‘ขำปอดโยกแล้ว!’
‘เพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนฟังออกไหม เพลงนี้เป็นเสียงกู่ร้องจากลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรก!’
‘เพลงสารภาพรักเซี่ยนอวี๋ปะเนี่ย?’
‘ประจบเต็มที่!’
‘นักร้องคนอื่นดูแล้วจำค่ะ หาโอกาสแอบเปลี่ยนเนื้อเพลง ประจบแบบเนียนๆ !’
‘ฟังถึงตอนจบแล้วซึ้งอยู่นะ’
‘เนื้อเพลงเป็นทั้งความรู้สึกของเซี่ยนอวี๋ และเป็นความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่ด้วย ทั้งสองคนถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาผ่านบทเพลง’
‘เพลงก็ดีนะ’
‘จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บใจแทนอาจารย์อิ่นตง หลังจากเพลงเปลี่ยนตัวเองได้รับการโปรโมตจากทางการ ก็แซงหน้าผลงานของอาจารย์อิ่นตงขึ้นไปคว้าอันดับหนึ่งในฤดูกาลเพลง ผลปรากฏว่าเพลงนี้ถูกยกมาพูดถึงบนการแข่งขันเวทีนี้อีก’
‘อิ่นตง: เซี่ยนอวี๋คนนี้เล่นกับใจผมอีกแล้ว!’
‘เฉินจื้ออวี่: เล่นตัวเองให้เต็มที่ อย่าเหลือให้คนอื่นเล่น’
‘เฟ่ยหยาง: แล้วผมล่ะ’
‘…’
กล้องตัดไปยังใบหน้าของเฟ่ยหยาง
เฟ่ยหยางซึ่งในตอนนี้ไม่มีการแข่งขันมีสีหน้าจนใจ
จนใจจริงๆ
ร้องเพลงก็ร้องเพลงไปสิ ทำไมต้องทำร้ายคนอื่นด้วย…
แน่นอนว่าคุณไม่ใช่ลูกคนรองตลอดกาล
เพราะลูกคนรองตลอดกาลในตอนนี้คือผมนี่ไง!
บัดซบ!
เฟ่ยหยางพยายามข่มกลั้นความรู้สึก
และหลังจากนั้นคือช่วงเวลาของการโหวต
นักประพันธ์เพลงกำลังครุ่นคิด
ในแง่ของการประพันธ์ทำนองเพลง ระดับของทำนองเพลงเพลงของเรานั้นเทียบเท่ากับสามเพลงก่อนหน้า นับว่าเป็นการแสดงศักยภาพตามปกติของนักประพันธ์เพลงชั้นนำ
ทว่าความยอดเยี่ยมของเพลงนี้อยู่ที่ มีพื้นที่สำหรับให้ผู้ชมจินตนาการ!
ให้ความเพลิดเพลิน
มีท่วงทำนองที่ไพเราะ
มีแม้แต่เรื่องราว!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังต้องสงสัยเรื่องผลการแข่งขันอีกหรือ?
คำตอบคือ
ไม่ต้องสงสัยเลย
คะแนนโหวตของซุนเหมิงเหมิงในเวทีนี้คือ: 40.13 ล้านโหวต
คะแนนโหวตของเฉินจื้ออวี่ในเวทีนี้คือ : 41.11 ล้านโหวต
คะแนนโหวตรวมในเวทีนี้ก็ทะลุ 80 ล้านโหวตแล้ว
ความแตกต่างของทั้งสองฝั่งไม่ได้เกินจริงมากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อระดับของบทเพลงและการร้องไม่ต่างกันมากนัก เรื่องราวในเนื้อเพลงเพลงของเรากลายเป็นตุ้มถ่วงน้ำหนักสุดท้ายที่กำหนดชะตา!
เวทีนี้!
เซี่ยนอวี๋และเฉินจื้ออวี่ชนะ!
เมื่ออันหงประกาศผล เฉินจื้ออวี่มือขึ้นต่อยอากาศ ตะโดนว่า “ขอบคุณอาจารย์เซี่ยนอวี๋ที่มอบโอกาสในการร้องเพลงนี้ให้ผม ทำให้ผมได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้งครับ!”
ทั้งห้องส่งหลุดหัวเราะ!
ลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรก!
ได้ปลดปล่อยตัวเองแล้ว!
หูกระต่ายของซุนเหมิงเหมิงไม่ตั้งขึ้นอีกต่อไป หันไปมองอิ่นตงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย อิ่นตงยังคงใบหน้าเป็นอัมพาตดังเคย ทว่าคอมเมนต์กระสุนบนหน้าจอกลับทะลักทลาย!
หลายคนพิมพ์มาว่า ‘2222222222’ !
รายการ ‘ปณิธานอันดับสองถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง’
ขณะเดียวกัน!
เว็บบอร์ดใหญ่แต่ละแห่งถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นนี้เช่นกัน
ทันใดนั้น
มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น ‘ไขคดีได้แล้ว ไขคดีได้แล้ว ตัวการที่ทำให้เฟ่ยหยางได้อันดับสองคืออิ่นตง!’
ชั่วพริบตาเดียว
ชาวเน็ตกระจ่างขึ้นมาทันที
‘ฮ่าๆๆๆ แรงอยู่นะ!’
‘ที่แท้เฟ่ยหยางก็รับผลแทนอิ่นตง!’
‘ต้นตอที่แท้จริงของอันดับสองที่แท้ก็คืออิ่นตง!’
‘เราทุกคนติดคำขอโทษกับราชาเพลงเฟ่ย!’
‘ราชาเพลงเฟ่ย: คิดอยู่แล้วเชียวว่าผมจะได้ที่สองไปได้ยังไง อาจารย์อิ่นตง ที่แท้ก็คุณนั่นเอง!’
‘อิ่นตง: แย่แล้ว ความแตกซะแล้ว!’
‘…’
ในมหาสงครามเทพเซียนทั้งสองครั้ง เฟ่ยหยางล้วนคว้าอันดับที่สอง ทว่าจุดหนึ่งที่ทุกคนมองข้ามไปคือ
อันดับที่สองทั้งสองครั้งของเฟ่ยหยาง นักประพันธ์เพลงที่เขาร่วมงานด้วยคืออิ่นตง!
แต่ในการแข่งขันครั้งนี้
หลังจากอิ่นตงร่วมงานกับซุนเหมิงเหมิง และพ่ายแพ้ต่อเซี่ยนอวี๋อีกครั้ง อิ่นตงก็ถูก ‘ปณิธานอันดับสอง’ ครอบงำ
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า
ผู้ที่เจอปลาแล้วคว้าอันดับสอง อาจไม่ใช่เฟ่ยหยาง แต่น่าจะเป็นอิ่นตง
ไม่เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องที่อิ่นตงเปลี่ยนนักร้องที่ร่วมงานแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเซี่ยนอวี๋ก็ยังคว้าอันดับสองว่าอย่างไรล่ะ
‘แต่ในรอบตัดสินของราชาหน้ากากนักร้อง ทำไมเฟ่ยหยางถึงยังได้ที่สองล่ะ?’
‘ดังนั้งจึงสรุปได้ว่า ในแวดวงนักร้อง เฟ่ยหยางยังคนเป็นลูกคนรองตลอดกาล ส่วนในแวดวงนักประพันธ์เพลง ยังมีลูกคนรองตลอดกาลอย่างอาจารย์อินตงแฝงกายอยู่’
ทุกคนรู้สึกว่ามีเหตุผล
อาจารย์อิ่นตง ได้เริ่มต้นเดินบนเส้นทางซึ่งไม่อาจย้อนกลับแล้ว
……
มีการแข่งขันห้าคู่ ปัจจุบันนี้ผ่านไปเพียงสองคู่
การแข่งขันอีกสามคู่ที่เหลือ ยังคงเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน
บนเวทีแห่งนี้ ได้รวมบทเพลงไว้ทุกประเภททุกสไตล์!
อิ่นตงถึงกับเขียนเพลงติดหูอย่างเพลงของกระต่ายออกมาได้ ณ จุดนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้
พ็อป…
ร็อก…
บัลลาด…
โบราณ…
อิเล็กทรอนิกส์…
ทิศทางที่สร้างสรรค์ในจินตนาการของผู้แต่งและการตีความของนักร้องทำให้ผู้ชมได้รับงานภาพและเสียงซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!
ในนั้น
การแข่งขันรอบที่ห้า
บทเพลงของพ่อเพลง หรืออาจเรียกว่า ‘แม่เพลง’ อย่างเจิ้งจิงก็ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในการแข่งขันรอบนี้
52.33 ล้านโหวต!
นี่คือบทเพลงสบายๆ มีชื่อเพลงว่า ‘ดอกท้อเหมันต์’
มุมมองของเนื้อเพลง เริ่มต้นจาก ‘ดอกท้อเหมันต์’
บทเพลงบรรยายถึงดอกท้อซึ่งไม่ยอมจำนนต่อความเหน็บหนาว ยืนหยัดเผชิญกับการทดสอบของธรรมชาติอันรุนแรง ตั้งแต่ต้นจนจบของเพลงเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอันดื้อดึงไม่ยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม…
เจิ้งจิงก็มึนงงไปเช่นกันเมื่อเห็นผลลัพธ์นี้
เธอส่ายหน้า “ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะชอบเพลงนี้กันขนาดนี้ ในบรรดาเพลงของฉัน เพลงนี้คือเพลงที่ฉันใช้วิธีการสร้างสรรค์ที่ค่อนข้างเสี่ยง ทำนองมีหลายจุดที่ไม่ได้ใช้รูปแบบปกติ พลิกไปผันมา เป็นการทดลอง…”
ของอย่างบทเพลงในบางครั้งมักเปี่ยมไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมาย
เพลงที่นักประพันธ์เพลงและนักร้องบางคนคิดว่าต้องโด่งดังอย่างแน่นอน ปรากฏว่าปฏิกิริยาจากทุกคนนั้นธรรมดา
เพลงที่นักประพันธ์เพลงและนักร้องบางคนไม่ได้ให้ความสำคัญ กลับโด่งดังจนเหนือความคาดหมาย
ต่อให้เป็นนักประพันธ์เพลงระดับพ่อเพลง ก็ไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
การถ่ายทอดสดในครั้งนี้ จบลงด้วยการที่เจิ้งจิงบดขยี้คู่ต่อสู้ของเธอ
ด้านหลังเวที
ผู้กำกับถงซูเหวินเดินออกมา กล่าวกับผู้ชมอย่างยิ้มแย้ม “ขอขอบคุณสำหรับการแสดงอันยอดเยี่ยมของอาจารย์ทุกท่าน พรุ่งนี้วันอาทิตย์ เราจะเริ่มถ่ายทอดสดกันอีกรอบ ดูจากสถิติหลังบ้านของรายการแล้ว เหมือนพวกเรากำลังจำลองความสำเร็จของรายการราชาหน้ากากนักร้องอยู่เลยนะครับเนี่ย!”
ผู้ชมปรบมือ
ถงซูเหวินพูดต่อ “หลังจากการถ่ายทอดสดในวันพรุ่งนี้จบลง เราจะประกาศกฎการแข่งขันในรอบต่อไป สิ่งที่รอทุกท่านอยู่คือความเซอร์ไพรส์นับไม่ถ้วน ขอให้นักประพันธ์เพลงและนักร้องทุกท่านเตรียมตัวเตรียมใจ”
ผู้ชมชะงัก
ทุกคนรู้ว่าทีมงานรายการสร้างเรื่องเก่ง
ถ้าหากถงซูเหวินบอกว่าการแข่งขันในอนาคตเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความ เช่นนั้นคงจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นจริงๆ …
คืออะไรกันนะ
ไม่มีใครรู้
การถ่ายทอดสดในครั้งนี้จบลงพร้อมกับความอาลัยอาวรณ์ของผู้ชม
และบนโลกออนไลน์
การสนทนาเกี่ยวกับการแข่งขันในรอบนี้กลับคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อกลับถึงบ้าน
อิ่นตงเห็นฮ็อตเสิร์ช หลังจากนั้นก็เห็นถ้อยคำที่บีบหัวใจอยู่ในอันดับที่สอง
#ลูกคนรองตลอดกาลอิ่นตง
อันดับที่หนึ่งบนฮ็อตเสิร์ชกลับเป็น #พวกเราติดค้างคำขอโทษกับเฟ่ยหยาง
“…”
ทันใดนั้นอิ่นตงก็สัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของชาวเน็ตจอมกวน ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเฟ่ยหยางแล้ว ชาวเน็ตจอมกวนพวกนี้ปั่นประสาทคนอื่นเก่งนัก
จะบล็อกก็บล็อกไม่ไหว โคตรน่ารำคาญ!
เมื่อเดือนสิงหาคมมาถึง
กระแสภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนผ่านพ้นไปในที่สุด ขณะที่ออกฉายจากโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่แต่ละแห่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ทะลุ 450 ล้านไปแล้ว ทั้งยังเป็นเพียงผลงานซึ่งใช้ต้นทุนสร้างเพียงหนึ่งร้อยล้านหยวน ความสำเร็จของแมงมุมตัวน้อยนั้นเจิดจรัสอย่างไม่ต้องสงสัย
นับประสาอะไรกับ…
กระแสของสินค้า
ชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิงเป็นที่เป็นประแสโด่งดังจนถึงขั้นที่ไปปรากฏในภาพยนตร์ผู้ใหญ่จากทางฉู่โจว ทว่าไม่นานก็ถูกบริษัทผลิตสินค้าและสตาร์ไลท์ฟ้องร้อง
การต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบ
ภาพยนตร์ขนาดเล็กไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย
และด้วยความอิจฉาในกระแสนิยมของสไปเดอร์แมน ตำนานมนุษย์มังกรพยายามเลียนแบบผลิตสินค้าบ้าง ผลสุดท้ายกลับจบลงอย่างน่าสลดใจ ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าของอย่างสินค้าเหล่านี้ยังอาศัยตัวละครที่ได้รับความนิยมมากพอ…
ในเดือนสิงหาคมนี้
วิดีโอเบื้องหลังรายการเพลงรูปแบบใหม่อย่าง ‘เพลงของเรา’ ดึงดูดความสนใจบนโลกออนไลน์ได้สำเร็จ ในที่สุดเมื่อเริ่มนับถอยหลังการออกอากาศ ผู้ชมซึ่งตั้งตารออยู่ตั้งแต่แรกก็ตรงไปเฝ้าหน้าจอในทันที
‘จะเริ่มแล้ว!’
‘ยกเก้าอี้มารอแล้ว!’
‘แถวหน้ามีเมล็ดแตงโมกับเครื่องดื่มขายคร้าบบ!’
‘รีบหน่อย รู้สึกเหมือนกลับย้อนกลับมาเมื่อหลายเดือนนั้นที่ดูราชาหน้ากากนักร้องอีกแล้ว ทุกวันหลังเลิกงานต้องมานั่งหน้าจอรีเฟรชรอรายการตอนใหม่’
‘…’
รายการวาไรตีเป็นอาหารทางจิตวิญญาณสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะชอบดู นอกเสียจากว่ารายการนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากพอ และรายเพลงของเราก็คือรายการวาไรตีหนึ่งในนั้น
ขณะเดียวกัน
หลินเยวียนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ห้องส่งของรายการเต็มไปด้วยผู้ชม ถึงแม้ผู้ชมในห้องส่งจะนับว่ามีเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับผู้ชมนอกห้องส่ง แต่บรรยากาศของห้องส่งจำเป็นต้องมีสีสันจากผู้ชม
ด้านหลังเวที
ภายใต้คำสั่งจากถงซูเหวิน การถ่ายทอดสดเริ่มต้นขึ้น พิธีกรอันหงเดินขึ้นมาบนเวที และอ่านคำเปิดเวทีอย่างมีจังหวะจะโคน “ยินดีต้อนรับผู้ชมในห้องส่งและผู้ชมทางหน้าจอทุกท่านเข้าสู่เพลงของเรา ผมคืออันหง พิธีกรของรายการ…”
ด้านล่างเวที
ผู้ชมส่งเสียงเชียร์
คอมเมนต์ในหน้าจอแน่นขนัดขึ้นมา ผู้ชมทั่วไป พร้อมทั้งแฟนคลับของนักร้องและนักประพันธ์เพลงมารวมตัวกันคับคั่ง ทำให้รายการใหม่นี้คึกคักขึ้นมาทันทีที่เปิดตัว
ในเวทีแรก
หุ่นยนต์เหลียงจื่อหยวนที่อู่หลงเลือกนั้น เผชิญหน้ากับเจียงขุยซึ่งไมค์เป็นคนเลือก เหลียงจื่อหยวนเริ่มร้องก่อน ปรากฏว่าทันที่เหลียงจื่อหยวนขึ้นเวที เขาทำให้ผู้ชมทั้งห้องส่งหัวเราะครืน “ผมกลัวการร้องก่อนนี่แหละครับ ใครเริ่มก่อนแพ้”
ใครเริ่มก่อนแพ้
นี่คือมุกตลกซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากราชาหน้ากากนักร้องจบลง กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นของการแข่งขัน นักร้องซึ่งเริ่มร้องก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ช่างเป็นเรื่องลึกลับเสียจริง ดังนั้นผู้ชมในห้องส่งจึงผุดยิ้มอย่างรู้เท่าทัน
ทั้งสองฝั่งของเวที
มีเก้าอี้ขนาดใหญ่สองตัว
เก้าอี้หรูหราทั้งสองตัวนี้เตรียมไว้สำหรับนักประพันธ์เพลง นักร้องฝั่งซ้ายเริ่มก่อน เพราะฉะนั้นจึงเป็นตำแหน่งของอู่หลง ส่วนฝั่งขวาร้องเพลงทีหลัง ไมค์จึงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอู่หลง เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นกันและกันพอดี
ในที่สุด…
เหลียงจื่อหยวนก็เริ่มต้นร้องเพลง!
เพลงที่เขาร้องมีชื่อว่า ‘ซุปมิโซะ’ เป็นเพลงภาษาฉีตามแบบฉบับ เนื่องจากชาวฉู่ชอบกินซุปมิโซะ ทว่าผู้คนจากทวีปอื่นส่วนมากไม่คุ้นเคย เนื้อหาหลักของเพลงบอกเล่าเกี่ยวกับความรู้สึกของชาวฉู่ซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ใจยังคงคิดถึงบ้านเกิด
ไม่มีการอวดเทคนิคใดๆ
ในครั้งนี้เหลียงจื่อหยวนมาด้วยความเรียบง่าย ท่วงทำนองเพลงช้า เข้ากับภาษาฉู่ของเขา เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ทันทีที่ร้องจบ ทั้งห้องส่งต่างปรบมือให้อย่างอบอุ่น นี่คือเพลงใหม่ซึ่งน่าประทับใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นทำนองเพลงของอู่หลงหรือเสียงร้องของเหลียงจื่อหยวน ล้วนถ่ายทอดความรู้สึกของบทเพลงออกมาได้เป็นอย่างดี มาตรฐานของนักประพันธ์เพลงระดับแนวหน้าแสดงออกมาอย่างแจ่มชัดผ่านบทเพลงนี้ แม้แต่หลินเยวียนฟังแล้วยังพยักหน้าตาม เพลงนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
ต่อมา
เจียงขุยก้าวออกมาจากแถว
เพลงที่ไมค์เตรียมไว้สำหรับเจียงขุยนั้นมีชื่อว่า ‘ติ๊งต่อง’ ฟังจากชื่อเพลงแล้วออกจะนามธรรมอยู่สักหน่อย อันที่จริงเนื้อเพลงก็เป็นนามธรรมเช่นกัน ทว่าทำนองเพลงนั้นน่าประทับใจ มีสไตล์ของเพลงอิเล็กทรอนิกส์ที่หนักหน่วง จังหวะมีความแปลกใหม่ กล้าหาญ และนำสมัยมาก
ผู้ชมพากันคึกครื้น!
ไม่มีการอวดทักษะและเสียงสูงเฉกเช่นในราชาหน้ากากนักร้อง และสไตล์ของทั้งสองเพลงนี้ก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน
เพลงแรกเป็นบัลลาดซึ่งคงความดั้งเดิม เพลงหลักล้ำสมัยและติดหู
ถ้าหากกล่าวว่าราชาหน้ากากนักร้องคือการแข่งขันระหว่างนักร้อง รายการนี้ก็มุ่งเน้นการประพันธ์เพลงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
ท้ายที่สุด…
อู่หลงและหุ่นยนต์ได้คะแนนโหวตไป 35.21 ล้านโหวต!
ส่วนไมค์และเจียงขุยได้ 33.46 ล้าน!
ทำลายอาถรรพ์ที่ว่าใครเริ่มก่อนแพ้ได้เป็นครั้งแรก
กล้องตัดไปยังห้องของหลินเยวียน
หลินเยวียนฟังเพลงไปพลางกินปลาเล็กปลาน้อย
ทีมงานรายการเตรียมขนมและเครื่องดื่มในปลาเล็กปลาน้อยไว้ในห้องรับรองบนโต๊ะของหลินเยวียนมีขนมจำพวกปลาเล็กปลาน้อยวางไว้
คอมเมนต์กระสุนต่างคึกครื้นขึ้นมา
‘ฮ่าๆๆๆ ปลาเล็กปลาน้อย!’
‘ทีมงานรายการสร้างเรื่องมาก ให้พ่อเพลงอวี๋กินปลาเล็กปลาน้อย!’
‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถูกต้องที่สุด’
‘กำลังบอกเป็นนัยว่านางเงือกกลายเป็นปลาเล็กปลาน้อยไปแล้ว?’
‘…’
คอมเมนต์ล้วนเต็มไปด้วยคำหยอกล้อ
หลินเยวียนกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องปลาเล็กปลาน้อย แต่กลับตกใจในกระแสของรายการ
ก็ดูความอลังการของคะแนนโหวตของคู่แรกสิ
ลำพังยอดรวมของคะแนนโหวตในคู่แรก ก็เกือบแตะ 70 ล้านแล้ว
เห็นได้ชัดว่าจำนวนผู้ชมที่รับชมรายการนี้พร้อมกันนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน!
แม้ว่านักร้องทั้งสองคนจะยังไม่ได้ระเบิดเวทีก็ตาม
เห็นได้ชัด
ว่าในเวลานี้นักประพันธ์เพลงค่อนข้างออมแรง
บทเพลงที่ระเบิดเวที คงจะยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา
ถึงอย่างไรในการแข่งขันรอบนี้ก็ไม่มีการคัดออก ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนการแข่งขันกินเวลานาน ไม่มีนักประพันธ์เพลงชั้นนำคนไหนที่จะหยิบเพลงไม้ตายซึ่งเก็บซ่อนไว้ออกมาตั้งแต่ในช่วงแรกของรายการหรอก
ทว่า…
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ด้วยความร่วมมือของนักประพันธ์เพลงชั้นนำและนักร้องชั้นนำ การแข่งขันจึงแปรเปลี่ยนเป็นการเฉลิมฉลองทางดนตรี!
ในเวลานี้
อันหงขึ้นเวที “ขอบคุณสำหรับการแสดงอันยอดเยี่ยมของกลุ่มแรกครับ ลำดับต่อไปขอเชิญอาจารย์อิ่นตงและนักร้องซุนเหมิงเหมิง พบกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋และนักร้องเฉินจื้ออวี่ครับ!”
เฮๆๆ !
ห้องส่งคึกคักขึ้นมา
หลังจากเซี่ยนอวี๋ถอดหน้ากาก ความโด่งดังของเขาก็น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาก เพราะฉะนั้นจำนวนแอร์ไทม์ของเขาจะสูงกว่าเมื่อก่อน
‘ถึงคู่ของพ่อเพลงอวี๋กับอาจารย์อิ่นตงแล้ว!’
‘ต้องสนุกแน่ๆ !’
‘อิ่นตง: ล้างแค้น!’
‘ฮ่าๆๆ ล้างแค้นอะไรล่ะ คุณคิดว่าอาจารย์อิ่นตงคือผู้หญิงคนนั้นเหรอ’
‘รายนั้นเหน็บหนาวไปแล้วไหม ครั้งนี้ไม่ได้รับเชิญจากรายการเลย’
‘แต่อิ่นตงแพ้เซี่ยนอวี๋มาสองรอบแล้วนะ’
‘เวทีวันนี้อินตงจะพลิกสถานการณ์ได้ไหม?’
‘…’
…………………………………………….
ต่างจากรายการราชาหน้ากากนักร้อง
รายการนี้ใช้เวลาบันทึกเทปนานหลายวัน
เนื่องจากเพลงที่นักประพันธ์เพลงเขียนขึ้นมานั้นเป็นเพลงใหม่ นักร้องจำเป็นต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักพัก
เพราะฉะนั้นวันเวลาหลายวันต่อจากนั้น หลินเยวียนจึงไปยังสถานที่ถ่ายทำรายการบ้างเป็นครั้งคราว
ทีมงานรายการได้จัดให้มีช่วงเวลาที่น่าสนใจมากช่วงหนึ่ง
นักร้องซึ่งไม่ถูกเลือก จะสามารถขอคำแนะนำจากนักประพันธ์เพลงแต่ละคนได้ในแต่ละรอบ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักร้องเกิดความกระอักกระอ่วนใจ
นั่นส่งผลให้ในทุกๆ วันจะมีนักร้องจำนวนหนึ่งมาเคาะห้องของหลินเยวียนเพื่อขอคำแนะนำ
โชคดีที่หลินเยวียนสามารถแบ่งแยกสมาธิได้ เพียงแค่ขยับปากให้คำแนะนำก็พอแล้ว
ราชาหน้ากากนักร้อง
และระหว่างที่นักร้องกำลังฝึกซ้อม
ทีมงานรายการได้นำเนื้อหาซึ่งถ่ายทำไปก่อนหน้านี้ มาตัดต่อเพื่อทำเบื้องหลังรายการเพลงของเราตอนที่หนึ่ง!
ความยาวหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ !
นี่คือวิธีการเล่นรูปแบบใหม่
เบื้องหลังของทุกตอน จะเป็นการบันทึกเทปล่วงหน้า
กระบวนการนี้น่าสนใจมาก
เพราะเป็นการนำนักร้องเบอร์ต้นห้าสิบคนมารวมตัวกัน!
สภาพแวดล้อมของวงการเพลง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักร้อง ทั้งหมดล้วนเป็นจุดสนใจ!
ตัวอย่างเช่นช่วงแนะนำตนเอง
ฉากต่อสู้ลับซึ่งค่อยๆ ถูกเปิดเผยระหว่างนักร้องเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากนักประพันธ์เพลงก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน!
และการแข่งขันอย่างเป็นทางการ จะดำเนินการในรูปแบบการถ่ายทอดสด และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมแบบเรียลไทม์
ผู้ชมสามารถควบคุมผลการแข่งขันได้ขณะที่กำลังรับชมรายการ!
ดังนั้น
ขณะที่เบื้องหลังรายการเพลงของเรากำลังออกอากาศ การถกเถียงบนโลกออนไลน์แทบระเบิด!
ชาวเน็ตกำลังถกเถียงกัน!
ผู้คนมากมายร้องอุทานว่า ไลน์อัปในรายการนี้อลังการงานสร้างสุดๆ !
อันที่จริงไลน์อัปราชาหน้ากากนักร้องก่อนหน้านี้ก็อลังการงานสร้างเช่นเดียวกัน
แต่เพราะนักแสดงสวมหน้ากาก ความตื่นเต้นจึงยังไม่รุนแรงพอ
ในเวลานี้นักร้องถอดหน้ากากแล้ว เปิดรายการมาผู้ชมก็เห็นนักร้องชั้นนำ ตื่นตาตื่นใจราวกับงานประกาศรางวัลดนตรีบนโลก!
นี่คือความรู้สึกของการนำตัวท็อปของวงการเพลงมากองรวมกันเลยนะ!
นอกจากนี้…
การออกแบบรายการยังกระตุ้นความสนใจจากผู้ชมได้อีกด้วย
คล้ายกับการออกแบบสคริปต์รายการเรียลลิตีโชว์
นักร้องตัวท็อปผู้สูงส่งเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อเพลงชั้นนำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับคนธรรมดา!
ถึงขั้นที่แอบ…
ถ่อมตน?
เดิมทีวงการดนตรีก็เหมือนกับสถานที่ทำงานแห่งหนึ่ง!
นักร้องเปรียบเสมือนพนักงาน ส่วนนักประพันธ์เพลงคือเจ้านาย!
พนักงานทุกคนพยายามทำผลงาน เพื่อดึงดูดความสนใจจากเจ้านาย!
ความรู้สึกแตกต่างอย่างชัดเจน สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้ชมได้โดยธรรมชาติ
ราชาหน้ากากนักร้องก่อนหน้านี้เคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าทีมงานรายการเข้าใจถึงจุดที่ผู้ชมสนใจจริงๆ สิ่งที่หลายคนต้องการดูจากรายการนี้คือความรู้สึกที่นักร้องชื่อดังเอาใจป่าป๊า
‘ความรู้สึกที่ดูรายการนี้ นักประพันธ์เพลงคือป่าป๊าของนักร้องจริงๆ !’
‘พวกคุณเข้าใจแล้ว นักร้องเหล่านี้พออยู่ต่อหน้านักประพันธ์เพลงธรรมดาก็วางมาด เพียงแต่พอเจอนักประพันธ์เพลงชั้นนำถึงทำให้นักร้องตัวท็อปถ่อมตัวแบบนี้’
‘พอได้เห็นจากมุมมองของพ่อเพลง รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก’
‘ตอนเลือกคนตลกมาก ผมจะไปเลือกสาวในผับก็แบบนี้เลย ผู้กำกับก็ช่ำชองไปอีก!’
‘ฮ่าๆ ห้องสีชมพูของเซี่ยนอวี๋คึกคักมาก!’
‘…’
ทีมงานรายการใส่ฉากซึ่งนักร้องเข้าไปขอคำแนะนำจากนักประพันธ์เพลง อีกทั้งผู้ที่มาหาเซี่ยนอวี๋นั้นบ่อยครั้งมากทีเดียว ความ ถี่ที่ห้องสีชมพูของเขาจึงปรากฏในรายการจึงสูงมาก
ด้วยเหตุนี้
ชาวเน็ตจึงตั้งชื่อห้องของหลินเยวียนอย่างตลกขบขันว่า ‘ห้องชมพู’
แน่นอนว่านักประพันธ์เพลงคนอื่นก็มีนักแสดงซึ่งไม่ได้รับเลือกมาขอคำแนะนำบ่อยครั้งเช่นกัน
นักร้องเข้าไปในห้อง ทั้งยังพยายามแสดงความสามารถและพรสวรรค์ของตนเอง ด้วยหวังว่านักประพันธ์เพลงแนวหน้าเหล่านี้จะเห็นแววของตน
นอกจากนี้
การเลือกเฉินจื้ออวี่ของหลินเยวียนกระตุ้นให้เกิดประเด็นถกเถียงในหมู่ผู้คน
‘พ่อเพลงอวี๋เป็นคนอบอุ่นจริงๆ ’
‘เฉินจื้ออวี่เป็นคนแรกในราชวงศ์ปลาที่ตกรอบ ฝีมือนับว่าเป็นหนึ่งในคนที่อ่อนที่สุด แต่พ่อเพลงอวี๋กลับไม่ได้รังเกียจ มิหนำซ้ำยังเลือกร่วมงานกับเฉินจื้ออวี่ด้วย’
‘อาจารย์อิ่นตงก็น่าสนใจ เลือกคนที่ใช่ไม่เลือกคนที่แพง นี่กลายเป็นคาแร็กเตอร์ของเซี่ยนอวี๋ไปแล้วหรือเปล่า?’
ต่อให้เป็นพ่อเพลง ก็พยายามเลือกร่วมงานกับราชาราชินีเพลง
แต่การกระทำของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ก่อให้เกิดอิทธิพลในระดับหนึ่ง การเลือกเพลงของอิ่นตงและเซี่ยนอวี๋นั้นค่อนข้างคล้ายกัน
และทั้งสองความเห็นนี้เหมือนกัน
เซี่ยนอวี๋บอกว่า ‘ให้คนที่เหมาะสมร้องเพลงที่เหมาะสม’
อิ่นตงบอกว่า ‘เลือกคนที่ใช่ ไม่เลือกคนที่แพง’
อันที่จริงทั้งแนวคิดหลักซึ่งถ่ายทอดผ่านทั้งสองความเห็นนี้เหมือนกัน
กอปรกับประโยคของอิ่นตงว่า ‘เซี่ยนอวี๋เป็นคนสอนผม’ยิ่งกระตุ้นความคิดของผู้ชมได้มากจริงๆ
ยังมีคนนึกเชื่อมโยงถึงมหาสงครามเทพเซียนเมื่อปีที่แล้ว…
หลินเยวียนพาเจียงขุยบุกล้างบางสมรภูมิ
บางทีในครั้งนี้ อิ่นตงอาจเข้าใจว่าควรเลือกตามความสามารถและสไตล์ของนักร้อง ไม่ใช่เลือกจากชื่อเสียงของนักร้องและปัจจัยอื่น
‘ทำเอาตอนนี้ผมคาดหวังกับคู่เซี่ยนอวี๋กับอิ่นตงเลย’
‘ฉันชอบวิธีการวางไพ่แบบแหวกแนวของเซี่ยนอวี๋กับอิ่นตง ทุกคนเลือกราชาราชินีเพลง ดูบ่อยจนไม่น่าสนใจ’
‘ที่จริงนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหลักการนี้ เพียงแต่นี่คือการแข่งขันไงล่ะ’
‘การแข่งขัน แน่นอนว่าต้องเลือกนักร้องเก่งๆ มาร่วมงานด้วย นี่เป็นความคิดปกติของใครหลายคน ถ้าลองเปลี่ยนเป็นตัวเราเองก็น่าจะคิดเหมือนกัน’
‘แถมยังมีการโหวตโดยผู้ชม ราชาราชินีเพลงมีแฟนคลับเยอะ ไม่เสียเปรียบแน่นอน’
‘เพราะฉะนั้นการแข่งขันที่ทางรายการจัดก็นับว่ายุติธรรมมากแล้ว’
‘อิ่นตงกับเซี่ยนอวี๋ต่างก็ไม่ได้เลือกราชาราชินีเพลง เฉินจื้ออวี่กับซุนเหมิงเหมิงฝีมือไม่ได้ไกลกันมาก’
“…”
ทีมงานรายการบอกว่าสุ่มจับคู่ แต่ทุกคนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่
บังเอิญขนาดนี้มีที่ไหน?
เซี่ยนอวี๋กับอิ่นตงมาเจอกันพอดีเนี่ยนะ?
แถมนักร้องที่ทั้งสองคนเลือก ก็ดันไม่ใช่ราชาราชินีเพลงเหมือนกันด้วย?
ทว่าหลังจากที่ทุกคนค้นพบความจริงแล้ว กลับรู้สึกว่าทีมงานรายการจัดการได้ดีมาก
อันที่จริงสิ่งที่ทุกคนต่อต้านไม่ใช่การแทรกแซงการแข่งขัน
สิ่งที่ทุกคนต่อต้านคือเรื่องหลังม่านซึ่งมีเจตนามุ่งเป้าโจมตี ถ้าหากทีมงานรายการเข้ามาแทรกแซงเพราะคำนึงถึงความยุติธรรมละก็ ผู้ชมยังยอมรับได้
และในเบื้องหลังรายการ
มีฉากหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ชมระเบิดหัวเราะ
นั่นคือระหว่างที่นักร้องกำลังฝึกซ้อม
ที่จริงแล้วขณะที่นักประพันธ์เพลงควบคุมการฝึกซ้อมของนักร้อง พวกเขาจะส่ายหน้าหรือชี้แนะโดยอ้างอิงจากทฤษฎีดนตรีต่างๆ
มีเพียงเซี่ยนอวี๋ ที่ร้องเพลงผ่านไมโครโฟน จากนั้นจึงบอกกับเฉินจื้ออวี่ว่า
“ร้องแบบนี้ครับ”
สีหน้าของเฉินจื้ออวี่สับสน งุนงง ถึงขั้นที่ชักจะเริ่มสงสัยในชีวิต เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ ในคอมเมนต์ก็สรุปได้อย่างตรงประเด็น
‘เฉินจื้ออวี่: นักประพันธ์เพลงน้องเพลงร้องเพลงเก่งกว่าผมอีก ทำยังไงดีครับ รอคำตอบครับ ด่วนมาก’
‘เฉินจื้ออวี่: คุณขึ้นไปร้องเองเลยดีกว่า!!’
‘เฉินจื้ออวี่: พูดไปพวกคุณอาจไม่เชื่อ นักประพันธ์เพลงของผมถ้าขึ้นเวทีไปร้องเพลง นักร้องคนอื่นต้องคุกเข่าคำนับ’
‘…’
แน่นอน
ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับประพันธ์เพลงและนักร้องคนอื่นก็มีมากมายเช่นกัน
พิจารณาจากเสียงตอบรับหลังจากเบื้องหลังรายการเพลงของเราออกอากาศไป กระแสของรายการนี้…
ไม่เป็นรองราชาหน้ากากนักร้องอย่างแน่นอน!
ในที่สุด การคัดเลือกก็เสร็จสิ้น!
นักประพันธ์เพลงทั้งยี่สิบคน เลือกนักร้องยี่สิบคนซึ่งจะร่วมงานด้วย
ราชาราชินีเพลงทั้งสิบคนได้รับการคัดเลือก
นักร้องสามสิบคนซึ่งไม่ได้รับเลือกจากนักประพันธ์เพลง ล้วนเป็นนักร้องแถวหน้าจากวงการเพลงฉินฉีฉู่และเยี่ยน
ในภาพระยะใกล้ของกล้อง
ใบหน้าของพวกเขาทั้งกระอักกระอ่วนทั้งผิดหวัง สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
มีเพียงสถานการณ์บนเวทีเพลงของเรา ที่จะมีคนมองข้ามบุคคลระดับนักร้องแถวหน้า
ขณะเดียวกันรายการก็ยังถือโอกาสใช้ฉากนี้แสดงให้เห็นถึงเอกสิทธิ์ของนักประพันธ์เพลงอีกครั้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้านักประพันธ์เพลง ต่อให้เป็นนักร้องแถวหน้า ก็ทำได้เพียงรอคอยการถูกเลือกเท่านั้น
มีเพียงการก้าวขึ้นเป็นราชาราชินีเพลงเท่านั้น ถึงจะทำให้นักประพันธ์เพลงเห็นความสำคัญของคุณ…
ลำดับถัดมาเป็นรอบการดวลแบบกลุ่ม
นักประพันธ์เพลงและนักร้องยี่สิบคู่ เท่ากับบทเพลงยี่สิบเพลง ไม่มีทางบันทึกเทปรายการจบภายในตอนเดียว
ทีมงานรายการจึงวางแผนว่าจะแบ่งการอัดรายการออกเป็นสองตอน
แต่ละตอนจะปล่อยออกมาสิบเพลง
เพลงสิบเพลง แบ่งเป็นการดวลห้ารอบ
ดำเนินการแข่งขันในรูปแบบสองต่อสอง
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทีมงานรายการยังไม่ได้ประกาศรายชื่อผู้เข้าแข่งขัน แต่ให้นักประพันธ์เพลงพานักร้องที่ตนเลือกไปยังห้องซึ่งเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าก่อน
“ทุกท่านผ่อนคลายกันก่อนครับ”
อันหงกล่าวกลั้วหัวเราะ “การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านั้นตึงเครียดอย่างแน่นอนครับ แต่ในรอบแรกของรายการจะไม่มีผู้ที่ตกรอบนะครับ”
ผู้คนหัวเราะตามไปด้วย
“ไปเถอะ”
นักประพันธ์เพลงต่างพานักร้องที่ตนเลือกเข้าไปในห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของนักร้องอีกสามสิบคนซึ่งไม่ได้รับเลือก
เฉินจื้ออวี่เดินตามหลินเยวียนไปทีละก้าว
หลินเยวียนหันไปมองเฉินจื้ออวี่
“กังวลเหรอครับ?”
เฉินจื้ออวี่ตอบอย่างระแวดระวัง “ผมกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ถึงยังไงระดับของผมก็ไม่ได้โดดเด่น…”
ถึงแม้รายการจะแจ้งแล้วว่าในช่วงแรกของรายการจะไม่มีการตกรอบ ถ้าเฉินจื้ออวี่ยังคงกระวนกระวาย ถ้าหากอาจารย์เซี่ยนอวี๋ต้องแพ้การแข่งขันเพราะตนฝีมือไม่ถึงขั้น
“สบายๆ ครับ”
หลินเยวียนขบคิด เอ่ยว่า “นี่เป็นเพลงสบายๆ ”
เฉินจื้ออวี่พยักหน้า ทว่าความตื่นตระหนกยังคงไม่จางหายไป
การแข่งขันนี้ ไม่ใช่ว่าใครมีฝีมือด้านการประพันธ์เพลงที่เก่งกาจแล้วจะคว้าชัยชนะได้
ผลการแข่งขันนั้นเกี่ยวข้องอย่างมากกับนักร้องที่นักประพันธ์เพลงเลือก
หยางจงหมิงฝีมือร้ายกาจใช่ไหม?
แต่ถ้าหากส่งนักร้องที่ฝีมืออ่อนที่สุดไปให้หยางจงหมิง หยางจงหมิงจะยังการันตีชัยชนะของตนเองได้อยู่ไหม?
เป็นความสงสัยครั้งใหญ่เชียวละ
แม้ว่าเฉินจื้ออวี่จะไม่ใช่นักร้องแถวหน้าที่อ่อนที่สุดในการแข่งขัน แต่ความสามารถโดยภาพรวมของเขานับว่าอยู่เพียงระดับกลางในบรรดานักร้องทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกังวลว่าตนเองจะกลายเป็นตัวถ่วงของเซี่ยนอวี๋
หลินเยวียนเงียบ
จนกระทั่งเข้าไปในห้อง เขาถึงมองไปยังเฉินจื้ออวี่อย่างจริงจัง และเอ่ยว่า “คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม?”
“อะไรเหรอครับ”
“ไม่มีฮีโร่ที่กระจอก มีเพียงผู้เล่นที่ห่วย!”
เฉินจื้ออวี่ “???”
หลินเยวียนเห็นว่าเฉินจื้ออวี่ไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนวิธีการพูด
“บนโลกนี้ไม่มีดนตรีที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีนักร้องที่แข็งแกร่งที่สุด เวทีนี้มีไว้ให้นักร้องที่เหมาะสมร้องเพลงที่เหมาะสม”
ในรายการนี้ หลินเยวียนวางแผนว่าจะเลือกนักร้องจากสไตล์เพลง ไม่ได้ดูจากผลงานของนักร้อง
ในเมื่อเฉินจื้ออวี่เหมาะสมกับเพลงต่อไปที่เขาเตรียมไว้ ย่อมต้องเลือกให้เฉินจื้ออวี่มาขับร้อง
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เฉินจื้ออวี่เป็นนักร้องแถวหน้าหรือไม่
แต่เมื่อใดก็ตามที่เพลงไม่เลือกคนร้อง ใครมาขับร้องล้วนได้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน หลินเยวียนจะเลือกดูแลพวกซุนเย่าหั่ว
สิ่งที่ควรเอ่ยถึงก็คือ
ห้องของหลินเยวียนเป็นสีชมพู
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง หลินเยวียนก็แทบตาพร่าเพราะสีชมพูหวาน
เฉินจื้ออวี่หลุดหัวเราะ “ห้องของอาจารย์ท่านอื่นก็เป็นสีชมพูหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่ละห้องมีสีที่แตกต่างกัน”
เจ้าหน้าที่ซึ่งนำทางมาตอบอย่างยิ้มแย้ม “เพราะอาจารย์เซี่ยนอวี๋เย็นชามากในรายการราชาหน้ากากนักร้อง ทางทีมงานเลยอยากเติมสีโทนร้อนเพื่อปรับความสมดุลค่ะ”
หลินเยวียน “…”
สีโทนร้อนมีตั้งมากมาย ทำไมถึงเลือกสีชมพูล่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนห้องของเหยาเหยาเลย ชมพูทั้งห้องจนตาลาย
……
แต่หลินเยวียนไม่ได้คิดมากเรื่องสี
หลังจากนั่งลง เขาก็หยิบเพลงที่ตนเตรียมไว้ออกมา “คุณไปฝึกเพลงนี้นะครับ”
“ครับ!”
ลมหายใจของเฉินจื้ออวี่ถี่ขึ้นเล็กน้อย
หลังจากเพลงเปลี่ยนตนเอง นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินจื้ออวี่ได้รับเพลงจากเซี่ยนอวี๋!
เขาตื่นเต้นมาก!
แต่เมื่อเฉินจื้ออวี่เห็นชื่อเพลง เขากลับงงงันไปชั่วขณะ “ชื่อเพลงนี้…”
หลินเยวียนเอ่ย “เข้ากับสถานการณ์”
เพลงนี้มีชื่อว่า ‘เพลงของเรา’ ต้นฉบับเป็นของนักร้องจากโลกอย่างหวังลี่หง!
เหมือนกับชื่อรายการทุกกระเบียดนิ้ว
เสียงของเฉินจื้ออวี่เหมาะกับการร้องเพลงแจ๊ส เพลงฮิปฮ็อป และเพลงร็อก แต่ไม่ใช่เพลงร็อกหนักหน่วง ทว่าเป็นเพลงร็อกที่ค่อนข้างผ่อนคลายและสนุกสนานมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าเพลงเพลงของเรานั้นเหมาะกับเฉินจื้ออวี่มาก
เพลงเปลี่ยนตัวเองซึ่งหลินเยวียนให้เฉินจื้ออวี่ก่อนหน้านี้ ก็เป็นผลงานของนักร้องบนโลกอย่างหวังลี่หงเช่นเดียวกัน
เฉินจื้ออวี่พยักหน้า จากนั้นจึงอ่านเนื้อเพลง ปรากฏว่าเมื่อเขาอ่านไปถึงประโยคหนึ่งในเนื้อเพลง จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “แก้เนื้อเพลงนิดหน่อยได้ไหมครับ?”
“ประโยคไหนครับ”
“แค่นิดเดียว…”
“ทำตามที่คุณคิดเลยครับ”
การแสดงสดต่างจากการบันทึกเทป บนเวทีถ้านักร้องจะแก้เนื้อเพลง หลินเยวียนย่อมเข้าใจได้
นอกจากนั้นหลินเยวียนเองก็แก้เนื้อเพลงเพลงของเราไปบ้างแล้ว
หลักๆ คือเนื้อเพลงส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษ
เพลงต้นฉบับร้องโดยชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ในบทเพลงจึงมักมีเนื้อเพลงภาษาอังกฤษโผล่มาบ้างประโยคสองประโยค
หลินเยวียนคิดว่าไม่จำเป็น
เพราะมันไม่เหมาะกับเวทีนี้
เนื้อเพลงภาษาอังกฤษในต้นฉบับ มีชื่อเพลงอื่นๆ ของหวังลี่หงปรากฏอยู่ จึงทำได้เพียงให้หวังลี่หงร้องเพลงด้วยตนเอง
ในเวลานี้
จู่ๆ เสียงของพิธีกรอันหงก็ดังขึ้นผ่านลำโพงในห้อง
“การแบ่งกลุ่มของการดวลสัปดาห์แรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีอาจารย์อู่หลงและนักร้องเหลียงจื่อหยวน ปะทะอาจารย์ไมค์และนักร้องเจียงขุย…”
อู่หลงเลือกนักร้องเหลียงจื่อหยวน ซึ่งก็คือหุ่นยนต์
ส่วนไมค์ เป็นนักประพันธ์เพลงอีกคนหนึ่งซึ่งฝีมือไม่เป็นรองอู่หลง นักร้องที่เขาเลือกคือเจียงขุย
ในการเลือกเบื้องต้น
ในบรรดาแก๊งปลา มีเพียงเจียงขุยและเฉินจื้ออวี่เท่านั้นที่ได้รับเลือก
เสียงของอันหงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“เวทีที่สองในสัปดาห์แรก อาจารย์อิ่นตงและนักร้องซุนเหมิงเหมิง ปะทะอาจารย์เซี่ยนอวี๋และนักร้องเฉินจื้ออวี่…”
เฉินจื้ออวี่ประหลาดใจ “คู่แข่งคือกระต่าย?”
ซุนเหมิงเหมิง สวมหน้ากากกระต่ายในราชาหน้ากากนักร้อง และยังเคยดวลกับจ้าวอิ๋งเก้อมาแล้ว
ถึงแม้จะพ่ายแพ้ไป แต่ซุนเหมิงเหมิงก็แสดงฝีมือออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมในเวทีนั้น
นอกเหนือจากนี้
หลินเยวียนเคยวิจารณ์ซุนเหมิงเหมิง ซุนเหมิงเหมิงไม่กล้าต่อต้าน แฟนคลับของเธอก็นิ่งมาก ไม่ได้โจมตีหลานหลิงอ๋องสักเท่าไหร่
แต่ว่า
ท้ายที่สุดเมื่อบรรดานักร้องพากันขอโทษหลินเยวียน ซุนเหมิงเหมิงก็ขอโทษตามเช่นกัน ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นนักร้องแถวหน้าที่ขี้กลัวคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม…
อิ่นตงในฐานะพ่อเพลง เขาไม่ได้เลือกราชาราชินีเพลง แต่กลับเลือกซุนเหมิงเหมิงซึ่งไม่ได้เก่งที่สุด ที่จริงแล้วก็ทำให้ใครหลายคนรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
อีกด้านหนึ่ง
อิ่นตงได้ฟังประกาศผ่านลำโพงเช่นกัน
เขาผุดยิ้ม “เจอเซี่ยนอวี๋อีกแล้ว จนเราจะกลายเป็นคู่ปรับเก่าแก่กันแล้ว…”
เขาร่วมงานกับเฟ่ยหยาง เข้าร่วมมหาสงครามเทพเซียนสองครั้ง ล้วนพ่ายแพ้ต่อเซี่ยนอวี๋ทั้งสองครั้ง
ปรากฏว่าในรายการเพลงของเขา ดันต้องมาเจอกับเซี่ยนอวี๋อีกครั้ง
ในขณะนั้น
อิ่นตงสัมผัสได้ว่า รายการกำลังสร้างเรื่อง การจับคู่ดวลเช่นนี้ไม่ใช่การสุ่ม
ด้านข้าง
กระต่ายน้อยซุนเหมิงเหมิง “อาจารย์อิ่นตง ทำไมคุณถึงเลือกฉัน…”
ซุนเหมิงเหมิงไม่นับว่าแข็งแกร่งนักในหมู่นักร้อง
ด้วยฝีมือและคุณสมบัติของอิ่นตงในฐานะพ่อเพลง เขาสามารถเลือกราชาราชินีเพลงได้อย่างแน่นอน และราชาราชินีเพลงจะไม่ปฏิเสธด้วยซ้ำไป!
ตัวอย่างเช่น เฟ่ยหยางซึ่งเป็นคนคุ้นเคยของอิ่นตง ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี แถมฝีมือของมหาราชาเฟ่ยหยางยังโดดเด่น เป็นนักร้องระดับสุดยอดในรายการนี้แล้ว…
แต่อินตงดันไม่เลือกเฟ่ยหยาง!
นี่คงจะเป็นฉากที่น่าประหลาดใจที่สุดอีกฉากหนึ่ง หลังจากที่เซี่ยนอวี๋เลือกเฉินจื้ออวี่
“เซี่ยนอวี๋สอนผม…”
ใบหน้าของอิ่นตงยังคงเป็นอัมพาต
ซุนเหมิงเหมิงงุนงง “สอนอะไรคะ”
อิ่นคงสีหน้าไร้อารมณ์ “เลือกคนที่ใช่ ไม่เลือกคนที่แพง”
พิธีกรอันหงปรากฏตัว
ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่อันหงปรากฏตัวในรายการเพลงของเรา
เนื่องจากอันหงประสบความสำเร็จอย่างมากในการเป็นพิธีกรรายการราชาหน้ากากนักร้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีมกลั้นขำ…
ยามนี้เมื่อใช้ทีมเดิม จะขาดพิธีกรคู่ขวัญรายการอย่างอันหงไปไม่ได้
ทันทีที่เขาขึ้นมา
อันหงคลี่ยิ้ม กล่าวว่า “นักประพันธ์เพลงและนักร้องทุกท่านครับ ต่อจากนี้ คือเวลาเลือกอย่างอิสระของนักประพันธ์เพลง นักร้องที่ถูกเลือกโปรดออกมาจากแถวครับ”
นักร้อง “…”
ความเดจาวูของฉากนี้รุนแรงเหลือเกิน
ผู้กำกับถงซูเหวินจงใจก่อเรื่องแน่ๆ !
อันหงพูดเสียงดัง “หลังจากนี้ขอเชิญนักประพันธ์เพลงนั่งลงและเลือกนักร้อง นักประพันธ์เพลงแต่ละท่านสามารถวงกลมชื่อนักร้องในใจลงบนสมุดได้เลยครับ”
นักประพันธ์เพลงทยอยกันนั่งลง
ทีมงานรายการแจกจ่ายสมุดให้กับนักประพันธ์เพลง
หน้าปกสมุดบันทึกแลดูสวยงาม บนโต๊ะมีปากกาด้ามหนึ่งวางให้พร้อมสรรพ ทุกคนเพียงแค่เขียนชื่อลงไปก็พอแล้ว
ในสมุดของหลินเยวียน มีชื่อของนักร้องห้าสิบคน
ด้านหลังชื่อนักร้องแต่ละคน แนบมาพร้อมกับข้อมูลโดยย่อ
ยกตัวอย่างเช่น ซุนเย่าหั่วด้านบนเขียนว่า
ผลงานโดดเด่น ‘กุหลาบแดง’ เคยเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องซีซันที่หนึ่งในฐานะปลายักษ์ และมีผลงานเข้ารอบสิบสองคนสุดท้าย…
หลังจากขบคิดอยู่สักพัก เซี่ยนอวี๋ก็วงกลมที่ชื่อชื่อหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน
นักประพันธ์เพลงคนอื่น ต่างก็เลือกนักร้องที่ตนเองถูกใจเช่นเดียวกัน
อันหงเก็บสมุดกลับมา ก่อนจะเอ่ยอย่างร่าเริง “จากนี้ผมจะประกาศผลการเลือกของนักประพันธ์เพลงแต่ละท่านนะครับ”
สมุดนั้นปะปนกันไปหมด
อันหงสุ่มหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “นี่คือตัวเลือกของอาจารย์อู่หลง นักร้องที่อาจารย์อู่หลงเลือกในท้ายที่สุดคืออาจารย์เหลียงจื่อหยวนครับ!”
เหลียงจื่อหยวนดวงตาเป็นประกาย ก้าวออกจากแถวท่ามกลางแววตาอิจฉาของนักร้องคนอื่นๆ
นักประพันธ์เพลงต่างผุดยิ้ม
คล้ายกับว่าไม่มีใครประหลาดใจกับตัวเลือกของอู๋หลง
หลินเยวียนก็ไม่แปลกใจเช่นกัน
เพราะเหลียงจื่อหยวน ก็คือหุ่นยนต์จากรายการราชาหน้ากากนักร้อง นักร้องชาวฉู่โจว!
อู่หลงก็มาจากฉู่โจว เขาเลือกเหลียงจื่อหยวนนับว่าเป็นการร่วมงานของคนบ้านเดียวกัน แนวคิดทางดนตรีของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างใกล้เคียงกัน ดนตรีของแต่ละพื้นที่มักหลงเหลือกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ต่อจากนั้น
อันหงประกาศต่อไป
ยามที่อันหงประกาศถึงหยางจงหมิง บรรยากาศในหมู่นักร้องก็เริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะไม่มีการจัดอันดับนักประพันธ์เพลงอย่างเป็นทางการ ทว่าในใจของนักร้องกลับมีความกังวลเกี่ยวกับฝีมือของนักประพันธ์เพลง ในบรรดานักประพันธ์เพลงมากมายซึ่งทางรายการเชิญมา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือหยางจงหมิง!
สุดท้ายแล้ว หยางจงหมิงก็เลือกซูอวี๋!
เป็นนักร้องที่คุ้นเคยเช่นเดียวกัน เพราะซูอวี๋คือผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งจากราชาหน้ากากนักร้อง
หงส์ขาว!
ซูอวี๋โค้งคำนับด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะก้าวออกมาจากแถว เมื่อได้รับเลือกจากนักประพันธ์เพลงที่เก่งกาจที่สุด แน่นอนว่าเธอเองก็รู้สึกกระหยิ่มใจเช่นเดียวกัน!
ยังมีใครที่ได้รับการยอมรับว่าเหนือกว่าหยางจงหมิงอีกหรือ?
นักประพันธ์เพลงบางคนสีหน้าเปลี่ยน
เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่เลือกซูอวี๋
เพราะซูอวี๋สามารถรับมือกับสไตล์ดนตรีที่หลากหลาย อีกทั้งฝีมือยังโดดเด่น เพราะฉะนั้นคนที่หมายตาเธอไม่ได้มีเพียงคนเดียว
ทว่า…
ต่อให้นักประพันธ์เพลงคนอื่นเลือกซูอวี๋ ซูอวี๋ก็จะเลือกหยางจงหมิงโดยไม่ลังเลเช่นกัน
เธอถึงขั้นไม่ได้มีท่าทีเหนียมอายด้วยซ้ำไป
ถ้าหากเป็นนักร้องคนอื่นคงแสร้งทำท่าทีทุกข์ร้อน สุดท้ายแล้วก็ปฏิเสธนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ อย่างหนักใจ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ผิดใจกับผู้อื่น แต่เธอกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
หงส์ขาว ยังคงเป็นตัวของตัวเอง เฉกเช่นที่ผ่านมา
นักประพันธ์เพลงซึ่งถูกปฏิเสธทำได้เพียงยิ้มแสดงความเข้าใจ
……
ในที่สุด อันหงส์ก็หยิบสมุดของหลินเยวียนขึ้นมา
“นักประพันธ์เพลงคนต่อไปที่ผมจะประกาศ คืออาจารย์เซี่ยนอวี๋…”
เกิดความกระวนกระวายขึ้นอีกครั้งในหมู่นักร้อง
เห็นได้ชัดว่าสถานะของเซี่ยนอวี๋ในใจเหล่านักร้องนั้นไม่ต่ำเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าวิตกกังวล
ความผูกพันระหว่างฝูงปลาและเซี่ยนอวี๋นั้นลึกซึ้ง ดังนั้นทุกคนจึงหวังว่าจะถูกเซี่ยนอวี๋เลือก
นักประพันธ์เพลงคนอื่นต่างครุ่นคิด…
ในบรรดาแก๊งปลา ผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดคือเจียงขุย
ถ้าหากจำกัดขอบเขตไว้ในแก๊งปลา เจียงขุยคือทางเลือกที่ดีที่สุด เซี่ยนอวี๋จะเลือกเจียงขุยไหมนะ?
หรือจะเลือกปลาคนอื่นๆ ?
หรือว่าจะมองข้ามแก๊งปลาไป แล้วเลือกราชาราชินีเพลงที่แข็งแกร่งกว่า?
อันหงมองไปยังชื่อซึ่งถูกวงกลม สีหน้าแลดูประหลาดใจ
‘นักร้องที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋เลือกคือ…เฉินจื้ออวี่!’
ทันทีที่คำพูดนี้ออกไป
ซุนเย่าหั่วตกตะลึง
จ้าวอิ๋งเก้อตกตะลึง
เจียงขุยและซย่าฝานก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
นี่คือตัวเลือกที่เหนือความคาดหมายของทุกคนมากที่สุด
เขาเป็นตัวเลือกในบรรดาแก๊งปลาก็จริง แต่ถ้าทุกคนจำไม่ผิด…
ในบรรดาแก๊งปลาซึ่งเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง เฉินจื้ออวี๋เป็นนักร้องคนแรกที่ตกรอบ!
กลับกลายเป็นว่าเซี่ยนอวี๋ไม่ได้เลือกซุนเย่าหั่วคนโปรด ไม่ได้เลือกจ้าวอิ๋งเก้อซึ่งอยู่เคียงข้างหลานหลิงอ๋องนานที่สุด ไม่ได้เลือกซย่าฝานซึ่งสนิทสนมกันมากที่สุด และไม่ได้เลือกเจียงขุยซึ่งได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในบรรดาแก๊งปลา
แต่ดันมาเลือกเฉินจื้ออวี่ซึ่งตกรอบเป็นคนแรก!
ต้องเข้าใจว่าหลังจากรายการราชาหน้ากากนักร้องออกอากาศ บนโลกออนไลน์ก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับฝีมือของบรรดาสมาชิกแก๊งปลา
ปรากฏว่าข้อสรุปของชาวเน็ตคือ
เฉินจื้ออวี่เคยเป็นนักร้องที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแก๊งปลา ทว่าบัดนี้เขาได้กลายเป็นนักร้องที่อ่อนที่สุดในบรรดาแก๊งปลาไปแล้ว
เทียบกับซุนเย่าหั่วไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ซุนเย่าหั่วยังผ่านเข้าสู่รอบสิบสองคนสุดท้ายของรายการ!
รวมไปถึงในช่วงที่มีการประกาศถ้อยแถลงเกี่ยวกับราชวงศ์ปลา เฉินจื้ออวี่ไม่ได้อยู่ในนั้น เพราะเขาตกรอบไปก่อนและไม่ได้อยู่ในห้องส่ง
เขาตกขบวน!
นั่นทำให้บางคนเกิดความสงสัยว่าเฉินจื้ออวี่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ปลา หรือไม่
บทสนทนาเดียวเกี่ยวกับเฉินจื้ออวี่ คล้ายกับจะเหลือเพียงคำหยอกล้อเกี่ยวกับ ‘ลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรก’
แม้ว่าจะมีป้ายระบุตัวตนเช่นนี้ ทว่าป้ายนี้ก็ยังหายไปพร้อมกับการปรากฏตัวของเฟ่ยหยาง
เพราะฉะนั้น
ในเวลานี้ ความสงสัยลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นในใจของใครหลายคน
และเฉินจื้ออวี๋ซึ่งไม่มีตัวตนในหมู่ราชาราชินีเพลงหรือแม้แต่นักร้องแถวหน้าก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย
ดวงตาของเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาในฉับพลัน!
“ขอบคุณครับอาจารย์เซี่ยนอวี๋!”
หลังจากเดินออกมาจากแถว เสียงของเฉินจื้ออวี่สั่นเครือราวกับคนร้องไห้
เขาพยายามกัดฟันสุดชีวิต โค้งคำนับอย่างเต็มแรง!
การถกเถียงบนโลกออนไลน์
เฉินจื้ออวี่ก็ได้อ่าน
ปลาทุกตัวล้วนเข้ารอบสิบสองคนสุดท้าย มีเพียงเฉินจื้ออวี่ที่ตกขบวน…
คิดว่าเฉินจื้ออวี่จะไม่ใส่ใจหรือ?
แน่นอนว่าเขาใส่ใจ!
น่าอายชะมัด!
ขณะที่ปลาคนอื่นๆ ไม่มีอะไรเลย เฉินจื้ออวี๋ได้เป็นนักร้องแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จแล้ว
แต่เมื่อปลาคนอื่นๆ ทยอยกันก้าวเข้าสู่สถานะนักร้องแถวหน้า เฉินจื้ออวี่กลับยังคงย่ำอยู่ที่เดิม ถูกแซงหน้าไปทีละคนๆ จะให้เขาไม่รู้สึกอะไรเลยได้หรือ?
เขาเคยทุกข์ใจ
เขาเคยสับสน
แต่เขาทำได้เพียงกัดฟันฝึกร้องเพลง ประจบประแจงอย่างถ่อมตน พยายามเข้าสู้ครอบครัวที่เรียกว่าราชวงศ์ปลาให้ได้
เขากลัวก็แต่ว่า วันใดวันหนึ่งทุกคนจะไม่ยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ปลา
ถึงอย่างไรเขาก็เคยร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋เพียงครั้งเดียว แถมยังเป็นเพราะข้อเสนอเข้าร่วมบริษัทระหว่างเขากับสตาร์ไลท์ เซี่ยนอวี๋ถึงเขียนเพลงให้กับตน
ราชวงศ์ปลานี้ เป็นเขาเองที่กระเสือกกระสนแทรกตัวเข้าไป
แต่ถึงกระนั้น เขายังคงรู้สึกว่าตนเองกำลังยืนอยู่นอกวงกลม
ทว่าในวันนี้!
อาจารย์เซี่ยนอวี๋ประกาศต่อหน้าทุกคน!
เฉินจื้ออวี่!
ไม่ได้ถูกถอดทิ้ง!
เขาเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ปลา!
ต่อให้เขาจะดูธรรมดาในหมู่นักร้อง ต่อให้เขาจะมีผลงานแย่ที่สุดในบรรดาแก๊งปลา!
ไม่มีใครรู้ว่า ในเวลานี้ เฉินจื้ออวี่จะตัดสินใจว่า
‘ปลา’ จะเป็นความเชื่อของเขาไปตลอดชีวิต !
ถ้าหากบอกว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาเข้ามาในสตาร์ไลท์เพราะความคิดที่ว่าสู้ไม่ได้ก็เข้าร่วมซะเลย และพยายามเข้าสู่ราชวงศ์ปลาเพื่อเพลงของเซี่ยนอวี๋ เช่นนั้นหลังจากนี้เฉินจื้ออวี๋จะพยายามยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ปลา แต่เพื่อคนเพียงคนเดียว…
ด้านหลังของเฉินจื้ออวี่
จู่ๆ ซุนเย่าหั่วซึ่งตกตะลึงไปเมื่อครู่ก็คลี่ยิ้มออกมา
เจียงขุย ซย่าฝาน และจ้าวอิ๋งเก้อก็คลี่ยิ้มเช่นเดียวกัน
ตัวเลือกนี้ สมกับเป็นเซี่ยนอวี๋จริงๆ !
แต่ก็เพราะเหตุผลนี้เอง ทุกคนถึงแน่วแน่ที่จะวนเวียนอยู่รอบตัวรุ่นน้อง
คนที่เข้าใจเฉินจื้ออวี่มากที่สุด แท้จริงแล้วคือซุนเย่าหั่ว
เพราะในตอนนั้น เขาเองก็เคยถูกรุ่นน้องเลือกอย่างแน่วแน่เช่นเดียวกัน
……
ในตำแหน่งที่นั่งของนักประพันธ์เพลง
นักประพันธ์เพลงหลายคนกล่าวกลั้วหัวเราะ “น่าสนใจจริงๆ ”
พ่อเพลงซึ่งอยู่ด้านข้างครุ่นคิด “ผมว่าผมพอจะเข้าใจนะว่าทำนักร้องที่เคยร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ถึงได้ซื่อสัตย์กับเขาขนาดนี้ ถึงกับตั้งราชวงศ์ปลาให้ด้วย”
พ่อเพลงผ่านการร่วมงานกับนักร้องมามากมาย
แต่ ‘ราชวงศ์ปลา’ เห็นจะมีเพียงหนึ่งเดียว
ครั้งนี้ทำให้พ่อเพลงหลายคนฉงนใจ เซี่ยนอวี๋มีเวทย์มนตร์อะไรกันแน่ ถึงทำให้นักร้องสร้างวงกลมล้อมรอบเขาได้เช่นนี้?
ทุกคนกับนักร้องมีความสัมพันธ์กันเพียงในฐานะผู้ร่วมงานไม่ใช่หรือ?
หรือว่าเพลงของเซี่ยนอวี๋ดีกว่า?
ไม่มีใครคิดเช่นนี้หรอก คนที่ได้เป็นพ่อเพลง ย่อมหยิบเพลงดีๆ ออกมาได้มากมายในเส้นทางอาชีพของพวกเขา!
แต่เมื่อเห็นตัวเลือกนี้ของเซี่ยนอวี๋ในวันนี้ ทุกคนพลันกระจ่างขึ้นมา
ในห้องส่งมีเสียงปรบมือ
เสียงปรบมือนี้ดังขึ้นเพื่อให้กำลังใจเฉินจื้ออวี่ และคล้ายกับเป็นการย่องการตัดสินใจของเซี่ยนอวี๋เช่นเดียวกัน
ขณะที่หยางจงหมิงปรบมือ เขายังหันไปหัวเราะเบาๆ พูดกับเจิ้งจิง “เด็กคนนี้รอบคอบจริงๆ ”
เจิ้งจิงพยักหน้า “ถ้าไม่ถูกเขาเลือก ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าเฉินจื้ออวี่จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกับความกดดันมากแค่ไหน”
ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเฉินจื้ออวี่
แต่เมื่อเซี่ยนอวี๋ให้คำตอบ และเห็นปฏิกิริยาของเซี่ยนอวี๋ ทุกถึงขบคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ
อันที่จริงเฉินจื้ออวี่แบกรับความกดดันสูงมาก
มีเพียงหลินเยวียนที่ไม่เข้าใจ…
ทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงปรบมือ
มีอะไรผิดปกติกับการเลือกเฉินจื้ออวี่หรือเปล่า?
เพลงต่อไปของฉัน เหมาะกับสไตล์ของเฉินจื้ออวี่มากจริงๆ นะ…
เอาเถอะ
บางคนเลือกเพลงถูกแต่เลือกคนผิด
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่งดงามเสียจริง
ดังนั้นภาพที่ปรากฏออกมาก็คือ
ทุกคนกำลังปรบมือ มีเพียงหลินเยวียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้ชมมองไปยังสีหน้าขึงขังของหลินเยวียน ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกในใจ…
อบอุ่นมากเลย!
นี่เป็นไปตามจังหวะของ ‘ราชวงศ์ปลาจะขาดใครไปไม่ได้’!
เฉินจื้ออวี่อ่อนที่สุด?
เฉินจื้ออวี่ตกรอบก่อน?
เฉินจื้ออวี่ไม่นับว่าเป็นหน่อเนื้อราชวงศ์ปลาที่แท้จริง?
ยังมีอะไรอีกที่ตอบโต้คำกล่าวนี้ได้ดีไปกว่าการกระทำของเซี่ยนอวี๋?
ขอบสนามการแข่งขัน
ผู้จัดการของเฉินจื้ออวี่ลอบปาดน้ำตา
จื้ออวี๋เอ๋ย…
ปลาตะพัดทองของคุณไม่ได้เลี้ยงเสียเปล่า
อาจารย์เซี่ยนอวี๋สัมผัสได้ถึงความจริงใจของคุณ
หลายเรื่องไม่อาจล่วงรู้ผลลัพธ์ได้จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีใครรู้ทิศทางของฉากจบ คนที่ทำให้นายกลายเป็นลูกคนรองตลอดกาล ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นผู้มีพระคุณที่สุดของคุณ…
ทีมรายการนี้รู้ว่าควรเล่นอย่างไร!
ทุกคนล้วนกังวลใจแทนทีมงานรายการว่าจะทำอย่างไรกับซีซันสอง
ผลปรากฏว่าผู้กำกับเสนอ
ราชาหน้ากากนักร้องซีซันสองเป็นเปรียบประหนึ่งเมฆลอย สานต่อกระแสของซีซันที่หนึ่งไม่ดีกว่าหรือ?
สำหรับเรื่องนี้
บนโลกออนไลน์ล้วนมีการถกเถียงกัน
มีบางคนหยอกล้อ
‘ก่อนหน้านี้หลานหลิงอ๋องเพียงแค่วิจารณ์นักร้อง ครั้งนี้เขามาสอนนักร้องโดยตรงเลยนะ คนตรงไปตรงมาไม่มัวมาอมพะนำ ฉันอยากเห็นหลานหลิงอ๋องสอนการหายใจให้มู่สือกับเอ๋อลั่วอี (หัวเราะ)’
‘ขอเดาว่าเฟ่ยหยางได้ที่สอง!’
‘ถ้าเกิดพ่อเพลงอวี๋กับเฟ่ยหยางร่วมงานกัน พวกคุณคิดว่าปณิธานอันดับสองจะยังมีผลอยู่ไหม ต้องเข้าใจก่อนว่าเดิมทีปณิธานอันดับสองเนี่ยเป็นสิ่งที่พ่อเพลงอวี๋มอบให้เฟ่ยหยาง แต่ในรายการก่อนหน้านี้แม้แต่อาจารย์เซี่ยนอวี๋เอง พอร้องเพลงของเฟ่ยหยาง ก็ยังหนีไม่พ้นตกเป็นเป้าหมายของปณิธานอันดับสองเลย (น้องหมายิ้มกรุ้มกริ่ม)’
‘…’
แนวคิดใหม่ของรายการได้รับการกดไลก์จากชาวเน็ต
ทุกคนอยากดูว่าบรรดานักร้องที่ถอดหน้ากากจะมีเคมีอย่างไรกับนักประพันธ์เพลงชื่อดัง
และเซี่ยนอวี๋ซึ่งถอดหน้ากากแล้ว ก็ได้รับความสนใจมากที่สุดในรายการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ดังนั้น…
จึงมีหัวข้อสนทนามากมายเกี่ยวกับเซี่ยนอวี๋!
ความอยากรู้อยากเห็นที่ผู้ชมมีต่อนักประพันธ์เพลงก็เป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญของรายการเช่นเดียวกัน
นี่คือรายการบันเทิงซึ่งมุ่งเน้นไปยังนักประพันธ์เพลงและนักร้อง!
ตัวละครดั้งเดิมกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากราชาหน้ากากนักร้องสามารถสานต่อกระแสได้ในระดับสูงสุด
นอกจากนี้
ทีมงานรายการยังเชิญหน้าใหม่มาอีกส่วนหนึ่ง
นี่คือความสดใหม่ซึ่งนำมาสู่ผู้ชมได้มากพอ
ในรายชื่อแขกรับเชิญซึ่งรายการประกาศออกมา มีนักร้องทั้งหมดห้าสิบคน ในนั้นมีราชาราชินีเพลงสิบคน!
รวมไปถึงเหมาเสวี่ยวั่งและหลิ่วซวี่ซึ่งเคยเป็นกรรมการตัดสินในราชาหน้ากากนักร้องด้วย
ส่วนที่เหลืออีกสี่สิบคนนั้นมาจากทั้งฉิน ฉี ฉู่ และเยี่ยน
จะมีนักร้องแถวหน้ามาเข้าร่วมทวีปละสิบคน!
ส่วนไลน์อัปนักประพันธ์เพลง…
ทีมงานรายการได้เชิญนักประพันธ์เพลงมาทั้งหมดยี่สิบคน!
ในนั้นมีพ่อเพลงซึ่งได้รับการรับรองจากทางการทั้งหมดสิบคน!
นักประพันธ์เพลงที่เหลืออีกสิบคน แม้จะไม่ได้รับการประดับยศเป็นพ่อเพลง ทว่าฝีมือเป็นเลิศพอให้ขึ้นสังเวียนเดียวกับพ่อเพลงได้!
ตัวอย่างเช่นอู่หลง…
หรือเซี่ยนอวี๋…
รางวัลและยศศักดิ์ไม่ได้ใช่ทุกอย่าง
เช่นเดียวกับลีโอนาร์โด ดิคาปริโอจากโลกเดิม ไม่ว่าเขาจะคว้ารางวัลออสการ์หรือไม่ ค่าตัวของเขายังคงใกล้เคียงกัน
เช่นเดียวกับมุราคามิ ฮารุกิ ไม่ว่าจะได้รางวัลโนเบลหรือไม่ สถานะของเขาในวงการวรรณกรรมก็ยังคงสูงเช่นเดิม
ดังนั้น
ไลน์อัปนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาหน้ากากนักร้องเลย หรืออาจเหนือกว่าด้วยซ้ำไป!
อันที่จริงเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงกระแสนิยมรายการราชาหน้ากากนักร้องด้วย
นักร้องซึ่งเข้าร่วมรายการนี้ หลังจากถอดหน้ากากแล้วค่าตัวล้วนสูงขึ้น
ราชาราชินีเพลงบางคนซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้รับความสนใจมากนัก ก็รับโอกาสในหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากรายการนี้
ปัจจุบันนี้ทีมผู้ผลิตได้เปิดตัวรายการภาคต่อ นักร้องซึ่งได้ลิ้มลองความหอมหวานในวงการมาแล้วย่อมกรูกันมาสมัคร
นักร้องที่ยังไม่ได้ลิ้มลองความหอมหวาน ต่างรู้สึกอิจฉาจนน้ำลายสอกันมานาน บัดนี้เมื่อได้รับโอกาสครั้งใหม่ แน่นอนว่าไม่มีทางพลาด
นอกจากนั้น…
นักร้องยังต้องการใช้โอกาสในรายการนี้ติดต่อกับนักประพันธ์เพลงแนวหน้า
เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ปกติ การเชิญนักร้องระดับนี้มาเขียนเพลงให้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ต่อให้เป็นราชาราชินีเพลง ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในการขอเพลงจากพ่อเพลง ต่อให้ประสบความสำเร็จ บริษัทซึ่งอยู่เบื้องหลังอาจต้องจ่ายเงินไปมหาศาล
แต่เมื่อมีรายการนี้ ทุกคนกลับมีโอกาสร่วมงานกับนักประพันธ์เพลงแนวหน้าที่หลากหลาย
ทำไมจะไม่ยินดีทำล่ะงานนี้?
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนักร้องมาจากหลากหลายทวีป โลกภายนอกจึงเดาออกว่าในรายการนี้น่าจะมีเพลงหลากหลายภาษา
เช่นภาษาฉี
หรือภาษาฉู่
ด้วยเหตุนี้ ทีมงานยังได้เปิดเผยราชชื่อนักเขียนเนื้อเพลงชั้นนำอีกจำนวนหนึ่ง ในนั้นยังรวมไปถึงหนีหงอู่และทู่เอ้อร์
เมื่อถึงเวลานั้น
นักเขียนเนื้อเพลงเหล่านี้จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์บทเพลงต่างๆ
……
เนื่องจากราชาหน้ากากนักร้องเพิ่งจบลงได้ไม่นาน ทีมงานรายการจึงดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่แม้แต่ห้องส่งก็ยังเลือกศูนย์ดนตรีกลางฉินโจวดังเดิม
ปลายเดือนกรกฎาคม
การบันทึกเทปรายการเริ่มต้นขึ้นแล้ว
นักร้องพร้อมแล้ว
ส่วนนักประพันธ์เพลงทั้งยี่สิบคนซึ่งรวมหลินเยวียนอยู่ในนั้น ล้วนมาถึงสถานที่ถ่ายทำ และมารวมตัวกันในห้องโถงอย่างงดงาม
ทีมผู้ผลิตรายการนี้ขี้เหนียวจริงๆ
เวทีซึ่งใช้ต่อจากรายการราชาหน้ากากนักร้อง
ยังคงเป็นศูนย์ดนตรีกลางแห่งเดิม…
หลินเยวียนจึงรู้สึกคุ้นเคยเมื่อกลับมาที่นี่อีก
เพราะเขาได้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลืมเลือนบนเวทีแห่งนี้
และในตอนนี้
เขาจะกลับมารับบทบาทในฐานะนักประพันธ์เพลงเซี่ยนอวี๋ ฝากรอยเท้าไว้บนเวทีนี้ต่อไป
ในห้องโถงมีโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนตัวหนึ่ง
หลินเยวียน เจิ้งจิง และหยางจงหมิงนั่งใกล้กันที่สุด
ส่วนฝั่งขวาของหลินเยวียน ก็คืออู่หลงซึ่งเคยรับหน้าที่กรรมการตัดสินในราชาหน้ากากนักร้อง
ทุกคนเลือกตำแหน่งที่นั่งได้อย่างอิสระ
ทีมงานไม่ได้จัดเตรียมที่นั่งไว้อย่างจำเพาะเจาะจง และการออกแบบโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมคางหมูก็ผ่านการขบคิดมาเป็นอย่างดี
อย่าได้กล่าวโทษที่ทีมงานเตรียมการมา
เหตุผลหลักคือการเตรียมงานไม่ใช่เรื่องง่าย
ทั้งหมดล้วนเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานชั้นนำในวงการ ถ้าเกิดตำแหน่งสร้างความขัดแย้งขึ้นมา เช่นนั้นคงกระอักกระอ่วนแล้ว
ใครนั่งในตำแหน่งประธานล่ะ
ต่อให้หยางจงหมิงซึ่งทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดานักประพันธ์เพลงนั่งในตำแหน่งประธาน นักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ อาจไม่มั่นใจ ในห้องนี้ไม่ได้มีพ่อเพลงแค่คนเดียวสักหน่อย
เพราะฉะนั้น การออกแบบโต๊ะมาเช่นนี้จึงนับว่าเฉียบแหลมมาก
นักประพันธ์เพลงบางส่วนรู้จักกัน ต่างฝ่ายต่างสนทนากันเสียงเบา
ในนั้น
ยังมีนักประพันธ์เพลงอีกหลายคนซึ่งออกตัวเข้ามาทักทายหลินเยวียน
ทุกคนคล้ายกับจะสนอกสนใจ ‘เซี่ยนอวี๋’ ซึ่งเป็นที่โด่งดังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหลือบมองหลินเยวียนบ้างเป็นครั้งคราว
และเมื่อทุกคนนั่งลงได้ไม่นาน
ผู้กำกับถงซูเหวินก็ปรากฏตัว
เขายิ้ม กล่าวว่า
“สวัสดีครับเพื่อนเก่าทุกท่าน เราพบกันอีกแล้ว แน่นอนว่าที่นี่ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ด้วยเช่นกัน หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับรายการนี้นะครับ!”
ทุกคนปรบมือตาม
หลังจากนั้นถงซูเหวินประกาศ “นักร้องทั้งห้าสิบท่านรออยู่ในห้องโถงแล้ว อาจารย์ทั้งยี่สิบท่านเชิญตามผมเข้าไปเลือกนักร้องที่จะร่วมงานด้วยได้เลยครับ ถ้ามีนักประพันธ์เพลงท่านใดเลือกนักร้องคนเดียวกัน นักร้องจะได้รับสิทธิ์ในการเลือก และนักประพันธ์เพลงท่านที่ไม่ถูกนักร้องเลือกจะสามารถเลือกนักร้องที่เหลือได้ นี่คือกฎในการแข่งขันรอบแรกของเราครับ…”
ทุกคนพยักหน้า
สีหน้าของทุกคนเห็นด้วย
นักประพันธ์เพลงเลือกนักร้องก่อน นี่เป็นเรื่องปกติในวงการเพลง
และถ้าหากนักร้องเป็นที่ต้องการมาก ก็ย่อมมีสิทธิ์เลือก นี่เป็นกฎที่เข้าใจได้
ในแง่มุมหนึ่ง กฎนี้สะท้อนถึงรูปลักษณ์ของวงการเพลง
นักประพันธ์เพลงแนวหน้ามีสิทธิ์เลือกก่อน…
[1] นักร้องที่มีฝีมือดีพอ จะได้รับความนิยม
ขณะเดียวกัน
ในห้องโถงใหญ่
นักร้องทั้งห้าสิบคนยืนเรียงแถว ราวกับเป็น ‘ช่างเทคนิค’ ซึ่งกำลังรอเจ้านายมาเลือกตัวไป ใบหน้าของนักร้องส่วนมากเต็มไปด้วยความคาดหวังระคนตื่นตระหนก
แน่นอนว่าคาดหวัง
แน่นอนว่าตื่นตระหนก
นักร้องทุกคนล้วนหวังว่าจะถูกเลือก…
ส่วนราชาราชินีเพลงค่อนข้างเยือกเย็น
ฝีมือของพวกเขาเป็นประจักษ์ น่าจะชนะใจนักประพันธ์เพลงได้ง่ายกว่า
ทันใดนั้น
ประตูใหญ่ก็เปิดออก
บรรดาเจ้านาย…
อ่า ไม่สิ
บรรดานักประพันธ์เพลงที่เข้ามาในที่สุด!
ดูเหมือนทุกคนจะมีแสงเปล่งประกายออกมา!
ในชั่วพริบตา!
นักร้องทุกคนก็มองไปยังนักประพันธ์เพลงด้วยแววตาสุกสกาว!
โดยเฉพาะเหล่านักประพันธ์เพลงระดับพ่อเพลง ยิ่งถูกสายตาหลายคู่จับจ้องมา!
แน่นอน
หลินเยวียนเองก็ได้รับความสนใจจากนักร้องหลายคนเช่นเดียวกัน
กิตติศัพท์ของเซี่ยนอวี๋ยังคงเลื่องลือ ไม่ได้เป็นรองพ่อเพลงในที่นั้นเลย
โดยเฉพาะซุนเย่าหั่ว เฉินจื้ออวี่ ซย่าฝาน เจียงขุย และจ้าวอิ๋งเก้อซึ่งสายตาจับจ้องไปยังหลินเยวียนในทันที…
กล้องจับภาพฉากนี้อย่างขยันขันแข็ง
เมื่อรายการออกอากาศ ฉากนี้จะเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้มาก
นี่มันเลือกนักร้องที่ไหนล่ะ
เหมือนบรรดาเสี่ยทั้งหลายมาเลือกสาวมากกว่า!
และสถานะในวงการดนตรีของนักประพันธ์เพลง ก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านฉากนี้!
มหาราชา…
นักรบ…
เอล์ฟ…
หุ่นยนต์…
แก๊งปลา และคนอื่นๆ …
นักร้องหลายคนในรายการราชาหน้ากากนักร้องทิ้งภาพจำให้กับหลินเยวียนอย่างลึกซึ้น หลินเยวียนรู้สึกเสียดายนักร้องส่วนหนึ่งในนั้น รวมไปถึงผู้เข้าแข่งขันซึ่งตกรอบไปก่อนเพราะไม่คุ้นเคยกับการแข่งขันสด ถ้าหากได้ทำงานร่วมกันจะต้องดีมากอย่างแน่นอน
วันรุ่งขึ้น
จู่ๆ หลินเยวียนก็ได้รับโทรศัพท์จากหยางจงหมิง เพื่อเรียกให้เขาไปยังห้องประชุม หยางจงหมิงและหลินเยวียนแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หยางจงหมิงโทรศัพท์หาหลินเยวียน
ห้านาทีผ่านไป
หลินเยวียนขึ้นไปชั้นบน
ในห้องประชุม มีหยางจงหมิงและเจิ้งจิง
หลังจากทั้งสามทักทายกันเรียบร้อย เจิ้งจิงจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ตัวแทนแผนกประพันธ์เพลงบริษัทเรามารวมตัวกันทั้งที น่าเสียดายที่อีกสองคนเปลี่ยนงานไปแล้ว”
ปีที่แล้วสตาร์ไลท์มีนักประพันธ์เพลงห้าคน?!
นี่คือความมั่นใจสูงสุดของสตาร์ไลท์ซึ่งเป็นบริษัทดนตรีอันดับหนึ่งในฉินฉีฉู่เขียนมีทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปีนี้ พ่อเพลงสองคนก็ย้ายไปอยู่บริษัทอื่นอย่างกะทันหัน เพราะฉะนั้นเสียงของสตาร์ไลท์ในอุตสาหกรรมดนตรีจึงเบาลง ทว่าระยะนี้หลินเยวียนถอดหน้ากากหลานหลิงอ๋องบนเวที พลอยช่วยเสริมพลังให้สตาร์ไลท์ในฐานะแนวหน้าในอุตสาหกรรมดนตรี ถึงอย่างไรนอกจากรางวัลในฐานะพ่อเพลง หลินเยวียนล้วนมีพร้อมในทุกด้าน ดังนั้นตราบใดที่หลินเยวียนและหยางจงหมิงยังอยู่ที่สตาร์ไลท์ บวกกับพ่อเพลงอย่างเจิ้งจิง บริษัทก็จะยังคงมีสถานะมั่นคงในอุตสาหกรรมดนตรีต่อไป
พ่อเพลงทั้งสาม
คือผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก
หลินเยวียนได้ฟังเรื่องนี้มาแล้ว
จากคำพูดของกู้ตง ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลินเยวียน เขาจึงไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ใจ
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
เจิ้งจิงกล่าว “เสี่ยวอวี๋คงจะรู้เหตุผลที่พวกเราเรียกคุณมาแล้วใช่ไหม ถงซูเหวินอยากทำรายการใหม่ เชิญพวกเราไปเข้าร่วม แน่นอนว่าพ่อเพลงที่ตอบรับไม่ได้มีแค่พวกเรา ยังมีอิ่นตงกับเยี่ยจือชิวอีก นอกจากนี้ยังมีอู่หลงที่ไม่ได้ตำแหน่งพ่อเพลง แต่นักประพันธ์เพลงฝีมือดีก็น่าจะปรากฏตัวในรายการด้วย”
หลินเยวียนพยักหน้า
สำหรับชื่อเรียก ‘เสี่ยวอวี๋’ ที่เจิ้งจิงตั้งขึ้นมานั้น เขาไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด
“พูดความคิดเห็นของคุณมาเถอะ”
เจิ้งจิงบอก “ฉันคิดว่าพวกเราสวมคนควรเข้าร่วมรายการนี้ เหตุผลแรกเพราะบริษัทหวังว่าพวกเราจะสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัท ทางที่ดีที่สุดคือเจออีกสองคนที่ออกไปเพื่อสร้างความเกรียงไกรให้บริษัท เหตุผลที่สองคือฉันมีเพลงที่สะสมไว้จำนวนหนึ่ง สามารถปล่อยในรายการได้ ถึงยังไงราชาราชินีเพลงในรายการนี้ก็มีไม่น้อย มีเสียงของบางคนที่ฉันถูกใจมาก แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือฉันคิดว่ารายการนี้น่าสนุกมาก”
“คุณล่ะ?”
หยางจงหมิงมองไปยังหลินเยวียน
หลินเยวียนตอบ “ผมไปได้ครับ”
หยางจงหมิงคลี่ยิ้ม “งั้นผมเองก็ไปเล่นด้วยแล้วกัน ที่จริงก่อนหน้านี้เห็นคุณปล่อยเพลงในการแข่งขันตลอด ผมเองก็ชักจะคันไม้คันมือ”
“หมายความว่ายังไงฮะ!”
เจิ้งจิงถลึงตาใส่หยางจงหมิง “ฉันบอกให้คุณไป คุณบอกว่าเดี๋ยวคิดดูก่อน พอเสี่ยวอวี๋บอกว่าจะไป คุณก็จะตามไปเข้าร่วมรายการขึ้นมาทันที คุณสองคนต้องมาพร้อมกันเป็นคู่ชิปว่างั้น?”
หลินเยวียน “…”
หยางจงหมิง “…”
เจิ้งจิงเบ้ปาก “ฉันบอกก่อนเลย ว่าไม่อยากเอาจริงกับพวกคุณ มีเพลงส่วนหนึ่งฉันเขียนเสร็จแล้ว รวมไปถึงผลงานเมื่อหลายปีก่อน พวกคุณระวังตัวไว้เถอะ”
หยางจงหมิงกล่าว “คุณกำลังบอกเป็นนัยให้ผมอ่อนข้อให้”
เจิ้งจิงกลอกตา “ต่อให้คุณไม่อ่อนข้อให้ คุณมีเพลงที่ดีขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หยางจงหมิงนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าคำพูดนี้ของเจิ้งจิงมีเหตุผล
รายการนี้ไม่รู้ว่าจะผลิตทั้งหมดกี่ตอน ไม่รู้ว่าจะนำเพลงออกมาใช้ได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรับรองได้ว่าทุกเพลงของเขาจะสมบูรณ์แบบ
ใครจะสามารถหยิบเพลงออกมาได้รวดเดียวมากมายปานนั้น?
นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของหลินเยวียน
ขณะเขาเข้าร่วมการแข่งขัน เขาจำเป็นต้องพยายามงัดบทเพลงที่ระเบิดเวทีออกมา จึงจะมากพอให้รับประกันว่าตนจะไม่ตกรอบ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงมีบางเพลงที่แม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีจุดเด่น
คงจะน่าเสียดายถ้าไม่เผยแพร่
เป็นการดีที่จะเผยแพร่ในรายการนี้
……
ขณะที่ทั้งสามคนสนทนากันอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมา
“พวกเราจะใช้ห้องประชุม!”
“ผมดูแล้วไม่เห็นมีแผนกไหนในบริษัทแจ้งใช้ห้องประชุม”
“แผนกไหนมันวางอำนาจบาตรใหญ่ เข้ามาใช้ห้องประชุมโดยที่ไม่แจ้งสักคำ”
“มีคนรอใช้ห้องประชุมอยู่ตั้งมาก”
“…”
ประตูถูกเปิดออก
กลุ่มคนซึ่งดูจากท่าทางแล้วคงจะอยู่ระดับหัวหน้ามองเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เจิ้งจิง…
เซี่ยนอวี๋…
หยางจงหมิง…
ในห้องประชุมขนาดใหญ่ มีอยู่เพียงสามคน
ทว่าทั้งสามคนนี้ กลับทำให้บรรดาหัวหน้าระดับกลางกลัวจนหัวหด
ผู้ที่เป็นต้นเสียงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “ขออภัยด้วยครับ รบกวนอาจารย์ทั้งสามท่านแล้ว เราจะเปลี่ยนไปใช้อีกห้องหนึ่ง คุยกันต่อเถอะครับ…”
พูดจบ ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง
เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกพลันหายไปทันที
ผู้บริหารระดับกลางที่รีบเผ่นออกมาตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเผือด “พ่อเพลงสามคนมารวมตัวกันได้ไง”
“เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่แล้วไหม?”
“กลัวจนผมตัวสั่นไปหมด”
“ฉันก็ว่าแผนกไหนมันเอาแต่ใจขนาดนั้น ใช้ห้องประชุมใหญ่โดยไม่บอกไม่กล่าว ประธานกรรมการวันนี้ไม่เข้าบริษัทด้วย”
“พวกเขาสามคนก็ควบคุมได้ตั้งกี่แผนก…”
“…”
ในห้องประชุม
ไม่ว่าหลินเยวียน หรือเจิ้งจิง หรือหยางจงหมิงล้วนไม่ได้ใส่ใจฉากขัดจังหวะเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่
ทั้งสามคนสนทนากันต่อเกี่ยวกับรายการ
พูดคุยกันประมาณยี่สิบนาที
พวกเขาจึงต่างคนต่างแยกย้ายกลับห้องทำงานของตนไป
หลินเยวียนโทรศัพท์หาถงซูเหวิน เพื่อแจ้งว่าตนยินดีเข้าร่วมรายการ
ถงซูเหวินเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ดีเหลือเกินครับที่คุณตอบรับ พ่อเพลงแต่ละท่านเชิญยากจริงๆ ครับ ทางฝั่งนักร้องยังคุยง่ายหน่อย โดยทั่วไปทุกคนจะตอบรับ แน่นอนว่าคนที่คุณรู้สึกขัดหูขัดตาจะไม่มาแน่นอนครับ”
หลินเยวียน “??”
ใครขัดหูขัดตาฉัน?
หลินเยวียนไม่ได้คิดมาก และกดวางสาย
ในเวลานั้น
หลินเยวียนทยอยรับโทรศัพท์จากพวกซุนเย่าหั่ว แม้แต่หงส์ขาวก็ยังโทรมา
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ได้รับคำเชิญจากรายการเช่นเดียวกัน
“ผมเข้าร่วม”
หลินเยวียนตอบอย่างชัดเจน
แต่คำตอบนี้ จะกลายเป็นคำตอบของนักร้องคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน การมีอยู่ของเหล่าพ่อเพลงคือเครื่องรับประกันที่ใหญ่ที่สุดของรายการนี้!
หลายวันผ่านไป
ทางทีมงานรายการ ก็ประกาศข้อมูลเกี่ยวกับ ‘เพลงของเรา’ รวมไปถึงรายชื่อนักร้องและนักประพันธ์เพลงที่เข้าร่วมรายการ…
ตู้ม!
ระเบิดในพริบตา!
หัวข้อสนทนาทะยานขึ้นฮ็อตเสิร์ชในทัน!
ในเวลานั้นกระแสรายการราชาหน้ากากนักร้องยังไม่จางหายไป และฉากต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรายการนี้ยังคงถูกพูดคุยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผู้คนนับไม่ถ้วน
ทุกคนล้วน…
ซีซันที่สองไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เหนือกว่าซีซันแรกได้ ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อความคาดหวังที่ผู้คนมีต่อซีซันที่สอง!
ผลปรากฏว่า…
ซีซันที่สองยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก
ภาคต่อของราชาหน้ากากนักร้องซีซันหนึ่งก็มาแล้ว!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า…
นี่คือน้องสาวของราชาหน้ากากนักร้อง!
น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าราชาหน้ากากนักร้องที่มีอนาคตไม่แน่นอนซะอีก!
ในวันนี้
กระแสลมกลับมาโหมซัดในวงการเพลงอีกครั้ง!
บริษัทผลิตสินค้า “…”
เมื่อมีการประกาศเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิง แฟนคลับสไปเดอร์แมนหลายคนพากันต่อต้าน
บริษัทผลิตสินค้านึกสงสัยถึงมูลคุณของโปรเจ็กต์นี้มาโดยตลอด
ต่อให้ยกโบกธงใหญ่อย่างเซี่ยนอวี๋ขึ้นมาอ้างก็ไม่มีประโยคมากนัก
แต่ใครจะรู้เล่า…
ว่าชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิงกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทันทีที่ปล่อยออกมา!
แฟนคลับผู้ชายกลุ่มนั้นออกมาโหวกเหวกว่าจะต่อต้านไม่ใช่หรือไง?
ต่อต้านบ้านแกทำแบบนี้เหรอ!
เจ้าพวกงั่งเอ๊ย!
ปากว่าตาขยิบ ใช่แล้ว พวกคุณนั่นแหละ!
คนที่ต่อต้านเป็นบ้าเป็นหลังคือพวกคุณ คนที่ควักเงินซื้อเป็นบ้าเป็นหลังก็คือพวกคุณ!
ผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกคุณจะซื้อไปทำอะไรไม่ทราบ?
พวกเฒ่าหัวงู!
มิน่าล่ะสตีฟ จ็อบส์ถึงได้บอกว่า
ลูกค้าไม่รู้ว่าความต้องการของพวกเขาคืออะไร
ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนบนโลก ไมเคิล จอร์แดนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
กระแสความนิยมของสินค้า ได้กลายเป็นข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งของความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน
และกระแสความนิยมของสินค้า ก็มีส่วนช่วยในการกระตุ้นความโด่งดังของภาพยนตร์ ทั้งสองต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ขณะเดียวกัน
ในฐานะนักแสดงซึ่งรับบทเป็นสไปเดอร์แมน เจี่ยนอี้ก็โด่งดังขึ้นมาเช่นเดียวกัน!
นักแสดงหน้าใหม่ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาก็ได้รับบทพระเอกในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋ กลายเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการโด่งดังชั่วข้ามคืนในวงการบันเทิง
พรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์…
โฆษณา…
สัมภาษณ์คนดัง…
เจี่ยนอี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการบันเทิง!
ด้วยเหตุนี้ เจี่ยนอี้จึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เขาเปลี่ยนกลุ่มเล็กซึ่งมีหลินเยวียนและซย่าฝานเป็น
‘กลุ่มบันเทิงใหญ่หมู่บ้านหย่งหนิง’
ซย่าฝานทนดูต่อไปไม่ไหว “นี่มันชื่ออะไรของนายเนี่ย?”
ข้อบกพร่องมีมากมายจนไม่รู้จะเริ่มบ่นจากตรงไหนก่อน
ก่อนอื่น ในกลุ่มนี้มีทั้งหมดสี่คน ที่เรียกว่า ‘กลุ่มบันเทิงใหญ่’ คำว่า ‘ใหญ่’ มาจากไหนกัน?
นอกจากนี้
คำว่า ‘หมู่บ้านหย่งหนิง’ นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า?
เจี่ยนอี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ตอนนี้ทุกคนเป็นคนดังแล้ว หลังจากนี้เธอพูดกับฉันต้องสุภาพหน่อย ตอนนี้เพื่อนร่วมงานในบริษัทเรียกฉันว่าพี่อี้ พ้องเสียงกับคำว่าลูกพี่[1]เชียวนะ!’
หลินเซวียนโผล่เข้ามา ‘นายก็เว่อร์เกิน’
เจียนอี้รู้สึกผิด ‘พี่เข้าใจผมผิดแล้ว ประเด็นสำคัญคือพวกเราทุกคนมาจากสายบันเทิง พี่ทำนิยาย ผมก็แสดงหนัง ซย่าฝานร้องเพลง ส่วนหลินเยวียนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ก็นับว่าเป็นสายบันเทิงใช่ไหมล่ะ’
‘พี่อี้?’
ซย่าฝานเอ่ยถามออกมาจากใจ ‘งั้นนายรู้ไหมว่าคนเขาเรียกหลินเยวียนว่าอะไร’
พ่อเพลง…
พ่อเพลงอวี๋…
นี่คือคำเรียกที่หลินเยวียนได้รับ แฟนคลับไม่เพียงเรียกเช่นนี้ คนในบริษัทหลายคนก็เรียกเช่นกัน
เจี่ยนอี้เงียบลงทันใด
ซย่าฝานใจไม่แข็งพอ จึงตัดสินใจไว้หน้าเจี่ยนอี้ กู้สถานการณ์ว่า ‘ไม่เป็นไร พี่อี้ ฉันคิดแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปต่างคนต่างเรียกเนอะ’
เจี่ยนอี้ “…”
เขาเรียกฉันว่าพี่ แต่ฉันเรียกเขาว่าพ่อ?
ในเวลานั้น
มีแจ้งเตือนขึ้นว่า ‘การเรียนทำให้ฉันมีความสุข’ ถูกพี่สาวเชิญเข้ากลุ่ม
เจี่ยนอี้ถาม ‘นี่ใคร’
การเรียนทำให้ฉันมีความสุข ‘เรียกฉันว่าคุณอา’
เจี่ยนอี้ ‘…’
ชื่อที่มีเอกลักษณ์ขนาดนี้ เห็นทีจะมีแต่คุณอา…
โอ๊ยยย!
เห็นทีจะมีแต่หลินเหยาเนี่ยแหละ
เจี่ยนอี้และซย่าฝานนั้นคุ้นเคยกับพี่สาวและน้องสาวของหลินเยวียนเป็นอย่างดี
ในเวลานี้หลินเหยาเมนชันถึงหลินเยวียน คล้ายกับมีท่าทีไม่พอใจ ‘ทำไมไม่ลากหนูเข้ากลุ่มตั้งแต่แรก’
พี่สาวอธิบายแทนหลินเยวียน ‘ตอนที่สร้างกลุ่มกัน เธอยังไม่เป็นผู้ใหญ่’
หลินเหยาหัวเสีย ‘เกี่ยวอะไรกับเป็นหรือไม่เป็นผู้ใหญ่ด้วย’
ทุกคนเงียบ
หลินเหยามองไปยังรูปภาพของสไปเดอร์แมนหญิงสุดเซ็กซี่ที่เจี่ยนอี้อัปโหลดลงในอัลบัมรูปในกลุ่มแช็ต เธอจึงคล้ายกับเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ตำนานที่บอกว่า…
ทุกกลุ่ม จะมี ‘พี่รูปโป๊’
เห็นได้ชัดว่าพี่คนหื่นในกลุ่มนี้ ก็คือเจี่ยนอี้นั่นเอง
เธออัปโหลดเอกสารการเรียนเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ พยายามทำให้บรรยากาศในกลุ่มสะอาดสะอ้านขึ้น
……
วันเวลาหลังจากนั้น ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศของสไปเดอร์แมนคล้ายกับไม่มีท่าทีว่าจะลงเลย ผลงานยังคงแข็งแกร่ง
มีข่าวเกี่ยวกับสไปเดอร์แมนแทบทุกวัน
และในข่าว ยังมีรายงานเกี่ยวกับแบรนด์อาหารแห่งหนึ่งซึ่งกวาดรายได้ถล่มทลายจากธีมสไปเดอร์แมน เพียงแต่ผู้ที่สนใจข่าวประเภทนี้มีไม่มาก
กระทั่งเข้าสู่เดือนสิงหาคม
กระแสของสไปเดอร์แมนจึงลดลง
ปรากฏว่า ขณะที่หลินเยวียนกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จู่ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากถงซูเหวิน
หลินเยวียนงุนงงเล็กน้อย
ราชาหน้ากากนักร้องจบลงแล้ว ถงซูเหวินโทรมาหาตนทำไมกัน
เขากดรับสาย
ถงซูเหวินเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “สวัสดีครับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ขอโทษที่รบกวน ครั้งนี้ผมโทรมาหาคุณเพราะมีรายการหนึ่ง…”
“รายการร้องเพลง?”
“ใช่ครับ”
“ไม่ไปครับ”
หลังจากเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง หลินเยวียนก็ไม่อยากเข้าร่วมรายการดนตรีอื่นอีก
ถงซูเหวินชะงัก ก่อนจะหัวเราะร่วน “รายการครั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องร้องเพลงครับ หน้าที่หลักคือการประพันธ์เพลง…”
“ประพันธ์เพลง?”
“ใช่ครับ รายการใหม่ของพวกเรามีชื่อว่า ‘เพลงของเรา[2]’ เป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับนักประพันธ์เพลง”
หลินเยวียน “…”
ทำไมถึงเจอชื่อรายการที่คุ้นเคยอีกแล้วล่ะ
เขาแทบอยากถามระบบให้รู้เรื่องว่ามีตรงไหนผิดปกติหรือเปล่า
จนกระทั่งถกซูเหวินอธิบายรายละเอียดของรายการเพลงของเรา
“รายการนี้จะเชิญนักประพันธ์เพลงมาเข้าร่วมในแต่ละตอน ในตอนแรกๆ นักประพันธ์เพลงจะได้รับการจัดสรรนักร้องมาแบบสุ่ม และในตอนหลังๆ หลังจากนั้นรายการจะมอบหัวข้อมาให้ จากนั้นจะให้นักประพันธ์เพลงสร้างสรรค์เพลงบนหัวข้อของเรา และเลือกนักร้องที่จะร้องเพลงนี้…”
“คล้ายกับรูปแบบไต่อันดับในฤดูกาลเพลง?”
หลินเยวียนนึกเชื่อมโยงถึงฤดูกาลการจัดอันดับเพลง เพราะการจัดอันดับเพลงคือการที่นักประพันธ์เพลงเขียนเพลงออกมา หลังจากนั้นจึงหานักร้องที่เหมาะสมมาขับร้อง ต่างฝ่ายต่างแข่งขันบนการจัดอันดับ
“ถูกต้องครับ!”
ถงซูเหวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “คุณจะเข้าใจว่าเป็นการนำการแข่งขันในฤดูกาลเพลงมาทำเป็นรายการให้ผู้ชมดูก็ได้ครับ และยังจะทำให้ผู้ชมได้รู้จักกลุ่มนักประพันธ์เพลงมากขึ้น นอกจากนั้นนักร้องที่คุณสามารถเลือกได้นั้นมีหลากหลาย เพราะในรายการนี้จะเชิญนักร้องจากราชาหน้ากากนักร้องซีซันหนึ่งมาด้วย…”
หลินเยวียนตกตะลึง
ถ้าหากเป็นนักร้องที่ไม่รู้จักก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าจะเชิญนักร้องซึ่งเคยเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องมา ในนั้นมีคนที่ตนคุ้นเคยอยู่มาก ถ้าหากเจอพวกมู่สือ จะได้จัดหาเพลงซึ่งต้องใช้การหายใจ เพื่อช่วยให้ฝีมือของพวกเขาก้าวหน้าขึ้นอีก
ถ้าหากได้เจอเฟ่ยหยาง ก็สามารถมอบบทเพลงที่จริงใจให้เขาได้เช่นเดียวกัน
ถ้าเจอพวกซุนเย่าหั่วก็ยิ่งดี
ทุกคนต่างกำลังพูดถึง ‘ราชวงศ์ปลา’ พลอยให้หลินเยวียนเองก็เกิดการยอมรับราชวงศ์ปลานี้ตามไปด้วย เดิมทีเขาเองวางแผนจัดเตรียมผลงานให้กับนักร้องราชวงศ์ปลาเหล่านี้อยู่แล้ว
คงเป็นเรื่องดีที่มีรายการซึ่งมียอดการรับชมมากขึ้น และยังส่งผลดีต่อพ่อเพลงอีกด้วย
“แต่ผมมีเวลาไม่มาก…”
“เวลาของคุณย่อมมีค่าที่สุด เพราะฉะนั้นเนื้อหาส่วนมากของรายการนักร้องจะเป็นคนรับมือ นักประพันธ์เพลงเพียงแค่แวะไปให้เห็นหน้าค่าตาก็พอแล้วครับ อันที่จริงพวกเราเชิญพ่อเพลงท่านอื่นๆ มาเข้าร่วมรายการด้วย ตัวอย่างเช่นอาจารย์เจิ้งจิงที่คุณคุ้นเคย ส่วนอาจารย์หยางจงหมิงทางเราก็กำลังติดต่อไป เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับ”
“ผมขอคิดดูก่อนครับ”
หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธทันควัน เขาค่อนข้างสนใจจริงๆ
ถ้าหากรายการนี้ไม่ได้กินเวลามากนัก เขายังต้องขบคิดรายละเอียดอื่นๆ
“วางใจได้ครับ!”
ถงซูเหวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “รายการนี้ของเราต้องดังระเบิดอย่างแน่นอนครับ เมื่อมีพื้นฐานจากราชาหน้ากากนักร้องแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นทีมเดิม ผู้ชมต้องซื้อแน่นอน จะว่าไปแล้วแนวคิดของรายการนี้มาจากคุณ ตอนนี้ผู้ชมเรียกร้องให้นักประพันธ์เพลงมาปรากฏตัวบนเวทีเยอะมากครับ…”
“กรรมการตัดสินล่ะครับ?”
“กรรมการตัดสินคือผู้ชมครับ!”
ถงซูเหวินยิ้มขื่น “พ่อเพลงล้วนเข้าร่วมรายการนี้ ใครก็ตามที่มานั่งเป็นกรรมการตัดสินจะมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมอบหน้าที่ให้ผู้ชมตัดสิน แต่ครั้งนี้พวกเราไม่เพียงมีการโหวตสดจากผู้ชม แต่ยังมีการโหวตจากผู้ชมนอกห้องส่งด้วย ทุกคนที่มีการผูกเลขบัตรประชาชนจะมีสิทธิ์โหวตคนละหนึ่งครั้ง…”
อาศัยการโหวตจากผู้ชมทั้งหมดหรือ?
จู่ๆ หลินเยวียนก็รู้สึกว่าตนสามารถหยิบเพลงที่ต่างออกไปได้ในเวทีนี้ เพราะรสนิยมของผู้ชมนั้นมีครอบจักรวาล
“แน่นอนครับ”
ถงซูเหวินเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “นี่เป็นเพียงแผนในเบื้องต้นครับ ราบการเรากำลังปรึกษากัน ถ้ามีการปรับเปลี่ยนใหม่ในอนาคต จะรีบแจ้งให้คุณทราบโดยเร็วที่สุดครับ”
“ครับ”
รายการนี้คล้ายกับเป็นภาคต่อของราชาหน้ากากนักร้อง เพียงแต่ในครั้งนี้หลินเยวียนจะมีบทบาทที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นักประพันธ์เพลง…
การเข้าร่วมรายการในฐานะนักประพันธ์เพลงเพียงอย่างเดียว และมีปฏิสัมพันธ์กับนักร้องน่าสนุกจริงๆ เพราะเมื่อหลินเยวียนเข้าร่วมรายการ เขาก็สังเกตเห็นผู้เข้าแข่งขันที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย
[1] ลูกพี่ ในต้นฉบับภาษาจีน ทั้งคำว่า ‘พี่อี้’ และ ‘ลูกพี่’ ออกเสียงว่า ‘อี้เกอ’
[2] เพลงของเรา หรือ Our Songs (《我们的歌》) รายการเพลงสเกลใหญ่จากประเทศจีน ผลิตโดยดรากอน เทเลวิชัน รายการต้นฉบับนี้จะเชิญนักร้องสองรุ่นมาร้องเพลงทีมกันบนเวทีรูปตัว Y เพื่อหาทีมที่เหมาะสม
‘สมศักดิ์ศรี!’
‘ดูเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูจบก็เกิดปมในใจเกี่ยวกับหนังของเจ้าแก่เซี่ยนอวี๋ โชคดีที่สไปเดอร์แมนทำให้ฉันมีความสุขมากพอ ถึงแม้ในหนังจะมีฉากที่โหดร้าย แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ฉันยอมรับได้’
‘ซูเปอร์ฮีโร่ที่แตกต่าง!’
‘อยากลองจูบแบบห้อยหัวบ้าง!’
‘ถ้าเทียบกับสไปเดอร์แมนแล้ว เห็นได้ชัดว่าตำนานมนุษย์มังกรจืดชืดไม่โดดเด่น ถึงแม้หลงหยางจะฝีมือดี แต่คนดูเบื่อมุกซูเปอร์ฮีโร่ที่แบกรับความทุกข์และความโกรธแค้นแล้ว ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว้าว!’
‘ในที่สุดพ่อเพลงอวี๋ก็สร้างหนังเชิงพาณิชย์แล้ว!’
‘เมื่อก่อนหนังของพ่อเพลงอวี๋ถึงจะได้คำวิจารณ์ในทางที่ดี แต่ฉันรู้สึกว่าธรรมดา ถึงยังไงเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศที่ออกมาแรกๆ ก็ถูกจริตฉันที่สุด หนังครั้งนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ประเด็นนี้ขึ้นไปอีก เขาเหมาะกับการผลิตหนังเชิงพาณิชย์!’
‘สไปเดอร์แมนเจ๋งเป้ง!’
‘หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ ควรดูสไปเดอร์แมนไว้เป็นแบบอย่าง ว่าความเท่คืออะไร และการเติบโตคืออะไร กอบกู้โลกเป็นแค่ผลลัพธ์ พวกเราอยากดูเรื่องราวที่น่าสนใจ!’
‘…’
ผู้ชมมีมากขึ้น!
ความคิดเห็นในทางที่ดีมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน!
ภาพยนตร์สั่งสมอิทธิพลอย่างไม่ลดละ!
พื้นที่แสดงความคิดเห็นบนปู้ลั่วของหลินเยวียนเริ่มเข้าสู่โหมดขยายใหญ่ขึ้น
แต่ท่ามกลางการถกเถียงของผู้คน มีการเอ่ยถึงตำนานมนุษย์มังกรของหลงหยางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในฐานะภาพยนตร์ซึ่งเข้าฉายในช่วงเวลาเดียวกับสไปเดอร์แมน และยังเป็นเรื่องราวซึ่งเล่าเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่อีกด้วย แต่เนื่องจากสไปเดอร์แมนแปลกใหม่และน่าสนใจ ความธรรมดาสามัญของตำนานมนุษย์มังกรจึงกลายเป็นความผิดพลาดในสายตาผู้ชม
แน่นอนว่าไม่มีใครบอกว่าภาพยนตร์ที่หลงหยางผลิตนั้นกระจอก
ทว่าในเมื่อพล็อตเรื่องไม่สามารถฉีกกฎและทำลายรูปแบบเดิมได้ แต่กลับต้องมาเผชิญหน้ากับซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่เดินตามขนบอย่างสไปเดอร์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้ของหลงหยางจึงถูกลิขิตชะตามาให้ถูกยึดตลาดไป!
ความแตกต่างนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อบ็อกซ์ออฟฟิศสัปดาห์เปิดเผย!
เรื่องหนึ่งทำรายได้ทะลุห้าร้อยล้านในสัปดาห์แรก!
อีกเรื่องหนึ่งทำรายได้สี่ร้อยล้านต้นๆ !
แน่นอนว่าเรื่องที่ทำรายได้ทะลุห้าร้อยล้านในสัปดาห์แรกคือสไปเดอร์แมน
หากพิจารณาจากสถิติทั่วไป เซี่ยนอวี๋และหลงหยางนับว่าเสมอกัน ความแตกต่างของทั้งสองไม่นับว่าชัดเจนนัก
แต่อย่าลืม
ว่าเงินลงทุนในภาพยนตร์ของหลงหยางมีมูลค่าเป็นสามเท่าของเซี่ยนอวี๋!
จำต้องบอกว่า
สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ราคาสามร้อยล้านนั้นประสิทธิภาพไม่เลวจริงๆ กอปรกับชื่อเสียงของหลงหยางก็นับว่าดีมาก บ็อกซ์ออฟฟิศของเขาจึงไม่ได้ย่อยยับเพียงเพราะแรงกดดันจากสไปเดอร์แมน
อย่างไรก็ตาม…
เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ช่องว่างระหว่างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องก็ค่อยๆ กว้างขึ้น บ็อกซ์ออฟฟิศของสไปเดอร์แมนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลง!
เจ็ดร้อยล้าน!
ขณะเดียวกัน
เรื่องตำนานมนุษย์มังกรของหลงหยางกลับอยู่รั้งอยู่ที่สี่ร้อยล้าน
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เรื่องราวซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่เหมือนกันทั้งสองเรื่องจึงยังคงขับเคี่ยวกันต่อไป!
ในจุดนี้ สไปเดอร์แมนโด่งดังขึ้นมาแล้ว!
วันเวลาหลังจากนั้น สไปเดอร์แมนยังคงร้อนแรง แม้แต่รายการบันเทิงบางส่วนเริ่มเอ่ยถึงภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่นี้บ่อยครั้งขึ้น…
ขณะเดียวกัน
ทางสตาร์ไลท์ได้เปิดตัวลิขสิทธิ์สินค้าในที่สุด
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ…
หลินเยวียนคือเจ้าของลิขสิทธิ์สไปเดอร์แมนตัวจริง
บริษัทเป็นเพียงตัวแทนซึ่งได้รับมอบหมายจากหลินเยวียน
เนื่องจากการเปิดตัวลิขสิทธิ์สินค้านั้นไม่ได้อยู่รายรับที่ทุกคนคาดหมาย เพราะฉะนั้นในสัญญาจึงไม่ได้ระบุล่วงหน้าไว้ในสัญญา และด้วยเหตุนี้เอง หลินเยวียนจึงได้เพลิดเพลินกับผลกำไรส่วนใหญ่จากสินค้า
สตาร์ไลท์ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นทะเลาะกับเซี่ยนอวี๋เกี่ยวกับเรื่องนี้
มูลค่าของเซี่ยนอวี๋ นั้นเหนือกว่าสินค้านับไม่ถ้วน!
หลังจากนั้นหลายวัน
หลังจากสินค้าสไปเดอร์แมนเปิดตัว บล็อกเกอร์หลายคนจึงเผยแพร่วิดีโอที่ตนเองสวมชุดสไปเดอร์แมน…
บ้างก็ตลกขบขัน
บ้างก็เท่
บ้างก็เป็นเพียงการคอสเพลย์
การปรากฏขึ้นของวิดีโอเหล่านี้ ส่วนมากได้รับเสียงตอบรับที่ดี กระแสการเลียนแบบสไปเดอร์แมนแผ่ขยายไปทั่ว!
……
ความโด่งดังของภาพยนตร์เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของหลินเยวียน ทว่าการถือกำเนิดขึ้นของกระแสนิยมสินค้าสไปเดอร์แมนนั้นไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของเขา
ความคิดของเขาเรียบง่ายเหลือเกิน
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้หลินเยวียนตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง
ตนไม่มีหัวทางธุรกิจ!
ทั้งที่เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสไปเดอร์แมน แต่เขากลับไม่ได้คาดหวังว่าจะต่อยอดสินค้าจากเรื่องสไปเดอร์แมนให้เต็มที่ได้อย่างไร
เรื่องราวเป็นเช่นนี้…
ขณะที่กระแสการเลียนแบบสไปเดอร์แมนเริ่มแพร่กระจาย จู่ๆ กู้ตงก็เอ่ยถามหลินเยวียน “บริษัทผลิตชุดต้องการผลิตชุดสไปเดอร์แมนของผู้หญิง เรื่องนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากคุณก่อน คุณยอมรับได้ไหมคะ”
“…”
นี่คือเรื่องที่หลินเยวียนมองข้ามไป
มาร์เวลมีจักรวาลสไปเดอร์แมน!
และในจักรวาลสไปเดอร์แมนนั้นเอง มีสไปเดอร์แมนนับไม่ถ้วน
พวกเขามีทั้งผู้หญิงผู้ชาย และมีสีผิวที่แตกต่างกัน ถึงขั้นที่มีสไปเดอร์แมนซึ่งเป็นสัตว์…
ปรากฏว่าคนที่มีวิสัยทัศน์อย่างหลินเยวียนไม่ได้นึกถึงการเปิดตัวสไปเดอร์แมนผู้หญิง ทางบริษัทผลิตกลับคิดแทนหลินเยวียนแล้ว!
เห็นชัดๆ ว่าบริษัทผลิตสินค้านั้นไม่รู้เกี่ยวกับจักรวาลสไปเดอร์แมนนี้…
ไม่เช่นนั้นทำไมถึงพูดกันว่าสมองของพ่อค้ามีความว่องไวล่ะ
เห็นทีถ้าตนมีเวลาคงต้องเรียนรู้แนวคิดทางธุรกิจจากซุนเย่าหั่วสักหน่อยแล้ว!
“ตอบตกลง!”
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่มีทางปฏิเสธ
ตราบใดที่ไม่ต้องขายร่างกายและจิตวิญญาณเขาไม่มีทางปฏิเสธเงินแน่นอน เขาถึงขั้นออกตัวบอกว่าตนสามารถออกแบบชุดสไปเดอร์แมนหญิงด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป
ไม่เพียงสีแดง!
จะเป็นสีชมพูก็ยังได้!
ส่วนสีดำ แน่นอนว่าขาดไม่ได้เช่นกัน!
นั่นส่งผลให้บริษัทผลิตสินค้ากล้าลงมือขึ้นมา
เพียงแต่
เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไป แฟนคลับสไปเดอร์แมนกลับไม่พอใจขึ้นมา!
ล้อเล่นอะไรกัน?
สไปเดอร์แมนเป็นผู้ชาย!
ผู้หญิงจะมาใส่ชุดสไปเดอร์แมนได้ยังไง!
ไม่เข้าท่าเอาซะเลย!
สไปเดอร์แมนผู้หญิง ยังจะเรียกว่าสไปเดอร์แมนได้หรือ?
แม้กระทั่งเพศพื้นฐานยังเปลี่ยน!
เสียงต่อต้านที่ดังที่สุดมาจากแฟนคลับผู้ชาย!
เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เหล่าแฟนคลับชายจึงกำหนดให้สไปเดอร์แมนเป็นเพศชาย พวกเขายอมรับเวอร์ชั่นผู้หญิงอะไรเทือกนั้นไม่ได้หรอก!
ในหนังก็ไม่เห็นจะมี!
ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เป็นผู้ชายทั้งแท่ง!
บริษัทผลิตสินค้าออกมาอธิบายด้วยความจนใจ “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ตกลงแล้ว…”
เหล่าแฟนคลับชายร้อนรนขึ้นมา
อาจารย์เซี่ยนอวี๋ถึงคราวตกต่ำแล้ว!
เขาขายภาพลักษณ์ของสไปเดอร์แมนเพื่อเงิน!
เขาเป็นแค่คนเขียนบท เขาจะมาเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสไปเดอร์แมน!
เห็นได้ชัด
ว่าการต่อต้านของแฟนคลับไม่มีทางหยุดยั้งโปรเจ็กต์ของบริษัทสินค้าได้
ไม่นาน
ชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิงก็ออกแบบสำเร็จ อัตราการสั่งซื้อก็ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงล้วนยอมรับเรื่องนี้ มีเพียงแฟนคลับชายบางส่วนที่ออกมาโหวกเหวกโวยวาย
และหลังจากนั้น
นักคอสเพลย์ซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักคนหนึ่ง สวมชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิงสีแดง สีดำ และสีชมพูซึ่งเพิ่งซื้อมา พร้อมทั้งถ่ายภาพของแต่ละชุด โพสต์ลงบนโลกออนไลน์
ในเวลานั้น แฟนคลับชายยังคงกำลังต่อต้าน
ทว่าไม่ทันไร รูปถ่ายในชุดสไปเดอร์แมนหญิงของนักคอสเพลย์คนนี้ก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วทั้งโลกออนไลน์!
ฮ็อตไฟลุก!
ผู้คนมากมายต่างพากันแชร์ภาพเหล่านี้!
“แม่เจ้า…”
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ แฟนคลับชายเป็นอันต้องตกตะลึง ชุดสไปเดอร์แมนเหมือนกัน เมื่อสวมบนร่างกายของผู้ชายแล้วหล่อเท่ เมื่อผู้หญิงสวมแล้ว…
ก็จะประมาณนี้ (แนบรูป)
ทรวดทรงองค์เอว ห่อหุ่มอยู่ภายใต้ชุดสไปเดอร์แมน
ส่วนกลมนูนเต็มตา…
เย้าจิตยวนใจ…
บางคนสวมหน้ากากครบชุด แลดูมีเสน่ห์
บางคนไม่สวมหน้ากาก เผยเรือนผมยาวสวย
ร่างกายอันงดงามของผู้หญิง ห่อหุ้มด้วยชุดของสไปเดอร์แมน
ร้อนแรง เย้ายวน บาดใจ!
ใหญ่ กลม น่ามอง…แฟนคลับผู้ชายหลายคนลอบกลืนน้ำลาย
มาลองคิดดูแล้ว…
ไม่ต้องคิดหรอก…
แอบกดบันทึกรูปภาพซะเลย
แฟนคลับชายคนหนึ่ง พิมพ์ลงบนคีย์บอร์ดอย่างเงียบเชียบ
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋เข้าใจสไปเดอร์แมนดีจริงๆ ”
ไม่จำเป็นต้องต่อต้านอะไรอีกแล้ว ชุดสไปเดอร์แมนผู้หญิงกระแสดีกว่าชุดสไปเดอร์แมนชายเสียอีก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีดำ…
ในวันนั้น
บนเว็บบอร์ดปรากฏกระทู้หนึ่ง ‘หลังจากสามีของฉันสวมชุดสไปเดอร์แมน เขาก็เริ่มบังคับให้ฉันใส่ชุดสไปเดอร์แมนหญิง รู้สึกแปลกมาก …’
สินค้าเชียวนะ…
สำหรับอนิเมชันบางเรื่อง สินค้านับว่าเป็นแหล่งรายได้ขนาดใหญ่ที่สุด ภาพยนตร์อนิเมชันซึ่งมักใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านหยวนเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพารายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ ทว่าอาศัยรายได้จากสินค้า ดิสนีย์บนโลกทำรายได้จากของเล่นตั้งเท่าไหร่
ตัวเลขต้องน่ากลัวมากอย่างแน่นอน!
ทว่าภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันนั้นกลับขายสินค้าได้ไม่มาก และสไปเดอร์แมนก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ประการแรกคือการออกแบบรูปลักษณ์ของสไปเดอร์แมนนั้นเท่จริงๆ ประการที่สองคือเรตติงของภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนนั้นไม่เลว เพียงแต่ไม่รู้ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศที่แน่นอนว่าเท่าไหร่ และลิขสิทธิ์ของสินค้าที่เกิดขึ้นตามมา น่าจะมีกำหนดราคาตามอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้
มีรายได้แล้ว!
หลินเยวียนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ต่อให้ตอนนี้เขาจะมีเงินมากมายจนใช้ได้ไปหลายชั่วอายุคน ทว่าเมื่อพิจารณาถึงความกว้างใหญ่ของคลังผลงานบนโลก ถ้าหากยังมีการเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ มันจะยังคงเป็นโพรงขนาดยักษ์อันไร้ที่สิ้นสุด ถ้าหากตอนนี้หลินเยวียนต้องการขนย้ายผลงานคลาสสิกทั้งหมดบนโลกมาในคราวเดียว เช่นนั้นเงินเก็บที่เขามีในตอนนี้ไม่มีทางเพียงพอ!
เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องการเงิน!
ต้องการเงินมากกว่านี้!
สำหรับบางคน นิสัยแสวงหาเงินทองอาจฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา หลินเยวียนก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน ความสามารถของเขาในการเรียนรู้ที่จะไม่ตอแยกับระบบนั้นรุดหน้าไปมาก แต่ก็ไม่สามารถคาดหวังให้เขาแตะถึงระดับที่เห็นเงินเป็นเพียงเศษฝุ่นได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ความปรารถนาในชื่อเสียงของหลินเยวียนกลับไม่สูงนัก เขาเผยแพร่ผลงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพียงเพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขของภารกิจค่าความโด่งดังเท่านั้นเอง
“เอาไว้ค่อยคุยครับ”
หลินเยวียนตอบด้วยท่าทีจริงจัง
ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือรอจนกว่าอิทธิพลของเรื่องสไปเดอร์แมนจะถึงระดับที่สูง หลินเยวียนไม่คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเหลวแหลกไม่เป็นท่าหรอก ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ซึ่งเรตติงใช้ได้สักเรื่องหนึ่งไม่มีทางเหลวแหลกไม่เป็นท่าไปได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ซูเปอร์ฮีโร่อย่างสไปเดอร์แมนอยู่ระดับลูกในอุทรของมาร์เวล ในยุคที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และภาพยนตร์เรื่องไอรอนแมนยังไม่ถือกำเนิดขึ้น ชื่อเสียงของสไปเดอร์แมนนับว่าท่วมท้นมากกว่าเพื่อน ต่อให้เมื่อกระแสของไอรอนแมนเกิดขึ้น ความตื่นเต้นที่ผู้คนมีต่อสไปเดอร์แมนก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อสไปเดอร์แมนซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋เข้าฉายในวันแรก นักวิจารณ์ภาพยนตร์ต่างแสดงทัศนะกันผ่านสื่อต่างๆ จะเห็นได้ว่ากระแสของภาพยนตร์นั้นเริ่มมากขึ้นแล้ว
มีสื่อหนึ่ง
ชื่อว่า ‘บันเทิงแนวหน้า’
นี่คือหนังสือพิมพ์ชื่อดังรายหนึ่งในวงการบันเทิง เนื้อหาที่รายงานส่วนมากค่อนข้างเชื่อถือได้ ‘หลายคนคงแปลกใจที่เซี่ยนอวี๋เริ่มสร้างภาพยนตร์เชิงพาณิชย์รูปแบบดั้งเดิม แต่หลายคนคงลืมไปว่าภาพยนตร์ตลกก็เป็นภาพยนตร์เชิงพาณิชย์เช่นเดียวกัน เซี่ยนอวี๋เริ่มเดินเส้นทางสายภาพยนตร์ตั้งแต่เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ เขาในเวลานั้นได้ส่งสัญญาณมาแล้ว เพียงแต่ภาพยนตร์สองเรื่องต่อมาของเขากลับแสวงหาความลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนจึงมีภาพจำเกี่ยวกับเขาในฐานะผู้ผลิตภาพยนตร์เชิงศิลปะคนหนึ่ง’
‘มาพูดถึงสไปเดอร์แมน’
‘นี่เป็นภาพยนตร์ที่ประณีตมากเรื่องหนึ่ง บทภาพยนตร์จัดเรียงได้ดี การเคลื่อนไหวที่ผาดโผนและฉากจุมพิตขณะกลับหัวกลายเป็นจุดที่ผู้ชมมากมายให้ความสนใจ ภาพของสไปเดอร์แมนหยุดรถไฟและสไปเดอร์แมนตัวน้อยเผชิญหน้ากับวายร้ายเรียกเสียงตอบรับจากผู้ชมอย่างล้นหลาม ฝีมือของพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ทว่าการกระทำของพวกเขามีความหมายเหมือนกัน ประโยคในภาพยนตร์ว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง เป็นประโยคที่ตราตรึงใจที่สุดของทุกคนหลังจากดูภาพยนตร์จบ เซี่ยนอวี๋ยังคงไม่ลืมที่จะสอดแทรกความลึกซึ้งลงในภาพยนตร์’
‘อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องยังคงมีอยู่’
‘เซี่ยนอวี๋ควบคุมงบของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเข้มงวดเกินไป คนอื่นแสวงหาสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่เหนือชั้น ทว่ามุมมองของเซี่ยนอวี๋ต่อสเปเชียลเอฟเฟ็กต์คือเพียงพอนับว่าใช้ได้แล้ว แน่นอนว่าเงินทุนหนึ่งร้อยล้านหยวนนั้นเพียงพอให้สร้างสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ขึ้นมาได้ แต่กลับอยู่ในระดับที่เพียงพอเท่านั้น’
‘นอกจากนี้…’
‘ขณะที่ฉันดูภาพยนตร์เรื่องนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ฉันรู้สึกเสียดายอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือการออกแบบวายร้ายนั้นค่อนข้างแบน ส่วนที่ต้องการให้สไปเดอร์แมนโดดเด่น วายร้ายจึงกลายเป็นเพียงคำสรรพนามของคำว่าวายร้าย โดยที่ไม่ได้ให้ความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น และนี่คือเรื่องน่าเสียดายซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึง’
……
หลินเยวียนได้อ่านบทวิจารณ์
เขาคิดว่าคำวิจารณ์เกี่ยวกับส่วนของวายร้ายโดยบันเทิงแนวหน้านั้นมีเหตุผล ถึงอย่างไรก็เป็นภาพยนตร์ซึ่งเกิดจากการปะติดปะต่อเรื่องราว เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ที่จะไร้ซึ่งช่องโห่ว หลังจากที่เขาปะติดปะต่อโครงเรื่องสำคัญของภาพยนตร์หลายเรื่องเข้าด้วยกัน เขาต้องยอมเสียสละการสร้างคาแรกเตอร์วายร้าย ไม่เช่นนั้นอาจต้องเพิ่มความยาวของภาพยนตร์อีกครึ่งชั่วโมง และสำหรับภาพยนตร์แล้ว การเพิ่มความยาวอีกครึ่งชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป
ผู้ชมไปชมภาพยนตร์เพื่อความผ่อนคลาย
หากไม่มีแรงจูงใจมากพอ คงเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะอดทนดูภาพยนตร์ที่ยาวเกินไป อเวนเจอร์สกล้าทำเช่นนั้นก็เพราะอเวนเจอร์สมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก ทว่าสไปเดอร์แมนเวอร์ชันบลูสตาร์ไม่ได้มีการ์ตูนมาปูรากฐานเช่นเดียวกับอเวนเจอร์ส หลินเยวียนจำเป็นต้องเลือกแผนการประนีประนอมอย่างแน่นอน…
ใช่แล้ว
บทภาพยนตร์ของสไปเดอร์แมนไม่ได้มาจากเพียงปลายปากกาของระบบ หลินเยวียนได้เพิ่มแนวคิดของตนเองเข้าไปมากมาย ตำราที่เขาอ่านมามากมายนับว่านำมาใช้ได้ ท้ายที่สุดเขาต้องเริ่มต้นอย่างเชื่องช้าด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำสไปเดอร์แมนหลายเวอร์ชันมาเย็บเล่มรวมกัน
เพิ่มเงินไปมากทีเดียว
บทภาพยนตร์ซึ่งระบบจัดหาให้นั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดได้เพียงว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าต้นฉบับ ถ้าหากหลินเยวียนคิดจะอาศัยระบบเพียงอย่างเดียว ตัวเขาเองจะพลอยรู้สึกว่าน่าเบื่อไปด้วย เพราะฉะนั้นการมีส่วนร่วมมากขึ้นย่อมมีความหมายมากกว่า
นอกจากนั้น
มีหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับซึ่งกล่าวถึงแนวคิด ‘ฮีโร่พลเรือน’ สไปเดอร์แมนนับว่าเป็นผู้บุกเบิก เนื่องจากในบรรดาภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่บนบลูสตาร์ มีเพียงปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ซึ่งมาจากพื้นฐานซึ่งต่ำกว่าคนอื่นอย่างแท้จริง
พ่อแม่เสียชีวิต
เขาไม่ได้มีครอบครัวที่ร่ำรวยและไม่ใช่คนที่โดดเด่นในโรงเรียน ถึงขั้นถูกรังแกด้วยซ้ำไป เขาเค้นสมองอย่างหนักเพื่อตามจีบสาว เขาสับสนและสูญเสียทิศทางระหว่างเติบโต และนี่คือสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดของสไปเดอร์แมน
เขามีเส้นของการเติบโต
มีภาพลักษณ์ที่สดใสยิ่งขึ้น
แม้ว่าวายร้ายจะสร้างขึ้นผ่านลักษณะเหมารวม ทว่าการสร้างคาแรกเตอร์ของลุงกลับประสบความสำเร็จ แม้ว่าลุงจะมีฉากไม่มาก แต่การตายของลุงไม่เพียงสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้แก่สไปเดอร์แมน แต่ยังเป็นความสะเทือนใจอย่างมากสำหรับผู้ชม ทุกคนรู้สึกว่าฉากนี้โหดร้ายเพราะทุกคนยอมรับตัวละครนี้แล้ว ถ้าหากตัวละครลุงไม่ได้ผ่านการออกแบบมาอย่างประณีต ประโยคว่า ‘พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’ คงเป็นได้แค่คำพูดอันว่างเปล่า
ลุงประพฤติตนเป็นแบบอย่าง
เขาเป็นเพียงชายชราที่อ่อนแอ ไม่มีความสามารถในการเหาะเหินเดินอากาศอย่างสไปเดอร์แมน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหัวขโมยถือปืน เขากลับไม่ได้เลือกยืนดูแต่กลับหยุดยั้งอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ ถึงแม้ราคาที่ต้องจ่ายคือความวายชนม์ นี่ไม่ใช่ ‘ความรับผิดชอบ’ ที่คนธรรมดามอบให้ตนเองหรอกหรือ?
จะว่าไปแล้ว…
เพื่อบรรเทาความรู้สึกโหดร้ายนี้ หลินเยวียนจึงขยายด้านที่มีความสุขของสไปเดอร์แมน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับเวอร์ชันทอม ฮอลแลนด์ ส่วนสไปเดอร์แมนเวอร์ชันโทบีย์ แม็กไกวร์ออกจะมืดมนไปสักหน่อย อรรถรสของการเปลี่ยนผ่านจากคนตัวเล็กๆ กลายเป็นฮีโร่นั้นสำคัญกว่า ถึงขั้นที่มีความเป็นศิลปะบ้างเล็กน้อย ทว่าฮีโร่มักมาพร้อมกับความรู้สึกขมขื่นและเคียดแค้นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงพยายามสร้างความแตกต่าง
ความจริงเป็นประจักษ์
ว่าผลลัพธ์ไม่เลวเลย
หลายวันต่อจากนั้น สไปเดอร์แมนได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชม ผู้คนเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงมากขึ้นเรื่อยๆ คนมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ที่ชื่นชอบสไปเดอร์แมนซึ่งช่างพูดและซุกซนก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …
บางคนไปกินหม้อไฟหลังดูภาพยนตร์จบ
บางคนกลับบ้านหลังดูภาพยนตร์จบ บางคนถึงขั้นเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ และสำหรับภาพยนตร์ซึ่งไม่มีการทดลองฉายล่วงหน้า คำวิจารณ์ชุดแรกซึ่งเพิ่งออกจากเตาสดๆ ร้อนๆ ย่อมมาจากผู้ชมกลุ่มแรก
‘ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ที่ควรค่าแก่การรับชม!’
‘เซี่ยนอวี๋ได้มอบแนวคิดใหม่ให้แก่ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ ไม่ว่าจะเป็นประโยคซึ่งกระตุ้นความคิดของผู้ชมอย่าง [พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง] หรือวิธีที่เขาใช้ร่างกายของตนหยุดรถไฟเพื่อทำตาม [คำพูดสุดท้าย] ของลุง ใช้วิธีที่น่าสนใจเพื่อทำให้ผู้ชมยอมรับในค่านิยมที่ภาพยนตร์ตั้งใจถ่ายทอดแก่ผู้ชม’
‘สตอรีบอร์ดบางส่วนสมบูรณ์แบบมาก!’
‘การต่อสู้ครั้งแรกบนรถไฟฟ้าใต้ดินปูพื้นฐานของหนังตลก ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งมีแบกรับความทุกข์และโกรธแค้นเพื่อกอบกู้โลกจะตลกได้ถึงขนาดนี้ แถมแมงมุมตัวน้อยก็ช่างจำนรรจา ถ้าถามว่าซูเปอร์ฮีโร่คนไหนติดดินมากที่สุด ฉันคิดว่าต้องเป็นสไปเดอร์แมนนี่แหละ เขาพูดเจื้อยแจ้วจนฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรไปบ้าง บอกได้แค่ว่านักแสดงหน้าใหม่คนนี้ที่ชื่อเจี่ยนอี้ทำงานหนักมาก ต้องเป็นคนที่ถูกเคี่ยวกรำเรื่องบทมาอย่างแน่นอน’
‘เป็นหนังที่ไม่ทำให้ผิดหวัง!’
‘วีรกรรมที่แลดูเรียบง่ายไม่ได้ปกปิดออร่าของสไปเดอร์แมนได้เลย ใช้คนธรรมดาเป็นจุดเริ่มต้น บทสรุปของครอบครัวและความรักที่เกื้อกูลกันทำให้ภาพยนตร์ไม่เพียงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก แต่ยังสะท้อนอารมณ์ของผู้ชมด้วย เมื่อสไปเดอร์แมนท่องไประหว่างตึกสูงในเมือง ฉันได้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอิสรภาพและความเยาว์วัย สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ของฉากเหล่านี้ไม่ได้ละเอียดอ่อนมาก แต่ต้องบอกว่าออกแบบฉากได้เท่มาก เซี่ยนอวี๋กำลังบอกตลาดผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า สิ่งที่เขาถนัดไม่ได้มีเพียงภาพยนตร์เชิงศิลปะ แต่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์เขายังรับมือได้อย่างง่ายดาย!’
‘ตอนจบโรแมนติกมาก!’
‘สไปเดอร์แมนสวมหน้ากากครึ่งหน้า ห้อยหัวกลางสายฝนจูบนางเอก เป็นฉากโรแมนติกที่คลาสสิกมาก บางทีนี่อาจกลายเป็นฉากจูบที่ไม่อาจลบออกจากจอเงินได้ เซี่ยนอวี๋ออกแบบเช่นนี้อาจมีความหมายลึกซึ้งอีกชั้น สไปเดอร์แมนไม่อยากยอมรับว่าตนคือปีเตอร์ ต่อให้เขากับเกว็นจะรู้อยู่เต็มอก แต่สไปเดอร์แมนไม่อยากให้เกว็นเข้ามาในโลกของตน เพราะสไปเดอร์แมนรู้ดีว่าตนเองจะต้องเผชิญกับอนาคตที่อันตรายอย่างไร ที่เขาซ่อนตัวตนของเขามาโดยตลอดอาจเป็นการปกป้องครอบครัวและคนรักตามสัญชาตญาณ’
‘ออกแบบได้น่าทึ่งมาก!’
‘ในขณะที่ฮีโร่คนอื่นๆ กำลังวุ่นอยู่กับการกอบกู้โลก สไปเดอร์แมนมุ่งมั่นที่จะปกป้องคนธรรมดารอบตัว กิจกรรมของเขาจำกัดอยู่แค่ในเมือง เขาคือฮีโร่พลเรือนที่แท้จริง เป็นมิตรเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านที่แสนดีของพวกเรา ทั้งยังให้ความรู้สึกซุกซนของวัยรุ่น ถึงอย่างไรเบื้องหลังเขาก็เป็นนักเรียนที่รักเรียนคนหนึ่ง’
‘…’
คอมเมนต์บนเว็บไซต์สตาร์เน็ต นับว่าเป็นมาตรวัดสำหรับผู้ชม ถึงแม้คอมเมนต์จะเกี่ยวโยงถึงสปอยล์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายคนก็สามารถหลบเลี่ยงสปอยล์ได้อย่างเชี่ยวชาญ ถึงขั้นที่มีคนคลิกเข้าไปดูเพียงแค่คะแนนของภาพยนตร์
ในเวลานั้น
ภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนได้คะแนนถึง 8.8 ไปแล้ว ในบรรดาภาพยนตร์ที่เซี่ยนอวี๋สร้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้คะแนนต่ำที่สุด แต่นั่นคือการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ของเซี่ยนอวี๋ ถ้าหากยกเรื่องนี้ออกมาเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน โดยเฉพาะภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ คะแนนของเรื่องนี้นับว่าโดดเด่นในหมู่ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ แล้ว!
ต้องเข้าใจ
ว่าตำนานมนุษย์มังกรซึ่งเข้าฉายในช่วงเวลาใกล้เคียงกันได้ไปเพียง 7.9 คะแนน และ 7.9 ถือเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในบรรดาภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย เป็นเรื่องยากสำหรับภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ซึ่งต้องกินพ็อปคอร์นขณะรับชมที่จะสร้างสมดุลระหว่างคะแนนและยอดบ็อกซ์ออฟฟิศ
เมื่อมองจากมุมนี้
อย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีมาก นับว่าสร้างขีดจำกัดใหม่ให้กับคะแนนของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อีกด้วย
……
วันต่อมา
หลินเยวียนรีบเข้าไปเปิดดูคำวิจารณ์ภาพยนตร์บนเว็บไซต์สตาร์เน็ตทันที ปรากฏว่าไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรือคำวิจารณ์ต่อภาพยนตร์ก็ล้วนเป็นที่น่าพึงพอใจ ถึงแม้หลินเยวียนจะเคยคาดหวังให้สไปเดอร์แมนได้ถึงเก้าคะแนนก็ตาม
แต่นั่นยากเกินไป
โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ทั่วไปซึ่งทำคะแนนได้ถึงระดับนี้ ต่อให้สไปเดอร์แมนเวอร์ชันของหลินเยวียนจะแตกต่างจากเวอร์ชันอื่นๆ บนโลก กล่าวได้ว่าเป็นเวอร์ชันอัปเกรดที่สมบูรณ์แบบก็ตาม!
ใช่แล้ว
ถ้าหากมีผู้ชมบนโลกมาอยู่ที่นี่ จะต้องอุทานด้วยความประหลาดใจว่าเซี่ยนอวี๋เป็นยอดนักปะติดปะต่อ เขานำพล็อตคลาสสิกของแต่ละเวอร์ชันมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเวอร์ชันใหม่นี้!
สไปเดอร์แมนห้อยศีรษะลงมาจุมพิตนางเอก
นี่คือฉากคลาสสิกจากสไปเดอร์แมนเวอร์ชันแรกซึ่งนำแสดงโดยโทบีย์ แม็กไกวร์[1] ส่วนฉากที่สไปเดอร์แมนตัวน้อยยืนประจันหน้ากับวายร้ายนั้นเป็นฉากสุดประทับใจจากดิ อะเมซิง สไปเดอร์แมนซึ่งนำแสดงโดยแอนดรูว์ การ์ฟิลด์
ส่วนฉากขวางหน้ารถไฟน่ะหรือ?
มาจากเวอร์ชันของโทบีย์ แม็กไกวร์เช่นเดียวกัน แต่เป็นภาคที่สองของสไปเดอร์แมนซึ่งมีโทบีย์ แม็กไกวร์นำแสดง ฉากนี้เรียกได้ว่าเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดในภาคสอง ถึงขั้นที่สไปเดอร์แมนเวอร์ชันทอม ฮอลแลนด์ยังใช้ใยแมงมุมดึงเรือซึ่งถูกแยกจากกัน เพื่อระลึกถึงฉากคลาสสิกนี้ อีกทั้งการระลึกถึงในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จ
และช่วงท้ายของภาพยนตร์
ชุดสไปเดอร์แมนนั้น
ชุดนี้ไฮเทคมาก ออกแบบมาจากชุดสไปเดอร์แมนซึ่งไอรอนแมนสร้างขึ้นให้สไปเดอร์แมนในเวอร์ชันทอม ฮอลแลนด์ ทั้งความสะดุดตาและฟังก์ชันการใช้งานนับว่าเจ๋งเป้งที่สุด นับว่าเป็นการปูเรื่องสู่ไอรอนแมนเช่นกัน
ทุกอย่างเป็นไปเช่นนี้
หลินเยวียนอาจไม่ได้ถ่ายทำไอรอนแมน แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่ถ่ายทำ ถ้าเกิดดังเป็นพลุแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร ดังนั้นถึงแม้เขาจะไม่ได้ใส่อเวนเจอร์สเป็นเซอร์ไพร์สในภาพยนตร์ แต่ฉากสุดท้าย เขาก็ยังเลือกชุดนี้ เพื่อให้สไปเดอร์แมนทั้งสามยุคผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
สิ่งที่ชวนกระอักกระอ่วนที่สุดคือ…
ทันทีที่สไปเดอร์แมนเวอร์ชันนี้ออกมา คลังเนื้อหาเรื่องสไปเดอร์แมนของหลินเยวียนถูกเคลื่อนย้ายจนได้ที่แล้ว เนื่องจากฉากคลาสสิกล้วนถูกนำมาผสมผสานรวมกันในเวอร์ชันใหม่นี้แล้ว ถ้าหากเขาต้องการถ่ายทำภาคที่สอง เขาจะต้องหาทางอื่นจึงจะได้ ถึงขั้นที่ต้องมองหาแรงบันดาลใจจากการ์ตูนและวีนอมซึ่งเป็นคู่ปรับฟ้าประทานของสไปเดอร์แมน
เมื่อคิดเช่นนี้
หลินเยวียนมองไปยังโทรศัพท์มือถือ และพบว่าเขาได้รับข้อความมากมาย ล้วนเป็นข้อความซึ่งเพื่อนๆ ส่งมา ทั้งหมดล้วนกำลังพูดคุยถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเยวียน ทุกคนคล้ายว่าจะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มากทีเดียว
ไม่รู้ว่ายอดบ็อกซ์ออฟฟิศเป็นอย่างไรบ้าง
หลินเยวียนตื่นเต้นขึ้นมา เขาคิดว่ารายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของสไปเดอร์แมนจะต้องเหนือกว่าภาพยนตร์สามเรื่องของเขา เนื่องจากภาพยนตร์สามเรื่องแรกเป็นภาพยนตร์เฉพาะกลุ่ม ส่วนครั้งนี้เขาเดินสายภาพยนตร์กระแสนิยม
เมื่อส่องเว็บไซต์สตาร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว
หลินเยวียนจึงตรงไปยังบริษัท
ในเวลานี้รถของกู้ตงมารออยู่หน้าประตูบ้านแล้ว ปรากฏว่าทันทีที่หลินเยวียนขึ้นรถ ก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของกู้ตงดังขึ้น “มีโรงงานของเล่นต้องการซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์สไปเดอร์แมน นอกจากนั้นบริษัทที่ผลิตหน้ากากหลานหลิงอ๋องก็ต้องการผลิตหน้ากากสไปเดอร์แมน ถึงกับมีบริษัทหุ่นฟิกเกอร์และปรมาจารย์ด้วยหุ่นฟิกเกอร์สนใจผลิตสไปเดอร์แมนออกมา…”
หลินเยวียนดวงตาเป็นประกาย!
สไปเดอร์แมนขายสินค้าได้ด้วย!
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเข้าสู่ตอนจบแล้ว
สไปเดอร์แมนไม่ได้ไปเดตกับเกว็น
เขาห้อยหัวลงมาราวกับแมงมุม บนร่างสวมชุดสไปเดอร์แมน ในมือถือดอกไม้ดอกหนึ่ง ในคืนอันน่าประทับใจ เขาปรากฏตัวต่อหน้าเกว็น
“เพื่อนผมคนหนึ่ง อยากขอโทษคุณ…”
เกว็นผงะถอย จากนั้นจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง
“ปีเตอร์”
“ปีเตอร์…เป็นเพื่อนของผมน่ะ”
“ทำไมเขาไม่มาด้วยตัวเอง”
สไปเดอร์แมนมีท่าทีละอายใจ “บางทีเขาควรมาขอโทษคุณต่อหน้า ถึงแม้เขาจะมีเหตุผลที่พลาดการเดตวันนี้ที่ฟังขึ้นมากพอก็ตาม…”
เกว็นคล้ายกับฉุกคิดถึงบางอย่าง สีหน้าตกตะลึง
“นายนี่เอง!”
“ไม่ใช่ฉัน…”
“นายนั่นแหละ!”
เกว็นพูดอย่างหัวเสีย “แม่ฉันอยู่บนรถไฟขบวนนั้นที่นายช่วย เธอจำนายได้!”
สไปเดอร์แมนเงียบไป
ทันใดนั้นเกว็นจึงเอ่ยขึ้นอย่างตลกขบขัน “ล้อเล่นน่า ฉันแค่เห็นในข่าว แต่ฉันจำนายได้”
สไปเดอร์แมนเงียบยิ่งกว่าเดิม
เกว็นก้าวขึ้นไปด้านหน้า เพื่อถอดหน้ากากของสไปเดอร์แมน ทว่าเมื่อดึงหน้ากากลงมาถึงปาก สไปเดอร์แมนก็จับมือของเกว็นไว้
เกว็นออกแรงมากขึ้น
สไปเดอร์แมนออกแรงเช่นกัน
เขาไม่อยากถอดหน้ากากสไปเดอร์แมน
ท้ายที่สุดเกว็นก็ไม่ได้บีบบังคับให้ถอดหน้ากากออก เธอจุมพิตเขาอย่างแผ่วเขา
ผู้ชมผู้หญิงบางคนดวงตาเป็นประกาย
สไปเดอร์แมนห้อยหัวลงมา หญิงสาวแสนสวยจุมพิตเขาใต้แสงจันทร์!
พระเจ้าช่วย!
ประทับใจเหลือเกิน!
จะมีฉากไหนที่โรแมนติกไปกว่านี้บ้าง?
คู่รักหนุ่มสาวจับมือกันอย่างเงียบเชียบ
เบื้องหน้าจอภาพยนตร์
ความรู้สึกไม่ชอบใจของหลงหยางหมักบ่มอย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นที่มุมปาก
เซี่ยนอวี๋คนนี้รู้ดีว่าผู้ชมอยากเห็นอะไร!
การออกแบบพล็อตเรื่องทั้งหมดมีทั้งรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่!
หลังจากการต่อสู้ครั้งสำคัญ วีรบุรุษและโฉมงามจุมพิตฉลองชัยชนะ แต่เขากลับคิดได้ว่าจะให้สไปเดอร์แมนจุมพิตเกว็นด้วยวิธีใช้ใยแมงมุมห้อยศีรษะลงมา!
ฉากนี้โรแมนติกสุดๆ !
เป็นความหวานระดับอ้อยเชื่อม!
ไม่ว่าจะเป็นการตายของลุงก่อนหน้านี้ การใช้ร่างขวางรถไฟ หรือแม้แต่เด็กสวมชุดสไปเดอร์แมนเข้าไปเผชิญหน้ากับหุ่นเกราะ ฉากเหล่านี้ล้วนสร้างความซาบซึ้งใจให้แก่ผู้ชม!
มีร้องไห้
มีหัวเราะ
มีตื่นเต้น
มีตื้นตัน
มีการกอบกู้ความรักในครอบครัว
มีกลิ่นอายของความรัก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ แต่กลับถูกนำเสนอออกมาอย่างกำลังลงตัวและมีจังหวะที่ชัดเจน ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ที่ชวนดื่มด่ำครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากนั้น
ปีเตอร์ก็เล่าความจริงเกี่ยวกับการตายของลุงให้ป้าฟัง ปฏิกิริยาของป้านั้นควรค่าแก่การขบคิดเป็นอย่างยิ่ง
เธอตบปีเตอร์เต็มแรง ก่อนจะสวมกอดเขาแน่น
สุดท้ายแล้ว
ฉากก็ตัดไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
สไปเดอร์แมนสวมชุดสีแดง นอนอยู่ในใจกลางใยแมงมุมรูปแปดเหลี่ยม
ชุดของเขาคล้ายกับมีการเปลี่ยนแปลง
เท่กว่าเดิม!
หรูหรากว่าเดิม!
สะดุดตากว่าเดิม!
รูปแบบแตกต่างอย่างมากจากชุดแรกที่เขาออกแบบซึ่งแลดูเรียบง่าย
ในขณะนั้น
มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารของตำรวจซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหน “มีคนก่อเหตุฆาตกรรม กำลังหนีไปยังถนนหมายเลขหนึ่ง…”
พรึบ!
ภายใต้แสงจันทร์ส่อง ร่างสีแสดงกระโดดออกไป สองขากางออก ทว่าปลายเท่าชิดกัน ใยแมงมุมสีขาวพุ่งเข้าหากล้อง ก้อนใยแมงมุมซึ่งแลดูราวกับนิ้วห้านิ้วคว้าเข้าที่กล้อง!
นี่คือประสบการณ์ของภาพยนตร์สามมิติ
ผู้ชมรู้สึกประหนึ่งใยแมงมุมนี้พุ่งเข้าหาตนเอง บางคนเบี่ยงกายหลบอย่างห้ามไม่อยู่ด้วยซ้ำไป ทว่าหลังจากนั้นทุกคนก็พลันหัวเราะออกมา…
การโจมตีที่งดงาม!
ร่างนั้นราวกับถูกร่ายเวทย์ให้กลายเป็นท่าโจมตีอันเป็นนิรันดร์ ภายใต้แสงนวลของดวงจันทร์!
เท่สุดยอด!
ภาพยนตร์จบลงแล้ว!
มีคนลุกขึ้นปรบมือ และสุดท้ายก็มีคนลุกขึ้นปรบมือมากขึ้นเรื่อยๆ
“พ่อฮะ ผมอยากเป็นสไปเดอร์แมน!”
เสี่ยวหู่เงยหน้ามองหลงหยาง ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หลงหยางรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง จึงตอบไปอย่างจนปัญญา “ได้ ได้ ได้…”
ความจริงประการหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าอย่างจนใจ
ในแง่เสน่ห์ของตัวละคร สไปเดอร์แมนนั้นน่ารักจริงๆ การสร้างภาพลักษณ์ของฮีโร่พลเรือนประสบความสำเร็จ เซี่ยนอวี๋ทำในส่ิงที่ตรงกันข้าม และได้รับผลสัมฤทธิ์อย่างงดงาม
ขณะเดียวกัน
ผู้ช่วยของหลงหยางก็ลุกขึ้นปรบมือเช่นกัน
เสียงของภรรยาดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “มารอดูกันว่าอีกสักพักจะมีหน้ากากสไปเดอร์แมนขายไหม…”
แปะ
เสียงปรบมือหยุดลงกะทันหัน
ผู้ช่วยทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ มองภรรยาของเขาอย่างโกรธเคือง
หน้ากากของหลานหลิงอ๋องยังไม่พออีกหรือ!
……
มีคนไม่มากที่สังเกตเห็นฉากนี้
เสียงปรบมือยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับการถกเถียงซึ่งเกิดขึ้นเรื่อยๆ
“สไปเดอร์แมนเท่มากเลย!”
“ผมชอบเขามาก!”
“ฉากที่ขวางรถไฟน่าตื่นเต้นจริงๆ !”
“ตอนที่ลุงตายนี่ทำร้ายจิตใจกันเกินไป”
“พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง เห็นชัดๆ ว่าหนังตลกมาก แต่พอดูถึงฉากนี้แล้วน้ำตาไหลเลย หนังเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก”
“นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุด!”
“รู้สึกว่าสไปเดอร์แมนต่างจากซูเปอร์ฮีโร่ในภาพจำของผม ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ มีเป้าหมายคือมวลมนุษยชาติ ส่วนสไปเดอร์แมนเหมือนอยู่รอบตัวเรามากกว่า”
“ฉากเรียกน้ำตาของจริงคือสไปเดอร์แมนตัวจิ๋วต่างหาก”
“สมแล้วที่เป็นเซี่ยนอวี๋!”
“เซี่ยนอวี๋ต่อให้สร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่ ก็ยังทำออกมาได้แตกต่างจากคนอื่น!”
“พระเอกก็เล่นได้ไม่เลวเลย เป็นนักแสดงหน้าใหม่เหรอ?”
“แสดงได้ดีเลยละ ฉันชักจะชอบเขาแล้ว”
“…”
ผู้ชมเดินออกจากโรงฉาย พลางสนทนากันไป
บางคนท้องเริ่มหิว จึงไปหาร้านอาหาร
ในขณะนั้น
จู่ๆ ก็มีคนชี้ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง “ดูนั่น นั่นมันสไปเดอร์แมนใช่ไหม?”
ไกลออกไป
ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘เยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟ’ มีสแตนดีสไปเดอร์แมนตั้งอยู่หน้าร้าน
ถ้าหากไม่เคยดูสไปเดอร์แมนมาก่อน เมื่อเห็นสแตนดีนี้ คงต้องสับสนกันบ้าง
ทว่าผู้ชมซึ่งเคยดูสไปเดอร์แมน ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันทีที่เห็นธีมของร้าน!
“กินร้านนี้แหละ!”
ทุกคนเดินเข้าไปในร้านอย่างอดใจไม่ไหว
และในร้านอาหารแห่งนี้ ก็เป็นธีมสไปเดอร์แมนทั้งร้าน
มีการติดโปสเตอร์บนผนัง ทำให้ผู้ชมรู้สึกราวกับเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ และเข้าสู่บรรยากาศของภาพยนตร์อีกครั้ง…
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในสถานที่หลายแห่ง
ขณะนั้นเอง
ซุนเย่าหั่วก็เดินออกจากโรงภาพยนตร์เช่นกัน
หนังของรุ่นน้องสนุกจริงๆ !
เขาพยักหน้า ก่อนจะก้มมองโทรศัพท์ และพบว่ากลุ่มของร้านกำลังคึกครื้นเป็นพิเศษ
‘วันนี้ขายดีสุดๆ !’
‘มีลูกค้าหลายคนสั่งหม้อไฟรูปสไปเดอร์แมน!’
‘สาขาคุณมีด้วยเหรอ?’
‘แน่นอน สั่งทำไว้ล่วงหน้า ยากมากหรือ?’
‘อย่าเลียนแบบคำพูดของโฮล์มส์ ขอร้อง!’
‘ลูกค้าสาขาฉันกินเสร็จก็ไปถ่ายรูปหมู่กับโปสเตอร์หนึ่งกรุบ!’
‘หัวหน้าเจ๋งมากเลย!’
‘หัวหน้ามีแนวคิดทางการตลาด มองการณ์ไกลอยู่เสมอ!’
‘เป็นอัจฉริยะทางธุรกิจโดยแท้!’
‘เมื่อพูดถึงการใช้ประโยชน์จากกระแสตลาด หัวหน้ายอดเยี่ยมตลอดกาล!’
‘…’
ซุนเย่าหั่วสีหน้าสับสน
การตลาดอะไร?
อัจฉริยะทางธุรกิจอะไร?
ซับซ้อนขนาดนั้นซะที่ไหน ฉันก็แค่อยากสนับสนุนหนังของรุ่นร้องเท่านั้นเอง
ปีเตอร์ดูเหมือนจะหลงลืมพลังของตนไปแล้ว เขาสารภาพรักกับผู้หญิงที่เขาชอบแล้วด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์นั้นไม่เลว
เขานัดเดตกับผู้หญิงชื่อว่าเกว็น
ทว่า…
ขณะที่กำลังจะออกไป สไปเดอร์แมนก็เห็นข่าวในโทรทัศน์
กรีนก็อบลินปรากฏตัวอีกแล้ว
เขาทำลายเมืองอย่างไม่ไยดี
ความตื่นตระหนกกระจายออกไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ตำรวจก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวของกรีนก็อบลิน เสียงร่ำไห้ดังระงมดังมาจากฝูงชน…
ชั่วขณะนั้น
จู่ๆ สไปเดอร์แมนก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับลุง
“พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”
ทันใดนั้นเขาจึงเปิดลิ้นชักซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น มองไปยังชุดสไปเดอร์แมนซึ่งเขาไม่ได้ใส่มาเป็นเวลานาน
ขณะเดียวกัน
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ผู้หญิงซึ่งปีเตอร์นัดเดตมองดูนาฬิกาข้อมือบ่อยครั้ง สุดท้ายก็ส่งข้อความหาปีเตอร์อย่างทนไม่ไหว
ปีเตอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางชุดกลับไป
เขาอยากออกเดต
พล็อตเรื่องช่วงนี้สั้นมาก แต่ผู้ชมคล้ายกับรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของปีเตอร์
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนคิดว่าปีเตอร์จะไปออกเดตกับหญิงสาวคนโปรด ทันใดนั้นเองร่างสีแดงก็พุ่งออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของเขา
สไปเดอร์แมนนั่นเอง!
สุดท้ายเขาก็ละทิ้งการออกเดต!
ชั่วขณะนั้น เสียงเชียร์ลั่นดังไปทั่วทั้งโรงฉาย!
แม้ว่าเขาจะวางแผนการเดตนี้ไว้นานแล้วก็ตาม
แม้ว่าเขาจะตั้งตารอช่วงเวลานี้มากก็ตาม
แม้ว่าเขาจะชอบผู้หญิงคนนี้มากก็ตาม
แต่กรีนก็อบลินทำลายเมือง ทำให้ผู้คนตกอยู่ในความสิ้นหวัง เขาจึงเลือกที่จะลุกขึ้นสู้
เรียบง่ายไหม?
เรียบง่ายสุดๆ !
สะใจไหม?
สะใจสุดๆ !
อารมณ์ของผู้ชมถูกปลดปล่อยโดยสมบูรณ์!
ในเวลานี้ รถไฟซึ่งถูกกรีนก็อบลินทำลายได้สูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่ผู้คนในรถไฟกำลังตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง สไปเดอร์แมนก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า
“นั่นเขา!”
“สไปเดอร์แมน!”
“สไปเดอร์แมนกลับมาแล้ว!”
“…”
ร่างสีแดงปรากฏตัวขึ้น!
ความคาดหวังปรากฏในแววตาของผู้คน เช่นเดียวกับผู้ชมหน้าจอฉาย!
แต่ว่า…
ยามที่ใยแมงมุมไม่อาจหยุดยั้งรถไฟซึ่งสูญเสียการควบคุมได้ และกำลังจะพลังทลายอย่างสูญเปล่า ความหวังในแววตาของผู้ชมก็กลับกลายเป็นความสิ้นหวังอีกครั้ง
จากมุมมองของสไปเดอร์แมน
เส้นทางนับไม่ถ้วน และความเร็วสูง
หน้ากากของเขาได้รับความเสียหายจากการสู้รบ
หลังจากนั้นเขาจึงถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง !
ไม่ทันไร
ร่างของสไปเดอร์แมน ก็ปรากฏขึ้นที่หัวรถไฟ
ท่ามกลางการจ้องมองด้วยความสิ้นหวังของทุกคน เขาใช้ใยแมงมุมคว้าตึกทั้งสองข้าง!
ขวับๆๆ !
ใยแมงมุมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างหนาแน่นและรวดเร็ว คว้าอาคารสูงจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งสองด้าน พลังของรถไฟแทบฉีกร่างของสไปเดอร์แมนออกเป็นชิ้นๆ
เขาคิดจะหยุดรถไฟซึ่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยใช้ร่างกาย!
ภายใต้แรงกระตุ้นอันน่าสะพรึงกลัว
สไปเดอร์แมนกำใยแมงมุมนับไม่ถ้วนไว้ในมือ เสื้อข้าของเขาขาดวิ่น ตั้งแต่แขนเสื้อแผ่ขยายไปยังหน้าอก ขาของเขายึดกับรางรถไฟ ทว่ารางรถไฟแต่ละเส้นก็หักครึ่งพร้อมกับเกิดสะเก็ดไฟมากมาย!
รถไฟไม่ได้หยุดลง!
ผู้ชมทั้งโรงละครส่งเสียงอุทานออกมา!
ฉากนี้ชวนตกตะลึงเหลือเกิน!
ผู้ชมสั่นสะท้านไปตามกัน!
มีคนถึงกับร้องออกมาอย่างทนไม่ไหว!
เขาใช้แรงของตนเองขวางอยู่ด้านหน้ารถไฟ ความทนทานของใยแมงมุมแตะถึงขีดจำกัด และร่างกายของสไปเดอร์แมนก็แตะถึงขีดจำกัดเช่นเดียวกัน!
ประหนึ่งตั๊กแตนไปขวางรถ
เขาไม่ได้เลือกยอมแพ้
ผู้คนในรถม้าแทบทนดูต่อไปไม่ไหว นี่คือพลังที่สามารถฉีกร่างมนุษย์ได้เป็นสองซีก
รถไฟส่งเสียงดัง!
ชุดของสไปเดอร์แมนขาดกระจาย!
!ประกายไฟนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา!
เขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว การหยุดขบวนรถไฟนั้นเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
ในที่สุด
รถไฟก็หยุดลง
ณ สุดขอบของท้องทะเล
ร่างกายของสไปเดอร์แมน ร่วงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
มือยื่นออกมาจากรถ คว้าร่างของเขาซึ่งกำลังร่วงลง
เสียงดนตรีเงียบลง
เสียงในขบวนรถไฟเงียบลง
ผู้คนต่างยกมือขึ้นมา ยกสไปเดอร์แมนซึ่งหมดสติขึ้นเหนือศีรษะ แล้ววางเขาลงบนพื้นราบ
มีบางคนกำลังร่ำไห้
“เขาช่วยชีวิตพวกเรา”
“เขาช่วยชีวิตทุกคน”
“ทั้งที่เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง”
“อายุใกล้เคียงกับหลานชายฉันเลย”
“…”
ไม่ว่าจะเป็นคนชรา ผู้หญิง ผู้ชาย หรือเด็ก ทุกคนต่างมองไปยังสไปเดอร์แมน ในแววตาของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและเจ็บปวด
ในที่สุดปีเตอร์ก็ตื่นขึ้น
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หยิบหน้ากากสไปเดอร์แมนซึ่งขาดหลุดรุ่ยมายื่นให้เขา
“ขอบคุณ”
เขาลุกขึ้น สวมหน้ากาก และออกจากรถไป
……
ทันใดนั้นหลงหยางก็ได้ยินเสียงสะอื้นอยู่ด้านข้าง
เขาหันไป จึงเห็นว่าเสี่ยวหู่ลูกชายกำลังร้องไห้ เขาจึงรีบยื่นกระดาษทิชชูให้
ภาพนี้สะเทือนใจเหลือเกิน เมื่อครู่แม้แต่เขาก็รู้สึกขนลุกเช่นกัน ไม่มีฉากสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อลังการงานสร้าง มีเพียงร่างกายซึ่งขวางอยู่หน้ารถไฟ หยุดรถไฟด้วยราคาของร่างกายซึ่งถูกฉีกเพราะความเฉื่อย!
ความตื่นตระหนกของฉาก…
มาจากเสียงสะท้อนอันทรงพลังของความรู้สึก!
อีกด้านหนึ่ง
ผู้ช่วยเริ่มปลอบใจภรรยาซึ่งกำลังร้องไห้
สไปเดอร์แมนได้รับบาดเจ็บ
เขากลับไปรักษาอาการบาดเจ็บที่บ้าน แต่กลับยังต้องคอยปกปิดไม่ให้ป้ารู้ นั่นยิ่งทำให้ผู้ชมปวดใจ
อีกด้านหนึ่ง
การทำลายล้างของกรีนก็อบลินยังคงดำเนินต่อไป
กรีนก็อบลินถึงขั้นสร้างหุ่นเกราะพลังกลให้กับอันธพาลคนหนึ่งด้วย
ปรากฏว่าอันธพาลคนนี้ใช้หุ่นเกราะนี้สร้างความเสียหายไปทั่วทุกที่
ตำรวจรวบรวมกำลัง
ในเวลานี้มีเด็กคนหนึ่งพุ่งเข้าไป
เด็กคนนี้สวมชุดสไปเดอร์แมนขนาดย่อส่วน ร่างเล็กกระจิริดยืนขวางอยู่ด้านหน้าหุ่นเกราะนี้
อันธพาลในหุ่นเกราะตกตะลึง
แม่ของเด็กน้อยกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง
ทว่าเด็กน้อยกลับทำท่าทางต่อสู้ มีผู้ชมบางคนจดจำได้ว่าเด็กคนนี้เคยได้รับความช่วยเหลือจากสไปเดอร์แมนมาก่อน
“ฮ่าๆๆๆ …”
อันธพาลในชุดเกราะหัวเราะลั่น ฉากนี้ออกจะตลกขบขันอยู่บ้าง
ทว่าผู้ชมกลับหัวเราะไม่ออก
แม้แต่เด็กคนนี้ก็ยังรู้ที่จะปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า แม้ว่าท่ามกลางผู้คนมากมาย เด็กคนนี้จะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ตาม…
หุ่นเกราะปิดลง
อันธพาลกำลังจะฆ่าคนแล้ว
ในเวลานี้ หลายคนส่งเสียงร้อง
และแล้วร่างสีแดงก็กลับมาอีกครั้ง
สไปเดอร์แมนกลับมาแล้ว!!!
ในเวลานี้ ทุกคนผุดยิ้มออกมา
สไปเดอร์แมนได้สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับผู้คนโดยไม่รู้ตัว
ในฉาก
แม้แต่ตำรวจซึ่งไม่ค่อยชอบใจสไปเดอร์แมนสักเท่าไหร่ ถึงกับผุดยิ้มออกมา…
“เฮ้ สไปเดอร์แมน ทำได้ดีมาก…ที่เหลือฉันรับไม้ต่อเอง…”
สไปเดอร์แมนเอ่ย ก่อนจะแตะมือกับเด็กน้อย หลังจากส่งอีก ฝ่ายกลับไปยังฝูงชน ส่วนตนเองบุกเข้าไป!
ผู้ชมบางคนคลี่ยิ้มทั้งที่ดวงตายังคงแดงก่ำ
ภาพของเด็กคนนี้ซึ่งสวมชุดสไปเดอร์แมนและยืนอย่างกล้าหาญต่อหน้าวายร้ายเรียกน้ำตาได้ดีทีเดียว
สไปเดอร์แมนมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมายโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นเป็นฉากต่อสู้ทั้งหมด
เมื่อสไปเดอร์แมนเอาชนะหุ่นเกราะได้ กรีนก็อบลินก็ตามมาถึงแล้ว สงครามครั้งใหญ่อันน่าตกตะลึงเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย
สงครามในครั้งนี้กินเวลาไปแปดนาทีเต็มๆ
ฉากสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เกือบทั้งหมดในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำเสนอในฉากนี้
การออกแบบฉากสุดอลังการ!
การทำลายล้างอันตื่นตาตื่นใจ!
ทั้งสองฝั่งโรมรันพันตูอย่างไม่ออมมือ!
ผู้ชมรู้สึกสะใจเหลือเกิน!
เนื่องจากการหักมุมเหนือความคาดหมาย ท้ายที่สุดแล้วกรีนก็อบลินก็ตายด้วยน้ำมือของสไปเดอร์แมน แต่สไปเดอร์แมนก็สูญสิ้นพลังไป ล้มลงบนซากปรักหักพังหลังการต่อสู้
“จับเขาเลย!”
“จับสไปเดอร์แมนมา!”
เสียงของผู้บัญชาการตำรวจดังขึ้นด้วยความตื่นเต้นผ่านวิทยุสื่อสาร
“ขออภัยครับหัวหน้า เขาหนีไปแล้ว”
ตำรวจต่างมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่ากำลังแสร้งทำไขสือ
สไปเดอร์แมนฟื้นขึ้นมา มองไปยังบรรดาตำรวจซึ่งเห็นเขาแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น กระวีกระวาดออกมาจากบริเวณนั้น
เขาสับสน
ทำไมตำรวจถึงไม่จับตน
ทันใดนั้นเอง โดยรอบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น ฝูงชนกู่ร้อง
“สไปเดอร์แมน!”
“สไปเดอร์แมน!”
“สไปเดอร์แมน!”
ผู้บัญชาการตำรวจตวาดสั่นด้วยความเดือดดาล “เขาอยู่ข้างหลังพวกคุณไงล่ะ!”
ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดขยับตัว
แม้ว่าสไปเดอร์แมนจะอ่อนแรงมากจนใครก็จับเขาได้อย่างง่ายดายก็ตาม
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้ชมบนบลูสตาร์ได้รับชมภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะของภาพยนตร์ตลก!
ด้วยแนวโน้มของความรู้สึกแปลกใหม่นี้เอง ผู้ชมในโรงฉายจึงรับชมภาพยนตร์กันอย่างได้อรรถรส!
หลงหยางมั่นใจเหลือเกิน
ว่าทุกคนชื่นชอบเรื่องราวจนถึงตอนนี้
สไปเดอร์แมนเป็นคนฉลาดและช่างพูด คุณสมบัติทั้งสองประการนี้ชวนให้ผู้คนชื่นชอบ
แต่หากอาศัยบรรยากาศตลกขบขันเบาๆ มาสร้างตัวละคร คงจะดูตื้นเขินเกินไป?
ในเมื่อเซี่ยนอวี๋สามารถคิดได้ถึงขั้นเดินสวนทาง สร้างซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งสวมเปลือกนอกของความตลกขบขัน เขาคงขบคิดเรื่องนี้มาแล้วสินะ?!
แกนหลักของสุขนาฏกรรม ควรมีองค์ประกอบของโศกนาฏกรรม…
เป็นดังคาด
ในการดำเนินเรื่องต่อจากนั้น ไม่ได้มีเพียงความสนุกสนานและตลกขบขันอีกต่อไป
ในโรงเรียน
เนื่องจากถูกเพื่อนร่วมชั้นยั่วยุ ปีเตอร์จึงใช้พลังของคนเอง สั่งสอนให้อีกฝ่ายหลาบจำ
วันรุ่งขึ้น
ลุงของปีเตอร์ ซึ่งเป็นคนชราธรรมดา ได้สนทนากับปีเตอร์อย่างลึกซึ้ง และยังกล่าวถึงการต่อสู้ของปีเตอร์กับใครบางคนที่โรงเรียน เขาพูดกับปีเตอร์อย่างจริงใจว่า “ในบางครั้ง พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”
ไม่ต้องบอกก็รู้
ว่าบทสนทนานี้ไม่ได้ราบรื่นนัก ปีเตอร์คิดว่าลุงของเขาจู้จี้จุกจิกเกินไป เป็นอีกฝ่ายยั่วยุตนเองก่อน เป็นวัยรุ่ยคือช่วงวัยที่เลือดร้อนกันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เขามีพลังแข็งแกร่งไว้ในครอบครอง
ลุงกล่าวอย่างจนใจ “ลุงไม่ใช่พ่อของเธอ…”
ปีเตอร์รู้สึกประหนึ่งถูกยั่วโมโห “งั้นลุงก็อย่าแสร้งทำตัวเป็นพ่อผมหน่อยเลย!”
สีหน้าของลุงผิดหวัง “ก็ได้…”
ปีเตอร์อ้าปากพะงาบ รู้สึกเสียใจกับคำพูดขณะบันดาลโทสะของตน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขากลับไม่ได้อธิบาย อันที่จริงในใจเขา ลุงไม่ได้ต่างกับพ่อเลย
ตกเย็น
ปีเตอร์เข้าร่วมการแข่งขันมวยปล้ำใต้ดินเพื่อระบายความโกรธ
ที่บ้าน
ลุงเห็นว่าปีเตอร์ยังไม่กลับบ้าน จึงนึกถึงบทสนทนาอันอึดอัดเมื่อช่วงกลางวัน เขาอดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ จึงรีบออกไปตามปีเตอร์ซึ่งกับบ้านช้าเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลย
ปีเตอร์เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด แต่เมื่อปีเตอร์ชนะการแข่งขัน แต่กลับถูกทางผู้จัดงานตลบหลัง
ในประกาศบอกว่าผู้ชนะจะได้รับรางวัล 50,000 หยวน!
แต่ผู้จัดกลับหาข้ออ้างต่างๆ นานา และมอบเงินรางวัลให้สไปเดอร์แมนเพียง 5,000 หยวน
ปีเตอร์อยากเถียง
แต่ผู้จัดกลับชี้ไปยังประโยคสุดท้ายในป้ายประกาศว่า ‘สิทธิ์ในการตีความทั้งหมดเป็นของผู้จัดงาน’
ประโยคนี้ช่างกำกวมเหลือเกิน
ผู้ชมบางคนแสดงสีหน้าโกรธเคือง
เห็นได้ชัดว่า
หลายคนเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ในชีวิตจริง
ปีเตอร์อยากต่อยอีกฝ่าย ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ปีเตอร์คงทำโดยไม่ลังเล แต่หลังจากกำหมัดแน่น ปีเตอร์ก็อดกลั้นไว้ได้ในที่สุด
‘พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’
สุดท้าย แล้วคำพูดของลุงก็มีผลกระทบกับเขา ไม่ได้ใช้พลังของตนในทางที่ผิด
ในเวลานี้เอง
มีหัวขโมยคนหนึ่งปรากฏตัว และขโมยเงินจากผู้รับผิดชอบไปหมดเกลี้ยง
ผู้รับผิดชอบขอร้องให้ปีเตอร์ช่วย ปีเตอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายสมควรได้รับผลกรรม
ถึงอย่างไรก็ยังมีความคับข้องใจที่ต้องระบาย
หลังจากออกจากเวทีมวยปล้ำใต้ดิน ปีเตอร์กำลังจะกลับบ้าน ทว่าทันใดนั้นเองเขากลับได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาแต่ไกล
เขาวิ่งไปตามสัญชาตญาณ
แต่ถึงกระนั้น เมื่อปีเตอร์เห็นผู้เคราะห์ร้าย เขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด!
ลุงของเขาถูกยิง!
“ไม่นะ….”
ปีเตอร์รู้สึกสับสน เขากำมือของลุงไว้แน่น
ลมหนาวพัดเข้าปากเขาประหนึ่งใบมีดคมกริบ น้ำตาของเขารินไหลอย่างเงียบเชียบ
“ปีเตอร์…”
ช่วงเวลาที่ลุงเห็นปีเตอร์ เขากำลังจะสิ้นใจ
มือซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งอายุขัย จับมือของปีเตอร์ไว้แน่น และสุดท้ายมือก็หล่นลงไปอย่างอ่อนแรง
ทั้งโรงภาพยนตร์
ล้วนเงียบกริบ
เสียงหัวเราะในโรงฉายเงียบลงเป็นครั้งแรก ฉากนี้เศร้ามาก นี่เป็นครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ลิ้มลองรสชาติของความเงียบสงัด
“คนร้ายหนีไปทางถนนหมายเลขห้า ขอกำลังตำรวจสกัดจับ”
ทางตำรวจรุดมาถึงแล้ว และพูดกับวิทยุสื่อสาร
ปีเตอร์ชำเลืองมองลุงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังถนนหมายเลขห้า
เขาต้องการแก้แค้น!
ฉากนี้ไม่มีคำพูด ปีเตอร์กลายเป็นสไปเดอร์แมน ทะยานไประหว่างตึกต่างๆ จนท้ายที่สุดก็จับตัวคนร้ายได้สำเร็จ
แต่ว่า…
ทันทีที่เขาเห็นหน้าคนร้าย กลับรู้สึกราวกลับโลกทัศน์ของเขาพังลง!
“นี่มันหัวขโมยคนนั้น!”
ทันใดนั้นก็มีผู้ชมอุทานขึ้น
คนที่สังหารลุงของเขา ก็คือหัวขโมยก่อนหน้านี้
ระหว่างที่เขากำลังปล้นทรัพย์ ปีเตอร์ไม่ได้หยุดหัวขโมยไว้!
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตายของลุงนั้นเกี่ยวข้องกับปีเตอร์โดยตรง ถ้าหากปีเตอร์หยุดหัวขโมยไว้ ฉากนี้คงไม่เกิดขึ้น
เรื่องนี้โหดร้ายมากสำหรับปีเตอร์!
จนผู้ชมบางส่วนอดรู้สึกสงสารไม่ได้
ไม่มีใครรู้สึกว่าสไปเดอร์แมนเอาแต่ใจ ไม่มีใครเกลียดสไปเดอร์แมนด้วยเรื่องนี้ เพราะใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงจะตัดสินใจเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ปีเตอร์ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
เมื่อตระหนักได้ถึงความจริง
จิตใจของสไปเดอร์แมนแทบพังทลาย
ใน เวลานี้ตำรวจรุดมาถึง แสงไฟนับไม่ถ้วนฉายไปยังใบหน้าของสไปเดอร์แมน สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา ตำรวจเตือนสไปเดอร์แมนว่าอย่าเข้ามายุ่งวุ่นวาย เสียงถกเถียงของผู้คนนับไม่ถ้วนดังระงม…
“ไปตายซะ!”
สไปเดอร์แมนเหวี่ยงคนร้ายลงไปชั้นล่างด้วยความโกรธ
ถ้าหากคนร้ายตกลงมา เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ผู้คนโดยรอบบางคนทนดูไม่ได้ ทว่าสุดท้ายแล้วสไปเดอร์แมนกลับยิงใยแมงมุมออกมารัดตัวคนร้ายไว้ ไม่ได้สังหารอีกฝ่ายโดยตรง
เขายังคงเลือกมอบคนร้ายให้แก่การตัดสินทางกฎหมาย
แต่ตัวเขา กลับเลือกที่จะเงียบ ท่ามกลางความเจ็บปวดครั้งใหญ่
เขาข่มกลั้นความทรมาน ข่มกลั้นหยดน้ำตา ฝืนกลืนผลลัพธ์อันเจ็บปวดในครั้งนี้กลับลงคอ
เขาไม่กล้าพูดความจริงกับป้าด้วยซ้ำไป
หน้าจอ
สายตาของหลงหยางจริงจัง
ฉากนี้ออกแบบได้ดีมาก!
ปีเตอร์เป็นเพียงคนธรรมดาซึ่งได้รับพลังวิเศษขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขามีความกบฏของวัยรุ่น
และคนเช่นนี้เมื่อได้รับพลังวิเศษ อันที่จริงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากยิ่ง
ทว่าการตายของลุง กลายเป็นตัวเร่งให้สไปเดอร์แมนเติบโต
คนหนุ่มสาวจะเข้าใจถึงเหตุผลบางอย่าง ก็ต่อเมื่อต้องจ่ายราคาของความเจ็บปวดมากที่สุด
‘พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’
ประโยคนี้ถ้าหาเอ่ยออกมาเฉยๆ จะกลายเป็นเพียงคำสอนอันจืดชืดจากภาพยนตร์เท่านั้น ผู้ชมไม่มีทางซื้อ ถึงขั้นที่อาจรู้สึกว่าเป็นการบีบบังคับทางศีลธรรม เพราะประโยคนี้ฟังดูศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน
แต่ทว่า…
ในสถานการณ์พิเศษซึ่งเชื่อมโยงกับเหตุและผลของเรื่องราว กลับทำให้ประโยคนี้แฝงไปด้วยความหมายนับไม่ถ้วน
ผู้ชมขบคิดอย่างอดไม่ได้
คำว่า ‘พลัง’ ในที่นี้ อันที่จริงไม่ใช่พลังในความหมายกว้าง แต่เหมือนเป็นประโยคย่อเสียมากกว่า
ยามยากจนทำเพื่อตนเอง
ยามมั่งมีทำเพื่อใต้หล้า
สไปเดอร์แมนเลือกที่จะหายไป
เขาไม่ได้ออกไปทำความดีทั่วทุกทีอีกต่อไป แต่กลับเลือกเป็นนักเรียนธรรมดา บนโลกออนไลน์ปรากฏข่าวมากมายของสไปเดอร์แมน หนังสือพิมพ์รายงานเกี่ยวกับสไปเดอร์แมนนับไม่ถ้วน
การปรากฏตัวของซูเปอร์ฮีโร่เผชิญกับคำวิจารณ์ที่หลากหลาย
ตำรวจกำลังตามตัวสไปเดอร์แมน
ถึงแม้สไปเดอร์แมนจะกำลังทำความดี แต่เขากลับอยู่นอกกฎหมาย นอกจากนั้นยังมีเจตนาจะสังหารคนร้ายด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าคนร้ายคนนี้สังหารลุงของสไปเดอร์แมน
ทุกคนเห็นวิดีโอที่สไปเดอร์แมนทุบตีคนร้าย สไปเดอร์แมนในวิดีโอเต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำลายล้าง นี่คือเหตุผลโดยตรงที่หลายคนไม่ชอบสไปเดอร์แมน
นี่คือเหตุผลที่ควรค่าแก่การพิจารณา
ถ้าหากในความเป็นจริง บุคคลมีอำนาจมากจนไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎหมาย แล้วแม้ว่าบุคคลนี้จะทำความดี ทุกคนจะชอบเขามากขึ้นหรือกลัวเขามากขึ้น?
ในเวลาเดียวกัน
จุดหักมุมครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้น
วายร้ายคนใหม่ปรากฏขึ้นในเมือง วายร้ายในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมา พลังไม่ได้เป็นรองสไปเดอร์แมนเลย
เนื้อเรื่องด้านหน้าคือการเกริ่นการณ์
。วายร้ายคนนี้เป็นประธานกรรมการบริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง เขาเสียสติเนื่องจากวิจัยอาวุธเป็นเวลานาน และในเวลานี้ก็มีพลังทำลายล้างอันน่าทึ่ง
เขายังมีส่วนร่วมในกิจกรรมผิดกฎหมาย
ความสามารถของตำรวจไม่อาจหยุดยั้งคนเลวคนนี้ได้
ไม่ว่าจะชื่นชอบหรือไม่ ผู้คนต่างนึกถึงสไปเดอร์แมนขึ้นมาฉับพลัน บางทีอาจมีเพียงสไปเดอร์แมนซึ่งหายตัวไป ที่มีพลังมากพอจะปราบเจ้าวายร้ายคนนี้ได้…
“จังหวะดีมาก”
หลงหยางพยักหน้า
เขายอมรับว่าการออกแบบนั้นละเอียดอ่อนกว่าภาพยนตร์ของเขา การตายของลุงช่วยปูอารมณ์ของเรื่องราวได้ดีมากจนแทบถ่ายทอดการเติบโตของตัวละครสไปเดอร์แมนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
ด้านขวาของเขา
เสี่ยวหู่ลูกชายมองไปยังหน้าจอใหญ่ด้วยดวงตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หลงหยางรู้ว่าลูกชายกำลังเฝ้ารออะไร
หลงหยางรู้ว่า ไม่ใช่เพียงเสี่ยวหู่ที่เฝ้ารอ ผู้ชมทุกคนต่างเฝ้ารอ
เฝ้ารอว่าสไปเดอร์แมนจะฮึดสู้อีกครั้ง!
เฝ้ารอว่าสไปเดอร์แมนจะกลับมาในฐานะฮีโร่เพื่อปกป้องเมืองนี้อีกครั้ง!
ในโรงภาพยนตร์สักแห่งหนึ่ง
หลงหยางพาเสี่ยวหู่ลูกชายออกมาดูภาพยนตร์
นอกจากสองพ่อลูกแล้ว ผู้ช่วยของหลงหยางและภรรยาของผู้ช่วยก็มาเช่นกัน
“ตั๋วสี่ใบครับ!”
ผู้ช่วยแจกจ่ายตั๋วภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนเรียบร้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“เมื่อกี้ไปสำรวจมากครับ เรื่องตำนานมนุษย์มังกรของเรากระแสตอบรับดีมาก ผู้ชมส่วนมากมาเพื่อดูหนังของพวกเรา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย
ไม่ว่าจะในแง่ของเงินทุนหรือรายชื่อนักแสดง เรื่องตำนานมนุษย์มังกรล้วนเหนือกว่า ผู้ชมรู้ว่าควรเลือกอย่างไร
คนที่เลือกดูสไปเดอร์แมน โดยมากมักจะมาจากความชอบส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่นเป็นแฟนคลับของเซี่ยนอวี๋อะไรทำนองนั้น
หลงหยางยิ้มบางพลางพยักหน้า ก่อนจะมองไปยังเสี่ยวหู่ด้วยความกระหยิ่มใจเล็กน้อย
เจ้าหนู ได้ยินแล้วหรือยัง
ภาพยนตร์ที่พ่อสร้างนี่แหละที่ได้รับความนิยมสูงสุด!
ปรากฏว่าเสี่ยวหู่กลับจ้องมองโปสเตอร์เรื่องสไปเดอร์แมนดวงตาเป็นประกาย เอ่ยพึมพำ
“เท่สุดๆ !”
ในโปสเตอร์ใบนี้
สไปเดอร์แมนสวมชุดบอดีสูทสุดคลาสสิก ยืนสองขาแยกจากกัน ทำท่าพ่นไย นี่คือรูปลักษณ์ตามแบบฉบับของสไปเดอร์แมนเมื่อต่อสู้
รอยยิ้มของหลงหยางชะงัก รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่นาน โรงฉายสไปเดอร์แมนก็เริ่มตรวจตั๋ว
กลุ่มของหลงหยางทยอยกันเข้าไปในโรงฉาย และนั่งลงในแถวที่เจ็ดซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะแก่การชมภาพยนตร์
น้ำอัดลมและพ็อปคอร์น
เครื่องเคียงตามมาตรฐานของภาพยนตร์เชิงพาณิชย์
ไม่ต้องให้รอนาน ภาพยนตร์เริ่มฉายแล้ว
ผู้ชมซึ่งกินพ็อปคอร์นดื่มน้ำอัดลมเงียบลงแล้ว สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอขนาดใหญ่
หนังเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย ขั้นแรกแนะนำตัวเอกและความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครรอบตัวเขา
ตัวเอกชื่อปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง
พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขาจึงเติบโตมาในครอบครัวของลุงกับป้า และเป็นเด็กที่มีจิตใจดี
ที่โรงเรียน เขาแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง และเขามีเพื่อนซี้ซึ่งสนิทกันมาก
หลังจากแนะนำเบื้องหลังตัวละคนจบแล้ว ในที่สุดภาพยนตร์ก็มอบสูตรโกงให้กับตัวเอก
ในระหว่างงานนิทรรศการผลงานวิจัย ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ถูกแมงมุมตัวหนึ่งกัด
ระหว่างทางกลับบ้าน ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ผล็อยหลับไป
บนรถไฟฟ้าใต้ดิน มีชายฉกรรจ์ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักคิดจะกลั่นแกล้งเขา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
ปรากฏว่าจู่ๆ เส้นผมของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ซึ่งกำลังหลับก็ชี้ขึ้น ทันใดนั้นเขาลืมตาขึ้น และแทบไต่ขึ้นไปบน…
ผนังรถเมล์?
โดยไม่รู้ตัว…
เมื่อเผชิญกับสายตางุนงงของผู้คนโดยรอบ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ก็สับสนเช่นกัน เขาจึงรีบลงมาทันที
ผู้หญิงด้านข้างพยายามจะผลักเขา เขาจึงหยุดเธอไว้ด้วยมือข้างเดียว ทว่าทันทีที่ผ่อนแรงลง เสื้อผ้าของอีกฝ่ายกลับถูกตัวเอกทำให้ขาดหลุดรุ่ย เหลือเพลงเสื้อผ้าคลุมกายเพียงเล็กน้อย ขนาดใหญ่กว่า…
“ฮ่า!”
ผู้ชมระเบิดหัวเราะออกมา
ฉากต่อสู้ในรถยนต์หลังจากนั้นถ่ายทำได้น่าสนใจมาก
ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ไม่คุ้นเคย ปะทะกับเหล่าอันธพาล
บางครั้งเขาก็เกาะอยู่ด้านบนของรถ บางครั้งก็ห้อยอยู่ที่เสาค้ำรถไฟฟ้าใต้ดิน ปราดเปรียวว่องไวราวกับเป็นแมงมุมตัวหนึ่ง
ส่วนเพลงประกอบทำนองเร่งเร็วแฝงความทะเล้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกร่าเริงและสนุกตาม
“ใช้รูปแบบของหนังตลก?”
หลงหยางตกตะลึงอยู่บ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการใช้รูปแบบของภาพยนตร์ตลกในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่
ประเด็นหลักของซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ โดยมากมักจะเกี่ยวกับการกอบกู้โลกจากความเกลียดชังและทุกข์ทรมาน
ทว่าสไปเดอร์แมนกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลิน!
เซี่ยนอวี๋ใจกล้าจริงๆ !
นี่คือความก้าวหน้าครั้งใหญ่สำหรับรูปแบบของซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ
ผู้ชมจะยอมรับได้ไหม
ผู้ชมยอมรับได้อยู่แล้ว!
เสียงหัวเราะของผู้ชมโดยรอบคือข้อพิสูจน์!
ในพื้นที่แคบๆ ในสถานีรถไฟ ท่วงท่าเท่ๆ และเหนือมนุษย์มนาของพระเอก เมื่ออยู่ภายใต้กล้องซึ่งเร็วบ้างช้าบ้าง ทำให้อรรถรสของตัวละครซึ่งโกลาหลนั้นผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
เสี่ยวหู่กำลังหัวเราะ เขาดูอย่างมีความสุข!
ในใจของหลงหยางพลันเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
เรื่องราวดำเนินต่อไป
ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เริ่มศึกษาความสามารถของตน ขณะเดียวกันก็คิดค้นอุปกรณ์ซึ่งสามารถยิงใยแมงมุมได้
ภาพยนตร์ใช้เทคนิคการตัดต่อเพื่อแสดงให้เห็นถึงกระบวนการทำความคุ้นเคยและประยุกต์ใช้ความสามารถของเขา เมื่อเขาปรับแต่งชุดแมงมุมสีแดงจนสมบูรณ์ และใช้ใยแมงมุมเพื่อเคลื่อนที่ระหว่างตึกสูง ผู้ชมบางคนก็ส่งเสียงเชียร์!
สนุกสุดๆ !
ทำไมซูเปอร์ฮีโร่ถึงได้รับความนิยมอยู่เสมอ
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีพลังซูเปอร์ฮีโร่ที่คนธรรมดาใฝ่ฝันไม่ใช่หรือ?
ทุกคนรู้สึกสนุกมากที่ได้เห็นสไปเดอร์แมนกระโดดไประหว่างตึกต่างๆ พลางช่วยตำรวจลงโทษคนร้าย!
ความเพลิดเพลินนี้ชัดเจนมาก!
และขณะที่ความเพลิดเพลินรุนแรงขึ้น เสียงหัวเราะซึ่งเกิดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จริงจังเช่นกัน!
เพราะนี่คือสไปเดอร์แมน…
พูดเก่งเหลือเกิน!
เจ้านี่ชอบพูดเจื้อยแจ้วขณะต่อสู้ และแต่ละคำพูดล้วนแสดงออกถึงไหวพริบของเขา
กอปรกับการเคลื่อนไหวอันเฉียบคมว่องไว ทำให้คนรู้สึกถึงความเท่ในความซุกซน ในความเท่มีความสนุก ในความสนุกมีความเก่งกาจ!
ถึงอกถึงใจจริงๆ !
เมื่อตำรวจมาถึงช้าอีกครั้ง พวกเขาพบว่าคนร้ายถูกใยแมงมุมแขวนไว้หน้าประตูธนาคารแล้ว
สถานที่แบบไหนกัน ระบบรักษาความปลอดภัยแย่มาก…
“ช่วยด้วย!”
“ผมขอแจ้งความ!”
“ผมจะแจ้งความหมอนั่นที่แกว่งไปแกว่งมาบนกำแพง!”
“…”
หัวขโมยเห็นตำรวจแล้วรู้สึกสนิทสนมยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก!
ผู้ชมดูถึงตรงนี้ ก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันใด บอกว่าสไปเดอร์แมนแกว่งไปแกว่งมาในเมืองนั้นเห็นภาพดีจริงๆ
แต่ขอร้องเถอะ!
พวกคุณเป็นคนร้ายนะ!
พวกคุณจะมาน้อยอกน้อยใจอะไรเนี่ย?
ทว่าเมื่อคิดว่าพวกเขาถูกสไปเดอร์แมนรังแกจนสะบักสะบอม แถมยังต้องทนต่อคำแดกดันและคำพูดเจื้อยแจ้วจำนรรจาของสไปเดอร์แมนอีก จู่ๆ ทุกคนจึงรู้สึกเห็นใจหัวขโมยขึ้นมา…
“หัวหน้า”
ผู้ช่วยมองไปยังหลงหยาง
เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ที่จริงปฏิกิริยาที่ผู้ชมมีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้คึกคักมาก!
ในความจริงแล้ว เขาเองก็รับชมอย่างเพลิดเพลินอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
สไปเดอร์แมนคนนี้เอง แตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่ในภาพจำของเขา
ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ ต้องแบกรับความทรมานจากความเกลียดชัง หรือแม้แต่การสังเวยชีวิต เมื่อมองแวบแรกให้ความรู้สึกของตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งมีเรื่องราวอันสะเทือนใจ
แต่สไปเดอร์แมนล่ะ?
ตลก!
สดใส!
สนุกสนาน!
และเป็นธรรมชาติ!
ทันทีที่อ้าปากมาก็พูดจ้อไม่หยุด!
บางทีเมื่อวานเขาอาจใส่หน้ากาก ออกไปขู่เหล่าคนร้ายในฐานะสไปเดอร์แมน วันรุ่งขึ้นเขาอาจกำลังเค้นสมองอย่างหนักว่าจะเขียนคำตอบลงในข้อสอบอย่างไร และควรสารภาพรักกับสาวที่ชอบอย่างไรดี…
ถ้าหากสไปเดอร์แมนไม่ได้ปกปิดตัวตนไว้ เขาก็คือนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง
และเหมือนกับนักเรียนธรรมดาคนอื่นๆ
ถึงขั้นที่
ต่อให้สไปเดอร์แมนปกปิดใบหน้า เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลังจากเขาต่อสู้กับคนร้ายเสร็จ ก็ยังไปช่วยเด็กซื้อของระหว่างทางได้อีก…
นี่เป็นครั้งแรก!
ทุกคนเกิดความรู้สึกลึกซึ้งต่อซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่ง!
ไม่ใช่ความสูงส่งถึงเพียงนั้น
ไม่มีความขมขื่นและเคียดแค้น
ไม่ใช่ฮีโร่ของมวลมนุษยชาติ และไม่ได้กอบกู้โลก
แต่เขาเหมือนกับเพื่อนบ้านผู้กระตือรือร้นรอบตัวทุกคน ซึ่งมักยินดีช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ!
‘ซูเปอร์ฮีโร่ของคนธรรมดา…’
ในที่สุดหลงหยางก็สังเกตเห็นถึงเจตนาของเซี่ยนอวี๋
เป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนกัน ทุกคนสร้างให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงเรื่องตำนานมนุษย์มังกรของตน
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่สง่างามและทรงพลังขนาดไหนให้มันรู้ซะบ้าง
ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม!
ยิ่งใหญ่โด่ดเด่น!
ต้องช่วยกอบกู้บลูสตาร์อยู่แล้ว!
แต่เซี่ยนอวี๋กลับทำตรงกันข้าม!
คนอื่นใส่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์และฉากอันยิ่งใหญ่ ส่วนสไปเดอร์แมนที่เซี่ยนอวี๋สร้างนี้กลับเล็กลง!
ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นต่อสู้เพื่อชะตากรรมของมวลมนุษยชาติ
ส่วนสไปเดอร์แมนมุ่งมั่นกับการต่อสู้กับคนร้ายในเมืองของคนเอง พล่ามบ่นได้ดังใจปรารถนา แถมยังช่วยเด็กๆ เลือกซื้อของ เขาพยายามช่วยเหลือคนธรรมดาที่เขาเห็นว่ากำลังยากลำบาก ไม่ว่าความยากลำบากนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม…
ความคิดเช่นนี้!
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง !
ขณะเดียวกัน…
ยังหมายความว่า
สไปเดอร์แมนนั้นติด! ดิน! มาก!
สิ่งนี้แทบขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของซูเปอร์ฮีโร่ แต่กลับทำให้ผู้คนดื่มด่ำได้อย่างสมบูรณ์!
ความรู้สึกหัวเสียของหลงหยางเริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!
ช่วงเวลาหลังจากนั้น
ภาพยนตร์เริ่มมีการโปรโมต
และหลินเยวียนสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ห้าอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเดินทางไปยังวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเพื่อสอบปริญญานิพนธ์เป็นครั้งสุดท้าย
ถูกต้อง!
เขาเรียนจบแล้ว!
หลินเยวียนใช้เวลาพักระหว่างการแข่งขันเขียนปริญญานิพนธ์จนเสร็จสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ประเภทนี้สำเร็จด้วยฝีมือการประพันธ์เพลงภายใต้การชี้แนะของหยางจงหมิง กลับเป็นการสอบดีเฟนด์ปริญญานิพนธ์ที่ทำให้หลินเยวียนงุนงง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ อาจารย์ซึ่งรับผิดชอบการสอบในครั้งนี้ไม่ถามคำถามที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่คำถามเดียว มีแต่ถามคำถามสัพเพเหระ สุดท้ายแล้วยังขอลายเซ็นและขอถ่ายภาพร่วมกับหลินเยวียนด้วย ซึ่งหลินเยวียนตอบตกลงทุกคน
และหลังจากนั้น
ถึงเวลาถ่ายภาพวันสำเร็จการศึกษา
นักศึกษาแต่ละสาขาจะถ่ายภาพวันสำเร็จการศึกษาละช่วงเวลากัน เพราะฉะนั้นโดยรอบจึงไม่มีนักศึกษาจากสาขาอื่น ทว่าแม้แต่นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงยังอดส่งเสียงกรี๊ดไม่ได้เมื่อเจอหลินเยวียน
ไม่รู้ว่าใครเริ่มตะโกนออกมาว่า “เซี่ยนอวี๋” …
พรึ่บๆๆ !
ทุกคนต่างตะโกนออกมาว่า “เซี่ยนอวี๋”
ในหมู่นักศึกษาเหล่านี้ เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมชั้น และเพื่อนร่วมโต๊ะของหลินเยวียนดูเหมือนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ สุดท้ายแล้วหลินเยวียนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาถ่ายรูปหมู่ไปกี่ใบ หรือแจกลายเซ็นไปกี่ครั้ง สุดท้ายแล้วแม้แต่อาจารย์และอธิการบดีก็รีบเข้ามาร่วมสนุก และยืนกรานว่าจะร่วมถ่ายภาพวันสำเร็จการศึกษาพร้อมกับนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงให้ได้ ดังนั้นงานถ่ายภาพวันสำเร็จการศึกษาจึงกลายเป็นงานแฟนมีตติงของแฟนคลับหลินเยวียนไปโดยปริยาย ตั้งแต่กระบวนการและผลลัพธ์ล้วนยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
โชคดีที่
ทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้นักข่าวซึ่งรู้ว่าเซี่ยนอวี๋จะกลับมหาวิทยาลัยมารับปริญญาในวันนี้เข้ามา ไมาเช่นนั้นนักข่าวเหล่านั้นคงยิ่งวุ่นวาย เพราะเซี่ยนอวี๋ไม่ได้ปรากฏตัวในงานสาธารณะใดเลยนับตั้งแต่ถอดหน้ากากในรายการราชาหน้ากากนักร้อง กอปรกับที่เขาไม่ชอบให้สัมภาษณ์ ความอยากรู้อยากเห็นที่ภายนอกมีต่อเซี่ยนอวี๋จึงยังไม่ถูกเติมเต็มสักที
เมื่อเป็นเช่นนี้
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อย
หลินเยวียนจึงนั่งรถของกู้ตงกลับบ้าน จู่ๆ กู้ตงก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “คืนนี้ตัวแทนหลินจะไปดูหนังไหมคะ ถ้าจะไปฉันจะได้ช่วยจัดที่นั่งให้”
“ไม่ต้องครับ”
หลินเยวียนรู้ว่าหนังที่กู้ตงหมายถึงคือเรื่องสไปเดอร์แมน วันนี้ไม่ใช่เพียงวันสอบปริญญานิพนธ์และวันถ่ายรูปสำเร็จการศึกษาของเขา ยังเป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายอย่างเป็นทางการด้วย ทว่าหลินเยวียนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ที่บริษัทไปแล้วรอบหนึ่ง ในตอนนี้เขาจึงไม่ได้สนใจนัก ไม่สู้รีบกลับบ้านและพาสุนัขออกไปเดินเล่นดีกว่า
“ได้ค่ะ”
กู้ตงพยักหน้า
ในเวลานี้หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูโมเมนต์บนวีแช็ต และเห็นโพสต์เกี่ยวกับเรื่องสไปเดอร์แมนเป็นจำนวนมาก
ยกตัวอย่างเช่นบนโมเมนต์ของจ้าวอิ๋งเก้อ
[วันนี้มาดูสไปเดอร์แมน]
ภาพที่แนบมาคือตั๋วภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน
ไม่ทันไรเจียงขุยก็โพสต์บนโมเมนต์วีแช็ตเช่นกัน [หนังของอาจารย์เซี่ยนอวี๋เข้าฉายแล้ว ถึงฉันจะไม่มีแฟน แต่ฉันก็ซื้อตั๋วสองใบเพื่อสนับสนุนผลงานของอาจารย์เซี่ยนอวี๋!]
ภาพที่แนบมาคือตั๋วภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนสองใบ
และหลังจากนั้น
เฉินจื้ออวี๋เองก็โพสต์ลงบนโมเมนต์วีแช็ตเช่นเดียวกัน
[วันนี้ดูสไปเดอร์แมน มีใครอยากดูด้วยกันไหมครับมาได้เลย ผมเหมาโรงไว้แล้ว]
ภาพประกอบคือ…
ภาพแคปหน้าจอของการสั่งซื้อตั๋วภาพยนตร์ทั้งโรง
สุดท้ายแล้ว
หลินเยวียนเลื่อนหน้าจอไปเจอโมเมนต์วีแช็ตของซุนเย่าหั่ว
[เพื่อนๆ ที่ดูสไปเดอร์แมนในวันนี้ สามารถใช้หางตั๋วเพื่อรับส่วนลด 40% ที่เยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟทุกสาขา นอกจากนั้นยังสามารถรับบัตรสมาชิกเยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟได้ฟรี ขอเพียงคุณรับชมภาพยนตร์ของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ พวกเราคือเพื่อนกัน!]
ภาพประกอบคือโฆษณาของร้านและคำประกาศบนปู้ลั่ว
ในขณะนั้นรถก็เคลื่อนตัวมาถึงบ้าน หลินเยวียนกดถูกใจให้ซุนเย่าหั่วอย่างไม่คิดมาก ก่อนจะลงจากรถ
……
เมื่อจ้าวอิ๋งเก้อเห็นโมเมนต์ ก็ตกตะลึงไปทันใด
เธอโพสต์เช่นนี้บนโมเมนต์ ก็เพื่อเอาใจเซี่ยนอวี๋
แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อเทียบกับโพสต์ของปลาตัวอื่นๆ แล้ว โพสต์ของเธอจะดูกระจอกงอกง่อยไปทันตาเห็น
“ทุกคนก็เล่นกันแบบนี้เองเหรอเนี่ย?”
เป็นครั้งแรกที่จ้าวอิ๋งเก้อสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ เธอเพิ่งเข้ามาในแวดวงเล็กๆ ซึ่งโคจรรอบเซี่ยนอวี๋ จึงไม่เข้าใจความโหดเหี้ยมของแวดวงนี้
ทว่าตอนนี้ เธอเข้าใจแล้ว
ขณะเดียวกัน
เจียงขุยก็งงเช่นเดียวกัน
ซุนเย่าหั่วน่ะช่างเถอะ แต่ทำไมตอนนี้เฉินจื้ออวี่ถึงได้ช่ำชองขนาดนี้?
สนับสนุนผลงานก็ส่วนสนับสนุนผลงาน…
ทำไมถึงต้องเหมาทั้งโรงด้วย?
คุณประจบได้เก่งกว่าซุนเย่าหั่วหรือไง?
และแน่นอน
คนที่งงที่สุดหนีไม่พ้นเฉินจื้ออวี่
เขาคิดว่าตนเหมาทั้งโรงนั้นเป็นวิธีที่เหนือชั้นแล้ว
แต่เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าซุนเย่าหั่วจะมาด้วยลูกเล่นที่เหนือชั้นยิ่งกว่า!
นี่มันลูกเล่นอะไรกันครับเนี่ย
เดี๋ยวนะ!
ด้านล่างโพสต์ในโมเมนต์ของซุนเย่าหั่ว ถึงกับมีข้อความแจ้งเตือนว่า ‘อาจารย์เซี่ยนอวี๋เพื่อนของคุณถูกใจโพสต์นี้’
เซี่ยนอวี๋กดถูกใจซุนเย่าหั่ว!
เฉินจื้ออวี่ถอนหายใจ
ผู้จัดการด้านข้างเข้ามามองอย่างอดไม่ได้ เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกพิลึก “ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเกิดเดจาวูรุนแรงแบบนี้นะ”
เฉินจื้ออวี่ “อะไร”
ผู้จัดการ “ศึกชิงความโปรดปรานในวังหลังของเซี่ยนอวี๋”
เฉินจื้ออวี่ “ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง?”
ผู้จัดการเบ้ปาก “งั้นจะอธิบายเรื่องที่พวกคุณไม่กดไลก์ให้กันว่ายังไง”
เฉินจื้ออวี่ “…”
เห็นชัดๆ ว่าปลาเหล่านี้โพสต์ไปในทำนองเดียวกัน แต่กลับไม่มีการกดถูกใจให้กันและกัน
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็มีสิ่งที่ผิดปกติ
“พวกเขานั่นและที่มีปัญหา”
เฉินจื้ออวี่เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ในราชาหน้ากากนักร้องเหมือนกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ปรากฏว่าพอรายการจบ ทุกคนก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา!”
ผู้จัดการส่ายหน้า
เขาสัมผัสได้ว่าเฉินจื้ออวี่อิจฉาเล็กน้อย
เฉินจื้ออวี่แอบรู้สึกอิจฉาจริงๆ
ทั้งที่เป็นการประชุมของหมู่ปลา แต่เขากลับตกขบวน!
ต้องเข้าใจก่อน…
ว่าเฉินจื้ออวี่ได้เป็นนักร้องแถวหน้าก่อนใครเพื่อน!
ในบรรดาปลาซึ่งเข้าร่วมรายการ มีเพียงเฉินจื้ออวี่ที่ได้ร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋หนึ่งครั้งหลังจากเป็นนักร้องแถวหน้าแล้ว ทว่าตอนนี้เฉินจื้ออวี่รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกคนอื่นแซงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ได้!
จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!
เฉินจื้ออวี่รู้สึกว่าตนต้องพยายามมากกว่านี้!
ในบรรดาหมู่ปลา เจียงขุยน่าจะได้กลายเป็นราชินีเพลงเร็วที่สุด
เช่นนั้นตนต้องกลายเป็นราชาเพลงก่อนหน้าซุนเย่าหั่วให้ได้!
ในบรรดาปลาเหล่านี้
มีเพียงซุนเย่าหั่ว ที่เปล่งเสียงหัวเราะอันโดดเดี่ยวของยอดฝีมือ พวกนั้นยังตามหลังเขาอยู่อีกไกล
เขาก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ เปิดกลุ่มธุรกิจร้านอาหารของตน ‘เย็นนี้ให้ผู้จัดการแต่ละสาขานำโปสเตอร์เรื่องสไปเดอร์แมนมาติด ในคืนนี้เยี่ยนเยี่ยนเคเทอริง[1] มีธีมสไปเดอร์แมน ต้องออกแบบให้แปลกใหม่และน่าสนใจ!’
‘รับทราบ!’
‘รับทราบ!’
‘รับทราบ!’
ผู้จัดการร้านตอบรับ
ในตอนนั้นเอง มีผู้จัดการสาขาซึ่งเพิ่งเข้ามารับหน้าที่เอ่ยขึ้น ‘หัวหน้าครับ ส่วนลดของพวกเรามากเกินไปหรือเปล่าครับ จากการสำรวจตลาดที่ผมทำ เรื่องตำนานมนุษย์มังกรเหนือว่าหนังของเซี่ยนอวี๋ทั้งในแง่ของเงินทุนและนักแสดงเลยนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดหนังเรื่องนี้ของเซี่ยนอวี๋ไม่ดังขึ้นมา…’
‘จะคิดมากไปทำไมกัน!’
‘คุณไม่สนับสนุนหนังของพ่อเพลงอวี๋เหรอ!’
‘พวกเราสนับสนุนพ่อเพลงอวี๋โดยไม่มีเงื่อนไข!’
‘ขาดทุนแล้วยังไง!’
‘ได้สนับสนุนพ่อเพลงอวี๋ยังไม่พออีกเหรอ’
ผู้จัดการร้านคนอื่นๆ พลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
ซุนเย่าหั่วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเมนชันผู้จัดการคนนั้นกลับไป
‘ทำตามที่บอกก็พอ’
ดังไม่ดังอะไรกัน?
ผู้จัดการคนใหม่คนนี้ไม่ค่อยได้ความ
ในเยี่ยนเยี่ยนเคเทอริงของฉัน เกณฑ์ในการคัดสรรผู้จัดการร้านอาหารคือต้องเป็นแฟนคลับตัวยงของเซี่ยนอวี๋!
หัวข้อในการสัมภาษณ์มีแต่คำถามซึ่งเกี่ยวข้องกับเซี่ยนอวี๋
หมอนี่โกงข้อสอบมาหรือเปล่า
บางทีเขาอาจไม่ได้เป็นแฟนคลับจริงๆ !
เดี๋ยวจะต้องกลับไปตรวจสอบสักหน่อย ถ้าใช้ไม่ได้ละก็จะถอดเขาออกแล้วเปลี่ยนคนใหม่!
ซุนเย่าหั่วลอบจดจำอีกฝ่าย
และในขณะนั้น
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ในโรงภาพยนตร์เริ่มมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
หลังจากโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้บนปู้ลั่วแล้ว
หลินเยวียนจึงติดต่อเหล่าโจว เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้
“น่าจะเป็นเดือนหน้า”
เหล่าโจวบอก “รายละเอียดต้องรอให้บริษัทจัดงานประชุมภาพยนตร์เสร็จแล้วจะกำหนดอีกที แต่มีเรื่องหนึ่งต้องบอกนายสักหน่อย เดือนหน้าจะไม่ได้มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ของเราแค่เรื่องเดียวที่เข้าฉาย”
“มีของใครอีกครับ”
หลินเยวียนเห็นในพื้นที่แสดงความคิดเห็นบนปู้ลั่วก็มีคนพูดเช่นนี้ คงจะเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว
“หลงหยาง!”
เหล่าโจวพูดชื่อนี้ออกมา
หลินเยวียนชะงักไป ชื่อนี้…จริงจังหรือเปล่า?
เหมือนว่าจะจริงจังแฮะ
เพราะเมื่อเหล่าโจวเอ่ยชื่อนี้ สีหน้าของเขาค่อนข้างจริงจัง “หลงหยางก็เหมือนกับนาย มาแนวคนเขียนบทเป็นแกนหลัก เขาเป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง หนังของเขาในครั้งนี้ชื่อว่า ‘ตำนานมนุษย์มังกร’ เงินลงทุนเกือบสามร้อยล้าน นักแสดงนำชายที่เลือกมาคือนักแสดงแถวหน้าอย่างเจียงเหมิ่ง นายคงมองเห็นปัญหาแล้วใช่ไหม เงินทุนของพวกเขาสูงกว่าเรามาก แถมนักแสดงที่พวกเขาเลือกมาเล่นบทพระเอกเป็นนักแสดงแถวหน้า ส่วนพระเอกของเรากลับเป็นนักแสดงหน้าใหม่”
หลินเยวียนพยักหน้า
ที่จริงแล้วในครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะประหยัดเงินจริงๆ หรอก
หนังเรื่องนี้บอกเล่าที่มาของสไปเดอร์แมนเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากมาย
ฉากสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ด้านหน้าเน้นไปที่สไปเดอร์แมนจัดการเหล่าอันธพาลท่ามกลางตึกสูงในเมืองใหญ่
จุดเด่นของสไปเดอร์แมนคือการเป็นฮีโร่พลเรือน
ส่วนปัญหาที่พระเอกเป็นนักแสดงหน้าใหม่…
เดิมทีหลินเยวียนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มาโดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับปั้นเจี่ยนอี้อยู่แล้ว
เพราะหลินเยวียนคิดว่าเวลาที่สไปเดอร์แมนทำท่าทางเท่ๆ ส่วนมากจะสวมหน้ากาก อันที่จริงใช้ใครแสดงย่อมไม่ใช่ประเด็นสำคัญ บนโลกมีการเปลี่ยนสไปเดอร์แมนตั้งหลายเวอร์ชัน แต่กลับไม่มีการต่อต้านจากผู้ชมมากนัก
“ที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ”
เหล่าโจวเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ฉินฉีฉู่เยี่ยนกว้างมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีหนังประเภทเดียวกันออกมาซ้อนกันทุกตาราง เงินทุนของหนังซูเปอร์ฮีโร่ปกติแล้วจะเริ่มที่หนึ่งร้อยล้าน อัตราที่จะเข้าฉายชนกับหนังประเภทเดียวกันนับว่าน้อยแล้ว แต่บางครั้งก็มีชนกันแบบนี้บ้าง”
ขณะนั้น
จู่ๆ เหล่าโจวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างฉับพลัน “แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคู่แข่งมากนัก อย่างน้อยนักเขียนบทอย่างนายก็มีฐานแฟนคลับอยู่ บวกกับนายได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมากในวงการภาพยนตร์มาโดยตลอด เชื่อว่าผู้ชมจะยินดีซื้อแน่นอน พวกเราไม่ต้องคิดจะเอาชนะคู่แข่ง ทุกคนสร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาเพื่อหาเงินไม่ใช่หรือไง”
ความคิดของเหล่าโจวนั้นช่างเรียบง่าย
ไม่จำเป็นต้องแข่งขันว่ายอดบ็อกซ์ออฟฟิศสูงหรือต่ำอะไรเทือกนั้น
ขอเพียงทำรายได้มากพอก็เป็นอันใช้ได้
กอปรกับกระแสหลังจากหลานหลิงอ๋องถอดรูปออกมาเป็นเซี่ยนอวี๋ในรายการราชาหน้ากากนักร้อง ย่อมช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเยวียนดึงดูดผู้คนมาได้นับไม่ถ้วน
“ครับ”
หลินเยวียนคิดว่าไม่มีปัญหา
เหล่าโจวแลดูคล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นได้ จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นายอาจยังไม่รู้ ที่จริงแล้วนายเคยสู้กับหลงหยางมาครั้งหนึ่งแล้ว”
“เหรอครับ?”
หลินเยวียนเอ่ย
เหล่าโจวตอบอย่างยิ้มแย้ม “ตอนนั้นหลงหยางเขียนบทออกมา อยากให้จางซิ่วหมิงมาเป็นพระเอก เดิมทีทางนั้นคิดจะร่วมงานกันอยู่แล้ว แต่หลังจากจางซิ่วหมิงได้อ่านบทเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู เลยกลับไปปฏิเสธทางหลงหยาง”
“อ้อ”
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในวงการภาพยนตร์เป็นเรื่องปกติ หลินเยวียนไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
เย็นวันนั้น
หลินเยวียน อี้เฉิงกง และทีมผู้สร้างดูเรื่องสไปเดอร์แมนซึ่งผลิตเสร็จสมบูรณ์
มีฉากเรียกน้ำตา
มีฉากมันสะใจ
หลังจากหลินเยวียนดูจบก็รู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ความสามารถของอี้เฉิงกงในการถ่ายทำภาพยนตร์ตามบทนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
……
เมืองหลวงของฉินโจว
ในห้องพักผ่อนแห่งหนึ่ง
ผู้ซึ่งดูเหมือนผู้ช่วยมีเอ่ยกับชายวัยกลางคน “อาจารย์หลงหยาง ทางเครือโรงภาพยนตร์ยืนยันว่าภาพยนตร์ของเราจะเข้าฉายวันที่เจ็ดกรกฎาคม แต่ในช่วงเดียวกันยังมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋ และเป็นภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่เหมือนกันด้วยครับ”
ชายวัยกลางคนคนนี้คือหลงหยาง
ทว่าเมื่อหลงหยางได้ยินคำว่าเซี่ยนอวี๋ เขากลับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ช่วงนี้ผมเหมือนจะได้ยินชื่อนี้บ่อยจริงๆ บทหนังเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเขียนได้ดี มิน่าล่ะจางซิ่วหมิงถึงได้ปฏิเสธหนังของผม”
หลงหยางไม่ได้รู้สึกโกรธเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
เดิมทีไม่ได้มีอะไรให้โกรธ
ตอนนั้นจางซิ่วหมิงยังไม่ได้รับปากเขา เพียงแค่บอกว่าจะนำไปพิจารณา ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นอิสระของเขาที่จะเลือกเซี่ยนอวี๋ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นหลงหยางหรือเซี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้นำเรื่องเล็กเช่นนี้มาใส่ใจ
“งั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือ?”
ผู้ช่วยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “นึกไม่ถึงว่าพวกคุณทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากันเป็นครั้งที่สองเร็วขนาดนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้แย่งชิงนักแสดงหรือแข่งรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศกัน ทั้งสองท่านแค่บังเอิญเดินทางภาพยนตร์ที่มีนักเขียนบทเป็นแกนหลักพอดี”
“อืม”
หลงหยางพยักหน้า “สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ผู้ช่วยตอบอย่างแคล่วคล่อง “ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋มีชื่อว่าสไปเดอร์แมน นักแสดงนำเป็นนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ เงินลงทุนประมาณหนึ่งร้อยล้าน”
“เงินลงทุนน้อยนิด”
หลงหยางโล่งใจขึ้น พูดว่าเรื่องสไปเดอร์แมนเงินทุนน้อยนิดอาจฟังดูโอ้อวดอยู่บ้าง แต่สำหรับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ เงินทุนเท่านี้ไม่นับว่าสูงจริงๆ
ภาพยนตร์ซึ่งเข้าฉายในช่วงเวลาเดียวกันมีการแข่งขันโดยธรรมชาติ และถ้าหากเป็นภาพยนตร์ประเภทเดียวกัน การแข่งขันก็ดุเดือดยิ่งขึ้น
ถึงแม้ตลาดจะใหญ่มาก แต่ถ้าคิดจะทำรายได้ถล่มทลายจะต้องโดดเด่น!
โชคดีที่ภัยคุกคามของเซี่ยนอวี๋ไม่ได้ใหญ่นัก
เมื่อเทียบกับทางตนแล้ว ไม่ว่าจะต้นทุนหรือไลน์อัปนักแสดง ยังห่างกันอยู่อีกเป็นโยชน์
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลงหยางไม่ได้กังวลมากนัก
และด้วยเหตุผลบางประการ หลงหยางมีความเข้าใจที่ค่อนข้างลึกซึ้งเกี่ยวกับเซี่ยนอวี๋
เขารู้ถึงความสำเร็จของอีกฝ่ายในวงการเพลง
แต่นี่คือวงการภาพยนตร์
ในวงการภาพยนตร์ เมื่อเทียบกับผู้มีประสบการณ์สูงอย่างหลงหยาง เซี่ยนอวี๋นับว่าเป็นเพียงน้องใหม่ที่เพิ่งผ่านทางมาเท่านั้น
เมื่อนึกถึงจุดนี้
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของหลงหยางก็ดังขึ้น
หลังจากกดรับสาย หลงหยางคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข “ว่าไงลูก อีกสองสามวันไปดูหนังกันดีไหม?”
“ไม่ดูฮะ”
ปลายสายเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย “ตำนานมนุษย์มังกร พ่อพาผมไปดูที่บริษัทแล้วไม่ใช่เหรอ”
หลงหยางเอ่ย “ไม่ใช่ตำนานมนุษย์มังกร”
ลูกชายชะงัก “เรื่องอะไรเหรอ”
หลงหยางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “หนังเรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋ ชื่อว่าสไลเดอร์แมน”
ผู้ช่วยมองหลงหยางด้วยความจนใจ
สไปเดอร์แมนต่างหากครับ!
ไม่ใช่สไลเดอร์แมน!
“เซี่ยนอวี๋?”
เด็กชายปลายสายคล้ายกับตื่นเต้นขึ้นมา “งั้นผมไปดูสไลเดอร์แมน หนังของเซี่ยนอวี๋สนุกมก!”
“งั้นก็ตามนี้”
หลงหยางหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะวางสาย จากนั้นจึงมองไปยังผู้ช่วย “เด็กคนนี้ช่วงนี้ชอบเซี่ยนอวี๋มาก”
“ภรรยาผมก็ชอบ!”
จู่ๆ ผู้ช่วยก็ฉุนเฉียวขึ้นมา ไม่รู้ว่าหงุดหงิดที่ตรงไหน
หลงหยางพูดด้วยความโมโห “สิ่งที่ผมรับไม่ได้มากที่สุด คือลูกผมบอกว่าหนังของเซี่ยนอวี๋สนุกกว่าหนังของพ่ออย่างผม…”
ผู้ช่วยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “คุณไม่ยอมรับเรื่องนี้สินะ”
หลงหยางเบ้ปาก “ให้เขาดูหนังเรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋ ในใจจะได้มีข้อเปรียบเทียบ ในฐานะพ่อ ผมจะปล่อยให้ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับคนนอกได้ยังไง ”
ผู้ช่วย “…”
ความคิดไร้เดียงสานะคุณเนี่ย
ว่าแต่นี่ก็เป็นไอเดียที่ดี หรือว่าฉันพาภรรยาไปดูด้วยดีกว่า?
วันรุ่งขึ้น
ในที่สุดหลินเยวียนซึ่งเผยโฉมหน้าในรายการก็กลับมายังบริษัท ปรากฏว่าทันทีที่เข้ามา เขาก็ได้รับความสนใจจากผู้คน และแน่นอนว่านั่นยังรวมไปถึงการพูดคุยกันเล็กน้อย แต่หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือว่าในอนาคต ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน ก็หนีไม่พ้นความสนใจจากคนอื่น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าเขามีชื่อเสียงมากพอหรือไม่ ดังนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าการถอดหน้ากากในรายการราชาหน้ากากนักร้องไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตของหลินเยวียนมากนัก
เขาไม่ได้สนใจ
เข้าไปในห้องทำงานได้ไม่ทันไร อี้เฉิงกงและคนอื่นๆ ก็มาหาหลินเยวียนถึงห้องทำงาน ทุกคนแสดงความยินดีที่เสียงของเขาฟื้นตัวและเรื่องการคว้าแชมป์ราชาหน้ากากนักร้อง หลังจากบรรยากาศครึกครื้นอยู่สักพักจึงเอ่ยถึงจุดประสงค์ของพวกเขา “สไปเดอร์แมนผลิตเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ถึงเวลาคิดเรื่องตารางเข้าฉายแล้วครับ”
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
นี่คือภาพยนตร์เรื่องที่สี่ซึ่งเขามีส่วนร่วมในฐานะนักเขียนบทแกนหลัก และจัดว่าเป็นภาพยนตร์ซึ่งมีความเป็นเชิงพาณิชย์เข้มข้นที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน เหมาะสำหรับสร้างยอดบ็อกซ์ออฟฟิศเป็นอย่างยิ่ง หลินเยวียนเองก็มีความคาดหวังเช่นกัน
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ
หลังจากนั้นไม่นานกู้ตงก็เดินเข้ามาอย่างมีความสุข เธอเริ่มจากชงชาให้หลินเยวียนอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงเอ่ยถึงเรื่องงาน “เนื่องจากตอนนี้คุณเปิดเผยหน้าตาอย่างเป็นทางการ จึงมีบริษัทหลายแห่งต้องการเชิญคุณไปเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า นอกจากนั้นค่าตัวที่เสนอมาก็สูงกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าคุณสนใจ ฉันจะนำข้อมูลของทางนั้นมาให้คุณดูค่ะ ที่กล่าวไปข้างต้นหมายความว่าถ้าคุณยินดีรับก็รับ ถ้าไม่ยินดีรับก็จะไม่มีใครบังคับให้คุณรับ”
“ไว้ค่อยว่ากัน”
หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการเป็นพรีเซนเตอร์ ในเมื่อตอนนี้เขาเปิดเผยหน้าตาแล้ว ไม่ได้ต่อต้านกล้องและไม่ต่อต้านการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนแล้ว แต่เรื่องเหล่านี้ต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ “นอกจากพรีเซนเตอร์แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกไหมครับ?”
“มีแน่นอนค่ะ”
กู้ตงได้รับการติดต่อมากมายตั้งแต่เมื่อคืน จนกระทั่งวันนี้โทรศัพท์ของเธอยังคงดังขึ้นเป็นครั้งคราว ทุกคนล้วนต้องการร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ “ยังมีรายการวาไรตี แล้วก็พวกรายการประกวดที่ค่อนข้างดังอีกหลายสิบรายการ ต้องการเชิญคุณค่ะ และเนื่องจากเรื่องราวในอดีตของคุณถูกเปิดเผย หนังสือพิมพ์และสื่ออีกหลายแห่งเลยต้องการเชิญคุณไปสัมภาษณ์”
“ปฏิเสธ”
หลินเยวียนไม่ได้สนใจ
เขาไม่ได้ถามถึงค่าตัวด้วยซ้ำไป เพราะเขารู้ว่าจำนวนเงินที่กู้ตงจะพูดนั้นต้องน่าดึงดูดใจมากทีเดียว และแต่ไหนแต่ไรมาหลินเยวียนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีภูมิต้านทานต่อเงินสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามเลยดีกว่า ส่วนเรื่องอดีตของตนนั้น มีคนพูดคุยกันบนโลกออนไลน์มากมาย ตอนนี้ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นบนปู้ลั่วของหลินเยวียนเต็มไปด้วยข้อความปลอบประโลมและให้กำลังใจจากแฟนคลับ…
“ได้ค่ะ”
กู้ตงไม่แปลกใจ
ตัวแทนหลินเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องเพราะใจรักในการร้องเพลง คนอื่นแสวงหาชื่อเสียงและความสนใจ แต่ตัวแทนหลินกลับไม่ได้รู้สึกขาดแคลนสองสิ่งนี้ บางทีงานในอนาคตของตัวแทนหลินอาจจะยังคงเป็นงานเบื้องหลังเป็นหลัก
“จริงสิ!”
กู้ตงพูด “เพลงทุกเพลงที่ตัวแทนหลินร้องในรายการมียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นหลังจากที่คุณเปิดเผยตัวตน คาดว่าคุณจะกลายเป็นนักร้องแถวหน้าได้ในไม่ช้า ถึงแม้เป้าหมายประเภทนี้จะไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณก็ตาม”
ก็ไม่มีความหมายจริงๆ นั่นแหละ
หลินเยวียนไม่จำเป็นต้องแตะถึงระดับนักร้องแถวหน้าในแง่สถิต เขานับว่าเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด ทุกคนล้วนยอมรับว่าเขามีความสามารถระดับราชานักร้อง เช่นเดียวกับที่หลินเยวียนไม่เคยได้รับมงกุฎพ่อเพลง แต่ใครๆ ต่างก็มองว่าหลินเยวียนคือพ่อเพลง เมื่ออิทธิพลของเขาแตะถึงขั้นนั้น สิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ก็สามารถถูกทำลายได้จริง
ยกตัวอย่างจากในโลกเดิม
มุราคามิ ฮารุกิก็ไม่…
ช่างเถอะ
ไม่เอ่ยถึงเรื่องโนเบลก็แล้วกัน
ขอเปลี่ยนเป็นลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ[1]
ต่อให้ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ[2] จะไม่ได้รับรางวัลออสการ์ ก็ไม่กระทบสถานะของเขาในดวงใจของแฟนหนังแต่อย่างใด แน่นอนว่าคงจะดีกว่าถ้าเขาสามารถคว้ารางวัลหรืออะไรสักอย่างได้ เพราะบางคนยังคงให้ความสำคัญกับการยอมรับรางวัลในรูปแบบวัตถุเสมอ นี่คือเหตุผลที่มีการถกเถียงมากมายหลังจากที่ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอคว้ารางวัลออสการ์
“มีอีกเรื่องหนึ่ง”
กู้ตงยิ้มบาง “หน้ากากหลานหลิงอ๋องที่คุณวาด มีบริษัทซื้อลิขสิทธิ์ไปลงทุนผลิต ตอนนี้ยอดขายสูงมาก เห็นบอกว่าหน้ากากรูปแบบเดียวกันของบริษัทหลายแห่งขายจนของขาด นอกจากนั้น ระยะนี้ในวิดีโอสั้นจำนวนมากฮิตใส่หน้ากากของคุณ ที่น่าสนใจก็คือ วันนี้มีโพสต์หนึ่งบนเว็บบอร์ด บอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งขอให้สามีเธอสวมหน้ากากหลานหลิงอ๋องทำเรื่องอย่างนั้นกับเธอ…”
“อย่างไหนครับ”
หลินเยวียนมีสีหน้างุนงง
กู้ตงกระแอมอย่างประหม่า “ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา ผู้หญิงคนนั้นก็ทำเกินไป ขอให้สามีตัวเองสวมหน้ากากของหลานหลิงอ๋องยังไม่พอ ตอนทำอะไรกันยังใช้โทรศัพท์มือถือเปิดเพลงที่คุณร้องในการแข่งขันอีก”
หลินเยวียน “?”
คนเหล่านี้แปลกๆ นะ
หลังจากคุยเรื่องที่น่าสนใจกับหลินเยวียนอยู่สักพัก กู้ตงก็ออกไป หลินเยวียนดื่มน้ำชาอีกอึก ปรากฏว่าหลังจากดื่มน้ำชาคำแรก หลินเยวียนก็รู้สึกว่ารสชาตินั้นผิดปกติ
เมื่อก้มหน้ามอง นอกจากใบชาสีเขียวแล้ว ในถ้วยชายังมีเม็ดสีแดงๆ ขนาดใหญ่อีกเจ็ดแปดเม็ด…
เก๋ากี้?
เกิดอะไรขึ้นกัน
ทำไมในชาของฉันถึงมีเม็ดเก๋ากี้?
เอาเถอะ
เก๋ากี้นี้มาจากซุนเย่าหั่ว
กู้ตงย่อมรู้เรื่องเหล่านี้
เธอได้รับมอบหมายจากผู้คนมากมายให้บำรุงร่างกายของหลินเยวียน…
หลินเยวียนไม่ได้คิดมากเรื่องเก๋ากี้
เขาคลิกเปิดปู้ลั่ว โพสต์ภาพโปสเตอร์เรื่องสไปเดอร์แมน
‘ภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนเตรียมผลิตเสร็จแล้ว โปรดติดตามเร็วๆ นี้’
นี่คือคำโฆษณาอันแสนเรียบง่าย
ปรากฏว่าเพิ่งโพสต์ไปได้ไม่นาน พื้นที่แสดงความคิดเห็นก็แทบระเบิด นี่คือโพสต์แรกของเซี่ยนอวี๋หลังจากถอดหน้ากากในรายการราชาหน้ากากนักร้อง!
บนพื้นที่แสดงความคิดเห็นเต็มไปด้วยคอมเมนต์สารพัดรูปแบบ
บ้างก็บอกให้เขารักษาสุขภาพ บ้างก็บอกให้เขาปล่อยเพลงบ่อยๆ
มีความคิดเห็นต่างๆ นานา ถึงขั้นที่มากกว่าการถกเถียงเกี่ยวกับภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป
โชคดีที่ยังมีคนสังเกตเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่
‘หนังเรื่องใหม่ของพ่อเพลงอวี๋จะออกมาแล้ว’
‘หนังใหม่เป็นแนวซูเปอร์ฮีโร่?’
‘เอ๊ะ?’
‘ถ้าฉันจำไม่ผิด ช่วงนี้ไม่ได้มีแค่เซี่ยนอวี๋ที่ทำหนังซูเปอร์ฮีโร่นะ’
‘พ่อเพลงอวี๋ก็เริ่มทำหนังเชิงพาณิชย์แล้วเหรอ?’
‘หนังซูเปอร์ฮีโร่ผมดูจนเอียนแล้ว เซี่ยนอวี๋ทำหนังตลกดีกว่า แบบถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศอะ’
‘ถังปั๋วหู่นี่คลาสสิก!’
‘หลังจากหนังเรื่องนี้ แมลงสาบทุกตัวมีชื่อว่าเสี่ยวเฉียงเหมือนกันหมด’
‘แค่นั้นที่ไหน หลังจากหนังเรื่องนี้ ทั้งประเทศมีหมาที่ชื่อว่าวั่งไฉเพิ่มขึ้นมามหาศาล’
‘…’
ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่า ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่นั้นไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่สำหรับผู้ชมชาวบลูสตาร์
นอกจากนั้น…
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้จะไม่ได้มีภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่เพียงเรื่องเดียวที่เข้าฉาย?
ความรู้สึกซาบซึ้งนี้ยังคงเวียนวนอยู่ในใจของทุกคน
แฟนคลับซึ่งชื่นชอบเซี่ยนอวี๋ ไม่อาจต้านทานได้เมื่อเผชิญกับฉากเรียกน้ำตาเช่นนี้
หลังจากนั้นมีคนนึกถึงเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์
อย่างที่ควรจะเป็น
‘ถ้าจำไม่ผิดละก็ ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์น่าจะเขียนจากความรู้สึกของหลินเยวียนในช่วงนั้นสินะ’
‘ไม่ผิดแน่’
‘ท่อนคอรัสของเพลงนี้ร้องว่า ฉันคือช่วงเวลาอันเจิดจรัส ฉันคือเปลวไฟที่ผ่านพัดเส้นขอบฟ้า เพื่อให้เธอมองมา ฉันไม่สนใจสิ่งใด
ฉันจะมอดมลายไป ไม่หวนคืนมา…ตอนนั้นน้อยคนจะเชื่อมโยงเพลงนี้เข้ากับความตาย’
ไม่จีรังดั่งหมู่หงส์โบยบิน!
งามตระการเหมือนมวลผกายามคิมหันต์!
ความหมายซึ่งถ่ายทอดผ่านบทเพลงนี้ ที่จริงแล้วคล้ายคลึงกับเพลงเส้นทางธรรมดา แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง
ความแตกต่างอยู่ที่เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์คือการสูญเสียความหวังไป และอยากกลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง
ส่วนเพลงเส้นทางธรรมดานั้นเปิดกว้างมากขึ้น
‘ครั้งหนึ่งฉันเคย’ ในท่อนคอรัสของเพลง ก็คือเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์
แต่นั่นก็เป็นเพียง ‘ครั้งหนึ่งเคย’
ประโยคสุดท้ายว่า ‘เรื่องราวของเธอเป็นอย่างไรแล้ว’ เป็นการแสดงออกถึงความคาดหวังในอนาคต
เพราะเขายังอยู่บนเส้นทางนี้
เขายังคงนำบทเพลงใหม่มาสู่แฟนๆ
ในตอนนี้
หลายคนวางใจลงแล้ว
โชคดีที่สุขภาพของเซี่ยนอวี๋ฟื้นตัว
โชคดีที่เขายังคงสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้
โชคดีที่เขาได้ทำตามความฝันในการร้องเพลงแล้ว
ชั่วขณะนั้น
หลายคนรู้สึกเศร้า
และในการสัมภาษณ์เหล่านี้ ในการถกเถียงกันเหล่านี้ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาอันสั้น
ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ รับรู้เรื่องราวในอดีตอันเปราะบางไปจนถึงสิ้นหวัง ภายใต้แสงเรืองรองของเซี่ยนอวี๋ในฐานะพ่อเพลงตัวน้อย
‘ไม่กล้านึกภาพเลย’
‘ในเนื้อเพลงเหล่านี้ อันที่จริงมีแนวโน้มหนึ่งปรากฏอยู่ เซี่ยนอวี๋คิดสั้นอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน’
‘โชคดีที่เขาไม่ได้ยอมแพ้’
‘ฉันเชื่อว่าสวรรค์ยังคุ้มครองเขาอยู่ โอกาสที่จะฟื้นตัวจากโรคที่รักษาไม่หายนั้นมีน้อยจริงๆ ’
‘ไม่พูดแล้ว ผมจะไปดาวน์โหลดสองเพลงนี้’
‘ที่แท้นี่คือวิธีการเปิดเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’
‘ที่แท้…นี่คือวิธีการเปิดเพลงเส้นทางธรรมดา’
‘ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเซี่ยนอวี๋ถึงใช้เพลงเส้นทางธรรมดาในรอบตัดสิน เพราะมีแค่เพลงนี้ มีแค่เพลงนี้ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเขาในตอนนั้นได้’
‘…’
ถ้าหากเปรียบเทียบด้านความสามารถในการแข่งขันและสถานการณ์ในตอนนั้น เพลงเกินจริงน่าจะมีศักยภาพในการแข่งขันมากที่สุด และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้มากที่สุด!
เพราะฉะนั้นเมื่อเซี่ยนอวี๋ตัดสินใจว่าจะนำอีกหนึ่งเพลงออกมาแข่งกับมหาราชา หลายคนจึงไม่เข้าใจ
ต่อให้ได้ฟังเพลงเส้นทางธรรมดาแล้ว ก็ยังคงไม่เข้าใจ
เพลงนี้ดีมาก
แต่กลับไม่มีพลังเท่าเพลงเกินจริง!
จนกระทั่งทุกคนได้รับรู้อดีตของเซี่ยนอวี๋ ได้รับรู้ทุกสิ่งที่เขาประสบมา จึงได้เข้าใจเพลงเส้นทางธรรมดาอย่างถ่องแท้
‘บางทีเซี่ยนอวี๋อาจไม่ได้สนใจว่าจะแพ้หรือชนะ’
‘การแข่งขันนี้คือความฝันที่เป็นจริง ราชาหน้ากากนักร้องคนสุดท้ายคือรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับเขา ความฝันของเขาเบ่งบาน เขาคือผู้เข้าแข่งขันซึ่งควรค่าแก่การเป็นราชาหน้ากากนักร้องมากที่สุด’
ซีซันหน้าได้โปรดมาเป็นกรรมการตัดสิน!’
‘ไม่ต้องถึงซีซันหน้าหรอก ไม่มีซีซันไหนทำได้เหนือกว่าซีซันหนึ่งที่เซี่ยนอวี๋เข้าร่วมในฐานะหลานหลิงอ๋องแล้ว ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายของรายการ’
ใช่แล้ว
ซีซันหนึ่งกลายเป็นแบบฉบับของรายการ ต่อให้รายการเพิ่งจบลงได้ไม่นาน
หลายคนยังไม่อาจลืมช่วงเวลาที่เซี่ยนอวี๋ถือถ้วยรางวัล และภาพที่พ่อเพลงทั้งห้าขับร้องบทเพลงผืนน้ำเย้ยเยาะ
……
แน่นอนว่าหลินเยวียนก็อ่านการสนทนาบนโลกออนไลน์เช่นกัน
เมื่อเขาเต็มใจถอดหน้ากากต่อหน้ากล้อง เรื่องราวในอดีตซึ่งถูกเปิดเผยจึงไม่ได้มีความสำคัญมากมายอีกต่อไป
ในครั้งนี้
ยังมีผู้คนอีกมากมายตีความเพลงของเขา
และมีเพียงครั้งนี้ ที่ร้อยละแปดสิบของการตีความนั้นถูกต้อง
อย่างน้อยความคิดจิตใจระหว่างกระบวนการเลือกเพลงเส้นทางธรรมดาก็เป็นเช่นนั้น ไม่ต่างจากที่ทุกคนจินตนาการไว้มากนัก หลินเยวียนมีเหตุผลที่จะร้องเพลงนี้ในรอบชิงชนะเลิศ
ในขณะนี้
รถของกู้ตงเคลื่อนมาจอดยังหน้าประตูบ้านของหลินเยวียน
ถึงบ้านแล้ว
หลังจากถอดหน้ากาก หลินเยวียนไม่ได้กลับไปยังบริษัท แต่กลับเลือกกลับบ้าน
เพราะเขารู้ว่าในเวลานี้ คนในครอบครัวคงกำลังรอเขาอยู่
หลินเยวียนลงจากรถ พร้อมกับบอกลากู้ตง
เมื่อหันกลับไป เขาก็เห็นหนานจี๋วิ่งควบมาแต่ไกล แลบลิ้นออกมาราวกับกำลังตื่นเต้น
ด้านหลังหนานจี๋
แม่ พี่สาว และน้องสาวกำลังยืนมองเขาอยู่ที่หน้าประตู
เขาลูบหัวหนานจี๋อย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะก้าวไปด้านหน้า
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
“เสียงพี่หายดีตั้งแต่เมื่อไหร่”
หลินเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัยจากด้านหลังของหลินเยวียน
หลินเยวียนครุ่นคิด เอ่ยว่า “วันที่เธอกินผักน้อยกว่าพี่”
หลินเซวียน “…”
แม่ “…”
หลินเหยาตระหนักได้ทันใด “ที่แท้ก็เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดมกรา!”
จำแม่นขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลินเซวียนคลึงขมับ จากนั้นจึงพูดด้วยความจนใจ “นี่คืออยากเซอร์ไพร์สพวกเรา?”
“เซอร์ไพร์สแบบนี้ใหญ่เกินไป!”
หลังจากแม่ดูรายการจบก็เอาแต่ร้องไห้ จนตอนนี้ดวงตาแห้ง ไม่มีน้ำตาเหลือสักหยด
“ไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าเสียงฟื้นตัวแล้ว?”
หลินเยวียนตอบ “อ้อ เคยบอกหนานจี๋”
“แล้วทำไมหนานจี๋ไม่บอกพวกเราล่ะ! ” หลินเหยาเอ่ยถาม เธอชักจะไม่สบอารมณ์แล้ว “รักพี่หรือรักฉันมากกว่ากัน?”
หนานจี๋ “…”
คำถามนี้ ฉันก็ตอบเธอไม่ได้อยู่ดี
ถึงยังไงฉันก็เป็นหมาตัวหนึ่ง
หมาดารา
หลังจากเข้าไปในห้องรับแขก จู่ๆ แม่ก็เหลือบไปเห็นแกนแอปเปิ้ลบนพื้น “ใครมาแทะแอปเปิ้ลเนี่ย”
หนานจี๋รีบเผ่นหนีไปทันที
พี่สาวพูดกลั้วหัวเราะ “พี่เป็นแฟนคลับของหลานหลิงอ๋อง พูดไปก็แปลกดี ถึงว่าสิครั้งแรกที่พี่เห็นหลานหลิงอ๋องแล้วถึงรู้สึกคุ้นเคย ที่แท้ก็เป็นน้องชายสุดที่รักที่เอง!”
“พี่ชอบหลานหลิงอ๋องตั้งแต่เพลงไม่เคยจากไปต่างหาก”
เหยาเหยาบอก
แม่หัวเราะ เธอคือคนที่รู้สึกคุ้นเคยกับหลานหลิงอ๋องทันทีที่เห็น
ถึงแม้จะจำลูกชายไม่ได้ตั้งแต่เริ่มต้น
“จริงสิ!”
พี่สาวมองไปยังหลินเยวียนด้วยความสงสัย “นายกับเฟ่ยหยางมีความแค้นต่อกัน?”
“ไม่มีหนิ”
หลินเยวียนนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่ามหาราชาคือเฟ่ยหยาง
พี่สาวยิ้ม “งั้นทำไมนายถึงทำให้คนเขาได้ที่สองล่ะ ก่อนหน้านี้นายให้ราชวงศ์ปลาจัดการ ครั้งนี้นายลงมือเองเลย!”
หลินเยวียน “…”
เรื่องนี้เป็นแค่ความบังเอิญ
ใครจะไปคิดว่าเฟ่ยหยางจะเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องในฐานะ ‘มหาราชา’?
ผลปรากฏว่าถึงแม้การแสดงเพิ่งจบลง ในคอมเมนต์ต่างก็เคารพเฟ่ยหยาง และไม่ได้พิมพ์คำว่า ‘สอง’ มากนัก
แต่ว่า
นิสัยรักสนุกของชาวเน็ตยังไม่เคยเปลี่ยนไป
บนโลกออนไลน์
นอกเหนือจากการสนทนานับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเซี่ยนอวี๋
บนพื้นที่แสดงความคิดเห็นของเฟ่ยหยางก็อ่วมไปด้วยคำว่า ‘สอง’
และในขณะเดียวกัน
ในวิลลาซึ่งหรูหราไม่แพ้กันแห่งหนึ่ง
หน้ากากและชุดของมหาราชาถูกวางทิ้งไว้บนโซฟา
เฟ่ยหยางมองไปยังพื้นที่แสดงความคิดเห็นด้วยความสิ้นหวัง “เพื่อให้ฉันเป็นลูกคนรองตลอดกาลต่อไป เขาถึงกับลงมือด้วยตัวเอง!”
“ที่จริงแล้ว…”
ผู้จัดการซึ่งยืนอยู่ด้านข้างลังเลที่จะพูด
เฟ่ยหยางถลึงตาใส่ “มีอะไรก็รีบพูดมา!”
ผู้จัดการเอ่ยอย่างระมัดระวัง “บริษัทเพลงรายใหญ่หลายแห่งในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปทีละบริษัท และมุ่งเน้นไปที่ภาพยนตร์ มีแค่สตาร์ไลท์ที่ทำภาพยนตร์ โดยที่ยังคงให้ความสำคัญกับดนตรี…”
“พูดให้รู้เรื่อง!”
“พอมานึกถึงคำถามว่าลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรกอย่างเฉินจื้ออวี่ถอนคำสาปได้ยังไง บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในข้อมูลอ้างอิงของคุณได้จริงๆ ”
เฟ่ยหยาง “…”
ถ้าสู้ไม่ได้ ก็เข้าร่วมซะเลย?
บนอินเทอร์เน็ต
การถกเถียงเกี่ยวกับเซี่ยนอวี๋ไม่ได้สิ้นสุดพร้อมกับการจบลงของรายการ
แต่กลับมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
หลังจากบรรดานักร้องซึ่งเคยถูกหลานหลิงอ๋องวิจารณ์ได้ออกมาขอโทษบนแพล็ตฟอร์มสาธารณะ
‘น้อมรับคำวิจารณ์ของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ @เซี่ยนอวี๋ เป็นประโยชน์อย่างสูง!’
‘ความคิดเห็นของอาจารย์ @เซี่ยนอวี๋ ทำให้ฉันมีแรงผลักดันในการก้าวไปข้างหน้า!’
‘ขอบคุณอาจารย์เซี่ยนอวี๋ คำวิจารณ์ของคุณทำให้ผมตระหนักถึงข้อบกพร่องของตนเอง @เซี่ยนอวี๋’
‘@เซี่ยนอวี๋ ขอบคุณที่ชี้ทำแนวทางให้ฉัน!’
‘ไม่พูดอะไรแล้ว ขอตัวไปฝึกการหายใจก่อนครับ @เซี่ยนอวี๋ (ชูสองนิ้ว) (สู้ๆ )’
‘@เซี่ยนอวี๋ ผมรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากที่แฟนคลับโจมตีอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ต่อไปนี้จะเข้มงวดกับตัวเองให้มาก และชี้แนะแฟนคลับให้ดี ขณะเดียวกันผมก็ขอน้อมรับคำวิจารณ์ของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ (หัวใจ)’
“……” ‘…’
พรึบๆๆ !
ทุกคนออกมาขอโทษ!
แม้แต่นักร้องบางคนซึ่งได้ขอโทษหลินเยวียนที่ด้านหลังเวทีในรายการไปแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะทบทวนตนเองอีกครั้งต่อหน้าสาธารณชน
ชาวเน็ตสนุกสนานกันยกใหญ่!
พระเจ้าช่วย!
ผู้คนมากมายออกมา…
ไม่สิ
นักร้องแถวหน้ามากมาย มีแม้แต่ราชาราชินีเพลงออกมาขอโทษ?
ต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหน!
คนเหล่านี้นับว่าเป็นแนวหน้าเชียวนะ!
ต่อให้สุ่มเลือกขึ้นมาสักคนก็ล้วนเป็นคนดัง!
บางทีอาจมีเพียงครั้งนี้ ที่ทุกคนจับตาวงการบันเทิงอย่างใกล้ชิด และในอนาคตอาจไม่ได้เห็นฉากเช่นนี้อีก!
เพราะไม่มีบุคคลระดับแนวหน้าคนในอุตสาหกรรมดนตรีที่โง่เง่าพอที่จะล่วงเกินพ่อเพลง
นอกเสียจากว่าพ่อเพลงคนนั้นจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า!
แต่ปัญหาคือ นอกจากคนเพี้ยนอย่างเซี่ยนอวี๋แล้ว ไม่มีพ่อเพลงคนไหนที่สามารถทำได้ทั้งประพันธ์เพลงและร้องเพลงแบบเซี่ยนอวี๋อีกล่ะ?
บนเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง
ชาวเน็ตจอมกวนเอ่ยแซว ‘ฉันจะแปลคำขอโทษของคนดังให้ทุกคนฟังก็แล้วกัน ป่าป๊าเซี่ยนอวี๋ฉันผิดไปแล้ว ป่าป๊ายกโทษให้ฉันเถอะ เป็นความผิดของแฟนคลับทั้งนั้น ไปตีพวกเขาเลย!’
หลายคนพากันระเบิดหัวเราะ
ฉากนี้นับว่าเป็นพล็อตทวิสต์อย่างแท้จริง!
ความปากแซบของเซี่ยนอวี๋ ในเวลานี้กลายเป็นคำชี้แนะไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำสัพยอกเหล่านี้จะเป็นเพียงการล้อเล่นของทุกคน แต่กลับบรรเทาความเกลียดชังได้จริงๆ
ต่อให้เซี่ยนอวี๋เป็นพ่อเพลง ก็ไม่สามารถตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครตามล่านักร้องเหล่านี้อย่างจริงจัง
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีคนเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
อีกทั้งเซี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้ทั้งบนเวทีหรือบนโลกออนไลน์เลย
เมื่อเทียบกันแล้ว
ทุกคนกลับพูดถึงเพลงของเซี่ยนอวี๋กันมากที่สุด
‘เมื่อกี้ฟังเพลงเกินจริงอีกรอบ เพลงนี้ปังจริง พ่อเพลงอวี๋ที่สวมหน้ากากปีศาจของหลานหลิงอ๋องร้องสดได้เท่สุดๆ !’
‘ผมกลับไปฟังเพลงเด็กชาย ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรมาก ตอนนี้รู้สึกว่าเพราะจริงๆ ’
‘ฮ่าๆ ตรงไปอีก เพราะเป็นเพลงที่เซี่ยนอวี๋ร้อง คุณเลยรู้สึกว่าเพราะ’
‘อย่าพูดเหลวไหลน่า เพลงนี้เจ๋งจริง ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกฟิน’
‘อารมณ์ของเพลงผืนน้ำเย้ยเยาะบอกเลยมีแค่เซี่ยนอวี๋ที่ร้องได้!’
‘ผืนน้ำเย้ยเยาะเลยนะ เซี่ยนอวี๋ไม่ได้อยู่ในระดับที่คนธรรมดาจินตนาการได้แล้ว!’
‘…’
นอกจากนั้น
มีคำพูดในรายการบางส่วนของเซี่ยนอวี๋ซึ่งถูกผู้คนนำมาพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘พ่อเพลงอวี๋บอกว่าเสียงพังเพราะปัญหาด้านสุขภาพ เลยเบนสายมาเป็นพ่อเพลง…’
‘หน้าฉันตอนฟังประโยคนี้คือ (⊙o⊙)!!!’
‘ผมจะแปลประโยคนี้ให้ทุกคนฟังเอง ช่วยไม่ได้แฮะ เป็นราชาเพลงไม่ไหว ขอเป็นพ่อเพลงก็แล้วกัน’
‘เซี่ยนอวี๋: ผมไม่ได้อยากเป็นพ่อเพลงจริงๆ นะ!’
‘เซี่ยนอวี๋: เฮ้อ เป็นราชาเพลงไม่ได้แล้ว ไปเป็นพ่อเพลงเล่นๆ ดีกว่า’
‘ถูกบังคับให้มาเป็นพ่อเพลงว่างั้นเถอะ?’
‘…’
แน่นอน
เซี่ยนอวี๋บอกว่าคนเคยมีปัญหาด้านสุขภาพ และเรื่องนี้จึงกลายมาเป็นจุดโฟกัสของใครหลายคน
ทุกคนสัมผัสได้ว่าเซี่ยนอวี๋ลังเลที่จะพูด
เพราะฉะนั้น จึงมีคนไปขุดคุ้ยเรื่องราวของเซี่ยนอวี๋
ปรากฏว่า…
เรื่องราวในอดีตของเซี่ยนอวี๋ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาจริงๆ โดยชาวเน็ตผู้มีพลังอันแข็งแกร่ง!
ในระหว่างการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง
จู่ๆ หมอคนหนึ่งก็ตอบรับการสัมภาษณ์
“ผมคือผู้ชมรายการราชาหน้ากากนักร้อง ตอนที่ผมเห็นหลานหลิงอ๋องถอดหน้ากาก ผมกับทุกคนตกใจมากครับ แต่สิ่งที่ผมตกใจไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาคือเซี่ยนอวี๋ แต่ยังเป็นเพราะเขาเคยเป็นคนไข้ของผม ในตอนนั้นเขาเป็นโรคที่รักษาไม่หาย”
“เป็นโรคที่รักษาไม่หายจริงๆ !”
“ผมไม่ได้ล้อทุกคนเล่น และไม่ได้มีเจตนาจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเซี่ยนอวี๋ เนื่องจากผมติดต่อเซี่ยนอวี๋ และได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว ถึงกล้าพูดเรื่องนี้ออกมา และเหตุผลที่ผมจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนคงเป็นเพราะผมสงสารเขาล่ะมั้งครับ เด็กคนนี้นิสัยดีมาก ใครๆ ก็ชอบเขา เขายังแอบเล่าให้พยาบาลฟังเลยความฝันของเขาคือการเป็นนักร้อง แต่เด็กแบบเขา อายุยังน้อยก็ดัน…”
หมอส่ายหน้า
หมอคนนี้ได้ติดต่อมาหาหลินเยวียนแล้วจริงๆ
หรือพูดให้ชัดคือ ติดต่อแม่ของหลินเยวียนมาแล้ว
หลังจากที่แม่โทรหาหลิน เยวียนเพื่อขอความคิดเห็นของเขา และเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรให้ปิดบัง จึงบอกหมอว่าสามารถเล่าเรื่องของหลินเยวียนได้
ดังนั้นหมอคนนี้จึงกล้าตอบตกลงให้สัมภาษณ์
“หมอของเราทุกคนหมดหนทางในการรักษาเขา ใครๆ ก็คิดว่าเขาคงอยู่ไม่ถึงอายุยี่สิบห้าปี ต่อมาเสียงของเขาพังตามมาเพราะโรคกำเริบ ก่อนหน้านั้นเขาชอบร้องเพลงมาก เขามักจะร้องเพลงให้คนไข้ในวอร์ดฟังเสมอ…”
หมอถอนหายใจออกมา
หลังจากนั้น เขาจึงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
“แต่ทางการแพทย์ก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ครับ เพราะหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ร่างกายของเขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทุกปีมีคนไข้จำนวนหนึ่งสร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้ เขามีชีวิตอยู่ต่อ เสียงของเขาเหมือนจะฟื้นตัวแล้ว เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ณ โอกาสนี้พวกเราเข้าหน้าที่ทุกคนของโรงพยาบาลอวิ๋นเฉิงก็ขอให้อวยพรให้เขามีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ”
เอาสิ
สุดท้ายยังไม่ลืมที่จะโฆษณาแฝง
หลังจากหมอแล้ว ก็มีเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยให้สัมภาษณ์อีกเช่นกัน
ปรากฏว่า
บทสัมภาษณ์ทั้งหมด ได้พิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม!
ไม่ทันไร!
ทั้งโลกออนไลน์เป็นต้องตกอยู่ในความงุนงง!
ไม่มีใครคาดคิด ว่าความลังเลของเซี่ยนอวี๋จะมีเรื่องราวอันสิ้นหวังนี้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง!
ที่แท้…
เซี่ยนอวี๋ซึ่งพราวประกาย เซี่ยนอวี๋ซึ่งทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหลงใหลคนนั้น จะเผชิญพบเจอกับวิบากกรรมของชีวิต สิ่งที่เขาประสบพบเจอและความสำเร็จของเขาจึงกลายเป็นตำนานในทันที!
ไม่เกินจริง!
เพราะเป็นตำนานจริงๆ !
ในเวลานี้ จู่ๆ หลายคนก็นึกถึงเพลงเส้นทางธรรมดา ท่วงทำนองอันไพเราะคล้ายว่าจะดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนอีกครั้ง
“…… …
พเนจรไปอยู่บนเส้นทาง
เธอจะไปไหม
ผู้เย่อหยิ่งจิตใจเปราะบาง นั่นคือตัวตนที่ฉันเคยเป็น
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าเธอจะถูกพรากสิ่งใดไป
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าเธอจะต้องพลาดสิ่งใดไป
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าอย่างไร
ครั้งหนึ่งฉันเคยข้ามห้วงสมุทรข้ามขุนเขา…”
ไม่ว่าจะถูกแย่งอะไรไป
ครั้งหนึ่งฉันเคยทำลายทุกอย่าง เพียงแต่อยากจากไปไม่หวนคืน
ครั้งหนึ่งฉันเคยจมดิ่งในความมืดมน ฝืนดิ้นรนแต่ไม่หลุดพ้น
ครั้งหนึ่งฉันเคยถามทั่วทั้งโลกหล้า แต่ไม่เคยได้คำตอบมา
ครั้งหนึ่งฉันเคยเหมือนเธอเหมือนเขาเหมือนดอกไม้ป่า แม้สิ้นหวัง แต่ยังคาดหวัง หัวเราะร้องไห้เป็นธรรมดา…
ยามลมโชยพัด เส้นทางแสนไกล
เรื่องราวของเธอเป็นอย่างไรแล้ว
…”
มีคนร้องไห้
เพลงนั้นไม่ได้มีเจตนากระตุ้นความรู้สึก
เมื่อฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก ทุกคนรู้สึกเพียงว่าไพเราะและให้พลังบวก มองว่าเพลงนี้เป็นเพียงเพลงเพลงหนึ่ง ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ร้องไห้
แต่ในวันนี้
เมื่อรู้ว่าเซี่ยนอวี๋ผ่านอะไรมาบ้าง และเปรียบเทียบกับเนื้อเพลงนี้ ทุกคนคล้ายกับว่าสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจของเซี่ยนอวี๋ และถึงขั้นน้ำตารื้น
ที่แท้เขาก็เขียนเนื้อเพลงออกมาจากเรื่องของตนเอง
ไม่มีใครเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
สิ่งที่เรียกว่า ‘เส้นทางธรรมดา’ คือเส้นทางที่เซี่ยนอวี๋เคยเดินในโลกแห่งความเป็นจริง
เส้นทางนี้…
ที่จริงแล้วไม่ธรรมดาเลย
สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
ห้องประชุมเงียบกริบ
ทุกคนล้วนมองไปยังหน้าจอขนาดใหญ่
สีหน้าของเหล่าผู้บริหารระดับสูงเปล่งแสดงสีแดงปลั่งอย่างห้ามไม่อยู่
ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่สะทกสะท้านต่อเรื่องทางโลกประหนึ่งนักพรต ก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ขณะที่เซี่ยนอวี๋ถอดหน้ากากได้
แม้แต่ประธานกรรมการอย่างหลี่ซ่งหวา สีหน้าของเขาในเวลานี้ก็ยังดูกระสับกระส่าย!
หลานหลิงอ๋อง เซี่ยนอวี๋!
นึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงเลยจริงๆ !
พ่อเพลงตัวน้อยคนนี้สร้างขาวใหญ่โดยที่ไม่บอกบริษัท!
ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดเผยหน้าตา!
ด้วยวิธีที่น่าตกใจที่สุด!
ในเวลานี้
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “ค่าตัวตอนนี้ของเซี่ยนอวี๋ประเมินไม่ได้แล้ว หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นทันทีที่เขาถอดหน้ากาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะสูงเท่ากับลิมิตอัปเลยนะครับ…”
พรึบ
ความเงียบถูกทำลาย
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งกระแอม “ห้องทำงานของเซี่ยนอวี๋ เล็กไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”
“ถูกต้อง”
“ควรให้สวัสดิการเซี่ยนอวี๋สูงกว่านี้สักหน่อย”
“ต่อไปทุกคำขอเซี่ยนอวี๋ ไม่ต้องมารายงานแล้ว ตอบรับเขาได้ทันที”
“เขาอยากทำอย่างไรให้เขาทำอย่างนั้น”
“ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้บริษัทเสียหาย อยากทำอะไรทำได้เลย เด็กนี่เนอะ”
“เด็กอยากเล่นอะไร พวกเราควรตามใจใช่ไหมล่ะ”
“แต่ตอนนี้บริษัทอื่นคงอิจฉาเราจนตาเขียว พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…”
“ถ้าองค์รัชทายาทของพวกเราตกอยู่ในเงื้อมมือของคนนอก?”
“…”
องค์รัชทายาทของสตาร์ไลท์ โดยทั่วไปแล้วเป็นคำหยอกล้อของพนักงานในบริษัท แต่ไม่เคยออกจากปากของผู้บริหารระดับสูง
นี่เป็นครั้งแรก
แต่ในเวลานี้ทุกคนกลับพยักหน้าอย่างเป็นเอกฉันท์
ถูกต้อง!
เขาคือองค์รัชทายาทของบริษัท!
ลูกของพวกเรา!
ลูกของสตาร์ไลท์!
ใครกล้าแตะต้อง ก็ตัดนิ้วของมันผู้นั้นซะ!
ไม่มีใครกล้าสบประมาทความมุ่งมั่นของผูบริหารระดับสูงของสตาร์ไลท์
เพื่อเซี่ยนอวี๋ พวกเขาสามารถเปิดศึกกับทุกคนได้!
“ผมกำลังคิดว่าจะเชิญเซี่ยนอวี๋มาเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้น เราจะหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของจำนวนหุ้นในภายหลัง”
นิ้วมือของหลี่ซ่งหวาเคาะลงบนโต๊ะ คำพูดอันกะทันหันของเขาทำให้ห้องประชุมเงียบลงอีกครั้ง
“ผมเห็นด้วย ผ่านไปอีกสักพักแล้วค่อยเปิดประชุมแล้วกัน”
ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีอำนาจท่านหนึ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง แววตาของเขาจดจ้องไปยังภาพการเฉลิมฉลองในรายการ
บนเวทีนั้น เซี่ยนอวี๋กำลังเปล่งประกาย
“ไม่มีความเห็น”
“เห็นด้วย”
“ตามนั้นก็แล้วกัน”
ผู้บริหารระดับสูงคนอื่นทยอยกันพยักหน้ากลังจากเงียบไปชั่วขณะ เซี่ยนอวี๋มีมูลค่าระดับนั้นแล้ว!
“จริงสิ…”
“ทางหยวนซี…”
มีผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “ไม่ใช่แค่หยวนซี”
มีคนอดไม่ไหวคิดลงมือ
ไม่รู้ว่าหลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋ พวกคุณสามารถด่ากล่าวหาเขาตามใจ
แต่หลังจากที่รู้ว่าหลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋ เมื่อขบคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สตาร์ไลท์ก็เดือดดาลแล้ว!
“ไม่จำเป็น”
หลี่ซ่งหวาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ปกติพวกคุณให้ความสนใจเซี่ยนอวี๋เป็นอย่างมาก คงรู้นิสัยของเขา แฟนคลับของนักร้องพวกนั้นไม่รู้ถือว่าไม่ผิด พวกเขารู้ว่าต่อจากนี้ควรทำอะไร ส่วนหยวนซี…”
หลี่ซ่งหวาหยุดลงชั่วครู่ กล่าวด้วยซ้ำเสียงซับซ้อน “ต้องให้เราออกโรงจัดการด้วยหรือ?”
ทุกคนชะงัก ทันได้นั้นก็หลุดหัวเราะ
อิทธิพลของเซี่ยนอวี๋ก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วยรายการราชาหน้ากากนักร้อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สตาร์ไลท์ไม่จำเป็นต้องลงโทษใครเลย
หลี่ซ่งหวาพูดถูกต้อง
ในความจริงแล้ว ด้วยนิสัยของเซี่ยนอวี๋ เขาคงไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องหยวนซี หรือเขาอาจลืมเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
นี่คือข้อสรุปที่หลี่ซ่งหวาได้มาหลังจากลอบศึกษานิสัยของเซี่ยนอวี๋นับครั้งไม่ถ้วน
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเซี่ยนอวี๋อีกต่อไป
บางคนในวงการริเริ่มเรื่องต่างๆ ด้วยความคิดของตนเอง
นี่คือวงการบันเทิง
หยวนซีทำผิดพลาดครั้งใหญ่ขนาดไหน?
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเห็นพ้องต้องกัน หรือแม้แต่การยุแยงแฟนคลับ ขณะเดียวกันก็พยายามแอบใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง หมายเหยียบหลานหลิงอ๋องเพื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ก็เท่านั้น
นี่คือพฤติกรรม ‘ปักมีด’ ของวงการบันเทิง
คนดังมากมายล้วนเคยทำเรื่องคล้ายๆ กันนี้ แค่ปักมีดแล้วอย่างไร?
วงการนี้มีแม้แต่คนที่แบล็กเมลจนกว่าหน้าที่การงานของอีกฝ่ายจะพังทลาย ถูกถล่มจนยับเยิน และไม่อาจยืนหยัดในฐานะมนุษย์ได้อีกต่อไป
สตาร์ไลท์ไม่ลงมือ ก็เพื่อปกป้องเซี่ยนอวี๋ ไม่ต้องการให้เซี่ยนอวี๋มีภาพลักษณ์ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่ในวงการ
แต่สตาร์ไลท์ก็ไม่ใช่ผู้เฒ่าแสนดีเปี่ยมเมตตา
เงื่อนไขของเรื่องนี้คือ จะมีคนที่จะออกโรงจัดการแทนเซี่ยนอวี๋และสตาร์ไลท์
หลี่ซ่งหวาดูแลให้สตาร์ไลท์ครองตำแหน่งบริษัทดนตรีชั้นนำบนบลูสตาร์อย่างมั่นคงมาตลอดหลายปี เขี้ยวเล็บของเขาก็เคยอาบพิษมาก่อน
……
รายการจบลงแล้ว
ผู้ชมออกจากห้องส่งอย่างอาลัยอาวรณ์
หลินเยวียนมายังบริเวณด้านหลังเวที เห็นถงถงกำลังมองตนด้วยความงุนงง จึงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ขอบคุณครับ”
ในการแข่งขันนี้ ถงถงปกป้องหลานหลิงอ๋องมาโดยตลอด หลินเยวียนพอจะรู้อยู่
“คุณคือ…”
ทันใดนั้นถงถงก็หยิบสมุดเล่มเล็กออกมา “ช่วยเซ็นชื่อให้ฉันหน่อยค่ะ!”
“ได้สิ”
หลินเยวียนเซ็นชื่อให้อีกฝ่าย เขียนคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ ออกมาด้วยตัวบรรจงอย่างงดงาม
“ขอบคุณค่ะ!”
ถงถงรู้สึกเต็มตื้น
ไม่มีใครรู้หรอกว่าทันทีที่รู้ตัวตนของเซี่ยนอวี๋ ถงถงตกใจมากแค่ไหน!
เข้าใจแล้ว
เธอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว!
ว่าทำไมหลานหลิงอ๋องจึงวิพากษ์วิจารณ์นักร้องคนอื่นๆ โดยไม่เกรงกลัว ทำไมหลานหลิงอ๋องไม่เคยสนใจการลุกฮือของแฟนคลับนักร้องเหล่านั้นเลย…
เพราะว่าเขาคือเซี่ยนอวี๋ไงล่ะ!
เดิมทีคำพูดของเขาเปรียบดั่งทอง วาจาเปรียบดั่งหยก เขาสามารถขึ้นไปนั่งเป็นกรรมการตัดสินได้หากเขาต้องการ
ด้านข้าง
ซุนเย่าหั่ว ซย่าฝาน และคนอื่นๆ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พวกเขาเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“รุ่นน้อง!”
“หลินเยวียน!”
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋!”
มีคำเรียกสารพัดรูปแบบ
หลินเยวียนมองไปยังบรรดานักร้องที่คุ้นเคยที่สุด เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “คงไม่ต้องกอดอีกรอบแล้วล่ะมั้ง กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ไว้ผมจะติดต่อพวกคุณไป”
“ได้เลย!”
พวกซุนเย่าหั่วพยักหน้ารัว
จ้าวอิ๋งเก้อดวงตาเบิกกว้าง เธอรู้สึกราวกับว่าความสุขประดังเข้าใส่…
มีคำว่า ‘พวก’ !
ไม่ใช่ติดต่อ ‘คุณ’!
แต่เป็นติดต่อ ‘พวกคุณ’ หมายถึงฉันรวมอยู่ในนั้นด้วย!
เอาเถอะ
จ้าวอิ๋งเก้อนับว่ามีความตระหนักรู้
เธอรู้ว่าในแง่ของความสนิทสนม เธอยังห่างไกลจากกับความสัมพันธ์ของซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ กับเซี่ยนอวี๋มาก แ ต่การแข่งขันเวทีนี้ทำให้เธอเข้าตาเซี่ยนอวี๋แล้วจริงๆ !
ทั้งการแข่งขัน…
ทั้งสิบสองคนสุดท้าย…
เกียรติยศใดๆ ล้วนเทียบไม่ได้กับคำพูดประโยคสุดท้ายของเซี่ยนอวี๋!
หลังจากนี้เธอได้กลายเป็นสมาชิกตระกูลปลาจริงๆ แล้ว!
“ไม่ธรรมดาเลยนี่นา”
ซย่าฝานเดินไปตบบ่าของหลินเยวียน
ในฐานะเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก เธอรู้เรื่องราวของหลินเยวียนมากกว่าใครๆ เช่นเรื่องที่เสียงของหลินเยวียนเสียหาย หรือเรื่องที่หลินเยวียนร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก…
ปัจจุบันนี้เสียงของหลินเยวียนฟื้นตัวแล้ว เธอจึงดีใจมาก!
“จริงสิ”
จู่ๆ ซย่าฝานก็เอ่ยขึ้น “เมื่อกี้เจี่ยนอี้ด่านายในกลุ่มแช็ต”
“ด่าฉันว่าอะไร”
“ด่าว่านายเป็นคนโกหกไร้หัวใจ”
หลินเยวียน “…”
เขากดเข้าไปอ่านในกลุ่มแช็ต เห็นว่าเจี่ยนอวี้กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเดือดดาลอยู่ในกลุ่มแช็ตจริงๆ
“อีกเรื่องหนึ่ง…”
ซย่าฝานเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกพิลึก “เมื่อกี้มีนักร้องหลายคนขอโทษนายบนอินเทอร์เน็ต แล้วก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่นี่ อยากขอโทษนายด้วยตัวเอง…”
หลินเยวียนชะงัก
ทันใดนั้น เขาจึงเห็นพวกเอล์ฟ มู่สือ และคนอื่นๆ กำลังยืนเรียงแถวอย่างสงบเสงี่ยม มองมายังตนด้วยแววตาตกประหม่า ราวกับเป็นนักเรียนประถมซึ่งทำความผิด
หลินเยวียนทำได้เพียงเดินเข้าไปปลอบใจพวกเขาอย่างอดไม่ได้
เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นต้องขอโทษขอโพยกัน
ซย่าฝานซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นปฏิกิริยาของหลินเยวียนก็รู้ว่า
เพื่อนสนิทของตนคนนี้ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ มีความหมายว่าอย่างไรในวงการดนตรีปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
หลังจากถอดหน้ากากในครั้งนี้
ผ่านไปสักพัก หุ่นยนต์และหงส์ขาวกระวีกระวาดเข้ามาหาหลินเยวียนด้านหลังเวที โดยมีเป้าหมายเดียวกัน
แอดเพื่อน!
หลินเยวียนเองก็ทำตามความปรารถนาของพวกเขา
เมื่อเรื่องหลังเวทีจบ เขาจึงได้ออกจากตรงนั้นได้ในที่สุด
“ในที่สุดก็จบสักที”
ขณะที่นั่งอยู่ในรถของกู้ตงเพื่อเดินทางกลับบ้าน หลินเยวียนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก จัดการกับความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหลังจากถอดหน้ากากด้านหลังเวทีเหนื่อยกว่าแข่งขันรอบชิงแชมป์ซะอีก
จบหรือ?
ก็ไม่แน่
กู้ตงลอบหัวเราะ การแข่งขันในครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับผู้คนนับไม่ถ้วน
อย่างที่เคยบอกไป
หลินเยวียนประเมินอิทธิพลของ ‘เซี่ยนอวี๋’ ต่ำเกินไป
ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ใกล้ตัวฉันนี่เอง!
นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เพื่อนร่วมชั้นในวิทยาลัยศิลปะฉินโจวคิด!
ในสตูดิโอของอิ่งจือก็เช่นกัน
ในฐานะแฟนตัวยงของรายการนี้ แน่นอนว่าหลัวเวยและผู้ช่วยคนอื่นๆ ย่อมไม่พลาดช่วงถอดหน้ากากของหลานหลิงอ๋อง
จากนั้นพวกเขาเป็นต้องอึ้งไป!
“นี่มันอาจารย์อิ่งจือไม่ใช่เหรอ?”
“อาจารย์อิ่งจือคือเซี่ยนอวี๋?”
“พระเจ้าช่วย!”
“อิ่งจือฉู่ขวงเซี่ยนอวี๋ ที่จริงแล้วไม่ใช่คนสามคน แต่มีแค่สองคน!”
“…”
อาจารย์อิ่งจือไม่ใช่แค่วาดรูปได้!
แต่ยังประพันธ์เพลงได้ด้วย!
ขณะเดียวกันก็ยังร้องเพลงได้อีก!
นี่มันอะไรกันเนี่ย
อึ้งเลย!
ที่จริงกลุ่มคนที่อึ้งมากที่สุดคือสตูดิโอของอิ่งจือ เพราะคนอื่นเห็นเพียงว่าอิ่งจือคือหลานหลิงอ๋อง แต่คนที่นี่รับรู้ข้อเท็จจริงมากกว่านั้น
หลานหลิงอ๋องไม่ใช่เพียงพ่อเพลงตัวน้อยเซี่ยนอวี๋!
ขณะเดียวกันยังเป็นอาจารย์อิ่งจือผู้ซึ่งมีฝีมือในการวาดภาพบรรลุถึงขีดสุดด้วย!
ตัวตนนี้ของเขา!
โลกภายนอกยังไม่รู้!
หลัวเวยเหลือบไปเห็นจินมู่ซึ่งนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ที่โซฟา จึงร้องออกไป
“อาจินรู้แต่แรกแล้ว!”
“ใช่ ผมรู้แต่แรกแล้ว”
จินมู่รู้ว่าตนควรออกโรงสักที “แต่ตัวตนนี้ของอาจารย์อิ่งจือจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ ผมได้เพิ่มสัญญารักษาความลับชั่วคราวไว้ให้แต่ละคนแล้ว เดี๋ยวรวบกวนทุกคนช่วยเซ็นด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้มีข้อดี นับตั้งแต่เดือนนี้เงินเดื อนของทุกคนจะเพิ่มขึ้นเดือนละหนึ่งพันหยวน นี้คือผลประโยชน์ที่ผมได้รับมาให้พวกคุณ”
“อาจินจงเจริญ!”
ทุกคนตื่นเต้นดีใจกันสักพัก
หลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋ ขณะเดียวกันก็คืออิ่งจือ สำหรับคนในสตูดิโอแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องซุบซิบซึ่งห่างไกลจากชีวิตจริงของพวกเขาเหลือเกิน แต่ผลประโยชน์จากการรักษาความลับกลับเต็มเม็ดเต็มหน่วย!
“ไม่เพิ่มเงินก็ไม่เป็นไร ผมเซ็นสัญญาอยู่แล้ว!”
ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ เพลงทุกเพลงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ผมโหลดเก็บไว้ในเพลย์ลิสต์แล้ว ผมยินดีเก็บความลับให้อาจารย์เซี่ยนอวี๋ และผมยินดีทำงานให้อาจารย์อิ่งจือ…”
คนอื่นๆ ตวัดสายตามองผู้ช่วยคนนี้
ผู้ช่วยคนนี้ยกมือขึ้นปิดปาก
จินมู่ยิ้มกว้าง ดูเหมือนว่าการรักษาความลับจะไม่ใช่เรื่องยาก
หลัวเวยซึ่งอยู่ด้านข้างสูดหายใจเข้าลึก พยายามสงบความตกตะลึงของตน
ทันใดนั้นเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ อาจารย์อิ่งจือเคยบอกไว้ ว่าถึงแม้ตนจะเป็นลูกศิษย์ของตน แต่เธอไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงใหญ่
ตอนนี้เห็นที คงเป็นเพราะตัวตนในฐานะอาจารย์เซี่ยนอวี๋รับลูกศิษย์มาก่อนแล้ว?
แต่ในส่วนของจิตรกรรม เธอน่าจะยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่สินะ!
จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา
อาจารย์คนนี้ของเธอ น่ากลัวจริงๆ !
หัวเราะอยู่สักพัก สายตาของหลัวเวยจึงเบนไปยังหน้าจอโทรทัศน์ในสตูดิโอ
ขณะนั้น
การถ่ายทอดสดยังไม่สิ้นสุดลง
หลังจากเซี่ยนอวี๋ถอดหน้ากาก ทั้งห้องส่งก็โกลาหลอยู่นาน
และทีมงานรายการไม่ได้ตั้งใจจะควบคุมสถานการณ์แต่อย่างใด
แม้แต่ผู้กำกับรายการซึ่งประจำการอยู่ด้านหลังเวทีอย่างถงซูเหวิน ในเวลานี้ก็ยิ้มกว้างถึงหูแล้วเช่นกัน
ในที่สุดก็ถอดหน้ากากสักที!
นี่ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาที่คนอื่นเฝ้ารอ!
ถงซูเหวินซึ่งรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลานหลิงอ๋องมาโดยตลอดก็เฝ้ารอเวลานี้มาเนิ่นนานเช่นเดียวกัน!
เขาเก็บอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดก็ไม่ต้องเก็บอีกต่อไป!
อึดอัดสุดๆ ไปเลย!
ทว่ารอบตัวเขา
ทั้งผู้ช่วยผู้กำกับ และทีมงานรายการคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงไปตั้งแต่แรก
แววตาเหล่านี้ทำให้ถงซูเหวินรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
สบายใจเหลือเกิน!
จนกระทั้งทุกคนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว อันหงพิธีกรจึงกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง
ในตอนนี้
ซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ กลับไปยังตำแหน่งเดิมของตนเองแล้ว
บนเวทีจึงเหลือเพียงอันหงและหลินเยวียน
……
บนเวทีเงียบลง
ในเวลานั้นทุกคนกำลังตั้งตารอ!
อาจารย์เซี่ยนอวี๋จะพูดอะไรต่อไป!
แน่นอนว่าพิธีกรอย่างอันหงย่อมรับรู้ถึงความคาดหวังนี้ของผู้ชม!
เขายิ้มขื่น กล่าวว่า “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ เป็นคุณเองนี่เอง ทำไมถึงเข้าร่วมรายการในฐานะนักร้องล่ะครับ ก่อนหน้านี้ทีมงานรายการเคยเชิญคุณมาในฐานะกรรมการตัดสิน…”
หลินเยวียนตอบ “แต่เดิมผมเป็นนักร้อง”
เขาไม่ได้แสร้งทำเป็นถ่อมตัว และไม่ได้จงใจเย็นชา ท่าทีของเขายังคงปกติเหมือนเช่นเคย
ไม่รู้ว่าความรู้สึกอึดอัดจากกล้องหายไปจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาสามารถผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้
“แต่เดิมคุณเป็นนักร้องหมายความว่า…”
“ตอนที่เซ็นสัญญาเข้าสตาร์ไลท์ ผมเตรียมจะเดบิวต์ในฐานะศิลปิน แต่เพราะปัญหาด้านสุขภาพ…”
หลินเยวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับอาการป่วย แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าความลังเลของเขาทำให้ผู้ชมมีพื้นที่เพียงพอที่จะจินตนาการและค้นคว้าต่อไป
เขาพูดต่อ
“สุขภาพของผมแย่ลงจนส่งผลให้เสียงของผมเกิดปัญหา หมอบอกว่าผมจะร้องเพลงไม่ได้อีก ผมจึงมาเป็นนักประพันธ์เพลง และย้ายไปเรียนที่สาขาการประพันธ์เพลงตอนปีสอง”
เฮือก!
ทุกคนต่างตกตะลึง!
เซี่ยนอวี๋กลายเป็นนักประพันธ์เพลง เพียงเพราะเขาร้องเพลงไม่ได้ก็เท่านั้น เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะเรียนประพันธ์เพลงด้วยซ้ำไป
เป็นเทพเซียนจากไหนกัน!
นักแต่งเพลงซึ่งมาจากการเบนสายระหว่างทาง ถึงกลับกลายเป็นพ่อเพลงตัวน้อยในวงการการประพันธ์เพลง!?
นี่คือพรสวรรค์?
นี่คือพลังของปีศาจสินะ!
อันหงตกตะลึง พูดพึมพำ “เช่นนั้นที่เบนสายมาประพันธ์เพลง ที่จริงเพราะไม่มีทางเลือก ผลปรากฏว่าประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และตอนนี้…”
“สุขภาพกำลังฟื้นตัว เสียงจึงกลับมาแล้วครับ”
หลินเยวียนไม่ได้อธิบายมากนัก ต่อจากนั้นเขาเพียงแค่อธิบายเหตุผลที่ตนเข้าร่วมการแข่งขัน “พอดีมีรายการนี้ เลยอยากเติมเต็มความฝันในการเป็นนักร้อง”
“เพราะฉะนั้น…”
อันหงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เซี่ยนอวี๋ไม่เคยเขียนเพลงให้หลานหลิงอ๋อง เพลงทั้งหมดที่คุณร้องในรายการนี้ เป็นเพลงที่คุณเขียนเอง!”
“ไม่ใช่ครับ”
หลินเยวียนสามารถยอมรับได้เพียงว่าเพลงที่ระบบมอบให้คือเพลงที่ตนเขียน แต่มีเพลงหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงแยกกัน “ผมร้องเพลง ‘จากไป’ ของอาจารย์หยางจงหมิง เพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์หยางจงหมิง เขานับว่าเป็นครูของผม…”
กล้องฉายไปยังใบหน้าของหยางจงหมิง
หยางจงหมิงมองหลินเยวียนด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินหลินเยวียนบอกว่าตนนับว่าเป็นครูของเขา รอยยิ้มมุมปากจึงไม่อาจเก็บซ่อนได้อีกต่อไป
เด็กคนนี้จริงๆ เลย
เห็นได้ชัดว่าตนไม่เคยสอนเขามาก่อน…
หน้าจอ
คอมเมนต์ยังคงแน่นขนัดตั้งแต่ต้นจนจบ
‘ประทับใจ!!’
‘แววตาที่พ่อเพลงหยางมองเซี่ยนอวี๋คืออะไร คือเอ็นดู คือเปี่ยมไปด้วยความรัก!’
‘ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมอาจารย์หยางจงหมิงถึงแอบปกป้องเซี่ยนอวี๋มาตลอดทั้งรายการ เขาต้องจำเซี่ยนอวี๋ได้แต่แรกแน่เลย!’
‘นี่คือการปกป้องกันและกันของพ่อเพลงสินะ’
‘แววตานี้ ฉันเคลิ้มเลย!’
‘รอยยิ้มแบบป้าข้างบ้าน’
‘…’
ผู้ชมก็คลี่ยิ้มแบบป้าข้างบ้านตามไปด้วย
แววตาที่หยางจงหมิงมองไปยังหลินเยวียนนั้นเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู!
อันหงมองไปยังหยางจงหมิง ‘เหมือนว่าอาจารย์หยางจงหมิงจะรู้แต่แรกแล้ว…’
‘เปล่าเลย’
หยางจงหมิงครุ่นคิด ก่อนจะตอบ “เวทีแรก ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมไม่ได้คิดไปทางนั้น จนกระทั่งเขาเริ่มเล่นเปียโนในเวทีที่สอง เพราะผมรู้ว่าเซี่ยนอวี๋เล่นเปียโนเก่งขนาดไหน และเมื่อเวทีที่สามจบลง ผมรีบกลับบริษัททันที และให้คนช่วยหาเพลงออดิชันตอนเซี่ยนอวี๋เซ็นสัญญา เสียงนั้นเหมือนกับเสียงของหลานหลิงอ๋องไม่มีผิดเพี้ยน ตอนนั้นผมถึงได้มั่นใจ”
หลินเยวียน “…”
ที่แท้เขาก็ให้คนหาวิดีโอตอนที่ตนออดิชันเซ็นสัญญาเข้าบริษัท ถ้าหากเปรียบเทียบเช่นนี้ ด้วยโสตประสาทอันอ่อนไหวของหยางจงหมิงละก็ จะสามารถยืนยันตัวตนของเขาได้อย่างแน่นอน
“ปิดบังฉันได้ลงคอ!”
เจิ้งจิงซึ่งอยู่ด้านข้างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่เธอจะกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างจนใจ “เซี่ยนอวี๋ เด็กคนนี้คือลูกรักของสตาร์ไลท์เรา ถึงฉันจะติดต่อกับเขาเพียงเล็กน้อย แต่เด็กคนนี้มีพลังวิเศษที่ทำให้ผู้คนตกหลุมรักเขาได้ทันที”
อันหงยิ้ม “เพราะเขาหล่อใช่ไหมครับ”
เจิ้งจิงหัวเราะ ผู้ชมด้านล่างเวทีและผู้ชมหน้าจอพากันหัวเราะตามไปด้วย
“พิธีมอบรางวัลต่อจากนี้ทางเราควรเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ผมคิดว่า ให้อาจารย์หยางจงหมิงขึ้นมามอบรางวัลดีไหมครับ?”
อันหงรู้วิธีสร้างบรรยากาศ
ทันใดนั้นทั้งห้องส่งเต็มไปด้วยเสียงเชียร์
“หยางจงหมิง!”
และแน่นอนว่าหยางจงหมิงไม่ปฏิเสธ
ท่ามกลางเสียงดนตรี เขามอบถ้วยรางวัลถ้วยแรกให้กับมือหลินเยวียน
เพลงซึ่งถูกเลือกนำมาทำเป็นบรรเลงประกอบคือเพลงผืนน้ำเย้ยเยาะ นี่คือบทเพลงซึ่งหลินเยวียนนำมาขับร้องในรอบที่สาม
ครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงตัวตนของหลานหลิงอ๋อง
เมื่อได้ฟังเพลงนี้อีกครั้งในวันนี้ ในใจของทุกคนจึงเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาด
ที่จริงแล้ว
ในขณะนี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงเพลงของหลานหลิงอ๋องบนเวที กอปรกับการแนะนำตัวอย่างเรียบง่ายของเซี่ยนอวี๋ ทุกคนจึงเกิดความรู้สึกลึกซึ้งขึ้นมา หลายคนตัดสินใจกลับไปชมการแสดงทั้งหมดของเซี่ยนอวี๋อีกครั้ง
“เจิ้งจิง”
หยางจงหมิงมองไปยังเจิ้งเจิง แววตาของผู้หญิงคนนี้แลดูคล้ายกับกำลังอิจฉา จึงเอ่ยชักชวน
“มาร้องเพลงด้วยกัน?”
เพลงนี้ทุกคนล้วนร้องได้
เจิ้งจิงตรงไปยังเวทีอย่างอดใจไม่ไหว ทว่าจู่ๆ ก็หันหลังกลับไปดึงอิ่งตงและเยี่ยจือชิวขึ้นมาด้วย
และแล้ว
บนเวทีจึงกลายเป็นภาพของการร้องประสานเสียงอันยิ่งใหญ่โดยบุคลากรระดับพ่อเพลงอย่างเซี่ยนอวี๋ หยางจงหมิง เจิ้งจิง อิ่นตง และเยี่ยจือชิว
“ผืนน้ำเย้ยเยาะ!
เกลียวคลื่นสาดสองฝั่ง
ลอยตามแรงคลื่น จดจำเพียงวันนี้
ผืนฟ้าเย้ยเยาะ คลื่นมนุษย์โหมคลั่ง
ใครชนะใครแพ้มีแต่สวรรค์รู้…”
ราชาหน้ากากนักร้องซีซันแรก จึงเป็นอันจบลงด้วยเพลงผืนน้ำเย้ยเยาะซึ่งขับร้องโดยเซี่ยนอวี๋และพ่อเพลงทั้งสี่
เมื่อร้องจนจบ
ทุกคนต่างยิ้มอย่างเปี่ยมอย่างเปี่ยมความสุขและความฮึกเหิม
และในเวลานี้
สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
เพลงเดียวกันดังขึ้น แผนกต่างๆ รวมไปถึงในห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทต่างได้รับชมรายการนี้ และร่วมกันเป็นสักขีพยานในการถอดหน้ากากของเซี่ยนอวี๋…
ไม่ว่ารายการราชาหน้ากากนักร้องจะออกฉายอีกกี่ซีซัน ผู้คนจะยังคงไม่ลืมช่วงเวลาอันน่าทึ่งในการเปิดเผยใบหน้าของพ่อเพลงตัวน้อยเซี่ยนอวี๋คนนี้
ราวกับสายตาของทั่วทั้งโลกล้วนจับจ้องไปที่ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น!
พรึบๆๆ !
กล้องของทีมงานรายการล้วนจับจ้องไปยังปฏิกิริยาของผู้ชมทุกคน
ทว่าสีหน้าของแทบทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง ปฏิกิริยาของทุกคนนั้นนั้นมีหลากหลาย!
เอล์ฟตกตะลึง!
หงส์ขาวตกตะลึง!
หุ่นยนต์ตกตะลึง!
ราชาราชินีเพลงล้วนตกตะลึง!
“พวกเราแข่งกับเซี่ยนอวี๋…”
“เซี่ยนอวี๋ใช้ตัวตนในฐานะนักร้องมาเอาชนะพวกเราเหรอ เขาควรอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการตัดสินไหม…”
“แถมยังอายุน้อยด้วย…อายุน่าจะพอๆ กับลูกชายผม…”
“ถึงว่าเซี่ยนอวี๋เขียนเพลงให้หลานหลิงอ๋องมาตลอด ที่แท้เขาก็เขียนเพลงให้ตัวตัวเอง…”
“คนระดับกรรมการตัดสินมาแข่งกับพวกเรา?”
“…”
และในบรรดาราชาราชินีเพลง
เฟ่ยหยางราวกับสูญเสียความสามารถในการขบคิด ทำได้เพียงจ้องมองเซี่ยนอวี๋อย่างว่างเปล่า
คนคนนี้ จองจำตนเองไว้ในตำแหน่งลูกคนรองตลอดกาล
คนคนนี้ ทำให้ตน ‘พ่ายแพ้ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับปลา’
ก่อนหน้านี้ตนบอกไม่อยากถูกเซี่ยนอวี๋วิจารณ์ในรายการนี้
แต่แท้จริงแล้วเซี่ยนอวี๋เคยวิจารณ์ตนเองมานานแล้ว เพียงแต่เขากลับไม่รู้ก็เท่านั้นเอง…
ที่แท้อันดับสองในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะเซี่ยนอวี๋
นอกจากนี้ยังขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงในฐานะนักร้องอย่างเปิดเผย!
เขายิ้มขมขื่นอย่างอดไม่ได้
ถ้าหากมีราชวงศ์ปลาจริงๆ ผู้ชมในเวลานี้คงกลายเป็นเหล่าขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ไปแล้ว
ทว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่จริงแล้วก่อเกิดขึ้นจากจุดหนึ่ง
อย่าได้ลืมเรื่องราวเบื้องหลังของรายการนี้
ก่อนที่หลานหลิงอ๋องจะเปิดเผยใบหน้า ผู้คนมากมายซึ่งไม่พอใจหลานหลิงอ๋องได้รวมตัวกันจนเป็นกำลังพลเรือนหมื่นแล้ว
อย่างไรก็ตาม
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่กองทัพที่เป็นระเบียบเรียบร้อยสักเท่าไหร่
เนื่องจากการวางกำลังโจมตีของพวกเขาระส่ำระสายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น
เรื่องราวเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว คือชั่วขณะที่เซี่ยนอวี๋เปิดเผยตัวตน
กองทัพเงียบสงัด!
ปริมาณของคอมเมนต์นั้นน่าสะพรึงกลัวมากพอทำให้อาการทริโพโฟเบีย[1]ของใครหลายคนกำเริบ!
ในชั่วพริบตาเดียว คำว่า ‘พ่อเพลงอวี๋’ บนหน้าจอก็ทำให้แฟนคลับของนักร้องกลัวตนหน้าซีดเผือด!
‘สลายโต๋!’
‘แยกย้ายเร็ว!’
ทันใดนั้นแฟนคลับของนักร้องซึ่งเคยถูกเซี่ยนอวี๋โจมตีรีบเมนชันถึงสมาชิกทุกคน
นักรบคีย์บอร์ดซึ่งเก่งกาจที่สุด ในเวลานี้ทำได้เพียงหักคีย์บอร์ดในมือเป็นสองท่อน เบื้องหน้ามีเพียงพยันตรายรออยู่
‘บุกบ้านแกสิ!’
‘ตอนนี้ต้องคุกเข่าแล้วไหม!’
‘เป็นเขาไปได้ยังไง!’
‘ฉันไปด่าพ่อเพลงอวี๋ตามคนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างพวกแกเหรอเนี่ย อหหหหหหหห มู่สือจะมาเอาอะไร ฉันนี่แฟนคลับตัวยงของเซี่ยนอวี๋ กลุ่มนี้แตกไปเลยสิค้ารออะไร!’
ในกลุ่มของแฟนคลับ
มีการออกจากกลุ่มเป็นวงกว้าง
และในกลุ่มแฟนคลับของหยวนซี บรรยากาศในขณะนี้กลับแปลกๆ
แม้แต่สมาชิกหลักในกลุ่มซึ่งก่อนหน้านี้กระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจที่สุด และจัดแจงให้ทุกคนบุกไปโจมตีบนปู้ลั่ว บล็อก และเว็บบอร์ดล้วนตกตะลึง
นั่นหมายความว่า…
สมาชิกหลักในกลุ่มเหล่านั้นล้วนรู้ดี
การจลาจลของแฟนคลับของหยวนซี แท้จริงแล้วมีตัวหยวนซีเองที่กระตุ้นโดยทางตรงและทางอ้อม รวมไปถึงผู้จัดการของหยวนซียังออกโรงเองมากกว่าหนึ่งครั้ง ไม่เช่นนั้นทางแฟนคลับของหยวนซีคงไม่จริงจังถึงขนาดนี้หรอก
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก
หยวนซีอยากโด่งดังโดยอาศัยหลานหลิงอ๋อง
หลานหลิงอ๋องยั่วโมโหคนมากมายเหลือเกิน ถ้าหากหยวนซีเอาชนะอีกฝ่ายได้ ชื่อเสียงที่กอบโกยได้จะน่ากลัวมาก
นี่เป็นเรื่องปกติมาก
คนดังมากมายชอบใช้วิธีเรียกกระแสเช่นนี้ หลานหลิงอ๋องยื่นบันไดให้แล้ว หยวนซีก็ปีนตามขึ้นไป
แต่เรื่องพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว ปฏิกิริยาสะท้อนกลับนั้นน่ากลัวที่สุด!
นั่นเพราะเขาคือเซี่ยนอวี๋…
เพราะฉะนั้นหยวนซีจึงถูกลิขิตชะตาให้พ่ายแพ้ตั้งแต่แรก
ในกลุ่มกำลังแตกตื่น ปฏิกิริยารุนแรงเกิดขึ้นแล้ว
‘พี่ใหญ่เรายังจะบุกอยู่ไหม บุกปู้ลั่วของเซี่ยนอวี๋หรือบุกบล็อกของเซี่ยนอวี๋ดีล่ะ เซี่ยนอวี๋เหมือนจะไม่มีบล็อก ปกติเขาเล่นปู้ลั่วเป็นส่วนมาก ผมแนะนำว่าพวกเราไปพร้อมกัน’
‘ไปพร้อมกันบ้านแกสิ!’
‘สมองพังหรือไง!’
‘คุณไม่รู้จักเซี่ยนอวี๋?’
‘สงสารพ่อเพลงอวี๋’
‘ถึงฉันจะเป็นแฟนคลับของหยวนซี ไอดอลมีตั้งเยอะแยะ แต่เทพมีแค่คนเดียว ขอโทษด้วย พวกคุณเล่นกันต่อไปเถอะ ฉันจะไปขอโทษพ่อเพลงอวี๋ก่อน แล้วตอนนี้ฉันกลายเป็นแอนตีแฟนของหยวนซี!’
‘…’
ทางนี้ก็มีการออกจากกลุ่มเป็นกลุ่มใหญ่เช่นกัน
ตอนนี้แม้แต่บรรดาแฟนตัวยงของหยวนซียังไม่กล้าแม้แต่จะผายลม
ราวกับหมาป่าพากันกลายร่างเป็นฮัสกี้ฝูงหนึ่ง แลบลิ้นอย่างน้อยใจ แววตาช่างไร้เดียงสา
พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะก่อกวนพ่อเพลงอวี๋!
พวกเราเข้าใจผิดไป!
……
โลกออนไลน์เกิดความโกลาหล!
มีคนกำลังหัวเราะ!
ทำไมไม่ได้ยินข่าวคราวจากคนกลุ่มนี้เลยล่ะ
ไหนบอกว่ากำลังพลเรือนหมื่น ไหนบอกว่าสัตว์ประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์?
ตายกันไปหมดแล้วเหรอ!?
ฟันของสัตว์ประหลาดหักไปหมดแล้ว!?
พวกคุณบอกว่าแชมป์อย่างหลานหลิงอ๋องใช้ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
พวกคุณบอกว่าหลานหลิงอ๋องอาศัยเพลงของเซี่ยนอวี๋ปีนขึ้นบัลลังก์แชมป์ไม่ใช่หรือ?
ขอโทษเถอะ
หลานหลิงอ๋องก็คือเซี่ยนอวี๋!
เพลงที่เขาร้องก็คือเพลงของเขาเอง!
ใช่แล้ว
แฟนคลับของนักร้องอย่างหยวนซีและคนอื่นๆ เตรียมตั้งทัพบุกโจมตีเซี่ยนอวี๋
ทว่าทันทีที่เซี่ยนอวี๋เปิดเผยตัวตน กลับสร้างความตกตะลึงได้เป็นหมู่คณะ
คนสมองชากันไปเท่าไหร่!
ฮ็อตเสิร์ชได้กำหนดไว้แล้ว!
ประสิทธิภาพของหัวข้อสนทนาแบบเรียลไทม์หลังจากรีเฟรชแล้ว ไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง
#หลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋
#เซี่ยนอวี๋เผยโฉมหน้า
#หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากาก
#หน้าตาของเซี่ยนอวี๋ถูกเปิดเผย
ฮ็อตเสิร์ชจากทางบล็อกแทบไม่ได้ต่างกัน ราวกับว่าทั้งสองแพล็ตฟอร์มคัดลอกฮ็อตเสิร์ชกันมา
……
ขณะเดียวกัน
ในกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็แทบระเบิดเช่นกัน!
‘ดูราชาหน้ากากนักน้องหรือเปล่า เซี่ยนอวี๋อยู่มหาลัยเราจริงด้วย!’
‘อมก ฉันรู้จักเขา คนหล่อของสาขาการประพันธ์เพลง สุดหล่อของฉันคือเซี่ยนอวี๋!’
‘ขอร้องให้เรียกว่าคนหล่อของมหาลัยเลยดีกว่า แค่คนเขาถ่อมตัว หลายคนเลยไม่รู้ว่าสาขาการประพันธ์เพลงมีคนหล่อแบบนี้อยู่ก็เท่านั้นเอง ฉันมีเพื่อนอยู่สาขาการประพันธ์เพลงถึงได้รู้!’
‘แม่เจ้าโว้ย เด็กปีห้าสาขาการประพันธ์เพลง!’
‘ฉันเองก็เคยเห็นเขา! ฉันรักเขาอะแกร รักนะตัวเอง!’
‘ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่เคยรู้ว่าม.เรามีคนหล่อแบบนี้อยู่ ถ้ารู้แตกแรกว่าเขาคือเซี่ยนอวี๋ ฉันจะไปคอยเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมทุกวันเลย!’
……
ปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกันเกิดขึ้นในกลุ่มแช็ตชั้นเรียนของหลินเยวียน
ในกลุ่มต่างแตกตื่น
‘หลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋!!’
‘พอฉันเห็นเขาถอดหน้ากาก ฉันคิดว่าตัวเองตาฝาด!’
‘แม่เจ้า!’
‘ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้ตอนปีห้า!’
‘หลินเยวียนก็ถ่อมตัวเกินน!’
‘เรียกพ่อเพลงอวี๋สิลูก!’
‘มิน่าล่ะวันนั้นเยี่ยหานถึงเห็นหลินเยวียนที่สตาร์ไลท์!’
‘เพราะหลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋ เขาต้องอยู่ที่สตาร์ไลท์อยู่แล้ว!’
‘นึกไม่ถึงเลย ว่าฉันกับเซี่ยนอวี๋จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ฉันกับเขาเคยอยู่หอเดียวกัน!’
‘ฉันเคยนั่งกับเขา!’
‘ครั้งหน้าถ้าเจอเขาจะต้องขอลายเซ็นแล้วอ๊ากกกกก!’
‘…’
ในกลุ่มเมนชันถึงหลินเยวียน
และมีหลายคนเมนชันถึงเยี่ยหาน
และแล้วเยี่ยหานก็ปรากฏตัว ‘ให้ฉันตั้งสติก่อน อิมแพคแรงเกินไป สมองมึนไปหมด…’
ใช่แล้ว
ต้องตั้งสติก่อน
ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งชวนพ่อเพลงอวี๋มากินข้าวด้วยกัน?
ถึงจะถูกปฏิเสธก็เถอะ…
นี่มันอะไรกัน
ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ใกล้ตัวฉันนี่เอง?
[1] ทริโพโฟเบีย (Trypophobia) คืออาการหวาดกลัวหรือรู้สึกขยะแขยงสิ่งที่มีรูปแบบซ้ำซาก กลุ่มของรูเล็กๆ หรือกลุ่มของปุ่มต่างๆ เช่น ฝักบัว ฟองน้ำ รูขุมขน รังผึ้ง ภาพวงกลมเล็กๆ เรียงต่อกัน ปะการัง เป็นต้น
นี่เป็นเสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่เคยดังในคอนเสิร์ตฮอลล์ในรอบหลายร้อยปี ผู้ชมบางคน แทบจะเป็นลมเพราะขาดออกซิเจนจากการกรีดร้อง!
เหลือเชื่อ!
สั่นสะเทือน!
ตกตะลึง!
หลายคนโบกมือ หลายคนตบอก หลายคนดวงตาเบิกกว้างร้องเสียงลั่น ทุกคนแทบกลายเป็นเหมือนซุนเย่าหั่ว ในเวลานี้ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่าทำไมแก๊งปลาถึงเสียสติเช่นนั้น
“เซี่ยนอวี๋!”
“เขาคือเซี่ยนอวี๋!”
“เขาคือเซี่ยนอวี๋จริงๆ !”
“อห ก่อนหน้านี้ใครด่าหลานหลิงอ๋องไว้ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย เทพที่ผมชอบมานานคือมีไว้ให้ดูถูกง่ายๆ หรือไง คำด่าสาดเสียเทเสียในเน็ตหรือการท้าต่อยในชีวิตจริงมาเลยผมไม่กลัวแล้ว!”
“เขาคือพ่อเพลงอวี๋!”
“ก่อนหน้านี้ฉันด่าพ่อเพลงอวี๋?”
“ฉันอยากฉีกปากตัวเองทิ้งจริงๆ ที่ถูกพวกเกรียนคีย์บอร์ดชักนำไปได้ พ่อเพลงอวี๋เป็นเพียงคนเดียวที่ฉันยึดถือตั้งแต่เริ่มเรียนดนตรีเมื่อไม่กี่ปีก่อน!”
“…”
บางคนหัวเราะลั่น!
บางคนกลับร้องไห้!
เหตุการณ์ในห้องส่งแทบไม่สามารถควบคุมได้!
อันหงซึ่งเป็นพิธีกรได้สูญเสียความสามารถในการควบคุมเวทีไปโดยสิ้นเชิง ที่นี่คือห้วงมหรรณพแห่งความวิปลาส ที่นี่กลายเป็นห้วงมหรรณพแห่งเสียงหวีดร้อง ตลอดหลายปีในสายอาชีพพิธีกรของอันหง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ทว่าความตกตะลึงซึ่งเขาประสบพบเจอในตอนนี้มีหรือจะน้อยไปกว่าผู้ชม?
……
ในบ้านของหลินเยวียน
ชั่ววินาทีที่หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากากออก มีดปอกแอปเปิ้ลในมือของแม่หล่นลงบนพื้น ท่ามกลางเสียงเห่าของหนานจี๋ซึ่งดังก้องอยู่ในห้อง ครูสอนดนตรีซึ่งปลดเกษียณแล้วพลันหลั่งน้ำตา “ลูกของฉันเอง พ่อเห็นไหมนั่น ลูกของเรายืนอยู่ตรงนั้น เขาอยู่ตรงนั้น!”
“พี่!”
หลินเหยาก็ร้องไห้เช่นกัน!
ราวกับหยดน้ำตานั้นไร้ค่า!
เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ใบหน้าของหลินเซวียนจะเปลี่ยนจากนิ่งค้างเป็นบ้าคลั่ง เธอร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมกัน “หลานหลิงอ๋องคือหลินเยวียนเองเหรอ หลานหลิงอ๋องคือน้องชายของฉัน!”
ความฝันคืออะไร
ทุกคนในสกุลหลินต่างรู้ดี ว่าความฝันของหลินเยวียนคือการร้องเพลง!
หลินเซวียนจำได้…
ไม่กี่วันหลังจากคอของหลินเยวียนบาดเจ็บ เขามักจะแอบฝึกร้องเพลงอยู่ในห้องขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ กว่าจะยอมรับเรื่องที่เสียงของเขาเสียหาย เขาร้องเพลงด้วยเสียงแหบแห้งครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องเข้าโรงพยาบาล จนตนเองพูดไม่ได้ คนในครอบครัวต้องอ้อนวอน กว่าเขาจะยอมหยุดดิ้นรน!
และในวันนี้!
เขาเกิดใหม่อีกครั้งจากเถ้าถ่าน!
ทันใดนั้นหลินเซวียนก็นึกถึงถ้อยคำด่าทอเกี่ยวกับหลานหลิงอ๋องบนอินเทอร์เน็ต เธอรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาชั่วขณะ ทว่าในเวลานี้เธอกลับรู้สึกเพียงเสียใจอย่างสุดซึ้ง พวกคุณเป็นใครถึงมารังแกน้องฉัน พวกคุณรับผลที่ตามมาไหวหรือ!!!!
……
ในวงการเพลง
เมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าหน้าตาหล่อเหล่าคนนี้เอ่ยแนะนำตัว คนในวงการดนตรีจำนวนมากล้วนตื่นตกใจ เสียงร้องด้วยมากมายดังขึ้นท่ามกลางความตกตะลึง
“เซี่ยนอวี๋!”
“เขาคือเซี่ยนอวี๋ !”
“เขาคือพ่อเพลงตัวน้อย!”
“เชี่ยๆๆ เขาเขียนเพลงไม่ใช่เหรอ นี่ร้องเพลงได้ด้วย แถมร้องได้ดีด้วย มิน่าล่ะเขาถึงกล้าวิจารณ์แบบไม่เกรงกลัว ถ้าคนเขาไม่สวมหน้ากาก จะมีนักร้องคนไหนมาทุบตีได้”
“หยวนซีจบเห่แล้ว!”
“คุณดูท่าทีของเจิ้งจิงกับหยางจงหมิงเอาก็แล้วกัน เดิมทีพวกเขาก็มาจากบริษัทเดียวกัน พวกเขาเห็นเซี่ยนอวี๋ลูกที่ภาคภูมิใจที่สุดในบริษัท หยวนซีล่วงเกินพ่อเพลงทั้งหมดได้ในคราวเดียว!”
“คุกเข่า!”
“อย่าว่าแต่หยวนซีเลย ตอนนี้ฉันเองก็อยากคุกเข่าเหมือนกัน หลานหลิงอ๋องเป็นเซี่ยนอวี๋ไปได้ยังไง หลานหลิงอ๋องคือพ่อเพลงตัวน้อยเซี่ยนอวี๋ได้ยังไง เทพอย่างคุณจะมาแข่งกับปุถุคนคนเดินดินทำไมกัน!”
……
บริษัทยักษ์ใหญ่แต่ละแห่ง
ผู้บริหารบริษัทสักแห่งหนึ่งตัดสินใจเด็ดขาดแทบทันทีที่ตัวตนของเซี่ยนอวี๋เปิดเผย “แจ้งทุกแผนกในบริษัททันที ยุติสัญญาร่วมงานกับหยวนซีทั้งหมด!”
“เชี่ย!”
“บริษัทเรายังมีงานพรีเซนเตอร์ของหยวนซีอยู่นะ เล่นบ้าอะไรวะเนี่ย แฟนคลับเท่าหยิบมือของหยวนซียังไม่พออุดร่องฟันของแฟนคลับเซี่ยนอวี๋ด้วยซ้ำ รอบนี้ต้องมีคนซี้แหงแก๋เท่าไหร่ล่ะเนี่ย!”
“ผมไม่สน!”
“ต่อให้หยวนซีมีงานพรีเซนเตอร์สักหมื่นงานก็ถอดออกให้หมด อย่าให้ช้าแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าเกิดคุณยังอยากอยู่ในวงการนี้ต่อไป ก็อย่าไปงัดข้อกับพ่อเพลง พลังของเซี่ยนอวี๋ หยางจงหมิง เจิ้งจิงรวมกัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเอ่ยปากหรอก คนไม่รู้เท่าไหร่ก็พร้อมจะฉีกหยวนซีเป็นชิ้นๆ แล้ว!”
“นักร้องคนอื่น…”
“นักร้องคนอื่นยังไม่ได้ทำจนเรื่องเลยเถิด พวกเขาก้มหน้ายอมรับความผิดต่อเซี่ยนอวี๋แต่โดยดี เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป โดยที่เงื่อนไขคือเซี่ยนอวี๋เองก็ให้อภัยเขา แต่ทางหยวนซีต่อให้เซี่ยนอวี๋อยากให้อภัยก็คงไม่ได้แล้ว แฟนคลับเขาไม่ยอมแน่!”
“จัดการหยวนซี!”
“ก่อนหน้านี้เราติดหนี้เซี่ยนอวี๋ คนเขาถอยให้เราหนึ่งเดือน ให้พื้นที่แข่งขันในชาร์ตเพลงกับนักร้องแถวหน้าบนบริษัทเรา ตอนนี้ถึงเวลาตอบแทนน้ำใจแล้ว แต่การตอบแทนครั้งนี้เหมือนกับเราไม่ต้องตอบแทนนั่นแหละ ครั้งนี้หยวนซีต้องรับผลกรรมแน่นอน แม้แต่เทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้าก็ช่วยเธอไม่ได้”
ในขณะนั้น!
แทบทุกบริษัทตัดขาดกับหยวนซีอย่างเร่งด่วน ราวกับหยวนซีเป็นเทพแห่งโรคระบาด และทุกคนกระเสือกกระสนรักษาชีวิตด้วยการตัดสัมพันธ์!
……
บนเวที
หยวนซี ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแถวหลังเพื่อรอให้หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากาก เดิมทีเธอมีใบหน้าที่เย็นชา ทว่าทันทีที่เขาเปิดเผยตัวตน เธอพลันรู้สึกประหนึ่งเกือบจะถูกเหวี่ยงลงพื้นด้วยเสียงอันน่าสะพรึงกลัวรอบกาย
เธองุนงง!
เธอร้องไห้อีกครั้ง!
เสียงร้องไห้ในครั้งนี้ปราศจากความขุ่นข้องหมองใจ ปราศจากความเดือดดาล และปราศจากความดื้อรั้นไม่ยอมจำนน มีเพียงความรู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ร่างบนเวทีสูงตระหง่านประดุจขุนเขา กดไว้จนเธอหายใจไม่ออก!
ครั้งนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ …
ทำไมเขาถึงเป็นเซี่ยนอวี๋…
เขาคือผู้ก่อตั้งราชวงศ์ปลา เขาคือพ่อเพลงตัวน้อยซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในวงการดนตรีตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาคือคนดนตรีที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันจากหยางจงและเจิ้งจิง เขาคือยอดพีระมิดของอุตสาหกรรมนี้!
……
ซย่าฝานวิ่งขึ้นไปบนเวที!
ซุนเย่าหั่ววิ่งขึ้นไปบนเวที!
จ้าวอิ๋งเก้อวิ่งขึ้นไปบนเวที!
เจียงขุยวิ่งขึ้นไปบนเวที!
พวกเขากอดกันรอบเซี่ยนอวี๋ ก่อตัวเป็นวงกลมแน่น หยางจงหมิงและเจิ้งจิงยืนอยู่ด้านนอกรอบวงราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์สององค์
ในที่สุด…
อิ่นตงลุกขึ้นยืน
เยี่ยจือชิวก็ลุกขึ้นยืน
พวกเขาไม่สามารถนั่งนิ่งในฐานะกรรมการตัดสินท่ามกลางผู้ชมได้อีกต่อไป นั่นเป็นการไม่เคารพคนดนตรีในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เซี่ยนอวี๋ก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา!
นี่คือความเคารพ!
คือความเคารพต่อเพื่อนร่วมอาชีพ!
มีเพื่อนอาชีพในอุตสาหกรรมนี้เพียงไม่กี่คนที่พวกเขาเคารพ เซี่ยนอวี๋ก็คือหนึ่งในนั้น และสิ่งที่ประดักประเดิดที่สุดคือพวกเขาทั้งสองเคยพ่ายแพ้ต่อเซี่ยนอวี๋ในมหาสงครามเทพเซียน
โดยเฉพาะอิ่นตง!
เขาพ่ายแพ้ติดต่อกันสองรอบ!
รวมไปถึงครั้งนั้นเมื่อปลายปีที่แล้ว!
แต่ไหนแต่ไรมาในรายการนี้ไม่ได้มีพ่อเพลงเพียงสี่คน แต่มีห้าคน เห็นชัดๆ ว่าพ่อเพลงตัวน้อยไม่ได้รับมงกุฎซึ่งเป็นของพ่อเพลง แต่ในแง่หนึ่งเขากลับเปล่งประกายกว่าใคร…
เขาส่องแสงได้จริงๆ !
และเป็นแสงที่ฝูงชนไม่อาจหยุดยั้งได้!
หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากากแล้ว!!!
นับตั้งแต่มีการแข่งขัน สร้างศัตรูมาโดยตลอด สร้างความขุ่นเคืองให้กับนักร้องนับไม่ถ้วน ทำให้แฟนๆ มากมายโกรธแค้น และก่อให้เกิดความขัดแย้งมากมายในหมู่ผู้ชม ในที่สุดหลานหลิงอ๋องก็จะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
เฮือก!
ผู้คนสติแตก!
สติแตกกันยกใหญ่!
เมื่อเวลานี้มาถึง ผู้คนนับไม่ถ้วนที่เกลียดชังหลานหลิงอ๋องแทบแยกเขี้ยวรอ ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายสีเขียวเข้ม!
กลืนน้ำลายลงคอ!
ในที่สุดพวกเขาก็กางเขี้ยวเล็บออกมาได้อย่างไม่ขัดเขิน และพร้อมคว้าเหยื่อมาอย่างอดใจไม่ไหว ประหนึ่งสัตว์ร้ายซึ่งเมื่อหิวจนสุดขั้ว มันอ้าปากต่อหน้าเหยื่อ พร้อมกลืนกินด้วยความหิวกระหาย!
เรื่องบางเรื่องไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!
อย่างน้อยก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะเพลงสองเพลง!!
ต่อให้การแสดงของหลานหลิงอ๋องในรอบชิงชนะเลิศจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดความจริงที่ว่าเขาเคยโจมตีนักร้องคนอื่นๆ มาก่อน คนที่ไม่พอใจเขารวมตัวกันรอเป็นกองทัพแล้ว!
……
แฟนคลับของหยวนซีรวมอยู่ในนั้นนับไม่ถ้วน
‘หยวนซีร้องไห้แล้ว!’
‘ใจสลายเลยฉัน!’
‘ซีซีน่าสงสารที่สุด เพราะหลานหลิงอ๋อง เธอเลยถูกคนแทบทั้งโลกเข้าใจผิด ตัวการของหายนะทั้งหมดนี้คือหลานหลิงอ๋อง การล้างแค้นยังไม่จบ!’
‘การล้างแค้นของซีซีพวกเราจะรับไม้ต่อเอง!’
‘การล้างแค้นที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น!’
‘เขาจะเป็นใครก็ช่าง!’
‘เป็นแชมป์ก็ช่าง!’
‘ทันทีที่เขาเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริง นั่นคือเวลาที่เขาจะเผชิญกับคำพิพากษาของพวกเรา!’
‘เราไปบุกปู้ลั่วเขาดีกว่า!’
‘พวกเขาจะทำให้เขาไม่มีที่ยืนในวงการนี้เลย!’
‘เป็นแชมป์แล้วยังไง!’
‘เขาแพ้ทั้งโลกนี้แล้ว!’
‘ผมติดต่อทางแฟนคลับของเฟ่ยหยางไปแล้ว เขาทำลายซีซีบนเวที พวกเราจะทำลายเขาด้วย!’
‘หลานหลิงอ๋องตายแน่!’
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแฟนคลับของหยวนซีเกลียดหลานหลิงอ๋องเข้ากระดูกดำ ต่อให้เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าใจว่าเหตุใดแฟน ๆ จึงสามารถปกป้องไอดอลของพวกเขาได้ถึงเพียงนั้นก็ตาม
……
ในครอบครัวของหลินเยวียน
หลินเซวียนจ้องมองหน้าจออย่างน้ำตารื้น ลมหายใจถี่และหนักหน่วง “ใกล้แล้ว ใกล้จะได้รู้ว่าใต้หน้ากากของหลานหลิงอ๋องคือใครแล้ว!”
“ถอดหน้ากาก!”
หลินเหยาก็อดตื่นเต้นไม่ได้เช่นกัน
มือของแม่ซึ่งกำลังปอกเปลือกแอปเปิ้ลหยุดลง
หนานจี๋เห่า!
ราวกับว่าแม้แต่สุนัขตัวนี้ยังอดใจรอไม่ไหว!
……
ขณะเดียวกัน
ผู้คนมากมายในวงการเพลงต่างกำลังจับจ้องราชาหน้ากากนักร้อง!
“หลานหลิงอ๋องจะถอดหน้ากากแล้ว!”
“เขาเป็นใครกันแน่นะ”
“นักร้องบริษัทไหนกัน!”
“กล้าพูดถึงตั้งมากมายขนาดนี้ เป็นใครมาจากไหนกันแน่!”
“หรือว่าสรุปแล้วจะเป็นขาใหญ่สักคนในวงการ?”
“ทำไมฉันนึกยังไงก็นึกไม่ออก!”
“รีบเปิดหน้ากากสักทีสิโว้ย!”
“ทนไม่ไหวแล้วนะ อุตส่าห์อั้นฉี่จนถึงตอนนี้เนี่ย!!”
……
อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง!
ขณะที่หลานหลิงอ๋องจะเปิดเผยโฉมหน้า!
ทั่วทั้งวงการเพลง!
บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมดนตรี!
ผู้ชมทุกบ้านทุกครัวเรือนต่างตั้งตารอ!
และก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง
ทุกคน ทุกสิ่ง ล้วนต้องการเพียงคำตอบเดียว นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของหลานหลิงอ๋อง
คุณเป็นใคร
คุณเป็นใครกันแน่!
ในเวลานี้คอมเมนต์ของรายการไม่ใช่เพียงสายน้ำไหลเอื่อยอีกต่อไป แต่เป็นความตื่นเต้นถึงขั้นเดือดพล่านเป็นหมู่คณะ!
พรึบๆๆ !
แม้แต่หลายคนซึ่งยังคงสนับสนุนหลานหลิงอ๋องก่อนที่รายการถ่ายทอดสดก็ยังสะดุ้งโหยงกับกระแสอันน่าสะพรึงกลัวนี้!
‘รอตายซะเถอะ!’
‘คุณจบเห่แล้ว!’
‘ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร!’
‘ตอนที่ถอดหน้ากาก คือเวลาที่คุณจะถูกมีดนับพันทิ่มแทง!’
‘ไม่สิ นับหมื่นต่างหาก!’
‘มีดในมือสั่นไปหมด!’
‘เราคือกองทัพสมาคมแฟนคลับ เมื่อยาตราทัพออกไป แม้แต่ยอดหญ้าก็ไม่ได้งอก!’
‘…’
แม้เจ้าโว้ย!
คลื่นความโกรธลูกยักษ์!
หลานหลิงอ๋องล่วงเกินไปกี่คนกันเนี่ย!
คนเกลียดเขามากปานนี้!
คนรอเขาถอดหน้ากากมากปานนี้!
คนรอให้เขาเปิดเผยใบหน้าและจะเริ่มสาปส่งมากปานนี้!
พลังของผู้คนมากมายรวมตัวกันนั้นน่ากลัวปานนี้!
ใช่แล้ว
หลานหลิงอ๋องล่วงเกินผู้คนมากมายในรายการนี้ แถมทุกคนยังเป็นนักร้องแถวหน้าเป็นอย่างน้อย!
ไม่ว่าจะเป็นแรงสนับสนุนของนักร้องแถวหน้าคนใดก็ล้วนน่ากลัว!
ต่อให้ตัวนักร้องแถวหน้าจะไม่ได้พูดอะไร บรรดาแฟนคลับจะยังคงคั่งแค้นเหมือนเดิม!
นี่คือกองทัพขนาดใหญ่!
นี่คือแรงกดดันจากเหล่าทหารกล้า!
เมื่อผู้คนมากมายรวมตัวกันเพื่อต่อต้านหลานหลิงอ๋อง หลานหลิงอ๋องซึ่งสูญเสียหน้ากากไปจะต้านทานอย่างไร?
มีคนทนไม่ไหว
‘หลานหลิงอ๋องทำผิดอะไรถึงทำให้พวกคุณเกลียดขนาดนั้น คนเขาได้แชมป์เพราะความสามารถของเขาเอง ไม่ได้พึ่งพาวิถีนอกรีตอะไรสักหน่อย!’
อย่างไรก็ตาม
กลุ่มคนเหล่านี้แทบเสียสติไปแล้ว ‘ผิดที่เขาเปิดปากพูด ผิดที่เขาอยู่บนเวทีนี้ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกกระแส เขาผิดซะยิ่งกว่าผิดอีก!’
‘พวกคุณจะทำแบบนี้ไม่ได้!’
แน่นอนว่าแฟนคลับของหลานหลิงอ๋อไม่ได้แข็งแกร่งเท่าแฟนคลับของนักร้องจำนวนมหาศาลมารวมกัน แต่ก็ยังมีคนที่พยายามปกป้องหลานหลิงอ๋องอย่างดื้อรั้น
ฉากนี้ไม่ว่าอย่างไรต้องเกิดขึ้น!
ทว่ามีคนยอมยืนกำบังหลานหลิงอ๋อง!
แต่ถึงอย่างนั้น คนเหล่านี้เป็นต้องงงงันกับคำถามชุดหนึ่ง
‘คุณบอกว่าหลานหลิงอ๋องอาศัยความสามารถของตัวเอง คุณบอกว่าเพลงของหลานหลิงอ๋องคือการตอบสนองต่อโลกภายนอกของเขา คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเพลงนี้เป็นของใคร!’
‘นี่คือเพลงของใคร’
‘อย่าว่าแต่ประพันธ์ทำนอง!’
‘เนื้อเพลงของหลานหลิงอ๋องเขายังไม่ได้เขียนเองเลย!’
‘เนื้อเพลงของเขาทรงพลัง ทำนองของเขาไพเราะซาบซึ้ง แต่นั่นเพราะเซี่ยนอวี๋เป็นคนเขียนไงล่ะ!’
‘ถ้าไม่มีเซี่ยนอวี๋ เขามาไม่ถึงรอบชิงหรอก!’
‘ถ้าไม่มีเซี่ยนอวี๋ เขาไม่ได้แชมป์แน่!’
‘คนที่เป็นแชมป์ได้เพราะอาศัยเซี่ยนอวี๋ มีอะไรให้อวยไม่ทราบ?’
‘เขาเก่งเหรอ ถ้าไม่มีเซี่ยนอวี๋ก็ไม่เท่าไหร่หรอก’
‘พ่อเพลงหลับหูหลับตาช่วยขนาดนี้ แน่นอนว่าเขามีโอกาสชนะ แต่พวกเราไม่ยอมรับ!’
‘…’
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามเหล่านี้ ผู้พิทักษ์ของหลานหลิงอ๋องหลานคนจึงชะงักไปทันที
สิ่งที่เรียกว่าการตอบสนองต่อโลกภายนอก ตั้งแต่เนื้อร้องไปจนถึงทำนองล้วนมาจากปลายปากกาของเซี่ยนอวี๋
แชมป์ควรเป็นของเซี่ยนอวี๋หรือหลานหลิงอ๋อง…
ในชั่วขณะที่พวกเขาลังเลอยู่นั้นเอง
คอมเมนต์ทั้งหลาย ล้วนกลายเป็นงานเลี้ยงรื่นเริงเพื่อต่อต้านเซี่ยนอวี๋!
กลุ่มคนราวนี้ประหนึ่งกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดในยุคก่อนประวัติศาสตร์!
การปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดเหล่านี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงสิ่งเดียว
นั่นคือการฉีกร่างหลานหลิงอ๋องผู้เป็นศัตรูของทั้งโลกให้เป็นชิ้น ๆ และกลืนกินเขาจนหมด!
……
และบนเวที
ผู้ชมเฝ้ารอด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม
หลานหลิงอ๋องล่ะ?
ทำไมยังไม่ถอดหน้ากาก
ความเคลื่อนไหวในห้องส่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ห้องส่งเริ่มมีเสียงเอะอะ
ถึงกับมีคนกำลังคิดว่า…
หลานหลิงอ๋องคงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกนะ?
แรงกดดันมหาศาล
เขาเลยไม่กล้าถอดหน้ากาก?
ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากหากเป็นเช่นนั้น
เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก วลีนี้ถึงแม้จะน่าขัน ถึงแม้จะไร้เดียงสา แต่เมื่อใช้กับหลานหลิงอ๋องแล้วเหมาะสมมากทีเดียว
เขาเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก!
ต่อให้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์แชมป์ก็ตามแต่!
พิธีกรอันหงทำได้เพียงโอ้โลมทุกคนด้วยรอยยิ้มขมขื่น “อาจารย์หลานหลิงอ๋องกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ครับ อีกสักครู่จะทำการถอดหน้ากากต่อหน้าทุกท่าน…”
ทันใดนั้นเอง!
ลิฟต์ตรงหน้าก็เลื่อนขึ้น
ลิฟต์เปิดออก ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากด้านใน
คนคนนี้ยังคงสวมหน้ากากของหลานหลิงอ๋องที่ทุกคนคุ้นเคย แต่กลับเปลี่ยนไปสวมชุดซึ่งค่อนข้างเรียบง่าย ดูจากรูปร่างแล้ว…
อายุน้อยมาก?
บนหน้าจอในห้องส่ง!
ทุกคนล้วนจับจ้องไปยังคนคนนี้!
สายตาของบางคนแทบลุกเป็นไฟ ราวกับไฟนี้สามารถมอดไหม้หน้ากากของอีกฝ่ายจนหลุดไปได้!
ในที่สุด…
เขาก็ถอดหน้ากากออก
ค่อยๆ ถอดหน้ากากออก
กล้องนับไม่ถ้วน แสงไฟสว่างพร่าตา และความเคลื่อนไหวในห้องส่ง!
บรรยากาศทั้งหมดนี้
ล้วนทำให้หลินเยวียนกระอักกระอ่วน
ทันทีที่ถอดหน้ากากออก เขาถึงขั้นยกมือขึ้นปิดหน้าตามสัญชาตญาณ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำอย่างห้ามไม่อยู่
รู้สึกไม่ชินเอาซะเลย
แต่…
เหมือนว่าจำเป็นต้องเปิดเผยใบหน้า
นี่ไม่ใช่เพียงกฎของการแข่งขัน แต่ยังเป็นสัญญาซึ่งหลินเยวียนบอกกับตนเองในใจ
มือของเขาค่อยๆ ลดลง พยายามยอมรับ ทุกสิ่งที่เขาเคยต่อต้าน…
“แม่เจ้าโว้ย!”
“ใครอะ!”
“นี่ใครเอ่ย”
ผู้ชมจ้องมองไปบนเวที
ในแววตาของผู้ชมหน้าจอบางคนเริ่มปะทุประกายไฟ!
ทุกคนหวังเพียงว่า เขาจะรีบดึงมือนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว!
ภายในเสี้ยววินาทีเลยยิ่งดี!
ความจริงแล้วกระบวนการนี้กินเวลาสี่ถึงห้าวินาที ในท่ีสุดใบหน้าของหลินเยวียนก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคน
ปราศจากสิ่งกำบัง เปิดเผยต่อโลกภายนอก
คิ้วโก่งสวย ดวงตาเป็นประกาย รูปหน้าคมชัด ริมฝีปากได้รูป…
อ่อนเยาว์
หล่อเหลา
แถมยัง
ไม่คุ้นหน้า
ชั่ววินาทีนั้น ปฏิกิริยาแรกของทุกคนไม่ใช่ตกใจ และไม่มีการถกเถียง ทว่ากลับเต็มไปด้วย…
ความสับสน!
นี่คือรายการราชาหน้ากากนักร้องหรือ?
นี่คือผู้ชนะในซีซันหนึ่งหรือ?
เขาหน้าตาดีจริงๆ ราวกับตัวละครที่หลุดออกมาจากการ์ตูน เปล่งประกายจนให้ความรู้สึกราวกับร่างกายส่องแสงได้ แต่ทำไมพวกเราถึงไม่รู้จักคนคนนี้ล่ะ
ไม่รู้จักเลย!
สุดหล่อ คุณคือกันใครคะ
แต่ถึงอย่างนั้น ในคอมเมนต์กลับเริ่มคลุ้มคลั่ง กล้องของรายการจับไปยังใบหน้าหล่อจนผิดกฎหมายของเขา หากว่ากันตามเบ้าหน้าละก็ นี่คือความหล่อตะลึงที่แท้จริง
‘เห็นแล้วๆๆ !’
‘เดี๋ยวนะ!’
‘เขาคือใคร’
‘สรุปคือใครล่ะเนี่ย!’
‘ไม่เหมือนกับหลานหลิงอ๋องที่ฉันคิดไว้เลย แต่ว่า…’
‘หล่อมากกกก!!!’
‘หล่อจริงหล่อไม่ไหวว!!!’
‘บ้าจริง พวกเธอจะหลงความหล่อไม่ได้นะ!’
‘เขาคือศัตรู!’
‘เขาคือหลานหลิงอ๋อง!’
‘เขาปากตะไกรกว่าใครเพื่อน!’
‘เขาคืองูพิษ!’
‘คิดว่าหล่อแล้วจะพูดอะไรงี้เหรอ!’
‘วันนี้ใครก็ช่วยเขาไม่ได้!’
ใช่แล้ว!
หลานหลิงอ๋องหน้าตาหล่อเหลามากทีเดียว!
หล่อจนหลายคนสติหลุดลอยไปชั่วขณะ!
แต่ขณะเดียวกัน…
พวกเขาไม่คุ้นหน้าหลานหลิงอ๋องเลย!
รายการผิดพลาดหรือเปล่า?
รายการไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน และไม่เคยผิดพลาดด้วย
เพราะภายใต้การจับจ้องของทุกคน ท่ามกลางอารมณ์อันซับซ้อนสารพัดรูปแบบ ระหว่างความสับสนของผู้คนนับไม่ถ้วน
ทันใดนั้นซุนเย่าหั่วร้องออกมาราวกำลังสติแตก!
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงร้องนี้ ก็คือเสียงกรีดร้องแหลมสูงของเจียงขุย!
จ้าวอิ๋งเก้อก็พลอยกรีดร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวขณะกำลังน้ำตารื้น ตามมาด้วยเสียงโกนทั้งน้ำตาของซย่าฝาน
“อ๊าาาา!!!”
ส่วนทางคณะกรรมการตัดสิน
หยางจงหมิงเงยหน้ามองฟ้าหัวเราะลั่น!
เขารอเวลานี้มานานเหลือเกิน มีหลายครั้งเขาแทบทนไม่ไหวอยากพูดออกมา
มีหลายครั้ง เขาแทบอยากชี้หน้าด่าผู้ชมให้รู้แล้วรู้รอด!
มีตาหามีแววไม่!
แต่เขายังอดกลั้น เขาจึงหัวเราะออกมา หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง!
ด้านข้างหยางจงหมิง
อิ่นตงมองไปยังหยางจงหมิงด้วยความงุนงง
เยี่ยจือชิวมองไปยังหยางจงหมิงเช่นกัน เขาไม่เคยเห็นหยางจงหมิงเป็นเช่นนี้มาก่อน
และถึงคราวของเจิ้งจิง…
เจิ้งจิงถึงกับลุกขึ้นยืน!
และเธอยัง…
และเธอยังตีแขนของหยางจงหมิงอย่างแรง!
อย่างไรก็ตาม หยางจงหมิงยังคงหัวเราะ ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด รู้สึกเพียงว่าฉากนี้น่าสนใจจนถึงขีดสุด!
“ถ้าบอกฉันก่อนจะตายหรือไง!”
เจิ้งจิงตำหนิหยางจงหมิง จากนั้นจึงรีบเดินขึ้นไปบนเวทีโดยไม่สนใจใคร ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ทำท่าทางผายมือเชื้อเชิญ สีหน้าออกจะ…
ชวนตกตะลึง?
นี่คือเจิ้งจิง?
นี่คือพ่อเพลง!
ต้องทำให้หลานหลิงอ๋องมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
และสิ่งที่ทำให้ผู้คนยิ่งตกตะลึงก็คือ หยางจงหมิงเองก็ลุกขึ้นยืน และปรี่ไปยังตำแหน่งของอันหงบนเวที
อันหงตกใจจนขยับถอยไปสองก้าว
หยางจงหมิงหยิบไมโครโฟนจากเขามา หันไปมองหลินเยวียน “ผมจะขอถามคุณอีกครั้ง สนุกไหม?”
“สนุกครับ”
หลินเยวียนยิ้มแย้มราวกับเด็กคนหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า ที่แท้กล้องก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไหร่
“คุณคือใคร”
หยางจงหมิงมองไปยังผู้ชม ประหนึ่งกำลังมองดูใบหน้าเลิ่กลั่กและสับสนหน้าจอ ก่อนที่เขาจะหันไปมองหลานหลิงอ๋อง “ชื่อของคุณไม่ควรออกจากปากของผม คุณบอกพวกเขาเองว่า คุณ! คือ! ใคร!”
“สวัสดีครับ”
หลินเยวียนขบคิดสารพัดวิธีแนะนำตัวไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลา เขาคล้ายกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สุดท้ายจึงเหลือเพียงประโยคแนะนำตัวอันเรียบง่ายและไร้สีสันเพียงสี่คำ
“ผมคือเซี่ยนอวี๋”
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินเยวียนประหลาดใจคือ เมื่อเขาแนะนำตัว ทั้งห้องส่งเงียบลงอย่างฉับพลัน ราวกับมีคนกดปุ่มปิดเสียงลงกะทันหันขณะกำลังเล่นเพลงร็อก
นี่คือห้องส่งซึ่งมีผู้คนมหาศาล!
แต่ว่า…
ในห้องส่งซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนแห่งนี้ ในเวลานี้กลับเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น ราวกับทุกคนสูญเสียความสามารถในการพูดไป เหลือไว้เพียงใบหน้าอันสับสนงุนงง…
“เซี่ยนอวี๋!!”
“เซี่ยนอวี๋!!!”
ซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ ทำลายความเงียบอย่างฉับพลัน และใช่วิธีนี้เตือนสติทุกคน คุณไม่ได้ฟังผิดหรอก
เขา! คือ! เซี่ยน! อวี๋!
ตู้มๆๆ ประหนึ่งระเบิดหล่นลงทันใด!
หลังจากคำพูดนั้นของหยางจงหมิง และคำยืนยันของซุนเย่าหัว ผู้ชมทุกคนลุกพรวดขึ้นมา ราวกับว่าพวกเขาผ่านการซ้อมมาล่วงหน้านับครั้งไม่ถ้วน ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนจากความงงงันไปสู่ความตกใจและความบ้าคลั่งอย่างสุดขั้ว!!
และหน้าจอ
สีหน้าของทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึงซึ่งไม่อาจพรรณาได้ พวกเขาถึงขั้นสงสัยว่าหูของตนเองมีปัญหา
เขาคือใคร
เขาคือเซี่ยนอวี๋?
เขาคือเซี่ยนอวี๋…
เขาคือเซี่ยนอวี๋!!!!!
ชั่วขณะนั้น หลังจากช่วงเวลาอันเงียบงันผ่านพ้นไป เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นที่หน้าจอนับไม่ถ้วน ปานประหนึ่งเสียงของหม้อแรงดันซึ่งมีแรงดันเพิ่มขึ้นจนถึงจุดวิกฤต
วินาทีถัดไปนั้นเอง!
ทั้งห้องส่ง!
อาคารซึ่งปลูกสร้างมานับร้อยปีแห่งนี้ ถึงคราวต้องแ บกรับการโจมตีด้วยคลื่นเสียงอันน่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ โลกทั้งโลกกำลังจะระเบิดด้วยเสียงกรีดร้องอันเป็นหนึ่งเดียวกัน!
มหาราชาเปลี่ยนไปแล้ว…
เขาไม่ใช้เสียงสูงสารพัดรูปแบบอีกต่อไป ไม่เลื่อนโน้ตอย่างหวือหวาอีกต่อไป ไม่ใช้เทคนิคแปลกๆ นับไม่ถ้วนอีกต่อไป แค่ร้องเพลงบนเวทีนี้ด้วยเสียงร้องที่เรียบง่ายที่สุด แต่ในเพลงนี้ เขากลับร้องได้ดีกว่าครั้งใดๆ
ทุกคนล้วนปรบมือ
หลินเยวียนก็ปรบมือเช่นกัน เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายคือใคร เชื่อว่าคณะกรรมการตัดสินและคนที่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายล้วนฟังออกว่าอีกฝ่ายคือใคร นี่คือบทเพลงที่ดีที่สุดที่อีกฝ่ายขับร้องในรายการนี้
“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง”
อันหงมองไปยังหลานหลิงอ๋อง
ทุกคนมองไปยังหลานหลิงอ๋อง
หลินเยวียนเดินไปยังเวที เขายังคงไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ กับวงดนตรี นี่คือเพลงสุดท้ายของเขาบนเวทีนี้ เขาไม่อยากทิ้งภาพจำชวนลุ้นระลึกให้กับทุกคน
เสียงเปียโนไฟฟ้าดังขึ้น
เสียงของหลินเยวียนกังวานใส
“พเนจรไป
อยู่บนเส้นทาง
เธอจะไปไหม
ผู้เย่อหยิ่งจิตใจเปราะบาง
นั่นคือตัวตนที่ฉันเคยเป็น”
เสียงของหลินเยวียนบริสุทธิ์และเรียบง่าย ละทิ้งเทคนิคทั้งปวง ร้องเพลงด้วยเสียงร้องพื้นฐาน ภาพของการแสดงในรอบตัดสินซึ่งหลายคนจินตนาการไว้ไม่ปรากฏ
ราวกับเกิดการพลิกผันครั้งใหญ่
เวทีนี้เคยอาบไปด้วยเสียงสูงและเทคนิค แต่ในรอบชิงชนะเลิศ ตัวเลือกของนักร้องทั้งสองคนกลับให้กลิ่นอายที่เหมือนกันในระดับหนึ่ง
แต่ว่า…
ไม่มีใครรู้สึกผิดหวัง
แต่กลับมีความรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แววตาลุกโชนใจทุรนทุราย
ฉันไปหนใด
เงียบงันจนเหมือนหลงในหลุมพราง
เรื่องราวเธอตั้งใจฟังบ้างไหม…”
หลินเยวียนลากเสียงยาว เขามอบเพลงนี้ให้แด่ตนเอง
“ครั้งหนึ่งฉันเคยข้ามห้วงสมุทรข้ามขุนเขา
พานพบผู้คนมหาศาล
ครั้งหนึ่งฉันเคยครอบครองทุกอย่าง
แต่กลับเหมือนหมอกควันพลันเลือนราง
ครั้งหนึ่งฉันเคยสูญเสียสิ้นหวังไร้ทิศหลงผิดทาง
จนได้พบเพียงคำตอบเดียวคือความธรรมดา…”
แด่ชีวิตเดิม
แด่ชีวิตนี้
แด่ตนเองในทุกๆ วัน
มีผู้ชมบางคนหลับตาลง
เพลงนี้ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าเพลงเกินจริง แต่กลับให้พลังบางที่ไม่อาจพรรณาได้ หลายคนคิดว่าเพลงสุดท้ายของหลานหลิงอ๋องนั้นเหนือกว่าเพลงสุดท้าย แต่เมื่อเพลงนี้ดังขึ้น ทุกคนต่างรู้สึกว่า
ไม่ต้องแข่งแล้ว
เพลงนี้
ดีเหมือนกัน
ในความเป็นจริง คอมเมนต์กระสุนบนหน้าจอพลันท่วมท้นอีกครั้งเมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์ ในเวลานี้ชาวเน็ตนับไม่ถ้วนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป
‘บางทีนี่อาจเป็นรอบชิงแชมป์อย่างที่ควรเป็น’
‘นี่คือเวทีประกวดร้องเพลง เพลงเกินจริงคือการตบหน้า การโต้แย้ง การปลดปล่อย แต่เพลงนี้คือการคืนนี้ ไม่ใช่คืนดีกับคู่แข่ง แต่เป็นการทำให้คู่แข่งเปิดใจฟัง’
‘ชอบเพลงนี้’
‘เพลงนี้หูเคลือบทองไปเลย’
‘ต้องใส่ลงไปในเพลย์ลิสต์’
‘ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าซีซันที่สองจะเหนือกว่าซีซันที่หนึ่งได้ไหม หลานหลิงอ๋อ งแข็งแกร่งเกินไปแล้ว การแข่งขันรอบตัดสินไม่ทำให้ผิดหวัง!’
‘…’
เสียงของหลินเยวียนกลับมาสงบอีกครั้ง ความสงบคือตัวตนที่แท้จริงของบทเพลงนี้
“ยามที่เธอยังคงเพ้อฝัน
ว่าวันพรุ่งนี้
เธอจะสบายดีไหม หรือมันเลวร้าย
สำหรับฉันมันคืออีกวันหนึ่ง
ครั้งหนึ่งฉันเคยทำลายทุกอย่าง
เพียงแต่อยากจากไปไม่หวนคืน
ครั้งหนึ่งฉันเคยจมดิ่งในความมืดมน
ฝืนดิ้นรนแต่ไม่หลุดพ้น
ครั้งหนึ่งฉันเคยเหมือนเธอเหมือนเขาเหมือนดอกไม้ป่า
แม้สิ้นหวัง แต่ยังคาดหวัง
หัวเราะร้องไห้เป็นธรรมดา…”
เคยอ่อนแอดุจใบหญ้า เคยปราดเปรื่องโดดเด่น เคยเดือดดาลดื้อรั้น เคยกล่าวโทษโชคชะตา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเมฆหมอกซึ่งถูกสายลมแห่งกาลเวลาพัดพาไป เวลานี้ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องดี ท่วงทำนองดนตรีดังขึ้น หลินเยวียนราวกับกำลังฮัมเพลง
“เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าเธอจะถูกพรากสิ่งใดไป
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าเธอจะต้องพลาดสิ่งใดไป
เดินต่อไปเดินไปอย่างนี้
ไม่ว่าอย่างไร
ครั้งหนึ่งฉันเคยข้ามห้วงสมุทรข้ามขุนเขา…”
เมื่อท่อนคอรัสเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ดูคล้ายกับว่ามหาราชากำลังร้องตามด้วย หลังจากนั้นหงส์ขาวจึงร้องตามด้วย และสุดท้ายนักร้องซึ่งตกรอบไปแล้วแต่ยังอยู่ในเวทีนี้ก็ร่วมร้องเช่นกัน
ทำนองอันเรียบง่าย
ที่จริงนักร้องมืออาชีพฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรกก็ร้องตามได้แล้ว บนเวทีไม่ได้เป็นเพียงนักร้องบนเวที ยังมีเสียงจากนักร้องซึ่งตกรอบและถอดหน้ากากไปแล้วด้านล่างเวที อย่างซุนเย่าหั่ว จ้าวอิ๋งเก้อ หรือเจียงขุย
ภายใต้หน้ากาก
น้ำตาของมหาราชาเอ่อท้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้จุดจบของตนแล้ว หรือเพราะเขาซาบซึ้งใจกับเนื้อเพลง จนกระทั่งเมื่อให้สัมภาษณ์ในภายหลัง เขาร้องท่อง ‘ครั้งหนึ่งฉันเคยเหมือนเธอเหมือนเขาเหมือนดอกไม้ป่า แม้สิ้นหวัง แต่ยังคาดหวัง หัวเราะร้องไห้เป็นธรรมดา…’ ออกมา ทุกคนจึงได้เข้าใจความรู้สึกของเขา
“เวลาไร้ถ้อยคำ
เป็นดังที่เห็น
พรุ่งนี้มาถึง
ยามลมโชยพัด
เส้นทางแสนไกล
เรื่องราวของเธอเป็นอย่างไรแล้ว”
ประโยคสุดท้ายในเนื้อเพลงราวกับเป็นประโยคคำถาม และเต็มไปด้วยความหวังมากมาย ชีวิตอยู่บนเส้นทาง ขอให้เราทุกคนธรรมดาอย่างไม่ธรรมดา
เพลงนี้มีชื่อว่า ‘เส้นทางธรรมดา[1]’
หลังจากร้องจบ
หลินเยวียนโค้งคำนับ
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องส่ง ไม่มีเสียงอุทานว่า ‘แม่เจ้า’ และ ‘สุดยอด’ ทว่าสีหน้าของทุกคนบอกทุกสิ่ง ไม่มีเพลงรอบชิงชนะเลิศเพลงใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
บนหน้าจอ
คอมเมนต์ทะลักทลายราวกับน้ำตก
‘หูเคลือบทอง’
‘ขอให้เราทุกคนธรรมดาอย่างไม่ธรรมดา!’
‘บางทีรายการนี้อาจไม่ต้องการแชมป์’
‘พวกเขาเป็นแค่กลุ่มคนที่มีใจรักในการร้องเพลง…ยกเว้นเทพีแห่งการล้างแค้น’
‘เพลงสุดท้ายของมหาราชาทำให้ผมชอบเขา ผมถึงกับคิดว่ามหาราชาจะชนะ แต่พอเพลงนี้ขึ้นมา ที่จริงจะแพ้ชนะไม่ได้สำคัญแล้ว’
‘เพลงนี้ ฉันฟังแล้วซาบซึ้งถึงระดับจิตวิญญาณ’
‘สามปีที่แล้วผมเป็นซีอีโอบริษัทจดทะเบียน สามปีผ่านไปผมเปิดร้านเล็กๆ แต่ที่จริงผมก็ไม่มีอะไรให้บ่น นี่เป็นเส้นทางธรรมดาของผม’
‘มหาราชาร้องแล้วฉันร้องไห้ หลานหลิงอ๋องร้องแล้วฉันลืมร้องไห้ไปเลย’
‘…’
ปฏิกิริยาของทุกคนต่อเพลงนี้นั้นเหมือนกัน ถึงขั้นที่มีคนคิดว่าการที่หลานหลิงอ๋องยืนกรานว่าจะแข่งขันกับมหาราชาในรอบชิงนั้น คือความสำเร็จของเวทีแห่งนี้
เขาและมหาราชากำลังบอกความจริงข้อเดียวกัน
เสียงไม่สูง ไม่อวดเทคนิค เพียงแค่ร้องออกมาด้วยหัวใจ คนที่ยินดีฟังเพลงที่คุณร้องนั้นมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
ในรอบนี้
หลานหลิงอ๋องชนะแล้ว
ชนะด้วยคะแนนมหาศาล
ขณะเดียวกันมีผู้ชมจำนวมมากเลือกสละคะแนนโหวต นับว่าเป็นรอบที่มีผู้ที่สละคะแนนโหวตมากที่สุดนับตั้งแต่มีการแข่งขันมา หลายคนทำใจเลือกผู้แพ้ผู้ชนะในตอนสุดท้ายไม่ไหว
แต่มหาราชายืดอกรับผล
ขณะที่เขาถอดหน้ากาก ท่าทางของเขาเยือกเย็น
ใบหน้าของเฟ่ยหยางปรากฏแก่สายตาสาธารณชน และคอมเมนต์ไม่มีคำว่า ‘สอง’ อย่างน่าประหลาดใจ
แน่นอนว่ายังมีคนพิมพ์มาบ้าง
แต่น้อยกว่าที่คาดไว้
อันที่จริง ในเพลงสุดท้ายก็มีคนเดาได้แล้วว่ามหาราชาคือใคร
“ผมได้ที่สองอีกแล้ว!”
เฟ่ยหยางมองไปยังผู้ชมอย่างยิ้มแย้ม พูดหยอกล้อตนเอง แต่กลัวรู้สึกโล่งใจเสียมากกว่า
เมื่อเสียงปรบมือจบลง
อันหงเอ่ยขึ้นอย่างสะท้อนใจ “ขอบคุณอาจารย์เฟ่ยหยางครับ และขอบคุณผู้ชมทุกท่านเช่นกัน ทีนี้อาจารย์หลานหลิงอ๋องของพวกเรา ในฐานะราชาหน้ากากนักร้องในซีซันนี้ ช่วงเวลาในการถอดหน้ากากของคุณมาถึงแล้ว…”
หลินเยวียนชะงัก
ในที่สุด จะถอดหน้ากากแล้ว
ตนควรเตรียมตัวให้พร้อมใช่ไหม?
ทว่าสิ่งที่หลินเยวียนไม่รู้ก็คือ…
เมื่อคำพูดนี้ของอันหงดังขึ้น หยวนซีและแฟนคลับของนักร้องซึ่งเคยโจมตีหลานหลิงอ๋องก็แทบคลุ้มคลั่ง!
[1] เส้นทางธรรมดา คำร้อง ทำนอง เรียบเรียง และขับร้องโดยผู่ซู่
เฟ่ยหยางเดือดดาล!
ในบรรดาเพลงทั้งหมดซึ่งเคยปรากฏบนเวทีนี้ เฟ่ยหยางล้วนมั่นใจว่าเขาจะชนะ อันที่จริงเขาเอาชนะหงส์ขาวในการแข่งขันได้แล้วจริงๆ ทว่าบทเพลงที่เขาต้องเผชิญต่อจากนั้นคือ
เพลง ‘เกินจริง’ ยังไงล่ะ!
เพลง ‘เกินจริง’ ของหลานหลิงอ๋อง!
เพลงที่เขาดันต้องมาเผชิญหน้า ก็คือเพลงที่น่ากลัวที่สุด!
ด้านล่างเวที
ผู้ชมบางคนตะโกนว่า “มหาราชา!”
ด้วยความน่าเกรงขามของมหาราชาหลังจากเอาชนะหงส์ขาวเมื่อครู่ เสียงมากมายปะปนกันเป็นคำว่า
“มหาราชา!”
“มหาราชา!”
“มหาราชา!”
อันที่จริงมีคนตะโกนว่า “ทุกคนไม่มีหวังกับเพลงเกินจริง มีแค่มหาราชาเท่านั้นที่มีหวังกลับมา มหาราชาของพวกข้าฝีมือเลิศล้ำ!”
บนหน้าจอเริ่มมีคอมเมนต์
‘มหาราชาของพวกข้าฝีมือเลิศล้ำ!’
‘มหาราชาของพวกข้าฝีมือเลิศล้ำ!’
‘มหาราชาของพวกข้าฝีมือเลิศล้ำ!’
เฟ่ยหยาง “…”
พวกคุณอย่าพูดพล่อยๆ นะ!
ผมไม่มีหวังจริงๆ !
เฟ่ยหยางแทบล้มทั้งยืน!
แต่ว่า…
นี่คือกฎ
บทเพลงซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการตัดสินจะกลายเป็นเพลงซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในทันที หลานหลิงอ๋องไม่ต้องร้องเพลงอีกแล้ว
เฟ่ยหยางต้องร้องอีกหนึ่งเพลง เพื่อแข่งขันกับเพลงเกินจริง
ถ้าหากเขาแพ้ จะเท่ากับว่าหลานหลิงอ๋องใช้เพลงเกินจริงเพียงเพลงเดียว จัดการทั้งเทพีแห่งการล้างแค้นและมหาราชาได้ในคราวเดียว!
เฟ่ยหยางรู้สึกว่างเปล่า…
จะไม่ให้ว่างเปล่าได้อย่างไร ก็เพลงเกินจริงแข็งแกร่งเกินไป!
ในเวลานั้น
พิธีกรอันหงเอ่ยอย่างยิ้มแย้มขึ้นมาทันใด “อันที่จริงรายการเรามีความยืดหยุ่นสำหรับกฎผู้ถูกเลือกนะครับ ตอนนี้อาจารย์หลานหลงอ๋องมีสองทางเลือกครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์หลานหลิงอ๋องต้องการร้องเพลงเกินจริงเมื่อครู่เป็นเพลงสำหรับการแข่งขันรอบชิงแชมป์ หรืออยากร้องเพลงอื่นครับ?”
กฎที่ซ่อนไว้!
เอกสิทธิ์ของผู้ถูกเลือก!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหลินเยวียนสามารถเลือกที่จะไม่ร้องเพลงอีก และใช้เพลงเกินจริงเพื่อดวลกับคู่ต่อสู้ และสามารถร้องเพลงอื่นเพื่อเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่กับมหาราชา!
แต่ว่า…
ยังต้องเลือกอีกหรือ?
คนโง่เขลายังรู้ว่าเพลงนี้ดีแค่ไหน หลานหลิงอ๋องไม่ต้องอะไรมาก ก็มากพอให้ดับเบิลคิลล์ได้!
ผู้ชมเฝ้ารอคำตอบของหลานหลิงอ๋อง
ผู้ชมหน้าจอนับไม่ถ้วนก็เฝ้ารอคำตอบของหลานหลิงอ๋องเช่นกัน
ในช่วงเวลานี้
อารมณ์ของผู้ชมกำลังย้อนแย้ง
ด้านหนึ่ง ทุกคนหวังว่าหลานหลิงอ๋องจะร้องอีกสักเพลง
อีกด้านหนึ่ง ทุกคนก็รู้สึกว่าการร้องอีกเพลงหนึ่งนั้นเสี่ยงเกินไป ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาคงน่าเสียดายแย่?
ใช้เพลงเกินจริงจะปลอดภัยกว่ามาก ใช้เพลงนี้เป็นเพลงในรอบตัดสิน ที่จริงแล้วมีโอกาสการันตีชัยชนะได้มากกว่า!
อย่างไรก็ตาม
ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลานหลิงอ๋องจะเลือกร้องเพลงเกินจริง หลานหลิงอ๋องกลับให้คำตอบที่เหนือความคาดหมายของทุกคน
“ร้องอีกเพลงหนึ่งแล้วกัน”
ฮะ!
ทั้งห้องส่งแตกตื่น!
“พระเจ้าช่วย!”
“หลานหลิงอ๋องโหดแท้!”
“แข็งแกร่งของจริง!”
“เห็นชัดๆ ว่าเลือกใช้เพลงเกินจริงไปชิงแชมป์ก็ชนะแล้ว!”
“ครั้งนี้ยอมเลย!”
“นี่สิลูกผู้ชายตัวจริง!”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าหลานหลิงอ๋องเป็นผู้ชาย”
“ก็พูดไป ตั้งแต่หลานหลิงอ๋องแข่งมา ทุกเพลงที่เขาร้องใช้เสียงผู้ชายเป็นหลัก เห็นได้ชัดว่าเสียงผู้หญิงใช้เสียงหลบ เขาต้องเป็นนักร้องชายอย่างแน่นอน!”
“…”
ชาวเน็ตต่างฮือฮากัน!
‘ยังจะร้องอีกเหรอ!’
‘ไม่ใช้เพลงเกินจริง’
‘นี่คือโอกาสของมหาราชา!’
‘ฉันรู้สึกว่ามหาราชาชนะเพลงเกินจริงไม่ไหว เพลงนั้นโหดเกินไป แต่หลานหลิงอ๋องกลับเลือกแข่งกับมหาราชาอีกครั้ง!’
‘หลานหลิงอ๋องไม่กลัวมหาราชาจริงๆ !’
‘คิดอะไรของเขาครับเนี่ย!’
‘เทพีแห่งการล้างแค้นแพ้การแข่งขัน และแพ้เรื่องพฤติกรรมด้วย!’
‘…’
หลินเยวียนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากลำบาก
ถึงแม้การเลือกเพลงเกินจริงเป็นเพลงสำหรับแข่งในรอบตัดสินจะปลอดภัย แต่หลินเยวียนไม่ได้ต้องการความปลอดภัย เขายังหวังว่าเขาจะได้หยิบเพลงใหม่ออกมาในการแข่งขันทุกรอบ
ยิ่งไปกว่านี้…
การแข่งขันใกล้จะจบลงแล้ว
ถ้าได้ร้องอีกสักเพลง ทำไมเขาจะไม่ทำล่ะ?
ในแง่หนึ่ง นี่คือสิ่งที่สำคัญกว่าการคว้าแชมป์
นอกจากนั้น…
ใครบอกว่าถ้าหลินเยวียนไม่ใช้เพลงเกินจริงแล้วจะคว้าแชมป์ไม่ได้
…
มหาราชาตกตะลึง!
เขานึกไม่ถึงว่าหลานหลิงอ๋องจะไม่ใช้เพลงเกินจริงในรอบตัดสิน แต่ยังอยากดวลกับตนอีกหนึ่งเพลง!
ภายใต้หน้ากาก
เฟ่ยหยางไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องนี้เหนือความคาดหมาย
เฟ่ยหยางคิดว่าตนจะตกใจ เพราะนี่คือโอกาสที่คู่ต่อสู้ให้เขากลับมา
แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดีใจไม่ออก
ตอนนี้เขาพลันนึกถึงคำวิจารณ์ซึ่งหลานหลิงอ๋อง หยางจงหมิง และคนในวงการมีต่อเขาในเวลาไม่กี่ปีมานี้ และยังรวมไปถึงข้อความส่วนตัวจากแฟนคลับบางคน
‘ไร้ความรู้สึก’
‘โชว์เทคนิคมากเกินไป’
‘ราชาเพลงเฟ่ยนับวันยิ่งเหมือนหุ่นยนต์ร้องเพลง’
‘เสียงสูงของเฟ่ยหยางสูงขึ้นทุกวัน แต่ฉันฟังจบแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า ลองกลับมาคิดดูแล้ว ฉันขำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้เขาร้องอะไร ทั้งที่ตอนฟังรู้สึกตื่นเต้นมากเลยนะ’
‘ราชาเพลงเฟ่ยเทคนิคอลังการมากเลย แต่รู้สึกว่าผลงานคลาสสิกของเขาลดลงเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา’
‘ทักษะการร้องเพลงของราชาเพลงเฟ่ยยอดเยี่ยมมาก!’
‘…’
ทักษะการร้องเพลงของเฟ่ยหยางยอดเยี่ยมมาก?
แต่ไม่ใช่เฟ่ยหยางร้องเพลงได้ดี?
จู่ๆ เฟ่ยหยางก็รู้สึกตื่นตระหนก ฉันฝึกฝนการร้องเพลงอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ฉันทำอะไรผิดไป
ในขณะนั้น
จู่ๆ เฟ่ยหยางก็นึกถึงเพลงเกินจริงซึ่งหลานหลิงอ๋องร้องเมื่อครู่
เสียงของนักร้องคนนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มร้อย
เมื่อกี้เขาร้องเพลงจนเสียงแหบแห้ง
เมื่อกี้ตอนที่เขาร้องจนถึงเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย เขาพลาดไปสองจังหวะด้วยซ้ำ
เสียงของเขาแตกไปแล้ว
ถ้าหากตัดสินจากมุมมองของมืออาชีพ นี่คือความล้มเหลว เป็นความล้มเหลวในความล้มเหลว!
แต่ทำไมไม่มีใครคิดว่ามีปัญหา
ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป
เพราะทุกคนไม่รู้หรือ?
ไม่ใช่หรอก
ทุกคนเขารู้กันหมด
คนที่หูฟังเสียงได้ต่างก็รู้กันหมด
แต่เขายังคงได้รับเสียงปรบมืออันอบอุ่นจากทั้งห้องส่ง ได้รับความเคารพจากผู้ชม และได้รับสถิติสูงสุดจากคะแนนโหวตที่ผ่านมา!
ถึงขั้นที่ทำสถิติได้สูงกว่าสถิติของตนเองด้วยซ้ำ!
ต้องเข้าใจว่าในเวทีซึ่งตนทำสถิติได้นั้น คู่แข่งเป็นเพียงนักร้องแถวหน้า!
แต่เมื่ออีกฝ่ายสร้างสถิติใหม่ คู่แข่งกลับเป็นเพียงราชินีเพลงคนหนึ่ง!
ทำไมอีกน่ะหรือ
เพราะความรู้สึกอย่างไรล่ะ
เพราะความรู้สึกของเขา ล้วนถูกปลดปล่อยในบทเพลง
ด้วยฝีมือของอีกฝ่าย สามารถควบคุมไม่ให้เสียงแตกได้ ด้วยความสามารถของนักร้องมืออาชีพ ไม่มีทางถึงขั้นตามจังหวะไม่ทัน
เพราะฉะนั้นจึงมีเพียงคำตอบเดียว
หลานหลิงอ๋องไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ที่แท้บทเพลงที่ซาบซึ้งที่สุดไม่เพลงซึ่งใช้เทคนิค เสียงสูง หรือทักษะระดับมืออาชีพใดๆ
ปัจจัยเหล่านั้นสำคัญ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึก คือการถ่ายทอดความรู้สึก เหตุผลในการร้องเพลง
คือเจตจำนงดั้งเดิมในการร้องเพลง
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสนใจข้อบกพร่องช่วงนั้น เพราะนั่นไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่คืออีกหนึ่งความสมบูรณ์แบบ และเป็นเพราะข้อบกพร่องนั้น บทเพลงจึงสะเทือนอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น
ตนก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?
มหาราชาคลี่ยิ้ม
เขาโค้งคำนับให้กับด้านล่างเวที “บทเพลงต่อไปนี้ ขอมอบแด่ตัวผมเอง”
เขาคิดในใจ
แด่ตัวผมที่ยินดีแผดเสียงบนท้องถนนในฤดูหนาว แม้จะไม่มีใครอยากหยุดฟังเพลงก็ตาม เพื่อทำตามความฝัน
แด่ตัวผมที่ยินดีอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเวลาสองปี ถือกีตาร์ซอมซ่อตัวหนึ่งโดยไม่สนใคร เพื่อทำตามความฝัน
แด่ตัวผมที่ยอมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหลายเดือนจนเอียนเต็มทน
เพื่อเก็บเงินซื้อกีต้าร์ตัวใหม่
แด่ตัวผมที่ยืนร้องเพลงที่ทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินจนคอเจ็บและน้ำตาริน เพียงเพื่อเศษเหรียญของผู้คนที่ผ่านไปมา
มหาราชาขับร้องบทเพลง
บทเพลงนี้มีชื่อว่า ‘คุณ’
เพลงนี้ไม่มีเสียงสูง ไม่ต้องใช้เทคนิค มีเพียงการถ่ายทอดตัวตนอันเรียบง่าย บางประโยคในเนื้อเพลง เฟ่ยหยางไม่จำเป็นต้องร้องด้วยซ้ำ เพียงแค่อ่านออกมา
เมื่อร้องเพลงจบ มหาราชาก็พบว่าผู้ชมบางคนร้องไห้
แต่ตัวเขาเอง ก็มีน้ำตานองหน้าไม่ใช่หรือ?
เขาโค้งคำนับ เอ่ยด้วยเสียงสาก “ขอบคุณอาจารย์หยางจงหมิงสำหรับเพลงนี้ ครั้งหนึ่งเพลงนี้เคยทำให้ผมมีกำลังข้ามผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากที่สุดในชีวิต…”
ขอบคุณหลานหลิงอ๋อง
คุณพูดไว้ไม่ผิด
เพลงของคุณ สอนผมได้มาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาวางทุกอย่างลง นับตั้งแต่ได้ชื่อว่ามหาราชา และส่งเสียงเฉกเช่นตัวเขาซึ่งเป็นศิลปินข้างถนนในเวลานั้น
เขาไม่ได้เก็บซ่อน
เขาไม่ได้หวาดกลัว
เขาไม่ได้กังวลว่าทุกคนจะพูดว่า
ดูสิ เฟ่ยหยางกลายเป็นลูกคนรองตลอดกาลไปแล้ว
เขาเพียงแค่ขับร้องบทเพลง ทำให้ผู้คนซาบซึ้ง และทำให้ตัวเขาซาบซึ้ง
เวทีนี้ไม่ปราศจากความรู้สึกแพ้ชนะ
เฟ่ยหยางถอยลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือ
เสียสติแล้ว!
หลินเยวียนเสียสติแล้ว!
ผู้ชมเสียสติแล้ว!
ชาวเน็ตก็เสียสติแล้ว!
เวทีนี้ระเบิดแล้ว!
เมื่อเพลงนี้จบลง ประหนึ่งเกิดระเบิดนิวเคลียร์ทำลายล้าง ก่อนหน้านี้ผู้ชมในห้องส่งและผู้ชมหน้าจอนับไม่ถ้วนเคยตะโกนชื่อเทพีแห่งการล้างแค้น ทว่าในเวลานี้ความบ้าคลั่งกลับทบทวีเป็นเท่าตัวแสดงออกผ่านเสียงตะโกนและกรีดร้องชื่อของหลานหลิงอ๋อง เสียงก่นด่า เสียงเชียร์ และเสียงต่อต้านทั้งมวลในห้องส่งล้วนมลายหายไปท่ามกลางความบ้าคลั่ง!
หดหู่…
สับสน…
สิ้นหวัง…
เจ็บปวด…
อันที่จริงเราทุกคนล้วนมีความรู้สึก ทุกคนมีช่วงเวลาแห่งความโกรธ ทุกคนมีวันคืนซึ่งทำได้เพียงฝืนทนและยืนหยัดอย่างเงียบงัน ทุกคนมีค่ำคืนซึ่งไม่อาจข่มตาหลับและสงสัยในตนเอง แต่ในเวลานี้ความรู้สึกของผู้ชมทุกคนล้วนถูกปลดปล่อยเมื่อเสียงกรีดร้องครั้งจนแทบขาดใจในบทเพลงจบลงในท่อนสุดท้าย บนเวทีเช่นนี้ กอปรกับสิ่งที่หลานหลิงอ๋องเผชิญมาตลอดการแข่งขัน พลันได้รับความเห็นใจจากสาธารณชนร่วมกัน
เพลงนี้ทำให้ผู้ที่ได้ฟังล้วนหลั่งน้ำตา !
มาจากก้นบึ้งของจิตใจ!
อย่างแท้จริง!
ซย่าฝานซึ่งอยู่ด้านล่างเวทีกำลังกู่ร้อง ซุนเย่าหั่วเองก็เช่นกัน จ้าวอิ๋งเก้อมองไปยังร่างบนเวทีด้วยแววตาตกตะลึง เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้ทั้งบลูสตาร์เงียบปากทันทีหลังจากถอดหน้ากาก
แต่ว่า
ทำไมต้องถอดหน้ากาก
ถ้าหากทำให้ทุกคนเงียบปากด้วยวิธีถอดหน้ากาก เช่นนั้นจะต่างอะไรกับหยวนซีและแฟนคลับที่เอาแต่เอ็ดอึงต้องการแก้แค้น?
ก็เป็นได้เพียงการแข่งขันว่าใครเหนือกว่าใครอีกครั้ง!
เสียงของใครดังกว่า!
ฉากนั้นคงสร้างความสั่นสะเทือนได้ ทว่าหลานหลิงอ๋องจะหวังให้ผู้คนเบนปลายกระบอกปืนออกไปเพียงเพราะเขาคือเซี่ยนอวี๋น่ะหรือ?
แบบนั้นง่ายเกินไป!
พวกคุณแพ้แล้ว!
แพ้ตั้งแต่ก่อนถอดหน้ากากด้วยซ้ำ!
นี่คือการตอกหน้าของหลานหลิงอ๋อง!
ความแตกต่างของเรื่องนี้อยู่ที่
ไม่ใช่พวกคุณฟังเพลงนี้เพราะหลานหลิงอ๋องคือใคร!
แต่พวกคุณควรฟังเพลงนี้เสียก่อน แล้วค่อนขบคิดดูให้ดีว่าหลานหลิงอ๋องคือใคร!
เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อนถอดหน้ากาก และเมื่อเป็นเช่นนี้ เซี่ยนอวี๋จึงจะไร้ช่องโหว่ให้ถูกโจมตี!
เขาทำได้แล้ว
โน้ตสุดท้ายของบทเพลงนั้นสูงเหลือเกิน สูงจนนักร้องส่วนมากรับมือไม่ไหว!
แต่ทุกคนไม่สนใจความหมายแฝงทางเทคนิคในเสียงสูงนี้อีกต่อไป แต่กลับสนใจอารมณ์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในเสียงสูง นั่นคือบทสรุปที่ง่ายที่สุดสำหรับสิ่งที่เขาเผชิญมาโดยตลอดในการแข่งขัน
เสียงหนึ่งร้องเพื่อปลุกใจ!
เสียงหนึ่งร้องจนสะเทือนใจ!
ถ้าหากการร้องเพลงไม่เคยจากไปของหลินเยวียนทำให้จำนวนคอมเมนต์แตะถึงจุดสูงสุด ความรู้สึกซึ่งแทรกซึมอยู่ในบนเพลงก็ทำให้ปริมาณคอมเมนต์บนหน้าจอนั้นท่วมท้นจนบนบังภาพหน้าจอ
ผู้ชมสมองชาวาบ!
‘เพลงอะไรเนี่ย!’
‘ฟังแล้วแทบบ้า!’
‘หลานหลินอ๋องบ้าไปแล้ว!’
‘รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง!’
‘ท่อนพีคผมนี่น้ำตาไหลเลย นี่ไม่ใช่แค่ความพยายามเบื้องหลังของนักร้องอย่างเดียวที่ไหน คนทั่วไปก็พยายามอย่างหนักวันแล้ววันเล่าเหมือนกัน แต่มีใครเคยสนใจบ้างล่ะ’
‘ขนลุกซู่เลย!’
‘เสียงกรีดร้องในตอนท้ายเหมือนร้องมาจากจิตวิญญาณของฉันจริงๆ ต้องให้หลานหลิงอ๋องเลียนแบบเสียงร้องไห้ของเทพีแห่งการล้างแค้นด้วยเหรอ เสียงร้องไห้คือการแสดงออกของผู้ที่อ่อนแอ เวทีนี้ไม่ได้แข่งขันเรื่องความสะเทือนใจ นักร้องสมัยนี้ทำเหมือนถ้าไม่ร้องไห้ในเพลงของตัวเองสักหน่อยจะไม่มีคนฟัง ใช่แล้วฉันกำลังพูดถึงเทพีแห่งการล้างแค้น มีที่ไหนคนจะแก้แค้นแต่กลับร้องไห้โชว์ ที่คุณประกาศกร้าวว่าจะล้างแค้น ต่อให้แพ้ ฉันก็จะไม่หัวเราะเยาะ แต่คุณร้องเพลงจบแล้วร้องไห้นี่ตีความได้หลายอย่าง จะให้หลานหลิงอ๋องแบกรักคำด่าว่ารังแกผู้หญิงงี้เหรอ? หลังจากหลานหลินอ๋องถอดหน้ากาก ไม่ว่าจะแฟนคลับพวกนั้นจะบุกมายังไงฉันจากทุบให้หมด!’
‘ฟังแล้วได้อารมณ์!’
‘นี่คือเพลงรบที่สมบูรณ์แบบ!’
‘ปกติผมไม่ชอบแสดงความเห็นอะไร แต่ครั้งนี้ทนไม่ไหวแล้ว หลานหลิงอ๋องทำผมทึ่งมาก ตอนดูถ่ายทอดสดกลุ่มผู้สนับสนุนพวกนั้นเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าจ่ายเงินจ้างมาเพื่อแข่งราคา เพลงนี้ร้องแล้วทำให้คนพวกนั้นตระหนักได้!’
ปู้ลั่ว!
บล็อก!
โมเมนต์!
การพูดคุยเกี่ยวกับเพลง ‘เกินจริง’ ปรากฏในทั่วทุกมุมบนโลกออนไลน์!
ส่วนคนที่ยังไม่ชอบหลานหลิงอ๋องพลันหดหัวไปอย่างช่ำชอง!
พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ารอต่อไป!
จนกว่าหลานหลิงอ๋องจะถอดหน้ากาก!
เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะส่งสัญญาณเริ่มโจมตีในทันที!
และช่วงเวลาดังกล่าวก็ใกล้เข้ามาแล้ว!
……
ในขณะนั้น
ในห้องรับรองด้านหลังเวที
หงส์ขาวซึ่งมักมีบุคลิกเย่อหยิ่งอยู่เสมอกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
“นี่คือเพลงเดียวที่ฉันไม่มั่นใจว่าจะชนะ เป็นเพลงเดียวที่ฉันไม่กล้าขึ้นไปแข่งบนเวทีกับเขา ไม่ใช่เพราะเทคนิคหรือเนื้อเพลงดี อันที่จริงก็ดีทั้งหมดนั่นแหละ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาใช้ความรู้สึกขับร้องสิ่งที่เผชิญมาตลอดทั้งการแข่งขัน!”
ทันใดนั้นหงส์ขาวก็ฉุกคิดขึ้นได้
เมื่อเธอพบกับหลานหลิงอ๋องก่อนการแข่งขันในวันนี้ คำพูดของอีกฝ่ายนั้นไร้เหตุผลสิ้นดี
ที่แท้ก็มีเค้าลางของเพลงนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ฉันโชคดีมากที่ได้มีส่วนร่วมและเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์เช่นนี้
หากมีโอกาส เธอก็อยากแบ่งปันเรื่องราวเล็กๆ ของการ ‘ไม่สนใจ’ กับโลกภายนอกบ้าง
“ศิลปะ…”
ในห้องรับรองข้างๆ
เอล์ฟเริ่มเอ่ยเสียงเบา
เมื่อกล้องสลับไปในห้องรับรองของมหาราชา มหาราชาไม่ได้พูดอะไร
ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาจับจ้องไปยังเวทีการแสดงซึ่งฉายผ่านหน้าจอโทรทัศน์บนกำแพง แม้สวมเสื้อผ้าแต่ยังคงสัมผัสได้ว่าขนลุกซู่!
อีกด้านหนึ่ง
ผู้ชมด้านล่างเวทีปรบลุกขึ้นยืนปรบมืออยู่นาน กว่าในห้องส่งจะสงบลงในที่สุด
ระหว่างนั้นเกิดฉากที่น่าสนใจขึ้นอีก
นั่นคืออันหงขึ้นไปบนเวทีและพยายามพูดอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงปรบมือ
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ทำให้เสียงปรบมือสงบลง กลับไม่ใช่เพราะอันหงจงใจควบคุมเวที แต่เป็นเพราะจู่ๆ กล้องก็ฉายไปยังเทพีแห่งการล้างแค้นซึ่งตะลึงงันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เธอทำอะไรไม่ถูก
มือของเธอสั่นเทิ้ม
ชั่วขณะนั้น เธอเองก็เริ่มตกใจกับเพลงนี้ของหลานหลิงอ๋อง
เมื่อหลานหลิงอ๋องร้องเพลงจบ เธอกลับลืมความตกใจไปเสียสนิท ทำได้เพียงยืนอยู่กับที่
เหมือนกับเด็กประถมกำลังเหม่อลอย
ล้างแค้น?
เห็นใจ?
แข่งกันอย่างไร
จะล้างแค้นอย่างไร
ความเห็นใจอยู่ที่ไหน
ถ้าหากในเธอยังไม่ลืมการแสดงของตนเอง ในเวลานี้เธอควรทรุดลงและร้องไห้อีกครั้ง
ทว่าในตอนนี้เธอไม่ได้ตระหนักถึงการแสดง
สีหน้าของเธอภายใต้หน้ากากนั้นนิ่งค้างจนแทบเหมือนกับอิ่นตง
จบแล้ว!
จบสิ้นแล้ว!
สมองซึ่งชะงักงันของเธอพยายามเคลื่อนไหว แต่ทุกเซลล์ในร่างกายกลับบอกเธอว่า
ในการแข่งขันเวทีนี้เธอแพ้ราบคาบแล้ว!
เวทีซึ่งดูคล้ายกับเป็นการล้างแค้นอย่างงดงาม สามารถประกาศความพ่ายแพ้ได้ล่วงหน้าแล้ว!
“ฮู้ว…”
ในที่สุดอันหงก็ผ่อนลมหายใจ
เขาจ้องมองไปยังเทพีแห่งการล้างแค้น ก่อนที่สายตาจะเบนไปยังหลานหลิงอ๋องอย่างเงียบงัน “ที่จริงตอนนี้ผมอยากให้อาจารย์หลานหลิงอ๋องพูดอะไรสักหน่อย คุณมักจะแสดงออกผ่านบทเพลงเสมอ งั้นในครั้งนี้มีอะไรอยากบอกไหมครับ?”
หลินเยวียนส่ายหน้า
อันหงชะงัก ทันใดนั้นจึงคลี่ยิ้ม
“มีความเป็นหลานหลิงอ๋องมากเลยละครับ อย่างนั้นขอเชิญเทพีแห่งการล้างแค้นกลับขึ้นมาบนเวทีของเรา จากนั้นขอเชิญคณะกรรมการตัดสินแสดงความคิดเห็นต่อนักร้องทั้งสองท่านของเราด้วยครับ อาจารย์เจิ้งจิง…”
“เดิมทีฉันไม่อยากแสดงความคิดเห็นหรอก”
เจิ้งจิงเหลือบมองเทพีแห่งการล้างแค้น และมองไปยังหลานหลิงอ๋อง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ฉันยอมรับนักร้องที่สูญเสียการควบคุมทางอารมณ์บนเวทีได้ แต่ทุกเรื่องล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพียงแต่การแสดงในวันนี้ ฉันเกลียดพฤติกรรมที่คุณเพิ่มแรงกดดันให้คู่แข่งด้วยเสียงร้องไห้จริงๆ !
เทพีแห่งการล้างแค้นพยายามโต้แย้ง “ฉันคิดว่า…”
เจิ้งจิงเอ่ยตัดบทอย่างไร้ปรานี “คุณคิดว่าอะไรฉันไม่ต้องการ นี่คือสิ่งที่ฉันคิด”
……………………………………………………
[ก่อนจะเริ่มตอนนี้ เนื้อเพลงคือเวอร์ชันภาษาจีนกลางของเซียนหลิน เนื่องจากเพื่อให้เหมาะกับเรื่องราว แต่เพื่อให้ได้อรรถรสของการระบายอารมณ์ แนะนำให้ฟังเวอร์ชันคอนเสิร์ตของเฉินอี้ซวิ่น ทุกคนสามารถเลือกฟังได้ตามรสนิยมของตนเอง]
เข้าไปในห้องรับรองได้ไม่นาน
ทันใดนั้นถงถงก็กระวีกระวาดมา “อาจารย์หลานหลิงอ๋องคะ ลำดับการแสดงออกแล้วค่ะ คุณกับเทพีแห่งการล้างแค้นจะได้ขึ้นแสดงเปิดเวทีในวันนี้!”
เปิดเวทีอีกแล้ว?
จู่ๆ หลินเยวียนก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาพยักหน้า ลุกขึ้นเดินออกไปยังเวทีพร้อมกับถงถง
ในขณะนี้
การถ่ายทอดสดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้ชมในห้องส่งต่างกระซิบกระซาบกัน
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ทันใดนั้นอันหงก็เอ่ยขึ้น
“ต่อจากนี้ขอเชิญเทพีแห่งการล้างแค้นกับอาจารย์หลานหลิงอ๋องขึ้นมาพร้อมกันบนเวทีครับ พวกเขาจะเริ่มต้นการแข่งขันเวทีแรก!”
หลินเยวียนก้าวขึ้นไปบนเวที
ขณะเดียวกัน
ณ ทางเข้าอีกด้านหนึ่ง เทพีแห่งการล้างแค้นก็เดินขึ้นบนเวที
ทั้งสองยืนเคียงคู่กัน
อันหงกล่าวกลั้วหัวเราะ “วันนี้จะไม่กำหนดว่าใครร้องก่อน นักร้องทั้งสองท่านสามารถกำหนดกันเองได้ และสามารถเป่ายิงฉุบกันได้ครับ”
ด้านล่างเวที
เทพีแห่งการล้างแค้นมองไปยังหลานหลิงอ๋อง ทันใดนั้นจึงหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด “ไม่ต้องเป่ายิงฉุบหรอก ได้ยินมาว่ามีอาถรรพ์ลึกลับบนเวทีนี้ที่บอกว่าใครเริ่มก่อนแพ้ ฉันอยากลองทำลายอาถรรพ์ดู อาจารย์หลานหลิงอ๋องคิดว่าอย่างไร”
“อ้อ”
หลินเยวียนไม่มีความเห็น
เขาเดินออกจากเวทีไปอย่างรู้งาน
เทพีแห่งการล้างแค้นหัวเราะ ไม่ได้เริ่มร้องเพลงในทันที แต่กลับพูดต่อไป
“เพลงที่ฉันจะร้องต่อไปนี้เป็นเพลงเพื่อตัวฉันเอง และเพื่อแฟนคลับของฉัน และเพื่อผู้คนที่คอยสนับสนุนฉันมาตลอด ฉันไม่สนใจเกียรติยศของราชาราชินีเพลง เพราะเดิมทีฉันก็คือรา! ชิ! นี! เพลง!”
แปะๆๆ!
เสียงปรบมือดังกึกก้อง!
เทพีแห่งการล้างแค้นเงยหน้าขึ้น “มีบางอย่างฉันไม่พูด เพราะอยากพูดบนเวที มี บางเรื่องที่ฉันไม่ทำ เพราะอยากทำบนเวที หลานหลิงอ๋อง คุณเคยได้ยินเรื่องการล้างแค้นบ้างไหม?”
หลินเยวียนไม่ตอบ
ทว่าหลังจากที่เทพีแห่งการล้างแค้นเอ่ยวาจาออกไป ผู้ชมทั้งห้องส่งพลันเฮลั่นด้วยความตื่นเต้น แม้แต่สีหน้าของคณะกรรมการตัดสินก็เปลี่ยนไป ถึงขั้นมีคนพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“หยวนซี!”
และในขณะเดียวกัน
ผู้ชมซึ่งรับชมผ่านหน้าจอ ต่างกระหน่ำคอมเ มนต์นับไม่ถ้วนในฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนเข้าใจความนัยของเทพีแห่งการล้างแค้น
‘หยวนซี!’
‘เธอมาล้างแค้น!’
‘เทพีแห่งการล้างแค้นไง!’
‘ที่แท้ก็มาเพื่อล้างแค้น!’
‘คำวิจารณ์ของหลานหลิงอ๋องต่อหยวนซีก่อนหน้านี้ ทำให้หยวนซีเคียดแค้น เธอเลยมาในฐานะเทพีแห่งการล้างแค้น เพื่อเอาชนะหลานหลิงอ๋องบนเวที!’
‘…’
ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน!
นี่คือคำแถลงในการชำระแค้น!
นี่คือฉากโปรดของผู้ชม เทพีแห่งการล้างแค้นพึงพอใจกับผลลัพธ์ของคำพูดของตนเป็นอย่างมาก เมื่อเสียงกู่ร้องในห้องส่งเงียบลง เธอจึงเปล่งเสียงร้องทันใด
“รอยแผลรอยนี้”
“ใครทิ้งให้ข้า”
“พายุทรายกระหน่ำ”
“แผดเผากายา”
“พายุหิมะคำราม!”
“ใคร่ถามได้ยินไหมหนา”
“เลือดแลกเลือดดูสักครา!”
“หากการล้างแค้นคือความถือมั่นของข้า เพลงนี้จะร้องจนเสียงข้าแหบพร่า หากคำสาปของชีวิตคือเบ่งบานและโรยรา ความสิ้นหวังเป็นปราการให้แก่ข้า!”
“ล้างแค้นเถิด!”
“ล้างแค้นกัน!”
“ปรปักษ์ของข้าอยู่หนใด ได้ยินบ้างไหมเสียงของข้า ใครเริ่มขับขานบทเพลงมรณา นกกาแห่งความตาย เจ้าลงดาบในวันหิมะหนา บนหน้าผาโดดเดี่ยวทั้งเหน็บหนาว ร่วงหล่นลงกลางหาว อาทิตย์อัสดงมองดูจุดจบของเจ้า นกกามองดูจุดจบของเจ้า ให้ข้าได้เห็นจุดจบของเจ้า…”
เสียงโกรธ!
เสียงโกรธอันทรงพลัง ราวกับเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของเทพีแห่งการล้างแค้น ยามที่เธอร้องจนถึงท่อนสุดท้าย เสียงของเธอสั่นเครือราวกับกำลังร้องไห้!
เมื่อร้องจบ
เทพีแห่งการล้างแค้นนั่งยองลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
ไม่มีใครมองเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากาก แต่ทุกคนได้ยินเสียงสะอื้น เธอพยายามอย่างหนักที่จะข่มกลั้นไว้ เพียงแต่ร่างกายท่อนบนกลับสูญเสียการควบคุม
เธอร้องไห้แล้ว
ผู้ชมในห้องส่งมากมายรู้สึกใจสลาย เมื่อมีคนร่ำไห้น้ำตานองหน้า พวกเขาจึงช่วยกันเอ่ยปลอบ
“ไม่ต้องร้อง!”
“เทพีแห่งการล้างแค้นคุณเก่งที่สุดแล้ว!”
“เทพีแห่งการล้างแค้นสู้ๆ !”
“คุณคือเทพีตัวจริง!”
“ไม่ต้องเสียใจ!”
“อย่าเศร้าไป!”
“พวกเราสนับสนุนคุณอยู่นะ!”
“…”
แน่นอนฉันรู้ว่าพวกคุณสนับสนุนฉัน
ใบหน้าภายใต้หน้ากากเทพีแห่งการล้างแค้นมีน้ำตาอยู่จริงๆ
แต่ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครมองเห็น มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้น
หลานหลิงอ๋อง
ขอบคุณที่ยกเวทีให้ฉัน
การแสดงของฉันไม่ใช่เพียง ‘ล้างแค้น’
ฉันยังอยากแสดงอย่างหนึ่งให้คุณเห็น…
เวทมนตร์แห่งจิตใจมนุษย์!
เมื่อเสียงร้องไห้ของฉันดังออกไปเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแฟนคลับของฉันหรอก แต่ทั้งโลกจะหันมาเป็นศัตรูของคุณ!
ร้องเพลงคือการแสดง!
บางครั้งความสามารถก็กลายเป็นเครื่องประดับได้ ใครบอกว่าร้องเพลงแล้วจะแสดงไม่ได้?
ใช่แล้ว
เมื่อร้องเพลงนี้จบ
ผู้ชมทั้งห้องส่งตกตะลึง!
เข้ากับสถานการณ์!
ชวนตกตะลึง!
วันนี้เพลงที่เธอเลือกคือเพลง ‘ล้างแค้น’!
นี่คือบทเพลงสุดคลาสสิกของบลูสตาร์ ธีมหลักคือการล้างแค้น!
และเยี่ยจือชิวซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็นั่งอยู่ด้านล่างเวที!
กล้องฉายไปยังใบหน้าของเยี่ยจือชิว
เยี่ยจือชิวคล้ายกับฉุกคิดถึงความทรงจำบางอย่าง แลดูสับสนอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเทพีแห่งการล้างแค้นจึงหันไปจ้องมองหลานหลิงอ๋อง
“ต่อไปขอเชิญอาจารย์หลานหลิงอ๋อง…”
อันหงมองไปยังเทพีแห่งการล้างแค้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซับซ้อน
เทพีแห่งการล้างแค้นถอยกลับไป
หลินเยวียนเดินไปยังเวที
อันหงถาม “หลานหลิงอ๋องมีอะไรจะพูดไหมครับ”
หลินเยวียนส่ายหน้า
หน้าจอ
แฟนคลับของหยวนซีฟังจนร้องไห้ออกมาแล้ว หัวใจของพวกเขาราวกับถูกมีดกรีด
‘ฟังจนปวดใจเลย’
‘หลานหลิงอ๋อเป็นใครมาว่าหยวนซีของพวกเรา!’
‘คุณรู้ไหมว่าคำพูดของคุณแค่ประโยคเดียวสร้างบาดแผลให้หยวนซีมากแค่ไหน’
‘หยวนซีร้องไห้แล้ว!’
‘พอใจหรือยัง!’
‘หยวนซีมาเข้าร่วมการแข่งขันนี้ก็เพราะหลานหลิงอ๋อง และร้องเพลงนี้ให้กับหลานหลิงอ๋อง แต่ฉันว่าไม่คุ้มค่าเลย หยวนซีเจ็บปวดจริงๆ !’
‘หลานหลิงอ๋องคุณรู้บ้างไหมว่าหยวนซีพยายามแค่ไหน’
‘ทั้งที่เธอพยายามขนาดนี้แล้วแท้ๆ หลานหลิงอ๋องเอาอะไรมาตัดสินคนอื่น!’
‘สงสารหยวนซีมาก!’
‘หลานหลิงอ๋อง รับการล้างแค้นซะเถอะ!’
‘คุณคงรู้ใช่ไหมว่าปากพาซวยหมายถึงอะไร!’
‘เทพีแห่งการล้างแค้นจงเจริญ!’
‘ดื่มด่ำกับเพลงสุดท้ายของคุณแล้วถอดหน้ากากออกซะ!’
‘เราทุกคนไม่ปล่อยคุณไว้หรอก!’
‘เทพีแห่งการล้างแค้นไม่ได้มีแค่คนเดียว เธอเป็นตัวแทนของนักร้องทุกคนที่ถูกหลานหลิงอ๋องโจมตี!’
‘ประกาศผลล่วงหน้าเลยได้ไหม ไม่อยากฟังหลานหลิงอ๋องร้องเพลง’
‘จู่ๆ ก็ไม่ชอบหลานหลิงอ๋องแล้ว’
‘…’
นี่คือแฟนคลับของหยวนซีและนักร้องคงอื่นๆ รวมไปถึงชาวเน็ตที่ไม่ชอบหลานหลิงอ๋อง!
ใช่แล้ว
มากันหมด
เนื่องจากช่วงนี้หลานหลิงอ๋องไม่มีอะไรให้ติ กองทัพแฟนคลับเหล่านี้ก็หายไปช่วงหนึ่ง
แต่…
พวกเขาไม่เคยหายไปจริงๆ !
พวกเขากำลังเฝ้ารอ!
พวกเขากำลังเฝ้ารอให้หลานหลิงอ๋องพ่ายแพ้การแข่งขันในวันนี้!
พวกเขากำลังเฝ้ารอให้หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากาก!
พวกเขากำลังเฝ้ารอให้ตัวตนของหลานหลิงอ๋องถูกเปิดเผย!
เมื่อหลานหลิงอ๋องสูญเสียการปกป้องจากหน้ากาก เขาจะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมืดฟ้ามัวดิน!
วันนี้คือรอบสุดท้าย หลานหลิงอ๋องจำเป็นต้องถอดหน้ากาก ฉะนั้นพวกเขาจึงมาแล้ว!
และเมื่อเสียงร้องไห้ของเทพีแห่งการล้างแค้นดังขึ้น
แม้แต่ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ยังสะเทือนใจ
หลานหลิงอ๋อง
ดูเหมือนจะทำเกินไปจริงๆ
มีเพียงคนส่วนน้อยที่สนับสนุนหลานหลิงอ๋อง และยังคงยืนหยัดต่อสู้
เขา!
ไม่ได้ผิด!
……
ในตำแหน่งคณะกรรมการตัดสิน
เจิ้งจิงถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สีหน้าชวนให้ขบคิด
ถ้าหากเป็นผู้ที่เคยเรียนไมโครเอ็กเพรสชันมาบ้าง อาจมองเห็นการเหยียดหยามวาบผ่านแววตาของเธอ
อิ่นตงเงียบไปเช่นกัน
เยี่ยจือชิวสีหน้าซับซ้อน
หยางจงหมิงเงยหน้าขึ้นมองหลานหลิงอ๋อง เหยียดหลังตรงขึ้นเล็กน้อย
ในเวทีนี้
คุณจะร้องเพลงอย่างไร
คุณจะร้องเพลงอย่างไร
หยวนซี คุณล้ำเส้นแล้ว
คุณได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งโลก
แต่คุณกำลังยืนอยู่ต่อหน้ายักษ์
และยักษ์ที่ว่านี้ ไม่ได้มีแค่ตนเดียว
คุณต้านทานไม่ได้
ทั่วทั้งโลกไม่อาจต้านทานได้!
……
วงดนตรีมองมายังหลินเยวียน
หลินเยวียนพยักหน้า
เสียงประสานของเครื่องดนตรีหลายชนิดดังขึ้น
ขณะเดียวกัน
บนหน้าจอขนาดใหญ่ปรากฏข้อมูลของบทเพลง
ในครั้งนี้
ไม่มีข้อมูลมากมาย
มีเพียงสองคำ
เกินจริง!
ทว่าขณะดนตรีกำลังบรรเลงอยู่นั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูดว่า “ทำไมต้องล้างแค้น?”
ใช่แล้ว
ทำไมต้องล้างแค้น
ฉันได้ก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และผู้คนต่างเคียดแค้น ถึงขั้นที่ต้องตอบโต้กันในนาม ‘ล้างแค้น’ เชียวหรือ?
‘แค้น’
คำคำนี้
หนักหนาเกินไป
ไม่จำเป็น
ต้องพูดเกินจริง
รับไม่ไหว
แบกไว้ก็ไม่ได้
ถ้าคุณเพียงแค่ไม่พอใจ ไม่เห็นจำเป็นต้องขยายให้เป็น ‘แค้น’
ถ้าคุณมีเพียงความขุ่นข้องหมองใจส่วนตัว ไม่เห็นจำเป็นต้องร้องเพลงในนามของ ‘แฟนคลับ’
ความน้อยเนื้อต่ำใจของคุณ…
กับความน้อยเนื้อต่ำใจของแฟนคลับ…
เชื่อมโยงกันจริงหรือ?
มันชั่วร้ายถึงขนาดที่คุณต้องยกสิ่งที่เรียกว่ากระบี่แห่งการล้างแค้นขึ้นมาเชียวหรือ?
ไม่มีใครตอบได้
………………………………………………..
ตกเย็น
หลินเยวียนกลับถึงบ้าน
เขาได้เสียงของพี่สาวดังมาแต่ไกล “หลานหลิงอ๋องของเราเก่งสุดๆ เสียงแหบยังร้องได้ขนาดนั้น…”
หลินเหยา “พี่คะ หนูดูรายการแล้ว”
หลินเซวียน “แกล้งๆ ทำเป็นยังไม่ได้ดู ได้โปรดฟังฉัน แต่ทอดมองเขาสูงสุดตา…อ่าไม่ได้ เพี้ยนแล้ว”
“โฮ่งๆ !”
หนานจี๋เห่ามาทางหลินเยวียน
หลินเซวียนหันไปมอง “น้องชายกลับมาแล้ว อยากฟังพี่ร้องเพลงไหม…”
หลินเยวียนเดินขึ้นไปข้างบน
หนานจี๋แกว่งหาง
หลินเซวียนเบ้ปาก พูดเจื้อยแจ้วให้น้องสาวฟังต่อไป
ชั้นบน
หลินเยวียนอยู่ในห้องนอน เขาเปิดก๊อกน้ำและทดสอบอุณหภูมิของน้ำ ไม่มีปัญหา เครื่องทำน้ำอุ่นได้รับการซ่อมแซมแล้วในวันนี้
“มาอาบน้ำ”
หลินเยวียนมองไปยังหนานจี๋
เมื่อคืนวานหนานจี๋อาบน้ำยังไม่ล้างเจลอาบน้ำออก ทั้งตัวเต็มไปด้วยฟอง
แต่กลับถูกหลินเยวียนเป่าจนแห้งทั้งอย่างนั้น
หนานจี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนอนลงแต่โดยดี
ลเมื่ออาบน้ำเสร็จ หลินเยวียนเป่าแห้งให้หนานจี๋อีกครั้ง จากนั้นจึงนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง
ลสิ่งสำคัญคือเขาต้องอ่านความคิดเห็นบนโลกออนไลน์หลังจากการแข่งขันในรอบนี้
นี่กลายเป็นวิธีการพักผ่อนของหลินเยวียนไปแล้ว
ไม่ทันไร
หลินเยวียนก็บังเอิญไปเห็นหัวข้อหนึ่ง
เป็นหัวข้อสนทนาซึ่ง [ตงสยงเจี้ยง] เป็นผู้โพสต์ มีชื่อว่า
‘หลานหลิงอ๋องไม่พูดไม่จาแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเสียงแหบ แต่เพราะมีคนบีบคอเขาอยู่’
เริ่มต้นด้วยความคิดเห็นของตงสยงเจี้ยงเอง
‘เป็นเรื่องน่าเศร้าเล็กน้อยที่ในหลายรอบที่ผ่านมา หลานหลิงอ๋องพูดน้อยลงเรื่อยๆ แถมยังไม่แสดงความคิดเห็นต่อการแสดงของนักร้องคนอื่นๆ เดิมทีฉันคิดเพียงว่าเขาคงลืม หรือไม่ทีมงานรายการก็ไม่ใส่ฟุตเทจที่เขาพูดลงไป จนกระทั่งได้ฟังเพลงที่เขาร้องในวันนี้ ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วเขาแค่เหนื่อยแล้ว’
‘ดูเนื้อเพลงไม่สนใจสิ’
‘ภายนอกเป็นเพลงรัก แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ร้องออกมาคือคำพูดที่อยู่ในใจ’
‘ถูกหรือผิด อย่าได้คิดเช่นนั้นเสมอไป ใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าฉันไม่เสียดาย แตกสลายก็แตกสลาย สมบูรณ์แบบคงเป็นไปไม่ได้ ปลดปล่อยตัวเอง ฉันถึงโบยบินได้ไกล…’
‘ใช่แล้ว’
‘ถ้อยคำด่าทอมีมากเกินไป ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากพูด ล้วนนำมาซึ่งประเด็นโต้เถียง มีบางคนเช่นจ้าวอิ๋งเก้อและเอ๋อลั่วอี (ซึ่งล่าถอยไปแล้ว) ที่เข้าใจและยอมรับคำวิจารณ์ และมีบางคนเช่นนักร้องอย่างหยวนซี(ซึ่งน่าจะเป็นเทพีแห่งการล้างแค้น) และแฟนคลับที่ระเบิดโทสะ กลุ่มนั้นพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นหลังจากวิพากษ์วิจารณ์ทีมที่สามจบ หลานหลิงอ๋องก็ไม่เคยเอ่ยถึงนักร้องคนอื่นอีก เพราะเขาถูกคำตำหนิติเตียนบีบคออยู่ คนที่กล้าพูดความจริงบนโลกนี้ได้หายไปอีกหนึ่งคนแล้ว’
‘…’
การวิเคราะห์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
‘เหมือนกับที่บอกไว้ในเนื้อเพลง หลานหลิงอ๋องแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงชี้ถึงความบกพร่องที่เขาเห็น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครชอบฟัง’
‘มีคนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ถูกและผิด ย่อมมีคนคิดว่าเขาจริงจังเกินไป’
‘ทุกคนชอบคนจริง แต่ตัวเองกลับไม่อยากเป็นแบบนั้น’
‘ราชาหน้ากากนักร้องก็คือวงการบันเทิง วงการบันเทิงไม่ชอบอะไรแบบนี้ เขาเล่นแบบนี้ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยหรอก แต่ฉันชอบคนแบบหลานหลิงอ๋อง’
‘ก้นนั่งอยู่ตรงไหน สมองก็สั่งการตามนั้น’
‘พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ คิดว่าหลานหลิงอ๋องเก่งมาก แฟนคลับของนักร้องเหล่านั้นกลับทนไม่ได้ที่คนอื่นวิจารณ์ไอดอลของพวกเขาแค่ประโยคเดียว ต่อให้สิ่งที่คนเขาพูดจะมีเหตุผลแล้วยังไง ที่จริงคนที่โมโหกระฟัดกระเฟียดส่วนมากคือแฟนคลับ คนผ่านไปผ่านมาต่อให้ไม่ชอบหลานหลิงอ๋อง อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรง’
‘…’
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนไม่เห็นด้วย
‘ก็แค่เพลงรัก เอาอะไรมามีความหมายแฝงมากขนาดนั้น มีเหตุผลที่เขาเงียบ เพราะเขากลัวไงล่ะ’
‘แรงกดดันจากความเห็นของประชาชนมีมหาศาล เขาสวมหน้ากากอยู่จะไม่สนใจก็ได้ แต่พอถอดหน้ากากล่ะ?’
‘รอบหน้าก็ถอดหน้ากากแล้ว เขาต้องรู้จักสะสมคุณงามความให้ตัวเองบ้าง ไม่งั้นเมื่อไหร่ที่ตัวตนเปิดเผย สิ่งที่รอเขาอยู่คือหายนะแบบไหนคงไม่ต้องให้บอกล่ะมั้ง’
‘ตอนนี้สายไปแล้ว เขาล่วงเกินคนมามาก ต่อให้มานึกกลัวคงไม่ได้ พอถึงตอนนั้นน่าจะโดนทุบตาย’
‘หลังจากถอดหน้ากาก ทหารนับพันตั้งทัพรอเขาอยู่’
‘…’
ความขัดแย้งยังไม่ยุติลง
‘หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากากเมื่อไหร่ผมจัดการเขาแน่ ผมเป็นแฟนคลับของเอ๋อลั่วอี’
‘อย่ามาตีเนียนเป็นแฟนคลับเอ๋อลั่วอีหน่อยเลย กดเข้าไปในแอคของคุณมีแต่หัวข้อเกี่ยวกับหยวนซี’
‘ไอดอลของพวกคุณยังไม่ทันพูดอะไร พวกคุณเดือดร้อนแทนซะแล้ว’
‘เราเดือดร้อนมานานแล้ว หลานหลิงอ๋องล่ะเดือดร้อนไหม เขากลัวจนปิดปากเงียบไปแล้ว’
‘…’
การถกเถียงไม่ยุติลงสักที
หลินเยวียนส่ายหน้า วางโทรศัพท์ลง จู่ๆ ก็หมดความสนใจที่จะท่องโลกออนไลน์ต่อ
อย่างไรก็ตาม โพสต์นี้ย้ำเตือนหลินเยวียน
ระยะนี้ตนไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นักร้องคนอื่นจริงๆ เขาทำไปเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่รู้เลยว่าทำไมระยะนี้ถึงทำเช่นนั้น…
เพราะไม่มีอะไรจะพูดหรือ?
ไม่เลย
เพียงแต่ตนตระหนักได้ว่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความดีกว่า
เพราะกลัวถูกคนที่เกลียดตามมาถล่มหลังถอดหน้ากากหรือ?
ก็ไม่ใช่
หลินเยวียนไม่เคยกลัวกองทัพชาวเน็ตเหล่านั้นเลย
เพียงแต่จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกถึงแฟนๆ ซึ่งอุตส่าห์เดินทางมาไกล เพียงเพื่อตะโกนบอกเขาว่า ‘สู้ๆ นะ’ ที่หน้าประตูศูนย์ดนตรีกลางในวันนั้น
พวกเขายอมเปิดศึกกับผู้คนบนโลกออนไลน์เพื่อเขา
จวบจนปัจจุบันนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะสงบลงเลย
ถ้าหากตนไม่พูด
หลังจากนี้ทุกคนจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก
ความจริงเป็นเช่นนั้นแน่นอน
เนื่องจากช่วงนี้ตนไม่ได้พูดอะไรที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงได้ คอมเมนต์กระสุนบนหน้าจอจึงปรองดองกันมากขึ้น
ผู้คนทะเลาะกันบางครั้งคราว
แต่อย่างน้อยความเคลื่อนไหวก็น้อยลงมาก
จนหายไปอย่างสิ้นเชิงในภายหลัง
เพราะฉะนั้น…
เขาต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจบ้าง
ที่แท้ตนก็นับว่าเป็นคนรักสงบ เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเยวียนจึงคิดว่าเขาปล่อยวางได้แล้ว
ทว่าไม่กี่วันต่อจากนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ถึงขั้นหดหู่ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
เขาไม่อยากซ้อมร้องเพลง และไม่อยากพูดกับใคร
คนที่บ้านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินเยวียนเสียงแหบ
ถึงอย่างไรเขาเป็นคนพูดน้อยแต่ทุนเดิม ต่อให้ไม่พูดไม่จาทั้งวันก็ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ
กลับเป็นน้องสาวซึ่งสังเกตเห็นว่าหลินเยวียนอารมณ์ไม่ดี เธอจึงว่าง่ายกว่าเดิมมาก ระหว่างกินอาหาร เธอยังแอบกินผักใบเขียวไปไม่น้อย
แม่จะทำอาหารจานผักปริมาณกำลังพอดีทุกวัน นับว่าเป็นภารกิจ ประจำวันซึ่งมอบหมายให้หลินเยวียนและหลินเหยา
ต้องกินให้หมดภายในหนึ่งวัน
ถ้าหากไม่มีหนานจี๋คอยลอบช่วยเหลือ หลินเยวียนและหลินเหยาคงรับมือไม่ไหว
เป็นเช่นนี้
จนผ่านไปหลายวัน
ในที่สุดเสียงของหลินเยวียนก็ดีขึ้นมาก จนไม่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันแล้ว และบรรยากาศในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศค่อยๆ แผ่เข้าปกคลุม
บนอินเทอร์เน็ต
ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับราชาหน้ากากนักร้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบแตะถึงจุดสูงสุดนับตั้งแต่มีการแข่งขันมา!
ขณะเดียวกัน
ในการจัดอันดับความนิยมของนักร้องในราชาหน้ากากนักร้อง ปัจจุบันนี้เหลือนักร้องเพียงหกคนเท่านั้น
สี่อันดับแรกคือราชาราชินีเพลง
อันดับที่ห้าคือนางเงือก
ส่วนหลานหลิงอ๋องอยู่ในอันดับต่ำสุด
เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ทุกคนถูกอกถูกใจราชาราชินีเพลงมากกว่า
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ…
ความนิยมของหลานหลิงอ๋องนั้น แม้แต่กับนางเงือกก็ยังนับว่าห่างไกลกันมาก
หลินเยวียนคิดว่านี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ปกติ
จนกระทั่งขณะกำลังจะออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังเวทีการแข่งขัน เขาได้ยินพี่สาวบ่นว่า
แฟนคลับของนักร้องพวกนี้น่าเกลียดมาก จงใจโหวตให้นักร้องห้าอันดับแรก แต่ไม่โหวตให้หลานหลิงอ๋อง เดิมทีความนิยมของหลานหลิงอ๋องอยู่อันดับห้า แต่เขาถูกดันลงไปอันดับหก ดันลงไปอันดับหกยังไม่เท่าไหร่ ทำไมต้องปั่นโหวตให้ห้าอันดับแรก จนสถิติของหลานหลิงอ๋องแย่ขนาดนี้!”
ในบางครั้ง
ต้นไม้อยากสงบ แต่พายุกลับไม่ยอมหยุด
หลินเยวียนไม่ได้พูดจา จนกระทั่งขึ้นรถของกู้ตงตรงไปยังสนามแข่งขัน
กู้ตงซึ่งสวมหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้ากล่าว “วันนี้เข้าประตูหลัก ทีมงานรายการจะเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ลงจากรถค่ะ”
หลินเยวียนตอบ “อื้ม” ก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ
ยี่สิบนาทีผ่านไป
รถก็มาถึง
หลินเยวียนมองผ่านหน้าต่างรถออกไปข้างนอก ผู้คนเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ ต่างคนต่างป้ายสนับสนุน
มีแฟนคลับของมหาราชา
มีแฟนคลับของหงส์ขาว
มีแฟนคลับของเทพีแห่งการล้างแค้น
มีแฟนคลับของนางเงือก
มีแฟนคลับของเอล์ฟ
และแน่นอนว่ามีแฟนคลับของหลินเยวียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูเผินๆ กลุ่มผู้สนับสนุนของหลานหลิงอ๋องนั้นมีบางตาที่สุด กลุ่มผู้สนับสนุนของนักร้อ งคนอื่นๆ นั้นมีมากกว่าของหลินเยวียนหลายเท่า
หลินเยวียนกล่าวว่า “ผมล่วงเกินคนไว้มาก”
กู้ตงเบ้ปาก “หมายถึงจำนวนแฟนคลับเหรอคะ? งั้นตัวแทนหลินคงไม่รู้ ว่าแฟนคลับของคุณมีไม่น้อย คุณเห็นว่าแฟนคลับของนักร้องคนอื่นมีเยอะ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนมากจะถูกนักร้องหรือบริษัทจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทรู้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมการแข่งขัน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้นักร้อง ไม่เหมือนกับบริษัทเราที่ไม่รู้เลยว่าตัวแทนหลินเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่งั้นอย่างน้อยบริษัทจะช่วยควบคุมพวกความคิดเห็นในเน็ตได้ค่ะ และจัดหากลุ่มผู้สนับสนุนให้ได้มากกว่าด้วย…”
“อ้อ”
หลินเยวียนไม่ออกความเห็น
ในขณะนั้น
ไกลออกไป รถหรูคันยาวปรากฏขึ้น เคลื่อนมาอย่างรวดเร็วจนเกือบดริฟต์ จากนั้นเทพีแห่งการล้างแค้นเดินลงจากรถโดยมีบอดีการ์ดคอยคุ้มกัน
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
เทพีแห่งการล้างแค้นหยุดโบกมือ ผู้สนับสนุนของเธอตะโกนร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าหากไม่มีบอดีการ์ดคอยกีดกันไว้ พวกเขาคงบุกเข้าไปในห้องส่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม เสียงเหล่านี้นับว่ามีพลังมหาศาล
กลุ่มผู้สนับสนุนหลานหลิงอ๋องซึ่งอยู่ด้านข้างถูกเบียดออกไปด้านข้าง ในนั้นมีคนถูกฝูงชนเบียดจนล้มลง
หลินเยวียนสีหน้าเปลี่ยนทันใด ความโกรธเคืองปรากฏในแววตา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนเข้ามาพยุงได้ทันเวลาก่อนจะล้มคะมำลง หลินเยวียนจึงเบาใจขึ้น
เด็กผู้หญิงซึ่งในมือถือป้ายสนับสนุนถูกเบียดจนป้ายหลุดจากมือโดยไม่ตั้งใจ แต่ปรากฏว่าป้ายถูกแฟนคลับของนักร้องคนอื่นๆ เหยียบซ้ำ
เด็กหญิงคนนั้นตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อคนกลุ่มนี้ผ่านไป แฟนคลับของหลานหลิงอ๋องจึงรีบวิ่งมา และเก็บป้ายสนับสนุนขึ้นมาเช็ดรอยเท้าและคราบฝุ่น
“โชคดีที่ไม่เป็นไร”
กู้ตงซึ่งอยู่ในตำแหน่งคนขับก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน
เธอเกือบรีบออกไปช่วยแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์เหยียบกันคงเลวร้ายมาก “คนพวกนี้เห็นคนดังแล้วไม่คิดชีวิตกันเลย เมื่อกี้คนคนนั้นน่าจะบาดเจ็บ ตัวแทนหลินเดี๋ยวคุณ เอ๊ะ…”
กู้ตงหันกลับไป จึงพบว่าหลินเยวียนลงจากรถแล้ว ขณะนี้กำลังจะเข้าประตูไปภายใต้การดูแลของบอดีการ์ด
ทว่าหลินเยวียนไม่ได้เข้าไปด้านในทันที
เขายืนอยู่ในบริเวณทางเข้าในตำแหน่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ทันใดนั้นก็หันกลับไปมองกลุ่มผู้สนับสนุนของตน
เด็กผู้หญิงซึ่งทำป้ายหลุดมือเมื่อครู่กำลังพยายามเช็ดป้ายซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกเช็ดจนสะอาด น้ำตาหยดเผาะๆ
“ทำไมไม่เข้าไปด้านในล่ะ”
หงส์ขาวก็ปรากฏตัวจากที่ไหนสักแห่ง ท่าทางราวกับกำลังกลัวกลุ่มผู้สนับสนุนบุกเข้ามา “บริษัทชอบทำเรื่องเว่อร์ๆ แบบนี้อยู่เรื่อย วันนี้คุณ…”
“สนใจ”
จู่ๆ หลินเยวียนก็เอ่ยสามคำนี้อออกมา ก่อนจะเดินไปหาถงถงซึ่งอยู่ไกลออกไป ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้กับหงส์ขาว
หงส์ขาวตกตะลึงอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้…
หลานหลิงอ๋องกำลังตอบคำถามของเธอเมื่อสัปดาห์ก่อน
เพียงแต่คำตอบของคำถามนี้…
เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว?
น่าตื่นเต้นมาก!
ตื่นตะลึงสุดๆ!
สำหรับผู้ชมแล้ว!
นี่คือฉากดังซึ่งควรค่าแก่การจารึก!
วังหลังของเซี่ยนอวี๋อาศัยความสามารถของตนเอง ก้าวขึ้นสู่สิบสองคนสุดท้ายในรายการราชาหน้ากากนักร้องได้จริงๆ!
หลังจากนั้น!
พวกเขาก็ประกาศก้องต่อหน้าผู้ชมนับไม่ถ้วนจากทั้งฉิน ฉี ฉู่ และเยี่ยนว่า
พวกเราคือแก๊งวังหลังของเซี่ยนอวี๋!
พวกเราจะเป็นราชวงศ์ปลาให้ได้!
ถ้าหากนักร้องเหล่านี้พูดเช่นนี้ในโอกาสอื่น ผู้ชมคงทำได้เพียงหัวเราะเยาะ
ถ้านักร้องกลุ่มนี้ตกรอบตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้ชมคงรู้สึกเพียงน่าสนใจ
แต่พวกเขาสู้มาจนถึงรอบสิบสองคนสุดท้ายได้เกือบทั้งหมด…
ถึงรอบหกคนสุดท้าย!
ทุกคนสามารถพูดได้โดยไม่ต้องถ่อมตัว!
นักร้องทุกคนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบสิบสองคนและหกคนสุดท้ายในราชาหน้ากากนักร้องนับว่าน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งบนบลูสตาร์
แข่งขันบนเวทีเดียวกับราชาราชินีเพลง!
ถึงขั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ได้!
จะมีโล่เกียรติยศใดที่เจิดจรัสไปกว่านี้อีก?
เพราะฉะนั้นในยามนี้ชาวเน็ตต่างตื่นเต้นและบ้าคลั่ง
‘พ่อเพลงอวี๋มาดูเร็ว นี่คือดินแดนที่คุณสร้างขึ้น!’
‘ราชวงศ์ปลา ซึ้งเหมือนกันนะเนี่ย’
‘ถ้าปลาเหล่านี้มีพ่อเพลงอวี๋คอยดูแล ต่อไปจะล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ของราชาราชินีเพลง’
‘นางเงือกมีความสามารถมากพอที่จะเป็นราชินีเพลง เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเจียงขุย นักร้องหญิงคนไหนที่เคารพพ่อเพลงอวี๋ขนาดนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว อาจารย์เซี่ยนอวี๋พาเจียงขุยบุกมหาสงครามเทพเซียนได้ด้วยซ้ำ!’
‘มิน่าล่ะนางเงือกถึงเข้ารอบหกคนสุดท้าย!’
‘นางเงือกเคยตามพ่อเพลงอวี๋จัดการราชาราชินีเพลงมาแล้วนะ!’
‘แก๊งวังหลังถอดหน้ากากแล้ว แย่งซีนพวกหุ่นยนต์ไปเต็มๆ’
‘ทำเอาผมชักสงสัยแล้วว่าหลานหลิงอ๋องคือใคร!’
‘คนคนนี้เหมือนปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋หรือเปล่านะ?’
‘…’
ไม่ใช่ว่าชาวเน็ตไม่เคยคาดเดาตัวตนของเซี่ยนอวี๋
ทว่าเดาได้ยากจริงๆ
นักร้องคนอื่นๆ ยังพอมีเบาะแส
มีเพียงหลานหลิงอ๋อง ที่เหมือนโผล่ออกมาจากก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น!
ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวบนเวที จะต้องเกิดหัวข้อสนทนาไม่รู้จบ นอกจากนั้นเขายังเข้ารอบหกคนสุดท้าย แม้แต่รอบที่เขาเสียงแหบเสียงแห้งยังล้มเขาไม่ได้
พรึบๆ
การถ่ายทอดสดยังไม่ทันจบ
ชาวเน็ตก็เริ่มพูดคุยเรื่องนี้กันแล้ว
ฮ็อตเสิร์ชของทั้งปู้ลั่วและบล็อกล้วนถูกยึดครองโดยหัวข้อเกี่ยวกับรายการราชาหน้ากากนักร้อง
#วังหลังเซี่ยนอวี๋ถอดหน้ากาก
#พวกเราคือราชวงศ์ปลา
#ซุนเย่าหั่วและเพลงกุหลาบแดง
#นางเงือกเข้ารอบหกคน
#พ่อเพลงอวี๋
นอกจากนั้น ผู้คนมากมายยังพูดคุยเกี่ยวกับบทเพลงซึ่งปรากฏบนเวที
และเพลงที่หลานหลิงอ๋องขับร้องด้วยเสียงแหบ เป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้มากที่สุด
ไม่ใช่เวทีที่ดีที่สุดในบรรดาการแสดงทั้งหมด
แต่เป็นเวทีที่กลายเป็นที่พูดถึงมากที่สุด!
เพลง ‘เขาคงรักเธอมาก’ สไตล์การร้องอันเป็นเอกลักษณ์ได้รับคำชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์
เพลง ‘ไม่สนใจ’ ผู้คนมากมายตีความความหมายแฝงในเพลง บ้างก็มองว่าเพลงนี้คือการตอบโต้ของหลานหลิงอ๋องต่อประเด็นการถกเถียงภายนอก
และบนเวทีในขณะนี้
หลังจากหลินเยวียนตะโกนคำขวัญว่า ‘พวกเราคือราชวงศ์ปลา’ ความรู้สึกละเอียดอ่อนก็ผุดขึ้นในใจของหลินเยวียนในทันใด
บางที…
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
นี่เป็นถ้อยแถลงของพวกคุณ
แต่ผมเองก็พูดตามไปด้วย
งั้นทำไมไม่ลองทำให้ถ้อยแถลงนี้กลายเป็นจริงดูล่ะ
……
การแข่งขันจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ชม
หลังเวที
ถงซูเหวินพานักร้องทั้งหกคนมารวมกัน กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ขอแสดงความยินดีที่ผ่านเข้ารอบหกคนสุดท้ายนะครับ ในรอบต่อไปคือรอบรองชนะเลิศ หวังว่าทุกท่านจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี”
ทุกคนพยักหน้า
ถงซูเหวินพูดต่อ “หลังจากนี้จะเป็นกฎในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศนะครับ ยังคงใช้รูปแบบจับคู่ ครั้งนี้เราจะแจ้งคู่ต่อสู้ให้คุณทราบส่วงหน้า และจะเป็นผลจากการจับคู่แบบสุ่มด้วย”
ผู้ชมมองไปยังถงซูเหวิน
รู้ล่วงหน้าว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร จะสามารถเลือกเพลงมารับมือได้ กฎใหม่นี้น่าสนใจมากทีเดียว
“ผมขอประกาศเลยแล้วกันครับ”
ถงซูเหวินหยิบบัตรใบหนึ่งออกมา “การแข่งขันในรอบต่อไป มหาราชาปะทะนางเงือก…”
มหาราชาเงียบ
นางเงือกก็เงียบเช่นกัน
ถงซูเหวินอ่านต่อ “และหงส์ขาวปะทะเอล์ฟ…”
หลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านแล้ว
หลานหลิงอ๋องปะทะเทพีแห่งการล้างแค้น
ทว่าถงซูเหวินยังคงอ่านออกมา
เทพีแห่งการล้างแค้นมองไปยังหลานหลิงอ๋อง แววตาของเธอราวกับมีเปลวไฟปะทุ
เอล์ฟจนใจ “พูดตามตรง ฉันอยากเจอหลานหลิงอ๋อง…”
“หลานหลิงอ๋องเป็นของฉัน/ผม”
เทพีแห่งการล้างแค้นและมหาราชาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หงส์ขาวสับสน
นางเงือกงุนงง
เอล์ฟไม่พอใจหลานหลิงอ๋องเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเอล์ฟเคยถูกหลานหลิงอ๋องวิพากษ์วิจารณ์ และต้องการล้างแค้นให้กับทีมของตนมาโดยตลอด
แต่มหาราชามาประสมโรงทำไม?
หลานหลิงอ๋องเหมือนจะไม่ได้โจมตีมหาราชานี่นา?
นอกจากว่า…
สีหน้าภายใต้หน้ากากของนักร้องเหล่านี้น่าตื่นเต้นมากทีเดียว
มหาราชาก็ไม่ได้อธิบาย
หลินเยวียนกลับไม่คิดเช่นนั้น
ถงซูเหวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “สามเวทีไม่พอนะครับ ในรอบต่อไปในบรรดานักร้องทั้งหกท่าน จะมีนักร้องหนึ่งท่านที่ทำผลงานได้ดีที่สุดได้รับการรับรองจากคณะกรรมการตัดสินทั้งสี่ท่าน และเข้ารอบชิงไปทันที”
นักร้องทั้งหกคนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป
ถงซูเหวินพูดต่อ “นักร้องสามท่านที่แพ้จะตกรอบในทันที การแข่งขันดำเนินมาถึงระดับนี้ไม่มีโอกาสคืนชีพแล้วครับ ส่วนนักร้องทั้งสามท่านที่ชนะ นอกจากท่านที่ได้รับเลือกให้เข้ารอบไปแล้ว อีกสองท่านจะต้องแข่งกัน จากนั้นนักร้องที่ชนะจะเข้าไปร้องในรอบชิงกับนักร้องซึ่งถูกเลือกให้เข้ารอบไปก่อนหน้า ผู้ชนะในตอนสุดท้ายจะได้เป็นแชมป์รายการราชาหน้ากากนักร้องซีซันหนึ่ง!”
ทุกคนพยักหน้า
วางแผนเช่นนี้สมเหตุสมผลมาก
กฎการแข่งขันในรายการนี้สมเหตุสมผลมาโดยตลอด ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรม
อันที่จริงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ยุติธรรม
ราชาราชินีเพลงตั้งมากมายมากองรวมกัน ต่อให้เป็นนักร้องแถวหน้าก็สร้างอิทธิพลได้อย่างน่าสะพรึงกลัว ทีมงานรายการกล้าตุกติกกับใครด้วยหรือ?
มิหนำซ้ำยังมีชื่อสมาคมวรรณศิลป์วางเด่นหราอีก
นักร้องต่างแยกย้ายกัน
ทุกคนต่างกลับบ้าน
ในเวลานั้นจู่ๆ หงส์ขาวก็ดึงหลินเยวียนไว้
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไว้จบรายการแอดวีแช็ตกัน”
“ได้”
“แล้วก็…”
“เชิญพูดมาได้ตามตรง”
“ที่จริงฉันสงสัย…”
หงส์ขาวจ้องมองหลานหลิงอ๋องผู้ที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน “เพลงไม่สนใจที่คุณร้อง เป็นแค่เพลงรักธรรมดาหรือเปล่า?”
หลินเยวียนหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยตอบ
หงส์ขาวราวกับพบคำตอบอย่างคลุมเครือจากปฏิกิริยาของหลานหลิงอ๋อง เธอถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ฉันก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน…”
หลินเยวียนไม่ได้ยิน
เขาเดินออกมาแล้ว
ในความเป็นจริง เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรขณะที่ร้องเพลง ‘ไม่สนใจ’
บางที…
บางทีเขาอาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในโลกภายนอกจริงๆ…
ว่ากันว่าผู้ที่สวมหน้ากากไม่สามารถพูดความจริงได้
แต่เมื่อหลินเยวียนสวมหน้ากาก กลับรู้สึกว่าตนได้ฟังความจริงมากมาย
นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยินเมื่อไม่ได้สวมหน้ากาก และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวในฐานะเซี่ยนอวี๋
เขาเพิ่งรู้
ว่าที่จริงแล้วมีคำพูดมากมาย ที่คนอื่นไม่อยากรับฟัง
ว่าที่จริงแล้วมีหลายเรื่อง ที่คนอื่นไม่สนใจ
ต่อให้สิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นความจริง
แต่แล้วอย่างไร
คนเขาไม่สนใจ
งั้นฉันเองก็ควรจะ…
ไม่สนใจเหมือนกัน?
………………………………………………
ต้องบอกว่า การเลือกของบรรดาผู้แพ้เป็นการกระโดดเข้ากองไฟอย่างแท้จริง และโดยมากไม่จำเป็นต้องสงสัยว่า
หมาป่าเดียวดายแพ้
เขาเลือกมหาราชา และมหาราชาก็ใช้การเอาชนะหมาป่าเดียวดายพิสูจน์ให้เห็นถึงความเหนือกว่าของตนอีกครั้ง
หุ่นยนต์พ่ายแพ้เช่นกัน
คู่แข่งของเขาคือเทพีแห่งการล้างแค้น ช่างเป็นเวทีที่น่าเสียดาย เพราะคะแนนของหุ่นยนต์ชนะ แต่เทพีแห่งการล้างแค้นได้โบนัสหนึ่งร้อยคะแนนจากการชนะตั้งแต่ในรอบแรก
ปลาปักเป้าแพ้แล้ว
เธอเลือกเอล์ฟ และเอล์ฟเป็นราชินีเพลง ความสามารถของราชินีเพลงกำราบนักร้องแถวหน้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ปลาหัวโตแพ้เช่นกัน
หงส์ขาวเพียงแค่ใช้ฝีมือในการแข่งขันปกติ ก็สามารถเอาชนะคะแนนโหวตในการแข่งขันกับปลาหัวโตได้
ทว่าปาฏิหาริย์คือ!
นางเงือกชนะ!
ในฐานะนักร้องแถวหน้า เธอเอาชนะราชินีเพลงอย่างดอกเดซีไปได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะมีโบนัสหนึ่งร้อยคะแนนอยู่แล้วก็ไม่อาจหลีกหนีความพ่ายแพ้ในตอนสุดท้ายได้!
ในขณะนั้นเอง!
ทุกคนเข้าใจ ว่าถึงแม้นางเงือกจะเป็นนักร้องแถวหน้า แต่อนาคตเธอของเธอในฐานะราชินีเพลงจะไม่มีใครหยุดยั้งได้!
ในที่สุด
ก็ถึงคราวของปลายักษ์และหลานหลิงอ๋อง สองคนนี้ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากัน แต่เมื่อถึงเวทีของปลายักษ์ จู่ๆ เขาก็หันไปมองทางหลานหลิงอ๋อง
อันหง “อาจารย์ปลายักษ์”
ปลายักษ์กล่าวกลั้วหัวเราะ “ในเวทีนี้ต่อให้ผมชนะ แต่ผมคงแพ้ในเวทีต่อไป ผมจึงอยากใช้โอกาสนี้ โอกาสที่หาได้ยากนี้ ร้องเพลงที่มีความหมายอย่างมากในชีวิตของผม บางทีเมื่อเพลงนี้ดังขึ้น ทุกคนอาจเดาตัวจริงของผมได้ แต่ว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมตั้งใจว่าจะร้องออกมาอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ตัดสินใจเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง ขณะเดียวกันผมก็อยากใช้เพลงนี้ขอบคุณใครสักคน!”
เพลงอะไร
ขอบคุณใคร
ข้อสงสัยทั้งหมด ได้รับคำตอบเมื่อบทเพลงสุดคลาสสิกอย่างกุหลาบแดงดังขึ้นสะกิดหัวใจของผู้ชมมากมาย ตัวตนของปลายักษ์นับเป็นอันถูกเปิดเผย
ซุนเย่าหั่ว!
เขาร้องเพลงนี้!
เขากำลังแสดงความเคารพต่อเซี่ยนอวี๋
คนที่เขาอยากขอบคุณ!
ก็คือเซี่ยนอวี๋!
คนอื่นไม่รู้
ว่าเพลงนี้ในมือของซุนเย่าหั่วเกือบถูกช่วงชิงไปเสียแล้ว
ไม่มีใครรู้ ว่าท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมิดและเหน็บหนาว คำพูดที่ว่า ‘ไปอัดเพลง’ ของชายคนนั้นทำให้เขามีความหวัง
เมื่อร้องเพลงจบ
เขาค่อยๆ โค้งคำนับ ก่อนจะเดินเข้าหลังเวทีไป
เขายังคงปฏิบัติตามกฎของรายการ ไม่ได้ถอดหน้ากาก ต่อให้ในเวลานี้เขาพร้อมจะเปิดเผยตัวตนแล้ว
หลินเยวียนฟังอย่างเงียบเชียบ
เพลงกุหลาบแดงที่คุ้นเคย
รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วที่คุ้นเคย
เขาได้ยินแล้ว
จู่ๆ หลินเยวียนก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนยังมีภารกิจช่วยให้รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วได้เป็นราชาเพลงอีก
บางทีภารกิจนี้ควรบรรจุเข้าไปในแผนงาน
เมื่อคิดเช่นนี้
หลินเยวียนจึงเดินขึ้นเวที
อันหงยิ้มให้หลินเยวียน “ตอนนี้อาจารย์หลานหลิงอ๋องมีอะไรอยากพูดไหมครับ?”
“ร้องเพลงเถอะ”
หลินเยวียนยังคงไม่ชอบพูดเช่นเคย
พิธีกรลงจากเวทีไป
คอมเมนต์กระหน่ำตามมา
‘หลานหลิงอ๋อง: ลงไปได้แล้ว’
‘หลานหลิงอ๋อง: อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังแอบขำสิ่งที่ฉันพูด’
‘กลับเข้าเรื่องดีกว่า พวกคุณคิดว่าเวทีนี้หลานหลิงอ๋องมีโอกาสไหม’
‘ต้องดูเพลงก่อน’
‘หรือว่าเขาจะงัดเพลงที่ใช้เสียงแหบร้องอย่างเพลงเขาคงรักเธอมากขึ้นมาอีก?’
‘ยาก’
‘…’
เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น
หลินเยวียนมองไปยังผู้ชมด้านล่างเวที ร้องเพลงเสียงแผ่วเบา
“ไม่สนใจ
ใครตกหลุมรักใคร
ไม่สนใจ
ใครทำให้ท้อใจ
ความสุขที่เคยมี
คือความงามชั่วคราว
ความสุขผ่านไป
แบกรับความเจ็บช้ำ…”
ยังคงเป็นเพลงรัก ยังคงเป็นเสียงอันแหบพร่า นอกจากนั้นในครั้งนี้ยังแหบพร่ายิ่งกว่าเดิม มีโน้ตหลายตัวที่หลุดไป ผู้ชมต่างดวงตาเบิกกว้าง
“โอ้มายก้อด!”
“มีจริงด้วย!”
“เสียงแหบแบบไม่ไหวแล้ว แต่ก็ใช้เพลงที่ต้องใช้เสียงแหบอีกแล้ว!”
“แต่ เพราะมาก!”
“มาคิดดูดีๆ แล้ว เพลงนี้ถ้าเสียงไม่แหบน่าจะไม่ได้อรรถรส เสียงแหบกว่าเพลงที่แล้วอีก!”
“ปังมาก!”
“แม่เจ้า!”
“เดี๋ยวนะ เพลงนี้…แอบเหมือนคำสารภาพของหลานหลิงอ๋องต่อสถานการณ์ตอนนี้?”
“คิดแล้วก็จริงนะ!”
“ไม่สนใจ?”
“ไม่สนใจเสียงด่าทอ หรือว่า?”
“…”
ไม่มีใครรู้ว่าหลานหลิงอ๋องกำลังสารภาพต่อสถานการณ์ในตอนนี้หรือไม่ เขาคล้ายกับกำลังร้องเพลงรัก แต่ก็คล้ายกับไม่ได้เพียงแค่ร้องเพลงรัก
“ถูกหรือผิด
อย่าได้คิดเช่นนั้นเสมอไป
ใช่หรือไม่
อย่าบอกว่าฉันไม่เสียดาย
แตกสลายก็แตกสลาย
สมบูรณ์แบบคงเป็นไปไม่ได้
ปลดปล่อยตัวเอง
ฉันถึงโบยบินได้ไกล…”
คณะกรรมการตัดสินสบตากัน จากนั้นจึงหันไปจ้องมองเนื้อเพลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน
ผู้ชมทุกคน ก็จ้องมองเนื้อเพลงบนหน้าจอขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน
นี่คือเนื้อเพลงรักจริงหรือ?
ทำไมถึงเหมือนกับหลานหลิงอ๋องเขียนออกมาจากการแข่งขันเสียมากกว่า
ประหนึ่งว่าในเนื้อเพลงเขียนว่า
เพราะฉันหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ผิดและความถูกต้อง ฉันจึงถูกตำหนินับหลายครั้งหลายหน เพราะฉันไล่ตามความสมบูรณ์แบบมากเกินไป ฉันจึงทนทุกข์กับความขัดแย้งนับครั้งไม่ถ้วน…
ตอนนี้น่ะหรือ?
เขาตัดสินใจว่าจะไม่กังวลกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป
หลินเยวียนยังร้องต่อไป
“ไม่สนใจ
ไม่สนใจ
ให้อภัยความผิดพลาดบนโลกทั้งหลาย
ไม่สนใจ
ฉันไม่สนใจ
ปล่อยตัวเองกลับไปทุกข์ทนทำไม…”
เสียงของเขายังคงเบาไปชั่วครู่เพราะความแหบพร่า ทว่าการร้องเพลงของเขากลับไม่ได้สูญเสียความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์เพียงเพราะความแหบพร่า เช่นเดียวกับเพลงที่แล้ว เสียงที่ไม่แหบพร่ากลับไม่อาจถ่ายทอดความรู้สึกนี้ออกมาได้ เมื่อร้องถึงครั้งที่สาม เสียงของหลินเยวียนมีทั้งเสียงจริงและเสียงหลบระคนกัน นั่นเป็นเทคนิคขั้นสูงในการใช้เสียงหลบ เสียงของหลินเยวียนแหบจนไม่สามารถรับมือไหวทั้งเพลง ทว่าเพลงนี้จำเป็นต้องใช้เสียงหลบเพียงครั้งเดียว
“ฉันไม่สนใจ”
เพลงของเขา ร้องจบแล้ว
แต่ทว่า…
สิ่งที่เพลงนี้เหลือไว้ทำให้ผู้ชมกลับขบคิดไม่สิ้นสุด
ไม่สนใจ?
ไม่สนใจจริงหรือ?
หรือเป็นการหลอกตัวเองในความรัก?
หรือว่า…
หลานหลิงอ๋องกำลังบอกทุกคนว่า ต่อให้เสียงแหบก็ไม่สนใจ?
เขายังร้องได้?
หรือว่า…
เพลงนี้คือการตอบรับกับเพลงก่อนหน้านี้?
เขาคงรักเธอมาก
คำพูดนี้คือการปลอบใจตนเอง
ไม่สนใจ เป็นการปล่อยวางซึ่งดูเหมือนง่ายดาย แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการหลอกตนเอง
และเหมือนกับการตอบสนองต่อความขัดแย้งของโลกภายนอกมากกว่า
‘ฉันไม่สนใจหรอก’
คนที่พูดประโยคนี้
จะมีสักกี่คนที่พูดออกมาจากใจจริง
เพลง ‘ไม่สนใจ’ ของหลานหลิงอ๋อง สรุปแล้วมีความหมายแฝงอยู่มากแค่ไหนกันแน่?
ไม่มีใครรู้
แต่เมื่อบทเพลงนี้จบลง เสียงปรบมือในห้องส่งดังกระหึ่ม
คอมเมนต์ปรากฏบนหน้าจอ
‘เวทีนี้ควรชนะ’
‘เสียงแหบขนาดนี้ หยิบเพลงใหม่ที่ต้องใช้เสียงแหบร้องออกมาสองเพลง แถมเพลงคุณภาพสูงซะด้วย ไม่มีเหตุผลให้ไม่เข้ารอบ’
‘ไม่สนใจ เพลงที่ดี!’
‘ไม่สนใจจริงหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ฉันจะคิดว่าเพลงนี้คือเพลงรักเกี่ยวกับการประนีประนอมกับตนเอง แต่ถ้าบวกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าไม่สนใจของเขาคืออะไร’
‘…’
การถกเถียงของผู้คนไม่ได้รับคำตอบ หลานหลิงอ๋องดูเหมือนจะไม่ได้มีนิสัยชอบอธิบายว่าเพลงของตนสื่อถึงอะไร
แต่ว่า!
เมื่อถึงเวลาลงคะแนน เขาก็ชนะแล้ว
ด้วยเสียงแหบพร่าเช่นนี้ เขาใช้เพลงพิเศษสองเพลงเอาชนะการแข่งขันในรอบนี้ และคว้าตั๋วเข้าสู่การแข่งขันรอบต่อไป
ต่อจากนั้น
นักร้องหกคนซึ่งพ่ายแพ้ เริ่มถอดหน้ากาก
……
หมาป่าเดียวดายถอดหน้ากากเป็นคนแรก
เขาคือราชาเพลงคนหนึ่งจากฉีโจว
หลังจากนั้นดอกเดซีถอดหน้ากาก
เธอคือราชินีเพลงจากฉีโจว
ทั้งสองสบตากันอย่างยิ้มแย้ม คล้ายกับต่างฝ่ายต่างคาดเดาตัวตนกันและกันออก
หุ่นยนต์ถอดหน้ากาก
เขาคือราชาเพลงจากฉู่โจว
และตามมาติดๆ
ปลาหัวโตถอดหน้ากาก
ไม่ต้องสงสัย ซย่าฝานนั่นเอง
ปลายักษ์ถอดหน้ากาก ไม่ต้องสงสัยเช่นกัน เพราะเขาคือซุนเย่าหั่ว
และเมื่อปลาปักเป้าถอดหน้ากาก
หลายคนบนโลกออนไลน์เดาได้ถูกต้อง และสอดคล้องกับการคาดเดาของคณะกรรมการประเมินในเพลงแรก
จ้าวอิ๋งเก้อ
…………………………………………………
ขณะที่แสงไฟดับลง
หลินเยวียนวางไมโครโฟน
เห็นได้ชัดว่าเพลงร้องจบแล้ว แต่ด้วยเสียงเปียโนอันไพเราะของวงดนตรีสด ความโศกเศร้าดูเหมือนจะยังคงรินไหลเข้าสู่หัวใจของผู้ชม เสียงแหบแห้งแต่เปี่ยมเสน่ห์ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผู้ชม
“แม่เจ้าโว้ย!”
“มาเหนือเมฆ!”
“โหดขึ้นมาเฉย?”
“แบบนี้จะพลิกโผได้”
“ฟังแล้วร้องไห้เลย เพลงนี้ผมต้องกลับไปโหลดฟัง ฉันควรอยู่ใต้ท้องรถ ไม่ควรไปอยู่ในรถ เพลงนี้เขียนในวันที่ภรรยาผมนอกใจหรือเปล่าเนี่ย”
“พี่ชายอดทนไว้!”
“เข้มแข็งไว้พี่ชาย!”
“ไม่มีอะไรให้ต้องอดทน ตอนนั้นผมเองก็อยากไปอยู่ใต้ท้องรถให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าเกิดพวกเขาทำเรื่องอะไรขึ้นมา ผมอยู่ใต้ท้องรถคงทรมานมากกว่าอยู่ในรถแน่ๆ”
“…”
เป็นเพลงพ็อปเหมือนกัน บรรยายเรื่องราวความรักเหมือนกัน เป็นความรู้สึกอกหักเหมือนกัน ทว่าเมื่อนำผลงานของปลาหัวโตมาวางคู่กับผลงานของหลานหลิงอ๋อง เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คงคาดเดาได้ไม่ยาก!
แปะๆๆ!
เมื่อเสียงดนตรีจบลง เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องส่ง มอบให้แด่หลานหลิงอ๋องผู้ซึ่งไม่สบายจนเสียงแหบแห้งแต่ยังคงยืนหยัดร้องเพลงต่อไป และมอบให้แด่การอุทิศตนในครั้งนี้ของเขา น่าจะเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดบนเวทีแห่งนี้!
“เอาละครับ!”
อันหงเดินไปยังเวที ทั้งยังอุตส่าห์นำน้ำขึ้นไปให้หลานหลิงอ๋อง แน่นอนว่ามาพร้อมกับหลอด “ขอบคุณสำหรับการแสดงของอาจารย์หลานหลิงอ๋องครับ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะครับว่านักร้องสักคนหนึ่งจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ในยามที่เสียงแหบพร่า คณะกรรมการตัดสินมีอะไรอยากพูดไหมครับ”
“ผมมี!”
เยี่ยจือชิวเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก จากนั้นจึงร้องเพลงเลียนเสียงหลานหลิงอ๋องเมื่อครู่อยู่หลายประโยค สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ครั้งก่อนหลานหลิงอ๋องร้องเพลงจนผมรู้สึกขาดอากาศหายใจ ครั้งนี้ร้องเพลงจนผมรู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ ตอนที่หลายคนคิดว่าเขาคงจะไปต่อ เขากลับไม่มีลม แต่รูปแบบการแสดงประเภทนี้กับเหมาะเจาะลงตัวกับเพลงนี้อย่างยิ่ง!”
“น่าทึ่งมาก!”
สีหน้าของเจิ้งจิงในเวลานี้ตกตะลึง “เห็นชัดๆ เราทุกคนคิดว่าการแสดงของหลานหลิงอ๋องจะได้รับผลกระทบเนื่องจากปัญหาด้านเสียงของเขา แต่ฉันมองเห็นหลานหลิงอ๋องผู้ไม่ยอมจำนนต่ออุปสรรค!”
“เก่งมาก!”
อิ่นตงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
หยางจงหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ผมเคยบอก ว่าผมจะไม่ให้คะแนนเห็นใจเพียงเพราะเสียงของคุณ ดังนั้นประเดี๋ยวตอนที่ผมให้คะแนนคุณ จะหมายความว่าผมชอบเพลงนี้ของคุณ นี่เป็นเพลงเชิงพาณิชย์ซึ่งเรียกได้ว่าคุณภาพโดดเด่นและประสบความสำเร็จมาก ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และเสียงร้องเข้ากันได้อย่างลงตัว!”
คำวิจารณ์เชิงบวก!
มีแต่คำวิจารณ์เชิงบวก!
แน่นอนว่าคณะกรรมการทั้งสี่ก็ชื่นชมการแสดงของปลาหัวโตเช่นกัน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าผลงานในเวทีนี้ของปลาหัวโตเป็นรองหลานหลิงอ๋อง ดังนั้นเมื่อประกาศผลคะแนน เธอจึงพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“เยี่ยมมาก!”
แม้ว่าจะแพ้ แต่ปลาหัวโตกลับไม่ได้เสียใจ เธอมีท่าทีสบายใจ เพราะการก้าวเข้าสู่รอบสิบสองคนสุดท้ายคือขีดจำกัดของเธอแล้ว เธอรู้ว่าคงเป็นเรื่องยากที่ตนเองจะหาโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาในการท้าชิงต่อจากนี้ นอกเสียจากว่าจะแข่งกับหลานหลิงอ๋องต่อไป…
แต่เธอไม่ต้องการทำเช่นนั้น
เพียงแค่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้นเอง
เมื่อกลับไปยังห้องรับรองของตน หลินเยวียนผ่อนลมหายใจ ถงถงรีบยกน้ำชาเข้ามาให้ ทั้งยังช่วยตบหลังเขาเบาๆ “เวทีนี้ของอาจารย์หลานหลิงยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ เสียงแหบของคุณเจ๋งสุดๆ!”
หลินเยวียนไม่ได้พูดอะไร
โชคดีที่เขาเตรียมเพลงล่วงหน้าไว้มากพอ ไม่อย่างนั้นในเวทีนี้คงหนักหน่วงมาก
การแข่งขันต่อจากนั้นดุเดือดมาก
หุ่นยนต์แพ้เทพีแห่งการล้างแค้น หมาป่าเดียวดายแพ้หงส์ขาว ส่วนนางเงือกแพ้ดอกเดซี เอล์ฟเอาชนะปลายักษ์ และมหาราชาชนะปลาปักเป้า
ในนั้น
นางเงือกทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด คะแนนโหวตของเธอเกือบเทียบเท่าดอกเดซี ดอกเดซีคนนี้เป็นผู้เข้าแข่งขันระดับราชินีเพลงจากทีมที่สอง ถึงแม้จะเป็นราชินีเพลงซึ่งฝีมือค่อนข้างอ่อน แต่นางเงือกสามารถทำคะแนนขึ้นเบียดเข้าใกล้เช่นนั้นได้นับว่าไม่ได้มาเล่นๆ!
แน่นอน
ศึกระหว่างราชาราชินีเพลงอย่างหุ่นยนต์และเทพีแห่งการล้างแค้น รวมไปถึงหมาป่าเดียวดายและหงส์ขาวก็ตื่นตาตื่นใจเช่นกัน ตื่นตาตื่นใจถึงระดับที่เกินต้านทาน สอดคล้องกับกฎการแข่งขันในรอบนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
……
จากกฎของการแข่งขัน นักร้องที่ชนะจะต้องยอมรับคำท้าจากผู้แพ้ ฉะนั้นเมื่อการแข่งขันรอบแรกจบลง ทุกคนจึงไปรวมตัวกันบนเวที ผู้ชนะและผู้แพ้ถูกแบ่งที่นั่งเป็นสองฝั่ง
ทันใดนั้นเอง
สายตาของทุกคนต่างไปรวมกันที่หลานหลิงอ๋อง ถึงแม้หลานหลิงอ๋องจะชนะในรอบแรก แต่เสียงของเขามีปัญหาจริงๆ และดูไลน์อัปผู้ชนะสิ
มหาราชา!
เอล์ฟ!
ดอกเดซี!
หงส์ขาว!
เทพีแห่งการล้างแค้น!
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน หลานหลิงอ๋องคือนักร้องที่ท้าชิงง่ายที่สุด ชั่วขณะนั้นแววตาของบรรดาผู้เข้าแข่งขันต่างซับซ้อนขึ้นมา ในกลุ่มผู้แพ้มีราชาเพลงอีกสองคนได้แก่หมาป่าเดียวดายและหุ่นยนต์
“จบเห่แล้ว!”
“หลานหลิงอ๋อง!”
“ทีนี้นักร้องทุกคนที่แพ้จะต้องอยากเลือกหลานหลิงอ๋องแน่ๆ เพลงแรกของหลานหลิงอ๋องเล่นแง่เกินไป จนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเหมือนในรอบแรก!”
“…”
ผู้ชมต่างถกเถียงกัน
พิธีกรอันหงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “นักร้องทุกท่านเชิญเลือกคู่ต่อสู้ของตัวเอง ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งนะครับว่าผู้ท้าชิงไม่สามารถเลือกนักร้องคนเดียวกัน การต่อสู้แบบตะลุมบอนไม่ยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด เราจะให้ผู้แพ้ซึ่งได้คะแนนสูงกว่าเลือกก่อน เริ่มจากอาจารย์หมาป่าเดียวดายของพวกเราครับ!”
“มหาราชา”
ทันที่ที่หมาป่าเดียวดายพูดออกไป
ทั้งห้องส่งล้วนตกตะลึง
หมาป่าเดียวดายไม่ได้เลือกหลานหลิงอ๋องที่แลดูอ่อนแอที่สุด แต่กลับเลือกมหาราชาซึ่งเห็นได้ชัดว่าฝีมือแข็งแกร่งที่สุด…
เจ๋งเป้ง!
อันหงเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
เขาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เป็นตัวเลือกที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ครับ คู่ต่อสู้ในเวทีต่อไปของอาจารย์มหาราชาคืออาจารย์หมาป่าเดียวดายครับ!”
“ดอกเดซี”
นางเงือกเอ่ย
ไม่เลือกหลานหลิงอ๋อง แต่กลับเลือกดอกเดซีซึ่งทำเธอพ่ายแพ้ไปในเวทีแรกอย่างน่าเสียดาย นักร้องหญิงก็เจ๋งเป้งไม่แพ้กัน มาถึงก็มุ่งตรงไปหาราชินีเพลงเลย!
ทั้งห้องส่งส่งเสียงเชียร์!
อันหงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “เห็นทีอาจารย์นางเงือกยังไม่ยอมจำนนในความพ่ายแพ้ต่ออาจารย์ดอกเดซีสินะครับ งั้นต่อไปนั้กร้องท่านที่สามจะเลือกอย่างไรดีครับ”
“เทพีแห่งการล้างแค้น”
หุ่นยนต์ชำเลืองมองหลานหลิงอ๋อง กัดฟันพูดออกไป เขาคือสมาชิกของทีมที่หนึ่ง และเขาไม่อยากทำให้หลานหลิงอ๋องลำบากใจ
“เอล์ฟก็แล้วกัน”
ปลาปักเป้าก็เหลือบมองหลานหลิงอ๋องเช่นกัน หลังจากนั้น จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีหวังมากนัก แต่อาจารย์หลานหลิงอ๋องยังไปต่อได้”
“…”
เมื่อปลาหัวโตตัดสินใจเลือกหงส์ขาว ปลายักษ์จึงหันมองซ้ายขวาด้วยความสับสน
ไม่เหลือใครแล้ว
เหลือแค่เขากับหลานหลิงอ๋องแล้ว
เมื่อเผชิญกับผลลัพธ์นี้ ผู้ชมและชาวเน็ตล้วนตกตะลึง
“บ้าไปแล้ว!”
“ไม่มีใครเลือกหลานหลิงอ๋อง?”
“เห็นชัดๆ ว่านี่คือจังหวะที่ต้องเลือกหลานหลิงอ๋องแล้ว!”
“จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าแก๊งปลาที่จริงแล้วก็สามัคคีกัน”
“จริง ไม่มีใครเลือกท้าชิงกับหลานหลิงอ๋อง”
“หุ่นยนต์ก็เหมือนกัน เขารู้อยู่เต็มอกว่าเลือกหลานหลิงอ๋องแล้วมีโอกาสมากที่สุด แต่กลับ…”
“ปลายักษ์ก็ไม่มีโอกาสเลือกแล้ว ไม่งั้นผมว่าเขาเองก็คงไม่เลือกหลานหลิงอ๋อง”
“…”
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหนือความคาดหมายของใครหลายคน!
ไม่มีใครรู้ว่าแก๊งปลาเปล่านี้คิดอะไรอยู่!
ส่วนเหตุผลที่แท้จริง…
บางทีอาจต้องรอให้พวกเขาถอดหน้ากากจึงจะกระจ่าง
…………………………………………………
บนเวที
อันหงเอ่ยอย่างจนใจ “ทุกคนคงจะสังเกตเห็นแล้วนะครับ ร่างกายของอาจารย์หลานหลิงอ๋องไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย แต่นี่คือการแข่งขัน เราหวังว่านักร้องทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่ และไม่สนใจปัญหาอื่น ต่อจากนี้ขอเสียงปรบมือให้กับนักร้องท่านแรกซึ่งจะขึ้นเวทีในวันนี้ อาจารย์ปลาหัวโตครับ!”
เสียงปรบมือในห้องส่งดังขึ้น
ปลาหัวโตเดินขึ้นเวที สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
“ฉันรู้สึกเสียใจมากกับสภาพร่างกายของหลานหลิงอ๋อง แต่ฉันจะยังคงแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ฉันทั้งเคารพผู้ชม และเคารพอาจารย์หลานหลิงอ๋องเช่นกัน!”
คณะกรรมการตัดสินพยักหน้า
ในฐานะคู่แข่ง จงทุ่มเทอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องอื่น ถึงอย่างไรการแข่งขันก็ไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว
ไม่นาน
การแสดงก็เริ่มต้นขึ้น
ปลาหัวโตขับร้องเพลงบัลลาด
เธอคล้ายกับเกิดมาเพื่อเพลงพ็อป เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเพียงไม่กี่คนที่ไม่ถนัดเสียงสูง แต่สามารถผ่านเข้ารอบสิบสองคนสุดท้ายได้
……
ในพื้นที่รอคอย
หลินเยวียนฟังคู่ต่อสู้ร้องเพลงอย่างเงียบเชียบ มุมปากใต้หน้ากากยกขึ้นเล็กน้อย
ซย่าฝานสินะ
ในเวทีที่ผ่านมา หลินเยวียนฟังไม่ออกเลย
แต่ในเวทีที่ปลาหัวโตต้องการแสดงความแข็งแกร่งออกมา จะต้องงัดเอกลักษณ์ในเสียงของตนออกมา นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงหน้าพะวงหลังเพื่อปกปิดตัวตนอีกต่อไป
การเข้ารอบ!
คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
หลินเยวียนเชื่อว่าต่อให้ซย่าฝานรู้ว่าตนคือหลินเยวียน ก็จะไม่ยอมออมมือ นี่คือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของพวกเขา
ในความจริงแล้ว
ซย่าฝานไม่ได้ออมมือจริงๆ
เธอทำผลงานในการแข่งขันเวทีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม!
เพลงพ็อปอาจถูกบางคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความหมายหรือเป็นเพลงเชิงพาณิชย์มากเกินไป แต่ต้องยอมรับ ว่าที่เพลงพ็อปคือเพลงพ็อป ก็เพราะสาธารณชนชอบฟัง!
โลกมนุษย์
มีความรู้สึก มีความรัก
ปุถุชนล้วนเป็นเช่นนั้น
ผู้คนมากมายร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างคู่รัก แม้แต่ผลงานคลาสสิกชิ้นเอกของโลกอย่าง ‘เจน แอร์[1]’ ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไร พันปีร้อยปีผ่านไปผลงานซึ่งเกี่ยวข้องกับความรักก็ไม่มีวันเลือนหายไปจากตลาด
……
หลินเยวียนเดาออกแล้ว
ผู้ชมหลายคนก็เดาออกเช่นเดียวกัน
“เสียงคุ้นมากเลย…”
“ซย่าฝานไง!”
“ใช่แล้ว เสียงของซย่าฝาน!”
“ซย่าฝานร้องเพลงพ็อปเก่งมาก!”
“เสียงของซย่าฝานเหมาะกับเพลงประเภทนี้มาก!”
“ปลาหัวโตต้องเป็นซย่าฝานแน่ๆ เวทีนี้ปิดไม่ได้อีกต่อไป!”
“ยิ่งใกล้รอบชิงยิ่งปิดไม่ได้”
“…”
เมื่อซย่าฝานร้องจบ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องส่ง
เพลงนี้เป็นเพลงภาษาจีนกลางทั่วไป และยังเป็นเพลงพ็อปทั่วไป ไม่ได้มีเสียงสูง ไม่ได้มีทักษะในการร้องที่ซับซ้อน แม้แต่คนทั่วไปก็สามารถร้องเพลงนี้ในคาราโอเกะได้
มาตรฐานไม่สูง
เป็นเพียงการร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของคู่รักทั่วไป ทว่าบทเพลงซึ่งบรรยายเรื่องราวความรัก ในเวลานี้กลับสร้างความซาบซึ้งให้กับผู้ชมจนทุกคนต่างปรบมือให้โดยไม่ลังเล
ใครบอกว่าร้องเพลงต้องอวดเทคนิค?
ใครบอกว่าบนเวทีต้องร้องเสียงสูง?
เพลงพ็อปเป็นของสาธารณชน เสียงของปลาหัวโตก็เป็นของสาธารณชน เสียงของเธอสร้างความประทับใจอันสมบูรณ์แบบที่สุดของเพลงนี้ให้กับผู้คนนับไม่ถ้วน และความเก่งกาจของปลาหัวโตอยู่ที่ เธอขับร้องเพลงพ็อปซึ่งทุกคนฟังกันไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ให้ออกมามีกลิ่นอายที่คนทั่วไปไม่อาจทำได้
……
ถงถงยิ้มขื่น “เพราะมากเลย”
หลานหลิงอ๋องพยักหน้า
ซย่าฝานร้องเพลงนี้บนเวที เหมือนนอนรอคะแนน
ถูกต้อง
นอนรอคะแนน
จุดเด่นของเพลงประเภทนี้คืออาจไม่ได้คะแนนสูงเป็นพิเศษ แต่ตราบใดที่แสดงฝีมือออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สุดท้ายแล้วคะแนนที่ได้จะไม่น้อยอย่างแน่นอน
ก็เพลงกระแสนิยมไงล่ะ
หลินเยวียนลอบใช้ยาที่ได้มาจากระบบจนหมด ยานี้ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูเสียงของหลินเยวียนได้ทันที แต่อย่างน้อยก็สามารถป้องกันไม่ให้เขาไอขณะร้องเพลงได้
……
ช่วงแสดงความคิดเห็นอยู่ด้านหลัง เพราะการดวลหนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้ จำเป็นต้องให้นักร้องทั้งสองคนร้องต่อกัน เพราะฉะนั้นพิธีกรจึงเอ่ยชื่อ ‘หลานหลิงอ๋อง’ หลังจากที่ปลาหัวโตเพิ่งร้องเพลงจบ
“ไปแล้วนะ”
หลินเยวียนเอ่ย จากนั้นจึงเดินขึ้นเวที
ทั้งห้องส่งเงียบลง
ในตำแหน่งคณะกรรมการตัดสิน
จู่ๆ หยางจงหมิงก็กล่าวขึ้นมา “ผมจะไม่ให้คะแนนเห็นใจเพียงเพราะคุณเสียงแหบ เวทีนี้ให้คะแนนตามผลงานของนักร้อง”
“ไม่มีปัญหา”
นี่คือสิ่งที่หลินเยวียนอยากเห็น
หน้าจอ
เมื่อหลานหลิงอ๋องขึ้นเวที คอมเมนต์ก็เริ่มหลั่งไหลมาไม่หยุด
‘จะร้องจริงเหรอ?’
‘ถอนตัวเลยดีกว่า’
‘เสียงแบบนี้ยังแข่งได้อีก?’
‘เสียงแหบเกิ๊น’
‘รู้สึกว่าเสียงแหบกว่าเวทีที่แล้ว’
‘…’
ทุกคนจินตนาการไม่ออก ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หลานหลิงอ๋องจะร้องเพลงอะไร
ในขณะนั้นเอง
แสงไฟพลันมืดลง
ข้อมูลเพลงปรากฏบนหน้าจอ
ชื่อเพลง: เขาคงรักเธอมาก[2]
เซี่ยนอวี๋
ทำนอง:เซี่ยนอวี๋
ขับร้อง: หลานหลิงอ๋อง
หลานหลิงอ๋องถือไมโครโฟน ค่อยๆ เปล่งเสียง
“หลบในรถคันเดิม
กับขวดไวน์ในมือ
อยากมอบให้เธอ
เซอร์ไพรส์ในวันเกิด…”
หลินเยวียนเปล่งเสียงออกไป ตอนนี้ผู้ชมหลายคนอึ้งไป ราวกับถูกโจมตีขึ้นมากะทันหัน
คณะกรรมการตัดสินทั้งสี่ต่างมองหน้ากัน
เสียงนี้…
เห็นชัดๆ ว่าแหบพร่า!
แต่ว่า…
เสียงแหบพร่านี้ เมื่อร้องออกมาแล้วกลับมีเสน่ห์เกินกว่าจะบรรยายได้ ราวกับเพลงนี้ควรใช้เสียงแหบพร่าเช่นนี้มาขับร้อง
“เธอเดินใกล้เข้ามา
เสียงสองคนพูดจา
จะทำยังไงหนา
ตกใจอยู่ตรงนี้…”
ยังคงเป็นเสียงแหบพร่า แต่ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจพรรณนาได้ ทว่าดังขึ้นจากก้นบึ้งในหัวใจของผู้ชมอย่างแผ่วเบา ผู้ชมราวกับเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในรถ มองไปยังหญิงสาวผู้เป็นที่รักปรากฏตัวพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่งต่อหน้าต่อตาอย่างสิ้นหวัง ในมือของเขายังคงถือของขวัญเซอร์ไพรส์วันเกิดซึ่งตั้งใจมอบให้กับอีกฝ่าย…
ตามมาด้วยเสียงเปียโนเศร้าๆ
หลินเยวียนก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ฉันควรอยู่ใต้ท้องรถ
ไม่ควรไปอยู่ในรถ
มองดูความรักอันแสนหวาน
ก็ดีเหมือนกัน
ได้โปรดจงมอบความกล้าหาญ
ถึงเวลาที่ฉันยอมแพ้สักที…”
พรึบๆ!
สีหน้าของผู้ชมเปลี่ยนไปทันที!
สองคำสุดท้ายของหลานหลิงอ๋อง แหบพร่าราวกับกำลังจะทรุดกายลงบนพื้นอยู่รอมร่อ ในสถานการณ์ซึ่งถ่ายทอดผ่านบทเพลง ความเจ็บปวดนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเช่นเดียวกัน ปราศจากเสียงสูงเหมือนกัน แต่ทุกคนกลับสัมผัสถึงอารมณ์อันล้นปรี่
เขาคงรักเธอมาก
คงรักเธอมากกว่าฉัน
เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาที่เราเลิกรา
เขาคงรักเธอมาก
เอาใจเธอมากกว่าฉัน
ไม่เหมือนฉันเอาแต่ใจคอยดึงดัน
ให้เธอเหนื่อยใจ…”
เมื่อร้องถึงตรงนี้ ดวงตาของผู้ชมพลันเบิกกว้าง ถึงขั้นที่มีคนอ้าปากค้างอย่างเซ่อซ่า ดนตรีอันไพเราะดังก้องในโสตประสาท กอปรกับเสียงนี้ นำพาความเจ็บปวดและจนใจจากการเลิกรา!
เขาร้องเพลงได้!
เขาร้องเพลงได้จริงๆ!
เห็นชัดๆ ว่าเสียงแหบแห้งแทบแย่ แต่กลับทำให้เสียงนี้สะเทือนอารมณ์ได้อย่างถึงที่สุด!
“พระเจ้าช่วย!”
“นี่มันเสียงอะไรกัน!”
“เสียงแหบขนาดนี้ยังร้องให้เพราะได้”
“เขาทำได้ยังไง!”
“ครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเสียงแหบแห้งก็เพิ่มเสน่ห์ให้กับเพลงได้มากขนาดนี้ เพลงนี้สุดยอดไปเลย!”
“มีเสน่ห์มาก!”
“ทั้งที่ไม่ได้กินเหล้า แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเมา เสียงนี้เป็นเสียงแหบที่ดีที่สุดเท่าที่เคยฟังมา!”
“…”
ถูกต้อง
เพลงนี้คือ ‘เขาคงรักเธอมาก’ ผลงานชิ้นโบแดงของของอาตู้
เอ่ยถึงเสียงแหบ
อาตู้คือชื่อที่ใครๆ ก็พูดถึง
และในเวทีนี้ หลินเยวียนนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะเสียงที่แหบพร่า!
กล่าวให้ชัดคือ…
คงเป็นเรื่องยากสำหรับหลินเยวียน ที่จะร้องเพลงนี้ให้จบยามที่เสียงของเขาปกติ แต่เนื่องจากเสียงของเขาแหบห้าว เขาจึงสามารถร้องเพลงนี้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด!
……
ด้านหลังเวที
นักร้องทุกคนต่างประหลาดใจ
หงส์ขาวเอ่ยอย่างตกตะลึง “เสียงนี้สุดยอดมาก!”
หุ่นยนต์ตบหน้าขาฉาด “ถ้าเสียงไม่แหบร้องไม่ได้!”
ปลาปักเป้าพึมพำ “มีเพลงที่ใช้เสียงแบบนี้ด้วย!”
นางเงือกกัดริมฝีปาก “เพลงนี้กับเสียงของเขาในตอนนี้เกิดมาคู่กัน…”
เกิดมาคู่กัน!
ทุกคนคิดว่า หลานหลิงอ๋องเสียงแหบแล้ว ผลงานของเขาจะแย่ลง ใครจะไปคิดว่าเขาจะหยิบเพลงเช่นนี้ออกมาหลังจากที่เสียงของเขาแหบ!
ตะลึง!
ตะลึงสุดๆ!
ปลาหัวโตร้องเพลงพ็อปซึ่งบรรยายเกี่ยวกับความรัก มีเอกลักษณ์ของตนเองสูง ส่วนเพลงพ็อปซึ่งบรรยายเรื่องราวความรักที่หลานหลิงอ๋องร้อง ไม่ได้เรียกว่ามีเอกลักษณ์แล้ว แต่ต้องเรียกว่า
ยืนหนึ่งในวงการเพลง!
………………………………………………..
[1] เจน แอร์ (Jane Eyre) นวนิยายรักคลาสสิกชื่อดังเรื่องหนึ่งของโลก โดยชาร์ล็อต บรอนที นักเขียนชาวอังกฤษ
[2] เขาคงรักเธอมาก ขับร้องโดยอาตู้ (A-Do)
วันรุ่งขึ้น
กู้ตงขับรถไปรับหลินเยวียนเพื่อไปส่งยังศูนย์ดนตรีกลาง
หลินเยวียนนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเบาะด้านหลัง
บนอินเทอร์เน็ตมีการถกเถียงมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันในวันนี้
‘การแข่งขันจะเริ่มขึ้นแล้ว!’
‘การแข่งขันรอบท้าทาย!’
‘เวทีรอบวันนี้โหดแน่ๆ ทั้งหมดเป็นราชาราชินีเพลงกับแก๊งปลา!’
‘หมู่ปลารับมือเวทีนี้ไม่ไหวแน่’
‘ก็ไม่แน่นะ บางทีอาจมีปลาที่จัดการกับราชาราชินีเพลงก็ได้’
‘จะว่าไป หลานหลิงอ๋องนับว่าเป็นแก๊งปลาไหม?’
‘จากรูปลักษณ์แล้ว หลานหลิงอ๋องไม่ใช่แก๊งปลา แต่จากคุณสมบัติแล้ว หลานหลิงอ๋องก็เป็นปลาตัวหนึ่ง เพราะเพลงใหม่ทั้งหมดของหลานหลิงอ๋องทั้งหมดในการแข่งขัน เซี่ยนอวี๋เป็นคนเขียนให้!’
‘อู้ว’
‘ฮ่าๆๆๆ วัตสันคุณเจอจุดบอดแล้ว!’
‘…’
เมื่ออ่านถึงตรงนี้
จู่ๆ หลินเยวียนก็จามออกมา
กู้ตงซึ่งกำลังขับรถเอ่ยว่า “ตัวแทนหลินหนาวเหรอคะ เดี๋ยวฉันปิดหน้าต่างให้”
“หนาวนิดหน่อย”
หลินเยวียนตอบไปตามสัญชาตญาณ
แต่ถึงกระนั้น เมื่อเสียงของหลินเยวียนดังขึ้น ทั้งเขาและกู้ตงต่างชะงักไปพร้อมกัน
เสียงแหบแห้ง!
เสียงของหลินเยวียนแหบแห้งสุดๆ!
กู้ตงรู้สึกร้อนรน รีบปิดหน้าต่างทันที “ตัวแทนหลินเป็นอะไรคะ”
“แค่ก”
หลินเยวียนกระแอมเพื่อให้คอโล่ง จากนั้นจึงพบว่าคอรู้สึกไม่สบายเอาซะเอย เขาจึงดื่มน้ำ และขณะกลืนน้ำลงไปนั้นก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย
“คงไม่ได้เป็นหวัดใช่ไหมคะ?”
“เหมือนจะเป็นครับ”
เสียงของเขายังคงแหบพร่า
หลินเยวียนอดนึกถึงเรื่องน้ำอุ่นเมื่อคืนไม่ได้ ขณะนั้นก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อคืนฝืนล้างตัวด้วยน้ำเย็น ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ใครจะไปคิดว่าวันนี้จะเป็นหวัดซะได้!
เป็นหวัดยังไม่เท่าไหร่
ด้วยสภาพร่างกายของหลินเยวียนในปัจจุบันนี้ เป็นไข้หวัดเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา
แต่ปัญหาที่เสียงนี่สิเรื่องใหญ่
วันนี้เขาต้องร้องเพลง!
กู้ตงเริ่มตื่นตระหนก “งั้นต้องไปซื้อยาแก้หวัดให้คุณแล้ว…ยาแก้หวัดไม่มีประโยชน์ เสียงของคุณคงไม่หายดีในเวลาแค่ประเดี๋ยวเดียว การแข่งขันวันนี้ทำยังไงดีคะ”
“ใจเย็นๆ ครับ”
หลินเยวียนเอ่ยปลอบ ก่อนจะเอ่ยเรียกระบบในใจ “ไหนนายบอกว่าร่างกายแข็งแรงไง”
ระบบปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังติ๊งต่อง
“ก่อนหน้านี้เคยเตือนโฮสต์ไปแล้ว ว่าอาการจำพวกไข้หวัดไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในการรับประกันของระบบ”
หลินเยวียนจนใจ
ระบบเคยเตือนเขาแล้วจริงๆ
ครั้งนี้ตนประมาทเกินไป
ต่อให้ความสามารถในการร้องเพลงจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจทนต่อความระคายคอได้
นอกจากนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งแรงมากแล้ว แข็งแรงจนหลินเยวียนไม่รู้สึกวิงเวียนหลังจากตื่นนอน
ถ้ารู้แต่แรก เมื่อคืนเขาล้างตัวให้หนานจี๋ก่อนดีกว่า
เขายังคงเยือกเย็น “มีวิธีแก้ไขเรื่องนี้ไหม”
ใช้เสียงแบบนี้ร้องเพลง การแสดงของเขาต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ถ้าตกรอบด้วยเหตุผลนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย
ระบบเอ่ย
“ในร้านค้าของระบบมียารักษาคอให้คงที่ แต่ไม่สามารถช่วยให้โฮสต์ฟื้นตัวได้ ทำได้เพียงแก้อาการไม่สบายของโฮสต์เท่านั้น”
“ยาชา?”
“จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้ ทำได้เพียงแก้ปัญหาอาการไม่สบายคอของโฮสต์ แต่เสียงแหบนั้นไม่สามารถรักษาได้”
“เท่าไหร่”
“หนึ่งหมื่นหยวน”
“ถูกขนาดนั้น?”
ในใจพูดประโยคนี้จบ จู่ๆ หลินเยวียนก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่เขาไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก ทำได้เพียงจ่ายเงินซื้อยาขนานนี้กับระบบ เข้าไปข้างในแล้วค่อยลองใช้
“ฉันจะไปซื้อยาแก้เจ็บคอให้ค่ะ”
กู้ตงจอดรถในลานจอดรถของศูนย์ดนตรี ก่อนหันไปมองหลินเยวียน
“ไม่ต้องครับ”
หลินเยวียนดื่มน้ำอีกครั้ง “ฝืนหน่อยก็ได้แล้ว”
“ไม่ได้นะคะ!”
กู้ตงตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม “เสียงแหบถึงขนาดนี้ เราไม่แข่งแล้วดีไหมคะ ถึงยังไงนักประพันธ์เพลงอย่างคุณก็ไม่ต้องหากินด้วยการแข่งนี้…”
“จะต้องมีวิธีครับ”
หลินเยวียนฝืนอาการระคายคอ “ผมขึ้นไปก่อนนะ”
“คุณไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร”
หลินเยวียนขึ้นไปชั้นบน
จะไม่เป็นไรได้ยังไง
เป็นหวัดจนเสียงแหบเสียงแห้ง ดื่มน้ำยังเจ็บคอ นับประสาอะไรกับการร้องเพลง แม้แต่เนื้อเสียงก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงมีหลายเพลงที่หลินเยวียนไม่สามารถร้องได้อย่างเต็มศักยภาพ
ตัวอย่างเช่นเพลงไม่เคยจากไป
เพลงประเภทนี้ต้องใช้เสียงที่พุ่ง ทว่าด้วยเสียงแหบแห้งเช่นนี้ หลินเยวียนจึงร้องเสียงพุ่งไม่ออก
ไม่มีวิธีอื่น
ตอนนี้ทำได้เพียงใช้ยาจากระบบมาบรรเทาอาการเจ็บคอ เพียงแต่การเลือกเพลง วันนี้ตนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ…
เดินออกจากลิฟต์
ถงถงเดินมาต้อนรับ ด้านข้างมีช่างกล้องตามมา “อาจารย์หลานหลิงอ๋อง เรื่องกฎได้แจ้งกับคุณไปแล้ว ก่อนการแข่งขันยังต้องการซ้อมอีกไหมคะ?”
“ไม่จำเป็น”
หลินเยวียนเอ่ยตอบ
หลายวันมานี้เขาซ้อมทุกอย่างที่ควรซ้อมแล้ว สามารถขึ้นเวทีได้เลย
อย่างไรก็ตาม
ทันทีที่หลินเยวียนอ้าปากพูด ถงถงก็ชะงักไปทันที
เธอเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ “เสียงของอาจารย์หลานหลิงอ๋อง…แหบนิดหน่อยหรือเปล่าคะ?”
เพราะหลินเยวียนพูดเพียงสองคำ เธอจึงไม่มั่นใจว่าตนฟังผิดไปหรือเปล่า
“เป็นหวัด…นิดหน่อย…แค่ก…”
หลินเยวียนไออย่างต่อเนื่อง
ร่างกายของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
เขาร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ป่วยมักอาการหนัก
ตอนนี้ทั้งที่เป็นหวัดอยู่แท้ๆ แต่นอกจากเจ็บคอแล้ว คล้ายว่าเขาจะไม่มีอาการอื่นเลย
“แบบนี้คุณเรียกว่าเป็นหวัดนิดหน่อย?”
ถงถงหน้าเปลี่ยนสี เสียงแหบเสียขนาดนี้จะร้องเพลงได้อย่างไร
“ฉันจะตามคนมาให้น้ำเกลือคุณนะคะ!”
“ไม่ต้องหรอก”
หลินเยวียนชำเลืองมองกล้อง “ถ้ายังคุยกันอยู่จะไม่ทันเวลา”
ช่างกล้องกำลังดำเนินการถ่ายทำ
การถ่ายทอดสดใกล้จะเริ่มต้นขึ้น
ถงถงกัดฟัน “ฉันจะไปปรึกษาผู้กำกับสักหน่อย ให้คุณขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้าย”
หลินเยวียนโบกมือ “ปฏิบัติตามกฎการแข่งขันเถอะ”
“แต่ว่า…”
“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง”
ปลาปักเป้าซึ่งอยู่ด้านข้างเพิ่งมาถึง เมื่อเห็นหลานหลิงอ๋องจึงรุดมากล่าวทักทาย จากนั้นเธอคล้ายกับกลัวว่าเสียงของตนจะตื่นเต้นเกินไป หลังจากนั้นจึงกดเสียงท้ายซึ่งดังอย่างห้ามไม่อยู่ให้เบาลง
หลินเยวียนตอบ “สวัสดี”
“เสียงของคุณ…” ปลาปักเป้าประสาทสัมผัสต่อเสียงไวมาก
ถงถงเอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์หลานหลิงอ๋องเป็นหวัดค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ารอบนี้จะทำยังไงดี ต้องส่งผลกระทบกับการร้องเพลงแน่เลย”
ปลาปักเป้าร้อนรน “ฉีดยา!”
“ไม่ได้นะ!”
หลินเยวียนสะดุ้งโหยง
เขาไม่กลัวอะไรนอกจากการฉีดยา เมื่อเห็นเข็มฉีดยาแล้วมีปมในใจ “ก่อนออกมาฉีดยาไปแล้ว”
พูดจบ
หลินเยวียนรีบปรี่เข้าไปในห้องรับรองราวกับกำลังวิ่งหนี
ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ปลาปักเป้าถึงกับพาหุ่นยนต์ หงส์ขาว และนางเงือกมาพร้อมกัน
ทั้งหมดล้วนมาจากทีมที่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ข่าวว่าหลานหลิงอ๋องเป็นหวัดและเสียงแหบ
“จะร้องได้ไหม”
หงส์ขาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลินเยวียนตอบ “พอไหว”
หุ่นยนต์ไม่ได้ทำท่าทางตลกขบขันอีก “อย่าฝืนนะ”
ปลาปักเป้าเอ่ยอย่างจนใจ “คุณฉีดยามาแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
“ฉีดมาแล้ว”
หลินเยวียนเอ่ย อันที่จริงนี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการฉีดหรือกินยา ร่างกายของตนไม่มีปัญหา
ที่มีปัญหาคือเสียง
ไม่มียาที่ทำให้เสียงฟื้นตัวได้ทันทีหรอก
“การแข่งขันของวันนี้เดิมทีก็หนักอยู่แล้ว”
นางเงือกเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะหันไปมองหน้าจอโทรทัศน์บนฝาผนัง “การถ่ายทอดสดเริ่มแล้ว”
……
ใช่
การถ่ายทอดสดเริ่มแล้ว
บนเวที อันหงเริ่มพูด ยังคงมีผู้ชม 700 คน กรรมการ 50 คน และกรรมการตัดสินระดับพ่อเพลงสี่คนจากรอบที่แล้ว
ทั้งห้องส่งส่งเสียงเชียร์!
บนหน้าจอ ผู้ชมต่างกระหน่ำคอมเมนต์กันเข้ามานับไม่ถ้วน
‘มาแล้วๆ!’
‘รอบนี้ต้องปังกว่ารอบทีมแน่!’
‘ปลาทอด…’
‘ความสามารถของแก๊งปลานับว่าเสียเปรียบในบรรดาผู้ท้าชิงสิบสองคน’
‘ราชาราชินีเพลงจากทั้งสี่ทีมเข้าสิบสองคนสุดท้ายทั้งหมด’
‘มหาราชาไร้เทียมทาน!’
‘เชียร์หมาป่าเดียวดาย!’
‘หงส์ขาวนัมเบอร์วัน!’
‘หลานหลิงอ๋องสู้ๆ!’
‘รอบนี้นั่งรอดูหลานหลิงอ๋องตุ้บ!’
‘…’
อันหงเริ่มกล่าวแนะนำกฎการแข่งขัน
ขณะเดียวกัน ต่อหน้าผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วน จอใหญ่ก็เริ่มจับสลากเพื่อตัดสินลำดับการประลองรอบแรกของวันนี้
ปลาหัวโต vs หลานหลิงอ๋อง
หุ่นยนต์ vs เทพีแห่งการล้างแค้น
มหาราชา vs ปลาปักเป้า
หงส์ขาว vs หมาป่าเดียวดาย
นางเงือก vs ดอกเดซี
เอล์ฟ vs นางเงือก
“หลานหลิงอ๋องขึ้นเวทีคู่แรกเลย!”
“หุ่นยนต์มือไม่ค่อยขึ้นแฮะ จับได้คู่ต่อสู้เป็นราชินีเพลงอีกแล้ว!”
“หงส์ขาวกับหมาป่าเดียวดายให้ความรู้สึกเหมือนแข่งรอบชิงกันล่วงหน้า หมาป่าเดียวดายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในว่าที่แชมป์!”
“อยากให้หลานหลิงอ๋องจับได้ราชาราชินีเพลง”
“อยากเห็นหลานหลิงอ๋องตกรอบก็บอกมาตามตรง”
“ก่อนหน้านี้หลานหลิงอ๋องก็เจอกับราชาเพลงมาแล้ว คนเขาก็ยังอยู่บนเวทีไม่ใช่หรือไง”
“ปลาหัวโตน่าจะสู้หลานหลิงอ๋องไม่ได้”
“…”
แม้ว่าแฟนคลับของนักร้องหลายคนจะไม่พอใจหลานหลิงอ๋อง แต่ต้องยอมรับว่าความสามารถที่หลานหลิงอ๋องแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าปลาหัวโต
ในขณะนั้นเอง
รายการเริ่มฉายเนื้อหาซึ่งบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ รวมไปถึงส่วนที่หลานหลิงอ๋องเป็นหวัดด้วย
เพียงชั่วพริบตาเดียว!
คอมเมนต์ก็คึกคักขึ้นมา
‘ไม่มั้ง?’
‘หลานหลิงอ๋องเสียงแหบแล้ว!’
‘งั้นก็หมายความว่า เสียงที่สามของเขาใช้ไม่ได้แล้ว?’
‘งั้นเขาจะแข่งยังไง’
‘ฮ่าๆๆๆ หลานหลิงอ๋องจมน้ำแล้ว’
‘แนะนำให้หลานหลิงอ๋องไปซ้อมเพลงเหน็บหนาวอีกสักรอบ ตอนถอดหน้ากากอาจได้ใช้’
‘หลานหลิงอ๋องเป็นหวัดได้ไงล่ะเนี่ย เสียงแบบนี้ฟังแล้วไม่โอเคเลย’
‘…’
ขณะเดียวกัน
ผู้ชมด้านล่างเวทีเห็นสถานการณ์ด้านหลังเวทีผ่านหน้าจอใหญ่ ทั้งห้องส่งก็พลันตกอยู่ในความโกลาหล
“หลานหลิงอ๋องเสียงพังแล้ว!”
“เป็นหวัด เสียงก็แหบง่าย”
“บ้าน่า ประเด็นคือหลานหลิงอ๋องแข่งเป็นคู่แรก!”
“หลานหลิงอ๋องคนนี้มาเหนือความคาดหมายตลอด แม้แต่ป่วยยังเหนือความคาดหมาย!”
“จะร้องยังไงล่ะทีนี้!”
“…”
คณะกรรมการประเมินต่างมองหน้ากัน
ทางคณะกรรมการตัดสิน อิ่นตงขมวดคิ้ว “แย่แล้ว”
เจิ้งจิงส่ายหน้า “ถ้าแพ้เพราะเรื่องนี้ก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย ฉันคิดว่าเขาสู้กับราชาราชินีเพลงอีกได้”
เยี่ยจือชิวยิ้มขื่น “สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก”
หยางจงหมิงไม่ได้พูดอะไร
เหตุการณ์เช่นนี้ในการแข่งขันร้องเพลงไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และเรื่องทำนองนี้ส่งผลต่อการแสดงของนักร้อง
แต่ในฐานะคณะกรรมการตัดสิน ต้องรักษาความเป็นกลาง ไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่นักร้องเนื่องจากเหตุผลส่วนตัวได้
พ่อหนุ่ม…
ยังไหวอยู่ไหม
หยางจงหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย
ในเวลานั้น
ผู้ชมมีอารมณ์แตกต่างกันไป
แต่ไม่ว่าจะรู้สึกสะใจ หรือแอบเสียดาย หรือเพียงแค่อยากรับชมความสนุก ทว่าความคิดที่ทุกคนมีต่อหลานหลิงอ๋องล้วนเหมือนกันคือ
จะไปแข่งได้อย่างไร?
………………………………………………….
เมื่อมหาราชาเอาชนะคู่แข่งด้วยคะแนนโหวตอันท่วมท้น ครอบครัวของหลินเยวียนก็กำลังดูรายการอยู่เช่นกัน
“มหาราชาแข็งแกร่งมาก!”
หลินเซวียนพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
หลินเหยาซึ่งอยู่ด้านข้างพยักหน้า
คว้าอันดับหนึ่งตลอดสี่สัปดาห์ในการแข่งขันรอบจัดอันดับ ในการแข่งขันรอบทีมก็ข่มคู่แข่งเสียจมดินด้วยสถิติคะแนนโหวตสูงสุด สมกับชื่อมหาราชาของเขา
ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสุดๆ
“สุดยอดมาก”
แม่ซึ่งเป็นครูสอนดนตรีปลดเกษียณกล่าวอย่างจริงจัง “ดูจากการแข่งขันตอนนี้ มีแค่หงส์ขาวกับหมาป่าเดียวดายที่จะมีความหวังจะเอาชนะมหาราชาได้ แต่ต่อให้เป็นสองคนนี้ก็ยังเป็นรองมหาราชาเล็กน้อย มหาราชาคนนี้เหมือนหุ่นยนต์สำหรับร้องเพลง…”
“หลานหลิงอ๋องของบ้านเราก็เก่งมากนะคะ!”
หลินเซวียนตอบกลับอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนนี้เธอชอบหลานหลิงอ๋องจริงๆ ระยะนี้เปิดเพลงไม่เคยจากไปวนซ้ำหลายรอบ
หลินเหยาเอ่ยแย้งพี่สาวคนโต “หลานหลิงอ๋องไม่ใช่ของบ้านเราสักหน่อย”
หลินเยวียน “…”
หลานหลิงอ๋องเป็นของบ้านพวกเธอจริงๆ
หนานจี๋เห่าสองครั้ง ราวกับต้องการพูดอะไร
หลินเยวียนสีหน้าเปลี่ยน รีบส่งกระดูกเข้าปากหนานจี๋ในทันที
เงียบเร็ว!
หมาตัวนี้รู้มากเกินไปแล้ว!
ในขณะนั้นเอง
พี่สาวตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ดูเร็วๆ ปลาตะพัดทองถอดหน้ากากแล้ว!”
หลินเยวียนมองหน้าจอโทรทัศน์ตามสัญชาตญาณ
ปลาตะพัดทองถอดหน้ากากแล้ว และตัวตนของเขาก็เป็นดังเช่นที่ชาวเน็ตคาดเดา
เฉินจื้ออวี่!
หลินเซวียนตื่นเต้น “เป็นลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรกจริงด้วย!”
หลินเหยาบอก “ปลาตัวอื่นเหมือนจะได้เข้ารอบ เฉินจื้ออวี่เป็นปลาตัวแรกที่ถอดหน้ากาก”
แม่เอ่ยว่า “เฉินจื้ออวี่โชคไม่ดี เจอกับหมาป่าเดียวดาย นั่นราชาเพลงเชียวนะ”
“…”
หลินเยวียนไม่พูด
เมื่อกินข้าวเสร็จ เขาขึ้นไปชั้นบนล็อกอินเข้าปู้ลั่ว
บนโลกออนไลน์ล้วนถกเถียงกันเกี่ยวกับราชาหน้ากากนักร้อง มีหลายหัวข้อสนทนาที่หลินเยวียนอ่านอย่างสนุกสนาน
ตัวอย่างเช่น หัวข้อสนทนาว่าทุกคนเดาว่านักร้องคนนั้นคนนี้เป็นใคร…
แน่นอน
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการหยิบยกนักร้องซึ่งผ่านเข้ารอบมาเปรียบเทียบความสามารถกัน
ตอนนี้เหลือนักร้องทั้งหมดสิบสองคน
หลินเยวียนลองประเมินคร่าวๆ คิดว่าสำหรับโลกภายนอกแล้ว ฝีมือของตนน่าจะอยู่ที่ประมาณอันดับที่หก
ใกล้เคียงกับที่คิดไว้
การตัดสินของผู้ชมขึ้นอยู่กับผลงานในการแข่งขันเป็นหลัก
หลังจากหลินเยวียนได้รับทักษะการร้องเพลงเพิ่มเติมจากระบบ เนื่องจากระดับความยากของผลงานที่เลือกไม่นับว่าสูงนัก ดังนั้นจึงไม่ได้ระเบิดฝีมือออกมาอย่างเต็มที่
การคาดคะเนว่าได้อันดับที่หกนี้เพิ่งเพิ่มสูงขึ้นมาไม่นาน
เพราะหลินเยวียนร้องเพลงซึ่งทดสอบทักษะการร้องในการแข่งขันรอบทีมอย่างเพลงไม่เคยหายใ…
เพราะร้องเพลงไม่เคยจากไป และเอาชนะนักรบเอ๋อลั่วอีซึ่งมีแนวโน้มได้เปรียบกว่า
นอกจากนั้น
สำหรับเรื่องการถอดหน้ากากของเฉินจื้ออวี่ บนโลกออนไลน์ก็มีการถกเถียงกัน
‘ในที่สุดก็มีปลาลอยเท้งเต้งขึ้นมาแล้ว!’
‘เป็นเฉินจื้ออวี่จริงด้วย!’
‘ฮ่าๆๆ ลูกคนรองตลอดกาลรุ่นแรก!’
‘เขาปลดเกษียณไปแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสมัยของราชาเพลงเฟ่ยหยาง!’
‘ไม่มีอะไรน่าสงสัยนี่ เฉินจื้ออวี่เลือกเป็นปลาตะพัดทองก็แทบชัดเจนอยู่แล้ว!’
‘งั้นหมายความว่าปลาตัวอื่นเราก็อาจเดาถูกเหมือนกัน’
‘ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าในรอบหน้า นอกจากเฉินจื้ออวี่แล้ว คงได้เห็นหน้าค่าตาปลาตัวอื่นๆ!’
‘โลกใต้ท้องทะเล!’
‘…’
จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกสงสัย
ว่าในรอบหน้าตนอาจต้องแข่งกับปลาสักตัวหนึ่ง
เพราะในการแข่งขันนี้มีปลาเยอะแยะไปหมด!
ผู้เข้าแข่งขันสิบสองคน!
เป็นปลาไปแล้วสี่คน!
มีโอกาสหนึ่งในสามที่จะจับได้คู่แข่งเป็นปลา!
อ่า
หลินเยวียนตบหัวตนเอง
คุณครูวิชาคณิตศาสตร์คงโกรธน่าดู
ถ้าไม่นับตนเอง ควรเป็นสี่ในสิบเอ็ดมากกว่า
ช้อนขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลโดยแท้
มิหนำซ้ำหลินเยวียนยังรู้สึกว่าถ้าตนช้อนได้ปลาขึ้นมาจริงๆ คงจะเป็นคนคุ้นเคยสักคนหนึ่ง เขาพอจะจับเสียงของคนเหล่านี้ได้
ในเวลานั้นโทรศัพท์มือถือของหลินเยวียนดังขึ้น
เป็นสายซึ่งถงซูเหวินโทรมา
“โทรมารบกวนอาจารย์เซี่ยนอวี๋อีกแล้ว คือทางนี้อยากแจ้งกับคุณเรื่องกฎของการแข่งขันรอบต่อไปน่ะครับ”
“กฎอะไรครับ”
“ในการแข่งขันรอบท้าชิงเราจะแบ่งนักร้องทั้งสิบสองคนออกเป็นสองกลุ่ม นักร้องหกท่านสุดท้ายที่แพ้จะสามารถท้าชิงนักร้องหกท่านที่ชนะได้ และถ้าท้าชิงสำเร็จก็จะได้อยู่บนเวที…”
“ครับ”
ถ้าคิดตามกฎนี้แล้ว การชนะในครั้งแรกจะไม่มีความหมายเลย จะต้องมีกฎเกณฑ์อื่นมาเสริมอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าถงซูเหวินก็ขบคิดเรื่องนี้
“เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการแข่งขันในรอบที่หนึ่ง เราจะให้นักร้องที่ชนะในรอบที่หนึ่งมีคะแนนโหวตสะสมไปก่อนหนึ่งร้อยคะแนน ดังนั้นเมื่อไปแข่งขันกับผู้ท้าชิง ย่อมได้เปรียบเป็นธรรมดา”
“เข้าใจแล้วครับ”
กฎข้อนี้สมบูรณ์กว่าที่หลินเยวียนคิดไว้
และเขาก็เข้าใจเจตนาที่ทีมงานรายการวางแผนเช่นนี้ได้อย่างถ่องแท้
ไม่กลัวว่าการจับสลากจะเกิดอาถรรพ์ ส่งผลให้ราชาราชินีเพลงเจอกันล่วงหน้า จนทำให้ผู้เข้าแข่งขันซึ่งมีความสามารถเป็นรองเข้ารอบ?
ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
สมมุติว่าหลินเยวียนกับหงส์ขาวเผชิญหน้ากัน ต่อให้หลินเยวียนทำพลาดและพ่ายแพ้ในการแข่งขัน เขาจะสามารถเลือกท้าทายนักร้องคนใดคนหนึ่งในบรรดาผู้ชนะหกคนได้
นี่เป็นการรับประกันอย่างหนึ่ง
อีกฝ่ายมีหนึ่งร้อยคะแนนแล้วอย่างไร?
ถ้าฝีมือของตนแข็งแกร่งพอ ความแตกต่างหนึ่งร้อยคะแนนนั้นไม่ได้มากเลย สามารถพลิกขึ้นมาชนะได้อย่างง่ายดาย
แน่นอน
หนึ่งร้อยคะแนนนี้ยังมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เข้าแข่งขันซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน
เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ที่ความสามารถใกล้เคียงกันนี้เอง คะแนนโหวตหนึ่งร้อยคะแนนจะชี้เป็นชี้ตายได้ทันที!
เพราะฉะนั้นเจตนาของทีมงานรายการจึงชัดเจน
พยายามให้นักร้องซึ่งมีฝีมือค่อนข้างแข็งแกร่งผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก
ถงซูเหวินหัวเราะ “คุณยอมรับได้ก็ดีแล้วครับ เรื่องนี้จำเป็นต้องสื่อสารกับผู้เข้าแข่งขันล่วงหน้า”
“ครับ”
หลินเยวียนวางสาย
หลายวันต่อจากนั้น หลินเยวียนไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย
ฝึกซ้อมเพลงเพียงอย่างเดียว
ระบบมอบความสามารถในการร้องเพลงให้กับหลินเยวียน แต่ไม่ได้หมายความว่าหลินเยวียนจะละทิ้งความพยายามของตนเองได้ หากคิดจะควบคุมความสามารถในการร้องเพลงได้ทั้งหมด หรือแม้แต่ไปไกลกว่านั้น เขาจำเป็นต้องทุ่มเทและพากเพียรฝึกซ้อม
กระทั่งในคืนก่อนวันแข่งขันรอบท้าทาย หลินเยวียนยังคงฝึกซ้อมอยู่
ฝึกซ้อมจนถึงเวลาสามทุ่ม จึงหยุดลงอย่างมีสติ
เขาต้องอาบน้ำเข้านอน
พรุ่งนี้ต้องไปแข่งขันที่ศูนย์ดนตรีกลาง วันนี้จำเป็นต้องพักผ่อน เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมเต็มที่
ทันทีที่หลินเยวียนลุกขึ้น หนานจี๋วิ่งเข้ามาเปิดประตูห้องน้ำอย่างคล่องแคล่ว โดยปกติแล้วหมายความว่าหนานจี๋ต้องการอาบน้ำด้วย
ใช่แล้ว
เดี๋ยวนี้เจ้าหมาตัวนี้เปิดประตูเองได้
เมื่อคนในครอบครัวไม่มีเวลาพามันออกไปเดินเล่น หนานจี๋จะเปิดประตูออกไปวิ่งเล่นเอง
พาตัวเองออกไปเดิน
ถึงอย่างไรในละแวกใกล้เคียงก็มีพรรคพวกอยู่ เพียงแต่ระยะนี้เสี่ยวหวงไม่เล่นกับมันแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลินเยวียนเริ่มล็อกประตูหลังจากค้นพบพฤติกรรมของหนานจี๋ จะให้หนานจี๋ออกไปโดยลำพังไม่ได้
ถึงหนานจี๋จะดูท่าทางเหมือนไม่กัดคนก็เถอะ แต่จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา
เข้าไปในห้องน้ำ
หลินเยวียนเริ่มอาบน้ำ
เขาไม่เพียงอาบน้ำให้ตนเอง แต่ยังช่วยอาบให้หนานจี๋ ปรากฏว่าอาบไปได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆ หลินเยวียนก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหมือนว่าอุณหภูมิของน้ำจะต่ำลง…
หลายคนคงเคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้ น้ำที่อาบเดิมทีเป็นน้ำร้อน แต่จู่ๆ น้ำร้อนก็หายไป
น่ากระอักกระอ่วนใจจริงๆ
เพราะในเวลานี้บนร่างกายของหลินเยวียนและหนานจี๋ถูกปกคลุมไปด้วยเจลอาบน้ำ เส้นผมเต็มไปด้วยฟองจากการถูแชมพู
หนานจี๋เริ่มร้อนรน
“ยังมีโอกาส…”
หลินเยวียนถือโอกาสที่น้ำยังไม่ได้เย็นเฉียบเสียทีเดียว รีบล้างตัวแข่งกับเวลา
ตัวเขาเอง
เมื่ออาบตนเองเสร็จ น้ำก็เย็นพอดี ทำอะไรไม่ได้จริงๆ มีน้ำเพียงพอสำหรับหนึ่ง ‘คน’ เท่านั้น
หลินเยวียนขบคิด
ถ้าหลังจากนี้หลินเยวียนใช้น้ำเย็นอาบให้หนานจี๋ หนานจี๋ต้องทนไม่ไหวแน่นอน ไม่สู้ช่วยเช็ดให้หนานจี๋ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยอาบให้อีกรอบ
เมื่อคิดเช่นนี้
หลินเยวียนช่วยหนานจี๋เช็ดตัวไปพลางฮัมเพลงปลอบหนานจี๋
“ทุกสิ่งคือฟองสบู่[1]…”
หนานจี๋ราวกับหลุดลอยอยู่ในห้วงฝัน ปล่อยให้หลินเยวียนทำตามที่เขาต้องการ
น้องหมาจะไปมีเจตนาชั่วร้ายอะไรได้?
แม่ตะโกนจากชั้นล่าง
“เครื่องทำน้ำอุ่นเหมือนจะพัง หลิงเซวียน พรุ่งนี้โทรเรียกคนมาซ่อมหน่อย วันนี้ไม่ต้องอาบน้ำแล้ว!”
“ยังดีที่หนูยังไม่ได้อาบ” เหยาเหยาเอ่ยอย่างมีความสุข
“ถอดกางเกงแล้ว ทำไมแม่เพิ่งมาบอกล่ะคะ!” พี่สาวร้องออกมาอย่างปวดใจ
ฟู่ๆๆๆ
หลินเยวียนหยิบไดร์เป่าผมออกมาเป่าหนานจี๋ให้แห้ง พลางเป่าฟองสบู่ด้านหลังใบหูของหนานจี๋ ขณะเดียวกันก็ร้องเพลงต่อไป
“น่าจะรู้ว่าฟองสบู่ สลายเมื่อสัมผัส เหมือนกับหัวใจเจ็บช้ำ ทรมานไร้สุ้มเสียง…”
…………………………………………………….
[1] ทุกสิ่งคือฟองสบู่ มาจากเนื้อเพลง ‘ฟองสบู่ (Bubble)’ ของเติ้งจื่อฉี (G.E.M.)
วันต่อมา
ทันทีที่เขาลุกจากเตียงก็ได้ยินเสียงของพี่สาวดังมาจากห้องของน้องสาวซึ่งอยู่ใกล้กัน
“รีบโหวตให้หลานหลิงอ๋องเร็ว ถ้าเธอไม่โหวตฉันไม่โหวต เมื่อไหร่หลานหลิงอ๋องจะได้เฉิดฉาย ถ้าเธอโหวตฉันโหวต ไม่ช้าก็เร็วหลานหลิงอ๋องจะต้องเดบิวต์!”
“เข้าใจแล้ว!”
เหยาเหยาเอ่ยเสียงอ่อนด้วยความจนใจ
ไม่ทันไร
ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้องของหลินเยวียน
“เชิญ”
พี่สาวโผล่หน้าเข้ามา “ขอแนะนำหน่อย ดูการแข่งขันเมื่อวานจบไป พี่ก็กลายเป็นแฟนคลับของหลานหลิงอ๋อง นายรีบโหวตให้หลานหลิงอ๋องเร็ว ถ้านายไม่โหวตฉันไม่โหวต เมื่อไหร่หลานหลิงอ๋องจะได้…”
“โหวตอะไร”
“ทางรายการราชาหน้ากากนักร้องบอกให้ชาวเน็ตโหวตให้นักร้องไม่ใช่เหรอ แฟนคลับหลานหลิงอ๋องอย่างพวกเราคิดว่าหลานหลิงอ๋องคะแนนโหวตน้อยเกินไป เขาเอาชนะนักรบเอ๋อลั่วอีที่อยู่อันดับห้า เขาก็ควรได้ขึ้นเป็นอันดับห้าคนใหม่!”
หลินเยวียน “…”
ทีมงานรายการทำจัดกิจกรรมแบบนี้ด้วย?
“เข้าใจแล้ว”
หลินเยวียนเลียนแบบคำพูดของเหยาเหยา เสียงผู้หญิงจึงออกมา และเสียงอ่อนเหมือนกัน
พี่สาวชะงักไป คิดว่าตนฟังผิดไป ยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกไป
หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูการจัดอันดับ
ดูเหมือนจะมีแฟนคลับใหม่อย่างพี่สาวที่โหวตให้ตน
คะแนนนิยมของเขาในรายการราชาหน้ากากนักร้องขึ้นมาสู่อันดับที่แปด ก่อนหน้านี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะอยู่อันดับที่สิบ…
หลินเยวียนไม่ได้คิดมาก
เขาโหวตให้ตนเองหนึ่งคะแนน ตามกฎแล้ว ทุกคนมีโอกาสโหวตได้วันละครั้ง
อันดับด้านหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หุ่นยนต์ขยับขึ้นมาหนึ่งอันดับ ขึ้นมาแทนที่นักรบในอันดับที่ห้า
นักรบถอดหน้ากาก และออกจากการจัดอันดับไปแล้ว
และบนพื้นที่แสดงความคิดเห็นด้านล่างการจัดอันดับ มีชาวเน็ตพูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขัน
‘หลานหลิงอ๋องแข็งแกร่งมาก!’
‘ก่อนหน้านี้ทุกคนบอกว่าไพ่ตายของหลานหลิงอ๋องใช้หมดแล้ว นักร้องคนอื่นยังใช้ไพ่ตายไม่หมด แต่ตอนนี้ดูท่าหลานหลิงอ๋องเองก็ยังใช้ไพ่ตายไม่หมด เพลงไม่เคยจากไปสุดยอดมาก!’
‘ธรรมดา’
‘ผมว่าทุกคนก็อวยเพลงไม่เคยจากไปมากเกินไป การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมื่อวานคือศึกระหว่างหุ่นยนต์กับเอล์ฟต่างหาก ถึงจะเป็นมหาสงครามเทพเซียนของจริง’
‘ประเด็นคือเอ๋อลั่วอีเลือกเพลงผิด’
‘ถ้าเอ๋อลั่วอีไม่แข่งเรื่องลมหายใจกับหลานหลิงอ๋อง หลานหลิงอ๋องจะไม่มีโอกาสเลย’
‘หลานหลิงอ๋องความคิดลึกล้ำมาก จงใจชักนำให้นักรบแข่งกับเขาในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด ผลปรากฏว่าเอ๋อลั่วอีตกหลุมพรางจริงๆ ทำได้แค่บอกว่าหลานหลิงอ๋องรู้วิธีเล่นเกม’
‘ทำไมแฟนคลับของนักร้องเหล่านั้นยังไม่ยอมอีก’
‘การแสดงของหลานหลิงอ๋องเมื่อวานยังไม่พอให้พวกคุณเงียบกันอีกเหรอ’
‘พวกเรายอมรับว่าหลานหลิงอ๋องควบคุมลมหายใจได้ดีมาก แต่มีคนอวยเสียงสูงของเขานี่มันอะไรกัน นักร้องทีมที่หนึ่งพูดกันว่าเสียงสูงของหลานหลิงอ๋องไม่ได้สูงมาก เพียงแต่ลมหายใจยาวมากพอเท่านั้นเอง’
‘ขอร้องละ หลานหลิงอ๋องไม่เคยบอกว่าตัวเองร้องเสียงสูงเลย เห็นๆ อยู่ว่าคนเขาถ่อมตัว’
‘นั่นสิ หลานหลิงอ๋องก็บอกแล้วว่าไม่นับว่าสูง ผมว่านั่นหมายความว่าเขาร้องได้สูงกว่านี้อีก!’
‘การตีความของแฟนคลับของหลานหลิงอ๋องก็เกินไปป่าว เขาบอกว่าไม่นับว่าสูง เพราะเขารู้จักประเมินตนเอง รู้ว่าคนอื่นร้องได้สูงกว่า ไม่ได้แปลว่าเขายังร้องได้สูงกว่านี้อีก’
‘มาเอาอะไรเอ่ย เดี๋ยวเจอมหาราชาก็ตุ้บแล้ว!’
‘มหาราชาน่ากลัวจริงๆ อีกอย่างหลักการของการแข่งขันแบบทีมก็ชัดเจนแล้ว ใครเริ่มก่อนแพ้!’
‘…’
หลินเยวียนส่ายหน้า
ดูเหมือนว่าการแข่งขันในรอบนี้ยังไม่พอสำหรับคลายปมขัดแย้งซึ่งเกี่ยวข้องกับตน
เวทีเดียวไม่พอ ต้องหลายเวทีสักหน่อย
ส่วนที่ทุกคนต่างก็หยอกล้อกันว่าใครเริ่มก่อนแพ้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทีมที่หนึ่งจัดการทีมที่สาม โดยพื้นฐานแล้วใครเริ่มขึ้นเวทีร้องเพลงก่อนจะแพ้ ช่างเป็นความลี้ลับอะไรปานนี้
หลินเยวียนกดไลก์แฟนคลับซึ่งช่วยพูดแทนเขาโดยไม่คิดมาก
แน่นอนว่าเขาเปิดบัญชีผู้ใช้เล็กๆ ไว้
ส่วนมหาราชาที่ทุกคนพูดถึง หลินเยวียนเองก็กดติดตาม
ถึงอย่างไรมหาราชาก็เป็นนักร้องซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีแววเป็นแชมป์มากที่สุด
แม้แต่พ่อเพลงยังประเมินว่า
มหาราชาคือยอดพีระมิดของนักร้องทั้งหมด
หลินเยวียนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
ผลงานในทุกสัปดาห์ของราชาเพลงล้วนน่าเกรงขาม อีกทั้งเขายังสามารถรับมือกับสไตล์เพลงได้หลากหลาย ในฐานะนักร้องนับว่ามีความสามารถรอบด้านมาก
……
อีกด้านหนึ่ง
ในห้องพักบริษัทแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งบนโซฟาดูการแข่งขันแบบทีมใน รายการราชาหน้ากากนักร้อง
“ถวายบังคมมหาราชา!”
ผู้จัดการยิ้มร่าเดินเข้ามา
ชายหนุ่มกดปิดรายการ “อยู่ในบริษัทอย่าเรียกซี้ซั้ว คนอื่นได้ยินเข้าจะถูกเปิดเผยล่วงหน้า”
“ด้านนอกไม่มีคน”
ผู้จัดการรินน้ำอัดลมให้ตนเอง ดื่มเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “หลังจากนี้สามสี่วันจะถึงการแข่งขันของทีมที่สองกับทีมที่สี่”
“ชนะก็พอแล้ว”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ผู้จัดการหัวเราะ “ก็จริง คุณได้ที่หนึ่งมาสี่สัปดาห์รวด จะพลาดในการแข่งขันแบบทีมได้ยังไง รีบจบเกมเร็วๆ แล้วเข้าไปรอบชิงดีกว่า…เมื่อกี้คุณดูการแข่งขันของทีมที่หนึ่งกับทีมที่สาม?”
“อืม”
“คิดว่ายังไง”
“อ่อนหัด”
“ทั้งหมดเลย?”
ชายหนุ่มชะงัก สงวนวาจาเล็กน้อย “หุ่นยนต์กับเอล์ฟทำผลงานใช้ได้ หงส์ขาวยังบอกไม่ได้ แต่ผมจัดการได้ การแข่งขันรอบชิงควรจะเป็นหงส์ขาวกับผม”
“หลานหลิงอ๋องล่ะ?”
ผู้จัดการคล้ายกับกำลังหัวเราะ
บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มพลันหนักอึ้งขึ้นมาในชั่วพริบตา “ผมดีใจมากที่เขายังไม่ตกรอบ!”
“ฮ่าๆๆๆๆ ถ้าหลานหลิงอ๋องรู้ตัวว่าเขาตกเป็นเป้าหมายของมหาราชาที่มีคะแนนนิยมสูงสุด บางทีในรอบหน้าเขาอาจจะอยากตกรอบเองก็ได้นะ”
ผู้จัดการมีความสุขเหลือเกิน
รู้ทั้งรู้ว่าหงส์ขาวนี่สิถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาราชา แต่มหาราชากลับจริงจังกับหลานหลิงอ๋องมากกว่าใคร ถ้าโลกภายนอกล่วงรู้เรื่องนี้เข้า อาจกลายเป็นข่าวดังขึ้นมาอีกก็เป็นได้
แววตาของชายหนุ่มเฉียบคมและมุ่งมั่น
ผู้จัดการวางน้ำอัดลม เอ่ยว่า “จะว่าไปก็ควรขอบคุณหลานหลิงอ๋อง ถ้าเขาไม่ได้โจมตีพระเจ้าเฟ่ยของพวกเรา พระเจ้าเฟ่ยของพวกเราคงไม่มีทางขึ้นมาสังหารหมู่บนเวทีในฐานะมหาราชาหรอก”
พรึบ
ชายหนุ่มเปิดม่าน แสงสว่างส่องสะท้อนร่างของเขาในทันที
เฟ่ยหยาง!
ถูกต้อง
ผู้ซึ่งมีคะแนนนิยมเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบันนี้!
‘มหาราชา’ ผู้เข้าแข่งขันซึ่งโลกภายนอกต่างยอมรับว่าเป็นราชาหน้ากากนักร้องซีซันที่หนึ่ง
เฟ่ยหยางนั่นเอง!
ผู้จัดการกล่าว “จะว่าไป เทพีแห่งการล้างแค้นที่ถูกคุณข่มมาตลอดสี่สัปดาห์คงจะเป็นหยวนซี?”
“แปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”
เฟ่ยหยางตอบโดยไม่ต้องคิด
ผู้จัดการพยักหน้า “งั้นทีมที่สี่ของคุณก็น่าสนใจแล้ว เป้าหมายของคุณกับหยวนซีคือหลานหลิงอ๋อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าหยวนซีจะกำจัดหลานหลิงอ๋องไปล่วงหน้าไหม แล้วค่อยถอดหน้ากาก แล้วก็บอกว่าไม่แข่งแล้ว ถึงยังไงก็บรรลุเป้าหมายเรียบร้อย”
“หลานหลิงอ๋องเป็นของผม!”
เฟ่ยหยางโพล่งขึ้นโดยไม่ลังเล
ผู้จัดการอึ้งไป สีหน้าแลดูแปลกพิลึก
ในการแข่งขันแบบทีม นักรบก็พูดเช่นนี้
จากนั้น…
แน่นอน
มหาราชาไม่ใช่นักรบ
มหาราชาคือราชาเพลงเฟ่ยหยาง!
นักรบเอ๋อลั่วอีไม่สามารถเทียบกับเฟ่ยหยางได้ไม่ว่าจะในด้านใด
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและง่ายดายก็คือ นักรบไม่มีฝีมือที่น่าเกรงขามเท่ามหาราชา ซึ่งเป็นพลังในการควบคุมเวทีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่ง
หลายวันให้หลัง
ศึกใหญ่ระหว่างทีมที่สองและสี่ก็เกิดขึ้น
มหาราชาเอาชนะคู่ต่อสู้ไปด้วยคะแนนโหวตแปดร้อยคะแนน สร้างสถิติผลต่างคะแนนมากที่สุดในการแข่งขันรอบทีม!
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว!
ทั้งโลกออนไลน์ต่างตกตะลึง!
ถึงขั้นมีชาวเน็ตบอกว่า
ราชาหน้ากากนักร้อง มหาราชาเป็นใหญ่ หากหงส์ขาวไม่ออกมา ใครก็ล้มเขาไม่ได้!
……………………………………………………
“คุณร้องเสียงสูงได้!”
หงส์ขาวเอ่ยขึ้นอย่างขำขันทันทีที่หลินเยวียนกลับไปยังหลังเวที ในการแข่งขันที่ผ่านมาหลินเยวียนไม่เคยใช้เสียงสูง
“ไม่นับว่าสูง”
หลินเยวียนขบคิดก่อนจะเอ่ยตอบ
หงส์ขาว “สูงใช้ได้”
ปลาปักเป้า “นับว่าสูงมาก”
นางเงือก “ถึงเสียงจะไม่นับว่าสูงมาก แต่ร้องได้ยาวขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ วิธีการร้องของคุณเป็นเอกลักษณ์มาก ถ้ามีโอกาสขอคำแนะนำด้วยนะคะ”
“อื้ม”
ทีมที่หนึ่งสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อฉากนี้ปรากฏแก่สายตาของผู้ชมกลับกลายเป็นความจนใจ
“ไม่นับว่าสูง?”
“สูงใช้ได้?”
“บ้าไปแล้ว!”
“มืออาชีพก็โหดเกิน!”
“ถ้าเป็นฉัน บอกว่าเพลงไม่เคยจากไปไม่นับว่าสูงนี่ฉันคงเตะกระเด็นไปแล้ว แต่ทีมที่หนึ่งมีแต่นักร้องที่ถนัดร้องเสียงสูง แม้แต่เสียงสูงของปลาปักเป้าก็เกินจริงมาก”
“…”
เป็นฉากที่อลังการสุดๆ
การแข่งขันดำเนินต่อไป ความกระตือรือร้นที่ผู้ชมมีต่อรายการราชาหน้ากากนักร้องไม่ได้จบลงที่การแข่งขันระหว่างหลานหลิงอ๋องและนักรบ อารมณ์ของพวกเขามีแต่จะพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ เพราะรอบนี้ชวนตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน!
นักร้องต่างพยายามอย่างหนัก!
การประลองระหว่างหลานหลิงอ๋องและนักรบน่าตื่นตาตื่นใจก็จริง แต่ความคาดหวังของทุกคนล้วนเกิดขึ้นตั้งแต่นักรบประกาศสงครามกับหลานหลิงอ๋องก่อนหน้านี้ ความบาดหมางได้รับการแก้ไขแล้ว ทุกคนจึงเบนความสนใจไปยังการแข่งขันต่อจากนั้น
เวทีต่อๆ มายังคงยอดเยี่ยม
เพราะสองคนซึ่งขึ้นประลองต่อจากนั้นก็น่ากลัวไม่แพ้กัน คนหนึ่งคือหุ่นยนต์ซึ่งเป็นราชาเพลง และเอล์ฟซึ่งเป็นราชินีเพลง ทั้งสองคนคือบุคคลระดับแกนนำในทีมของตน!
หุ่นยนต์ร้องก่อน
ปรากฏว่าทันทีที่หุ่นยนต์เริ่มร้องเพลง เพียงประโยคแรกก็ทำให้ผู้ชมในห้องส่งตื่นตกใจ คณะกรรมการตัดสินมีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นบทเพลงภาษาฉู่!
แตกต่างจากภาษาฉี…
ภาษาฉีซึ่งเป็นภาษาถิ่นของฉีโจวนั้นใกล้เคียงกับภาษากลาง ต่อให้ไม่ใช่ชาวฉีก็สามารถเรียนรู้ได้ เช่นเดียวกับนักร้องชาวฉินโจวอย่างซุนเย่าหั่วซึ่งร้องเพลงภาษาฉีได้ดี และปลาปักเป้าซึ่งขึ้นเวทีก่อนหน้านี้ก็สามารถร้องเพลงภาษาฉีได้ดีเช่นกัน
แต่ภาษาฉู่นั้นต่างออกไป!
ภาษาฉู่นั้นยากมาก นอกจากชาวฉู่ที่ฟังออก คนอื่นๆ จะฟังแล้วรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังบ่นอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตาม ระดับความซาบซึ้งในดนตรีของบลูสตาร์ก็สูงมาก และไม่มีใครไม่พอใจเพียงเพราะฟังเพลงไม่ออก เนื่องจากดนตรีและทำนองเป็นสิ่งที่มาคู่กัน เนื้อเพลงแสดงออกถึงอารมณ์และแนวคิดทางศิลปะของผู้สร้างสรรค์ผลงาน ถ้าหากสิ่งเหล่านี้สามารถตีความออกมาได้ เพลงภาษาฉู่จะไม่มีทางถูกหักคะแนน มีแต่จะได้คะแนนเพิ่ม นับประสาอะไรกับเมื่อบนหน้าจอมีเนื้อเพลงและคำแปล!
ยิ่งไปกว่านั้น…
ผู้ชมในห้องส่งมีทั้งชาวฉิน ฉี ฉู่ และเยี่ยน ดังนั้นทันทีที่เสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้น ผู้ชมซึ่งเป็นชาวฉู่ต่างก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ บางคนถึงขั้นลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ!
สุดยอดมาก!
ทุกคนชอบความรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นนี้ การออกเสียงภาษาฉู่ของหุ่นยนต์นั้นชัดเจนถูกต้อง เห็นได้ว่าหุ่นยนต์คือราชาเพลงจากฉู่โจว ในที่สุดเขาก็ได้ขับร้องบทเพลงในภาษาที่เขาคุ้นเคยที่สุด!
ด้านหลังเวที
หงส์ขาวตกตะลึง “เขาเป็นคนฉู่เหรอเนี่ย ดูเหมือนว่าทิศทางที่ฉันเดาไว้จะผิดพลาด น่าสนใจจริงๆ”
หลินเยวียนไม่พูด
มิน่าล่ะหุ่นยนต์ถึงมีพฤติกรรมคล้ายกับศิลปินตลก ชาวฉู่ชอบเล่นมุกเกินจริงอยู่บ้าง ส่วนภาษาฉู่ที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันอยู่นั้น…
คือภาษาญี่ปุ่น
ทุกทวีปบนบลูสตาร์มีภาษาถิ่นของตนเอง ภาษาถิ่นของฉีโจวคล้ายกับภาษากวางตุ้งบนโลก และภาษาถิ่นฉู่โจวคล้ายกับภาษาญี่ปุ่นบนโลก ส่วนเยี่ยนโจวและฉินโจวใช้ภาษาจีนกลางเป็นหลัก ภาษาถิ่นไม่ได้สืบทอดมามากนัก จึงไม่มีการพัฒนาของดนตรีซึ่งใช้ภาษาถิ่นเยี่ยนโจวเป็นหลัก
ร้องจบเพลง!
ผู้ชมทั้งห้องส่งต่างส่งเสียงเชียร์!
ต่อจากนั้นเป็นการแสดงของเอล์ฟ ปรากฏว่าการแสดงของเอล์ฟไม่ได้เป็นรองเลย เธอไม่ได้ใช้ภาษาพิเศษอื่นใด ยังคงร้องเป็นภาษากลาง ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่ายคือ…
เสียง!
เอล์ฟนั้นเหมือนกับหลานหลิงอ๋อง มีเสียงที่แตกต่างกัน เธอเริ่มร้องเพลงช่วงแรกด้วยเสียงน่ารัก นี่เป็นเสียงที่ทุกคนคุ้นเคย ปรากฏว่าเมื่อถึงท่อนเวิร์สที่สอง เธอกลับเปลี่ยนไปใช้อีกเสียงหนึ่ง!
ไม่ได้น่ารัก!
แต่มาแบบนางพญา!
คำอธิบายในลักษณะนี้อาจแปลกอยู่บ้าง แต่เอล์ฟกลับสร้างความแตกต่างอย่างมาก ด้านหน้าร้องด้วยเสียงน่ารัก ด้านหลังกลายเป็นเสียงผู้หญิงทรงพลัง ราวกับเป็นความตรงกันข้ามของโลลิตาและนางพญา
“มีคุณอีกคนหนึ่งแล้ว”
นางเงือกมองไปยังหลินเยวียน
เอล์ฟไม่ได้มีเสียงชายหญิงเหมือนกับหลานหลิงอ๋อง แต่เสียงของเธอเปลี่ยนผ่านจากน่ารักเป็นเซ็กซี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เสียงที่นักร้องทั่วไปสามารถทำได้ บวกกับทักษะการร้องที่แข็งแกร่งของเธอ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงมีความแตกต่างอย่างมาก!
สุดท้ายแล้ว…
หุ่นยนต์ก็พ่ายแพ้
ถ้าหากราชาเพลงประลองกับราชินีเพลง ใครจะแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ในความจริงแล้วผลงานของหุ่นยนต์ได้ ขจัดข้อกังขาของใครหลายคน ว่าเขาไม่ใช่ราชาเพลง ในเวทีนี้ผลงานของหุ่นยนต์ไม่ได้เป็นรองคู่ต่อสู้ คณะกรรมการตัดสินแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย สุดท้ายแล้วหุ่นยนต์แพ้ไปเพียงสี่คะแนน เรียกได้ว่าพลาดไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น
ทีมที่หนึ่ง
ไม่มีใครพูดอะไร
การแข่งขันก็โหดร้ายเช่นนี้
การประลองหลังจากนั้นยังคงน่าตื่นเต้น เมื่อถึงคราวหงส์ขาวขึ้นเวที เธอแทบคว้าชัยชนะมาได้โดยไม่เปลืองแรง สำแดงฝีมือของราชินีเพลงอย่างเต็มที่ ถึงขั้นที่แม้แต่คณะกรรมการตัดสินยังสะท้อนใจ บอกว่าหงส์ขาวยังแตะไม่ถึงขีดจำกัดของเธอเอง
ขณะเดียวกัน
นางเงือกยังแสดงความแข็งแกร่งและเอาชนะคู่ต่อสู้ของทีมที่สามได้ ส่งผลให้ผู้ชนะชุดแรกถือกำเนิดขึ้น ได้แก่หลานหลิงอ๋อง หงส์ขาว นางเงือก ปลาปักเป้า และเอล์ฟ
ยังเหลืออีกหนึ่งตำแหน่ง
นักร้องห้าคนซึ่งแพ้ในการแข่งขันเริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการประลองระหว่างหุ่นยนต์กับนักรบ ในที่สุดหุ่นยนต์ก็เอาชนะนักรบไปได้ และคว้าโควตาเข้ารอบต่อไป เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น่าสนใจขึ้นมาแล้ว
ทีมที่หนึ่งเข้ารอบทั้งหมด!
ทีมที่สามเหลือเพียงเอล์ฟ!
เมื่อหุ่นยนต์กลับมายังพื้นที่รับรอง หงส์ขาวลุกขึ้นและเข้าไปสวมกอดเขาโดยไม่ทันตั้งตัว หลังจากนั้นหุ่นยนต์จึงหันไปหาหลานหลิงอ๋อง กล่าวด้วยภาษาฉู่ว่า “เวทีนี้ต้องขอบคุณคุณ นักรบแพ้ผมเพราะสภาพจิตใจได้รับผลกระทบ การแสดงจึงมีข้อบกพร่อง ไม่อย่างนั้นผมไม่มีทางคว้าโควตาคืนชีพได้หรอก”
“นานิ[1]?”
หลินเยวียนตอบ
ทุกคนต่างขำขัน หลานหลิงอ๋องคนนี้อยากปลอมตัวเป็นชาวฉู่ ถ้าเขาพูดประโยคที่ซับซ้อนกว่านี้ พวกเราคงเชื่ออยู่หรอก แต่ภาษาฉู่ระดับพื้นฐานเช่นนี้มีใครไม่รู้บ้าง โดยเฉพาะคำจำพวก ‘ยาเมะเตะ[2]’ อะไรเทือกนั้น
หลินเยวียน “…”
เขาไม่เข้าใจว่าทุกคนหัวเราะอะไรกัน
และด้านหลังเวทีของทีมที่สาม นักร้องจากทีมที่สามทยอยกันกล่าวลาเอล์ฟ เมื่อนักรบกำลังจะเดินไปยังเวทีเพื่อถอดหน้ากาก จู่ๆ เอล์ฟก็เอ่ยขึ้นว่า “ฉันจะแก้แค้นให้คุณเอง ทีมเรายังมีฉันอยู่”
นักรบชะงักฝีเท้า
เขาไม่ได้ตอบอะไร สุดท้ายแล้วจึงเดินไปถอดหน้ากากบนเวที และเมื่อทีมที่สามถอดหน้ากากครบทั้งหมด ในที่สุดทุกคนก็รู้ตัวตนของนักร้องเหล่านี้สักที
“นักร้องแถวหน้า!”
“นักร้องแถวหน้า!”
“นักร้องแถวหน้า!”
“ราชาเพลง!”
นักร้องสามคนแรกที่ถอดหน้ากากล้วนเป็นนักร้องแถวหน้า และนักรบซึ่งเป็นนักร้องคนที่สี่ซึ่งถอดหน้ากากคือราชาเพลงจากเยี่ยนโจวดังที่เขาเคยกล่าวไว้ แถมยังจัดว่าเป็นนักร้องชื่อดังอีกด้วย!
“เอ๋อลั่วอี!”
“เป็นเขาจริงด้วย!”
“แม่เจ้า หลานหลิงอ๋องกำจัดเอ๋อลั่วอี โหดอยู่นะ เอ๋อลั่วอีเป็นราชาเพลงจากเยี่ยนโจว เพียงแต่สองปีมานี้ปล่อยเพลงน้อยมากก็เท่านั้นเอง แถมเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป ฟังไม่ออกเลย!”
“นักรบคือเขาเองเหรอ!?”
“โอ้ว ตอนไม่ถอดหน้ากากยังพอว่า แฟนคลับของนักรบไม่นับว่ามาก แต่แฟนคลับของเอ๋อลั่วอีนี่สิ ตอนนี้แฟนคลับของเอ๋อลั่วอีคงเกลียดหลานหลิงอ๋องเข้ากระดูกดำไปแล้ว หลานหลิงอ๋องล่วงเกินคนเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว!”
“ปล่อยจอยแล้วเรื่องนี้”
“เขาแทบจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกแล้ว”
“ตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกอะไรล่ะ คุณอ่านนิยายแฟนตาซีมากเกินไปแล้ว ฉันกลับชอบหลานหลิงอ๋องมาก อีกทั้งต้องยอมรับว่าเวทีวันนี้ของหลานหลิงอ๋องเทพมาก มีแค่หุ่นยนต์กับเอล์ฟเท่านั้นที่เทียบได้!”
“…”
การแข่งขันแบบทีมสิ้นสุดลง
หลังจากนี้เป็นศึกระหว่างทีมที่สองและทีมที่สี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินเยวียนเป็นการชั่วคราว ทว่าผลกระทบที่ตามมาของศึกครั้งนี้ยังคงหมักบ่มต่อไปตามเวลา…
…………………………………………………
[1] นานิ ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘อะไร’
[2] ยาเมะเตะ ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายในทำนองว่า ‘อย่านะ’ ‘หยุดเถอะ’
ทุกคนต่างตกตะลึง!
กล้องหลายสิบตัวของทีมงานรายการจับไปยังใบหน้าอันตกตะลึงของผู้ชมนับไม่ถ้วน ภาพแล้วภาพเล่าเรียงกัน สร้างความตกใจให้แก่ผู้ชมหน้าจอเป็นอย่างมาก!
ต่อให้บทเพลงจะจบลงแล้ว…
ความตกตะลึงนี้ยังคงไม่น้อยลงไป หนำซ้ำกลับยิ่งชวนให้ประทับใจมากขึ้นเมื่อหวนนึกถึง!
ทันใดนั้น!
ก็มีคนส่งเสียงตะโกนขึ้นมา เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านล่างเวที ตั้งแต่ผู้ชมเจ็ดร้อยคนไปจนถึงคณะกรรมการประเมินห้าสิบคน ล้วนปรบมือให้กับการแสดงในครั้งนี้อย่างกึกก้อง!
“เพลงนี้…”
“ไร้เทียมทาน…”
“ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าทักษะการร้องเพลงของหลานหลิงอ๋องไม่ดีไม่ใช่เหรอ แบบนี้บ้านคุณเรียกว่าไม่ดี?”
“ไม่เคยหายใจ!”
“นี่ไม่ใช่คำถามว่าหายใจหรือไม่หายใจแล้ว แต่เขาเชื่อมต่อช่วงไคลแม็กซ์ที่ยาวนานเข้าด้วยกัน รินไหลไปเรื่อยๆ เหมือนกระแสน้ำที่ไม่มีเขื่อนกั้น ฟังจนจบแล้วสมองแทบว่างเปล่า!”
“บ้าไปแล้ว!”
“หลานหลิงอ๋องแทบบดขยี้การแสดงของนักรบตั้งแต่เรื่องเสียงร้อง การหายใจ ไปจนถึงรูปแบบ ทุกๆ จุดที่นักรบโต้กลับจะได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์แบบโดยหลานหลิงอ๋อง แถมยังทำออกมาได้ดีกว่าด้วย!”
“…”
ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้อง
ผู้ชมนับไม่ถ้วนต่างถกเถียงกัน
พิธีกรอันหงเดินไปยังเวที น้ำเสียงของเขาแปลกไปเล็กน้อย “ขอขอบคุณอาจารย์หลานหลิงอ๋องที่จัดเทศกาลดนตรีให้กับพวกเรานะครับ ผมเห็นทุกคนตื่นเต้นกันมาก นอกจากนั้นจากสถิติชั่วคราวจากหลังบ้าน ในไลฟ์เมื่อครู่นี้มีคอมเมนต์จากชาวเน็ตหนาแน่นที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทอดสดในวันนี้ครับ…”
ทั้งในห้องส่งและโลกภายนอก!
ปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนกัน!
พิธีกรมองไปยังเจิ้งจิง เจิ้งจิงหอบหายใจอยู่หลายครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความหวั่นเกรง “คนร้องไม่มีปัญหา แต่คนฟังเกือบขาดใจ ที่จริงฉันไม่ประหลาดใจที่เซี่ยนอวี๋เขียนเพลงแบบนี้ออกมาได้ ตั้งแต่ทำนองไปจนถึงรูปแบบเพลงอยู่ในขอบเขตความสามารถของทุกคน แต่ฉันประหลาดใจที่หลานหลิงอ๋องสามารถรับมือกับเพลงที่ระดับความยากสูงแบบนี้ได้”
“ระดับความยากสูงจริงๆ!”
เยี่ยจือชิวซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยตัดบทเจิ้งจิง สีหน้าแฝงความตกตะลึง “เพลงนี้ต้องใช้การจัดการลมหายใจระดับสูงมาก ไม่ได้หมายถึงหลานหลิงอ๋องมีความจุปอดมากแค่ไหน แต่หมายถึงเขาใช้และควบคุมความจุปอดได้โดยที่ไม่สูญเปล่าเลย นี่คือการหายใจระดับตำราเรียนแล้ว ถ้าพูดถึงการขับร้องเพลงนี้ หลานหลิงอ๋องก็อยู่ในระดับราชาเพลง!”
“ไม่ใช่แค่นั้น!”
อิ่นตงซึ่งเป็นอัมพาตใบหน้าเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ยินเสียงหายใจไม่พอ ขณะเดียวกันเขาสามารถลากเสียงสูงและยาวได้นานมาก ผมเชื่อว่าผู้ชมที่ฟังเพลงคงรู้สึกจะหมดลม แต่เขายังทำเสียงให้ดังและสูงขึ้นได้อีก…”
ผู้ชมพยักหน้ารัว!
ก็ใช่น่ะสิ!
ว่ากันว่าลั่นกลองรบครั้งแรกฮึกเหิม ครั้งที่สองเสียขวัญ ครั้งที่สามสูญสิ้นกำลังใจ ทุกคนลำพังแค่ฟังก็รู้สึกสูญสิ้นกำลังใจแล้ว แต่เขากลับยังร้องเสียงดังขึ้นแถมเพิ่มคีย์ของเขาต่อไป ยกระดับให้มโนคติทางศิลปะยิ่งสูงขึ้นด้วย
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลินเยวียนนิ่งเงียบ
การหายใจเป็นศาสตร์หนึ่งในการร้องเพลง แต่หลินจื้อเซวี่ยนค้นพบวิธีการร้องเพลงแบบค็อกเทลเนื่องจากโรคจมูกอักเสบของเขา วิธีขับร้องเช่นนี้ทำให้เขาสามารถขับร้องเพลงทั้งหมดในเวอร์ชันแสดงสดได้โดยที่ได้ยินเสียงลมหายใจเพียงน้อยนิด และเพลงไม่เคยจากไปเวอร์ชันแสดงสดนี้นับว่าเป็นหนึ่งในการแสดงสดซึ่งอวดความโดดเด่นด้านการหายใจของหลินจื้อเซวี่ยน ส่วนหลินเยวียนต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อยเพื่อค้นหาเคล็ดลับของวิธีร้องเพลงวิธีนี้ เขาถึงกับใช้มิติเสมือนของระบบเพื่อศึกษาค้นคว้าครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะจับทิศทางได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงนับว่าอยู่ในความคาดหมายของหลินเยวียน
อันหงมองไปยังหยางจงหมิง
หยางจงหมิงจ้องมองหลานหลิงอ๋องอยู่หลายวินาที ราวกับกำลังขบคิดบางอย่าง ทว่าสิ่งที่เขาพูดต่อจากนั้นกลับทำให้ทั้งห้องส่งเสียงหัวเราะครืน “คุณหายใจทางรูขุมขนหรือ?”
หายใจทางรูขุมขนไปอีก
หยางจงหมิงไม่ได้แกล้งสัพยอกต่อ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ที่จริงทุกคนไม่จำเป็นต้องคอยถกเถียงกันเรื่องลมหายใจหรอก การหายใจแบบนี้จัดอยู่ในระดับตำราเรียนแล้ว แต่พวกเราควรกลับมาพูดถึงตัวบทเพลงกันบ้าง เพลงนี้เป็นเวทีที่ใช้ทักษะการร้องเพลงได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ผมดูการแสดงของหลานหลิงอ๋องมาหลายเวที โน้ตยาวในเพลงคือบททดสอบความแข็งแกร่งของเส้นเสียง นอกจากนั้น ทำนองเพลงนี้ยังทำออกมาได้ดี เพียงแต่น่าเสียดายที่ในแง่ของความยาก เพลงนี้อาจกลายเป็นฝันร้ายของนักร้องหลายๆ คนได้”
……
ด้านหลังเวที
หุ่นยนต์พยักหน้าอย่างจริงจัง “เพลงนี้ความยากระดับฝันร้ายจริงๆ ไม่ใช่ว่าท่อนเสียงสูงยาก นักร้องที่ถนัดเสียงสูงร้องได้ทั้งนั้น แต่จุดที่น่ากลัวคือท่อนเสียงสูงยาวเกินไป ยาวจนถึงขั้นที่ทุกคนร้องสูงถึง แต่ลมไม่พอให้ใช้ ผมคนหนึ่งแหละที่ไม่ไหว อาจารย์หงส์ขาวก็น่าจะไม่ไหว พวกคุณล่ะ?”
ปลาปักเป้าส่ายหน้า
นางเงือกส่ายหน้า
ใครจะไปทำได้?
ทีมที่หนึ่งทำไม่ได้ ทีมที่สามก็ทำไม่ได้ พูดให้ชัดก็คือทีมที่สามยังคงเงียบงัน นับตั้งแต่หลานหลิงอ๋องอ้าปากร้องเพลง ทุกคนในทีมที่สามต่างก็พูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปนาน
กว่าเอล์ฟจะกระซิบว่า “ท่อนเสียงสูงไม่นับว่าเกินจริง ฉันร้องได้สูงกว่าเขา…”
ทุกคนมองไปยังเอล์ฟ
ยังไม่กระจ่างสินะ
คุณร้องได้สูงกว่าเขาก็จริง แต่ลมหายใจของคุณสามารถร้องได้นานแบบเขาไหม ถ้าเกิดคนเขานึกคึกเล่นมุกนี้กับคุณโดยไม่หายใจหลายสิบวินาทีขึ้นมาล่ะ…
บนเวที
พิธีกรมองไปยังนักรบด้านข้างซึ่งยืนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว พยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด “ต่อจากนี้ขอเชิญอาจารย์นักรบขึ้นมายืนบนเวทีพร้อมกับหลานหลิงอ๋อง เพื่อรับคะแนนโหวตจากผู้ชมพร้อมกันด้วยครับ”
นักรบเดินมาอย่างเงียบงัน
ยืนอยู่ด้านข้างหลานหลิงอ๋อง
เขาไม่กล้ามองอีกฝ่าย
เวทีนี้แทบทำให้เขาหมดพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่าการหายใจของหลานหลิงอ๋องคงที่เช่นนี้ นักรบอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอาการหายใจหอบของตนหลังจากเพิ่งร้องเพลงจบ…
ปีศาจชัดๆ!
แบบนี้ยังเป็นคนได้อีกหรือ?
หรือเป็นหุ่นยนต์สำหรับร้องเพลง?
มีใครเขาตบหน้ากันแบบนี้ ฉันร้องเพลงจากไป คุณมาถึงก็ร้องเพลงไม่เคยจากไป ใจคอคิดจะให้ฉันจากไปเองใช่ไหม?
นักรบรู้สึกเสียดาย!
ถ้ารู้แต่แรก เขาไม่มีทางแข่งกับหลานหลิงอ๋องเรื่องการหายใจได้ ลำพังเพียงจุดนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่เมื่อหวนนึกถึง นักรบก็ยิ่งหมดหวังเพราะว่า…
ต่อให้เปลี่ยนเพลงก็ทำอะไรไม่ได้!
การแสดงสดในเวทีนี้ของหลานหลิงอ๋องไม่ได้มีเพียงความความน่าสะพรึงกลัวของการหายใจ แต่ยังรวมไปถึงคุณภาพโดยรวมของเพลงด้วย ต่อให้ไม่คำนึงถึงการหายใจ เพลงนี้ก็ยังมีพลังทำลายล้างสูงมาก!
เจอเทพสังหารเทพ!
เจอพระสังหารพระ!
เขาทำได้เพียงลอบถอนใจ
ผู้ชมในห้องส่งยังนับว่ามีมนุษยธรรมอยู่บ้าง ไม่มีใครส่งเสียงหัวเราะเยาะ แต่ถึงอย่างนั้นผู้ชมหน้าจอกลับไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจในด้านนี้ หลายคนระเบิดเสียงหัวเราะโดยไม่ปิดบัง
‘ลากไปตบกลางสี่แยก!’
‘ยังต้องแข่งอะไรอีกล่ะ ต่อให้ผู้ชมใช้เท้าโหวตยังรู้เลยว่าจะโหวตให้ใคร คณะกรรมการตัดสินไม่ได้วิจารณ์การแสดงของนักรบด้วยซ้ำ นับว่าไว้หน้านักรบแล้วนะ’
‘ใครเริ่มก่อนแพ้!’
‘คนโบราณไม่หลอกลวง!’
‘พ่อเพลงบอกว่านี่คือการใช้ลมหายใจระดับตำราเรียน ตอนนี้ใครยังกล้าพูดอีกไหมว่าหลานหลิงอ๋องไม่มีคุณสมบัติจะวิจารณ์การหายใจของคนอื่น คนเขาไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องนี้?’
‘…’
แฟนคลับของหยวนซีเงียบ แฟนคลับของเฟ่ยหยางเงียบ แฟนคลับของนักร้องทุกคนที่ไม่พอใจหลานหลิงอ๋อง ในขณะนี้ล้วนพูดไม่ออก นับว่าการตบครั้งนี้เฉียบขาดมากพอ
……
ดนตรีซึ่งทีมงานรายการใส่ระหว่างการโหวตค่อนข้างตึงเครียด แต่เมื่อผลออกมา นักรบหันหลังกลับไปมองยังคะแนนโหวต กลับเป็นต้องหน้าตาตกใจ วันนี้เขาอาจทำสถิติคะแนนซึ่งแตกต่างกันมากที่สุด!
นักรบ: 218 คะแนน
หลานหลิงอ๋อง: 766 คะแนน
คะแนนโหวตรวมแล้วไม่ถึงหนึ่งพันคะแนน หมายความว่ามีคนงดออกเสียง แต่การแข่งขันก็อนุญาตให้ทำเช่นนั้น เมื่อมีคนไม่รู้ว่าจะโหวตให้ใครดี จึงจะเกิดการงดออกเสียงขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีคนชื่นชอบนักรบ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะคนเราซาบซึ้งกับดนตรีได้จากหลายแง่มุม
“ยินดีด้วยครับ!”
อันหงประกาศเสียงดังท่ามกลางเพลงเฉลิมฉลอง ทำให้ดูคล้ายกับว่าตึงเครียดกับเรื่องเมื่อครู่จริงๆ “อาจารย์หลานหลิงอ๋องได้รับชัยชนะในรอบนี้ ส่วนอาจารย์นักรบของพวกเราต้องไปรออย่างน่าเสียดาย และไปดวลกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่แพ้ เพื่อคว้าโควตาเข้ารอบเพียงตำแหน่งเดียว ตอนนี้ทั้งสองท่านมีอะไรจะพูดไหมครับ อาจารย์หลานหลิงอ๋อง…”
“ขอบคุณ”
หลินเยวียนไม่ได้พูดมาก เขาพูดไปแล้วในการวิจารณ์นักรบในฐานะกรรมการพิเศษ ฟังหรือไม่ฟังล้วนเป็นเรื่องของนักรบเอง ถึงอย่างไรทิศทางความก้าวหน้าของอีกฝ่ายก็มุ่งมาหาตน
“อาจารย์นักรบ”
อันหงมองไปยังนักรบ ต่อให้มีหน้ากากบดบังใบหน้า ทุกคนยังสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของนักรบ ในเวทีนี้เขาถูกคู่ต่อสู้ขยี้จมดินจริงๆ
“ฮู้ว”
นักรบสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงหยิบไมโครโฟนขึ้นมา “ไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องถอดหน้ากากหรือไม่ แต่เรื่องบางเรื่องพูดออกมาตอนนี้ก็ไม่เสียหาย ผมเป็นคนเยี่ยนโจว ชาวเยี่ยนโจวอย่างเราชอบการแข่งขันและเชื่อว่าผู้ชนะคือราชา ผมยอมรับว่าแรกเริ่มผมไม่ยอมจำนน แต่เมื่อมาลองคิดดูให้ดีแล้ว ผมรู้สึกว่าการพ่ายแพ้ของผมนั้นสมเหตุสมผล ผมจะนำคำแนะนำของอาจารย์หลานหลิงอ๋องไปไตร่ตรองให้รอบคอบ สำหรับผมแล้ว บางทีนี่อาจไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือการเรียนรู้ ในเวทีนี้ ผมยอมรับอย่างสนิทใจ”
ยอมรับอย่างสนิทใจ!
เสียงปรบมือจากด้านล่างเวทีดังขึ้น ใบหน้าภายใต้หน้ากากของหลินเยวียนก็ผุดยิ้มเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเขาชนะการแข่งขัน แต่เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่านักรบค้นพบปัญหาของตนเองแล้ว และนี่คือความปรารถนาของเขาเมื่อวิจารณ์ไปตามตรงในฐานะกรรมการพิเศษก่อนหน้านี้
ต่างคนต่างแยกย้ายกันลงจากเวที
ขณะที่หลินเยวียนกลับมายังทางเดิน เขายังคงได้ยินเสียงกู่ร้องจากผู้ชมด้านล่างเวที ส่วนถงถงซึ่งรออยู่ตรงนี้ก็เช็ดน้ำตาและเข้าสวมกอดหลินเยวียน พลอยให้หลินเยวียนงุนงง
ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ
เขากลับไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ถงถงได้ฟังนักรบร้องเพลงแล้ว เธอแทบคิดว่าหลานหลิงอ๋องจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นเธอจึงโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ช่วยหลานหลิงอ๋องจับสลากให้ได้คู่แข่งที่อ่อนกว่านี้
“ไม่เป็นไร”
หลินเยวียนเอ่ยปลอบ
ถงถงเช็ดน้ำตา “อาจารย์หลานหลิงอ๋องนิสัยไม่ดีเลย ซ่อนความสามารถไว้เหมือนนักร้องคนอื่น จนถึงรอบการแข่งขันแบบทีมถึงจะงัดออกมา”
หลินเยวียน “…”
และผู้ชมเห็นฉากนี้ซึ่งถูกแทรกเข้ามาระหว่างถ่ายทอดสด ต่างคอมเมนต์กันอย่างคึกคัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของถงถง หลานหลิงอ๋องคนนี้ซ่อนฝีมือที่แท้จริงไว้!
‘ผลงานระดับราชาเพลง!’
‘ตอนนี้ฉันชักสงสัยแล้วว่าที่ผ่านมาทุกคนเข้าใจผิดหรือเปล่า ที่จริงแล้วราชาเพลงในทีมที่หนึ่งไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เป็นหลานหลิงอ๋อง เขาเพียงแค่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ลึกกว่า!’
‘เสียงสูงโหดมาก!’
‘ก่อนหน้านี้มีชาวเน็ตบอกว่าหลานหลิงอ๋องร้องเสียงสูงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เพลงไม่เคยจากไปนี่คีย์ไม่ต่ำนะ อย่างน้อยหลังจากนี้เราไปร้องกันในคาราโอเกะก็อาจร้องไม่ไหว!’
‘วิธีลดคีย์เยี่ยมยอด!’
‘อย่างที่เรารู้กันดี อีกชื่อหนึ่งของเพลงไม่เคยจากไปคือไม่เคยหายใจ ใครร้องเพลงนี้แล้วหายใจ เป็นหมาทันที!’
‘โฮ่ง!’
……………………………………………..
“ขอบคุณอาจารย์นักรบสำหรับการแสดงอันน่าตื่น…เต้น ขอโทษครับ ฟังเยอะๆ แล้วผมหายใจไม่ออก”
อันหงเอ่ยอย่างขบขัน
ผู้ชมทั้งห้องส่งหัวเราะครืน
ใช่น่ะสิ ไม่รู้ว่านักรบร้องเพลงจนจบด้วยการหายใจน้อยครั้งขนาดนี้ได้ยังไง
“อาจารย์นักรบมีอะไรอยากพูดไหมครับ”
อันหงมองไปยังนักรบ
นักรบปรับลมหายใจ “ทุกท่านอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงเลือกเพลงจากไป ที่จริงแล้วมีเหตุผลอยู่สี่ข้อ ข้อที่หนึ่งคือผมอยากแสดงความเคารพต่ออาจารย์หยางจงหมิง สองคือผมใช้เพลงเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ตอบโต้เรื่องการหายใจ ข้อที่สามคือผมคิดว่าการร้องเพลงที่คู่แข่งเคยร้องนั้นน่าสนใจดี ส่วนข้อที่สี่…”
นักรบหยุดชะงัก
อันหงรับลูกคู่ “ข้อที่สี่คืออะไรครับ”
นักรบหัวเราะ “ผมคิดว่าชื่อเพลงนี้ดีครับ”
อันหงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณ “จากไป”
โอ้ว!
ผู้ชมนึกออกแล้ว!
‘จากไป’ ไงล่ะ นี่คือมุกซึ่งมีความหมายแฝง ว่าให้หลานหลิงอ๋องจากไป!
ตกรอบ ก็หมายความว่าจากไปใช่ไหมล่ะ?
แรงอยู่นะ!
นี่คุณคิดจะตบหน้าหลานหลิงอ๋องให้ตายคามือเลยหรือไง!
เพลงเดียวสอดแทรกความหมายไว้มากมาย!
สีหน้าของอันหงแลดูแปลกประหลาดอีกครั้ง เขากลั้นขำอีกแล้ว…
บนหน้าจอ
คอมเมนต์ถั่งโถมมาอย่างไม่ขาดสาย
‘ขอบคุณอันหงที่คอยกลั้นขำอย่างแข็งขัน นักร้องพวกนี้แต่ละคนตึงทั้งนั้น!’
‘สะใจ จับหลานหลิงอ๋องแขวนประจานเลย!’
‘หลานหลิงอ๋องฉาวโฉ่แน่!’
‘บ้าน่า เล่นแบบนี้ได้ด้วย?’
‘จากไปก็ดี’
‘…’
อันหงกระแอม “อาจารย์นักรบมีอารมณ์ขันจังเลยนะครับ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องเชิญคู่แข่งของอาจารย์นักรบ ซึ่งก็คืออาจารย์หลานหลิงอ๋องขึ้นแสดงบนเวทีครับ!”
นักรบโค้งคำนับก่อนจะลงจากเวทีไป
มีเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว ทว่าขณะที่ผู้ชมกำลังปรบมือนั้น สีหน้ากลับแปลกพิลึก
เวทีนี้ หลานหลิงอ๋องจะใช้อะไรมาสู้
แค่ความน่าเกรงขามก็ถูกข่มซะแล้ว!
คุณบอกว่าคนเขามีปัญหาเรื่องการหายใจ?
ตอนนี้คนเขาจึงอวดเทคนิคการหายใจอันน่าทึ่ง มิหนำซ้ำยังร้องเพลงจากไปที่คุณเคยร้