ว”

 

 

โอ้ นางหยวนเลิกคิ้ว ไม่เสียทีเป็นคุณหนูรอง ทั้งฉลาดทั้งเยือกเย็น สภาพเช่นนี้ไม่มีท่าทางของเด็กน้อยก่อเรื่องวุ่นวายสักนิด พูดจากระจ่างชัดมีเหตุผล นอกจากนี้ยังหิ้วเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมออกมาเตือนทุกคนด้วย

 

 

ที่นั่นเสียงถกเถียงหึ่งๆ ดังขั้น

 

 

ใช่แล้ว ตอนนั้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมทุกคนล้วนรู้สิ้น กระทั่งมารดาของตนยังตีได้ หลานสาวคนเดียวนับเป็นอะไรอีก

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางในหัวใจมีหลากหลายอารมณ์ยิ่ง มองสายตาสารพัดมือไม้สารพัดที่ชี้รอบด้านก็รู้ว่าวันนี้อยากปิดปากของฟางอวี้ซิ่วบังคับพานางเข้าไปเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

 

บุตรสาววาจาเฉียบแหลมเช่นนี้นางไม่รู้ว่าควรภาคภูมิใจหรือโมโหจริงๆ

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับเจ้า?” นางเอ่ยเสียงขรึม “คนในตระกูลเชื่อถือเจ้า เจ้ากลับใช้ความเชื่อถือนี้ปิดเต๋อเซิ่งชาง นี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวทำหรือ? เจ้ารู้ว่านี่ทำให้กิจการในตระกูลลำบากเพิ่มมากเท่าใดไหม?”

 

 

“ข้าย่อมรู้” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ท่านแม่ ข้าฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่หกขวบเริ่มเรียนบัญชี แปดขวบทำตั๋วเงิน เอาม้านั่งซ้อนม้านั่งปีนขึ้นโต๊ะกั้น สองมือนี้ของข้า…”

 

 

นางยื่นมือผายออก

 

 

“ตั้งแต่วันแรกที่ข้าถือสมุดบัญชี สิบปีไม่เคยหยุด ไม่พลิกสมุดบัญชีก็บันทึกสมุดบัญชี”

 

 

“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเล่น ของที่เด็กผู้หญิงทั้งหลายเล่นข้าไม่เคยรู้จักแล้วก็ไม่กล้าเล่น”

 

 

“เพราะในตระกูลไม่มีใคร ท่านย่าท่านแม่จะแก่เฒ่า น้องชายจะป่วยตาย ข้ากับพี่สาวต้องแบกกิจการของตระกูล”

 

 

“พวกท่านเห็นข้าสวมทองสวมเงินกินดื่มอาหารโอชา แต่ที่ข้าอิจฉาที่สุดคือสาวน้อยขายเต้าฮวยตรงหัวถนนตะวันตก ขายเต้าฮวยได้ครึ่งวัน หลังจากนั้นก็หิ้วตะกร้าไปตกปลาเล่นริมแม่น้ำอย่างสนุกสนาน”

 

 

“ทว่าข้าทำไม่ได้ ในตระกูลล้วนอาศัยพวกเราพี่น้องนี่ จะแอบขี้เกียจได้อย่างไร เล่นได้อย่างไร”

 

 

ผู้คนรอบด้านฟังนิ่งงัน ชีวิตที่แห้งแล้งเช่นนี้ไม่ง่ายจริงๆ เด็กคนอื่นหกขวบแปดขวบยังวิ่งอ้อนแม่อยู่เลย พวกนางก็ต้องเริ่มเรียนรู้กิจการร้านแลกเงินแล้ว ทำทีหนึ่งก็สิบปี สิบปีเชียวนะ ลำบากเอาการ

 

 

มีสตรีอดไม่ได้เช็ดน้ำตา

 

 

กระทั่งนายหญิงใหญ่ฟางก็ดวงตาขัดเคืองนิดๆ ด้วย

 

 

นางย่อมรู้ว่าบุตรสาวทั้งหลายลำบากยิ่งนัก สิ่งที่ฟางอวี้ซิ่วพูดก็เป็นความจริงล้วนๆ ชีวิตของพี่สาวน้องสาวตระกูลฟางลำบากแห้งแล้งเช่นนี้จริงๆ

 

 

ชั่วขณะหนึ่งแยกไม่ชัดว่านี่บุตรสาวสั่งสมความแค้นมามากปานนี้จริงๆ หรือกำลังเล่นละคร

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองมาหานาง

 

 

“ท่านแม่ ข้าที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ข้าหลับตาอยู่ ข้าก็รู้ว่ากิจการร้านแลกเงินเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “กิจการนี่เสียหายข้าก็ปวดใจเช่นกัน นั่นก็เป็นกิจการที่ข้าบริหารเช่นกัน แต่ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะพวกท่านบีบพวกเราให้ไร้หนทางแล้ว”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง

 

 

“ท่านแม่ท่านให้ข้าลองคิดดู ข้าก็ขอเชิญให้ท่านกับท่านย่าลองคิดดู หัวใจพวกท่านคิดอะไรอยู่? ตอนนั้นน้องชายป่วยหนักชีวิตเหลือไม่นานแล้ว พวกท่านให้พวกเราพี่น้องค้ำจุนกิจการตระกูล ปฏิเสธไม่ให้คนนอกขอแต่งงาน ให้พวกเราอยู่ที่ตระกูลรับลูกเขย”

 

 

นางมองไปหาชาวบ้านทั้งหลายรอบด้าน

 

 

“ทุกคนล้วนรู้ รับลูกเขยจะรับคนแบบไหนได้? คนดีๆ บุรุษดีๆ ใครจะยอมไปเป็นลูกเขยในบ้านของผู้อื่น?”

 

 

ผู้คนพากันพยักหน้าสีหน้าเห็นใจ

 

 

“พวกเราพี่น้องเสียเวลาเช่นนี้จนอายุป่านนี้ พวกเราก็ยอมด้วยเห็นกิจการของตระกูลเป็นสำคัญ แต่น้องชายหายดีแล้ว ตระกูลฟางมีทายาทชายแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้พวกเราแล้ว ท่านย่าท่านแม่พวกท่านก็มองพวกเราเป็นบุตรสาวขึ้นมาแล้ว จะให้พวกเราออกจากบ้านให้น้อยทำงานให้น้อย ยังจะหาบ้านสามีให้พวกเราแต่งออกไป”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าเดินเข้าใกล้นายหญิงใหญ่ฟางอีกหน ยื่นมือกดหน้าอก

 

 

“พวกเราทำอะไรเป็นเล่า สิ่งที่เด็กสาวผู้อื่นทำเป็นพวกเราล้วนทำไม่เป็น พวกเราทำเป็นแต่อ่านบัญชีทำบัญชีทำกิจการ ท่านให้พวกเราไปเป็นสะใภ้เย็บผ้าทำอาหารให้ผู้อื่น พวกเราก็เหมือนตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ใครต้องการสะใภ้เช่นนี้อย่างพวกเรา”

 

 

“ท่านแม่ นี่ไม่ใช่ปลดโม่สังหารลาข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือ?”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราไร้ประโยชน์แล้วใช่หรือไม่? เก็บไว้ในบ้านก็มีแต่ยึดครองกิจการตระกูลของน้องชาย? พวกเท่านจึงจะขับไล่พวกเราออกไปโยนทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง!”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตระกูลฟางมาสิบปีแล้วนะ”

 

 

นางพูดจบก็คล้ายพังทลายยื่นมือปิดหน้าร้องไห้โฮ

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วที่อยู่บนรถอีกคันหนึ่งดิ้นหลุดจากหญิงรับใช้ที่ดูจนตะลึงดูจนอึ้งอยู่ โถมเข้ามากอดฟางอวี้ซิ่วแล้วเริ่มร้องไห้

 

 

ในหมู่สตรีทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ตรงนั้นเสียงร้องไห้ยิ่งมากขึ้นทุกที

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางดวงตาทั้งแสบทั้งเคือง ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอันใด ใครจะโยนพวกเจ้าทิ้ง” นางเอ่ย “เจ้า เจ้าเด็กคนนี้คิดเหลวไหลวุ่นวายอันใด! จะให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้อื่นก็เพื่อพวกเจ้า พวกเจ้ายินดีแต่งก็แต่ง ไม่ยินดีแต่งก็ช่าง เย็บผ้าทำอาหารอะไร ใครให้พวกทำเรื่องนี้ พวกเจ้าอยากทำกิจการ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าทำกิจการ นี่มีอันใดคุยกันไม่ได้…”

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ ฟางอวี้ซิ่วพลันเงยหน้าเช็ดน้ำตา

 

 

“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเราสิ” นางเอ่ยขึ้นเสียงเยือกเย็น“อย่าเพียงพูดสิ สมบัติตระกูลแบ่งให้พวกเราสิ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสะอึกแล้ว

 

 

เด็กคนนี้…

 

 

“ท่านย่าเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่แบ่งให้พวกเจ้า เรื่องนี้ก็แค่ไม่เคยพูดถึง…” นางเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเราพูดแล้ว ให้สิ” ฟางอวี้ซิ่วขัดนาง เอ่ยขึ้นอย่างกระฉับเด็ดขาดอีกหน

 

 

นี่บอกจะให้ก็ให้ได้อย่างไรเล่า นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนกัดฟัน

 

 

“สหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลาย พวกเราพี่น้องในฐานะสตรีคนหนึ่ง ต้องการสมบัติตระกูลในตระกูล” ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้บีบให้นางตอบอีกเช่นกัน แต่มองไปรอบด้าน “ข้าอยากถามสักหน่อย ทำเช่นนี้ฟ้าไม่ยอมรับจริงหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่!” เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน เริ่มแรกกระจัดกระจาย จากนั้นก็ค่อยๆ ดังขึ้นตรงนั้นทีตรงนี้ที

 

 

“พวกเราพี่น้องเป็นสตรี ต้องไม่ได้สมบัติตระกูลในตระกูลหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถามอีกหน

 

 

“ต้องได้!” เสียงตะโกนพร้อมเพรียง มีชายมีหญิง เสียงดังลั่น

 

 

มารดา อย่างไรก็ไม่ใช่สมบัติตระกูลของพวกเขาเสียหน่อย พวกเขาชมเรื่องสนุกย่อมไม่รังเกียจหากเป็นเรื่องใหญ่

 

 

ชายร่ำรวยที่ยืนอยู่มุมถนนไกลออกไปสีหน้าดูแคลน หลังจากนั้นก็เห็นสตรีตระกูลฟางท่ามกลางฝูงชนคนนั้นย่อเข่าคำนับฝูงชนรอบด้านอีกครั้ง

 

 

“พวกเราพี่น้องต้องการแบ่งสมบัติตระกูล ญาติผู้ใหญ่ย่อมไม่ต้อนรับพวกเราพี่น้อง ทั้งยังไม่มีญาติหรือคนในตระกูลมาธำรงความยุติธรรม ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่พึ่งสหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายทุกท่าน ช่วยพวกเราพี่น้องเฝ้าดู ตั้งแต่นาทีนี้ ก่อนหน้าพวกเราพี่น้องจะได้สมบัติตระกูล”

 

 

ทำไม?

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่มุมถนนในใจพลันรู้สึกท่าไม่ดี

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหยัดร่างขึ้น

 

 

“ขอสหายร่วมบ้านเกิดทุกท่านเฝ้าดูตระกูลฟางของเราไว้ สักน้อยสักนิดแมลงวันสักตัวก็ไม่อาจให้พวกเขาขนออกไปแอบซ่อนได้ ให้พวกเราได้แบ่งสมบัติตระกูลที่ตระกูลฟางครอบครองอย่างยุติธรรม”

 

 

ระยำ! ชายร่ำรวยสีหน้าเขียวคล้ำ ในใจร้องด่า

 

 

……………………

พูดไปแล้วเต๋อเซิ่งชางก็อาศัยตระกูลเฉาเปิดฉากร้านแลกเงินที่ซานซี

 

 

ตระกูลเฉาคือตระกูลมารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

ตอนแรกสุดร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางติดต่อค้าขายกับตระกูลเฉามากมาย มีคนของตระกูลเฉาไม่น้อยอยู่ในร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางด้วย

 

 

ต่อมาตระกูลเฉาตกต่ำลงทุกวัน ตระกูลฟางรุ่งเรืองขึ้นทุกที หลังจากนั้นนายท่านผู้เฒ่าฟาง นายท่านฟางก็จากโลกไปกะทันหัน บุตรที่นายหญิงใหญ่ฟางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่รู้เป็นชายหรือหญิง คนของตระกูลเฉาจึงเกิดความคิด คิดทำให้สองครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดียว ตระกูลเฉารู้สึกว่านี่ก็เป็นความช่วยเหลือสำหรับนายหญิงผู้เฒ่าฟางบุตรสาวที่แต่งออกไปคนนี้

 

 

อย่างไรเวลานั้นตระกูลฟางดั้งเดิมที่ซานตงก็มาหาเรื่องอยู่

 

 

ผลสุดท้ายนายหญิงผู้เฒ่าฟางปฏิเสธเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านี้ ยังโอหังคืนคนของตระกูลเฉาในเต๋อเซิ่งชาง ไล่เก็บหนี้จนเกลี้ยง ในนี้ยังมีพี่น้องแท้ๆ ของนางด้วย

 

 

บีบบังคับจนพี่น้องหลายคนไม่อาจไม่ขายทอดสมบัติตระกูล มารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟางเวลานั้นยังอยู่บนโลก อายุเจ็ดสิบแปดสิบวิ่งมาขอร้องบุตรสาว ลั่นวาจาว่าหากไม่ยอมก็ตีนางให้ตายเสียก่อน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองมารดาที่โวยวายขวางประตูอยู่ คว้าไม้กระบองในมือผู้คุ้มกันเรือนมาหวดเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

“กล้าแย่งเงินทองของข้า ไม่ใช่ญาติ ล้วนเป็นศัตรูข้า” นางตะโกน

 

 

หนึ่งกระบองฟาดจนนายหญิงผู้เฒ่าเฉาหัวแตกเลือดไหล แล้วก็ฟาดจนคนทั้งซานซีตะลึงงัน กับเดรัจฉานที่รู้จักแต่เงินไม่รู้จักญาติเช่นนี้ยังมีพูดดีๆ อันใดอีก คนตระกูลเฉาก็ดี คนตระกูลฟางก็ดีล้วนหางจุกตูดจากไป ตั้งแต่นั้นตัดญาติขาดมิตร บนถนนพบพานก็ถือเป็นคนแปลกหน้า

 

 

เวลานั้นพี่น้องตระกูลฟางยังเล็ก ทั้งยังผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว แม้ในด้านกิจการจะถูกเลี้ยงดูอบรมอย่างเคร่งครัด แต่ในด้านชีวิตปกติกลับเสพสุขกับการทะนุถนอมจากญาติผู้ใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่าฟางผู้ไร้หัวใจไร้คุณธรรมที่เล่ากันคนนั้นสำหรับพวกนางแล้วคล้ายเป็นผู้อื่น

 

 

นี่จะทำอะไร?

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดเผือด นายหญิงใหญ่ฟางก็วิตก มีเพียงฟางอวี้ซิ่วยังคงสีหน้าดุจเดิม

 

 

“คุณหนูทั้งสอง นายหญิงผู้เฒ่าถามว่าเล่นพอหรือยังเจ้าคะ” หญิงรับใช้ที่นำหน้าสีหน้าบึ้งตึงเอ่ยขึ้น “เล่นพอแล้วก็มอบตราประทับมาเจ้าค่ะ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วตัวสั่นระริกเหมือนที่เป็นมาเสมอมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“หากยังเล่นไม่พอเล่า?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม “จะตีพวกเราให้ตายไหม?”

 

 

“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล พวกเจ้าทำไมไม่รู้ความเช่นนี้” นายหญิงใหญ่ฟางเอ็ด ด้านหนึ่งคือแม่สามี ด้านหนึ่งคือบุตรสาว นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีแล้วจริงๆ

 

 

หญิงรับใช้สีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“คุณหนูรองล้อเล่นแล้ว” นางเอ่ยพลางโบกมือให้คนด้านหลังร่าง

 

 

หญิงรับใช้หลังร่างถือเชือกรุมเข้ามาทันที นายหญิงใหญ่ฟางกางมือจะขวางก็ไม่รู้ควรขวางอย่างไร

 

 

ส่วนฟางอวิ๋นซิ่วรีบก้าวมายืนหน้าร่างฟางอวี้ซิ่ว แม้สีหน้าซีดขาวแต่แววตาแน่วแน่ ไม่ถอยไม่หลีก

 

 

“ข้าให้ ข้าให้ ไม่ต้องลงไม้ลงมือ” ฟางอวี้ซิ่วชูมือเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาดฉับไว

 

 

คนทั้งห้องตะลึงวูบหนึ่ง บรรดาหญิงรับใช้หวิดหยุดเท้าไม่ทัน

 

 

นี่ก็ให้แล้วหรือ?

 

 

นี่ก็…ไม่สู้คนเกินไปแล้วกระมัง?

 

 

“ต่อให้มอบมา คุณหนูทั้งสองก็ก่อหายนะแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าสั่งกักบริเวณพวกท่าน” หญิงรับใช้สีหน้าเย็นชาเอ่ย ส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้าวเข้ามา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วขานอืมตอบ

 

 

“นั่นคงไม่ได้” นางเอ่ย “ต่อให้เอาตราประทับออกมาแล้ว ไม่ใช่ข้าไปเอง ผู้ดูแลทั้งหลายก็ไม่มีทางเปิดคลัง นี่เป็นสิ่งที่ข้าบอกไว้ยามแรก”

 

 

คิ้วของหญิงรับใช้เลิกขึ้น

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าอย่าเกินไปนัก ให้เจ้าคุมเรื่องราวได้ไม่กี่วัน เจ้าก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วรึ? เจ้าคิดว่าเต๋อเซิ่งชางนี่เป็นของเจ้าจริงๆ แล้วหรือ? ไม่มีเจ้าก็ปิดกิจการแล้วหรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางคิ้วตั้งตวาด

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหน้านิ่งสงบยักไหล่

 

 

“แน่นอนว่าไม่” นางเอ่ยตอบ “แต่ดีร้ายก็คุมเรื่องราวมาตั้งหลายวัน เพิ่มความวุ่นวายสักเรื่องคงได้กระมัง”

 

 

สาวน้อยน่าตายคนนี้ นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตา ครั้งที่สองที่รู้สึกไม่ชอบคนฉลาดทั้งยังเฉยชาเช่นนี้ ครั้งแรกคือตอนเผชิญหน้ากับคุณหนูจวิน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ให้นางไป” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าถมึงทึงตวาด

 

 

“ใครจะรู้ว่าที่นางพูดจริงหรือหลอก ไปถึงร้านแลกเงินยังจะก่อเรื่องอะไรอีก ก็ไม่รู้ว่าพวกนางทำได้อย่างไร ในร้านแลกเงินก็คงซื้อตัวคนไว้ไม่น้อย ถึงขั้นเชื่อฟังคำพูดของพวกนางจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางลังเลเอ่ยขึ้น ทั้งยังติดจะตำหนิตนเองอยู่บ้าง “ข้าก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

“พอดีดูซิว่าใครเชื่อฟังคำพูดก่อเรื่องตาม จับเสียด้วยกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าคุมเต๋อเซิ่งชางมาหลายสิบปี ยังสู้แม่นางน้อยคนเดียวไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วตั้งตวาด “เปิดร้านแลกเงิน สงบคำวิพากษ์วิจาร์ข้างนอกลงก่อน ถ้าก่อเรื่องอีกก็ปิดประตูให้โวยวายอยู่ในบ้านตนเอง”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าดูแล้วร้อนรนยิ่ง

 

 

หรือเพราะเรื่องที่สาวน้อยสองคนก่อจึงลนลานเช่นนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ?

 

 

ก็ยากเลี่ยง ถูกคนใกล้ชิดของตนคนที่ไม่ระแวงทำร้ายถึงทำให้คนโกรธและเสียใจจนลนลานที่สุด

 

 

ตนเองช่วงนี้ก็ไม่ใช่โกรธจนใจร้อนรนหายใจไม่ทันรึ

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงขานรับ

 

 

ยามรถม้าขับออกจากประตูใหญ่ตระกูลฟาง ชาวบ้านบนถนนก็ตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“มีคนออกมาแล้ว!”

 

 

“รีบมาดูเร็ว ใครกันน่ะ!”

 

 

คนที่บ้างนั่งบ้างยืนกระจายอยู่ริมถนนถกกันดังขึ้นเป็นแถบ คนไม่น้อยแห่เข้ามา

 

 

คนของตระกูลฟางก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย

 

 

คนมากมายปานนี้นั่งอยู่นอกประตูตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

“ล้วนเป็นคนที่รอดูเรื่องสนุก”

 

 

“คนเหล่านี้ว่างจริงๆ”

 

 

นางหยวนเอ่ยเสียงเบากับนายหญิงใหญ่ฟาง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนพรูลมหายใจ

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไร” นางกุมหน้าผากเอ่ย “เด็กดีๆ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

“นายหญิง เด็กโตแล้วย่อมมีความคิดของตัวเองได้ง่าย” นางหยวนครุ่นคิดพลางเอ่ยปลอบ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูรองเด็กฉลาดเช่นนี้”

 

 

“เจ้าพูดเช่นนี้ข้าต้องดีใจรึ?” นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาเอ่ย

 

 

นางหยวนกระอักกระอ่วน

 

 

“ให้คนบนรถเฝ้าไวให้ดีหน่อย” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ พรูลมหายใจยาวอีกหน “ข้าคุมพวกนางไม่ได้แล้ว”

 

 

“นายหญิงไม่ต้องกังวล ทุกคนมีหญิงรับใช้สี่คนเฝ้าอยู่ ล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธ์” นางหยวนเอ่ย “รถจะตรงเข้าในร้านแลกเงิน”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากพลางโบกมือ

 

 

“เฉิงอวี่ทำไมเดินทางช้าเช่นนี้?” นางพลันคิดถึงบางอย่างเอ่ยถามขึ้นมา “ตามหลักเวลานี้ก็ควรใกล้มาถึงแล้วกระมัง?”

 

 

นางหยวนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

 

 

“ข้าคิดว่านายน้อยคงจงใจเดินทางช้ากระมังเจ้าคะ” นางเอ่ยตอบ “เรื่องในตระกูลนี่อย่างไรก็ปิดบังเขาไม่ได้ เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ควรจัดการอย่างไรกระมัง กลับมาก็กระอักกระอ่วน”

 

 

ใช่แล้ว เฉิงอวี่ดีกับพี่สาวทั้งหลายมาตลอด ตอนนี้ก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาย่อมกระอักกระอ่วนจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากอีกหน

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไรกัน ภัยในภัยนอกรวมเข้าด้วยกันจริงๆ” นางว่า

 

 

ผู้คุ้มกันมากมายรุมล้อมรถม้าสามคันมุ่งไปยังร้านแลกเงิน ม่านรถม้าปิดบังแน่นหนาไม่ขยับสักนิด ฝูงชนที่ล้อมชมอยู่ข้างนอกแม้สงสัยใคร่รู้ก็มองไม่เห็นว่าด้านในใครนั่งอยู่ ได้แต่ติดตามชี้มือชี้ไม้ถกเถียง

 

 

ร้านแลกเงินด้านนี้ก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน ผู้ดูแลใหญ่เกายกมือส่งสัญญาณให้พนักงานหลายคนก่อนแล้ว

 

 

“เปิดประตูเถอะ” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายกลับสีหน้าลังเลครู่หนึ่ง

 

 

“ผู้ดูแลใหญ่ จะทำเช่นนี้จริงหรือ?” คนหนึ่งในนั้นทนไม่ไหวเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

หากมีคนข้างนอกได้ยินคงรู้สึกว่าน่าขำนัก เปิดประตูเท่านั้น ฟังแล้วเหมือนจะทำเรื่องใหญ่อะไร

 

 

บนหน้าผู้ดูแลใหญ่เกาไม่มีรอยยิ้มสักนิด สีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า

 

 

“ทำเลย” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายขานรับพร้อมเพรียงยกเท้าก้าวออกจากประตู

 

 

ประตูข้างของร้านแลกเงินส่งเสียงดังกุกกักๆ เปิดออก ประตูใหญ่นี้ไม่มีสง่าราศีเช่นนั้นเหมือนร้านแลกเงิน เล็กแคบอยู่บ้าง แล้วธรณีประตูก็สูง

 

 

ธรณีประตูนี่รื้อไม่ได้ด้วย เฉกเช่นโต๊ะกั้นสูงในร้านแลกเงิน ล้วนเพื่อความปลอดภัย

 

 

ดังนั้นรถม้ามาถึงหน้าประตู ม้าจะถูกปลดออก ส่วนรถม้าต้องให้พนักงานหลายคนยกเข้าไป นี่ไม่ใช่เรื่องยากอันใด พวกเขาก็มักทำเช่นนี้

 

 

เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ทราบเพราะรถม้าคนนั่งข้างในมากเกินไปใช่หรือไม่ พนักงานไหล่ล่ำเอวหนาหลายคนที่ยกรถด้านหน้ายามก้าวข้ามธรณีประตูร่างกายจึงโงนเงน ร้องโอ้ยทีหนึ่งก็หลุดมือ

 

 

คราวนี้คนด้านหลังไม่ทันระวัง ร่างกายหนักอึ้งวูบหนึ่งถูกถ่วงจนร้องตกใจร่างกายทรุดลงไป

 

 

พนักงานด้านหน้าคล้ายแย่งกันไปประคอง มือหลายคู่จับรถม้าไว้แน่น

 

 

แต่นี่ก็ไม่ได้ขวางรถม้าไม่ให้ร่วงลงพื้น เสียงโครมทีหนึ่ง รถม้าร่วงลงพื้นอย่างจังถึงกับแตกกระจายไปรอบด้าน

 

 

พร้อมกับเสียงร้องตกใจ คนในรถม้าก็กลิ้งร่วงออกมา

 

 

หญิงรับใช้บึกบึนสี่คน สตรีร่างเล็กบอบบางอีกหนึ่งคน

 

 

อย่างไรก็อายุน้อยตัวเล็กบอบบาง ทีสองทีนางจึงกลิ้งมาถึงบนถนนนอกประตู

 

 

คนที่ล้อมดูอยู่ฉับพลันพรึบเดียวรุมเข้ามา

 

 

“คุณหนูรอง!”

 

 

“คุณหนูรองฟาง!”

 

 

ในฝูงชนเสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้กระจายออกไป

 

 

ตัวเอกของการแย่งสมบัติตระกูลปรากฏตัวแล้ว นี่ทำให้ฝูงชนที่รอคอยมาเนิ่นนานตื่นเต้นอย่างยิ่ง

 

 

“แย่แล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางที่อยู่ในรถด้านหลังร้องตะโกน รีบเลิกม่านขึ้น

 

 

แต่ยังสายไปก้าวหนึ่ง เห็นฟางอวี้ซิ่วลุกขึ้นจากพื้น โซซัดโซเซวิ่งไปทางฝูงชนแล้ว

 

 

“ลุงป้าน้าอาทุกท่าน รีบช่วยข้าด้วย” พร้อมกันนั้นนางก็ตะโกน “ข้าจะถูกท่านย่าฆ่าแล้ว”

 

 

สะเทือนอารมณ์!

 

 

ฝูงชนที่นั่นฮือฮา

 

 

………………………

คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลฟางตกสู่ความชุลมุน คฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลหนิงที่เป่ยหลิวเงียบสงบดังปกติ

 

 

ความเงียบสงบนี่ถึงขั้นวังเวงอยู่บ้าง

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงวางชาในมือลงหนักๆ ทำให้หญิงรับใช้ที่พูดอยู่เบื้องหน้าตกใจจนตัวสั่น

 

 

“ทำไมไม่เข้าร่วม? พวกเราตระกูลหนิงทำภูเขาโคมไม่ไหวหรือไม่กล้าทำรึ?” นางเอ่ย “พวกเขาถามอะไร? ปีก่อนวันที่สิบห้าพวกเราทำอย่างไร ปีนี้แน่นอนก็ยังทำเช่นนั้น”

 

 

หญิงรับใช้ขานรับถอยออกไปแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงพรูลมหายใจยาว

 

 

ใกล้แปดเดือนแล้ว เทศกาลโคมไฟวันที่สิบห้าต้องเตรียมพร้อมแล้ว ในอำเภอกลับมาถามตระกูลหนิงว่ายังจะเตรียมภูเขาโคมไฟหรือไม่ ทำให้คนโมโหจริงๆ เรื่องเช่นนี้ยังต้องถามอีกหรือ? ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาล้วนจะทำ นอกจากนี้พวกเขาตระกูลหนิงตลอดมาก็มีส่วนด้วยมาตลอด

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงก็รู้ว่าในอำเภอทำไมมาถาม ย่อมเพราะเรื่องหนิงเหยียนถูกปลด

 

 

คิดถึงตรงนี้ก็ทำให้นายหญิงใหญ่หนิงยิ่งโมโห

 

 

พวกตาสุนัขดูถูกคนพวกนี้

 

 

สายตาของนายหญิงใหญ่หนิงจับอยู่บนโต๊ะ จดหมายที่แกะเปิดสองฉบับทำให้นางสีหน้าผ่อนคลายลง ฉบับหนึ่งคือจดหมายของหนิงอวิ๋น ฉบับหนึ่งของนายหญิงรองหนิงส่งมา ในจดหมายล้วนเอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน ก็คือหนิงอวิ๋นเจาไม่เพียงไม่ถูกหางเลขจากการลดขั้นของหนิงเหยียน กลับกันยิ่งถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ข่าวว่ากันว่าก่อนปีใหม่ก็คงจะเลื่อนขึ้นหนึ่งขั้นแล้ว

 

 

หากบอกเช่นนี้เพียงในจดหมายของนายหญิงรองหนิงนางอาจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รู้สึกว่ากำลังปลอบนาง แต่หนิงอวิ๋นเจาก็บอกเช่นนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีข้อสงสัยแล้ว

 

 

บุตรชายของนางไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาปลอบคนหรอก บุตรชายของนางจะอาศัยเพียงทำบางสิ่งได้จริงๆ มาปลอบประโลมคน

 

 

ดูเถอะ ใช้เวลาไม่นานนักคนเหล่านี้ก็จะรู้ว่าตระกูลหนิงของพวกเขายังคงเป็นตระกูลหนิงที่ตำแหน่งสูงอำนาจมากดังเดิม บุตรชายของนางจะกลายเป็นเสาหลักของตระกูลหนิง

 

 

ดวงตาของนายหญิงใหญ่หนิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่เมื่อคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา สีหน้าก็พลันทะมึนอยู่บ้าง ถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง

 

 

ถึงสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้ว แต่สร้างครอบครัวนี่ไม่ได้ดั่งใจเสียที

 

 

นางถือจดหมายของนายหญิงรองหนิงขึ้นมา ในจดหมายของนายหญิงรองหนิงเขียนแล้วก็เอ่ยถึงการแต่งงานกับหลายตระกูลนัก รูปโฉมคุณสมบัติของคุณหนูตระกูลฝั่งตรงข้ามล้วนดีอย่างที่สุด ทว่าหนิงอวิ๋นเจาล้วนตอบปฏิเสธ ทั้งยังขอให้นายหญิงรองหนิงยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องแต่งงงานกับเขาชั่วคราวอีกด้วย บอกว่าอยากรออีกสักหน่อย

 

 

ทำไมต้องรออีกสักหน่อย นายหญิงรองหนิงไม่ได้พูดชัด แต่กลับเอ่ยถึงเรื่องคุณหนูจวินคนนั้นกลับเมืองหลวง

 

 

คุณหนูจวินคนไหนเล่า นายหญิงใหญ่หนิงก็ได้ยินมาแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงประกาศความชอบกับใต้หล้า ก็เอ่ยถึงคุณหนูจวินคนนี้ นางถึงกับกลายเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง นำทหารช่วยประชาชนทำสงครามที่แดนเหนือไปแล้ว

 

 

เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลฟางที่หยางเฉิงย่อมยิ่งอวด ถนนตรอกซอกซอยล้วนเล่าลือกันทั่ว ในสายตาทุกคนคุณหนูจวินคนนี้ประหนึ่งเทพเซียนไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ ใครยังจดจำเด็กสาวกำพร้าหยาบคายที่ก่อเรื่องน่าขันมากมายปานนั้นคนนั้นครั้งกระนั้นได้อีก

 

 

นางก็ใกล้จะลืมแล้ว แต่เห็นชัดยิ่งว่าบุตรชายลืมไม่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้นายหญิงรองหนิงบอกว่าเดิมทีการแต่งงานกับตระกูลเฉิงกั๋วกงก็เป็นเรื่องหลอก ได้ฮ่องเต้สรรเสริญล้างฐานะให้ผุดผองแล้ว

 

 

หลอกอีกแล้ว การแต่งงานของสตรีคนนี้เป็นเรื่องหลอกลวงมากี่ครั้งแล้ว ยังมีของจริงไหม?

 

 

ก็มีนะ ครั้งแรกเรื่องแต่งงานกับหนิงอวิ๋นเจาเป็นเรื่องจริง

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงส่ายศีรษะ จากนั้นก็ผิดหวังเหม่อลอยอยู่บ้างอีกครั้ง เพื่อสตรีคนนี้ บุตรสาวถึงแต่งออกไปเร็วนอกจากนี้ยังถูกแม่สามีกักไว้ไม่ให้กลับบ้านมารดา บุตรชายอายุมากเช่นนี้เรื่องแต่งงานก็ยังไม่สำเร็จ ครอบครัวนี้กลายเป็นแห้งเหี่ยวเงียบเหงาอยู่บ้าง

 

 

เรื่องครั้งนั้นเสียใจอยู่บ้างใช่หรือไม่? หากเวลานั้นยอมรับการหมั้นหมาย ตอนนี้ไม่แน่อาจมีหลานแล้ว นอกจากนี้หมอเทวดานี่ก็ดี การสรรเสริญความชอบที่แดนเหนือก็ดี ล้วนจะเป็นของพวกเขาตระกูลหนิงใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ในบ้านจะต้องครึกครื้นมากแน่เลยใช่ไหม?

 

 

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ” มีหญิงรับใช้เดินเข้ามาขัดอาการเหม่อลอยของนายหญิงใหญ่หนิง “ในเมืองครึกครื้นแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงขานอืมทีหนึ่ง

 

 

“ครึกครื้นอะไร?” นางเอ่ยถามอย่างหมดความสนใจ

 

 

“เต๋อเซิ่งชางเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้เอ่ย

 

 

“ข้าได้ยินมาเลาๆ ไม่มีเงินแล้วรึ?” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น

 

 

ตระกูลที่มีชาติตระกูลหน่อยล้วนมีธุรกิจอยู่กับร้านแลกเงิน แม้ตอนนั้นเพราะเรื่องถอนหมั้น นายหญิงใหญ่หนิงโม้ว่าตระกูลหนิงไม่ติดต่อค้าขายด้วยกันอีก แต่เมื่อชื่อเสียงหมอเทวดาของคุณหนูจวินโด่งดังขึ้น ในตระกูลหนิงก็มีคนไม่น้อยบ้างโจ่งแจ้งบ้างลับๆ ฝากเงินแลกเงินที่เต๋อเซิ่งชางต่อ เล่ากันว่าจะแตะโชคดีของหมอเทวดาได้ นายหญิงใหญ่หนิงก็ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง

 

 

เรื่องเงินแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิตครอบครัว เต๋อเซิ่งชางครั้งนี้อยู่ดีๆ แลกเงินไม่ได้ย่อมชักพาการโวยวายขึ้นมา นายหญิงใหญ่หนิงก็ได้ยินมาแล้ว

 

 

ได้ยินทุกคนคาดเดาว่าช่วงก่อนหน้านี้คุณหนูจวินอยู่ที่แดนเหนือทำสงครามช่วยประชาชนผลาญทรัพย์สินของตระกูลฟางไปสิ้นแล้ว

 

 

“ทำสงครามผลาญทรัพย์สินที่สุด” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “ราชสำนักยังเสียไม่ไหวเลย ตระกูลฟางแห่งเดียวไม่ประมาณตนจริงๆ”

 

 

หญิงรับใช้รีบส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นายหญิง ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ตระกูลฟางทะเลาะกันแล้ว คุณหนูสองคนจะแย่งสมบัติตระกูล” นางเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงอึ้ง

 

 

“คุณหนูสองคนแย่งสมบัติตระกูล?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ใช่แล้ว บอกกันว่าครั้งกระโน้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางรับปากไว้แล้วว่าจะปฏิบัติกับพวกนางเหมือนบุตรชาย แบ่งสมบัติตระกูลให้ ตอนนี้นายน้อยตระกูลฟางร่างกายหายดีแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ยอมรับ คุณหนูสองคนจึงโวยวายขึ้นมา” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น แม้ข่าวเล่าลือออกมาเพียงกระท่อนกระแท่น แต่ชาวบ้านทั้งหลายมีพลังจินตนาการมากพอเติมเรื่องราวจนครบ

 

 

เรื่องลับในตระกูล การแก่งแย่งสมบัติตระกูลเป็นเรื่องสนุกที่ทุกคนชอบดูที่สุดเสมอ

 

 

ตอนนั้นหลังนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางตาย ระหว่างตระกูลฟางในตระกูลเองกับตระกูลเครือญาติก็ทยอยทะเลาะแย่งชิงทำให้ประชาชนทั้งหยางเฉิงล้วนไม่คิดถึงชาไม่คิดถึงข้าว วันๆ นั่งเฝ้าชมละครใหญ่ ทุกวันยังมีคนต่อยตีกันเพราะความคิดเห็นขัดแย้ง เหมือนที่แย่งกันคือสมบัติตระกูลของตนเองที่ลงทุนไป

 

 

วันนี้ตระกูลฟางมีทายาทชายแล้ว ยังคิดว่าไม่มีทางมีละครแย่งชิงสมบัติตระกูลอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่มีคนนอก พี่น้องในบ้านตนจะแย่งกันขึ้นมา

 

 

“ผู้หญิงตระกูลฟางก็ช่าง…” นายหญิงใหญ่หนิงไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี “พวกนางก็อุตส่าห์ทำออกมาได้”

 

 

“สิ่งใดทำออกมาไม่ได้เล่าเจ้าคะ ตระกูลฟางมีค่าเป็นเงินเท่าไร คุณหนูสองคนยังดูแลกิจการมาตลอดอีก ถึงเวลาแต่งให้ผู้อื่น สินเดิมเจ้าสาวมากเท่าใด ไหนเลยจะเทียบกับร้านแลกเงินที่สร้างเงินให้ได้” หญิงรับใช้ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “นายหญิงผู้เฒ่าฟางร้ายกาจเท่าไร หลานสาวที่นางเลี้ยงมาจะด้อยกว่านางได้หรือ”

 

 

ที่ชมว่าร้ายกาจนี่ไม่ใช่ควาหมายในทางดีอะไร นายหญิงผู้เฒ่าฟางร้ายกาจจริงๆ ตอนนั้นเพื่อทรัพย์สิน มารดาของตนก็ผรุสวาทว่าจะตีจะฆ่าได้

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงส่ายศีรษะ

 

 

“พ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ไร้หัวใจจริงแท้” นางเอ่ย

 

 

สตรีตระกูลฟางนี่บ้ากันหมดจริงๆ ความเสียใจน้อยนิดเพราะเรื่องตอนนั้นเมื่อครู่ฉับพลันสลายหายดั่งหมอกควัน

 

 

หนิงอวิ๋นเจาก็แค่ตกอยู่ในความลุ่มหลงชั่วครู่เท่านั้น เวลานานเข้าก็คงจืดจาง แต่ยั่วโมโหครอบครัวที่สตรีบ้าคลั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องทั้งชีวิต

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงถือลูกประคำข้างกายขึ้นมาหลับตาฝึกสมาธิ

 

 

ส่วนถนนใหญ่ซอยน้อยในหยางเฉิงเวลานี้ล้วนคึกคักไม่ธรรมดา ประตูใหญ่ของร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางแห่งหนึ่งปิดสนิท แต่นี่ไม่อาจขวางชาวบ้านผู้ว่างงานที่รวมตัวอยู่หน้าประตูได้

 

 

“ร้านแลกเงินที่ถนนตะวันออกเปิดแล้ว” มีคนพาข่าวล่าสุดมา

 

 

นี่ทำให้ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ฉับพลันฮือฮา

 

 

“ที่นั่นไม่เชื่อฟังคำของคุณหนูทั้งสองหรือ?”

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟางดูท่าคงโกรธแล้ว”

 

 

“ต้องโกรธสิ นี่เรียกเรื่องอะไรกัน”

 

 

“ก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ คุณหนูทั้งสองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตั้งแต่เล็กเป็นวัวเป็นม้า แล้วยังแต่งงานออกไปไม่ได้ บอกว่าจะรับลูกเขย ลากมาถึงอายุปานนี้ จะถูกไสส่งไปเปล่าๆ เช่นนี้หรือ เปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็ไม่ยอม”

 

 

“สตรีหนอสตรี มีที่ไหนแย่งสมบัติตระกูล สมบัติตระกูลนี่เดิมทีก็เป็นของบุรุษ นายน้อยฟางพอใจจะให้สินเดิมเจ้าสาวกับพวกนางมากสักหน่อยก็คือเขาใจกว้างสงสารพี่สาวของเขา ไม่ให้ นั่นก็สมเหตุสมผล มาแย่งช่างทำลายขนบจริงๆ”

 

 

“โฮ่ ตอนนั้นนายน้อยฟางง่อยเปลี้ยเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ในเรือนหลังช่วงหนึ่ง ทำไมไม่สงสารพี่สาวทั้งหลายของเขาที่ลำบากทำงานล่ะ?”

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายหน้าประตูยิ่งพูดยิ่งครึกครื้น โต้เถียงกันหน้าแดงคอเป็นเอ็น ถลกแขนเสื้อจะเล่นงานกัน ทะเลาะกันจนบนถนนครึกครื้นยิ่งกว่าวันปีใหม่

 

 

“ร่วมทุกข์ได้ร่วมสุขไม่ได้จริงๆ” ผู้เฒ่าที่ชมเรื่องสนุกคนหนึ่งส่ายศีรษะถอนหายใจอยู่ข้างถนน “คนโบราณไม่หลอกข้า”

 

 

สิ้นเสียงพูดก็ได้ยินข้างกายมีคนแค่นเสียงคำหนึ่ง

 

 

ผู้เฒ่าหันไปมองเห็นบุรุษอ้วนวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมผ้าไหมแพรพรรณใบหน้าเมตตา เพียงแต่สีหน้าบนใบหน้าเวลานี้อารมณ์ไม่ดีนัก

 

 

“บ้าบอ” เขาสะบัดแขนเสื้อเอ่ยแล้วหมุนตัวเดินออกไป

 

 

นี่ก็คงเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่ง ดูท่าเห็นสถานการณ์คงเป็นห่วงลูกหลานของตระกูลตนหรือคิดถึงการแก่งแย่งสมบัติในตระกูลที่ตนเองเคยผ่านมาครั้งนั้นกระมัง

 

 

คนร่ำรวยก็มีความปวดหัวของคนร่ำรวยนะ ผู้เฒ่าคิดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง

 

 

ชายร่ำรวยเลี้ยวเข้าซอยหนึ่ง สีหน้ายิ่งถมึงทึง

 

 

มีผู้ติดตามสองคนติดตามมาข้างหลังอย่างเงียบเชียบ

 

 

“นายท่าน ทำอย่างไรขอรับ?” คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้ยังขนใส่รถไหมขอรับ?”

 

 

“ตอนนี้ใส่ทำบ้าอะไร” ชายร่ำรวยหันกลับมาตวาดเสียงเบา “คนมากมายเช่นนี้มาชมดูเรื่องสนก หากถูกพบเข้า เจ้าข้าล้วนต้องตาย”

 

 

ผู้ติดตามทั้งสองก้มศีรษะ

 

 

“แต่ใต้เท้าหยวนด้านนั้นยังรออยู่….” คนหนึ่งยังอดไม่ได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา

 

 

ได้ยินชื่อนี้ ชายร่ำรวยพลันสีหน้าหวาดกลัวอยู่บ้าง

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟางคนไร้ประโยชน์คนนี้คงไม่กระทั่งหลานสาวตัวน้อยสองคนก็จัดการไม่ได้หรอกกระมัง?” เขาทั้งโมโหทั้งยังท่าทางโหดเหี้ยมอยู่บ้าง “ไป บอกนาง ข้าไม่มีเวลารอนางพูดจาดีๆ กล่อมหลานสาวตัวดีทั้งหลายของนาง”

 

 

ผู้ติดตามก้มศีรษะขานรับ ถอยไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบ

 

 

เทียบกับความวุ่นวายด้านนอก ด้านในคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลฟางบรรยากาศหนักอึ้ง

 

 

“พวกเจ้าเลอะเลือนใช่หรือไม่? นี่อนาคตจะขาดของพวกเจ้าได้หรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยอย่างติดจะเหนื่อยล้า

 

 

หลายวันนี้โทสะก็สาดใส่แล้ว พูดดีๆ ก็พูดแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ฟัง

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วก้มศีรษะสีหน้ากระวนกระวายคล้ายตนก็ไม่อยากทำเช่นนี้ ใช่แล้ว นางไม่อยากจริงๆ แต่กลับเชื่อฟังฟางอวี้ซิ่วท่าเดียว

 

 

ก็ไม่รู้ว่าควรบอกว่านางไม่มีความเห็นหรือบื้อเกินไป

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางคร้านจะสนใจนาง วันนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคือฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“ท่านแม่ อนาคตคืออนาคต ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย ไม่ร้อนรน ไม่โมโห สีหน้านิ่งสงบ “อย่างไรตอนนี้ตกลงแบ่งให้ชัดเรียบร้อยถึงดี”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางพรูลมหายใจ

 

 

“ตกลงกันก็พูดกันดีๆ เจ้าเปิดคลังก่อน เปิดบัญชีเสีย” นางเอ่ยขึ้น

 

 

พูดถึงเรื่องนี้นางก็ร้อนใจจนตาดำอีกหน

 

 

ตั้งแต่ฟางเฉิงอวี่รับช่วงกิจการ นางกับนายหญิงผู้เฒ่าล้วนวางมือ เต๋อเซิ่งชางยอมรับเพียงตราประทับกับคำสั่งของฟางเฉิงอวี่ ส่วนอำนาจของฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วเป็นรองฟางเฉิงอวี่ วันนี้ฟางเฉิงอวี่เดินทางอยู่ยังไม่กลับมาจึงทำให้พวกนางถึงขั้นคลี่คลายสถานการณ์นี้ไม่ได้

 

 

“มีสิ่งใดอยากพูดพวกเจ้าก็พูดกับครอบครัวตนเองดีๆ ไยต้องให้คนข้างนอกเห็นเรื่องน่าขายหน้า นี่มีสิ่งใดดีเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย “อวี้ซิ่ว เจ้าไม่ใช่เด็กเหลวไหลนี่”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยิ้มกำลังจะเอ่ยคำพูด นอกประตูเสียงตะโกนของนางหยวนพลันดังขึ้น

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าส่งคนมาแล้ว”

 

 

เสียงนี้ถึงขั้นหวาดผวาอยู่บ้าง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองผ่านม่านกั้นออกไปข้างนอก เห็นในลานหญิงรับใช้บึกบึนสิบกว่าคนเดินเข้ามา ในมือถือไม้กระบองและเชือก

 

 

นางรู้สึกเพียงหัวใจหยุดเต้น คนก็ลุกขึ้นยืน

 

 

“พวกเจ้าทำท่านย่าของพวกเจ้าโมโหแล้ว” นางเอ่ยเสียงสั่น “พวกเจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่ว่าท่านย่าของพวกกเจ้าอารมณ์ร้ายอย่างไร”

 

 

………………

คฤหาสน์ตระกูลฟางครึกครื้นกว่าวันวานมาก

 

 

เพราะนายหญิงผู้เฒ่าฟางจะเปิดคลังสมบัติซึ่งการเปิดเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลังที่ไม่เคยแตะมาตลอด สมุดบัญชีที่ส่งมากองหนาเป็นตั้ง นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลิกค้นเองสี่ห้าวัน เลือกสมุดบัญชีมาหลายเล่ม

 

 

ต่อมาก็รอรถที่อีกฝ่ายส่งมาใส่เงิน

 

 

เต๋อเซิ่งชางย่อมมีรถ แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางเพียงบอกให้รอรถที่อีกฝ่ายจะส่งมา ผ่านไปอีกหลายวัน รถถึงส่งมาถึง มองปราดเดียวก็เป็นรถที่สร้างขึ้นใหม่

 

 

แม้ความเป็นมาของแขกคนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนล้วนคาดเดาได้ว่าความเป็นมาใหญ่ยิ่ง

 

 

“เงินที่จะถอนออกไปคงมากนัก”

 

 

“ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องแตะคลังสวรรค์”

 

 

“ไม่แน่ทั้งคลังสวรรค์ก็คือของที่เตรียมให้เขา”

 

 

“รถหลายคันนักเชียว”

 

 

คำพูดถกเช่นนี้ดังขึ้นในเต๋อเซิ่งชางเป็นระยะ

 

 

สำหรับพนักงานทั้งหลายแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เห็นได้น้อยครั้งนักเช่นกัน

 

 

แม้พูดถกกันแต่นี่อย่างไรก็ไม่กระทบกับการค้าของร้านแลกเงิน ในร้านแลกเงินทุกสิ่งเป็นดั่งปกติ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง มีคนถือตั๋วแลกเงินเข้ามา คนที่ต้อนรับแขกก็เข้าไป ตั๋วเงินส่งเข้ามาในโต๊ะกั้น แต่เงินกลับไม่ส่งออกมาเหมือนอย่างปกติ

 

 

“ในคลังบอกว่าปิดบัญชีแล้ว” พนักงานเอ่ยขึ้น บนหน้าผากเหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา

 

 

เหล่าพนักงานได้ยินคำนี้ล้วนตะลึง

 

 

ที่ร้านแลกเงินปิดบัญชีไยไม่ใช่ไม่เปิดร้านแล้ว? นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

 

เสียงปังปังสองครั้ง ประตูถูกผลักเปิด

 

 

“จะปิดบัญชี? ผู้ดูแลใหญ่ทำไมไม่บอกข้าเล่า?” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าขมวดคิ้วเอ่ยถาม

 

 

ผู้ดูแลบัญชีคลังกุมถ้วยชาดื่มชาอย่างอ้อยอิ่ง

 

 

“เรื่องนี้น่ะ” เขาเอ่ย “เป็นคำสั่งของคุณหนูรอง”

 

 

คุณหนูรอง?

 

 

“คุณหนูรองปิดคลังได้อย่างไร?” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าตะลึง

 

 

ผู้ดูแลบัญชีคลังวางถ้วยชาลงเกิดเสียงกังวานใสทีหนึ่ง

 

 

“อ้าว เหล่าเว่ยนี่เจ้าจะบอกว่าคุณหนูรองไม่มีอำนาจจัดการรึ?” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูรองย่อมมีอำนาจจัดการ

 

 

ก่อนอื่นไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ยามฟางเฉิงอวี่อาการป่วยยังไม่หายดี คุณหนูทั้งสองก็ทำงานอยู่ที่ร้านแลกเงิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางอบรบพวกนางมาเหมือนบุรุษอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ต่อมาฟางเฉิงอวี่รับช่วงต่อดูแลร้านแลกเงิน คุณหนูทั้งสองก็ไม่เพียงไม่กลับบ้าน นอกจากนี้เรื่องการจัดการดูแลก็ยิ่งมีบทบาทสำคัญขึ้นทุกที

 

 

คลังเงินออกของร้านแลกเงินอยู่ในมือของคุณหนูรองฟางอวี้ซิ่วมาตลอด

 

 

มีตราประทับของนางถึงขั้นไม่ต้องผ่านมือฟางเฉิงอวี่

 

 

ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“คุณหนูรองจะปิดคลังทำไม” เขาเอ่ยถาม “เป็นความตั้งใจของนายหญิงผู้เฒ่าหรือ?”

 

 

ผู้ดูแลบัญชีคลังส่ายศีรษะ

 

 

“ทำไมไม่รู้ พวกเราเพียงฟังคำสั่งของคุณหนูรองเท่านั้น” เขาเอ่ย

 

 

พวกเรา

 

 

หน้าผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าเขียวแล้ว

 

 

“ความหมายของเจ้า คงไม่ใช่ร้านแลกเงินทั้งหมดต้องปิดบัญชีหรอกนะ?” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ

 

 

ผู้ดูแลบัญชีคลังส่ายศีรษะ

 

 

“แน่นอนไม่ใช่” เขาเอ่ย

 

 

ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าโล่งออก แต่นาทีต่อมาคำพูดของผู้ดูแลบัญชีคลังก็ทำให้เขาอดกลั้นจนหน้าแดง

 

 

“แค่ร้านแลกเงินที่ดูแลอยู่ในมือคุณหนูรองเท่านั้น” เขาเอ่ย

 

 

นั่นก็ไม่น้อยนะ! ลำพังเจ๋อโจวก็ไม่น้อยกว่าสิบแห่งแล้ว!

 

 

ร้านแลกเงินอยู่ดีๆ ไม่ให้แลกเงิน ตั้งแต่เต๋อเซิ่งชางก่อตั้งมา ยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน กระทั่งตอนนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางตายก็ไม่เคย

 

 

“เรื่องนี้ก่อเรื่องใหญ่แล้ว” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าเอ่ยขึ้น

 

 

นี่คุณหนูรองจะทำอะไร?

 

 

อีกอย่าง คนในบ้านล้วนรู้ไหม?

 

 

คนในบ้านหารู้ไม่

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยุ่งอยู่กับเรื่องคลังสวรรค์ นายหญิงใหญ่ฟางตลอดมาวางใจบุตรสาวทั้งสอง เมื่อได้รับข่าวจึงเป็นสองวันให้หลัง

 

 

ด้านนอกเล่าลือกันกระหึ่ม ถึงขั้นมีคนไม่น้อยปิดล้อมร้านแลกเงินไว้

 

 

“พูดเหลวไหลอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางคิดว่าตนฟังผิด “ข้าไม่เคยบอกว่าจะปิดคลัง นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่นะ”

 

 

“นายหญิง พวกท่านย่อมไม่ได้ทำ เป็นคุณหนูรองเจ้าค่ะ” นางหยวนกระทืบเท้าเอ่ย “ไม่ใช่แค่คุณหนูรอง คุณหนูใหญ่ก็ก่อเรื่องด้วยแล้ว ให้ฝ่ายเสมียนบัญชีหยุดสมุดบัญชีไว้ด้วย”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วดูแลสมุดบัญชีมาตลอด นางหยุดสมุดบัญชีได้จริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกะพริบตา รู้สึกว่าอยากหัวเราะอยู่บ้าง

 

 

“ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“พวกผู้ดูแลก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกันเจ้าค่ะ คิดว่าเป็นความตั้งใจของตระกูลจึงไม่มีคนกล้ามาถาม” นางหยวนเอ่ย “ลากมาถึงวันนี้ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว ดังนั้นถึงวิ่งมาถาม คนที่ประตูกลับยังรับคำสั่งของคุณหนูทั้งสองขวางไว้”

 

 

ถึงกับเป็นเช่นนี้?

 

 

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ฟางค่อยๆ บึ้งตึง เรื่องนี้ เหมือนจะไม่ใช่การล้อเล่น

 

 

“ก็ขอบคุณพวกนางที่ขวางไว้ ผู้ดูแลกับผู้ดูแลใหญ่ทั้งหลายด้านนอกถึงรู้สึกว่าเรื่องไม่ชอบมาพากล ตอนนี้ถึงคิดหาวิธีส่งข่าวเข้ามา” นางหยวนรีบร้อนเอ่ย “ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ยังคงถูกปิดบังอยู่เลยเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางตบโต๊ะทีหนึ่ง

 

 

“เรียกพวกนางมา” นางตวาด

 

 

นางหยวนไล่พวกหญิงรับใช้ไป ไม่นานหญิงรับใช้ก็กลับมาแล้ว

 

 

“คุณหนูทั้งสองไปหานายหญิงผู้เฒ่าที่นั่นแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย สีหน้าวิตก “เหมือนว่าจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว”

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าต้องรู้แล้วแน่” นางหยวนรีบเอ่ย

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางไม่ลังเลอีกต่อไปพานางหยวนก้าวเร็วไวมาหานายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนี้

 

 

เพิ่งเข้าเรือนมาก็ได้ยินเสียงเขวี้ยงถ้วยชาด้านใน

 

 

“พวกเจ้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดไหม?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจัด มองหลานสาวสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้ากระวนกระวาย สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว

 

 

แต่ฟางอวี้ซิ่งยังคงนั่งมั่นคง สีหน้าสงบนิ่ง ในมือยังคงถือชา

 

 

“พวกเจ้ารู้ว่านี่หมายความว่าอะไรไหม? นี่คือก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่แล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางโมโหโกรธาเอ่ย

 

 

ปิดบัญชี ไม่แลกเงิน ร้านแลกเงินแห่งหนึ่งมีเพียงยามพบเหตุการณ์เงินขาดแคลนไม่อาจหมุนได้ถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เต๋อเซิ่งชางร้านแลกเงินใหญ่เช่นนี้ ฉับพลันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต้องดึงความสนใจนับไม่ถ้วนมาแน่

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ ต้องหลีกเลี่ยงความสนใจของผู้อื่นที่สุด

 

 

สาวน้อยสองคนนี้ บ้าไปแล้วหรือ?

 

 

“พวกเจ้าคิดอะไรอยู่?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม

 

 

ฟางอวี้ซิ่งวางถ้วยชาลง

 

 

“ท่านย่า พวกเราคิดเรียบง่ายยิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “ก็แค่อยากได้เครื่องรับประกันชิ้นหนึ่ง”

 

 

“ต้องการรับประกันอะไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม

 

 

“ท่านย่า ก่อนหน้านี้ท่านเคยรับปากพวกเรา เลี้ยงข้ากับพี่สาวเยี่ยงบุรุษ ถ้าอย่างนั้นสมบัติตระกูลนี่พวกเราย่อมต้องมีส่วนแบ่งด้วยสิ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้นมา

 

 

สมบัติตระกูล?

 

 

นี่คือจะ แย่งสมบัติตระกูลหรือ?

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางได้ยินพลันอึ้ง ทั้งรู้สึกว่าบ้าบอแล้วยังไม่แน่ใจอยู่บ้าง

 

 

นี่ป้องกันคนนอกก่อเรื่องคุกคามนักหนา ผลสุดท้ายคนในบ้านตนก่อเรื่อง

 

 

แล้วยังเป็นบุตรสาวทั้งสองคนด้วย?

 

 

“บังอาจ!” นายหญิงใหญ่ฟางอดดทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ก้าวเร็วไวเข้าประตูตวาด

 

 

ส่วนนางหยวนรีบขับไล่หญิงรับใช้สาวใช้ตรงทางเดินกับในลาน

 

 

แต่สายแล้วไปแล้ว ฤดูร้อนหน้าต่างประตูเปิดกว้าง ม่านโปร่งลูกปัดยิ่งส่งคำพูดด้านในออกมา สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายสีหน้าตะลึงงัน จากนั้นถูกนางหยวนขับไล่ก็ถอยออกไป แต่นางหยวนรู้ ในบ้านคงเล่าลือกันทั่วในทันที

 

 

คุณหนูทั้งสองต้องการแย่งสมบัติตระกูล นี่เป็นเรื่องบ้าบอที่คิดก็คิดไม่ถึงจริงๆ

 

 

นี่จะเรียกเรื่องอะไรกัน

 

 

นางหยวนยื่นมือตบหน้าอก

 

 

“นี่มีสิ่งใดบังอาจ”

 

 

ฟางอวี้ซิ่งเผชิญหน้ากับท่านแม่ก็ยังคงเยือกเย็นอดกลั้น เหมือนนิสัยที่เป็นมาตลอดของนาง

 

 

เทียบกับความทื่อมะลื่อของฟางอวิ๋นซิ่ว ความบุ่มบ่ามของฟางจิ่นซิ่ว ฟางอวี้ซิ่วเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมที่สุด แล้วก็เป็นคนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางฝากความหวังไว้มากที่สุดด้วย

 

 

เพียงแต่ความฉลาดเฉียบแหลมที่เห็นมาก่อนหน้านี้ ยามนี้เวลานี้กลับแลดูเฉยชาขาดอารมณ์อ่อนโยนของมนุษย์อยู่บ้าง

 

 

มุมปากฟางอวี้ซิ่วมีรอยยิ้มจางๆ แววตาเย็นชา

 

 

“ท่านแม่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ธุรกิจก็ต้องคุยอย่างธุรกิจ หลายปีนี้ข้ากับพี่สาวทำเพื่อตระกูลเพื่อร้านแลกเงินไม่น้อยกระมัง” นางเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เห็นน้องชายดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ยังได้พระราชทานรางวัลของราชสำนักอีก พวกเราตระกูลฟางก็นับว่าหมดทุกข์หมดโศกความสุขมาเยือน น้องชายอายุไม่น้อยแล้ว พวกเราก็อายุไม่น้อยแล้ว นี่ต่อไปคนที่ควรแต่งงานก็คงแต่งงาน คนที่ควรแต่งให้ผู้อื่นก็แต่งให้ผู้อื่น วันนี้ในตระกูลมีน้องชาย พวกเราก็ไม่สะดวกพูดว่าจะรั้งอยู่ในบ้านรับลูกเขยแล้วเช่นกัน นี่หากแต่งให้คนอื่นไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นร้านแลกเงินจะนับเป็นสินเดิมเจ้าสาวหรือไม่เล่า?”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองนาง สีหน้าอึ้ง

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าทำไมคิดเรื่องเหล่านี้?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสูดลมหายใจลึกคำหนึ่งแล้วเอ่ยถาม สีหน้าคล้ายจะสืบเสาะ “ใครสอนเจ้า?”

 

 

ไม่เช่นนั้น ทำไมอยู่ดีๆ หลานสาวดีๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้?

 

 

ฟางอวี้ซิ่วพิงกลับไปบนเก้าอี้

 

 

“ท่านย่า แน่นอนเป็นท่านสอนสิ” นางเอาพัดออกมาสะบัดเบาๆ “ตอนนั้นที่ท่านแย่งสมบัติตระกูลกับบ้านแม่ของท่าน กับบ้านท่านปู่ของข้าไม่ใช่เคยพูดไว้หรือ สตรีของตระกูลฟางเราไม่อาจใช้ความรู้สึกทำงานได้ พี่น้องแท้ๆ ก็ต้องทำบัญชีให้ชัด เรื่องเงินนี่ไม่มีนับญาติกัน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเขียวคล้ำ ยื่นมือชี้ฟางอวี้ซิ่ว จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เสียงตึงทีหนึ่งนั่งกลับไปบนเก้าอี้ทั้งร่างสั่นเทา

 

 

“ท่านแม่” นายหญิงใหญ่ฟางโถมเข้าไป

 

 

นางหยวนด้านนอกประตูไม่กล้าฟังต่อแล้ว ร้องเรียกให้รีบเชิญหมอ ตนเองก็รีบร้อนพุ่งเข้ามา

 

 

หญิงรับใช้เบียดเต็มห้อง บ้างตะโกนบ้างร้องเรียก ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางพริบตาตกสู่ความชุลมุน

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยังคงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้

 

 

“เจ้าเหี้ยมจริงๆ” ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดเผือดเอ่ยขึ้นเสียงเบา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วขานอืมตอบ

 

 

“สตรีตระกูลฟางของพวกเรา ต้องเหี้ยมสิ” นางเอ่ย “เหี้ยมกับตนเองถึงเหี้ยมกับผู้อื่นได้”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่ถูกรุมล้อมอยู่ ทนไม่ได้อีกต่อไปกระแทกเท้าก้าวไปข้างหน้า เดินไปได้หลายก้าวก็หันกลับมา มองสำรวจฟางอวี้ซิ่วอย่างวิตกกังวลอยู่บ้าง

 

 

“เจ้า เจ้าคงไม่ได้คิดเช่นนี้จริงๆ หรอกกระมัง?” นางลังเลเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยิ้ม ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง

 

 

……………………

จงหยวน[1] ใกล้เข้ามา อากาศยังคงร้อนอบอ้าว

 

 

สาวใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ในห้องโบกพัดใหญ่เบาๆ พัดกระจายไอเย็นจากอ่างน้ำแข็งที่วางอยู่สี่ด้าน ในห้องเย็นสบาย

 

 

แต่ฟางอวี้ซิ่วกลับวางพู่กันอีกหน มองไปยังห้องอีกด้านหนึ่ง

 

 

“ทำไมหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม

 

 

นี่เป็นครั้งที่สี่ของวันนี้ที่ฟางอวี้ซิ่วเหม่อลอยแล้ว

 

 

นางที่เยือกเย็นอดกลั้นมาเสมอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

 

 

“แขกที่ท่านย่าพบที่แท้เป็นใครกันนะ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น “ท่านย่าดูแล้ว…”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วรีบมองไปด้านใน นายหญิงผู้เฒ่าฟางพักผ่อนอยู่ด้านนั้น กั้นด้วยม่านลูกปัด มองเห็นนางเอนร่างอยู่บนเก้าอี้นอน เดิมควรนอนกลางวันแต่ตากลับยังลืมอยู่

 

 

สองวันนี้ท่านย่าวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง

 

 

“อารมณ์ไม่ดีหรือ?” นางเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วส่ายศีรษะ

 

 

“เหมือนดีใจแต่ก็เหมือนเศร้าโศก” นางเอ่ย “ที่มากกว่านั้นคือความผิดหวัง แขกคนนี้ต้องเป็นคนรู้จักเก่าแก่คนหนึ่งแน่”

 

 

นางกำลังเอ่ยเสียงเบาอยู่ก็เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนั้นลุกขึ้นนั่ง

 

 

“ใครมานี่ซิ” นางเอ่ยเรียก “เรียกผู้ดูแลใหญ่เกามา”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้า

 

 

“ดูท่าท่านย่าจะตัดสินใจแล้ว” นางเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

“ตัดสินใจอะไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

……………………………………….

 

 

“นายหญิง นายหญิง”

 

 

นางหยวนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ไม่รอนายหญิงใหญ่ฟางเงยศีรษะก็ประชิดมาข้างหูนางแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยกมือผลักนางออก

 

 

“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไรก็พูดดีๆ”

 

 

นางหยวนไม่มีสีหน้าอับอายหงุดหงิด ยังคงร้อนรน

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าจะเปิดคลังใต้ดินที่ชื่อคลังสวรรค์แล้วเจ้าค่ะ” นางกดเสียงเบาเอ่ย “เมื่อครู่เรียกผู้ดูแลใหญ่เกามา”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางตกใจสะดุ้งโหยง ลุกขึ้นยืน

 

 

เหมือนเช่นร้านแลกเงินและร้านค้าใหญ่ทั้งมวล คฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางก็สร้างคลังสมบัติไว้เช่นกัน ตามที่เล่าลือกันข้างนอก ใต้คฤหาสน์ตระกูลฟางทั้งหมดล้วนเป็นคลัง กองภูเขาทองภูเขาเงินไว้เต็ม

 

 

คำพูดเช่นนี้แน่นอนย่อมเกินจริง แต่ตระกูลฟางมีคลังสมบัติหลายแห่งจริงๆ ในนั้นคลังสมบัติที่ชื่อคลังสวรรค์เป็นอันที่ลึกลับที่สุด

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางแต่งเข้ามาสิบกว่าปีรู้เพียงมีคลังสมบัติชื่อสวรรค์ พิภพ มนุษย์สามแห่ง คลังพิภพกับคลังมนุษย์นางล้วนเคยเข้าไปแล้ว มีเพียงคลังสวรรค์แห่งนี้ที่กระทั่งนางก็ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ไหน

 

 

เงินในคลังล้วนสอดรับกับสมุดบัญชีและตั๋วเงินของร้านแลกเงิน เปิดคลังย่อมต้องเปิดสมุดบัญชี ดังนั้นร้านแลกเงินก็ต้องเคลื่อนไหวด้วย

 

 

“ครั้งนั้นนายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าคลังสวรรค์นี้เป็นรากฐานของตระกูลฟาง ไม่ถึงยามยากที่สุดไม่มีทางเปิดเด็ดขาด” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าประหลาดใจและไม่แน่ใจเอ่ยขึ้น “หรือการค้าของตระกูลฟางถึงเวลาที่ยากลำบากที่สุดแล้วหรือ?”

 

 

“ไม่น่าเป็นไปได้นะเจ้าคะ” นางหยวนเอ่ย “การค้า พวกเราล้วนดูอยู่ ปัญหาสักนิดก็ไม่มี”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกำมือ

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับพ่อค้าคนนั้น” นางเอ่ย “บางที อาจต้องการแลกเงิน เงินของเขาเก็บอยู่ที่นั่น”

 

 

เปิดคลังสมบัติก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางนั่งลงอีกหน นางถูกเฉิงอวี่บอกว่าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว

 

 

“อีกประเดี๋ยวพวกเราไปดูหน่อยเถอะ เปิดคลังยุ่งยากนัก” นางว่า “ที่สำคัญที่สุดยังต้องเพิ่มการป้องกัน ตอนขนเงินคนมาคนไปอย่าให้มีช่องว่าง”

 

 

ถูกต้อง บางทีศัตรูในที่ลับอาจรอจังหวะวุ่นวายอยู่

 

 

นางหยวนขานรับ ความปลอดภัยของนายหญิงผู้เฒ่าฟางถึงสำคัญ เงินไม่นับเป็นอะไร

 

 

……………………………………….

 

 

ข่าวนายหญิงผู้เฒ่าฟางจะเปิดคลังใต้ดิน พร้อมกับที่นางหยวนบอกนายหญิงใหญ่ฟาง ข่าวก็ส่งไปยังฟางเฉิงอวี่ด้วย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ประหลาดใจเช่นเดียวกันกับนายหญิงใหญ่ฟาง

 

 

“เรื่องนี้ที่จริงก็ไม่มีอะไร ในตระกูลเรามีการค้าขายมากมายที่ร่วมมือกันมาเนิ่นนาน ยากเลี่ยงกลางทางมีคนหยุด ต้องการถอนเงินทั้งหมดไป” ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา “เรื่องเปิดคลังใต้ดินก็มีบ่อยๆ”

 

 

“ตอนนี้เวลานี้เรื่องที่ปกติที่สุดกลับจะเป็นเรื่องที่ต้องระวังที่สุด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย กำแถบข้อความสั้นๆในมือไว้

 

 

เพื่อการส่งข่าวที่เร็วที่สุด เนื้อหาล้วนกล่าวสั้นกระชับยิ่ง

 

 

พ่อค้าคนหนึ่งมา นายหญิงผู้เฒ่าพบด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็จะเปิดคลังสวรรค์

 

 

สำหรับคนที่ทำการค้าคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ

 

 

แต่พวกเขาตระกูลฟางไม่ใช่เพียงคนทำการค้าคนหนึ่ง การค้าที่ทำก็ไม่ใช่เพียงร้านแลกเงินเรียบง่ายเช่นนี้

 

 

“นอกจากราชโองการ ยังมีของอยู่อีก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยแล้วมองผู้ติดตาม “เร่งความเร็วกลับหยางเฉิง”

 

 

ยังจะเร็วอีก?

 

 

นี่ก็เร็วที่สุดแล้ว

 

 

ผู้ติดตามก้มศีรษะขานรับ

 

 

และข่าวนี้ไม่เพียงส่งให้ฟางเฉิงอวี่ ยังส่งไปยังโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงด้วย นี่เป็นคำสั่งของฟางเฉิงอวี่ ข่าวที่ให้เขาจำต้องให้โรงหมอจิ่วหลิงในเวลาเดียวกัน

 

 

“ของในคลังสมบัติไม่อาจแตะ” คุณหนูจวินวางแถบข้อความลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ความลับของตระกูลฟางก็คือรากฐานของตระกูลฟาง ต้องอยู่ในคลังสมบัติแน่”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องระยะทางไกล ต่อให้เร่งเดินทางกลับไป นายหญิงผู้เฒ่าจะฟังไหม? เรื่องที่นางรู้พวกเราไม่รู้ อันตรายที่เจ้าพูดไม่มีหลักฐานอันใด ทุกสิ่งล้วนเป็นการคาดเดา นางจะเชื่อได้อย่างไร?”

 

 

นี่เป็นปัญหาเรื่องหนึ่งจริงๆ

 

 

นางถึงขั้นบอกไม่ได้ว่าเป็นอันตรายอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชี้ชัดคนที่พาอันตรายมา หยวนเป่าหาไม่พบจับไม่ได้ นอกจากนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางคล้ายไม่สนใจการปรากฏตัวของขันทีสักนิด

 

 

นั่นก็หมายความว่าในความลับของนายหญิงผู้เฒ่าฟางมีตัวตนของขันทีอยู่

 

 

อย่างไรนางก็ไม่อาจบอกว่าลางสังหรณ์ได้

 

 

แม้ลางสังหรณ์ของนางจะถูกต้องก็ตาม

 

 

คุณหนูจวินเงียบงันไม่พูดจน

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าคนผู้นี้ดื้อดึงยิ่งนัก” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตอนนั้นคนเหล่านั้นจะมานับญาติ เอ่ยวาจาหยามหมิ่น วางแผนจะเอาสินเดิมของพวกเรา บอกว่าอย่างไรก็ไม่มีบุตรชาย ไม่สู้ให้บุตรสาวทั้งหลาย”

 

 

นางพูดถึงอดีตน้อยครั้งนัก พูดพลางหัวเราะ

 

 

“ท่านย่าก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไยพวกเราต้องแต่งลูกสาวออก พวกเรารับลูกเขย บุตรสาวสามคนนี้ของพวกเราก็คือบุตรชายไว้แบ่งสมบัติตระกูล พวกเจ้าละโมบหวังความมั่งคั่งของตระกูลเรา ถ้าอย่างนั้นก็แต่งเข้ามาสิ แต่พวกเราคงต้องเลือกลูกสะใภ้ให้ดีๆ ล่ะนะ”

 

 

“เจ้าพูดอะไร?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยถามขัดนาง

 

 

ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ

 

 

“ลูกสะใภ้เป็นการล้อเล่น ท่านย่าดูถูกพวกเขา รับลูกเขยเป็นรับลูกสะใภ้” นางเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

“ประโยคก่อนหน้า” นางเอ่ย “แบ่งสมบัติตระกูล?”

 

 

เรื่องนี้หรือ ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า

 

 

“ใช่แล้ว เวลานั้นน้องเล็กไม่ใช่…ดังนั้นพวกเราตั้งแต่เล็กล้วนถูกเลี้ยงมาเป็นบุตรชาย กิจการของบ้านต้องมีส่วนร่วม แล้วยังเตรียมรับลูกเขย สมบัติตระกูลรึ ย่อมแบ่งได้เหมือนกัน” นางเอ่ย พูดพลางก็ผิดหวังอยู่บ้างอีก

 

 

ที่แท้เรื่องเหล่านี้นางล้วนยังจำได้ จำได้กระจ่างชัดเจน

 

 

นาทีต่อมาพลันมีมือข้างหนึ่งลูบบนหัวไหล่ของนาง

 

 

นางได้สติกลับมามองดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งตรงหน้า

 

 

“เจ้าจะทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นอย่างระแวง “อย่าจับนู่นจับนี่ข้า ข้าไม่ใช่น้องฮั่นชิงคนนั้นของเจ้านะ”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืดแล้ว

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งเหมือนฮั่นชิงเช่นนั้นได้ไหม?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

 

 

“นั่นก็ต้องดูว่าเรื่องอะไร ข้าไม่ใช่สิ่งใดก็ทำหมดหรอกนะ” นางเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มมองนาง

 

 

“ข้าจะให้เจ้าไปแย่งสมบัติตระกูลของตระกูลฟาง” นางเอ่ย

 

 

แย่งสมบัติตระกูล? ข้ารึ?

 

 

ฟางจิ่นซิ่วอึ้ง

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

บนถนนใหญ่ รถม้าของฟางเฉิงอวี่วิ่งเร็วรี่ เพื่อเร่งความเร็วการเดินทาง พวกเขาลดผู้คุ้มกัน พาไปเพียงม้าที่ไว้ใช้เปลี่ยนอย่างเพียงพอ

 

 

ระหว่างที่ขับเร็วรี่อยู่ ฟางเฉิงอวี่พลันเลิกม่านรถ

 

 

“หยุดก่อน” เขาตะโกน

 

 

คำนี้ทำให้ผู้คนลนลานรีบร้อนวูบหนึ่งหยุด

 

 

“นายน้อย ร่างกายทนไม่ไหวหรือขอรับ?” หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

 

 

สีหน้าฟางเฉิงอวี่ซีดอยู่บ้าง แต่แววตาเป็นประกาย

 

 

“ไม่ต้องรีบเร่งเดินทางแล้ว” เขาเอ่ยพลางกำแถบข้อความแถบหนึ่งในมือ “เดินทางช้าหน่อย”

 

 

หา? ไม่รีบแล้วรึ? แล้วยังจะเดินทางช้าหน่อยอีก?

 

 

ผู้คุ้มกันทั้งหลายมึนงงง

 

 

ถ้าอย่างนั้นที่ตระกูลจะทำอย่างไร?

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ในบ้าน มีพี่สาวทั้งหลายอยู่แล้ว” เขาผายมือเอ่ย เอนกายกลับไปบนรถ พรูลมหายใจโล่งอก “มีพี่สาวทั้งหลายดีจริงๆ”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูอายุน้อยวางแถบข้อความในมือลงแล้วพรูลมหายใจ

 

 

“นางบอกอะไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามอย่างกังวล

 

 

ถึงกับได้จดหมายของคุณหนูจวินกะทันหัน ไม่ได้มอบให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง แต่ส่งให้ฟางอวี้ซิ่วอย่างเป็นความลับ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองนางแล้วผายมือ

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านว่าข้าหน้าตาเหมือนคนเลวหรือไม่?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมึนงง

 

 

“อะไรเล่า” นางเอ่ย “นางด่าเจ้าหรือ?”

 

 

พวกนางไม่ได้ติดต่อกับจวินเจินเจินนานนักแล้วจริงๆ หรือยังจำที่ทะเลาะกันตอนแรกได้อีกรึ?

 

 

ฟางอวี้ซิ่วโยนแถบข้อความเข้าไปในกระถางธูปหอม

 

 

“เป็นคนเลว ต้องสาแก่ใจมากแน่” นางเลิกคิ้วเอ่ย

 

 

………………………

เต๋อเซิ่งชางกับโรงหมอจิ่วหลิงขอบพระทัยพระกรุณาอย่างครึกครื้นอยู่สามวันเต็มๆ

 

 

วิธีระบายความสุขของเต๋อเซิ่งชางเหมือนพ่อค้าทั้งหมดคือการจัดเลี้ยงอาหารโต๊ะยาว โปรยเงินให้ขอทาน เล่นละครที่ศาลเทพเจ้ากวนอู

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงที่นี่ฟางจิ่นซิ่วตัดสินใจแจกยา เพราะความร้อนของฤดูร้อนกำลังร้อนจัด จึงตั้งใจให้คุณหนูจวินปรุงน้ำแกงยาขับร้อนขจัดเคราะห์แจกจ่าย

 

 

ยาของคุณหนูจวินพันตำลึงทองก็ซื้อไม่ได้ ทั้งเมืองหลวงล้วนคึกคักเพราะเรื่องนี้ คนจากต่างถิ่นไม่น้อยได้ข่าวก็เร่งเดินทางมาด้วย

 

 

นี่ทำให้เรื่องที่แดนเหนือของคุณหนูจวินยิ่งแพร่กระจายเช่นกัน

 

 

“ตอนนั้นอยู่ที่เดนเหนือ คุณหนูจวินก็แจกข้าวต้มเช่นนี้”

 

 

“ที่แท้คุณหนูจวินอยู่ที่แดนเหนือเคยทำเรื่องมากมายเช่นนี้เชียวรึ?”

 

 

“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ”

 

 

“คิดไม่ถึงอย่างไร? คุณหนูจวินคนประหนึ่งพระโพธิสัตว์ เห็นประชาชนแดนเหนือทุกข์ยากจะไม่สนได้อย่างไร”

 

 

“เฮ้ย เจ้าพูดผิดแล้ว ตอนนี้ไม่อาจเรียกคุณหนูจวินได้แล้ว ต้องเรียกองค์หญิงซานหยาง”

 

 

“เสี้ยนจู่ไม่น่าฟัง หากเรียกจวิ้นจู่ กงจู่ยังพอเข้าที”

 

 

“คุณหนูจวินค่อยเอามาอีกอันสิ จะยากอะไร”

 

 

บนถนนคุยเล่นหัวเราะกันคึกคักครึกครื้น ส่วนในโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบดุจเดิม ถึงขั้นหนักอึ้งอยู่บ้าง

 

 

“วันนั้นก็เดินทางไปแล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยบอก “เมื่อวานพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม แลกเงินใช้”

 

 

ที่เขาพูดถึงย่อมคือหยวนเป่า

 

 

ตั้งแต่รู้ว่าเหยวนเป่ารั้งอยูในพระราชวัง เต๋อเซิ่งชางด้านนี้ก็ส่งคนจับตาไว้แล้ว ดังนั้นคืนนั้นที่ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินได้รับแต่งตั้งจึงพบว่าหยวนเป่าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว

 

 

“ให้ผลประโยชน์ย่อมเพื่อเอาสิ่งใดไป” คุณหนูจวินเอ่ย “ราชโองการเอาไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นที่เหลืออยู่ก็คือ…”

 

 

นางมองไปทางฟางเฉิงอวี่

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

 

 

“ความลับของท่านย่า” เขาเอ่ย พูดจบก็ยิ้ม “ดังนั้นก่อนมาข้าจึงบอกแล้วว่าในครอบครัวของเราคนที่เป็นอันตรายที่สุดไม่ใช่ข้า เป็นท่านย่า”

 

 

“กำลังคนในบ้านเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่เห็นความกังวลบนใบหน้าของนางจึงรีบยิ้มพยักหน้า

 

 

“ครั้งนี้พวกเราอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ไม่มีทางเหมือนก่อนหน้านี้เช่นนั้นอีกแล้ว” เขาเอ่ย ดวงตาวิบวับคล้ายตื่นเต้น “รอแค่พวกเขาลงมือ”

 

 

“ข้ากลับไปด้วยกันกับเจ้าดีกว่านะ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่รีบส่ายศีรษะ

 

 

“เมืองหลวงขาดคนไม่ได้” เขาเอ่ย “ในเมื่อรู้แล้วว่ารากอยู่ที่เมืองหลวง”

 

 

เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้ทิศทางของวังหลวง

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าย่อมจากไปไม่ได้”

 

 

คุณหนูจวินมองไปยังทิศทางของวังหลวง ในใจรสชาติหลากหลาย ฉีอ๋องคนนี้ ที่แท้ทำเรื่องอะไรลงไป?

 

 

“ของป้องกันตัว ข้าล้วนตระเตรียมให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” นางมองไปหาฟางเฉิงอวี่ “เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วก็หยุด ยื่นมือกอดคุณหนูจวินไว้

 

 

“ไม่อยากไปจากจิ่วหลิงจริงๆ” เสียงเขาน้อยอกน้อยใจทั้งยังอาลัยอาวรณ์

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“จะเป็นการจากลาได้อย่างไรเล่า ข้าอยู่ตลอด” นางเอ่ยพลางตบแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่เบาๆ

 

 

เด็กคนนี้วันนี้สูงกว่านางแล้ว เวลาผ่านไปไวจริงๆ

 

 

อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นอยู่ตลอดแต่ไม่อาจกอดเช่นนี้ได้

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้พูดอะไร เพียงกอดไม่ปล่อย

 

 

นอกประตูเสียงไอหนักๆ ดังมา

 

 

“รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว” จูจั้นเอ่ยพลางถลึงตามองฟางเฉิงอวี่

 

 

คุณหนูจวินยิ้มตบแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่เบาๆ อีกครั้ง

 

 

ฟางเฉิงอวี่กลับยังคงไม่ปล่อยเหมือนเดิม

 

 

“ไม่อยากไป ไม่อยากไป” เขาเอ่ยบอก

 

 

แกล้งเป็นเด็กอะไร หน้าไม่อายจริงๆ จูจั้นเอ่ยด่าในใจ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป” คุณหนูจวินยิ้มบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ตอนนี้ถึงปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปจริงๆ นะ” เขาเอ่ย

 

 

จูจั้นกลอกตา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปยกเลิกทหารกับม้า” เขาบอก

 

 

คนย่อมไม่ได้ไม่ไปจริงๆ รถม้าก็ไม่มีทางยกเลิกเช่นกัน ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ขบวนรถของฟางเฉิงอวี่ก็หายลับไปจากถนนใหญ่

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ริมหน้าต่างบนหอสูงไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน

 

 

“เจ้าก็อย่าเป็นห่วงเกินไปเลย” เสียงของจูจั้นเอ่ยขึ้นเบื้องหลัง “ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องไปทำ”

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง

 

 

“ไม่ได้เป็นห่วง” นางพูดพลางหมุนตัว “แค่รู้สึกว่าค่อนข้างไม่ง่าย”

 

 

“คนมีชีวิตอยู่เดิมทีก็ไม่ง่าย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ใครๆ ล้วนเหมือนกัน”

 

 

คุณหนูจวินเอียงศีรษะเล็กน้อยครุ่นคิด

 

 

“ก็ถูก คนที่ต้องการทำร้ายคนเหล่านั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม่สำเร็จก็ค่อนข้างไม่ง่ายเหมือนกัน” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

วาจาอันใด! จูจั้นทนแล้วทนอีก

 

 

“ดูท่าทางทำเป็นเล่นนี่ของเจ้าสิ” ในที่สุดเขาก็อดกลั้นจนอดไม่ได้เอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า ไพล่มือหลังร่างส่ายอาดๆ จากไป

 

 

จูจั้นอยู่ข้างหลังฉีกปากยิ้มแล้วรีบกลั้นไว้ ส่ายอาดๆ ตามไปเบื้องหลังด้วย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ยามราตรีมาเยือน โคมไฟในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางสว่าง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายยืนนิ่งอยู่ในเรือน

 

 

นางหยวนก้าวเข้ามาในห้อง ชะเง้อมองไปข้างนอกอย่างระมัดระวังอีกหน

 

 

“เจ้าทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอยู่ข้างใน

 

 

หยวนซื่อตกใจอยู่บ้างรีบหมุนตัวมา

 

 

“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” นางตอบ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง

 

 

“หากที่นี่ก็ระวังเช่นนี้ไปด้วย ถ้าเช่นนั้นช้าเร็วพวกเราคงตายก่อน ไม่ต้องให้ผู้อื่นลงมือ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

หยวนซื่อกระอักกระอ่วน

 

 

จดหมายจากเมืองหลวงส่งมาแล้ว ฟางเฉิงอวี่เตือนว่านายหญิงผู้เฒ่าฟางอาจมีอันตราย เรื่องที่ตอนนั้นท่านปู่กับท่านพ่อถูกทำร้ายอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ตระกูลฟางหลายวันนี้จึงเริ่มระวัง

 

 

ความจริงตั้งแต่เริ่มจัดการผู้ดูแลใหญ่ซ่งตระกูลฟางก็ระวังมากมาตลอด

 

 

จนกระทั่งถึงวันนี้หากยังมีคนแทรกซึมเข้ามาในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางได้อีก นั่นก็น่าขำเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

“ข้าก็แค่กังวลเล็กน้อย” นางเอ่ยบอก

 

 

“กังวลอะไร” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินอกมาจากข้างใน ส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น “พวกเขาคิดมากไปแล้ว”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเคร่งขรึมก้าวเข้ามาประคองนาง

 

 

“ท่านแม่ นี่ไม่อาจไม่คิดมากได้นะเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงเบา “ฮ่องเต้เก็บราชโองการของตระกูลเรากลับคืนไปแล้ว”

 

 

“เฉิงอวี่พูดถูกต้อง ราชโองการอันนั้นอยู่ในมือพวกเราขัดตาเกินไปจริงๆ ไม่ใช่ลาภแต่เป็นเคราะห์” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยอย่างไม่ใสใจอยู่บ้าง

 

 

“อีกอย่าง พวกเขาพูด เรื่องขันทีคนหนึ่ง” นายหญิงใหญ่ฟางไตร่ตรองแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

 

อย่างไรเรื่องที่หยวนเป่าทำ คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ล้วนไม่รู้ รู้เพียงเรื่องผู้ดูแลใหญ่ซ่งครั้งนั้นที่เขาเคยปรากฏตัว ทั้งยังปลอมตัว ได้แต่คาดเดาเอ่ยเตือน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“เรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวล” นางเอ่ยบอก

 

 

ตั้งแต่ได้รับจดหมายของเฉิงอวี่ พวกนางล้วนกังวลยิ่ง แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกลับคล้ายไม่สนใจเช่นนั้น เหมือนคิดอะไรอยู่แล้วก็เหมือนเหม่อลอย

 

 

นี่ก็คงเกี่ยวข้องกับความลับที่มีนางเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนั่นกระมัง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถอนหายใจในใจ

 

 

หวังเพียงครั้งนี้คุณหนูจวินกับเฉิงอวี่จะเห็นเงาคันศรในแก้วเป็นงู

 

 

ค่ำคืนยาวนานนักแล้วก็สั้นนัก หนึ่งวันผ่านไปอีกหน นายหญิงใหญ่ฟางมองพวกฟางอวิ๋นซิ่วพี่น้องแจ้งบัญชีไปพลาง คำนวณว่าฟางเฉิงอวี่เดินทางไปถึงที่ไหนไปพลาง

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ผู้ดูแลใหญ่เกามาเจ้าค่ะ” นางหยวนเข้ามาเอ่ยขึ้น สีหน้ากังวล “บอกว่ามีแขกต้องการพบนายหญิงผู้เฒ่า”

 

 

เวลานี้พบแขก?

 

 

เป็นสหายมาจากแดนไกลหรือผู้มาที่ไม่หวังดี?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พบแขกมานานแล้ว นับประสาอะไรยิ่งเป็นตอนนี้

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าจะพบ” นางหยวนเอ่ยอยางเคร่งเครียดวิตก “เตรียมออกจากบ้านไปร้านแลกเงินแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถึงกับยังจะออกไปข้างนอก

 

 

นี่เป็นแขกสำคัญคนใด?

 

 

“ข้าจะไปดูสักหน่อย” นายหญิงใหญ่ฟางรีบเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองนายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนเคร่งเครียดเดินออกไป จากนั้นมองไปทางฟางอวี้ซิ่วอย่างเคร่งเครียดอยู่บ้างด้วย

 

 

“ในบ้าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางอวี้ซิ่งพลิกสมุดบัญชี

 

 

“ในบ้าน ไม่ใช่มีเรื่องอยู่ตลอดหรือ?” นางศีรษะก็ไม่เงยขึ้นเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะส่ายศีรษะ

 

 

เอาเถอะ เป็นเช่นนี้จริงๆ นางก้มศีรษะอ่านสมุดบัญชีต่อเช่นกัน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านแม่ มีใครมาก็มาพบที่บ้านเถอะเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ฟางนั่งอยู่บนรถก็ยังคงเอ่ยกล่อม “ร้านแลกเงินคนมากไม่ปลอดภัย”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“ก็เพราะคนมากถึงปลอดภัย” นางว่า “เขามาพบข้าที่ร้านแลกเงิน ไม่ใช่สถานที่อื่นถึงจะถูกต้อง

 

 

เขา

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขมดวคิ้ว

 

 

“ท่านแม่ เขาคนนี้คือใครเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“พ่อค้าคนหนึ่ง” นางเอ่ย ในมือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำหยกสลักรูปผีซิว[1]ตัวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งไว้

 

 

นี่เป็นสิ่งที่พ่อค้าคนนั้นฝากผู้ดูแลใหญ่เกาส่งมาเมื่อครู่

 

 

หยกสลักชิ้นนี้ นางก็มีชิ้นหนึ่งเช่นกัน ครั้งนั้นรับมาจากมือสามีด้วยกันกับราชโองการ

 

 

……………………………………….

 

 

ตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งไปยังร้านแลกเงิน ฟางเฉิงอวี่ยังคงอยู่ระหว่างทาง

 

 

เขาปฏิเสธการต้อนรับจากจวนขุนนางระหว่างทาง ตั้งใจจะนำลายพระหัตถ์ล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทานส่งไปถึงหน้าหิ้งบรรพบุรุษให้เร็วที่สุด นี่ก็เป็นสาเหตุที่สมเหตุสมผล ขุนนางทั้งหลายไม่อาจขวาง

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินทางทั้งวันทั้งคืน ในเวลาเดียวกันข่าวของหยางเฉิงก็ไม่ขาด

 

 

หยวนเป่ายังคงเก็บซ่อนร่องรอย ไม่ได้ปรากฏตัวที่หยางเฉิง

 

 

ตระกูลฟางสงบเงียบ ไม่มีการลอบฆ่าลอบสังหาร กระทั่งขโมยเล็กขโมยน้อยลูบคลำแตะต้องสักครั้งก็ไม่มี

 

 

แต่ไม่มีข่าวก็คือข่าวดีไหม?

 

 

ฟางเฉิงอวี่วางสารมากมายในมือลง

 

 

คิดผิดแล้วหรือไม่?

 

 

ไม่ได้ต้องการสังหารนายหญิงผู้เฒ่าฟางให้ความลับกลายเป็นความลับ?

 

 

ถ้าเช่นนั้นยังมีสิ่งใด?

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น

 

 

หรือว่าจะเป็น ตัวความลับเอง?

 

 

……………………………………….

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ด้านนี้ขอรับ” ผู้ดูแลเกานำทางอย่างนอบน้อม ชี้ห้องรับแขกห้องหนึ่งของเต๋อเซิ่งชาง

 

 

นี่คือห้องที่ธรรมดายิ่งของเต๋อเซิ่งชาง คนค้าขายทั้งหมดที่มาล้วนจะต้อนรับที่นี่

 

 

แม้เป็นพ่อค้าคนนี้ แม้นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาพบด้วยตนเอง การต้อนรับอื่นๆ ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ

 

 

“ท่านแม่ ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยอีกครั้ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยกมือห้ามไว้ นายหญิงใหญ่ฟางไม่กล้าขัด ได้แต่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินเข้าไปเอง

 

 

ประตูถูกดึงเปิดแล้วปิดลง ในห้องคนที่นั่งอยู่ได้ยินพลันเงยศีรษะขึ้น

 

 

นี่คือชายวัยกลางคนหน้าตาเป็นมิตรอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่ง เหมือนพ่อค้าทั้งหลาย สวมชุดผ้าไหม ยังไม่พูดก็ยิ้มก่อน

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง” เขาลุกขึ้นประสานมือคำนับ “นับถือมานาน นับถือมานาน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขาด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง

 

 

“ทำการค้ากันมานานเช่นนี้เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก ” นางคำนับแล้วเอ่ยขึ้น เงยศีรษะอีกหนลังเลอยู่นิดหนึ่ง “ไม่ทราบเรียกขานว่ากระไร?”

 

 

ทำการค้ากันมานานเช่นนี้ กลับไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเรียกขานว่าอย่างไร นี่เป็นบทสนทนาที่ประหลาดอยู่บ้างจริงๆ

 

 

ชายวัยกลางคนแย้มยิ้มเป็นมิตร

 

 

“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ข้าเพียงมาทำธุระ นายหญิงผู้เฒ่ารู้ว่าเจ้านายของพวกเราเป็นผู้ใดก็เพียงพอแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้มศีรษะขานรับ สองมือประคองหยกสลักในมือส่งกลับไป

 

 

“ไม่ทราบมีคำสั่งอันใด?” นางเอ่ย่ถาม “ต้องมาด้วยตนเอง?”

 

 

ชายวัยกลางคนยื่นมือรับมา

 

 

“เป็นเช่นนี้ เจ้านายไม่คิดทำการค้านี้แล้ว” เขาเอ่ยตรงไปตรงมายิ่ง

 

 

“เป็นเช่นนี้อย่างที่คิด” นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ผิดคาดอันใด พยักหน้า

 

 

“แต่นายหญิงผู้เฒ่าวางใจ การค้าของพวกท่านควรทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น” ชายวัยกลางคนอมยิ้มเอ่ย “พวกเราเพียงเก็บเงินทุนที่เหลือคืน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานรับ

 

 

“ท่านต้องการเมื่อไร?” นางเงยศีรษะเอ่ยถาม

 

 

ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ยิ่งเร็วยิ่งดี” เขาเอ่ย

 

 

………………………

ราชโองการของตระกูลฟางเป็นการคงอยู่ที่ประหลาดนัก

 

 

ที่มาไม่ทราบ เนื้อความก็แปลกประหลาด

 

 

ตระกูลฟางไม่ใช่ขุนนางฝ่ายพลเรือนไม่ใช่แม่ทัพทหาร ไม่ใช่พระญาติเชื้อพระวงศ์หรือบรรพบุรุษสร้างความชอบ ราชโองการก็ไม่ได้เขียนว่าเรื่องใดกระทำการใด เพียงประโยคเดียวดุจองค์เองเสด็จ เนื้อความนี่ประหนึ่งสารเหล็กอักษรแดง[1]

 

 

นั่นเป็นถึงดุจองค์เองเสด็จที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้เชียวนะ หากเวลานี้มือฟางเฉิงอวี่ถือราชโองการ ไม่ต้องพูดถึงพบโอรสสวรรค์ไม่ต้องคุกเข่า แม้ให้ฮ่องเต้ไปทำเรื่องบางอย่าง ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปฏิเสธ

 

 

ของเช่นนี้ย่อมทำให้ฮ่องเต้วิตก วิตกจนถึงขั้นต้องออกปากแย่ง

 

 

แน่นอนการแย่งชิงของฮ่องเต้อ้อมค้อมยิ่ง นับราชโองการของอดีตฮ่องเต้เป็นลายพระหัตถ์ล้ำค่า เช่นนี้จึงอ้างชื่อความกตัญญูเป็นห่วง แล้วพระราชทานลายพระหัตถ์ล้ำค่าของฮ่องเต้อีกอันหนึ่งให้ ย่อมสมเหตุสมผลเปี่ยมเมตตาทรงคุณธรรมจริงๆ

 

 

ดูซิเจ้าจะเลือกอย่างไร จะสำนึกในพระกรุณาธิคุณหรือไม่รู้จักความหวังดีไร้เมตตาไร้คุณธรรม

 

 

วาจาของฮ่องเต้เพิ่งจบ ฟางเฉิงอวี่พลันคุกเข่าลงดังตึก

 

 

“ผู้น้อยได้รับอักษรพระราชทานสองครั้งจากอดีตฮ่องแต้และฝ่าบาทได้ เป็นบุญของสามชาติโดยแท้” เขาเอ่ย พลางเอาม้วนสารเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ทูนขึ้นสูง “ลาภยศครานี้หนักเกินไป ผู้น้อยขอให้ฝ่าบาทรับลายพระหัตถ์ล้ำค่าของอดีตฮ่องเต้กลับคืนด้วย”

 

 

ฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย คุณหนูจวินก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

หลังฟางเฉิงอวี่เข้าเมืองหลวง คุณหนูจวินก็มอบราชโองการให้เขาแล้ว ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้เกรงใจรับไป คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับพกเข้าวังมาด้วย

 

 

นอกจากนี้ยังถวายไปอย่างเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้

 

 

ตอนนี้ไม่ว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ดีหรือรู้สถานการณ์ก็ดี เอากลับมาก่อนค่อยว่ากัน

 

 

ฮ่องเต้สีพระพักตร์วิตกอยู่บ้าง

 

 

“นี่ นี่ไม่ดีกระมัง” พระองค์รีบลุกขึ้น อย่างไรที่เผชิญหน้าอยู่ก็คือราชโองการของอดีตฮ่องเต้ “นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้พวกเจ้า ข้าจะเก็บกลับคืนได้อย่างไร?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองฮ่องเต้ สีหน้าจริงใจ

 

 

“ฝ่าบาท ข้าอายุน้อยไม่ค่อยเข้าใจหลักคุณธรรมยิ่งใหญ่อันใด ท่านย่ามักบอกพวกเราว่าเป็นคนไม่อาจละโมบเกินไป” เขาเอ่ยด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่บ้าง “อดีตฮ่องเต้พระราชทานราชโองการแก่ตระกูลของพวกเรา เป็นรางวัลสำหรับพวกเรารวมถึงเพื่อให้ตระกูลของเรามีชีวิตที่ดี ตอนนี้ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลแก่พวกเราด้วย ต้องการให้ตระกูลของพวกเรามีชีวิตที่ดีเช่นกัน ข้าคิดว่าต้องการอันเดียวก็เพียงพอแล้ว”

 

 

เป็นคำพูดของเด็กน้อยจริงๆ ฮ่องเต้สรวลแล้ว แต่คำพูดของเด็กถึงเป็นความจริง

 

 

เป็นคนไม่อาจละโมบเกินไปได้จริงๆ

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะตรัส “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรับลายพระหัตถ์ล้ำค่าของอดีตฮ่องเต้กลับมาดูแลรักษา”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ค้อมกายโขกศีรษะ

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ม้วนสารในมือทูนขึ้นสูง

 

 

คุณหนูจวินก็ค้อมกายคุกเข่าตามด้วย ปลายหางตามองขันทีรับราชโองการในมือฟางเฉิงอวี่ไป

 

 

ของที่ทำให้คนตะลึงยินดีและหวาดกลัวชิ้นนี้ก็จากตระกูลฟางไปตรงนี้แล้ว การมาของมันไม่รู้ว่าเป็นลาภหรือเป็นเคราะห์ การจากไปของมันก็ไม่รู้ว่าเป็นลาภหรือเป็นเคราะห์เช่นกัน

 

 

ทว่าลาภเคราะห์แต่ไหนแต่ไรล้วนเคียงคู่กัน ในเมื่อมาแล้วก็ปรับตัวตามเถิด คุณหนูจวินหลุบตา

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” นางโขกศีรษะเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

“ทำไมเจ้าพกราชโองการมาด้วยได้?”

 

 

เมื่อออกจากตำหนักของฮ่องเต้ เดินออกจากพระราชวัง ขันทีที่มาส่งหลังร่างจากไปแล้ว คุณหนูจวินถึงเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

“คาดเดาล่วงหน้าถึงเรื่องนี้หรือ?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เขยิบเข้ามาใกล้นางอีก

 

 

“ไม่ใช่” เขาเอ่ยเสียงเบา “เขาเพียงคิดระวังเผื่อไว้”

 

 

คุณหนูจวินเกือบหลุดหัวเราะ

 

 

ที่แท้ไม่ใช่ซาบซึ้งเคารพฮ่องเต้มากมายอะไร แต่ระวังไว้สินะ

 

 

คำนี้ไม่เคารพอย่างมากแล้ว

 

 

คุณหนูจวินมองฟางเฉิงอวี่

 

 

ออกจากหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างรวมถึงเกร็งเล็กน้อยเหมือนเดิม

 

 

แต่มองทะลุดวงตาใสกระจ่างนั่นของเขา คุณหนูจวินรู้เขาไม่มีความตื่นเต้นประหม่าสักนิด มาถึงเบื้องหน้าเจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์ที่นี่กลับไม่มีความตื่นเต้นประหม่าย่อมหมายความว่าไร้ความเคารพยำเกรง

 

 

เพราะตั้งแต่เล็กเขาใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกจึงไม่รู้จักเคารพยำเกรง หรือเพราะสิ่งอื่นอันใด?

 

 

ฟางเฉิงอวี่รู้สึกถึงสายตาของนาง ยิ้มให้นางทีหนึ่ง

 

 

“จิ่วหลิง ข้าเป็นคนที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง” เขาเอ่ย “ตายมาครั้งหนึ่งแล้ว รู้ว่าความตายน่ากลัวเพียงไร ฉะนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดน่ากลัวอีกแล้ว”

 

 

ก็ใช่ แม้อายุยังน้อย แต่ความทุกข์ที่ได้รับมามากกว่าคนที่ใช้ชีวิตมานานมากยิ่งนัก ไม่ว่าด้านร่างกายหรือในด้านจิตใจ

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือตบแขนเขาเบาๆ

 

 

“ที่จริงเจ้าไม่เอาออกมาก็เป็นไร” นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าตัดใจได้เช่นนี้เชียว?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่คล้ายประหม่าอยู่บ้าง

 

 

“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ ราชโองการนี่ก็คือบัญชาของฮ่องเต้สินะ” เขาเอ่ยเสียงเบา “ฮ่องเต้มีใจจะพระราชทานให้ถึงมีบัญชานี้ หากฮ่องเต้มีใจจะเก็บกลับคืน ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมสูญความหมายของมันไปแล้ว”

 

 

เขามองคุณหนูจวิน

 

 

“ของที่ไม่มีความหมาย เก็บไว้ไม่คืน ไม่ใช่ลาภ แต่เป็นภัยร้าย”

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“เจ้านี่ไม่ใช่ไม่เข้าใจ” นางเอ่ย “เจ้าเข้าใจมากเกินไปแล้ว”

 

 

เพราะได้รับคำชมของนาง บนหน้าฟางเฉิงอวี่จึงแย้มรอยยิ้ม

 

 

“ตระกูลฟางมีบุตรเช่นนี้อย่างเจ้า ช่างเป็นบุญจริงๆ” คุณหนูจวินถอนหายใจเอ่ยอีกหน

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ

 

 

“น่าจะเป็นตระกูลฟางมีจิ่วหลิงถึงเป็นบุญโดยแท้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่มีเจ้า ไหนเลยจะมีข้า?”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“ผู้อื่นช่วยเหลือเพียงเพลาเดียว คนเป็นคนอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับตนเอง” นางเอ่ยพลางตบเบาๆ บนศีรษะของฟางเฉิงอวี่ “ไม่ต้องเอ่ยคำหวานฉอเลาะแล้ว ที่เจ้าเป็นเจ้า ก็เพราะเจ้าไม่ใช่เพราะผู้อื่น”

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักพยักหน้า

 

 

“ได้สิ จิ่วหลิงพูดถูกต้อง” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง ฉับพลันรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมา รอยยิ้มของนางชะงัก พร้อมกันนั้นในสายตาก็ปรากฏเงาร่างสีแดงร่างหนึ่ง

 

 

นอกพระราชวัง องครักษ์กับองครักษ์เสื้อแพรยืนนิ่ง ลู่อวิ๋นฉีอยู่เบื้องหลังร่างพวกเขาไม่กลืนหายไป แต่ยังคงสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

 

ทั้งสองสบสายตากัน แม้ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตากลับลึกล้ำเป็นพิเศษ

 

 

นี่ไม่ใช่สอดส่อง แต่เป็นจับจ้อง

 

 

 สอดส่องก็ดี จับจ้องก็ดี นางมีสิ่งใดต้องหวาดกลัว? คุณหนูจวินมองเขาไม่หลบ

 

 

ทว่ามีคนก้าวตัดมายืนกั้นสายตาของทั้งสองคน

 

 

“มองอะไร!” จูจั้นมองลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

สายตาของลู่อวิ๋นฉีมองเขา

 

 

“ตอนนี้ ยังมองไม่ได้หรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

ตอนนี้? ตอนนี้คุณหนูจวินไม่ใช่ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว

 

 

จูจั้นทราบความหมายของเขา

 

 

“ไม่ได้” เขายังคงตอบ

 

 

“เหตุผลเล่า?” ลู่อวิ๋นฉีถาม

 

 

“ข้าไม่ให้เจ้ามอง” จูจั้นมองเขาพลางยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้น “เหตุผลนี่ได้ไหม?”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

 

 

“ได้” เขาเอ่ยนิ่งๆ “ตามใจท่านชาย”

 

 

ผู้อื่นรักจะคิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น เกี่ยวข้องอันใดกับเขาลู่อวิ๋นฉี คนที่ไม่อยากให้เขายึดทรัพย์ทำลายตระกูลมากไป แล้วอย่างไร?

 

 

จูจั้นมองเขา สองคนไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

 

 

“จูจั้น” คุณหนูจวินเอ่ยเรียก

 

 

ตอนนี้จูจั้นถึงหันหน้ามองมา

 

 

“ไปเถอะ” คุณหนูจวินส่ายศีรษะนิดหนึ่งเอ่ยกับเขา

 

 

“พวกเจ้าไปก่อนเถอะ” จูจั้นไพล่มือยืนไม่ขยับเอ่ยบอก “คนที่มารับพวกเจ้าล้วนอยู่ข้างนอกแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินมองไปทางสุดปลายถนนเสด็จพระราชดำเนิน ด้านนั้นศีรษะผู้คนอออยู่ มีคนมองเห็นนางแล้ว เสียงร้องตะโกนดังขึ้นทันที

 

 

“คุณหนูจวินออกมาแล้ว!”

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ บนถนนเสด็จพระราชดำเนินก็อึกทึกขึ้นมา แล้วยังมีฆ้องกลองโหมประโคม

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้าให้จูจั้น ไม่พูดอีก มุ่งไปหาความครึกครื้นกับฟางเฉิงอวี่ พวกผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงพาคนมารับแล้ว คลี่ม้วนสารที่ประคองอยู่ในมือฟางเฉิงอวี่ออก แขวนผ้าแดงผ้าสี ประดับไว้บนเกี้ยวงดงามแบกไปข้างหน้า

 

 

“ฝ่าบาทพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น!”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เสียงอึกทึกด้านนอกฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในพระราชวังไม่ได้ยินแล้วก็ไม่สนใจ

 

 

เขามองราชโองการที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วพรูลมหายใจยาว

 

 

“ในที่สุดก็เอากลับมาแล้ว” พระองค์ตรัส มือลูบม้วนกระดาษสีเหลือง สีหน้าโล่งอกอย่างยิ่ง แล้วยังมีความเบิกบานอยู่บ้างด้วย “เอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาด้วย ตระกูลฟางก็ไม่ต้องมีอยู่แล้ว”

 

 

พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นมองไปในตำหนัก

 

 

“หยวนเป่า”

 

 

ได้ยินเสียงเรียก ขันทีหยวนเป่าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดในตำหนักออกมาทันที

 

 

“เจ้าไปเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

หยวนเป่าก้มศีรษะขานรับ

 

 

…………………

ยามท้องฟ้าสว่างขมุกมัว คุณหนูจวินเดินออกจากประตู ในลานคนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่แล้ว     “จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ผละออกจากหมู่คนเดินเข้ามา กางแขนออกให้นางดู “เจ้าดูข้าแต่งตัวเช่นนี้ได้ไหม?”     อาภรณ์สีไพลิน รัดเกล้าสีขาว เอวห้อยเครื่องประดับทองคำ รองเท้าใต้เท้าลายเมฆดำทอง วิบวับจนคนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็แปลกที่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าขัดตาน่าอาย     จูจั้นสีหน้าดูแคลนสายตาจับบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่     เด็กหนุ่มหน้าขาวประหนึ่งหยก แย้มยิ้มดั่งแสงดารา     อาภรณ์หรูหราเพียงไรใต้รอยยิ้มนี้ล้วนหม่นหมองจืดจาง     จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้าของตน ปากพึมพำประโยคหนึ่งว่าตนเองล้วนไม่รู้ว่าเป็นอะไร จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างคุณหนูจวินแล้ว     คุณหนูจวินยิ้มพินิจฟางเฉิงอวี่อย่างตั้งใจ     “นี่ไม่ใช่เมื่อวานเลือกไว้เรียบร้อยแล้วรึ?” จูจั้นกระแอมเบาๆทีหนึ่ง “เปลี่ยนอีกก็ไม่ทันแล้ว”     ฟางเฉิงอวี่ขานอืมทีหนึ่ง ท่าทางขออภัยและไม่สบายใจอยู่บ้าง     “ข้าเข้าวังพบฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กังวลอยู่บ้าง พี่ชายอย่าหัวเราะข้า” เขาเอ่ย     “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นะ” คุณหนูจวินปลอบ     จูจั้นกระตุกมุมปาก     “ข้าไหนเลยจะกล้าหัวเราะเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น     “เอาล่ะ เสื้อผ้าดีมาก ไม่ต้องกังวล” คุณหนูจวินบอก     ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเชิญคุณหนูจวินมาพูดจา เต๋อเซิ่งชางมีวิธีฉลองของเต๋อเซิ่งชาง ความหมายของฟางจิ่นซิ่วก็คือโรงหมอจิ่วหลิงย่อมต้องมีเช่นกัน ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงเชิญนางตรวจทานอีกรอบหนึ่ง รอออกมาจากพระราชวังชาวบ้านทั้งหลายต้องล้วนได้รับข่าวเร่งเดินทางมาแน่นอน     จูจั้นเห็นคุณหนูจวินเดินไปย่อมจะติดตาม     “พี่ชาย” ฟางเฉิงอวี่ดึงแขนเสื้อเขาไว้     จูจั้นหันกลับมามองเขา     “อะไร?” เขาเอ่ยถาม     ฟางเฉิงอวี่มองเขาแล้วยิ้มอย่างขลาดๆ     “ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้มีสิ่งใดต้องระวังบ้าง” เขาเอ่ยขึ้น     “เมื่อวานคนจากกรมพิธีการกับขันทีไม่ได้บอกเจ้าแล้วรึ?” จูจั้นตอบ     “ข้ากังวล กลัวจำผิด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น     “เจ้าไม่ต้องกังวล มีนางอยู่ ทำตามนางก็พอแล้ว” จูจั้นเอ่ยขึ้น ยกเท้าจะไป     ฟางเฉิงอวี่จับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย     “จิ่วหลิงเป็นสตรี ไม่เหมือนบุรุษอย่างพวกเรา ข้าฟังพี่ชายวางใจกว่า” เขาเอ่ยจริงจัง “พี่ชายท่านไปวังหลวงบ่อยๆ กับฝ่าบาทก็คุ้นเคย”     จูจั้นพรูลมหายใจ หมุนร่างมามองเขา     “นายน้อยฟาง” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามายุ่งกับข้าทำอะไร?”     ฟางเฉิงอวี่มองเขา     “ท่านให้ข้าทำเช่นนี้เองนะ” เขาเอ่ยตอบตามตรง “พี่ชายท่านลืมแล้วรึ?”     เขาเคยพูดหรือ? จูจั้นกลัดกลุ้มวูบหนึ่ง     เอาเถอะ เขาเคยพูดจริงๆ     “นั่นไม่ถูกต้องสิ” เขาเอ่ย “ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้าเสียหน่อย”     ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ     “ข้ารู้ แต่ทำขึ้นมาไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “อยากให้จิ่วหลิงไม่กวนท่าน วิธีที่เหมาะที่สุดไม่ใช่ยุ่งกับนาง แต่ยุ่งกับท่าน จิ่วหลิงเป็นคนมีมารยาทมาก เห็นท่านยุ่งอยู่ นางก็ไม่มีทางมารบกวนท่านแล้ว”     พูดพลางกุมมือยิ้ม     “พี่ชาย เรื่องที่ท่านสั่งข้า วางใจเถอะ”     บัดซบ ! จูจั้นถลึงตา เจ้าหนูนี่!     เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง เค้นรอยยิ้มจางๆออกมา ยื่นมือตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่     “สหายน้อย เรื่องนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นมีเรื่องเล็กน้อยดังนั้นต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ช่างมันเถิด”     ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ     “ช่างมันเถิดได้อย่างไรเล่า” เขาเอ่ย “พี่ชายนี่ท่านดูถูกข้า ข้าฟางเฉิงอวี่แม้ไม่มีความสามารถอื่น แต่ก็รู้ว่าลูกผู้ชายชายชาตรีวาจาเอ่ยไปแล้วสี่อาชายากตาม เรื่องที่ข้าตกลงแล้วไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด”     เจ้าร้ายกาจ! จูจั้นมองเขาแล้วพยักหน้า เจ้าหนูความสามารถอื่นไม่มี ความสามารถในการเสแสร้งแกล้งโง่ไม่เลวจริงๆ     ฟางเฉิงอวี่มองเขา สีหน้าจริงใจพยักหน้าเช่นกัน     ทั้งสองคนกำลังแววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คุณหนูจวินก็เดินเข้ามาแล้ว     “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” นางเอ่ยถาม     ฟางเฉิงอวี่กำลังจะเอ่ยคำพูดพลันถูกจูจั้นตบหัวไหล่     “ไม่มีอะไร ข้าจะบอกเขาเรื่องที่ต้องระวังตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท” เขาเอ่ยบอก     คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย     “ท่านพอเถอะ แบบท่านเขาเอาอย่างไม่ได้หรอก” นางเอ่ยพลางกวักมือให้ฟางเฉิงอวี่ “มา พวกเราควรไปแล้ว”     ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเดินเข้าไปทันที     “ขอบคุณพี่ชาย” เขาไม่ลืมเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท     จูจั้นขานอืม มองคุณหนูจวิน     “แบบข้าเป็นอย่างไร” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง     “แบบท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มพลางเหล่มองเขาทีหนึ่ง     ร้ายกาจรึ? เขาพบกับฮ่องเต้หลายครั้งเช่นนี้ย่อมคิดว่าผลงานค่อนข้างร้ายกาจจริงๆ     จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม จากนั้นรีบเม้มไว้     คุณหนูจวินยิ้มพลางจูงฟางเฉิงอวี่ไปด้านนอกแล้ว     หากนางพูดจาดีๆ ก็ดีเอาการ จูจั้นคิด แม้ในใจคิดขึ้นแวบหนึ่งว่าก่อนหน้านี้นางก็พูดจาเช่นนี้ แต่ดูแล้วไม่ปกติ ทว่าความคิดเรื่องนี้ถูกเขาโยนทิ้งไปหลังสมองทันที     ก็บอกแล้วว่าจะคุ้นชินกับตอนนี้ไหม เรื่องเหล่านั้นก่อนหน้านี้ย่อมไม่ต้องใส่เข้ามาแล้ว     จูจั้นกระแอมเบาๆ สองที เหยียดหลังตรงก้าวเท้าติดตาม     ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามา     “เฮ้อ พี่ชายอย่าส่งเลยแล้วก็อย่าตามด้วย” เขาว่า “ข้าเป็นห่วงว่าท่านตามเช่นนี้ถูกคนเห็นเข้าจะไม่ดีกับท่าน”     เจ้าเด็กเวรนี่! ร้ายเกินไปแล้วจริงๆ !     จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อหยุดเท้า     ตอนนี้ไม่มีฐานะสามีภรรยาหลอกๆ แล้ว เข้าออกด้วยกันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีกับเฉิงกั๋วกงง่ายจริงๆ     คุณหนูจวินหันหน้ากลับมา     “ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นางยิ้มเอ่ย     จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองพวกเขาเดินออกไป     ดังนั้นเขาถึงไม่ชอบเด็กสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเปรต     ……………………………………….     ……………………………………….     ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยชอบเด็กนักเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นเกินไป     ตอนนี้เวลานี้เห็นคุณหนูจวินค้อมกายคารวะในตำหนัก ขันทีด้านข้างถือหนังสือพระราชทานรางวัลไว้     หลังสตรีคนนี้เข้ามา ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส ไม่ตัวสั่นสักนิด ต่อให้เผชิญหน้ากับตนคารวะฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์คนนี้กริยาก็ไม่หวาดกลัวสักนิดเช่นกัน     บางทีอาจเพราะครั้งก่อนเคยมากระมัง     คิดถึงครั้งก่อน สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง     ครั้งก่อนนางได้รับพระราชทานรางวัลเพราะปลูกฝีชื่อเสียงเลื่องลือ นี่เพิ่งเว้นมาหนึ่งปีกว่า นางก็ชื่อเสียงเลื่องลืออีกหน นอกจากนี้ได้พระราชทานยศเสี้ยนจู่     สตรีคนนี้ร้ายกาจพอตัวทีเดียว     ด้วยความเร็วนี่ ปีหน้าไม่แน่ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก หลังจากนั้นต้องแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงยศจวิ้นจู่     ฮ่องเต้พิงกลับไปบนพนักเก้าอี้     ไม่อาจให้โอกาสนี้แก่นางได้แล้ว     “ไม่ต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” พระองค์อมยิ้มตรัสอย่างอ่อนโยน     คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่คารวะขอบคุณอีกครั้งจึงลุกขึ้น     ขันทีคนหนึ่งส่งรางวัลพระราชทานของของคุณหนูจวินมาก่อน คุณหนูจวินรับไว้แล้ว ขันทีอีกคนหนึ่งถึงก้าวเข้ามาส่งรางวัลพระราชทานบนอีกถาดหนึ่งให้ฟางเฉิงอวี่     “อีกอย่าง ข้าเขียนอักษรผืนหนึ่งให้เต๋อเซิ่งชางด้วย” ฮ่องเต้อมยิ้มตรัส     ได้อักษรพระราชทานจากฮ่องเต้ นั่นย่อมยิ่งกว่าราชโองการ     ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินคารวะขอบคุณอีกครั้ง     ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้พวกนางลุกขึ้น ขันทีสองคนกางม้วนกระดาษอันหนึ่งออก อักษรใหญ่สีทองเขียนว่าตระกูลผู้สั่งสมบุญ     ฟางเฉิงอวี่สีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง     “ท่านย่าเห็นต้องเบิกบานใจแน่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือจะรับไป     ฮ่องเต้พลันตบพนักแขนนิดหนึ่ง คล้ายคิดถึงเรื่องอะไรได้     “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พระองค์ตรัส     ฟางเฉิงอวี่หยุดร่าง ทิ้งมืออย่างเคารพ ยืนตรงขานรับ     “ราชโองการนั่นที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่ตระกูลเจ้าใช้ไม่ค่อยสะดวก วันนี้ข้ามอบสิ่งนี้แก่พวกเจ้า สะดวกแก่การแขวนไว้ให้ผู้คนรับรู้มากกว่า และเหมาะสมยิ่งกว่า” ฮ่องเต้ตรัส พระพักตร์แย้มสรวล     เหมาะสมยิ่งกว่านี่ หมายความว่าราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไม่เหมาะสมแล้ว     ราชโองการเดิมหรือ     คุณหนูจวินมองรางวัลพระราชทานที่ถืออยู่ในมือ อย่างที่คิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้เปล่าๆสินะ     ………………………

ยามท้องฟ้าสว่างขมุกมัว คุณหนูจวินเดินออกจากประตู ในลานคนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่แล้ว     “จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ผละออกจากหมู่คนเดินเข้ามา กางแขนออกให้นางดู “เจ้าดูข้าแต่งตัวเช่นนี้ได้ไหม?”     อาภรณ์สีไพลิน รัดเกล้าสีขาว เอวห้อยเครื่องประดับทองคำ รองเท้าใต้เท้าลายเมฆดำทอง วิบวับจนคนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็แปลกที่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าขัดตาน่าอาย     จูจั้นสีหน้าดูแคลนสายตาจับบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่     เด็กหนุ่มหน้าขาวประหนึ่งหยก แย้มยิ้มดั่งแสงดารา     อาภรณ์หรูหราเพียงไรใต้รอยยิ้มนี้ล้วนหม่นหมองจืดจาง     จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้าของตน ปากพึมพำประโยคหนึ่งว่าตนเองล้วนไม่รู้ว่าเป็นอะไร จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างคุณหนูจวินแล้ว     คุณหนูจวินยิ้มพินิจฟางเฉิงอวี่อย่างตั้งใจ     “นี่ไม่ใช่เมื่อวานเลือกไว้เรียบร้อยแล้วรึ?” จูจั้นกระแอมเบาๆทีหนึ่ง “เปลี่ยนอีกก็ไม่ทันแล้ว”     ฟางเฉิงอวี่ขานอืมทีหนึ่ง ท่าทางขออภัยและไม่สบายใจอยู่บ้าง     “ข้าเข้าวังพบฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กังวลอยู่บ้าง พี่ชายอย่าหัวเราะข้า” เขาเอ่ย     “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นะ” คุณหนูจวินปลอบ     จูจั้นกระตุกมุมปาก     “ข้าไหนเลยจะกล้าหัวเราะเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น     “เอาล่ะ เสื้อผ้าดีมาก ไม่ต้องกังวล” คุณหนูจวินบอก     ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเชิญคุณหนูจวินมาพูดจา เต๋อเซิ่งชางมีวิธีฉลองของเต๋อเซิ่งชาง ความหมายของฟางจิ่นซิ่วก็คือโรงหมอจิ่วหลิงย่อมต้องมีเช่นกัน ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงเชิญนางตรวจทานอีกรอบหนึ่ง รอออกมาจากพระราชวังชาวบ้านทั้งหลายต้องล้วนได้รับข่าวเร่งเดินทางมาแน่นอน     จูจั้นเห็นคุณหนูจวินเดินไปย่อมจะติดตาม     “พี่ชาย” ฟางเฉิงอวี่ดึงแขนเสื้อเขาไว้     จูจั้นหันกลับมามองเขา     “อะไร?” เขาเอ่ยถาม     ฟางเฉิงอวี่มองเขาแล้วยิ้มอย่างขลาดๆ     “ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้มีสิ่งใดต้องระวังบ้าง” เขาเอ่ยขึ้น     “เมื่อวานคนจากกรมพิธีการกับขันทีไม่ได้บอกเจ้าแล้วรึ?” จูจั้นตอบ     “ข้ากังวล กลัวจำผิด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น     “เจ้าไม่ต้องกังวล มีนางอยู่ ทำตามนางก็พอแล้ว” จูจั้นเอ่ยขึ้น ยกเท้าจะไป     ฟางเฉิงอวี่จับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย     “จิ่วหลิงเป็นสตรี ไม่เหมือนบุรุษอย่างพวกเรา ข้าฟังพี่ชายวางใจกว่า” เขาเอ่ยจริงจัง “พี่ชายท่านไปวังหลวงบ่อยๆ กับฝ่าบาทก็คุ้นเคย”     จูจั้นพรูลมหายใจ หมุนร่างมามองเขา     “นายน้อยฟาง” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามายุ่งกับข้าทำอะไร?”     ฟางเฉิงอวี่มองเขา     “ท่านให้ข้าทำเช่นนี้เองนะ” เขาเอ่ยตอบตามตรง “พี่ชายท่านลืมแล้วรึ?”     เขาเคยพูดหรือ? จูจั้นกลัดกลุ้มวูบหนึ่ง     เอาเถอะ เขาเคยพูดจริงๆ     “นั่นไม่ถูกต้องสิ” เขาเอ่ย “ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้าเสียหน่อย”     ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ     “ข้ารู้ แต่ทำขึ้นมาไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “อยากให้จิ่วหลิงไม่กวนท่าน วิธีที่เหมาะที่สุดไม่ใช่ยุ่งกับนาง แต่ยุ่งกับท่าน จิ่วหลิงเป็นคนมีมารยาทมาก เห็นท่านยุ่งอยู่ นางก็ไม่มีทางมารบกวนท่านแล้ว”     พูดพลางกุมมือยิ้ม     “พี่ชาย เรื่องที่ท่านสั่งข้า วางใจเถอะ”     บัดซบ ! จูจั้นถลึงตา เจ้าหนูนี่!     เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง เค้นรอยยิ้มจางๆออกมา ยื่นมือตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่     “สหายน้อย เรื่องนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นมีเรื่องเล็กน้อยดังนั้นต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ช่างมันเถิด”     ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ     “ช่างมันเถิดได้อย่างไรเล่า” เขาเอ่ย “พี่ชายนี่ท่านดูถูกข้า ข้าฟางเฉิงอวี่แม้ไม่มีความสามารถอื่น แต่ก็รู้ว่าลูกผู้ชายชายชาตรีวาจาเอ่ยไปแล้วสี่อาชายากตาม เรื่องที่ข้าตกลงแล้วไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด”     เจ้าร้ายกาจ! จูจั้นมองเขาแล้วพยักหน้า เจ้าหนูความสามารถอื่นไม่มี ความสามารถในการเสแสร้งแกล้งโง่ไม่เลวจริงๆ     ฟางเฉิงอวี่มองเขา สีหน้าจริงใจพยักหน้าเช่นกัน     ทั้งสองคนกำลังแววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คุณหนูจวินก็เดินเข้ามาแล้ว     “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” นางเอ่ยถาม     ฟางเฉิงอวี่กำลังจะเอ่ยคำพูดพลันถูกจูจั้นตบหัวไหล่     “ไม่มีอะไร ข้าจะบอกเขาเรื่องที่ต้องระวังตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท” เขาเอ่ยบอก     คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย     “ท่านพอเถอะ แบบท่านเขาเอาอย่างไม่ได้หรอก” นางเอ่ยพลางกวักมือให้ฟางเฉิงอวี่ “มา พวกเราควรไปแล้ว”     ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเดินเข้าไปทันที     “ขอบคุณพี่ชาย” เขาไม่ลืมเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท     จูจั้นขานอืม มองคุณหนูจวิน     “แบบข้าเป็นอย่างไร” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง     “แบบท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มพลางเหล่มองเขาทีหนึ่ง     ร้ายกาจรึ? เขาพบกับฮ่องเต้หลายครั้งเช่นนี้ย่อมคิดว่าผลงานค่อนข้างร้ายกาจจริงๆ     จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม จากนั้นรีบเม้มไว้     คุณหนูจวินยิ้มพลางจูงฟางเฉิงอวี่ไปด้านนอกแล้ว     หากนางพูดจาดีๆ ก็ดีเอาการ จูจั้นคิด แม้ในใจคิดขึ้นแวบหนึ่งว่าก่อนหน้านี้นางก็พูดจาเช่นนี้ แต่ดูแล้วไม่ปกติ ทว่าความคิดเรื่องนี้ถูกเขาโยนทิ้งไปหลังสมองทันที     ก็บอกแล้วว่าจะคุ้นชินกับตอนนี้ไหม เรื่องเหล่านั้นก่อนหน้านี้ย่อมไม่ต้องใส่เข้ามาแล้ว     จูจั้นกระแอมเบาๆ สองที เหยียดหลังตรงก้าวเท้าติดตาม     ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามา     “เฮ้อ พี่ชายอย่าส่งเลยแล้วก็อย่าตามด้วย” เขาว่า “ข้าเป็นห่วงว่าท่านตามเช่นนี้ถูกคนเห็นเข้าจะไม่ดีกับท่าน”     เจ้าเด็กเวรนี่! ร้ายเกินไปแล้วจริงๆ !     จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อหยุดเท้า     ตอนนี้ไม่มีฐานะสามีภรรยาหลอกๆ แล้ว เข้าออกด้วยกันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีกับเฉิงกั๋วกงง่ายจริงๆ     คุณหนูจวินหันหน้ากลับมา     “ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นางยิ้มเอ่ย     จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองพวกเขาเดินออกไป     ดังนั้นเขาถึงไม่ชอบเด็กสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเปรต     ……………………………………….     ……………………………………….     ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยชอบเด็กนักเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นเกินไป     ตอนนี้เวลานี้เห็นคุณหนูจวินค้อมกายคารวะในตำหนัก ขันทีด้านข้างถือหนังสือพระราชทานรางวัลไว้     หลังสตรีคนนี้เข้ามา ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส ไม่ตัวสั่นสักนิด ต่อให้เผชิญหน้ากับตนคารวะฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์คนนี้กริยาก็ไม่หวาดกลัวสักนิดเช่นกัน     บางทีอาจเพราะครั้งก่อนเคยมากระมัง     คิดถึงครั้งก่อน สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง     ครั้งก่อนนางได้รับพระราชทานรางวัลเพราะปลูกฝีชื่อเสียงเลื่องลือ นี่เพิ่งเว้นมาหนึ่งปีกว่า นางก็ชื่อเสียงเลื่องลืออีกหน นอกจากนี้ได้พระราชทานยศเสี้ยนจู่     สตรีคนนี้ร้ายกาจพอตัวทีเดียว     ด้วยความเร็วนี่ ปีหน้าไม่แน่ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก หลังจากนั้นต้องแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงยศจวิ้นจู่     ฮ่องเต้พิงกลับไปบนพนักเก้าอี้     ไม่อาจให้โอกาสนี้แก่นางได้แล้ว     “ไม่ต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” พระองค์อมยิ้มตรัสอย่างอ่อนโยน     คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่คารวะขอบคุณอีกครั้งจึงลุกขึ้น     ขันทีคนหนึ่งส่งรางวัลพระราชทานของของคุณหนูจวินมาก่อน คุณหนูจวินรับไว้แล้ว ขันทีอีกคนหนึ่งถึงก้าวเข้ามาส่งรางวัลพระราชทานบนอีกถาดหนึ่งให้ฟางเฉิงอวี่     “อีกอย่าง ข้าเขียนอักษรผืนหนึ่งให้เต๋อเซิ่งชางด้วย” ฮ่องเต้อมยิ้มตรัส     ได้อักษรพระราชทานจากฮ่องเต้ นั่นย่อมยิ่งกว่าราชโองการ     ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินคารวะขอบคุณอีกครั้ง     ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้พวกนางลุกขึ้น ขันทีสองคนกางม้วนกระดาษอันหนึ่งออก อักษรใหญ่สีทองเขียนว่าตระกูลผู้สั่งสมบุญ     ฟางเฉิงอวี่สีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง     “ท่านย่าเห็นต้องเบิกบานใจแน่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือจะรับไป     ฮ่องเต้พลันตบพนักแขนนิดหนึ่ง คล้ายคิดถึงเรื่องอะไรได้     “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พระองค์ตรัส     ฟางเฉิงอวี่หยุดร่าง ทิ้งมืออย่างเคารพ ยืนตรงขานรับ     “ราชโองการนั่นที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่ตระกูลเจ้าใช้ไม่ค่อยสะดวก วันนี้ข้ามอบสิ่งนี้แก่พวกเจ้า สะดวกแก่การแขวนไว้ให้ผู้คนรับรู้มากกว่า และเหมาะสมยิ่งกว่า” ฮ่องเต้ตรัส พระพักตร์แย้มสรวล     เหมาะสมยิ่งกว่านี่ หมายความว่าราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไม่เหมาะสมแล้ว     ราชโองการเดิมหรือ     คุณหนูจวินมองรางวัลพระราชทานที่ถืออยู่ในมือ อย่างที่คิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้เปล่าๆสินะ     ………………………

ยามท้องฟ้าสว่างขมุกมัว คุณหนูจวินเดินออกจากประตู ในลานคนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่แล้ว

 

 

“จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ผละออกจากหมู่คนเดินเข้ามา กางแขนออกให้นางดู “เจ้าดูข้าแต่งตัวเช่นนี้ได้ไหม?”

 

 

อาภรณ์สีไพลิน รัดเกล้าสีขาว เอวห้อยเครื่องประดับทองคำ รองเท้าใต้เท้าลายเมฆดำทอง วิบวับจนคนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็แปลกที่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าขัดตาน่าอาย

 

 

จูจั้นสีหน้าดูแคลนสายตาจับบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่

 

 

เด็กหนุ่มหน้าขาวประหนึ่งหยก แย้มยิ้มดั่งแสงดารา

 

 

อาภรณ์หรูหราเพียงไรใต้รอยยิ้มนี้ล้วนหม่นหมองจืดจาง

 

 

จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้าของตน ปากพึมพำประโยคหนึ่งว่าตนเองล้วนไม่รู้ว่าเป็นอะไร จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างคุณหนูจวินแล้ว

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพินิจฟางเฉิงอวี่อย่างตั้งใจ

 

 

“นี่ไม่ใช่เมื่อวานเลือกไว้เรียบร้อยแล้วรึ?” จูจั้นกระแอมเบาๆทีหนึ่ง “เปลี่ยนอีกก็ไม่ทันแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานอืมทีหนึ่ง ท่าทางขออภัยและไม่สบายใจอยู่บ้าง

 

 

“ข้าเข้าวังพบฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กังวลอยู่บ้าง พี่ชายอย่าหัวเราะข้า” เขาเอ่ย

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นะ” คุณหนูจวินปลอบ

 

 

จูจั้นกระตุกมุมปาก

 

 

“ข้าไหนเลยจะกล้าหัวเราะเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“เอาล่ะ เสื้อผ้าดีมาก ไม่ต้องกังวล” คุณหนูจวินบอก

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเชิญคุณหนูจวินมาพูดจา เต๋อเซิ่งชางมีวิธีฉลองของเต๋อเซิ่งชาง ความหมายของฟางจิ่นซิ่วก็คือโรงหมอจิ่วหลิงย่อมต้องมีเช่นกัน ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงเชิญนางตรวจทานอีกรอบหนึ่ง รอออกมาจากพระราชวังชาวบ้านทั้งหลายต้องล้วนได้รับข่าวเร่งเดินทางมาแน่นอน

 

 

จูจั้นเห็นคุณหนูจวินเดินไปย่อมจะติดตาม

 

 

“พี่ชาย” ฟางเฉิงอวี่ดึงแขนเสื้อเขาไว้

 

 

จูจั้นหันกลับมามองเขา

 

 

“อะไร?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขาแล้วยิ้มอย่างขลาดๆ

 

 

“ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้มีสิ่งใดต้องระวังบ้าง” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“เมื่อวานคนจากกรมพิธีการกับขันทีไม่ได้บอกเจ้าแล้วรึ?” จูจั้นตอบ

 

 

“ข้ากังวล กลัวจำผิด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล มีนางอยู่ ทำตามนางก็พอแล้ว” จูจั้นเอ่ยขึ้น ยกเท้าจะไป

 

 

ฟางเฉิงอวี่จับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย

 

 

“จิ่วหลิงเป็นสตรี ไม่เหมือนบุรุษอย่างพวกเรา ข้าฟังพี่ชายวางใจกว่า” เขาเอ่ยจริงจัง “พี่ชายท่านไปวังหลวงบ่อยๆ กับฝ่าบาทก็คุ้นเคย”

 

 

จูจั้นพรูลมหายใจ หมุนร่างมามองเขา

 

 

“นายน้อยฟาง” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามายุ่งกับข้าทำอะไร?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขา

 

 

“ท่านให้ข้าทำเช่นนี้เองนะ” เขาเอ่ยตอบตามตรง “พี่ชายท่านลืมแล้วรึ?”

 

 

เขาเคยพูดหรือ? จูจั้นกลัดกลุ้มวูบหนึ่ง

 

 

เอาเถอะ เขาเคยพูดจริงๆ

 

 

“นั่นไม่ถูกต้องสิ” เขาเอ่ย “ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้าเสียหน่อย”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ

 

 

“ข้ารู้ แต่ทำขึ้นมาไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “อยากให้จิ่วหลิงไม่กวนท่าน วิธีที่เหมาะที่สุดไม่ใช่ยุ่งกับนาง แต่ยุ่งกับท่าน จิ่วหลิงเป็นคนมีมารยาทมาก เห็นท่านยุ่งอยู่ นางก็ไม่มีทางมารบกวนท่านแล้ว”

 

 

พูดพลางกุมมือยิ้ม

 

 

“พี่ชาย เรื่องที่ท่านสั่งข้า วางใจเถอะ”

 

 

บัดซบ ! จูจั้นถลึงตา เจ้าหนูนี่!

 

 

เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง เค้นรอยยิ้มจางๆออกมา ยื่นมือตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่

 

 

“สหายน้อย เรื่องนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นมีเรื่องเล็กน้อยดังนั้นต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ช่างมันเถิด”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ

 

 

“ช่างมันเถิดได้อย่างไรเล่า” เขาเอ่ย “พี่ชายนี่ท่านดูถูกข้า ข้าฟางเฉิงอวี่แม้ไม่มีความสามารถอื่น แต่ก็รู้ว่าลูกผู้ชายชายชาตรีวาจาเอ่ยไปแล้วสี่อาชายากตาม เรื่องที่ข้าตกลงแล้วไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด”

 

 

เจ้าร้ายกาจ! จูจั้นมองเขาแล้วพยักหน้า เจ้าหนูความสามารถอื่นไม่มี ความสามารถในการเสแสร้งแกล้งโง่ไม่เลวจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขา สีหน้าจริงใจพยักหน้าเช่นกัน

 

 

ทั้งสองคนกำลังแววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คุณหนูจวินก็เดินเข้ามาแล้ว

 

 

“พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่กำลังจะเอ่ยคำพูดพลันถูกจูจั้นตบหัวไหล่

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าจะบอกเขาเรื่องที่ต้องระวังตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท” เขาเอ่ยบอก

 

 

คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ท่านพอเถอะ แบบท่านเขาเอาอย่างไม่ได้หรอก” นางเอ่ยพลางกวักมือให้ฟางเฉิงอวี่ “มา พวกเราควรไปแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเดินเข้าไปทันที

 

 

“ขอบคุณพี่ชาย” เขาไม่ลืมเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท

 

 

จูจั้นขานอืม มองคุณหนูจวิน

 

 

“แบบข้าเป็นอย่างไร” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง

 

 

“แบบท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มพลางเหล่มองเขาทีหนึ่ง

 

 

ร้ายกาจรึ? เขาพบกับฮ่องเต้หลายครั้งเช่นนี้ย่อมคิดว่าผลงานค่อนข้างร้ายกาจจริงๆ

 

 

จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม จากนั้นรีบเม้มไว้

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางจูงฟางเฉิงอวี่ไปด้านนอกแล้ว

 

 

หากนางพูดจาดีๆ ก็ดีเอาการ จูจั้นคิด แม้ในใจคิดขึ้นแวบหนึ่งว่าก่อนหน้านี้นางก็พูดจาเช่นนี้ แต่ดูแล้วไม่ปกติ ทว่าความคิดเรื่องนี้ถูกเขาโยนทิ้งไปหลังสมองทันที

 

 

ก็บอกแล้วว่าจะคุ้นชินกับตอนนี้ไหม เรื่องเหล่านั้นก่อนหน้านี้ย่อมไม่ต้องใส่เข้ามาแล้ว

 

 

จูจั้นกระแอมเบาๆ สองที เหยียดหลังตรงก้าวเท้าติดตาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามา

 

 

“เฮ้อ พี่ชายอย่าส่งเลยแล้วก็อย่าตามด้วย” เขาว่า “ข้าเป็นห่วงว่าท่านตามเช่นนี้ถูกคนเห็นเข้าจะไม่ดีกับท่าน”

 

 

เจ้าเด็กเวรนี่! ร้ายเกินไปแล้วจริงๆ !

 

 

จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อหยุดเท้า

 

 

ตอนนี้ไม่มีฐานะสามีภรรยาหลอกๆ แล้ว เข้าออกด้วยกันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีกับเฉิงกั๋วกงง่ายจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ากลับมา

 

 

“ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นางยิ้มเอ่ย

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองพวกเขาเดินออกไป

 

 

ดังนั้นเขาถึงไม่ชอบเด็กสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเปรต

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยชอบเด็กนักเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นเกินไป

 

 

ตอนนี้เวลานี้เห็นคุณหนูจวินค้อมกายคารวะในตำหนัก ขันทีด้านข้างถือหนังสือพระราชทานรางวัลไว้

 

 

หลังสตรีคนนี้เข้ามา ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส ไม่ตัวสั่นสักนิด ต่อให้เผชิญหน้ากับตนคารวะฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์คนนี้กริยาก็ไม่หวาดกลัวสักนิดเช่นกัน

 

 

บางทีอาจเพราะครั้งก่อนเคยมากระมัง

 

 

คิดถึงครั้งก่อน สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง

 

 

ครั้งก่อนนางได้รับพระราชทานรางวัลเพราะปลูกฝีชื่อเสียงเลื่องลือ นี่เพิ่งเว้นมาหนึ่งปีกว่า นางก็ชื่อเสียงเลื่องลืออีกหน นอกจากนี้ได้พระราชทานยศเสี้ยนจู่

 

 

สตรีคนนี้ร้ายกาจพอตัวทีเดียว

 

 

ด้วยความเร็วนี่ ปีหน้าไม่แน่ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก หลังจากนั้นต้องแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงยศจวิ้นจู่

 

 

ฮ่องเต้พิงกลับไปบนพนักเก้าอี้

 

 

ไม่อาจให้โอกาสนี้แก่นางได้แล้ว

 

 

“ไม่ต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” พระองค์อมยิ้มตรัสอย่างอ่อนโยน

 

 

คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่คารวะขอบคุณอีกครั้งจึงลุกขึ้น

 

 

ขันทีคนหนึ่งส่งรางวัลพระราชทานของของคุณหนูจวินมาก่อน คุณหนูจวินรับไว้แล้ว ขันทีอีกคนหนึ่งถึงก้าวเข้ามาส่งรางวัลพระราชทานบนอีกถาดหนึ่งให้ฟางเฉิงอวี่

 

 

“อีกอย่าง ข้าเขียนอักษรผืนหนึ่งให้เต๋อเซิ่งชางด้วย” ฮ่องเต้อมยิ้มตรัส

 

 

ได้อักษรพระราชทานจากฮ่องเต้ นั่นย่อมยิ่งกว่าราชโองการ

 

 

ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินคารวะขอบคุณอีกครั้ง

 

 

ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้พวกนางลุกขึ้น ขันทีสองคนกางม้วนกระดาษอันหนึ่งออก อักษรใหญ่สีทองเขียนว่าตระกูลผู้สั่งสมบุญ

 

 

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง

 

 

“ท่านย่าเห็นต้องเบิกบานใจแน่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือจะรับไป

 

 

ฮ่องเต้พลันตบพนักแขนนิดหนึ่ง คล้ายคิดถึงเรื่องอะไรได้

 

 

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พระองค์ตรัส

 

 

ฟางเฉิงอวี่หยุดร่าง ทิ้งมืออย่างเคารพ ยืนตรงขานรับ

 

 

“ราชโองการนั่นที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่ตระกูลเจ้าใช้ไม่ค่อยสะดวก วันนี้ข้ามอบสิ่งนี้แก่พวกเจ้า สะดวกแก่การแขวนไว้ให้ผู้คนรับรู้มากกว่า และเหมาะสมยิ่งกว่า” ฮ่องเต้ตรัส พระพักตร์แย้มสรวล

 

 

เหมาะสมยิ่งกว่านี่ หมายความว่าราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไม่เหมาะสมแล้ว

 

 

ราชโองการเดิมหรือ

 

 

คุณหนูจวินมองรางวัลพระราชทานที่ถืออยู่ในมือ อย่างที่คิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้เปล่าๆสินะ

 

 

………………………

มีพระประสงค์ของฮ่องเต้ การเคลื่อนไหวของราชสำนักจึงเร็วยิ่ง สามวันให้หลังการพระราชทานรางวัลให้แก่คุณหนูจวินก็สั่งลงมา     รางวัลพระราชทานมหาศาลนัก ประกาศแก่ใต้หล้าให้ประชาชนได้รู้ อีกทั้งนอกจากเงินทองหยกแพรพรรณ แล้วยังให้ราชทินนามยศองค์หญิงเสี้ยนจู่ชื่อหนึ่งให้ด้วย     “องค์หญิงซานหยาง”     เฉินชีบอกข่าวที่ได้รับมา     “ค่อนข้างใกล้บ้านของพวกเรา”     “ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้อำเภอซานหยางก็เป็นของพี่สาวข้าแล้วรึ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยขึ้นด้านข้าง     เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า     “ฝันไปแล้ว” เขาเอ่ย “นี่เป็นเพียงราชทินนามชื่อหนึ่งเท่านั้น”     “ถ้าเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด กินไม่ได้ใส่ไม่ได้” จ้าวฮั่นชิงเบะปากเอ่ย     หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงชิทีหนึ่ง     “เจ้ารู้อะไรเล่า แน่นอนกินได้ใส่ได้สิ” นางว่า “องค์หญิงเสี้ยนจู่เป็นบรรดาศักดิ์ เหมือนกับเฉิงกั๋วกงเช่นนั้น มีเบี้ยหวัดแล้วยังมีบารมีอีก”     “พี่สาวข้าทั้งไม่ขาดแคลนเงินทั้งไม่ขาดแคลนบารมี” จ้างฮั่นชิงเอ่ย     พี่สาวเจ้าร้ายกาจนักสิ! หลิ่วเอ๋อร์ไม่ทันรู้ตัวคิดอย่างโมโหฮึดฮัด แต่ก็ได้สติกลับมาอีกหน พี่สาวของนางก็คือคุณหนูของตน คุณหนูของตนย่อมร้ายกาจ     จะถูกยัยคนนี้ทำให้โกรธจนตายแล้วจริงๆ งานเยินยอคุณหนูเช่นนี้เป็นงานที่นางทำชัดๆ     หลิ่วเอ๋อร์กระทืบเท้าทีหนึ่งมองไปทางคุณหนูจวิน     “คุณหนูท่านร้ายกาจจริงๆ เจ้าค่ะ ได้เป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่แล้ว” นางเอ่ยขึ้นสีหน้าเริงร่า     คุณหนูจวินขานอ้อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม     “องค์หญิงยศเสี้ยนจู่หรือ” นางเอ่ยขึ้น “ไม่เลว ร้ายกาจมาก”     จูจั้นที่เงียบอยู่ด้านข้างประหนึ่งไม่อยู่เงยหน้าขึ้นมองนาง     องค์หญิงยศเสี้ยนจู่ ธิดาจักรพรรดิยศกงจู่ ธิดาชินอ๋องยศจวิ้นจู่ ธิดาของจวิ้นอ๋องยศเสี้ยนจู่ นางเดิมทีก็ยศจวิ้นจู่ และแน่นอนเคยเป็นกงจู่     อดีตองค์หญิงยศกงจู่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่ สำหรับนางแล้วคงเป็นเรื่องที่น่าขำยิ่งแล้วก็น่าเศร้ายิ่งสินะ     “ก็ไม่นะ” คุณหนูจวินเอ่ยบอก “ก็ค่อนข้างดีใจอยู่”     เวลานี้นางกลับมาอยู่ในห้องแล้ว หลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงอยู่ในลานไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันอยู่ ฟางจิ่นซิ่วตลอดมาไม่สนใจสองคนนี้ ส่วนเฉินชีไปเต๋อเซิ่งชางพบฟางเฉิงอวี่     ราชโองการนี่จะประกาศออกมาแล้ว ย่อมต้องขอบคุณพระกรุณาธิคุณ ต้องเข้าเฝ้า ต้องร่วมฉลองกับประชาชน เรื่องที่ต้องตระเตรียมมากมายนัก ฟางเฉิงอวี่กับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกำลังหารือทำงานยุ่งอยู่     ในห้องเงียบสงบ ในลานคนเดินไปมา เสียงพูดคุยไม่เบาไม่ดังเติมความครึกครื้นแต่ไม่เอะอะ ทำให้คนมีความสุขและสงบ     “องค์หญิงยศกงจู่เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ตายไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “ข้าเหมือนจากองค์หญิงยศกงจู่องค์หนึ่งกลายเป็นชาวบ้านตัวเปล่าที่สิ่งใดล้วนไม่มีทั้งสิ้น ยามนี้ทีละก้าวๆ ได้บรรดาศักดิ์เสี้ยนจู่มาอีกหนแล้ว”     นางมองไปทางจูจั้น จากนั้นเลิกคิ้วยิ้ม     “เสี้ยนจู่ได้มาแล้ว กงจู่ยังไกลอีกหรือ?”     “เจ้าช่าง…” จูจั้นเห็นท่าทางไม่จริงจังนี่ของนาง ไม่ทันรู้ตัวก็จะโพล่งออกมาอย่างคุ้นชิน พูดออกไปครึ่งหนึ่งก็พลันกลืนกลับไป กัดถูกโคนลิ้นจนสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวอยู่บ้าง แต่ยังพยามยามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมไว้สุดกำลัง     “…. คิดเช่นนี้ก็ดี” เขาเอ่ย     คุณหนูจวินหัวเราะพรืด     “นี่ จูจั้นท่านอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ” นางเอ่ย “ไม่ต้องพูดไม่ออกจากใจเช่นนี้”     สายตาจูจั้นมองไปด้านข้าง     “พูดไม่ออกจากใจที่ไหน” เขาเอ่ย “นี่ดีมากจริงๆ”     คุณหนูจวินแววตาวูบไหวนิดหนึ่ง     “นั่นดีกับจวินจิ่วหลิงหรือดีกับฉู่จิ่วหลิงล่ะ?” นางเอ่ยถาม     หน้าจูจั้นแดงทันทีจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีขาวอีก แววตาอับอายหงุดหงิดทั้งยังโมโหอยู่บ้าง มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำหมัด     “เจ้า เจ้ามีธุระก็พูดธุระ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “อย่ารังแกคนเช่นนี้”     คุณหนูจวินหัวเราะพรืด จากนั้นรีบกลั้นไว้     “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้า?” นางเอ่ยถาม     จูจั้นงุนงงวูบหนึ่ง เมื่อครู่พูดธุระกันจบทุกคนก็แยกย้ายแล้ว มีเพียงเขาเดินตามเข้ามา     ตามเข้ามาโดยไม่รู้ตัว     หน้าเขาแดงอีกครั้ง จะพูดอธิบายอะไรสักประโยคก็เห็นท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสตรีคนนี้ คำอธิบายอะไรหลอกนางได้เล่า?     จูจั้นอ้าปากพะงาบๆ หมุนตัวก้าวยาวเดินออกไป     คุณหนูจวินขำแล้วก็จนปัญญาอยู่บ้าง     “เปลี่ยนมานุ่มนิ่มได้อย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “รังแกเขา จนทำให้ในใจข้าละอายอยู่บ้างแล้ว”     นางหมุนตัวมากำลังจะขึ้นชั้นบน ฝีเท้าดังตึงๆ ของคนนุ่มนิ่มผู้นั้นก็เดินกลับมาอีกหน     “ใช่ ข้าไม่ฏิเสธ” จูจั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะถามข้าว่าดีหรือไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ข้าก็ยังตอบเจ้าได้ว่าข้าไม่ดีกับนาง”     คุณหนูจวินมองเขาพลางส่ายศีรษะ     “ไม่ ท่านดีกับข้ายิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “สิ่งที่รับปากล้วนทำได้ นอกจากนี้ยังจริงใจ ดีทีเดียว”     “พูดประชดอะไร” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ     “ไม่ได้พูดประชดนะ ความจริงล้วนมองเห็นได้” คุณหนูจวินผายมือเอ่ย     จูจั้นมองนาง     “สรุปคือเจ้าจะคิดว่าข้าก่อนหน้ายโสภายหลังเคารพก็ดี หรืออย่างไรก็ช่าง ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ย     คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้าหงึกๆ     “ข้าเข้าใจได้” นางเอ่ยตอบ “ท่านรู้จักฉู่จิ่วหลิง ส่วนจวินจิ่วหลิงเป็นคนแปลกหน้าของท่าน ท่าทีย่อมไม่เหมือนกัน”     ถึงกับคุยง่ายเช่นนี้…     หรือว่านางคุยง่ายเช่นนี้มาตลอด แค่ความรู้สึกของตนไม่เหมือนเดิม?     ช่าง…     มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวจูจั้นกำหมัดแล้วคลายออกแล้วกำหมัดอีกครั้ง ก้มศีรษะมองหลังเท้า     “แต่ หลังจากนี้ จะเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องคิดเหลวไหลรู้สึกว่าสองคนอะไรท่าทีอะไร” เขาพูดแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไรอีก จึงสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งเงยศีรษะขึ้น “อย่างไร ข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว”     “แน่นอนไม่มีทาง” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างตั้งใจ “ตั้งแต่วันแรกที่ท่านรู้จักข้า ข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นจวินจิ่วหลิงหรือฉู่จิ่วหลิง ข้าชินแล้ว ท่านเพียงยังไม่คุ้นชินเท่านั้น รอคุ้นชินก็ดีแล้ว”     จูจั้นเท้าเหยียบบนพื้นขยี้ไปมาขานอ้อทีหนึ่ง     “จะคุ้นชินแน่” เขาเอ่ย     ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง     “จะขึ้นมานั่งหน่อยไหม?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยถาม     จูจั้นขานอ้อ     “ไม่ต้อง ข้าอยู่ข้างนอกเฝ้าแล้วกัน ข่าวประกาศออกไปแล้ว คนแซ่ลู่ต้องคิดร้ายอีกแน่” เขาเอ่ย มองนางเร็วไวทีหนึ่ง “เจ้า เจ้าพักเถอะ”     พูดจบก็หมุนตัวก้าวเร็วไวเดินออกไปแล้ว     คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขาแล้วส่ายศีรษะยิ้ม ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ     ใช่แล้ว ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ จูจั้นยืนอยู่ตรงทางเดินพรูลมหายใจ     คุ้นชิน คุ้นชินไม่ง่ายจริงๆ     นางก็คือองค์หญิงจิ่วหลิงหรือ องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นเช่นนี้หรือ     จูจั้นมองท้องฟ้า     องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นอย่างไรเล่า? ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกจดจำไม่ได้     ทำให้คนปวดหัวสับสนจริงๆ ไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไร คิดอะไรบ้าง     ความจริงตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาเขาควรคิดเรื่องมากมาย แต่สิ่งใดดันไม่ได้คิดเลย ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ไม่รู้ว่าควรคิดสิ่งใด     ก็เหมือนตอนนี้เช่นนี้ นอกจากกัดฟันสูดลมหายใจเกาศีรษะก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง     “ท่านต้องการยาหรือไม่?”     เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู     จูจั้นเงยศีรษะขึ้นอย่างฉับไว เห็นหลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดนัก     ในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งด้วย     “ทำอะไร?” เขาเอ่ยขึ้นหงุดหงิดอับอายอยู่บ้าง     “ท่านชาย ข้าเห็นท่านประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวขมวดคิ้วก้มศีรษะ โรคประสาทกำเริบใช่หรือไม่?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แกว่งขวดกระเบื้องในมือ “นี่เป็นยาลูกกลอนสงบจิตที่ทำขึ้นใหม่ๆ แพงมากนะ ขายให้ท่านหนึ่งเม็ดราคาถูกหน่อย”     จูจั้นสบถทีหนึ่งยกเท้าก้าวไวๆ จากไปแล้ว     หลิ่วเอ๋อร์เบะปากกับจ้าวฮั่นชิง     “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” นางว่า “คุณหนูของข้าเดี๋ยวก็ไม่ต้องการเขาแล้ว เขาเสียสติเป็นบ้าก็ปกติ”     จ้าวฮั่นชิงพยักหน้าหงึกๆ แสดงว่าเห็นด้วย     “ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากพี่สาวไม่ต้องการข้าแล้วข้าจะเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น     ฟางจิ่นซิ่วที่ได้ยินเสียงดังเดินออกมาสำรวจด้านนี้พลันกลอกตาทีหนึ่ง     พวกคนไม่ปกติฝูงหนึ่ง!     ………………

มีพระประสงค์ของฮ่องเต้ การเคลื่อนไหวของราชสำนักจึงเร็วยิ่ง สามวันให้หลังการพระราชทานรางวัลให้แก่คุณหนูจวินก็สั่งลงมา

 

 

รางวัลพระราชทานมหาศาลนัก ประกาศแก่ใต้หล้าให้ประชาชนได้รู้ อีกทั้งนอกจากเงินทองหยกแพรพรรณ แล้วยังให้ราชทินนามยศองค์หญิงเสี้ยนจู่ชื่อหนึ่งให้ด้วย

 

 

“องค์หญิงซานหยาง”

 

 

เฉินชีบอกข่าวที่ได้รับมา

 

 

“ค่อนข้างใกล้บ้านของพวกเรา”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้อำเภอซานหยางก็เป็นของพี่สาวข้าแล้วรึ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยขึ้นด้านข้าง

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“ฝันไปแล้ว” เขาเอ่ย “นี่เป็นเพียงราชทินนามชื่อหนึ่งเท่านั้น”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด กินไม่ได้ใส่ไม่ได้” จ้าวฮั่นชิงเบะปากเอ่ย

 

 

หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงชิทีหนึ่ง

 

 

“เจ้ารู้อะไรเล่า แน่นอนกินได้ใส่ได้สิ” นางว่า “องค์หญิงเสี้ยนจู่เป็นบรรดาศักดิ์ เหมือนกับเฉิงกั๋วกงเช่นนั้น มีเบี้ยหวัดแล้วยังมีบารมีอีก”

 

 

“พี่สาวข้าทั้งไม่ขาดแคลนเงินทั้งไม่ขาดแคลนบารมี” จ้างฮั่นชิงเอ่ย

 

 

พี่สาวเจ้าร้ายกาจนักสิ! หลิ่วเอ๋อร์ไม่ทันรู้ตัวคิดอย่างโมโหฮึดฮัด แต่ก็ได้สติกลับมาอีกหน พี่สาวของนางก็คือคุณหนูของตน คุณหนูของตนย่อมร้ายกาจ

 

 

จะถูกยัยคนนี้ทำให้โกรธจนตายแล้วจริงๆ งานเยินยอคุณหนูเช่นนี้เป็นงานที่นางทำชัดๆ

 

 

หลิ่วเอ๋อร์กระทืบเท้าทีหนึ่งมองไปทางคุณหนูจวิน

 

 

“คุณหนูท่านร้ายกาจจริงๆ เจ้าค่ะ ได้เป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่แล้ว” นางเอ่ยขึ้นสีหน้าเริงร่า

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

“องค์หญิงยศเสี้ยนจู่หรือ” นางเอ่ยขึ้น “ไม่เลว ร้ายกาจมาก”

 

 

จูจั้นที่เงียบอยู่ด้านข้างประหนึ่งไม่อยู่เงยหน้าขึ้นมองนาง

 

 

องค์หญิงยศเสี้ยนจู่ ธิดาจักรพรรดิยศกงจู่ ธิดาชินอ๋องยศจวิ้นจู่ ธิดาของจวิ้นอ๋องยศเสี้ยนจู่ นางเดิมทีก็ยศจวิ้นจู่ และแน่นอนเคยเป็นกงจู่

 

 

อดีตองค์หญิงยศกงจู่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่ สำหรับนางแล้วคงเป็นเรื่องที่น่าขำยิ่งแล้วก็น่าเศร้ายิ่งสินะ

 

 

“ก็ไม่นะ” คุณหนูจวินเอ่ยบอก “ก็ค่อนข้างดีใจอยู่”

 

 

เวลานี้นางกลับมาอยู่ในห้องแล้ว หลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงอยู่ในลานไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันอยู่ ฟางจิ่นซิ่วตลอดมาไม่สนใจสองคนนี้ ส่วนเฉินชีไปเต๋อเซิ่งชางพบฟางเฉิงอวี่

 

 

ราชโองการนี่จะประกาศออกมาแล้ว ย่อมต้องขอบคุณพระกรุณาธิคุณ ต้องเข้าเฝ้า ต้องร่วมฉลองกับประชาชน เรื่องที่ต้องตระเตรียมมากมายนัก ฟางเฉิงอวี่กับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกำลังหารือทำงานยุ่งอยู่

 

 

ในห้องเงียบสงบ ในลานคนเดินไปมา เสียงพูดคุยไม่เบาไม่ดังเติมความครึกครื้นแต่ไม่เอะอะ ทำให้คนมีความสุขและสงบ

 

 

“องค์หญิงยศกงจู่เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ตายไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “ข้าเหมือนจากองค์หญิงยศกงจู่องค์หนึ่งกลายเป็นชาวบ้านตัวเปล่าที่สิ่งใดล้วนไม่มีทั้งสิ้น ยามนี้ทีละก้าวๆ ได้บรรดาศักดิ์เสี้ยนจู่มาอีกหนแล้ว”

 

 

นางมองไปทางจูจั้น จากนั้นเลิกคิ้วยิ้ม

 

 

“เสี้ยนจู่ได้มาแล้ว กงจู่ยังไกลอีกหรือ?”

 

 

“เจ้าช่าง…” จูจั้นเห็นท่าทางไม่จริงจังนี่ของนาง ไม่ทันรู้ตัวก็จะโพล่งออกมาอย่างคุ้นชิน พูดออกไปครึ่งหนึ่งก็พลันกลืนกลับไป กัดถูกโคนลิ้นจนสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวอยู่บ้าง แต่ยังพยามยามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมไว้สุดกำลัง

 

 

“…. คิดเช่นนี้ก็ดี” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด

 

 

“นี่ จูจั้นท่านอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ” นางเอ่ย “ไม่ต้องพูดไม่ออกจากใจเช่นนี้”

 

 

สายตาจูจั้นมองไปด้านข้าง

 

 

“พูดไม่ออกจากใจที่ไหน” เขาเอ่ย “นี่ดีมากจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินแววตาวูบไหวนิดหนึ่ง

 

 

“นั่นดีกับจวินจิ่วหลิงหรือดีกับฉู่จิ่วหลิงล่ะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

หน้าจูจั้นแดงทันทีจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีขาวอีก แววตาอับอายหงุดหงิดทั้งยังโมโหอยู่บ้าง มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำหมัด

 

 

“เจ้า เจ้ามีธุระก็พูดธุระ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “อย่ารังแกคนเช่นนี้”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด จากนั้นรีบกลั้นไว้

 

 

“ถ้าอย่างนั้น ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้า?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นงุนงงวูบหนึ่ง เมื่อครู่พูดธุระกันจบทุกคนก็แยกย้ายแล้ว มีเพียงเขาเดินตามเข้ามา

 

 

ตามเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

 

 

หน้าเขาแดงอีกครั้ง จะพูดอธิบายอะไรสักประโยคก็เห็นท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสตรีคนนี้ คำอธิบายอะไรหลอกนางได้เล่า?

 

 

จูจั้นอ้าปากพะงาบๆ หมุนตัวก้าวยาวเดินออกไป

 

 

คุณหนูจวินขำแล้วก็จนปัญญาอยู่บ้าง

 

 

“เปลี่ยนมานุ่มนิ่มได้อย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “รังแกเขา จนทำให้ในใจข้าละอายอยู่บ้างแล้ว”

 

 

นางหมุนตัวมากำลังจะขึ้นชั้นบน ฝีเท้าดังตึงๆ ของคนนุ่มนิ่มผู้นั้นก็เดินกลับมาอีกหน

 

 

“ใช่ ข้าไม่ฏิเสธ” จูจั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะถามข้าว่าดีหรือไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ข้าก็ยังตอบเจ้าได้ว่าข้าไม่ดีกับนาง”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่ ท่านดีกับข้ายิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “สิ่งที่รับปากล้วนทำได้ นอกจากนี้ยังจริงใจ ดีทีเดียว”

 

 

“พูดประชดอะไร” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ

 

 

“ไม่ได้พูดประชดนะ ความจริงล้วนมองเห็นได้” คุณหนูจวินผายมือเอ่ย

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“สรุปคือเจ้าจะคิดว่าข้าก่อนหน้ายโสภายหลังเคารพก็ดี หรืออย่างไรก็ช่าง ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ข้าเข้าใจได้” นางเอ่ยตอบ “ท่านรู้จักฉู่จิ่วหลิง ส่วนจวินจิ่วหลิงเป็นคนแปลกหน้าของท่าน ท่าทีย่อมไม่เหมือนกัน”

 

 

ถึงกับคุยง่ายเช่นนี้…

 

 

หรือว่านางคุยง่ายเช่นนี้มาตลอด แค่ความรู้สึกของตนไม่เหมือนเดิม?

 

 

ช่าง…

 

 

มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวจูจั้นกำหมัดแล้วคลายออกแล้วกำหมัดอีกครั้ง ก้มศีรษะมองหลังเท้า

 

 

“แต่ หลังจากนี้ จะเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องคิดเหลวไหลรู้สึกว่าสองคนอะไรท่าทีอะไร” เขาพูดแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไรอีก จึงสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งเงยศีรษะขึ้น “อย่างไร ข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

“แน่นอนไม่มีทาง” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างตั้งใจ “ตั้งแต่วันแรกที่ท่านรู้จักข้า ข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นจวินจิ่วหลิงหรือฉู่จิ่วหลิง ข้าชินแล้ว ท่านเพียงยังไม่คุ้นชินเท่านั้น รอคุ้นชินก็ดีแล้ว”

 

 

จูจั้นเท้าเหยียบบนพื้นขยี้ไปมาขานอ้อทีหนึ่ง

 

 

“จะคุ้นชินแน่” เขาเอ่ย

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“จะขึ้นมานั่งหน่อยไหม?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอ้อ

 

 

“ไม่ต้อง ข้าอยู่ข้างนอกเฝ้าแล้วกัน ข่าวประกาศออกไปแล้ว คนแซ่ลู่ต้องคิดร้ายอีกแน่” เขาเอ่ย มองนางเร็วไวทีหนึ่ง “เจ้า เจ้าพักเถอะ”

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวเร็วไวเดินออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขาแล้วส่ายศีรษะยิ้ม ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ

 

 

ใช่แล้ว ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ จูจั้นยืนอยู่ตรงทางเดินพรูลมหายใจ

 

 

คุ้นชิน คุ้นชินไม่ง่ายจริงๆ

 

 

นางก็คือองค์หญิงจิ่วหลิงหรือ องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นเช่นนี้หรือ

 

 

จูจั้นมองท้องฟ้า

 

 

องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นอย่างไรเล่า? ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกจดจำไม่ได้

 

 

ทำให้คนปวดหัวสับสนจริงๆ ไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไร คิดอะไรบ้าง

 

 

ความจริงตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาเขาควรคิดเรื่องมากมาย แต่สิ่งใดดันไม่ได้คิดเลย ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ไม่รู้ว่าควรคิดสิ่งใด

 

 

ก็เหมือนตอนนี้เช่นนี้ นอกจากกัดฟันสูดลมหายใจเกาศีรษะก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง

 

 

“ท่านต้องการยาหรือไม่?”

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู

 

 

จูจั้นเงยศีรษะขึ้นอย่างฉับไว เห็นหลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดนัก

 

 

ในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งด้วย

 

 

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยขึ้นหงุดหงิดอับอายอยู่บ้าง

 

 

“ท่านชาย ข้าเห็นท่านประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวขมวดคิ้วก้มศีรษะ โรคประสาทกำเริบใช่หรือไม่?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แกว่งขวดกระเบื้องในมือ “นี่เป็นยาลูกกลอนสงบจิตที่ทำขึ้นใหม่ๆ แพงมากนะ ขายให้ท่านหนึ่งเม็ดราคาถูกหน่อย”

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่งยกเท้าก้าวไวๆ จากไปแล้ว

 

 

หลิ่วเอ๋อร์เบะปากกับจ้าวฮั่นชิง

 

 

“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” นางว่า “คุณหนูของข้าเดี๋ยวก็ไม่ต้องการเขาแล้ว เขาเสียสติเป็นบ้าก็ปกติ”

 

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้าหงึกๆ แสดงว่าเห็นด้วย

 

 

“ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากพี่สาวไม่ต้องการข้าแล้วข้าจะเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางจิ่นซิ่วที่ได้ยินเสียงดังเดินออกมาสำรวจด้านนี้พลันกลอกตาทีหนึ่ง

 

 

พวกคนไม่ปกติฝูงหนึ่ง!

 

 

………………

ในท้องพระโรงเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นพักหนึ่ง     แน่นอนไม่เพียงเฉิงกั๋วกงเองชมตนเอง ขุนนางหลายคนก็ก้าวออกมาด้วย     “ใต้เท้าซุนเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้เดียวตบมือข้างเดียวยากดัง” ขุนนางผู้นั้นเอ่ยขึ้น     “ใช่แล้ว อีกอย่างเพราะเฉิงกั๋วกงห้าวหาญอยู่ก่อน เหล่าประชาชนอย่างคุณหนูจวินถึงเลื่อมใสติดตาม ถึงหนึ่งเรียกร้อยขานรับได้” ขุนนางอีกคนเอ่ย     ในท้องพระโรงเสียงต่างๆ นาๆ ดังขึ้น ทั้งหมดล้วนชื่นชมเฉิงกั๋วกงที่สั่งสมบารมีอยู่ที่แดนเหนือนานปี ฝึกฝนทหารแกร่งอาชากำยำ ประชาชนทั้งมวลล้วนเป็นทหาร ทั้งยังกล้าหาญไม่ยอมถอย กล้าไปยังดินแดนของชาวจินลอบโจมตีองค์ชายของชาวจิน นี่ถึงทำให้พวกคุณหนูจวินสาบานต่อให้ตายก็จะติดตาม     สรุปคือล้วนเป็นเพราะความกล้าหาญของเฉิงกั๋วกงถึงทำให้การกระทำของพวกคุณหนูจวินสำเร็จ ความชอบคราวนี้จึงสำเร็จด้วย     ชมเลย ชมเลย หวงเฉิงกุมมือก้มศีรษะอยู่ในแถว มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าพรรคพวกในราชสำนักของเฉิงกั๋วกงมีเท่าไร ดูสิว่าชื่อเสียงของเขาโด่งดังเพียงไร ความชอบมากเจ้าแผ่นดินหวาดหวั่น ไม่ใช่มองออกมา แต่เป็นพูดออกมา     “…พวกท่านกล่าวผิดแล้ว นี่เป็นความดีความชอบของฝ่าบาทชัดๆ!”     ท่ามกลางเสียงแย่งกันชื่นชมนี้ฉับพลันเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งโพล่งออกมา     เจ้าหนูหน้าไม่อายคนนี้อีกแล้ว หวงเฉิงฉับพลันหน้าบึ้ง     “เพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาเปี่ยมบารมีชัดๆ ถึงให้เฉิงกั๋วกงสั่งสมความดีความชอบและหัวใจของประชาชนที่แดนเหนือเช่นนี้ได้” หนิงอวิ๋นเจาชูป้ายเตือนความจำพลางเอ่ยต่อ “หากไม่ให้ความไว้วางพระทัย เฉิงกั๋วกงจะก้าวมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ฎีกากล่าวโทษของสำนักผู้ตรวจการสุมจนประหนึ่งภูเขา ทุบก็ทุบเฉิงกั๋วกงตายได้แล้ว”     “ไม่ผิด นี่คือความดีความชอบของฝ่าบาท”     ด้านหลังร่างเขาขุนนางอายุน้อยกลุ่มหนึ่งรีบก้าวตามออกมา     “นี่เป็นฝ่าบาทพันทองซื้อกระดูกอาชา[1]”     “นี่เป็นฝ่าบาททรงเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”     ในท้องพระโรงฉับพลันกลายเป็นยิ่งเอะอะ ไม่เพียงหวงเฉิงตะลึง ขุนนางที่เหลือก็ตะลึงด้วย ขุนนางสองฝั่งที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ก็ตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็โมโหอยู่บ้าง     ผลัดถึงตาพวกเขาขุนนางหนุ่มเหล่านี้สอดปากตั้งแต่เมื่อไร!     นอกจากนี้ยังสรรเสริญเยินยอโจ่งแจ้งเช่นนี้อีก!     ไม่เข้าท่าจริงๆ !     ไม่ว่าคนของเฉิงกั๋วกงด้านนี้หรือคนของหวงเฉิงด้านนี้ล้วนเอ่ยด่าในใจพร้อมกัน     พวกขุนนางรุ่นใหม่รุ่นนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ !     ไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้กำลังพูดเรื่องสำคัญอะไรอยู่ ออกมาประจบส่งเดชอะไร     ขุนนางหลายคนขมวดคิ้วจะต่อว่าทันที ฮ่องเต้ที่เงียบไม่พูดไม่จามาตลอดบนบัลลังก์พลันสรวลแล้ว     “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” พระองค์ตรัสพลางยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “ข้าฟังเข้าใจแล้ว”     ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงค้อมกายสดับฟัง     “ที่แท้คุณหนูจวินทำเรื่องมากมายเช่นนี้ มีคุณงามความชอบแน่นอน” ฮ่องเต้ตรัสพลางถอนพระปัสสาสะ แล้วมองเฉิงกั๋วกงอีกครั้ง “แน่นอน เฉิงกั๋วกงเจ้าก็มีความชอบเช่นกัน เหมือนเช่นที่ทุกคนว่า นี่คือการส่งเสริมกันจึงสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่คนผู้เดียวจะทำได้”     “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย     ตะโกนอะไรเล่า ยังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าแย่งอะไร! ขุนนางคนอื่นก้มศีรษะเหล่ตาโมโห     “ฝ่าบาททรงพระปรีชา” พวกเขาเอ่ยตามวุ่นวาย     ฮ่องเต้สรวลยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ     “ไม่ปรีชาหรอก นี่เป็นเรื่องสมควร” สีพระพักตร์พระองค์ยิ่งอ่อนโยน ยังมีความตำหนิพระองค์เองอยู่บ้างด้วย “ไม่ยุติธรรมกับคุณหนูจวินแล้ว สร้างคุณงามความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้”     “ฝ่าบาท เรื่องดีไม่กลัวสายนะพ่ะย่ะค่ะ”     ครั้งนี้หวงเฉิงไม่กล้าช้าสักก้าวอีกต่อไป รีบก้าวออกมาพูด     “แม้ครั้งแรกไม่ได้แห่ขบวนสรรเสริญความชอบให้ทุกคนรู้จักคุณหนูจวิน ตอนนี้ก็ไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังจะพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชาง ประกาศพระราชทานเกียรติยศแก่คุณหนูจวินพร้อมกันย่อมได้”     “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เวลานี้ยังไม่สาย” ขุนนางหลายคนเอ่ยเห็นพ้องทันที     ขุนนางอีกหลายคนมองเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง ค้อมกายขานรับเช่นกัน     ยามที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารเต็มท้องพระโรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉิงกั๋วกงกับหวงเฉิงเห็นพ้องกันอย่างยากจะพบนี่ ในพระทัยฮ่องเต้ย่อมเข้าใจเจตนาของพวกเขาชัดเจนยิ่ง     เฉิงกั๋วกงกล้าทำเช่นนี้ย่อมต้องการตักตวงชื่อเสียงว่าจิตใจกว้างขวางไม่เห็นแก่ตัวอีก นอกจากนี้มีที่พึ่งจึงมั่นใจว่าตนเองต้องไม่กล้าไม่ตกลง     ส่วนหวงเฉิงคนเหล่านี้ย่อมหวังว่าจะลดทอนคุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นฉวยโอกาสสร้างมลทินว่าละโมบความชอบให้ชื่อเฉิงกั๋วกง     แต่ละคนๆ ล้วนมีแผนการเล็กๆ ของตนเอง     สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านไป ฉับพลันก็ชะงัก จับอยู่บนร่างของหนิงอวิ๋นเจา     ขุนนางชุดเขียวเยาว์วัยไม่ได้ค้อมกายเอ่ยวาจาเช่นนั้นอย่างเช่นขุนนางส่วนใหญ่ แต่ร่างกายเหยียดตรงสีหน้าแน่วแน่มองพระองค์     ไม่ว่าผู้อื่นคิดอย่างไรทำอย่างไร สิ่งที่เขาต้องทำก็คือฟังว่าฝ่าบาทจะตัดสินใจอย่างไร     ฮ่องเต้อดไม่ได้หัวเราะส่ายศีรษะ คนหนุ่มนี่นะ     คนหนุ่มก็ไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มคนนี้คือคนแซ่หนิงต้องการความรู้มีความรู้ ต้องการความสามารถมีความสามารถ นอกจากนี้เบื้องหลังยังมีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นหนิงเหยียนอีก     หนิงเหยียนความสามารถในการทำงานบ้านงานเมืองไม่ต้องสงสัย เพียงแต่นิสัยนี่ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่เหมือนกัน     นี่หลังจากนี้พบเรื่องบ้านเมืองให้หนิงเหยียนชี้แนะเบื้องหลังได้ แล้วยังให้หนิงอวิ๋นเจาแสดงออกว่าแลกเปลี่ยนคล้อยตามเขาอย่างหัวไวยิ่งกว่าได้อีก นี่เป็นเรื่องที่ยิงทีเดียวได้นกสองตัวจริงๆ     รอยสรวลในพระเนตรฮ่องเต้ยิ่งเข้ม แต่ก็ขมวดพระขนงน้อยๆ อีกหน มองชุดขุนนางสีเขียวของหนิงอวิ๋นเจา     ตำแหน่งขุนนางต่ำเกินไป การประชุมใหญ่มาได้ เวลาอื่นย่อมผลัดไม่ถึงเขามาถกเรื่องงานบ้านงานเมือง ดูท่าคงต้องให้โอกาสเขาขยับตำแหน่งสักหนแล้ว     นี่ก็ทำง่าย ฮ่องเต้นั่งพระวรกายตั้งตรง พอดีอ้างการปลอบประโลมหนิงเหยียนทำเรื่องนี้ได้พอดี แล้วพระองค์ยังได้ชื่อเสียงดีงามว่ามีน้ำพระทัยต่อขุนนางใหญ่อีกด้วย     เสียงของขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงวุ่นวายจนพูดจบเงียบลง ฮ่องเต้บนบัลลังก์กลับเงียบไม่ส่งเสียง     หวงเฉิงเงยหน้าขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง เห็นฮ่องเต้คล้ายกำลังเหม่อลอยอยู่ ขมวดพระขนงเป็นระยะคล้ายกำลังคิดสิ่งใด     ครุ่นคิดคิดสิ่งใด?     เรื่องนี้ยังต้องครุ่นคิดรึ?     ขอเพียงทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง การเลี้ยงทหารส่วนตัว ลดทอนความชอบทางการทหาร ให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าเฉิงกั๋วกงไม่ได้ทำได้ทุกสิ่งเช่นนั้น ความชอบทางทหารที่เขาทำที่จริงเป็นผู้อื่นกระทำ ถ้าเช่นนั้นบารมีในหมู่ประชาชนย่อมต้องลดลงมาก นี่ล้วนเป็นเรื่องที่จะได้ตามมา     เดิมทีคุณหนูจวินกับฐานะคู่หมั้นของบุตรชายเฉิงกั๋วกงจริงๆ หลอกๆ ผู้อื่นย่อมไม่มีหนทางพิสูจน์ ตอนนี้พวกเขาพูดออกมาเองแล้ว เป็นขนมสอดไส้ร่วงจากฟ้าโดยแท้ ไม่รับไยไม่ใช่เสียของ?     ส่วนเฉิงกั๋วกงทำไมทำเช่นนี้ ก็คงเพราะประการแรกคุณหนูจวินอยากแย่งความชอบ สตรีคนนี้ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา การเคลื่อนไหวทุกครั้งล้วนต้องการชื่อเสียงไม่ต้องการผลประโยชน์ ชื่อเสียงมากเช่นนี้ในหมู่ผู้อพยพแดนเหนือ นางจะยกประเคนให้ผู้อื่นได้อย่างไร? ส่วนเฉิงกั๋วกงต้องการซื้อใจคุณหนูจวินคนนี้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องดีที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า ดีต่อคนทั้งหมด     มุมปากหวงเฉิงยิ้มเย็นชาจางๆ แต่เรื่องดีในใต้หล้านี้ไม่อาจถูกพวกเจ้ายึดครองได้ทั้งหมดกระมัง?     “ฝ่าบาท” เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตะเบ็งเสียงนิดๆ เอ่ยเรียก     ฮ่องเต้ได้สติกลับมามองไปหาเขา     “ฝ่าบาท รางวัลโทษทัณฑ์แบ่งชัดจึงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ความชอบใหญ่หลวงครั้งนี้ของคุณหนูจวินไม่อาจถูกฝังกลบไว้ตรงนี้ได้” หวงเฉิงสีหน้าจริงใจเอ่ย แล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกงทีหนึ่งอีกหน เจาะจงไม่ปิดบังสักนิด “เป็นความชอบของผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น ประชาชนทั้งหลายควรได้รับรู้ เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ใดหลอกลวงให้งมงาย”     คำพูดนี้ชัดเจนพอตัวแล้วกระมัง ฮ่องเต้น่าจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว     หวงเฉิงเตรียมเอ่ยต่อสักหลายประโยค ฮ่องเต้ก็พลันเอ่ยพระโอษฐ์     “ดี พวกเจ้าพูดถูกต้อง” พระองค์ตรัส ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “รางวัลโทษทัณฑ์ต้องแบ่งชัด ควรให้รางวัลย่อมต้องให้รางวัล ไม่อาจทำให้ผู้มีความดีความชอบผิดหวังได้”     พระองค์มองไปทางหวงเฉิง     “พวกเจ้าหารือกันสักหน่อยเถอะ ทำตามรูปแบบที่ใหญ่ที่สุด”     ง่ายปานนี้เชียว ดูท่าฮ่องเต้จะคิดกระจ่างแล้วจริงๆ ตัดสินใจแน่วแน่จะกำจัดเฉิงกั๋วกงแล้วเช่นกัน     หวงเฉิงกำลังคิดคำพูด ชะงักไปนิดเดียวนี่ ข้างหูพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแล้ว     “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!” หนิงอวิ๋นเจาค้อมกายตะเบ็งเสียงเอ่ย     หน้าไม่อาย     หวงเฉิงด่าคำหนึ่งในใจ ค้อมกายตาม     “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”     ครั้งนี้ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารทั้งท้องพระโรงล้วนค้อมกายขานรับพร้อมเพรียง     มีอะไรทรงพระปรีชาไม่ทรงพระปรีชาเล่า สำหรับคนผู้หนึ่งที่กำลังจะถูกกำจัด ไยต้องสนใจมากปานนั้น ต่อให้มอบคุณงามความชอบเพิ่มให้พวกนางบ้างแล้วอย่างไร อย่างไรท้ายที่สุดไม่ใช่พระองค์จะเอากลับมารึ     ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใดแล้ว พวกเจ้าอยากได้ก็ให้พวกเจ้า     …………………………

ในท้องพระโรงเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นพักหนึ่ง

 

 

แน่นอนไม่เพียงเฉิงกั๋วกงเองชมตนเอง ขุนนางหลายคนก็ก้าวออกมาด้วย

 

 

“ใต้เท้าซุนเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้เดียวตบมือข้างเดียวยากดัง” ขุนนางผู้นั้นเอ่ยขึ้น

 

 

“ใช่แล้ว อีกอย่างเพราะเฉิงกั๋วกงห้าวหาญอยู่ก่อน เหล่าประชาชนอย่างคุณหนูจวินถึงเลื่อมใสติดตาม ถึงหนึ่งเรียกร้อยขานรับได้” ขุนนางอีกคนเอ่ย

 

 

ในท้องพระโรงเสียงต่างๆ นาๆ ดังขึ้น ทั้งหมดล้วนชื่นชมเฉิงกั๋วกงที่สั่งสมบารมีอยู่ที่แดนเหนือนานปี ฝึกฝนทหารแกร่งอาชากำยำ ประชาชนทั้งมวลล้วนเป็นทหาร ทั้งยังกล้าหาญไม่ยอมถอย กล้าไปยังดินแดนของชาวจินลอบโจมตีองค์ชายของชาวจิน นี่ถึงทำให้พวกคุณหนูจวินสาบานต่อให้ตายก็จะติดตาม

 

 

สรุปคือล้วนเป็นเพราะความกล้าหาญของเฉิงกั๋วกงถึงทำให้การกระทำของพวกคุณหนูจวินสำเร็จ ความชอบคราวนี้จึงสำเร็จด้วย

 

 

ชมเลย ชมเลย หวงเฉิงกุมมือก้มศีรษะอยู่ในแถว มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าพรรคพวกในราชสำนักของเฉิงกั๋วกงมีเท่าไร ดูสิว่าชื่อเสียงของเขาโด่งดังเพียงไร ความชอบมากเจ้าแผ่นดินหวาดหวั่น ไม่ใช่มองออกมา แต่เป็นพูดออกมา

 

 

“…พวกท่านกล่าวผิดแล้ว นี่เป็นความดีความชอบของฝ่าบาทชัดๆ!”

 

 

ท่ามกลางเสียงแย่งกันชื่นชมนี้ฉับพลันเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งโพล่งออกมา

 

 

เจ้าหนูหน้าไม่อายคนนี้อีกแล้ว หวงเฉิงฉับพลันหน้าบึ้ง

 

 

“เพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาเปี่ยมบารมีชัดๆ ถึงให้เฉิงกั๋วกงสั่งสมความดีความชอบและหัวใจของประชาชนที่แดนเหนือเช่นนี้ได้” หนิงอวิ๋นเจาชูป้ายเตือนความจำพลางเอ่ยต่อ “หากไม่ให้ความไว้วางพระทัย เฉิงกั๋วกงจะก้าวมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ฎีกากล่าวโทษของสำนักผู้ตรวจการสุมจนประหนึ่งภูเขา ทุบก็ทุบเฉิงกั๋วกงตายได้แล้ว”

 

 

“ไม่ผิด นี่คือความดีความชอบของฝ่าบาท”

 

 

ด้านหลังร่างเขาขุนนางอายุน้อยกลุ่มหนึ่งรีบก้าวตามออกมา

 

 

“นี่เป็นฝ่าบาทพันทองซื้อกระดูกอาชา[1]”

 

 

“นี่เป็นฝ่าบาททรงเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”

 

 

ในท้องพระโรงฉับพลันกลายเป็นยิ่งเอะอะ ไม่เพียงหวงเฉิงตะลึง ขุนนางที่เหลือก็ตะลึงด้วย ขุนนางสองฝั่งที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ก็ตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็โมโหอยู่บ้าง

 

 

ผลัดถึงตาพวกเขาขุนนางหนุ่มเหล่านี้สอดปากตั้งแต่เมื่อไร!

 

 

นอกจากนี้ยังสรรเสริญเยินยอโจ่งแจ้งเช่นนี้อีก!

 

 

ไม่เข้าท่าจริงๆ !

 

 

ไม่ว่าคนของเฉิงกั๋วกงด้านนี้หรือคนของหวงเฉิงด้านนี้ล้วนเอ่ยด่าในใจพร้อมกัน

 

 

พวกขุนนางรุ่นใหม่รุ่นนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ !

 

 

ไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้กำลังพูดเรื่องสำคัญอะไรอยู่ ออกมาประจบส่งเดชอะไร

 

 

ขุนนางหลายคนขมวดคิ้วจะต่อว่าทันที ฮ่องเต้ที่เงียบไม่พูดไม่จามาตลอดบนบัลลังก์พลันสรวลแล้ว

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” พระองค์ตรัสพลางยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “ข้าฟังเข้าใจแล้ว”

 

 

ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงค้อมกายสดับฟัง

 

 

“ที่แท้คุณหนูจวินทำเรื่องมากมายเช่นนี้ มีคุณงามความชอบแน่นอน” ฮ่องเต้ตรัสพลางถอนพระปัสสาสะ แล้วมองเฉิงกั๋วกงอีกครั้ง “แน่นอน เฉิงกั๋วกงเจ้าก็มีความชอบเช่นกัน เหมือนเช่นที่ทุกคนว่า นี่คือการส่งเสริมกันจึงสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่คนผู้เดียวจะทำได้”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

 

 

ตะโกนอะไรเล่า ยังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าแย่งอะไร! ขุนนางคนอื่นก้มศีรษะเหล่ตาโมโห

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” พวกเขาเอ่ยตามวุ่นวาย

 

 

ฮ่องเต้สรวลยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

 

 

“ไม่ปรีชาหรอก นี่เป็นเรื่องสมควร” สีพระพักตร์พระองค์ยิ่งอ่อนโยน ยังมีความตำหนิพระองค์เองอยู่บ้างด้วย “ไม่ยุติธรรมกับคุณหนูจวินแล้ว สร้างคุณงามความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องดีไม่กลัวสายนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ครั้งนี้หวงเฉิงไม่กล้าช้าสักก้าวอีกต่อไป รีบก้าวออกมาพูด

 

 

“แม้ครั้งแรกไม่ได้แห่ขบวนสรรเสริญความชอบให้ทุกคนรู้จักคุณหนูจวิน ตอนนี้ก็ไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังจะพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชาง ประกาศพระราชทานเกียรติยศแก่คุณหนูจวินพร้อมกันย่อมได้”

 

 

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เวลานี้ยังไม่สาย” ขุนนางหลายคนเอ่ยเห็นพ้องทันที

 

 

ขุนนางอีกหลายคนมองเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง ค้อมกายขานรับเช่นกัน

 

 

ยามที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารเต็มท้องพระโรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉิงกั๋วกงกับหวงเฉิงเห็นพ้องกันอย่างยากจะพบนี่ ในพระทัยฮ่องเต้ย่อมเข้าใจเจตนาของพวกเขาชัดเจนยิ่ง

 

 

เฉิงกั๋วกงกล้าทำเช่นนี้ย่อมต้องการตักตวงชื่อเสียงว่าจิตใจกว้างขวางไม่เห็นแก่ตัวอีก นอกจากนี้มีที่พึ่งจึงมั่นใจว่าตนเองต้องไม่กล้าไม่ตกลง

 

 

ส่วนหวงเฉิงคนเหล่านี้ย่อมหวังว่าจะลดทอนคุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นฉวยโอกาสสร้างมลทินว่าละโมบความชอบให้ชื่อเฉิงกั๋วกง

 

 

แต่ละคนๆ ล้วนมีแผนการเล็กๆ ของตนเอง

 

 

สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านไป ฉับพลันก็ชะงัก จับอยู่บนร่างของหนิงอวิ๋นเจา

 

 

ขุนนางชุดเขียวเยาว์วัยไม่ได้ค้อมกายเอ่ยวาจาเช่นนั้นอย่างเช่นขุนนางส่วนใหญ่ แต่ร่างกายเหยียดตรงสีหน้าแน่วแน่มองพระองค์

 

 

ไม่ว่าผู้อื่นคิดอย่างไรทำอย่างไร สิ่งที่เขาต้องทำก็คือฟังว่าฝ่าบาทจะตัดสินใจอย่างไร

 

 

ฮ่องเต้อดไม่ได้หัวเราะส่ายศีรษะ คนหนุ่มนี่นะ

 

 

คนหนุ่มก็ไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มคนนี้คือคนแซ่หนิงต้องการความรู้มีความรู้ ต้องการความสามารถมีความสามารถ นอกจากนี้เบื้องหลังยังมีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นหนิงเหยียนอีก

 

 

หนิงเหยียนความสามารถในการทำงานบ้านงานเมืองไม่ต้องสงสัย เพียงแต่นิสัยนี่ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่เหมือนกัน

 

 

นี่หลังจากนี้พบเรื่องบ้านเมืองให้หนิงเหยียนชี้แนะเบื้องหลังได้ แล้วยังให้หนิงอวิ๋นเจาแสดงออกว่าแลกเปลี่ยนคล้อยตามเขาอย่างหัวไวยิ่งกว่าได้อีก นี่เป็นเรื่องที่ยิงทีเดียวได้นกสองตัวจริงๆ

 

 

รอยสรวลในพระเนตรฮ่องเต้ยิ่งเข้ม แต่ก็ขมวดพระขนงน้อยๆ อีกหน มองชุดขุนนางสีเขียวของหนิงอวิ๋นเจา

 

 

ตำแหน่งขุนนางต่ำเกินไป การประชุมใหญ่มาได้ เวลาอื่นย่อมผลัดไม่ถึงเขามาถกเรื่องงานบ้านงานเมือง ดูท่าคงต้องให้โอกาสเขาขยับตำแหน่งสักหนแล้ว

 

 

นี่ก็ทำง่าย ฮ่องเต้นั่งพระวรกายตั้งตรง พอดีอ้างการปลอบประโลมหนิงเหยียนทำเรื่องนี้ได้พอดี แล้วพระองค์ยังได้ชื่อเสียงดีงามว่ามีน้ำพระทัยต่อขุนนางใหญ่อีกด้วย

 

 

เสียงของขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงวุ่นวายจนพูดจบเงียบลง ฮ่องเต้บนบัลลังก์กลับเงียบไม่ส่งเสียง

 

 

หวงเฉิงเงยหน้าขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง เห็นฮ่องเต้คล้ายกำลังเหม่อลอยอยู่ ขมวดพระขนงเป็นระยะคล้ายกำลังคิดสิ่งใด

 

 

ครุ่นคิดคิดสิ่งใด?

 

 

เรื่องนี้ยังต้องครุ่นคิดรึ?

 

 

ขอเพียงทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง การเลี้ยงทหารส่วนตัว ลดทอนความชอบทางการทหาร ให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าเฉิงกั๋วกงไม่ได้ทำได้ทุกสิ่งเช่นนั้น ความชอบทางทหารที่เขาทำที่จริงเป็นผู้อื่นกระทำ ถ้าเช่นนั้นบารมีในหมู่ประชาชนย่อมต้องลดลงมาก นี่ล้วนเป็นเรื่องที่จะได้ตามมา

 

 

เดิมทีคุณหนูจวินกับฐานะคู่หมั้นของบุตรชายเฉิงกั๋วกงจริงๆ หลอกๆ ผู้อื่นย่อมไม่มีหนทางพิสูจน์ ตอนนี้พวกเขาพูดออกมาเองแล้ว เป็นขนมสอดไส้ร่วงจากฟ้าโดยแท้ ไม่รับไยไม่ใช่เสียของ?

 

 

ส่วนเฉิงกั๋วกงทำไมทำเช่นนี้ ก็คงเพราะประการแรกคุณหนูจวินอยากแย่งความชอบ สตรีคนนี้ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา การเคลื่อนไหวทุกครั้งล้วนต้องการชื่อเสียงไม่ต้องการผลประโยชน์ ชื่อเสียงมากเช่นนี้ในหมู่ผู้อพยพแดนเหนือ นางจะยกประเคนให้ผู้อื่นได้อย่างไร? ส่วนเฉิงกั๋วกงต้องการซื้อใจคุณหนูจวินคนนี้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องดีที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า ดีต่อคนทั้งหมด

 

 

มุมปากหวงเฉิงยิ้มเย็นชาจางๆ แต่เรื่องดีในใต้หล้านี้ไม่อาจถูกพวกเจ้ายึดครองได้ทั้งหมดกระมัง?

 

 

“ฝ่าบาท” เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตะเบ็งเสียงนิดๆ เอ่ยเรียก

 

 

ฮ่องเต้ได้สติกลับมามองไปหาเขา

 

 

“ฝ่าบาท รางวัลโทษทัณฑ์แบ่งชัดจึงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ความชอบใหญ่หลวงครั้งนี้ของคุณหนูจวินไม่อาจถูกฝังกลบไว้ตรงนี้ได้” หวงเฉิงสีหน้าจริงใจเอ่ย แล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกงทีหนึ่งอีกหน เจาะจงไม่ปิดบังสักนิด “เป็นความชอบของผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น ประชาชนทั้งหลายควรได้รับรู้ เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ใดหลอกลวงให้งมงาย”

 

 

คำพูดนี้ชัดเจนพอตัวแล้วกระมัง ฮ่องเต้น่าจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว

 

 

หวงเฉิงเตรียมเอ่ยต่อสักหลายประโยค ฮ่องเต้ก็พลันเอ่ยพระโอษฐ์

 

 

“ดี พวกเจ้าพูดถูกต้อง” พระองค์ตรัส ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “รางวัลโทษทัณฑ์ต้องแบ่งชัด ควรให้รางวัลย่อมต้องให้รางวัล ไม่อาจทำให้ผู้มีความดีความชอบผิดหวังได้”

 

 

พระองค์มองไปทางหวงเฉิง

 

 

“พวกเจ้าหารือกันสักหน่อยเถอะ ทำตามรูปแบบที่ใหญ่ที่สุด”

 

 

ง่ายปานนี้เชียว ดูท่าฮ่องเต้จะคิดกระจ่างแล้วจริงๆ ตัดสินใจแน่วแน่จะกำจัดเฉิงกั๋วกงแล้วเช่นกัน

 

 

หวงเฉิงกำลังคิดคำพูด ชะงักไปนิดเดียวนี่ ข้างหูพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแล้ว

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!” หนิงอวิ๋นเจาค้อมกายตะเบ็งเสียงเอ่ย

 

 

หน้าไม่อาย

 

 

หวงเฉิงด่าคำหนึ่งในใจ ค้อมกายตาม

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

 

 

ครั้งนี้ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารทั้งท้องพระโรงล้วนค้อมกายขานรับพร้อมเพรียง

 

 

มีอะไรทรงพระปรีชาไม่ทรงพระปรีชาเล่า สำหรับคนผู้หนึ่งที่กำลังจะถูกกำจัด ไยต้องสนใจมากปานนั้น ต่อให้มอบคุณงามความชอบเพิ่มให้พวกนางบ้างแล้วอย่างไร อย่างไรท้ายที่สุดไม่ใช่พระองค์จะเอากลับมารึ

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใดแล้ว พวกเจ้าอยากได้ก็ให้พวกเจ้า

 

 

…………………………

เจ็บมาก

 

 

นางถูกดาบรุมฟันจนตาย แน่นอนเจ็บมาก

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“ท่านรู้ว่าข้าตายอย่างไรหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

สรุปแล้วไม่มีทางใช่ป่วยตายอย่างที่ข้างนอกพูดกัน

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“ข้า เคยสืบ” เขาว่า พูดพลางละสายตาออก พรูลมหายใจ

 

 

สืบ เรื่องนี้ยากมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องมีความสุขนัก เหมือนมองเห็นนางตายต่อหน้าด้วยตาตนเอง ตายต่อหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ไม่ว่าดาบฟันกระบี่แทงสุราพิษผ้าแพรขาว ตายอย่างไรก็เจ็บมาก

 

 

คำถามนี้ถามได้น่าเบื่อจริงๆ

 

 

เขาถามเรื่องนี้ทำไม?

 

 

“ข้า ข้าไปล่ะ” จูจั้นหันหน้าหนีเอ่ยบอกจากนั้นก็จะหมุนตัว

 

 

“เจ็บเอาเรื่อง” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนดาบที่สอง ตอนดาบแรกยังไม่ทันรู้สึก หลังจากนั้นต่อมาก็รุมจนเจ็บไม่ทัน จากนั้น…”

 

 

“พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว” จูจั้นทนไม่ได้อีกต่อไปเอ่ยขัดนาง

 

 

คุณหนูจวินหยุด ยิ้ม

 

 

“ทำท่านกลัวแล้วสินะ?” นางเอ่ย

 

 

“ข้ากลัวอะไรเล่า มีอะไรน่ากลัว” จูจั้นโมโหเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ปวดใจแทนเจ้า”

 

 

คำพูดออกมาจากปากปุบเขาก็เกือบกัดลิ้นขาด

 

 

พูดบ้าอะไร!

 

 

เขาพูดบ้าอะไร!

 

 

มารดา!

 

 

จะตายแล้ว!

 

 

เขายื่นมือปิดปาก หมุนตัวปุบก็ก้าวเร็วไวไปข้างนอก ไม่รู้ว่ารีบร้อนเกินไปหรือลนลานเกินไปจึงหวิดสะดดุธรณีประตูล้ม โซเซกระโดดออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินอึ้งจากนั้นก็หลุดยิ้ม ยิ่งยิ้มยิ่งอยากหัวเราะ จึงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียเลย

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ จูจั้นที่พุ่งมาถึงประตูห้องที่ตนพักอยู่แล้วพลันยื่นมือกุมหน้าผากอีกหน กัดฟันกรอดๆ

 

 

ถึงกับหัวเราะออกมาด้วย

 

 

สตรีคนไหนได้ยินคำนี้แล้วยังหัวเราะอออกมาได้อีก

 

 

ความคิดแล่นผ่าน ตนเองก็หลุดยิ้มบ้าง

 

 

สตรีคนไหน จะเป็นคนไหนได้เล่า จวินจิ่วหลิงสิ

 

 

จูจั้นยื่นมือตบบานประตูทีหนึ่ง พรูลมหายใจ

 

 

จวินจิ่วหลิงก็คือฉู่จิ่วหลิง นางคือนางมาตลอด

 

 

นางเป็นคนที่ไม่อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์เสมอ…

 

 

จูจั้นเหม่อลอยเล็กน้อยอีกหน หันหน้ามองไปทางเรือนของคุณหนูจวิน

 

 

นางกลับมาแล้วจริงหรือ?

 

 

ไม่ได้ตายจริงหรือ

 

 

น่าจะเป็นนาง คราแรกที่นางเอ่ยนามตนที่หรู่หนาน ก็มีเพียงนางถึงจะมีแววตาเช่นนั้นมองเขา

 

 

ตะลึงยินดีที่ได้พบพานคนในอดีตอีกครั้ง

 

 

คนในอดีต

 

 

ถ้าเช่นนั้นเดิมทีนางก็รู้จักเขา จดจำเขาได้น่ะสิ

 

 

จูจั้นเขี่ยปานประตูรู้สึกทั้งร่างคันยุบยิบ บิดเอวกระทืบเท้าผลักประตูเปิดวิ่งเข้าไป

 

 

“มารดาข้า” เฉินชีที่ยืนอยู่ตรงทางเดินสบถคำภาษาถิ่นหยางเฉิงออกมา “ข้าตาเพี้ยนไปแล้ว ข้าถึงกับเห็นท่านชายบิดไปมาเหมือนสตรี”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่รู้เกี่ยวกับคลื่นที่ถาโถมอยู่ในใจบุตรชายเวลานี้ เขาสงบนิ่งดังเช่นปกติ หลังหารือกับผู้ช่วยทั้งคืน ก็เขียนฎีกาขอพระราชทานรางวัลให้คุณหนูจวินเรียบร้อย

 

 

“ท่านคิดดีแล้วหรือ?”

 

 

นายหญิงอวี้สวมชุดขุนนางใหเฉิงกั๋วกงไปพลาง เอ่ยถามไปพลาง

 

 

“นี่หากถวายขึ้นไป คิดว่าอำนาจทหารของท่านคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะ

 

 

“ต่อให้ข้าไม่ส่งฎีกาฉบับนี้ขึ้นไป อำนาจทหารของข้าก็รักษาไว้ไม่ได้เหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่สู้อาศัยโอกาสที่ตักตวงผลประโยชน์ได้ตักตวงให้มากหน่อย”

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่า ยื่นมือตบแผ่นหลังของเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง

 

 

“ข้ารู้ท่านกั๋วกงไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบ” นางหัวเราะเอ่ย “คุณหนูจวินคนนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงมองนางทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าอยากพูดว่าไม่ใช่คนพวกเดียวกันไม่อยู่บ้านเดียวกันสินะ?” เขายิ้มพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แยกบ้านไปไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้วก็น่าเสียดาย?”

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้ม

 

 

“ไม่น่าเสียดาย สะใภ้คนนี้ข้าเป็นคนเชิญมา ไม่ให้เจ้าหนูนี่เสพสุขได้ประโยชน์ไปหรอก” นางเอ่ย “สิ่งที่ไม่อาศัยตนเองได้มาล้วนไม่เห็นค่า ท่านดูท่าทางนั่นของเขาสิ รออนาคตเขาสำนึกเสียใจคิดหาวิธีเอาเองเถอะ”

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

 

 

“คุณหนูจวินดีทีเดียว” เขาเอ่ยขึ้นแล้วไตร่ตรองครู่หนึ่ง “เพียงแต่ไม่แน่ว่าจั้นเอ๋อร์จะคิดว่าดี”

 

 

นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วบ้าง คล้ายคิดถึงเรื่องกลุ้มอันใดได้ อ้าปากอยากพูดก็หยุดไป

 

 

“ช่างเถอะ การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิต ไม่ถูกใจทั้งชีวิตย่อมทุกข์ทรมาน แล้วแต่เขาเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้า

 

 

“ใช่แล้ว ไม่ใช่ใครล้วนโชคดีเช่นนี้เหมือนข้า หาคนที่ใจต้องกันพบได้ใช้ทั้งชีวิตด้วยกัน” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ยกมือทุบหัวไหล่เฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง

 

 

“จริงแท้” นางว่า

 

 

นอกประตูเสียงกระแอมทีหนึ่งดังขึ้น ทั้งสองคนมองไปเห็นจูจั้นเดินเข้ามา

 

 

“ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง

 

 

“ไม่ใช่วันนี้พ่อเข้าประชุมหรือ? ข้าเลยกลับมาดูสักหน่อย” เขาเอ่ยแล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกง “พ่อ ท่านเขียนฎีกาแล้วหรือ?”

 

 

“นี่มีสิ่งใดให้หลอก” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

 

 

“ไม่ขบคิดตริตรองอีกหน่อย?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

“บุรุษทำสิ่งใดเอ่ยวาจาแล้วต้องเด็ดขาด” เฉิงกั๋วกงเอ่ยบอก “อย่าพะว้าพะวัง”

 

 

พูดจบก็ยกเท้าเดินไปด้านนอก

 

 

จูจั้นขานอื้อไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

“นี่ไม่ใช่สมใจเจ้ารึ?” นายหญิงอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นแล้วมองสำรวจจูจั้น “ทำไมดูแล้วเจ้าไม่ดีใจ?”

 

 

“เรื่องชื่อเสียงเช่นนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย มีสิ่งใดให้ดีใจไม่ดีใจ” จูจั้นเอ่ยหน้าขรึม “คนที่ข้าเป็นห่วงคือท่านพ่อ กับความปลอดภัยของคุณหนูจวิน”

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าประหนึ่งเห็นผีมองเขา

 

 

“เจ้ากินยาผิดรึ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“แม่” จูจั้นร้องเรียก

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว หยุดคำพูดของทั้งสองคน

 

 

“เอาล่ะ เจ้าก็อย่าแกล้งเขาเลย” เขาเอ่ยแล้วมองจูจั้น “ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องช้าเร็ว แทนที่จะให้ผู้อื่นลงมือไม่สู้ตนเองเข้าปะทะก่อน”

 

 

จูจั้นขานตอบทีหนึ่งพยักหน้า ส่งเฉิงกั๋วกงออกจากบ้านด้วยกันกับนายหญิงอวี้

 

 

นอกประตูเหล่าองครักษ์ตั้งขบวน เฉิงกั๋วกงรับสายบังเหียนมาพลิกกายขึ้นม้า จากไปพร้อมกับแสงอรุณที่ขอบฟ้า

 

 

“แม่ ถ้าเช่นนั้นข้าไปแล้ว” จูจั้นเอ่ยบอก

 

 

“ไปไหน?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม แปลกใจอยู่บ้าง

 

 

“แน่นอนโรงหมอจิ่วหลิงสิ” จูจั้นเอ่ยตอบ ก็แปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน “นี่ยังต้องถามด้วยหรือ?”

 

 

“เจ้าไม่ใช่หลบเลี่ยงแทบไม่ทันหรือ? ไม่ยินดีไม่ยินยอมหรือ?” นายหญิงอวี้มองสำรวจเขา “วันนี้เจ้าเป็นอะไร?”

 

 

จูจั้นหน้าขรึมขมวดคิ้ว

 

 

“ข้าเป็นอย่างไรเล่า แม่ ข้าเป็นคนที่ไม่แยกแยะหนักเบาเช่นนั้นหรือ? ตอนนี้เวลานี้มีเรื่องสำคัญเร่งเด่วนมากนัก” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้สบถทีหนึ่ง

 

 

“พอเถอะ” นางเอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่รู้จักเจ้ารึ”

 

 

พูดพลางมองจูจั้น ฉับพลันเข้าใจกระจ่าง

 

 

“เจ้าวันนี้ทำไมอารมณ์ดีเช่นนี้”

 

 

จูจั้นกะพริบตา

 

 

“ข้าอารมณ์ดีหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“เจ้ายิ้มจนปากหุบไม่ลงแล้ว” นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วมองเขา “ข้าว่าดูอย่างไรก็ดูประหลาด”

 

 

จูจั้นยื่นมือลูบหน้า

 

 

“ตรงไหนเล่า แม่ ท่านอย่าพูดส่งเดช” เขาเอ่ย “เวลานี้มีสิ่งใดให้อารมณ์ดี”

 

 

พูดจบไม่รอนายหญิงอวี้เอ่ยวาจาก็คำนับ

 

 

“ข้าไปทำงานก่อนล่ะ”

 

 

นายหญิงอวี้ถอนหายใจสองทีมองจูจั้นสองก้าวสามก้าวก็จากไปไกล

 

 

ยิ้มปากไม่หุบหรือ?

 

 

ตรงไหนเล่า?

 

 

จูจั้นยื่นมือลูบมุมปาก รอยยิ้มแย้มออก มุมปากยกขึ้น เขารีบกระแอมเบาๆ สองทีหุบลง แต่นาทีต่อมาก็ยังคงกลั้นไม่อยู่ยกขึ้นมาอีก ท้ายที่สุดเผยฟันขาวทั้งปากออกมาเดินก้าวยาวๆ ไปบนถนน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เมื่อทอดพระเนตรเห็นเฉิงกั๋วกงที่ถวายฎีกา ฮ่องเต้ก็ทรงอารมณ์ดียิ่งเช่นกัน

 

 

เนื้อหาในฎีกาเฉิงกั๋วกงอ่านต่อหน้าทุกคนแล้ว ในท้องพระโรงเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์หึ่งๆ ขุนนางทั้งหลายเต็มที่ประชุมสีหน้าต่างกันไป

 

 

“พูดเช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นแผนเฉพาะหน้า” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ตรัสขึ้นอย่างอ่อนโยน “การช่วยเหลือคุ้มครองผู้อพยพแดนเหนือนี่ที่จริงล้วนเป็นความคิดของคุณหนูจวิน แต่เพื่อสะดวกดำเนินการถึงอ้างชื่อของเจ้าหรือ?”

 

 

เฉิงกั๋วกงค้อมกาย

 

 

“เป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “เดินทางมาดินแดนของชาวจินช่วยกระหม่อมจากวงล้อมก็เป็นการกระทำของนาง ไม่ใช่กระหม่อมวางแผนไว้ก่อน”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นกล่าวเช่นนี้ คุณงามความชอบที่แดนเหนือนี่ไยไม่ใช่ล้วนเป็นของคุณหนูจวิน? ฝ่าบาทชื่นชมผิดคนแล้วสิ?” ขุนนางคนหนึ่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงหันหน้าไปมองเขา

 

 

“แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น “หากไม่มีข้าพิทักษ์แดนเหนือฝึกฝนทหารหาญแม่ทัพกล้าออกมา ย่อมไม่มีโอกาสของคุณหนูจวินเช่นกัน”

 

 

ขุนนางมากมายที่อยู่ที่นั่นอึ้ง

 

 

ชมตนเองถึงกับชมได้ตรงๆ เด็ดขาด ตรงไปตรงมาเช่นนี้เชียว

 

 

หน้าไม่อายจริงๆ!

 

 

……………………

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รั้งอยู่นาน

 

 

ที่จริงต่อให้เป็นครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมา

 

 

เฉลียวฉลาดเช่นนางทำไมจะดูไม่ออกว่าการพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชางเบื้องหลังซ่อนเจตนาอันตรายร้ายกาจไว้

 

 

เพียงแต่รู้เป็นเรื่องหนึ่ง ทำอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุผลกับอารมณ์นี่ของมนุษย์ย่อมต้องต่อสู้กันจนตลอดชีวิต

 

 

“ท่านชายมาแล้ว ข้าคงไม่ส่งแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองไปก็เห็นจูจั้น ไม่รู้แวบเข้ามาจากที่ไหนจริงๆ

 

 

“ได้ ขอบคุณเจ้ามาก” นางอมยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ต้องลำบากอีกก็ดี”

 

 

ตอนนี้เวลานี้พบนาง หรือก็คือติดต่อกับเฉิงกั๋วกง ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

“แม้ไม่มีเงินเท่าไร ทหารก็ซ่องสุมไม่ได้ แต่ข้าก็ยังใช้ได้อยู่นะ” หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น

 

 

แม้เขาช่วยนางมากมายเช่นนั้นอย่างฟางเฉิงอวี่กับจูจั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่กลัวความลำบากเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะพยักหน้า

 

 

“ใช่แค่ใช้ได้ที่ไหน ใช้ได้อย่างยิ่ง” นางเอ่ย “หากไม่ใช่เจ้า มีเงินมีคนมีความดีความชอบ พระราชวังก็ยังเข้าไม่ได้”

 

 

ชมคนเห่งมาแต่เกิดหรือไง? ได้ยินว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่เช่นนี้นี่ ปลายเท้าจูจั้นขยี้บนพื้น เกินจริงเกินไปแล้วกระมัง

 

 

เสียงหัวเราะของหนิงอวิ๋นเจาลอยมา

 

 

จูจั้นขยี้ปลายเท้าอีกครั้ง รอยแตกร้ายของหินเขียวใต้เท้าใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง

 

 

โง่หรือไม่โง่ แค่พูดเท่านั้น มีอะไรน่ามีความมสุข

 

 

“ท่านชาย”

 

 

เสียงหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้น

 

 

จูจั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาแย้มยิ้ม

 

 

“ขอบคุณมาก” หนิงอวิ๋นเจาคำนับ

 

 

จูจั้นคำนับคืนนิดหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจาไม่เอ่ยวาจาอีกก้าวเท้าจากไป

 

 

จูจั้นยืนอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ขยับ

 

 

“ไปไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานตอบแล้วหมุนตัวก้าวเดิน คุณหนูจวินตามออยู่หลังร่างอย่างเชื่องช้า เหมือนเช่นก่อนหน้านี้เดินผ่านกลางฝูงชนห่างไม่ไกลไม่ใกล้

 

 

เหมือนอย่างไร ไม่เหมือนกันสักนิด

 

 

รอจนเดินมาถึงในตรอกห่างไกลเงียบสงบเส้นหนึ่งก็มีองครักษ์มาเฝ้าระวังป้องกันหน้าหลัง จูจั้นหยุดเท้าหันกลับมา

 

 

“ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ใช่สิ สิ่งที่ข้าพูดย่อมถูกต้อง” คุณหนูจวินยิ้มตาหยีเอ่ย

 

 

จูจั้นไม่ได้สบถเสียดสีคหนึ่งเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้อีก สีหน้าไม่สบายใจผละสายตาออก

 

 

“ข้าพูดถึง ที่เจ้าเสนอบิดาข้าว่าตอนนี้ดีที่สุดอย่าพูดเรื่องสัญญาหมั้นหลอก” เขาเอ่ย “ข้าคิดว่าอันตรายเกินไป”

 

 

คุณหนูจวินขานตอบรับ

 

 

ต่อให้ก้มศีรษะอยู่ จูจั้นก็เหมือนจะเห็นท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง

 

 

ก่อนหน้ารีบร้อนเร่งผู้อื่นให้เผยเรื่องสัญญาหมั้นหลอกเร็วหน่อย ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ไม่เห็นด้วยแล้ว ปฏิกิริยานี้ไม่ค่อยดีจริงๆ

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่อันตราย ความหมายของข้าคือ…คือ ในใจเจ้าไม่เหมือนเดิม…” เขาอธิบาย ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ ตนเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

“ในใจท่านไม่เหมือนเดิมกระมัง?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น กะพริบตา “ไม่กลัวจวินจิ่วหลิงอันตราย ฉู่จิ่วหลิงกลับกลัวแล้ว”

 

 

หน้าของจูจั้นแดงแล้ว บนหน้าผากเหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา

 

 

“ไม่ ไม่ใช่ความหมายนี้” เขาเอ่ยติดอ่าง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยถามอย่างตั้งใจ

 

 

จูจั้นมองนางพลางอ้าปาก

 

 

“เจ้า” เขาเอ่ย เอ่ยออกมาคำหนึ่งนี้ ลมหายใจก็กลืนกลับไปอีก “ความหมายอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น”

 

 

พูดจบก็หันหน้าหนีก้าวไวๆ เดินไปข้างหน้า

 

 

โกรธแล้ว

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะรีบไล่ตามไป

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้หมายความว่าอย่างไร” นางยิ้มเอ่ย ยื่นมือดึงแขนเสื้อของจูจั้น

 

 

จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่ไม่ได้ร้องรวมถึงสลัดออกเกินจริงเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้

 

 

“ความหมายของท่านคือก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าทำไมข้าทำเรื่องเหล่านี้ เจตนาของข้าท่านไม่ทราบย่อมไม่ทราบเช่นกันว่าข้าจะทำถึงขั้นไหน แล้วอันตรายที่ต้องเผชิญคืออะไร ตอนนี้ท่านรู้ว่าข้าคือใคร ดังนั้นย่อมรู้แล้วว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร ดังนั้นจึงรู้อีกว่าสิ่งที่ข้าต้องเผชิญอันตรายปานใด” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชัง”

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างจริงจัง จูจั้นก้มศีรษะ สับสนอยู่บ้างนิดหน่อยอีกครั้ง บางทีอาจไม่ใช่สักนิด ก็แค่ ก็แค่ของเหมือนเดิมคนเปลี่ยน ความรู้สึกความคิดเห็นของเขาจึงเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

นี่คือดี หรือว่าไม่ดี?

 

 

“ความรู้สึกตอนนี้ของข้าไม่ดียิ่งนัก” เขาหมุนตัว เงยศีรษะเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมายิ่ง

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ข้าเข้าใจได้” นางเอ่ย “อย่างไรเรื่องนี้ก็กะทันหันเกินไปแล้ว”

 

 

จูจั้นสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง

 

 

“ข้าถึงขั้นบอกไม่ถูกว่าทำไมข้ารู้สึกไม่ดี” เขาพรูลมหายใจยาวๆ อีกหน “สรุปก็คือ…”

 

 

“สรุปคือข้าไม่ได้เปลี่ยน ข้าเป็นข้ามาเสมอ” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “จูจั้น ท่านก็ไม่ต้องเปลี่ยนเช่นกัน”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่งจากนั้นเคลื่อนสายตาหนี

 

 

“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ไม่เหมือนกันอย่างไรเล่า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้ตนเอง “ล้วนเป็นข้ามาตลอดนะ ฉู่จิ่วหลิงก็ไม่ปกติเช่นนี้”

 

 

หน้าของจูจั้นแดงพรึบขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“ข้าพูดเช่นนั้น ที่จริง ก็แค่พูดไปงั้นๆ” เขาเอ่ยติดอ่าง

 

 

“ไม่งั้นๆ หรอก” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ก่อนหน้านี้ท่านก็ไม่รู้จักข้า ไม่คุ้ยเคยกับข้า ที่จริงข้าก็เป็นเช่นนี้”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านไม่รู้จักข้าสินะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นตอบอืมทีหนึ่ง สายตามองไปด้านข้าง

 

 

“เคยพบ” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“นอกจากที่ปีนกำแพงถูกท่านทำร่วงลงมาครั้งนั้น ที่ประตูเมืองครั้งนั้นก็เป็นท่านสินะ?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ครั้งก่อนข้าได้ยินพวกท่านคุยกันเรื่องซ้อมลู่อวิ๋นฉีที่ประตูเมือง”

 

 

จูจั้นขานตอบ

 

 

“ใช่” เขาเอ่ยตอบ ยังคงมองกำแพง

 

 

“ข้าจำไม่ได้แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มบอก ท่าทางหวนคะนึงอยู่บ้าง “ข้าไม่มีความทรงจำประทับใจอะไร เวลานั้นรีบกลับบ้าน อีกอย่างพวกท่านก็คลุมโม่งอยู่ด้วย”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดอีกหน

 

 

“เขา ก็รู้จักข้าตอนนั้นเหมือนกันสินะ?”

 

 

เขาคนนี้พูดถึงใคร จูจั้นรู้ทันที เขาขานอืมตอบอีกครั้ง

 

 

“น่าจะใช่” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินขานอืมตอบ ไม่เอ่ยคำพูดอีกเดินไปข้างหน้า จูจั้นรั้งสายตากลับพรูลมหายใจ หยุดนิดหนึ่งก็ตามไป เมื่อเดินออกจากตรอก ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนก่อนหน้าอีกหน ไม่รีบไม่ช้าไม่ไกลไม่ใกล้เดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง

 

 

เห็นพวกเขาเข้ามา เฉินชีก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น

 

 

คุณหนูจวินยิ้มเดินเข้าไป จูจั้นยิ้มให้เฉินชีแล้วตามเข้าไป

 

 

เฉินชีสีหน้าพิกลมองแผ่นหลังของเขา

 

 

“กินยาผิดรึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“อะไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม

 

 

“ข้าว่าท่านชาย ดูแล้วแปลกพิกล” เฉินชีเอ่ยพลางยื่นศีรษะมองไปข้างในอีกหน

 

 

“เดิมทีเขาก็แปลกพิกลอยู่แล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย ก้มศีรษะไม่สนใจอีก

 

 

งั้นรึ? แต่วันนี้แปลกเป็นพิเศษ เฉินชีมองข้างในทีหนึ่งเห็นทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้ว

 

 

“เจ้า”

 

 

จูจั้นยืนอยู่ในห้อง ฉับพลันก็เอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา

 

 

จูจั้นกลับหยุดอีกหน คล้ายไม่รู้จะพูดอย่างไร

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“จูจั้น ท่านไม่ต้องเคร่งเครียด ชินแล้วก็ดีเอง” นางเอ่ย “ตอนแรกข้าตื่นมาพบเรื่องเช่นนี้ก็เคร่งเครียดมากเหมือนกัน

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง

 

 

“องค์หญิงจิ่วหลีกับไหวอ๋องรู้ไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

“ข้าจะกล้าพูดได้อย่างไร หากไม่ใช่เรื่องเสวี่ยเอ๋อร์ครั้งนี้กะทันหันเกินไป ข้าก็ไม่มีทางบอกท่านหรอก” นางเอ่ยบอกแล้วก็ยิ้ม “ท่านคนใจกล้าปานนี้ยังตกใจจนเป็นเช่นนั้น พวกเขา…”

 

 

ใจกล้าหรือ?

 

 

จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง ลูบปลายจมูก

 

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องใจกล้ามากน้อยหรอก” เขาเอ่ย “แม้บ้าบอแต่ล้วนมีหลักฐาน ย่อมไม่มีสิ่งใดไม่น่าเชื่อ”

 

 

“พวกเขารู้ไปก็ไม่มีอะไรดี” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

“นั่นก็ใช่ ลู่อวิ๋นฉียังอยู่” จูจั้นเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน “เขา สังเกตอะไรได้สินะ?”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ครั้งนั้นท่านไม่ใช่ถามข้าหรือ” นางเอ่ย “ถามข้าว่าไปหาเรื่องลู่อวิ๋นฉีอย่างไรเข้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เป็นบ้า”

 

 

จูจั้นร้องอ้อ คิดถึงเรื่องตอนนั้นก็อดไม่ได้ลูบหน้าทีหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังค้นพบแล้ว ตนเองทำไมช่าง…

 

 

“ท่านว่าอะไรนะ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม ได้ยินเขาคล้ายพึมพำอะไรประโยคหนึ่ง

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ย ก้มศีรษะกำมือ เท้าก็ถูบนพื้นนิดหนึ่ง คล้ายอยากเปลี่ยนประเด็นแต่ก็ไม่อยากเปลี่ยน “เจ้า…”

 

 

เขาเงยหน้ามองคุณหนูจวินอีกครั้ง

 

 

“หลายปีนั้นชีวิตทรมานไหม?”

 

 

หลายปีนั้น?

 

 

คุณหนูจวินมึนงงเล็กน้อย หลายปีนั้นหมายถึงหลังพระบิดาพระมารดาจากไปสินะ

 

 

นางส่ายศีรษะ

 

 

“เวลานั้นไม่รู้ความจริง ไม่ทรมาน” นางเอ่ยแล้วแย้มยิ้ม “รู้ความจริงปุบข้าก็ตายแล้ว ไม่ทรมานเหมือนกัน”

 

 

จูจั้นมองนาง เม้มปากแน่นจนริมฝีปากบางเป็นสีม่วงจางๆ

 

 

“คง เจ็บมากสินะ” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

……………………

กาน้ำชาที่หยาบอยู่บ้างถูกมือเรียวยาวงดงามหิ้วขึ้นมา เทน้ำแกงชาสีน้ำตาลออกมา กลิ่นหอมฟุ้งรอบด้าน ไอร้อนลอยกรุ่นเล็กน้อย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาวางกาน้ำชาลง มองสตรีที่สองมือประคองถ้วยชาดื่มชา ดวงหน้าท่ามกลางไอร้อนคล้ายไกลแต่ก็คล้ายใกล้

 

 

“บอกว่าจะพระราชทานรางวัลแก่เต๋อเซิ่งชาง เรื่องดีย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร” เขาเอ่ยต่อ

 

 

คุณหนูจวินประคองถ้วยชาช้อนสายตาขึ้น

 

 

“ทำไมเล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

หนิงอวิ๋นเจามองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของนาง ตนเองก็ยิ้มด้วย

 

 

“เพราะเป็นสิ่งที่คนเลวเสนอขึ้นมา” เขาเอนตัวไปนิดหนึ่งกดเสียงเบาเอ่ยตอบ

 

 

คุณหนูจวินถือถ้วยชาหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“มีอะไรน่าหัวเราะนัก คนแซ่หนิงนี่วันนี้เป็นคนขี้ประจบชื่อดัง ขายหน้าบัณฑิตหมดสิ้นแล้วจริงๆ” จูจั้นเอ่ยพึมพำทีหนึ่งพลางมองด้านในโรงน้ำชา ฉับพลันเห็นสายตาคุณหนูจวินมองมาด้านนี้ เขารีบหดร่างถอยกลับมาในตรอก

 

 

จางเป่าถังตกใจสะดุ้งโหยงหวิดถูกชนล้ม

 

 

“พี่รอง ท่านไม่เข้าไปหรือ?” เขาเอ่ยถาม “อยู่ที่นี่มองอย่างเดียวมีความหมายอะไร”

 

 

“ข้าเข้าไปทำอะไร? ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย” จูจั้นเอ่ย “ข้าตามนางมาเพื่อป้องกันองครักษ์เสื้อแพรมาก่อเรื่องอีกเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”

 

 

จางเป่าถังร้องอ้อทีหนึ่งแล้วเกาศีรษะ คิดว่าเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

จูจั้นยื่นตัวออกไปข้างนอกเตรียมมองไป เพิ่งยื่นตัวออกมาฉับพลันคนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาเบื้องหน้า

 

 

“พี่ชาย”

 

 

พร้อมกับเสียงเรียกกังวานใสเสียงหนึ่ง

 

 

จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง จับกำแพงไว้ถึงไม่ได้ต่อยหมัดออกไป

 

 

“เจ้าทำอะไร?” เขาตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ มองเด็กหนุ่มชุดไหมหรูหราตรงหน้า

 

 

ฟางเฉิงอวี่สีหน้ากังวลวิตกอยู่บ้าง กะพริบตาปริบๆ

 

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ข้าเห็นท่านอยู่ที่นี่เลยเข้ามาทักทาย” เขาเอ่ย สายตามองไปทางจางเป่าถังอีกหน “รบกวนพวกท่านแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

เห็นท่าทางตกใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ จางเป่าถังรีบโบกมือ

 

 

“ไม่หรอก ไม่หรอก” เขาเอ่ยบอก

 

 

จูจั้นแค่นสียง

 

 

“พอแล้ว ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว นางไม่ได้อยู่ตรงหน้าสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าตั้งใจรึ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักไม่โต้แย้ง เก็บสีหน้าทำหน้าจริงจัง

 

 

“พี่ชายท่านหาอาจารย์ยิงธนูให้ข้าแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“หาแล้วๆ” จูจั้นเอ่ย มือสะบัดไปด้านหลัง “คนนี้ไง”

 

 

ที่แท้หาอาจารย์ยิงธนูให้เด็กหนุ่มคนนี้รึ จางเป่าถังจะเอ่ยคำพูดกลับเห็นฟางเฉิงอวี่ยังยืนอยู่ตรงหน้าจูจั้น

 

 

“เร็วปานนี้เชียว” เขาเอ่ย “คนมีความสามารถในเมืองหลวงมากจริงๆ พี่ชายท่านก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน”

 

 

จูจั้นยืนตัวตรงมองเขา

 

 

“ไม่สู้พวกเราไปบ้านท่าน ให้อาจารย์ดูฝีมือของข้าสักหน่อย จะได้ตัดสินใจว่าจะสอนข้าอย่างไร” ฟางเฉิงอวี่มองเขาพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “จะได้ไม่ทรยศความคาดหวังของท่านกั๋วกง”

 

 

ทำเช่นนี้ไม่เลวๆ จางเป่าถังพยักหน้าย้ำๆ เด็กหนุ่มผู้นี้รู้ความนัก

 

 

จูจั้นยิ้มยื่นมือคล้องไหล่ฟางเฉิงอวี่พาเขาเดินไปข้างนอกหลายก้าว

 

 

“สหายน้อย ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้า” เขาบอกแล้วพยักเพยิดคางไปทางโรงน้ำชาด้านนั้น “เจ้าเห็นไหม ตอนนี้ข้างกายนางคือคนแซ่หนิง เจ้าวิ่งมายุ่งกับข้าทำอะไร? เจ้าโง่ใช่หรือไม่?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว

 

 

“จิ่วหลิงกำลังทำธุระอยู่ จะรบกวนได้อย่างไร” เขาตอบ

 

 

“แล้วข้าทำเรื่องไร้สาระอยู่รึ?” จูจั้นเลิกคิ้ว กวาดตารอบด้านนิดหนึ่ง “เจ้ารู้ไหมว่ารอบด้านนี้สายตาเท่าไรจับจ้องอยู่? เจ้ารู้ไหมว่าด้านนั้นคนเดินเท้ากี่คน พ่อค้าแผงลอยกี่คนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายสุนัขเลวได้ตลอดเวลา?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานอืมตอบ

 

 

“เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายจริงๆ” เขาเอ่ย พยักหน้าอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่านชายที่ดูแลจิ่วหลิง”

 

 

เจ้าหนูนี่กลอกกลิ้งนัก จูจั้นมองเขา สีหน้าพิกลอยู่บ้าง

 

 

เขารู้หรือไม่…

 

 

อีกอย่าง เขามักจะเรียกว่าจิ่วหลิง ไม่ใช่พี่สาว

 

 

‘เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าจวินจิ่วหลิง ท่านเรียกข้าอีกครั้งได้หรือไม่ แค่เรียกชื่อ’

 

 

จิ่วหลิง

 

 

จิ่วหลิง

 

 

คำที่ผู้หญิงคนนั้นเคยเอ่ยดังขึ้นในหูของจูจั้น

 

 

การทะเลาะหยากเย้าใต้ท้องฟ้าพร่าวพราวดารานั่นที่แท้กลับซ่อนความเหงาลึกล้ำ ซ่อนความเดียวดายและความคิดถึงที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยชัดไว้ แค่ต้องการถูกเรียกว่าจิ่วหลิงสักคำ

 

 

จูจั้นยกมือกำหมัดเหวี่ยงรุนแรงทีหนึ่ง กัดฟันด่าอะไรสักประโยค

 

 

กระทั่งเจ้าหนูหัวแหลมนี่ก็สู้ไม่ได้

 

 

“พี่ชาย ท่านเป็นอะไร?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยถาม

 

 

จูจั้นกำลังจะเอ่ยคำพูดก็เห็นผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรมายืนอยู่ตรงหน้า เขาตกใจหลุดร้องเบาๆ คนก็ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วย

 

 

“จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ขยับเข้าไปเอ่ยเรียกอย่างดีอกดีใจ

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วมองจูจั้น

 

 

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน?” นางเอ่ยถาม “ทำไมไม่เข้ามา?”

 

 

“ข้าไม่เข้าไปล่ะ พี่ชายหาอาจารย์ยิงธนูให้ข้าได้แล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยบอก

 

 

จางเป่าถังพาองครักษ์เดินเข้ามาทักทาย

 

 

“ตอนนี้ข้าไปลองทดสอบกับอาจารย์ได้เลยไหม?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างดีใจทั้งยังรีบร้อนอยู่บ้าง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า มองไปทางจางเป่าถัง

 

 

“ได้ๆ” จางเป่าถังรีบพยักหน้าเช่นกัน

 

 

“พี่ชาย พวกเราไปเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางมองไปทางจูจั้น

 

 

จูจั้นคล้ายตอนนี้เพิ่งถูกค้นพบ รู้สึกถึงสายตาของคุณหนูจวินที่มองมาปุบ เขาพลันรีบมองไปรอบๆ

 

 

“ข้ายังมีธุระนิดหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น พูดจบก็หันหน้าจากไปแล้ว

 

 

การเคลื่อนไหวเร็วทั้งยังกะทันหัน คนที่อยู่ที่นั่นอดไม่ได้อึ้งวูบหนึ่งกันหมด

 

 

เมื่อคืนวานรู้เรื่องที่น่าตระหนกเช่นนั้น เวลานี้ยังไม่โหวกเหวกโวยวายดูแล้วเหมือนคนธรรมดาได้ คุณหนูจวินก็นับถือยิ่งแล้ว ไม่กล้าเผชิญหน้ากับตนหรือไม่รู้ควรเผชิญหน้าตนอย่างไร ปฏิกิริยาเช่นนี้ปกติยิ่ง

 

 

“ไปเถอะ” นางพยักหน้าเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่

 

 

ฟางเฉิงอวี่กับจางเป่าถังจากไปด้วยกัน เดินไปได้หลายก้าวก็หันกลับมามองคุณหนูจวินที่เข้าไปในโรงน้ำชาอีกครั้ง บนถนนแม้มองไม่เห็นเงาร่างของจูจั้นเช่นกัน แต่ฟางเฉิงอวี่รู้ว่าเขาต้องยังอยู่ใกล้ๆ แน่

 

 

ฟางเฉิงอวี่รั้งสายตากลับ ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะขอโทษอยู่นิดๆ

 

 

“พี่ชายเอ๋ย ข้าได้แต่ยุ่งกับท่านสิ เพราะจิ่วหลิงไม่ได้ชอบขุนนางน้อยหนิงนี่นา” เขาพึมพำเสียงเบา

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“นายน้อยฟางมาได้เหมาะกว่านายหญิงผู้เฒ่าฟาง” ในโรงน้ำชา หนิงอวิ๋นเจารั้งสายตากลับมาจากร่างฟางเฉิงอวี่ที่เดินออกไปไกลแล้วอมยิ้มเอ่ยขึ้น “คนหนุ่มยึดติดน้อยกว่าคนอายุมากอยู่บ้าง ตัดทิ้งได้ง่ายกว่า”

 

 

“คนอายุมากยึดติดมากย่อมช่วยไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้าไม่ต่อประเด็นนี้อีก

 

 

“เมื่อครู่เจ้าว่าเจ้าจะถูกยกเลิกสัญญาหมั้นอีกแล้ว” เขาเอ่ย “ครั้งนี้ดี”

 

 

พูดพลางก็หัวเราะอีก

 

 

“ครั้งก่อนโน้นก็ดี ล้วนเป็นมีน้ำใจมีคุณธรรมสร้างความชอบทำเรื่องยิ่งใหญ่ มีแต่ข้าครั้งนั้นไม่ดี”

 

 

เหตุผลที่ยกเลิกสัญญาหมั้นครั้งนั้นกับหนิงอวิ๋นเจาเพราะผู้ใหญ่สองฝั่งไม่ถูกกัน

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุดแล้ว” นางเอ่ย “กลับเป็นข้าควรเอ่ยขอโทษเจ้าสักคำ”

 

 

แรงส่งผลต่อกันเสมอ เหตุผลที่หมั้นกับฟางเฉิงอวี่ก็ดี เหตุผลที่อยู่กับบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ดี ล้วนเป็นเมตตายิ่งใหญ่คุณธรรมยิ่งใหญ่ นับเป็นความเมตตาความมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ของนาง ตระกูลฟางกับครอบครัวเฉิงกั๋วกงล้วนถูกผู้คนเอ่ยชื่นชมไปด้วยเช่นกัน

 

 

หนิงอวิ๋นเจากุมถ้วยชา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นควรชดเชยให้ข้าใช่หรือไม่?” เขาอมยิ้มเอ่ยถาม

 

 

“เอาสิ” คุณหนูจวินเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด “เจ้าต้องการอะไร?”

 

 

หนิงอวิ๋นเจารวบรวมสมาธิตั้งใจคิดครู่หนึ่ง

 

 

“สิ่งใดข้าล้วนไม่ขาดจริงๆ ชั่วขณะคิดไม่ออก” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“ไม่รีบร้อน ค่อยๆ คิด” นางเอ่ยบอก

 

 

“เวลาไหนก็มีผลหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

หนิงอวิ๋นเจาไม่เอ่ยวาจายกถ้วยชาขึ้น คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา ยิ้มพลางยกถ้วยชนกับเขาเบาๆ

 

 

สิ่งเดียวที่เขาขาด อยากได้ก็เอามาไม่ได้หรอก

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มทีหนึ่ง แหงนหน้าดื่มคำเดียวหมด

 

 

……………………

วิชาธนูของฟางเฉิงอวี่ได้รับคำชื่นชมจากเฉิงกั๋วกง จนกระทั่งบนโต๊ะอาหารก็ยังชมไม่ขาดปาก

 

 

“ช้าไปนานปีปานนั้น หากฝึกตั้งแต่เล็กคงดีกว่านี้อีก” เขาเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เปรียบเทียบ “เทียบฮั่นชิงได้เลย”

 

 

เพราะหยางจิ่งพาคนของกองทหารชิงซานส่วนหนึ่งไปอารักขาน้าเซียว ทิ้งจ้าวฮั่นชิงอยู่ในกองทหารช่วยเซี่ยหย่ง เวลานี้จึงยังไม่เคยพบฟางเฉิงอวี่

 

 

แต่ชื่อนี้ไม่แปลกหูฟางเฉิงอวี่ และเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจเพราะถูกเปรียบกับสตรีคนหนึ่ง

 

 

“ข้าใช้ได้หรือ?” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะขยันฝึกขึ้นอีก”

 

 

พูดพลางก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน

 

 

“จิ่วหลิง ท่านกั๋วกงบอกว่าข้าร้ายกาจเหมือนฮั่นชิงได้”

 

 

เหมือนเด็กที่อวดเมื่อได้รับคำชมคนหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ได้แน่นอน” นางเอ่ย “พวกเจ้าล้วนร้ายกาจกว่าข้า”

 

 

บนโต๊ะอาหารรื่นเริงคุยเล่นสุขสันต์ มีเพียงจูจั้นที่ประหนึ่งกันตนเองไว้ข้างนอก ก้มศีรษะกินไม่หยุด

 

 

“จั้นเอ๋อร์”

 

 

ริมหูเสียงเรียกดังขึ้นติดกันหลายที จูจั้นจึงรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น

 

 

“อะไรหรือ?” เขามองเฉิงกั๋วกงอย่างงุนงงอยู่บ้าง เห็นชัดว่าไม่ได้ยินคำที่พูด

 

 

“หลังกินข้าวพ่อเจ้าให้เจ้าพาเฉิงอวี่ไปหาอาจารย์ยิงธนูสักคน” นายหญิงอวี้เอ่ยแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร? คืนวานไม่ได้ให้เจ้ากินข้าวรึ?”

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่ทีหนึ่งแล้วเค้นรอยยิ้มบาง

 

 

“ได้ ข้าพาเจ้าไป” เขาเอ่ยบอก

 

 

เขาตอบตรงๆ เช่นนี้ นายหญิงอวี้กลับคิดไม่ถึงอยู่บ้าง

 

 

เมื่อวานยังไม่สนใจไยดีฟางเฉิงอวี่อยู่เลย คิดว่าเขาคงจะหาข้ออ้างปฏิเสธเสียอีก มองจูจั้นตอบเสร็จพลันก้มศีรษะพุ้ยข้าวต่อทันที ไม่พูดจาไม่มองคนบนโต๊ะเพิ่มสักหน ว่าง่ายจนนางยังจำไม่ได้แล้วว่านี่คือบุตรชายของตนเอง

 

 

เมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม้ไม่ยุ่งเรื่องของบุตรชาย แต่นายหญิงอวี้ก็รู้ว่าด้านนั้นทะเลาะกันเพราะสาวใช้คนหนึ่ง

 

 

หากเป็นบุตรชายสองคนหรือบุตรสาวกับบุตรชาย นางหิ้วมาสั่งสอนสักหน่อยตีสักยกก็ได้แล้ว แต่เรื่องของบุตรชายกับลูกสะใภ้ นางเองก็ไม่สะดวกยุ่ง

 

 

บุตรชายลูกสะใภ้สี่คำแล่นผ่าน นายหญิงอวี้ก็กระแอมอีกหน

 

 

“เรื่องของคุณหนูจวินท่านคิดจะพูดเวลาใด?” นางมองไปหาเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยถาม

 

 

“ไม่กี่วันนี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ “พยายามให้พร้อมกับเฉิงอวี่เข้าเฝ้ารับรางวัล”

 

 

พูดพลางมองคุณหนูจวินแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ท่านกั๋วกงท่านลองพิจารณาดูอีกครั้ง ผ่านไปสักช่วงหนึ่งค่อยพูดก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

เพิ่งเกิดเรื่องของไหวอ๋อง ฮ่องเต้กำลังพิโรธ หากหาจังหวะได้ต้องเฮือกเดียวจัดการเฉิงกั๋วกงแน่ ไม่สู้รอเรื่องซาลงหน่อยจะดีกว่า

 

 

เฉิงกั๋วกงเข้าใจความหมายของนาง

 

 

“เรื่องราวต่างมีข้อดีข้อเสีย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าก็จะเขียนฎีการ้องเรียนถวายแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ รู้นิสัยของเฉิงกั๋วกงจึงไม่กล่อมอีกต่อไป

 

 

“ถ้าเช่นนั้นน้อมรับบัญชา” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ต่อให้ขอบคุณผู้อื่น นางก็มีความหยิ่งยโสอยู่ จุดนี้จูจั้นย่อมค้นพบนานแล้ว ตอนนั้นนางรับการคำนับของมารดาอย่างนิ่งสงบก็เคยรู้สึกว่าประหลาด ตอนนี้ล้วนเข้าใจแล้ว

 

 

ที่แท้เป็นนิสัยที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เล็ก

 

 

อย่างไรก็เป็นองค์หญิงนี่นะ

 

 

จูจั้นกัดตะเกียบแทบจะฝังศีรษะเข้าไปในชามแล้ว ข้างหูเสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น

 

 

“หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ข้าแล้ว”

 

 

ลูกสะใภ้…ฟันของจูจั้นหยุดกึก

 

 

“ข้ารับท่านเป็นแม่บุญธรรมได้นะเจ้าคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้เพิ่งกำลังจะพูด เสียงแก็กทีหนึ่งพลันดังขึ้น ตะเกียบของจูจั้นร่วงลงบนโต๊ะ

 

 

สายตาทุกคนล้วนมองมา จูจั้นหน้าแดงผุดลุกขึ้น

 

 

“ข้าคิดขึ้นมาได้” เขาเอ่ย “จางเป่าถังมีอาจารย์ยิงธนูที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง เหมาะกับนายน้อยฟางศิษย์เช่นนี้ยิ่งนัก”

 

 

พูดจบไม่รอทุกคนตอบสนองก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไปแล้ว

 

 

“ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เห็นจูจั้นวิ่งออกไปก็ยิ้ม

 

 

“พี่ชายดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ออกจากจวนเฉิงกั๋วกง เพราะไม่เห็นจูจั้น เฉิงกั๋วกงจึงจัดผู้คุ้มกันอารักขาพวกเขาด้วยตนเอง เขามองคุณหนูจวินจากไปแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ เตรียมเรียกผู้ช่วยมาปรึกษาเขียนฎีกา

 

 

“พ่อ พ่อ”

 

 

ยังไม่ทันเดินถึงห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเรียกข้างทาง

 

 

เฉิงกั๋วกงประหลาดใจอยู่บ้างมองไป เห็นจูจั้นยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งกวักมือมาหาเขา

 

 

“เจ้าอยู่บ้านรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยทักจากนั้นก็ยิ้ม “เจ้าก่อเรื่องอะไรถึงมาหลบอยู่ตรงนี้?”

 

 

จูจั้นโบกมือ แล้วมองซ้ายขวานิดหนึ่ง

 

 

“คุณหนูจวินพวกเขาไปแล้วไหม?” เขากดเสียงเบาเอ่ยถาม

 

 

“ไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงไม่เรียกเขาออกมาแต่เดินไปเอง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไร?”

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“พ่อ ข้าคิดว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะถวายฎีกาเรื่องการแต่งงานหลอกนัก”

 

 

เฉิงกั๋วกงขานอืม

 

 

“สำหรับพวกเราไม่ค่อยเหมาะนัก” เขาเอ่ยตอบ “แต่จั้นเอ๋อร์ คนไม่อาจคิดถึงแต่ตนเองได้”

 

 

จูจั้นรีบพยักหน้า

 

 

“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกว่าไม่ดีกับนางเหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนมองเขา รอคำอธิบาย

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“ข้าคิดว่านี่จะผลักนางไปอยู่กลางคลื่นลม แบกชื่อเสียงมากเช่นนี้ จะกลายเป็นเป้าศรของผู้คนได้ง่าย” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว

 

 

“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินไม่กลัวการล่องลมแหวกคลื่น” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ข้ารู้นางย่อมไม่กลัว” จูจั้นแกะเปลือกไม้พลางเอ่ย “ข้าแค่รู้สึกว่าปล่อยภัยได้ก็ปลอดภัยหน่อย”

 

 

เฉิงกั๋วกงมองเปลือกไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นทีหนึ่ง

 

 

แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบุตรชายที่ห้าวหาญมาเสมอถึงเปลี่ยนมาประหนึ่งกระต่ายตระหนก แต่ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เขาไม่เรียกร้องให้บุตรชายห้าวหาญไร้ความกลัวตลอดเวลา

 

 

ขอเพียงเป็นคนล้วนหวาดกลัวได้เหมือนกัน เขาไม่มีทางเหี้ยมโหด แล้วก็ไม่มีทางขอให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่ต้องกลัว” เขาอมยิ้มตบหัวไหล่จูจั้น “ข้าจะทำรอบคอบหน่อย”

 

 

จูจั้นขานอืมพยักหน้า มองเฉิงกั๋วกงเดินจากไป เขายืนใต้ต้นไม้อีกครู่หนึ่ง คิดอะไรได้ก็หันหน้าวิ่งไปด้านนอกอีกหน

 

 

“พี่รอง พี่รอง”

 

 

ที่ปากตรอกเสียงของจางเป่าถังทำให้จูจั้นหยุดเท้า

 

 

“คนที่ท่านให้ข้าพามา ข้าพามาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ ชี้องครักษ์วัยกลางคนผู้หนึ่งด้านหลังร่าง

 

 

องครักษ์คำนับจูจั้น

 

 

“ผู้ใด?” จูจั้นงุนงงนิดหนึ่งเอ่ยถาม

 

 

จางเป่าถังเบิกตา

 

 

“ท่านไม่ใช่ให้คนมาบอกว่าจะหาอาจารย์ยิงธนูคนนั้นของข้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นเช็ดปลายจมูก พึมพำอะไรประโยคหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ข้าจะใช้ ข้าเลยจำไม่ได้”

 

 

“คุณหนูจวินต้องการหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอืม

 

 

“ไปโรงหมอจิ่งหลิงส่งให้นาง” เขาเอ่ย กำลังจะก้าวเท้าก็ถูกจางเป่าถังรั้งไว้อีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไม่อยู่ที่โรงหมอจิ่งหลิง” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าพบแล้ว คุณหนูจวินไปโรงน้ำชาของเหล่าเผิงกับขุนนางน้อยหนิง”

 

 

หา? จูจั้นตะลึงไปชั่วครู่

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านดู”

 

 

จางเป่าถังยืนอยู่นอกโรงน้ำชาของตาเฒ่าเผิง ชี้ที่นั่งหนึ่งด้านในแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นยื่นศีรษะจากมุมกำแพงมองไป เห็นสตรีคนนั้นกับหนิงอวิ๋นเจานั่งอยู่ตรงข้ามกันข้างในจริงๆ ไม่รู้พูดอะไร กำลังยกมือปิดปากหัวเราะ

 

 

“นี่ยังไม่ได้บอกว่าแต่งงานหลอกๆ เลยก็วิ่งออกมากับบุรุษคนอื่น…” เขาอดไม่ไหวพึมพำคำหนึ่ง

 

 

“พี่รองท่านพูดอะไร?” จางเป่าถังฟังไม่ชัดรีบเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นโบกมือ

 

 

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงทำไมนัดพบแค่คุณหนูจวิน? ตามหลักแล้วควรให้ท่านมาด้วยกันสิ” จางเป่าถังก็มองด้านในขมวดคิ้วเอ่ยด้วย “เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าท่านก็มาด้วยเลย รอพักหนึ่งไม่เห็น กำลังแปลกใจอยู่เชียว”

 

 

จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง

 

 

“มีอันใดแปลก? นางเป็นหมอ ออกมาพบคนรักษาโรคปกติยิ่ง” เขาว่า “เจ้าไม่เห็นสีหน้าป่วยไข้ของเจ้าหนูนั่นรึ?”

 

 

จางเป่าถังมองไปในโรงน้ำชา บุรุษหนุ่มดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนยกมือยกเท้าสง่างามเป็นธรรมชาติ

 

 

“มองไม่ออก” เขาเอ่ยตอบซื่อๆ

 

 

…………………

 

 

ราตรีมืดมิด ในเรือนอันห่างไกลแสงโคมสว่างไสวแต่ไม่มีคนเท่าไรรับใช้ แล้วยังมีผู้คุ้มกันที่ซ่อนเร้นอยู่ล้อมตัดขาดที่แห่งนี้ไว้

 

 

ในห้องคุณหนูจวินนั่งลงแล้ว จูจั้นยังยืนอยู่ เสวี่ยเอ๋อร์ที่สั่นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น

 

 

“ท่าน ท่านคือองค์หญิงจิ่วหลิงจริงๆ หรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามเสียงสั่น

 

 

คุณหนูจวินมองนางแล้วยิ้มให้

 

 

“ตอนนั้นไม้เขี่ยไฟในโรงชา ข้าเอาไปเอง” นางเอ่ย “ทำให้พวกเจ้าถูกแม่นมโจวดุด่า ขอโทษจริงๆ”

 

 

เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในโรงชานี่ คนในวังองค์รัชทายาทไม่มีสักกี่คนที่รู้ นอกเสียจากคนในเหตุการณ์

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ยกมือเช็ดน้ำตา

 

 

นางไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ แต่เอ่ยเรียกชื่อนาง พูดเรื่องปิงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้วพูดชื่อเจี่ยงเยี่ยนเป่าออกมา ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรอย่างสิ้นเชิง

 

 

“องค์หญิง ท่านซุกซนเกินไปแล้ว” นางเอ่ย พูดจบก็ฟุบกับพื้นร้องไห้โฮ พลางโขกศีรษะซ้ำๆ “เป็นบ่าวทำร้ายท่าน เป็นบ่าวทำร้ายท่าน บ่าวไม่ควรบอกปิงเอ๋อร์ บ่าวไม่ควรปากมากบอกปิงเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นท่านก็ยังมีชีวิตอยู่สบายดี”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว

 

 

“ตอนนี้ข้าก็มีชีวิตอยู่สบายดีนะ” นางเอ่ย “นอกจากนี้มีชีวิตอยู่ดีกว่าเดิมด้วย”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์เพียงร้องห่มร้องไห้

 

 

“ท่านยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกระมัง” คุณหนูจวินมองไปหาจูจั้น “ตอนนั้นที่ข้าออกจากวังไปสวดภาวนาให้พระบิดาท่านรู้สินะ?”

 

 

จูจั้นขานรับ หันหน้าไปด้านหนึ่งต่อ

 

 

“ได้ยินมา” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ

 

 

“ที่จริงข้าไม่ได้ไปสวดภาวนาอยู่ที่วัดราชวงศ์หรอก” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าติดตามหมอเทวดาจางไปเรียนวิชาแพทย์ คนที่สอนท่านเล่นหมากคนนั้นที่ท่านพบในจวน เขาไม่ใช่ผู้ติดตามของหมอเทวดาจาง เขาก็คือหมอเทวดาจาง”

 

 

จูจั้นร้องอ้อทีหนึ่ง มองนางทีหนึ่ง

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย

 

 

อาการเสียกริยาตอนเกมหมากถูกทำลายตอนนั้นรวมถึงที่พบเขาที่หรู่นานล้วนเข้าใจได้แล้ว

 

 

คุณหนูจวินเล่าเรื่องตอนตนเองร่ำเรียนวิชาแพทย์สั้นๆ รอบหนึ่ง

 

 

“ดังนั้นโรคของพระบิดาข้ารักษาหายแล้ว เขาไม่มีทางตายเพราะป่วย คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงปิงเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์” นางเล่าพลางมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยังคงฟุบร้องไห้อยู่กับพื้น “หลังจากนั้นข้าก็พบปิงเอ๋อร์ในวัง”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้ม

 

 

“เรื่องราวภายหลังพวกท่านคงรู้หมดแล้ว ข้าตายเพราะป่วย ปิงเอ๋อร์ก็ตายเพราะป่วยด้วย ล้วนตายกันหมดแล้ว”

 

 

เสียงร้องไห้ของเสวี่ยเอ๋อร์ยิ่งดัง ในที่สุดก็คุกเข่าเดินเข้ามาจับชายกระโปรงคุณหนูจวินโขกศีรษะซ้ำๆ

 

 

“องค์หญิง องค์หญิงล้วนเป็นความผิดของพวกบ่าว” นางร้องไห้เอ่ย

 

 

คุณหนูจวินลูบศีรษะปลอบนาง

 

 

“พวกเราล้วนไม่ผิด คนที่ผิดไม่ใช่พวกเรา” นางเอ่ย “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านทำไม ทำไมกลายเป็นแล้ว?”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ถูกปลอบอยู่ครู่หนึ่งก็เสียงสั่นเอ่ยถาม เงยหน้ามองสตรีตรงหน้า

 

 

สตรีแปลกหน้าคนนี้

 

 

“ข้าก็ไม่รู้” คุณหนูจวินตอบ มองตนเองทีหนึ่งด้วย “ข้าคิดว่าตนเองตายแล้ว ตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นจวินเจินเจิน นี่คือสวรรค์มีตา ต้องการคืนความยุติธรรมให้ข้า”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์โชกศีรษะซ้ำๆ

 

 

“เพคะ เพคะ องค์หญิง” นางร่ำไห้เอ่ยอีกครั้ง “องค์หญิง ข้ายินดีไปเป็นพยาน ข้าจะเป็นพยาน”

 

 

“อย่าโง่ ตอนนี้เป็นพยานอะไร” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ

 

 

คุณหนูจวินก็ยิ้มด้วย

 

 

“เจ้าเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” นางเอ่ย “”เจ้ารออย่างปลอดภัยเถอะ”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์โขกศีรษะซ้ำๆ ขานตอบ

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้น จูจั้นกำลังลอบมองนาง สายตาสบกันก็รีบเลื่อนหลบ

 

 

ทำเขาตกใจแล้วสินะ?

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“ยังมีสิ่งใดอยากถาม ท่านถามข้าได้” นางเอ่ยแล้วคิดอะไรขึ้นได้อีก “น้าเซียวกับกองทหารชิงซาน ท่านน่าจะเดาได้แล้ว พวกเขาเป็นครอบครัวของอาจารย์ข้าหรือก็คือหมอเทวดาจาง”

 

 

จูจั้นขานอืม สายตาเสไปเรื่อย

 

 

“พูดถึงอาจารย์ข้า มีเรื่องราวมากกว่าอีก” คุณหนูจวินเอ่ย จะเอ่ยปากแล้วก็หยุดอีก “แต่เรื่องเหล่านี้ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับท่านแล้ว ไม่พูดถึงแล้วกัน”

 

 

จูจั้นขานอืมอีกครั้ง

 

 

คุณหนูจวินเห็นจูจั้นยังไม่กลับมากระฉับกระเฉงพูดมากเหมือนวันวานอีกก็ยิ้ม

 

 

“หากท่านไม่มีปัญหาอื่นก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นขานอืมตอบ หมุนตัวปุบก็จากไป

 

 

เด็ดขาดฉับไวเช่นนี้ คุณหนูจวินตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง นางมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์เจ้าก็ไปเถอะ เหมือนก่อนหน้านี้ ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำเหมือนเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น” นางเอ่ยบอก

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ใจกล้าเงยศีรษะมองนาง

 

 

“ข้ารู้ว่าเรื่องที่ข้าพูดคืนนี้ประหลาดเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินมองนาง “แต่ข้าเชื่อว่าเสวี่ยเอ๋อร์ทำเหมือนเดิมได้ ปิงเอ๋อร์ตายแล้ว พวกเราล้วนไม่อาจตาย พวกเราล้วนต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า แววตาที่เดิมทีหวาดหวั่นค่อยๆ แน่วแน่

 

 

คนล้วนจากไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงคุณหนูจวินคนเดียว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ เนิ่นนานถึงพรูลมหายใจยาว ยกมือดับโคมในห้อง

 

 

ราตรีมืดมิด โคมไฟมืดหม่น

 

 

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผู้คุ้มกันลาดตระเวนตอนกลางคืนมองไปอย่าระแวงทันที ยังไม่ทันเห็นชัดก็ได้ยินเสียงร้องเจ็ดปวดทีหนึ่งดังขึ้น

 

 

จูจั้นสูดลมเย็นดังซี๊ดซ๊าด ยื่นมือกุมหน้าผาก รู้สึกเพียงเวียนหัวตาลายงอตัวอย่างห้ามไม่ได้

 

 

“ท่านชาย? ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ?” ผู้คุ้มกันทั้งหลายล้อมเข้ามาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

 

ทำไมอยู่ดีๆ ชนต้นไม้เข้าเล่า?

 

 

ท่านชายดื่มจนเมาหรือ?

 

 

ต่อให้ดื่มจนเมา ท่านชายก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นที่มองทางไม่ชัดชนต้นไม้นะ

 

 

จูจั้นก้มศีรษะโบกมือ

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ากำลังหาของ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “พวกเจ้าไปเถอะๆ”

 

 

ที่แท้กำลังหาของรึ?

 

 

บรรดาผู้คุ้มกันยกโคมส่องใต้ต้นไม้ ที่นี่มีของอะไรหรือ?

 

 

แต่จูจั้นไม่เป็นฝ่ายพูด พวกเขาย่อมไม่มีทางเป็นฝ่ายถามเช่นกัน

 

 

“ท่านชาย ต้องการโคมไหมขอรับ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นโบกมือ

 

 

“ไม่ต้องๆ” เขาเอ่ยตอบ ยังคงก้มตัวคล้ายกำลังหาอะไรอยู่ “พวกเจ้าไปเถอะ”

 

 

พวกผู้คุ้มกันไม่ลังเลอีกต่อไป คำนับแล้วเดินจากไป

 

 

จนกระทั่งคนเหล่านี้เดินจากไป จูจั้นถึงยกตัวขึ้นมา ยื่นมือกุมหน้าผากอีกครั้ง แตะตรงแผลที่ชนก็ร้องซี้ดอีกสองที

 

 

ไม่รู้ควรพูดอะไร เขาด่าคำหยาบประโยคหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมตะลึงเล็กน้อย

 

 

นี่มันที่ไหนกัน?

 

 

เขาขมวดคิ้วพึมพำ

 

 

ขายหน้าจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ ก็งงงันงกๆ เงิ่นๆ ?

 

 

ความเจ็บแปลบบนหน้าผากทำให้เขาค่อยๆ ตื่นได้สติ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาก็อดไม่ได้ออกแรงสูดหายใจพรูลมหายใจ

 

 

ฉู่ จิ่ว หลิง

 

 

นางคือ ฉู่จิ่วหลิง

 

 

พึ่บพั่บ จูจั้นตกใจตัวสั่น เสียงร้องประหลาดดังขึ้นทีหนึ่ง นกป่าตัวหนึ่งโฉบผ่านเหนือศีรษะไป

 

 

“มารดามัน” จูจั้นด่าทีหนึ่งอีกครั้ง เช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนปลายจมูก

 

 

เขารู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้ควรคิดอะไร ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นิ่งอึ้ง ราตรีท่วมทับร่างของเขาไว้

 

 

นกร้องเหนือศีรษะดังเจี้ยวจ้าวลอยมา กิ่งไม้สั่นไหวน้ำค้างหยดร่วงบนใบหน้าของจูจั้น เขาตื่นได้สติ ในสายตาแสงอรุณขมุกขมัว ฟ้าสว่างแล้ว

 

 

ถึงกับนั่งหลับอยู่ที่นี่

 

 

ยังคิดว่าทั้งคืนคงหลับไม่ลงแล้ว กลับหลับลึกจนกระทั่งฝันก็ไม่ฝันสักอย่าง

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนวาน เรื่องนั้นคงไม่ใช่แค่ฝันไปหรอกกระมัง?

 

 

จะฝันบ้าบอเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?

 

 

เขานั่งนิ่งอึ้งครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นขยับ ได้ยินเสียงดังอยู่ที่ลานฝึกไกลๆ บิดายังคงฝึกยุทธ์เป็นปรกติ

 

 

จูจั้นเพิ่มความเร็วฝีเท้า เพิ่งเดินมาถึงลานฝึกก็เห็นคนสองคนกำลังยิงธนูอยู่

 

 

คนหนึ่งคือเฉิงกั๋วกงผู้เป็นบิดา ส่วนอีกคนหนึ่งคือฟางเฉิงอวี่

 

 

“ท่านชายมาแล้ว” เสียงสตรีดังขึ้น

 

 

จูจั้นหันหน้ามองไปถึงมองเห็นคุณหนูจวินเดินมาด้วย สายตาสบกันนางก็ยิ้มเล็กน้อย

 

 

ทำอย่างไร? ทำอย่างไร?

 

 

จูจั้นในสมองสับสนก็หมุนตัวหันหน้าหนี

 

 

“ท่านชายเป็นอะไรไปแล้ว?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะ

 

 

“อาจจะหิวกระมัง” นางเอ่ยขึ้น มองไปทางเฉิงกั๋วกงแล้วเบี่ยงประเด็น “ท่านกั๋วกง วิชาธนูของเฉิงอวี่ใช้ได้ไหมเจ้าคะ?”

 

 

……………………

ฉู่จิ่วหลิงชื่อนี้ ทั้งสองคนในห้องไม่ใช่ไม่คุ้น

 

 

นางคือฉู่จิ่วหลิง?

 

 

แต่ฉู่จิ่วหลิงเป็นคนที่ตายไปแล้ว

 

 

ท่ามกลางค่ำคืนที่ผู้คนเงียบสงบนี่ คนเป็นคนหนึ่งอยู่ดีๆ บอกว่าตนเป็นคนที่ตายไปแล้ว

 

 

สีหน้าของจูจั้นซีดขาว เสวี่ยเอ๋อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา

 

 

ในห้องเงียบกริบไปหมด

 

 

นางไม่ได้เอ่ยเช่นนี้เป็นครั้งแรก

 

 

จูจั้นคิด นอกจากนี้ก่อนหน้านี้เนิ่นนานนัก เขาก็เคยบีบคอนางเช่นนี้

 

 

เพราะอยู่ในอำเภอที่แปลกถิ่นไม่เคยไปมาก่อน คนที่เผชิญหน้าคือเด็กสาวแปลกหน้าที่บังเอิญพบพานและจะไม่พบกันอีกแต่อยู่ดีๆ กลับเรียกชื่อของเขาออกมา

 

 

‘เจ้าเป็นใคร?’ เขาถามนาง

 

 

ทำไมรู้จักเขาได้?

 

 

เวลานั้นเด็กสาวคนนี้ลมหายใจไม่สะดุด ดวงตาไม่กระพริบสักนิดแจ้งภูมิหลังออกมา

 

 

ภูมิหลังไม่มีช่องว่างให้จี้ แต่คำพูดของนางไม่มีความจริงสักนิด

 

 

เวลาผ่านไปสองปี ในที่สุดนางก็ตอบคำถามของเขาแล้ว

 

 

นางคือฉู่จิ่วหลิง

 

 

เจ้าคือฉู่จิ่วหลิง?

 

 

เจ้าจะเป็นฉู่จิ่วหลิงได้อย่างไร?

 

 

จูจั้นมองสตรีตรงหน้า สตรีตรงหน้าก็มองเขาเช่นกัน

 

 

ในดวงตาของนางมีหมอกปกคลุมอบอวล คล้ายลึกลับแต่ก็คล้ายกระจ่างใส

 

 

‘หลิงจิ่ว?’

 

 

‘เจ้าทำไมชื่อว่าหลิงจิ่ว?’

 

 

ที่แท้ที่ตั้งคำถามก็เพราะนางก็ชื่อหลิงจิ่วหรือ?

 

 

‘บิดาของท่านร่างกายแข็งแรงดีกระมัง? อาการไอตอนหน้าหนาวหายดีแล้วหรือไม่?’

 

 

เพราะนางรู้จักบิดา ดังนั้นถึงเอ่ยถามถึงโรคลับที่คนนอกล้วนไม่รู้เหล่านี้ออกมา

 

 

ดังนั้นไหวอ๋องประชวร นางถึงดิ้นรนสุดชีวิตจะไปรักษา

 

 

ดังนั้นลู่อวิ๋นฉีจึงตามตื๊อนาง เพราะมีเพียงนางถึงเหมือนฉู่จิ่วหลิงยิ่งกว่า

 

 

ดังนั้นนางจึงยืนมองอยู่นอกกำแพงจวนเฉิงกั๋วกง เพราะนางเคยมาที่นี่

 

 

ดังนั้นนางจึงช่วยมารดาของเขา

 

 

ดังนั้นนางจึงปกบ้านป้องเมือง เพรานั่นคือแผ่นดินของบิดานาง

 

 

ดังนั้นนางจึงเสี่ยงอันตรายวิ่งเข้าไปดินแดนของชาวจินช่วยบิดากลับมา

 

 

ดังนั้นตอนเขาเอ่ยว่าเกี่ยวอันใดกับนาง นางจึงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพูดออกมาประโยคหนึ่ง

 

 

‘ข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง’

 

 

ความคุ้นเคยประหลาดนั้น ความสนิทสนมไม่สงสัยไม่ระแวงประหลาดนั่น ความช่วยเหลือประหลาดนั่น

 

 

ที่แท้…

 

 

ร่างกายจูจั้นสั่นเทา รู้สึกเพียงหายใจไม่ทัน เขาพลันปล่อยนางออก ถอยหลังตึงตึง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดผวาไม่อยากเชื่อ

 

 

ไม่ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

 

‘เจ้าแปลกยิ่งนัก สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับข้า กับครอบครัวของพวกเรา ล้วนแปลกยิ่งนัก’

 

 

‘ใช่แล้ว ข้าปฏิบัติกับครอบครัวของพวกท่านต่างออกไป’

 

 

‘เหตุผล’

 

 

สตรีตรงหน้าคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ

 

 

‘ข้าพูดไม่ได้’ นางเอ่ย

 

 

พูดไม่ได้ ที่แท้หมายถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรือ? เรื่องนี้คงไม่มีใครเชื่อจริงๆ บ้าบอเกินไปแล้ว นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

 

จูจั้นหอบหายใจเฮือกใหญ่หลายหน มองคุณหนูจวิน

 

 

คุณหนูจวินยืนมั่นคง ยื่นมือจัดเสื้อผ้าที่ถูกขย้ำยุ่งเหยิง ความนุ่มนวลนิ่งสงบท่ามกลางราตรีนี่ทำให้คนใจผวาเนื้อตัวสั่น

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์” นางมองไปทางบ่าวหญิงที่ตัวสั่นเทาปิดปากอยู่ด้านข้าง “เรื่องที่ปิงเอ๋อร์บอกข้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ร้องตกใจสั้นๆ ทีหนึ่ง คนก็ยืนหยัดไม่อยู่อีกต่อไปทรุดนั่งลงกับพื้น

 

 

คุณหนูจวินเดินไปหานางช้าๆ เสวี่ยเอ๋อร์คิดจะหลบไปข้างหลังแต่กลับไร้เรี่ยวแรง มองสตรีคนนี้ยืนยิ่งอยู่ตรงหน้า

 

 

“เจี่ยงเยี่ยนเป่า ยังไม่ตายจริงหรือไม่?” นางเอ่ยถาม

 

 

เจี่ยงเยี่ยนเป่า

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์คล้ายมองเห็นบุรุษคนนั้น เขาเกร็งทั้งยังหวาดผวายืนอยู่ในห้อง ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือองค์รัชทายาทผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนผู้เดียว

 

 

‘เจ้าชื่อว่าอะไร?’ องค์รัชทายาทเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

 

 

‘ข้าชื่อเจี่ยงเยี่ยนเป่าพ่ะย่ะค่ะ’ เขาตอบเสียงสั่นอย่างขลาดกลัว

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ส่งเสียงร้องไห้ทีหนึ่งก็ค้อมร่างโขกศีรษะ

 

 

“องค์หญิง…องค์หญิง…” นางเพียงร่ำไห้เรียก คนทั้งร่างพูดไม่ออก

 

 

“อย่าเพิ่งเรียก…” เสียงของจูจั้นดังขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองไปหาเขา

 

 

เห็นนางมองมา จูจั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าระแวง ความระแวงเช่นนี้ไม่ใช่สนุกสนานเกินจริงเช่นนั้น

 

 

“เจ้า เจ้าพิสูจน์อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ

 

 

“ข้าไม่มีหนทางพิสูจน์” นางเอ่ย “”จูจั้น ข้ากับท่านไม่คุ้นเคยกัน”

 

 

แล้วนางก็มองเสวี่ยเอ๋อร์นิดหนึ่ง

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์กับข้าก็ไม่คุ้ยเค้ยกัน ปกติข้าไม่อยู่ที่บ้าน”

 

 

นางเงยหน้าติดจะเศร้าสร้อยอยู่บ้าง

 

 

“พวกท่านไม่รู้จักข้า เรื่องของข้าพูดไปพวกท่านก็ไม่รู้ นอกจากนี้ข้าก็ไม่รู้จักท่าน ไม่คุ้ยเคยกับพวกท่านเช่นกัน เรื่องของพวกท่าน ข้าก็เล่าไม่ได้”

 

 

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่งอีกหน

 

 

“ดังนั้นที่เจ้าไปศาลเทพเจ้ากวนอูคราวนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินรู้ว่าเขาพูดถึงครั้งไหน

 

 

“ท่านก็ไม่ใช่?” นางเอ่ยถาม

 

 

แววตาของจูจั้นหม่นแสงไม่พูดจา

 

 

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามต่อ “ปิงเอ๋อร์บอกว่าไม่เคยบอกผู้อื่นหรือหลังข้าตายปิงเอ๋อร์ถูกพบ?”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่งแล้วหลบสายตาออก

 

 

“ปิงเอ๋อร์ที่เจ้าพูดถึงคือนางกำนัลที่ป่วยเป็นโรคร้ายตายไปคนนั้นสินะ” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

“เจ้าไม่ต้องขมวดคิ้ว” จูจั้นพูด มองนางทีหนึ่งแล้วหลบสายตาออกอีกครั้ง “นางอาจถูกพบ แต่คนที่พบไม่มากแน่นอน อย่างมากก็แค่ลู่อวิ๋นฉีกับฝ่าบาทที่รู้”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเสวี่ยเอ๋อร์…” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยถาม

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ข้าไม่ค่อยรู้ชัด” จูจั้นเอ่ยต่อพลางมองนางกำนัลที่ตัวสั่นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้น “ลู่อวิ๋นฉีต้องรู้แน่นอน เพราะศาลเทพเจ้ากวนอูด้านนั้นมีคนขององครักษ์เสื้อแพรจับตาอยู่ตลอด แต่เมื่อข้าพาคนมา ฮ่องเต้เหมือนไม่ทรงทราบอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ค้นหาคนขนานใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนขององครักษ์เสื้อแพรที่ค้นหาอย่างลับๆ”

 

 

เช่นนี้หรือ แปลกอยู่บ้าง

 

 

คุณหนูจวินเงียบงันไม่พูด

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้พูดสิ่งใดทั้งสิ้น” จูจั้นเอยต่อ “เรื่องที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้าไม่รู้”

 

 

หา? เขาไม่รู้? คุณหนูจวินมองไปหาเขา ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาสนใจเสวี่ยเอ๋อร์?

 

 

จูจั้นไม่มองนาง

 

 

“ก็แค่เดา” เขาเอ่ย

 

 

เดา? นี่ยังเดาได้อีก? คุณหนูจวินยิ่งไม่เข้าใจแล้ว

 

 

“เจ้าอยู่ดีๆ ตายไป ข้าย่อมรู้สึกว่ามีปัญหาแน่นอน” จูจั้นหันหน้าหนี มองกำแพงแล้วเอ่ยเล่า “หลังจากนั้นก็เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ สืบไปสืบมา ก็สืบพบว่ามีนางกำนัลคนหนึ่งตาย จึงสืบว่าภูมิหลังของนางเป็นอย่างไร สืบมาถึงเดิมทีนางเคยรับใช้เบื้องพระพักตร์อดีตองค์รัชทายาท สืบไปอีกก็สืบพบว่าพี่สาวของนางอาศัยอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอู หลังจากนั้นก็พบว่าคนขององครักษ์เสื้อแพรจับตานางอยู่ องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า ในเมื่อจับตาอยู่ต้องมีปัญหาแน่นอน ไม่ว่ามันเป็นปัญหาอันใด ข้าย่อมเอาคนมาไว้ในมือก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองนางกำนัลที่ตัวสั่นคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกหน

 

 

“ข้าถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น นางบอกว่านางไม่รู้ ไม่รู้กระทั่งมีคนจับตานาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงไม่ได้ถามต่อ”

 

 

“ก็เป็นเช่นนี้”

 

 

ฟังแล้วเรียบง่ายยิ่ง ก็เป็นเช่นนี้

 

 

แต่ลงมือทำขึ้นมา…

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

องค์หญิงผู้ตกต่ำคนหนึ่งตายไปแล้วก็แค่ตายไปแล้ว คิดไม่ถึงยังมีคนสนใจ นอกจากนี้ยังสืบค้นสาเหตุการตายของนาง

 

 

สาเหตุการตายของนาง ฮ่องเต้ย่อมพยายามปิดบังสุดกำลัง คิดสืบเส้นสนกลในออกมา แล้วจากเส้นสนกลในนี้หานางกำนัลที่ไม่สะดุดตาสักนิดแต่สำคัญอย่างที่สุดคนหนึ่งพบ ไหนเลยจะเรียบง่ายเช่นนี้อย่างที่พูด

 

 

เขาระหกระเหินมาพันลี้จากแดนเหนือ ที่แท้ไม่ใช่เพียงเพื่อมอบดอกไม้ดอกหนึ่งหน้าสุสานของนาง

 

 

“ท่านทำไมถึงต้องการทำสิ่งเหล่านี้?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ก็ไม่มีอะไรนี่” จูจั้นเอ่ยติดอ่างอยู่บ้าง ไม่มองนางเลยสักหน คล้ายหวาดกลัวสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเป็นคนผู้นี้ “บิดาของข้าเล่าว่า อาจเป็นการตายที่มีเรื่องผิดปกติ พอดีข้าเข้าเมืองหลวงจึงสืบสักหน่อย เป็นเรื่องที่สบโอกาสไหม”

 

 

เรื่องที่สบโอกาสหรือ? สบโอกาสครั้งนี้ สิ่งที่โผล่ออกมากลับเป็นอันตรายที่ยึดทรัพย์ทำลายตระกูลได้

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่ง

 

 

“ขอบคุณท่านกับเฉิงกั๋วกง” นางเอ่ยขึ้นมา “พวกท่านดีกับพวกเรายิ่ง คิดถึงพวกเรายิ่ง ขอบคุณ”

 

 

“ขอบคุณอะไร ไม่ใช่ช่วยเหลือกันรึ” จูจั้นหันหน้าหนีเอ่ยเสียงหงุดหงิด “เจ้าก็ช่วยพ่อข้ามากปานนั้นเหมือนกันไม่ใช่รึ”

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นได้

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพูดเช่นนี้ ท่านเชื่อคำพูดของข้าแล้วหรือ?” นางเอ่ยถาม “ท่านเชื่อว่าข้าคือฉู่จิ่วหลิงแล้วหรือ?”

 

 

จูจั้นยังคงมองไปด้านข้าง

 

 

“นอกจากเชื่อแล้วก็เหมือนไม่มีหนทางอื่นอธิบายเรื่องนี้แล้ว” เขาตอบ

 

 

………………………

คนผู้นี้ก็คือเสวี่ยเอ๋อร์

 

 

อายุสิบเอ็ดปีเข้าวัง ถูกจัดสรรเป็นนางกำนัลทำความสะอาดข้างกายองค์รัชทายาท

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์เป็นพี่น้องกัน เสวี่ยเอ๋อร์โตกว่าหน่อย ดังนั้นหลังองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์จึงปลดออกนอกวังพร้อมนางกำนัลกลุ่มหนึ่ง

 

 

นางไม่นับว่าคุ้นเคยกับพวกนางมากนัก อย่างไรปกติก็ไม่อยู่บ้าน อีกทั้งพวกนางสองคนก็เป็นนางกำนัลที่ไม่สะดุดตาข้างกายองค์รัชทายาท คิดไม่ถึงกลับเป็นคนที่รู้เบื้องลึกการตายขององค์รัชทายาท

 

 

แม้ไม่ได้เห็นกับตาว่าองค์รัชทายาทถูกวางแผนทำร้าย แต่พวกนางกลับรู้ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้ประชวรด้วยโรคร้ายสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังบอกนางเป็นนัยๆ อีกว่ามีพยานบุคคลที่สำคัญคนหนึ่ง บุรุษคนนั้นที่ถูกคุณหนูจวินรักษาหายยังมีชีวิตอยู่

 

 

บุรุษคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระบิดาของนางก็ควรจะยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็คือหลักฐานหนักแน่นว่าองค์รัชทายาทถูกทำร้าย

 

 

นางตายแล้ว โชคดีล้นพ้นมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง แต่ปิงเอ๋อร์ตายแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็หายสาบสูญไปด้วย เดิมคิดว่าไร้ความหวังแล้ว คิดไม่ถึงในค่ำคืนอันสงบเงียบนี้ ลึกเข้ามาในจวนเฉิงกั๋วกง ในห้องของบุตรชายเฉิงกั๋วกงกลับปรากฏตัว

 

 

คุณหนูจวินตระหนกอยู่บ้าง งุนงงอยู่บ้าง

 

 

นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ควรมีเมื่อคนที่อยากหาพบมาตลอดอยู่ดีๆ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

 

 

นางควรดีใจตื่นเต้นประหนึ่งคลุ้มคลั่ง

 

 

แต่ตอนนี้เวลานี้ นางทำสิ่งใดไม่ถูก

 

 

คนที่ตระหนกทำอันใดไม่ถูกเห็นชัดว่ายังมีเสวี่ยเอ๋อร์ด้วย เมื่อคำนั้นออกจากปาก สีหน้านางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน

 

 

“คุณหนู ท่านพูดอะไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยขึ้นทำหน้าประหลาดใจ “ท่านต้องการหาใคร?”

 

 

นางกำนัลที่เคยอยู่ในวัง ต่อให้ไม่สะดุดตาอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่พบเรื่องอันใดพลันตัวสั่นระริก

 

 

นางปิดบังตัวตนอยู่ กลบเกลื่อนเสียงขานรับเมื่อครู่อยู่

 

 

คุณหนูจวินเข้าใจทันที

 

 

เรื่องกะทันหันเกินไปอยู่บ้าง ฉับพลันนางยังไม่รู้ควรคิดอย่างไรอยู่บ้าง

 

 

“คุณหนูต้องการหาใครเจ้าคะ?” สาวใช้คนอื่นก็ได้สติเอ่ยถามตามด้วย

 

 

คุณหนูจวินมองพวกนาง สีหน้าของพวกนางก็ประหลาดใจไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ความประหลาดใจไม่เข้าใจเช่นนี้ไม่ได้เสแสร้งทำ

 

 

ดูท่าสาวใช้เหล่านี้ไม่ทราบตัวตนของเสวี่ยเอ๋อร์

 

 

“ตามท่านชายมา” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้สาวใช้คนหนึ่งในนั้น

 

 

สาวใช้คนนั้นขานรับไม่ลังเลก็หมุนตัวออกไป

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์สีหน้าโล่งอกนิดๆ สบตากับสาวใช้ที่หิ้วถังไม้อีกคนหนึ่ง ก้มหน้าจะถอยออกไป

 

 

“รอเดี๋ยว” คุณหนูจวินเรียกพวกนางไว้

 

 

ร่างกายเสวี่ยเอ๋อร์แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

 

 

“พวกเจ้าเช็ดที่นี่อีกรอบซิ” คุณหนูจวินชี้ห้องอาบน้ำ

 

 

ที่นี่เช็ดไปแล้วนะเจ้าคะ มีสาวใช้คิดจะเอ่ยประโยคนี้ แต่กลับถูกสาวใช้อีกคนห้ามไว้

 

 

“เจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางส่งสายตาให้เสวี่ยเอ๋อร์กับสาวใช้ที่หิ้วถังไม้อีกคนหนึ่ง

 

 

สองสาวหิ้วถังไม้เดินกลับมา

 

 

ส่วนคุณหนูจวินเดินออกไปเหมือนไม่มีเรื่องอื่นใด

 

 

คุณหนูจวินนั่งลงจะรินชาสักถ้วย มือที่สั่นก็ทำให้ถ้วยชาส่งเสียงกระทบกันแผ่วเบา ท่ามกลางห้องที่เงียบสงบดังกังวานเป็นพิเศษ

 

 

นางสงบจิตใจ ดื่มชาร้อนลงไป อาศัยจังหวะที่จูจั้นยังไม่มาขบคิดเรื่องราวเล็กน้อย

 

 

ตอนนั้นปิงเอ๋อร์บอกว่าเสวี่ยเอ๋อร์อาศัยอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอู

 

 

นางมาเมืองหลวงครั้งแรกก็ไปดูแต่ยังไม่ทันได้พบ กลับพบจูจั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอู

 

 

ต่อมานางไปศาลเทพเจ้ากวนอูอีกหน ถามเพื่อนบ้านของเสวี่ยเอ๋อร์ก็ยืนยันว่าเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่มาตลอดจริงๆ การย้ายออกไปเป็นเรื่องไม่นานมานี้

 

 

คนที่เดิมทีอาศัยอยู่สถานที่สักแห่งอยู่ดีๆ ฉับพลันย้ายออกไปย่อมต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่

 

 

นางไม่ได้และไม่มีหนทางสืบหาต่อ

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์คนผู้นี้สำคัญเกินไป ไม่ระวังเล็กน้อยย่อมตายเหมือนปิงเอ๋อร์ ตายอย่างคลุมเครือไม่กระจ่าง

 

 

นางเคยคิดว่าเสวี่ยเอ๋อร์ถูกคนจับไป เคยคิดว่าที่ปิงเอ๋อร์ตายแล้วแต่เสวี่ยเอ๋อร์ยังอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอูอาจเป็นเหยื่อล่อ แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเอ๋อร์กลับอยู่ในจวนเฉิงกั๋วกง

 

 

หรือที่ครั้งนั้นพบจูจั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอู่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?

 

 

คุณหนูจวินกำถ้วยชาแน่นนั่งตัวตรง

 

 

หรือจูจั้นก็ไปเพื่อเสวี่ยเอ๋อร์เหมือนกัน?

 

 

นอกจากนี้จากคำพูดของเพื่อนบ้านก็รู้ได้ว่าเวลานั้นเสวี่ยเอ๋อร์ยังอยู่ที่บ้าน

 

 

ที่แท้เป็นจูจั้นพาเสวี่ยเอ๋อร์ไปหรือ?

 

 

เขาทำไมรู้จักเสวี่ยเอ๋อร์? เขายังรู้อะไรอีก?

 

 

“ทำอะไร?”

 

 

เสียงรำคาญของจูจั้นลอยมาจากนอกประตู พร้อมกันนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

 

“ดึกดื่นเที่ยงคืนเรียกข้ามาทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยถามอีกหน

 

 

คุณหนูจวินชี้เบื้องหน้าตน

 

 

“ท่านนั่งสิ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นมองนางแล้วถอยหลังก้าวหนึ่ง

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร? สีหน้าเจ้าทำไมประหลาดเช่นนี้?” เขาเอ่ยถาม สีหน้าระแวง “เจ้าจะวางยาใช่หรือไม่?”

 

 

ถึงหัวใจว้าวุ่นดุจเส้นป่านขมวดพัน คุณหนูจวินยังคงถูกประโยคนี้หยอกให้หัวเราะแล้ว

 

 

“ข้าไม่สิ้นเปลืองแบบนั้นหรอก” นางเอ่ย “ยาของข้าล้วนแพงยิ่ง”

 

 

จูจั้นมองนางอย่างคลางแคลง

 

 

คุณหนูจวินกำลังจะพูดอีก สาวใช้หลายคนก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ

 

 

“คุณหนู เช็ดเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยแจ้ง

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะ

 

 

“เช็ดอะไร ข้าไม่รังเกียจเจ้าก็ไม่เลวแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อดูเรื่องนี้รึ?”

 

 

เขาพูดพลางโบกมือให้สาวใช้ทั้งหลาย

 

 

“ไป ไป ไป”

 

 

สาวใช้ทั้งหลายรีบก้มศีรษะเดินออกไปข้างนอก

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์เจ้ารอประเดี๋ยว” คุณหนูจวินวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

เสียงของนางอ่อนโยนเฉกเช่นปกติ ถ้วยชาวางบนโต๊ะไม่มีเสียงสักนิด แต่บรรยากาศในห้องฉับพลันเปลี่ยนไปทันที คล้ายพริบตาหนึ่งชะงักนิ่ง

 

 

คนที่ชะงักนิ่งมีเพียงสองคน คนหนึ่งจูจั้น คนหนึ่งเสวี่ยเอ๋อร์ สาวใช้คนอื่นๆ สีหน้าไม่เข้าใจ

 

 

ใครชื่อเสวี่ยเอ๋อร์?

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้ากำถังไม้แน่น

 

 

“ซู่เจวี้ยนอยู่ก่อน คนอื่นออกไป” จูจั้นเอ่ยขึ้น

 

 

เสียงของเขาก็สงบเฉกเช่นปกติเหมือนกัน

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ขานรับ สาวใช้คนอื่นๆ อดไม่ได้มองนางทีหนึ่งจากนั้นก้มศีรษะรีบร้อนถอยออกไป

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

 

“คุณหนูรู้จักซู่เจวี้ยนหรือ?”

 

 

“หรือซู่เจวี้ยนกับท่านชาย…”

 

 

“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล…”

 

 

สาวใช้ทั้งหลายที่เดินออกไปไกลกระซิบเสียงเบาหลายประโยคแล้วหยุด นินทาเรื่องเจ้านายเป็นข้อห้ามสำคัญในการเป็นคนรับใช้

 

 

ด้านนอกจมสู่ความเงียบ ในห้องก็เงียบไปหมดเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา นางคิดอยู่ว่าควรพูดอย่างไร

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้น จูจั้นเดินในห้องสองก้าว

 

 

“ที่แท้เจ้าเรียกข้ามาก็เพื่อเรื่องนี้รึ” เขาผายมือเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินมองไปหาเขา กำลังจะเอ่ยปากพลันเห็นเงาร่างจูจั้นฉับพลันยืนตรง คนพาไอเย็นเยียบโถมตรงเข้ามา

 

 

นี่เป็นเวลาเพียงพริบตาเดียว ความคิดนางแล่นผ่าน คนก็ถูกจูจั้นกำลำคอไว้แล้ว หิ้วขึ้นมาจากบนเก้าอี้ทันที

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ร้องตกใจทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มืออุดปากไว้ ตัวสั่นอยู่ด้านข้าง

 

 

คุณหนูจวินแทบหายใจไม่ออก คล้ายย้อนกลับไปยังฉากนั้นที่หรู่หนาน

 

 

เวลานั้นตนเองเรียกชื่อจูจั้นออกไป เขาก็ประหนึ่งจะลงมือสังหารเช่นนี้

 

 

แววตาของจูจั้นทะมึน ลมหายใจพัดผ่านใบหน้าที่ใกล้แค่เอื้อมมือของนาง

 

 

สองมือของคุณหนูจวินถูกมือเดียวของเขากดไพล่ไว้หลังร่าง สองขาก็ถูกกดไว้กระดิกไม่ได้ในเวลาเดียวกัน

 

 

ป้องกันอาวุธลับและยาพิษที่มีอยู่ทุกที่บนร่างนาง

 

 

“ดีที่สุดเจ้าจงพูดเหตุผลที่จะไม่ให้ข้าสังหารเจ้าออกมาให้ได้” เขาเอ่ยเสียงเบาทีละคำๆ “บุญคุณช่วยชีวิตพ่อแม่ข้าช่างหัวมัน นั่นก็แค่สิ่งที่อยู่ในแผนการของเจ้า”

 

 

ในลำคอของคุณหนูจวินมีช่องว่างนิดหนึ่ง นางสูดลมหายใจถี่เร็วหลายหนให้ตนเองผ่อนคลายลง

 

 

“เหตุผลที่ข้ารู้จักนางรึ? ก็เหมือนกับเหตุผลที่ข้ารู้จักท่าน” นางมองจูจั้น แววตานิ่งสงบ “เพราะข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง”

 

 

ไม่รอจูจั้นมีปฏิกิริยาตอบสนอง นางพลันขยับเข้าใกล้ จ้องดวงตาของเขา

 

 

“จูจั้น ท่านมองข้า ท่านมองเห็น”

 

 

“ข้าคือ ฉู่จิ่วหลิง”

 

 

ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำประหนึ่งบึงลึก เสียงของนางแหบพร่าดั่งมาจากอเวจี ลมหายใจที่ชิดใกล้อุ่นร้อน แต่กลับทำให้จูจั้นพริบตาเดียวขนลุกชันขนหัวลุก

 

 

ฉู่จิ่วหลิง

 

 

…………………

ท่านเคยมุดรูสุนัขจริงๆ

 

 

จูจั้นไม่ได้ยินคำที่นางพึมพำ ส่วนที่นางได้ข้อสรุปนี้ออกมาก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใด

 

 

อย่างไร ‘เกี่ยวอันใดกับเจ้า’ ประโยคนั้นของเขาก็คือการยอมรับเงียบๆแล้ว

 

 

จูจั้นยังคงไม่ตอบ หมุนตัว

 

 

“ไม่ว่าพูดอย่างไร เจ้าไม่ต้องการฐานะภรรยาท่านชายได้อย่างเต็มใจเช่นนี้ ข้าก็ขอบคุณเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรก็เอ่ยมาเถอะ”

 

 

คุณหนูจวินเดินเข้ามามองเขา

 

 

“แววตาเช่นนี้อีกแล้ว” จูจั้นถอยหลังก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้ว “พูดเรื่องจริงจัง ห้ามเอ่ยถึงเรื่องเหลวไหล”

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา

 

 

               “ข้าอยากฟังเรื่องท่านมุดรูสุนัข” นางเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นถลึงตามองนาง

 

 

“เจ้าอย่าสิ้นเปลืองล่ะ” เขาเอ่ย “ข้อเรียกร้องนี่แค่ข้อเดียวนะ”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าจริงจจัง

 

 

“ข้าอยากรู้แค่เรื่องนี้” นางเอ่ย

 

 

คิดว่านี่คือเรื่องน่าขายหน้า ดังนั้นอยากเห็นเขาอับอายล่ะสิ จูจั้นแค่นเสียงเหอะ

 

 

“ก็ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยพลางยกเท้าเดินไปข้างหน้า “ก็แค่ตอนเด็กข้าทำเรื่องบางอย่าง ที่จริงไม่นับเป็นเรื่องผิด เพียงแต่เด็กคนนั้นไม่เอาไหนเกินไป โดนอัดก็ไปฟ้อง”

 

 

“ที่พวกท่านต่อยเสียนอ๋องครั้งนั้นรึ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอืม

 

 

“ไม่อาจพูดว่าพวกเราอัดเขา เป็นเขาหาเรื่องถูกอัดเอง” เขาแย้ง “คิดเอาเองว่าตนร้ายกาจมาก ไม่ใช้ฐานะข่มคน ผลสุดท้ายถูกอัดก็ไปฟ้อง”

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม

 

 

ผู้อื่นบอกว่าไม่ใช้ฐานะข่มคน ท่านก็กล้าลงมือจริงๆ ท่านก็ใช้ได้พอตัว

 

 

“ฟ้องแสร้งทำตัวน่าสงสารใครทำไม่ได้” จูจั้นเอ่ยต่อ “ข้าก็แสร้งบ้างสิ”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง เวลานั้นนางย่อมเคยได้ฟังแล้ว เวลานี้ฟังจูจั้นเล่ากับปากอีกหนยิ่งรู้สึกน่าสนุก อาจเพราะไม่คิดว่าผ่านไปสิบกว่าปีจะมีโอกาสได้ฟังเจ้าของเรื่องเล่าเรื่องในอดีต

 

 

“ผลสุดท้ายโชคร้ายจริงๆ ในเมืองหลวงดันมีหมอเทวดาอะไรคนหนึ่งมา ไม่รู้ว่าใครเสนอความคิดให้เสียนอ๋องเจ้าหนูนั่นให้หมอเทวดาคนนั้นมารักษาข้า” จูจั้นเอ่ย

 

 

หมอเทวดา

 

 

ใช่สิ เวลานั้นอาจารย์ก็ไปจวนเฉิงกั๋วกงรักษาจูจั้นด้วย

 

 

รอยยิ้มของคุณหนูจวินยิ่งกว้าง

 

 

“หมอเทวดาคนนั้นร้ายกาจสินะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ไม่รู้ ไม่ได้พบ” จูจั้นเอ่ย

 

 

ไม่ได้พบ? คุณหนูจวินตะลึงวูบหนึ่ง

 

 

“หมอเทวดาคุยกับพ่อข้า มีแค่ผู้ติดตามของหมอเทวดากระมังที่มาดูข้า ข้าถึงคร้านจะสนใจเขา” จูจั้นมองท้องฟ้าเอ่ย “คนผู้นี้ออกจะหน้าไม่อาย ถึงกับจะเอาเงินจากข้า บอกว่าหากข้าให้เงิน เขาก็จะให้หมอเทวดาไม่เปิดโปงที่ข้าแสร้งป่วย”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

ผู้ติดตามอะไรเล่า เรื่องเช่นนี้ก็มีแต่อาจารย์ของนางที่ทำออกมาได้

 

 

หัวเราะไปๆ ก็แสบจมูกอยู่บ้างอีกแล้ว

 

 

“ต่อมาเล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

“นายน้อยเช่นข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย คร้านจะสนใจเขา” จูจั้นเอ่ย มองท้องฟ้า คล้ายไล่ย้อนความทรงจำบางอย่างเช่นกัน “ต่อมาคนผู้นี้ก็เริ่มประจบเอาใจข้า วางเกมหมากอันหนึ่ง บอกข้าว่าเล่นเอย่างไร…”

 

 

“อ้อ!” คุณหนูจวินยื่นมือชี้เขา

 

 

จูจั้นก็ส่งเสียงอ้อ เลิกคิ้วมองนางเช่นกัน

 

 

“เจ้างั่ง” เขายิงฟันยิ้มพูดขึ้นมา

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงการพบกันที่หรู่หนาน แล้วคิดถึงการพบพานที่ไม่ได้พบหน้าที่หยางเฉิงอีก

 

 

คิดๆ ดูก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

 

 

คุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว

 

 

นี่คือวาสนาหรือโชคชะตากำหนดไว้กันนะ?

 

 

“เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย นี่เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น” จูจั้นเอ่ยทันที ถลึงตาท่าทางเตือนนิดๆ “เจ้าอย่าคิดมากเชียว พวกเจ้าสตรีชอบคิดเหลวไหล”

 

 

“จูจั้น ข้ายังไม่พูดอะไรเลยนะ” คุณหนูจวินโกรธจนหัวเราะ

 

 

“แววตาของเจ้าพูดแล้ว” จูจั้นชี้ดวงตาของนางแล้วเอ่ยบอก

 

 

คุณหนูจวินส่งเสียงเชอะทีหนึ่ง

 

 

“ท่านเล่าต่อสิ เล่าถึงคนผู้นั้นต่อ“ นางเอ่ยเร่ง

 

 

“ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้ารู้จักกัน ล้วนเป็นคนไม่ปกติจริงๆ” จูจั้นเอ่ย “แต่ไม่มีแล้ว ข้าไม่ว่างเล่นสนุกเป็นเพื่อนเจ้าหมอนั่นหรอก ข้าไล่ไป หลังจากนั้นข้าก็เตรียมออกจากเมืองหลวงไปหาแม่ข้า แต่ในจวนคนมาก ข้าเลยไปมุดรูสุนัข ผลสุดท้ายข้าเพิ่งจะมุดเข้าไปก็ถูกคนกวน…”

 

 

คุณหนูจวินรองฮ่าทีหนึ่ง

 

 

ที่แท้ไม่ใช่ซุ่มหมอบเฝ้าระวังอะไร แต่เป็นเขาจะหนี ตนเองจะเข้ามาเลยชนกันเข้า ผลสุดท้ายต่างสับสนวุ่นวาย

 

 

นี่ช่าง…

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

จูจั้นไม่ได้หัวเราะ แค่หันกลับมามองทีหนึ่ง เวลานี้พวกเขาออกจากกำแพงจวนแล้ว มองดูไกลๆ ทิวทัศน์ยัเหมือนเดิม แต่ของยังคงเดิมคนเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“เฮ้อ คนที่ก่อกวนคนนั้นก็คือองค์หญิงจิ่วหลิง”

 

 

เสียงคุณหนูจวินดังขึ้นข้างหู

 

 

คราวนี้จูจั้นไม่เงียบหรือเบี่ยงประเด็น แต่ขานอืมตอบทีหนึ่ง อืมเสร็จก็ได้สติฉุกใจคิดขึ้นมาอีก

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ยถามอย่างระแวง

 

 

อ้อ ก็ถูก เรื่องนี้คนที่รู้ไม่มาก

 

 

“เสียนอ๋องบอกหรือ?” จูจั้นจี้ถาม

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ไม่ใช่หรอก” นางเอ่ย จากนั้นหยุดนิดหนึ่ง “จิ่วหลิงบอก”

 

 

ทว่าจูจั้นไม่ได้จี้ถามว่าจิ่วหลิงพูดเมื่อไรเช่นนั้นอย่างที่คาดคิด กระทั่งไม่สงสัยใคร่รู้สักนิด แววตาของเขานิ่งสงบ

 

 

“คุณหนูจวิน ข้าไม่รู้จักเจ้า ข้ารู้จักเพียงนาง ส่วนนางกับเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกันไม่เกี่ยวข้องกับข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่สนใจ เจ้าไม่ต้องเอ่ยถึงนางต่อหน้าข้าหยั่งเชิงอะไรบ่อยๆ”

 

 

ดังนั้นเขาแค่รู้จักนาง ผู้อื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องสินะ? คุณหนูจวินอึ้งนิดๆ

 

 

จูจั้นเดินผ่านนางก้าวยาวไปข้างหน้า

 

 

คุณหนูจวินตามไป

 

 

“ข้าไม่ได้หยั่งเชิงอะไร ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

จูจั้นทอดสายตาไปด้านหน้า ก้าวยาวประหนึ่งฝนดาวตก

 

 

“ที่เจ้าควรถาม ถามจบแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ หยุดเท้า

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าก็เป็นแขกของบ้านพวกท่านแล้ว” นางเอ่ย

 

 

แขกคำเรียกนี้ก็เป็นเขาเอ่ยขึ้นครั้งนั้น ก้าวเท้าของจูจั้นชะงัก หันหน้านิดหนึ่ง ปลายหางตามองเห็นเด็กสาวคนนั้นยืนอยู่หลังร่าง เสื้อฤดูร้อนเบาบาง คนก็แลดูแบบบางด้วย

 

 

“แน่นอนแขกกับแขกย่อมไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะ แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

 

 

“ไม่เหมือนกันอย่างไรเล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นพรูลมหายใจ

 

 

“ช่างมัน ให้ข้อเรียกร้องอีกข้อหนึ่งของเจ้าสมหวังก็แล้วกัน” เขาเอ่ยพลางหมุนตัวมา “วันนี้เจ้าค้างคืนในห้องข้าได้หนึ่งคืน”

 

 

คุณหนูจวินถลึงตาจากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะ

 

 

นี่ข้อเรียกร้องพิเรนทร์อะไร?

 

 

ยังสมหวังอีก?

 

 

พูดไปพูดมาล้วนไม่ลืมยกยอตัวเขาเอง

 

 

เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ อ่อนโยนอีกหน ดีใจยิ่งที่สิบกว่าปีให้หลังยังได้รู้จักกัน แต่ที่เขาพูดก็ถูก หลังจากนี้ก็เป็นแขกแล้ว หลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงจิ่วหลิงในอดีตอีกแล้ว หลังจากนี้คนที่เขารู้จักรวมถึงแขกของพวกเขาคือจวินจิ่วหลิง

 

 

ถ้าเช่นนั้นก็ให้เป็นคนในอดีตเรื่องในอดีตครั้งสุดท้ายเถอะ

 

 

“ได้สิ” นางเอ่ยพลางเลิกคิ้วอีกครั้ง “ด้วยกันไหม?”

 

 

จูจั้นสบถ หมุนตัวก้าวยาวจากไป

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าเดินตาม

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เมื่อราตรีมาเยือน จูจั้นยืนอยู่ตรงประตูห้องกวาดตารอบหนึ่ง

 

 

“เฮ้” เขามองคุณหนูจวินที่มองรอบด้านอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่ในห้อง “อย่าขยับของของข้ามั่วสั่วล่ะ”

 

 

เขาพูดพลางชี้มือไปด้านข้าง

 

 

“เจ้านอนตรงนี้”

 

 

“วันนี้ที่นี่เป็นของข้า ท่านยุ่งไม่ได้ ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นมา

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อ บนหน้าปรากฏรอยยิ้มย่ามใจอีกครั้ง

 

 

โง่หรือไม่ จวนเฉิงกั๋วกงนี่ล้วนเป็นของเขา เขาเปลี่ยนที่พักอีกรอบก็ได้ มีสิ่งใดเสียหาย ดังนั้นมีแต่พวกผู้หญิงเหล่านี้ที่ถูกเรื่องเพ้อฝันทำให้ลุ่มหลงงมงาย

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจความย่ามใจเล็กๆ ของจูจั้น จวนเฉิงกั๋วกงแห่งนี้นางอาศัยอยู่ที่ใดล้วนเหมือนกัน ก็แค่ย้อนความทรงจำครั้งหนึ่งเท่านั้น

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้อง

 

 

“คุณหนู อาบน้ำได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งคำนับเอ่ยขึ้นมา

 

 

คุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างเตียงได้สติกลับมาจึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นตามสาวใช้สองคนเข้าไปในห้องอาบน้ำ ในห้องอาบน้ำมีสาวใช้งานกุลีอีกสองคนหิ้วถังไม้ก้มศีรษะหลีกทางหลบไปด้านข้าง คุณหนูจวินเดินผ่านข้างกายพวกนางไป ฉับพลันก็หยุดเท้าอีกหน

 

 

นาง

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์” นางหันควับเอ่ยเรียก

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

สาวใช้คนหนึ่งในนั้นที่กำลังหิ้วถังไม้เดินออกไปข้างนอกไม่ทันรู้ตัวลุกขึ้นยืนขานรับแล้วหันหน้ามา

 

 

โคมไฟแกว่งไกว ห้องอาบน้ำเงียบกริบ คุณหนูจวินรู้สึกขนหัวลุก ในสมองเสียงเปรี้ยงดังทีหนึ่ง ทุกสิ่งขาวโพลน

 

 

…………………

ที่นางว่าไม่ดีหมายถึงการกระทำนี้ของเฉิงกั๋วกงเป็นการข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือ?

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนกลายเป็นกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็พยักหน้าย้ำๆ ตามคุณหนูจวิน ทำท่าไม่สะดวกใจ

 

 

“เจ้าคิดอะไร อย่าไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นสิ” จูจั้นเอ่ยทันที “เจ้าคิดว่ามีชื่อภรรยาท่านชายมีอะไรดี? นั่นคือความยุ่งยาก นี่พ่อข้าทำเพื่อเจ้า สตรีชอบใช้อารมณ์”

 

 

“ท่านคิดไปเองแล้ว บุรุษ” คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ท้าทาย! จูจั้นถลึงตา

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขาแล้วมองไปหาเฉิงกั๋วกง

 

 

“ตอนนี้เวลานี้ไม่เหมาะ” นางเอ่ย “ไม่เป็นประโยชน์กับท่านกั๋วกง”

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้ม

 

 

“ทำสิ่งใดไม่อาจตัดสินด้วยมีหรือไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ย

 

 

“ท่านทำเช่นนี้ แบ่งความชอบครึ่งหนึ่งหรือกระทั่งมากยิ่งกว่าแก่ข้า ท่านกั๋วกง ท่านน่าจะรู้เช่นกันว่าวันนี้คนมากมายไม่ยินดีเห็นความชอบเวลานี้อยู่ที่ตัว” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว ถ่อเรือตามน้ำเช่นนี้ยิ่งทำง่าย” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย

 

 

เหมือนเช่นรับบัญชาเข้าเมืองหลวง เดิมเขาไม่มาได้ แต่คำนวนแล้วว่าราชสำนักด้านนี้รีบร้อนจะกล่อมเขามา ไม่ว่าเงื่อนไขอันใดล้วนรับปาก ดังนั้นเพื่อแบ่งทหารตั้งกองทัพให้กองทหารชิงซาน เพื่อพระราชทานรางวัลให้พวกเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งจึงเลือกกลับเมืองหลวง

 

 

ตอนนี้รู้ว่าเพราะเรื่องไหวอ๋องทำให้ฮ่องเต้พิโรธ ฮ่องเต้หวั่นเกรงความดีความชอบรวมถึงชื่อเสียงในหมู่ประชาชนของเขา อยากลดความดีความชอบ ลดชื่อเสียงของเขา ดังนั้นเวลานี้เสนอมอบความดีความชอบให้คุณหนูจวิน ฮ่องเต้ต้องไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ตรงกันข้ามต้องการเท่าไรก็ให้เท่านั้น

 

 

“ท่านกั๋วกง ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าได้ความชอบนี้มีประโยชน์สู้ท่านไม่ได้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าตามอีกหนทันที ใช่แล้ว ใช่แล้ว

 

 

จูจั้นไม่พูดจา กำตะเกียบไม่รู้คิดอะไรอยู่

 

 

“ของของเจ้าก็คือของเจ้า ไม่ว่ามีหรือไม่มีประโยชน์” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นปรามคุณหนูจวินไม่ให้พูดต่อ “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดข้าล้วนเคยขบคิดแล้ว แต่ข้าคิดเสมอว่าไม่มีใครป้องกันโจรพันวัน ป้องกันก็กันไม่อยู่ หากเพราะพะวงบางอย่างจึงไม่ไปทำเรื่องที่อยากทำ ชีวิตคนก็น่าเบื่ออยู่บ้าง”

 

 

คุณหนูจวินอยากหัวเราะนิดๆ

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งทำท่าปลงประหนึ่งปัญญาชนนักประพันธ์ แต่ก็ขมขื่นและอิจฉาอย่างประหลาดนิดๆ ด้วย

 

 

“ดังนั้นท่านกั๋วกง ท่านกลับเมืองหลวงมาก็เพราะท่านอยากกลับมาดูสักหน่อย ท่านไปวังไหวอ๋องก็เพราะท่านอยากไปดูวังไหวอ๋องสักหน่อย” นางเอ่ย “ท่านอยากมอบชื่อเสียงที่ควรได้ให้ข้าก็เพราะอยากให้ทุกคนรู้ความดีความชอบของข้า”

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน

 

 

“ได้” คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า ลุกขึ้นคำนับ “ท่านกั๋วกงกล้าให้ ข้าย่อมกล้ารับ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็เผยดวงหน้ายิ้มแย้มพยักหน้าตามอีกครั้ง

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว

 

 

“ถ้าเช่นนั้นคุยกันเรียบร้อยแล้วสินะ?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“คุยกันเรียบร้อยแล้ว” เฉิงกั๋วกงตอบ

 

 

นายหญิงอวี้ยกจอกสุรา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดื่มสักจอกเถอะ” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

นอกจากจูจั้น เฉิงกั๋วกง คุณหนูจวินและฟางเฉิงอวี่ล้วนยิ้มแย้ม ทุกคนล้วนยกจอกสุราขึ้น บ้างสุราบ้างชาดื่มคำเดียวหมด

 

 

ทานอาหารเสร็จสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงก็พักผ่อน ให้จูจั้นรับรองฟางเฉิงอวี่เล่นอยู่ในจวน

 

 

“เจ้าไปเล่นเองก่อน”

 

 

จูจั้นเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่

 

 

ฟางเฉิงอวี่น้อยใจอยู่บ้างมองเขา แล้วมองคุณหนูจวินอีกหน

 

 

“ได้ พี่ชาย” เขาก้มหน้าลงเอ่ย

 

 

ไม่รอคุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยวาจา จูจั้นก็โอบหัวไหล่เขาก่อน

 

 

“คราวนี้ไม่ต้องเล่นละคร” เขากดเสียงเบาเอ่ยริมหู “พวกเราสองฝ่ายจะเป็นอิสระเดี๋ยวนี้แล้ว ข้าจะพูดกับนางให้ชัดเจน”

 

 

ฟางเฉิงอวี่บนหน้าแย้มรอยยิ้ม

 

 

“ได้” เขาหัวเราะคิกคักมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น “จิ่วหลิง ข้าไปเดินรอบๆ ก่อน ทิวทัศน์จวนกั่วกงไม่เลวยิ่ง”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า มองฟางเฉิงอวี่ตามหญิงรับใช้สาวใช้เดินออกไป

 

 

“เจ้ากับเขาพูดพึมพำอะไรกัน?” นางเอ่ยขึ้น “อย่าพาเฉิงอวี่เสียคนเชียว เขากับท่านไม่เหมือนกัน”

 

 

จูจั้นแค่นเสียงทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าหนูนี่ไม่ต้องพาก็เสียคน” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินสบถ

 

 

“พูดเรื่องจริงจัง” นางเอ่ย

 

 

“เจ้าสิถึงพูดไร้สาระ” จูจั้นโต้

 

 

คุณหนูจวินกลอกตาทีหนึ่งหมุนตัวจะจากไป จูจั้นรีบตาม

 

 

“เฮ้” เขาเอ่ยขึ้นข้างหลัง “เจ้าคิดตกเช่นนี้ได้ ทำข้าประหลาดใจจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินทำเสียงหืมทีหนึ่ง

 

 

“อะไร?” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“เจ้าเจอหน้าผาแล้วรั้งม้า ถอดใจจากความรู้สึกที่ไม่เกิดผล รู้ชัดว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ” จูจั้นเอ่ย “ไม่คลั่งไคล้ตื๊อข้าอีก”

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองเขา

 

 

“ถุย” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

“เอาล่ะเอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว” จูจั้นผายมือเอ่ย “ในใจข้าเข้าใจก็พอแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาทั้งฉิวทั้งขัน

 

 

“ในเมื่อใจท่านเข้าใจ ถ้าเช่นนั้นจะชดเชยให้ข้าอย่างไร?” นางเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

จูจั้นมองนางอย่างระแวงแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

“ขายศิลป์ไม่ขายตัว” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินอดยิ้มไม่ได้

 

 

 เจ้าหมอนี่อยากขอบคุณความเป็นห่วงเป็นใยที่นางมีต่อบิดาของเขาชัดๆ กลับปากแข็งไม่ยอมพูดดีๆ

 

 

สายตาของนางมองไปเรื่อยทีหนึ่ง ฉับพลันก็ตะลึงเล็กน้อย

 

 

กำแพงจวนไม่ไกลที่อยู่ในสายตาก็คือกำแพงที่นางเคยปีน ต้นไม้ใหญ่นอกกำแพงจวนเขียวชอุ่ม

 

 

“ท่าน ในบ้านมีรูสุนัขด้วยรึ?” นางพลันเอ่ยถาม

 

 

หัวข้อสนทนานี่แปลกประหลาด จูจั้นขมวดคิ้วมองนาง

 

 

“นี่ พูดจริงจังทำตัวจริงจังหน่อย เจ้าอย่าจงใจหยามข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่มีทางมุดรูสุนัขอีกแน่”

 

 

อีก?

 

 

คุณหนูจวินสนใจคำนี้เข้า

 

 

“พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเคยมุดมาก่อนหรือ?” นางยิ้มถาม

 

 

จูจั้นมองกำแพงจวนด้านนั้น สีหน้ายิ้มร่าไม่มีเก็บกลั้นอยู่บ้างเมื่อแรกเริ่มบึ้งตึงลงบ้างแล้ว

 

 

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาเอ่ย

 

 

จูจั้นพูดจาน่าสนใจนัก หลายวันนี้คุณหนูจวินเข้าใจแล้ว เขาคนนี้ทั้งวันดูเหมือนพูดจาเหลวไหลไม่มีคำพูดจริงจังสักประโยค ทว่าก็ประหลาดยิ่งที่ไม่พูดโกหกด้วย ยอมปฏิเสธด้วยความเงียบ ไม่ยอมพูดว่าไม่ใช่หรือไม่สักคำ

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ เขาไม่อยากให้คนรู้ว่าตนเคยมุดรูสุนัข แต่ก็ไม่คิดปฏิเสธ จึงเอ่ยถ้อยคำทำนองที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]ที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ออกมา

 

 

เพราะเหตุใดเขาจึงไม่อยากปฏิเสธ คล้ายปฏิเสธปุบเรื่องนี้ก็จะไม่คงอยู่อีกแล้ว มุดรูสุนัขก็ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอะไรนี่ นอกเสียจากมีความหมายพิเศษอะไร?

 

 

คุณหนูจวินมองกำแพงสูง คล้ายคิดถึงเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งที่กัดฟันกระโดดจากต้นไม้ขึ้นมา

 

 

เสียงตุบทีหนึ่ง

 

 

เสียงไม่ดัง ไม่มีทางถูกองครักษ์ที่ลาดตระเวนได้ยิน แต่เสียงก็ไม่เบา ทำให้คนผู้หนึ่งใต้กำแพงตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“มีมือสังหาร!” เสียงบุรุษโก่งคอตะโกนไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

 

 

เสียงตะโกนทำเด็กหญิงตกใจเกือบร่วงลงมา นางไม่ทันมองชัดว่าผู้ใดซุ่มหมอบอยู่ใต้กำแพง ก็เห็นผู้คุ้มกันนับไม่ถ้วนรุมมารอบด้าน จากนั้นนางก็ถูกตีร่วงจากกำแพง ระหว่างที่ฟ้าดินพลิกกลับก็เห็นเพียงข้างกำแพงมีคนล้มลุกคลุกคลานกระโดดไปอยู่หลังร่างผู้คุ้มกันที่แห่มา เงาร่างพร่ามัวเลือนราง มองอย่างไรก็มองไม่ชัด

 

 

“ข้าหามือสังหารพบ!”

 

 

“ข้าจับมือสังหารได้!”

 

 

ข้างหูมีเสียงตะโกนโก่งคอเป็นไก่โต้งนี่ ท่าทางรีบร้อนอยากแย่งความชอบ

 

 

เสียงนี้ถูกเสียงด่าทอของเหล่าผู้คุ้มกันกลบไปอย่างรวดเร็วยิ่ง คนก็ล้อมเข้ามาด้วย

 

 

“ข้าคือหลิงจิ่ว ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์จาง…”

 

 

คุณหนูจวินมองเด็กผู้หญิงที่ถูกตีร่วงจากกำแพงคุกเข่าตะโกนอยู่บนพื้น ปากนางก็เอ่ยพึมพำ

 

 

หลิงจิ่ว

 

 

นางมองไปหาจูจั้น

 

 

“ที่แท้ท่านเคยมุดรูสุนัขจริงๆ ด้วย” นางเอ่ย

 

 

………………………

ในห้องของคุณหนูจวินเสียงร้องโอ้ยเสียงหนึ่งดังออกมา

 

 

พี่ชายที่ถูกฟางเฉิงอวี่คิดว่าหน้าหนาคนนั้นกำลังคว้าประตูอยู่

 

 

“เจ้าปิดประตูคิดจะทำอะไร?”เขาเอ่ยเสียงเบาอย่างระแวง

 

 

คุณหนูจวินที่ปิดประตูมองเขาอย่างคลางแคลง

 

 

“ท่านไม่ใช่มีคำพูดจะพูดกับข้าหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ข้ากับเจ้ามีคำใดต้องพูด?” จูจั้นถลึงตา

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านเข้ามาทำอะไร?”คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

จูจั้นตอนนี้ถึงได้สติกลับมา ตบประตูยืนตัวตรงหัวเราะ

 

 

“ส่งผลกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเจ้าพี่น้องแล้วใช่หรือไม่?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “รู้แล้วสิว่าฐานะนี่ไม่สะดวก?”

 

 

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงคิดตามความหมายของเขาทัน ยกมือก็ตบหัวเขาหนึ่งที

 

 

               “เช้าจรดเย็นท่านคิดเรื่องจริงจังบ้างรึไม่ฮึ?” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

จูจั้นร้องอีกหนกระโดดหลบ คุณหนูจวินสะบัดมือเดินออกไปแล้ว

 

 

“ไป ไป ไป ออกไป” นางว่า

 

 

กลัวแล้วสิ ร้อนใจแล้วสิ จูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ส่ายอาดๆ ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง

 

 

“ปูเตียง” เขาว่า “ข้าจะนอนแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินนั่งลงบนเตียง

 

 

“มาสิ ท่านกล้ามาข้าก็กล้านอน” นางว่า

 

 

ช่าง ช่างคำใดก็กล้าพูด จูจั้นถลึงตา สบถทีหนึ่งลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินออกไป

 

 

“ไม่กล้า โม้อะไร”

 

 

หลังร่างเสียงเหอะของคุณหนูจวินลอยมา

 

 

จูจั้นหมุนตัวฉับเดินตึงตังไม่กี่ก้าวมาถึงข้างเตียง

 

 

“นอนก็นอน ข้าทำไมจะไม่กล้า? ดูสิใครไม่กล้า” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางยื่นมือทำท่าเชิญ

 

 

จูจั้นมือวางลงข้างเตียง มองผ้าผ่มไหมปักหรูหรา สัมผัสฟูกนุ่มนิ่มที่ไม่รู้ปูอยู่กี่ชั้นใต้ฝ่ามือ ในจมูกกลิ่นหอมพิสุทธิ์อบอวล

 

 

นี่ช่างเป็นเตียงที่ทำให้คนนอนลงไปแล้วไม่อยากลุกขึ้นมาจริงๆ

 

 

แต่สำหรับเขาแล้วกลับเหมือนกระดานตะปู ชักช้าไม่กล้านั่งลงไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอน

 

 

“นอนไม่นอนเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

จูจั้นตบเตียงลุกขึ้นยืนตัวตรง

 

 

“อย่าคิดใช้อุบายยั่วแม่ทัพเช่นนี้กับข้า” เขาอ่ย “ข้าไม่มีทางติดกับหรอก เจ้าอย่าได้คิดสมหวัง”

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไป คราวนี้ไม่รั้งหยุดสันนิด พริบตาก็ออกจากประตุห้องหายไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงหัวเราะ หงายร่างนอนลงบนเตียงกางมือออก

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“พี่ชาย?”

 

 

จูจั้นที่เพิ่งเดินออกจากห้องถูกเสียงที่ฉับพลันดังขึ้นทำตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“พวกเจ้าพี่น้องสองคนชอบแกล้งคนให้ตกใจใช่หรือไม่?” เขามองฟางเฉิงอวี่ที่ยืนอยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ในลานแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำไมยังไม่นอน? หลบอยู่ที่นี่ทำอะไร?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินออกมา

 

 

“ทำพี่ชายตกใจแล้วหรือ?” เขาเอ่ยด้วยท่าทางขอโทษขอโพย “ร่างกายข้าไม่ดี จิ่วหลิงให้ข้าออกกำลังกายมากหน่อย ข้าชินกับการออกกำลังกายตอนกลางคืนแล้ว”

 

 

จริงหรือหลอก? แม้เจ้าหนูนี่มักทำท่าเป็นเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ใจเจ้าเล่ห์กว่าใคร

 

 

ไม่ต้องพูดถึงที่พบกันก่อนหน้านี้ที่หรู่หนาน แค่พูดถึงตอนนี้เรื้องมากมายล้วนเป็นเขาทำอยู่เบื้องหลัง เด็กน้อยไร้เดียงสา ใครเชื่อคนนั้นก็ไร้เดียงสาแล้ว

 

 

จูจั้นหัวเราะ เดินเข้ามาโอบหัวไหล่เขา

 

 

“สหายน้อย เจ้าชอบพี่สาวของเจ้าใช่หรือไม่?” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ยถาม

 

 

“ใช่แล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบ

 

 

ไม่มีลังเลสักนิด ไม่มีขัดเขินลนลานแม้แต่น้อย เหมือนกับเป็นคำที่สมเหตุสมผลยิ่ง ทั้งยังเป็นคำที่รอจะตอบอยู่ตลอดเวลา

 

 

ไม่เสียทีเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ไม่สำรวม ไม่เรียบร้อยเช่นนี้

 

 

จูจั้นกลับสำลักนิดหนึ่ง

 

 

บางทีเพราะสำลักครั้งนี้ ทำให้เขาคิดไม่รอบคอบอยู่บ้าง หลังจากนั้นจึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หลังจากนี้เขานึกขึ้นมาก็เสียใจอย่างยิ่ง

 

 

“สหายน้อย ข้าไม่ชอบนาง ในเมื่อเจ้าชอบก็ไปยุ่งกับนางเข้า เช่นนี้เจ้าและข้าต่างสมหวัง ส่วนนางก็ไม่ต้องถูกพันธนาการไว้เพราะยึดติด นี่เป็นเรื่องที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า ดีต่อทุกคนอย่างแท้จริง” เขาเอ่ย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

 

“ตกลง” ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าอย่างตั้งใจ

 

 

……………………………………….

 

 

ยามท้องฟ้าสว่างจ้า ในโรงหมอจิ่วหลิงก็ครึกครื้นขึ้นมา

 

 

“เหล่านี้ล้วนต้องขนไปหรือ?” เฉินชีมองของขวัญหนึ่งคันรถเต็มๆ ก็กัดลิ้นเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว ไม่รู้จะพอหรือไม่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยท่าทางวิตกอยู่บ้าง

 

 

“นายน้อย ข้าเฉินชีอยู่ที่เมืองหลวงหลายปีนี้ยังไม่คยมอบของขวัญมากเท่านี้เลย” เฉินชียิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ยิ้มด้วย

 

 

“อย่างไรก็ไปจวนเฉิงกั๋วกงไหม” เขาเอ่ย “จิ่วหลิงนาง…”

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง” จูจั้นเอ่ยขัดเขา “พวกเราติดหนี้นาง เจ้าขนไปหนึ่งคันรถ แม่ข้าก็จะขนสองคันรถกลับมาให้เจ้า”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานรับอย่างว่าง่าย

 

 

“ก็ได้” เขาพยักหน้าเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองจูจั้นเดินเข้าไปแล้วถึงเขยิบมาข้างกายคุณหนูจวิน

 

 

“ที่จริงข้าไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้หรอก” เขากดเสียงเบาเอ่ย “ข้าแค่เพื่อให้หน้าจิ่วหลิง”

 

 

คุณหนูจวินเม้มปาก

 

 

“อวดว่าเจ้ามีเงินมากหรือ?” นางเอ่ยเสียงเบา

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก

 

 

“อวดว่าจิ่วหลิงมีเงินมากต่างหาก” เขาเอ่ยตอบ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

จูจั้นหันหลังกลับมา เบ้ปากมองดู นี่ช่างเป็นสองคนที่เป็นปลาข้องเดียวกันนักเชียว

 

 

เมื่อคณะของคุณหนูจวินมาถึงจวนเฉิงกั๋วกง จวนเฉิงกั๋วกงก็เปิดประตูหลักต้อนรับ เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาต้อนรับฟางเฉิงอวี่เยี่ยงแขก ไม่ได้ทำเหมือนคนรุ่นหลังที่เกิดทีหลัง

 

 

“เกียรติยศวันนี้เวลานี้ นายน้อยฟางท่านเป็นส่วนสำคัญของสำคัญ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “หากไม่มีท่าน แม่ทัพทั้งหลายแม้มีใจสังหารศัตรูก็ไร้กำลังพลิกฟ้า ผู้ลี้ภัยทั้งหลายก็ไม่อาจหนีออกมามีชีวิตรอดได้”

 

 

เผชิญกับคำชมเช่นนี้ ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ได้ประหม่าแล้วก็ไม่ได้ดีใจประหนึ่งคลุ้มคลั่ง มีเพียงความยินดีติดจะขัดเขินเท่านั้น เหมาะสมพอดี

 

 

“จิ่วหลิงสอนข้า” เขายืนอยู่ข้างกายคุณหนูจวินตลอด เอ่ยขึ้นอย่างเอียงอาย

 

 

เขาเอาคุณหนูจวินวางไว้หน้าสุดตลอดเวลา ได้ยินว่าชีวิตของเด็กคนนี้คุณหนูจวินปกป้องไว้ เพียงแต่คนที่ตอบแทนได้ถึงขั้นนี้ก็หายากอย่างที่สุดเช่นกัน

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน

 

 

“สอนได้ดี เรียนได้ดี” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ” นายหญิงอวี้ก็อดไม่ได้เอ่ยขึ้นด้วย ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “ข้าคิดเสมอว่าอยากให้กำเนิดเด็กที่ว่าง่ายรู้ความเช่นนี้สักคน”

 

 

คุณหนูจวินคนเดียวก็พอแล้ว ยังมาอีกคนอีก แล้วยังว่าง่ายรู้ความอีก พวกเนื้อไม่ตรงปกทั้งนั้น

 

 

จูจั้นกระแอมทีหนึ่ง

 

 

“แม่ ข้าไม่ว่าง่ายรู้ความอย่างไร?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ท่านพูดโกหกเพื่อชมผู้อื่นไม่ได้นา ไม่จริงใจเลย”

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“ยังไม่ไปดูอาหารว่าเตรียมเรียบร้อยหรือยังอีก? ยืนหัวโด่อยู่ที่นี่ทำอะไร” นางเอ่ยขึ้น

 

 

อย่างไรอยู่ในบ้านเขาก็มีชะตาทำงานเป็นคนรับใช้ จูจั้นผายมือพึมพำสองประโยคก็ออกไปแล้ว

 

 

ครั้งนี้รื่นเริงยิ่งกว่างานเลี้ยงครั้งนั้นที่ต้อนรับน้าเซียว ฟางเฉิงอวี่แม้เขินอายว่าง่ายไม่พูดมาก แต่ทุกครั้งที่พูดมักทำให้คนหัวใจเบิกบานความโกรธมลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหญิงอวี้ยิ่งชอบอกชอบใจนัก เอ่ยรั้งฟางเฉิงอวี่ให้อยู่ที่บ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

“อยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขัดพวกนาง วางชามตะเกียบในมือลง “ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัล”

 

 

“กล้าทำมากเท่าใด พวกเราย่อมกล้ารับชื่อเสียงมากเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่พูดจา เพียงพยักหน้าตาม

 

 

“เข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลย่อมไม่มีอันใด ดูหลังเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลเถอะ” จูจั้นเอ่ย “อยากฉกฉวยย่อมต้องให้ก่อน”

 

 

“สิ่งที่ควรคว้าไม่อาจเพราะกลัวเสียไปจึงไม่คว้า อย่างไรก็ต้องคว้าไว้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย จากนั้นมองคุณหนูจวิน “ดังนั้นข้าคิดจะขอความชอบให้คุณหนูจวิน”

 

 

ขอความชอบให้คุณหนูจวิน?

 

 

ฐานะของคุณหนูจวินตอนนี้คือลูกสะใภ้ของเฉิงกั๋วกง ครอบครัวเดียวกันย่อมไม่แบ่งแยกความดีความชอบ ความดีความชอบของเฉิงกั๋วกงก็คือของคุณหนูจวิน หากต้องแบ่ง นั่นย่อมไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว

 

 

ดวงตาจูจั้นเปล่งกระกาย นั่งตัวตรงทันที

 

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

………………………

Related

“ท่านก็คือเสียนอ๋อง”

 

 

เสียงเด็กหนุ่มใสกังวานติดจะหวานอยู่บ้าง สีหน้ายิ่งไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย

 

 

ที่จริงอายุของเขาก็ไม่นับว่าน้อยนัก อายุสิบห้าสิบหกปีแล้ว คิดถึงตนเอง ตอนอายุสิบห้าสิบหกปีก็ขโมยไก่ลักสุนัข…เอ้ย เริ่มไม่เล่นสนุก แต่เข้าราชสำนักทำงานแล้ว

 

 

เสียนอ๋องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวก้มต่ำคำนับ

 

 

“ข้าเคยฟังพี่สาวจิ่วหลิงเล่าว่าตอนนั้นท่านดูแลนางไว้มาก” เขาเอ่ยพลางเงยศีรษะขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ “ขอบพระทัยองค์ชาย”

 

 

คำขอบคุณที่ไม่มีสิ่งใดเกินจริง เพียงคำขอบคุณหนึ่งประโยคนี้แล้วยังมีความจริงใจเต็มดวงตานี่ เสียนอ๋องพลันรู้สึกหัวใจเบิกบานความโกรธมลาย

 

 

“สมควรทำ สมควรทำ” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “พี่สาวเจ้าก็ชมเจ้าบ่อยๆ”

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่ฉับพลันยิ่งเปล่งปลั่งสว่างไสว

 

 

เขาไม่ได้จี้ถามแล้วก็ไม่เอ่ยถ่อมตน

 

 

“จิ่วหลิงดียิ่งกว่า” เขาท่าทางขัดเขินอยู่บ้างเอ่ยขึ้น

 

 

ดวงตาของเสียนอ๋องยิ่งเป็นประกายแล้ว ในใจมีเพียงเสียงจิ๊ปากหลายหน

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มก้าวเข้ามา

 

 

“องค์ชาย ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน” นางเอ่ยขึ้น

 

 

เสียนอ๋องอมยิ้มพยักหน้า

 

 

“ไปเถอะ เดิมก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับขับสู้เจ้า แต่เหน็ดเหนื่อยระหว่างทางแล้วยังมาร่วมงานเลี้ยงกับข้าอีกคงยิ่งทำให้เจ้าเหนื่อย รอวันหลังค่อยมาหาข้าใหม่ที่วังอ๋องด้วยกันกับพี่สาวเจ้าเถอะ” เขาเอ่ยบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยตอบ มองเสียนอ๋องอย่างตั้งใจ “ผู้น้อยรู้สึกว่าองค์ชายเป็นมิตรเข้าถึงง่ายไม่เกร็งสักนิด”

 

 

จูจั้นกลอกตาทีหนึ่งอยู่ข้างหลัง

 

 

เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ดูออก ดูออก” เขายิ้มตอบ “แต่ครอบครัวสำคัญที่สุด พวกเจ้าครอบครัวตัวเองพบหน้ากันก่อนเถอะ รอกันอยู่แน่ะ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยังจะพูดอะไรอีก จูจั้นพลันโบกมือ

 

 

“พอประมาณก็พอ” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “รีบกลับไปเถอะ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้าให้เขา

 

 

“ขอรับ พี่ชาย” เขาเอ่ย

 

 

เสียนอ๋องอดไม่ได้หัวเราะดังพรืด

 

 

ฟางเฉิงอวี่วิตกนิดๆ ทันที

 

 

“ข้า ก่อนหน้านี้ข้าเรียกว่าพี่ชาย เรียกจนชินแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “จะ ต้องเรียกว่าพี่เขยไหม?”

 

 

อะไรก่อนหน้านี้เรียกพี่ชายเรียกจนชินแล้ว ไม่ต้องมามุกนี้

 

 

จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกโบกมือ

 

 

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง รีบไป รีบไป” เขาเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่เอ่ยวาจาอีกถอยมาถึงข้างกายคุณหนูจวินอย่างว่าง่าย คุณหนูจวินคำนับให้เสียนอ๋องอีกครั้งจึงพาเขาเดินออกไป

 

 

ในห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบ ส่วนใต้หอครึกครื้นพักหนึ่ง เสียนอ๋องยืนอยู่ริมหน้าต่างมองคุณหนูจวินขึ้นรถ ฟางเฉิงอวี่คนนั้นก็ไม่ขี่ม้าอีก ขึ้นรถตามนางไป ผู้คนมุ่งไปในเมืองอย่างคึกคัก

 

 

เขาจิ๊ปากหลายที

 

 

“ช่างเป็นคนหนุ่มที่นุ่มนิ่มแล้วยังน่ารักคนหนึ่งจริงๆ” เขาเอ่ย จากนั้นหันหน้ามองจูจั้นขมวดคิ้วทำหน้ารังเกียจ “เจ้าดูสภาพบุรุษหยาบกระด้างของเจ้าสิ! เปรียบเทียบกันดูไม่ได้จริงๆ”

 

 

จูจั้นโกรธจัด

 

 

“เจ้าตาบอดเรอะ เขาหล่อเท่าข้าตรงไหน!” เขาเอ่ย “ข้าเกิดมาก็รูปงามหล่อเหลาไม่ธรรมดา ไหนเลยจะเหมือนเจ้าหนูนี่ห่มทองสวมเงินอาศัยเสื้อผ้าประหนึ่งผีเสื้อบุปผาตัวหนึ่ง”

 

 

เสียนอ๋องทำท่าอาเจียนลมทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าลองดูอีกทีสิ” จูจั้นถลึงตาโกรธเกรี้ยวใส่เขา “เจ้าคิดว่าข้าเรียกเจ้าว่าองค์ชาย ตอนนี้จะไม่กล้าต่อยเจ้าแล้วหรือ?”

 

 

เสียนอ๋องไอแห้งๆ

 

 

“นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะ” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย โอบไหล่จูจั้น ยื่นมือวาดบนล่างนิดหนึ่ง “เจ้าดูสิแม้เจ้าเกิดมารูปงามหล่อเหลาไม่ธรรมดา แต่สตรีคนนี้ไม่ใช่แค่อาศัยหน้าตาดีจะครอบครองได้ หน้าตาดีแล้วยังต้องช่างจำนรรจาด้วย เจ้าดูสหายน้อยคนนี้สิ นั่นน่ะอ้าปากพูดก็ชมคนร้ายกาจ ประโยคหนึ่งก็ทำให้คนเบิกบานใจความโกรธมลายได้ มิน่าคุณหนูจวินถึงบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญที่สุดของนาง เป็นเช่นนี้ต่อไป…”

 

 

เขามองจูจั้นท่าทางสงสารอยู่บ้าง

 

 

“เจ้าคนที่อายุมากปานนี้คงจะถูกคนทิ้งแล้ว”

 

 

จูจั้นพลิกมือกดหัวไหล่เขา

 

 

เสียนอ๋องร้องโอ้ยโอ้ยขึ้นมา

 

 

“เจ็บเจ็บเจ็บ”

 

 

จูจั้นไม่รั้งมือกลับสักนิด

 

 

“คำมงคลขององค์ชาย” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าปรารถนาให้เป็นจริงยิ่ง”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ยามม่านราตรีทอดตัวลงมา ความครึกครื้นในโรงหมอจิ่วหลิงก็สลายไปเช่นกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพาเหล่าผู้ดูแลของร้านแลกเงินในเมืองหลวงขอตัวกลับ เฉินชีดื่มสุราไปมากถูกบรรดาสาวใช้พยุงกลับไปในห้อง

 

 

ฟางจิ่นซิ่วก็ขอตัวจากไปแล้วเช่นกัน

 

 

“ตอนนี้นางไม่ชอบพูด” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

ตั้งแต่เข้าประตูมาฟางจิ่นซิ่วเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่ไม่เกินสามประโยค ล้วนเป็นคำพูดตามมารยาทจำพวกเดินทางมาลำบากแล้ว ไม่มีความสนิทสนมยินดีที่พี่น้องได้พบหน้ากันสักนิด

 

 

“ที่พักของเจ้านางจัดการด้วยมือตนเอง ฟูกผ้าห่มปูเสียสี่ชั้น” คุณหนูจวินยิ้มบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ยิ้มแล้ว

 

 

“ก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านนางก็ไม่ชอบพูด” เขาเอ่ยขึ้นมา “วันนี้เป็นเช่นนี้ยิ่งสมควร ข้าไม่รู้สึกว่าไม่ดี หากนางพูดจารักใคร่สนิสนมกับข้า ข้ากลับจะอึดอัด”

 

 

คุณหนูจวินยกมืออยากลูบศีรษะฟางเฉิงอวี่ ฉับพลันกลับพบว่าตอนนี้เอื้อมไม่ถึงอยู่บ้างแล้ว

 

 

“โตเร็วจริง” นางยิ้มเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่รีบย่อตัวก้มลง กะพริบตามองนาง

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า ยื่นมือตบศีรษะเขาเบาๆ

 

 

“รีบไปพักผ่อนเถอะ มาเร็วเช่นนี้ ระหว่างทางต้องเหน็ดเหนื่อยแน่” นางเอ่ยบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่เหน็ดเหนื่อย คนพบพานเป็นเรื่องน่ายินดีชวนให้จิตใจชื่นบาน จะเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร” เขายิ้มเอ่ยตอบ “จิ่วหลิง จิ่วหลิงเรื่องเขาชิงซานที่เจ้าเขียนเล่าบนจดหมาย เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกรอบสิ เวลานั้นยังไม่ได้เล่าละเอียด”

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มจะเอ่ยวาจา นอกประตูเสียไอหนักๆ พลันลอยมา

 

 

“พี่ชายมาแล้ว” ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามองไป เอ่ยด้วยความยินดี

 

 

จูจั้นขานรับทีหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันนี้ยังเรียกพี่ชายได้” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยพลางยกสุราบนโต๊ะขึ้น “เคยคิดว่าเป็นวาสนาครั้งเดียว ที่แท้ต่อมากลับยังได้พบกัน”

 

 

“เด็กน้อยดื่มสุราอะไร” จูจั้นเอ่ย หยิบแก้วสุรามาจากในมือเขา แหงนหน้าดื่มจนหมด “รีบไปนอนเถอะ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานรับ

 

 

“ขอรับ ข้าฟังพี่ชาย” เขาเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง

 

 

“ท่านดุอะไร” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นจิ๊ปาก

 

 

“ข้าดุอย่างไร? ข้าไม่ใช่พูดจาเช่นนี้มาตลอดรึ?” เขาตอบ

 

 

ฟางเฉิงอวี่รีบยื่นมือดึงแขนเสื้อคุณหนูจวินไว้

 

 

“พี่ชายหวังดีกับข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่ควรดื่มสุรา ข้าจดจำคำสั่งของจิ่วหลิงได้อยู่เสมอ ดื่มแต่น้ำไม่ดื่มสุรา แต่เมื่อครู่เห็นพี่ชายเข้าตื่นเต้นไปหน่อย”

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ” นางเอ่ยบอก

 

 

“วันพรุ่งนี้พ่อกับแม่ข้าเชิญพวกเจ้าไปที่จวน” จูจั้นเอ่ยขึ้นอีก

 

 

ฟางเฉิงอวี่รีบพยักหน้า

 

 

“จิ่วหลิงก็บอกข้าแล้วว่าพรุ่งนี้จะไป” เขาเอ่ย

 

 

จูจั้นขานอืมตอบทีหนึ่ง

 

 

“พวกเราก็พักผ่อนเถอะ” เขามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองเขาสีหน้าพิกล

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน

 

 

“แม้การแต่งงานเป็นเรื่องหลอก แต่ข้าพักอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องเสแสร้งแสดงบ้าง” จูจั้นหน้าขรึมบอก พูดจบก็เดินไปด้านหลังก่อน

 

 

เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันลู่อวิ๋นฉี หลายวันนี้จูจั้นจึงอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงตลอด แต่แน่นอนไม่ได้พักอยู่ด้วยกันกับนาง

 

 

บางทีคงมีถ้อยคำอะไรจะบอกกระมัง คุณหนูจวินพยักหน้าให้ฟางเฉิงอวี่

 

 

“ไปเถอะ” นางเอ่ยบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มพยักหน้าขานรับเดินออกไป จากนั้นยืนอยู่ตรงทางเดินมองจูจั้นเดินส่ายอาดๆ เข้าไปในห้องของคุณหนูจวิน เด็กหนุ่มใต้แสงโคมยามราตรีเลิกคิ้ว

 

 

“พี่ชายคนนี้หน้าหนากว่าพี่ชายคนนั้นมากเชียว” เขาเอ่ยกับตนเอง

 

 

……………………………

Related

ความลับของตระกูลฟาง หรือก็คือความลับที่มาของราชโองการ หรือก็คือความลับการก่อตั้งตระกูลของตระกูลฟาง

 

 

แม้โลกภายนอกเล่าลือกันมากมายหลายแบบ แต่ละคนก็มั่นใจอย่างยิ่ง แต่ความจริงของเรื่องราวกระทั่งคนของตระกูลฟางล้วนไม่รู้ คนที่รู้มีเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟางคนเดียว

 

 

“ตอนนั้นที่ต้องมีสัญญาเกี่ยวกับความลับนี่ ย่อมต้องเพราะความลับนี้ไม่อาจเผยแก่ผู้คนได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “ท่านย่า ความลับที่ไม่อาจเผยแก่ผู้คนได้ ย่อมไม่ใช่ความลับที่ดีอะไร สำหรับคนบางคนแล้ว มีเพียงคนตายถึงไม่อาจพูด ถึงเก็บความลับได้ที่สุด”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเคร่งขรึม หลุบตาลง

 

 

“ท่านย่า ท่านถึงเป็นคนสำคัญที่สุดของตระกูลเรา” ฟางเฉิงอวี่คุกเข่าข้างหนึ่งหน้าร่างนาง กุมมือนางเอ่ยขึ้น “คนที่สำคัญที่สุดของตระกูลเราแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ข้าทายาทชายคนนี้ ไม่มีข้า ยังมีท่านกับท่านแม่ ยังมีพวกพี่สาว การสืบทอดที่พูดกันไม่ใช่ข้าบุรุษคนนี้ แต่เป็นสายเลือดตระกูลฟางของพวกเรา เป็นการไม่ยอมแพ้ของพวกเรา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงยหน้ามองเขา สีหน้าสับสน มีปวดใจมีปลื้มปิติ

 

 

“แต่ข้าเป็นบุรุษมีข้อดีอยู่นิดหน่อย ระหว่างทางทนความโคลงเคลงได้” ฟางเฉิงอวี่สีหน้าเริงร่าเอ่ยอีกครั้ง

 

 

ฟางอวี้ซิ่วกระแอมทีหนึ่งจากด้านข้าง

 

 

“พี่รอง ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว ท่านไม่ต้องกระแอมแล้ว” ฟางเฉิงอวี่หันกลับมาเอ่ยฮึดฮัด

 

 

คนในห้องกลั้นไม่ไหวหัวเราะขึ้นมา

 

 

บรรยากาศกลายเป็นผ่อนคลายรื่นเริงอยู่บ้าง

 

 

“อีกอย่าง ผู้อื่นไม่รู้จักความร้ายกาจของสตรีตระกูลฟางของพวกเรา เห็นข้าเป็นบุรุษคนเดียว คิดว่าข้าเป็นคนสำคัญที่สุดของตระกกูลฟาง เช่นนี้ข้าเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ย่อมเป็นการเคารพต่อฮ่องเต้ แสดงความจริงใจและซาบซึ้งใจของตระกูลฟางเรา” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจแผ่วเบา พยุงฟางเฉิงอวี่ขึ้นมา

 

 

“เจ้าเติบใหญ่แล้ว” นางเอ่ย “เจ้าไปเมืองหลวงพวกเราก็วางใจ”

 

 

นี่ก็คือตกลงแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางส่ายศีรษะ แต่ไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

ฟางเฉิงอวี่คำนับนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้วยความดีใจ

 

 

“ท่านย่าโปรดวางใจ” เขาเอ่ยแล้วคำนับนายหญิงใหญ่ฟางอีกหน “ท่านแม่โปรดวางใจ”

 

 

ต่อจากนั้นก็คำนับฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วอีก

 

 

“พี่สาวทั้งหลายโปรดวางใจ”

 

 

คนในห้องหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

 

 

“เอาล่ะ ราชโองการก็คาดว่าใกล้จะส่งมาแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางลุกขึ้นเอ่ย “พวกเราไปรอรับราชโองการ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขานรับประคองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินออกไป นางหยวนที่ยืนอยู่ในลานเข้าใจทันที สั่งหญิงรับใช้

 

 

ด้านนอกเสียงประทัดสะเทือนแก้วหูแทบดับฉับพลันดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงกลองโหมประโคม ทั้งหยางเฉิงครึกครื้นขึ้นมา

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพาคนเดินออกไป ฟางเฉิงอวี่กลับยังยืนอยู่ในเรือนไม่ขยับ

 

 

“พูดมากปานนนี้” ฟางอวี้ซิ่วที่อยู่ด้านข้างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น “หากไม่ใช่เพื่อเจินเจิน เจ้าก็คร้านจะไปเมืองหลวงสินะ”

 

 

“ใช่สิ” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักเอ่ย “แต่นี่ไม่ขัดแย้งกับการไม่ให้ท่านย่าไปนี่”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วเบะปาก

 

 

“นายน้อยฟาง เอกบุรุษแห่งตระกูลฟาง รับราชโองการแล้ว รีบไปเถอะ อย่าหลบอยู่ในบ้านเหมือนพวกเราสาวน้อยเหล่านี้เลย” นางเอ่ยบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือจับศีรษะ

 

 

“ไม่ไหวแล้ว ข้าเวียนหัวนิดๆ ร่างกายข้าไม่ดี ข้าต้องไปนอนสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

สาวใช้หลายคนด้านข้างหัวเราะคิกคักมาพยุงเขาจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็โอนเอนโงนเงนถูกพยุงเดิน

 

 

“รถม้าเตรียมพร้อมแล้วหรือ?”

 

 

“ของขวัญใส่แยกต่างหากหนึ่งคัน”

 

 

“พาแม่ครัวหวงไปด้วย จิ่วหลิงชอบอาหารที่นางทำที่สุด”

 

 

เขาเดินไปพลาง สั่งอย่างกระตือรือร้นไปพลาง

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายขานรับซ้ำๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่พลันส่ายศีรษะอีกหน

 

 

“นั่นลำบากเกินไปแล้ว ช้าเกินไปแล้ว สิ่งใดก็ไม่เอาไปทั้งสิ้น ออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”

 

 

พูดจบก็สะบัดบ่าวหญิงที่พยุงอยู่ สองสามก้าววิ่งไปข้างหน้า

 

 

“ข้าจะไปเมืองหลวงแล้ว”

 

 

ทำให้บ่าวหญิงทั้งหลายไล่ตามหลังประหนึ่งผีเสื้อบุปผา เสียงหวานร้องโวยวายไม่หยุด

 

 

ฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วล้วนหัวเราะแล้ว

 

 

“ยามที่รู้ชัดว่าหนทางเบื้องหน้าลำบากไม่ง่าย ยังเบิกบานใจเช่นนี้ได้อีก” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “น่าสนใจ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้ม

 

 

“เพราะท่ามกลางหมื่นภัยพันอันตราย มักมีสักเรื่องสักคนทำให้คนคิดถึงมองเห็นก็เบิกบานใจ มีจุดเดียวก็เพียงพอให้ชีวิตปิติยินดี” นางเอ่ยขึ้น “ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมคนล้วนยินดีเป็นคน ตายอย่างมีความสุขไม่สู้ทนทุกข์มีชีวิตอยู่”

 

 

……………………………………….

 

 

พร้อมกับที่ฟางเฉิงอวี่ออกจากหยางเฉิงมายังเมืองหลวง คนในเมืองหลวงก็ล้วนงานยุ่งเช่นกัน

 

 

“ที่พักของเฉิงอวี่อยู่ที่นี่หรือคฤหาสน์ที่เต๋อเซิ่งชางซื้อมาใหม่ด้านนั้น?” เฉินชีวิ่งมาเอ่ยถาม

 

 

“ที่นี่สิ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นกระทั่งศีรษะก็ไม่เงยขึ้น

 

 

เฉินชีขานรับแล้วรีบวิ่งออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินพลิกจดหมายในมือต่อ

 

 

มีจดหมายว่าฟางเฉิงอวี่เดินทางถึงไหนแล้ว มีจดหมายของน้าเซียว หลายวันนี้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มาเยือนรังควานอีก ชีวิตดูแล้วสงบยิ่งนัก

 

 

แน่นอนความสงบนี้แค่เมื่อเปรียบเทียบเท่านั้น เรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมเมื่อฟางเฉิงอวี่มาเมืองหลวง แล้วยังมีร่องรอยของขันทีหยวนเป่าตลอดมาก็ไม่ได้ละเลย เมื่อวานนี้เองก็มีข่าวคราวอีกแล้ว

 

 

ในวังมีขันทีมาแลกตั๋วเงิน เอ่ยถึงชื่อขันทีหยวน

 

 

“ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนต่อไม่ได้ถึงวิ่งมาเกาะฝ่าบาท”

 

 

“ฝ่าบาทเมตตาที่สุดทั้งคิดถึงไมตรีเก่าถึงเก็บเขาไว้”

 

 

“ดูที่เขากระหยิ่มยิ้มย่องตอนนี้สิ กระทั่งใต้เท้าลู่ยังอยู่ข้างหลังแล้ว”

 

 

ตอนขันทีหลายคนนั่งรอ พนักงานที่ยกน้ำชามาก็ได้ยินพวกเขาคุยบ่นกัน

 

 

“จากเรื่องนี้จึงทราบได้ว่าคนผู้นี้รั้งอยู่ในพระราชวัง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย

 

 

มือที่พลิกจดหมายอยู่ของคุณหนูจวินหยุด ใช่แล้ว ฮ่องเต้ต้องการลงมือกับเต๋อเซิ่งชางแล้ว ดังนั้นหยวนเป่าจึงไม่ต้องอยู่ข้างนอกสอดแนมลอบลงมือเองแล้ว

 

 

ดูจากถ้อยคำเล็กน้อยนี่ ความลับนี้ของเต๋อเซิ่งชางย่อมต้องเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังเป็นตอนที่อยู่ในตำหนักเดิม กระทั่งลู่อวิ๋นฉีก็ไม่รู้ ดังนั้นหยวนเป่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ ลู่อวิ๋นฉียังต้องถอยหลัง

 

 

ฉีอ๋องเวลานั้นทำเรื่องอันใดที่ไม่อาจให้ผู้คนรู้ได้?

 

 

ก็พูดยาก ตอนนี้คิดดู แผนการของพระมารดาฉีอ๋องย่อมต้องไม่ใช่หนึ่งวันสองวัน

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจ ก้มศีรษะอ่านจดหมายต่อ

 

 

ฟางเฉิงอวี่มาเร็วมาก ระหว่างทางปลอยภัยไม่มีเรื่อง สิบวันให้หลังคนก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว

 

 

เสียนอ๋องยืนอยู่บนเหลาสุราริมทางนอกเมืองหลวง มองคณะของคุณหนูจวินที่รอไม่ไหวออกไปรับด้วยตนเองแล้วหันกลับไปมองจูจั้นที่ยังคงนั่งดื่มสุราอยู่หน้าโต๊ะอาหาร

 

 

“เจ้าผู้เป็นพี่เขยคนนี้ก็ควรไปรับน้องภรรยาด้วยสิ” เขาเอ่ยขึ้น พลางกินแล้วก็ยิ้ม “จะได้ไม่ให้น้องสามีเห็นเจ้าขัดตาใส่ไฟเจ้า อย่างไรผู้อื่นก็เคยบอกว่านี่เป็นคนสำคัญมากของนางเชียวนะ”

 

 

จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูก

 

 

“เขาใส่มากหน่อยจะขอบคุณ” เขาเอ่ย

 

 

“เจ้าเคยพบน้องภรรยาคนนี้ของเจ้าแล้ว…” เสียนอ๋องเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “เป็นอย่างไร?”

 

 

เป็นอย่างไร? รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปเนิ่นนานนักแล้ว เขาล้วนจำได้ไม่ชัดแล้ว

 

 

จูจั้นคิดถึงเด็กน้อยที่ผอมแห้งป่วยออดแอดทั้งยังทำตัวลึกลับคนนั้น

 

 

“ไม่ใช่คนจริงจัง” เขาเอ่ย โยนจอกสุราลงบนโต๊ะ

 

 

เสียนอ๋องร้องเอ๋

 

 

“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวานัก” เขาเอ่ย ในเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วรีบกวักมืออีกครั้ง “จูเอ้อร์จูเอ้อร์ รีบมาดู คือคนนี้ใช่หรือไม่?”

 

 

มีชีวิตชีวา?

 

 

บนโลกนี้ยังมีเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวายิ่งกว่าเขาอีกรึ?

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ไม่ใคร่จะยินดีลุกขึ้นเดินมาที่หน้าต่าง มองปราดเดียวก็เห็นบนถนนใหญ่ใต้เหลาสุราคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมคนผู้หนึ่งอยู่

 

 

ใต้แสงตะวันเขาเพียงรู้สึกว่าดวงตาถูกแสงวิบวับส่องลายไปวูบหนึ่ง

 

 

เฮ้ย นี่ปล้นคลังสมบัติหรือปล้นร้านอัญมณีมา?

 

 

รัดเกล้าทองอาภรณ์หรูหรา ห่มเงินประดับหยก

 

 

จูจั้นเบิกตาถึงมองหน้าคนผู้นี้ชัด

 

 

แม้อ้วนขึ้นหน่อย สูงขึ้นนิด ดวงหน้านั้นกลับไม่เปลี่ยน กำลังแย้มรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้มีความยินดีแล้วยังมีความน้อยใจ

 

 

“พี่สาว” เขาร้องเรียก กระโดดลงมาโถมเข้าใส่สตรีที่มารับ

 

 

จูจั้นจิ๊ปากสองที

 

 

“เจ้าดูท่าทางออดอ้อนนี่” เขาเอ่ย “ทนดูไม่ได้จริงๆ”

 

 

คิกคิก

 

 

สนุกหรือไม่? สาแก่ใจหรือไม่? แม่นางหนุ่มน้อยทั้งหลาย คุณอาคุณน้าทั้งหลาย ให้รางวัลคนช่างอ้อนไหม?

 

 

…………………

Related

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา

 

 

ฟันเล็กๆ กัดทะลุซาลาเปาบางดั่งปีกจักจั่นเบาๆ ตั้งใจจดจ่อสูดน้ำแกงแล้วกินต่อช้าๆ

 

 

จูจั้นก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเช่นกัน ก้มหน้ากินซาลาเปา

 

 

ไม่ว่าเงียบงันหรือเอ่ยปากโต้แย้งความคิดเห็น ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดา ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดหรือกระดากอาย

 

 

คงเพราะตลอดทางตั้งแต่แดนเหนือมาถึงเมืองหลวงอยู่ร่วมกันอย่างกระอักกระอ่วนและประหลาดเท่าใดล้วนผ่านมาแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีสิ่งใด้ให้พวกเรารู้สึกขัดเขินอีกแล้ว

 

 

เสียงเอะอะริมถนน ร้านค้าแผงลอยเรียกขายของ ดวงตะวันค่อยๆ ลอยสูง ทำให้รอบด้านกลายเป็นอื้ออึ้งและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 

 

“คงพอแล้วสินะ” จูจั้นมองคุณหนูจวินแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เด็กสาวคนหนึ่งกินมากปานนั้น”

 

 

คุณหนูจวินวางตะเกียบจากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก

 

 

“กินอิ่มแล้วถึงมีเรี่ยวแรงไหม” นางเอ่ยพลางลุกขึ้นตัวตรงเดินไปข้างนอก

 

 

จูจั้นเอาเงินไปวางไว้บนโต๊ะแล้วหิ้วหีบยา

 

 

“กินอิ่มแล้วมีเรี่ยวแรง” เขาเอ่ยพลางเบ้ปาก “มีเรี่ยวแรงยังให้ข้าหิ้วหีบยาอีก”

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงเปิดประตูแล้ว พนักงานคนหนึ่งจัดตู้ยาอยู่ในโถง ฟางจิ่นซิ่วนั่งดูสมุดบัญชีเหมือนปกติ เงียบสงบไปหมด

 

 

“กลับมาแล้วหรือ?” ฟางจิ่นซิ่วเงยหน้าเอ่ยถาม

 

 

น้ำเสียงเรียบเฉยไม่มีความกังวลสักนิด คล้ายพวกเขาเพียงไปเดินเที่ยวถนนเล่นสนุกกลับมาเท่านั้น

 

 

“คุณหนู ท่านเขย พวกท่านทานอาหารแล้วหรือยัง?” หลิ่วเอ๋อร์กระโดออกมาจากด้านหลังเอ่ยถาม

 

 

“ทานแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยตอล

 

 

เฉินชีได้ยินก็เดินออกมาจากด้านใน

 

 

“เป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถามติดจะวิตกอยู่บ้าง

 

 

นับว่ามีคนปฏิกิริยาปกติอยู่คนหนึ่ง

 

 

จูจั้นยิ้ม

 

 

“เจ้าดูสิ นิสัยนี่ของเจ้า” เขามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้นมา “มีเพียงคนผู้นี้คนเดียวที่เป็นห่วงเจ้า”

 

 

“มีอะไรน่าเป็นห่วง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตั้งแต่เข้าเมืองหลวง…”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงัก

 

 

“ไม่ ตั้งแต่นางมาตระกูลของพวกเราก็ไม่มีสักนาทีที่ทำให้คนไม่เป็นห่วง ชินเสียแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะไม่เอ่ยวาจาแล้ว

 

 

“เรื่องราวเป็นอย่างไร?” เฉินชีเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

“ไม่เป็นไร ไหวอ๋องสบายดีทุกอย่าง” คุณหนูจวินตอบ คิดถึงเด็กคนนั้นบนใบหน้ารอยยิ้มก็ล้นปรี่ออกมา

 

 

เดิมทีเป็นห่วงว่าตนจากไปหนึ่งปีก่อน จิ่วหรงจะสะเทือนใจจนเศร้าซึม ตอนนี้ดูแล้วเขายังคงมีชีวิตชาวาดีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังเข้าใจเรื่องราวกระจ่างยิ่งกว่าเดิมด้วย เห็นการกระทำและวาจายามเขาเผชิญหน้าเฉิงกั๋วกง ใจกว้างสบายๆ คำพูดคำจามีมารยาท ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส นางตื่นตะลึงและปลื้มปิติจริงๆ

 

 

นี่อาจเป็นสติปัญญาแต่กำเนิดของจิ่วหรง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสั่งสอนภายหลัง

 

 

บัณฑิตกู้คนนั้นใส่ใจสั่งสอนจิ่วหรงจริงๆ ทำให้เขาไม่น้อยเนื้อต่ำใจจากการถูกกักขัง และไม่เอาแต่ใจเพราะฐานะองค์ชายในอดีต ทำให้จิ่วหรงได้สัมผัสความสุขของชีวิตมนุษย์ท่ามกลางสภาพที่โชคร้าย ไม่เคียดแค้นกับชีวิต แต่รักและวาดหวัง

 

 

มีรักถึงมีความหวัง มีความหวังถึงมีชีวิตอย่างมีความสุขสบายใจได้

 

 

บางทีนางควรมอบเงินให้บัณฑิตกู้สักหน่อยด้วย?

 

 

คิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะอีกหน อาจารย์ที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ที่ไหนถึงแสวงหาอนาคตกับเงินทองไม่ได้ จะยินดีถูกขังอยู่ในวังไหวอ๋องใช้ชีวิตที่ไร้อนาคตชั่วนิรันดร์ เพื่อเงินรึ

 

 

เขาเคยพูดว่าเป็นสหายเก่าของอาจารย์ บางทีควรให้เขาพบพวกอาจารย์หญิงสักครั้ง

 

 

แต่หากเป็นสหายเก่าของอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาจะมาสั่งสอนจิ่วหรง? อาจารย์ไม่ติดค้างอันใดกับราชวงศ์นี่ หากจะพูดว่ามีความสัมพันธ์ให้ได้ ก็มีกับตน บัณฑิตกู้คนนั้นเพราะตนถึงมาดูแลจิ่วหรงหรือ?

 

 

เดิมคิดว่าชีวิตเดียวดายของตนเอง ตายแล้วก็ตายไป บิดามารดาอาจารย์ล้วนตายแล้ว นอกจากจิ่วหรงกับจิ่วหลี บนโลกนี้ไม่มีใครจดจำนางได้อีกแล้ว คิดไม่ถึงมีจูจั้น มีบัณฑิตกู้ล้วนยังคิดถึงนาง

 

 

“เจ้ามองอะไร อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้านะ” จูจั้นถลึงตาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด

 

 

เจ้าคนฉลาดและสัมผัสเฉียบไวคนนี้

 

 

เฉินชีเห็นนางหัวเราะก็ยิ้มเจื่อนๆ นิดหนึ่ง

 

 

“แต่ที่ข้าอยากถามคือเรื่องนี้เป็นอย่างไร” เขาเอ่ย

 

 

ทุกคนล้วนรู้ว่าครั้งนี้ไหวอ๋องคือกับดักวางที่ไว้ให้เฉิงกั๋วกง เดิมทีอยากให้เฉิงกั๋วกงออกปากคัดค้านในการประชุมขุนนาง คิดไม่ถึงเฉิงกั๋วกงร้ายกาจยิ่งกว่า ถึงกับตรงเข้าไปในวังไหวอ๋องเยี่ยมไหวอ๋อง

 

 

ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้จะคิดอย่างไร? ต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น?

 

 

“ควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”

 

 

คุณหนูจวินกับจูจั้นต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว

 

 

พูดจบทั้งสองคนพลันสบตากันทีหนึ่ง คุณหนูจวินยิ้ม ส่วนจูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งหมุนตัวไป

 

 

เฉินชีปรบมือโล่งออก

 

 

“ที่แท้พวกเจ้าหารือกันเสร็จแล้ว” เขาเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”

 

 

หารือกันที่ไหน ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เพียงประโยคเดียว แต่มีสิ่งใดน่าหารือกันอีกเล่า ในเมื่อทำแล้วก็ทำไปแล้ว กลัวอะไร สิ่งใดมารับมือกับสิ่งนั้นก็พอ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง จูจั้นหันหน้าหนีอีกหน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ทำไมข้าทำเช่นนี้?”

 

 

เมื่อเฉิงกั๋วกงกลับมาถึงในจวน จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนอยู่

 

 

ได้ยินคำถามของพวกเขา เฉิงกั๋วกงก็ยิ้ม

 

 

“นี่มีทำไมอะไรกัน ได้ยินว่าเด็กน้อยที่รู้จักคนหนึ่งป่วย เป็นใครล้วนต้องไปเยี่ยม” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

ทว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา

 

 

“เด็กก็คือเด็ก เขาเป็นเด็กคนหนึ่งเป็นอย่างแรก รองจากนั้นถึงเป็นอย่างอื่น” เฉิงกั๋วกงอธิบาย มองคุณหนูจวินแล้วแย้มยิ้ม “คุณหนูจวิน ข้าว่าท่านก็คงไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน”

 

 

แน่นอนไม่มีทาง

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

ไม่ว่าเฉิงกั๋วกงตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของนาง หรือเพียงแค่ใส่ใจจิ่วหรงถึงทำเรื่องเช่นนี้ นางล้วนไม่มีทางรู้สึกว่าเป็นปัญหา

 

 

“เด็กคนนั้นเป็นอย่างไร?” นายหญิงอวี้เอ่ยถามท่าทางใคร่รู้อยู่บ้าง

 

 

“เด็กคนนั้นดียิ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยอย่างอ่อนโยน จากนั้นชะงักครู่หนึ่ง “เหมือนบิดาของเขา”

 

 

คุณหนูจวินดวงตาเคืองวูบหนึ่ง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านทำงานกันเถิด ข้ากลับก่อนแล้ว” นางเอ่ยขึ้น “มีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือของข้า บอกได้เต็มที่”

 

 

พูดจบไม่รอพวกเฉิงกั๋วกงตอบรับก็ผลุนผลันคำนับทีหนึ่งหมุนตัวจากไปแล้ว

 

 

นายหญิงอวี้อึ้ง

 

 

“เด็กคนนี้…” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“นางก็เป็นเช่นนี้ ทั้งวันแปลกประหลาด” จูจั้นแค่นเสียงเหอะเอ่ย “ต้องไปร้องไห้อีกแน่”

 

 

พูดจบจึงมองเฉิงกั๋วกง

 

 

“พ่อ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทว่าอย่างไร? ต่อไป…” เขาเอ่ยถาม

 

 

คำถามยังเอ่ยไม่จบก็ถูกนายหญิงอวี้ถีบหนึ่งเท้า

 

 

“ว่างรึเจ้า ยังไม่รีบกลับไปกับคุณหนูจวินอีก” นางเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

ว่าง?

 

 

จูจั้นถลึงตา เขาไปส่งนางกลับสิถึงว่าง ตอนนี้เรื่องไหนถึงสำคัญ!

 

 

“บอกเจ้า เจ้ายังไม่ฟังอีก” นายหญิงอวี้คิ้วตั้ง

 

 

“พ่อ” จูจั้นมองเฉิงกั๋วกงอย่างน้อยใจ

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล” เขาเอ่ย “ปัญหาเป็นเรื่องของช้าเร็ว ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเรื่องนี้ ฝ่าบาทผูกปมในใจแล้ว ข้ารู้ทำอย่างไรถึงแก้ได้ ทว่า”

 

 

เขาไพล่มือแย้มยิ้ม

 

 

“ทว่าเช่นนั้นข้าย่อมไม่ใช่จูซานในวันนี้

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินก้าวไวๆ เดิน หลังออกจากจวนเฉิงกั๋วกง น้ำตาของนางก็กลั้นไม่อยู่อีกต่อไปร่วงลงมา

 

 

เฉิงกั๋วกงบอกว่าพระบิดาดียิ่ง

 

 

พระบิดาดียิ่ง

 

 

พระบิดาดียิ่ง ดังนั้นยังมีคนจดจำเขาได้ ไม่ใช่ทุกคนล้วนลืมเลือนเขาแล้ว

 

 

นี่ก็คือความยุติธรรม สวรรค์มีความยุติธรรม

 

 

ต้องมีความยุติธรรมแน่นอน

 

 

พระบิดาไม่มีทางสิ้นไปเสียเปล่าเช่นนี้ จิ่วหรงก็ไม่มีทางถูกกักขังไว้ทั้งชีวิต ไม่มีทางเด็ดขาด

 

 

นางเช็ดน้ำตาออกไป ร่างตรงสง่าก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ

 

 

นางไม่หันหลังกลับ ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าหลังร่างไม่ไกล จูจั้นหิ้วหีบยาไม่ใคร่จะยินดีติดตามอยู่ แม้ไม่ใครจะยินดีกลับไม่ดึงระยะห่างไกลเกินไป เดินผ่านในหมู่คน ไม่เข้าใกล้และไม่ออกจากสายตา

 

 

……………………………………….

Related

หัวหน้ากองพันเจียงยืนอยู่ในกรมสืบสวนฝ่ายเหนือเหมือนคิดอะไร

 

 

“เงื่อนงำสักนิดก็ไม่มีหรือ?” เขามององครักษ์เสื้อแพรสองคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม

 

 

องครักษ์เสื้อแพรส่ายศีรษะ

 

 

“สักนิดก็ไม่มีขอรับ” พวกเขาเอ่ย

 

 

“ใต้เท้าเจียง สตรีที่อยู่ศาลเทพเจ้ากวนอูคนนั้นที่แท้ทำความผิดอะไรหรือขอรับ? หากสำคัญมาก ทำไมไม่จับกลับมา เพียงแค่เฝ้าจับตา?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถาม “เพื่อเป็นเหยื่อล่อหรืออะไรอย่างอื่นขอรับ?”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขมดคิ้ว

 

 

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรถามหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา “ทำงานก็พอ ถามมากมายปานนั้นทำอะไร”

 

 

องครักษ์เสื้อแพรอับอาย

 

 

“พวกผู้น้อยย่อมรู้ เพียงแต่เรื่องนี้สั่งมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ หากทราบว่าเกี่ยวข้องกับคดีอะไร กับผู้ใด สืบหาย่อมง่ายดายอยู่บ้าง” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“เจ้าคิดว่าทำงานล้วนง่ายดายเช่นนั้นหรือ?” หัวหน้ากองพันเจียงแค่นเสียงเหอะเอ่ย

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายมองเขาแล้วหุบปากไม่บอกก็รู้ว่าไม่อาจถามต่อได้ ขานรับถอยออกไป

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้ว

 

 

สตรีคนนั้นเป็นนางกำนัลที่ปลดออกมาจากวัง เดิมทีปรนนิบัติอยู่เบื้องพระพักตร์องค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทก็ปลดนางกำนัลที่เคยรับใช้ออกมาไม่น้อย มีเพียงคนนี้ที่สนใจเช่นนี้ก็แปลกอยู่บ้างจริงๆ

 

 

นอกจากนี้แทนที่จะบอกว่าสนใจ ยังไม่สู้บอกว่าปกป้อง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไรคงจะเกี่ยวข้องกับอดีตองค์รัชทายาทด้านนั้น เรื่องที่ข้องเกี่ยวกับอดีตองค์รัชทายาท ลู่อวิ๋นฉีล้วนทำด้วยมือตนเอง กระทั่งเขาก็ไม่บอก

 

 

“มีบางเรื่องรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเคยเอ่ยกับเขาเช่นนี้

 

 

แม้ลู่อวิ๋นฉีเย็นชาไร้หัวใจจนมีชื่อเลื่องลือไปข้างนอก แต่ปฏิบัติกับองครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่เลวยิ่ง

 

 

ไม่ให้เขาถาม เขาย่อมไม่ถาม เพียงสนใจทำงานก็พอ

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงกำลังคิดวุ่นวายอยู่พลันได้ยินเสียงเอะอะพักหนึ่งด้านหน้า คล้ายมีใครมา เขาขมวดคิ้วมองไปจากนั้นสีหน้าก็พิกลอยู่บ้าง

 

 

นอกประตูมีคนมาห้าคน สวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่ไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

“โอ๊ะโอ๋ นี่ไม่ใช่นายท่านจินหรือ?”

 

 

มีองครักษ์เสื้อแพรเอ่ยเรียก

 

 

องครักษ์เสื้อแพรไม่น้อยล้วนล้อมเข้ามา

 

 

“โอ้ นี่วีรบุรุษแดนเหนือนี่”

 

 

“รีบมาดูสิ”

 

 

ในลานเสียงล้อเลียนดังขึ้นรอบด้าน

 

 

พวกจินสือปาหน้าแดง ไม่พูดสักคำ

 

 

พูดไปแล้วก็น่าขำเสียจริง พวกเขาคือองครักษ์เสื้อแพรที่ทุกคนหวาดกลัวรังเกียจเคียดแค้นกลับตกกระไดพลอยโจนติดตามทหารแดนเหนือเข้าสนามรบสังหารศัตรู ท้ายที่สุดยังเข้าเมืองสรรเสริญความชอบ คิดถึงวันนั้นบนถนนใหญ่ถูกชาวบ้านนับไม่ถ้วนล้อมร้องชื่นชมว่าวีรบุรุษ พวกเขาก็รู้สึกรสชาติแปลกแปร่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินออกมาแล้ว องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายที่หัวเราะโวยวายเห็นเขาล้วนรีบเงียบเสียง ในลานกลายเป็นจริงจัง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองจินสือปา จินสือปาก้มศีรษะคุกเข่า

 

 

“ใต้เท้า” เขาเอ่ยเสียบแหบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท ไม่ยินดี ไม่โกรธเกรี้ยว

 

 

“ทำไมไม่สวมชุดขุนนาง?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“บางทีอาจชอบสวมชุดทหารมากกว่า?” องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบาขึ้นอีก

 

 

“พวกเจ้าอยากย้ายไปอยู่กองทหารชิงซานรึ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นแล้วมองไปทางหัวหน้ากองพันเจียง “ทำเรื่องให้พวกเขา”

 

 

จินสือปารีบเงยหน้า

 

 

“ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ ใต้เท้า” เขาคุกเข่าเดินมาข้างหน้าหลายก้าว สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง “ผู้น้อยไม่อยาก ผู้น้อยเกิดเป็นคนขององครักษ์เสื้อแพร ตายก็เป็นผีขององครักษ์เสื้อแพร”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอ้อ

 

 

“ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่สวมเครื่องแบบ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“ผู้น้อยทำงานไม่ราบรื่น ไม่มีหน้าสวมเครื่องแบบชุดนี้” จินสือปาก้มศีรษะตอบเสียงแหบ

 

 

“ทำได้ไม่เลวนี่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่มีหน้าสวม? คุณหนูจวินคนกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าออกจะได้หน้าได้ตา”

 

 

พวกจินสือปาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

 

 

ประชดรึ?

 

 

แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่เคยล้อเล่นแล้วก็ไม่เคยประชด

 

 

ความหมายนี่…

 

 

“ยังไม่รีบไปเปลี่ยนอีก” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย “งานยุ่งนัก เวลาพักของพวกเจ้านานพอแล้ว”

 

 

พวกจินสือปาห้าคนยินดียิ่ง โขกศีรษะอย่างตื่นเต้นอีกหน

 

 

“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า” พวกเขาสะอื้นเอ่ย

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านพวกเขาจากไป

 

 

นอกกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ เหล่าองครักษ์เสื้อแพรจัดสัมภาระเตรียมเดินทาง จูงม้ามาให้ลู่อวิ๋นฉี บุรุษหน้าตาเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งที่รอคอยอยู่ด้านข้างตลอดยิ้มตาหยีก้าวเข้ามา

 

 

“ใต้เท้าลู่ รถม้าที่ครั้งก่อนยืมท่าน ใต้เท้าของเราให้นำกลับมาคืนแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เขาก็ขานรับคำหนึ่งแล้วไม่เอ่ยวาจาอีก

 

 

พ่อบ้านคนนั้นก็ไม่ได้พูดมากถอยออกไปอย่างนอบน้อม

 

 

องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก้าวเข้ามามองรถม้านิดหนึ่ง จากนั้นก้าวไวๆ กลับมา

 

 

“ในรถมีรถม้าทองคำแท้ฝังอัญมณีขนาดเท่านี้ตัวหนึ่งขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา ใช้มือวาดนิดหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานรับอย่างไม่สนใจ ขึ้นม้าท่ามกลางเหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อมล้อมจากไปตามถนน ทิศทางที่เขาไป คือที่ตั้งจวนสกุลลู่และวังไหวอ๋อง

 

 

ส่วนคุณหนูจวินกับจูจั้นเวลานี้ออกจากวังไหวอ๋องแล้ว

 

 

เฉิงกั๋วกงฉับพลันออกกระบวนท่าไม่คาดฝันเคาะประตูใหญ่วังไหวอ๋อง พวกเขาไม่อาจใช้เรื่องนี้อยู่ที่วังไหวอ๋องนานได้จริงๆ ต่อมาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกสิ่งล้วนยังไม่แน่ อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

ทั้งสองเดินไปตามถนนช่วงหนึ่งอย่างเงียบงัน

 

 

ฟ้าสว่างมากแล้ว บนถนนคนเดินไปเดินมาครึกครื้น พวกเขาหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเดินตัดผ่านอยู่ข้างใน มีคนไม่น้อยที่จำคุณหนูจวินกับจูจั้นได้พากันทักทาย คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้าคำนับคืนบางครั้ง เพียงแต่นางดูคล้ายมองเห็นคนเหล่านี้แต่ก็คล้ายสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น

 

 

ฉับพลันคุณหนูจวินก็หยุดเท้า จูจั้นที่เดินอยู่ด้านหลังก้มศีรษะไม่ให้บาดแผลบนหน้าถูกผู้คนมองเห็นจึงหวิดจะชนนางเข้า

 

 

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงหงุดหงิด

 

 

“ข้าหิวแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย สายตามองไปยังทิศหนึ่ง

 

 

ร้านอาหารร้านหนึ่งตรงหัวถนนด้านนั้นซาลาเปาแข่งแล้วเข่งเล่าเพิ่งออกจากหม้อ ควันร้อนกับกลิ่นหอมอบอวลรอบด้าน

 

 

“ที่บ้านมีของกิน” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

“ก็ข้าจะกินที่นี่” คุณหนูจวินเอ่ยบอก ยกเท้าเดินไปด้านนั้นเหมือนเด็กน้อยดื้อรั้นคนหนึ่ง

 

 

“ตอนนี้เวลานี้…” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่คุณหนูจวินสนใจก็ไม่สนใจตรงดิ่งเข้าไปแล้ว เขาได้แต่กัดฟันกรอดตามไปด้วย

 

 

เนื่องจากเป็นแผงร้านเรียบง่ายริมทาง ส่วนใหญ่เป็นของซื้อเดินกิน ดังนั้นจึงตั้งโต๊ะเตี้ยไว้สองตัวเท่านั้น

 

 

คุณหนูจวินกับจูจั้นยึดครองสองโต๊ะ

 

 

คนขายซาลาเปาย่อมรู้จักพวกเขา ยินยอมหน้าระรื่น นอกจากนี้ยังเข้าใจความรู้สึกของสามีภรรยาเยาว์วัยยิ่งว่าชอบอยู่ลำพังโดยไม่ถูกคนรบกวน จึงใส่ใจดึงม่านไม้ไผ่ที่ใช้กันแดดฤดูร้อนอันร้อนแรงขึ้นด้วย

 

 

แม้โต๊ะหยาบแต่เช็ดสะอาดยิ่ง ซาลาเปาสองเข่งวางไว้บนโต๊ะ คุณหนูจวินกับจูจั้นต่างคนมีน้ำส้มสายชูกระเทียมสับถ้วยหนึ่งกินไม่เงยหน้า

 

 

ม่านไม้ไผ่กั้นสายตาของคนเดินถนน แต่กั้นเสียงพูดคุยไม่ได้

 

 

“…เฉิงกั๋วกงก็เข้าวังไหวอ๋องไปเช่นนี้…”

 

 

“…มีไมตรีมีคุณธรรมจริงๆ ได้ยินว่าไหวอ๋องประชวรปุบก็ไปเยี่ยมทันที…”

 

 

“…เช่นนี้ถึงถูกต้อง ข้าบอกแล้วเฉิงกั๋วกงไม่มีทางนั่งเฉยไม่สนใจหรอก”

 

 

“…สนใจแล้วอย่างไร เจ้ากระโดดโลดเต้นเช่นนี้เหมือนฝ่าบาททารุณไหวอ๋องหรืออย่างไร…”

 

 

“…ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ! เจ้าพูดจาระวังหน่อย”

 

 

เสียงถกเถียงบนถนนดังขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ผู้คนในเมืองหลวงอย่างไรก็สัมผัสไวรู้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นสนทนาที่ดีอะไร เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะหาภัยใส่ตัว

 

 

จูจั้นวางตะเกียบลง

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าบิดาข้าทำไมทำเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น “แล้วข้าก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมขอร้องเขาให้ทำเช่นนี้ด้วย เพราะข้าคิดว่าทำเช่นนี้ไม่มีความหมายจริงๆ”

 

 

นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาคุยเรื่องนี้หลังได้รู้ว่าเฉิงกั๋วกงเข้าไปในวังไหวอ๋อง

 

 

คุณหนูจวินกัดซาลาเปาลูกหนึ่งเบาๆ

 

 

“ข้าก็คิดว่าทำเช่นนี้ไม่มีความหมายจริงๆ แต่ข้ายอมรับว่าข้าเบิกบานใจยิ่ง” นางเอ่ยพลางมองจูจั้น “เหมือนตอนนั้นที่ท่านแย่งต้นเซียนจื่ออิงของข้าเพียงเพื่อใช้มอบดอกไม้ดอกหนึ่งหน้าสุสานขององค์หญิงจิ่วหลิงเช่นนั้น”

 

 

นี่คือคราวเดียวชมพวกเขาพ่อลูกสองคนหรือ?

 

 

สตรีคนนี้ปากทาน้ำผึ้งยอคนเก่งเสียจริง ดูสิพ่อแม่ของเขาถูกยอจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว

 

 

จูจั้นกระตุกมุมปาก ฉับพลันก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้อีก

 

 

“เจ้าอย่ายกตัวอย่างส่งเดชนะ” เขาคิ้วตั้งท่าทางระแวงเอ่ย “ข้ามอบดอกไม้เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”

 

 

……………………………………….

Related

ตอนที่หวงเฉิงมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง หยวนเป่ากำลังถวายชาให้ฮ่องเต้

 

 

“ฝ่าบาท ท่านพิโรธเช่นนั้นไปไยเล่า” เขาทูลเสียงแผ่วเบา

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าแสร้งเป็นไก่อ่อนยังไม่พอ วันนี้ยังต้องแสร้งเป็นไก่อ่อนอีกรึ” ฮ่องเต้พระพักตร์โกรธเกรี้ยวตรัส

 

 

บทสนทนาของพวกเขาใช้ภาษาถิ่นซานตง แม้เกิดที่เมืองหลวง แต่ตอนนั้นองค์ฮองเฮาส่งเขาไปดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองเร็วนัก ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทล้วนตัดใจไม่ลงด้วยองค์ชายองค์อื่นก็ไม่ได้แยกวังไปยังดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครอง แต่ฮองเฮากลับบอกว่าองค์ชายองค์อื่นก็แล้วไปเถิด เพราะเป็นองค์ชายที่นางให้กำเนิดถึงไม่อาจยกเว้นได้

 

 

ฮ่องเต้ก็ทรงทราบว่าฮองเฮาเที่ยงตรงเสมอมา จึงได้แต่ถอนหายใจทั้งยังปลื้มใจส่งฉีอ๋องจากไป

 

 

แม้แม่นมผู้ติดตามเป็นต้นล้วนเป็นคนในวัง แต่วังอ๋องงานเยอะวุ่นวายจึงซื้อข้าทาสมาจากในท้องถิ่นรวมถึงมีขุนนางท้องถิ่นมอบให้ ในวังคนท้องถิ่นจึงมาก ดังนั้นฉีอ๋องจึงได้เรียนรู้ภาษาถิ่นมาภาษาหนึ่ง ผนวกกับหลังได้รับจดหมายฉบับหนึ่งของฮองเฮา ฉีอ๋องยิ่งตั้งใจเริ่มพูดภาษาถิ่น ค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน ต่อมายามเข้าเมืองหลวงถวายพระพรวันเฉลิมพระชนม์พรรษาแด่ฮ่องเต้ เพราะภาษาซานตงนี่ยังถูกองค์ชายและพระญาติองค์อื่นล้อเลียน ฮ่องเต้พิโรธเรื่องนี้อย่างมาก

 

 

หยวนเป่าคิดถึงเรื่องครานั้นก็ถอนหายใจอยู่บ้าง

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว” เขาทูล “เขาล่วงเกินท่าน ท่านไม่ชอบเขา ไล่ออกไปก็ได้แล้ว ท่านเป็นฮ่องเต้แล้ว วาจาท่านคือประกาศิต”

 

 

คำนี้เป็นความจริง ได้ฟังก็สบายใจ แน่นอนขุนนางใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยินยอมเอ่ยความจริงนี่หรอก คล้ายชมเขาก็จะกลายเป็นขุนนางชั่วเสียหน้าต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า

 

 

อืม ก็ไม่ใช่คนทั้งหมด หนิงอวิ๋นเจาหลานของหนิงเหยียนคนนั้นไม่เหมือนกัน

 

 

คิดว้าวุ่นอยู่พักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็แย้มสรวลแล้ว อารมณ์ดีขึ้นอยู่บ้าง

 

 

“ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น” พระองค์ตรัส

 

 

“ก็ไม่ใช่ไม่ง่ายเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ คนเป็นขุนนางคนหนึ่งไม่มีความผิดได้หรือ? บ่าวไม่เชื่อหรอก” หยวนเป่าเอ่ย

 

 

นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน คนไม่มีคนสมบูรณ์แบบ ทองไม่มีทองคำบริสุทธิ์ ขอเพียงตั้งใจย่อมต้องหาความผิดออกมาได้ ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ใช่แล้ว ค่อยเป็นค่อยไป” แววตาของพระองค์โกรธเกรี้ยวอยู่บ้างแล้วก็ทะมึนอยู่บ้าง “ข้าไม่ผิดต่อเขา เป็นเขาที่ผิดต่อข้า”

 

 

นอกประตูเสียงขันทีลอยมาแจ้งข่าวว่าหวงเฉิงมาถึงแล้ว

 

 

หยวนเป่าจึงรีบขอตัว

 

 

“เจ้าอยู่ต่อเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส พระองค์ลูบฎีกาที่วางไว้ตรงหน้า “จะคุยเรื่องเต๋อเซิ่งชาง เจ้าก็ฟังดู”

 

 

หยวนเป่าขานรับทิ้งมือลงถอยไปด้านข้าง

 

 

หวงเฉิงถูกเรียกเข้ามาก็สั่นระริกจะโขกศีรษะ หากเป็นเวลาอื่นฮ่องเต้ย่อมต้อมห้ามปรามประทานเก้าอี้แน่นอน แต่คราวนี้ฮ่องเต้เพียงก้มพระเศียรอ่านฎีกา คล้ายมองไม่เห็นเขา

 

 

หวงเฉิงคุกเข่าเอ่ยเรียกฝ่าบาท

 

 

“นี่เจ้ายืมของลู่อวิ๋นฉียังไม่พอ ยังจะไปยืมของเฉิงกั๋วกงด้วยแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสพระเศียรก็ไม่เงยขึ้น “เจ้ากี้เจ้าการจะแต่งตั้งยศพระราชทานรางวัลให้คนของเขา?”

 

 

หวงเฉิงรีบค้อมร่างกับพื้น

 

 

“กระหม่อมไม่กล้า” เขาเอ่ยเสียงสั่น

 

 

ฮ่องเต้โยนฎีกาดังป้าบลงบนโต๊ะ

 

 

“เจ้ามีสิ่งใดไม่กล้า? เจ้ากล้ารายงานเท็จว่าไหวอ๋องถูกปีศาจรังควานครอบงำ กล้าให้ลู่อวิ๋นฉีเฝ้าวังไหวอ๋องแทนเจ้า ทำไมเจ้าจะไม่กล้าก่อนหน้าทะเลาะภายหลังผูกสัมพันธ์กับเฉิงกั๋วกงเล่า?” พระองค์ตวาด “สรุปคือเจ้าข้างนอกข้างในล้วนเป็นคนดี จะให้ข้าเป็นคนร้ายใช่หรือไม่?”

 

 

ได้ยินประโยคนี้ ในใจหวงเฉิงพลันโล่งอก ลู่อวิ๋นฉีกระทำการได้เหมาะสมจริงๆ

 

 

เรื่องเฝ้าวังไหวอ๋องไม่ให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าไปทำได้เหมาะสมเหลือเกินแล้ว

 

 

ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่มีทางปิดบังฝ่าบาทเรื่องที่ตนเองมาหาเขาเป็นการส่วนตัว แต่ที่มาหาเขาให้เขาเอ่ยวาจาตอนฮ่องเต้ถามเรื่องเต๋อเซิ่งชางย่อมไม่อาจบอกฮ่องเต้ได้

 

 

สิ่งต้องห้ามที่สุดของฮ่องเต้ก็คือเรื่องนี้ ลู่อวิ๋นฉีพระองค์ใช้ได้คนเดียวเท่านั้น ลู่อวิ๋นฉีที่ถูกขุนนางใหญ่ใช้ได้ย่อมไม่อาจพึ่งได้แล้ว

 

 

แต่เฝ้าวังไหวอ๋อง ขวางบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าใกล้ เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา

 

 

กระทำการใดย่อมต้องจริงๆ ลวงๆ ปะปนกันเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนสงสัย

 

 

ผู้บัญชาการลู่จากชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นนั้นมาถึงตำแหน่งเช่นนี้ได้คงไม่ใช่แค่โชคดีแล้ว

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้า” หวงเฉิงร่ำไห้น้ำตานอง โขกศีรษะซ้ำๆ “กระหม่อมเป็นห่วงไหวอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ หากไหวอ๋องเกิดอันตรายขึ้นมา ฝ่าบาทย่อมได้รับผลร้าย กระหม่อมเป็นห่วงจึงว้าวุ่น ยอมผิดร้อยครั้งไม่กล้าปล่อยผ่านครั้งหนึ่ง ส่วนพระราชทานรางวัลแก่เต๋อเซิ่งชาง ยิ่งไม่ใช่เพื่อเฉิงกั๋วกง นั่นไม่ใช่คุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกงสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นของฝ่าบาท นั่นเป็นประชาชนของฝ่าบาท เป็นประชาชนของฝ่าบาทภักดีตอบแทนชาติ กระหม่อมทนเห็นเฉิงกั๋วกงทำท่าเหมือนเรื่องทั้งหมดเป็นคนของเขาเองทำ ล้วนเป็นคุณงามความชอบของตัวเขาเองไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ใช่แล้ว นั่นเป็นของพระองค์ ฮ่องเต้มองหวงเฉิงที่โขกศีรษะสีพระพักตร์ทะมึน ในพระทัยเกิดเพลิงโทสะอีกครั้งและกลัดกลุ้มอีกครั้ง กลับกลายเป็นของในกระเป๋าของเฉิงกั๋วกงอีกแล้ว

 

 

พระองค์ยกพระหัตถ์ตบโต๊ะ

 

 

“พอแล้ว!” พระองค์ตวาด

 

 

หวงเฉิงหยุดร่ำไห้โขกศีรษะทันที ค้อมกายกับพื้นเงียบเสียง

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจ

 

 

“มีคำพูดก็พูด ร้องห่มร้องไห้มีอย่างที่ไหน!” พระองค์ตวาด

 

 

หวงเฉิงปาดน้ำตาเงยหน้าขึ้น

 

 

“ในใจกระหม่อมหวาดกลัว หวาดกลัวเพียงทำพลาดไปจะกลายเป็นไม่ภักดีต่อฝ่าบาท” เขาเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจไม่เอื้อนโอฐ

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ปิดบัง กระหม่อมขอฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชางด้วยมีเจตนาส่วนตัว” หวงเฉิงเงยหน้าเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้มองมาหาเขา

 

 

“วันนี้บ้านเมืองปัญหามากมาย เรื่องราวพัวพันสลับซับซ้อน” หวงเฉิงเอ่ยต่อ “แรกสุดมีสงครามประชาชนทุกข์ยากสูญเสียทรัพย์สิน วันนี้ยังมีผู้ลี้ภัยอีกหลายแสนรอการจัดการ รางวัลที่พระราชทานแก่แม่ทัพนายกองแสนกว่าคนของพวกเฉิงกั๋วกงก็ผลาญท้องพระคลังจนสิ้น ฝ่าบาท กระม่อมกังวลใจจนยากจะหลับใหลจริงๆ”

 

 

เขาพูดพลางมองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง

 

 

“ในเมื่อเต๋อเซิ่งชางมีเงินมากปานนี้ ทั้งยังมุ่งมั่นภักดีตอบแทนบ้านเมือง ถ้าเช่นนั้นไม่สู้ให้พวกเขาออกเงินอีกหน่อยจัดการผู้ลี้ภัย”

 

 

พระเนตรฮ่องเต้ฉายประกายในทันที

 

 

ใช่แล้ว เช่นนี้ก็เอาเงินของพวกเขากลับมาแล้ว

 

 

ใช่แล้ว นี่เดิมทีก็เป็นเงินของพระองค์

 

 

ฮ่องเต้นั่งตัวตรง

 

 

“แต่ นั่นค่าใช้จ่ายคงไม่น้อยกระมัง เต๋อเซิ่งชางยินดีหรือ?” พระองค์เอ่ยอย่างคลางแคลง

 

 

มุมปากหวงเฉิงปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าราชบริพารของจักรพรรดิ” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ก็ไม่ได้ใช้ของพวกเขาเปล่าๆ เพียงยืมมาชั่วคราวเท่านั้น ทั้งยังประทานพระราชทินนามและเบี้ยหวัดจำนวนมากแก่ตระกูลฟาง ให้พวกเขาเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ นี่มีสิ่งใดให้ไม่ยินดีเล่า?”

 

 

เขาพูดพลางหัวเราะ

 

 

               “คนมีชีวิตอยู่ในโลก ทิ้งนามไว้บนประวัติศาสตร์ เงินทองก็เพียงของเยี่ยงมูลดินนอกกายเท่านั้น ตระกูลฟางตระกูลใหญ่มั่งคั่งเช่นนี้ย่อมรู้ว่านี่เป็นพระกรุณาธิคุณมากล้นเพียงไร”

 

 

ฮ่องเต้ก้มศีรษะมองฎีกาบนโต๊ะ หยิบพู่กันหยกมาตวัดทีหนึ่ง

 

 

“ให้สภาอำมาตย์หารือเรื่องนี้” พระองค์ตรัส

 

 

หวงเฉิงค้อมกายโขกศีรษะ

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยเสียงดัง ชูสองมือขึ้น

 

 

หยวนเป่าด้านข้างตอนนี้ถึงเดินเข้ามา รับฎีกาส่งมาถึงในมือหวงเฉิง

 

 

หวงเฉิงเงยหน้า คล้ายเวลานี้เพิ่งมองเห็นหยวนเป่า ในดวงตาความประหลาดใจเล็กน้อยสายหนึ่งแล่นผ่าน

 

 

“หยวนกงกง ไม่พบกันนาน” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

หยวนเป่ายิ้มนิดๆ ให้เขา ไม่เอ่ยวาจาถอยกลับไป

 

 

……………………………………….

 

 

“เดิมจะเชิญใต้เท้า แต่หลังได้ยินขันทีคนนั้นพูดขึ้นมากะทันหัน ฝ่าบาทก็เปลี่ยนพระทัย” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสนิทหมุนกริชเล็กเล่มหนึ่ง คล้ายฟังเขาพูดแล้วก็คล้ายเหม่อลอย

 

 

“หยวนเป่าคนผู้นี้ทำไมอยู่ดีๆ กลับมาเมืองหลวง หลายปีมานี้เขาเหมือนทำงานอะไรแทนฝ่าบาทอยู่” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยขึ้นด้านข้าง “จะตรวจสอบเขาหรือไม่..”

 

 

ลู่อวิ๋นฉียกมือ

 

 

“ในเมื่อเป็นงานของฝ่าบาทย่อมไม่อาจตรวจสอบได้” เขาเอ่ย

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถอยออกไป

 

 

“ฝ่าบาทไว้วางพระทัยใต้เท้ามากมาตลอด คนแซ่หยวนคนนี้มาปุบ ฝ่าบาทถึงกับพบเขาไม่พบใต้เท้า ข้ากังวลว่าคนแซ่หยวนผู้นี้คงไม่มาดี” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยเสียงเบา

 

 

“วางพระทัยไม่วางพระทัย ล้วนอาศัยการทำงาน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ต่างทำงานของตน ต่างได้รับความไว้วางพระทัย ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

“อีกเรื่อง ข่าวสตรีคนนั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอูไม่มีเลยหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยถาม

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงส่ายศีรษะ

 

 

“ค้นหามาหนึ่งปีกล่าวแล้ว เหมือนหายไปกับความว่างเปล่าขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีวางกริชในมือลงบนโต๊ะ

 

 

“บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เขาลุกขึ้นยืนรั้งมือกลับ กริชจมลงไปในโต๊ะเหลือเพียงด้ามมีดอยู่ข้างนอก

 

 

“หาต่อไป” เขาเอ่ย

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

………………………

Related

คำตอบนี้ของเฉิงกั๋วกงเคยอยู่ในความคาดหวังของคนมากมาย แล้วก็อยู่ในความกังวลของคนมากมายเช่นกัน

 

 

เพียงแต่เวลานี้นาทีนี้ทุกคนไม่รู้สึกอันใดแล้ว เพราะเรื่องนี้กำหนดแน่นอนแล้ว

 

 

ฮ่องเต้ก็พระพักตร์ไร้อารมณ์เช่นกัน

 

 

ชั่วขณะในตำหนักชะงักนิ่งอยู่นิดๆ

 

 

“บางทีเวลานั้นอาจไม่ออกอาการ” ยังดีขุนนางที่เสนอข้อคิดเห็นไม่ลืมภารกิจของตนเอง รีบเอ่ยขึ้น

 

 

“ข้าให้คุณหนูจวินไปดูแล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น

 

 

“คุณหนูจวินเป็นหมอ ไม่ใช่แม่หมอ” ขุนนางผู้นั้นแค่นหัวเราะตอบ “หากนี่คือไหวอ๋องประชวร พวกเราจะไม่รู้จักเชิญหมอหรือ?”

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

 

 

“นี่เป็นเพียงด้านเดียว” เขาเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าหากจะกำจัดปีศาจล่ะก็ แทนที่จะไปสุสานหลวง ไม่สู้มาพระราชวังหลวง”

 

 

เขามองไปทางฮ่องเต้

 

 

“ฝ่าบาทคือโอรสแห่งจักรพรรดิสวรรค์เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์ ปีศาจตนใดล้วนต้องถอยหลบ”

 

 

เขาชมเสียเช่นนี้แล้ว เขายังจะบอกว่ากลัวปีศาจรุกรานพระวรกายได้อีกหรือ? นั่นไยไม่ใช่บอกว่าฝ่าบาทไม่ใช่เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์? ขุนนางไม่รู้จะพูดอะไรอยู่บ้าง

 

 

“แน่นอน ก็ไม่แน่ว่าจะต้องส่งมายังพระราชวังหลวงของฝ่าบาทที่นี่” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ใช้ร้ายสยบร้ายก็ได้ ปีศาจก็กลัวความดุร้ายเช่นกัน แม่ทัพทหารที่ข้าพามาล้วนผ่านสนามรบมานานกลิ่นอายการเข่นฆ่าหนักหน่วง ไม่สู้เลือกส่วนหนึ่งส่งไปคุ้มครองที่วังไหวอ๋องสักหน่อย”

 

 

ในท้องพระโรงมีเพียงพวกเขาสองคนสนทนากัน ขุนนางคนอื่นรวมถึงหวงเฉิงประหนึ่งรูปปั้นดินหินไม้ยืนอยู่ด้านข้าง นี่ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงดูไปแล้วพิกลนัก

 

 

ยังดีฮ่องเต้ออกโอษฐ์ทำลายความชะงักนิ่งนี้

 

 

“ดี เอาตามที่เฉิงกั๋วกงว่าเถิด” พระองค์ตรัส

 

 

เวลาส่วนใหญ่ฮ่องเต้ล้วนไม่เป็นฝ่ายตัดสินใจ ล้วนสอบถามความเห็นของขุนนางใหญ่ทั้งหลาย แต่วันนี้กลับตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้

 

 

ฮ่องเต้พิโรธยิ่งแล้วสิ ในใจหวงเฉิงจิ๊ปากสองคำ โกรธจนไม่อยากปิดบังแสร้งเล่นละครสักนิดแล้ว

 

 

“ยังมีเรื่องใดอีก?” ฮ่องเต้ตรัสถามตามมาติดๆ

 

 

เบี่ยงประเด็นเช่นนี้แล้ว ถ้อยคำที่เฉิงกั๋วกงกับขุนนางคนนั้นเตรียมจะเอ่ยขอบพระทัยล้วนหลงลืมไม่ได้เอ่ยออกมา พวกเขาก็ไม่พูดอีก รีบร้อนคำนับถอยกลับไป แลดูอเนจอนาถอยู่บ้าง

 

 

เวลานี้ต้องแก้สถานการณ์ให้ฮ่องเต้ ไม่แก้สถานการณ์อีกฮ่องเต้คงสะบัดแขนฉลองพระองค์เลิกประชุมแล้ว ฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์เลิกประชุมเฉิงกั๋วกงย่อมเสียหน้า แต่ฮ่องเต้ก็เสียหน้าเช่นกัน

 

 

หน้าของเฉิงกั๋วกงเขาย่อมไม่สนใจ หน้าของฮ่องเต้เขาย่อมต้องรักษา

 

 

จุดนี้เขาเตรียมพร้อมนานแล้ว เชิญขุนนางที่ปีนี้อายุถึงเวลาเกษียณหลายคนก้าวออกมาขอบพระทัย เอ่ยถ้อยคำน่าฟังจำนวนหนึ่งให้ฝ่าบาทพอพระทัยสักหน่อย หวงเฉิงกำลังจะส่งสายตาให้คนข้างกาย พลันได้ยินมีคนตะโกนขอบพระทัยเสียงดังก้าวออกมา

 

 

ผู้เฒ่าเหล่านี้ดูสีหน้าเก่งเอาเรื่อง หวงเฉิงหันกลับไปมองจากนั้นสีหน้าพลันบึ้งตึง

 

 

คนที่ก้าวออกจากแถวไม่ใช่ผู้เฒ่า แต่เป็นขุนนางหนุ่มเจ็ดแปดคน คนที่นำหน้าเป็นหนิงอวิ๋นเจาอีกแล้ว

 

 

“ขอบพระทัยพระกรุณาของฝ่าบาทที่ส่งกำลังคนมาเพิ่มให้พวกเรา วันนี้ ‘บันทึกฉลองนครา’ ประพันธ์เสร็จแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกังวาน พูดจบก็คุกเข่าโขกศีรษะ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”

 

 

หลายคนที่เหลือก็พากันโขกศีรษะขอบพระทัยด้วย

 

 

ในหมู่คนนี่ไม่เพียงแค่ประพันธ์หนังสือสำเร็จ ยังมีคนได้ย้ายเข้ามาในราชวิทยาลัยฮั่นหลินเพราะประพันธ์หนังสือ ถือโอกาสแสดงความซาบซึ้งต่อฮ่องเต้ด้วย

 

 

บางทีอาจเพราะขานรับประโยคนั้นของหนิงอวิ๋นเจาที่ว่าคนหนุ่มล้วนจริงใจ คำที่คนเหล่านี้ทูลฮ่องเต้จึงทำให้คนหน้าแดงหูแดง ฟังจนขุนนางมากมายที่นั่นล้วนถอนหายใจว่าคนหนุ่มวันนี้รุ่นหนึ่งสู้อีกรุ่นหนึ่งไม่ได้จริงๆ

 

 

ฮ่องเต้ก็ถูกยอจนแย้มสรวลแล้ว

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว งานในหน้าที่ทำเรียบร้อยก็เป็นการตอบแทนข้าได้ดีที่สุดแล้ว” พระองค์ตรัส แววตาที่เดิมทีขุ่นเคืองสลายไปแล้ว

 

 

เวลานี้ขุนนางที่เกษียณหลายคนถึงฉวยโอกาสโขกศีรษะขอบพระทัย แต่เวลานี้เอ่ยน่าฟังอีกเท่าใดก็ไม่พ้นเช่นนี้แล้ว

 

 

เติมดอกไม้บนผ้าดิ้นอย่างไรก็สู้มอบถ่านยามหิมะไม่ได้

 

 

การประชุมใหญ่จบลงท่ามกลางบรรยากาศสุขสันต์ เหล่าขุนนางหลายร้อยคนส่วนใหญ่ล้วนแยกย้ายไปแล้ว มีเพียงเหล่าขุนนางสำคัญที่ตำแหน่งระดับสูงติดตามฮ่องเต้มาในตำหนักฉินเจิ้งด้านหลัง เริ่มจัดการข้อราชการที่แท้จริง

 

 

เพียงแต่ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่เรียกขุนนางเหล่านี้เข้าเฝ้าตามปกติ ไล่เหล่าขันทีออกไป ประตูใหญ่ตำหนักฉินเจิ้งถูกปิดลงหลังของฮ่องเต้เข้าไป

 

 

เมื่อฮ่องเต้เข้าประตูมาแล้ว บนพระพักตร์กลับไม่มีรอยยิ้มสักนิด ยกเท้าถีบเก้าอี้กลมตรงหน้าล้ม

 

 

“กระปรี้กระเปร่าดี วาจาเป็นลำดับ ” พระองค์ตรัสขึ้น

 

 

สองประโยคนี้ก็คือถ้อยคำที่เฉิงกั๋วกงพรรณนาถึงไหวอ๋องเมื่อครู่

 

 

“ทำไม? เด็กคนนี้ดีปานนี้ เหมาะจะเป็นองค์รัชทายาทมากใช่หรือไม่ฮะ?”

 

 

ฮ่องเต้ตรัสต่อ ประหนึ่งสัตว์ร้ายในกรงเดินวนเวียนไปมาด้านในห้อง

 

 

“สุนัขป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!”

 

 

“คนตายคนนั้นดีปานนี้เชียว ยังคิดถึงอยู่อีก!”

 

 

ฮ่องเต้ยิ่งตรัสยิ่งพิโรธ ด่าออกมาเสียแล้ว เสียงแผ่วเบาทั้งยังใช้สำเนียงท้องถิ่นซานตง ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ในห้องไม่มีขันที ต่อให้มีพวกเขาก็ฟังไม่ชัดฟังไม่เข้าใจ

 

 

แต่ขันทีหยวนเป่าที่เดินมาถึงนอกประตูฟังเข้าใจแล้ว เขาหยุดก้าวเท้า ห้ามขันทีที่เหลือ

 

 

นี่คือคนที่มาส่งพระกระยาหารเช้าตามปรกติ

 

 

“ทำอะไร? ฝ่าบาทรอพวกเราปรนนิบัติอยู่นะ” ขันทีใหญ่ที่นำหน้าเอ่ยขึ้น มองขันทีจากตำหนักเดิมที่โผล่มากะทันหันคนนี้ตรงหน้าอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง

 

 

“ตอนนี้รอประเดี๋ยวเถิด” หยวนเป่าเอ่ย “ตอนนี้ไม่สะดวก”

 

 

ขันทีใหญ่ยิ่งไม่พอใจแล้ว

 

 

ผลัดถึงตาเจ้ามาสั่งสอนพวกเราตั้งแต่เมื่อไร

 

 

เขาแค่นเสียงเหอะไม่สนใจหยวนเป่าก้าวไปข้างหน้า

 

 

“ฝ่าบาท” เขายืนอยู่นอกประตูยิ้มประจบเอ่ยเรียก “พระกระ…”

 

 

คำของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกฮ่องเต้ขัดแล้ว

 

 

“ไสหัวไป”

 

 

ขันทีใหญ่ที่เป็นหัวหน้าหน้าแดงทันที ถอยหลังไปอย่างอับอาย

 

 

หยวนเป่ามองเขาอย่างเหยียดหยันทีหนึ่ง

 

 

“ลู่อวิ๋นฉีมาแล้วหรือยัง?” พระสุรเสียงของฮ่องเต้ลอยมาจากด้านใน

 

 

หยวนเป่ารีบก้าวเข้าไปขานรับโดยมีประตูกั้นอยู่ ครั้งนี้ขันทีใหญ่ที่เป็นหัวหน้าไม่ขวางเขาอีกแล้ว

 

 

“บ่าวจะไปเรียกใต้เท้าลู่มาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หยวนเป่าทูล พูดจบก็หมุนตัวจากไป

 

 

“หยวนเป่าหรือ?” เสียงของฮ่องเต้รับสั่งเรียกอีกครั้ง

 

 

หยวนเป่าขานรับ

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“ไม่ต้องเรียกเขาแล้ว เจ้าเข้ามา” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ในหัวใจหยวนเป่าภาคภูมิใจวูบหนึ่ง เห็นไหม ขอแค่เขาอยู่ กระทั่งลู่อวิ๋นฉีก็ต้องยืนอยู่ข้างหลังแล้ว

 

 

เขาขานรับอย่างนอบน้อม เข้าไปท่ามกลางแววตาริษยาของขันทีกลุ่มหนึ่ง

 

 

……………………………………….

 

 

เหล่าขุนนางใหญ่ในห้องรอเข้าเฝ้ากลัดกลุ้มวิตกอยู่บ้าง คนไม่น้อยเดินกลับไปมา

 

 

“ดูท่าวันนี้ฝ่าบาทคงไม่ถกเกี่ยวกับข้อราชการแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงเบา

 

 

“พิโรธยิ่งสินะ” มีคนเอ่ยเสียงเบา

 

 

ถกเถียงเสียงเบาพลางมองไปหาเฉิงกั๋วกงที่ยืนอยู่กับแม่ทัพหลายคน

 

 

ฮ่องเต้ทำไมพิโรธ ในใจทุกคนล้วนรู้กระจ่างชัด

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าสบายๆ คุยเสียงเบากับแม่ทัพหลายคน คล้ายไม่สังเกตบรรยากาศในห้อง

 

 

นอกประตูเสียงฝีเท้าลอยมา ขันทีใหญ่หลายคนเข้ามาถ่ายทอดข่าวว่าวันนี้ฮ่องเต้ไม่สะดวกคุยธุระอย่างที่คิด

 

 

“มีฎีกาถวายมาได้ เรื่องอื่นค่อยหารือทีหลัง” เขาเอ่ย

 

 

ได้ยินคำนี้บรรดาขุนนางในห้องล้วนเตรียมจากไป หวงเฉิงกลับเอาฎีกาฉบับหนึ่งออกมา เห็นฎีกานี่ที่เขาเอาออกมา ขุนนางข้างกายพลันตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“ใต้เท้า ใต้เท้า ตอนนี้ไม่เหมาะกระมัง” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

 

 

“ไม่ ตอนนี้เหมาะที่สุด” หวงเฉิงเอ่ย

 

 

“แต่ฝ่าบาทพิโรธเฉิงกั๋วกงยิ่งนัก ใต้เท้าท่านกลับจะขอพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชาง เต๋อเซิ่งชางนี่ให้ทุนเฉิงกั๋วกง เป็นกำลังช่วยเหลือใหญ่ของเฉิงกั๋วกง…ฝ่าบาทจะพอพระทัยได้อย่างไร…” ขุนนางอีกคนก็กล่อมเสียงเบาด้วย

 

 

“พอพระทัยหรือไม่พอพระทัย ลองดูก็รู้แล้ว” หวงเฉิงเอ่ย ห้ามไม่ให้พวกเขาปรามอีก ส่งฎีกาให้ขันทีใหญ่

 

 

ขันทีใหญ่จากไป เหล่าขุนนางก็ต่างแยกย้ายไปเช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้สำคัญยิ่ง ทุกคนล้วนต้องถกเถียงหารือการตอบโต้เป็นการส่วนตัว

 

 

แต่หวงเฉิงยังไม่ทันเดินออกไปไกลเท่าใดก็ถูกขันทีใหญ่เรียกไว้แล้ว

 

 

“ใต้เท้าหวง ฝ่าบาทเชิญ”

 

 

……………………………………….บทที่ 106 ประทานเกียรติยศให้เขายึดเอาทรัพย์ของเขา

 

 

               ตอนที่หวงเฉิงมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง หยวนเป่ากำลังถวายชาให้ฮ่องเต้

 

 

“ฝ่าบาท ท่านพิโรธเช่นนั้นไปไยเล่า” เขาทูลเสียงแผ่วเบา

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าแสร้งเป็นไก่อ่อนยังไม่พอ วันนี้ยังต้องแสร้งเป็นไก่อ่อนอีกรึ” ฮ่องเต้พระพักตร์โกรธเกรี้ยวตรัส

 

 

บทสนทนาของพวกเขาใช้ภาษาถิ่นซานตง แม้เกิดที่เมืองหลวง แต่ตอนนั้นองค์ฮองเฮาส่งเขาไปดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองเร็วนัก ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทล้วนตัดใจไม่ลงด้วยองค์ชายองค์อื่นก็ไม่ได้แยกวังไปยังดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครอง แต่ฮองเฮากลับบอกว่าองค์ชายองค์อื่นก็แล้วไปเถิด เพราะเป็นองค์ชายที่นางให้กำเนิดถึงไม่อาจยกเว้นได้

 

 

ฮ่องเต้ก็ทรงทราบว่าฮองเฮาเที่ยงตรงเสมอมา จึงได้แต่ถอนหายใจทั้งยังปลื้มใจส่งฉีอ๋องจากไป

 

 

แม้แม่นมผู้ติดตามเป็นต้นล้วนเป็นคนในวัง แต่วังอ๋องงานเยอะวุ่นวายจึงซื้อข้าทาสมาจากในท้องถิ่นรวมถึงมีขุนนางท้องถิ่นมอบให้ ในวังคนท้องถิ่นจึงมาก ดังนั้นฉีอ๋องจึงได้เรียนรู้ภาษาถิ่นมาภาษาหนึ่ง ผนวกกับหลังได้รับจดหมายฉบับหนึ่งของฮองเฮา ฉีอ๋องยิ่งตั้งใจเริ่มพูดภาษาถิ่น ค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน ต่อมายามเข้าเมืองหลวงถวายพระพรวันเฉลิมพระชนม์พรรษาแด่ฮ่องเต้ เพราะภาษาซานตงนี่ยังถูกองค์ชายและพระญาติองค์อื่นล้อเลียน ฮ่องเต้พิโรธเรื่องนี้อย่างมาก

 

 

หยวนเป่าคิดถึงเรื่องครานั้นก็ถอนหายใจอยู่บ้าง

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว” เขาทูล “เขาล่วงเกินท่าน ท่านไม่ชอบเขา ไล่ออกไปก็ได้แล้ว ท่านเป็นฮ่องเต้แล้ว วาจาท่านคือประกาศิต”

 

 

คำนี้เป็นความจริง ได้ฟังก็สบายใจ แน่นอนขุนนางใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยินยอมเอ่ยความจริงนี่หรอก คล้ายชมเขาก็จะกลายเป็นขุนนางชั่วเสียหน้าต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า

 

 

อืม ก็ไม่ใช่คนทั้งหมด หนิงอวิ๋นเจาหลานของหนิงเหยียนคนนั้นไม่เหมือนกัน

 

 

คิดว้าวุ่นอยู่พักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็แย้มสรวลแล้ว อารมณ์ดีขึ้นอยู่บ้าง

 

 

“ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น” พระองค์ตรัส

 

 

“ก็ไม่ใช่ไม่ง่ายเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ คนเป็นขุนนางคนหนึ่งไม่มีความผิดได้หรือ? บ่าวไม่เชื่อหรอก” หยวนเป่าเอ่ย

 

 

นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน คนไม่มีคนสมบูรณ์แบบ ทองไม่มีทองคำบริสุทธิ์ ขอเพียงตั้งใจย่อมต้องหาความผิดออกมาได้ ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ใช่แล้ว ค่อยเป็นค่อยไป” แววตาของพระองค์โกรธเกรี้ยวอยู่บ้างแล้วก็ทะมึนอยู่บ้าง “ข้าไม่ผิดต่อเขา เป็นเขาที่ผิดต่อข้า”

 

 

นอกประตูเสียงขันทีลอยมาแจ้งข่าวว่าหวงเฉิงมาถึงแล้ว

 

 

หยวนเป่าจึงรีบขอตัว

 

 

“เจ้าอยู่ต่อเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส พระองค์ลูบฎีกาที่วางไว้ตรงหน้า “จะคุยเรื่องเต๋อเซิ่งชาง เจ้าก็ฟังดู”

 

 

หยวนเป่าขานรับทิ้งมือลงถอยไปด้านข้าง

 

 

หวงเฉิงถูกเรียกเข้ามาก็สั่นระริกจะโขกศีรษะ หากเป็นเวลาอื่นฮ่องเต้ย่อมต้อมห้ามปรามประทานเก้าอี้แน่นอน แต่คราวนี้ฮ่องเต้เพียงก้มพระเศียรอ่านฎีกา คล้ายมองไม่เห็นเขา

 

 

หวงเฉิงคุกเข่าเอ่ยเรียกฝ่าบาท

 

 

“นี่เจ้ายืมของลู่อวิ๋นฉียังไม่พอ ยังจะไปยืมของเฉิงกั๋วกงด้วยแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสพระเศียรก็ไม่เงยขึ้น “เจ้ากี้เจ้าการจะแต่งตั้งยศพระราชทานรางวัลให้คนของเขา?”

 

 

หวงเฉิงรีบค้อมร่างกับพื้น

 

 

“กระหม่อมไม่กล้า” เขาเอ่ยเสียงสั่น

 

 

ฮ่องเต้โยนฎีกาดังป้าบลงบนโต๊ะ

 

 

“เจ้ามีสิ่งใดไม่กล้า? เจ้ากล้ารายงานเท็จว่าไหวอ๋องถูกปีศาจรังควานครอบงำ กล้าให้ลู่อวิ๋นฉีเฝ้าวังไหวอ๋องแทนเจ้า ทำไมเจ้าจะไม่กล้าก่อนหน้าทะเลาะภายหลังผูกสัมพันธ์กับเฉิงกั๋วกงเล่า?” พระองค์ตวาด “สรุปคือเจ้าข้างนอกข้างในล้วนเป็นคนดี จะให้ข้าเป็นคนร้ายใช่หรือไม่?”

 

 

ได้ยินประโยคนี้ ในใจหวงเฉิงพลันโล่งอก ลู่อวิ๋นฉีกระทำการได้เหมาะสมจริงๆ

 

 

เรื่องเฝ้าวังไหวอ๋องไม่ให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าไปทำได้เหมาะสมเหลือเกินแล้ว

 

 

ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่มีทางปิดบังฝ่าบาทเรื่องที่ตนเองมาหาเขาเป็นการส่วนตัว แต่ที่มาหาเขาให้เขาเอ่ยวาจาตอนฮ่องเต้ถามเรื่องเต๋อเซิ่งชางย่อมไม่อาจบอกฮ่องเต้ได้

 

 

สิ่งต้องห้ามที่สุดของฮ่องเต้ก็คือเรื่องนี้ ลู่อวิ๋นฉีพระองค์ใช้ได้คนเดียวเท่านั้น ลู่อวิ๋นฉีที่ถูกขุนนางใหญ่ใช้ได้ย่อมไม่อาจพึ่งได้แล้ว

 

 

แต่เฝ้าวังไหวอ๋อง ขวางบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าใกล้ เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา

 

 

กระทำการใดย่อมต้องจริงๆ ลวงๆ ปะปนกันเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนสงสัย

 

 

ผู้บัญชาการลู่จากชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นนั้นมาถึงตำแหน่งเช่นนี้ได้คงไม่ใช่แค่โชคดีแล้ว

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้า” หวงเฉิงร่ำไห้น้ำตานอง โขกศีรษะซ้ำๆ “กระหม่อมเป็นห่วงไหวอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ หากไหวอ๋องเกิดอันตรายขึ้นมา ฝ่าบาทย่อมได้รับผลร้าย กระหม่อมเป็นห่วงจึงว้าวุ่น ยอมผิดร้อยครั้งไม่กล้าปล่อยผ่านครั้งหนึ่ง ส่วนพระราชทานรางวัลแก่เต๋อเซิ่งชาง ยิ่งไม่ใช่เพื่อเฉิงกั๋วกง นั่นไม่ใช่คุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกงสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นของฝ่าบาท นั่นเป็นประชาชนของฝ่าบาท เป็นประชาชนของฝ่าบาทภักดีตอบแทนชาติ กระหม่อมทนเห็นเฉิงกั๋วกงทำท่าเหมือนเรื่องทั้งหมดเป็นคนของเขาเองทำ ล้วนเป็นคุณงามความชอบของตัวเขาเองไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ใช่แล้ว นั่นเป็นของพระองค์ ฮ่องเต้มองหวงเฉิงที่โขกศีรษะสีพระพักตร์ทะมึน ในพระทัยเกิดเพลิงโทสะอีกครั้งและกลัดกลุ้มอีกครั้ง กลับกลายเป็นของในกระเป๋าของเฉิงกั๋วกงอีกแล้ว

 

 

พระองค์ยกพระหัตถ์ตบโต๊ะ

 

 

“พอแล้ว!” พระองค์ตวาด

 

 

หวงเฉิงหยุดร่ำไห้โขกศีรษะทันที ค้อมกายกับพื้นเงียบเสียง

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจ

 

 

“มีคำพูดก็พูด ร้องห่มร้องไห้มีอย่างที่ไหน!” พระองค์ตวาด

 

 

หวงเฉิงปาดน้ำตาเงยหน้าขึ้น

 

 

“ในใจกระหม่อมหวาดกลัว หวาดกลัวเพียงทำพลาดไปจะกลายเป็นไม่ภักดีต่อฝ่าบาท” เขาเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจไม่เอื้อนโอฐ

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ปิดบัง กระหม่อมขอฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชางด้วยมีเจตนาส่วนตัว” หวงเฉิงเงยหน้าเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้มองมาหาเขา

 

 

“วันนี้บ้านเมืองปัญหามากมาย เรื่องราวพัวพันสลับซับซ้อน” หวงเฉิงเอ่ยต่อ “แรกสุดมีสงครามประชาชนทุกข์ยากสูญเสียทรัพย์สิน วันนี้ยังมีผู้ลี้ภัยอีกหลายแสนรอการจัดการ รางวัลที่พระราชทานแก่แม่ทัพนายกองแสนกว่าคนของพวกเฉิงกั๋วกงก็ผลาญท้องพระคลังจนสิ้น ฝ่าบาท กระม่อมกังวลใจจนยากจะหลับใหลจริงๆ”

 

 

เขาพูดพลางมองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง

 

 

“ในเมื่อเต๋อเซิ่งชางมีเงินมากปานนี้ ทั้งยังมุ่งมั่นภักดีตอบแทนบ้านเมือง ถ้าเช่นนั้นไม่สู้ให้พวกเขาออกเงินอีกหน่อยจัดการผู้ลี้ภัย”

 

 

พระเนตรฮ่องเต้ฉายประกายในทันที

 

 

ใช่แล้ว เช่นนี้ก็เอาเงินของพวกเขากลับมาแล้ว

 

 

ใช่แล้ว นี่เดิมทีก็เป็นเงินของพระองค์

 

 

ฮ่องเต้นั่งตัวตรง

 

 

“แต่ นั่นค่าใช้จ่ายคงไม่น้อยกระมัง เต๋อเซิ่งชางยินดีหรือ?” พระองค์เอ่ยอย่างคลางแคลง

 

 

มุมปากหวงเฉิงปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าราชบริพารของจักรพรรดิ” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ก็ไม่ได้ใช้ของพวกเขาเปล่าๆ เพียงยืมมาชั่วคราวเท่านั้น ทั้งยังประทานพระราชทินนามและเบี้ยหวัดจำนวนมากแก่ตระกูลฟาง ให้พวกเขาเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ นี่มีสิ่งใดให้ไม่ยินดีเล่า?”

 

 

เขาพูดพลางหัวเราะ

 

 

               “คนมีชีวิตอยู่ในโลก ทิ้งนามไว้บนประวัติศาสตร์ เงินทองก็เพียงของเยี่ยงมูลดินนอกกายเท่านั้น ตระกูลฟางตระกูลใหญ่มั่งคั่งเช่นนี้ย่อมรู้ว่านี่เป็นพระกรุณาธิคุณมากล้นเพียงไร”

 

 

ฮ่องเต้ก้มศีรษะมองฎีกาบนโต๊ะ หยิบพู่กันหยกมาตวัดทีหนึ่ง

 

 

“ให้สภาอำมาตย์หารือเรื่องนี้” พระองค์ตรัส

 

 

หวงเฉิงค้อมกายโขกศีรษะ

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยเสียงดัง ชูสองมือขึ้น

 

 

หยวนเป่าด้านข้างตอนนี้ถึงเดินเข้ามา รับฎีกาส่งมาถึงในมือหวงเฉิง

 

 

หวงเฉิงเงยหน้า คล้ายเวลานี้เพิ่งมองเห็นหยวนเป่า ในดวงตาความประหลาดใจเล็กน้อยสายหนึ่งแล่นผ่าน

 

 

“หยวนกงกง ไม่พบกันนาน” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

หยวนเป่ายิ้มนิดๆ ให้เขา ไม่เอ่ยวาจาถอยกลับไป

 

 

……………………………………….

 

 

“เดิมจะเชิญใต้เท้า แต่หลังได้ยินขันทีคนนั้นพูดขึ้นมากะทันหัน ฝ่าบาทก็เปลี่ยนพระทัย” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสนิทหมุนกริชเล็กเล่มหนึ่ง คล้ายฟังเขาพูดแล้วก็คล้ายเหม่อลอย

 

 

“หยวนเป่าคนผู้นี้ทำไมอยู่ดีๆ กลับมาเมืองหลวง หลายปีมานี้เขาเหมือนทำงานอะไรแทนฝ่าบาทอยู่” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยขึ้นด้านข้าง “จะตรวจสอบเขาหรือไม่..”

 

 

ลู่อวิ๋นฉียกมือ

 

 

“ในเมื่อเป็นงานของฝ่าบาทย่อมไม่อาจตรวจสอบได้” เขาเอ่ย

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถอยออกไป

 

 

“ฝ่าบาทไว้วางพระทัยใต้เท้ามากมาตลอด คนแซ่หยวนคนนี้มาปุบ ฝ่าบาทถึงกับพบเขาไม่พบใต้เท้า ข้ากังวลว่าคนแซ่หยวนผู้นี้คงไม่มาดี” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยเสียงเบา

 

 

“วางพระทัยไม่วางพระทัย ล้วนอาศัยการทำงาน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ต่างทำงานของตน ต่างได้รับความไว้วางพระทัย ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

“อีกเรื่อง ข่าวสตรีคนนั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอูไม่มีเลยหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยถาม

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงส่ายศีรษะ

 

 

“ค้นหามาหนึ่งปีกล่าวแล้ว เหมือนหายไปกับความว่างเปล่าขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีวางกริชในมือลงบนโต๊ะ

 

 

“บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เขาลุกขึ้นยืนรั้งมือกลับ กริชจมลงไปในโต๊ะเหลือเพียงด้ามมีดอยู่ข้างนอก

 

 

“หาต่อไป” เขาเอ่ย

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ

 

 

…………………………

Related

หน้าตำหนักเงียบกริบไปหมด

 

 

ไม่มีคนคิดว่าเฉิงกั๋วกงจะเข้ามาในวังไหวอ๋อง ยิ่งไม่คิดว่าหลังเขาเข้ามาประโยคแรกจะเอ่ยคำนี้

 

 

ขันทีนางกำนัลทั้งหลายนิ่งอึ้ง พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับคนภายนอกมาเนิ่นนานนัก ผนวกกับการจับจ้องมาดร้ายขององครักษ์เสื้อแพร ต่อให้อยู่ในวังก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาตามใจ นานวันเข้าพวกเขาก็ประหนึ่งซากศพเดินได้

 

 

“ผลไม้เชื่อมหรือ?” เสียงไหวอ๋องดังขึ้น

 

 

เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนมือของเฉิงกั๋วกง ไม่เข้าใจ สงสัยใคร่รู้แล้วยังกระตือรือร้นอยากลอง

 

 

ท่ามกลางสายน้ำนิ่งตายผืนนี้ เขาคือคนที่มีชีวิตสดใส

 

 

เฉิงกั๋วกงมองเขาพลางอมยิ้มพยักหน้า

 

 

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ซื้อมาจากร้านพักเท้า” เขาเอ่ย “ท่านรู้จักว่าร้านพักเท้าคือสิ่งใดไหม?”

 

 

ไหวอ๋องยิ้มแล้ว

 

 

“ข้ารู้สิ” เขาเอ่ย “บนถนนตลาดตะวันออกมีร้านเช่นนี้มากมาย คนครัวเรียกว่าปรมาจารย์ พนักงานเรียกกว่าลุงใหญ่ หญิงรินเหล้าคอยรินสุราเปลี่ยนน้ำแกง ยังมีนางคณิกาวนเวียนร้องเพลงเป็นเพื่อนแขกได้เงินรางวัล”

 

 

นางคณิกา…

 

 

ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายได้ยินสีหน้ายิ่งอึ้ง

 

 

เด็กเล็กเช่นนี้ก็รู้จักว่าสิ่งใดคือนางคณิกาแล้วหรือ?

 

 

นี่ใครสอนให้น่ะ?

 

 

องค์ชายที่ถูกโยนทิ้งประหนึ่งวัชพืชในที่สุดก็งอกอย่างไร้การควบคุม

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะอีกครั้ง หัวเราะเบิกบานยิ่ง

 

 

“องค์ชายรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” เขาเอ่ย “ท่านลองดู ผลไม้เชื่อมผลนี้แม้มาจากร้านเล็กๆ บ้านๆ ริมทาง แต่ก็มีรสชาติไปอีกแบบ”

 

 

ไหวอ๋องก้าวเชื่องช้ามายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉิงกั๋วกงที่คุกเข่าข้างเดียวอยู่

 

 

ร่างของเขาโตขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าเฉิงกั๋วกงที่คุกเข่าข้างเดียวก็ยังคงเป็นคนที่ตัวเล็กกระจ้อย

 

 

ไหวอ๋องหยิบถุงใบน้อยในมือเฉิงกั๋วกงมาเปิดออก

 

 

“องค์ชายลองชิมดูพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน

 

 

“องค์ชายทานอาหารจากข้างนอกไม่..” ในที่สุดก็มีขันทีคิดถึงความรับผิดชอบของตนขึ้นมาได้ เอ่ยปากพูด

 

 

ไหวอ๋องหยิบผลไม้เชื่อมผลนั้นเข้าปากไปแล้ว

 

 

“ซี้ด” เขายิงฟัน ดวงหน้าน้อยยับย่น “เปรี้ยวนักเชียว”

 

 

เฉิงกั๋วกงร้องเอ๋ ตนเองก็หยิบเม็ดหนึ่งออกมาลองชิมดูบ้าง

 

 

“จริงด้วย เปรี้ยวอยู่นิดๆ” เขาเอ่ยท่าทางขออภัยอยู่บ้าง “ข้าซื้อผิดแล้ว พวกนี้ใช้แกล้มสุรา”

 

 

ไหวอ๋องร้องอ้อทีหนึ่ง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นน่าเสียดายจริง ตอนนี้ข้ายังเล็ก ดื่มสุราไม่ได้” เขาเอ่ย

 

 

“เป็นความผิดของกระหม่อม” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ไว้กระหม่อมซื้ออันที่หวานมาให้องค์ชายใหม่”

 

 

ไหวอ๋องโบกมือ

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเช่นนี้” เขาเอ่ย “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เพื่ออาหาร น้ำใจของท่านกั๋วกงข้าได้รับก็พอแล้ว ไม่ต้องหมกมุ่น”

 

 

เด็กน้อยวางท่าสั่งสอนคนดูแล้วน่ารักยิ่ง

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมประสานมือค้อมกาย

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบรับ

 

 

ไหวอ๋องพยักหน้า

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้น” เขายกมือแสร้งประคองพลางเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงเอ่ยขอบพระทัยลุกขึ้นยืน

 

 

มองบุรุษตรงหน้าที่ยืนขึ้นแล้วสูงใหญ่จนต้องแหงนหน้ามอง ไหวอ๋องก็ลูบใบหูอย่างตื่นเต้นอยู่บ้างนิดๆ

 

 

“กระหม่อมจะไปเข้าประชุมขุนนางแล้ว” เฉิงกั๋วกงอ้าปากเอ่ยก่อน

 

 

ไหวอ๋องโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“เฉิงกั๋วกงรีบไป อย่าได้เสียเวลางานของราชสำนัก” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงขานรับคำหนึ่ง คารวะไหวอ๋องอีกครั้ง ถอยหลังทีละก้าวๆ จากนั้นหมุนตัว ทว่าหมุนตัวไปฝีเท้ากลับหยุดลงมองประตู

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่คุณหนูจวินกับจูจั้นเข้ามา ยืนอยู่ตรงประตูมองพวกเขา

 

 

เฉิงกั๋วกงหมุนตัวอีกครั้ง

 

 

“องค์ชาย มีคุณหนูจวินที่วิชาแพทย์สูงส่งอยู่ เชิญให้นางตรวจพระวรกายขององค์ชายดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เสียงของเขายังไม่ทันจาง ไหวอ๋องก็ร้องเอ๋แล้ว เห็นชัดยิ่งว่ามองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้ว

 

 

เขาอดไม่ได้เดินไปข้างหน้าหลายก้าว สีหน้าจากประหลาดใจกลายเป็นตกตะลึงจากนั้นแฝงความยินดีจากนั้นก็น้อยใจ พริบตาเดียวแสดงอารมณ์นับไม่ถ้วน

 

 

คุณหนูจวินทนกับจมูกที่แสบดวงตาที่ขัดเคืองก้าวมาข้างหน้าทีละก้าวๆ

 

 

“องค์ชาย ข้ากลับมาอีกแล้ว” นางเอ่ยขึ้น

 

 

ดวงหน้าน้อยของไหวอ๋องบึ้งตึง ร่างกายเหยียดตรงขึ้นอีก ไม่พูดสักคำ

 

 

“องค์ชาย ข้าไม่ได้หลอกท่าน” คุณหนูจวินก้าวเข้าไปเอ่ยอีกครั้ง “ข้ากลับมาแล้ว”

 

 

ไหวอ๋องหน้าบึ้งต่อไม่ไหวอีกแล้ว ฉับพลันสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ ขอบตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง คล้ายนาทีต่อไปเขาจะร้องไห้ออกมา เขาต้องไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าผู้คน ร่างเล็กเกร็งเครียดกำลังจะขยับหมุน

 

 

คุณหนูจวินก้าวเท้าเข้ามาอีกครั้ง กางแขนออกมาหาเขา

 

 

ประดุจเส้นด้ายโยงเชื่อมอยู่ เด็กน้อยที่เดิมกำลังจะถอยหลบวิ่งหนีไม่ลังเลอีกต่อไปโถมเข้ามาหานาง

 

 

ร่างโตร่างเล็กกอดอยู่ด้วยกัน

 

 

เฉิงกั๋วกงรั้งสายตาก้าวเดินไปข้างหน้า เดินมาถึงข้างกายจูจั้นก็หยุดอีกหน

 

 

“พ่อ ท่าน…” จูจั้นเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว จะพูดอะไรก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดได้อีก

 

 

“อาจารย์ในวังนี่เป็นผู้ใด?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นตะลึงนิดหนึ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้

 

 

“กู้ชิง” เขาเอ่ยตอบกระจ่างชัดคล่องแคล่ว(ลื่นไหล) “บัณฑิตหูโจว ก้งเซิง อายุสามสิบเอ็ดปี”

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มพยักหน้า

 

 

“ไม่เลว ไม่เลว” เขาเอ่ยขึ้น หันกลับมากวาดตารอบหนึ่งแล้วรั้งสายตากลับไป “นี่เป็นใครเชิญ?”

 

 

ได้ยินคำถามนี้ จูจั้นก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง

 

 

“ลู่อวิ๋นฉี” เขาเอ่ยตอบ

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อยเช่นกัน ร้องอ้อทีหนึ่งก็ไม่เอ่ยอันใดอีก

 

 

“ข้าไปข้าประชุมแล้ว” เขาเอ่ยบอก

 

 

จูจั้นพยักหน้ามองบิดาเดินออกไป เงาร่างของเฉิงกั๋วกงหายไปจากประตู เขาหันหน้ามามองไปด้านในวังอ๋องอีกหน คุณหนูจวินกับไหวอ๋องแยกจากกันแล้ว ยืนประจันหน้ากันอยู่ คล้ายห่างเหินแล้วก็คล้ายกระอักกระอ่วน

 

 

“เจ้ามาตรวจซ้ำให้ข้าหรือ?” ไหวอ๋องหน้าบึ้งเอ่ย มือน้อยไพล่อยู่หลังร่างอีกหน

 

 

“เพคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเชิญ” ไหวอ๋องเอ่ยขึ้น หมุนตัวเชิดศีรษะเดินเข้าไปในตำหนัก

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มตามอยู่หลังร่างเขา

 

 

“หลายวันนี้เจ้าไปที่ใด?” ไหวอ๋องแสร้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาไม่สนใจ

 

 

“ข้าหรือ ไปสถานที่มากมายนัก” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าไปอี้โจวมาแล้วด้วย ท่านรู้ว่าอี้โจวอยู่ที่ไหนไหม?”

 

 

ในที่สุดไหวอ๋องก็หันหน้ามา ดวงตาเปล่งประกาย

 

 

“ดินแดนของชาวจิน” เขาเอ่ย “เจ้าถึงกับกล้าไปดินแดนของชาวจิน”

 

 

เด็กน้อยคนนี้ได้ยินว่าชาวจินกลับไม่หวาดกลัว มีเพียงตกตะลึง แล้วยังมีความกระตือรือร้นอยากรู้อีก

 

 

“ข้าไม่เพียงกล้าไป ข้ายังรบกับชาวจินแล้วด้วย” คุณหนูจวินเล่าแล้วยักคิ้ว ท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้าง

 

 

ดวงตาของไหวอ๋องระยิบระยับดุจดวงดารา

 

 

“ว้าว” เขาเอ่ย

 

 

ว้าว ท่านพี่ท่านร้ายกาจนัก

 

 

เหมือนเช่นนั้นก่อนหน้านี้ เจ้าแมลงตามก้นตัวน้อยตามอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่านางทำอะไรพูดอะไร กระทั่งตีเขาก็ยังท่าทางเลื่อมใส

 

 

พี่รองร้ายกาจที่สุดแล้ว

 

 

แต่พี่รองที่ร้ายกาจที่สุดของเจ้ากลับยังไม่ทันทำสิ่งใดให้เจ้าก็ตายไปเสียแล้ว

 

 

คุณหนูจวินมองท่าทางของเขาพลันยิ้ม แล้วออกแรงดึงน้ำตากลับไป

 

 

“อยากฟังหรือไม่เพคะ?” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ไหวอ๋องพยักหน้าหงึกๆ แล้วคิดถึงฐานะของตนกับมารยาทที่ถูกสั่งสอนได้อีกหนจึงเหยียดหลังตรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

 

 

“เจ้ารีบเล่ามา” เขาสั่ง

 

 

มองดูทั้งสองคนเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว จูจั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมก็รั้งสายตากลับมา จากนั้นพลันรู้สึกว่ามีสายตามองเขาอยู่

 

 

ขันทีนางกำนัลทั้งหลายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะตรงหน้าเหลือเพียงจูจั้นจึงล้วนมองเขาอยู่

 

 

“มองอะไรกัน ต้อนรับแขกเป็นหรือไม่?” จูจั้นถลึงตาเอ่ย

 

 

แขกดุร้ายยิ่ง!

 

 

ขันทีนางกำนัลทั้งหลายฉับพลันเริ่มวุ่นวาย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

พระราชวัง เสียงแส้สงัด[1] ดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงกลองโหมประโคม โอรสสวรรค์เสด็จจากหลังตำหนักประทับในท้องพระโรง หมู่ขุนนางคุกเข่าคำนับ

 

 

นี่ก็คือการประชุมใหญ่เดือนละครั้ง

 

 

สำหรับฮ่องเต้และขุนนางมากมายในเหตุการณ์แล้วรู้สึกว่าพิธีการต่างๆ ที่มีตามปรกติลากนานกว่าวันวาน

 

 

ในที่สุดทุกสิ่งก็จบสิ้นลง มาถึงเวลาหารือข้อราชการ ด้านในด้านนอกท้องพระโรงเงียบสงบไปหมด

 

 

แม้เรื่องราวผิดจากที่คาด แต่เรื่องที่หารือเรียบร้อยแล้วก็ยังต้องทำ ขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องพระญาติราชวงศ์ก้าวออกมา รายงานเรื่องไหวอ๋องและเสนอให้ส่งไปสุสานหลวง

 

 

“ขุนนางทั้งหลายคิดว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ตรัสถาม

 

 

ขุนนางเต็มท้องพระโรงเงียบกริบ เงียบรอคอยใครสักคนประเดิม

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างไม่ทรยศความคาดหวังของผู้คน เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าของแถวก้าวออกมา

 

 

“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัย” เฉิงกั๋วกงคำนับไปทางฮ่องเต้ “เมื่อครู่กระหม่อมไปเยี่ยมไหวอ๋องมาแล้ว ไหวอ๋องกระปรี้กระเปร่าดี วาจาเป็นลำดับ หาอันตรายไม่”

 

 

………………………

Related

บนถนนเสด็จพระราชดำเนินท่ามกลางแสงอรุณขมุกขมัว เฉิงกั๋วกงหันหัวม้าจากไป ผู้ติดตามร้อยคนก็ติดตามไปพร้อมเพรียงด้วย

 

 

แม้ไม่ได้ยินคำที่เขาพูด แต่ทุกคนล้วนสังเกตทุกกระทำทุกความเคลื่อนไหนของเฉิงกั๋วกงอยู่

 

 

“นี่คือจะไปที่ไหน?”

 

 

คนทั้งหมดล้วนวิพากษ์วิจารณ์พากันชี้นิ้ว

 

 

คงไม่ใช่จะหนีไม่เข้าประชุมหรอกนะ?

 

 

เรื่องไหวอ๋องถูกปีศาจรังควานต้องย้ายไปยังสุสานหลวงไม่ได้ปิดเป็นความลับ แต่จงใจจัดการให้หนึ่งวันหนึ่งคืนแพร่ไปทั่วเมืองหลวง แผนร้ายอุบายไม่ปิดบังสักนิด ก็เผยออกมาเปลือยเปล่าเช่นนี้ จะดูปฏิกิริยาของทุกคน

 

 

อดีตองค์รัชทายาทสิ้นไปเจ็ดแปดปีแล้ว เรื่องในอดีตเลือนลางไปพอประมาณแล้ว ไหวอ๋องที่ไม่ถูกเอ่ยถึงมานมนานฉับพลันถูกผลักมาตรงหน้าผู้คน ก็คือฮ่องเต้จะลองดูว่าเรื่องในอดีตคนในอดีตนี้ยังชักนำคลื่นใหญ่มาได้เท่าไร ลองดูว่ายังมีใครที่ยากลืมเลือนไมตรีเก่า

 

 

คนที่ยากลืมไมตรีเก่าเหล่านี้จะมีจุดจบอะไร เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนคิดออก

 

 

นี่ก็คือการกรองค้นรอบสุดท้าย นับจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องในอดีตคนในอดีตอีก

 

 

คนอื่นล้วนพูดง่าย ทุกคนอยู่ในเมืองหลวงในราชสำนักมานานปีปานนี้ล้วนเคยถูกกรองมาหมดแล้ว ตอนนี้ก็ดูแค่เฉิงกั๋วกง

 

 

หลายปีปานนี้เขาไม่เข้าเมืองหลวง ปุบปับได้ยินเกี่ยวกับคนในอดีต จะคะนึงถึงเรื่องในอดีตหรือไม่? จะยากลืมไมตรีเก่าหรือจะตัดขาดวิ่งไปสู่อนาคต?

 

 

คนทั้งหมดล้วนกำลังรอดูทางเลือกของเขา นี่เป็นทางเลือกยากสองทาง

 

 

เผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากจะเลือก คนมักชอบเลือกหลบหนี นี่บางครั้งก็ไม่ใช่วิธีที่ดี

 

 

เรื่องนี้ก็เคยมีขุนนางไม่น้อยทำเช่นนี้ แต่นั่นล้วนเป็นแสร้งป่วยล่วงหน้า เฉิงกั๋วกงมาถึงถนนเสด็จพะราชดำเนินแล้วชัดๆ จะบอกว่าป่วยกะทันหันต้องกลับไปได้หรือ? นี่ก็เสแสร้งทำได้ไม่จริงใจเกินไปแล้ว

 

 

ขบวนของเฉิงกั๋วกงจากไปไกลช้าๆ สายตาของผู้คนติดตามอยู่ตลอด ฉับพลันก็มีคนสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

“ทิศทางนั่น…” เขาหลุดปากเอ่ย

 

 

ทิศทางนั่น!

 

 

สีหน้าของคนอื่นพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงด้วย

 

 

“ไม่ใช่กระมัง” มีคนเอ่ยพึมพำ

 

 

ทิศทางนั่นทุกคนล้วนไม่แปลกตา ใกล้กับถนนเสด็จพระราชดำเนิน ทำเลดีอย่างที่สุด แต่กลับมีเพียงสองครอบครัวอาศัยอยู่ ครอบครัวหนึ่งคือหัวหน้ากองพันลู่ ส่วนอีกหนึ่งคือวังไหวอ๋อง

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่มีทางไปจวนหัวหน้ากองพันลู่ ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะไป…

 

 

วังไหวอ๋อง!

 

 

เฉิงกั๋วกงกำลังจะไปวังไหวอ๋อง!

 

 

บนถนนเสด็จพระราชดำเนินระเบิดเหมือนกระทะน้ำมันที่โยนเนื้อกระต่ายชิ้นโตลงไปของร้านผัดกระต่ายจางซึ่งคนมากมายกำลังล้อมอยู่

 

 

ทุนคนคาดเดาว่าเฉิงกั๋วกงจะก้าวออกมาแสดงว่าคัดค้านในการประชุม และคาดเดาว่าเขาไม่มีทางส่งเสียง ผลสุดท้ายคงไม่พ้นสองอย่างนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะลงมือก่อนการประชุม

 

 

เขาจะทำอะไร?

 

 

ไปเยี่ยมไหวอ๋องหรือ?

 

 

จะไปจริงรึ?

 

 

เฉิงกั๋วกงหยุดเท้า มองตำหนักหลังนี้เบื้องหน้า

 

 

คำว่าวังไหวอ๋องสามคำงดงามทั้งยังหนักแน่น สวยงามยิ่ง

 

 

แต่ผู้คนที่ยืนอยู่หน้าวังไหวอ๋องกลับไม่น่ามอง

 

 

พวกเขาสวมชุดปลาบินเหน็บดาบปักวสันต์สีหน้าเย็นชาซีดขาว แววตาเย็นเยียบ ทำให้คนมองใจผวา

 

 

เพียงแต่เวลานี้คนที่เผชิญหน้ากับพวกเขาไม่มีความหวาดกลัวสักนิด

 

 

“โปรดแจ้ง เฉิงกั๋วกงมาคารวะไหวอ๋อง” ผู้ติดตามคนหนึ่งถือป้ายชื่อแผ่นหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคารพทั้งยังนับถือ

 

 

ไม่มีองครักษ์เสื้อแพรรับป้ายแผ่นนี้ พวกเขาสีหน้างุนงงเล็กน้อย

 

 

คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือไม่ว่าอย่างไรไม่อนุญาตให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าวังไหวอ๋อง แต่บิดาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงเล่า?

 

 

“ได้ยินว่าไหวอ๋องประชวรจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน” เฉิงกั๋วกงลงม้า เดินเข้ามาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

 

 

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ผู้ติดตามทั้งหลายด้านหลังร่างก็ติดตาม นอกจากนี้ยังปรากฏรูปกระบวนทัพอย่างไม่รู้ตัวแต่มีระเบียบอีกด้วย

 

 

 ผู้ติดตามเหล่านี้ของเฉิงกั๋วกงล้วนเป็นทหารกล้าในกองทัพ

 

 

พวกเขาไม่ได้เอาอาวุธออกมา ท่านกั๋วกงก็สีหน้าอ่อนโยน ทว่าแต่ละก้าวๆ ที่พวกเขาเดินเข้าใกล้ องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายพลันเกร็งร่างกำดาบในมือ

 

 

หากไม่ให้พวกเขาเข้าประตู พวกเขาจะฝืนฝ่า

 

 

นี่คือเจตนาของพวกเขาที่ไร้เสียงแต่ส่งมาอย่างชัดแจ้ง

 

 

หน้าวังไหวอ๋องฉับพลันบรรยากาศแข็งทื่อทำให้คนหายใจไม่ออกทันที

 

 

“ใต้เท้า”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงที่ยืนอยู่ใต้กำแพงไกลๆ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจอยู่บ้าง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ

 

 

“ให้เขาเข้าไปจริงหรือขอรับ?” หัวหน้ากองพันเจียงอดไม่ได้ถามเพิ่มรอบหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวเดินไปยังทิศทางของพระราชวัง

 

 

“เรื่องนี้ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ต้องการผลลัพธ์หรือ?” เขาเอ่ย “ตอนนี้มีผลลัพธ์แล้ว”

 

 

ประตูใหญ่วังไหวอ๋องถูกผลักเปิด องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายแยกออกสองด้านถอยหลบ

 

 

เฉิงกั๋วกงเงยหน้ามองป้ายอีกหน ห้ามเหล่าผู้ติดตาม จัดเสื้อผ้าก้าวขึ้นบันได ข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในวังไหวอ๋องเพียงผู้เดียว

 

 

สายตาสอดส่องนับไม่ถ้วนรั้งกลับไป ข่าวแพร่กระจายประหนึ่งสายลม

 

 

……………………………………….

 

 

“เข้าไปแล้วจริงๆ รึ?”

 

 

หวงเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องรอเข้าเฝ้าเอ่ยขึ้น

 

 

แม้เขาตำแหน่งสูง แต่ทุกครั้งที่ประชุม ขณะที่ผู้อื่นยังทานอาหารเช้าคุยเล่นอยู่บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน เขาก็นั่งอยู่ในห้องรอเข้าเฝ้าแล้ว หลายสิบปีล้วนเหมือนเดิม

 

 

ไม่ว่างานราชการทำได้อย่างไร ท่าทีที่แสดงออกต้องมาก่อน นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาได้มากับตนเอง

 

 

ได้ยินคำถาม เหล่าขุนนางเบื้องหน้าก็รีบร้อนพยักหน้า

 

 

“จริงแท้แน่นอนขอรับ ทุกคนล้วนมองเห็น หัวหน้ากองพันลู่ให้คนปล่อยไป เฉิงกั๋วกงเข้าไปคนเดียว” พวกเขาเอ่ย

 

 

หวงเฉิงร้องอ้อ

 

 

“ใต้เท้าตอนนี้จะทำอย่างไร?” ทุกคนเอ่ยถามอีก

 

 

หวงเฉิงหัวเราะแล้ว

 

 

“ไม่ทำอย่างไร นี่ไม่ใช่ออกจะดีรึ” เขาเอ่ย ลุกขึ้นจัดชุดขุนนาง สวมหมวกขุนนาง “เฉิงกั๋วกงไม่เสียทีเป็นแม่ทัพสงคราม ทำสิ่งใดเด็ดขาดฉับไวจริงๆ รักเกลียดแบ่งชัด ไม่เลว ไม่เลว”

 

 

ถูกหวงเฉิงทอดถอนใจชมว่าไม่เลว นั่นย่อมไม่เลวแล้วแน่นอน ผู้คนล้วนโล่งออกหัวเราะตามออกมาด้วย

 

 

และเวลานี้ทุกคนด้านในโรงหมอจิ่วหลิงที่ยังไม่เปิดประตูก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน

 

 

หลังตกตะลึงชั่วครู่ สายตาของทุกคนล้วนมองมาหาจูจั้น

 

 

“มองข้าทำอะไร? ข้าไม่รู้” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย สีหน้าสับสนอยู่บ้าง

 

 

นี่คือสิ่งที่บิดาตัดสินใจไว้ก่อนแล้วหรือคิดขึ้นมาชั่ววูบ?

 

 

อีกอย่าง บิดาทำเช่นนี้เพื่อใคร?

 

 

เพื่อไม่ส่งผลกับการตัดสินใจของบิดา เขาไม่ได้บอกบิดาเรื่องความยึดติดที่มีต่อวังไหวอ๋องของคุณหนูจวิน

 

 

เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ครานั้นคุณหนูจวินก้าวออกมาในสถานการณ์เช่นนั้นจะไปรักษาไหวอ๋องให้ได้ จะเพียงเพื่อสร้างชื่อได้อย่างไรเล่า

 

 

เรื่องทางโลกเรื่องของคน ไม่ใช่เพื่อคนแล้ว เรื่องบางอย่างก็ไม่มีทางไปทำ

 

 

แต่บิดามองทะลุปรุโปร่งปานนั้น ตนไม่พูด เขาจะไม่รู้เชียวหรือ?

 

 

               จูจั้นมองไปทางคุณหนูจวิน

 

 

ถ้าเช่นนั้นเขาทำเช่นนี้ เพื่อคุณหนูจวินหรือเพื่อผู้อื่น? ตัวอย่างเช่นไหวอ๋อง?

 

 

คุณหนูจวินก็กำลังมองมาหาเขา สีหน้าสับสนยิ่งเช่นกัน

 

 

“คิดไม่ถึงว่า…” นางเอ่ยพึมพำ “ท่านกั๋วกงจะทำเช่นนี้ได้”

 

 

ถ้าเช่นนั้นเฉิงกั๋วกงทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของนางหรือเพื่ออย่างอื่น? ตัวอย่างเช่นไมตรีครั้งเก่า?

 

 

……………………………………….

 

 

เฉิงกั๋วกงหยุดยืน มองไปด้านหน้า

 

 

ตำหนักด้านหน้าแม้ขนาดเทียบกับตำหนักในพระราชวังจะเล็กกว่าอยู่บ้าง แต่ก็โอ่อ่าหรูหรา หน้าตำหนักขันทีนางกำนัลยืนตรงอยู่ ความน่าเกรงขามของพวกเขาน้อยกว่าขันทีนางกำนัลในพระราชวังมากนัก มักมีท่าทางสั่นเทาอยู่บ้างเสมอ ทำให้บรรยากาศการเข้าเฝ้าที่เดิมควรสง่างามอย่างยิ่งกลายเป็นพิกลอยู่บ้าง

 

 

เงาร่างเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูตำหนัก ก้าวข้ามธรณีประตู ยืนอยู่บนบันได อาภรณ์ผ้าไหมเครื่องทรงหรูหรายืนมือไพล่หลัง

 

 

นี่ก็คือเด็กคนนั้นสินะ

 

 

เฉิงกั๋วกงมองปราดเดียวก็มองออก แน่นอนสถานการณ์กับเสื้อผ้าแสดงชัดยิ่ง แต่ที่เฉิงกั๋วกงกล่าวว่ามองออกคือใบหน้ากับท่าทางของเขา

 

 

เหมือนองค์รัชทายาททุกประการ

 

 

อ่อนแอแต่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต

 

 

องค์รัชทายาทป่วยบ่อยจึงเป็นเช่นนี้ ส่วนเด็กคนนี้ถูกกักขังนานปีปานนี้จึงเป็นเช่นนี้

 

 

“เจ้าก็คือเฉิงกั๋วกง?” เสียงเด็กที่อ่อนเยาว์อยู่บ้างดังขึ้น ขัดความคิดล่องลอยของเฉิงกั๋วกง

 

 

เฉิงกั๋วกงก้าวเท้ามาข้างหน้า ค้อมกายคุกเข่าข้างหนึ่งคำนับ

 

 

ในฐานะแม่ทัพแล้วยังเป็นกั๋วกง พบชินอ๋อง[1]ไม่ต้องคำนับเต็มรูปแบบ แต่เฉิงกั๋วกงยังคงคุกเข่าข้างเดียวลงไป

 

 

“กระหม่อมคือจูซานพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน

 

 

“เจ้ามาพบข้ามีธุระอันใด?” ไหวอ๋องเอ่ยถาม

 

 

เฉิงกั๋วกงเงยหน้าขึ้น มองคนที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เขาไม่มีความยินดี ไม่มีความระแวง ยิ่งไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความหยิ่งยโสนิดๆ ที่มากยิ่งกว่าคือความสงสัยใคร่รู้ของเด็กน้อย

 

 

เฉิงกั๋วกงพลันคิดถึงเด็กคนหนึ่งขึ้นมา

 

 

เด็กคนนั้นก็เคยมองเขาเช่นนี้

 

 

เด็กคนนั้น ไม่อยู่แล้ว

 

 

เฉิงกั๋วกงยื่นมือปลดถุงใบน้อยใบหนึ่งออกมา สองมือทูนขึ้น

 

 

“กระหม่อม มาเยี่ยมองค์ชาย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย ประสงค์จะเสวยกินผลไม้เชื่อมไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

……………………………………….

 

 

 

 

[1]  ชินอ๋อง (亲王)  บรรดาศักดิ์สูงสุดของเชื้อพระวงศ์ฝั่งชายรองจากองค์รัชทายาท

Related

 

 

ในจวนกั๋วกงราตรีเงียบสงบ ในลานมีเสียงหัวเราะของบ่าวหญิงหญิงรับใช้ดังขึ้นเป็นระยะ

 

 

เฉิงกั๋วกงสวมชุดอยู่บ้านธรรมดาพักผ่อนรับลมอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นายหญิงอวี้โบกพัดนั่งอยู่เป็นเพื่อนด้านข้าง คุยเล่นหัวเราะกับสาวใช้หญิงรับใช้หลายคน

 

 

“ที่นี่ร้อนกว่าทางนั้นของพวกเรามาก” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“ก้อนน้ำแข็งเตรียมแล้วไหม?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายล้วนยิ้ม

 

 

“เตรียมตามคำสั่งท่านกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย

 

 

“ข้าแค่พูดไปอย่างนั้น ออดอ้อนสักหน่อยไหม ท่านก็ถือเป็นเรื่องจริงจัง” นายหญิงอวี้โบกพัดยิ้มบอก

 

 

ถ้อยคำรักระหว่างสามีภรรยาเช่นนี้ต่อหน้าคนก็เอ่ยออกมา เฉิงกั๋วกงเพียงยิ้มทีหนึ่ง ส่วนสาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายเห็นจนคุ้นชินไม่ถือเป็นสาระ

 

 

ในลานบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ

 

 

“ท่านชายกลับมาแล้ว”

 

 

ด้านนอกเสียงแจ้งลอยมา ตามติดด้วยเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏที่ประตูเรือน

 

 

“พ่อ แม่ ข้ากลับมาแล้ว” จูจั้นเอ่ย เสียงหงุดหงิดอยู่บ้าง คนก็ไม่เดินเข้าใกล้ ไม่รอสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงถามก็หมุนตัว “ข้าไปพักแล้ว”

 

 

“ไปหาภรรยาเจ้ามาหรือ?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม

 

 

จูจั้นไม่พูดจาคล้ายไม่ได้ยิน

 

 

“จั้นเอ๋อร์ เจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องถามเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นหยุดเท้า

 

 

หญิงรับใช้สาวใช้ก้มศีรษะล้วนถอยออกไป ในเรือนเหลือเพียงพวกเขาครอบครัวสามคน

 

 

“มา มา มานี่หน่อย อย่ายืนอยู่ในเงามืด” นายหญิงอวี้เอ่ย “ไม่เช่นนั้นข้ามองไม่ชัดว่าเจ้าถูกตีเป็นอย่างไรแล้ว”

 

 

พูดจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา

 

 

จูจั้นเดินเข้ามาสีหน้ายิ่งไม่น่าดู

 

 

“ดูเลย ดูเลย” เขาเอ่ย ยืนอยู่ตรงหน้านายหญิงอวี้

 

 

เสื้อผ้าของเขายับเยินอยู่บ้าง บนหน้าก็มีจ้ำเขียว

 

 

นายหญิงอวี้ยิ่งหัวเราะลั่น

 

 

“โอ้ ถูกต่อยหน้าเสียด้วย” นางเอ่ย ยื่นมือจิ้มหน้าจูจั้น “นี่ก็ไปพบคุณหนูจวินไม่ได้แล้วสิ ขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ”

 

 

จูจั้นสูดลมเย็นดังซี๊ดร้องเรียกบิดา

 

 

“ท่านดูแม่ข้า” เขาเอ่ยบ่น

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะนายหญิงอวี้แล้ว

 

 

“อย่าแกล้งเขาเลย” เขาเอ่ยแล้วมองจูจั้น

 

 

ยังไม่ทันเอ่ยปาก จูจั้นก็พูดก่อน

 

 

“พ่อ ท่านไม่ต้องถามแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนี้ นี่คืออุบายของหวงเฉิง แล้วก็คือฝ่าบาทต้องการหยั่งเชิงท่าน” เขาเอ่ย “จะดูว่าประชุมเช้าพรุ่งนี้ท่านจะโต้ตอบอย่างไร”

 

 

เฉิงกั๋วกงร้องอ้อ

 

 

“ถ้าเช่นนั้น…” เขาเอ่ยอีกครั้ง

 

 

“ที่ลู่อวิ๋นฉีเจ้าสุนัขตัวนี้เฝ้าวังไหวอ๋องครั้งนี้กลับไม่ใช่เล่นงานท่าน” จูจั้นอ้าปากเอ่ยก่อนอีกครั้ง “เขาเล่นงานคุณหนูจวิน”

 

 

“คุณหนูจวิน..” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นมา

 

 

“คุณหนูจวินเคยรักษาโรคให้ไหวอ๋อง ตอนนั้นพนันไว้ สร้างชื่อที่เมืองหลวงได้ก็เพราะเรื่องนี้ ลู่อวิ๋นฉีต้องการใช้ไหวอ๋องเป็นแพไปประณามวิชาแพทย์ของคุณหนูจวิน ไม่แน่ท้ายที่สุดยังจะโยนเรื่องปีศาจรังควานใส่หัวนางด้วย” จูจั้นแค่นเสียงเหอะพูดออกมารวดเดียว

 

 

เฉิงกั๋วกงร้องอ้อทีหนึ่ง

 

 

“พ่อ ท่านไม่ต้องยุ่ง ท่านกับผู้ช่วยหารือกันเรียบร้อยว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ” จูจั้นโบกมือเอ่ย “รอไหวอ๋องไปถึงสุสานหลวงแล้ว พวกเราก็รักษาเขาหายได้เหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงขานอ้อทีหนึ่ง

 

 

“ได้” เขาเอ่ยแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ”

 

 

จูจั้นขานรับหมุนตัวไป เมื่อหมุนตัวไปแล้วบนหน้าก็ไม่มีความผ่อนคลายสบายใจอย่างก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าเคร่งขรึมก้าวยาวจากไป

 

 

นายหญิงอวี้มองแผ่นหลังของเขา ส่ายศีรษะจิ๊ปากสองที

 

 

“ด้านหนึ่งเป็นคุณหนูจวิน ด้านหนึ่งเป็นบิดา เลือกยากนักสินะ” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มนั่งลงไม่เอ่ยวาจา

 

 

“ท่านคิดอย่างไร?” นายหญิงอวี้นั่งลงชิดกับเขา ชนหัวไหล่เขานิดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็จริงๆ เชียว คนไม่อยู่แล้ว เขายังสนใจอะไรอีก? เอาเด็กน้อยคนหนึ่งมาทรมาน”

 

 

วัวสันหลังหวะ

 

 

สี่คำนี้แล่นผ่านในใจสองสามีภรรยาพร้อมกัน แต่แน่นอนใครก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา

 

 

“ในเกมการเมืองการชิงพระราชอำนาจ มีเด็กไม่เด็กอะไรที่ไหนเล่า ล้วนเหมือนกัน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน

 

 

นายหญิงอวี้เงียบงันไปครู่หนึ่ง สะบัดพัดลุกขึ้น

 

 

“ข้าไปนอนก่อนแล้ว ท่านค่อยๆ คิดเถอะ ตอนประชุมเช้าอย่ารบกวนข้า” นางเอ่ยบอก

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า

 

 

“หลับให้สบาย” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้จากไป ในเรือนเหลือเพียงเฉิงกั๋วกงคนเดียว นั่งอยู่บนเก้าอี้รับลมอยู่เป็นเพื่อนแสงดาราพร่างพราวบนผืนฟ้าเงียบๆ

 

 

……………………………………….

 

 

ที่เมืองหลวงเห็นแสงดาวไม่เท่าในท้องทุ่ง เมืองหลวงรุ่งเรืองเกินไป โคมไฟบนพื้นสว่างกว่าดวงดาวบนฟ้า

 

 

สายตาของคุณหนูจวินภายใต้แสงดาว ท่ามกลางแสงโคมไม่หวั่นไหวเนิ่นนาน

 

 

“เฮ้ย”

 

 

เสียงจูจั้นดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงแผ่นกระเบื้องขยับ คนก็เดินเข้ามา

 

 

“ริมหน้าต่างไม่พอให้เจ้านั่งรึ ยังวิ่งมาบนหลังคาอีก” เขาเอ่ย “เจ้าผู้หญิงคนนี้ทำไมชอบปีนขึ้นปีนลงอยู่เสมอ”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะ ยื่นมือชี้

 

 

“คำนี้ของท่าน คนผู้หนึ่งที่อยู่ที่นั่นตอนยังเล็กก็มักพูดกับข้าเหมือนกัน” นางเอ่ย

 

 

คำอะไร? ใคร?

 

 

จูจั้นมองตามที่นางชี้ไป เห็นเพียงครึ่งเมืองหลวงประหนึ่งแดนเซียน อาคารบ้านเรือนเรียงรายเป็นระเบียบ ใครจะรู้ว่าสถานที่ที่นางชี้คือที่ไหน?

 

 

พูดถ้อยคำประหลาดไร้ที่มาอยู่เสมอ จูจั้นไม่สนใจนางอีก นั่งลง

 

 

ระหว่างทั้งสองคนเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“ระหว่างทางไปสุสานหลวง รบกวนเจ้าดูแลไหวอ๋องสักหน่อย” จูจั้นพลันเอ่ย “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”

 

 

ไปสุสานหลวง

 

 

คุณหนูจวินขานอืมตอบ

 

 

“ได้” นางเอ่ย

 

 

ระหว่างทั้งสองเงียบงันอีกครั้ง

 

 

“นี่ เจ้าโกรธสินะ?” จูจั้นเอ่ยเสียงขรึม

 

 

“ข้ามีเวลาโกรธที่ไหน” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย มองเขาทีหนึ่ง ราตรีมืดหม่น เห็นเพียงดวงตาสุกใสของจูจั้น “หากข้าโกรธ ถ้าเช่นนั้นก็คงโกรธตายไปนานแล้ว”

 

 

พ่อแม่ถูกทำร้าย พี่น้องถูกกักขัง สำหรับคนผู้หนึ่งแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าโมโหที่สุดในใต้หล้าแล้ว นอกจากเรื่องนี้ เรื่องอื่นใดล้วนรับได้แล้ว มีสิ่งใดน่าโมโห

 

 

“ที่จริงข้าก็ไม่ร้ายกาจปานนั้น” จูจั้นพลันเอ่ยอีกหน

 

 

คุณหนูจวินพลันหัวเราะแล้ว

 

 

“ในที่สุดท่านก็ยอมรับจุดนี้แล้วรึ? น่ายินดี น่ายินดี” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นสบถคำหนึ่ง

 

 

“ข้าเพียงถ่อมตัวนิดหนึ่งเท่านั้น เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเชียว” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“ก็แค่เสือลงที่ราบถูกสุนัขรังแกเท่านั้น” จูจั้นเอ่ย “วังไหวอ๋องข้าไม่มีหนทางพาเจ้าเข้าไป หากเจ้าจะโกรธก็สมควร”

 

 

“ข้าโกรธแต่ไม่ใช่โกรธท่าน ไม่ใช่ท่านไม่ให้ข้าเข้าไปเสียหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นมา “ท่านคนนี้ทำไมเลอะเลือนแล้วเล่า? วิ่งมาเอ่ยคำพูดประหลาดเหล่านี้กับข้า”

 

 

พูดพลางก็ขยับเข้ามาด้านนี้มองจูจั้น อาศัยแสงดาวมองดวงหน้ามัวของเขา

 

 

“อ้อ ที่แท้ท่านถูกคนตีมา” นางยิ้ม “มาหาข้า พูดจาน้อยเนื้อต่ำใจกับข้า ต้องการให้ปลอบรึ”

 

 

พูดพลางยื่นมือไปลูบศีรษะจูจั้น

 

 

“ข้าดูแผลซิ…”

 

 

จูจั้นกระโดดลุกขึ้น

 

 

“เจ้าจริงจังหน่อยได้หรือไม่” เขาตะโกนหงุดหงิด “ข้าพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ”

 

 

คุณหนูจวินหุบรอยยิ้ม

 

 

“ข้าก็พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ” นางเอ่ย “วังไหวอ๋องตอนนี้เข้าไม่ได้ก็ช่างเถิด ก็เอาตามที่ท่านว่า พวกเราพบกันระหว่างทางก็ได้ ในเมื่อพวกเขาเอาไหวอ๋องมาเป็นเครื่องมือ ถ้าเช่นนั้นไหวอ๋องย่อมไม่เป็นไร ไม่มีสิ่งใดให้กังวลใจ”

 

 

พูดแล้วก็ยิ้ม

 

 

“ก็ดี ไหวอ๋องก็ได้ออกมาเที่ยวเล่นด้วย เขาไม่ได้ออกมาตั้งนานหลายปีนักแล้ว โอกาสนี้ก็ดีทีเดียว”

 

 

จูจั้นก้มลงมามองนางครู่หนึ่ง

 

 

“ข้าไม่อาจขอให้บิดาข้าขวางเรื่องนี้ได้” เขาเอ่ย “แม้ข้าไม่รู้ว่าเพราอะไร แต่ข้ารู้ว่าไหวอ๋องสำคัญต่อเจ้า ไม่ว่าด้วยมโนธรรมหรือเหตุผล ข้าก็ควรขอบิดาข้าให้ช่วยเหลือ”

 

 

“ท่านก็พูดแล้ว นั่นคือจากมโนธรรมกับเหตุผล แต่จากสติปัญญาแล้ว ทำเช่นนี้ไม่มีความหมายอย่างสิ้นเชิง” คุณหนูจวินเอ่ย “รู้ชัดว่าเป็นกับดัก ยังจะกระโดดลงไปหรือ? นี่โง่เขลาเกินไปแล้ว”

 

 

พูดพลางก็หัวเราะอีก

 

 

“เรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ข้าเคยทำครั้งหนึ่งแล้ว”

 

 

ถือดาบเข้าวัง ลำพังคนเดียวลอบสังหารฮ่องเต้ เวลานั้นนางไม่คิดถึงสิ่งอื่น เพียงคิดว่าเพื่อแก้แค้นให้พระบิดาพระมารดา คิดเพียงจะสังหารศัตรูตรงหน้าเดี๋ยวนี้ นี่คือความรู้สึกทั้งหมดของนาง ส่วนเรื่องนี้ทำได้หรือไม่ได้ เปลี่ยนวิธีการอื่นทำได้หรือไม่ได้ กระทั่งทำได้แล้วทำอย่างไร ทำไม่ได้แล้วทำอย่างไร นางไม่คิดทั้งสิ้น

 

 

เวลานั้น นางเพียงคิดถึงความแค้นลึกล้ำ คิดว่าต่อให้ตกตายไปด้วยกันก็จะไม่ให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่

 

 

เรื่องเช่นนี้เคยทำครั้งหนึ่งก็พอแล้ว นางตายคนเดียวก็พอแล้ว

 

 

“สถานการณ์เช่นนี้มีเรื่องมากมายที่ทำได้” นางมองไปหาจูจั้น “ตัวอย่างเช่นสิ่งที่ท่านจัดการ สิ่งนี้เหมาะสมยิ่ง”

 

 

จูจั้นเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“เอาเถอะ เจ้าปลอบข้าได้แล้ว” เขาเอ่ย “ขอบใจ”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นจะต้องมอบกายตอบแทนเป็นการขอบคุณหรือไม่เล่า?” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง กำลังจะเอ่ยคำพูด ในลานเสียงตะโกนของเฉินชีก็ลอยมา

 

 

“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ท่านชายยังไม่กลับมา หรือว่าจะวิ่งไป…” เขากดเสียงคล้ายต้องการพูดเบาๆ แต่ก็กลัวคุณหนูจวินบนหลังคาไม่ได้ยินจึงตะเบ็งเสียงอีก

 

 

“เจ้าสิวิ่งไปแล้วน่ะ” จูจั้นตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ขัดเขา

 

 

เฉินชีตกใจสะดุ้งโหยงจากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ

 

 

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าพูดผิดแล้ว” เขารีบเอ่ย “ข้าจะบอกว่าท่านชายกลับมาค่ำ ต้องเตรียมอาหารมื้อดึกหรือไม่”

 

 

“ไป ไป ไป” จูจั้นเอ่ย

 

 

เฉินชียิ้มวิ่งจี๋ออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินก็ลุกขึ้นยืนด้วย

 

 

“เจ้าทำอะไร?” จูจั้นถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระแวง

 

 

“ข้าดูทิวทัศน์ค่ำคืนพอแล้ว จะไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านจะกินด้วยกันหรือไม่?”

 

 

พูดจบไม่รอคำตอบก็เดินผ่านเขาไป

 

 

จูจั้นพรูลมหายใจอยู่ข้างหลัง มองเงาร่างของสตรีที่ยิ่งบอบบางเพราะพร่ามัวท่ามกลางความมืดของราตรี เขาเงียบงันครู่หนึ่งก็ตามไป

 

 

แสงดาวค่อยๆ หม่นหมอง แสงโคมมืดลง ราตรีถดถอย แสงอรุณเริ่มปรากฏ

 

 

บนถนนใหญ่เริ่มมีคนเคลื่อนไหว รถม้า เกี้ยวต่างๆ นานา นี่คือบรรดาขุนนางที่ร่วมประชุมใหญ่ วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บรรดาขุนนางที่พบกันบนถนนล้วนพูดคุยสนทนากันหลายประโยค สีหน้าคล้ายตื่นเต่นแต่ก็คล้ายวิตก

 

 

ไม่นานขบวนคนม้าขบวนหนึ่งก็เดินมาบนถนนใหญ่ กายสวมอาภรณ์สีม่วงอยู่หน้าด้านหลังผู้ติดตามเกือบร้อยคน ยิ่งใหญ่อลังการแสดงอำนาจ ขุนนางผู้น้อยชุดสีครามทั้งหลายบนถนนรีบหลบทาง

 

 

นี่คือขบวนเกียรติยศของเฉิงกั๋วกง ท่ามกลางสายตามองส่งของผู้คนเฉิงกั๋วกงขี่ม้าย่างก้าวกำลังจะถึงถนนเสด็จพระราชดำเนินอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

เพราะยังเช้ากว่าการประชุม ขุนนางไม่น้อยจึงหยุดที่ร้านอาหารแผงลอยริมถนนเสด็จพระราชดำเนินทานอาหาร

 

 

เฉิงกั๋วกงก็หยุดเช่นกัน เขาก็จะทานอาหารนิดหน่อยที่นี่ด้วยหรือ?

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ได้มองแผงอาหารเช้า แต่มองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

 

 

“ไป” เขาพลันเอ่ย กระตุ้นม้าหันเลี้ยว

 

 

ผู้ติดตามตะลึงเล็กน้อย

 

 

“ท่านกั๋วกงจะไปที่ใดขอรับ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“ไปเยี่ยมคนผู้หนึ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

 

 

…………………

Related

        คนใต้หล้าล้วนรู้ว่าเฉิงกั๋วกงได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ยิ่งนัก แม่ทัพคนอื่นกรำศึกนานปีเคี่ยวกรำจนเส้นผมขาว ได้บรรดาศักดิ์ปั๋วสักอันก็หายากอย่างที่สุดแล้ว เฉิงกั๋วกงกำลังวัยฉกรรจ์เป็นชนชั้นสูงหน้าใหม่กลับได้รับบรรดาศักดิ์กงแล้ว

 

 

“ตอนนั้นเรื่องนี้แทนที่จะพูดว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ฟังคำทัดทานใคร ไม่สู้บอกว่าองค์รัชทายาทพยายามช่วยสุดกำลังจะดีกว่า”

 

 

ในห้องหนังสือของหวงเฉิงพลพรรคนั่งอยู่เต็มอีกครั้ง สาวงามบ่าวหญิงสะสวยเดินตัดผ่านปะปนข้างใน กลิ่นสุรากลิ่นชากลิ่นแป้งฝุ่นปนเปทำให้คนมัวเมา

 

 

หวงเฉิงนั่งอยู่หลังโต๊ะแต่ผู้เดียว ดื่มชาเขียวถ้วยหนึ่งเอ่ยอ้อยอิ่ง

 

 

“เรื่องนี้ข้ารู้” บุรุษคนหนึ่งรีบชูจอกสุราเอ่ยขึ้น “ครั้งนั้นตอนองครัชทายาทกราบทูลอดีตฮ่องเต้ที่ห้องทรงพระอักษร ข้าอยู่ที่นั่น”

 

 

“ใช่ใช่ ข้าก็เคยได้ยินมา เพราะเรื่องนี้อดีตฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทถึงโต้เถียงกัน องค์รัชทายาทดูไปแล้วร่างกายบอบบางอ่อนโยนแต่ดื้อรั้นอย่างที่สุด ทะเลาะกับอดีตฮ่องเต้ขึ้นมา อดีตฮ่องเต้พิโรธคว้าแท่นฝนหมึกเขวี้ยงไป พระเศียรขององค์รัชทายาทยังถูกขว้างแตกแล้ว” บุรุษอีกคนหนึ่งรีบผลักบ่าวหญิงคนงามข้างกายออกชิงเอ่ยวาจาขึ้นมา

 

 

หวงเฉิงยิ้มพลางพยักหน้า ดื่มชาเขียวคำเดียวหมด

 

 

“ใช่แล้ว องค์รัชทายาทคนผู้เนี้ร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ แต่หัวใจกลับห้าวหาญ” เขาเอ่ยท่าทางย้อนคำนึง “ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งอาณาจักรห้าวหาญเป็นบุญของแว่นแคว้น ฮ่องเต้ผู้ธำรงอาณาจักรนี่ห้าวหาญเกินไปก็ไม่ค่อยดีแล้ว ดูสิผลาญเลือดหัวใจของตนเองหมด สิ้นพระชนม์เสียแล้ว”

 

 

คนที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะ

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่านี่คือฟ้าเลือกเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาอย่างไรเล่า” ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น

 

 

หวงเฉิงยกถ้วยชา

 

 

“มา มา ถวายพระพรเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา” เขายิ้มเอ่ย “คุ้มครองต้าโจวของเราให้ร่มเย็นเป็นสุข”

 

 

ผู้คนล้วนชูถ้วยยิ้มพลางอวยพรขอทรงพระเจริญหมื่นปีเสียงพร้อมเพรียง

 

 

“บรรดาศักดิ์ รางวัลพระราชทานเป็นคุณงามความชอบขององค์รัชทายาท หลังจากนั้นที่เฉิงกั๋วกงมือเดียวปิดฟ้าแดนเหนือได้ก็เพราะได้องค์รัชทายาทคุ้มครองอยู่มาก” หวงเฉิงวางถ้วยชาลงเอ่ยต่อ “องค์รัชทายาทมักกล่าวกับอดีตฮ่องเต้ว่าแม่ทัพอยู่ข้างนอกย่อมไม่ฟังคำสั่งเจ้าแผ่นดินบ้าง แล้วตำหนิผู้ตรวจการหลายครั้งว่าอย่านั่งเฉยลืมทุกข์ของประชาชน สนใจแต่การต่อสู้ในราชสำนักไม่สนเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ”

 

 

พูดไปแล้วองค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้ก็จากโลกไปยังไม่ถึงสิบปี คนที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ตอนนั้นก็เข้าสู่วงการขุนนางแล้ว บางคนตำแหน่งต่ำอยู่บ้างไม่เคยได้สัมผัสองค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้ แต่การกระทำขององค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้กลับล้วนรู้สิ้น

 

 

เวลานี้นึกย้อนไปก็รู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง

 

 

“เรื่องในอดีตเหล่านี้ไม่พูดถึงก็ช่าง” มีคนเอ่ยขึ้น รู้สึกไม่ใคร่สบายใจอยู่บ้างอย่างประหลาด

 

 

หวงเฉิงยิ้ม

 

 

“ใช่แล้ว เรื่องในอดีตไม่พูดได้ แต่ลืมไม่ได้” เขาเอ่ย “องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไหวอ๋องยังถูกปีศาจเกาะติดกายอีก พวกเราในใจล้วนเสียใจยิ่ง เฉิงกั๋วกงคงยิ่งเป็นห่วงกระมัง?”

 

 

พูดพลางหัวเราะทีหนึ่ง

 

 

“อย่างไรเฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่กระทั่งชาวบ้านตาดำๆ ยังรักประหนึ่งลูก ยอมสละชีวิตก็ต้องคุ้มครองประชาชนทั้งหลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรของอดีตองค์รัชทายาทที่เคยได้รับบุญคุณ”

 

 

“ใช่แล้ว อากาศร้อนจัดนี่ หากส่งไปสุสานหลวง ไร้คนดูแล ยังไม่รู้ว่าจะทนผ่านหน้าร้อนไปได้หรือไม่เลย” บุรุษคนหนึ่งส่ายศีรษะถอนหายใจ

 

 

“นั่นแล้วอย่างไร? ฮ่องเต้ก็ไร้หนทาง นี่ไม่ใช่โรคที่เชิญแพทย์หมอเทวดาสักคนมาตรวจก็หายแล้วเสียหน่อย” อีกคนหนึ่งก็ส่ายศีรษะเอ่ยบ้าง “เขาจะคัดค้านอะไร? หรือจะตำหนิว่าฮ่องเต้คิดทำร้ายไหวอ๋องหรือ?”

 

 

คนทั้งหลายพูดพลางสบตากันทีหนึ่งแล้วหัวเราะลั่นพร้อมกัน

 

 

“หากเฉิงกั๋วกงไม่คัดค้านเล่า?” บุรุษคนหนึ่งคิดอะไรขึ้นได้พลันเอ่ยออกมา

 

 

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“นั่นก็ไม่มีอะไร เฉิงกั๋วกงก็แค่นี้เท่านั้น คนเช่นนี้พระราชทานรางวัลน้ำพระทัยมากอีกเท่าใดก็เป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องเท่านั้น” หวงเฉิงเอ่ย “ใช้ไหวอ๋องคนเดียวทำให้ทุกคนรู้ชัดสิ่งนี้ก็นับว่าใช้ได้คุ้มที่สุดแล้ว”

 

 

อย่างไรพวกเราก็ไม่เสียอะไร

 

 

ผู้คนสบตากันทีหนึ่ง

 

 

“แต่ยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง” บุรุษคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย

 

 

เพิ่งอ้าปากก็มีคนรีบร้อนเข้ามา

 

 

“ใต้เท้า” เขาคำนับแล้วรายงาน “บุตรชายเฉิงกั๋วกงอยู่นอกวังไหวอ๋องขอรับ”

 

 

คำนี้ออกมาปุบคนในห้องล้วนสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

“นี่เป็นคนที่ก่อเรื่องเก่งที่สุด”

 

 

“หากเขาฝืนฝ่าเข้าไป มีพ่อเขาคุ้มครองอยู่ บอกประโยคเดียวว่าก่อเรื่องต่อยตียกหนึ่งขังไว้ก็จบแล้ว ไม่อาจสังหารเขาได้”

 

 

“ให้คนเด็กเป็นกองหน้า คนแก่เป็นเขาหนุนอยู่ข้างหลัง พ่อลูกสองคนนี้ไม่ใช่ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก”

 

 

“หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”

 

 

ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น

 

 

คนที่มารีบยกมือขัดทุกคน

 

 

“แต่” เขาเอ่ยต่อ “องครักษ์เสื้อแพรขวางไว้แล้วขอรับ”

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตะลึงอีกหน

 

 

“ขวางอยู่หรือ?” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่ทันคิด

 

 

ผู้ที่มาพยักหน้า

 

 

“ยอมตายไม่ถอยขอรับ” เขาเอ่ย

 

 

คำสั่งเคร่งครัดเช่นนี้เชียว คนที่อยู่ที่นั่นสบตากันทีหนึ่ง สีหน้ายังคงประหลาดใจ คล้ายกระทั่งพวกเขาเองก็ยังไม่เชื่อ

 

 

หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ไป เอาน้ำแกงที่ตุ๋นเสร็จบนเตาส่งไปให้องค์หญิงจิ่วหลี” เขาเอ่ยขึ้นมา พูดพลางก็หัวเราะอีกหน “แล้วก็บอกใต้เท้าลู่ ไหวอ๋องด้านนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ฝ่าบาทรงเมตตา ต่อให้ส่งไปสุสานหลวงก็จะดูแลไหวอ๋องอย่างดีเช่นกัน”

 

 

ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยาก เขาก็กล่อมให้ฮ่องเต้ดูแลให้ดีได้ เขาหวงเฉิงเป็นคนที่เอ่ยวาจาย่อมมีคนเชื่อ ในเมื่อหัวหน้ากองพันลู่ให้เขายืมรถม้า ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมต้องคืนสิ มียืมมีคืน ยืมอีกถึงจะไม่ยาก

 

 

ผู้ที่มาขานรับถอยออกไปแล้ว

 

 

“ดี เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” หวงเฉิงเอ่ย ชูถ้วยชาให้ทุกคนอีกครั้ง

 

 

ผู้คนในห้องรีบชูจอกสุราถ้วยน้ำชาเผยดวงหน้ายิ้มแย้มใหม่อีกหนเช่นกัน

 

 

“อ้อใช่แล้ว ปั๋วชิง เจ้าอยากพูดอะไร?” หวงเฉิงมองไปทางบุรุษคนหนึ่งอีกหน

 

 

เมื่อครู่เขากำลังจะพูดก็ถูกคนที่มาขัด

 

 

เขาหัวเราะแล้ว

 

 

“ข้าก็กำลังจะบอกความกังวลเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงเหมือนกัน” เขาเอ่ยบอก “ดูท่าข้าจะกังวลมากไปแล้ว ใต้เท้ามีแผนอยู่ก่อนแล้ว”

 

 

พูดพลางชูจอกสุราขึ้นสูง ค้อมร่าง

 

 

“ใต้เท้าผู้เฒ่าคิดแผนถี่ถ้วนไร้ช่องโหว่ ศิษย์นับถือ”

 

 

คนอื่นก็พากันชูจอกสุราค้อมร่างด้วย

 

 

“ศิษย์นับถือ”

 

 

“ผู้น้อยนับถือ”

 

 

ได้ยินคำยกยอนี้ เห็นคนในห้องก้มศีรษะพร้อมเพรียง หวงเฉิงพลันหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“โชคดีน่ะ โชคดี” เขาเอ่ยตอบ จากนั้นดื่มชาคำเดียวหมด

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

จูจั้นมองคนแถวหนึ่งตรงหน้าล้มอยู่ตรงพื้น แต่จากนั้นก็ลุกขึ้นมาไม่สนไม่ใส่ใจพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งอีกหน แล้วมององครักษ์เสื้อแพรมากกว่าเดิมด้านหลังดาหน้ามาอีก

 

 

ไม่เหมือนกับความดุร้ายก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรยังคงดุร้าย แต่โยนศาสตราวุธทิ้ง ตั้งท่าจะเอาเลือดเนื้อปะทะพลีชีพ

 

 

บนพื้นองครักษ์เสื้อแพรที่บาดเจ็บหรือถูกเล่นงานจนสลบนอนอยู่ไม่น้อย

 

 

จูจั้นกำหมัดแน่น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปตรงเอว

 

 

ที่ซ่อนอยู่หลังเอวคือดาบสั้นเล่มนั้นที่เขามักใช้

 

 

แสงอัสดงค่อยๆ ถดถอย ราตรีมาเยือนอย่างช้าๆ วังไหวอ๋องตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน

 

 

แม้พร่าเลือน แต่ก็ใกล้เพียงเอื้อมมือ

 

 

จูจั้นจับดาบสั้น ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหน มีคนหลายคนพุ่งออกมาจากด้านหลังกอดเอวเขาไว้

 

 

“พี่รอง อย่าก่อเรื่องเลย”

 

 

“หยุดมือเถอะ ทำเช่นนี้ใช่ไม่ได้”

 

 

ซื่อเฟิ่งเอ็ดเสียงเบา

 

 

จูจั้นจะสลัดออก ไม่สนว่าคนสามคนกอดเขาไว้แน่น

 

 

“หากท่านสังหารองครักษ์เสื้อแพรหลายคนจริงๆ ย่อมเป็นอย่างที่พวกเขาหวัง” ซื่อเฟิ่งกดหัวไหล่เขาไว้รีบร้อนเอ่ยบอก “นี่คือวังไหวอ๋อง ถึงเวลาโทษของท่านย่อมไม่อาจแก้ไขได้

 

 

“ใช่แล้ว พวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ตายก็ไม่ถอย พี่รอง ท่านฝืนฝ่าไม่ได้นะ” จางเป่าถังก็เอ่ยด้วย

 

 

จูจั้นหน้าคล้ำเขียวมองด้านหน้า ร่างกายเกร็งเครียด แต่เท้าหยุดลง

 

 

ซื่อเฟิ่งโล่งอกส่งสายตาให้พวกจางเป่าถัง ทุกคนปล่อยมืออกอย่างระวัง

 

 

จูจั้นไม่ได้พุ่งเข้าไปอีก

 

 

“พี่รอง แม้นี่เป็นวังขององค์ชาย” ซื่อเฟิ่งก็มองไปทางวังไหวอ๋อง เสียงเคร่งขรึมไม่มีรอยยิ้มร่าท่าทางสบายๆ อย่างวันวาน “ทว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ในอดีตแล้ว”

 

 

บนถนนชะงักนิ่งไปวูบหนึ่ง

 

 

พวกเขาไม่ขยับ องครักษ์เสื้อแพรด้านนั้นก็ไม่ขยับอีกเช่นกัน เหมือนกำแพงดำทะมึนผืนหนึ่งกองสุมอยู่ตรงหน้า

 

 

“วางแผนระยะยาวเถอะ” ซื่อเฟิ่งเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง

 

 

จูจั้นไม่พูดจา หมุนตัวก้าวยาวเดินจากไปแล้ว

 

 

……………………

Related

ตอนลู่อวิ๋นฉีปรากฏตัว คนบนถนนเส้นนี้ก็วิ่งหนีไปหมดแล้ว เวลานี้คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ไกลๆ มุงดูอยู่เงียบๆ เห็นภาพนี้เข้า สีหน้าล้วนตื่นเต้นอยู่บ้าง  

 

 

แม้ก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นฉีกับคุณหนูจวินพูดอะไรกันจะฟังไม่ได้ยิน แต่เสียงตะโกนนี้ของจูจั้นทุกคนล้วนได้ยินอยู่เลือนราง  

 

 

“หรือคุณหนูจวินถูกหัวหน้ากองพันลู่ทำให้หวั่นไหวแล้ว?”  

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร”  

 

 

“ท่านชายนี่คงโมโหหึงแล้ว”  

 

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ดังขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางคิดว่าจูจั้นหึงเช่นนั้นอย่างที่ทุกคนคาดเดา  

 

 

ในสายตาไม่มีเขาอยู่ ย่อมเป็นการย้ำเตือนนางว่าเขาก็ทำได้เช่นกัน  

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้น สีหน้าลังเล  

 

 

เขาทำได้ แต่…  

 

 

“เจ้าทำไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นมือหนึ่งคว้าข้อมือคุณหนูจวินไว้ มือหนึ่งชี้ลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ไสหัวไป” เขาคิ้วตั้งเสียงเข้ม “เจ้าอยากพนันว่าข้าฆ่าเจ้าได้หรือไม่จริงๆ ใช่หรือไม่?”  

 

 

ประโยคนี้เมื่อครู่ลู่อวิ๋นฉีก็พูด  

 

 

ตั้งแต่หลังเข้าเมืองหลวงประมือกันสองครั้ง ล้วนไม่ปิดบังเจตนาจะสังหารที่มีอยู่ในหัวใจสักนิด ทว่าพวกเขาต่างรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่จะสังหารอีกฝ่าย  

 

 

ต่างฝ่ายต่างมีความกังวลของตนเอง  

 

 

แต่ที่คนเป็นคนก็เพราะมีสติปัญญาและมีอารมณ์ เมื่ออารมณ์เหนือกว่าติปัญญาจริงๆ พวกเขาย่อมไม่สนไม่ใส่ใจ คิดถึงแค่ต้องการสังหารอีกฝ่ายตามอารมณ์ชั่ววูบได้จริงๆ  

 

 

“ข้าไม่กลัวเจ้าสังหารข้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกหน “ข้ากลัวว่าเจ้าสังหารข้า นางก็ลำบากแล้ว”  

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวเดิน  

 

 

“เจ้าคิดเสร็จแล้ว มาหาข้าได้ตลอดเวลา”  

 

 

ประโยคนี้ย่อมเอ่ยกับคุณหนูจวิน  

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าสับสน  

 

 

จูจั้นยื่นมือวางบนศีรษะนางให้หันมา  

 

 

“ดูอะไรฮึ มีอะไรน่าดู” เขาเอ็ด  

 

 

คุณหนูจวินไม่หันศีรษะไปอีก แต่ขานอืมทีหนึ่งก้มศีรษะลง เชื่อฟังจนทำให้คนโมโห  

 

 

จูจั้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว  

 

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่ถูกเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วขังไว้ในประตูไม่ให้ไม่รู้กาลเทศะเพิ่มความวุ่นวายก็ถูกปล่อยออกมาด้วย  

 

 

“คุณหนู” นางโกรธแค้นทั้งยังกังวลโถมเข้ามา “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?”  

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้นยิ้มลูบศีรษะของนาง  

 

 

“ไม่เป็นไร ยังสบายดี” นางว่า  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“สืบมาได้แล้วขอรับ”  

 

 

เวลาเที่ยงวัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีก็รีบร้อนเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ทันสนใจนั่งลงก็พูด  

 

 

พวกคุณหนูจวินที่กำลังทานอาหารอยู่รีบลุกขึ้นยืน  

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ป่วยเป็นอะไร? ทำไมกะทันหันเช่นนี้?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามรวดเดียว  

 

 

“ไม่ได้ป่วย” เฉินชีโบกมือเอ่ย  

 

 

ไม่ได้ป่วย?  

 

 

บาดเจ็บรึ?  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีทำร้ายจิ่วหรงบาดเจ็บรึ?  

 

 

คุณหนูจวินกำมือที่อยู่ด้วยกันแน่น  

 

 

“ปีศาจรังควาน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าปั้นยากเอ่ยขึ้น  

 

 

ปีศาจ? นี่นับเป็นอะไร?  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าอึ้ง คุณหนูจวินสีหน้าตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็คิดถึงอะไรได้  

 

 

“ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีทำ” นางเอ่ยพึมพำ สีหน้ากลายเป็นสับสน  

 

 

หรือก็คือไม่ได้เจตนาเล่นงานนาง  

 

 

ปีศาจไม่ใช่โรค นี่ทำให้นางโล่งอกเล็กน้อย ทว่าความโกรธแค้นรวมถึงความรันทดที่จู่โจมเข้ามามากกว่าเดิม  

 

 

จิ่วหรงของนางมีชีวิตเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แล้วยังถูกจับเอามาเป็นเครื่องมือให้พวกเขาเพิ่มสีสัน  

 

 

ปีศาจรังควาน ปีศาจรังควานจริงๆ คนที่เดิมควรเป็นทายาทอ๋อง เป็นองค์รัชทายาท เป็นฮ่องเต้ กลับมีชีวิตกลายเป็นสภาพเช่นนี้  

 

 

นางนั่งลงช้าๆ ก้มศีรษะลงอีกครั้ง  

 

 

ส่วนในจวนสกุลลู่เวลานี้ ได้ยินว่าลู่อวิ๋นฉีกลับมา องค์หญิงจิ่วหลีที่นั่งสงบไม่สนใจไยดีมาตลอดก็ลุกขึ้นยืนทันที ก้าวเร็วไวมารับนอกประตู  

 

 

“จิ่วหรงเขา…” นางเอ่ยถาม แม้สีหน้าเหมือนเช่นวันวาน แต่น้ำเสียงร้อนใจยากปิดบังอยู่บ้าง  

 

 

“องค์ชายไม่เป็นไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลียังคงเชื่อคำพูดของลู่อวิ๋นฉี คนผู้นี้เรื่องร้ายเรื่องดีไม่เคยโกหก สำหรับเขาแล้วไม่จำเป็น  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นปีศาจรังควานคือเรื่องอะไรกัน?” จิ่วหลีเอ่ยถาม “ฝันร้ายแล้วหรือ?”  

 

 

“ไม่ใช่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “สิ่งใดล้วนไม่เกิดขึ้น”  

 

 

จิ่วหลีมองเขา สีหน้าคลางแคลงอยู่บ้าง  

 

 

“ข่าวโคมลอย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย จากนั้นชะงักนิดหนึ่ง “เป็นข่าวที่คนของหวงเฉิงแพร่ออกมา”  

 

 

หวงเฉิง?  

 

 

พรรคพวกของหวงเฉิงกระจายอยู่ทั่วในราชสำนัก ขุนนางในวังอ๋องย่อมไม่น้อยเช่นกัน  

 

 

แต่วังไหวอ๋องไม่เหมือนวังอ๋องแห่งอื่น ไม่ได้ตั้งขุนนางวังอ๋อง มีลู่อวิ๋นฉีคุมแต่ผู้เดียว ไม่ได้รับคำอนุญาตจากเขาข่าวของไหวอ๋องแพร่ออกไปไม่มีทางเป็นไปได้  

 

 

นอกเสียจากเป็นพระบรมราชานุญาตของฮ่องเต้  

 

 

จิ่วหลีมองลู่อวิ๋นฉี ในดวงตาประหลาดใจคลางแคลงวิตก อารมณ์เปลี่ยนแปรไปมาท้ายที่สุดสลายไปสิ้นฟื้นกลับมานิ่งสงบ  

 

 

ปีศาจรังควานแล้วอย่างไร ความเป็นความตายเป็นเพียงเรื่องประโยคเดียวเท่านั้น มีสิ่งใดให้ตกอกตกใจ  

 

 

ดูท่าชีวิตพักนี้จะสบายเกินไปแล้ว นางล้วนลืมแล้วว่าตนเองเป็นใคร  

 

 

จิ่วหลียิ้ม หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน  

 

 

“ไม่ได้เล่นงานไหวอ๋อง” ลู่อว๋นฉีเอ่ยขึ้นด้านหลัง “ท่านไม่ต้องกังวลใจ”  

 

 

ก้าวเท้าของจิ่วหลีไม่หยุด  

 

 

“ข้าไม่กังวล” นางเอ่ยทั้งที่ไม่หันกลับมา “มีสิ่งใดน่ากังวลใจเล่า”  

 

 

กังวลใจแล้วมีประโยชน์อันใด?  

 

 

ไปตกตายด้วยกันกับผู้อื่นเช่นนั้นอย่างจิ่วหลิงหรือ?  

 

 

คิดถึงตรงนี้นางพลันหยุดฝีเท้า  

 

 

แม่นางคนนั้นเล่า?  

 

 

นางนึกขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ  

 

 

“พวกท่านจะบีบนางหรือ?” นางหันหน้ามาเอ่ยถาม  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง  

 

 

“ท่านก็รู้สึกว่าเรื่องนี้บีบนางได้เหมือนกันหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

รู้สึก?  

 

 

ใช่แล้ว ทำไมจึงรู้สึกว่าความปลอดภัยของไหวอ๋องบีบนางได้อย่างไม่มีสาหตุ? นางเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางสักนิดชัดๆ  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีกำมือ  

 

 

“เพราะนางเป็นคนดีคนหนึ่ง” นางเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียิ้มแล้ว  

 

 

“ความรู้สึกของคนผู้หนึ่งอาจผิด สองคนก็อาจผิด สามคนรู้สึกเช่นนี้ นั่นดูท่าความรู้สึกนี้คงไม่ผิดแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้เดิมทีไม่ใช่เพื่อนาง แต่ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ก็เพียงเพื่อนาง”  

 

 

เขาพูดจบก็ยกมือขึ้น  

 

 

“ใครมานี่ซิ”  

 

 

นอกประตูองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา ค้อมกายขานรับทันที  

 

 

“วังไหวอ๋อง ไม่อนุญาตให้จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าไปเด็ดขาด” ลู่อวิ๋นฉีเอียงศีรษะเอ่ย “ไม่ว่าแลกด้วยอะไร”  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรขานรับ ก้มศีรษะถอยออกไปแล้ว  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเดินกลับมาใหม่อีกหน  

 

 

“พวกท่านที่แท้ต้องการทำอะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะให้นาง  

 

 

“ไม่ ไม่ใช่พวกท่าน” เขาเอ่ย “ข้าก็แค่ข้า ข้าเพียงต้องการข่มขู่แม่นางคนนั้นเท่านั้น ส่วนผู้อื่น ดูท่าพวกเขาคงอยากมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้เฉิงกั๋วกงกระมัง”  

 

 

เพื่อเฉิงกั๋วกง?  

 

 

จิ่วหลีตะลึงนิดหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขมขื่นนิดๆ อีก  

 

 

“พวกเขาคงไม่คิดว่าเฉิงกั๋วกงเป็นพรรคพวกเก่าของพระบิดาข้าหรอกกระมัง” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“ใช่หรือไม่ใช่ ลองดูก็รู้แล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

ยามราตรีดึกดื่นก็สืบข่าวมากกว่าเดิมมาได้แล้ว  

 

 

“บอกว่าเป็นปีศาจรังควานทำให้ป่วยต้องส่งไหวอ๋องไปยังสุสานหลวง เช่นนี้ภายใต้การคุ้มครองของบรรพบุรุษจะปลอดภัยไม่เป็นไร” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นข่าวที่เพิ่งแพร่ออกมาจากในราชสำนัก”  

 

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่ ในมือถือชาถ้วยหนึ่งคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง  

 

 

“คนที่ไหว้วานเป็นบ่าวในจวนของใต้เท้าสภาอำมาตย์คนหนึ่ง จริงแท้แน่นอน การประชุมขุนนางวันพรุ่งนี้จะหารือกัน” เฉินชีเอ่ยต่อ  

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา ส่ายศีรษะ  

 

 

“ข่าวไม่มีทางมีข่าวปลอม ในเมื่อกระจายข่าวนี้ย่อมเพื่อให้คนรู้ ไม่มีทางปิดบัง” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

เฉินชีถอนหายใจ  

 

 

“ไหวอ๋องน่าสงสารจริง” เขาเอ่ย “สุสานหลวงด้านนั้นจะเทียบกับวังอ๋องได้อย่างไร เขาเด็กอายุน้อยเช่นนี้คนหนึ่ง ได้ยินว่าไม่ให้พาคนรับใช้ประจำไปด้วย”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ดวงตาเขาก็กลิ้งกลอกนิดหนึ่ง  

 

 

“ทำไมยอมไม่ได้นะ”  

 

 

ประโยคนี้แผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน  

 

 

แต่คนในห้องยังคงล้วนได้ยิน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ในหัวใจทุกคนรู้กระจ่าง ที่พูดถึงคือฮ่องเต้ยอมทนการมีอยู่ของไหวอ๋องไม่ได้ ในที่สุดก็จะขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง ถึงเวลาอ้างว่าปีศาจรังควานไม่สบายตายอยู่ข้างนอกแล้วก็คือตายแล้ว  

 

 

แม้ได้ยินแล้ว แต่เพราะคำพูดนี้พูดไม่ได้จริงๆ ทุกคนจึงล้วนแสร้งเป็นไม่ได้ยิน  

 

 

“ก็ไม่ใช่แค่เพื่อไหวอ๋องหรอก” คุณหนูจวินเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้น “ที่พวกเขาต้องการยิ่งกว่าคือดูว่ามีใครก้าวออกมาคัดค้าน ดูว่าใครยังเป็นพรรคพวกเก่าขององค์รัชทายาท”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีสบตากันทีหนึ่ง ในใจสะดุ้ง  

 

 

เฉิงกั๋วกง  

 

 

พวกเขาผุดความคิดนี้ขึ้นมาพร้อมกัน  

 

 

“ท่านชายกลับมาแล้วไหม?” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ยถาม  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีในใจสะดุ้งโหยงอีกครั้ง มองไปทางคุณหนูจวินโดยไม่รู้ตัว  

 

 

ตั้งแต่หลังลู่อวิ่นฉีก่อเรื่องจบ เฉินชีไปสืบข่าวคราว จูจั้นก็ออกไปแล้ว บอกว่าไปสืบข่าว จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา  

 

 

ในห้องจมสู่ความเงียบงัน  

 

 

…………………………

Related

หากไม่ใช่เห็นคนตรงหน้าชัดเจนแจ่มแจ้ง ฟางจิ่นซิ่วยังคิดว่าเป็นหนิงอวิ๋นเจามาอีกหน  

 

 

เอาเถอะ ไม่ว่าหนิงอวิ๋นเจาหรือลู่อวิ๋นฉี ขอเพียงปรากฏตัวล้วนเป็นเพื่อสตรีคนนั้น  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วยื่นมือคว้ากรอบประตูอีกด้านหนึ่ง ขวางหน้าประตู เหมือนคืนนั้นในหยางเฉิง เผชิญหน้าแขกไม่ได้รับเชิญที่มาเยือนกะทันหัน ไม่หลบไม่หลีก  

 

 

“ท่านอยากพูดสิ่งใดก็พูดตรงนี้เถอะ” นางเอ่ย  

 

 

สายตาของลู่อวิ๋นฉีจนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังไม่จับบนร่างนาง เพียงมองด้านใน  

 

 

“อย่าขวางทาง” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

ดวงหน้าดั่งรูปสลักหิน แววตาเลื่อนลอย รวมถึงคำสามคำที่ฟังแล้วเรียบง่ายยิ่งนักนี่ผสมรวมด้วยกันกลับทำให้คนหนาวเหน็บจากก้นบึ้งหัวใจ  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วจับกรอบประตูไว้แน่นไม่ขยับสักนิด  

 

 

เฉินชีพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ดึงนางไปอยู่หลังร่าง  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ไม่ได้เชิญอย่าบุกรุก” เขาเอ่ย  

 

 

สายตาของลู่อวิ๋นฉีหมุนมาจับบนร่างเขาเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าขันอยู่บ้าง  

 

 

“แต่ไหนแต่ไรข้าล้วนเข้าไปอย่างไม่ได้รับคำเชิญ” เขาเอ่ย  

 

 

ใช่แล้ว สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นเรื่องจำพวกริบทรัพย์ล่มตระกูล เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครจะเชิญเขาเข้าประตู เขาล้วนทุบประตูทุบหน้าต่างใช้ดาบฟันไม่เชิญก็เข้ามา  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ที่นี่ของพวกเราตอนนี้ไม่ใช่เพียงร้านยา บุตรชายเฉิงกั๋วกงกับภรรยาท่านชายล้วนอยู่ที่นี่ พวกเราที่นี่ก็คือจวนเฉิงกั๋วกง ไม่มีใครให้ท่านเข้าจวนเฉิงกั๋วกงโดยไม่ได้รับเชิญหรอก” เฉินชีเอ่ยขึ้น  

 

 

ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ออกมาพลางมองบุรุษตรงหน้า นอกจากความเคร่งเครียด เฉินชียังมีความภาคภูมิใจอันไร้สาเหตุจางๆ ด้วย  

 

 

คิดถึงว่าเขาเฉินชีคนกระจอกงอกง่อยเยี่ยงขอทานคนหนึ่งของหยางเฉิง กระทั่งพนักงานร้านสุราคนหนึ่งก็ขับไสไล่ส่งตามใจได้ วันนี้ถึงกับด่าทอขุนนางยศสูงมากอำนาจที่ใครๆ ล้วนหวาดกลัวคนหนึ่ง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่อับอายโกรธเกรี้ยว สีหน้านิ่งสนิทมองเขา  

 

 

“ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าก็เคยคิดเช่นนี้” เขาพลันเอ่ยขึ้น คล้ายมองทะลุความคิดน้อยๆ ของเฉินชี  

 

 

เขาก่อนหน้านี้?  

 

 

เฉินชีอึ้งนิดหนึ่ง  

 

 

ถูกต้องแล้ว ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นฉีก็เป็นแค่คนกระจอกงอกง่อยเยี่ยงขอทานคนหนึ่งเหมือนกัน อยู่ในกรมองครักษ์เสื้อแพรถูกคนข่มเหง อยู่บนท้องถนนถูกพ่อค้าพนักงานกลั่นแกล้ง  

 

 

ต่อมาคนเช่นนี้อย่างเขากลับบุกประตูจวนของขุนนางยศสูงคนสูงศักดิ์เท่าไร แล้วมองดูขุนนางยศสูงผู้มีอำนาจเท่าไรวิงวอนร้องไห้ตะโกนอเนจอนาถต่อหน้าเขา  

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้….  

 

 

“ไม่มีสิ่งใดน่าภูมิใจ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ล้วนเหมือนกัน”  

 

 

อะไรล้วนเหมือนกัน? เขากำลังจะบอกว่าตนเหมือนกับเขาหรือ? ไม่เหมือนกันสักหน่อย! เฉินชียังไม่ทันเอ่ยวาจา หัวไหล่ก็ถูกคนผลักทีหนึ่งล้มไปด้านหลังแล้ว  

 

 

“ท่านทำอะไร?” เสียงกรีดร้องของฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นข้างหู  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก้าวข้ามเฉินชีเดินเข้ามาในห้องโถง  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเหวี่ยงมือเข้าใส่เขา เฉินชีกลัวจนทั้งร่างเหงื่อกาฬแตกพลั่ก รีบยื่นมือจะคว้าไว้  

 

 

มีคนชิงก่อนก้าวหนึ่งแซงเขา หิ้วฟางจิ่นซิ่วโยนไปด้านข้าง ประจันหน้ากับลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ออกไป!”  

 

 

ควบคู่กับเสียงตวาดนี้ เสียงร่างกายกระทบกันก็ดังขึ้นต่อเนื่อง เฉินชีรู้สึกเพียงตาลายสับสน มองอีกทีก็เห็นลู่อวิ๋นฉีถอยมาถึงนอกประตูแล้ว ส่วนจูจั้นยืนอยู่ข้างประตู  

 

 

“ไสหัวไป” เขายื่นมือชี้พลางเอ่ยขึ้น  

 

 

“ท่านชาย ท่านอยากพนันสักครั้งไหม?” ลู่อวิ๋นฉีมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา  

 

 

พนันอะไร?  

 

 

“พนันว่าข้าสังหารท่านได้หรือไม่” เขาเอ่ยต่อ  

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง ยกเท้ากำลังจะก้าว  

 

 

คุณหนูจวินตามมาคว้าเขาไว้  

 

 

“ท่านทำอะไร?” นางมองไปหาลู่อวิ๋นฉีแล้วเอ่ยถาม  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง  

 

 

“เจ้ามากับข้า” เขาเอ่ย  

 

 

“เจ้าเห็นนางโง่รึ? จูจั้นเอ่ย  

 

 

หลังคุณหนูจวินปรากฎตัว สายตาของลู่อวิ๋นฉีก็ไม่มองผู้อื่นอีก แล้วไม่สนใจจูจั้นด้วย  

 

 

“ไหวอ๋องประชวรแล้ว” เขาเอ่ยบอก  

 

 

สีหน้าจูจั้นพลันเปลี่ยน รีบยื่นมือแต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง คุณหนูจวินพุ่งมาถึงหน้าร่างลู่อวิ๋นฉีแล้ว  

 

 

นางไม่เอ่ยวาจา ไม่ลงมือ เพียงมองลู่อวิ๋นฉี แววตาโกรธแค้น จ้องเขาเขม็ง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก็มองนาง  

 

 

ดวงหน้านี้ยังคงไม่มีตรงไหนคล้ายคลึงสักนิด แววตาโกรธแค้นเช่นนี้เขาก็ไม่เคยเห็นจากตัวจิ่วหลิง  

 

 

แต่เพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่านางคือนางกันนะ?  

 

 

“บางทีเขาอาจหลอกลวง” เฉินชีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น  

 

 

เขาไม่มีทางใช้เรื่องเช่นนี้หลอกคน คุณหนูจวินไม่สงสัย ลู่อวิ๋นฉีคนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องเช่นนี้มาหลอก ทำให้คนผู้หนึ่งป่วยสำหรับเขาแล้วง่ายดายเหลือเกิน เรื่องที่กำเริบเสิบสานทำได้ง่ายดั่งยกฝ่ามือ ไยต้องเปลืองความคิดหลอกลวงเล่า?  

 

 

“เสียใจจนเป็นบ้า” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา “ในสายตาท่าน ผู้ใดล้วนไม่ใช่คน ล้วนถูกท่านเอามาเป็นเครื่องมือบีบผู้อื่นได้รึ?”  

 

 

นั่นคือจิ่วหรงนะ  

 

 

นั่นคือจิ่วหรงที่เขาดูแลอย่างจริงใจอ่อนโยนเมื่อตอนนั้นนะ  

 

 

เวลานั้นนางรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม น้อยนักจะเป็นฝ่ายเอ่ยถึงจิ่วหรง ทุกครั้งล้วนเป็นเขาเล่าให้นางฟังว่าจิ่วหรงวันนี้ทำอะไร เล่นอะไร อ่านหนังสืออะไร แล้วยังเคยพานางไปพบจิ่วหรงหลายครั้งนักด้วย  

 

 

แรกสุดที่แต่งงานจิ่วหรงกัดเขาคำหนึ่ง ตอนหลังจิ่วหรงเห็นเขาเข้าจะหัวเราะร้องเรียกพี่เขย เด็กน้อยไม่หลอกลวงคน เพราะสัมผัสได้ถึงความดีของเขาอย่างชัดเจนถึงเป็นเช่นนี้  

 

 

ตอนนี้ไม่ต้องเสแสร้งก็เผยสันดานออกมาแล้ว  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง  

 

 

“ทำไมมั่นใจปานนี้ว่าหากข้าใช้ไหวอ๋องมาบีบเจ้า เจ้าก็จะถูกบีบ?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

คำนี้ฟังดูแล้วพิกลอยู่บ้าง แต่คุณหนูจวินฟังเข้าใจทันที สีหน้าแข็งทื่อไปนิดหนึ่ง  

 

 

ใช่แล้ว ไหวอ๋องกับนางไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร หากจะพูดถึงอดีตให้ได้ ที่จริงก็เป็นแค่คนไข้ในอดีต  

 

 

เพื่อหลบเลี่ยงลู่อวิ๋นฉี นางเอาราชโองการออกมา นางออกจากเมืองหลวงระหกระเหินพันลี้ นางยอมรับว่ามีสัญญาหมั้นกับผู้อื่น เรื่องอันตรายอีกเท่าใดบ้าบออีกเท่าใดนางล้วนทำ แต่เพียงเพื่อประเดียวว่าไหวอ๋องประชวร นางไม่ลังเลสักนิดก็เดินมาถึงข้างกายลู่อวิ๋นฉีเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ  

 

 

นี่เพราอะไร?  

 

 

“เพราะไหวอ๋องเป็นคนที่ข้ารักษาหาย เคยพนันเรื่องนี้กับสำนักแพทย์หลวงไว้ หากไหวอ๋องประชวรสวรรคต ชื่อเสียงฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีของข้าจวินจิ่วหลิงก็จบสิ้นแล้ว” คุณหนูจวินเชิดคางขึ้นเล็กน้องมองลู่อวิ๋นฉีที่ก้มสายตาลงมา “ใครก็อย่าคิดทำลายชื่อโรงหมอของข้า”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง บนหน้าที่นิ่งสนิทมาเสมอพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน มุมปากปรากฏรอยยิ้ม  

 

 

เขาไม่เอ่ยวาจาอีก ยื่นมือออกมา  

 

 

“มา” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำ ตอนที่จูจั้นสังหารใต้เท้าน้อยหวงจนถูกจับขังคุกแล้วนางไปคุยเงื่อนไข ตอนนั้นเขาก็ทำท่านี้  

 

 

แต่เวลานั้นสิ่งที่นางต้องการทำไม่ใช่สิ่งที่ถูกเขาบีบ จึงใช้การออกจากเมืองหลวงหลอกล่อเขา ดังนั้นไม่มาได้ ถอยได้  

 

 

แต่ตอนนี้เล่า?  

 

 

นางจากไปแล้ว จูจั้นรอดได้ จิ่วหรงล่ะ? ใครจะสนจิ่วหรง? ใครจะดูแลจิ่วหรงได้? นอกจากนาง  

 

 

คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ยื่นมือออกมาอีกครั้ง  

 

 

มือข้างนี้ในอดีตนางเคยจับแกว่งไกวอย่างมีความสุขดีอกดีใจนับครั้งไม่ถ้วน  

 

 

คุณหนูจวินยกมือขึ้น แต่นาทีต่อมาก็มีคนชิงก่อนหน้านางก้าวหนึ่งวางมือลงในมือของลู่อวิ๋นฉี  

 

 

จูจั้นมองลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“มา” เขาเอ่ย มือที่วางอยู่ในมือลู่อวิ๋นฉีพลิกกลับกำทีหนึ่งแล้วสะบัด “ข้าส่งเจ้าไสหัวไป”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีถูกสะบัดออก แต่ไม่ได้อเนจอนาถเท่าไร สองสามก้าวก็หยัดร่างยืนมั่นคงได้แล้ว  

 

 

จูจั้นไม่ได้ไล่ตามมาต่อยตีเช่นนั้นอย่างที่คาดคิด แต่หันหน้าไปมองคุณหนูจวิน  

 

 

“ในสายตาเจ้ายังมีข้าหรือไม่?” เขาตวาดเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ทำอะไรยื้อๆ ยุด ๆ กับบุรุษคนอื่น”  

 

 

………………………

Related

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รั้งอยู่ทานอาหารเย็น นี่ทำให้ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเสียดายอยู่บ้าง

 

 

“ที่หัวสะพานเฟยอวิ๋นเปิดร้านใหม่ร้านหนึ่ง ดีทีเดียว” เขาเอ่ย

 

 

ความหมายก็คือจะเชิญนางออกไปกิน

 

 

เขาหยุดชะงักนิดหนึ่ง

 

 

“ตอนนี้ไม่สะดวก” เขาเอ่ยขึ้น “รอหลังจากนี้แล้วกัน”

 

 

พูดพลางมองจูจั้นทีหนึ่ง

 

 

จูจั้นอยู่ในลานตั้งแต่ต้นจนจบ บ้างต่อยหลักไม้ บ้างดูพนักงานทั้งหลายเหล่านั้นทำยา เหมือนกับในบ้านไม่มีคนผู้หนึ่งเพิ่มมาเป็นแขก

 

 

เขาไม่ได้เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาเอ่ยวาจา หนิงอวิ๋นเจาก็ไม่ได้ไปทักทายเขา

 

 

ตอนที่หนิงอวิ๋นเจามองมา สายตาของจูจั้นก็มองไปหาเขาทันทีเช่นกัน

 

 

แววตานี่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นมิตร

 

 

“ใช่แล้ว ไม่สะดวก ตอนนี้ใต้เท้าน้อยหนิงกำลังเป็นที่สนใจ ยังไงก็อย่าเดินมาใกล้กับพวกเราเกินไปเลย อย่าให้ถูกพูดว่ารวมกลุ่มสมคบคิด” เขาลุกขึ้นเอ่ย “ไม่ดีกับทุกคน”

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว

 

 

“ท่านชายโปรดวางใจ ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจาอีกก็คำนับให้พวกเขาขอตัว

 

 

คุณหนูจวินเชิญเฉินชีออกไปส่งด้วยตนเอง

 

 

“เจ้าดู เขาหมายความว่าอะไร” จูจั้นเอ่ย “ตอนนี้ไม่สะดวกรอหลังจากนี้”

 

 

เขาเลียนแบบหนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น

 

 

“เหมือนพวกเราเป็นปัญหานักหนา”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็มองคุณหนูจวิน

 

 

“เขารู้ว่าพวกเรากำลังช่วยเจ้าไหม? เข้าใจเหตุผลหรือไม่เนี่ย?”

 

 

“ท่านพูดถึงภรรยาท่านชายเรื่องนี้หรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ยิ้มเล็กน้อย “นี่เรียกช่วยเหลือรึ? ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้เขาก็เคยช่วยข้านะ ย่อมเข้าใจสิ”

 

 

ชั่วขณะลืมไปเลยว่าหนิงอวิ๋นเจาก็เคยเป็นคู่หมั้นมาก่อนเช่นกัน จูจั้นถูกทำให้สะอึกนิดหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มหมุนตัวมือไพล่หลังเดินส่ายอาดๆ ไปในห้องแล้ว

 

 

“เฮ้ย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ข้าว่านะผู้อื่นจริงจังจริงใจกับเจ้า พวกเจ้าสองฝ่ายชอบพอ แต่งงานกันไปเสียเลยสิดียิ่ง”

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อทีหนึ่ง

 

 

“ก็ดี” นางเอ่ยขึ้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา

 

 

จูจั้นรีบตามไป

 

 

“เจ้าจริงจังหน่อยสิ ข้าพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ” เขาเอ่ย ใช้มือจิ้มหัวไหล่คุณหนูจวิน “พวกเจ้าจะแต่งงานกันเมื่อไร?”

 

 

“อย่างไรก็ต้องหลังรักษาความบริสุทธิ์ของท่านล่ะนะ” คุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนรับผิดชอบยิ่ง”

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องตอแยข้า” เขาเอ่ย “เจ้าดีที่สุดตัดใจเสีย ข้าคนเช่นนี้เจ้าจ้องจะงาบไม่ไหวหรอก อย่างไรเจ้าก็ไปจับคู่กับคนแซ่หนิงเถอะ แม้พูดไปแล้วหน้าตาน่าเกลียดไปหน่อยคนก็โง่ไปนิด แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะที่ลอยมาจากเรือนด้านหลัง เฉินชีที่ยืนอยู่ตรงประตูมองหนิงอวิ๋นเจาเดินจากไปก็จิ๊ปากสองที

 

 

“ต้องบอกว่าข้านับถือความร้ายกาจของสองพี่น้องบ้านพวกเจ้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางจิ่นซิ่วพลิกสมุดบัญชี

 

 

“เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอีกแล้ว?” นางเอ่ยถาม

 

 

“น้องชายเจ้า ความสามารถในการเอ่ยคำหวานฉอเลาะยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” เฉินชีเดินเข้ามาสองสามก้าว พิงโต๊ะกั้นเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินก็ไม่เป็นรอง ศัตรูความรักนี่พบหน้ากันเดิมควรริษยายิ่ง แต่เจ้าดูพวกเขาสิ คุณชายหนิงเดินเหมือนจะลอยขึ้นมาแล้ว ในเรือนด้านหลังท่านชายยังหยอกคุณหนูจวินหัวเราะจนเป็นเช่นนั้น นี่เป็นความสามารถยิ่งใหญ่นะ”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าอยากเรียนรึ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“อยากสิ” เฉินชีหลุดปากตอบ

 

 

ฟางจิ่นซิ่วมองเขา

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหลังเจ้าเรียนแล้ว อยากกล่อมแม่นางคนไหนกับแม่นางคนไหนที่เป็นศัตรูความรักกันให้พบหน้าไม่ริษยาเล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแห้งๆ

 

 

“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้วนะ” เขาเอ่ยอย่างตั้งใจ “วิชาคำหวานฉอเลาะนี่ไม่ใช่เพียงเพื่อปลอบประโลมแม่นางกับหนุ่มน้อยทั้งหลาย พวกเราเปิดกิจการทำการค้า ลูกค้าก็คือคนในดวงใจ ต้องกล่อมพวกเขาให้เบิกบานสำราญใจเงินถึงไหลมาเทมาได้ ไม่ใช่รึ?”

 

 

“ไม่ใช่” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน “โรงหมอจิ่วหลิงมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เพราะชื่อฉาวโฉ่ว่าโอหังไร้มารยาท และเพราะเย็นชาไร้น้ำใจต่อลูกค้าเงินถึงไหลมาเทมา”

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแห้งๆ อีกครั้ง

 

 

“ข้าก็แค่ยกตัวอย่างดู” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินโอหังไร้มารยาทได้ก็เพราะนางมีความสามารถ ข้าย่อมไม่กล้าเลียนแบบ”

 

 

พูดพลางมองไปด้านใน

 

 

“ยาสงบจิตสองขวดที่บ้านราชบัณฑิตหลินเร่งจะเอา ไม่รู้ทำเสร็จแล้วหรือยัง ข้าไปดูสักหน่อย”

 

 

พูดจบก็วิ่งจี๋เข้าไปแล้ว

 

 

มองเงาแผ่นหลังของเขา ฟางจิ่นซิ่วที่ดวงหน้าไร้อารมณ์มาตลอดถึงเม้มปากเผยรอยยิ้มจางๆ ก้มหน้าคิดบัญชีต่อ

 

 

หลังทานอาหารเย็นผ่านไป คุณหนูจวินก็บอกทุกคนเรื่องเตรียมออกไปข้างนอก

 

 

เฉินชีอย่างไรก็ได้ แต่ฟางจิ่นซิ่วกับจูจั้นล้วนขมวดคิ้ว

 

 

“ตอนนี้ออกไปอันตรายเท่าไร” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นพยักหน้าตาม พยักหน้าสองสามทีก็รีบส่ายศีรษะอีก

 

 

“เจ้าอันตรายหรือไม่อันตรายเป็นเรื่องของเจ้า แต่เจ้าคิดถึงคนอื่นเสียบ้างสิ รอจัดการเรื่องการแต่งงานปลอมๆของพวกเราแล้วค่อยไป ไม่เช่นนั้นข้าก็ต้องตามเจ้าไปอีก” เขาอธิบาย “ข้างานยุ่งนะ”

 

 

คุณหนูจวินไม่สนเขา

 

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าไปส่งอาจารย์หญิงยังสถานที่แห่งหนึ่ง คนของกองทหารชิงซานจะอารักขาพวกเรา ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก” นางเอ่ยแล้วยิ้มให้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่ว “ตอนนั้นองครักษ์เสื้อแพรหลายคนนั่นทำอันใดข้าไม่ได้ ตอนนี้ลู่อวิ๋นฉีเขาก็ทำอันใดข้าไม่ได้เช่นกัน”

 

 

ถึงขนาดที่นางยังอยากอาศัยโอกาสคราวนี้ล่อลู่อวิ๋นฉีออกจากเมืองหลวงด้วย

 

 

ตอนนั้นลู่อวิ๋นฉีต้องการใช้ประโยชน์จากการที่นางออกจากเมืองหลวงลักพาตัวนางระหว่างทาง สร้างสถานการณ์ลวงว่าถูกโจรภูเขาจับหรือหายสาบสูญอย่างไม่คาดฝัน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางก็ทำเช่นนี้ได้เหมือนกัน

 

 

หากเขากล้าตามมา นางจักสังหารเขา สร้างสถานการณ์ลวงว่าโจรภูเขาจับหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นเดิมแน่นอน

 

 

“เสียสติ” จูจั้นคล้ายเดาความคิดนางได้ กระแทกชามตะเกียบลงเดินตึงตังออกไปแล้ว

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีสบตากันทีหนึ่ง

 

 

“จำเป็นต้องไปไหม?” เฉินชีเอ่ยถาม

 

 

นี่คงเป็นความปรารถนาในใจข้อเดียวของอาจารย์หญิงแล้ว นางต้องทำให้สำเร็จให้จงได้

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจ เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นเถอะ” ฟางจินซิ่วก็วางชามตะเกียบลงเดินออกไปด้วย

 

 

“ออกไปเช่นนี้ ไม่ใช่โกรธแต่อาลัยอาวรณ์เจ้า” เฉินชีรีบยิ้มอธิบาย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ข้ารู้” นางเอ่ย

 

 

“เฮ้ ข้าไม่ใช่นะ”

 

 

เสียงของจูจั้นลอยมาจากด้านข้าง

 

 

“ข้าโกรธจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินส่งเสียงหัวเราะพรืด

 

 

“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้เช่นกัน” นางตะเบ็งเสียงเอ่ยกับด้านนั้น

 

 

……………………………………….

 

 

วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินชีเดินเข้ามาในโถงด้านหน้าก็เห็นฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่ข้างในแล้ว

 

 

“ทำไมเช้าปานนี้?” เขาเอ่ยถามแล้วกังวลใจอยู่บ้าง “นอนไม่หลับหรือ?”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วไม่ปกปิดความเหนื่อยล้าในดวงตา

 

 

“จะออกไปข้างนอกย่อมมีเรื่องมากมายให้ตระเตรียม” นางเอ่ย “ทุกครั้งนางแค่ขยับปาก คนเท่าไรวิ่งกันขาขวิด แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นคนที่คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงผู้อื่นเช่นนี้”

 

 

เฉินชียิ้มพลางฟังนางบ่น

 

 

“นั่นก็เพราะพวกเราพึ่งพาได้อย่างไรเล่า นางถึงถูกบ่มเพาะจนเอาแต่ใจจนเคยเช่นนี้” เขาเอ่ย

 

 

ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

 

 

“อย่าถ่อมตัวเลย เจ้าใกล้จะไล่ตามวาจากะล่อนของน้องชายข้าทันแล้ว” นางเอ่ย

 

 

“คำหวานฉอเลาะต่างหาก” เฉินชีหัวเราะเริงร่าแย้ง

 

 

กำลังคุยเล่นหัวเราะอยู่ ประตูก็ถูกเคาะดัง

 

 

เพราะเวลายังเช้าอยู่ บานประตูจึงยังไม่เปิดออก

 

 

คนที่รู้ข่าวมาขอพบหมอรึ?

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงไม่เคยรับตรวจฉุกเฉิน ทกคนล้วนรู้จึงไม่มาให้เสียเวลา

 

 

“คุณชายหนิงอีกกระมัง” ฟางจิ่นซิ่วพึมพำประโยคหนึ่ง ก้าวเข้ามาเปิดประตู “คราวนี้คงไม่ใช่รู้ข่าวอีกหรอกนะ?”

 

 

พึมพำไปพลาง ยกดาลประตูลงกับเฉินชีไปพลาง ก็เห็นเงาร่างสีแดงร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

 

 

เงาร่างเป็นสีแดง แต่ฟางจิ่นซิ่วกลับรู้สึกว่าตรงหน้ามืดไปวูบหนึ่ง คนก็ถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

 

 

คนผู้นี้ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้วจริงๆ แม้ไม่รุนแรงเหมือนที่จินตนาการก็ตาม

 

 

ไม่ทำลายประตู ไม่ล้อมโจมตี กลับกันมีเขาเพียงคนเดียว ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างประตู แล้วยังเคาะประตูอย่างมีมารยาทอีก

 

 

แต่คนผู้นี้ไม่เคยดูแต่ภายนอกได้

 

 

“ท่าน…” นางเอ่ย พอได้สติก็รีบก้าวเข้ามาขวางประตูไว้ “ท่านต้องการทำอะไร?”

 

 

ท่ามกลางแสงอรุณดวงหน้าของลู่อวิ๋นฉีพร่าเลือนไม่ชัด ยืนอยู่นอกประตูไม่ได้มีเจตนาจะฝ่าเข้ามา

 

 

“ข้าต้องการพูดกับนางประโยคหนึ่ง” เขาเอ่ย

 

 

……………………

Related

ประโยคนี้ คนผู้นี้ ฟางจินซิ่วไม่นับว่าไม่คุ้นเคยแล้ว เริ่มตั้งแต่หยางเฉิงหนิงอวิ๋นเจาก็บังเอิญมาเยือนถึงประตูเช่นนี้หลายครั้งนัก

 

 

แม้ตั้งแต่คุณหนูจวินออกจากเมืองหลวงไป จำนวนครั้งที่หนิงอวิ๋นเจาเหยียบเข้าโรงหมอจิ่วหลิงจะนับนิ้วได้ แต่ทุกครั้งล้วนเพราะคุณหนูจวิน

 

 

บนโลกไหนเลยมีความบังเอิญอันใด ล้วนเจตนากระทำทั้งนั้น

 

 

“ดูท่าข่าวคงแพร่ออกไปแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้นมา

 

 

คนแรกที่มาเยือนประตูก็คือเขา เร็วกว่าองครักษ์เสื้อแพรอีก

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแต่ไม่พูดจา ไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่อธิบาย

 

 

“ข้าต้องการพบนาง” เขาเอ่ย “ตอนนี้เหมาะสมไหม?”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วมองเขา คิดถึงภาพหนิงอวิ๋นเจามาเยือนประตูครั้งแรกที่หยางเฉิงรู้สึกว่าคล้ายคลึงยิ่งนัก เวลานั้นเป็นยามดึกดื่นเที่ยงคืน ส่วนตอนนี้ฟ้าสว่างยามกลางวัน แต่ที่เหมือนกันคือคนที่เขาต้องการพบ ล้วนเป็นภรรยาที่มีสามีเคียงคู่

 

 

แม้ภรรยาคนเดิม แต่สามีเปลี่ยนคนแล้ว

 

 

เหมาะสมไหม? ว่าตามหลักแล้วไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวคุณหนูจวินคนนี้ยังต้องถกตามหลักสามัญอีกหรือ?

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะแล้ว

 

 

“เหมาะสมสิ” นางเบี่ยงกายหลีกทาง ยื่นมือทำท่าเชิญ “มีสิ่งใดไม่เหมาะสมล่ะ”

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มก้าวเข้ามา เฉินชีส่งสายตาให้เขาทีหนึ่ง ตนเองก้าวไวๆ เปิดประตูที่ไปด้านหลัง

 

 

“คุณหนูจวิน ขุนนางน้อยหนิงมา” เขาตะโกนเสียงดัง

 

 

หนิงอวิ๋นเจาเดินตามเขามาถึงหน้าประตูหลัง มองเห็นคนที่อยู่ในเรือนด้านหลังหยุดชะงักพริบตาหนึ่งเพราะเสียงตะโกนนี้ของเขา

 

 

พนักงานทั้งหลายอุ้มเครื่องยายกกระบุง หญิงรับใช้หอบดอกไม้ใบหญ้าที่เบ่งบานยังไม่ทันจัด สาวใช้หลิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงทางเดินมือที่ถือแตงหยุดอยู่ข้างริมฝีปาก

 

 

ส่วนบนอาคารฤดูร้อนเปิดหน้าต่างออกกว้าง เด็กสาวคนหนึ่งนั่งพิงหน้าต่าง

 

 

อาภรณ์สีผลซิ่งเส้นผมดำขลับ พัดกลมขยับเบาๆ

 

 

ท่ามกลางความชะงักนิ่งนี้ มีเพียงนางแววตาวูบไหว แย้มยิ้มนิดๆ

 

 

ส่วนหนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มเช่นกัน บรรยากาศชะงักนิ่งสลายไป ข้างหูได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นรอบด้าน

 

 

“คุณชายหนิงมาแล้ว” นี่คือเฉินชีตะโกนอีกหน

 

 

“คุณชายหนิงมาได้อย่างไร?” นี่คือหลิ่วเอ๋อร์ประหลาดใจ

 

 

“เชิญ”

 

 

นี่คือคุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาคำนับให้นางไกลๆ ทีหนึ่ง เยื้องย่างเดินเข้าไปในห้องโถง

 

 

เสียงกระแอมไอดังขึ้น ก้าวเท้าของหนิงอวิ๋นเจาชะงักนิดหนึ่ง มองเห็นใต้ต้นไม้ด้านข้างบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ มือกำลังวางอยู่บนหลักไม้พลางมองเขา

 

 

“ท่านชาย” หนิงอวิ๋นเจารีบคำนับ “ท่านอยู่ที่นี่”

 

 

อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เป็นเขาตาบอด ตนเองคนผู้หนึ่งตัวโตปานนี้ยืนอยู่ตรงนี้ยังมองไม่เห็น

 

 

จูจั้นทำหน้าเหยียดหยัน

 

 

ความรักมอมเมาปัญญา

 

 

ในดวงตานอกจากผู้หญิงคนนั้นสิ่งใดล้วนมองไม่เห็นแล้ว

 

 

จูจั้นไม่ตอบคำ ตบป้าบลงบนหลักไม้ ยืนท่านั่งม้ามั่งคงทรงพลัง มือเคลื่อนไหวว่องไวแต่ไม่สับสน

 

 

“คุณชายหนิง”

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ในห้องโถงแล้ว เอ่ยกับเขา

 

 

หนิงอวิ๋นเขาคำนับจูจั้นอีกหน ก้าวเข้าไปด้านในโถง

 

 

ชารินเรียบร้อยแล้ว

 

 

“เชิญ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย ตนเองนั่งลงก่อน

 

 

หนิงอวิ๋นเจานั่งลงยกชาขึ้นจิบนิดๆ คำหนึ่ง

 

 

“ท่านร้ายกาจจริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นหน้ากำแพงพระราชวังตอนนั้น รวมถึงการโต้ตอบของหนิงอวิ๋นเจาในงานเลี้ยง เฉิงกั๋วกงเล่าให้นางฟังแล้ว

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม

 

 

ถูกนางเปิดบทสนทนาก่อนอีกหนแล้ว ยังคงใส่ใจเช่นเดิม แม้ไม่พบกันเนิ่นนานก็ไม่ห่างเหิน ยิ่งไม่เกร็ง

 

 

นอกจากนี้ร้ายกาจสองคำเรียบง่ายนี้ ทำให้เขายินดียิ่ง

 

 

ที่จริงตั้งแต่เล็กเขาไม่ใช่คนที่ทำสิ่งใดเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชม ไม่ว่าเรียนหนังสือหรือพิณหมากภาพอักษร เขาล้วนทำเพราะสุขใจกับมัน ดังนั้นคำชื่นชมของผู้อื่นไม่มีความหมายอันใดกับเขา

 

 

แต่เวลานี้ ได้ยินเด็กสาวคนนี้ชื่นชมคำหนึ่ง รอยยิ้มของเขาล้นปริ่มออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เหมือนบุปผาวสันต์แย้มบาน

 

 

“เจ้าก็ร้ายกาจจริงๆ” เขายิ้มเอ่ยตอบ

 

 

คุณหนูจวินชูถ้วยชาขึ้น

 

 

“ฉลองที่พวกเราล้วนร้ายกาจ” นางเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ชูถ้วยชาขึ้น ทั้งสองคนชนแก้วกันเบาๆ

 

 

ประตูห้องโถงเปิดออกกว้าง ทั้งสองคนนั่งประจันหน้าดื่มชาคุยเล่นหัวเราะกัน คนด้านนอกล้วนมองเห็นได้

 

 

เฉินชีมองอย่างสนอกสนใจ แล้วยังจิ๊ปากสองที

 

 

“ทำไมดูแล้วเหมาะสมที่สุด” เขาเอ่ยเสียงเบา

 

 

“ดูอะไรเล่า ไปข้างนอกเฝ้าประตูไป” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

เฉินชีหัวเราะคิกคัก ยักคิ้วให้อีกด้านอีก

 

 

“เจ้ารีบร้อนอะไรเล่า ท่านชายยังไม่รีบร้อนเลย” เขาหัวเราะเอ่ยเสียงเบา

 

 

อีกด้านหนึ่งจูจั้นจดจ่อโจมตีหลักไม้อย่างสุขุม การเคลื่อนไหวไม่รีบร้อนสับสนสักนิด คล้ายไม่สนใจว่ามีแขกมา ทั้งแขกยังคุยเล่นหัวเราะเบิกบานยิ่งนักอยู่กับคู่หมั้นของเขาสักนิด

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าสงบ

 

 

“เรื่องช้าเร็ว” นางเอ่ย

 

 

นี่ไม่มีสิ่งใดแปลก นางก็เคยเห็นมาก่อน ในอดีตก็มีคนไม่รีบร้อนเช่นกัน แล้วยังโวยวายนั่นโวยวายนี่ ผลสุดท้ายเล่า ตอนนี้ได้แต่ร้อนรนอยู่ลับๆ

 

 

คิดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะบ้าง หมุนตัวกวักมือเรียกหญิงรับใช้ท่าทางเหมือนจะกลั่นแกล้ง

 

 

“เตรียมงานเลี้ยงตอนค่ำต้อนรับแขก” นางเอ่ย

 

 

คนรักใหม่คนรักเก่านั่งทานอาหารร่วมกันนี่ต้องสนุกมากแน่

 

 

“เจ้าอย่าก่อเรื่องมั่วสิ นั่งด้วยกันกระอักกระอ่วนเท่าไร” เฉินชีเอ่ยเสียงเบา

 

 

กระอักกระอ่วน?

 

 

“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาสามคนคงจะไม่รู้จักว่ากระอักกระอ่วนสองคำนี้เขียนอย่างไรหรอก” ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยตอบ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ดื่มชาถ้วยหนึ่งหมดแล้ว คุณหนูจวินก็สะบัดแขนเสื้อรินชาอีก

 

 

หนิงอวิ๋นเจาคิดว่าคราวนี้เขาควรเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งใดให้พูดได้

 

 

เรื่องของนางเขาล้วนฟังมาหมดแล้ว หรือจะขอให้นางเล่าซ้ำอีกรอบ? นี่สำหรับนางที่เดิมก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้วคงเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก

 

 

รำพันสักประโยคว่านางลำบากแล้ว? ถามนางสักประโยคว่ายากไหม? นี่ก็น่าเบื่อนักเช่นกัน สำหรับนางกับเขาคนเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนไม่เคยสนใจว่ายากหรือลำบาก ในเมื่อพวกเขาต้องการทำก็จะทุ่มกำลังเต็มที่ หากจะบอกว่าต้องการความเห็นของคนอื่นให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็พูดสักปะโยคชมว่าร้ายกาจยิ่งก็พอแล้ว

 

 

ชมก็ชมไปแล้ว

 

 

บางทีเขาอาจถามสถานการณ์ที่แดนเหนือสักหน่อยได้ นี่เป็นกุญแจสำคัญที่เกี่ยวข้องไปถึงว่าจะทำอย่างไรในอนาคต อย่างไรราชสำนักตอนนี้ดูไปแล้วฝุ่นธุลีตกพื้นคลื่นลมสงบ แต่ที่จริงคลื่นใต้น้ำโหมซัด

 

 

ถ้วยชาหมุนไปมาในมือ หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้าขึ้น

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องแต่งงานครั้งนี้ จริงหรือหลออกล่ะ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินกำลังรินถ้วยชาของตนให้เต็ม ได้ยินคำพูดศีรษะก็ไม่เงยขึ้น

 

 

“แน่นอนย่อมหลอกสิ” นางตอบอย่างสบายๆ คล้ายตอบอย่างกระทั่งคิดก็ไม่ต้องคิด พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง “เจ้าไม่รู้หรือ?”

 

 

ความหมายของนางก็คือคนฉลาดเช่นนี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาย่อมควรคิดจุดนี้ออกอยู่แล้ว

 

 

แต่การย้อนถามตามสบายนี่ของนางกลับทำให้หนิงอวิ๋นเจาลนลานนิดๆ อยู่บ้าง

 

 

ใช่แล้ว เขาควรรู้นะ นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงเดาได้ เฉินชีก็บอกใบ้เขาแล้ว

 

 

แต่เขากลับยังถามออกมา มั่นใจในคำตอบปานนี้ชัดๆ กลับจะต้องให้นางเอ่ยเองกับปากรอบหนึ่งถึงเชื่อได้

 

 

นี่จะ..ออกจะ…โชยกลิ่นหึงหวง…เกินไปหรือไม่?

 

 

แต่ก็รู้สึกยินดีอยู่บ้างนิดๆ

 

 

หรือพูดได้ว่านางรู้ว่าเขาต้องรู้เรื่องที่นางทำแน่ นี่คือความเชื่อมั่น

 

 

ถ้าเช่นนั้นนางย้อนถามเช่นนี้ หงุดหงิดอยู่บ้างหรือไม่?

 

 

เรื่องที่รู้ชัดเช่นนี้ ทำไมเจ้ายังต้องถาม เจ้าถามเช่นนี้ไม่เชื่อข้า ไม่เข้าใจข้าใช่หรือไม่?

 

 

นี่จะดูบ่นไปหน่อยหรือไม่?

 

 

คนจะบ่นกับคนแบบไหนเล่า? กับคนที่สนใจถึงทำ

 

 

หนิงอวิ๋นเจาขานอืมคำหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นการย้อนถามหรือตอบรับ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา

 

 

“อย่าบอกคนอื่นล่ะ” คุณหนูจวินไม่ได้สังเกตท่าทางประหลาดของเขา คิดอะไรขึ้นได้ก็กำชับอีกหนึ่งประโยค

 

 

ไม่บอกคนอื่น ถ้าเช่นนั้นสำหรับนางเขาก็ไม่ใช่คนอื่น

 

 

“แน่นอน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตอบ อยากหัวเราะแต่ก็อยากกลั้นไว้ “ข้าไม่โง่เสียหน่อย”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“เจ้าย่อมไม่โง่ เจ้าฉลาดนัก” นางยิ้มเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วย

 

 

“เจ้าก็ฉลาดเหมือนกัน” เขาเอ่ย

 

 

นี่ยังต้องพูดหรือ? เขาพูดออกจากปากไปก็เสียใจอยู่บ้าง คำพูดเช่นนี้โง่เง่าอยู่บ้างจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินกลับไม่รู้สึก ยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ใช่แล้ว ข้าย่อมฉลาด” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นที่ยืนอยู่ข้างหลักไม้เงี่ยหูฟังอยู่หนาวเยือกวูบหนึ่ง

 

 

กับคนที่ค่อนข้างโง่นางพูดคุยเช่นนี้สินะ? ทั้งโง่ทั้งน่าเบื่อจริงๆ

 

 

ดูท่าอย่างไรตนเองก็ฉลาดเกินไปแล้วทำให้นางไม่อาจไม่เรียกกำลังใจโต้ตอบ อาศัยไม่ปกติยิ่งถึงกดเขาได้

 

 

จูจั้นเบ้ปาก ตบหนึ่งฝ่ามือบนหลักไม้ดังป้าบหนักหน่วงท่าทางได้ใจอยู่นิดๆ

 

 

…………………………

Related

นายหญิงอวี้ส่งน้าเซียวขึ้นรถด้วยตนเอง  

 

 

“แม่ยาย หลังจากนี้ก็มานั่งที่บ้านบ่อยๆ นะ” นางเอ่ยกำชับ  

 

 

น้าเซียวอมยิ้มพยักหน้า พาฮั่นชิงนั่งรถจากไปแล้ว  

 

 

“เฮ้ เจ้าไม่ไปส่งกลับด้วยตนเองรึ?” จูจั้นมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าจะกลับไปพักที่บ้านแม่ช่วงหนึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”  

 

 

“ไม่ต้องสนคนอื่นพูดอะไรหรอก” นายหญิงอวี้ถลึงตามองจูจั้นทีหนึ่งอย่างไม่พอใจ แล้วมองคุณหนูจวินจากนั้นยิ้มให้อีกหน “อยู่ในบ้านปลอดภัย จะได้ไม่ถูกสุนัขกัดเอา”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว  

 

 

“กำลังจะบอกท่านหญิงพอดี ข้าจะขอตัว” นางเอ่ย “ข้าควรกลับไปโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว”  

 

 

กลับไป?  

 

 

นายหญิงอวี้ประหลาดใจอยู่บ้าง ส่วนจูจั้นสีหน้าระแวง  

 

 

“ท่านหญิงไม่ต้องกังวล ข้าดูแลตนเองได้” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “แม้ข้าไม่อยู่ในบ้าน แต่ภรรยาของท่านชายชื่อนี้ยังคงอยู่ ไม่มีใครทำร้ายข้าได้ง่ายๆ หรอก”  

 

 

“ใช่ แม่ คุณหนูจวินร้ายกาจนัก ก่อหน้านี้ไม่มีฐานะนี้ก็ไม่มีใครทำอันใดนางได้” จูจั้นรีบเอ่ยตาม  

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง จับมือคุณหนูจวินมา  

 

 

“ได้ เจ้าเป็นแม่นางที่เด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ย่อมต้องทำเช่นนี้ ข้าฟังเจ้า” นางว่า  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“ท่านหญิงโปรดวางใจ” นางเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้เห็นรถม้าของคุณหนูจวินจากไปก็ถอนหายใจเศร้าสร้อย  

 

 

“ในบ้านเงียบเหงาลงหน่อยแล้ว” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“แม่ ก็แค่น้อยลงคนหนึ่งเท่านั้น” จูจั้นยิ้มเอ่ยบ้าง  

 

 

“คนหนึ่งคนนั้นเป็นเพื่อนคุยกับข้าได้” นายหญิงอวี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

“ยังมีข้านี่” จูจั้นคล้องแขนนางพลางเอ่ยบอก “แม่ ข้ามีเรื่องเยอะแยะยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง”  

 

 

นายหญิงอวี้สะบัดเขาออก  

 

 

“วันอื่นค่อยว่ากัน” นางเอ่ยขึ้น “ข้าเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อน”  

 

 

ก่อนหน้านี้ฟังตนเองเล่าเรื่องไม่เคยเหนื่อยชัดๆ จูจั้นทำหน้าน้อยอกน้อยใจมองนายหญิงอวี้เดินเข้าไป  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ข้ากลับมาแล้ว!”  

 

 

“ข้ากลับมาแล้ว!”  

 

 

“พวกเจ้าขยันทำงานกันหรือไม่?”   

 

 

เสียงของหลิ่วเอ๋อร์ก้องสะท้อนในโรงหมอจิ่วหลิง  

 

 

เฉินชีนวดใบหู  

 

 

“เพิ่มขึ้นมาแค่สองคนชัดๆ ทำไมครึกครื้นเช่นนี้” เขาเอ่ยพึมพำ  

 

 

“คุ้นชินเดี๋ยวก็ดี” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวิน “ห้องของเจ้าเจ้าเก็บกวาดเองนะ พวกเราก็ไม่กล้าแตะ”  

 

 

“ที่จริงเก็บกวาดอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนรู้ว่าเจ้าจะกลับมา” เฉินชียิ้มเอ่ย “เมื่อวานยังเอาฟูกกับผ้าห่มมาตากแดดอีกรอบหนึ่ง”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถลึงตาอับอายโมโหอยู่บ้าง  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“ข้าทราบแล้ว ข้าจัดการเองแล้วกัน” นางว่าพลางรีบร้อนเดินเข้าไป กระทั่งคำขอบคุณยังไม่เอ่ย  

 

 

“นี่คงกลัวเจ้าอาย” เฉินชียิ้มบอกฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขา  

 

 

“เจ้าฉลาดจริงนะ” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

เฉินชีหัวเราะหึหึ  

 

 

“พวกเจ้าสองพี่น้องภายนอกเย็นชาภายในใส่ใจ พุดคุยอยู่ด้วยกันบรรยากาศตึงเครียดง่าย” เขายิ้มบอก  

 

 

“ข้าไม่ใช่เด็กเช่นนั้นอย่างจ้าวฮั่นชิงเสียหน่อย กลางวันจรดกลางคืนพี่สาวอย่างนั้นพี่สาวอย่างนี้” ฟางจิ่นซิ่วพูด “ข้างานยุ่งหรอก”  

 

 

พูดจบก็หมุนตัว  

 

 

“เจ้าไม่ใช่อายุเท่าจ้าวฮั่นชิงรึ” เฉินชีหัวเราะบอก “เจ้าริษยานางแล้วใช่หรือไม่ล่ะ”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหันหน้ามา  

 

 

“ข้าต้องริษยานางรึ?” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าลองพูดสิ ตรงไหนของนางน่าให้ข้าริษยาเล่า?”  

 

 

แม้เฉินชีตลอดมาไม่เคยเลียนแบบเอ่ยคำหวานฉอเลาะลื่นไหลได้เช่นนั้นอย่างฟางเฉิงอวี่ แต่ก็ไม่มีทางโง่จนกระทั่งตอบคำถามนี้จริงๆ  

 

 

“พูดถึงจ้าวฮั่นชิง ข้าคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “องครักษ์เสื้อแพรนั่นยังคงไม่เลิกคิดร้ายกับคุณหนูจวินเหมือนเดิม เวลานี้ต้องรู้ข่าวแน่ ต้องมาหาเรื่องแน่ ตอนนี้พวกเราเชิญยอดฝีมือมาเพิ่มสักหน่อยเถอะ อย่างไรตอนนี้ตีกันขึ้นมาพวกเราก็ไม่กลัว สังหารองครักษ์เสื้อแพรไปก็ไม่กลัว”  

 

 

เขาพูดพลางจะเดินออกไปข้างนอก ฉับพลันมีคนเลิกม่านเดินเข้ามา ร่างสูงใหญ่ขวางแสงตะวันทอดเงาดำแถบหนึ่งลงมา  

 

 

เห็นคนที่มา ฟางจิ่นซิ่วก็หัวเราะแล้ว  

 

 

“เจ้าไม่ต้องไปหาคนแล้ว” นางมองเฉินชีแล้วเอ่ยขึ้น “มีท่านชายคนหนึ่งตั้งด่านอยู่เทพผีก็ยากเข้าใกล้”  

 

 

เฉินชียิ้มคำนับให้จูจั้น  

 

 

“ท่านชายท่านมาแล้ว” เขาเอ่ย ไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจาก็รีบชี้ด้านใน “คุณหนูจวินเพิ่งเข้าไป”  

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง ไม่เอ่ยวาจาอีกหน้าบึ้งเข้าไปแล้ว  

 

 

เฉินชีเข้ามายืนข้างกายฟางจิ่นซิ่วหัวเราะอีกทันที  

 

 

“เฮ้อ เจ้าดูสิเหมือนภรรยาน้อยหงุดหงิดกลับบ้านแม่ ลูกเขยมาหาพูดจาเอาใจรับภรรยากลับบ้านใช่หรือไม่?” เขาหัวเราเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ไม่เหมือน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยทันควัน  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ไม่ว่ามีหรือไม่มีภรรยาท่านชายฐานะนี้ ข้าล้วนจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย” จูจั้นพิงประตูเอ่ย มองคนที่กำลังมองสำรวจห้องอยู่ข้างใน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ข้าตามมาก็ได้แล้ว”  

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อทีหนึ่ง เปิดหีบยาออก ดึงเส้นไหมสีเงินสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา  

 

 

“เฮ้เฮ้ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าตั้งใจหน่อยได้หรือไม่? นี่ไม่ใช่แม่ข้าให้ข้าตามมารึ ข้ารู้ว่าเจ้าร้ายกาจ ทนแทบไม่ไหวอยากให้คนแซ่ลู่มาหาที่ตายนัก”  

 

 

เขาพูดพลางยืดตัวตรง  

 

 

“แต่เจ้าสตรีคนนี้ทำการใดอย่าบุ่มบ่ามปานนี้ได้หรือไม่ ใช้สมองเสียบ้าง…”  

 

 

คุณหนูจวินมองไปหาเขา  

 

 

“ได้” นางยิ้มตอบ “ข้าทราบแล้ว”  

 

 

“เจ้าทราบอะไร? อย่าคิดมากเชียว ไม่ใช่ข้าเป็นห่วงเจ้า” จูจั้นเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากในหีบยาแล้วยกมือขึ้น  

 

 

จูจั้นยื่นมือไปรับโดยไม่ทันคิด เห็นว่าเป็นหน้าไม้น้อยอันนหึ่ง  

 

 

“วางเจ้านี่ไว้บนหน้าต่าง” คุณหนูจวินว่า พูดจบก็ไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าจัดการเส้นด้ายเล็กต่อ  

 

 

เรื่องเช่นนี้ตลอดทางพวกเขาทำกันมามากนัก แม้เริ่มแรกล้อเล่นให้จูจั้นเฝ้าตอนกลางคืน หลังจากนั้นย่อมไม่ได้ให้เขาเฝ้าตอนกลางคืนตลอดเวลาจริงๆ  

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ไม่รู้พึมพำอะไรประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปริมหน้าต่างยื่นตัวเหนี่ยวหน้าต่างก้าวออกไปยืน  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

วันรุ่งขึ้นฟ้าสว่างปุบ ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงก็เปลี่ยนเป็นครึกครื้น แน่นอนความครึกครื้นนี่ที่สำคัญคือเสียงพูดของหลิ่วเอ๋อร์ บงการพนักงานให้ทำงาน แล้วตรวจดูว่าอาหารถูกปากหรือไม่ ตั้งแต่เช้าตรู่พูดจนถึงหลังเที่ยง  

 

 

เฉินชีหลบเงียบๆ อยู่ในโถงด้านหน้าตลอด  

 

 

ตอนฟางจิ่นซิ่วเดินออกมาก็เห็นเฉินชียืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อไปข้างนอก ท่าทางระวังระไว  

 

 

“เจ้ามองอะไรน่ะ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม  

 

 

“ข้าลองดูว่ามีองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่” เฉินชีเอ่ย “ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเลย หรือยังไม่รู้ข่าว?”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเบ้ปาก เดินตรงไปด้านนอก เพิ่งก้าวออกจากประตูก็มีคนเดินมาจากกำแพงด้านข้างยกเท้าเข้าประตู ไม่ทันระวังเกือบชนกัน  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถอยหลังก้าวหนึ่ง เห็นคนที่มาชัด สีหน้ากลายเป็นแปลกพิกล  

 

 

“ไม่ใช่กระมัง คุณชายหนิง ท่านอีกแล้ว” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

ชายหนุ่มตรงหน้ามีบรรยากาศสง่าสุขุมอย่างที่บัณฑิตถึงจะมี สวมชุดผ้าเนื้อละเอียดสีน้ำเงินคราม เขาได้ยินคำนี้บนหน้าก็ผุดรอยยิ้ม  

 

 

“บังเอิญอีกแล้วหรือ?” เขายิ้มเอ่ย  

Related

เขาคนนี้เป็นใคร คุณหนูจวินย่อมรู้

 

 

เมื่อน้าเซียวให้จ้าวฮั่นชิงไปถ่ายทอดคำพูด คุณหนูจวินก็รู้แล้วว่านี่เพื่อไล่นางไป

 

 

ไล่จ้าวฮั่นชิงย่อมเพื่อถามเรื่องอาจารย์

 

 

ในที่สุดน้าเซียวก็ยอมถามเรื่องอาจารย์ ในใจคุณหนูจวินตื่นเต้นยิ่งนัก แต่ก็ปวดใจอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

สิบปีไม่มีใครถามถึง วันนี้ถามปุบกลับเป็นข่าวการตาย เปลี่ยนเป็นใครก็รับไม่ได้

 

 

ดังนั้นนางคิดจะปิดบังไปอีกช่วงหนึ่ง ค่อยๆ เผยรายละเอียดบางอย่างให้น้าเซียวตระเตรียมจิตใจอยู่บ้างค่อยพูด

 

 

คิดไม่ถึงน้าเซียวกลับถามว่าอาจารย์ตายตั้งแต่เมื่อไรทันที

 

 

ไม่ได้ถามว่าเขาตายหรือยัง แต่ถามเวลาตายทันทีอย่างมั่นใจ

 

 

คุณหนูจวินกลับรู้สึกว่าทนรับไม่ได้อยู่บ้าง

 

 

“เขาน่ะ เขาไปหาสมุนไพร ไม่ใช่…” นางพูดติดๆ ขัดๆ

 

 

น้าเซียวมองนางจากนั้นก็ยิ้ม รับชาในมือนางมา

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าเรียนวิชากับเขานานเท่าไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

“หกปี” คุณหนูจวินเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

น้าเซียวอึ้งไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็หลุดหัวเราะ

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต่างกันมาก” นางเอ่ย “เดิมทีข้าอยากบอกว่าข้ากับเขาอยู่ด้วยกันเกือบสิบปี เขาเป็นคนอย่างไรข้ารู้ชัดยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเวลาของพวกเจ้าก็ไม่ต่างกันมาก”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“นั่นไม่เหมือนกัน อาจารย์สิ่งใดล้วนไม่บอกข้า” นางเอ่ย

 

 

น้าเซียวมองนางจากนั้นก็ยิ้ม

 

 

“ยังมักจะรังแกเจ้าด้วยใช่หรือไม่? ไม่ดีกับเจ้าด้วย?” นางเอ่ยถาม

 

 

หากมองจากมุมมองของเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ดีนักจริงๆ

 

 

“ดูแล้วไม่ดีอย่างไร แต่ใจน่ะดี นอกจากนี้ก็มีเพียงไม่ดีกับข้าเช่นนี้ เคร่งครัด กลั่นแกล้ง ข้าถึงร่ำเรียนสิ่งต่างได้อย่างแท้จริง” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

“เขาคนผู้นี้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็นคนดี บางครั้งทำให้คนชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน” น้าเซียวเอ่ย “แต่เรื่องที่เขาทำเองได้ เขาไม่มีทางไหว้วานผู้อื่นเด็ดขาด”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็มองคุณหนูจวิน

 

 

“เขาไม่เคยเอ่ยถึงพวกเรากับเจ้า ก่อนพบพวกเราเจ้าล้วนไม่รู้การมีอยู่ของพวกเรา”

 

 

คุณหนูจวินก้มศีรษะ กัดริมฝีปากล่าง

 

 

นั่นเพราะอาจารย์ไม่มีโอกาสพูดกระมัง หากยังทัน เขาจะต้องพูดแน่…

 

 

“หากมีโอกาส เขาคงมาด้วยตัวเอง ไม่มีทางไหว้วานเจ้า” น้าเซียวเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้ามา นั่นย่อมคือเขามาไม่ได้แล้ว”

 

 

น้ำตาของคุณหนูจวินร่วงดุจสายฝน

 

 

“อีกอย่าง เจ้าพบพวกเราก็ร้องไห้จนเป็นเช่นนั้น นั่นย่อมไม่ใช่พบพวกเราแล้วเสียใจ แต่คิดถึงเขาที่ไม่มีวันพบพวกเราได้แล้วถึงเศร้าใจเช่นนั้นสินะ” น้าเซียวเอ่ยพลางยื่นมือจูงนางนั่งลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง “เจ้าช่างเป็นเด็กที่ชอบร้องไห้คนหนึ่งจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง

 

 

น้าเซียวไม่ได้เอ่ยวาจาอีก นั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ

 

 

ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากด้านใน จูจั้นที่พาสาวใช้หญิงรับใช้ที่เลือกเสร็จแล้วเดินส่ายอาดๆ มาก็รีบหยุดเท้า สีหน้าระแวง

 

 

“ร้องไห้อีกแล้ว?” เขาพึมพำกับตนเอง “นี่หากไปก็คงต้องป้ายความผิดให้ข้าอีก”

 

 

พูดจบก็หมุนตัวโบกมือให้หญิงรับใช้กับสาวใช้ด้านหลังร่าง ไล่คนไปประหนึ่งไล่ลูกเจี๊ยบ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ไปกะทันหันนัก ข้าหาเขาทั้งคืนถึงหาพบ”

 

 

คุณหนูจวินเล่าถึงตรงนี้ น้ำตาที่เดิมทีหยุดแล้วก็หล่นร่วงลงมาอีกหน

 

 

“ในมือเขายังกำสมุนไพรอยู่เลย”

 

 

น้าเซียวเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือลูบหัวไหล่คุณหนูจวิน

 

 

“ทำเจ้าตกใจแย่เลยสิ?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

จนกระทั่งถึงยามนี้นางยังไม่ปล่อยน้ำตาลงมาสักหยดกระทั่งขอบตาก็ไม่แดง ได้ฟังเรื่องการตายของอาจารย์ ประโยคแรกที่เอ่ยกลับเป็นห่วงนางว่าตกใจแย่หรือไม่

 

 

คุณหนูจวินมองนาง ปวดใจทั้งยังสะเทือนใจอย่างไร้สาเหตุ

 

 

ใช่แล้ว ยามนั้นนางตกใจแย่แล้วจริงๆ นางนั่งอยู่หน้าศพของอาจารย์หนึ่งวันเต็มๆ ในศีรษะขาวโพลนไปหมดเหมือนประหนึ่งกำลังฝันอยู่

 

 

ใช่แล้ว ประหนึ่งฝันอยู่จริงๆ วันเวลาต่อมานางก็ประสบฝันร้ายตามต่อกัน

 

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางคล้ายยังมีหนึ่งวิญญาณหนึ่งดวงจิตยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าศพของอาจารย์

 

 

นางยื่นมือออกไปกอดน้าเซียวไว้ พยักหน้าบนหัวไหล่นาง

 

 

ใช่แล้ว นางหวาดกลัว นางหวาดกลัวยิ่งมาเสมอ เสียอาจารย์ไปนางหวาดกลัวนัก เสียบิดามารดาไปนางหวาดกลัวนัก พี่น้องสามคนถูกขังไว้ในวังไหวอ๋องนางหวาดกลัวนัก แต่งงานกับผู้อื่นนางหวาดกลัวนัก ตอนชักกระบี่แทงเข้าใส่ฮ่องเต้นางหวาดกลัวนัก ตอนดาบฟันเข้าใส่ร่างนางหวาดกลัวนัก ตอนเกิดใหม่ในร่างคนแปลกหน้านางก็หวาดกลัวนัก ทุกก้าวที่เดินนางล้วนหวาดกลัวนัก

 

 

น้ำตาเปียกหัวไหล่น้าเซียวอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

มือของน้าเซียวลูบปลอบหัวไหล่ของนาง

 

 

“ไม่กลัว ไม่กลัว ล้วนผ่านไปหมดแล้ว” นางเอ่ย “ครั้งนั้นแคว้นล่มบ้านแตกสาแหรกขาดข้าก็หวาดกลัวนักเหมือนกัน แต่ต่อมาข้าพบอาจารย์ของเจ้าก็ไม่กลัวแล้ว อาจารย์ของเจ้าจากไป ข้าหวาดกลัวนัก แต่ตอนนี้ข้าก็ได้พบเจ้าอีก เจ้าดูสิ ผู้ใดล้วนไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ความหวาดกลัวจะผ่านไปเสมอ ชีวิตอย่างไรก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหนักๆ บนหัวไหล่นาง

 

 

“อาจารย์หญิง เดิมข้าควรปลอบโยนท่าน ท่านถึงเป็นคนที่เสียใจที่สุด” นางเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น “หลายปีมานี้อาจารย์ล้วนทำเพื่อพวกท่าน ท่านอย่าโทษเขาเลย”

 

 

น้าเซียวยิ้มแล้ว

 

 

“โทษไม่โทษมีความหมายอะไร คนล้วนไม่อยู่แล้ว” นางเอ่ยตอบ “มีเขา เคยดีใจ ไม่มีเขา เคยเสียใจ ดีใจก็ดีเสียใจก็ดี ชีวิตล้วนต้องผ่านไป อายุป่านนี้แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ใช้ให้ดีๆ เถอะ”

 

 

คุณหนูจวินไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ลุกขึ้นเอาจดหมายที่อาจารย์ทิ้งไว้ออกมา

 

 

“สิ่งนี้มอบให้ท่าน” นางเอ่ย

 

 

น้าเซียวยังคงส่ายศีรษะ

 

 

“ข้าไม่ต้องการเก็บสิ่งนี้ไว้ สิ่งนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า สามีของข้าคือคนผู้นั้นที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับข้า คนขี้ขลาดที่ได้แต่พูดกับตนเองบนกระดาษคนนี้ ข้าไม่อยากรู้จัก” นางเอ่ยแล้วยื่นมือดันกลับไป “จิ่วหลิง เจ้าเก็บไว้เถิด นี่เป็นของเจ้า”

 

 

คุณหนูจวินไม่ปฏิเสธอีกแล้วก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีกเช่นกัน

 

 

“อาหยาง อาเซี่ยพวกเขาลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าต่อไปจะหาคนในอดีตเมื่อครั้งนั้น พลิกเอกสารบันทึกสักหน่อย ขอเพียงเคยกระทำย่อมต้องมีร่องรอยแน่ ประกาศเรื่องที่อาจารย์กับกองทหารชิงซานเคยทำในอดีตแก่ใต้หล้า…” นางสูดน้ำมูกเอ่ย

 

 

น้าเซียวส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่จำเป็น” นางเอ่ย “ตอนนี้ก็ค่อนข้างดีแล้ว ทุกคนล้วนรู้ว่าพวกเขาเป็นวีรบุรุษ พวกเขามีคุณงามความชอบ นี่ไม่ใช่ดีแล้วหรือ ต่อให้ค้นเรื่องเมื่อตอนนั้นออกมาก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้”

 

 

นางจัดจอนผมของคุณหนูจววินที่ถูจนยุ่งเหยิงเพราะกอดร้องไห้เมื่อครู่

 

 

“เรื่องที่ต้องทำยังมีมากมาย มองไปข้างหน้าเถอะ ไม่ต้องผูกติดอยู่กับอดีตแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินมองนางพลางพยักหน้าอย่างตั้งใจ

 

 

“ข้าเชื่อฟังอาจารย์หญิง” นางตอบรับ

 

 

น้าเซียวยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้ามอบทุกคนให้เจ้าแล้ว” นางเอ่ยขึ้น

 

 

เอ๋? มอบทุกคนให้ข้า ถ้าเช่นนั้นนางเล่า?

 

 

คุณหนูจวินมองนางอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“อาจารย์ของเจ้าฝังอยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปดูสักหน่อย” น้าเซียวเอ่ยแล้วยิ้ม “เขาไม่กล้าพบข้า ข้าดันอยากพบเขา ให้เขาเป็นผีก็ได้อับอาย”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว ยิ้มพร้อมน้ำตาแวววาว พยักหน้าหนักๆ

 

 

“ได้ ข้าส่งท่านไป” นางเอ่ยตอบ

 

 

……………………

Related

       ทหารหน้าประตูเมืองขวางชาวบ้านที่เข้าออกไว้ชั่วคราวอำนวยความสะดวกให้ขบวนคนและม้าขบวนหนึ่งผ่าน

 

 

 ขบวนคนเหล่านี้มีบุรุษมีสตรีมีผู้เฒ่ามีเด็กน้อย คนส่วนใหญ่ยังสวมชุดทหาร

 

 

“ใคร?”

 

 

“ขบวนใหญ่โตปานนี้เชียว?”

 

 

“เป็นคนจวนเฉิงกั๋วกง”

 

 

“คุณหนูจวินก็มาด้วย”

 

 

ได้ยินว่าเป็นคนจวนเฉิงกั๋วกง ชาวบ้านที่ถูกขวางก็เลิกโมโหทันที นอกจากนี้ยังมีคุณหนูจวินอีก ทุกคนมองไปอย่างดีอกดีใจ ใครกันทำให้จวนเฉิงกั๋วกงกับคุณหนูจวินตั้งขบวนใหญ่เช่นนี้มารับได้?

 

 

เมื่อรถม้าเจ็ดแปดคันหยุดลง กลุ่มคนที่รอคอยด้านนี้ก็รุมเข้าไป

 

 

“แม่!” จ้าวฮั่นชิงพุ่งเข้าไปกอดสตรีที่เพิ่งลงจากรถ

 

 

น้าเซียวหวิดถูกชนล้ม นางยิ้มแล้วตบปลอบจ้าวฮั่นชิง

 

 

“คุณหนู”

 

 

ในเวลาเดียวกันยังมีเสียงสตรีแหลมปรี๊ดเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนตาลายวูบหนึ่งก็เห็นหลิ่วเอ๋อร์โถมเข้าใส่บนร่างคุณหนูจวิน ร้องไห้เสียงดัง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางลูบศีรษะนาง

 

 

“หลิ่วเอ๋อร์ถูกขุนจนอ้วนแล้ว เกือบชนข้าล้ม” นางยิ้มเอ่ย

 

 

หลิ่วเอ๋อร์หยุดร้องไห้เปลี่ยนเป็นหัวเราะ

 

 

“ไม่อ้วนนะเจ้าคะ ข้าทำงานทุกวัน” นางเช็ดน้ำตาเอ่ย

 

 

“พี่สาวหลิ่วเอ๋อร์มองพวกเราทำงานทุกวัน” เด็กทั้งหลายที่ลงมาจากรถหัวเราะคิกคักเข้ามาร้องบอก

 

 

หลิ่วเอ๋อร์พลันถลึงตากระทืบเท้า

 

 

“ไปไปไป” นางเอ่ย

 

 

เด็กทั้งหลายไม่กลัวนาง หัวเราะฮิฮะโถมเข้าหาบุรุษสตรีสวมชุดทหารทั้งหลายที่เข้ามารับ

 

 

“พ่อ !”

 

 

“อาเถี่ยเจี่ยว!”

 

 

“แม่!”

 

 

สองฝ่ายกอดอยู่ด้วยกันอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะน้ำตาผสมปนเปไปหมด

 

 

ตอนนั้นเขาชิงซานทิ้งคนเฒ่าอ่อนแอกับเด็กอายุน้อยกว่าสิบสี่ปีไว้แล้วเลือกสตรีสิบนางดูแลคนเหล่านี้ ทั้งหมดที่เหลือติดตามคุณหนูจวินออกจากเขา คนไม่น้อยในนั้นทั้งครอบครัวไปด้วยกันหมด แน่นอนย่อมมีสามีภรรยาลูกชายลูกสาวแยกจากเช่นกัน เวลานี้พบพานกันอีกครั้งย่อมยินดีอย่างยิ่ง

 

 

แล้วก็มีคนหลั่งน้ำตาเงียบงัน นั่นคือครอบครัวของคนทั้งหลายที่ตายในการรบ แม้รู้ข่าวนานแล้ว แต่เวลานี้ได้พบกันก็ยังคงยากปิดบังความเจ็บปวด

 

 

“คุณหนูท่านผอมลงแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์พินิจดูนางแล้วเอ่ยขึ้น เบะปากจะร้องไห้ “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวไม่มีข้าดูแลไม่ไหว”

 

 

พูดพลางมองไปทางจ้าวฮั่นชิงอีกหน

 

 

“ท่านดูสิตัวนางเองกลับขุนจนอ้วนฉุ”

 

 

จ้าวฮั่นชิงเบ้ปากใส่นาง

 

 

น้าเซียวลูบดวงหน้านาง ในดวงตายากปิดบังความตื่นเต้น

 

 

“ใช้ ขุนมาดีจริงๆ” นางเอ่ย “ข้ายังเกือบจำไม่ได้”

 

 

จ้างฮั่นชิงเองก็ลูบดวงหน้าตนเองด้วย

 

 

“สวยขึ้นทุกทีแล้วใช่หรือไม่?” นางหัวเราะคิกคักเอ่ย

 

 

น้าเซียวพยักหน้ามองไปหาคุณหนูจวิน

 

 

คุณหนูจวินก็พยักหน้ายิ้มให้นาง

 

 

“ทุกคนมีสิ่งใดพูดคุยก็ไปที่บ้านคุยเถอะ” เซี่ยหย่งเอ่ยเรียก

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งรีบปลอบบรรดาสตรีและเด็กน้อยทั้งหลาย

 

 

ที่พักจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว วันที่สองที่คุณหนูจวินเข้าเมืองหลวง เต๋อเซิ่งชางก็เริ่มตระเตรียม ซื้อซอยแห่งหนึ่งไว้ เก็บกวาดบ้านสิบกว่าหลัง เพียงพอรับประกันว่าผู้คนของกองทหารชิงซานจะอยู่ได้เหมือนบ้าน

 

 

“คุณหนูอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ที่นั่น” หลิ่วเอ๋อร์กอดแขนคุณหนูจวินพลางเอ่ย คล้ายสักชั่วครู่ก็ไม่คิดจากไกล

 

 

“แน่นอน” คุณหนูจวินอมยิ้มบอก “เจ้าขี้เกียจนานปานนี้ ควรทำงานได้แล้ว”

 

 

ทุกคนพากันขึ้นรถ จูจั้นที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นเวลานี้เดินเข้ามายืนตรงหน้าน้าเซียว

 

 

“ท่านแม่ข้าตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญนายหญิงไปพักผ่อนที่บ้าน” เขาคำนับเอ่ย

 

 

แม้สีหน้ายามเดินเข้ามาไม่ใคร่จะยินดีอยู่บ้าง แต่หนึ่งถ้อยคำหนึ่งคำนับมีมารยาทครบถ้วน

 

 

น้าเซียวมองประเมินเขาแล้วมองไปหาคุณหนูจวิน

 

 

“นี่คือท่านชายสินะ” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินขานรับ จูจั้นก็คำนับอีกหน

 

 

“ในเมื่อท่านหญิงกั๋วกงเชื้อเชิญ ข้าย่อมต้องไป” น้าเซียวเอ่ย ไม่หวาดหวั่นวิตกสักนิด ยิ่งไม่ปฏิเสธ คล้ายนี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมสมควร

 

 

เหมือนครอบครัวของตนเอง

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันคิดอยากเหมือนจ้าวฮั่นชิง อิงแอบอีกด้านหนึ่งของน้าเซียว

 

 

ความคิดนี้ทำให้นางกระดากอยู่บ้าง นางโตป่านนี้แล้ว ต่อให้ในใจรักใคร่นับถือพระมารดากับพี่สาว นางก็ดูแคลนการไปกระทำเช่นนั้น คิดว่าชีวิตหนึ่งยังยาวนานย่อมมีโอกาสแสดงออก ผลสุดท้ายไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว

 

 

นางยกเท้าเดินเข้าไป คล้องแขนน้าเซียว อิงศีรษะกับหัวไหล่นาง

 

 

“ท่านหญิงกั๋วกงตระตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับขับสู้ท่านเรียบร้อยแล้ว” นางเอ่ยบอก

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

รถม้าขับแยกเป็นสองทาง เซี่ยหย่งพาคนเขาชิงซานเดินทางไปก่อน น้าเซียวพาจ้าวฮั่นชิงกับหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นรถของจวนกั๋วกง

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือแนบแก้มตนเองเงียบๆ ยังร้อนอยู่นิดๆ ไม่รู้ถูกคนเห็นว่าหน้าแดงหรือไม่

 

 

การกระทำเมื่อครู่ของนางทำออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบต่อหน้าคนมากมายปานนี้อย่างไรก็กระดากอายอยู่บ้าง โชคดีทุกคนล้วนจมจ่ออยู่กับความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งจึงไม่ได้สนใจ

 

 

มีคนแค่นเสียงเหอะสองทีอยู่ด้านข้าง

 

 

คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง จูจั้นยักคิ้วใส่นาง

 

 

“คนหนุนหลังมาแล้ว ดีใจปานนี้เชียว?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คนหนุนหลังรึ?

 

 

คุณหนูจวินยิ้มจนดวงตาโค้ง

 

 

“ใช่แล้ว ริษยาล่ะสิ? อิจฉาล่ะสิ?” นางเอ่ยแล้วยักคิ้วให้เขาบ้าง “หวาดกลัวล่ะสิ?”

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะ

 

 

“ข้ากลัวอะไร? ข้าบอกเจ้า ล้วนไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ยขึ้น “รีบหยุดความคิดที่ไม่ควรมีเสีย อย่าก่อเรื่องไปถึงท้ายที่สุดน่าเกลียด”

 

 

คุณหนูจวินกุมหน้ายิ้มให้เขา

 

 

“ข้าไม่น่าเกลียดหรอก” นางว่า “ท่านไม่ใช่บอกว่าข้าน่ามองยิ่งหรือ”

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง หมุนตัวปุบก็จากไป คุณหนูจวินยิ้มติดตาม สองคนต่างขึ้นม้าของตนเอง

 

 

น้าเซียวที่นั่งอยู่ในรถม้ารั้งสายตากลับมาแล้วยิ้มนิดๆ

 

 

“คุณหนูจวินกับท่านชายเข้ากันดีทีเดียว” นางเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว พี่สาวดีปานนี้ ใครไม่ชอบนางเล่า” จ้าวฮั่นชิงว่า

 

 

หลิ่วเอ๋อร์ก็พยักหน้าตามด้วย

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว คนที่ไม่ชอบคุณหนูของข้าล้วนเป็นคนเลว” นางเอ่ยเสริม

 

 

น้าเซียวหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

นางน้อยนักจะหัวเราะลั่นเช่นนี้ หรือพูดได้ว่านานนักแล้วที่ไม่ได้หัวเราะเช่นนี้

 

 

ไม่หัวเราะได้นานนัก นานสิบปีหลายปี แต่หัวเราะเบิกบานทีหนึ่งก็ง่ายดายเช่นนั้นอีก มนุษย์เป็นตัวตนที่ลำบากและรู้จักพอจริงๆ

 

 

นางมองดวงหน้าที่ไม่จำเป็นต้องสวมผ้าปิดหน้าแล้วของจ้าวฮั่นชิง แม้ยังแปลกอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ถึงขั้นทำให้คนหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว แล้วมองดูหลิ่วเอ๋อร์ จากนั้นนางก็ยื่นมือลูบศีรษะทั้งสองคน

 

 

“ใช่” นางว่า “คนที่ไม่ชอบนางล้วนเป็นคนเลว”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

งานเลี้ยงในครอบครัวที่จวนกั๋วกงครึกครื้นยิ่งและตามสบายยิ่ง น้าเซียวเผชิญหน้ากับสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงอย่างนิ่งสงบสบายๆ สามีภรรยาเฉิงกั๋วกงก็ปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ระหว่างงานเลี้ยงไม่ถามถึงอดีตแม้แต่นิด พูดถึงเพียงปัจจุบัน ชื่นชมจ้าวฮั่นชิงกับคุณหนูจวิน อาหารมื้อหนึ่ง นอกจากจูจั้นทุกคนล้วนกินอย่างสำราญใจยิ่ง

 

 

งานเลี้ยงเลิกราเฉิงกั๋วกงขอตัว ท่านหญิงเฉิงกั๋วให้คุณหนูจวินจัดการให้น้าเซียวพักผ่อน

 

 

“พักที่นี่แล้วค่อยไป” นางว่า “เลือกสาวใช้สองสามคนไปปรนนิบัติด้วย”

 

 

น้าเซียวไม่เอ่ยถ้อยคำเกรงใจ อมยิ้มน้อมรับ

 

 

“ข้าล่ะชอบคุยกับคนเช่นนี้อย่างท่าน ไม่คิดร้ายพร่ำพูดมากมายปานนั้น” นางหญิงอวี้ยิ้มยินดีพูดขึ้น ตบบนมือของน้าเซียวเบาๆ “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวไม่ใช่คนพวกเดียวกันไม่อยู่บ้านเดียวกัน…”

 

 

จูจั้นไอสองที คล้ายดื่มชาแล้วสำลัก

 

 

นายหญิงอวี้ไม่สนใจเขา

 

 

“…นิสัยคุณหนูจวินเหมือนท่าน” นางเอ่ยต่อ “นายหญิงเซียว ท่านก็รู้ว่าเรื่องแต่งงานนี่เป็นเรื่องหลอก ลำบากคุณหนูจวินแล้วจริงๆ”

 

 

นายหญิงเซียวอมยิ้มส่ายศีรษะ

 

 

“ทำการใหญ่ไม่พะวงเรื่องเล็กน้อย” นางว่า “ไม่ลำบาก”

 

 

จูจั้นรีบพยักหน้า

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“พูดถูกต้อง” นางเอ่ย ตบบนมือน้าเซียวเบาๆ อีกหน “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เรียกท่านว่าแม่ยายสักคำ”

 

 

ตรรกะนี่ไม่ถูกต้องกระมัง?

 

 

 จูจั้นอึ้ง

 

 

“แม่ แม่ อย่านับญาติมั่วซั่วสิ” เขาหลุดปากรีบร้อนเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“สตรีคุยกันเจ้าสอดปากอะไร” นางเอ็ดเสียงเบา “ไปเลือกสาวใช้หญิงรับใช้สักหลายคนมาให้นายหญิงใช้”

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องที่สตรีทำหรือ? ให้เขาไปทำอีกแล้ว! จูจั้นถลึงตาแต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดมารดากระฟัดกระเฟียดจากไป

 

 

“ท่านหญิงมีบุตรชายดี” น้าเซียวอมยิ้มเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มไม่ถ่อมตัวสักนิด

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” นางว่า

 

 

คุณหนูจวินลานายหญิงอวี้แล้วพานายหญิงเซียวกับจ้าวฮั่นชิงมาถึงสถานที่พักของตนพักผ่อน

 

 

“เจ้าไปบอกอารองเซี่ยของเจ้าสักคำ ข้าจะพักด้วยกันกับอาสะใภ้เซี่ยวของเจ้าแล้วกัน ไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว เดียวดายนัก” น้าเซียวคิดอะไรขึ้นได้ บอกกับจ้าวฮั่นชิง “เจ้าไปบอกเขาก่อน ไม่ให้ถึงเวลาเปลี่ยนอีก”

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานอ้อแล้ว ดีอกดีใจจากไป

 

 

ในห้องเหลือเพียงน้าเซียวกับคุณหนูจวินสองคน

 

 

คุณหนูจวินเอาชามา

 

 

“ท่านน้า” นางเอ่ย “ท่านมีคำพูดอันใดจะถามข้าหรือ?”

 

 

น้าเซียวมองไปหานาง

 

 

“เขาตายตั้งแต่เมื่อไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

มือที่ถือชาของคุณหนูจวินแข็งทื่อนิดหนึ่ง

 

 

………………………

Related

       ตอนที่จดหมายของฟางเฉิงอวี่ออกจากเมืองหยางเฉิงมายังเมืองหลวง ก็มีคนสองขบวนวิ่งมายังเมืองหลวงเช่นกัน  

 

 

ขบวนรถของภรรยาเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงก่อน ทำให้ในจวนเฉิงกั๋วกงกลายเป็นครึกครื้นอย่างยิ่ง  

 

 

“แม่ นี่ท่านขนสมบัติที่แดนเหนือมาหมดแล้ว” จูจั้นเอ่ย มองบ่าวรับใช้สาวใช้ในจวนที่เพิ่มมาครึ่งหนึ่งกับเครื่องเรือนเครื่องใช้สารพัดที่ขนลงมาจากบนรถ  

 

 

“บ้านเก่าคร่ำคร่ามีค่าหมื่นพวง” นายหญิงอวี้เอ่ย สายตาเลยผ่านร่างจูจั้นไป “คุณหนูจวินเล่า?”  

 

 

จูจั้นยืนตรงหน้านาง ขวางสายตาของนางไว้  

 

 

“แม่ ท่านเข้าบ้านมายังไม่มองข้าดีๆ สักทีสองทีเลยนะ” เขาเอ่ยบ่น “คิดถึงลูกของคนอื่นทำอะไร”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้ม  

 

 

“ใครให้ลูกของคนอื่นดีปานนี้เล่า” นางว่า  

 

 

“ลูกของท่านก็ไม่เลวนะ” จูจั้นเอ่ย “อาศัยจังหวะที่พ่อยังไม่กลับมาจากในราชสำนัก ข้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ท่านฟัง ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วจริงๆ”  

 

 

“อืม ข้าได้ยินมาแล้ว เรื่องที่คุณหนูจวินให้ชาวบ้านหมื่นกว่าคนอารักขาพ่อเจ้าเข้าเมืองหลวงสินะ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย “ตลอดทางล้วนกำลังเล่าเรื่องนี้ ฟังจนข้าจะเล่าย้อนหลังได้แล้ว”  

 

 

จูจั้นคล้องแขนนายหญิงอวี้กำลังจะเข้าไปในห้องโถง  

 

 

“เรื่องยอดเยี่ยมที่เมืองหลวงไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะ แม่ ยังมีเรื่องที่ข้าทำเอง…” เขาสีหน้าเริงร่าเอ่ย  

 

 

พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงก้าวเท้า คุณหนูจวินเดินออกมาจากด้านหลัง  

 

 

“ท่านหญิงท่านมาแล้ว” นางอมยิ้มเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้ดันจูจั้นออก จับมือคุณหนูจวินไว้ทันที  

 

 

“ยุ่งอยู่หรือ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“เจ้าค่ะ ทายาให้น้องสาวข้าอยู่” คุณหนูจวินตอบ  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านรีบไปทำงานเถอะ” นายหญิงอวี้รีบเอ่ย  

 

 

“ทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” คุณหนูจวินหัวเราะบอก “อีกประเดี๋ยวนางล้างออกเองก็เรียบร้อยแล้ว”  

 

 

นายหญิงอวี้จึงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำเกรงใจอีก  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ท่านรีบมาเล่าเรื่องส่งผู้อพยพเรือนหมื่นเข้าเมืองหลวงให้ข้าฟังเถอะ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นกระแอมเสียงเบา  

 

 

“แม่ ท่านไม่ได้ฟังมาหลายรอบมากแล้วหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่จูจั้น  

 

 

“ยังจะงงอยู่ทำอะไรอีก?” นางพูดแล้วชี้คนที่วุ่นวายในลาน “ไปเฝ้าของให้เก็บเรียบร้อย ไม่มีของเหล่านี้ ข้าแปลกที่นอนหลับไม่สบาย  

 

 

“ข้าอีกแล้วรึ?” จูจั้นชี้ตนเอง  

 

 

“ไม่เช่นนั้นเป็นข้ารึ?” นายหญิงอวี้ถาม จากนั้นไม่สนใจจูจั้นอีก ยิ้มให้คุณหนูจวินพลางจูงมือนาง “มา มา พวกเราเข้าไปนั่งพูดจากัน”  

 

 

มองทั้งสองคนคุยเล่นหัวเราะเดินเข้าไปแล้ว จูจั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ถลึงตา  

 

 

“ก่อนหน้านี้แม่ชอบฟังข้าเล่าเรื่องที่สุด” เขากัดฟันเอ่ย  

 

 

มีสะใภ้ก็ลืมบุตรชายจริงๆ  

 

 

ถุยถุย จูจั้นถ่มน้ำลายติดกันหลายที สีหน้าขุ่นเคือง  

 

 

ความขุ่นเคืองนี้ไม่ใช่เพราะนายหญิงอวี้เมินเฉยตน แต่เพราะถ้อยคำที่ผุดออกมาในใจเมื่อครู่  

 

 

เขายืนอยู่ที่เดิมสีหน้าจากขุ่นเคืองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม จากนั้นก็เหม่อลอยคล้ายงุนงง มองบ่าวรับใช้ในลานคุยเล่นเอะอะพลางวุ่นทำงานจึงค่อยๆ ฟื้นกลับคืนสภาพเดิม  

 

 

“พวกนี้ไปวางไว้ห้องนอนของท่านหญิง” เขาเอ่ย สองสามก้าวก็เดินมาถึงข้างรถม้าเลือก  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

เฉิงกั๋วกงที่ได้ข่าวรีบเร่งเดินทางกลับมาจากที่ทำการขุนนางทำให้ในจวนยิ่งครึกครื้น  

 

 

“คนที่จากไปกลับมาน่ายินดีที่สุด” เขาเอ่ยขึ้น “พวกเราฉลองกันดีๆ สักหน่อย”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มให้เขา  

 

 

“ข้าอยากลิ้มรสอาหารเป่าโจว” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“คนครัวที่มาจากเป่าโจวอยู่ในห้องครัวแล้ว” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มบอก  

 

 

นายหญิงอวี้ไม่ปิดบังรอยยิ้มยินดีสักนิด  

 

 

“ท่านกั๋วกงก็ใส่ใจเช่นนี้” นางเอ่ยกับคุณหนูจวิน  

 

 

ใช่แล้ว  

 

 

รู้ว่าตนอยากกินผลไม้เชื่อม แต่ก็รู้ว่าต้องถูกคุมห้ามไม่ให้กินมากแน่นอน ดังนั้นผลไม้เชื่อมที่เขาส่งมาให้จึงบิออกไปครึ่งหนึ่งอย่างใส่ใจ  

 

 

ปลอบใจสหายตัวน้อย แต่ก็ไม่ตามใจ  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า เห็นสามีภรรยาสองคนซึ่งทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกถ้อยทุกคำล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่นี้ นางก็อดไม่ได้คิดถึงพระบิดาพระมารดา  

 

 

พระบิดากับพระมารดาก็รักใคร่กันเช่นนี้ หากไม่ใช่ก็คงไม่มีทางให้กำเนิดธิดาติดกันสองคน ทั้งตอนที่พระบิดาประชวรหนักก็ยังคงไม่รับชายารองและอนุชายาตามคำขอร้องของพระอัยกา  

 

 

ดังนั้นเมื่อพวกเขาบอกว่าพระบิดาประชวรสวรรคต พระมารดาจึงปลงพระชนม์ตายตามไปด้วย แม้นางเสียใจแต่ไม่เคยสงสัย  

 

 

นางไม่เคยสงสัยความรักลึกซึ้งของพระมารดา แต่เมื่อคิดว่าความรักลึกซึ้งของพระมารดาถูกใช้ประโยชน์ในแผนร้ายก็ทำให้คนปวดใจจริงๆ  

 

 

“พ่อแม่ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือทานเถอะ ข้าหิวแล้ว มีวาจาอันใดพวกท่านกลับไปในห้องค่อยคุยกัน” จูจั้นพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มไม่เอ่ยวาจาอีก  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ตั้งสำรับที่หอลวี่อวิ๋นแล้วกัน”  

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายรีบขานรับไปจัดเตรียม เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาออกไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้า  

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของพวกเขาไม่ขยับ  

 

 

“เจ้าคิดอะไร?” เสียงจูจั้นดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม  

 

 

“คิดว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามจริงๆ” นางเอ่ย “ทำให้ความสวยงามนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ จ่ายอีกเท่าใดก็คุ้มค่า”  

 

 

จูจั้นกลอกตาทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าพูดจริงจังสักครั้งไม่ได้” เขายิ้มเย็นชาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินมองเขา  

 

 

“ประโยคนั้นของข้าไม่จริงจังรึ? สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นถ้อยคำจริงจัง ท่านสิไม่จริงจังฟัง นางเอ่ยแล้วเม้มปากยิ้ม “ตัวอย่างเช่น ข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง”  

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่งก้าวยาวเดินออกไปแล้ว  

 

 

แม้คนบนโต๊ะไม่นับว่ามาก แต่ครึกครื้นยิ่งนัก ข้างกายนายหญิงคุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่อวี้หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา  

 

 

“ข้าดูซิ ดีขึ้นมากเหลือเกินแล้วจริงๆ ไม่ดูให้ละเอียดมองไม่ออก” นายหญิงอวี้มองจ้าวฮั่นชิงแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

               จ้าวฮั่นชิงไม่ได้ปิดหน้า เผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าครอบครัวเฉิงกั๋วกง  

 

 

               แผลบนหน้าเทียบกับตอนอยู่เขาชิงซานดีขึ้นมากนักแล้ว แต่ไม่ถึงกับมองไม่ออก  

 

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า ไม่รู้สึกว่าที่นายหญิงอวี้พูดเกินจริง  

 

 

“พี่สาวบอกว่าดีขึ้นทุกที” นางเอ่ย  

 

 

“ยังขาดยาบางอย่าง” คุณหนูจวินเอ่ย “หาไม่ง่ายนัก อยากได้ก็หาไม่ได้”  

 

 

นายหญิงอวี้ร้องอ้อ มองไปหาจูจั้น  

 

 

จูจั้นที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะเกิดปฏิภาณ  

 

 

“ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงซับซ้อน พ่อ เรื่องท่านจะไปหรืออยู่ ในราชสำนักว่าอย่างไร?” เขารีบมองไปทางเฉิงกั๋วกงทำหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น “ข้าเคลื่อนไหวแทนท่านพ่อได้ เรื่องที่ไม่สะดวกทำกับคำที่ไม่สะดวกพูดข้าทำเอง”  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง  

 

 

“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ยตอบ  

 

 

นายหญิงอวี้กำลังจะพูดอะไรก็มีหญิงรับใช้เข้ามา มองๆ นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกง ท้ายที่สุดสายตาก็จับบนร่างคุณหนูจวิน  

 

 

“คุณหนูจวิน นายท่านเฉินชีมาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

นายท่านเฉินชีอันใด เฉินชีแห่งโรงหมอจิ่วหลิง กระทั่งหญิงรับใช้จวนเฉิงกั๋วกงล้วนเรียกขานเป็นนายท่าน จูจั้นกลอกตาอีกหน แล้วดูการปฏิบัตินี่ หญิงรับใช้ข้ามหน้าเฉิงกั๋วกงสองสามีภรรยาไปแจ้งกับนาง คนไม่รู้คงคิดว่านางเป็นเจ้าของจวนเฉิงกั๋วกง  

 

 

น่าเสียดายแค่นอกจากเขา สี่คนที่เหลือที่นั่งอยู่ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม  

 

 

“ข้าไปดูสักหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงอวี้ห้ามนางลุก  

 

 

“ดูอันใด” นางว่า “เชิญเข้ามาก็ได้”  

 

 

พูดพลางส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้  

 

 

“ถามดูซิว่าทานอาหารมาหรือยัง?”  

 

 

หญิงรับใช้ขานรับรีบออกไป ไม่นานเฉินชีก็ปลื้มปริ่มเปรมปรีดิ์เข้ามา  

 

 

“ขอบคุณท่านหญิงท่านกั๋วกงยิ่ง” เขาคำนับทันที “ข้าน้อยทานอาหารมาแล้วขอรับ”  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนให้เขา  

 

 

“มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็ไปคุยกันเถอะ” เขาเอ่ยบอก  

 

 

คุณหนูจวินจะลุกขึ้น เฉินชีก็เอ่ยปากก่อน  

 

 

“ข้าน้อยมาแจ้งคุณหนูจวิน นายหญิงเซียวกับหลิ่วเอ๋อร์พวกนางมาถึงแล้วขอรับ” เขาเอ่ยอย่างยินดี  

 

 

จ้าวฮั่นชิงกระโดดลุกขึ้นมา  

 

 

“แม่ข้ามาแล้ว” นางตะโกนจากนั้นวิ่งไปข้างนอก  

 

 

คุณหนูจวินตามไปด้านหลังติดๆ  

 

 

นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกงก็ลุกขึ้นยืนด้วย  

 

 

เห็นบิดามารดาทำเช่นนี้ จูจั้นที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ใคร่ยินดีด้วย  

 

 

“ไป ไปรับแม่ยาย” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

 

แม่ยายอะไรเล่า! จูจั้นถลึงตา ไม่ได้นับเช่นนี้กระมัง  

 

 

………………………………

Related

เวลาที่จดหมายด่วนส่งมาถึงเมืองหยางเฉิงคือสามวันให้หลัง  

 

 

ฟ้าเพิ่งสว่าง บนถนนฉับพลันเอะอะขึ้นมา ดึงคนนับไม่ถ้วนให้มองไปยังที่ซึ่งเกิดเสียง  

 

 

“เรื่องอะไร?”  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?”  

 

 

ทุกคนพากันเอ่ยถาม หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนท่ามกลางเสียงเอะอะ  

 

 

“นายน้อยฟาง!”  

 

 

“นายน้อยฟาง!”  

 

 

นายน้อยฟาง?  

 

 

นายน้อยฟางของเต๋อเซิ่งซางรึ? หลายวันก่อนไม่ใช่บอกว่าดื่มเหล้าดื่มจนเกือบตายรึ? ถึงกับออกมาอีกแล้วหรือ? ผู้คนพากันแห่ไปด้านนั้น  

 

 

เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้าเร็วรี่ผ่านไปจริงๆ ยังคงอาภรณ์หรูหราเครื่องประดับวิบวับเหมือนเดิม สีหน้ามีชีวิตชีวา ขี่ม้าเร็วไว มีสภาพใกล้ตายสักนิดที่ไหน  

 

 

สาวน้อยทั้งหลายที่ล้อมดูตะลึงยินดีอย่างยิ่ง ยังมีสาวใหญ่ไม่น้อยเช็ดน้ำตา  

 

 

“ดีเหลือเกิน นายน้อยฟางไม่เป็นไร”  

 

 

“รู้อยู่เชียวว่าคนดีฟ้าคุ้มครอง”  

 

 

“นายน้อยฟางไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้โบกมือคุยเล่นกับคนริมถนนเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ สีหน้าเร่งรีบอยู่บ้างขี่ม้าเร็วรี่ผ่านไป  

 

 

“มีเรื่องอะไรรึ?” คนบนถนนสอบถามกัน  

 

 

“ได้ยินว่าไม่ใช่ดื่มสุรามากไป แต่ถูกคนวางยาพิษ” คนเอ่ยเสียงเบา  

 

 

คำนี้แพร่ออกไปทันที ฉับพลันจุดคำถามตระหนกนับไม่ถ้วนมา  

 

 

มีคนสองคนเบียดออกมาจากฝูงชน มองแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่ที่ถูกผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมจากไปไกล สีหน้าทะมึนแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง พวกเขาสบตากันทีหนึ่ง เลี้ยวตามถนนเข้าไปในซอยเส้นหนึ่งหายไป  

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่งท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้คุ้มกัน  

 

 

ในห้องเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งถูกมัดไว้บนเตียง ศีรษะตกห้อยคล้ายสลบอยู่  

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินเข้ามายืนยิ่ง เชิดคางขึ้นนิดหนึ่ง  

 

 

สองข้างมีผู้คุ้มกันก้าวเข้ามาทันที น้ำถังหนึ่งสาดเข้าไป เด็กสาวคนนั้นสะดุ้งโงนเงนทีหนึ่งเงยศีรษะขึ้นมา เส้นผมเปียกชุ่มปรกลงสองข้างเผยใบหน้า บ่าวสาวที่เติมน้ำให้ฟางเฉิงอวี่ในเหลาสุราวันนั้นนั่นเอง  

 

 

บนหน้าบนร่างนางกลับไม่มีบาดแผลอันใด เพียงคางตกห้อย เห็นชัดว่าถูกถอดออก  

 

 

เมื่อเห็นฟางเฉิงอวี่ นางพลันเริ่มดิ้นรน ในดวงตาเต็มไปด้วยคำวิงวอนและความหวาดกลัว  

 

 

“เจ้าต้องประหลาดใจแน่ว่าข้ามองเจ้าออกได้อย่างไร” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยกับนาง  

 

 

ต่อหน้าเด็กสาวอายุน้อยคนนี้ เขาไม่ยิ้มร่าดังเก่าสักนิด แต่ดวงตาเป็นประกาย ประกายนี่ไม่ใช่ความไร้เดียงสาอย่างเด็กน้อย แต่ประหลาดอยู่บ้าง ทำให้คนหนาวเหน็บหัวใจ  

 

 

หากนายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่ที่นี่คงจดจำได้ว่าแววตานี้ก็คือแววตาแบบนั้นเมื่อมือยกดาบร่วงสังหารนายอำเภอหลี่ฉับไวในห้องขัง  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยมองเขาส่ายศีรษะวิงวอน ใช้แววตาแสดงความบริสุทธิ์  

 

 

“อย่างแรก เจ้าไม่เหมือนกับเด็กสาวทั้งหลายในหยางเฉิง เจ้าเห็นข้ากลับไม่หวั่นไหวสักนิด” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเล่า “นี่ประหลาดเกินไปแล้วจริงๆ”  

 

 

นี่เรียกประหลาดอันใด ทำไมเด็กสาวทั้งหลายในหยางเฉิงเห็นเขาล้วนต้องหวั่นไหวเล่า? แววตาของเด็กสาวอายุน้อยงุนงงอยู่บ้าง  

 

 

“เพราะข้าหน้าตาหล่อเหลาสิ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มให้นาง  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยแววตาสับสนอยู่บ้าง  

 

 

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนบ้ารึ? นางส่ายศีรษะวิงวอนว่าตนเองบริสุทธิ์อีกหนสุดชีวิต  

 

 

“แน่นอนที่สำคัญที่สุดก็คือ” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ยต่อ “จิ่วหลิงไม่ให้ข้ากินอะไรข้างนอก นางบอกว่าคนข้างนอกล้วนเป็นคนเลวล่ะ”  

 

 

พูดพลางชี้เด็กสาวอายุน้อยแล้วพยักหน้านิดๆ  

 

 

“ดังนั้น เจ้าปรากฏตัวปุบ ข้าก็ถือว่าเจ้าเป็นคนเลวแล้ว”  

 

 

เสียสติแท้! เด็กสาวอายุน้อยมองเขานิ่งๆ  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มตาหยีมองนาง  

 

 

“แต่ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เขาเอ่ยบอก  

 

 

เด็กหนุ่มหน้าตางดงาม สีหน้าจริงใจ วาจามีมารยาท แต่ดูอย่างไรก็ล้วนทำให้ในใจคนผวา ขนหัวลุก  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยจะวิงวอนอู้อี้อีกหน ฟางเฉิงอวี่ก็หมุนตัวไปแล้ว  

 

 

“ปล่อยนางไปเถอะ” เขาเอ่ยพลางโบกมือ  

 

 

ปล่อยไป?  

 

 

นี่จะปล่อยนางไป?  

 

 

ขังไว้สามวัน แค่มัดนางไว้บนเตียงเท่านั้น ไม่ตี ไม่ด่าก็ปล่อยนางไปแล้ว?  

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไร?  

 

 

“ถามเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางพูด” ฟางเฉิงอวี่ผายมือเอ่ย “ลงทัณฑ์บีบให้สารภาพตีๆ ด่าๆ โหดร้ายนัก ข้าไม่ชอบสิ่งนี้ที่สุดแล้ว อย่างไรข้ารู้ว่ามีคนจะทำร้ายข้าก็พอแล้ว ไม่สนหรอกว่ามันเป็นใคร จิ่วหลิ่งบอกว่าคนข้างนอกล้วนเป็นคนเลวไหม ปกติยิ่งไม่เป็นไรหรอก”  

 

 

นี่มันตรรกะพิสดารอันใด? เด็กสาวอายุน้อยยิ่งงุนงง นายน้อยตระกูลฟางคนนี้ถูกขังอยู่สิบปีเลี้ยงจนเสียสติแล้วจริงๆ สินะ? ทำไมสภาพจิตใจเหมือนเด็ก?  

 

 

นางไม่ทันวิงวอนก็ถูกคนแก้มัด แบกออกไปนั่งบนรถม้าแล้ว  

 

 

รถม้าลดๆ เลี้ยวๆ ตอนที่เด็กสาวคิดว่าตนคงถูกฆ่าปิดปากนั่นเอง คนก็ถูกรถที่มาส่งโยนลงมา พร้อมกันนั้นคางก็ถูกใส่คืน  

 

 

นางคุกเข่าอยู่บนพื้นเวียนศีรษะอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งไม่ทราบว่าตนอยู่ที่ใด เงยหน้าขึ้นก็เห็นรถม้าหายไปแล้ว ส่วนนางไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในเขาเปลี่ยวท้องทุ่งอันใด ยังคงอยู่ในหยางเฉิง  

 

 

นี่คือตรอกด้านหลังเหลาสุราแห่งนั้น  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยยื่นมือกุมแก้ม สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด  

 

 

ในปากนางใส่ถุงพิษใบหนึ่งไว้ เดิมใช้ฆ่าตัวตายในยามที่จะถูกจับ ผลปรากฏว่าไม่ทันตั้งตัวก็ถูกถอดกรามออก ไม่มีโอกาสมาตลอด  

 

 

ตอนนี้ถูกปล่อยออกมาแล้ว ไม่ถูกสอบสวนแล้ว ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ยังจะตายอีกหรือ?  

 

 

บางทีตระกูลฟางอาจคิดใช้นางล่อคนเบื้องหลังออกมา ไม่เป็นไร ขอเพียงคนเบื้องหลังไม่มาหานาง นางก็ไม่ไปหาพวกเขาก็ไม่เป็นไรแล้ว  

 

 

มือนางวางบนใบหน้า อายุยี่สิบปีกำลังเป็นวัยที่ดีที่สุด ผิวหนังเนียนลื่นประหนึ่งหยก  

 

 

มีชีวิตอยู่ อย่างไรก็เป็นเรื่องดียิ่ง  

 

 

นางลุกขึ้นเดินไปด้านนอกอย่างเชื่องช้า  

 

 

               บนถนนใหญ่คนมาคนไปรถม้าอาชาเรียงเป็นสายไม่สังเกตนาง นางเดินอยู่ในนั้นอย่างระมัดระวัง ฉับพลันรถม้าคันหนึ่งก็เฉียดผ่านร่างหยุดลงตรงหน้า ไม่ทันรอนางตอบสนองก็ฉุดนางขึ้นรถม้าไปเสียแล้ว  

 

 

               เด็กสาวอายุน้อยเวียนศีรษะตาลายอีกครั้ง ยังไม่ทันส่งเสียงร้องตกใจ ริมหูเสียงตวาดเบาๆ พลันดังขึ้น  

 

 

“ข้าเอง”  

 

 

เสียงคนของตนเอง เด็กสาวอายุน้อยโล่งอก ตื่นเต้นอยู่บ้าง  

 

 

“บัณฑิตหยาง…” นางเอ่ยเรียก  

 

 

ในรถม้าบุรุษสองคนนั่งอยู่ เวลานี้สีหน้าถมึงทึง  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม  

 

 

“ข้าถูกมองออก เขาไม่ได้ถูกพิษ” เด็กสาวอายุน้อยรีบเอ่ยบอก “ข้าถูกจับเดี๋ยวนั้น”  

 

 

บุรุษสองคนสบตากันทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้ากลับไม่ตาย?” บุรุษอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม “เจ้าบอกอะไรเขา?”  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยรีบส่ายศีราะ  

 

 

“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้พูดสิ่งใดทั้งสิ้น” นางรีบเอ่ยบอก พูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าคำตอบนี้ยากจะทำให้คนเชื่อ “ไม่ พวกเขาไม่ถามสิ่งใดเลย”  

 

 

พูดพลางก็เอ่ยคำพูดของฟางเฉิงอวี่ซ้ำรอบหนึ่ง  

 

 

บุรุษสองคนสบตากัน  

 

 

“อ้อ” พวกเขาเอ่ย “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”  

 

 

เด็กสาวอายุน้อยพยักหน้า  

 

 

“ใช่…” นางเอ่ยขึ้น เพิ่งอ้าปากก็เสียงดังกึกทีหนึ่ง บุรุษคนหนึ่งยื่นมือถอดกรามของนางออก พร้อมกันนั้นบุรุษอีกคนหนึ่งก็กดแขนของนาง กึกๆ สองที แขนสองข้างก็ตกห้อย  

 

 

เด็กสาวถูกจู่โจมฉับพลันคราวนี้เจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว คนก็ประหนึ่งตุ๊กตาผ้าขาดๆ หงายอยู่บนรถ  

 

 

“มารดามัน เจ้าเห็นพวกเราเป็นเด็กน้อยหรือ? เอ่ยถ้อยคำเหลวไหลอะไร”  

 

 

ริมหูเป็นเสียงด่าของเหล่าบุรุษ พร้อมกันนั้นมือหนึ่งก็ยื่นมาถึงในปาก เอาถุงพิษลูกนั้นออกมา  

 

 

“รอผ่านมือนายท่านซุนรอบหนึ่ง คำที่เจ้าพูดยังพอทำให้คนเชื่อได้”  

 

 

ได้ยินนายท่านซุนชื่อนี้ ใบหน้าของเด็กสาวอายุน้อยยิ่งบิดเบี้ยว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  

 

 

ทัณฑ์ทรมานบีบให้สารภาพน่ากลัวพรรค์นั้น ไม่มีใครทนได้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือนางไม่ได้สิ่งใดพูดได้ เรื่องใดล้วนไม่เกิดขึ้น นางเพียงถูกขังไว้สามวันจริงๆ กระทั่งสักประโยคก็ไม่มีโอกาสได้พูด  

 

 

ต่อให้ถลกหนังเลาะเส้นเอ็นนาง นางก็พูดสิ่งใดออกมาไม่ได้เหมือนกันนะ  

 

 

ยังไม่สู้เมื่อครู่กัดถุงพิษฆ่าตัวตายไปเสียโดยไว  

 

 

คิดถึงเรื่องที่กำลังจะเผชิญ เด็กสาวอายุน้อยก็ตาเหลือก หวาดกลัวเป็นลมไปดื้อๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ข้าน่ะไม่ชอบตีคน ฆ่าคนหรอก น่าเบื่อเกินไปแล้วยังทำให้มือกับเสื้อผ้าสกปรกง่ายอีก”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดมือเบาๆ สีหน้าติดจะระอาอยู่บ้าง  

 

 

“ข้าน่ะชอบให้ผู้อื่นทำเรื่องนี้แทนข้า”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาขานรับ ท่าทางขำอยู่บ้างแล้วก็หวาดกลัวอยู่บ้าง  

 

 

“เด็กสาวคนนั้นต่อไปต้องคิดถึงความเมตตาของนายน้อยยิ่งแน่” เขาเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่งผ้าเช็ดหน้าไหมให้เขา มีคนเดินเข้ามาจากนอกประตู  

 

 

“นายน้อย จดหมายของคุณหนูจวินขอรับ” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่แย้มยิ้มเจิดจ้าทันที ยื่นมือรับไป  

 

 

“หรือจิ่วหลิงรู้เรื่องนี้แล้วรึ?” เขาเอ่ย  

 

 

“ยังไม่ได้ส่งจดหมายให้เมืองหลวงนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

 

ไม่มีคำอนุญาตของนายน้อยฟาง กระทั่งจดหมายของนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางพวกเขาก็ไม่ได้ส่งไปถึงมือคุณหนูจวิน  

 

 

ฟางเฉิงอวี้ขานอ้อทีหนึ่ง ก้มหน้ามองทีหนึ่งสิบบรรทัดกวาดผ่านกระดาษจดหมาย  

 

 

เมืองหลวงเกิดเรื่องแล้วรึ? ผู้ดูแลใหญ่เกามองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้  

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่รอยยิ้มไม่จางลง กวาดปราดเดียวผ่านไปแล้วก็ตั้งใจอ่านทีละตัวๆ อีกหน หลังจากนั้นก็ผิวปากทีหนึ่ง  

 

 

“คนผู้นั้นถึงกับปรากฏตัวแล้วจริงๆ ต่อไปพวกเราตระกูลฟางต้องเผชิญปัญหาใหญ่ยิ่งกว่า มากยิ่งกว่าเดิมแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีใจ  

 

 

นี่คือ เรื่องที่ควรดีใจนักหรือ? ผู้ดูแลใหญ่เกาตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง  

 

 

“แน่นอน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “พวกเราตระกูลฟางเป็นเนื้อที่ถูกคนหยอกเล่นเชือดฆ่าในเงามืดมาเนิ่นนานมากแล้ว ตอนนี้ในที่สุดก็จะลงมือต่อหน้าแล้ว”  

 

 

เขาเก็บจดหมายไป ตบหน้าอกสองสามที  

 

 

“น่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าถูกคนคิดทำร้าย ข้าต้องเขียนจดหมายให้จิ่วหลิง บอกนางว่าข้ากลัวแทบตาย”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาเห็นเด็กหนุ่มสีหน้าเริงร่าท่าทางระริกระรี้ก็คลึงหนวด ไม่ค่อยเข้าใจหนุ่มสาวเหล่านี้จริงๆ   

 

 

………………………………

Related

คนในภาพวาด?

 

 

ได้ยินประโยคนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพริบตาพลันลุกขึ้นยืน ลืมถ้วยชาในมือ ชาสาดทั้งร่าง

 

 

เขาไม่ทันสนใจเช็ดน้ำชาบนร่าง

 

 

“ภาพวาดรูปนั้นที่คุณหนูจวินมอบให้หรือ?” เขาถามยืนยัน

 

 

พนักงานพยักหน้า

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหมุนตัวหยิบเอาสมุดบัญชีเล่มหนึ่งลงมาจากชั้นวางด้านข้าง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากตรงกลาง กระดาษแผ่นนั้นขนาดเพียงฝ่ามือ ด้านบนวาดภาพคนสองคนเอาไว้

 

 

คนหนึ่งผิวขาวเกลี้ยงเกลา เป็นสภาพของหยวนเป่ายามอยู่ในพระราชวังเมื่อครู่

 

 

คนหนึ่งมีหนวดเขี้ยวสองเส้น ก็คือสภาพของหยวนเป่าที่เดินเข้ามาเมื่อครู่

 

 

หลังคุณหนูจวินออกจากเมืองหลวงก็ส่งภาพนี้ไปถึงสาขาทั้งหมดของเต๋อเซิ่งชาง พนักงานที่เลือกออกมาต้อนรับลูกค้าล้วนจดจำคนบนนั้นได้ขึ้นใจ เมื่อพบปุบก็แจ้งทันท่วงที

 

 

“คนนี้แหละขอรับ” พนักงานชี้ภาพที่มีหนวดเคราน้อยๆ ภาพนี้ “เพิ่งแลกเงินเดินออกไป สำเนียงซานตง ดูแล้วเป็นคนต่างถิ่น แต่ไม่ใช่ไม่คุ้นกับเมืองหลวง เสแสร้งขึ้นมา”

 

 

พนักงานต้อนรับลูกค้าในเต๋อเซิ่งชางไม่ใช่เด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าทำงาน อย่างไรก็เป็นเด็กฝึกงานที่ผ่านการฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดสามปีถึงทำงานนี้ได้ เทียบกับพนักงานประจำโต๊ะยังเคร่งครัดยิ่งกว่า

 

 

พวกเขาฝึกฝนการสังเกตถ้อยคำสีหน้ารวมถึงการรับมือลูกค้าแบบต่างๆ สำเร็จแล้ว

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพยักหน้า เก็บภาพวาดไป

 

 

“เจ้าไปพบคุณหนูจวินกับข้า” เขาเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ส่วนในพระราชวังเวลานี้ ฮ่องเต้กำลังพลิกอ่านฎีกาฉบับหนึ่งพลางมองลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 

 

ม่านในห้องเลิกเปิดแล้ว หน้าต่างเปิดกว้าง ยามเช้าคิมหันต์ฤดูยังมีลมเย็นพัดวนเวียนข้างในอยู่บ้าง

 

 

“ใต้เท้าหวงบอกว่าผู้อพยพเหล่านี้ล้วนได้เต๋อเซิ่งชางออกทุนช่วยให้มารึ? ไม่ใช่แผนการของเฉิงกั๋วกง” ฮ่องเต้ตรัสเชื่องช้า “เป็นจริงเช่นนี้ไหม?”

 

 

จากความแค้นที่สั่งสมระหว่างหวงเฉิงกับเฉิงกั๋วกง เรื่องที่หวงเฉิงถวายฎีกา ฮ่องเต้หาเชื่อไม่ เพียงเวลาที่พระองค์ต้องการถึงนำมาใช้

 

 

เช่นตอนนี้พระองค์ไม่อยากลงมือกับเฉิงกั๋วกง บรรดาขุนนางใหญ่เป็นดาบของพระองค์ได้ พระองค์ไม่อยากถูกขุนนางใหญ่ใช้เป็นดาบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองฎีกาในพระหัตถ์ฮ่องเต้

 

 

คิดถึงรถม้าที่ถูกยืมไป

 

 

รถม้าเขาอนุญาตให้หวงเฉิงใช้ ส่วนให้ยืมหรือไม่ไม่ได้พูดชัด

 

 

ให้ยืมหรือไม่ให้ยืม?

 

 

ฮ่องเต้ก็มองเขาเช่นกัน

 

 

“หืม?” เขาขมวดขนงน้อยๆ “ใช่หรือไม่?”

 

 

“กระหม่อมไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร” ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าทูล

 

 

“มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น” ฮ่องเต้โยนฎีกาลงบนโต๊ะ ท่าทางไม่พอพระทัยตรัส “เจ้ามีสิ่งใดไม่อาจพูดด้วยรึ? หรือเจ้าไม่อยากพูด?”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีคุกเข่าก้มศีรษะ

 

 

“ผู้อพยพเป็นเต๋อเซิ่งชางรับผิดชอบส่งมาถึงเมืองหลวงจริง” เขาเอ่ย “แต่ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่แผนการของเฉิงกั๋วกง”

 

 

ฮ่องเต้ร้องหืม

 

 

“ทำไมพูดเช่นนี้?” พระองค์ตรัส

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้น

 

 

“คุณหนูจวินตอนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลของเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้ร้องอ้อ เคาะโต๊ะนิดๆ

 

 

“หรือก็คือจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงให้เต๋อเซิ่งชางทำเช่นนี้รึ?” พระองค์ตรัส “เพราะพวกเขาตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาไม่เอ่ยวาจา

 

 

เขาเพียงถวายข้อมูลที่ฮ่องเต้ทรงประสงค์ ไม่หาข้อสรุปแทนฮ่องเต้ ยิ่งไม่ออกความเห็น

 

 

ฮ่องเต้มองฎีกาสีพระพักตร์ค่อยๆ มืดครึ้ม

 

 

“ครอบครัวเดียวกัน” พระองค์ตรัสซ้ำ “เต๋อเซิ่งชางกับเฉิงกั๋วกงจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

 

พระองค์ลูบผิวโต๊ะ

 

 

“ครานั้นก็เป็นคุณหนูจวินคนนี้รักษาโรคของนายน้อยตระกูลฟางหายดีรึ?” พระองค์พลันตรัสถามอีกหน

 

 

เรื่องนี้ยาวยิ่งนัก ในเมืองเล่าลือกันกว้างขวางยิ่ง หากเล่าอีกรอบ เรียกได้ว่ายาวนานมาก เรียกได้ว่าซับซ้อนมาก แล้วก็มีคำอธิบายมากมายเช่นกัน

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาลง

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” เขาทูลตอบ

 

 

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลแล้ว

 

 

“ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่รู้จักสำนึกบุญคุณตอบแทนจริงนะ” พระองค์ตรัสขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเช่นนี้คงต้องตอบแทนดั่งตาน้ำผุดแล้วสิ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยอีกหน “บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยที่แดนเหนือ สร้างชุดเกราะยุทโธปกรณ์ล้วนเป็นเงินที่เต๋อเซิ่งชางออก จนคลังเงินของเต๋อเซิ่งชางสิบเจ็ดสาขาที่แดนเหนือว่างเปล่าสิ้นเพื่อการนี้”

 

 

ฮ่องเต้คว้าฎีกาขว้างลงบนร่างลู่อวิ๋นฉี

 

 

“เรื่องเหล่านี้ทำไมไม่รายงาน!” พระองค์คำราม

 

 

ฮ่องเต้ไม่เคยกริ้วลู่อวิ๋นฉีมากเช่นนี้ ขันทีที่ยืนอยู่นอกประตูตำหนักตกใจสะดุ้งโหยง รีบถอยหลังห่างจากประตูตำหนักอีก

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะนิ่งไม่ขยับ

 

 

“ฝ่าบาทมีบัญชาไม่ให้ยุ่งเรื่องของเต๋อเซิ่งชาง กระหม่อมไม่กล้าขวางและไม่กล้ายุ่งวุ่นวายมาก” เขาเอ่ย

 

 

นี่กลับเป็นเรื่องจริง

 

 

ฮ่องเต้ที่คว้าฎีกาอีกเล่มหนึ่งกำลังจะขว้างหยุด นอกจากนี้เต๋อเซิ่งชางยังมีราชโองการของอดีตฮ่องเต้

 

 

แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้บอกว่าเพราะราชโองการของอดีตฮ่องเต้จึงไม่กล้ายุ่ง

 

 

เขาไม่ยุ่งเพียงเพราะตนเคยเอ่ยว่าไม่อนุญาตให้ยุ่ง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไร อย่างน้อยก่อนหน้านี้ไม่มีใครควรค่าเชื่อใจได้ยิ่งกว่าลู่อวิ๋นฉี

 

 

ฮ่องเต้ทรงโยนฎีกาลงบนโต๊ะ

 

 

“เจ้าพูดถูก เรื่องเต๋อเซิ่งชางเจ้าไม่ต้องยุ่ง” พระองค์ตรัส “เรื่องเต๋อเซิ่งชางก็ไม่มีสิ่งใดยุ่งได้ ต้นเหตุของทุกสิ่งล้วนเพราะเรื่องสงครามที่แดนเหนือของเฉิงกั๋วกง”

 

 

พระองค์สะบัดหัตถ์

 

 

“เจ้าไปดูเฉิงกั๋วกงให้ดี”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีตอบรับ คำนับถอยออกไปแล้ว

 

 

เห็นลู่อวิ๋นฉีออกมา พวกหัวหน้ากองพันเจียงที่รออยู่นอกประตูพระราชวังก็รีบเข้ามารับ

 

 

“ใต้เท้า ไม่เป็นไรนะขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

เสียงคำรามทีนั้นเมื่อครู่ เลื่องลือมาถึงนอกวังแล้ว พวกเขาล้วนรู้

 

 

“ไม่ได้ทรงพิโรธข้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

พวกหัวหน้ากองพันเจียงโล่งอก

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเป็น?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ตรงหน้าอาชา พลิกกายขึ้นม้า

 

 

“เฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย “รวบรวมกำลังคน จับตาเฉิงกั๋วกง”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงฉับพลันยิ้ม

 

 

“นี่เป็นเรื่องดีนะขอรับ” เขาเอ่ย ยกมือกวักเรียกผู้คน “ขึ้นม้า ทำงาน”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองไปด้านหน้า สีหน้าเฉยชา มองความยินดีโกรธเกรี้ยวไม่ออก

 

 

ส่วนเวลานี้ฮ่องเต้ที่นั่งเดียวดายอยู่ในห้องบรรทม บนพระพักตร์รอยยิ้มสักนิดก็ไม่มีแล้ว พระองค์หน้าบึ้งตึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน สีพระพักตร์ฉับพลันเปลี่ยนเป็นดุร้าย ยกพระหัตถ์กวาดฎีกาบนโต๊ะทรงงานทั้งหมดร่วงเกรียวกราวลงบนพื้น

 

 

“เจตนาสวรรค์อันใด ที่แท้เป็นคนกระทำ” พระองค์คำรามเสียงเบา

 

 

พวกเขาเดิมสมควรตาย กลับถูกคนแซ่จวินคนนี้ทำเสียเรื่อง!

 

 

แล้วก็เป็นเพราะคนแซ่จวินคนนี้ เฉิงกั๋วกงที่เดิมสมควรตายก็ถูกทำเสียเรื่องเช่นกัน!

 

 

แล้วยังได้รับคุณงามความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้!

 

 

เอาเงินของพระองค์ ได้คุณงามความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้!

 

 

นี่เดิมก็คือคุณงามความชอบของพระองค์!

 

 

เต๋อเซิ่งชาง พวกเจ้าถึงกับกล้าเอาเงินของข้าไปแย่งคุณงามความชอบของข้า!

 

 

พวกเจ้าพ่อค้าเหล่านี้ ลืมหน้าที่เสียแล้ว!

 

 

พวกเจ้าไร้คุณธรรม ก็อย่าโทษข้าไร้เมตตา!

 

 

“ใครมานี่ซิ” พระองค์ตวาด “เรียกหยวนกงกงมา”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนกงกง

 

 

มือของคุณหนูจวินลูบภาพวาดที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่งมาให้

 

 

เป็นหยวนเป่าจริงๆ ปรากฏตัวที่เมืองหลวงจริงๆ

 

 

“ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนแล้วจะไปที่ไหน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “แต่ขอแค่เขาเอาเงินของพวกเราไปใช้จ่ายพวกเราย่อมได้ร่องรอย”

 

 

ร้านแลกเงินทุกแห่งล้วนมีสัญลักษณ์แม่พิมพ์เงินของตนเอง หากพวกเขายินดี สืบร่องรอยตามหาคนผู้หนึ่งง่ายดายยิ่งนัก

 

 

เขาไม่เพิ่งออกมาจากในพระราชวังก็คือกำลังจะเข้าไปในพระราชวัง สรุปคือเขาต้องไม่ใช่เพียงข้ารับใช้เก่าตำหนักเดิมของฮ่องเต้แน่นอน

 

 

เรื่องที่เต๋อเซิ่งชางทำที่แดนเหนือ หากเป็นร้านแลกเงินอื่นทำก็ช่างเถิด คงเพียงถูกคิดว่าได้รับข้อเสนอจากเฉิงกั๋วกง แล้วยังได้ชื่อเสียงดีงามว่าเป็นผู้มีคุณธรรมช่วยส่วนร่วมทำเพื่อชาติเพื่อประชาแบ่งเบาภาระของเจ้าเหนือหัว

 

 

แต่ในมุมมองที่เต๋อเซิ่งชางกับราชวงศ์มีความลับที่ผู้คนไม่รู้ ในพระทัยฮ่องเต้คงรู้สึกท่าไม่ดีแล้ว

 

 

“ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เฉิงอวี่ ท่านให้คนส่งกลับไปทันที” คุณหนูจวินเอ่ยบอก

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขานรับ

 

 

………………………

Related

เสียงตวาดของฮ่องเต้ถูกม่านมุ้งบดบังจนกลายเป็นคลุมเครือในห้องบรรทมที่แสงสว่างความมืดสอดประสาน ประหนึ่งสัตว์ร้ายคำรามต่ำ ทำให้คนใจระทึก

 

 

ขันทีหยวนก้มตัวลงกับพื้น

 

 

“บ่าวไร้ความสามารถ บ่าวสมควรตาย” เขาเอ่ยรัว

 

 

ฮ่องเต้ลุกขึ้นก้าวพระบาท แขนเสื้อกว้างสะบัดไหว

 

 

“ข้าก็หาใช่ไร้หัวใจ เกียรติยศความมั่งคั่งพวกเขาตระกูลฟางก็ได้เสพแล้ว สามรุ่นยังไม่พออีกรึ? คนไม่อาจละโมบปานนี้ได้กระมัง” พระองค์ตรัส

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตรัสถูกต้อง” ขันทีหยวนเอ่ยตอบเสียงระรัว

 

 

“ข้ารู้ว่าหลายปีปานนี้ตระกูลฟางซื่อตรงรู้หน้าที่ ดังนั้นจึงสั่งเจ้าช่วยเหลือให้มาก ข้าไม่สนใจไถ่ถาม” ฮ่องเต้ตรัส “หรือนี่ยังไม่พอรึ?”

 

 

“พอพ่ะย่ะค่ะ พอพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหยวนเอ่ยอย่างตั้งใจอีกครั้ง “ฝ่าบาทพยายามเมตตาเป็นธรรมที่สุดแล้ว”

 

 

เดินกลับไปมาหลายหนรวมกับคำพูดพรวนหนึ่ง อารมณ์หงุดหงิดของฮ่องเต้ถึงสลายหายไปมาก พระองค์สะบัดแขนเสื้อประทับนั่งลงใหม่อีกครั้ง แสงอรุณขมุกขมัวลอดผ่านม่านส่องเข้ามาในห้อง

 

 

“ตระกูลฟางทำกิจการได้ไม่เลว หลายปีนี้ไม่มีช่องโหว่” พระองค์เอ่ยถามเสียงเข้ม

 

 

“เพียงแต่ฝ่าบาทอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อค้า” ขันทีหยวนเอ่ยรับ

 

 

ใช่แล้ว ในตอนนี้พระองค์ไม่ต้องการเงินเหล่านั้นแล้ว

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือพระองค์ไม่อาจให้ใครรู้กิจการที่เคยทำในอดีตได้

 

 

“ขอเพียงพวกเขาทำตัวเป็นพ่อค้าดีๆ ข้าย่อมสัญญาว่าจะปกป้องให้ยามเป็นพวกเขามั่งคั่งรุ่งเรืองไร้กังวล” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

“บ่าวทำตามที่ฝ่าบาทสั่งเสมอ ไม่เคยทำร้ายกิจการของตระกูลฟางรวมถึงสตรีทั้งหลาย” ขันทีหยวนรีบค้อมกายเอ่ย

 

 

พวกเขาเพียงต้องการให้ตระกูลฟางไร้ทายาทสิ้นตระกูลเท่านั้น

 

 

น่าเสียดายแต่หมากขาดไปหนึ่งตา

 

 

“ล้วนเป็นบ่าวเลือกคนไม่ดี เผยพิรุธ” ขันทีหยวนค้อมกายโขกศีรษะอย่างหวาดกลัว “หวิดนำภัยใหญ่หลวงมา”

 

 

ฮ่องเต้ฉายแววโกรธนิดหนึ่ง แต่จากนั้นก็กลบเกลื่อนไป มองขันทีหยวนแล้วผุดรอยยิ้ม

 

 

“นี่จะโทษเจ้าได้อย่างไรเล่า” พระองค์เอ่ย ยื่นมือทำท่าให้ลุกขึ้น “คงเป็นฟ้าประสงค์ให้เป็นเช่นนี้กระมัง”

 

 

ขันทีหยวนขอบพระทัยซ้ำๆ

 

 

“เพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น บ่าวจะหาโอกาสจัดการต่อไป” เขาเอ่ย “ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

 

 

“เหล่าหยวนอา ข้าย่อมวางใจเจ้าแน่นอน” ฮ่องเต้ท่าทางทอดถอดใจอยู่บ้าง “เจ้าถึงเป็นสหายเก่าที่พึ่งพาได้ของข้าอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าก็คงมอบให้ลู่อวิ๋นฉีทำไปแล้ว”

 

 

องครักษ์เสื้อแพรของลู่อวิ๋นฉีไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ ขันทีหยวนรู้แต่ได้ยินอีกครั้งก็ฮึกเหิมไม่คลาย

 

 

“บ่าวจะไม่ทรยศความไว้วางพระทัยของฝ่าบาท” เขาโขกศีรษะเอ่ย

 

 

“จัดการเรื่องนี้เสร็จ เจ้าก็กลับมา” ฮ่องเต้นั่งเอนพิงหมอนอิง สีพระพักตร์เคร่งขรึมกังวลอยู่บ้าง “ตั้งแต่หลังจิ่วหลิงตาย ข้าก็ยิ่งเข้าใจความคิดของลู่อวิ๋นฉียากขึ้นทุกที จึงอยากให้เจ้ากลับมาช่วยข้า ถึงเวลาให้ตำแหน่งขันทีพิธีการแก่เจ้าตำแหน่งหนึ่ง เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่ง แค่ทำเรื่องเหล่านั้นที่องครักษ์เสื้อแพรทำ จะได้สะดวกสอดส่องดูแลพวกเขา”

 

 

ขันทีหยวนดีใจยิ่ง

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาโขกศีรษะเอ่ย เงยหน้าขึ้นยิ้มสอพลอ คุกเข่าเดินเข้ามาใกล้ ทุบขาให้ฮ่องเต้เบาๆ “โรคปวดพระเพลาดีขึ้นบ้างไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“ดีอะไรเล่า ที่นี่แม้อุ่นกว่าซานตง แต่ก็หนาวเย็น” ฮ่องเต้ปล่อยให้เขาปรนนิบัติ พระหัตถ์บีบนวดพระนลาฏพลางเอ่ย แล้วก็สรวลอีกหน “แต่ยาทาที่เจ้าส่งกลับมาใช้ดียิ่ง หลายปีนี้เจ้าก็ยังคิดถึงโรคเก่านี่ของข้าสินะ”

 

 

ขันทีหยวนสองตาหลั่งน้ำตา

 

 

“ตั้งแต่เล็กบ่าวก็ติดตามฝ่าบาท ในหัวใจดวงนี้นอกจากฝ่าบาทก็ไม่มีผู้อื่นแล้ว” เขาสะอื้นเอ่ย “บ่าวทราบว่าฝ่าบาทลำบาก คนนอกเหล่านั้นจะใช้สะดวกเท่าพวกเราคนเหล่านี้ได้อย่างไร”

 

 

ฮ่องเต้อมยิ้มผงกพระเศียร

 

 

“เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พักสักครู่หนึ่งก็ต้องไปอีกแล้ว” พระองค์ตรัส

 

 

ขันทีหยวนค้อมกายโขกศีรษะขานรับ ก้มศีรษะถอยออกไป

 

 

ในห้องยิ่งสว่างขึ้น หลับไม่ลงแล้ว ฮ่องเต้จึงยื่นพระหัตถ์พลิกอ่านฎีกาเล่มหนึ่งของหวงเฉิงบนโต๊ะ แล้วดึงออกมาเปิดอ่าน เมื่อพระเนตรทอดเห็นคำว่าเต๋อเซิ่งชางสามคำ ฉับพลันพระวรกายก็ลุกนั่งตัวตรง ยิ่งทอดเนตรสีพระพักตร์ก็ยิ่งไม่น่าดู เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่งโยนฎีกาลงบนโต๊ะ

 

 

“ใครมานี่ซิ” พระองค์ตวาด

 

 

ขันทีด้านนอกแห่เข้ามาพร้อมเพรียงง เลิกม่านพลางคำนับฮ่องเต้ที่สีพระพักตร์ไม่เป็นมิตร

 

 

“เรียกใต้เท้าหวง…” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ขันทีรีบขานรับหมุนกายปุบก็ไป เดินได้ไม่ทันสองก้าวก็ถูกฮ่องเต้เรียกไว้อีก

 

 

“ไม่ ให้ลู่อวิ๋นฉีมาดีกว่า” พระองค์ตรัส

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนเป่าก้าวเท้าเดินอ้อยอิ่งอยู่ในพระราชวัง ออกจากหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาก็ไม่มีท่าทางเจียมตัวสักนิดอีก บางคราเห็นขันทีใหญ่ชุดแดงท่าทางยโสเดินผ่านมา บนหน้าเขายังผุดความดูแคลนอยู่หลายส่วน

 

 

ครานั้นที่ฉีอ๋องขึ้นครองราชย์ไม่ได้พาคนเก่าคนแก่จากตำหนักเดิมมาเมืองหลวง ข้าราชบริพารในพระราชวังล้วนไม่แตะ เพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน

 

 

เขามาที่นี่น้อยครั้งนัก นานครั้งมาทีหนึ่งก็จะถูกเหล่าขันทีใหญ่เหล่านั้นมองเหยียดดูแคลน ในสายตาพวกเขาตนขันทีจากตำหนักเดิมคนนี้ก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่ถูกทิ้งแล้วสินะ

 

 

บนหน้าหยวนเป่าผุดรอยยิ้มหยันนิดๆ

 

 

ตัวไร้ประโยชน์เหล่านี้ไม่รู้สึกนิดว่าสำหรับฮ่องเต้แล้วเขาสำคัญมากเพียงไร แล้วเขาทำงานมากน้อยเท่าไร คอยดูเถอะไม่นานเขาก็จะกลับมา รอเขากลับมา จะให้พวกเขารู้ว่าใครถึงเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้

 

 

ด้านหน้ามีเสียงฝีเท้าเร่งรีบ รวมถึงเสียงทักทายสับสนวุ่นวายดังขึ้น

 

 

หยวนเป่าเงยหน้ามองไป เห็นขันทีน้อยใหญ่ตรงทางเบื้องหน้าพากันหลีกถอย มีบุรุษชุดแดงสูงผอมคนหนึ่งเดินเชื่องช้าหันหลังให้แสงอรุณมา

 

 

แม้เห็นใบหน้าไม่ชัด แต่อายุน้อยๆ ก็สวมเครื่องแบบสีแดงได้ แล้วยังทำให้ขันทีทั้งหลายนอบน้อมหวาดกลัวได้อีก หยวนเป่ารู้ทันทีว่าคนที่มาก็คือลู่อวิ๋นฉี

 

 

หยวนเป่าลังเลครู่หนึ่ง หยุดเท้าอยู่ข้างทางหลีกหลบเหมือนคนอื่นๆเช่นนั้น แต่สายตากลับอดไม่ได้ลอบประเมิน

 

 

ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยหน้าตางามจริงๆ แต่ดวงหน้างามนี้ก็ทำให้คนที่เห็นมันหวาดกลัว เพียงแววตาก็เย็นเยียบเพราะเหมือนอสรพิษ

 

 

เขาเดินตรงแน่วดวงตาไม่เหล่มอง คล้ายมองทุกสิ่งเป็นอากาศธาตุ

 

 

หยวนเป่ายืดตัวตรง มองเงาร่างที่เดินผ่านไปแล้วเบะปาก

 

 

ได้ใจอะไร ก็แค่ชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่ง อาศัยโชคดีถึงมีวันนี้

 

 

หยวนเป่าเดินออกจากประตูวังก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว บนริมฝีปากมีหนวดเขี้ยวสองเส้น สวมเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดา ใส่หมวกคล้ายกับผู้ติดตามหรือบ่าวคนสนิทลูกน้องของขุนนางสักคนที่เห็นบ่อยๆ ขี่ม้ากุบกับออกจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน เลี้ยวเข้าไปในตลาดอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

แม้ฟ้าเพิ่งสว่าง แต่ในตลาดคนไม่น้อยเดินขวักไขว่แล้ว ร้านรวงก็ล้วนรีบเอาบานประตูออกเตรียมเปิดร้านด้วย

 

 

เขาเดินซ้ายเตร่ขวา หยุดอยู่หน้าประตูร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชาง

 

 

ร้านแลกเงินเพิ่งเปิดประตูได้ครึ่งเดียว แต่เมื่อหยวนเป่าเดินเข้าไปก็ยังมีพนักงานเข้ามาต้อนรับอย่างทันท่วงที

 

 

“แลกเงินหน่อย” หยวนเป่าเอ่ยพลางเอาตั๋วเงินใบหนึ่งออกมา ใช้สำเนียงซานตงจัดเอ่ย ท่าทางประหม่าอย่างคนต่างถิ่นรวมถึงความมั่นใจแบบเสแสร้ง

 

 

ท่าทางของคนต่างถิ่นเช่นนี้มักจะถูกคนพื้นที่ของเมืองหลวงเยาะหยัน

 

 

หยวนเป่าเห็นพนักงานคนนั้นมองเขาอย่างดูแคลนจริงๆ

 

 

“ขอรับ ท่านลูกค้าเชิญนั่งรอสักครู่” พนักงานคนนั้นเอ่ยรับตั๋วเงินเข้าไปหลังโต๊ะกั้น

 

 

ทะลุผ่านโต๊ะกั้นสูงที่วางอยู่ หยวนเป่ามองเห็นพนักงานคนนั้นคุยอะไรกับพนักงานอีกคนสักประโยค พนักงานคนนั้นก็เงยหน้ามองมาทางเขาด้านนี้ทีหนึ่ง

 

 

แม้ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบา แต่ไม่มีเสียงหัวเราะสนุกสนาน

 

 

เต๋อเซิ่งชางดีเลวก็ทำการค้า หากมารยาทเท่านี้พนักงานทั้งหลายยังไม่มี คงปิดกิจการไปนานแล้ว

 

 

หยวนเป่าไม่เห็นเป็นสาระยกขาไขว่ห้าง ยกน้ำชาที่ยกมาบนโต๊ะดื่มอย่างอ้อยอิ่ง

 

 

พนักงานคนนั้นยกหีบน้อยหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

“ท่านลูกค้า เชิญท่านตรวจนับ ต้องการให้พวกเราไปส่งท่านที่บ้านหรือไม่?” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

หยวนเป่าลุกขึ้นยืน

 

 

“ไม่ต้อง” เขาตอบ รับหีบแล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

พนักงานทั้งหลายเพียงคำนับอยู่ในห้องไม่ได้แสดงความเคารพมาส่งนอกประตู เลี่ยงไม่ให้ลูกค้าไม่สบายใจ

 

 

รอหยวนเป่าจากไปแล้ว พนักงานคนนั้นถึงลุกขึ้น ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนต่อไปอีก แต่หมุนกายก้าวไวๆ เข้าไปด้านใน ทะลุทางเดินหลายเส้นมาถึงเรือนด้านหลัง

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกำลังเฝ้าเตาดื่มชาอยู่

 

 

“ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานก้าวเข้าไปเอ่ยเสียงเบา “คนในภาพวาดปรากฏตัวแล้วขอรับ”

 

 

…………………………

Related

   ในคฤหาสน์ตระกูลฟางไฟโคมสว่างไสว บรรยากาศหนักอึ้ง บ่าวรับใช้ที่เดินไปมาสีหน้าตระหนกอยู่บ้าง

 

 

ฟางเฉิงอวี่ได้รถม้าพากลับมา ถูกคนยกลงมา เหมือนกับนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางเมื่อครานั้น

 

 

คำสาปมรณะที่คิดว่าแก้ไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้งแล้วหรือ?

 

 

นางหยวนเลิกม่านขึ้นเดินออกมาจากในห้องของฟางเฉิงอวี่ ดวงตานางแดงก่ำพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ด

 

 

“เอาล่ะแยกย้ายไปให้หมดเถอะ” นางยกมือเอ่ย

 

 

คนในเรือนล้วนรีบร้อนถอยออกไป

 

 

“กระทั่งหมอยังไม่เชิญ หรือว่าจะ…”

 

 

“อย่าพูดเหลวไหล! ไม่มีทางหรอก!”

 

 

“ข้าก็หวังว่าจะไม่นะ ชีวิตเพิ่งมีความหวัง นายน้อยคนก็ร้ายกาจเช่นนี้”

 

 

บรรดาบ่าวรับใช้ถกเถียงเสียงเบาหวาดหวั่นวิตกจากไป

 

 

ในลานกลายเป็นเงียบสงบยิ่ง บรรยากาศในห้องยิ่งหนักอึ้ง

 

 

“นี่ที่แท้เป็นใคร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งอยู่บนเก้าอี้สีหน้าเคร่งครึมเอ่ยขึ้น

 

 

“ยังเป็นใครได้อีก ที่แดนเหนือก่อเรื่องใหญ่ปานนั้น คนที่ถูกทำให้เสียเรื่องน่ะสิ” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเย็นชาเอ่ย “นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น”

 

 

พวกนางพูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น แต่ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ คล้ายเพียงสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่สนใจคน

 

 

“ท่านแม่ ไม่ใช่หรอก”

 

 

เสียงบุรุษใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

มองตามเสียงไปเป็นฟางเฉิงอวี่ที่นอนอยู่บนเตียงด้านใน

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องนั่งอยู่ข้างเตียง ได้ยินคำก็ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าพูดให้น้อยลงสักประโยคสองประโยคเถอะ” พวกนางเอ่ยเสียงเบา

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ่งโกรธตามคาด

 

 

“ไม่ใช่? หากไม่ใช่ที่แดนเหนือใช้เงินมากมายปานนั้นจนไม่อาจไม่ปิดร้านแลกเงินที่แดนเหนือ คำเล่าลือมากมายปานนั้นแพร่ออกไป เจ้าทำไมจะต้องออกไปพบปะกับผู้อื่นทุกวัน? หากไม่เป็นเช่นนี้จะมีโอกาสให้คนฉกฉวยได้อย่างไร?” นางตวาด

 

 

“ท่านแม่ ทำการค้าจะไม่พบปะสังสรรค์ได้อย่างไรเล่า?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “หาก…”

 

 

“เฉิงอวี่ เจ้าฟังท่านแม่พูดประโยคหนึ่งดีๆ ไม่ได้รึ?” ฟางอวิ๋นซิ่วฉับพลันยืนขึ้นขัดเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นว่าร้ายนางสักประโยค ไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่านางมีความผิดแม้แต่นิด แต่ท่านแม่ผิดที่ใด? นางเพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้าไยต้องทำให้นางเสียใจ?”

 

 

ห้องเงียบลง สายตาทั้งหมดล้วนมองไปหาฟางอวิ๋นซิ่ว สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วสนใจเพียงสมุดบัญชีของกิจการ แล้วคล้อยตามคำพูดของผู้อื่นตลอดมา ไม่เคยมีความคิดเห็นของตนเอง ยิ่งไม่เคยตำหนิใคร

 

 

“ที่แท้พี่ใหญ่ก็โมโหเป็นด้วย” ฟางอวี้ซิ่วอมยิ้มเอ่ย

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง ตลอดมานางรู้สึกว่าลูกสาวคนโตคนนี้ทึ่มทื่ออยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กใส่ใจปานนี้

 

 

ฟางเฉิงอวี่ลงจากเตียงเดินหลายก้าวมาถึงตรงหน้านายหญิงใหญ่ฟางแล้วคุกเข่าลง

 

 

“ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว” เขาเอ่ย “ผิดที่รู้ชัดว่าท่านแม่ไม่เคยคัดค้านเรื่องที่ข้าทำ เพียงเป็นห่วงข้าเท่านั้น แต่ข้ากลับเอาความเป็นห่วงของท่านมาหัวเราะสนุกสนาน”

 

 

พูดจบพลันโขกศีรษะ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

 

 

“หากท่านแม่กับท่านย่าเป็นผู้ที่กลัวเรื่องกลัวอันตราย จะค้ำจุนกิจการมาสิบกว่าปีไม่ล้มได้อย่างไร”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองเขาแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้ม

 

 

“สิ่งใดเจ้าล้วนเข้าใจ ก็แค่แกล้งเลอะเลือนกับข้า” นางเอ่ย

 

 

“ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านแม่กังวล” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยเชือกแดงถักวงหนึ่งที่ผูกอยู่บนข้อมือ บนนั้นถักประดับห้าสี “นี่เป็นของที่จิ่วหลิงมอบให้ข้า งูพิษแมลงมดไม่อาจเข้าใกล้กาย”

 

 

แล้วเปิดคอเสื้ออีกครั้ง เผยเสื้อเกราะตัวหนึ่งข้างใน

 

 

“นี่ก็เป็นสิ่งที่จิ่วหลิงมอบให้ข้า มีดธนูธรรมดาแทงไม่เข้า ยังมี…”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขัดเขา

 

 

“ดูท่านางก็รู้ว่าเรื่องที่ให้ทำอันตรายมากเพียงไร” นางเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่เงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“ท่านแม่ ที่จริงไม่ใช่เรื่องที่นางให้ข้าทำอันตราย แต่พวกเราตระกูฟางเดิมทีก็อยู่ในอันตราย” เขาเอ่ย “ข้าไม่ได้กำลังแก้ตัวแทนนางให้ท่านแม่เสียใจอีก แม้ที่ข้าแก้ตัวเช่นนี้เพราะไม่อยากให้นางเสียใจจริงๆ ก็ตาม”

 

 

เขามองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ที่มาของราชโองการเล่มนั้นท่านย่าไม่เคยพูด ราชโองการเล่มนั้นทำให้พวกเราตระกูลฟางได้ความมั่งคั่งร่ำรวยแต่ก็เป็นราชโองการเล่มนี้ทำให้ท่านปู่กับท่านพ่อจบชีวิตตามต่อกัน แม้นายอำเภอหลี่กับผู้ดูแลใหญ่ซ่งถูกประหารไปแล้ว แต่อันตรายคลี่คลายแล้วจริงรึ?”

 

 

ไม่ได้คลี่คลายรึ? คนในห้องสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว

 

 

“ราชโองการของเช่นนี้ไม่ใช่ของสิ่งอื่นที่สังหารพวกเราแล้วจะยึดครองเป็นของตนได้ เป็นไปได้รึ?”

 

 

“สังหารผู้ที่ครอบครองราชโองการคนหนึ่ง คนผู้นี้ทำไมมั่นใจนักว่าจะไม่นำภัยมาสู่ตัว แต่เป็นเกียรติยศความมั่งคั่ง?”

 

 

พูดพลางมองไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ใช่มีใครสัญญาอะไรกับเขาหรือไม่?”

 

 

ราชโองการสิ่งของเทียมฟ้าเช่นนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่นายอำเภอคนหนึ่งจะให้คำสัญญาได้

 

 

ถ้าเช่นนั้นจะเป็นใคร?

 

 

ในห้องเงียบกริบไปหมด

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ค่ำคืนในพระราชวังยิ่งมืดมิด ด้านในห้องบรรทมของฮ่องเต้ไฟโคมสว่างไสว ตรงทางเดินองครักษ์เสื้อแพรกับองครักษ์แถวหนึ่งยืนสลับกันรอรับคำสั่ง

 

 

ยังมีขันทีนางกำนัลทิ้งมือข้างตัว

 

 

ทุกคนล้วนรู้ว่าฮ่องเต้ทรงขยันขันแข็ง ยามค่ำคืนยุ่งวุ่นวายยิ่งกว่ายามกลางวัน ดังนั้นจึงมีคนมากกว่าเดิมรับใช้

 

 

เวลานี้ด้านในโคมไฟสว่าง แต่หลังม่านมุ้งที่ทอดตัวลงมาฮ่องเต้กำลังหลับฝันหวาน แต่พระองค์คล้ายหลับไม่สนิท ลมหายใจยิ่งกระชั้นขึ้นทุกที จนกระทั่งในลำคอส่งเสียงไอแคกๆ มือก็ขยุ้มหน้าอกแน่น ส่งเสียงครางทุ้มต่ำทีหนึ่ง คนก็ผุดลุกขึ้นนั่ง

 

 

“ใครมานี่ซิ!” พระองค์ตะโกนเอ่ย

 

 

มีขันทีเข้ามา ยืนอยู่นอกมุ้งขานรับทันที

 

 

“ฝ่าบาท!”

 

 

ได้ยินเสียงนี้ ลมหายใจกระชั้นของฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่บนเตียงค่อยๆ สงบลง พระองค์กวาดมองรอบด้านคล้ายยืนยันว่าตนอยู่ที่ใด

 

 

“ชา” พระองค์ฟื้นอารมณ์กลับมา เอ่ยเสียงอ่อนโยน

 

 

ม่านมุ้งถูกขันทีเลิกเปิดอย่างระวัง ยกชาร้อนมา ฮ่องเต้ดื่มหลายคำ จากนั้นถือโอกาสหยิบฎีกาที่กางวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา

 

 

ประหนึ่งพระองค์กำลังอ่านพิเคราะห์อยู่

 

 

“ฝ่าบาท ควรพักผ่อนแล้ว” ขันทีสีหน้าปวดใจเอ่ยขึ้น “พระวรกายสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ขานรับคำหนึ่ง สายตากลับไม่ละออกจากฎีกา

 

 

“ออกไปเถอะ” พระองค์ตรัส

 

 

ทิศตะวันออกสว่างแล้ว ในห้องจึงแลดูยิ่งมืดทึม ขันทีเติมโคมไฟหลายดวงอีกครั้ง ปลดม่านมุ้งลงแล้วถอยออกไป

 

 

ฮ่องเต้โยนฎีกาไว้บนโต๊ะ กางมือเท้านอนกลับลงไป

 

 

“ท่านแม่ล่ะก็ ยังเจ้ากี้เจ้าการให้ข้าอ่านฎีกาอีก เป็นฮ่องเต้ลำบากปานนี้ เป็นไปมีความหมายอะไร” พระองค์เอ่ยพึมพำติดจะดูแคลนอยู่บ้าง

 

 

เสียงเพิ่งสิ้นก็ได้ยินเสียงแจ้งแผ่วเบาของขันทีด้านนอก

 

 

“ฝ่าบาท หยวนกงกงมาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ได้ยินชื่อนี้ฮ่องเต้ที่เดิมจะลุกขึ้นนั่งพลันกางมือเท้านอนต่อ

 

 

“ให้เข้ามา” พระองค์ตรัส

 

 

ฝีเท้าแผ่วเบา ม่านมุ้งถูกเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งพาน้ำค้างราตรีเปียกชื้นก้าวเข้ามา

 

 

เขาค้อมกายย่อเข่าอย่างถ่อมตน เห็นฮ่องเต้บนแท่นบรรทมไม่วางท่าสักนิดก็ไม่ประหลาดใจ คุกเข่าลง

 

 

“ของพวกนั้นยังอยู่ไหม?” ฮ่องเต้หลับพระเนตรพลางตรัสถาม

 

 

ผู้มาเงยหน้าขึ้น แสงโคมส่องสว่างบนใบหน้าเขา นี่เป็นดวงหน้าขาวสะอาดดวงหนึ่ง อายุสามสี่สิบปี หน้าตาธรรมดา หากคุณหนูจวินอยู่ตรงนี้คงจดจำได้ว่านี่ก็คือขันทีหยวนเป่า คนที่รู้จักในอดีตซึ่งทำให้นางประหลาดใจที่หยางเฉิง

 

 

เวลานี้บนริมฝีปากของเขาไม่มีหนวด

 

 

“ของสำคัญล้วนอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหยวนเป่าเอ่ย “ตระกูลฟางไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้นดั่งสัญญา นอกจากนี้ยังเก็บความลับไว้ มีเพียงคนเป็นคนหนึ่งที่ล่วงรู้”

 

 

ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ตบบนแท่นบรรทมหนักหน่วง

 

 

“แต่ข้าไม่อยากให้คนที่ล่วงรู้ความลับนี้มีชีวิตอยู่แล้ว!” พระองค์ตวาด ลืมพระเนตรลุกขึ้นนั่ง “หลายปีปานนี้พวกเจ้ายังไม่เอาของกลับมา หรืออยากให้มันสืบทอดต่อไปกับตระกูลฟางชั่วลูกชั่วหลานรึ!”

 

 

………………………

Related

เวลานี้เหมาะยิ่ง

 

 

ประโยคนี้นางคิดจะพูดมานานนักแล้ว แต่ไม่มีโอกาสพูด แล้วก็ไม่มีคนที่พูดด้วยได้

 

 

คนมากมายล้วนบังเอิญพบพานกับนาง ตัวอย่างเช่นคุณชายสิบหนิงกับจวินเจินเจินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงจิ่วหลิงแล้ว

 

 

ส่วนพูดถึงครอบครัวใกล้ชิด ฟางเฉิงอวี่เฉลียวฉลาดดั่งปีศาจ นอกจากนี้เชื่อใจนางอย่างยิ่ง นางถึงขึ้นคิดออกว่าหลังนางเอ่ยประโยคนี้ ฟางเฉิงอวี่คงกระโดดลุกขึ้นมา

 

 

“ถวายบังคมองค์หญิงจิ่วหลิง!” เขาคงเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ความกระตือรือร้นเช่นนี้ไม่ใช่เสแสร้งทำเกินจริงล้อเล่น แต่จริงจัง

 

 

ทว่าอดีตของนางกับเขาไม่เกี่ยวข้องกัน องค์หญิงจิ่วหลิงสำหรับเขาแล้วเป็นคนแปลกหน้า ผู้ที่เขารู้จักคุ้ยเคยคือคุณหนูจวินคนนี้ตรงหน้าตอนนี้

 

 

ครอบครัวขององค์หญิงจิ่วหลิงอย่างเช่นจิ่วหลีกับจิ่วหรง หากนางบอกไปพวกนางคงตื่นตะลึง บางทีอาจเชื่อแต่คงลำบากใจมากกว่า อย่างไรคนที่พวกนางคุ้ยเคยก็คือองค์หญิงจิ่วหลิง แต่คุณหนูจวินตรงหน้าตอนนี้เวลานี้คือคนแปลกหน้า

 

 

ส่วนสำหรับจูจั้นแล้วเรื่องราวบังเอิญอยู่บ้าง องค์หญิงจิ่วหลิงเขาก็คล้ายคุ้นเคยยิ่งนัก ส่วนคุณหนูจวินเขาก็คุ้นเคยเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้นที่หันหน้าเข้าไปด้านใน

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ยขึ้น “ข้าคือองค์หญิงจิ่งหลิง”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คนถูกหิ้วผลักออกไปนอกประตู ประตูปิดดังปังลงเบื้องหลัง

 

 

“ข้ายังทายาให้ท่านไม่เสร็จเลยนะ!” คุณหนูจวินหมุนตัวไปพูดกับด้านใน

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่มีเจ้า ก็อยู่ได้มาจนถึงตอนนี้” เสียงเข้มของจูจั้นดังมาจากด้านใน

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้เม้มปากยิ้ม

 

 

ใช่แล้ว นางเอ่ยประโยคนั้นจบ จูจั้นไม่ประหลาดใจแล้วก็ไม่ได้จี้ถาม แต่สักคำก็ไม่พูดหิ้วคุณหนูจวินโยนออกมานอกประตู

 

 

ปฏิกิริยานี้แม้คิดไม่ถึง แต่เวลานี้ก็รู้สึกว่านี่ปกติที่สุด

 

 

“ข้ารู้ แต่มีข้าอยู่ท่านหายเร็วขึ้นได้นะ อย่างไรตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ตึงเครียดยิ่งนัก พ่อของท่านยิ่งต้องการท่าน” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

ด้านในไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าบอกท่านว่ายาเหล่านี้ใช้อย่างไรแล้วข้าค่อยไปได้ไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยอีกครั้ง

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูถูกผลักเปิด จูจั้นผู้ห่อร่างอยู่ในอาภรณ์ชั้นนอกปิดบังหน้าอกเปลือยเปล่าหน้าบึ้งตึงมองนาง ส่งยาถาดหนึ่งมา

 

 

คุณหนูจวินไม่รีรอ ไล่ชี้บอกเขาว่าอันไหนเป็นยากินอันไหนเป็นยาทา

 

 

พูดสิ่งเหล่านี้จบก็เงยหน้ามองจูจั้นอีกหน

 

 

“ยังมียาบางอย่างข้าต้มเสร็จแล้วจะให้คนยกมา” นางเอ่ยจากนั้นหยุดชะงักครู่หนึ่ง “อีกอย่าง”

 

 

จูจั้นเหล่ตามองไปหานาง

 

 

“ข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิงจริงๆ” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

เสียงปึงดังขึ้นทีหนึ่ง ประตูถูกปิดใส่หน้า

 

 

“คนแซ่จวิน เจ้าหยุดแต่สมควร อย่ารังแกคนมากเกินไปนัก” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้มอยู่ด้านใน

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพลางหมุนตัว เดินเชื่องช้าไปตามทางเดินที่แขวนโคมไฟไว้

 

 

สายลมแผ่วเบาใบไม้ขยับไหว กลิ่นบุปผาผลไม้หอมกรุ่น รอบด้านประดับโคมไฟ ไม่สว่างไสวแต่ก็ไม่วังเวง จวนกั๋วกงในค่ำคืนฤดูร้อนงดงามอย่างแท้จริง

 

 

ค่ำคืนหน้าร้อนของเมืองหลวงล้วนงดงามยิ่ง

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้เดินเตร่ตามใจในลานเรือน หลายปีนักแล้วที่นางไม่ได้ชมค่ำคืนหน้าร้อนของเมืองหลวง ยามยังเล็กมีเพียงเหมันต์ฉลองปีใหม่ถึงกลับมา หลังจากนั้นก็ไม่มีกะจิตกะใจ

 

 

ตามหลักแล้วตอนนี้ก็ไม่ควรมีกะจิตกะใจ แค้นใหญ่หลวงยังไม่ชำระ ครอบครัวยังไม่ได้รู้จักกัน แต่คงเพราะประโยคนี้ที่กลั้นเก็บไว้เนิ่นนานนักเอ่ยออกมาแล้ว นางจึงรู้สึกว่าอารมณ์ผ่อนคลายอย่างประหลาด

 

 

คุณหนูจวินก้าวเดินเชื่องช้าอยู่ในจวน จมหายไปในราตรี

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

               บางคนชอบราตรีอันเงียบสงบ แต่ค่ำคืนของบางคนก็ครึกครื้นมีสีสันเสียยิ่งกว่ายามกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มแล้ว

 

 

               ค่ำคืนในหยางเฉิงแม้เทียบเมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็มีกลิ่นอายอีกแบบหนึ่ง บนถนนใหญ่ผู้คนเบียดเสียดขยับเคลื่อน สายลมราตรีพัดหอบกลิ่นหอมของเครื่องสำอางรวมถึงเสียงเครื่องดนตรีที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่

 

 

สิ่งนี้ลอยมาจากในเหลาสุราหรูหราสะดุดตาหลังหนึ่งริมมถนน ด้านในเหลาสุราเวลานี้คนไม่น้อยนั่งอยู่ล้วนเป็นพนักงานที่สวมแพรพรรณหรูหรา หน้าตาฉลาดหลักแหลม บ่าวสาวอายุน้อยเดินตัดผ่านยกน้ำชารินสุรา นางคณิกาสิบกว่านางร้องรำตามเสียงดนตรี ประหนึ่งวิมานเทพเซียน

 

 

               ส่วนคนที่นั่งอยู่เป็นประธานกลับเป็นเทพเซียนอายุน้อยคนหนึ่ง สวมอาภรณ์หรูหรา ทั้งไม่ถูกความหรูหราสะดุดตาของสถานที่กลบทับ ทั้งไม่แลดูดาษดื่น สะดุดตาทั้งยังเพลินตาเพลินใจ

 

 

“นายน้อยฟาง พูดเช่นนี้กิจการทางเหนือจะไม่มีปัญหาหรือขอรับ?” บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยกจอกสุราเอ่ยกับเขา

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

 

 

“แน่นอนไม่มีปัญหา” เขาเอ่ยอย่างจริงจังอีกหน

 

 

คนสองฟากสบตากันทีหนึ่ง สีหน้าลังเล

 

 

“เฉิงกั๋วกงออกจากแดนเหนือ ชาวจินลงใต้ได้แผ่นดินคืน ชีวิตเกรงว่าคงไม่สงบสุข กิจการเกรงว่าคงทำไม่สะดวก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ

 

 

ที่แท้เพราะเรื่องนี้เอง พวกขาล้วนยิ้มบ้างแล้ว

 

 

“มีคนบอกว่าร้านแลกเงินทางเหนือของเต๋อเซิ่งชางขาดทุนจะปิดตัวลง ที่แท้ไม่ใช่ขาดทุนแต่กลัวขาดทุน” มีคนเอ่ย

 

 

“มีทุกคนอยู่จะขาดทุนได้อย่างไรเล่า!” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย

 

 

คนในห้องสีหน้าผ่อนคลายลงมาก

 

 

“นายน้อย นี่ท่านไม่เข้าใจแล้ว หลังจากนี้แดนเหนือจะยิ่งหาเงินได้”

 

 

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงอยู่ การค้าขายมากมายล้วนทำไม่สะดวก”

 

 

“ชิงเหอปั๋วค้าขายเก่งยิ่งนัก”

 

 

พวกเขาถกเถียงเสียงเบา แล้วมองไปทางฟางเฉิงอวี่

 

 

“ดังนั้นนายน้อยร้านแลกเงินที่แดนเหนือปิดไม่ได้นะขอรับ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย

 

 

“ในเมื่อท่านลุงทั้งหลายบอกว่ามีเงินให้คว้า ข้าย่อมต้องเอาด้วยแล้ว ร้านแลกเงินที่แดนเหนือไม่ปิด” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

บรรยากาศในห้องโถงยิ่งครึกครื้น ทุกคนพากันชูจอกสุรา ฟางเฉิงอวี่ก็ยกจอกสุราด้วย เพียงแต่ในจอกของเขาเป็นน้ำเปล่าใสกระจ่าง

 

 

“ร่างกายของข้าอ่อนแอ ได้แต่ใช้น้ำแทนสุราแล้ว” เขาอมยิ้มเอ่ย

 

 

ในอดีตฟางเฉิงอวี่เป็นคนป่วยใกล้ตายคนหนึ่งทุกคนล้วนรู้ ไม่มีใครเข้มงวดเรื่องนี้

 

 

“พวกเราล้วนทราบ เตรียมไว้พร้อมแล้ว” มีคนยิ้มทักทาย

 

 

ฉับพลันก็มีบ่าวสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งยกกาน้ำชาเข้ามาเติมน้ำให้ฟางเฉิงอวี่

 

 

เสียงร้องรำทำเพลงในห้องโถงยิ่งครึกครื้น หลังหลายรอบผ่านไปฟางเฉิงอวี่ก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำ

 

 

ห้องน้ำนี้สร้างอยู่ในห้องส่วนตัวนี่เอง เด็กรับใช้ตัวน้อยของฟางเฉิงอวี่ตามไปยืนรออยู่หน้าประตู คนอื่นในห้องไม่ถือสาดื่มสุราคุยเล่นกันต่อ

 

 

หลังชนแก้วไปหลายรอบ ฉับพลันสายตาเมามายพร่าเลือนของคนผู้หนึ่งก็มองไป เห็นที่นั่งว่างเปล่าด้านนั้นก็ร้องเอ๋ทีหนึ่ง

 

 

“นายน้อยฟางเล่า?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ไปห้องน้ำครั้งนี้ก็นานเกินไปแล้ว ทุกคนถึงรู้สึกตัวขึ้นมา รีบมาตามหาที่ห้องน้ำด้านนี้ กลับไม่เห็นเด็กรับใช้ของฟางเฉิงอวี่แล้ว

 

 

หรือว่าไปแล้ว?

 

 

“นายน้อยฟาง?” มีคนตะโกนพลางผลักประตูเปิด

 

 

ข้าวของในห้องน้ำไม่เป็นรองห้องส่วนตัว จุดเครื่องหอมไฟโคมสว่างไสว สายตาของทุกคนมองเห็นคนผู้หนึ่งฟุบหมอบคล้ายหลับใหลอยู่บนพื้นทันที

 

 

เส้นผมดำขลับกวานหยกปิ่นไข่มุก เสื้อแพรไหมหรูหราปักบุปผาประหนึ่งเมฆาแสงอัสดง ไม่ใช่ฟางเฉิงอวี่ยังเป็นใคร

 

 

“นี่ดื่มเมาแล้วหรือ?” คนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำ ในเหลาสุราสภาพเช่นนี้เห็นบ่อยนัก “แค่ดื่มน้ำจะดื่มเมาได้หรือ?”

 

 

คนอื่นกระทืบเท้า

 

 

“ดื่มเมาอะไรเล่า! นี่เกิดเรื่องแล้ว!”

 

 

พร้อมกับประโยคนี้ทุกคนก็ล้วนได้สติ ทั้งเหลาสุราตกสู่ความโกลาหลไปหมดในทันที

 

 

………………………

Related

ลู่อวิ๋นฉีไม่หันกลับมา  

 

 

“ใต้เท้าหวง ของที่ท่านหยิบยืมข้ามากเกินไปแล้วหรือไม่?” เขาเอ่ยอย่างเฉยเมย “ของของข้า ไม่คิดค่าเป็นเงิน คิดค่าเป็นชีวิต”  

 

 

หวงเฉิงยิ้มแล้ว เขากระแอมไอเสียงเบาเดินเข้ามาใกล้ ตบบนรถม้า  

 

 

“แน่นอน แน่นอน” เขาเอ่ย “ใต้เท้าลู่อา ข้านับว่ามองเข้าใจแล้ว ท่านช่างเป็นคนที่มีหัวใจเปี่ยมรักคลั่งรัก”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเป็นคนที่มีหัวใจ? คำนี้พูดออกมาจะด่าเขารึ? หัวหน้ากองพันเจียงที่อยู่ด้านข้างสีหน้าพิกล  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่พูดไม่จา  

 

 

“ดูบาดแผลทั้งร่างนี่ที่ท่านเจ็บเพื่อคุณหนูจวินคนนั้นสิ” หวงเฉิงเอ่ยขึ้น  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวมามองเขา  

 

 

“ใต้เท้าหวงจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ” เขาเอ่ย “เรื่องส่วนตัวของข้าไม่ลำลากใต้เท้าเปลืองความคิด”  

 

 

“เดิมทีข้าไม่เปลืองความคิด แต่บังเอิญเรื่องส่วนตัวของข้ากับเรื่องส่วนตัวของใต้เท้าลู่เป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากพูดกับใต้เท้าลู่สักหน่อย” หวงเฉิงเอ่ยบอก “หากเป็นสตรีคนอื่น ขอแค่ใต้เท้าลู่ชอบ ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นองค์หญิง ก็ไม่ใช่คว้าไม่ได้เช่นนั้น เพียงแต่คุณหนูจวินคนนี้น่ะ”  

 

 

เขายิ้ม เขยิบเข้าใกล้ลู่อวิ๋นฉี กดเสียงเบา  

 

 

“เข้าข้างเฉิงกั๋วกงแล้ว นี่ย่อมทำไม่ง่ายแล้ว ฝ่าบาทอาจสละความรักระหว่างบิดาธิดาเพื่อความเมตตาได้ แต่ไม่มีทางแย่งครอบครัวของขุนนางเด็ดขาด”  

 

 

คำนี้พูดได้ไม่เคารพยิ่งแล้ว  

 

 

กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับลู่อวิ๋นฉีขุนนางที่มีอำนาจใกล้ชิดฮ่องเต้ที่สุด หวงเฉิงเพิ่งเป็นคนแรก  

 

 

“ใต้เท้าหวงอยากเกษียณกลับไปบ้านเกิดรึ?” ลู่อวิ๋นฉีมองเขา เอ่ยอย่างชืดชา  

 

 

ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ หากทราบว่าหวงเฉิงเสียดสีพระองค์ลับหลังเช่นนี้ ไม่มีทางเลิกราเด็ดขาด  

 

 

“ใต้เท้าลู่ หากข้าเกษียณกลับไปบ้านเกิด ชีวิตนี้ท่านก็ไม่ได้พบคุณหนูจวินคนนั้นอีกแล้ว” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ่นฉีพลันขมวดคิ้วนิดๆ  

 

 

“ท่านข่มขู่ข้าหรือข่มขู่นาง?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่า  

 

 

“ล้วนไม่ใช่ ข้าเพียงเตือนใต้เท้าลู่” เขาเอ่ยบอก “ใต้เท้าลู่ ท่านอยากได้คุณหนูจวินคนนี้ ยามนี้มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือพิงเขาเขาล้ม ชักน้ำน้ำแห้ง เฉิงกั๋วกงล้ม นางไร้ขุนเขาให้พึ่งพิง เต๋อเซิ่งชางล้ม นางก็ไร้น้ำใช้สอย ยังไม่ใช่แล้วแต่ท่านจัดการหรือ? และวันนี้คนที่ปรารถนาที่สุดและทำให้เฉิงกั๋วกงล้มได้มากที่สุดก็มีเพียงข้าแล้ว ดังนั้นข้าไปไม่ได้ หากข้าไป ชีวิตนี้ท่านก็ได้แต่มองนางกลายเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง มองนางกลายเป็นภริยาเฉิงกั๋วกงในภายภาคหน้า”  

 

 

เขาเฮือกเดียวพูดจนหมด จึงเห็นลู่อวิ๋นฉีสีหน้าพิกลมองเขาอยู่  

 

 

ใบหน้าดั่งรูปสลักไม้หมื่นปีนี้ของลู่อวิ๋นฉีใต้แสงโคมของวังข้างทางสาดส่องเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เดี๋ยวขาวเดี๋ยวดำ เผยสีหน้าเช่นนี้ประหลาดยิ่งนัก  

 

 

หวงเฉิงก็เพิ่งเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขาเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตานั่น  

 

 

คล้ายเย็นเยียบคล้ายคับแค้นแล้วยังมีความโศกเศร้า  

 

 

“ใต้เท้าลู่?” เขาเอ่ยเรียก  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเก็บซ่อนแววตาไป สายตายังคงมองเขา  

 

 

“คำพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยได้ยินคนเอ่ยมาก่อน” เขาพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

มีคนเคยเอ่ยมาก่อนรึ?  

 

 

หวงเฉิงแววตาทอประกายน้อยๆ  

 

 

“ดูท่านี่คงเป็นหลักการที่ทุกคนล้วนรู้” เขาเอ่ยตอบ “ใต้เท้าลู่ วันนี้เฉิงกั๋วกงได้รับความโปรดปราน ฮ่องเต้ก็ต้องการเขาไว้รักษาหน้า ดังนั้นไม่มีทางทำอย่างไรกับเขา เฉิงกั๋วกงเจ้าเล่ห์ ให้เวลาเขาเพิ่มสักหน่อย ไม่แน่ว่ากระทั่งฮ่องเต้ก็คงถูกเขาปลุกปั่น ดังนั้นต้องหาจุดอ่อนที่เขาทำเลวออกมา ให้ฮ่องเต้เกิดความเกลียดชังเร็วที่สุด”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืม ก็ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย  

 

 

หวงเฉิงขมวดคิ้ว ลู่อวิ๋นฉีเป็นสุนัขของฮ่องเต้ ในใจคิดเพียงทำงานตามเจตนาของฮ่องเต้ ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีความคิดจะแตะเฉิงกั๋วกงแน่นอน แต่ความระแวงที่ฮ่องเต้มีต่อเฉิงกั๋วกงไม่ลดลง ขาดเพียงจังหวะเหมาะให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเท่านั้น จังหวะเหมาะนี้ก็คือยามที่ผลประโยชน์ของฮ่องเต้ถูกแตะต้อง เหนือกว่าหน้าตาที่คิดจะรักษา  

 

 

นี่ย่อมต้องการลู่อวิ๋นฉีคนที่ฮ่องเต้เชื่อพระทัยที่สุดเช่นนี้ปล่อยข่าว  

 

 

ส่วนสิ่งที่โน้มน้าวลู่อวิ๋นฉีได้ก็น่าจะเป็นสตรีที่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาคนนี้สินะ  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ดังนั้นข้าต้องการยืมรถม้าของท่านสักหน่อย” เขาเอ่ยต่อ ก้าวออกห่าง ปิดปากไอสองทีคล้ายอ่อนแอยิ่งนัก “แก่แล้วเดินไม่ไหวแล้ว”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า  

 

 

“ใต้เท้าหวงใช้เถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

ใช้เถอะ ถ้าเช่นนั้นนี่คือให้ยืมหรือไม่ให้ยืม?  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพูดจบประโยคหนึ่งก็ขึ้นม้า เหล่าองครักษ์เสื้อแพรก็ห้อมล้อมพรึบพรับ คนขบวนหนึ่งเคลื่อนไปข้างหน้า  

 

 

หวงเฉิงมองพวกเขาจากไป แล้วไม่รั้งอยู่อีกได้บ่าวผู้ติดตามพยุงขึ้นรถม้า ขับกุกกักไปท่ามกลางราตรี  

 

 

ค่ำคืนมืดมิด ในจวนสกุลลู่ไฟโคมสว่างไสว แต่เทียบกับวันวานสาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายลนลานมากขึ้นหลายส่วนเมื่อเห็นลู่อวิ๋นฉี นั่นก็เพราะบาดแผลบนร่างเขา  

 

 

ทว่าไม่มีใครกล้าถาม พวกนางตัวสั่นระริกมองลู่อวิ๋นฉีเดินไปยังที่พักขององค์หญิงจิ่วหลี ห้ามหญิงรับใช้สาวใช้แจ้ง เขายืนอยู่นอกประตูห้อง  

 

 

หน้าร้อนเปลี่ยนเป็นม่านโปร่ง แสงโคมสว่างไสวด้านในสาดส่องประหนึ่งเมฆประหนึ่งแสงอัสดง มองผ่านเมฆาสีแดงนี่เห็นสตรีนั่งสง่าอยู่ด้านใน อาภรณ์สีม่วงบนร่างไม่ได้ถูกแสงสว่างกลบมิด ตรงกันข้ามยิ่งแลดูโดดเด่น  

 

 

แม้อยู่ลำพังคนเดียว ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของนางก็สง่างดงามอย่างที่สุด นี่คือกิริยาท่าทางของชนชั้นสูงที่ติดมาตั้งแต่เกิดจากการซึมซาบอบรมจากเชื้อพระวงศ์หลายรุ่น  

 

 

“จิ่วหลิงไม่เคยนั่งเช่นนี้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น  

 

 

เสียงกะทันหันนี่ทำให้จิ่วหลีเงยหน้า  

 

 

“ท่านกลับมาแล้ว” นางเอ่ยขึ้น ไม่ได้ตระหนกหวาดกลัว  

 

 

ดูท่าหลังองค์รัชทายาทจากไปด้วยอาการประชวรกะทันหัน พระชายาขององค์รัชทายาทอัตวินิบาตกรรม ก็ไม่มีสิ่งใดทำให้นางตระหนกหวาดกลัวได้อีกแล้วกระมัง  

 

 

“จิ่วหลิงท่านั่งของนางไม่ถูกระเบียบสินะ?” องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ไม่นั่งบนก้อนหินก็นั่งบนต้นไม้ ต่อให้นั่งบนที่นั่งปกติประเดี๋ยวก็เป็นต้องบิดๆ เอี้ยวๆ ตอนยังเล็กถูกนางตำหนิไม่น้อย  

 

 

“ไม่ใช่ไม่ถูกระเบียบ แต่ผ่อนคลายตามสบายยิ่ง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม คล้ายมองผ่านองค์หญิงจิ่วหลีไปเห็นสตรีที่แม้นั่งตัวตรงก็เผยเท้าน้อยๆ ที่สวมแต่ถุงเท้าออกมาจากชายกระโปรงนิดๆ คนนั้น  

 

 

เขากลัวนางเป็นหวัด จึงใช้มืออุ่นให้นาง กำไว้กลางฝ่ามือแกว่งไกวอย่างไม่ซื่อ  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีไม่พูดจา คล้ายไม่อยากเอ่ยถึงประเด็นนี้  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่นอกประตูไม่ได้เข้าไป  

 

 

“องค์หญิงท่านเคยเคียดแค้นชีวิตตอนนี้ไหม?” เขาพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

ชีวิตตอนนี้ บิดามารดาสิ้น จากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตกต่ำกลายเป็นประหนึ่งนักโทษ  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเงยหน้าขึ้นยิ้ม  

 

 

“ไม่เคียดแค้น” นางเอ่ย “เพราะข้าเชื่อในชะตา”  

 

 

ชะตากำหนดไว้หรือ?  

 

 

“หากไม่ใช่ชะตาเล่า?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

“นั่นก็เป็นชะตา” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยเรียบๆ ไม่ตระหนกหน้าถอดสี ยิ่งไม่ไถ่ถามเขาถึงความนัยของประโยคนี้  

 

 

ประโยคนี้ฟังดูแล้วพิกล แต่คิดนิดหนึ่งก็น่าสนใจพอตัว ลู่อวิ๋นฉียิ้มแล้ว  

 

 

“องค์หญิงเชื่อก็ดี” เขาเอ่ยแล้วหมุนตัวจากไป  

 

 

ตอนนี้องค์หญิงจิ่วหลีถึงหยุดเข็มกับด้ายในมือ  

 

 

“ข้าเชื่อชะตา ข้าเชื่อ ชะตามีความยุติธรรม” นางเอ่ยพึมพำ เสียงอ่อนโยนทว่าแน่วแน่อย่างยิ่ง  

 

 

ส่วนลู่อวิ๋นฉีที่เดินจากไปยังคงเอ่ยปากช้าๆ  

 

 

“ข้าไม่เชื่อชะตา” เขาเอ่ยพลางมองความมืดเบื้องหน้า “ข้าไม่เชื่อว่าเก็บนางไว้ไม่ได้”  

 

 

เขาจมหายเข้าไปในความมืดไกลออกไป ด้านในจวนสกุลลู่เงียบสงัดประหนึ่งสถานที่ไม่มีคน  

 

 

ส่วนจวนเฉิงกั๋วกงเวลานี้กลับครึกครื้นอย่างยิ่ง  

 

 

เสียงโอ้ยทีหนึ่ง จูจั้นที่เปลือยร่างท่อนบนเผยรอยแผลดาบพลันกระโดดลุกจากเตียง  

 

 

“เจ็บหรือ?”  

 

 

คุณหนูจวินไม่รอเขาตะโกนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น  

 

 

“ข้าจะเบามืออีกหน่อย”  

 

 

นี่แตกต่างจากครั้งนั้นที่สังหารใต้เท้าน้อยหวงถูกทรมานเกือบตายอยู่ในห้องขังแล้วได้นางรักษาบาดแผลอย่างสิ้นเชิง เวลานั้นการกระทำของนางหยาบกระด้างยิ่งนัก  

 

 

จูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่ง นอนคว่ำลงอีกครั้ง  

 

 

“ข้าบอกให้ชัดก่อน เจ้าอย่าคิดไปเอง ข้าต่อยลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกนะ” เขาเอ่ย  

 

 

คำนี้ฟังแล้วไม่น่าเชื่อยิ่งนัก อย่างไรทุกคนล้วนรู้ว่าลู่อวิ๋นฉีจ้องคุณหนูจวินตาเป็นมัน ในฐานะผู้ชายของคุณหนูจวินจะอัดลู่อวิ๋นฉีเพราะผู้อื่นหรือ?  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเพราะใครเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “องค์หญิงจิ่วหลิงรึ?”  

 

 

ร่างกายจูจั้นแข็งเกร็งขึ้นมาคล้ายกำลังจะกระโดดลุกขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็เพียงหันหน้าเข้าไปด้านใน  

 

 

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เขาเอ่ยเสียงหงุดหงิด  

 

 

ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธ ฟังดูแล้วเศร้าเสียใจอยู่บ้างอย่างไม่มีสาเหตุ  

 

 

แน่นอนย่อมเกี่ยวกับข้าสิ คุณหนูจวินมองเขา เพราะข้าก็คือองค์หญิงจิ่วหลิงไงล่ะ  

 

 

ประโยคนี้หากเอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? คุณหนูจวินพลันผุดความคิดนี้ขึ้นมา  

 

 

……………………………………….  

Related

การทะเลาะกันครั้งนี้ถูกหยุดอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เอาชีวิตคน แต่คนในที่นั้นต่างมีรอยเขียวช้ำได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น  

 

 

ส่วนสองฝั่งนี้ คนของกรมทหารม้าห้าเมืองใครก็จัดการไม่ได้จึงส่งไปหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยกันเสีย  

 

 

ฮ่องเต้สดับฟังปุบก็ตรัสว่าทรงไม่ยุ่ง ให้พวกเขาไสหัวไปให้หมด  

 

 

“ข้าไม่ได้รับความยุติธรรม”  

 

 

แน่นอนจูจั้นไม่มีทางไป กลับคุกเข่านอกประตูตำหนักตะโกน  

 

 

“ข้าไม่ยอม ฝ่าบาทต้องลงโทษเขา เขาจ้องภรรยาข้าตาเป็นมัน ฟ้าสว่างกลางวันแสกๆ ก็แทะโลม…”  

 

 

เสียงดังจนขันทีและนางกำนัลที่เดินอยู่ไกลๆ ล้วนมองมา  

 

 

ขันทีทั้งหลายที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็รีบร้อนร้องโธ่กันระนาว  

 

 

“ท่านชายของข้า” ขันทีใหญ่เอ่ยขึ้น “รีบหยุดโวยวายเถิด ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิอะไรเสียหน่อย”  

 

 

จูจั้นถลึงตาสบถ  

 

 

“เขาหน้าไม่อาย ไยข้าต้องไว้หน้าเขา เรื่องงามหน้าของเขาต้องให้ทุกคนรู้กันให้หมด” เขาเอ่ย  

 

 

ภรรยาของท่านถูกคนแทะโลม ท่านก็น่าภาคภูมิไปไม่ถึงไหนหรอก ขันทีทั้งหลายร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก  

 

 

“ข้าย่อมภาคภูมิสิ” จูจั้นเอ่ย “นี่บ่งบอกว่าภรรยาข้าเฉิดฉายจับตา นี่เป็นเรื่องดี ข้าถือเป็นเกียรติ”  

 

 

เหลวไหลอะไรกัน! ขันทีทั้งหลายอึ้งมองเขา  

 

 

“แต่ ความภาคภูมินี่เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ใช่เหตุผลให้เขาลู่อวิ๋นฉีจ้องตาเป็นมันแทะโลมได้” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย โขยกเขยกพุ่งไปข้างหน้า “ฝ่าบาท ข้าไม่ยอม ข้าถูกลู่อวิ๋นฉีตีขาหักแล้ว…”  

 

 

ขันทีทั้งหลายรีบร้อนโถมเข้าไปขวางเขา  

 

 

“ข้าว่าท่านชายท่านอย่าโวยวายเลย”  

 

 

“ฝ่าบาทกำลังเกษมสำราญ ท่านอย่าก่อความวุ่นวาย”  

 

 

“ระวังฝ่าบาทพิโรธขึ้นมาไล่ท่านไปแดนเหนือ ให้ท่านไม่ได้พบหน้าภรรยาท่านหนึ่งปี”  

 

 

บางทีประโยคนี้คงข่มขวัญจูจั้นแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วจึงเห็นลู่อวิ๋นฉีที่คุกเข่าเงียบสงบอยู่ด้านข้าง  

 

 

“เจ้าสุนัข เจ้ารอก่อนเถอะ เห็นครั้งหนึ่งตีเจ้าครั้งหนึ่ง” เขาคำรามเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองก็ไม่มองเขาสักหน เพียงคุกเข่าตัวตรง  

 

 

จูจั้นก้าวยาวจากไป ยังมีสภาพถูกตีขาหักยกเท้าโขยกโขยกสักนิดอีกที่ไหน  

 

 

ขันทีทั้งหลายโล่งอกปาดเหงื่อ ส่งบรรพบุรุษคนนี้จากไปแล้วก็เรียบร้อยแล้ว  

 

 

พวกเขามองไปทางลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทไม่ได้ตำหนิ ท่านก็รีบกลับไปเถิด” พวกเขาเอ่ยพลางมองดวงหน้าบวมเขียวของลู่อวิ๋นฉี รวมถึงรอยเลือดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ข้างหู  

 

 

ไม่ตะโกนไม่ร้อง แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่น้อย  

 

 

“ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

บรรดาขันทีสบตากันทีหนึ่งจนปัญญายิ่งนัก ท่านชายจูรังควานตามตื๊อโหวกเหวกโวยวาย พวกเขายังกล้าตำหนิปนปลอบปนขู่ เพราะพวกเขารู้ว่าท่านชายจูคนนี้แม้บ้าบอ แต่ไม่มีทางทำอันใดพวกเขาคนรับใช้เหล่านี้ แต่ลู่อวิ๋นฉี…  

 

 

คนผู้นี้ไม่ส่งเสียงไม่พูดไม่โวยวายไม่ยินดีไม่โกรธเกรี้ยว แต่เหมือนอสรพิษในเงามืดตัวหนึ่งจับจ้องเจ้าอยู่ เจ้าไม่รู้ว่าเวลาใดประโยคใดล่วงเกินเขา แต่เขาจดจำเจ้าไว้แล้ว หลังจากนั้นก็กัดเจ้าคำหนึ่งอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งตายบนใบหน้าเจ้ายังมีรอยยิ้ม  

 

 

เขาไม่สนใจฐานะสูงต่ำ ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางตำแหน่งสูงชนชั้นสูงมากอำนาจหรือบ่าวไพร่พ่อค้าหาบเร่ ขอเพียงมีเรื่องกับเขา เขาล้วนกัดไม่ไว้ไมตรีสักนิด  

 

 

ขันทีที่เคราะห์ร้ายในมือเขาไม่ใช่แค่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงที่ยังขังอยู่ที่องครักษ์เสื้อแพรจนถูกคนลืมเลือนไปหมดแล้วคนนั้น  

 

 

หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้วอย่างไร? คนโปรดที่องค์ไทเฮาให้ความสำคัญแล้วอย่างไร? ไม่พบหน้าหนึ่งเดือนองค์ไทเฮาก็โยนเขาออกไปจากสมองแล้ว ในสำนักแพทย์หลวงคนใหม่ก็เปลี่ยนคนเก่า ใครยังจดจำเขาได้  

 

 

กระทั่งเขาชื่อว่าอะไร ขันทีหลายคนชั่วขณะยังคิดไม่ออกแล้ว  

 

 

คนน่ากลัวเพียงใด เรื่องน่ากลัวเพียงใด  

 

 

ยอมล่วงเกินวิญญูชนไม่ล่วงเกินคนถ่อย ก็คงเพราะเหตุนี้ล่ะนะ  

 

 

ขันทีทั้งหลายสบตากันทันที  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าท่านรอสักประเดี๋ยว พวกเขาจะลองดูอีกหน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่พูดไม่จาคุกเข่าตัวตรงมองขันทีผู้นั้นก้าวไวๆ จากไป เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป แสงตะวันเอียงเฉถึงมีขันทีรีบร้อนมา  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทเรียกขอรับ” เขาแจ้ง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีได้ยินก็ลุกขึ้น ทว่าเพราะคุกเข่านานเกินไปผนวกกับบนร่างบาดเจ็บถึงกับโซเซวูบหนึ่งลุกไม่ขึ้น ขันทีสองด้านรีบแย่งกันพยุง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสะบัดพวกเขาออก โซซัดโซเซลุกขึ้นมุ่งไปข้างหน้า  

 

 

ขันทีทั้งหลายติดตามอยู่ข้างหลังไกลๆ  

 

 

“เพื่อสตรีคนเดียวคุ้มค่าหรือ?” ขันทีคนหนึ่งอดไม่ได้พึมพำเสียงเบา “คุณหนูจวินคนนั้นหน้าตาก็แค่นั้น อีกอย่างนิสัยก็ก้าวราวปานนั้นอีก จะเลี้ยงให้เชื่องได้อย่างไร”  

 

 

“เจ้านี่ไม่เข้าใจเสียแล้ว ยิ่งไม่ได้มาจึงยิ่งคิดถึง” ขันทีอีกคนหนึ่งยิ้มเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ม้าที่ยิ่งก้าวร้าวถึงยิ่งดึงดูดคนขี่”  

 

 

ขันทีคนนั้นกลอกตาใส่เขา  

 

 

“พูดเสียเหมือนเจ้าเข้าใจนัก เจ้ามีอะไรมากกว่าข้ารึ?” เขาเอ่ย  

 

 

ขันทีคนนั้นสบถแล้ว สองคนด่ากันเอะอะ มองลู่อวิ๋นฉีด้านหน้าเข้าไปในตำหนัก  

 

 

พลบค่ำฤดูร้อนในตำหนักอบอ้าวอยู่บ้าง  

 

 

“เจ้าก่อเรื่องอะไร?” ฮ่องเต้พิโรธตวาด “รังเกียจว่ายังไม่วุ่นวายพอรึ?”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเพียงคุกเข่าบนพื้นไม่พูดจา  

 

 

“ตอนนี้เฉิงกั๋วกงกำลังชื่อเสียงรุ่งเรือง ข้าไม่อาจตบหน้าเขา ยิ่งไม่อาจตบหน้าตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นชา “เจ้าสร้างจุดอ่อนให้ผู้อื่นเล่นงานเช่นนี้ เฉิงกั๋วกงถือโอกาสกำจัดเจ้า ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะปกป้องเจ้าได้”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้น  

 

 

“ครานั้นฝ่าบาทเคยรับปากว่าจะยกองค์หญิงจิ่วหลิงให้กระหม่อม” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

ได้ยินคำว่าครานั้นสองคำ สีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย  

 

 

“คุณหนูจวินคนนี้ไม่ใช่นางเสียหน่อย” พระองค์เอ่ยอย่างโกรธแค้นอยู่บ้าง “อีกอย่างพูดถึงนางข้าก็ให้เจ้าแล้ว นางตายไม่ใช่ความผิดของข้า”  

 

 

ไม่รอลู่อวิ๋นฉีเอ่ยวาจาก็ลุกขึ้นเดินกลับไปมา  

 

 

“นางต้องการสังหารข้า ข้าจะเก็บนางไว้ได้อย่างไร?”  

 

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ คล้ายคิดถึงภาพตอนนั้นจนหวาดกลัวตามหลังอยู่บ้าง  

 

 

“ข้าเชื่อเจ้า แล้วก็เชื่อนาง ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะชักมีดออกมา ดีที่ข้าหลบไว!”  

 

 

พูดอยู่ก็หยุดเดิน  

 

 

“เรื่องครานั้นเจ้าสืบเรียบร้อยหรือยัง? นอกจากนางกำนัลคนนั้น ยังมีพรรคพวกคนอื่นหรือไม่?”  

 

 

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งเฉย “ปิงเอ๋อร์ฆ่าตัวตายแล้ว จิ่วหลิงก็ตายแล้ว สืบไม่ได้แล้วว่าพวกนางที่แท้พูดอะไรกัน”  

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจมองใบหน้าซีดขาวของลู่อวิ๋นฉี ท่ามกลางแสงอัสดงนี้ชวนให้กระทั่งพระองค์ก็ยังสยองอยู่บ้าง  

 

 

“อวิ๋นฉีเอ๋ย” พระองค์ตรัสเสียงอ่อนโยนอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าตัดใจไม่ได้ แต่ในเมื่อจิ่วหลิงมาฆ่าข้าแล้ว นั่นก็คือรู้ความจริงแล้ว จิ่วหลิงนิสัยเช่นไรเจ้าก็รู้ชัดเจนยิ่งนัก นางน่ะเป็นคนหัวดื้อคนหนึ่ง ทั้งยังป่าเถื่อนอยู่ข้างนอกจนชิน เจ้าไม่ฆ่านาง นางต้องฆ่าเจ้าแน่”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบา  

 

 

“นาง เจ้าเก็บไว้ไม่ได้”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจา เพียงมองพื้น  

 

 

แผ่นหินเขียวท่ามกลางราตรีสะท้อนแสงวาววับ แต่เขาคล้ายมองเห็นสีเลือดซึมอยู่ข้างใต้  

 

 

เก็บไว้ไม่ได้  

 

 

เก็บไว้ไม่ได้หรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

แสงอัสดงถดถอยไป ม่านราตรีเลิกเปิด ในพระราชวังกลายเป็นยิ่งมืดทึม ลู่อวิ๋นฉีเดินช้าๆ อยู่ในนั้น เดินออกจากประตูวัง พวกองครักษ์เสื้อแพรพลันแห่เข้ามา  

 

 

นอกจากม้า ยังจูงรถม้าคันหนึ่งมาด้วย  

 

 

“ใต้เท้านั่งรถเถอะขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงกล่อมเสียงเบา  

 

 

จูจั้นอยู่ในกองทหารมานานแล้วยังสังหารคนมามากมายปานนั้น ต่อยตีคนเหี้ยมอย่างที่สุด ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้บาดเจ็บอยู่ไม่เบาแน่นอน  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกลับไม่สนใจ เดินไปถึงหน้าอาชา  

 

 

“ใต้เท้าลู่”  

 

 

มีเสียงดังมาจากด้านหลัง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีผินหน้าไปนิดหนึ่ง ปลายหางตามองเห็นในกรมขุนนางด้านข้างมีคนตัวสั่นงั่กๆ เดินออกมา  

 

 

“ใต้เท้าลู่โปรดรอก่อน ข้ามีของอยากยืมจากท่าน” หวงเฉิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน  

 

 

……………………………………….  

Related

คุณหนูจวินที่กำลังอาเจียนลมอยู่ถูกคำนี้หยอกให้หัวเราะอีกครั้ง

 

 

ทั้งอาเจียนลมทั้งอยากหัวเราะ ดูไปแล้วอเนจอนาจยิ่ง

 

 

“เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว” จูจั้นกัดฟันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เล่นละครเช่นนี้อีกแล้ว”

 

 

ที่บอกว่าอีกแล้วก็เพราะท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน

 

 

จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งไม่เข้าใจ คุณหนูจวินกลับคิดขึ้นมาได้แล้ว

 

 

ครั้งนั้นนางถูกเชิญไปรักษาโรคที่จวนข้างนอกของลู่อวิ๋นฉี ถูกนวลนางอนุภรรยาในเรือนหลังนั้นทำให้ตกตะลึง ไม่ทันรู้ตัวเดินมาถึงนอกจวนเฉิงกั๋วกง ขณะที่กำลังมองกำแพงจวนอยู่ก็พบจูจั้นเข้า เมื่อถูกถามว่ามาจากไหนคิดถึงลู่อวิ๋นฉีขึ้นมาก็อดอาเจียนลมไม่ได้

 

 

เวลานั้นเสียนอ๋องก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าทำนางท้องหรือ” หยอกนางให้หัวเราะ

 

 

คุณหนูจวินใช้ผ้าขนหนูปิดปาก โบกมือให้พวกจางเป่าถัง

 

 

“เพียงแค่กินผิดท่าเท่านั้น” นางเอ่ย “สำลักเข้า”

 

 

จางเป่าถังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนซื่อเฟิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ล้วนร้องอ้อนั่งลงใหม่อีกครั้ง

 

 

จูจั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว ฉับพลันหันหน้ามองไปหาลู่อวิ๋นฉี

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังคงมองด้านนี้ สีหน้ากังวลนัก

 

 

สายตาของทั้งสองคนประสานกัน

 

 

“เจ้ามองอะไร?” จูจั้นดวงตาโกรธเกรี้ยวตวาด “ไม่เห็นรึว่าทำคนสะอิดสะเอียนจนอาเจียนแล้ว?”

 

 

พูดจบก็ยื่นมือชี้ด้านนอก

 

 

“เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้”

 

 

เสียงด่าคำนี้ดังขึ้นทำให้หัวใจที่หวาดหวั่นของเถ้าแก่กับพนักงานร้านสงบลง ในที่สุดก็ปกติแล้ว อย่างไรก็ต้องทะเลาะกัน ทะเลาะกันสิทะเลาะกันเลย ทะเลาะกันจบเร็วก็หมดเรื่องเร็ว

 

 

เถ้าแก่กับพนักงานทั้งหลายนั่งยองหลังโต๊ะกั้นโดยอัตโนมัติ ยกถาดไว้เหนือหัว เลี่ยงไม่ให้อีกเดี๋ยวสู้กันขึ้นมาถูกเขวี้ยงโดนเข้า

 

 

ได้ยินเสียงด่าคำนี้ เหล่าองครักษ์เสื้อแพรหลังร่างลู่อวิ๋นฉีพลันถลึงตาโกรธเกรี้ยวมือวางบนดาบข้างเอวทันที

 

 

ลู่อวิ๋นฉีใช้ผ้าขนหนูเช็ดมุมปากลุกขึ้นยืน

 

 

จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน

 

 

บรรยากาศในร้านตึงเครียดทันที

 

 

จูจั้นยิ่งหิ้วม้านั่งหมับเขวี้ยงมาอย่างแรง

 

 

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรกำลังจะพุ่งเข้าไป ลู่อวิ๋นฉีก็ยื่นมือรับม้านั่งไว้ก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

 

 

ไม่ได้ขว้างกลับไป แล้วก็ไม่ได้โยนลงพื้นข่มขวัญ แต่วางลงเบาๆ

 

 

“ร้านดีๆ อย่าทำลายของผู้อื่น” เขาว่า

 

 

ฮ่ะ จูจั้นยิ้มแล้ว

 

 

“ลู่อวิ๋นฉี เจ้ารู้จักทำลายสองคำนี้ด้วยรึ?” เขาเอ่ย

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สนใจเขา มองเพียงคุณหนูจวิน

 

 

“เจ้าทานอาหารให้อร่อยเถอะ” เขาว่า พูดจบก็ยกเท้าก้าวเดินไปด้านนอก

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายติดตามไปพรึบพรับ พริบตาในโถงก็เหลือเพียงพวกจูจั้นไม่กี่คน

 

 

“เจ้าหมอนี่ยิ่งบ้าขึ้นทุกทีแล้ว” ซื่อเฟิ่งเลิกคิ้ว ขบขันอยู่บ้างเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นด่าคำหนึ่งก็นั่งลงอีกครั้ง

 

 

“กินข้าว กินข้าว” จางเป่าถังรีบเอ่ยเรียก อยากคีบอาหารให้คุณหนูจวินอีกก็ลังเลอยู่บ้าง “คุณหนูจวิน เจ้านี่ท่านทานได้ไหม?”

 

 

จูจั้นถลึงตามองเขา

 

 

“กินได้ นางอะไรก็กินได้ทั้งนั้น” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มให้จางเป่าถังแล้วพยักหน้า

 

 

“ไม่มีจริงๆ ท่านอย่าคิดมาก” นางเอ่ย

 

 

จางเป่าถังหน้าแดงนั่งลง คุณหนูจวินก็ยกน้ำแกงแพะดื่มทีละคำเล็กๆ ด้วย

 

 

จูจั้นพรูลมหายใจ หยิบตะเกียบทิ่มเนื้อแพะตรงหน้า

 

 

“เจ้าสุนัขตัวนี้น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นทำไมไม่ตีเขาให้ตายไปเสียนะ?”

 

 

“ตอนนั้นเขาอายุน้อยๆ ก็กล้าแอบดูจดหมายลับของท่านกั๋วกงแล้ว” ซื่อเฟิ่งพูดขึ้นมา “เห็นได้ว่าเวลานั้นเขาก็ไม่มีหัวใจดีงามแล้ว”

 

 

ช้อนของคุณหนูจวินหยุดนิดหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีถึงกับเคยลอบอ่านจดหมายลับของเฉิงกั๋วกง? ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาผูกแค้นกัน? แต่อายุน้อยๆคือพูดถึงตอนไหน?

 

 

“ข้าก็ว่าแล้วตอนนั้นเรื่องท่านกั๋วกงกวาดล้างโจรเก็บเงินเป็นของตนเองต้องเป็นเจ้าสุนัขตัวนี้รายงาน ทำร้ายท่านกั๋วกงจนหวิดถูกล่าวโทษปลดออกจากตำแหน่ง” จางเป่าถังเอ่ย “เจ้าหนูนี่แสร้งทำซื่อตรง ให้ตายก็ไม่ยอมรับ”

 

 

“ข้าบอกให้คลุมหัวตีให้ตายไปเสียสิ้นเรื่อง พวกเจ้าก็ไม่ยอม” ซื่อเฟิ่งแค่นเสียงเอ่ย “ตอนนี้ดีแล้ว มีปีกแล้ว”

 

 

“นั่นล้วนเพราะองค์หญิงจิ่วหลิง” จางเป่าถังตบโต๊ะเอ่ย

 

 

สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงพรวดทีหนึ่ง คุณหนูจวินที่กำลังดื่มน้ำแกงแพะอยู่พ่นออกมา หันหน้าไปคว้าผ้าขนหนูปิดปาก ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็ยังสำลักติดกันเป็นพรวน

 

 

อีกแล้ว…

 

 

จางเป่าถังตกใจลุกขึ้นยืน

 

 

“พี่สะใภ้ ที่แท้แพ้อะไรกันแน่ ท่านอย่าไม่บออกสิ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนนอก ไม่ล้อพวกท่านหรอก” เขาตะโกนเอ่ย

 

 

จูจั้นตบโต๊ะ

 

 

“นั่งลง” เขาตวาด

 

 

จางเป่าถังทรุดลงนั่ง

 

 

จูจั้นสูดหายใจยาวทีหนึ่งมองไปทางคุณหนูจวิน

 

 

“คุณหนูจวิน ที่แท้ท่านคิดจะเอาอย่างไรกันแน่?” เขาเค้นรอยยิ้มจางกัดฟันเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะแก้เก้อ พลางโบกมือ

 

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” นางเอ่ยขึ้น “พวกท่านต่อ พวกท่านคุยกันต่อ”

 

 

จูจั้นถลึงตาไม่สบอารมณ์

 

 

“ยังคุยอะไรอีก?” เขาเอ่ย “รีบกิน กินเสร็จก็รีบกลับไป”

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา มองไปหาจางเป่าถัง

 

 

“พวกท่านรู้จักกับองค์หญิงจิ่วหลิงด้วยหรือ?” นางถือช้อนพลางเอ่ยถาม

 

 

“ก็ไม่อาจพูดว่ารู้จักได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนพวกเราขัดแย้งกับลู่อวิ๋นฉีให้บทเรียนกับเขาอยู่ องค์หญิงจิ่วหลิงยุ่งไม่เข้าเรื่องทำพวกเราเสียเรื่อง…” จางเป่าถังเล่า

 

 

คำพูดยังเอ่ยไม่จบจูจั้นก็วางตะเกียบแรงๆ

 

 

“เกี่ยวอันใดกับนาง? หากพวกเราอยากทำให้ลู่อวิ๋นฉีตาย ใครขวางได้?” เขาขัด “ก็แค่เห็นเขากำพร้าเดียวดายลำบาก ชั่วขณะจึงเมตตาใจอ่อนก็เท่านั้น ล้วนโทษใครไม่ได้ จะโทษก็โทษสวรรค์ที่เลี้ยงดูเจ้าตัวนี้ออกมา”

 

 

จางเป่าถังร้องอ้อ ส่วนซื่อเฟิ่งก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ

 

 

“ใช่แล้ว ไม่ผิด ก็เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น”

 

 

ไม่มีคนพูดต่อ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็พิกลอยู่บ้าง คุณหนูจวินมองซ้ายมองขวา มองดูรีรอครู่หนึ่งก็ไม่ได้ถามต่อ

 

 

นางเคยยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยรึ?

 

 

แล้วยังเป็นตอนที่ลู่อวิ๋นฉีกับพวกเขาขัดแย้งกันอีกด้วย?

 

 

นางไม่ได้พบลู่อวิ๋นฉีครั้งแรกหลังมาถึงวังไหวอ๋องหรือ?

 

 

นอกจากนี้พวกจางเป่าถังจูจั้น นางก็เคยรู้จักแต่ชื่อ คนก็ไม่เคยพบ ปกตินางไม่อยู่บ้าน ปีใหม่เทศกาลพวกเด็กผู้ชายก็ไม่ต้องมาวังหลังเข้าเฝ้า

 

 

ก่อนตายนางล้วนไม่รู้จักพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพบหน้า

 

 

อย่างไร…?

 

 

คุณหนูจวินกัดช้อน รู้สึกสับสนอยู่บ้าง หรือเคยเกิดเรื่องที่ตัวนางเองยังจำไม่ได้?

 

 

นางหันหน้ามองไป จูจั้นสีหน้านิ่งสงบดวงหน้าจดจ่ออยู่กับการทานอาหาร ไม่มียิ้มร่าหรืองุ่นง่านอย่างก่อนหน้านี้สักนิด

 

 

จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งก็ตั้งใจกินเหมือนกัน

 

 

ไม่พูดไม่จาเช่นนี้ไม่นานก็กินเสร็จแล้ว จูจั้นเดินออกไปข้างนอกก่อน คุณหนูจวินรั้งท้ายก้าวหนึ่ง ได้ยินซื่อเฟิ่งที่รั้งท้ายสองก้าวไปจ่ายเงินตำหนิจางเป่าถังเสียงเบา

 

 

“ใครให้เจ้าพูดถึงองค์หญิงจิ่วหลิง กำลังสนุกอยู่ดีๆ ก็ทำให้เขาเสียใจ”

 

 

เสียใจ?

 

 

พูดถึงตนเองแล้วอย่างไร? ทำไมจูจั้นต้องเสียใจ?

 

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้วยิ่งขบคิดไม่เข้าใจ

 

 

นอกประตูจูจั้นหยุดฝีเท้า คุณหนูจวินก็หยุดมองไปด้วย เห็นลู่อวิ๋นฉีถึงกับยืนอยู่นอกประตู

 

 

ที่แท้เขาไม่ได้จากไป แต่ยืนอยู่นอกประตูอยู่ตลอดรึ

 

 

เห็นนางมองมา ลู่อวิ๋นฉีก็ยิ้มน้อยๆ

 

 

หลอกหลอนไม่เลิกราจริงๆ นะ คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ

 

 

ความคิดเพิ่งแล่นผ่านไปก็เห็นจูจั้นยกเท้าพุ่งเข้าใส่ลู่อวิ๋นฉี

 

 

“เจ้าสุนัขตัวนี้” เขาเอ่ยด่า

 

 

การเคลื่อนไหวกะทันหันนี่ทำให้คนคาดไม่ถึง พร้อมกับเสียงชักดาบของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร จูจั้นก็มาถึงตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีแล้ว หนึ่งหมัดต่อยเข้าใส่ใบหน้าของเขา

 

 

จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งที่ตามออกมาติดๆ สองสามก้าวพุ่งเข้าไป

 

 

เสียงด่าควบคู่กับเสียงตะโกน ในซอยฉับพลันเสียงดังอื้ออึง

 

 

ในที่สุดก็สู้กันแล้วสู้กันแล้ว แต่ยังดีที่ไม่ได้อยู่ในร้าน เถ้าแก่กับพนักงานปิดประตูดังปัง

 

 

คุณหนูจวินที่ยืนอยู่หน้าประตู ในสมองก็มีเสียงดังปังดังกังวานเหมือนกัน มองดูผู้คนที่สู้กันตรงหน้านี้

 

 

หรือว่าพวกคุณชายเสเพลที่พบหน้าประตูเมืองเมื่อปีนั้นตอนอายุสิบสามปีคือพวกจูจั้น ส่วนคนนั้นที่ถูกตีก็คือลู่อวิ๋นฉีรึ?

 

 

การต่อสู้ชุลมุนตรงหน้าค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นภาพยามนั้น คล้ายชัดเจนแต่ก็คล้ายพร่าเลือน

 

 

…………………………

Related

ตอนคุณหนูจวินเดินเข้ามา จูจั้นกำลังคุยเล่นกับพวกจางเป่าถังและซื่อเฟิ่งที่มาถามข่าวคราว  

 

 

“พี่รอง พี่สะใภ้มาแล้ว” จางเป่าถังเห็นเป็นคนแรก รีบเอ่ยอย่างดีอกดีใจ  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วคล้องหัวไหล่ซื่อเฟิงไว้  

 

 

“พูดเช่นนี้แม่นางไม่ต้องใจเจ้ารึ?” เขาเอ่ยสนทนาต่อจากเมื่อครู่  

 

 

ซื่อเฟิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม  

 

 

“อย่างไรคุณชายน้อยก็ไม่ต้องใจนางเหมือนกัน” เขาเอ่ย  

 

 

จางเป่าถังยื่นมือตบจูจั้น  

 

 

“พี่รอง พี่รอง” เขาเอ่ยเรียก  

 

 

จูจั้นถลึงตา  

 

 

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นก็หันหน้ามา คล้ายเพิ่งมองเห็นคุณหนูจวินที่ยืนอยู่หลังร่าง “เจ้ามาได้ยังไง?”  

 

 

เหมือนเขาไม่รู้ว่าทำไมนางมาที่นี่ คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม  

 

 

“บังเอิญจริง” นางเอ่ย “ข้ามาโรงหมอจิ่วหลิง”  

 

 

จูจั้นร้องอ้อ  

 

 

“พี่สะใภ้ พวกเราคิดจะไปกินน้ำแกงแพะ” จางเป่าถังเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ครั้งนี้ท่านไปด้วยได้แล้วกระมัง?”  

 

 

ครั้งนี้  

 

 

คุณหนูจวินคิดถึงปีนั้นที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงพบพวกจูจั้นพวก จางเป่าถังก็เอ่ยวาจาชวนทานอาหารด้วยกันเช่นนี้ออกมาเหมือนกัน แต่เวลานั้นไม่ได้จริงใจเท่าเวลานี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังถูกจูจั้นปฏิเสธด้วย  

 

 

เวลานั้นสำหรับพวกเขาแล้วนางเป็นเพียงคนแปลกหน้าประหลาดคนหนึ่ง ส่วนตอนนี้นางกลายเป็นภรรยาของจูจั้นแล้ว  

 

 

“ได้สิ” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเราไปกินนำแกงแพะซีซีกันเถอะ”  

 

 

จางเป่าถังร้องเอ๋  

 

 

“พี่สะใภ้…” เขาเอ่ย  

 

 

จูจั้นกระแอมแผ่วเบาขัดเขา  

 

 

“ยังไม่แต่งงาน ไม่ต้องเรียกเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ผู้อื่นมีชื่อ”  

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านก็รู้จักน้ำแกงแพะซีซีด้วยรึ?” จางเป่าถังเอ่ยรับข้อเสนออย่างรวดเร็ว  

 

 

น้ำแกงแพะซีซีเป็นร้านเก่าแก่ในเมืองหลวง แต่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ดังนั้นไม่ใช่เหลาสุราร้านอาหารใหญ่ที่ทุกคนจะแย่งกันไป  

 

 

ที่รู้จัก พราะอาจารย์ชมมันไม่ขาดปาก เพียงแต่ทุกครั้งที่กลับเมืองหลวงล้วนรีบร้อน ตลอดมาบอกว่ามีโอกาสค่อยไป หลังแต่งงานลู่อวิ๋นฉีก็บอกว่ามีโอกาสจะพานางไป หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว  

 

 

“ท่านชายเคยบอกไว้” นางอมยิ้มตอบ พลางมองจูจั้นทีหนึ่ง  

 

 

จูจั้นยิ้มเย็นชาให้นาง แต่ไม่ได้โต้แย้งเพียงหันหน้าหนี  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ลู่อวิ๋นฉีก็ยืนขึ้น องครักษ์เสื้อแพรข้างกายรีบตามติดเขา แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ก้าวเท้าไปข้างหน้า เพียงยืนยิ่งสงบมองอยู่ที่มุมถนน  

 

 

ถนนครึ่งสายไม่มีใครกล้าผ่านที่นี่นานแล้ว  

 

 

รอเห็นพวกจูจั้นขึ้นม้าเดินไปด้านหน้า ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ถึงขึ้นม้าบ้าง เหล่าองครักษ์เสื้อแพรข้างกายย่อมติดตาม ดาบข้าวเอวกระทบเกรียบกราวเสียงดังอย่างยิ่ง  

 

 

พวกเขาติดตามไม่ไกลไม่ใกล้ ที่ซึ่งผ่านไปคนเดินถนนพากันหลีกออก  

 

 

จางเป่าถังหันหลับไปมองทีหนึ่ง  

 

 

“พี่รอง สุนัขฝูงนั้นยังตามอยู่เลย” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับสีหน้าดูแคลน  

 

 

“ขอแค่ไม่ขวางทางก็นับว่าเป็นสุนัขที่ดีตัวหนึ่ง” เขาเอ่ย  

 

 

ตอนลู่อวิ๋นฉีเห็นพวกเขาทะลุถนนใหญ่เดินเข้าไปในซอยน้อยเส้นหนึ่งก็สีหน้านิ่งสนิทไม่เปลี่ยนสักนิด  

 

 

“ใต้เท้า เป็นอะไรไปขอรับ?” องครักษ์เสื้อแพรข้างกายมองรอบด้านอย่างระวังทันที  

 

 

“ไม่มีอะไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น มุมปากผุดรอยยิ้มบาง “บังเอิญจริง ดียิ่ง”  

 

 

อะไรบังเอิญจริง? ดียิ่งอีก?  

 

 

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรสีหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ พวกเขาเพียงต้องเชื่อฟังคำสั่งก็พอ เห็นลู่อวิ๋นฉีกระตุ้นม้าเดินหน้า ผู้คนรีบห้อมล้อมหน้าหลัง  

 

 

ในซอยเล็กๆ เพราะฉับพลันคนมากมายจึงแออัด ส่วนร้านน้ำแกงแพะหน้าร้านเล็กๆเห็นองครักษ์เสื้อแพรมาถึงลูกค้าทั้งหลายก็แตกกระเจิงดั่งวิหคทันที  

 

 

พวกจูจั้นนั่งลงข้างใน เถ้าแก่กับพนักงานตัวสั่นระริกมาต้อนรับพวกลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ใต้เท้ารับอะไรดีขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีชี้พวกจูจั้น  

 

 

“พวกเขารับอะไร ข้าก็เอาอย่างนั้น” เขาเอ่ย  

 

 

เป็นศัตรูกันจริงๆด้วย เถ้าแก่ในใจร้องโอดครวญไม่หยุด ในเมืองหลวงทุกคนล้วนรู้ว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงพบลู่อวิ๋นฉีเข้าย่อมไม่ได้อยู่สงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ที่ทั้งสองแย่งหญิงงามคนเดียวกันอีก  

 

 

แต่เห็นลู่อวิ๋นฉีเพียงเอ่ยประโยคเดียวก็นั่งลงไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างอื่น พวกจูจั้นฝั่งนั้นก็คล้ายมองไม่เห็นลู่อวิ๋นฉี ในใจเถ้าแก่ก็สวดหาเทพเจ้าพระพุทธองค์ทั้งหลายบนชั้นฟ้าพาพนักงานวุ่นวายทำงาน  

 

 

อาหารของร้านน้ำแกงแพะเรียบง่ายยิ่ง ไม่นานก็ยกมา จูจั้นสี่คนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีด้านนี้คนเดียวนั่งโต๊ะหนึ่งเหมือนกัน ในห้องโถงใหญ่โตมีเพียงสองโต๊ะนี้ ด้านหนึ่งคุยเล่นหัวเราะครึกครื้น ด้านหนึ่งเงียบสงบไร้เสียง เถ้าแก่กับพนักงานยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกประหนึ่งน้ำไฟสองสิ่งปะทะกัน  

 

 

“พี่สะใภ้…คุณหนูจวินท่านลองชิมนี่” จางเป่าถังเอ่ยอย่างเป็นมิตร ส่งกระดูกแพะชิ้นโตตรงหน้ามาวางเบื้องหน้าคุณหนูจวิน  

 

 

คุณหนูจวินม้วนแขนเสื้อเบาๆ หยิบกระดูกชิ้นโตขึ้นมาแทะอย่างที่สำหรับผู้หญิงแล้วไม่สง่างามเท่าไร  

 

 

และอีกด้านหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีก็หยิบกระดูกแพะขึ้นมากัดช้าๆ ด้วย  

 

 

“ทำอร่อยจริงๆ ด้วย” คุณหนูจวินปากกัดเคี้ยวไปพลางก็พยักหน้าติดกันไปพลาง  

 

 

นางกินรวดเร็วยิ่งฉับไวยิ่ง จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

 

“คุณหนูจวินดูเหมือนจะทานกระดูกชิ้นใหญ่บ่อยนะ” พวกเขายิ้มพูดขึ้น  

 

 

กินกระดูกเช่นนี้ต้องมีชั้นเชิง  

 

 

คุณหนูจวินกัดกระดูกอ่อนชิ้นหนึ่งแล้วหยุดนิดหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  

 

 

ใช่แค่กระดูกชิ้นใหญ่ที่ไหน ปลาดิบนางก็กินมาแล้ว  

 

 

“อะไรนางก็เคยกินมาแล้ว” จูจั้นเอ่ยด้านข้าง  

 

 

จางเป่าถังมองจูจั้นสีหน้าทอดถอนใจ  

 

 

“อย่างไรก็เป็นพี่รองที่เข้าใจพี่…คุณหนูจวิน” เขาเอ่ย “ใส่ใจจริงๆ”  

 

 

ประโยคก่อนหน้ายังนับว่าธรรมดา ประโยคหลังไม่มีสาเหตุจริงๆ จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง นี่ดูเป็นใส่ใจได้อย่างไร?  

 

 

คุณหนูจวินวางกระดูกลง ผายสองมือออกชูสูงขึ้นนิดหนึ่ง ไม่ให้แขนเสื้อเปื้อนน้ำมัน จางเป่าถังกำลังจะส่งผ้าขนหนูเปียกไปก็เห็นจูจั้นหยิบผ้าขนหนูขึ้นคว้าแขนคุณหนูจวินมาเช็ดมือให้นาง การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญทั้งยังคล่องแคล่ว  

 

 

จูจั้นเช็ดสองทีถึงได้สติ ในใจด่ามารดาคำหนึ่ง ปรนนิบัติคนเช่นนี้จนกลายเป็นนิสัยไปได้อย่างไร!  

 

 

เขาเงยหน้าเห็นจางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งแรกสุดตาโตอ้าปากค้างจากนั้นยิ้มท่าทางมีเลศนัย ก็ด่ามารดาอีกคำหนึ่ง  

 

 

จูจั้นสองสามทีเช็ดมือคุณหนูจวินจนเสร็จ โยนผ้าขนหนูทิ้ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมากินเต้าหู้เส้นคำโตๆ ท่าทางประหนึ่งไม่มีอะไร สิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น  

 

 

“คุณหนูจวินท่านลองชิมนี่อีก” จางเป่าถังเอ่ยอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มรับไป  

 

 

เด็กสาวกินอย่างเปิดเผย คุยเล่นตามสลาย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นอย่างยิ่ง สายตาของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองลู่อวิ๋นฉีลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งในห้องเลย แต่สายตาของลู่อวิ๋นฉีกลับมองพวกเขาอยู่ตลอด พูดให้ชัดคือมองคุณหนูจวิน  

 

 

คุณหนูจวินกินอะไร เขาก็กินอันนั้น คุณหนูจวินยิ้ม เขาก็ยิ้ม เหมือนกับพวกเขากำลังร่วมนั่งทานอาหารประจันหน้ากันอยู่  

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ไม่เคยเห็นมาก่อน  

 

 

คุณหนูจวินคิดถึงตอนเพิ่งเข้าเมืองหลวง ตอนอยู่ที่ร้านเต้าหู้ทอดกับหนิงอวินเจาก็เคยเห็นลู่อวิ๋นฉีพาสตรีคนหนึ่งมานั่งทานอาหารด้วยกันเช่นนี้  

 

 

ตอนนั้นนางไม่รู้ ตอนนี้แน่นอนเข้าใจแล้ว สตรีผู้นั้นถูกลู่อวิ๋นฉีเอามาแทนตนเอง  

 

 

คิดถึงเรื่องนี้ คิดถึงผู้หญิงคนนั้น ก็คิดถึงสตรีมากกว่านั้นในเรือนหลังนั้นขึ้นมา แปะรวมกันออกมาเป็นตนเอง ส่วนลู่อวิ่นฉีก็กอดซ้ายโอบขวา  

 

 

คุณหนูจวินเพียงรู้สึกคลื่นไส้วูบหนึ่ง จึงวางช้อนน้ำแกงในมือลงหันหน้าไปอาเจียนลม  

 

 

คนบนโต๊ะตกใจสะดุ้งโหยง จางเป่าถังยิ่งลุกขึ้นมา  

 

 

“พี่สะใภ้” เขาตะโกน “ท่านมีแล้วหรือ?”  

 

 

จูจั้นที่กำลังผินหน้าไปมองคุณหนูจวินฉับพลันประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง  

 

 

“เจ้าสิมีแล้วน่ะ!” เขาถลึงตาตะโกน  

 

 

…………………………

Related

กำจัดเต๋อซิ่งชางรึ?  

 

 

เหล่าผู้ช่วยที่นั่งอยู่สบตากันทีหนึ่งห  

 

 

หากเป็นพ่อค้าร้านแลกเงินอื่น สำหรับหวงเฉิงแล้ว การกำจัดเป็นเพียงเรื่องแค่ขยับปาก แต่สถานะของเต๋อเซิ่งชางแห่งนี้พิเศษอยู่บ้าง  

 

 

เต๋อเซิ่งชางมีราชโองการที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ วันนี้ก็วางอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิง  

 

 

“ราชโองการเป็นของไร้ชีวิต จะทำให้คนเป็นกลั้นปัสสาวะจนตายได้รึ?” หวงเฉิงยิ้มเอ่ย เคาะผิวโต๊ะ “คนก็ไม่อยู่แล้ว ราชโองการยังมีประโยชน์อันใดอีก?”  

 

 

คนก็ไม่อยู่แล้ว…  

 

 

บรรดาผู้ช่วยสบตากันทีหนึ่ง  

 

 

“ข้านับว่ามองเข้าใจแล้ว บ่อเกิดของทุกสิ่งทุกอย่างนี่ก็คือตัวสาวน้อยแซ่จวินคนนี้ของโรงหมอจิ่วหลิง” หวงเฉิงพรูลมหายใจเอ่ย “ครั้งนี้หากไม่ใช่นาง เรื่องราวก็คงไม่เปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้สักนิด”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีก  

 

 

“นี่ก็โทษข้าสะเพร่าไม่ได้ สตรีที่กระทั่งยมราชลู่ยังจัดการไม่ได้คนหนึ่ง ย่อมไม่ใช่พวกธรรมดา”  

 

 

ใช่แล้ว เชื่อมต่อต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวกระจ่างชัดก็จะรู้ว่าช่วงเวลาสำคัญที่สุดมากมายล้วนมีคุณหนูจวินสตรีคนนี้อยู่  

 

 

“ดูท่าคุณหนูจวินคนนี้คงไม่ยินดีเป็นหมอคนหนึ่งนะ” หวงเฉิงเอ่ย “ดังนั้นบางครั้งไม่อาจมีชื่อเสียงเร็วเกินไป เด็กน้อยทั้งหลายมีชื่อเสียงเร็วเกินไปย่อมเหิมเกริมได้ง่าย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังมีกองหนุนที่ร่ำรวยเช่นนี้ด้วย”  

 

 

เหล่าผู้ช่วยพยักหน้า  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตัดรากของมันก่อน ให้บทเรียนนางสักครั้ง” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คุกเข่าข้างหนึ่งลุกขึ้น “ใต้เท้า เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ”  

 

 

น้ำเสียงของเขาสบายๆ การกระทำท่าทางชำนิชำนาญอยู่บ้าง เห็นชัดยิ่งว่าทำเรื่องเช่นนี้บ่อยๆ   

 

 

หวงเฉิงไม่รีบร้อนไม่ลนลาน  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปลองดูเถอะ” เขาเอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

ยามท้องฟ้าสว่าง ในโรงหมอจิ่วหลิงครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว หมอทั้งหลายเช่นท่านหมอเฒ่าเฝิงเป็นต้นล้วนอยู่พร้อม มองคุณหนูจวินพลางเอ่ยถามสับสนวุ่นวาย  

 

 

“สรุปแล้วก็คือเรื่องราวช่วงนี้เล่าแล้วยาว คำเดียวยากเล่าจบ” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่ก็ไม่ต่างจากที่พวกเท่านได้ยินมานัก”  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพูดเช่นนี้คุณหนูจวินท่านออกจากเมืองหลวงที่จริงก็นัดกับท่านชายไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปแดนเหนือพบบิดามารดาของเขารึ” หมอคนหนึ่งทนไม่ไหวเอ่ยถาม  

 

 

หมอทั้งหลายรอบด้านพากันถลึงตา  

 

 

“วางเรื่องสำคัญไว้ไม่ถาม เจ้าอายุปูนนี้แล้วทำไมเป็นห่วงแต่เรื่องนี้เล่า?” ทุกคนเอ่ยขึ้น  

 

 

พูดพลางก็ล้วนมองไปทางคุณหนูจวินอีก ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็อยู่ในนั้นด้วย  

 

 

“เป็นเช่นนี้หรือ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“พวกท่านคนเหล่านี้ถึงกับชอบถามเรื่องเช่นนี้ด้วย” เขาเอ่ย  

 

 

“ผู้อื่นชอบถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิงที่เล่าลือในเมือง แต่พวกเราถามถึงการหมั้นหมายระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิต” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย มองคุณหนูจวินอย่างจริงใจยิ่ง “พวกเราหวังว่าชีวิตของคุณหนูจวินจะมีที่พึ่ง”  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“ใช่ ก็เป็นเช่นนี้” นางเอ่ย  

 

 

แม้คนเหล่านี้เป็นห่วงนางจริงๆ แต่มีบางเรื่องก็ไม่อาจให้พวกเขารู้ได้ ส่วนชีวิตมีที่พึ่ง สำหรับนางแล้วไม่ใช่การแต่งงานมีครอบครัวตั้งนานแล้ว  

 

 

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ หมอทั้งหลายก็ปลื้มปิติทั้งยังดีอกดีใจ  

 

 

“เวลาแต่งงานกำหนดแล้วหรือ?”  

 

 

“มักง่ายไม่ได้นะ”  

 

 

พวกเขาพากันพูดถก  

 

 

เฉินชีก็ฉีกยิ้มตามด้วย หันหน้ามาเห็นฟางจิ่นซิ่วกลอกตาทีหนึ่ง  

 

 

“ครั้งแรกเป็นการเสแสร้งเพื่อช่วยคน ครั้งที่สองบิดามารดาไม่เห็นด้วย ไม่รู้ว่าครั้งที่สามนี่จะให้เหตุผลอะไรอีก” นางเอ่ยพึมพำ  

 

 

“ทำสิ่งใดไม่เกินสาม ครั้งนี้ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องหาเหตุผลแล้วก็ได้” เฉินชีหัวเราะเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าไม่ใช่คนของคุณชายหนิงรึ? ทำไมเห็นด้วยกับท่านชายด้วยเล่า?” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“ใช่ที่ไหนเล่า คุณชายหนิงก็ไม่ได้ให้ค่าจ้างข้าเสียหน่อย ข้าย่อมเป็นคนของคุณหนูจวิน” เฉินชีทำหน้าจริงจังเอ่ย แล้วหัวเราะคิกคักอีกครั้ง “นั่นเป็นตอนคุณหนูจวินไม่อยู่ คุณหนูจวินอยู่แล้ว ข้าย่อมยอมรับเพียงคุณหนูจวิน คุณหนูจวินพูดว่าต้องการอันนั้น ข้าก็ยอมรับอันนั้น”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วตวัดตามองเขาทีหนึ่ง ในห้องเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ  

 

 

มีคนเลิกม่านเข้ามา  

 

 

เห็นเด็กสาวที่เข้ามา เฉินชีพลันตะลึง  

 

 

นอกโรงหมอจิ่วหลิงเวลานี้มีผู้คุ้มกันของจวนเฉิงกั๋วกงแล้วยังมีพนักงานของโรงหมอจิ่วหลิงเฝ้าอยู่ กีดกั้นไม่ให้ผู้อื่นเข้าใกล้  

 

 

คนที่เข้ามาได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา  

 

 

เฉินชีเห็นผู้ที่มาชัดก็รีบถองฟางจิ่นซิ่วทันที  

 

 

“นี่นี่ นางนี่แหละ แม่ทัพหญิงในสังกัดของเฉิงกั๋วกงที่ข้าบอกเจ้า“ เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ที่แท้เป็นลูกน้องของเฉิงกั๋วกง ถ้าเช่นนั้นเข้ามาก็ไม่แปลก ฟางจิ่นซิ่วคิด เพิ่งกำลังจะถามไถ่ สตรีคนนั้นก็เดินมาถึงข้างกายคุณหนูจวินแล้ว  

 

 

“พี่สาว ท่านชายยืนอยู่ข้างนอกทำอะไร?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยขึ้น  

 

 

ท่านชายก็มาด้วยรึ?  

 

 

คนในห้องรีบร้อนลุกขึ้นกันหมด คุณหนูจวินไม่ได้มาเองรึ?  

 

 

“เขาไม่ได้บอกว่าจะมานี่” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ เห็นชัดว่าก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน  

 

 

เฉินชีวิ่งมานอกประตูมอง จากนั้นหันหน้ากลับมา  

 

 

“ยืนอยู่ตรงมุมถนนโน่นแน่ะ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าพิกลอยู่บ้าง รีรอนิดหนึ่ง “อีกด้านหนึ่ง ใต้เท้าลู่แห่งองครักษ์เสื้อแพรก็อยู่ด้วย”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉี?  

 

 

คนในห้องสีหน้าวิตก เมื่อวานเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเข้าเมืองพวกเขาล้วนรู้ ลู่อวิ๋นฉีหวิดจะจับคุณหนูจวินไปแล้ว  

 

 

คิดไม่ถึงจากไปนานปานนี้ กลับมาปุบลู่อวิ๋นฉีก็ยังคงเป็นเช่นนี้อีก  

 

 

ท่านชายคนนั้นจะขวางลู่อวิ๋นฉีรึ?  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้วนั่งลง  

 

 

“ถามเขาสิว่าจะเข้ามานั่งไหม?” นางเอ่ยกับจ้าวฮั่นชิง  

 

 

จ้าวฮั่นชิงหมุนตัวก็ออกไปแล้ว พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า มองไปข้างนอกผ่านหน้าต่างเสียเลย มองเห็นจูจั้นยืนอยู่มุมถนนด้านนอกจริงๆ จ้าวฮั่นชิงพูดอะไรบางอย่าง เขาก็โบกมืออย่างรำคาญ จ้าวฮั่นชิงจึงบ่ายหน้ากลับมาแล้ว  

 

 

“พี่สาว เขาไม่มา ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว” นางแจ้ง  

 

 

คุณหนูจวินส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง  

 

 

“ท่านชายทำตามใจเป็นนิสัยแล้ว ไม่ต้องสนใจ” นางยิ้มบอก  

 

 

พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงสบตากัน ดูแล้วนี่เหมือนสภาพของสามีเฒ่าภรรยาเฒ่า สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้ความสัมพันธ์ไม่เลว พวกเขาล้วนยิ้ม เอ่ยคุยเล่นอีกหลายประโยคก็ขอตัว  

 

 

“องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่มีที่ใดไม่อยู่ ยังไงก็ระวังหน่อย รีบกลับไปหน่อย” ท่านหมอเฒ่าเฝิงกล่อมเสียงเบา  

 

 

คุณหนูจวินเอ่ยขอบคุณ ตามพวกเขาออกไปด้วยตนเอง  

 

 

“พี่สาว ท่านเรียกข้ามาทำอะไรรึ?” จ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง เห็นนางหันกลับมาก็เอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินเดินเข้าไป ปลดผ้าคลุมบนใบหน้าของนางออก  

 

 

เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วตอนนี้ถึงมองเห็นแผลบนหน้าของนาง แม้ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แต่ก็เก็บอาการได้ทันที หลบสายตาไป  

 

 

“เจ้าพักอยู่ที่นี่ ข้าเขียนสูตรยาเสร็จแล้ว ให้ฟางจินซิ่วต้มยาให้เจ้า ทุกสองชั่วยามทานหนึ่งครั้ง สามวันไม่หยุด” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานรับ มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วก็ขานรับ รับสูตรยาที่คุณหนูจวินส่งมา  

 

 

“อ้อถูกแล้ว ยังไม่ได้แนะนำ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้นพลางชี้จ้าวฮั่นชิง “นี่คือศิษย์น้องของข้า  

 

 

แล้วชี้ฟางจิ่นซิ่วต่อ  

 

 

“นี่คือน้องสาวฝั่งมารดาของข้า”  

 

 

ศิษย์น้อง? ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าพิกล มีศิษย์น้องโผล่มาอีกคนหนึ่ง อาจารย์เล่า?  

 

 

จ้าวฮั่นชิงกลับไม่สงสัยพยักหน้าให้ฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว” คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วพลางเอ่ยบอก “มอบให้เจ้าแล้ว”  

 

 

“วางใจเถอะ จิ่นซิ่วตอนนี้นอกจากทำบัญชีเก่งกาจ ทำยาก็เก่งกาจยิ่งนักด้วย” เฉินชีหัวเราะคิกคักเอ่ย  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วไม่เอ่ยวาจา มองคุณหนูจวินเดินออกไป หันกลับมาก็เห็นจ้าวฮั่นชิงมองนางอยู่  

 

 

“เจ้าเป็นน้องสาวฝั่งมารดาของพี่สาวข้าจริงรึ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

แต่ละคำเรียกพี่สาว ช่างเรียกได้… ฟางจิ่นซิ่วมองนางแล้วตอบอืมทีหนึ่ง  

 

 

“ทำไมเจ้าไม่เรียกนางว่าพี่สาว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามต่อ สีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง  

 

 

โอ้ ถึงกับเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางด้วยรึ?  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วมองประเมินจ้าวฮั่นชิงบนล่าง  

 

 

“แม่นางน้อย เจ้ากับนางรู้จักกันไม่นานสินะ?” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“ใช่แล้ว ไม่นานนัก” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเชื่อหรือไม่ เรียกนางว่าพี่สาวไม่ถูกตีก็ถูกด่า” ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มบอก  

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อทีหนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นความผิดของพวกเจ้าแน่ ไม่เช่นนั้นพี่สาวจิ่วหลิงไม่มีทางตีเจ้าหรอก” นางพูดขึ้น  

 

 

ฮะ!  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว  

 

 

นี่หลอกสาวน้อยโง่เง่าคนนี้มาจากไหนกัน!  

 

 

……………………………………….  

Related

จวนกั๋วกงเดิมทีเป็นตำหนักอ๋องของรัชสมัยก่อน ถูกพระราชทานให้เฉิงกั๋วกงแล้วบูรณะเพิ่ม แม้หลายปีมานี้แทบไม่มีคนอยู่ก็ยังคงรักษาไว้ได้อย่างดี  

 

 

ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้า เรือนแม้เก่าไปบ้างแต่สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นผุ  

 

 

“สวยไหม?” จูจั้นเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวินที่ยังไม่เข้าเรือน สายตามองไปทั่ว “ไม่เคยเห็นเรือนที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะสิ?”  

 

 

แล้วเขาก็คิดอะไรได้ขยับเข้ามาใกล้นาง  

 

 

“ขอแค่ทุกคนชุมนุมกันด้วยดีแยกย้ายกันด้วยดี หลังจากนี้ในบ้านนี้ของข้า เจ้ามาเยี่ยมได้ทุกเวลา เป็นอย่างไร?”  

 

 

ที่ว่าชุมนุมกันด้วยดีแยกย้ายกันด้วยดี ย่อมยังคิดถึงชื่อภรรยาท่านชาย คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ย สีหน้าจริงจังยิ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ชมข้าหน่อยสิ ให้ข้าอารมณดี”  

 

 

ชมรึ?  

 

 

“ชมคนรึ ข้าไม่คุ้นเคยจริงๆ” จูจั้นลูบคลางขมวดคิ้วเอย “อย่างไรคนที่ร้ายกาจเช่นข้าได้ก็แทบไม่มี”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“แต่เจ้าหัวเราะน่าดูยิ่งนัก” จูจั้นคล้ายค้นพบอะไรบ้างอย่าง เอ่ยขึ้นทันที “แย้มยิ้มสว่างไสวเจิดจ้าดั่งแสงตะวันประหนึ่งร้อยบุปผาแย้มบานทำให้คนเพลินตาเพลินใจ”  

 

 

คุณหนูจวินยกแขนเสื้อปิดปาก  

 

 

“แหนะ ตอนนี้เช่นนี้ก็น่าดูยิ่ง อ่อนโยนน่ารัก ลบความหยาบคาย…แคก ภาพลักษณ์ห้าวหาญของเจ้า เผยนิสัยของเจ้าออกมา” จูจั้นเอ่ยต่อ  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า ดวงตายิ้มโค้ง  

 

 

“นอกจากหน้าตา ข้ายังมีความสามารถด้วย” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ  

 

 

“ถ่อมตัวแล้ว” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย “เจ้าไยแค่มีความสามารถ ยังมีความกล้าหาญ ความเจ้าแผนการ บุรุษเท่าไรล้วนสู้เจ้าไม่ได้”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง  

 

 

เสียงหัวเราะสะท้อนในเรือน ทำให้ฟ้าดินที่เดิมเงียบสงบเปลี่ยนกลายเป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวา  

 

 

พวกบ่าวรับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านหลังก็เผยรอยยิ้มตามด้วย  

 

 

“นี่พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?” บ่าวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

เข้าประตูมาแล้วแต่ไม่เข้าบ้าน อยู่ในลานเดินอ้อยอิ่ง เวลานี้ยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าโถงคุยเล่นอีก  

 

 

“ท่านชายกำลังเกี้ยวคุณหนูจวินอยู่น่ะ” หญิงรับใช้อายุมากคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทางใจหาย “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านชายจะเอ่ยวาจาเกี้ยวพาได้จริงๆ จริงอย่างที่ว่าพบคนที่ชอบเข้าแล้ว”  

 

 

บ่าวรับใช้ทั้งหลายมองสตรีที่ปิดปากหัวเราะเบิกบานอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สีหน้าจดจ่อคนนั้น  

 

 

“ก็นับว่าคนรักกันในที่สุดก็ได้ครองคู่กันแล้ว”  

 

 

“ตอนแรกที่เล่ากันว่าท่านชายขวางหัวหน้ากองพันลู่ไม่ให้ทำลายป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงข้าก็เดาได้แล้ว”  

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหล ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดเช่นนั้นชัดๆ”  

 

 

“ตอนนั้นข้าเพียงไม่ได้พูดความจริงเท่านั้น บางครั้งก็ไม่อาจพูดความจริงได้”  

 

 

และเวลานี้คุณหนูจวินก็เอ่ยคำถามนี้ด้วย  

 

 

“จริงหรือโกหกเล่า?” นางมองจูจั้นแล้วเอ่ยถาม “ข้าดีปานนั้นเชียวรึ?”  

 

 

“แน่นอนเป็นความจริง ข้าบอกว่าเจ้าดีปานนี้ หากโกหก ไยไม่ใช่ข้าบอกว่าตนเองตาบอดแล้วเล่า?” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ย “ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ?”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ถูกต้อง ท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น” นางเอ่ยพูดจบก็เม้มปากยิ้ม “ดังนั้นข้าดีปานนี้ เป็นภรรยาของท่านชายทำไมท่านไม่ดีใจเช่นนี้เล่า?”  

 

 

อ้อมรอบใหญ่ปานนี้ หลอกให้เขาพูดชม ที่แท้ก็เพื่อประโยคนี้!  

 

 

เจ้าคนไม่ปกติคนนี้!  

 

 

จูจั้นยื่นมือชี้นาง  

 

 

“จวินจิ่วหลิง หากเจ้าหลอกข้าเช่นนี้ ข้าจะตัดขาดแล้ว” เขาคิ้วตั้งกัดฟันเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ  

 

 

“ตัดสิ” นางว่าท่าทางสงสัยใคร่รู้ “ตัดสักทีให้ข้าดูซิ”  

 

 

จูจั้นหางคิ้วกระตุก กำลังจะพูดอะไร ด้านหลังร่างเสียงขานระลอกหนึ่งพลันดังขึ้น  

 

 

“ท่านกั๋วกงกลับมาแล้ว!”  

 

 

จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนหันหน้าไปมอง เห็นเฉิงกั๋วกงเดินช้าๆ มา  

 

 

“คุยอะไรกันหืม สนุกปานนี้?” เขาอมยิ้มเอ่ย “ทำไมไม่เข้าบ้าน?”  

 

 

จูจั้นก้าวเข้าไปหาทันที  

 

 

“พ่อ…” เขาร้องเรียก ลากเสียงขึ้นสูงท่าทางน้อยอกน้อยใจอยู่นิดๆ “นาง…”  

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้าให้เขา แล้วมองไปทางคุณหนูจวินต่อ  

 

 

“ไม่ทราบคุ้นเคยหรือไม่ ที่นี่ไม่ได้อาศัยอยู่มาเนิ่นนานแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“ดีอยู่เจ้าค่ะ” นางเอ่ย “จวนกั๋วกงโครงสร้างอาคารเดิมก็ดีอยู่แล้ว หลายปีนี้ก็บำรุงรักษาอย่างดี ทำให้คนสบายยิ่งนัก ข้าชื่นชอบอย่างยิ่ง”  

 

 

พระอัยกาครานั้นใจกว้างกับเฉิงกั๋วกงจริงๆ สถานที่นี้เดิมทีต้องเป็นวังขององค์รัชทายาทเชียวนะ มาตรฐานซึ่งเป็นวังขององค์รัชทายาทได้ คิดดูก็รู้ เทียบเคียงได้กับวังของเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นมาถึงที่นี่คุณหนูจวินจึงรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ความคุ้นเคยนี้ทำให้นางสบายใจแล้วก็เศร้าสร้อยอยู่บ้างนิดๆ  

 

 

เสียงแคกแคกของจูจั้นดังขึ้น  

 

 

“พ่อ เรื่องเมื่อครู่ท่านคิดอย่างไร?” เขาเอ่ย “คนกับของที่ข้าจัดการ จังหวะ…”  

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้า มองเขาพลางยิ้ม  

 

 

“เจ้าทำได้ไม่เลว” เขาเอ่ย นี่เป็นการชมเชย แล้วก็เป็นการพูดขัดด้วย สายตามองไปหาคุณหนูจวินอีกครั้ง “ภรรยาข้ายังอีกหลายวันกว่าจะมาถึง คุณหนูจวินอยู่ที่นี้โปรดทำตัวตามสบาย”  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มขานรับแล้ว  

 

 

“พ่อไม่ต้องเกรงใจหรอก ท่านไม่บอกนางก็ทำตัวตามสบายอยู่แล้ว” จูจั้นเอ่ยหยันด้านข้าง  

 

 

“จั้นเอ๋อร์ เจ้าไปดูซิที่พักของคุณหนูจวินจัดการเป็นอย่างไรแล้ว” เฉิงกั๋วกงมองเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน  

 

 

“อาศัยอะไรให้ข้าไปเล่า?” จูจั้นเอ่ยขึ้น  

 

 

“บ้านเราก็มีเจ้าข้าสองคน หรือเจ้าอยากให้ข้าไปรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ  

 

 

จูจั้นเลิกโมโหทันที ขานรับย่ำตึงตังเดินไปด้านหลัง แล้วมองเฉิงกั๋วกงยื่นมือทำท่าเชิญคุณหนูจวินอีกครั้ง  

 

 

“…คุณหนูจวินต้องการรับใครมารึ?” เขาถามไปพลาง  

 

 

“เป็นพวกอาจารย์หญิงของข้า” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นพลางเดินตามเขาเข้าไปในห้องโถง  

 

 

“ต้องการความช่วยเหลือใด คุณหนูจวินโปรดบอกเต็มที่” เฉิงกั๋วกงเอ่ยบอก  

 

 

ได้ยินคำนี้ จูจั้นก็แค่นเสียงอีกครั้ง  

 

 

สตรีผู้นี้ร้ายกาจปานนี้ ยังต้องการความช่วยเหลือที่ไหนอีก กระทั่งผู้อพยพแดนเหนือหมื่นกว่าคนยังเอามาแบบลึกลับไม่มีใครรู้ได้ เรื่องเช่นนี้ก็แค่เรื่องเล็ก ท่านพ่อนี่จริงๆ เลย เรื่องเล็กเช่นนี้ก็ถามไม่จบไม่สิ้น เมื่อครู่ที่เขาทำถึงเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ? ถามยังไม่ถามก็ไล่ออกมาแล้ว  

 

 

“ท่านชาย ที่พักของคุณหนูจวินจัดไว้ที่หอเมาจันทร์ด้านข้างท่านหญิง ท่านเห็นว่า…” บ่าวรับใช้ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นเสียงเบา  

 

 

“ทำไมจัดไว้ที่หาเมาจันทร์เล่า? นั่นเป็นที่พักของข้า” จูจั้นถลึงตา ยกเท้ากระทืบหันหลังจากไป  

 

 

แย่งแม่ข้าแล้ว แย่งพ่อข้าแล้ว ยังจะแย่งที่พักข้าอีก ทนไม่ไหวจริงๆ แล้วนะ  

 

 

……………………………………….  

 

 

ราตรีปกคลุมเมืองหลวง วันนี้เกิดเรื่องสนุกมากเหลือเกิน ทำให้คนในเมืองหลวงเหน็ดเหนื่อยทั้งยังตื่นเต้น ตลาดกลางคืนเอะอะยิ่งกว่าที่เคย  

 

 

แต่ในจวนใหญ่ตระกูลหวง แม้ไฟโคมจุดสว่างทว่ากลับเงียบกริบ ไม่เห็นร่องรอยนางคณิกาบ่าวสาวคนงาม บรรดาบ่าวรับใช้กลั้นลมหายใจเงียบเสียงก้มหน้าก้มตาไปมาอย่างรีบร้อน  

 

 

หวงเฉิงนอนตะแคงอยู่ในห้องหนังสือ ผู้ช่วยด้านหน้าก้มศีรษะส่งเอกสารฉบับแล้วฉบับเล่ามา  

 

 

“พูดเช่นนี้ ผู้อพยพเหล่านั้นถูกส่งมาใช้เงินไปไม่น้อยนี่” หวงเฉิงหลับตาเอ่ยขึ้น  

 

 

“อย่างน้อยก็หลายสิบหมื่นตำลึงเงินขอรับ” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ย “นอกจากอาหารการกินระหว่างทาง ได้ยินว่าแต่ละคนยังได้แบ่งค่าเหนื่อยก้อนหนึ่งด้วย”  

 

 

หวงเฉิงหัวเราะเหอะเหอะแล้ว ลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่ง มือเช็ดถูแก้มเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจ นั่นเป็นจุดที่วันนี้ตอนกลางวันถูกผลไม้เน่าเขวี้ยงถูก  

 

 

แม้ล้างไปแล้ว แต่เขามักจะอยากเช็ดโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ย้ำเตือนตัวเองถึงความอัปยศที่ได้รับในวันนี้  

 

 

“พูดให้ถึงที่สุดก็ยังพึ่งเงินสินะ” เขาเอ่ยขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ยังคิดว่าได้ใจคนสักเท่าใดเชียว”  

 

 

“ก็ไม่แตกต่างกับคนที่ปลุกปั่นพ่อค้าพวกนั้น เพียงแค่พวกเขารวยมากกว่า จ่ายมากกว่าก็เท่านั้น” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยตอบ  

 

 

หวงเฉิงมองเอกสารที่กองบนโต๊ะ  

 

 

“โบราณว่าไว้ถูกต้องแล้ว หากคนร่ำรวยย่อมกลายเป็นเลวร้ายได้ง่าย” เขาเปิดเอกสารแผ่นหนึ่งออก มือเคาะบนคำว่าเต๋อเซิ่งชางสามคำ “คนเลวย่อมควรถูกกำจัด ไม่เช่นนั้นโลกย่อมวุ่นวายแล้ว”  

 

 

……………………………………….  

Related

นี่มันคนแบบไหนกัน!

 

 

หวงเฉิงโกรธจนตัวสั่น

 

 

“โอหังเกินไปแล้ว!” เขาจ้องเฉิงกั๋วกงอย่างดุร้าย “จูซาน เจ้าโอหังเกินไปแล้ว!”

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ร้อนรนไม่โมโห เพียงยิ้ม

 

 

“จูซานไม่กล้า” เขาเอ่ย “เพียงเชื่อในความยุติธรรมเท่านั้น”

 

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปข้างหน้า

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายย่อมหลีกทางไม่ขัดขวาง

 

 

“เมื่อครู่เขาพูดเช่นนี้จริงๆ!” ขุนนางคนหนึ่งชี้แผ่นหลังของเฉิงกั๋วกง ตะโกนบอกทุกคน “คนเหล่านี้ล้วนเป็นเขาหามา”

 

 

ขุนนางทั้งหลายสีหน้าปั้นยาก คนมากยิ่งกว่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

“คำพูดนี้ย่อมไม่อาจพูดส่งเดชได้” มีคนยิ้มเอ่ย

 

 

“ใครพูดส่งเดช นี่ชัดเจนยิ่งนัก เป็นเขานั่นแหละหามาเล่นงานใต้เท้าหวง…” ขุนนางคนนั้นตะโกนอย่างโมโหโทโส

 

 

เสียงยังไม่จบ เสียงฟึบก็ดังขึ้นทีหนึ่ง มีผลไม้เน่าลูกหนึ่งเขวี้ยงมาโดนหมวกขุนนางของเขาพอดี

 

 

ขุนนางร้องตกใจทีหนึ่งยื่นมือป้องกันหมวกไว้

 

 

“คืนบ้านเกิดข้ามา!”

 

 

“ไม่มีใครปลุกปั่นพวกเรา!”

 

 

“ขุนนางเลอะเลือน! คืนบ้านเกิดข้ามา!”

 

 

ชาวบ้านที่ถูกทหารองครักษ์ขวางอยู่ร้องตะโกนโกลาหล ไม่ทราบเอาผลไม้ใบไม้เน่ามาจากไหน ชั่วขณะหนึ่งขว้างปามาประหนึ่งฝน

 

 

บนถนนเสด็จพระราชดำเนินวุ่นวายพักหนึ่ง เหล่าขุนนางพากันหลบเลี่ยง ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็มีคนไม่น้อยถูกขว้างโดน หวงเฉิงก็ไม่เว้น

 

 

ผลไม้เน่าลูกหนึ่งขว้างถูกหัวไหล่ของเขา น้ำผลไม้กระเซ็นถูกใบหน้า

 

 

ขุนนางด้านข้างรีบใช้แขนเสื้อจะเช็ดให้เขา ปากก็ร้องเรียกใต้เท้าหวง

 

 

หวงเฉิงผลักเขาออก ตนเองใช้แขนเสื้อเช็ดช้าๆ แววตาทะมึนแทบจะขุ่นคลัก

 

 

“ชาวบ้านอันธพาลพวกนี้!”

 

 

“นี่เป็นการกบฏ!”

 

 

“จับพวกเขาไว้!”

 

 

ขุนนางทั้งหลายตะโกนโกรธเกรี้ยว

 

 

“พวกเจ้ายังอยู่ทำอะไร?”

 

 

เหล่าทหารองครักษ์คล้ายยามนี้เพิ่งได้สติกลับมา

 

 

“ฝ่าบาทมีคำสั่ง วันนี้ถนนเสด็จพระราชดำเนินให้ประชาชนมุงดูได้ ไม่อาจขับไล่” ทหารองครักษ์คนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น

 

 

ขุนนางโกรธถลึงตา

 

 

“นี่คือมุงดูรึ?” เขาตะโกน ยื่นมือชี้ชาวบ้านที่โหวกเหวกโวยวายร้องเสียงประหลาดอยู่ด้านนั้น

 

 

ผลไม้ใบไม้เน่าสามสี่กำเขวี้ยงมาอีก ขุนนางคนนั้นไม่ระวังถูกขว้างโดน โกรธจนกระทืบเท้า

 

 

คนเหล่านี้เอาผลไม้เน่ามากปานนี้มาจากไหนกัน! นี่เพิ่งต้นหน้าร้อนนะ ผลไม้ยังไม่ทันออกเลย!

 

 

“นี่มันล้อมโจมตีแล้ว!” ขุนนางกระทืบเท้าตะโกน

 

 

เหล่าทหารองรักษ์ตอนนี้ถึงขานรับ ยกดาบข้างเอวขึ้น ยังไม่ตะโกนถ้อยคำก็เห็นเหล่าชาวบ้านที่เดิมก่อความวุ่นวายร้องด่าขว้างปาผลไม้ใบไม้สุดกำลังเปรี้ยงเดียวแยกย้ายรอบด้าน

 

 

“ขุนนางทำร้ายคนแล้ว!”

 

 

“มหาบัณฑิตจะฆ่าปิดปากแล้ว!”

 

 

“มหาบัณฑิตหวงจะฆ่าคนแล้ว!”

 

 

“มหาบัณฑิตหวงจะขับไล่ผู้อพยพออกจากเมืองหลวงแล้ว!”

 

 

เสียงตะโกนกระจายออกไปตามการแยกย้ายรอบด้าน พริบตาคนกลุ่มนี้ก็วิ่งไปไกลแล้ว ทิ้งความเละเทะเต็มพื้นไว้

 

 

ดาบของเหล่าองครักษ์ยังไม่ทันชักออกมา ยืนอยู่ที่เดิมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง

 

 

ควรบอกว่าพวกเขาใจกล้าหรือขี้ขลาดเล่า?

 

 

ใจกล้ากล้าด่าขุนนางคนสำคัญของรัชสมัยนี้ ขี้ขลาดยังไม่ทันข่มขู่ก็แตกกระเจิงเหมือนนก

 

 

เป็นชาวบ้านอันธพาลจริงๆ

 

 

นี่เป็นผู้อพยพแดนเหนือจริงรึ?

 

 

“ไล่ตามพวกเขา จับมาสอบสวนที่แท้เป็นใครบงการ” ขุนนางหลายคนตะโกนโกรธเกรี้ยว

 

 

เหล่าทหารองครักษ์ส่ายศีรษะอย่างฉับไว

 

 

“นี่ไม่ใช่งานของพวกเราแล้ว” พวกเขาเอ่ย

 

 

ดูสภาพเกียจคร้านของพวกเขาสิ!

 

 

ทหารองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงรับตำแหน่ง อย่าเห็นว่าตำแหน่งเบี้ยหวัดไม่มากเท่าไร แต่ละคนๆ ทำท่าเหมือนนายท่านเก่งนัก

 

 

คนเหล่านี้ล้วนไม่ต่างจากจูจั้นนัก คงไม่ใช่ถูกจูจั้นบงการหรอกนะ? อยู่ที่นี่แสร้งโง่งงงัน

 

 

“พวกเจ้า…” ขุนนางหลายคนตวาด

 

 

“พอแล้ว” หวงเฉิงตวาดห้ามพวกเขา

 

 

ขุนนางทั้งหลายหยุด

 

 

“ใต้เท้า…” คนหนึ่งท่าทางคับแค้นเอ่ยขึ้น “นี่รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ”

 

 

หวงเฉิงฟื้นกลับมานิ่งสงบแล้ว

 

 

“วันนี้เป็นวันดี ฝ่าบาทกำลังสำราญพระทัย อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ทำให้หมดสำราญ” เขาเอ่ย ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพลาง ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าทีละนิดๆ พลาง

 

 

น้ำผลไม้บนหน้าถูกเช็ดไปนานแล้ว แต่เขากลับยังเช็ดไม่หยุด คล้ายจะให้ทะลุหนังชั้นนี้

 

 

บรรดาคนสนิทไม่กล้าห้าม เรียกรถม้าตามหวงเฉิงไป

 

 

เมื่อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว ขุนนางทั้งหลายคนอื่นถึงสบตากันทีหนึ่ง สีหน้าแปลกพิกลแล้วยังสับสน

 

 

“คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะเป็นคนเช่นนี้” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

 

 

ขุนนางอีกคนหนึ่งหัวเราะแล้ว

 

 

“เดิมทีอยู่ห่างไกล ลักษณะของถ้อยคำที่เขียนในฎีกาไม่สู้ปะทะคารมกันต่อหน้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “หลังจากนี้คงสนุกแล้ว”

 

 

ผู้คนพากันถกเถียง ขุนนางบางส่วนสีหน้ายังคงวิตกอยู่บ้าง

 

 

ในเมื่อเป็นการต่อสู้ปะทะกัน ถ้าอย่างนั้นย่อมต้องเลือกฝ่าย

 

 

“ไม่รู้ว่าใครร้ายกาจกว่ากัน” ขุนนางคนหนึ่งมองหนิงอวิ๋นจวินแล้วเอ่ยเสียงเบา

 

 

“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาพูดแล้วก็ยิ้ม “เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ดูว่าใครร้ายกาจ แต่ดูว่าเรื่องที่ใครทำถูกต้อง”

 

 

สหายขุนนางทั้งหลายข้างกายพยักหน้า

 

 

“ยังคงเป็นใต้เท้าหนิงพูดถูก” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าหนิงรู้สึกว่าพวกเขาใครทำถูกต้อง?” อีกคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

 

โดยไม่รู้สึกตัวพวกเขาก็เริ่มเรียกขานหนิงอวิ๋นเจาว่าใต้เท้าหนิง ตัดคำว่าน้อยคำนั้นออกแล้ว

 

 

ใบหน้าหนิงอวิ๋นเจาประดับรอยยิ้มบาง

 

 

“นั่นย่อมเป็นฝ่าบาทรู้สึกว่าใครถูกต้อง คนนั้นก็ถูกต้องสิ” เขาตอบ

 

 

เอาเถอะ ลืมไปเลยว่าเขาเป็นเจ้าคนที่เคารพฮ่องเต้เพียงผู้เดียว สหายขุนนางทั้งหลายส่ายศีรษะ หัวเราะอีกหนอย่างจนปัญญา

 

 

“อย่างไรพวกเราดูใต้เท้าหนิงเป็นอันถูก” มีคนยิ้มเอ่ยแผ่วเบา

 

 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารนับร้อยบนถนนเสด็จพระราชดำเนินค่อยๆ แยกย้ายไป พวกหนิงอวิ๋นเจาก็แยกย้ายกันขึ้นม้า เดินทางออกจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน เห็นบนถนนเสด็จพระราชดำเนินคนไม่น้อยกำลังรวมตัวคุยเล่นอยู่

 

 

“ดูท่าเรื่องสนุกยังไม่คลี่คลายนะ” มีขุนนางเอ่ยขึ้น

 

 

ผู้ติดตามที่จูงม้าอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็รีบส่ายศีรษะ

 

 

“ใต้เท้า มีเรื่องสนุกใหม่เรื่องหนึ่งอีกแล้วขอรับ” เขาสีหน้าเริงร่าเอ่ย “คุณหนูจวินกลับมาแล้วขอรับ”

 

 

ใต้หล้าคนแซ่จวินมากไป แต่มีเพียงคุณหนูจวินนี่ยามพูดขึ้นมาคำอธิบายเพิ่มเติมล้วนไม่ต้องเสริมแล้ว ทุกคนล้วนรู้ว่าที่พูดถึงคือใคร

 

 

สิ้นเสียงคำของเขา ขุนนางที่ฟังอยู่ด้านข้างล้วนเลิกคิ้ว

 

 

“คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงรึ” พวกเขาเอ่ย “ครั้งนี้นางกลับมาก็ครึกครื้นเช่นนี้แล้วรึ?”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ” ผู้ติดตามของขุนนางอีกคนหนึ่งรีบแย่งพูด อดรนทนไม่ไหวเล่า “คุณหนูจวินเข้าเมืองมาปุบก็ถูกใต้เท้าลู่ดัก”

 

 

ขุนนางหลายคนร้องอ้อ เลิกคิ้วอีกหน

 

 

“นั่นเป็นเรื่องสนุกจริงๆ” พวกเขาเอ่ย

 

 

“ไม่ ไม่ขอรับ นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ” ผู้ติดตามคนก่อนหน้ารีบร้อนแย่งพูดอีกหน “ที่สำคัญที่สุดคือที่จริงคุณหนูจวินก็คือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง”

 

 

ขุนนางทั้งหลายร้องโฮ่ทีหนึ่ง ดวงตาเบิกกลม

 

 

“นี่เป็นเรื่องสนุกครั้งใหญ่เชียว” พวกเขาเอ่ยพลางเอ่ยเรียกกัน “ไปๆ หาสถานที่สักแห่งดื่มชาไปพลางฟังไปพลาง”

 

 

พวกเขากระตือรือร้นเดินไปข้างหน้าทันที เดินไปได้หลายก้าวหันกลับมามองเห็นหนิงอวิ๋นเจาถึงกับตามอยู่ด้วย

 

 

“ใต้เท้าหนิงท่านไปด้วยรึ?” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ข้าก็ชอบฟังเรื่องสนุกเหมือนกันนะ” เขาเอ่ย

 

 

แปลก ก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยนะ การชุมนุมของสหายขุนนางน้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าร่วม แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเรื่องหนิงเหยียนจึงต้องเก็บตัวเงียบไว้

 

 

“ดีดี ไปด้วยกันๆ” พวกเขายิ้มเอ่ย

 

 

เสี่ยงติงจูงม้าเบะปาก

 

 

ชอบฟังเรื่องสนุกอะไรเล่า แค่ชอบฟังเรื่องสนุกที่คุณหนูจวินมีเอี่ยวด้วยเท่านั้นแหละ ต่อให้รู้ความจริงมาล่วงหน้าแล้วก็ตาม ฟังผู้อื่นเล่าอีกรอบก็ยังสนใจมากอยู่ดี

 

 

เพียงแต่อีกประเดี๋ยวได้ยินว่าคุณหนูจวินกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงสามีภรรยาเคียงคู่กลับบ้านด้วยกัน ดูสิเขายังยิ้มออกหรือไม่

 

 

เสี่ยวติงคิดกับตัวเองเงียบๆ นิดหนึ่ง เตือนตนเองว่าต้องอดทนไว้ไม่เผยสักครึ่งประโยค

 

 

คุณหนูจวินที่ถูกผู้อื่นเอาไปคุยเป็นเรื่องสนุก ตอนนี้ยืนอยู่นอกประตูจวนฉิงกั๋วกง พูดให้ถูกต้องคือตรงหน้ากำแพงล้อม

 

 

นางยืนอยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เงยหน้านิดหนึ่งมองดูขอบกำแพงที่มีริ้วรอยของเวลา รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่ใบแน่นขนัด

 

 

มีเสียงฝีเท้าดังมาด้านหลัง พร้อมกับเสียงกระแอมทีหนึ่ง

 

 

“นี่ เจ้าทำอะไรอยู่?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขาแล้วยิ้มให้ทีหนึ่ง

 

 

“ดูไปเรื่อย” นางว่า

 

 

เหมือนครั้งก่อนนางก็ยืนอยู่ตรงนี้มองขอบกำแพง จูจั้นขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาด

 

 

“ดู? เจ้าอยากให้ผู้อื่นดูว่าเจ้าเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงสินะ” เขาแค่นเสียงเอ่ย

 

 

“เรื่องนี้ยังต้องให้ผู้อื่นดูอีกรึ?” คุณหนูจวินยิ้มตาหยีพูดขึ้น ผายมือออก “ไม่ใช่ผู้คนล้วนรู้กันหมดแล้วรึ?”

 

 

เห็นท่าทางถือเป็นเรื่องมีเกียรติของนาง

 

 

จูจั้นพลันเหล่ตา

 

 

“ท่านชายเป็นคนหนุ่มผู้โดดเด่นเช่นนี้ มีสามีเช่นนี้ย่อมต้องถือเป็นเกียรติแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยพลางก้าวเดินเข้าไปหาเขา

 

 

เพ้ย จูจั้นถลึงตาจะหลบ คุณหนูจวินก็ยังตบหัวไหล่เขาได้นิดหนึ่ง ยิ้มเดินผ่านเขาไป

 

 

จูจั้นอยู่ด้านหลังวาดสองหมัดใส่แผ่นหลังนางแรงๆ สะบัดแขนเสื้อเอามือไพล่หลังติดตาม

 

 

ประตูใหญ่จวนกั๋วกงเปิดกว้าง บ่าวรับใช้คำนับรอต้อนรับอย่างนอบน้อม

 

 

คุณหนูจวินหยุดเท้าอีกครั้ง มองดูป้ายจวนแล้วก็มองไปด้านในอีกหน

 

 

“คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะเข้าจวนกั๋วกงได้” นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่ะฮ่ะสองที ขยับเข้าใกล้นาง

 

 

“พวกเราจวนกั๋วกงต้อนรับคนตามสบาย แขกไหมล่ะ มาง่ายไปง่าย มาอีกไม่ยาก” เขาเอ่ย เน้นเสียงหนักที่คำว่าแขกหนึ่งคำ

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม ยกกระโปรงก้าวเท้าขึ้นบันได

 

 

……………………………………….

Related

ไม่ยื่นมือตบหน้าคนสำนึกผิด นี่คือกฎที่ผู้ใหญ่ล้วนเข้าใจ ไม่ว่าในใจเคียดแค้นเกลียดชังคนผู้หนึ่งมากเท่าไร ฉากหน้ากลับต้องผ่านไปให้ได้

 

 

เป็นคนต้องไว้หน้ากันบ้าง วันหน้าถึงสะดวกพบกันใหม่ ดังนั้นไม่ว่าในที่ลับสู้กันรุนแรงอย่างไร ในราชสำนักพบหน้าล้วนต้องนิ่งสงบใจเป็นมิตร

 

 

ก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา แล้วก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่ามไร้สมองเสียหน่อย คำบางคำเรื่องบางเรื่องตามองออกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา เอ่ยออกมาไยไม่ใช่ทำให้ตนเองกระอักกระอ่วนแล้ว?

 

 

แต่นาทีนี้เวลานี้ทุกคนรู้สึกว่าบางครั้งถูกเด็กน้อยหรือคนบุ่มบ่ามตั้งคำถามอย่างไร้สมองเช่นนี้ ฝ่ายที่กระอักกระอ่วนไม่แน่ว่าจะเป็นคนถามคำถาม คนที่ถูกถามก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

ใครจะคิดว่าเฉิงกั๋วกงที่สุขุมมาตลอดจะถามประโยคเช่นนี้ออกมาได้?

 

 

สุขุม?

 

 

ก็แค่ภาพที่เสแสร้งทำ ดูจากที่ถามได้ตรงไปตรงมา ทั้งยังถามได้โหดร้ายนี่

 

 

เขาก็จะฉีกหน้ากากแล้วรึ

 

 

หลังความเงียบประหลาดพักหนึ่ง หวงเฉิงพลันยิ้ม

 

 

“ท่านกั๋วกงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ย “แม้ข้าอยากให้นี่เป็นแผนของข้ายิ่งนัก แต่จนปัญญาที่ใจหวังแต่กำลังไม่พอ”

 

 

คำนี้ตอบอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังเจตนาร้ายเช่นกัน

 

 

สองคนที่ประจันหน้ากันล้วนสวมชุดสีแดงม่วงของขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูง สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนมีมารยาท ทว่าวาจาที่เอ่ยกลับดั่งคมดาบเงาโลหิต ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นล้วนอดไม่ได้กลั้นลมหายใจ

 

 

เฉิงกั๋วกงก็ยิ้มด้วยแล้ว

 

 

“ท่านไม่มีกำลังเช่นนี้จริงๆ” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าหวงยังฉลาดดีที่รู้ตัว”

 

 

หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ขอบคุณท่านกั๋วกงที่เอ่ยชม” เขาประสานมือเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงคำนับคืนแล้วยื่นมืออีกครั้ง

 

 

“ใต้เท้าหวงเชิญ” เขาเอ่ย

 

 

หวงเฉิงก็ไม่ได้เอ่ยคำตามมารยาทอีก

 

 

“ท่านกั๋วกงเชิญ” เขาก้าวเท้าพลางเอ่ยบ้าง

 

 

ทั้งสองคนอมยิ้มเดินเคียงไหล่กันออกไปท่ามกลางสายตาของผู้คน

 

 

คนที่เหลือยู่สบตากันทีหนึ่ง แววตาสีหน้าซับซ้อน ต่างคนมีสิ่งที่อยู่ในใจติดตามไป

 

 

เพิ่งเดินมาไม่ได้กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเสียงวุ่นวายเสียงเอะอะพักหนึ่ง ชาวบ้านไม่น้อยกว่าหลายร้อยปรากฏตัวบนถนนนเสด็จพระราชดำเนิน บุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น ดูไปแล้วกระตือรือร้นยิ่งนัก

 

 

เป็นชาวบ้านที่ชมเรื่องสนุกยังไม่สลายตัวไปหรือว่า…

 

 

บรรดาขุนนางความคิดเพิ่งแล่นผ่านไป ก็ได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นส่งเสียงตะโกนกึกก้อง

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”

 

 

“เฉิงกั๋วกงเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีก!”

 

 

อีกแล้ว?

 

 

ยังไม่จบ?

 

 

ที่แท้จัดคนไว้เท่าไรกัน?

 

 

ขุนนางทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง ฮ่องเต้ล้วนพระราชทานรางวัลให้เข้าเฝ้าแล้ว ก่อเรื่องกับเฉิงกั๋วกงอีกก็ไม่เหมาะสมแล้วกระมัง? อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่เหมาะสม

 

 

ในดวงตาของหวงเฉิงความประหลาดใจเบาบางแล่นผ่านไปเช่นกัน

 

 

“พวกเราไม่ได้จัดการนะขอรับ” ขุนนางเอ่ยกระซิบริมหูเขา บนหน้าท่าทางคลางแคลงอยู่บ้างแล้วยังคาดเดาบางอย่าง “บางทีอาจเป็นพ่อค้าพวกนั้นไม่ยอม”

 

 

หวงเฉิงร้องอ้อ มองคนที่รุมล้อมโวยวายอยู่แล้วเผยหน้ายิ้ม

 

 

“ท่านกั๋วกง ท่านดูสิ นี่ลำบากจริงๆ นะ” เขาหันหน้าไปมองเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยขึ้น “หัวใจประชาชนย่อมมีความยุติธรรม ไม่ใช่ใครคิดควบคุมก็ควบคุมได้”

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน

 

 

“ใต้เท้าหวงยังเชื่อในความยุติธรรมรึ?” เขาเอ่ย “หายากจริงๆ”

 

 

หน้าเนื้อใจเสือจริงๆ ดูสิดูคำที่เขาพูดล้วนเป็นคำอะไร มิน่าถึงให้กำเนิดจูจั้นอันธพาลสารเลวเช่นนั้นได้!

 

 

บรรดาขุนนางข้างกายหวงเฉิงพากันดวงตาโกรธแค้น

 

 

“ท่านกั๋วกง ระวังความเหมาะสมด้วย” พวกเขาเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงย่อมมีคนสนิทด้วยเช่นกัน

 

 

“คำนี้ท่านกั๋วกงพูดได้ดียิ่งทำไมเล่า?” ขุนนางฝ่ายทหารหลายคนเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หรือใต้เท้าหวงไม่เชื่อในความยุติธรรมรึ?”

 

 

สองฝ่ายต่างถลึงตาจะโต้เถียงกันกลับเห็นเฉิงกั๋วกงเดินตรงไปหาชาวบ้านที่ถูกทหารองครักษ์ขวางไว้นั่นแล้ว

 

 

“โอ๊ะ รีบไปปกป้องเถอะ อย่าให้ถูกประชาชนตีเข้าจะไม่น่าดูแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

 

 

“ท่านกั๋วกงร้ายกาจเช่นนี้ บางทีอาจทำร้ายประชาชนก็ได้นะ” มีคนเอ่ยอย่างมีเลศนัย

 

 

หลังจากนั้นทุกคนล้วนหัวเราะ

 

 

“ใครตีใครก็ไม่น่าดู”

 

 

ขุนนางทหารหลายไม่สนใจพวกเขาอีก รีบติดตามเฉิงกั๋วกงไป ในใจก็กังวลอยู่บ้าง

 

 

บางครั้งประชาชนก่อเรื่องก็จัดการไม่ง่ายจริงๆ

 

 

“ท่านกั๋วกง…” พวกเขาต้องการห้าม

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงยืนอยู่ตรงหน้าชาวบ้านแล้ว

 

 

“ทำไมข้ากลับมาไม่ได้เล่า?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้อีกแล้ว

 

 

ในใจเฉิงกั๋วกงคงโกรธอยู่สินะ? โกรธกระฟัดกระเฟียดประหนึ่งเด็กน้อย

 

 

รอยยิ้มบนหน้าพวกหวงเฉิงด้านหลังยิ่งกดลึก

 

 

“เพราะท่านรบแพ้ชาวจิน”

 

 

“ท่านทรยศความคาดหวังของพวกเรา”

 

 

“พวกเราเป็นคนแดนเหนือ พวกเราต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนล้วนเพราะท่าน!”

 

 

“ท่านอาศัยอะไรยังจะขอรางวัล?”

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายตะโกนสับสนวุ่นวาย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเดือดดาลแห่เข้ามา บรรดาทหารองครักษ์ไม่อาจไม่สะบัดดาบข้างเอวเตือน

 

 

“พวกเจ้าผิดแล้ว” เฉิงกั๋วกงยังคงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน มองชาวบ้านทั้งหลายแล้วส่ายศีรษะ “นี่ไม่ใช่ความผิดของข้า”

 

 

บรรดาขุนนางด้านหลังแค่นเสียงหัวเราะ

 

 

“เขาว่าไม่ใช่ประชาชนก็เชื่อรึ?” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ประชาชนทั้งหลายฝั่งนั้นโวยวายไม่หยุด

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเป็นความผิดของใครเล่า?” พวกเขาตะโกนวุ่นวาย

 

 

“ข้าไม่ได้รบแพ้ชาวจิน แต่ข้าถูกสั่งไม่ให้รบต่อ” เฉิงกั๋วกงมองพวกเขา “ส่วนที่พวกเจ้าต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ก็เพราะแผ่นดินเกิดของพวกเจ้าถูกยกให้ และทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำ ดังนั้นไม่ใช่ความผิดของข้า”

 

 

ได้ยินคำนี้หวงเฉิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ยังไม่ทันพูดก็เห็นเฉิงกั๋วกงหมุนตัวยื่นมือชี้มาหาเขา

 

 

“เขา” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ใต้เท้าหวงหวงเฉิงต้องการเจรจาสงบศึก เป็นเขาไม่ให้ข้ารบกับชาวจิน แล้วก็เป็นเขาที่มอบแผ่นดินบ้านเกิดของพวกเจ้าไป”

 

 

คุณพระ!

 

 

นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม?

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกมาได้อย่างไร?

 

 

นี่มันยื่นมือตบคนสำนึกผิดแท้ๆ เชียว! ตบได้เด็ดขาดฉับไว!

 

 

บรรดาขุนนางทั้งหมดล้วนตะลึงงัน ชั่วขณะหนึ่งล้วนตอบสนองไม่ทัน

 

 

ประชาชนทั้งหลายกลับคิดตามได้ทันที

 

 

”หวงเฉิงต้องการเจรจาสงบศึก!”

 

 

“มหาบัณฑิตหวงเฉิง!”

 

 

“ไม่ผิด เขาทำ!”

 

 

“เขาทำให้พวกเราเสียบ้านเกิด เขาทำให้พวกเราระหกระเหินเร่ร่อน!”

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่ได้ทรยศพวกเรา หวงเฉิงทอดทิ้งพวกเรา!”

 

 

“หวงเฉิงมีความผิด!”

 

 

เสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้น ประหนึ่งลมสลาตันห่าฝนจู่โจมมา

 

 

เหล่าขุนนางในที่สุดก็ได้สติกลับมา ทั้งงุนงงทั้งอับอายโกรธเกรี้ยว

 

 

ประชาชนกลุ่มนี้ ทำไมประโยคเดียวก็ถูกคนยุขึ้นแล้วเล่า? ยังมีสมองหรือไม่?

 

 

“พวกเจ้า…” ขุนนางหลายคนกำลังจะก้าวเข้าไปต่อว่า

 

 

หวงเฉิงกลับยกมือห้ามไว้

 

 

“ช่างเถิด” เขาเอ่ย สีหน้าบึ้งตึง “ไปเถอะ”

 

 

จะไปตอนนี้?

 

 

เหล่าขุนนางถลึงตาไม่เข้าใจ มองประชาชนที่เอะอะโวยวายด่าทออยู่ด้านนั้น

 

 

“ที่พวกเขาด่าทอคือการเจรจาสงบศึก ไม่ให้พวกเขาด่าข้าหรือจะให้พวกเขาด่าฝ่าบาทรึ?” หวงเฉิงเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

นั่นก็ไม่ได้จริงๆ….

 

 

ฝ่าบาทเพิ่งถูกแซ่ซ้องเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปราดเปรื่องเมตตาต่อหน้ามวลประชาแดนเหนือ การเจรจาสงบศึกเรื่องนี้ย่อมเป็นได้เพียงความคิดของหวงเฉิงคนเดียว ได้แต่เป็นเขามอมเมาฮ่องเต้แล้วแล้ว

 

 

ส่วนจะอธิบายหัวใจและความสำคัญของการเจรจาสงบศึกกับประชาชน พวกเขาย่อมไม่ฟังหรอก พวกเขารู้เพียงเจรจาสงบศึก พวกเขาจึงเสียบ้านเกิดไป

 

 

นี่ช่าง…

 

 

ได้แต่ถูกต่อยฟันร่วงกล้ำกลืนเลือดแล้ว

 

 

ขุนนางหลายคนสีหน้าโกรธเกรี้ยว

 

 

คนเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมโวยมาถึงบนศีรษะใต้เท้าหวงได้แล้ว?

 

 

หวงเฉิงสีหน้าบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจา ก้าวตรงเข้าไปประจันหน้ากับเสียงด่าของประชาชนทั้งหลาย เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเฉิงกั๋วกงก็ถูกเฉิงกั๋วกงยื่นมือขวางไว้

 

 

“ใต้เท้าหวง” เฉิงกั๋วกงเอนตัวเข้าใกล้หวงเฉิงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนโยน “พวกนี้ เป็นลูกชายข้าทำ”

 

 

อะไรนะ?

 

 

หวงเฉิงถลึงตาทันที

 

 

มิน่า! นอกจากนี้ถึงกับกล้า!

 

 

“เจ้าช่างกล้า!” เขาอดกลั้นโทสะไม่ได้อีกต่อไปตวาดขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงก้าวออกไปยืนห่างหลายก้าวแล้ว มองหวงเฉิงด้วยสีหน้านิ่งสงบ

 

 

“ใต้เท้า เขาทำอะไรขอรับ?” ขุนนางทั้งหลายรีบพยุงหวงเฉิงเอ่ยอย่างอย่างรีบร้อน

 

 

หวงเฉิงยื่นมือชี้เฉิงกั๋วกง

 

 

“เขา เรื่องนี้…” เขาตวาดเอ่ย แล้วชี้ฝูงชนที่เอะอะ “เป็นพวกเขาพ่อลูกจัดการ!”

 

 

อะไรนะ?

 

 

เหล่าขุนนางฉับพลันตะลึงงันและโกรธเกรี้ยวทันที ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยอะไร เฉิงกั๋วกงก็เอ่ยปากก่อนแล้ว

 

 

“ใต้เท้าหวงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หลักฐานเล่า?”

 

 

หวงเฉิงโกรธจนหัวเราะแล้ว

 

 

“หลักฐาน เมื่อครู่เจ้าพูดกับข้า” เขาตวาดเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

 

 

“ใต้เท้าหวงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ย “แม้ข้าอยากให้นี่เป็นแผนของข้ายิ่งนัก แต่จนปัญญาที่ใจหวังแต่กำลังไม่พอ”

 

 

ระยำ…

 

 

นาทีนี้หวงเฉิงรวมถึงบรรดาขุนนางข้างกายในใจผุดคำด่าคำนี้ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

Related

เสียงเรียกคำนี้ ทำให้เสียงคุยเล่นหัวเราะรอบด้านหยุดไปหมด  

 

 

เมื่อมาถึงงานเลี้ยงนอกจากเอ่ยแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ นี่เป็นครั้งแรกที่หวงเฉิงเอ่ยปาก  

 

 

คนที่เอ่ยปากเรียกยังไม่ใช่เฉิงกั๋วกง แต่เป็นอาลักษณ์ของราชวิทยาลัยฮั่นหลินรุ่นหลังอายุน้อยประวัติการทำงานน้อย  

 

 

แต่ก็เป็นอาลักษณ์น้อยขั้นหกขั้นเจ็ดคนนี้ที่กำกับงานเลี้ยงครั้งนี้  

 

 

หากไม่มีเขาคุกเข่าครั้งหนึ่งนั่นเอ่ยแสดงความยินดีคำหนึ่งนั่นตอนนั้น เวลานี้เกรงว่าเฉิงกั๋วกงคงยืนเดียวดายอยู่นอกพระราชวัง  

 

 

หวงเฉิงเกลียดเฉิงกั๋วกงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เวลานี้นาทีนี้ที่เกลียดยิ่งกว่าน่าจะเป็นหนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมาคนนี้ แล้วยังเสียใจอยู่บ้าง  

 

 

ไม่น่าถูกความขลาดตรงไปตรงมาของเจ้าหนูนี่หลอกเลย ตอนนั้นน่าจะไม่สนไม่ใยดีความเมตตาใจกว้างของฝ่าบาท ต่อให้ขัดหลักไม่ไล่ต้อนคนจนหนทาง บีบตระกูลหนิงให้เป็นสุนัขร้อนรนกระโดดกำแพง ก็ต้องถีบเจ้าหนูนี่ออกจากเมืองหลวง ไล่ไปเตียนหนานให้ได้  

 

 

แต่ตอนนี้ก็ไม่สาย ก็แค่สุนัขตัวน้อยที่เพิ่งเผยคมเขี้ยวแถวหนึ่งเท่านั้น  

 

 

หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจา แย้มรอยยิ้มจางๆ  

 

 

ยามหนิงอวิ๋นเจาได้ยินคำเรียกคำนี้ก็มองมา สีหน้านิ่งสงบแย้มยิ้มเหมาะสม  

 

 

“ใต้เท้าหวง” เขาคำนับตอบรับ  

 

 

“ใต้เท้าหนิงต้องดีใจมากแน่” หวงเฉิงเอ่ย หมุนจอกสุราในมือแล้วเหล่ตาไปมองเฉิงกั๋วกงด้านข้าง “สุดท้ายก็เป็นดังที่เขาปรารถนา เฉิงกั๋วกงพาเกียรติยศกลัมา ตำแหน่งขุนนางนี่ของเขาไม่เสียไปเปล่าแล้วนะ”  

 

 

คำพูดนี้ออกมาปุบ คนที่อยู่ที่นั้นล้วนสีหน้ายุ่งยาก แววตาวิตกมองไปทางฮ่องเต้  

 

 

หวงเฉิงผู้นี้ อาศัยว่าอายุมาก โจมตีคนยิ่งโจ่งแจ้งขึ้นทุกทีจริงๆ  

 

 

หนึ่งประโยคเปลี่ยนการพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกงของฮ่องเต้ให้กลายเป็นของหนิงเหยียน อย่างไรตอนแรกหนิงเหยียนก็พยายามปกป้องเฉิงกั๋วกงสุดกำลังถึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง  

 

 

ตอนนี้เฉิงกั๋วกงได้เกียรติยศประดับกายเพิ่มเช่นนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่าตอนแรกหนิงเหยียนเป็นฝ่ายถูก ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ย่อมเป็นฝ่ายผิดแล้ว  

 

 

เรื่องเช่นนี้ฮ่องเต้จะทนได้อย่างไร?  

 

 

พระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏความกระสับกระส่าย  

 

 

“พูดขึ้นมาแล้ว ใต้เท้าหนิง…” พระองค์สีเหน้าเมตตาเป็นห่วงเป็นใยตรัสขึ้น  

 

 

แต่หนิงอวิ๋นเจาเป็นฝ่ายรับช่วงเอ่ยต่อเสียเอง  

 

 

“ท่านอาของข้าหาดีใจไม่” เขาถอนหายใจแผ่วเบาพลางเอ่ยขึ้น  

 

 

คนหนุ่ม!  

 

 

คนมากมายในที่นั้นในใจล้วนร้องตะโกน รีบร้อนเกินไปแล้วกระมัง?  

 

 

ในนี้มีคนกังวลและมีคนยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น  

 

 

ตอนนี้ไม่ใช่ยามรบชนะไล่โจมตี จะพลิกคดีให้ท่านอาเจ้า นี่ไม่ใช่จังหวะที่ดีหรอกนะ  

 

 

เฉิงกั๋วกงก็มองมาด้วย สีหน้าอ่อนโยนมองความกังวลหรือตกตะลึงไม่ออก  

 

 

“ที่เขาคัดค้านคือการเจรจาสงบศึก ไม่เกี่ยวข้องกับเฉิงกั๋วกงคนผู้นี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ แล้วมองไปทางฮ่องเต้ “ตอนนี้การเจรจาสงบศึกบรรลุแล้ว เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว ประชาชนหลายสิบหมื่นปลอดภัย บ้านเมืองสงบสุขประชาชนร่มเย็น ไม่มีเรื่องเหล่านั้นที่เขากังวลเกิดขึ้น เขาย่อมยิ่งอับอายแล้ว”  

 

 

พูดแล้วก็ยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง  

 

 

“ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ท่านอาของกระหม่อมเขาผู้เฒ่าชราอารมณ์ขี้หงุดหงิด คนอายุมากเข้าอย่างไรก็ไม่ยินดียอมรับความผิดของตนเอง”  

 

 

พูดจบก็ค้อมศีรษะคำนับ  

 

 

เช่นนี้รึ….คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าแปลกพิกล ง่ายดายเช่นนี้  

 

 

แม้วาจาเรียบง่าย แต่มีปะโยชน์ยิ่งนัก ฮ่องเต้สรวลแล้ว  

 

 

“เรื่องราชสำนักนี่เดิมก็ความเห็นไม่ตรงกัน ใต้เท้าหนิงก็ภักดีต่อนายเหนือหัวทำเพื่อประเทศชาติ ข้าจะกล่าวโทษเขาได้อย่างไร” พระองค์สรวลตรัส “นอกจากนี้ใต้เท้าหนิงเพียงถกเถียงกับข้าในเรื่องราชสำนัก หาได้ไม่เคารพข้าไม่ ยิ่งไม่ได้ทำพิราบข้าเฉาตาย”  

 

 

ราชวงศ์ถังขุนนางผู้โด่งดังเว่ยเจิงตักเตือนฮ่องเต้อย่างเคร่งเครัดเป็นที่สุด ฮ่องเต้ไท่จงเล่นนกพิราบกลัวเขามองว่าเล่นจนเสียการงาน จึงได้แต่ซุกพิราบไว้ในอกฉลองพระองค์จนตาย  

 

 

เวลานี้ตอนนี้ฮ่องเต้ใช้สิ่งนี้เป็นตัวอย่าง ในใจคนที่นั่นล้วนอดไม่ได้ตกตะลึง  

 

 

นี่ถึงกับเอาหนิงเหยียนไปเทียบกับเว่ยเจิงขุนนางคนสำคัญปานนั้นเชียว แน่นอนทุกคนต่างรู้ว่าเจตนาดั้งเดิมของฮ่องเต้คือเปรียบตนเองกับฮ่องเต้ไท่จง แต่ผิดคาดไปสักหน่อย  

 

 

“ฝ่าบาทฉลาดปราดเปรื่องวรยุทธ์ล้ำเลิศเทียบเทียมจักรพรรดิเหยาซุ่น” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยทันทีแล้วค้อมกายโขกศีรษะคำนับอีกหน “องค์ไท่จงก็ไม่พ้นเช่นนี้”  

 

 

จอมประจบ!  

 

 

ในใจคนที่นั่งอยู่ล้วนเอ่ยด่าในเวลาเดียวกัน แม้พวกเขามักพูดยอฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่ศิษย์แห่งนักปราชญ์เสาหลักแห่งประเทศชาติ อย่างไรก็ต้องมีหลักการอยู่บ้างไหม จะพูดโจ้งแจ้งเช่นนี้ไม่ต่างจากถ้อยคำไร้สาระประหนึ่งขันทีไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างไร   

 

 

หนิงอวิ๋นเจาผู้นี้ไม่เหมือนแซ่หนิงจริงๆ  

 

 

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าถูกชมจนขัดเขินอยู่บ้าง  

 

 

“อาลักษณ์หนิงคำพูดนี้เกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับ” พระองค์ตรัส  

 

 

แม้หนิงอวิ๋นเจาคุกเข่าอยู่ แต่แผ่นหลังเหยียดตรง เงยหน้าขึ้นสีหน้านิ่งสงบ ไม่เหมือนคนต่ำต้อยประจบเอาใจสักนิด  

 

 

“กระหม่อนอายุน้อย คิดสิ่งใดย่อมพูดสิ่งนั้น ไม่ได้ครุ่นคิดมากเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย”  

 

 

ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าอีกครั้งแล้ว  

 

 

“ข้าโทษเจ้าทำอะไร” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงในราชสำนักทุกคนล้วนเอ่ยคำที่อยากเอ่ยได้ทั้งสิ้น ต่อให้สนทนากันเป็นการส่วนตัว ข้าก็ไม่ใช่คนชอบปิดปากประชาชนประเภทนั้นนะ”  

 

 

ได้ยินถึงตรงนี้ ขุนนางใหญ่คนอื่นก็ไม่อาจแสร้งโง่ตกตะลึงได้อีกต่อไปแล้ว ค้อมกายโขกศีรษะด้วยกันกับหนิงอวิ๋นเจา  

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”  

 

 

ในตำหนักขุนนางนับร้อยคุกเข่าร้องแซ่ซ้องพร้อมเพรียง บรรยากาศครึกครื้น  

 

 

หวงเฉิงก็ย่อมค้อมศีรษะแซ่ซ้องด้วย เพียงแต่ดวงตาที่หลุบลงยากปิดบังความโกรธแค้น  

 

 

ดี ดี คนหนุ่ม หากหน้าไม่อายขึ้นมา ดียิ่งนักจริงๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

ยามบ่ายงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนักพักผ่อน ขุนนางนับร้อยเดินเรียงแถวออกมา  

 

 

หวงเฉิงไม่ได้คิดไล่ตามไปเอ่ยสิ่งใดกับฮ่องเต้อีก ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะดีแล้ว ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องของผู้อพยพแดนเหนือกับหนิงอวิ๋นเจา ฮ่องเต้กำลังดีพระทัย  

 

 

รู้ว่าเวลาใดทำสิ่งใดกับรู้ว่าเวลาใดไม่ควรทำสิ่งใดสำคัญดุจเดียวกัน นี่ก็คือเคล็ดลับที่เขาผ่านสามรัชสมัยไม่ล้ม  

 

 

หวงเฉิงหน้าบึ้งเดินมาท่ามกลางขุนนางทั้งหลายที่ห้อมล้อม แผนครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในใจทุกคนล้วนทั้งโมโหและวิตก  

 

 

“เรื่องผู้อพยพเหล่านั้นไม่ล่วงรู้สักนิด”  

 

 

“พังเพราะพวกเขาแท้ๆ”  

 

 

“ใต้เท้าโปรดวางใจพวกเราจะไปสืบเดี๋ยวนี้”  

 

 

พวกเขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

สืบ สืบออกมาแล้วอย่างไรอีก จังหวะดีครั้งหนึ่งเสียไปเช่นนี้แล้ว  

 

 

ใช่แค่ผู้อพยพแดนเหนือเสียที่ไหน ยังมีหนิงอวิ๋นเจา สารเลวน้อยผู้เหยียบโอกาสที่เขาตระเตรียมพริบตาเดียวโดดเด่นหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อีกด้วย  

 

 

หวงเฉิงอดไม่ได้ถอนหายใจแผ่วเบา  

 

 

“คนชั่วมากนักจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

บรรดาขุนนางข้างกายสีหน้าอับอาย  

 

 

“ล้วนเป็นพวกเราไร้ความสามารถ” พวกเขาเอ่ยขึ้น  

 

 

หวงเฉิงยิ้มแล้ว  

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน เอาใหม่อีกหน สืบหาจัดการคนเลวไปทีละคนๆ ก็ได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางยกแขนเสื้อปิดปากไอเสียหลายที  

 

 

แม้เขาชราแล้ว แต่ก็ไม่กลัวพวกคนหนุ่มกับวัยกลางคนนี่ คนหนุ่มคนวัยกลางคนที่เขาเคี่ยวกรำจนตายมากไป อายุน้อยแล้วมีสิ่งใดยอดเยี่ยม  

 

 

“ใต้เท้าหวง”  

 

 

เมื่อเดินออกจากพระราชวัง บนถนนเสด็จพระราชดำเนินกลุ่มคนสลายไปแล้ว ฟื้นกลับมาเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง ขณะที่ทุกคนต่างขึ้นม้านั่งเกี้ยวแยกย้ายกันไปนั่นเอง พลันมีคนเรียกหวงเฉิงไว้  

 

 

ผู้คนหันหน้ากลับไปมอง สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

 

ผู้ที่มาถึงกับเป็นเฉิงกั๋วกง  

 

 

เฉิงกั๋วกงถึงกับร้องเรียกหวงเฉิงไว้? ตามหลักแล้วน่าจะเรียกหนิงอวิ๋นเจาถึงจะถูก อย่างไรวันนี้พวกเขาสองคนหนึ่งร้องหนึ่งรับได้หน้าที่สุด แล้วก็ต่างได้รับผลประโยชน์ด้วย  

 

 

เห็นเฉิงกั๋วกงเดินเข้ามา บรรดาขุนนางเหล่านี้ก็เคร่งเครียดอยู่บ้าง  

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” มีคนยังหลุดปากตะคอกถามด้วย  

 

 

หวงเฉิงขานอืมทีหนึ่ง  

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่ใช่น้ำหลากอสูรร้ายสักหน่อย อย่าเป็นเช่นนี้เลย” เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร  

 

 

เฉิงกั๋วกงเดินเข้าใกล้แล้วยืนยิ่ง  

 

 

“ใต้เท้าหวง เรื่องที่ข้าเข้าเมืองถูกคนขวางไว้ เป็นแผนของท่านสินะ?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

เสียงของเขาใสอ่อนโยน ดวงหน้าอ่อนโยน ทำให้คนประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิอาบไล้ ท่วงท่าไม่พ่ายแพ้บัณฑิตขุนนางฝ่ายพลเรือนคนใด  

 

 

แต่คำพูดของเขากลับดุดันประหนึ่งคมดาบ ตรงไปตรงมาประหนึ่งคนบุ่มบ่าม ทั้งยังปากไม่มีหูรูดไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย  

 

 

ขุนนางทั้งหลายที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปสิ้น  

Related

รักใคร่?  

 

 

“พวกเจ้าเป็นห่วงกันและกันนี่จั๊กจี้จริงๆ” เสียนอ๋องยิ้มเอ่ย “เจ้าทำเพื่อเขา เขาทำเพื่อเจ้า ปกป้องกัน ดูแลกัน ชื่นชมกัน…”  

 

 

ตอนเขาพูดถึงตรงนี้จูจั้นก็ยกมือห้ามทำท่าจะอาเจียนไปพลาง ทึ้งเสื้อลายพร้อยบนร่างลงส่งๆ โยนข้ามไป  

 

 

“ก็แค่ยืมเสื้อตัวหนึ่งของเจ้าใส่นิดหนึ่ง ต้องเหยียบย่ำคนเช่นนี้ไหม?” เขาตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

ที่แท้เสื้อตัวนี้ของเสียนอ๋องนี่เอง มิน่าทั้งใหญ่ทั้งอ้วน ดูไปแล้วแปลกพิลึก  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม มองดูจูจั้นถอดเสื้อเผยเสื้อขาดมอซอ  

 

 

เวลาไหนก็ต้องรักษาหน้าจริงๆ  

 

 

เห็นนางยิ้ม เสียนอ๋องก็หัวเราะแล้ว  

 

 

“น้องสะใภ้ เจ้าว่าข้าพูดถูกต้องหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางยิ้มแล้วพยักหน้า  

 

 

“องค์ชายพูดถูก ข้าเป็นห่วงเขายิ่ง” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นไอแคกๆ  

 

 

“องค์ชายไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเล่นละครต่อหน้าเขา” เขาหน้าบึ้งเอ่ย  

 

 

“ข้าไม่ได้เล่นละครนะ” คุณหนูจวินมองเขา กะพริบตาพลางเอ่ยอย่างตั้งใจ “ข้าเป็นห่วงท่านมากนะ”  

 

 

ดูสิดู ดูสิดู นี่เป็นคนเรียบร้อยคนหนึ่งรึ?  

 

 

จูจั้นเบิกตากลมหน้าแดง  

 

 

เขาก็ไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับนางเองเลย!  

 

 

เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น  

 

 

“คุณหนูจวิน เขาก็เป็นห่วงเจ้ามากนะ” เขาขยิบตาเอ่ยขึ้น  

 

 

สตรีคนอื่นเผชิญกับคำพูดเช่นนี้ต้องหน้าแดงหรือเขินอายหนีไปแน่ แต่คุณหนูจวินย่อมไม่ใช่สตรีคนอื่น  

 

 

“ข้าทราบ” นางอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างก็ไม่เขินอายเช่นกัน หัวเราะฮ่ะฮ่ะแห้งๆ  

 

 

“พวกเจ้าสองคนนับว่าพบกันช้าไปสินะ?” เขาเอ่ย “ล้วนเป็นคนไม่เรียบร้อยเช่น วีรบุรุษเข้าใจกันสินะ?”  

 

 

เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วพลันประสานหมัดคารวะคุณหนูจวิน  

 

 

“คุณหนูจวินเป็นวีรบุรุษจริงๆ” เขาทำสีหน้าจริงจังเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ถ่อมตัว คำนับกลับน้อยๆ  

 

 

“คุณหนูจวิน ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้…” เสียนอ๋องเอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

เสียงไอของจูจั้นขัดเขา  

 

 

“องค์ชายมีคำพูดใดอีกประเดี๋ยวค่อยถามเถอะ ครอบครัวของผู้อื่นมาแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

เสียนอ๋องกับคุณหนูจวินมองไปด้านนอก เห็นเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่นอกประตู  

 

 

เห็นพวกเขามองมา เฉินชีก็รีบโบกมือ  

 

 

“ไม่รีบไม่รีบ พวกท่านคุยต่อ”เขายิ้มเอ่ยพลางคำนับเสียนอ๋องอย่างนอบน้อม  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วก็ย่อเข่าก้มศีรษะเช่นกัน  

 

 

เสียนอ๋องอมยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“ครอบครัวเดียวกัน เข้ามาคุยกันเถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีขานรับ ตอนนี้ถึงเดินเข้ามา  

 

 

“น้องสาม” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วตอบอื้อทีหนึ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดให้พูด  

 

 

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง  

 

 

“นี่เป็นน้องสาวรึ” เสียนอ๋องพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินพยักหน้าขานใช่พร้อมกัน  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ได้พบพี่เขยของเจ้าสินะ” เสียนอ๋องชี้จูจั้นพลางยิ้มเอ่ย  

 

 

จูจั้นสบถ  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ด้วยแล้ว สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง  

 

 

“สบถอะไรเล่า แม่นางน้อยอย่างไรก็ต้องพบหน้าพี่เขยที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาคนนี้ไหม” เสียนอ๋องยิ้มเอ่ย  

 

 

จูจั้นหัวเราะแห้งๆ  

 

 

“แม่นางน้อยช่างไม่ขาดแคลนพี่เขยจริงๆ” เขาเอ่ย “ข้าก็คนที่สามแล้ว”  

 

 

ก็จริง เรื่องนี้คิดขึ้นมาก็บ้าบออยู่บ้างจริงๆ ฟางจิ่นซิ่วกลั้นไม่อยู่หัวเราะอีกครั้ง  

 

 

“ท่านชายคุ้นแล้วก็จะดีเอง” นางเอ่ย  

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“พวกเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ” จูจั้นแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น “เรื่องเช่นนี้ยังคุ้นชินได้ด้วย”  

 

 

“ชีวิตยากลำบาก เรื่องมากมายย่อมคุ้นชินแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย  

 

 

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จูจั้นก็ไม่เอ่ยวาจาอีกหันหน้าไป  

 

 

ส่วนคุณหนูจวินยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่วทีหนึ่ง  

 

 

“แม้ยากลำบาก แต่ก็ล้วนคลี่คลายหมดแล้วไม่ใช่รึ” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วมองนางแล้วยิ้มพยักหน้า  

 

 

หนึ่งคำพูด หนึ่งรอยยิ้มนี้ ความห่างเหินจากการไม่ได้พบหน้ากันนานถึงคล้ายจะสลายไป  

 

 

“เอาล่ะ เรื่องอื่นมากน้อยล้วนได้ยินมาแล้ว พูดถึงเรื่องผู้อพยพนับหมื่นนี่เถอะ” เสียนอ๋องตบลำตัวอวบอ้วน บิดอยู่บนเก้าอี้หาท่วงท่าที่สบายสักท่าติดจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง “ทำไมเจ้าคิดเรื่องนี้ออกมาได้เล่า?”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม  

 

 

“ง่ายดายยิ่งนัก เพราะคิดได้ว่าเข้าเมืองหลวงไม่มีทางราบรื่นนักแน่” นางเอ่ย “ที่ว่าไม่ราบรื่นนักอาจเป็นเพียงแค่ไม่เชื่อในความดีความชอบหรือกระทั่งถามหาความผิด ถ้าเช่นนั้นก็เอาความจริงออกมาพูดเหตุผลกันเลย”  

 

 

ง่ายดายยิ่งนัก?  

 

 

เสียนอ๋องสีหน้าปั้นยาก  

 

 

ง่ายดายได้อย่างไรเล่า จะเกลี้ยกล่อมผู้อพยพแดนเหนือมากปานนั้นมา ประการแรกต้องมีอำนาจบารมี ประการที่สองยังต้องมีเงิน ประการที่สามยังต้องผลาญกำลังคนกำลังสิ่งของวางแผนถี่ถ้วนขนมาอีก  

 

 

“อำนาจบารมีหรือ? ก็ไม่นับหรอก” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “อย่างไรตอนแรกข้าก็ทุ่มเทจิตใจช่วยเหลือพวกเขา  

 

 

แจกข้าวต้มตามทาง เสี่ยงอันตรายเดินทางไปต้านการโจมตีของชาวจินที่ป้าโจว ปกป้องชาวบ้านสิบกว่าหมื่นให้หนีพ้นจากกีบเท้าม้าของชาวจินด้วยตนเอง   

 

 

“ข้าช่วยย่อมไม่ใช่ช่วยเสียเปล่า” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างร้องเหอะทีหนึ่ง  

 

 

“ช่างเป็นคนทำการค้าที่ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งจริงๆ” เขาว่า  

 

 

เสียนอ๋องมองคุณหนูจวินด้วยสีหน้าพิกล  

 

 

“ต่อให้เป็นการค้า นี่ก็ไม่ใช่การค้าที่ใครก็ทำได้” เขาเอ่ย  

 

 

“ข้าทุ่มเทหัวใจทำ ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงทุ่มเทหัวใจเชื่อข้าแล้วมา” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่ก็คือความยุติธรรม”  

 

 

เสียนอ๋องเงียบไปครู่หนึ่ง  

 

 

“ดีใจนักที่ได้เห็นความยุติธรรม” เขาเอ่ย ในเสียงเศร้าสร้อยอยู่บ้าง แต่เห็นชัดว่าเขาไม่อยากถูกคนสังเกตเห็น จึงกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมายิ้มร่า “ถ้าเช่นนั้นเงิน กำลังคน กำลังของนี่วางแผนก็ไม่ง่ายสินะ”  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าอ่อนโยนขึ้นบ้าง  

 

 

“เรื่องนี้ข้ากลับไม่ได้เปลืองความมคิด” นางอมยิ้มเอ่ย “มีคนเหนื่อยยากเปลืองความคิดแทนข้า”  

 

 

เสียนอ๋องร้องอ้อ มองจูจั้นทีหนึ่ง  

 

 

จูจั้นถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจทันที  

 

 

เสียนอ๋องไม่ได้สนใจเขา มองไปทางคุณหนูจวิน  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นสำหรับคนผู้นี้แล้ว คุณหนูจวิน ท่านต้องสำคัญมากแน่” เขายิ้มตาหยีเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“สำหรับข้าแล้วเขาก็สำคัญมากเช่นกัน” นางเอ่ยอย่างตั้งใจ  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

เสียนอ๋องถามเรื่องที่ตนอยากถามแล้วก็ลุกขึ้นจะแยกกับทุกคนแล้ว อย่างไรก็เดินทางไกลระหกระเหินมา ทั้งยังสิ้นเปลืองความคิดไป ควรกลับไปพักผ่อนดีๆ  

 

 

“แต่พูดถึงพักผ่อน” เสียนอ๋องหยุดเท้าอีกครั้ง มองดูจูจั้นกับคุณหนูจวิน “เจ้ากับภรรยาเจ้าจะกลับจวนกั๋วกงสินะ?”  

 

 

สีหน้าจูจั้นแข็งทื่อ มองนอกประตู แม้น้อยลงไปมากแต่ยังคงมีคนล้อมดูรอคอยอยู่  

 

 

“แน่นอน” คุณหนูจวินเอ่ยปากก่อน สีหน้าสบายๆ แล้วมองฟางจิ่วซิ่นกับเฉินชี “พวกเจ้ากับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมีธุระก็มาที่บ้านหาข้า  

 

 

บ้าน พูดได้คล่องแคล่วยิ่งกว่าตนเองจริงๆ จูจั้นเหล่ตามองนาง แต่ไม่ได้พูดอะไร เดินออกไปข้างนอกก่อนก้าวหนึ่ง  

 

 

พวกคุณหนูจวินเดินตามออกมา ส่งเสียนอ๋องขึ้นรถม้าก่อน ต่อไปฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีก็ขึ้นรถบ้าง จูจั้นกำลังจะก้าวเท้าเดินก็ถูกคุณหนูจวินเรียกไว้  

 

 

“บนถนนคนมาก อย่าให้ม้าตื่น ท่านมาจูง” นางยิ้มแย้มเอ่ยพลางพลิกกายขึ้นม้า  

 

 

ม้าตื่น? ตลอดทางนางขี่ม้าเหมือนม้าตื่น นางยังกลัวม้าตื่นอีกรึ?  

 

 

ฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาอีกแล้ว!  

 

 

จูจั้นกัดฟัน แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ตลอดทางเขารู้แล้วว่าอย่าโต้งแย้งกับสตรีคนนี้ง่ายๆ  

 

 

เขาเดินไปจับสายบังเหียนเดินไปข้างหน้า  

 

 

ประชาชนที่ล้อมอยู่นอกประตูล้วนเผยรอยยิ้มหวังดี เด็กน้อยทั้งหลายกระโดดโลดเต้นตามหน้าตามหลัง  

 

 

“เฮ้อ เจ้าว่าเหมือนเจ้าหนุ่มในหยางเฉิงของพวกเราพาภรรยาสาวกลับบ้านแม่ไหม?” เฉินชียิ้มกระซิบกับฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

“ไม่เหมือน” ฟางจิ่นซิ่วมองเขาแล้วเอ่ยทันที  

 

 

เฉินชีหน้าแตก ยกแส้ม้าขึ้น  

 

 

“พวกเราก็กลับบ้านเถอะ” เขายิ้มร่าเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

บนถนนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าท่ามกลางฝูงชนห้อมล้อม ด้านหลังของพวกเขามีขบวนคนม้ากลุ่มหนึ่งติดตามด้วย  

 

 

ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร ลู่อวิ๋นฉีมองแผ่นหลังของสตรีที่ขี่ม้าส่ายไหวอยู่ด้านหน้าอย่างนิ่งเฉย นางเดินไปที่ใด เขาก็ตามไปที่นั่น  

 

 

ฝั่งนี้แยกย้ายแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงกำลังรื่นเริง  

 

 

หวงเฉิงไม่ได้จากไป แล้วก็ไม่ได้เอาแต่ใจอยู่ข้างนอกต่อ เวลานี้ก็นั่งอยู่ในงานเลี้ยงด้วย นั่งก้มหน้าดื่มสุราอยู่ตลอด ฟังเฉิงกั๋วกงกับฮ่องเต้พูดคุยสรวลเส ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางตำหนิเขา แล้วยังให้ขันทีน้อยคอยอยู่รับใช้อยู่ด้านข้างอย่างใส่ใจ  

 

 

ฉับพลันในหูหวงเฉิงนอกจากเสียงพูดของเฉิงกั๋วกงก็มีเสียงเยาว์วัยรื่นหูเสียงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา  

 

 

“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท ท่านอาสบายดีทุกอย่าง พักนี้ยังคงทำคำอธิบายคัมภีร์เล่มหนึ่งอยู่”  

 

 

เสียงนี้ทำให้หวงเฉิงฉับพลันเงยหน้าขึ้น แววตาถมึงทึงมองไปทางขุนนางเยาว์วัยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  

 

 

ด้วยอายุและประวัติผลงานของชายหนุ่มคนนี้ เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่  

 

 

หนิงฉาง ไม่ หนิงเหยียน ครั้งนี้ถึงกับแพ้ในมือพวกเจ้าแล้ว  

 

 

หวงเฉิงยกถ้วยสุราขึ้น  

 

 

“ใต้เท้าน้อยหนิง” เขาร้องเรียก  

Related

วาจาพูดส่งเดชแล้วรึ?  

 

 

ฝูงชนไม่ได้ถูกคำเตือนของเขาทำให้กลัวตรงกันข้ามกลับหัวเราะครืนหนึ่ง  

 

 

ท่านชายจูจั้นแม้ดื้นรั้น แต่เทียบกับองครักษ์เสื้อแพรเข้าใกล้ง่ายกว่าแน่นอน  

 

 

“ไม่ได้พูดส่งเดช”  

 

 

“ถูกต้อง นี่ครั้งที่เท่าไรแล้ว?”  

 

 

“ครั้งก่อนทุบป้ายสำนักก็เป็นท่านชาย”  

 

 

“ครั้งนั้นรับอนุขอแต่งงานก็เป็นท่านชาย”  

 

 

“ครั้งนั้นไม่ใช่กระมัง? ครั้งนั้นไม่ใช่จอหงวนหนิงรึ?”  

 

 

“จอหงวนหนิงอยู่ ท่านชายก็อยู่ พูดขึ้นมาแล้วจอหงวนหนิงไม่ใช่ควรมาด้วยหรือ?”  

 

 

ฝูงชนคุยเล่นหัวเราะกันครึกครื้นพากันถกเถียง กวาดทีบรรยากาศหนักอึ้งชะงักนิ่งก่อนหน้านี้เดียวหายเกลี้ยง เต็มไปด้วยความสุขสันต์  

 

 

จูจั้นได้ยินก็หน้าดำ คล้ายไม่อาจห้ามความคึกคักของคนเหล่านี้ได้ ได้แต่มองไปทางคุณหนูจวินอย่างติดจะโมโห  

 

 

“ล้วนเป็นเพราะเจ้า เดินเล่นบ้าบออะไร?” เขาตวาด “ให้คนดูเป็นเรื่องสนุก”  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม  

 

 

“เจ้าค่ะ” นางเอ่ย  

 

 

ว่าง่ายปานนี้เชียว? เหมือนกับภรรยาตัวน้อย?  

 

 

สายตาของเฉินชีสลับกลับไปมาบนร่างพวกเขา หรือว่าเป็นภรรยาตัวน้อยจริงๆ แล้ว? ละครหลอกกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว? หอริมน้ำได้จันทร์ก่อนประโยคนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ คุณชายสิบหนิงที่น่าสงสาร  

 

 

ด้านนี้เขาคิดสารตะวุ่นวายอยู่ จูจั้นพลันโบกมืออย่างรำคาญแล้ว  

 

 

“ยังนิ่งอยู่ทำอะไร รีบเดิน รีบเดิน” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินพลิกกายขึ้นม้า เฉินชีรีบจูงสายบังเหียน ร้องเรียกเหล่าพนักงานให้เดินหน้า  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง จ่อดาบหาพวกเขา  

 

 

จูจั้นเหมือนเวลานี้เพิ่งเห็นพวกเขา สะบัดแขนเสื้อกว้างสีพร้อย  

 

 

“ไสหัวไป” เขาพ่นออกมาคำหนึ่ง  

 

 

แน่นอนเหล่าองครักษ์เสื้อแพรนิ่งไม่ขยับ  

 

 

“ท่านชาย อย่าขัดขวางพวกเราทำงาน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยนิ่งสนิท  

 

 

จูจั้นหันหน้ามองเขา  

 

 

“ข้าขวางแล้ว” เขาแสยะยิ้มเผยฟันขาว “เจ้าทำอะไรข้าได้?”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียื่นมือ หัวหน้ากองพันเจียงลังเลชั่วครู่แต่ก็ยังส่งดาบในมือให้เขา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกำดาบก้าวยาวเดินไปหาจูจั้น  

 

 

สักประโยคเขาก็ไม่เอ่ย ทว่าเพียงก้าวเท้าทีละก้าวๆนี่ ผู้คนที่ครึกครื้นอยู่พริบตาก็เงียบลง กลั้นลมหายใจโดยไม่ทันรู้ตัว  

 

 

จูจั้นยกชุดหลอมโพรกบนร่างขึ้น คนที่ล้อมดูอยู่รู้สึว่าตาลายอีกครั้ง คล้ยมองเห็นเสื้อขาดวิ่น?  

 

 

เครื่องแต่งกายของบุตรชายเฉิงกั๋วกงช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ  

 

 

แน่นอนนี่ไม่ใช่จุดสำคัญ ทุกคนเห็นจูจั้นชักดาบเล่มหนึ่งออกมาเหมือนกัน เทียบกับดาบปักวสันต์ของลู่อวิ๋นฉี ดาบของเขาสั้นและตรงคล้ายดาบใหญ่เล่มหนึ่งถูกหัก  

 

 

ถึงแม้เป็นเช่นนี้ กลิ่วคาวเลือดพริบตาก็โถมเข้ามาตรงหน้า ประชาชนที่ล้อมดูอดไม่ได้กัดมือถอยหลังพร้อมเพรียง  

 

 

นี่จะสู้กันจริงหรือ จะสู้กันเอาเป็นเอาตายแบบนั้น  

 

 

“พอแล้ว”  

 

 

เสียงสตรีดังขึ้นทำลายความนิ่งงัน ในเวลาเดียวกันคนก็ยืนอยู่ข้างกายจูจั้น ยื่นมือคว้าแขนเขาไว้  

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่ง ชาวบ้านที่ล้อมมุงดูตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“ทำอะไร? ยื้อๆ ยุดๆ ทำอะไร?” จูจั้นถลึงตาเอ่ย สะบัดมือคุณหนูจวินออกแล้วก็หยุดเท้าด้วย  

 

 

หยุดชั่ววูบนี้ ลู่อวิ๋นฉีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว เขาไม่สนใจว่าเขาหยุด แล้วก็ไม่ได้สนใจคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง สะบัดมือฟันดาบมาทันที  

 

 

หนึ่งขยับหนึ่งหยุดแล้วหนึ่งขยับกะทันหันนี้ ทำให้ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตอบสอนงไม่ทันอยู่บ้าง ร้องขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว  

 

 

เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ดาบสั้นของจูจั้นปะทะกับดาบของลู่อวิ๋นฉี สักก้าวไม่ถอย ส่วนคุณหนูจวินก็สีหน้าราบเรียบยืนอยู่ที่เดิม คล้ายไม่เห็นว่าดาบสองเล่มปะทะกันอยู่ตรงหน้านาง  

 

 

“หัวหน้ากองพันเจียง ตอนนี้ท่านจับข้าไม่ได้” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้าไม่ใช่หมอที่เปิดร้านโรงหมอคนหนึ่งแล้ว ข้าคือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง”  

 

 

คำพูดนี้ออกมาประชาชนที่นั่นก็ฮือฮา  

 

 

เรื่องภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงพวกเขาก็ได้ยินมาเหมือนกัน แม่สามีลูกสะใภ้สองคนช่วยคุ้มครองประชาชนป้าโจวอะไร นำทหารบุกจู่โจมแผ่นดินจินช่วยเฉิงกั๋วกงอะไร วีรสตรีผู้นี้ทุกคนล้วนพากันคาดเดา แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูจวิน  

 

 

ท่ามกลางเสียงฮือฮานี้ จูจั้นสีหน้ากรุ่นโกรธ ลู่อวิ๋นฉีกลับสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“นั่นแล้วอย่างไร?” เขาเอ่ยพลางมองคุณหนูจวิน ฉับพลันยิ้มนิดหนึ่ง รอยยิ้มนี้ทำให้ใบหน้ากับแววตาของเขากลายเป็นอ่อนโยน “ข้าไม่สน”  

 

 

“ท่านไม่สน ฮ่องเต้สน” คุณหนูจวินเอ่ย “ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจัดงานเลี้ยงให้เฉิงกั๋วกงอยู่ในวัง ท่านกลับจับลูกสะใภ้ของเขาไป นี่ท่านตบหน้าฝ่าบาทนะ”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง คุณหนูจวินก็ยิ้มนิดๆ ให้เขาด้วย ก้าวเท้าเดินไปหาเขา  

 

 

นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเป็นฝ่ายเดินเข้าใกล้เขา  

 

 

“ใต้เท้าลู่ ท่านไม่สนหน้าตา ฝ่าบาทสนนะ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หนังผืนนี้ของท่านเป็นฝ่าบาทประทานให้ ท่านตบหน้าฝ่าบาท ระวังฝ่าบาทจะถลกหนังของท่าน”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ยืนนิ่งหน้าลู่อวิ๋นฉี  

 

 

แม้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่อย่างจูจั้น แต่เทียบกับคุณหนูจวินก็สูงกว่ามาก เด็กสาวคนนี้ตรงหน้าเงยหน้านิดๆ มองเขา ความรู้สึกกลับประหนึ่งก้มหน้ามองจากที่สูง  

 

 

“ท่านไม่มีหนังแล้ว ท่านยังจะจับข้าได้อย่างไร? แค่พบ ท่านก็พบข้าไม่ได้แล้ว” นางอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง  

 

 

“พูดได้น่าฟังจริง” เขาเอ่ย “ยังมีอีกไหม”  

 

 

เป็นคนพูดน้อยจริงๆ  

 

 

คุณหนูจวินหุบยิ้ม สักประโยคก็ไม่พูดเพิ่มอีกหมุนตัวก้าวเท้า เดินมาถึงตรงหน้าจูจั้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้  

 

 

“ไปเถอะ กลับบ้านกัน” นางว่า  

 

 

จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้สะบัดมือของนางออก  

 

 

“ก็ให้เจ้ากลับบ้านตั้งนานแล้ว เจ้าช้าเช่นนี้” เขากัดฟันเอ่ย  

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าเดินช้าไปแล้ว” คุณหนูจวินตอบเสียงอ่อนโยน น่ารักและว่าง่าย  

 

 

พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้า หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ไล่ตามแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม หัวหน้ากองพันเจียงโล่งอกโดยไม่รู้ตัว โบกมือให้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายที่ล้อมอยู่รอบด้านหลีกทางอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

เฉินชีก็พรูลมหายใจด้วย รีบจูงม้าเรียกเหล่าพนักงานให้ตามมา  

 

 

ประชาชนรอบด้านเห็นคุณหนูจวินกับจูจั้นเดินมาก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ถามพลางหัวเราะพลาง คุณหนูจวินก็อมยิ้มทักทายทีละคนๆ เมื่อนางเดิน ฝูงขนก็หลีกทางให้เองแล้วติดตามไปข้างหน้าด้วย  

 

 

ฝูงชนแห่แหนผ่านหน้าเหลาสุราไป หนิงสืออีถอนหายใจ  

 

 

“ยังคิดว่าจะตีกันบนถนนแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา “สองคนนี้ล้วนเป็นพวกไม่กลัวตายกล้าเล่นกับความตาย”  

 

 

หนิงเหยียนมองทิศทางที่คุณหนูจวินจากไป ฝูงชนแห่แหนจนมองไม่เห็นร่างคุณหนูจวินนานแล้ว  

 

 

“ยังมีความสุขุมด้วย รู้รุกถอย” เขาเอ่ย  

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกมาจากปากหนิงเหยียน ไม่ใช่คำชมเล็กๆ เลย หนิงสืออีโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินบิดาชมตนเองเช่นนี้  

 

 

“ท่านพ่อ ท่านก็รู้สึกว่าคุณหนูจวินไม่เลวรึ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ไม่เลวจริงๆ ไม่เลวมาก  

 

 

หนิงเหยียนคิด  

 

 

คนเช่นนี้คู่ควรกับหนิงอวิ๋นเจายิ่งนัก  

 

 

ช่าง…  

 

 

“น่าเสียดายแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

…………………………………………………  

 

 

ท่ามกลางชาวบ้านที่ล้อมดู คุณหนูจวินไม่ได้ไปจวนเฉิงกั๋วกงกับจูจั้น แต่เข้าไปในเหลาสุราหลังหนึ่ง  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายย่อมไม่สะดวกตามเข้ามา รั้งอยู่นอกประตูคุยเล่นหัวเราะถกเถียง  

 

 

“ที่แท้ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคือคุณหนูจวิน”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงมีความชอบจริงๆ ไม่เช่นนั้นคุณหนูจวินไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลือ”  

 

 

“นี่เป็นคู่สร้างคู่สมแท้ๆ ข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าคุณหนูจวินกับท่านชายมีใจให้กัน”  

 

 

ได้ยินเสียงข้างนอกดังมา จูจั้นก็หันกลับมาถลึงตา  

 

 

“ตาบอดแท้ มองออกอย่างไร?” เขาเอ่ยพลางสะบัดมือคุณหนูจวินออก “น่าจะพอแล้วสินะ”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจา  

 

 

“ไม่ต้องทนรอไม่ไหวอยากประกาศฐานะภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงของเจ้าปานนี้ก็ได้ เจ้าเป็นหรือไม่เป็นภรรยาของท่านชาย ข้าก็ไม่ให้เจ้าถูกจับไปได้” จูจั้นเอ่ยเรียบๆ  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้ม ยื่นมือออกมา  

 

 

จูจั้นหลบอย่างว่องไว ไม่ให้นางตบแขนของตนเองอ ท่าทางระแวงมองนาง  

 

 

“ท่านคนประหนึ่งหยกงามเช่นนี้ไม่ควรไปรู่กระเบื้อง” คุณหนูจวินไม่ได้ยื่นมือมาอีกอมยิ้มเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะแล้ว  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากระเบื้องแผ่นนี้ก็ตกตายไปด้วยกันกับลู่อวิ๋นฉีได้แล้วสิ?” เขาเอ่ย “อย่าลืมว่าเจ้ายังแขวนชื่อภรรยาท่านชายอยู่นะ พัวพันทำร้ายครอบครัวข้า”  

 

 

สิ้นเสียงคำของเขา ด้านในเสียงหัวเราะพรืดเสียงหนึ่งก็ดังมา  

 

 

คุณหนูจวินมองไป สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เห็นเสียนอ๋องที่สวมเพียงเสื้อตัวในเดินออกมา  

 

 

“พวกเจ้าสองคน ไม่ต้องรักใคร่กันปานนี้แล้ว” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “คนฟังอายไปหมดแล้ว”  

Related

นางผู้นั้นที่พานพบเนิ่นนานก่อนหน้านี้  

 

 

เวลานั้นเขาหดหัวอยู่บนพื้น ถูกพวกบุตรชายเฉิงกั๋วกงทุบตีหายใจรวยริน คิดอยู่ว่าบางทีคงต้องตายไปเช่นนี้แล้ว  

 

 

เขาคนผู้ประหนึ่งต้นหญ้าเม็ดฝุ่นเช่นนี้ตายไปก็ตายไป ใครจะสนใจ? ใครจะกล้าขวาง?  

 

 

นายทหารรักษาเมืองนั่นมองไม่เห็นภาพที่ประตูเมืองเงียบสงบเหมือนร้างไร้คนนี้ พวกเขาล้วนหลบไปหมด คล้ายเขาเป็นกาฬโรค มองเพิ่มสักทีก็เสียชีวิตได้  

 

 

ที่จริงเขาก็ไม่อยากมีชีวิตแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมาย ระหว่างที่สะลึมสะลือเสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตวาดด่าของสตรี เสียงด่าของพวกจูจั้นคนเหล่านี้ หน้าประตูเมืองกลายเป็นเอะอะอึกทึก  

 

 

ตาของเขาที่บวมจนกลายเป็นขีดเดียวฝืนมองไป เด็กสาวที่ขี่บนม้าผู้นั้นกำลังหวดแส้ม้าในมือ เห็นหน้าตาไม่ชัดกลับรู้สึกถึงอำนาจของนางได้ชัดเจนอย่างประหลาด  

 

 

นางประหนึ่งแสงตะวันสว่างไสวแสบตา  

 

 

นี่คือการมองแวบเดียวของเขา หลังจากนั้นคนก็สลบไป รอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่ในบ้านของตนแล้ว ยังมีหมอมาทายารักษาแผลด้วย  

 

 

“เจ้านี่โชคดีนัก” นายประตูเมืองที่ส่งเขากลับมาเอ่ย ป้ายหยกในมือแกว่งไกว “เจ้ารู้ไหมนี่เป็นใครช่วยเจ้าไว้?”  

 

 

แม้เขาเรียนหนังสือไม่มาก แต่จำอักษรบนป้ายหยกนั้นได้ จิ่วหลิง  

 

 

จิ่วหลิง ชื่อนี้น่าฟังจริงๆ  

 

 

“นี่เป็นถึงพระธิดาองค์เล็กในองค์รัชทายาท องค์หญิงจิ่วหลิง นั่นเป็นถึงดอกฟ้า”  

 

 

“ก็มีแต่นางถึงกล้าลงมือกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง”  

 

 

นายประตูเมืองผู้นั้นพร่ำพูด แต่กลับไม่ได้เอ่ยเรื่องขององค์หญิงจิ่วหลิงคนนี้เพิ่มอีก  

 

 

นายประตูคนหนึ่งพูดไปฐานะสูงกว่าเขา แต่ต่อหน้าดอกฟ้าที่เป็นพระญาติเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ต่างอะไรจากเขา ล้วนเป็นประหนึ่งต้นหญ้า สายเลือดสวรรค์อันสูงศักดิ์สูงส่งเหนือใครนั่น เขาจะรู้ข่าวคราวได้สักเท่าใด  

 

 

นายประตูจากไปแล้ว ท่านหมอทิ้งยาไว้แล้วก็จากไปเช่นกัน เขาล้วนไม่สนใจ มีเพียงยามป้ายหยกแผ่นนั้นถูกถือจากไป สายตาของเขาถึงจับจ้องเขม็งอย่างอาลัยอาวรณ์  

 

 

“ให้ข้าได้ไหม?” ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ “ข้าจะได้สะดวกไปเอ่ยขอบคุณคืนให้นาง”  

 

 

นายประตูเมืองถ่มน้ำลายใส่เขาคำหนึ่ง  

 

 

“เจ้านับเป็นตัวอะไร ยังคิดจะพบองค์หญิง” เขาเอ่ยเหมือนมองทะลุความคิดของเขาท่าทางถากถางดูแคลน “เจ้าลูกกระต่าย อย่าคิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้าเลย ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้าง”  

 

 

เขาไม่ได้คิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้าจริงๆ นะ เขาแค่อยากเอ่ยขอบคุณด้วยปากตนเองเท่านั้น ตรงกันข้ามกับเขา เขารู้ชัดยิ่งว่านายประตูเมืองผู้นี้ต่างหากถึงคิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้า  

 

 

นายประตูเมืองคนนี้ต้องเอาป้ายหยกไปอ้างความชอบต่อหน้าองค์หญิงผู้นั้นแน่  

 

 

แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เหมือนเช่นที่นายประตูเมืองเอ่ย เขาลูกกระต่ายน้อยเช่นนี้จะทำอะไรได้? กระทั่งความเป็นความตายของตนเองยังกำหนดไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอยากได้อะไรเลย  

 

 

เขามองนายประตูเมืองถือป้ายหยกเชิดจากไป เสียใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ลูบป้ายหยกแผ่นนั้นสักที ถือสักนิดลูบสักหน่อยก็พอ  

 

 

เสียงเอะอะข้างหูขัดการเหม่อลอยของเขา  

 

 

ยังคงเป็นที่ประตูเมือง แต่เขาไม่ใช่ลูกกระต่ายน้อยที่ถูกคนรังแกได้ตามใจคนนั้นอีกต่อไปแล้ว  

 

 

สิ่งที่เขาต้องการก็ไม่มีทางเป็นแค่ลูบคลำป้ายหยกต่ำต้อย  

 

 

เขามองสตรีที่ขี่อยู่บนอาชาคนนี้ มือที่ไพล่อยู่หลังร่างยกขึ้นโบก  

 

 

“จับไว้” เขาเอ่ยเสียงเรียบ  

 

 

หน้าประตูเมืองยามนี้ฝูงชนแห่แหนมาหัวเราะพูดคุยเอะอะ ไกลออกไปยังมีคนวิ่งมาไม่ขาด ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ ลู่อวิ๋นฉีก็เอ่ยสองคำนี้ออกมา เด็ดขาดฉับไวตรงไปตรงมา  

 

 

ไม่ทราบว่าเพราะระบายโทสะที่สั่งสมมาจากการที่ปล่อยสตรีผู้นี้ออกจากเมืองหลวง ปล่อยให้สตรีผู้นี้แก้ปัญหาการปลูกฝี ถูกสตรีคนนี้หนีรอดหรือระบายอารมณ์ที่ได้พบกันใหม่อีกครั้ง  

 

 

ไม่ว่าเพราะอะไร ไม่ว่าคำสั่งนี้บ้าบอมากเท่าใด หัวหน้ากองพันเจียงก็ไม่ลังเลสักนิด ชักดาบที่เอวออกมา  

 

 

“จับไว้” เขาตวาด  

 

 

พร้อมกับเสียงตวาดสั่งของเขา องครักษ์เสื้อแพรยี่สิบกว่าคนพลันโผล่ออกมาจากเงามืดของกำแพงเมือง ดาบปักวสันต์ในมือกระทบส่งเสียงดังล้อมเข้าไปข้างหน้า  

 

 

ส่วนประชาชนที่รายล้อมอยู่ตอนนี้ถึงค้นพบว่าองครักษ์เสื้อแพรโผล่ออกมา หวาดกลัวพากันหลบหลีกทันที  

 

 

หน้าประตูเมืองตกสู่ความโกลาหล ท่ามกลางความโกลาหลนี้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายยังคงล้อมคุณหนูจวินไว้อย่างแม่นยำรวดเร็ว  

 

 

การเคลื่อนไหวของพวกเขาเร็ว การเคลื่อนไหวของเฉินชีก็ไม่ช้า เขาบังคุณหนูจวินไว้หลังร่างพร้อมกับเหล่าพนักงานของเต๋อเซิ่งชาง  

 

 

สองฝ่ายเกิดเป็นสภาพประจันหน้ากัน ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสะเก็ดไฟแลบ คุณหนูจวินถึงขั้นยังขี่อยู่บนหลังม้าไม่ได้ลงมา  

 

 

หน้าประตูเมืองที่เอะอะตกสู่ความเงียบ  

 

 

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เฉินชีตะโกน สายตามองไปทางลู่อวิ๋นฉี  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ในเงามืดของประตูเมือง สีหน้ายิ่งสนิทมองเพียงคุณหนูจวิน  

 

 

“จับคน” เขาเอ่ยนิ่งเรียบ  

 

 

“เอาอะไรมาจับคน? คุณหนูจวินทำผิดอะไร?” เฉินชีตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว  

 

 

เสียงถกเถียงของชาวบ้านรอบด้านก็ดังขึ้นเบาๆ ยังมีคนขวัญกล้าตั้งคำถามอีกด้วย  

 

 

“ใช่แล้ว คุณหนูจวินทำผิดอะไร”  

 

 

“คุณหนูจวินออกไปแก้ปัญหาการปลูกฝี มีความดีความชอบนะ”  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายประหนึ่งไม่ได้ยิน  

 

 

“เรื่องอะไร จับเอาไว้ถามดูก็รู้แล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

นี่เป็นคำตอบที่บ้าบอจริงๆ แต่ก็เป็นแนวทางกระทำการขององครักษ์เสื้อแพร ไม่มีเหตุผลได้อย่างยืดอกภาคูมิ  

 

 

“พวกเจ้ากล้า!” เฉินชีตวาด สีหน้ายากปิดบังความร้อนใจ  

 

 

ใครจะคิดว่าลู่อวิ๋นฉีจะโผล่ออกมา เอาเถอะ เขาโผล่ออกมาก็ไม่มีอะไรแปลก คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกลับกล้าจะจับคนไปเลยสักประโยคก็ไม่เอ่ยเช่นนี้  

 

 

ที่สำคัญก็คือเพราะไม่รู้ร่องรอยการเดินทางของคุณหนูจวินมาก่อน คนของพวกเขาจึงเตรียมไว้ไม่พอเช่นกัน  

 

 

แค่พนักงานพวกนี้ตอนนี้ จะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์เสื้อแพรได้ที่ไหน  

 

 

ส่วนประชาชนทั้งหลาย…ปลายหางตาของเฉินชีมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกเขา  

 

 

ต่อให้คนมากก็หวังพึ่งไม่ได้  

 

 

คำตวาดถามของเฉินชี ลู่อวิ๋นฉีคร้านจะสนใจ หัวหน้ากองพันเจียงยกมือสะบัดทีหนึ่ง  

 

 

“กล้ามีคนขวาง สังหารไม่เว้น” เขาเอ่ยเย็นชา  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรบอกจะสังหารคนก็สังหารจริงๆ ไม่ว่าชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายหรือชาวบ้านธรรมดา  

 

 

ชาวบ้านรอบด้านถอยหลังอย่างหวาดกลัวอีกครั้ง เฉินชีกัดฟันจะก้าวเข้าไป  

 

 

คุณหนูจวินลงจากม้าห้ามเขาไว้  

 

 

นางมองความบ้าคลั่งในดวงตาของลู่อวิ๋นฉีออก หากคนขวางก็จะฆ่าคนจริงๆ  

 

 

น่าจะเพราะถูกแววตาของนางเมื่อครู่กระตุ้นเข้าแล้ว  

 

 

ใช่แล้ว ครั้งนี้นางกลับมาไม่ได้ปิดบังท่าทางและจิตใจของฉู่จิ่วหลิงอีกต่อไป เหมือนกับทุกปีที่นางระหกระเหินเดินทางไกลกลับมาเมืองหลวงในอดีตครั้งที่พระบิดาพระมารดายังอยู่   

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้คือบ้านของนาง นางคือองค์หญิงจิ่วหลิงแห่งต้าโจว  

 

 

ที่เมืองหลวงแห่งนี้นางไม่เคยถูกขับไล่ นางเพียงแค่จากไปชั่วคราว กลับมาได้ตลอดเวลา ไม่มีความหวาดกลัวที่จะกลับมา  

 

 

นางรู้ว่าลู่อวิ๋นฉีต้องปรากฏตัวแน่ ตอนนี้นางไม่หวาดกลัวที่จะถูกลู่อวิ่นฉีจับถึงขั้นที่นางอาจถือโอกาสลองสังหารลู่อวิ๋นฉีดูได้ คิดว่าเวลานี้สังหารลู่อวิ๋นฉีไป นางก็หาทางรอดทงหนึ่งได้เหมือนกัน  

 

 

ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ ในฐานะผู้ที่ขัดขืนจะสังหารผู้ใช้อำนาจป่าเถื่อนก็ยากเลี่ยง  

 

 

คุณหนูจวินกำแส้ม้าในมือแน่น มองไปทางลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ท่านต้องการจับข้า มาสิ” นางเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง มุมปากยกโค้ง ยกเท้าก้าวเดิน  

 

 

“ใต้เท้า” หัวหน้ากองพันเจียงอดไม่ได้ส่งเสียงห้ามปราม  

 

 

สตรีผู้นี้วันนี้เขาไม่กล้าดูแคลนอีกแล้ว  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจ เพียงมองคุณหนูจวิน สบสายตานางเดินเข้าไปทีละก้าวๆ ไม่กลัวว่าด้านหน้าเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิง แล้วก็ไม่หวาดกลัวแววตาโกรธเกรี้ยวทั้งยังทอประกายคลุมเครือ  

 

 

เขาเพียงต้องการคนผู้นี้ เขาต้องได้คนผู้นี้ หลังจากนั้นแหวะนางออกดู ที่แท้นางเป็นใคร ทำไมบนโลกนี้มีนางสองคนไปได้?  

 

 

หน้าประตูเมืองชะงักนิ่งอย่างแปลกประหลาด ความแปลกประหลาดนี้มีนิ่งและเคลื่อนไหวประสานผสมรวมกัน องครักษ์เสื้อแพร ข้ารับใช้ในตระกูลกับคุณหนูจวินนิ่งสนิท ลู่อวิ๋นฉีขยับ  

 

 

“ทำอะไร? มองอะไร?”  

 

 

เสียงตะโกนกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง ทำลายความนิ่งงันนี้ในพริบตา  

 

 

ในเวลาเดียวกันเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่ได้ยิน ยังคงก้าวเท้า ไม่คิดหลบหลีกสักนิด  

 

 

“ใต้เท้าระวัง”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีบ้าไปแล้ว หัวหน้ากองพันเจียงไม่กล้าบ้าไปด้วย เขาได้แต่โถมเข้าไปขวางลู่อวิ๋นฉีพาถอยหลัง  

 

 

กริชเล่มหนึ่งเฉียดผ่านข้างหูหัวหน้ากองพันเจียงไป เสียงปึกดังขึ้นทีหนึ่งปักอยู่บนประตูเมือง แทบจมมิด  

 

 

นี่ก็ลงมือฆ่าจริงๆ  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงหน้าผากผุดเหงื่อกาฬแตกพลั่กชั้นหนึ่ง  

 

 

คนด้านนั้นก็วิ่งเข้ามาด้วย ประหนึ่งสายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน แหวกองครักษ์เสื้อแพรที่รุมล้อมอยู่  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงเพียงรู้สึกสายตาลายวูบหนึ่ง  

 

 

ตาลายครานี้ไม่เพียงเพราะคนที่มารวดเร็ว ยังเพราะเสื้อผ้าที่ผู้มาสวมไว้บนร่างด้วย  

 

 

คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับสวมเสื้อตัวใหญ่โคร่งสีสันละลานตาชุดหนึ่ง ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงชั่วครู่เกือบจำไม่ได้ว่าใคร ชาวบ้านรอบด้านกลับตะโกนขึ้นมาแล้ว  

 

 

“เป็นท่านชาย!”  

 

 

“เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“ท่านชาย!”  

 

 

“ท่านชาย!”  

 

 

ประหนึ่งน้ำเทลงในกระทะน้ำมันพริบตาอึกทึกซู่ซ่าขึ้นมา  

 

 

จูจั้นท่าทางกระยิ้มหยิ่งย่องผายมือออก กวาดสายตามองรอบด้าน รอยยิ้มเพิ่งยกขึ้นก็ได้ยินในกลุ่มคนโพล่งตะโกนคำหนึ่งออกมาอีก  

 

 

“ที่ไหนมีคุณหนูจวินก็ต้องมีท่านชายจริงๆ ด้วย!”  

 

 

หน้าของจูจั้นบึ้งลงทันที  

 

 

“เฮ้เฮ้” เขายื่นมือชี้ฝูงชนที่พูดพลางถลึงตาเอ่ย “เสื้อผ้าใส่มั่วได้ วาจาไม่อาจพูดส่งเดชได้นะ”  

หวงเฉิงมองฮ่องเต้เสด็จไปข้างหน้า ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารรอบด้านเดินเรียงแถวติดตาม  

 

 

บัญชาของฮ่องเต้ถ่ายทอดออกไปแล้ว เสียงกลองดนตรีประโคม กองทหารเกียรติยศเป็นระเบียบพร้อมเพรียง ปวงชนบนถนนเสด็จพระราชดำเนินพากันคุกเข่า เป็นทิวแถวสีสันละลานตา  

 

 

ในทิวแถวสีสันละลานตานี้ สีหน้าของหวงเฉิงไม่น่าดูยิ่ง เขาก็ไม่ปิดบังสักนิด  

 

 

“ใต้เท้า ลุกขึ้นเถอะขอรับ” ขันทีสองคนกล่อมอย่างระมัดระวัง  

 

 

“ข้าไม่ลุก”หวงเฉิงเอ่ย “ข้ากลัวอะไร วาจาภักดีไม่รื่นหู เสนอความเห็นถูกปฏิเสธมีอะไรน่าขายหน้ากัน? นี่เป็นความรับผิดชอบของขุนนาง  

 

 

เขาพูดพลางก็นั่งลงทันที ท่าทางไม่ลุกขึ้นท่าเดียว  

 

 

เด็กน้อยเอาแต่ใจ ตีสักทีก็ได้แล้ว ผู้เฒ่าเอาแต่ใจ หมดหนทางจริงๆ ตีก็ตีไม่ได้  

 

 

ฮ่องเต้กลับไม่สนพระทัยเช่นกัน พวกขันทีสบตากันส่ายศีรษะถอยออกไปแล้ว  

 

 

เสียงกีบเท้าม้าย่ำกลบเสียงโห่ร้องของประชาชน  

 

 

เมื่อกองทัพอาภรณ์ผ้านั่นปรากฏในสายพระเนตรของฮ่องเต้ ท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้อพยพเสื้อผ้าขาดวิ่นรอบด้าน แม้ไม่น่าเกรงขามเท่าทหารและแม่ทัพชุดเกราะแวววาว แต่กลับมีความเข้มแข็งที่ต่างออกไป  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฮ่องเต้ปรากฏตัว เฉิงกั๋วกงพลันขึ้นมาข้างหน้าตะโกนเสียงดังว่ากระหม่อมผิดต่องานใหญ่ที่ฝ่าบาทไหว้วาน เหล่าทหารลงม้าคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ชาวบ้านผู้อพยพนับหมื่นของแดนเหนือก็โขกศีรษะคำนับร่ำไห้โหยหวนอย่างซาบซึ้ง บรรยากาศหน้าพระราชวังทั้งหมดโศกเศร้าอลังการทั้งยังฮึกเหิม  

 

 

ฮ่องเต้ไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวเข้าไปจับมือเฉิงกั๋วกงหลั่งน้ำพระเนตรไม่หยุด แล้วยังปลอบผู้อพยพทั้งหลายที่ซาบซึ้งอยู่ด้วย ขุนนางนับร้อยคุกเข่าพร้อมเพรียง ประชาชนร้องทรงพระเจริญกึกก้อง ทั้งเมืองหลวงล้วนสั่นสะเทือนเพราะเหตุนี้  

 

 

หน้าพระราชวังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความครึกครึ้น ถนนที่ผู้อพยพแดนเหนือกับกองทัพของเฉิงกั๋วกงเดินผ่านเมื่อครู่ก็เงียบสงบลง ความเงียบสงบนี้ย่อมหมายถึงเมื่อเปรียบเทียบกัน ชาวบ้านบนถนนยังคงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่คนมากกว่านั้นแห่ไปทางพระราชวัง  

 

 

เสียนอ๋องที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเหลาสุราริมถนน ส่งเสียงจิ๊ปากสองที  

 

 

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ รัศมีของเฉิงกั๋วกงไม่มีใครบดบังได้จริงๆ” เขารู้สึกทอดถอนใจ คิดถึงอะไรได้ก็มองไปด้านหลังอีก “คนล้วนพูดว่าสีครามมาจากต้นครามแต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม แต่เจ้าลูกชายคนนี้สู้บิดาเจ้าไม่ได้จริงๆ บิดาเจ้าปรากฏตัวบนถนนคนต้อนรับนับหมื่นจนตรอกซอกซอยว่างเปล่า เจ้าปรากฏตัวบนถนนนกบินหนีสุนัขวิ่งกระเจิง”  

 

 

นี่เป็นห้องใหญ่หรูหราห้องหนึ่ง เวลานี้ด้านในตรงหน้าอาหารงามประณีตเต็มโต๊ะกลับมีคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่  

 

 

คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารกรุกรังกำลังนั่งขัดสมาธิมือหนึ่งคว้าไหเหล้า มือหนึ่งคว้าไก่ย่างครึ่งตัวขึ้นกัด  

 

 

สภาพเช่นนี้เหมือนผู้อพยพจากแดนเหนือที่ผ่านถนนไปเมื่อครู่ ไม่เข้ากับสภาพในห้องนี้จริงๆ  

 

 

“นี่เจ้าอิจฉาล่ะสิ” เขาว่าพลางดึงหนวดลงมา เผยใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน แล้วถือโอกาสใช้มือลูบศีรษะทีหนึ่งเงยหน้าขึ้น “ตอนไหนข้าปรากฏตัวบนถนนไม่ใช่คนนับหมื่นต้อนรับตรอกซอกซอยว่างเปล่า?”  

 

 

พูดพลางยื่นมือชี้นิ้วไปด้านนอก  

 

 

“เจ้าเชื่อหรือไม่ตอนนี้ข้าปรากฏตัวให้เจ้าดูทีหนึ่ง? ถ้าแพ้เจ้าให้ข้าเท่าไร?”  

 

 

เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ระหว่างพวกเราพูดถึงเงินอะไร พูดถึงเงินทำร้ายความรู้สึกนัก” เขาว่า  

 

 

คล้ายรู้อยู่แล้วว่าอยู่ต่อหน้าจูจั้นหาความได้เปรียบจากวาจาไม่ได้ จึงไม่ต่อหัวข้อสนททนานี้อีก ยื่นมือชี้ด้านนอก  

 

 

“คนเหล่านั้นครั้งนี้โกรธตายแล้วจริงๆ แผนการนานปานนี้ใช้เงินมากปานนี้สร้างสถานการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ ผลสุดท้ายกระทั่งหน้าเฉิงกั๋วกงยังไม่ได้พบก็ถูกสลายไปแล้ว”  

 

 

จูจั้นหัวเราะหยันทีหนึ่ง แหงนหน้ากรอกสุราในไหสุราเข้าปาก  

 

 

“สาสมกับพวกเขาแล้ว” เขาเอ่ย “พวกตัวตลกโลดเต้นมีสมองไร้มโนธรรมเอาเงินไปแล้วฝูงหนึ่ง”  

 

 

เสียนอ๋องส่ายศีรษะ  

 

 

“แต่ก็เป็นตัวตลกกลุ่มนี้ทำให้คนเป็นตัวตลกได้” เขาเอ่ย “หากไม่ใช่ผู้อพยพแดนเหนือมา บิดาของเจ้าอย่างไรก็ต้องออกมาพบคนเหล่านี้”  

 

 

“ไม่มีหาก” จูจั้นเอ่ยเด็ดขาด  

 

 

เสียนอ๋องส่งเสียงจิ๊ปากสองที  

 

 

“ดูท่าทางได้ใจของเจ้าสิ ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าร้ายกาจรึ” เขาเอ่ย  

 

 

จูจั้นถลึงตา  

 

 

“ภรรยาเจ้าสิ!” เขาเอ่ย  

 

 

“ภรรยาข้าอยู่ที่บ้านหรอก มีหลายคนนัก เจ้าหาคนไหนเล่า?” เสียนอ๋องถลึงตาเอ่ยบ้าง  

 

 

จูจั้นสบถคำหนึ่ง  

 

 

“ไม่ต้องถลึงแล้ว ถลึงอีกเท่าใดก็ไม่ใหญ่” เขาเอ่ย ยื่นมือถือตะเกียบกินอาหารอีกคำ  

 

 

เสียนอ๋องนั่งลงติดกับเขา  

 

 

“โถโถ ภรรยาเจ้าเล่า? ละครฉากใหญ่นี่เล่นจบแล้ว นางยังไม่ออกโรงรึ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้  

 

 

จูจั้นแขนเดียวผลักเขาออก  

 

 

“พูดจาระวังหน่อย อย่าคำก็ภรรยาสองคำก็ภรรยา ข้ายังเป็นคนหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่งนะ” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

เสียนอ๋องสบถ  

 

 

“เจ้าบริสุทธิ์จริงนะ!” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าพลางถือสุราแหงนหน้ากรอกลงไปอย่างสาแก่ใจ  

 

 

ในห้องแม้มีเพียงสองคน แต่บรรยากาศสุขสันต์ครึกครื้น สอดรับกับความครึกครื้นของพระราชวังไม่ไกล  

 

 

ไกลออกไปอีกตรงหน้าประตูเมืองฝูงชนที่ออกันอยู่เมื่อครู่ไม่อยู่แล้ว มีเพียงเหล่าทหารในหน้าที่ยืนคุยเรื่องเมื่อครู่อยู่ ฝูงชนนอกเมืองเดินเข้ามา ทหารทั้งหลายเห็นคนกลุ่มนี้ก็อดไม่ได้ส่งสายตากันให้ ยืนยืดตัวตรง  

 

 

นี่เป็นคนที่สวมชุดบัณฑิตกับหมวกสี่เหลี่ยมกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่เทียบกับความทรงภูมิสง่างามก่อนหน้านี้ พวกเขาดูไปแล้วอนาถอยู่บ้าง บางทีอาจเพราะเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเปื้อนฝุ่นดินหรืออาจเพราะสีหน้าหดหู่บนใบหน้า  

 

 

ส่วนเหล่าทหารรักษาเมืองที่ก่อนหน้านี้มองบัณฑิตกับนักเรียนเหล่านี้ด้วยความเคารพอย่างสูงก็ไม่ได้เคารพมากอย่างเช่นก่อนหน้าอีกแล้ว สีหน้าไม่ปิดบังแววถากถางสักนิด  

 

 

“ความดีความชอบของเขาก็ส่วนความดีความชอบ พวกเราก็ไม่ได้ปฏิเสธความดีความชอบของเขาสักหน่อย” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างติดจะอับอาย “เขาอ้างความชอบเอารางวัลก็ไม่ถูก”  

 

 

คนข้างกายยังไม่ทันตอบเขา ด้านข้างเสียงหัวเราะดูแคลนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น  

 

 

นักเรียนคนนี้หันหน้ามองไป เห็นว่าเป็นทหารเฝ้าประตูเมือง  

 

 

“ถ้าตามหลักที่ท่านซิ่วไฉว่า พวกเราคนเหล่านี้กระทั่งเงินก็เอาไม่ได้สินะ?” เขาเอ่ยคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  

 

 

นักเรียนสีหน้ายิ่งอับอายหงุดหงิด เพราะคำพูดของตนถูกทหารต่ำช้าคนหนึ่งโต้แย้ง  

 

 

“ควรได้ย่อมควรได้ ไม่ควรย่อมไม่ควร” เขาว่า “พวกเจ้าอย่าเข้าใจเจตนาของพวกเราสับสน ถูกเฉิงกั๋วกงปลุกปั่น  

 

 

นายทหารจะพูดอะไรก็มีเสียงเหอะหนักๆ ดังมาก่อนก้าวหนึ่งพร้อมกับเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย ผู้คนมองตามเสียงไปก็เห็นในเมืองบัณฑิตอีกกลุ่มหนึ่งเดินมา  

 

 

นายทหารอดไม่ได้ในใจหวาดกลัว พูดถึงที่สุดก็ยังไม่กล้างัดกับบัณฑิต เขากำลังจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลันเห็นผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มบัณฑิตที่มาจากในเมืองนั่นหยุดเท้า ถ่มน้ำลายหนักหน่วงใส่นักเรียนและบัณฑิตด้านนี้  

 

 

“บัณฑิตซ่ง พวกท่านทำบัณฑิตขายหน้าสิ้นแล้วจริงๆ” เขาคำรามเสียงเกรี้ยวกราด  

 

 

โอ้? ถึงกับเป็น…สีหน้านายทหารพลันเปลี่ยน สายตาหมุนไปมาบนร่างบัณฑิตทั้งสองฝั่ง  

 

 

บัณฑิตที่มาจากนอกเมืองเหล่านี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน  

 

 

“บัณฑิตโจว” บัณฑิตคนหนึ่งก้าวออกมา “พวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อบัณฑิตต้าโจว เฉิงกั๋วกงแม่ทัพทหารคนหนึ่ง โอหังเหิมเกริมเกินไปแล้ว ตั้งแต่โบราณมาซ้ายทหารขวาพลเรือน ไหนเลยเคยมีเรื่องที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนต้องยกเบี้ยหวัดให้แม่ทัพทหาร”  

 

 

“ไม่ผิด บัณฑิตโจว ไม่อาจยอมให้แม่ทัพทหารเหิมเกริมเช่นนี้ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นสังคมย่อมโกลาหล” คนไม่น้อยด้านหลังร่างเขาก็พากันเอ่ยตามด้วย  

 

 

ผู้อาวุโสที่ถูกเรียกขานว่าบัณฑิตโจวมองพวกเขาแล้วหัวเราะหยันอีกครั้ง  

 

 

“ในสายตาข้ามองไม่เห็นขุนนางฝ่ายพลเรือนแม่ทัพฝ่ายทหารอันใด ข้าเห็นเพียงคน” เขาเอ่ย “ส่วนพวกเจ้า ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตเลย กระทั่งคนก็นับไม่ได้”  

 

 

คำพูดนี้หนักนัก บัณฑิตเหล่านี้สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว ขณะที่กำลังจะแก้ตัว บัณฑิตโจวก็ยื่นมือชี้คนหนึ่งในนั้น  

 

 

“คังเลี่ยงเฉิน” เขาเอ่ยเสียเย็นชา “เจ้ารับเงินคนมาเท่าไร? จวนในตรอกเม่าเอ่อร์ได้มาอย่างไร?”  

 

 

คำนี้เอ่ยออกมาคนไม่น้อยสีหน้าตะลึงงันพากันมองไปทางคนผู้หนึ่ง  

 

 

นี่คือบุรุษวัยกลางคนท้วมนิดๆ คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในหมู่บัณฑิตกลุ่มนั้น เวลานี้เขาสีหน้าหวาดผวา ถอยหลังโดยไม่ทันรู้ตัว  

 

 

“ข้า ข้าเปล่า” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ  

 

 

บัณฑิตโจวไม่ตั้งคำถามอีก สายตาเย็นชากวาดผ่านพวกเขา  

 

 

“พวกเจ้าหลังจากนี้อย่าได้คิดใส่ชุดบัณฑิตชุดนี้ที่เมืองหลวงอีก กั๋วจื่อเจี้ยนไม่มีนักเรียนเช่นนี้อย่างพวกเจ้า” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวก้าวยาวจากไป  

 

 

นักเรียนและบัณฑิตมากมายที่ติดตามเขาก็มองคนเหล่านี้แล้วส่ายศีรษะ สีหน้าดูแคลน  

 

 

“ทำให้บัณฑิตอับอาย”  

 

 

“เป็นความเน่าเฟะของบัณฑิตจริงๆ”  

 

 

พวกเขาพากันเอ่ยแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป  

 

 

บัณฑิตด้านนี้ตกสู่ความสับสน คนไม่น้อยก้าวเข้าไปขยุ้มคอเสื้อบุรุษที่ถูกเรียกชื่อคนนั้นโวยวาย  

 

 

นายทหารทั้งหลายที่รักษาเมืองสนุกแล้ว  

 

 

“โถโถ” พวกเขากอดอก ยิ้มยิ้มชมดูเรื่องสนุก “พวกเจ้าว่าไหม พูดไม่ชนะผู้อื่น ไม่สู้ตีกันสักยกเสียเลย”  

 

 

“โถโถ ลงมือได้ก็ไม่ต้องขยับปาก”  

 

 

บนเหลาสุราใกล้ประตูเมืองก็มีเสียงประสานขึ้นมาด้วย  

 

 

เฉินชีมองดูบัณฑิตที่ปิดหน้าวิ่งหนีใต้กำแพงเมืองแล้วตบหน้าต่างหัวเราะ  

 

 

“ก่อนอื่นเสียหน้าแล้วตอนนี้ยังถูกบัณฑิตโจวขับไล่อีก เมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีที่ให้พวกเขาเหยียบยืนแล้ว” เขาเอ่ย จากนั้นถ่มน้ำลายอย่างชิงชัง “ตรากตรำร่ำเรียนสิบปีถึงตอนนี้เสียเปล่า สมน้ำหน้า”  

 

 

ทำสิ่งใดก็เป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ไม่แน่นอน หากครั้งนี้พวกเขาทำสำเร็จ คนที่ถูกสมน้ำหน้าก็คือเฉิงกั๋วกงแล้ว“ ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย  

 

 

เฉินชีมองนางแล้วยิ้ม  

 

 

“เจ้าไม่ได้เห็น การขวางทางสองครั้งนอกเมืองหลวงนั่นอันตรายจริงๆ” เขาเอ่ยโม้ “ข้าให้เจ้าไปนอกเมืองกับข้า เจ้าดันไม่ไป”  

 

 

“อย่างไรก็ยังเข้าเมืองได้ ข้าดูผลลัพธ์ก็พอ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย  

 

 

เฉีนชีหัวเราะฮิฮิแล้ว  

 

 

“เจ้ามั่นใจปานนี้เชียว?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วพ่นลมออกจมูกกลับไม่เอ่ยวาจา  

 

 

เฉินชียิ้มพลางตบมือ  

 

 

“เอาล่ะ วันนี้ผลลัพธ์แน่นอนแล้ว พวกเราก็กลับเถอะ” เขาเอ่ยพลางเดินไปข้างนอก ฟางจิ่นซิ่วกลับนั่งอยู่ริมหน้าต่างไม่ขยับ  

 

 

“ทำไมหรือ?” เฉินชีเอ่ย “ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ไปเถอะ”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วฟังเสียงเอะอะที่ดังมาจากวังหลวงไกลออกไปด้านนั้น จากนั้นมองความเงียบสงบนอกประตูเมือง มือที่กำถ้วยชากำแน่นอยู่บ้าง  

 

 

นางเล่า?  

 

 

และในห้องข้างๆ หนิงเหยียนก็กำลังส่ายศีรษะออกจากด้านหน้าหน้าต่าง  

 

 

“บัณฑิตตกต่ำ” เขาเอ่ย  

 

 

หนิงสืออีก้าวไวๆ เข้ามาจากนอกประตู  

 

 

“ท่านพ่อ เฉิงกั๋วกงเข้าวังแล้ว วันนี้ฝ่าบาทจัดงานเลี้ยงพระราชทานรางวัล พวกผู้อพยพแดนเหนือฝ่าบาทก็ทรงให้กรมต่างๆ จัดการให้เหมาะสม ย้ายเข้าไปในเมืองต่างๆ” เขาเอ่ย  

 

 

“ยังดีฝ่าบาทไม่ได้ถูกขุนนางชั่วปลุกปั่นต่อ” หนิงเหยียนพยักหน้าเอ่ย สองพ่อลูกลงจากอาคาร  

 

 

หนิงสืออีได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะแล้ว  

 

 

“ท่านพ่อ ที่จริงฝ่าบาททำเช่นนี้ก็ถูกปลุกปั่นเหมือนกันนะขอรับ” เขาเอ่ย “ตอนนั้นฝ่าบาทถูกหวงเฉิงกอดขาไว้ กำลังจะหลบกลับเข้าวังแล้ว”  

 

 

เท้าหนิงเหยียนหยุดแล้วมองไปหาเขา  

 

 

“พี่สิบก้าวออกมาขอให้ฝ่าบาทรั้งอยู่” หนิงสืออีอดไม่ได้หัวเราะเอ่ย  

 

 

อวิ๋นเจารึ  

 

 

หนิงเหยียนคาดไม่ถึงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรคาดไม่ถึง  

 

 

หลานชายของเขาคนนี้ ฉลาดปานนี้ จะยินยอมเป็นไม้ประดับธรรมดาไม่ทำอะไรคนหนึ่งจริงๆ ได้อย่างไรเล่า  

 

 

……………………………………….  

 

 

“อวิ๋นเจาเอ๋ย ครั้งนี้ทำพวกเราตกใจแทบตายแล้วจริงๆ”  

 

 

ความครึกครื้นบนถนนเสด็จพระราชดำเนินยังดำเนินต่อ กองทหารเกียรติยศหน้าพระราชวังสลายไปแล้ว คนทั้งหมดล้วนเดินเข้าไปในพระราชวัง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ด้านหลังตามลำดับถูกสหายขุนนางหลายคนล้อมไว้เอ่ยเสียงเบา  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มสายตามองด้านหน้า  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกว่าตายแล้วหรือยังไม่ชีวิตเล่า?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ตอนนี้รึ….ขุนนางหลายคนก็มองไปทางด้านหน้าบ้าง ฮ่องเต้นั่งอยู่บนเกี้ยว ข้างกายมีเฉิงกั๋วกงจูซานเดินเคียงข้าง  

 

 

ฉากนี้วันนี้ฮ่องเต้พอพระทัยยิ่งนัก เทียบกับคำกล่อมให้กลับวัง คำแสดงความยินดีเหล่านี้ของพวกเขาย่อมมีความชอบไม่มีใครเกินด้วย  

 

 

ครั้งนี้ทิ้งความประทับในสายพระเนตรฮ่องเต้ไว้แล้ว  

 

 

“ตายไปแล้วฟื้นกลับมา” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย  

 

 

หลายคนล้วนหัวเราะ กำลังคุยเล่นหัวเราะอยู่ ด้านหน้าก็มีขันทีเดินมาอย่างรีบร้อน ยิ้มตาหยีคำนับให้หนิงอวิ๋นเจา  

 

 

“ใต้เท้าน้อยหนิง โปรดตามข้าน้อยมา” เขาเอ่ย  

 

 

นี่คือฮ่องเต้ต้องการพูดกับเขาหรือ?  

 

 

ขุนนางทั้งหลายบนหน้าเผยความยินดี หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบ ยิ้มจางๆ คำนับตอบรับ  

 

 

ขันทีเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ก้าวตามไปทันที ท่ามกลางสายตาแสดงความยินดีของเหล่าสหายขุนนาง เขากลับหยุดเท้ามองไปข้างหลังทีหนึ่งคล้ายรอคอยบางอย่าง  

 

 

มองอะไร?  

 

 

รออะไร?  

 

 

บรรดาสหายขุนนางมองไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว  

 

 

“เรื่องสนุก” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย  

 

 

เรื่องสนุกรึ?  

 

 

บนถนนนเสด็จพระราชดำเนินเวลานี้ประชาชนยังไม่สลายตัวไป ครึกครื้นดังเดิม แต่ก็แค่นี้ มองอยู่ครึ่งวันก็เบื่อแล้ว  

 

 

“ไม่ต้องดูแล้ว ไม่มีเรื่องสนุกแล้ว” สหายขุนนางคนหนึ่งยิ้มเอ่ยเสียงเบา  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม ไม่เอ่ยต่อ รั้งสายตากลับ ประสานมือคารวะทุกคน ก้าวช้าๆ ตามขันทีผู้นั้นไปข้างหน้า  

 

 

บรรดาสหายขุนนางมองแผ่นหลังของเขาสีหน้ายินดี  

 

 

“ชุดขุนนางเหมือนกัน ทำไมใต้เท้าน้อยหนิงสวมดูแล้วน่าดูเช่นนี้นะ?” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างชื่นมื่น  

 

 

คำพูดนี้ถูกเหล่าสหายยิ้มล้อพักหนึ่ง เพราะครึกครื้นเกินไปจึงชักนำให้ผู้ตรวจการด้านข้างถลึงตาเตือนอย่างไม่พอใจ ทุกคนจึงรีบเก็บสีหน้าท่าทางให้ดี เดินเรียงแถวเรียบร้อยไปข้างหน้า  

 

 

“ทำตามใต้เท้าน้อยหนิงไม่มีทางผิดจริงๆ” ขุนนางคนหนึ่งพลันพึมพำหนึ่งประโยคระหว่างที่เดิน ทั้งทอดถอนใจทั้งยินดี  

 

 

……………………………………….  

 

 

หนิงเหยียนเดินลงจากเหลาสุรา เสียงเอะอะหน้าประตูเมืองสลายไปแล้วหลังการจากไปของเหล่าบัณฑิต บนถนนไม่มีชาวบ้านเบียดเสียดแล้ว แลดูสงบอย่างยิ่ง  

 

 

“คนน้อยแล้วก็ไม่ขวางทาง พวกเราก็ถึงบ้านเร็วยิ่งแล้ว” หนิงสืออียิ้มเอ่ย มองข้ารับใช้ในตระกูลที่ขับรถม้ามา ถ้อยคำเพิ่งจบพลันมีคนวิ่งออกมาจากในตึก  

 

 

“มาแล้ว มาแล้ว”  

 

 

มีคนตะโกนและแล่นผ่านข้างตัวหนิงสืออีไปประหนึ่งสายลม หนิงสืออีเกือบถูกชนล้ม  

 

 

“ทำอะไรน่ะ?” หนิงสืออีตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครมาแล้ว? รีบอะไรเช่นนี้? รับพระโพธิสัตว์รึ?”  

 

 

คนผู้นั้นไม่ได้สนใจเขา วิ่งตรงไปยังประตูเมือง  

 

 

หนิงสืออีไม่ทันรู้ตัวมองตามไป เห็นบนถนนใหญ่นอกเมือง มีขบวนคนม้าขบวนหนึ่งมา  

 

 

เห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เห็นรูปร่างบอบบาง ทั้งร่างอาภรณ์แดงประหนึ่งเปลวเพลิง แต่ก็เพราะท่วงท่าอ้อนแอ้นจึงไม่แลดูบีบคั้นบังคับคน ท่วงท่าอ่อนโยนสง่าและองอาจผสมกัน ดึงดูดสายตาแต่ก็ไม่โอ้อวด  

 

 

นี่ใครกัน?  

 

 

“คุณหนูจวิน!”  

 

 

เฉินชีชูมือสูงตะโกนเสียงดัง  

 

 

คุณหนูจวิน?  

 

 

คุณหนูจวินคนนั้น?  

 

 

เสียงตะโกนนี้ทำให้คนเดินเท้าไม่มากบนถนนหยุดฝีเท้า ทำให้ทหารเฝ้าประตูเมืองยืนตัวตรง สายตาทั้งหมดล้วนมองไป  

 

 

ผู้หญิงคนนั้นใกล้เข้ามาทุกที มาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว ตาข่ายปิดหน้าบดบังลมฝุ่นสายแดดแรงหลุดร่วงปลิวอยู่หน้าร่าง เผยดวงหน้างดงาม  

 

 

บนถนนใหญ่คล้ายชะงักนิ่งไปวูบหนึ่งจากนั้นเสียงตะโกนก็ระเบิดก้อง  

 

 

“คุณหนูจวิน!”  

 

 

“คุณหนูจวินกลับมาแล้ว!”  

 

 

“หมอเทวดาแห่งโรงหมอจิ่วหลิงกลับมาแล้ว!”  

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี่ คนมากมายฉับพลันแห่ออกมา คล้ายผุดขึ้นมาจากใต้ดิน มีคนในเหลาสุราร้านน้ำชาภัตตาคารมากกว่าเดิมแห่แหนออกมาด้วย ฉับพลันเบียดเต็มถนนแล้ว  

 

 

หนิงสืออีถูกเบียดจนเซซ้ายเซขวา ปกป้องหนิงเหยียนอย่างระวัง  

 

 

“นี่รับพระโพธิสัตว์จริงๆ นะ” เขาเอ่ย มองดูท้องถนนที่ผู้คนเบียดเต็ม ย่ำเท้าหงุดหงิดอย่างจนปัญญา “จบกัน ทางถูกขวางอีกแล้ว ชั่วยามครึ่งวันออกไปไม่ได้แล้ว”  

 

 

บนถนนใหญ่ความครึกครื้นครั้งใหม่จุดขึ้นมา ความครึกครื้นหน้าถนนเสด็จพระราชดำเนินกำลังจะสลาย ข่าวคราวกระจายออกไป คนมากมายจึงแห่มาจากด้านนั้นด้วย สถานการณ์ไม่แพ้ต้อนรับเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง  

 

 

“คนนที่ไม่รู้ยังคิดว่าเฉิงกั๋วกงยังไม่เข้าเมืองหลวงแน่ะ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย  

 

 

เวลานี้พวกเขายืนอยู่ในห้องเล็กมืดทะมึนใต้ประตูเมือง หลบหลีกแสงตะวันแล้วก็หลบหลีกสายตาผู้คน  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงมองลู่อวิ๋นฉีที่เอามือไพล่หลังมองไปข้างนอกอยู่ข้างกาย  

 

 

“เป็นอย่างที่ใต้เท้าคิดไว้จริงๆ คุณหนูจวินมาถึงวันนี้จริงๆ” เขาเอ่ยประจบ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าไร้อารมณ์ก้าวข้ามธรณีประตู แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปใต้แสงตะวัน ยังคงอยู่ใต้ร่มเงามุมกำแพงเมือง จนถึงขั้นชาวบ้านที่แห่แหนมาซึ่งสนใจมองเพียงคุณหนูจวินไม่ค้นพบเขา  

 

 

แต่มีสายตาคู่หนึ่งมองมาในเวลาเดียวกับที่เขาก้าวออกมา  

 

 

เพราะขี่อยู่บนม้าจึงมองจากที่สูงลงมา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตาอย่างนิ่งเฉย  

 

 

สตรีชุดแดงคนนั้นในสายตาเคาะแส้ม้าในมือเบาๆ มุมปากยิ้มนิดๆ ขยับริมฝีปากอย่างไร้เสียง  

 

 

ข้ากลับมาแล้ว  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเข้าใจคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไร้เสียงของนาง  

 

 

ข้ากลับมาแล้ว  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเพียงรู้สึกว่าแสงตะวันฉับพลันกลายเป็นแสบตา หัวใจพริบตาหยุดเต้น  

 

 

ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะท่าทางของนาง  

 

 

นางกลับมาแล้ว  

 

 

นางของเขา ไม่ใช่คนอื่น นี่คือนางของเขา กลับมาแล้ว  

เสียงกระหึ่มก้องฟ้าดังมาจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน หวงเฉิงที่ยืนอยู่บนหอเหนือประตูวังสีหน้ายิ่งบึ้งตึงขึ้นทุกที  

 

 

ขุนนางด้านล่างประตูวังเห็นชัดว่าถูกเสียงเอะอะที่เพิ่มขึ้นมากมายอย่างชัดเจนนี้ดึงให้ถกเถียงกัน มองไปทางด้านหลัง ส่วนเหนือประตูเมืองขุนนางส่วนใหญ่ได้ทราบจากการแจ้งของทหารองครักษ์แล้ว  

 

 

ได้ยินว่าผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นแห่เข้ามา สีหน้าของพวกเขาก็ไม่น่าดูยิ่งนัก  

 

 

ผู้อพยพ ชาวบ้านผู้ประสบภัย ประชาชนที่ก่อความวุ่นวาย ในใจเหล่าขุนนางก็คือความหมายเดียวกัน  

 

 

นี่ก็คือสาเหตุที่เมืองมากมายไม่ยอมรับผู้อพยพ  

 

 

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เรื่องนี้ไม่ได้แจ้งมาก่อนสักนิด  

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บบนบัลลังก์มังกรฟื้นกลับเป็นปกติแล้ว มองไม่เห็นความโกรธ แต่ในใจทุกคนล้วนรู้ชัดว่ายิ่งมองไม่เห็นความยินดีเช่นกัน  

 

 

ทว่าขบวนของเฉิงกั๋วกงใกล้เข้ามาทุกทีๆ แล้ว ขุนนางกรมพิธีการไม่อาจไม่ด้านหน้าก้าวเข้าไป  

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองแล้ว ฤกษ์ดีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้มศีรษะทำท่าเชิญ  

 

 

ฮ่องเต้คล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน บนพระพักตร์ปรากฏความตื่นเต้นอยู่บ้าง  

 

 

“อา ถึงแล้วรึ ดี ดี” พระองค์ตรัสซ้ำๆ พระหัตถ์ตบพนักแขนพระที่นั่ง คนกลับไม่ได้ลุกขึ้นยืน  

 

 

“ฝ่าบาท” หวงเฉิงพลันก้าวออกมา สีหน้าเคร่งขรึม แล้วยังไม่ปิดบังความโกรธสักนิด “เชิญฝ่าบาทเสด็จกลับวัง”  

 

 

กลับวัง?  

 

 

ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

เวลานี้กลับวังนั่นใยไม่ใช่ให้เฉิงกั๋วกงเสียหน้าหมดสิ้นต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า?  

 

 

แน่นนอนนี่เป็นเรื่องที่หวงเฉิงอยากได้แม้กระทั่งในฝัน แต่เจ้าจะให้ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายไปได้กระมัง?  

 

 

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าคิดถึงจุดนี้เช่นกัน สีพระพักตร์ประหลาดใจแล้วยังวิตก  

 

 

“ใต้เท้าหวงไยเอ่ยคำนี้?” พระองค์เอ่ยแล้วขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน “เฉิงกั๋วกงกำลังจะมาแล้ว ข้าลั่นวาจาแล้วว่าจะสรรเสริญความชอบเขา ขุนนางพลเรือนทหารนับร้อยประชาชนทั้งเมืองล้วนรอคอยอยู่นะ เจ้าอย่าพูดล้อเล่น”  

 

 

พระองค์ตรัสพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าส่งสัญญาณให้ขันที  

 

 

“เตรียมประกาศเข้าเฝ้า”  

 

 

ขันทีทั้งหลายขานรับ กำลังจะเดินไปหวงเฉิงก็คุกเข่าดังตึงลง ขวางฝีพระบาทของฮ่องเต้ไว้  

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยสะอื้น ยื่นมือชี้นอกเมือง “เฉิงกั๋วกงผู้นั้นพาผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นเข้าเมืองหลวงมาโดยไม่ได้แจ้ง นี่อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ ผู้อพยพแดนเหนือระหกระเหินนานปานนนี้ ตัวตนความเป็นมาน่าสงสัย หากสายลับปะปนอยู่ข้างในทำร้ายฝ่าบาท ต้าโจวของพวกเราก็จบสิ้นแล้ว”  

 

 

นี่ก็พูดมีเหตุผลเหมือนกัน  

 

 

คนนับหมื่นนี้มาอย่างน่าสงสัยเกินไปแล้วกะทันหันเกินไปแล้ว  

 

 

นั่นไม่ใช่ประชาชนเมืองหลวงบนถนนเสด็จพระราชดำเนิน จำนวนคนแม้มากแต่ก็ถูกตรวจสอบเข้มงวดมาแล้ว นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าที่มาและตัวตนของผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นยังไม่ได้ตรวจสอบ แค่พูดถึงคนนับหมื่นนี่ก่อเรื่องขึ้นมาพร้อมกัน องครักษ์เหล่านี้บนถนนพระราชดำเนินก็ไม่แน่ว่าจะขวางอยู่  

 

 

ยิ่งหากเป็นสายลับจินหรือชาวจินปลอมตัวแต่งตัวปะปนอยู่ข้างใน…  

 

 

ชาวจินเคยบุกยึดเมืองหลวง ลักพาตัวฮ่องเต้มาก่อน  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนคิดถึงจุดนี้ได้ เรื่องนั้นเป็นฝันร้ายของราชวงศ์ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันกลายเป็นซีดเผือด  

 

 

แต่พระองค์ยังคงไม่หมุนพระวรกายจากไป แต่กัดฟันก้าวเท้า  

 

 

“ใต้เท้าหวงคิดมากแล้ว” พระองค์ตรัสแน่วแน่ “ข้าเชื่อในเฉิงกั๋วกง มีเขาอยู่ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดเช่นนั้น”  

 

 

พูดจบก็ก้าวเท้าลงจากกำแพงวังต่อ  

 

 

หวงเฉิงคุกเข่าเดินโขกศีรษะคำนับ ฟุบกับพื้นร้องไห้ดังลั่น  

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาตะโกน “ไม่ใช่กระหม่อมใจโฉดชั่ว เฉิงกั๋วกงคนนั้นหลังเจรจาสงบศึกแรกสุดปฏิเสธราชโองการไม่ถอยกลับ แล้วยังบุกไปเขตแดนของชาวจิน ใครจะรู้ว่าที่แท้เขากลับมาได้อย่างไร ฝ่าบาท ไม่อาจไม่ป้องกันนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ขุนนางทั้งหลายรอบด้านตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

คำพูดนี้คือชี้ว่าเฉิงกั๋วกงเข้าข้างชาวจิน ใจชั่วทะเยอทะยานชัดๆ  

 

 

โทษนี้ช่าง…  

 

 

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าถูกคำพูดนี้ทำให้ตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน แต่พระองค์นิสัยขี้ขลาด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมองคนด้วยเจตนาร้าย ชั่วครู่ฟังคำพูดนี้ชั่วขณะหนึ่งถึงกับหวาดหวั่นไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไร  

 

 

“หยุดพูดเหลวไหล หยุดพูดเหลวไหล” พระองค์เพียงโบกพระหัตถ์เอ่ยซ้ำๆ เพื่อหลีกหนีความคิดนี้ เพิ่มความเร็วฝีเท้าลงจากหอ “ข้าจะไปพบเฉิงกั๋วกงเดี๋ยวนี้ ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง”  

 

 

บรรดาขุนนางสีหน้ากังวลก้าวเท้าติดตาม หวงเฉิงไล่ตามมาถึงขั้นคุกเข่าเดินโถมเข้ามา โอบทีเดียวกอดขาฮ่องเต้ไว้  

 

 

“ฝ่าบาท ต่อให้ตายกระหม่อมก็ไม่อาจให้ฝ่าบาทมุ่งไปหาอันตรายได้!” เขาตะโกน  

 

 

เวลานี้พวกเขามาถึงด้านล่างกำแพงวังแล้ว ฉากนี้ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารนับร้อยล้วนมองเห็น ตกตะลึงทันที  

 

 

ขันทีตกใจสะดุ้งโหยง พวกองครักษ์เสื้อแพรก็ล้วนชักดาบออกมา  

 

 

ยังดีฮ่องเต้ห้ามไว้ทันเวลา ไม่ได้เห็นหวงเฉิงเป็นกบฏรุมฟันจนตาย  

 

 

“ใต้เท้าหวงนี่ท่านทำอะไร” พระองค์มองเส้นผมขาวโพลนของหวงเฉิงทนผลักออกไปไม่ได้ รีบหลบเท้า  

 

 

ขุนนางคนอื่นก็ล้อมเข้ามาด้วย บางคนไปยื้อยุด บางคนห้ามปราม  

 

 

หวงเฉิงเพียงนั่งอยู่บนพื้นไม่ลุก  

 

 

“ใต้เท้าหวง หากรู้สึกว่าอันตราย ไม่ให้ผู้อพยพเหล่านั้นเข้าเมืองก็ได้แล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยปราม  

 

 

“นั่นก็ยังอันตราย คนที่ชักนำผู้อพยพเข้าเมืองก็อันตราย ต่อให้ข้าเสียหน้าหมดสิ้น ถูกคนทั้งหมดด่าว่าเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว ต่อให้ข้าเป็นขุนนางชั่วในสายตาคนทั่วใต้หล้า ข้าก็ไม่มีทางให้ฝ่าบาทเสี่ยงอันตราย” หวงเฉิงตะโกน  

 

 

คำพูดนี้สถานการณ์นี้ทำให้บรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารพากันกระซิบกระซาบ ไม่นานก็ทราบต้นเหตุของเรื่อง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านหลังยิ้มแล้ว  

 

 

“นี่เป็นนอนกลิ้งเอาแต่ใจแล้ว” เขาเอ่ยท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “ใต้เท้าหวงโชคดีพบเจ้าแผ่นดินผู้เมตตา”  

 

 

ขุนนางด้านข้างไม่ทันสนใจถกเถียงเรื่องนี้ เสียงกระซิบแผ่วเบาร้อนใจอยู่บ้าง  

 

 

“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

เสียงของเขาจบลงก็เห็นขุนนางกว่าครึ่งคุกเข่าลงพร้อมเพรียง  

 

 

“ขอเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับวัง” พวกเขาโขกศีรษะคำนับต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว “ฝ่าบาทไม่อาจเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด”  

 

 

มองเห็นขุนนางคุกเข่าพรึบพรับเป็นแถบ แล้วได้ยินคำเอ่ยกล่อมตามๆ กัน หวงเฉิงที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นมุมปากพลันเผยรอยยิ้มหยันจางๆ  

 

 

เสียหน้า? เป็นขุนนางไม่เสียหน้าแทนฮ่องเต้หรือจะให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายจากไป เสด็จกลับวังเองรึ?  

 

 

โอรสสวรรค์วาจาหนักแน่นดั่งแผ่นดิน พูดแล้วจะกลับคำได้ย่อมต้องถูกคนบีบบังคับเท่านั้น  

 

 

ไม่ต้องเงยหน้าเขาก็รู้ นาทีต่อไปฮ่องเต้ผู้เห็นอกเห็นใจขุนนางย่อมได้แต่เสด็จกลับวังแล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงจะถูกปล่อยทิ้งไว้บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน  

 

 

เข้าเมืองแล้วอย่างไร?  

 

 

พึ่งเจตจำนงของประชาชนแล้วอย่างไร?  

 

 

สิ่งที่เจ้าต้องการก็ยังคงไม่ได้เหมือนเดิม !  

 

 

ผ่านสามด่านก็ไม่มีเรื่องแล้วรึ? ขอแค่เขาหวงเฉิงอยู่ที่นี่หนึ่งเค่อก็ยังมีด่านที่สี่ ด่านที่ห้า จูซาน เมืองหลวงแห่งนี้กำแพงด่านชั้นแล้วชั้นเล่าประหนึ่งคุก ในเมื่อเจ้าฝ่าเข้ามาก็อย่าคิดสลัดพ้นอีกเลย  

 

 

ได้ยินเสียงห้ามเสนอความคิดวุ่นวาย บรรดาขุนนางที่ยืนอย่ข้างกายหนิงอวิ๋นเจายิ่งร้อนใจแล้ว  

 

 

“พวกเราเล่า?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

คุกเข่าหรือไม่คุกเข่า? ห้ามหรือไม่ห้าม?  

 

 

“ย่อมต้องคุกเข่า” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย จากนั้นสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ก้าวยาวไปข้างหน้า  

 

 

บรรดาขุนนางข้างกายไม่ทันตอบสนองตามไปโดยไม่รู้ตัว  

 

 

“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”  

 

 

เสียงใสกังกังวานรื่นหูเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นดังท่ามกลางเสียงสะอื้นงึมงำต่ำวุ่นวาย ทำให้คนฟังประหนึ่งดื่มน้ำพุหวาน ความร้อนรนฉับพลันสลายหายไป  

 

 

แต่ เวลานี้บอกว่าแสดงความยินดีรึ?  

 

 

คนทั้งหมดล้วนมองไปตามเสียง ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรตามไปด้วย เห็นเพียงขุนนางหนุ่มสง่างามหล่อเหลาคนหนึ่งเยื้องย่างเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นสูง ค้อมกายคุกเข่าลง  

 

 

ขุนนางเจ็ดแปดคนที่ติดตามมาหลังร่างเขาก็สีหน้ามึนงงด้วย ยินดีอะไร? ยินดีที่ฝ่าบาทมีหวงเฉิงขุนนางผู้ภักดีปกป้องนายเหนือหัวเช่นนี้รึ?  

 

 

คล้ายจะไม่เหมือนที่จินตนาการไว้เท่าไร…  

 

 

แต่เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่คุกเข่าลงตามแล้ว  

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยอีกครั้ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มมองฮ่องเต้ “ประชาชนหลายสิบหมื่นของสามเมืองกลับคืนแคว้นโจว ประชาชนนับหมื่นไม่อนาทรระหกระเหินพันลี้เดินทางมาคำนับขอบคุณพระกรุณาธิคุณ ฝ่าบาทเดิมอยากสรรเสริญความชอบแก่เฉิงกั๋วกง วันนี้ดูท่าเป็นเฉิงกั๋วกง เป็นประชาชนแดนเหนือสรรเสริญความชอบของฝ่าบาท”  

 

 

พูดจบก็คำนับอีกครั้ง  

 

 

“ครั้งนี้ฝ่าบาทไม่เพียงสยบชาวจิน ได้เครื่องบรรณาการได้ประเทศบริวาร ปลอบประโลมวิญญาณบรรพบุรุษ แล้วยังไม่ทอดทิ้งรับประชาชนหลายสิบหมื่นกลับคืน ประชาชนนับหมื่นเข้าเมืองหลวงโขกศีรษะขอบพระทัย ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาจิตใจเมตตาฟ้าดินคุ้มครอง ก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เหยาซุ่นก็คงไม่พ้นเข่นนี้”  

 

 

ก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เหยาซุ่นก็คงไม่พ้นเข่นนี้  

 

 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารนับร้อยได้ยินคำพูดนี้หน้าแดงหูแดง  

 

 

ความสามารถในการยกยอปอปั้นนี่ของเจ้าสิถึงก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน?  

 

 

รอยยิ้มมุมปากของหวงเฉิงสลายไปแล้ว คนก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางขุนนางหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กลางลานอย่างเหี้ยมเกรียม  

 

 

คิดไม่ถึง ที่แท้นี่ไม่ใช่กระต่ายตัวหนึ่ง แต่เป็นพยัคฆ์ตัวหนึ่งหรือ  

 

 

บนพระพักตร์ฮ่องเต้ความหวาดหวั่นกังวลวิตกสลายไปแล้ว ที่มาแทนที่คือราศีอิ่มเอิบ  

 

 

หนิงอวิ่นเจาเงยหน้าขึ้น สีหน้าจริงใจมองพระองค์  

 

 

ใช่แล้ว ฝ่าบาทต้องการหน้าตา เรื่องเสียหน้าผู้อื่นทำ พระองค์ไม่มีทางทำ แต่ในเวลาเดียวกันเรื่องได้หน้าพระองค์ย่อมยินดีทำด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่มอบให้ผู้อื่น  

 

 

พินิจครุ่นคิดว่าตบหน้าผู้อื่นสำคัญหรือตนเองได้หน้าสำคัญ  

 

 

สรรพสิ่งล้วนไม่พ้นผลประโยชน์ ไม่มีความแน่นอน  

 

 

“ฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาคำนับอีกครั้ง “นี่เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท ประชาราษฎร์ใต้หล้าร่วมแซ่ซ้อง กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”  

 

 

ขุนนางทั้งหลายหลังร่างเขาครานี้ไม่อึ้งอีกแล้ว โขกศีรษะคำนับตาม  

 

 

เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกเขาตามหลังร่างหนิงอวิ๋นเจามาแล้ว ไม่ว่าเอ่ยแสดงความมยินดีหรือไม่เอ่ย ในสายตาทุกคน ในสายตาฮ่องเต้ พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกันกับหนิงอวิ๋นเจาแล้ว  

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” พวกเขาจึงตะโกนเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

ดีเลวอย่างไรนี่ก็เป็นคำพูดที่ดีประโยคหนึ่ง  

 

 

ไม่ผิด นี่เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของพระองค์ หากเวลานี้พระองค์หมุนตัวกลับวังหลวง ถ้าเช่นนั้นประชาชนทั้งหลายของแดนเหนือนี่ก็จะรู้จักเพียงเฉิงกั๋วกง คิดถึงเพียงเฉิงกั๋วกง  

 

 

ใต้หล้ายิ่งใหญ่ไม่พ้นแผ่นดินของจักรพรรดิ แม่ทัพนำทหารไม่พ้นขุนนางของเจ้าแผ่นดิน  

 

 

ความชอบนี้เป็นของพระองค์ พระองค์ต้องเอามา  

 

 

ฮ่องเต้ยืนตัวตรง สะบัดหวงเฉิงออก ยกพระหัตถ์ขึ้นสูง  

 

 

“ประกาศ” พระองค์ตรัสเสียงกังวาน  

บรรยากาศที่ประตูเมืองทิศใต้ด้านนี้วุ่นวายอยู่บ้าง  

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองแพร่ออกไปจากการติดต่อกันของเหล่าทหารองครักษ์แล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงถึงกับถูกคนขวางตำหนิด่าทอติดๆกัน กำลังพลของเฉิงกั๋วกงถึงกับใช้ดาบหอกกับชาวบ้านด้วย  

 

 

นี่ไม่เหมือนเฉิงกั๋วกงในจินตนาการของพวกเขาสักนิด  

 

 

ความคิดแล่นผ่านชาวบ้านทั้งหลายก็งุนงงอยู่บ้าง  

 

 

แล้วเฉิงกั๋วกงในจินตนาการของพวกเขาเป็นอย่างไรเล่า? ที่จริงพวกเขาก็บอกได้ไม่ชัด อย่างไรก็ห่างจากครานั้นที่ชาวจินลงใต้ตีเมืองแตก แดนเหนือทำสงครามเกือบยี่สิบปีแล้ว ส่วนเฉิงกั๋วกงก็ประจำการปกป้องแดนเหนือสิบปีแล้ว สงครามโกลาหล ความโหดร้ายและการเข่นฆ่าอันน่าสลดเหล่านั้น สำหรับทุกคนเป็นเพียงเรื่องที่อยู่ในนิทานและการคุยเล่นเท่านั้น ห่างไกลเกินไปแล้ว  

 

 

องค์ชายสามบนกำแพงเมืองเพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ดพรรษา เขาเกิดและเติบใหญ่ที่ซานตงไม่เคยประสบภาพครึกครื้นเช่นนี้มาก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนความรู้สึกของฮ่องเต้ ชาวบ้านที่เอะอะเพียงทำให้เขารู้สึกรำคาญเท่านั้น ไม่มีความยินดีสักนิด  

 

 

เมืองหลวงในคิมหันต์ฤดูร้อนระอุอยู่บ้าง ฮ่องเต้เพื่อแสดงความชมเชยจึงให้องค์ชายมาตั้งแต่เช้า เขาอยู่ที่ประตูเมืองนี่รอเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว  

 

 

“ที่แท้จะมาหรือไม่? ไม่มาก็ไม่รอแล้ว” องค์ชายสามคว้าพัดในมือนางกำนัลมางออกแรงพัดเองสองที ขับไล่ความร้อนรนในใจ  

 

 

บรรดาขุนนางที่ติดตามสีหน้าหลากหลาย ในนั้นคนไม่น้อยยังท่าทางยินดีอยู่จางๆ  

 

 

องค์ชายสามไม่นิสัยดีเช่นนั้นอย่างฮ่องเต้ ครั้งนี้เดิมหวังจะได้หน้า ผลปรากฏว่ากลับต้องพบความอับอายด้วยกันกับเฉิงกั๋วกง องค์ชายสามย่อมต้องอับอายจนกรุ่นโกรธแน่ นอกจากสะบัดแขนเสื้อจากไป วันหลังก็ย่อมคิดแค้นอย่างขาดไม่ได้  

 

 

“องค์ชายโปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ ด้านหน้าเกิดเรื่องนิดหน่อย” ขุนนางคนหนึ่งก้าวเข้ามากล่อม “กลัวก็แต่เฉิงกั๋วกงจะมาสายเล็กน้อย…”  

 

 

เสียงของเขายังไม่ทันจบก็ได้ยินด้านล่างของประตูเมืองวุ่นวายพักหนึ่ง ไกลออกไปอีกเสียงฝีเท้าย่ำเหยียบก็ดังมา  

 

 

“มาแล้ว!”  

 

 

เสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ คนนับไม่ถ้วนมองไปยังถนนใหญ่  

 

 

มาแล้ว? เร็วปานนี้?  

 

 

ขุนนางทั้งหลายบนประตูเมืองสีหน้าประหลาดใจ  

 

 

องค์ชายสามก็ลุกขึ้นยืนด้วย  

 

 

“ดูซิกองทัพแดนเหนือที่ชื่อเสียงโด่งดังนี่จะหน้าตาเป็นอย่างไร” เขายิ้มระรื่นอยู่บ้างเอ่ยขึ้น คนก็เดินออกมาด้วย  

 

 

บรรดาขุนนางทั้งหลายรีบติดตาม ยืนอยู่บนประตูเมืองสายตายิ่งเปิดกว้าง พริบตาเดียวก็มองเห็นคนมืดฟ้ามัวดิน  

 

 

ฝูงชนที่แห่แหนมานี่ ทำให้ขุนนางทั้งหลายรวมถึงองค์ชายสามล้วนตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“คนที่มาคือประชาชนหรือทหารกัน?” พระองค์หลุดปากเอ่ยถาม  

 

 

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ตั้งคำถามเช่นนี้ ชาวบ้านเมืองหลวงทั้งหลายที่รอคอยอยู่และค่อยๆ มองเห็นคนที่มาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน แรกสุดที่ปรากฏในสายตากลับเป็นประชาชนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ถึงขั้นยังสู้ประชาชนชาวบ้านไม่ได้ เครื่องแต่งกายที่สวมใส่สำหรับชาวบ้านเมืองหลวงที่ล้อมดูอยู่เหมือนขอทานมากกว่า  

 

 

ทำไมให้คนกลุ่มนี้ปะปนเข้ามาด้วยเล่า? ทหารที่ทำหน้าที่ไม่จัดการหรือ?  

 

 

ระหว่างที่ฉงนคนกลุ่มนี้ก็เดินเข้าใกล้ ชาวบ้านด้านหน้าเดินผ่านไป ในที่สุดก็มองเห็นกองทัพด้านหลัง บอกว่าเป็นกองทัพก็เพียงเพราะพวกเขาขี่อาชาอยู่ไม่เหมือนชาวบ้านที่เดินเท้า  

 

 

นี่เรียกกองทัพอะไร? ไม่มีชุดเกราะไม่มีอาวุธ แต่ละคนๆ สวมอาภรณ์ผ้า ดูแล้วยังสดสวยสู้ทหารกองทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่อยู่สองข้างไม่ได้ด้วยซ้ำ  

 

 

อย่างน้อยเพื่อปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้พวกเขาล้วนเปลี่ยนเสื้อเกราะใหม่ ดูไปแล้วมีชีวิตชีวาเคร่งขรึมเป็นระเบียบ  

 

 

เสียงร้องสรรเสริญสลายไป แทนที่ด้วยเสียงถกเถียงไถ่ถามหึ่งๆ เข้ามาแทนที่  

 

 

เสียงเอะอะนี่ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของขบวนคน หลังประชาชนทั้งหลายผ่านไป กองทัพของเฉิงกั๋วกงก็มาถึงตรงหน้าทุกคนทีละแถวๆ  

 

 

แม้ไม่มีชุดเกราะอาวุธน่าเกรงขาม แต่นายทหารทั้งหลายบนอาชาสีหน้าเคร่งขรึมแผ่นหลังเหยียดตรง อาชาย่ำเหยียบพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ จนเสียงกีบเท้าอาชาที่ก้องสะท้อนอยู่ในหูผู้คนพาท่วงทำนองอันน่าเหลือเชื่อมา  

 

 

ท่วงทำนองนี้คล้ายย่ำลงบนหัวใจคนทุกผู้ ทำให้เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง สายตาทั้งหมดล้วนรวมอยู่บนตัวของนายทหารทั้งหลายเหล่านี้  

 

 

ไม่มีชุดเกราะอาวุธปกปิดแลดูเข้าหาง่าย ทำให้ทุกคนเห็นนายทหารเหล่านี้ชัด  

 

 

พวกเขาอายุมากน้อยไม่เท่ากัน โฉมหน้าแต่ละคนๆ มีริ้วรอยความยากลำบาก มือที่กำบังเหียนหยาบกร้าน อาภรณ์ผ้าเรียบง่ายสะบัดไหวตามการเดินเผยบนลำคอหน้าอกที่ยังมีรอยแผลเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่  

 

 

พวกเขาไม่ได้มีสามเศียรหกกร ไม่แข็งแกร่งประหนึ่งพยัคฆ์สุนัขป่า แต่ก็เป็นคนเหล่านี้ที่ปกป้องแดนเหนือมาสิบปี ทำให้โจรจินไม่อาจไม่ขอสงบศึกหยุดสงคราม  

 

 

พวกเขาไม่ห่มเกราะไม่ถือศาสตรา สีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ร่างกายเหยียดตรงเช่นนี้เคลื่อนเดินไม่อาจขวาง มองความตายดั่งที่พำนัก  

 

 

ข้างทางตกสู่ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าเหยียบย่ำ  

 

 

“หยุด หยุด”  

 

 

บรรดาขุนนางบนกำแพงเมืองในที่สุดก็วิ่งลงมาท่าทางร้อนรนกรุ่นโกรธขวางประชาชนแถวหน้าไว้  

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไร?”  

 

 

“พวกเราจะเข้าเมือง พวกเราจะส่งเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง” ชาวบ้านที่ถูกขวางไว้ตะโกนเสียงดัง  

 

 

นี่ทำให้หน้าประตูเมืองที่เดิมทีเงียบสงบตกสู่ความวุ่นวายพักหนึ่ง  

 

 

บรรดาขุนนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว สีหน้าเขียว ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตและนักเรียนเหล่านั้นขวางไม่อยู่ ผู้อพยพมากปานนี้ หากคลั่งขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ขวางไม่อยู่เช่นกัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงนี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ขุนนางที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่บนกำแพงเมืองตวาดท่าทางโกรธเกรี้ยว มองเข้าไปในกองทัพ  

 

 

กองทัพหยุดแล้ว พร้อมกับที่ธงหลายผืนปลิวสะบัด กระบวนทัพพลันแปรแถวเรียบร้อยพรึบพรับแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่ง คนผู้หนึ่งขี่อาชาเยาะย่างมาจากด้านในช้าๆ  

 

 

เขารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาอ่อนโยน สวมอาภรณ์ผ้า มองแวบหนึ่งคล้ายภาพบัณฑิตวัยกลางคนผู้คงแก่เรียน ท่องถนนอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์  

 

 

นี่คือ…  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!” ในหมู่ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่มีผู้เฒ่าอายุมากคนหนึ่งพลันตะโกนเสียงดังขึ้นมา “นี่คือเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

หลังเสียงตะโกนคนก็ตื่นเต้นแทบไม่อาจควบคุมตัวได้ จะแห่ไปข้างหน้า  

 

 

ชาวบ้านตอนนี้ในที่สุดก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็อึกทึก  

 

 

นี่ก็คือเฉิงกั๋วกง!  

 

 

ไม่ใช่นักรบหน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยม แต่สง่างามทรงภูมิปานนี้  

 

 

นี่ถึงเป็นเฉิงกั๋วกง ฉายาเทพสงคราม แท้จริงงามสง่าดั่งเทพเซียน  

 

 

เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนดังขึ้น ฝูงชนที่เดิมทีสงบอยู่ถาโถม ความฉงนเพราะความประหลาดของกองทัพถูกโยนทิ้งทันที คนทั้งหมดล้วนแห่มาด้านนี้ ทหารทั้งหลายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ถูกเบียดจนเคลื่อนเป็นคลื่น ต้านฝูงชนไว้มั่น ไม่ให้พวกเขาพุ่งเข้าไปในถนน แม้ในถนนจะมีชาวบ้านยืนกันเต็มอยู่แล้วก็ตาม  

 

 

“หน้าตาดีได้เปรียบจริงๆ”  

 

 

ขุนนางคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองอดไม่ได้พึมพำประโยคหนึ่ง  

 

 

แต่ไม่มีใครหัวเราะเพราะคำพูดของเขา เฉิงกั๋วกงพาประชาชนมากปานนี้มา ปรากฏตัวทีเดียวก็ชักนำให้ชาวบ้านเมืองหลวงที่ล้อมชมอยู่เกือบบ้าคลั่งอีก นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว  

 

 

นี่ยังไม่ได้สวมเกราะถืออาวุธเลยนะ หากนายทหารเหล่านี้สวมเกราะติดอาวุธขึ้นมาไม่รู้ว่าจะน่ากลัวมากเพียงใด  

 

 

ขุนนางที่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองสีหน้ายิ่งเขียว ชาวบ้านเป็นฝ่ายถอยออกหลีกทางเมื่อเฉิงกั๋วกงเดินมา เฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

เฉิงกั๋วกงลงจากม้า ก้าวยาวๆ มายืนยิ่งเบื้องหน้าขุนนาง  

 

 

“จูซานโชคดีไม่ผิดต่อคำสั่ง” เขาเอ่ยพลางประสานหมัดค้อมกายคำนับหนึ่งหน “พาประชาชนสามเมืองกลับแคว้นโจว ขอบพระทัยฝ่าบาท”  

 

 

ขุนนางตะลึงวูบหนึ่ง  

 

 

โชคดีไม่ผิดต่อคำสั่ง? พาประชาชนกลับแคว้นโจว? ขอบพระทัยฝ่าปาท?  

 

 

ไม่มีคำถาม ไม่มีความโกรธเกรี้ยว ยิ่งไม่มีอวดอ้างความชอบ แต่ขอบคุณน้ำพระทัย  

 

 

เมื่อสิ้นเสียงคำของเฉิงกั๋วกง ประชาชนหลังร่างก็ประหนึ่งเขาถล่ม พากันคุกเข่าชูมือโขกศีรษะคำนับ  

 

 

“ขอบคุณเฉิงกั๋วกงไม่ทอดทิ้ง ขอบพระทัยฝ่าบาทไม่ทอดทิ้ง พวกเรากลับมาแล้ว”  

 

 

“พวกเรายังเป็นประชาชนต้าโจว พวกเรากลับมาแล้ว”  

 

 

“ขอบคุณเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน!”  

 

 

“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งข้า!”  

 

 

คนนับหมื่นคุกเข่าลง เสียงนับหมื่นดังขึ้น สุ้มเสียงแตกพร่าผสมเสียงร้องไห้ เติมความโศกสลดเพิ่มขึ้นอีก  

 

 

ประชาชนที่ล้อมชมเอะอะอยู่ตะลึงอึ้งเงียบกริบไปนานแล้ว ส่วนคนที่อยู่บนประตูเมืองมองจากที่สูงลงมาเห็นฉากนี้ยิ่งตื่นตะลึง  

 

 

“น่าสนใจ!” องค์ชายสามตบกำแพงเมืองเอ่ยขึ้น ไม่มีความรำคาญสักนิดอีกต่อไป กลับกระตือรือร้น “นี่ถึงสรรเสริญความชอบไหม”  

 

 

สิ่งที่สรรเสริญไม่ใช่เขาเฉิงกั๋วกงร้ายกาจเท่าใด ไม่ใช่ทหารทั้งหลายน่าเกรงขามมากปานใด แต่เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของต้าโจวแห่งนี้เมตตามากปานใด ไม่ใช่พระองค์ขอบคุณเฉิงกั๋วกงกับทหารแม่ทัพเหล่านี้ แต่เป็นประชาชนขอบพระทัยฮ่องเต้  

 

 

“เฉิงกั๋วกง เชิญ” เขายกมือตะโกนเสียงกังวาน หมุนตัวก้าวยาวๆลงจากกำแพงเมือง  

 

 

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ขันทีใหญ่ขันทีน้อยและขุนนางของกรมพิธีการทั้งหลายก็รีบขยับอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

“เชิญ!”  

 

 

“เชิญ!”  

 

 

เสียงแล้วเสียงเล่าถ่ายทอดไป เสียงกลองดนตรีประสาน ธงหลากสีสะบัดพร้อมเพรียง  

 

 

“เวลาพอดิบพอดี” ขุนนางกรมพิธีการคนหนึ่งมองนาฬิกาทรายแล้วเอ่ยพึมพำ “ฤกษ์ดีคนดีนิมิตหมายอันดี”  

 

 

……………………………………….  

 

 

หลังเห็นองค์ชายเข้ามารับ กองทหารไร้สิ่งกีดขวางข้ามผ่านประตูเมืองอย่างสง่าผ่าเผย มุ่งตามถนนไปสู่ถนนเสด็จพระราชดำเนินและพระราชวังหลวง บนใบหน้าที่นิ่งขรึมมาเนิ่นนานของหนิงเหยียนซึ่งยืนอยู่บนเหลาสุราริมถนนก็ผุดรอยยิ้ม  

 

 

“สามด่านผ่านแล้ว”  

 

 

เขายกชาถ้วยหนึ่งที่วางอยู่ไม่รู้นานเท่าไรตรงหน้าดื่มคำเดียวหมด  

เหล่าบัณฑิตและนักเรียนเห็นสถานการณ์นี้แม้สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุดกำลัง  

 

 

ชาวบ้านโง่เง่านัก ถูกสิ่งภายนอกหลอกให้หลง ถูกผลประโยชน์อันใกล้ตรงหน้าทำให้หวั่นไหวได้ง่าย  

 

 

“พวกเราไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงไร้ความชอบมีความผิด พวกเราว่าเขาในวันนี้ หลังเจรจาสงบศึกยังละโมบอำนาจรักความชอบ ติดสงคราม…” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม  

 

 

คำพูดนี้ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นผู้อพยพแดนเหนือที่เดิมทีฮึกเหิมอยู่แล้วแห่เข้ามาอีกครั้ง  

 

 

ครั้งนี้ไม่ด่าทออีกแล้ว ดวงตาของพวกเขาแดงดูไปแล้วโกรธแค้นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคนขย้ำคอเสื้อของบัณฑิตคนนี้ด้วย  

 

 

บัณฑิตฉับพลันตกใจจนสะดุ้งร้องขึ้นมา  

 

 

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาตวาด  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนคนอื่นก็ตกใจสะดุ้งเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวถอยหนี กลับก้าวเข้าไปล้อมผู้อพยพคนนั้นไว้  

 

 

สองฝ่ายประจันหน้ากัน  

 

 

ทหารที่ทำหน้าที่ทั้งหลายพลันตกใจเอ็นขากระตุก นี่ นี่จะเป็นชาวบ้านก่อความวุ่นวายหรือไม่? ประชาชนหมื่นกว่าคนเหล่านี้หากคลั่งขึ้นมาพวกเขาคงขวางไม่อยู่ บัณฑิตนักเรียนเหล่านี้คงถูกตีตายตรงนี้แน่!  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนเผชิญหน้าฝูงชนที่ยิ่งใหญ่นี่ไม่ถอยหลัง สีหน้ากลับแน่วแน่  

 

 

“จูซาน เจ้าจะยุชาวบ้านให้ก่อความวุ่นวายรึ?” บัณฑิตที่เป็นหัวหน้าตะโกนขึ้นพลางก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ วันนี้พวกเจ้าจะเข้าไปต้องเหยียบข้ามร่างข้าไป”  

 

 

“เหยียบข้ามร่างพวกเราเข้าไป!” บัณฑิตกับนักเรียนทั้งหลายตะโกนเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

แม้ต่อหน้าผู้คนเรือนหมื่นจำนวนคนจะน้อยนิด แต่ก็แสดงพลังเบาบาง  

 

 

หากก่อเรื่องจนชาวบ้านจลาจลจริงๆ นั่นย่อมเป็นโทษหนักจริงๆ แล้ว แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพก็เปลี่ยนสีหน้า  

 

 

“เฉิงกั๋วกง ท่านพูดสักประโยคเถอะ” พวกเขาอดไม่ได้รีบร้อนเอ่ย  

 

 

เวลานี้ผู้ที่ขวางชาวบ้านเหล่านี้ได้ก็มีเพียงเฉิงกั๋วกงแล้ว  

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงที่เดิมทีจะออกไปเผชิญหน้ากับบัณฑิตและชาวบ้านกลับหยุด หันหัวม้าถอยหลัง  

 

 

“คำใดก็ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน  

 

 

คำใดก็ไม่ต้องพูดแล้ว? ทำไม? สีหน้าแม่ทัพทั้งหลายยิ่งงุนงงไม่แน่ใจ  

 

 

ถ้าอย่างนั้นจะปล่อยให้ผู้อพยพแดนเหนือเหล่านี้ก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ หรือ?  

 

 

คนเหล่านี้มาได้แปลกเหลือเกิน หรือนี่เป็นแผนการของเฉิงกั๋วกงจริงๆ?  

 

 

แต่นี่เป็นคนตั้งหมื่นกว่าคน ไม่ใช่จะจัดหามาได้ง่ายๆ…  

 

 

ชักกระบี่ง้างคันศร แต่ภาพที่ผู้คนหวาดกลัวกลับไม่ปรากฏ  

 

 

ผู้อพยพที่ขยุ้มคอบัณฑิตคนนั้นไม่ได้ต่อยกำปั้นออกไป ผู้อพยพคนอื่นก็ไม่ได้รุมเข้าไปเช่นกัน  

 

 

“พวกเราจะทำอะไร?” ผู้อพยพคนนั้นเสียงโศกเศร้าคับแค้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจับจ้องบัณฑิตตรงหน้า “พวกเราก็อยากถามพวกเจ้าว่าจะทำอะไร? พวกเจ้าเห็นพวกเราเป็นอะไร? พวกเจ้าเห็นพวกเราเป็นคนหรือไม่?”  

 

 

“เจรจาสงบศึก ในสายตาพวกเจ้าเจรจาสงบศึกเป็นแค่คำสองคำเบาละล่องสินะ?”  

 

 

“ยกสามเมืองให้เป็นเรื่องน่ายินดีปรีดาถ้วนหน้าสินะ?”  

 

 

“พวกเจ้าเอาแต่คิดว่าเจรจาสงบศึกแล้วก็ไม่ต้องทำสงครามแล้ว พวกเจ้าก็ใช้ชีวิตสงบสุขต่อไปได้แล้ว พวกเจ้าเคยคิดถึงพวกเราไหม?”  

 

 

“พวกเรา ประชาชนของสามเมือง หลายสิบหมื่นคน! พวกเจ้าเคยคิดถึงหรือไม่ พวกเราก็เป็นคน!”  

 

 

“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าไม่กี่ประโยคพวกเราก็ไม่ใช่ชาวต้าโจวแล้ว พวกเราที่บรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนเป็นชาวโจวก็กลายเป็นชาวจินแล้ว?”  

 

 

“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าไม่ทำสงครามแล้วสงบแล้วที่ว่าพวกเราจะกลายเป็นอะไร?”  

 

 

“ใต้กีบเท้าอาชาชาวจิน พวกเราไม่ใช่คนสักนิด!”  

 

 

คำถามตวาดพรวนนี้ทำให้บัณฑิตสีหน้าซีดขาว แล้วก็ทำให้เหล่าปัญญาชนกับนักเรียนที่อยู่ข้างกายหลังร่างเขาสีหน้าเปลี่ยนไม่จบสิ้น  

 

 

“ใช่ ไม่ทำสงครามแล้ว พวกเจ้ามีชีวิตสุขสบายแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราเล่า?” หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “พวกเจ้ารู้ไหมว่าชาวจินทำกับพวกเราอย่างไร?”  

 

 

“พวกเขาสังหารทั้งหมู่บ้านของพวกเราจนเกลี้ยง” เด็กน้อยคนหนึ่งตะโกน  

 

 

“พวกเขาเห็นคนเป็นเดรัจฉาน” บุรุษหนุ่มคนหนึ่งตะโกน ทึ้งเสื้อขาดวิ่นของตนลงเผยรอยแส้เส้นแล้วเส้นเล่า “พวกเราเป็นวัวเป็นม้าถูกตีถูกฆ่าตามใจ”  

 

 

“พวกเขาเอาพวกเราเป็นเป้าฝึกดาบฝึกธนู ครอบครัวของข้าล้วนตายในมือพวกเขา” ผู้เฒ่าคนหนึ่งร่ำไห้เอ่ย  

 

 

“พวกเขากินเนื้อคน”  

 

 

“พวกเขาเอาพวกเราเป็นฟืนไฟ”  

 

 

เสียงตะโกนร่ำไห้นับไม่ถ้วนดังขึ้นบอกเล่าพรรณนา ชาวบ้านในที่นั้นคล้ายจะมองเห็นภาพไฟลุกโหมท่วมฟ้าทุกหนทุกแห่งเป็นเสียงคร่ำครวญโศกสลด คนไม่น้อยเริ่มร้องไห้  

 

 

กระทั่งนักเรียนทั้งหลายเหล่านั้นก็อดไม่ได้ตัวสั่น  

 

 

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ กินอิ่มมีเสื้อใส่ ใช้ชีวิตสงบสุข แค่ได้ยินว่าสงครามก็หวาดกลัว ได้ยินว่าจ่ายเงินก็โวยวาย”  

 

 

“เพื่อความสงบสุขที่พวกเจ้าพูด พวกเจ้าก็คิดว่าเป็นเฉิงกั๋วกงเป็นทหารและแม่ทัพเหล่านี้กระหายสงครามนำหายนะมา พวกเจ้ายังมีมโนธรรมหรือไม่?”  

 

 

“ชาวจินไม่เห็นพวกเราเป็นคน พวกเจ้าก็ไม่เห็นพวกเราเป็นคน”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงทำไมไม่ถอย ทำไมต้องสู้ ทหารแม่ทัพทั้งหลายเหล่านี้ทำไมก้าวไปหาความตายไม่กลัวเกรง? เพราะพวกเขาเห็นพวกเราเป็นคน ไม่ใช่สิ่งของที่บอกจะโยนทิ้งก็โยนทิ้ง!”  

 

 

“พวกเขาไม่ถอยไม่ยอมสู้ไม่เลิกราก็เพื่อช่วยเหลือพวกเรา เพื่อพาพวกเราประชาชนหลายสิบหมื่นคนของสามเมืองกลับมา ยกสามเมืองให้แล้ว ประชาชนไม่ยกให้!”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงร่ำไห้ยิ่งอื้ออึง ฝูงชนก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งอีกครั้ง  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายไม่มีอำนาจอีกแล้ว สีหน้าซีดขาวถอยหลังก้าวหนึ่ง  

 

 

ผู้อพยพคนหนึ่งพลันพุ่งมาตรงหน้านักเรียนคนหนึ่ง  

 

 

นักเรียนคนนั้นอดไม่ได้ตัวสั่น กลับเห็นผู้อพยพคนนั้นเพียงแย่งธงในมือเขาไป  

 

 

ธงใหญ่พื้นขาวอักษรแดงเขียนว่าทหารล่มชาติ  

 

 

ผู้อพยพตาแดงมองดูอักษรสี่คำนี้ ฉับพลันกระแทกกับหัวเข่าหัก  

 

 

“เป็นทหารล่มชาติหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน!” เขาตะโกน “มีความผิดหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน!”  

 

 

ผู้อพยพนับไม่ถ้วนแห่เข้ามาออกแรงเหยียบธงที่หักบนพื้น  

 

 

“พวกเราตัดสิน!”  

 

 

“พวกเราตัดสิน!”  

 

 

ผู้เฒ่าที่นำหน้ามองดูบัณฑิตและนักเรียนเหล่านี้ด้วยท่าทางแน่วแน่  

 

 

“พวกเจ้าจะถามหาความผิดของเฉิงกั๋วกง จะถามหาความผิดของทหารแม่ทัพเหล่านี้ ถ้าอย่างนั้นก็ถามหาความผิดของพวกเราก่อน เป็นพวกเรามีความผิดที่พัวพันต้าโจว” เขาตวาดเสียงขรึม  

 

 

“ถามความผิดพวกเรา!” เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนร้องรับ สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน  

 

 

เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนถอยหลังอีกครั้ง  

 

 

คนอพยพทั้งหลายก้าวเข้าไปอีกครั้ง  

 

 

ผู้เฒ่าคนนั้นก็หันกลับมาอีก มอดดูกองทัพเบื้องหลัง  

 

 

“เฉิงกั๋วกง พวกเขาไม่ต้อนรับพวกท่าน” เขาเอ่ย “พวกเราต้อนรับ พวกเขาขวางทาง พวกเราเปิดทางเอง”  

 

 

เขาเอ่ยพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า  

 

 

หลังร่างผู้อพยพนับไม่ถ้วนติดตาม  

 

 

“พวกเขาไม่สรรเสริญความดีความชอบของพวกท่าน พวกเราสรรเสริญ!”  

 

 

“วันวานพวกท่านปกป้องพวกเรา วันนี้พวกเราจะอารักขาพวกท่าน!”  

 

 

ทีละก้าว ทีละก้าว ทีละกลุ่มๆ ก้าวไปข้างหน้า  

 

 

เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนกถอยหลังทีละก้าวๆ  

 

 

ทหารที่ทำหน้าที่ไม่ขวางอีกต่อไป แต่ยืนอยู่ข้างทาง ฉับพลันคำนับให้กองทัพ  

 

 

ประชาชนทั้งหลายของเมืองหลวงก็ไม่ตระหนกผวาอีกต่อไป แยกยืนอยู่ข้างทางเช่นกัน คำนับให้กองทัพ  

 

 

บัณฑิตที่นำหน้าเห็นผู้คนที่ประคองกันเดินทีละก้าวๆ มานี่ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง  

 

 

“เจตจำนงของปวงชนไปที่ใดหามีความผิดไม่” เขาเอ่ยพึมพำ หมุนตัวก็หลบออกไปข้างหนึ่ง  

 

 

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา คนอื่นก็สีหน้าซึมไร้กำลังขัดขวางชาวบ้านที่เดินมา ถอยออกไปสองข้างด้วย  

 

 

ถนนใหญ่เปิดกว้าง ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป  

 

 

เห็นชาวบ้านที่แห่แหนไปข้างหน้า แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพก็ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดอีกต่อไป พวกเขาสีหน้าฮึกเหิม คล้ายยามโดดเดี่ยวสู้ศึกใกล้วางวายในอี้โจวแล้วได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาถึงนาทีนั้น  

 

 

ชาวบ้านเหล่านี้มือเปล่าไร้อาวุธ ไร้อาชาศึกศาตราคม เคยถูกพวกเขาปกป้องประหนึ่งต้นหญ้า กลับยิ่งใหญ่น่าเกรงขามประหนึ่งขุนเขาได้เหมือนกัน  

 

 

ไม่เคยคิดอยากได้การตอบแทน แต่การตอบแทนกลับปรากฏขึ้นมาในยามหนึ่ง นี่ก็คือที่เรียกว่าฟ้ามีความยุติธรรมสินะ  

 

 

“เฉิงกั๋วกง” พวกเขาอดไม่ได้ร้องเรียก  

 

 

เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน มองดูประชาชนที่ห้อมล้อมปกป้องอยู่หน้าหลังซ้ายขวาก็ยิ้ม “พวกเราก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ให้ทุกคนถอดเกราะถอดชุด”  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายตอบสนองทันที ขานรับเสียงพร้อมเพรียง เร่งม้าถ่ายทอดคำสั่งไปสี่ด้าน  

 

 

เมื่อคำสั่งถ่ายทอดออกไป นายทหารนับพันก็พากันลงจากม้าถอดเกราะออกกองข้างทางเป็นตั้งสูง  

 

 

“เข้าเมือง” จ้าวฮั่นชิงก็ถอดเกราะออกด้วย รูปร่างของสตรียิ่งแลดูเล็กบอบบาง แต่ความน่าเกรงขามยังคงเดิม ชูมือขึ้นตวาด  

 

 

นายทหารหลายพันขึ้นม้าอีกครั้ง เสื้อผ้าธรรมดามือเปล่าแต่เคร่งครัดเป็นระเบียบ กีบเท้าม้าเหยียบย่ำ ด้านหน้าชาวบ้านนำทาง ชาวบ้านซ้ายขวาและด้านหลังล้อมเคลื่อนไปทางประตูเมือง  

 

 

ชาวบ้านหมื่นกว่าคนไม่รู้ว่าคนไหนอ้าปากร้องเพลงขึ้นมาก่อน  

 

 

“บ้านข้าอยู่ทิศอุดรของเยี่ยนจ้าว ชำรุดเหลือจะเอ่ย”  

 

 

“ขุนเขาลำน้ำอันเงียบสงบโกลาหล ทัพม้าต่างชาติเหิมเกริมก่อจลาจล”  

 

 

เสียงเพลงแหบพร่าไม่ถูกโทนนี้ดังขึ้นร้องรับต่อกันเป็นทอดๆ ในหมู่ชาวบ้านทันที  

 

 

“โชคดีบุรุษผู้กล้า คนหนึ่งดั่งหนึ่งพัน”  

 

 

“หาญกล้าจากดวงใจ มองความตายดั่งหลับใหล”  

 

 

“มีเพื่อนร่วมทัพสนิทสนมกับข้า ยิ่งกว่าบิดามารดา”  

 

 

“ลุยน้ำไฟเพื่อข้า ไหนกล้าชักช้า?”  

 

 

“หมื่นคนใจเป็นหนึ่ง สั่นเขาไท่ซาน”  

 

 

“เพียงภักดีแลคุณธรรม ฮึกเหิมพุ่งฟาดฟัน”  

 

 

นี่คือบทเพลงแห่งชัยชนะที่แพร่หลายอยู่ในแดนเหนือ ครู่เดียวไม่ใช่แค่ชาวบ้าน ทหารที่ขี่อาชาอยู่ก็ร้องตามขึ้นมาด้วย  

 

 

นายทหารที่ถอดเกราะและอาวุธลงเหล่านั้นแลดูผอมแกร็น ไม่มีความหวาดกลัวและสับสนออย่างก่อนหน้าอีก แผ่นหลังเหยียดตรงใหม่อีกครั้ง พวกเขาสายตาแน่วแน่ สีหน้าฮึกเหิม  

 

 

พวกเขาไม่ใช่ทหารล่มชาติ  

 

 

พวกเขาไม่ได้กระหายสงครามละโมบความชอบ  

 

 

พวกเขาหลั่งเลือด ได้รับบาดเจ็บ ตรากตรำทำศึก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคนมองเห็น มีคนจดจำ มีคนถือเป็นเกียรติยศ  

 

 

เสียงผู้คนเรือนหมื่นดั่งอสนีบาตม้วนตลบกวาดผืนแผ่นดิน ตรงไปยังเมืองหลวง ทรงพลังไม่อาจต้าน  

เสียงด่ากะทันหันนี้ทำให้บัณฑิตและนักเรียนอึ้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากลัว  

 

 

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”  

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร?”  

 

 

เหล่าบัณฑิตและนักเรียนตะเบ็งเสียงตะโกนถาม  

 

 

ต่อหน้าฝูงชนที่แห่แหนมานี้ แม้สีหน้าซีดขาว พวกเขาก็ยังคงรักษาท่าทางที่ควรมีไว้ ยืนหยัดไม่ถอย  

 

 

“พวกเราเป็นใคร?”  

 

 

ชาวบ้านคนหนึ่งที่นำอยู่ข้างหน้าตะโกน ในดวงตาของเขามีความโกรธแค้น ยื่นมือชี้ไปหลังร่าง  

 

 

เบื้องหลังร่างเขาคือกองทัพของเฉิงกั๋วกง เหล่านายทหารที่ออกจากค่ายใหญ่มาก็พบเรื่องราวไม่คาดคิดมากมายเกินไปจนสีหน้าสับสนมึนงง  

 

 

“พวกเราก็คือความผิดของเฉิงกั๋วกงที่พวกเจ้าพูดไง!”  

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไร?  

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้ ละโมบความชอบบุ่มบ่ามบุกจนทหารหลายหมื่นจบชีวิตก็เพื่อพวกเรา”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงจิตใจเจ้าเล่ห์ แก่งแย่งยึดติดอำนาจ ทำลายการเจรจาสงบศึกก็เพื่อพวกเรา”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงชื่นชอบศึกกระหายสงครามจนอาวุธไม่ได้วาง สิ้นเปลืองท้องพระคลัง ลำบากประชาชนสูญเสียทรัพย์ก็เพื่อพวกเรา”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงกำเริบเสิบสานหลงระเริง เรียกร้องรางวัลต้องการชื่อเสียงก็เพื่อพวกเรา”  

 

 

“พวกเราก็คือคนผิดที่ทำให้เฉิงกั๋วกงจูซานกลายเป็oขุนนางล่มชาติ”  

 

 

พูดถึงตรงนี้เขาพลันก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แม้เสื้อผ้าขาดวิ่นผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้ามอมแมมไม่มีความน่าเกรงขามสักนิด กลับทำให้บัณฑิตตรงหน้าอดไม่ได้ถอยหลังเองก้าวหนึ่ง  

 

 

“พวกเจ้าถามหาความผิดของเฉิงกั๋วกง ก็ถามหาความผิดของพวกเราก่อนเถอะ!”  

 

 

พร้อมกับที่สิ้นเสียงเขา รอบด้านเสียงประกาศก้องฟ้าก็ดังขึ้น  

 

 

“จะถามความผิดของเฉิงกั๋วกง ถามพวกเราก่อน!”  

 

 

ประหนึ่งสายลมโหมคลื่นถาโถมกลางมหาสมุทร บัณฑิต ชาวบ้านและทหารที่ถูกล้อมอดไม่ได้กายใจสั่นคลอน  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนที่เผชิญหน้ากับเกราะเหล็ก อาวุธคลุ้งคาวเลือด ทหารหาญแม่ทัพกลายังไม่หวาดกลัวถอยหนีสักครึ่งก้าว ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวบ้านตาดำๆ ซูบผอมหน้าเหลืองกลุ่มนี้กลับอดไม่ได้ถอยหลังก้าวหนึ่ง  

 

 

“พวกเจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่?” บัณฑิตเอ่ยถาม  

 

 

คำพูดประโยคนี้ทำให้เสียงตะโกนโหวกเหวกรอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง  

 

 

“ข้าเป็นคนเป่าโจว”  

 

 

“คนป้าโจว”  

 

 

“คนสยงโจว”  

 

 

เสียงตะโกนวุ่นวายนับไม่ถ้วนก้องกังวาน แต่ดังขึ้นในหูคนทุกคนชัดเจน  

 

 

“พวกเราคือผู้อพยพแดนเหนือ”  

 

 

ผู้อพยพแดนเหนือ  

 

 

คนที่เรียกว่าผู้อพยพย่อมหมายถึงผู้ที่ร่อนเร่เสียบ้าน  

 

 

ตั้งแต่แดนเหนือกับชาวจินเปิดศึกเป็นต้นมา คนเช่นนี้มากมายนัก เมืองหลวงตอนนี้ขอทานค่อนครึ่งก็คือผู้อพยพที่มาจากแดนเหนือ ตัวตนเช่นนี้ทุกคนล้วนเข้าใจ  

 

 

“ไม่ พวกเจ้าไม่เข้าใจสักนิด” ผู้เฒ่าอายุมากสำเนียงป้าโจวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงสั่น “พวกเจ้ารู้จักเพียงร่อนเร่เสียบ้านสี่คำ กลับไม่รู้ว่าสี่คำนี้หมายความว่าอะไร!”  

 

 

“หมายความว่าไม่มีบ้านแล้ว หมายความว่ากินไม่อิ่มไร้เสื้อผ้าอุ่นกาย ทั้งวันหวาดหวั่นไม่ได้สงบ!”  

 

 

สายตาผู้เฒ่ากวาดผ่านชาวบ้านตรงหน้า  

 

 

“สบายอกสบายใจมาดูเรื่องสนุกอย่างพวกเจ้าเช่นนี้ พวกเราไม่มีวันมีอีกแล้ว”  

 

 

“ที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาพริบตาเดียวชั่วข้ามคืน!”  

 

 

คำพูดนี้ฉุดความเจ็บปวดโศกเศร้าของบรรดาผู้อพยพแดนเหนือในที่นั้นขึ้นมา  

 

 

“พวกเราเคยมีชีวิตอยู่ดีเฉกเช่นพวกเจ้า”  

 

 

“โจรจินบอกจะบุกก็บุกมา”  

 

 

“ทุกสิ่งทุกกอย่างบอกว่าไม่เหลือปุบก็ไม่เหลือแล้ว”  

 

 

ฟังคำบอกเล่าปนสะอื้นของคนนับไม่ถ้วน ชาวบ้านที่นั่นก็อดไม่ได้ในใจสลด  

 

 

ส่วนนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่รวมถึงเหล่าบัณฑิตและนักเรียนความมหวาดผวาก็ผ่อนลงอยู่บ้าง พูดให้ถึงที่สุดนี่ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่สูญเสียบ้านต้องร่อนเร่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น  

 

 

“นี่ก็คือสงคราม ทุกข์ของประชาชน” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองประชาชนเหล่านี้ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง “ดังนั้นนี่ล้วนเป็นความผิดของเฉิงกั๋วกงผู้ชื่นชออบสงคราม…”  

 

 

คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกชาวบ้านที่ก้าวเข้ามาถ่มน้ำลายใส่คำหนึ่งตรงเข้าใส่หน้า  

 

 

“พูดเพ้อเจ้ออะไร!”  

 

 

นี่เป็นหญิงชราผู้ไม่มีฟันคนหนึ่ง ในมือกำไม้เท้าด้ามหนึ่งสำเนียงจัดมาก  

 

 

“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงนำทหารมาสู้รบปกป้อง พวกเราก็ตายเกลี้ยงกันไปนานแล้ว ชีวิตสงบสุขวันหนึ่งก็ไม่ได้มี เจ้าคนหนุ่มคนนี้ดูแล้วหน้าตาฉลาด ทำไมพูดจาเลอะเทะฮึ?”  

 

 

“ใช่แล้ว พูดจาเหลวไหลจริง””  

 

 

“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงนำทหารหาญเหล่านี้สู้รบกับชาวจิน ไหนเลยยังมีชีวิตสงบสุขให้พวกเราใช้”  

 

 

“พวกเจ้ามีชีวิตสงบสุขนานเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไรแล้วสิ”  

 

 

“ถึงกับเอ่ยถ้อยคำไร้สำนึกพรรค์นี้ออกมาได้”  

 

 

“เจ้าคิดว่าชีวิตสงบสุขที่พวกเจ้าได้มายืนชมเรื่องสนุกที่นี่ตอนนี้ลมพัดมาให้หรือ?”  

 

 

“นั่นล้วนได้มาเพราะนายทหารแม่ทัพเท่าไรขวางโจรชั่วแทนพวกเจ้า คนเท่าไรตายไปถึงแลกมาได้”  

 

 

เสียงนับไม่ถ้วนสาดเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยววุ่นวาย ไม่เพียงทำให้บัณฑิตที่เอ่ยวาจาก่อนหน้านี้ไม่กล้าเอ่ยคำอีก คนอื่นก็ล้วนหวาดกลัวถอยหลังเช่นกัน  

 

 

พวกเขาถอย คนฝั่งนี้พลันรุกคืบ  

 

 

“พวกเจ้ารู้ว่าสิ่งใดคือสงครามไหม?”  

 

 

“พวกเจ้าเคยเห็นทหารแม่ทัพหลายร้อยคนออกไป มีเพียงคนสองคนกลับมากับตาไหม?”  

 

 

“พวกเจ้าเคยเห็นดาบหอกของโจรจินไหม? หนึ่งดาบตวัดลงฟันร่างขาดไปครึ่ง”  

 

 

พวกเขาตะโกนอย่างโกรธแค้น บางคนวิ่งตรงไปเบื้องหน้านายทหารคนหนึ่งที่ใกล้ที่สุด  

 

 

“น้องชายถอดชุดเกราะของเจ้าให้พวกเขาดูสิ”  

 

 

นายทหารที่ถูกตะโกนเรียกกะทันหันคนนี้อึ้งอยู่บ้าง  

 

 

ความจริงแล้วตั้งแต่ถูกล้อมตะโกนถามโจมตีพวกเขาก็อึ้งทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว  

 

 

“กองเกราะแถวหนึ่ง ถอดเกราะ ถอดชุด” เสียงสตรีกระจ่างกังวานเสียงหนึ่งดังออกมาจากในกองทัพ  

 

 

แม้ยังมีความอึ้งงันอยู่บ้าง แต่ได้ยินเสียงนี้พวกเขาก็ลงจากม้าอย่างไม่ลังเลทันที ชุดเกราะดังเคร้งคร้างพักหนึ่งก็ถูกถอดออก นายทหารสิบกว่าคนยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนแลดูผอมแห้งอยู่บ้าง  

 

 

พวกเขายังไม่หยุดและไม่สนใจว่าในหมู่คนตรงนั้นยังมีสาวน้อยสาวใหญ่อยู่ สองสามทีก็ถอดเสื้อตัวนอกออกเผยท่อนบนเปลือยเปล่า  

 

 

การเคลื่อนไหวชุดนี้เร็วเกินไป คนที่ตะโกนถ้อยคำหวิดจะตอบสนองไม่ทัน  

 

 

“พวกเจ้าดูพวกเขาสิ…” เขาได้สติกลับมาก็เอ่ย ชี้นายทหารเหล่านี้ ตนเองก็มองไปด้วย ฉับพลันถ้อยคำก็หยุดลง สีหน้าไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง  

 

 

เพราะคำพูดของเขา ทุกคนจึงล้วนมองมาด้านนี้ มองเห็นนายทหารที่ไม่มีชุดเกราะและอาภรณ์ปกปิดขับเสริมเหล่านั้น ความน่าเกรงขามลดเลือน รูปร่างถึงกับยังกำยำสู้นายทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่อยู่ที่นี่ไม่ได้  

 

 

แต่ที่ผู้คนยิ่งสีหน้าประหลาดใจไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เพราะแผลเป็นพาดขวางสลับเป็นลายพร้อยบนร่างพวกเขา  

 

 

สิบกว่าคน สูงเตี้ยอ้วนผอมอายุไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือล้วนเต็มไปด้วยรอยแผล มีแผลดาบแผลธนู แผลใหม่แผลเก่า มีตื้นมีลึก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนผู้หนึ่งจะมีรอยแผลได้มากเช่นนี้ได้ แผลมากมายปานนี้ยังมีชีวิตอยู่อีก  

 

 

เสียงเอะอะรอบด้านหยุดลง  

 

 

“พวกเขาบาดเจ็บมากมายปานนี้..” บุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนายทหารคนนั้นในที่สุดก็อ้าปากอีกครั้ง สีหน้าหลากหลายอารณ์ “ข้าก็คิดไม่ถึง”  

 

 

เขาคิดจริงๆ ว่าคนที่เป็นทหารโดยเฉพาะทหารของแดนเหนือเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีแผล ดังนั้นจึงอยากขอนายทหารคนนี้ให้ถอดเกราะออกให้ทุกคนได้ลองดูว่ามีแผลหรือไม่  

 

 

เขาคิดไม่ถึงว่ามีแผลมากมายปานนี้จริงๆ แล้วก็คิดไม่ถึงว่านายทหารสิบกว่าคนนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นทหารเหล่านี้…  

 

 

สายตาของเขามองไปในกองทัพ  

 

 

ผู้คนก็ล้วนคิดจุดนี้ได้ สายตามองตามไปเช่นกัน  

 

 

นายทหารคนอื่นในกองทัพล้วนสวมเกราะอยู่บนร่าง บนร่างที่แลดูน่าเกรงขามแข็งแกร่งนั่น ผ่านคมหอกห่าธนูมาเท่าไร เกลือกกลิ้งอยู่ที่ประตูผีมากี่หน?  

 

 

“บอกว่าพวกเขาละโมบความชอบ บอกว่าพวกเขาชื่นชอบสงคราม ใครไม่ใช่คนบ้าง?” เสียงตะโกนของบุรุษฉับพลันดังขึ้น ชี้นายทหารเหล่านี้ มองชาวบ้านและเหล่าบัณฑิตนักเรียนอย่างโกรธแค้น “พวกเจ้าลองไปละโมบสิ!”  

 

 

เสียงตำหนิรอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง  

 

 

บัณฑิตนักเรียนและชาวบ้านถอยหลังก้าวหนึ่ง  

 

 

“เจรจาสงบศึกเร็วหน่อยก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ทำสงครามแล้วไม่ใช่ก็ดีแล้วรึ” ไม่ทราบคนไหนไม่ยอมแพ้โพล่งออกมาคำหนึ่ง  

 

 

คำพูดนี้ไม่อาจโต้ผู้อพยพแดนเหนือได้ ตรงกันข้ามกลับชักนำเสียงถ่มน้ำลายมาอีกแถบหนึ่ง  

 

 

“เจรจาสงบศึกเร็วหน่อย? พวกเจ้ารู้ไหมว่าการเจรจาสงบศึกนี่ได้มายังไง? มันไม่ใช่ลมพัดมานะ! มันทำสงครามถึงได้มา!”  

 

 

“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงข่มขวัญโจรจิน หากไม่ใช่เหล่าทหารกล้าอาบเลือดสู้สงครามโจมตีโจรจินล่าถอยไม่กล้าบุก พวกเขาเป็นบ้าถึงจะเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึก!”  

 

 

“พวกเขาไม่เพียงไม่มีทางเจรจาสงบศึก ตรงกันข้ามจะขี่อาชาลงใต้กำเริบเสิบสาน!”  

 

 

“พวกเจ้าคนเมืองหลวงโง่กันหมดแล้วรึ? เหตุผลนี่ก็ไม่รู้?”  

 

 

ได้ฟังเสียงด่ามืดฟ้ามัวดินนี้ประชาชนเมืองหลวงพลันหน้าแดง นอกจากความหวาดกลัว ที่มากยิ่งกว่าคือความอับอาย  

 

 

ใช่แล้ว เหตุผลนี่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ทำไมลืมไปได้ว่าใครเฝ้าปกป้องชายแดนสิบปีนี้ถึงทำให้พวกเขาได้ความสงบสุขมั่นคงสิบกว่าปีนี้มา  

 

 

ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงเหมือนผู้อพยพแดนเหนือเหล่านี้  

 

 

ชาวบ้านเมืองหลวงมองความซูบซีดน่าเวทนาของเหล่าผู้อพยพเหล่านี้ คิดถึงชีวิตที่พวกเขาพรรณนาเมื่อครู่ ชาวบ้านเมืองหลวงทั้งหลายก็อดไม่ได้ตัวสั่น  

 

 

ชีวิตเช่นนี้พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำไมเสียสติเป็นบ้าคิดว่าเฉิงกั๋วกงกับทหารมีความผิดไปได้ นี่ไยไม่ใช่จะทำลายชีวิตดีๆ ของตนเองรึ?  

 

 

ล้วนเป็นพวกบัณฑิตเหล่านี้!  

 

 

ชาวบ้านเมืองหลวงพริบตามองไปทางบัณฑิตและนักเรียนทั้งหลาย หมุนตัวพร้อมกัน ไปยืนด้วยกันกับผู้อพยพแดนเหนือเหล่านั้น  

เรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนั้นของเฉิงกั๋วกงจะหนีพ้นสายตาขององครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร  

 

 

เป็นเช่นนี้ก็ดี ให้ลู่อวิ๋นฉีพูดออกมา ดีกว่าพวกเขาพูดออกมา  

 

 

ในใจขุนนางใหญ่โล่งออกหลุบตาถอยหลัง ปลายหางตาเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างตัวคือหวงเฉิง  

 

 

เหมือนเช่นฮ่องเต้ เวลานี้สีหน้าเขาเคร่งขรึม  

 

 

แต่นี่ไม่ถูกต้องสิ เมื่อครู่หวงเฉิงยังยิ้มอยู่เลย  

 

 

หวงเฉิงไม่เคยปิดบังความแตกแยกระหว่างตนกับเฉิงกั๋วกง ยิ่งไม่ปิดบังความดีใจยามได้เห็นเฉิงกั๋วกงพบการกลั่นแกล้ง  

 

 

ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงยิ้มอยู่ตลอด  

 

 

ตอนนี้ยิ่งสมควรหัวเราะ ฮ่องเต้รู้เรื่องของเฉิงกั๋วกงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เสียหน้ายิ่ง น่าโมโหยิ่ง และต้องทรงพาลโกรธเฉิงกั๋วกงแน่ ความดีความชอบสรรเสริญไม่สำเร็จกลับจะถูกประณาม  

 

 

นี่เป็นเรื่องที่หวงเฉิงอยากเห็นมากยิ่งกว่า เขาสมควรยิ้มสิ? หรือเพื่อแสดงว่าร่วมโศกเศร้ายินดีกับโอสรสวรรค์?  

 

 

เสียงโห่ร้องอื้ออึงของชาวบ้านยังคงดังมา ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ถามถึงเฉิงกั๋วกงอีก ดูเหมือนหมดความสนใจ  

 

 

เหล่าขุนนางใหญ่ย่อมไม่เอ่ยถึงอีก ทิ้งมือลงยืนเคร่งขรึม  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินลงมาจากกำแพงวังแล้ว สีหน้าของหัวหน้ากองพันเจียงที่รออคอยอยู่เคร่งขรึมและยากปิดบังความวิตกบนนั้น  

 

 

“เพราะพักนี้คนที่เดินทางมาเมืองหลวงมากเป็นพิเศษ ผู้น้อยจึงเลินเล่อ…” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“เกือบหมื่น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวก้มศีรษะลง  

 

 

นั่นเป็นคนเกือบหมื่น คนเป็นๆ เดินได้วิ่งได้พูดได้ ต้องกินต้องดื่มต้องนอน ไม่ใช่สามคนแล้วก็ไม่ใช่คนตายที่ซ่อนได้  

 

 

คนมากมายปานนี้จนกระทั่งนาทีนี้ถึงเพิ่งถูกพบ น่าขันเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

พวกเขาได้ชื่อว่าองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่มีสิ่งใดไม่รู้ ในเมืองหลวงขอทานคนหนึ่งพูดอะไรพวกเขาล้วนสืบออกมาได้ คนอพยพแดนเหนือนับหมื่นมาถึงเมืองหลวงเงียบๆ ถึงกับไม่รับรู้สักนิด  

 

 

เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลมาบอกปัดจริงๆ  

 

 

“ผู้น้อยยินดีตายรับโทษ” หัวหน้ากองพันเจียงคุกเข่าลงเอ่ย   

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านเขาไปด้านหน้า  

 

 

“นี่เกี่ยวอันใดกับเจ้า” เขาเอ่ย “ก็ไม่ใช่เจ้าส่งคนมานี่”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีถูกเรียกว่ายมราช กับบางคนบางเรื่องกำหนดเป็นตายได้จริงๆ  

 

 

ไม่มีใครยินดีตาย ในใจหัวหน้ากองพันเจียงก็ยินดีคลุ้มคลั่งที่หนีรอดพ้นความตาย แต่ก็ยังวิตกกระวนกระวายอยู่ เขาย่อมรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับฮ่องเต้  

 

 

“ใต้เท้า” เขารีบลุกขึ้นตาม “แต่ฝ่าบาท…”  

 

 

“ฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้พวกเราทำเรื่องนี้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางเดินตัดผ่านในแถวของขุนนางไป  

 

 

แบบนี้ก็ได้หรือ? ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฝ่าบาทเพียงให้พวกเขาจับตาการเคลื่อนไหวของแต่ละฝั่ง แต่ละฝั่งนี่ไม่ได้รวมถึงผู้อพยพแดนเหนือ  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงก้าวเท้าตามลู่อวิ่นฉี  

 

 

“คนเหล่านี้ปะปนอยู่ในหมู่พ่อค้า มาจากทางน้ำทางบกสลับผลัดเปลี่ยน เพราะพักนี้คนเข้าเมืองหลวงมาก พ่อค้าก็ดี มาดูเฉิงกั๋วกงก็ดี ส่วนผู้อพยพก็ยิ่งเห็นบ่อย…” เขายังคงเอ่ยอธิบาย “ประมาทเลินเล่อแล้วจริงๆ”  

 

 

นี่ก็คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นถึงคนเกือบหมื่นเชียวนะ ต่อให้องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้สนใจจริงๆ แต่หากไม่ได้ตั้งใจปะปนแยกย้ายเข้ามาย่อมต้องดึงความสนใจแน่ นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการวางแผนปิดบังกลบเกลื่อนร่องรอยอย่างตั้งอกตั้งใจ แค่ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองไปของคนหมื่นคนนี้ก็ราคาสูงเท่าฟ้าแล้ว  

 

 

วิธีนี้คนธรรมดาคิดไม่ออกจริงๆ …  

 

 

“วิธีนี้ก็มีแต่นางที่ทำออกมาได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยแล้วยิ้ม  

 

 

นางที่ทำให้ลู่อวิ๋นฉียิ้มได้มีเพียงคนเดียว  

 

 

“แต่ไม่พบร่องรอยของคุณหนูจวินเลยนะขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย “หนูดินก็ไม่มีข่าวคร่าว คิดว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี”   

 

 

“แม้หนูดินร้ายกาจ แต่จัดการท่านชายก็ยังด้อยอยู่บ้าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

“ข่าวสุดท้ายคือพวกเขาเดินทางร่วมกัน ต่อให้พวกเขาสลัดคนของพวกเรา แต่จัดการผู้อพยพเกือบหมื่นไม่มีทางไม่เผยร่องรอยแม้แต่นิดได้” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย หากไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางไม่ค้นพบเรื่องผู้อพยพนี่ หาแล้วว่าไม่เห็นคุณหนูจวิน  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้า เวลานี้พวกเขาดินมาถึงบนถนนเสด็จพระราชดำเนินแล้ว องครักษ์เสื้อแพรสองฝั่งยืนนิ่ง  

 

 

“นางต้องมาแน่” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

ฝูงชนมืดฟ้ามัวดินมาถึงตรงหน้าทุกคน ความเงียบที่เกิดขึ้นเพราะความตื่นตะลึงยามแรกหายไปไม่เหลือแล้ว ต่อให้บัณฑิตกับชาวบ้านฝั่งนี้ยังคงรักษาความเงียบอยู่ คนหมื่นคนที่รวมตัวกันยังไม่ต้องพูดถึงทุกคนเอ่ยหนึ่งประโยคจะสร้างเสียงอื้ออึงได้มากเท่าไร เพียงหายใจก็ทำให้ฟ้าดินผืนนี้ร้อนระอุ  

 

 

เมื่อนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ฟื้นกลับมาจากความตื่นตะลึงก็รีบร้อนก้าวเข้ามาเอ่ยถาม  

 

 

“พวกเรามาชมเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

เสียงนี้ดังขึ้นระงม คนที่อยู่ด้านหน้าได้ยินคำถามพลันตอบเสียงดัง ด้านหลังไม่ได้ยินคำถาม แต่ได้ยินคนด้านหน้าตอบก็แย่งชิงกันตอบทันที  

 

 

เสียงของคนหมื่นคนประหนึ่งสายฟ้าคำราม สะเทือนจนคนด้านนี้หวาดกลัวหน้าถอดสีอย่างไม่มีสาเหตุ  

 

 

แต่ขณะที่ใจผวาเนื้อตัวสั่นก็มีคนสังเกตว่าท่ามกลางเสียงตะโกนประหนึ่งสายฟ้านี้นอกจากเฉิงกั๋วกง ยังมีคำที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินจำนวนหนึ่งเพิ่มมาด้วย  

 

 

“พวกเรามาชมกองทหารชิงซาน”  

 

 

กองทหารชิงซาน?  

 

 

แม้แปลกหูไปบ้าง แต่ยังคงมีคนนึกขึ้นมาได้แล้ว ก็กองทหารที่ช่วยเฉิงกั๋วกงที่อี้โจวไง  

 

 

เพียงแต่ทุกคนรู้สึกว่าล้วนเป็นกองทหารของเฉิงกั๋วกง ล้วนเป็นเกียรติยศของเฉิงกั๋วกง จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นพิเศษ  

 

 

มาดู คนมากมายเช่นนี้มาดู จะดูคนให้ตายเลยไหม?  

 

 

คนมากมายเช่นนี้มาดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังปรากฏตัวพร้อมกันอีก  

 

 

แต่มองให้ละเอียดก็คล้ายจะไม่แตกต่างอะไรกับชาวบ้านที่มุงดูเหล่านั้นก่อนหน้าที่พาทั้งครอบครัวพยุงผู้เฒ่าจูงเด็กมา ตื่นเต้นฮึกเหิมสงสัยใคร่รู้  

 

 

บางทีนี่คงเป็นแผนของคนที่มีเจตนา เหมือนกับคนบางคนที่แฝงอยู่ในหมู่คนตอนนี้  

 

 

เคลื่อนย้ายคนมากปานนี้มาสรรเสริญสร้างความฮือฮาก็มีเพียงคนใหญ่คนโตถึงทำได้ล่ะนะ  

 

 

บุรุษผู้ไม่สะดุดตาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหรี่ตาสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดครู่หนึ่ง ท่าทางกระจ่างขึ้นบ้างพยักหน้าให้คนไม่กี่คนในหมู่บัณฑิตและนักเรียน  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนพลันได้สติกลับมา ไม่มองชาวบ้านที่มาใหม่เหล่านี้อีกต่อไป มองกองทหารตรงหน้า ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง  

 

 

“เฉิงกั๋วกงลงม้า”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงถอดเกราะ”  

 

 

พวกเขาตะโกนเสียงกร้าว มือชี้นายทหารตรงหน้าอีกหน  

 

 

เหล่าทหารก็หวาดหวั่นอีกครั้ง อาชากรีดร้องกระสับกระสาย  

 

 

ชาวบ้านที่มุงดูก็จดจ่ออีกหนเช่นกัน ทั้งยังตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะคนมากมายมาเกรงว่าตำแหน่งของตนจะถูกแย่ง พวกเขาจึงพากันแห่แหนเข้ามาด้วย  

 

 

นายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ยิ่งเคร่งเครียดแล้ว พวกเขาด่าทอพยายามใช้กระบองดาบขวางขาวบ้านทั้งหลายสุดกำลัง  

 

 

แต่พวกเขาก็รู้ ต่อหน้าคนนับหมื่นนี้เปล่าประโยชน์ หากคนเหล่านี้แห่เข้ามา พวกเขาคงต้านไม่อยู่แม้แต่น้อย  

 

 

ยังดีชาวบ้านที่มาใหม่เหล่านี้ซื่อนัก ได้ยินเสียงด่าทอว่าไม่ให้เข้าไปก็ไม่เข้าไปจริงๆ แต่สีหน้าฮึกเหิมชะเง้อมองมาในเหตุการณ์  

 

 

“เฉิงกั๋วกงจะออกมาหรือ?”  

 

 

ได้ยินเสียงตะโกนของบัณฑิตนักเรียนทั้งหลาย ในหมู่พวกเขาก็มีเสียงไม่น้อยเอ่ยถาม  

 

 

“คนเมืองหลวงต้อนรับอบอุ่นจริงๆ”  

 

 

ดังนั้นเสียงตะโกนจึงดังขึ้นวุ่นวาย  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”  

 

 

ต่อให้ไม่ใช่คนทั้งหมดกำลังตะโกน แต่ในหมื่นคนคนน้อยนิดขยับนิดหน่อยก็เพียงพอข่มขวัญคนแล้ว  

 

 

เฉินชีที่นั่งอยู่บนหลังคารถสีหน้าซีดขาว อดไม่ได้คว้าหลังคารถไว้ มองผู้คนรอบด้าน  

 

 

ตอนนี้รถม้าของเขาถูกรุมล้อมอยู่ท่ามกลางฝูงชนดุจดั่งเรือใบไม้กลางผืนน้ำกว้างแล้ว  

 

 

“ดีนัก ครานี้เฉิงกั๋วกงออกมา หนึ่งคนถ่มน้ำลายคำหนึ่งก็ท่วมเขาตายแล้ว” เฉินชีเอ่ยพึมพำ  

 

 

“ไม่แน่” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยังคงยืนอยู่พลันเอ่ยขึ้น เขาก็มองผู้คนรอบด้านด้วย “พวกเขาสำเนียงแดนเหนือ”  

 

 

สำเนียงแดนเหนือแล้วอย่างไรเล่า? เฉินชีอึ้งไปวูบหนึ่งหลังจากนั้นความคิดหนึ่งก็โผล่พรึบออกมา ประหนึ่งไฟถูกจุดติด เผาเขาจนสะดุ้งโหยง  

 

 

ไม่มีทางหรอก…  

 

 

เห็นฝูงชนมากมายยุบยับที่ล้อมมา ฟังเสียงตะโกนชื่อเฉิงกั๋วกงที่สะเทือนแก้วหูแทบดับ คนในกระบวนทัพสีหน้ายิ่งไม่น่ามอง  

 

 

“พวกเราทำอะไร ทำไมฟ้าพิโรธคนคั่งแค้น?” หลี่กั๋วรุ่ยที่เข้าเมืองหลวงครั้งแรกหมดความฮึกเหิมไปนานแล้ว สีหน้าซีดขาวแววตางุนงง “ทำไมกล้าหาญสังหารศัตรูไร้ความชอบแล้วยังมีความผิด?”  

 

 

เขาพูดพลางหันหน้ามองข้างกาย สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเซี่ยหย่งหยางจิ่งสีหน้านิ่งสงบ ไร้ความหวาดกลัวความวิตกยิ่งไม่มีความโกรธแค้น มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยกว่าปกติ  

 

 

“มีอะไรน่าโมโหเล่า” หยางจิ่งเอ่ยเรียบเฉย “ก็ไม่ใช่พบครั้งแรกเสียหน่อย”  

 

 

อะไรเรียกไม่ได้พบครั้งแรก หรือก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน? หลี่กั๋วรุ่ยฟังจนเลอะเลือน  

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งกลับไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงนิ่งเฉยไม่ขยับ ในดวงตายังคงฉายแววเศร้าโศกลึกล้ำ  

 

 

ดังนั้นครั้งนี้ก็ยังคงเป็นผลลัพธ์เช่นนี้หรือ  

 

 

เหล่าแม่ทัพในกระบวนทัพสีหน้ายากปิดบังความหวาดกลัวเช่นกัน ภาพตรงหน้าเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการ ถึงกับปลุกระดมจัดการชาวบ้านมากปานนี้ได้ เห็นเฉิงกั๋วกงที่จะเดินไปข้างนอกต่ออีกหน พวกเขาก็ขวางไว้อีกครั้ง  

 

 

“ท่านกั๋วกงไปไม่ได้นะขอรับ” พวกเขาเอ่ย “ครานี้หากออกไปก็มีแต่ยอมรับความผิดแล้ว”  

 

 

เหล่านี้ล้วนเป็นประชาชนที่ถูกปลุกปั่น ทำร้ายไม่ได้ ด่าไม่ได้ อธิบายก็พูดได้ไม่ชัด ถึงเวลารุกไม่ได้ถอยไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้คนเหล่านี้จับวาง”  

 

 

“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็พูดกันสักหน่อยเถิด” เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน  

 

 

และเวลานี้พลันได้ยินเสียงร้องรับที่ดังกังวานยิ่งขึ้นรอบด้าน เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนกสีหน้าก็ยิ่งแน่วแน่ ท่าทางเหมือนชัยชนะอยู่ในกำมือห้าวหาญไม่ลังเล  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด!”  

 

 

“ทหารกบฏไสหัวออกไปจากเมืองหลวง!”  

 

 

หลังสองประโยคนี้ตะโกนออกมาฉับพลันรอบด้านพลันเงียบลง  

 

 

ความเงียบนี้ไม่ใช่จะบอกว่าไม่มีคนร้องรับ แต่เทียบกับจำนวนคนที่รุมล้อมรอบด้านตอนนี้เวลานี้ คนที่ร้องรับยังคงเป็นชาวบ้านเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ส่วนคนเหล่านี้ที่มาใหม่กลับสีหน้าประหลาดมองสถานการณ์  

 

 

“เฉิงกั๋วกงมีความผิดรึ?”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงมีความผิดอะไร?”  

 

 

“พวกเจ้าพูดผิดหรือไม่?”  

 

 

จากนั้นเสียงเหล่านี้ก็ดังขึ้น กลบเสียงตะโกนของบันฑิตและนักเรียนกกับชาวบ้านก่อนหน้า  

 

 

คนมาใหม่ก็ลำบากตรงนี้ ต้องอธิบายกันใหม่อีกรอบ บัณฑิตกับนักเรียนทั้งหลายในที่นั้นคิดในใจ  

 

 

แม้รำคาญ แต่ประกาศความผิดของเฉิงกั่วกงอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่พวกเขายินดียิ่ง ดังนั้นจึงมีคนสาธยายความผิดที่ไล่เรียงไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง  

 

 

สิ้นเสียงหนักแน่นและฮึกเหิมของพวกเขา ฝูงชนข้างกายก็อึกทึกฮึกเหิมตามอีกครั้งด้วย แต่ชาวบ้านเหล่านี้ที่มาใหม่ยังคงเงียบงันคล้ายกับตกตะลึงไปแล้ว  

 

 

บนถนนใหญ่คล้ายเกิดเป็นโลกสองใบ ใบหนึ่งอึกทึก ใบหนึ่งเงียบสงบ ดูไปแล้วแปลกยิ่งนัก  

 

 

เหล่าบัณฑิตและนักเรียนไม่ได้ไม่พอใจกับความเงียบงันเหล่านี้ ชาวบ้านน่ะเบาปัญญา ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาชี้ทางสว่างให้เถอะ  

 

 

“เฉิงกั๋วกง ลงม้า ถอดเกราะ สวมเครื่องจองจำรับโทษ” พวกเขาตะโกนโบกสะบัดป้ายผ้าทหารล่มชาติผืนนั้นในมือ  

 

 

เสียงยังไม่ทันจบ ฉับพลันเสียงตวาดก้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น  

 

 

“บัดซบ มารดาเจ้าสิ”  

 

 

พร้อมกับเสียงตวาดก้องเสียงนี้ ของสิ่งหนึ่งก็ขว้างมา ตรงลงกลางศีรษะนักเรียนคนที่สะบัดป้ายผ้าคนหนึ่งพอดี  

 

 

นักเรียนไม่ทันตั้งตัวถูกขว้างโซเซหลายก้าว มึนศีรษะตาลาย ไม่รอเขาได้สติ รอบด้านเสียงด่าก็ระเบิดกระหึ่มกึกก้อง  

 

 

“บัดซบ มารดาเจ้าสิ”  

 

 

เสียงประหนึ่งอสนีบาต คนประหนึ่งคลื่น มืดฟ้ามัวดินถาโถมโหมซัด  

 

 

ชาวบ้านเมืองหลวงที่ต้องการเบียดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดล้มคว่ำโซเซประหนึ่งถูกเขาถล่มใส่  

 

 

ทหารผู้ทำหน้าที่ซึ่งต้องการรักษาระเบียบกระบองดาบพลันร่วงตกพื้น อึ้งงันถอยหลัง  

 

 

ฝูงชนนับหมื่นพริบตาก็ล้อมคนเหล่านี้ไว้แล้ว  

 

 

เฉินชีมองดูแล้วขนหัวลุก  

 

 

“บัดซบ มารดาเจ้าสิ” เขาเอ่ยพึมพำกำหมัดแน่นเหวี่ยงสะบัดรุนแรง

ส่วนนอกเมือง เสียงโห่ร้องก็ดังเช่นกัน เพียงแต่เสียงโห่ร้องนี้ขึงขังสู้วังหลวงด้านนั้นไม่ได้ เอะอะทั้งยังอื้ออึ้งสอดแทรกด้วยเสียงร้องประหลาดเสียงผิวปาก  

 

 

นักเรียนและบัณฑิตยืนอยู่ตรงหน้านายทหารทั้งหลายแถวหน้าสุดแล้ว  

 

 

“เจ้า…”  

 

 

คนหนึ่งในนั้นชี้นายทหารที่ยืนม้านิ่งอยู่ตะโกนเสียงดังด่าทอให้ลงจากม้า  

 

 

คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก นายทหารคนนั้นก็มองมาอย่างเรียบเฉย  

 

 

ไม่เหมือนกับนายทหารที่ถอยหลังเหล่านั้น สายตาของเขาไม่มีความหวาดกลัววิตกแม้แต่น้อยนิด  

 

 

คล้ายกับตุ๊กตาไม้ที่ไร้ความรู้สึก  

 

 

แววตาที่เฉยชาต่อความเป็นความตายเช่นนี้ มีเพียงผู้ที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนถึงมีได้  

 

 

ไม่โกรธแค้นไม่ยกคันศร แต่ก็ทำให้นักเรียนคนนี้ตัวสั่นสะท้าน ชะงักมือ  

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็มองผู้คนที่พุ่งมาถึงตรงหน้าอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยเช่นกัน ตรงกันข้ามกลับเบื่ออยู่บ้าง  

 

 

คนผิดอะไร ความดีความชอบอะไรนั่นนางล้วนไม่รู้สึกอะไรด้วย ยิ่งไม่โกรธแค้นโศกเศร้าหวาดหวั่น นางเพียงฟังคำสั่งเท่านั้น  

 

 

ไม่มีคำสั่งให้นางจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ก็รอ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายในกระบวนทัพสีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาโศกเศร้าอยู่บ้าง ฉับพลันเสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้น ที่แท้เฉิงกั๋วกงกระตุ้นม้า  

 

 

“ข้าไปพบพวกเขาเองแล้วกัน” เขาเอ่ย  

 

 

พบเวลานี้ อย่างไรก็คล้ายถูกบังคับจนปัญญาอยู่บ้าง  

 

 

ทว่าก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจถูกขวางไว้ที่นี่ กระทั่งเมืองหลวงก็ไม่ได้เข้าจริงๆ ถ้าเช่นนั้นชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกง หน้าตาของกองทหารแดนเหนือคงหมดสิ้นแล้ว  

 

 

จากนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะกลายเป็นเรื่องตลกของอาณาจักรต้าโจว  

 

 

สิบปีกรำศึกถึงได้ชื่อเสียง วันเดียวมลายสลายสิ้น นี่ทำให้คนโศกเศร้าเจ็บปวดจนปัญญา  

 

 

ที่จริงต่อให้เข้าเมืองหลวงแล้ว มีการขัดขวางสองครั้งนี่ ความภาคภูมิใจยินดีในรางวัลนี่ก็ไม่เหลือแล้ว  

 

 

พวกเขาแหวกออกเปิดทางพลางควบม้าติดตาม แต่เวลานี้เองเฉิงกั๋วกงพลันรั้งอาชาไว้  

 

 

“พวกเจ้าฟัง” เขาเอ่ยพลางเงี่ยหู  

 

 

ฟัง? ฟังอะไร?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายตะลึงนิดหนึ่ง เงี่ยหูฟังด้วยโดยไม่ทันรู้ตัว  

 

 

ไกลออกไปคล้ายมีเสียงย่ำเท้าดังมาเลือนราง พูดให้ชัดไม่ใช่ฟังแต่รู้สึก  

 

 

รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากพื้นดิน  

 

 

พื้นดินสั่นสะเทือนจริงๆ แม้แผ่วเบายิ่งแต่ยังคงสรุปได้ว่ามีคนมากมายกำลังมุ่งมาทางนี้  

 

 

แรงสั่นสะเทือนนี้ไม่ใช่กีบเท้าม้าเหยียบย่ำ แต่เป็นเท้าคนย่ำลงพื้นทำให้เกิดขึ้นมา  

 

 

อาศัยเท้าคนย่ำเหยียบจนเกิดแรงสะเทือนเช่นนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจำนวนหมื่นถึงทำได้  

 

 

คนนับหมื่นกำลังเดินมาทางนี้?  

 

 

ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกรึ?  

 

 

นี่มาสายไปหน่อยหรือไม่ นอกจากนี้ยังรวมตัวหนาแน่นเกินไปแล้ว?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายอดไม่ได้หันศีรษะมองไป นายทหารในกระบวนทัพก็รู้สึกได้ล้วนมองไปด้านหลังตาม  

 

 

คนหนึ่ง สองคน คนทั้งหมดหันศีรษะไปพร้อมกัน ชาวบ้านรอบด้านที่เอะอะอยู่ก็อดไม่ได้หยุดลงด้วย  

 

 

“ทำอะไร?”  

 

 

“มองอะไรน่ะ?”  

 

 

พวกเขาถกเถียงพลางมองไปด้านหลังตามด้วย  

 

 

เฉินชีที่ยืนอยู่บนหลังคารถม้าร่างกายโงนเงนไม่มั่นคงทรุดลงนั่ง  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด ตำหนิคนรถ “ทำรถม้าให้นิ่ง อย่าส่ายสิ”  

 

 

คนรถยันรถม้าอย่างกระสับกระส่าย  

 

 

“นายท่านชี เป็นพื้นดินกำลังสั่นขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

พื้นดินอะไร….เฉินชีกำลังจะเอ่ยถาม ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยังยืนอยู่บนหลังคารถก็พลันยื่นแขนกระทุ้งเขา  

 

 

เพราะเฉินชีนั่งลงมาแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่รู้ แขนนี้จึงกระทุ้งโดนศีรษะของเขาเต็มๆ  

 

 

“โอ้ยโอ้ย หัวหัวหัว” เฉินชีร้องพลางป้องกันศีรษะไว้  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่หยุดแล้วก็ไม่ได้มองเขา  

 

 

“ดูเร็ว ดูเร็ว ด้านนั้นคนมากมายมาแน่ะ” เขาเอ่ย  

 

 

คนมากมาย? จะมากได้เท่าไรกัน? คนในเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นี่แล้ว  

 

 

เฉินชีนั่งอยู่บนหลังคารถ บิดศีรษะมองไป ฉับพลันก็อดไม่ได้เบิกตาโต  

 

 

มารดา ในใจเขาตะโกน คนมากมายจริงๆ  

 

 

มากมายถี่ยิบประหนึ่งเส้นเส้นหนึ่งแห่มาจากขอบฟ้า  

 

 

ปีนี้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วไปชมคลื่นมาแล้ว ตื่นตะลึงกับภาพคลื่นซัดสาดของแม่น้ำเฉียนถังอย่างยิ่ง  

 

 

เวลานี้นาทีนี้มองเห็นคนที่ปรากฏขึ้นในสายตา เขาก็ประหนึ่งมองเห็นคลื่นของแม่น้ำเฉียนถังอีกหน  

 

 

ทำไมมีคนมากมายเช่นนี้ได้?  

 

 

นี่เป็นใครกัน?  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่สูงมองเห็นไกล สีหน้าตะลึง  

 

 

“เหมือนจะเป็น…ผู้อพยพ” เขาเอ่ย  

 

 

ผู้อพยพ?  

 

 

เฉินชีหรี่ตาลง ฝูงชนในสายตายิ่งใกล้เข้ามาทุกที มองเห็นชัดว่าที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น  

 

 

พวกเขาเสื้อผ้าขาดวิ่น พวกเขาหน้าตามอมแมม พวกเขาดวงหน้าเหน็ดเหนื่อย  

 

 

ผู้หญิงอุ้มเด็ก ผู้เฒ่าถือไม้เท้า ผู้ชายประคองผู้หญิง แต่ละคนต่างประคองกัน ก้าวเดินโซซัดโซเซ  

 

 

คล้ายเดินข้ามเขาข้ามน้ำมา ระหกระเหินพันลี้ย่ำเท้าเดินทางมา  

 

 

ดุจดั่งฟ้าแลบพันลี้ฟ้าฟาดหมื่นลี้ม้วนตลบ ปิดเมฆบังตะวัน  

 

 

……………………………………….   

 

 

เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง  

 

 

ชาวบ้านที่ส่งเสียงประสานกันอยู่ยกมือปิดปาก ตะลึงอยู่บ้างมองฝูงชนที่แห่มา  

 

 

มือของบัณฑิตและนักเรียนชี้นายทหารตรงหน้าอยู่ แต่เขากับทหารกลับไม่ได้มองกันและกัน กลับมองไปยังฝูงชนที่แห่มา  

 

 

ฝูงชนยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เห็นชัดว่าคนเหล่านี้ตัวตนแตกต่างกันไป แต่ล้วนเป็นประชาชนธรรมดายิ่งจริงๆ  

 

 

ไม่ใช่ปัญญาชนแล้วก็ไม่ใช่ทหาร  

 

 

เป็นชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกสินะ  

 

 

เรื่องเฉิงกั๋วกงแห่ขบวนสรรเสริญความชอบได้ฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าประกาศสู่สาธารณะนานแล้ว คนจากสถานที่มากมายล้วนเดินทางมาชม คนมีเงินจับจองที่พักในเมืองหลวงไว้ล่วงหน้า นั่งรถม้าเกี้ยวเร่งเดินทางมานานแล้ว คนมากมายที่จ้างรถม้าไม่ได้ก็เดินเท้ามา  

 

 

ตอนนี้คนที่มาเหล่านี้คงเป็นคนในที่ไกลออกไปอีก เวลานี้นาทีนี้จึงเพิ่งเดินทางมาถึงล่ะสิ  

 

 

มาดูเรื่องสนุกก็ดี ไม่ว่าเฉิงกั๋วกงระเบิดโทสะเข่นฆ่าหรือลงม้าถอดเกราะยอมรับผิดล้วนจะถูกทุกคนเห็นและเล่าลือกระจายไป  

 

 

ส่วนชื่อเสียงความมีคุณธรรมของพวกเขาก็จะเลื่องลือทั่วหล้า มีประสบการณ์ต่อต้านเฉิงกั๋วกงขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงเช่นนี้ ไม่ว่าอนาคตเป็นขุนนางหรือศึกษาต่อ นี่ล้วนเป็นประวัติอันโดดเด่น  

 

 

มาดูกันให้หมดเลย มายิ่งมากยิ่งดี  

 

 

บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายจิตใจยิ่งฮึกเหิม  

 

 

“แต่ นี่คนที่มามากเกินไปหรือไม่?” ฉับพลันนักเรียนคนหนึ่งก็เอ่ยพึมพำขึ้นมา  

 

 

ฝูงชนด้านหน้าสุดมาถึงตรงหน้าแล้ว แต่ไกลออกไปยังคงมากมายถี่ยิบคล้ายมาจากขอบฟ้าไม่มีสิ้นสุด  

 

 

“นี่มีหมื่นคนได้กระมัง”  

 

 

……………………………………….  

 

 

เสียงดนตรีนอกพระราชวังหยุดลงแล้ว ฮ่องเต้ประทับสง่าในอาภรณ์เต็มยศ สีพระพักตร์อ่อนโยนแย้มสรวล ข้างกายพระองค์มีขุนนางคนสำคัญเจ็ดแปดคนที่ถูกเรียกมาอยู่ด้วย  

 

 

ไม่มีเสียงดนตรี เสียงโห่ร่องของชาวบ้านนอกถนนเสด็จพระราชดำเนินยิ่งชัดเจน นี่ทำให้พระทัยของฮ่องเต้ยิ่งเบิกบานนัก  

 

 

สายพระเนตรกวาดผ่านเบื้องล่างประตูวัง ขุนนางนับร้อยลุกขึ้นยืนเรียงแถวตามลำดับแล้ว แต่ท่ามกลางการยืนนิ่งนี้ก็คล้ายจะวุ่นวายอยู่บ้าง คงเป็นเพราะคนมากมายกำลังสนทนาปราศรัยเสียงเบากันอยู่  

 

 

ภาพนี้ไม่น่ามองอยู่บ้าง  

 

 

แต่ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีจึงไม่ได้ตำหนิ แต่หันหน้าไปถามคำถามที่พระองค์สนพระทัยที่สุด  

 

 

“เฉิงกั๋วกงอยู่ที่ไหนแล้ว?”  

 

 

ทว่าขุนนางใหญ่หลายคนที่เดิมทียิ้มแย้มอยู่ได้ยินคำถามเช่นนี้ สีหน้าก็ประหลาดพิกลอยู่บ้างในทันที คล้ายวิตกอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่มีใครเอ่ยปากตอบ  

 

 

นี่ต่อหน้าเจ้าแผ่นดินเสียมารยาทอยู่บ้างแล้ว  

 

 

แต่ฮ่องเต้ยังคงไม่บันดาลโทสะ กระทั่งความไม่พอใจสักนิดก็ไม่มี หากมีคนมองให้ละเอียดล่ะก็ยังเห็นได้ว่าในพระเนตรของพระองค์รอยยิ้มเข้มขึ้น  

 

 

“ทำไมหรือ?” พระองค์เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “ทุกอย่างเรียบร้อยดีอยู่ไหม?”  

 

 

ถามเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจยังไม่ตอบได้ ขุนนางใหญ่คนหนึ่งลังเลครู่หนึ่งก็ก้าวออกมา  

 

 

พูดสิ พูดสิ  

 

 

ฮ่องเต้สีพระพักตร์อ่อนโยนมองเขา  

 

 

มีเสียงฝีเท้าดังมาขัดการสนทนาด้านนี้  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ทันสนใจการสนทนากับเจ้าแผ่นดินด้านนี้ แล้วก็ไม่ขอรอคำอนุญาต ตรงเข้ามา ก้าวแซงขุนนางใหญ่คนนี้มาถึงข้างกายฮ่องเต้กระซิบชิดริมพระกรรณหลายประโยค  

 

 

ขุนนางใหญ่พลันเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที คล้ายตื่นตกใจแล้วก็คล้ายพิโรธ

นายทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่ในกระบวนทัพทำอันใดไม่ถูก เทียบกับครั้งแรกที่ถูกขวางสับสนยิ่งกว่า  

 

 

ไม่มีเสียงดังตวาดด่าแล้วก็ไม่มีผลไม้เน่าขว้างปามา แต่สีหน้าเย็นชาดูแคลนบนหน้าคนทั้งหลายที่นั่งหลังตรงอยู่นั้นแล้วยังอักษรบนธงขาวที่โบกสะบัดอยู่นั่น ประหนึ่งฝ่ามือตบบนหน้าอย่างรุนแรง  

 

 

เจ็บปวดแสบร้อน ในหัวใจเริ่มลนลานไม่สงบ  

 

 

พวกเขาสังหารศัตรูเพื่อประเทศ พวกเขาปกป้องชายแดนคุ้มครองประชาชน พวกเขามองความตายดั่งที่พำนัก พวกเขาคิดว่ามากน้อยพวกเขาก็นับว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่งนะ  

 

 

แต่ตอนนี้ดูท่า…หาใช่ไม่  

 

 

ทหารล่มชาติ  

 

 

พวกเขาเป็นคนล่มชาติหรือ?  

 

 

สีหน้าทหารทั้งหลายกลายเป็นหวาดหวั่นวิตก แล้วยังมีความหวาดกลัวที่ยากปิดบัง  

 

 

ไม่ว่าเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่อันตรายเท่าใด โจรจินที่โหดร้ายปานใดพวกเขาล้วนไม่มีความหวาดกลัวหวั่นเกรง ทว่าเวลานี้นาทีนี้เผชิญหน้ากับประชาชนมือเปล่าไร้อาวุธ บัณฑิตผู้ผอมบาง ในใจกลับเกิดความกลัว  

 

 

เหมือนเด็กน้อยที่พบครอบครัว ไม่ว่าอยู่ข้างนอกดุร้ายปานใด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเด็กคนหนึ่งเสมอ  

 

 

คำตำหนิของครอบครัวเป็นสิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด  

 

 

อาชาใต้ร่างคล้ายสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของพวกเขา ขยับสับสนด้วยความกังวล  

 

 

กระบวนทัพที่เดิมทีเป็นระเบียบเคร่งครัดกลายเป็นสับสนวุ่นวายขึ้นมาด้วย  

 

 

ความเปลี่ยนแปลงของบรรดานายทหารในกระบวนทัพ เหล่าแม่ทัพย่อมสัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมทั้งยังสับสนอยู่บ้าง  

 

 

พวกเขาเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ อยากมองดูเมืองหลวงอันรุ่งเรืองแห่งนี้ที่ตนปกป้อง แล้วก็อยากให้ประชาชนทั้งหลายมองดูความองอาจของพวกเขา คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าเมืองหลวงก็ถูกขัดขวางสองครั้งติดๆ เวลานี้ยังถูกตำหนิเช่นนี้อีก  

 

 

ที่แท้ทิ้งชีวิตเสี่ยงตาย ทำศึกสงครามสู้สุดชีวิตสิบปี ไม่รู้เสียพี่น้องไปเท่าไร กำลังพลบาดเจ็บไปเท่าไร ที่ทำล้วนเป็นความผิด ไม่มีความชอบกลับมีโทษ  

 

 

ที่แท้ในสายตาคนที่พวกเขาปกป้องเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่วีรบุรุษแต่เป็นอาชญากร  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ควรมา  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ มาผิดไปแล้วหรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

กระบวนทัพกระจายสับสน กำลังพลหวาดหวั่น อำนาจพลันสลาย  

 

 

ส่วนนักเรียนกับบัณฑิตผอมบางเหล่านี้กลับยิ่งเคร่งขรึมน่าเกรงขาม  

 

 

พวกเขาสะบัดแขนเสื้อ จัดเสื้อผ้าและหมวก ก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า  

 

 

พวกเขาก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ บีบเข้ามาใกล้กระบวนทัพ  

 

 

นายทหารคนหนึ่งเพราะหวาดกลัวรั้งบังเหียนแน่นไป ผลจึงทำให้ม้าเข้าใจผิดคิดว่าให้ไปข้างหน้า พานายทหารคนนั้นพุ่งออกมา  

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ชาวบ้านรอบด้านร้องตกใจระลอกหนึ่ง  

 

 

“อา รีบหยุดเร็ว”  

 

 

“อย่าไปนะ”  

 

 

“ทหารเหล่านี้ตีคนฆ่าคนได้นะ”  

 

 

“เมื่อครู่ด้านนั้นก็ตีคนที่ขวางทางไปแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนเอะอะดังขึ้น นายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ก็สีหน้าวิตกด้วย  

 

 

แต่บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายเหล่านี้สีหน้านิ่งสงบ สายตาแหลมคม เผชิญหน้ากับทหารหาญแม่ทัพกล้าที่สวมเกราะถืออาวุธเล่าลือว่าฝ่าออกมาจากภูเขาเลือดทะเลเลือดเหล่านี้กลับไม่หวาดกลัวสักนิด  

 

 

“หากทำให้เฉิงกั๋วกงยอมรับผิดได้ พวกเรายินดีตาย”   

 

 

“พวกเรามอบใจให้แผ่นดิน มอบชีวิตให้ปวงประชา นำความสงบสุขสู่ยุคสมัย ไหนเลยกลัวตาย?”  

 

 

พวกเขาท่าทางเที่ยงธรรมเสียงทรงพลัง ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง  

 

 

บัณฑิตปัญญาชนเหล่านี้ผอมบาง แต่ชูมือยกเท้าแล้วเผยกลิ่นอายความทรงภูมิลึกล้ำออกมา หนึ่งอ่อนแอหนึ่งแข็งแกร่งผสานกลืนเข้าด้วยกันดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก  

 

 

แม้คำพูดที่เอ่ยชาวบ้านรอบด้านฟังแล้วมึนๆ งงๆ แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการมองจนลุ่มหลงงมงาย  

 

 

“กลัวอะไร!”  

 

 

“ที่นี่คือใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ พวกเขากล้าฆ่าคนรึ?”  

 

 

ในหมู่คนฉับพลันเสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้น  

 

 

ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายโกลาหลขึ้นมาตามด้วย  

 

 

“พวกเขาวางท่าอะไร! มีอะไรภาคภูมิใจ!”  

 

 

“ไม่ใช่ชนะสงครามสักหน่อย!”  

 

 

“สงครามเพราะเจรจาสงบศึกถึงหยุดลง”  

 

 

“มีความสามารถพวกเขาทำไมไม่ฆ่าชาวจินให้หมด กลับมาอวดอำนาจอะไร”  

 

 

“ที่นี่ก็ไม่ใช่แดนเหนือ ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะวางท่าอวดเบ่ง”  

 

 

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นในหมู่คนยิ่งดังขึ้นทุกที  

 

 

นายทหารไม่น้อยมองไปในฝูงชนโดยไม่รู้ตัว คล้ายอยากมองว่าใครกำลังตะโกน แต่เสียงดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ต่อเนื่องไม่ขาด พวกเขามองไม่เห็น ตรงกันข้ามกลับทำให้สายตาของพวกเขากลายเป็นพร่ามัว ค่อยๆ รู้สึกว่าทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเสียงตะโกน คนทุกคนกำลังตะโกนอยู่  

 

 

นักเรียนบัณฑิตทั้งหลายเข้ามาทีละก้าวๆ  

 

 

นายทหารไม่น้อยรั้งบังเหียน เริ่มถอยหลัง  

 

 

มีคนถอยหลัง แล้วก็มีคนยืนนิ่งไม่ขยับ แต่นายทหารที่ยืนนิ่งกลับไม่อาจรั้งความสับสนของกระบวนทัพไว้ได้ อำนาจสลายไปแล้ว  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด”  

 

 

“พวกเจ้าถอดเกราะ”  

 

 

บัณฑิตที่นำหน้าสีหน้าเขร่งขรึมตะโกน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” นักเรียนและบัณฑิตทั้งหลายข้างกายและหลังร่างเขาตะโกนตามกัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” ชาวบ้านรอบด้านก็ตะโกนวุ่นวายดังขึ้นด้วย  

 

 

หาใช่ชาวบ้านทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้ คนที่อายุมากเหล่านั้นหวาดหวั่นวิตกกับภาพยามนี้  

 

 

ทำไมเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ  

 

 

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เฉิงกั๋วกงเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้า” พวกเขาอธิบายกับคนข้างกาย  

 

 

แต่คนที่ถูกจุดความฮึกเหิมกลับคร้านจะสนใจพวกเขา ประสานเสียงตามอลหม่าน  

 

 

“วีรบุรุษอย่างไรเล่า?”  

 

 

“ฆ่าโจรจินเกลี้ยงหรือ?”  

 

 

“แดนเหนือยังเสียตั้งสามเมือง”  

 

 

“มองไม่ออกว่าเป็นวีรบุรุษอย่างไร”  

 

 

“อาศัยอะไรเอารางวัล เอาเงินของพวกเรา!”  

 

 

เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน ความเคร่งขรึมก่อนหน้านี้สลายหายไม่เหลือ ฝูงชนสับสนวุ่นวายโถมเข้าใส่กระบวนทัพสี่เหลี่ยม ร้องเอะอะ ร้องโหวกเหวก ร้องเสียงประหลาด  

 

 

ยืนมองจากที่ไกลออกไป กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงนั้นประหนึ่งเรือลำหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำใหญ่ที่ลมแรงฝนกระหน่ำ  

 

 

เฉินชีกำมือแน่น กัดฟันกรอด  

 

 

“เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยคำหนึ่งแล้วหยุด “เวลานี้สักแดงเดียวข้าก็ไม่อยากโยนให้”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยืนอยู่บนรถม้ามองด้านนี้อยู่ด้วย  

 

 

“ใช้ชีวิตสงบสุขมานานเกินแล้ว” เขาเอ่ยท่าทางเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ยี่สิบปีแล้ว ชาวจินควบอาชาลงใต้ เมืองแตกแคว้นล่ม วันเวลาที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนล้วนลืมสิ้นแล้ว แดนเหนือก็ไกลเกินไปแล้ว ความโหดร้ายของชาวจินอะไร ความน่าสลดของสงครามอันใด สำหรับทุกคนแล้วเป็นเพียงอักษรไม่กี้ร้อยตัวบนสาส์นแจ้งข่าว เรื่องคุยเล่นสัพเพเหระในโรงน้ำชากับเหลาสุราหลังกินอิ่มพักเหนื่อย”  

 

 

เฉินชีสูดลมหายใจลึก  

 

 

“นี่ก็คือปลายทางของวีรบุรุษผู้กล้าหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “นี่ก็คือวิหคสิ้นคันศรไร้ประโยชน์รึ? ถึงขั้นคันศรยังมีความผิดอีก เพราะมันทำร้ายคนได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้คนที่ทำร้ายคือศัตรู?”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มแล้ว  

 

 

“ก็ยังไม่จบหรอก” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกหน้าพูดเลย”  

 

 

ถูก ตอนนี้ล้วนเป็นนักเรียนกับบัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้นโวยวายพูด เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกมาเลย  

 

 

ขอแค่เฉิงกั๋วกงออกมาพูดอธิบายโต้แย้ง ทุกคนก็คงเข้าใจแล้ว  

 

 

เฉินชีกำมือแน่นอยู่บนหลังคารถไม่สนว่าที่สูงไม่มั่นคงเขย่งสุดปลายเท้า  

 

 

เฉิงกั๋วกงรีบออกมาเถอะ  

 

 

……………………………………….  

 

 

หน้าพระราชวังเสียงดนตรีลอยละล่อง ขุนนางนับไม่ถ้วนจรดศีรษะคำนับพร้อมเพรียง  

 

 

“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”  

 

 

ฮ่องเต้บนหอเหนือประตูวังสูงลิ่วประทับบนพระที่นั่ง  

 

 

ข้างล่างประตูวังขุนนางนับร้อยจรดศีรษะคำนับ การเคลื่อนไหวแม้เป็นระเบียบสู้เหล่าทหารเช่นนั้นไม่ได้ แต่ก็มีความขึงขังที่ต่างออกไปอยู่  

 

 

ชะเง้อมองไกลออกไปอีก ชาวบ้านที่รวมตัวอยู่นอกถนนเสด็จพระราชดำเนินมากมายมหาศาล แม้มองเห็นฮ่องเต้ด้านนี้เป็นเพียงเงาร่างไม่ชัดร่างหนึ่งก็เพียงพอให้พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มกึกก้อง  

 

 

มองไปยังตึกรามบ้านช่องห้องหอเรียงรายเป็นทิวแถวมากมายถี่ยิบมองไปไม่มีสุดปลาย  

 

 

เสียงโห่ร้องกระหึ่มสะเทือนที่กว้างรอบด้าน ภาพความรุ่งเรืองประหนึ่งแดนเซียน  

 

 

นี่คือประชาชนของเขา นี่คือแคว้นของเขา นี่คือแผ่นดินของเขา ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาจริงๆ  

 

 

บนพระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณ  

 

 

เสียงสูงกังวานของขันทีทั้งหลายลอยล่องออกไป  

 

 

“ลุกขึ้นได้”  

 

 

หวงเฉิงได้ขุนนางผู้น้อยด้านข้างประคองร่างขึ้นมาอย่างระมัดระวัง อาศัยเสียงดนตรีเสียงตะโกนสรรเสริญกลบ การพูดคุยเสียงเบาของพวกเขา  

 

 

“…ให้เขาออกมา? แน่นอนหากเขาออกมา เฉิงกั๋วกงผู้สง่างามถูกบีบให้ไม่อาจไม่ออกมาโต้ตอบต่อหน้าผู้คนได้ นี่ก็เสียหน้าหนักหนาแล้ว” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหากเขาโน้มน้าวคนเหล่านั้นได้เล่าขอรับ?” ขุนนางด้านข้างทาทางวิตกอยู่บ้าง “อย่างไรชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงก็โด่งดัง…”  

 

 

หวงเฉิงหัวเราะแล้ว  

 

 

“โน้มน้าว ก็พูดไปสิ เขาคนเดียวปากเดียวกับคนหลายร้อยอ้าปากหลายร้อยปาก นั่นย่อมต้องพูดช้าๆ แล้ว” เขาเอ่ยพลางเงยสายตามองเบื้องหน้า ขันทีกำลังทำท่าเชิญมาทางเขา  

 

 

นี่คือฮ่องเต้เชิญขุนนางคนสำคัญจำนวนหนึ่งขึ้นหอไปหา  

 

 

นี่ย่อมไม่ใช่เกียรติยศที่ใครๆ จะมีได้ มีเพียงขุนนางที่วางพระทัยใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะได้สัมผัส  

 

 

“ชาวบ้านมีคำกล่าวหนึ่งว่าไกลหอมใกล้เหม็น แต่ในราชสำนักย่อมไม่เหมาะจะใช้” เขาอมยิ้มเอ่ยพลางเดินโขยกเขยกขึ้นหอเหนือประตูวังไป  

 

 

หลังร่างไกลๆ เสียงโห่ร้องสรรเสริญของชาวบ้านยังคงไม่คลาย  

เสียงร้องสรรเสริญค่อยๆ หายไป  

 

 

ความตื่นเต้นฮึกเหิม ความสงสัยใคร่รู้บนใบหน้าชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็สลายไปด้วย ที่มาแทนที่คือไม่รู้จะทำอย่างไร  

 

 

ผู้ร่ำเรียนหนังสือเหล่านี้ชาวบ้านทั้งหลายนับถือย่างสูง เรื่องที่พวกเขาทำ คำที่พวกเขาพูด เวลาส่วนใหญ่ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้ว่ามีเหตุผลยิ่ง  

 

 

เวลานี้เห็นนักเรียนและบัณฑิตเหล่านี้สวมชุดผ้าป่านยาว สีหน้าเคร่งขรึมนั่งหลังตรง ไม่ร้องไห้ตะโกนกล่าวโทษ แต่ทุกคนก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องสำคัญมาก  

 

 

ภาพนี้คลับคล้ายว่าเคยเห็นมาก่อน ครั้งนั้นรัชทายาทจากไปเพราะประชวร อดีตฮ่องเต้ประกาศให้ฉีอ๋องเป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังค์ บรรดาขุนนางฮือฮา เหล่าบันฑิตก็ไม่อยู่เฉย เหล่าขุนนางสวมชุดขุนนางคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าพระราชวัง ส่วนเหล่านักเรียนและบัณฑิตสนับสนุนการสืบสันติราชวงศ์อยู่นอกเมือง  

 

 

ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะเรียกร้องอะไรอีก ทำไมต้องด่าเฉิงกั๋วกงว่าเป็นทหารล่มชาติด้วย?  

 

 

อีกอย่างการเรียกร้องของพวกเขาครั้งก่อนถูกองครักษ์เสื้อแพรผู้ประหนึ่งพยัคฆ์ประหนึ่งสุนัขป่าทำลาย ไม้กระบองดาบหอกโลหิตกลั่นกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนพูดถึงก็ใจผวา  

 

 

ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เล่า?  

 

 

สายตาของชาวบ้านทั้งหลายมองไปทางกองทหารของเฉิงกั๋วกงด้านนั้น  

 

 

ทหารหลายพันที่ตั้งกระบวนทัพเวลานี้หยุดยืนนิ่ง นอกจากธงในกองทัพที่ถูกลมพัดขยับก็เงียบไปหมด คันศรสะพายอยู่ด้านหลัง ดาบหอกห้อยอยู่ด้านข้าง บรรยากาศฆ่าฟันเต็มเปี่ยม  

 

 

เทียบกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารเหล่านี้หากลงมือสังหารคงยิ่งน่ากลัวกระมัง  

 

 

“ทำไมพูดเช่นนี้ จะเอาเฉิงกั๋วกงมาเทียบกับองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร” มีคนเอ่ยพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเฉิงกั๋วกงจะกลายเป็นอะไรเล่า”  

 

 

ขุนนางชั่วช้าข้าราชการผู้โหดเหี้ยม?  

 

 

นั่นยังเป็นเฉิงกั๋วกงที่ทุกผู้คนเลื่อมใสในคำเล่าลืออีกหรือ?  

 

 

หรือ คำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ?  

 

 

คำเล่าลือเป็นเพียงคำเล่าลือ  

 

 

เล่าลือว่าทุกผู้คนเคารพขอบคุณที่พวกเขาปกบ้านป้องเมือง ทว่าตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นคืออะไร?  

 

 

“ทำไม?” เหลยจงเหลียนเอ่ยพึมพำ  

 

 

เผชิญหน้ากับพ่อค้าเหล่านั้นที่ขวางทาง เขายอมรับคำอธิบายว่าชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายสร้างเรื่องได้ แต่บัณฑิตกับนักเรียนเหล่านี้เล่า?  

 

 

พวกเขาเป็นผู้ร่ำเรียนหนังสือ พวกเขารู้แจ้งเหตุผล รู้จักละอายบาป พวกเขาย่อมไม่ใช่ชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย นอกจากนี้เรื่องที่พวกเขาทำก็ย่อมมีเหตุผลแน่นอน เป็นเรื่องที่ถูกต้อง  

 

 

พวกเขาถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราคนเหล่านี้ก็เป็นคนผิดหรือ?  

 

 

ทำไม? ทำไมต้องทำเช่นนี้กับพวกเรา?  

 

 

ครั้งนี้คนด้านข้างก็ยังคงยิ้มหยัน แต่ไม่ได้เยาะหยันมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนั้นอย่างก่อนหน้า  

 

 

“ไหนเลยมีทำไมมากปานนั้น” จินสือปาเพียงเอ่ยเย็นชา  

 

 

ความคิดของพวกทหารทั้งหลายกับเหลยจงเหลียน จ้าวฮั่นชิงกลับไม่มีอย่างสิ้นเชิง มองเห็นคนขวางทางก็ปลดคันศรควบม้าจะไปข้างหน้าทันที  

 

 

แม่ทัพหลายคนตกใจสะดุ้งโหยง พวกเขาล้วนรู้ว่าเด็กสาวคนนี้กล้าฆ่าคนจริงๆ   

 

 

ไม่เพียงสังหารโจรจิน กระทั่งประชาชนต้าโจวก็ฆ่า ขอแค่สั่งคำเดียว  

 

 

กองทหารชิงซานเหล่านี้แม้ไม่ใช่แค่ไม่กี่สิบคนอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาแล้ว แต่ในใจพวกเขาล้วนรู้ชัดยิ่ง พูดถึงอิทธิพลในกองทหารชิงซาน พวกเขายังสู้เด็กสาวสองคนไม่ได้  

 

 

“แม่นางเสี่ยวชิง แม่นางเสี่ยวชิง ครั้งนี้ลงมือฆ่าไม่ได้” พวกเขารีบร้อนตะโกนเรียกนางไว้  

 

 

จ้าวฮั่นชิงรั้งม้ามองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

“ทำไมเล่า? พวกเขาขวางทางนะ” นางเอ่ย  

 

 

แต่พวกเขาเป็นปัญญาชน เป็นคนมีการศึกษา เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน เป็นบัณฑิต  

 

 

เดิมทีแม่ทัพฝ่ายทหารต่อหน้าปัญญาชนก็ต่ำกว่าขั้นหนึ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะเข่นฆ่าสังหารพวกเขาได้?  

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ยต่อ  

 

 

“ไปลองถามพวกเขาก่อนเถอะว่าขวางทางทำไม” เขาเอ่ย  

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายก้าวออกมาทันที  

 

 

“ท่านกั๋วกงพวกเราไปถามเอง” พวกเขาเอ่ยขึ้นเสียงพร้อมเพรียง ยากปิดบังความโกรธแค้น  

 

 

คนเหล่านี้รังแกกันเกินไปแล้ว หากท่านกั๋วกงไปพบพวกเขาเช่นนี้ เสียหน้าเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

เฉิงกั๋วกงยกมือห้าม  

 

 

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

แน่นอนเวลานี้เฉิงกั๋วกงออกหน้าย่อมโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่า แสดงให้เห็นว่าถ่อมตัวใกล้ชิดประชาชน  

 

 

บรรดาแม่ทัพคิดในใจ กลับเห็นเฉิงกั๋วกงพยักหน้าให้จ้าวฮั่นชิง  

 

 

“ฮั่นชิงก็พอแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

เอาเถอะ ท่านกั๋วกงก็คือท่านกั๋วกงจริงๆ  

 

 

จัดการพ่อค้าก็แม่นางน้อยคนนี้ จัดการนักเรียนและปัญญาชนเหล่านี้ก็แม่นางน้อยเหมือนกัน เสมอภาคเท่าเทียมจริงๆ  

 

 

บางครั้งเสมอภาคเท่าเทียบกลับเป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง  

 

 

“มีคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม ตีได้ไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม  

 

 

“แน่นอน” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ตี ตีจริงหรือ?  

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายสีหน้าลังเล เพราะแนวคิดขวาฝ่ายพลเรือนซ้ายฝ่ายทหารซึมลึกอยู่ในจิตใจคน แม้พวกเขาตำแหน่งขุนนางไม่เล็ก แต่ผู้มีการศึกษาเหล่านี้ต่อให้ตัวเปล่าก็ยังยำเกรงอยู่บ้าง  

 

 

ไม่ ก็ไม่อาจพูดว่าขุนนางฝ่ายทหารล้วนกลัวปัญญาชน มีคนฐานะหนึ่งที่ไม่กลัว นั่นก็คือองครักษ์เสื้อแพร  

 

 

ความคิดแล่นผ่านบนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มขมขื่น  

 

 

พวกเขาออกหน้าพรั่งพรมโลหิตร้อนร้อยสงครามกลับมา ไม่กล้าเรียกตนเองว่าภักดีกล้าหาญ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะตกต่ำจนมีภาพลักษณ์เยี่ยงองครักษ์เสื้อแพร  

 

 

จ้าวฮั่นชิงไม่ลังเลสักนิดควบม้าเร็วรี่จากไป  

 

 

เสียงกีบเท้าม้ากุบกับท่ามกลางกองทัพที่นิ่งขรึมสะดุดหูอย่างยิ่ง ตัดผ่านกองทัพ หยุดอยู่กลางถนนตรงหน้าเหล่าปัญญาชนกับนักเรียน  

 

 

“นี่ พวกเจ้าก็ไม่พอใจคำสั่งอะไรของทางการเหมือนกันหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม  

 

 

นักเรียนหลายคนที่อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กสาวปรากฎตัวตรงหน้าไม่ได้ประหลาดใจ แล้วก็ไม่ได้ไม่พอใจที่สตรีก้าวออกมาถาม  

 

 

พวกเขาสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“หาใช่ไม่” บัณฑิตคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ได้ไม่พอใจอะไรต่อทางการ”  

 

 

ไม่รึ?  

 

 

จ้าวฮั่นชิงงุนงงเล็กน้อย  

 

 

“พวกเราเพียงไม่พอใจต่อเฉิงกั๋วกงเท่านั้น” บัณฑิตเอ่ยต่อ  

 

 

เฉิงกั๋วกงบอกเพียงว่าคนที่ไม่พอใจต่อทางการฆ่าได้ แต่ไม่ได้บอกว่าหากไม่พอใจเขาให้ทำอย่างไร จ้าวฮั่นชิงไม่ได้เอาคันศรดาบหอกออกมาแล้วก็ไม่ได้ออกคำสั่ง ยื่นมือนวดหว่างคิ้ว  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องการอย่างไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“พวกเราขอให้เฉิงกั๋วกงลงจากม้า สลายทหาร ถอดเกราะวางหมวก สวมเครื่องจองจำขอรับโทษหน้าวังหลวง” บัณฑิตที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง  

 

 

ขอรับโทษ?  

 

 

ชาวบ้านรอบด้านฮือฮา  

 

 

ราชสำนักบอกว่าจะพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกงชัดๆ ทำไมคนเหล่านี้จะให้เขาขอรับโทษ?  

 

 

ผู้มีการศึกษาเอ่ยวาจาย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ประมาณหนึ่ง บรรดาชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าประหลาดใจไม่เข้าใจ แต่ก็แค่พากันถกเถียงเสียงเบา ไม่มีใครออกปากโต้แย้ง  

 

 

“ทำไม?” จ้าวฮั่นชิงถามคำถามที่ทุกคนสงสัยออกมา “เฉิงกั๋วกงมีความดีความชอบอยู่ชัดๆ”  

 

 

คำพูดนี้ออกจากปาก แม่ทัพทั้งหลายในกระบวนทัพพลันสีหน้าร้อนรน  

 

 

คำนี้ถามไม่ได้นะ  

 

 

อย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ตนเองสงสัยไม่เข้าใจก็หลุดปากถามแล้ว  

 

 

นาทีนี้เวลานี้ไม่อาจให้คนเหล่านี้มีโอกาสพูดได้นะ  

 

 

พวกเขาอดไม่ได้จะก้าวออกไป แต่สายไปเสียแล้ว  

 

 

“เฉิงกั๋วกงไร้ความชอบมีความผิด”  

 

 

บัณฑิตด้านนั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นเสียงใสกังวาน ไม่รอจ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามอีกก็มองมาทางกระบวนทัพด้านนี้แล้วยกมือขึ้น  

 

 

“ความผิดประการที่หนึ่ง ไม่เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้ ละโมบความชอบบุ่มบ่ามบุกจนทหารหลายหมื่นจบชีวิต”  

 

 

“ความผิดประการที่สอง จิตใจเจ้าเล่ห์ แก่งแย่งยึดติดอำนาจ จนไม่สนความปลอดภัยของชาติความสงบสุขของประชาชน”  

 

 

“ความผิดประการที่สาม ชอบศึกกระหายสงครามจนอาวุธไม่ได้วาง สิ้นเปลืองท้องพระคลัง ลำบากประชาชนสูญเสียทรัพย์”  

 

 

“ความผิดประการที่สี่ กำเริบเสิบสานหลงระเริง เรียกร้องรางวัลต้องการชื่อเสียง ชักนำให้ขุนนางผู้อื่นลอกเลียนทำลายการปกครองกองทัพ”  

 

 

ยังไม่จบ บัณฑิตมากกว่าเดิมลุกขึ้นยืน ยื่นมือชี้ทหารในกระบวนทัพ พวกเขาสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว แววตาโกรธแค้น  

 

 

“แต่ไหนแต่ไรมาพวกเจ้าชมชอบรบทัพจับศึก ถือสงครามเป็นเกียรติยศ ชายแดนไม่มีวันใดสงบ สงครามไม่มีวันจบสิ้น”  

 

 

“พวกเจ้ามีแต่ใจหวังผลประโยชน์ ไม่มองเรื่องของประเทศชาติ มองข้ามประชาชน การกระทำของพวกเจ้าเป็นการทำลายชาติทำร้ายประชาชนอย่างแท้จริง”  

 

 

“พวกเจ้ายังกล้าอวดความดีเรียกร้องความชอบเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไปต้าโจวของพวกเราจักยิ่งไม่สงบ บ้านเมืองจะล่มด้วยน้ำมือของพวกเจ้า”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงจูซานจึงเป็นขุนนางล่มชาติ พวกเจ้าจึงเป็นทหารล่มชาติ”  

 

 

แม้คนมากมายกำลังเอ่ยวาจาอยู่ แต่พวกเขาทุกคนเสียงชัดใสกระจ่าง กังวานมีพลัง แต่ละประโยคๆ ขว้างเข้ามาใส่กองทัพทหารด้านนี้ และดังกระจ่างชัดเจนในหูของชาวบ้านรอบด้าน   

 

 

เป็นเช่นนี้หรือ?  

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง  

 

 

พวกเขาทำสงครามกล้าหาญไม่ใช่เรื่องดีอะไร แล้วก็ไม่ใช่มีความชอบตรงกันข้ามกลับมีความผิดสินะ  

 

 

พูดไปแล้วตอนแรกที่เกิดสงคราม ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนวันคืนไม่วางใจ ตอนที่ได้ยินว่าจะเจรจาสงบศึกก็ดีใจอย่างที่สุดจริงๆ แต่เฉิงกั๋วกงกลับคัดค้านการเจรจาสงบศึกแล้วยังทำสงครามกับชาวจินอีก  

 

 

ชาวจินโกรธแค้นมากลั่นวาจาว่าจะส่งทหารมาอีกสิบหมื่น เป็นเช่นนี้ต่อไปสงครามคงไม่จบไม่สิ้นจริงๆ  

 

 

สิ้นเปลืองเงินทอง ร้านค้าล้วนเริ่มเรียกเก็บเงิน เบี้ยหวัดของขุนนางทั้งหลายก็หยุดจ่าย เห็นได้ว่าท้องพระคลังว่างเปล่าถึงขั้นใดแล้ว  

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนไม่มีสักวันได้สงบสุข  

 

 

ทหารคืออาวุธร้าย เป็นเช่นนี้จริงๆ  

 

 

สีหน้าของประชาชนทั้งหลายอารมณ์สับสนปนเป สายตาที่มองไปทางทหารทั้งหลายเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว  

 

 

บรรดาทหารทั้งหลายก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน  

 

 

แม้ถ้อยคำที่บัณฑิตพูดนี้ส่วนใหญ่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ แต่ประโยคสุดท้ายฟังเข้าใจแล้ว  

 

 

ส่วนสายตาของประชาชนทั้งหลายรอบด้าน พวกเขาก็มองเข้าใจแล้ว  

 

 

ทหารผู้ล่มชาติ ทหารผู้มีความผิด  

 

 

ที่แท้พวกเขาคือตัวตนเช่นนี้หรือ?  

กำลังพลของเฉิงกั๋วกงไม่ธรรมดาจริงๆ  

 

 

ทหารตั้งกระบวนทัพ เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ กระทั่งเสียงกีบเท้าม้าก็ดังพร้อมเพรียง  

 

 

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือกลิ่นคาวเลือดของพวกเขา  

 

 

ชาวบ้านนับไม่ถ้วนก้าวถอยไปด้านหลังประหนึ่งสายลมพัดรวงข้าวเป็นระลอกคลื่น คนทุกคนล้วนสีหน้าดุจดิน ลมหายใจชะงัก  

 

 

ไม่ ไม่ พวกเขาไม่กล้า  

 

 

ในใจบุรุษที่ขวางกลางถนนตะโกนบ้าคลั่ง  

 

 

จะ จะสังหารผู้คนจริงๆ รึ?  

 

 

ทหารที่กำลังทำหน้าที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าหวาดกลัว  

 

 

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เดินหน้า  

 

 

สีหน้าของพลหอกด้านนี้นิ่งเฉยไม่เปลี่ยน  

 

 

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ถอยหลัง  

 

 

ชาวบ้านที่เบียดอยู่บนถนนใหญ่ด้านนี้สีหน้าหวาดกลัว คนมากมายยืนไม่มั่นคงแล้ว  

 

 

ดูเหมือนพวกเขาจะฆ่าคนจริงๆ  

 

 

ไม่ถูก พวกเขาเดิมก็ฆ่าคนได้จริงๆ เคยฆ่าคนมานับไม่ถ้วน  

 

 

ได้ยินว่าฆ่าคนมากเข้าจะเปลี่ยนไปกระหายการฆ่า ไม่แบ่งแยกว่าใครแม้แต่น้อย  

 

 

พวกเขาเพียงอยากได้เงิน จะพ่วงชีวิตไปด้วยรึ?  

 

 

ใครบอกว่าเฉิงกั๋วกงรักเกียรติยศจอมปลอม ละโมบชื่อเสียงดีงามกัน?  

 

 

ทำไมลืมเสียได้ว่าชื่อเสียงของเขามาจากไหน นั่นเป็นสิ่งที่สังหารฝ่าภูเขาโลหิตทะเลเลือดจึงได้มา ความดีความชอบของแม่ทัพคนหนึ่งก็คือโครงกระดูกนับหมื่น นั่นยอมไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร  

 

 

“หนีเร็ว!”  

 

 

ไม่รู้ว่าคนไหนตะโกนออกมาก่อน ฉับพลันฝูงชนทั้งหมดก็ทลาย หนีไปข้างหลังและสองด้าน บ้างร้องไห้ บ้างตะโกน บ้างรองเท้าหลุด บ้างถูกชนจนตนเองล้มลุกคลุกคลาน  

 

 

พร้อมกับความวุ่นวายเหล่านี้ พลหอกที่ตั้งกระบวนทัพเคลื่อนที่อยู่ก็ประหนึ่งรถยักษ์เคลื่อนบดขยี้มาไม่หยุดสักนิด  

 

 

“เก็บ!”  

 

 

เสียงตะโกนใสกังวาน หอกยาวเก็บขึ้น ขบวนแถวเปลี่ยนอีกหน พลธนูก้าวขึ้นหน้า พลโล่เป็นสองปีก พลหอกอยู่ตรงกลาง  

 

 

การเปลี่ยนรูปขบวนระหว่างเคลื่อนที่ไม่ได้วุ่นวายสักนิด ขัดกับสภาพฝูงชนที่ร้องไห้ตะโกนวิ่งวุ่นวายสองด้านอย่างชัดเจน  

 

 

การปรับเปลี่ยนที่เหมือนไม่ได้ขยับ ขึงขังเช่นนี้ เป็นระเบียบพร้อมเพรียงเช่นนี้ นำความงามที่ชวนให้คนตาพร่าสติมึนงงมา ฝูงชนที่เอะอะเงียบลงแล้ว แต่ละคนๆ อดไม่ได้ขนหัวลุก  

 

 

นี่ก็คือกระบวนทัพ นี่ก็คือแม่ทัพหาญทหารกล้าที่สังหารโจรจินจนขอเจรจาสงบศึกได้  

 

 

กระบวนทัพรุดเคลื่อนไปด้านหน้าคล้ายก่อนหน้านี้ไม่ถูกขัดขวางสักนิด ไกลออกไปเสียงร้องสรรเสริญดังขึ้นอีกหน เทียบกับก่อนหน้านี้ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญของคนที่ชมดูเรื่องสนุกนั่นมีความยำเกรงเพิ่มขึ้นมาแล้ว  

 

 

บุรุษที่สะดุดล้มนั่งอยู่บนพื้น วิ่งหนีจนเสียรองเท้าไปข้างหนึ่งแล้วยังถูกชนจนผมเผ้ากระเซิงเงยหน้าขึ้นอย่าง อเนจอนาถอยู่บ้าง ขณะที่มองดูกระบวนทัพทหารจากไปไกล สีหน้าหวาดกลัวก็ยังไม่หายไป  

 

 

ทำไมเป็นเช่นนี้?  

 

 

พวกเขาถึงกับกล้าใช้ดาบหอกกับประชาชน!  

 

 

น่ากลัวเกินไปแล้ว! น่ากลัวเกินไปแล้ว!  

 

 

นี่เป็นแม่ทัพผู้โหดเหี้ยม! นี่มันผู้ร้ายกระหายเลือด!  

 

 

ส่วนนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ด้านข้างยากปิดบังความยำเกรงและอิจฉา  

 

 

นี่สิถึงเป็นทหาร ทหารกล้าที่กรำศึกมานาน  

 

 

ร้ายกาจเกินไปแล้ว  

 

 

ร้ายกาจเกินไปแล้ว  

 

 

เฉีนชีที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนวางมือที่ป้องอยู่ข้างปากลง  

 

 

“ข้าร้ายกาจจริงๆ ตะโกนทีหนึ่งก็ทำคนเหล่านี้กลัวขี้หดตดหาย”เขาหัวเราะเอ่ยเบาๆ “น่าจะให้จิ่นซิ่วมาดูด้วยจริงๆ”  

 

 

ผู้ดูแลคนหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางหัวเราะแล้ว  

 

 

“นายท่านชี ท่านอย่าก่อเรื่องเลย” เขาหัวเราะเอ่ย  

 

 

เฉินชีมองฝูงชนที่ขวัญผวาไม่หายอเนจอนาถอย่างยิ่งสองข้าง  

 

 

“ท่านกั๋วกงเกรียงไกร กองทหารชิงซานเกรียงไกร” เขาประสานมือหน้าร่างตะโกนเสียงดังพลางยกมือขึ้น “เต๋อเซิ่งชางแสดงความยินดี”  

 

 

พนักงานด้านนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ได้ยินเสียงก็ยกตะกร้าเงินใบโตขึ้นอีกหนทันที  

 

 

เงินเป็นสิ่งที่ยั่วยวนคนที่สุดเสมอ  

 

 

ชาวบ้านที่เดิมทีตระหนกผวาอยู่ได้สติกลับมาทันที แห่มาด้านนี้จนอลหม่าน  

 

 

นี่ทำให้ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เมื่อครู่ลุกขึ้นมายืนขวางถนนถูกพุ่งชนจนคว่ำซ้ายล้มขวา ร้องตะโกนร่ำไห้คร่ำครวญขึ้นมาอีกหนทันที  

 

 

เสียงเอะอะด้านหลังถูกเสียงร้องสรรเสริญด้านหน้ากลบไป  

 

 

บรรดาทหารเรียกสีหน้านิ่งขรึมกลับมาอีกครั้ง ในเมื่อเป็นชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร  

 

 

พวกเขามาจากแดนเหนือที่อันตรายที่สุด ด้านนั้นปฏิบัติกับชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวายด้วยเยี่ยงศัตรู การโจมตีของศัตรูย่อมไม่มีสิ่งใดให้ตกใจและเศร้าโสก  

 

 

จ้าวฮั่นชิงตัดผ่านขบวนแถวมาถึงตรงใจกลาง  

 

 

ด้านนี้แม่ทัพที่ห้อมล้อมเฉิงกั๋วกงอยู่สีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

ไม่เหมือนกับนายทหารทั้งหลาย พวกเขารู้ว่าจะมีคนก่อเรื่องล่วงหน้า  

 

 

คลื่นใต้น้ำเหล่านี้ในเมือง เฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางไม่รู้  

 

 

เห็นจ้าวฮั่นชิงเข้ามา บรรดาแม่ทัพทั้งหลายก็พยักหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน  

 

 

“ทหารดี” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย  

 

 

“ไม่รู้ว่าเจ้าคนน่าชังคนไหนตะโกนขึ้นมา ทำคนเหล่านี้หนีไปแล้ว” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย เสียดายอยู่บ้าง  

 

 

คำสั่งของเฉิงกั๋วกงคือเปิดทางแล้วไม่ต้องถือสาอีก ไม่เช่นนั้นจ้าวฮั่นชิงคงกล้าลงมือสังหารสักหลายคนจริงๆ  

 

 

“เชือดไก่ให้ลิงดู ขู่ให้กลัวเสียบ้าง จะได้ไม่มีคนก่อเรื่องอีก” นางว่า  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน  

 

 

“คนบางพวกขู่ให้กลัวได้ คนบางพวกไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น ไม่ได้ปล่อยผ่านไปเพราะคำพูดเป็นเด็กของจ้าวฮั่นชิง “ไม่อาจทำเหมือนกันหมดได้ แล้วก็ไม่ใช่สังหารถ่ายเดียวจะคลี่คลายได้”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานตอบ  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปยังทำเช่นนี้ไหม?” นางเอ่ยถาม  

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า จ้าวฮั่นชิงจึงหันหัวม้าไปด้านหน้า  

 

 

“ท่านกั๋วกง ต่อไปยังมีอีกหรือขอรับ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองไปด้านหน้า เมืองที่ตั้งอยู่ไกลๆ ดุจดั่งสัตว์ร้ายตัวยักษ์  

 

 

“เมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย เข้าก็ไม่ง่าย” เขาเอ่ยขึ้นมา  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในพระราชวังเสียงดนตรีประกอบพิธีการลอยมา นี่หมายความว่าฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักจะขึ้นไปบนหอเหนือประตูวังแล้ว  

 

 

บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่นอกประตูพระราชวังรีบจัดเสื้อผ้าและหมวก หยุดคุยเล่น กำลังจะเคลื่อนขบวนไปทางนอกประตูเมือง กลับเห็นคนขบวนหนึ่งขี่ม้าวิ่งมาบนถนนเสด็จพระราชดำเนิน  

 

 

เห็นสีหน้าของขบวนคนม้านี่ ทุกคนล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

 

“เฮ้อ เจ้าดูสิ นี่พวกเขาไปแล้วกลับมาแล้วไหม?” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบากับหนิงอวิ๋นเจา  

 

 

ไม่เช่นนั้นจากเวลาแล้วไม่มีทางจัดการปัญหาแล้วเร่งกลับมาทันแน่นอน  

 

 

ดูเช่นนี้เรื่องด้านนั้นคงคลี่คลายแล้ว?  

 

 

เฉิงกั๋วกงจัดการเองแล้วรึ?  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบติดจะดีใจอยู่บ้าง  

 

 

“ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ฟ้าคุ้มครองจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างพึงพอใจจากใจจริง  

 

 

ขุนนางมองเขาปราดเดียวก็รู้สึกว่าเขาพูดได้ดีมีเหตุผลไม่รู้จะเอ่ยต่ออย่างไร  

 

 

“ฝ่าบาททรงมีบุญญาธิการ” เขาก็ได้แต่พยักหน้าเอ่ยตาม  

 

 

เสียงดนตรีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หวงเฉิงที่ยืนอยู่หน้าสุดของขบวนแถวรับเสด็จฮ่องเต้อย่างไม่ได้ร้อนรนเท่าใด แต่สีหน้าสุขุมฟังเสียงกระซิบของคนข้างกาย  

 

 

สีหน้าของเขาไม่รีบร้อนไม่ลนลานแล้วยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่อีก  

 

 

“เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงดั่งพระโพธิสัตว์ ลงมือดุจอสนีบาตจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

สีหน้าคนที่มาย่อมไม่นิ่งสงบเช่นนี้  

 

 

“คนเหล่านี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ขี้กลัวเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเบาท่าทางร้อนรนอยู่บ้าง  

 

 

หวงเฉิงยิ้มๆ มีความเวทนาหลังผ่านโลกมามาก  

 

 

“เดิมก็เป็นชาวบ้านพ่อค้าตัวเล็กตัวน้อยที่มาเพื่อเงินไร้คุณธรรมยึดมั่น อย่าเคร่งไป” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“เฉิงกั๋วกงคนนั้นโหดเหี้ยมเช่นนี้ ต่อไป…” ผู้ที่มาท่าทางวิตกอยู่บ้าง  

 

 

หวงเฉิงยิ้มๆ  

 

 

“ไม่ ไม่ ต้องเชื่อมั่น บนโลกนี้คนมากมายยังมีความกล้าหาญอยู่” เขาเอ่ย สีหน้าจริงจังทั้งยังจริงใจ “ร่ำเรียนหนังสือของเหล่าปราชญ์ แตกฉานหลักคุณธรรม ย่อมก้าวไปหาความตายอย่างไร้ความกลัว”  

 

 

พูดพลางก็ยิ้มอีกหน  

 

 

“นอกจากนี้ เฉิงกั๋วกงรักประชาชนประหนึ่งลูก จะพูดว่าเขาโหดเหี้ยมได้อย่างไรเล่า?”  

 

 

เขาล่ะอยากดูเฉิงกั๋วกงถูกบีบให้โหดเหี้ยมสักทีจริงๆ อยากดูสิเฉิงกั๋วกงจะสละชื่อเสียงดีงามลงหรือไม่  

 

 

ผู้ที่มาสีหน้ากระจ่าง ไม่เอ่ยวาจาอีกก้มศีรษะถอยออกไป  

 

 

หวงเฉิงคล้ายหันศีรษะมองไปด้านข้าง  

 

 

“อยู่ดีๆ ข้าก็อยากดูละคร” เขาเอ่ยเสียงเบากับสหายขุนนางข้างกาย  

 

 

สหายขุนนางไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลายแต่อย่างใด คล้ายกับพวกเขาคุยประเด็นนี้มาตลอด  

 

 

“วันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีย่อมต้องร่วมฉลอง รอฉลองความดีความชอบให้เฉิงกั๋วกงเสร็จ พวกเราค่อยดูละครกับบัณฑิตหวง” เขาเอ่ยเสียงเบาท่าทางนอบน้อม  

 

 

หวงเฉิงยิ้มเล็กน้อย  

 

 

“…ข้าเป็นเช่นซือหม่าซือถูกล้อมหน้าเขาเถี่ยหลง ข้าประหนึ่งพยัคฆ์ลงเขายืนบนที่ราบ ยังคล้ายมังกรบนน้ำตื้นร่วงหล่นเกยชายหาด…” เขาฮัมเพลงเสียงเบาพลางก้าวไวๆ เข้าไปรับขบวนเกียรติยศของฮ่องเต้ที่เดินออกมาจากในพระราชวัง  

 

 

……………………………………….  

 

 

ส่วนเวลานี้กองทัพของเฉิงกั๋วกงที่เคลื่อนเข้ามาก็หยุดลงอีกหน  

 

 

เบื้องหน้าเห็นประตูเมืองหลวงอยู่เลือนราง แต่ถนนหลวงกว้างขวางกลับถูกขวางไว้อีกหน  

 

 

ครั้งนี้ยังคงเป็นร้อยกว่าคน ไม่มีสตรีเป็นบุรุษล้วนๆ อายุมีแก่มีเด็ก ไม่เอะอะโวยวายร่ำไห้ร้องตะโกน แต่นั่งคุกเข่าสง่าเงียบสงบอยู่กลางถนน  

 

 

พวกเขาล้วนสวมอาภรณ์บัณฑิต สีหน้าเคร่งขรึมบรรยากาศไม่ธรรมดา  

 

 

นั่งสง่าเป็นระเบียบเงียบสงบเช่นนี้ กลับมีบรรยากาศน่าเกรงขามไม่แพ้กระบวนทัพฝั่งนี้ของเฉิงกั๋วกง  

 

 

นี่คือบัณฑิตผู้คงแก่เรียนของกั๋วจื่อเจี้ยนแห่งเมืองหลวง รวมถึงนักเรียนจากต่างถิ่นที่มาร่ำเรียน แม้ไม่มีตำแหน่งไม่มียศกลับทำให้คนเคารพเลื่อมใส มีบารมีแบบที่ขุนนางใหญ่พระญาติเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นไม่มี  

 

 

เวลานี้บนศีรษะพวกเขาล้วนผูกผ้าป่านไว้ ธงผืนใหญ่ผืนหนึ่งปักอยู่กลางกลุ่ม  

 

 

ธงสีขาวอักษรสีเลือด ปลิวสะบัดพรึบพรับตามสายลมฤดูร้อน อักษรตัวใหญ่บนนั้นเผยสู่สายตาของทุกผู้คน  

 

 

ทหารล่มชาติ  

 

 

ธงขาวดั่งไว้อาลัย สีเลือดดุจหยดน้ำตา อักษรสี่ตัวประหนึ่งคำตวาด  

ขวางทางร้องทุกข์ย่อมต้องทำกับขุนนางที่นับถือเชื่อถือ  

 

 

เฉิงกั๋วกงอยู่ที่เมืองหลวงได้รับความรักความนับถือมากมายเช่นนี้จริงๆ  

 

 

นายทหารทั้งหลายแถวหน้าอดไม่ได้ภาคภูมิใจ  

 

 

ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับความยุติธรรมอันใด?  

 

 

ความคิดเพิ่งแล่นผ่านไปก็ได้ยินคนกลุ่มนั้นตะโกนเสียงดังขึ้นมา  

 

 

“เฉิงกั๋วกงใช้หอกโล่เป็นเหตุ เรียกร้องทรัพย์สิน!”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงชอบศึกกระหายสงคราม ก่อภัยโกลาหลสี่น่านน้ำ!”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงใช้สงครามสร้างความมั่งคั่ง ปล้นชิงหนทางมีชีวิตของประชาชน!”  

 

 

เสียงตะโกนนี้ก้องกังวานบนถนนใหญ่ทำให้คนทั้งหมดสีหน้าตะลึงงัน  

 

 

นายทหารทั้งหลายที่เดิมทีฮึกเหิมอยู่บ้างยิ่งตะลึง  

 

 

อะไรกัน?  

 

 

ชอบศึกกระหายสงคราม? ก่อภัยโกลาหลสี่น่านน้ำ?  

 

 

ว่าใคร? ว่า…พวกเขาหรือ?  

 

 

ระหว่างที่ตะลึง ผู้คนที่คุกเข่าอยู่นั้นไม่รู้คนไหนยกมือขึ้น เขวี้ยงผลไม้เน่าลูกหนึ่งเข้ามา  

 

 

อาจด้วยระยะห่างไกลอยู่บ้างหรืออาจเพราะคนที่โยนผลไม้ตื่นเต้นตัวสั่นไม่มีแรง ผลไม้จึงไม่ได้ขว้างถูกตัวบรรดานายทหาร แต่ร่วงตกอยู่บนพื้นเบื้องหน้าพวกเขา ส่งเสียงดังเผละ  

 

 

ที่จริงเสียงไม่ดัง แต่ไม่รู้เหตุใด เมื่อลอยมาถึงหูบรรดานายทหารจึงกังวานก้องเป็นพิเศษ คล้ายกระสุนหินที่กองทหารชิงซานขว้างหน้ากระบวนทัพเมื่อครานั้น ระเบิดสะเทือนหูดังวิ้งๆ  

 

 

น้ำจากผลไม้นั่นคล้ายกระเซ็นเปื้อนบนใบหน้าบนร่างกายของพวกเขา เหนียวเหนอะหนะทิ่มแทงเจ็บปวดแสบร้อน  

 

 

“ชอบศึกกระหายสงคราม!”  

 

 

“ทำลายชาติทำร้ายประชาชน!”  

 

 

“คืนทางรอดให้เรา!”  

 

 

“ผลาญเกลี้ยงท้องพระคลัง!”  

 

 

“ประชาชนไร้ทางทำมาหากิน!”  

 

 

เสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ผลไม้มากกว่าเดิมขว้างมา ฝูงชนที่นิ่งอึ้งไปในที่สุดก็ได้สติกลับมา ที่ตรงนั้นฮือฮา  

 

 

เมื่อนายทหารทั้งหลายที่กำลังทำหน้าที่พุ่งเข้าไปขับไล่ คนที่คุกเข่าอยู่เหลานี้ก็พยายามสุดกำลังขัดขืน ทำเป็นมองไม่เห็นดาบหอกกระบองในมือนายทหารเหลานี้  

 

 

“ทหารสังหารคนแล้ว!”  

 

 

ยังมีหญิงชราหลายคนล้มกลิ้งบนพื้น ร่ำไห้คร่ำครวญชนเข้าใส่ทหาร  

 

 

นายทหารย่อมไม่มีทางลงมือสังหารชาวบ้านเหล่านี้จริงๆ ชั่วขณะประหนึ่งตกลงในหลุมโคลน เกาะหนึบอย่างยิ่ง สถานการณ์โกลาหลไปหมด  

 

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”  

 

 

“เป็นคนที่ก่อนหน้านี้จ่ายเงินไม่ไหวไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งร้านน่ะ”  

 

 

“จ่ายเงินจ่ายเงินอะไร?”  

 

 

“แน่นอนย่อมเป็นเงินที่ให้รางวัลเฉิงกั๋วกง”  

 

 

“ไม่เห็นเคยได้ยินนะ?”  

 

 

“เจ้าโง่รึ เจ้าไม่ได้ยินว่าเบี้ยหวัดของพวกขุนนางยังถูกเรียกบริจาคด้วยรึ พ่อค้าเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น”  

 

 

เสียงถามไถ่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ประหนึ่งสายลมแผ่ขยาย เสียงร้องสรรเสริญแต่เดิมสลายหายไป ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่สีหน้ากลายเป็นแปลกประหลาด อารมณ์สับสนปนเป  

 

 

กระบวนทัพทหารยังคงเคร่งครัด กำลังพลล้วนยืนนิ่งไม่ขยับสักนิด แต่บรรยากาศเหี้ยมหาญเช่นนั้นก่อนหน้านี้ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ตะโกนโวยวายรวมถึงสายตาคลางแคลงทั้งหมดนี้คล้ายถูกลอกออกจนอ่อนแอลงไปมาก  

 

 

……………………………………….  

 

 

เบื้องหน้าพระราชวังขุนนางนับไม่ถ้วนยืนเรียงแถวตามลำตับตำแหน่ง เพราะฮ่องเต้ยังไม่เสด็จ ทุกคนจึงล้วนพูดคุยเล่นเสียงเบา บรรยากาศสบายและผ่อนคลาย  

 

 

แต่ไม่นานทหารองครักษ์ก็ขี่ม้าเร็วรี่มากระซิบหลายประโยคกับขุนนางผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนรีบร้อนเดินเข้าไปด้านใน ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่ง บนลานกลายเป็นเอะอะอยู่บาง  

 

 

“ทำไมเป็นเช่นนี้ได้?”  

 

 

“ถึงกับถูกขวางไว้แล้ว”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า?”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ท้ายขบวน ได้ยินเสียงถกเถียงแผ่วเบาของผู้คนรอบด้านก็ถอนหายใจทีหนึ่ง  

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงถอนหายใจให้ใครกันหรือ?” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา “ถอนหายใจเศร้าโศกแทนเฉิงกั๋วกงรึ?”  

 

 

แม้หนิงอวิ๋นเจาจะถ่อมตัวแต่อย่างไรก็เป็นหลายของหนิงเหยียน หนิงเหยียนปกป้องสนับสนุนเฉิงกั๋วกงให้ทำศึกจนถูกปลดออกจากตำแหน่ง คนมากมายยังคงจัดให้เขาเป็นพวกที่ปกป้องเฉิงกั๋วกงโดยไม่รู้ตัว  

 

 

“ก็พูดเช่นนั้นได้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตอบ สีหน้านิ่งสงบ “แต่ความจริงโศกเศร้าแทนฝ่าบาท อย่างไรเฉิงกั๋วกงก็เป็นหน้าตาของฝ่าบาท เวลานี้ถูกคนขวางไว้ ไม่อาจเข้าเฝ้าตามเวลาได้ พระพักตร์ของฝ่าบาทก็หม่นราศี”  

 

 

เอาเถอะ หนิงอวิ๋นเจาเป็นคนที่เชื่อฟังพระบัญชาฮ่องเต้มากกว่า จุดนี้ทุกคนล้วนทราบ  

 

 

คนผู้นั้นกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ชี้ขุนนางชั้นสูงที่ก้าวเร็วไวเดินไปด้านนอกหลายคน  

 

 

“พวกผู้ใหญ่ไปกันแล้ว น่าจะจัดการได้” เขาเอ่ยเสียงเบา “คงไม่ถ่วงฤกษ์ดีของการเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรอก”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาก็พยักหน้า  

 

 

“ข้าเชื่อว่าเฉิงกั๋วกงจะปกป้องพระพักตร์ของฝ่าบาทได้” เขาเอ่ย  

 

 

เชื่อเฉิงกั๋วกง? เฉิงกั๋วกงจะปกป้องอย่างไร? ยอมรับความผิดขออภัยกับพ่อค้าตัวเล็กตัวน้อย ผู้เฒ่าด็กน้อยสตรีที่ขวางทางให้พวกเขายอมเปิดทางรึ?  

 

 

บรรดาขุนนางที่ได้ข่าวทางนี้รีบร้อนออกจากวัง ห่างออกไปเจ็ดลี้ด้านนั้นเสียงเอะอะก็ยิ่งดังขึ้น  

 

 

ฝูงชนที่แห่มาแทบจะขวางนายทหารผู้กำลังทำหน้าที่ซึ่งได้ข่าวเร่งมาช่วยเหลือรักษาระเบียบไว้ได้ชะงัด บนถนนใหญ่ชาวบ้านร่ำไห้โวยวายร้องตะโกนยื้อยุดกับเหล่าทหาร คนกลุ่มหนึ่งที่ถูกเต๋อเซิ่งชางโปรยเงินล่อไปกลางถนนก็เริ่มร้องตะโกนโวยวายด้วย  

 

 

“ต้องการพบเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“ให้เฉิงกั๋วกงออกมา!”  

 

 

“ให้คำอธิบายกับพวกเรา!”  

 

 

คนเกือบร้อยคนร้องตะโกนเสียงดัง โบกสะบัดป้ายผ้า ถึงขั้นพุ่งเข้าไปหากระบวนทัพทหาร  

 

 

ความฮึกเหิมบนใบหน้าของเหล่านายหทารที่ยืนอยู่แถวหน้าของกระบวนทัพหายไปนานแล้ว ที่มาแทนที่คือความนิ่งเฉย แล้วยังมีความงุนงงรวมถึงความผิดหวังที่ยากจะปกปิดอยู่ด้วย  

 

 

กระบวนทัพพลันแหวกออก คนสวมเกราะผู้หนึ่งขี่ม้าเยาะย่างออกมา  

 

 

เมื่อมองเห็นผู้ที่มา คนที่นั้นล้วนตะลึงไปวูบหนึ่ง  

 

 

แม้สวมชุดเกราะสวมหมวกปิดบังหน้าตา แต่มั่นใจไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง  

 

 

ในกองทหารถึงกับมีสตรีด้วย?  

 

 

การปรากฏตัวของสตรีผู้นี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง เสียงเอะอะไม่ทันรู้ตัวก็น้อยลงไปมาก  

 

 

“นี่ พวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายเพราะทางการเรียกเก็บเงินแต่ไม่ยอมจ่ายตามกฏงั้นรึ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามเสียงดัง  

 

 

ได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงได้ลูกสะใภ้ของเขาพาทหารไปช่วยกลับมาจากอี้โจว ถ้าเช่นนั้นนี่ก็คือสาวน้อยข้างกายของภรรยาท่านชายคนนั้นรึ?  

 

 

บุรุษที่เป็นหัวหน้าดวงตาเป็นประกาย  

 

 

ไม่ว่าผู้ที่ออกมาเป็นใคร ขอแค่ออกมาเอ่ยถาม เรื่องราวย่อมโยงไปถึงเฉิงกั๋วกงแน่นอน ดูสินายหทารที่เดิมทียื้อยุดพวกเขาเหล่านี้ เวลานี้ล้วนลังเลจนหยุดไปแล้ว  

 

 

นอกจากนี้ยังให้แม่นางน้อยคนหนึ่งออกมาถามอีก แม่นางน้อยจัดการง่ายดายเท่าไรล่ะ  

 

 

เขาห้ามความยินดีคลุ้มคลั่งในใจไม่ได้ ขานรับเสียงดัง คนอื่นก็ขานตอบรับตามเขา ที่ตรงนั้นเสียงดังวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

“…ทางการเก็บเงินของพวกเราก็เพื่อ…” เขาเอ่ยต่อเสียงดัง แต่คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ถูกเด็กสาวขัด  

 

 

“มีคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม มีความผิด” นางเอ่ยเสียงดัง “มั่วสุมก่อเรื่องเป็นการก่อความวุ่นวาย ชาวบ้านผู้มีความผิด ชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายตามกฎหมายควรลงโทษ พวกเจ้ารีบมอบตัวเสียแต่โดยดี”  

 

 

อะไรนะ? ชาวบ้านผู้มีความผิดชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย? มอบตัวเสียแต่โดยดี?  

 

 

ที่เกิดเหตุซึ่งเสียงดังวุ่นวายอยู่เงียบลงอีกหน  

 

 

พูดอะไรน่ะ? พวกเขาจะเป็นผู้มีความผิดผู้ก่อความวุ่นวายได้ยังไง? นางคิดว่านางเป็นใครกัน!  

 

 

บุรุษที่เป็นหัวหน้าได้สติกลับมา ทั้งขำทั้งโมโห  

 

 

เป็นจอมยุทธ์หญิงบ้านนอกจริงๆ ไร้ความรู้ทั้งยังน่าขัน  

 

 

“พวกเราไม่ใช่ผู้ก่อความวุ่นวาย พวกเราถูกกดขี่…” เขาตะโกนเอ่ย  

 

 

เสียงยังไม่ทันจบก็ถูกเด็กสาวคนนั้นขัดอีกหน  

 

 

“พวกเรารับราชโองการให้เข้าเมือง พวกเจ้ารีบถอยไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นถือเป็นการขัดราชโองการ” นางตวาดเสียงดัง “ผู้ที่กล้าขัดราชโองการ สังหารไม่เว้น”  

 

 

สังหารไม่เว้น? จริงหรือหลอก?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึงไปแล้ว แม่นางน้อยคนนี้เอ่ยวาจาใหญ่โตอะไร?  

 

 

ความคิดเพิ่งเล่นผ่านไปก็เห็นแม่นางน้อยคนนั้นยกคันศรในมือขึ้นเล็งมาหาพวกเขาแล้ว ตามหลังการกระทำของนาง นายทหารหลังร่างก็แทบจะยกคันศรขึ้นในเวลาเดียวกัน  

 

 

ลูกศรวาววับเย็นเยียบน่าขนลุกทอประกายอยู่ตรงหน้า นี่ทำให้ชาวบ้านที่ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนร้องตะโกนตกใจพักหนึ่ง แห่กันถอยหลัง  

 

 

บรรยากาศหนาวยะเยือกทำให้บุรุษที่เป็นหัวหน้าพลันขวัญสะท้านไปวูบหนึ่งเหมือนกัน สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดนิ่ง  

 

 

สังหารไม่เว้น? จะเป็นไปได้อย่างไร? หากบอกว่าคนที่เผชิญหน้าเวลานี้เป็นองครักษ์เสื้อแพร พวกเขาคงไม่มีทางสงสัย แต่เฉิงกั๋วกงจะทำเรื่องเหมือนองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไรเล่า?  

 

 

“อย่ามาโกหก ข้าไม่เชื่อ เฉิงกั๋วกงผู้มีความเป็นธรรมรักประชาชนดั่งลูกจะยิงสังหารพวกเราประชาชนที่ได้รับความอยุติธรรมเหล่านี้” เขาตะโกนเสียงดังแล้วยังก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง  

 

 

คนอื่นก็ทำใจให้สงบด้วย  

 

 

“ไม่ผิด พวกเราได้รับความอยุติธรรมมาเรียกร้องความเป็นธรรม”  

 

 

“พวกเราเป็นประชาชน ไม่ใช่โจรจิน”  

 

 

“ทหารไม่กล้าฆ่าพวกเรา”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงจะสังหารประชาชนแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงด่าเสียงร้องไห้ดังขึ้นวุ่นวาย ฝูงชนก็แห่แหนมาข้างหน้าอีกครั้ง  

 

 

“ยิง”  

 

 

เสียงสตรีกังวานใสทั้งยังมีความโหดเหี้ยมดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟึบฟึบ ศรดอกแล้วดอกเล่าพลันบินมาอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

เสียงร้องตกใจดังขึ้นรอบด้าน กระทั่งทหารที่ทำหน้าที่รักษาระเบียบอยู่ก็ส่งเสียงร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว  

 

 

ยังดีศรเหล่านั้นไม่ได้ยิงลงบนตัวคนจริงๆ แต่ปักลงเป็นแถวเบื้องหน้าเท้าของชาวบ้านที่โถมเข้ามาเหล่านั้น  

 

 

ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้ชาวบ้านแถวหน้ากลัวจนทรุดนั่งลงกับพื้น กรีดร้องเสียงหลง  

 

 

ถึงกับยิงจริงๆ !  

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่ตรงกลางสีหน้าหวาดกลัวไม่มั่นใจ แต่ก็กัดฟัน  

 

 

ดูสิ แม้พวกเขากล้ายิง แต่ไม่กล้ายิงคน ก็แค่เสแสร้งวางท่า  

 

 

“อย่ากลัวพวกเขา” เขาตะโกนพลางสะบัดมือ “พวกเราต้องการคำอธิบาย! พวกเราต้องการคำชี้แจง!”  

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนของเขา ฝูงชนที่ตระหนกไม่มั่นใจก็ลังเลก้าวเข้ามาครั้งหน้าอีกหน  

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็เก็บคันศรแล้ว นายทหารด้านหลังก็เก็บคันศรไปตามการเคลื่อนไหวของนางแล้วเช่นกัน  

 

 

ดูสิ ดูสิ พวกเขากลัวแล้ว!  

 

 

ฝูงชนดีใจวูบหนึ่ง ความยินดียังไม่ทันจางก็เห็นเด็กสาวผู้นั้นชักหอกยาวออกมา  

 

 

“ตั้งกระบวนทัพ เดินหน้า!” นางตวาดเสียงกังวาน หอกยาวในมือสะบัดมาด้านหน้า ชี้ไปยังฝูงชนที่ขวางทางด้านนี้  

 

 

หลังร่างเสียงพรึบพรับดังพร้อมเพรียง กระบวนทัพเคลื่อนไหวพร้อมกัน พลธนูแถวหน้าถอยหลัง พลหอกแถวหนึ่งออกมา  

 

 

“ฮ่ะ!”  

 

 

พร้อมกับเสียงตวาดรับพร้อมเพรียง ทะยานม้าตั้งกระบวนทัพเดินหน้า  

 

 

เสียงกีบเท้าม้ากระหึ่ม พื้นดินสั่นสะเทือน สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมนิ่งเฉยคล้ายที่เผชิญหน้าอยู่มิใช่ประชาชนแต่เป็นโจรจิน หอกยาวในมือเย็นเยียบน่าขนลุกพากลิ่นอายโลหิตมา  

 

 

บรรยากาศหนาวยะเยือกจู่โจมมามืดฟ้ามัวดิน  

เมื่อท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ทั้งเมืองหลวงก็เอะอะอย่างยิ่ง คนนับไม่ถ้วนแห่มายังประตูเมืองทิศใต้  

 

 

พวกเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวงจากที่นี่ ตัดผ่านเมืองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนิน หลังจากนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าพระราชวัง  

 

 

เหลาสุราร้านนำชาบนถนนเส้นนี้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนก็ถูกจองหมดแล้ว คนที่จองไม่ได้และจองที่สูงๆ ไม่ไหว ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มายึดครองที่บนถนน  

 

 

ตั้งแต่ในเมืองจนไปถึงนอกเมืองคนเบียดอยู่เต็ม ที่ซึ่งฝูงชนมากที่สุดย่อมเป็นประตูเมืองกับถนนเสด็จพระราชดำเนิน เพราะที่นี่จะมีองค์ชายมาต้อนรับด้วยองค์เอง รวมถึงการเข้าเฝ้าฮ่องเต้  

 

 

นอกจากที่นี่ สถานที่อื่นก็ฝูงชนแออัดเช่นกัน จากที่สูงสุดบนประตูเมืองมองออกไป ฝูงชนแทบจะเรียงรายไปจนถึงค่ายทหารนอกเมืองที่นั่น  

 

 

เพื่อรักษาระเบียบ กรมทหารม้าห้าเมืองรวมถึงกองทหารองครักษ์เคลื่อนพลนับพันคน เพียงแต่ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ทั้งทหารเหล่านี้ก็สังกัดกองทหารองครักษ์ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพร อำนาจข่มขวัญไม่พอ เสียงเอะอะและการเบียดเสียดจึงเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้  

 

 

“ครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ” บุรุษสวมชุดไหมหรูหราคนหนึ่งที่อยู่ในห้องที่สูงที่สุดของเหลาสุราใกล้ประตูเมืองถอนหายใจเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ชวนให้คนเลื่อมใส”  

 

 

“แต่สำหรับคนพวกนี้แล้ว ที่จริงสงสัยใคร่รู้มากกว่า” มีคนหัวเราะเรียบเฉย “เลื่อมใสอะไรคงเรียกไม่ได้”  

 

 

“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่แดนเหนือ” มีอีกคนหัวเราะหยันเช่นกัน “หากเฉิงกั๋วกงคิดว่าจะเหมือนอยู่ที่แดนเหนือเช่นนั้นได้ เกรงว่าคงต้องผิดหวังแล้ว”  

 

 

บุรุษสวมชุดผ้าไหมหรูหราผู้นั้นหัวเราะแล้ว  

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?” เขาหันศีรษะกลับมาเอ่ยถาม  

 

 

บุรุษหลายคนพยักหน้า  

 

 

“เพื่อไม่ให้พลาด” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านหน้า “จึงจัดคนไว้นอกเมืองสิบลี้”  

 

 

“ถึงเวลาเฉิงกั๋วกงมาไม่ได้ ข่าวย่อมแจ้งมาให้ทุกคนได้ทราบสาเหตุเอง เช่นนี้ย่อมไม่ทำให้องค์ชายเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายด้านนี้ตื่นระหนก” บุรุษอีกคนอมยิ้มเอ่ย  

 

 

คนบางพวกหาเรื่องได้ คนบางพวกหาเรื่องไม่ได้ ตรรกะนี้พวกเขาที่เป็นพ่อค้ารู้ชัดยิ่งกว่าใคร  

 

 

บุรุษชุดไหมหรูหราพยักหน้า สีหน้าพึงพอใจรั้งสายตากลับ มองไปยังนอกประตูเมืองไกลๆ  

 

 

“หวังว่าเฉิงกั๋วกงจะชอบเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้” เขายิ้มเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อกระบวนทัพสี่เหลี่ยมก้าวออกจาค่ายใหญ่นอกเมือง ฝูงชนที่รอคอยอยู่ด้านนี้ก็ส่งเสียงเอะอะทันที  

 

 

กำลังพลเหล่านี้ไม่เหมือนกับกองทหารองครักษ์ที่เห็นประจำวันอย่างสิ้นเชิง ชุดเกราะของพวกเขาแม้นับไม่ได้ว่าสวยงาม รูปร่างก็ไม่สูงใหญ่อย่างเช่นเหล่าทหารองครักษ์ แต่ก็เป็นเพราะความเก่าอยู่บ้างผอมแกร็นอยู่บ้างนั่นที่ยิ่งเสริมกลิ่นอายเหล็กและคาวเลือด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดาบหอกกระบี่คันศรโล่ที่พวกเขาพกเหล่านั้น กดทับจนก้าวเท้าของม้าล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน  

 

 

ยามเผชิญหน้าเสียงโห่ร้องที่ระลอกหนึ่งดังกว่าระลอกหนึ่งกะทันหันนี้ กำลังพลในกระบวนทัพล้วนไม่ขยับสักนิด คล้ายดวงตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน  

 

 

อิทธิพลของภาพท่ามกลางพายุใหญ่คลื่นยักษ์ข้ายืนตระหง่านไม่ขยับเช่นนี้ยิ่งทำให้คนที่มาชมเรื่องสนุกฮึกเหิมอย่างยิ่ง  

 

 

มีทหารม้าของกองทหารองครักษ์หลายคนขี่เร็วรี่มา  

 

 

“ฝ่าบาทออกจากตำหนักบรรทมแล้วขอรับ”  

 

 

“บรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ออกจากประตูวังแล้วขอรับ”  

 

 

ออกจากพระราชวังเวลาใด อยู่ตำแหน่งไหนเวลาใด ต้อนรับเวลาใด นั่นล้วนเป็นฤกษ์ดีที่โหรทำนายไว้แล้ว ไม่ใช่บอกจะไปก็ไปได้ตามสบาย  

 

 

ได้ยินรายงานฝั่งนี้ ขุนนางด้านนี้ที่รออยู่ก็ส่งสัญญาณให้เฉิงกั๋วกงทันที  

 

 

“ท่านกั๋วกง ออกเดินทางได้แล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย  

 

 

เฉิงกั๋วกงส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แตรสัญญาณและกลองศึกฉับพลันดังขึ้น ทัพใหญ่เคลื่อนไหวพร้อมเพรียง  

 

 

แตรสัญญาณฮูมฮูมหนักหน่วงเสียงกลองก็ฮึกเหิม แรงสั่นสะเทือนยามกีบเท้าเหล็กตกพื้นพร้อมเพรียง ทำให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่สองฝั่งเส้นขนลุกชัน หลังเงียบอยู่พักหนึ่งก็ร้องสรรเสริญดังกว่าเดิม  

 

 

“ตอนทำศึกก็กระบวนทัพเช่นนี้ใช่หรือไม่?”  

 

 

“นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ”  

 

 

“มิน่าทำให้ชาวจินกลัวจนไม่กล้ารุกรานได้”  

 

 

“เจ้าโง่รึ ชาวจินก็มีกระบวนทัพเช่นกัน บนสนามรบทำสงครามล้วนเป็นเช่นนี้”  

 

 

กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุย เสียงเอะอะประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมแผ่ขยาย  

 

 

ได้ยินเสียงเอะอะไกลออกไปลอยมา ฝูงชนที่รออยู่ด้านนี้ก็วุ่นวายพักหนึ่ง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“ห้ามเบียด!”  

 

 

“ถอยหลัง!”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงตำหนิเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกเบียดปะปนอยู่ด้วยกัน ทั้งถนนใหญ่อื้ออึงอย่างยิ่ง นายทหาร เจ้าพนักงาน ทหารองครักษ์ทิ่มกระบองชูแส้ม้าหวดตีพักหนึ่งถึงทำให้ฝูงชนสงบลงได้  

 

 

ตรงที่แถบนี้มีคนไม่น้อยสีหน้าประหลาด คล้ายหนักใจคล้ายตื่นเต้นคล้ายตึงเครียดทั้งยังตื่นเต้นอยู่เลือนราง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“เตรียมพร้อม”  

 

 

“อย่าเพิ่งขยับก่อน”  

 

 

“ฟังคำสั่ง”  

 

 

เสียงแผ่วเบาส่งต่อกันไปในฝูงชน คนไม่น้อยเริ่มรวมตัวกันไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังโครม  

 

 

“เต๋อเซิ่งชางแจกรางวัล”  

 

 

พร้อมกันนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง?  

 

 

แจกรางวัล?  

 

 

แจกรางวัลอะไร?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปวูบหนึ่ง มองตามเสียงไปแล้วตะลึงทันที  

 

 

เห็นเพียงสองข้างทางคนหลายคนฉับพลันโผล่ออกมา ในมือถือตะกร้าอยู่ เวลานี้กำลังเทตะกร้าไปด้านข้าง เงินมากมายดุจสายฝนสาดกระจาย  

 

 

เสียงโครมนี่ก็คือเสียงเงินร่วงตกพื้นนี่เอง  

 

 

ฝูงชนชะงักหนึ่งวูบหนึ่งจากนั้นก็เฮละโล คนนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เงินบนพื้น  

 

 

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีกำลังจะรวมตัวเข้าด้วยกันฉับพลันถูกพุ่งกระแทกจนวุ่นวาย นอกจากนี้ในหมู่พวกเขาก็มีคนไม่น้อยวิ่งเข้าใส่เงินที่สาดร่วงอยู่ด้วย  

 

 

“อย่าไป!”  

 

 

“ห้ามไป!”  

 

 

“รีบกลับมา!”  

 

 

เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นวุ่นวาย ทว่าต่อหน้าเงินตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแย่งชิงกับคนมากมาย สติปัญญาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว การเคลื่อนไหวคล้ายเป็นไปตามสัญชาติญาณ  

 

 

เห็นฝูงชนที่พริบตาวุ่นวายกระจายไป บุรุษหลายคนที่เป็นแกนนำก็ถลึงตากัดฟัน  

 

 

“เจ้าตัวสายตาคับแคบเหล่านี้” พวกเขาเอ่ยสียงเบาแต่ก็จนปัญญา อย่างไรหากไม่ใช่สายตาคับแคบก็คงไม่มีทางถูกเงินของพวกเขารวบรวมมา  

 

 

ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่สาดเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าชิงชัง  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง!  

 

 

รวยจนไม่มีที่ใช้เงินนักรึ? มาร่วมสนุกอะไรด้วย วุ่นวายจริง!  

 

 

สาดเงินเวลานี้ไม่กลัวชักนำความโกลาหลรึ? พวกนายทหารรีบขับไล่พวกเขาสิ จับพวกเขามาลงโทษสิ!  

 

 

แต่การสาดเงินของเต๋อเซิ่งซางนี่สาดได้มีชั้นเชิงยิ่งนัก ประการแรกอยู่ลึกเข้าไปสองฝั่งฟากถนน แล้วยังมีบรรดาพนักงานรักษาระเบียบไม่ให้คนเบียดเหยียบกันอีก  

 

 

ฝูงชนถูกดึงออกไป ข้างถนนใหญ่จึงเบียดเสียดน้อยลงแล้ว ดังนั้นเหล่านายทหารที่วุ่นจนหายใจไม่ทันกลับได้ผ่อนหายใจ พวกเขาจึงไม่ได้ไปขับไล่คนของเต๋อเซิ่งชาง ตรงกันข้ามรู้สึกขอบคุณอยู่นิดๆ คล้ายอยากให้พวกเขาสาดเงินไปตลอด  

 

 

นี่ทำให้คนหลายคนฝั่งนี้ยิ่งโกรธจนเต้นผาง  

 

 

“มาแล้ว!”  

 

 

คนหนึ่งในนั้นเสียงลนลานอยู่บ้างตะโกนขึ้นมา ยื่นมือชี้ด้านหน้า  

 

 

กองทัพทหารบนถนนใหญ่ประหนึ่งขุนเขากลิ้งมา ที่ๆ มาถึง เสียงโห่ร้องพลันดังขึ้น  

 

 

รอไม่ได้แล้ว! บุรุษที่เป็นแกนนำกัดฟันทีหนึ่ง  

 

 

“ไม่ต้องสนใจคนที่แย่งเงินพวกนั้นแล้ว มีคนเท่าไรก็เท่านั้น ไม่อาจรอได้แล้ว รอกระบวนทัพนี่เดินเข้าใกล้พวกเราก็พุ่งเข้าไปไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

คนรอบด้านเห็นกระบวนทัพทหารใกล้เข้ามาทุกที ในใจก็ตะลึงงัน บรรยากาศนี่น่าสะพรึงเกินไปแล้วอย่างแท้จริง  

 

 

พวกเขาถึงขั้นรู้สึกว่าหากพุ่งออกไปขวางทาง กองทหารเหล่านี้คงเหยียบย่ำผ่านบนร่างพวกเขาไปเหมือนมองไม่เห็น  

 

 

“ไม่มีทาง ที่นี่คือเมืองหลวง นี่คือใต้พระบาทโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่ใช่โจรจินเสียหน่อย” บุรุษที่เป็นแกนนำเอ่ย “แล้วยังใต้สายตาของประชาชนนับหมื่นอีก เฉิงกั๋วกงไม่กล้าแน่นอน”  

 

 

เหตุผลนี้ก็ถูก ความหวาดหวั่นของผู้คนรอบด้านถดถอยไป  

 

 

“เร็วๆ ขวางทางไว้”  

 

 

“เอาป้ายผ้าออกมา”  

 

 

พร้อมกับความวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่รวมตัวอยู่ด้วยกันก็พุ่งไปกลางถนน  

 

 

นายทหารที่เพิ่งผ่อนลมหายใจชั่วขณะรับมือไม่ทัน ถูกพุ่งชนจนโงนเงนโซเซ เบิ่งตามองคนหนึ่งร้อยกว่าคนวิ่งไปตรงกลางถนน  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนรอบด้านล้วนได้สติมองมา สีหน้าประหลาดใจ  

 

 

นายทหารทั้งหลายเลิกคิ้ว  

 

 

จะก่อเรื่อง!  

 

 

“เร็ว รีบไล่ไป”  

 

 

แต่สายไปแล้ว กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าแล้ว  

 

 

มองเห็นผืนดินฝั่งนี้ฉับพลันฝูงชนโผล่ออกมาขวางทาง สีหน้าขึงขังของนายทหารแถวหน้าสุดพลันปรากฏความประหลาดใจ รวมถึงไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง  

 

 

“หยุด”  

 

 

ธงโบกสะบัดส่งสัญญาณ กีบเท้าม้าย่ำหนักหน่วง กระบวนทัพที่กำลังเคลื่อนที่พริบตายืนมั่นคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับแล้ว  

 

 

การเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงพรึบพรับนี่นำความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมมา เสียงเอะอะรอบด้านพลันเงียบลง  

 

 

กระทั่งนายทหารในหน้าที่ทั้งหลายที่จะพุ่งออกมาขับไล่คนเหล่านี้ก็หยุดลงโดยไม่ทันรู้ตัวด้วย ท่าทางกริ่งเกรงอยู่บ้างมองไป  

 

 

ฝั่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด  

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่กลางถนนพรูลมหายใจ  

 

 

บังคับให้หยุดได้จริงๆ  

 

 

แม้คนน้อยลงไปมาก เคลื่อนไหวก็ลนลานอยู่มาก ไม่บรรลุถึงความเคร่งขรึมอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้า แต่ดีเลวก็ยังทำได้แล้ว  

 

 

เขาคุกเข่าลงดังตึก พร้อมกับที่เขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ บนถนนใหญ่ก็คุกเข่าลงพรึบพรับเช่นกัน ป้ายผ้าเจ็ดแปดผืนถูกยกชู  

 

 

“ท่านกั๋วกง ให้ทางรอดพวกเราประชาชนตัวน้อยด้วยเถิด”  

 

 

เสียงตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้นในเวลาเดียว  

 

 

เห็นภาพนี้ นายทหารมากมายในกระบวนทัพอดไม่ได้เบิ่งตา สีหน้าประหลาดใจทั้งยังฉงน  

 

 

นี่ก็คือพบผู้เป็นใหญ่ใจเป็นธรรมขวางถนนเรียกร้องความเป็นธรรมที่บนเวทีละครแสดงกันรึ?  

 

 

พวกเขาจะร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเฉิงกั๋วกงหรือ?  

บุรุษวัยกลางคนโกรธแทบตาย แต่เขาก็ไม่อาจอ้าปากด่าเสียงดังตรงนี้ได้  

 

 

เพราะหนิงอวิ๋นเจาปากพร่ำพูดบอกว่ากำลังปกป้องฮ่องเต้  

 

 

แม้เขาชิงชังหนิงอวิ๋นเจาผู้ประจบอย่างไม่มีแก่นสารคนนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะเป็นขุนนางที่เคียดแค้นดั่งศัตรูรู้จักแต่เหตุผลไม่รู้จักเจ้าแผ่นดิน  

 

 

เขาไม่คิดว่าคำพูดที่เอ่ยตอนนี้เวลานี้นาทีนี้จะปิดบังองครักษ์เสื้อแพรได้ ปิดบังองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ย่อมปิดบังฮ่องเต้ไม่ได้เช่นกัน  

 

 

เขาอยากพูดอะไรก็ไม่รู้ควรพูดอย่างไร เห็นหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่กลางผู้คนทั้งยังคุยจ้อแล้ว  

 

 

นี่ใครพาหนิงอวิ๋นเจาเข้ามา? เรื่องดีงามถูกเขาทำยุ่งหมดแล้ว  

 

 

เขาโกรธแค้นมองกวาดในห้อง  

 

 

……………………………………….  

 

 

“เช่นนี้ก็ไม่อาจโน้มน้าวได้เท่าไร”  

 

 

หนิงสืออีถอนหายใจเอ่ย  

 

 

“พวกเขาวางแผนมานานแล้ว หน้าของฮ่องเต้พวกเขาย่อมขบคิดมาแล้ว”  

 

 

เขามองไปทางหนิงอวิ๋นเจา  

 

 

หนิงอวิ๋นเจากับหนิงเหยียนนั่งประจันหน้าเดินหมากกันอยู่  

 

 

“ข้ารู้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ยิ้มให้หนิงสืออี “เกลี้ยกล่อมได้เท่าไรก็เท่านั้น(”  

 

 

อนาคตคนก่อเรื่องที่ประตูเมืองน้อยลงสักหลายคนก็ดี  

 

 

น้อยลงสักหลายคนมีประโยชน์อะไรเล่า ที่สำคัญคือเรื่องนี้กดไม่ลงอีกแล้ว  

 

 

“สถานการณ์ไม่ดีนะ” หนิงสืออีถอนหายใจเอ่ยต่อ  

 

 

“เมืองหลวงวันนี้ภายใต้ลมสงบคลื่นใต้น้ำกำลังถาโถม”  

 

 

“บริจาคเบี้ยหวัดให้รางวัลแม่ทัพ นี่สำหรับบรรดาขุนนางพลเรือนและบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เคยมีมาก่อน ยากจะยอมรับจริงๆ”  

 

 

“ที่สำคัญกว่าคือไม่ใช่เงินมากเงินน้อย แต่เรื่องนี้ไม่อาจเริ่มเป็นเยี่ยงอย่างได้”  

 

 

“มีหนึ่งย่อมยากเลี่ยงมีสอง ทุกคนไม่มีทางให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ต้องก่อเรื่องขัดขวางแน่”  

 

 

หนิงเหยียนวางเม็ดหมากในมือลง ถอนหายใจเบาๆ  

 

 

“พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เฉิงกั๋วกงขอความดีความชอบครั้งนี้ขอได้ไม่เหมาะกาละเทศะ” เขาเอ่ย  

 

 

เฉิงกั๋วกงกลับมาหลังเจรจาสงบศึก นอกจากนี้ถึงกลับมาจากเขตแดนของชาวจินได้ทว่าไม่ได้ชนะครั้งใหญ่แต่ถูกคนช่วยหนีรอดจากความตายออกมา  

 

 

พูดให้ชัดไม่ใช่ได้ชัยชนะครั้งใหญ่กลับมา ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากเช่นนี้ยากจะกล่อมผู้คนได้จริงๆ  

 

 

“ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกใต้เท้าหวงก็คงไม่เห็นด้วยกับการพระราชทานรางวัลครั้งนี้อย่างเต็มที่เช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย  

 

 

“นี่มันฆ่าคนด้วยการสรรเสริญ” หนิงสืออีเอ่ย “ผลักเขามาบนยอดคลื่นลม หลังจากนั้นดึงประชาชนและเหล่าขุนนางให้มองเฉิงกั๋วกงเป็นอริ”  

 

 

เขาพูดพลางกระเถิบไปข้างหน้าอีกครั้ง แทบจะชนกระดานหมากคว่ำ  

 

 

“เหล่าขุนนางเป็นอริ นี่คือล่วงเกินทั้งราชสำนัก ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงอันตรายแล้ว”  

 

 

พูดพลางก็ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น  

 

 

“เข้าเมืองหลวง เกรงว่าเมืองหลวงนี่ก็เข้าไม่ได้แล้ว”  

 

 

หนิงเหยียนสีหน้าบึ้งตึง  

 

 

“ไม่มีวิธีแล้วรึ?” เขาเอ่ย “จะปล่อยให้ความชั่วร้ายดำเนินไป หลอกลวงเบื้องสูง หลอกลวงประชาชนหรือ?   

 

 

“ไม่แน่” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ไม่แน่ว่าจะโชคร้ายปานนั้น”  

 

 

“สถานการณ์เลวร้ายมาก พี่สิบในใจท่านย่อมรู้ชัด ทำไมยังเอ่ยวาจาเช่นนี้?” หนิงสืออีขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว คีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา  

 

 

“เพราะพวกเขาเห็นเพียงเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวง แต่ลืมแล้วว่าที่จริงยังมีอีกคนหนึ่งจะเข้าเมืองหลวงด้วย” เขาเอ่ย  

 

 

พูดพลางก็วางเม็ดหมากในมือลง ยิ้มเล็กน้อย  

 

 

“ข้าชนะแล้ว”  

 

 

หนิงเหยียนกับหนิงสืออีมองกระดานหมากโดยไม่ทันรู้ตัว เห็นหมากดำของหนิงอวิ๋นเจาชนะแน่นอนแล้วจริงๆ  

 

 

“เอ๋! ก่อนหน้านี้ท่านพ่อยังครองความเหนือกว่าอยู่เลยนะ?” หนิงสืออีอดไม่ได้ร้องเอ๋ทีหนึ่ง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มพลางมองกระดานหมาก  

 

 

“ดังนั้น อย่าได้ดูแคลนหมากตัวใดตัวหนึ่ง” เขาเอ่ย “ก้าวไม่ระวังก้าวหนึ่งก็อาจทำให้เจ้าแพ้ทั้งกระดานได้”  

 

 

ยื่นมือลูบหมากเม็ดน้อยเกลี้ยงวาวดำดั่งหมึกเบาๆ  

 

 

“นอกจากนี้หมากเม็ดนี้มีแผนการอยู่ก่อนแล้ว แต่ะก้าวๆ ล้วนตั้งใจ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“รู้อยู่แล้วเชียวว่าพ่อค้าใหญ่เหล่านี้ชักใยอยู่เบี้องหลัง”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบากับเฉินชี  

 

 

“แล้วยังออกเงินอีกไม่น้อยสนับสนุนคนกลุ่มหนึ่ง”  

 

 

เฉินชีขมวดคิ้วแน่น  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนี่นับดูแล้วจำนวนคนก็มีหลายร้อยคนแล้ว” เขาเอ่ย “ใช้ได้จริงๆ ถึงกับยุคนได้มากปานนี้”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะ ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง  

 

 

“ใช้ได้อะไรเล่า ก็แค่หว่านเงินซื้อ” เขาเอ่ยขึ้น “ผู้ใหญ่กี่อีแปะ เด็กกี่อีแปะ ร้องไห้กี่อีแปะ ล้วนบอกชัดเจนแจ่มแจ้ง”  

 

 

เฉินชีสบถทีหนึ่ง  

 

 

“หน้าไม่อายจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

แต่คนหน้าไม่อายนี่มักจะจัดการยากที่สุดเสมอ เขาอยู่ในห้องเดินไปมา ยากปิดบังความร้อนรน  

 

 

“นายน้อยทราบแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม “คุณหนูจวินที่แท้ไปที่ใดแล้ว? เรื่องนี้นางสนใจหรือไม่?”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเท้าอีกหน ปรบมือทีหนึ่ง  

 

 

“หากนางไม่เข้าเมืองหลวงด้วยกัน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องสนใจด้วยสิ เฉิงกั๋วกงถูกกลั่นแกล้งไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะแล้ว  

 

 

“เสี่ยวชีเอ๋ย ตอนนี้ไม่ว่านางอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วยก็ผูกอยู่กับเฉิงกั๋วกงแล้ว เฉิงกั๋วกงผู้นี้เป็นนางช่วยกลับมา เฉิงกั๋วกงเสียหน้า ถ้าอย่างนั้นนางก็เสียหน้าด้วย” เขาเอ่ยแล้วครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ นางมีแผนอยู่ก่อนแล้ว นายน้อยด้านนั้นก็มีแผนการอยู่เหมือนกัน”  

 

 

“ถ้าให้ข้าออกความเห็นนะ ง่ายดายยิ่งนัก แสดงตัวตนออกมาเสีย คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง ดูสิใครยังกล้าขวางทาง” เฉินชีเอ่ย  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“นั่นไยไม่ใช่ขาดทุนแล้ว?” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินไม่มีคนกล้าขวาง เฉิงกั๋วกงก็ไม่อาจถูกขวางเช่นกัน นี่เป็นเรื่องคนละเรื่อง ชื่อเสียงคุณงามความชอบคนละอย่าง”   

 

 

เขาเอ่ยพลางกุมมือ สีหน้าจริงจังแน่วแน่  

 

 

“สักอย่างก็ไม่อาจเสียไปได้”  

 

 

……………………………………….  

 

 

วันที่เก้าเดือนห้า ท้องฟ้าฤดูร้อนยังไม่ทันสว่าง ในจวนสกุลลู่ก็จุดโคมไฟสว่าง  

 

 

“องค์หญิงมาแล้ว”  

 

 

นอกประตูเสียงดังขึ้น ลู่อวิ๋นฉีที่กำลังรับชุดขุนนางที่บ่าวหญิงสองนางส่งมาพลันชะงัก มองดูองค์หญิงจิ่วหลีที่เดินเข้ามา  

 

 

“วันนี้หรือ?” นางเอ่ยถาม “ใต้เท้าเช้าปานนี้?”  

 

 

องค์หญิงกับใต้เท้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเรื่องปรนนิบัติสวมชุดขุนนางให้ใต้เท้า องค์หญิงย่อมไม่มีทางทำเช่นกัน ถึงขั้นที่ผ่านมานานปานนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมายังห้องพักผ่อนของลู่อวิ๋นฉี  

 

 

บ่าวหญิงสองนางก้มศีรษะสวมชุดให้ลู่อวิ๋นฉี  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกางแขนออกปล่อยให้พวกนางทำงาน เพียงส่งเสียงอืมตอบองค์หญิงจิ่วหลี  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก เพียงยืนอยู่ด้านข้างคล้ายมองลู่อวิ๋นฉีสวมชุดขุนนางอย่างตั้งใจ  

 

 

นางไม่ได้มองตนเอง ในใจลู่อวิ๋นฉีรู้ชัดยิ่งนัก เขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจา สวมชุดสีแดงสด สวมหมวกขุนนางเสร็จ ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลียืนอยู่ตรงประตูมองส่ง มองดูลู่อวิ๋นฉีถูกองครักษ์เสื้อแพรขบวนหนึ่งห้อมล้อมจากไปข้างนอก คลับคล้ายสามีภรรยาผูกพันลึกซึ้ง  

 

 

นางก็จะกลับมาด้วยหรือ?  

 

 

“ใต้เท้า พ่อค้ากับนักเรียนเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเข้ามาใกล้ลู่อวิ๋นฉีพลางเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าไร้ความรู้สึก  

 

 

“เฉิงกั๋วกงด้านนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ยังคงตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหลวง” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยต่อ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังคงไม่พูดไม่จาไม่สนใจใยดี เดินมานอกประตูมองดูเหล่าทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อยดาบปักวสันต์ไว้ที่เอวยืนนิ่ง   

 

 

“คุณหนูจวินยังไม่มีข่าวคราว” หัวหน้ากองพันเจียงในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “หลังที่อำเภอจิ้นเซี่ยนข่าวคราวขาดไปก็ไม่ทราบร่องรอย”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพลิกกายขึ้นม้า  

 

 

“วันนี้นางจะมา” เขาเอ่ยพลางมองไปยังถนนด้านหน้า บนถนนยังคงดำสนิทไปหมด “ดูซิว่าพวกเขาจะขวางนางได้หรือไม่”  

 

 

……………………………………….  

 

 

และเวลานี้ในค่ายใหญ่แห่งหนึ่งนอกเมืองหลวง โคมไฟก็จุดสว่างเช่นกัน กำลังพลแถวแล้วแถวเล่ากำลังรวมตัวกัน เห็นเพียงธงสีสันสดใส เสียงกีบเท้าม้าดังกระหึ่ม รวมตัวเป็นกระบวนทัพเป็นระเบียบกองหนึ่ง  

 

 

ชุดเกราะวาววับ หอกยาวประหนึ่งป่า เพราะการเคลื่อนไหวเป็นระเบียบพร้อมเพรียงเกินไป ชั่วแวบหนึ่งดูคล้ายคนในกระบวนทัพทั้งหมดหยุดนิ่งไม่ขยับ แต่กระบวนทัพทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ ประหนึ่งป้อมปราการหลังหนึ่งกลิ้งบดขยี้มา  

 

 

เห็นบรรยากาศเช่นนี้ ทหารองครักษ์ทั้งหลายที่ค่ายทหารนอกเมืองก็อดไม่ได้สีหน้าซีดขาวสูดลมหายใจเย็นเยือก  

 

 

พวกเขารู้อยู่แล้วว่ากองทหารในสนามรบเหล่านี้ไม่เหมือนกับทหารองครักษ์ หลายวันก่อนดูไปแล้วไม่แตกต่างมากอะไรนัก เวลานี้รวมพลตั้งกระบวนทัพถึงรู้ว่าบรรยากาศกดดันคนมากเท่าใด  

 

 

กำลังพลขบวนหนึ่งเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงอีกครั้ง ที่แท้เป็นเฉิงกั๋วกงขี่ม้ามาท่ามกลางวงล้อมของแม่ทัพกลุ่มหนึ่ง ทั้งร่างยังคงเป็นชุดเกราะหมวกเกราะสีขาวทั้งร่างนั่น ในมือกำดาบยาวอยู่  

 

 

เห็นเฉิงกั๋วกงมาถึงหน้ากระบวนทัพ กระบวนทัพก็หยุดลงจากนั้นเงียบกริบไร้เสียง ใต้ท้องฟ้าราตรีประดุจหมึกใกล้สว่างมีเพียงเสียงพรึบพรับของคบไฟกับธงหลากสีสัน  

 

 

สายตาเฉิงกั๋วกงกวาดผ่านกระบวนทัพ  

 

 

พวกเขาเข่นฆ่าศัตรูมาสิบปี อยู่ที่ชายแดนกวัดแกว่งดาบกระบี่ ห่มเลือดอาบเปลวเพลิง สิ่งที่ทำก็คือเฝ้ารักษาชายแดนเพื่อช่วงชิงความสงบสุขให้ประชาชนข้างหลังเหล่านี้เสพ  

 

 

ตอนนี้มีโอกาสกลับมาดูคนเหล่านี้ที่พวกเขาปกป้อง มองดูแผ่นดินอันรุ่งเรืองแห่งนี้ที่มีความดีความชอบของพวกเขาอยู่ แล้วก็ให้ประชาชนที่ถูกปกป้องได้มองดูบรรดาทหารแม่ทัพที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เหล่านี้แล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงชูดาบยาวในมือ  

 

 

“เข้าเมือง” เขาเอ่ย  

 

 

กระบวนทัพเคลื่อนพร้อมเพรียง หอกยาวชูสูง เสียงประหนึ่งอสนีบาตคำรน  

 

 

“เข้าเมือง!”  

 

 

“เข้าเมือง!”  

หนิงอวิ๋นเจาไม่เพียงเอ่ยเช่นนี้อย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังยกเท้าเดินออกไปข้างนอกจริงๆ  

 

 

สหายขุนนางด้านในดูไม่ได้อีกต่อไป  

 

 

“พอแล้วพอแล้ว ใต้เท้าหนิงท่านไม่ต้องเสแสร้งแล้ว” เขาลุกขึ้นก้าวไวๆ เข้ามาดึงหนิงอวิ๋นเจาไว้ เอ่ยกับคนที่เข้าประตูมา “พวกเจ้าอยู่ด้านนอกคุยอะไรกัน? พวกเราอยู่ในห้องฟังไม่ชัด”  

 

 

คนที่มา รวมถึงผู้คนที่อยู่นอกประตูอึ้งไปจากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย  

 

 

“ใต้เท้าหนิงไม่ใช่สองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่างรึ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว  

 

 

“ที่สองหูไม่ฟังคือเรื่องนอกหน้าต่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง” เขากดเสียงเบาเอ่ย  

 

 

คนข้างในข้างนอกตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ล้วนหัวเราะ ทั้งยังค่อนข้างสะท้อนใจ  

 

 

นี่เป็นถ้อยคำจริงแท้นัก ไม่ปกปิดเสแสร้งสักนิด คนทุกคนล้วนพูดว่าเพื่อส่วนรวมไม่เห็นแก่ส่วนตัว แต่ใครจะไม่มีความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงได้เล่า?  

 

 

“ใต้เท้าหนิงก็อย่าแอบฟังเช่นนี้เลย” ฉับพลันก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาเอ่ยขึ้น “พวกเรากำลังจะออกไปทานอาหารง่ายๆ สักมื้อ ไม่สู้ใต้เท้าหนิงไปด้วยกันกับพวกเราเถอะ”  

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนด้านหลังร่างก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง  

 

 

“ดีๆ พวกเราไปด้วยกัน” คนในห้องเดียวกับหนิงอวิ๋นเจาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาก็พยักหน้าด้วย  

 

 

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

เห็นหนิงกับเจากับคนหลายคนเดินไปข้างหน้า หลายคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง  

 

 

“ทำไมเรียกเขาเล่า เขาแซ่หนิงนะ” คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเบา “หนิงเหยียนเป็นคนที่ปกป้องเฉิงกั๋วกง”  

 

 

แต่อีกคนส่ายศีรษะทันที  

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงกับใต้เท้าหนิงไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ไม่เหมือนกันอย่างไร ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ข้อศอกจะหักออกข้างนอกได้หรือ?” คนก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

“ไม่ๆ ไม่หักออกข้างนอก แต่เขาหักเข้าหาตัวเขาเอง” อีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ใช่แล้ว ครั้งก่อนตอนใต้เท้าหนิงคัดค้านการเจรจาสงบศึก ขุนนางน้อยหนิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไร” มีคนเขยิบเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้เพระเขาเอ่ยเตือน หลายคนถึงไม่เป็นปลาติดหลังแหไปด้วย ไม่ใช่แค่พวกที่สนับสนุนสงครามยังมีพวกที่เจรจาสงศึกด้วย”  

 

 

ฟังทุกคนเล่าเช่นนี้ คนที่เดิมทีสงสัยพลันสีหน้าประหลาดใจจากนั้นก็เข้าใจ  

 

 

“เช่นนี้ดูท่าขุนนางน้อยหนิงจะฉลาดยิ่ง ถ้าอย่างนั้นให้เขาหารือด้วยกันสักหน่อย บางทีอาจมีความคิดเห็นที่ไม่เลว” เขาเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในเหลาสุราตระกูลจางที่ตั้งอยู่ในแถบซึ่งรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวง กลางวันกลางคืนล้วนครึกครื้นอย่างยิ่ง  

 

 

เวลานี้ในห้องส่วนตัวที่กว้างขวางห้องหนึ่งคนนั่งอยู่เต็ม แต่ละคนๆ แม้ดูไปแล้วสวมใส่เรียบง่าย แต่ชูมือยกเท้าก็มีบรรยากาศน่าเกรงขามอยู่บ้าง พนักงานต้อนรับตาแหลมมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นขุนนางเมืองหลวง  

 

 

แน่นอนพนักงานต้อนรับก็มองออกพร้อมกันว่าตำแหน่งของคนเหล่านี้ไม่สูง ขุนนางเช่นนี้ที่เมืองหลวงมากมายนัก คนส่วนมากเต็มที่ก็เป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อย  

 

 

แต่ขุนนางเมืองหลวงอย่างไรก็เป็นขุนนางเมืองหลวง พวกเขาจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยึดครองเมืองหลวงมานานปีความสัมพันธ์ซับซ้อนไม่อาจดูแคลน  

 

 

พวกเขาคุยเล่นเอื่อยเฉื่อย คำพูดคำจาเรียบง่ายแต่เฉียบคมแฝงนัย หลังสุราชาหลายถ้วยผ่านไปก็หารือหลายๆเรื่อง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ความเห็นของทุกคนล้วนเหมือนกัน”  

 

 

บุรุษอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพูด เอ่ยวาจาอย่างชำนาญประหนึ่งขยับมือขยับเท้า เห็นชัดว่าเป็นคนที่คลุกคลีในวงขุนนานมาเนิ่นนานคนหนึ่ง  

 

 

“เฉิงกั๋วกงต้องการรางวัลถึงขั้นควักท้องพระคลังจนว่างเปล่า แล้วยังบีบบังคับให้พ่อค้าออกเงิน ขุนนางออกเบี้ยหวัด การกระทำนี้โอหังเหิมเกริมจริงๆ”  

 

 

ผู้คนที่นั่งอยู่พากันพยักหน้า  

 

 

“ใช่แล้ว เขากระหายความชอบ ละโมบสงครามทำร้ายประชาชน”  

 

 

“วันนี้กองทหารทุกกองล้วนเอาอย่างเขาแล้ว แย่งความชอบแย่งรางวัลถ่ายเดียว ประหนึ่งพวกพยัคฆ์สุนัขป่าเจ้าเล่ห์”  

 

 

“หากครั้งนี้ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ วันหน้ายิ่งต้องได้คืบจะเอาศอกแน่”  

 

 

“วันนี้ปล้นกำไรพ่อค้า เบี้ยหวัดร้อยขุนนาง ร้อยอีแปะไม่กี่ตำลึง วันหน้าก็ปล้นร้อยตำลึงพันตำลึงได้ ถึงเวลาไม่รู้พ่อค้าเท่าไรจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”  

 

 

ชั่วเวลาหนึ่งคำพูดดังขึ้นไม่ขาด  

 

 

บุรุษลุกขึ้นยืนพอใจกับปฏิกิริยาของทุกคนมาก ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบสายหนึ่ง  

 

 

“บรรดาพ่อค้าที่ถูกรังแกบีบบังคับเหล่านั้นตัดสินใจรวมตัวกันร้องเรียนแล้ว พวกเราในฐานะขุนนางไม่สะดวกดำเนินการ ดังนั้นพวกเราต้องเกลี้ยกล่อมเหล่านักเรียนให้ร้องขอชีวิตแทนเหล่าพ่อค้า รวมชื่อเสนอความเห็น และรวมตัวหยุดเรียน รับประกันว่าจะมีการรับฟัง” เขาเอ่ย  

 

 

บรรดาพ่อค้าร้องเรียนน่ะช่างเถิด นักเรียนหยุดเรียนนี่สิเรื่องใหญ่ นักเรียนคือผู้ได้รับการศึกษา เป็นขุนนางและบัณฑิตในอนาคต ตัวแทนขนบความคิดของบ้านเมือง หากพวกเขาออกหน้าตอบโต้ย่อมจุดคลื่นลมครั้งใหญ่ได้แน่นอน  

 

 

ในห้องฉับพลันยิ่งครึกครื้น  

 

 

“ทุกคนคิดว่าอย่างไร?” บุรุษเอ่ยถามอีกครั้ง แล้วก็เพียงเอ่ยถามเท่านั้น ในใจมั่นใจว่าจะไม่มีใครคัดค้าน อย่างไรเรื่องนี้ก็เคลื่อนไหวมาช่วงหนึ่งแล้ว  

 

 

เสียงของเขาเพิ่งจบก็ได้ยินมีคนเอ่ยเสียงกังวานใส  

 

 

“ข้าคิดว่าไม่ดี”  

 

 

เสียงนี้ทำให้ในห้องโถงใหญ่เงียบลงทันที ใครกันล่ะนี่? ให้คนก่อกวนเข้ามาได้ยังไง?  

 

 

สายตาของคนทั้งหมดมองไปยังที่มาของเสียง ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะกลม เรือนร่างผึ่งผาย สีหน้าอบอุ่น ทำให้คนมองปุบจิตใจเบิกบาน  

 

 

เพียงจากใบหน้ากับสีหน้ายากจะเชื่อมเขากับคนที่จงใจก่อกวนได้  

 

 

พูดผิดใช่หรือไม่?  

 

 

“ทุกท่าน ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยอีกหน  

 

 

ในห้องเอะอะวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่พาเขามายิ่งลนลาน  

 

 

ยังดีบุรุษที่เป็นหัวหน้าพบความวุ่นวายมาจนชินแล้ว แม้โมโหแต่สงบลงอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

“ใต้เท้าน้อยหนิง ขอชีวิตให้แก่ประชาชนมีสิ่งใดไม่ดี?” เขาย้อนถาม  

 

 

“ร้องขอชีวิตให้ประชาชนย่อมเป็นเรื่องดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “เพียงแต่เรื่องนี้เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ ทุกคนทำเช่นนี้จะขัดบัญชาฮ่องเต้หรือ?”  

 

 

หนิงฉางผู้มีความสามารถระดับจอหงวนร่ำเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้วหรือ? พวกเขาย่อมไม่ต้องการขัดพระบัญชาฮ่องเต้ ดังนั้นถึงเล็งหัวหอกไปที่เฉิงกั๋วกง  

 

 

“ฝ่าบาทถูกเฉิงกั๋วกงบีบบังคับปิดบังถึงออกคำสั่งเช่นนี้” บุรุษที่เป็นหัวหน้าเอ่ยอย่างอดทน “ดังนั้นพวกเราถึงต้องให้เฉิงกั๋วกงฟังเสียงจากหัวใจหมื่นประชา หันกลับพบฝั่ง”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ  

 

 

“แต่เรื่องนี้จังหวะไม่เหมาะ” เขาก็เอ่ยอย่างอดทนเช่นกัน สีหน้านิ่งสงบ น้ำเสียงสงบนิ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าจริงใจอย่างยิ่ง “ต้องการสรรเสริญความชอบต้อนรับเฉิงกั๋วกงเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท ถึงเวลาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจะให้องค์ชายที่เสด็จมาต้อนรับทำอย่างไร? จะให้ฮ่องเต้ที่ทรงรออยู่ที่ประตูวังทำอย่างไร? หมื่นประชาล้วนรอดูอยู่ สิ่งที่ต้องการดูไม่ใช่แค่เฉิงกั๋วกง ยังมีพระบารมีของฝ่าบาทด้วย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตบหน้าเฉิงกั๋วกงได้ทีหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็ตบพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วย”  

 

 

ตั้งใจคิดดูก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ที่พวกเขาคิดจะทำเช่นนี้ก็เพราะมีฮ่องเต้อยู่ ถึงเวลาจุดโทสะของฮ่องเต้ จะได้ลงโทษเฉิงกั๋วกงได้ง่ายๆ  

 

 

แต่นี่ก็เป็นการตบพระพักตร์ฮ่องเต้จริงๆ ถึงเวลาลงโทษเฉิงกั๋วกงแล้ว คนที่ก่อเรื่องเหล่านี้ก็เกรงว่าคงไม่รอด…  

 

 

ในห้องเสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้น  

 

 

“เจตจำนงของปวงชนเป็นใหญ่ ฝ่าบาทไม่มีทางบันดาลโทสะเพราะเจตจำนงของปวงชน…” บุรุษรีบยกมือส่งสัญญาณเอ่ยเสียงดัง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อคำเขา  

 

 

“ฝ่าบาทเข้าอกเข้าใจประชาชน พวกเราก็ต้องเข้าอกเข้าใจฝ่าบาทสิ” เขาเอ่ย “ดังนั้นข้าคิดว่าขอชีวิตแน่นอนย่อมต้องขอ แต่วิญญูชนมีสิ่งที่กระทำกับสิ่งที่ไม่กระทำ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาท ไม่ควรให้ฝ่าบาทอับอายเช่นนี้”  

 

 

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน เดินหลายก้าวมาถึงตรงกลาง  

 

 

เทียบกับบุรุษอายุสี่สิบกว่าปีคนนั้น เสียงของหนิงอวิ๋นเจาใสกังวาน ท่วงท่างามสง่า ดึงความสนใจของคนทั้งหมดทันที  

 

 

“พวกเราผู้กินเงินหลวงภักดีต่อเจ้าแผ่นดินสมควรเลือกจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้ทำเรื่องนี้ ใช้คำชาวบ้านประโยคหนึ่งพูดก็คืออย่าฉีกหน้าฮ่องเต้ยามพระองค์ปรีดา”  

 

 

“เจรจาสงบศึกสำเร็จ บ้านเมืองสงบสุขประชาชนร่มเย็น ความกังวลพระทัยเพราะสงครามในที่สุดก็สลายไป เป็นวาระหายากยิ่งที่ทั้งประเทศเฉลิมฉลอง ฝ่าบาทก็ทรงดีพระทัย ขอทุกท่านใคร่ครวญด้วย”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาพูดจบก็คำนับรอบด้านให้ทุกคนในห้อง  

 

 

เสียงถกเถียงในห้องยิ่งดัง สีหน้าคนไม่น้อยปรากฏความลังเล ยังมีคนพยักหน้าอย่างขัดๆ อีก  

 

 

บุรุษที่เป็นหัวหน้ามองเห็นสถานการณ์นี้ในใจโกรธจนแทบคลั่ง  

 

 

ไม่ผิด ที่หนิงอวิ๋นเจาพูดมาล้วนถูกต้อง แต่มีเพียงจุดเดียวไม่ถูก ฮ่องเต้หาได้กลัวถูกฉีกหน้าไม่ ฮ่องเต้หาได้ต้องการหน้าครานี้ ฮ่องเต้อยากเห็นทุกคนตบหน้าพระองค์มากยิ่งกว่า  

 

 

ทว่าเรื่องนี้ดันพูดไม่ได้ เพราะฉากหน้านี่ของฮ่องเต้ทำไว้พร้อมเกินไป ดีงามเกินไปแล้ว  

 

 

เขาจ้องหนิงอวิ๋นเจาอย่างดุร้าย  

 

 

น่าโมโหจริงๆ ขุนนางใหญ่ผู้ตรงไปตรงมาคัดค้านโดยไม่สนความพอพระทัยของฮ่องเต้พรรค์นั้นอย่างหนิงเหยียน ทำไมเลี้ยงหลานช่างประจบเช่นนี้คนหนึ่งออกมาได้?  

 

 

อยากจะเอาพระพักตร์ฮ่องเต้เทินไว้เหนือศีรษะตลอดเวลายิ่งนัก  

 

 

ไม่เอาไหนจริงๆ !  

ต้นฤดูร้อนเมืองหลวงยิ่งครึกครื้นขึ้นทุกที บนถนนคนเดินพลุกพล่าน บุรุษสตรีล้วนเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ฤดูร้อนสีสันสว่างสดใสกันหมด เดินผ่านในตลาดที่ร้านรวงตั้งเรียงรายเสียงร้องเรียกขานของไม่ขาด  

 

 

แต่ความครึกครื้นบนถนนฉับพลันก็ชะงักนิ่ง พร้อมกันนั้นฝูงชนที่เบียดเสียดก็พากันถอยหลบ ขบวนคนม้าขบวนหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา  

 

 

พวกเขาสวมอาภรณ์สว่างสดใสสลับซับซ้อนสะดุดตา กีบเท้าม้ากระทับพื้นหนักแน่นคล้ายกำลังตีกระหน่ำบนหัวใจทุกผู้คน  

 

 

พวกเขามองเมินความวุ่นวายบนถนน ทะยานม้าควบขี่เร็วรี่คล้ายนี่เป็นเพียงทุ่งกว้างว่างเปล่าไม่มีใครสักคน  

 

 

แต่ไม่มีใครกล้าขวางกีบเท้าม้าของพวกเขาจริงๆ ชนเจ้าตายเจ้ายังต้องถูกพิพากษาว่าขัดขวางการทำงาน ไม่เพียงตายเปล่ายังต้องถูกประหารไปถึงครอบครัวด้วย  

 

 

ดังนั้นไม่ต้องประกาศ ขอแค่เห็นอาภรณ์ชุดนี้ ไม่ว่าบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อย ไม่ว่าขอทานหรือว่าเศรษฐี กระทั่งขุนนางราชสำนักก็ล้วนหลบออกไปอย่างฉับไว  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรขบวนนี้ทะยานเร็วรี่บนถนนใหญ่จากไปประหนึ่งดาบเล่มหนึ่งตัดผ่าน มาในพริบตาไปในพริบตา ฝูงชนที่แหวกออกกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง  

 

 

“นี่ใครจะโชคร้ายอีกแล้วเล่า?”  

 

 

“ดูไปแล้วคล้ายจะไปค้นบ้านยึดทรัพย์“  

 

 

คนบนถนนมองดูขบวนประหนึ่งสุนัขป่าประหนึ่งพยัคฆ์ที่จากไปแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แต่ในการวิพากษ์วิจารณ์นี้ก็มีเสียงที่ไม่เหมือนก่อนหน้าโผล่ออกมา  

 

 

“ยึดไปสิ ยึดเพิ่มสักหลายแห่ง อย่างไรก็เร็วกว่าปล้นเงินจากในมือพ่อค้าตัวน้อยมาก”  

 

 

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งหลายที่วิพากษฺวิจารณ์อยูเงียบไปครู่หนึ่ง  

 

 

“ไม่เอาจเทียบเช่นนี้ได้” ผู้เฒ่าคนหนึ่งในโรงน้ำชาเอ่ยขึ้น “นั่นไว้สำหรับซ่อมแซมบูรณะถนน ร้านรวงในถนนคนเดินตรอกซอกซอยหัวสะพานริมแม่น้ำเหล่านี้ย่อมสมควรดูแล”  

 

 

“ทำไมก่อนหน้านี้ไม่สนใจเล่า?” มีคนแค่นเสียงเหอะแย้งออกมาทันที  

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีคนมากปานนี้” ผู้เฒ่าคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “วันนี้ในเมืองหลวงนอกเมืองคนจรจัดขอทานมากเหลือเกิน ทั้งยังสับสนวุ่นวายจนไม่เข้าที”  

 

 

แต่ประโยคนี้จบลงก็มีคนมากยิ่งกว่าเดิมส่งเสียงแย้งแล้ว  

 

 

“พอเถอะ กลายเป็นความผิดของคนจรจัดแล้ว”  

 

 

“ในใจทุกคนล้วนรู้ชัด ก็แค่เก็บเงินส่งเดชเท่านั้น”  

 

 

“ไม่ผิด ก็แค่ต้องการเงิน จะให้เป็นรางวัลกับเฉิงกั๋วกง”  

 

 

ในโรงน้ำชากลายเป็นโหวกเหวกโวยวาย  

 

 

คนที่ยืนอยู่ในห้องพิเศษบนชั้นสองมองดูเสียงเอะอะที่ชั้นล่างนี่พลางขมวดคิ้ว  

 

 

“เถ้าแก่” เขาหันกลับมาเอ่ยกับด้านในห้อง “ข้างนอกยิ่งพูดไม่เหมาะสมขึ้นทุกทีแล้ว จะห้ามปรามไหมขอรับ?”  

 

 

ในห้องบุรุษห้าคนนั่งอยู่ คนหนึ่งในนั้นได้ยินก็หันมองมา  

 

 

“เปิดกิจการ จะควบคุมผู้คนให้พูดอะไรได้อย่างไร?” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเราคนเปิดโรงน้ำชาจะห้ามปากชาวบ้าน นั่นถึงไม่เหมาะสม”  

 

 

บุรุษข้างหน้าต่างก้มศีรษะขานรับ ทิ้งมือลงถอยไปด้านข้าง  

 

 

“ข้าว่านะเหล่าต่ง เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” บุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเถ้าแก่เอ่ยขึ้น  

 

 

“มีอะไรให้คิดเล่า ร้านค้าเล็กเหล่านั้นก็ไม่มีเงินสักเท่าไร” เถ้าแก่เอ่ย “หากต้องรวบรวมเงินเพื่อให้รางวัลเฉิงกั๋วกงจริงๆ นั่นย่อมอัตคัดเกินไปแล้ว”  

 

 

“เหล่าต่งเอ๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องเงินมากเงินน้อย” บุรุษอีกคนกระแอมเบาๆ เอ่ยขึ้น ลูบหนวดเคราที่คาง ในดวงตาทอประกายวิบวับ “เรื่องนี้ไม่อาจยอมได้นะ”  

 

 

“ใช่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาแตะร้านเล็กร้านน้อย ครั้งหน้าก็คงเป็นพวกเราแล้ว” บุรุษอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย “ได้ลิ้มรสผลประโยชน์นี้ กระเพาะของทางการย่อมยิ่งโตมากขึ้นๆ”  

 

 

เถ้าแก่ต่งที่นั่งอยู่ตรงกลางต้มชาอยู่วางชาในมือลง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทุกคนว่าควรทำอย่างไร?” เขาเอ่ย “หนึ่งทางการไม่ได้บอกว่าจะให้พ่อค้าออกเงินเพื่อให้รางวัล สองไม่ได้จัดระเบียบพวกเราพ่อค้าใหญ่ร้านใหญ่เหล่านี้ พวกเราเรียกร้องคำอธิบายไยไม่ใช่ก่อกวนรังควานไม่มีเรื่องทำให้เกิดเรื่องรึ?”  

 

 

คนในห้องสบตากัน มีคนหัวเราะแล้ว  

 

 

“ข้าว่านี่ก็คือความฉลาดของทางการ” เขาเอ่ย “มีดทื่อแล่เนื้อ ต้มกบในน้ำอุ่น”  

 

 

“ใช่แล้ว” มีคนพยักหน้า มองดูผู้คนที่นั่งอยู่ “พวกเขารู้ว่าหากเอ่ยปากจะเอาเงินจากพวกเราพ่อค้าใหญ่ร้านใหญ่เหล่านี้ตรงๆ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องเผชิญการคัดค้านแน่ ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาจึงลงมือกับร้านเล็กร้านน้อยเหล่านั้นเท่านั้น ประการแรกคนเหล่านั้นอำนาจน้อยกำลังน้อยไม่อาจก่อคลื่นลมได้ ประการที่สองพวกเราคนเหล่านี้ก็นิ่งดูดายเพราะเรื่องไม่เกี่ยวกับตนเอง รอจนเรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ ทุกคนล้วนคุ้นชินแล้ว คราวหน้าพวกเขาก็คงลงมือกับพวกเรา ถึงเวลานั้นก็เอาตัวอย่างก่อนหน้ามาเป็นข้ออ้างได้แล้ว”  

 

 

ผู้คนในห้องพากันพยักหน้าถกเถียงเสียงเบา  

 

 

“ไยจิตใจของทางการชั่วร้ายนักนะ” เถ้าแก่ต่งถอนหายใจเอ่ย  

 

 

“ช่างมันเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” บุรุษคนหนึ่งตบโต๊ะเอยขึ้น “ต้องให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ทำเช่นนี้ไม่ได้”  

 

 

ผู้คนในห้องพยักหน้า  

 

 

“แต่จะทำอย่างไรเล่า? ทำอย่างไรถึงทำให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้ นอกจากนี้พวกเราไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง?” ทุกคนเอ่ยถาม  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้เถอะ” เถ้าแก่ต่งพลันเอ่ยขึ้น “ร้านเล็กร้านน้อยก็ลำบาก พวกเราช่วยได้ก็ช่วยสักหน่อย”  

 

 

ทุกคนมองไปทางเขา  

 

 

“ช่วยอย่างไร?” คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “จะเคลื่อนทัพต้องมีเหตุผลนะ”  

 

 

เถ้าแก่ต่งหัวเราะแล้ว  

 

 

“ร้านเล็กร้านน้อยกลุ่มหนึ่งต้องมีเหตุผลอะไรเล่า” เขาเอ่ยพลางคนใบชาอัดที่คลายตัวแล้วให้วนกระจายตัวในน้ำ “ก็แค่คนทำมาหากิน ไม่มีข้าวกินย่อมต้องขอทางรอดสักทาง ทุบชามข้าวของผู้อื่นแล้วยังจะไม่ให้พูดสักหน่อยร่ำไห้สักนิดหรือ? ปิดปากประชาชนยากกว่าขวางแม่น้ำนะ”  

 

 

ใบชาหมุนวนอยู่ในน้ำร้อน  

 

 

“คนที่ไหนมากก็ไปพูดที่นั่น”  

 

 

“พูดถึงคนมาก เฉิงกั๋วกงไม่ใช่จะกลับมาแล้วหรือ?”  

 

 

“แห่ขบวนสรรเสริญความชอบ องค์ชายต้อนรับด้วยองค์เอง ฮ่องเต้โปรดให้เข้าเฝ้าที่หน้าประตูวัง คนนับหมื่นแห่ชมเรื่องสนุก ตรอกซอกเงียบเหงา”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงเลื่องลือ ความดีความชอบช่วยชาติช่วยประชาชน ไปร้องไห้กับเขาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจมีทางรอดก็ได้นะ”  

 

 

บ่าวสาวสะสวยหิ้วกาน้ำชาขึ้นมารินชาที่ต้มเสร็จแล้วให้ผู้คนที่นั่งอยู่ทีละคนๆ กลิ่นหอมกำจายอบอวล  

 

 

เถ้าแก่ต่งชูถ้วยชาขึ้น  

 

 

“ใครช่วยชาติช่วยประชาชน?” เขาเอ่ย  

 

 

ผู้คนที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะ ชูถ้วยชาขึ้น  

 

 

“เฉิงกั๋วกง” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

“ใครให้ทางรอดกับพวกเราชาวบ้านตัวเล็กๆ ได้?” เถ้าแก่ต่งเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

“เฉิงกั๋วกง” ผู้คนเอ่ยพร้อมเพรียง  

 

 

เถ้าแก่ต่งชูถ้วยชาขึ้นสูง  

 

 

“แด่เฉิงกั๋วกง” เขาอมยิ้มเอ่ย  

 

 

“แด่เฉิงกั๋วกง” ผู้คนหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด้วย  

 

 

กลิ่นหอมของชาลอยอบอวล ร่วมดื่มคำเดียวหมด  

 

 

……………………………………..  

 

 

ยิ่งกองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงเข้าใกล้เมืองหลวง เรื่องราวในราชสำนักก็ยิ่งวนเวียนอยู่กับเรื่องการต้อนรับเฉิงกั๋วกง  

 

 

ทุกกรมทุกกองล้วนวุ่นวายกับงานด้านต่างๆ เรื่องบริจาคเบี้ยหวัดก่อนหน้าคล้ายผ่านไปแล้วไม่ม่มีคนเอ่ยถึงอีก  

 

 

แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้น  

 

 

นอกประตูเสียงพูดคุยแผ่วเบาลอยมา เดี๋ยวดังเดี๋ยวเบาคล้ายหัวเราะแต่ก็คล้ายโวยวาย คล้ายฟังชัดแต่ก็ฟังไม่ชัด นี่เย้ายวนคนอย่างที่สุด  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาในห้องพลันวางเอกสารกระดาษพู่กันในมือลง ถือเสื้อคลุมยาวย่องเข้าไปใกล้ประตู แนบหูชิดช่องรอยต่อ  

 

 

สหายขุนนางคนหนึ่งในห้องเบิกตาโต้อ้าปากค้างมองดูภาพนี้  

 

 

“หนิง…” เขาหลุดปากเรียก  

 

 

หนิงอวิ๋นเจารีบส่งเสียงชู่ให้เขา แล้วชี้ไปด้านนอก แนบบนประตูเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เพิ่งแนบลงไป ประตูก็ถูกคนผลักเปิด  

 

 

คนผู้นี้คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแนบอยู่กับประตู ตกใจส่งเสียงโอ๊ะทีหนึ่ง  

 

 

เสียงพูดแผ่วเบาที่อออยู่ด้านนอกพลันหายไป สายตามากมายล้วนมองมา  

 

 

“ใต้เท้าหนิง นี่ท่าน…นี่…” คนที่เข้ามาเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง  

 

 

นี่ทำอะไรรึ?  

 

 

“อ้อ ข้ากำลังจะออกไป” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดเอ่ยขึ้น  

ในห้องวางชั้นหนังสือที่กองเต็มไปด้วยหนังสือสมุดหนาปึกไว้หลายแถว แทบจะวางโต๊ะได้อีกเพียงตัวเดียว เบียดเสียดคับแคบ แต่กลับไม่ทำให้อากาศในห้องอึดอัด  

 

 

ก็คงเป็นเพราะสมุดนั่นแม้มากแต่กลับวางอย่างเป็นระเบียบและสะอาด เพราะบนหน้าต่างวางดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่แย้มบานไว้  

 

 

แล้วก็อาจเพราะบนโต๊ะที่มีเพียงตัวเดียวพู่กันหมึกกระดาษและแท่นฝนล้วนเป็นของมีชื่อ รวมถึงมือของหนิงอวิ๋นเจาที่กำพู่กันนั่งอยู่หน้าโต๊ะคัดลอกเอกสารก็เรียวยาว การเคลื่อนไหวไหลลื่นดั่งเมฆาคล้อยสายน้ำไหล ทำให้คนรื่นรมย์  

 

 

เพียงแต่สหายขุนนางเวลานี้ยังคงคิ้วขมวดหน้าบึ้ง  

 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่จ่ายเบี้ยหวัด นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายื่นมือโบก  

 

 

“พูดเช่นนี้ไม่ได้” เขาเอ่ย “รัชสมัยก่อนปีอิงซุ่นที่ห้า อดีตองค์จักรพรรดิเคยอ้างว่าทรัพย์ขาดแคลนธุระมาก สั่งหยุดจ่ายเบี้ยหวัดขุนนางในราชสำนักขุนนางในเมืองหลวงสามเดือน”  

 

 

สหายขุนนางอึ้งนิดหนึ่ง รีบโบกมือส่งเสียงชู่ใส่เขา แล้วมองไปข้างนอกอีก  

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงของข้า ท่านอย่าพูดส่งเดชเชียว นี่ นี่เปรียบเทียบกันไม่ได้นะ” เขารีบร้อนเอ่ยเสียงเบา  

 

 

เทียบฮ่องเต้ปัจจุบันกับฮ่องเต้แคว้นล่มรัชสมัยก่อน นี่หากลือออกไป ผู้ตรวจการกินเขาได้แล้ว  

 

 

“เปรียบอะไร? ข้าไม่ได้เปรียบนะ” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย “ข้าจะบอกว่าทุกคนไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ ฝ่าบาทไม่ได้ไม่จ่ายเบี้ยหวัด”  

 

 

สหายขุนนางงุนงงไปครู่หนึ่ง  

 

 

“เมื่อครู่ที่ประชุมขุนนางบอกแล้ว…” เขายื่นมือชี้ด้านนอก  

 

 

“นั่นก็ไม่ใช่บอกว่าไม่จ่ายนี่” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าจริงจังเอ่ย “บอกอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการสมัครใจถวายเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน ถวายกับไม่จ่ายไม่เหมือนกัน”  

 

 

นี่มีสิ่งใดไม่เหมือนกัน! สหายขุนนางตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็หลุดหัวเราะ ก็แค่เปลี่ยนคำที่ฟังดูดีคำหนึ่งเท่านั้น  

 

 

ใครสมัครใจเล่า  

 

 

“ข้าสมัครใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยจริงจัง “ก็เพราะแม่ทัพทั้งหลายเช่นเฉิงกั๋วกงกล้าหาญตรากตรำปกป้องแดนเหนือ ชาวจินถึงไม่อาจไม่เจรจาสงบศึก ราชสำนักให้รางวัลพวกเฉิงกั๋วกงก็สมควร ส่วนท้องพระคลังของราชสำนักชั่วขณะหนึ่งเอาเงินมากปานนั้นออกมาไม่ได้ พวกเราผู้กินเงินหลวงแบ่งเบาภาระเจ้าแผ่นดิน บริจาคเบี้ยหวัดหนึ่งเดือนออกมานับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเพิ่งเงินเท่าไร?”  

 

 

เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเป็นเงินไม่เท่าไรจริงๆ สหายขุนนางคิดครู่หนึ่ง แต่ก็ถอนหายใจเฮ้ออีกครั้ง ถลึงตามองหนิงอวิ๋นเจา  

 

 

“เจ้าเหมือนกับท่านอาของเจ้าจริงๆ นะ เจ้าไม่มีความเห็นสักนิดกับเรื่องใหญ่ของราชสำนักเลยหรือ?” เขาถลึงตาเอ่ย “ไม่ว่าฝ่าบาทจะว่าอย่างไรเจ้าก็ว่าดีรึ?”  

 

 

“เพราะดีจริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างดี ทำเช่นนี้แม่ทัพทหารทั้งหลายก็จะได้รับเกียรติยศที่ควรได้รับ แล้วพวกเราก็ได้แสดงความนับถือที่มีต่อแม่ทัพทหารด้วย ข้ารู้สึกว่าหนึ่งเดือนน้อยเกินไปแล้ว ข้ายินดีบริจาคสองเดือน”  

 

 

สหายขุนนางสบถ  

 

 

“หนิงฉาง เจ้าอย่าเสแสร้งแกล้งโง่เป็นจริงเป็นจัง” เขาถลึงตาเอ่ย “นี่เป็นปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อยหรือ?”  

 

 

“น่าจะใช่นะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย  

 

 

“ใช่เสียที่ไหนเล่า เจ้าก็ไม่ใช่โง่เสียหน่อย” สหายขุนนางโมโหเอ่ยขึ้น “ใครสนใจเงินหนึ่งเดือนนี่ เรื่องนี้ทำเช่นนี้ไม่ได้! อาศัยอะไรฉลองความดีความชอบของเฉิงกั๋วกงต้องให้พวกเราออกเงิน?”  

 

 

“มีความดีความชอบก็ร่วมยินดีร่วมเสพสุขไหม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย  

 

 

“ใช่แล้ว มีความดีความชอบ เขามีความดีความชอบ พวกเราก็ไม่มีความชอบรึ?” สหายขุนนางสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย ยื่นมือชี้ทิศเหนือ “เขาอยู่ที่แดนเหนือปกป้องชายแดนมีความดีความชอบ พวกเราอยู่ที่นี่ทำงานงกๆ เป็นตัวไร้ประโยชน์งั้นรึ?”  

 

 

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ทุกคนล้วนมีความดีความชอบ เขาปกป้องชายแดนคุ้มครองงานในราชสำนักของพวกเราให้มั่นคง งานในราชสำนักของพวกเรามั่นคงจึงทำให้พวกเขาปกป้องชายแดนอย่างมั่นคงได้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ดังนั้นจึงพูดว่าร่วมเสพสุข”  

 

 

“ร่วมเสพสุขอะไรเล่า? ร่วมเสพสุขก็ไม่ควรหักเบี้ยหวัดของพวกเราไปให้รางวัลพวกเขาสิ” สหายขุนนางตบโต๊ะหลายที “ร่วมเสพสุขก็ควรให้รางวัลพวกเราด้วยสิ!”  

 

 

หนิงอวิ๋นเขายื่นมือประคองเอกสารตั้งสูงที่โงนเงนเพราะถูกตบไว้ สีหน้าไม่รีบร้อนไม่ลนลาน  

 

 

“ใช้เงินของพวกเราให้รางวัลพวกเขา ความดีความชอบที่แดนเหนือนี้ก็มีส่วนของพวกเราด้วย ความชอบทางทหารนี่ก็มีของพวกเราด้วย นี่สำหรับพวกเราแล้วไยไม่ใช่เป็นรางวัลเช่นกัน” เขาเอ่ย  

 

 

สหายขุนนางถลึงตามองเขาครู่หนึ่ง คล้ายอับจนวาจาอยู่บ้าง  

 

 

“ขอให้ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้อย่างเจ้า” เขาแค่นเสียงเอ่ย ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ  

 

 

มองดูสหายขุนนางเดินออกไป หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มไม่เอ่ยรั้งไว้ต่อ ในห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบ เพียงแต่เสียงเอะอะด้านนอกยิ่งดัง คล้ายกับว่าคนจากที่ทำการขุนนางทั้งถนนล้วนออกมาแล้ว  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาถือพู่กันในมือขึ้น  

 

 

“แม้คนทั้งหมดไม่อาจล้วนคิดเช่นนี้อย่างข้าได้ แต่ได้กี่คนก็เท่านั้นคน” เขาเอ่ย “ไม่เช่นนั้นเฉิงกั๋วกงคราวนี้คงลำบากจริงๆ แล้ว”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ใจเขาไยชั่วร้ายปานนี้หนอ!”  

 

 

ในห้องหนังสือของหนิงเหยียน หนิงสืออีตบโต๊ะเอ่ยขึ้นอย่างชิงชัง  

 

 

“ถึงกับใช้ลูกไม้เช่นนี้ออกมาได้”  

 

 

หนิงเหยียนกับหนิงอวิ๋นเจานั่งประจันหน้ากันมองดูกระดานหมาก คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา  

 

 

หนิงสืออีไม่หยุดลิ้น  

 

 

“แรกสุดเก็บเงินพ่อค้าหาบเร่ในเมืองหลวงส่งเดช ไม่จ่ายเงินปุบก็ขับไล่ ก่อเรื่องจนเสียงโอดครวญของพ่อค้าในเมืองหลวงเต็มถนน แทบจะปิดตลาดอยู่แล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

“ก็ไม่ได้ร้ายแรงเช่นนั้นนะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพลางวางหมาก “ข้าไปถามมาแล้ว ไม่ใช่ร้านค้าทั้งหมดจะถูกเรียกเก็บเงิน ก็แค่พ่อค้าเจ้าเล็กพวกเพิงน้ำชารถเข็นคนหิ้วตะกร้าร้องเร่ขายตามถนนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ตลาดไม่ได้รับผลกระทบ ร้านค้าเจ้าใหญ่ทั้งหลายล้วนปลอดภัย  

 

 

คำพูดเกินจริงถูกตีแตก หนิงสืออีพลันอับอายหงุดหงิดอยู่บ้าง  

 

 

“พี่สิบ นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับร้านค้าใหญ่หรือเล็ก เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย  

 

 

มือที่หยิบเม็ดหมากของหนิงเหยียนชะงัก  

 

 

“นี่ก็บอกว่าใช้เพื่อรวบรวมรางวัลให้เฉิงกั๋วกงหรือ?” เขามองหนิงอวิ๋นเจาแล้วเอ่ยถาม  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ  

 

 

“หาใช่ไม่” เขาเอ่ย “ไม่บอกสิ่งใดกับพวกร้านค้าแผงขายทั้งสิ้น”  

 

 

หนิงเหยียนยิ้มหยัน วางหมาก  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็พูดแต่กับพวกขุนนาง” เขาเอ่ย “บอกชัดเจนแจ้มแจ้งว่าท้องพระคลังไม่มีเงิน ต้องการให้ทุกคนออกเงิน”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายกมือวางหมาก  

 

 

“ก็ไม่มาก แค่เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเท่านั้น” เขาเอ่ย  

 

 

“พี่สิบ” หนิงสืออีทนไม่ไหวร้อนใจเอ่ยขึ้น กระเถิบไปข้างหน้า “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อย…”  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาหันไปมองเขา  

 

 

“แต่ตอนนี้ได้แต่กัดฟันบอกท่าเดียวว่าปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อย” หนิงอวิ๋นเจาขัดเขา เสียงนิ่งสงบอ่ยขึ้น “กัดฟันบอกว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ไม่เช่นนั้นย่อมตกหลุมเล่ห์ร้ายของเขา”  

 

 

หนิงสืออีตะลึงมองเขา หนิงเหยียนก้มศีรษะมองกระดานหมาก สีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

“ฝ่าบาทก็เห็นด้วยเช่นนี้แล้ว?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาวางหมากต่อ  

 

 

“ฝ่าบาททำไมจะไม่เห็นด้วยเล่า?” เขาตอบ “ฝ่าบาทตั้งใจจะพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกง ซาบซึ้งที่เฉิงกั๋วกงลำบาก คำขอร้องของเขา คำขอร้องของกองทหารกองต่างๆ ทั้งหมดไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ได้ยินกรมขุนนางบอกว่าเอาเงินไม่พอเอาออกมา ฝ่าบาทก็หลั่งน้ำพระเนตรในที่ประชุม จะเอาค่าใช้จ่ายของวังหลังออกมา”  

 

 

ฮ่องเต้ยังบริจาคเงินแล้ว กรมขุนนางถึงเอ่ยขึ้นมาว่าจะให้เหล่าขุนนางบริจาคเงินด้วย  

 

 

นี่ย่อมไม่ใช่ฮ่องเต้บีบบังคับ เป็นกรมขุนนางเสนอตัว ฮ่องเต้ไม่มีความผิดแม้สักน้อย จะผิดก็เป็นความผิดของกรมขุนนาง  

 

 

ดังนั้นฮ่องเต้มีสิ่งใดไม่เห็นด้วย  

 

 

หนิงสืออีเงียบงัน หมากในมือหนิงเหยียนเนิ่นนานไม่วางลง ในห้องหนังสือพลันเงียบสงบไปชั่วครู่  

 

 

และเวลานี้ในห้องหนังสือของหวงเฉิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะระลอกแล้วระลอกเล่า  

 

 

ในห้องหนังสือคนไม่น้อยนั่งล้อมวงอยู่ มีชามีสุราทั้งยังพูดคุยพลางหัวเราะครึกครื้นยิ่งนัก  

 

 

“ฝ่าบาทไม่ผิด ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้เมตตา” บุรุษคนหนึ่งที่กำลังยกถ้วยชาเอ่ยกับอีกหลายคน “จะผิดก็เป็นความผิดของพวกเรากรมขุนนาง พวกเราออกความเห็นพิเรนทร์อะไร! ขอบริจาค พวกเจ้าอุตส่าห์คิดออกมาได้”  

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราทำงามหามรุ่งหามค่ำแค่เพื่อเบี้ยหวัดไม่กี่ตำลึงทุกเดือนงั้นรึ?” บุรุษอีกคนก็เอ่ยตามเสียงดังด้วย  

 

 

สิ้นเสียง ห้องหนังสือที่ครึกครื้นพลันชะงักนิ่งทันที  

 

 

คนทั้งหมดล้วนมองไปทางบุรุษคนนี้  

 

 

บุรุษคนนี้ถึงได้สติ  

 

 

“ไม่ ไม่ ข้าจะบอกว่าพวกกเราทำงามหามรุ่งหามค่ำไม่ใช่เพื่อเบี้ยหวัดไม่กี่ตำลึงทุกเดือนรึ” เขารีบร้อนเอ่ย แล้วโกรธแค้นคับอกชี้บุรุษฝั่งตรงข้าม “กรมขุนนางของพวกเจ้าทำเช่นนี้ จะเอาชีวิตพวกเราจริงๆ”  

 

 

เฮ้อ คำพูดนี้ถึงถูกต้องแล้ว  

 

 

ในห้องหนังสือครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องเงินมากน้อย” มีคนเอ่ยขึ้น “พวกเขาทำเช่นนี้ครั้งหนึ่งได้ย่อมต้องยังมีครั้งหน้า เรื่องเลวร้ายมีเริ่มต้น ย่อมหยุดไม่อยู่”  

 

 

ทุกคนพากันเห็นพ้อง ชี้มือชี้ไม้ใส่บุรุษหลายคน ดูไปแล้วโกรธแค้นอย่างยิ่ง  

 

 

บุรุษหลายคนที่ถูกถลึงตาเย็นชาใส่กลับแย้มรอยยิ้ม  

 

 

“พวกเราก็ไม่มีหนทางนี่” บุรุษคนหนึ่งนั้นเอ่ย สีหน้าอับจนปัญญาผายมือ “ศรีภรรยาไร้ข้าวสารก็ยากหุงหาอาหาร ควักเงินออกมาไม่ได้ ปลอบประโลมท่านทหารทั้งหลายไม่ได้ ก่อความวุ่นวายขึ้นมาจะทำอย่างไร ได้แต่ลำบากทุกคนแล้ว จะโทษก็ไม่อาจโทษพวกเราได้”  

 

 

คล้ายกับว่าก็เพื่อรอประโยคนี้ของเขา ผู้คนที่นั่งอยู่ชูถ้วยขึ้นทันที  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นโทษใคร?” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

บุรุษก็ชูถ้วยชาในมือขึ้นด้วย  

 

 

“แน่นอนย่อมเป็น เฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยเสียงดัง  

 

 

ในห้องหนังสืออึกทึกทันที  

 

 

“ทำไม?”พวกเขาตะโกนเสียงพร้อมเพรียงอีกครั้ง  

 

 

บุรุษพลันชูถ้วยขึ้นอีกหน  

 

 

“เพราะเขาบีบคั้นบังคับคน เพราะเขา แม่ทัพกองทหารต่างๆ จึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” เขาเอ่ยเสียงดัง  

 

 

ในห้องหนังสือยิ่งครึกครื้น  

 

 

“จะโทษใคร?”  

 

 

“เฉิงกั๋วกง”  

 

 

“เป็นใครบีบคั้นบังคับคน?”  

 

 

“เฉิงกั๋วกง”  

 

 

“เป็นใครเอาความดีความชอบมาขอรางวัล?”  

 

 

“เฉิงกั๋วกง”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงหัวเราะเสียงดื่มสุราอุตลุดแต่ก็เป็นระเบียบพร้อมเพรียง ทำให้บรรยากาศในห้องหนังสือครึกครื้นแบบแปลกๆ  

 

 

ท่ามกลางความครึกครื้นนี้ หวงเฉิงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะร่างกายงองุ้มเล็กน้อย ชูจอกสุรา เทลงพื้นช้าๆ  

 

 

“เฉิงกั๋วกง” มุมปากเขายิ้มบางๆ “เชิญ”   

“จูจั้น”  

 

 

“จูจั้น”  

 

 

หลังเรียกชื่อนี้ได้สามรอบ บุรุษด้านหน้าในที่สุดก็หันกลับมา  

 

 

สีหน้าเขาบึ้งตึง ดูไปแล้วเคร่งขรึมและจริงจัง  

 

 

“เรื่องอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม  

 

 

คุณหนูจวินควบม้าเร่งตามมา มองเขาแล้วยิ้ม  

 

 

“ท่านทำไมไม่พูดจาเล่า?” นางเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“พูดอะไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ท่านไม่ใช่พูดเป็นต่อยหอยหรือ? ทำไมหลายวันนี้ไม่พูดไม่จาแล้วเล่า? ดูแล้วแปลกนัก” นางยิ้มเอ่ย  

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าสิพูดเป็นต่อยหอย” เขาเอ่ย พูดจบก็หันหน้าไปควบม้าวิ่งเร็วรี่  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าติดตามไป  

 

 

“ท่านโต้ได้แค่สี่คำนี้เองรึ?” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นเพียงมองด้านหน้า ตาไม่เหล่มอง สักคำก็ไม่พูด  

 

 

“นี่ นี่” คุณหนูจวินใช้แส้ม้าทิ่มเขา “ท่านทำไมไม่พูดจาแล้วเล่า?”  

 

 

จูจั้นยื่นมือมากำแส้ม้าของนาง  

 

 

“อย่าหาเรื่อง” เขาเสียงเข้มเอ่ยทีละคำ “ข้าเดิมทีก็เป็นคนไม่ชอบพูด”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด  

 

 

“ท่านรู้สึกว่าพูดสู้ข้าไม่ได้เลยไม่พูดแล้วใช่หรือไม่?” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นไม่ได้ระเบิดอารมณ์โมโหออกมา ยังคงสีหน้านิ่งสงบ สะบัดแส้ม้าของนางออก เดินไปข้างหน้าต่อ  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางตามไปอีกครั้ง  

 

 

“เฮ้” เขาเอ่ย  

 

 

ครั้งนี้ไม่รอนางพูด จูจั้นก็หันหน้ามาเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนแล้ว  

 

 

“คำมีประโยชน์ย่อมพูด ไม่มีประโยชน์ย่อมไม่ต้องพูด” เขาเอ่ย “สิ่งที่พวกเราควรพูดกันล้วนพูดไปแล้ว เจ้ายังอยากพูดอะไรอีก?”  

 

 

คุณหนูจวินดวงตายิ้มโค้งวิบวับมองเขา  

 

 

“ข้าอยากดื่มน้ำ” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นสีหน้านิ่งสงบยื่นมือปลดถุงน้ำส่งให้นาง  

 

 

คุณหนูจวินรับไปเปิดดื่มหลายอึกแล้วส่งคืนไป  

 

 

“ข้าหิวนิดหน่อยแล้ว” นางเอ่ยอีกหน  

 

 

จูจั้นล้วงผลไม้ป่าหลายลูกจากในย่ามส่งให้  

 

 

คุณหนูจวินไม่รับ  

 

 

“สกปรกไหมน่ะ?” นางยื่นศีรษะมองแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นเช็ดผลไม้บนตัวแรงๆ สองสามที ส่งมาอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินรับไปกัดกร้วมๆ  

 

 

“ครั้งก่อนท่านตัวคนเดียวเดินทางจากเป่าโจวไปถึงเมืองหลวงสินะ?” นางเอ่ยไปพลาง “คนเดียวลำบากมากหรือไม่?”  

 

 

“ไม่ลำบาก ข้าชินกับการอยู่คนเดียว” จูจั้นเอ่ย สายตามองไปด้านหน้าคล้ายมองไม่เห็นว่าข้างกายมีคนอยู่  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า  

 

 

“เดิมทีข้าก็ชินกับการอยู่คนเดียว” นางเอ่ย กินผลไม้กร้วมๆ พลางส่ายศีรษะยิ้มตาหยี “แต่ตอนนี้รู้สึกว่าสองคนเดินทางเป็นเพื่อนกันไม่เลวจริงๆ”  

 

 

พูดจบก็ยื่นมือแบออก  

 

 

“กินเสร็จแล้ว”  

 

 

ผลไม้นี่น้ำมาก มือน้อยที่แบออกมาดูแล้วเหนียวเหนอะหนะ  

 

 

จูจั้นดึงผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาจากเอว ตาไม่เหล่แลยื่นแขนยาวๆ ออกแรงเช็ดบนมือนางแม่นยำไม่พลาดหลายที  

 

 

คุณหนูจวินเก็บมือกลับไปยิ้มพออกพอใจ  

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ย  

 

 

หัวคิ้วของจูจั้นกระตุกอย่างไม่สามารถสังเกตได้  

 

 

“คุณหนูจวินยังมีอะไรสั่งหรือ?” เขาเอ่ย  

 

 

แต่เสียงคล้ายเค้นลอดไรฟันออกมา  

 

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่บนม้านวดคลึงหน้า ท่าทางสบายอกสบายใจแกว่งขา  

 

 

“ข้าคิดก่อนนะ” นางเอ่ย  

 

 

“ไม่รีบร้อน ท่านค่อยๆ คิด” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม  

 

 

คุณหนูจวินขานอื้มทีหนึ่ง  

 

 

“ยังอีกไกลไหม? เดินทางตั้งนานแล้ว เหนื่อยนัก” นางเอ่ย เสียงขึ้นจมูกชัด ท่าทางเกียจคร้านไร้เดียงสาอยู่บ้าง  

 

 

ในที่สุดจูจั้นก็หันหน้ามามองนาง  

 

 

“คุณหนูจวิน ทางเส้นนี้เป็นท่านเลือก” เขาเอ่ย มือที่กำเชือกบังเ**ยนเส้นเลือดเขียวปูดโปน “ผู้น้อย ไม่ทราบจริงๆ”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลันเม้มปากยิ้ม  

 

 

“ท่านไม่ทราบหรือ? ข้าทราบ” นางนั่งตัวตรง “ก็แค่จะเตือนท่านสักหน่อยว่าข้าร้ายกาจจมากเพียงใด”  

 

 

พูดจบก็สะบัดแส้ม้าทีหนึ่ง วาดบุปผาดอกหนึ่งกลางอากาศ ส่งเสียงปั้บดังกังวานทีหนึ่ง  

 

 

ม้าร้องเสียงใส เตะเท้าควบทะยานไปข้างหน้า เด็กสาวที่ขี่อยู่บนม้าผ้าคลุมบางที่คลุมอยู่บนศีรษะเด็กสาวปลิวตามลม ไหลร่วงมาอยู่ด้านหลังร่างประหนึ่งเมฆอัสดง  

 

 

สีหน้าจูจั้นก็ประหนึ่งเมฆอัสดง  

 

 

แน่นอนไม่ใช่มองเห็นสาวงามเช่นนี้จึงเขินอายหน้าแดง  

 

 

เขาแหงนศีรษะพรูลมหายใจหนักๆ ไร้เสียงทีหนึ่ง ยื่นมือออกแรงตบซ้ายตบขวาสองทีใส่ภาพแผ่นหลังของเด็กสาวที่ควบม้าเร็วรี่อยู่เบื้องหน้า  

 

 

บนโลกนี้ทำไมมีผู้หญิงที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่!  

 

 

ทำไมผู้หญิงที่น่ากลัวเช่นนี้ดันต้องใจเขา! เกาะหนึบเขา!  

 

 

นี่ก็คือที่เรียกกันว่าคนงามฟ้าอิจฉาสินะ!  

 

 

……………………………………….  

 

 

บนยอดเขาที่หินผาซ้อนเป็นชั้นๆ เชือกหนาถูกน้ำซึมเปียก ส่งเสียงหนักแน่นออกมาพร้อมกับมัดรัดบนก้อนหิน  

 

 

เมื่อเห็นปมเชือกมัดดีแล้ว คุณหนูจวินก็คว้าเชือกยกเท้าเหยียบบนหินภูเขา คนก็ถอยไปข้างหลัง มือที่กำเชือกไว้แน่นพริบตาถูกรัดจนแดง  

 

 

“เอาล่ะ” นางปล่อยเชือกแล้วยืนดีๆ “แข็งแรงยิ่ง”  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างกอดอกสีหน้าติดจะดูแคลนอยู่บ้าง แต่ไม่พูดจา  

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองเขา  

 

 

“ยังมองอะไรเล่า ลงไปสิ” นางว่า “เชือกที่ข้าทำแข็งแรงมาก ไม่มีทางเหมือนของท่าน บอกขาดก็ขาด”  

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะ ไม่พูดจายื่นมือคว้าเชือกที่กระจายอยู่บนพื้นมัดไว้กับเอว  

 

 

“นี่ เจ้ามั่นใจว่าหน้าผานี่มีสมุนไพรไหม?” เขายืนอยู่ริมหน้าผา มองดูเนินลาดเอียงสูงชัน  

 

 

เขาลูกนี้แม้ไม่นับว่าสูง แต่หน้าผาก็ป่ายปีนยากนัก  

 

 

“ท่านลงไปลองดูไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ” คุณหนูจวินเอ่ย โบกมือเร่ง “รีบทำงาน รีบทำงาน ข้าดูเชือกให้ ท่านวางใจได้ ยังไงก็ดึงท่านขึ้นมาได้”  

 

 

จูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่งไม่พูดจาอีก หนึ่งก้าวก้าวเข้าไปคนก็ร่วงไปทางหน้าผา หากไม่ใช่ฝั่งหน้าผามีมือที่ปีนอยู่บนก้อนหินโผล่ออกมา ยังคิดว่าคนตกลงไปแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านข้างมองดูเขาปีนลงไป แล้วเดินกลับไปข้างหินภูเขาจ้องเชือก คล้ายเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงคว้าเชือกแล้วมัดไว้กับหินภูเขาอีกก้อนหนึ่งเสียเลย หลังจากนั้นถึงปัดมือ  

 

 

“คราวนี้ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน” นางเอ่ย นั่งลงบนหินภูเขา ปลดถุงหอมข้างเอวออกมา เทถั่วคั่วกำหนึ่งออกมากินกร้วมๆ  

 

 

“…มองไม่เห็นนะ…”  

 

 

ใต้เขาเสียงตะโกนของจูจั้นดังขึ้น  

 

 

“ค่อยๆ ดู” คุณหนูจวินศีรษะไม่เงยขึ้นด้วยซ้ำเอ่ยขึ้น “ดูให้ดีๆ รีบร้อนอะไรเล่า”  

 

 

จูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เชือกที่ขดวางอยู่บนพื้นส่ายขยับไหลไป เห็นชัดยิ่งว่าคนกำลังปีนร่วงลงข้างล่าง  

 

 

ภูเขาตกอยู่ในความเงียบ นอกจากเสียงหินภูเขาร่วงหล่นเป็นระยะ  

 

 

จูจั้นกำลังตั้งใจค้นหาบนหน้าผา ส่วนในพุ่มไม้เตี้ยบนเนินลาดเอียงด้านซ้ายของหน้าผา ดวงตาคู่หนึ่งก็กำลังตั้งใจมองดูเขาอยู่เช่นกัน  

 

 

เพราะมีคนช่วยดูเชือก จูจั้นจึงวางใจยิ่ง จดจ่อค้นหาสมุนไพรยิ่ง เด็กสาวบนหินภูเขาก็ตั้งใจกินถั่วมากเช่นกัน  

 

 

ลมภูเขาหมุนวน ต้นไม้ใบหญ้าส่ายไหว หลอดเป่ายาวหลอดหนึ่งยื่นออกมาจากในพุ่มไม้ เล็งมาที่จูจั้นซึ่งเกาะอยู่บนหน้าผาด้านล่างฝั่งนี้  

 

 

เสียงฟึบดังขึ้น  

 

 

ศรคมดอกหนึ่งทอประกายเย็นเยียบแหวกอากาศมา  

 

 

ในพุ่มไม้เตี้ยเสียงครางต่ำทีหนึ่งดังขึ้น จากนั้นกิ่งไม้ก็สะบัดดังฟึบ มีคนกลิ่งร่วงมาจากข้างใน  

 

 

จูจั้นที่ปีนป่ายอยู่บนหน้าผางอร่าง เท้าถีบทีหนึ่งมือคว้าหินภูเขาปีนมาด้านนี้ การเคลื่อนไหวของเขาว่องไว พริบตาก็มาถึงฝั่งนี้ คนออกแรงกระโดดทีหนึ่งก็โจนไปตกบนเนินลาดเอียง  

 

 

บุรุษผู้ถูกกิ่งไม้ใบไม้ขวางไว้ไม่ได้ร่วงลงหน้าผาไปถูกจูจั้นพลิกขึ้นมา เผยใบหน้าธรรมดาไม่แปลกตา  

 

 

“ตายแล้ว” จูจั้นหันกลับมาตะโกนบอก มองดูยืนอยู่ข้างผา  

 

 

คุณหนูจวินไม่รู้ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ในมือกำหลอดเป่าแท่งหนึ่งไว้  

 

 

“เขาไม่ตายท่านก็ตายไปแล้ว” นางเอ่ย “อย่าคิดจับเป็นเลย คนผู้นี้ซ่อนตัวมาจนถึงวันนี้ ย่อมไม่มีทางให้โอกาสนี้กับท่าน ให้โอกาสเขาปุบก็คือโอกาสเขาสังหารท่านตาย”  

 

 

ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ย่อมไม่มีทางทิ้งร่องรอยใดๆ เกี่ยวกับตัวตนเอาไว้เช่นกัน  

 

 

จูจั้นลุกขึ้นยืน เตะเขาทีหนึ่งลงหน้าผาไป  

 

 

“ท่านเดาว่าเป็นใคร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม  

 

 

“เป็นคนที่อยากให้ข้าตาย” จูจั้นเอ่ยแล้วยิ้มหยัน “คนที่อยากให้พ่อข้าทุกข์ทรมาน”  

 

 

คุณหนูจวินมองไปทางเมืองหลวง  

 

 

“ล้วนบอกกันว่าเมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย” นางเอ่ย “ดูท่าเข้าเมืองหลวงก็ไม่ง่าย”  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมืองหลวง ในที่ทำการขุนนางด้านข้างถนนเสด็จพระราชดำเนิน ขุนนางผู้น้อยหลายคนวิ่งวุ่นไม่สงบ ไม่นานคนมากมายก็รวมอยู่ด้วยกัน  

 

 

“จริงแท้แน่นอน จริงแท้แน่นอนแล้ว”  

 

 

“ข่าวเป็นจริง”  

 

 

“ในราชสำนักหารือตกลงกันแล้ว”  

 

 

พวกเขาเอ่ยเสียงเบารัวเร็ว ชั่วขณะพูดแผ่วเบาแล้วชั่วขณะก็ฮือฮา จ้อกแจ้กแจแจ ทำให้ที่ทำการขุนนางที่เคยเงียบสงบปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ในห้องวางเอกสารในมือลง มองดูสหายขุนนางคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  

 

 

“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่นจริงๆ คลื่นนี้ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ แล้ว” เขายิ้มนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น  

สองคนเดินทางครึกครื้นกว่าคนเดียว นอกจากนี้เวลาส่วนมากจูจั้นคนเดียวก็เทียบได้กับสิบคน  

 

 

ความครึกครื้นเช่นนี้ คุณหนูจวินชินแล้ว  

 

 

ก่อนหน้านี้เคยเดินทางร่วมกับจูจั้นครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ที่จริงตอนนั้นอาจารย์ก็หนวกหูมากเหมือนกัน  

 

 

คงเป็นเพราะเดียวดายมากกระมัง แม้มีเจตนาจะขู่ไล่นางไป แต่ไยไม่ใช่การระบายความในใจอย่างหนึ่งของตนเองด้วย  

 

 

ยามแสงอัสดงครอบคลุมผืนดิน คุณหนูจวินก็รั้งบังเ**ยนม้าหยุด ค้นหาสถานที่เหมาะๆ  

 

 

“ที่นี่ไม่เหมาะ ไปข้างหน้าต่อ” จูจั้นเอ่ยอยู่ข้างหลัง  

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา พลิกกายลงจากม้า  

 

 

“เฮ้ เจ้าผู้หญิงคนนี้…” จูจั้นเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“ลงมา จุดไฟ ทำอาหาร” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นเลิกคิ้วอยู่บนม้า  

 

 

“ตัดสินใจขอให้ข้าช่วยแล้วรึ?” เขาเอ่ยท่าทางได้ใจ “แต่ต้องพูดให้ชัด”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขา  

 

 

“พูดอะไรให้ชัด?” นางเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นกระโดดลงจากม้า ยื่นมือชี้ฟ้าชี้ดิน  

 

 

“งานนี่นะแบ่งได้มากมาย ตัวอย่างเช่นนำทาง” เขาเอ่ย “ตัวอย่างเช่นการค้างแรมข้างนอกอาหารการกิน ตัวอย่างเช่นการป้องกันงูแมลง ตามหาสมุนไพรเป็นเพียงหนึ่งอย่างในนั้น พวกเราต้องพูดกันก่อนว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือประเภทไหนบ้าน ทุกอย่างราคาล้วนไม่เท่ากัน”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วก็ยิ้ม  

 

 

“ทั้งหมด” นางเอ่ย พลางชี้ฟ้าชี้ดินแล้วชี้จูจั้น  

 

 

จูจั้นรีบยื่นมือห้าม  

 

 

“อย่าชี้มั่วซั่วนะ” เขาเอ่ยเตือน พลางก้าวเท้าหลบนิ้วของนาง “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะคิดเจ้าถูกลงหน่อย ราคาเดียวหนึ่งหมื่นตำลึงเหมาหมด”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มตาหยี  

 

 

“เอ้อร์เสี่ยวเอ๋ย ท่านยังไม่เข้าใจชัดอีกหรือว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“สถานการณ์อะไร?” จูจั้นมองนางอย่างระแวง “อีกอย่าง ห้ามเรียกข้าว่าเอ้อร์เสี่ยว”  

 

 

“ครอบครัวท่านยังติดค้างเงินข้าติดค้างน้ำใจข้า ท่านยังมาถกเรื่องการค้ากับข้าอีก” คุณหนูจวินจิ๊ปากเอ่ย “ท่านร้ายกาจจริงๆเลยนะ”  

 

 

จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อ มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระแวง  

 

 

“เป็นเจ้าพูดถึงการค้าขึ้นมาเอง” เขาเอ่ย  

 

 

“ข้าพูดได้ ท่านพูดไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ยืนนิ่งตรงหน้าจูจั้น “จูเอ้อร์เสี่ยว จะช่วยก็ทำงานเสียเร็วๆ เงินสักแดงก็ไม่มีให้ ไม่อยากช่วยก็รีบไสหัวไปไกลหน่อย”  

 

 

ผู้หญิงหยาบช้าคนนี้!  

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่งพลิกกายขี่ม้าเร็วรี่จากไป  

 

 

คุณหนูจวินก็ไม่สนใจ หันกลับมาปล่อยม้ากินหญ้าให้อาหาร ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จกำลังจะเก็บฟืนจุดไฟ เสียงกีบเท้าม้ากุบกับก็ดังขึ้น จูจั้นขี่ม้ากลับมาอีกครั้ง หลังร่างลากไม้ครึ่งต้นมาด้วย ฝุ่นดินฟุ้งตลบไปหมด  

 

 

เห็นเขากลับมา คุณหนูจวินก็ไม่พูดไม่จา  

 

 

จูจั้นก็ไม่พูดจา ลงจากม้าทันที เอามีดออกมาเหยียบกิ่งไม้ฟันฉึบฉับ จุดกองไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง แล้วยังปลดกระต่ายที่เพิ่งล่ามาใหม่ๆ สองตัวลงจากหลังม้าไปจัดการ  

 

 

รอเขาจัดการเสร็จสิ้น ย่างกระต่ายบนกองไฟก็ได้ยินคุณหนูจวินถอนหายใจเฮ้อด้านหลัง  

 

 

“บางคำพูด ไม่จำเป็นต้องพูด” จูจั้นยกมือขึ้น ศีรษะก็ไม่หันกลับมา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบเฉย  

 

 

“ท่าน…” คุณหนูจวินจะเอ่ยปากอีก  

 

 

จูจั้นก็ขัดนางอีกครั้ง  

 

 

“ต่อให้ไม่ใช่การค้า เป็นน้ำใจ ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณเกรงอกเกรงใจ” เขาเอ่ย “ทุกคนต่างสบายใจก็พอแล้ว”  

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้น คุณหนูจวินยืนอยู่หลังร่างเขา มือตบบนหัวไหล่เขา  

 

 

“นี่” นางเอ่ย “ท่าน…”  

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งกระโดดหนี  

 

 

“มีอะไรก็พูด อย่าจับนั่นจับนี่ ข้าขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง” เขาตะโกนกรุ่นโกรธ  

 

 

“ศิลป์นี่ของท่านขายก็ไม่มีใครเอา” คุณหนูจวินกลอกตา ท่าทางรำคาญหน่อยๆ “ท่านเคลื่อนไหวช้าเกินไปแล้ว”  

 

 

นางพูดพลางมือชี้ไปด้านหลัง  

 

 

“ข้าจะบอกว่าท่านทำด้านนี้เสร็จแล้วก็รีบไปปูที่นอน”  

 

 

จูจั้นยิ่งอับอายโกรธเกรี้ยว  

 

 

“เจ้าทำไม่เป็นรึ?” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากโคลงศีรษะยิ้ม  

 

 

“ไม่เป็นสิ” นางเอ่ย สองมือประคองใบหน้ากะพริบตามองเขา “ข้าเป็นเด็กสาวบอบบางนะ”  

 

 

เด็กสาวบอบบาง  

 

 

คำพูดไม่มีอะไรจริงเช่นนี้นางยังพูดออกมาได้  

 

 

จูจั้นตัวสั่นสะท้าน ยกเท้าจะถอยหลังไป  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม นั่งลงข้างกองไฟ มองดูเนื้อกระต่ายที่ถูกมีดเสียบทะลุย่างอยู่ ฟังเสียงปูกิ่งไม้ใบไม้ด้านหลังร่าง  

 

 

“เฮ้ เนื้อกระต่ายนี่น่าจะกลับด้านได้แล้วกระมัง?” นางพลันตะโกน “ใกล้จะไหม้แล้ว”  

 

 

จูจั้นโยนเบาะผ้าสักหลาดที่เพิ่งปลดลงจากหลังม้าทิ้งกับพื้น กัดฟันก้าวไวๆ เดินเข้ามา กลับเนื้อกระต่ายหลายที แล้วพรมเกลือลงไป หน้าบึ้งไปปูเบาะผ้าสักหลาดต่อ  

 

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่ข้างกองไฟก้มศีรษะกินอยู่ก็ยิ้ม เงยศีรษะมองผืนดารา  

 

 

ค่ำคืนยิ่งมืดมิด ท้องนภากลับยิ่งสว่างไสว  

 

 

ท้องนภาดาราพราวพร่างเช่นนี้นางไม่แปลกตา ตอนติดตามอาจารย์เคยเห็นมาก่อน ตอนที่ตนเดินทางลำพังก็เคยเห็นมาก่อน ตอนที่นั่งบนหลังคาจวนไหวอ๋องก็เคยเห็นมาก่อน  

 

 

แต่ท้องนภาดาราพราวพร่างเช่นนี้ก็ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานนักแล้ว  

 

 

ผืนดารายังไม่เปลี่ยน แต่คนใต้ผืนดาราเปลี่ยนไปแล้ว  

 

 

กลิ่นหอมลอยกำจายอยู่ในจมูก พร้อมกันนั้นก็มีของดำปิดปี๋แทบจะทิ่มโดนหน้า  

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมามอง  

 

 

ในมือจูจั้นถือเนื้อกรต่ายที่ย่างเสร็จแล้วอยู่ก้มมองนางจากข้างบน  

 

 

“ต้องให้ป้อนเจ้าด้วยไหมล่ะ?” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด  

 

 

“เอาสิ” นางเอ่ย หลังจากนั้นก็อ้าปากจริงๆ  

 

 

จูจั้นถลึงตาพรูลมหายใจ  

 

 

“ข้ายอมแพ้” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่ารับเนื้อย่างไป จูจั้นก็ถือเนื้อย่างคล้ายไม่อยากมองนางแม้แต่ครั้งเดียว ไปนั่งกินข้างม้าทั้งสองตัว  

 

 

ทว่าเห็นชัดยิ่งว่าเขาไม่อาจสมความปรารถนา  

 

 

“จูจั้น น้ำเล่า?”  

 

 

“จูจั้น เนื้อไม่พอนะ”  

 

 

“จูจั้น มีผลไม้ทานหรือไม่?”  

 

 

“ทำไมไม่มีล่ะ? ข้างหน้าที่ท่านไปก่อนหน้านี้มีต้นซิ่ง…  

 

 

“ถ้าไม่งั้นท่านไปเก็บเสียตอนนี้…”  

 

 

เสียงของเด็กสาวดังขึ้นเป็นระยะไม่เร่งร้อนไม่เชื่องช้า ยังท่าทางกรีดกรายอยู่บ้าง(  

 

 

แต่นี่ไม่อาจทำให้จูจั้นเบิกบานสำราญใจได้ เสียงกัดฟันของเขายิ่งดังขึ้นทุกที  

 

 

“จวินจิ่วหลิง! เจ้าเล่นพอแล้วหรือยัง?” ในที่สุดเขาก็คำรามเอ่ย  

 

 

เสียงของคุณหนูจวินหยุดลง มองเขาพลางยิ้มแล้ว จากนั้นก็สีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า  

 

 

ดูท่าทางเจ้าเล่ห์นี่สิ!  

 

 

จูจั้นกัดฟันโยนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเข้าไปในกองไฟอย่างโมโห หมดเรี่ยวแรงจะกลับไปข้างม้า นั่งลงเสียตรงนั้น  

 

 

ที่ก็มีอยู่เท่านี้ขอแค่ผู้หญิงคนนี้มีใจจะทรมาน ต่อให้ตาไม่เห็นก็ไม่มีปัญหา  

 

 

“มีอะไรก็พูด อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ได้หรือไม่? เล่นละครไม่มีความหมายพวกนี้?” จูจั้นหน้าขรึมเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพลางพยักหน้าว่าง่ายอย่างยิ่ง  

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง ถือกิ่งไม้เขี่ยกองไฟ  

 

 

ทุ่งกว้างยามค่ำคืนในที่สุดก็ฟื้นคืนความเงียบสงบที่ควรมี  

 

 

ใต้ท้องฟ้าดวงดาราพร่างพราว กองไฟลุกโชน ม้าส่งเสียงฟืดฟาด รอบด้านมีเสียงแมลงค่อยๆ ดังขึ้น  

 

 

จูจั้นรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าความเงียบทำให้คนเบิกบานใจจริงๆ  

 

 

“แต่ มีเรื่องหนึ่งข้าอยากบอก”  

 

 

เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง  

 

 

จูจั้นมองไปหานาง ใต้แสงเปลวไฟ สีหน้าของเด็กสาวอ่อนโยนเฉกเช่นเสียงพูด นางนั่งเงียบสงบ ไม่หัวเราะร่าเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ ท่าทางสง่างาม  

 

 

จูจั้นเหล่ตามองนาง  

 

 

“เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าจวินจิ่วหลิง” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “ท่านเรียกข้าอีกครั้งได้หรือไม่ แค่เรียกชื่อ”  

 

 

จิ่วหลิง  

 

 

จิ่วหลิง  

 

 

ใต้แสงเปลวไฟสาดส่อง ใบหน้าของจูจั้นเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เสียงปั้บดังขึ้นทีหนึ่ง เขาโยนกิ่งไม้เข้าไปในกองไฟ  

 

 

“คนแซ่จวิน เจ้าอย่ารังแกคนเกินไปนัก” เขาตะโกนอย่างอับอายหงุดหงิด คนก็กระโดดลุกขึ้นเดินฮึดฮัดจากไป  

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขา  

 

 

“ข้ารังแกท่านอย่างไรเล่า?” นางเอ่ย  

 

 

เพียงแค่อยากได้ยินคนในอดีตเรียกชื่อในอดีตสักคำเท่านั้น  

 

 

นางเงยศีรษะมองดูท้องนภาที่ดวงดาวพร่างพราว  

 

 

ของยังคงเดิมคนหาใช่ไม่ บางครั้งนางก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครแล้ว  

 

 

……………………………………….  

 

 

“จูจั้น”  

 

 

ตอนที่เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้น จูจั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว  

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?” เขาคำราม  

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าจะนอนแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วคลุมผ้าคลุม เดินไปทางเบาะบนพื้นที่ปูไว้เรียบร้อยแล้ว  

 

 

จูจั้นมองนางเดินผ่านข้างกายไปอย่างระแวง  

 

 

“นอนก็นอน บอกอะไร” เขาเอ่ย  

 

 

“ย่อมต้องบอกสิ ท่านเฝ้ายามกลางคืนด้วยนะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ลำบากแล้ว”  

 

 

ยังมีมารยาทอยู่บ้าง…ในใจจูจั้นคิด จากนั้นก็ถอนหายใจร้องเอ๊ะ  

 

 

“เจ้าไม่ใช่มีอาวุธลับร้ายกาจมากพวกนั้นหรือ? เขาเอ่ย “วางไว้จะคนจะผีก็ยากเข้าใกล้แล้ว ยังต้องเฝ้ายามกลางคืนอะไรอีก”  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ ลุกขึ้นนั่งบนเบาะ  

 

 

“ก่อนหน้านี้วางพวกนั้นไว้เพราะมีข้าแค่คนเดียว ตอนนี้…” นางเอ่ยพลางมองจูจั้น สีหน้าจริงใจทั้งยังถอนหายใจ “มีท่านแล้วไง ท่านร้ายกาจปานนี้ มีท่านอยู่ข้าวางใจยิ่งนัก”  

 

 

ในที่สุดนางก็ยอมรับแล้วว่าเขาร้ายกาจมาก จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว น้ำเสียงนี่คำพูดนี่คล้ายไม่มีสิ่งใดไม่ถูก แต่อย่างไรก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูก  

 

 

“….อาวุธลับยาพิษพวกนั้นทำขึ้นมาทั้งแพงทั้งยุ่งยาก อย่างไรประหยัดหน่อยย่อมดีกว่าไม่ใช้ได้ก็ไม่ใช้”  

 

 

คุณพระ! ผู้หญิงคนนี้!  

 

 

รู้อยู่แล้วเชียวว่านางเป็นคนไม่ปกติคนหนึ่ง!  

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ทีหนึ่ง มองเด็กสาวที่ดึงผ้าคลุมนอนลงไป  

 

 

“คนแซ่จวิน! เจ้านี่มัน!”  

 

 

“เฮ้ ต่อให้เฝ้ายามกลางคืน นั่นก็ต้องเปลี่ยนเวรกันนะ! อาศัยอะไรให้ข้าทำคนเดียว!”  

 

 

คุณหนูจวินโผล่สองตาออกมาจากในผ้าคลุม ประหนึ่งดวงดาราบนท้องนภายามราตรีส่องประกายวิบวับ  

 

 

“อาศัยอะไร? อาศัยที่ท่านติดค้างข้า ข้าไม่ติดค้างท่านไง” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน  

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีความหมายให้พูดต่อแล้ว  

 

 

จูจั้นรู้สึกว่าไม่เคยเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อน  

 

 

ทำไมเขารู้สึกเหนื่อยล้าแบบนี้?  

 

 

เขาเคยไล่ล่าสังหารโจรจินสามวันไม่นอนไม่พัก เขาเคยระหกระเหินเดินทางไกลกลางทุ่งกว้างนี่น้ำสักหยดไม่ได้ดื่ม  

 

 

ยามนั้นเขาล้วนไม่รู้สึกเหนื่อยล้าสักนิด  

 

 

ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ใต้ฟากฟ้าดวงดาวดารดาษงดงามเช่นนี้  

 

 

ทำไมเขารู้สึกเหนื่อยล้าได้?  

 

 

เขามองผ้าคลุมปักบุปผาสีทองงดงาม มองดูเรือนร่างอรชรงดงามที่ปรากฏใต้ผ้าคลุมรวมถึงเส้นผมดำขลับที่แผ่สยายเผยออกมานั่นด้านนั้น  

 

 

นี่ควรเป็นภาพที่ทำให้คนเพลินตาเพลินใจถึงขั้นคิดเพ้อไปไกลชัดๆ   

 

 

จูจั้นอดไม่ได้ยื่นมือออกไปหาท้องนภาดวงดาวดารดาษคว้าฉีกเปะปะอยู่พักหนึ่ง คล้ายต้องการฉีกทึ้งค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิที่น่าหงุดหงิดนี่  

 

 

กลางคืนทำไมยังไม่ผ่านพ้นไปอีกนะ? ฟ้าทำไมยังไม่สว่างอีก?  

 

 

นี่เมื่อไรถึงจะจบนะ  

“เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย”  

 

 

“เจ้าทำแบบนี้อีกข้าจะสวนกลับแล้วนะ”  

 

 

“เจ้าหยุดแต่พอดี”  

 

 

“ข้ากับเจ้าก็ไม่ใช่คุ้นเคยกัน เจ้าอย่าหาเรื่องข้า”  

 

 

หลังโวยวายพักหนึ่ง จูจั้นก็พูดจริงทำจริงไม่เกรงใจอีกต่อไป สองสามครั้งก็แย่งกิ่งไม้โยนไปด้านข้าง  

 

 

“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่ตีผู้หญิงนะ” เขามองสตรีผู้กำหมัดจ้องตนอย่างดุร้าย “ใครตีข้า ข้าก็ตีคนนั้น ข้าไม่สนหรอกว่าผู้ชายผู้หญิงเด็ก”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาอย่างดุร้ายไม่พูดไม่จา เห็นชัดว่าอารมณ์กำลังคุกรุ่น  

 

 

จูจั้นเปลี่ยนมาตั้งท่าระวังป้องกันอีกครั้ง  

 

 

“คนแซ่จวิน พวกเราเพียงทำการค้ากัน มีอะไรก็พูด เจ้าโกรธอย่ามาระบายใส่ข้า ข้าไม่มีเวลาว่างแล้วก็ไม่มีอารมณ์สนใจ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมืออกมา  

 

 

“ให้ข้า” นางเอ่ย  

 

 

แม้พูดด้วยเสียงแหบพร่าสั้นกระชับ จูจั้นกลับไม่ถามมาก รู้ชัดมากว่าที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร  

 

 

จูจั้นลังเลนิดหนึ่งคล้ายกลัวนางจะโถมเข้ามาล่วงเกินตนเอง อยู่ห่างไปหลายก้าวโยนต้นเซียนจื่ออิงข้ามมาอย่างระมัดระวัง  

 

 

คุณหนูจวินรับไว้แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า  

 

 

จูจั้นยกแขนขึ้น ถอยหลังตั้งท่าระวังทันที กลับเห็นนางเพียงแค่เดินผ่านตนเองไปอีกด้านหนึ่งเท่านั้น  

 

 

“ตอนนี้ พวกเราสองคนไม่ติดค้างกันแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ศีรษะก็ไม่หันกลับมา “ท่านไสหัวไปได้แล้ว ไสหัวไปไกลๆ อย่าให้ข้าเห็นท่านอีก”  

 

 

เส้นผมเสื้อผ้าของนางเพราะคลุ้มคลั่งเมื่อครู่จึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่เสียง ท่าทางฟื้นกลับมานิ่งสงบแล้ว มองท่าทางคลุ้มคลั่งก่อนหน้านี้ไม่ออกสักนิด  

 

 

นอกจากนี้บอกไปก็ไป แรกสุดก้าวยาวๆ หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นมาดื้อๆ พริบตาก็ไปไกลแล้ว  

 

 

จูจั้นยืนอยู่ที่เดิมยังคงตั้งท่าระวัง คล้ายชั่วขณะหนึ่งไม่ทันตอบสนอง จนกระทั่งเห็นสตรีคนนั้นหายไปจากช่องเขา ถึงยืนตัวตรง  

 

 

“เล่นละครอะไรกันเล่า?” เขาเอ่ย  

 

 

ย้อนคิดเรื่องทั้งหมดขึ้นมาก็ประหลาดจริงแท้ นอกจากนี้นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นนางร้องไห้โวยวายเช่นนี้ด้วย  

 

 

จูจั้นมองแผ่นหลังของคุณหนูจวินไกลออกไป  

 

 

“อยากรับแต่ปฏิเสธก่อน” เขาแค่นเสียงเหอะ พูดเหมือนเข้าใจ “อย่าคิดว่าข้าจะหลงกล”  

 

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปอีกทางหนึ่ง พริบตาก็หายไประหว่างหุบเขา  

 

 

ในหุบเขาฟื้นกลับมาเงียบสงบ หินภูเขาที่ร่วงเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เชือกที่หล่นร่วงอยู่ในพงหญ้า กิ่งไม้ที่ใช้ตีสะเปะสะปะซึ่งถูกโยนทิ้งไว้อยู่ที่นี่ไม่โดดเด่นสะดุดตา หลังผ่านไปวันสองวันก็คงกลมกลืนเป็นร่างเดียวกับหุบเขาแห่งนี้  

 

 

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าเอนไหวทำลายบรรยากาศนิ่งงันในหุบเขา ในเวลาเดียวกันเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น จูจั้นปรากฏตัวด้านนี้อีกครั้ง  

 

 

เทียบกับรอยยิ้มร่าสบายอกสบายใจก่อนหน้านี้ เวลานี้สีหน้าของเขานิ่งสนิท ก่อนอื่นเขาเงยศีรษะมองดูบนหน้าผาแล้วมองรอบด้าน ตอนนี้ถึงเดินเข้าไปเก็บเชือกที่หล่นร่วงอยู่บนพื้น  

 

 

คล้ายกับผู้เฒ่าตระหนี่ที่ทิ้งเชือกไม่ลงคนหนึ่ง เชือกเส้นนี้แม้ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อย่างที่ควรบนหน้าผา แต่บางทีอาจมีประโยชน์ที่อื่นอีกก็ได้  

 

 

จูจั้นเก็บเชือกขึ้นมาแต่ไม่ได้เก็บเข้าไป กลับตั้งใจมองดูปลายเชือก  

 

 

เชือกมีปลายสองด้าน ด้านหนึ่งยังมัดเป็นปม นี่เป็นด้านที่มัดตรงเอวเขา เมื่อครู่ใช้มีดตัดขาด รอยขาดเรียบสนิท   

 

 

จูจั้นถือปลายอีกด้านหนึ่งขึ้นมาอีก มือคลำถูกรอยขาดเรียบสนิทเช่นกัน แววตาทะมึน  

 

 

……………………………………….  

 

 

“เห็นไหม”  

 

 

จูจั้นก้าวยาวๆ เดินมาถึงตรงหน้าคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างทางภูเขา โยนเชือกในมือลงมา  

 

 

คุณหนูจวินกำลังนั่งทานเนื้อแดดเดียวชิ้นหนึ่งอยู่ ไม่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวกะทันหันของจูจั้นสักนิด  

 

 

ส่วนจูจั้นก็ไม่อธิบายว่าตนเองทำไมตามมา เขายืนอยู่ตรงนี้เหมือนไม่ปุบปับสักนิด  

 

 

คล้ายกับว่าพวกเขาคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด  

 

 

คุณหนูจวินมองเชือกบนพื้นทีหนึ่งไม่พูดไม่จา  

 

 

“ข้าไม่ได้จงใจทำเจ้าตกใจนะ นอกจากนี้ข้าก็ไม่ใช่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมถึงเกิดอุบัติเหตุ” จูจั้นเอ่ย “ข้าถูกคนลอบทำร้าย”  

 

 

คุณหนูจวินหลุบตางับเนื้อแดดเดียว  

 

 

“นี่มีสิ่งใดแตกต่าง?” นางเอ่ย “ไม่ได้เตรียมเชือกให้ดีจนเกิดอุบัติเหตุ กับไม่เตรียมพร้อมให้ดีจนถูกคนฉวยโอกาสลอบทำร้าย ไม่ใช่ล้วนเพราะท่านโง่เง่ารึ?”  

 

 

“เฮ้!” จูจั้นตะโกนทีหนึ่ง “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า?”  

 

 

“ท่านฉลาดปานนี้ ร้ายกาจปานนี้ กลับไม่สังเกตว่ามีคนจะทำร้ายท่าน? ไม่ใช่โง่เง่าแล้วเป็นอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

จูจั้นอยากพูดอะไร คุณหนูจวินก็ยกมือขึ้นอีกหน แกว่งเนื้อแดดเดียว  

 

 

“ไม่ ข้าพูดผิดแล้ว” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

จูจั้นหรี่ตาก้มมองนางจากข้างบน  

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้ามองเขา  

 

 

“ไม่ใช่ท่านโง่เง่า น่าจะเป็นอีกฝ่ายร้ายกาจเกินไปฉลาดเกินไป” นางเอ่ย  

 

 

นี่ก็ไม่ใช่ด่าเขาโง่เง่าหรือ?  

 

 

จูจั้นถลึงตาแล้วพลันกอดอกถอยหลังก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วมองประเมินนาง  

 

 

“เจ้าเรียนมาจากใครกันฮะ? ทำไมไม่ปกติแบบนี้ได้?” เขาเอ่ย  

 

 

เรียนจากใคร?  

 

 

ก็เรียนจากเจ้าโง่ที่หลงตนเองยิ่งกว่าท่าน ร้ายกาจยิ่งกว่าท่านแต่ท้ายที่สุดกลับตกลงมาตายเพราะเก็บสมุนไพรต้นนี้น่ะสิ  

 

 

คุณหนูจวินมองเนื้อแดดเดียวในมือ อารมณ์ที่เดิมทีกำลังจะกดลงไปได้ปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

จูจั้นก็รู้สึกได้ รีบร้องเฮ้ยเฮ้ยหลายที  

 

 

“เจ้าอย่าคลุ้มคลั่งอีกเชียว” เขาเอ่ย “ข้าไม่ผิดนะ ต่อให้การกระทำของข้าทำให้เจ้านึกถึงเรื่องของคนอื่นขึ้นมา เจ้าระบายความโกรธใส่ข้าก็ไม่ยุติธรรม”  

 

 

เขาพูดเปิดอกตรงไปตรงมาออกมาเช่นนี้ อารมณ์ของคุณหนูจวินพลันสลายไปแล้ว  

 

 

ใช่แล้ว เขาไม่โง่เง่าจริงๆ แม้บางครั้งเสแสร้งแกล้งโง่ แต่ในใจยังคงเข้าใจกระจ่างชัดนัก  

 

 

ก่อนหน้านี้นางเกรี้ยวกราดเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเสียสติไปแล้ว แต่เห็นชัดยิ่งว่าสะเทือนใจเพราะคิดถึงเรื่องในอดีตคนในอดีต  

 

 

“นี่มีสิ่งใดไม่เข้าใจ เรื่องทางโลกเรื่องของคน เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างไรก็เป็นเพราะคน” จูจั้นเอ่ยแล้วมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง “บนโลกนี้ไม่มีความรักความชังที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นข้าถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกเราแปลกประหลาดเช่นนี้? ที่แท้มีสิ่งใดไม่อาจพูดได้?”  

 

 

คุณหนูจวินวางเนื้อแดดเดียวเข้าปากเคี้ยวช้าๆ  

 

 

“ไม่มีสิ่งใด” นางเอ่ย “ไม่มีสิ่งใดบอกได้”  

 

 

พูดจบก็โบกมือ  

 

 

“เอาอย่างนี้เถอะ ที่ท่านติดค้างต้นเซียนจื่ออิงหนึ่งต้นกับข้า คืนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราสองฝ่ายไม่ติดค้าง ท่านตามพ่อของท่านเข้าเมืองหลวงเถอะ อย่าตามข้าอีกเลย”  

 

 

จูจั้นนั่งพรึบลงมา  

 

 

“ใครตามเจ้า?” เขาแค่นเสียงเอ่ย “อย่าคิดไปเองให้มากนักนะ เจ้าทำอะไรหาอะไรจะเป็นหรือตาย ข้าหาสนใจไม่”  

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา  

 

 

“ที่จริงความหมายของข้าก็คือ ท่านอย่าลากข้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยได้หรือไม่?” นางเอ่ย “ท่านดูสิ ท่านเดินทางไปถึงที่ไหนก็ล้วนถูกคนไล่ล่าสังหาร ท่านตามข้ามา หากผู้อื่นถือโอกาสสังหารข้าไปด้วยเล่า? ข้าก็โชคร้ายเกินไปแล้วสิ?”  

 

 

จูจั้นร้องฮ่าทีหนึ่ง  

 

 

“อะไรเรียกข้าลากเจ้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วย?” เขาเอ่ยแล้วเอาขานั่งขัดมาธิ “อีกอย่าง เรื่องยังไม่ชัดเจนเลย คนผู้นี้จะสังหารข้าหรือจะสังหารเจ้าก็ยังไม่แน่หรอก”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วเบ้ปาก  

 

 

“สังหารข้ากลับไปตัดเชือกท่าน?” นางเอ่ย “คนผู้นี้ตาบอดใช่หรือไม่?”  

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่ นี่บ่งบอกว่าคนผู้นั้นสายตาชั่วร้าย” เขาเอ่ย “เขารู้ว่าข้าร้ายกาจมาก ดังนั้นหากต้องการสังหารเจ้า ย่อมต้องกำจัดข้าก่อนถึงจะไม่พลาด”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ท่านยังพูดออกมาได้” นางสบถทีหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

“นี่เป็นความจริงข้ามีอะไรพูดออกมาไม่ได้?” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง ยัดเนื้อแดดเดียวสองสามคำเข้าปาก แล้วถือกาน้ำขึ้นดื่มคำหนึ่งจากนั้นลุกขึ้นยืน จูงม้าด้านข้างมา  

 

 

“ข้าว่านะคนแซ่จวิน เจ้าอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองเป็นที่ต้อนรับนักเลย” จูจั้นเอ่ยพลางจูงม้าตาม “อย่าลืม เจ้าศัตรูมากเท่าไรก่อเรื่องมากเท่าไร ตอนนี้คนที่อยากสังหารเจ้ายิ่งมาก”  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านยังตามข้าอีกรึ?” นางเอ่ย  

 

 

“ข้าตามเจ้ายังไง?” จูจั้นเอ่ย “ถนนกว้างเดินคนละฝั่ง อาศัยอะไรเจ้าเดินได้ข้าเดินไม่ได้?”  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่งไม่พูดจาอีก แต่เขาเปลี่ยวรกชัฏกลับไม่ได้เงียบลง  

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย เจ้าอย่าคิดมากเด็ดขาด”  

 

 

“พวกเราควรตอบแทนน้ำใจอะไรก็ตอบแทนอันนั้น อย่าคิดไปเองเด็ดขาด”  

 

 

“ถ้าไม่เช่นนั้นเอาแบบนี้เถอะ พวกเราทำการค้ากันอีกสักครั้ง เจ้าจ้างข้าช่วยเจ้าตามหาสมุนไพร”  

 

 

“เห็นแก่มิตรภาพ ต้นหนึ่งเอาแค่ห้าพันตำลึงเป็นอย่างไร?”  

บนถนนเอะอะเช่นเดิม เสียงเรียกขานดังไม่หยุด เรื่องเมื่อครู่คล้ายไม่ได้เกิดขึ้น  

 

 

เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยจุดความวุ่นวายขึ้นพักหนึ่งได้ แต่ความวุ่นวายนี้จะผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ดูคล้ายทุกคนใส่ใจ แต่ที่จริงเมื่อไม่เกี่ยวกับตนล้วนปล่อยทิ้งไว้  

 

 

แต่หากเรื่องเกี่ยวพันถึงคนจำนวนมากเล่า?  

 

 

พูดถึงเกี่ยวพัน เรื่องที่เด็กสาวคนนี้ทำวันนี้ คนที่เกี่ยวพันถึงยิ่งมากขึ้นทุกทีจริงๆ  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มอีกครั้ง  

 

 

“คุณชาย ที่แท้ท่านดีใจปานนี้เรื่องอะไรหรือขอรับ?” เสี่ยวติงเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ “วันนี้ท่านยิ้มมากจริงๆ”  

 

 

“เวลาอื่นข้าก็ไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยพลางเดินไปข้างหน้า  

 

 

“คุณชายท่านล้อข้าเล้ว” เสี่ยวติงกระฟัดกระเฟียดโอดครวญ  

 

 

“ท่านอาของข้าถูกให้ออกจากตำแหน่งแล้ว นี่สำหรับตระกูลข้า สำหรับฮ่องเต้ล้วนไม่ใช่เรื่องน่าเบิกบานใจอะไร ข้ายังจะยิ้มแย้มแจ่มใสอีกหรือ” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…” เสี่ยวติงเอ่ยถาม  

 

 

“ตอนนี้เจรจาสงบศึกแล้ว บ้านเมืองประชาชนล้วนสงบสุข เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาตามพระราชประสงค์แล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเบิกบานใจปานใด ย่อมต้องยิ้มมากเข้า หรือจะหน้าบึ้งให้ราชสำนักอึดอัดรึ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ช่วยผู้อื่นเท่ากับช่วยตนเอง ไม่ตบหน้าผู้อื่น ผู้อื่นย่อมไม่ตบหน้าเรา”  

 

 

เสี่ยวติงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“คุณชาย ท่านลากไปไกลแล้วกระมัง” เขาเอ่ย “ท่านต้องดีใจเพราะคุณหนูจวินจะมาแล้วแน่”  

 

 

พูดจบไม่รอหนิงอวิ๋นเจาตอบโต้ เขาก็วิ่งตื๋อไปข้างหน้าก่อนก้าวหนึ่ง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มไม่พูดไม่จา ก้าวเชื่องช้าตัดผ่านกลางฝูงชนที่ไปๆ มาๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

เสียงฝีเท้าทำลายความเงียบสงบของป่าเขาและทำสกุณาไก่ป่าแตกตื่นโผบินพรึบพรับวุ่นวายชนกันสะเปะสะปะอยู่พักหนึ่ง  

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือปิดจมูกปากไว้ จามหลายหน จากนั้นก้าวเท้าสองสามก้าวก็มุดออกไปจากพุ่มไม้เตี้ยนี่แล้ว  

 

 

ตรงหน้าพลันปรากฏถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง หน้าผาสูงชันตั้งตระหง่าน  

 

 

คุณหนูจวินพรูลมหายใจ ปลดห่อสัมภาระลงหิ้วไว้แล้ววิ่งเข้าไป เดินไปได้หลายก้าวแล้วฉับพลันนางก็หยุดเท้าลง มองดูรอบด้านสีหน้าระแวดระวัง  

 

 

ที่นี่เพิ่งมีคนผ่านมา  

 

 

เป็นชาวเขาใกล้ๆ ที่มาล่าสัตว์ตัดฟืนหรือคนอื่น?  

 

 

คุณหนูจวินกวาดตามองรอบด้าน ฉับพลันดวงตาก็ทอประกายจับอยู่บนหน้าผา  

 

 

แม้ระยะทางไกลอยู่บ้าง แต่ยังคงมองเห็นชัดเจนว่ามีคนผู้หนึ่งเกาะอยู่บนหน้าผา  

 

 

และคนผู้นี้…  

 

 

“จูจั้น!”  

 

 

คุณหนูจวินหลุดปากตะโกน ก้าวไวๆ วิ่งเข้าไป  

 

 

เมื่อยืนอยู่ใต้หน้าผาเงยศีรษะขึ้นยิ่งมองเห็นคนด้านบนชัด จูจั้นที่ไม่พบหน้ามาหลายวันนั่นเอง  

 

 

เจ้าหมอนี่ถึงกับยังอยู่ที่นี่ คิดว่าเขาไล่ตามกองกำลังของเฉิงกั๋วกงไปเมืองหลวงแล้วเสียอีก  

 

 

จูจั้นปีนป่ายอยู่กลางอากาศ กำลังระมัดระวังและลื่นไหลลงมาอย่างรวดเร็ว  

 

 

ความเคลื่อนไหวรวมถึงเสียงตะโกนด้านล่างทำให้การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลง  

 

 

“เฮ้” เขายื่นมือชี้ไปที่ตีนเขา “คนแซ่จวิน ที่นี่ข้ามาถึงก่อนนะ”  

 

 

แล้วโบกมืออีก  

 

 

“เจ้าไปเสีย ไปเสีย”  

 

 

คนผู้นี้ยังจำประโยคนั้นได้อีกแหนะ คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ ในเวลาเดียวกันคิ้วก็ขมวดขึ้นมา  

 

 

เขาลูกนี้หน้าผาสูงชันยิ่งนัก  

 

 

“นี่ ท่านระวังหน่อย” นางตะโกนเสียงดัง “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าแล้ว  

 

 

“อย่าฝัน” เขาตะโกนบอก “เจ้าผู้หญิงคนนี้หวังอะไรอยู่ข้ารู้”  

 

 

เขาชี้จุดที่ไม่ไกลข้างใต้ร่าง  

 

 

“ข้าบอกเจ้าไว้เลย ต้นเซียนจื่ออิงต้นนี้ข้าหาพบ ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”  

 

 

ถึงกับหาพบจริงๆ? คุณหนูจวินก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง กะพริบตามองไปทางหน้าผา  

 

 

ระหว่างหินผาที่ซ้อนเป็นชั้นๆ สลับกันมีดอกไม้ดอกหนึ่งเอนไหวอยู่ลางๆ  

 

 

ดีเหลือเกิน  

 

 

บนหน้านางอดไม่ได้ผุดรอยยิ้ม แต่ครู่ต่อมาก็ผุดความหวาดผวาออกมาอีก  

 

 

“นี่ ฝั่งนั้นอันตรายมาก หินภูเขาส่วนใหญ่ร่วนแล้ว ท่านอย่าข้ามไป…” นางตะโกนเสียงแหลม  

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นร่างของจูจั้นแกว่งไกวทีหนึ่ง พร้อมกันนั้นเสียงร้องเฮ้ยก็ดังขึ้น คนพลันร่วงลงมา  

 

 

คุณหนูจวินก็กรีดร้องเสียงหลง มือกุมศีรษะ  

 

 

ไม่ ไม่ ไม่…  

 

 

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลม มีเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่นดังขึ้น  

 

 

“ดูท่าทางโง่งมนั่นของเจ้าสิ” จูจั้นหัวเราะเสียงดัง ตะโกนขึ้นมา  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าตะลึงมองไป เห็นเขาห้อยแกว่งไปมาอยู่กลางทาง เชือกเส้นหนึ่งมัดอยู่บนเอวของเขา  

 

 

“ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย” จูจั้นหัวเราะเอ่ยขึ้น มือหนึ่งส่ายเชือก ยังคงพร่ำบ่นกับตนเอง “อย่าคิดว่าใต้หล้ามีแค่เจ้าที่ร้ายกาจสิ”  

 

 

คุณหนูจวินอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เพียงจ้องเขานิ่งสนิท  

 

 

จูจั้นเยาะเย้ยหลายประโยคเห็นนางไม่มีปฏิกิริยาก็ไม่พูดต่ออีก  

 

 

“ดูไว้เถอะข้าเก็บสมุนไพรต้นนี้ได้ พวกเราก็ไม่ติดค้างกันแล้ว” เขาทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง มือปีนป่ายหินภูเขา เท้าออกแรงเหยียบทีหนึ่ง คนก็เหวี่ยงตัวไปทางสมุนไพรด้านข้าง  

 

 

แต่ตอนที่เขากำลังจะคว้าหินภูเขาก้อนหนึ่งยึดร่างมั่นคงได้ เชือกที่มัดอยู่ตรงเอวซึ่งห้อยลงมาจากด้านบนก็พลันร่วงหล่น  

 

 

จูจั้นรู้สึกเพียงร่างกายหนักขึ้นวูบหนึ่ง เท้าเหยียบอากาศวูบหนึ่ง คนก็ร่วงลงไปเบื้องล่าง  

 

 

บัดซบ!  

 

 

คราวนี้เขาไม่ได้ร้องเฮ้ยเสียงดังแล้ว แต่ในใจด่าประโยคหนึ่ง  

 

 

เชือกเส้นนั้นประหนึ่งงูตัวยาวตัวหนึ่งร่วงหล่นเห็นชัดยิ่งนัก คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ตรงตีนเขาก็มองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง  

 

 

เห็นร่างกายของจูจั้นไหลร่วงลงเบื้องล่างอีกครั้ง มือของคุณหนูจวินยังคงกุมศีรษะ แต่ไม่ได้กรีดร้องเสียงหลงเหมือนก่อนหน้า  

 

 

นางเพียงมองนิ่งอึ้ง ประหนึ่งทุกสิ่งในโลกล้วนไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงคนผู้นั้นกำลังร่วงหล่น  

 

 

ร่วงหล่น  

 

 

หินภูเขากลิ้งร่วง  

 

 

ร่วงลงบนพื้น ประหนึ่งตุ๊กตาดินปั้นแตกเละ ดุจตุ๊กตาผ้าถูกตัดขาด  

 

 

ที่แท้ก็ตายเช่นนี้หรือ?  

 

 

นาทีนั้นฉากนั้นเป็นเช่นนี้หรือ?  

 

 

ในหูเสียงหินภูเขากลิ้งร่วงดังขึ้นไม่หยุด แต่คนที่หล่นร่วงคนนั้นกลับหยุดแล้ว  

 

 

จูจั้นสองขาห้อยอยู่กลางอากาศ สองมือเกาะอยู่บนหินภูเขาที่นูนออกมาก้อนหนึ่ง เขาไม่ได้หยุดชะงักสักนิด ออกแรงแกว่งตัวขึ้นไปข้างบน มือเท้าใช้ในการปีนป่ายหน้าผา  

 

 

เขาหยุดอยู่ที่หนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง เอามีดที่เอวออกมาพลิกมือตัดเชือกที่มัดเอวออก เชือกเส้นยาวไม่มีที่ยึดเกาะอีกต่อไปร่วงหล่นลงจากเขา มีดของเขาแทงคว้านบนหน้าผาอย่างฉับไว  

 

 

แทบจะพริบตาเดียวมีดก็โยนทิ้งด้วย ต้นเซียนจื่ออิงรากติดยาวเฟื้อยถูกเขาคาบไว้ในปาก คนก็ปีนขึ้นไปข้างบน หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

คุณหนูจวินยังคงยืนอยู่ที่เดิม คล้ายตะลึงอย่างสิ้นเชิง ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งมีคนตบหัวไหล่นางจากด้านหลัง  

 

 

“คงไม่กระมัง ตกใจจนอึ้งไปจริงๆ แล้วรึ?” จูจั้นยื่นศีรษะสำรวจมองนางแล้วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินมองเขา แววตาหวั่นไหวอยู่บ้าง  

 

 

จูจั้นโบกมือไปมาตรงหน้านาง หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ที่แท้ก็ขี้ขลาดปานนี้เชียวรึ?” เขาเอ่ย แต่นาทีต่อมาก็หุบยิ้ม คนพลันถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง ชี้นิ้วใส่คุณหนูจวิน “ข้าบอกเจ้าเลยนะ อย่าคิดเล่นไม้นี้ แสร้งทำท่าตกใจจนอึ้ง แสดงออกว่าเป็นห่วงข้ายิ่งนัก ละครเช่นนี้ข้าเห็นมามากแล้ว แรกสุดตระหนกลนลานขวัญกระเจิง หลังจากนั้นก็ดีใจเหมือนเป็นบ้าโถมเข้ามากอดคนร้องไห้…”  

 

 

เสียงของเขายังไม่ทันจบก็ได้ยินคุณหนูจวินร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง คนก็โถมเข้ามาใส่เขา  

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งเช่นกัน คนก็หลบไปด้านข้าง คุณหนูจวินช้าไปก้าวหนึ่ง คว้าได้เพียงแขนเสื้อของเขาเกือบจะทึ้งออกมา  

 

 

“โชคดีนะที่ข้าระวังไว้ก่อน” จูจั้นร้องตะโกน วางท่าเตรียมป้องกันใส่คุณหนูจวิน “”เจ้าอย่าคิดจับนู่นจับนี่ข้า”  

 

 

คุณหนูจวินสองตาแดง สีหน้ากลับเขียวม่วง จ้องเขาเขม็ง  

 

 

“ท่านทำอะไร?” ในที่สุดนางก็ตะโกนออกมา เสียงแหบพร่า “ท่านทำอะไรฮะ? ท่านบ้าไปแล้วรึ? ท่านบ้าไปแล้วรึ?”  

 

 

นางเพียงร้องตะโกนประโยคนี้ซ้ำไปมา  

 

 

สภาพนี้คล้ายตกใจกลัวไม่เบาจริงๆ จูจั้นระแวงป้องกันไปพลาง ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งไปพลาง  

 

 

“ข้าทำอะไรได้เล่า? ขุดสมุนไพรสิ” เขาเอ่ย “สมุนไพรนี่หายากเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ง่ายปานนั้นก็เอามาได้ มีอะไรตกอกตกใจ   

 

 

คุณหนูจวินกัดริมฝีปากล่าง สองตาแดงก่ำ เพียงมองเขาอย่างดุร้าย  

 

 

สีหน้าเช่นนี้ทำให้คนฝืนมองตรงๆ ไม่ได้อยู่บ้าง  

 

 

จูจั้นเอาต้นเซียนจื่ออิงที่ยัดไว้ในอกเสื้อออกมา  

 

 

“แค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวอะไร” เขาเอ่ยแล้วยักไหล่หัวเราะฮ่าฮ่า ตัดสินใจเล่นมุกให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “มีอะไรน่ากลัวเล่า อย่างไรข้าก็คงไม่มีทางตกลงมาตายเช่นนี้หรอกกระมัง? ข้าเป็นใคร ข้าร้ายกาจปานนี้ หากตกลงมาตายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าขำเกินไปแล้ว”  

 

 

แต่ประโยคนี้เห็นชัดว่าไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายลงเลย เสียงพูดของเขายังไม่ทันจบก็เห็นเด็กสาวที่เดิมแค่จ้องเขาอยู่ พริบตาร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง คว้ากิ่งไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้น พุ่งเข้ามาฟาดใส่หัวใส่หน้าเขา  

 

 

“ท่านสิขำ ท่านสิขำ” นางตะโกนไปด้วย  

 

 

จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง แล้วก็รู้สึกประหลาด  

 

 

“ข้าพูดว่าข้าน่าขำ เจ้าตีข้าทำอะไร” เขาร้องตะโกน “เจ้าฟังผิดแล้วใช่หรือไม่?”

เด็กคนนี้ขี้โมโหนัก  

 

 

หลายวันหลังจากนั้นคุณหนูจวินก็ไม่เห็นร่องรอยของจูจั้นจริงๆ  

 

 

แต่ก็ไม่ต้องกังวล อย่างไรเขาก็ไม่ใช่เด็กจริงๆ เคยผ่านประสบการณ์สังหารคนรวมถึงถูกสังหารมาแล้วทั้งสิ้น อย่างน้อยเส้นทางจากติ้งโจวไปเมืองหลวงเขาก็เคยเดินทางผ่านแล้วรอบหนึ่ง ไม่เหมือนตนที่เดินตามแผนที่ซึ่งอาจารย์ทิ้งไว้ให้อย่างเดียว  

 

 

เขาลูกนี้ท้ายที่สุดก็หาต้นเซียนจื่ออิงพบเพียงต้นเดียว  

 

 

นี่ก็ไม่เลวยิ่งแล้ว ระหว่างติ้งโจวไปถึงเมืองหลวงต้องตัดผ่านเขามากมาย นางต้องหาสมุนไพรพบเพียงพอแน่  

 

 

นี่ไม่ลำบาก นี่ง่ายดายยิ่ง  

 

 

อาจารย์ใช้เวลาสิบปีวิจัยตำรับยาออกมาแล้ว จัดการเรื่องที่ยากที่สุดไปแล้ว เรื่องง่ายดายที่เหลืออยู่ก็ให้นางมาทำให้สำเร็จเถอะ  

 

 

“แม่นาง แม่นาง วันนี้ฝนจะตก”  

 

 

เห็นคุณหนูจวินพลิกกายขึ้นม้า หญิงชรารีบกวักมือเรียก  

 

 

“วันนี้อย่าไปเลย”  

 

 

คุณหนูจวินตบๆ ผ้ากันฝนบนหลังม้า  

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าเอาผ้ากันฝนมาแล้ว นางเอ่ย “ข้าต้องเร่งเดินทาง ขอบคุณท่านยาย ข้าไปแล้ว”   

 

 

หญิงชรามองเด็กสาวเร่งม้าควบเร็วรี่จากไปก็อดไม่ได้เดินตามส่งหลายก้าว  

 

 

“เป็นแม่นางที่กตัญญูจริงๆ” นางจับต้นไม้เก่าแก่พลางถอนหายใจ “ระหกระเหินค้นหาสมุนไพรเช่นนี้ลำบากปานใด”  

 

 

คุณหนูจวินกลับไม่ได้รู้สึกลำบาก ชีวิตที่ระหกระเหินเช่นนี้เริ่มต้นตั้งแต่นางสิบขวบแล้ว  

 

 

ก่อนฝนห่าใหญ่จะตก นางก็สวมผ้ากันฝนแล้ว นางไปตามเครื่องหมายบนแผนที่ ก่อนหน้าที่ม้าจะไม่อาจเดินหน้าต่อได้ก็ค้นพบศาลเจ้าของเทพภูเขาแห่งหนึ่ง  

 

 

เลี้ยงม้า เก็บฟืน จุดไฟ ตากผ้ากันฝน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียก วางกลไกอาวุธลับที่ไม่ว่าคนหรืองูและแมลงล้วนไม่อาจเข้าใกล้ตัวเรียบร้อย งานเป็นพรวนนี้ยุ่งแต่ไม่วุ่นวาย ก่อนหน้าฟ้ามืดนางก็ทำเสร็จอย่างรวดเร็ว  

 

 

นางนอนอยู่บนเปลอย่างสบายอารมณ์ พลิกดูจดหมายของอาจารย์ กินอาหารแห้งที่อุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว  

 

 

ในศาลเจ้าเก่าพังมีนางเพียงคนเดียว ด้านนอกฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ แต่ในหัวใจนางไม่หวาดหวั่นวิตกสักนิด ตรงกันข้ามกลับสงบอย่างยิ่ง  

 

 

ด้านนอกฝนห่าใหญ่ปกคลุมฟ้าดิน มีคนเดินอยู่ในนั้นเลือนราง สายตาจับจ้องมายังวัดเก่าพังด้านนี้ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็หายไปในความมืดของราตรี  

 

 

……………………………………….  

 

 

เจียงหนานคึกคักขึ้นบ้างแล้ว บนถนนใหญ่ในเมืองหลวงยิ่งครึกครื้น  

 

 

ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงที่เงียบสงบมาตลอดก็ครึกครื้นยิ่งเช่นกัน  

 

 

แน่นอนความเงียบสงบนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงไม่มีลูกค้าจนหน้าประตูดักนกกระจอกได้ แต่คนที่เข้าโรงหมอจิ่วหลิงได้ไม่มั่งคั่งก็สูงศักดิ์ ดังนั้นไม่เหมือนร้านยาโรงหมอที่อื่นซึ่งคนไปคนมาเช่นนั้น  

 

 

นี่ก็ไม่ได้ทำให้โรงหมอจิ่วหลิงกลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านตาดำได้แต่เคารพอยู่ไกลๆ ไม่อาจเอื้อมถึงได้  

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงค่าตรวจกับค่ายาแพง แต่พวกเขาก็มียาที่ถูกเหมือนกัน  

 

 

หน่อฝีที่ทำให้เด็กนับไม่ถ้วนพ้นจากภัยของฝีดาษต้องการเพียงไม่กี่ร้อยอีแปะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทอดวิชาปลูกฝีให้กับหมอนับไม่ถ้วน  

 

 

วิชาแพทย์เป็นสิ่งที่สืบทอดในตระกูลถ่ายทอดในสำนัก โรงหมอจิ่วหลิงกับคุณหนูจวินสอนให้กันโดยไม่มีหมกเม็ดสักนิดเช่นนี้  

 

 

ก็ดั่งเช่นที่นางพูด คนหนึ่งรักษาไม่สู้หมื่นคนรักษา หมอคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ หากยังมีคนตำหนินางว่าค่าตรวจค่ายาแพง นั่นถึงตาบอดไร้หัวใจ  

 

 

“เจ้าก็บอกข้าสิ ที่แท้ใช่นางหรือไม่”  

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงนั่งอยู่ในโรงหมอ ท่าทางดื้อรั้นอยู่บ้างเอ่ยขึ้น  

 

 

“ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไม่ออกไป”  

 

 

เฉินชียิ้มพลางคำนับ“ใต้เท้าเฝิง ท่านอย่าทำข้าลำบากใจสิ” เขาเอ่ย “ข้าก็แค่ผู้ดูแลใหญ่คนหนึ่ง ขายยาเก็บเงิน เรื่องอื่นข้าไหนเลยจะรู้เล่า   

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเขา  

 

 

“ตอนนี้ข่าวล้วนแพร่ออกไปแล้ว บอกว่าภรรยาท่านชายคนนั้นมาจากเมืองชิ่งหยวน” เขาเอ่ย “ตอนแรกนางไม่ใช่อยู่ที่ชิ่งหยวนรึ?”  

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงยังมีเรื่องคลุมเครือพูดได้ไม่ชัดพวกนั้นอีก  

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า  

 

 

“ดูท่านพูดเข้าสิ คนเมืองชิ่งหยวนมากไป” เขาเอ่ย  

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงอยากพูดอะไร เฉินชีก็ตบหัวไหล่เขา  

 

 

“เอาล่ะ ใต้เท้าเฒ่าของข้า นี่เฉิงกั๋วกงใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถึงเวลามองปราดเดียวไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ” เขายิ้มบอก  

 

 

คำพูดนี้ที่แท้ปฏิเสธหรือว่ายอมรับกันฮึ? ท่านหมอเฒ่าเฝิงในใจยังคงไม่มั่นใจ เพียงแต่รู้จักกันมานานปานนี้แล้ว เขาก็รู้ว่าเฉินชีดูไปแล้วสรวลเสเฮฮา แต่ปิดปากสนิทนัก พูดจาลงมือทำก็รู้จักสมควรอย่างที่สุด  

 

 

“ข้านี่ในใจร้อนใจนะ”เขาถอนหายใจเอ่ย “ผ่านไปนานปานนี้แล้ว นางยังไม่มีข่าวคราว”  

 

 

“วางใจเถอะ วางใจเถอะ เรื่องปลูกฝีไม่ใช่จัดการแล้วรึ” เฉินชียิ้มตอบ  

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงถลึงตากระทืบเท้า  

 

 

“ข้ากังวลใจเพราเรื่องหน่อฝีรึ?” เขาเอ่ย  

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าตบหัวไหล่เขา  

 

 

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยพลางดันท่านหมอเฒ่าเฝิงเดินไปทางด้านนอก “ท่านวางใจเถิด ท่านยังไม่รู้จักนางรึ เรื่องใดจะทำให้นางลำบากได้ นางเก่งกล้าสามารถปานใด”  

 

 

ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่…  

 

 

“ข้าฟังคำพูดนี้ของเจ้าทำไมแปลกปานนี้เล่า” ท่านหมอเฒ่าเฝิงขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าส่งท่านหมอเฒ่าเฝิงออกจากประตู หมุนตัวมาก็ถอนหายใจแล้วเห็นฟางจิ่นซิ่วเดินเข้ามาในโถง  

 

 

“ข่าวนี้ไม่รู้ว่าเล็ดลอดออกมาจากที่ใด หลายวันนี้ในที่ลับในที่แจ้งคนที่มาสืบข่าวมากมายจริงๆ” เฉินชีรีบเอ่ยเสียงเบากับนาง  

 

 

“ใต้หล้าไหนเลยมีกำแพงที่ลมไม่ลอด” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย  

 

 

“คุณหนูจวินก็ไม่ได้บอกว่าให้หรือไม่ให้บอก พวกเราเลยไม่บอก” เฉินชีสีหน้าเคร่งเอ่ย  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วจะพูดอะไร นอกประตูก็มีคนเดินเข้ามา  

 

 

“อั้ยย่ะ ขุนนางน้อยหนิง” เฉินชีรีบร้องเรียก เข้าไปต้อนรับอย่างดีอกดีใจ  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้าให้เขา แล้วยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วผงกศีรษะไม่พูดจา สีหน้าเย็นชาอย่างที่เป็นมาเสมอก่อนหน้า  

 

 

“ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องนั้น…” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นตรงเข้าประเด็น  

 

 

“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น” เฉินชีเอ่ยรับคำของเขา สีหน้าจริงจังนอกจากนี้ยังทำท่ามืออันหนึ่งให้หนิงอวิ๋นเจาขณะหันหลังให้ฟางจิ่นซิ่ว  

 

 

หนิงอวิ๋นเจาตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มแล้ว  

 

 

“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเอ่ย พยักหน้าให้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่ว “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว”  

 

 

เฉินชีก็ไม่ได้รั้งไว้ มองหนิงอวิ๋นเจาหมุนตัวเดินออกไปเช่นนี้  

 

 

“เจ้าดูสิ คำเล่าลือร้ายกาจปานใด” เขาพรูลมหายใจหมุนตัวเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่วอย่างจริงจัง  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขา  

 

 

“พวกเจ้าทายปริศนาใบ้อะไรกัน?” นางเอ่ยถาม  

 

 

เฉินชีลูบศีรษะพลางหัวเราะแห้งๆ  

 

 

“ข้าเล่นทายปริศนาใบ้อะไร ข้าเพียงบอกเขาว่าอย่าเชื่อข่าวลือ” เขาเอ่ยจากนั้นก็ร้องเอ๋ “เหมือนคำพูดประโยคนั้นจะใช้ไม่ถูกนะ”  

 

 

เขาถูฝ่ามืออับอายอยู่บ้าง  

 

 

“อ่านหนังสือน้อย อ่านหนังสือน้อย ขายหน้าคนแล้ว”  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขา  

 

 

“ทำไมเจ้าดีกับเขาปานนั้น? ผู้อื่นบอกไม่ได้ เจ้ากลับบอกเขาได้? เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเขา?” นางเอ่ยถาม  

 

 

เฉินชีหัวเราะแห้งๆ อีกครั้ง  

 

 

“เจ้าพูดอะไรเล่า ข้าดีกับเขาอย่างไร? เขาไม่ใช่สตรีเสียหน่อย” เขาเอ่ย  

 

 

ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ  

 

 

“หากเป็นสตรีคนหนึ่ง เจ้าก็จะดีกับผู้อื่นแล้วรึ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

เสียงหัวเราะของเฉินชียิ่งฝืดเฝื่อน  

 

 

“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ อ่านหนังสือมากเข้าก็ไม่ดี คิดมากจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

เสียงคุยเล่นแผ่วเบาด้านในโถงหลังร่าง หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้สนใจ เขายืนอยู่นอกโรงหมอจิ่วหลิงด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง  

 

 

ที่จริงมาถามหรือไม่ก็ไม่จำเป็นอะไร เฉินชีพูดถูกแล้ว ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น หากนางทำลงไปแล้วจะไม่เกิดคลื่นได้อย่างไร  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มน้อยๆ  

 

 

“นี่เป็นใบที่สามแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง  

 

 

“คุณชาย ใบอะไรที่สามแล้วขอรับ?” เสี่ยวติงอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

“ไม่มีอะไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย กำลังจะเดินไปข้างหน้าก็เห็นบนนถนนวุ่นวายอยู่พักหนึ่งควบคู่กับเสียงร่ำไห้ตะโกน  

 

 

ที่แท้เป็นนายทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขับไล่ผู้ชายผู้หญิงหลายคนอยู่ ในหมู่ผู้ชายผู้หญิงนี่ยังมีเด็กน้อยด้วย เห็นชัดยิ่งว่าเป็นคนครอบครัวหนึ่ง  

 

 

“ท่านทหาร ขอร้องพวกท่าน อย่าไล่พวกเราออกไปเลย”  

 

 

“เดือนหน้าพวกเราก็จะหาเงินมาจ่ายครบได้แล้ว”  

 

 

พวกเขาร้องไห้วิงวอน  

 

 

นายทหารทั้งหลายสีหน้าเย็นชา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ  

 

 

“ใครมีเวลารอพวกเจ้า” พวกเขาเอ่ยเสียงดัง พูดจบก็ยกไม้กระบองในมือหวดเข้าไป  

 

 

ผู้ชายผู้หญิงได้แต่ร้องไห้ไม่กล้ารั้งอยู่จากไปข้างนอก  

 

 

“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”  

 

 

“นี่ไม่ใช่ครอบครัวของซุนเอ้อร์ที่ขายน้ำแกงแพะตรงเมืองฝั่งตะวันตกหรือ?”  

 

 

“ต้องจ่ายเงินอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นจะไม่อนุญาตให้ตั้งร้านที่ถนน”  

 

 

“อยู่ดีๆ เก็บเงินอะไร?”  

 

 

“ไม่รู้สิ สรุปคือพักนี้คำสั่งเรียกเก็บเงินของทางการอยู่ดีๆ ก็เพิ่มขึ้นมาก”  

 

 

ผู้คนบนถนนชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์ฉากนี้  

 

 

ความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว เมื่อนายทหารขับไล่คนครอบครัวนี้ไป ผู้คนก็สลายตัวอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ที่เดิมไม่ก้าวเท้า คล้ายคิดสิ่งใดได้  

 

 

“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น” เขาเอ่ยขึ้น  

ดาบยาวสองเล่มเล็งไปที่จินสือปา หอกยาวสองเล่มเล็งไปที่ม้าของจินสือปา หน้าหลังซ้ายขวาขบวนแถวเป็นระเบียบเวลานี้ดูแล้วประหนึ่งกำแพงโลหะปราการเหล็ก   

 

 

ไม่ใช่แค่จินสือปา องครักษ์เสื้อแพรอีกสี่คนที่เหลือก็ถูกขนาบคุมไว้ในขบวนแถวเช่นนี้เหมือนกัน  

 

 

“นี่คือที่พวกเจ้าบอกว่าพี่น้องผูกพันลึกซึ้งรึ?” จินสือปาเอ่ยเย็นชา  

 

 

เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว  

 

 

“เจ้าเคยสังหารศัตรูเคยได้รับบาดเจ็บ พวกเราจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร ย่อมต้องเข้าเมืองหลวงรับรางวัลด้วยกัน” เขาเอ่ย  

 

 

แม้ทั้งพูดและเคลื่อนไหว แต่ม้าของพวกเขาล้วนไม่หยุด เคลื่อนที่ตามขบวนแถวยังคงรักษาความเป็นระเบียบ จากข้างนอกมองความผิดแปลกไม่ออกสักนิด  

 

 

“นางไปที่ไหนแล้ว?” จินสือปาเลิกคิดแล้วเอ่ยถาม  

 

 

เหลยจงเหลียนส่ายศีรษะให้เขา  

 

 

“คุณหนูจวินทำสิ่งใดไม่เคยคาดเดาได้” เขาเอ่ยตอบ  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตอนที่เฉิงกั๋วกงนำแม่ทัพและกำลังพลออกเดินทางอย่างคึกคัก คุณหนูจวินหนึ่งคนหนึ่งม้าก็เดินทางเร็วรี่อยู่บนทางภูเขาแล้ว  

 

 

ที่นางเดินทางไม่ใช่ทางหลวง แล้วก็ไม่ได้ตรงลงใต้ คล้ายไม่มีจุดหมายแล้วก็คล้ายกำลังตามหาอะไรอยู่  

 

 

กลางวันเดินทาง กลางคืนค้างแรม ข้ามเขาข้ามภู ลงเนินค้นหุบเขา บางครั้งวันหนึ่งเดินทางร้อยลี้ บางครั้งก็สามวันไม่เปลี่ยนที่  

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ นางพักอยู่ที่เขาลูกนี้มาสามวันแล้ว  

 

 

สงครามอลหม่านครั้งนี้ส่งผลกับเขตภูเขาไม่มากเท่าเมืองด้านนอก หมู่บ้านที่ตีนเขาแลดูสบายอกสบายใจ  

 

 

“แม่นาง เจ้าจะขึ้นเขาไปอีกแล้วหรือ?” หญิงชราที่นั่งอยู่หน้าประตูบ้านศิลาเอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินบรรทุกห่อสัมภาระบนม้าเรียบร้อยแล้วก็ตบหัวม้าเบาๆขานรับ  

 

 

“เขาใหญ่ปานนี้ ทั้งพืชพันธุ์ยังงอกเขียวขจี ตามหาสมุนไพรต้นหนึ่ง นั่นยากมากเท่าไร” หญิงชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย  

 

 

“ไม่ยากหรอก” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย ไม่ได้รำคาญหญิงชราคนนี้ แต่ตั้งใจเอ่ยตอบ “สมุนไพรต้นนี้งอกในสถานที่พิเศษ ไม่ใช่หาสะเปะสะปะทั่วเขาทั่วทุ่ง”  

 

 

หญิงชราพยักหน้าพร่ำบ่นกำชับให้นางระวังงูระวังหมูป่าหมาป่าแล้วมองดูคุณหนูจวินขึ้นม้าเดินทางไปข้างหน้า  

 

 

ที่ตีนเขาคุณหนูจวินผูกม้าดีแล้วก็สะพายห่อสัมภาระ ตั้งใจมองรอบด้านทีหนึ่งแล้ววิ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง คล้ายเมื่อนานมาแล้วที่อาจารย์พานางทำเช่นนั้น  

 

 

“ลำบากรึ? เจ้าคิดว่าเรียนวิชาแพทย์ง่ายดายปานนั้นงั้นรึ ต้องเดินทางแปดพันลี้ ลองชิมร้อยสมุนไพร”  

 

 

เขานั่งยองอยู่บนหินภูเขาสีหน้าเคร่งขรึม พลางทึ้งเถาวัลย์เส้นหนึ่งติดมือลงมาส่งให้นาง บนนั้นมีผลขนาดเท่าเม็ดไข่มุกสีแดงสดพวงหนึ่ง  

 

 

“ลองชิมสิ”  

 

 

นางรับไปกินอย่างไม่ลังเลสักนิด เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นเขาทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้มองตนเอง  

 

 

“กินได้ไหม?” เขาเอ่ยถาม “กินได้ไหม?”  

 

 

นางไม่ทันเอ่ยตอบเพราะลิ้นชาไปแล้ว คนทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกล้มลงไปนั่งบนพื้น  

 

 

“ดูสิ ลองชิมก็รู้แล้วสินะ ไม่ใช่สิ่งใดล้วนกินได้” เขายังนั่งยองอยู่บนก้อนหิน สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น  

 

 

คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็หยุดเท้า เงยหน้ามองด้านหน้า เถาวัลย์เครือหนึ่งปรากฏตรงหน้า บนนั้นบุปผาน้อยสีเหลืองนวลแย้มบานอยู่  

 

 

รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีผลสีแดงสดพวงแล้วพวงเล่าแขวนอยู่เต็ม  

 

 

เหมือนที่อาจารย์พานางเดินทางผ่านป่าเขาหุบเขาเหล่านั้นไปพบเข้า  

 

 

เวลานั้นนางคิดว่าอาจารย์พานางวิ่งขึ้นเขาลึกป่าทึบ ตั้งใจแกล้งให้ลำบากขู่นาง จะให้นางทนความลำบากไม่ไหวยอมแพ้เลิกติดตาม  

 

 

ตอนนี้ดูแล้วที่จริงเขาก็กำลังไล่ตามความปรารถนาของตนเองอยู่เหมือนกัน เดินทางระหกระเหินไม่ใช่สะเปะสะปะ แต่มีเป้าหมาย สมุนไพรที่โรคของฮั่นชิงต้องการก็งอกอยู่ในสถานที่เช่นนี้  

 

 

คุณหนูจวินฟันเถาวัลย์ลงมากองหนึ่ง ถักมันเป็นมงกุฎดอกไม้วงหนึ่งอย่างชำนาญสบายๆ สวมไว้บนศีรษะ วิ่งตรงไปยังที่สูงขึ้น  

 

 

ข้ามผ่านป่าทึบผืนหนึ่ง ลานสายตาฉับพลันเปิดกว้าง ลมภูเขาพัดวนบนหน้าผา เมื่อดอกไม้น้อยสีเหลืองดอกหนึ่ง ในที่สุดก็ปรากฏในสายตา คุณหนูจวินก็อดไม่ได้ร้องฮ่าเสียงดังทีหนึ่ง  

 

 

เสียงตะโกนหยาบคายนี้กระจายไปพร้อมสายลมภูเขา  

 

 

อย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน  

 

 

คุณหนูจวินสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งเดินไปยังที่ซึ่งดอกไม้อยู่ แต่หลังเดินไปหลายก้าว นางก็หยุด ใช้เท้าเหยียบพื้นดินเบาๆ  

 

 

ใต้เท้าความรู้สึกอ่อนยวบเล็กน้อยส่งผ่านมา หากไม่ละเอียดคงสังเกตไม่พบสักนิด คงแค่คิดว่าเพราะเหยียบอยู่บนหญ้า ที่จริงนี่เพราะหินภูเขาข้างใต้เปราะร่วน  

 

 

ครั้งนี้นางไม่มีทางประมาทอีกแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินถอยหลังก้าวหนึ่ง กำลังปลดห่อสัมภาระก็ได้ยินหลังร่างมีเสียงดังขึ้น  

 

 

“โอ๊ะ ที่นี่มีดอกไม้หนึ่งดอก”  

 

 

คำพูดนี้ เสียงนี้…  

 

 

คุณหนูจวินหันหน้าไปมอง  

 

 

หลังพุ่มไม้มีเงาคนทอดลงมา ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นจูจั้นก็เดินออกมา  

 

 

“ตกใจล่ะสิ?” เขายักคิ้วเอ่ย “คิดว่าจะถูกแย่งอีกแล้ว”  

 

 

คุณหนูจวินฟื้นกลับมานิ่งสงงบ  

 

 

“ท่านมาได้อย่างไร?” นางเอ่ย “ท่านตามข้ามาตลอดรึ?”  

 

 

จูจั้นยกมือให้นาง  

 

 

“เจ้าอย่าคิดมาก” เขาเอ่ย “อย่าคิดว่าเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ใส่ใจเจ้า เห็นเจ้าออกมาคนเดียวไม่วางใจถึงตามมาเชียว”  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาคล้ายอับจนปัญญาอยู่บ้าง  

 

 

“ข้าไม่ได้คิดมากจริงๆ” นางเอ่ย “ท่านวางใจ”  

 

 

จูจั้นเห็นชัดว่าสีหน้าไม่วางใจ  

 

 

“เจ้ารีบร้อนออกมาเดินทางตามลำพังเช่นนี้เพื่อตามหาต้นเซียนจื่ออิงไปรักษาโรคให้แม่นางคนนั้น ส่วนข้าเพื่อใช้หนี้ในเร็ววัน” เขาเอ่ย “เจ้าอย่าได้คิดมากเด็ดขาด นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น”  

 

 

คุณหนูจวินแกว่งเชือกในมือ  

 

 

“จูจั้น ข้าไม่อาจไม่คิดมากได้” นางเอ่ย  

 

 

เจ้าดูสิเจ้าดู  

 

 

จูจั้นฉับพลันทำสีหน้าเป็นเช่นนี้อย่างที่คิดทันที  

 

 

“…ท่านตามข้ามาตามหาต้นเซียนจื่ออิง” คุณหนูจวินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นต้นนี้ที่หาเจอนับว่าเป็นของท่านหรือนับว่าเป็นของข้าเล่า?”  

 

 

จูจั้นตะลึง  

 

 

“จูจั้น การค้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้กระมัง?” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านเคยเอาเปรียบข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ยังจะทำเช่นนั้นอีกรึ?”  

 

 

“อะไรเรียกข้าเอาเปรียบเจ้า?” จูจั้นถลึงตาตวาด “เจ้าพูดจาระวังหน่อย  

 

 

“เมื่อครู่ท่านก็พูดเอง ตกใจล่ะสิ? คิดว่าจะถูกแย่งอีกแล้ว” คุณหนูจวินกะพริบตา ผายมือออกเอ่ยขึ้น “อีกแล้ว นั่นก็คือพูดว่าครั้งก่อนข้าถูกแย่งอย่างไรเล่า”  

 

 

ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ จูจั้นยื่นมือชี้นาง  

 

 

“เจ้าดื้อดึงไร้เหตผลจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างโมโห “ไม่สำนึกบุญคุณ ทำไมเจ้าไม่จำว่าใครช่วยเจ้าไว้”  

 

 

“ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ใช่บุญคุณช่วยชีวิต เป็นเพียงการค้าครั้งหนึ่งรึ?” คุณหนูจวินกะพริบตาตั้งใจมองเขา “ที่แท้ท่านก็ช่วยข้าจริงๆ หรอกหรือ”  

 

 

นางพูดพลางสองตาระยิบระยับ สีหน้าดีใจทั้งยังตื่นเต้น กำมือก้าวไปทางจูจั้นก้าวหนึ่ง  

 

 

“ท่านชาย ท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จริงๆ ข้าย่อมควรมอบ…”  

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นก็สบถทีหนึ่ง  

 

 

“คนแซ่จวิน นับว่าเจ้าร้ายกาจ” เขาตะโกน “พวกเราต่างคนต่างหา ใครก็อย่าได้เอาเปรียบใคร”  

 

 

พูดจบก็หมุนตัวยกหัวไหล่สับแขน สองสามก้าวเดินออกไปแล้ว  

 

 

มองดูตรงหน้าคล้ายไม่เคยมีคนปรากฏตัวมาก่อน คุณหนูจวินก็โคลงศีรษะคิดครู่หนึ่ง  

 

 

“ดูแล้วโกรธมาก?” นางพึมพำกับตนเอง “นี่ข้าไม่นับว่ารังแกคนกระมัง? ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรนะ”  

 

 

เทียบกับคำเสียดสีเหน็บแนมที่อาจารย์เอ่ยกับนางตอนนั้น นางเป็นมิตรเหลือเกินแล้ว  

 

 

นางส่ายศีรษะ มองดูทิศทางที่จูจั้นจากไป  

 

 

อย่างไรก็เป็นเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวล่ะนะ  

ประตูห้องถูกปิด ผู้ดูแลใหญ่เกายืนอยู่นอกห้อง  

 

 

เวลานี้เดินจากไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาก็ไม่กล้าเดินจากไปจึงระแวดระวังเฝ้าป้องกันอยู่หน้าประตูเสียเลย  

 

 

“ท่านแม่ ท่านทำข้าตกใจแทบตายแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ตบหน้าอก ใบหน้าประหนึ่งหยกขาวความหวาดผวายังไม่คลาย “คำนี้พูดไม่ได้นะขอรับ”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ายังคงเดิม แค่นเสียงเหอะเย็นชา  

 

 

“คำนี้มีสิ่งใดเอ่ยไม่ได้? ทำก็ทำไปแล้วยังกลัวพูดรึ?” นางเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม ไกวแขนของนายหญิงใหญ่ฟาง  

 

 

“ท่านแม่ ท่านรู้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ย  

 

 

“นายน้อยฟาง เจ้าอาจลืมแล้ว ก่อนหน้าเจ้าดูแลเต๋อเซิ่งชาง เป็นข้า…” นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือชี้ตนเอง ใบหน้าเย็นชาเอ่ย “…เป็นข้าจัดการวิ่งวุ่นอยู่สิบกว่าปี แม่ของเจ้าอยู่ในบ้านดูละครดูได้ยังไม่ถึงหนึ่งปี ยังไม่โง่หรอกนะ”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะจนตัวคลอน เอนหัวพิงหัวไหล่ของนายหญิงใหญ่ฟาง  

 

 

“ท่านแม่ท่านร้ายกาจจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือผลักเขาออก  

 

 

“ข้าก็คิดว่าข้าร้ายกาจมาตลอดเช่นกัน” นางมองฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยขึ้น “แต่ตอนนี้ดูพวกเจ้า ข้าถึงรู้ว่าคนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงเป็นพวกเจ้า”  

 

 

ฟางเฉิงอวี้หัวเราะคิกคัก  

 

 

“เฉิงอวี่ อย่าเสแสร้งแกล้งโง่ เจ้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดไหม?” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หุบยิ้มแล้ว เขาพยักหน้าจริงจัง  

 

 

“บ้านเมืองมีภัย สมควรมีแรงออกแรงมีเงินออกเงิน” เขาเอ่ย “อย่างไรก็ไม่อาจเห็นคนตายไม่ช่วยได้”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มหยัน  

 

 

“เจ้าไม่ได้บอกว่านี่เป็นการค้าสองครั้งรึ? ถ้าอย่านั้นมีแรงออกแรงมีเงินออกเงินจะแลกอะไรมาเล่า?” นางถาม  

 

 

“ทำด้วยใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน” ฟางเฉิงอวี่ตอบ  

 

 

“ไม่ต้องมาเอ่ยถ้อยคำยิ่งใหญ่นี่แล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น “รักษาโรคให้เจ้า ยังบอกเงื่อนไขล่วงหน้าเรียบร้อย ทำข้อแลกเปลี่ยนเรียบร้อยเลย โจรไม่ไปตัวเปล่าคนเช่นนี้อย่างนาง จะทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้อย่างไร”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ท่านแม่ จิ่วหลิงเป็นโจรไปแล้วได้อย่างไร” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา  

 

 

“เฉิงอวี่ เจ้าก็ไม่โง่ ข้าก็ไม่โง่ เรื่องราวมาถึงวันนี้ สิ่งที่นางมาดหมายใหญ่นัก” นางเอ่ยแล้วมองไปนอกประตู “ผู้ดูแลใหญ่เกา”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาขานรับผลักประตูเปิดยื่นศีรษะเข้ามา  

 

 

“นายหญิง ข้าเฝ้าอยู่ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“เจ้ายังจำได้ไหมว่าครั้งแรกที่เจ้าพบคุณหนูจวิน นางถามอะไรเจ้า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาสีหน้าตะลึงเล็กน้อย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถามคำนี้ย่อมไม่ใช่ไม่ทราบคำตอบ เพียงแค่อยากให้เขากล่าวซ้ำอีกครั้งเท่านั้น  

 

 

“นางถามถึงเมืองหลวง ถามถึงไหวอ๋องขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองไปทางฟางเฉิงอวี่  

 

 

“ข้าก็อยากให้นี่เป็นสิ่งที่นางถามเล่นๆ ไปอย่างงั้น ไม่มีเจตนา” นางเอ่ย “แต่น่ากลัวว่าผู้อื่นจะไม่คิดเช่นนี้”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็พรูลมหายใจ  

 

 

“ตอนนี้คนมากมายยังไม่รู้ว่าภรรยาท่านชายเป็นนาง เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ตัวเฉิงกั๋วกง เฉิงกั๋วกงกินเงินหลวงภักดีเจ้าแผ่นดิน ผู้คนไม่มีทางคิดมาก แต่เมื่อตัวตนของนางเปิดเผยต่อหน้าผู้คนเล่า?”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว  

 

 

“คุณหนูจวินช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยประชาชน รักษาคนได้ ยังรักษาบ้านเมืองได้อีกด้วย” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มบ้าง  

 

 

“เฉิงอวี่ มือของนางยื่นออกไปไกลเกินไปแล้ว” นางพูดขึ้นมา “นอกจากนี้ครอบครัวของเราก็ดี ครอบครัวของเฉิงกั๋วกงก็ดี ล้วนเป็นที่จับตาเฝ้าระวังของราชสำนักทั้งในที่แจ้งในที่ลับ มีเงิน มีอำนาจ มีทหาร ทั้งยังได้หัวใจผู้คนมากมายเช่นนี้ ได้ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ปานนี้ พวกเราสามครอบครัวคนสามประเภทเกี่ยวข้องกัน คิดทำอะไร?”  

 

 

“ท่านแม่ แบบนี้ไม่ยุติธรรม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยจริงจัง “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่มีแต่จิ่วหลิงทำได้ แต่คนอื่นล้วนไม่ทำ มีเพียงนางไปทำ เสี่ยงอันตราย สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติ ได้ชื่อเสียงหัวใจคนเหล่านี้มา เป็นสิ่งที่นางควรได้ ไม่อาจคาดเดานางเช่นนี้ได้”  

 

 

“คาดเดานางเช่นนี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราตัดสินใจ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยพลางมองฟางเฉิงอวี่ “ผิดเพราะครอบครองหยก พวกเจ้าคิดให้ดีๆ เถอะ”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เการีบดันประตูเปิดออก คำนับนายหญิงใหญ่ฟาง  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางก้าวออกจากประตู มองแสงวสันต์ฤดูอันงดงาม  

 

 

“นางจะเอาทั้งตระกูลฟางไปจริงๆ” นางส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น  

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงใหญ่ฟางจากไปก็พองแก้มพรูลมหายใจ  

 

 

“ต่อไปก็ทำตามแผนการของจิ่วหลิงเถอะ” เขาเอ่ย คล้ายเรื่องใดล้วนไม่ได้เกิดขึ้น ต่อบทสนทนาเมื่อครู่แล้วเน้นเสียงหนัก “ไม่ว่าจะแผนการอะไร”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาขานรับ  

 

 

“สี่สิบหมื่นตำลึงนั่นก็ใช้ซะให้หมด” ฟางเฉิงอวี่โบกมือสบายๆ อีกหน  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาลังเลครู่หนึ่ง  

 

 

“ใช้ไม่มากมายปานนั้นหรอกขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

“เงินของสิ่งนี้ ไม่มีใครรังเกียจมาก มากหน่อยสิดี โบราณว่าถามสารทุกข์สุขดิบไม่สู้มอบเงินให้มากสักหน่อยไหม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย  

 

 

ก็ใช่ ผู้ดูแลใหญ่เกายิ้มพลางขานรับ แต่จากนั้นก็ลังเลครู่หนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงฝั่งนี้…” เขาเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

“นั่นเป็นเงินของจิ่วหลิงนะ ไม่ต้องบอกนายหญิงหรอก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย  

 

 

เช่นนี้ก็ได้หรือ ผู้ดูแลใหญ่เกามองฟางเฉิงอวี่ด้วยสีหน้านับถือ ค้อมกายขานรับขอตัวจากไป  

 

 

ในเรือนเหลือเพียงฟางเฉิงอวี่คนเดียว เขาไม่ได้หมุนกายเข้าห้อง แต่ยืนอยู่ตรงทางเดินมองไปยังท้องฟ้า  

 

 

“ค้ำฟ้า” เขาพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

แต่เวลานี้เอ่ยคำนี้ บนหน้าไม่มีความตระหนกอย่างเมื่อครู่สักนิด  

 

 

“ขอแค่นางต้องการ ค้ำก็ค้ำสิ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

ปลายเดือนสามต้นเดือนสี่ นอกเมืองติ้งโจวผู้คนมหาศาล จากการส่งหนังสือไปมาครึ่งเดือน หนังสือเรียกตัวส่งมาถึงสามครั้ง ในที่สุดก็มาถึงวันที่เฉิงกั๋วกงนำทัพเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าแล้ว  

 

 

เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นต่อเนื่อง หทารแถวแล้วแถวเล่าเริ่มเคลื่อนพล หอกยาวตั้งเรียงราย ธงสีสยาย ยืนอยู่บนกำแพงมองดู อำนาจกดดันของกองทัพอันแข็งแกร่งน่าสะพรึง  

 

 

ใต้ประตูเมืองวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง คนบนกำแพงเมืองรีบมองไป เห็นเฉิงกั๋วกงถูกขุนนางและแม่ทัพมากมายของมณฑลเหอเป่ยห้อมล้อมมา  

 

 

เห็นเฉิงกั๋วกงมาถึง ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ระเบิดเสียงโห่ร้องทันที  

 

 

นอกจากฮึกเหิมแล้วยังสอดแทรกความอาวรณ์อยากรั้งอีกด้วย  

 

 

“ท่านกั๋วกงต้องกลับมานะขอรับ”  

 

 

“ท่านกั๋วกงอย่าไปเลยขอรับ”  

 

 

มีประชาชนนนับไม่ถ้วนมากยิ่งกว่าชูตะกร้าไม้ไผ่ในมือขึ้น ในนั้นเป็นอาหารแห้งสำหรับเดินทางที่ดีที่สุดที่ตนเองจะเอาออกมาได้  

 

 

ฝูงชนแห่แหนทำให้ทหารทั้งหลายที่รักษาระเบียบวุ่นวายอยู่พักหนึ่งถึงขวางไว้ได้  

 

 

เฉิงกั๋วกงผู้สีหน้าสงบนิ่งตลอดมาก็สีหน้าหวั่นไหวอยู่บ้างเช่นกัน เขาทะยานม้าไปข้างหน้าหลายก้าว ประสานมือคำนับประชาชนรอบด้าน  

 

 

การกระทำนี้ยิ่งทำให้ฝูงชนเอะอะขึ้นอีกพักหนึ่ง  

 

 

ขุนนางและแม่ทัพมณฑลเหอเป่ยทั้งหลายด้านหลังที่เห็นภาพนี้สีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง  

 

 

ประการแรกอิจฉาบารมีในหมู่ประชาชนของเฉิงกั๋วกง ประการที่สองใจหายกลัวก็แต่ไปครั้งนี้ภาพนี้จะไม่มีอีกแล้ว  

 

 

ระหว่างที่กำลังคิดสารตะวุ่นวายอยู่ เฉิงกั๋วกงก็หมุนตัวมองไปทางพวกเขา  

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ในหมู่พวกเจ้ามีคนเคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับข้า” เขาพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

ขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายรีบสีหน้าขึงขังทำหน้าจริงจังท่าทางสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง เคยพูดอะไร? พวกเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว  

 

 

“พูดว่า ‘ขอเพียงท่านกั๋วกงท่านยังอยู่ พวกเราก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น’” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น  

 

 

คำพูดนี้ไม่ใช่มีคนพูดกระมัง ทุกคนล้วนจะพูดเช่นนี้ ขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายที่นั่นคิด  

 

 

นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้  

 

 

“นี่ไม่ถูกต้อง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ “ไม่ว่าข้าอยู่หรือไม่อยู่ พวกเจ้าล้วนจะไม่กลัว พวกเจ้าไม่กลัวไม่ใช่เพราะข้ายืนอยู่ข้างหน้า แต่ควรเป็นเพราะพวกเขา”  

 

 

เขาพูดพลางยื่นมือกวาดนิ้วชี้รอบด้าน ขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายมองไปตามที่เฉิงกั๋วกงชี้  

 

 

รอบด้านนี้คือประชาชนที่รุมล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศ มีคนมากมายระหกระเหินหลายวันเร่งเดินทางมาแค่เพื่อมองส่งครั้งหนึ่งนี้  

 

 

“เพราะพวกเขายืนอยู่หลังร่างพวกเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “มองพวกเจ้าเป็นบิดามารดาเป็นฟ้าดิน คนเป็นบิดามารดาย่อมไม่กลัว”  

 

 

บรรดาขุนนางและแม่ทัพที่อยู่ที่นั่นขานรับพร้อมเพรียงทันที  

 

 

ในเวลาเดียวกันคำพูดนี้ก็พูดต่อออกไป ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ยิ่งตื้นตัน ส่วนขบวนแถวที่เคลื่อนพลอยู่ก็ตะโกนคำสัญญาออกมาอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

“ไม่กลัว!”  

 

 

“ไม่กลัว!”  

 

 

“ไม่กลัว!”  

 

 

นอกเมืองติ้งโจวฉับพลันเดือดพล่านประหนึ่งน้ำหยดลงกระทะน้ำมัน  

 

 

เหลยจงเหลียนที่เดินอยู่ในขบวนแถวก็อดไม่ได้เหยียดหลังตรง มือที่กำบังเ**ยนสั่นเล็กน้อย  

 

 

“ก็แค่ปลุกใจคนเท่านั้น” เสียงเย็นชาของจินสือปาลอยมาจากด้านข้าง  

 

 

เหลยจงเหลียนมองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“ใจคนถูกปลุกได้แสดงว่ายังเป็นคน” เขาเอ่ย “อย่างไรก็ดีกว่ากระทั่งหัวใจก็ไม่มี”  

 

 

จินสือปายิ้มเย็นชาไม่สนใจเขาอีก  

 

 

“ทำไมเจ้าไม่ให้พวกองครักษ์เสื้อแพรของเจ้าช่วยเจ้าออกไป?” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น  

 

 

อยู่เมืองติ้งโจวนานปานนี้ ตัวตนของพวกจินสือปาย่อมปิดไม่อยู่ องครักษ์เสื้อแพรที่ติ้งโจวมาหาถึงประตูแล้ว แต่จินสือปากลับไม่ได้โวยวาย ยังคงอยู่ในกองทหารรชิงซานเหมือนเดิม  

 

 

“ภารกิจของข้าคือติดตามคุณหนูจวิน ภารกิจของข้าราบรื่นยิ่งมาตลอด ไยต้องพูดถึงคนมาช่วย?” จินสือปาตอบ  

 

 

เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว  

 

 

“เพราะคุณหนูจวินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

จินสีปาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ร่างกายขยับปุบ เหลยจงเหลียนก็ยกมือใช้หอกยาวจี้เขาไว้ ส่วนนายทหารที่ติดตามรอบด้านก็พริบตารุมเข้ามา  

เที่ยงวันในห้องทำงานของหวงเฉิงครึกครื้นอยู่บ้าง  

 

 

ประตูถูกผลักเปิด มีขุนนางหลายคนรีบร้อนก้าวเข้ามา พาลมสดชื่อหอบหนึ่งมาทำลายบรรยากาศชะงักนิ่งในห้อง แล้วก็ทำให้หวงเฉิงที่คล้ายสะลึมสะลือหลับอยู่หน้าโต๊ะลืมตาขึ้นด้วย  

 

 

“ใต้เท้า หนังสือกราบทูลขอความชอบทางทหารของเฉิงกั๋วกงมาถึงแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย  

 

 

หวงเฉิงห็นสาส์นหนาปึกหลายเล่มที่ส่งมาก็ยิ้ม  

 

 

“เฉิงกั๋วกงผู้นี้ตะกละไม่น้อยเลย เขียนฎีกากราบทูลมากปานนี้ นี่จะเอาความดีความชอบเท่าไรกัน” เขาเอ่ย  

 

 

“นี่เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้นขอรับ” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย สีหน้าไม่พอใจเช่นกัน “กรมกลาโหมด้านนั้นยังมีอีก”  

 

 

หวงเฉิงยิ้มไม่พูดไม่จา ยื่นมือรับสาส์นไปพลิกอ่าน  

 

 

“กองทหารชิงซานนี่กลายเป็นทหารจริงๆ แล้วสินะ” เขามองดูสาส์นแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

“อาศัยอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจเหล่านั้น เฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางปล่อยมือ” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย “แทนที่จะเลี้ยงดูเป็นทหารส่วนตัว ไม่สู้รับเข้าสังกัดกองทัพ เช่นนั้นถึงขยายกำลังได้อย่างสง่างาม”  

 

 

เฉิงกั๋วกงขยายกำลัง สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่เรื่องที่อยากเห็น  

 

 

“ใต้เท้า หนังสือร้องเรียนนี่จะส่งไปไหมขอรับ” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

หวงเฉิงยิ้ม โยนสาส์นในมือทิ้งลงบนโต๊ะ  

 

 

“ส่ง” เขาเอ่ย “พวกนี้ข้าก็ไม่ดูแล้ว เขาต้องการอะไรก็ถวายให้เขาไป ตอนอยู่ในที่ประชุมอ่านประกาศต่อหน้าทุกคน”  

 

 

ตอนประชุมใหญ่หรือ?  

 

 

หวงเฉิงคิดอะไรได้อีก พิงหมอนอิงยื่นมือชี้บนโต๊ะ  

 

 

“นี่ยังครึกครื้นไม่พอ พวกเจ้าก็เอาตามด้วย คนที่มาช่วยฝ่าบาท คนที่มาช่วยเหลือ คนที่เพราะชาวจินรุกเข้าดินแดนจึงเฝ้าระวัง ทุกคนล้วนมีความดีความชอบ ล้วนจะเอา ล้วนจะแย่ง”  

 

 

พูดพลางสะบัดแขนเสื้อหัวเราะหยัน  

 

 

“ให้ทุกคนล้วนเห็นว่าการทำสงครามนี้เงินทองมากมายจ่ายง่าย ความดีความชอบในการศึกทำให้ความตะกละของคนกลายเป็นมากมาย”  

 

 

คนทั้งหลายที่นั่งอยู่เข้าใจแล้ว ล้วนพยักหน้า  

 

 

“ไม่ผิด ให้ทุกคนได้เห็นว่าเฉิงกั๋วกงเขาเหิมเกริมมากปานใด”  

 

 

“อีกอย่าง นี่เรียกความดีความชอบอันใด ขัดพระบัญชาชัดๆ เสียทหารไปมากปานนั้นกว่าจะช่วยเขากลับมาได้ เขาภาคภูมิใจอะไร?”  

 

 

“เขาเป็นเช่นนี้ก็จะเอาปูนบำเหน็จ มณฑลซานซีซานตงเจ้อเจียงย่อมขอปูนบำเหน็จได้เหมือนกัน ให้ทุกคนดูเขาทำเช่นนี้ทำให้การปกครองกองทัพวุ่นวายเป็นสภาพอย่างไร”  

 

 

“ฝ่าบาททรงพระเมตตา แม้ชิงชังที่เขาทำลายชาติทำร้ายประชาชน แต่ยังคงดีพระทัยอย่างยิ่งที่เขารอดชีวิตกลับมา ไม่เสียดายพระราชทานรางวัลไม่อั้น นี่คือพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่เขาเฉิงกั๋วกงสมควรได้รับ”  

 

 

“ให้เขา ให้เขาให้หมด ให้ประชาชนทั้งหลายเห็นว่าฝ่าบาทดีต่อขุนนางมากเพียงไร ให้ทุกคนเห็นว่าเฉิงกั๋วกงจองหองไร้มารยาทอย่างไร”  

 

 

ได้ยินบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาวิพากษ์วิจารณ์ หวงเฉิงก็หลับตาลงอีกครั้ง นิ้วมือเคาะผิวโต๊ะมุมปากยิ้มจางๆ  

 

 

วันนี้เจ้ายิ่งทำตัวรื่นเริง ยิ่งป่ายปีนขึ้นสูง วันหน้าล้มลงยิ่งอนาถ  

 

 

เฉิงกั๋วกง เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จักให้เจ้ามาอย่างมีหน้ามีตา แล้วตายอย่างมีหน้ามีตา  

 

 

หวงเฉิงฉับพลันลืมตา แววตาไม่ขุ่นมัวสักนิด ฉายแววเย็นเยียบ ทำให้หลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ตัวสั่นเงียบเสียงลง  

 

 

“ลงมือเร็วหน่อย อย่าให้จูซานคนนี้อ้างการถกเถียงเรื่องความชอบทางทหารไม่เข้าเมืองหลวง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม  

 

 

ขุนนางหลายคนรีบทำหน้าขึงขังขานรับ  

 

 

พร้อมกับที่ทูตชุดแรกนำราชโองการเรียกเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงของฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวง ข่าวเฉิงกั๋วกงกำลังจะกลับเมืองหลวงรับพระราชทางรางวัลก็แพร่กระจายประหนึ่งสายลมเช่นกัน  

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ได้กลับเมืองหลวงมาตั้งเกือบสิบปีแล้ว ครั้งนั้นองค์รัชทายาทสวรรคต เขาก็เพียงสวมชุดไว้ทุกข์คารวะส่งจากแดนไกลอยู่ที่แดนเหนือ  

 

 

ผนวกกับสงครามแดนเหนือครั้งนี้ หากเฉิงกั๋วกงตายปุบจะส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งหลาย ทุกคนจึงล้วนกระตือรือร้นตื่นเต้นอยากเห็นเฉิงกั๋วกงผู้ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้  

 

 

ทั้งเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาและในเวลาเดียวกันนี้สาส์นและข่าวด่วนนานาชนิดก็ไปมาประหนึ่งบิน  

 

 

ตรงหน้าฟางเฉิงอวี่วางจดหมายและสมุดบัญชีไว้เต็มไปหมด คล้ายไม่ทันได้เก็บแลคร้านจะเก็บ ปล่อยให้เละเทะกองไว้ ยังมีบางส่วนร่วงกระจายอยู่ข้างเท้าอีก  

 

 

เวลานี้มือเขายังกำพู่กันอยากเขียนอะไรอยู่ มือหนึ่งก็รับจดหมายที่ผู้ดูแลใหญ่เกาเพิ่งแกะส่งมา  

 

 

“…นี่เพิ่งส่งมาจากติ้งโจวขอรับ หลังจากนี้น่าจะยังมีอีก…” ผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยขึ้น  

 

 

เสียงยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีคนเดินเข้ามา  

 

 

คนที่เข้าออกห้องหนังสือของฟางเฉิงอวี่โดยไม่ต้องแจ้งได้ ตระกูลฟางแห่งนี้มีเพียงสองคน  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น ค้อมกายคำนับทันที  

 

 

“นายหญิง” เขาเอ่ยเรียก  

 

 

กำไลหยกกระทบกันเบาๆ ชายกระโปรงปลิวพลิ้ว นายหญิงใหญ่ฟางเดินตรงผ่านข้างร่างเขาไป หยุดยืนหน้าโต๊ะของฟางเฉิงอวี่  

 

 

“ท่านแม่…” ฟางเฉิงอวี่เงยศีรษะอมยิ้ม  

 

 

กำลังจะอ้าปาก นายหญิงใหญ่ฟางก็ยื่นมือดึงจดหมายในมือเขาไปแล้ว สีหน้าเย็นเยียบไม่พูดสักคำก้มหน้าอ่านจดหมาย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่รีบร้อน  

 

 

“ท่านแม่ นั่งลงอ่านเถอะขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาด้านนี้ย้ายเก้าอี้กลมตัวหนึ่งมาแล้ว  

 

 

“นายหญิง” เขาเอ่ยเชิญ  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยืนไม่ขยับและไม่สนใจ เพียงอ่านจดหมายในมือ  

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าให้ผู้ดูแลใหญ่เกา ผู้ดูแลใหญ่เกาถอยหลังนั่งลงใหม่อีกครั้ง ในห้องตกสู่ความเงียบพักหนึ่ง  

 

 

จนกระทั่งเสียงฟึบดังขึ้น นายหญิงใหญ่ฟางเก็บจดหมายในมือ ตบลงบนโต๊ะหนักหน่วงพลางมองฟางเฉิงอวี่  

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองนางแล้วหัวเราะคิกคัก  

 

 

“จำนำไข่มุกไปกี่เม็ดแล้วเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยพลางยื่นมือลูบปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะของเขา  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ชอบไข่มุก ที่ใช้ทำเครื่องประดับล้วนเป็นไข่มุกชั้นดีหายากที่หนึ่งของที่หนึ่ง  

 

 

“ท่านแม่” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่า “ถึงขั้นต้องจำนำแบบนั้นเสียที่ไหนเล่า?”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางรอยยิ้มสักนิดก็ไม่มี ขานอ้อทีหนึ่ง  

 

 

“ยังไม่ถึงรึ? ตอนนี้ข้าเพิ่งเห็นในบ้านโล่งไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าก็ยังไม่บอกข้า ข้ากับท่านย่าของเจ้ายังกินดื่มสำราญสวมทองสวมเงิน รอในบ้านไม่มีเงินสิ้นแล้ว ขนไปเกลี้ยงแล้ว เจ้าต้องบอกพวกเราด้วยล่ะ พวกเราจะได้เอาทองไปจำนำ ถอดแพรไหม เปลี่ยนเป็นเสื้อป่านขาดๆ ถือท่อนไม้ไผ่ชามแตกไปขอทานหากิน” นางเอ่ย  

 

 

ได้ฟังถ้อยคำแอบเสียดสีท่อนนี้ของนายหญิงใหญ่ฟาง ผู้ดูแลใหญ่เกาที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งก้มศีรษะต่ำ ตามหลักแล้วเมื่อครู่เขาควรถอยออกไปแล้ว  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ท่านแม่ ท่านดูละครไม่น้อยจริงๆ บทพูดนี่พูดได้ดีจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสายตาเย็นชามองเขา  

 

 

“อย่ามาทำหน้าระรื่นกับข้า ข้าไม่ใช่เจ้า ผู้อื่นยิ้มทีเดียว เจ้าก็ล่มบ้านล่มเมืองได้” นางเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หุบรอยยิ้ม สีหน้าจริงจังขานรับ  

 

 

“ข้าในฐานะลูกสะใภ้ตระกูลฟาง ถามสักหน่อยได้หรือไม่ว่าเงินตระกูลข้าที่แท้ใช้จ่ายไปที่ใดแล้ว?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้จดหมายบนโต๊ะ “ดูท่าคุณหนูจวินจะจัดการเรื่องเสร็จแล้ว กำลังจะกลับมาแล้ว ข้าคนนี้ถามสักหน่อย คงไม่ทำให้นางเสียเวลาแล้วกระมัง?”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า  

 

 

“ท่านแม่”เขาเอ่ย “ที่แดนเหนือนางทำการค้าสองครั้ง ใช้เงินไปเล็กน้อย”  

 

 

“การค้ารึ?” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเย็นชาเอ่ยถาม “การค้าที่ใช้ทรัพย์สมบัติครึ่งตระกูลของตระกูลฟางเรา การค้าครั้งนี้คงไม่เล็ก ไม่ทราบว่าได้กำไรอย่างไร?”  

 

 

“มีกำไร มีกำไรขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาที่อยู่ด้านข้างรีบเงยศีรษะเอ่ย คว้าสมุดบัญชีเล่มหนึ่งจากสมุดบัญชีที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นออกมา “เงินเพิ่งมาถึง”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเหล่ตามองเขา  

 

 

“สี่สิบหมื่นตำลึงขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางร้องฮ่ะทีหนึ่ง  

 

 

“สี่สิบหมื่นตำลึง! เงินมากนักเชียว!” นางว่า  

 

 

คำพดนี้ฟังคล้ายตื่นเต้นยินดี แต่สีหน้านายหญิงใหญ่ฟางไม่ตื่นเต้นยินดีสักนิด  

 

 

นอกจากนี้สี่สิบหมื่นตำลึงสำหรับนายหญิงใหญ่ฟางแล้วไม่มีสิ่งใดให้ตกใจ  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาหัวเราะเฝื่อนๆ สองทีก้มศีรษะลง  

 

 

“ท่านแม่ ค่อยเป็นค่อยไปนะขอรับ ทำการค้าไหมเล่า อย่างไรก็…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย  

 

 

คำพูดของเขาเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกนายหญิงใหญ่ฟางขัดแล้ว  

 

 

“ทำชุดเกราะ ซื้ออาวุธ ช่วยชาวบ้านผู้ลี้ภัยหลายสิบหมื่น เลี้ยงทหารส่วนตัว คุมทหารไปเขตชาวจินสังหารศัตรู” นางมองฟางเฉิงอวี่ กดเสียงลงเอ่ยทีละคำ “ฟางเฉิงอวี่ การค้านี่ของนางจะค้ำฟ้าหรือไง?”   

 

 

ค้ำฟ้านี่ เข้าใจว่าทำการค้าใหญ่มากจนแตะขอบฟ้าก็ได้ แล้วก็เข้าใจว่าฟ้านี่หมายถึงโอรสสวรรค์ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นค้ำคำนี้…  

 

 

“…นางจะแทนที่ฮ่องเต้…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยต่อ  

 

 

คำพูดนี้ยังเอ่ยไม่ทันจบ ผู้ดูแลใหญ่เกากับฟางเฉิงอวี่ล้วนทะลึ่งลุกขึ้นมา  

 

 

“ชู่ชู่ชู่ชู่” พวกเขาต่างปากเป็นเสียงเดียวสีหน้าตระหนกตะโกน ล้อมนายหญิงใหญ่ฟาง “คำนี้พูดไม่ได้ คำนี้พูดไม่ได้นะขอรับ”  

มีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร!  

 

 

จูจั้นถลึงตา  

 

 

คุณหนูจวินแหงนหน้าหัวเราะฮ่าฮ่า เดินเฉียดหัวไหล่เขาส่ายอาดๆ ไปข้างหน้า  

 

 

“เฮ้”  

 

 

หลังร่างเสียงตะโกนโมโหของจูจั้นดังขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินไพล่มือไว้ด้านหลังเม้มปากยิ้มเดินไปข้างหน้าไม่สนใจ  

 

 

จูจั้นไม่กี่ก้าวก็ตามมา  

 

 

“เฮ้” เขาร้องเรียกอีกครั้ง  

 

 

“ท่านเรียกใคร?” คุณหนูจวินขานหืมทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

“คนแซ่จวิน” จูจั้นเอ่ย “พอประมาณก็พอได้แล้ว”  

 

 

คนแซ่จวิน  

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันคิดได้ เหมือนเขาไม่เคยเรียกชื่อของตนเลย จิ่วหลิงชื่อนี้  

 

 

เขา ทำไม….  

 

 

นางหันศีรษะมองจูจั้นกะทันหัน  

 

 

จูจั้นก็ฉับพลันถอยหลังก้าวหนึ่ง  

 

 

“ฮ่า” เขาสีหน้ากังวลหวาดระแวง “เจ้าคิดทำอะไร? แววตาเจ้าอยากกินคน”  

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้หัวเราะพรืด ยื่นมือปิดตาไว้  

 

 

“ความคิดข้าชัดปานนี้เชียวหรือ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“ความคิดของเจ้าแต่ไหนแต่ไรก็ชัดมาก” จูจั้นเอ่ย  

 

 

มือของคุณหนูจวินเกาปลายจมูก มองดูเขาดวงตากลอกกลิ้งเร็วไว  

 

 

“เจ้าดูสิเจ้าดู” จูจั้นเอ่ยทันที ชี้นางพลางถอยหลังก้าวหนึ่ง “เหมือนนอกจากเจ้ายังมีอีกคนหนึ่งกำลังมองข้าอยู่”  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าแข็งค้าง  

 

 

ใช่แล้ว ใต้หนังผืนนี้ ยังมีอีกคนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่  

 

 

เขามองเห็นรึ?  

 

 

หรือตั้งแต่หลังวันนั้นที่เห็นจูจั้นวางดอกไม้ดอกนั้นหน้าสุสานของตนเอง นางก็ใช้ฉู่จิ่วหลิงมองเขามาตลอด ไม่เคยคิดตั้งใจปกปิด  

 

 

“เฮ้เฮ้ เจ้าหัวเราะอะไร? เจ้าหัวเราะประหลาดอะไรอีกแล้ว?”  

 

 

เสียงของจูจั้นดังขึ้นในหูอีกครั้ง  

 

 

รอยยิ้มที่มุมปากของคุณหนูจวินคลี่ออกกว้างทันที นางจึงแหงนหน้าหัวเราะเสียเลย  

 

 

หัวราะจนจมูกแสบเสียงแหบพร่าอยู่บ้าง  

 

 

“พอแล้ว” แล้วนางก็พลันหุบยิ้ม ยื่นมือจะตบจูจั้นเบาๆ  

 

 

จูจั้นเตรียมระวังอยู่ก่อนแล้วก็กระโดดออกห่าง  

 

 

“จูจั้น ท่านวางใจ” คุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้หวังอะไรจากครอบครัวของพวกท่าน”  

 

 

จูจั้นเก็บอาการระแวงเต้นเร่าเกินจริงไป ยืนตัวตรงมองนางเขม็ง  

 

 

“สละกองทหารชิงซาน ช่วงชิงอนาคตให้พวกเขา” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวิน ความใจกว้างเช่นนี้ของเจ้า คนที่ได้อนาคตไปคนไหนจะละทิ้งเจ้าได้?”  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม  

 

 

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าวางแผนไว้ นี่คือความยุติธรรม มีคนเคยกล่าวสรุปความยุติธรรมนี่ไว้ประโยคหนึ่ง” นางเอ่ย “เขาบอกว่า แรง ส่งผลต่อกัน”  

 

 

ใคร คำพูดนี้ฟังปุบก็ไม่ใช่คนปกติ  

 

 

จูจั้นแค่นสียง  

 

 

“คนเหล่านี้มีความดีความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วยังเก่งเช่นนี้อีก บวกกับพวกเขาเป็นคนที่เจ้าฝากฝัง พ่อข้าต้องมองพวกเขาเป็นคนสนิทแน่ ให้ตำแหน่งที่ดีที่สุด สิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดแก่พวกเขา จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นยิ่งแข็งแกร่ง” เขาเอ่ยต่อ  

 

 

คุณหนูจวินยังคงอมยิ้ม  

 

 

“แรงส่งผลต่อกัน นี่สำหรับบิดาของท่านแล้วไม่ใช่เรื่องแย่” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นมองนาง  

 

 

“ที่แท้เจ้าต้องการอะไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไร ข้าเพียงคิดจะทำเรื่องบางอย่างเท่านั้น” คุณหนูจวินยิ้มบอก “และเรื่องเหล่านี้สำหรับพวกท่านแล้วไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”  

 

 

จูจั้นยังอยากพูดอะไรอีก คุณหนูจวินก็อ้าปากขัดเขาก่อน  

 

 

“จูจั้น เรื่องเหล่านี้ที่ท่านคิดออก บิดาของท่านย่อมคิดออก” นางเอ่ย “บิดาของท่านยังไม่กลัว ท่านจะกลัวอะไร?”  

 

 

จูจั้นยิ้ม ก้าวมาข้างหน้าหลายก้าว จ้องมองคุณหนูจวิน  

 

 

ยามที่สีหน้าเขานิ่งสงบไม่โศกเศร้าไม่ยินดีไม่โกรธแค้น ทั้งมีความเคร่งขรึมของนายหญิงอวี้แล้วมีความอ่อนโยนของเฉิงกั๋วกง ความเคร่งขรึมนี้ทำให้เขาแลดูมีอำนาจ ส่วนความอ่อนโยนก็ทำให้เขาดูไม่อาจจับต้องได้ขึ้นหลายส่วน  

 

 

“คุณหนูจวิน พวกเราก็นับว่ายุ่งเกี่ยวกันมาหลายครั้ง ข้ารู้จักเจ้า เจ้าก็รู้จักข้าดียิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรข้าไม่กลัวผู้อื่นจะเล่นเล่ห์กับข้าอย่างไร” เขาเอ่ย “ต่างฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการ ยุติธรรมเป็นธรรม”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านยังกังวลสิ่งใด?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย  

 

 

จูจั้นมองนางนิ่งๆ  

 

 

“เจ้าแปลกยิ่งนัก” เขาเอ่ย “สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับข้า กับครอบครัวของพวกเรา ล้วนแปลกยิ่งนัก”  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม มองเขาพลางพยักหน้า  

 

 

“ใช่แล้ว ข้าปฏิบัติกับครอบครัวของพวกท่านต่างออกไป” นางพูด  

 

 

“เหตุผล” จูจั้นเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ  

 

 

“ข้าพูดไม่ได้” นางเอ่ยท่าทางติดจะเย้ยหยันตนเองอยู่บ้างแล้วพรูลมหายใจ “สรุปก็คือข้าเพียงอยากทำ รวมถึงบังเอิญทำเรื่องเหล่านี้ได้เท่านั้น จูจั้น ท่านวางใจเถอะ”  

 

 

พูดจบก็เดินไปข้างหน้า  

 

 

“เฮ้” จูจั้นร้องเรียกด้านหลังอีกครั้ง เรียกเฮ้ๆ ติดกันหลายหน  

 

 

คุณหนูจวินได้แต่หยุดเท้า  

 

 

“ข้ามีชื่อ” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

“คนแซ่จวิน” จูจั้นเอ่ย “แรงส่งผลต่อกันก็จริง แต่ระวังแรงมากจะทำร้ายตัวเจ้าเอง พ่อข้าดูไปแล้วมีหน้ามีตา ทว่าในความมีหน้ามีตานี้กลับอันตรายยิ่งนัก ข้องเกี่ยวกับครอบครัวพวกเราไม่ใช่เรื่องดีอะไร”  

 

 

สิ้นเสียงของเขาก็เห็นเด็กสาวคนนั้นฉับพลันหมุนกายมา สีหน้าจริงจัง  

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ยท่าทางเคร่งขรรึมอยู่บ้าง  

 

 

นางอยากพูดอะไร?  

 

 

เหตุผลนั้นหรือ?  

 

 

จูจั้นก็สีหน้าจริงจังอยู่บ้างมองนางเช่นกัน  

 

 

แต่กลับเห็นเด็กสาวคนนี้ดวงตายกโค้ง  

 

 

“ท่านกำลังเป็นห่วงข้าหรือ? ดังนั้นเลยไม่อยากให้ข้าเกี่ยวข้องกับพวกท่านสินะ?” นางกะพริบตาเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อจากนั้นก็โมโห คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่นหมุนตัวไปแล้ว  

 

 

ผู้หญิง…ไม่ปกติ…คนนี้  

 

 

ถูกนางหยอกอีกแล้ว  

 

 

“ดูเจ้าสิ!” เขาตะโกน “พูดคำนี้ไม่กล้วฟ้าผ่าลิ้น”  

 

 

คุณหนูจวินแหงนหน้าหัวเราะลั่นไม่หันกลับมา มือไพล่หลังร่าง เดินส่ายอาดๆ จากไปแล้ว  

 

 

“อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก”  

 

 

จูจั้นโมโหทิ้งท้ายประโยคหนึ่งอยู่ด้านหลัง แล้วก้าวยาวจากไป  

 

 

แต่น่าเสียดาย ประโยคนี้ทิ้งไว้ได้ไม่นาน ก็ถูกตัวเขาเองเก็บขึ้นมาแล้ว  

 

 

เห็นจูจั้นยืนอยู่ในเรือน จ้าวฮั่นชิงที่กำลังเดินออกจากในห้องพลันตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“เจ้าอยู่ตรงนี้ทำอะไร?” นางเอ่ย  

 

 

ส่วนจูจั้นเห็นนางก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย  

 

 

“เจ้า…” เขาสีหน้าตกตะลึงเอ่ยขึ้น มองใบหน้าของจ้าวฮั่นชิง  

 

 

จ้าวฮั่นชิงอยู่ในเรือนไม่ปิดหน้าจนคุ้นชินแล้ว เพราะหลายวันนี้ทายาบ่อยครั้ง บนใบหน้าจึงไม่สบาย  

 

 

นางไม่ได้กระอักกระอ่วนกับการตกตะลึงของอีกฝ่าย  

 

 

ส่วนจูจั้นก็ฟื้นกลับมาสงบอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

“ทำไมข้าจะมาที่นี่ไม่ได้ ข้าคือท่านชาย” เขาหน้าบึ้งเอ่ย  

 

 

“ฮั่นชิง ควรดื่มยาแล้ว” เสียงของคุณหนูจวินดังมาจากด้านใน  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานตอบไม่สนจูจั้นอีกยกเท้าเข้าไปแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินตอนนี้เพิ่งเดินออกมาจากด้านใน  

 

 

“ถูกแม่ของท่านไล่ออกมารึ?” นางหัวเราะคิกคักเอ่ยถาม  

 

 

ในเมื่อบอกว่าจะยังใช้ชื่อคู่หมั้นของท่านชายเหมือนเดิม นายหญิงอวี้ย่อมต้องเรียกให้จูจั้นเล่นละครให้มาก มาด้านนี้เพื่อแสดงว่าสองฝ่ายชอบพอกัน  

 

 

“เจ้าอย่าอาศัยว่าแม่ข้าติดหนี้เจ้า…” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม  

 

 

คุณหนูจวินขัดเขาทันที  

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ยเสียงละมุน “ที่จริงท่านไม่ควรสนใจที่พ่อแม่ท่านติดหนี้ข้า ท่านลืมไปแล้วใช่ไหม ท่านก็ยังติดหนี้ข้าอยู่นะ?”  

 

 

จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อ  

 

 

ใช่แล้ว เขาเหมือนจะติดหนี้นางอยู่นิดหน่อยจริงๆ …  

 

 

“ท่านหญิงกับท่านกั๋วกงคืนสิ่งที่ติดค้างข้าอย่างฉับไวไปแล้ว พวกเราจึงนับว่าจ่ายเงินได้ของสองฝ่ายไม่ติดค้าง” คุณหนูจวินเอ่ยต่อด้วยเสียงอ่อนโยน สีหน้าจริงจัง “แล้วท่านคิดจะคืนข้าเมื่อไร? หนี้นี้จะคืนหรือไม่คืน หากไม่คืน ท่านคิดจะเอาอะไรมาชดใช้…”  

 

 

จูจั้นยกมือขัดนาง  

 

 

“ไม่ใช่แค่หญ้าต้นเดียวรึ?” เขาเอ่ย “ข้าจะไปตามหาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”  

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวจากไป  

 

 

คุณหนูจวินพรูลมหายใจ หมุนตัวปัดๆ มือ  

 

 

“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ทำงานเงียบๆ ได้แล้ว” นางเอ่ย “ฮั่นชิง ฝนหมึกให้ที”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงที่อยู่ในห้องขานรับ เสียงฝนหมึกแผ่วเบาดังขึ้น  

คุณหนูจวินวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ  

 

 

“เฉิงกั๋วกงท่านกลับเมืองหลวง พวกเราติดตามไปด้วยจะดีกว่า” นางเอ่ย  

 

 

พวกเราย่อมหมายถึงนางกับกองทหารชิงซาน  

 

 

บนหน้านายหญิงอวี้รอยยิ้มยิ่งกว้าง  

 

 

“เด็กดี ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก” นางเอ่ย “แต่เจ้าวางใจ ท่านกั๋วกงไม่เหมือนข้า เดินทางย่อมต้องมีคนอารักขา”  

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงก็ถูกคนช่วยไว้ถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจริงๆ  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มอีกครั้ง  

 

 

“เมืองหลวงไม่เหมือนสนามรบ” นางเอ่ยต่อ “คุณหนูจวิน ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่ดูแคลนท่าน หากเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงหนหนึ่งยังต้องให้คนอารักขาถึงปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรรีบเลิกเป็นกั๋วกงนี่เสียเถิด”  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง  

 

 

“ขอบคุณภรรยาที่ชม” เขาเอ่ย  

 

 

“ท่านกั๋วกง ท่านคู่ควร” นายหญิงอวี้มองเขาแล้วยิ้มบอก  

 

 

คุณหนูจวินมองดูสามีภรรยาสองคนนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย  

 

 

“คุณหนูจวินขอบคุณท่านมาก เรื่องต่อจากนี้ข้าจัดการเองก็ได้แล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

จูจั้นอยู่ข้างหลังแค่นเสียงเหอะๆ สองที  

 

 

“ไม่ ข้าย่อมรู้ว่าท่านกั๋วกงไม่ต้องการ” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าจะบอกว่าข้าต้องการ ดังนั้นนอกจากเก็บเงินสามสิบหมื่นตำลึง ที่เหลือก็คือข้อเรียกร้องนี้แล้ว”   

 

 

แหนะแหนะแหนะ… จูจั้นที่อยู่หลังร่างเฉิงกั๋วกงอยากชี้นิ้วยิ่งนัก พ่อแม่ผู้ซื่อตรงของเขา เห็นแล้วหรือยัง เห็นแล้วหรือยัง นี่ถึงเป็นตัวตนที่แท้จริงของนาง  

 

 

อย่าคิดว่านางดีนักเลย ในใจเจ้าเล่ห์นักล่ะ ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า  

 

 

“คุณหนูจวินเชิญเอ่ย” นายหญิงอวี้รีบกล่าว  

 

 

“ข้าอยากให้กองทหารชิงซานกลายเป็นทหารจริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขาไม่ใช่ข้ารับใช้ในตระกูลของข้า แล้วก็ไม่ใช่กองทหารอาสา แต่กลายเป็นทหารทางการ”  

 

 

กลายเป็นทหารทางการ?  

 

 

คนมากมายนัก โจรก็ดี กองทหารอาสาก็ดี ไม่ว่าใช้ชีวีตมีอำนาจรุ่งเรืองมากเท่าใด เวลามากมายก็ยังอยากมีฐานะที่ยืดอกได้ไม่อายสักอันอย่างยิ่ง  

 

 

อย่างไรทหารทางการฐานะนี้ตัวมันเองก็เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านหลังแค่นเสียงเฮอะเฮอะอีกสองที  

 

 

เอาอีกแล้ว!  

 

 

ตอนนั้นที่เมืองหลวงอาศัยการปลูกฝี นางไม่เพียงเหยียบสำนักแพทย์หลวงกับหมอหลวงพวกนั้นที่ไม่ถูกกับนางทีหนึ่ง ยังส่งหมอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเข้ากรมฮั่นหลินกระโดดทีหนึ่งกลายเป็นขุนนาง  

 

 

อย่าเห็นว่าเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กที่ไม่ใช่ส่วนกลางแต่งตั้ง แค่มีฐานะขุนนางก็ทำสิ่งต่างๆ ง่าย แม้นางออกจากเมืองหลวงไป โรงหมอจิ่วหลิงของนางที่เมืองหลวงก็ยังคงไม่มีใครสั่นคลอนได้  

 

 

ตอนนี้จะยื่นมือมาหากองทัพอีกแล้ว!  

 

 

แต่ได้ยินข้อเรียกร้องนี่เขากลับไม่กังวลใจปานนั้น เรื่องอื่นพูดจาฉอเลาะหลอกพ่อแม่เขาก็ช่างเถิด เรื่องการปกครองทหาร พ่อย่อมไม่ใช่คนที่กล่อมได้ง่ายๆแล้ว  

 

 

จูจั้นยักคิ้วใส่คุณหนูจวิน  

 

 

“คุณหนูจวิน” เฉิงกั๋วกงไม่ได้ใคร่ครวญอะไร อ้าปากเอ่ยทันที “ข้ารับใช้ในตระกูลเข้าเป็นทหารดูไปแล้วเป็นเรื่องดียิ่ง ทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กองทหาร ทั้งยังควบคุมกองทหารได้ง่ายขึ้น แต่ข้อดีนี่แค่สำหรับตัวแม่ทัพเองเท่านั้น และข้อดีนี่ก็คงอยู่แค่ชั่วเวลาหนึ่ง ในความเป็นจริงทำเช่นนี้จะลดทอนกำลังรบของกองทหารทั้งหมด รากฐานของทหาร รากฐานของกองทัพ มองการณ์ไกลแล้ว ไม่มีข้อดีต่อแคว้น ถ้าอย่างนั้นกับแม่ทัพที่จริงก็ไม่มีข้อดีเช่นกัน”  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม  

 

 

“ท่านกั๋วกง ข้าไม่ได้ต้องการเอาข้ารับใช้ในตระกูลแสร้งเข้ากองทัพ” นางเอ่ย “ที่ข้าพูดคือจะให้พวกเขากลายเป็นทหารทางการที่แท้จริง เชื่อฟังเฉิงกั๋วกงท่านแม่ทัพคนนี้สั่งการ เช่นเดียวกับกองทหารทางการกองหนึ่งอย่างซุ่นอัน หย่งหนิงเป็นต้น”  

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็จริงจังขึ้นอีกหลายส่วน  

 

 

“พูดไปแล้วท่านกั๋วกงอาจไม่เชื่อ พวกเขาเดิมทีก็เป็นทหาร ควรเป็นทหารทางการตั้งนานแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ก็ควรกลายเป็นทหารแล้ว เรื่องราวล่วงเลยจนถึงวันนี้ยังปล่อยให้พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นข้ารับใช้ในตระกูลหรือกระทั่งโจร ที่จริงไม่ยุติธรรม”  

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย  

 

 

คำพูดนี้กะทันหันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่อธิบายแล้วก็ไม่เล่าอดีต คุณหนูจวินครุ่นคิดใคร่ครวญว่าจะพูดอย่างไร ยังไม่ทันเอ่ยปาก เฉิงกั๋วกงก็ยิ้มอีกครั้ง  

 

 

“นี่มีสิ่งใดให้ไม่เชื่อ ข้าก็เคยบอกคุณหนูจวินตั้งแต่แรกแล้วว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ดี” เขาเอ่ย “ทหารดีทั้งยังสร้างความชอบในการศึกโดดเด่นอีกเหล่านี้ หากข้ายังปฏิเสธไม่ต้อนรับ ถ้าอย่างนั้นก็เลอะเลือนจริงๆ แล้ว”  

 

 

นี่คือตกลงแล้วหรือ?  

 

 

ยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะ?  

 

 

จูจั้นตะลึง คุณหนูจวินก็ตะลึงนิดๆ เช่นกัน  

 

 

เขาเชื่อนางแล้วหรือ?  

 

 

“ขอบคุณท่านกั๋วกงยิ่งนัก” คุณหนูจวินลุกขึ้นยืนคำนับเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้อมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“คุณหนูจวินไม่ต้องเกรงใจ กลับกันท่านตรงไปตรงมาเสียจริง” นางเอ่ย “ทหารดีปานนี้ คนเท่าไรต้องการแต่หาไม่ได้ คุณหนูจวินกลับสละได้มอบออกไป”  

 

 

อาวุธดีมีแต่กุมอยู่ในมือของตนเองถึงเป็นอาวุธดี มอบอาวุธดีให้ผู้อื่น สำหรับตนเองแล้วดีอีกเท่าใดมีประโยชน์อันใดอีก  

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม  

 

 

“ท่านหญิง แบบนั้นไม่ยุติธรรมกับพวกเขา” นางกล่าว “พวกเขาเป็นทหารที่ดี ควรได้รับฐานะที่คู่ควรกับพวกเขา”  

 

 

ตอนนี้นางไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น ติดตามนาง พวกเขาจะได้แต่ถูกคิดว่าเป็นโจร เป็นข้ารับใช้ในตระกูล กระทั่งกองทหารอาสากองหนึ่งก็นับไม่ได้  

 

 

“ข้าจะหารือเรื่องรับพวกเขาเข้าสังกัดทันที” เฉิงกั๋วกงเอ่ยพลางมองดูคุณหนูจวิน “คุณหนูจวินเชิญเอ่ยข้อเรียกร้องอื่นเถิด”  

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ มีแค่เรื่องนี้” นางอมยิ้มเอ่ย  

 

 

“ข้อเรียกร้องนี้ไม่นับว่าเป็นข้อเรียกร้องของเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “นี่คือฐานะที่คู่ควรกับพวกเขา เป็นสิ่งที่ตัวพวกเขาเองสมควรได้ ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจวิน”  

 

 

คุณหนูจวินอึ้งนิดหนึ่ง นายหญิงอวี้ด้านนี้ก็หัวเราะอีกครั้ง  

 

 

“ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่ผิด นี่ไม่นับ” นางเอ่ย “คุณหนูจวินท่านคิดอีกสักอัน”  

 

 

คุณหนูจวินมองพวกเขาแล้วคำนับอีกครั้ง  

 

 

“อย่าได้เกรงใจ” นายหญิงอวี้เอ่ยขึ้น “รีบคิดเร็ว ท่านยังอยากได้อะไรอีก?”  

 

 

ยังอยากได้อะไรอีก?  

 

 

อยากได้อะไรก็ให้สิ่งนั้นหรือ?  

 

 

จูจั้นขนลุกตั้ง  

 

 

“คิดดีๆ ล่ะ” เขารีบร้อนเอ่ยขึ้น มองคุณหนูจวินคล้ายจะเตือน “อย่าคิดเหลวไหลเชียว ที่ไม่ควรคิดก็อย่าคิด อย่าสิ้นเปลืองโอกาส”  

 

 

นายหญิงอวี้หันหลังกลับมาถลึงตา  

 

 

“ผู้ใหญ่คุยกันเจ้าสอดปากอะไร” นางเอ่ย  

 

 

“แม่” จูจั้นตะโกน “นางเพิ่งอายุสิบหกปี ข้ายี่สิบสามแล้วนะ”  

 

 

ใครเป็นผู้ใหญ่กัน!  

 

 

“ผู้อื่นอายุน้อย สิ่งที่ทำล้วนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่” นายหญิงอวี้เอ่ย “เทียบอายุทำอะไร”  

 

 

จูจั้นสีหน้าจนปัญญา  

 

 

“แม่ ข้าก็สังหารศัตรูปกป้องประชาชนอพยพด้วยนะ” เขาเอ่ย  

 

 

“เจ้าลูกผู้ชายคนหนึ่งนี่ไม่ใช่สมควรรึ แข่งอะไรกับแม่นางน้อย” นายหญิงอวี้เอ็ด  

 

 

ถ้าอย่างนั้นที่แท้ใครโตใครเด็กกัน  

 

 

“แม่ ข้าเป็นบุรุษคนหนึ่ง ท่านก็ไม่อาจรังแกข้าเช่นนี้ได้นะ” จูจั้นร้องน้อยใจ  

 

 

นายหญิงอวี้คิ้วตั้ง ตบพยักแขนกำลังจะลุกขึ้นยืน  

 

 

“เอาล่ะ อย่าทะเลาะกัน” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยน  

 

 

คุณหนูจวินก็เม้มปากยิ้มด้วย  

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านหญิง ท่านชายพูดถูกต้อง ข้าชั่วขณะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าต้องการอะไร” นางยิ้มเอ่ย “นี่เป็นโอกาสดีครั้งหนึ่ง มีท่านกั๋วกงกับท่านหญิงวาจาดั่งทองพันชั่ง ข้าย่อมไม่อาจให้เสียเปล่า ต้องครุ่นคิดให้ดีๆ”  

 

 

นายหญิงอวี้มองนางแล้วยิ้มทันที  

 

 

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็รอเจ้าคิดดีแล้วค่อยบอก” นางว่า “ไม่รีบร้อน ค่อยๆ คิด อยากได้อะไรล้วนได้ทั้งนั้น”  

 

 

……………………………………….  

 

 

การกระทำของเฉิงกั๋วกงรวดเร็วยิ่งนักจริงๆ เพียงหนึ่งวันให้หลังก็จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว  

 

 

กองทหารชิงซานเข้าสังกัดกองทหารอันซู่ที่เฉิงกั๋วกงปกติประจำอยู่ ในเวลาเดียวกันกองทหารซุ่นอันก็ดึงทหารส่วนหนึ่งเติมเข้าไปในกองทหารชิงซานด้วย รวบรวมได้แปดกองพัน ตั้งเป็นกองทหารของตนเอง  

 

 

เพราะครั้งนี้ลอบโจมตีอี้โจว กองทหารอันซู่เสียหายไปเกินครึ่ง เสริมกำลังทหารให้กองทัพนี้ก็สมควร นอกจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่ากองทหารชิงซานนี่เป็นข้ารับใช้ในตระกูลที่ภรรยาท่านชายพามา เฉิงกั๋วกงรับเข้าใต้บังคับบัญชาตนเองก็สมเหตุสมผล  

 

 

ส่วนกองทหารซุ่นอันครั้งนี้เข้าอี้โจวช่วยเหลือมีความดีความชอบมาก เฉิงกั๋วกงอนุญาตให้เหมาซุ่นไฉแห่งกองทหารซุ่นอันเข้าเมืองหลวงได้รับสรรเสริญความชอบเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย  

 

 

เหมาซุ่นไฉไม่มีความไม่พอใจที่ถูกแบ่งทหารไปสักนิดทันที  

 

 

ประการแรกเฉิงกั๋วกงมีอำนาจโยกย้ายทหารทั้งหมดในมณฑลเหอเป่ย ประการที่สองทหารซุ่นอันแปดพันนายนั่นเหมาซุ่นไฉรู้สึกว่าไม่อาจควบคุมได้แล้ว ไม่ว่าเครื่องแบบอาวุธยุทโธปกรณ์หรืออาหารการกิน ถูกเงินทองของภรรยาท่านชายคนนั้นเลี้ยงจนช่างเลือกแล้ว ใจคนออกห่าง กองทัพก็ยากนำ  

 

 

เฉิงกั๋วกงจะเอาไปก็เอาไปเถอะ ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้พระราชทานรางวัลความชอบครั้งใหญ่ การเติมกำลังทหารใหม่ย่อมไม่ต้องกังวล  

 

 

ส่วนนายทหารของกองทหารซุ่นอันที่ถูกดึงออกไปเข้าร่วมกองทหารชิงซานก็ไม่ได้ไม่พอใจ พวกเขาไม่เพียงคุ้นเคยสนิทสนมกับผู้คนของกองทหารชิงซานอยู่แล้ว เฉิงกั๋วกงยังจะพาพวกเขาเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย  

 

 

เพราะมีความดีความชอบใหญ่หลวง ตอนแรกช่วยปกป้องประชาชนป้าโจว ต่อมาห้อม้าไปช่วยที่อี้โจว จัดการเช่นนี้ไม่มีใครตั้งข้อสงสัย ทุกคนล้วนยินดีปรีดา หนังสือขออนุมัติต่างๆ ก็จัดการตลอดทั้งคืนจนเรียบร้อย ม้าเร็วส่งไปกรมกลาโหมแล้ว  

 

 

“นี่จริงหรือ?” เซี่ยหย่งเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “พวกเรากองทหารชิงซานเข้าสังกัดได้แล้ว? กลายเป็นทหารประจำการที่ติ้งโจว?”  

 

 

“แน่นอน หนังสือส่งไปกรมกลาโหมแล้ว” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างปิติยินดี “ท่านเฉิงกั๋วเอ่ยปากแล้ว ไม่มีพลาดแน่นอน ไม่นานก็จะอนุมัติกลับา”  

 

 

“ง่ายปานนี้เชียว” หยางจิ่งเอ่ยขึ้น สีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง  

 

 

“ง่ายแน่นอน ความดีความชอบนี่ของพวกเราเป็นของจริง ใต้หล้าทุกคนล้วนมองเห็น” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยขึ้น  

 

 

เพราะเหตุว่าความดีความชอบเป็นของจริงทุกคนล้วนมองเห็น ไม่เหมือนเรื่องที่พวกเขาทำก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ที่เขตชาวจิน ล้วนอยู่ในที่ลับหรือ?  

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งรู้สึกฮึกเหิมแต่ก็อารมณ์สับสนปนเป ชั่วขณะล้วนไม่เอ่ยวาจา  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยก็ไม่ทันสนใจ เขาเองก็รู้สึกฮึกเหิมเช่นกัน ครั้งนี้แม้ถูกเติมเข้ามาในกองทหารชิงซาน แต่ก็ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกองซุ่มโจมตี นอกจากนี้ยังใช้ฐานะกองทหารชิงซานเข้าเมืองหลวงด้วย  

 

 

หากยังอยู่ในกองทหารซุ่นอัน เลื่อนตำแหน่งปูนบำเหน็จไม่มีปัญหา แต่เข้าเมืองหลวงคงผลัดไม่ถึงเขาแล้ว  

 

 

เฝ้าฝันถึงเกียรติยศยามพระราชทานรางวัลและเข้าเฝ้าที่กำลังจะมาถึง ผู้คนในเรือนล้วนดีใจอย่างยิ่ง  

 

 

รางวัลพระราชทานมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เช่นนั้นที่ตรวจสอบเถียงกันไปมา ประการแรกความดีความชอบเป็นของจริง ประการที่สองเพราะฮ่องเต้รีบร้อนจะให้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง  

 

 

ขอแค่เขาเข้าเมืองหลวงได้ หลอกให้เขาดีอกดีใจเข้าเมืองหลวงได้ ทุกสิ่งล้วนจัดการง่ายแล้ว  

 

 

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมเฉิงกั๋วกงทำเรื่องนี้เร็วปานนี้ ในเมื่อคลื่นลมกำลังถาโถม ไม่หยิบยืมกำลังไยไม่ใช่เสียเปล่า  

 

 

เฉิงกั๋วกงครองแดนเหนือมั่นคงมานานปีปานนี้ ย่อมไม่ใช่แค่อาศัยรบเก่งชำนาญศึกเพียงอย่างเดียว  

 

 

“เจ้าเล่ห์”  

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ที่ประตูเรือน ได้ยินเสียงดังขึ้นหลังร่างก็หยุดครุ่นคิดหันหน้ามา  

 

 

จูจั้นกอดอกเชิดคางมองนาง  

 

 

“ปลิ้นปล้อน” เขาเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินมุมปากยกโค้งใส่เขา  

 

 

“สามี พูดจากับข้าเกรงใจหน่อย” นางเอ่ยอย่างอ่อนโยนพลางเดินไปหาเขา  

 

 

จูจั้นถอยหลังหลายก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว ท่าทางระแวง  

 

 

“เฮ้ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าธารกำนัล เจ้าระวังหน่อยสิ” เขาเอ็ดเสียงเบา  

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่เบื้องหน้าเขา  

 

 

“ข้าไม่ระวังแล้วอย่างไร? ท่านไปฟ้องพ่อแม่ท่านที่นั่นสิ” นางกะพริบตาเอ่ยจริงจัง  

 

 

จูจั้นก้มมองจากข้างบน มองดูสตรีที่สูงไม่ถึงหัวไหล่ของตนเองแล้วกัดฟันดังกรอดๆ  

 

 

“คนแซ่จวิน” เขาเอ่ย “เจ้ากล้าก็อย่าพึ่งพ่อแม่ข้า”  

 

 

คุณหนูจวินเชิดสายตามองเขา  

 

 

“ข้าไม่กล้านี่” นางเอ่ยจริงจัง  

ได้ยินว่านายหญิงอวี้มาแล้ว จูจั้นวางเท้าก็วิ่ง  

 

 

ส่วนคุณหนูจวินอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานข้ามต้มร้อนอีกหนึ่งถ้วย คนทั้งร่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก และคาดว่าครอบครัวสามคนพบหน้ากันอีกครั้งน่าจะพูดจากันได้พอประมาณแล้ว ตอนนี้ถึงลุกขึ้นมายังที่พักของเฉิงกั๋วกง  

 

 

เพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของนายหญิงอวี้  

 

 

“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าไปพบชิงเหอปั๋วไม่ได้คิดจะขายเจ้าไปเป็นลูกเขยของผู้อื่นเสียหน่อย” นางเอ่ย “อีกอย่าง ราคาตัวเจ้าสู้ค่าสินสอดที่ผู้อื่นต้องการไม่ได้หรอกนะ”  

 

 

“ดังนั้นสิบหมื่นตำลึงแม่ก็ขายข้าเสียแล้ว” เสียงไม่พอใจของจูจั้นดังขึ้นตาม “แม่คิดจะเอาเปรียบจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นเอาเปรียบง่ายปานนั้นที่ไหน”  

 

 

“พูดจาอะไร? ไม่มีมารยาท!” เสียงของนายหญิงอวี้เอ็ดทันที พร้อมกันนั้นเสียงร้องเจ็บปวดของจูจั้นก็ดังขึ้น  

 

 

“มีอะไรเจ้าก็พูดจาดีๆ อย่าตีเด็ก” เสียงอ่อนโยนของเฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น  

 

 

“เขาโตเท่าไรแล้วยังเด็กอีก” นายหญิงอวี้เอ่ย “ท่านอย่าทำเขาเสียนิสัยอยู่เรื่อยสิ”  

 

 

นี่เป็นมารดาเข้มงวดบิดาใจดีอย่างแท้จริง  

 

 

คุณหนูจวินที่ยืนอยู่หน้าประตูสีหน้าพิกลอยู่บ้าง บรรดาทหารคนสนิทที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็สีหน้าคล้ายเห็นจนคุ้นชินแล้ว ยังพยักหน้าให้คุณหนูจวินอีกด้วย  

 

 

พวกเขาไม่ได้แจ้งแล้วก็ไม่ได้ขัดขวาง ปฏิบัติต่อคุณหนูจวินเฉกเช่นเดียวกับจูจั้นอย่างสิ้นเชิง  

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ปฏิบัติกับนางอย่างคนนอก นางกลับไม่อาจไม่ทำตัวเป็นคนนอกจริงๆ ได้  

 

 

คุณหนูจวินหยุดยืนอยู่ตรงประตู หลังส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์แจ้งข้างในถึงเดินเข้าไป  

 

 

“คุณหนูจวิน”  

 

 

นายหญิงอวี้เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ไม่พูดสักประโยคก็ก้าวเข้าไปคำนับทันที  

 

 

คุณหนูจวินรีบยื่นมือประคอง  

 

 

มองเห็นนางใช้มือข้างเดียวประคองอย่างแสร้งประคอง ร่างกายแทบไม่ค้อมลง จูจั้นก็เลิกคิ้ว  

 

 

ท่วงท่านี่สูงส่งพอสมควรนะ เป็นความเกรงใจที่คนฐานะสูงกว่าปฏิบัติต่อคนฐานะต่ำกว่าอย่างสิ้นเชิง  

 

 

นางหญิงอวี้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ นางจับมือคุณหนูจวิน มีถ้อยคำมากมายอยากเอื้อนเอ่ย ตัวอย่างเช่นถามว่าทำไมนางไม่บอกสักคำก็ตัดสินใจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตัวอย่างเช่นตำหนินางว่าทำไมทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ไปได้ ตัวอย่างเช่นขอบคุณพันหมื่นหนที่นางช่วยท่านกั๋วกงไว้ ท้ายที่สุดรอยยิ้มของสตรีผู้นี้ก็กลายเป็นประโยคหนึ่ง  

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านช่างเป็นแม่นางที่ดีคนหนึ่งจริงๆ” นางตบบนมือคุณหนูจวินเบาๆ เอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนแล้ว”  

 

 

“นายหญิงอวี้ไม่ต้องเกรงใจปานนี้” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย พลิกมือตบบนมือของนางเบาๆ “จ่ายเงินก็ได้”  

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่า  

 

 

“โถ่ คุณหนูจวิน” นางถอนหายใจอีกหน “เรื่องที่ท่านทำเงินเท่าไรถึงตอบแทนได้เล่า”  

 

 

พูดจบก็มองจูจั้นทีหนึ่ง  

 

 

คุณหนูจวินมองตามสายตานางไปโดยไม่รู้ตัว  

 

 

จูจั้นที่กำลังเบะปากอยู่ด้านข้างขนลุกตั้งทันที  

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย แม่ ท่านพูดเช่นนี้ไม่ได้” เขารีบเอ่ย “นี่ท่านกำลังจะหนีหนี้นะ”  

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขา  

 

 

“ข้าหนีหนี้อะไร” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นยิ้ม  

 

 

“แม่ ท่านยังไม่รู้จักคุณหนูจวิน คุณหนูจวินเป็นคนทำการค้าขายคนหนึ่ง ที่เมืองหลวงรู้จักแต่เงินไม่รู้จักน้ำใจ” เขาเอ่ย “ท่านชมนางเช่นนี้ ไม่พูดเรื่องจ่ายเงิน ไม่มีความจริงใจเกินไปแล้ว”  

 

 

“เหลว…” นายหญิงอวี้เอ่ยปาก  

 

 

คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก เฉิงกั๋วกงที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่งพลางยื่นมือทำท่าเชิญ  

 

 

“คุณหนูจวินเชิญนั่งลงคุยกัน” เขาเอ่ยขัดคำพูดของนายหญิงอวี้  

 

 

นายหญิงอวี้พลันเก็บคำพูดไป ยิ้มพลางจูงนางนั่งลง  

 

 

คุณหนูจวินทำตามคำบอก  

 

 

“เรื่องที่คุณหนูจวินทำไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “น้ำใจส่วนน้ำใจ การค้าส่วนการค้า ที่ควรขอบคุณก็ขอบคุณ เงินที่ควรจ่ายก็ต้องให้”  

 

 

นางมองไปทางเฉิงกั๋วกง  

 

 

“อวี้หลาง จ่ายสิบหมื่นตำลึงก่อนเถอะ”  

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เขามองคุณหนูจวิน “วันนี้คุณหนูจวินจะได้รับ”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

จูจั้นผ่อนลมหายใจแล้วก็อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง  

 

 

“แม่ แม่ ควรพูดถึงเงินที่ช่วยพ่อได้แล้ว” เขาเอ่ยเร่ง  

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“ทำไมพูดมากแบบนี้” นางตำหนิเสียงเบา “ไปด้านข้างไป”  

 

 

จูจั้นหน้าแดงเล็กน้อยมองไปทางคุณหนูจวิน เห็นคุณหนูจวินยิ้มมองเขาอยู่จริงๆ  

 

 

“แม่” เขาร้องเรียกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ยังคงย้ายไปอยู่ข้างกายเฉิงกั๋วกงแล้ว  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มให้คุณหนูจวิน  

 

 

“เอ้อร์…” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างกระแอมหนักๆ ทีหนึ่ง  

 

 

“กระแอมอะไร” นายหญิงอวี้เอ่ยทันที “คุณหนูจวินรู้ว่าเจ้าชื่อเอ้อร์เสี่ยวตั้งนานแล้ว ชื่อนี้มันทำไม? ขายหน้าคนตรงไหน? คนไม่ทำตัวขายหน้าก็ใช้ได้แล้ว คิดเล็กคิดน้อยเรื่องชื่ออะไร ยิ่งโตยิ่งจู้จี้”  

 

 

จูจั้นยกมือขึ้นกุมหน้าผากปิดหน้าไว้  

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะพยักหน้าให้คุณหนูจวิน สีหน้าไม่ได้มีความจนปัญญาหรือกระวนกระวายสักนิด ตรงไปตรงมาและอ่อนโยน  

 

 

เหมือนพระบิดาจริงๆ มิน่าพระบิดาถึงคุยถูกคอกับเขา  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพลางพยักหน้าให้เฉิงกั๋วกงเช่นกัน  

 

 

“คุณหนูจวิน ขายหน้าท่านแล้ว” นายหญิงอวี้หันหน้ามาเอ่ยกับคุณหนูจวิน “ท่านกับจั้นเอ๋อร์ก็รู้จักกัน เขาเป็นคนอย่างไรคิดว่าท่านก็คงรู้ อะไรก็ดีทั้งสิ้น แต่วาจามากนักก็ไม่รู้เลียนแบบใครมา”  

 

 

คงไม่ใช่เลียนแบบเฉิงกั๋วกงหรอก คุณหนูจวินเม้มปานยิ้มอีกหน  

 

 

“ก็ไม่แย่เท่าไร” นางว่า  

 

 

สิ้นเสียงก็เห็นจูจั้นถลึงตาใส่นาง  

 

 

อะไรเรียกไม่แย่เท่าไร? นางเป็นใครกันฮึ คุ้นเคยกับเขากนักหรือ? เสแสร้งทำคุ้นเคยมากเช่นนี้คิดจะทำอะไร?  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มไม่ได้สนใจเขา  

 

 

“เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่พูดแล้ว ทุกคนคุ้นเคยกันเช่นนี้ก็ตรงไปตรงมาสักหน่อย” นายหญิงอวี้เอ่ย “ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินไปอี้โจว เสียเงินทองมหาศาล ชีวิตคนที่ช่วยกลับมาต่อให้ภูเขาเงินภูเขาทองก็นับประมาณมิได้ แต่ในเมื่อมีเสียไปย่อมมีได้มา อย่างไรก็ต้องมีสักจำนวน เชิญคุณหนูจวินเรียกราคา”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็สามสิบหมื่นตำลึงแล้วกัน” นางเอ่ย “ที่สำคัญคือคนฝั่งนี้ของข้ามีคนบาดเจ็บล้มตาย ต้องรับประกันว่าครอบครัวของพวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดู แม้ข้าก็เลี้ยงดูได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ”  

 

 

นายหญิงอวี้ตกลงอย่างไม่ลังเล ดังเช่นที่นางว่า เรื่องมาถึงวันนี้เงินเป็นเพียงจำนวนตัวหนึ่งเท่านั้น นางย่อมไม่อาจเพียงจ่ายเงินแล้วจบได้  

 

 

“เงินเหล่านี้ข้าจะหามาให้คุณหนูจวินให้ได้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

จูจั้นอยู่ด้านข้างอดไม่อยู่เอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

“แม่เรื่องนี้พูดจบแล้ว พวกเราหารือเรื่องที่ครอบครัวเราจะเข้าเมืองหลวงต่อเถอะ” เขาเอ่ย  

 

 

ตรง “ครอบครัว” สองพยางค์นี้เน้นเสียงหนักแล้วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง  

 

 

นาง คนนอกคนนี้ควรเข้าใจ ควรหลบเลี่ยงแล้วกระมัง?  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าจริงจัง  

 

 

“ข้าไม่เห็นด้วยที่จะเข้าเมืองหลวงตอนนี้” นางเอ่ย “คลื่นลมถาโถม ยังไงอ้างว่ารักษาอาการบาดเจ็บหลบเลี่ยงสักหน่อยดีกว่า”  

 

 

จูจั้นมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง  

 

 

นางคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา  

 

 

“แม่ ข้ารู้สึกว่าก็เพราะคลื่นลมถาโถมถึงต้องกลับไป” เขาสีหน้าขึงขังเอ่ยขึ้น “ลาภเคราะห์แต่ไหนแต่ไรมาเคียงคู่กัน อาศัยคลื่นลมถาโถมพ่อก็เหยียบเมฆขึ้นไปอีกขั้นได้ มีปัญหาไม่แก้ไข อย่างไรมันก็ยังคงอยู่ หลบซ่อนรวมถึงหลีกเลี่ยงไม่มีประโยชน์ดันใด”  

 

 

เมื่อวานเขายังไม่ได้คิดแบบนี้เลยนี่ คืนเดียวก็เปลี่ยนใจแล้วหรือ? คุณหนูจวินยกถ้วยชามองเขาทีหนึ่ง บุรุษเปลี่ยนใจง่ายจริงๆ  

 

 

นายหญิงอวี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านพ่อลูกล้วนตัดสินใจจะไปเมืองหลวงรึ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นสีหน้าขึงขังพยักหน้า เฉิงกั๋วกงก็อมยิ้มพยักหน้า  

 

 

“ข้าอยากไปดูสักหน่อย” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มทีหนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราทั้งครอบครัวสามคนก็ไปให้หมด” นางเอ่ย “ไม่มีอะไรต้องหารือแล้ว”  

 

 

จูจั้นเผยรอยยิ้มออกมา  

 

 

พลันมีเสียงสตรีกระแอมเบาๆ ดังขึ้น   

 

 

“ท่านหญิงพูดผิดแล้ว”  

 

 

ผิดแล้ว?  

 

 

สายตาของทั้งสามคนล้วนมองมาทางคุณหนูจวิน  

 

 

คุณหนูจวินยกถ้วยชาขึ้นมา  

 

 

“ไม่ใช่ทั้งครอบครัวสามคน” นางเอ่ยแล้วยิ้มน้อยๆ “เป็นทั้งครอบครัวสี่คนสิ”  

 

 

ทั้งครอบครัวสี่คน?  

 

 

นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกงงุนงงวูบหนึ่งจากนั้นก็เข้าใจ จูจั้นโกรธจัดทันที  

 

 

รู้อยู่แล้วเชียวว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าง่ายปานนี้ สามสิบหมื่นตำลึงทำให้นางพอใจได้ที่ไหน จ้องจะงาบเขาจริงๆ ด้วย!  

 

 

“เจ้า…” เขาถลึงตากำลังจะตวาด  

 

 

“เจ้าหุบปาก”  

 

 

เสียงสตรีเสียงหนึ่งเสียงบุรุษเสียงหนึ่ง เสียงเข้มเสียงหนึ่งเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่ง เอ่ยคำพูดเช่นเดียวกัน  

 

 

เสียงจูจั้นชะงักหยุดทันที หน้าแดงมองนายหญิงอวี้แล้วก็มองเฉิงกั๋วกง  

 

 

“พ่อ แม่…” เขาเรียกอย่างน้อยใจ  

 

 

“ฟังคุณหนูจวินพูด” เฉิงกั๋วกงพยักหน้าอ่อนโยนให้เขาพลางเอ่ย  

 

 

“เจ้าอย่าสอดปาก” นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วอมยิ้มมองไปทางคุณหนูจวิน “คุณหนูจวินท่านพูดเถอะ”  

 

 

ฟังนางพูด ผู้หญิงคนนี้กระทั่งโจรยังพูดจนกลายเป็นชาวบ้านคนดีทหารแข็งแกร่งได้ จูจั้นถลึงตา ฟังนางพูด ถ้าอย่างนั้นก็จบสิ้นแล้ว  

คุณหนูจวินฉวยจังหวะยกชาบนโต๊ะขึ้นมา  

 

 

จานรองถ้วยชากระทบส่งเสียงใสกังวานทำลายบรรยากาศชะงักนิ่งในห้อง  

 

 

“หลังจากนั้นเล่า?” นางถามต่อ  

 

 

“ต่อมาพวกเราก็อาศัยอยู่ที่เขาจางชิงซานแห่งนี้ พี่ใหญ่บอกว่าทำสิ่งใดก็ต้องเหมือนสิ่งนั้น พวกเราเลยเริ่มล่าสัตว์ทำนา” หยางจิ่งเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินคิดถึงตาข่ายฟ้าตาข่ายดินพวกนั้นบนเขา คล้ายมองเห็นยามนั้นบุรุษคนนั้นเดินอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จดจ่อทั้งยังเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้างวางทางลับและอาวุธลับ  

 

 

“หลังจากนั้นผ่านไปอีกสองปี พี่ใหญ่ก็ตัดสินใจไปค้นหาหลักฐานกับพยาน บอกว่าไม่นานจะกลับมา ให้พวกเรารออยู่ที่นี่” เซี่ยหย่งเอ่ยต่อ  

 

 

พูดจบประโยคนี้ในห้องก็จมสู่ความเงียบอีกหน  

 

 

หลังจากนั้น คนผู้นี้ไปแล้วก็ไม่กลับมา ส่วนพวกเขาก็อยู่ที่เขาจางชิงซานรอหนหนึ่งก็สิบกว่าปี  

 

 

มิน่าอาจารย์หญิงถึงโกรธ อาจารย์จากไปแล้วข่าวสักนิดก็ไม่ส่งไม่ทิ้งไว้ให้เช่นนี้ ช่าง…  

 

 

คุณหนูจวินในใจถอนหายใจ วางถ้วยชาในมือลง  

 

 

“พวกเราก็เคยลองไปตามหาพี่ใหญ่ แต่ก็ไม่กล้าจากไปไกลนัก พวกเราเคยไปหาทางการค่ายทหาร แต่พวกเขาไม่เพียงไม่เชื่อ ได้ยินว่าพวกเราเป็นชาวจัวโจวก็บอกว่าพวกเราเป็นสายลับ จับพี่น้องคนหนึ่งของพวกเราไป” เซี่ยหย่งเอ่ย เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง “ให้พวกเราเอาเงินมาไถ่คน พวกเราชั่วขณะหาเงินไม่ได้ ผลสุดท้ายพี่น้องของเราจึงถูกทรมานในคุกทนพิษบาดแผลไม่ไหว…”  

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็เล่าต่อไปไม่ไหวหันหน้าหนี  

 

 

ฝ่าวงล้อมแน่นหนามีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ย่อมต้องเป็นคนที่กล้าหาญยิ่งร้ายกาจยิ่ง ผลสุดท้ายไม่ได้ตายในสนามรบ ตายในมือโจรจิน กลับตายในคุก ตายด้วยมือคนของตนเอง  

 

 

นี่มันช่าง…  

 

 

คุณหนูจวินเงยศีรษะขึ้นถอนหายใจ  

 

 

“พวกเราไปดื่มอีกสักจอก” นางยันมือลุกขึ้นยืน  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตอนคุณหนูจวินโงนเงนสะบัดแขนเสื้อกลับมาถึงที่พักของตนก็ดึกดื่นแล้ว  

 

 

“พี่สาว ท่านไปนอนเถอะ” จ้าวฮั่นชิงหาวอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ากลับมา  

 

 

“อย่าลืมใช้ยาทาหน้า” นางอมยิ้มเอ่ย  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานตอบจากนั้นเข้าไปในห้องด้านข้าง  

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ตรงทางเดินมองท้องฟ้ายามราตรีหนหนึ่ง พระจันทร์สว่าง ดวงดาวน้อยนิด ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิผู้คนสุขสันต์ นางอดไม่ได้ยื่นมือค้ำเสาทางเดินไว้ เอนศีรษะพิง  

 

 

เสาทางเดินยังเย็นสบายอยู่ แนบลงไปสบายยิ่งนัก  

 

 

“เฮ้”  

 

 

มีเสียงบุรุษติดจะหงุดหงิดอยู่บ้างลอยมาจากในห้อง  

 

 

คุณหนูจวินที่พิงเสาทางเดินอยู่หันกลับไปมอง เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู แสงโคมในห้องห่มบนร่างของเขาแสงสว่างกับความมืดผสานรวมกัน  

 

 

คุณหนูจวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เงยศีรษะมองรอบด้าน  

 

 

“ข้าไม่ได้เดินมาผิดที่กระมัง?” นางเอ่ยขึ้น หน้าผากพลันแปะกับเสาอีกครั้งแล้วแย้มยิ้ม “สามี ทำไมข้าวิ่งมาถึงที่ของท่านได้?”  

 

 

ดู ดูสภาพไม่เรียบร้อยนี่สิ!  

 

 

จูจั้นกัดฟัน  

 

 

“ถึงกับเป็นไอ้ขี้เมาคนหนึ่ง” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะคิกคัก  

 

 

“ไม่ใช่ ข้าไม่ดื่มเหล้าหรอก เหล้าดื่มแล้วเมาแล้ว คนที่ต้องการจับก็หนีไปแล้ว” นางเอ่ยขึ้น ยื่นมือคล้ายต้องการไปจับจูจั้นที่เดินเข้ามา  

 

 

จูจั้นกัดฟันกรอดๆ ครู่หนึ่งก็ยื่นมือมาจับหัวไหล่นางไว้ หิ้วเข้าห้อง  

 

 

“ข้าถามเจ้า ฝั่งนั้นของเจ้ายังมีข่าวอย่างอื่นของเมืองหลวงอะไรไหม?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“เมืองหลวงยังมีข่าวอะไรได้อีก นอกเสียจากปกป้องกั๋วกงหรือทำร้ายกั๋วกง” คุณหนูจวินยิ้มพูดขึ้น “กลัวเขาทำไม แค่ไปก็พอแล้ว”  

 

 

จูจั้นยิ้มหยัน  

 

 

“เจ้าก็พูดง่ายสิ พ่อข้าอาจไปตายก็ได้” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือคว้าแขนเขาไว้  

 

 

“พ่อข้าตายแล้ว” นางเอ่ย “นั่นแล้วอย่างไร? ข้าก็ควรกลัวไม่ไปหรือ?”  

 

 

พ่อนาง…  

 

 

จูจั้นขมวดคิ้วมองดูสตรีที่แนบชิด เห็นความโกรธแค้นเศร้าโศกในดวงตาของนางชัดเจนยิ่งนัก  

 

 

“…คนมากมายล้วนตายไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ จับแขนของจูจั้นไว้ “พวกเรากลัวอะไร? หลบอะไร! ต้องไปสิ!”  

 

 

นางยื่นมือชี้เมืองหลวงอีกครั้ง  

 

 

“ไปเมืองหลวง”  

 

 

“ไปโวยวาย!”  

 

 

“ไปให้พวกเขารู้ว่าอะไรเรียกยุติธรรม!”  

 

 

“ไปให้พวกเขาหวาดกลัว!”  

 

 

“ไปให้พวกเขาไม่ได้มีชีวิตสบาย!”  

 

 

จูจั้นถูกนางดึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หงุดหงิดอยู่บ้างสะบัดมือของคุณหนูจวินออก  

 

 

ดู ดูสภาพเสียสตินี่!  

 

 

“ทำไมข้าต้องคุยกับไอ้ขี้เมาคนนี้อย่างเจ้าด้วย” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ยกเท้าเดินไปทางด้านนอก  

 

 

คุณหนูจวินคว้าแขนของเขาเอาไว้ ถูกเขาพาไปด้านหน้าพลันสะดุดล้ม  

 

 

จูจั้นเดิมทีจะสะบัดออกไม่สนใจ แต่ก็ยังยื่นมือไปรั้งไว้ ไม่ให้นางล้มลงกับพื้น  

 

 

คุณหนูจวินจับแขนของเขาไว้ ยืนตรงมองดูเขา  

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ยจริงจัง “หลบไม่ได้ กลัวไม่ได้ ถอยไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด สวรรค์มีความยุติธรรม”  

 

 

จูจั้นมองนาง ดวงตาของนางเวลานี้กระจ่างใส บนใบหน้ายิ่งไม่มีความเมามายสักนิด  

 

 

แน่นอนไม่มีทาง…  

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่ากลัวหรือจะหลบ” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

สิ้นเสียง คุณหนูจวินก็หัวเราะฮ่าฮ่า ตบหัวไหล่เขา  

 

 

“ไม่ผิด กลัวอะไร” นางยื่นมือชี้ฟ้า “สวรรค์มีความยุติธรรม ไม่ให้ ข้าก็จะไปคว้า พวกเราไปเอา ไปแย่งมันมา!”  

 

 

จูจั้นหน้าดำ  

 

 

“เจ้าขี้เมานี่” เขาโมโหเอ่ยขึ้น แงะมือคุณหนูจวินออกจากร่าง แขนยาวๆ ผลักนางออก “ไป ไป ไป”  

 

 

คุณหนูจวินล้มไปข้างหลัง ยังดีด้านหลังมีโต๊ะขวางอยู่  

 

 

จูจั้นสีหน้ารังเกียจรีบเดินไปทางด้านนอก เดินไปถึงประตูก็หยุดเท้าอีกครั้ง มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นสาวใช้หญิงรับใช้สักคน  

 

 

“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ กระทั่งคนรับใช้ก็ไม่เอา” จูจั้นหงุดหงิดพึมพำทีหนึ่ง หันกลับไปมอง เห็นคุณหนูจวินนั่งลงบนโต๊ะแล้วยังนั่งขัดสมาธิ มือยันใต้คางมองเขา  

 

 

เห็นเขามองมาก็ยิ้มทีหนึ่ง  

 

 

ดูสิดู ดูสิดูสภาพไม่เรียบร้อยนี่ ผู้คนที่ยกย่องนางเป็นหมอเทวดาเป็นเทพพวกนั้น รู้สภาพที่แท้จริงนี่ของนางไหม? เห็นเข้าคงตกใจ  

 

 

จูจั้นหันศีรษะไปเห็นห้องด้านข้างโคมยังสว่างอยู่ รู้ว่าที่นี่เด็กสาวที่เรียกตนเองว่าเป็นน้องสาวคนนั้นพักอยู่ เขาจึงก้าวไปเคาะประตู  

 

 

“เฮ้เฮ้เฮ้” เขาตะโกนไปพลาง นี่เป็นการเตือนอีกฝ่ายว่าตนเป็นบุรุษ  

 

 

ด้านในประตูไม่มีความตระหนกลนลาน ยิ่งไม่มีคำถาม นาทีต่อมาประตูก็ดึงพรึบเปิดออก  

 

 

คนทั้งหน้าดำปี๋เหลือเพียงดวงตาสุกใสสองข้างคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า  

 

 

“เฮ้ย” จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยงหลุดปากตะโกน  

 

 

“ทำอะไร?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นจ้องหน้าของนาง หลังเสียกิริยาชั่วขณะก็ฟื้นกลับมาปกติ ประหนึ่งหน้าของจ้าวฮั่นชิงไม่มีสิ่งใดผิดแปลกสักนิด เขายื่นมือชี้ห้องของคุณหนูจวิน  

 

 

“ยัยนั่นดื่มเมาแล้ว เจ้าไปดูแลหน่อยสิ” เขาเอ่ย  

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็มองเขาบ้าง  

 

 

“ข้ายุ่งอยู่นะ” นางเอ่ย “เจ้าไม่ใช่ไม่มีธุระรึ? เจ้าไปสิ”  

 

 

พูดจบก็ปิดประตู  

 

 

คุณพระ! ในใจจูจั้นตะโกนอีกครั้ง นี่ล้วนเป็นคนยังไงกันฮะ?  

 

 

ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ให้เขาบุรุษคนหนึ่งไปดูแลสตรีที่ดื่มจนเมาคนหนึ่ง? เด็กสาวคนนี้ซื่อบื้อหรือไม่?  

 

 

ไม่ ไม่ใช่ซื่อบื้อ ไม่ปกติ  

 

 

ทำไมคนที่ติดตามนางล้วนไม่ปกตินะ?  

 

 

จูจั้นถลึงตามองประตูครู่หนึ่ง จะสะบัดมือจากไป แต่ก็ยังชิงชังหมุนกลับไป  

 

 

“ถือว่าใช้หนี้แทนพ่อข้าแล้วกัน” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง  

 

 

……………………………………….  

 

 

แสงสว่างส่องบนใบหน้า คุณหนูจวินยกมือขึ้นบังดวงตา พร้อมกันนั้นก็พลิกกายทีหนึ่ง พลันรู้สึกว่าปากแห้งลิ้นร้อน หลับตาคลำไปที่หัวเตียงโดยไม่รู้สึกตัว  

 

 

คลำไม่พบถ้วยชา แต่มีน้ำหยดพรมบนใบหน้า  

 

 

เย็นช่ำ ฝนตกแล้วหรือ?  

 

 

ไม่น่าใช่ นางค้างแรมข้างนอกล้วนดูอากาศล่วงหน้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยเสมอ ถูกฝนสาดเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่หลังนางอายุสิบสามก็ไม่เคยพบอีก  

 

 

คุณหนูจวินพลันลืมตาขึ้น เห็นหน้าเตียงจูจั้นก้มมองนาง  

 

 

มือข้างหนึ่งของเขาถือถ้วยชา มือข้างหนึ่งกำลังแตะอยู่ข้างใน เห็นนางมองมา นิ้วของเขาก็ดีดอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินยกมือขึ้นกัน หยดน้ำร่วงลงบนหลังมือ  

 

 

“ทำอะไร?” นางเอ่ย เสียงติดจะแหบพร่าจากอาการเมาค้าง  

 

 

หลังจากนั้นนางก็คิดขึ้นได้ว่าเกิดเรื่องอะไร อายเล็กน้อยยื่นมือกุมหน้าผาก แล้วเงยศีรษะมองจูจั้น  

 

 

“เรียกพวกสาวใช้หญิงรับใช้มาก็ได้แล้ว” นางคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยบอก  

 

 

จูจั้นยิ้มหยัน  

 

 

“สภาพนี้ของเจ้าซ่อนไว้เป็นดี เจ้ายังได้ชื่อว่าภรรรยาของท่านชายอยู่นะ หลังเมามายพ่นวาจาผิดจารีตอะไรออกมาจะพัวพันถึงตระกูลของพวกเรา” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า  

 

 

นางย่อมเข้าใจความกังวลของจูจั้น ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างที่เขาว่า แต่เห็นที่นี่ของนางปกติไม่ให้สาวใช้บ่าวหญิงคอยรับใช้ เขาคงคิดว่ามีเจตนาลึกซึ้งอะไร  

 

 

ที่จริงก็แค่ให้สะดวกกับฮั่นชิงเท่านั้น อย่างไรสาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายเหล่านี้เห็นสภาพของฮั่นชิงเข้าก็ยากเลี่ยงซุบซิบนินทา  

 

 

เขาถึงกับใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยนี่ แล้วยังเฝ้าดูด้วยตนเองคืนหนึ่ง  

 

 

รอยยิ้มบนหน้าของคุณหนูจวินเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง  

 

 

“ขอบคุณท่าน” นางเอ่ย “เป็นเด็กดีคนหนึ่งจริงๆ”  

 

 

ประโยคแรกยังนับว่าปกติ ประโยคที่สองก็ไม่ปกติทันที เรียกใครว่าเด็กกันเล่า  

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง กำลังจะพูดอะไรก็มีนายทหารยื่นศีรษะมาจากนอกประตูเรือน  

 

 

“ท่านชาย ท่านหญิง ท่านกั๋วกงให้มาบอกว่าท่านหญิงเฉิงกั๋วมาถึงแล้วขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง  

กองทหารชิงซานเป็นทหาร ประโยคนี้คุณหนูจวินไม่แปลกหู  

 

 

ครั้งแรกท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดยามถูกลักพาตัวมากะทันหัน ประโยคแรกที่พวกเขาแนะนำตนเองก็คือพวกเราเป็นทหาร  

 

 

ทหารแบบไหนตกต่ำจนกระทั่งโจรยังสู้ไม่ได้?  

 

 

ทหารแบบไหนครอบครองอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจมากปานนี้กลับถูกทิ้งไว้ไม่ใช่?  

 

 

คุณหนูจวินนั่งตัวตรง มองหยางจิ่งอย่างตั้งใจ  

 

 

“พวกเราเดิมทีเป็นชาวจัวโจวซินเฉิง” เซี่ยหย่งเอ่ย  

 

 

จัวโจว?  

 

 

นั่นไม่ใช่ดินแดนของชาวจินหรือ?  

 

 

คุณหนูจวินตกตะลึงมองเขา  

 

 

ที่แท้อาจารย์เป็นชาวจัวโจว?  

 

 

“ไม่ ตอนนั้นจัวโจวยังไม่ใช่ดินแดนของชาวจิน” หยางจิ่งเอ่ย สีหน้าย้อนรำลึกอยู่บ้าง “เวลานั้น จัวโจวเป็นของต้าฉี”  

 

 

“นอกจากนี้เขาก็ไม่ใช่คนจัวโจว” เซี่ยหย่งลังเลครู่หนึ่งเอ่ยเสริมอีกประโยค  

 

 

เขาที่ว่าย่อมเป็นอาจารย์ จ้าวจื้ออี้  

 

 

คุณหนูจวินกำพนักแขนแน่น  

 

 

“เขา…” เซี่ยหย่งคล้ายอยากพูดก็หยุดอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะ “ที่จริงพวกเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่ไหน”  

 

 

ไม่รู้? คุณหนูจวินมองเขาอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

“เขาบอกว่าเขาเป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง บ้านอยู่ไกลมากและไม่มีแล้ว” หยางจิ่งเอ่ยต่อ “พลัดหลงมาถึงในหมู่บ้านของพวกเราจึงอยู่เสีย”  

 

 

ถึงกับเป็นเช่นนี้หรือ…  

 

 

ดังนั้นคงไม่มีวันได้รู้ว่าอาจารย์เป็นคนที่ไหน  

 

 

ไม่แปลกที่หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งเคยบอกว่าพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจ้าวจื้ออี้ชื่อนี้เป็นชื่อจริงของอาจารย์หรือไม่  

 

 

คุณหนูจวินก้มศีรษะเงียบงัน  

 

 

“เวลานั้นชาวจินกำลังรบกับต้าฉี ต้าโจวก็ฉวยโอกาสแย่งแผ่นดินที่เสียไปและถูกต้าฉียึดครองคืนมา ทุกหนทุกแห่งล้วนทำสงคราม ชีวิตของพวกเราลำบากขึ้นทุกที เขาบอกว่าอยากใช้ชีวิตสบายก็ต้องมีทหารมีอำนาจ ดังนั้นจึงนำพวกเราเริ่มฝึกทหาร พวกเรารับผู้อพยพชาวบ้านใกล้เคียงมามากมาย” หยางจิ่งเล่า “เขาสอนให้พวกเราทำสิ่งต่างๆ มากมายเป็น กองกำลังของพวกเรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกที โจรใกล้ๆ ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ทั้งซินเฉิงพวกเราว่าหนึ่งเป็นหนึ่งว่าสองเป็นสอง”  

 

 

คล้ายย้อนรำลึกถึงความรุ่งเรืองครั้งนั้น หยางจิ่งที่พูดน้อยยิ้มยากมาตลอดบนหน้าก็ผุดรอยยิ้มขึ้น  

 

 

“ตอนนั้นพวกเราล้วนคิดว่า นี่ก็คือชีวิตที่ดี แต่เขาบอกว่านี่ยังไม่พอ” เขาเล่าต่อ “บอกว่าต้าฉีรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราเดิมก็ไม่ใช่คนต้าฉี พวกเราล้วนเป็นชาวฮั่น จะช่วยเหลือใครก็ย่อมเป็นต้าโจว”  

 

 

คนในสิบหกเมืองที่เยี่ยนอวิ๋นนี่ล้วนเป็นชาวฮั่น ถูกต้าฉียึดครองนานปี ประชาชนชาวฮั่นเหล่านี้ถูกรังแกข่มเหงอย่างหนัก คนนับไม่ถ้วนวาดหวังว่าจะได้กลับมาร่วมชาติกับชาวฮั่น  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า  

 

 

“ช่วยต้าโจวทำลายต้าจิน เอาสิบหกเมืองของเยี่ยนอวิ๋นกลับมา นี่ถึงสร้างความดีความชอบ สร้างผลงานใหญ่อย่างแท้จริง นี่ถึงมีชีวิตที่ดีจริงๆ ได้” หยางจิ่งเอ่ย  

 

 

ทำลายต้าจิน เอาสิบหกเมืองที่เยี่ยนอวิ๋นคืนมา อาจารย์ถึงกับมีปณิธานเช่นนี้  

 

 

หรือพูดได้ว่าคนที่ดูไปแล้วนิ่งดูดายไม่สนเรื่องทุกสิ่งในใต้หล้าคนนั้น ถึงกับเคยมีช่วงเวลาที่เร่าร้อนเช่นนี้เหมือนกัน  

 

 

เป็นสิ่งใดดับความเร่าร้อนของเขา? เพียงแค่วันเวลาหรือ?  

 

 

คุณหนูจวินเศร้าสร้อยอยู่บ้าง ยิ่งกระตือรือร้นอยากฟังต่อไป  

 

 

“ดังนั้นพวกท่านจึงสมัครเข้าเป็นทหาร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

เซี่ยหย่งส่ายศีรษะ  

 

 

“ที่จริงก็ไม่นับว่าสมัครเป็นทหาร” เขาเอ่ย “พี่ใหญ่เขาติดต่อแม่ทัพต้าโจว แสดงเจตนาว่าพวกเรายินดีช่วยเหลือ”  

 

 

“ดังนั้นพวกท่านคือกองทหารอาสา” คุณหนูจวินเอ่ยทันที “ข้ารู้จักสิ่งนี้”  

 

 

ตอนนั้นนางเคยได้ฟังพระบิดาเล่า ในประวัติการรบกับชาวจิน นอกจากแม่ทัพทั้งหลายของต้าโจวรบดุเดือดเลือดอาบ ยังมีกองทหารอาสามากมายช่วยเหลือด้วย  

 

 

ยังเคยยกตัวอย่างชื่อแม่ทัพของกองทหารอาสามากมาย คนมากมายล้วนได้รับรางวัลแต่งตั้งยศ  

 

 

แต่ในนี้ไม่มีจ้าวจื้ออี้ ยิ่งไม่มีกองทหารชิงซานชื่อนี้  

 

 

“พี่ใหญ่กลับมาบอกพวกเราว่าพวกเราจะยังไม่เข้าทัพโจวชั่วคราว เพราะตัวตนตอนนี้ของพวกเราเหมาะจะเคลื่อนไหวที่ต้าจินฝั่งนี้มากกว่า” หยางจิ่งเอ่ย “แต่แม่ทัพนั่นสัญญาแล้วว่าจะรับพวกเราเป็นทหารโจว พี่ใหญ่กระทั่งชื่อก็แจ้งไปแล้ว แล้วยังทำธงผืนหนึ่งด้วย”  

 

 

ธงผืนหนึ่ง  

 

 

คุณหนูจวินมองไปนอกประตู ในเรือนค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิโคมไฟส่องสว่าง โต๊ะหลายตัวผู้ชายผู้หญิงทั้งหลายล้วนยังคงกินดื่มคุยเล่นกันอยู่ กำแพงหลังร่างพวกเขา ธงใหญ่ผืนหนึ่งตั้งอยู่  

 

 

กองทหารชิงซาน  

 

 

“ต่อมาพวกเราก็เดินทางตามคำสั่งไปสถานที่มากมาย จากจัวโจวไปถึงอี้โจวมาถึงไหลหยวน” หยางจิ่งเอ่ย  

 

 

“พวกเราเดินทางไปพลางก็รับผู้อพยพมาเป็นทหารใหม่ไปพลาง กองกำลังก็ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ” เซี่ยหย่งเอ่ย สีหน้าก็ภาคภูมิใจอยู่บ้าง  

 

 

“น่าเสียดายแต่เพื่อไม่เปิดเผยตัวตน พวกเราจึงไม่เคยได้ใช้ธงของกองทหารชิงซาน” เซี่ยหย่งเอ่ย “พวกเราส่งข่าวให้ทหารโจวตลอด รับคำสั่งช่วยเหลือซุ่มโจมตี พวกเราทำงานมากมายนัก”  

 

 

“พวกท่านต้องทำงานมากมายแน่” คุณหนูจวินเอ่ยท่าทางเลื่อมใส “อาจารย์กับพวกท่านล้วนร้ายกาจปานนั้น”  

 

 

เซี่ยหย่งยิ้มแล้ว  

 

 

“ที่จริงตอนนี้สิ่งของมากมายที่ใช้อยู่ตอนนี้ ตอนนั้นพวกเราก็ไม่มี ข้าวของมากมายทำออกมาต้องการเงินมาก” เขาเอ่ย “ตอนนั้นพวกเราไม่มีเกียรติเท่าตอนนี้ หากไม่ใช่ต่อมาพบองค์หญิงเข้า…”  

 

 

คำพูดของเขามาถึงตรงนี้ก็พลันชะงัก หยางจิ่งที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมหนักๆ ทีหนึ่ง  

 

 

คุณหนูจวินก็ตะลึงวูบหนึ่งด้วย  

 

 

ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเขาใส่ พวกเขาใช้ตอนนี้ อาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจเป็นเงินกองพะเนินนับไม่ถ้วน เงินเหล่านี้แม้ไม่เคยนับจำนวนแน่ชัด แต่ประมาณคร่าวๆ อย่างน้อยก็ต้องผลาญทรัพย์สมบัติตระกูลของตระกูลฟางครึ่งหนึ่ง  

 

 

ส่วนนางก็เป็นองค์หญิงจริงๆ  

 

 

แต่พวกเขารู้ว่าตนเองเป็นเจ้าหญิงได้อย่างไร… ไม่ ไม่ถูก ที่พวกเขาพูดไม่ใช่ตน เป็นองค์หญิงอีกพระองค์หนึ่ง  

 

 

ไหลหยวน ต้าฉี เซียว…  

 

 

‘แซ่นี้ดีหรือ?’  

 

 

ในหูนางพลันมีเสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น นึกถึงการคาดเดาในอดีตของตนเองอีกครั้ง  

 

 

เซียว แดนเหนือตระกูลใหญ่แห่งใดแซ่เซียว? เจ้าแห่งแคว้นฉี แซ่เซียว  

 

 

องค์หญิงเซียว  

 

 

เป็นเช่นนี้จริงๆ  

 

 

คุณหนูจวินมองหยางจิ่งกับเซี่ยหย่ง สีหน้าของพวกเขาไม่สบายใจอยู่บ้าง แล้วยังมองสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง คล้ายกังวลว่านางจะสังเกตหรือไม่  

 

 

ต้าฉีกับต้าโจวไม่ได้กลมเกลียวอย่างไรนัก หากให้ชาวโจวรู้ว่าองค์หญิงผู้สิ้นชาติของต้าฉีอยู่ในเขตของต้าโจว ต้องจับเอาไว้แน่  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นต่อมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเล่า?” คุณหนูจวินคล้ายไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่อดทนรอไม่ไหวเอ่ยถาม “พวกท่านไร้ชื่อไร้นามได้อย่างไร แล้วทำไมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เขาจางชิงซาน แล้วอาจารย์ทำไมจากไปเพียงลำพังไม่กลับไปสิบกว่าปี?”  

 

 

ที่นางสนใจที่สุดตลอดมาก็คืออาจารย์ของนางนี่นะ ก็ดี ก็ดี หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนลอบโล่งอกกับตนเอง แล้วถอนหายใจต่อหน้าอีกที  

 

 

“ต่อมาพวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เซี่ยหย่งเอ่ย “ครั้งนั้นพวกเรารับภารกิจใหญ่อันหนึ่ง ต้องการให้พวกเราไปขวางและโจมตีทัพใหญ่ของชาวจิน บอกว่าทัพหน้ามีเพียงห้าพันคน ผลสุดท้ายพวกเราไปแล้วพบว่าไม่ใช่ทัพหน้าสักนิด แต่เป็นกำลังหลักของทัพใหญ่ กำลังพลเกือบสิบหมื่น”  

 

 

สิบหมื่น  

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้กำมือแน่น  

 

 

“ด้วยการนำของพี่ใหญ่ ท้ายที่สุดพวกเราก็ฝ่าออกจากวงล้อมแน่นหนาได้ แต่กลับเปิดเผยร่องรอย เพื่อสลัดการไล่ล่าสังหารของทหารจิน พวกเราสิ้นเปลืองแรงอ้อมวกลดเลี้ยวสองปีกว่าถึงพาคนที่โชคดีเหลือรอดพาครอบครัวภรรยากับลูกออกจากเขตจินได้” หยางจิ่งเอ่ย แม้ผ่านไปสิบกว่าปี คิดถึงความโหดร้ายตอนนั้นก็ยังอดไม่ได้ทั้งร่างแข็งทื่อ  

 

 

มือของคุณหนูจวินกำพนักแขนแน่น  

 

 

คนที่โชคดีเหลือรอด  

 

 

ก่อนหน้านี้บอกว่ากำลังพลของพวกเขายิ่งมากขึ้นทุกที บอกว่าพวกเขารับผู้อพยพตามทางเสริมกำลังพล บอกว่าพวกเขาพบกับองค์หญิงแห่งแคว้นเซียว หลังจากนั้นถึงมีเงิน จึงสร้างอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจนานาชนิดออกมาได้  

 

 

มีอาจารย์ที่ร้ายกาจเป็นผู้นำ มีทรัพย์ของแคว้นฉีที่องค์หญิงเซียวครอบครองเป็นที่พึ่ง มีกำลังคนจำนวนมาก มีอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจ  

 

 

แต่ท้ายที่สุดคนที่โชคดีเหลือรอดก็คือชาวเขาไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเหล่านี้ในเขาจางชิงซาน  

 

 

ศึกนั้นการหลบหนีเอาชีวิตรอดช่วงนั้นจินตนาการได้เลยว่าคนตายไปเท่าไร จินตนาการได้ว่ายากลำบากไม่ง่ายมากปานใด  

 

 

“ต่อมาเล่า?” คุณหนูจวินรีบร้อนเอ่ยถาม  

 

 

“ต่อมาพี่ใหญ่จะไปตามหาแม่ทัพที่รับผิดชอบติดต่อ ประการแรกถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข่าวถึงผิดพลาดใหญ่ปานนี้” เซี่ยหย่งเอ่ย “แล้วถือโอกาสที่กลับมาแล้วจะให้พวกเรากองทหารชิงซานเข้าสังกัดอย่างเป็นทางการ สรุปความดีความชอบมอบรางวัล”  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ  

 

 

“นี่เป็นเรื่องสมควร” นางเอ่ย  

 

 

เซี่ยหย่งยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้กลับคล้ายจะร้องไห้อยู่บ้าง  

 

 

“แม่ทัพคนนั้นตายแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

ตายแล้ว…  

 

 

คุณหนูจวินตะลึง  

 

 

“แม่ทัพคนนั้นชื่ออะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“ชื่อเจี่ยงเจ๋อ” หยางจิ่งเอ่ย  

 

 

เจี่ยงเจ๋อ นางรู้จักคนผู้นี้ นี่เป็นแม่ทัพมีชื่อตอนนั้น น่าเสียดายที่ศึกใหญ่เมืองต้าหมิงป่วยกะทันหันตายไป หลังจากนั้นถึงมีแม่ทัพอย่างโจวเจียงรับช่วงต่อแสดงความสามารถสร้างชื่อ  

 

 

“เขาตายแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกท่านทำหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

เซี่ยหย่งส่ายศีรษะ  

 

 

“พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนทั้งหมดล้วนไม่รู้จักพวกเรากองทหารชิงซาน” เขาเอ่ย “แต่นับเวลาดู ชัยชนะครั้งใหญ่เมืองต้าหมิงที่พวกเขาพูดก็คือสิ่งที่ได้มาจากการที่พวกเราขวางกำลังหลักของกองทัพจินไว้ นี่ก็คือความดีความชอบของพวกเรา พวกเขาทำไมจะไม่รู้?”  

 

 

“หลังจากนั้น ชาวจินลอบโจมตี เมืองหลวงถูกล้อม ฮ่องเต้ถูกจับตัว” เซี่ยหย่งเอ่ย “แดนเหนือทั้งหมดวุ่นวายอีกครั้ง ยิ่งไม่มีใครสนใจเรื่องของพวกเราแล้ว”  

 

 

“เวลานั้นวุ่นวายเหลือเกิน พวกเราก็เสียหายหนักหนา นอกจากนี้ก็ไม่รู้ว่าทหารโจวมองพวกเราอย่างไร ดังนั้นพวกเราจึงหลบไปอาศัยอยู่ที่เขาจางชิงซาน” หยางจิ่งเล่า “พอดีนิวหนิ่วก็เกิดออกมา”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าหยางจิ่งก็มืดหม่นลงอีกหน  

 

 

ได้ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของคุณหนูจวินก็มืดหม่นลงด้วย  

 

 

หลังจากนั้นนิวหนิ่วเกิดมาก็ป่วย  

 

 

อาจารย์กลับอับจนหนทาง  

 

 

อดีตเร่าร้อนจะสร้างคุณงามความชอบสร้างผลงานใหญ่กลับไม่สำเร็จสักสิ่ง พี่น้องทั้งหลายแทบล้มตายหมดสิ้น ลูกสาวของเขายังเป็นโรคเช่นนี้อีก  

 

 

คิดดูก็รู้ว่ายามนั้นอาจารย์จะรู้สึกอย่างไร  

 

 

เป็นคนโง่คนหนึ่ง  

 

 

เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนทำไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เขาก็เหมือนคนโง่คนหนึ่งสินะ  

 

 

คุณหนูจวินรู้สึกเพียงดวงตาขัดเคือง  

 

 

ในห้องจมลงสู่ความเงียบครู่หนึ่งด้วย  

 

 

เสียงคุยเล่นหัวเราะในลานด้านนอกยังดังอยู่ ลมใบไม้ผลิพากลิ่นสุรามา มอมเมาคนยิ่งนัก  

เรื่องการกลับเมืองหลวง เฉิงกั๋วกงมีความคิดอยู่แล้ว ยังบอกอีกว่ารอนายหญิงอวี้มาถึงค่อยหารือละเอียดอีกครั้ง คุณหนูจวินก็ไม่เอ่ยอะไรอีก  

 

 

เห็นใบหน้าบึ้งตึงของจูจั้นด้านข้าง คุณหนูจวินก็เป็นฝ่ายขอตัวจากไป  

 

 

กลับเมืองหลวงเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง พวกเขาพ่อลูกมีคำพูดมากมายต้องพูดกัน มีเรื่องมากมายต้องหารือ  

 

 

คุณหนูจวินกลับมาถึงที่พักของตนเอง จ้าวฮั่นชิงกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะยกถ้วยดื่มยาอย่างเชื่อฟังอยู่ เห็นนางกลับมาก็ร้องเรียกพี่สาว  

 

 

คุณหนูจวินนั่งลงข้างนาง มองดูนางดื่มยา  

 

 

ช่วงนี้ที่อยู่เหอเจียน อยู่ป้าโจวขัดขวางโจรจินสังหารศัตรู การรักษาแผลบนใบหน้าของจ้าวฮั่นชิงก็ไม่เคยหยุด  

 

 

ยานี่ขมนัก ดื่มนานปานนี้ จ้าวฮั่นชิงยังคงไม่คุ้นชิน ดื่มไปพลาง ทำหน้าขมไปพลาง หยิบผลไม้เชื่อมเม็ดหนึ่งกิน  

 

 

ดื่มคำหนึ่ง ขมทีหนึ่ง กินของหวานคำหนึ่ง แล้วทำซ้ำอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินมองนางแล้วเหม่อลอยเล็กน้อย  

 

 

เฉิงกั๋วกงกลับเมืองหลวง  

 

 

ที่จริงนางเคยตั้งตาคอยมาก่อน  

 

 

ตอนที่นางได้ทราบว่าพระบิดาไม่ได้ตายตามอายุขัย นางโกรธแค้นโลกที่ไม่มีใครรู้ความจริง แล้วคาดหวังว่าจะมีคนสงสัยการตายของพระบิดา  

 

 

ตอนนางบุกเข้าพระราชวังลำพังคนเดียวเพื่อสังหารฮ่องเต้ นาทีนั้นก่อนตายนางเคยคาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยนาง  

 

 

“พี่สาว”  

 

 

เสียงของจ้าวฮั่นชิงดังขึ้นข้างหู ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็โบกอยู่ตรงหน้า  

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา  

 

 

“ดื่มหมดแล้วรึ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า  

 

 

“ท่านคิดอะไรอยู่?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้  

 

 

“คิดถึงเรื่องในอดีตบางอย่าง” คุณหนูจวินยิ้มพลางเอ่ย  

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อแล้วพยักหน้า  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นไม่แปลกที่ท่านดูแล้วเสียใจนัก” นางเอ่ยแล้วพยักหน้า ไม่ได้จี้ถามว่าเรื่องในอดีตคือเรื่องอะไร “อาเซี่ย อาหยาง พวกเขาคิดถึงเรื่องในอดีตล้วนเป็นเช่นนี้”  

 

 

คุณหนูจวินอยากหัวเราะอยู่บ้างแล้วก็ปวดใจอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ก็เตือนนาง  

 

 

“ข้าจะไปดูพวกอาหยางสักหน่อย” นางเอ่ย “เจ้าไปด้วยกันกับข้าไหม?”  

 

 

แม้ทัพใหญ่ตั้งทัพอยู่นอกเมือง แต่กองทหารชิงซานแยกออกมาจากในนั้น ในฐานะผู้คุ้มกันกับข้ารับใช้ของคุณหนูจวินจึงติดตามเข้ามาในเมืองติ้งโจวด้วย จัดการให้อยู่ในเรือนนายทหารผู้ติดตามคุ้มครองของจวนที่ว่าการเมือง  

 

 

ตอนที่คุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงมาก็เย็นย่ำพลบค่ำแล้ว เรือนชั้นเดียวใหญ่โตหลังหนึ่งล้วนถูกกองทหารชิงซานยึดครองไว้ เวลานี้กำลังทานอาหารอยู่ ในเรือนวางโต๊ะเก้าอี้ไว้ เนื้อและสุราชามโต บุรุษทั้งหลายสี่โต๊ะสตรีทั้งหลายหนึ่งโต๊ะ กำลังกินดื่มคุยเล่นกันครึกครื้น  

 

 

“คุณหนูจวิน นิวหนิ่วรีบมานั่งเร็ว”  

 

 

เห็นพวกนางเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งก็รีบร้องเรียกกระตือรือร้น เติมเก้าอี้ เติมชามตะเกียบและสุราอาหาร  

 

 

เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้คนของกองทหารชิงซานมาทำ เพียงเรียกคำเดียวก็มีนายทหารหลายคนวุ่นวายทำ  

 

 

“ลุงเถี่ย สุราที่ท่านต้องการขอรับ” นายทหารสองคนยกสุราไหหนึ่งมาอย่างเริงร่า “ไม่พอ ยังมีอีก”  

 

 

เถี่ยเจี่ยวพยักหน้า  

 

 

“พอแล้ว” เขาตอบจะยื่นมือออกมา  

 

 

นายทหารสองคนนั้นรีบร้อนหลบออกไปแล้วยกเข้ามา  

 

 

“พวกเราเอง พวกเราเอง ลุงเถี่ยท่านไม่ต้องใช้มือ” พวกเขาเอ่ย  

 

 

เถี่ยเจี่ยวไม่ค่อยถนัดปฏิเสธ มองดูนายทหารสองคนนี้วางไหสุราเอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง  

 

 

“ลุงเถี่ยท่านเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ” สองคนลูบศีรษะอิ่มอกอิ่มใจ  

 

 

เถี่ยเจี่ยวก็ลูบศีรษะมองดูนายทหารสองคนนี้ดีอกดีใจออกไป  

 

 

“พวกเราเกรงใจทหารเหล่านี้นัก” เซี่ยหย่งเอ่ยกับคุณหนูจวิน “ล้วนพึ่งใบบุญของคุณหนูจวิน”  

 

 

ไยแค่เกรงใจ เคารพเลื่อมใสชัดๆ นายทหารทุกคนถือว่าการพูดคุยกับคนเหล่านี้ของกองทหารชิงซานเป็นเกียรติ  

 

 

คุณหนูจวินมองดูนายทหารที่ส่งสุราอาหารเสร็จออกไปเหล่านั้น ทหารเหล่านี้เป็นทหารที่ประจำการที่ติ้งโจว พวกเขาไม่เหมือนกองทหารซุ่นอันเช่นนั้นที่ร่วมรมด้วยกันกับสหายร่วมบ้านเกิดเหล่านี้ แต่ยังคงเลื่อมใสเต็มเปี่ยม  

 

 

“นี่ไม่ใช่เพราะข้า เพราะภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงต่างหาก” นางเอ่ยพลางมองดูผู้คนที่นั่งอยู่  

 

 

ตอนแรกที่ออกมาจากเขาจางชิงซานทั้งหมดมีสี่สิบห้าคน ตอนนี้ที่นั่งอยู่เหลือสามสิบสองคน  

 

 

ตายในสนามรบสิบสามคน ไม่มีผู้บาดเจ็บหนัก คนของกองทหารชิงซานมีเพียงพลีชีพในสนามรบเท่านั้น  

 

 

“นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านได้มาด้วยตนเอง” คุณหนูจวินเอ่ย “กองทหารชิงซานกล้าหาญชื่อเสียงโด่งดังทุกคนล้วนรู้จัก ทุกคนเลื่อมใส”  

 

 

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก็ยิ้ม สหายร่วมหมู่บ้านที่เหลือก็ล้วนเขินอายอย่างยิ่งยามถูกชมเฉกเช่นก่อนหน้านี้  

 

 

“คนผู้เดียวเป็นกองทัพไม่ได้” เซี่ยหย่งเอ่ย “นี่ก็เป็นความดีความชอบของคุณหนูจวินท่านด้วย”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“มา” นางไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาทอีก ยกจอกสุราขึ้น “พวกเราดื่มหนึ่งจอก”  

 

 

พูดจบก็หันหน้ากลับมา  

 

 

“ฮั่นชิงห้ามดื่ม”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงที่กำลังแอบยกจอกสุราขึ้นได้แต่วางลงอย่างไม่ใคร่จะยินยอม  

 

 

มองดูสีหน้าของฮั่นชิง บุรุษสตรีที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะขึ้นมา ผู้หญิงหลายคนยังโอบหัวไหล่ของฮั่นชิงไว้ด้วย  

 

 

“นิวหนิ่วไม่ต้องรีบร้อน รอโรคของเจ้าหายดีแล้วก็ดื่มได้แล้ว” พวกเขาหัวเราะเอ่ย  

 

 

เพราะต้องกินอาหารดื่มสุราจ้าวฮั่นชิงจึงปลดผ้าปิดหน้าลง สีหน้าไม่มีหลุกหลิกหวาดกลัว ได้ยินถ้อยคำก็พยักหน้า  

 

 

ผู้คนด้านนี้ดื่มสุรารวดเดียวหมด หลังสุราสามจอกทุกคนก็กินดื่มอย่างเต็มที่  

 

 

ส่วนหยางจิ่ง เซี่ยหย่งเชิญคุณหนูจวินเข้าไปในห้อง  

 

 

“คุณหนูจวินมีเรื่องอะไรหรือ?” เซี่ยหย่งเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม  

 

 

คุณหนูจวินบอกเรื่องที่เฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวง  

 

 

ตอนแรกออกจากเขาจางชิงซานก็เพื่อคุ้มครองนายหญิงอวี้ไปเหอเจียนกับป้าโจวปกป้องประชาชน หลังจากนั้นสิ่งที่ทำย่อมเกินกว่าที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว  

 

 

ตอนนี้อารักขาประชาชนเสร็จสิ้น เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว ต่อไปต้องทำสิ่งใด นี่ต้องถามความเห็นของพวกเขาหรือ? หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งสบตากัน  

 

 

“คุณหนูจวินต้องการให้พวกเราทำอะไรพวกเราก็จะไปทำ” หยางจิ่งเอ่ย “พวกเราฟังท่าน”  

 

 

“ใช่แล้ว อารักขาเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงก็ไม่เป็นปัญหา หากไม่ต้องการ พวกเราก็กลับบ้านไป” เซี่ยหย่งเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า  

 

 

“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอนายหญิงอวี้มาเก็บเงินแล้ว พวกเราค่อยคุยการค้าครั้งต่อไป” นางเอ่ย  

 

 

หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนยิ้ม  

 

 

“ข้าอยากถามอดีตของพวกท่าน” คุณหนูจวินพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งตะลึงไปนิดหนึ่ง  

 

 

“ข้าไม่ถามอดีตของอาจารย์ข้า” คุณหนูจวินมองพวกเขา “ข้ารู้ว่าไม่มีวาจาของน้าเซียว พวกท่านไม่กล้าแล้วก็ไม่คิดยอมรับว่ารู้จักเขา”  

 

 

นางถอนหายใจแผ่วเบา ยื่นมือกุมหน้าผาก ท่าทางนานมากแล้วที่ไม่ได้ดื่มสุรามากปานนี้ บนหน้าค่อยๆ เมามายหนักขึ้น  

 

 

“ที่ข้าถามคือพวกท่าน” นางเอ่ยต่อ “กองทหารชิงซานที่แท้คืออะไร?”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“กองทหารชิงซาน…”  

 

 

และเวลานี้ในจวนหลังหนึ่งที่เมืองหลวง ชิงเหอปั๋วที่สวมชุดคอกลมธรรมดาก็ลูบเคราเอ่ยขึ้นเช่นกัน  

 

 

“เหมือนเคยได้ยินมาก่อน”  

 

 

บุรุษหลายคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาสีหน้าตกตะลึง  

 

 

“ท่านปั๋วรู้จักหรือ?” พวกเขาเอ่ยท่าทางดีใจอยู่บ้าง “ท่านปั๋วรอบรู้กว้างขวางจริงๆ ใต้เท้าหวงควรถามท่านเร็วหน่อยจริงๆ”  

 

 

ชิงเหอปั๋วยิ้มแล้ว  

 

 

“รอบรู้กว้างขวางอะไร แค่มีชีวิตอยู่นานอยู่บ้างก็เท่านั้น” เขาเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหมือนจะเป็นเรื่องเกือบยี่สิบปีก่อน ที่แดนเหนือข้าคลับคล้ายได้ฟังใครเอ่ยชื่อนี้อยู่”   

 

 

ยามนั้นเป็นตอนที่ชิงเหอปั๋วรุ่งเรืองที่สุด  

 

 

สีหน้าของชิงเหอปั๋วท่าทางย้อนคิด  

 

 

แต่บุรุษหลายคนนี้ตรงหน้าไม่ได้มีความทรงจำร่วมแล้วก็ไม่สนใจย้อนคิด  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาเป็นทหารจริงหรือ?” พวกเขาอดไม่ได้เร่งถาม  

 

 

ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้วครู่หนึ่ง  

 

 

“ทหารอะไร” เขาแค่นเสียงเอ่ยขึ้น “ทหารอาสา”  

 

 

ทหารอาสา?  

 

 

คำนี้ บุรุษเหล่านี้ล้วนรู้  

 

 

ต้าฉี ต้าจิน ต้าโจวสามแคว้นรบกันโกลาหลอยู่นานปี แดนเหนือเวลานั้นวุ่นวายยิ่งนัก โจรผู้ร้ายเกลื่อนกลาด ผู้ดีชนบทตระกูลมั่งคั่งไม่น้อยก็เลี้ยงดูข้ารับใช้ในตระกูลไว้ คนเหล่านี้อยู่ในพื้นที่สงครามนานปีเข้า แย่งอำนาจชิงผลประโยชน์ต่อสู้กันหรือสู้กับชาวจินเพื่อปกป้องตนเอง นานวันเข้าก็เกิดกำลังพลไม่น้อยที่แข็งแกร่งจนไม่อาจดูแคลนได้  

 

 

ทหารของต้าโจวยามรบกับชาวจินก็ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา ดังนั้นจึงรวบรวมกองกำลังเหล่านี้ไม่น้อยเข้ามาร่วมมือกัน ถูกเรียกว่ากองทหารอาสา  

 

 

ที่แท้กองทหารชิงซานนี่ก็เป็น  

 

 

ชิงเหอปั๋วกลับโบกมืออีกครั้ง  

 

 

“ไม่ ไม่ พวกเขายังนับเป็นกองทหารอาสาไม่ได้ พูดตรงๆ ก็คือโจร” เขาเอ่ยต่อพลางเลิกคิ้ว “โจรพวกนี้ไม่อาจเชื่อถือได้อย่างสิ้นเชิง แล้วก็นับเป็นสาระสำคัญไม่ได้ด้วย ข้าคลับคล้ายคลับคลาจำได้ว่าช่วยเหลือศึกใหญ่ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย”  

 

 

ส่ายศีรษะ  

 

 

“คนสารพัดสารเพรวมกลุ่มกันกลุ่มหนึ่ง คาดว่าคงวิ่งกลับไปเป็นโจรอีกแล้ว”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“กองทหารชิงซานไม่ใช่โจร”  

 

 

หยางจิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยศีรษะมองคุณหนูจวินพลางเอ่ยขึ้น  

 

 

“กองทหารชิงซานเป็นทหาร”   

 

 

……………………………………….  

หากบอกว่าให้เฉิงกั๋วกงกลับเมืองหลวงรายงานภารกิจ นี่ก็ปกติยิ่ง แต่ด้านหนึ่งเรียกเฉิงกั๋วกงกลับเมืองหลวง ด้านหนึ่งส่งแม่ทัพแดนเหนือคนใหม่คนหนึ่งมา นี่ย่อมหมายความว่าเฉิงกั๋วกงจะถูกย้ายออกไปแล้ว  

 

 

ถูกย้ายออกไป นั่นไยไม่ใช่หมายความว่าถูกแย่งอำนาจทหาร?  

 

 

ฮ่องเต้ยังคงไม่พอใจที่เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการ ในที่สุดจึงลงโทษเป็นการเตือนแล้ว  

 

 

ก่อนหน้านี้แม้ไม่พอใจ แต่พะว้าพะวงความปลอดภัยของแดนเหนือไม่กล้าแตะเฉิงกั๋วกง ตอนนี้เจรจาสงบศึกกับชาวจินแล้ว สองแคว้นหยุดทำสงครามเป็นมิตรกัน ถ้าอย่างนั้นในที่สุดก็แตะเฉิงกั๋วกงได้แล้ว  

 

 

นอกจากนี้คนที่มารับช่วงยังเป็นชิงเหอปั๋ว  

 

 

ชิงเหอปั๋ว นั่นเป็นแม่ทัพที่ไม่ด้อยกว่าเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นเดิมทีชื่อเสียงเก่าแก่กว่าเฉิงกั๋วกงด้วยซ้ำ  

 

 

เมื่อตอนที่เฉิงกั๋วกงยังเป็นแม่ทัพเล็กๆ คนหนึ่ง ชิงเหอปั๋วก็ได้ชัยชนะครั้งใหญ่จากการทำศึกกับชาวจินหลายครั้งหลายหน ชื่อเสียงเลื่องลือแล้ว เพียงแต่ภายหลังเพราะละโมบทุจริตจนทำให้ทหารขบถ นำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่แม่น้ำหม่าเจีย ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงพิโรธหนักต้องการประหารชิงเหอปั๋ว โชคดีที่ขุนนางแม่ทัพทั้งหลายวิงวอนถึงชดใช้ความผิดด้วยการทำความดีความชอบ ย้ายหน้าที่จากแดนเหนือมาปราบโจรทางใต้  

 

 

แล้วก็เพราะเช่นนี้ ชิงเหอปั๋วจึงออกจากแดนเหนือ เฉิงกั๋วกงจูซานจึงเริ่มเผยความสามารถ ท้ายที่สุดประสบความสำเร็จสร้างชื่อ  

 

 

แน่นอนชิงเหอปั๋วก็ไม่ได้เงียบงันไปเช่นนี้ เขาอยู่ทางใต้ปราบกบฏกวาดล้างโจร ไม่มีผู้ใดสู้ได้เหยียบราบทุกทิศ ท้ายที่สุดขจัดโทษจากตัวได้ รับตำแหน่งผู้ตรวจการความมั่นคงแห่งไหวซี ต่อมาอดีตฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเป็นชิงเหอปั๋ว  

 

 

สำหรับแม่ทัพคนหนึ่ง ได้รับบรรดาศักดิ์เช่นนี้ย่อมร้ายกาจอย่างที่สุดแล้ว แต่ปีเดียวกันนั้นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์พร้อมกันยังมีจูซานด้วย ได้รับแต่งตั้งเป็นเฉิงกั๋วกง  

 

 

อายุอ่อนกว่าชิงเหอปั๋วเกือบสิบปี สร้างชื่อช้ากว่าชิงเหอปั๋ว สุดท้ายบรรดาศักดิ์กลับสูงกว่าชิงเหอปั๋ว นี่ทำให้คนมากมายไม่พอใจแทนชิงเหอปั๋ว  

 

 

แต่นี่ก็ไร้หนทางเช่นกัน เทียบกับกวาดล้างโจรปราบความไม่สงบ ในสายตาฮ่องเต้โจรจินสำคัญยิ่งกว่า ต้านโจรจินได้ ทำให้โจรจินได้ยินชื่อก็เสียขวัญได้ถึงร้ายกาจที่สุด  

 

 

ตั้งแต่หลังชิงเหอปั๋วถอยไปอยู่ที่ไหวซีก็เริ่มถนอมร่างกายยามชรา จนกระทั่งองค์รัชทายาทประชวร อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฉีอ๋องสืบราชบัลลังก์กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ โจรสลัดตามแนวชายฝั่งอาละวาด ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จึงเชิญชิงเหอปั๋วออกจากเขา ชิงเหอปั๋วปราบโจรสลัดพ่ายแพ้ราบคาบ กุมอำนาจทหารใหม่อีกครั้ง  

 

 

ตอนนี้ไม่เพียงกุมอำนาจทหารใหม่อีกครั้ง ยังมาถึงแดนเหนืออีกครั้งด้วย  

 

 

สิบปีก่อน ชิงเหอปั๋วถูกย้ายออกจากแดนเหนือ เฉิงกั๋วกงได้เป็นแม่ทัพ  

 

 

ให้หลังสิบปี เฉิงกั๋วกงจะถูกย้ายออกจากแดนเหนือ ชิงเหอปั๋วกลับมาเป็นแม่ทัพใหม่อีกครั้ง  

 

 

นี่คือสิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำ โชคชะตาเปลี่ยนผันใช่หรือไม่?  

 

 

ในโถงใหญ่ชะงักนิ่งไปหมด  

 

 

“ท่านกั๋วกง” แม่ทัพคนหนึ่งอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น สีหน้าร้อนรนอยู่บ้าง “นี่จะทำอย่างไร?”  

 

 

เป็นแม่ทัพก็เป็นเช่นนี้ มีทหารถึงมีอำนาจ ปลดจากตำแหน่งไร้ทหาร นั่นก็เท่ากับพยัคฆ์ชราไร้เขี้ยว  

 

 

หากกลับไปเมืองหลวงเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเฉิงกั๋วกงไยไม่ใช่ถูกฮ่องเต้ลงโทษตามพระทัย?  

 

 

สายตาในห้องโถงที่มองไปทางเฉิงกั๋วกง แม้มีบ้างเต้นระริกวิบวับ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความเป็นห่วงกังวล  

 

 

โบราณว่าไว้โอรสสวรรค์หนึ่งรัชสมัยขุนนางหนึ่งรัชสมัย ชิงเหอปั๋วย่อมต้องใช้กำลังคนของตนเอง ในหมู่พวกเขาคนมากมายต้องถูกกำจัดเกลี้ยงครั้งหนึ่งแน่  

 

 

ประการที่สองนิสัยของชิงเหอปั๋ว มากน้อยพวกเขาก็รู้อยู่บ้าง ละโมบทรัพย์กระหายความเป็นใหญ่ชื่นชอบความดีความชอบทั้งยังเผด็จการโหดเ**้ยม ไม่เช่นนั้นตอนนั้นคงไม่มีเรื่องทหารขบถเกิดขึ้น  

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนคล้ายข่าวนี้ที่ได้ฟังไม่มีสิ่งใดสำคัญ  

 

 

“ในเมื่อเป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ ถ้าอย่างนั้นก็สงบรอเถิด” เขาเอ่ย “ยังไม่ออกเดินทางก่อน อยู่ติ้งโจวที่นี่รอราชโองการเถอะ”  

 

 

ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ คนที่เหลือจึงไม่สะดวกเอ่ยวาจากอีก ตอนนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจสนทนาด้วย รอสืบข่าวมากกว่าเดิมได้ค่อยหารือเถอะ  

 

 

บรรดาขุนนางและแม่ทัพค้อมศีรษะขานรับ มองดูเฉิงกั๋วกงเดินออกไป  

 

 

“ไม่ต้องกังวล เฉิงกั๋วกงจะต้องมีหนทางแน่” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยปลอบทุกคน “คนที่ไม่อยากไปและไปไม่ได้ที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกง”  

 

 

ใช่แล้ว นี่หากกลับไปย่อมไม่มีเรื่องดีอะไร ทุกคนในใจรู้ชัด ในใจเฉิงกั๋วกงยิ่งรู้ชัด  

 

 

……………………………………….  

 

 

“นี่ต้องเป็นเรื่องดีงามที่หวงเฉิงทำแน่!”  

 

 

เฉิงกั๋วกงเดินเข้าจวนด้านหลังก็ได้ยินจูจั้นตบโต๊ะตะโกน  

 

 

เขาก้าวเข้ามาในห้อง จูจั้นที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะก็รีบลุกขึ้นร้องเรียกพ่อ  

 

 

“เจ้าก็รู้ข่าวแล้วหรือ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน  

 

 

ไม่เพียงรู้ข่าวแล้ว สิ่งที่รู้ยังละเอียดยิ่งกว่า จูจั้นมองคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง  

 

 

“รู้ข่าวแล้วเจ้าค่ะ นอกจากนี้ไม่ใช่ข่าวร้าย” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นแค่นเสียง  

 

 

“อะไรเรียกไม่ใช่ข่าวร้าย?” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“จั้นเอ๋อร์ ฟังคุณหนูจวินพูดให้จบ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

จูจั้นถลึงตาอยากพูดอะไร แต่เมื่อสายตาอ่อนโยนของเฉิงกั๋วกงกวาดมา เขาก็หันหน้าหนีไม่พูดแล้ว  

 

 

“ฮ่องเต้ไม่ได้จะลงโทษท่าน” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ มองดูจดหมายด่วนที่ฟางเฉิงอวี่ส่งมาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ “แต่จะพระราชทานรางวัล”  

 

 

พระราชทานรางวัลหรือ…  

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนแย้มรอยยิ้ม  

 

 

“หลังฮ่องเต้ได้รับข่าวว่าท่านกั๋วกงกลับมา ทรงดีพระทัยจนหลั่งน้ำพระเนตรกลางการประชุม” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “เอ่ยชมท่านกั๋วกงว่าหาญกล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียม แล้วยังขอบคุณสวรรค์ที่ปกปักษ์รักษาท่านยอดแม่ทัพคนนี้ ตรัสว่านี่เป็นโชคดีของต้าโจว เรื่องน่ายินดีของประชาชน”  

 

 

“ฝ่าบาทยังคงเป็นเช่นนั้น” เฉิงกั๋วกงพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

คำพูดของคุณหนูจวินหยุดชะงักไป  

 

 

เช่นนั้น เป็นเช่นไหน?  

 

 

เมตตาช่างสงสารชอบกรรแสง หรือเสแสร้งจอมปลอมไม่จริงใจ?  

 

 

ในสายตา ในหัวใจของเฉิงกั๋วกง ฮ่องเต้เป็นอย่างไร?  

 

 

เขามองฮ่องเต้พระองค์นี้อย่างไร?  

 

 

เขารู้หรือไม่ว่าพระบิดาตายอย่างไร?  

 

 

มือของคุณหนูจวินกำขึ้นมา  

 

 

ในห้องเงียบงันไปพักหนึ่ง  

 

 

“คุณหนูจวินไม่ต้องกังวล” เฉิงกั๋วกงเห็นเด็กสาวคนนี้หลุบตาลงปกปิดสีหน้าก็คิดว่ากังวลใจ “ฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลให้แม่ทัพทหารอย่างพวกเราสินะ?”  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า  

 

 

“เจ้าค่ะ ผู้ตายรำลึกถึง ผู้บาดเจ็บปูนบำเหน็จ แม่ทัพทั้งหลายล้วนได้เลื่อนยศ” นางเอ่ย “ส่วนท่านกั๋วกงท่านเข้าเมืองหลวงแห่ขบวนสรรเสริญความดีความชอบ องค์ชายต้อนรับด้วยตนเอง ฮ่องเต้ก็จะพบท่านรวมถึงแม่ทัพทั้งหลายที่มีความชอบหน้าประตูพระราชวังด้วย”  

 

 

นางมองเฉิงกั๋วกง  

 

 

“…ข้าตั้งตาคอยเจ้ากำชัยชนะกลับมา จบราชโองการ”  

 

 

กระทั่งถ้อยคำบนราชโองการก็ล่วงรู้ นี่ไม่ใช่คนทั่วไปจะทำได้  

 

 

คุณหนูจวินผู้นี้ไม่ใช่ขุนนางไม่ใช่ข้าหลวง ถึงกับทราบข้อมูลเช่นนี้ได้ หูตานับได้ว่าทั่วฟ้าเหมือนกัน   

 

 

แต่สตรีที่ทำเรื่องเหล่านี้วันนี้ที่แดนเหนือได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มเล็กน้อย  

 

 

“นี่พระราชทางรางวัลด้วยพระกรุณาธิคุณเปี่ยมล้นจริงๆ” เขาเอ่ย  

 

 

ใช่แล้ว พระกรุณาธิคุณเปี่ยมล้น ฮ่องเต้เมตตาทรงคุณธรรมที่สุด หากเฉิงกั๋วกงไม่ปฏิบัติตาม นั่นย่อมไม่รู้ดีชั่ว ไม่ภักดี ไร้คุณธรรม เหิมเกริม  

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่านี่ไม่ใช่ข่าวดี” จูจั้นเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีประโยชน์ที่ได้มาเปล่า”  

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบา  

 

 

“ใช่แล้ว” นางเอ่ย “ท่านกั๋วกง ท่านกลับไปไม่ได้”  

 

 

ฐานะของเฉิงกั๋วกงเป็นอย่างไร เทพสงครามแห่งแดนเหนือแล้วอย่างไร ฮ่องเต้หน้าเนื้อใจเสือผู้นี้ เรื่องที่ทำเก่งที่สุดก็คือลงมือกับคนของตนเอง  

 

 

“แผลของท่านหนักนัก” นางเอ่ยต่อ “ไม่ควรระหกระเหินเดินทางไกล”  

 

 

นางประกาศฐานะจวินจิ่วหลิงของตนเองได้ ด้วยฐานะหมอเทวดา คำพูดที่นางเอ่ยประชาชนไม่มีทางคลางแคลง ฮ่องเต้ก็ไม่อาจโต้แย้ง  

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างรีบพยักหน้า  

 

 

“พ่อ ใช่แล้ว” เขาเอ่ยพลางชี้คุณหนูจวิน “นางเสแสร้งแกล้งหลอกร้ายกาจนักล่ะ”  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“อย่าพูดจาไม่รู้จักมารยาท” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน   

 

 

แม้เสียงอ่อนโยน แต่จูจั้นยังคงหน้าแดงในพริบตา  

 

 

นี่กำลังตำหนิเขาหรือ? โตจนป่านนี้ พ่อยังไม่เคยตำหนิดเขามาก่อนเลย! ถึงกับเพราะผู้หญิงคนนี้ นอกจากนี้ยังต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ด้วย  

 

 

เพราะบุญคุณช่วยชีวิตจึงไม่สนเขาลูกชายคนนี้แล้วหรือ?  

 

 

เห็นจูจั้นหน้าแดงแล้วแสดงท่าทางอับอายน้อยใจประหนึ่งแม่นางน้อย คุณหนูจวินก็เกือบหลุดหัวเราะ ยักคิ้วให้จูจั้น  

 

 

จูจั้นสังเกตเห็นก็ถลึงตาดุดันใส่นางทีหนึ่ง  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองดูการเย้าแหย่ของสองคนนี้ก็ยิ้มน้อยๆ  

 

 

“โลกนี้ไม่มีประโยชน์ที่ได้มาเปล่าๆ” เขาเอ่ย “แต่ประโยชน์นี้ของพวกเราก็ไม่ใช่ได้มาเปล่า”  

 

 

จูจั้นขมวดคิ้ว  

 

 

“พ่อ” เขาร้องเรียกอีกครั้ง  

 

 

เฉิงกั๋วกงส่ายศีรษะให้เขา  

 

 

“นอกจากนี้ ข้าก็อยากไปเมืองหลวงด้วย” เขาเอ่ยพลางมองไปนอกประตูทางทิศใต้ ใบหน้าอ่อนโยนค่อยๆ นิ่งขรึม “ข้าอยากไปดูฝ่าบาทด้วยตาตนเอง”   

 

 

ไปดูฝ่าบาทด้วยตาตนเอง  

 

 

ดูอะไรของเขา?  

 

 

คำพูดนี้กลับไม่มีสิ่งใดประหลาด แต่คุณหนูจวินกลับรู้สึกดวงตาขัดเคืองวูบหนึ่งอย่างไม่รู้สาเหตุ  

 

 

ดูซิว่าฝ่าบาททำไมจะต้องเจรจาสงบศึกให้ได้?  

 

 

ดูซิว่าฝ่าบาทจะปฏิบัติอย่างไรกับขุนนางสัตย์ซื่อแม่ทัพดี?  

 

 

ดูซิว่าฝ่าบาทที่แท้เป็นเจ้าแผ่นดินผู้เมตตาดีงามฉลาดปราดเปรื่องหรือเจ้าแผ่นดินผู้โหดร้ายทารุณขลาดเขลา?  

 

 

เขาต้องการดูสิ่งนี้หรือ? หรือว่าเพียงแค่พูดไปส่งเดชดูไปทั่วเท่านั้น  

นาง  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงตะลึงวูบหนึ่ง  

 

 

เมืองชิ่งหยวน โจร  

 

 

สองคำนี้ทำให้หัวหน้ากองพันเจียงกระจ่างอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ตอนนั้นคุณหนูจวินถูกโจรกลุ่มหนึ่งลักพาตัวไป ไม่เพียงไม่ออกมาตรงกันข้ามกลับพักอยู่ในที่ของโจร หลังจากนั้นอยู่ดีๆ ก็หายไปด้วยกัน  

 

 

ทั้งเขาจางชิงซานประหนึ่งไม่เคยมีคนอาศัยอยู่มาก่อน  

 

 

จากไปกะทันกันแล้วยังจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้  

 

 

“ที่แท้คุณหนูจวินก็ไปเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยติดจะหงุดหงิด “ไม่น่าคิดว่านางกลับหยางเฉิง ปูพรมหาทางใต้อย่างเดียวจริงๆ”  

 

 

ใครจะคิดถึงว่านางจะไปสถานที่อันตรายปานนั้น นอกจากนี้ยังทำเรื่องที่อันตรายไม่น่าเชื่อเช่นนี้อีก  

 

 

นางรู้ว่านี่นางกำลังทำอะไรอยู่ไหม?  

 

 

นางไม่ใช่หมอคนหนึ่งหรือ?  

 

 

“เป็นห่วงชาติเป็นห่วงประชาชนจริงๆ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

เป็นห่วงชาติเป็นห่วงประชาชนออกจากมาจากลู่อวิ๋นฉีไม่เคยเป็นคำชม เช่นเดียวกับที่ทำลายชาติทำร้ายประชาชนไม่ใช่คำด่าทอ  

 

 

แต่สำหรับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว สี่คำนี้เป็นคำชมแน่นอน  

 

 

“คิดไม่ถึงเป็นนางรึ?” นางตกตะลึงไม่หยุด แล้วก็ยินดีไม่หยุด “คิดไม่ถึงว่าเป็นนาง”  

 

 

คล้ายแปลกใจแต่ก็สมควร  

 

 

“นางปลูกฝีช่วยโลกช่วยประชาชนเช่นนี้ได้ จะเบิ่งตามองดูประชาชนทั้งหลายทุกข์ทรมานได้อย่างไร” นางหัวเราะพลางเอ่ย  

 

 

เสียงหัวเราะนี้เงียบลงช้าๆ เหลือไว้เพียงความขมขื่นจางๆ ที่มุมปาก  

 

 

หากเป็นน้อง จะทำเช่นนี้ด้วยไหมนะ? เด็กผู้หญิงที่ตั้งแต่เล็กก็เอ่ยวาจาดื้อรั้นและไร้เดียงสาคนนั้น  

 

 

ได้ยินว่าพระบิดาป่วยรักษาไม่หาย นางบอกว่าข้าจะรักษาเอง  

 

 

บอกว่าครั้งนั้นแคว้นล่มอับอาย นางบอกข้าจะล้างอายให้เอง  

 

 

ยามครอบครัวนั่งล้อมวง เบิกบานใจหรือไม่เบิกบานใจ นางมักจะชูมือป้อมน้อยๆ สูงเด่นเช่นนี้ ตะโกนวาจาเช่นนี้ออกมา  

 

 

ไร้เดียวสาและน่าขัน มักทำให้บทสนทนาสนทนาต่อไปไม่ได้เสมอ  

 

 

นางน่ะจงใจก่อกวน เพราะไม่ให้นางไปปีนต้นไม้ปีนกำแพงจับนกช้อนปลาในสวนดอกไม้หรือในวังหลวง  

 

 

แต่ต่อมานางก็ทำเรื่องที่นางเคยว่าไว้จริงๆ แม้ไม่ทันรักษาพระบิดาหายก็ตาม  

 

 

หากตอนนี้นางยังอยู่จะจากจวนสกุลลู่ไปแดนเหนือด้วยหรือไม่  

 

 

เหมือนที่ตอนนั้นปิดบังทุกคนวิ่งตามหมอเทวดาจางคนนั้นไป  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีอดไม่ได้เม้มปากยิ้ม  

 

 

แม้จวนแห่งนี้ ใต้หล้าแห่งนี้สำหรับนางเป็นกรงขัง แต่ขอเพียงมีปีกจักต้องยังบินออกไปได้แน่นอน  

 

 

คุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่ใช่พบความลำบากยากเย็นมากมายเหมือนกัน ก็ยังคงทีละก้าวๆ ไม่มีคนขวางได้รึ  

 

 

หากนางยังอยู่ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร?  

 

 

ปลายจมูกของจิ่วหลีขัดเคือง ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชาปิดบัง  

 

 

“ช่วยโลกช่วยประชาชน ก็ไม่แน่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีวางถ้วยชาลงมองเขา  

 

 

“คนล้วนมีความเห็นแก่ตัว นี่ไม่มีสิ่งใดน่าอับอาย” นางว่า “ต่อให้นางมีเจตนาอื่น แต่สิ่งที่ทำก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนจริงๆ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีงาม”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าเรียบเฉยไม่เอ่ยวาจา  

 

 

“พูดเช่นนี้นางหมั้นกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้วหรือ” จิ่วหลีหัวเราะเอ่ยอีกครั้งทอดถอนใจอยู่บ้าง “ดีจริง”  

 

 

“มีสิ่งใดดี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

คำพูดของเขาเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงไม่มีความหมายจะถาม แค่บอกเล่าเท่านั้น  

 

 

จิ่วหลีมองไปหาเขา  

 

 

“ข้ารู้ท่านอยากบอกว่าการหมั้นนี้อาจเป็นเรื่องหลอก” นางเอ่ย “แต่ไม่ว่าการหมั้นนี้เป็นเรื่องจริงหรือหลอก ตอนนี้นางก็มีฐานะเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง เรื่องบางอย่างท่านก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจได้”  

 

 

เรื่องบางอย่างย่อมหมายถึงเรื่องที่ลู่อวิ๋นฉีกลั่นแกล้งนางให้ลำบากนานาประการรวมถึงจะต้องเอามาให้ได้  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม  

 

 

“องค์หญิงท่านไม่เข้าใจข้าจริงๆ” เขาเอ่ย “จริงๆ ลวงๆ สำหรับข้าเกี่ยวอันใดกัน”  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีมองเขาจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน  

 

 

“ลู่อวิ๋นฉี หากท่านต้องการ” นางเอ่ย “ข้าเข้าใจท่านได้”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายคาดไม่ถึงกับคำพูดนี้ของนาง สีหน้าชะงักไปนิดหนึ่ง  

 

 

“ไม่จำเป็น” จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น  

 

 

“ท่านไม่จำเป็นแล้วก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจท่าน ท่านปล่อยให้ตนเองจมสู่ความบ้าคลั่งเช่นนี้ ท่านใช้ชีวิตแบบนี้มีความหมายอะไร?” องค์หญิงจิ่วหลีส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น  

 

 

มุมปากของลู่อวิ๋นฉียกโค้ง  

 

 

“ความหมายที่มีชีวิตอยู่รึ?” เขาเอ่ยพลางมององค์หญิงจิ่วหลี “องค์หญิง ท่านเป็นเช่นนี้ มีชีวิตอยู่มีความหมายอะไร?”  

 

 

ท่านเป็นเช่นนี้  

 

 

สี่คำนี้เรียบง่ายยิ่ง แต่กลับบรรยายการคงอยู่วันนี้ของนางอย่างชัดเจนที่สุด  

 

 

นางในวันนี้ พูดให้ชัดคือพวกนาง นางกับน้องชายของนาง  

 

 

การคงอยู่ของพวกเขาก็คือเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง  

 

 

ถูกลืมเลือน ถูกหวาดระแวง ถูกทอดทิ้ง ถูกเกลียดชัง  

 

 

มีชีวิตอยู่ไม่มีคนสนใจ ตายไปมีคนร้องตะโกนยินดี  

 

 

มีชีวิตอยู่เช่นนี้ มีความหมายอะไร?  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง  

 

 

“ท่านว่านางแจกข้าวต้มตามทาง ไม่ใช่เพียงแจกข้าวต้ม กระทั่งหม้อไหจานชามก็แจก” นางเอ่ยขึ้น  

 

 

คิดถึงภาพนั้นมุมปากของนางก็อดไม่ได้ผุดรอยยิ้ม  

 

 

“นางรีบร้อนจะเดินทางไปช่วยคน นางปรากฏตัวขึ้น ชาวบ้านที่หวาดหวั่นวิตกเหล่านั้นคงดีใจเบิกบานยิ่ง”  

 

 

“นางนำทหารไปขวางโจรจินข้างหน้าด้วยตนเอง ชาวบ้านที่ป้าโจววางใจมากปานใด”  

 

 

“ยามลำยาก ยามมีภัย ยามสิ้นหวัง มีคนผู้หนึ่งเช่นนี้ฉับพลันปรากฏขึ้น ช่วยเหลือปกป้องให้ความหวัง นี่เป็นเรื่องงดงามมากปานใด”  

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้านางยิ่งกว้าง มองไปทางลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ได้เห็นเรื่องที่งดงามชวนให้คนมีความสุขบนโลก นี่ก็คือความหมายที่ข้ามีชีวิตอยู่”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนางพลางยิ้ม  

 

 

“ข้าก็เช่นกัน” เขาเอ่ย   

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวไปด้านนอก  

 

 

ใช่แล้ว ความหมายที่เขามีชีวิตอยู่ก็คือยึดจับเรื่องที่งดงามที่สุดของเขาไว้ ไม่ให้หายไปชั่วนิรันดร์  

 

 

มองเห็นเขาเดินมา องครักษ์เสื้อแพรด้านนอกที่วิ่งมาก็รีบหยุดเท้าคำนับ  

 

 

“ใต้เท้า พวกเราจะไปติ้งโจวหรือขอรับ? ให้คนที่ติ้งโจวด้านนั้นลงมือไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

ก้าวเท้าของลู่อวิ๋นฉีไม่หยุด ก้าวเลยเขาไปข้างนอก  

 

 

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ย “นางจะกลับมาเอง นางทำมากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อกลับมาหรือ?”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ท่านกั๋วกง จะไปที่ใด?”  

 

 

หลายวันหลังงานเลี้ยงที่จวนว่าการเมืองติ้งโจว ขุนนางและแม่ทัพบนล่างได้ข่าวว่าเฉิงกั๋วกงจะจากไปก็ตกตะลึงยิ่ง รีบเร่งมาถามไถ่  

 

 

ตอนแรกเฉิงกั๋วกงประจำการอยู่ที่เป่าโจว วันนี้เป่าโจวกลายเป็นดินแดนของชาวจินแล้ว ยังคิดว่าเฉิงกั๋วกงจะรั้งอยู่ที่ติ้งโจวเสียอีก  

 

 

“ไปเมืองเหอเจียน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ด้านนั้นถึงจะเหมาะที่สุด”  

 

 

เขายื่นมือวาดเส้นเส้นหนึ่งบนโต๊ะ  

 

 

“เป่าโจว สยงโจว ป้าโจว”  

 

 

สามเมืองนี้อยู่ชิดติดแนวแม่น้ำ มือของเขาหยุดชะงักบนโต๊ะ  

 

 

“ข้า จะเฝ้าอยู่ที่นี่ ยังเฝ้าอยู่ที่นี่”   

 

 

จะคำหนึ่งและยังคำหนึ่งนี้ทำให้บรรดาขุนนางกับแม่ทัพตรงนั้นในดวงตาแสบเคือง  

 

 

แม้ชายแดนเปลี่ยนไปแล้ว แต่เฉิงกั๋วกงยังคงเฝ้าอยู่ในสถานที่อันตรายที่สุด  

 

 

“ขอรับ” พวกเขาเอ่ยพร้อมเพรียง “ขอให้ท่านกั๋วกงจัดระเบียบกองทัพใหม่อีกครั้ง”  

 

 

วันนี้สามเมืองยกให้ กองทหารที่ต่างๆ ถอนกำลังกลับมาวุ่นวาย ควรถึงเวลาจัดระเบียบใหม่อีกครั้งแล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้า  

 

 

“วางใจ จัดระเบียบกองทัพใหม่อีกครั้ง พวกเราจะยังคงเฝ้าอยู่ที่แดนเหนือ แม้โจรจินเข้ามาในมณฑลเหอเป่ยแล้ว พวกเขาก็อย่าคิดเหยียบข้ามเส้นเขตแดนสักก้าว” เขาเอ่ย  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายตรงนั้นขานรับพร้อมเพรียง  

 

 

“ขอเพียงท่านกั๋วกงท่านยังอยู่ พวกเราก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น” มีแม่ทัพคนหนึ่งตาแดงเอ่ยอย่างฮึกเหิม  

 

 

นอกประตูมีคนรีบร้อนเดินเข้ามา ได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ยินนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม  

 

 

คนในห้องล้วนมองไปทางเขา ไม่พอใจอย่างยิ่งกับการเข้ามากะทันหันขัดบรรยากาศของเขา  

 

 

“มีเรื่องอะไร?” ขุนนางคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยถาม  

 

 

คนผู้นั้นอยากพูดก็หยุด สายตามองไปทางเฉิงกั๋วกง  

 

 

“พูดมาเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

คนผู้นั้นก้มศีรษะเทินจดหมายฉบับหนึ่งมา  

 

 

“ข่าวจากเมืองหลวงบอกว่าฝ่าบาทเรียกท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวงทันทีขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

กลับเมืองหลวงรึ  

 

 

บรรยากาศในห้องแข็งค้าง  

 

 

“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ท่านกั๋วกงกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็สมควร” แม่ทัพคนหนึ่งฝืนยิ้มนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

คนที่ส่งข่าวยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ  

 

 

“ฝ่าบาทบัญชาให้ชิงเหอปั๋วรับช่วงมณฑลเหอเป่ย เป็นจอมทัพของกำลังพล” เขาเอ่ยต่อ  

 

 

ชิงเหอปั๋ว!  

 

 

รับช่วงแดนเหนือ!  

 

 

คำพูดนี้ออกมาปุบ ผู้คนสีหน้าเปลี่ยนไปมหันต์ทันที  

ในห้องเงียบสงบไปหมด บุรุษหลายคนยืนอยู่ใต้แสงโคมสลัวดูไปแล้วใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดโกรธเกรี้ยวเช่นกัน  

 

 

“คิดไม่ถึงจริงๆ เช่นนี้แล้วเขายังรอดมาได้” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย “นี่ล้วนเพราะกองทหารชิงซานนั่น”  

 

 

“กองทหารชิงซานนี่ที่แท้เป็นเรื่องอะไรอัน? เป็นทหารที่ใครเลี้ยงไว้?” หวงเฉิงเอ่ยถาม “หาออกมาแล้วหรือยัง?”  

 

 

บุรุษหลายคนสบตากัน  

 

 

“บอกกันว่าไม่ใช่ทหารขอรับ” บุรุษคนหนึ่งพึมพำเอ่ย “เป็นโจรของเมืองชิ่งหยวน”  

 

 

“เป็นโจรจริงๆ รึ?” หวงเฉิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม  

 

 

เรื่องเกี่ยวกับภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ เดิมทีทุกคนไม่ได้สนใจ อย่างไรมีท่านหญิงเฉิงกั๋วอยู่ ช่วยคุ้มครองชาวบ้านผู้ลี้ภัยไม่เหมือนการรบกับทหารจิน นอกจากนี้หลักๆ ยังมีกองทหารซุ่นอันอยู่อีก  

 

 

รวมถึงภายหลังยังมีข่าวส่งมาอีกว่าภรรยาของท่านชายคนนี้เป็นโจร  

 

 

เช่นเดียวกันกับขุนนางทั้งหลายของเมืองเหอเจียน พวกเขาหัวเราะกับเรื่องนี้ยกหนึ่ง  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋วอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่ออกมาจากรังโจรภูเขา เจอปัญหาก็ทำได้เท่านี้ รู้จักแต่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”  

 

 

“หรือตอนนั้นที่นางจะไปเมืองต้าหมิงพบชิงเหอปั๋วก็คิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับชิงเหอปั๋วด้วย? ลูกสาวของบ้านชิงเหอปั๋วก็ไม่น้อย แต่ต้องการสู่ขอ เฉิงกั๋วกงมีเงินรึ?”  

 

 

ชิงเหอปั๋วละโมบทรัพย์ บุตรชายทั้งหลายในบ้านสู่ขอภรรยาสินเดิมของเจ้าสาวต้องมากมายก่ายกอง ส่วนลูกสาวทั้งหลายแต่งออกต้องเรียกสินสอดมากมายก่ายกอง ส่วนสินเดิมของเจ้าสาวน้อยนิด  

 

 

เพราะในบ้านลูกชายลูกสาวจำนวนมากอายุมากแล้วยังไม่แต่งงาน จึงมีคนเอ่ยกล่อมชิงเหอปั๋วทั้งในที่ลับในที่แจ้ง ชิงเหอปั๋วบอกว่าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับครอบครัวเขาได้ ประโยชน์ที่ได้ก็เกินกว่าสินเดิมเจ้าสาวกับสินสอดเล็กน้อยนานแล้ว  

 

 

แต่ตอนนี้ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นภรรยาโจรของท่านชายคนนี้พากองทหารซุ่นอันไปอี้โจวช่วยเฉิงกั๋วกงกลับมา รอยยิ้มยินดีนี่ของทุกคนก็สลายหายไปแล้ว  

 

 

กองทหารซุ่นอันกี่ชั่งกี่เหลี่ยงพวกเขาก็รู้ชัดอยู่ แม้กองทัพอุดรใต้การปกครองของเฉิงกั๋วกงล้วนเชี่ยวชาญการรบ แต่ไม่ได้กล้าหาญถึงขั้นนี้แน่นอน  

 

 

เจ็ดแปดพันคนวิ่งไปในเขตของชาวจิน ผจญศึกกับทหารจินหลายหมื่น นี่ไม่ใช่กล้าหาญ นี่บ้าไปแล้วกระมัง?  

 

 

ทว่าพวกเขาทำสำเร็จแล้ว และยังพาเฉิงกั๋วกงกลับมาด้วย  

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องที่กองทหารซุ่นอันทำได้อย่างเด็ดขาด กุญแจสำคัญของเรื่องต้องเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้แน่นอน  

 

 

ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้จึงถูกทุกคนสนใจอีกครั้ง แต่การปรากฏตัวของกองทหารชิงวซานนี่กะทันหันเกินไปแล้ว ถึงขั้นไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใด ข่าวสืบไปไร้เงื่อนงำอย่างยิ่ง  

 

 

ท้ายที่สุดจากตัวตนที่เป็นโจรนี้จึงได้ข่าวเรื่องหนึ่งจากเมืองชิ่งหยวน บอกว่าในเมืองชิ่งหยวนเดิมทีมีโจรที่ร้ายกาจนักกลุ่มหนึ่ง สังหารโจรในเขตจนเกลี้ยง ต่อมาอยู่ดีๆ ก็หายไป  

 

 

“น่าจะเป็นโจรเหล่านี้ที่เมืองชิ่งหยวนพูดถึงขอรับ” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “คนของพวกเราครั้งแรกก็ขาดการติดต่อในเขตเมืองชิ่งหยวนนี่เอง”  

 

 

หวงเฉิงครุ่นคิดขมวดคิ้ว  

 

 

“ดูเช่นนี้แล้ว คนเหล่านี้คงตายในมือภรรยาของท่านชายคนนี้ด้วย” เขาเอ่ย  

 

 

“คงบังเอิญพบเข้า” ผู้ช่วยคนหนึ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง “เพราะคนของพวกเราอ้างตัวว่าเป็นโจรดักปล้น ดังนั้นถึงถูกคนที่เรียกว่าโจรสังหารโจรเหล่านี้สังหาร”  

 

 

“แล้วก็รู้จักกับท่านหญิงเฉิงกั๋วเช่นนี้” ผู้ช่วยอีกคนเอ่ยขึ้นบ้าง  

 

 

“ดังนั้นท่านหญิงเฉิงกั๋วจึงถูกใจโจรเหล่านี้เข้า และไม่อยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับชิงเหอปั๋วแล้ว ตัดสินใจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับโจรนี่แทน” ผู้ช่วยคนหนึ่งสีหน้าประหลาดเอ่ยขึ้น “เพราะประการแรกโจรเหล่านี้ร้ายกาจ ประการที่สองสินสอดอาจถูกด้วย?”  

 

 

ได้ยินคำพูดของเขาฉับพลันก็มีคนหัวเราะพรืด  

 

 

แต่ตอนนี้สถานการณ์นี้ไม่เหมาะร่วมหัวเราะจริงๆ  

 

 

คนผู้นั้นรีบกลั้นไว้ก้มศีรษะลง  

 

 

หวงเฉิงเคาะโต๊ะ  

 

 

“ฟังดูแล้วบ้าบอนัก แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้” เขาเอ่ย “แต่แน่นอนคงไม่เรียบง่ายเช่นนี้”  

 

 

เขามองคนที่อยู่ที่นั่น  

 

 

“ติ้งโจวด้านนั้นมีข่าวอะไร?”  

 

 

เพราะก่อนหน้านี้ไม่สนใจ ดังนั้นจึงจับจ้องแต่ท่านหญิงเฉิงกั๋ว คิดว่าเรื่องทุกอย่างล้วนเป็นท่านหญิงเฉิงกั๋วจัดการ ไม่ได้สนใจภรรยาท่านชายคนนี้ด้วย  

 

 

ตอนนี้ต้องตรวจสอบนางดีๆ สักหน่อยแล้ว  

 

 

บุรุษหลายคนกลับลำบากใจอยู่บ้าง  

 

 

“หลังเข้าติ้งโจว ทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงคุมเข้ม ขุนนางทั้งหลายของท้องถิ่นล้วนไม่อาจเข้าใกล้ คนของพวกเราก็ไม่ได้ข่าวเช่นกัน” พวกเขาเอ่ย  

 

 

หวงเฉิงขานอืม กลับไม่ได้โมโห  

 

 

“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน อย่างไรเขาก็คุมเข้มทั้งชีวิตไม่ได้” เขาเอ่ย “ภรรยาท่านชายคนนี้ที่แท้ความเป็นมาอย่างไร แม้สำคัญมากแต่ก็ไม่รีบร้อน ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือจูซานยังมีชีวิตอยู่”  

 

 

เขาลุกขึ้นยืน ยันโต๊ะก้าวเดินสองก้าวเชื่องช้าอ้อยอิ่ง  

 

 

“อีกอย่างพวกเจ้าไม่อาจพูดได้ว่าท่านหญิงเฉิงกั๋วความสามารถแค่เท่านี้” เขาเอ่ย “ปีนั้นจางช่างขุนนางทหารยศอู่จิงเข้ากับฝ่ายจิน เฉินเจียงตายคาสนามรบ จูซานถูกชาวจินล้อมขังไว้เกือบตาย ก็อาศัยตระกูลอวี้นี่ จูซานถึงหลุดจากวงล้อมมาได้ โจมตีหวันเหยียนมู่ล่าถอย หนึ่งศึกสร้างชื่อ”  

 

 

เขามองบุรุษทั้งหลายด้านในห้อง  

 

 

“เปลี่ยนเป็นพวกเจ้า หากมีโอกาสหนึ่งศึกสร้างชื่อ สร้างความดีความชอบสร้างฐานะ ยังจะสนใจอีกไหมว่าภรรยาที่ตบแต่งเป็นใคร?”  

 

 

บุรุษทั้งหลายล้วนยิ้มประจบส่ายศีรษะ  

 

 

ยังมีคนหงุดหงิดอยู่บ้าง  

 

 

“ไม่สู้ตอนแรกให้ท่านหญิงเฉิงกั๋วไปพบชิงเหอปั๋วอย่างราบรื่นจะดีกว่านะขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

ต่อให้โน้มน้าวชิงเหอปั๋วให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ก็ไม่อาจมีผลลัพธ์เช่นวันนี้ได้  

 

 

“ลูกสะใภ้นี่หาได้ถูกเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง” หวงเฉิงเอ่ยต่อ “นี่คือท่านหญิงเฉิงกั๋วตระเตรียมให้บุตรชายของนางล่ะนะ”  

 

 

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มแล้ว  

 

 

“น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น ไม่มีจูซานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงลูกสะใภ้โจรคนหนึ่ง รังหนึ่งก็ไม่ไหว”  

 

 

“แต่ตอนนี้จูซานยังอยู่ นอกจากนี้ครั้งนี้กลับมาจากอี้โจว ชื่อเสียงของเขายิ่งโด่งดังแล้ว” ผู้ช่วยคนหนึ่งขมวดคิ้วแน่นเอ่ย  

 

 

“ชื่อเสียงโด่งดังเป็นเรื่องดี แล้วก็เป็นเรื่องร้าย” หวงเฉิงเอ่ย “ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบร้อน”  

 

 

ไม่รีบร้อนหรือ?  

 

 

ผู้ช่วยสบตากัน  

 

 

“ใต้เท้า จูซานผู้นั้นควบคุมแดนเหนืออีกครั้ง แดนเหนือนี่ไยไม่ใช่จะกลายเป็นใต้หล้าของเขาอีกครั้ง” บุรุษคนหนึ่งรีบร้อนเอ่ย “พวกเราลำบากนักกว่าจะทำลายฐานอำนาจที่แดนเหนือได้”  

 

 

หวงเฉิงยกถ้วยชาขึ้นมาจะพูดอะไร ด้านนอกก็มีเด็กรับใช้ชุดเขียวเข้ามา  

 

 

“นายท่านผู้เฒ่า” เขาคำนับพลางเอ่ย “ชิงเหอปั๋วมาแล้วขอรับ”  

 

 

ชิงเหอปั๋ว?  

 

 

ผู้คนในห้องล้วนตะลึง สีหน้าประหลาดใจและคิดไม่ถึง  

 

 

“ชิงเหอปั๋วเข้าเมืองหลวงแล้วรึ?” พวกเขาอดไม่ได้เอ่ยถาม  

 

 

หวงเฉิงหมุนถ้วยชาช้าๆ รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออก  

 

 

“รีบร้อนมาปานนี้เชียว” เขาเอ่ยพลางยื่นมือ “เชิญ”  

 

 

ได้ยินเสียงคำว่าเชิญ ผู้ช่วยหลายคนก็รีบไปเปิดประตู ทั้งยังก้าวไวๆ เดินออกไปยืนอยู่นอกประตูรอต้อนรับ ไม่นานในสายตาของพวกเขาบุรุษรูปร่างกำยำผู้หนึ่งก็เดินมา  

 

 

เขาอายุห้าสิบกว่าปี เส้นผมขาวประปราย แต่ร่างกายเหยียดตรงไม่แสดงสภาพแก่ชรา  

 

 

นี่คือแม่ทัพชราผู้หนึ่ง ในอดีตกุมทหารครึ่งหนึ่งไว้ เฉิงกั๋วกงจูซานก็เคยฟังคำสั่งใต้สังกัดของเขา จนวันนี้ยังคงประดับยศแม่ทัพรักษาความสงบมั่นคงของเจียงหนาน  

 

 

มองเห็นผู้ช่วยทั้งหลายเข้ามายืนต้อนรับด้านนี้ เขาก็ประสานมือยิ้มกว้างแต่ไกล  

 

 

“โจวเจียงคารวะใต้เท้าผู้เฒ่า” เขาเอ่ย เสียงกังวานพากลิ่นอายหอกโลหะอาชาเหล็กมาด้วย  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตอนที่ชิงเหอปั๋วแจ้งนามและสังกัด ลู่อวิ๋นฉีที่ตัวอยู่ในบ้านก็ได้ฟังแล้ว  

 

 

“ไม่มีคำสั่งเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงโดยพลการ” หัวหน้ากองร้อยเจียง ไม่ วันนี้กลายเป็นหัวหน้ากองพันแล้วเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืมทีหนึ่ง  

 

 

“ฆ่าซะ” เขาเอ่ย  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“ฆ่าจริงหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ดีเลวก็เป็นท่านปั๋วคนหนึ่ง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮ่องเต้ก็ดีมากด้วย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพลันยิ้ม  

 

 

“แน่นอนย่อมไม่จริง” เขาเอ่ย  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงสีหน้ายิ่งประหลาดใจ  

 

 

ดังนั้น นี่คือล้อเล่น?  

 

 

ลู่อวิ๋นฉี ล้อเล่น? นี่ล้อเล่นจริงๆ ใช่ไหม  

 

 

รอยยิ้มนี้ของลู่อวิ๋นฉีแย้มออกมาปุบก็หายไป จากนั้นกลับมาราบเรียบ  

 

 

“พวกเราแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่อาจตัดสินใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราเพียงฟังพระบัญชา”  

 

 

ดังนั้นชิงเหอปั๋วเข้าเมืองหลวงโดยพลการจะจัดการอย่างไร เป็นเรื่องของฮ่องเต้ ส่วนพวกเขาเพียงต้องทำตามพระบัญชาของฮ่องเต้ก็พอแล้ว  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงย่อมเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ตอนนี้สิ่งที่เขาใส่ใจสนใจก็ไม่ใช่ชิงเหอปั๋ว แต่เป็นลู่อวิ๋นฉี  

 

 

หนึ่งรอยยิ้มหนึ่งหุบยิ้มนี่พิสูจน์ว่ารอยยิ้มนี้ของเขาออกมาจากในใจ ในใจเขาตอนนี้กำลังพอใจอย่างยิ่ง เบิกบานใจยิ่ง สุขใจอย่างยิ่ง  

 

 

เรื่องอันใด? หัวหน้ากองพันเจียงมองดูลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ย  

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงได้สติกลับมาก็รีบขานตอบ  

 

 

“เฉิงกั๋วกงเข้าติ้งโจวมาแล้วขอรับ องครักษ์เสื้อแพรด้านนั้นมีข่าวส่งกลับมาบ้าง ความเป็นมาของภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงผู้นี้…” เขารายงาน  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียิ้มอีกครั้งแล้วขัดเขา  

 

 

“ความเป็นมาของภรรยาท่านชายคนนี้ยังต้องสืบอีกหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “โจรที่มาจากเมืองชิ่งหยวน นอกจากนางยังมีใครอีก”  

ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงไม่ได้ผ่านเมืองติ้งโจวไปโดยไม่เข้า  

 

 

ทัพใหญ่ทำตามกฎตั้งทัพอยู่นอกเมือง ส่วนเฉิงกั๋วกงกับรองแม่ทัพทหารคนสนิทเข้าเมืองภายใต้การต้อนรับเชื้อเชิญของขุนนางเมืองติ้งโจว  

 

 

นี่เดิมทีก็เป็นเมืองของเขา  

 

 

เฉิงกั๋วกงปกครองมณฑลเหอเป่ย สามกองทหารฟังคำสั่ง เมืองให้ความช่วยเหลือ  

 

 

แม้รุกถอยขัดกับพระประสงค์ของฮ่องเต้ จนคนส่วนหนึ่งของสามเหล่าทัพถอนกำลังทหารไม่เชื่อฟังการสั่งการของเฉิงกั๋วกง แต่ตอนนี้เฉิงกั๋วกงกลับมาแล้ว ไม่ได้ขัดขืนพระประสงค์ของฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังไม่ได้ถูกฮ่องเต้ลงโทษปลดจากตำแหน่ง เขาก็ยังคงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมณฑลเหอเป่ยแห่งนี้  

 

 

เขานำทัพบุกจู่โจมเขตของชาวจิน บีบชาวจินให้ไม่อาจไม่กลับไปป้องกันทั้งกองทัพ เขายังใช้ทหารได้ประหนึ่งเทพ ห้าวหาญไร้คู่ต่อกรดุจเดิม  

 

 

นอกจากนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังร่างกายแข็งแรงเปี่ยมกำลังวังชา  

 

 

เขายังคงเป็นขุนเขาใหญ่แห่งแดนเหนือ ทรงอำนาจไม่ล้ม  

 

 

หลังพบหน้าในห้องโถงใหญ่ งานเลี้ยงก็จัดขึ้น ยกเนื้อชามโต สุราถ้วยใหญ่มา  

 

 

บรรดาขุนนางกับแม่ทัพของติ้งโจวพากันลุกขึ้นยืน ต้องการคารวะสุราก็เห็นสตรีเยาว์วัยที่ยืนอยู่หลังร่างเฉิงกั๋วกงกระซิบข้างหูเขาหลายประโยค  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

สตรีเยาว์วัยผู้นั้นจึงสั่งการบ่าวหญิงด้านข้างให้หยิบอาหารบางอย่างจากในงานเลี้ยงวางไว้ด้านหน้าเฉิงกั๋วกง  

 

 

ในห้องโถงใหญ่เงียบกริบไร้เสียงมองดูภาพนี้อย่างเงียบงัน  

 

 

“ท่านกั๋วกงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาหารการกินมีของที่ทานไม่ได้อยู่บ้าง” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ยอธิบายกับผู้คน  

 

 

ที่แท้ก็ได้รับบาดเจ็บรึ  

 

 

สายตาของขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายล้วนจับอยู่บนร่างของเฉิงกั๋วกง ดูไปแล้วไม่มีปัญหาใหญ่อะไร  

 

 

แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนถนอมร่างกายเป็นพิเศษ หลังศึกใหญ่มากน้อยก็ต้องบำรุงรักษาดีๆ  

 

 

ดังนั้นผู้คนล้วนพยักหน้าขานรับ ยังมีคนจะเรียกหมอมาทันที  

 

 

“ไม่จำเป็น ทานยาที่ถูกต้องกับโรคแล้ว” สตรีคนนั้นอมยิ้มเอ่ย  

 

 

ผู้คนมองเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง เห็นเขายังคงอมยิ้มไม่พูดจา  

 

 

ผู้คนยิ่งไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก  

 

 

มีบ่าวหญิงรีบจะนำไหสุราออกไปด้วย  

 

 

“สุรานี่” คุณหนูจวินเอ่ย มองดูผู้คนด้านในโถง “วันนี้เป็นโมงยามแห่งความยินดี ควรดื่ม”  

 

 

สุราดื่มได้รึ  

 

 

บรรดาขุนนางแม่ทัพรีบยกถ้วยสุราจะเชิญ  

 

 

คุณหนูจวินกลับถือสุราขึ้นมา  

 

 

“แต่เฉิงกั๋วกงดื่มไม่ได้” นางเอ่ย  

 

 

ในใจจูจั้นกระตุกวูบ เหล่ตามอง สายตาของคุณหนูจวินมองมาทางเขาจริงๆ  

 

 

“…บิดาบุตรร่วมออกศึก” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ยแล้ววางไหสุราข้ามมา “สุรานี้ให้ท่านชายดื่มแทนแล้วกัน”  

 

 

สายตาของผู้คนมองไปทางจูจั้น  

 

 

จูจั้นที่มือเท้าหน้าผากอยู่สะบัดวูบหนึ่งพลันนั่งตัวตรง  

 

 

“นั่นแน่นอน” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าเอ่ยขึ้น ยื่นมือยกไหสุราขึ้นมา “มามา คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”  

 

 

ผู้คนด้านในโถงก็ชูจอกสุราขึ้นหัวเราะฮ่าฮ่าประสานรับ  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มถอยหลังไป  

 

 

ผู้คนดื่มสุราพลางสนทนาปราศรัยกัน ทว่าสายตาล้วนแอบลอบมอง เห็นนางกระซิบกับเฉิงกั๋วกงหลายประโยคอีกครั้ง เฉิงกั๋วกงก็อมยิ้มพยักหน้า สตรีคนนั้นจึงถอยออกไปด้านข้าง  

 

 

จนตอนนี้ในใจผู้คนถึงโล่งอกอยู่บ้าง แล้วก็เกิดความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

คล้ายกับว่าเฉิงกั๋วกงกับท่านชายสองพ่อลูกล้วนชะเง้อมองหัวม้าของสตรีผู้นี้เพียงผู้เดียว  

 

 

สตรีผู้นี้ใครกัน?  

 

 

“เจ้าไม่รู้รึ” แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบากับขุนนางที่เดินทางมาใหม่ข้างกาย “นี่ก็คือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงไง”  

 

 

ที่เฉิงกั๋วกงกลับมาจากอี้โจวได้ก็เพราะภรรยาบุตรชายคนนี้โน้มน้าวกองทหารซุ่นอัน ทั้งยังเดินทางติดตามไปด้วยตนเอง  

 

 

“ดังนั้นเฉิงกั๋วกงกับท่านชายล้วนฟังนางก็ไม่แปลกอะไร” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นั่นเป็นบุญคุณช่วยชีวิตเชียวนะ”  

 

 

คนด้านหน้าก็อดไม่ไหวหันกายมา  

 

 

“ภรรยาท่านชายคนนี้เป็นใครกัน?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ได้ยินว่าร้ายกาจยิ่งนัก นำกองทหารชิงซานอะไรที่ถืออาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจมากมาย ไม่เช่นนั้นลูกลิงพวกนั้นของกองทหารซุ่นอันไม่กี่พันคนจะเหยียบราบทุกทิศได้อย่างไร”  

 

 

“จะเป็นใครได้เล่า” มีคนเอ่ยเสียงเบา “ก็คงเหมือนกับท่านหญิงเฉิงกั๋ว”  

 

 

คนรอบด้านเลิกคิ้วทันที แววตาระยิบระยับ  

 

 

“เป็นโจรอีกแล้วรึ?” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา มองไปทางเฉิงกั๋วกงที่กำลังสนทนาปราศรัยกับบรรดาแม่ทัพยศสูงด้านหน้าอยู่ รวมถึงท่านชายที่กำลังหิ้วไหสุราชนจอกสำราญกับแม่ทัพที่มาพูดคุยอยู่ข้างกายบิดา สีหน้าเห็นใจอยู่บ้าง  

 

 

พ่อลูกสองคนนี้ล้วนติดหนี้น้ำใจโจร ไม่อาจไม่มอบกายตอบแทน ดังนั้นจึงบอกว่าบุรุษหน้าตางามก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร  

 

 

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร  

 

 

“แต่งลูกสะใภ้โจรคนหนึ่งแล้วร้ายกาจได้ปานนี้ล่ะก็ ข้าก็ยินดี” มีคนอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น  

 

 

“จะมาถึงเจ้ารึหึ ไม่ดูสภาพหน้าตาของเจ้าเสียบ้าง” ผู้คนรอบด้านสบถแล้วหัวเราะขึ้นมา  

 

 

หน้าหลังล้วนมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ในห้องโถงอบอวลบรรยากาศรื่นเริง  

 

 

……………………………………….  

 

 

……………………………………….  

 

 

จูจั้นรู้สึกเพียงปวดหัวแทบปริแยก  

 

 

เขากุมหน้าผากพลิกกาย กอดผ้าห่มนุ่มนิ่มไว้  

 

 

“เจ้าหนูฝูงนี้ ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย คนมากรังแกคนน้อย” เขาเอ่ยพึมพำ  

 

 

มีผ้าเช็ดหน้าเย็นวางลงบนหน้าผาก ทำให้เขารู้สึกตัวอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

มีคน คนแปลกหน้า เข้าใกล้เขา  

 

 

จูจั้นลืมตาขึ้นโดยพลัน มองเห็นใบหน้าของคุณหนูจวินที่ค้อมกายเข้ามาใกล้  

 

 

“คุณพระ! เจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาตะโกน ยกมือผลักไป  

 

 

คุณหนูจวินหลบออก  

 

 

“ดูว่าท่านตื่นหรือยัง” นางเอ่ย จากนั้นบ่ายหน้ามองโต๊ะเตี้ยข้างเตียง บนนั้นวางถ้วยยาใบหนึ่งอยู่ “ดื่มยาแล้วที่ปวดหัวจะดีขึ้น”  

 

 

จูจั้นรั้งมือกลับ มองนางอย่างระแวง  

 

 

“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าแสร้งทำเอง” เขาเอ่ย “ให้สาวใช้สักคนมาก็ได้แล้ว”  

 

 

พูดพลางยื่นมือยกถ้วยยา  

 

 

“ไม่มีธุระอย่าเข้ามาในห้องข้า” เขาดื่มยาไปพลางเอ่ยงึมงำออกมาพลาง  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วแย้มยิ้ม  

 

 

“นี่เป็นห้องข้า ท่านอยู่บนเตียงของข้า” นางเอ่ยบอก  

 

 

จูจั้นพ่นน้ำยาออกมาดังพรวด ไม่ทันสนใจเช็ดก็ส่ายหัวมองซ้ายขวา  

 

 

พวกเขาถูกจัดให้พักที่จวนว่าการเมืองของเมืองติ้งโจวซึ่งบูรณะได้หรูหรายิ่งนัก  

 

 

ความอบอุ่นกับกลิ่นหอมวนเวียน ตกแต่งงามละมุน สี่มุมเตียงยังมีม่านลูกปัดห้าสีทิ้งตัวลงมา ซุกซนทั้งยังน่ารักเห็นชัดว่าเป็นห้องของสตรี  

 

 

ไม่ใช่ห้องของตนจริงๆ  

 

 

“ข้ามาที่นี่ของเจ้าได้ยังไง?” เขาตะโกน ก้มศีรษะมองบนร่างตนเอง ที่ใส่อยู่คือเสื้อตัวในที่ตนใช้ประจำ  

 

 

เขาห้ามไม่อยู่ร้องอ้ากทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้า…” เขามองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าทั้งลนลานทั้งโศกเศร้าคับแค้น “เจ้าถอดเสื้อผ้าข้า!”  

 

 

คุณหนูจวินกลอกตาทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าเมืองติ้งโจวจัดสาวใช้ที่ดีที่สุดห้าคนให้” นางเอ่ย “ต่อให้ท่านดื่มจนเมาอีกเท่าใด พวกนางก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านได้”  

 

 

จูจั้นตอนนี้ถึงวางมือลงจากหน้าตัวอย่างระวัง  

 

 

“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ของเจ้าได้?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“ข้าก็ไม่ทราบ คนเหล่านั้นส่งท่านมา” คุณหนูจวินเอ่ย “บางทีพวกเขาคงลืมแล้วว่าพวกเราเป็นคู่หมั้นที่ยังไม่แต่งงาน แต่ละคนๆ ดื่มจนเมามาย คงคิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว”  

 

 

สามีย่อมต้องพักด้วยกันกับภรรยา  

 

 

“อย่างไรข้าก็ไม่อาจไล่ท่านออกไปได้กระมัง” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่ท่านวางใจ ข้าไม่นอนด้วยกันกับท่านหรอก”  

 

 

เชอะเชอะเชอะ นอนด้วยกันคำพูดสกปรกเช่นนี้นางก็พูดออกจากปากได้สบายๆ ปานนี้ เป็นคนไม่เรียบร้อยคนหนึ่งจริงๆ!  

 

 

จูจั้นถลึงตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลันหัวเราะหยันเสียงหนึ่ง  

 

 

“ที่แท้เจ้าก็หมายตาสิ่งนี้ไว้” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินมองเขา  

 

 

“ท่านคิดอะไรอีกแล้วเล่า?” นางเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง  

 

 

“มิน่าคืนวานเจ้าถึงให้ข้าดื่มสุราแทนพ่อข้า ที่แท้ก็หมายตาสิ่งนี้ไว้” จูจั้นยื่นมือชี้นาง “อาศัยยามข้าเมา ทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก…”  

 

 

คุณหนูจวินโกรธนักแล้วก็ขันนัก ยกมือขึ้นตบมือของเขาลงไป  

 

 

“จูจั้น” นางตะโกน “ท่านคิดเรื่องดีงามอะไรหึ!”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ข้าไม่ได้คิดเรื่องดีงาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกสิเจ้าทำเช่นนี้ทำไม?” จูจั้นพูดขึ้นมา เก็บรอยยิ้มหยันไป สีหน้าเคร่งขรึม “ตัวเจ้าเองก็บอก หากไม่ใช่พ่อข้าคงไม่มีทางเสี่ยงอันตรายเข้าไปในอี้โจว”  

 

 

คุณหนูจวินเงียบงัน  

 

 

“ข้ารู้ว่าโลกนี้มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ แต่โลกนี้ไม่เคยมีความรักความชังที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ” จูจั้นเอ่ยต่อ “ที่แท้เพราะเหตุใดเจ้าถึงใส่ใจพ่อข้าแม่ข้าเช่นนี้ ไม่เสียดายเอาตัวเสี่ยงอันตราย?”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“เพราะนี่เป็นเรื่องดีงามอย่างไรเล่า” นางเอ่ยขึ้น พูดจบก็หมุนตัวจะจากไป  

 

 

จูจั้นกระโดดลงมาจากบนเตียง เท้าเปล่าไล่ตาม  

 

 

“เจ้าห้ามไป เรื่องนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง” เขาเอ่ยขึ้น  

 

 

เสียงโต้เถียงเบาๆ ในห้องท่ามกลางฟ้าสางฤดูใบไม้ผลิ ฟังดูแล้วฉายความชีวิตชีวาเด่นชัด เอะอะแต่อบอุ่น  

 

 

สาวใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านนอกสบตากันทีหนึ่ง  

 

 

ท่านชายกับภรรยาของท่านชายความสัมพันธ์ดีจริงๆ  

 

 

หนุ่มหล่อสาวสวย สามีภรรยากลมเกลียว สรุปเป็นเรื่องดีงามที่ทำให้คนมีความสุข  

 

 

สาวใช้ทั้งหลายในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  

 

 

แต่เมืองหลวงเวลานี้ หวงเฉิงที่สวมเสื้อตัวในนั่งอยู่ในห้องหนังสือกลับไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีเรื่องดีงามอะไรที่ทำให้คนมีความสุข  

 

 

อากาศยิ่งอบอุ่นขึ้นทุกทีๆ การหอบไอของเขาก็ยิ่งหนักขึ้น บุปผาใบไม้ผลิปุยต้นหลิวทำให้จมูกของเขาทรมาน  

 

 

ใบไม้ผลิมาเยือนอีกหน อายุของเขาก็ชราลงอีกหนึ่งปี แก่ลงหนึ่งปีก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายก้าวหนึ่ง  

 

 

เขากลับไม่กลัวความตายเท่าไรนัก เพียงแต่คนที่อยากให้ตายยังไม่ตาย ทำให้คนไม่มีความสุขนักจริงๆ  

 

 

“ถึงขั้นนี้ยังไม่ตาย ดวงของจูซานคนนี้แข็งจริงๆ นะ” เขาถอนหายใจเอ่ย  

ในกระโจมที่ต้มยาเงียบไปครู่หนึ่ง  

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้นพลางเบะปาก คล้ายอยากพูดอะไรก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้พูด  

 

 

“เลอะเทอะ” ในที่สุดนางก็กลอกตา หมุนตัวยกหม้อยาขึ้นมา  

 

 

“เจ้าอย่าแกล้งโง่” จูจั้นแค่นเสียงตามมา มองคุณหนูจวินเทยาที่ต้มออกมาช้าๆ  

 

 

น้ำยาเข้มข้นดำดุจหมึก กลิ่นขมที่มีกลิ่นหอมอยู่บ้างพริบตาท่วมจมูก  

 

 

“ข้าแกล้งโง่อะไร” คุณหนูจวินเอ่ย ไอร้อนควันขาวลอยฟุ้งจนใบหน้าพร่ามัวอยู่บ้าง “บิดาท่านไม่ได้บอกท่านว่าเรื่องหมั้นเป็นเรื่องหลอกรึ? กลอุบายเฉพาะหน้าเท่านั้น ท่านอย่าคิดมาก”  

 

 

จูจั้นแค่นเสียง  

 

 

“ลูกไม้เช่นนี้ของเจ้าข้าเห็นมาเยอะแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินวางถ้วยยาลงบนถาด  

 

 

“ลูกไม้อะไรหืม?” นางเอ่ยปากถามตาม หยิบสมุนไพรต้นหนึ่งออกมาจากใน**บยา ใช้มีดเล็กหั่นละเอียดอย่างบรรจง  

 

 

เสียงกึกกึกกึกกังวานเบาๆ ที่ดังขึ้นในกระโจมไม่ทำให้คนรู้สึกรำคาญ ตรงกันข้ามกลับสงบใจอย่างประหลาด  

 

 

ทำหน้าทำตาจริงจังเช่นนี้ กลับแลดูเป็นเขาที่โวยวายไร้สาระ  

 

 

จูจั้นถลึงตา แต่ก็ไม่อาจระเบิดโทสะได้ อย่างไรนี่ก็เป็นยาที่เตรียมให้บิดาของเขา  

 

 

“ถอยเพื่อรุก” เขาอดทนกัดฟันเอ่ย “อยากรับกลับปฏิเสธ จงใจบอกว่าเจ้าหวังทำเรื่องนี้เพียงเพราะคุณธรรมยิ่งใหญ่ ภรรยาของท่านชายเป็นเพียงกลอุบายเฉพาะหน้า เจ้าไม่มีทางถือเป็นจริงแล้วก็ไม่สนใจชื่อเสียงถูกลากเสียหาย หลังจากนั้นพ่อแม่ข้าก็จะสงสารเจ้า ยิ่งชอบเจ้า เจ้าก็จะได้สมปรารถนาเป็นรางวัล”   

 

 

คุณหนูจวินโปรยสมุนไพรที่หั่นเรียบร้อยแล้วลงในถ้วยยา ช้อนสายตาขึ้นมองเขา  

 

 

“ปรารถนาอะไร? รางวัลอะไร?” นางเอ่ย  

 

 

“เสแสร้งอะไรเล่า” จูจั้นเอ่ย “เอาจริงเอาจังหน่อย พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ อย่ามาเล่นแบบนี้”   

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“พอแล้ว ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ได้อยากได้ท่านตาเป็นมันหรอก” นางเอ่ย “ทำไมข้าจะคุณธรรมยิ่งใหญ่ช่วยบ้านเมืองช่วยประชาชนไม่ได้เล่า? หรือข้าไม่ใช่คนประเภทนั้นหรือ?”  

 

 

จูจั้นหัวเราะเฝื่อนๆ สองที  

 

 

“เจ้าเป็นคนประเภทนั้นรึ?” เขาย้อนถาม “ไม่มีต้นสายปลายเหตุเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้รึ?”  

 

 

คุณหนูจวินเอนศีรษะคิดนิดหนึ่ง  

 

 

“คิดเช่นนี้แล้วก็ไม่จริงๆ หากไม่ใช่พ่อแม่ของท่าน การคุ้มครองประชาชนที่ป้าโจวเหอเจียน ไม่มีเงินข้าก็คงได้ แต่อี้โจวล่ะก็…” นางเอ่ยช้าๆ แล้วส่ายศีรษะ “น่าจะไม่มีทางไป”  

 

 

“เจ้าดูสิ ใช่หรือไม่!” จูจั้นตะโกน “เจ้ายังบอกไม่ใช่เพราะข้า?”  

 

 

คุณหนูจวินพ่นเสียงหัวเราะ  

 

 

“จูจั้น” นางร้อง “ท่านพอเถอะ”  

 

 

“พออะไร อุบายของพวกเจ้าผู้หญิงเช่นนี้ข้ารู้ชัดนัก” จูจั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง  

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา ยกถาดเดินออกไปข้างนอก  

 

 

จูจั้นตามนางไป  

 

 

“เรื่องที่เจ้าทำให้พ่อแม่ข้า ข้าขอบคุณยิ่ง เจ้ามีเงื่อนไขอะไร เจ้าต้องการอะไรล้วนเอ่ยปากได้ทั้งสิ้น”  

 

 

“มีเพียงเรื่องเดียว เอาตัวทดแทน อย่าฝัน”  

 

 

“ต่อให้พ่อแม่ข้าตกลง ข้าก็ไม่มีทางตกลง อย่าคิดว่าเอาชนะใจพ่อแม่ข้าได้แล้วจะบีบบังคับข้าได้”  

 

 

คุณหนูจวินกลอกตา  

 

 

“จูเอ้อร์เสี่ยว” นางเอ่ยขึ้นแล้วหันหน้ามามองเขา “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ได้ต้องใจท่าน ท่านอย่ากังวลเรื่องใหญ่ในชีวิตท่านไปก่อนปานนี้เลย ไม่ต้องโวยวายหนวกหูกับข้า ให้ข้าส่งยารักษาอาการบาดเจ็บให้บิดาท่านก่อนดีหรือไม่?”  

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะ  

 

 

“ใครให้เจ้าเรียกข้าว่าจูเอ้อร์เสี่ยว?” จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้อีกครั้งถลึงตาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินกลอกตาใส่เขาอีกหน เลิกกระโจมขึ้นเดินออกไป  

 

 

จูจั้นติดตามไป มองแผ่นหลังของผู้หญิงคนนี้ ได้กลิ่นหอมของยาเข้มข้นกำจายมาตลอดทาง เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมพรูลมหายใจ  

 

 

“ไม่ต้องใจข้า?” เขายื่นมือจับปลายคาง เลิกคิ้วยิ้มหยัน “คำพูดนี้ใครเชื่อเล่า ข้าคนเช่นนี้ ใครไม่ต้องใจบ้าง?”  

 

 

สิ้นเสียงปลายหางตาก็มองเห็นมีคนยืนหยุดเท้าอยู่ไม่ไกลออกไป  

 

 

เขาคิ้วตั้งมองไป  

 

 

“คุณชายหลิง…” เหลยจงเหลียนหลุดปากเรียกแล้วรีบส่ายศีรษะ ท่าทางตื่นเต้นอยู่บ้าง “ไม่ ไม่ ท่านชาย”  

 

 

จูจั้นมองเขาแต่ไม่เอ่ยวาจา  

 

 

“ท่านชายท่านยังจำข้าได้ไหมขอรับ?” เหลยจงเหลียนเอ่ย สีหน้ายากปิดบังความเคารพ  

 

 

ครั้งนั้นแม้คุณชายหลิงจิ่วทำให้เขาเลื่อมใสอยู่บ้างเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ไม่ได้คบหาลึกซึ้ง ยิ่งผนวกกับตอนนั้นภาพลักษณ์ของเขาตอนนั้นก็ช่าง…  

 

 

วันนี้ได้รู้ว่าหลิงจิ่วก็คือบุตรชายเฉิงกั๋วกง แล้วได้ยินว่าท่านชายขัดขวางการโจมตีของกองทัพจินที่เป่าโจวกับสยงโจวปกป้องประชาชนอพยพ เขาก็ยิ่งเลื่อมใส  

 

 

ต้องรู้ว่าทหารที่ท่านชายนำไปไม่มากเท่าพวกเขาและไม่มีอาวุธร้ายเหล่านี้ของพวกเขา ขัดขวางโจรจินปกป้องประชาชนอพยพยากกว่าที่เขาประสบกับตนเองมากมายนัก  

 

 

จูจั้นมองเขาพลันหรี่ตาลง  

 

 

“แน่นอนจำเจ้าได้สิ” เขาเอ่ย “เจ้าอีกแล้ว”  

 

 

เหลยจงเหลียนตะลึงเล็กน้อย  

 

 

“มองอะไรเล่า มองอีกก็จ่ายเงินมา” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ สะบัดแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป  

 

 

ที่จริงพบหน้าไม่สู้ได้ยินชื่อเสียง ชื่อเสียงความความน่านับถือของบุตรชายเฉิงกั๋วกงอยู่ในคำเล่าลือจะดีกว่า  

 

 

เหลยจงเหลียนยืนอยู่ที่เดิมพลางคิด  

 

 

……………………………………….  

 

 

ใบไม้ผลิอบอุ่นบุปผาแย้มบาน แสงตะวันงดงามส่องสูง ความหนาวเหน็บฤดูหนาวถูกกวาดไปหมดสิ้นแล้ว สายลมฤดูใบไม้ผลิก็เปลี่ยนไปไม่ชวนให้คนเบิกบานปานนั้นแล้ว สายลมแรงหอบหนึ่งพัดผ่านฝุ่นดินปลิวฟุ้ง  

 

 

บนถนนใหญ่กีบเท้าม้าย่ำเหยียบ ขบวนคนแถวหนึ่งเคลื่อนผ่านอย่างอลังการ ธงสีคลี่สะบัด ชุดเกราะสีแดงใต้แสงตะวันล้วนสว่างตาเป็นพิเศษ  

 

 

ด้านหน้าทหารม้า ตรงกลางทหารเดินเท้า ด้านหลังรถสัมภาระ รถเสบียงเคลื่อนตามอลังการ  

 

 

ม้าเร็วแถวแล้วแถวเล่าควบเร็วรี่ด้านหน้าแล้ววิ่งกลับมาเป็นระยะ แจ้งข่าวสถานที่ที่มาถึงเบื้องหน้า  

 

 

การเดินทางของกองทหารกองนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

แม่ทัพกองกำลังรักษาเมืองของอำเภอถังเซี่ยนมองกองทหารบีบเข้าใกล้อยู่ไกลๆ ทั้งตระหนกทั้งหวาดผวา แต่ยังดีไม่นานก็ได้รู้ว่านี่เป็นกองทหารของเฉิงกั๋วกงที่ถอนกำลังกลับมาจากอี้โจวซึ่งพักอยู่ที่ด่านอันหยาง  

 

 

“ที่แท้เป็นเฉิงกั๋วกงถอนค่ายหรือ?”  

 

 

ขุนนางทั้งหลายของอำเภอถังเซี่ยนรีบวิ่งขึ้นกำแพงเมืองมองไปนอกเมือง  

 

 

ตอนเฉิงกั๋วกงจากอี้โจวเข้ามาในติ้งโจว พวกเขาล้วนได้ข่าว ในฐานะขุนนางผู้น้อยพวกเขาไปไถ่ถามด้วยตนเองทันที แต่เหมือนเช่นแม่ทัพทั้งหมดของเมืองติ้งโจวล้วนถูกปฎิเสธอยู่นอกประตู  

 

 

ไม่มีใครได้พบเฉิงกั๋วกง  

 

 

ทุกคนพากันคาดเดาว่าเฉิงกั๋วกงอาจบาดเจ็บหนัก โดยเฉพาะเมื่อหลายวันก่อนบุตรชายเฉิงกั๋วกงเร่งเดินทางมาถึง จากที่คนซึ่งสอดส่องอยู่นอกค่ายใหญ่บอก บุตรชายเฉิงกั๋วกงดวงตาแดงก่ำ ทุกวันคิ้วขมวดไม่คลาย  

 

 

ไม่แน่ว่าเฉิงกั๋วกงอาจไม่ไหวแล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงตายปุบผลกระทบมากเกินไป ดังนั้นคนเหล่านี้จึงยื้อได้ยื้อ ปกปิดได้ก็ปกปิด  

 

 

ตอนนี้ยื้อไม่อยู่แล้วหรือ?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายที่ยืนอยู่บนกำแพงมองไปอย่างกังวล กองทหารบนถนนใหญ่ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงขึ้นด้วย  

 

 

กองทหารกองนี้ยิ่งใหญ่ ใบหน้าของทหารก็เคร่งขรึม มีความหดหู่ถูกทอดทิ้งสักนิดที่ไหน  

 

 

“ไม่ได้บอกว่าสูญทหารเสียแม่ทัพรึ”  

 

 

“ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกงล้วนตายเกลี้ยงแล้ว รบเจ็บระนาวแล้วหรือ?”  

 

 

บนกำแพงคนไม่น้อยถกเถียงเสียงเบา มองดูกองหทารที่ใกล้เข้ามาทุกที รู้สึกเพียงอำนาจกดดันโถมเข้าใส่  

 

 

อำนาจกดดันประเภทที่ผ่านพิธีชำระล้างจากขุนเขาซากศพทะเลเลือดออกมาเช่นนั้น  

 

 

“เร็ว เร็ว ต้อนรับท่านกั๋วกง” แม่ทัพคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก  

 

 

เสียงตะโกนนี้ทำให้คนรอบด้านสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง  

 

 

ตามที่หารือกันแต่เดิม พวกเขาคิดจะไม่ให้กองทหารของเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง อย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าราชสำนักจะพิพากษาการกระทำของเฉิงกั๋วกงว่าอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงบาดเจ็บหนักใกล้ตาย  

 

 

ย่อมไม่อาจล่วงเกินราชสำนักเพื่อคนตายคนนี้ได้  

 

 

แต่ตอนนี้ไม่เห็นก็แล้วไป เห็นเข้าความคิดก่อนหน้าล้วนมลายสิ้นแล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกง อย่างไรก็เป็นเฉิงกั๋วกงล่ะนะ โฉมหน้าของกองทัพกระบวนทัพนี่ทำให้คนหวาดกลัวนับถือ  

 

 

คนอื่นก็ตัดสินใจจะพากันลงไปต้อนรับด้วยทันที แต่กลับเห็นกองทัพใหญ่ไม่หยุดสักนิด อ้อมตัวอำเภอตบเท้าตึงตึงจากไป  

 

 

ทิศทางที่ไปคือเมืองติ้งโจว  

 

 

บรรดาขุนนางของติ้งโจวตั้งแต่แรกรู้ว่าทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงถอนค่ายแล้ว  

 

 

นอกเมืองติ้งโจวก็มีขบวนคนยืนนิ่งนานแล้ว หลังร่างพวกเขารอบด้านยังมีชาวบ้านนับไม่ถ้วนรวมตัวมา คนทั้งหมดสีหน้าตื่นเต้นมองไปยังที่ไกลออกไป  

 

 

พื้นดินส่งเสียงดัง กีบเท้าม้าดั่งอสนีบาต กองทหารกองหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน  

 

 

ร่างกายของพวกเขาเหยียดตรง ชุดเกราะเหล็กชั้นดี เอวห้อยคันศรดาบยาว แผ่นหลังสะพายกระบอกศร ขบวนแถวเป็นระเบียบอำนาจน่าเกรงขามดั่งขุนเขาเคลื่อนมา  

 

 

ในขบวนแถวธงตั้งเรียงราย ธงใหญ่สามผืนชูสูงเด่น  

 

 

ผืนหนึ่งตรงกลางสีเหลืองขอบสีแดง ด้านบนเขียนว่ากองทหารซุ่นอันสามคำ  

 

 

ผืนหนึ่งสีแดงสดอักษรสีทอง ด้านบนเขียนว่ากองทหารชิงซานสามคำ  

 

 

และธงพื้นขาวอักษรดำขอบเปลวเพลิงผืนใหญ่ที่ถูกธงสองผืนนี้ล้อมอยู่ตรงกลางผืนนี้ ด้านบนเขียนอักษรอยู่เพียงคำเดียว จู  

 

 

เฉิงกั๋วกง จูซาน  

 

 

เป็นธงใหญ่ของเฉิงกั๋วกงจูซาน  

 

 

พร้อมกับม้าหลายตัวที่วิ่งทะยานไปมา กองทหารก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที หลังครู่หนึ่งเสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมพลันดังขึ้น ทัพใหญ่หยุดลง นอกจากธงสะบัดพรึบพรับก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก  

 

 

เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง กระบวนทัพแยกออกสองด้าน รถใหญ่คันหนึ่งขับออกมาช้าๆ ธงใหญ่อักษรจูผืนนั้นก็ปักตั้งอยู่บนรถคันนี้เอง  

 

 

เมื่อรถขับออกมา คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนรถก็ลุกขึ้นยืนด้วย  

 

 

เขาสวมเกราะหนักสีเงินยวง รูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับไม่ดุร้ายเหมือนแม่ทัพผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาเป็นเหตุ  

 

 

มองเห็นคนผู้นี้ลุกขึ้นยืน ฝูงชนที่เดิมทีเอะอะอนู่นอกเมืองติ้งโจวพลันเงียบกริบไม่ส่งเสียง ข้างในข้างนอกคล้ายหยุดชะงัก สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องคนผู้นี้ก้าวเท้ามั่นคงเดินลงจากรถ รับดาบใหญ่ที่ทหารคนสนิทด้านข้างเทินส่งให้ ควงดาบเป็นบุปผาอย่างสบายๆ ทีหนึ่ง แล้วปักดาบใหญ่ลงบนพื้นหนักๆ  

 

 

พื้นดินคล้ายถูกสะเทือนสั่นไหว  

 

 

“ข้าจูซาน กลับมาแล้ว” เสียงอบอุ่นดังขึ้นตามมา  

 

 

พร้อมกับสิ้นเสียงนี้ ฝูงชนที่เงียบสงบฉับพลันฮือฮาขึ้นมา ชาวบ้านนับไม่ถ้วนร้องตะโกนเสียงดังหัวเราะลั่น แล้วยังมีคนคุกเข่าดังตึกๆ ตามต่อกัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“ท่านกั๋วกง!”  

 

 

เสียงตะโกนดั่งขุนเขาคำรามทะเลกรีดร้อง ทั้งโลกคล้ายจะเดือดพล่านขึ้นมา  

 

 

ขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมองดูภาพนี้ล้วนสีหน้าปั้นยาก  

 

 

“ครั้งนี้ไม่ตายกลับมา ชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงยิ่งรุ่งโรจน์แล้ว” ขุนนางพลเรือนคนหนึ่งถอนหายใจเบาๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

ได้ยินเสียงร้องตะโกนยินดี มองดูชาวบ้านตรงหน้าดีใจคลุ้มคลั่ง สีหน้าขุนนางทั้งหลายปั้นยากหวาดกลัว รอยยิ้มบนหน้าคุณหนูจวินยิ่งกว้าง  

 

 

มีคนกระแอมหนักๆ หลังร่างนางทีหนึ่ง  

 

 

“เจ้าเสนอความคิดเห็นพิเรนทร์อะไร พ่อข้าไม่เคยแสดงดาบใหญ่ต่อหน้าผู้คนมาก่อน” จูจั้นกดเสียงเบาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “โอ้อวดเกินไปแล้ว”  

 

 

“ไม่โอ้อวดเกินไปนะ” คุณหนูจวินหันหน้ามายิ้มให้เขา “ข้ารู้สึกว่าน่าดูนัก”  

 

 

แล้วยื่นมือชี้ไปด้านหน้าอีกครั้ง  

 

 

“ทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าน่าดู งดงามยิ่ง ตื่นตะลึงนัก“  

 

 

นี่ถึงเป็นฉากเปิดตัวที่เฉิงกั๋วกงสมควรมี ไม่ใช่บาดเจ็บหนักอ่อนแอนั่น แม้บรรดาผู้ช่วยทั้งหลายของเฉิงกั๋วกงบอกว่าเช่นนี้จะจับใจคนมากกว่า แต่คุณหนูจวินรู้สึกว่าใจคนแต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกความเศร้าสลดจับอยู่  

 

 

“มีเพียงแข็งแกร่งรุ่งเรือง ทรงพลังไม่อาจต้าน ถึงจับใจคนได้” นางว่า เงยศีรษะมองเฉิงกั๋วกงที่ยืนแสดงอำนาจอยู่ด้านหน้ากระบวนทัพ  

 

 

ต้องให้ทุกคนรู้ เฉิงกั๋วกงร้อยศึกไม่ตาย ไม่มีใครสู้ได้  

จูจั้นรู้สึกว่าตนเองเห็นผีแล้วจริงๆ  

 

 

เขาทำไมเห็นผู้หญิงคนนี้ได้?  

 

 

ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นางไม่ใช่ไปเป็นโจรแล้วรึ?  

 

 

อีกอย่าง นางเรียกอะไรนะ?  

 

 

สามี…  

 

 

จูจั้นหนาวสะท้านยืนตัวตรง  

 

 

ไม่ใช่กระมัง…  

 

 

คุณหนูจวินกลั้นหัวเราะสุดกำลัง  

 

 

“สามี…” นางก้าวเข้ามาแล้วยื่นมืออกมา  

 

 

จูจั้นตกใจถอยหลังก้าวหนึ่งจากนั้นยื่นมือชี้นาง  

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย เจ้าคิดจะทำอะไร…” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินคว้าแขนเขาไว้แล้ว  

 

 

“ทุกคนดูอยู่นะ” นางกดเสียงเบาสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น  

 

 

ร่างกายจูจั้นแข็งทื่อไม่ชักแขนออกอีก เขาถลึงตามองคุณหนูจวินครู่หนึ่งแล้วยื่นมืออีกข้างออกมากอดนางไว้ในอ้อมแขน  

 

 

การเคลื่อนไหวรุนแรงอยู่บ้าง คุณหนูจวินไม่ทันตั้งตัวศีรษะชนกับหัวไหล่ของเขา จมูกเกือบเบี้ยว ตามติดด้วยแผ่นหลังถูกมือใหญ่ใช้แรงตบสองที  

 

 

“ภรรยา”  

 

 

เสียงของจูจั้นดังวิ้งๆ ข้างหู  

 

 

“ลำบากเจ้าจริงๆ”  

 

 

คุณหนูจวินถูกตบจนไอโขลกๆ ชนหัวไหล่จูจั้นอีกครั้ง  

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว” นางน้ำตาคลอเอ่ยเสียงเบา “มีอะไรเข้าไปคุยกัน”  

 

 

จูจั้นหัวเราะแห้งๆ กลับ พลิกมือคว้าแขนคุณหนูจวินไว้ ลากนางเดินเข้าไปในกระโจม  

 

 

รอบด้านสายตานับไม่ถ้วนหันกลับไป  

 

 

จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดกระบวนการม้วนเส้นผมที่ตกลงมา  

 

 

“เล่นอะไรกันล่ะนี่” นางพึมพำหนึ่งประโยคก็สะบัดแส้เดินจากไป  

 

 

ส่วนเหลยจงเหลียนท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง แม้ห่างกันไกลมองไม่เห็นใบหน้าของจูจั้น แต่ท่าทางกับบรรยากาศยังคุ้นเคยนัก  

 

 

เดิมทีบังเอิญพบพานเผชิญดาบกระบี่ด้วยกัน คิดไม่ถึงท้ายที่สุดเจ้าช่วยข้าข้าช่วยเจ้า เวลานี้ที่ติ้งโจวแห่งนี้พบหน้ากันในสถานการณ์เช่นนี้อีก ทั้งสองคนต้องซาบซึ้งอย่างยิ่งแน่  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในกระโจมกลับไม่มีความซาบซึ้งยามสหายเก่าพบพาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจับมือมองกันน้ำตาคลอ มีเพียงเสียงหัวเราะของคุณหนูจวินดังขึ้น  

 

 

จูจั้นเข้ามาปุบก็สะบัดนางออกขยับห่างหลายก้าว สีหน้าระแวงมองนาง  

 

 

เห็นท่าทางของเขา คุณหนูจวินก็อดไม่ได้หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

“ทำไมเป็นเจ้าได้?” จูจั้นตวาดเสียงเบา “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้า…”  

 

 

เขามองประเมินคุณหนูจวิน  

 

 

“หลอกแม่ข้าอย่างไร?”  

 

 

เสียงหัวเราะของคุณหนูจวินดังไม่หยุด  

 

 

“หลอกอะไร” นางยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ?”  

 

 

จูจั้นหัวเราะเฝื่อนๆ สองที  

 

 

“เจ้าไม่ใช่หรือ?” เขาเอ่ย “แม่ข้ากับพ่อข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นตอนแม่ข้าตอบจดหมายทำไมไม่บอกข้า”  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากดวงตาโค้งเป็นวง  

 

 

“ท่านหญิงกับท่านกั๋วกงรู้ว่าข้าเป็นใคร ส่วนท่านหญิงทำไมไม่บอกท่าน” นางหัวเราะคิกคัก “เป็นข้าไม่ให้นางบอกเอง ตกใจล่ะสิ? ตกใจสะดุ้งโหยงเลยใช่ไหม?”  

 

 

จูจั้นสีหน้าประหนึ่งเห็นผีอีกครั้ง  

 

 

“เจ้าผู้หญิงคนนี้ ช่าง…” เขาถลึงตาคล้ายไม่รู้จะพูดอะไร  

 

 

คุณหนูจวินปิดปากแย้มยิ้ม  

 

 

จูจั้นหน้าตายมองนาง  

 

 

“สนุกไหม?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะพยักหน้า  

 

 

“สนุกสิ” นางยิ้มๆ เอ่ยตอบอย่างจริงจัง  

 

 

“เบิกบานใจไหม?” จูจั้นหน้าตายเอ่ยถามอีก  

 

 

เสียงหัวเราะพรืดของคุณหนูจวินเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือ  

 

 

“เบิกบานใจสิ” นางตอบอย่างจริงจัง  

 

 

จูจั้นสีหน้าเรียบเฉยเบ้ปากใส่นาง  

 

 

“พ่อข้าเล่า?” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินทิ้งมือลง หยุดหัวเราะแล้ว  

 

 

เวลานี้สำหรับลูกชายแล้วเรื่องสำคัญที่สุดก็คือบิดา  

 

 

“ท่านกั๋วกงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่” นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง  

 

 

นับว่านางยังรู้ว่าอะไรเรียกสมควรอยู่  

 

 

จูจั้นพ่นลมหายใจออกจากจมูก  

 

 

คุณหนูจวินก้าวเท้านำทางแล้วมองจูจั้นทีหนึ่งยื่นมือทำท่าเชิญ  

 

 

“สามี เชิญด้านนี้” นางเอ่ย  

 

 

หางคิ้วของจูจั้นกระตุกอีกครั้งทันที  

 

 

ผู้หญิงคนนี้! ไม่จริงจังทำหน้าจริงจังจริงๆ!  

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างไร้เสียง ก้าวไปข้างหน้า  

 

 

จูจั้นกัดฟังถลึงตา ยกเท้าเตะใส่ด้านหลังนางสองที สะบัดแขนเสื้อหน้าบึ้งติดตามไป  

 

 

……………………………………….  

 

 

ด้านในกระโจมของเฉิงกั๋วกงกลิ่นหอมของยาอบอวล  

 

 

มองเห็นเฉิงกั๋วกงที่หน้าดั่งกระดาษทองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม จูจั้นพลันคุกเข่าลงไปหน้าเตียงทันที  

 

 

“พ่อ” เขาร้องเรียกเสียงขึ้นจมูกชัด  

 

 

เฉิงกั๋วกงตอนนี้เพิ่งลืมตา คล้ายถูกปลุกตื่นจากฝัน มองเห็นคนที่คุกเข่าอยู่หน้าเตียงก็เผยรอยยิ้ม  

 

 

“จั้นเอ๋อร์มาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน  

 

 

จูจั้นตาแดงพยักหน้าอยากพูดอะไร ปลายหางตาก็มองเห็นคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางวางมือไพล่หลัง เอียงศีรษะเล็กน้อยจับจ้องมองดูอย่างสงสัยใคร่รู้  

 

 

จูจั้นกัดฟัน  

 

 

“คุณหนูจวิน” เขามองนางแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าอยากพูดกับพ่อของข้าสักหลายประโยค”  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มน้อยๆ แล้ว  

 

 

“ไม่เป็นไร มีอะไรเจ้าพูดได้เลย” เขาเอ่ย  

 

 

ไม่รอจูจั้นเอ่ยอะไร คุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว  

 

 

“ท่านกั๋วกง ท่านควรทานยาแล้ว ข้าจะไปต้มให้ท่านสักครู่” นางเอ่ยบอก  

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่พูดอะไรอีก อมยิ้มพยักหน้าให้นาง  

 

 

คุณหนูจวินหมุนตัวเดินออกไป ตอนเลิกกระโจมเปิดก็ได้ยินจูจั้นร้องเรียกพ่อเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง  

 

 

เสียงนี้แตกต่างจากยามจูจั้นเอ่ยวาจาก่อนหน้านี้ มีความละอายร้อนรนกังวล แต่ก็มีความออดอ้อนจางๆ ด้วย   

 

 

ออดอ้อน…  

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้หันกลับไปมองทีหนึ่ง เห็นจูจั้นก้มศีรษะไปบนเตียง เฉิงกั๋วกงยื่นมือลูบศีรษะเขา  

 

 

คุณหนูจวินเบิกตากลม  

 

 

คิดไม่ถึง…  

 

 

ตัวโตปานนั้นกลับประหนึ่งแมวน้อยอิงแอบข้างกายบิดาถูกลูบศีรษะ ภาพนี้ไม่สมควรมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยจริงๆ  

 

 

คุณหนูจวินปล่อยประตูกระโจมลงกั้นภาพด้านใน  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตอนที่เสียงฝีเท้าดังขึ้นหลังร่าง คุณหนูจวินกำลังจ้องหม้อยาที่มีฟองปุดๆ อยู่บนเตาอันน้อยอย่างตั้งใจอยู่  

 

 

นางได้ยินเสียงฝีเท้าแต่ไม่ได้สนใจ หยิบแผ่นไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่งโยนเข้าไปในเตา  

 

 

ประกายไฟพลันลอยแรงขึ้นกว่าก่อนหน้า  

 

 

“เฮ้”  

 

 

จูจั้นคล้ายรำคาญแล้วจึงเอ่ยเรียก  

 

 

คุณหนูจวินยังคงไม่หันกลับมา  

 

 

“อย่าเอะอะ” นางเอ่ย “ต้มยาที่สำคัญคือความร้อนของไฟ”  

 

 

เด็กสาวที่นั่งยองอยู่บนพื้นสีหน้าจดจ่อดูไปแล้วตั้งใจยิ่งนัก  

 

 

จูจั้นแค่นเสียง แต่ไม่เอ่ยวาจาอีกตามคำบอก หมุนตัวก้าวเท้าจะจากไป  

 

 

“แต่สำหรับข้าแล้วนี่ล้วนเป็นเรื่องไม่สำคัญ อย่างไรวิชาแพทย์ของข้าก็สูงส่ง”  

 

 

หลังร่างเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสาวคนนั้นกลับลอยมา  

 

 

อีกแล้ว! จูจั้นอับอายกรุ่นโกรธอยู่บ้างหมุนกายหันกลับมา คุณหนูจวินยิ้มตาหยีลุกขึ้นยืนมองเขา  

 

 

เจ้าดูสิสภาพไม่จริงจังนี่สิ!   

 

 

จูจั้นกัดฟัน  

 

 

ทำไมมีคนเช่นนี้ได้!  

 

 

เขาสูดหายใจลึกทีหนึ่งทำให้ตนเองสงบ  

 

 

“ว่ามาสิ” เขาเอ่ยเรียบเฉย “เงื่อนไขของเจ้า”  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ  

 

 

“เรื่องนี้มารดาท่านรู้ สิบหมื่นตำลึง” นางยื่นมือวาดนิดหนึ่ง  

 

 

เรื่องที่พบท่านหญิงเฉิงกั๋วได้อย่างไร รวมถึงตกลงช่วยเหลือที่เมืองเหอเจียนอย่างไร คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางปิดบังเฉิงกั๋วกง ตั้งแต่แรกก็บอกเขาแล้ว  

 

 

ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่เฉิงกั๋วกงก็คงบอกจูจั้นแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม  

 

 

“เจ้ายิ้มอะไร?” จูจั้นระแวงเอ่ยถามทันที  

 

 

เรื่องครั้งนี้ตนทำให้เขาตกใจไม่เบาจริงๆ คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“แต่นั่นเป็นเพียงราคาที่ข้าส่งมารดาของท่านรวมถึงคุ้มครองชาวบ้านอพยพจากป้าโจวเท่านั้น” นางเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “หลังจากนั้นที่ไปอี้โจวช่วยบิดาของท่านย่อมไม่รวมอยู่ในนั้น”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็มองจูจั้นแล้วยิ้มน้อยๆ  

 

 

“ราคานี้น่ะหรือ…”  

 

 

คำพูดนางยังเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นก็ทะลึ่งถอยหลังก้าวหนึ่งท่าทางระแวงยกมือปฏิเสธ  

 

 

“เจ้าอย่าคิดแต่งให้ข้า!” เขาเอ่ย “อย่าคิดเอาบุญคุณช่วยชีวิตมาบีบข้า! ข้าไม่มีทางยอมถูกบังคับหรอก!”  

ทหารส่งสารที่มาแจ้งข่าวด่วนไม่ได้ตะโกนเสียงดังเรียกความสนใจของผู้คนเช่นนี้นานนักแล้ว  

 

 

ตามกฎชัยชนะครั้งใหญ่ล้วนต้องแจ้งข่าวดีตามทาง  

 

 

เพียงแต่ก่อนปีใหม่หลังปีใหม่ช่วงนี้ไม่มีข่าวดีอะไรให้ประกาศ  

 

 

ที่จริงพูดอย่างเคร่งครัดแล้วนี่ไม่นับว่าเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ แต่บุกเข้าไปในเขตของชาวจินแล้วยังไม่ตายนำทัพกลับมาได้ สำหรับทหารคนใดของต้าโจว นี่เพียงพอเรียกได้ว่าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แล้ว  

 

 

เพราะข่าวนี้บนถนนนใหญ่จึงตกสู่ความฮือฮา องค์หญิงจิ่วหลีที่อยู่ลึกเข้าไปในจวนหลังกำแพงสูงก็วางเข็มด้ายในมือลง เอียงหูฟังด้วย  

 

 

“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม  

 

 

องค์หญิงชอบถามเรื่องข้างนอกมากขึ้นทุกทีแล้ว  

 

 

แต่พวกนางจะรู้เรื่องข้างนอกได้อย่างไร สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้มศีรษะ  

 

 

“บ่าวจะไปลองถามดูเพคะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น กำลังจะเดินออกไป ลู่อวิ๋นฉีก็เดินเข้ามาแล้ว  

 

 

“ด้านนอกประกาศชัยชนะ”  

 

 

เขาตอบตรงๆ  

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้มศีรษะถอยออกไปแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีใบหน้าเผยสีหน้ายินดี  

 

 

“ประกาศชัยชนะ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

เทียบกับทหารส่งสารด่วน เขาได้ข่าวเร็วกว่าก้าวหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่พวกเฉิงกั๋วกงเหยียบเข้าในเขตติ้งโจว  

 

 

เขาได้ข่าวสิ่งแรกย่อมต้องกราบทูลฮ่องเต้  

 

 

ฮ่องเต้สดับฟังแล้วบอกไม่ได้ว่าอารมณ์เป็นอย่างไร  

 

 

“ข้าควรดีใจหรือไม่ดีใจเล่า?” พระองค์ตรัส  

 

 

คำพูดนี้คล้ายตรัสกับตนเอง  

 

 

ในห้องกระทั่งขันทีก็ไม่มี มีเพียงลู่อวิ๋นฉีคนเดียว  

 

 

“ทำไมเขาไม่ตายนะ?” ฮ่องเต้มองดูลู่อวิ๋นฉี ขมวดพระขนงตรัส  

 

 

เห็นชัดยิ่งว่าข่าวนี้ไม่ทำให้พระองค์พอพระทัย  

 

 

สีหน้าของพระองค์บึ้งตึง ไม่ปิดบังความร้อนรนสักนิด ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนเมตตาที่บรรดาขุนนางใหญ่คุ้นเคย  

 

 

ฮ่องเต้อยู่ต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี ไม่เหมือนกับฮ่องเต้ยามอยู่ต่อหน้าราชสำนัก  

 

 

“เพราะฝ่าบาทยังไม่ให้เขาตาย” ลู่อวิ๋นฉีตอบ  

 

 

ฮ่องเต้มองเขาสรวลเสียงดังแล้ว  

 

 

“พูดถูกต้อง” พระองค์ตรัส “ข้ายังไม่ให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้”  

 

 

พูดจบเสียงยินดีแหลมปรี๊ดของขันทีก็ดังมาจากด้านนอก  

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ข่าวดียิ่ง”  

 

 

ฮ่องเต้โบกมือให้ลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีพลันก้มศีรษะถอยหลัง มองด้านในตำหนักเปิดออก ขันทีชูสาส์นแจ้งพุ่งเข้ามา  

 

 

“…เฉิงกั๋วกงยังไม่ตายกลับมา”  

 

 

“…มาถึงติ้งโจวแล้ว..”  

 

 

ฮ่องเต้ส่งเสียงตรัสถามอย่างยินดี แล้วรีบร้อนสั่งเรียกขุนนางใหญ่ทั้งหลาย  

 

 

บรรดาขุนนางที่อยู่ในที่ทำการขุนนางได้ยินคำสั่งเรียกก็มา ด้านในตำหนักกลายเป็นยิ่งเอะอะ  

 

 

“…เสียกำลังคนนับหมื่น! นี่เป็นโทษกระหายศึก!”  

 

 

“…ก็พูดเช่นนี้ไม่ได้ ชาวจินอย่างไรก็กำลังมากมาย เสียกำลังพลก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้…”  

 

 

“…นั่นก็ล้วนเป็นความผิดของเฉิงกั๋วกง เลี้ยงดูทหารไม่ง่าย สูญเสียง่ายดาย ฝ่าบาทให้เลี่ยงศึกครั้งแล้วครั้งเล่า เขาดันขัดพระบัญชาไม่ฟัง…”  

 

 

ฮ่องเต้ฟังขุนนางทั้งหลายใจรักคุณธรรมโกรธเกรี้ยว สีหน้าก็ดีพระทัยอยู่บ้าง ตื่นเต้นวิตกอยู่บ้าง  

 

 

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนมีชีวิตอยู่ก็ดี” พระองค์ตรัส  

 

 

“ฝ่าบาทเมตตาเกินไปแล้ว” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งเอ่ยทันที “ก็เพราะฝ่าบาทเมตตาเช่นนี้ เฉิงกั๋วกงถึงยิ่งมีที่พึ่งไม่กลัวเกรงขึ้นทุกที”  

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “ในเมื่อคนไม่เป็นไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือจัดการเรื่องที่ตามมา”  

 

 

“ใช่แล้ว มีเรื่องอะไรรอเฉิงกั๋วกงกลับมาค่อยพูดเถิด” หวงเฉิงที่เงียบงันไม่พูดจามาตลอดก็เอ่ยบ้าง  

 

 

พูดถึงจัดการเรื่องที่ตามมา ย่อมมีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมาย คุณงามความชอบรางวัลและบทลงโทษมากมาย บรรดาขุนนางในท้องพระโรงพากันแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีถอยออกไปนอกตำหนัก ส่งสัญญาณให้ขันทีปิดประตูตำหนักตัดขาดจากเสียงเอะอะโวยวายเหล่านี้แล้วหมุนกายเดินจากไป  

 

 

เรื่องเหล่านี้เขาย่อมไม่มีทางบอกองค์หญิงจิ่วหลี เพียงได้ยินลู่อวิ๋นฉีเอ่ยว่าเฉิงกั๋วกงยังมีชีวิตอยู่ บนหน้าขององค์หญิงจิ่วหลีก็ผุดรอยยิ้ม  

 

 

“คนดีก็ควรอายุยืน” นางเอ่ย  

 

 

“ที่จริงล้วนเหมือนกัน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “ช้าเร็วก็ต้องตาย”  

 

 

“แม้ช้าเร็วล้วนต้องตาย แต่ตายกับตายไม่เหมือนกันได้” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย  

 

 

“ไม่มีอะไรแตกต่าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นเรียบๆ  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีไม่โต้เถียงอีก ก้มศีรษะเย็บปักต่อ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้หมุนกายจากไป แต่ยืนอยู่ที่เก่ามองดูนางปักบุปผาที่คล้ายไม่มีวันปักเสร็จดอกหนึ่ง  

 

 

“องค์หญิงไม่ถามข่าวของคุณหนูจวินหรือ?” เขาเอ่ย  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีหยุดเข็ม แย้มยิ้มแล้ว  

 

 

“ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” นางเอ่ย  

 

 

……………………………………….   

 

 

แต่สำหรับคนส่วนมากแล้ว ข่าวของเฉิงกั๋วกงเป็นข่าวดีใหญ่หลวงจริงๆ  

 

 

ครั้งที่ลือกันว่าเฉิงกั๋วกงตายในสนามรบ ประชาชนแดนใต้ตื่นตระหนกจนร่ำไห้ แดนเหนือด้านนี้เศร้าสร้อยจนร่ำไห้โฮ  

 

 

เสียเฉิงกั๋วกง ความเศร้าสลดก็ครอบงำทั้งแดนเหนือ ถึงขั้นมีทหารกองหนึ่งที่ชายแดนสยงโจวพบทหารจินเข้าไม่สู้กลับหนี  

 

 

ทหารยังหนีเลย ประชาชนทั้งหลายยิ่งตัดสินใจพาครอบครัวลงใต้  

 

 

ภรรยาของเฉิงกั๋วกงแน่นอนไม่ได้ไปและไม่ได้เศร้าเสียใจอย่างที่ทุกคนจินตนาการ นางสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่ได้ยินข่าวเฉิงกั๋วกงพลีชีพในสนามรบสักนิด  

 

 

“ความตายมีสิ่งใดให้เศร้าเสียใจ” นางเอ่ยกับสาวใช้ตัวน้อยข้างกาย “คนล้วนต้องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”  

 

 

ทว่าไม่มีใครยินดีตายนะ สาวใช้ตัวน้อยคิดในใจ  

 

 

“นั่นก็ไม่แน่ มีคนยินดีตายจริงๆ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย  

 

 

ข่าวพลันส่งมาตอนนี้เอง เหลียงเฉิงต้งพุ่งเข้ามาตื่นเต้นจนเสียงยังเปลี่ยนโทน  

 

 

“บอกว่าถึงติ้งโจวแล้ว จริงแท้แน่นอน” เขาเอ่ย  

 

 

ตั้งแต่ไม่เห็นคุณหนูจวินนำทหารกลับมาเมืองเหอเจียน คนทั้งหมดก็ล้วนฉุกใจสงสัย เมื่อส่งคนสืบไปข่าวคนบอกว่าป้าโจวไม่มีร่องรอยของพวกคุณหนูจวินแล้ว ในใจทุกคนก็ล้วนคาดเดาได้  

 

 

คราแรกยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง นี่น่าตะลึงเกินไปแล้ว  

 

 

เฉิงกั๋วกงนำทัพบุกเข้าแผ่นดินชาวจิน แม้ทุกคนตกตะลึงแต่ก็รู้สึกว่ายอมรับได้ อย่างไรนั่นก็เป็นเฉิงกั๋วกงไหม แต่สตรีผู้หนึ่งนำกองทหารซุ่นอันวิ่งไปด้วย นี่…ไปตายเปล่าโดยแท้ไหม?  

 

 

คิดไม่ถึงนางกลับทำได้จริงๆ  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าหลากหลายอารมณ์ คล้ายตื่นเต้นแล้วก็คล้ายปวดใจ มีคำพูดนับร้อยนับพันท้ายที่สุดเพียงถอนหายใจหนหนึ่ง  

 

 

“เด็กคนนี้” นางเอ่ย  

 

 

“พวกเราตอนนี้เดินทางไปติ้งโจวไหมขอรับ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถามตื่นเต้น “ท่านชายน่าจะไปแล้ว”  

 

 

แล้วก็เดินไปมาอีก  

 

 

“ไม่รู้ว่าท่านกั๋วกงบาดเจ็บเป็นอย่างไร”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

 

“มีอะไรน่าเป็นห่วง” นางเอ่ย “มีคุณหนูจวินอยู่นี่”  

 

 

……………………………………….  

 

 

ติ้งโจว ด่านอันหยางอำเภอถังเซี่ยน เวลานี้ค่ายใหญ่แถบหนึ่งตั้งอยู่ กองกำลังทหารไปมาไม่ขาด คนมากมายล้วนถูกขวางอยู่ด้านนอก รวมถึงขุนนางพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารเช่นผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นของติ้งโจว  

 

 

“เฉิงกั๋วกงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ไม่อาจถูกรบกวน” ทหารที่เฝ้าอยู่นอกค่ายสีหน้านิ่งเฉยเอ่ย  

 

 

ขุนนางทั้งหลายของกองทหารท้องถิ่นมีโทสะกับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ประการแรกด้านในมีเฉิงกั๋วกง ประการที่สองค่ายทหารด้านนี้ดูไปแล้วดุดันเป็นพิเศษ ได้แต่หยุด  

 

 

“หรือเฉิงกั๋วกงไม่ใช่แค่บาดเจ็บหนักแต่ตายแล้ว?”  

 

 

เหล่าขุนนางลอบถกเถียงกันเสียงเบา  

 

 

ไม่เช่นนั้นทำไมไม่ให้พบ?  

 

 

“บอกว่าภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงนำทหารไปช่วยกลับมา”  

 

 

“จริงหรือหลอก? ไม่เคยได้ยินว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงแต่งงานแล้ว”  

 

 

แม้ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าค่ายใหญ่ แต่บรรดาขุนนางเหล่านี้กลับไม่ได้จากไป พวกเขารอคอยอยู่ไม่ไกล ในหมู่คนเหล่านี้นอกจากบรรดาขุนนางผู้ติดตามนายทหาร ยังมีคนที่ดูไปแล้วธรรมดายิ่งแต่กลับไม่ธรรมดาจำนวนหนึ่งปะปนอยู่ด้วย  

 

 

“คนของพวกเจ้า” เหลยจงเหลียนรั้งสายตากลับ มองจินสือปาที่อยู่ด้านข้าง  

 

 

พวกจินสือปาองครักษ์เสื้อแพรห้าคนแม้ได้รับบาดเจ็บมาบ้าง แต่ล้วนไม่กังวลถึงชีวิต เวลานี้ยังสวมชุดเกราะอยู่ ดูแล้วไม่แตกต่างอันใดกับนายทหารรอบด้าน  

 

 

จินสือปาได้ยินเข้าก็สีหน้าเย็นชาไม่สนใจ  

 

 

“คนเหล่านี้เข้ามาไม่ได้ เจ้าดีที่สุดก็ว่าง่ายๆ อย่าคิดอะไรพิเรนท์” เหลยจงเหลียนเอ่ย “ไม่เช่นนั้นจะขังพวกเจ้าอีกครึ่งปี”  

 

 

“มีอะไรน่าปิดบังแล้วมีอะไรปิดบังได้” จินสือปาเอ่ยเย็นชา  

 

 

ด้านนี้กำลังพูดคุยกัน นอกค่ายก็วุ่นวายขึ้นมาอีก คล้ายกับมีคนจะเข้ามาอีก  

 

 

“ข้าเอง ทำไมข้าเข้าไม่ได้”  

 

 

บุรุษผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังกังวาน  

 

 

“พวกเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครรึ?”  

 

 

ได้ยินเสียงนี้ ไม่ต้องมองไปเหลยจงเหลียนก็รู้ว่าคนที่มาเป็นใครแล้ว สีหน้าเขาอดไม่ได้ตื่นเต้นอยู่บ้าง  

 

 

“…ข้าเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงนะ”  

 

 

ในเมื่อเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางถูกขวาง บรรดาขุนนางที่ติดตามมามองจูจั้นที่ไม่สนใจจะหยุดม้าพุ่งเข้าไป  

 

 

“พ่อข้าเล่า?”  

 

 

“แม่ข้าเล่า?”  

 

 

“ภรรยาข้าเล่า?”  

 

 

“ภรรยาท่านชายเล่า?”  

 

 

เสียงดังกังวานท่วมค่ายทหารอันเงียบสงบทันที ทำให้โลกทั้งใบคล้ายร้อนระอุขึ้นมา  

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ กระโจมหลังหนึ่งก็เลิกเปิดมีสตรีผู้หนึ่งเดินออกมา  

 

 

“ใครมาหาภรรยาท่านชาย?” นางเอ่ยถามเสียงดัง  

 

 

ปลายหางตาจูจั้นมองเห็นเข้าก็วิ่งเข้ามาทันที  

 

 

สตรีผู้นั้นปิดหน้า อายุสิบกว่าปี กำลังสะบัดแส้เส้นหนึ่งเล่นอยู่  

 

 

นี่คือภรรยาท่านชายผู้นั้นหรือ? เก่งเชิงยุทธ์เอาการจริงๆ ของเล่นสนุกยังเป็นอาวุธ  

 

 

ความคิดของจูจั้นแล่นผ่าน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้าง  

 

 

“ข้าเอง” เขาเอ่ย “ข้าคือสามีเจ้า…”  

 

 

คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็มองเห็นมีคนเลิกกระโจมเดินออกมาอีก  

 

 

อาภรณ์ใบไม้ผลิงามงด รูปร่างอ้อนแอ้น เพราะจะออกจากกระโจมจึงก้มศีรษะน้อยๆอยู่ เส้นผมดำขลับเข้มดั่งหมึกรวมถึงบนศีรษะปักบุปผาไข่มุกดอกหนึ่ง  

 

 

“สามี ท่านมาแล้ว” ปากนางเอ่ยออกมาแล้ว  

 

 

ที่จริงเป็นคนนี้หรือ…ในใจจูจั้นเบ้ปาก รู้สึกถึงสายตานับไม่ถ้วนที่สอดส่องอยู่ด้านหลัง บนหน้าสีหน้ายิ่งชัดเจน   

 

 

“ภรร…” เขาตะโกนเสียงดังพลางพลิกกายลงม้า  

 

 

สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองมาพลางยิ้มน้อยๆ  

 

 

เมื่อมองเห็นรอยยิ้มนี้ จูจั้นรู้สึกเพียงร่างกายอ่อนยวบ  

 

 

“อั้ก…”  

 

 

เสียงคำว่าภรรยานั่นเปลี่ยนกลายเป็นเสียงอั้ก คนก็ตกลงมาจากบนม้าดังปึก  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม  

 

 

“สามี ท่านแม่ยังไม่ได้มาที่นี่ กำลังเร่งเดินทางมาจากเมืองเหอเจียน” ดวงตานางยิ้มโค้งมองจูจั้นตรงหน้า “ ไม่ต้องเป็นห่วง แม่สามีสบายดีทุกประการ”  

 

 

จูจั้นจับบังเ**ยนไว้พิงบนตัวม้าสีหน้าประหนึ่งเห็นผี  

 

 

“มารดา” เขาหลุดปากเอ่ยอีกครั้ง  

เรื่องเฉิงกั๋วกงนำทหารเข้าอี้โจว ราชสำนักย่อมรู้เช่นกัน  

 

 

การกระทำฝ่าฝืนราชโองการเช่นนี้ หวงเฉิงไม่มีทางปิดบังให้เฉิงกั๋วกง เขาตีไข่ใส่สีฟ้องฮ่องเต้ ส่วนทูตชาวจินที่มาเจรจาสงบศึกก็โวยวายใหญ่โตยกหนึ่งตามด้วย  

 

 

แรกสุดเฉิงกั๋วกงไร้ข่าวคราว ต่อมาข่าวส่งมาว่ารบจนตัวตายย่อยยับทั้งกองทัพ  

 

 

ทั้งแคว้นฮือฮอา  

 

 

แม้เฉิงกั๋วกงไม่ได้เข้าเมืองหลวงหลายปีแล้ว แต่ชาวบ้านไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับเขา อย่างไรแรกสุดก็เป็นเขาขับไล่โจรจินขจัดเภทภัยให้แก่ประชาชนแดนเหนือ แล้วยังประจำการอยู่ที่ชายแดนทำให้ทุกคนไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการรุกรานของโจรจิน  

 

 

แม้สิบปีนี้สงบสุขปลอดภัยจนคุ้นชิน บางครั้งรู้สึกว่าเฉิงกั๋วกงคล้ายถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงรบจนตัวตายไม่อยู่แล้ว คนทั้งหมดก็ล้วนตระหนก  

 

 

ชายแดนจะทำอย่างไร?  

 

 

เจรจาสงบศึกแล้วไม่ทำสงครามแล้ว  

 

 

ไม่ทำสงคราม? ชาวจินเชื่อถือได้ที่ไหน  

 

 

ยี่สิบปีก่อนพวกเขาก็เคยเจรจาสงบศึกมาก่อน สามสิบปีก่อนพวกเขายังเคยเป็นประเทศบริวารของต้าฉีเลย สุดท้ายเล่า ทำลายต้าฉี กวาดราบแดนเหนือ ลักพาตัวฮ่องเต้แคว้นโจวไป  

 

 

วาจาที่คนป่าเถื่อนเหล่านี้เอื้อนเอ่ยจะเชื่อได้อย่างไร  

 

 

นอกจากนี้ยังยกเมืองสามแห่งให้อีก ระยะห่างระหว่างชาวจินกับแผ่นดินตอนในก็ยิ่งใกล้แล้ว ก่อนหน้านี้แม่น้ำใหญ่ชายแดนกว้างกั้นห่างข้ามมาลำบากอยู่บ้าง ตอนนี้แทบจะชิดติดกัน ก้าวเท้าก็เข้ามาแล้ว ยื่นมือทีเดียวยืดมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร  

 

 

ความโศกศัลย์ที่มีต่อการตายของเฉิงกั๋วกง ความหวาดหวั่นต่อชีวิตในอนาคต ทำให้คนที่ได้ยินข่าวล้วนร่ำไห้  

 

 

ผู้ใหญ่ร่ำไห้ เด็กน้อยร่ำไห้ ชั่วขณะทั้งใต้หล้าแทบจะร่วมเศร้าโศก  

 

 

สถานการณ์นี้ทำให้ราชสำนักตื่นตะลึงอย่างยิ่ง  

 

 

คิดไม่ถึงว่าข่าวการตายในศึกของเฉิงกั๋วกงจะนำความหวั่นไหวมามากเช่นนี้  

 

 

ยังมีข่าวลือบางอย่างเริ่มเล่าลือไปทั่ว บอกว่าเฉิงกั๋วกงถูกราชสำนักทำร้ายจนตาย เพราะต้องการเจรจาสงบศึก เพื่อประจบชาวจินจึงตั้งใจส่งเฉิงกั๋วกงไปตาย  

 

 

แน่นอนไม่นานก็มีความเห็นที่แตกต่างไปอีก บอกว่าเฉิงกั๋วกงกระหายความชอบขัดพระบัญชาไม่ถอยกลับ ผลสุดท้ายจึงทำให้ทหารชั้นดีม้าพ่วงพีตายไป ถึงขั้นยังมีคนบอกว่าที่จริงเฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย แต่เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายศัตรูแล้ว  

 

 

ความเห็นเช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่ง ฮือฮากลบทับข่าวลือก่อนหน้านี้  

 

 

“ฝ่าบาทให้ถอนทหารครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเฉิงกั๋วกงไม่ถอย เพราะเหตุใด?”  

 

 

เดือนสามแสงฤดูใบไม้ผลิงดงาม ในร้านน้ำชาติดแม่น้ำบุรุษผอมแห้งโม้น้ำลายกระเซ็น  

 

 

รอบด้านตรงนี้คนล้อมเป็นวง บ้างนั่งบ้างยืน สีหน้าพิกล  

 

 

“เฉิงกั๋วกงผูกพันกับแดนเหนือ…” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยตอบ  

 

 

ยังไม่ทันตอบจบก็ถูกบุรุษผอมแห้งคนนั้นถ่มน้ำลาย  

 

 

“ใช่เสียที่ไหน นั่นเพื่อตัวเขาเอง ถอนกำลังทหารแล้ว เจรจาสงบศึกแล้ว เขาเฉิงกั๋วกงยังวางอำนาจที่แดนเหนือได้อีกอย่างไร?” เขาแค่นเสียงเอ่ย “ข้าบอกกับพวกเจ้า ใต้หล้านี้ผู้ที่ชอบทำสงครามที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกง เขาย่อมไม่ยินยอมเจรจาสงบศึก ไม่เช่นนั้นเขายังมีเหตุผลอะไรโอ้อวดแสนยานุภาพที่แดนเหนืออีก?”  

 

 

นี่ก็เหมือนจะมีเหตุผล รอบด้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ  

 

 

เฉิงชีมองไปทางน้ำในแม่น้ำ ยื่นมือกอดแขนไว้  

 

 

“เย็นจริงๆ นะ” เขาเอ่ย  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฝั่งตรงข้ามสีหน้าซับซ้อนเช่นกัน  

 

 

“ใช่แล้ว เย็นนัก” เขาเอ่ย “นี่ใบไม้ผลิเดือนสามแล้ว ทำไมยังทำให้คนหนาวเหน็บจากก้นบึ้งหัวใจอยู่อีก”  

 

 

บุรุษด้านข้างมองเห็นคนรอบด้านสนใจฟังแล้วจึงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ยกเท้าเหยียบบนเก้าอี้  

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่าเฉิงกั๋วกงต้องจงใจไปอี้โจวจะทำลายการเจรจาสงบศึกครั้งนี้แน่…” เขาเอ่ยเสียงดัง  

 

 

แต่คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ได้ยินข้างนอกมีคนร้องตะโกนอ้ากจากนั้นก็มีของสิ่งหนึ่งเขวี้ยงเข้ามา  

 

 

เขารู้สึกเพียงกลิ่นเหม็นฉึ่งสายหนึ่งจู่โจมใบหน้า แทบทำให้คนอาเจียนลมออกมาจากนั้นก็เจ็บปวด  

 

 

เขาร้องอ้ากทีหนึ่งถอยไปข้างหลัง เดิมทีน่าจะพิงโต๊ะตัวหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ เท้าไม่รู้ถูกสิ่งใดขัด คนทั้งร่างจึงหงายหลังล้มตึง  

 

 

ผู้คนรอบด้านฮือฮา  

 

 

“นี่เกิดอะไรขึ้น? นี่เกิดอะไรขึ้น?” เฉินชีกระโดดลุกขึ้นมาไปประคองบุรุษผู้นั้น  

 

 

เขาลุกขึ้นมา เตะรองเท้าสกปรกซกมกที่เขวี้ยงใส่หน้าออกไป  

 

 

“ขอบคุณน้องชาย” เขาเอ่ยอย่างขอบคุณ หลังจากนั้นมองไปด้านนอกอย่างโกรธเกรี้ยว “ใคร?”  

 

 

ผู้คนรอบด้านก็ล้วนมองไปด้านนอกด้วย เห็นขอทานเสื้อผ้ามอซอขาดวิ่นสี่ห้าคน ขอทานผอมแห้งคนหนึ่งที่นำหน้าเท้าเหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว  

 

 

ขอทาน?  

 

 

ขอทานตอนนี้ไม่ขอทาน จะปล้นแล้วหรือ?  

 

 

ขอทานที่หวาดกลัวหัวหดขอข้าวกินเลี้ยงชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เวลานี้สีหน้าโกรธแค้นถึงขั้นดุร้าย  

 

 

“ทำอะไร?” บุรุษคนนั้นโมโหโกรธาจะก้าวเข้าไป  

 

 

“เจ้า เจ้าทำไมด่าเฉิงกั๋วกง!” ขอทานที่เป็นหัวหน้าตะโกน  

 

 

น้ำเสียงแข็งกร้าวติดขัด เห็นชัดว่าเป็นสำเนียงแดนเหนือ  

 

 

บุรุษคนนั้นฮะทีหนึ่ง  

 

 

“เฉิงกั๋วกงทำลายชาติทำร้ายประชาชน…” เขาเอ่ย  

 

 

ครั้งนี้เสียงพูดยังไม่ทันจบ ขอทานหลายคนนั้นก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง  

 

 

“ไม่อนุญาตให้ไม่เคารพเฉิงกั๋วกง”  

 

 

ไม่เพียงตะโกนขึ้นมา ครั้งนี้คนก็พุ่งเข้ามาด้วย โถมเข้ามาต่อยใส่หัวใส่หน้าบุรุษคนนั้นแล้ว  

 

 

บุรุษคนนั้นไม่ทันตั้งตัวหงายล้มลงกับพื้น  

 

 

เสียงตะโกน เสียงร้อง ร้านน้ำชาวุ่นวายไปหมดทันที  

 

 

“อย่าตีคน อย่าตีคน มีอะไรพูดกันดีๆ” เฉินชีร้องตะโกนโวยวายกระโดดซ้ายเบียดขวาอยู่ในที่เกิดเหตุ คล้ายอยากหยุดคนวิวาท แต่ก็ไม่ตั้งใจเบียดคนที่ต้องการห้ามปรามหยุดการวิวาทรอบด้านออกไปด้วย  

 

 

ที่นี่อย่างไรก็เป็นเมืองหลวง ผนวกกับสถานการณ์แดนเหนือไม่มั่นคง กองทหารม้าห้าเมืองเพิ่มความเข้มงวดการลาดตระเวน ไม่นานก็เร่งมาถึง ห้ามสองฝ่ายไว้  

 

 

บุรุษคนนั้นถูกขอทานหลายคนตีจนอเนจอนาถอย่างที่สุด บนหน้ายังถูกข่วนอีกหลายรอย เขาเช็ดเลือดที่จมูกไปพลาง โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งฟ้องร้องจะจับคนไปพลาง  

 

 

ขอทานตีคนย่อมต้องจับขอทาน นายทหารของกองทหารม้าห้าเมืองกำลังจะก้าวเข้าไป  

 

 

“ทำไมตีคนเล่า? ขอทานตีคนตามใจ” เฉินชีตะโกนอยู่ด้านข้าง “ไม่พูดให้ชัดเจน ขอทานทั้งเมืองย่อมต้องไล่ออกไป”  

 

 

“ไม่ผิด พูดให้รู้เรื่องทำไมตีคน” มีเสียงร้องรับด้านหลังเขา  

 

 

นั่นก็ใช่ วันนี้ในเมืองหลวงขอทานผู้อพยพมากขึ้นทุกทีๆ หากก่อเรื่องขึ้นมาทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ  

 

 

ดังนั้นเสียงมากกว่าเดิมจึงดังขึ้น  

 

 

เสียงตะโกนนี่ทำให้การเคลื่อนไหวของนายทหารทั้งหลายหยุดลง ส่วนเหล่าขอทานก็เอ่ยปากท่าทางคับแค้นโกรธเกรี้ยวอยู่บาง  

 

 

“เพราะเขาด่าเฉิงกั๋วกง” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย ดวงตาแดงก่ำโกรธแค้นไม่ซา “หากไม่ใช่เพราะเฉิงกั๋วกง พวกเรากระทั่งมาเมืองหลวงเป็นขอทานก็เป็นไม่ได้ คงอดตายถูกกักตายอยู่ที่แดนเหนือตั้งนานแล้ว เจ้ากลับบอกว่าเฉิงกั๋วกงทำลายประเทศทำร้ายประชาชน เจ้าพูดจาเหลวไหลทั้งเพจริงๆ”  

 

 

ถึงกับเพราะเรื่องนี้?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึง ขอทานเหล่านี้ถึงกับอยู่ดีๆ ทำร้ายคนเพราะมีคนพูดว่าร้ายเฉิงกั๋วกง  

 

 

นี่โง่หรือเคารพเฉิงกั๋วกงลึกถึงกระดูก?  

 

 

“พวกเจ้าสิพูดเหลวไหลทั้งเพ ข้าด่าเฉิงกั๋วกงเกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า” บุรุษคนนั้นโกรธกระทืบเท้า  

 

 

“ย่อมเกี่ยวกับพวกเรา”  

 

 

ขอทานทั้งหลายตะโกนพร้อมกัน สีหน้าโศกเศร้าคับแค้น  

 

 

“เจ้าไม่ใช่คนแดนเหนือสักหน่อย เจ้าเอาอะไรมาบอกว่าเฉิงกั๋วกงไม่ดี”  

 

 

“พวกเราเป็นคนแดนเหนือ พวกเราใช้ชีวิตอย่างไรพวกเจ้าใครรู้บ้าง?”  

 

 

“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงปกป้องพวกเรา พวกเราก็ตายใต้ดาบทหารจินไปนานแล้ว เขาขวางโจรจินปกป้องประชาชน เจ้ากลับบอกว่าเขาละโมบอำนาจความดีความชอบ นี่เรียกละโมบ เจ้าไปละโมบเอาสิ เจ้าไปสิ ดูซินี่จะง่ายดายสักเท่าไร”  

 

 

“วันนี้เฉิงกั๋วกงขัดขวางทหารจินโดยไม่สนว่าตัวตกอยู่ในอันตราย ภรรยากับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงอยู่ที่แดนเหนือแจกข้าวต้มตามทาง ไม่ให้ทุกที่ปฏิเสธพวกเราไว้นอกประตู บอกว่าเขาวางอำนาจ อำนาจนี่พวกเจ้าทำไมไม่ไปวาง? พวกเจ้าไปวางดูสิ ดูซิง่ายดายสักเท่าใด”  

 

 

“เพื่อให้ประชาชนสามเมืองอพยพออกมาอย่างปลอดภัย เฉิงกั๋วกงส่งบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับภรรยาของท่านชายพากำลังคนไปช่วยเหลือ เจ้าว่าเขาชอบทำสงคราม ไม่ทำได้หรือ? ไม่ทำพวกเราก็ตายไปแล้ว”  

 

 

พวกขอทานเอ่ยอยู่ ผู้หญิงหลายคนยังร้องไห้ขึ้นมาด้วย  

 

 

“พวกเจ้าใช้ชีวิตมีความสุข ใช้ชีวิตสุขสบาย กลับใส่ร้ายคนเช่นนี้ รังแกกันเกินไปแล้ว” ขอทานเฒ่าคนหนึ่งสะอื้นเอ่ยขึ้นอย่างโศกเศร้าคับแค้น  

 

 

ขอทานเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านผู้ลี้ภัยที่มาจากแดนเหนือ เรื่องที่แดนเหนือ เรื่องของเฉิงกั๋วกง คำอธิบายของพวกเขาย่อมทำให้คนเชื่อถือ  

 

 

คำพูดนี้ทำให้รอบด้านตกสู่ความเงียบพักหนึ่ง  

 

 

ใช่แล้ว เฉิงกั๋วกงทำมากมายปานนี้ยังถูกคนเดาส่งเดชเช่นนี้ รังแกคนอยู่บ้าง  

 

 

เห็นสถานการณ์ท่าไม่ดี บุรุษคนนั้นก็อับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง  

 

 

“อย่าฟังพวกเขาพูดเหลวไหล” เขาเอ่ยพลางมองนายทหาร “รีบจับคนสิ”  

 

 

นายทหารหลายคนมองเขาอย่างเย็นชา  

 

 

“อย่าก่อเรื่องบนถนน” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ย “กระทำผิดอีก จับเข้าคุก”  

 

 

เขาพูดพลางมองดูขอทานหลายคนนั้น  

 

 

“ยังไม่รีบไปอีก”  

 

 

ขอทานหลายคนนั้นตะลึงนิดหนึ่ง แม้ด้วยโกรธแค้นความอยุติธรรมจึงบุ่มบ่ามชั่วขณะ แต่ในใจก็ยังหวาดกลัวอยู่ คิดไม่ถึงว่าทหารกลับไม่จับพวกเขา ดังนั้นจึงรีบประคองคนแก่จูงเด็กรีบร้อนเดินออกไป  

 

 

ผู้ชายคนนั้นงงงัน  

 

 

หมายความว่าอย่างไร? นี่เตือนใครกัน? ทำไมปล่อยคนจากไปแล้ว  

 

 

“เฮ้ยพวกเจ้า..” เขารีบตะโกนจะไล่ตามไป ด้านหลังก็มีคนโผล่ออกมาชนเขา  

 

 

เขาไม่ทันตั้งตัวถูกชนล้มไปด้านหน้า เท้ากระแทกมุมโต๊ะเข้า เจ็บจนเขาร้องโอยโอยไม่ทันสนใจเอ่ยวาจาตั้งคำถาม  

 

 

“พลาดแล้ว พลาดแล้ว” เฉินชีตะโกนรีบเร่งไปด้านนอก “จะสายแล้ว สายแล้ว”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกลั้นยิ้มติดตามไป  

 

 

ส่วนนายทหารทั้งหลายสีหน้าเย็นชามองผู้คนในร้านน้ำชา  

 

 

“ไม่มีอะไรก็แยกย้ายได้แล้ว” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยบอก “อย่าสร้างข่าวลือทำให้ประชาชนสับสน”  

 

 

โทษนี้หนักนัก ผู้คนในร้ายน้ำชาตกใจสะดุ้งโหยง เป็นฝูงสัตว์กระเจิงทันที  

 

 

พริบตาก็เหลือเพียงบุรุษคนนี้ตัวคนเดียวอยู่ในร้านน้ำชากุมเท้าจมูกที่เลือดไหลดวงตาข้างหนึ่งบวม ทั้งโกรธทั้งอายด่าสาปแช่ง  

 

 

คำด่าสาปแช่งของบุรุษหลังร่าง เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันกลับไปมองทีหนึ่งก็มองหน้ากันยิ้มอีกครั้ง  

 

 

พวกเขามองไปยังขอทานหลายคนที่เดินช้าๆ ออกไปไกลบนถนน พร้อมกันนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ   

 

 

“อย่างไรก็ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ก็คงไม่หนาวเช่นนั้นไปตลอดหรอก” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย  

 

 

“เฉิงกั๋วกงทำสิ่งใด คนเมืองหลวงมองไม่เห็น คนแดนเหนือล้วนมองเห็น” เฉินชีเอ่ย “โลกมีความยุติธรรม”  

 

 

สิ้นเสียงเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนดังขึ้น บนถนนอลหม่านพักหนึ่ง  

 

 

แต่ทุกคนก็ล้วนคุ้นชินแล้ว ช่วงนี้คนส่งสารด่วนของเมืองหลวงมาก  

 

 

เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหลบออกไปข้างทาง หันกลับมองไป เห็นนายทหารคนหนึ่งควบม้าเร็วรี่วิ่งมา  

 

 

แต่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ นายทหารคนนี้เวลานี้ชูธงไหมที่เดิมวางอยู่ด้านหลังร่างขึ้นในมือ  

 

 

“ข่าวด่วน” เขาตะโกนเสียงดัง เสียงตื่นเต้น “เฉิงกั๋วกงนำทัพกลับมาจากอี้โจว”  

 

 

เฉิงกั๋วกง!  

 

 

เสียงตะโกนนี่ทำให้บนถนนเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา  

 

 

เฉิงกั๋วกง! เฉิงกั๋วกงไม่ตาย!  

 

 

เฉินชีกุมสองมือ สีหน้าตกตะลึงอยู่บ้าง  

 

 

“ข้าก็แค่พูดไปงั้นๆ สวรรค์นี่มีความยุติธรรมจริงๆ หนอ” เขาเอ่ย  

เสียงบึ้มบึ้มคล้ายไม่มีวันหยุด ใต้ฝ่าเท้าประหนึ่งแผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอน  

 

 

แทบพริบตาเดียว เมื่อเปลวไฟมอดดับ กลางกลุ่มควันก็ปรากฏหลุมดินมหึมาแห่งหนึ่ง  

 

 

เร็วปานนี้ นอกจากนี้ไม่สิ้นเปลืองกำลังคนสักนิดด้วย  

 

 

แต่บรรดาแม่ทัพที่ยืนอยู่นอกป้อมปราการด่านสีหน้านิ่งค้าง มองดูกระสุนหินลูกแล้วลูกเล่าหล่นร่วงจากท้องฟ้า ไม่ยินดีสักนิด  

 

 

“นี่ก็คือศาสตราร้ายกาจที่ทำให้ทหารจินขวัญเสียถอยไปงั้นหรือ“ มีแม่ทัพเอ่ยพึมพำ  

 

 

เมื่อครู่สู้กันดุเดือด พวกเขาก็ได้ยินเสียงสะเทือนเลือนลั่นนั่นเหมือนกันแต่ไม่ได้ขุดคุ้ย อย่างไรตอนนั้นก็อยู่บนขอบเหวของความเป็นความตาย ทว่าเห็นทหารจินหวาดผวาทุลักทุเลหนีไปก็คาดเดาได้ว่าร้ายกาจมากเท่าใด  

 

 

ตอนนี้มองเห็นยิ่งรู้แล้ว  

 

 

คุณหนูจวินคนนั้นบอกว่านี่คือกระสุนหิน แต่นี่มันกระสุนหินที่ไหนเล่า กระสุนหินทำได้แค่ทุบคนผู้หนึ่งตายรถคันหนึ่งพังเท่านั้น แต่สิ่งนี้ออกไปลูกหนึ่งก็เอาชีวิตคนได้เป็นเบือ  

 

 

ร่างเลือดเนื้อใต้กระสุนหินนี่ไม่ทานทนสักการโจมตี สิ่งนี้ไม่อาจขวางได้อย่างสิ้นเชิง มิน่าทหารจินถึงทุลักทุเลหนีไป  

 

 

ร้ายกาจจริงๆ!  

 

 

ทว่า…  

 

 

“พวกเจ้าถึงกับใช้ศาสตราร้ายกาจชิ้นนี้ขุดหลุมหลุมหนึ่ง?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ  

 

 

ศาสตราวุธร้ายกาจที่ทำให้ชาวจินได้ยินชื่อก็หนีขวัญกระเจิงชิ้นนี้เอามาใช้เช่นนี้แล้ว  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายรู้สึกเพียงหัวใจดั่งถูกมีดบาด  

 

 

ผลาญทรัพย์แท้  

 

 

“หากชาวจินมาอีกจะทำอย่างไร?” มีคนกุมหน้าอกตะโกนเสียงแหบพร่า  

 

 

คนตายถือเป็นเกียรติ แต่เพื่อคนตายทำให้คนตายมากยิ่งขึ้น นั่นโง่และเขลาจริงๆ   

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งยโสอยู่บ้าง  

 

 

“พวกเขา ไม่กล้า” นางเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

แรงสั่นสะเทือนมหึมานี้ทำให้ค่ายใหญ่ของทหารจินที่ไกลออกไปตกสู่ความโกลาหลอีกครั้ง  

 

 

ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มดังไม่ขาด สัมผัสแรงสั่นไหวของผืนดิน คิดถึงภาพเลือดเนื้อปลิวว่อนนั่น ทุกคนล้วนสีหน้าซีดขาว  

 

 

พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวเลือดเนื้อปลิวว่อน ทำศึกมาจนถึงวันนี้ภาพโหดร้ายอันใดไม่เคยเห็น ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ฝั่งตรงข้ามก็เลือดเนื้อปลิวว่อนเช่นนี้ เรียกว่าเข่นฆ่าไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการฆ่าล้างบาง  

 

 

การฆ่าล้างบางพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียว  

 

 

“ทหารโจวโจมตีมาอีกแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนหวิดทำให้ค่ายทหารแตกซ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายเจ็ดที่หวาดผวาจากกระสุนหินและรถยิงศรนี้ ตะโกนจะให้ถอยอีกทันที  

 

 

ยังดีทหารยามส่งข่าวมาทันเวลา ไม่ใช่ทหารโจวบุกมา ชาวโจวเพียงแค่โยนกระสุนหินอยู่ที่เดิมเท่านั้น  

 

 

นี่ทำให้ทหารจินทั้งหลายยิ่งตกตะลึง  

 

 

ทำไมโยนกระสุนหินอยู่ที่เดิม  

 

 

ทำให้กลัว? แสดงแสนยานุภาพ? ข่มขู่?  

 

 

นี่เหิมเกริมเกินไปแล้ว ชวนให้คนโมโห  

 

 

ทั่วป๋าอูหน้าแดง โกรธจนร้องตะโกนอ้ากอ้ากเสียงดัง  

 

 

“ทหารกล้าทั้งหลายติดตามข้าไปรบตัดสินเป็นตายกับชาวโจว” เขาตะโกน  

 

 

แต่แม่ทัพรอบด้านไม่มีผู้ขานตอบ มีคนไม่น้อยในดวงตาเผยความหวาดกลัว  

 

 

ทั่วป๋าอูยิ่งโกรธแค้น  

 

 

นี่เป็นดินแดนของพวกเขาเองกลับหวาดกลัวชาวโจว น่าอับอายเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

“พวกเจ้า พวกขี้ขลาดพวกนี้! หวั่นเกรงศัตรูหวาดกลัวศึก! ขายหน้าองค์ฮ่องเต้จริงๆ” เขาด่า  

 

 

คำพูดนี้ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานโกรธจัดแล้ว  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นต้าเผิงอ๋องเจ้าก็เป็นแนวหน้าไปรบสิ” เขาหัวเราะหยันเอ่ยพลางกุมแผลฟกช้ำบนหน้าผาก  

 

 

นี่คือองค์ชายเจ็ด แม้เรียกทั่วป๋าอูว่าท่านอา แต่สีหน้ากลับไม่นอบน้อมอย่างเด็กรุ่นหลังสักนิด  

 

 

ทั่วป๋าอูหน้าแดง แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไปรบเดี๋ยวนี้  

 

 

“พวกเราไม่ได้กลัวชาวโจวพวกนั้น” แม่ทพจินคนหนึ่งรีบเอ่ยคลี่คลายสถานการณ์ “เพียงแต่ชาวโจวปลิ้นปล้อนใช้อาวุธร้ายหลบเลี่ยงศึก ทำลายทหารกล้าของพวกเรา ไม่คุ้มค่าจริงๆ”  

 

 

“ใช่แล้ว แค่ศึกเมื่อครู่นี้ พวกเราก็เสียทหารกล้าไปไม่น้อยแล้ว” คนอื่นรีบเอ่ยตาม  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวกำขวานดาบในมือแน่น  

 

 

“พวกเขาทำเช่นนี้ กระสุนหินหมดแล้ว พวกเรายังมีอะไรให้กลัวอีก” เขากัดฟันเอ่ย  

 

 

“ถ้าใช้ไม่หมดเล่า?” องค์ชายเจ็ดเอ่ยเย็นชา  

 

 

ในค่ายเงียบงันไปครู่หนึ่ง  

 

 

คิดถึงอันตรายเมื่อครู่ องค์ชายเจ็ดก็กดแผลบนศีรษะ ในใจเพลิงโทสะโหมกระพือ  

 

 

“ทั่วป๋าอู เจ้าเป็นอะไรไป? ทหารโจวมีอาวุธร้ายปานนี้กลับไม่รู้ ไม่ป้องกันเลย!” เขาตวาด  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว  

 

 

แม่ทัพคนอื่นเห็นภาพนี้พลันรีบเอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

“พวกเราไม่ใช่ไม่สู้ แต่ดูสถานการณ์แล้วสู้”  

 

 

“ใช่แล้ว ตอนนี้ศึกษาก่อนว่ากองทหารชิงซานนี่คืออะไรกัน”  

 

 

“ชาวฮั่นไม่ได้กล่าวว่าเหลือขุนเขาเขียวอยู่ไม่กลัวไร้ฟืนเผาหรือ หากทหารกล้าทั้งหลายของพวกเราตายหมดแล้ว นั่นถึงแย่”  

 

 

ทุกคนพากันเอ่ย  

 

 

ทั่วป๋าอูผิวหน้ากระตุก มองดูบรรดาแม่ทัพในกระโจม สถานการณ์เช่นนี้แปลกตาอยู่บ้าง แต่ก็คุ้นตาอยู่บ้าง  

 

 

ที่แปลกตาคือตั้งแต่ออกรบมา บรรดาทหารกล้าน้อยครั้งนักจะเผยความหวาดกลัวเช่นนี้  

 

 

แต่ที่คุ้นตาก็คือ เนิ่นนานนักก่อนหน้านี้ความหวาดกลัวเช่นนี้เขาก็เห็นอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นยามเผชิญหน้ากองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกง  

 

 

ความหวาดกลัวเช่นนี้กดทับอยูบนหัวพวกเขามาตลอดนับสิบกว่าปี ลำบากนักกว่าวันนี้จะอาศัยชาวโจวบ่อนทำลายเฉิงกั๋วกงได้ พร้อมกับที่ชนะทีละนิดๆ ทหารกล้าทั้งหลายก็ไม่หวาดกลัวทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงอีกต่อไป  

 

 

ผลสุดท้ายนี่เพิ่งนานเท่าไร กองทหารชิงซานกลับโผล่ออกมาอีก  

 

 

เฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย คนใหม่ก็โผล่มาอีก ช่าง….  

 

 

ทั่วป๋าอูกำขวานดาบทั้งโกรธแค้นทั้งหนาวใจ  

 

 

แต่ตอนนี้เขาเองก็รู้ ไม่อาจรบต่อได้อีกแล้ว เพราะทหารกล้าทั้งหลายหวาดกลัวแล้ว ยังไม่รบก็แพ้แล้ว  

 

 

เสียงระบิดดังตูมตามหยุดลง  

 

 

ในหูแม่ทัพทั้งหลายยังคงดังวิ้งๆ แต่กระบวนทัพด้านนั้นใช้ธงสั่งการให้รวบรวมศพของนายทหารบนสนามรบแล้ว  

 

 

คนหลายพันประหนึ่งลากแห การเคลื่อนไหวรวดเร็วทั้งไม่มีช่องโหว่ ศพทั้งหมดถูกกองสุมไว้ในหลุมใหญ่อย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ป้ายห้อยเอวมากมายยุบยับกองพะเนินอยู่บนรถ  

 

 

สีหน้าของแม่ทัพทั้งหลายฟื้นกลับจากความตื่นตะลึงกลายเป็นนิ่งขรึม  

 

 

เฉิงกั๋วกงก็ส่งสัญญาณให้ยกตนเองมายังหน้าหลุมดินด้วย เขาไม่สนคำห้ามปรามจะลงมา แม่ทัพทั้งหลายลำบากใจยิ่งนัก  

 

 

แม้หัวใจเข้าใจ แต่อย่างไรเจ็บหนักปานนี้ไม่อาจทำตามอำเภอใจได้นะ  

 

 

พวกเขามองไปทางคุณหนูจวินโดยไม่รู้ตัว เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นหมอทั้งหลายเอ่ยห้าม  

 

 

“ได้” คุณหนูจวินพยักหน้าพลางเอ่ย “อย่างไรก็เจ็บหนักเช่นนี้แล้ว เพิ่มอีกสักหน่อยไม่ต้องสนใจ”  

 

 

นี่ตรรกะบ้าบออะไร! แม่ทัพทั้งหลายหน้าดำ  

 

 

มีคำพูดของคุณหนูจวิน คนอื่นก็ไม่มีวาจาให้พูดได้แล้ว แม่ทัพคนสนิทหลายคนประคองเฉิงกั๋วกงเดินลงมายืนหน้าหลุมดินช้าๆ  

 

 

กลิ่นคาวเลือดกลิ่นกำมะถันปะปนยิ่งเพิ่มความเศร้าสลดขึ้นหลายส่วน  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองดูศพที่กองพะเนินในหลุมดิน ไม่เอ่ยวาจา เพียงมองเงียบงัน ตั้งอกตั้งใจกวาดสายตาผ่านทีละนิดๆ  

 

 

“เอาดาบมา” เขาเอ่ย  

 

 

ยังจะเอาดาบอีก?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายถอนหายใจในใจ แต่ก็ได้แต่หยิบเอามา  

 

 

เฉิงกั๋วกงกุมดาบ ส่งสัญญาณให้บรรดาแม่ทัพที่พยุงตนเองอยู่คลายมือออก เขาก้าวไปข้างหน้าโงนเงนเช่นนี้ ค้ำดาบไว้กับพื้นยันร่างกายยืนตรงช้าๆ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายด้านหลังมองดูแผ่นหลังของเขาฉับพลันดวงตาก็ขัดเคืองอยู่บ้าง  

 

 

ภาพนี้คุ้นเคยนัก ทุกครั้งที่ออกรบเฉิงกั๋วกงล้วนจะยืนอยู่หน้ากองทัพเช่นนี้ มองดูทหารและแม่ทัพของเขา ส่วนทหารและแม่ทัพของเขาก็ล้วนมองดูเขาเช่นกัน  

 

 

“ตีกลอง” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งรีบยกมือให้สัญญาณ กลองรบหนักหน่วงทั้งยังฮึกเหิมดังขึ้น ท่ามกลางความจริงจังอลังการเป็นพิเศษ  

 

 

เฉิงกั๋วกงยกดาบในมือขึ้นช้าๆ ชูขึ้นมา  

 

 

ออกรบ  

 

 

บรรดาแม่ทัพด้านหลังร่างรู้สึกเพียงลำคอแสบร้อน พวกเขาพากันชักดาบหอกชูขึ้นมา  

 

 

ดาบยาวชูสูง หอกยาวตั้งเรียงราย  

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าให้เซี่ยหย่ง  

 

 

ควบคู่กับเสียงกลอง นายทหารทั้งหลายรอบหลุมผลักดินหินเข้าไป ศพซ้อนเป็นชั้นๆ แถบแล้วแถบเล่าค่อยๆ ถูกฝังกลบ  

 

 

หลุมถูกกลบมิด ดินกองพูนสูง ก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าทับอยู่ด้านบน  

 

 

เฉิงกั๋วกงกลับไปนอนบนเกี้ยวอีกครั้ง  

 

 

สีหน้าของเขานิ่งสงบอยู่ตลอด ไม่มีความโศกเศร้าแล้วยิ่งไม่มีความโกรธแค้น  

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยพลางหลับตาลง  

 

 

“รอสักครู่” คุณหนูจวินกลับเอ่ยขึ้น เอ่ยเสียงเบากับเซี่ยหย่งและหลี่กั๋วรุ่ยหลายประโยค ทั้งสองคนขานตอบวิ่งเข้าไปในกระบวนทัพ  

 

 

ยังจะทำอะไรอีก?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายมองดูอย่างไม่เข้าใจ เฉิงกั๋วกงก็ลืมตาเช่นกัน หลังจากนั้นก็มองเห็นนายทหารแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้าออกมา ในมือทุกคนอุ้มธงผืนหนึ่ง  

 

 

ธง!  

 

 

เฉิงกั๋วกงลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอีกครั้ง มองดูนายทหารเหล่านี้ปักธงไว้บนกองหิน ท้ายที่สุดธงใหญ่ผืนหนึ่งก็ได้นายทหารสี่ห้าคนร่วมแรงกันปักไว้บนจุดสุงสุด  

 

 

ธงขอบน้ำเงินตรงกลางสีแดงยาวหกฉื่อรับลมปลิวสะบัดพรึบพรับ  

 

 

“รอวันหน้า ข้าจักมารับพวกเจ้ากลับบ้าน” เฉิงกั๋วกงมองดูธงใหญ่ที่ปลิวสะบัด ฉับพลันเอ่ยออกมา  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม  

 

 

“หรือ รอวันหน้า ที่นี่ก็จะเป็นบ้านของพวกเจ้า พวกเราจะเอาที่นี่เซ่นไหว้” นางเอ่ย  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายอดไม่ได้มองไปหานาง  

 

 

วาจานี่โอหังจริงๆ ความหมายก็คือจะยึดแผ่นดินของชาวจินมาเป็นของตนเอง  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองไปหานาง ยิ้มแล้ว  

 

 

“ทหารดี” เขาพยักหน้าให้นาง เอ่ยอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินก็ผงกศีรษะแย้มยิ้มให้เขาด้วย  

 

 

……………………………………….  

 

 

ได้ยินทหารสอดแนมบอกว่าทหารโจวถอนค่ายจากไปแล้ว คนที่ค่ายจินฝั่งนี้ก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง  

 

 

ไม่ยินยอม หงุดหงิดแต่ก็มีความยินดีที่น่าละอายจางๆ เผยออกมาด้วย  

 

 

“ไม่สู้ไล่ตามโจมตี…” แม่ทัพจินกำยำคนหนึ่งตะโกน “…ปล่อยเฉิงกั๋วกงจูซานไปเช่นนี้แล้ว หลังจากนี้น่ากลัวว่าคงไม่มีโอกาสสังหารเขาให้ตายแล้ว พวกเรา…”  

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงระเบิดตูมอีกหลายครั้ง แผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอนอีกหน  

 

 

ในกระโจมค่ายตกสู่ความโกลาหลไปหมด  

 

 

“ของสิ่งนี้อีกแล้ว”  

 

 

“ชาวโจวบุกมาแล้วหรือ?”  

 

 

“ไม่ใช่บอกว่าไปแล้วรึ?”  

 

 

ทั้งค่ายทหารแตรสัญญาณกลองฆ้องดังพร้อมเพรียงเตรียมรับศึกอย่างระแวดระวัง ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องไล่ตามโจมตีอีก  

 

 

มองดูเปลวไฟควันกำมะถันลอยขึ้นมา  

 

 

จ้าวฮั่นชิงพลันตบมือลงบนตัวม้า  

 

 

“เหลือสองลูก ให้พวกเจ้าฟังให้กระหึ่ม” นางเอ่ย  

 

 

พูดจบก็หันหัวม้า รถสัมภาระสองคันเคลื่อนตามนางไป  

 

 

ธงใหญ่อลังการของกองทัพใหญ่เบื้องหน้าปลิวสยายมุ่งลงใต้  

เสียงแตรสัญญาณฮูมๆ สะท้อนก้องบนสนามรบ กระบวนทัพด้านหน้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง  

 

 

แม่ทัพหลายคนเดินมาถึงนอกป้อมปราการด่านเพิ่งได้ตั้งใจมองทหารกองหนุนเบื้องหน้าชัดเป็นครั้งแรกเช่นกัน  

 

 

ทหารกองหนุนเหล่านี้ดำทะมึนไปหมด จำนวนคนจะบอกว่าน้อยก็ไม่น้อย จะบอกว่ามากก็ไม่อาจนับว่ามาก ต้องรู้ว่านี่เป็นถึงในเขตของชาวจิน สิ่งที่เผชิญคือทัพใหญ่หลายหมื่น  

 

 

ทว่าทหารกองหนุนเหล่านี้กระบวนทัพเข้มงวดกวดขัน แม้เวลานี้กำลังเปลี่ยนรูปกระบวนทัพอยู่ แต่ละคนๆ ก็เชิดศีรษะยืดอก นอกจากเสียงฝีเท้ากับเสียงชุดเกราะไม่มีเสียงอื่นปะปนสักนิด  

 

 

บรรยากาศน่าครั้นคร้ามนี่คล้ายท่วมท้นทั้งโลก น่ากลัวอย่างยิ่ง  

 

 

นี่คือกองทหารซุ่นอันหรือ?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายย่อมไม่แปลกหน้ากับกองทหารต่างๆ ของแดนเหนือ สีหน้าอดไม่ได้ตกตะลึง  

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะของพวกเขา บรรยากาศนี่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  

 

 

นี่เป็นกองทหารแข็งแกร่งที่หนึ่งของที่หนึ่งชัดๆ หนึ่งต้านสิบได้  

 

 

“ทหารดี”  

 

 

เสียงของเฉิงกั๋วกงดังมาด้านหลัง  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายรีบหันหน้าไป มองเห็นเฉิงกั๋วกงที่นอนอยู่บนเกี้ยวนุ่มถูกยกเดินมาอยู่ แม้ไร้เรี่ยวแรง แต่แววตากระจ่างใสอยู่ตลอด เวลานี้ก็กำลังมองกระบวนทัพทหารด้านหน้า บนใบหน้าไม่ปิดบังความชื่นชม  

 

 

“นี่ล้วนเป็นทหารของเจ้าหรือ?” เขามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง  

 

 

คำพูดนี้พูดได้ประหลาดนัก  

 

 

นี่เป็นกองทหารซุ่นอันชัดๆ ทำไมบอกว่าเป็นของคุณหนูจวินคนนี้?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าแปลกพิกล  

 

 

คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ข้างเกี้ยวนุ่มของเฉิงกั๋วกงพลันแย้มยิ้ม  

 

 

“นี่คือทหารของต้าโจว” นางเอ่ย  

 

 

สายตาของเฉิงกั๋วกงจับอยู่บนธงสีแดงผืนใหญ่ในกระบวนทัพ  

 

 

“กองทหาร ชิง ซาน” เขาอ่านออกมาทีละคำๆ  

 

 

กองทหารชิงซาน?  

 

 

ที่แท้ที่พูดถึงคือกองทหารชิงซานหรือ?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายมองไปทางกระบวนทัพอีกครั้ง นอกจากธงกองทัพของกองทหารซุ่นอัน มีธงผืนใหญ่อีกผืนปลิวสะบัดอยู่อีกจริงๆ  

 

 

กองทหารชิงซาน  

 

 

เป็นกองทหารอะไร?  

 

 

ความคิดแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าระลอกหนึ่งย่ำมาไกลๆ มีกำลังคนจำนวนมากควบม้ามา  

 

 

ใคร? หรือว่าทหารจิน?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายเพ่งสายตามองไป เห็นกองทหารหลายพันนายใกล้เข้ามาทุกที เสื้อผ้าที่สวมใส่รวมถึงธงล้วนเป็นของชาวโจว  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายโล่งอก คิดถึงคำพูดที่เด็กสาวคนนี้เอ่ยเมื่อครู่ ท่าทางนี่คงเป็นกำลังพลที่ไปลอบโจมตีค่ายใหญ่ของทัพจิน  

 

 

กองทหารควบม้าใกล้เข้ามา จากนั้นผสานเข้าไปในกระบวนทัพตามการสั่งการของเสียงกลองทันทีประหนึ่งสายธารรวมเข้ากับแม่น้ำใหญ่ สำเร็จราบรื่นลื่นไหลอย่างยิ่ง  

 

 

มีเพียงคนขี่ม้าคนหนึ่งยังคงควบม้าต่อมาทางด้านนี้  

 

 

เมื่อมองเห็นคนผู้นี้ แม่ทัพทั้งหลายก็สีหน้าตกตะลึงอีกครั้ง  

 

 

ถึงกับเป็นสตรีอีกคนหนึ่ง  

 

 

สตรีผู้นี้ขี่ม้าสีดำตัวหนึ่ง ผ้าคลุมสีแดงสดปลิวสะบัด บนไหล่สะพายคันศรไว้ ในมือกำดาบยาว บนหลังม้ามัดโล่กลมไว้ เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ของแม่ทัพผู้กล้าคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง  

 

 

หน้าของนางถูกผ้าสีแดงปิดไว้ สองตาสุกสกาวเปล่งประกายมีชีวิตชีวา  

 

 

ม้าควบเข้ามาใกล้ก็ไม่ลดความเร็วสักนิดพาสายลมหอบหนึ่งพัดฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา ชายกระโปรงกับผ้าคลุมของคุณหนูจวินก็ปลิวตามขึ้นมาด้วย  

 

 

“พี่สาว ท่านให้พวกเรากลับมาเร็วเกินไปแล้ว” นางตะโกนเสียงดัง รั้งม้าหมุนไปมาหน้าร่างคุณหนูจวิน “ข้าเห็นที่ๆ องค์ชายอะไรนั่นอยู่แล้ว จัดให้เขาอีกไม่กี่ทีคงกำจัดได้”  

 

 

ถึงกับจู่โจมไปถึงที่ๆ องค์ชายเจ็ดอยู่เชียวรึ?  

 

 

เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายสีหน้ายากปิดบังความตกตะลึง ที่ยิ่งไม่ธรรมดาก็คือโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้ ยามได้ยินคำสั่งถอนกำลังกลับก็ไม่ลังเลสักนิดเรียกทหารกลับมาแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินมองนางพลางแย้มยิ้ม  

 

 

“ฮั่นชิงร้ายกาจจริงๆ” นางว่า “แต่หากจัดการเขาไปจริงๆ พวกเราก็จากไปไม่ได้แล้ว”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อ ทะยานม้าหมุนหลายรอบ สายตาจับอยู่บนร่างเฉิงกั๋วกง  

 

 

เฉิงกั๋วกงก็มองนางแล้วยิ้มอ่อนโยน  

 

 

จ้าวฮั่นชิงสีหน้านิ่งสนิทละสายตาออก คล้ายนอกจากคุณหนูจวิน คนอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของนาง  

 

 

“พี่สาว ข้ากลับขบวนแล้วนะ” นางเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า จ้าวฮั่นชิงทะยานม้าควบเร็วรี่ไปทันที  

 

 

“คนนี้น้องสาวของเจ้าหรือ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วอมยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“เป็นแม่นางที่ดี” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “เป็นทหารที่ดี”  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม ดวงตาเปล่งประกาย ภาคภูมิใจเล็กๆ แล้วก็ขัดเขินอยู่นิดๆ  

 

 

หายาก หายาก คุณหนูจวินถึงกับมีท่าทางเด็กน้อยเช่นนี้ด้วย  

 

 

เหลยจงเหลียนเหล่ตาอยู่ด้านข้าง พลันได้ยินมีคนหัวเราะหยันด้านข้างสองที  

 

 

“ไม่ตายก็เก็บแรงไว้รักษาบาดแผลเถอะ” เหลยจงเหลียนหันหน้ามาเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องเช้าจรดค่ำหัวเราะหยัน เจ้าหัวเราะหยันมีประโยชน์อันใดอีก”  

 

 

จินสือปามองเขาอย่างเย็นชา แขนข้างหนึ่งมัดไว้หน้าร่าง เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บแล้ว  

 

 

แผลนี่ถูกฟันบาดเจ็บระหว่างประมือกับชาวจินไม่กี่วันก่อน  

 

 

“เรื่องไร้ประโยชน์มากมายไป” จินสือปาหัวเราะหยันเอ่ย “คิดว่าช่วยเช่นนี้แล้ว คนผู้นี้ก็จะไม่ตายได้แล้วหรือ?”  

 

 

เขาเอ่ยคำพูดนี้สายตาก็มองเฉิงกั๋วกง  

 

 

เหลยจงเหลียนขมวดคิ้ว  

 

 

“คนล้วนตายครั้งเดียว หากพูดเช่นนี้พวกเราทำสิ่งใดล้วนไร้ประโยชน์” เขาเอ่ย “ทว่าการทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดไม่ใช่ล้วนเพื่อความเป็นความตายเสียหมด”  

 

 

จินสือปามองเขาแล้วหัวเราะหยัน เหลยจงเหลียนไม่สนใจเขาอีกต่อไป เพราะคุณหนูจวินด้านนั้นกำลังสั่งการว่าจะเก็บกวาดสนามรบอย่างไร  

 

 

“ผู้ที่สู้รบจนตายพลีชีพเพื่อชาติที่นี่มีหลายพันคน บาดเจ็บหนักพันคน ผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอื่นๆ ไม่อาจนับออกมาได้”  

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งแจ้งจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย จำนวนนี้ทำให้คนที่นั่นเงียบงัน บรรยากาศหนักอึ้ง  

 

 

บาดเจ็บล้มตายมากเกินไปแล้ว กองทหารคนสนิทของเฉิงกั๋วกงเกือบค่อนครึ่งเสียไปที่นี่  

 

 

“ปิดหน้าศพ เก็บป้ายห้อยเอว ถอนทัพ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยสั้นกระชับเด็ดขาด  

 

 

คงเป็นเหตุเพราะอ่อนแรง ในเสียงจึงมีความเศร้าเสียใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน  

 

 

เพราะไม่มีเวลาแล้วจริงๆ จะกลบฝังก็ไม่อาจกลบฝังดีๆ ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเผาศพเก็บเถ้ากระดูก  

 

 

ตายในต่างแดน กระทั่งเสื่อม้วนหนึ่งยังหาไม่ได้ จากนั้นยังต้องถูกลมพัดแดดสาดสุนัขจรจัดกัดแทะ นี่ทำให้คนเศร้าเสียใจเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

ทว่านี่ก็เป็นความจริงที่ทุกคนล้วนต้องยอมรับ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายกำลังจะถ่ายอดคำสั่ง คุณหนูจวินก็ส่งเสียงห้าม  

 

 

“ให้พวกเราฝังเถอะ” นางเอ่ย  

 

 

ทหารกองหนุนจำนวนมากมาย แต่ถึงเป็นเช่นนี้การขุดหลุมฝังคนก็ยังสิ้นเปลืองเวลาอย่างมาก  

 

 

สตรีอย่างไรก็ใจอ่อน ใช้อารมณ์กับเรื่องต่างๆ ได้ง่าย  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายมองไปทางบุรุษทั้งหลายด้านนั้น มีคนจะเกลี้ยกล่อมหรือไม่? หรือกองทหารซุ่นอันนี่สตรีคนนี้เป็นผู้ตัดสินใจจริงๆ ?  

 

 

บุรุษทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมองคุณหนูจวินเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับบรรดาแม่ทัพด้านนี้ของเฉิงกั๋วกง สีหน้าของพวกเขาไม่ตั้งข้อสงสัยสักนิด  

 

 

“ขอรับ” พวกเขาไม่ลังเลสักนิดตอบรับพร้อมเพรียง  

 

 

บุรุษเหล่านี้คาดหวังไม่ได้แล้ว แม่ทัพคนหนึ่งในใจถอนหายใจ  

 

 

“คุณหนูจวิน นี่ช่างสิ้นเปลืองกำลังคนเกินไปแล้ว…” เขาก้าวออกมาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีระขัดเขา  

 

 

“ไม่ ไม่สิ้นเปลืองกำลังคน” นางเอ่ยพลางมองไปทางเซี่ยหย่ง “ใช้กระสุนหินเถอะ”  

 

 

กระสุนหิน?  

 

 

กระสุนหินพวกเขารู้จัก หรือจะใช้กระสุนหินถล่มเป็นหลุมบนพื้น? นั่นยังเร็วสู้คนขุดไม่ได้เลยนะ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายขมวดคิ้ว มองดูบุรุษที่เรียกว่าเซี่ยหย่งด้านนี้ขานรับแล้วหมุนตัวก้าวไวๆ ไป ให้หลังครู่หนึ่งธงกับกลองบัญชาการกระบวนทัพด้านนั้นก็หยุดลงวูบหนึ่ง  

 

 

กำลังพลที่เคลื่อนที่ก็หยุดตามด้วย  

 

 

หลังจากนั้นกลองกับธงก็ยกขึ้นมาใหม่ กำลังพลไม่ขยับ ในกระบวนทัพ รถสัมภาระคันแล้วคันเล่าขับออกมา  

 

 

รถเหล่านี้ขุดหลุมได้หรือ?  

 

 

บรรดาแม่ทัพที่ยืนอยู่นอกป้อมปราการด่านล้วนสีหน้าปั้นยากมองอยู่ ยังมีคนทนไม่ไหวส่ายศีรษะ  

 

 

กองทหารซุ่นอันนี่เป็นอะไรไปแล้ว?  

 

 

“ท่านกั๋วกง”  

 

 

เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง  

 

 

“ปิดหูสักหน่อย เสียงดังอยู่บ้าง”  

 

 

เสียงอะไรดังอยู่บ้าง?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายงุนงงวูบหนึ่ง เอี้ยวศีรษะมองคุณหนูจวิน เพิ่งมองข้ามมาก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มบึ้มดังขึ้น พร้อมกันนั้นแผ่นดินก็สั่นคลอนวูบหนึ่ง  

 

 

เสียงดังอยู่บ้างที่ไหน ดังมากชัดๆ  

 

 

คนมากมายไม่ทันตั้งตัวหวิดหกล้ม พวกเขาไม่ทันสนใจมองคุณหนูจวิน พากันมองไปด้านหน้า  

 

 

เห็นเพียงบนพื้นดินเปลวไฟหมอกควันลอยขึ้นมาเป็นแถบๆ และยังมีดินหินกระจายรอบด้าน  

กินผลไม้เชื่อมไหม?  

 

 

คนทั้งหมดนิ่งอึ้งไปแล้ว  

 

 

ต่อให้เคยคิดพันหมื่นทางก็คิดไม่ถึงว่าสตรีคนนี้จะเอ่ยประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา  

 

 

นี่คือบนสนามรบ  

 

 

บนสนามรบทำไมมีสตรีได้? สตรีทำไมมาถึงด้านหน้าที่สุดนี่ได้อีก? ทำไมมาถึงสถานที่อันตรายนี้?  

 

 

ทำไมยังพกผลไม้เชื่อมติดตัวมาอีก?  

 

 

ทำไมคำพูดประโยคแรกต้องเชิญคนกินผลไม้เชื่อม?  

 

 

คำถามนับไม่ถ้วนผุดวาบขึ้นในสมองบรรดาแม่ทัพเหล่านี้ แต่หาคำตอบไม่ได้  

 

 

เรื่องไม่คาดฝันวันนี้มากมายเกินไปแล้ว  

 

 

คนทั้งหมดไม่ทราบว่าควรตอบสนองอย่างไร  

 

 

สายลมวสันต์ฤดูโชยไล้ใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ขับไล่กลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในจมูก ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมสะอาดของสตรีผู้นี้หรือกลิ่นหอมหวานของผลไม้เชื่อมในมือ  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองดูเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มน้อยๆ คลายมือที่กำดาบยาวออก  

 

 

ดาบยาวร่วงลงในเลือดสดแอ่งหนึ่งบนพื้น แลดูเย็นเยียบน่าขนลุก  

 

 

เพราะเสียสิ่งค้ำยันไป ร่างกายเฉิงกั๋วกงจึงไม่มั่นคงอยู่บ้าง รองแม่ทัพหลังร่างรีบพยุงเขาไว้  

 

 

เฉิงกั๋วกงยื่นมืออกมาแล้วก็หยุดไปอีก  

 

 

“มือของข้า สกปรกไปหน่อย” เขามองดูมือของตนเองแล้วเอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน   

 

 

บนมือเต็มไปด้วยคราบเลือด มีของผู้อื่นแล้วก็มีของตนเอง  

 

 

เขาขออภัยเพราะมือของตนสกปรก แม้ว่านี่เป็นบนสนามรบ ยามได้รับบาดเจ็บหนักหลังการเข่นฆ่า  

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ ยื่นมือออกมาฉีกกระดาษห่อผลไม้เชื่อมออก วางไว้บนฝ่ามือที่แบออกของเฉิงกั๋วกง นางอมยิ้มมองเขาอย่างตั้งใจและคาดหวัง  

 

 

ดวงตาของแม่นางน้อยคนนี้ละมุนสุกสกาวประหนึ่งสายน้ำวสันต์ฤดูผืนหนึ่ง  

 

 

แม้ไม่ทราบว่านางเป็นใคร แต่ผู้ที่ปรากฏตัวบนสนามรบที่เต็มไปด้วยคาวเลือดแห่งนี้ได้ย่อมไม่มีทางเป็นแม่นางน้อยนุ่มนิ่มจริงๆ แน่นอน  

 

 

บนหน้าของนางเคร่งเครียดอยู่บ้าง แค่ความเคร่งเครียดนี้ของนางไม่ใช่เพราะตัวอยู่ในสนามรบ ยิ่งไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บหนักน่าหวาดผวาทั้งร่างของเฉิงกั๋วกง แต่เป็นผลไม้เชื่อมเม็ดนี้  

 

 

เคร่งเครียดว่าเขาจะกินหรือไม่กิน เคร่งเครียดว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย  

 

 

คล้ายกับว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพียงหนึ่งเดียว  

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอีกครั้ง ฝ่ามือถือผลไม้เชื่อมที่แกะแล้ว ส่งมาถึงริมฝีปากที่แตกมีรอยเลือดอยู่ กินลงไปในคำเดียว  

 

 

เขาเคี้ยวอย่างตั้งใจ ใบหน้าอ่อนโยนยับย่นเล็กน้อย  

 

 

คุณหนูจวินกังวลนิดๆ ทันที  

 

 

“เปรี้ยวไปหน่อย” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ “อร่อยมาก ขอบคุณ”  

 

 

บนหน้าคุณหนูจวินแย้มรอยยิ้มประหนึ่งบุปผาใบไม้ผลิบานสะพรั่ง  

 

 

ผู้คนรอบด้านโล่งอกอย่างประหลาด คล้ายเรื่องยากลำบากใหญ่หลวงคลี่คลายลงแล้ว คนมากมายยังยิ้มตามโดยไม่มีที่มา  

 

 

“ผลไม้ที่นี่ไม่ไหว ทำออกมาไม่อร่อย” คุณหนูจวินเอ่ย สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย  

 

 

จะเทียบกับผลไม้เชื่อมในวังหลวงได้อย่างไร  

 

 

แม่นางน้อยคนนี้สมองคงไม่ได้มีปัญหาหรอกนะ? เม่ทัพทั้งหลายด้านข้างในที่สุดก็ได้สติกลับมา สีหน้ากลายเป็นแปลกพิกล  

 

 

ผลไม้เชื่อมของสิ่งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องหารือตอนนี้หรือ?  

 

 

“ท่านกั๋วกง แผลของท่าน…” แม่ทัพคนหนึ่งสะอื้นเอ่ย คุกเข่าข้างหนึ่งลง สีหน้าร้อนรนมองดูเฉิงกั๋วกง  

 

 

“ท่านกั๋วกงแผลของท่าน”  

 

 

แม่ทัพคนอื่นก็ได้สติตามพากันล้อมเข้ามาเอ่ยเสียงดัง เตือนสติแม่นางน้อยคนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาอะไร คนผู้นี้ตรงหน้าสภาพเป็นอย่างไร  

 

 

พูดถึงสภาพ เฉิงกั๋วกงบาดเจ็บหนักมากจริงๆ  

 

 

ดาบฟันเปิดเกราะบนแขน บนร่างทุกหนทุกแห่งเลือดย้อมเป็นแถบ  

 

 

แม้ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ไม่มีสีเลือดสักนิด บนหน้าผากยังมีหยดเหงื่อเม็ดโตๆ ไหลริน มือที่กำดาบใหญ่แน่นเมื่อครู่ก็ทิ้งลงหน้าร่างกำลังสั่นเทาอยู่บ้าง ส่วนร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นแล้ว  

 

 

เดิมทีที่กำดาบยาวเมื่อครู่ไม่ได้เพื่อค้ำยันให้นั่งอยู่ แต่เพื่อควบคุมความเจ็บปวด  

 

 

ความเจ็บนี่เห็นชัดว่ามาถึงขีดสุดแล้ว  

 

 

แผลบนร่างเฉิงกั๋วกงแม้มาก แต่ที่นำความเจ็บปวดถึงที่สุดนี้มาและเป็นจุดที่สำคัญที่สุดมีเพียงที่เดียว  

 

 

นั่นก็คือหอกยาวบนหน้าอกของเขา  

 

 

แผลนี้หนักเกินไปแล้ว! เกรงว่า….  

 

 

แม่ทัพทหารทั้งหลายฉับพลันยิ่งโศกเศร้าเสียใจ คนไม่น้อยคุกเข่ากับพื้นหลั่งน้ำตา  

 

 

“ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหา”  

 

 

ทว่าเสียงอ่อนหวานของสตรีกลับดังขึ้น ทั้งยังมีความเบิกบานอยู่บ้าง  

 

 

ไม่เป็นปัญหา? เบิกบาน?  

 

 

เป็นเช่นนี้แล้ว! ผู้หญิงคนนี้ที่แท้จะ…  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายโกรธเกรี้ยวหันหน้ามา  

 

 

“พวกเจ้าคือกองทหารซุ่นอัน เหมาซุ่นไฉมาหรือไม่?” แม่ทัพคนหนึ่งสะกดโทสะตะโกนเอ่ย  

 

 

กองทหารด้านนั้นตอนนี้เข้ามาใกล้แล้ว เห็นธงกองทัพที่ปลิวสะบัดได้  

 

 

แม่ทัพย่อมจดจำได้ว่านี่คือกองทหารกองไหน แม้ในนั้นยังมีธงกองทัพที่ไม่รู้จักสักนิดอยู่ด้วยก็ตาม  

 

 

เหมาซุ่นไฉเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทารซุ่นอัน ในฐานะแม่ทัพคนสนิทผู้มีความสามารถของเฉิงกั๋วกง คนที่คบหากับเขาย่อมล้วนต้องเป็นแม่ทัพระดับเดียวกัน  

 

 

คนเหล่านี้ตรงหน้าน่าจะไม่ใช่แม่ทัพระดับสูงทั้งสิ้น เพราะเขาล้วนไม่รู้จัก  

 

 

แต่เดินทางไกลช่วยโจมตีเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ย่อมต้องควบคุมบัญชาการ  

 

 

แต่ทำไมไม่เห็นแม่ทัพใหญ่เหมาซุ่นไฉเลย? ยังอยู่ในกระบวนทัพ? หรือไปลอบโจมตีค่ายใหญ่ของทหารจินแล้ว?  

 

 

แม่ทัพความคิดแล่นผ่านไป ตอนนี้ไม่สนเรื่องนี้ก่อน  

 

 

“หมอในกองทัพยังอยู่ไหม?” เขารีบร้อนเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

หมอที่ติดตามกองทัพของพวกเขาโชคไม่ดีต้องศรตายในการโจมตีหลายครั้งก่อนของทหารจินไปแล้ว  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยรีบร้อนพยักหน้า  

 

 

“มีหมอ มีหมอ” เขาเอ่ย  

 

 

แต่ไม่ได้เสียงดังตะโกนเรียกหมออย่างนั้นอย่างที่บรรดาแม่ทัพคาดคิด กลับก้าวไปยืนด้านข้างอีกครั้ง  

 

 

“คุณหนูจวินเชิญขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม  

 

 

อีกแล้ว….  

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าแข็งทื่อ อยากพูดอะไรก็เห็นเด็กสาวคนนั้นยื่นมือออกมาแล้ว บุรุษคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังร่างนางส่ง**บยาใบหนึ่งมาทันที  

 

 

เป็นหมอจริงๆ ด้วยรึ   

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง ที่แท้ก็เป็นหมอคนหนึ่งนี่เอง นี่จึงติดตามกองทัพมาได้  

 

 

แต่ผู้หญิงคนนี้ไหวหรือเปล่า?  

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงสตรีเป็นหมอน้อย หมอในกองทัพนี่ไม่เหมือนกับหมอของชาวบ้าน ที่รักษาส่วนมากเป็นแผลจากการรบ สำหรับสตรีทั้งหลายแล้วทั้งเหม็นคาวเลือดทั้งไม่สะดวก  

 

 

คุณหนูจวินย่อตัวลงไปหน้าร่างเฉิงกั๋วกงเริ่มจัดการบาดแผลแล้ว  

 

 

มองดูนางเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ทั้งไม่มีท่าทางขัดเขินหวาดกลัวของสตรี คล้ายเห็นบาดแผลหนังเปิดเนื้อปริจากหอกดาบการรบนี่จนคุ้นชินแล้ว แม่ทัพทั้งหลายโล่งอกเล็กน้อย  

 

 

แต่ยังมีแม่ทัพอีกสองคนก้าวเข้าไปยืนข้างตัวพวกหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

“บาดแผลของท่านกั๋วกงหนักนัก พวกเจ้ายังมีหมอคนอื่นอีกไหม?” แม่ทัพคนหนึ่งในนั้น สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยเสียงเบา  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มแล้ว  

 

 

“ใต้เท้าอู่ ไม่ต้องหาหมอคนอื่นแล้ว” เขาเอ่ย “หากคุณหนูจวินยังรักษาไม่ได้ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีหมอรักษาหายได้แล้ว”  

 

 

ทำไม? วาจาโอหังปานนี้เชียวรึ? แม่ทัพขมวดคิ้ว  

 

 

“เพราะนางคือคุณหนูจวินไงขอรับ” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ย ตื่นเต้นดังเช่นยามแรกสุดที่ได้ยิน “คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง คุณหนูจวินผู้ได้ชื่อว่ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ทำหน่อฝีออกมาได้”  

 

 

ตั้งแต่รวมกองทัพมาล้วนมีนางควบคุม ยาดีที่ใช้รวมถึงฝีมือการจัดการบาดแผลช่วยนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาได้มากกว่าก่อนหน้านี้ครึ่งหนึ่ง  

 

 

ทหารที่บาดเจ็บสำหรับค่ายทหารแห่งหนึ่งแล้วเป็นความเสียหายที่น่ากลัว แต่อีกด้านหนึ่งทหารที่ผ่านร้อยศึกแต่ไม่ตายก็เป็นกำลังที่น่ากลัวของค่ายหทารแห่งหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นตลอดทางนี้เข่นฆ่าผ่านมา นายทหารที่ผ่านศึกรอดมาได้ย่อมมีประสบการณ์การรบเพรียบพร้อมมากกว่าเดิม บรรยากาศของกองทหารซุ่นอันยามนี้กำลังเข้มแข็งกว่าเดิมมาก  

 

 

ชื่อเสียงของคุณหนูจวิน แม่ทัพเหล่านี้ก็เคยได้ยินมาก่อน เรื่องอื่นไม่รู้ การปลูกฝีย่อมต้องรู้ อย่างไรในบ้านคนส่วนใหญ่ก็มีภรรยาและบุตร  

 

 

หมอที่ทำหน่อฝีออกมาช่วยเด็กๆ ให้รอดจากภัยของฝีดาษได้ย่อมเป็นหมอเทวดา  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ไม่สงสัยอีกต่อไป เข้าใจกระจ่าง  

 

 

มิน่าสตรีคนนี้ถึงติดตามกองทัพมาได้ นอกจากนี้คนเหล่านี้ยังเคารพอย่างยิ่ง ที่แท้ก็เป็นหมอเทวดา  

 

 

“คุณหนูจวิน แผลของท่านกั๋วกง…” ทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไปเอ่ยถามเซ็งแซ่  

 

 

คุณหนูจวินจัดการบาดแผลที่อื่นของเฉิงกั๋วกงเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้กำลังกำหัวหอกบนบาดแผลแน่น  

 

 

หัวหอกย่อมไม่อาจดึง หากดึงออกมาคนย่อมตายคาที่ได้  

 

 

“หักอีกสักหน่อย…”  

 

 

“พวกเรามาช่วยกดไว้…”  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายด้านข้างเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น  

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นสตรีผู้นั้นชักมือออกแรงสะบัด เฉิงกั๋วกงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง ร่างกายเอนมาด้านหน้า เลือดพริบตาสาดกระจาย หัวหอกที่เดิมทีปักอยู่ตรงหน้าอกถูกสตรีผู้นี้ดึงออกมาโยนทิ้งส่งๆ ไปด้านหลัง ตกลงพื้นส่งเสียงดังเคร้ง  

 

 

ผู้คนรอบด้านไม่ทันตั้งตัวถูกเลือดสาดเข้าเต็มร่างเต็มหน้า หลุดปากส่งเสียงร้องตกใจ  

 

 

เฉิงกั๋วกงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง คนก็เอนไปด้านหลังอีกครั้ง หมดสติไปทันที  

 

 

รอบด้านชะงักนิ่งไปหมด  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายในที่สุดก็ได้สติกลับมา มองดูเฉิงกั๋วกงที่ใบหน้าดั่งกระดาษทองนิ่งไม่ขยับ หน้าอกยังมีเลือดผุดทะลัก แทบจะเป็นลม  

 

 

คุณพระ!  

 

 

สตรีผู้นี้รุนแรงเกินไป เ**้ยมเกินไปแล้วกระมัง? แผลนี่รักษาเช่นนี้ได้หรือ?  

 

 

“เจ้า! เจ้า !” รองแม่ทัพคนหนึ่งท่าทางโกรธเกรี้ยวตะโกน  

 

 

คุณหนูจวินชุบผ้าพันแผลผืนหนึ่งในน้ำยาเข้มข้นจนชุ่มอย่างฉับไว จากนั้นพันบาดแผลของเฉิงกั่วกงอย่างฉับไว  

 

 

“นี่จะห้ามอยู่ได้อย่างไร…” แม่ทัพคนนั้นตะโกนต่อ  

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบ หลี่กั๋วรุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมทีหนึ่ง  

 

 

“ห้ามอยู่แล้วขอรับ” เขาเตือนเสียงเบา  

 

 

แม่ทัพคนนั้นตะลึง มองดูเลือดตรงหน้าอกของเฉิงกั๋วกงไม่ผุดทะลักออกมาอีกต่อไปอย่างที่ว่า  

 

 

“แต่ แต่…” เขาจะพูดอะไรอีก คุณหนูจวินก็ยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้าปากเฉิงกั๋วกงแล้ว จากนั้นก็ถือโอกาสนวดหลายทีให้เขากลืนลงไป ในเวลาเดียวกันเข็มทองหลายเล่มก็แทงเข้าไปบนศีรษะของเฉิงกั๋วกง  

 

 

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น เฉิงกั๋วกงที่หมดสติไปลืมตาขึ้นมา แม้ยังคงใบหน้าดุจกระดาษทอง แต่แววตากลับไม่อ่อนแอ  

 

 

“เคลื่อนไหวฉับไว ดีมาก” เขาขยับริมฝีปากเอ่ย “ขอบคุณ”  

 

 

แม้เสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาชัดเจน เห็นชัดยิ่งว่าสติปัญญาแจ่มใสอยู่  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางยิ้มให้ ท่าทางขัดเขินอยู่บ้าง คล้ายถูกเอ่ยชมถูกขอบคุณเลยอายอยู่บ้าง  

 

 

คนอื่นก็ไม่กระไรหรอก เหลยจงเหลียนที่มองอยู่ด้านหลังคิ้วเลิกขึ้น  

 

 

ที่แท้เด็กสาวคนนี้ถูกชมก็อายเป็นด้วยหรือ  

 

 

“แผลของท่านกั๋วกง…” แม่ทัพคนอื่นเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง  

 

 

กลัวสตรีผู้นี้จะขยับทำเรื่องน่ากลัวออกมาอีกยิ่งนัก  

 

 

ยังดีครั้งนี้คุณหนูจวินไม่ขยับแล้ว นางดึงเข็มทองออกมาจากนั้นลุกขึ้นยืน  

 

 

“ตอนนี้ไม่เป็นปัญหา แต่ไม่อาจชักช้าต่อได้” นางเอ่ย “รีบออกจากที่นี่ไปสถานที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด”  

 

 

คำพูดนี้ปกติ แม่ทัพทั้งหลายโล่งใจ หลังสตรีผู้นี้ปรากฏตัวก็ไม่มีการกระทำปกติใดทำให้พวกเขากลัวได้แล้วจริงๆ  

 

 

“เหมาซุ่นไฉเล่า?” แม่ทัพคนนั้นเอ่ยถามอีกครั้ง “กองทหารของพวกเจ้าตอนนี้ใครเป็นผู้บัญชาการ?”  

 

 

สายตาของเขากวาดผ่านผู้คน หลังจากนั้นมองเห็นพวกหลี่กั๋วรุ่ยบุรุษหลายคนถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวอีกครั้ง  

 

 

คงไม่กระมัง…  

 

 

หรือว่าอีกแล้ว…  

 

 

คิ้วของแม่ทัพเลิกขึ้น  

 

 

“ตั้งทัพถอนกำลังทหาร เรียกฮั่นชิงกับกองพันที่สามกลับขบวน” เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลังร่าง  

เห็นเพียงด้านหลังควันทึบแถบหนึ่งลอยขึ้นมา  

 

 

ไฟไหม้แล้ว? แต่ก็ไม่เหมือน….  

 

 

ความคิดแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มหลายครั้งอีกหน ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าควันทึบเหล่านั้นมาอย่างไร นั่นเป็นกระสุนหินสิบกว่าลูกลอยมา  

 

 

หลังตกถึงพื้นเปลวไฟแถบหนึ่ง แสงโลหิตแถบหนึ่งลอยขึ้นมา โกลาหลไปหมด กระบวนทัพที่เดิมทีเป็นระเบียบประหนึ่งถูกทุบราบ  

 

 

นี่มันของบ้าอะไร?  

 

 

ทั่วป๋าอูตะลึงงัน  

 

 

ไม่มีเวลาให้เขาขบคิด เสียงบึ้มบึ้มดังไม่หยุด กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดโกลาหลอย่างสิ้นเชิงแล้ว  

 

 

“สงบไว้!” ทั่วป๋าอูในที่สุดก็ได้สติกลับมา ตะโกนโกรธเกรี้ยว “คนที่มากำลังพลเท่าไร? ไม่อนุญาตให้ถอย! คนถอยตาย! รับศึก!”  

 

 

ได้ยินคำสั่งนี้ ในกระบวนทัพเห็นสหายวิ่งมาก็ไม่เกรงใจสักนิด พลธนูยิงศรคมออกไปใส่คนเหล่านี้ทันที  

 

 

ฉับพลันล้มคว่ำลงไปแถบหนึ่ง  

 

 

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนโจมตีป้อมปราการด่านของเฉิงกั๋วกงที่คนหนีฝั่งนี้ใช้ความตายข่มขู่ก็หยุดการพ่ายแพ้หนีกระเจิงได้  

 

 

“เป็นกองทหารชิงซาน!”  

 

 

“กองทหารชิงซาน!”  

 

 

ท่ามกลางควันทึบตลบอบอวลกระบวนทัพด้านหลังพังทลายอย่างสิ้นเชิง ทหารจินทั้งหลายตะโกนเสียงดังอย่างหวาดผวาพลางหนีกระเจิง สามคำนี้คล้ายภูตผีปีศาจ น่ากลัวมากยิ่งกว่าศรคมที่ยิงประจันหน้ามา พวกเขาหลบศรคมที่กระบวนทัพด้านหน้ายิงมา วิ่งเตลิดไปยังทุ่งรอบด้านสองข้าง  

 

 

นี่ทำให้กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดวุ่นวายอย่างสิ้นเชิงแล้ว  

 

 

ทั่วป๋าอูทั้งโกรธทั้งตกตะลึง  

 

 

กองทหารชิงซานที่แท้เป็นกองทหารอะไร? ทำไมทำให้ทหารกล้าทั้งหลายของเขาหวาดกลัวเช่นนี้?  

 

 

เขามองไปด้านหน้า เสียงบึ้มบึ้มนั่นคล้ายหยุดลงแล้ว กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดคล้ายถูกยักษ์กลิ้งผ่าน โหดร้ายจนไม่อาจทนมอง  

 

 

กระสุนหิน? กระสุนไฟ?  

 

 

“ตามข้ามา” ทั่วป๋าอูชักดาบร้องตะโกน คนก็ลงจากหอสังเกตการณ์  

 

 

คนที่เขาหวาดกลัวคือเฉิงกั๋วกง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาทั่วป๋าอูเป็นไอ้คนขี้ขลาด เป็นใครก็ทำเขากลัวได้  

 

 

เขาจะต้องนำทหารฝีมือดีด้วยตนเอง ออกศึกด้วยตนเอง ให้บทเรียนสักบทกับทหารโจวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่  

 

 

ในเวลานี้เองเสียงฮูมฮูมแหลมคมระลอกหนึ่งดังขึ้น  

 

 

นี่เป็นอะไรอีก? ทั่วป๋าอูมองไปโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงหอกยาวมากมายถี่ยิบบินมาจากบนท้องฟ้า  

 

 

มองเห็นหอกยาวเหล่านี้ ทหารจินที่วิ่งเร็วรี่อยู่ยิ่งร้องตะโกนหวาดกลัวออกมา วิ่งหนีไปสองข้างสุดชีวิต ทหารจินในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่กำลังจะวิ่งมาพุ่งโจมตีด้านหลังไม่ทันตอบสนอง หอกยาวประหนึ่งสายฝนก็มาถึงตรงหน้า  

 

 

เสียงกรีดร้องฉับพลันดังขึ้นรอบด้าน ทหารจินนับไม่ถ้วนถูกเสียบทะลุปลิวลอย นอกจากนี้ส่วนมากไม่ใช่แค่คนสองคนแต่เป็นพรวนหลายคน  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมทั้งหมดประหนึ่งถูกหมื่นเข็มร่วงใส่ บนพื้นทหารจินพรวนแล้วพรวนเล่าตอกตรึงเต็มทันที  

 

 

ทหารจินที่ถูกกเสียบทะลุยังไม่ตาย กรีดร้องไปพลาง ดิ้นรนไปพลาง  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมด้านหน้าโหดร้ายจนไม่อาจทนมองประหนึ่งนรกบนโลกมนุษย์  

 

 

ขวานดาบในมือทั่วป๋าอูหวิดร่วงลงกับพื้น  

 

 

นี่ นี่มันของอะไรอีก?  

 

 

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง” มีทหารคนสนิทวิ่งโซซัดโซเซมา “รีบถอย รีบถอยขอรับ”  

 

 

ถอย?  

 

 

ในดินแดนของตนเอง ในยามที่กำลังจะคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ได้อยู่แล้ว กลับถูกเสนอให้ผละถอย? ล้อเล่นอะไรกัน  

 

 

ทั่วป๋าอูยกมือฟันทหารคนสนิทผู้นี้ล้มลงกับพื้น  

 

 

“พวกเขากำลังพลเท่าไร?” เขาคำรามขึ้น  

 

 

“ราวห้าพัน” มีแม่ทัพรีบร้อนเอ่ย  

 

 

ยังคิดว่าคนหลายหมื่นเสียอีก กำลังพลห้าพัน เขากลัวอะไร! ทั่วป๋าอูยิ่งอับอายโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง มองดูทหารจินที่พ่ายแพ้กระเจิงด้านหน้า กระบวนทัพสี่เหลี่ยมไม่อาจคงรูปได้แล้ว  

 

 

และด้านหน้าไปอีก กำลังพลแถบหนึ่งบีบเข้าใกล้  

 

 

พริบตาเดียวมองไปคล้ายมืดฟ้ามัวดิน  

 

 

วิ่งจู่โจมทางไกลได้ทุกคนย่อมต้องมีม้า แล้วไม่ใช่แค่หนึ่งตัว แต่ละคนๆ สวมเกราะ แม้ห่างอยู่ไกลก็มองออกว่าชุดเกราะเหล่านี้ประณีตชั้นดีอย่างที่สุด บนหมวกเหล็กมีพู่แดงประดับอยู่ ปลิวสะบัดท่ามกลางสายลม   

 

 

ไม่ใช่แค่กำลังพล ด้านหน้ายังมีรถสิบคันเรียงแถวอยู่ คล้ายเป็นรถสัมภาระ แต่ก็วางเป็นรูปร่างประหลาด เวลานี้ใต้แสงตะวันหอกยาวแถวแล้วแถวเล่าเอนขึ้นอยู่ด้านบนทอประกายเย็นเยียบ  

 

 

หอกยาวเหล่านั้นก็ยิงออกมาจากตรงนี้นี่เอง  

 

 

นี่คืออะไร? หน้าไม้? รถยิงศร?  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าตกตะลึง ไม่เคยเห็นในหมู่ทหารโจวมีอาวุธเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ลักษณะเช่นนี้ กำลังพลที่แบ่งสรรเช่นนี้ก็เห็นน้อยอย่างที่สุด  

 

 

อาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารโจวยากแค้นอยู่บ้างมาเสมอ นอกจากผู้ใต้บังตับบัญชาโดยตรงของเฉิงกั๋วกง น้อยนักจะเห็นทั้งกองทัพสวมเกราะได้  

 

 

หรือนี่ก็เป็นกองทัพคนสนิทของเฉิงกั๋วกง?  

 

 

สายตาของทั่วป๋าอูจับอยู่บนธงผืนใหญ่ของทหารกองหนุนกองนี้  

 

 

ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมธงสีตั้งเรียงราย แต่มีธงใหญ่สองผืน ผืนหนึ่งเป็นธงใหญ่ทหารโจวที่คุ้นเคย จากสีธงและลายขอบไม่ต้องเห็นอักษรเขาก็รู้ว่าเป็นของกองทหารกองไหน นี่เป็นกองทหารซุ่นอัน  

 

 

กองทหารซุ่นอันของเมืองเหอเจียน ระยะทางจากที่นี่ไกลอยู่บ้าง ตามหลักแล้วถ้าจะมาก็ควรเป็นกองทหารหย่งหนิงจะใกล้และสะดวกกว่า  

 

 

ส่วนธงผืนใหญ่อีกผืนหนึ่ง… กลับไม่เคยเห็นมาก่อน  

 

 

ทั่วป๋าอูหรี่ตามอง นั่นเป็นธงสีแดงสด ยาวถึงหกฉื่อ ด้านบนอักษรตัวโตสามคำ  

 

 

นั่นก็คือ…กองทหารชิงซานหรือ?  

 

 

“โผล่ออกมาจากที่ใด?” เขาเอ่ย กำขวานยาวแน่นอีกครั้ง จะก้าวเข้าไป “ทหารกล้าทั้งหลายจง…”  

 

 

คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศแหลมคม หอกยาวบนรถสัมภาระคันนั้นจู่โจมมาประหนึ่งสายฝนทันทีอีกครั้ง  

 

 

เคยเห็นความร้ายกาจของสายฝนหอกยาวนี่มาแล้ว กองทัพใหญ่ของทหารจินตกสู่ความโกลาหลแถบหนึ่งทันที ปีกซ้ายทั้งหมดพ่ายแพ้ย่อยยับเสียหมด  

 

 

แม้ห่างกันไกล แต่เมื่อหอกยาวเหล่านั้นบินขึ้นมา ทั่วป๋าอูก็ถอยหลังยกขวานดาบขึ้นขวางโดยจิตใต้สำนึก  

 

 

น่ากลัวเกินไปแล้ว  

 

 

ใช้หอกยาวเป็นลูกศร กำลังนี่มากปานใด กำแพงเมืองยังแทงทะลุได้กระมัง  

 

 

ร่างเลือดเนื้อของมนุษย์จะเทียบกับกำแพงเมืองได้อย่างไร  

 

 

ทหารโจวมีอาวุธวิเศษศาสตราร้ายกาจระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หากทหารโจวครอบครองศาสตราร้ายกาจเช่นนี้ ไยไม่ใช่เหยียบราบทุกทิศ?  

 

 

ทั่วป๋าอูรู้สึกเพียงในใจเย็นเยียบ  

 

 

หลังศรระลอกนี้ กำลังพลเหล่านั้นก็ถอยหลัง กำลังพลของอีกฝ่ายเปลี่ยนสภาพกองทัพรวมพลกลายเป็นกระบวนทัพวงกลมอันหนึ่งโจมตีมาข้างหน้า  

 

 

บอกว่ากระบวนทัพวงกลมก็ไม่คล้ายกระบวนทัพวงกลม  

 

 

ทั่วป๋าอูมองดูตะลึงงัน กระบวนทัพทหารนั่นดูไปแล้วเชื่องช้ายิ่ง แต่ก็รวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามาในค่ายทัพของทหารจิน  

 

 

ค่ายทัพด้านหลังที่เดิมทีกระจายตัวแล้วประหนึ่งกระทิงป่าตัวหนึ่งฝ่าทะลวงเข้ามา  

 

 

การรบด้วยหอกยาวกับดาบฟันม้าโหดร้ายอย่างที่สุด  

 

 

เสียงฆ่าฟันประหนึ่งอสนีบาต ทหารจินที่รับศึกรวมตัวเป็นกระบวนทัพหลายครั้ง แต่ล้วนถูกกระบวนทัพวงกลมนี้พุ่งทลาย  

 

 

ด้านในกระบวนทัพวงกลมนั่นซ้ายขวามีทหารม้าวิ่งแยกออกมาโจมตีอยู่เป็นระยะ ฟันสังหารตัดกระบวนทัพทหารของทหารจินอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ประหนึ่งสองแขนอันว่องไว  

 

 

การพุ่งโจมตีทุกครั้งล้วนมีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว แต่ไม่ว่าคนเท่าไรล้มลง ทหารโจวนั่นล้วนใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบวนทัพทหารก็ไม่พังทลายสักนิด  

 

 

เห็นทหารฝีมือดีใต้บังคับบัญชาล้มลงไม่หยุด ในที่สุดทั่วป๋าอูก็ได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง  

 

 

ทหารกองหนุนชาวโจวดุร้ายทั้งยังกล้าหาญปานนี้ไม่ด้อยกว่ากองทัพใหญ่ทหารคนสนิทของเฉิงกั๋วกงสักนิด ไม่ อาจร้ายกาจยิ่งกว่า  

 

 

หรือนี่เป็นมือขวาที่เฉิงกั๋วกงซ่อนไว้?  

 

 

ทำไมข่าวคราวสักนิดก็สืบไม่ได้? โผล่ออกมาจากไหน?  

 

 

“กองทหารชิงซานนี่ก็คือกองทหารที่ไม่กี่ร้อยคนสังหารพวกเราพันคนที่ป้าโจว” แม่ทัพข้างกายรีบร้อนเอ่ย “ท่านอ๋องพวกเรารีบถอยเถอะ”  

 

 

“ใช่แล้ว กองทหารชิงซานนี่ไม่เพียงศาสตราวุธร้ายกาจ กระบวนทัพก็พิสดารอย่างที่สุด” คนอื่นก็รีบกล่อมห้าม “พวกเรารีบถอนกำลังกลับค่ายกันเถิด”  

 

 

ถอนกำลัง?  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าอับอายเคืองแค้น หันหลังมองป้อมปราการด่านที่ยังล้อมโจมตีเข่นฆ่าอยู่หลังร่าง  

 

 

ท่าทางคงได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาแล้ว จิตใจของทหารด้านนั้นของเฉิงกั๋วกงจึงฮึกเหิม ส่วนทหารจินที่เดิมทีครองความเหนือกว่าหวาดกลัวอยู่บ้างถอนร่นต่อเนื่อง  

 

 

จูซานกำลังจะถูกสังหารตายอยู่แล้ว!  

 

 

“ให้เวลาอีกหน่อย” ทั่วป๋าอูคำรามเอ่ย  

 

 

ต่อให้ทหารกองหนุนนี่อาวุธวิเศษศาสตราร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจโจมตีทำลายกระบวนทัพทหารของเขาอย่างง่ายดายได้เหมือนกัน ขอเพียงยืนหยัดอีกช่วงหนึ่ง จูซานย่อมถูกสังหารตายแน่  

 

 

นั่นคือสังหารจูซานตายได้เชียวนะ!  

 

 

สังหารจูซานตาย! สังหารจูซานตาย! จังหวะไม่อาจพลาด โอกาสไม่อาจมีอีก!  

 

 

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องกองทหารชิงซานนี่เจ้าเล่ห์นัก องค์ชายเจ็ดยังอยู่ในค่ายนะขอรับ” แม่ทัพคนสนิทคนหนึ่งรีบร้อนเอ่ย  

 

 

ทั่วป๋าอูฉุกคิดได้ และในเวลานี้เองเสียงสะเทือนไหวก็ดังมาไกลๆ  

 

 

เสียงนี้ดังเหมือนเสียงที่ร่วงลงมายังค่ายทหารด้านนี้เมื่อครู่  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ส่วนในกองทหารเสียงอุทานตกใจดังขึ้นแล้ว  

 

 

“ค่ายใหญ่!”  

 

 

“มีคนลอบโจมตีค่ายใหญ่!”  

 

 

คิดไม่ถึง!  

 

 

แม่ทัพหลายคนคว้าทั่วป๋าอูไว้  

 

 

“ท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ดอยู่ในค่ายนะขอรับ!”  

 

 

“อาวุธเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!”  

 

 

“รีบกลับไปช่วยป้องกันเถิด”  

 

 

ทุกคนพากันตะโกน  

 

 

ทั่วป๋าอูได้เห็นความร้ายกาจของกระสุนหินนี้แล้ว ยังมีฝนศรหอกยาวนั่นอีก นี่หากตกลงในค่าย ก็อาจจะ…  

 

 

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็มองดูการรบของป้องปราการด่านด้านนั้นฟัน ขวานดาบในมือลงพื้นอย่างชิงชัง  

 

 

“ถอนทหารกลับค่าย” เขาคำราม  

 

 

……………………………………….  

 

 

เห็นทหารจินประหนึ่งน้ำหลากถอยไป ทหารโจวที่ป้อมปราการด่านในที่สุดก็ปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้าย บางคนค้ำอาวุธคุกเข่าอยู่กับพื้น บางคนคลายลมหายใจเฮือกหนึ่งก็หมดสติไปทันที  

 

 

“ทหารกองหนุน!”  

 

 

“ทหารกองหนุน!”  

 

 

คนมากกว่านั้นส่งเสียงตะโกนออกมา ตะเบ็งสุดเสียงแล้วยังมีเสียงร้องไห้  

 

 

มีทหารกองหนุนจริงๆ?  

 

 

เมื่อครู่พวกเขารบห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย ไม่สังเกตรอบด้านอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเพียงเสียงตะโกนบ้าคลั่งฝ่ายนั้นของทหารจินว่ามีทหารกองหนุน พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจมอง แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจสักนิด คิดไม่ถึงทหารจินถอยไปแล้วจริงๆ  

 

 

แม่ทัพหลายคนแม้ไม่ถึงกับสียกิริยาเช่นนี้ แต่ในดวงตาก็มีม่านน้ำผุดออกมาเช่นกัน  

 

 

แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคาดหวัง แต่เมื่อทหารกองหนุนมาถึงจริงๆ ความสะเทือนอารมณ์ในหัวใจนี่ยากเอื้อนเอ่ยแสดงออกมาจริงๆ  

 

 

พวกเขาเงยหน้ามองไป บนสนามรบที่ระเนระนาดไปหมด ทหารจินประหนึ่งน้ำหลากถอยไป ส่วนกำลังพลกองหนึ่งมาอย่างทรงพลังไม่อาจขวาง  

 

 

กองทหารนี่วางกระบวนทัพโจมตีสองปีกซ้ายขวา ธงทัพปลิวสะบัด กีบเท้าม้าเหล็กเหยียบย่ำ หอกยาวดุจผืนป่าพาบรรยากาศองอาจประหนึ่งขุนเขาลูกหนึ่งบดขยี้โครมครามเข้ามา  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายมองปราดเดียวย่อมจดจำธงกองทัพที่คุ้นเคยได้  

 

 

“ท่านกั๋วกง! เป็นกองทหารซุ่นอันขอรับ!”  

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดร้องตะโกนยินดีไม่หยุด หมุนตัวมองไปด้านหลัง  

 

 

กลับมองเห็นตรงที่เฉิงกั๋วกงอยู่ถูกแม่ทัพนายทหารกลุ่มหนึ่งล้อมไว้ สีหน้าของพวกเขาเศร้าสลด ทำเหมือนไม่ได้ยินไม่สนใจทหารกองหนุนด้านนี้สักนิด  

 

 

เงาร่างของเฉิงกั๋วกงมองไม่เห็นแล้ว  

 

 

ในใจแม่ทัพคนนี้กระตุกวูบ สีหน้าซีดขาว แข้งขาอ่อนทันที  

 

 

เฉิงกั๋วกง!  

 

 

เฉิงกั๋วกง!  

 

 

เขาตะเบ็งเสียงทีหนึ่ง โซซัดโซเซโจนเข้าไป  

 

 

ส่วนในกระบวนทัพด้านนั้นก็มีกำลังพลขบวนหนึ่งออกจากกระบวนทัพควบม้าเร็วรี่มา มองเห็นนายทหารแม่ทัพด้านนี้ล้วนแห่ไปยังทิศทางหนึ่ง สีหน้าของกำลังพลกองนี้ก็เปลี่ยนโดยพลัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยที่ทั้งร่างห่มโลหิตตะโกนเสียงดัง ไม่รอเข้าใกล้ก็กระโดลงจากม้า ร่างกายชาหนึบสั่นระริก  

 

 

มาสายไปแล้วหรือ?  

 

 

จำนวนของทหารจินเหล่านี้รวมถึงความแข็งแกร่งเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ด้วยตาตนเองแล้ว เฉิงกั๋วกงตรากตรำทำศึก มาครึ่งเดือนแล้ว กำลังพลหมื่นกว่าสูญเสียล้มตายหมดสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉิงกั๋วกงเขา…  

 

 

“ข้าน้อย…” หลี่กั๋วรุ่ยเสียงแหบพร่าแทบจะเอ่ยวาจาไม่ออก “ข้าน้อยมาสาย…”  

 

 

คนด้านหลังร่างพวกเขาก็ทยอยลงจากม้าด้วย บรรยากาศหนักอึ้ง  

 

 

“ยังไม่สาย”  

 

 

เสียงทุ้มนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลางวงล้อมของแม่ทัพและทหาร  

 

 

แม้ไร้เรี่ยวแรงอ่อนแอ แต่คำที่เอ่ยชัดเจนยิ่ง  

 

 

เสียงนี้ทำให้หลี่กั๋วรุ่ยมีชีวิตชีวาทันที พร้อมกับประโยคนี้แม่ทัพทหารที่ล้อมอยู่ก็พากันหลีกทางออก ในเวลาเดียวกันก็ล้วนหันหน้ามองมา  

 

 

ในสายตาพวกหลี่กั๋วรุ่ยปรากฏบุรุษชุดเกราะขาวคนหนึ่ง  

 

 

บุรุษรูปร่างกำยำ เวลานี้ไม่ยืนตระหง่านดุจขุนเขาแต่นั่งอยู่บนพื้น พิงอยู่หน้าร่างรองแม่ทัพคนหนึ่ง มือซ้ายกำดาบยาวเล่มหนึ่งค้ำพื้นดิน นี่ทำให้ถึงแม้เขาเอนพิงอยู่ก็แลดูแผ่นหลังเหยียดตรง  

 

 

หมวกเกราะของเขาถอดลงมาแล้ว เผยใบหน้า  

 

 

อายุของเขาสี่สิบกว่าปี เครื่องหน้าหล่อเหลาสีหน้าอบอุ่น แม้เวลานี้ทั้งร่างเปื้อนเลือด ทั้งร่างบาดเจ็บ แววตายังคงอ่อนโยน ทำให้คนมองเขาพลันสงบ  

 

 

นี่ก็คือเฉิงกั๋วกงจูซานเทพสงครามทิศอุดรของต้าโจว  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยตื่นเต้นยินดี แต่ครู่ต่อมาเมื่อเห็นอาภรณ์ใต้ชุดเกราะสีขาวของจูซานแดงฉานเป็นแถบ  

 

 

หอกยาวเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหน้าอกของเขา ด้ามหอกถูกตัดทิ้งแล้ว เหลือเพียงหัวหอก  

 

 

“เฉิงกั๋วกง!” มองเห็นหัวหอกตรงหน้าอกนั่น หลี่กั๋วรุ่ยก็ขาอ่อนอีกครั้ง  

 

 

“ยืนดีๆ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม  

 

 

เสียงนี้อ่อนโยนแต่กลับมีพลังไม่อาจปฏิเสธ ขาของหลี่กั๋วรุ่ยยืนตรง สีหน้าตื่นเต้นทั้งยังเศร้าโศกมองเฉิงกั๋วกง  

 

 

“ให้ข้าดูซิ บุรุษผู้กล้าคนไหนมาช่วยข้าจูซาน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ สายตาจับอยู่บนร่างหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

คนอื่นๆ ก็ล้วนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน  

 

 

แม่ทัพคนนี้แปลกหน้านัก ในใจพวกเขาคิด  

 

 

แต่เห็นหลี่กั๋วรุ่ยไม่ได้ก้าวเข้ามาแจ้งชื่อสังกัดของตนกลับหลีกออกไปยืนหลบ บุรุษหลายคนด้านหลังร่างเขาก็หลีกออกตามด้วย  

 

 

หรือไม่ใช่เขา มีคนอื่น?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึงไปแล้ว หลังจากนั้นก็มองเห็นสตรีเยาว์วัยห่มผ้าคลุมแดงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา  

 

 

ท่ามกลางบุรุษสวมเกราะตัวใหญ่โตโขยงหนึ่ง รูปร่างของนางยิ่งแลดูบางกระจ้อย ลมวสันต์ฤดูโชยพัดผ้าคลุมของนาง เผยชายกระโปรงจีบรอบปักบุปผา  

 

 

นางยื่นมือออกมา ก้มศีรษะยกกระโปรงเบาๆ ใช้ร้องเท้าบู้ทหนังกวางคู่น้อยเหยียบผืนดินที่คราบเลือดซึมย้อม ร่างกายสะบัดเบาๆ ทั้งจริงจังทั้งมีความเคารพและระวังระไว อ้อมศพของนายทหารที่ตายไปคนหนึ่ง  

 

 

คนทั้งหมดล้วนกลั้นหายใจ คล้ายกับว่านาทีนี้ไม่ได้อยู่บนสนามรบคลุ้งคาวเลือด แต่ตัวอยู่ในเจียงหนานยามฤดูใบไม้ผลิ ต้นหลิวเรียงราย พฤกษาเขียวขจีบุปผาบานสะพรั่ง นงเยาว์เนื้อละอ่อนย่างเหยียบหญ้าเขียววุ่นวาย  

 

 

ในดวงตาเฉิงกั๋วกงยากปิดบังความตกตะลึง มองดูสตรีคนนี้ก้าวว่องไวเข้ามา นางเงยศีรษะขึ้น ดวงหน้างามดั่งภาพวาดมีความขัดเขินอยู่บ้าง กระวนกระวายอยู่บ้าง  

 

 

นางคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี รีรออยู่ครู่หนึ่งเล็กๆ ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าคลุม  

 

 

กลางฝ่ามือน้อย ถือเม็ดกลมๆ ที่ห่อกระดาษเงินเม็ดหนึ่งอยู่  

 

 

“ท่าน กินผลไม้เชื่อมไหม?” นางมองบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่ตรงหน้า เอ่ยขึ้นจริงจัง  

ฟ้าสว่างจ้าแล้ว ในคูน้ำนอกกำแพงเตี้ยเงียบงันไปครู่หนึ่ง เสียงกลองรบพลันดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกลองรบนี่ ทหารจินแถวแล้วแถวเล่าชูดาบขวานโล่เกราะพุ่งเข้ามา  

 

 

สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาคือศรคมดุจฝนระลอกหนึ่งหลังกำแพงเตี้ย  

 

 

แต่ประการแรกโล่ขวางศรคมไว้ส่วนหนึ่ง ประการที่สองต่อให้ถูกยิงเข้า ทหารจินมากกว่าเดิมหลังร่างก็ประหนึ่งน้ำหลากเหยียบย่ำสหายร่วมชาติที่ตายไปขึ้นไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของกลางศึก  

 

 

เสียงร้องประหลาดภาษาหูมืดฟ้ามัวดิน พริบตาเติมเต็มกำแพงเตี้ยกับคูน้ำ หลังจากนั้นก็ล้นทะลักขึ้นมา  

 

 

ยืนอยู่บนกำแพงด่านเก่าพัง มองเห็นทหารจินสวมเกราะหนักสีหน้าดุร้ายที่โถมเข้ามาเหล่านี้ได้  

 

 

“ถอย”  

 

 

แม่ทัพที่กำแพงด่านยิงศรดอกสุดท้ายเสร็จก็ตะโกนบอก  

 

 

เห็นทหารโจวผลุนผลันถอยหนี ทหารจินที่ข้ามกำแพงเตี้ยกับคูน้ำมาฉับพลันกำลังใจยิ่งฮึกเหิม พุ่งเข้ามาในกำแพงด่านอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ผ่านศึกดุเดือดคืนหนึ่ง หลังกำแพงด่านพังถล่มระเกะระกะดูไม่ได้ กำแพงดินถูกเหยียบจนไถลร่วง โครงไม้ติดไฟ คราบเลือดสดแห้งกรัง ซากศพทหารโจวล้มกลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น รวมถึงรถเกราะโครงไม้ที่ทิ้งไว้  

 

 

โหดร้ายประหนึ่งนรกบนดิน แต่ก็ทำให้การเดินผ่านทางกลายเป็นยากลำบาก  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านในกำแพงด่านนี้เดิมก็คับแคบ ทหารจินที่แห่เข้ามาชั่วขณะหนึ่งคลื่อนที่เชื่องช้า เบียดรวมเป็นกลุ่ม โล่อยู่หน้า อาวุธหนักอยู่หลัง กระบวนทัพที่มีเพชฌฆาตป้องกันสองด้านไร้ความหมาย  

 

 

ด่านเมืองใหม่เล็กๆ แห่งนี้แม้ไม่ใหญ่ แต่สภาพภูมิประเทศสูงชัน ถอยป้องกันได้ บุกโจมตีได้ ดังนั้นหลังเฉิงกั๋วกงเข้าอี้โจวได้สิ่งแรกที่ทำคือยึดที่นี่เสีย นอกจากนี้ยังอาศัยที่นี่จนเกือบจับตัวองค์ชายเจ็ดของแคว้นจินได้ หากไม่ใช่ทั่วป๋าอูนำทหารมาทลายวงล้อมได้ทันเวลา  

 

 

สำหรับทหารจินแล้ว คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากกว่าทหารโจวมาก แต่ทหารจินทั้งหลายที่เข้ามากลับระวังระไว สีหน้าที่เดิมทีดุร้ายเปลี่ยนกลายเป็นฉงนอยู่บ้าง  

 

 

ด้านในกำแพงด่านนี่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน  

 

 

หรือเมื่อคืนทหารโจวตายเกลี้ยงแล้ว  

 

 

แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับความเร็วของพวกเขา เพราะหลังร่างทหารจินมากกว่าเดิมแห่เข้ามา พริบตาด้านในกำแพงด่านก็เบียดเต็มไปด้วยผู้คน  

 

 

กำลังจะพุ่งเข้าไปในเมืองด้านหน้า เสียงกลองฆ้องแหลมระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นเสียงลมฟิ้วฟิ้วก็ดังมา ทหารจินทั้งหลายเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว เห็นกระสุนหินกองหนึ่งบินมาจากด้านในเมืองเบื้องหน้า  

 

 

ทหารจินร้องเสียงประหลาดทันทีต้องการหลบกระจายออก แต่คนมากที่แคบ ด้านหลังยังมีทหารจินที่ไม่ทันตอบสนองแห่เข้ามาอีก ชั่วครู่เดียวกระสุนหินสิบกว่าเม็ดก็เขวี้ยงลงมา  

 

 

พริบตาคนกองหนึ่งก็ถูกทุบคว่ำลงกับพื้น ศีรษะใต้หมวกเกราะบิดผิดรูป เลือดไหลทะลัก  

 

 

นอกจากกระสุนหินที่ตกใส่บาดเจ็บยังมีคนของตนเองชนกันเหยียบกันท่ามกลางความชุลมุนอีกด้วย  

 

 

“ทำไมยังมีรถโยนหินได้อีก?”  

 

 

“ไม่ใช่ใช้ไปหมดแล้วหรือ?”  

 

 

ได้ฟังภาษาหูกับเสียงกรีดร้องข้างนอก แม่ทัพที่หลบซ่อนอยู่หลังกำแพงเมืองชั้นในสีหน้านิ่งสงงบ  

 

 

มีอะไรแปลก พวกเขาไม่เคยคาดหวังทหารกองหนุน ย่อมต้องสร้างหลักประกันไว้ให้เพียงพอ  

 

 

“พลหน้าไม้” เขาลุกขึ้นยืน หน้าไม้ในมือเล็งไปนอกกำแพงดิน “ยิง”  

 

 

นายทหารสิบกว่าคนลุกขึ้นยืน ลั่นไกหน้าไม้ในมือ  

 

 

ศรประดุจฝนโถมเข้าใส่ทหารจินใต้กำแพงดิน  

 

 

ด้านในกำแพงด่านตกสู่ความโกลาหล  

 

 

เห็นทหารจินทั้งหลายที่พุ่งเข้าไปหนีกลับมา ทั่วป๋าอูที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ในค่ายทหารไกลออกไปก็โกรธจัด ออกคำสั่งยิงสังหารทหารจินที่ถอยหลัง  

 

 

“เขาไม่เหลือกำลังทหารเท่าไรแล้ว ยันไม่ไหวแล้ว” เขาตะโกนโกรธเกรี้ยว “ทหารกล้าทั้งหลายต่อให้ต้องใช้ซากศพทับก็ต้องทับจูซานให้ตาย!”  

 

 

ทหารจินที่ถอยหลังระลอกหนึ่งถูกยิงสังหาร เข้าก็ตาย ถอยก็ตาย ทหารจินนับไม่ถ้วนมีแต่ต้องเสี่ยงตายไปข้างหน้า  

 

 

ในนอกกำแพงด่านซากศพแน่นขนัด  

 

 

“… รอบนี้มีประมาณหนึ่งพันกว่ากระมัง” แม่ทัพที่ยืนอยู่บนกำแพงด้านในเอ่ยเสียงเบา เขาพูดพลางหัวเราะหึหึหึ เห็นชัดว่าพอใจยิ่งกับผลลัพธ์นี้  

 

 

“ไม่เลวยิ่ง”  

 

 

เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหลัง  

 

 

แม่ทัพหันหลังมองไป เห็นแม่ทัพนายทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ห้อมล้อมบุรุษรุปร่างกำยำคนหนึ่งไว้  

 

 

ข้างกายมีนายทหารชูธงผืนใหญ่ ธงผืนใหญ่โบกสะบัดตามสายลมบดบังแสงตะวัน ทอดเงาดำแถบหนึ่งครอบบุรุษคนนี้ไว้  

 

 

บุรุษคนนี้สวมชุดเกราะ สวมหมวกเกราะ ใต้เงาดำผืนนี้ใบหน้ายิ่งมองไม่ชัด พู่สีแดงบนหมวกเกราะสะดุดสายตาเป็นพิเศษ  

 

 

ในมือเขาถือดาบยาวเล่มหนึ่ง ดาบยาวนี่สร้างได้ประณีตอย่างยิ่ง กะคร่าวๆ มียี่สิบสามสิบชั่ง เวลานี้ใต้แสงตะวันทอประกายเย็นเยียบ  

 

 

“ท่านกั๋วกง” แม่ทัพรีบก้าวเข้าไปคำนับ  

 

 

สายตาของเฉิงกั๋วกงมองไปด้านหน้า  

 

 

หลังซากศพมากยมายแน่นขนัดเบื้องหน้า ทหารจินนับไม่ถ้วนกำลังแห่มาไม่ขาดสาย  

 

 

“รบเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

นี่จะเป็นศึกสุดท้ายแล้ว  

 

 

แต่เสียงของเขายังคงเหมือนวันวาน ไม่มีความโศกเศร้าคับแค้นยินดีโกรธเกรี้ยว คำพูดสั้นกระชับเด็ดขาด  

 

 

แม่ทัพรอบด้านสีหน้าก็นิ่งสงบเช่นกัน  

 

 

ก่อนมาก็รู้จุดจบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่หดหู่อันใด  

 

 

“สังหารโจรชั่ว!” พวกเขาชักอาวุธร้องตะโกน  

 

 

บนกำแพงนายทหารทั้งหมดล้วนลุกขึ้นยืน ตะเบ็งเสียงตะโกนสุดกำลัง พวกเขาสายตาแน่วแน่ สีหน้ามีความโกรธแค้นและฮึกเหิม มีความเฉยชา ไม่มีเพียงความหวาดกลัว  

 

 

เสียงดั่งอสนีบาตวสันต์ฤดูสะท้อนก้องกังวานป้อมปราการด่าน  

 

 

เห็นระลอกหนึ่งแห่เข้ามา แล้วระลอกหนึ่งถอยออกไป จากนั้นระลอกหนึ่งแห่เข้ามาอีกครั้ง เสียงตะโกนสังหารสะเทือนฟ้า ทั่วป๋าอูที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ไกลออกไปก็อดไม่ได้อกสั่นขวัญแขวน มือวางอยู่ตรงเอวกำขวานยาวแน่น  

 

 

พร้อมกับการรุกถอยของสองฝ่ายระหว่างรบ สนามรบก็เคลื่อนมาถึงนอกป้อมปราการด่าน ในสายตาของทั่วป๋าอูในที่สุดก็ปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่ง  

 

 

คนผู้นี้รูปร่างสูงกำยำ ทั้งร่างชุดเกราะสีขาวสว่างตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบยาวเล่มนั้นในมือ  

 

 

ก็เป็นดาบยาวเล่มนี้เองที่ตัดศีรษะน้องชายของเขา ทำให้เขาใช้ชีวิตเลื่อนลอนอย่างสุนัขไปสี่ปี  

 

 

ทั่วป๋าอูดวงตาแดงก่ำ  

 

 

หากสังหารเฉิงกั๋วกงด้วยมือตนเองได้ก็คราวเดียวล้างความอับอายก่อนหน้าได้  

 

 

เขาคว้าขวานยาวกำลังจะลงจากหอสังเกตการณ์ กลับมองเห็นดาบยาวของเฉิงกั๋วกงร่ายรำดุดันเยี่ยงพยัคฆ์ คนที่เข้าใกล้ข้างกายเขาถูกกวาดออกล้มลงแถบแล้วแถบเล่า  

 

 

คนมากปานนั้นชุลมุนปานนั้น การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่รีบร้อนไม่ลนลานตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความรู้สึกงดงามอย่างประหลาด  

 

 

แต่ความรู้สึกงดงามนี้กลับคลุ้งคาวเลือดอย่างที่สุด  

 

 

ดาบยาวสะบัดผ่าน นายทหารคนหนึ่งแทบถูกฟันกลายเป็นสองเสี่ยง ใต้แสงตะวันหมอกโลหิตฟุ้งกระจาย อวัยวะภายในปลิวว่อนรอบด้าน  

 

 

ทั่วป๋าอูอดไม่ได้สีหน้าคล้ำเขียว แววตาเต้นระริก กำขวานยาวในมือแน่นแล้วหยุดก้าวเท้า  

 

 

เฉิงกั๋วกงจูซานตายแน่แล้ว หากเห็นตนต้องลากตนเองลงสุสานไปด้วยแน่  

 

 

แม้กำลังพลมากมาย พวกเฉิงกั๋วกงไม่มีกำลังสวนกลับแล้ว แต่เฉิงกั๋วกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใครจะรู้ว่ายังมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่หรือไม่  

 

 

เสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้ รอเขาตายแล้วตนไปตัดศีรษะเขาด้วยมือตนเองก็เหมือนกัน  

 

 

“โจมตีต่อ โจมตี” เขาคว้าราวกั้นตะโกน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนทั้งหมดบุกให้หมด สังหารพวกเขา สังหารพวกเขา”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็แหงนหน้าหัวเราะบ้าคลั่ง  

 

 

“จูซานต้องตายแล้ว! จูซานในที่สุดก็ต้องตายแล้ว!”  

 

 

เวลานี้เอง ในหูก็ได้ยินเสียงบึ้มดังสนั่นหหลายครั้ง หอสังเกตการณ์เอนไหวไปวูบหนึ่ง ทั่วป๋าอูที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบหกคะเมนลงมา  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

เขารีบคว้าราวกั้นไว้ ยังไม่ทันหาพบว่าเสียงลอยมาจากที่ใดก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจวุ่นวายวูบหนึ่งหลังร่าง  

 

 

“ทหารกองหนุนของชาวโจวมาแล้ว !”  

 

 

ทหารกองหนุนของชาวโจว?  

 

 

ทหารกองหนุนของชาวโจวมาจากไหน?  

 

 

นอกจากเฉิงกั๋วกงจูซาน ใครกล้าขัดบัญชาฮ่องเต้ ใครกล้านำทหารบุกเข้าเขตจิน ใครรู้ชัดว่าศัตรูหลายหมื่นรวมพลอยู่ยังกล้ามาเผชิญศึก?  

 

 

มองผิดใช่หรือไม่?  

 

 

แต่ความวุ่นวายข้างหลังยิ่งมาก เสียงตะโกนตลบกลบฟ้ากลบดิน  

 

 

“เป็นกองทหารชิงซาน”  

 

 

“กองทหารชิงซานมาแล้ว”  

 

 

กองทหารชิงซานเป็นกองทหารอะไร?  

 

 

ทั่วป๋าอูหันกลับไปมอง สีหน้าตกตะลึง  

ตรวจตราการหาที่พักให้ประชาชนผู้ประสบภัยเสร็จแล้ว ยามเย็นย่ำพลบค่ำนายหญิงอวี้ก็กลับมาถึงในจวนที่เถียนเหยาจัดไว้ให้  

 

 

ตัวเมืองเหอเจียนที่ไม่ถูกทหารจินโจมตียังคงรุ่งเรืองอย่างวันวาน จวนที่ทำการขุนนางแห่งนี้หรูหรางดงามและอบอุ่น  

 

 

ในจวนสาวใช้หญิงรับใช้เป็นโขยงปรนนิบัตินายหญิงอวี้อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และยกอาหารโอชามา ขุนนางฝ่ายพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารในเมืองกับครอบครัวนั่งล้อมอยู่ในห้อง สนทนาพาทีเป็นเพื่อนนายหญิงอวี้  

 

 

จนกระทั่งโคมไฟเริ่มจุดสว่าง บรรดานายหญิงทั้งหลายถึงขอตัวจากไปพร้อมๆ กัน  

 

 

ในห้องม่านหน้าต่างปลดลงมา โคมไฟค่อยๆ ดับลงทีละดวง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายล้วนถอยออกไปแล้ว เหลือเพียงนายหญิงอวี้คนเดียว  

 

 

จนกระทั่งถึงนาทีนี้ นายหญิงอวี้ถึงพรูลมหายใจช้าๆ สีหน้ายากปิดบังความเหนื่อยล้าเอนพิงบนเตียงเชื่องช้า ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร คล้ายหลับไปแล้ว แต่นาทีต่อมานางก็ยื่นมืออกมาช้าๆ อีกครั้ง หยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากคอ  

 

 

หยกวงกลมเล็กๆ แผ่นนี้ นับไม่ได้ว่าคุณสมบัติเลิศเลอเท่าไร ร้อยไว้กับเชือกแดงเส้นหนึ่ง  

 

 

นายหญิงอวี้หลับตาลงลูบไล้หยกวงกลมครั้งแล้วครั้งเล่า  

 

 

“อวี้หลาง ดูท่าชีวิตนี้ ท่านจะไปก่อนข้าก้าวหนึ่งแล้ว” นางพึมพำเสียงเบา หางตามีน้ำคลอแวววาว  

 

 

นางกำหยกวงกลมไว้ในมือแน่น ลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองดูโคมไฟสลัวในห้อง แผ่นหลังเหยียดตรงนิ่งไม่ขยับ  

 

 

ราตรีมืดมิด โลกดำสนิทไปหมด  

 

 

แต่ทอดสายตามองไป มีคบไฟประดุจดวงดาราใต้ท้องนภามืดมิดแถบหนึ่ง ยิ่งเคลื่อนเข้าใกล้ก็จะค้นพบว่าดวงดาราระยับระยับแถบนี้อาณาเขตใหญ่มากคล้ายกับแม่น้ำแถบหนึ่ง  

 

 

ค่ำคืนดึกดื่นแล้ว เสียงเข่นฆ่าเอะอะยามกลางวันหายไป อากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง  

 

 

แสงคบไฟเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดสาดส่องเห็นกระโจมชำรุดแถบนี้ได้ ธงที่ปักอยู่บนพื้นก็มีร่องรอยถูกเผา เอียงกะเท่เร่ ยังมีไม่น้อยล้มอยู่กับพื้นเปรอะเปื้อนเลือดและดินโคลมเต็มไปหมด มองดูสภาพดั้งเดิมไม่ออก  

 

 

นี่เป็นที่ราบซึ่งถูกคูน้ำสายแล้วสายเล่าล้อมรอบอยู่ ชั่วขณะหนึ่งมองดูคล้ายไม่มีคน แต่ถ้าพินิจมองจะเห็นว่าด้านในคูน้ำวงแล้ววงเล่ามีศีรษะคนขยับไหวอยู่  

 

 

เสียงครวญครางรวมถึงเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังมาจากด้านใน  

 

 

รองเท้าบู้ทหนังเหยียบย่ำพื้นดินส่งเสียงดังตึกตึก ทำให้ในคูน้ำด้านนี้กลายเป็นเงียบสงบไปครู่หนึ่ง  

 

 

“บาดเจ็บล้มตายเท่าไร?” เสียงบุรุษทุ้มนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านในคูน้ำ  

 

 

ชุดเกราะขยับส่งเสียงดังเกรียวกราวพักหนึ่ง เห็นชัดว่านี่เป็นเหล่าทหารลุกขึ้นขยับ  

 

 

ท่ามกลางแสงสว่างเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดมองใบหน้าของคนเหล่านี้ไม่ชัด เห็นเพียงเงาคนเบียดแน่นอยู่ในคูน้ำแคบๆ  

 

 

“ตอบท่านกั๋วกง ปีกซ้ายของพวกเรายังเหลือหนึ่งร้อยยี่สิบนาย” เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น  

 

 

เสียงนี้ทำให้นคูน้ำตกสู่ความเงียบอีกครั้ง  

 

 

“บุรุษผู้กล้าทั้งหลาย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น  

 

 

ตามติดมาด้วยร้องเท้าบู้ทหนังเดินเคลื่อนที่ เงาคนด้านนี้เคลื่อนที่ไปตามคูน้ำ คล้ายไล่สำรวจนายทหารที่นั่งนอนอยู่ในคูน้ำไปทีละคนๆ  

 

 

ไม่ทราบเดินอยู่นานเท่าไร เสียงก้าวเท้าก็หยุดลง เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปืนขึ้นมาจากคูน้ำ  

 

 

หลังร่างเงาคนทั้งหลายรีบติดตาม ยืนอยู่หลังร่างเขา  

 

 

เงาร่างสูงใหญ่นั่นยืนนิ่งไม่ส่งเสียงอยู่เนิ่นนาน ลมหอบหนึ่งพัดผ่านไปพาเสียงร่ำไห้ที่คล้ายเสียงแตรสัญญาด้วยมา   

 

 

“ให้ทหารทั้งหลายถอยกลับไปแนวป้องกันที่สามเถอะ” เสียงทุ้มนุ่มพลันดังขึ้น “ด้านนั้นยังมีกำแพงเมืองพังให้พึ่งพิงได้”  

 

 

ถอยมาที่หนึ่ง ถอยมาที่สอง วันนี้ในที่สุดก็ถอยมาถึงที่สามแล้ว  

 

 

ผู้คนนับหมื่น เสียไปสามส่วน เสียไปเกินครึ่ง ทัพใหญ่แตกแล้ว  

 

 

กำแพงเมืองพังพึ่งพิงได้ที่ว่า สื่อนัยว่ากำลังจะเข้าสู่ศึกแลกชีวิตสุดท้ายแล้ว  

 

 

เสียงของเขานิ่งสงบ ท่ามกลางสีดำสนิท พื้นดินเกลื่อนกลาดทหารบาดเจ็บผืนนี้ ฟังดูไม่ลังเลเฉกเช่นวันวาน  

 

 

“ขอรับ”  

 

 

เสียงบรรดาแม่ทัพหลังร่างก็ดังขึ้นทันที ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดเช่นกัน นิ่งสงบดั่งแรกเริ่ม  

 

 

“เสียดายที่ปล่อยให้ตัวลู่หนีรอดไปได้” เสียงทุ่มนุ่มเอ่ยขึ้นอีก  

 

 

“ทว่าประชาชนสามเมืองของพวกเราคงถอยไปอย่างปลอดภัยแน่นอนแล้ว” แม่ทัพหลังร่างเอ่ยขึ้น “เอาเขาแลกกับประชาชนหลายสิบหมื่นของพวกเรา” คุ้มแล้ว  

 

 

เสียงทุ้มนุ่มหัวเราะ  

 

 

“ใช่ คุ้มแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

คนอื่นๆ ก็หัวเราะตามเขาด้วย  

 

 

ในสนามรบมืดมิดคลุ้งกลิ่นคาวเลือดแห่งนี้ เสียงหัวเราะระลอกนี้ประหนึ่งสายลมวสันต์ฤดูมอมเมาผู้คน  

 

 

ในตอนนี้เอง แผ่นดินไกลออกไปพลันมีแรงสั่นสะเทือนลอยมา คล้ายมีหมึกดำมืดทะมึนกดทับลงมา  

 

 

เสียงหัวเราะหายไป  

 

 

“ทนรอโจมตีเข้ามาอีกไม่ได้ปานนี้เชียว ดูท่าทั่วป๋าอูร้อนใจมากนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น  

 

 

“เขาน่ะกลัวทหารกองหนุนมา ดังนั้นถึงรีบสู้รีบจบ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย  

 

 

เสียงทุ้มนุ่มหัวเราะอีกครั้ง  

 

 

“แต่ข้าจูซานไม่เคยรอทหารกองหนุน” เขาเอ่ย พูดจบเงาร่างพลันหมุน นำเงาวูบไหวสีน้ำหมึกแถบหนึ่ง “รับศึก”  

 

 

“ขอรับ!” แม่ทัพทั้งหลายตวาดเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

เสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมดังมาจากแผ่นดินใหญ่กลางดึก สอดประสานรวมกับเมฆดำที่โถมมาไกลๆ  

 

 

เสียงแตรสัญญาณนี่คล้ายกระตุ้นเมฆดำด้านนั้นให้โมโห หลังครู่หนึ่งเสียงโห่ร้องอื้ออึงพลันดังขึ้น  

 

 

เสียงโห่ร้องนี่ไม่ใช่ภาษาหูอย่างก่อนหน้า แต่เป็นภาษาฮั่น สำเนียงภาษาประหลาดแต่ถ้อยคำชัดเจน  

 

 

“ฆ่าจูซาน!”  

 

 

“ฆ่าจูซาน!”  

 

 

“ฆ่าจูซาน!”  

 

 

……………………………………….  

 

 

แสงสว่างปริ่มล้นออกมาบนพื้นทีละชุ่นๆ ผืนดินค่อยๆ สว่างขึ้นมา  

 

 

ที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้ ฤดูใบไม้ผลิคล้ายจะยังไม่เข้าปกคลุม ดูไปแล้วกว้างสุดลูกหูลูกตา  

 

 

พร้อมกับแสงอรุณ บนที่ราบปรากฏกองทหารกลุ่มหนึ่ง มีราวเจ็ดแปดพันคน สวมชุดเกราะเต็มยศ ด้านหลังยังมีรถสัมภาระสิบคันติดตาม  

 

 

เสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบดังมาแต่ไกล ในสายตาปรากฏม้าสีดำสามตัว  

 

 

ม้าควบเร็วรี่มา เพราะวิ่งเร็ว ผ้าคลุมสีแดงสดของคนที่นำหน้าจึงพลิ้วสะบัด ผ้าคลุมศีรษะปลิวหลุดร่วง ผมเปียเส้นหนึ่งปลิวสะบัดด้านหลังร่าง ความเร็วของพวกเขาพริบตาก็มาถึงหน้ากระบวนทัพอย่างรวดเร็ว  

 

 

นายทหารทั้งหลายในกระบวนทัพทหารยืนนิ่ง คนขี่ม้าทั้งสามคนนี้ไม่ทำให้พวกเขาวุ่นวายสักนิด คนสามคนม้าสามตัวตัดผ่านกลางกระบวนทัพ มาถึงหน้ารถคันหนึ่งตรงกลางอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

เวลานี้หน้ารถคนยืนอยู่ไม่น้อย บนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้ารถวางแผนที่แผ่นแล้วแผ่นเล่าอยู่ พวกหยางจิ่ง เซี่ยหย่ง หลี่กั๋วรุ่ยล้วนล้อมอยู่ด้านหน้านั้น มองหาอะไรอย่างละเอียดอยู่พลางพุดคุยกันเสียงเบา  

 

 

เดินเข้าไปใกล้ก็จะเห็นชัด แผนที่แผ่นแล้วแผ่นเล่านี้ที่จริงเป็นเพียงแผนที่สถานที่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ขยายใหญ่มากนัก วาดคูน้ำแต่ละเส้นถนนสายน้อยในชนบทแต่ละเส้นไว้ชัดเจน  

 

 

คุณหนูจวินก็อยู่ด้านข้าง ฟังการถกเถียงของพวกเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“พี่สาว” จ้าวฮั่นชิงร้องเรียก ชักม้าหมุนอยู่ที่เดิม แส้ในมือชี้ไปหลังร่าง “ด้านหน้าก็คือคลองไป๋เหมาแล้ว”  

 

 

ได้ยินคำพูดของนาง ผู้คนที่ล้อมอยู่ด้านหน้าแผนที่พลันหัวเราะแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังอดไม่ได้กำหมัดเหวี่ยงรุนแรง  

 

 

“เดินถนนเส้นนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ ด้วย” เขาเอ่ย “ประหยัดเวลากว่าปกติตั้งห้าวัน”  

 

 

“แน่นอนต้องเป็นเช่นนั้นจริง” เซี่ยหย่งเอ่ย “ไม่ต้องสงสัย”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยหัวเราะ มองดูคุณหนูจวินด้านข้างแล้วถอนหายใจอยู่บ้าง  

 

 

เขาอยู่แดนเหนือนี่มาแปดเก้าปีแล้ว ยังไม่รู้เลยว่ามีถนนเช่นนี้เดินทางได้ นับประสาอะไรกับแม่นางน้อยอายุเพิ่งสิบกว่าปีคนนี้  

 

 

แผนที่นี่…  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยมองดูแผนที่ซึ่งกางอยู่บนโต๊ะ นี่วาดออกมาได้อย่างไร? ละเอียดลออถึงขั้นน่ากลัวปานนี้ แน่นอนก็มีความผิดพลาดบ้าง ตัวอย่างเช่นชื่อหมู่บ้านบางส่วนไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนแม่นยำ  

 

 

แผนที่ล้วนวาดออกมาตามสภาพสถานที่ แต่มองดูแผนที่อันนี้เขามักรู้สึกว่าสถานที่วาดออกมาตามแผนที่  

 

 

คุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณให้เก็บแผนที่ขึ้น  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ก็กำลังจะเข้าอี้โจวแล้ว” นางเอ่ย  

 

 

เสียงของนางอ่อนโยน แต่อี้โจวสองคำนี้เอ่ยออกมา คนรอบด้านอดไม่ได้ชาหนึบวูบหนึ่ง ยังมีบางส่วนคุมไม่อยู่สั่นระริกเล็กน้อย  

 

 

อี้โจว  

 

 

พวกเขาเป็นแม่ทัพเป็นทหารมานานปานนี้ เพิ่งเหยียบเข้ามาในถิ่นชาวจินแห่งนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังพาทหาร พาหอก ลากรถปืนใหญ่มาด้วย  

 

 

นี่ทั้งน่ากลัวทั้งเร้าใจ  

 

 

คุณหนูจวินเดินเข้ามาหลายก้าวช้าๆ มองดูพวกเขาแล้วมองดูกระบวนทัพที่ยืนนิ่งอยู่  

 

 

ธงในกระบวนทัพปลิวสะบัด แม้ธงมากมาย แต่ที่จริงมีเพียงสองแบบ ด้านหนึ่งเขียนว่ากองทหารซุ่นอัน ด้านหนึ่งเขียนว่ากองทหารชิงซาน  

 

 

คนหลายสิบคนของกองทหารชิงซานไม่ตั้งขบวนแถวลำพังอีกแล้ว พวกเขาปะปนสอดแทรกอยู่ในกองทหารซุ่นอันแห่งนี้ กองทหารซุ่นอันนายทหารมากมายล้วนสวมชุดเกราะเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ของกองทหารชิงซาน วันนี้ไม่ดูให้ละเอียดแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร  

 

 

“ใต้เท้าหลี่” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น หันกลับมามองหลี่กั๋วรุ่ย “พวกท่านติดตามข้ามาอี้โจว นับว่าเคลื่อนทหารโดยพลการหรือไม่?”  

 

 

กองทหารซุ่นอันของเหอเจียนถูกส่งมาป้าโจว เหตุผลคือเพื่อช่วยคุ้มครองประชาชนลงใต้ แต่หลี่กั๋วรุ่ยท้ายที่สุดกลับนำทหารขึ้นเหนือ และข่าวนี้ยังปิดบังค่ายใหญ่ที่เหอเจียน  

 

 

“นี่ไม่นับว่าเคลื่อนทหารโดยพลการ” หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้าจริงจังเอ่ย “พวกเราเป็นทหารแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของเฉิงกั๋วกง”  

 

 

นี่แล้วอย่างไร?  

 

 

พวกหยางจิ่งกับเซี่ยหย่งมองไปทางเขา  

 

 

“ทหารฟังแม่ทัพ แม่ทัพฟังขุนพล ขุนพลฟังนายเหนือหัว ราชสำนักสูงส่งไกลโพ้น พวกเรานายทหารตัวน้อยแม่ทัพตัวน้อยเหล่านี้ไม่เข้าใจและไม่มีคุณสมบัติเข้าใจ คำสั่งของราชสำนักสั่งลงมาย่อมมีเฉิงกั๋วกงปฏิบัติตาม ส่วนพวกเราก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเฉิงกั๋วกง เฉิงกั๋วกงไม่เคยออกคำสั่งให้พวกเราถอนทหาร นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงวันนี้อยู่ที่อี้โจวรบกับชาวจิน ถ้าเช่นนั้นพวกเราย่อมต้องมุ่งไปรบด้วย” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยต่อ  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

“ดังนั้นพวกเรานี่ไม่นับว่าพลการ หากราชสำนักจะลงโทษ ที่ลงโทษย่อมไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเฉิงกั๋วกง”  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

จินสือปาที่ยืนอยู่หัวแถวเบะมุมปาก ยิ้มหยันจางๆ  

 

 

“เจ้ายิ้มอะไร?” เหลยจงเหลียนด้านข้างเอ่ยถามขึ้นทันที  

 

 

จินสือปาไม่ได้ไม่สนใจเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้  

 

 

“ข้ายิ้มคนใกล้ชาดติดสีแดงคนใกล้หมึกติดสีดำ” เขาเอ่ย “กระทั่งแม่ทัพเล็กๆ คนนี้ยังกล้าพูดเลอะเทอะหน้าตาเฉย แล้วยังพูดเต็มปากเต็มคำเช่นนี้อีก”  

 

 

“ข้ารู้สึกว่าเขาพูดถูกต้อง ไม่เลอะเทอะนี่” เหลยจงเหลียนเอ่ย  

 

 

จินสือปามองเขา  

 

 

“เพราะเจ้าก็เลอะเทอะ” เขาเอ่ย   

 

 

เหลยจงเลิกคิ้วต้องการพูดอะไร แต่เสียงของคุณหนูจวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขารีบเก็บคำพูด จดจ่อมองไปอย่างตั้งใจ  

 

 

คุณหนูจวินมองไปทางกระบวนทัพทหาร  

 

 

“พวกเรามีเพียงไม่ถึงแปดพันคน” นางเอ่ย “กำลังจะไปสู้ศึกกับทหารจินนับหมื่นนาย ในดินแดนของผู้อื่น ในเขตแดนของผู้อื่น พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”  

 

 

“ไม่กลัว!” เสียงต้องตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้น  

 

 

“พวกเจ้าทำไมไม่กลัว?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม  

 

 

“เพราะเฉิงกั๋วกงไม่กลัว” เสียงตะโกนร้องพร้อมเพรียงตอบอีกครั้ง “เพราะคุณหนูจวินไม่กลัว”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยก็ตะโกนตามด้วย คล้ายคุ้นชินแล้วก็คล้ายกับเหมาะสมสมควร  

 

 

ใช่แล้ว เฉิงกั๋วกงยังไม่กลัว บุกเข้าไปในแผ่นดินของชาวจินลอบสังหารองค์ชายของอีกฝ่าย คุณหนูจวินผู้หญิงอ่อนแอคนนี้ก็ไม่กลัว ติดตามพวกเขาสู้ศึกกับชาวจินตั้งแต่ต้นจนจบ  

 

 

นอกจากนี้ยังมีชุดเกราะประณีตเหล่านี้อีก รถสัมภาระที่ขนอาวุธร้ายกาจอาวุธวิเศษนั่นอีก หนึ่งต้านสิบได้ มีอันใดน่ากลัว!  

 

 

คุณหนูจวินได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องนี้ก็อมยิ้มพลิกกายขึ้นม้า พวกหลี่กั๋วรุ่ยกับเซี่ยหย่งก็ขึ้นม้าตามนางด้วย  

 

 

คุณหนูจวินทะยานม้าไปข้างหน้าหลายก้าว  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไป…” นางเอ่ยขึ้น รับดาบยาวจากมือจ้าวฮั่นชิงชี้ไปทางทิศเหนือ “ช่วยเฉิงกั๋วกง”  

 

 

กองทหารส่งเสียงดังกระฮึ่ม หอกยาวดาบยาวตั้งเรียงรายชี้ไปทิศเหนือ เสียงโห่ร้องสะเทือนแก้วหูแทบดับกลบฟ้ากลบดิน  

 

 

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”  

 

 

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”  

ปลายเดือนหนึ่ง ต้นเดือนสอง สายลมวสันต์ฤดูโชยพัดอ่อนโยน  

 

 

แผ่นดินภาคเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาลในที่สุดก็มีสีเขียวปกคลุมชั้นหนึ่ง  

 

 

ท่ามกลางสีเขียวผืนนี้มีชาวบ้านนับไม่ถ้วนกำลังเดินโซเซอยู่  

 

 

ชาวบ้านเหล่านี้ขนครอบครัวมาเสื้อผ้าขาดวิ่นผมเผ้ากระเซิงหน้าตามอมแมม แต่สภาพจิตใจยังไม่เลว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง  

 

 

ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกสาวคนหนึ่งไว้ ขนาบอยู่กลางฝูงชน แม้ใบหน้าเหนื่อยล้าแต่ก้าวเดินยังนับว่ามีเรี่ยวแรง  

 

 

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เด็กหญิงที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของนางเอ่ยพึมพำขึ้นมา  

 

 

นางลูบปลอบเด็กหญิง  

 

 

“ใกล้ถึงแล้ว รอผ่านด่านจวินจื่อไปก็จะได้กินข้าวพักผ่อนแล้ว จะปลอดภัยแล้ว” นางเอ่ย  

 

 

เด็กหญิงไม่โวยวายแต่พยักหน้า  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋วบอกว่าผ่านด่านจวินจื่อก็รอดแล้ว” นางเอ่ย  

 

 

คิดถึงท่านหญิงเฉิงกั๋วก็คิดถึงข้าวต้มร้อนชามนั้น ก็เป็นข้าวต้มร้อนนั่นช่วยให้พวกนางสองแม่ลูกมาไกลได้เช่นนี้ นางรู้สึกเพียงในใจอบอุ่น  

 

 

“ใช่ ท่านหญิงเฉิงกั๋วไม่หลอกลวง” นางเอ่ย  

 

 

สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนยินดีลอยมาจากด้านหน้าเป็นระลอกๆ นางรีบมองไปด้านหน้า เห็นชาวบ้านที่เดิมทีเดินโซเซยู่ฉับพลันวิ่งเร็วรี่ เบื้องหน้ามองเห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่เลือนราง  

 

 

ถึงแล้ว!  

 

 

ถึงแล้ว!  

 

 

นางอดไม่ไหวอุ้มเด็กขึ้นมาวิ่งด้วยทันที  

 

 

บนทุ่งกว้างคนทั้งหมดล้วนร้องตะโกนยินดีวิ่งเร็วรี่ ส่วนเมืองด้านนั้นก็เปิดกว้าง มีทหารแถวแล้วแถวเล่าควบม้าเร็วรี่ออกมา  

 

 

มองเห็นทหารเหล่านี้ ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่วิ่งหนีก็หวาดกลัวอยู่บ้างหยุดก้าวเท้า  

 

 

จะไม่ให้พวกเขาเข้าเมืองหรือไม่?  

 

 

ระหว่างที่สงสัยทหารที่เป็นหัวหน้าคนนั้นก็ยื่นมือชี้ด้านหลังพลางอ้าปากเอ่ย  

 

 

“เข้าเมืองไปทางขวา มีโรงข้าวต้ม” เขาตะโกนบอก  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายยินดีปรีดาทันที มีคนคุกเข่ากับพื้นโขกศีรษะ คนมากกว่านั้นเพิ่มความเร็วฝีเท้าแห่ไปข้างใน  

 

 

ทหารจำนวนหนึ่งมุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดจนกระทั่งมองเห็นรถม้าคันหนึ่งมีทหารสิบกว่านายห้อมล้อมคุ้มกัน เหล่าทหารจึงพากันลงจากม้า เถียนเหยายิ่งก้าวไวๆ เข้าไปคำนับ  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้นพยักหน้าให้เขา  

 

 

“ดีเหลือเกิน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” ใต้เท้าเถียนเอ่ยอย่างยินดีทั้งยังสะอื้นอยู่นิดๆ “ท่านหญิงท่านปลอดภัยก็พอ”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้ม  

 

 

“ประชาชนป้าโจวโดยส่วนใหญ่มากันหมดแล้ว” นางเอ่ย “จำนวนคนทั้งหมดนับออกมาแล้วหรือยัง?”  

 

 

เถียนเหยารีบพยักหน้า หยิบสมุดที่พกติดตัวออกมา  

 

 

“จนถึงเมื่อวานทั้งหมดมีประชาชนสามสิบหมื่นคนเข้าเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยแล้วมองด้านหลังร่างที่ยังมีชาวบ้านเดินโซเซต่อเนื่องไม่ขาด “จำนวนคนที่แน่ชัดรอวันพรุ่งนี้ถึงจะออกมา”  

 

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า  

 

 

“ลำบากพวกท่านที่เหอเจียนแล้ว ประชากรมากมายปานนี้แห่เข้ามาภาระหนักหน่วงยิ่ง” นางเอ่ย  

 

 

เถียนเหยาส่ายศีรษะสีหน้าจริงใจ  

 

 

“ความลำบากเหล่านี้ของพวกเราไม่นับเป็นอะไร” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ประชากรมากมายก็ไม่ได้หยุดอยู่ มีไม่น้อยลงใต้ต่อไปแล้ว ด้านนี้ยังทนรับได้อยู่ขอรับ”  

 

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” นางเอ่ย  

 

 

“ท่านหญิงรีบเข้าเมืองเถิด” เถียนเหยาเอ่ย “มีข่าวดีเรื่องหนึ่ง เซินโจวด้านนั้นท่านชายก็คุ้มครองประชาชนเกือบสิบหมื่นคนกลับมาเช่นกัน จำนวนคนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่านชายยังพาคนไปสยงโจวต่ออีก”  

 

 

นี่เป็นข่าวดีเรื่องหนึ่งจริงๆ นายหญิงอวี้อมยิ้มพยักหน้า  

 

 

เถียนเหยาลังเลครู่หนึ่งอยากพูดก็หยุดไป  

 

 

“ข่าวร้ายเล่า?” นายหญิงอวี้มองท่าทางของเขาแล้วเอ่ยถามออกมาตรงๆ  

 

 

เถียนเหยาก้มศีรษะ  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยังไม่มีข่าวคราวเลยขอรับ” เขาก้มศีรษะเอ่ย  

 

 

มือของเหลียงเฉิงต้งอดไม่ได้กำแน่น  

 

 

พูดให้ชัดก็คือเฉิงกั๋วกงไร้ข่าวคราวมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว  

 

 

ตั้งแต่หลังข่าวเฉิงกั๋วกงนำทหารอ้อมแม่น้ำจวี้หม่าลอบโจมตีอี้โจวก็ไม่มีข่าวใหม่ส่งมาอีก  

 

 

“ทหารจินยังคงไม่เข้าเขตแดน เห็นได้ว่าการคุกคามของเฉิงกั๋วกงยังไม่คลี่คลาย นั่นก็คือคนยังอยู่ ทหารยังอยู่” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

 

ถึงอย่างนั้นแล้วอย่างไร ที่สำคัญก็คือทหารจินล้วนล้อมโจมตีเฉิงกั๋วกงอยู่ ทว่าเฉิงกั๋วกงกลับไม่มีทหารกองหนุน….  

 

 

เถียนเหยาเงยศีรษะสีหน้าจริงจัง  

 

 

“พวกเราขอคำสั่งจากราชสำนัก ขอทหารสามทัพรวมถึงทหารกองหนุนที่เมืองต้าหมิงขึ้นเหนือแล้วขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

สีหน้าของเหลียงเฉิงต้งเหยียดหยันอยู่บ้าง  

 

 

นั่นเป็นไปไม่ได้ เจรจาสงบศึกแล้ว นอกจากนี้กำลังพลที่เมืองต้าหมิงล้วนอยู่ในการควบคุมของชิงเหอปั๋ว  

 

 

ชิงเหอปั๋วยิ่งอยากเห็นเฉิงกั๋วกงตายไปเช่นนี้กระมัง  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้านิ่งสงบ ไม่โศกเศร้าเสียใจ ไม่คับแค้น ยิ่งไม่โวยวาย  

 

 

“ขอบคุณใต้เท้าเถียนมาก” นางเอ่ยจริงใจทั้งยังสบายๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในเขตสยงโจว หลังฝนฤดูใบไม้ผลิหลายหน น้ำในแม่น้ำก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางคนที่ข้ามแม่น้ำ  

 

 

หยาดน้ำสาดกระจาย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไม่หวาดกลัวสักนิดย่ำข้ามแม่น้ำ  

 

 

หลังแบกเด็กน้อย มือค้ำไม้เท้า พยุงกันและกัน ปล่อยให้น้ำในแม่น้ำซึมเปียกกางเกง  

 

 

คนกลุ่มหนึ่งข้ามแม่น้ำเสียงดังซ่าซ่า หลังร่างพวกเขามีนายทหารแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้ายืนนิ่ง จนกระทั่งชาวบ้านคนสุดท้ายข้ามแม่น้ำ  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายที่ข้ามแม่น้ำแล้วไม่ได้วิ่งจากไปทันที แต่หมุนตัวมองกองทหารฝั่งนี้  

 

 

“พวกเจ้ารีบไปเถอะ” แม่ทัพนายหนึ่งตะโกนโบกมือให้พวกเขา “ไปข้างหน้าต่อก็เป็นค่ายซู่หนิง ไปถึงที่นั่นก็ปลอดภัยแล้ว”  

 

 

ฉับพลันผู้เฒ่าคนหนึ่งก็คุกเข่าดังตึกลงไป  

 

 

“ขอบคุณท่านทหาร” เขาโขกศีรษะตะโกน  

 

 

ผู้คนคุกเข่าพรึบพรับลงไปทันที   

 

 

“ขอบคุณท่านทหาร”  

 

 

“ขอบคุณท่านชาย”  

 

 

“ขอบคุณเฉิงกั๋วกง”  

 

 

เสียงประสานวุ่นวายลอยมาจากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ  

 

 

มองดูชาวบ้านเหล่านี้ จูจั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองทหารก็ก้มศีรษะครุ่นคิดอะไรอยู่ก็มองข้ามมา  

 

 

“พอแล้ว พูดพร่ำอะไรเล่า” เขาเอ่ยอย่างรำคาญ พูดจบก็หันหัวม้า  

 

 

ทหารทั้งหลายก็หันหัวม้าติดตามเขาทันที  

 

 

ได้ยินเสียงกีบเท้าม้า มองกองทหารขึ้นเหนือไปอีก ชาวบ้านฝั่งนี้ก็ลุกขึ้น  

 

 

“ท่านทหารทั้งหลายไม่ข้ามแม่น้ำด้วยกันกับพวกเราหรือ” มีชาวบ้านเอ่ยพึมพำ ในดวงตาหยาดน้ำตาแวววาว “ยังจะไปช่วยคนมากกว่านี้อีก”  

 

 

แม้ต้องการหยุดการกระทำของจูจั้นอยู่ตลอด นายทหารส่งสารก็ยังคงติดตามมาจนถึงตอนนี้  

 

 

เวลานี้เขาควบม้าไปข้างหน้าอีกครั้ง  

 

 

“ท่านชาย กลับไปได้แล้วขอรับ ประชาชนเดินทางไปได้พอประมาณแล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่ของพวกเราแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าอ่าแล้ว  

 

 

“น่าขันนัก” เขาเอ่ย  

 

 

อะไรน่าขัน?  

 

 

แผ่นดินที่ปกป้องมาสิบปีฉับพลันกลายเป็นแผ่นดินของผู้อื่นไปแล้ว  

 

 

นายทหารส่งสารเงียบงันไปครู่หนึ่ง  

 

 

“ความหมายของข้าก็คือทหารจินมากขึ้นทุกทีแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านชายท่านทำพอแล้ว ไปได้แล้ว”  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง  

 

 

“ใช่ ข้าทำพอแล้ว ไม่ขายหน้าแล้ว” เขาเอ่ย สายตามองไปทางด้านหน้า “ข้าไปพบพ่อข้าได้แล้ว”  

 

 

พบพ่อข้า? เฉิงกั๋วกง?  

 

 

นายทหารส่งสารอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วตะลึงงันทันที  

 

 

“ท่านชาย ท่านจะไปอี้โจว?” เขาตะโกน “นี่จะได้อย่างไร?”  

 

 

นั่นเป็นถึงดินแดนที่แท้จริงของชาวจิน ทัพใหญ่หลายหมื่นสองกองปีกซ้ายขวา ส่วนจูจั้นพวกเขา  

 

 

นายทหารส่งสารหันกลับไปมอง นับเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็แค่กำลังพลหนึ่งพันนายเท่านั้น  

 

 

นี่มันไปตายเปล่าแล้ว  

 

 

“ท่านชาย ไม่สู้กลับไปขอหทหารกองหนุน” นายทหารส่งสารรีบร้อนเอ่ย “ท่านชายท่านช่วยเหลือคุ้มครองประชาชนมากปานนี้ พวกขุนนางเบื้องบนต้องถือเป็นความชอบมอบรางวัลแน่”  

 

 

จูจั้นหัวเราะลั่นอีกครั้ง  

 

 

“ทหารกองหนุน” เขาเอ่ย “หากมีทหารกองหนุนตั้งแต่แรกจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ?”  

 

 

พูดจบก็ควบม้าทะยานเร็วรี่  

 

 

นายทหารส่งสารถูกสลัดทิ้ง มองดูแผ่นหลังที่วิ่งทะยานไปเบื้องหน้านั่นอย่างปวดใจอยู่บ้าง  

 

 

“ท่านชาย…” เขาอยากพูดอะไร ฉับพลันด้านหน้าก็มีควันสัญญาณลอยขึ้นมา  

 

 

มองเห็นควันสัญญาณนี้ นายทหารส่งสารสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่วนกองทหารที่ควบม้าเร็วรี่อยู่ก็ตระหนกหยุดลงด้วย  

 

 

“ท่านชาย…” นายทหารส่งสารเอ่ยพึมพำ “ด้านหน้าทหารจินกระจายกำลังทั่วแล้ว ข้ามไปไม่ได้แล้ว”  

 

 

หากเร็วกว่านี่สองสามวันยังเป็นไปได้  

 

 

ตอนนี้…สายไปแล้ว  

 

 

ม้าส่งเสียงร้องทีหนึ่ง จูจั้นชักม้าหมุนร้อนรนอยู่กับที่มองไปด้านหน้า มือที่กำบังเ**ยนเส้นเลือดเขียวปูดนูน  

 

 

ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้แล้วหรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

“หยุดรถ”  

 

 

นายหญิงอวี้พลันเอ่ยขึ้น เลิกม่านรถขึ้นมา  

 

 

รถม้าที่กำลังเข้าใกล้ประตูเมืองหยุดลง เหลียงเฉิงต้งรีบก้าวเข้าไปไถ่ถาม  

 

 

“คุณหนูจวินพวกเขาทำไมยังไม่ตามมาอีก?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินนำทหารไปประจำการอยู่ที่ชายแดนป้าโจว ขวางทหารจินที่ลงใต้ให้ใประชาชนทั้งหลายอพยพอย่างปลอดภัย ตั้งแต่สามวันก่อนหน้าประชาชนในเขตของป้าโจวก็อพยพเสร็จสิ้นหมดแล้ว  

 

 

“กำลังถอนกำลังพลางถือโอกาสสำรวจในเขตรอบหนึ่ง ดูว่ายังมีคนตกหล่นหรือไม่ขอรับ” เหลียงเฉิงต้งเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้ร้องอ้อ มองไปทางเถียนเหยา  

 

 

“เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ” เถียนเหยาเอ่ย “กองทัพใหญ่บอกว่าถอนกำลังกลับมาแล้ว”  

 

 

นอกจากนี้กองทหารฉางเฟิงสามพันนายแรกสุด กองทหารซุ่นอันที่ประจำการในเหอเจียนก็ส่งห้าพันคนเพิ่มเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว  

 

 

กำลังพลเหล่านี้ย่อมต้องเชื่อฟังเมืองเหอเจียน  

 

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า สีหน้ายังคงวิตกอย่างไร้ที่มาอยู่บ้าง  

 

 

“แต่ความเร็วของพวกเขาช้าเกินไปแล้วกระมัง?” นางเอ่ย “เวลานี้ควรกลับมาได้แล้ว”  

 

 

นางเงยศีรษะมองไปทางด้านหลัง  

 

 

ทำไมเดินทางช้าปานนี้?  

เรื่องราวไม่ถูกต้อง  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยเห็นเซี่ยหย่งผ่อนคลายร่างกายหันหน้ามาก็พรูลมหายใจ  

 

 

เขาเหนื่อยตั้งนานแล้ว เพียงแต่อยู่ต่อหน้ากองทหารชิงซานนี่ไม่อยากเสียมาด ตอนนี้เห็นเซี่ยหย่งเก็บรูปขบวนแล้ว เขาก็รีบคลายหัวไหล่ นวดแขนที่ปวดล้าบ้าง  

 

 

“ใช่ไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย “ไม่ใช่บอกว่าจะมีทหารจินมาอีกรึ? ต่อให้ตั้งกระบวนทัพ จนถึงตอนนี้ก็น่าจะเข้ามาแล้ว”  

 

 

พวกเขาด้านนี้สงสัยไม่เข้าใจ ในกระบวนทัพด้านหลังก็สงสัยไม่เข้าใจ  

 

 

“พวกขี้ขลาดฝูงนี้ที่แท้จะรบไม่รบกัน?” จ้าวฮันชิงยิ่งหงุดหงิด ควบม้าหมุนอยู่กับที่ไม่หยุด “พี่สาวข้าไปดูสักหน่อย”  

 

 

พักนี้เพื่อความปลอดภัย คุณหนูจวินไม่ได้ให้จ้าวฮั่นชิงไปเป็นทหารสอดแนมอีก  

 

 

ด้วยเหตุนี้จ้าวฮั่นชิงจึงไม่มีชีวิตชีวานัก ได้โอกาสจึงเอ่ยขึ้นมา  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มๆ  

 

 

“ไม่ต้องให้เจ้าไปหรอก ด้านหน้ามี” นางเอ่ย  

 

 

“แต่นานปานนี้พวกเขาก็ยังไม่ส่งข่าวมา” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “หรือว่าเกิดเรื่องแล้ว?”  

 

 

น่าจะไม่ ทหารสอดแนมเหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญการซ่อนตัวสืบหารวมถึงการหลบหนีที่สุด นอกจากนี้นางก็บอกความต้องการหลายครั้งแล้วว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสังหารศัตรู ต่อให้เห็นโจรจินหลงอยู่คนเดียวก็ห้ามลงมือ  

 

 

ภารกิจของพวกเขาก็คือสอดแนม  

 

 

คุณหนูจวินเงยศีรษะมองไปด้านหน้า ทหารจินมีเท่าไร รวมตัวเป็นกระบวนทัพอะไร ตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่มีสัญญาณส่งมา  

 

 

ด้านนั้นที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

เสียงกีบเท้าม้ากุบกับดังมา ทหารสอดแนมสามคนขี่ม้าเร็วรี่มา  

 

 

พวกเซี่ยหย่งกับหลี่กั๋วรุ่ยผู้คนในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมข้างหน้าสีหน้าประหลาดใจ  

 

 

ถึงกับเปิดเผยร่องรอยของตนเองกลับมาแล้ว?  

 

 

“คุณหนูจวิน” เหล่าทหารสอดแนมเข้ามาในกระบวนทัพสี่เหลี่ยม ลงจากม้าคำนับแล้วรีบร้อนเอ่ยขึ้น “ทหารจินถอยไปแล้ว”  

 

 

ทหารจินถอยไปแล้ว?  

 

 

เมื่อครู่พวกเขามองเห็นทหารจินถอยไปแล้ว  

 

 

“ไม่ขอรับ ทหารจินทั้งหมด” ทหารสอดแนมเอ่ย สีหน้าไม่อยากเชื่อเช่นกัน “เมื่อครู่ทหารจินหนึ่งหมื่นล้วนถอยไปแล้ว พวกเราตามไปดูตลอดทาง พวกเขาถอยออกจากป้าโจวไปแล้ว”  

 

 

ทหารจินหนึ่งหมื่นถอยออกไปจากป้าโจวแล้ว?  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้ายากปิดบังความตกตะลึง  

 

 

……………………………………….  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

พวกจูจั้นยืนอยู่หน้าเมือง มองดูประตูเมืองเปิดกว้าง สีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง  

 

 

นายทหารที่มาส่งข่าวคนนั้นก็ระมัดระวังก้าวเข้ามาเช่นกัน  

 

 

“ประหลาดแล้ว” เขาเอ่ย “ก็บอกอยู่ชัดเจนว่าที่นี่มีทหารจิน?”  

 

 

สิ้นเสียงก็เห็นจูจั้นควบม้าเข้าไปด้านในเมือง  

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย” เขาตกใจรีบร้องตะโกน “ถ้าเป็นกลยุทธ์เปิดเมือง…”  

 

 

“เปิดเมืองมารดาเจ้าสิ” จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ควบม้าเร็วรี่เข้าเมือง  

 

 

นายทหารร้อยคนหลังร่างเขาก็ติดตามทันที  

 

 

พริบตาหน้าประตูเมืองก็เหลือเพียงนายทหารส่งสารคนเดียว เขามองซ้ายมองขวา รู้สึกว่าตามคนมากไปจะปลอดภัยกว่าจึงรีบควบม้าไล่ตามไปด้วย  

 

 

บนถนนมีร่องรอยการทุบทำลายวางเพลิงปล้นชิง แต่ความเสียหายไม่มาก คล้ายตอนที่กำลังทำลายฉับพลันก็หยุดไป  

 

 

“ยังมีคนอีกไหม?” จูจั้นพลันตะโกนเสียงดัง “ข้าคือจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกง พวกเราได้รับคำสั่งให้คุ้มครองประชาชนทั้งหลายออกจากเขต”  

 

 

เสียงนี้ฉับพลันดังขึ้นบนท้องถนนที่เงียบกริบ ทำให้นายทหารส่งสารที่ตามมาด้านหลังตกใจตัวสั่น  

 

 

ตกใจหมด อย่าเรียกทหารจินมานะ!  

 

 

แต่จูจั้นกลับไม่หยุด เขาควบม้าไปตามถนน ขี่ม้าเร็วรี่พลางตะโกนเสียงดัง นายทหารคนอื่นๆ ก็ตะโกนตามด้วย  

 

 

เสียงสะท้อนก้องบนท้องถนนว่างเปล่า ยิ่งขี่เข้าไปข้างในสีหน้าของผู้คนก็ยิ่งเคร่งเครียด  

 

 

เคร่งเครียดด้วยอาจมีทหารจินซุ่มซ่อนอยู่พุ่งออกมาโจมตี แล้วก็หวาดกลัวว่าจะเห็นภาพประชาชนล้มตายจากภัยอีกครั้ง  

 

 

ฉับพลันข้างทางก็มีประตูเปิดออก ผู้ชายผู้หญิงสีหน้าหวาดกลัวหลายคนมองเห็นพวกจูจั้นบนถนน  

 

 

“เป็น เป็นทหารของเฉิงกั๋วกงหรือ?” บุรุษที่เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงสั่น  

 

 

ยังมีคนรอด!  

 

 

จูจั้นยกมือออกแรงเช็ดคราบเลือดบนหน้าไป  

 

 

“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย เสียงดังกังวาน “เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ? ท่านชายจูจั้นผู้สง่างามรูปโฉมความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ พวกเจ้าไม่รู้จักรึ?”  

 

 

บุตรชายเฉิงกั๋วกง  

 

 

ผู้ชายผู้หญิงทั้งหลายมองบุรุษผู้เรียกตนเองว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกง แม้เช็ดคราบเลือดที่เลอะเทอะออกไปแล้ว แต่ใบหน้าที่ถูกคราบเลือดและฝุ่นดินบดบังดวงนั้นก็มองความสง่างามไม่ออกจริงๆ  

 

 

แล้วมองดูนายทหารหลายร้อยคนนี้ตรงหน้า พวกเขาชุดเกราะขาดวิ่นอยู่บ้าง คราบเลือดเปรอะเปื้อน ดาบยาวหอกยาวในมือก็เปรอะเต็มไปด้วยคราบเลือด รูปร่างกำยำ ดุร้ายยิ่งนัก  

 

 

เพียงแต่ความดุร้ายนี่ไม่ได้ทำให้คนหวาดกลัว มองเห็นพวกเขาหน้าตาองคาพยพเหมือนตนเอง สวมชุดทหารโจวที่คุ้นเคย ผู้ชายผู้หญิงทั้งหลายล้วนร้องไห้เสียงดังพุ่งออกมา  

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะยังมีทหารโจวมาจริงๆ  

 

 

ผู้ชายผู้หญิงทั้งหลายล้วนพุ่งออกมา คุกเข่ากับพื้นโขกศีรษะร้องไห้  

 

 

ไม่ทอดทิ้งข้า  

 

 

ไม่ทอดทิ้งข้า  

 

 

พร้อมกับที่ชาวบ้านหลายคนนี้เดินออกมา บนท้องถนนก็มีชาวบ้านวิ่งออกมาจากสถานที่ซ่อนตัวอีก เห็นฝูงชนมากมายบนท้องถนน ในใจพวกทหารอย่างจูจั้นก็ผ่อนลมหายใจ  

 

 

ยังดี ยังดีล้วนมีชีวิตรอด  

 

 

“แต่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” นายทหารส่งสารเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “หรือทหารจินไม่ได้เข้าเมืองมารึ?”  

 

 

ได้ยินถามถึงเรื่องนี้ ชาวบ้านทั้งหลายบนหน้าก็หวาดผวาอย่างยิ่ง  

 

 

“มาแล้วขอรับ” ผู้ดีชนบทอ้วนตุ๊ต๊ะไม่รู้หลบอยู่ที่ใดมาหน้าแต้มถ่านดำปี๋ทั้งหน้าเอ่ยขึ้น “มามากมายขอรับ ทำคนกลัวแทบตาย”   

 

 

มาแล้ว?  

 

 

นายทหารส่งสารตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“คนเล่า?” เขาตะโกน  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าก็ประหลาดใจอยู่บ้าง มองดูพวกจูจั้นตรงหน้า  

 

 

“ไม่ใช่ท่านชายพวกท่านตีพวกเขาหนีไปหรือขอรับ?” มีคนเอ่ยถาม  

 

 

“ใช่แล้ว พวกเขาก่อนหน้านี้ฉับพลันก็หนีไปกะทันหัน” ทุกคนรีบเอ่ยตาม  

 

 

กะทันหัน?  

 

 

จูจั้นมองไปทางสหายร่วมศึก  

 

 

ดูท่าคงเพราะแตรสัญญาณถอยทัพนั่นเป็นเหตุ  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมถอยไปกะทันหัน?  

 

 

“สนพวกเขาทำไม พวกเรารีบไปเถอะ” นายทหารส่งสารเอ่ยขึ้น “บางทีโจรจินอาจไปรวมตัวกันก็ได้ ว่ากันว่ากำลังพลหมื่นนายเลยนะ”  

 

 

ชาวบ้านรอบด้านฉับพลันหน้าถอดสีตะโกนตกใจไม่ขาด  

 

 

“ท่านชายช่วยข้าด้วย”  

 

 

“เฉิงกั๋วกงช่วยพวกเราด้วย”  

 

 

พวกเขาร่ำไห้ตะโกน บนถนนคนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลง  

 

 

“แน่นอน พวกเรามาเพื่อช่วยพวกเจ้า” จูจั้นเอ่ยเสียงดัง พลางส่งสัญญาณให้ชาวบ้านทั้งหลายลุกขึ้น “ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านหลัง ขวางโจรจินไว้ พวกเจ้าตอนนี้รีบเดิน”  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายลนลานลุกขึ้น พยุงผู้เฒ่าจับจูงเด็กน้อยวิ่งไปทางนอกเมือง  

 

 

ทหารส่งสารมองดูชาวบ้านทั้งหลายแห่แหนวิ่งไปทางทิศใต้แล้วมาข้างกายจูจั้นอีกครั้ง  

 

 

“ท่านชาย พวกเรารีบไปเถอะ ไปด้วยกันกับพวกเขา” เขาเอ่ย  

 

 

จูจั้นมองไปทางทิศเหนือ  

 

 

“ยังต้องไปดูที่อื่นอีก” เขาเอ่ย “หาประชาชนได้เท่าไรก็นับเท่านั้น”  

 

 

“ไม่น้อยแล้ว” นายทหารส่งสารรีบเอ่ย “ชาวจินเข้ามาในเขตแดนแล้วนะขอรับ”  

 

 

แต่คำพูดนี้ของเขาไม่มีประโยชน์อย่างสิ้นเชิง จูจั้นขี่ม้าออกจากประตูเมืองควบม้าไปทางเหนือแล้ว หลังร่างเขานายทหารหลายร้อยนายตามไปติดๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

“พี่สาว!”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขี่ม้าทะยานเร็วรี่มาจากไกลๆ  

 

 

“รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”  

 

 

เซี่ยหย่ง หลี่กั๋วรุ่ย หยางจิ่งที่ยืนอยู่รอบกระโจมล้อมเข้ามา  

 

 

พวกเขาตั้งกระโจมที่นี่สองวันแล้ว ทหารจินตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มา ทหารสอดแนมด้านหน้าก็ยืนยันซ้ำไปมาว่าทัพใหญ่ของทหารจินถอยออกจากป้าโจวแล้ว มุ่งไปทางอี้โจว  

 

 

อี้โจวเป็นดินแดนของชาวจิน  

 

 

นี่พวกเขาจะถอนกำลังกลับดินแดนหรือ?  

 

 

“ชาวจินฝั่งนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม  

 

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะคิกคัก  

 

 

“พี่สาว ท่านพูดถูกแล้ว” นางเอ่ย “ชาวจินเกิดเรื่องแล้ว”  

 

 

……………………………………….  

 

 

“ท่านหญิง!”  

 

 

เหลียงเฉิงต้งฟังถ้อยคำของทหารยามพลันร้องเรียกตระหนก  

 

 

“เฉิงกั๋วกงขอรับ”  

 

 

นายหญิงอวี้ยกมือห้ามปรามเขา นางมองดูทหารยามที่กองทหารชิงซานส่งมาคนนี้  

 

 

“พูดเช่นนี้ เฉิงกั๋วกงลอบโจมตีกองทัพใหญ่ปีกซ้ายของแคว้นจิน กองทัพใหญ่ปีกซ้ายนี่มีองค์ชายเจ็ดของแคว้นจินนำ” นางเอ่ย  

 

 

ทหารยามขานรับ  

 

 

“องค์ชายเจ็ดตอนนี้ถูกทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงล้อมขังไว้ ดังนั้นทั่วป๋าอูจึงสั่งทหารจินทั้งแนวรบกลับไปปกป้องช่วยองค์ชาย” เขาเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็ลูบศีรษะอีกครั้ง “คุณหนูจวินบอกแม้ไม่แน่ว่าจะจัดการองค์ชายเจ็ดได้ แต่สำหรับทั่วป๋าอูแล้วทนรับความเสี่ยงนี้ไม่ไหว ดังนั้นตอนนี้ทหารจินที่ขามเขตแดนมาจึงกลับไปหมดแล้ว”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

 

“ใช่สิ ตอนนั้นบิดาของฮ่องเต้แคว้นจินก็ตายในมือเฉิงกั๋วกง ทั่วป๋าอูโทษตนเองเรื่องนี้สิบกว่าปี เขาย่อมทนโทษตนเองอีกสิบกว่าปีไม่ได้” นางเอ่ย  

 

 

เหลียงเฉิงต้งสีหน้ายุ่งยากใจ  

 

 

“นี่ท่านกั๋วกงเพื่อแก้วงล้อมให้พวกเรา ตอนนี้ทัพใหญ่ถอนกำลังจากไป ชาวจินเหลือเพียงทหารกับแม่ทัพที่แตกทัพ พวกเขาย่อมจัดการง่ายแล้ว” เขาเอ่ย “แต่…”  

 

 

“นี่เป็นข่าวดีข่าวหนึ่ง” นายหญิงอวี้ขัดเขา สีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้น “พวกเราจะได้มีเวลามากกว่าเดิมคุ้มครองประชาชนทั้งหลายลงใต้”  

 

 

แต่นี่ไม่ใช่ข่าวดีเรื่องหนึ่ง  

 

 

“ท่านหญิง” เหลียงเฉิงต้งก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง สีหน้าร้อนรน “เฉิงกั๋วกงมีกำลังพลเพียงสามหมื่นนาย เขา นี่ติดกับอยู่ในแดนเหนือแล้ว”  

 

 

บุกเข้าไปในเขตชาวจิน ลอบโจมตีองค์ชายแคว้นจิน ข้างนอกมีทหารกองหนุนหลายหมื่นของชาวจินล้อม  

 

 

ที่สำคัญก็คือเฉิงกั๋วกงไม่มีทหารกองหนุนแล้ว  

 

 

นี่พูดได้ว่า…  

 

 

แผ่นหลังของนายหญิงอวี้เหยียดตรงไม่หันกลับมา  

 

 

“ดังนั้นคุ้มครองประชาชนทั้งหลายลงใต้เถอะ” นางเอ่ย “อย่าผิดต่อเฉิงกั๋วกง”  

 

 

เหลียงเฉิงต้งมองดูแผ่นหลังของนายหญิงอวี้ แล้วมองดูทางเหนือนิดหนึ่ง สีหน้าโศกเศร้าคับแค้น  

 

 

“ขอรับ” เขาเสียงแหบพร่าค้อมกายขานตอบ  

 

 

ส่วนอีกด้านหนึ่ง จูจั้นก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน  

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เขาเอ่ยขึ้น มองดูจดหมายในมือแล้วหัวเราะลั่น “พ่อของข้าร้ายกาจจริงๆ! ไม่เสียทีเป็นพ่อของข้า ถึงกับเล่นไม้นี้ ทำโจรจินพวกนี้ตกใจตายแล้ว”  

 

 

เขาหัวเราะลั่นอยู่ แต่มือที่กำจดหมายกลับสั่นระริก บนมือเส้นเลือดเขียวปูดนูน  

 

 

นายทหารทั้งหลายข้างกายไม่มีคนหัวเราะ โดยเฉพาะคนตัดฟืนหลายสิบคน สีหน้าร้อนรน  

 

 

“ท่านชาย พวกเรารีบไปอี้โจวเถิด” พวกเขารีบร้อนเอ่ย “ท่านกั๋วกงอันตรายแล้ว”  

 

 

จูจั้นมองไปรอบๆ ประชาชนมากมายเกือบพันบ้างยืนอยู่บ้างนั่งอยู่รอบด้าน แต่ละคนๆ เสื้อผ้าขาดวิ่น สีหน้าตระหนกวิตก  

 

 

ตอนนี้แม้ทัพใหญ่ของชาวจินถอนกำลังออกไปแล้ว แต่เป่าโจวยังมีทหารแม่ทัพแตกทัพอยู่ไม่น้อย เผาฆ่าปล้นชิงทั่วทุกแห่ง  

 

 

“พ่อข้าทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพื่อให้ข้าไปช่วยเขา” เขายิ้มพลางเอ่ย ยัดจดหมายในมือเข้าไปในอกเสื้อ “ไป ลงใต้ต่อ”  

 

 

ได้ยินเสียงเรียก ชาวบ้านผู้ประสบภัยรอบด้านรีบลุกขึ้น แม้หวาดหวั่นวิตก แต่ในดวงตายังมีความหวัง  

 

 

มีทหารเหล่านี้อารักขา พวกเขาย่อมหนีรอดได้  

 

 

“ท่านชาย” คนตัดฟืนหลายคนรวมถึงนายทหารอดไม่ได้เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า  

 

 

จูจั้นกำดาบยาวในมือแน่น นำชาวบ้านผู้ประสบภัยที่จับกลุ่มรวมตัว ร่างกายเหยียดตรงไม่หันหลังกลับทะยานม้าไปข้างหน้า  

เกรงว่าครั้งนี้คงโชคร้ายมากว่าโชคดีแล้ว  

 

 

แต่นั่นแล้วอย่างไร  

 

 

เรื่องมาจากถึงวันนี้สู้ถึงมีโอกาสรอด ไม่สู้กลับจะตาย  

 

 

“ทนอีกสามวัน ชาวบ้านที่ป้าโจวก็จะอพยพหนีเสร็จสิ้นแล้ว” เซี่ยหย่งเอ่ย เขารู้สึกถึงเสียงกีบเท้าม้าประหนึ่งอสนีบาตด้านหน้า มองดูทหารโจวรอบด้านเผยสีหน้าหวาดกลัวก็ตะโกนก้อง ชูคันศรในมือ “ฆ่า”  

 

 

เขานำหน้าคนเดียว นำกระบวนทัพพุ่งไป  

 

 

ทหารแม่ทัพทั้งหลายเกิดเป็นนิสัยคุ้นชินแล้ว เมื่อกระบวนทัพเคลื่อนที่ก็ขยับวิ่งอย่างไม่ลังเลสักนิด  

 

 

“ฆ่า!”  

 

 

พวกเขาไม่มีความคิดวุ่นวายอีกต่อไป ควบม้ารักษาขบวนรบ ติดตามเซี่ยหย่งตะลุยไปข้างหน้าประจันกับทหารจินที่พุ่งมา  

 

 

กีบเท้าม้าวุ่นวายฝุ่นดินลอยฟุ้งสองทัพปะทะกัน  

 

 

เข่นฆ่าสะเทือนฟ้า  

 

 

มองดูสองฝ่ายเข่นฆjากันดุเดือด นายหทารทั้งหลายในแถวกระบวนทัพยืนนิ่งไม่ขยับ ไร้ความเศร้าไร้ความเจ็บปวดไม่รู้สึกรู้สาสีหน้านิ่งเฉย รอเพียงสัญญาณคำสั่ง  

 

 

จ้าวฮั่นชิงควบม้าวนมาวนไประหว่างช่องว่างในกระบวนทัพ คล้ายร้อนรนทนไม่ได้อยู่บ้าง  

 

 

“ฮั่นชิง เจ้ากลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยถาม  

 

 

“กลัวอะไร?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ดวงตาเป็นประกายมองด้านหน้า “พี่สาว เมื่อไรข้าถึงออกไปรบได้เล่า?”  

 

 

ไม่มีกะจิตกะใจฟังคำของคุณหนูจวินสักนิด  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“ครั้งนี้เกรงว่าท่าจะไม่ดีอยู่บ้าง” นางเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึมนิดๆ “ชาวจินมีกำลังคนจำนวนมากรวมตัวมาด้านนี้”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อ  

 

 

“เจ้ากลัวหรือ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ  

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะบ้าง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้ากลัวอะไรเล่า” นางเอ่ยท่าทางทะนง “หรือข้าสู้เจ้าไม่ได้หรือ เรื่องที่เจ้าทำได้ข้าก็ล้วนทำได้”  

 

 

ให้พ่อข้าได้รู้ ข้าก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่นได้เหมือนกัน  

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า วางคันศรลง  

 

 

“ฝีมือยิงศรของข้าสู้เจ้าไม่ได้” นางเอ่ยแล้วหยิบแส้ยาวเส้นหนึ่งออกมา “ข้าใช้เจ้านี่แล้วกัน”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องเอ๋  

 

 

“เจ้าใช้เจ้านี่เป็นหรือ? ทำไมไม่เคยบอกมาก่อน” นางเอ่ย “ข้าก็อยากเรียนบ้าง”  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“เอาสิ รอครั้งนี้กลับไป ข้าจะสอนเจ้า” นางเอ่ย  

 

 

หยางจิ่งด้านข้างหลุบตาลง  

 

 

หากกลับไปได้ล่ะก็นะ  

 

 

คุณหนูจวินยังจะออกศึกแล้ว เห็นได้ว่าตัดสินใจเดินสู่ความตายแล้ว  

 

 

รบห้ำหั่นนานปานนี้ ไม่ว่ากำลังคนหรืออาวุธล้วนเสียไปมากนักแล้ว ทหารจินที่ลงใต้กลับยิ่งมากขึ้นทุกที ครั้งนี้อันตรายจริงๆ แล้ว  

 

 

……………………………………….  

 

 

ในเขตเป่าโจว โหดร้ายยิ่งกว่าป้าโจว  

 

 

ประการแรกเพราะเฉิงกั๋วกงประจำการอยู่ใกล้เป่าโจว ด้วยเชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง ประชาชนทั้งหลายจึงอพยพหนีช้า ประการที่สองเมืองใกล้เคียงตั้งแต่แรกก็ระแวงป้องกันจึงปฏิเสธไม่เปิดประตูเมือง  

 

 

รอจูจั้นพากำลังพลของเซินโจวมาถึงเป่าโจว การเจรจาสงบศึกก็สิ้นสุดอย่างเป็นทางการแล้ว ทหารโจวถอนกำลัง ทหารจินประหนึ่งน้ำหลากแห่เข้ามา  

 

 

ในเขตเป่าโจวทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นประชาชนวิ่งหนี หลังร่างทหารจินตามมาติดๆ  

 

 

หมู่บ้าน อำเภอ เมืองถูกเหยียบย่ำทลาย สายตามองไปล้วนเป็นควันไฟลอยวนเวียน กำแพงถล่มเมืองพังย่อยยับ  

 

 

หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งเสียงเข่นฆ่าดังขึ้น  

 

 

เมื่อทหารจินคนสุดท้ายถูกดาบฟันม้าสะบั้นเป็นสองท่อน การต่อสู้ก็สิ้นสุดลง  

 

 

บนพื้นซากศพกลาดเกลื่อน มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว  

 

 

จูจั้นทั้งร่างอาบเลือดมองรอบด้าน เจ็ดร้อยคนยามออกมา ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงสามร้อยแล้ว แต่ละคนๆยังบาดเจ็บอีก  

 

 

เขายกแขนเสื้อเช็ดเลือดบนใบหน้า  

 

 

มีของตนเองแล้วมีของทหารจิน  

 

 

แต่เพราะบนแขนเสื้อก็ย้อมไปด้วยเลือด เช็ดหน้าครั้งนี้กลับยิ่งดูดุร้าย  

 

 

แบ่งคนส่วนหนึ่งเก็บสหายร่วมชาติที่ตายและบาดเจ็บแล้ว จูจั้นก็โบกมือให้คนที่เหลือ  

 

 

“ไปดูสิหมู่บ้านนี้ยังมีคนรอดชีวิตหรือไม่” เขาเอ่ย  

 

 

บ้านเรือนในหมู่บ้านเพิ่งถูกทหารจินกวาดปล้นยังลุกไหม้อยู่ กลิ่นไหม้กระจายออกมา  

 

 

นี่เหม็นเกินไปแล้ว  

 

 

นายทหารหลายคนอดไม่ได้ปิดจมูก แต่จูจั้นรวมถึงคนตัดฟืนพลันหน้าถอดสี เพิ่มความเร็วฝีเท้าดมกลิ่นพุ่งเข้าไปด้านใน  

 

 

เกิดอะไรขึ้น? นายทหารเซินโจวรีบตามไป เพิ่งเข้าไปในหมู่บ้านก้าวเท้าพลันหยุดชะงัก คนทั้งหมดขนลุกขนชัน  

 

 

นายทหารทั้งหลายที่เห็นความเป็นความตายมาจนคุ้นอุทานเสียงเบาออกมาคำหนึ่ง มองดูเบื้องหน้าร่างกายแข็งทื่อ  

 

 

ปากทางเข้าหมู่บ้านฟืนกองหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ กลิ่นเหม็นก็กระจายออกมาจากตรงนี้  

 

 

แต่มองดูให้ละเอียดกลับไม่ใช่กองฟืน แต่เป็นกองศพมนุษย์  

 

 

แม้ส่วนมากล้วนถูกเผาดำปิดปี๋ไปแล้ว แต่ส่วนน้อยก็ยังคงแยกชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยได้อยู่ เห็นชัดยิ่งว่าเป็นชาวบ้านที่นี่  

 

 

แม้เป็นทหารที่แดนเหนือ เคยสังหารโจรจิน เคยเห็นสนามรบ เคยกวาดล้างโจรผู้ร้าย แต่นานปีปานนี้ก็ไม่เคยเห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน  

 

 

นายทหารไม่น้อยปิดปากอาเจียนลมออกมา  

 

 

จุจั้นมองเห็นภาพนี้พลันหัวเราะลั่น หัวเราะจนสองตาประหนึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงก่ำ  

 

 

“ดูสิ ดูสิ นี่ก็คือจุดจบยามเสียบ้านเสียเมือง” เขาตะโกนเสียงแหบพร่า ยื่นมือชี้กองศพที่ลุกไหม้อยู่ “ต้าโจวของข้า ต้าโจวของข้า! คนดั่งไม้ฟืน! คนดั่งไม้ฟืน!”  

 

 

ต้าโจวของข้า ทำไมกลายเป็นเช่นนี้  

 

 

คนทั้งหมดยืนนิ่งอยู่หน้าหมู่บ้าน บาดแผลบนร่างไม่ได้ทำให้พวกเขาหลั่งน้ำตา เวลานี้มองเห็นภาพนี้คนมากมายสองตาล้วนน้ำตาคลอ  

 

 

จูจั้นหัวเราะเสียงดังหลายทีแล้วหมุนตัววิ่งทะยานไปทางนอกหมู่บ้าน  

 

 

“ฆ่าโจรชั่ว” เขาตะโกน  

 

 

ม้าที่วิ่งกระจายอยู่ถูกเรียกรวมอีกครั้ง บรรดานายทหารทั้งหลายพากันขึ้นม้า ติดตามจูจั้นวิ่งเร็วรี่ขึ้นเหนือ ด้านหน้าเห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่เลือนราง  

 

 

“ท่านชาย !” มีนายทหารไล่ตามมาจากด้านหลังตะโกนเสียงดัง “ไปข้างหน้าไม่ได้นะขอรับ”  

 

 

เขาทะยานม้าขวางไว้ สีหน้าร้อนรน  

 

 

“ทหารจินยึดเมืองไว้แล้ว ยังมีทหารจินนับหมื่นกำลังวิ่งมา” เขาเอ่ย “หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเชิญท่านชายถอยกลับโดยเร็ว ที่นี่ไม่อาจรั้งอยู่ได้อีกแล้ว”  

 

 

จูจั้นรั้งม้ามองไปด้านหน้า บนทุ่งกว้างคล้ายมีเสียงร่ำไห้ตะโกนของชาวบ้านลอยมาแว่วๆ  

 

 

“จะทิ้งได้อย่างไร จะทิ้งได้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา พูดพลางก็เตะท้องม้า ดาบยาวในมือชี้ไปด้านหน้า ควบผ่านนายทหารคนนี้ไปข้างหน้า  

 

 

คนด้านหลังร่างก็ไม่รั้งหยุดสักนิดเช่นกัน ตามหลังร่างจูจั้นไปติดๆ ตะลุยไปข้างหน้า  

 

 

“พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” นายทหารตะโกน ร้อนรนและไม่เข้าใจ “ทหารจินจะมาแล้ว”  

 

 

ก็เพราะทหารจินจะมาแล้ว ดังนั้นถึงพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด  

 

 

ทิ้งไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ช่วยได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง ไม่เช่นนี้ประชาชนเหล่านี้จะมีจุดจบอย่างไร พวกเขาเห็นมากับตาแล้ว  

 

 

ม้าศึกควบทะยาน เบื้องหน้าเมืองยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที  

 

 

นายทหารทุกคนกำดาบยาวในมือแน่น รอคอยศึกชโลมเลือดที่กำลังจะมาถึง  

 

 

เสียงฮูมฮูมคล้ายลอยมาจากขอบฟ้า  

 

 

กองทหารที่ควบม้าเร็วรี่อยู่ตะลึงเล็กน้อย จูจั้นเงยศีรษะขึ้น ในดวงตาเผยความประหลาดใจจางๆ  

 

 

นี่เป็นแตรสัญญาณถอยทัพ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

นี่เป็นแตรสัญญาณถอยทัพของชาวจิน  

 

 

หยางจิ่งมั่นใจมาก ได้ยินเสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมเบื้องหน้าพลันมองเห็นทหารจินหลังสู้รบระลอกหนึ่งเหล่านั้นถอยหลังไปจริงๆ  

 

 

นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

ส่วนพวกเซี่ยหย่ง หลี่กั๋วรุ่ยด้านหน้าที่หลังสู้รบมารวมกลุ่มกันใหม่ก็สีหน้าฉงนสนเท่ห์  

 

 

พวกเขาหอบหายใจ บนร่างบนหน้ารอยเลือดเป็นลายพร้อย มองดูทหารจินที่ผละถอยประหนึ่งน้ำหลากเหล่านี้สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายลง  

 

 

“ใช่กำลังพลทหารจินรวมตัวพร้อมเตรียมโจมตีระลอกใหม่หรือเปล่า?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย  

 

 

เป็นไปได้อย่างที่สุด  

 

 

เซี่ยหย่งใช้แขนที่ได้รับบาดเจ็บกำดาบยาวแน่น  

 

 

“จัดแถว ตั้งกระบวนทัพ” เขาตวาด  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตะวันฉายส่องแสงแรงกล้า สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยไล้ใบหน้า เสียดายแต่ในอากาศอบอวบกลิ่นคาวเลือด ไม่อาจทำให้คนลุ่มหลง  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมยืนนิ่งไม่รู้นานเท่าไร ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นทหารจินพุ่งมาอีก  

 

 

เลือดไหลร่วงจากหน้าผากมาถึงหางตา กะพริบตาแล้วก็ยังไม่อาจทำให้สายตากระจ่างชัด เซี่ยหย่งไม่อาจไม่ยกมือขึ้นเช็ด  

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ท่ามกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมอันเคร่งครัดเป็นระเบียบสะดุดตาเป็นพิเศษ  

 

 

ในฐานะหัวหน้านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจอภัยได้ แต่เซี่ยหย่งตอนนี้ไม่คิดสืบสาวเรื่องนี้  

 

 

“เรื่องราวไม่ถูกต้องอยู่นะ” เขาหันหน้ามาเอ่ยขึ้น  

เทียบกับความตึงเครียดหนักหน่วงด้านในเขตแดนอย่างเป่าโจวกับป้าโจวเป็นต้น แนวแม่น้ำจวี้หม่าชายแดนที่แท้จริงยังเป็นเหมือนเช่นก่อนหน้าเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา  

 

 

แม่น้ำใหญ่สายหนึ่งแบ่งเหนือใต้แยกจากกันชัดเจนดุจแม่น้ำจิงเว่ย  

 

 

สองฝั่งน้ำเป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด แต่ร้อยปีมานี้กลับไม่ได้กลายเป็นที่นาอุดมสมบูรณ์เพราะที่แห่งนี้ตลอดมาเป็นแผ่นดินที่ทหารแย่งชิงกัน ไม่เคยหยุดทำสงคราม  

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้สองฝั่งแม่น้ำล้วนเป็นธงปักทั่ว กระโจมทหารมากมายถี่ยิบมองไปไม่สิ้นสุด ที่สายตามองเห็นไม่น้อยกว่าหลายหมื่นนาย  

 

 

เวลานี้อสนีบาตวสันต์ฤดูคำราม หยาดฝนเท่าเม็ดถั่วร่วงลงจากฟ้า ชั่วพริบตาปกคลุมสองฟากฝั่งไว้ท่ามกลางหมอกฝนจนขมุกขมัวไปหมด  

 

 

ด้านหน้ากระโจมหลังใหญ่สุดในค่ายทหารฝั่งใต้ของแม่น้ำ นายทหารยืนอยู่เต็ม พวกเขาล้วนสวมหมวกสวมเกราะ เม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วกระทบบนเกราะดังเปาะแปะ บรรดานายทหารกลับยังคงนิ่งไม่ขยับประหนึ่งรูปสลักหิน  

 

 

ผ้ากระโจมถูกเลิกขึ้น กั้นขวางด้วยหมอกฝนมองเห็นศีรษะคนสุมกันอยู่ด้านในได้ พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะแม่ทัพ คนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีเงินยวงนั่งสง่าอยู่ตรงกลางพอดี ผ้าคลุมสีแดงสดสว่างตาเป็นพิเศษ เพียงแต่สลัวอยู่บ้างจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เสียงพูดเอะอะคล้ายโต้เถียงอะไรอยู่  

 

 

“เป็นเช่นนี้สินะ”  

 

 

เสียงอ่อนโยนทั้งยังมีความน่าเกรงขามเสียงหนึ่งทะลุผ่านหมอกฝนดังขึ้น ทำให้ความเอะอะในกระโจมฉับพลันสลายไป  

 

 

“กำลังพลสามหมื่นนายล้วนถอนกำลังไปแล้ว น่าสงสารประชาชนในเขตสามเมืองต้องประสบเคราะห์”  

 

 

ในกระโจมเงียบงันไปพักหนึ่ง นอกกระโจมเสียงฝนดังซู่ซ่า  

 

 

“ท่านหญิงกับท่านชายน้อยช่วยคุ้มกันไปได้ไม่น้อย” มีเสียงแม่ทัพดังขึ้น “นับรวมแล้วมีประชาชนสิบหมื่นกว่าคนอพยพหนีไปที่ปลอดภัยแล้ว”  

 

 

“แต่ยังมีชาวบ้านอีกมากมายรอคอยการปกป้องอยู่” เสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “กำลังพลสามหมื่นถอนกำลังแล้ว ชาวจินเกือบหมื่นจะแห่เข้ามา พวกเขาคงต้านไม่อยู่”  

 

 

ในกระโจมเงียบงันพักหนึ่งอีกครั้ง  

 

 

ชุดเกราะส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แม่ทัพที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืน รูปร่างประหนึ่งขุนเขาขยับ  

 

 

“อย่างไรก็ไม่อาจมองดูประชาชนทุกข์ร้อนเช่นนี้ได้ พวกเขาไม่มีคนช่วยแล้วก็ให้พวกเราช่วยกันเองเถอะ” เสียงอ่อนโยนทุ้มนุ่มดังขึ้นในกระโจม  

 

 

สิ้นเสียง ผู้คนในกระโจมก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงพรึบพรับ ชุดเกราะส่งเสียงดังวุ่นวาย  

 

 

“รับทราบ!”  

 

 

เสียงดั่งอสนีบาต  

 

 

เวลาใกล้พลบค่ำ สายฝนค่อยๆ เบาบางลง ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจวี้หม่าทหารจินนายหนึ่งยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ฉับพลันดวงตาเบิกตาเปล่งประกาย จากนั้นรีบร้อนวิ่งลงมา  

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในค่ายทหารก็วุ่นวายพักหนึ่ง บุรุษร่างกายกำยำแข็งแกร่งประหนึ่งขุนเขาสวมชุดเกราะสีทองคนหนึ่งมาถึงหอสังเกตการณ์ท่ามกลางทหารจินฝีมือดีดุร้ายห้อมล้อม  

 

 

“ต้าเผิงอ๋อง! ต้าเผิงอ๋อง!”  

 

 

นี่ก็คือต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูแห่งแคว้นจิน  

 

 

ฝนหยุดแล้ว ท่ามกลางแสงอัสดงและม่านหมอก ค่ายทหารป้องกันแน่นหนาฝั่งตรงข้ามกำลังถอนออก กำลังพลหลายหมื่นขยับพร้อมเพรียงประหนึ่งขุนเขาเคลื่อนที่แผ่นดินสั่นไหว แต่กลับเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบ ไม่ได้วุ่นวายสักนิด  

 

 

“กำลังถอนค่ายจริงๆ” ทั่วป๋าอูหน้าเคร่งขรึมเอ่ย  

 

 

“ดูท่าจะถอยแล้ว” บุรุษคนหนึ่งข้างกายเขาอมยิ้มเอ่ย  

 

 

หากหวงเฉิงอยู่ที่นี่คงจำคนผู้นี้ได้ เขาก็คืออวี้ฉือไห่ที่เขาเคยพบ  

 

 

ยืนอยู่ข้างทั่วป๋าอูเขาแลดูผอมซูบบอบบบาง  

 

 

“สิบปีลบความมุ่งมั่นของเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าอูสีหน้าโกรธแค้น “ข้าศึกประชิดกลับผละหนี”  

 

 

ประจันหน้ากันนานปานนี้ กองทัพใหญ่บุกสังหารหลายครา เจ้าไม่ใช่ก็ไม่กล้าสู้กับเขาเหมือนกันรึ? นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าถอยก่อนสิบลี้อีก  

 

 

อวี้ฉือไห่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ แน่นอนคำพูดนี้เขาโง่แค่ไหนก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา  

 

 

“ท่านอ๋อง ชาวฮั่นมีประโยคหนึ่งกล่าวว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว ตะวันออกตะวันตกสองด้านกำลังพลสิบหมื่นล้วนถอย กำลังคนสามหมื่นคนเล็กๆ นี้ของเฉิงกั๋วกงจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพใหญ่ห้าหมื่นของพวกเราได้อย่างไร   

 

 

พูดพลางก็หัวเราะอีกครั้ง  

 

 

“นอกจากนี้ภรรยากับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงวันนี้กำลังคุ้มครองประชาชนที่ป้าโจวกับเป่าโจวอพยพ วันนี้กองทหารชาวโจวถอนกำลังอีก เสียปราการที่ชายแดน พวกเขาย่อมอันตรายแล้ว”  

 

 

ทั่วป๋าอูมองดูกองทัพใหญ่ด้านนั้นวิ่งจากไป  

 

 

“นี่ก็คือที่พวกเจ้าชาวฮั่นเรียกว่าวีรบุรุษอายุสั้นความรักหนุ่มสาวยืนยาวสินะ?” เขาเอ่ย บนหน้ายิ้มหยันอยู่บ้าง  

 

 

อวี้ฉือไห่ลูบเครายิ้มแล้ว  

 

 

“นี่ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้อ้างช่วยคุ้มครองประชาชนถอนทัพกลับป้องกันไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วก็พอดีเชื่อฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ ยิงทีเดียวได้นกสองตัว” เขาเอ่ย  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย  

 

 

“ข้ายังอยากให้เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการไม่ทำตามจริงๆ หากได้เห็นเขามีจุดจบเป็นกบฏตายในมือคนของตนเอง คงทำให้คนที่ได้ยินปวดใจจนหลั่งน้ำตาจริงๆ”  

 

 

แต่บนหน้าของเขาไม่มีความปวดใจจนหลั่งน้ำตาสักนิด แต่ลูบเคราหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา  

 

 

“ที่แท้เฉิงกั๋วกงก็แค่นี้” เขาหุบยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แต่ต่อให้เป็นเข่นนี้ ขัดบัญชาซ้ำแล้วซ้ำล่าแล้วไร้ความชอบกลับไป หลังกลับไปเขาต้องไม่ได้ผลดีแน่”  

 

 

ทั่วป๋าอูจดจ่อมองดูกองทหารที่ถอนค่ายด้านนั้น ธงผืนใหญ่สูงผืนหนึ่งปลิวสะบัดช้าๆ ตัวอักษรคำว่าเฉินด้านบนแม้พลบค่ำมีม่านหมอกกั้นขวางด้วยแม่น้ำก็มองเห็นได้ชัดเจน เสียงกีบเท้าม้าย่ำประหนึ่งสายฟ้า  

 

 

แม้ว่าทิศทางที่พวกเขามุ่งไปไม่ใช่ที่นี่ ทั่วป๋าอูก็อดไม่ได้หัวใจเต้นตึกตัก  

 

 

ก็เป็นกองทหารเหล่านี้ที่ขวางเขาอยู่ที่นี่เนิ่นนาน หากไม่ใช่ทหารรอบด้านถอนกำลังกลับทำให้โอกาส วันนี้ก็คงยังไม่มีหนทางทะลุแนวป้องกันมาได้  

 

 

กำลังพลในปกครองของเฉิงกั๋วกงไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ  

 

 

ทั่วป๋าอูได้ยินคำพูดของอวี้ฉือไห่พลันหันหน้าไปมองเห็นรอยยิ้มของเขา  

 

 

ตนเองสู้แม่ทัพเช่นนี้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยลูกไม้ตกุติก รอยยิ้มของอวี้ฉือไห่ทำให้เขารู้สึกคล้ายเย้นหยันตนเอง แน่นอนเขายังคงดีใจยิ่งที่เฉิงกั๋วกงเคราะห์ร้าย เพียงแค่ในใจอับอายหงุดหงิดบ้างเท่านั้น  

 

 

“พวกเจ้าชาวฮั่นดาบจริงหอกจริงไม่ได้เรื่อง เล่นลูกไม้เช่นนี้ล่ะเก่งนัก” เขาเอ่ยเย็นชา สบถทีหนึ่งคล้ายทำเช่นนี้ถึงลดความไม่มั่นใจให้เบาบางลงได้  

 

 

อวี้ฉือไห่สีหน้าไม่อับอายสักนิด  

 

 

“ท่านอ๋องพูดผิดแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเคารพจริงใจ “ไม่พวกเจ้า เป็นพวกเขา”  

 

 

ยื่นมือวางตรงหน้าอก  

 

 

“ข้าเป็นชาวจิน”  

 

 

ทั่วป๋าอูอึ้งนิดหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่า  

 

 

“ดี” เขาหัวเราะเสียงดังเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านหน้า “พวกเราชาวจินร่วมใจ ลงใต้ชนะหมื่นศึก เหยียบราบทุกทิศ”  

 

 

“ชนะหมื่นศึก!”  

 

 

“ชนะหมื่นศึก!”  

 

 

ทหารจินรอบด้านเหวี่ยงสะบัดอาวุธตะเบ็งตะโกนสุดเสียง เสียงดังขึ้นต่อเนื่องเริ่มสะท้อนก้องทั้งค่ายทหาร ถาโถมทรงพลังประหนึ่งคลื่นยักษ์อำนาจยิ่งใหญ่  

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ กองทหารฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำที่กำลังถอนค่ายอยู่ดูไปแล้วจนตรอกขึ้นมาก  

 

 

……………………………………….  

 

 

“โจรจินมาอีกแล้ว!”  

 

 

รอบด้านเสียงร้องประหลาดดังขึ้น พร้อมกับเสียงโห่ร้องประหลาด เสียงกีบเท้าม้าก็ดังเร็วรี่ ทหารจินนับพันวิ่งบ้าคลั่งประหนึ่งสายลมจู่โจมมาด้านหน้า  

 

 

นี่เป็นการโจมตีครั้งที่เท่าไรแล้ว?  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยมองดูนายทหารข้างกายที่น้อยลงไปครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย  

 

 

การบาดเจ็บล้มตายครานี้เทียบกับเวลาอื่นน้อยลงมากแล้ว เพราะกระสุนหินกับรถยิงศรของกองทหารชิงซาน รวมถึงกระบวนทัพทหารที่ดุดันเคร่งครัดด้วย  

 

 

พวกเขาถึงเฝ้าป้องกันชายแดนมาได้นานปานนนี้  

 

 

ความเสียหายล้มตายบาดเจ็บไม่ใช่เพราะทหารแม่ทัพของพวกเขางุ่มง่ามสู้โจรจินไม่ได้ แต่เพราะโจรจินยิ่งมากขึ้นทุกที  

 

 

“สุนัขดีสู้สุนัขเลวมากไม่ได้ล่ะนะ” เหลยจงเหลียนมองดูทหารจินที่โห่ร้องเข้ามาพลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น  

 

 

ทหารจินเหล่านั้นจากช้ากลายเป็นเร็ว ระหว่างวิ่งก็รวมตัวกลายเป็นสามกอง ชุดเกราะทิ่มแทงตา กีบเท้าเหล็กย่ำกระจุย เสียงร้องประหลาด เสียงคำรามโกรธเกรี้ยว อำนาจน่าครั้นคร้าม  

 

 

พวกนี้เป็นทหารจินฝีมือดีที่ข้ามชายแดนมาใหม่ ไม่ว่าความสามารถในการต่อสู้หรืออาวุธล้วนแข็งแกร่งกว่าเดิม  

 

 

ในดวงตาเหลยจงเหลียนไม่หวาดกลัวสักนิด เขาหันหน้ามองไปด้านข้าง  

 

 

“ดูแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคงหนีไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับมีโอกาสตายด้วยกันกับข้า”  

 

 

จินสือปาสีหน้าเย็นชาเพียงมองไปด้านหน้า   

 

 

“ข้าไม่ได้ตายด้วยกันกับเจ้า” เขาเอ่ย “ข้าตายด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้น นางตาย ข้าก็ต้องตาย”  

 

 

เหลยจงเหลียนหันหน้ามองไป หลังร่างไกลๆ ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยม แม้มองไม่เห็นแต่เขารู้ว่าคุณหนูจวินสั่งการอยู่ข้างใน  

 

 

“ที่จริงนางควรไปด้วยกันกับนายหญิงอวี้” เขาเอ่ยพึมพำ  

 

 

ทว่าก็หัวเราะขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ใช่นางแล้ว  

 

 

……………………………………….  

 

 

หน้าเขตเมืองเหอเจียน ประชาชนนับไม่ถ้วนสีหน้าหวาดหวั่นเดินเร็วรี่  

 

 

ยกครอบครัวมา แบกพาดไหล่มือหิ้ว บนรถขนเด็กน้อยผู้เฒ่าสตรี  

 

 

ประตูเมืองด้านหน้าเปิดกว้าง บรรดานายทหารสวมชุดเกราะสีหน้าเคร่งเครียดมองด้านหน้าพลางเร่งประชาชนทั้งหลายให้เร็วขึ้น  

 

 

มองไปไกลๆ ขบวนแถวของชาวบ้านทอดยาวไม่ขาดคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด  

 

 

ขบวนแถวย่อมมีสุดปลาย ตรงสุดปลายนี่เอง มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง รอบด้านทหารสิบกว่าคนรายล้อม สีหน้าเคร่งเครียดระแวดระวังมองไปรอบด้าน พูดให้ชัดมองด้านหลังร่าง  

 

 

“ท่านหญิง ไม่มีคนแล้ว ไปเถิดขอรับ” เหลียงเฉิงต้งเอ่ย  

 

 

ในรถม้านายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้น  

 

 

“ไม่รีบ” นางเอ่ย “รออีกสักหน่อย”  

 

 

ยังรออีกหรือ ทหารจินอยู่แค่ด้านหลังแล้วนะ เหลียงเฉิงต้งสีหน้าร้อนรน  

 

 

“ท่านหญิงพวกเราข้ามเขตเข้าเมืองไปก่อนค่อยรอเถิดขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย  

 

 

“ไม่ หากข้าเข้าเมืองไป ประตูเมืองฝั่งนี้ย่อมไม่มีทางเปิดให้ประชนชนเหล่านี้แล้ว” นางเอ่ย “อย่างน้อยฐานะของข้า พวกเขาก็ยังพะวงอยู่บ้าง”  

 

 

นางเอ่ยพลางก้าวลงจากรถม้ามองไปทางทิศเหนือ  

 

 

“เจ้าดูสิ ยังมีคนอีก” นางยื่นมือชี้พลางเอ่ย  

 

 

บนทุ่งกว้างเงาคนสองคนสามคนดินกะเผลก  

 

 

“สักคนก็ไม่อาจตกหล่นได้” นายหญิงอวี้เอ่ย สายตามองไกลออกไปอีก “ไม่อาจให้พวกเขายืนหยัดปกป้องสูญเปล่า”  

 

 

ยืนหยัดปกป้อง  

 

 

เหลียงเฉิงต้งก็มองไปทางทิศเหนือบ้าง สีหน้ายุ่งยากใจ  

 

 

ยังปกป้องได้อีกหรือ?  

 

 

ยังรอจนพวกเขากลับมาได้อีกหรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

แรงสะเทือนใต้เท้ายิ่งรุนแรง เสียงคำรามยิ่งดุดัน  

 

 

“มีทหารจินมาอีกแล้ว” เหลยจงเหลียนมองดูควันไฟที่ลอยขึ้นบนท้องนภาเบื้องหน้า หน้าถอดสี  

 

 

มาอีกแล้ว นอกจากนี้จำนวนคนยังไม่น้อย  

 

 

นี่วันที่เท่าไรแล้ว?  

 

 

เขากวาดตามองรอบตัว กำลังคนของพวกเขาไม่มากแล้ว เกรงว่าครั้งนี้….  

หมั้นแล้วจริงๆ ดูท่าไม่ใช่เรื่องหลอก พวกเจียงเฉิงวางความหวาดระแวงสายสุดท้ายลง  

 

 

คำพูดของจูจั้นกลับยังไม่หยุด  

 

 

“…ยังไม่ทันบอกกับทุกคน อย่างไรทุกคนก็ทราบ ผู้ที่ความสามารถรูปโฉมโดดเด่นสง่างาม แดนเหนือสตรีทั้งหลายเทใจให้ หากบอกว่าหมั้นแล้ว ไม่รู้ว่าคนเท่าไรจะเสียใจ นี่มีผลกับความสงบมั่นคงของแดนเหนือ…”  

 

 

เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังขึ้นในห้องโถง  

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”  

 

 

“ท่านชายท่านยังไม่ได้กินข้าวสินะ?”  

 

 

“ท่านวิ่งมาทางไกลเช่นนี้ คงเหนื่อยแล้วสินะ ไปพักผ่อนก่อนเถิด”  

 

 

เสียงของบรรดาแม่ทัพดังขึ้นต่อกัน แต่นี่ไม่ได้ขัดคำพูดของจูจั้น  

 

 

“ไม่รีบร้อนหรอก ข้าก็ไม่เหนื่อยด้วย”  

 

 

“คำพูดของข้ายังเอ่ยไม่ทันจบเลยนะ พวกเจ้ารู้สินะ เคยมีสตรีแขวนคอตายเพราะข้า นี่น่ากลัวนัก…”  

 

 

“คนรูปงามหล่อเหลาเช่นนี้อย่างข้า ไม่อาจตกลงหมั้นง่ายๆ ได้…”  

 

 

“แน่นอนพวกเจ้าไม่เคยสัมผัสเรื่องเช่นนี้ คงไม่เข้าใจความน่าหงุดหงิดแบบนี้…”  

 

 

……………………………………….  

 

 

ข่าวจูจั้นมาถึงเซินโจวแพร่ไปถึงป้าโจวอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

นี่ไม่ใช่เพราะจูจั้นพากำลังคนมาทำเรื่องยิ่งใหญ่ร้ายกาจอะไร ความจริงแล้วเป่าโจวด้านนี้มั่นคงกว่าป้าโจวมาก เพราะกองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงอยู่แถวด่านกำแพงหมื่นลี้จนถึงแม่น้ำจวี้หม่า ปิดตายป้องกันแน่นหนาขวางกำลังหลักห้าหมื่นของทหารจิน  

 

 

หลังจูจั้นเกลี้ยกล่อมแม่ทัพที่เซินโจวก็เขียนจดหมายให้ม้าเร็วส่งไปที่เหอเจียนทันที  

 

 

เมืองเหอเจียนได้รับจดหมายแล้ว ม้าก็ไม่ได้หยุดกีบเท้าส่งไปป้าโจวทันที  

 

 

แม้เถียนเหยาพยายามอย่างที่สุดอยากให้นายหญิงอวี้รั้งอยู่ที่เมืองเหอเจียน เช่นนี้ถึงรับประกันความปลอดภัยได้ แต่นายหญิงอวี้ยังคงยืนยันจะติดตามพวกคุณหนูจวินไป แม้ไม่ลงสนามรบ แต่จะรั้งอยู่ในตัวอำเภอที่ใกล้กับพวกเขาที่สุด ช่วยจัดการประชาชนผู้ประสบภัยที่ช่วยกลับมา  

 

 

ได้รับจดหมายของจูจั้น นายหญิงอวี้เบิกบานใจยิ่งนัก  

 

 

“เอ้อร์เสี่ยวของบ้านข้ามาแล้วจริงๆ” นางเอ่ย  

 

 

เอ้อร์เสี่ยว! คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ  

 

 

จูจั้นผู้ถือดีหยิ่งทะนงหลงตนเองถึงกับมีชื่อเล่นเชยๆ เช่นนี้  

 

 

อีกอย่างมีบุตรเพียงคนเดียวชัดๆ ทำไมเรียกขานเป็นลำดับที่สอง?  

 

 

“ก่อนให้กำเนิดเขา ข้าเคยให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ลี้ยงไม่รอด” นายหญิงอวี้เอ่ย “แต่ดีร้ายก็ลืมตาขึ้นมาดูโลกครั้งหนึ่งแล้ว ในบ้านจึงมีตำแหน่งของเขาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต่อมาให้กำเนิดจูจั้นจึงเป็นบุตรคนที่สอง”  

 

 

พูดพลางก็ยิ้มทีหนึ่ง  

 

 

“ชื่อต่ำต้อยเลี้ยงรอดง่าย”  

 

 

สำหรับเฉิงกั๋วกงสามีภรรยาที่เสียบุตรคนหนึ่งไปแล้ว บุตรคนที่สองคนนี้จะเป็นที่รักมากเท่าใด ตั้งชื่อต้อยต่ำก็เพื่อหวังให้เขามีชีวิตดีๆ ได้ ทว่ากลับพาเขาออกรบ เลี้ยงดูในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด ให้เขาเดินทางลำพังพันลี้เข้าเมืองหลวงได้ ให้เขาวิ่งหนีท่ามกลางการไล่ล่าสังหาร  

 

 

วันนี้ยังพากองทหารที่เซินโจวไปช่วยปกป้องประชาชนอีก  

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโตตัวเขาล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงรอดไม่ง่าย ทำเรื่องที่อันตราย  

 

 

คุณหนูจวินมองดูนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าปั้นยาก  

 

 

นายหญิงอวี้ไม่ได้สนใจสีหน้าของนาง เพียงอมยิ้มมองจดหมายของจูจั้น  

 

 

“ท่านแม่ เป่าโจวกับสยงโจวยกให้ข้า ป้าโจวเป็นของท่าน” นางอ่านออกเสียง เงยศีรษะมองไปทางคุณหนูจวิน “ถ้าอย่างนั้นครานี้พวกเราก็งานน้อยลงแล้ว”  

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า  

 

 

นายหญิงอวี้ก้มศีรษะถือจดหมายอีกฉบับขึ้นมา มองเห็นตัวอักษรด้านบนรอยยิ้มก็ยิ่งกว้าง ส่งต่อมาให้คุณหนูจวิน  

 

 

“นี่ให้เจ้า” นางยิ้มเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าประหลาดใจ  

 

 

“มีของข้าด้วยรึ?” นางเอ่ย  

 

 

จูจั้นรู้ว่านางอยู่ที่นี่หรือ?  

 

 

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรค้นพบร่องรอย นอกจากนายหญิงอวี้ นางจึงไม่ได้บอกตัวตนของนางกับผู้อื่น  

 

 

จูจั้นเพิ่งมาจากเมืองหลวง เขารู้ได้อย่างไร?  

 

 

“เจ้าเป็นคู่หมั้นของเขานี่” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย “ถามไถ่ถึงมารดาแล้ว ย่อมต้องถามไถ่ถึงภรรยาด้วย”  

 

 

ไม่เช่นนั้นใยไม่ใช่เผยไต๋แล้ว  

 

 

คุณหนูจวินเข้าใจก็ยิ้ม แต่เขาเขียนยจดหมายมาจริงๆ รึ? นางสงสัยใคร่รู้รับไปเปิดออก ด้านในถึงกับเขียนจดหมายมาจริงๆ พร่ำพรรณนาบอกความเป็นห่วงเป็นใยและความคิดถึงเต็มเปี่ยม  

 

 

แม้ดูจริงจังจริงใจ แต่ที่จริงช่องโหว่เต็มไปหมด มองปราดเดียวก็รู้ว่าหลับตาหรือกลอกตาเขียนขึ้นมา  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม  

 

 

“จดหมายนี่ข้าจะเก็บไว้ให้ดีเชียว” นางเอ่ยพลางดึงแขนของนายหญิงอวี้ ดวงตาเป็นประกาย “ท่านหญิง ท่านไม่ต้องบอกเขาว่าข้าเป็นใคร รอพบหน้ากันให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง”  

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ได้” นางตบเบาๆ บนมือของคุณหนูจวิน “ข้าจะไม่บอกเขา ถึงเวลาให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง”  

 

 

ทั้งสองคนกำลังคยุเล่นหัวเราะกันอยู่ เหลยจงเหลียนก็รีบร้อนเดินเข้ามา  

 

 

“คุณหนูจวิน นายน้อยส่งจดหมายด่วนมาขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

นายน้อยคำเรียกขานนี้ นางหญิงอวี้ไม่แปลกหูแล้ว หลายวันนี้ชื่อนี้มักจะปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ ถึงขั้นบอกได้ว่าเกี่ยวพันไม่ขาดกับพวกนาง อาหารการกิน การสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนขาดเขาไม่ได้ นอกจากเงินยังมีข่าวสารที่ฉับไวที่สุดจากเมืองหลวงอีกด้วย  

 

 

นายหญิงอวี้มองคุณหนูจวินเปิดกระบอกสาส์น  

 

 

จดหมายแบบนี้คือจดหมายด่วน ใช้ประโยคสั้นกระชับที่สุดส่งมาเร็วที่สุด จากหยางเฉิงถึงป้าโจวด้านนี้เร็วยิ่งกว่าม้าเร็วของกรมกลาโหม ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร  

 

 

คุณหนูจวินเปิดกระบอกสาส์น ใบหน้าที่เดิมทีอมยิ้มแข็งทื่อทันที มือที่กำกระบอกไม้ไผ่ก็กำแน่น  

 

 

“เจรจาสงบศึกสิ้นสุดแล้ว” นางเอ่ย “สามเมืองยกให้บรรลุข้อตกลงแล้ว กองทัพจินเข้าสู่สามเมือง กองทหารประจำการที่แดนเหนือทั้งหมดผละถอย หากฝ่าฝืน….”  

 

 

นางมองไปทางนายหญิงอวี้  

 

 

“จะลงโทษโทษฐานกบฏ”  

 

 

คนที่ฝ่าฝืนจะลงโทษโทษฐานกบฏคนนี้หมายถึงใคร ในใจทุกคนล้วนรู้ชัด  

 

 

คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าโศกเศร้าโกรธแค้น  

 

 

นายหญิงอวี้กลับสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

“เร็วปานนี้เชียว” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นประชาชนมากมายเกรงว่าคงอพยพไม่ทันแล้ว”  

 

 

นางกังวลแค่เรื่องนี้หรือ คุณหนูจวินมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน  

 

 

“ยังดีพวกเราด้านนี้อพยพคนได้พอประมาณแล้ว” นางเอ่ยพลางเค้นรอยยิ้มออกมาจางๆ “พวกเราเพิ่มความเร็วหน่อย”  

 

 

เพิ่มความเร็วก็สู้ความเร็วที่ทหารจินทุ่มกำลังแห่เข้ามาไม่ได้ สู้ความเร็วการถ่ายทอดคำสั่งของราชสำนักไม่ได้ ต้องมีประชาชนมากมายมาไม่ทันแน่นอน  

 

 

……………………………………….  

 

 

ชายแดนเป่าโจว  

 

 

ควันสัญญาณลอยขโมงขึ้นมาไม่หยุด โลกคร่ำครวญโศกเศร้า  

 

 

ชาวบ้านนับไม่ถ้วนวิ่งเตลิด  

 

 

แดนเหนือในฤดูใบไม้ผลิยังคงรกร้าง หญ้าป่าเพิ่งโผล่ยอดเขียวออกมาพริบตาก็ถูกคนเหยียบแหลก ในทุ่งกว้างทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นผู้คนร่ำไห้ร้องตะโกนวิ่งเตลิด คนที่ล้มลงถูกคนข้างหลังเหยียบต่อเนื่องหลายครั้งก็ลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว  

 

 

ด้านหลังร่างพวกเขามีควันสัญญาณลอยขึ้นไม่ขาดต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่งสัญญาณว่าทหารจินจำนวนมากกำลังบุกมา  

 

 

วิ่งสิ รีบวิ่งสิ  

 

 

ด้านหน้าปรากฏทหารแถวแล้วแถวเล่าแล้ว ฝูงชนที่วิ่งรี่มองเห็นความหวังแล้ว พวกเขาร่ำไห้ตะโกนชูมือพุ่งเข้าไป  

 

 

แต่ทหารเหล่านั้นก็มองเห็นควันสัญญาณลอยสูงถึงฟ้าไกลๆ แล้วเช่นกัน สีหน้าปรากฏความหวาดกลัว  

 

 

“ทหารจินสามหมื่นกำลังจะข้ามเขตเข้ามาแล้ว” แม่ทัพที่ที่เป็นหัวหน้าตะโกน “พวกเรา พวกเรารีบถอนกำลัง”  

 

 

บรรดานายทหารหน้าหลังหันหัวม้าทันที ประชาชนทั้งหลายที่วิ่งมาเห็นดูทหารเหล่านี้กำลังจะไปก็ตะโกนร่ำไห้คุกเข่าลงทันที ขวางกีบเท้าม้าของพวกเขาไว้  

 

 

แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามองดูประชาชนที่ร่ำไห้ตะโกนเหล่านี้ก็สีหน้าทนไม่ได้  

 

 

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเสียงสั่น “ที่จริงพวกเจ้าไม่ต้องหนี หลังจากนี้พวกเจ้าจะเป็นชาวจินแล้ว อยู่ที่นี่พวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้”  

 

 

เสียงร้องไห้ของชาวบ้านทั้งหลายดังระงม ผู้เฒ่าคนหนึ่งคุกเข่าเดินไปข้างหน้า  

 

 

“ใต้เท้า ภาษาต่างกัน หน้าตาต่างกัน จะกลายเป็นชาวจินได้อย่างไรเล่า” เขาร่ำไห้เอ่ย “สิบปีก่อนพวกเราต้อนรับท่านแม่ทัพ ช่วยสังหารโจรจิน ตอนนี้พวกท่านจะไปแล้ว ชาวจินจะต้อนรับพวกเราได้อย่างไร”  

 

 

สีหน้าของแม่ทัพก็ปั้นยากเช่นกัน  

 

 

“ไม่ใช่พวกเราต้องการไป ที่จริงเพราะราชโองการฮ่องเต้ยากขัด” เขาเอ่ย “กระทั่งเฉิงกั๋วกงก็กำลังถอนทหารแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ของต้าโจวเราแล้ว พวกเราไม่อาจรั้งอยู่ได้”  

 

 

เสียงร้องไห้ของชาวบ้านยิ่งดัง ผู้เฒ่าชูมือโขกศีรษะ  

 

 

“ขอใต้เท้าพาพวกเราปด้วย” เขาร่ำไห้เอ่ย  

 

 

บรรดาชาวบ้านคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด  

 

 

“พาพวกเราไปด้วย”  

 

 

“พาพวกเราไปด้วย”  

 

 

เสียงร่ำไห้สะเทือนทุ่ง  

 

 

นายทหารบนม้าไม่น้อยล้วนอดไม่ได้หลั่งน้ำตา แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ายิ่งหนังหน้าสั่นระริก มองดูชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้น แล้วมองดูควันสัญญาณที่มืดฟ้ามัวดินอีก ท้ายที่สุดก็กัดฟัน  

 

 

“พวกเจ้า รักษาตัวด้วย” เขาเอ่ยเสียงแหบ ชูแส้เร่งม้า “ไป”  

 

 

กำลังพลคนอื่นก็ควบม้าตามเขาจากไปทันที  

 

 

ชาวบ้านเต็มพื้นร่ำไห้ตะโกนอย่างสิ้นหวัง มีคนลุกขึ้นไล่ตาม แล้วก็มีคนคุกเข่ากับพื้นนิ่งอึ้ง  

 

 

สองขาของคนจะวิ่งทันสี่ขาของม้าได้อย่างไร  

 

 

ไม่นานทหารทั้งหลายก็เร็วขึ้นทุกทีๆ ผู้คนที่ไล่ตามถูกทิ้งแล้ว พวกเขาล้มคว่ำสิ้นหวังมองดูกองทหารในสายตาไกลออกไป  

 

 

แต่กองทหารที่วิ่งอยู่ฉับพลันก็หยุดลง ด้านหน้าของพวกเขาก็ปรากฏกองทหารอีกกองหนึ่ง  

 

 

อะไร?  

 

 

“ห้ามถอย”  

 

 

เสียงเข้มดังขึ้น  

 

 

แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามองดูบุรุษที่ชูธงคำสั่งขวางทางไปไว้ สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว  

 

 

“ท่านชาย” เขาเอ่ย “พระบัญชาฮ่องเต้ยากขัด”  

 

 

จูจั้นมองดูเขา  

 

 

“สิ่งที่ฮ่องเต้สละคือแผ่นดิน หาใช่ประชาชน” เขาเอ่ย “ขอเพียงมีประชาชนสักคนพวกเราก็ไม่อาจทอดทิ้ง”  

 

 

แม่ทัพสีหน้าปั้นยาก  

 

 

“ท่านชาย” เขาชี้ด้านหลังร่าง “โจรชั่วกำลังมาก พวกเราเกรงว่าจะไร้กำลังต่อต้าน”  

 

 

“สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้” จูจั้นเอ่ยเรียบเฉย มองดูควันสัญญาณไกลออกไป “ก็แค่ตายหนเดียวเท่านั้น”  

 

 

แม่ทัพกำบังเ**ยนแน่น  

 

 

“ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าเป็นทหารเป็นแม่ทัพเพื่ออะไร?” เสียงของจูจั้นดังขึ้นอีกครั้ง สายตาวาวโรจน์มองไปทางพวกเขา “ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าประเทศกับประชาชนเลี้ยงดูพวกเจ้ามาสิบปีเพื่ออะไร?”  

 

 

พูดถึงตรงนี้เสียงฉับพลันตะเบ็งดังขึ้น  

 

 

“เพื่อให้ยามโจรชั่วรุกรานพวกเจ้าเห็นศัตรูแต่ไกลก็หนีรึ?”  

 

 

“เพื่อให้ยามพวกเจ้าเห็นประชนชนตายใต้กีบเท้าโจรชั่วทำเป็นไม่เห็นรึ?”  

 

 

“ให้ชุดเกราะพวกเจ้า ให้อาวุธพวกเจ้า ให้ม้าศึกพวกเจ้าก็เพื่อให้ยามโจรชั่วมา พวกเจ้าวิ่งหนีได้ว่องไวงั้นรึ?”  

 

 

“หรือพวกเจ้าเหล่านี้เป็นขุนนาง เป็นแม่ทัพ เป็นทหารก็เพื่อเป็นไอ้ขี้ขลาดงั้นรึ?”   

 

 

แต่ละประโยคๆ ฟาดเข้าใส่ ฟาดเสียทหารแม่ทัพด้านนี้หน้าแดงหูแดง  

 

 

จูจั้นไม่มองพวกเขาอีกต่อไป เก็บธงคำสั่งในมือลง ทะยานม้าไปข้างหน้า  

 

 

“ไสหัวไปเถอะ พวกเจ้าพวกขี้ขลาดเหล่านี้ ไสหัวไปมีชีวิตอยู่ให้ดีเถอะ” เขาเอ่ยเย็นชา ชักดาบยาวข้างเอวออกมา สะบัดไปด้านหน้า “ผู้กล้าทั้งหลาย ติดตามข้าต้านศัตรู”  

 

 

ทหารแม่ทัพทั้งหลายที่ติดตามหลังร่างเขาชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

“ต้านศัตรู!”  

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนโห่ร้อง ฝูงอาชาก็วิ่งทะยาน ประหนึ่งขุนเขาร่ำร้องมหาสมุทรคำรามแซงทหารแม่ทัพเหล่านี้ไป  

 

 

แม่ทัพด้านนี้มองดูพวกจูจั้นโห่ร้องผ่านไป สีหน้าพลันเป็นสีม่วง  

 

 

“มารดามัน ไม่ใช่แค่ตายครั้งเดียวรึ?” เขาตะโกน หันหัวม้า ชักดาบยาวออกมา “ต้านศัตรู”  

 

 

ทหารแม่ทัพทั้งหลายข้างกายก็พากันหันกลับ  

 

 

“ต้านศัตรู!”  

 

 

เสียงตะโกนดังกระหึ่มกึกก้อง  

 

 

กองทหารประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมผ่านข้างกายไป  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ที่ยืนอยู่ยังคงนิ่งอึ้งไม่อยากเชื่อ แรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินทำให้พวกเขาตัวสั่นระริก  

 

 

ผู้เฒ่าหลั่งน้ำตาคุกเข่ากับพื้นโขกศีรษะสามครั้ง ตอนนี้ถึงเช็ดน้ำตาลุกขึ้นประคองคนข้างกายโซซัดโซเซไปด้านหน้า  

 

 

ด้านหลังพวกเขา กองทหารควบม้าเร็วรี่ไปทิศทางตรงกันข้าม ธงทหารดังพรึบพรับ ดาบยาวประหนึ่งผืนป่า  

 

 

ดาบไม่ร่วง ป่าไม่ล้ม  

 

 

……………………………………….  

 

 

ชายแดนป้าโจว  

 

 

ชาวบ้านบนทุ่งกว้างวิ่งเร็วรี่ไปด้านหน้า หลังร่างพวกเขามีทหารทั้งหลายเรียงแถวประหนึ่งกำแพง มองดูควันสัญญาณที่ลอยขโมงขึ้นมาไกลออกไปเบื้องหน้า  

 

 

รถสัมภาระไม่ตั้งหม้อทำอาหารอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงทุกคนกึ่งนั่งยองอยู่หลังโล่ป้องกันหนา เบื้องหน้าวางกระสุนหินมากมายยุบยับ หอกยาวแต่ละด้ามๆ มัดไว้บนรถยิงศร เอนเฉียงขึ้นข้างบน ใต้แสงตะวันงดงามของวสันต์ฤดูวาบวับเย็นเยียบ  

 

 

หลังร่างพวกเขาคือกระบวนทัพสี่เหลี่ยมมากมายถี่ยิบ ศึกดุเดือนนานเข้าชุดเกราะก็ไม่วาววับอีกต่อไป หอกยาวยังคงประหนึ่งผืนป่า ธงผืนใหญ่หลายผืนพลิ้วสะบัดตามสายลม  

 

 

กองทหารชิงซาน  

 

 

กองทหารซุ่นอัน  

 

 

ทหารดั่งขุนเขา เขาไม่ล้ม  

 

 

……………………………………….  

เทียบกับความหนาวเย็นที่แดนเหนือ เมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิมาเยือนบ้างแล้ว  

 

 

บรรดานางกำนัลเปลี่ยนเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ เดินตัดผ่านในพระราชวังประหนึ่งผีเสื้อบุปผา เพิ่มความงดงามให้พระราชวังที่เคร่งขรึมอยู่หลายส่วน  

 

 

น่าเสียดายก็แต่ฮ่องเต้ไม่มีพระทัยชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามนี้  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่นอกประตูตำหนัก ได้ยินเสียงฮ่องเต้ใช้ฎีกาฟาดโต๊ะดังมาจากด้านใน  

 

 

“ไม่ใช่คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือว่าจะเจรจาสงบศึก ชาวจินเหล่านี้ยังโวยวายอะไรอีก? หวงเฉิงกำลังทำอันใดอยู่?”  

 

 

“ใต้เท้าหวงพยายามสุดกำลังหารือกับชาวจินเพื่อให้ต้าโจวของเรายื้อแย่งผลประโยชน์ได้มากกว่าเดิมอยู่ตลอดพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นชาวจินยังโวยวายอะไรอีก?”  

 

 

“แดนเหนือด้านนั้นพักนี้เกิดเรื่องบางอย่าง ชาวจินไม่พอใจอย่างมาก”  

 

 

“แดนเหนือเกิดเรื่องอะไรได้อีก? จูซานก่อเรื่องอีกแล้วรึ?”  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งรีบร้อนก้าวเข้าไปชิด ขัดลู่อวิ๋นฉีที่กำลังฟังคำพูดของฮ่องเต้ด้านใน  

 

 

“ใต้เท้า แดนเหนือมีข่าวแล้ว” เขาก้มศีรษะต่ำคำนับแล้วก้าวเข้ามาอีกก้าวเอ่ยเสียงเบา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินไปข้างนอกหลายก้าว ยืนอยู่ใต้เสาทางเดินมององครักษ์เสื้อแพรคนนี้  

 

 

“นางอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ย  

 

 

“ที่เซินโจวขอรับ” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

“จากเมืองชิ่งหยวนไปถึงเซินโจวแล้ว? จินสือปาทำไมไม่ส่งข่าวกลับมา?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรอึ้งไปนิดนหึ่ง เงยหน้ามองลู่อวิ๋นฉี  

 

 

“ใต้เท้า ข้าพูดถึงข่าวของบุตรชายเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีคิ้วคลายออก  

 

 

“ข่าวของเขาก็ควรปรากฏแล้วเหมือนกัน” เขาเอ่ยราบเรียบ “ไปเซินโจวอย่างที่คิดจริงๆ”  

 

 

ใต้เท้ารู้อยู่ก่อนแล้ว? องครักษ์เสื้อแพรตกตะลึงอยู่บ้าง  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ลมใบไม้ผลิในพระราชวังวนเวียนพัดชายแขนเสื้อสีแดงสดของเขา  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋วกับภรรยาของท่านชายไปป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ยเรียบเฉย “ในฐานะลูกชายกับสามี อย่างไรก็ไม่อาจหลบอยู่ข้างหลังให้ผู้หญิงถูกสอบสวนและรบกวนได้”  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรเข้าใจแล้ว เมื่อภรรยาของเฉิงกั๋วกงกับภรรยาของท่านชายปรากฏตัวที่เมืองเหอเจียน พวกเขาย่อมรู้ตั้งแต่แวบแรก และต้องไปเหอเจียนกับป้าโจวตามหาแน่นอน  

 

 

ตอนนี้ในเมื่อบุตรชายเฉิงกั๋วกงปรากฏตัวที่เซินโจว องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายย่อมไม่ต้องไปหาท่านหญิงเฉิงกั๋วอีกต่อไปแล้ว  

 

 

“นอกจากนี้ผู้หญิงทั้งหลายล้วนไปทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชนแล้ว ท่านชายจะหลบๆ ซ่อนๆ ได้อย่างไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยนิ่งๆ “ผู้คนที่กล้าหาญภักดีทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนเหล่านี้ทำให้คนนับถือและเลื่อมใสจริงๆนะ”  

 

 

คำพูดนี้คล้ายออกมาจากใจแต่ก็เฉยชาห่างเหินด้วย องครักษ์เสื้อแพรชั่วขณะไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร  

 

 

พวกเขาเพียง  

 

 

“จับไหมขอรับ?” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ยถาม  

 

 

“ไม่ต้องจับแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

เพราะจูจั้นกล้าหาญภักดีทำเพื่อประเทศเพื่อประชาชนจะช่วยเซินโจวคุ้มครองประชาชนเป่าโจวลงใต้หรือ? เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็เป็นคุณธรรมใหญ่หลวง  

 

 

ในใจองครักษ์เสื้อแพรความคิดหนึ่งแล่นผ่าน  

 

 

“ฆ่าเขาซะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยแล้วหมุนตัวไป  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรในหัวใจหนาววูบ ก้มศีรษะตอบขอรับ จากนั้นหมุนตัวก้าวเร็วไวจากไป  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินไปทางหน้าประตูตำหนักอีกครั้ง มีคนเลี้ยวอ้อยอิ่งมาจากด้านข้าง  

 

 

“อั้ยย่ะ หัวหน้ากองพันลู่”  

 

 

เสียงเกินจริงอยู่บ้างลอยตามเขามา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองไป เห็นบุรุษสวมอาภรณ์พิธีการของชินอ๋องไม่ทราบว่ายิ้มอยู่หรืออ้วนจนมองไม่เห็นตาก้าวเข้ามา  

 

 

“เสียนอ๋อง” เขาค้อมกายคำนับ  

 

 

เสียนอ๋องยื่นมือคว้าแขนของเขาไว้แล้ว  

 

 

“หัวหน้ากองพันลู่เกรงใจแล้ว” เขาเอ่ย ตาหยีๆ หรี่ตามองมาที่เขา “ไม่ถูกสิ ควรเรียกท่านผู้บัญชาการแล้ว”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก่อนปีใหม่ก็กลายเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ตำแหน่งของเขาเป็นเช่นนั้นมานานแล้วก็ตาม  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะต่ำคำนับอีกครั้ง  

 

 

“ฝ่าบาททรงกำลังทำสิ่งใดอยู่?” เสียนอ๋องกดเสียงเบาเอ่ยถามท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่บ้าง  

 

 

“กำลังทรงปราศรัยกับพวกใต้เท้าหลิวจากสภาอำมาตย์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย  

 

 

เสียนอ๋องดวงตาเป็นประกาย แต่เบิกตาอีกเท่าใดก็เบิ่งได้เพียงรอยแยกเส้นหนึ่งเท่านั้น  

 

 

“ดีเหลือเกิน” เขาเอ่ย “ชาวจินจะให้เงินหรือไม่?”  

 

 

พูดจบไม่รอลู่อวิ๋นฉีเอ่ยวาจาอีกก็รีบร้อนเดินเข้าไปในตำหนัก ยิ้มตาหยียื่นศีรษะเข้าไปด้านใน  

 

 

“ฝ่าบาท” เขาร้องเรียก  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ห้ามปราม ได้ยินเสียงหารือด้านในถูกขัด  

 

 

“เจ้ามาทำอะไร?” ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ตวาด  

 

 

เสียนอ๋องไม่ถูกท่าทางของฮ่องเต้ทำให้กลัว ยิ้มเริงร่าเดินเข้าไป  

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ชาวจินจะให้เงินมาเมื่อไรเล่า?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ฮ่องเต้ถลึงตา  

 

 

“เจ้าก็รู้จักแต่เงิน” พระองค์ตรัส มองเขาทีหนึ่งคิดอะไรขึ้นได้ “เจ้าไปหาไทเฮาที่นั่นทำอะไรอีก? จะเอาเงินอีกรึ?”  

 

 

เสียนอ๋องนั่งลงตรงหน้าฮ่องเต้ โบกมือส่งๆ ให้บรรดาขุนนางใหญ่ที่คำนับ  

 

 

“เปล่านะ” เขาร้องด้วยสีหน้าน้อยใจ “วันนี้ประเทศเผชิญสงคราม พระสนมทั้งหลายยังลดค่าใช้จ่าย ข้าจะมาขอเงินให้ชายาได้อย่างไร”  

 

 

ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจยาว มองบรรดาขุนนางใหญ่  

 

 

“คนที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ความ เวลาเช่นนี้รู้ความแล้ว” พระองค์ตรัสท่าทางอับจนหนทางอยู่บ้าง “คนที่ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนบอกว่ามีเหตุผล ตอนนี้กลับยังทะเลาะกับข้าอยู่”  

 

 

ที่พูดถึงนี่ย่อมคือเฉิงกั๋วกง  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่พากันพยักหน้า  

 

 

“ดังนั้นชาวจินตอนนี้จึงโกรธจัด” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งเอ่ยต่อ “ถามพวกเราว่าที่แท้มีความจริงใจจะเจรจาสงบศึกหรือไม่ หากไม่มีก็ช่างมันแล้ว…”  

 

 

ช่างมันแล้วย่อมคือจะรบต่อ ฮ่องเต้เคร่งเครียดทันที กำลังจะเอ่ยวาจา เสียนอ๋องก็ยื่นตัวมาเอ่ยปากก่อนแล้ว  

 

 

“ข้าได้ยินว่าเมืองเหอเจียนด้านนั้นกองทหารกำลังคุ้มครองประชาชนจากที่ต่างๆ อย่างป้าโจวลงใต้” เขาเอ่ย พลางวาดมือวาดไม้หน้าตาเริงร่า “ตีชาวจินหนีกระเจิงเข้าป่า”  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่พยักหน้า  

 

 

“ใช่แล้ว คุยกันแล้วชัดๆ ว่าจะหยุดรบแล้ว เฉิงกั๋วกงกลับให้ภรรยาของเขาพาคนปลุกปั่นทหารที่เหอเจียนให้กระทำเรื่องเช่นนี้ ช่าง…” พวกเขาพูดพลางส่ายศีรษะใบหน้ากังวล  

 

 

เสียนอ๋องร้องฮั้ยแล้ว  

 

 

“นี่เป็นเรื่องดีต่างหาก” เขาตบมือเอ่ยขึ้น “แสดงว่าพวกเราร้ายกาจมากเท่าไร”  

 

 

ร้ายกาจ? คนที่ร้ายกาจคือเฉิงกั๋วกงกระมัง กระทั่งดำรัสของฮ่องเต้ยังไม่ฟัง ฮ่องเต้กลับแลดูแล้วขี้ขลาด  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่สีหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  

 

 

“พอแล้ว ตอนนี้เวลาใดแล้วยังร้ายกาจไม่ร้ายกาจอีก” ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ตรัส  

 

 

“ฝ่าบาท” เสียนอ๋องโบกมือพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่สิ ตอนนี้เวลาใด เวลาเจรจาสงบศึก พวกเราร้ายกาจสักหน่อย ไม่ใช่ทำให้ชาวจินยิ่งหวาดกลัวได้รึ เงื่อนไขย่อมยิ่งเป็นประโยชน์กับพวกเรา…”  

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะคิกคัก ขยับเข้ามาใกล้ฮ่องเต้  

 

 

“ฝ่าบาท ไม่สู้ให้น้องไปเจรจราสงบศึกกับชาวจินเถอะ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เงินต้องเอามามากสักหน่อย”  

 

 

เสียนอ๋องผู้นี้ในดวงตามีแต่เงิน  

 

 

ฮ่องเต้แค้นเสียงเฮอะ  

 

 

“ที่แท้เจ้าก็คิดจะเอาเงินจากชาวจินแล้ว” พระองค์ตรัส “บ้าบอจริงๆ”  

 

 

ตรัสพลางกุมหน้าผาก  

 

 

“เงินนับเป็นเรื่องใหญ่อะไร ประเทศร่มเย็นเป็นสุขประชาชนได้เสพสุขกับความสงบถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” พระองค์ตรัส สีหน้าเคร่งขรึมใส่บรรดาขุนนางใหญ่ “บอกหวงเฉิง ชาวจินมีความจริงใจ พวกเราก็มีความจริงใจบ้าง รีบจัดการเรื่องนี้เสีย”  

 

 

มีความจริงใจ ถ้าอย่างนั้นก็ทำง่ายแล้ว  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่คำนับขานรับ  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่เดินออกจากตำหนักยิ้มแย้มพูดคุยจากไป เสียนอ๋องซุกมือไว้ในเสื้อยิ้มตาหยีรั้งอยู่ท้ายสุด  

 

 

“ใต้เท้าลู่ยังไม่ไปหรือ?” เขายังทักทายลู่อวิ๋นฉีอีกหน  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาลงคำนับ  

 

 

เสียนอ๋องเดินผ่านข้างตัวเขาไป รอยยิ้มบนหน้าพลันสลาย เขามองดูพระราชวังสูงตระหง่าน  

 

 

“ประเทศร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนสงบสุข” เขาเอ่ยพึมพำ ดวงตาตี่เป็นขีดเบิกโตขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เผยแววเยาะหยันออกมา  

 

 

……………………………………….  

 

 

“แน่นอนเพื่อประเทศร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนสงบสุขสิ!”  

 

 

ในจวนว่าการเมืองเซินโจว จูจั้นเอ่ยขึ้น ยื่นมือวนชี้แม่ทัพทั้งหลายในห้องโถง  

 

 

“นี่เป็นการกระทำของพวกเจ้า”  

 

 

แล้วยื่นมือชี้ตนเอง  

 

 

“ส่วนข้าย่อมทำความชอบชดใช้ความผิด”  

 

 

เขาพูดพลางผายมือ  

 

 

“ทุกคนล้วนรู้ ตอนนี้ข้าถูกประกาศจับ ข้าก็รู้ว่าข้ามีความผิด แต่ข้ารู้สึกว่าแทนที่ข้าจะอยู่เมืองหลวงสิ้นเปลืองข้าวสาร ยังไม่สู้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์บ้าง ต่อให้ตายในมือชาวจินก็ต้องฆ่าโจรจินเพิ่มให้ได้สักหลายคน ก็นับว่าชดใช้ความผิดแล้ว”  

 

 

ผู้คนด้านในโถงสบตากันทีหนึ่ง ที่จริงเฝ้าดูมานานปานนี้ มองดูกองทหารเมืองเหอเจียนเหยียบราบทุกทิศที่ป้าโจว รวมถึงคำพูดของท่านหญิงเฉิงกั๋วที่พูดถึงคุณงามความชอบยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็แพร่ออกมาแล้ว ทุกคนล้วนเคยคิด ขาดก็แต่จังหวะ  

 

 

จังหวะที่ว่านี้ย่อมเป็นมีคนออกคำสั่ง หรือก็คือคนรับผิดชอบถ้าอนาคตเกิดปัญหา  

 

 

อย่างไรท่านหญิงเฉิงกั๋วก็ยังไม่มาออกคำสั่งกับพวกเขาที่นี่  

 

 

ตอนนี้ดีแล้ว บุตรชายเฉิงกั๋วกงมาแล้ว นอกจากนี้ยังบอกว่าเชิญพวกเขาไปเป่าโจวช่วยคุ้มครองประชาชนเคลื่อนถอยอีก  

 

 

ส่วนเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงเป็นนักโทษในประกาศจับของราชสำนัก ช่วงเวลาพิเศษย่อมปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษสิ  

 

 

เจียงเฉิงหัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันของเซินโจวสีหน้าขึงขังพยักหน้า  

 

 

“พวกเราก็กำลังจะดำเนินการตามนี้” เขาเอ่ย “ในเมื่อท่านชายยินดีทำความชอบชดใช้ความผิด” ถ้าอย่างนั้นก็ทำด้วยกันเถอะ แต่ท่านชายต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกเรา อย่าหนีไปเอง อย่างไรตอนนี้ท่านก็มีความผิดตัว รอพวกเราแจ้งราชสำนักรอรับการลงโทษ”  

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ระยะเวลาแจ้งไปกลับนานสักหน่อยก็มีเหตุผลอภัยได้  

 

 

จูจั้นพยักหน้า  

 

 

“จะเชื่อฟังคำสั่งใต้เท้าอย่างเคร่งครัด” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย  

 

 

เจียงเฉิงสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย แล้วคิดอะไรได้มองไปทางจูจั้น  

 

 

“ที่แท้ท่านชายหมั้นแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ใช่แล้ว” เสียงหัวเราะของเขาหยุดไป สีหน้าจริงจัง “ข้าหมั้นแล้ว”  

ทหารต้าโจวนี่ช่างเหิมเกริมจริงๆ  

 

 

แม่ทัพจินทั้งหลายมองดูกระบวนทัพสี่เหลี่ยมเบื้องหน้ากับทหารโจวสิบกว่าคนที่ควบม้าวิ่งท้าทายอยู่หน้ากระบวนทัพสี่เหลี่ยมก็โกรธจนหนังหน้ากระตุก  

 

 

กล้าไล่ตามมาถึงชายแดนด้านนี้ นอกจากนี้ยังเอ่ยวาจาโอหังหน้าไม่อายเช่นนี้อีก  

 

 

ดูจำนวนคนของพวกเขาก็ไม่นับว่ามากเกินไปนัก ทำไมกล้าเหิมเกริมเช่นนี้?  

 

 

ไม่ต้องพูดถึงจำนวนคนของสองฝ่ายเท่าๆ กัน นี่กำลังเข้าใกล้ชายแดนแล้ว แม้มีกำลังพลของเฉิงกั๋วกงรบห้ำหั่นขวางอยู่ แต่ทหารจินของพวกเขาก็รวมตัวกันนับหมื่น  

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดที่ทหารโจวเหล่านี้ตะโกนออกมา แม่ทัพจินก็ตะคอกเสียงดังโกรธเกรี้ยว  

 

 

แม้ถูกเฉิงกั๋วกงข่มมาตลอด แต่ไม่เคยถูกท้าทายเช่นนี้  

 

 

“ไปฆ่าพวกเขาให้หมด” แม่ทัพจินร้องตะโกน  

 

 

พร้อมกับที่คำสั่งนี้ดังขึ้น ทหานจินแถวแล้วแถวเล่าก็ร้องตะโกนบ้าคลั่งชูอาวุธพุ่งไปหาทหารโจวที่อยู่เบื้องหน้า ทหารจินที่เหลือก็เริ่มตั้งกระบวนทัพเคลื่อนไปด้านหน้า  

 

 

ประชาชนทั้งหลายล้วนกุมหัวนั่งยองหลบหลีก จวงเหล่าซานก็ไม่เว้น อ้อมแขนกอดหลาน หลบไปข้างหลัง แต่ก็อดไม่ได้รวบรวมความกล้าชะเง้อมองด้านหน้าด้วย  

 

 

“จะสู้ชนะได้ไหม?” บุรุษด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ข้าว่าคนของพวกเราไม่มากนะ”  

 

 

“ใช่แล้ว ทหารจินน่ะมีตั้งสองพันเชียวนะ ก่อนหน้านี้อย่างน้อยที่สุดต้องเกินครึ่งหนึ่งสองฝ่ายถึงสู้กันได้นะ” บุรุษอีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาบ้าง  

 

 

“ต้องได้สิ” จวงเหล่าซานเอ่ยท่าทางแน่วแน่อย่างยิ่ง “พวกนี้ล้วนเป็นผู้กล้า”  

 

 

ต้องเป็นผู้กล้าแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แล้วยังตั้งใจมาเพื่อพวกเขาประชาชนที่ถูกจับตัวมาเหล่านี้  

 

 

แต่ก็เพราะเป็นผู้กล้า ดังนั้นพวกเขาถึงยิ่งเป็นห่วงกังวล  

 

 

“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? นี่คือกองทหารชิงซาน” จวงเหล่าซานเสียงสั่นเอ่ย  

 

 

พวกเขาล้วนเป็นประชาชนที่ถูกจับตัวมาจากทั่วทุกสารทิศ คนละภูมิลำเนาหาใช่เพื่อนบ้าน ไม่ใช่ทุกคนล้วนรู้ข่าวคราวเหมือนกัน  

 

 

ตัวอย่างเช่นบุรุษสองคนนี้ไม่รู้จักกองทหารชิงซาน  

 

 

“ป้าโจวฝั่งนี้ไม่ใช่กองทหารซุ่นอันหรือ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงเบา “กองทหารชิงซานคืออะไร?”  

 

 

“กองทหารชิงซานเป็นกองทหารที่ร้ายกาจยิ่งนัก…” จวงเหล่าซานเอ่ย ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด ก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มดังขึ้น พร้อมกันนั้นแผ่นดินพลันสะเทือน  

 

 

ประชาชนทั้งหลายส่งเสียงร้องตกใจฟุบหมอบกับพื้น  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

ใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนไม่ทันหยุด หูก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องนี่ไม่ใช่เสียงของชาวโจว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาษาหู ชาวบ้านทั้งหลายอดไม่ได้รวบรวมความกล้ามองไป เห็นรูปกระบวนทัพของทหารจินเสียรูปกระบวนแล้ว ส่วนทหารจินหลายแถวที่พุ่งไปข้างหน้าล้วนล้มกลิ้งอยู่บนพื้น  

 

 

ม้าสิบกว่าตัวย้อมไปด้วยเลือด ส่งเสียงร้องคลุ้มคลั่งวิ่งเตลิด  

 

 

ควันทึบลอยขึ้นมาเป็นพักๆ แสบจมูกชวนให้สำลัก  

 

 

นี่คืออะไร?  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายไม่ทันพินิจให้ละเอียด ทหารจินด้านหลังที่พุ่งตามต่อไปข้างหน้าก็ตกสู่ความโกลาหล เสียงหวีดแหลมมาพร้อมกับหอกยาวที่บินมาประหนึ่งสายฝน  

 

 

กั้นห่างกันไกลปานนี้ ชาวบ้านทั้งหลายยังมองเห็นทหารจินมากมายถูกแทงปลิวตอกตรึงไว้กับพื้น บ้างก็ถูกแทงทะลุ หอกยาวทะลวงผ่านหลายคนไปก็ยังไม่หยุด  

 

 

น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว…  

 

 

ในหมู่พวกเขามีคนมากมายเคยเห็นทหารจินกับทหารโจวรบกันมาก่อน ภาพการรบย่อมโหดร้ายยิ่ง แต่โหดร้ายเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก  

 

 

ที่สำคัญก็คือความโหดร้ายนี่เป็นการฆ่าล้างบางอยู่ฝ่ายเดียว กำลังพลด้านนั้นยังไม่ออกมาสักคน ด้านนี้ก็ล้มลงเป็นแถบแล้ว  

 

 

“กองทหารชิงซานนี่ร้ายกาจจริงๆ…” บุรุษสองคนเอ่ยพึมพำ ในดวงตาความหวังลุกโชนเต็มเปี่ยม  

 

 

เสียงการเข่นฆ่ายังคงดังต่อเนื่อง  

 

 

แม้ถูกอาวุธอันรุนแรงนี้ทำให้ตื่นตะลึง แต่ชาวจินแถวแล้วแถวเล่ายังคงคำรามโกรธเกรี้ยวพุ่งเข้าไป  

 

 

ระยะห่างใกล้ย่อมไม่อาจใช้กระสุนหินกับรถยิงศรได้แล้ว พร้อมกับเสียงกลองรบด้านในกระบวนทัพ กระบวนทัพของทหารโจวพลันเปลี่ยนแปรอีกหน พวกผู้หญิงด้านหน้าถอยกลับไปใจกลางกระบวนทัพ พลหอกยาวทั้งหลายเรียงแถวขึ้นหน้า  

 

 

เหลยจงเหลียนมือซ้ายกำหอกยาวแน่น  

 

 

“บุก” เขาตะโกนเสียงดัง ควบม้าพุ่งออกไป  

 

 

ซ้ายขวาและหลังร่างเขา บรรดานายทหารทั้งหลายล้วนตะโกนเสียงดัง สะบัดขยับหอกยาว ดาบใหญ่ในมือประจันเข้าใส่ทหารจินที่โถมมา  

 

 

กำลังพลของสองฝ่ายในที่สุดก็ปะทะกัน  

 

 

เสียงคำว่าฆ่าสะเทือนฟ้า  

 

 

ชาวบ้านที่หมอบอยู่บนพื้นดินแม้หลับตายังรู้สึกได้ถึงภาพคลุ้งคาวเลือดนั่นได้  

 

 

จวงเหล่าซานไม่กล้าลืมตามองแล้ว เขากอดเด็กน้อยปากเอ่ยพึมพำไม่หยุด กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองพึมพำอันใด  

 

 

เทพเทวาพระพุทธองค์ที่ใดก็ตาม ได้โปรดคุ้มครองนายทหารผู้กล้าเหล่านี้ด้วยเถิด  

 

 

ผู้ที่ปกป้องตนเองได้ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่ใช่เทพเทวาพระพุทธองค์ มีเพียงตนเองเท่านั้น  

 

 

เสียงฉึบทึบตันดังขึ้นทีหนึ่ง หอกยาวในมือเหลยจงเหลียนแทงทะลุทหารจินที่มือถือดาบฟันม้าคนหนึ่ง  

 

 

แต่นายทหารหลายคนอีกด้านหนึ่งกลับกรีดร้องถูกทหารจินนายอื่นที่รุมเข้ามาฟันเข้า  

 

 

ทหารจินคนนั้นในมือกำดาบคู่ ร่ายรำดุดันเยี่ยงพยัคฆ์น่าเกรงขาม พลหอกยาวทั้งหลายในแถวที่เหลยจงเหลียนอยู่ถูกบีบถอยร่นไม่หยุด  

 

 

ดาบคู่  

 

 

คิดถึงเมื่อก่อนตนเองก็ใช้หอกคู่เหมือนกัน หากตนใช้หอกคู่ต้องร้ายกาจยิ่งกว่าเขาแน่นอน  

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทอดถอนใจ เสียสมาธิแค่ครู่เดียวเท่านั้น เหลยจงเหลียนก็ยกหอกพุ่งเข้าไป  

 

 

ดาบของทหารจินฟันโดยหัวไหล่ของนายทหารนายหนึ่ง คล้ายตัดแขนทั้งข้างของเขาไป นายทหารคนนี้ส่งเสียงกรีดร้อง แต่คนกลับไม่ล้มกลิ้งลง ตรงกันข้ามท่าทางเด็ดเดี่ยวใช้แขนอีกข้างหนึ่งกอดดาบของทหารจินคนนี้ไว้แน่น  

 

 

ก็เป็นช่องว่างนี้เอง เหลยจงเหลียนส่งหอกยาวในมือเข้าไปอย่างแรง  

 

 

เสียงฉึบดังขึ้นทีหนึ่ง ปลายหอกแหลมคมของเหลยจงเหลียนแทงเข้าไปในลำคอของทหารจินตรงๆ ทหารจินกรีดร้องทีหนึ่งล้มคว่ำกับพื้น  

 

 

เหลยจงเหลียนถูกดึงล้มไปด้านหน้าด้วย ยังดีตั้งร่างมั่นทันเวลา กำลังจะชักหอกยาวออกมาก็ได้ยินเสียงฉึบ เลือดสาดเต็มศีรษะเขา  

 

 

ทหารจินคนหนึ่งล้มอยู่แทบเท้าเขา ในมือยังกำเคียวเล่มหนึ่งไว้ บนหน้ายังคงยิ้มเ**้ยมเกรียม  

 

 

เหลยจงเหลียนหันศีรษะมองไปด้านหลังร่าง จินสือปากำลังเก็บดาบยาวกลับไป สีหน้าเฉยชา  

 

 

เขา…  

 

 

เหลยจงเหลียนกำลังคิดจะพูดอะไร จินสือปาก็หมุนตัวกลับไปแล้ว กลับไปยืนท่ามกลางนายทหารอีกแถวหนึ่ง  

 

 

ต่อให้ในสถานการณ์โหดร้ายเช่นนี้ นายทหารทั้งหมดก็ยังคงรักษาตำแหน่งของตนในขบวนแถวนี่ รุดหน้าตามรูปขบวนที่กองทหารชิงซานเคยสอนอย่างเคร่งครัด  

 

 

ความหาญกล้าของแต่ละคนทั้งหมดถูกหลอมรวมอยู่ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่นี่ คนทั้งหมดร่วมรุกร่วมถอย ต่างแบ่งงานกัน หนึ่งคนกล้า สามคนห้าวหาญ สิบคนไม่อาจต้านทาน  

 

 

เหลยจงเหลียนมองจินสือปาที่กำลังร่ายรำดาบฟันทหารจินคนหนึ่งคว่ำแล้วสูดหายใจลึกทีหนึ่ง  

 

 

“นับว่าเจ้าหนูนี่ก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง” เขาเอ่ยกับตนเอง พูดจบก็สะบัดหอกยาวทีหนึ่ง ประจันเข้าหาทหารจินที่โถมมาคนหนึ่ง  

 

 

หอกยาวแทงทะลุหน้าผากของอีกฝ่าย  

 

 

มีคนล้มลงไม่หยุด มีคนกลิ้งหลุนๆ บนพื้น มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว  

 

 

แต่ไม่มีทหารโจวถอยหลัง คนล้มลงไป ขบวนแถวก็ปรับเสริมที่ขาดทันที  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของทหารโจวประหนึ่งรถคันยักษ์เคลื่อนที่บดขยี้เข้ามา  

 

 

หัวหน้าแม่ทัพจินที่ยืนอยู่ด้านหลังมองตะลึงไปแล้ว ความเสียหายเกินกว่าที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง  

 

 

“พวกนี้มันทหารที่ไหน? ถึงกับเ**้ยมหาญยิ่งกว่ากองทหารฝีมือฉกาจคนสนิทของเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยพึมพำ  

 

 

บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารอบด้านพากันล้อมเข้ามา  

 

 

“นี่คือกองทหารชิงซาน”  

 

 

“ได้ยินเกี่ยวกับพวกเขามานานแล้ว”  

 

 

“ทหารกล้าจำนวนหนึ่งของพวกเราตายในมือพวกเขาไปแล้ว”  

 

 

“พวกเราไม่อาจบาดเจ็บล้มตายได้อีกแล้ว ใต้เท้าปาตูอย่างไรพวกเราไปช่วยที่จุดพักไป๋โกวดีกว่า”  

 

 

“บอกว่าจะเอาประชาชนก็ให้พวกเขาไปเถอะ ไม่อาจเสียทหารกล้าของพวกเราเพื่อแกะสองขาเหล่านี้ได้นะขอรับ”  

 

 

คำกล่อมเหล่านี้ทำให้แม่ทัพจินยิ่งลังเล มองดูทหารจินด้านหน้าสูญเสียไม่หยุด ใบหน้าเขาก็กระตุกเป็นพักๆ  

 

 

บาดเจ็บล้มตายมากเกินไปแล้ว บาดเจ็บล้มตายมากเกินไปแล้ว  

 

 

เขาย่อมไม่อยากให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเสียไปหมดสิ้นเพื่อการกุมตัวประชาชนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารฝีมือดีของตน ไม่มีทหารฝีมือดีเหล่านี้ ในเผ่าเขาก็ไม่มีตำแหน่งแล้ว  

 

 

เขายกมือขึ้น ในดวงตามีความโกรธเกรี้ยวแล้วยังมีความหวาดกลัวที่ยากปิดบังอยู่จางๆ   

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อเสียงแตรเขาสัตว์ดังฮูมฮูมขึ้นมา จวงเหล่าซานก็หวิดจะเป็นลม  

 

 

นี่ไม่ใช่กลัว แต่ตื่นเต้น  

 

 

นี่เป็นแตรเขาสัตว์เรียกทหารกลับของชาวจิน นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตนี้ที่เขาได้ยิน  

 

 

ครั้งแรกเป็นตอนที่ตัวอำเภอซึ่งตนอยู่ถูกโจมตีแตก แตรเขาสัตว์เรียกทหารกลับของเหล่าทหารจินเป็นความปิติยินดีแห่งชัยชนะ  

 

 

แต่ตอนนี้….  

 

 

ทหารจินทั้งหลายประหนึ่งน้ำหลากถอยไป ขบวนแถวแตกกระเจิง ไม่มีเวลาสนใจสหายที่บาดเจ็บล้มตาย  

 

 

เสียงแตรเขาสัตว์ฮูมฮูมประหนึ่งระฆังไว้อาลัย พาความหวาดกลัวมาทำให้คนหดหู่  

 

 

“ชนะแล้ว ชนะแล้ว” จวงเหล่าซานอุ้มเด็กกระโดดลุกขึ้นมาตะโกนเสียงดัง ไม่ทันสนใจว่าข้างตัวทหารจินยังไม่ทันถอยไปไกล  

 

 

คนมากกว่าเดิมก็กระโดดลุกขึ้นมา โห่ร้องตะโกนยินดีด้วย  

 

 

แล้วก็มีคนร่ำไห้หมอบลงกับพื้นโขกศีรษะไม่หยุด  

 

 

ยังมีคนร่ำไห้ตะโกนวิ่งไปหาทหารโจวที่ยังคงรักษารูปกระบวนทัพเคลื่อนมาช้าๆ ด้านนั้น ประหนึ่งเด็กน้อยหลงทางในที่สุดก็เห็นคนในครอบครัวที่มาตามหา  

 

 

……………………………………….  

 

 

ข่าวกระจายไปดุจสายลม  

 

 

จูจั้นที่มาถึงอีกเมืองหนึ่งยื่นมือลูบหนวดเครารกครึ้ม  

 

 

“ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงนำทหารเหยียบราบทุกทิศ ประชาชนในเขตป้าโจวมองประหนึ่งเทพ” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยอยู่ด้านข้าง วันนี้มีประชาชนเกือบสิบหมื่นแล้วที่ได้นางคุ้มครองถอยลงมาที่เมืองเหอเจียน”  

 

 

“พี่ใหญ่ พวกเราก็รีบไปเถอะ” บุรุษอีกคนเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม ในดวงตายากปิดบังความสงสัยใคร่รู้  

 

 

ดูซิภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ที่แท้เป็นใคร ทหารในมือนี่ทำไมร้ายกาจปานนี้  

 

 

จูจั้นกลับส่ายศีรษะ  

 

 

“พวกเราไม่ไปป้าโจว” เขาเอ่ย “พวกเราไปเซินโจว”  

 

 

เซินโจว?  

 

 

บุรุษทั้งหลายไม่เข้าใจอยู่บ้าง  

 

 

“แต่ท่านหญิง…” พวกเขาเอ่ย  

 

 

“แม่ข้าอยู่ที่ด้านนั้นย่อมปลอดภัยไร้อันตราย” จูจั้นเอ่ย ดวงตาสุกใส “ข้าไปที่นั่นไม่สู้ไปเซินโจว ข้ามาช่วยทหารหย่งหนิงที่เซินโจวคุ้มครองประชาชนของเป่าโจวลงใต้”  

 

 

เซินโจวอยู่ชิดติดเป่าโจว เหอเจียนด้านนั้นอย่างไรกำลังพลก็มีจำกัด แค่ป้าโจวที่เดียวก็ทำให้พวกเขาตรากตรำวิ่งวุ่นแล้ว จะไปสยงโจว เป่าโจวอีกยากลำบากนัก  

 

 

กำลังพลของเซินโจวด้านนี้ยังรอดูท่าทีอยู่ หากไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้เข้าเป่าโจวทำเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้ท่านหญิงเฉิงกั๋วกังวลใจด้านนี้อีกต่อไป  

 

 

บุรุษทั้งหลายพยักหน้า  

 

 

“ดี พวกเราไปเซินโจว” พวกเขาเอ่ยพร้อมเพรียง  

 

 

“อีกอย่าง” จูจั้นเอ่ยขึ้นยื่นมือทึ้งหนวดลงมา เส้นผมก็ออกแรงกำทีหนึ่งยกขึ้น เส้นปมที่ขาวประปรายเหล่านั้นพลันกระจายร่วง เส้นผมดำขลับเผยออกกมาทันที “ตั้งแต่ตอนนี้จูจั้นกลับมาแล้ว”  

 

 

บุรุษทั้งหลายตกตะลึงอีกครั้ง  

 

 

“ต่อให้ใช้ตัวตนคนตัดฟืน พวกเราก็เกลี้ยกล่อมกองทหารหย่งหนิงได้นะขอรับ” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย “ท่านชายท่านไม่ต้องเปิดเผยร่องรอยหรอก”  

 

 

“ใช่แล้ว องครักษ์เสื้อแพรไล่ตามมาแล้ว คนเหล่านี้หลอกหลอนไม่เลิก” บุรุษอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

จูจั้นมุมปากยกโค้ง  

 

 

“ก็เพื่อให้พวกเขาไล่ตามข้ามาน่ะสิ” เขาเอ่ย “ไม่ให้เจ้าโง่พวกนี้ถูกภรรยาท่านชายตัวปลอมคนนั้นหลอกไป”  

 

 

พูดจบก็เอามือรองไว้หลังศีรษะ หมุนตัวก้าวยาวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  

 

 

“ข้าบุรุษดีๆ คนหนึ่ง ไม่อยากถูกคนทำให้เสียความบริสุทธิ์หรอกนะ”  

พวกจินสือปาห้าคนตามอยู่ในกองทหารชิงซานอยู่ตลอด  

 

 

ไม่ทราบว่าเจอวิธีการของชาวหมู่บ้านเหล่านี้จนเอียน หนีไม่ได้จึงตัดใจ หรือเหตุผลอะไรอย่างอื่น พวกเขาไม่ได้วางแผนใช้ลูกไม้อะไรถึงขั้นแทบไม่เอ่ยวาจา เหมือนกับชาวหมู่บ้านเหล่านี้กระทั่งชาวหมู่บ้านยังลืมว่าพวกเขาเป็นใคร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบรรดาทหารของเมืองเหอเจียน  

 

 

เหลยจงเหลียนแม้ไม่กลัวพวกจินสือปาแต่ก็ระวังป้องกันอยู่ เวลานี้เขาก็ยิ้มหยันเช่นกัน  

 

 

“ขอโทษด้วยจริงๆ ทำให้เจ้าผิดหวังอยู่ตลอด” เขาเอ่ย  

 

 

พูดจบก็เดินผ่านข้างร่างเขาไป ไม่กลัวเลยว่าพวกจินสือปาจะลงมือฆ่าหรือวิ่งรี่หนีไปลับหลัง  

 

 

เขาวิ่งไปยังที่ซึ่งรถสัมภาระล้อมอยู่ไม่ไกล คุณหนูจวินกำลังพูดอะไรกับพวกหยางจิ่ง  

 

 

“ที่แท้พวกนี้ก็ทำเช่นนี้เอง” หยางจิ่งฟังคำพูดคุณหนูจวินจบก็สีหน้ากระจ่างเข้าใจพยักหน้า “พวกเราล้วนไม่รู้ หากไม่ใช่คุณหนูจวินบอก ดินระเบิดเหล่านี้ใช้หมดก็คงใช้หมดแล้ว”  

 

 

คุณหนูจวินมองดูกระสุนหินที่ทำเสร็จใหม่กองพะเนินอยู่เบื้องหน้าก็ใจหายยิ่งนัก  

 

 

“ที่แท้พวกนี้ก็ใช้เช่นนี้” นางเอ่ยแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “หากไม่ได้พบพวกท่าน ชีวิตนี้ข้าก็คงไม่รู้ว่าการละเล่นสเปะสะปะเหล่านั้นที่เขาพาข้าเล่น ที่แท้ใช้ประโยชน์เช่นนี้”  

 

 

ตั้งแต่พาคนติดตามคุณหนูจวินมา การที่พวกเขาจะติดตามไปด้วยกันกับนาง คุณหนูจวินไม่ได้ปฏิเสธหรือพูดอะไร เพียงมองดูชุดเกราะของพวกเขา มองดูศาสตราอาวุธที่พวกเขานำมา  

 

 

หลังจากนั้นตลอดทางก็เดินทางไปพลาง ซื้อวัตถุดิบนานาชนิดทำอาวุธเหล่านี้เพิ่มขึ้นไปพลาง สอบถามถึงกระบวนทัพทหารที่พวกเขามักใช้ แล้วจัดกระบวนทัพทหารใหม่ตามจำนวนคน  

 

 

พวกเขาก็เหมือนกับดาบเล่มหนึ่งที่เก็บรักษาไว้นานนม วันหนึ่งชักดาบออกจากฝักย่อมต้องพิถีพิถันเช็ดถูลับคม ให้กลิ่นคาวเลือดซึมซาบ ถึงเวลานี้นาทีนี้เผยประกายคมเย็นเยียบน่าขนลุก เหยียบราบทุกทิศ  

 

 

เหลียงเฉิงต้งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สะเทือนใจอยู่บ้างเช่นกัน เขามองดูกระสุนหินที่วางเป็นระเบียบ แล้วยังรถสัมภาระนี่อีก  

 

 

หม้อไหจานชามข้าวสารที่วางไว้บนรถช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยที่พบตามทางได้อย่างสะดวก แต่ในเวลาเดียวกันรถก็รื้อออกมาเป็นโล่ป้องกันได้ แล้วทั้งคันรถยังเปลี่ยนเป็นคันศรคันหนึ่งได้อีก ศรที่ยิงออกไปกำลังมากความเร็วไวว่องจนทะลุทหารจินได้เป็นขบวน  

 

 

รถคันนี้เป็นพระโพธิสัตว์ในสายตาชาวบ้านผู้ประสบภัย แล้วพริบตาก็กลายเป็นวัชรยักษ์ ได้อีก  

 

 

นี่เป็นอาวุธหนักที่บุกก็โจมตีได้ ถอยก็ป้องกันได้ เขาไม่กล้ารังเกียจกองทหารชิงซานนี่ว่าทำไมพารถหนักอึ้งที่ส่งผลต่อความเร็วคันนี้มาด้วยตลอดอีกต่อไป  

 

 

อีกอย่างชุดเกราะของพวกเขาดูไปแล้วไม่ต่างอันใดกับทหารและแม่ทัพของต้าโจว แต่มองดูให้ละเอียด ชุดเกราะนี้มีถึงสามชั้น ประณีตอย่างที่สุด ลูกศรของชาวจินโหดเ**้ยม ชุดเกราะเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการกั้นขวางมากที่สุด  

 

 

ครั้งก่อนตอนรบกับทหารจินกองนั้น นายทหารของกองทหารซุ่นอันกับทหารของกองทหารชิงซานล้วนถูกยิง นายทหารหลายคนของกองทหารซุ่นอันจบชีวิตทันที แต่บุรุษสองคนของกองทหารชิงซานดูเหมือนเลือดไหลหลั่งริน ถอดเสื้อเกราะออกมากลับเข้าเนื้อไม่ลึก นี่จึงเก็บชีวิตกลับมาได้ ชีวิตในสนามรบสำคัญเพียงไรทุกคนล้วนรู้ ทว่าภายหลังเหลียงเฉิงต้งดูเสื้อเกราะของพวกเขาโดยละเอียดก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำเสื้อเกราะเช่นนี้ให้ตนเองบ้างไป  

 

 

ชีวิตล้วนเป็นเงินกองขึ้นมา ค่าใช้จ่ายทำเสื้อเกราะตัวนี้เท่ากับร้อยชุดที่ในกองทัพของพวกเขาใช้  

 

 

นี่เป็นไปไม่ได้  

 

 

นี่มีแต่มหาโจรเหล่านี้ถึงทำได้ เหลียงเฉิงต้งทั้งอิจฉาทั้งจนปัญญา  

 

 

ยังมีข้าวของเล็กน้อยบางอย่าง ตัวอย่างเช่นกระบอกไม้ไผ่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวหยางจิ่ง ของสิ่งนี้ถึงกับทำให้คนมองเห็นสถานที่ไกลมากๆ ได้ เนตรพันลี้ในตำนานชัดๆ ชวนให้บรรดาแม่ทัพทั้งหลายในกองทหารซุ่นอันแย่งส่องกันเป็นเรื่องสนุก  

 

 

ไม่ต้องถาม ของสิ่งนี้ต้องราคายิ่งไม่ธรรมดาแน่  

 

 

โจรเหล่านี้ปล้นจวนเทพเซียนมารึ? ทำไมข้าวของเหล่านี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน?  

 

 

เหลยจงเหลียนวิ่งเข้ามาบอกข่าวที่เซี่ยหย่งส่งมาแก่คุณหนูจวิน  

 

 

“ทหารจินจำนวนคนไม่น้อย นอกจากนี้เข้าใกล้ชายแดนแล้ว” เขาเอ่ย “จับประชาชนไว้ก็ไม่น้อย ปล้นหรือไม่ปล้น?”  

 

 

“แน่นอนปล้นสิ” คุณหนูจวินเอยขึ้นไม่ลังเลสักนิด “ต่อให้เข้าใกล้ชายแดนก็ไม่อาจมองดูประชาชนของพวกเรา สหายร่วมมาตุภูมิของพวกเราถูกผู้อื่นปล้นไปได้”  

 

 

พูดจบก็มองไปด้านข้าง  

 

 

“ฮั่นชิง”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงที่นั่งแกว่งสองขาอยู่บนหลังคารถสัมภาระขานรับคำหนึ่ง กระโดดลงมา  

 

 

“เจ้าพาคนไปตรวจสอบให้ว่าชัดทหารจินกำลังคนเท่าไร เดินผ่านเส้นทางเส้นไหน ความเร็วการเดินทาง นอกเขตมีทหารจินรอรับหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

จ้าวฮั่นชิงขานรับพลิกกายขึ้นม้า มีอีกสองคนติดตาม สามคนควบม้าเร็วรี่จากไป  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตอนที่ขอบฟ้าสว่างขมุกขมัว จวงเหล่าซานหลับไปงีบหนึ่งพลันได้สติตื่นขึ้นมา เขามองดูแสงสีครามขมุกขมัวอย่างมึนงงอยู่บ้าง แล้วก็ใจหายอยู่บ้าง  

 

 

รอดไปอีกวันหนึ่งแล้ว  

 

 

รอดอยู่ได้เป็นเรื่องโชคดีมากเท่าไร แต่จวงเหล่าซานสีหน้ากลับไม่ดีใจเท่าไรนัก  

 

 

ในฐานะคนที่อายุมากขึ้นทุกทีคนหนึ่ง ตอนนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่ารอดอยู่เป็นโชคดีหรือตายไปเป็นโชคดี  

 

 

ข้างหูเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น  

 

 

“ย่าจ๋า ย่าจ๋า ย่าลุกขึ้นมาสิ”  

 

 

จวงเหล่าซานหันหน้าไปเห็นบนพื้นด้านข้างเด็กผู้ชายอายุห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังเขย่าร่างหญิงชราคนหนึ่ง  

 

 

หญิงชรานิ่งไม่ขยับคล้ายหลับใหล  

 

 

จวงเหล่าซานในหัวใจกระตุกวูบหนึ่ง รีบยื่นมือตรวจดูลมหายใจที่จมูกของหญิงชราคนนี้ จากนั้นสีหน้าเศร้าสลด  

 

 

มีคนทนไม่ไหวตายลงอีกแล้ว  

 

 

ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บพื้นดินเย็นเยียบนี่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นอนหลับบนพื้นเย็นยะเยือกคืนหนึ่ง คนมากมายล้วนไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว  

 

 

เขาก้าวเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา  

 

 

“เฮยเสี่ยวเอ๋ย ย่าของเจ้าเหนื่อยแล้ว อย่าเสียงดังกวนนาง” เขากล่อมปลอบ  

 

 

เด็กน้อยอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยไม่นานก็ถูกปลอบจนหยุดร้องไห้แล้ว  

 

 

“ปู่สาม ข้าหิว” เขากะพริบตากัดนิ้วหัวแม่มือดำปิดปี๋แล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

จางเหล่าซานถอนหายใจ  

 

 

“ใกล้ถึงแล้ว รอไปถึงที่ก็มีของกินแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

สิ้นเสียงพูดก็ได้ยินเสียงตะโกนโฮกฮากพักหนึ่ง ในเวลาเดียวกันสียงแส้หวดป้าบๆ ก็ดังขึ้นควบคู่กัน เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยทั้งหลาย เสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงครางเจ็บปวดของบุรุษดังขึ้นตามมา แผ่นดินที่เดิมทีดำมืดหม่นสั่นไหว รอบด้านผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยเต็มไปหมด  

 

 

พวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านประชาชนที่ถูกชาวจินปล้นชิงจับมาต้องการพาไปเป็นทาส  

 

 

มีบุรุษคนหนึ่งขยับช้าไปบ้างจึงถูกทหารจินคนหนึ่งที่ไล่ปลุกหวดสองทีสามทีจนล้มลงกับพื้น ชักกระตุกสองทีก็ถูกตีตายไปทั้งเป็น  

 

 

รอบด้านเสียงร้องไห้เสียงหวาดกลัวดังขึ้นแต่กลับไม่มีคนก้าวออกมา  

 

 

จวงเหล่าซานกอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่นบังสายตาของเขาไว้ ในดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยน้ำตา  

 

 

เมื่อถึงที่ของชาวจิน เป็นเยี่ยงวัวม้า จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร  

 

 

“รีบเดิน รีบเดิน” ชาวจินคนหนึ่งที่แต่งกายเหมือนล่ามขี่ม้าวิ่งมา เท้าเอวตะคอก “เดินช้า ถ่วงเวลาการเดินทางของใต้เท้าทั้งหลาย จะต้องถูกตีตาย”  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายประคับประคองกันพลางมองดูทหารจินรูปร่างสูงใหญ่ชุดเกราะเด่นสะดุดตามากมายยั้วเยี้ยสองข้าง ท่ามกลางแสงอรุณขมุกขมัวประหนึ่งสัตว์ป่าจับจ้อง  

 

 

“รีบเดินเข้า วันนี้ก็จะถึงแล้ว” ล่ามเอ่ยต่อ  

 

 

ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของบรรดาชาวบ้านยิ่งหวาดหวั่น เสียงร้องไห้ยิ่งดัง  

 

 

บ้านแม้ไม่เหลือนานแล้ว แต่ใต้ฝ่าเท้ายังเป็นแผ่นดินที่คุ้นเคย ตอนนี้กระทั่งแผ่นดินผืนนี้ก็จะต้องจากไปแล้ว  

 

 

เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้ทหารจินรอบด้านไม่พอใจยิ่ง ทหารจินสิบกว่าคนควบม้าเข้ามา ชูดาบฟันม้าฟันเข้าใส่ศีรษะใบหน้าของประชาชนทั้งหลายเหล่านี้ เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นทันที  

 

 

จางเหล่าซานอุ้มเด็กน้อยแน่น หดหัวไหล่ เบียดอยู่ตรงกลางฝูงชนออกแรงเดินไปข้างหน้า  

 

 

แม้เอาชีวิตรอดจะยากเย็นปานนี้ก็ยังอยากมีชีวิตรอด คล้ายยังคงรอคอยความหวังน้อยนิด แม้ตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองรอคือสิ่งใด  

 

 

ท่ามกลางเสียงร้องไห้ ประชาชนกับกองทหารเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ ฉับพลันทหารจินด้านหน้าก็วุ่นวายพักหนึ่ง ขบวนที่เคลื่อนที่อยู่หยุดลง  

 

 

เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

ผู้เฒ่าจวงเงยศีรษะขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของทหารจินไม่ใช่แค่หยุดลง ยังมีเสียงเอะอะดังขึ้นด้วย แม้ฟังภาษาของพวกเขาไม่เข้าใจ แต่เห็นสีหน้าของพวกเขาด่าสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่ใช่เพียงเท่านี้ทหารจินที่ดุร้ายมาตลอดยังคล้ายหวาดกลัวอยู่บ้าง  

 

 

หวาดกลัว? มีอะไรทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้ด้วยหรือ?  

 

 

จวงเหล่าซานอดไม่ได้มองไปด้านหน้า แสงครามถดถอยไป ขอบฟ้ามีแสงอรุณแรกปรากฏ เบื้องหน้ากลางแสงอรุณนี้มีกระบวนทัพสี่เหลี่ยมกองหนึ่งยืนนิ่งอยู่  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมนี้ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร ประหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า  

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมด้านนี้หอกยาวประดุจป่า ใต้แสงอรุณชุดเกราะวับวับ ยืนสง่ามั่นคงอยู่บนแผ่นดิน ดุจดั่งขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่ง  

 

 

“เราคือกองทหารต้าโจว รับบัญชาฮ่องเต้ปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชน บัดนี้ขอสั่งพวกเจ้ามอบประชาชนต้าโจวของเราออกมา ไม่เช่นนั้นจะลงโทษเด็ดขาดไม่ละเว้น!”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงแล้วเสียงเล่าดังก้องขึ้นท่ามกลางขุนเขา  

 

 

นี่คือกองทหารต้าโจว?  

 

 

แสงอรุณยิ่งสว่างขึ้นทุกที ส่องภูเขาใหญ่ลูกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีเช่นกัน ทิวธงประหนึ่งผืนป่า ในนั้นธงใหญ่ผืนหนึ่งสีแดงสดสว่าง ท่ามกลางแสงอรุณของฤดูหนาวสะบัดพลิ้วตามสายลม  

 

 

จวงเหล่าซานเบิกตาเพ่งมองดูธงผืนนั้น ในที่สุดตัวอักษรกองทหารชิงซานสามคำก็เข้ามาในสายตา  

 

 

กองทหารชิงซาน  

 

 

กองทหารชิงซาน  

 

 

จวงเหล่าซานอุ้มเด้กน้อยคุกเข่าดังตึกลงกับพื้น เขาโขกศีรษะกับผืนดิน ริมฝีปากแห้งผากแนบชิดติดผืนดินเย็นเยียบ จูบครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำตาหลั่งรินดั่งสายฝน  

 

 

ไม่ทอดทิ้งข้า  

 

 

ไม่ทอดทิ้งข้า  

ใครหน้าไม่อายปานนี้  

 

 

คำพูดนี้ตะโกนออกมา ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงป้าบดังขึ้น  

 

 

บุรุษชราที่นั่งอยู่บนม้วนผ้าห่มหน้าแดงก่ำ ไม้เท้าในมือตีลงบนพื้น  

 

 

“เจ้าด่าใครฮะ?” เขาถลึงตาตะโกนใส่บุรุษเคราครึ้มคนนี้  

 

 

บุรุษหลายคนนั้นสีหน้าปั้นยากมองดูบุรุษชราคนนี้  

 

 

ถึงกับปกป้องกองทหารชิงซานเช่นนี้ ปกป้องภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้หรือ?  

 

 

“ภรรยาของท่านชายไม่เพียงช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้านผู้ลี้ภัยตามทาง ยังไปป้าโจวสาบานจะรับประชาชนต้าโจวทั้งหมดกลับมา นางผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งเอาตัวเข้าไปในสถานที่อันตราย พวกเจ้า พวกเจ้าบุรุษพวกนี้ พวกเจ้าด่าใครฮะ?” บุรุษชราตะโกน  

 

 

บุรุษชราคนนี้นิ้วมือนิ้วเดียวก็ผลักล้มได้ เป็นคนประเภทนั้นที่จัดว่าถูกรังแกง่ายที่สุดในหมู่ผู้ลี้ภัย ถูกรังแกตรงๆ ก็ไม่กล้าเอ่ยโต้กลับขอแค่มีชีวิตรอด  

 

 

ถึงกับกล้าใจกล้าเช่นนี้ เพื่อคำพูดประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาของคนผ่านทางก็บันดาลโทสะ แล้วยังทำท่าจะแลกชีวิตกับผู้อื่นอีก  

 

 

บุรุษทั้งหลายสีหน้าพิลึก บุรุษเคราครึ้มที่พูดก่อนหน้านี้ก็มองดูบุรุษชราชูไม้เท้า เดิมหนึ่งฝ่ามือตบออกได้แต่เขากลับถอยหลังหลบ  

 

 

“ข้าไม่ได้ด่าใครทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าด่าพวกบุรุษอกสามศอกเหล่านั้นหรอก ให้นางผู้หญิงคนหนึ่งเปิดหน้าเปิดตาพาทหารออกรบ”  

 

 

เขาพูดพลางสบถอีกทีหนึ่ง  

 

 

“หน้าไม่อายจริงๆ”  

 

 

เช่นนี้รึ บุรุษชราเก็บความโกรธเกรี้ยว พยักหน้าปิติยินดี  

 

 

“ใช่แล้วใช่แล้ว” เขาเอ่ยแล้วก็ส่ายศีรษะ “แต่น้องชายก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้เหมือนกัน ยังมีเหล่าบุรุษที่ใจห้าวหาญอยู่ กองทหารซุ่นอันของเหอเจียนนั่นล้วนติดตามไปป้าโจวแล้ว ได้ยินว่าช่วยประชาชนกลับมาแล้วหลายหมื่นคน”  

 

 

บุรุษเคราครึ้มหัวเราะแห้งๆ หลายที  

 

 

ความห้าวหาญนี่กว่าครึ่งคงถูกชื่อภรรรยาของท่านชายปลุกระดมขึ้นมาสินะ?  

 

 

แต่โต้คารมกับชาวบ้านซื่อบื้อเหล่านี้ไม่มีความหมาย  

 

 

“ป้าโจวไม่ใช่มีทหารจินแล้วหรือ?” บุรุษคนหนึ่งอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น  

 

 

“ใช่แล้ว ภรรยาท่านชายไม่กลัวเลย” บุรุษชราเล่าอย่างตื่นเต้น “ภรรยาท่านชายอายุน้อยๆ ก็มีความสามารถปกครองฟ้าดิน ปัญญาสูงส่ง วรยุทธ์ล้ำเลิศ…  

 

 

ครั้งนี้คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกบุรุษเคราครึ้มขัดแล้ว  

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว” เขาคล้ายทนฟังไม่ได้โบกมือพลางเรียกบุรุษหลายคนนั้น “ไป ไป ไป”  

 

 

พูดจบก็ก้าวไวๆ รุดหน้าไปแล้ว บุรุษหลายคนนั้นรีบติดตาม  

 

 

“ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ” บุรุษชราเสียดายอยู่บ้าง มองดูบุรุษหลายคนจากไปจากนั้นก็ตะเบ็งเสียง “พวกเจ้าอายุน้อยๆ ร่างกายแข็งแกร่งมีกำลังวังชาก็ไปเหอเจียนเถอะ ช่วยสังหารศัตรูเป็นผู้กล้าคนหนึ่งด้วย อย่าสู้ไม่ได้กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่ง”  

 

 

บุรุษหลายคนนั้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา เพียงแค่ฝีเท้ายิ่งไวขึ้นแล้ว  

 

 

……………………………………….  

 

 

“คนสมัยนี้ทำไมพูดมากเช่นนี้”  

 

 

เข้ามาในตัวอำเภอแล้วไม่ง่ายกว่าจะหาร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่นั่งลงได้ บุรุษเคราครึ้มอารมณ์ไม่ดีสางหนวด  

 

 

อาจเพราะเร่งเดินทางเป็นเวลาหนาน หนวดเคราจึงไม่แข็งแรงอยู่บ้างแล้ว หลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านของจูจั้น  

 

 

บุรุษสามคนที่ฝั่งตรงข้ามกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งก้าวเข้ามาบังหลังร่างเขา ระแวดระวังมองไปรอบด้าน  

 

 

อย่างไรด้านในเขตมณฑลเหอเป่ยซี แม้สถานการณ์ตึงเครียดแต่ก็ไม่มีทหารจินข้ามเขตมา ดังนั้นในเมืองบ้านเรือนจึงเรียบร้อย เพียงแต่อย่างไรก็ไม่ฟื้นกลับรุ่งเรืองครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้ ร้านรวงจำนวนมากปิดสนิท บนท้องถนนคนเดินเท้ารีบร้อน สีหน้ากระวนกระวาย  

 

 

“ไม่ต้องมองแล้ว พวกเจ้าหนูองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ตามมา” จูจั้นเอ่ยแล้วยกน้ำแกงชาร้อนๆ บนโต๊ะดื่มคำหนึ่ง หนวดถูกเขาทึ้งลงมาดื้อๆ โยนไปด้านข้างแล้ว  

 

 

บุรุษสามคนก็นั่งลงมาด้วย  

 

 

“ไม่รู้ว่าเป็นใคร” หนึ่งในนั้นอดไม่ได้เอ่ยขึ้นพลางมองสีหน้าจูจั้น  

 

 

“สังคมตกต่ำลงทุกวันจริงๆ” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคนบริสุทธิ์สะอาดคนหนึ่งถูกคนทำให้มีมลทินเช่นนี้แล้ว”  

 

 

บุรุษอีกคนหนึ่งกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

 

“แต่เห็นชัดยิ่งว่าคนผู้นี้ต้องการอาศัยอำนาจของท่านชายท่าน” เขาเอ่ย  

 

 

“คนยอดเยี่ยมเกินไปก็กลุ้มเรื่องนี้” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย  

 

 

ที่จริงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องของคน แต่เป็นฐานะ  

 

 

บุรุษสามคนถูปลายจมูก  

 

 

“บางทีอาจเป็นแผนของเฉิงกั๋วกง” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

กำลังพูดอยู่ก็มีบุรุษสองคนก้าวไวๆ กลับมา สีหน้าติดจะตื่นเต้นอยู่บ้าง  

 

 

“พี่ใหญ่ สืบข่าวกระจ่างแล้ว” พวกเขารีบเร่งเอ่ย “เป็นท่านหญิง”  

 

 

ท่านหญิงคำนี้ จูจั้นได้ยินเข้าตอนนี้พลันขึงเครียดอยู่บ้าง  

 

 

“ท่านหญิงอะไร?” เขาขมวดคิ้วขัด  

 

 

“ไม่ใช่ท่านหญิงของท่าน” บุรุษคนหนึ่งรีบเอ่ยอธิบาย “เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว”  

 

 

จูจั้นสีหน้าดีใจมากทันที  

 

 

“แม่ข้า?” เขาเอ่ยจากนั้นก็ตบโต๊ะ “แม่ข้าอยู่เหอเจียน?”  

 

 

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” บุรุษคนอื่นรีบถามเร่ง  

 

 

บุรุษรีบเล่าข่าวที่สืบถามได้ออกมา พวกเขาหลายคนนี้ฟังจนสีหน้าตกตะลึงทั้งยังทอดถอนใจ  

 

 

“ดูท่าท่านหญิงได้ข่าวจึงทิ้งเมืองต้าหมิงทันที ตรงดิ่งไปเหอเจียนแล้ว” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยท่าทางเลื่อมใสอยู่หลายส่วน  

 

 

บนหน้าจูจั้นผุดความภาคภูมิใจออกมาหลายส่วน  

 

 

“นั่นเป็น นั่นเป็นแม่ของข้าเชียวนะ ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางไม่เป็นไร” เขาเอ่ยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ  

 

 

แต่คนอื่นล้วนมองออก จนกระทั่งถึงนาทีนี้ความกังวลร้อนรนที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าของจูจั้นถึงสลายหายไปหมดสิ้น  

 

 

“เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงเชิญกองทหารชิงซานกองนี้มาจากที่ใด” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย “บอกว่าไม่กี่สิบคนก็ทำโจรจินกลัวหนีกระเจิงเข้าป่าได้”  

 

 

“จริงหรือหลอก?” จูจั้นลูบปลายคางเกลี้ยงเกลาเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “ฟังดูร้ายกาจใกล้ไล่ตามข้าคนนี้ได้แล้วนะ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

ด้านในป้อมปราการที่ทิ้งร้างแห่งหนึ่งธงผืนใหญ่คลี่สยาย ที่สะดุดตาที่สุดก็คือธงแดงผืนหนึ่ง บนนั้นคำว่ากองทหารชิงซานสามคำพลิ้วสะบัด  

 

 

เวลานี้ใต้ผืนธงคนผู้หนึ่งกำลังถือสิ่งของคล้ายกระบอกไม้ไผ่แท่งหนึ่งมองไปยังท้องทุ่ง  

 

 

พวกหลี่กั๋วรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างกายเขาท่าทางอิจฉาอยู่บ้าง  

 

 

“สหายเซี่ย เป็นอย่างไร? เป็นอย่างไร?” พวกเขาเร่งรีบเอ่ยถาม  

 

 

เซี่ยหย่งวางกระบอกไม้ไผ่ลง  

 

 

“มีโจรจินกองหนึ่งกำลังขึ้นเหนือไปจริงๆ” เขาเอ่ย พูดจบก็ถือโอกาสส่งกระบอกไม้ไผ่ไป  

 

 

บุรุษหลายคนแย่งชิงกันทันที แต่ยังคงเป็นหลี่กั๋วรุ่ยเร็วกว่าก้าวหนึ่งคว้าเอาไว้ในมือก่อน  

 

 

บุรุษทั้งหลายได้แต่ทำหน้าอิจฉามองดูหลี่กั๋วรุ่ยยกกระบอกไม้ไผ่อย่างระมัดระวังไว้ตรงหน้าดวงตามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี  

 

 

“จริงด้วย จำนวนคนยังไม่น้อย” เขาพยักหน้าพลางเอ่ย “ดูท่าอย่างน้อยปล้นประชาชนไปแล้วหนึ่งพันกว่าคน”  

 

 

เซี่ยหย่งขานตอบ  

 

 

“เอาอย่างไร? ทำไม่ทำ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกำกระบอกไม้ไผ่ในมือแน่น  

 

 

“ทำสิ” เขาไม่ลังเลสักนิดเอ่ย “ประชาชนหนึ่งพันกว่าคนนะ ไม่อาจยกให้โจรจินได้”  

 

 

บุรุษหลายคนที่เหลือก็พากันพยักหน้า  

 

 

“ทำเลย”  

 

 

“ไป ไป”  

 

 

เซี่ยหย่งพยักหน้า เอาแผ่นที่แผ่นหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมากาง  

 

 

มองเห็นแผนที่พวกหลี่กั๋วรุ่ยก็รีบล้อมเข้ามาอีกครั้ง ท่าทางตื่นเต้นอิจฉาอยู่หลายส่วน  

 

 

นี่เป็นแผนที่ป้าโจว ไม่เหมือนกับแผนที่ซึ่งพวกเขาครอบครอง แผนที่แผ่นนี้ชัดเจนจนกระทั่งทางเส้นน้อยของหมู่บ้านทุกแห่งก็ทำเครื่องหมายออกมา  

 

 

“โจรจินกลุ่มนี้ต้องการไปด้านนี้” เซี่ยหย่งชี้สถานที่แห่งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเราจะล้อมกวาดจากฝั่งนี้ เร่งให้ทันเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ดักไว้ รอคอยเงียบๆ รวบพวกเขา”  

 

 

พวกหลี่กั๋วรุ่ยพยักหน้ารัว หารือกันพักหนึ่งก็เร่งรีบลงจากป้อมไปเรียกรวมพลทหาร  

 

 

“แจ้งข่าวให้คุณหนูจวิน” เซี่ยหย่งเอ่ยกับคนข้างตัว “พวกเราต้องเติมกระสุนควันสี”  

 

 

……………………………………….  

 

 

มองเห็นควันกลางท้องฟ้าระเบิดออกเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง เหลยจงเหลียนบนทุ่งกว้างก็รั้งสายตากลับมา  

 

 

“พบโจรจินแล้ว” เขาเอ่ย “ไปบอกคุณหนูจวิน พวกเราต้องเพิ่มความเร็วขึ้น”  

 

 

เขาพูดพลางหันศีรษะกลับไปก็เห็นคนด้านหลังร่างนิ่งไม่ขยับ  

 

 

คนผู้นี้สวมชุดเกราะอยู่ สีหน้านิ่งเฉยแล้วยังยิ้มหยันอยู่นิดๆ   

 

 

“จะไปรนหาที่ตายอีกแล้วรึ?” จินสือปาเอ่ยหยัน  

 

 

……………………………………….  

บังเอิญเกินไปแล้ว?  

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไร? นายหญิงอวี้ตะลึงเล็กน้อย  

 

 

นางคิดว่าเด็กสาวคนนี้อาจเอ่ยคำพูดได้มากมายหรือมีปฏิกิริยาได้มากมาย  

 

 

สตรีสาวที่ยังไม่แต่งงานคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ถูกคนพูดว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น ไม่ใช่ควรตั้งคำถามก็ควรโกรธเกรี้ยว ควรรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม หรือควรเขินอาย?  

 

 

แน่นอนสตรีผู้นี้ไม่เหมือนกับสตรีคนอื่น เปิดเผยตรงไปตรงมา ในใจมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ อาจยิ้มเรียบๆ บอกว่าชายหญิงในยุทธภพไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็เป็นได้  

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา นอกจากนี้สีหน้าของนางไม่ยินดี ไม่โกรธ ไม่เศร้า ไม่ตกใจ คล้ายอยากหัวเราะอยู่บ้าง  

 

 

ไม่ใช่คล้าย แต่นางหัวเราะจริงๆ แล้ว  

 

 

คุณหนูจวินยกแขนเสื้อปิดปากดวงตายิ้มโค้ง คือกลั้นไว้สุดกำลังแล้วแต่ดันกลั้นไว้ไม่อยู่ หันหน้าไปส่งเสียงหัวเราะออกมา  

 

 

นายหญิงอวี้มองนาง ไม่ได้รำคาญเพราะปฏิกิริยาประหลาดนี้ของนางกลับหัวเราะน้อยๆ ตามด้วย  

 

 

“บังเอิญอย่างไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

ความบังเอิญนี่พินิจดูแล้วยอดเยี่ยมอยู่บ้างเล็กน้อย  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางมองนายหญิงอวี้  

 

 

“บังเอิญที่ท่านหญิงเอ่ยเช่นนี้” นางเอ่ย “บังเอิญที่..”  

 

 

นางพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกหน ยกมือขึ้นมาปิดปากไว้  

 

 

บังเอิญที่จูจั้นก็เกือบเคยพูดเช่นนี้ บังเอิญที่นางก็เคยพูดมาก่อน  

 

 

ตอนนั้นที่เมืองหลวงถูกลู่อวิ๋นฉีบีบบังคับ หากไม่ใช่หนิงอวิ๋นเจาอยู่ดีๆ ออกหน้าให้ จูจั้นก็คงจะเอ่ยว่าตนเองกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน  

 

 

ตัวอย่างเช่นคู่หมั้นอะไร  

 

 

นอกจากนี้ต่อมาเขามาพบตน ยังไม่สบอารมณ์ถามว่าตนมีสามีกี่คน ตนยังตอบเขาว่าสามคน  

 

 

‘สามคน? ยังมีใครอีก?’  

 

 

นางเม้มปากยิ้ม ยื่นมือชี้ไปทางเขา  

 

 

‘ท่านไง’ นางเอ่ยขึ้น  

 

 

คิดถึงตรงนี้ คุณหนูจวินก็หัวเราะอีกครั้ง  

 

 

นายหญิงอวี้ไม่หงุดหหงิดเพราะฟังไม่เข้าใจ คิดไม่เข้าใจ ถูกคุณหนูจวินหัวเราะไปหัวเราะมาเช่นนี้สักนิด สีหน้าสงบตั้งใจอยู่ตลอด  

 

 

“ท่านหญิงอวี้ ข้าไม่เคยแนะนำตนเองกับท่าน” คุณหนูจวินหยุดหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

นายหญิงอวี้ร้องอ้อ  

 

 

“เรื่องนี้คุณหนูจวินตามสบาย” นางอมยิ้มเอ่ย “วีรบุรุษไม่ถามชาติกำเนิด ข้าเพียงขอให้คุณหนูจวินทำงานเท่านั้น”  

 

 

เป็นแม่ลูกกันจริงๆ จูจั้นไม่ใช่ก็เป็นเช่นนี้รึ  

 

 

ที่เมืองหลวงตอนขอให้นางรักษาโรคให้ไหวอ๋อง ‘ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร เป้าหมายของเจ้าคืออะไร ข้าต้องการแค่เจ้ารักษาไหวอ๋องหาย ขอเพียงเจ้ารักษาไหวอ๋องหาย ข้าจะปกป้องชีวิตของเจ้า’  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มแล้ว  

 

 

“ข้าแซ่จวิน ชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ยแล้วมองนายหญิงอวี้ “ไม่ทราบท่านหญิงเคยได้ยินหรือไม่?”  

 

 

จวินจิ่วหลิง?  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็ตกตะลึงมองประเมินคุณหนูจวิน  

 

 

“ที่แท้เป็นท่านเองรึ” ฉับพลันนางก็หัวเราะอีกครั้งเอ่ยขึ้นท่าทางชื่นชมอยู่บ้างพยักหน้า “เป็นยอดหมอจริงๆ รักษาประชาชนได้ชั่วลูกชั่วหลาน”   

 

 

นี่คือชมเรื่องที่นางปลูกฝีสินะ คุณหนูจวินกลอกตาไปมาเล็กน้อย  

 

 

“ท่านหญิงอวี้รู้จักโรงหมอจิ่วหลิงของข้าหรือไม่?” นางเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“โรงหมอจิ่วหลิงปลูกฝีช่วยประชาชน โลกมนุษย์ใครไม่รู้จัก แม้ข้าอยู่ห่างไกลถึงแดนเหนือก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” นางเอ่ย “เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะพานพบคุณหนูจวินแบบนี้”  

 

 

นางเอ่ยแล้วก็หัวเราะบ้าง  

 

 

“บังเอิญจริง”  

 

 

คุณหนูจวินแววตาระยิบระยับแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย  

 

 

“ท่านหญิงรู้เพียงเรื่องนี้ของข้าหรือ?” นางเอ่ยถามพลางเม้มปากยิ้ม “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”  

 

 

นอกจากปลูกฝี จูจั้นไม่เคยเอ่ยถึงตนกับนางหรือ? ต่อให้จูจั้นไม่เอ่ยถึง ในฐานะมารดาคนหนึ่งไม่สนใจข่าวของบุตรชายรึ?  

 

 

ที่เมืองหลวงข่าวเกี่ยวกับจูจั้นมากน้อยก็คงเอ่ยถึงนางบ้างกระมัง  

 

 

อย่างน้อยเพราะนาง จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีถึงทะเลาะกันที่เมืองหลวงจนเป็นเรื่องครึกโครม นอกจากนี้ข่าวลือก็ยังไม่น่าฟังอย่างไร  

 

 

ดูไปแล้วนายหญิงอวี้คล้ายจะไม่รู้จริงๆ  

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าสงสัยอยู่บ้าง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง  

 

 

“ขออภัยด้วย สิ่งอื่นข้าไม่ทราบจริงๆ” นางยิ้มเอ่ยตรงไปตรงมา “ข้ายุ่งเล็กน้อยและพูดคุยกับผู้อื่นน้อยนัก”   

 

 

ดูแล้วไม่เคยเอ่ยถึงจริงๆ จูจั้นไม่เคยเอ่ยถึง ส่วนนายหญิงอวี้ก็ไม่ได้สืบข่าวของบุตรชาย  

 

 

แต่สำหรับจูจั้นแล้ว นี่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  

 

 

ก็แค่การแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น  

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มๆ  

 

 

“ข้ารู้จักกับท่านชาย” นางเอ่ยตรงๆ  

 

 

นายหญิงอวี้ตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ขานอ้อ  

 

 

“มิน่า” นางยิ้มแล้ว “ข้าก็ว่าแล้ว คุณหนูจวินรู้จักข้า”  

 

 

คราแรกยามแสดงตัวตน นางก็เคยสงสัยเพราะปฏิกิริยาของเด็กสาวคนนี้คือรู้จักหน้าตาของนางอย่างชัดเจน  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“ก็ไม่อาจพูดว่ารู้จักได้ ชื่นชมชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภรรยาเฉิงกั๋วกงรวมถึงมารดาของท่านชายมาเนิ่นนาน” นางยิ้มเอ่ย  

 

 

นายหญิงอวี้มองนาง หัวเราะพลางพยักหน้าอีกครั้ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็บังเอิญจริงๆ” นางเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินก็ยิ้มพลางพยักหน้าด้วย  

 

 

“ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องเช่นนี้ก็ขอคุณหนูจวินอภัยด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ยขึ้น ไม่ได้เอ่ยถามว่าจูจั้นกับนางรู้จักกันได้อย่างไร คล้ายสิ่งนี้ไม่สำคัญสักนิด  

 

 

เรื่องเช่นนี้? พูดถึงเรื่องตนเป็นคู่หมั้นของจูจั้นหรือ?  

 

 

นางไม่อะไรหรอก แต่หากจูจั้นได้ยินข่าวนี้เข้า ไม่รู้ว่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร  

 

 

คิดถึงภาพนั้น คุณหนูจวินก็กลั้นไม่อยู่ปิดปากหัวเราะแล้ว  

 

 

“แน่นอน หากสร้างปัญหาให้แก่คุณหนูจวินก็อย่าได้เกรงใจ ข้าจะอธิบายกับทุกคน แก้ตัวกับทุกคน ไม่มีทางทำให้คุณหนูจวินเสียเวลา นำปัญหามาให้คุณหนูจวินเด็ดขาด” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ  

 

 

“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าท่านหญิง ท่านไม่เคยได้ยินข่าวอื่นของข้าจริงๆ” นางเอ่ยพลางยิ้มมีเลศนัย “หากบอกว่าการที่ข้าเป็นคู่หมั้นของผู้อื่น มีสัญญาหมั้นกับผู้อื่นทำให้เสียเวลา นำปัญหามาให้ข้าแล้วล่ะก็”  

 

 

นางยื่นมือออกมาชูสามนิ้วให้นายหญิงอวี้  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านกับท่านชายนี่ก็เป็นได้เพียงลำดับที่สาม”   

 

 

ลำดับที่สาม?  

 

 

ถ้าอย่างนั้นความหมายนี่ก็คือจะบอกว่านางเคยเป็นคู่หมั้นของคนอื่นมาสองครั้งแล้ว?  

 

 

น่าสนใจ นางหญิงอวี้มองนาง สีหน้าไม่ได้ตกใจดูแคลนหรือไม่เชื่อ เพียงแค่สนใจอย่างยิ่ง  

 

 

“คนดูกันที่หน้าตาไม่ได้จริงๆ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ตบพนักแขนสองสามที “มา เล่าให้ฟังหน่อยซิ”  

 

 

……………………………………….  

 

 

เดือนหนึ่งผ่านไปครึ่งหนึ่งก็เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ผ่านเมืองต้าหมิงขึ้นไปทางเหนือ สิ่งที่ตามองเห็นยิ่งเปล่าเปลี่ยว  

 

 

ผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่เคยเต็มไปด้วยทุ่งนาเหล่านั้ก็ล้วนมีหญ้าขึ้นรก พื้นดินเหน็บหนาว สายน้ำแห้งเหือด  

 

 

ส่วนต้นไม้ใหญ่ข้างทางส่วนมากล้วนถูกลอกเปลือกไปหมดแล้ว เห็นชัดว่าถูกชาวบ้านหิวโหยที่ผ่านมากินจนเกลี้ยง ค่อยมองดูบนถนนล้วนเป็นชาวบ้านมากมายจับกลุ่มจับพวกหนีความรกร้าง แต่ละคนๆ สีหน้าหวาดหวั่นใบหน้าเหลือง ร่างกายซูบผอม  

 

 

“จากไปไม่ถึงหนึ่งปี กลับมาอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นคนละโลกแล้ว”  

 

 

เสียงแหบพร่าของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยขึ้น  

 

 

หลังร่างเขาบุรุษหลายคนสีหน้ายิ่งโศกเศร้าคับแค้น  

 

 

บุรุษชราที่นั่งพักผ่อนอยู่บนม้วนผ้าห่มดำขาดวิ่นของตนข้างทางได้ยินเสียงก็มองเสียทีหนึ่ง เขาเดินมาตลอดทางคำทอดถอนใจเช่นนี้ก็ได้ยินมาเห็นมามากแล้ว แต่พวกนั้นส่วนมากคือคนที่เป็นขุนนนาง บัณฑิต คนมีเงิน แม่ทัพทหารอะไรพวกนั้น หลายคนนี้ตรงหน้าสวมเสื้อมอซอ มัดด้วยเชือกฟาง ผมเผ้าหนวดเครากระเซอะกระเซิง นอกจากร่างกายกำยำล่ำสัน สิ่งอื่นล้วนไม่แตกต่างอันใดกับคนที่ลี้ภัย  

 

 

“ดีมากแล้ว” เขาไอเบาๆ เอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้บนทางเส้นนี้คนหิวตายเป็นเบือๆ”  

 

 

บุรุษหลายคนนี้ได้ยินเข้าก็หันมา  

 

 

“ทำไมตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเล่า?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม “เพราะหยุดรบแล้วหรือ?”  

 

 

ถามประโยคนี้ออกมาสีหน้าของเขาก็ปั้นยากยิ่งนัก  

 

 

สงครามคือความทุกข์ของประชาชน แต่การไม่รบนี่ทำให้คนโศกเศร้าคับแค้นปวดใจจริงๆ  

 

 

บุรุษชราโบกมือ  

 

 

“ไม่ใช่ ต้องขอบคุณกองหทารชิงซาน” เขาเอ่ย “กองทหารชิงซานแจกข้าวต้มตามทาง คนมากมายได้มีชีวิตรอดทนจนถึงตัวเมืองอำเภอถัดไป ยังมีอีกนะ กองทหารชิงซานยังช่วยคุ้มครองชาวบ้านที่ลี้ภัยในแดนเหนือ ผู้ลี้ภัยมากมายล้วนไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไกลอีกต่อไป อยู่ที่เดิมก็ทนผ่านฤดูหนาวนี้ได้แล้ว”  

 

 

แจกข้าวต้มให้โอกาสชาวบ้านผู้ประสบภัยมีชีวิตรอดได้ แต่ทำให้ชาวบ้านรั้งอยู่ไม่รีบเดินทางยิ่งเป็นหลักประกันการมีชีวิตรอดได้มากยิ่งกว่า  

 

 

แต่…  

 

 

“กองทหารชิงซาน?” บุรุษคนนั้นเลิกคิ้ว “ร้ายกาจปานนี้? เพิ่งได้ยินครั้งแรกนะ”  

 

 

แจกข้าวต้มได้ต้องใช้เงินมากมาย เบี้ยหวัดทหารทุกวันนี้ยังจ่ายไม่ครบเลย คนกับม้าได้กินอิ่มก็ไม่เลวแล้ว มีข้าวสารเงินทองเหลือให้ผู้ลี้ภัยที่ไหน  

 

 

และทำให้ชาวบ้านผู้ลี้ภัยรั้งอยู่ได้ยิ่งน่าเหลือเชื่อ  

 

 

แม้บอกว่าจะเจรจาสงบศึกแล้ว แต่ยกสามเมืองให้ ชาวจินก็จะยิ่งเข้ามาใกล้ ชาวบ้านด้านนั้นหวาดหวั่นวิตก ล้วนอยากหนีมาในแผ่นดินยิ่งนัก  

 

 

ต้องมีชื่อเสียงบารมียิ่งใหญ่เพียงไรถึงปลอบประโลมความวิตกของชาวบ้านทั้งหลายได้ ทำให้พวกเขารั้งอยู่ที่เดิมไม่หวาดกลัว?  

 

 

ทำสองจุดนี้ได้ สมกับคำว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง  

 

 

พูดถึงกองทหารชิงซาน บุรุษชราก็ฮึกเหิมอยู่นิดๆ  

 

 

“ร้ายกาจแน่นอนสิ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม “นั่นเป็นถึงกองกำลังของภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงเชียวนะ”  

 

 

ใครนะ?  

 

 

บุรุษทั้งหลายพริบตาอึ้ง ส่วนบุรุษที่เอ่ยถามยิ่งท่าทางเหมือนเห็นผีแล้ว  

 

 

“นี่มันใครกัน? ใครหน้าไม่อายปานนี้!” เขาถลึงตาตะโกน  

“เจ้าว่าอะไรนะ? กองทหารประจำการที่ฉางเฟิงของกองทหารซุ่นอันเมืองเหอจียนเคลื่อนพลแล้ว?”  

 

 

เจียงเฉิงหัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันของเซินโจวประหลาดใจยิ่ง  

 

 

“พวกเขาก็ถอนกำลังแล้วหรือ?” ทหารยามที่เดินทางมาแจ้งข่าวส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่ใช่ขอรับ พวกเขาเดินทางไปป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

ป้าโจว!  

 

 

เจียงเฉิงกระโดดลุกจากเก้าอี้  

 

 

“คนเมืองเหอเจียนบ้าไปแล้วรึ?” เขาตะโกน  

 

 

แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่าคนเมืองเหอเจียนไม่ได้บ้า นอกจากนี้ยังเอาความดีความชอบในสงครามมาได้แล้ว สังหารโจรจินสองร้อยกว่าคนยึดชุดเกราะมาได้จำนวนมาก  

 

 

“นี่กินดีหมีหัวใจเสือมารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงตกตะลึงไม่คลาย  

 

 

“ไม่ใช่กินดีหมีหัวใจเสือแต่เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋วมา” แม่ทัพหลายคนนำข่าวที่ละเอียดกว่าเร่งเดินทางมาทั้งคืน  

 

 

ได้ยินว่าท่านหญิงเฉิงกั๋วให้ทำเช่นนี้ หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงก็สีหน้าปั้นยากเงียบงันไปพักหนึ่ง  

 

 

เซินโจวอยู่ติดกับเป่าโจว กองทหารหย่งหนิงส่วนหนึ่งที่เดิมทีอยู่ที่เป่าโจวเวลานี้ก็ถอนกำลังมาที่นี่  

 

 

ท่านหญิงเฉิงกั๋วเรียกให้กองทหารซุ่นอันเคลื่อนกำลัง ย่อมจะต้องมาขอกองทหารหย่งหนิงด้วยแน่นอน  

 

 

“เหตุผลก็คือรับประชาชนสามเมืองกลับมารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเอ่ยถาม  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า  

 

 

“ก็สมเหตุสมผล ทำเช่นนี้ไม่นับว่าขัดพระบัญชาจริงๆ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยสีหน้าติดจะฮึกเหิมอยู่บ้าง “ใต้เท้า ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”  

 

 

สละเหอซานที่เฝ้ารักษามานานปี สำหรับแม่ทัพเหล่านี้แล้วอัปยศจริงๆ  

 

 

จนปัญญาด้วยราชโองการของฮ่องเต้ยากขัด  

 

 

“ไม่นับว่าขัดพระบัญชารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเสียงเข้มเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทให้เฉิงกั๋วกงถอนทหาร เขาไม่เพียงไม่ถอน กลับส่งทหารมาที่นี่”  

 

 

“ไม่ไม่” แม่ทัพคนหนึ่งรีบเอ่ย “ได้ยินว่าไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกง”  

 

 

“กำลังรบที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกงแล้วเป็นอะไร?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเอ่ย “เฉิงกั๋วกงไม่เคยมีข้ารับใช้ในตระกูล นี่ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว”  

 

 

หากบอกว่าเป็นทหารของเขา นี่ย่อมเป็นความผิด หากบอกว่าเป็นข้ารับใช้ในตระกูล นี่ยิ่งเป็นโทษหลอกลวงเบื้องสูง ถึงขั้นถูกโยนโทษเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวใส่หัว  

 

 

ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาเชื่อฟังเคลื่อนกำลังไปทำเรื่องนี้ย่อมหนีโทษไปไม่พ้น  

 

 

ในโถงที่ทำการขุนนางตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่ง  

 

 

ส่วนเถียนเหยาซึ่งอยู่ที่เมืองฉางเฟิงก็เงียบงันเช่นกัน  

 

 

“ท่านหญิงสิ่งที่ท่านพูดล้วนถูกต้อง” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากแล้วมองไปทางคุณหนูจวิน “กองทหารชิงซานของคุณหนูจวินร้ายกาจนัก ไม่ว่าด้วยมโนธรรมหรือหลักเหตุผลหรือความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เรื่องนี้พวกเราทำได้”  

 

 

นายหญิงอวี้มองเขา  

 

 

“แต่อะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

“แต่ท่านหญิงต้องบอกให้ชัดเจนว่ากองทหารชิงซานนี่ที่แท้เป็นใคร?” เถียนเหยาเอ่ยขึ้น  

 

 

“ก็บอกชัดเจนแล้วนี่” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เป็นคนของข้า พวกเราเป็นชาวนา พวกเราไม่ใช่กองกำลังของเฉิงกั๋วกง เพียงแค่สบโอกาสมาช่วยเหลือเท่านั้น”  

 

 

เถียนเหยามองนาง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนู ท่านเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม “ทำไมจะต้องมาช่วย?”  

 

 

“นี่มีอะไรให้ถามทำไม” คุณหนูจวินขมวดคิ้ว “เรื่องนี้…”  

 

 

นางกำลังจะบอกว่าเรื่องเช่นนี้ประชาชนต้าโจวทุกคนล้วนต้องก้าวออกมา แต่นายหญิงอวี้ยิ้มขัดคำพูดของนาง  

 

 

“เอาล่ะ ไม่ปิดบังใต้เท้าเถียน” นางเอ่ย “คุณหนูจวินคนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลจูของข้าเอง”  

 

 

ฮะ?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึงไปแล้ว  

 

 

ลูกสะใภ้?  

 

 

“ใช่แล้ว คู่หมั้นของจูจั้นลูกชายข้า” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “เดิมทีนางทำนาอยู่ที่บ้าน ได้ยินว่าสถานการณ์ทางนี้ตึงเครียด ข้าต้องการมาเมืองเหอเจียน เฉิงกั๋วกงไม่อาจผละตนมาดูแลข้าได้ ดังนั้นนางจึงพาคนหมู่บ้านเดียวกันของนางเดินทางมาเป็นเพื่อนข้าที่นี่เที่ยวหนึ่ง”  

 

 

ทำนาจริงๆ ด้วยรึ? แล้วยังเป็นหมู่บ้านเดียวกัน  

 

 

ผู้คนในห้องโถงมองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าเปลี่ยนกลายเป็นแปลกพิกล  

 

 

สีหน้าของคุณหนูจวินก็พิกลอยู่บ้าง นางมองนายหญิงอวี้ อยากพูดแต่ก็หยุดไป  

 

 

“ไม่ต้องเขินหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร” นายหญิงอวี้มองนางแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องเขินไม่เขิน คุณหนูจวินอยากหัวเราะอยู่บ้าง  

 

 

เรื่องราวพูดจนกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?  

 

 

แต่นางย่อมไม่มีทางแย้งนายหญิงอวี้  

 

 

“ดังนั้นพวกท่านวางใจ กองทหารชิงซานนี้ไม่ใช่ทหารของต้าโจวจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัว ข้ารับใช้ในตระกูลของจวนเฉิงกั๋วกงเราด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ย “นี่เป็นเพียงชาวนาผู้เช่าที่ซึ่งเป็นเครือญาติของพวกเราเท่านั้น ประเทศประสบภัยอยู่ ทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงวางจอบติดตามมาช่วยเหลือแล้ว”  

 

 

ชาวนาผู้เช่าที่อีก  

 

 

นี่ไหวไม่ไหวฮะ?  

 

 

ก่อนหน้านี้นางบอกว่าตนเองเป็นชาวนา แต่นางแค่พูดเฉยๆ คนเหล่านี้แน่นอนย่อมไม่เชื่อสักนิด  

 

 

คุณหนูจวินครุ่นคิดนิดหนึ่ง อย่างไรก็บอกฐานะจวินจิ่วหลิงของตนเองออกมาคงน่าเชื่อกว่ากระมัง  

 

 

นางเพิ่งกำลังจะเอ่ยปาก กลับเห็นบรรดาแม่ทัพด้านในโถงที่ทำการขุนนางเผยรอยยิ้ม  

 

 

“ที่แท้ก็ภรรยาของท่านชายนี่เอง”  

 

 

“ถึงกับหมั้นแล้วรึ? พวกเรายังไม่รู้กันเลย”  

 

 

“นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งจริงๆ”  

 

 

“วันแต่งงานกำหนดไว้เมื่อไรหรือขอรับ?”  

 

 

“จริงๆ เลย ล้วนโทษโจรจินน่าตายนี่เลยไม่ได้ฉลองให้ท่านชายสักหน่อย”  

 

 

พวกเขาพากันเอ่ยขึ้น  

 

 

กระทั่งเถียนเหยาก็แย้มรอยยิ้มด้วย เขามองคุณหนูจวินพลางพยักหน้า  

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย ไม่ขี้เหนียวความชื่นชมในดวงตาสักนิด “กล้าหาญเช่นเดียวกับท่านชายจริงๆ”  

 

 

นี่คือ เชื่อแล้ว? คุณหนูจวินกลับประหลาดใจยิ่ง  

 

 

หรือเพราะนายหญิงอวี้พูด? ดังนั้นพวกเขาเลยเชื่อ?  

 

 

คุณหนูจวินครุ่นคิดนิดหนึ่งก็ทำท่าเขินอายถอยไปอยู่ข้างหลังนายหญิงอวี้  

 

 

“โบราณว่าบิดาบุตรร่วมออกศึก คิดไม่ถึงลูกสะใภ้ก็ออกศึกด้วยได้” เถียนเหยามองนายหญิงอวี้ ใจหายยิ่งเอ่ยขึ้นมา “ไม่ใช่คนพวกเดียวกัน ไม่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันจริงๆ นะขอรับ”  

 

 

“ตระกูลลูกสะใภ้คนนี้ของข้าก็ฝักใฝ่ทางยุทธ์เช่นกัน” นางหญิงอวี้ก็ไม่ปฏิเสธพยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้…”  

 

 

เถียนเหยาไม่รอนายหญิงอวี้เอ่ยจบก็ประสานมือคารวะ  

 

 

“ท่านหญิง” เขาสีหน้าขึงขัง “กระทั่งชาวนาในชนบทยังไปต่อต้านโจรจินปกป้องประชาชนต้าโจวของเราได้ หากพวกเรายังนั่งนิ่งอยู่ในเมืองนี้ก็อับอายจริงๆ แล้ว ตายไปเสียเลยเถอะ”  

 

 

พูดจบก็หมุนตัวมองผู้คนด้านในโถง  

 

 

“ก็เหมือนที่ท่านหญิงพูด หยุดรบเจรจาสงบศึกกับชาวจิน สิ่งที่จะยกให้คือแผ่นดินสามเมืองแต่ไม่ใช่ประชาชนหลายสิบหมื่นของต้าโจวเรา พวกเราล้วนเป็นสหายร่วมชาติเลือดเนื้อผูกพันกัน วันนี้สหายร่วมชาติถูกขังอย่ พวกเราเห็นคนตายไม่ช่วยได้รึ?”  

 

 

“ไม่ได้!” ผู้คนในห้องโถงตะโกนเสีงพร้อมเพรียง  

 

 

“พวกเรามองดูเพื่อนร่วมชาติถูกชาวจินเอาเป็นทาสเป็นวัวม้าได้รึ?” เถียนเหยาตะเบ็งเสียงตวาด  

 

 

“ไม่ได้!” แม่ทัพทั้งหลายก็ตะเบ็งเสียงตะโกนด้วย  

 

 

เถียนเหยาหมุนกายมองนายหญิงอวี้  

 

 

“ท่านหญิง” เขาเอ่ยพลางยื่นมือทำท่าเชิญ  

 

 

นายหญิงอวี้มองดูผู้คนด้านในโถง  

 

 

“ไปเถอะ รับพี่น้องสหายร่วมมาตุภูมิทั้งหลายกลับมา” นางเอ่ย “ให้พวกโจรจินรู้ แม้พวกเรายกแผ่นดินให้ แต่หาได้กลัวพวกเขาไม่ สัญญาสงบศึกยังไม่ออกมาวันหนึ่ง ป้าโจวก็ยังเป็นแผ่นดินของต้าโจวเราวันหนึ่ง บนแผ่นดินของพวกเราเอง พวกเราไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น กล้าขัดขวางทำร้ายประชาชนต้าโจวของพวกเรา”  

 

 

นางยกมือขึ้น สะบัดทีหนึ่ง  

 

 

“สังหารไม่เว้น!”  

 

 

สังหาร ก็รอวันนี้อยู่แล้ว บรรดาแม่ทัพที่อัปยศมานานเหล่านั้นเพลิงโทสะลุกโชติช่วง  

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายในห้องโถงพากันยกมือขึ้น  

 

 

“สังหาร!” พวกเขาคำรามเสียงพร้อมเพรียง  

 

 

……………………………………….  

 

 

เสียงกลองถี่รัวดังก้องเมืองฉางเฟิง ในเวลาเดียวกันก็มีนายทหารกองแล้วกองเล่ามุ่งไปนอกเมือง บนกำแพงเมืองสัญญาณไฟรวมพลของเมืองเหอเจียนจุดขึ้นมา  

 

 

จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่นอกจวนที่ทำการขุนนางมองดูนายทหารวิ่งผ่านบนท้องถนนก็เกาจมูกผ่านผ้าปิดหน้า  

 

 

“เจ้าพวกนี้ในที่สุดก็ดูเข้าท่าแล้ว” นางเอ่ยกับตนเอง “ทำไมอยูดีๆ เก่งกล้าขึ้นมาแล้วเล่า?”  

 

 

“…ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว….”  

 

 

“….ที่แท้ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัวจริงๆ แต่เป็นกำลังพลของตระกูลลูกสะใภ้…”  

 

 

“…นี่ก็คือบุตรสืบทอดบิดา..ทำตามขนบจริงๆ…”  

 

 

“…ครั้งนั้นเฉิงกั๋วกงตบแต่งภรรยาโจร บุตรชายก็จะแต่งภรรยาโจรคนหนึ่งเหมือนกัน…”  

 

 

“…อย่าพูดไม่น่าฟังปานนั้นสิ ผู้อื่นเป็นชาวนาหรอก…”  

 

 

“…ใครเชื่อเล่า…เป็นโจรชัดๆ …แม้บ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตซื้อที่มีคฤหาสถ์แสร้งเป็นชาวบ้านคนดี…”  

 

 

จ้าวฮั่นชิงแม้ฟังไม่เข้าใจ แต่ได้ยินคำว่าโจรคำหนึ่ง ดวงตาฉับพลันวาววับ  

 

 

“โจรอะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

 

ขุนนางหลายคนที่เดินออกมาเห็นเด็กสาวที่โผล่ออกมากะทันหันก็ตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

แน่นอนไม่ได้ถูกรูปลักษณ์ที่ปิดหน้าปิดตานี่ทำให้ตกใจกลัว แต่ถูกตัวเด็กสาวคนนี้ทำให้ตกใจกลัว  

 

 

พวกเขาย่อมรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ร้อยก้าวยิงศรทะลุใบหลิว สังหารคนตาไม่กะพริบ  

 

 

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” บรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งหลายรีบร้อนโบกมือเอ่ย “พวกเราพูดถึงคนอื่นน่ะ”  

 

 

พูดจบก็รีบเร่งวิ่งออกไปแล้ว  

 

 

“ที่ไหนมีโจร?” จ้าวฮั่นชิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “พูดออกมาสิจะได้ไปกวาดล้างพวกเขา โจรมีอะไรน่ากลัวกัน”  

 

 

……………………………………….  

 

 

คนในห้องโถงที่ทำการขุนนางล้วนถอยออกไป มีเพียงนายหญิงอวี้กับคุณหนูจวินอยู่สองคน  

 

 

คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าพิกลอยู่บ้าง  

 

 

นายหญิงอวี้รู้ว่านางแปลกใจอะไรอยู่ เป็นใครอยู่ดีๆ ถูกบอกว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น ก็คงประหลาดใจเหมือนกัน  

 

 

นอกจากนี้นางผู้นี้ยังเป็นคุณหนูอายุน้อยที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งอีก  

 

 

“ขออภัยยิ่งจริงๆ” นายหญิงอวี้ท่าทางขอโทษขอโพยเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าก็ไร้หนทางแล้วเช่นกัน คนเหล่านี้สนใจตัวตนความเป็นมาของพวกท่านเกินไป ชั่วเวลาฉุกละหุกคิดไปคิดมามีเพียงพูดเช่นนี้ถึงอธิบายเรื่องนี้ได้”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง  

 

 

“แน่นอนบอกว่าพวกเจ้าเป็นกองทหารอาสาของชาวบ้านก็ได้ แต่อย่างไรบนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ พูดออกไปไม่สู้มีเหตุส่วนตัวจะโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่า”  

 

 

คุณหนูจวินมองนางแต่ไม่พูดไม่จา สีหน้าบนหน้ายิ่งพิกล  

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ เรื่องนี้เป็นข้าทำไม่ถูก” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินมองนางแล้วเม้มปาก  

 

 

“ข้าอยากบอกว่า” นางเอ่ยขึ้น “นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ”  

ในที่ทำการขุนนางผู้คนนั่งล้อมวง  

 

 

นายหญิงอวี้ย่อมเป็นประธาน คุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่ต้องให้คนถอยให้ ตนเองนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของนายหญิงอวี้  

 

 

มีอาลักษณ์ก้าวเข้ามารายงานการตรวจนับ ผู้ลี้ภัยรวมถึงของที่ยึดได้จากชาวจินมากกว่าจำนวนที่หลี่กั๋วรุ่ยบอกอยู่บ้าง  

 

 

แม้ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนได้ฟังจำนวนนี้อีกครั้งก็ยังยากปิดบังความตื่นตะลึง  

 

 

“ทหารแม่ทัพในการปกครองของเฉิงกั๋วกงห้าวหาญจริงๆ” เขาเอ่ยกับนายหญิงอวี้  

 

 

คำชื่นชมและความนับถือมาจากใจจริง แต่ในเวลาเดียวกันสีหน้าก็สับสนอยู่มากเช่นกัน  

 

 

ทหารของเฉิงกั๋วกงตอนนี้มาถึงที่นี่ เป็นเรื่องดีแต่ก็ไม่ดี  

 

 

อย่างไรราชสำนักก็ออกคำสั่งถอนทหารหยุดสงครามกับชาวจินแล้ว  

 

 

นายหญิงอวี้ส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่ นี่ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกง วันนี้แดนเหนือกำลังพลขาดแคลน เฉิงกั่วกงไม่มีทางโยกย้ายกำลังพลตามใจเด็ดขาด” นางเอ่ยแล้วยื่นมือชี้คุณหนูจวิน “นี่เป็นของคุณหนูจวิน”  

 

 

คุณหนูจวิน  

 

 

คนในโถงมองไปทางสตรีเยาว์วัยผู้นี้  

 

 

ตั้งแต่เข้าเมืองมานางแทบไม่เอ่ยวาจา อ่อนหวานนอบน้อม  

 

 

นางเป็นใคร? มีกำลังพลได้อย่างไร? จริงหรือหลอก?  

 

 

“ที่จริงพวกเราเป็นชาวนา” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย “แค่มาช่วยเหลือ”  

 

 

ชาวนา  

 

 

ในห้องโถงเงียบกริบไร้เสียง หลี่กั๋วรุ่ยยิ่งมุมปากกระตุก  

 

 

ไม่อยากพูด ไม่พูดก็ได้แต่อย่าล้อเล่นเลย  

 

 

“ใต้เท้าเถียนท่านมาพอดี ข้ากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ  

 

 

ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนรีบคำนับ ลังเลครู่หนึ่ง ประโยคที่ว่าท่านหญิงมีสิ่งใดสั่งนั่นกลับไม่กล้าเอ่ยออกจากปาก  

 

 

แต่เขาพูดไม่พูดก็ไม่อาจขวางนายหญิงอวี้พูดได้  

 

 

“ขอใต้เท้าเถียนออกคำสั่งกองทหารประจำการของเหอเจียนไปรับประชาชนของสามเมืองคุ้มครองลงใต้เข้าเขตแดนด้วย” นางเอ่ยเด็ดขาดฉับไว  

 

 

อย่างที่คิด…  

 

 

ใต้เท้าเถียนใจสั่น  

 

 

เฉิงกั๋วกงต้องการขัดคำสั่ง ยังคงอยากต่อต้านทหารจิน  

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อฟังเฉิงกั๋วกงได้ เพราะเฉิงกั๋วกงกับฮ่องเต้ไม่มีความเห็นต่างกันในประเด็นแดนเหนือ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว เฉิงกั๋วกงกลับต้องการกระทำขัดพระบัญชา พวกเขาเชื่อฟังเฉิงกั๋วกงต่อไปใยไม่ใช่ไม่ภักดี?  

 

 

เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดัง ขัดพระบัญชาก็ไม่ใช่ครั้งแรก ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางทำอะไรเขา แต่พวกเขาย่อมไม่เหมือนกัน  

 

 

เทพเซียนตีกันผีน้อยรับเคราะห์ ถึงเวลาพวกเขาก็อาจกลายเป็นแพะรับบาปได้  

 

 

“ท่านหญิง ไม่ใช่พวกเรากลัวศึก เพียงแต่วันนี้ราชสำนักมีคำสั่ง…” ใต้เท้าเถียนกัดฟันเอ่ย  

 

 

“คำสั่งของราชสำนักคือยกแผ่นดินสามเมืองให้” นายหญิงอวี้เอ่ยขัดเขา “แต่ไม่ได้บอกว่าจะยกประชาชนยี่สิบหมื่นของสามเมืองให้”  

 

 

ผู้คนในโถงตะลึงวูบหนึ่ง  

 

 

“แผ่นดินยกให้ แต่ฝ่าบาทไม่ได้บอกว่าคนก็จะยกให้ด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านตอนนี้ไปรับประชาชนชาวต้าโจวของพวกเราลงใต้กลับมา นี่ย่อมสมควร ไม่เพียงไม่ขัดพระบัญชา ทั้งยังเชื่อฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วย”  

 

 

พูดเช่นนี้ก็ถูก ผู้คนในห้องโถงสีหน้าเปลี่ยนไปมา  

 

 

นายหญิงอวี้มองไปทางนอกโถงที่ทำการขุนนาง ได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านนอกอยู่เลือนราง  

 

 

นั่นคือพริบตาเดียวเพิ่มหลายพันคน แม้รักษาระเบียบอย่างไรก็ยากเลี่ยงเอะอะ  

 

 

“ประชากรหลายสิบหมื่น พวกท่านคุ้มครองรับทุกคนกลับมา แสดงความเมตตากรุณาของฮ่องเต้ชัดเจน นี่ไม่ใช่ขัดพระบัญชา นี่คือคุณงามความดี” นางใบหน้าขึงขังเอ่ย “แผ่นดินของเรา ประชาชนของเรา มีประชาชนถึงมีแผ่นดิน แผ่นดินสละให้ได้ ประชาชนไม่อาจทอดทิ้งได้ พวกเรารับประชาชนของตน สหายร่วมชาติของตน พี่น้องของตนกลับมา มีอะไรไม่ได้?”  

 

 

แล้วมองผู้คนด้านในห้องโถงอีกครั้ง  

 

 

“พวกท่านมีสิ่งใดไม่กล้า?”  

 

 

เสียงโครมครามหลายเสียงดังขึ้นมีแม่ทัพสีหน้าฮึกเหิมลุกขึ้นยืน เก้าอี้ล้วนหงายล้มไปด้วย  

 

 

“ข้าทำได้! ข้ากล้า!” เขาโพล่งตะโกน  

 

 

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน แม่ทัพมากกว่าเดิมก็ลุกขึ้นยืนขานรับตาม บรรยากาศในห้องโถงพริบตาประหนึ่งกระทะน้ำมันเดือดพล่าน  

 

 

ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนคิดไม่ถึงว่านายหญิงอวี้จะเอ่ยเช่นนี้ คำพูดอธิบายเช่นนี้สมเหตุสมผลจริงๆ นอกจากนี้สำหรับฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าเมตตากตัญญูแล้ว คุ้มครองประชาชนหลายสิบหมื่นทุกคนลงใต้ ย่อมต้องพอพระทัยแน่นอน  

 

 

ไม่ว่าราชสำนักก็ดี หรือประชาชนก็ดี การกระทำนี้ย่อมต้องเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ชื่อเสียงยิ่งใหญ่  

 

 

ความดีความชอบเช่นนี้เพียงพอทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์  

 

 

แต่ไม่อาจบุ่มบ่าม  

 

 

“ท่านหญิง ท่านหญิง” เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง รีบส่งสัญญาณให้ผู้คนในห้องโถงใจเย็น พลางเอ่ยกับนายหญิงอวี้ “โจรจินกำลังมาก ที่เข้ามาในป้าโจวก็มีห้าพันคนแล้ว นอกจากนี้แนวป้องกันก็แตกแล้ว ด้านหลังไม่รู้ยังมีโจรจินกำลังจะมาถึงอีกเท่าไร ทหารของพวกเราเข้าไปในเขตป้าโจวโชคร้ายมากกว่าโชคดีจริงๆ”  

 

 

มีขุนนางสองคนพยักหน้าตาม  

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราไม่ปฏิเสธชาวบ้านผู้ลี้ภัยที่มาได้”  

 

 

“วันนี้เหอเจียนมีกำลังพลเพียงหมื่น รบกับโจรจินยากชนะจริงๆ”  

 

 

“หากโจรจินฉวยโอกาสโจมตีมา ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านของป้าโจวได้รับการปกป้อง กองหทารกับประชาชนหลายสิบหมื่นที่เมืองเหอเจียนก็ยากโชคดีรอดพ้น”  

 

 

คำพูดนี้ทำให้ในห้องโถงที่พลุ่งพล่านค่อยๆ สงบลง  

 

 

นี่ก็เป็นความจริงจริงๆ  

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว  

 

 

“ไม่ใช่มีเพียงกำลังพลเหอเจียนของพวกท่านทำเรื่องนี้เพียงลำพัง” เสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น “กองทหารชิงซานของพวกเราจะช่วยเหลือด้วย”  

 

 

ช่วยเหลือ? สายตาของทุกคนมองไปทางคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างกายนายหญิงอวี้  

 

 

จากที่ซุนซานเจี๋ยเล่า พวกเขามีไม่ถึงสี่สิบคน หรือนี่เป็นเพียงกองหน้า? ข้างหลังยังมีกำลังพลจำนวนมากเร่งเดินทางมาอีกหรือ?  

 

 

หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ กำลังพลเพิ่มขึ้นหน่อยก็เพิ่มความเป็นไปได้และหลักประกันขึ้นได้ส่วนหนึ่ง  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นกองทหารชิงซานยังมีกำลังพลอีกเท่าไรที่ใช้ได้?” ใต้เท้าเถียนเอ่ยถาม  

 

 

“ก็เท่าที่พวกท่านเห็น สี่สิบคน” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

แค่นี้?  

 

 

ใต้เท้าเถียนถลึงตามองนาง  

 

 

“แค่นี้” คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้าแล้วเสริมหนึ่งประโยค “เพียงพอแล้ว”  

 

 

สี่สิบคนช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว? ล้อเล่นอะไร ใครเชื่อกัน!  

 

 

“ข้าเชื่อ”  

 

 

ในห้องโถงพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น  

 

 

ทุกคนมองตามเสียงนี้ไป เห็นหลี่กั๋วรุ่ยที่นั่งอยู่ด้านหลัง  

 

 

ตั้งแต่กลับมาเขาเหม่อลอยนิดๆ มาตลอดคล้ายเหนื่อยหมดสภาพแล้ว แล้วก็ไม่ได้พูดจาอย่างไร  

 

 

เวลานี้นาทีนี้เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าฮึกเหิม สองตาสว่างไสว คนทั้งร่างคล้ายวิญญาณกลับคืนมา  

 

 

“ข้าเชื่อ” เขาเอ่ยเสียงดัง มองดูสตรีเยาว์วัยที่นั่งอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ “ข้าเชื่อว่ากองทหารชิงซานสี่สิบคนก็เพียงพอท่องป้าโจวตามอำเภอใจมิมีคนขวางได้ เหยียบราบทุกทิศ”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยคนนี้ตั้งแต่กลับมาก็สีหน้าไม่ปกติ คงไม่ใช่สะเทือนใจจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรอกนะ?  

 

 

ใต้เท้าเถียนขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

“จะท่องตามอำเภอใจมิมีคนขวางได้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ย  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้ายิ่งฮึกเหิมแล้ว  

 

 

“ได้อย่างไร? พวกเจ้าไปลองดูศีรษะสองร้อยกว่าหัวนั่นที่ยึดมาได้” เขาตะโกนพลางยื่นมือชี้ด้านนอก “พวกเจ้าลองไปดูว่าพวกเขารบอย่างไรด้วยตาตนเอง! พวกเจ้าไปลองดูโจรจินอยู่ต่อหน้าพวกเขาอเนจอนาถวิ่งหนีอย่างไร! พวกเจ้าลองไปดูก็จะรู้ว่าพวกเขาท่องตามอำเภอใจมิมีใครขวางได้เหยียบราบทุกทิศได้อย่างไร!”  

 

 

พวกเขา….  

 

 

พวกใต้เท้าเถียนมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยตอนเพิ่งกลับมาก็เคยเอ่ยประโยคหนึ่ง เป็นคุณหนูจวินพวกเขาสู้ แต่ตอนนั้นพวกเขาถูกผลการรบกับจำนวนผู้ลี้ภัยที่นำกลับมาทำให้ตื่นตะลึงความคิดสับสนจึงไม่ได้สืบสาวประโยคนี้อย่างไร  

 

 

ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าคำพูดประโยคนี้ไม่ใช่ถ้อยคำตามมารยาทที่เอ่ยชมแขกในสถานการณ์นั้นหรือ? เป็นพวกเขาสู้หรือ?  

 

 

“พวกเขา สู้อย่างไร?” ใต้เท้าเถียนเอ่ยถาม  

 

 

……………………………………….  

 

 

“พวกเขาไม่ใช่คนชัดๆ”  

 

 

“ก้อนหินใหญ่แค่นั้น โยนข้ามไปก็ตายเป็นเบือ   

 

 

“รถสัมภาระคันหนึ่งที่แท้เป็นเครื่องยิงศรเครื่องหนึ่ง ศรที่ยิงพุ่งทะลุได้สิบคน”  

 

 

“ฝีมือขี่ม้าของพวกเขาสูงส่ง”  

 

 

“ไล่ตามทหารจินเหล่านั้น ไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆ”  

 

 

ตรงมุมถนนนายทหารหลายคนที่กลับมาจากป้าโจวถูกผู้คนรุมล้อมอยู่ พวกเขาเล่าพลางถอนหายใจพลาง บรรดานายทหารรอบด้านได้ฟังก็ตกตะลึงไปพลางหวาดกลัวไปพลาง  

 

 

ฟังอย่างไรก็น่าเหลือเชื่อ  

 

 

“ไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อหรอก นี่ล้วนเป็นความจริง” นายทหารหลายคนตะโกน “ดูของที่ยึดมาได้เหล่านั้นสิ ศีรษะทหารจินหลายร้อยนั่นล้วนตายในมือพวกเขาไม่กี่สิบคน ยังมีพวกเรา พวกเราเดินทางในป้าโจวสามวัน พบโจรจินสามหน แต่กลับไม่บาดเจ็บสักนิดทั้งหมดรอดกลับมาแล้ว สิ่งนี้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”  

 

 

ใช่แล้ว รบกับทหารจินหนึ่งพันกว่าคน เดินทางในสถานที่ซึ่งทหารจินเพ่นพ่านสามวัน ไม่เพียงไม่บาดเจ็บสักนิดยังพาประชาชนมากปานนี้กลับมาได้ด้วย  

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือหลักฐานยืนยัน ไม่อาจโต้แย้ง  

 

 

บรรดานายทหารสีหน้าตะลึงงันทั้งยังสับสน  

 

 

มีคนเดินผ่านข้างกายไป นายทหารที่เล่าเรื่องราวอยู่พลันยืนตัวตรง  

 

 

“ดู ดู คนนี้ก็คือผู้กล้าคนหนึ่งของกองทหารชิงซาน” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ข้าเห็นเขาคนเดียวสังหารโจรจินไม่ต่ำกว่าสิบคนกับตา อาศัยแค่ดาบยาวเล่มเดียว”  

 

 

ผู้คนรีบมองไป เห็นบุรุษรูปร่างผอมแห้งอายุเกือบสี่สิบปีคนหนึ่งจูงม้าเดินช้าๆ ผ่านมา เมื่อถอดชุดเกราะออกแล้วคนผู้นี้ดูไปแล้วยิ่งชรายิ่งผอมยิ่งไร้สง่าราศี  

 

 

ไม่รู้คิดอะไรได้ คนผู้นั้นพลันตบศีรษะ คว้าเชือกบังเ**ยนรีบร้อนขึ้นม้า ตอนที่ยกเท้านี่เองเสียงตุ้บก็ดังขึ้นทีหนึ่ง มีของจากขาเขาร่วงลงพื้น  

 

 

ผู้คนไม่ทันคิดมองไป  

 

 

เท้าข้างหนึ่ง  

 

 

เท้า!  

 

 

บรรดานายทหารข้างทางส่งเสียงร้องตกใจทีหนึ่ง  

 

 

ต่อสู้โหดร้ายปานนี้ เท้าของชายฉกรรจ์คนนี้ถูกฟันขาดแล้วหรือ?  

 

 

“ท่านหมอ”  

 

 

พวกเขาร้องตระหนก กำลังจะพุ่งไปประคองผู้ชายที่กำลังจะล้มลงพื้นร้องโอดโอยคนนี้ กลับเห็นผู้ชายคนนั้นทั้งไม่ได้กลิ้งกับพื้นร้องไห้ ทั้งไม่ได้เลือดนองเป็นสายน้ำ เพียงแค่สีหน้านิ่งสงบก้มตัวเก็บเท้าขึ้นมาหิ้วไว้ในมือจากนั้นพลิกกายขึ้นม้าเดินกุบกับจากไป  

 

 

บรรดานายทหารข้างทางแข็งทื่ออยู่ที่เดิมตาโตอ้าปากค้าง  

 

 

นี่ นี่…  

 

 

เทพเซียนหรือปีศาจกัน?  

 

 

กองทหารชิงซานนี่ไม่ใช่คนจริงๆ ด้วย!  

ท่านหญิงเฉิงกั๋ว  

 

 

ซุนซานเจี๋ยขาสั่น มองสตรีผู้นี้อย่างไม่อยากเชื่อ  

 

 

นางคือท่านหญิงเฉิงกั๋ว? ภรรยาของเฉิงกั๋วกงจูซาน? ท่านหญิงผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งของราชสำนัก?  

 

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า  

 

 

“ข้ามาดูที่นี่สักหน่อย” นางเอ่ยตอบ   

 

 

เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋วจริงๆ ซุนซานเจี๋ยใจลอยอยู่บ้าง แต่ในวัดเฉิงหวงเสียงคุกเข่ากับพื้นดังตึกดังขึ้นเป็นแถบ  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว”  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายพากันคุกเข่ากับพื้นตะโกน สีหน้าตื่นเต้น  

 

 

แดนเหนือทุกผู้ทุกคนรู้จักเฉิงกั๋วกง ย่อมรู้จักท่านหญิงเฉิงกั๋วเช่นกัน  

 

 

เพียงแต่ท่านหญิงเฉิงกั๋วพบยากยิ่งกว่าเฉิงกั๋วกง ทุกคนฝันก็คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ไม่กี่วันนี้กินด้วยกันอยู่ด้วยกันกับพวกเขาถึงกับเป็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว  

 

 

ท่านหญิงเฉิงกั๋วยังมาแจกข้าวต้มช่วยเหลือปกป้องพวกเขาด้วยตนเอง  

 

 

ในวัดเฉิงหวงเสียงร้องไห้ดังขึ้นรอบด้าน กระจายออกไปย่างรวดเร็ว จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงคุกเข่าลงพรึบพรึบเป็นแถบ  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อเห็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นก็ไม่กังวลว่ากองทหารฉางเฟิงจะถูกคนหลอกอีกต่อไป แต่กลับยิ่งเพิ่มความวิตก  

 

 

แม้กองทหารฉางเฟิงไม่ได้ถูกสายลับชาวจินหลอก แต่ก็ยังคงไปที่อันตราย  

 

 

“มีแค่กำลังพลพันคนน้อยนิดยังไม่ถึงในเขตป้าโจว อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนเอ่ย “นี่ก็ไปหลายวันแล้วยังไม่กลับมาเลย”  

 

 

น่ากลัวว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี  

 

 

คำพูดประโยคนี้เขาไม่ได้เอ่ยออกมา นอกจากนี้คำพูดที่เดิมควรพูดอีกประโยคหนึ่งก็ไม่ได้เอ่ยออกมาด้วย  

 

 

ประโยคนั้นย่อมเป็นพวกเราส่งทหารไปตามหาพวกเขาเถอะ  

 

 

วันนี้เวลานี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว กระทำการไม่อาจใช้อารมณ์  

 

 

ด้านในวัดเฉิงหวงเงียบสงบพักหนึ่ง  

 

 

แม่ทัพหลายคนหน้าเริ่มแดงหันหน้าหลบไป นายหญิงอวี้สีหน้านิ่งสนิทไม่ได้ไม่พอใจกับเรื่องนี้  

 

 

“ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะกลับมา” นางเอ่ยเพียงเท่านี้  

 

 

ทำไมมั่นใจปานนี้? ใต้เท้าเถียนเพิ่งกำลังจะเอ่ยอะไรก็ได้ยินด้านนอกเสียงโหวกเหวกพักหนึ่งดังขึ้น  

 

 

“ใต้เท้าหลี่กลับมาแล้ว!”  

 

 

ถึงกับกลับมาแล้วจริงๆ? ใต้เท้าเถียนสีหน้าตกตะลึง บนหน้านายหญิงอวี้ที่อยู่ด้านข้างผุดรอยยิ้มจางๆ  

 

 

หลังความตกตะลึงของผ่านพ้นไปใต้เท้าเถียนก็ถอนหายใจอีกครั้ง  

 

 

ไม่รู้ว่าบาดเจ็บล้มตายหนักหนาเท่าไรนะ  

 

 

ได้ยินเสียงพึมพำของเขา นายทหารที่มาแจ้งข่าวก็สีหน้าพิกลอยู่บ้าง  

 

 

“มากมาย” เขาเอ่ย  

 

 

บาดเจ็บล้มตายมากมายจริงๆ สินะ? รู้อยู่แล้วเชียวว่าจะเป็นเช่นนี้ หนีจากความตาย สิบคนปกป้องหนึ่งคนหนีกลับมาได้ก็ไม่เลวแล้ว วันนี้ทหารของเหอเจียนเหลือไม่มากแล้ว ใต้เท้าเถียนปวดใจนิ่งนัก  

 

 

“ไม่ใช่ขอรับ คนที่มามากมาย” นายทหารเอ่ยต่อพลางยื่นมือชี้นอกเมือง “รับผู้ลี้ภัยกลับมาสองพันคน”  

 

 

สองพัน!  

 

 

คนทั้งหมดล้วนแห่ไปที่ประตูเมือง นายทหารทั้งหลายบนกำแพงเมืองล้วนเบียดกันมองไปด้านนอกอยู่  

 

 

“แน่ใจไหมว่าเป็นใต้เท้าหลี่?”  

 

 

ผู้คนถกเถียงชี้มือชี้ไม้ล้วนท่าทางไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นประชาชนมากมายยุบยับที่เดินอยู่ตรงกลางถูกทหารปกป้องอยู่  

 

 

กวาดตาประมาณคร่าวๆ ไม่ต่ำกว่าสองพันคน ผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่นหิ้วปีกจูงมือกัน  

 

 

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนไม่ทันสนฐานะมาถึงบนกำแพงด้วย  

 

 

นอกจากตกตะลึงกับจำนวนประชาชนแล้ว ยังตกตะลึงกับจำนวนทหารอีกด้วย  

 

 

“พวกเจ้าไปกันกี่คน?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถามอีกครั้ง  

 

 

“เก้าร้อยกว่าขอรับ” ซุนซานเจี๋ยเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

เก้าร้อยกว่ารึ?  

 

 

นี่ดูไปแล้ว…พวกใต้เท้าเถียนอดไม่ได้จุ๊ปาก ดูไปแล้วทำไมยังคงเป็นเก้าร้อยกว่า?  

 

 

กองกำลังใกล้เข้ามาทุกทีจนมองเห็นหน้าของบรรดาทหารได้ สหายทั้งหลายที่เคยคุ้นอดกลั้นไม่ไหวร้องดีใจเสียงดังบนกำแพงเมือง  

 

 

กองกำลังที่กำลังเคลื่อนที่นั่นกลับไม่วุ่นวายเพราะเสียงร้องดีใจนี้ ยังคงเรียงแถวเคร่งครัด แบ่งหน้าหลังปกป้องประชาชนเคลื่อนไปช้าๆ   

 

 

มีเพียงคนผู้หนึ่งกับม้าตัวหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแถว บ้างวิ่งวนล้อมชาวบ้านกับทหาร บ้างวิ่งรี่ไปข้างหน้าประหนึ่งสายลม บ้างรั้งม้าหยุด ประหนึ่งม้าน้อยไม่ได้รับการสั่งสอนกระทำตามใจ  

 

 

พร้อมกับที่วิ่งขยับ ผ้าโพกศีรษะของนางก็ไหลร่วงเผยเส้นผมดำขลับเต็มศีรษะ  

 

 

ผู้หญิง!  

 

 

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนบนกำแพงเบิกตาโต  

 

 

“นี่ก็คือคุณหนูจวินคนนั้นหรือ?” พวกเขาเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะ มองดูเด็กสาวที่ปิดหน้าทะยานม้าวิ่งมาข้างหน้าอีกหนคนนั้น เห็นข้าวของเช่นคันศรดาบยาวที่นางแขวนไว้ครบครัน เหมือนทหารทุกประการ  

 

 

นอกจากนี้เด็กสาวคนนั้นยังสังหารคนได้จริงๆ อีกด้วย  

 

 

“คนนี้ไม่ใช่ขอรับ คุณหนูจวินคนนั้นเหวี่ยงดาบแทงหอกไม่เห็น” ซุนซานเจี๋ยรีบเอ่ย “คุณหนูจวินเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง”  

 

 

เป็นแม่นางน้อยอ่อนหวานคนหนึ่ง ฆ่าคนไม่เป็น  

 

 

นายหญิงอวี้ได้ยินเข้าก็ยิ้ม  

 

 

แม่นางน้อยอ่อนหวานแม้ไม่ลงมือ คนที่ฆ่าไปกลับไม่น้อย  

 

 

น่าสนใจจริงๆ มีผู้หญิงเดินทางไปด้วยจริงๆ พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนก็มองเห็นพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนรถหลายคนในกองกำลังที่เดินเข้ามาใกล้แล้ว  

 

 

“นี่ก็คือกองทหารชิงซานนั่นรึ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยพยักหน้าจากนั้นยื่นมือชี้ด้านล่างของกำแพง  

 

 

จ้าวฮั่นชิงทะยานม้ามาถึงหน้าประตูก่อนก้าวหนึ่งแล้ว บนม้าของนางมัดธงผืนหนึ่งอยู่ ธงผืนใหญ่สีแดงสดสะบัดไหวพรึบพรับ ด้านบนคำว่ากองทหารชิงซานสามคำสะดุดตายิ่งนัก  

 

 

“เปิดประตู” นางตะโกนเสียงดัง  

 

 

ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ ม้าตัวหนึ่งของจ้าวฮั่นชิงพุ่งนำเข้ามาก่อน  

 

 

“ท่านหญิง ท่านหญิง โรงข้าวต้มด้านนั้นเตรียมพร้อมเสร็จแล้วหรือยังเจ้าคะ?” นางตะโกนเสียงดัง “คนที่มาไม่น้อยเลย”  

 

 

นายหญิงอวี้ที่เดินลงกำแพงมาต้อนรับอมยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“เตรียมพร้อมเรียบร้อยหมดแล้ว” นางเอ่ยแล้วหันหน้าไปเรียก  

 

 

ผู้ชายผู้หญิงหลายคนเดินออกมา นี่คือผู้ลี้ภัยที่มาถึงก่อนหน้านี้และถูกเลือกมารรับผิดชอบจัดการธุระของผู้ลี้ภัย  

 

 

มองดูผู้ลี้ภัยที่สีหน้าหวาดหวั่นใบหน้าเหลืองเนื้อตัวซูบสองพันกว่าคนนี้ ผู้ชายผู้หญิงหลายคนนี้ก็ทั้งใจหายทั้งปิติยินดี รีบนำผู้คนไปยังวัดเฉิงหวง  

 

 

หน้าประตูเมืองจึงเหลือเพียงบรรดาทหาร  

 

 

“พวกนี้ล้วนเป็นประชาชนของป้าโจวหรือ?” ใต้เท้าเถียนอดทนรอไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น สายตาของเขามองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยดูเหมือนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คนก็เหม่อลอยนิดๆ  

 

 

“ใช่ขอรับ” เขาเอ่ยตอบ  

 

 

ยืนยันคำตอบแล้วแม่ทัพมากกว่าเดิมก็อดไม่ไหวพากันไถ่ถาม  

 

 

“มากปานนี้เชียว”  

 

 

“พวกเจ้าเดินทางไปกี่แห่ง?”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยคล้ายตอบสนองไม่ทันจะตอบ มองดูแม่ทัพเหล่านี้  

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ” ใต้เท้าเถียนเป็นฝ่ายห้ามปราม “ใต้เท้าหลี่ก็ลำบากแล้ว”  

 

 

“ใช่แล้ว แม้ไม่ได้พบโจรจิน แต่เดินทางเที่ยวนี้ก็เหนื่อยพอแล้ว” ทุกคนพากันเอ่ยขึ้นท่าทางเห็นใจและปลอบประโลม  

 

 

ในที่สุดสายตาของหลี่กั๋วรุ่ยก็ดูมีสติขึ้นมา  

 

 

“ใครว่าไม่ได้พบโจรจิน” เขาเอ่ยขึ้นจากนั้นยื่นมือชี้รถม้าด้านหลัง “ที่ยึดมาบนรถ ทั้งหมดศีรษะสองร้อยยี่สิบสามหัว ชุดเกราะหนึ่งร้อยยี่สิบสามชุด ม้าศึกสิบแปดตัว”  

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักคล้ายครุ่นคิดนิดหนึ่ง  

 

 

“ข้าจำได้ไม่ค่อยชัดแล้ว น่าจะมากปานนี้กระมัง”  

 

 

พูดจบไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงมองไปทางพวกใต้เท้าเถียน เห็นพวกเขาสีหน้าตะลึงงันตาโตอ้าปากค้าง  

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” ใต้เท้าเถียนเสียงสั่นเอ่ยถาม “พวกเจ้าพบโจรจินเข้าแล้ว?”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยขานรับแล้วพยักหน้า  

 

 

“พบเข้าสามกอง กองแรกจำนวนคนมากสักหน่อย สองครั้งที่เหลือคนน้อยมากแล้ว หนีไปเร็วเลยไม่ได้สู้อย่างไร”เขาเอ่ยเล่า  

 

 

ซุนซานเจี๋ยอดไม่ได้กลืนน้ำลาย  

 

 

“คนมาก มากเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“หนึ่งพันห้าร้อยกว่ากระมัง” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  

 

 

หน้าประตูเมืองเสียงสูดลมหายใจเบาๆ ดังขึ้น  

 

 

ซุนซานเจี๋ยกลืนน้ำลายอีกครั้ง  

 

 

“เจ้าบอกว่า พวกเจ้าเก้าร้อยกว่าคนพบโจรจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ส่วนพวกแม่ทัพกับใต้เท้าเถียนก้าวไวๆ เดินไปทางรถม้าด้านนั้นแล้ว นายทหารที่ยืนอยู่ข้างรถม้าหลีกทาง เผยของที่ยึดมาได้วางเต็มรถ ศีรษะคนชุดเกราะกองพะเนินยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง  

 

 

ใต้เท้าเถียนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

“พวกเจ้า บาดเจ็บล้มตายเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นจริง ไม่ใช่ฝันไปใช่ไหม?  

 

 

ประหลาดจริงๆ ทำไมเขารู้สึกว่านายทหารตรงหน้าไม่ได้น้อยลง  

 

 

“บาดเจ็บสิบสามคน” หลี่กั๋วรุ่ยตอบ “ไม่มีคนตาย”  

 

 

ที่นั่นเงียบไปหมดอีกครั้ง กระทั่งเสียงสูดลมหายใจก็ไม่ได้ยินแล้ว  

 

 

แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?  

 

 

เก้าร้อยคนรวมผู้หญิง บนท้องทุ่งพบโจรจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน หลังจากนั้นยังสู้ชนะ? สังหารโจรจินสองร้อยกว่าคน ส่วนตนเองกลับมีคนเจ็บแค่สิบกว่าคน?  

 

 

นี่ไม่ใช่ฝันไปยังเป็นอะไรอีกเล่า? นี่เป็นไปได้อย่างไร?  

 

 

“พวกเจ้า รบอย่างไรกัน?” ใต้เท้าเถียนมองหลี่กั๋วรุ่ยแล้วเอ่ยถามขึ้น  

 

 

ใช่แล้ว นี่รบอย่างไรกันนะ?  

 

 

สายตาทั้งหมดล้วนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย ส่วนหลี่กั๋วรุ่ยก็มองไปด้านข้าง ด้านข้างมีทหารกลุ่มหนึ่งลงจากม้า พวกเขาอายุไม่เท่ากัน ผอมแห้งทั้งยังดูซื่อๆ แต่กลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับสักนิด คล้ายกับหอกยาวเล่มแล้วเล่มเล่าปักบนดินแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบน่าขนลุก  

 

 

สู้อย่างไร?  

 

 

คิดถึงภาพนั้น ลมหายใจของหลี่กั๋วรุ่ยก็ถี่กระชั้นขึ้นมา  

 

 

น่ากลัวเกินไปแล้ว  

 

 

การรบครั้งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว  

 

 

ไม่ต้องพูดถึงทหารจินฝั่งตรงข้ามแล้ว กระทั่งพวกเขายังกลัวจนจะเป็นลม  

 

 

ใต้กระสุนหินและศรหอก กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของทหารจินไม่มีเหลือ ยังไม่ทันได้โจมตีก็ขวัญกระเจิงเสียขวัญสิ้นถอยหลังหนีอลหม่านบนทุ่งกว้าง  

 

 

‘ฆ่า!’  

 

 

จนกระทั่งถึงนาทีนี้ เสียงสตรีกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมถึงอ้าปากเอ่ยวาจา  

 

 

เสียงฆ่าคำนี้ ธงสะบัดปลิว กระบวนทัพสี่เหลี่ยมแปรเปลี่ยน รถสัมภาระถอยหลัง หอกยาวขึ้นหน้า ขบวนแถวประหนึ่งหินยักษ์กลิ้งหลุนๆ ไล่ตามไปหาทหารจินที่วิ่งหนี  

 

 

นี่เป็นการฆ่าล้างบางจริงๆ  

 

 

แม้เป็นคนเก้าร้อยกว่าคน แต่สิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้จริงๆ กลับเป็นคนไม่ถึงสี่สิบคนนี้  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยยื่นมือชี้ไป   

 

 

“เป็นคุณหนูจวินพวกเขาสู้” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหรือ?  

 

 

บรรดาแม่ทัพที่นั่นล้วนมองตามที่เขาชี้ไป ด้านนั้นสตรีเยาว์วัยอีกคนหนึ่งควบม้าเยาะย่างมาช้าๆ  

 

 

จ้าวฮั่นชิงทะยานม้าวนล้อมข้างกายสตรรีผู้นั้น ธงสีแดงที่มัดอยู่บนหลังม้าขับเน้นผ้าคลุมสีแดงของคุณหนูจวิน คำว่ากองทหารชิงซานสามคำบนธงพลิ้วไสวในสายตาของผู้คน  

พร้อมกับเสียงหวีดหวิว ก้อนหินสามก้อนวาดเป็นเส้นสมบูรณ์แบบร่วงลงตรงหน้ากระบวนทัพทหาร  

 

 

เสียงบึ้มดังขึ้นสามหน  

 

 

ในกระบวนทัพคนหงายม้าล้ม เสียงกรีดร้อง เสียงร้องโอดโอยทำให้กองหน้าที่พุ่งเข้ามาสังหารเบื้องหน้าล้มลงเป็นแถบ ส่วนในกระบวนทัพด้านหลังก็ไม่อาจโชคดีหลบเลี่ยง ในด้านกำลังใจ ในด้านจิตใจรวมถึงถูกม้าศึกวิ่งวุ่นวายรูปกระบวนทัพปั่นป่วน  

 

 

หลังสามครั้งกระบวนทัพของทหารจินที่เดิมทีเป็นระเบียบน่าเกรงขามก็กลายเป็นโกลาหลไปหมด  

 

 

นี่ที่แท้คือสิ่งใด?  

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงความตื่นตะลึงของอีกฝ่าย พวกหลี่กั๋วรุ่ยก็มองอึ้งไปแล้ว ในหูเสียงดังวิ้งวิ้งวิ้งไม่หาย ในสมองก็สับสนไปหมด  

 

 

แต่นี่ยังไม่จบ เห็นเพียงธงสะบัดไหวพรึบพรับ พวกผู้หญิงหมุนรถสัมภาระกลับมา หลังการเคลื่อนไหวพักหนึ่งชวนตาลายสับสน รถสัมภาระก็เปลี่ยนสภาพอีกหน ผู้หญิงสิบคนช่วยกันหมุนกว้านอันหนึ่ง เสียงกึกๆ ดังขึ้น แท่งยาวแท่งแล้วแท่งเล่าคล้ายหอกยาวที่เดิมทีวางอยู่ใต้รถยกเอียงขึ้นมา  

 

 

นี่คือ…  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยรู้สึกเพียงลำคอแห้งผาก  

 

 

ความคิดเพิงเริ่มก็ได้ยินเสียงยิงอีกครั้ง เสียงหวีดหวิวฟิ้วๆ หอกยาวบนรถสัมภาระก็พุ่งไปทางกระบวนทัพของโจรจิน   

 

 

หอกยาวเล่มหนึ่งพริบตาพุ่งทะลุทหารจินที่ชูดาบยาววิ่งมาคนหนึ่ง  

 

 

ไม่ ยังไม่หยุด ไม่ใช่คนเดียว สองคน สามคน…  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกลืนน้ำลาย  

 

 

หอกยาวเล่มหนึ่งทหารหนึ่งพวง หนึ่งพวง   

 

 

หอกยาวประหนึ่งสายฝน กลบกระบวนทัพของทหารจินไว้ท่ามกลางสายลมคลั่งฝนกระหน่ำ  

 

 

ที่แท้สงครามนี่ก็สู้เช่นนี้ได้รึ  

 

 

นี่ยังสู้อะไรเล่า นี่ฆ่าล้างบางชัดๆ  

 

 

……………………………………….  

 

 

กองกำลังป้องกันบนกำแพงเมืองฉางเฟิงเคร่งเครียดกว่าวันวานมาก ประการแรกฟ้าเริ่มมึดแล้วคนด้านนอกยังไม่กลับมา ประการที่สองบรรดาใต้เท้าชุดขุนนางเต็มยศกลุ่มหนึ่งกำลังโกรธเทียมฟ้า  

 

 

“ออกไปกี่วันแล้ว?” พวกเขาตะโกนโกรธเกรี้ยว “หนึ่งพันคนถึงกับกล้าบุกเข้าไปในเขตป้าโจว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าป้าโจววันนี้มีทหารจินเท่าไร?”  

 

 

ซุนซานเจี๋ยยื่นฝ่ามือหนึ่งออกมา  

 

 

“เกือบห้าพันขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

“เจ้ายังมีหน้าพูด” ผู้ตรวจการท้องถิ่นไม่สนมารยาทอีกต่อไป พ่นวาจาใส่หน้า  

 

 

ซุนซานเจี๋ยรีบร้องข้าไม่ผิดนะขอรับ  

 

 

“เดิมทีข้าบอกว่าให้พาไปสองพันคน แต่คุณหนูจวินคนนั้นบอกว่าหนึ่งพันคนก็พอแล้ว สองพันคนมากเกินไปถ่วงการเดินทาง นอกจากนี้บอกว่าปกป้องเมืองคนควรมากสักหน่อย หากทหารจินลอบจู่โจมมาจะได้อาศัยคนมากคว้าชัย” เขาเอ่ย  

 

 

คำพูดนี้ฟังไปแล้วประหลาดอยู่บ้าง คล้ายจะบอกว่าพวกเขาสองพันคนนี้ยังสู้หนึ่งพันคนไม่ได้  

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถกเถียงเรื่องนี้ ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นสบถ  

 

 

“ใครถามเจ้าเรื่องนี้!” เขาตวาดเอ่ย “ข้าบอกว่าเจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ หนึ่งพันคนก็กล้าวิ่งไปที่ๆ ชาวจินอยู่”  

 

 

ซุนซานเจี๋ยสีหน้าจริงจัง  

 

 

“ใต้เท้า คำสั่งของเฉิงกั๋วกง อันตรายไม่หวั่น เห็นความตายประหนึ่งที่พำนัก” เขาเอ่ย  

 

 

พวกเขาไม่รู้ว่าอันตรายรึ? แต่อันตรายแล้วอย่างไร? ตัวเป็นแม่ทัพย่อมต้องฟังคำสั่งมุ่งไปข้างหน้า  

 

 

นี่คือความเชื่อที่สิบปีมานี้ฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเขา  

 

 

ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นพูดไม่ออกอีกครั้ง เพลิงโทสะก็ล้นปรี่  

 

 

“พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมหากนี่ไม่ใช่คำสั่งของเฉิงกั๋วกงเล่า?” เขาตวาดเสียงเข้ม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยตะลึงไปวูบหนึ่ง  

 

 

“กองทหารชิงซานอะไรนี่พวกเจ้าเคยได้ยินรึ?” ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นตวาดอีกครั้ง  

 

 

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนขอรับว่ามีกองทหารกองหนึ่งเช่นนี้ แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าในกองทัพของเฉิงกั๋วกงมีคนเหล่านี้ด้วย”  

 

 

ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “หากคนเหล่านี้เป็นสายลับของชาวจินเล่า? หากครั้งนี้ไปแล้วไม่กลับมา หนึ่งพันคนของพวกเราก็เข้าปากสุนัขป่าแล้ว”  

 

 

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะอีกครั้ง  

 

 

“คงไม่หรอกขอรับ” เขาสีหน้าลังเลรีรอเอ่ยขึ้น “กองทหารชิงซานนั่นยังเหลือคนไว้ที่นี่นะขอรับ”  

 

 

เหลือคนไว้? เหลือใครไว้?  

 

 

“เป็นสตรีผู้หนึ่ง” ซุนซานเจี๋ยเอ่ย “เหมือนจะเป็น…แม่ของคุณหนูจวินคนนั้น?”  

 

 

คุณหนูจวิน หลังผู้ตรวจการท้องถิ่นมาที่นี่ได้ยินหลายครั้งจนคุ้นเคยยิ่งนักแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินคนนี้ยังมีมารดาด้วย?  

 

 

ผู้หญิงคนหนึ่งพาคนมาทำสงครามก็น่าขำพอแล้ว ยังพามารดามาด้วย?  

 

 

เหลวไหลไร้สาระอะไรกัน  

 

 

นี่ทำสงครามประสาอะไรกัน!  

 

 

“อยู่ที่ไหน?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นตวาดอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

ซุนซานเจี๋ยรีบชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง  

 

 

“อยู่ที่วัดเฉิงหวงด้านนั้นแจกข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยอยู่ขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

ตั้งแต่เริ่มเปิดประตูเมืองรับผู้ลี้ภัย ด้านในเมืองฉางเฟิงก็ชุมนุมคนไว้เกือบสี่ห้าร้อยคน  

 

 

ทุกวันล้วนมีคนเดินทางไปสถานที่ใต้ลงไปจากเมืองเหอเจียน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีผู้ลี้ภัยใหม่ๆ หนีมา  

 

 

หม้อใหญ่สิบกว่าใบวางอยู่หน้าวัดเฉิงหวง ท่ามกลางฤดูหนาวควันร้อนลอยฉุยทำให้คนมองทั้งร่างอบอุ่น  

 

 

เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารพอดี ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเรียงแถวเดินหน้าไปตามลำดับ แม้คนมากมายแต่เงียบสงบและเป็นระเบียบ  

 

 

ขุนนางกลุ่มหนึ่งเช่นผู้ตรวจการท้องถิ่นเป็นต้นที่เร่งรีบเดินทางมาเห็นสถานการณ์นี้เข้าก็อดชะงักเท้าไม่ได้  

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยเห็นการแจกข้าวต้ม เคยเห็นผู้ลี้ภัยมามาก แต่สถานการณ์นั้นล้วนวุ่นวาย  

 

 

ตอนนี้ตรงนี้ผู้ลี้ภัยเงียบสงบไม่โวยวายร้องไห้ กระทั่งกระต๊อบที่อาศัยก็สร้างขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งไม่มีกลิ่นเหม็นสกปรกเละเทะของอุจจาระปัสสาวะตามที่ต่างๆ  

 

 

แล้วก็…  

 

 

ผู้ตรวจการท้องถิ่นชี้คนที่แจกข้าวต้มอยู่หน้าหม้อใบใหญ่  

 

 

“พวกนี้เหมือนจะเป็นผู้ลี้ภัย?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยรีบพยักหน้า  

 

 

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ คุณหนูจวินบอกว่าทหารทั้งหลายต้องปกป้องเมือง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็ให้พวกผู้ลี้ภัยจัดการกันเองก็พอแล้ว” เขาเอ่ย “พวกนี้ตั้งแต่ต้มข้าวต้มจนถึงแจกข้ามต้มไปจนถึงเก็บล้างชามตะเกียบล้วนเป็นพวกผู้ลี้ภัยทำเอง”  

 

 

พวกผู้ลี้ภัยทำเอง?  

 

 

พวกผู้ลี้ภัยจิตใจเป็นอย่างไร พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในวงการขุนนางมองกระจ่างนานแล้ว คนในยามยากไม่มีระเบียบสักนิด  

 

 

“มีกองทหารชิงซานอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนเชื่อฟังอย่างยิ่ง” ซุนซานเจี๋ยยิ้มเอ่ยพลางชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง  

 

 

กองทหารชิงซานไม่ใช่ล้วนไปป้าโจวแล้วรึ? อีกอย่างนี่มีทหารที่ไหน? พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นขมวดคิ้วมองไปตามที่ชี้  

 

 

หน้าวัดเฉิงหวงธงใหญ่ผืนหนึ่งรับลมโบกสะบัดพรึบพรับ ธงแดงอักษรทอง กองทหารชิงซาน  

 

 

“มีธงนี่อยู่ ทุกคนล้วนรักษาระเบียบยิ่งนัก” ซุนซานเจี๋ยยิ้มเอ่ย  

 

 

ธง?  

 

 

ธงผืนหนึ่งก็รักษาระเบียบของผู้ลี้ภัยได้? ก่อนหน้านี้มีนายทหารหลายร้อยยังขวางผู้ลี้ภัยวุ่นวายแย่งไม่ได้เลย  

 

 

นี่ทำได้อย่างไร?  

 

 

“เพราะกองทหารชิงซานพิถีพิถันกับระเบียบยิ่งนัก” ซุนซานเจี๋ยปลงอยู่บ้างเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ยังพูดคำไหนคำนั้น”  

 

 

นอกจากตอนแรกนอกประตูเมืองที่สังหารผู้ลี้ภัยที่เลวร้ายพวกนั้นตาย ต่อมาตอนแจกข้าวต้มก็สังหารผู้ลี้ภัยที่ก่อความวุ่นวายไม่กี่คนทันทีอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน  

 

 

คนที่ไม่รักษาระเบียบบอกฆ่าก็ฆ่า เป็นการข่มขวัญแล้วก็เป็นการพิสูจน์ ขอแค่ทำตามระเบียบก็จะได้รับการปกป้องไม่ต้องกังวล  

 

 

ทหารที่ไหนโหดเ**้ยมปานนี้? ต้องเป็นตัวปลอมแน่  

 

 

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นคิ้วขมวดแน่น  

 

 

“มารดาของคุณหนูจวินคนนั้นเล่า?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยชี้ไปในวัด  

 

 

“นายหญิงคนนั้นพักผ่อนอยู่ในวัดขอรับ” เขาเอ่ย  

 

 

ใต้เท้าผู้ตรวจท้องถิ่นสีหน้าเคร่งขรึมพาคนก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในวัด  

 

 

ไม่ว่ามันแสร้งเป็นเทพหรือทำเป็นผีก็จับมาสอบสวนก่อน  

 

 

ด้านในวัดเฉิงหวงคนก็ไม่น้อย บ้างนั่งบ้างยืนล้วนเป็นผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรี เพราะที่นี่กันลมกันหิมะได้ดีกว่ากระต๊อบ ดังนั้นถึงให้คนเหล่านี้พักผ่อนอยู่ที่นี่รึ?  

 

 

เมื่อเดินเข้าใกล้ ในวัดยังมีไอร้อนโถมมาอีก เห็นชัดยิ่งว่าด้านในจุดถ่านไฟไว้  

 

 

ฟุ่มเฟือยพอตัวเชียวนะ ถ่านไฟถาดหนึ่งแลกข้าวสารได้เท่าไรล่ะ  

 

 

ความลำบากเท่านี้ก็ทนไม่ได้ จะเป็นทหารได้อย่างไร  

 

 

ความโกรธของใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นยิ่งลุกโหม หนึ่งก้าวก้าวเข้าไปในวัด เมื่อด้านนี้คนกลุ่มหนึ่งมาถึงพรึบพรับ คนในวัดก็ล้วนมองมา เห็นทุกคนล้วนสวมชุดขุนนาง ทุกคนก็เรียบลุกขึ้นกระวนกระวาย  

 

 

ท่ามกลางความวุ่นวายนี้มีสตรีผู้หนึ่งนั่งทานข้าวต้มอยู่เงียบๆ เบื้องหน้าพระพุทธรูปย่อมแลดูสะดุดตายิ่งนัก  

 

 

นางสวมเสื้อลาย พันผ้าโพกศีรษะไว้เพื่อรักษาความอบอุ่น ดูแล้วประหนึ่งหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง  

 

 

ตอนแรกซุนซานเจี๋ยก็คิดว่าสตรีคนนี้เป็นผู้ลี้ภัยที่กองทหารชิงซานนี่ช่วยมาตามทาง แต่บุคลิกไม่ธรรมดาทั้งยังได้รับความเคารพจากคุณหนูจวินอย่างยิ่ง ถึงแม้เงียบเชียบไม่เคยออกมาเบื้องหน้าผู้คนก็ตาม  

 

 

ดังนั้นซุนซานเจี๋ยจึงคาดเดาว่านี่คือญาติผู้ใหญ่ของคุณหนูจวินคนนั้น  

 

 

ผู้หญิงยังติดตามมาทำสงครามได้ พามารดามาด้วยก็ไม่แปลกอะไรแล้ว  

 

 

นางคล้ายไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเอะอะด้านนี้ ยังคงทานข้าวต้มเงียบๆ  

 

 

ซุนซานเจี๋ยชิงก้าวไปข้างหน้า  

 

 

“นายหญิง นี่คือใต้เท้าเถียนผู้ตรวจการท้องถิ่นประจำเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยพลางกดเสียงเบา “ตั้งใจมาเพราะกองทหารชิงซาน”  

 

 

วาจาเอ่ยเตือนเช่นนี้ สตรีคนนี้ควรจะรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพวกใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นอย่างไรแล้วกระมัง?  

 

 

อย่างน้อยก็คงรู้จักคำนับกระมัง?  

 

 

สิ้นเสียงคำของเขา ก็เห็นสตรีตรงหน้าวางช้อนลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากแล้วหันหน้ามา  

 

 

“เถียนเหยารึ?” นางเอ่ย สายตามองไปทางพวกผู้ตรวจการท้องถิ่นที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วพยักหน้า “เจ้ามาแล้ว”  

 

 

อั้ยย่ะ สตรีผู้นี้ ทำไมไม่ลุกขึ้นคำนับกลับเอ่ยนามของใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นตรงๆ!  

 

 

ซุนซานเจี๋ยตกใจสะดุ้งโหยง แต่จากนั้นก็ตะลึง  

 

 

สตรีผู้นี้ทำไมทราบนามของใต้เท้าเถียนได้?  

 

 

ความคิดแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ทีหนึ่ง เขามองไปก็เห็นใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นที่เมื่อครู่ยังท่าท่างขึงขังใบหน้าโกรธเกรี้ยวกลับสีหน้าตะลึงงัน คนก็ก้มลงไปด้วย ถึงกับคำนับคารวะ  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว!” ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นเสียงสั่นระริกเอ่ยเรียก คารวะทีหนึ่งก็เงยศีรษะขึ้นมา “ท่านมาได้อย่างไร?”  

ผู้ลี้ภัยเกือบร้อยคนนอกเมืองเข้าไปในเมืองทุกคนแล้ว เหลือเพียงซากศพหลายร่างทอดกายอยู่นอกประตูเมือง  

 

 

นี่คือคนที่กระทำชั่วช้าผิดกฎมายซึ่งถูกยิงสังหารเดี๋ยวนั้นเมื่อครู่  

 

 

นอกจากห้าคนแรก ต่อมายังมีอีกสองคนที่ผู้ลี้ภัยซึ่งเคยถูกข่มเหงชี้ตัวยันยืนจึงถูกยิงสังหารอย่างไม่ปราณีสักนิดเช่นกัน  

 

 

เด็กสาวนุ่งผ้าคนนี้เ**้ยมทีเดียว  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยยืนดูอยู่บนกำแพงเมืองตลอดกระบวนการจากนั้นก็คลึงปลายจมูก  

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงฝีมือการยิงศรสูงส่ง การฆ่าคนตาไม่กะพริบนี่ไม่ใช่ใครก็ตามจะทำได้  

 

 

ทหารมากมายยามสังหารคนยังไม่เด็ดขาดปานนี้ สังหารโจรจินยังพอว่า สังหารคนของตนเอง….  

 

 

“นี่จะเรียกคนของตนเองได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ย “คนเหล่านี้ฉวยโอกาสยามวุ่นวายรังแกข่มเหงเพื่อนร่วมชาติผู้อ่อนแอ คุณธรรมเหลวแหลก อนาคตหากรบกับชาวจินก็คงกลับหอกย้ายฝ่าย ทำร้ายการป้องกันเมืองของพวกเรา ภัยร้ายซ่อนเร้นเช่นนี้เก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด บางครั้งความเมตตาก็คือความโหดเ**้ยม”  

 

 

ถูกสาวน้อยนุ่งผ้าคนหนึ่งสั่งสอนแล้ว หลี่กั๋วรุ่นยิ้มเฝื่อนทีหนึ่ง  

 

 

เพราะนอกเมืองตอนนี้ไม่มีผู้ลี้ภัยแล้ว ประตูเมืองจึงปิดสนิทลงช้าๆ แต่เชื่อว่าไม่นานก็จะมีผู้ลี้ภัยจากป้าโจวที่ได้ข่าววิ่งมา  

 

 

“เพิ่มการป้องกันเมือง” หลี่กั๋วรุ่ยตะโกนกับบนกำแพงล่างกำแพง เขามองดูคุณหนูจวินทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสริมอีกประโยค “ถ้ามีผู้ลี้ภัยมา ตรวจสอบตัวตนให้เข้มงวดแล้วปล่อยพวกเขาเข้ามาได้”  

 

 

นายทหารบนกำแพงล่างกำแพงขานรับพร้อมเพรียง กำลังใจฮึกเหิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  

 

 

เมื่อครู่ทหารกองหนุนเหล่านี้นำสุรากับเนื้อมา ให้พวกเขากินเนื้อที่ไม่ได้เห็นมานานมื้อหนึ่ง รู้สึกเพียงทั้งร่างพละกำลังเต็มเปี่ยม จิตใจฮึกเหิม  

 

 

แน่นอนสุรากับเนื้อเป็นด้านหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกงส่งทหารกองหนุนมาแล้ว  

 

 

พวกเขาไม่ได้ยืนหยัดปกป้องลำพังไร้กองหนุน  

 

 

คำสั่งเช่นนี้ไม่ใช่แค่ที่ฉางเฟิง แต่กระจายไปทั้งแนวเขตแดนเหอเจียน นอกจากป้องกันแน่นหนากวาดเสบียงนอกเมืองแล้ว ไม่อาจปฏิเสธผู้ลี้ภัยที่มาจากแดนเหนือเหล่านี้ไว้นอกประตูไม่สนใจได้  

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนี้แพร่ไปถึงเมืองเหอเจียนอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

เทียบกับฉางเฟิง ตัวมืองเหอเจียนสิบกว่าลี้ กำแพงเมืองสูงหนายิ่งกว่า ในจวนว่าการที่ตัวเมืองมีผู้ตรวจการท้องถิ่น มีกองกำลังป้องกันรักษาของเหอเจียน มีทหารม้าเกือบหมื่นนายที่ถอนกำลังกลับมาจากด้านหน้าปกป้องตัวเมืองที่เป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญของมณฑลเหอเป่ยซีแห่งนี้ แม้ทหารจินมารุกราน อาศัยตัวเมืองก็เพียงพอปลอดภัยไร้อันตราย  

 

 

นอกจากนี้จะเจรจาสงบศึกแล้ว หยุดสงครามแล้ว  

 

 

แต่ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับขุนนางฝ่ายทหารในจวนที่ทำการขุนนางเวลานี้ล้วนไม่ผ่อนคลาย แต่หัวคิ้วขมวดสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

“ทำเช่นนี้ เหอเจียนจะวุ่นวายหรือไม่” ใต้เท้าเถียนผู้ตรวจการท้องถิ่นที่เป็นหัวหน้าใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล  

 

 

“ข้าไม่รู้สึกว่ารับผู้ลี้ภัยจะวุ่นวาย” แม่ทัพคนหนึ่งหน้าแดงเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว หากพวกเราถอยกลับมา พวกขี้ขลาดพวกนั้นคงเอาแต่ปิดประตูหดหัว พวกเราไม่อยากถอยเลยจริงๆ…”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็กลืนลงไป  

 

 

ทว่าราชโองการทำให้คนลำบาก  

 

 

เฉิงกั๋วกงกล้าขัดโองการ พวกเขาไม่กล้าจริงๆ  

 

 

“กองทหารชิงซานนี่คืออะไร? ในทัพของเฉิงกั๋วกงมีกองทหารกองนี้รึ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเอ่ยถาม  

 

 

บรรดาแม่ทัพที่นั่นล้วนส่ายศีรษะ  

 

 

“หรือจะเป็นกองกำลังส่วนตัว?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นสงสัยเอ่ยถามขึ้น  

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายพากันส่ายศีรษะ  

 

 

“ไม่มีทาง” พวกเขาต่างเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวอย่างไม่ลังเลสักนิด “เฉิงกั๋วกงกระทั่งข้ารับใช้ในตระกูลยังไม่เลี้ยงไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองกำลังส่วนตัวแล้ว”  

 

 

แม้ในราชสำนักมักมีคนโจมตีกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงอยู่เสมอ แต่เลี้ยงกองกำลังส่วนตัวจุดนี้ไม่มีหลักฐานอย่างใดจริงๆ  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกแล้ว คงไม่ใช่ตัวปลอมหรอกนะ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นสันนิษฐานเอ่ย “อย่างไรตราประทับก็เป็นสิ่งของไร้ชีวิต”  

 

 

“ก็ไม่แปลกอะไรนะ เฉิงกั๋วกงใจเมตตารักประชาชน คงต้องการคุ้มครองประชาชนแน่ ไม่มีทางปล่อยให้ประชาชนถูกโจรจินเหยียบย่ำไม่สนใจ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม  

 

 

ยกแผ่นดินให้ ทอดทิ้งประชาชนเป็นเรื่องขายหน้ายิ่งนักจริงๆ ผู้ตรวจการท้องถิ่นถอนหายใจ   

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของพวกเขาเถอะ ปกป้องประชาชน อย่างไรก็ไม่นับว่าขัดขืนราชโองการ” เขาเอ่ย  

 

 

นี่ก็คือยอมรับการกระทำของกองทหารชิงซานแล้ว บรรดาแม่ทัพล้วนพยักหน้าเห็นด้วย  

 

 

เดิมทีที่ถอยก็ไม่ยินดีไม่ยินยอม  

 

 

“ใต้เท้า ใต้เท้า” นอกประตูมีทหารส่งสารรีบร้อนพุ่งเข้ามา ในมือชูสาส์นฉบับหนึ่ง “กองทหารป้องกันของฉางเฟิงด้านนั้นเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว”  

 

 

ป้าโจว!  

 

 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารที่นั่นล้วนตกใจยกใหญ่  

 

 

“ทำอะไร?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นหลุดปากตะโกน “คำสั่งใครให้พวกเขาข้ามเขต? พวกเขาต้องการทำอะไร?”  

 

 

ได้ข่าวว่าทหารจินเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว ทหารฉางเฟิงเหล่านี้คิดจะสู้กับชาวจินหรือ?  

 

 

นี่จะฝ่าฝืนราชโองการหรือเปล่า  

 

 

อีกอย่างบ้าไปแล้วรึ? พวกเขามีแค่สามพันคนเองไหม? นี่จะไปตายรึ!  

 

 

“ตราประทับนี่ต้องเป็นของปลอมแน่นอน” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเอ่ย สีหน้าโกรธเกรี้ยวลังเลไม่มั่นใจ ท้ายที่สุดก็ตบโต๊ะทีหนึ่ง “กองทหารชิงซานนี่เป็นสายลับจินหรือเปล่า!”  

 

 

ในโถงที่ทำการขุนนางวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ทุกคนหน้าถอดสี  

 

 

ถ้าอย่างนั้นทหารของฉางเฟิงใยไม่ใช่จบสิ้นแล้ว!  

 

 

กองทหารฉางเฟิงจบสิ้น เมืองเหอเจียนก็เปิดอ้าซ่าแล้ว!  

 

 

……………………………………….  

 

 

บนผืนดินกว้างใหญ่เวิ้งว้างในเดือนหนึ่งวังเวงไปหมด กลางท้องนภาสีเทาขมุกขมัวแสงสว่างสายหนึ่งพลันทะลุลงมา  

 

 

ใต้หญ้าแห้งในร่องน้ำคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ฉับพลันกระโดดออกมา ก้าวเร็วรี่วิ่งไปด้านหลัง  

 

 

ข้ามผ่านร่องน้ำก็มองเห็นทหารกลุ่มหนึ่งยืนขึงขังอยู่ในทุ่งกว้าง มีถึงพันคน  

 

 

“ด้านหน้ามีทหารจิน” ทหารสอดแนมที่พุ่งเข้ามาเอ่ยเสียงดัง  

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทหารที่ยืนขึงขังอยู่วุ่นวายพักหนึ่ง  

 

 

แต่ในขบวนแถวมีคนแถวหนึ่งขยับก็ไม่ขยับ ขี่ม้ายืนตรง  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง  

 

 

“ก็ไม่ใช่ไม่เคยเห็นทหารจิน ก็ไม่ใช่ไม่เคยรบเสียหน่อย” เขาด่าเสียงเบา  

 

 

ผนวกกับเพราะขบวนแถวด้านนั้นยังคงเคร่งครัด บรรดานายทหารที่วุ่นวายจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว  

 

 

ในเมื่อออกมาแล้วย่อมต้องพบเรื่องเช่นนี้แน่ แม้คิดไม่ถึงว่าจะพบเร็วปานนี้ก็ตาม หลี่กั๋วรุ่ยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กำลังจะพูดว่าเตรียมรบ คุณหนูจวินด้านนั้นก็เอ่ยปากก่อนแล้ว  

 

 

“กี่คน?” นางเอ่ยถาม  

 

 

ควันไฟเสียงเกราะส่งข่าวบอกได้ว่าพวกที่มามีเท่าไรได้ แต่เมื่อครู่มองไม่เห็นควันไฟนะและยิ่งไม่มีเสียงตีเกราะด้วย หลี่กั๋วรุ่ยมองไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง สีเทาขมุกขมัวว่างเปล่าทั้งผืน  

 

 

พวกนางส่งข่าวกันอย่างไร?  

 

 

“ราวหนึ่งพันห้าร้อยคน” ทหารสอดแนมเอ่ย  

 

 

คำพูดนี้ออกจากปาก หลี่กั๋วรุ่ยก็ไม่มีเวลาสนใจคิดว่าพวกเขาส่งข่าวอย่างไรแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ส่วนขบวนแถวที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่ก็วุ่นวายอีกครั้ง  

 

 

พวกเขามีแค่ไม่ถึงเก้าร้อยคน รบกับทหารจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน ทั้งยังไม่มีป้อมปราการให้อาศัย นี่เอาไข่มากระแทกหินโดยแท้  

 

 

“รีบหนี รีบหนี” หลี่กั๋วรุ่ยร้อง  

 

 

“ไม่อนุญาตให้หนี” คุณหนูจวินก็ตะโกนเช่นกัน “เตรียมพร้อมรบ”  

 

 

เสียงเด็กสาวไม่ดังเท่าหลี่กั๋วรุ่ย แต่นาทีต่อมาก็มีบุรุษสองคนก้าวออกมา สะบัดโบกธงในมือ  

 

 

“ตั้งกระบวนทัพ!” พวกเขาตะโกน  

 

 

ตั้งกระบวนทัพ หลี่กั๋วรุ่ยไม่ใช่ไม่คุ้น หลังจากตัดสินใจนำทหารมาในเขตป้าโจว คุณหนูจวินคนนี้ก็ให้คนของกองทหารชิงซานอบรมทหารสามพันนายของกองทหารฉางเฟิงสั้นๆ หลายรอบ หลักๆ คือการตั้งกระบวนทัพ การเข้าใจสัญญาณธงของพวกเขา ทำตามความต้องการของพวกเขา  

 

 

“พวกเราเชิญพวกเจ้ามาช่วยงาน ดังนั้นพวกเจ้าต้องเชื่อฟังพวกเรา” สองคนที่ชื่อหยางจิ่งกับเซี่ยหย่งนั่นเอ่ยเช่นนี้  

 

 

พูดจาวางโตหน้าไม่อายจริงๆ พวกเขามีไม่ถึงสี่สิบคน ในนั้นยังมีผู้หญิง ถึงกับบอกว่ากำลังพลสามพันของฉางเฟิงมาช่วยงานพวกเขา  

 

 

ใครช่วยงานใครหึ  

 

 

แม้บ่นในใจ แต่เพราะตราประทับของเฉิงกั๋วกง หลี่กั๋วรุ่ยจึงไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่คิดวุ่นวายอยู่รูปกระบวนทัพก็ตั้งเสร็จแล้ว รถสัมภาระที่เดิมทีอยู่ท้ายขบวนถูกขับมาด้านหน้าสุด  

 

 

พูดถึงรถสัมภาระ หลี่กั๋วรุ่ยก็ก่นด่าในใจ บุกลึกเข้ามาในสถานที่อันตรายเช่นนี้แน่นอนต้องม้าเร็วว่องไวคล่องตัว กองทหารชิงซานเหล่านี้ยังต้องเอารถสามคันมาด้วย  

 

 

ที่บรรทุกอยู่บนรถนี้ก็แค่หม้อไหจานชาม ตั้งหม้อทำอาหารได้ตลอดเวลา หลี่กั๋วรุ่ยได้ลิ้มรสอาหารที่ทั้งทำได้รวดเร็วและอร่อยจากรถแบบนี้มาแล้ว พร้อมกันนั้นผู้ลี้ภัยที่ได้พบระหว่างทางที่มาก็เพราะข้าวต้มร้อนชามหนึ่งต่อชีวิตมุ่งไปข้างหน้าได้  

 

 

รู้ว่าพวกเขาทำเพื่อช่วยผู้ลี้ภัย แต่ช่วยเหลือก็ไม่อาจเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กน้อยได้ ไม่ควรพารถเข้ามาในเขตป้าโจวถ่วงความเร็วการเคลื่อนที่ให้ช้าลงด้วย  

 

 

ดูท่าวันนี้คงจะจบสิ้นอยู่ที่นี่แล้ว หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้านิ่งเฉยอยู่บ้าง หวาดกลัวจนไม่กลัวแล้ว ตายเช่นนี้ตรงกันข้ามกลับโล่งใจ  

 

 

ฝุ่นควันคละคลุ้งขึ้นมาในสายตาพร้อมกับกีบเท้าม้าเหยียบย่ำผืนดินและเสียงร้องประหลาดดังวุ่นวาย ในเวลาเดียวกันยังมีเสียงตะโกนร่ำไห้ของชาวบ้านด้วย  

 

 

ใกล้เข้ามาทุกที กั้นขวางด้วยร่องน้ำก็มองเห็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งรี่อยู่บนทุ่งรกร้างได้ชัดเจน ส่วนด้านหลังพวกเขาคือทหารจินยั้วเยี้ยเป็นแถบกลุ่มหนึ่ง  

 

 

ทหารจินสิบกว่านายวิ่งออกมาจากกองพลที่เคลื่อนที่ ชูแส้ม้าหวดใส่ประชาชนเหล่านี้พร้อมส่งเสียงหัวเราะประหลาด  

 

 

นี่ย่อมไม่ใช่พวกเขาสังหารประชาชนเหล่านี้ไม่ได้ พวกเขาแค่กำลังเล่นสนุกอยู่เท่านั้น  

 

 

ประชาชนทั้งหลายแม้สิ้นหวัง แต่นอกจากวิ่งเร็วรี่ไปข้างหน้าก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก  

 

 

ประชาชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรี พวกเขาวิ่งจนรองเท้าหลุด บนตัวบนหน้าถูกหวดตีจนรอยเลือดเป็นลายพร้อย ขากะเผลก ฉับพลันก็มีสตรีคนหนึ่งล้มคว่ำกับพื้น  

 

 

ด้านหลังมีทหารจินควบม้าออกมาทันที เขาหัวเราะลั่นย่ำไปที่ศีรษะของผู้หญิงคนนั้น  

 

 

ภาพตรงหน้ากำลังจะโหดร้ายจนไม่อาจทนมองกลับได้ยินเสียงฟิ้วทีหนึ่ง ทหารจินที่ควบม้าโผออกมาคนนั้นร้องเสียงประหลาดทีหนึ่งฉับพลันร่วงหล่นจากบนหลังม้า กีบเท้าม้าที่ร่วงลงมาเหยียบลงบนศีรษะของเขาพอดี  

 

 

กีบเท้าม้าเหยียบศีรษะแหลก รอยเลือดสาดเป็นแถบ ทหารจินรอบด้านส่งเสียงร้องตกใจนิ่งอึ้งไปแล้ว ตอนนี้ถึงมองเห็นกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่ยืนนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า  

 

 

ด้านหน้าสุดของกระบวนทัพสี่เหลี่ยมคือนายทหารที่ผอมบางคล้ายเด็กสาวเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งยืนเดียวดายอยู่เบื้องหน้า ยกคันศรเล็งมาด้านนี้  

 

 

เห็นใบหน้าไม่ชัดแต่เห็นชุดเกราะเสื้อผ้าชัดเจน ทหารโจว  

 

 

ระยะทางไกลปานนี้ยังเล็งลำคอจุดเดียวที่ไม่มีสิ่งปิดบังของทหารจินได้อย่างแม่นยำ นายทหารคนนี้ฝีมือธนูดีจริงๆ  

 

 

แต่ทหารจินย่อมไม่เอ่ยชมฝีมือธนูนี่ว่าดี พวกเขาหยุด สีหน้าโกรธเกรี้ยวแต่ก็ประหลาดใจ  

 

 

ทหารโจวของป้าโจวไม่ใช่ล้วนถอนกำลังไปแล้วหรือ?  

 

 

ส่วนประชาชนทั้งหลายประหนึ่งมองเห็นแสงแรก ตะโกนร่ำไห้ดีใจพุ่งมาด้านนี้  

 

 

“แบ่งซ้ายขวา ไปด้านหลัง” ในขบวนแถวของเหล่าทหารโจวด้านนี้เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ  

 

 

เสียงขึงขังข่มขวัญทำให้ประชาชนทั้งหลายที่สติกระเจิดกระเจิงไม่ทันรู้ตัวโซเซแยกซ้ายขวาวิ่งไปด้านหลังทหารโจวกลุ่มนี้ตามคำบอก  

 

 

พวกทหารจินก็ไม่ได้ไล่ตามมา ทหารจินที่นำหน้าสิบกว่าคนควบม้าวนหลายรอบ ส่งเสียงด่าโกรธเกรี้ยวหลายคำใส่ทหารโจวด้านนี้แล้ววิ่งกลับไปในขบวนแถว  

 

 

บรรยากาศบนทุ่งกว้างกลายเป็นชะงักนิ่ง ทำให้คนหายใจไม่ออก  

 

 

ทหารจินก็เริ่มตั้งขบวน นอกจากนี้เคลื่อนมาข้างหน้าด้วย  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยหอบหายใจถี่กระชั้น กำดาบยาวในมือแน่น  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารบบนทุ่งเปิดโล่งกับทหารจินมากปานนี้ บอกว่าไม่กลัวย่อมเป็นการโกหก ทว่าเมื่อปลายหางตาเขามองเห็นเด็กสาวสองคนในกระบวนทัพรวมถึงผู้หญิงหลังรถสัมภาระด้านหน้าของกระบวนทัพก็รู้สึกน่าขันอยู่บ้าง  

 

 

รถสัมภาระถูกหันกลับหลัง ผู้หญิงหลายคนกึ่งนั่งยองอยู่ด้านหลังรถ มือกดแผ่นไม้แผ่นหนึ่งไว้แน่น ก็มองไม่ชัดว่าเป็นของอะไร  

 

 

ผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีสีหน้าหวาดกลัว เด็กสาวสองคนในกระบวนทัพยิ่งสีหน้านิ่งสงบ  

 

 

ที่แท้พวกนางรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดเรียกสงคราม? รู้หรือไม่ว่าทำสงครามอย่างไร?  

 

 

ทหารจินยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เวลานี้พลธนูควรโจมตีระลอกแรกได้แล้ว  

 

 

ทหารจินด้านนั้นยกคันศรขึ้นแล้ว แต่ด้านนี้ยังไม่เคลื่อนไหวสักนิด  

 

 

สามร้อยก้าว สองร้อยก้าว หนึ่งร้อยก้าวแล้ว….  

 

 

เป็นเช่นนี้ต่อไป รอเอาคันศรออกมาก็สายไปแล้ว คงถูกคนยิ่งกลายเป็นรวงผึ้ง  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกคันศรขึ้นกำลังจะตะโกนเสียงดัง  

 

 

“ยิง!” มีเสียงบุรุษก้องกังวานดังขึ้นก่อนก้าวหนึ่ง  

 

 

ในที่สุดก็ยิงแล้ว ยิงช้าไปหน่อยแล้ว!  

 

 

คันศรยังไม่เอาขึ้นมาเลย หลี่กั๋วรุ่ยตะโกนคลุ้มคลั่งในใจ แต่นาทีต่อมาก็ยังไม่เห็นเหล่านายทหารยกคันศรขึ้นมา แต่พวกผู้หญิงหลังรถสัมภาระฉับพลันตะโกนร้องพร้อมเพรียง กดแผ่นไม้ลงไป ส่วนรถสัมภาระฉับพลันก็มีแผ่นไม้ชิ้นหนึ่งพลิกหมุนกะทันหัน ด้านบนมีบางสิ่งบินออกไปด้านหน้า  

 

 

ก้อนหิน? รถสัมภาระคันนี้ที่แท้ก็คือเครื่องยิงหินหรือ?  

 

 

แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่รบที่กำแพงเมือง บนที่ราบเขวี้ยงก้อนหินมีประโยชน์อะไร!  

 

 

เขวี้ยงอีกฝ่ายให้หัวแตกเลือดไหลยังได้ผลไม่สู้ธนู  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกำลังจะตะโกนคำหนึ่ง แต่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มหลายครั้งในหู แผ่นดินสะเทือนวูบหหนึ่ง เบื้องหน้าแสงไฟ ควันขโมงลอยขึ้นมาพักหนึ่ง  

 

 

ทหารจินที่บีบเข้ามาใกล้เหล่านั้นส่งเสียงกรีดร้องล้มกลิ้งอยู่กับพื้น  

 

 

“ยิง!”  

 

 

พวกผู้หญิงสิบคนออกแรงกดแผ่นไม้ด้านหลังรถสัมภาระอีกครั้ง ก็มีก้อนหินสีดำปิดปี๋หลายลูกบินออกไปอีกหน  

 

 

เสียงบึ้มดังหลายครั้ง ทหารจินพริบตาก็ล้มลงเป็นแถบอีกหน เสียงโอดโอยเสียงกรีดร้อง ควันทึบแสบจมูก แสงไฟลุกวาบขนาบด้วยเลือดเนื้อปลิวกระจายรอบด้าน  

 

 

ขบวนแถวของทหารจินที่เดิมทีเป็นระเบียบเคร่งครัดตกสู่ความโกลาหลไปแถบหนึ่ง บนพื้นศพหลายสิบร่างนอนอยู่ ยิ่งมีหลายสิบคนพลิกกลิ้งกรีดร้อง  

 

 

นี่แค่ยิงสองครั้งก็กำจัดได้ร้อยคนแล้ว  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยหูแทบดับ นิ่งประหนึ่งไก่ไม้  

 

 

น่ากลัว  

 

 

นี่ที่แท้คือสิ่งใดกัน?  

 

 

กระสุนหินระเบิดได้อย่างไร?  

หลี่กั๋วรุ่ยกับซุนซานเจี๋ยผิดหวังอยู่บ้าง ความยินดียามได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาหายไปหมดสิ้นแล้ว  

 

 

ทหารกองหนุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชุดเกราะสะดุดตาอาชาพ่วงพีจริงๆ นอกจากนี้ยังจัดสรรม้าสองตัวด้วย ฟุ่มเฟือยอย่างที่สุด  

 

 

ทว่าม้ามากคนไม่มาก กวาดตามองปราดเดียวก็แค่สามสี่สิบคน นอกจากนี้ทหารใต้ชุดเกราะคนที่แก่ก็แก่คนที่เด็กก็เด็ก ทั้งยังผ่ายผอม แล้วยังมีผู้หญิงอีก!  

 

 

นี่คือทหารกองหนุน? นี่คงไม่ใช่กองทหารที่ดึงคนพวกหนึ่งระหว่างทางรวมขึ้นมาตามใจหรอกนะ? หากไม่ใช่ม้าพ่วงพีชุดเกราะชั้นดี บอกว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านที่ลี้ภัยมายังจะเข้าเค้า  

 

 

ม้ากับชุดเกราะนี่คงไม่ใช่พวกเขาขโมยมาหรอกนะ?  

 

 

พักนี้มณฑลเหอเป่ยซีถอนทหาร ยากเลี่ยงการจัดการกองทัพย่อนหยาน คลังอาวุธของกองทัพถูกปล้นก็เป็นไปได้  

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร?” หลี่กั๋วรุ่ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม “มาที่นี่ทำอะไร?”  

 

 

“แน่นอนมาเสริมทัพ” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยพลางยื่นมือชี้ประตูเมืองตรงหน้า “รีบเปิดประตูเมืองให้พวกผู้ลี้ภัยเข้ามาสิ”  

 

 

เจ้าใครกันหึ?  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี๋ยสีหน้าพิกล  

 

 

สาวน้อยนุ่งผ้าคนหนึ่ง….  

 

 

“เรียกผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าออกมาคุย” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยอย่างรำคาญ  

 

 

ขบวนแถวแหวกออก คนยังไม่ทันปรากฏตัวเสียงก็มาถึงก่อน  

 

 

“ใต้เท้าหลี่ พวกเรามาเสริมทัพจริงๆ”  

 

 

เสียงสตรีละมุน  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกับซุนซานเจี๋ยมองคนที่เดินออกมา  

 

 

สาวน้อยนุ่งผ้าอีกคนหนึ่ง…  

 

 

คนนี้ยังสู้คนก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยคนก่อนหน้านี้ก็ยังสวมชุดเกราะ แม้ไม่เข้าพรรคเข้าพวก แต่ดีเลวก็ปลอมหน้าตาได้เข้าเค้า  

 

 

ส่วนสตรีที่เดินมาคนนี้ตอนนี้สวมชุดผ้าฝ้าย คลุมผ้าคลุมสีแดงสด บนหน้านวลผ่องแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ท่าทางเหมือนคุณหนูตระกูลไหนออกมาท่องเที่ยว  

 

 

“ให้ผู้บังคับบัญชาพวกเจ้าออกมาคุย” ซุนซานเจี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เล่นอะไรหึ เวลาไหนแล้ว  

 

 

“เป็นข้าเอง” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

 

เป็นอะไร?  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี๋ยงุนงงวูบหนึ่ง  

 

 

“ข้าก็คือผู้บัญชาการกองทหารชิงซาน” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเรามาเสริมทัพ ช่วยพวกท่านปกป้องเมือง โปรดเปิดประตูเมืองให้ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเข้ามาด้วย”  

 

 

อาศัยอะไร?  

 

 

“อาศัยตราของเฉิงกั๋วกง” คุณหนูจวินเอ่ยพลางยื่นมือส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา  

 

 

เฉิงกั๋วกง?  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี่ยตกตะลึง ยื่นมือรับไปเปิดออกโดยไม่ทันคิด มีตราดวงใหญ่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ  

 

 

“จริงหรือปลอม?” หลี่กั๋วรุ่นเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

ซุนซานเจี๋ยเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนเรื่องจำแนกลายมือตราประทับถนัดยิ่งนัก นับประสาอะไรกับตำแหน่งที่ตั้งด้านนี้ของเขาติดต่อกับเฉิงกั๋วกงอยู่เสมอด้วย มองปราดเดียวก็แยกจริงปลอมออก  

 

 

“เป็นของจริง” เขาสีหน้าปั้นยากเอ่ยขึ้น  

 

 

หลี่กั๋วรุ่นสีหน้าดีใจทันที  

 

 

คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะคิดถึงพวกเขา ส่งทหารกองหนุนมา…อึก…แม้ทหารกองหนุนนี่น้อยไปหน่อยรวมถึงดูอย่างไรก็ไม่เหมือนทหารก็ตาม….ทว่าก็เข้าใจได้ อย่างไรเฉิงกั๋วกงที่วันนี้ตัวอยู่ที่ชายแดนประจันหน้ากับทหารจินห้าหกหมื่นนาย ตนเองยังยากลำบาก  

 

 

เวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ยังแบ่งทหารมาให้พวกเขา เฉิงกั๋วกงไม่เคยทอดทิ้งผู้ใดจริงๆ  

 

 

ความเชื่อมั่นและความเชื่อฟังที่มีต่อเฉิงกั๋วกงเคยคุ้นอยู่ในกระดูกของพวกเขาแล้ว ทั้งสองคนล้วนไม่พูดมากอีกต่อไป  

 

 

“ผู้น้อยรับบัญชา” พวกเขาสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง  

 

 

……………………………………….  

 

 

แม้ฉางเฟิงเป็นเพียงอำเภอแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งสำคัญ เป็นสถานที่ซึ่งทหารแย่งชิงกัน ดังนั้นเมืองจึงสร้างขึ้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ผู้ลี้ภัยทุกแห่งจึงเลือกแห่มายังที่แห่งนี้  

 

 

ตอนนี้เวลาเที่ยงวัน ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นชาวบ้านนอกประตูเมืองเป็นผืน แม้ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตู แต่คนมากมายตัดใจจากไปไม่ลง  

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ทุ่งกว้างนอกเมืองปลูกกระต๊อบขึ้นมามากมายคล้ายกับกลายเป็นชุมชนแห่งหนึ่ง  

 

 

แต่ชุมชนแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดควรค่ายินดี อากาศหนาวผืนดินเย็นเยียบ ความอดอยากและหนาวเหน็บวนเวียนทรมาน คนที่อ่อนแอก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ความยากลำบากทำให้ความเป็นมนุษย์ถดถอย ความเป็นสัตว์สำแดงออกมา  

 

 

เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น หมั่นโถวดำปิดปี๋ประหนึ่งก้อนหินที่เด็กผู้หญิงถืออยู่ในมือถูกคนแย่งไป พร้อมกันนั้นคนก็ถูกบุรุษที่ดวงหน้าซูบเหลืองแต่หน้าตาดุร้ายคนหนึ่งหิ้วขึ้นมา  

 

 

“ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย” หญิงชราคนหนึ่งโถมเข้ามากอดขาบุรุษคนนี้ไว้  

 

 

“ครั้งก่อนหมั่นโถวที่ติดข้าไว้ยังไม่คืน พวกเจ้าคิดหนีหนี้รึ” บุรุษตวาดเ**้ยม “ไม่คืนหมั่นโถวก็เอาคนมาคืน”  

 

 

พูดจบก็เตะหญิงชราออกไปในทีเดียว  

 

 

บุรุษอีกสามคนล้อมเข้ามา มองดูเด็กผู้หญิงที่ดิ้นรนร้องไห้เสียงดังอยู่ สีหน้าเผยความละโมบ  

 

 

“ถึงจะผอมไปหน่อย ดีเลวก็ยังเนื้อนุ่มนะ” คนหนึ่งฉีกยิ้มเอ่ยเผยฟันสีเหลืองเต็มปาก  

 

 

ความหมายของคำพูดนี้ทำให้หญิงชราคนนั้นยิ่งสิ้นหวัง นางโถมเข้ามาอีกครั้ง  

 

 

“เอาข้าไปเถอะ เอาข้าไปเถอะ ปล่อยหลานสาวข้านะ” นางร่ำไห้เอ่ย  

 

 

เหล่าบุรุษเตะนางออกไปอีกครั้ง  

 

 

“ใครต้องการนังแก่อย่างเจ้า” พวกเขาเอ่ยด่า  

 

 

คนรอบด้านมองเห็นภาพนี้ บางคนโกรธแค้นบางคนเฉยชา แต่พวกเขาไม่ได้ก้าวออกมาห้าม เรื่องเช่นนี้เห็นมากเข้าก็ยุ่งไม่ไหว ตนเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย ไหนเลยจะมีเวลาไปสนผู้อื่น  

 

 

บุรุษหลายคนนี้หัวเราะลั่นหิ้วเด็กผู้หญิงแกว่งไกว  

 

 

“ก่อนต้มยังเล่นได้สักหน่อยด้วย” เขาเอ่ย  

 

 

หญิงชราถูกถีบจนลุกไม่ขึ้นแล้ว นางน้ำตานองหน้ามองดูเด็กหญิงที่กำลังกรีดร้องร่ำไห้  

 

 

ชีวิตนี่ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?  

 

 

“สวรรค์ ท่านยังมีตาหรือไม่…” นางสะอื้นตะโกน ยื่นมือไปหาท้องฟ้า  

 

 

เสียงยังไม่ทันจางก็ได้ยินเสียงฉึบทีหนึ่ง บุรุษที่จับเด็กหญิงอยู่ล้มตึงคว่ำลงไปกับพื้น เด็กผู้หญิงในมือก็ล้มร่วงลงไปกับเขาด้วย  

 

 

บุรุษที่คุกเข่าอยู่บนพื้นประหนึ่งไม้ไผ่ที่หักทีละท่อนๆ ท้ายที่สุดก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นนิ่งไม่ขยับ  

 

 

บนลำคอของเขา ลูกศรดอกหนึ่งสั่นไหว  

 

 

เสียงตะโกนร่ำไห้ชะงัก จากนั้นเสียงร้องตกใจก็ดังขึ้น  

 

 

“ใคร?”  

 

 

บุรุษที่เหลือหลายคนที่ตกตะลึงอยู่ได้สติกลับมาก็รีบลนลานมองไป กลับเห็นไม่ไกลออกไปทหารกองหนึ่งไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อใด ธงสีแดงผืนใหญ่ผืนหนึ่งปลิวสะบัดอยู่ด้านหลัง ในนั้นมีทหารรูปร่างผอมเล็กปกปิดใบหน้าชั่วขณะหนึ่งมองไม่ออกว่าชายหรือหญิงกำลังเล็งคันศรมาหาพวกเขา  

 

 

ทหาร!  

 

 

บุรุษหลายคนนั้นเพิ่งกำลังจะโหวกเหวกเสียงดัง เสียงฟึบฟึบก็ดังขึ้นสองหน ลูกศรพุ่งมาแล้ว ลูกศรสามดอกแล่นออกมาพร้อมเพรียง ทะลุผ่านลำคอของบุรุษสามคนนี้  

 

 

อึกอักไม่กี่ที กระทั่งกรีดร้องสักคำยังไม่ทันก็ตายเสียแล้ว  

 

 

บนทุ่งกว้างเงียบกริบ มีเพียงหลานสาวที่หญิงชราคนนั้นกอดอยู่ยังคงร้องไห้เสียงดัง  

 

 

“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”  

 

 

ฉับพลันผู้ลี้ภัยคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น  

 

 

ตอนนี้ผู้คนถึงมองเห็นประตูเมืองที่ปิดสนิทมาครึ่งเดือนกลับเปิดออกแล้ว  

 

 

ทุ่งกว้างทั้งหมดโกลาหลทันที คนทั้งหมดล้วนลุกขึ้นมาแห่ไปยังประตูเมือง  

 

 

เสียงพรึบดังขึ้นทีหนึ่ง ทหารกองนั้นที่ยืนอยู่ไม่ไกลหน้ากระดานเรียงหนึ่ง คันศรหอกยาวในมือเล็งมาที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้  

 

 

ผู้ลี้ภัยที่กำลังตื่นเต้นอยู่หยุดเท้า สีหน้ากลายเป็นหวาดผวา  

 

 

นี่คือจะฆ่าล้างบางพวกเขาหรือ?  

 

 

“ผู้ลี้ภัยเข้าเมืองได้ ผู้ก่อความวุ่นวายเข้าเมืองไม่ได้” บุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากทหารกองนั้นตะโกนเสียงดังเอ่ย “ทุกคนที่เคยปล้นชิงข่มขืนขโมย ทั้งหมดไม่อนุญาตให้เข้าเมือง”  

 

 

อะไรนะ?  

 

 

บนทุ่งหว้างโกลาหลอยู่พักหนึ่ง  

 

 

“ผู้เฒ่าเด็กสตรีมาก่อน” บุรุษผู้นั้นเอ่ยต่อ “มีผู้ก่อความวุ่นวายคนใด ทุกคนชี้ตัวได้”  

 

 

ถึงกับมีกฎเช่นนี้ด้วย  

 

 

ในทุ่งกว้างมีคนไม่น้อยหน้าถอดสี แต่สีหน้ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  

 

 

ค่อยๆ มีผู้เฒ่าเด็กสตรีขึ้นไปข้างหน้า เดินเข้าไปในเมืองใต้การจับตาของทหารเหล่านั้น ไม่ขัดขวางจริงๆ  

 

 

“หลังเข้าเมืองมุ่งไปที่วัดเฉิงหวง ที่นั่นตั้งโรงข้าวต้มไว้” บุรุษผู้นั้นเอ่ยอีก  

 

 

ถึงกับยังแจกข้าวต้มด้วย?  

 

 

บนทุ่งกว้างมีคนมากกว่าเดิมรุมเข้ามาทันที ครั้งนี้ยังมีชายหนุ่มเบียดเข้ามาวิ่งอยู่หน้าสุดอีกด้วย  

 

 

ทว่านาทีต่อมาศรดอกหนึ่งก็ยิงไปเบื้องหน้าเท้าของเขา  

 

 

ชายหนุ่มคนนั้นตกใจกลัวหยุดยืนทันที  

 

 

“ผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรีมาก่อน” บุรุษคนนั้นเอ่ยเย็นชา  

 

 

ชายหนุ่มมองทหารที่ถือคันศรอยู่หนึ่งแถวนี้ก็ไม่กล้าเดินหน้าอีก  

 

 

ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเริ่มเข้าเมืองอย่างสงบและเป็นระเบียบ ฉับพลันในฝูงชนเสียงแหลมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งโถมเข้าจับบุรุษผอมแห้งคนหนึ่งไว้  

 

 

“เขาฆ่าลูกสาวข้า เขาฆ่าลูกสาวข้า” นางตะโกนร้อง  

 

 

บุรุษคนนั้นรีบสะบัดแขนออกแววตาวิบวับ  

 

 

“ข้าไม่ได้ทำ เจ้าพูดส่งเดช” เขาก็ตะโกนบ้าง  

 

 

คันศรของจ้าวฮั่นชิงเล็งไปที่เขาแล้ว  

 

 

“มีพยานหรือไม่?” นางเอ่ยถาม  

 

 

ฝูงชนเงียบกริบนิ่งเฉย ฉับพลันก็มีคนก้าวออกมา นี่เป็นเด็กน้อยผอมแกร็นคนหนึ่ง  

 

 

“ข้า ข้าเห็น” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ ชี้บุรุษคนนั้น  

 

 

จากนั้นก็มีคนมากกว่าเดิมก้าวออกมา  

 

 

“ข้าเห็น”  

 

 

“ข้าเป็นพยาน”  

 

 

“เขาทำชั่วย่ำยีบุตรสาวผู้อื่นจนตาย”  

 

 

บุรุษคนนั้นเห็นภาพความวุ่นวายนี้ก็ปิดความตระหนกไว้ไม่อยู่อีกต่อไป  

 

 

“นางสมยอม นางต้องการอาหารจากข้าจึงสมยอมเอง” เขาชูมือตะโกนเสียงดัง พร้อมกันนั้นก็สะบัดผู้หญิงวิ่งไปทางประตูเมือง  

 

 

วิ่งได้ไม่ถึงสองก้าว ศรของจ้าวฮั่นชิงก็ทะลุกลางหลังของเขาแล้ว ส่งบุรุษคนนั้นโถมคว่ำกับพื้นชักกระตุกสองทีก็นิ่งไป  

 

 

ผู้หญิงคนนั้นเห็นบุรุษผู้นี้ตายก็ร้องไห้เสียงดัง หันหน้ามาหาทหารกองนี้คุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุด  

 

 

“รีบเข้าเมืองเถิด” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย คันศรในมือยังคงยกขึ้นมั่นคงเล็งไปทางผู้ลี้ภัยเหล่านี้  

 

 

แต่นาทีนี้เวลานี้คนมากมายในใจไม่มีความหวาดกลัวอีกแล้ว พวกเขามองเห็นคันศรหอกยาวของทหารทั้งหลายเหล่านี้กลับรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง  

 

 

หญิงชราอุ้มหลานสาว น้ำตานองหน้า โขกศีรษะช้าๆ บนพื้นอีกครั้ง  

 

 

“ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนองแค่ยังไม่ถึงเวลา” นางเอ่ยพึมพำ “สวรรค์ยังมีตา สวรรค์ยังมีตา”  

 

 

นางโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ด้านข้างมีคนพยุงนางขึ้นมา  

 

 

“แม่เฒ่า รีบเข้าเมืองเถิด” พวกเขาเอ่ยขึ้น ท่าทางยินดีที่มีชีวิตรอดหลังภัยพิบัติ  

 

 

หญิงชราลุกขึ้นตัวสั่นระริกจับจูงหลานสาว  

 

 

“นี่ทหารที่ไหนกัน? ข้าจะต้องจดจำผู้มีพระคุณไว้” นางเอ่ยพึมพำ  

 

 

“ที่เขียนบนธงนั่นคือ” ผู้เฒ่าที่สวมชุดบัณฑิตมอซอคนหนึ่งได้ยินเข้าจึงหรี่ตามองธงใหญ่ผืนนั้นด้านหลังหมู่ทหารอ่านออกมา “กองทหารชิงซาน”  

บนถนนใหญ่กำลังพลควบขี่เร็วรี่ รถสัมภาระด้านหลังเพราะใช้ม้าสามตัวลากความเร็วที่เคลื่อนที่จึงไม่เชื่องช้า  

 

 

เดินทางเร็วรี่ตลอดทาง ข้ามผ่านทุ่งกว้าง ออกจากถนนใหญ่ เดินทางบนถนนเส้นน้อยที่แทบจะให้ม้าสองตัววิ่งได้เท่านั้น  

 

 

ความเร็วที่เดินทางช้าลง แต่ขบวนแถวยังคงเป็นระเบียบ  

 

 

ถนนเล็กเส้นนี้คล้ายไม่มีสุดปลายตลอดกาล หมู่บ้านสองข้างทางเก่าพัง รอบด้านก็ไม่พบคนสักคน  

 

 

เหลียงเฉิงต้งมองดูจ้าวฮั่นชิงที่นำทางอยู่ด้านหน้า คิ้วยิ่งขมวดแน่น  

 

 

“ทางนี้ถูกหรือไม่ถูก?” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่นี่ไม่มีทางแล้ว”  

 

 

คนด้านข้างสายตาก็ไม่เหล่มา คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา  

 

 

กลับเป็นเหลยจงเหลียนอีกด้านหนึ่งใจดีอยู่บ้าง ทนเห็นเหลียงเฉิงต้งถูกเมินเฉยกระอักกระอ่วนไม่ไหว  

 

 

“เจ้าเป็นทหารรึ?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

พวกเขาเดินทางร่วมกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ฐานะของนายหญิงอวี้ คุณหนูจวินไม่ปิดบังเหลยจงเหลียน  

 

 

แต่ผู้คุ้มกันของนายหญิงอวี้ไม่แน่ว่าจะเป็นทหาร อาจเป็นบ่าวรับใช้ก็ได้ บ่าวรับใช้แตกต่างจากทหารอย่างสิ้นเชิง  

 

 

เหลียงเฉิงต้งมองเขาทีหนึ่ง  

 

 

“ข้าเป็นทหาร” เขาเอ่ย  

 

 

เหลยจงเหลียนร้องอ้อ  

 

 

“ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ใช่เสียอีก” เหลยจงเหลียนเอ่ย “เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา”  

 

 

เขาชี้ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย…ตอนที่ชี้ด้านขวาก็เก็บมือกลับไป  

 

 

“เขาไม่นับ” เหลยจงเหลียนเอ่ยพลางมองบุรุษด้านขวา  

 

 

จินสือปามองเขาอย่างเย็นชา  

 

 

บางทีอาจเพราะคนอยู่ใต้ชายคาไม่อาจไม่ก้มหัว บางทีอาจเพราะอดกลั้นความอัปยศเพื่อภาระสำคัญ พวกจินสือปาจึงสวมชุดเกราะด้วย ตั้งแต่เดินทางมาว่าง่ายนิ่งเงียบ ไม่ต่างกับพวกชาวหมู่บ้าน  

 

 

เหลียงเฉิงต้งไม่คิดว่าจินสือปามีสิ่งใดแตกต่างจึงคร้านจะสนใจ ที่จริงคำพูดของเหลยจงเหลียนเขาก็ไม่อยากสนใจอย่างไร แต่ไม่ยื่นมือตบคนสำนึกผิด ผู้อื่นเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยวาจา อย่างไรไม่สนใจก็ไม่ดี  

 

 

“ไม่เหมือนอย่างไร?” เขาเอ่ย  

 

 

“พวกเขาฟังคำสั่งแล้วปฏิบัติ แต่ไหนแต่ไรไม่ถามนู่นถามนี่ ยิ่งไม่ตั้งข้อสงสัย” เหลยจงเหลียนเอ่ย “ข้าคิดว่าทหารล้วนเป็นเช่นนี้”  

 

 

เหลียงเฉิงต้งโกรธจัด  

 

 

คนผู้นี้แย่เกินไปแล้ว!  

 

 

วกอ้อมเป็นนานก็เพื่อด่าเขา!  

 

 

แย่เกินไปแล้ว!  

 

 

เขาย่อมไม่ใช่ทหาร นี่หากเป็นทหารในมือเขา จะเอาแส้หวดเจ้าหนูนี่สักยก ให้เขารู้ว่าสิ่งใดเรียกไม่ถามนู่นถามนี่ไม่ตั้งข้อสงสัย  

 

 

“ด้านหน้ามีแม่น้ำ!” จ้าวฮั่นชิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดพลันตะโกนดีใจ  

 

 

ขัดความโกรธเกรี้ยวของเหลียงเฉิงต้ง  

 

 

มีแม่น้ำจริงๆ รึ  

 

 

เขาเงยหน้ามองไปด้านหน้า พลบค่ำมาเยือนแผ่นดินยิ่งวังเวงไปหมด ไม่ไกลเม่น้ำสายหนึ่งลดเลี้ยววาดเป็นเส้นเส้นหนึ่งเบื้องหน้า  

 

 

“ถึงแม่น้ำไป๋หยางแล้ว” เสียงของคุณหนูจวินดังมาจากในรถด้านหลัง “คืนนี้ตั้งค่ายที่นี่ พรุ่งนี้ก็เข้าเมืองเหอเจียนได้แล้ว”  

 

 

เร็วปานนี้? เส้นทางที่เดินเป็นทางที่เร็วที่สุดอย่างที่นางว่าจริงๆ  

 

 

เหลียงเฉิงต้งกลืนความโกรธเกรี้ยว มองบรรดาชาวหมู่บ้านเหล่านี้เริ่มลงจากม้าหลังเสียงบอกให้ตั้งค่ายของคุณหนูจวิน คนบนรถสัมภาระก็เริ่มเอากระโจมลงมา เขาก็ควบม้าเข้ามาช่วยด้วย  

 

 

คุณหนูจวินลงมาจากบนรถ มองดูทุ่งกว้างรอบด้านนี้ จ้างฮั่นชิงกับพวกผู้หญิงเริ่มตั้งหม้อทำอาหาร คุยเล่นหัวเราะครึกครื้นยิ่ง  

 

 

“คุณหนูจวินราคานี้คุ้มค่าจริงๆ” เสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น “คุณหนูจวินคุ้นเคยกับที่นี่ประหนึ่งหลับตาเดินยังได้”  

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองไป เห็นนายหญิงอวี้ลงจากรถม้าด้วยแล้ว เหลียงเฉิงต้งเดินเข้ามาเป็นเพื่อน  

 

 

ตามหลักแล้วสัมภาระน้อยสะดวกต่อการเดินทาง แต่คุณหนูจวินก็ยังเตรียมรถม้าสองคันมาด้วย อย่างไรนางก็ไม่ชอบนั่งร่วมรถคันเดียวกับผู้อื่น แม้นายหญิงอวี้ผู้นี้จะเป็นคนที่นางสงสัยใคร่รู้ก็ตาม  

 

 

นายหญิงอวี้ดูแล้วก็เป็นเช่นนี้จึงพอใจกับการจัดการของนางยิ่งนัก  

 

 

“ไม่มีเหล็กเย็บ ไม่ต่อเครื่องเคลือบ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย  

 

 

“แต่ข้ารู้สึกว่าเดิมทีพวกเราเร็วได้ยิ่งกว่านี้” เหลียงเฉิงต้งอดไม่ไหวสอดปากเอ่ย  

 

 

หากไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพวกนั้นระหว่างทางล่ะก็  

 

 

คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา  

 

 

แม้พยายามที่สุดให้รวดเร็วเรียบง่าย แต่อย่างไรก็ยังถ่วงเวลา  

 

 

คุณหนูจวินจะเอ่ยอะไร นายหญิงอวี้ก็เอ่ยปากก่อนแล้ว  

 

 

“พวกเราไปเหอเจียนเพื่ออะไร?” นางเอ่ย “ไม่ใช่เพื่อประชาชนรึ ประชาชนที่นั่นคือผู้ประสบภัย ของที่นี่ก็ย่อมใช่เช่นกัน ผู้ประสบภัยเหมือนกัน พบเข้าย่อมไม่อาจเมินเฉย”  

 

 

เหลียงเฉิงต้งหน้าแดงเล็กน้อยขานรับถอยออกไปแล้ว  

 

 

“เขาเป็นคนหยาบกระด้างคนหนึ่ง บอกจุดหมายกับเขาก็เป็นแต่วิ่งไป สมองคิดเลี้ยวไม่เป็น” นายหญิงอวี้มองคุณหนูจวินพลางเอ่ยขึ้น  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

 

“แต่ท่านหญิงท่านชี้แนะนิดหนึ่งเขาก็เข้าใจแล้ว” นางเอ่ย “ท่านหญิงร้ายกาจจริงๆ”  

 

 

แม่นางน้อยคนนี้ปากหวานเอาเรื่อง นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว หัวเราะไปๆ มองเห็นทุ่งรกร้างด้านหน้าสีหน้าก็เคร่งขรึม  

 

 

“การเจรจาสงบศึกยังไม่ทันสำเร็จ ทหารจินยังไม่เข้าแดน ตลอดทางที่ผ่านมานี้ก็เต็มไปด้วยความบอบช้ำแล้ว” นางเอ่ยพลางก้มศีรษะก้มตัวควักดินโคลนก้อนหนึ่งขึ้นมา “ดินดีนะ น่าเสียดายแต่การเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจบสิ้นแล้ว”  

 

 

“ดังนั้นสู้ก็รอด ไม่สู้ก็ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขากล่าวว่าเฉิงกั๋วกงอยากได้ความดีความชอบกระหายสงคราม กลับไม่รู้ว่าเพื่อให้ไม่มีสงคราม เฉิงกั๋วกงถึงสู้ไม่ถอยเช่นนี้”  

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“คุณหนูจวินเป็นหมอที่ดีคนหนึ่งจริงๆ แล้วเป็นยอดหมอคนหนึ่งด้วย” นางเอ่ย  

 

 

ยอดหมอผู้รักษาประเทศรึ?  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว  

 

 

“พวกเรานี่กำลังยกยอกันหรือ?” นางเอ่ยถามอย่างตั้งใจอีกครั้ง  

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าอีกหน หลังจากนั้นจึงคิดอะไรขึ้นได้ หยิบบางสิ่งออกมาจากในแขนเสื้อส่งมา  

 

 

“นี่คือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม มองดูซองกระดาษสีแดงหนึ่งซองนี้  

 

 

“วันนี้วันขึ้นปีใหม่แล้ว” นายหญิงอวี้เอ่ย “เงินรับขวัญปีใหม่ให้เจ้า”  

 

 

วันขึ้นปีใหม่แล้ว?  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางยื่นมือรับไป  

 

 

“ข้าโตป่านนี้แล้ว…” นางเอ่ยท่าทางใจหายอยู่บ้าง  

 

 

ไม่ได้เงินรับขวัญปีใหม่มากี่ปีแล้ว  

 

 

แรกสุดระบิดาพระมารดาสิ้นพระชนม์ ต่อมานางก็แต่งงานกลายเป็นผู้ใหญ่จึงยิ่งไม่ได้เงินรับขวัญปีใหม่แล้ว  

 

 

“อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ย่อมเป็นเด็กเสมอ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ยแล้วหยิบออกมาอีกหนึ่งซอง “ซองนี้เตรียมให้ลูกชายข้า เขาก็อายุปูนนี้แล้ว”  

 

 

จูจั้นรึ? อายุปูนนี้? แก่ขนาดนั้นที่ไหน  

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้ยิ้มออกมา ทั้งสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง  

 

 

ไม่รู้ว่าจูจั้นเคยเอ่ยถึงตนเองกับนายหญิงอวี้หรือไม่?  

 

 

“พี่จวิน”  

 

 

เสียงจ้าวฮั่นชิงดังขึ้น  

 

 

“กินข้าวได้แล้ว”  

 

 

คุณหนูจวินกลืนคำพูดลงไป ยื่นมือทำท่าเชิญให้นายหญิงอวี้ นายหญิงอวี้ก็ไม่เกรงใจ วางมือลงบนแขนของนางอย่างเป็นธรรมชาติ เหยียบโคลนเละเทะเดินไปทางที่ตั้งค่ายซึ่งจุดกองไฟไว้แล้ว  

 

 

โยนไม้ไผ่หลายท่อนเข้าไปในกองไฟ บนทุ่งกว้างเสียงไม้ไผ่แตกดังลอยออกไปท่ามกลางค่ำคืนวังเวง แต่งเติมกลิ่นอายปีใหม่ขึ้นมาอยู่บ้าง  

 

 

และใต้ท้องนภายามราตรีผืนเดียวกันก็มีคนโยนไม้ไผ่ท่อนหนึ่งเข้าไปในกองไฟเช่นกัน  

 

 

เสียงไม้ไผ่แตกดังกังวานดังขึ้นติดต่อกัน  

 

 

“แม่ข้าควรให้เงินรับขวัญปีใหม่ข้าแล้ว ไม่รู้ว่าปีนี้จะเพิ่มหรือไม่” จูจั้นเอ่ยพลางมองดูกองไฟแล้วยื่นมือเกาปลายจมูก  

 

 

มีคนรีบร้อนเดินมา ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก้าวเท้าพลันหยุดชะงัก กองไฟสาดส่องสีหน้ายุ่งยาก  

 

 

“มีคำพูดก็พูด ข้าก็ไม่ใช่แม่นางน้อยนุ่มนิ่ม มีข่าวอะไรรับไม่ได้” จูจั้นเอ่ย คล้ายหลังร่างมีดวงตา  

 

 

“เมืองต้าหมิงไม่มีข่าวของนายหญิง” มีคนเอ่ยเสียงเบา  

 

 

มือของจูจั้นที่เกาปลายจมูกอยู่ชะงัก  

 

 

“เมืองต่างๆ ที่ผ่านไปยังเมืองต้าหมิงก็ไม่พบร่องรอยของนายหญิง” คนผู้นั้นเอ่ยต่ออีก  

 

 

มือของจูจั้นเกาค่อยๆปลายจมูก ทีละนิดๆ   

 

 

“ท่านแม่เดินทางออกมาเป็นคนเกลี้ยกล่อมครานี้ย่อมมีคนมากมายไม่ยินดี พวกเขาต้องขัดขวางแน่ นางเก็บร่องรอยเป็นความลับก็ปกติ” เขาเอ่ยเสียงผ่อนคลายลงอยู่บ้าง “อีกอย่างเจรจาสงบศึกแล้ว ท่านแม่ย่อมรู้ว่าชิงเหอปั๋วคนพรรค์นั้นไม่มีทางร่วมมือกับท่านพ่ออีกแน่ ไม่มีความจำเป็นต้องไปแล้ว ไม่แน่อาจบ่ายหน้ากลับไปแล้ว”  

 

 

บุรุษหลังร่างไม่พูดจา  

 

 

ได้ยินแต่เสียงกองไฟลุกไหม้เปรี๊ยะๆ   

 

 

“ยังมีข่าวไม่ดีอะไรอีก บอกมาพร้อมกันเลยเถอะ” จูจั้นไม่สบอารมณ์หันหน้ามาเอ่ย  

 

 

กองไฟส่องสีหน้าของบุรุษเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด  

 

 

“ทหารจินห้าพันจากค่ายหลางเฉิงเข้าป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ย  

 

 

สุดท้ายก็ทำลายแนวป้องกันของเฉิงกั๋วกงแล้ว  

 

 

“ระยำ” จูจั้นมองกองไฟแล้วด่าคำหนึ่ง คนก็กระโดดลุกขึ้นมาด้วย “เร่งเดินทางต่อ”  

 

 

ท่ามกลางความมืดรอบด้านเงาคนกระโดดลุกขึ้นตาม ม้าส่งเสียงร้องพร้อมกับเสียงเอะอะพักหนึ่งควบเร็วรี่ไปท่ามกลางราตรี  

 

 

แต่แม้อาชาติดปีกบินก็ไม่อาจพริบตาเดียวไปถึงดินแดนเหนือสุดได้  

 

 

……………………………………….  

 

 

ข่าวของเมืองป้าโจวส่งมา เมืองเหอเจียนฝั่งนี้ก็วุ่นวายแล้ว  

 

 

ตั้งแต่หลายเดือนก่อนหน้านี้ก็มีผู้ลี้ภัยจากสามเมืองทะลักมาไม่ขาดสาย หลายวันนี้ยิ่งไหลบ่า  

 

 

แต่ทางการอยู่ๆ ก็ออกคำสั่งปิดประตูเมืองไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้า  

 

 

นอกป้อมปราการหลายแห่งด้านนั้นที่อยู่ใกล้กับเส้นแบ่งเขตเมืองเป็นพิเศษเสียงคร่ำครวญดังระงม  

 

 

“ใต้เท้า นั่นเป็นประชาชนของพวกเรา”  

 

 

ด้านในที่ทำการขุนนางเมืองฉางเฟิง แม่ทัพหลายคนตาแดงก่ำคำราม คล้ายมองไม่เห็นชุดขุนนางของขุนนางฝ่ายทหารและขุนนางฝ่ายพลเรือนตรงหน้า ลืมเลือนสิ้นระดับชั้น  

 

 

“จะเบิ่งตามองพวกเขาถูกโจรจินฆ่าล้างบางหรือ?” พวกเขาตะโกนวุ่นวาย  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยหัวหน้ากองฝึกฝนป้องกันแห่งกองทหารฉางเฟิงก็สีหน้าไม่ดีอย่างไร หนังหน้าสั่นเล็กน้อย  

 

 

“ข้าอยากงั้นรึ?” เขาก็ตวาดเช่นกัน “ทหารจินห้าพันมาถึงป้าโจวแล้ว นาทีต่อมาอาจพุ่งเข้าเหอเจียนมาก็ได้ เพื่อผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะไม่สนประชาชนเหล่านี้ในเหอเจียนแล้วรึ?”  

 

 

ซุนซานเจี๋ยนายอำเภอฝั่งนี้ก็ถอนหายใจเช่นกัน  

 

 

“พวกเราเป็นปราการของเหอเจียน ถูกทำลายปุบ ทั้งเหอเจียนก็จบสิ้นแล้ว” เขาถอนหายใจเอ่ยแล้วยิ้มโศกเศร้า “ส่วนป้าโจวฝั่งนี้บางทีอาจไม่ฆ่าล้างบางหรอก ชาวบ้านเหล่านั้นหลังจากนี้ก็คือประชาชนชาวจินแล้ว”  

 

 

ป้าโจวกำลังจะถูกยกให้ชาวจิน ข่าวเรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้แล้ว  

 

 

คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศในโถงใหญ่ยิ่งชะงักนิ่ง มีแม่ทัพคนหนึ่งด่ามารดาคำหนึ่ง  

 

 

“เป็นชาวฮั่นอยู่ดีๆ จะกลายเป็นชาวจินได้อย่างไรเล่า?” เขาตะโกน “ข้าไม่อาจมองดูชาวบ้านเหล่านี้ร่ำไห้ตะโกนอยู่นอกกำแพงได้ ข้าไม่อาจบอกพวกเขาว่าเราไม่ต้องการพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นชาวจินแล้วได้ คำนี้ข้าพูดออกจากปากไม่ได้”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยตวาดโกรธเกรี้ยวหยุดเขา  

 

 

“พวกเราไม่มีทหารกองหนุนแล้ว ทหารใกล้ๆ ก็ถอนกำลังไปแล้ว เจ้าจะช่วยพวกเขาอย่างไร?” เขาตวาด “เฉิงกั๋วกงยังป้องกันไว้ไม่อยู่ พวกเราคนเหล่านี้จะป้องกันไหวได้อย่างไร?”  

 

 

ใช่แล้ว ไม่มีทหารกองหนุนแล้ว เมื่อเปิดประตูเมืองปุบชาวจินพุ่งเข้ามา กองกำลังเหล่านี้ของพวกเขายากจะต้านทานจริงๆ  

 

 

แม่ทัพหยุดยืนนิ่งกำหมัดแน่น  

 

 

นอกประตูมีนายทหารยื่นศีรษะเข้ามาอย่างระมัดระวัง  

 

 

“ใต้เท้า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ข้างนอกมีคนกลุ่มหนึ่งมา พวกเขาบอกว่าเป็นทหารกองหนุน”  

 

 

ทหารกองหนุน?  

 

 

ผู้คนในห้องโถงตะลึงวูบหนึ่ง  

 

 

“เวลานี้ทหารกองหนุนที่ไหนจะมา?” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยถาม “กองทหารที่ไหน?”  

 

 

นายทหารสีหน้ายิ่งกระสับกระส่าย  

 

 

“ไม่ทราบว่าเป็นกองทหารที่ไหน” เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านนอก “บอกแค่ว่าเป็นกองทหารชิงซาน”  

นายหญิงใหญ่ฟางรู้สึกว่าตอนนี้บ้าบออยู่บ้างแล้วจริงๆ  

 

 

นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนผู้หนึ่งใช้เงินจะใช้ได้มากมายปานนี้  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว สถานะทางบ้านของนางดีเยี่ยมตั้งแต่เล็กก็ไม่ขาดแคลนเงิน เมื่อแต่งมายังตระกูลฟางยิ่งได้เจอคลังเงิน ต่อให้นายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางพบเรื่องไม่คาดฝันตามต่อกัน ความลำบากในบ้านก็เป็นเพียงความเหนื่อยยากทางจิตใจรวมถึงกิจการเท่านั้น เงินไม่เคยขาดมาก่อน  

 

 

นางที่เป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้สึกว่าเงินเป็นเรื่องใหญ่อะไร เลี้ยงเด็กๆ ในบ้านอย่างฟุ่มเฟือยสำหรับนางแล้วก็ไม่สนใจสักนิด  

 

 

แต่นางยังคงถูกความฟุ่มเฟือยของคุณหนูจวินทำให้ตื่นตะลึงแล้ว  

 

 

ค่าใช้จ่ายก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงเพื่อเปิดร้าน ลงทุนมากเท่าไรก็ไม่เป็นไร การค้าไหม นายหญิงใหญ่ฟางไม่ใช่คนไม่เข้าใจการค้า ต่อมาการปลูกฝีก็เป็นเช่นนี้ แม้เป็นหมอใจเมตตาช่วยโลกช่วยผู้คนก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ผลตอบแทน รางวัลพระราชทานจากราชสำนัก ชื่อเสียงของโรงหมอจิ่วหลิง กำไรน้อยแต่ขายได้มากของหน่อฝี ยาราคาสูงที่ทุกผู้ทุกคนล้วนแย่งชิง  

 

 

เงินเหล่านั้นที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงก็ได้คืนกลับมาแล้ว  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเคยตรวจสมุดบัญชีมาก่อน เงินที่เต๋อเซิ่งชางจ่ายไปตอนแรกล้วนได้คืนมาแล้ว นอกเหนือจากนี้ยังเหลือเงินก้อนใหญ่เข้ามาอีก  

 

 

แน่นอนตอนนี้เงินที่โรงหมอจิ่วหลิงเก็บออมเข้ามาล้วนใช้จ่ายออกไปหมดแล้ว นอกจากนี้เต๋อเซิ่งชางยังมีเงินก้อนใหญ่ๆ ไหลไปแดนเหนืออีก  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ จำนวนมากจนทำให้นายหญิงใหญ่ฟางกัดลิ้น  

 

 

“นี่เมืองแห่งหนึ่งก็ซื้อได้แล้ว” นางเอ่ย “ที่แท้นางทำอะไรกันแน่?”  

 

 

“ก็แค่ซื้อข้าวซื้อของเท่านั้น” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะเอ่ย “ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าวันนี้ราคาข้าวของที่แดนเหนือแพง ข้าวของมากมายล้วนซื้อหาไม่ได้ จะรีบใช้ย่อมต้องเอาเงินฟาด”  

 

 

“แดนเหนือเป็นเช่นนั้นแล้ว นางยังอยู่ที่นั่นทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางคิดเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้  

 

 

“ก็คงมีเรื่องที่ต้องทำ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล”  

 

 

จะไม่กังวลได้อย่างไร! เด็กสาวคนนี้ไม่มีสักวันทำให้คนวางใจจริงๆ เงินที่ใช้ครั้งหนึ่งมากกว่าอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นแบบนี้ต่อเนื่องอีกนานเท่าไร? คงไม่ใช่ทั้งชีวิตล้วนเป็นเช่นนี้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตระกูลฟางเป็นภูเขาเงินภูเขาทองก็แบกแบบนี้ไม่ไหวเหมือนกัน  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางคิดคิดถึงคำพูดที่ตนเองหลุดปากตอนรักษาโรคให้ฟางเฉิงอวี่ครั้งนั้น  

 

 

“ถ้าหากรักษาชีวิตของเฉิงอวี่ได้จริง ข้ายินดียกทุกสิ่งที่เฉิงอวี่สมควรได้รับมอบให้”  

 

 

ส่วนนางก็ไม่ได้ปฏิเสธ สีหน้ายิ้มๆ  

 

 

“ตกลง” นางเอ่ย  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อนทีหนึ่ง ตอนนี้ดูท่านางรักษาเฉิงอวี่หายได้ไม่ใช่ล้อเล่น และตระกูลฟางทั้งหมดนางเอาไปก็ไม่ใช่ล้อเล่นเหมือนกัน  

 

 

“ข้าล่ะคิดไม่เข้าใจ นางแม่นางน้อยคนหนึ่งที่แท้ทำไมต้องใช้เงินมากปานนี้” นางถอนหายใจเอ่ย “ที่แท้นางกำลังทำอะไร?”  

 

 

“คนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อทำบางสิ่ง” ฟางเฉิงอวี่สีหน้าจริงจังเอ่ย “ไม่เช่นนั้นก็มีชีวิตอยู่เสียเปล่าแล้ว เหมือนเช่นเงิน หามาย่อมต้องใช้ ไม่เช่นนั้นก็หามาเสียเปล่าแล้วเช่นกัน ข้ารู้สึกว่าทำบางสิ่งใช้จ่ายเงินล้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ไม่ต้องคิดให้เข้าใจปานนั้น”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มหยัน  

 

 

“คิดเข้าใจแล้วมีประโยชน์อะไร นางให้ทำอะไร เจ้าก็ล้วนจะไปทำ” นางเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือไปคล้องแขนนายหญิงใหญ่ฟาง  

 

 

“ท่านแม่ ข้าป่วยมานานปีปานนั้น ทรมานมามากปานนั้น ดังนั้นตอนนี้จึงขบคิดเข้าใจ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจและจริงจัง “ข้าเคยครุ่นคิด ชีวิตคนก็คือต้องมีความสุข นางมีความสุขข้ามีความสุข ท่านแม่ท่านย่าพวกพี่สาวก็มีความสุข ใช้เงินก็เพื่อซื้อความสุข ไม่ใช่ง่ายดายยิ่งและคุ้มค่ายิ่งหรือ?”  

 

 

ก่อนหน้านี้พวกนางมีเงินก็ซื้อความสุขไม่ได้ เปรียบเทียบเช่นนี้แล้วง่ายดายและคุ้มค่าจริงๆ นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อนทีหนึ่งพลางเพ่งพิจดวงหน้าของบุตรชาย  

 

 

“เจ้ามีความสุขจริงๆ ก็ดี” นางเอ่ย  

 

 

“ย่อมต้องมีความสุขจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มตอบ “ได้รู้จักจิ่วหลิงคนเช่นนี้ ใครไม่มีความสุขได้”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง  

 

 

“โชคดีที่พวกเจ้าไม่ได้แต่งงานกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่มีแม่สามีคนไหนจะชอบลูกสะใภ้คนนี้ได้หรอก” นางเอ่ย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

 

“ท่านแม่ ท่านดูถูกจิ่วหลิงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ย “หากนางต้องการ หัวใจรักชอบของผู้ใดก็คว้ามาได้”  

 

 

หากนางไม่ต้องการ สองสามประโยคก็ทำเจ้าโกรธแทบตายได้ ตัวอย่างเช่นนายหญิงใหญ่หนิง  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเม้มปากยิ้ม ตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่นิดหนึ่งก็ออกไปแล้ว  

 

 

ฟางเฉิงอวี่นั่งลงหน้าโต๊ะใหม่อีกครั้ง เปิดจดหมายที่ได้รับล่าสุดออก  

 

 

“เงินทั้งหมดล้วนแลกเป็นเงินทองจริงหมดแล้ว แดนเหนือวันนี้มีเพียงเงินจริงถึงใช้สะดวกที่สุด ถ้าอย่างนั้นนางคงต้องใช้ทันทีเดี๋ยวนั้นตรงนั้นแน่ ระหว่างเดินทางใช้เงินมากยิ่งกว่าที่เขาจางชิงซาน บ่งบอกว่ากำลังคนเพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าใช้จ่ายยังต่อเนื่อง” เขาเอ่ยกับตนเอง “อารักขาแบบไหนทำถึงขั้นนี้? คนที่อารักขาเพียงนายหญิงคนนั้นคนเดียวหรือ?”  

 

 

……………………………………….  

 

 

สายลมคลั่งระลอกหนึ่งดังฮู่ฮู่หอบหิมะปลิวกระจาย คนกลุ่มหนึ่งบนทุ่งกว้างพลันเซซ้ายเซขวา ยังมีเด็กน้อยสองสามคนสะดุดล้มกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้  

 

 

เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่นยกครอบครัวมา เห็นชัดยิ่งว่าเป็นผู้ลี้ภัย ถึงขั้นที่ลมพัดก็จะล้มแล้ว เห็นได้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์  

 

 

ที่เลวร้ายยิ่งกว่ายังไม่ใช่ความหิวโหยหรือหนาวเย็น พื้นดินสั่นไหวเลือนราง เสียงกีบเท้าม้าเร็วรี่ดังมา เสียงนี้ดังขึ้นทำให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้สีหน้าตระหนกทันที  

 

 

“รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น”  

 

 

“อะไรน่ะ? ทหารมาหรือ?”  

 

 

“ชาวจินมาแล้วหรือ?”  

 

 

เสียงพูดคุยลนลานดังขึ้นในหมู่คน ทำให้คนเหล่านี้ยิ่งหวาดหวั่นกระวนกระวาย อยากหนีก็ไม่มีที่ให้หนี ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในสายตาปรากฏขบวนคนขนาดใหญ่ขบวนหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ใต้แสงตะวันสลัวชุดเกราะเด่นสะดุดตา ธงใหญ่คลี่สยาย เครื่องแต่งกายที่สวมใส่แยกแยะออกได้อย่างง่ายดายยิ่งว่าเป็นทหารโจว  

 

 

ไม่ใช่ชาวจิน  

 

 

หากเป็นชาวจินถ้าอย่างนั้นก็ยืนรอความตาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นทหารโจว ชาวบ้านทั้งหลายก็ยังคงสีหน้าไม่ยินดีผ่อนคลาย มองขบวนคนที่เดินเข้ามาใกล้เหล่านี้อย่างระแวง  

 

 

หลายวันนี้ทหารผ่านไปมากมาย บอกว่าเป็นทหารที่รับราชโองการถอนกำลังลงใต้ ทหารที่ผ่านไปเหล่านี้ไม่เพียงไม่สนใจผู้ลี้ภัย บางครั้งกลับจะปล้นชิงคนที่ลี้ภัยอีก  

 

 

ขบวนคนขบวนนี้มองเห็นพวกเขาปุบ คนที่นำหน้าก็ส่งสัญญาณให้หยุด  

 

 

“พวกเจ้าคนที่ไหน? จะไปที่ไหน?” บุรุษที่นำหน้าตวาดเสียงดัง  

 

 

กลุ่มผู้ลี้ภัยวุ่นวายพักหนึ่งก็ถอยไปข้างหลัง  

 

 

“ไม่ต้องถามแล้ว พวกเขาดูแล้วหวาดกลัวมาก”  

 

 

เสียงผู้หญิงลอยมา  

 

 

พร้อมกันนั้นม้าสีดำตัวหนึ่งก็วิ่งออกมา บนนั้นถึงกับเป็นสตรีคนหนึ่ง ใบหน้าของสตรีคนนี้ถูกผ้าปิดไว้ ดูไปแล้วประหลาดนัก  

 

 

พวกผู้ลี้ภัยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

 

ผู้หญิงก็อยู่ในกองทหารได้ด้วยหรือ?  

 

 

ความประหลาดใจยังไม่ทันหายก็เห็นสตรีผู้นั้นกวักมือ  

 

 

“พวกเจ้ามารับข้าวต้มร้อนสักหน่อยเถอะ”  

 

 

ข้าวต้มร้อน?  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายที่ลี้ภัยรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันอยู่ หลังจากนั้นก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งขับออกมาจากด้านหลังขบวนคนกลุ่มนี้ บนรถผู้หญิงหลายคนกระโดดลงมา  

 

 

พวกนางแม้เป็นสตรีกลับสวมชุดเกราะฝ้ายด้วย ผมเผ้ามัดไว้ในหมวก เป็นการแต่งกายเยี่ยงทหารเช่นกัน  

 

 

“มา มา ข้าวต้มร้อนสองหม้อ พวกเจ้ารีบเข้ามากิน” พวกนางร้องเรียกวุ่นวาย  

 

 

ท่ามกลางลมหนาวหม้อใหญ่สองใบถูกวางไว้บนพื้น ไอร้อน กลิ่นหอมที่ลอยขึ้นมาพริบตากระจายไปรอบด้าน  

 

 

ไม่ใช่ฝัน!  

 

 

กลิ่นหอมนี้ทำให้ผู้ลี้ภัยสูญเสียสติปัญญาทั้งมวลรุมเข้าไปทันที  

 

 

“ไม่ต้องแย่ง พอให้พวกเจ้ากิน” พวกผู้หญิงตะโกน “ต่อแถวดีๆ”  

 

 

วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยการข่มขวัญของทหารทางนี้ ชาวบ้านผู้ประสบภัยทั้งหลายก็ต่อแถวดีๆ ยังเลือกสองคนออกมาแจกข้าวต้มด้วย  

 

 

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น ขบวนคนนี้ก็เดินทางเคลื่อนไปด้านหน้าใหม่อีกครั้ง ระหว่างนี้กระทั่งคำพูดฟุ่มเฟือยก็ไม่เอ่ย คล้ายพวกเขาหยุดก็เพียงเพื่อแจกข้าวต้มร้อนสองหม้อเท่านั้น  

 

 

นอกจากนี้ยังไม่รอ กระทั่งถ้วยชามหม้อกระบวยก็แจกจ่ายด้วยไม่เอาแล้ว  

 

 

ข้าวต้มร้อนถ้วยหนึ่งแม้ดูไปแล้วไม่มีอะไร แต่ท่ามกลางฤดูหนาวนี้เพียงพอประคองคนเหล่านี้ให้เร่งเดินทางอย่างปลอดภัยไปถึงเมืองต่อไปได้แล้ว  

 

 

“ผู้มีพระคุณเหล่านี้เป็นทหารของมณฑลไหนกัน? ไม่เคยเห็นทหารเช่นนี้มาก่อน” ผู้ประสบภัยคนหนึ่งพึมพำ ชูชามข้าวมองไปทางขบวนคนที่จากไปไกลบนถนนใหญ่  

 

 

แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีทหารแจกข้าวต้มให้คนระหว่างเดินทาง นอกจากนี้พวกเขากำลังเดินทางอยู่จริงๆ ระหว่างที่แจกข้าวต้ม นอกจากผู้หญิงเหล่านั้น คนอื่นล้วนขี่ม้ายืนขึงขังน่ากลัวนิ่งไม่ขยับ ร่างกายล้วนไม่เปลี่ยนท่าสักนิด  

 

 

รับคำสั่งหยุด รับคำสั่งเคลื่อน ไม่มีตามใจแม้แต่นิดเดียว  

 

 

นี่ไม่เหมือนกับทหารที่ผ่านพวกเขาไปหลายวันนี้อย่างสิ้นเชิง อาจเพราะถอนทหาร ไม่ว่าพ่ายแพ้หรือได้รับคำสั่งให้ถอย ถอยอย่างไรก็ทำให้ทหารเหล่านั้นมีสีหน้าหวาดหวั่นโดยไม่รู้สาเหตุฉาบอยู่  

 

 

สีหน้าพวกเขาหวาดหวั่น ขบวนแถวของพวกเขาสับสน  

 

 

ทหารเช่นนี้ไม่อาจให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ประชาชนได้อย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มความตระหนก  

 

 

“มีอักษรบนธงนั่น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งตัวสั่นโงนเงนเงยหน้าขึ้น หนวดเคราขาวโพลนเปรอะข้าวต้ม ชี้ธงผืนใหญ่ที่โบกสะบัดท่ามกลางสายลมอยู่ไกลๆ อ่านออกมาทีละคำๆ “กองทหารชิงซาน”  

เมืองหลวงบรรยากาศเทศกาลปีใหม่กำลังเข้มข้น  

 

เสียงประทัดประปรายดังลอยไปบนถนน เด็กน้อยที่หัวเราะโวยวายบนท้องถนนก็มากขึ้นด้วย ร้านรวงจุดโคมนานาสีสัน ผู้คนไม่สนใจความหนาวเหน็บออกมาบนท้องถนนซื้อหาข้าวของสำหรับปีใหม่  

 

วันปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว พร้อมกันนั้นยังมีข่าวเจรจราสงบศึกกับชาวจิน สงครามกำลังจะหยุดลงอีก ทำให้รอยยิ้มกลับมาสู่บนใบหน้าของชาวบ้านใหม่อีกครั้ง  

 

เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่ง แป้งทอดครึ่งชิ้นโยนเข้ามาในชามแตกๆ ใบหนึ่ง  

 

นี่ทำให้ขอทานผู้สะลึมสะลือเหมือนตายตื่นขึ้น ดีอกดีใจประหนึ่งเสียสติคว้าแผ่นแป้งขึ้นมา กระตือรือร้นโขกศีรษะให้คนผ่านทางผู้อ้วนฉุคนนี้  

 

“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายาท่าน” เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าเพราะภาษาถิ่นทางเหนือหรือลิ้นหนาวจนแข็งทื่อฟังไม่ชัด  

 

คนผ่านทางคนนั้นก็ไม่ได้สนใจ  

 

“วันนี้อารมณ์ดี ให้แป้งทอดเจ้ากินสักคำ” เขาเอ่ยแล้วเดินส่ายอาดๆ ผ่านไป  

 

ขอทานตอนนี้ถึงคลานขึ้นมารอแทบไม่ไหวกัดแผ่นแป้งกิน แม้ไม่มีไอร้อนแล้ว แต่แผ่นแป้งยังนับว่านิ่มอยู่ ไม่เหมือนของกินที่ได้มาก่อนหน้านี้พวกนั้นแข็งและเย็นเสียยิ่งกว่าก้อนน้ำแข็ง  

 

นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้กินของอร่อยเช่นนี้ กินไปกินไป ขอทานพลันน้ำตาร่วง ที่จริงก็ไม่นานเท่าไร  

 

ก่อนหน้านี้แค่สองเดือน เขามีบ้านหลังหนึ่ง แม้นับไม่ได้ว่ามั่งคั่งมากมายแต่ก็บังลมบังฝนได้ ในบ้านแม้ไม่มีเงินสักเท่าไรแต่หนึ่งวันก็กินอาหารร้อนๆ ได้สองมื้อ   

 

แป้งทอดเช่นนี้ เขาล้วนใช้เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงไก่  

 

ขอทานกำแผ่นแป้งในมือ  

 

“บ้านของข้าอยู่ที่ป้าโจวหมู่บ้านตระกูลหลิว…” เขาเอ่ยพึมพำ “ในอดีตข้าเคยเดินทางมาเมืองหลวง แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเมืองหลวงในสภาพนี้ ตอนนี้เทียบกับเมืองหลวง ข้าคิดถึงบ้านของข้ายิ่งกว่า…”  

 

มีคนหยุดเท้าตรงหน้าเขา  

 

“บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนนะ?” เสียงบุรุษอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ  

 

คำพูดของเขาสำเนียงเหมือนกับขอทานคนนี้  

 

ขอทานตื่นเต้นอยู่บ้างเงยหน้าขึ้น  

 

“ท่านก็เป็นคนป้าโจวหรือ?” เขาเอ่ยถาม  

 

เงยหน้าขึ้นก็เห็นขุนนางผู้น้อยผู้อ่อนโยนประหนึ่งหยก ดวงหน้างดงามคนหนึ่ง ข้างกายมีบุรุษคนหนึ่งกับเด็กรับใช้คนหนึ่งติดตาม   

 

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ  

 

“ข้าไม่ใช่” เขาเอ่ยแล้วกลับมาเอ่ยภาษาทางการอีกครั้ง “ข้ามีสหายคนหนึ่งเป็น”  

 

ขอทานไม่รู้ควรพูดอะไร ตามหลักแล้วเขาควรคว้าโอกาสนี้ขอทาน อย่างไรดูไปแล้วบุรุษสองคนนี้ล้วนร่ำรวยมาก โดยเฉพาะชายหนุ่มข้างกายขุนนางคนนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่หรูหราสะดุดตา ก็ไม่รู้เลียนแบบมาจากผู้ใด ทั้งตัวเหม็นกลิ่นเงิน  

 

แต่ขอทานวันนี้ไม่อยากขอทานแล้ว ขอทานก็มีสิทธิทำตามใจเหมือนกัน  

 

เขาจึงก้มศีรษะกัดแผ่นแป้งนิ่งๆ เช่นนี้  

 

ขุนนางผู้น้อยคนนั้นก้มตัววางเงินถุงหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของเขา  

 

“อดทนมีชีวิตผ่านหน้าหนาวนี้ไปดีๆ เถอะนะ” เขาเอ่ยแล้วหยุดครู่หนึ่ง “บ้านของเจ้าหลังจากนี้ไม่มีแล้ว”  

 

จนกระทั่งเดินออกไปช่วงหนึ่งก็ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของขอทานคนนั้น  

 

เฉินชีจิ๊ปากพลางส่ายศีรษะ  

 

“ขุนนางน้อยหนิงท่านแย่เหลือเกินจริงๆ” เขาเอ่ย “คนผู้นี้น่าสงสารพอแล้ว ท่านยังบอกข่าวนี้กับผู้อื่นอีก”  

 

“ข้าให้เงินเขาแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ช้าเร็วเขาก็ต้องรู้ข่าวนี้ แต่เวลานั้นเขาร้องไห้ก็ไม่มีคนให้เงินเขาแล้ว”  

 

เฉินชีหัวเราะพรืด  

 

“คุณชายสิบหนิงความคิดเยี่ยม” เขาเอ่ยพลางซุกมือเข้าไปในแขนเสื้อ หลบเด็กน้อยหลายคนที่วิ่งเข้ามา “อาของท่านยังสบายดีไหม?”  

 

“ยังไหวอยู่กระมัง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “บทกวีที่เขาเขียนทุกวัน ข้าล้วนเผาหมดด้วยมือตัวเอง”  

 

เฉินชีหัวเราะอีกครั้ง  

 

เห็นชัดว่าหนิงเหยียนผู้อยู่ที่บ้านโกรธแค้นความอยุติธรรมด่าฟ้าด่าดินด่าฮ่องเต้ บทกวีเหล่านี้ย่อมไม่อาจรั่วไหลออกมาได้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะถูกยัดโทษอะไรให้อีก ถ้าเช่นนั้นตระกูลหนิงก็จบสิ้นจริงๆ แล้ว  

 

“คุณชายสิบหนิงท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฉินชีเอ่ยถามเสียงเบา  

 

หนิงเหยียนถูกให้ออกจากตำแหน่งแล้ว แต่คุณชายสิบหนิงยังคงเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก  

 

“ข้าจะมีปัญหาได้อย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้เอ่ยสักครึ่งคำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ข้าทำงานในหน้าที่ขยันขันแข็งตั้งอกตั้งใจ อย่างไรก็ไม่อาจเพราะข้าเป็นหลานของท่านอา ก็จะเอาข้าออกจากตำแหน่งหรือเนรเทศออกไปได้กระมัง? ความผิดที่ท่านอาข้าทำก็ไม่ใช่โทษใหญ่พัวพันผู้อื่น”  

 

พูดพลางก็ยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง  

 

“นับประสาอะไรเมื่อฝ่าบาทเป็นประมุขผู้เมตตาคนหนึ่ง”  

 

เฉินชีหัวเราะหึหึอีกครั้ง  

 

“ขุนนางน้อยหนิงดีจริงๆ มิน่าทุกผู้ทุกคนล้วนชอบท่าน” เขาเอ่ย  

 

แม้หนิงเหยียนถูกให้ออกจากตำแหน่ง แต่เส้นสายในราชสำนักของหนิงอวิ๋นเจากลับมากขึ้นไม่หยุด หลักๆ คือในกลุ่มขุนนางชั้นล่างอายุน้อยพวกนั้น คนมากมายได้รับคำเตือนจากเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมโต้เถียงเกี่ยวกับการสงบศึกครั้งนี้  

 

คนที่สนับสนุนให้ทำสงครามโชคดี คนที่สนับสนุนให้สงบศึกก็โชคดี เพราะฝ่าบาทยุติธรรมยิ่งนักลงโทษขุนนางกลุ่มของหนิงเหยียนให้ออกจากตำแหน่ง ขุนนางที่สนับสนุนให้สงบศึกจำนวนหนึ่งก็ลงโทษด้วย แสดงออกว่าฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษเพราะขุนนางขัดพระประสงค์ของตนเอง แต่เพราะขุนนางทั้งหลายผิดต่อหน้าที่หรือเสียมารยาท  

 

แม้ดูไปแล้วขี้ขลาดอยู่บ้าง แต่ทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นขุนนางเมืองหลวงขุนนางในราชสำนักระดับนี้ ใครก็ไม่อยากเอาอนาคตการงานมาล้อเล่น ดังนั้นไม่ว่าในที่แจ้งในที่ลับล้วนแสดงความรู้สึกดีต่อหนิงอวิ๋นเจา  

 

แน่นอนคนมากยิ่งกว่าล้วนคิดว่านี่คือความคิดของหนิงเหยียน เขานำหน้าหมู่ทหารทุ่มเทจนตัวตาย รู้ชัดว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ  

 

แม้เสียอำนาจในราชสำนัก แต่ในหมู่บัณฑิตชื่อเสียงของหนิงเหยียนกลับเพิ่มขึ้นมาก  

 

ได้ยินคำพูดของเฉินชี หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะแล้ว  

 

“ไหนเลยทุกคนจะชมชอบหมดได้” เขาเอ่ย “คำพูดเช่นนั้นใยไม่ใช่ทุกสิ่งสมหวัง? ยอดปราชญ์เทพเซียนก็ทำไม่ได้”  

 

ตัวอย่างเช่นสุดท้ายก็มีคนไม่ชอบเขา นอกจากนี้ยังบังเอิญเป็นคนที่เขาชอบอีกด้วย  

 

เช่นนี้แม้คนหมื่นพันบนโลกเอาอกเอาใจเขา สุดท้ายในใจมุมหนึ่งก็ยังเว้าแหว่งยากเติมเต็ม  

 

“คุณชายหนิง” เฉินชีพลันสีหน้าจริงจัง ทั้งยังเอนกายเข้ามากดเสียงเบา “ข้ารู้สึกว่าท่านดีที่สุดแล้ว ข้ายืนอยู่ข้างท่านด้านนี้แน่นอน”  

 

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว  

 

“เพราะเมื่อครู่ข้าแนะนำการค้าครั้งใหญ่ให้เจ้าหรือ?” เขาเอ่ย  

 

“การค้าส่วนการค้า น้ำใจส่วนน้ำใจไหมเล่า” เฉินชีหัวเราะหึหึเอ่ย  

 

“เรื่องของโลกเรื่องของคน คนกับโลกแต่ไรมาล้วนไม่อาจแยกจากกัน” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยพลางตบหัวไหล่ของเขา “ข้าแนะนำการค้าครั้งนี้ก็เพราะคุณหนูจวิน เพื่อให้นางดีใจให้นางชมชอบ ข้าไม่คิดปฏิเสธเรื่องนี้”  

 

เฉินชีประสานมือคารวะเขา  

 

“วิญญูชนใจกว้างจริงๆ” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย  

 

“ตอนนี้นางยังอยู่ที่เมืองชิ่งหยวนไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม  

 

วิญญูชนใจกว้างจริงๆ เพิ่งช่วยงานก็จะเก็บค่าตอบแทนสืบถามที่อยู่ของคุณหนูจวินเสียแล้ว  

 

เฉินชีประสานมือคารวะอีกครั้ง  

 

“ยังอยู่ที่เมืองชิ่งหยวนขอรับ ผ่าฟืนเลี้ยงม้าล่าสัตว์ทำนา” เขาเอ่ย  

 

“ไม่รู้ว่าชาวเขาเหล่านั้นเป็นใครสำหรับนาง” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย  

 

“ก็แค่ชาวเขาที่น่าสงสาร คุณชายหนิงหรือไม่รู้ว่าคุณหนูจวินเป็นหมอจิตใจเมตตา…” เฉินชีเอ่ย  

 

คำพูดยังเอ่ยไม่จบหนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะแล้ว  

 

“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่านางใจเมตตา” เขายิ้ม “ยังคงเป็นประโยคนั้นเรื่องของโลกเรื่องของคน ไม่มีคนที่ไร้ต้นสายปลายเหตุและไม่มีเรื่องที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ”  

 

เฉินชีหัวเราะแห้งๆ สองที ดังนั้นถึงบอกว่าคบหากับคนที่เป็นขุนนางเหล่านี้ไม่ง่ายจริงๆ คนเหล่านี้ความคิดละเอียดนัก  

 

“แต่แดนเหนือนี่กำลังจะวุ่นวายแล้ว นางยังเป็นชาวเขาสบายอกสบายใจอยู่อีกหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย  

 

บนหน้าเฉินชีกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง  

 

“เจรจาสงบศึกแล้ว ไม่ใช่ไม่รบแล้วหรือขอรับ? ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่สงบสุขแล้วรึ?” เขาเอ่ย  

 

มุมปากหนิงอวิ๋นเจายิ้มหยันจางๆ  

 

“สงบสุขสำหรับพวกเราคนที่ไม่อยู่แดนเหนือเหล่านี้” เขาเอ่ย “ชาวบ้านผู้ถูกทอดทิ้งที่แดนเหนือไหนเลยยังมีความสงบสุขอะไรอีก”  

 

เฉินชียืนนิ่งอยู่บนถนนครู่หนึ่ง มองดูขุนนางเยาว์วัยผู้นั้นพาเด็กรับใช้เดินทอดน่องจากไป จนกระทั่งปลายจมูกเย็นเยียบ  

 

เขาจึงเงยศีรษะ มองเกล็ดหิมะที่ไม่รู้ลอยละล่องตั้งแต่เมื่อไรบนท้องฟ้า  

 

“หิมะต้องฤดูปีหน้าคงบริบูรณ์”  

 

เด็กน้อยทั้งหลายถือโคมเทพเจ้ากระต่ายหัวเราะพลางวิ่งผ่านข้างกายไป  

 

เฉินชีก้าวเร็วรี่รีบร้อนก้าวเข้าโรงหมอจิ่วหลิง  

 

โรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบและอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของยากำจาย ฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่หลังโต๊ะกั้นดีดลูกคิด  

 

“จิ่นซิ่ว” เฉินชีไม่ได้หยอกล้อคุยเล่นหลายประโยคเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก้าวไวๆ เข้าไป “ทำไมคุณหนูจวินต้องใช้เงินมากมายปานนี้? นางอยู่แดนเหนือที่แท้ต้องการทำอะไรกันแน่?”  

 

ฟางจิ่นซิ่วไม่เงยศีรษะเสียด้วยซ้ำ  

 

“เงินของนาง นางอยากใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น เกี่ยวอะไรกับพวกเรา” นางเอ่ย  

 

ในเวลาเดียวกันนี้ตระกูลฟางที่หยางเฉิง นายหญิงใหญ่ฟางก็กำลังสีหน้าบึ้งตึงโยนสมุดบัญชีกองหนาลงตรงหน้าฟางเฉิงอวี่  

 

“ทำไมเงินมากปานนี้ไหลไปมณฑลเหอเป่ยแล้ว?” นางเอ่ย “บ้าบอจริงๆ เงินที่มณฑลเหอเป่ยถูกนางใช้เกลี้ยงหมดแล้วรึ?”  

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มร่ากดสมุดบัญชีไว้ ไม่ให้ไถลร่วงตกลงพื้น  

 

“ท่านแม่ เงินก็มีไว้ใช้ไหมขอรับ จะพูดว่าบ้าบอได้อย่างไร” เขาเอ่ย  

เสียงเขาสัตว์ฮูมฮูมพลันดังก้องในหมู่บ้านภูเขา  

 

ชาวบ้านที่เดิมทีบ้างล้อมเตาคุยเล่นอยู่ บ้างยุ่งวุ่นวายจุดไฟทำอาหารอยู่พริบตาตะลึงงัน แต่ครู่ต่อมาก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง  

 

“แตร!”  

 

“แตรนี่!”  

 

คนทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ  

 

นี่ไม่เหมือนเสียงเกราะก่อนหน้านี้ นี่คือรวมพลตั้งทัพ นี่คือแตรออกศึกสังหารศัตรู เด็กน้อยคนหนุ่มสาวมากมายชั่วขณะล้วนตอบสนองไม่ทัน  

 

พวกเขาถูกสอนให้รู้ความนัยของสัญญาณแตรเกราะธงต่างๆ นานาแล้ว แต่ได้ยินแตรรวมทัพเช่นนี้จริงๆ เพิ่งเป็นครั้งแรก  

 

สำหรับผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานนักแล้วเช่นกัน  

 

เถี่ยเจี่ยวที่กำลังใช้เท้าเหล็กข้างใหม่ของตนลากฟืนมัดหนึ่งกะเผลกๆ อยู่บนทางยืนนิ่งงัน ร่างกายเริ่มสั่นขึ้นมาช้าๆ  

 

ฉับพลันเขาก็โยนฟืนทิ้งไป  

 

“สังหารข้าศึก!” เขาตะโกนร้อง “สังหารข้าศึก!”  

 

คนก็วิ่งไปที่ซึ่งเสียงแตรยาวอยู่ เริ่มแรกโซเซ หลังจากนั้นความเร็วก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ  

 

ในที่สุดคนทั้งหมดก็ได้สติกลับมาแล้ว พวกผู้ชายสวมรองเท้า พวกผู้หญิงราดน้ำดับเตาไฟเตาถ่าน เด็กน้อยทั้งหลายโยนก้อนหินของเล่นที่อยู่ในมือทิ้ง  

 

คนทั้งหมดล้วนวิ่งออกไปข้างนอก นอกจากเสียงแตร สายตามองไปยังมีธงใหญ่สีแดงโบกสะบัดชี้ทิศทางหนึ่งให้ชาวบ้านอยู่ด้วย  

 

ทิศทางนั้นไม่ใช่ปากทางเข้าหมู่บ้านอีกต่อไป แต่เป็นตีนเขา  

 

ชาวบ้านทั้งหลายรวมตัวกันไปทางตีนเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง หยางจิ่งยืนขรึมอยู่ด้านนั้น มองชาวบ้านที่เรียงขบวนแถวเป็นกองทัพที่ตีนเขา  

 

แม้ผู้เฒ่าเด็กน้อยสตรีสูงๆ ต่ำๆ ทำให้ขบวนแถวดูไปแล้วน่าขำอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครหัวเราะ แล้วก็ไม่มีใครขยับ พวกเขายืนอยู่มั่นคงประหนึ่งหอกยาวเล่มแล้วเล่มเล่าท่าทางเย็นเยียบชวนขนลุก  

 

เสียงแตรหยุดลง หยางจิ่งยกมือโบก  

 

“เปิดคลังแสง” เขาตะโกน  

 

บุรุษหลายคนก้าวเข้ามาแยกย้ายสี่ด้านโอบหินภูเขามหึมาก้อนหนึ่ง พวกเขาคำรามพร้อมเพรียงทีหนึ่งหินภูเขาก็ถูกหมุนขยับ  

 

พร้อมกับที่หมุนขยับ หน้าผาที่เดิมทีสูงชันก็ขยับส่งเสียงกึกๆ หินดินร่วงหล่นแยกออกเผยปากถ้ำแห่งหนึ่ง  

 

“ทหารหาญ สวมเกราะ!” หยางจิ่งเสียงเข้มเอ่ย  

 

หากพวกคุณหนูจวินกับเหลยจงเหลียนยังอยู่ที่นี่ต้องประหลาดใจมากแน่นอน  

 

ที่ผ่านมารู้เพียงว่าอาวุธของพวกเขาซ่อนอยู่ใต้หินเขียวก้อนใหญ่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน คิดไม่ถึงว่าที่แท้ตีนเขายังมีคลังอาวุธอีกแห่งหนึ่ง  

 

ชาวบ้านเรียงแถวเดินเข้าไป หยางจิ่งก็พาคนจุดคบไฟ ส่องสว่างทั้งถ้ำภูเขา  

 

ถ้ำภูเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ ด้านในกองข้าวของมากมายสูงๆ ต่ำๆ ล้วนถูกผ้าสักหลาดชิ้นแล้วชิ้นเล่าคลุมปิดไว้ เวลานี้ผ้าสักหลาดกำลังถูกพวกผู้ชายดึงเปิดออก สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือชุดเกราะชุดแล้วชุดเล่า  

 

ข้างนอกเสียงกลองรัวดังขึ้น ชาวบ้านแต่ละคนๆ เรียงแถวรับชุดเกราะอย่างเงียบสงบ สวมเสื้อเกราะเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นใต้ผ้าสักหลาดที่เปิดออกคือราวอาวุธแน่นขนัด  

 

พวกเขาก้าวเข้าไปตามลำดับ หยิบดาบฟันม้า หอกยาว กระบี่ สะพายคันศรและโล่จากนั้นไปด้านนอก การเคลื่อนไหวลื่นไหลเดินเรียงเข้าไปแล้วก็เดินเรียงออกมา  

 

เมื่อชาวบ้านที่สวมชุดเกราะเดินออกมา ด้านนอกเสียงนับจำนวนก็ดังขึ้นต่อเนื่อง  

 

“ลูกหมู่นับจำนวน”  

 

“สิบ”  

 

“เก้า”  

 

“แปด…”  

 

“หนึ่ง”  

 

“ลูกหมู่ครบ วิ่งรุดหน้ารวมตัวปากทางเข้าหมู่บ้าน”  

 

เสียงหนึ่งตามต่อเสียงหนึ่ง แถวหนึ่งตามต่อแถวหนึ่ง ชาวบ้านที่สวมเกราะติดอาวุธฝีเท้าเปลี่ยนเป็นยิ่งหนักหน่วงเป็นระเบียบ เหยียบย่ำทั้งหมู่บ้านภูเขาสะเทือนไหว  

 

ใต้ต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ม้าตัวแล้วตัวเล่ารวมพลกันแล้ว ม้าก็สวมชุดเกราะหมดแล้วเช่นกัน เรียงแถวรอคอยอย่างเงียบสงบ  

 

เซี่ยหย่งยืนอยู่บนหินเขียวก้อนใหญ่ เขาก็สวมชุดเกราะแล้ว หมวกแทบปิดใบหน้ามิด นี่ทำให้เขาดูแล้วขึงขังอย่างยิ่ง ไม่อ่อนโยนอย่างวันวานสักนิด  

 

ชาวบ้านที่วิ่งเร็วรี่มาเรียงแถวยืนเงียบสงบอยู่เบื้องหน้าเขา หลังเสียงกลองรัวพักหนึ่ง เสียงกลองก็หยุดลง  

 

“ทุกหมู่รายงานตัว” เซี่ยหย่งตะโกนเสียงเข้ม  

 

สิ้นเสียงเขา ในหมู่ชาวบ้านที่ยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าก็มีเสียงดังกังวานดังขึ้น  

 

“หมู่ที่หนึ่งสมาชิกมาถึงครบ”  

 

“หมู่ที่สองสมาชิกมาถึงครบ”   

 

“หมู่ที่สามสมาชิกมาถึงครบ”  

 

“หมู่ที่สี่สมาชิกมาถึงครบ”  

 

“กองสตรีมาถึงครบ”  

 

สิ้นเสียงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ฟื้นกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง สายตาเซี่ยหย่งกวาดผ่านพวกเขา มองไปด้านหน้า  

 

“เชิญธง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม  

 

ชาวบ้านยืนนิ่งหันหน้ามองไป ทิศทางที่พวกเขาเพิ่งวิ่งมาเมื่อครู่ หยางจิ่งพาคนเจ็ดแปดคนก้าวยาวมา  

 

คนเหล่านี้ลากรถมาสามคัน ชุดเกราะไม่ครบเครื่องเช่นพวกเขา บนรถสุมบางสิ่งที่ถูกผ้าสักหลาดคลุมปิดไว้จนเต็ม ดูไปแล้วหนักอึ้งยิ่งนัก เคลื่อนไปบนถนนทิ้งรอยลึกเส้นแล้วเส้นเล่าเอาไว้  

 

นอกจากรถ ในมือหยางจิ่งยังชูธงที่ไม่คลี่ออกผืนหนึ่งอยู่  

 

เมื่อมาถึงด้านหน้า หยางจิ่งก็หยุดเท้ายืนนิ่ง ชูธงในมือขึ้นสูงสะบัดอย่างแรง  

 

นี่เป็นธงสีแดงชาดผืนหนึ่ง เมื่อสะบัดไหว ลวดลายภาพมังกรเขียวเสือขาวหงส์แดงเต่าดำบนนั้นก็พลิ้วไหว ตรงกลางเผยอักษรสีเหลืองทองตัวใหญ่สามตัว  

 

“เชิญธง!”  

 

“เชิญธง!”  

 

ปากทางเข้าหมู่บ้านฉับพลันเสียงโห่ร้องดังกระหึ่ม  

 

จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่บนทางภูเขามองตีนเขาที่ลมแรงธงสะบัดเสียงโห่ร้องกระหึ่มด้วยดวงตาเป็นประกาย  

 

“ท่านแม่ ข้าไปแล้ว” นางร้องบอก  

 

เซียวจือดึงไว้พิจดูนาง  

 

จ้าวฮั่นชิงสวมชุดเกราะฝ้าย สีแดงทั้งร่าง ผ้าปิดบนหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยแล้ว มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  

 

“ยังดี แก้นิดหน่อยกำลังพอดี” เซียวจืออมยิ้มเอ่ย  

 

“อั้ยย่ะท่านแม่” จ้าวฮั่นชิงรีบร้อนอยู่บ้างร้องออกมา “ท่านอารองเซี่ยพวกเขาจะไปกันแล้ว กฎทหารมาสายต้องตัดศีรษะนะ”  

 

เซียวจือยิ้มตบนางเบาๆ  

 

“ไปเถอะ” นางเอ่ย  

 

จ้าวฮั่นชิงดวงตายิ้มโค้ง กอดเซียวจือทีหนึ่งก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งลงเขาไป  

 

“ดูแลคุณหนูของข้าดีๆ เจ้าอย่าแอบขี้เกียจ” หลิ่วเอ๋อร์รีบร้อนร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง “อย่าแย่งของกินของคุณหนูข้าล่ะ”  

 

จ้าวฮั่นชิงหันก็ไม่หันกลับมาประหนึ่งเมฆาสีชาดก้อนหนึ่งบินรี่บนทางภูเขา  

 

……………………………………….  

 

รถม้าหยุดลงบนถนน เสียงโต้เถียงเลือนรางดังมาจากด้านหน้าอีกครั้ง  

 

นายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

“เฉิงต้ง” นางเอ่ยเรียก “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?”  

 

เหลียงเฉิงต้งหน้าแดงเล็กน้อยเดินกลับมา  

 

“นายหญิง ทิศทางที่พวกเราเดินทางไปไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย  

 

“ทิศทางของข้าไม่ผิด” คุณหนูจวินเอ่ยอยู่ด้านหลัง “เดินทางจากที่นี่มีถนนสายน้อยเส้นหนึ่งทะลุผ่านเมืองจินติ้งมุ่งไปมณฑลเหอเป่ยซีได้เร็วที่สุด”  

 

“ท่านเคยไปรึ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ  

 

“ไม่เคย” นางเอ่ย  

 

ไม่เคยไปก็มั่นใจปานนี้? เหลียงเฉิงต้งถลึงตา  

 

“เอาล่ะ ฟังคุณหนูจวิน” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

อาศัยอะไร? เหลียงเฉิงต้งถลึงตาอยากพูดอะไร คุณหนูจวินพลันส่งเสียงชู่ใส่เขา  

 

อะไร? เหลียงเฉิงต้งขมวดคิ้วพลันเงี่ยหูฟัง  

 

พื้นดินสะเทือนไหวอยู่เลือนราง นี่เป็นสัญญาณของกำลังพลขนาดใหญ่เคลื่อนที่  

 

มีกองทหารผ่านทางหรือ?  

 

แดนเหนือเวลานี้กำลังพลเคลื่อนพลปกติยิ่ง แต่ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่การเคลื่อนพลธรรมดา  

 

แม้การเดินทางครั้งนี้ของนายหญิงเป็นความลับ แต่ตลอดทางที่เดินทางมาก็ถูกปล้นฆ่าหลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ว่าข่าวรั่วไหลออกไปแล้ว คนที่อยากหยุดยั้งนายหญิงมากไป นอกจากนี้ความหมายของนายหญิงต่อเฉิงกั๋วกงก็ไม่ธรรมดา  

 

หากนายหญิงตายไประหว่างทาง เฉิงกั๋วกงต้องถูกทำร้ายครั้งใหญ่แน่  

 

ตอนนี้กองทหารและแม่ทัพที่แดนเหนือเหล่านี้ นอกจากคนน้อยนิดไม่กี่คนแล้วล้วนเชื่อไม่ได้  

 

สีหน้าเหลียงเฉิงต้งเคร่งเครียดขึ้นมา  

 

แรงสั่นไหวบนพื้นดินยิ่งมากขึ้นทุกที ในสายตาปรากฏกำลังพลกลุ่มหนึ่ง  

 

สิ่งที่เข้าสู่สายตาอย่างแรกก็คือชุดเกราะ เป็นทหารจริงๆ เหลียงเฉิงต้งคิดในใจ ไม่รู้ว่ากองทหารของมณฑลไหน? เขาหรี่ตา มองกำลังพลกลุ่มนั้นที่ใกล้เข้ามาทุกที ธงใหญ่ผืนหนึ่งกลางขบวนก็ฝ่าเข้ามาในสายตาด้วย  

 

กองทหาร…ชิง…ซาน  

 

กองทหารชิงซาน?  

 

นี่เป็นกองทหารอะไร? มณฑลเหอเป่ยไม่เคยได้ยินมาก่อน  

 

เด็กสาวข้างกายส่งเสียงอุทานเบาๆ สั้นๆ ทีหนึ่ง เหลียงเฉิงต้งมองไปด้วยความประหลาดใจ เห็นเด็กสาวที่เมื่อครู่สีหน้าสงบนิ่งโต้เถียงกับตนสีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว  

 

ท่ามกลางลมหนาวของเดือนสิบสอง ทหารชุดเกราะครบครันทะยานม้าวิ่งเร็วรี่ ธงใหญ่สีแดงชาดผืนหนึ่งโต้ลมสะบัดปลิวเสียงดังพรึบพรับเหนือศีรษะของพวกเขา อักษรตัวใหญ่สีเหลืองทองใต้แสงตะวันระยิบระยับเรืองรอง  

 

กองทหารชิงซาน  

 

กองทหารชิงซาน  

 

ในดวงตาคุณหนูจวินน้ำตาแวววาว  

 

นี่ก็คือครอบครัวและความเป็นมาของอาจารย์  

 

กองทหาร ชิงซาน   

ได้ยินเซี่ยหย่งถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผู้ดูแลใหญ่ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง  

 

ตั้งแต่คุณหนูจวินมาถึงที่นี่ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องของนาง  

 

ถึงต่อมาเปิดศึกกับชาวจิน คนเหล่านี้ก็ไม่สนใจใยดีไม่กังวลสักนิด หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ยิ่งไม่เคยเอ่ยถามสักประโยค  

 

คล้ายกับข้างนอกฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา ความกังวลโกรธแค้นของคุณหนูจวินก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาเช่นกัน  

 

ด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงไม่เคยขาดคำบ่น  

 

ตอนนี้เป็นยามสงคราม รู้ไหมอาหารการกินที่คุณหนูจวินให้พวกเจ้าใช้เงินเท่าไร?  

 

รู้ไหมครั้งนี้คุณหนูจวินจะไปทำเรื่องอันตรายมากเพียงไร?  

 

คนที่คุณหนูจวินพาไปล้วนเป็นคนของนางเองก็เพียงพอพิสูจน์แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมากจึงตัดใจให้คนเหล่านี้เสี่ยงอันตรายไม่ได้ ก่อนหน้าเดินทางยังเตรียมของกินของใช้ของที่นี่ไว้เพียงพอทั้งหมด  

 

เลี้ยงดูเหมือนเด็ก เซ่นไหว้ดั่งบรรพบุรุษจริงๆ  

 

ยังดีในที่สุดก็รู้จักเอ่ยปากถามสักคำแล้ว  

 

“เจ้ารู้ว่าราชสำนักกำลังเจรจาสงบศึกสินะ?” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยขึ้น  

 

เรื่องนี้ทำให้ครั้งก่อนคุณหนุจวินบันดาลโทสะต่อหน้าผู้คน ในหมู่บ้านเล่าลือไปทั่ว คุณหนูจวินก็ไม่ได้ปิดบังดังนั้นพวกเขาจึงรู้  

 

เซี่ยหย่งพยักหน้า  

 

“ขุนนางที่คัดค้านการเจรจาสงบศึกในราชสำนักที่เนรเทศก็เนรเทศแล้ว ที่ปลดออกจากตำแหน่งก็ปลดแล้ว ที่ประณามก็ประณามแล้ว ไม่มีใครกล้าคัดค้านแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่เล่า “ใต้เท้าหวงกับชาวจินจึงบรรลุเนื้อหาเจรจาสงบศึกขั้นต้น แต่เฉิงกั๋วกงส่งฎีกามาจากแดนเหนือคัดค้านการเจรจาสงบศึกอย่างเด็ดขาด”  

 

เซี่ยหย่งขานอืมอีกครั้ง ไม่เอ่ยวาจา  

 

ผู้ดูแลใหญ่มองเขาพลันคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาได้  

 

“เจ้ารู้สึกว่าเฉิงกั๋วกงเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

เซี่ยหย่งร้องอ้อทีหนึ่ง  

 

“ก็ดี” เขาเอ่ย  

 

ก็ดี?  

 

“เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาร้ายกาจมากหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถาม “สิบกว่าปีก่อนหน้าเฉิงกั๋วกงก็เริ่มขับไล่ชาวจินที่แดนเหนือ เป็นเขาเอาแดนเหนือคืนมา นี่ยังไม่ร้ายกาจรึ?”  

 

เซี่ยหย่งริมฝีปากขยับนิดๆ  

 

“สงครามแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องของคนผู้เดียว” เขาเอ่ย  

 

นี่คือ ไม่ยอมรับ?  

 

ผู้ดูแลใหญ่เลิกคิ้ว มิน่าเฉิงกั๋วกงที่ทุกผู้ทุกคนเคารพประหนึ่งแม่ทัพสวรรค์ พวกเขาถึงมองเมินเฉยชาเช่นนี้  

 

“เจ้าก็พูดเสียทีเถอะว่าเฉิงกั๋วกงเป็นอะไรแล้ว” เซี่ยหย่งเอ่ยต่อ เห็นชัดว่าไม่อยากต่อประเด็นนี้ “ไม่พูดอีก คุณหนูจวินจะไปไกลแล้ว”  

 

นั่นแล้วอย่างไร? หรือเจ้ายังไล่ตามไปรึ? ในใจผู้ดูแลใหญ่พึมพำคำหนึ่ง  

 

“เฉิงกั๋วกงคัดค้านการเจรจาสงบศึกอย่างเด็ดขาด บอกว่าโจรจินเจ้าเล่ห์ ไม่อาจเชื่อ นอกจากนี้วันนี้โจรชั่วบรรยากาศหดหู่ กำลังใจถดถอย แม่ทัพทหารประชาชนแดนเหนือบรรยากาศกำลังฮึกเหิม” เขาเอ่ยเล่า “บอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ถูกคนคดหลอกทำร้ายประเทศชาติ”  

 

“หลังจากนั้นเล่า?” เซี่ยหย่งเอ่ยถาม “เฉิงกั๋วกงร้ายกาจปานนี้ ฮ่องเต้ฟังไหม?”  

 

อ้อ นี่เสียดสีรึ? ผู้ดูแลใหญ่ถลึงตา คนซื่อนี่เป็นแบบนี้ได้ด้วยรึ?  

 

แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์เย้ยหยัน  

 

“ฮ่องเต้ไม่ฟัง ฮ่องเต้ให้เฉิงกั๋วกงถอนทหารสามเมือง” เขาเอ่ยพลางมองเซี่ยหย่ง “เฉิงกั๋วกงปฏิเสธ”  

 

เซี่ยหย่งมองเขา  

 

“หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงพิโรธออกคำสั่งถอนทหารออกจากแดนเหนือ” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย  

 

ฮ่องเต้ออกคำสั่งถอนทหาร ทหารที่แดนเหนือนี่บอกว่าเป็นของเฉิงกั๋วกง แต่ก็เป็นของฮ่องเต้ด้วย ไม่ใช่แม่ทัพทหารทั้งหมดจะกล้าปฏิเสธฮ่องเต้เหมือนเฉิงกั๋วกง  

 

คิดดูก็รู้ว่าที่แดนเหนือ…  

 

……………………………………….  

 

คิดดูก็รู้ว่าแดนเหนือตอนนี้ต้องโกลาหลแน่  

 

ถอยปุบกำลังใจดั่งน้ำหลากทะลัก ถอยปุบพ่ายพันลี้ ชาวจินต้องไม่หยุดยั้งประหนึ่งเสือหิวลงจากเขาแน่นอน  

 

จูจั้นถือจดหมายในมือ มือสั่นเล็กน้อย  

 

“ขุดหลุมฝังตัวเอง ขุดหลุมฝังตนเอง” เขาพลันหัวเราะสลด ฉีกจดหมายในมือทีสองทีแล้วชูขึ้น  

 

กระดาษจดหมายปลิวละล่องประหนึ่งเกล็ดหิมะในฤดูหนาวอันอ้างว้าง  

 

“ขึ้นเหนือ” เขาเอ่ย  

 

เหล่าบุรุษหลังร่างสบตากันทีหนึ่ง  

 

“พี่ใหญ่” คนหนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งขวางเขาไว้ “แต่นายหญิงอยู่ที่เมืองต้าหมิงนะ”  

 

ก้าวเท้าของจูจั้นชะงักนิดๆ  

 

“พี่ใหญ่” บุรุษอีกคนก็ก้าวเข้ามาด้วย “ตอนนี้มีคำสั่งของฮ่องเต้ คนมากมายจะเอาใจออกห่าง ชิงเหอปั๋วเดิมก็ไม่ลงรอยกับเฉิงกั๋วกง นอกจากนี้ชะเลียเบื้องบนเป็นที่สุด ต้องจับนายหญิงไว้แน่ นายหญิงกำลังไปเมืองต้าหมิงย่อมตกอยู่ในอันตราย หากพวกเราไม่ไป…”  

 

จูจั้นมองไปยังทิศของเมืองต้าหมิง แล้วมองไปทางแดนเหนือที่ไกลกว่าอีกครั้ง  

 

“ท่านแม่ของข้าต้องรู้ข่าวแล้วแน่” เขากำหมัดเค้นคำพูดประโยคหนึ่งลอดไรฟัน “ท่านแม่ของข้านางร้ายกาจที่สุด ต้องมีวิธีปกป้องตนเองแน่นอน”  

 

เหล่าบุรุษข้ายกายสีหน้าลังเล  

 

“พี่ใหญ่” พวกเขาร้องเสียงดังพร้อมเพรียง น้ำเสียงร้อนรน  

 

“แดนเหนือถอนทหาร ชาวจินต้องทำลายแนวป้องกันลงใต้แน่ หากเป็นเช่นนี้ประชาชนที่หนีไม่ทันก็แย่แล้ว” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเราต้องเร่งเดินทางไปช่วยท่านพ่อ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ท่านพ่อของข้าตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายของประชาชนพันหมื่น”  

 

เขายกมือห้ามเหล่าบุรุษแล้วเอ่ยอีกครั้ง  

 

“เร่งเดินทางวันคืนไม่พัก กล้ามีคนขัดขวาง ไม่ว่าทหารหรือโจร”  

 

เขาเอาขวานที่ข้างเอวออกมาสะบัดทำท่าฟันลงทีหนึ่ง  

 

“ไป”  

 

บุรุษที่เหลือตะโกนตอบพร้อมเพรียง พากกันเอาขวานออกมาพลิกกายขึ้นม้า คนกลุ่มหนึ่งควบม้าเร็วรี่ไปบนทุ่งกว้าง  

 

……………………………………….  

 

เสียงเปาะทีหนึ่ง มีเสียงกิ่งไม้หัก เซี่ยหย่งที่ก้มหน้าขึ้นเขาอยู่เงยศีรษะมองไปก็เห็นบนต้นไม้ตรงหน้าจ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่ข้างบน  

 

ในอ้อมแขนนางกอดอะไรบางอย่างไว้ กำลังเหม่อมองออกไปไกล เท้าแกว่งไกวไม่รู้ตัว  

 

“นิวหนิ่ว” เซี่ยหย่งเอ่ยเรียก  

 

จ้าวฮั่นชิงมองเห็นเขาก็พลันกระโดดลุกขึ้น สองสามทีก็พุ่งเข้าป่าบนเขาไม่เห็นแล้ว  

 

เซี่ยหย่งอึ้งจากนั้นก็ถอนหายใจ  

 

เด็กคนนี้กลายเป็นเช่นนี้อีกแล้ว  

 

เขาก้าวไวๆ บนทางภูเขามุ่งหน้ามาถึงที่ของเซียวจือฝั่งนี้อย่างรวดเร็ว เซียวจือกำลังนั่งทอผ้าอยู่ใต้แสงตะวันเหมือนเช่นที่ผ่านมา  

 

แม้อาภรณ์ผ้าผ่อน คุณหนูจวินล้วนส่งมาเพียงพอ แต่เซียวจือก็ยังคงทำงานทุกวันไม่หยุด  

 

บางทีนางอาจเพียงไม่อยากให้ตนเองว่าง  

 

“นางไปแล้วหรือ?” เซียวจือเอ่ยถาม  

 

เซี่ยหย่งพยักหน้า อยากพูดแล้วก็หยุดไป  

 

“เจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดเถอะ” เซียวจือไม่เงยหน้าแต่เอ่ยขึ้น  

 

“องค์หญิง” เซี่ยหย่งพลันเอ่ยเรียก  

 

องค์หญิงคำเรียกขานนี้ทำให้เซียวจือที่ทอผ้าอยู่หยุด นางยิ้มแล้ว  

 

“ยังองค์หญิงอะไรอีกเล่า แคว้นก็ล่มไปหลายสิบปีแล้ว” นางเอ่ย  

 

เซี่ยหย่งคำนับ  

 

“ถึงอย่างนั้นองค์หญิงก็คือองค์หญิง” เขาเอ่ย  

 

เซียวจือมองไปหาเขา  

 

“เจ้าอยากทำอะไร?” นางเอ่ยถาม  

 

เซี่ยหย่งลังเลครู่หนึ่งก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น  

 

“ขอองค์หญิงโปรดอภัย เซี่ยหย่งอยากไปเหอเจียนด้วยกันกับคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้นมา  

 

“เหล่าเซี่ย เจ้าพูดอะไรน่ะ!” เสียงของหยางจิ่งตวาดขึ้นข้างหลัง คนก็ก้าวไวๆ พุ่งมา ต่อยใส่เขาหนึ่งหมัดอย่างแรง “เจ้าลืมคำสั่งของพี่ใหญ่แล้วหรือ?”  

 

เซี่ยหย่งโซเซถอยหลังหลายก้าว สีหน้ากลับยิ่งแน่วแน่  

 

“ข้าไม่ได้ลืม พี่ใหญ่ให้พวกเราดูแลพี่สะใภ้กับนิวหนิ่วให้ดี ดูแลทุกคนให้ดี” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “แต่ในใจข้าเสียใจมาตลอด ข้าเสียใจที่ตอนนั้นไม่ได้ตามพี่ใหญ่ไปข้างนอกพบทางการขอความยุติธรรม ข้าเสียใจที่เรื่องอะไรล้วนให้พี่ใหญ่ไปทำคนเดียว พี่ใหญ่เขาเหนื่อยมากแล้วนะ เขาก็เป็นคนนะ ตอนที่เขาทำไม่ได้ เขาต้องเสียใจมากแน่ แต่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเขา ข้าสิ่งใดล้วนไม่ได้ช่วยเขา”  

 

เขาพูดพลางยกมือขึ้นทุบหน้าอก  

 

“ข้าเสียใจ สิบปีมานี้ ทุกๆ วันข้าเสียใจ ข้าอยากให้พี่ใหญ่กลับมา เมื่อเขาออกไปอีกครั้ง ข้าต้องติดตามไปแน่เหมือนที่สังหารศัตรูครั้งนั้นเช่นนั้น ข้าติดตามเขา ข้าอยู่ด้วยกันกับเขา จะตายจะอยู่ก็ไปด้วยกัน”  

 

ขอบตาหยางจิ่งเริ่มแดง มือกำแน่นอยากพูดอะไรแต่สิ่งใดก็พูดไม่ออก  

 

“ตอนพี่ใหญ่ไป ข้าไม่ได้ติดตาม” เซี่ยหย่งยื่นมือชี้ตีนเขา “ตอนนี้ลูกศิษย์ที่พี่ใหญ่สั่งสอนออกมาก็กำลังจะไปทำเรื่องที่พี่ใหญ่เคยทำในอดีตสังหารศัตรูตอบแทนประเทศชาติเพื่อประชาชน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่รอนางกลับมาแล้ว ข้าจะไปกับนางด้วย กลับมาได้ก็กลับมาด้วยกัน กลับมาไม่ได้ก็กลับมาไม่ได้ด้วยกัน ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”  

 

เขาพูดพลางคุกเข่าโขกศีรษะคำนับให้เซียวจือ  

 

“ขอองค์หญิงอภัยที่เซี่ยหย่งไม่อาจรักษาสัญญา”  

 

เซียวจือมองเขา  

 

“เป็นเขาบอกจะพาพวกเจ้าสร้างคุณงามความชอบ เป็นเขาบอกว่าร่วมเป็นร่วมตายกับเขาจะได้ความมั่งคั่งเกียรติยศ เป็นเขาบอกว่าพวกเจ้าจะถูกหมื่นประชาเลื่อมใส” นางเอ่ย “ทุกสิ่งล้วนเป็นเขาเอ่ย ต่อให้ท้ายที่สุดสิ่งใดล้วนไม่มี พวกเจ้าก็ยังไม่เคยบีบเขา ติดตามเขาร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เขาบอก แต่เขาทอดทิ้งพวกเจ้าก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ เซี่ยหย่ง พวกเจ้าต้องจดจำไว้ ไม่ใช่พวกเจ้าผิดต่อเขา เป็นเขาไม่ต้องการพวกเจ้า เป็นเขาผิดต่อพวกเจ้า”  

 

“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว” หยางจิ่งรีบเอ่ยแล้วยกมือต่อยเซี่ยหย่งอีกหมัด “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”  

 

เซี่ยหย่งหมอบอยู่กับพื้นโขกศีรษะไม่เอ่ยวาจา  

 

เซียวจือลุกขึ้นยืน  

 

“เจ้าต้องจดจำไว้ ตอนนี้พวกเจ้าไปเมืองเหอเจียนไม่ใช่เพื่อเขา แต่เพื่อคุณหนูจวิน ยิ่งกว่านั้นเพื่อประชาชนที่น่าสงสารในกลียุคนี้” นางเอ่ย  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งตะลึงวูบหนึ่ง มึนงงอยู่บ้างมองนาง  

 

นางพูดอะไร?  

 

เซียวจือยิ้มอีกครั้ง  

 

“แน่นอน ทำเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อสร้างคุณงามความชอบให้หมื่นประชาเลื่อมใสอะไร เพียงแต่กลียุคคนน่าสงสารจึงสงสารคนน่าสงสารก็เท่านั้น”  

 

พูดจบก็ดึงปิ่นที่ปักบนผมลงมา  

 

นี่หากจะพูดว่าเป็นปิ่มเล่มหนึ่ง ไม่สู้พูดว่าเป็นตราคำสั่งแผ่นหนึ่ง  

 

“เซี่ยหย่งก่าน จงเคลื่อนทหาร” นางเอ่ยพลางส่งตราคำสั่งมา  

 

เคลื่อนทหาร  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งทั้งร่างสั่นระริก เซี่ยหย่งยิ่งสั่นสะท้านรับตราคำสั่งไป  

 

“กระหม่อมรับบัญชา” เขาตะโกนเสียงสั่น  

นอกประตูเสียงฝีเท้าดังขึ้น องครักษ์เสื้อแพรสองคนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืน สองขากระโดดไปด้านข้างประตู  

 

ข้อเท้าของพวกเขาถูกมัดไว้ วิ่งไม่ได้ ก้าวเดินก็ลำบาก เวลานานเข้าทุกคนก็รู้สึกว่ากระโดดสะดวกกว่า  

 

บนมือไม่รู้ถูกทายาอะไรไว้ แม้ไม่ได้ถูกมัด แต่กลับไม่อาจใช้แรงแก้เชือกได้ ทำได้แต่กินดื่มปลดทุกข์  

 

เนิ่นนานปานนี้วิธีการใดๆ ก็เคยลองมาหมดแล้ว ทุกคนจึงเลิกคิดแล้ว  

 

ถูกขังอยู่ในเรือนเล็กๆ นี่ อาหารการกินไม่ได้แย่ ทั้งยังไม่หนาว แล้วยังมอบเสื้อผ้าใหม่ผ้าห่มฟูกใหม่ให้อีก หลายวันก่อนยังมอบขนมเข่งกับเต้าหู้ที่ทำใหม่ให้ด้วย  

 

เริ่มแรกพวกเขายังตะโกนต้องการพบคุณหนูจวินอยู่ แต่ชาวบ้านที่ดูไปแล้วใสซื่อตรงไปตรงมาเหล่านี้ก็ไม่พูดไม่ตอบ เพียงแค่ตอนที่พวกเขาตะโกนร้องโหวกเหวกจะทาอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักบนปากของพวกเขา ปากก็ชาไปสามวันได้  

 

ต่อมาพวกเขาจึงยอมรับชะตากรรมแล้ว  

 

“ถ้ากล้านางก็ฆ่าพวกเราแล้ว” จินสือปาเอ่ย  

 

ทว่าคุณหนูจวินเห็นชัดว่าไม่กล้า ไม่ฆ่าไม่สนใจคล้ายลืมเลือนพวกเขาไปแล้ว  

 

ตอนนี้เวลานี้เป็นเวลาที่จะส่งอาหารมา อาหารจะวางไว้ที่ประตู  

 

องครักษ์เสื้อแพรสองคนกระโดดไปที่ประตูตามความคุ้นชิน แต่เสียงฝีเท้าด้านนอกกลับไม่หยุดลง ประตูก็ถูกผลักเปิดแล้ว  

 

แสงตะวันสาดส่องเข้ามา พร้อมกับเสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น  

 

“ลืมพวกเขาไม่กี่คนไปเสียแล้ว หากไม่ใช่ลุงเหลยเตือนล่ะก็” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย เมื่อเห็นคนสองคนที่กำลังกระโดดเข้ามาก็ตกใจสะดุ้งโหยง “เฮ้ พวกเจ้าเล่นอะไรน่ะ?”  

 

เล่นอะไร? สีหน้าที่เฉยชามาตลอดขององครักษ์เสื้อแพรสองคนโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง  

 

พวกเราเล่นอะไร พวกเราถูกพวกเจ้าเล่นไง  

 

จินสือปาก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงเช่นกัน แน่นอนเขาไม่ได้กระโดดเข้ามา แต่สีหน้าเย็นเยียบมองสาวใช้ตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตู  

 

สาวใช้ตัวน้อยไม่สังเกตเห็นความโกรธแค้นของพวกเขาสักนิด มือไพล่หลังเดินอาดๆ เข้ามา มองซ้าย มองขวา  

 

“อั้ยย่ะ พวกเจ้ากินดีดื่มดีอยู่ดี ใช้ชีวิตสบายกันจริง” นางเอ่ย “พวกเราเหนื่อยแทบตายกันหมด”  

 

เสียดสี? เยาะเย้ย?  

 

จินสือปามองสาวใช้ตัวน้อยคนนี้อย่างเย็นชา แต่ไม่เห็นความนัยเหล่านี้บนใบหน้าของนาง  

 

ไม่อาจไม่พูดว่าเล่นละครเล่นได้ดีจริงๆ  

 

“เอาล่ะ เก็บของๆ ไปแล้วๆ” หลิ่วเอ๋อร์โบกมือพลางเอ่ย “รออยู่แค่พวกเจ้าแล้ว รีบหน่อยสิ”  

 

ไป?  

 

หมายความว่าอย่างไร?  

 

จินสือปาสีหน้าสงสัยนิดหน่อย เห็นชาวบ้านที่คอยเฝ้าหลายคนนั้นเข้ามา ในมือถือดาบเล่มหนึ่งอยู่  

 

ไปในความหมายไหน?  

 

ระหว่างที่ขบคิด คนหลายคนก็ตัดเชือกบนเท้าของพวกเขาออกแล้ว  

 

……………………………………….  

 

ในหมู่บ้านครึกครื้นมาก ชาวบ้านล้วนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน มองดูขบวนคนจัดสัมภาระเตรียมเดินทาง  

 

ม้าเป็นม้าที่ส่งมาใหม่นอกจากนี้หนึ่งคนเตรียมม้าสองตัว? คุณหนูจวินไม่ได้ใช้ม้าในหมู่บ้าน แม้ที่นั่นมีส่วนที่เป็นของพวกผู้คุ้มกันและคนของสำนักคุ้มภัยอย่างเหลยจงเหลียนด้วยก็ตาม  

 

พวกเหลยจงเหลียนก็เปลี่ยนชุดเดินทางใหม่ พวกเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งกำลังช่วยตรวจตราอุปกรณ์บนม้า  

 

“ทำไมครั้งนี้ไม่ให้พวกเราไป?” มีชาวบ้านอดไม่อยู่เอ่ยถามขึ้น  

 

เหลยจงเหลียนพลันกระแอมทีหนึ่ง  

 

“นี่มีทำไมอะไร แสดงว่าพวกเราร้ายกาจกว่าพวกเจ้าไง” เขาเอ่ยตอบ  

 

วันเวลาเหล่านี้กินด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ฝึกฝนด้วยกัน กวาดล้างโจรผู้ร้ายด้วยกัน ตอนนี้ทุกคนคุ้นเคยกันยิ่งนักแล้ว ล้อเล่นกันได้  

 

ได้ฟังคำพูดของเหลยจงเหลียน บรรดาชาวบ้านล้วนหัวเราะขึ้นมา  

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่คุยเล่นหัวเราะอยู่พาพวกจินสือปาเดินมาแล้ว ชาวบ้านที่นี่ล้วนยังจำพวกเขาได้ ตอนนั้นที่เพิ่งเข้าหมู่บ้านมาครั้งแรก คุณหนูจวินก็ให้จับคนเหล่านี้ไว้แล้ว ขังไว้ตลอดมาจนถึงตอนนี้ เห็นชัดยิ่งว่าพวกเขาไม่ใช่คนของคุณหนูจวิน  

 

ทำไมตอนนี้ปล่อยออกมาแล้วเล่า?  

 

รอยยิ้มของชาวบ้านหายไป สีหน้าคล้ายคิดอะไรได้  

 

“ลุงเหลย พวกเขามาแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียก  

 

เหลยจงเหลียนมองไปทางจินสือปา พวกจินสือปาก็มองเขาอย่างเย็นชาเช่นกัน  

 

“เอาชุดเดินทางมา เลือกม้าให้พวกเขา” เหลยจงเหลียนเอ่ย  

 

จากนั้นก็มีผู้คุ้มกันสองนายมอบเสื้อผ้าหลายชุดให้แก่พวกจินสือปา จินสือปาไม่เอ่ยวาจารับไปอย่างเย็นชา  

 

“พวกเขาก็จะไปด้วยหรือ? พวกเขาไม่นับว่าร้ายกาจอะไรกระมัง?” มีชาวบ้านอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง  

 

หากบอกว่าพาไปเพียงพวกผู้คุ้มกันอย่างเหลยจงเหลียน พวกเขาก็เข้าใจได้ แต่พาจินสือปาไป เรื่องราวย่อมไม่เรียบง่ายแล้วแน่ๆ  

 

ชาวบ้านทั้งหลายค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่าง  

 

เพราะพวกเขาเป็นปัญหา คุณหนูจวินจึงต้องพาไปด้วย  

 

หากไม่กลับมาแล้วทิ้งคนพวกนี้ไว้ที่นี่จะนำอันตรายมาให้หมู่บ้าน  

 

แต่บางคน คุณหนูจวินก็ไม่พาไป เพราะไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นคนที่ต้องการปกป้อง  

 

ปัญหาพาไป คนที่ปกป้องทิ้งไว้ นี่เห็นชัดว่าเป็นการเตรียมพร้อมหากไปแล้วไม่กลับ  

 

“…ข้าไม่ไปนะ ข้าก็อยู่ที่นี่รอคุณหนูนะ”  

 

เสียงหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นด้านหลัง ใสกังวานทั้งยังเบิกบาน  

 

“…คุณหนูไม่นานก็กลับมาแล้ว”  

 

ครั้งนี้ไม่มีคนตอบคำของหลิ่วเอ๋อร์ ทุกคนมองนางด้วยสีหน้าปั้นยาก  

 

ฉากนี้เนิ่นนานก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยผ่านมาก่อน  

 

คนผู้นั้นก็เอ่ยเช่นนี้ “ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว” พวกเขาจึงรอคอยอยู่ที่นี่ ทว่าคนผู้นั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่กลับมา  

 

เสียงคุยเล่นหัวเราะที่ปากทางเข้าหมู่บ้านค่อยๆ เงียบลง หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่รู้ตัว ยังคงยิ้มแย้มคุยอารมณ์ดีต่อ บรรยากาศจึงกลายเป็นประหลาดอยู่บ้าง  

 

เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังร่าง ทุกคนรีบหันหน้าไปมองเห็นคุณหนูจวินกับสตรีคนนั้นเดินมา  

 

พวกนางก็เปลี่ยนชุดเดินทางแล้วเช่นกัน รถม้าใหม่คันหนึ่งตามอยู่หลังพวกนาง  

 

เซี่ยหย่งสีหน้าปั้นยากเดินเข้ามา  

 

“คุณหนูจวินล้วนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย  

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า  

 

“ขอบคุณอารองเซี่ย” นางเอ่ยพลางโอบหลิ่วเอ๋อร์ที่กระโดดโลดเต้นอยู่เข้ามา “สาวใช้คนนี้ฝากพวกท่านดูแลสักหน่อย”  

 

ทั้งที่เป็นบุรุษแท้ๆ ทั้งที่ไม่ได้พูดอันใดแท้ๆ เซี่ยหย่งกลับแสบจมูกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้  

 

“ข้าต้องให้พวกเขาดูแลที่ไหนกัน” หลิ่วเออร์เอ่ยค้านอย่างไม่พอใจ “คุณหนูท่านวางใจ ท่านไม่อยู่ข้าจะดูแลพวกเขาให้ดี ให้พวกเขากินดีดื่มดี”  

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางลูบศีรษะนาง  

 

กำลังจะพูดอะไร ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางก็ควบม้าเร็วรี่มาจากด้านนอก  

 

“คุณหนูจวิน คุณหนูจวินไม่ดีแล้วขอรับ” เขาไม่ทันสนใจคนมากมายปานนี้ตะโกนโพล่งออกมาตรงนั้น  

 

คุณหนูจวินยกมือห้ามเขา  

 

“เรื่องราวไม่ดีมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นไม่มีสิ่งใดไม่ดียิ่งกว่าแล้ว” นางเอ่ย  

 

ผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางขานรับ กลืนคำที่จะพูดลงไปแล้วส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา  

 

คุณหนูจวินฉีกเปิด กวาดมองทีหนึ่ง สีหน้าเฉยชามองความโศกเศร้ายินดีไม่ออก  

 

“เรื่องราวไม่ค่อยดี” นางหันหน้าไปเอ่ยกับนายหญิงอวี้แล้วส่งจดหมายไปให้นาง  

 

นายหญิงอวี้รับไปมองทีหนึ่งก็ไม่มีสีหน้าอะไรเช่นกัน  

 

“อืม เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ แล้วยังแย่กว่า” นางเอ่ยขึ้น  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเดินทางเร็วขึ้นหน่อยสินะ” นางเอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่  

 

นายหญิงอวี้ก็ยิ้มแล้วเช่นกัน  

 

“ดี” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกมา  

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ทันรู้ตัวยื่นมือพยุงนางขึ้นรถม้า  

 

“เฮ้ เจ้าขึ้นเองไม่ได้รึ ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเจ้าสักหน่อย” นางรู้สึกตัวขึ้นมาก็บ่นพึมพำ แต่ยังคงไม่คลายมือ พยุงนายหญิงอวี้ขึ้นรถม้า  

 

เหลยจงเหลียนก็รีบร้องเรียกทุกคนขึ้นม้า จินสือปาก็ไม่ได้ว่าอะไร สีหน้าเย็นชาพาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นม้าด้วย  

 

คุณหนูจวินคำนับให้เซี่ยหย่ง  

 

“หัวหน้าหมู่บ้านเซี่ย ข้าไปแล้ว” นางเอ่ย  

 

เซี่ยหย่งมองนาง เขาอยากพูดแล้วก็หยุดไป คุณหนูจวินมองชาวบ้านที่รวมตัวกันเข้ามา เงยศีรษะสายตากวาดมองพวกเขาทีละคนๆ คล้ายต้องการจดจำหน้าตาของพวกเขาไว้ หลังจากนั้นก็ไม่พูดอีก คำนับนิดหนึ่งพลันพลิกกายขึ้นม้า  

 

ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางก็จะขึ้นม้าตามด้วย แต่เซี่ยหย่งขวางเขาไว้  

 

“คุณหนูจวิน ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการไหว้วานผู้ดูแลใหญ่” เขาเอ่ย  

 

คุณหนูจวินไม่ได้ตั้งคำถามอย่างใด ส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลใหญ่รั้งอยู่  

 

ผู้ดูแลใหญ่กับชาวบ้านทั้งหลายมองส่งคณะของคุณหนูจวินออกไปข้างนอก คนในหมู่บ้านล้วนอาลัยอาวรณ์แยกย้ายไปไม่ลง ยิ่งมีเด็กน้อยจำนวนหนึ่งอดไม่ได้ไล่ตามไป  

 

เซี่ยหย่งไม่ได้ตามแล้วก็ไม่ได้มองส่งอีก แต่ดึงผู้ดูแลใหญ่เดินไปด้านข้าง  

 

“มีเรื่องอะไรไม่ดีอีกแล้ว?” เขาเอ่ยถาม  

ในห้องตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่งอีกครั้ง  

 

“คุณหนูจวิน ท่านไม่ใช่แค่หมอคนหนึ่งหรือ?” เซียวจือเอ่ย  

 

คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของนาง  

 

สำหรับหมอคนหนึ่งแล้ว ยุ่งกว้างเกินไปแล้วจริงๆ  

 

เพียงแต่เดิมทีนางก็ไม่ใช่หมอ  

 

“ข้าเป็นหมอ แต่คนที่ข้าต้องการช่วยไม่ใช่เพียงคนที่ป่วยเป็นโรค” นางถอนหายใจเอ่ย  

 

นี่คือแผ่นดินของพระบิดา นี่คือประชาชนของพระบิดา นางไม่ได้ช่วยชีวิตของพระบิดา จะมองดูแผ่นดินและประชาชนของพระบิดาตกสู่อันตรายโกลาหลแต่ไม่ยุ่งได้อย่างไร  

 

“แต่อย่างไรข้าก็จะพยายามกลับมาบ้านโดยเร็ว” นางอมยิ้มเอ่ยขึ้นอีก  

 

เซียวจือขานตอบแล้วหยิบเข็มด้ายขึ้นมาอีกครั้ง  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งคล้ายไม่รู้ว่าควรพูดอะไร  

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปเล่นกับฮั่นชิง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยอีก  

 

เซียวจือขานตอบ ก้มศีรษะขยับเข็มเดินด้ายว่องไว  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองคุณหนูจวินหมุนตัวเดินออกไป  

 

เสียงฝีเท้าไกลออกไป ในห้องก็ฟื้นกลับมาสงบอีกครั้ง  

 

“พี่สะใภ้ จะ…จะให้นางไปคนเดียวหรือ?” เซี่ยหย่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น  

 

“นางอยากไป หรือจะขวางเล่า?” เซียวจือเอ่ย ศีรษะก็ไม่เงยขึ้น “คนผู้หนึ่งอยากทำสิ่งใด ใครจะขวางได้ ใครอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ นางมีความสุขก็พอ”  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งขานรับ รีๆ รอๆ ถอยออกไปแล้ว  

 

เซียวจือก้มศีรษะขยับเข็มเดินด้ายว่องไว เพียงแต่ความเร็วยิ่งเร็วขึ้นทุกที ฉับพลันปากก็ร้องซี๊ดทีหนึ่ง บนนิ้วมือเลือดหยดหนึ่งซึมออกมา  

 

นางอมนิ้วหัวแม่มือเข้าปาก  

 

“นางมีความสุขก็พอ พวกเขามีความสุขก็พอ ผู้อื่นมีความสุขไม่มีความสุข พวกเรามีความสุขไม่มีความสุขเกี่ยวข้องอะไรกันอีกเล่า” นางเอ่ยพึมพำ  

 

เซี่ยหย่ง หยางจิ่งที่เดินออกไปไม่ได้ยินคำพูดพึมพำของเซียวจือ พวกเขาใครก็ไม่พูดจา สีหน้าอึมครึมเดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง  

 

ฉับพลันหยางจิ่งก็ชนร่างของเซี่ยหย่ง ที่แท้เซี่ยหย่งไม่รู้หยุดเดินตั้งแต่เมื่อไร หยางจิ่งก็ใจลอยไม่ทันสังเกต  

 

“นายหญิงคนนั้นเป็นใครกัน?” เซี่ยหย่งเอ่ยขึ้น คิดถึงประเด็นสำคัญอันหนึ่งได้ “นางกล่อมคุณหนูจวินได้อย่างไร?”  

 

พูดพลางหันกลับมามองหยางจิ่ง  

 

“คงไม่ใช่หลอกนางแล้วหรอกนะ? นายหญิงคนนั้นข้าดูแล้วก็ร้ายกาจมากอยู่”  

 

หยางจิ่งถอนหายใจ  

 

“คุณหนูจวินจะถูกคนหลอกได้หรือ?” เขาเอ่ยขึ้น  

 

นั่นก็ใช่ เด็กสาวคนนี้ก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน เซี่ยหย่งพลันเงียบไป  

 

“นอกจากนี้ไม่แน่ว่านางถูกคนกล่อมเข้า” หยางจิ่งเอ่ยต่อ “ที่ผ่านมาในเมืองมักส่งข่าวมากมายมาเสมอ ล้วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก นอกจากนี้เจ้าก็เห็นแล้ว องครักษ์เสื้อแพรแล้วยังมีทหารแล้วยังทางการ ท่าทีที่มีต่อนางล้วนไม่ธรรมดา ส่วนนางก็สนใจเรื่องของราชสำนักยิ่งนัก”  

 

เซี่ยหย่งถอนหายใจพยักหน้า เขานั่งลงบนก้อนหินด้านข้าง มองดูหมู่บ้านด้านล่างอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้มอีกครั้ง  

 

“จริงๆ เลย ไม่เสียทีเป็นศิษย์ที่พี่ใหญ่สั่งสอนออกมา” เขาเอ่ย “เจ้ายังจำตอนนั้นที่ได้พบเขา เขาบอกจะไปสังหารศัตรูตอบแทนบ้านเมืองปกป้องประชาชนได้ไหม? นั่นทำข้าตกใจสะดุ้งโหยงจริงๆ”  

 

หยางจิ่งก็หัวเราะแล้ว  

 

“พวกเราตอนนั้นยังเป็นชาวบ้านที่ถูกคนรังแกเข่นฆ่าตามใจประหนึ่งสุนัขอยู่เลยแหนะ เขาถึงกับเอ่ยวาจาใหญ่โตไม่อาย จะไปเป็นอะไร เรียกว่าอย่างไรนะ?” เขาเอ่ย “ผู้กอบกู้โลก?”  

 

เซี่ยหย่งหัวเราะแล้ว  

 

“เจ้าดูสิหลายปีปานนี้เจ้ายังไม่มีความรู้อยู่เลย พี่ใหญ่พูดถูก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้กอบกู้โลก” เขาเอ่ย “ทุกสิ่งอาศัยพวกเราเอง”  

 

หยางจิ่งยิ้มพลางลูบศีรษะ  

 

“ข้าจำคำพูดสละสลวยพวกนั้นของเขาไม่ได้” เขาเอ่ย “อย่างไรเขาก็ร้ายกาจ เขาพูดอะไรข้าก็ทำอย่างนั้น”  

 

พูดจบประโยคนี้ ทั้งสองคนพลันสีหน้าหม่นหมองเงียบงันไม่พูดจา  

 

“ที่จริง ตอนนั้นข้าควรตามไปด้วยกันกับเขา” หยางจิ่งพลันเอ่ยอีกครั้ง “ล้วนเป็นเขาทำเองทุกเรื่อง สิ่งใดล้วนอาศัยเขา ในใจเขาก็คงเหนื่อยมากทุกข์มากสินะ คนผู้เดียวแบกค้ำ ข้า ข้า ก็ไม่ได้ช่วย…”  

 

เขาพูดไปๆ เสียงของบุรุษฉกรรจ์กำยำล่ำสันกลับสะอื้นแล้ว  

 

“พี่จิ่ง” เซี่ยหย่งลุกขึ้นยืน เสียงก็แหบอยู่เหมือนกันตะโกนว่า “ท่านอย่าพูดอีกเลย”  

 

หยางจิ่งนั่งยองๆ ลงหันหน้ามองไปอีกด้านหนึ่งไม่พูดไม่จาแล้ว  

 

ระหว่างทั้งสองคนเงียบงันอีกครั้ง  

 

ส่วนเวลานี้ที่เขาด้านหลัง คุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงกลับกำลังคุยเล่นหัวเราะสนุกสนานกันอยู่  

 

“ตอนนี้เจ้ายิงศรไม่มีปัญหาแล้ว” จ้าวฮั่นชิงดึงศรดอกหนึ่งลงมาจากบนกิ่งไม้ พร้อมกันนั้นคนก็พลิกกายหันหัวลงกระโดดดังตุ้บลงมา “ความแม่นไม่มีปัญหา แค่เรี่ยวแรงยังไม่พอ ฝึกมากเข้าก็ใช้ได้แล้ว”  

 

คุณหนูจวินยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก  

 

“ดี หลังจากนี้ข้าจะฝึกให้มาก” นางเอ่ยพลางนั่งลงบนหินด้านข้างที่ปูหญ้าแห้งกับกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งไว้  

 

จ้าวฮั่นชิงนั่งลงข้างตัวนาง  

 

“เจ้าดูซิข้าท่องจำเขียนออกมาถูกหรือไม่” นางเอ่ย  

 

คุณหนูจวินรับมา ตั้งใจอ่านไปทีละหน้าๆ ฉับพลันก็ร้องหืม คิ้วขมวดขึ้นมา  

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะพลางยื่นมือออกมาทันที  

 

“หัวเราะอะไรหึ ยังหัวเราะออกมาได้อีก” คุณหนูจวินถลึงตาเอ่ย ฉวยโอกาสดึงกิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกมาจากบนก้อนหิน  

 

จ้าวฮั่นชิงรีบหุบยิ้ม แสร้งทำสีหน้าหงุดหงิดออกมา  

 

“เจ้าทำไมโง่เช่นนี้ เจ้าทำไมโง่เช่นนี้” คุณหนูจวินตีกิ่งไม้ลงบนมือของจ้าวฮั่นชิง  

 

ชูขึ้นสูง ร่วงลงมากลับแผ่วเบา  

 

“สมองของเจ้าทำมาจากเนื้อเมล็ดเหอเถารึ?”  

 

จ้าวฮั่นชิงได้ยินถึงตรงนี้ก็กลั้นไม่อยู่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คุณหนูจวินกก็หัวเราะด้วย ยกมือโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป  

 

“พ่อของข้าตอนนั้นตีเจ้าจริงหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ด่าเจ้าเช่นนี้จริงรึ?”  

 

“แน่นอนสิ ตีจริงๆ นะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนคำด่าก็มากกว่านี้อีก แน่นอนเขาไม่ได้ด่าคน แต่เสียดสี ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวคิดไม่ทันประเภทนั้น”  

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง  

 

“เขาน่าสนใจจริงๆ” นางเอ่ย  

 

คุณหนูจวินมองนางพลางพยักหน้า  

 

“เขาน่าสนใจมากจริงๆ” นางเอ่ย “ยาที่ข้าให้เจ้า เจ้าจำไว้ต้องกินให้ครบ แล้วทุกวันก็ต้องใช้น้ำที่ต้มล้างหน้า”  

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า  

 

“รอรวบรวมสมุนไพรพวกนั้นได้ครบ ใบหน้าของเจ้าต้องรักษาหายได้แน่” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าคาดว่าพ่อของเจ้าคงหาได้พอประมาณแล้ว บนเขาเซียนโพ้นทะลต้องมีแน่นอน”  

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะพลางพยักหน้าอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง  

 

คุณหนูจวินก้มศีรษะแล้วเอาจดหมายเล่มนั้นออกมา  

 

“สิ่งนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ” นางเอ่ย  

 

จ้าวฮั่นชิงอึ้งไปวูบหนึ่งรีบโบกมือ  

 

“ข้าไม่เอา” นางเอ่ย “เจ้าเก็บ ข้าเก็บก็เหมือนกัน”  

 

“ข้ากำลังจะออกไปข้างนอกไหมเล่า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ออกไปข้างนอกครานี้เกรงว่าเนิ่นนานนักถึงกลับมา”  

 

“ไม่ใช่เดือนหนึ่งก็กลับมาแล้วหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามด้วยความตกใจ  

 

“แผนการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข้าต้องไปเมืองเหอเจียนแล้วยังต้องทำเรื่องอื่นบางอย่างด้วย” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นเกรงว่าต้องใช้เวลานานขึ้นสักหน่อย กลับมาช้าลงสักนิด”  

 

รอยยิ้มบนหน้าจ้าวฮั่นชิงค่อยๆ หายไป ก้มหน้ามองจดหมายที่ส่งมา  

 

“ตอนพ่อข้าจากไปก็บอกกับแม่ข้าเช่นนี้ หลังจากนั้นตอนนี้เขาก็ไม่กลับมา” นางเงยหน้ามองคุณหนูจวิน “เจ้าก็จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”  

 

จากไปครั้งนี้จะไปยังสถานที่ซึ่งใกล้ชาวจินที่สุด ต้องปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชน ย่อมต้องประจันซึ่งหน้ากับชาวจิน  

 

สนามรบไม่ใช่กวาดรังโจร ทหารจินก็ไม่ใช่โจรที่แข็งนอกอ่อนใน พริบตาพลิกผันนับหมื่น ใครกล้ารับประกันว่าตนเองจะไม่พลาด?  

 

ไม่ต้องพูดถึงสนามรบ กระทั่งเดินทางปกติใครจะกล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจารย์คนเช่นนั้นยังร่วงลงไปตายเลย  

 

ใครอยากตาย ไม่มีใครอยากตาย นางยิ่งไม่อยากตาย พี่สาวน้องชายตกอยู่ในที่คุมขัง ศัตรูของนางยังมีชีวิตอยู่ดี นางเคยตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยิ่งกลัวความตาย ทว่าไม่อยากตายกลัวความตายแล้วเรื่องบางอย่างจะไม่ไปทำแล้วหรือ?  

 

“ฮั่นชิง ไม่มีใครไม่อยากกลับบ้าน” คุณหนูจวินกุมมือจ้าวฮั่นชิงพลางเอ่ยจริงจัง “ข้าจะจดจำไว้ทุกชั่วขณะว่าข้าต้องกลับมา จดจำว่าเจ้ากำลังรอข้า ข้าจะรักษาตนเองให้ดี”   

 

นางวางจดหมายไว้ในมือจ้าวฮั่นชิง  

 

“เจ้าไม่ใช่เคยบอกว่าไม่เชื่อพ่อของเจ้าแต่เชื่อข้ารึ?”  

ท่านหญิงเฉิงกั๋ว  

 

สามีของข้าคือเฉิงกั๋วกงจูซาน  

 

จริงอย่างที่คิด  

 

ที่แท้  

 

เป็นมารดาของจูจั้นจริงๆ ด้วย  

 

มิน่ารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง  

 

นางไม่เคยพบมารดาของจูจั้น ที่หรู่หนานเพราะภาพเฉิงกั๋วกงที่ประทับอยู่ในใจ นางเห็นจูจั้นถึงหลุดปากเดาชื่อเขาออกมาได้  

 

เพราะภาพจูจั้นที่ประทับอยู่ในใจ แวบแรกที่นางเห็นนายหญิงอวี้จึงรู้สึกคุ้นเคย  

 

เพียงแต่จูจั้นเหมือนเฉิงกั๋วกงมากกว่า  

 

นี่บังเอิญจริงๆ ค้นหาแขวนคอโจรผู้ร้ายไปทั่วถึงกับพบมารดาของจูจั้นเข้า  

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้ดีใจ แต่จากนั้นทั้งร่างก็เหงื่อกาฬหลั่งริน  

 

บังเอิญนัก หากตอนนั้นนางไม่ได้เดินทางไปถึงที่นั่น ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงกั๋วกงใยไม่ใช่….  

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน? ทำไมมีคนไล่ล่าสังหารได้?” คุณหนูจวินรีบร้อนเอ่ยถาม “ทำไมท่านพาคนออกมาแค่นี้?”  

 

นายหญิงอวี้ตะลึงไปนิดหนึ่ง  

 

เด็กสาวคนนี้พริบตาพลันเปลี่ยนท่าทางไปเลย  

 

อาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงขั้นรำคาญนิดหน่อยก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น รวมถึงความตกตะลึงไม่อยากเชื่อยามได้ยินสถานการณ์เกี่ยวกับสงครามแดนเหนือเมื่อครู่ก็ไม่มีแล้ว  

 

ความรำคาญหายไปเข้าใจได้ อย่างไรคำพูดที่นางเอ่ยเมื่อครู่ก็เพียงพอแสดงว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา แต่เวลานี้แสดงฐานะชัด เด็กสาวคนนี้ทำไมกลับไม่ตกตะลึง?  

 

ไม่ตกตะลึง ไม่สงสัยฐานะของนางแล้วยังไม่ทำอะไรไม่ถูกอีก มีเพียง…เป็นห่วง?  

 

แล้วยังเป็นความเป็นห่วงเป็นใยระหว่างคนคุ้นเคยแบบนั้นอีกด้วย  

 

“ยังมีที่อื่นได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่ ข้าก็ไม่ได้ตรวจให้ละเอียด” คุณหนูจวินเอ่ยต่อด้วยสีหน้ากังวล “ท่านนั่งลง ข้าตรวจดูสักหน่อย”  

 

นายหญิงอวี้อดไม่ได้ยิ้มแล้ว  

 

“ไม่มี” นางเอ่ย “คุณหนูจวินกังวลเกินไปแล้ว”  

 

คุณหนูจวินขานรับจากนั้นมองดูนายหญิงอวี้  

 

ที่แท้ภรรยาของเฉิงกั๋วกงก็หน้าตาเช่นนี้เอง  

 

หน้าตาไม่อาจพูดว่าสวยได้ ไม่รูปงามอย่างเฉิงกั๋วกง เทียบกับความทรงภูมิของเฉิงกั๋วกง นางกลับห้าวหาญอยู่บ้าง  

 

ภรรยาของเฉิงกั๋วกงเป็นคนจากที่ไหน? เหมือนจะเป็นคนแดนเหนือ ยามนั้นแดนเหนือยังมีชาวจินก่อความวุ่นวายอยู่ ที่ต่างๆ มีกองทหารอาสามากมายต้านทานโจมตีชาวจิน ภรรยาของเฉิงกั๋วกงคล้ายจะเป็นลูกสาวของหัวหน้ากองทหารอาสาคนหนึ่ง  

 

แน่นอนกับข้างนอก เพียงบอกว่าเป็นลูกสาวของผู้ดีชนบทคนหนึ่ง  

 

คุณหนูจวินจำได้เลือนราง ยามยังเล็กครั้งอยู่ในวังของพระมารดานางหลบอยู่ใต้โต๊ะได้ยินพวกท่านหญิงบรรดาศักดิ์ที่รอเข้าเฝ้าเหล่านั้นพูดคุยเสียงเบาเกี่ยวกับท่านหญิงเฉิงกั๋ว บอกว่านางไม่กลับเมืองหลวงก็เพราะไม่กล้า  

 

“ลูกสาวผู้ดีชนบท ทหารอาสาอะไร ที่จริงก็คือลูกสาวของโจรคนหนึ่ง” มีท่านหญิงบรรดาศักดิ์หัวเราะเอ่ย “เฉิงกั๋วกงเพื่อให้ได้ความช่วยเหลือของโจรเหล่านี้จึงเอาตัวเข้าแลก”  

 

“ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงใช้รูปโฉมล่อลวงคนรึ?” มีท่านหญิงบรรดาศักดิ์หัวเราะเสียงเบาเอ่ยบ้าง  

 

เฉิงกั๋วกงรูปงาม ท่านหญิงเหล่านี้ลับหลังยากเลี่ยงเอ่ยถึง  

 

เวลานั้นแม้นางยังเล็ก แต่ก็รู้ว่ารูปโฉมล่อลวงคนไม่ใช่คำดีอะไร ดังนั้นตอนได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงจะมาพบพระบิดาถึงไม่ยอมไป หลังจากนั้นก็ได้หนึ่งรอยยิ้มหนึ่งผลไม้เชื่อมตก  

 

คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็อดยิ้มไม่ได้แล้ว  

 

ไม่ทราบว่านายหญิงอวี้คนนี้เป็นเช่นนั้นเหมือนที่บรรดาท่านหญิงบรรดาศักดิ์เหล่านั้นพูดหรือไม่ ถูกเฉิงกั๋วกงใช้รูปโฉมหลอกล่อหรือบีบบังคับให้แต่งงาน  

 

นายหญิงอวี้มองดูเด็กสาวที่ยิ้มแฉ่งตรงหน้าคนนี้ รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง  

 

“คุณหนูจวิน?” นางเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินขานอืมทีหนึ่ง มองนางด้วยแววตาตั้งใจ  

 

“ฐานะของข้าที่ข้าบอกท่านอาจไม่เชื่อ หากท่านตามข้าไป ข้าจะพิสูจน์กับท่าน…” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบ คุณหนูจวินก็ขัดแล้ว  

 

“ช้าเชื่อสิ” นางอมยิ้มเอ่ย “นี่มีอะไรให้ไม่เชื่อ”  

 

นายหญิงอวี้ตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะแล้ว  

 

“คุณหนูจวินเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เชิญท่านไปเมืองเหอเจียนด้วยกัน ข้าจะคุยรายละเอียดกับท่าน…”  

 

คุณหนูจวินขัดนางอีกครั้ง นางส่ายศีรษะแล้วพยักหน้า  

 

“ไม่ต้อง ข้าจะไปกับท่าน” นางเอ่ย  

 

นายหญิงอวี้ตะลึงอีกครั้งแล้ว นี่ก็ตรงไปตรงมาเกินไปแล้วกระมัง  

 

“ท่านว่าทำอย่างไร ข้าก็ทำอย่างนั้น” คุณหนูจวินยิ้มๆ เอ่ยเสริมหนึ่งประโยคอีกครั้ง  

 

นายหญิงอวี้มองนางครู่หนึ่ง ในดวงตามีความสงสัยอยู่บ้าง  

 

“คุณหนูจวิน ท่าน รู้จักข้าหรือ?” นางเอ่ยถาม  

 

ไม่เช่นนั้นทำไมหลังแจ้งฐานะ เด็กสาวคนนี้จึงมองนางแล้วยิ้มพิกลอยู่ตลอด? รอยยิ้มเช่นนั้นหมายความว่าอ้อที่แท้ก็เป็นเจ้าเองชัดๆ  

 

คุณหนูจวินพลันเก็บสีหน้า  

 

“ใต้หล้าใครไม่รู้จักเฉิงกั๋วกงกับภรรยาบ้าง” นางเอ่ย  

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

“คุณหนูจวินแค่อาศัยชื่อนี้ก็เชื่อข้าเช่นนี้แล้วรึ?” นางเอ่ยถาม  

 

“ข้าเชื่อว่าเรื่องที่เฉิงกั๋วกงกับท่านหญิงทำเป็นการทุ่มเทความภักดีตอบแทนประเทศชาติ ปกป้องแผ่นดินคุ้มครองประชาชน ในเมื่อท่านบอกว่าจะไปทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำ” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

ช้าเชื่อว่าเรื่องที่เฉิงกั๋วกงกับท่านหญิงทำเป็นการทุ่มเทความภักดีตอบแทนประเทศชาติ ปกป้องแผ่นดินคุ้มครองประชาชน  

 

คำพูดเช่นนี้นายหญิงอวี้ฟังมาทั้งชีวิตแล้วจึงเฉยชาอยู่บ้าง แต่เวลานี้ได้ยินเด็กสาวตรงหน้าคนนี้เอ่ยออกมา ในใจนางกลับสั่นไหวอย่างประหลาด  

 

บางทีอาจเพราะนางตอบประโยคนี้ออกมาโดยไม่ลังเลสักนิดกระทั่งคิดก็ไม่คิด บางทีอาจเพราะน้ำเสียงสมเหตุสมผลสบายๆ นั่นของนาง  

 

“ดี” นางสีหน้าจริงจังเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ คุณหนูจวินคิดราคาเท่าไร?”  

 

คุณหนูจวินยิ้ม  

 

“เรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องสิบหมื่นตำลึงกระมัง” นางตอบ  

 

……………………………………….  

 

มองเห็นคุณหนูจวินกับเซี่ยหย่ง หยางจิ่งมาด้วยกัน จ้าวฮั่นชิงก็เป็นฝ่ายเดินออกไป  

 

“ข้ารอเจ้าที่เขาด้านหลัง” นางโบกคันศรในมือให้คุณหนูจวิน  

 

คุณหนูจวินยิ้มให้นางทำมือว่าเข้าใจ  

 

“บอกว่าจะส่งนายหญิงคนนั้นไปเมืองต้าหมิงหรือ?” เซียวจือเอ่ยถาม เข็มด้ายในมือยังไม่หยุด “นับเวลาก็ควรออกเดินทางได้แล้ว”  

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งคิดว่าวันนี้คุณหนูจวินมาหาพวกเขาก็เพื่อเรื่องนี้  

 

“พวกเราเลือกยี่สิบคนไว้แล้ว ออกเดินทางติดตามคุณหนูจวินได้ตลอดเวลา” พวกเขาเอ่ย  

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ  

 

“ท่านน้า นายหญิงคนนั้นไม่ไปเมืองต้าหมิงแล้ว” นางเอ่ย “จะไปเมืองเหอเจียน”  

 

เมืองเหอเจียน?  

 

“ระยะทางพอๆ กัน แม้ไปทางเหนืออยู่บ้าง คนเหล่านี้น่าจะพอใช้กระมัง” เซียวจือเอ่ยพลางมองหนางจิ่งกับเซี่ยหย่งทีหนึ่ง  

 

นี่ก็คือตกลงแล้ว  

 

หยางจิ่งพยักหน้า  

 

“พอใช้” เขาเอ่ย  

 

“ระยะทางก็พอๆ กัน” เซี่ยหย่งเอ่ย “ตรงกันข้ามเหอเจียนกลับเร็วกว่าอยู่บ้าง”  

 

“คุณหนูจวินอยากออกเดินทางเวลาใด?” เซียวจือเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินกลับเงียบงันไม่พูดจา  

 

อารมณ์ไม่ถูกต้อง พวกเซียวจือสามคนสบตากันทีหนึ่ง สีหน้างุนงงเล็กน้อย  

 

เรื่องที่คุณหนูจวินได้รับจดหมายจนบันดาลโทสะพวกเขาล้วนรู้แล้ว ได้ยินว่าสงครามข้างนอกพลิกผัน หรือว่าเพราะเรื่องนี้จึงรู้สึกว่าเดินทางอันตราย?  

 

“คุณหนูจวินไม่ต้องกังวลใจ โจรผู้ร้ายพวกเราไม่กลัว ต่อให้เดินทางขึ้นเหนือ พบทหารจินเข้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัว” เซี่ยหย่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น  

 

ทหารจินสำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว หรือพูดได้ว่าพวกเขาเคยประมือกับทหารจินมาก่อนแล้ว  

 

ดังนั้นพวกเขาเป็นทหารจริงๆ รึ?  

 

“ครั้งนี้ไปเมืองเหอเจียน ไม่เพียงอารักขานายหญิงคนนี้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

พวกเซียวจือสามคนมองไปหานาง ไม่เพียงอารักขา? ถ้าอย่างนั้นยังทำอะไรอีก?   

 

“ท่านน้า ราชสำนักต้องการเจรจาสงบศึก จะยกเป่าสยงป้าสามเมืองให้แก่ชาวจิน…” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

“คุณหนูจวิน เรื่องของราชสำนักพวกเราไม่อยากรู้แล้วก็ไม่อาจทำอันใดได้” เซียวจือขัดนาง “ท่านพูดตรงๆ ว่าต้องการทำอะไรเถอะ”  

 

น้าเซียวก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่งตลอดมา ตัวอย่างเช่นเรื่องอาจารย์บอกไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับ  

 

“ไปเมืองเหอเจียนกับนายหญิงคนนี้ คุ้มครองประชาชนสามเมืองลงใต้ข้ามเหอเจียน” คุณหนูจวินเอ่ยออกมาตรงๆ  

 

อะไรนะ?  

 

ทั้งสามคนในห้องสีหน้าประหลาดใจ มองคุณหนูจวิน  

 

“ถ้าอย่างนั้นขออภัยอย่างยิ่ง คุณหนูจวิน เงินนี่พวกเรารับไม่ได้” จากนั้นเซียวจือก็ได้สติกลับมาเอ่ยขึ้นตรงๆ  

 

ในห้องตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่ง  

 

เซี่ยหย่ง หยางจิ่งสีหน้าสับสน ต้องการเอ่ยอะไรแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” นางพูด “ข้ามาเพื่อบอกว่าเงินนี้ได้มาไม่ง่าย ดังนั้นขอให้คนของท่านอาหยาง ท่านอาเซี่ยไม่ต้องไปแล้ว”  

 

เช่นนี้เอง  

 

พวกเซี่ยหย่งสามคนสีหน้ายิ่งปั้นยาก  

ไม่ไปเมืองต้าหมิง?  

 

คุณหนูจวินตะลึงไปนิดหนึ่งจากนั้นก็เข้าใจ  

 

การพูดคุยกับผู้ดูแลใหญ่ครั้งนั้นไม่ได้หลบเลี่ยงนายหญิงอวี้ แม้นายหญิงอวี้ไม่ได้จี้ถามแต่น่าจะรู้ว่าสงครามเกิดปัญหาแล้ว  

 

ตัวอย่างเช่นทหารจินสิบหมื่น ตัวอย่างเช่นการยกเมืองให้  

 

ทหารจินสิบหมื่นบุกลงใต้ แดนเหนือย่อมตกสู่สงครามโกลาหลยิ่งกว่าเดิม เมืองต้าหมิงก็ไม่มีทางโชคดีรอดพ้นแล้ว  

 

และการเจรจาสงบศึกยกเมืองให้ จะทำให้เมืองต้าหมิงไม่ใช่แนวหลังที่ปลอดภัยอีกต่อไป กลายเป็นชายแดนที่ใกล้ชาวจินอย่างมากไปด้วย  

 

หากจะไปเมืองต้าหมิงหลบภัยย่อมไม่จำเป็นแล้ว เปลี่ยนสถานที่เถอะ  

 

“เปลี่ยนสถานที่ก็ต้องเพิ่มเงิน” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

“แน่นอน ราคาต้องคุยกันใหม่” นางเอ่ยพลางนั่งลง  

 

คุณหนูจวินก็นั่งลงใหม่อีกหนด้วย รอนางเอ่ยคำพูด  

 

“ราชสำนักต้องการเจรจาสงบศึกสินะ?” นายหญิงอวี้พลันเอ่ยขึ้น  

 

คุณหนูจวินขานตอบ  

 

“เป็นเช่นนี้จริงๆ สินะ” นายหญิงอวี้เอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าไปเมืองต้าหมิงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเช่นกัน”  

 

คุณหนูจวินขานตอบอีกครั้ง  

 

“นายหญิงยังไงก็ออกจากมณฑลเหอเป่ยซีเถอะ ไปมณฑลทางตะวันตกของเมืองหลวงจะดีกว่าหน่อย” นางเอ่ย  

 

“คุณหนูจวิน ข้าไปเมืองต้าหมิงไม่ใช่เพื่อเลี่ยงภัย” นายหญิงอวี้เอ่ย “ข้าต้องการไปพบคนผู้หนึ่ง”  

 

ตอนนี้คุณหนูจวินถึงมองไปหานาง  

 

พบคนผู้หนึ่ง เยี่ยมครอบครัวเยือนมิตรสหายหรือ?  

 

“ราชสำนักต้องการยกเป่าโจว สยงโจว ป้าโจวให้สินะ?” นางหญิงอวี้กลับเปลี่ยนประเด็นสนทนา  

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อยขานรับอีกครั้ง  

 

“ประชากรสามเมืองไม่น้อยเลย” นายหญิงอวี้เอ่ย “จะมอบให้ชาวจินทั้งหมดรึ? นับจากนี้ไม่ใช่ชาวฮั่นแล้ว นี่สายฟ้าฟาดยามกลางวันจริงๆ”  

 

ไม่มีหน้าพบบรรพบุรุษชัดๆ คุณหนูจวินถอนหายใจ แม้ตอนนี้นางไม่ใช่ฉู่จิ่วหลิงก็รู้สึกว่าบนหน้าแสบร้อน  

 

“นายหญิงไม่ต้องกังวล เพียงแค่เจรจาสงบศึก ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ” นางไม่คิดต่อประเด็นสนทนานี้ “นอกจากนี้ข้าเชื่อว่าเฉิงกั๋วกงจะมีวิธี”  

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

“เขาจะมีวิธีอะไรได้ ก็แค่แบกจนตายเท่านั้น” นางเอ่ย  

 

แบกจนตายหมายความว่าอย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงสตรีผู้นี้เอ่ยถึงเฉิงกั๋วกงด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายสบายๆ เช่นนั้น ตายคำนี้ใช้กับตัวเฉิงกั๋วกง นางฟังแล้วไม่สบายใจยิ่ง  

 

“นายหญิงอวี้ ท่านอยากไปที่ใด?” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

นายหญิงอวี้กลับไตร่ตรองไม่เอ่ยปาก  

 

“คุณหนูจวิน พวกท่านที่แท้เป็นใครกันแน่?” นางพลันเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน  

 

“นายหญิงอวี้ ที่แท้ท่านอยากพูดอะไร?” นางเอ่ยถามตรงๆ  

 

นายหญิงอวี้ยกมือให้นาง  

 

“คุณหนูจวินอย่าร้อนใจ” นางเอ่ย “เป็นข้าไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่พูดจึงสับสนอยู่บ้าง”  

 

สตรีคนนี้ตลอดมาไม่รีบร้อนไม่ลนลาน เจรจาสงบศึกยกเมืองให้ก็ดี เรื่องใหญ่ของราชสำนักก็ดี ที่จริงไม่เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นี้สักเท่าไร คุณหนูจวินถอนหายใจเบาๆ  

 

“นายหญิงก็อย่าร้อนใจ ท่านมีสิ่งใดอยากพูดก็พูดตรงๆ เถิด” นางเอ่ย “ทุกคนล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าทำได้ก็รับ ทำไม่ได้ก็จะไม่ทำให้นายหญิงเสียงาน”  

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า  

 

“ดี” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าอยากเชิญคุณหนูจวินพาคนที่นี่ของท่านตามข้าขึ้นเหนือไปคุ้มครองประชาชนสามเมืองข้ามเหอเจียน”  

 

อะไรนะ?  

 

นายหญิงคนนี้พูดตรงเกินไปแล้ว คุณหนูจวินกลับรู้สึกฟังไม่เข้าใจอยู่บ้าง  

 

หมายความว่าอย่างไร?  

 

จะขึ้นเหนือคุ้มครองประชาชนสามเมืองข้ามเหอเจียนได้อย่างไร?  

 

นายหญิงอวี้เห็นท่าทางนิ่งอึ้งของเด็กสาวคนนี้ก็ยิ้ม  

 

“ข้าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้สับสนเกินไปอยู่บ้าง” นางเอ่ยแล้วหุบรอยยิ้ม “ชาวจินต้องการเจรจาสงบศึกกับราชสำนัก ข่าวนี้พวกเรารู้ก่อนนานแล้ว ราชสำนักไม่รู้ พวกเราคนที่ยุ่งเกี่ยวกับชาวจินมานานปีเหล่านี้รู้ชัดยิ่ง ชาวจินเจ้าเล่ห์ไม่อาจเชื่อ สงบศึกไม่อาจเชื่อถือได้”  

 

พวกเรา?  

 

รู้ก่อน?  

 

ยุ่งเกี่ยวกับชาวจินมานานปี?  

 

คุณหนูจวินยิ่งตกตะลึงมองนายหญิงอวี้  

 

“ดังนั้นใจจึงเหลือความหวังสายหนึ่งว่าจะขัดขวางได้ ข้าตัดสินใจเดินทางไปเมืองต้าหมิงพบชิงเหอปั๋ว” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “คุณหนูจวินน่าจะรู้จักชิงเหอปั๋วกระมัง?”  

 

ล่วงรู้การเจรจาสงบศึกของราชสำนักตั้งแต่แวบแรก นอกจากนี้ได้ข้อมูลละเอียดอย่างที่สุด ความเร็วของเส้นสายเช่นนี้น่าจะรอบรู้กว้างขวาง  

 

คุณหนูจวินต้องรู้จักชิงเหอปั๋วแน่นอน  

 

เฉิงกั๋วกงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เพราะความดีความชอบทางทหาร ชิงเหอปั๋วโจวเจียงก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยความดีความชอบทางทหารเช่นกัน เทียบกับเฉิงกั๋วกงแล้วชิงเหอปั๋วประวัติอาวุโสกว่า เขาท่องทั่วแดนใต้กวาดล้างกำจัดโจร ชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน คนเรียกเหนือซานใต้เจียง คุ้มครองต้าโจวมั่นคง  

 

ชาวจินข้ามแดนครั้งนี้ ชิงเหอปั๋วย่อมถูกเรียกตัวทันทีเช่นกัน เขาครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารจิงซีนำทหารเฝ้ารักษามณฑลจิงตงซี  

 

บางทีอาจเพราะอายุมากกระมัง ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับชิงเหอปั๋วท่านนี้จึงคล้ายไม่แน่นแฟ้นเท่าเฉิงกั๋วกง คุณหนูจวินตอนยังเล็กไม่เคยเห็นเขา  

 

แต่ได้ยินลู่อวิ๋นฉีเล่าว่าชิงเหอปั๋วคนนี้นิสัยหยิ่งยโส นอกจากนี้ละโมบเงินทองอย่างยิ่ง  

 

นายหญิงอวี้ถึงกับจะไปพบชิงเหอปั๋วได้ ดูออกได้ว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา ที่แท้ไม่ธรรมดาปานนี้  

 

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดแล้ว เฉิงกั๋วกงมีวิธีอะไรที่ไหนก็แค่แบกจนตายเท่านั้น” นายหญิงอวี้เอ่ย “ไม่กลัวชาวจิน สงครามพลิกผันมากอีกเท่าใดก็ควบคุมได้ แต่คนของตนเองควบคุมยากที่สุด โดยเฉพาะครั้งนี้แดนเหนือแม่ทัพมากมายถูกโยกย้าย เสบียงทหารหญ้าเลี้ยงม้าทุกหนทุกแห่งยิ่งถูกกักไว้”  

 

เช่นนี้หรอกหรือ? คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้  

 

แต่ นางรู้ได้อย่างไร?  

 

หรือนางเป็นครอบครัวของแม่ทัพแดนเหนือ?  

 

“ในราชสำนักมีคนเสนอให้เจรจาสงบศึกไม่ผิดจากที่คาด จากที่กองทหารประจำการด้านหลังถอยโดยไร้คำสั่ง มีคำสั่งไม่ปฏิบัติตามจนถึงเสียเมืองไคเต๋อก็รู้ได้ ทุกสิ่งนี้สื่อว่ามีคนไม่อยากทำสงครามแล้ว” นายหญิงอวี้เอ่ย  

 

ครั้งนี้คุณหนูจวินไม่เงียบฟังอีกต่อไป แต่ลุกขึ้นยืน  

 

“ท่านจะบอกว่ามีคนสมคบศัตรู?” นางเอ่ยถาม  

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว  

 

“ก็นับไม่ได้ว่าสมคบศัตรู เพียงความคิดเห็นที่มีต่อชาวจินไม่เหมือนกันเท่านั้น” นางเอ่ย “คนมีความคิดเห็นไม่เหมือนกันปกติยิ่งนัก จะกำจัดความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันเหล่านี้ จำเป็นต้องมีชัยชนะที่เด็ดขาด อำนาจแข็งแกร่งกดข่ม ไม่ให้โอกาสความคิดเห็นของพวกเขาก่อกำเนิดแผ่ขยาย ดังนั้นข้าต้องไปพบชิงเหอปั๋ว ข้าจะต้องโน้มน้าวเขาให้คงความสงบข้างหลังนี่”  

 

โน้มน้าว คนที่โน้มน้าวชิงเหอปั๋วได้ จะเป็นใครได้?  

 

คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้  

 

คุ้นเคย….  

 

ความรู้สึกคุ้ยเคยนั่น หรือว่า…  

 

คุณหนูจวินฉับพลันชาไร้เรี่ยวแรงตั้งแต่ใต้เท้าตรงไปถึงกระหม่อม  

 

ไม่มีทางหรอก  

 

นายหญิงอวี้ไม่คิดมากกับสีหน้าของนาง  

 

คำพูดของตนน่าตกใจปานนี้ นางเองในใจรู้ชัดยิ่ง ดังนั้นนางจึงพยายามที่สุดให้เรียบง่ายขึ้น ให้เด็กสาวคนนี้ฟังเข้าใจ  

 

ที่หนักที่สุดก็คือ ต้องให้เด็กสาวฟังเข้าใจว่าตนเองที่แท้ต้องการให้นางทำอะไร  

 

“แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ฝ่าบาทถูกเกลี้ยกล่อมไปแล้ว” นางเอ่ยต่อ “ชิงเหอปั๋วย่อมไม่มีทางถูกข้าโน้มน้าวได้แล้ว การยกสามเมืองให้ไม่อาจขัดขวางได้แล้ว และอารมณ์ของเฉิงกั๋วกงคงทำให้สถานการณ์ยิ่งกลายเป็นย่ำแย่อยู่บ้าง”  

 

นางพูดพลางยื่นมือกุมหน้าผาก หน้าตาปรากฏความเหนื่อยล้าอยู่  

 

“เรื่องอื่นข้าก็ช่วยไม่ได้ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่กังวลเพียงอย่างเดียวก็คือประชาชนหลายหมื่นคนของสามเมืองนั้น เมื่อการเจรจาสงบศึกสำเร็จลง กองทหารประจำการที่แดนเหนือย่อมต้องถอนกำลังกลับมา กองทหารประจำการถอนกำลังง่าย ประชาชนยากเคลื่อนย้าย”  

 

นางเงยหน้าขึ้นความเหนื่อยล้าสลายไป สีหน้าเคร่งขรึมและแน่วแน่  

 

“ดินแดนทิ้งได้ ประชาชนไม่อาจทิ้งได้ ต้าโจวไม่ต้องการพวกเขา แต่ขอแค่พวกเขายังต้องการต้าโจวแห่งนี้ ข้าก็จะปกป้องพวกเขา พาพวกเขาเดินทางมาด้วยกัน” นางมองไปทางคุณหนูจวิน “ดังนั้นข้าต้องการเชิญคุณหนูจวินช่วยข้าไปอารักขาประชาชนหลายหมื่นคนนี้ข้ามเหอเจียนอย่างปลอดภัยด้วยกัน เรื่องนี้ท่านจะคิดราคาเท่าไร?”  

 

คุณหนูจวินมองนาง  

 

“ท่านเป็นใคร?” นางขยับริมฝีปากเอ่ยถาม  

 

นางเคยบอกแล้วว่านางแซ่อวี้ นามว่าหลัน  

 

ถ้าอย่างนั้นคำถามว่า “ท่านเป็นใคร” ครั้งนี้ เห็นชัดว่าที่ถามย่อมไม่ใช่ชื่อแซ่แล้ว แต่เป็นฐานะ  

 

นายหญิงอวี้ยิ้มมองนาง  

 

“ข้าคือท่านหญิงเฉิงกั๋ว” นางเอ่ย “สามีของข้าคือเฉิงกั๋วกงจูซาน”  

จูจั้นไม่ย่ำเท้าอีก เขาเก็บจดหมายบนพื้นกับหนวดขึ้นมา ปากก็โวยวายด่าทอ  

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” บุรุษเมื่อครู่เดินเข้ามาเอ่ยถาม  

 

“หวงเฉิงเจ้าเฒ่าหนังเหนียวนี่กล่อมฝ่าบาทให้พระองค์ยอมรับการเจรจาสงบศึก” จูจั้นยิ้มหยันเอ่ย  

 

ผู้ชายสีหน้าตกตะลึง  

 

“เขาบ้าไปแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม  

 

จูจั้นนั่งลงบนก้อนหินใหม่อีกครั้ง  

 

“เปิดการค้าระหว่างแคว้น ยกหกเมืองให้ ในสถานการณ์ที่พวกเรายังไม่เคยแพ้ คนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้ล้วนบ้าไปแล้ว” เขาเอ่ย “ที่น่าขำคือคนบ้าในใต้หล้านี้มีมากปานนี้”  

 

เขาตบไหล่จูจั้น  

 

“คนที่อยู่ไกลในราชสำนักเหล่านี้กลัวสงครามเกินไปแล้ว วิธีกำจัดความกลัวก็คือทำให้สงครามหยุดลง แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าจะให้สงครามหยุดลงไม่ใช่ไม่รบแต่ต้องรบ” เขาเอ่ย  

 

จูจั้นยิ้มหยัน  

 

“พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเท่านั้น” เขาเอ่ย “สำหรับคนบางพวก สละผืนดินทอดทิ้งประชาชนแล้วเกี่ยวข้องอันใดเล่า อย่างไรพวกเขาก็ยังคงมั่งคั่งเรืองอำนาจ”  

 

เรื่องในราชสำนักห่างไกลเกินไปแล้ว บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าตนเองวิจารณ์ไม่ได้และทำอันใดมิได้  

 

“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่ตนเองทำได้เถอะ  

 

จูจั้นมองจดหมายครู่หนึ่ง  

 

“เจรจาสงบศึก” เขาเอ่ย “ในราชสำนักต้องมีคนมากมายไม่เห็นด้วยแน่ ประชาชนแดนเหนือไม่เห็นด้วย เหล่าแม่ทัพแดนเหนือก็ไม่มีทางเห็นด้วย”  

 

เขาพูดพลางสวมหนวดแล้วลุกขึ้นยืน  

 

“พวกเราก็ไม่เห็นด้วย”  

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปข้างหน้า  

 

บุรุษคนนั้นขานเรียกรอบด้าน คนมากมายติดตามก้าวเร็วไวไปทิศเหนือ  

 

……………………………………….  

 

“ช่างบ้าบอและน่าขันจริงๆ”  

 

ค่ำคืนดึกดื่นในห้องหนังสือของหนิงเหยียนยังจุดโคมสว่างไสว  

 

“ทหารน้อย ประชาชนยากจน ประเทศขาดแคลนอะไรกัน”  

 

เทียบกับหลายวันก่อนหนิงเหยียนยิ่งแลดูซีดเซียว ชุดขุนนางบนร่างยังไม่ทันผลัดเปลี่ยนก็นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือสีหน้าโกรธเกรี้ยว  

 

“ท้องพระคลังต้าโจวเราร่อยหรอ ควรถามหวงเฉิงดูว่าเขาดูแลท้องพระคลังเอาเงินไปไว้ที่ไหนหมดแล้วเล่า?”  

 

โต๊ะเขียนหนังสือถูกตบเสียงดัง ถ้วยน้ำชากระเทือนสั่นไหว  

 

หนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นมือมาประคอง  

 

“ท่านอา ผลัดอาภรณ์ก่อนเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเบาพลางคลี่ชุดผ้าฝ้ายสำหรับอยู่บ้านที่ถืออยู่ในมือออก  

 

ผลัดผ้าผ่อนเรื่องนี้ล้วนเป็นสาวใช้ทั้งหลายทำ แต่หนิงเหยียนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากท้องพระโรงเข้าบ้าน ปุบไม่พูดสักประโยคก็เข้ามาในห้องหนังสือ ปิดประตูจนดึกปานนี้ก็ไม่ให้คนเข้ามา  

 

นายหญิงรองหนิงไร้หนทางได้แต่ไหว้วานหนิงอวิ๋นเจาให้เข้ามาอ้างว่าส่งเสื้อผ้าลองดูว่าที่แท้เป็นอย่างไร  

 

เรื่องที่ราชสำนักกับชาวจินเจรจาสงบศึกกันเล่าลือออกไปแล้ว  

 

เริ่มแรกประชาชนล้วนคิดว่าเป็นการยกธงยอมแพ้ ทั้งเมืองหลวงบนล่างล้วนยินดีเป็นทิวแถว อย่างไรไม่รบก็เป็นเรื่องดี  

 

แต่จากนั้นข้อเรียกร้องของทูตจินในราชสำนักก็ตื่นตะลึงผู้คน ที่แท้ไม่ใช่มายอมแพ้แต่มาข่มขู่  

 

ข่าวเรื่องทหารจินสิบหมื่นทำให้ทั้งเมืองหลวงเมฆหมอกอึมครึมปกคลุม ตกสู่ความโกลาหล  

 

ขุนนางฝั่งหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ด่าท่อขับไล่ทูตจินทันที ในที่ประชุมขุนนางหลังจากนั้นยังต้องการให้สังหารทูตจินส่งไปยังแนวหน้าแดนเหนือ แสดงออกว่าไม่มีวันปรองดอง  

 

แต่ไม่ทำสงครามอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นอกจากกลุ่มที่โกรธแค้นสนับสนุนการทำสงคราม ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงกับไม่มีทางแก้ไข  

 

“เจรจาสงบศึกน่ะ ก็คือต้องเจรจาไหมเล่า” หวงเฉิงพูดเอื่อยๆ “รู้สึกว่าข้อเรียกร้องไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นก็เจรจาสิ รีบร้อนอะไร”  

 

เจรจาบ้าอะไร ถูกคนขี่อยู่เหนือศีรษะอุจจาระใส่แล้ว ฝ่ามือตบไปไม่ใช่ครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะหารือว่าท่านจะนั่งลงถ่ายหรือไม่อีกรึ?  

 

ถ้อยคำที่สองฝ่ายด่ากันหยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ท้ายที่สุดในท้องพระโรงขุนนางชราหลายคนก็ตีกับพวกหวงเฉิงขึ้นมาตรงๆ ท้องพระโรงโกลาหล ฮ่องเต้พิโรธจนประชวรพระวาโย  

 

แต่หลังจากนั้นหวงเฉิงก็ยังไปเจรจาจริงๆ นอกจากนี้เขาถึงกับเจรจาได้จริงๆ  

 

“ไม่เปิดการค้าระหว่างแคว้นได้ ขอแค่สามเมืองเท่านั้น พวกเขาก็ไร้หนทางเช่นกันจึงอยากขอทางรอด นอกจากนี้ถูกเรียกว่าประเทศบริวารของต้าโจว ส่งบรรณาการก็ได้”  

 

ประเทศบริวาร บรรณการ  

 

สองเรื่องนี้ทำให้พระเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกาย  

 

แม้บรรณาการเป็นเงินไม่เท่าไร ทว่านี่เป็นท่าทีอย่างหนึ่งว่ายอมก้มหัวสวามิภักดิ์  

 

ทำให้ศัตรูในอดีตแห่งหนึ่งก้มศีรษะสวามิภักดิ์ นั่นคือความสำเร็จนะ เอาความสำเร็จปลอบประโลมเบื้องหน้าบรรพชนบรรพบุรุษได้แล้ว  

 

“นี่จะนับว่าสำเร็จได้ยังไง!”  

 

หนิงเหยียนลุกขึ้นยืนก้าวเดินเหมือนเช่นอยู่ในท้องพระโรงอย่างนั้น  

 

“ยังต้องยกเมืองให้สามเมืองนะ นี่ยังคงไม่ใช่เจรจาสงบศึก นี่ยังคงเป็นการข่มขู่”  

 

“อะไรเรียกก้มหัวสวามิภักดิ์ การทำให้อีกฝ่ายก้มหัวสวามิภักดิ์แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้มาด้วยพระคุณและการมอบรางวัลยกประโยชน์ให้”  

 

“มีเพียงสู้ถึงยอมจำนน”  

 

“ข้าไม่เชื่อว่าต้าโจวอันยิ่งใหญ่ของพวกเราแค่ทหารจินกระจ้อยร่อยสิบหมื่นก็ชนะไม่ได้”  

 

หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบมองดูหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยว  

 

“กรมขุนนางบอกว่าประชาชนยากจนประเทศขาดแคลนจึงสิ้นเปลืองไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น  

 

“คนที่สิ้นเปลืองไม่ได้ยิ่งกว่าคือชาวจิน” หนิงเหยียนคิ้วตั้งเอ่ยสวน  

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว  

 

“ท่านอาไม่สู้ผลัดผ้าผ่อนกินอะไรสักหน่อยก่อน” เขาพูดขึ้นมา  

 

หนิงเหยียนนั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือใหม่อีกครั้ง  

 

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยพลางยกพู่กัน “ข้าเขียนฎีกาชิ้นนี้เสร็จจะเข้าวังทันที”  

 

ฎีกานี่ย่อมเป็นการคัดค้านพวกหวงเฉิงที่ต้องการเจรจาสงบศึกรวมถึงเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้รบกับชาวจินต่อ   

 

หนิงอวิ๋นเจาถือชุดผ้าฝ้าย  

 

“ท่านอา” เขาเอ่ย “แต่ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่านี่คือการข่มขู่”  

 

หนิงเหยียนหยุดพู่กันเงยหน้ามองเขา  

 

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” เขาเอ่ยตอบ  

 

ที่พวกหวงเฉิงวิ่งเต้นบนล่างสนับสนุนการเจรจาสงบศึกสุดกำลังได้ ที่จริงก็เป็นเพราะฮ่องเต้พระทัยหวั่นไหวแล้ว  

 

ตอนนี้การโต้เถียงระหว่างสนับสนุนสงครามหรือสนับสนุนสงบศึก พูดตรงๆ แล้วก็คือการทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือกระทำการขัดพระประสงค์  

 

ดังนั้นเรื่องมาถึงวันนี้ ขุนนางมากยิ่งกว่าล้วนไม่พูดจาแล้ว  

 

“ทว่าวาจาสัตย์ซื่อไม่รื่นหู นี่คือเรื่องที่ผู้เป็นขุนนางพึงกระทำ” หนิงเหยียนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

หนิงอวิ๋นเจาขานรับ  

 

“ข้าฝนหมึกให้ท่านอา” เขาเอ่ยแล้ววางเสื้อผ้าไว้ด้านข้าง ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ  

 

หนิงเหยียนไม่เอ่ยวาจาอีก ในห้องหนังสือตกสู่ความเงียบ ไฟโคมทอดเงาหนึ่งคนฝนหมึกหนึ่งคนก้มหน้าเขียนหนังสือไวว่องลงบนหน้าต่าง  

 

……………………………………….  

 

วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง อาลักษณ์เจียงจิ่งเพราะโอหังทรยศใส่ร้ายป้ายสีราชสำนัก เนรเทศไปยังเจาโจว  

 

วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ขุนนางแสดงความเห็นหลี่หนานกลับถูกเป็นผิดหลอกลวงเบื้องสูงปลดจากตำแหน่งขุนนาง ขังคุกประณาม  

 

วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองปลดอำมาตย์หนิงเหยียนออกจากตำแหน่ง  

 

……………………………………….  

 

“พูดเช่นนี้ การเจรจาสงบศึกขวางไม่ได้แล้ว?”  

 

คุณหนูจวินวางจดหมายในมือลง เอ่ยขึ้นเรียบเฉย  

 

ครั้งนี้ไม่ได้บันดาลโทสะ ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อย่างระมัดระวัง  

 

“ขอรับ” เขาเอ่ย “มหาบัณฑิตหวงเฉิงมีอำนาจเต็มรับผิดชอบเรื่องการเจรจาสงบศึก”  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ยิ้มไปๆ มุมปากก็กลายเป็นยิ้มหยัน  

 

“ข้ารู้แล้ว” ท้ายที่สุดนางเพียงเอ่ย  

 

ถ้าไม่เช่นนั้นยังทำอย่างไรได้ ราชสำนักสูงส่ง เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง พวกเขาชาวบ้านประชาชนตัวเล็กๆ เหล่านี้ยังทำอย่างไรได้  

 

ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง  

 

“หากมีข่าวล่าสุดข้าจะส่งมาอีก” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วคำนับถอยไป  

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับเนิ่นนาน  

 

“ตอนนั้นข้าไม่น่าจริงๆ…” นางกระซิบพึมพำ “ไม่น่าตายไปอย่างนั้นจริงๆ น่าจะฆ่าเขาให้ตายไปเสียจริงๆ ขยะชิ้นหนึ่งเช่นนี้ข้ายังฆ่าไม่ตาย ล้มเหลวจริงๆ”  

 

นางครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกขาวโพลนไปหมด  

 

นอกประตูเสียงฝีเท้าดังขึ้น  

 

“คุณหนูจวิน” เสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้นด้านนอก  

 

คุณหนูจวินขานรับ ม่านประตูหนาเลิกขึ้น นายหญิงอวี้เดินเข้ามา  

 

นางยังคงสวมเสื้อลายที่พวกหญิงชาวบ้านด้านนั้นส่งมาเช่นเดิม หลังพักฟื้นหลายวัน เท้าหายดีจนเคลื่อนไหวได้ตามใจแล้ว  

 

หายดีแล้ว คุณหนูจวินมองดูนางจากนั้นได้สติกลับมา  

 

หายดีแล้วก็เดินทางได้แล้ว นางล้วนล้มเลือนไปเสียแล้ว  

 

“นายหญิงอวี้” นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะเตรียมตัวสักครู่ วันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองต้าหมิง”  

 

นายหญิงอวี้มองนางพลางส่ายศีรษะ  

 

“ไม่ คุณหนูจวิน” นางเอ่ย “ข้าไม่คิดไปเมืองต้าหมิงแล้ว ข้าจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายสักหน่อย”  

คุณหนูจวินไม่เคยโกรธเช่นนี้มาก่อน   

 

นางเดินกลับไปมาอยู่ในลาน สองมือกุมอยู่หน้าร่าง จะพูดอะไรแต่สิ่งใดก็พูดไม่ออก  

 

คนในลานล้วนตกใจแย่แล้ว  

 

ตั้งแต่รู้จักเด็กสาวคนนี้มา เคยเห็นนางร้องไห้ เคยเห็นนางหัวเราะ มากยิ่งกว่าคือเห็นนางสีหน้าอ่อนโยน เพียงไม่เคยเห็นนางโมโหโกรธา  

 

กระทั่งยามพบโจรพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้  

 

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์กระโดดเข้ามาตะโกนอย่างร้อนรน “ใครทำท่านโมโห?”  

 

คุณหนูจวินกลับไม่ได้ตอบคำนางเหมือนปกติเช่นนั้น เอาแต่สีหน้าโกรธเกรี้ยวเดินไปมา  

 

“คุณหนู…” หลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่รู้ควรถามอะไร ได้แต่โกรธเกรี้ยวตามไปด้วย  

 

บรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านไม่กล้าเอ่ยวาจาแล้วก็ไม่กล้าปลอบ ส่วนผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางมองกระดาษจดหมายกับหลอดไม้ไผ่ที่โยนทิ้งไว้บนพื้นไม่กล้าเก็บ หลิ่วเอ๋อร์ถามยังไม่สนใจ เขาย่อมไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรถาม  

 

กลิ่นหอมของขนมเข่งในลานกำจาย เสียงหัวเราะในหมู่บ้านลอยมาจากตรงนั้นตรงนี้ บรรยากาศด้านนี้ยิ่งแลดูชะงักนิ่ง  

 

“คุณหนูจวิน มานี่มา” เสียงสุขุมของผู้หญิงดังขึ้นพร้อมกับท่าทีไม่ยอมให้ปฏิเสธ  

 

คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่งกลับไม่ได้เข้าไปหาตามคำบอก  

 

ดวงตาของเด็กสาวคนนี้เบิกกลมคล้ายสัตว์เล็กที่โกรธเกรี้ยวตัวหนึ่ง  

 

เด็กเช่นนี้ต้องหยิ่งผยองดื้อรั้นและมีความคิดเป็นของตนเองอย่างที่สุดมาตั้งแต่เล็กแน่  

 

นายหญิงอวี้มองนาง  

 

“ขว้างปาสิ่งของมีประโยชน์อันใด” นางเอ่ย “ไม่อยากดูก็เผาทิ้งเสีย”  

 

หืม นี่คือกำลังสั่งสอนคุณหนูของข้ารึ? หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองนาง  

 

เจ้าเป็นใครกันหึ  

 

นางกำลังจะพูดอะไรกลับเห็นคุณหนูจวินพรูลมหายใจ ก้มตัวเก็บหลอดไม้ไผ่กับแถบข้อความขึ้นมา  

 

“เกิดเรื่องนิดหน่อย” นางยืดตัวขึ้นมาเอ่ยกับผู้หญิงทั้งหลายในเรือน “ท่านน้าทั้งหลายขนมเข่งรออีกประเดี๋ยวค่อยทำเถอะนะ”  

 

ผู้หญิงทั้งหลายผ่อนลมหายใจ  

 

“ได้สิได้ พวกเราจะไปแจกส่วนที่ทำเสร็จแล้วก่อน” พวกนางเอ่ยบอก  

 

พวกนางพูดพลางเก็บสิ่งของว่องไว รีบแต่ไม่ลน  

 

ชายหนุ่มที่ถอยมาอยู่ข้างกายนายหญิงอวี้มองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาติดตามพวกผู้หญิงเหล่านี้มาสองวันแล้ว ไม่ว่าการพูดจาหรือการเคลื่อนไหว ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเหมือนหญิงชาวบ้านธรรมดาที่พบตามปกติยิ่งนัก แต่นาทีนี้เห็นผู้หญิงเหล่านี้เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นหนึ่ง เขาพลันคิดถึงการเคลื่อนไหวของพวกผู้ชายเหล่านั้นยามพบโจรขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ  

 

ผู้หญิงเหล่านี้ในมือถือถ้วยชามหม้อกระบวยเขียง หากเปลี่ยนเป็นหอกยาวดาบยาวก็คล้ายจะไม่ต่างกับผู้ชายพวกนั้น  

 

แทบพริบตาเดียว ผู้หญิงเหล่านี้ก็เก็บของเสร็จออกจากลานไป  

 

ในลานตกสู่ความเงียบอีกครั้ง  

 

นายหญิงอวี้ไม่เอ่ยวาจาอีก จับแขนชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปข้างในบ้าง  

 

“ฮ่องเต้” คุณหนูจวินพลันเอ่ยปาก เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง เห็นชัดว่าพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างที่สุด “ต้องการเจรจาสงบศึกกับชาวจิน”  

 

ผู้ดูแลใหญ่ร้องหา สีหน้าตื่นตะลึง นายหญิงอวี้หยุดเท้า ร่างกายสูงสง่าแข็งทื่อไปนิดหนึ่ง  

 

มีเพียงหลิ่วเอ๋อร์ที่ค่อนข้างดีใจ คุณหนูยอมพูดแล้ว ส่วนที่พูดคืออะไรล้วนไม่สำคัญ  

 

“เจรจาสงบศึกอย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่รีบร้อนเอ่ยถาม  

 

เขาไม่ทันสนใจว่าในลานยังมีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูไม่ได้หลบเลี่ยงนาง  

 

“หรือว่าจะ จะทำตามข้อเรียกร้องของชาวจินจริงๆ…” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยต่อ  

 

คุณหนูจวินฉีกทึ้งแถบข้อความในมืออย่างแรง  

 

“ใช่แล้ว” นางตะโกนโกรธเกรี้ยว “ใช่แล้ว เจ้าขยะนั่นน่ะ”  

 

นางพูดไปน้ำตาก็พร่ามัวดวงตาอยู่บ้าง  

 

ไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ? สังหารพี่ชาย บีบพระบิดาจนตาย แย่งชิงแผ่นดิน  

 

ไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ? เพื่อแผ่นดินผืนนี้ ไร้เมตตาไร้คุณธรรมไร้ความภักดีไร้ความกตัญญูเรื่องดั่งเดรัจฉานล้วนทำออกมาได้ ทำไมผู้อื่นจะมาแย่งแผ่นดินของเขา เขาอยากเจรจาสงบศึกเสียแล้วเล่า?  

 

หกเมือง อาณาเขตมากเท่าใด ประชาชนมากเท่าใด เขาบอกไม่เอาก็ไม่เอารึ?  

 

เขาจะไม่เอาแล้ว?  

 

นั่นเป็นสิ่งที่ต่อสู้สิบปีชิงกลับมา แลกมาด้วยเลือดของแม่ทัพทหารมากเท่าไร นั่นเป็นชีวิตที่พลิกฟื้นขึ้นมา ประชาชนและความมั่งคั่งที่เลี้ยงดูมาที่แลกมาด้วยการเฝ้าประจำการปกป้องอย่างลำบากยากเข็ญนับสิบปี  

 

เขาบอกไม่เอาก็ไม่เอาแล้วรึ?  

 

“เขาพูดออกมาได้อย่างไร?” คุณหนูจวินมองไปทางผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชาง “เขาพูดออกมาจากปากได้อย่างไร?”  

 

ผู้ดูแลใหญ่มองนางแล้วส่ายศีรษะ ไม่ทันรู้สึกตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  

 

คำถามนี้เขาตอบไม่ได้ เขาก็ไม่ทราบ  

 

ทำไมจะเจรจาสงบศึกเสียแล้ว?  

 

ยังไม่ทันเห็นทหารจินสิบหมื่นรวมตัวกันเลยนะ ยังไม่ทันสู้เลยนะ ตอนนี้ก็จะเจรจาสงบศึกแล้ว? นั่นใยไม่ใช่กลัวแล้ว?  

 

“ท่านกั๋วกงยังไม่แพ้นะ” เขาได้แต่เอ่ย “โจรจินมากอีกเท่าใด ท่านกั๋วกงก็ไม่มีทางแพ้หรอก สามหมื่น ห้าหมื่น สิบหมื่น ท่านกั๋วกงไม่มีทางแพ้หรอก ทำไมจะ..”  

 

แม่ทัพทหารข้างหน้ายังไม่กลัวตายเลย พวกเขานั่งปลอดภัยอยู่ข้างหลัง กลัวอะไร?  

 

“พวกเขากลัวอะไร?” คุณหนูจวินมองไปหาหลิ่วเอ๋อร์  

 

“ใช่แล้ว” แม้ไม่รู้ว่าคุณหนูพูดอะไร แต่หลิ่วเอ๋อร์ก็ตะโกนโกรธเกรี้ยวตามทันที “พวกเขากลัวอะไร? พวกเรายังไม่กลัว”  

 

คุณหนูจวินมองดูนางแล้วแค่นหัวเราะ หัวเราะทั้งยังอยากร้องไห้อยู่บ้าง  

 

“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่กลัว เขากลัวอะไร?” นางเอ่ยพลางมองไปหาอีกคนหนึ่งในเรือน  

 

นายหญิงอวี้ไม่ทราบจับแขนของชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาฟังนางพูดอยู่ตั้งแต่เมื่อไร   

 

สีหน้านางเคร่งขรึมนิ่งสงบ ส่วนชายหนุ่มเห็นชัดว่าตื่นตะลึงรวมถึงโกรธเกรี้ยว บนหน้าเส้นเลือดเขียวปูดนูน  

 

คุณหนูจวินมองเขา  

 

“พ่อหนุ่มคนนี้ ตอนนี้ข้ามอบดาบเล่มหนึ่งให้เจ้าไปสังหารโจรจิน เจ้ากล้าหรือไม่?” นางเอ่ย  

 

ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี เป็นคนขี้อายขลาดเขินอย่างยิ่งคนหนึ่ง มาที่นี่สองวันยังไม่เคยเอ่ยปากพูดมาก่อน  

 

“ข้าย่อมกล้า!” เวลานี้เขาตะโกนทันที  

 

“ใช่แล้ว พวกเราล้วนกล้า ทำไมเขาไม่กล้า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม  

 

เด็กคนนี้จะถามเอาคำตอบจริงๆ  

 

“เพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองหวาดกลัว” นายหญิงอวี้เอ่ยพลางกวักมือให้คุณหนูจวิน “เอาล่ะ เด็กน้อย อย่าคิดไม่ตกเลย บางคราก็ไม่อาจใช้ความคิดตนมองผู้อื่นได้”  

 

ใช้ความคิดตนมองผู้อื่น ไม่ได้ใช้เช่นนี้กระมัง? ก็เหมือนบทกวีคะนึงหาคนรักยามแยกจากสองวรรคนั่นก่อนหน้านี้  

 

นายหญิงท่านนี้ช่าง…  

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้หัวเราะอีกครั้ง ยกมือถูจมูกปากเบ้  

 

เพราะการแทรกครั้งนี้ อารมณ์ของนางจึงฟื้นกลับมาสงบบ้างแล้ว  

 

ใช่แล้ว ไม่อาจใช้ความคิดตนมองผู้อื่นได้ นางกล้า ไม่แน่ว่าคนอื่นจะต้องกล้า  

 

“รอข่าวอย่างละเอียดเถอะ” นางสูดหายใจลึกทีหนึ่งมองไปทางผู้ดูแลใหญ่  

 

ข่าวเร่งด่วน ได้แต่ส่งส่วนสำคัญที่สุดมากับพิราบสื่อสารก่อน รายละเอียดต้องส่งม้าเร็วมาทีหลัง  

 

ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า  

 

“ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ย  

 

คุณหนูจวินมองเขาจากไป แต่นางยืนยิ่งอยู่ในลานไม่ขยับ  

 

บางทีพวกผู้หญิงคงเล่าเรื่องด้านนี้ออกไปแล้ว เสียงหัวเราะที่เดิมมีในหมู่บ้านหายไป ความเงียบสงบของวันวานฟื้นกลับมา เงียบสงบยิ่งกว่าวันวาน กระทั่งเสียงร้องของวัวแพะล้วนไม่มี  

 

“ข้าฝันก็คิดไม่ถึง” คุณหนูจวินเอ่ยกับตนเอง  

 

คิดว่าเขาเป็นคนชั่วร้ายไร้ยางอาย คิดว่าเขาเป็นคนอกตัญญูลืมบุญคุณ คิดว่าเขาเป็นเดรัจฉานคนหนึ่ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับยังเป็นขยะแข็งนอกอ่อนในเช่นนี้คนหนึ่งอีกด้วย  

 

ความเ**้ยมที่ว่า ความเจ้าเล่ห์ที่ว่า ที่แท้ใช้กับครอบครัวของตนเอง ใช้กับคนที่ไม่ได้ระวังเขาเท่านั้น  

 

“คุณหนู ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินมองไปด้านหน้า  

 

“ข้าอยากด่าคำหยาบ” นางเอ่ย  

 

……………………………………….  

 

“บรรพบุรุษแม่งมึง!”  

 

คนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาจากบนก้อนหิน ปากด่าเสียงดัง โยนจดหมายในมือทิ้งบนพื้น รองเท้าหนังวัวย่ำอย่างแรงข้างบน  

 

เพราะการเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป หนวดเคราแถบหนึ่งที่แขวนไว้กับหูครึ่งหนึ่งจึงร่วงลงมาด้วย  

 

“พี่ใหญ่” บุรุษคนหนึ่งด้านข้างได้ยินเสียงก็มองมาพลางเอ่ยเตือนคำหนึ่ง “หนวดร่วงแล้ว”  

 

คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่หันหน้ามา เผยดวงหน้าสะอาดสะอ้านคมสันของจูจั้น  

ในโลกนี้ถึงกับมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!  

 

หนิงเหยียนมองดูบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงพร้อมรู้สึกสติหลุดลอยอยู่บ้าง  

 

บุรุษสองคนนี้สวมเครื่องแต่งกายไม่เหมือนเหล่าขุนนาง บุรุษคนหนึ่งเส้นผมมันเยิ้มถักเป็นเปียเส้นน้อย รูปร่างกำยำสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมหนัง แสดงชัดว่าเป็นชาวหูคนหนึ่ง เพราะสีผิวดำเมี่ยมหยาบกระด้างจึงดูไม่ออกว่าแท้จริงอายุมากเท่าไร สีหน้าแข็งกร้าวดวงตาชั่วร้าย อีกคนหนึ่งแม้สวมเครื่องแต่งกายชาวหู แต่ผมเผ้าเรียบร้อยดวงหน้าขาวสะอาดเป็นชาวฮั่นคนหนึ่ง  

 

ช่วงก่อนหน้านี้ข่าวด่วนส่งมาบอกว่าชาวจินต้องการสงบศึกหยุดสงคราม  

 

ข่าวนี้สำหรับฮ่องเต้แล้วเป็นข่าวดีใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

สำหรับขุนนางในราชสำนักก็เป็นข่าวดีข่าวหนึ่งเช่นกัน อย่างไรก็ไม่มีผู้ใดชอบทำสงคราม  

 

หนิงเหยียนก็ปิติยินดียิ่งด้วย ชาวจินยอมสงบศึก นี่ล้วนเพราะถูกเฉิงกั๋วกงข่มขวัญ อาศัยโอกาสนี้ต้องให้บทเรียนอันดีครั้งหนึ่งแก่ชาวจินได้แน่  

 

หลังประชุมขุนนางหลายครั้ง ผ่านขั้นตอนในสภาอำมาตย์ส่งหนังสือตกลงสงบศึกออกไป รอคอยช่วงเวลาหนึ่งทูตของชาวจินก็มาถึงเมืองหลวง กรมพิธีการยื่นสาส์นตราตั้งของชาวจิน ฮ่องเต้ก็พระราชทานอนุญาตให้เข้าเฝ้าทันที นอกจากนี้จัดไว้ในประชุมขุนนางใหญ่อีกด้วย  

 

อย่างไรชาวจินขอสงบศึกสื่อถึงชัยชนะของต้าโจว สื่อถึงเกียรติยศ ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกพระทัยหวาดกลัวร้อนพระทัยมานานปานนี้  

 

เหล่าขุนนางก็ดีใจมากเช่นกัน คลี่คลายเรื่องนี้ได้ย่อมไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนแล้ว นอกจากนี้ยังถกผลงานรางวัลได้ด้วย ฉลองปีใหม่ดีๆ กันได้แล้ว  

 

แต่เรื่องราวคล้ายไม่ใช่แบบนั้นอย่างที่พวกเขาจินตนาการ  

 

ชาวหูก้าวขึ้นมา ทั้งไม่คำนับและไม่ก้มศีรษะสีหน้าแข็งกร้าวพูดจาโฮกฮากอยู่พักหนึ่ง ดูท่าทางฟังน้ำเสียงนี่ไม่คล้ายขอร้องนะ  

 

รอล่ามที่พามาด้วยคนนั้นแปลคำพูดของชาวหูคนนี้ออกมา คนในราชสำนักล้วนตะลึงไปแล้ว  

 

“…ผูกพันธมิตรปรองดอง ไม่ก่อความวุ่นวายแก่กัน ประการแรกภายในแลกเปลี่ยนเท่าเทียม เปิดกว้างค้าขายระหว่างแคว้น” เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาของล่ามคนนั้นเอ่ยขึ้น  

 

ภายในแลกเปลี่ยนเท่าเทียมหรือก็คือการเปิดการค้าระหว่างแคว้น ตั้งแต่เฉิงกั๋วกงพิทักษ์แดนเหนือก็ตรวจด่านชายแดนอย่างเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงค้าขายระหว่างแคว้น กระทั่งขายของเถื่อนยังไม่มีเลย  

 

ตอนนั้นการกระทำนี้ไม่เพียงชาวจินขาดทุนหนักหนา บรรดาพ่อค้าผู้มั่งคั่งของแดนเหนือก็ขาดทุนมหาศาลพากันไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาก่อเรื่องประท้วงอยู่หลายครั้งยังฟ้องร้องมาถึงในราชสำนัก แต่เฉิงกั๋วกงไม่ไว้หน้าใช้โทษสมคบศัตรูสังหารพ่อค้าใหญ่ผู้ดีชนบทตระกูลขุนนางไปสามคน  

 

“สายลับปลิ้นปล้อน พ่อค้าแสวงหาผลประโยชน์แทรกซึมอยู่ทุกที่ ครั้งนั้นโจรจินลงใต้ซื้อพ่อค้าเป็นคนร่วมมือข้างใน ทำลายเมืองเราสามเมือง สังหารขุนนางประชาชนของเรา ท้ายที่สุดล้อมเมืองจับตัวฮ่องเต้ของเราไป วันนี้กล้าก่อความวุ่นวายในเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้ วันหน้าย่อมกล้ารับเงินศัตรูขายประเทศ อีกทั้งโจรจินใช้ม้าหนังสัตว์ข้าวของนอกเหนือจากที่ใช้กินอิ่มห่มกายมาแลกทองคำเงินทรัพยากรสร้างอาวุธชุดเกราะอาวุธหนัก เป็นการใช้โลหิตของพวกเราเลี้ยงศัตรูให้แข็งแกร่ง ภัยร้ายที่ตามมาไม่สิ้นสุดอย่างไม่ต้องสงสัย”  

 

เฉิงกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้กับฎีกาที่ถวายราชสำนัก  

 

เอ่ยถึงเรื่องตอนนั้น บวกกับหลักฐานความผิดที่พ่อค้าเหล่านี้สมคบศัตรูซึ่งเฉิงกั๋วกงส่งมา จริงปลอมก็ไม่มีใครถกเถียงแล้ว ใครก็รู้ว่านี่คือเฉิงกั๋วกงเชือดไก่ให้ลิงดูดังนั้นจึงช่างมันไม่สน ฮ่องเต้ยังชมเชยให้รางวัลเฉิงกั๋วกงด้วย  

 

จากนั้นเป็นต้นมาแดนเหนือก็ไม่กล้าค้าขายไปมาหาสู่กับชาวจินอีก นี่สำหรับชาวจินที่ขาดแคลนข้าวของแล้ว ชีวิตยิ่งลำบากยากเข็ญ  

 

เดิมทีตอนนั้นมีคนกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงบอกว่าการกระทำนี้จะส่งผลกับม้าของกองทัพและจะส่งผลกับกำลังของกองทัพต้าจวิน แต่สิบปีนี้ไม่มีม้าของแดนเหนือ ภาคตะวันตกรวมถึงตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเลี้ยงม้าได้ คุณภาพกับจำนวนล้วนน่าดูชม เวลาผ่านไปก็ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เมื่อสถานการณ์สงบเรียบร้อย เจียงหนานยิ่งมั่งคั่งขึ้นทุกที เหนือใต้การค้าขายเชื่อมต่อกัน สินค้าทางนั้นของชาวจินสำหรับต้าโจวแล้วมีหรือไม่มีก็ได้ พวกเขาย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง  

 

ก่อนหน้านี้บังคับยังไม่เปิดเมือง ตอนนี้ย่อมไม่สนใจเปิดเมืองสักนิด  

 

ที่ทูตชาวจินคนนี้พูดหมายความว่าอย่างไร?  

 

นี่เป็นการขอร้องหรือ…ข้อเรียกร้อง?  

 

ทำไมฟังดูแล้วไม่ค่อยถูกต้องนัก?  

 

“เปิดการค้าระหว่างแคว้นก็ไม่ใช่ไม่ได้…” ขุนนางคนหนึ่งครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น  

 

แต่คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกหนิงเหยียนขัดแล้ว  

 

“ค้าขายระหว่างแคว้นไม่ได้” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย “การขาดแคลนข้าวของของพวกท่าน หารือวิธีการแก้ไขทีหลังได้”  

 

ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ค้าขายระหว่างแคว้นเรื่องนี้สำหรับพระองค์แล้วไม่นับว่าสำคัญอะไร  

 

“ให้เขาพูดให้จบ” พระองค์ตรัสจากเบื้องบน  

 

พวกหนิงเหยียนค้อมกายขานรับ ขุนนางกรมพิธีการจึงส่งสัญญาณให้ทูตจินคนนั้นเอ่ยต่อ  

 

หลังทูตจินฟังล่ามกระซิบเสียงเบาหลายประโยค ใบหน้ายิ่งแข็งกร้าวแล้วยังมีท่าทีเหยียดหยัน เอ่ยโฮกฮากอีกหลายประโยค  

 

สิ้นเสียงของชาวหูคนนี้ ในท้องพระโรงก็มีหลายคนร้องฮะขึ้นมา เสียงของพวกเขาแม้เบาแต่ก็ชักนำความกระสับกระส่ายระลอกหนึ่ง ขุนนางตรวจการหลายคนที่รับผิดชอบลำดับพิธีการในท้องพระโรงมองไปอย่างไม่พอใจ เห็นเพียงหลายคนนั้นสีหน้าตื่นตะลึง  

 

หลายคนนี้ตำแหน่งไม่สูงคล้ายเข้าใจภาษาหูอยู่บ้าง เห็นชัดยิ่งว่าฟังคำพูดของทูตเข้าใจ  

 

พูดอะไร? ถึงทำให้พวกเขาลืมตัวจนเสียกิริยาส่งเสียง?  

 

ระหว่างที่เหล่าขุนนางคิดในใจ เสียงของล่ามก็ดังขึ้น  

 

“ข้อเรียกร้องข้อที่สองของต้าจินเราก็คือ วาดเส้นเขตแดนใหม่เมืองเป่าโจว สยงโจว ป้าโจว ชิงโจว ฉีโจว เหอเจียนคืนกลับมาให้เราต้าจิน” เขาเอ่ย  

 

วาดเส้นเขตแดนใหม่ ยกหกเมืองให้  

 

นี่มายอมแพ้เจรจาสงบศึกที่ไหน นี่มาเสนอข้อเรียกร้องท้าทายชัดๆ  

 

ในท้องพระโรงเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา  

 

แต่นี่ยังไม่จบ ทูตจินคนนั้นสะบัดมือใหญ่ตะโกนเสียงดังอีกหลายประโยค  

 

ครั้งนี้เสียงของล่ามก็ดังขึ้นด้วย  

 

“ไม่เช่นนั้น ต้าจินเราจะรวมบุรุษอีกห้าหมื่นคนลงใต้ ไม่ได้ดินแดนเดิมคืนไม่เลิกรา” เขาตะโกน  

 

สิ้นเสียงคำพูดนี้ ท้องพระโรงที่เอะอะฉับพลันเงียบลงอีกครั้ง คนทั้งหมดรวมถึงฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรล้วนสีหน้าอึ้งมองทูตจินคนนี้  

 

สถานที่มากมายในแดนเหนือนี้ล้วนเคยถูกชาวจินยึดครองมาก่อน เป็นเฉิงกั๋วกงแย่งชิงกลับมา พวกเขาเคยยึดครองไปไม่ได้หมายความว่านี่เป็นของพวกเขา พูดว่าหกเมืองนี้เป็นแผ่นดินเดิมหน้าไม่อายอย่างแท้จริง  

 

บนโลกถึงกับมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!  

 

แต่นอกจากน่าเหลือเชื่อแล้ว ยังมีสิ่งที่ทำให้คนตื่นตะลึงยิ่งกว่า  

 

ทหารจินห้าหมื่น รวมตัวลงใต้อีก ไม่เลิกรา  

 

อีก  

 

ถ้าแบบนี้นับดูแล้ว ที่ต้าโจวจะต้องรับศึกก็คือทหารจินสิบหมื่น  

 

สิบหมื่น!  

 

นี่มายอมแพ้ที่ไหนเล่า นี่มาข่มขู่ชัดๆ!  

 

หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ในท้องพระโรงก็โกลาหลอีกครั้ง  

 

“ใจกล้านัก!”  

 

“บ้าบอ!”  

 

“โจรชั่วใจกล้านัก!”  

 

เสียงผรุสวาทของพวกหนิงเหยียนดังขึ้นต่อกัน  

 

เทียบกับความโกรธแค้น ความตกตะลึง ความตระหนกนานาประการของคนอื่นๆ ในท้องพระโรง หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าดุจเดิม  

 

“ก็บอกแล้วไม่มีทางมีข่าวดีหรอก” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

……………………………………….  

 

กั้นด้วยหน้าต่างหิน เสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงพลันดังเข้ามา จมูกได้กลิ่นหอมอบอวล  

 

คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมาจากข้างหน้าต่าง มองผู้ดูแลใหญ่ที่ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

“ใจโจรไม่ดับมอดจริงๆ” นางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ดึงทหารมารวมพลรบตรงๆ ก็ได้แล้ว ยังวิ่งไปเมืองหลวงอวดแสนยานุภาพทำอะไร?”  

 

“ข่มขู่ให้หวาดกลัวกระมัง” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย  

 

คุณหนูจวินยิ้มหยัน  

 

“เอาประชาชนของแผ่นดินเป็นตัวประกัน นี่เขาข่มขู่คนหรือฆ่าตัวตาย?” นางเอ่ย “ถ้าพระ…พระจักรพรรดิองค์ก่อนยังอยู่คงสังหารทูตคนนี้คาท้องพระโรง โยนหัวกลับไปที่โจรจินอยู่แล้ว”  

 

ไม่เหมือนพระปิตุลา ตลอดมาแสร้งทำท่าเมตตาใจบุญมาตลอด  

 

ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า  

 

“ใช่แล้ว ต่อให้มาอีกห้าหมื่นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตนเองจะชนะ” เขาเอ่ย “แค่สงครามรุนแรงขึ้นอยู่บ้าง เวลายาวนานขึ้นอยู่บ้างก็เท่านั้น”  

 

คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน  

 

“นานแล้วอย่างไร ครั้งนั้นพวกเฉิงกั๋วกงใช้เกือบสิบปีขับไล่ชาวจินแย่งแดนเหนือกลับคืนมา อย่างมากก็แค่สิบปีอีกสักครั้งเท่านั้น” นางเอ่ย “ใครกลัวใครเล่า”  

 

ไม่ใช่ข่าวดีอะไรชัดๆ ผู้ดูแลใหญ่กลับอดยิ้มไม่ได้  

 

“คุณหนูจวินสตรีคนหนึ่งยังไม่กลัว พวกเราบุรุษทั้งหลายเหล่านี้ย่อมยิ่งไม่กลัวแล้ว” เขายิ้มเอ่ย  

 

“เฉิงกั๋วกงยิ่งไม่มีทางกลัว” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกท่านวางใจเถอะ”  

 

ผู้ดูแลใหญ่หัวเราะฮ่าฮ่า  

 

“คำพูดนี้เดิมข้าต้องพูดกับคุณหนู” เขายิ้มเอ่ย พร้อมกับการพูดคุยหัวเราะครั้งนี้ ความตึงเคียดยามได้รับข่าวก็สลายไปแล้ว  

 

“ท้องถนนยังไม่ปลอดภัยนัก มีเรื่องอะไรผู้ดูแลใหญ่ท่านไม่ต้องวิ่งไปมา ข้าไปที่นั่นก็ได้” คุณหนูจวินกำชับอีกครั้ง “อย่างไรพวกท่านก็เป็นประชาชน”  

 

พวกเราเป็นประชาชน? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านเล่า? ผู้ดูแลใหญ่งุนงงแล้ว เป็นทหารรึ?  

 

“ขอรับ” เขาค้อมกายตอบรับ  

 

เมื่อเปิดประตูเดินมาถึงในลาน เสียงหัวเราะก็ยิ่งโถมเข้ามา ยังมีสตรีสองนางมองเห็นเขาจึงยกกล่องใบหนึ่งมา  

 

“ขนมทำใหม่ๆ ผู้ดูแลใหญ่เอาไปลองชิม” พวกนางยิ้มเอ่ย  

 

ผู้ดูแลใหญ่ก็ไม่เกรงใจ ยิ้มรับไป สายตาอดไม่ได้มองสตรีที่นั่งอาบแดดอยู่ตรงหน้าประตูห้องทีหนึ่ง   

 

ยามมาเขาก็สังเกตเห็นแล้ว นี่เป็นสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง  

 

เห็นเขามา สตรีนางนั้นก็มองมาเช่นกัน ผงกศีรษะเล็กน้อยให้เขา  

 

ผู้ดูแลใหญ่ไม่ทันรู้ตัวรีบก้มศีรษะคำนับ คำนับเสร็จถึงมึนงงอยู่บ้าง การโต้ตอบนี้ของตนคล้ายเป็นไปโดยสัญชาติญาณ เพราะท่าทางของสตรีคนนี้หรือ?  

 

แม้สวมใส่เสื้อลายกระโปรงฝ้ายบ้านๆ ประเภทนั้นเฉกเช่นสตรีทั้งหลายในหมู่บ้าน แต่ท่วงท่าไม่ธรรมดาแตกต่าง  

 

คนผู้นี้เป็นใคร?  

 

เขากำลังลังเลว่าจะถามหรือไม่ก็เห็นมีคนรีบร้อนวิ่งเข้ามา  

 

“คุณหนูจวิน” ชาวบ้านาผอมแกร็นคนนี้ เสียงใสกังวาน ในมือถือหลอดไม่ไผ่อันหนึ่งไว้ “จดหมายจากในเมือง”  

 

นี่เป็นจดหมายที่ส่งมาด้วยพิราบสื่อสาร  

 

ผู้ดูแลใหญ่ประหลาดใจอยู่บ้าง เท้าข้างหนึ่งของตนก้าวออกจากประตู ในบ้านก็มีข่าวส่งมาแล้ว? คงเพิ่งได้รับ  

 

มีข่าวดีอะไรอีกหรือ?  

 

คุณหนูจวินรับหลอดสารไปแกะออก มองเพียงปราดเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  

 

“บ้าบอ!” นางตวาด เขวี้ยงหลอดสารกับกระดาษจดหมายในมือทิ้งลงบนพื้น  

 

เสียงคุยเล่นหัวเราะในลานพลันเงียบลง คนทั้งหมดล้วนมองมา สีหน้าประหลาดใจจากนั้นก็หวั่นวิตก  

 

คุณหนูคนนี้โกรธเช่นนี้เป็นครั้งแรก  

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

เมื่อมาถึงบนเขา หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนรออยู่แล้ว  

 

แม้คุณหนูจวินตัดสินใจพาคนกลับมาเองแล้ว ทหารยามก็แจ้งกับทุกคนแล้วว่ามีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้าน แต่เรื่องที่ควรอธิบายก็ยังคงต้องอธิบายสักหน่อย  

 

“พวกเจ้าคุยกันไป” เซียวจือเอ่ยขึ้นพลางกวักมือให้หลิ่วเอ๋อร์กับแม่ครัว “ข้าวของเอามาฝั่งนี้เถอะ”  

 

นางพาหลิ่วเอ๋อร์ แม่ครัวกับจ้าวฮั่นชิงเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง  

 

“ฮั่นชิงเล่าเรื่องตอนนั้นให้พวกเราฟังแล้ว” เซี่ยหย่งเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “นายหญิงคนนี้ต้องการไปที่ใด?”  

 

“พวกเขาต้องการไปเมืองต้าหมิง” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

เมืองต้าหมิงของมณฑลเหอเป่ยซี วันนี้กองทัพใหญ่ของชาวจินหลักๆ รวมตัวอยู่ที่อำเภอปั๋วเหยี่ย เมืองเหอจิน มณฑลเหอเป่ยซีคุมเชิงอยู่กับเฉิงกั๋วกง  

 

สถานการณคับขันที่เมืองไคเต๋อคลี่คลายแล้ว และเพราะฮ่องเต้ได้รับความตระหนก กองทหารอันลี่รวมถึงกองทหารก่วงจี่ล้วนเสริมทัพประจำการเฝ้าอยู่ที่แนวเส้นเมืองต้าหมิงแล้ว  

 

ดังนั้นสำหรับมณฑลเหอเป่ยทั้งหมดแล้ว เมืองต้าหมิงเป็นเมืองที่มั่นคงที่สุดของฝั่งนี้  

 

คนมากมายล้วนมุ่งไปที่นั่น  

 

จุดมุ่งหมายของคณะเดินทางของผู้หญิงคนนี้เป็นเมืองต้าหมิงไม่แปลกอะไร  

 

“พวกผู้คุ้มกันของข้าฝึกกับอาเซี่ยได้ไม่เลวแล้ว ข้าจะพาพวกเขาไปสักเที่ยว” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

เซี่ยหย่งสีหน้าปั้นยาก เขาย่อมฟังเข้าใจความหมายของนาง เรื่องที่นางตกลงเองย่อมไม่รบกวนพวกเขา  

 

“เส้นทางช่วงนี้ข้าคุ้นเคยมากอยู่ พวกท่านวางใจ อย่างช้าที่สุดวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งข้าก็เดินทางกลับถึงบ้านได้” นางยิ้มแล้วเอ่ยต่อ  

 

แม้ที่ผ่านมาไม่เคยเดินทางไป แต่นางเดินผ่านในใจตามแผนที่หลายรอบแล้ว แผนที่นั่นละเอียดจนถึงขั้นหมู่บ้านชนบทก็ทำเครื่องหมายไว้  

 

พอดีนางจะได้พิสูจน์ว่าแผนที่นี่เที่ยงตรงปานใด  

 

กลับบ้าน  

 

เซี่ยหย่งอดไม่ได้มองหยางจิ่งทีหนึ่ง  

 

“ปีหน้าเริ่มฤดูใบไม้ผลิยังต้องซื้อวัวไว้ไถนาจำนวนหนึ่งอีก” หยางจิ่งพลันเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าตอนนี้ข้างนอกอะไรๆ ก็ล้วนขึ้นราคา”  

 

เซี่ยหย่งเข้าใจทันที  

 

“ไม่ทราบว่าคุณหนูจวินขาดคนหรือไม่?” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย “พวกเราติดตามไปสักเที่ยว คุณหนูจวินให้เงินได้เท่าไร?”  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ในดวงตาขัดเขืองอยู่บ้าง  

 

ครอบครัว พวกเขานับนางเป็นครอบครัว  

 

เป็นครอบครัวจะยอมให้นางเสี่ยงอันตรายคนเดียวได้อย่างไร  

 

“ค่าตอบแทนรึ ข้าได้มาห้าหมื่นตำลึงเงิน อย่างไรก็ต้องแบ่งให้ทุกคนสองหมื่นตำลึง” นางยิ้มเอ่ยแล้วกระพริบตาท่าทางซุกซน  

 

“แม้หลักๆ เป็นทุกคนออกแรง แต่ข้ายังต้องได้ส่วนใหญ่ อย่างไรข้าก็ออกตรงนี้”  

 

นางยื่นนิ้วมือชี้ศีรษะของตนเองแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังอีกครั้ง  

 

“ข้ารับประกัน ข้าพาทุกคนไปก็จะพาทุกคนกลับมา”  

 

สิ้นเสียงคำพูดของนาง สีหน้าของเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งที่มองนางอยู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย  

 

ส่วนเซียวจือที่อยู่ด้านในพลันยกมือปิดปาก หยุดพูดไป  

 

แม่ครัวที่กำลังฟังนางอยู่ว่าจะให้ตัดผ้าชินนี้เป็นอย่างไรจึงมองนางอย่างไม่เข้าใจ จ้าวฮั่นชิงที่นั่งกินลูกชิ้นทอดอยู่ด้านข้างก็มองมาด้วย  

 

“ท่านแม่ เป็นอะไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม  

 

เซียวจือไอเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

“อยู่ดีๆ ก็เจ็บคอ” นางเอ่ยพลางหมุนตัวหยิบกาน้ำด้านข้างรินน้ำถ้วยหนึ่ง  

 

จ้าวฮั่นชิงไม่คิดอะไรแล้วเดินตามมา  

 

“ข้าดื่มด้วย” นางเอ่ย  

 

หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก  

 

“กินลูกชิ้นมากปานนั้น ไม่กระหายน้ำถึงแปลก” นางเอ่ยพึมพำ  

 

“เจ้าก็ไม่ได้กินน้อยนี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ  

 

เซียวจือยิ้ม รินน้ำให้จ้าวฮั่นชิงแล้วกวักมือให้หลิ่วเอ๋อร์  

 

“หลิ่วเอ๋อร์ก็มาดื่มสักถ้วยสิ” นางเอ่ย  

 

หลิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยทันที เซียวจือมองดูเด็กสาวสองนางดื่มน้ำ ตนเองถึงยกถ้วยชาดื่มทีละจิบๆ ช้าๆ ชาภูเขาขมนิดๆ ไหลผ่านปากลิ้นไป  

 

หูฟังคำพูดของเด็กสาวคนนั้นด้านนอก  

 

“…เลือกคนท่านอาหยาง ท่านอาเซี่ย พวกท่านจัดการ ไม่ต้องแบ่งแยกคนของข้าหรือคนของพวกท่าน ใครเหมาะสม ใครมีความสามารถพอ พวกท่านก็เลือกคนนั้น”  

 

“อืมอีกอย่าง แม้ให้พวกนางเข้ามาอยู่ ตัวตนของพวกเรายังไงก็ไม่ต้องเปิดเผย”  

 

“นี่ง่ายดายยิ่ง พอดีกำลังจะปีใหม่แล้ว ทุกคนคงเริ่มวุ่นกับงานปีใหม่” เซี่ยหย่งเอ่ย  

 

วุ่นกับงานปีใหม่หรือ  

 

ใช่สิ เดือนสิบสองแล้ว จะผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว เร็วจริงๆ นะ  

 

“ก็ดี ก่อนเดินทาง จัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย  

 

……………………………………….  

 

เสียงหมูร้องอู้ดอู้ดเปลี่ยนกลายเป็นเสียงกรีดร้องเมื่อมีดเล่มหนึ่งทิ่มเข้าไป  

 

เสียงกรีดร้องของหมูเดิมทีก็น่ากลัวปานนั้น  

 

ผู้คนที่ล้อมรอบด้านร้องประสานเสียงถอยไปข้างหลังคล้ายถูกทำให้ตกใจอย่างมาก  

 

มองเห็นในหมู่ผู้คนที่สีหน้าตกใจกลัวหลบเลี่ยงถอยหลังนี่ยังมีบุรุษหน้าคุ้นสองสามคนอยู่ด้วย เหลียงเฉิงต้งที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันหางคิ้วกระตุก  

 

กลัวการฆ่าหมู? ฆ่าหมูนี่อย่างไรก็ไม่ร้ายกาจกว่าฆ่าคนกระมัง? วันนั้นฆ่าล้างบางคนเหล่านั้นไม่เห็นพวกเจ้ากลัวเลย  

 

เสียงกรีดร้องของหมูค่อยๆ เบาลง อ่างรองเลือดค่อยๆ เติมเต็ม  

 

แผ่นไม้ถูกเอามาวาง มีดเลาะหนังถูกลับจนวาววับ รอแค่เลือดหมูไหลหมด  

 

“ดูฆ่าหมูแล้ว ดูฆ่าหมูแล้ว”  

 

เด็กน้อยทั้งหลายชูขนมงาที่เพิ่งทำออกมาใหม่วิ่งรี่หัวเราะโวยวายล้อมเข้ามา  

 

“พี่เฉิงต้ง ท่านยังดูการฆ่าหมูอีกหรือ?”  

 

มีคนเอ่ยขึ้นด้านหลัง  

 

เหลียงเฉิงต้งหันกลับไปมองพี่น้องสองคนของตนเดินเข้ามา  

 

“ด้านนั้นทำเต้าหู้แหนะ” คนหนึ่งหน้าตาเริงร่าเอ่ย “น้ำเต้าหู้ต้มเสร็จแล้วคนมากมายรอดื่มอยู่”  

 

“ข้าไม่ได้เห็นเต้าหู้มาหลายปีแล้ว” ส่วนอีกคนท่าทางปลงๆ “ตั้งแต่หลังข้าออกจากหมู่บ้าน ตอนนี้เห็นอีกทีรู้สึกอบอุ่นจริงๆ เหมือนหมู่บ้านของข้าเลย”  

 

หมู่บ้าน…  

 

คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ชาวบ้านจริงๆ สักหน่อย  

 

เหลียงเฉิงต้งหางคิ้วขมวดเป็นปม ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเขาเป็นชาวบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ หาช่องโหว่ไม่ได้สักนิด  

 

แสร้งเป็นชาวบ้านแสร้งได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่แสร้งจนเป็นเช่นนี้มีแต่คิดว่าตนเองเป็นชาวบ้านจริงๆ อย่างสิ้นเชิงถึงทำได้ ทว่านาทีถัดมาพวกเขาก็ยกมือลงดาบสังหารคนได้ตาไม่กระพริบเช่นกัน  

 

นี่น่ากลัวอย่างประหลาดจริงๆ  

 

“นายหญิงเล่า?” เขาเอ่ยถาม “เซียวชวนเล่า?”  

 

“กำลังทำขมมเข่งอยู่ในเรือนของคุณหนูคนนั้น” บุรุษคนหนึ่งรีบร้อนยื่นมือชี้บอก “นายหญิงให้เซียวชวนอยู่ช่วย”  

 

เทียบกับสถานที่ฆ่าหมูกับทำเต้าหู้ที่ผู้ชายรวมตัวกันอยู่ สถานที่ทำขนมเข่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เสียงคุยเล่นหัวเราะไม่ขาดเจี๊ยวจ๊าวอย่างยิ่ง  

 

“นายหญิงลองชิม”  

 

คุณหนูจวินถือขนมแข่งเพิ่งออกจากหม้อที่ตัดเสร็จแล้วชิ้นหนึ่งเดินเข้ามาจากนั้นอมยิ้มเอ่ย  

 

สตรีผู้นั้นนั่งอาบแดดอยู่ตรงประตู เท้าวางอยู่บนม้านั่งตัวน้อย อบอุ่นสบายอุรา  

 

“ข้าเคยเห็นการทำขนมเข่งก็ตอนยังเล็ก” นางยิ้มเอ่ยพลางยื่นมือหยิบชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งไป  

 

“ระวังร้อน” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วนั่งลงข้างนาง  

 

นางจับขนมเข่งสลับมือไปมาจากนั้นวางเข้าปาก  

 

“ข้าตรงกันข้ามกับนายหญิง ตอนยังเล็กไม่เคยเห็น โตขึ้นมาเพิ่งเคยเห็น” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วมองพวกผู้หญิงที่ยุ่งวุ่นวายพลางคุยเล่นหัวเราะกันอยู่  

 

แน่นอนได้เห็นครั้งติดตามอาจารย์ จุดประสงค์ที่ดูแน่นอนย่อมเพื่อกิน เพียงแต่เวลานั้นนางทั้งไม่รู้สึกว่าขนมเข่งน่าสนใจแล้วก็ไม่รู้สึกว่าของสิ่งนี้น่ากิน  

 

“เด็กน้อยชีวิตจืดชืดที่น่าสงสาร” อาจารย์ส่งเสียงจิ๊ปากถอนหายใจใส่นาง  

 

ใช่สิ ตอนนั้นนางคิดถึงเพียงจะร่ำเรียนจนได้ความสามารถไปช่วยพระบิดาให้เร็วหน่อยได้อย่างไร ไม่มีความคิดอื่นใด จืดชืดยิ่ง แต่ตอนนี้นึกดูยามอาจารย์มองดูชาวบ้านทั้งหลายฆ่าหมูแพะทำเต้าหู้ทำขนมเข่ง ในใจต้องมีหลากหลายรสชาติแน่นอน  

 

ยามเทศกาลคนจะคิดถึงครอบครัวเป็นเท่าตัว  

 

“ครอบครัวของท่านอยู่ที่เมืองต้าหมิงหรือ?” คุณหนูจวินพลันหันมาเอ่ยถาม  

 

ตั้งแต่เมื่อวานซืนจนถึงตอนนี้พวกนางเคยพูดคุยกันสั้นๆ เท่านั้น เรื่องที่พูดคุยล้วนไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวที่มาส่วนตัวเลย  

 

เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่ถามเลียบๆ เคียงๆ ทำนองนั้น นางถามเช่นนี้ก็คือแค่คิดถึงประเด็นนี้ หรือก็คือคิดถึงครอบครัวของนางสินะ  

 

นางยิ้มแล้ว  

 

“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ครอบครัวของข้าตอนนี้ล้วนไม่ได้อยู่ด้วยกัน”  

 

คุณหนูจวินประหลาดใจอยู่บ้างมองไปหานาง  

 

“ครอบครัวของท่านก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือ?” นางเอ่ย  

 

นางแย้มยิ้ม “ก็” คำนี้ท่ามกลางความครึกครื้นของเทศกาลช่วงนี้ฟังดูแล้วเหงาหงอยอยู่บ้าง  

 

“อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” นางเอ่ย “ขอบฟ้าดั่งเรือนเคียง หาต้องเคียงใกล้ทุกวันคืน”  

 

บทกวีที่ต่างกันสองวรรคนี้ใช้ด้วยกัน แล้วยังใช้ในเวลานี้กลับน่าสนใจ  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

ใช่แล้ว ล้วนยังมีชีวิตอยู่ แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไกลกันอีกเท่าใดก็พบกันได้ ดีกว่าแยกจากคนละภพ  

 

“นายหญิงมีนามอันสูงส่งว่าอันใด?” นางคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น  

 

ตามหลักแล้วคนแรกพบหน้าก็ควรถามชื่อแซ่ แต่เด็กสาวคนนี้ตลอดมาไม่เอ่ยถาม นี่บอกได้ว่านางไม่คิดจะสืบถามตัวตนความเป็นมาแล้วก็บอกได้ว่านางไม่สนใจชื่อแซ่ของผู้อื่น  

 

พานพบโดยบังเอิญ ไปมาแล้วแต่วาสนา มาไม่ถาม ไปไม่คิดถึง  

 

ตอนนี้ฉับพลันถามเช่นนี้ คงบ่งบอกว่านางอยากรู้จักคนผู้นี้แล้ว  

 

ความจริงใจประหนึ่งเด็กน้อยนี้ก็คล้ายกับความทะนงที่ฝังมาในกระดูกตั้งแต่เกิดด้วย   

 

ผู้หญิงมองคุณหนูจวินยิ้มๆ  

 

“ไม่อาจเรียกว่าสูงส่ง แซ่อวี้” นางเอ่ย “ชื่อคำเดียวหลัน”  

 

กระทั่งชื่อก็บอกแล้วรึ คุณหนูจวินยิ้ม  

 

“นายหญิงอวี้” นางเอ่ย “ข้าแซ่จวิน ชื่อ…”  

 

พูดยังไม่ทันจบ เสียงตะโกนแหลมร้อนรนอยู่บ้างก็ขัดขึ้นมา  

 

“คุณหนูจวิน!”  

 

คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองเห็นผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางเดินก้าวไวๆ เข้ามา  

 

บนหน้าเขาแดงเล็กน้อยบนศีรษะก็มีเหงื่อผุดพรายออกมา นี่อาจเป็นด้วยหน้าหนาวเร่งรีบเดินทางมาหรืออาจเป็นความเคร่งเครียด  

 

ไม่ว่าเร่งรีบเดินทางมาหรือเคร่งเครียดล้วนบ่งบอกว่ามีเรื่องไม่ดีแล้ว  

ราตรีทอดตัวลงมา โคมไฟสามดวงจุดสว่าง แสงโคมพริบตาเติมเต็มห้องที่สร้างจากหินห้องนี้  

 

นี่เป็นโคมครอบกระจก ทั้งสว่างไสวทั้งไม่แสบตา  

 

เตียงเตาจุดไฟอบอุ่นอบอวล ผ้าห่มฟูกใช้มือกดทีหนึ่งนุ่มและอุ่นร้อน ของใช้ล้วนเป็นแพรต่วนไหม  

 

แท่นหินข้างเตาวางแจกันทรงหญิงสาวไว้สองใบ ต่างก็ปักดอกกล้วยไม้กำหนึ่งไว้  

 

ห้องที่เดิมทีเล็กเตี้ยทั้งยังคับแคบมืดมิดห้องนี้ใต้แสงโคมกลายเป็นสว่างไสวแล้วยังอบอุ่น  

 

สว่างไสวอบอุ่นบางครั้งล้วนเป็นเงินกองขึ้นมา มือของนางวางบนฟูกกับผ้าห่ม มองดูกระทั่งแจกันดอกไม้ใบหนึ่งก็ยังไม่ใช่ของตกแต่งธรรมดา  

 

นางนั่งอยู่บนเตียงเตาฉับพลันก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นของยา เห็นสาวใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วเอ๋อร์คนนั้นกำลังโยนอะไรกำหนึ่งลงในกระถางธูปหอมที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง  

 

“จุดเตียงเตาร้อนแห้งได้ง่าย นี่คือยากำจัดความแห้ง ใช้ตอนกลางคืน เช้าขึ้นมาจะไม่ปากแห้งลิ้นร้อนเลือดกำเดาไหล” เสียงคุณหนูจวินดังขึ้น  

 

นางเพิ่งเดินเข้ามา เห็นสตรีผู้นั้นมองหลิ่วเอ๋อร์จึงเอ่ยอธิบาย   

 

“คุณหนูเข้าใจหลักวิชาแพทย์อยู่บ้างหรือ” นางอมยิ้มเอ่ย  

 

“ความจริงไม่เพียงเข้าใจอยู่บ้าง” คุณหนูจวินยิ้มพลางเปิดตู้ด้านข้างเอา**บยาออกมา “ที่จริงข้าเป็นหมอคนหนึ่ง”  

 

หมอ?  

 

“คนดูจากภายนอกไม่ได้ มหาสมุทรใช้กระบวยวัดไม่ได้จริงๆ” นางพยักหน้าเอ่ยพลางมองคุณหนูจวินเปิด**บยา เอาขวดใบหนึ่งออกมา  

 

“นายหญิงข้อเท้าบาดเจ็บสินะ” คุณหนูจวินเอ่ย กึ่งนั่งยองลงข้างเตียง  

 

สตรีผู้นั้นไม่ได้กังวลเพราะการเคลื่อนไหวนี้ของนาง ยื่นมือดึงเสื้อกระโปรงขึ้นมาให้สะดวกตรวจดู  

 

“ใช่ หลายวันก่อนตกจากรถม้า ถูกม้าเหยียบเข้า” นางเอ่ย “เดิมทีเจ็บนิดเดียวก็หายจึงไม่ได้สนใจ หลายวันนี้กลับร้ายแรงขึ้น”  

 

ไม่มีเวลาสนใจ เพราะเทียบกับชีวิตเท้าเจ็บก็ไม่นับเป็นอะไรสินะ  

 

คุณหนูจวินรินสุราจากในขวดกระเบื้องถูบนฝ่ามือแล้ววางลงบนข้อเท้าของนาง  

 

“เจ็บหน่อยนะเจ้าคะ” นางเอ่ย  

 

สตรีผู้นั้นยิ้ม  

 

“เจ็บสิดี หากไม่เจ็บก็แย่แล้ว” นางเอ่ย “เท้าข้างนี้ของข้าคงพิการแล้ว”  

 

“พิการก็ไม่เป็นไรหรอก” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย “คุณหนูของข้าทำอันใหม่อันหนึ่งให้เจ้าได้”  

 

นี่ฟังดูแล้วเป็นคำพูดที่เหลือเชื่อจริงๆ แต่นางกลับไม่ได้ทำท่าล้อเลียนประหลาดใจ  

 

“ที่แท้วิชาแพทย์ของคุณหนูก็ร้ายกาจปานนี้” นางพยักหน้าเอ่ย  

 

ยามไม่ยิ้มนางดูแล้วเคร่งขรึมยิ่งเหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางแบบนั้น แต่ก็ไม่เหมือน  

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั้นเป็นแบบผู้อื่นติดเงินนางมาแปดรุ่น  

 

แต่ความเคร่งขรึมของผู้หญิงคนนี้กลับไม่ทำให้คนเกิดความชิงชัง ตรงกันข้ามเคารพโดยไม่รู้ตัว  

 

หลิ่วเอ๋อร์บีบนิ้วมือ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตนเองก็ไม่มีทางไปรับใช้นาง ใครดีเท่าไรก็ดีสู้คุณหนูไม่ได้  

 

คุณหนูจวินนวดอยู่เป็นเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยถึงลุกขึ้นยืน ให้หลิ่วเอ๋อร์ยกน้ำมาให้นางทานยา  

 

“ข้อเท้าของนายหญิงบาดเจ็บหนักมาก แน่นอนข้ารักษาหายดีได้” นางเอ่ย “แต่ต้องพักนิ่งๆ หลายวัน แน่นอนหากจะเร่งเดินทางก็ได้”  

 

นางพูดพลางยิ้มอีกครั้ง  

 

“เท้าพิการไป ข้าทำอันใหม่อันหนึ่งเปลี่ยนให้ท่านได้จริงๆ ดังนั้นวันพรุ่งนี้จะเดินทางหรือพักนิ่งๆ นายหญิงโปรดตัดสินใจ อย่างไรข้ารับเงินแล้วย่อมเชื่อฟังคำสั่ง”  

 

เงิน? หลิ่วเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย แต่จำได้ว่าไม่อาจสอดปากยามคุณหนูพูดจึงอดกลั้นไว้ไม่ถาม  

 

สตรีผู้นั้นก็ยิ้มแล้ว  

 

“ข้าออกเงินเชิญท่าน ข้าจ่ายเงินเพียงแล้วเพียงต้องการไปถึงสถานที่ซึ่งข้าต้องการไปเท่านั้น ส่วนไปอย่างไรรวมถึงเรื่องอื่นๆ ข้าล้วนไม่เป็นห่วง” นางเอ่ย “ทุกสิ่งล้วนยกให้คุณหนูท่านเปลืองความคิด”  

 

นางชอบพูดคุยกับคนตรงๆ เช่นนี้นัก คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า  

 

“ได้” นางเอ่ย “นายหญิงพักผ่อนเถอะ”  

 

สตรีผู้นั้นพยักหน้าไม่เอ่ยวาจา  

 

“อีกอย่าง นายหญิงอาจต้องดูแลตัวเองได้หรือไม่?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอีก “สาวใช้คนนี้กลางคืนไม่เคยรับใช้ใคร ข้ายังมีแม่ครัวนางหนึ่ง ฝีมือทำอาหารดีนัก เพียงแต่ไม่เคยมีใครสอนให้รับใช้คนอย่างไร”  

 

นี่ฟังดูแล้วเป็นคำพูดที่ไม่มีความจริงใจนักจริงๆ แต่คุณหนูจวินพูดอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของสตรีผู้นี้ก็นิ่งเรียบ  

 

“ได้ ข้าดูแลตนเองได้” นางเอ่ยแล้วชี้หัวเตียงอีกครั้ง มองหลิ่วเอ๋อร์พลางพยักหน้า “นอกจากนี้สาวใช้คนนี้ก็เตรียมได้ถี่ถ้วนแล้ว”  

 

หัวเตียงวางเตาพก กาน้ำชากับกล่องของว่างอยู่ เอื้อมมือก็ถึง  

 

แม้รู้ว่าตนเองร้ายกาจยิ่ง แต่ได้ยินคำชม หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงหน้าตาเริงร่า  

 

“ใช่แล้ว เรื่องที่ข้าทำพวกท่านวางใจได้” นางเอ่ย  

 

กำลังพูดอยู่ นอกประตูเสียงของเหลยจงเหลียนก็ดังมา เขาพาเหลียงเฉิงต้งคนนั้นมา  

 

นายบ่าวสองคนพบเรื่องเช่นนี้ย่อมมีวาจาจะพูดกัน คุณหนูจวินเชิญเขาเข้ามาแล้วพาหลิ่วเอ๋อร์ถอยออกไป  

 

เหลียงเฉิงต้งเดินเข้ามาในห้อง เห็นความหรูหราในความเรียบง่ายนี่ก็อุทานตกตะลึงอีกครั้ง ขณะที่ครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไร เสียงสนทนาก็ดังเข้ามาในเรือน  

 

“…น่าจะให้นางมาเอาเอง อาศัยอะไรให้พวกเราส่งเล่า นางเป็นคุณหนูใหญ่โตรึ”  

 

“อย่างไรก็ไม่อาจให้ท่านน้าอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ ไปเถอะ ข้านำผ้าพับหนึ่งกลับมาให้ท่านน้าด้วย”  

 

“น้าหวง ท่านมาถือผ้า”  

 

“ลุงเหลยท่านถือโคมสองดวง เพิ่มคนอีกหลายคน ข้ายังกลัวพบสุนัขป่าอยู่นะ”  

 

เสียงเจื้อยแจ้วเอะอะในลาน เสียงฝีเท้าพักหนึ่งติดตามออกไปไกลแล้วเงียบลง  

 

เหลียงเฉิงต้งยืนอยู่ข้างประตูมองไปข้างนอก ห้องด้านข้างในเรือนยังจุดโคมสว่างอยู่ แต่กลับว่างเปล่าไม่มีคน กระทั่งแม่ครัวคนนั้นก็ออกไปแล้ว  

 

นี่จงใจหลีกให้พวกเขาคุยกันหรือ?  

 

เหลียงเฉิงต้งคิดถึงตอนเพิ่งเข้าหมู่บ้าน คุณหนูคนนี้พูดกับแม่นางที่ปิดบังใบหน้าคนนั้นว่าจะส่งลูกชิ้นทอดอะไรให้นาง  

 

อาจบังเอิญกระมัง  

 

“เฉิงต้ง อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไร” นางเอ่ยถาม  

 

เหลียงเฉิงต้งสงบจิตใจที่วุ่นวายอยู่แล้วปิดประตู  

 

“นายหญิง ข้าไม่เป็นไร ท่านเล่า?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม  

 

“ข้าก็ยังดีอยู่ คุณหนูคนนี้ยังเป็นหมอคนหนึ่งด้วย วิชาแพทย์สูงส่ง” นางเอ่ยบอก “ตรวจให้ข้าแล้ว”  

 

หมอ…  

 

เหลียงเฉิงต้งหางคิ้วกระตุกอีกครั้ง  

 

“หมอ ข้ารู้สึกว่าที่นี่เป็นรังโจรแห่งหนึ่ง” เขาเอ่ยเสียงเบา “ความรู้สึกของที่นี่…”  

 

เขากวาดมองในห้องรอบหนึ่ง  

 

“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยกวาดล้างมหาโจรเช่นนี้กลุ่มหนึ่ง อยู่ในถ้ำภูเขา ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่ข้างในใช้เงินทองมาทำบัลลังก์ ในถ้ำสมบัตินานาชนิดกองพะเนิน”  

 

นางหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว จากนั้นมองรอบด้านทีหนึ่ง  

 

“รวยเอาการอยู่” นางพยักหน้ายิ้มเอ่ย “นอกจากนี้การกระทำก็ค่อนข้างเหมือนโจรจริงๆ”  

 

ใช่ไหมล่ะ! เหลียงเฉิงต้งคิ้วขมวดแน่น  

 

“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงท่านยังเชื่อนางหรือขอรับ?” เขาเอ่ย ถึงกับเป็นเฝ่ายเชิญพวกเขาอารักขา  

 

“ข้าเชื่อนางจริงๆ” สตรีผู้นั้นเอ่ยจากนั้นก็ยิ้ม “ก็คงเพราะอย่างที่เจ้าพูด มหาโจรน่ะ ในความเป็นโจรนี่ยังมีความทะนง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่บ้าง”  

 

ใจกว้างด้วยความทะนง เด็ดขาดด้วยความทะนง เหยียดมองใต้หล้าด้วยความทะนง ความทะนงเช่นนี้เอ่ยวาจาออกมาสี่อาชายากไล่ทัน  

 

และในเวลาเดียวกันนี้ เหลยจงเหลียนก็กำลังถามประโยคคล้ายกันนี้ระหว่างทางขึ้นเขา  

 

“คุณหนู พวกเขาที่มาไม่ชัดเจน ตัวตนน่าสงสัย ทำไมท่านยังต้องช่วยพวกเขา?” เขาเอ่ย  

 

สตรีคนนี้บอกแล้วว่าที่ตัวพวกเขาไม่มีเงินแล้ว แต่โจรเหล่านั้นกลับยังคงไล่สังหาร นอกจากนี้ตอนคุณหนูจวินลงมือ คนด้านนั้นยังหลุดปากประโยคหนึ่งบอกให้เหลือคนรอดไว้  

 

โจรไม่เอาทรัพย์ คนถูกปล้นต้องการคนรอดไว้ถามคำถาม นี่ต้องไม่ใช่การปล้นชิงธรรมดาแน่  

 

คุณหนูจวินย่อมรู้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นตอนนั้นคงไม่เตือนผู้ชายคนนั้นประโยคหนึ่งว่าเหลือคนรอดหรือไม่ไม่จำเป็น รู้ว่ามีคนต้องการให้พวกเขาตายก็เพียงพอแล้ว  

 

ท่าทางของสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา พวกผู้คุ้มกันก็ฝีมือร้ายกาจ ที่มาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่คนเช่นนี้กลับถูกไล่ล่าสังหาร เห็นได้ว่าต้องเป็นปัญหาใหญ่  

 

และปัญหานี่รวมถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น พวกเขาตอนนี้ไม่รู้สักอย่างอย่างสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั้นจะรับมืออย่างไร?  

 

“ย่อมเป็นทหารมาแม่ทัพต้าน น้ำมากั้นดิน” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนทำไมช่วยพวกเขา…”  

 

นางหยุดครู่หนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิด  

 

“แน่นอนเพราะนางจ่ายเงินสิ” หลิ่วเอ๋อร์ที่เดินอยู่ด้านหน้าหันกลับมาตอบ “เรื่องง่ายดายปานนี้ มีเงินทำไมจะไม่เอา?”  

 

เจ้าเข้าใจอะไรเล่า! เหลยจงเหลียนถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง เงินบางก้อนก็ไม่ใช่หามาได้ง่ายดายปานนั้น  

 

“แต่เรื่องนี้สำหรับคุณหนูแล้วทำได้นี่ ง่ายดายยิ่งด้วย” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากถลึงตาใส่เขาอย่างดูแคลนบ้าง  

 

นั่นจะว่าใช่ก็ใช่…คุณหนูจวินไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้จริงๆ เหลยจงเหลียนถูกโต้จนเงียบไป  

 

คุณหนูจวินยิ้ม  

 

สำหรับนางแล้วย่อมไม่ใช่เพราะเงิน ที่เวลานั้นตอบรับคงเป็นเพราะตอนสังหารโจร หากพวกเขาไปต่อก็มีโอกาสหนีได้ชัดๆ แต่กลับไม่ลังเลหันกลับมาช่วยเหลือ  

 

หรืออาจเพราะรู้สึกคุ้ยเคยอย่างไม่รู้สาเหตุกับสตรีผู้นั้น  

 

เหตุผลนี่ทำตามอำเภอใจไปบ้าง แต่นางเป็นสตรีคนหนึ่ง สตรียากเลี่ยงทำตามอำเภอใจอยู่บ้าง  

เอาเงินมาตีค่าคน คำพูดนี้พูดให้ถี่ถ้วนแล้วถามได้ไม่เกรงใจ  

 

แต่สตรีผู้นั้นกลับไม่มีสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว กระทั่งคนข้างกายนางก็ไม่ คล้ายกับว่าเป็นสิ่งสมควรยิ่ง  

 

“ชีวิตคนพูดว่าล้ำค่าก็ล้ำค่า พูดว่าไร้ค่าก็ไร้ค่า” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าขอบังอาจตั้งราคา”  

 

นางพูดพลางชูห้านิ้วขึ้นมา  

 

“ห้าหมื่นตำลึงเงิน”  

 

คุณหนูจวินมองนางจากนั้นก็ยิ้มแล้ว  

 

นางยิ้มอะไร? จำนวนนี้ไม่น้อยแล้วจริงๆ นะ นายหญิงบางทีไม่ควรเอ่ยมากเช่นนี้  

 

บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บในดวงตากังวลอยู่บ้าง  

 

คุณหนูคนนี้แม้พูดไปแล้วก็ช่วยพวกเขาไว้แล้ว แต่ดูกระบวนทัพของนางไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยคนง่ายๆ แต่ไว้ฆ่าคน  

 

คนเหล่านี้มีอาวุธต้องห้ามสำหรับชาวบ้าน ทั้งเห็นชัดว่าฝึกฝนมานาน ตัวตนที่มาลึกลับ  

 

ออกปากว่าห้าหมื่นตำลึงปุบ ทรัพย์สินเงินทองทำใจคนหวั่นไหวได้นะ  

 

“แพงกว่าข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย  

 

แพงกว่านาง? บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคิดไม่ถึงว่านางจะโพล่งประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมาจึงตะลึงไป หมายความว่าอย่างไร?  

 

“หืม? คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” นางกลับเอ่ยถามออกมาตรงๆ  

 

“ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งมีคนจะอารักขาข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “เขาเรียกจากข้าหนึ่งหมื่นตำลึง”  

 

หนึ่งหมื่นตำลึง?  

 

บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคิ้วเลิกขึ้นอีกครั้ง ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร? ความนัยคืออะไร?  

 

จะบอกว่านางก็เคยตกอยู่ในอันตราย? ดังนั้นไม่ร้ายกาจปานนั้นหรือ?  

 

จะบอกว่านางสบายๆ ก็เอาเงินหมื่นตำลึงออกมาได้ ดังนั้นไม่ได้ขาดแคลนเงินหรือ?  

 

“ราคานั่นหาสูงไม่” สตรีผู้นั้นส่ายศีรษะเอ่ย “คุณหนู ท่านน่าจะมีค่าเป็นเงินมากกว่านั้น”  

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วยกแขนเสื้อปิดปาก  

 

“ไม่ใช่ เขาเปิดราคาให้ข้า บอกว่าจะเชิญเขา เขามีค่าหนึ่งหมื่นตำลึง” นางหัวเราะเอ่ย  

 

เพราะหัวเราะ ดวงตาของนางจึงแวววาว  

 

สตรีผู้นั้นมองประเมินนาง แม้เมื่อครู่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ แม้สวมผ้าคลุมสีแดงหม่นไม่สะดุดตา แต่เมื่อนางยกมือก็เผยลวดลายเถาดอกกล้วยไม้อันงดงามในแขนเสื้อ เผยนิ้วมือเรียวยาว บนเล็บทาสีแดงอ่อน ยามแย้มยิ้มคิ้วและดวงตาเป็นวงโค้ง  

 

เหมือนเด็กสาวเยาว์วัยที่ชวนให้คนชมชอบทั้งหมด อ่อนเยาว์อ่อนโยนอ่อนน้อม  

 

นอกจากนี้คนผู้นี้ที่นางพูดถึงต้องให้นางเบิกบานใจมากแน่  

 

“ราคานั่นก็ยังไม่สูง” สตรียิ้มเอ่ย “เพราะคุณหนู ท่านมีค่าเป็นเงินมากกว่านั้น”  

 

ต่อมาจูจั้นก็บ่นว่าขาดทุนจริงๆ  

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง  

 

บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคล้ายมองไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่คือกำลังคุยเล่นกันหรือ?  

 

สถานการณ์นี้ เหมาะสมรึ?  

 

เอาเถอะ สำหรับเด็กสาวคนนี้แล้ว นางมีกำลังมากพอคุยเล่นในสถานการณฺใดๆ ก็ตาม ขอแค่นางยินดี  

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนู ท่านพอใจกับราคานี้ของข้าไหม?” สตรีผู้นั้นเอ่ยถาม  

 

คุณหนูจวินมองนาง  

 

“ได้” นางเอ่ย “ตกลง”  

 

สตรีผู้นั้นจับแขนของชายหนุ่มไว้ ย่อเข่าคำนับน้อยๆ อีกครั้ง  

 

“ขอบคุณ” นางเอ่ย  

 

“แต่พวกท่านล้วนได้รับบาดเจ็บแล้ว ไปบ้านข้าจัดการแผลสักหน่อยก่อนเถิด” คุณหนูจวินเอ่ย  

 

บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บลังเลอีกครั้ง  

 

“ได้ ลำบากคุณหนูแล้ว” นางตอบรับเด็ดขาดฉับไว  

 

……………………………………….  

 

เมื่อคุณหนูจวินพาคนคณะนี้เข้าหมู่บ้านมา ชาวบ้านทั้งหลายก็ไม่ได้ล้อมมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นสักเท่าใด  

 

คล้ายกับว่าคนคณะนี้อยู่ที่นี่มาตลอด  

 

ไม่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมา ไม่ก็เชื่อฟังคุณหนูผู้นี้ทุกสิ่งโดยไม่สงสัย  

 

เหลียงเฉิงต้งคิดในใจ  

 

ต่อให้เชื่อฟังอีกเท่าใด คนมากปานนี้ดีร้ายก็ต้องมองดูเพิ่มสักหลายทีกระมัง แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำ กระทั่งเด็กน้อยที่นั่งยองๆ จับก้อนหินเล่นอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ทำ  

 

รู้ล่วงหน้าแล้วหรือ?  

 

ตลอดทางที่เดินทางมาคนเหล่านี้ก็อยู่ตลอด ไม่มีคนแจ้งข่าวล่วงหน้า บนถนนทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่ได้พบชาวบ้าน ยิ่งไม่มีคนวิ่งทะยานมาถ่ายทอดแจ้งข่าว บนเส้นทางภูเขายามพลบค่ำฤดูหนาวเงียบสงบยิ่งนัก มีเพียงเสียงนกร้องไม่กี่ครั้ง  

 

ที่นี่เป็นหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่งจริงๆ เหมือนเช่นหมู่บ้านภูเขาทั้งหมด ชาวบ้านก็เป็นคนที่ใช้แรงงานเป็นประจำประเภทนั้นอย่างที่พวกเขาเคยเห็น รวมถึงบุรุษสิบกว่าคนที่สังหารคนนั่นด้วย มีเพียงนาทีนั้นที่พวกเขาเอาคันศรและหอกยาวออกมาถึงทำให้คนตะลึงงันมองใหม่อีกครั้งไม่อาจดูแคลน ยามอื่นล้วนไม่สะดุดตาสักนิด  

 

เป็นหมู่บ้านภูเขาที่แปลกประหลาดจริงๆ  

 

“ลำบากพวกท่านอาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน  

 

แม้ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ยังไม่คุ้นชิน เก้ๆ กังๆ ยิ้มเขินอายจูงม้าแยกย้ายกันไป  

 

รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนหน้าบุรุษเหล่านี้ เหลียงเฉิงต้งพลันคิ้วกระตุก  

 

นี่ที่แท้เป็นกลุ่มคนแบบไหนกันแน่? แล้วใครกันฝึกฝนกลุ่มคนเช่นนี้ออกมา?  

 

“ฮั่นชิง เจ้าไปทานอาหารที่บ้านข้าไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “ทำลูกชิ้นทอดที่เจ้าชอบกิน”  

 

จ้าวฮั่นชิงส่ายศีรษะ  

 

“ข้าจะกลับบ้าน” ในดวงตานางมีความตื่นเต้นอยู่ “เจ้าให้หลิ่วเอ๋อร์ส่งลูกชิ้นขึ้นเขาไปให้ข้านะ”  

 

วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้าน ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่สังหารโจร ต้องตื่นเต้นอยากเล่าให้น้าเซียวฟังแน่  

 

คุณหนูจวินยิ้มเข้าใจ โบกมือให้นาง มองดูจ้าวฮั่นชิงก้าวยาววิ่งขึ้นเขาไป  

 

“ตามข้ามาเถิด” ตอนนี้คุณหนูจวินถึงเอ่ยกับบุรุษสี่คนด้านหลังร่าง แล้วชี้ม้าของพวกเขา “ม้าของพวกเจ้าส่งไปที่คอกม้าเถอะ มีคนดูแลม้าอยู่ จะได้พักเสียหน่อย”  

 

เหลียงเฉิงต้งมองดูรอบด้าน คนล้วนเข้ามาแล้ว เป็นตะพาบในไหแล้ว มีหรือไม่มีม้าก็ไม่แตกต่างอะไร  

 

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้ว” เขาเอ่ย  

 

คุณหนูจวินจึงกวักมือเรียกเด็กน้อยที่นั่งยองเล่นอยู่ใต้หินเขียวก้อนใหญ่ให้พวกเขาเอาม้าไปส่งที่คอกม้า  

 

พวกเด็กน้อยดีอกดีใจจูงม้าไป  

 

“ม้าที่นี่ของพวกเจ้าเลี้ยงด้วยกันหรือ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถาม  

 

“หมู่บ้านของพวกเราเล็ก คนน้อย งานช่วยกันทำ ข้าวก็กินด้วยกัน มีสิ่งใดล้วนเลี้ยงด้วยกัน ใช้ด้วยกัน” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ  

 

เป็นหมู่บ้านที่ประหลาดจริงๆ เหลียงเฉิงต้งคิดอีกครั้ง เรื่องที่พบวันนี้ประหลาดมากพอแล้ว ระหว่างที่คิดวุ่นวายก็เดินตามคุณหนูจวินมาถึงหน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง  

 

เด็กสาวคนหนึ่งกับบุรุษหลายคนออกมาต้อนรับ คุณหนูจวินให้หลิ่วเอ๋อร์ประคองสตรีผู้นั้นลงจากรถ  

 

สตรีผู้นั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเกรงใจ จับมือของหลิ่วเอ๋อร์เดินลงมา  

 

“อาหารทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ในห้องก็เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยเจื้อยแจ้ว “ลุงเหลยพวกเขาก็เตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”  

 

ได้ยินคำว่าน้ำร้อนสองคำ บุรุษทั้งสี่ก็มองร่างตนโดยไม่รู้ตัว  

 

เข่นฆ่า ได้รับบาดเจ็บ รอยเลือด โคลนหิมะ หมดรูปจริงๆ  

 

“ท่านลุงเหลย บาดแผลภายนอกของพวกเขา ท่านจัดการหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยสั่งอีกครั้ง  

 

เหลยจงเหลียนขานรับ บุรุษหลายคนยื่นมือทำท่าเชิญ  

 

ทั้งสี่คนมองไปทางสตรีผู้นั้น  

 

“ไปเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ให้สบาย” นางเอ่ยพลางตบมือของหลิ่วเอ๋อร์ “สาวใช้ตัวน้อยคนนี้รับใช้ข้าได้ พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”  

 

หลิ่วเอ๋อร์ร้องเอ๋  

 

“ข้าไม่รับใช้เจ้าหรอก ข้ารับใช้คุณหนูของข้าต่างหาก” นางปฏิเสธเด็ดขาด  

 

สาวใช้คนนี้ช่าง…เหลียงเฉิงต้งเลิกคิ้วอีกครั้ง  

 

สตรีผู้นั้นไม่ถือเป็นอารมณ์ ยิ้มไม่พูดจาโบกมือให้พวกเขา  

 

พวกเหลียงเฉิงต้งไม่ดื้อดึงอีกต่อไป พวกเขาก้มศีรษะขานรับ  

 

อาบน้ำร้อนเสร็จ เสื้อผ้าสะอาดก็วางอยู่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว บาดแผลของเหลียงเฉิงต้งก็ใส่ยาพันผ้าอย่างรัดกุมแล้วเช่นกัน ในห้องอันเรียบง่ายตั้งเตียงสามหลังเบียดเสียดอยู่บ้าง ในห้องวางโต๊ะได้เพียงหนึ่งตัว ด้านบนวางอาหารร้อนๆ ควันฉุยจานโตชามโตไว้แล้ว  

 

“พี่สี่” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงเอ่ยเสียงเบา มือวางอยู่บนเตียงลูบคลำ สีหน้ายากปิดบังความประหลาดใจอยู่บ้าง “ถึงกับปูฟูกสี่ชั้น แล้วยังล้วนเป็นฝ้ายด้วย”  

 

กระทั่งบ้านของพวกเขายังไม่หรูหราถึงขั้นนี้เลย  

 

หมู่บ้านภูเขาที่ห่างไกลทั้งยังเปลี่ยวนี่ ในห้องง่ายๆ ถึงกับตกแต่งเช่นนี้ นี่เป็นการรวมกำลังทั้งหมู่บ้านต้อนรับแขกหรือ?  

 

“ฟูกนับเป็นอะไร” บุรุษที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะมองดูกาน้ำชา สีหน้าตกตะลึงเช่นกันเอ่ยว่า “นี่เป็นกระเบื้องเคลือบขาวของติ้งโจว ชีวิตปกติของพวกเราล้วนไม่มีทางได้ใช้”  

 

ถึงกับวางไว้บนโต๊ะในห้องง่ายๆ ในหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่งตามใจเช่นนี้  

 

เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบชัดๆ แต่เข้ามาในหมู่บ้านทุกคนล้วนรู้ว่าพวกเขามา กระทั่งอาหารน้ำร้อนห้องหับล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นต้องมีวิธีส่งข่าวที่พวกเขาไม่สังเกตุแน่ๆ  

 

ซ่อนเร้นเช่นนี้ สมบูรณ์แบบเช่นนี้  

 

ยังมีม้ากำยำของพวกเขา คันศร อาวุธที่เพียบพร้อมของพวกเขารวมถึงข้าวของเครื่องใช้หรูหราทั้งยังใช้ได้ตามสบายนี่ตรงหน้าเวลานี้  

 

“ข้ารู้แล้ว” เหลียงเฉิงต้งสีหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่น่าจะเป็นรังมหาโจร”  

 

……………………………………….  

Jun Jiu Ling  หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 2 อ่านนิยาย (ภาค 2 ตอนที่ 1 – 90)  อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


ฤดูหนาวปีที่สามแห่งรัชสมัยไท่คัง

มีเด็กสาวผู้หนึ่งมาทวงสัญญาแต่งงานจากตระกูลหนิงแห่งอำเภอเป่ยหลิวเมืองหยางเฉิงถึงหน้าจวน

หลังถูกปฏิเสธการแต่งงงาน เด็กสาวตัดสินใจผูกคอตายเพื่อแสดงจุดยืนของตน

เมื่อเด็กสาวผู้หมดลมหายใจไปลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

นับแต่นั้นชะตาชีวิตของคนมากมายก็ถึงคราวพลิกผัน


Options

not work with dark mode
Reset