Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 324

ตอนที่ 324

บทที่ 324

การค้นพบ

 

กองกำลังเต๋าปีศาจนั้นฉลาดมากกว่าที่คิด พวกเขามักจะใช้ค่ายผลปลอมและค่ายกลโลหิตแดงปลอมเพื่อสร้างความสับสนให้กับหน่วยสอดแนมของนิกายวารีคราม ในช่วงที่ผ่านมาผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของนิกายวารีครามถูกล่อไปติดกับดักแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

 

แต่ข่าวดีก็คือนอกเหนือจากแคว้นวารีครามแล้ว กองกำลังเต๋าปีศาจก็สร้างความหายนะในแคว้นสวรรค์ปีศาจและแคว้นโหมกระบี่ด้วยเช่นกัน

 

ดังนั้นที่นิกายวารีครามต้องทำก็มีแค่ดูแลแคว้นของตัวเองเท่านั้น และการทำเช่นนี้พวกเขาก็จะไม่ต้องกังวลว่านิกายอื่นๆ จะมีโอกาสโจมตีพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบีบบังคับของนิกายสวรรค์ปีศาจด้วยเช่นกัน

 

และแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ระดับบนๆ ของนิกายวารีครามทุกคนต้องปวดหัวอย่างมากเมื่อผู้ฝึกเต๋าปีศาจจำนวนมากก่อความวุ่นวายในแคว้นวารีคราม

 

คงจะดีกว่านี้ถ้ากองกำลังเต๋าปีศาจก่อสงครามโดยตรงกับนิกายวารีคราม ประเด็นสำคัญก็คือกองกำลังเต๋าปีศาจนั้นยากที่จะติดตาม ณ ตอนนี้พวกเขาสามารถกำจัดกองกำลังเต๋าปีศาจที่มีขนาดเล็กกว่าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่มีอะไรอื่นอีก แต่การเสียชีวิตของคนในแคว้นวารีครามมีมากกว่าห้าล้านคนแล้ว และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

“จำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าห้าล้านคน?”

 

ในนิกายวารีคราม หลี่ฟู่เฉินมีอาการแสดงดูน่ากลัวปรากฏ

 

ประชากรของเมืองเมฆหมอกมีมากกว่า 200,000 เล็กน้อย แต่กองกำลังเต๋าปีศาจมีอยู่แล้วเกือบจะถึงหนึ่งล้านคน และทำการสังหารไปมากกว่าห้าล้านคน ซึ่งมีมากกว่ากับเมืองเมฆหมอกเกือบห้าเท่า

 

“บ้าเอ้ย กองกำลังของเต๋าปีศาจงั้นเรอะ”

 

ตระกูลหลี่อาจจะอพยพมาอยู่ที่นิกายวารีครามแล้ว และเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา แต่หลี่ฟู่เฉินไม่ใช่คนประเภทที่จะเพิกเฉยต่อสถานการณ์เช่นนี้ เขานึกออกได้เลยว่ามีเด็กๆ และผู้คนใจดีกี่คนที่เสียชีวิตไปในห้าล้านคนนี้ คนเหล่านี้ทำงานอย่างขยันขันแข็งมาตลอดชีวิต แต่ทุกคนก็ถูกฆ่าเหมือนกับการเก็บฟางข้าว และยังถูกฆ่าเป็นกลุ่มใหญ่ หัวใจของหลี่ฟู่เฉินเต็มไปด้วยความปวดร้าวและเจตนาที่จะล้างแค้น

 

ห้องโถงวารีคราม…

 

โอหยางเหวินเทียนมีสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้า คนล้มตายห้าล้านคน… ตอนนี้น่าจะถึงหกล้านคนแล้วด้วยซ้ำ!

 

แคว้นวารีครามจะต้องสูญเสียชีวิตไปอีกกี่ชีวิต?

 

“ถึงเวลาแล้วที่ศิษย์ของนิกายวารีครามจะต้องออกไปทำตามเจตนารมณ์ของตัวเอง” โอหยางเหวินเทียนคิดกับตัวเอง

 

เดิมทีเขาไม่ต้องการให้ศิษย์ออกไปจากนิกายเพราะเขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าจะมีศิษย์กี่คนที่จะต้องตายภายใต้เงื้อมมือของผู้ฝึกฝนเต๋าปีศาจ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังขาดแคลนกำลังพล และเขาจะไม่ส่งศิษย์ทั้งหมดออกไป เขาเพียงต้องการส่งศิษย์นิกายชั้นในออกไป 30% และส่วนหนึ่งของศิษย์หลัก

 

ในทางกลับกัน มันก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าศิษย์จะได้ฝึกฝนตัวเองท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ที่กองกำลังเต๋าปีศาจเป็นผู้นำมา

 

ศิษย์เหล่านั้นบางคนที่มีพรสวรรค์ อาจจะพบความก้าวหน้าจากการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้

 

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการไปสนามรบ”

 

ในวันนี้ หลี่ฟู่เฉินมาที่ห้องโถงห้องของศิษย์หลัก และพูดคุยกับจ้าวหวูจิน

 

จ้าวหวูจินขมวดคิ้ว “ฟู่เฉิน เจ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ คนอื่นๆ อาจจะต้องฝึกฝนขัดเกลาอารมณ์ แต่เจ้าไม่ต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือฝึกฝนอย่างเงียบสงบ และก้าวขึ้นสู่ขอบเขตสวรรค์”

 

ไม่เพียงแต่จ้าวหวูจินคนเดียวเท่านั้น แต่คนระดับสูงคนอื่นๆ ของนิกายวารีครามก็ไม่ต้องการให้ หลี่ฟู่เฉินออกไปผจญกับสงครามภายนอก

 

พลังฝึกฝนในปัจจุบันของหลี่ฟู่เฉินนั้นต่ำเกินไป และแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับ แต่เขาก็สามารถต่อสู้กับนักสู้ขอบเขตสวรรค์ที่มีระดับต่ำๆ ได้แต่เพียงเท่านั้น เขาเพียงคนเดียวไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ได้มากนัก และมันก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า หากเขาก้าวขึ้นขอบเขตสวรรค์ได้แล้ว

 

หลี่ฟู่เฉินตอบ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ การขัดเกลาสภาวะอารมณ์และการขัดเกลาตนเองใช้กับทุกคนได้เสมอ การฝึกตนไม่ได้มีเพียงแค่การบ่มเพาะพลังฉีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการฝึกฝนจิตใจด้วยเช่นกัน ข้าไม่สามารถยืนดูอยู่เฉยๆ และเฝ้าดูกองกำลังเต๋าปีศาจสร้างความหายนะในขณะที่ข้าฝึกฝนอย่างสงบได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับเต๋าแห่งดาบของข้า”

 

“นี่?” จ้าวหวูจินลังเลเล็กน้อย

 

หลี่ฟู่เฉินมีมีเหตุผลและสำนึกรู้เป็นของตนเอง จ้าวหวูจินรู้ดีว่าอัจฉริยะชั้นยอดมักจะมีมุมมองเป็นของตัวเอง และเมื่อพวกเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว แม้แต่กระทั้งวัวสิบตัวก็ไม่สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้

 

“ข้าจะไปรายงานต่อเจ้านิกาย รอข้าอยู่ที่นี่”

 

จ้าวหวูจินไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

 

โถงใหญ่นิกายวารีคราม …

 

โอหยางเหวินเทียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เขาอยากออกไปงั้นเหรอ?”

 

“ขอรับ” จ้าวหวูจินพยักหน้า

 

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ โอหยางเหวินเทียนกล่าวว่า “งั้นก็ให้เขาไป! จัดเตรียมผู้อาวุโสนิกายชั้นในขอบเขตสวรรค์ระดับกลางสองคนเพื่อปกป้องเขา”

 

นิกายวารีครามกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และมันก็ถึงขีดจำกัดแล้วที่ส่งนักสู้ระดับกลางขอบเขตสวรรคสองคนไปเพื่อปกป้องหลี่ฟู่เฉิน

 

“เข้าใจแล้ว” จ้าวหวูจินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

ด้วยการปกป้องจากนักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับกลางสองคน ตราบใดที่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ หลี่ฟู่เฉินก็จะปลอดภัย

 

สถานที่ที่หลี่ฟู่เฉินมุ่งไปนั้นเป็นดินแดนของเมืองเมฆหมอก นั่นคือสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ของชีวิต และเขาก็มีความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อสถานที่นั้น

 

บนท้องฟ้าเบื้องบนหลี่ฟู่เฉิน และผู้อาวุโสนิกายชั้นในขอบเขตสวรรค์สองคนนั่งไขว่ห้างบนนกยักษ์เคียวสยอง

 

ผู้อาวุโสนิกายชั้นในขอบเขตสวรรค์ระดับกลางทั้งสองนี้ถูกเรียกว่า ฉินหมิงและซูชาง

 

ฉินหมิงกล่าวว่า “แคว้นวารีคราม แบ่งออกเป็นสี่พื้นที่หลักและพื้นที่ย่อยอีกสี่สิบแห่ง ทุกพื้นที่ที่สำคัญอยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสสูงสุด และทุกพื้นที่เล็กๆ ได้รับการดูแลโดยนักสู้ขอบเขตสวรรค์กว่า 12 คน เมืองเมฆหมอกอยู่เป็นพันที่อันดับเจ็ดของพื้นที่หลักที่สาม ถ้าจำไม่ผิด คนดูแลสถานที่แห่งนี้คือผู้อาวุโสเหมาชิวไห่”

 

“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสเหมาชิวไห่” ซูชางพยักหน้า

 

ผู้อาวุโสเหมาชิวไห่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสนิกายชั้นในของนิกายวารีครามและอยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตสวรรค์

 

“พวกเขาพบกองกำลังเต๋าปีศาจในพื้นที่รองที่เจ็ดหรือไม่” หลี่ฟู่เฉินถาม

 

พื้นที่รองที่เจ็ดมีทั้งหมด 15 เมือง และเมืองเมฆหมอกก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

“ตอนนี้ยังไม่มีใครพบเจอ” ซูชางตอบ

 

หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขายังไม่ค้นพบ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับหลี่ฟู่เฉินที่จะจินตนาการถึงฉากพลเมืองของเมืองเมฆหมอกทุกคนถูกสังหารไปในคืนเดียว

 

ในไม่ช้า นกยักษ์เคียวสยองและทั้งสามคนก็มาถึงเมืองเมฆสีทองในไม่กี่วัน

 

เมืองเมฆสีทองเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่รองอันดับเจ็ดของพื้นที่หลักที่สาม ซึ่งตอนนี้มันได้กลายเป็นฐานบัญชาการชั่วคราวไปโดยปริยาย

 

ในห้องโถงใหญ่ของที่พำนักเจ้าเมือง …

 

เหมาชิวไห่มาต้อนรับหลี่ฟู่เฉินเป็นการส่วนตัว

 

หลี่ฟู่เฉินไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์หลักธรรมดาๆ ในแง่ของสถานะ เหมาชิวไห่อาจจะอยู่ต่ำกว่า หลี่ฟู่เฉินเสียด้วยซ้ำ

 

หลังจากพบกับเหมาชิวไห่ หลี่ฟู่เฉินไม่ได้หยุดอยู่ที่เมืองเมืองเมฆสีทอง และรีบไปที่เมืองเมฆหมอกทันที ในช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาตั้งใจที่จะดูแลเมืองเมฆหมอก แต่แน่นอนว่า หากเขาเป็นที่ต้องการในที่อื่นเขาก็จะไป

 

เมืองเมฆทองและเมืองเมฆหมอกอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เดียวกัน และใช้เวลาน้อยกว่าชั่วโมงจนกระทั้งหลี่ฟู่เฉินและผู้อาวุโสทั้งสองมาถึง

 

เมืองเมฆหมอกในปัจจุบันไม่ใช่เมืองเมฆหมอกอย่างที่เคยเป็นมาก่อน

 

อดีตสี่ตระกูลหลักของเมืองเมฆหมอกได้ย้ายออกไปแล้วและพวกเขาก็ถูกแทนที่ด้วยตระกูลระดับสองของเมืองแต่เดิม

 

พวกเขาคือ ตระกูลเห่อ ตระกูลสี และตระกูลซุน

 

ย้อนกลับไปที่การแข่งขันอัจฉริยะของเมืองเมฆหมอก เหอปิ๋ง ได้อันดับสี่ ในขณะที่ สีเฟ่ย และ ซุนตี๋ ก็มีตำแหน่งที่น่ายกย่องเช่นกัน บุคคลทั้งสามนี้มาจากตระกูล เหอ สี และซุน ตามลำดับ

 

แต่ถ้าตระกูลชูวไม่ได้หายไป พวกเขาก็น่าจะเป็นหนึ่งในตระกูลหลักของเมืองเมฆหมอกเช่นกัน เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไม ชวูฮงซิ่ว และตระกูลชวูถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยอยู่มาก่อน นี่เป็นข้อสงสัยที่อยู่ในความคิดของหลี่ฟู่เฉินและบางครั้งเขาก็นึกขึ้นได้

 

หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ประกาศตัวว่าเขามาแต่อย่างใด และกลับกันเขาเช่าลานบ้านเพื่ออาศัยอยู่แทน

 

เป็นเรื่องธรรมดาที่ ฉินหมิงและซูชางจะต้องอยู่ด้วยกันกับเขา

 

ในระหว่างวัน ทั้งสามคนจะไม่ก้าวออกจากลาน และจะขี่นกยักษ์เคียวสยองในตอนกลางคืนเพื่อลาดตระเวนรอบๆ เมืองเมฆหมอกพร้อมกับตระเวนไปยังเมืองอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นครั้งคราว

 

ตามข้อมูล กองกำลังเต๋าปีศาจมีฝีมือมากและมักจะสร้างค่ายกลปลอมๆ เพื่อทำให้สมาชิกของนิกายวารีครามสับสนมึนงง

 

ตลอดทั้งสัปดาห์ หลี่ฟู่เฉินและผู้อาวุโสไม่ได้พบอะไรแปลกๆ และดูเหมือนว่าพื้นที่นี้จะปลอดภัยมาก

 

‘ข้าต้องไม่ประมาท’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง

 

ในคืนนี้ หลี่ฟู่เฉินและผู้อาวุโสก็ยังคงออกลาดตระเวน

 

ที่ด้านหลังของนกยักษ์เคียวสยอง ฉินหมิงหยิบไวน์สามขวดออกมาจากถุงเก็บของเขา และกำลังจะส่งมอบให้หลี่ฟู่เฉิน และซูชาง

 

“เกิดเรื่องแล้ว” หลี่ฟู่เฉินไม่ได้รับไวน์และสั่งให้นกยักษ์เคียวสยองร่อนลงไป

 

ในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองเมฆหมอก กลุ่มคนในชุดดำกำลังทำบางสิ่งบางอย่างอยู่

 

“ผู้บำเพ็ญเต๋าปีศาจ?”

 

ดวงตาของฉินหมิงและซูชางเบิกกว้างขึ้น พวกเขาออกมาหลายวันแล้ว และยังไม่ได้สังหารผู้ฝึกฝนเต๋าปีศาจใดๆ เลย มือของพวกเขาเริ่มสั่นรับสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว

 

“มาสังเกตการณ์กันก่อน” นกยักษ์เคียวสยองรักษาระดับความสูงที่ 1,000 เมตรตามที่หลี่ฟู่เฉินบอก

 

มันดึกแล้ว แต่ฉินหมิงและซูชางเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์ที่มีสายตาอันน่าทึ่ง การเฝ้าระวังตอนกลางคืนเป็นความสามารถพื้นฐานที่พวกเขามี อย่างไรก็ตาม หลี่ฟู่เฉินนั้นเหลือเชื่อยิ่งกว่าทั้งสองคนเสียอีก เนื่องจากการรับรู้ที่มากเกินไปของเขา ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขามีสูงจนถึงระดับที่น่าตกใจ

 

ด้านล่างพวกเขา มีชายชุดดำอยู่น้อยๆ ก็ร้อยคน พวกเขาฝังวัสดุบางอย่างไว้ในพื้นดินเป็นครั้งคราว และค่ายกลก็ค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้น

 

หลี่ฟู่เฉินเพ่งตามองและเห็นว่าวัสดุเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยพลังฉีที่น่ากลัวและชั่วร้าย เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นวัสดุที่ใช้ในการตั้งค่ายกลปีศาจ

 

สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ก็คือในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มบุคคลในชุดดำตั้งค่ายกลอยู่ใน เมืองสันติแท้จริงด้วยเช่นกัน ซึ่งห่างจากเมืองเมฆหมอกไปประมาณ 1000 ไมล์ แต่คนเหล่านี้ก็ถูกค้นพบแล้วโดยหน่วยสอดแนมที่ผู้อาวุโสเหมาชิวไห่ส่งออกไป

 

“ไม่สำคัญว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ข้าต้องส่งข้อความไปหาผู้อาวุโสเหมาก่อน”

 

หน่วยสอดแนมที่ซ่อนอยู่ในความมืดทำลายตราส่งข้อความ

 

ตราส่งข้อความถูกแยกออกเป็นสองตรา มีตัวแม่และลูก มีตราแม่อยู่เพียงอันเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาชิวไห่ครอบครองอยู่ ในขณะที่มีตราตัวลูกมีอยู่หลายอัน เมื่อตราตัวลูกถูกบดขยี้ตราตัวแม่ก็จะสามารถรับรู้ได้ทันที

 

ในที่พำนักของเจ้าเมืองในเมืองเมฆสีทอง เหมาชิวไห่ได้หยิบตราแม่ของเขาออกมา

 

ตราตัวแม่ถูกสลักด้วยตราทิศทาง ซึ่งได้แก่ ตะวันออก ตะวันตก ใต้ เหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันตกเฉียงเหนือ รวมทั้งหมดแปดทิศทาง ตอนนี้ทิศตะวันตกเฉียงใต้มีจุดสีแดงสว่างขึ้น และหลังจากริบหรี่สองสามครั้งก่อนจะจางลง

 

“ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มันคือพื้นที่ของเมืองสันติแท้จริง!” ดวงตาของเหมาชิวไห่เป็นประกายด้วยแสงที่รุนแรง

 

เมืองสันติแท้จริงมีประชากรมากกว่า 300,000 คน แน่นอนเขาจะไม่ยอมให้มีผู้เสียชีวิตภายใต้เขตอำนาจการตัดสินใจของเขาเป็นแน่

 

ในขณะที่เหมาชิวไห่กำลังเตรียมที่จะนำทางผู้คนไปที่ๆ ปลอดภัยตราตัวแม่ก็สั่นอีกครั้ง คราวนี้เป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจุดสีแดง

 

“ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มันคือเมืองเมฆหมอก” คิ้วของเหมาชิวไห่ขมวดแน่น

 

สำหรับสองเมืองที่มีความปั่นป่วนในเวลาเดียวกัน… เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนการของกองกำลังเต๋าปีศาจ

 

ในไม่นาน เหมาชิวไห่ก็ตัดสินใจ

 

เมืองเมฆหมอก มีประชากรเพียง 200,000 คน และไม่สำคัญเท่ากับเมืองสันติแท้จริง เขาตัดสินใจแยกกองทหาร เขาจะนำกลุ่มของเขาไปยังเมืองสันติ

 

แท้จริง ในขณะที่ผู้อาวุโสนิกายขอบเขตสวรรค์ระดับสูงอีกคนหนึ่งจะนำกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งไปยังเมืองเมฆหมอก

 

แม้ว่ากำลังทหารจะกระจายไป แต่ก็ดีกว่าการละทิ้งที่ตั้ง

 

แน่นอน ว่ามันเป็นในกรณีปกติ… เหมาชิวไห่หยิบตราพิเศษออกมาและบดขยี้มัน

 

ผู้อาวุโสสูงสุดเหลียงที่ดูแลพื้นที่หลักที่สามรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากตราในถุงเก็บของของเขา

 

“พื้นที่รองอันดับเจ็ด?”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดเหลียงลุกขึ้นยืนพร้อมกับแสงวูบวาบ เขาจากไปด้วยความเร็วสูงสุด ความเร็วของเขาเร็วกว่านกยักษ์เคียวสยองหลายเท่านัก และมันก็ไม่ได้เกินจริงเลยที่จะบอกว่าเขาเร็วราวกับสายฟ้า

 

ในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองเมฆหมอก หลี่ฟู่เฉินได้พิจารณาแล้วว่าพวกมันกองกำลังเต๋าปีศาจจริงๆ ไม่ใช่การปลอมตัวมา และนั่นก็เป็นค่ายกลที่น่ากลัวอย่างแท้จริง เนื่องจากการรับรู้ของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความผันผวนจากค่ายกล ซึ่งมีความชั่วร้ายที่น่าตื่นตกใจ ซึ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน
นั่นเป็นเหตุผลที่หลี่ฟู่เฉินไม่ลังเลและทำลายตราของเขา

 

เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่หลี่ฟู่เฉินทำลายตรา ค่ายกลก็เสร็จสมบูรณ์สภาวะพลังฉีของค่ายกลถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยการรับรู้ที่น่าประหลาดใจของหลี่ฟู่เฉิน เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของค่ายกล

 

“กลุ่มคนจำนวนมากกำลังเข้ามา” ฉินหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวลเล็กน้อย

 

“บินให้สูงขึ้น”

 

หลี่ฟู่เฉินสั่งให้นกยักษ์เคียวสยองบินขึ้นที่สูง

 

เขาไม่ได้โง่มากพอที่จะต่อสู้กับกองกำลังเต๋าปีศาจด้วยพวกเขาแค่สามคน

 

ด้วยการกระพือปีกของมัน นกยักษ์เคียวสยองก็บินขึ้นไปสูงถึง 5,000 เมตรก่อนที่จะหยุดลง

 

 

ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ INdyNovel

Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน

Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 200 อ่านนิยาย

( อ่านตอนต่อไปข้างล่าง )


เป็นเวลากว่า 1 ปี ที่หลี่ฟู่เฉินสูญเสีย “พรสวรรค์” ไป ชีวิตเขาดุจดั่งคนไร้ค่า ถูกข่มเหงและถูกโจมตีโดยผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรองเขา อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้สูญเสียทุกสิ่งอย่างไป ก็ในเมื่อเขาได้หมั้นหมายกับหญิงงามที่แข็งแกร่งจากตระกูลทรงพลังยุทธ แต่ทว่า…ท้ายสุดแล้ว การแต่งงานก็ถูกยกเลิกอย่างกระทันหัน มันได้นำพาความอับยศมาสู่ตระกูล และชีวิตของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความมืดหมองหม่น และช่วงเวลานั้นเองที่แสงแห่งความหวังทะลวงสาดส่องมาจากฟากฟ้า..


Options

not work with dark mode
Reset