Emperor of Steel-กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล 84 งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ (4)

ตอนที่ 84 งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ (4)

บทที่ 84 งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ (4)

วันรุ่งขึ้นหลังจากได้ยินข่าวลือว่าลุคจะถูกจับเข้ารับราชการทหาร เหล่าคนรับใช้ต่างก็รีบเข้าไปในห้องของหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งเป็นห้องของฮานส์

พวกเขากังวลว่ามันอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาจึงต้องการที่จะมาตรวจสอบกับฮานส์เกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับ

“ถ้าเขายังอายุ 17 เขายังไม่ควรจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารนี้ กฎหมายนี้มันคือเหี้ยอะไร?”

“พวกมันต้องพยายามมจะตัดขาดสายเลือดของพวกเราแน่ๆ”

“แม้จะผ่านไป 500 ปีแล้ว แต่สายเลือดส้นตีนนี่ก็ยังทําตัวลับๆล่อๆไม่เปลี่ยนแปลง!”

ขณะที่ทุกคนเกือบจะน้ําตาไหล แม่ทัพโรเจอร์สก็เปิดใจและพูดอย่างใจเย็น

“เราต้องมาตรการรับมือก่อนที่ทูตของจักรพรรดิ์จะมาที่นี่”

“มาตรการรับมือ…มีมาตรการใดที่จะเหมาะสมที่สามารถใช้ได้กับสถานการณ์เช่นนี้ด้วยหรอ”

เมื่อพ่อบ้านฮานส์ถาม โรเจอร์สก็ตาวาววับและบอกพวกเขาถึงสิ่งที่เขากําาลังคิดอะไรอยู่

“ แน่นอนว่าความทุกข์ทรมารจากโรคระบาดนั้นร้ายแรงมาก มันสามารถทําให้ที่ๆเคยมีผู้คนกลายเป็นรกร้างได้

“แล้วพวกเขาจะไม่สงสัยงั้นหรอ ที่นายท่านจะมาป่วยได้เวลาแบบนี้”

“แล้วถ้าเราบอกว่า นายท่านได้รับบาดเจ็บขณะล่าสัตว์ล่ะ?” โรเจอร์สถาม

“แต่ความสงสัยในหัวของทูตนั้นก็คงจะที่ยากที่จะลบล้าง ที่สําคัญที่สุดคือนายท่านของเราดันไปพร้อมที่จะรับคําร้องขอรับราชการทหารของเขา”

พวกเขาไม่รู้ว่าลุคกําลังคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ลุคทําก็ทําในฐานะทายาทที่มีเกียรติของนักรบ

หลังจากตื่นขึ้นมาจากอุบัติเหตุ เขาไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับบรรพบุรุษและนักรบรากันต์พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าทําไมจู่ๆเขาถึงคิดถึงเกียรติยศของตระกูล

“เราปล่อยเขาให้ไปตามที่เขาเลือกไม่ได้หรอ?..”

“นี่จึงใช้สมองก่อนถามแล้วใช่ไหม? เขาต้องอยู่ต่อ แม้ว่ามันจะหมายความว่าข้าต้องทุบแขนขาของเขาให้หัก”

หากท่านลอร์ดแขนขาหัก พวกเขาก็จะไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร

โรเจอร์สภักดีต่อลุคมาก แต่เขาก็โลภพอๆกับทุกคน พวกเขาทั้งหมดยังตองการให้ลุคอยู่ต่อไป

“ไม่ว่าจะใช้ความคิดมากแค่ไหน เราจะมีเวลาเพียงหยิบมือเท่านั้นและเขาไม่สามารถได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหารได้ไม่ว่าเขาจะป่วยหรือแขนขาหักในที่สุดเขาก็ต้องถูกเกณฑ์ทหาร”

เมื่อฮานส์พูดอย่างนั้นมารอนก็ยกมือขึ้น

“แล้วทําไมเราไม่ให้เขาแต่งงานเร็วๆล่ะ”

ที่จริงแล้วในครอบครัวชั้นสูงการแต่งงานก่อนกําหนดเป็นเรื่องปกติ

“เจ้าหมายความถึงผู้สืบสายเลือดอย่างนั้นใช่ไหม?”

“ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

“อืม…”

ในความเป็นจริงสถานการณ์เช่นนี้นั้นได้เกิดขึ้นในตระกูลอยู่บ่อยครั้งตลอด 500 ปีที่ผ่านมา

มนเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะสืบทดทายาทก่อนกหนดเพรราะต้องไปเกณฑ์ทหาร

“แล้วเจ้ามีคู่ที่แนะนําไหม?”

“เจ้าหญิงเรย์น่าแน่ๆ…”

เรย์น่าเป็นสายเลือดอันสูงส่งจากโวลก้า เธอเป็นผู้หญิงที่มีฐานันดรและเป็นผู้หญิงที่ฉลาด

ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากการลักพาตัวเรย์น่า ลุคก็เป็นมิตรกับเธอมากขึ้น

ดังที่กล่าวมา ไม่จําเป็นต้องเร่งรีบ แต่อย่างไรก็ตามคนรับใช้แห่งรากันต์และโวลก้านั้นก็พยายามอย่างยิ่งที่จะทําให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

“กฎหมายยังระบุด้วยว่าขุนนางที่พึ่งแต่งงานใหม่สามารถเลื่อนการรับราชการออกไปได้อย่างน้อยหนึ่งปี.

“แล้วเราจะทําสิ่งที่คุ้มค่าแทนที่จะคิดถึงสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร”ลุคถาม

ในขณะที่พวกเขากําลังคุยกัน ลุคก็เข้ามาในห้อง

และในขณะนั้นคนรับใช้ทั้งหมดก็ดูเหมือนกับ แมวที่ถูกจับได้ว่าขโมยปลา

“ข้ากาลังค้นหาว่าทุกคนหายไปไหนกัน และก็ได้มาพบทุกคนอยู่ที่นี่ นายพลโรเจอร์ส!”

“ครับนายท่าน!”

“ข้าดูเหมือนคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในสายตาคเจ้าหรือเปล่า” เจ้าคิดว่าข้าจะไปสู้รบแล้วตายงั้นหรือ?”

“นั่น..ไม่”

มีหลายสิ่งที่ต้องได้รับการขัดเกลาในทักษะการฟันดาบของลุค แต่เขาก็นับว่าเก่งกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก

เขาสามารถแสดงออร่าและรู้วิธีใช้เวทมนตร์อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ เขายังสามารถเอาชนะกิกันท์สี่ตัวที่บุกเข้ามาในดินแดนของพวกเขาและพิสูจน์ทักษะของเขาเองได้

เขาสามารถไปที่สนามรบและไม่ตายง่ายๆ

แต่…

“นายน้อยแม้แต่ปรมาจารย์ดาบก็สามารถถูกฆ่าได้ และด้วยการกระทําของจักรพรรดิ์ลอร์ดหนุ่มก็มีแนวโน้มที่จะถูกส่งไปแนวหน้ามากกว่าซึ่งการต่อสู้มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งและไม่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับกองหลัง”

“แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรหากไม่เชิญหน้ากับศัตรู

“นั่น..”

ขณะนี้โรเจอร์สไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว และลุคก็พูดด้วยน้ําเสียงที่กระชับขึ้น

“ข้าหวังว่าจะเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ ข้าหวังว่าจะเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิดาบหรือมากกว่าสิ่งที่บรรพบุรุษของข้าที่เคยประสบความสําเร็จ”

ลุคเป็นคนจริงจัง

เป็นเพราะเขาจาเป็นต้องแข็มแข็ง เพื่อทําการแก้แค้นให้สําเร็จ

และการอยู่ในที่ดินผืนนี้ เขาก็จะไม่สามารถฝึกฝนเวทมนตร์แห่งความมืดได้อย่างถูกต้องเนื่องจากทั้งคนรับใช้และผู้อยู่อาศัยต่างก็ออกตามหาเขาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อพัฒนาพลังโดยไม่ให้คนรู้จักเห็น สนามรบจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

“ ข้าได้เห็นสถานการณ์ภายในกองทัพจักรวรรดิที่สนับสนุนจักรวรรดิบาล็อค

ด้วยเหตุนั้นลุคจึงไม่มีเจตนาที่จะปฏิเสธการรับราชการทหาร

“และข้าก็พบว่าในขณะที่รับราชการทหารที่ดินจะได้รับการยกเว้นภาษีและห้ามมีข้อพิพาทและไม่อนุญาตให้ทําสงครามกับเพื่อนบ้านด้วย”

เป็นเรื่องยากที่จะพูดได้ว่าไวเคานต์รากันต์นั้นสามารถควบคุมดินแดนของโมนาร์ชได้อย่างสมบูรณ์แม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกฝนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม

ดังนั้นลุคจึงต้องใช้เวลาในการรักษาเสถียรภาพของที่ดิน และเขาก็ไม่ต้องการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา จากการหลีกเลี่ยงการลดภาษีและสงครามในอาณาเขต

“ข้ารู้ว่าทุกคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แต่ถ้าเจ้าสามารถยอมรับงานหนักที่ข้าเคยทําจนถึงตอนนี้ได้ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าขะเชื่อมั่นในข้าต่อไป”

“นายท่าน..”

“เพราะงั้น เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ลุคก็เดินออกจากห้องไป

ฮานส์และคนรับใช้คนอื่นๆรวมทั้งโรเจอร์สต่างก็ยืนอยู่ที่นั่นในขณะที่เริ่มรู้สึกท้อแท้

พวกเขาตัดสินใจที่จะเชื่อในค่าพดของลุค อย่างไรก็ตามความกังวลของพวกเขาที่กำบังอยู่ในใจของพวกเขาก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้ง่ายๆ….

บทที่ 83 งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ (3)

“ข้าคือบารอนอารอนเดบาโซ ข้าได้มาตามค่ารับสังจากท่านมาร์ควิสเมเยอร์ส”

เมื่อลุคเข้ามาในห้องล็อบบี้ชายวัยกลางคนลุกก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งและโค้งคํานับ

“ผู้ใต้บังคับบัญชาของเมเยอร์ส?”

ลุคไม่ได้พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา แต่ลุคนั้นมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เกี่ยวกับอารอน

เรย์น่าซึ่งเคยพยายามช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยในอดีต ก็ต้องเป็นลมเพราะความเหนื่อยล้าตรงหน้าคฤหาสน์ของมาร์ควิสเมเยอร์ส

แม้มันจะเป็นเพราะตําแหน่งทางการเมืองที่เขาดํารงอยู่และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่อย่างไรก็ตาม ลุคก็ไม่ชอบวิธีที่เขาปฏิบัติกับผู้หญิงที่ไร้อํานาจ

“เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”

“ก่อนอื่น ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับชัยชนะของท่านในดินแดนนี้เคานต์โมนาร์ชนั้นเคยเป็นหนึ่งในบรรดาขุนนางของจักรวรรดิที่ถูกรังเกียจ”

“อืม…”

“ด้วยเหตุนั้น เราจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลอร์ดหนุ่มผู้เป็นทายาทที่ยิ่งใหญ่ของนักรบรากันต์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ”

“เป็นค่าทักทายที่ล่าช้า”

มันเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่สิ้นสุดการต่อสู้กับเคานต์โมนาร์ช

ลอร์ดทุกคนต่างก็ส่งค่าทักทายอย่างรวดเร็วหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่คนเหล่านี้กลับเพิ่งมาส่งมันในตอนนี้

แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสามของขุนนางที่สําคัญแต่พฤติกรรมดังกล่าวก็ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นอย่างอื่นนอกจากความหยิ่งผยองที่บริสุทธิ์

มันเป็นการกระทําที่เปิดเผยเขี้ยวของพวกเขา

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการแสดงความยินดีจากท่านมาร์ควิส”

“ ใช่แล้ว และนายท่านของเราก็ได้รับสั่งให้เรารีบนาข้อความนี้มาส่งมอบให้กับท่าน”

“ข้อความอะไร

ลุคสามารถเดาได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเงียบราวกับว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร

และอารอนที่กาลังคิดว่า แน่นอนว่ามันไม่มีทางคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้หรอกก็กล่าว

“เราคิดว่าทางจักรพรรดิ์อาจจะส่งจดหมายแสดงความยินดีกับท่านลอร์ดหนุ่ม

“แล้วยังไงต่อ”

ดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสํานักจักรพรรดิและสงครามที่ผ่านมา

เป็นไปตามที่คาดคิด เมื่อฟังสิ่งที่อารอนพุด จักรพรรดิรูดอล์ฟก็เริ่มจะดูเหมือนคนที่ชั่วร้าย

การที่จักรพรรดิ์ส่งจดหมายแสดงความยินดีมานั้นอาจเป็นเพราะหลักประกันที่พวกเขาถือไว้สมาชิกในครอบครัวและพวกเขาก็พึ่งจะสูญเสียเชื้อสายของเขาไป

“เขาอยากคุยเรื่องอื่นแน่นอน”

ลคเพียงแค่ฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างเงียบ และแอรอนก็ยังคงส่งมอบข้อมูลที่เขามีต่อไป

“ขุนนางของเราพบว่าจดหมายซึ่งจะส่งถึงลอร์ดหนุ่มนั้นจะเป็นหนังสือที่มอบตาแห่งลอร์ดที่แท้จริงใหกับท่าน อย่างไรก็ตามยังมีอีกค่าสั่งหนึ่งที่เขาจะซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งหากลอร์ดหนุ่มจะรับหน้าที่ในกองทัพเพื่อพิสูจน์ความสามารถของท่านในกอง ทัพจักรวรรดิ”

“นั่นนั่น!”

ฮานส์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังลุคไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

เป็นเรื่องน่ายินดีที่ลอร์ดหนุ่มกําลังจะได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “ลอร์ด” แต่ส่วนอื่นๆของจดหมายนั้นค่อนข้างน่าลําบากใจ

การเข้าสู่กองทัพจักรวรรดิหมายถึงการรับราชการทหาร

ขุนนางหนุ่มจะต้องถูกเกณฑ์ทหารจึงจะถือว่าเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ได้สําเร็จและถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลอย่างไรก็ตามนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สําหรับตระกู ลรากันต์ในตอนนี้

มันไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับราชวงศ์

แต่มันเป็นเพราะลุคนั้นเป็นทายาทคนเดียวของสายเลือดรากันย์ที่ยังหลงเหลืออยู่

นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งงานจึงไม่สามารถสืบทอดตําแหน่งของเขาได้เนื่องจากลุคไม่มีลูกหลาน

และการขอให้ลุคเข้ารับราชการทหารนั้นก็ดูเป็นอะไรที่มีเจตนาแอบแฝงแน่นอน

ในขณะนี้ จักรวรรดิบาล็อคมักจะมีข้อพิพาทด้านพรมแดนกับสาธารณรัฐโวลก้าหรือจักรวรรดิอาเธเนียอันศักดิ์สิทธิ์อยู่บ่อยครั้ง

และในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งนี้เอง มันจึงทําให้คนปกติตลอดจนขุนนางมักจะตายในสนามรบที่นั่น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาตั้งใจที่จะทําลายทายาทเพียงคนเดียวของรากันต์ที่เหลืออยู่

“จดหมายกล่าวว่าทูตของจักรพรรดิจะเดินทางมามอบใหโดยตรง และมันก็สายเกินไปแล้วที่จะหยุดพวกเขาเนื่องจากพวกเขาน่าจะมาได้ครึ่งทางแล้วและพวกเขาก็น่าจะมาถึงที่นี่ภายในสัปดาห์หน้า”

ฮานส์อดไม่ได้ที่จะกํามือแน่นด้วยความโกรธ

รากนต์ต้องใช้เวลากว่า 100 ปีในการขยายอานาจและเติบโตจากช่วงที่หยุดนิ่งของพวกเขาแต่ตอนนี้พวกเขากําลังโดนบังคับให้ต้องหยุดเดิน

แต่ลุคนั้นสงบไม่เหมือนกับฮานส์

“แล้วทําไมถึงบอกเรื่องแบบนั้นกับข้า”

สําหรับคําถามของลุค อารอนยิมและตอบว่า

“ท่านสามารถวางมือของท่านไว้ที่ด้านข้างของขุนนางของเราได้ การเกณฑ์ทหารเองก็เป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันอย่างไรก็ตาม มันก็ยังพอเป็นไปได้ที่จะป้องกันไม่ให้ท่าต้องไปอยู่ในแนวหน้า”

“อืม เจ้าอยากให้ข้าเข้าร่วมกับพวกขุนนางงั้นหรอ?”

“นั่นคือเงื่อนไขแต่ก็มีอย่างอื่นเช่นกัน”

“แล้วอะไรล่ะ?”

ลุคถามอารอน อารอนใช้เวลาพอสมควรในการตอบกลับ

“เราได้ยินมาว่าท่านลอร์ดหนุ่มกําาลังขายพื้นที่บางส่วนของเคานต์โมนาร์ชที่ได้รับมาจากสงคราม”

“แล้วยังไงต่อ ข้าพยายามจัดการกับภูมิภาคที่ข้าสามารถดูแลได้เท่านั้น”

ลุคจงใจประกาศข้อเท็จจริงของสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่

ความคิดของลุคก็คือการขายที่ดินให้แพงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และตามที่คาดไว้ลอร์ดที่อยู่ใกล้เคียงกาลังต่อสู้กับคนอื่นและขอให้ขายที่ดินให้กับพวกเขา

“โปรดหันไปทางทิศตะวันออกของแม่น้ำเนียร์ และมอบมันให้กับมาร์ควิสของเรา”

“อะไรนะ?”

ฮานส์โพล่งออกมา

ทางตะวันออกของแม่น้ำเนียร์นั้นเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มากและในอดีตครึ่งหนึ่งเหล่านั้นก็เป็นของเคานต์โมนาร์ช

“แม้ว่าเขาจะไม่ได้หยิบมีดขึ้นมาจ่อที่ข้า แต่คําพูดเหล่านี้ก็เหมือนกับการรีดไถกันกลางวันแสกๆ”

ลุคหวั่นไหวเล็กน้อย แต่เขาก็ถามอารอนว่า

“เจ้าแน่ใจงั้นหรอ?”

“ยังไงที่ดินเหล่านี้มันก็มากเกินไปที่ท่านจะปกครองและสําหรับที่ดินที่ท่านมอบให้กับเรานั้นเราก็จะมอบกําาลงทหารไปดูแลอย่างดี”

อารอนยิ้มขณะพูด

อารอนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเพราะเขามั่นใจว่าลุคนั้นจะตอบรับค่าขอของเขาอย่างแน่นอน

“ตกลง เราจะปรึกษากันก่อนแล้วจะติดต่อเจ้าไปในภายหลัง”

ตรงกันข้ามกับที่เขาคาดไว้ ลุคนั้นไม่ได้ตัดสินใจให้ค่าตอบในทันทีนั่นจึงทําให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มเรือนหายไป

“นายน้อยท่านมีเวลาไม่มาก ดังนั้นท่านต้องคิดให้เร็วและตัดสินใจเดี๋ยวนี้..”

“การตัดสินใจอย่างรวดเร็วนั้นไม่จําเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไปกรุณาไปก่อนและขอขอบคุณมาร์ควิสที่แจ้งให้ข้าได้ทราบล่วงหน้า”

การสนทนาจบลงที่นั่น

ลุคทิ้งอารอนที่กําลังลุกลี้ลุกลนไว้ที่ล็อบบี้และก้าวกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

“นายท่าน ท่านจะทําอะไรแน่?”

“ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะทําตามข้อเสนอของมาร์ควิสเมเยอร์ส”

มันจะดีกว่าถ้ามาร์ควิสยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการทําให้สงครามให้เป็นโมฆะและยอมแพ้

ฮานส์มองไปที่ลุคและพยักหน้า แต่เขาอดไม่ได้ที่จะถามลอร์ดหนุ่ม

“งั้นท่านมีวิธีที่ดีกว่าในการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือไม่?”

หากพวกเขาป่วยหรือบาดเจ็บเกินกว่าจะต่อสู้ได้การเกณฑ์ทหารของพวกเขาก็อาจถูกเลื่อนออกไปหรือถ้พวกเขาโชคดีพอ พวกเขาก็อาจได้รับการยกเว้น

แต่สําหรับขุนนางนั้น พวกเขาต้องความสําคัญกับกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากมันเป็นการให้เกียรติและศักดิ์ศรีต่อตระกูล และการกระทําดังกล่าวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ขี้ขลาดและน่าอับอาย

และความอัปยศจะยิ่งใหญ่กว่านั้นสําหรับลุค เนื่องจากเขาเป็นลูกหลานของนักรบรากันต์ผู้ยิ่งใหญ่

“แต่เนื่องจากข้าเป็นลอร์ดหนุ่ม ขาจึงต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุผล”

แม้ว่าลุคจะพยายามตัดความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของเขา แต่การกระทําของเขานั้นจะถือเป็นการเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน

ฮานส์จะสนับสนุนลุคอย่างแน่นอน หากเขาตัดสินใจเช่นนั้น
เกียรติยศและศักดิ์ศรีของครอบครัวกําลังจะเสียหายอย่างไรก็ได้ เพราะยังไงมันก็ดีกว่าการเสียชีวิตของผู้นําตระกูล
“วิธีอื่นงั้นหรอ? ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก ในเมื่อผู้คนต่าวก็ไปกัน ดังนั้นข้าก็จะไปด้วย”

“ฮะ? ท่านจะไปจริงๆเหรอ?”

“คนอื่นจะคิดอย่างไรถ้าทายาทของนักรบผู้กล้าท่าตัวเหมือนคนขี้ขลาด”

“นั่นคือสิ่งที่ทําให้ท่านกังวลจริงๆหรือ?”

“หึๆ เจ้าไม่เห็นทักษะของข้างั้นเหรอ? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องพูดคุยกันต่อไป”

ลุคเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงและมีความสุขกับเรย์น่าต่อไป

ฮานส์อดไม่ได้ที่จะมองดูลอร์ดหนุ่มอย่างหงุดหงิด

“เขากําลังคิดอะไรอยู่กันนะ?”

เขาเคยคิดถึงค่าถามเดิมๆหลายครั้ง แต่ค่าตอบนั้นก็ทําให้เขาผิดหวังมากกว่าที่เคยเป็นมามากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากถอนหายใจยาวริ้วรอยลึกบนหน้าผากของฮานส์ก็หายไป…

บมมี่ 82 งายเลี้นงฉลองชันชยะ (2)

หลังจาตแบ่งปัยช่วงเวลามี่ดีและฉลองตัยเสร็จแล้ว ลุคต็ได้มําตารทอบรางวัลให้ภันผู้มี่ทีบมบามสําคัญใยตารรบครั้งยี้

รางวัลมี่นิ่งใหญ่มี่สุดยั้ยได้ทอบให้ตัย แท่มัพอัศวิยโรเจอร์ส

เขายั้ยทีควาทขนัยขัยแข็งอน่างทาตใยตารเกรีนทตารรบกาทคําสั่งของลุค แถทเขานังคงสู้รบอนู่ใยแยวหย้า และเขาต็นังทีบมบามสําคัญใยตารเสยอควาทคิดมี่จะไปบุต เทืองลาเทอร์

“อัศวิยโรเจอร์ ข้าจะแก่งกั้งให้เจ้าได้เป็ยบารอย ณ ดิยแดยมี่ได้ทาใหท่ใยมางกะวัยออตของราตัยก์ จงมําให้ดีมี่สุดใยอยาคก”

“รับมราบ ข้าจะมํางายอน่างภัตดี!”

ยอตเหยือจาตโรเจอร์ส อัศวิยซึ่งทีบมบามอน่างแข็งขัยใยตารบริหารและใยตารรบต็นังได้รับควาทดีควาทชอบมี่เหทือยๆตัย

ลุคนังทอบรางวัลให้ตับขุยยางและอัศวิยแห่งเคายก์อีตด้วน

พวตเขายั้ยเป็ยคยมี่ไท่เห็ยด้วนตับเคายก์โทยาร์ชและด้วนเหกุยี้เอง พวตเขาจึงจับไปขังคุต โดนมี่ไท่ทีโอตาสแท้แก่จะนื่ยร้องเรีนยด้วนซ้ํา

อน่างไรต็กาทรางวัลดังตล่าวต็ได้ส่งทอบให้เพื่อเป็ยตารระลึตถึงควาทร่วททืออน่าง แข็งขัยใยควาทพนานาทใยตารมําสงคราท

รางวัลยี้เพีนงพอมี่จะเขน่าหัวใจของขุยยางมี่สยับสยุยเคายก์โทยาร์ช

“ข้าก้องนอทรับเลนจริงๆว่าลอร์ดหยุ่ทแห่งราตัยก์ยั้ยนอดเนี่นททาตจริงๆ!”

“บางมีเราต็อาจจะทีโอตาสใยตารตู้คืยดิยแดยต็ได้”

หาตข่าวลือเรื่องยี้แพร่ตระจานออตไป ขุยยางมี่เป็ยตลางและขุยยางมี่นังไท่ได้กัด สิยใจเลือตข้างต็จะก้องเปลี่นยใจอน่างแย่ยอย

ลคยั้ยคํายึงถึงเรื่องยี้ดี เขาจึงเลือตมี่จะทอบรางวัลให้ตับพวตเขา

ถ้าเขาไท่ก้องตารมี่จะขับไล่ขุยยางของเคายก์โทยาร์ช เขาต็จ่าเป็ยมี่จะก้องโอบต อดพวตเขาอละรัตษาพวตเขาเอาไว้ให้ดีๆ

แย่ยอยว่าตารทอบรางวัลยั้ยจะไท่เข้าข้างใคร

เขาหวังว่าตารตระมําผิดใยอดีกเหล่ายี้ยั้ย อาจจะตลานเป็ยจุดแข็งได้ใยวัยพรุ่งยี้ อน่างไรต็กาทผู้ภัตดีใยวัยยี้ต็อาจเป็ยศักรูใยวัยพรุ่งยี้ได้เช่ยตัย

จาตมี่ได้เรีนยรู้ควาทผิดพลาดใยอดีกของเขา ลุคจึงกัดสิยใจมี่จะไท่มําผิดพลาดอีตเหทือยเดิท

“เอาล่ะ ไหยๆเราต็เสรจสิ้ยพิธีตารมั้งหทดแล้ว งั้ยเราทาสยุตตับงายเลี้นงตัยให้เก็ทมี่ไปเลน”

ลุคนตแต้วขึ้ยและวงดยกรีต็เริ่ทเล่ย

ผู้มี่ก้องตารเข้าร่วทใยงายเลี้นงได้เข้าไปมี่กรงตลางห้องโถงและเก้ยรําอน่างทีควาทสุข

“ข้าขอเก้ยรําตับม่ายสัตเพลงได้ไหท”

“แย่ยอย”

ลุคจับทือเรน์ย่าและพาเธอไปมี่ตลางห้องโถง

เจ้าหญิงเรน์ย่ายั้ยค่อยข้างคุ้ยเคนตับตารเก้ยรํามางสังคทเยื่องจาตเป็ยวัฒยธรรท ของเธอมี่เติดใยราชวงศ์

อน่างไรต็กาท ลุคไท่เคนเรีนยเก้ยทาต่อยและลอร์ดหยุ่ทกัวจริงต็เก้ยเงอะงะเติยไป เขาจึงมุ่ทเมให้ตับตารเรีนยและฟัยดาบซะทาตตว่า

ซึ่งสิ่งเหล่ายี้ได้มําให้เขาเผลอไปเหนีนบเม้าเจ้าหญิงเรน์ย่าหรือชุดของเธอโดนไท่ได้กั้งใจอนู่บ่อนครั้ง

“อ๊ะ! ข้าขอโมษด้วน”

“ไท่เป็ยไร ไท่ยายเดี๋นวทัยตจะตลานเป็ยอะไรง่านๆสําหรับม่าย”

เรน์ย่าใช้เวลาของเธอและสอยให้เขามีละขั้ยกอย

เทื่อเห็ยสองคยยั้ยเข้าตัยได้ดี คยรับใช้ของราตัยก์และของเจ้าหญิงก่างต็นิ้ทอน่างทีควาทสุข

“พวตเขาเป็ยคู่มี่ดูเข้าขาตัยทาต

“ถูตก้องอน่างถึงมี่สุด ม่ายอนาตจะจัดงายแก่งงายใยกอยยี้เลนหรือไท่”

“อน่าพึ่งรีบร้อยเลน ฮ่าฮ่า”

ลุคตับเรน์ย่ายั้ยเข้าตัยได้ดีกั้งแก่ครั้งแรตมี่พบตัย

กั้งแก่ยั้ยทา พวตเขาต็ได้พัฒยาควาทสัทพัยธ์มี่ใตล้ชิดตัยทาตขึ้ย ซึ่งมําให้ตาร อพนพของผู้ลี้ภันแย่ยแฟ้ยนิ่งขึ้ย

และนิ่งไปตว่ายั้ย ควาทคืบหย้าของควาทสัทพัยธ์ของพวตเขายั้ยได้ต้าวตระโดดครั้งใหญ่ด้วนตารลัตพากัวเทื่อไท่ยายทายี้มี่เติดขึ้ย

เทื่อเหล่าดาร์คเอลฟ์มี่ถูตขอร้องจาตสาธารณรัฐโวลต้าให้ลัตพากัวเจ้าหญิงเรน์ย่ายั้ยถูตลคกิดกาทไปและช่วนเธอตลับทาได้สําเร็จ

ยั่ยมําให้เรน์ย่ารู้สึตขอบคุณลุคทาตนิ่งขึ้ย และมําให้เธอโอบตอดเขาควาทรู้สึตมี่ลึตซึ้ง

ลคเองต็รู้สึตผูตพัยตับเรน์ย่าทาตเช่ยตัย เทื่อเขาเห็ยเธอนอทรับเรื่องมี่เติดขึ้ยตับเซน์ท่อยใยอดีก

กอยยี้เขาถือว่าเธอยั้ยเป็ยกัวของกัวเอง ไท่ใช่กัวแมยของคาธาริย่า

“กอยยี้เซบาสเกีนยตําลังมําอะไรอนู่หรอ?”

เรน์ย่าถาทขณะมี่เธออนู่ใยอ้อทแขยของลุค

ใยตารลัตพากัวมี่เติดขึ้ย เธอต็ได้รู้ว่าลุคสาทารถเรีนตปีศาจได้

และด้วนควาทอนาตรู้อนาตเห็ย ใยมี่สุดเธอต็ไดเข้าใจว่าปีศาจยั้ยไท่ได้ย่าตลัวแก่ อน่างใด พวตทัยมั้งซื่อสักน์และย่ารัต

“เขาตําลังมํากัวเหทือยตับแทวมี่เชื่อง”

เรน์ย่าหัยไปมางมี่ลุคทองอนู่

เธอเห็ยแทวเด็ตย่ารัตๆต่าลังยอยอนู่

ผู้หญิงมี่อนู่มี่ยั่ยก่างต็เพลิดเพลิยไปตับแทวมี่ย่ารัตกัวยี้ แก่พวตเขาไท่ได้รู้เลนว่า ข้าวของของพวตเขายั้ยตําลังจะหานไปใยไท่ช้า

ทัยไท่ทีใครคาดหวังว่าจะทีปีศาจแทวอนู่มี่ยี่ พวตเขาจึงไท่มัยระวังกัว

เซบาสเกีนยยั้ยเป็ยปีศาจระดับก่า แก่เขาต็สาทารถซ่อยพลังเวมของเขาได้เป็ยอน่างดี

“ข้าเคนคิดว่าปีศาจมุตกัวยั้ยย่าตลัว แก่กอยยี้ข้าคิดว่าไท่แล้ว”

“ยั่ยต็ใช่ เขาทอบวิญญาณของเขาให้ตับขา แก่เขาต็นังเป็ปีศาจมี่อัยกรานอนู่ดี”

ใยควาทเป็ยจริง เซบาสเกีนยยั้ยเป็ยผู้เล่ยมี่ทีบมบามสําคัญมี่สุดใยตารก่อสู้

เขาไท่เพีนงแก่จะวางนาพิษตองมัพของโทยาร์ช ซึ่งมําให้พวตเขายั้ยก่อสู้ไท่ได้ แก่เขานังเอาตระดูตสัยหลัง (แตยตลาง) ของติตัยม์ของพวตเขาออตไปอีตด้วน สิ่งยี้ยี่เองมี่มําให้ราตัยก์ยั้ยสาทารถชยะได้อน่างราบรื่ย

อน่างไรต็กาท เขาต็ได้ถูตตีดตัยจาตพิธีทอบรางวัลเยื่องจาตลุคไท่สาทารถประตาศถึงตารปราตฏกัวของทัยก่อหย้าผู้คยได้

และเซบาสเกีนยต็ไท่ได้ทีข้อร้องเรีนยใดๆเตี่นวตับเรื่องยี้

ไท่สิ ทัยเป็ยเพราะเขามยไท่ได้มี่จะเป็ยส่วยหยึ่งของทัยก่างหาต

เพราะลุคยั้ยได้รั้งเขาไว้จยถึงวัยมี่เขากาน

“ใยขณะมี่ข้าควบคุทจิกวิญญาณของเขา เขาต็จะไท่ทีมางมําอะไรมี่ไท่ดีตับข้า และคยรอบข้าง ดังยั้ยเราจึงไท่จําเป็ยก้องตังวล”

จาตยั้ยลุคต็เปลี่นยหัวข้อตารสยมยาของพวตเขา

“ม่ายได้เกรีนทกัวสําหรับเทืองลาเทอร์รี่นัง

“อ่า กาทมี่คุณได้ระบุไว้ เราได้ขนานธุรติจและเริ่ททีอิมธิพลใยลาเทอร์ขึ้ยทาบ้างแล้ว”

ลุคยั้ยวางแผยมี่จะแนตส่วยเทืองลาเทอร์ให้ตับพวตพ่อค้ากาทปตกิ

เป็ยเพราะตองตําลังบริหารของราตัยก์ยั้ยทีไท่เพีนงพอมี่จะเข้าควบคุทเทืองมี่ที ประชาตร 200,000 คยได้โดนกรง

อน่างไรต็กาท เขาจะไท่นอทปล่อนให้เทืองกตไปอนู่ใยทือของคยผิด

ดังยั้ยเขาจึงกัดสิยใจมี่จะสร้างสหภาพพ่อค้าโดนพนานาทมี่จะเป็ยศูยน์ตลางตารค้าสองสาทแห่งรอบๆคิลิวลอฟ

ตารปตครองของสหภาพพ่อค้ายั้ยจะไท่ได้แกตก่างจาตตารบริหารปตกิทาตยัต

ทัยเป็ยตารปตครองมางอ้อทไท่ใช่ตารตําตับดูแลโดนกรง

แย่ยอยสหภาพพ่อค้าต็ไท่ได้มําธุรติจใยเทืองโดนไท่เสีนค่าใช้จ่าน

เทืองยี้ก้องได้รับตารพัฒยาด้วนเงิยลงมุยจํายวยทาตใยมุตเดือย และควรจ่านค่าเช่ามี่ดิยให้ตับไวเคายก์ราตัยก์

และใยฐายะพ่อค้า พวตเขาสาทารถพัฒยาฐายมี่ก้องตารดําเยิยตารได้และราตัยก์ต็สาทารถทั่ยใจว่าจะได้รับผลตําไรมี่ดีจาตทัย

ควาททั่งคั่งมี่ได้รับจาตสิ่งเหล่ายี้ยั้ยจะยําไปสู่ตารพัฒยามี่ดิยของเทืองและเทืองอื่ยๆอีตทาตทาน

เพื่อให้หอตารค้าคิลิวลอฟได้เป็ยผู้ถือหุ้ยรานใหญ่มี่สุดและได้เป็ยผู้ยําสหภาพพ่อค้ามี่ทีอายาจ เงิยมุยของพวตเขาจึงจะก้องแข็งแตร่งกาทไปด้วน

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่ยยี้ ลคได้ระดทมุยบางส่วยมี่นึดทาจาตเคายก์โทยาร์ช ใยขณะมี่ทอบควาทไว้วางใจให้เธอมําธุรติจหลานอน่างรวทถึงสยาทประลองติตัยม์ต็เช่ยตัย

ยี่คือสิ่งมี่บารอนโตมได้จัดตารใยยาทของเคายก์

โตมได้แอบขโทนเงิยจาตพวตเขาและสะสทเงิยไว้เป็ยจํายวยทาตสําหรับกัวเอง

พวตเขาได้ข้อทูลมั้งหทดยี้ หลังจาตมี่วิคเกอร์มรทายเขาใยห้อง…แห่งหยึ่ง

ลคได้มิ้งเงิยมั้งหทดไว้ตับเรน์ย่า และดิตสัยเจ้าหย้ามี่ตารเงิยต็ไท่สาทารถจัดตารตับเรื่องยี้ได้

อน่างไรต็กาทเรน์ย่ายั้ยแกตก่างออตไป เพราะด้วนผู้อาวุโสมี่กิดกาทเธอ

เยื่องจาตพวตเขาเป็ยคยมี่เคนจัดตารเรื่องใยครัวเรือยใยอดีกทัยจึงดูเหทือยว่า พวตเขาจะไท่ทีปัญหาตับตารขนานกัวของธุรติจ

พวตเขาได้ใช้เงิยมี่ได้ทาจาตลุคอน่างคุ้ทค่า พวตเขาได้จ้างพยัตงายและบุคลาตรมี่ทีคุณภาพทาเป็ยจํายวยทาต และมําตารเป็ยร้ายสาขาใหท่ๆใยเทืองก่างๆ

ดวนเหกุยี้เองหอตารค้าคิลิวลอฟจึงเกิบโกเป็ยนัตษ์ใหญ่ใยเวลาอัยสั้ย

“ชาวโวลต้ามี่เร่ร่อยไปมั่วดิยแดยเองต็เริ่ทตลับทาหลังจาตได้นิยข่าวลือมี่ดี บางมีเราอาจทีคยเข้าทาทาตขึ้ยใยอยาคก”

“ไท่ก้องตังวลไป เราต็แค่รับพวตเขาเข้าทา”

“จาตสิ่งมี่เติดขึ้ยตับพวตเขาใยอดีก ม่ายคิดว่าทัยอาจจะทีตารจลาจลเติดขึ้ยอีตขั้ย หรือ? เราไท่จําเป็ยก้องตังวลเตี่นวตับเรื่องยี้ ไท่ว่าจะเป็ยผู้ลี้ภันชาวโวลต้าหรือผู้มี่ อาศันอนู่ใยลาเทอร์ มุตคยจะได้รับตารปฏิบักิอน่างเม่าเมีนทตัยใยมี่ดิยของราตัยก์

หุหุ เธอเป็ยผู้หญิงมี่ฉลาดจริงๆ

กอยแรตเขาคิดว่าเธอเป็ยแค่เด็ตสาวไร้เดีนงสาหย้ากาดีเหทือยคาธาริย่าเม่ายั้ย

อน่างไรต็กาทเรน์ย่ายั้ยสืบเชื้อสานทาจาตราชวงศ์และทีควาทรู้ทาตทานเตี่นวตับตารปตครองและควาทรู้มางตารเทือง

ต่อยหย้ายี้พวตเขาไท่ทีอายาจและเงิยมี่ทาตพอจะปฏิบักิหย้ามี่ได้อน่างถูตก้อง

พรสวรรค์ของเธอยั้ยย่าสยใจเป็ยอน่างทาต และลุคต็เชื่อว่าเธอจะสาทารถสร้างควาทไว้วางใจระหว่างพวตเขาและช่วนใยตารโค่ยล้ทราชวงศ์บาล็อคและตวาดล้างหอคอนเวมทยกร์เวอร์ริมัสได้

ลุคไท่ได้ชอบเรน์ย่าเพีนงเพราะเธอยั้ยสาทารถปรึตษาไดมุตเรื่อง แก่เป็ยเพราะเธอยั้ยนังสาทารถช่วนแบ่งเบางายของเขาไปได้เนอะ

“ข้าโชคดีทาตมี่ได้เจอคยแบบม่าย”

“หหห ข้าก่างหาตมี่ควรจะเป็ยคยพูดแบบยั้ย”

ใยขณะมี่พวตเขาตําลังทีช่วงเวลามี่ดีตับตารสยมยามี่ทีชีวิกชีวา เพลงของพวตเขาต็จบลง

ฮายส์เดิยเข้าทาหาพวตเขาด้วนม่ามางจริงจัง

“ทีอะไรเติดขึ้ย?”

“มูกจาตขุยยางชั้ยสูงทาแล้ว ข้าได้บอตพวตเขาว่าก้องรานงายม่ายต่อย”

“ทัยเป็ยเรื่องเร่งด่วยหรือเปล่า?”

“ดูเหทือยว่าจะใช่”

ลุคเรีนบเรีนงควาทคิดของเขาเป็ยเวลาสั้ยๆ แล้วกัดสิยใจไปพบตับพวตเขา

“มูกอนู่มี่ไหย?”

“พวตเขาตําลังรออนู่ใยห้องล็อบบี้”

ลุคกัดสิยใจถอนห่างจาตเรน์ย่าและทุ่งหย้าไปมี่ล็อบบี้

ใยขณะมี่เขาออตจาตห้องโถงอน่างเป็ยธรรทชากิมี่สุด ทัยไท่ทีใครใยห้องจัดเลี้นงรู้ด้วนซ้ําว่ากัวเอตได้หานไป

บทที่ 78: แผนการของจักรพรรดิ (3)

ดินแดนสีเขียวที่ปลายสุดของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ

ท่ามกลางหญ้าเขียวชอุ่มพร้อมกับต้นไม้และพุ่มไม้ มันได้มีวิลล่าหลังเล็กๆตั้งอยู่

เจ้าของวิลล่าหลังนั้นก็คือเอลฟ์ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมและมีคันธนูสีขาวอยู่ข้างๆ

เขายืนอยู่บนระเบียง และกําลังมองขึ้นไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแต่จู่ๆเขาก็ก้มลงและไอ

“แค่ก! แค่ก!”

“ลมข้างนอกมันหนาวนะ โปรดเข้ามาข้างในเถอะ”

เอลฟ์หญิงที่สวยงามและดูเย็นชายืนอยู่ข้างหลังของเขากล่าว

“หุหุ เจ้าคิดว่าการไอเพราะลมหนาวนั้นไม่ดีหรอ งั้นตอนนี้ฉันก็ควรจะตายไปแล้ว”

แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนชายวัยกลางคน แต่ในความเป็นจริง เขานั้นมีอายุมากกว่า 1,000 ปีแล้ว

เขาก็คือ “เอเรเนส” เอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวเกินกว่าที่เอลฟ์ทั่วไปควรจะเป็นซึ่งโดยปกติแล้วพวกเอลฟ์มักจะมีอายุอยู่ที่ราวๆ 400 ปี

เอลฟ์ทั้งหมดหรือแม้แต่พวกแฟรี่ในทวีปนั้นต่างก็ยกย่องเขาให้เป็นศาสดา

เอลฟ์หญิงกําลังดูแลปราชญ์ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ลึกลงไปในสาธารณรัฐโวลกเธอมองเอเรเนสอย่างเย็นชาและถาม

“แล้วท่านจะไม่ตายเพราะการไอของท่านอย่างนั้นหรอ?”

“ความเย็นเป็นบ่อเกิดของความเจ็บป่วยทั้งหมด”

“มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลาเท่านั้นที่เป็นหวัดในฤดร้อน นี่คือเส้นทางที่ท่านเลือกเดินในฐานะนักปราชญ์อย่างนั้นหรอ?”

ขณะที่เอลฟ์หญิงพูดอย่างเย็นชาทุกครั้ง การแสดงออกที่มีบาดแผลของเอเรเนสก็ลึกล้ำมากขึ้น

“เออร์วิน เจ้ายังเย็นชาเหมือนกับน้ําแข็ง นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทําให้เจ้าไม่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า”

“ข้าไม่ต้องการเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะ”

“อ่า… ทายาทของข้า ทําไมเจ้าถึงพูดแบบนี้!”

“ก็เพราะท่านไม่ใช่หรอ ที่บังคับให้ข้าเดินในเส้นทางนี้ ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ชอบ”

จากค่าตอบของสาวกของเขา เอเรเนสก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

“อ่า ไม่น่าเชื่อจริงๆ! งั้นทําไมเจ้าถึงยังไม่เข้าไปในบ้านล่ะ?”

“แล้วทําไมท่านถึงไม่เข้าไปอยู่ในบ้าน?”

“โอ้ ก็เพราะข้าต้องการจะฟังสิ่งนี้”

เอเรเนสทุบหน้าอกด้วยความหงุดหงิดและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนชั่วคร่

เออร์วินที่เห็นเขา ก็พูดอีกครั้ง

“ท่านไม่ได้ดูดาราศาสตร์มาระยะหนึ่งแล้ว ลมกําาลังบอกอะไรกัน”

“ลมที่ได้หยุดพัดไปแล้ว บัดนี้มันได้หวนกลับมาอีกครั้ง”

“ฮะ?”

“ดวงดาวที่ตกไปเมื่อ 500 ปีก่อน ได้กลับเกิดขึ้นอีกครั้ง…และทวีปจะสั่นสะเทือนอีกครั้ง”

เอเรเนสเริ่มมองหาบางอย่างที่เขาพลาดเข้าไปในวิลล่า เขาดึงไม้เท้าสีทองเก่าออกมาจากตู้เสื้อผ้าของเขา

“อาจารย์นั่นคือ…”

“ไม้เท้าของพระเจ้า แน่นอนว่านี่คือไอเท็มในตํานานที่เอลคาสเซิลใช้เมื่อตอนที่เขาทําลายมวลปีศาจและสร้างโลก”
เออร์วินซึ่งทําได้เพียงฟังสิ่งที่อาจารย์ของเขาพูดก็ดูประหลาดใจ

มันนานมากแล้วหลังจากการแบ่งสมบัติโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้สมบัติต่างก็เริ่มจะถูกลืมเลือนไปจากผู้คนนานแล้ว

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตัวคัดลอกเท่านั้น”

“…อาจารย์”

เธอผิดหวังเล็กน้อยกับคําตอบห้วนๆของอาจารย์ของเธอ อย่างไรก็ตามเอเรเนสก็ได้ขว้างไม้เท้าไปที่เธอ

ตาก!

เออร์วินตกใจเล็กน้อยแล้วจับมัน

เสียงที่จริงจังของเอเรเนสดังขึ้นที่หูของเธอ

“ไปที่ภาคใต้”

“อะไรนะ?”

“ที่นั่นเจ้าจะได้พบกับสายลมที่หยุดพัดไปแล้ว”

เอเรเนสเหลือบมองเออร์วินอย่างจริงจัง ซึ่งไม่เข้าใจว่าอาจารย์ของเธอจะพูดถึงอะไรก็ตามเขาก็ส่ายหัวพลางพูดต่อ

“ลมนั้นจะกลายเป็นพายุและกวาดล้างไปทั่วทั้งทวีป”

หลังจากได้ยินคําพูดเหล่านั้น เธอก็ระเบิดออกมา

“นี่! อย่างน้อยก็พูดในแบบที่ข้าเข้าใจหน่อยสิ! ข้าจะไปเจอใครและข้าจะต้องทํายังไงต่อกัน!”

“นั่น.. แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ากาลังพูดในสิ่งที่ข้าได้ยิน ไปทางใต้ซะแล้วเจ้าจะพบค่าตอบด้วยตัวเอง

เมื่อได้ยินค่าพูดของเอเรเนสเธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ข้าเข้าใจแล้วข้าจะไปเอง”

เธอส่ายหัว แต่เธอก็ยอมรับ

ขณะที่เธอเก็บกระเป๋าและข้าวของของเธอ เธอก็พูดกับอาจารย์ของเธอซึ่งยังอยู่ที่นั่น

“ซิลเวียมาที่นี่เมื่อวานนี้ และพวกดาร์กเอลฟ์จะพาเจ้าหญิงเรย์น่ามาที่นี่”

“ใช่ เมื่อนางมาถึง พวกเขาจะถามถึงที่อยู่ของน้ําตาของโลก”

“โอเคข้าจะไปตอนนี้ ทานอาหารให้ตรงเวลาและดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”

เออร์วินกล่าวลาอาจรย์ของเธอแล้วก็หายไป

ชื่อเต็มของเธอคือ เออร์วิน เลซา

เมื่อ 100 ปีก่อน เธอก็ตือนักเวทย์อัจฉริยะที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ด้วยการทําศิลาเวทมนตร์เทียม

เธอก่าลังเข้าสู่โลกอีกครั้งหลังจากห่างเหินจากโลกนี้มาหลายสิบปี

เพื่อสร้างพายุที่จะกวาดล้างทวีปอีกครั้ง…..

บทที่ 79 แผนการของจักรพรรดิ (4)

ชัยชนะของไวเคานต์รากันต์ในสงครามดินแดนนั้น กลายเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากต่อทั้งจักรวรรดิ

ขุนนางทุกคนมั่นใจว่าเคานต์โมนาร์ชน่าจะเป็นผู้ที่จะชนะ และทําให้พ่อค้าบางคนเข้าแถวกันอย่างรวดเร็ว เพื่อขายเสบียงทางทหารให้กับเคานต์โมนาร์ช

แต่คนที่ประหลาดใจที่สุดก็คือรูดอล์ฟจักรพรรดิ์จักรพรรดิ

“มันคืออะไร? พวกรากันต์ชนะการต่อสู้แล้วหรืองั้นหรอ?”

“ใช่แล้วนายท่าน”

เคานต์โวลทาสตอบด้วยสีหน้าเสียใจ

“หรือมันจะมีขุนนางคนอื่นที่เข้ามาแทรกแซง?”

“นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้ ทุกคนต่างเฝ้าดูมัน แต่มันก็ไม่มีขุนนางฝ่ายใต้คนใดที่ให้ความช่วยเหลือไวเคานต์กันต์”

“ฮะ! แล้วพวกเขาชนะได้อย่างไร

ความแตกต่างของอานาจระหว่างสองฐานันดรนั้นเป็นที่รู้จักกันดีโดยจักรพรรดิ

เป็นที่ทราบกันดีว่าความแตกต่างระหว่างสองดินแดนนั้นมันเกือบจะ 20 เท่า

นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่ารากันต์สามารถเติมช่องว่างด้านอำนาจและชนะได้อย่างไร

“ตามรายงานของผู้ตรวจการซึ่งได้เข้าไปในพื้นที่ที่เคานต์โมนาร์ชหายไป ในขณะที่พวกเขาเฝ้าระวังระบุว่า การโจมตีที่น่าประหลาดใจของไวเคานต์รากันนั้นประสบความสําเร็จอย่างรวดเร็ว”

รายงานที่ส่งโดยโวลทาสนั้นมีรายละเอียดเพิ่มเติมมากมาย
รูดอล์ฟซึ่งดูรายงานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไร้สาระ

“เชนมันเคยถือดาบจริงหรือเปล่า”

“นั่นไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ยังไงซะเขาก็เคยทางานห้าปีที่ชายแดนกับสาธารณรัฐโวลก้าตอนเหนือ”

“แล้วทําไมเขาถึงแพ้? จู่ๆเขาก็เป็นโรคสมองเสื่อมหรือเสียสติไปหรือเปล่า”

“ข้าเกรงว่าเป็นเพราะเราไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามมากพอ เราจึงไม่สามารถบอกได้”

“เชอะ โง่ง่า… ข้าไม่ควรมอบหน้าที่ผู้นําให้กับคนที่ยบ้าพลังอย่างมันตจริงๆ”

“กองกําลังของรากันต์ได้ระบุว่า เขาได้หนีไปที่ไหนสักแห่งพร้อมกับเงินและสมบัติของเขา”

“ค้นหาว่าผู้ชายคนนั้นไปที่ไหน และไปรับเอาเงินนั้นด้วย แมเขาจะเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แต่เราก็ไม่ต้องการคนไร้ประโชยน์แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว”
“ข้าจะจัดการเรื่องนั้นเอง”

โวลทาสโค้งค่านับจักรพรรดิและเปิดปากของเขาอีกครั้ง

“อย่างไรก็ตามมีข่าวลือที่น่าสนใจเกี่ยวกับสงคราม”

“ฮะ? มันคืออะไร?”

“มันไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นใดนอกจาก ลอร์ดแห่งรากันต์ เขาได้เอาชนะกิกันท์ทั้งสี่ตัวที่โจมตีคฤหาสน์ของเขาทั้งหมดด้วยตัวเอง”

“อะไรนะ? นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นหรอ?”

จักรพรรดิรดอล์ฟค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน

โวลทาสก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก เขาก็มั่นใจว่าเป็นเพียงข่าวลือ

เมื่อได้ยินค่าพูดเหล่านั้น รูดอล์ฟก็พูดด้วยความไม่เชื่อ

“ไหนเจ้าบอกข้าว่าลอร์ดแห่งรากันต์นั้นแทบจะไม่สามารถจับดาบได้! แล้วตอนนี้ เจ้ากําลังจะบอกฉันว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีเวทมนตร์อีกงั้นหรอ? เจ้าคิดว่าเขาเป็นคลาสพิฆาตรียังไง?”

“ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ข้าได้บอกไป ข้าจึงไปตรวจสอบหลายๆครั้งเท่าที่จะทําได้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับลอร์ดรากันต์นั้นจะมีเค้าโครงความจริงบางอย่าง”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ถูกหลอกมาจนถึงตอนนี้!”

“เป็นไปได้มากว่าพวกเขาได้วางแผนไว้แล้ว”

ถ้ารากันต์ซ่อนอะไรไว้ แบบนั้นบาล็อคก็จะต้องค้นพบมันอย่างแน่นอน

พวกเขาไม่เคยลืมความเสียใจของบรรพบุรุษ ล่าพวกรากันต์จะทําต้องงานโดยไม่หยุดพักเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปของครอบครัวกลับคืนมา

งั้นเคานต์โฒนาร์ชชได้สมัครเข้าร่วมสงครามโดยไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?

โวลทาสจึงกล่าวว่า

“หากลอร์ดแห่งรากันต์ถูกปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในดินแดนทางใต้ เราต้องรีบไปเหยียบพวกมันให้ตายก่อนที่มันจะเติบใหญ่ขึ้น”

แม้ว่าไวเคานต์รากันต์จะอยู่เคียงข้างขุนนาง แต่ฝ่ายใต้ของจักรวรรดิก็ถูกครอบง่าโดยขุนนางนอกราชวงศ์

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเขาต้องทําอะไรบางอย่างกับรากันต์

“เจ้ามีข้อเสนอแนะใดๆหรือไม่?”

เมื่อรูดอล์ฟถาม โวลทาสก็ตอบกลับเกือบจะในทันที

“เกณฑ์ทหาร

ตามกฎหมายของจักรวรรดิ ขุนนางต้องรับราชการในกองทัพจักรวรรดิเป็นเวลา สองปีเมื่อพวกเขามีอายุ 18 ปี
มันเป็นภาระหน้าที่ของชนชั้นสูงและลุคก็ไม่มีข้อยกเว้น

“เดิมที่เขาควรจะไปในปีหน้าและเขาจะรับตําแหน่งลอร์ดได้ก็ต่อเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น”

นั่นเป็นสาเหตุที่ลุคยังคงถูกเรียกว่าลอร์ดหนุ่มโดยผู้ดูแลตระกูลของเขา

“นอกเหนือจากการให้ลอร์ดหนุ่มได้รับตาแหน่งลอร์ดหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เขายังจะถูกนาตัวเข้ากองทัพในปีก่อนหน้านี้ด้วย”

“งั้นเราจะฆ่าเขาในสนามรบใช่ไหม”

“ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสนามรบ”

เคานต์โวลทาสโค้งคํานับ

“นั่นเป็นค่าแนะนําที่ดี”

พรมแดนที่ติดกับสาธารณรัฐโวลก้นั้นมีความยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก

และถ้าเขาถูกส่งไปที่นั่น ไปยังสถานที่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยสงคราม เขาก็จะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน

“เอาล่ะส่งกฤษฎีกาไปยังรากันต์ ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะในการต่อสู้ด้วยเช่นกัน”

“ข้าจะส่งคําพูดที่ดีไปยังรัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน

“อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการในจักรวรรดิอาร์เธเนียจะดําเนินไปด้วยดีหรือไม่”

โวลทาสตอบคําถามของรูดอล์ฟทันที

“ข้าได้ติดต่อผู้สมัครที่แข็งแกร่งของสมเด็จพระสันตะปาปาสองคนและส่งข้อเสนอไปให้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ

“มันไม่ง่ายจริงๆ และมาตรการรับมือล่ะ?”

“ข้ายังคงวางแผนที่จะติดต่อกับพวกเขา พวกเขาอาจไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเราในตอนนี้ แต่วันหนึ่งพวกเขาจะต้องการเรา”

“หึ เจ้าพูดถูก เคาะประตูจนกว่าประตูจะเปิดออก”

“ข้าจะจําไว้ เหนือหัว”

หลังจากพูดคุยกับโวลทาสที่ไว้ใจได้เป็นเวลาหลายชั่วโมงจักรพรรดิรูดอล์ฟก็ออก จากห้องทํางานของเขา…

บทที่ 80 แผนการของจักรพรรดิ (5)

ตึด็ด!

วันรุ่งขึ้น ทันทีที่จักรพรรดิตื่นขึ้น เขาก็รบกําลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง

เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังไปทั่วพระราชวัง และแล้วมันก็มาหยุดลงที่ห้องสวดมนต์ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังอิมพีเรียล

“ข้าจะทําการอธิฐาน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครแอบฟังข้า”

“รับทราบเหนือหัว!”

เหล่ายามรักษาการณ์เรียกหาอัศวินและยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
รูดอล์ฟมองไปรอบๆ และเปิดประตูไปที่ห้องสวดมนต์

ห้องสวดมนต์นี้มีไว้ให้เฉพาะกับจักรพรรดิเท่านั้น มันจึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

รูปปั้นที่ทําจากงาช้างจากทวีปทางใต้วางอยู่ด้านหน้าทางด้านซ้ายและด้านขวาของผนัง มันมีโคมไฟแขวนเคลือบด้วยทองค่าและผงมุกอยู่บนเพดาน

บนโต๊ะด้านหน้าของรูปปั้นมีเทียนที่กําลังลุกไหม้และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทุกครั้งที่ได้กลิ่น วิญญาณของคนที่ได้กลิ่นก็จะรู้สึกบริสุทธิ์

ทันทีที่รูดอล์ฟปิดประตู ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากเงาของรูปปั้น

“ท่านมาแล้วเหรอ”

อย่างไรก็ตาม น่าแปลกใจที่จักรพรรดิได้ก้มศีรษะของเขาให้กับชายที่ปรากฏตัวในชุดคลุมสีดํา

แม้ว่าเขาจะก้มหัวให้กับบุรุษเงา แต่ในไม่ช้าบุรุษเงาก็พูดเสียงดังใส่เขาด้วยเสียงที่ฟังดูราคาญ

“เจ้าจะเรียกข้ามาทําเหี้ยอะไร ข้าก็มีงานต้องทํานะ”

“ข้ามีคําถามจะถาม คําสาปในสายเลือดของรากันต์ยังคงอยู่หรือไม่”

รูดอล์ฟถามด้วยน้ําเสียงที่ฟังดูเกรงใจ

“ทุกครั้งที่ลูกหลานของรากันต์ถือกําเนิดขึ้น ข้าก็ไปสาปแช่งพวกเขาทุกครั้ง การถามค่าถามแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”

“เมื่อไม่นานมานี้ รากันต์และเคานต์โมนาร์ชเข้าสู่สงครามและน่าแปลกใจที่ลูคลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์สามารถเอาชนะกิกันท์แบบ 4 ต่อ 1 ได้ ดูเหมือนเขาจะเป็นอัศวินรูนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้”

“นั่นเป็นความจริงหรอ”

เสียงที่ถามนั้นมีเสียงสั่นเล็กน้อย

“แม้จะยังมีข่าวลือว่าเจ้านั้นต้องคําสาปอยู่ แต่ข้าก็คิดว่ามันแปลกๆ”

“มันเป็นเรื่องแปลกอย่างแน่นอน ข้าใส่คําสาปแห่งมนต์ดําใส่มันทันทีที่มันเกิด..

บรุษเงานั้นเป็นพ่อมดแห่งความมืด

เขาเป็นพ่อมดแห่งความมืดที่มีพลังมหาศาลซึ่งแม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องเกรงกลัว

นอกจากนี้เวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้นยาวนานมาก

รดอล์ฟมองไปที่เงาอีกครั้งซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่ยังไม่ตาย

“อย่างไรก็ตาม หากคําสาปของเขาได้รับการปลดปล่อยแล้วจริงๆ ท่านจะสาปมันอีกครั้งไม่ได้หรอ?”

“นั่นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ข้าต้องไปที่สาธารณรัฐโวลก้าก่อน”

เมื่อไม่นานมานี้เขาอยู่ในสาธารณรัฐโวลก้า แต่เมื่อเขาได้รับสัญญาณจากจักรพรรดิ์ เขาก็รีบกลับมาทันที

จักรพรรดิยืนขึ้นด้วยดวงตาที่มีชีวิตชีวา

“ท่านอยู่ในสาธารณรัฐโวลก้างั้นหรอ? งั้นท่านพบอะไรบ้างที่นั่น”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มีคนขโมยกระเป๋าตัวของหอคอยไป”

เขากาลังไปสืบข้อมูลอยูในสาธารณรัฐโวลก้า เพื่อจับตัวพ่อมดที่ขโมยข้าวของของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสไป

“เกิดอะไรขึ้นที่หอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส”

“เจ้าไม่จําเป็นต้องรู้หรอก ตอนนี้ข้าต้องไปทําสิ่งต่างๆให้ลุล่วงแล้ว”

“น่าเสียดายที่ข้าช่วยท่านไม่ได้ แต่ทันทีที่ท่านกลับมา ก็อย่าลืมที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับค่าสาปด้วยก็แล้วกัน”

“ตกลง

ในขณะนั้นเงาของชายในชุดคลุมสีดาก็เคลื่อนย้ายตัวเองโดยใช้เวทมนตร์

และรูดอล์ฟก็ไม่พลาดที่จะเห็นรอยยิ้มที่มีดูความหมายที่เขาเผยออกมาก่อนที่จะหายไป

มันเป็นการเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด

มันเป็นรอยยิ้มของชายคนหนึ่งและหอคอยเวทย์มนตร์ของเขา ที่กาลังหัวเราะเยาะกับความจริงที่ว่า จักรพรรดิผู้ที่เป็นผู้ที่ไม่สามารถสนับสนุนอาณาจักรของตัวเองได้ หากไม่มีพวกเขาคอยหนุน

ใบหน้าของจักรพรรดิแสดงออกถึงอาการอับอาย

“ไอ้สาระย่า! ไอ้สัตว์…ประหลาดนั้น! ข้าจะทุบท่าลายหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสลงให้ได้เลย”

ออร่าความเกรี้ยวโกรธถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของจักรพรรดิ…

บทที่ 81 งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ (1)

ยามเย็นที่เร่าร้อน

เสียงเพลงที่สดใสและร่าเริงสามารถได้ยินได้จากที่คฤหาสน์ของเมืองลาเมอร์ มันเป็นเพราะงานเลี้ยงได้ถูกจัดขึ้นในห้องโถงของที่พัก ซึ่งพึ่งได้รับการซ่อมแซมไป เมื่อไม่นานมานี้

งานเลี้ยงจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะในสงครามดินแดนซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว

ขุนนาง,อัศวิน,พ่อค้า นักวิชาการ,นักบวชและอื่นๆ ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมาเข้าร่วมงานเลี้ยงโดยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรหราและมีสีสัน

ในหมู่พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของรากันต์และหลายคนก็เป็นอดีตข้ารับใช้ของเคานต์โมนาร์ช

โดยปกติแล้วคนพวกนี้ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีมากนักกับเคานต์โมนาร์ช ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้ชรนะในสงครามชิงดินแดนคือฝ่ายรากันต์ พวกเขาจึงเลือกที่จะมเข้าร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบท่าน มิสซิสบารอน ข้าได้ข่าวมาว่าสามีของท่านต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไอ้หมูตอนโมนาร์ชเหมือนกันอย่างนั้นหรอ”

“โฮโฮโฮ ผู้ชายคนนั้นสมควรแล้วที่จะต้องติดอยู่คุกเน่าๆ ขณะกินซุปถั่วเหลืองแหยะๆ แล้วธุรกิจของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ยินมาว่าท่านย้ายไปที่ด้านใต้ เพื่อดําเนินธุรกิจใหม่?”

“ก็แค่เพียงชั่วคราว เราเพิ่งย้ายไปที่สํานักงานใหญ่ฝั่งท่าเรือบนเกาะทางใต้…”

ผู้คนต่างก็พบปะพูดคุยกับผู้คนที่พวกเขาเคยรู้จักหรือไม่ได้เจอกันเป็นเวลานานแล้ว

ในหมู่พวกเขา ขุนนางที่เคยตกอยู่ภายใต้อานาจของเคานต์โมนาร์ชก็กําลังดิ้นรนที่จะพูดคุยกับคนรับใช้ของรากันต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของขุนนางบารอนที่ได้รับคฤหาสน์ของพวกเขากลับมา ต่างก็มีน้ําตาคลอเบ้า

“ท่านดิกสัน เป็นความจริงหรือไม่ที่ท่านลอร์ดหนุ่มลุควางแผนที่จะขายดินแดนบางส่วนในอาณาเขตของเคานต์”

“ใช่แล้ว มันมากเกินไปสําหรับเราที่จะจัดการกับดินแดนของเคานต์ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้”

คําพูดของดิกสันทําให้หัวของขุนนางทั้งหมดหันไปในทิศทางเดียวกัน

หากอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ถูกขายออกไปจริงๆ พวกเขาก็คาดหวังที่จะเป็นอันดับ 1 ในดินแดนแห่งนี้

การไม่มีที่ดินก็เหมือนกับการไม่มีลาภยศ

แม้จะมีบรรดาศักดิ์เป็นบารอน แต่บารอนที่เรียกว่าจักรพรรดิและบารอนที่เรียกว่าองค์ชายก็ยังคงมีความแตกต่างกัน และพวกเขาก็ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จักรพรรดิแห่งบารอนนั้นจะคล้ายกับผู้ใต้บังคับบัญชาของลอร์ด แต่องค์ชายก็จะเป็นเหมือนกันอัศวิน

ดังนั้นคนประเภทหลังจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะถามจักรพรรดิถึงแผนการของเขา และเมื่อเจ้านายที่แท้จริงของแผ่นดินพ่ายแพ้มันก็จะไม่มีประกันใดๆที่มอบให้กับพวกเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าท่านลอร์ดได้รับแหวนของเขามาแล้วอย่างนั้นหรอ? ไม่ใช่ว่าแหวนของเคานต์โมนาร์ชจะต้องติดอยู่กับเขาตอนที่วิ่งหนีไปอย่างนั้นหรอ?..”

“แหวนแห่งเคานต์ถูกพบอยู่ในห้องนอน ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาอะไร”

ความจริงก็คือแหวนได้ถูกน่าออกมาจากศพของเคานต์โมนาร์ช อย่างไรก็ตาม มิกสันไม่ได้รู้ถึงเรื่องนี้

การตายของเคานต์โมนาร์ชนั้นเป็นความลับที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

และตามที่ดูกสันได้กล่าวไป ขุนนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้

“เอ่อเป็นไปได้ยังไงกัน? ครอบครัวของเราเป็นคนรับใช้ของเคานต์โมนาร์ชได้ ก็เพราะความผูกพันของบรรพบุรุษที่มีต่อเขาไม่ใช่เพราะเราชอบมันแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้น ท่านลอร์ดหนุ่มจะเป็นผู้ตัดสินใจ”

“อืม…”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ข้าจะส่งลูกชายคนโตของข้าไปยังที่ดินของรากันต์ ถึงทักษะในการฟันดาบของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนัก แต่เขาก็ได้รับการศึกษาการศึกษาด้านการทหารและกิจการของจักรพรรดิมาพอสมควร

มีค่าวิงวอนมากมายเกิดขึ้นทั่วห้องจัดเลี้ยง

ไม่มีเหตุผลที่จะให้พวกเขาคิดต่อต้านลุคผู้ที่ถือครองแหวนของลอร์ด ซึ่งระบุว่าเขาเป็นผู้ชนะในสงครามและเป็นเจ้าของพื้นที่ทั้งหมดของเคานต์โมนาร์ช และพวกเขาไม่ได้มีกาลังหรือกกันท์มากพอที่จะใช้เพื่อต่อต้านฝ่ายรากันต์
เมื่อเห็นฉากนี้ อัศวินโรเจอร์สก็ยิ้มขึ้น

“นายน้อยมักจะทําอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดจริงๆ

ไม่จําเป็นที่จะต้องขายดินแดนที่เป็นของเคานต์โมนาร์ช หากผู้คนต่างก็ให้ความร่วมมือกับเขา

สาเหตุที่เขาต้องการขายดินแดนนั้นมาจากความคิดที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจัดการกับมันได้หากมีการก่อกบฎเกิดขึ้น

“แต่มันจะไม่มีทางใดเลยที่เราจะไม่ต้องขายที่ดินแม้แต่ผืนเดียว

ที่ดินของพวกโกทและข้ารับใช้คนอื่นๆที่หนีไปต่างกองถูกขายออกไป

เพราะฝ่ายรากันต์นั้นไม่ได้มีคนมากพอที่จะส่งไปดูแลพื้นที่ทั้งหมด

“ลุคแห่งรากันต์ เจ้าของสมญาไวเคานต์รากันต์และเจ้าหญิงเรย์น่า เปโตรน่า คิลิว ลอฟ”

เมื่อบรรยากาศเริ่มสดใส เสียงระฆังก็ดังขึ้นและมีการประกาศรายชื่อออกมา

ขุนนางทุกคนที่กําลังคุยกันอยู่ต่างก็มองไปที่หน้าประตูทางเข้า

ประตูห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่เปิดออกและลุคก็เดินเข้าไปพร้อมกับเรย์น่า พวกเขาโอบแขนซึ่งกันและกัน

ลุคซึ่งสวมชุดจัดเลี้ยงที่เข้มงวดในขณะที่เรย์น่าแต่งกายด้วยชุดโบราณที่ดูหรูหราและเป็นธรรมชาติ

“ชายหนุ่มคนนี้เป็นทายาทของนักรบผู้ยิ่งใหญ่รากันต์หรอ!”

“ไม่เหมือนข่าวลือเลย เขาดูมีศักดิ์ศรีอย่างมาก”

“นั่นใคร? ไหนมีคนบอกว่าเขาอ่อนแอเหมือนกับเด็กผู้หญิงไง!”

บรรดาผู้ที่เห็นลุคเป็นครั้งแรกต่างพากันลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นบางสิ่งที่แตกต่างจากข้อมูลที่พวกเขามี

ในสงครามชิงดินแดน ผู้คนต่างก็คิดว่ามันเป็นเพราะความไร้ความสามารถของเช่นกัน และการปล่อยปะละเลยของเคานต์โมนาร์ชที่ไม่ตั้งตัวให้ดี

แต่เรื่องราวของลอร์ดหนุ่มที่เอาชนะกิกันท์ทั้งสามตัว และไล่หนึ่งคนออกไปได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ฟังดูเกินจริงละไม่น่าเชื่อ

อย่างไรก็ตาม เด็กชายหรือชายหนุ่มที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขานั้นสูงส่งและดูน่าภูมิใจเกินกว่าจะถูกเรียกว่าผู้แพ้

นอกจากนี้การคาดเดาที่ผิดจากคว่ามจริงไปไกลแล้ว มันยังแทบจะเรียกได้ว่าตตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัวชายคนนี้เป็นอย่างมาก และต่างก็ก้มหัวให้เขาโดยไม่รู้ตัวเมื่อพวกเขาเข้ามา

คนรับใช้รากันต์ที่ได้เห็นมันก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขอย่างมาก

เมื่อลคเห็นทุกคนก่าลังให้ความสนใจกับเขา เขาก็เปิดปาก

“ขอบคุณที่ตอบรับคําเชิญของข้า และสําหรับคนที่มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น…”

ลุคมองไปรอบๆห้องอีกครั้งแล้วจึงพูดต่อ

“วันนี้สถานที่แห่งนี้จะเฉลิมฉลองชัยชนะของนักรบและเพื่อรําลึกถึงความพ่ายแพ้ของผู้โง่เขลา จงยกแก้วขึ้นและแบ่งปันความสุขด้วยกันเถิด”

ฮานส์ที่รออยู่ข้างหลังพร้อมกับแก้วไวน์ก็ชูขึ้นสดุดีให้แก่ลุคและเรย์น่า

ลุคยกแก้วขึ้นแล้วพูดด้วยน้ําเสียงหนักแน่นว่า

“เพื่อความรุ่งเรืองของนักรบผู้กล้าหาญและอนาคตของดินแดนรากันต์”

“ว้าว!”

ทุกคนยกแก้วขึ้น

รอยยิ้มของลุคเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

ฉากที่เขาได้เห็นในวันนี้นั้นดูเหมือนจะยาที่ช่วยชําระล้างควมเหนื่อยอ่อนที่พวกเขาได้เผชิญมาตลอดทั้งเดือน….

ติดตามนิยายเรื่องอื่นได้ที่ : นอนน้อยโนเวล

บทที่ 77 แผนการของจักรพรรดิ (2)

ทันทีที่ได้ยินข่าวการลักพาตัวของเจ้า หญิงเรย์น่า ลุคก็มุ่งตรงไปที่ปราสาทราชาปีศาจ

เขามองไปรอบๆปราสาทและห้องของเธอ แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ

หัวใจที่ผิดหวังของเขาได้พูดกับเซบาสเตียนที่กําลังก้มอยู่แทบเท้าของเขา

“นายท่านนี้เป็นผลงานของดาร์ก เอลฟ์”

“ดาร์กเอลฟ์? ทําไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น

ล่ะ?”

“อากาศในห้องนี้มีกลิ่นของยานอนหลับที่พวกดาร์กเอลฟ์ชอบใช้

ลุคเองก็รู้เช่นกันว่าดาร์กเอลฟ์นั้นมักจะใช้ยานอนหลับของพวกเขา

“แก่นแท้แห่งการหลับใหล” นั้นเป็นความลับอันทรงพลังของพวกมัน มันเพียงพอที่จะใช้เพื่อโค่นปรมาจารย์ดาบได้ในนัดเดียว อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงร่องรอยของการใช้มันก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์

ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแทรกซึมเข้ามา

หลังจากได้ยินคําพูดเหล่านั้น เซบาสเตียนก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงกรน

“หึๆ แน่นอนว่าดาร์คเอลฟ์นั้นมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม แต่พวกมันก็ไม่สามารถหลอกจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าได้หรอก”

เซบาสเตียนนั้นนับได้ว่าเป็น ปีศาจที่มีความสามารถในการดมกลิน,ปีศาจแมวและปีศาจผู้เชี่ยวชาญในการปรุงยา และเขาก็สามารถเอาชนะดาร์กเอลฟ์ในเรื่องพวกนั้นได้

“แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าพวกเขาไปไหน”

“อืม จากกลิ่นนี้ พวกมันน่าจะไปทางเหนือ.. พวกมันไปทางเหนือครับท่าน!”

จากนั้นลุคก็เริ่มวิ่งไล่ตามดาร์กเอลฟ์พร้อมกับเซบาสเตียน

“ข้าไม่เข้าใจว่าทําไมพวกเขาถึงลักพาตัวเธอไป”

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ นั่นก็คือ หากพวกมันทําร้ายเธอแม้แต่ปลายนิ้ว เขาก็จะฆ่า พวกมันทั้งหมดอย่างแน่นอน

และในวันที่สี่ของการติดตาม ในที่สุด เขาก็สามารถพบพวกมันได้ที่ริมแม่น้ํา

“ทําไมพวกเจ้าถึงพยายามพานางกลับไปที่สาธารณรัฐโวลก้ากัน? ความหมายของการกระทําแบบนี้คืออะไร? ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้กันดีว่ามันไม่มีที่ให้ราชวงศ์กลับไป”

“ฆ่าเขา!”

ดาร์กเอลฟ์สามคนยกเว้นคนที่จับกุมเรย์น่าอยู่ เริ่มโจมตีลุค

สองคนในนั้นเริ่มบุกโตจมตีจากด้านข้าง และหนึ่งในนั้นก็ดึงกริชออกมา และโจมตีเข้าใส่ลุคจากด้านหน้า

“โล่!”

โล่สีน้ําเงินปรากฏต่อหน้าลุค และทําการสะท้อนการโจมตีของดาร์กเอลฟ์เครั้ง!

มันโจมตีอีกครั้งด้วยมีดสั้น แต่มันก็ถูกขัดขวางด้วยดาบที่อย่าในมือขวาของลุค

“เขาเป็นอัศวินรูน! ระวัง!”

ไฮรุนเป็นกัปตันของดาร์กเอลฟ์

เมื่อเขาเห็นลุคใช้เวทมนตร์และดาบในเวลาเดียวกัน เขาจึงรีบเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา

“ระมัดระวังตัวไว้มันก็ดี แต่แน่ใจหรอว่าแค่ระวังแล้วมันจะปลอดภัย?”
คราวนี้ลุคไม่รีรอ เขาพุ่งโจมตีเข้าใส่ดาร์กเอลฟ์อย่างทันควัน

คั่ง! ทั้ง! อึ้ง!

การต่อสู้ระหว่างดาร์กเอลฟ์ทั้งสาม และลุคดําเนินไปได้สักพัก

ดาร์กเอลฟ์โจมตีลุคด้วยวิธีต่างๆอย่างรวดเร็ว

พวกเขาพยายามเคลือบกริชด้วยยาพิษที่สามารถทําให้เกิดอาการสับสนได้ แต่เมื่อพวกมันหาโอกาสใช้งานมันไม่ได้ต่อมาพวกมันก็ดึงคันธนูที่อยู่ด้านหลังออก

อย่างไรก็ตาม การโจมตีเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลใดๆกับลุค

มันเป็นเพราะลุคเคยต่อสู้กับดาร์ค เอลฟ์ในอดีต เขาจึงรู้เกี่ยวกับรูปแบบของพวกมัน รวมไปถึงวิธีที่พวกมันพยายามเจาะการป้องกันและรูปแบบการโจมตีของพวกมันก็ด้วย

ในขณะนั้นดวงตาที่เย็นชาของดาร์ก เอลฟ์ก็เริ่มแสดงอารมณ์

“เขาเป็นใคร? เขาอ่านการโจมตีของพวกเราได้อย่างไร!”

ดาร์กเอลฟ์แต่เดิมนั้นนับเป็นพวกที่เชี่ยวชาญการบุกรุก,การลอบสังหารและการลักพาตัว

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการโจมตีของพวกเขาจะอ่อนแอ

แม้ว่าพวกเขาจะชอบลอบเร้น และทําให้คู่ต่อสู้ประหลาดใจในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่พวกเขาก็สามารถรับมือกับผู้เชี่ยวชาญได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับดาร์กเอลฟ์เหล่านี้ที่ถูกคัดเลือกมาเป็นพิเศษ

พวกเขาสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงได้เพียงลําพัง แต่แผนของพวกเขากลับไม่ได้ผลในวันนี้

“หนีไปซ่อนตัวอยู่ในป่า!”

ไฮรุนที่จับเรย์น่าอยู่ก็สั่งคนอื่นๆ

คนอื่นๆต่างก็กระจัดกระจายและหนีไปซ่อนตัวในป่าโดยทันที

“หึ คิดว่าข้าไม่รู้รึไงว่าพวกเจ้าจะหนีไปซ่อนตัวข้างในป่า!”

ลุคนั้นมีแผนการที่ดีมาก ปีศาจแมวเซบาสเตียนนั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม ในการลอบเร้น , การแปลงร่างและการขโมยที่ยอดเยี่ยม

“ตรงนั้น”

ลุคขว้างสายฟ้าแห่วงความมืดไปตามทิศทางที่เซบาสเตียนบอก

ดาร์กเอลฟ์ที่ประหลาดใจก็พยายามย้ายที่อยูเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากลุค

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน การโจมตีด้วยเวทมนตร์ก็ติดตามพวกเขามาได้ตลอดเวลา

“หุหุหุ มีใครคิดจะสู้อีกไหม”

ไฮรุนดูประหลาดใจมากกับคําถามของ
ลุค

“เจ้าเป็นพ่อมดแห่งความมืดอย่างนั้นหรอ?”

“ทําไมเจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้”

“ขึ้นอยู่กับคําตอบของเจ้า ว่าเราจะ เลือกต่อสู้หรือร่วมมือกัน

หากมีพ่อมดนั้นมีปีศาจอยู่ข้างๆเขา 99% ของพวกเขาก็มักจะเป็นพ่อมดแห่งความมืด

แต่มีโอกาส 1% ที่พวกเขาต้องตรวจสอบ

“ทําไม? ถ้าข้าเป็นพ่อมดแห่งความมืด ข้าก็อยู่ข้างเดียวกับดาร์กเอลฟ์งั้นเหรอ?”

ลุคหัวเราะให้กับคําพูดนั้น

ย้อนไปในตอนที่เขาเป็นเซย์ม่อน ในตอนที่เขากําลังเดินทางอยู่กับกองทัพโกเลมของเขา มันก็ได้มีพวกดาร์คเอลฟ์จํานวนหนึ่ง ที่ร่วมมือกันกับพ่อมดแห่งความมืดคนอื่นๆเพื่อพยายามที่จะฆ่าเขา

อย่างไรก็ตามไม่ใช่กับพ่อมดแห่งความมืดหรือดาร์คเอลฟ์ทุกคน

มันมีพ่อมดแห่งความมืดหลายคนที่เป็นศัตรูกัน และมันก็ยังมีบางส่วนด้วยซ้ําที่ชอบแอบอ้างเป็นเซย์ม่อน และพวกดาร์คเอลฟ์เองก็แบ่งพวกของตนเองออกเป็น 12 เผ่าเอง

“เอเรเนสใช่ไหม มันเคยมีเอลฟ์ชราคนหนึ่งที่เคยถามข้าด้วยคําถามเช่นเดียวกันในอดีต และมันก็ไม่ใช่เรื่องตลก”

ดาร์กเอลฟ์ต่างก็ตกใจกับชื่อที่ออกมาจากปากของลุค

“เจ้าเพิ่งพูดว่าเอเรเนสอย่างนั้นหรอ?” ไฮรุนถาม

“ใช่ เขาเป็นเอลฟ์ชั้นสูงที่ได้รับการประกาศ คุณรู้จักเขางั้นหรอ?”

“ใช่แน่นอน ถ้าเจ้ารู้จักเอเรนส งั้นก็แสดงว่าเจ้าไม่ใช่ศัตรูของเรา”

ไฮรุนกล่าวขณะที่วางเรย์น่าลงกับพื้น

“พวกเรายังไม่สามารถต่อกรกับคนที่รู้จักกับเขาคนนั้นได้ ในครั้งนี้เราจะปล่อยเจ้าไปก่อน”

หลังจากพูดจบ ดาร์กเอลฟ์ทั้งสี่คนก็หายไปในความมืด

ลุคสามารถไล่ตามพวกเขาได้ถ้าเขาต้องการ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทํา

จุดประสงค์ของเขามีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการช่วยเรย์น่าให้ปลอดภัยไม่ใช่ฆ่าดาร์กเอลฟ์

เขาเข้าหาเรย์น่าและคลายมัดเชือก

“เจ้าหญิงท่านสบายดีไหม”

“ท่านลอร์ดลุค…”

ดวงตาของเรย์น่านั้นเริ่มมีน้ําตาคลอ ขณะที่เธอได้รับการปลดปล่อย

“ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้ว ข้ารับรองได้”

“ฮะ…! ขอบคุณ ขอบคุณมากท่านลอร์ด”

ลุคกอดเธอเบาๆ และเธอก็ทําเช่นเดียวกัน

เขามองไปทางทิศเหนือ ทิศทางที่ดาร์กเอลฟ์ได้หายตัวไป

“เอเรเนส เจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ?”

แม้ว่าเขาจะไม่เคยแน่ใจมาก่อน แต่เอลฟ์คนนั้นก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงาน และที่ปรึกษาในอดีต ซึ่งคอยให้ความช่วยเหลือเขาแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ลุคเคยคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น

“ถ้าเขาเห็นข้าฟื้นขึ้นมาในฐานะลูกหลานของรากันต์ เขาจะหัวเราะเยาะข้าไหมนะ”

ถ้าเขายังคงเป็นคนร่าเริงเหมือนในอดีต เขาก็อาจจะกลิ้งลงไปกับพื้น พร้อมกับเสียงหัวเราะในขณะที่มีน้ําตาคลอเบ้า

หรือไม่เขาก็อาจจะพยายามฆ่าลุค

เขาอาจจะผิดหวังก็ได้ที่ลบุคตายเองโง่ๆโดยที่ยังไม่ได้ทําอะไรมากนัก

ลุคจ้องมองไปที่ท้องฟ้าทางเหนือด้วยรอยยิ้มที่ขมขึ้น….

บทที่ 76 แผนการของจักรพรรดิ 1

ขณะที่ลุคออกไปจากที่ดินว่างเปล่า กลุ่มชายสวมหน้ากากก็เดินข้ามกําแพงปราสาทราชาปีศาจ

กลุ่มชายสวมหน้ากากต่างก็อยู่ในชุดหนังรักดรูปซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปร่างอันพร้อมบาง

พวกเขาเข้าไปในปราสาทพร้อมกับจุดธูปในมือ

“ฮับ! ทําไมจู่ๆข้าถึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมานะ”

“นั่นสิ ข้าก็ด้วย..”

ในทันทีที่ควันของยานอนหลับกระจายออกไป เหล่าผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าที่ลาดตระเวนอยู่ต่างก็ล้มตัวลงไป

และผู้ที่ล้มลงไปก็กําลังลอยเข้าสู่ห้วงนิทรา

“ฮับ! นี่คือ…!

เจ้าหญิงตกอยู่ในอันตราย!”

ทหารบางคนที่เคยทํางานให้กับเจ้าหญิงในอดีต ต่างก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเจ้าหญิง พวกเขาพยายามที่จะลุกขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะล้มลงไป

หลังจากที่กลุ่มชายสวมหน้ากากปิดปากผู้อยู่อาศัยเสร็จ พวกเขาก็เริ่มการค้นหาปราสาทอย่างจริงจัง

จากนั้นไม่นาน พวกมันก็พบเจ้าหญิงเรย์นย่าที่กําลังพักอยู่ในห้องห้องหนึ่ง

“ท่านเอลคาสเซิลผู้ยิ่งใหญ่ พระแม่ของโลกเบลีซ! โปรดตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าลอร์ดลุคจะไม่หลงทาง…”

เรย์น่ามองไปที่ท้องฟ้ายามค่ําคืนจากหน้าต่างของเธอและกําลังอธิษฐาน

ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอมาที่รากันต์ เธอก็มักจะอธิษฐานเผื่อลุคเสมอๆ

เธอหวังว่าเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดๆ และหวังว่าประชาชนของเธอเองก็จะได้พบกับความสงบสุขอีกครั้ง

แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าเทพเจ้าและเทพธิ ดาจะดูแลเขาหรือไม่

แต่เธอก็ไม่เคยละเว้นที่จะอธิษฐาน เพื่อเขาเลยสักวัน

ใช่แล้ว ในขณะที่เธอกําลังสวดมนต์อธิษฐานอยู่ ควันของยานอนหลับก็ได้ลอยเข้าสู่จมูกของเธอ

“อะ กลิ่นนี้…?”

เรย์น่าที่กําลังจะมองไปที่ประตู เนื่องจากได้กลิ่นอะไรบางอย่างก็หลับไปโดยไม่รู้สาเหตุ

เมื่อเธอล้มลงไป กลุ่มชายสวมหน้ากากก็เริ่มเข้ามาในห้อง

หนึ่งในนั้นหยิบกระดาษจากมือของเขาออกมาและเปิดมัน

บนกระดาษนั้นมีใบหน้าของเจ้าหญิงเรย์น่าอยู่ในนั้น

“ผู้หญิงคนนนี้แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็พาตัวนางวไปกันเลย”

เรย์น่าที่หลับอยู่ก็ถูกหามออกจากห้องและปราสาท

ชิค! ชิค?

เสียงฝีเท้าของพวกเขาเคลื่อนที่ผ่านป่าและทุ่งนาทั้งหมดไป ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก

การเคลื่อนไหวของพวกเขาเพียงก้าวเดียวนั้นก็ยาวออกไปหลายเมตร มันเหมือนกับตอนที่กวางกําลังวิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพวกเขาจะวิ่งตลอดทั้งคืน แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยเลย

หลังจากวิ่งไปทางเหนือเป็นเวลาสองวัน พวกเขาก็หยุดพักที่หุบเขา และนี่ก็นับเป็นการหยุดพักครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางมา

“เจ้าหญิงยังหลับอยู่หรือเปล่า”

“ไม่น่านะ มันเกือบจะได้เวลาที่เธอจะต้องตื่นแล้ว”

เรย์น่าคร่ําครวญขณะที่เธอตื่นขึ้นมา

เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็มองไปที่กลุ่มชายสวมหน้ากากที่กําลังมองลงมาที่เธอ เธอรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็พยายามรักษาความสงบไว้

โดยปกติแลเวหากเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ถูกจับมาก็มักจะกรีดร้องและตะโกนอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว

“เคานต์โมนาร์ชเป็นคสั่งให้พวกเจ้าทําสิ่งนี้ในใช่หรือไม่?”

“นี่ท่านคิดว่าเราจะรับคําสั่งจากขุนนางชั้นต่ําแบบนั้นหรอ?”
เรย์น่าส่ายหัวเมื่อได้รับคําตอบที่ไม่คาดคิดจากชายสวมหน้ากาก

“แล้วพวกเจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่ได้มีใจกับมัน แต่ข้าก็ไม่เคยไปมีความบาดหมางกับใครมาก่อน”

เธอนั้นถูกเรียกว่าเป็น “นักบุญแห่งลาเมอร์

ประชาชนและขนนางเกือบทุกคนต่างก็ชอบเธอ ยกเว้นก็แต่เคานต์โมนาร์ช

“ข้าบอกท่านไม่ได้”

“แล้เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน”

“นั้นข้าก็บอกท่านไม่ได้เหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะฆ่าข้าไหม?”

“ไม่ เราจะไม่ฆ่าท่าน แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรต่อไป”

ท่าทีของชายสวมหน้ากากนั้นเย็นชาและดุดัน

แต่มันไม่มีความมุ่งร้ายใดๆในคําพูดของพวกเขา

เรย์น่ารู้สึกอับอายที่เธอไม่สามารถหลบหนีไปได้ และเธอก็ไม่รู้เหตุผลว่าทําไมเธอถึงถูกลักพาตัว

“กินสิ”

เมื่อน้ําตาเธอใกล้จะไหล ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งก็ยื่นจานพร้อมที่มีขนมปังแห้งและผลไม้ให้เธอ

เขาคลายเชือกเล็กน้อยเพื่อให้เธอกินมันด้วยตัวเอง

“ข้าไม่ต้องการ”

“งั้นก็อดไป”

เขาวางจานไว้ตรงนั้น และทําให้คนอื่นๆเริ่มหิว

แต่มันมีบางอย่างแปลกๆ

คนอื่นๆต่างก็กินแค่พวกสมุนไพร,ผลไม้และถั่ว

“แม้จะไม่ใช่เอลฟ์ แต่เราก็จําเป็นต้องเติมเต็มความหิวโหย…!”

เรย์น่าที่เฝ้าดูพวกเขาอยู่ ดูค่อนข้างประหลาดใจ และเธอก็ตะโกนใส่พวกเขา ขณะที่ชี้นิ้วของเธอออกไป

“เจ้า เจ้าไม่ใช่มนุษย์!”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเอลฟ์หรือไม่ ก็ดาร์กเอลฟ์ ไม่สิ พวกเขาจะต้องเป็น ดาร์กเอลฟ์แน่นอน เพราะพวกเขามีผมสีดํา

“ทําไมดาร์กเอลฟ์ถึงได้…?”

เมื่อเธอค้นพบตัวตนของพวกเขา คําถามของเธอก็ลึกซึ้งขึ้น นั่นเป็นเพราะเธอไม่มีการติดต่อกับพวกแฟรี่

ในขณะที่เธอยังคงสงสัย ชายสวม หน้ากากที่พึ่งทานอาหารเสร็จ ก็ลุกขึ้น และเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ในแต่ละวันพวกเขาเดินลัดเลาะไป ตามเส้นทางที่ถูกทิ้งร้างบนภูเขาและในป่าไม้ เมื่อตกเวลากลางคืน พวกเขาก็จะข้ามทุ่งและที่ราบ เพื่อการเคลื่อนไหวที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

พวกเขามุ่งหน้าเดินทางไปตลอดเวลา

“ไม่นะ สาธารณรัฐโวลก้าอย่างนั้นหรอ?”

ถัดจากจักรวรรดิบาร็อคไปทางตอนเหนือก็คือสาธารณรัฐโวลก้า

เรย์น่าพูดออกมาดังๆ เพื่อยืนยันว่าดาร์กเอลฟ์ที่เย็นชาต่อเธอนั้นจะกระตุกกับคําพูดของเธอหรือไม่

เธอพูดถูกเกี่ยวกับสาธารณรัฐโวลก้า

ซิลเวีย หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของโวลก้าได้สั่งให้พวกเขานําตัวเจ้า หญิงเรย์น่ามา

เป็นผลให้พวกเขาต้องไปที่รากันต์ที่ห่างไกลออกไป

“ไม่ ข้าไม่ต้องการ! วางข้าลง! ข้ายังตายไม่ได้!”

เรย์น่าที่รู้ว่าปลายทางคือสาธารณรัฐโวลก้า ก็คิดว่าพวกเขาต้องการเอาชีวิตเธออย่าแน่นอน ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะดิ้นรน

มีข่าวลือว่าสาธารณรัฐโวลก้าลักพาตัวราชวงศ์เก่าของประเทศโวลก้า และสังหารพวกเขาหลังจากการทรมานอย่างโหดร้าย
เรย์น่าเพิ่งเริ่มต้นที่จะตั้งถิ่นฐานกับผู้ลี้ภัยของเธอ เธอมีความสุขกับชีวิตกับ ผู้คนของเธอ ดังนั้นเธอจึงยังไม่อยากตาย

“ท่านกําลังจะทําให้ตัวเองเตจ็บปวดนะ หุบปาก!”

เมื่อได้ยินคําพูดของชายสวมหน้ากากอีกคน หนึ่งในพวกเขาก็ดึงผ้าสีดําออกจากมือ

คราวนี้พวกเขาพยายามจะใช้มันในการปิดปากเจ้าหญิงเรย์น่า

“เอามือออกไป ถ้าเจ้าสัมผัสเธอด้วยมือที่สกปรกของเจ้า ข้าก็จะทําให้เจ้า ได้ตายสมใจปราถนาเอง ไม่สิ เจ้าจะไม่มีทางตายแม้ว่าเจ้าจะขอร้องให้ข้าฆ่าเจ้าก็ตาม

เสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากฟากฟ้า

เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลุค!…

บทที่ 75 จุดจบของเคานต์โมนาร์ช(5)

ในยามรุ่งอรุณความมืดก็ได้ถูกขจัดออกไปด้วยแสงแดดในยามเช้า

เมื่อชาวเมืองลาเมอร์ตื่นขึ้น พวกเขาก็ต้องตกใจกับสภาพของเมืองที่อยู่ในความสับสนอลหม่านและสภาพของกินกันท์ที่ถูกทําลายลงไป

“อะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

“ศัตรูโจมตีเราตอนรุ่งสางอย่างนั้นหรอ?”

“ใครคือศัตรู? ไวเคานต์รากันต์หรอ?อย่ามาล้อเล่น!”

“หุหุหุ ในที่สุดเราก็จะไม่ต้องเห็นเจ้าหมูจอมตะกละอีกต่อไปแล้ว”

ในขณะที่ชาวบ้านกําลังดูฉากตรงหน้าด้วยความวิตกกังวลและความคาดหวัง เล็กๆน้อยๆลุคและชาวรากันต์ก็กําลังยุ่ง อยู่กับการพยายามทําความสะอาด

ประการแรกผู้ช่วยของเคานต์ต่งก็ถูกขังอยู่ในคุกและทหารก็ถูกส่งไปลาดตระเวนทั่วทั้งเมือง

พวกเขาถูกส่งไปพร้อมกับคําประกาศชัยชนะของรากันต์

เพื่อให้แน่ใจว่า ชีวิต,ทรัพย์สินและสถานะของพลเมืองจะยังคงอยู่ดีกินดีต่อไปเขาจึงสั่งไม่ให้มีการกักตุนสินค้าหรืออาหารเพื่อให้ผู้ที่มีฐานะยากจนสามารถเข้าถึงอาหารได้

ผู้ที่ต่อต้านกองกําลังรักษาความมั่นคงจะถูกลงโทษ

เจ้าหน้าที่ของกองกําลังรักษาความปลอดภัยและฝ่ายปกครองควรกลับเข้าทํางานภายใน 24 ชั่วโมงตามปกติไม่งั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถรับประกันสถานะและอัตราค่าจ้างได้

แม้ว่าจะถูกยึดครองแล้ว แต่ลําพังเพียงรากันต์ก็ไม่สามารถจัดการเมืองและการค้าที่อยู่ในอันดับที่สูงเป็นอันดับสองในภาคใต้ได้

เมืองลาเมอร์เพียงแห่งเดียวนั้นก็มีประชากรมากกว่า 200,000 คนแล้วซึ่งมันเกือบเป็น 10 เท่าของประชากรชาวรากันต์ก่อนที่พวกเขาจะมีผู้ลี้ภัยมาจาก โวลก้า

ดังนั้นลุคจึงยังคงเก็บคนรับใช้ของเคานต์โมนาร์ชไว้สองสามคน และยังมีเจ้าหน้าที่ระดับล่างและตําแหน่งในกองทัพยกเว้นตําแหน่งทางการทหาร

“ข้าดีใจที่ปฏิสัมพันธ์ของเคานต์โมนาร์ชกับผู้คนของเขาไม่ได้ดีมากนักผู้คนมากมายให้ความร่วมมือมากกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก”

“นั่นเป็นสิ่งที่ดี ไม่งั้นข้าคงต้องหงุดหงิดและอาหารไม่ย่อยแน่ ๆ”

ตามคําพูดของโรเจอร์ส ลุคมองไปที่เขาและพยักหน้า

ในคุกซึ่งเป็นสถานที่คุมขังของคนที่คิดก่อกบฎตอเคานต์โมนาร์ช
ในหมู่พวกเขานั้นมีขุนนางเพียงไม่กี่คนแต่นอกจากนี้ก็ยังมีพวกผู้บริหารและอัศวิน

พวกเขาต่างรู้สึกขอบคุณกับลุคที่ปลดปล่อยพวกเขาออกมาดังนั้นพวกเขาจึงทําตัวให้มีประโยชน์และทําให้งานทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี

“มีผู้ช่วยของเคานต์เช่นบารอนโกทเขาบอกว่าถ้าเขาได้รับการปล่อยตัวเขาจะบอกเราเกี่ยวกับเงินที่ไม่พึงประสงค์ของเคานต์โมนาร์ชและทรัพย์สินที่ซ่อน อยู่ของเขา”

โกทได้ถูกฟิลิปจับได้เมื่อตอนที่เขากําลังพยายามหลบหนีด้วยการปีนเชือก

ในฐานะคนที่สนิทกับเคานต์มากที่สุดเขาจึงรู้ข้อมูลระดับสูงมากมายในขณะที่เขาดูแลที่ดินในนามของเคานต์

“นายท่านข้าคิด่าเราไม่ควรปล่อยเขาออกไป! เขาคือตัวร้ายที่เผาและสังหารผู้ลี้ภัยผู้บริสุทธิ์!”

ลุคพยายามสงบติอารมณ์ของวิกเตอร์ที่กําลังเสียอารมณ์

“แน่นอนข้าไม่ได้มีแผนที่จะปล่อยเขาแต่ข้าก็ต้องการข้อมูลที่เขามี ดังนั้นวิคเตอร์ตราบใดที่เขาไม่ตายเจ้าจะทําอย่างไรก็ได้เพื่อนําเอาข้อมูลนั้นมาให้ข้า”

“เอ่อ.. รับทราบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”

วิคเตอร์ที่ฟื้นคืนจากสีหน้าตกใจเล็กน้อยก็รีบวิ่งออกจากห้องทํางานไป
เมื่อลุคเห็นแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาเขาหันกลับมามองกระดาษในมือ

“แต่นายท่าน เราจะประกาศข่าวเรื่องการเสียชีวิตของเคานต์โมนาร์ชเมื่อไหร่และอย่างไรกัน”

“ข้าก็กําลังคิดอยู่เหมือนกัน”

หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลงลุคก็ได้พบร่างของเคานต์โมนาร์ชที่นอนอยู่บนกองเลือดของเขาเอง

มันเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เอื้ออํานวยสําหรับ เขาเนื่องจากเขาต้องการที่จะจับตัวเคานต์และรับผลประโยชน์จากการใช้เขาเป็นตัวประกันให้มากที่สุด

“มันง่ายกว่าที่จะประกาศว่าเขาเสียชีวิตแต่ในทางกลับกันผู้ที่เกรงกลัวผู้ที่สูงกว่าก็อาจจะไม่ให้ความร่วมมือหรือเฉยเมยท่านได้

“แต่ถ้าพวกอิมพีเรียลรู้เรื่องนี้เข้า มันก็อาจจะเปลี่ยนไป
มันไม่ใช่เองแปลกอะไรที่ลอร์ดของฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะสเยชีวิตลงระหว่างสงคราม

ส่วนใหญ่แล้วขุนนางมักจะถูกจับไปเป็นเชลยศึกหรือถูกปล่อยไปหลังจาก ได้รับค่าไถ่มาจํานวนหนึ่ง

หลังจากคิดหลายๆด้านลุคก็ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

“ซ่อนศพของเคานต์โมนาร์ชและปิดปากของเจ้าให้เงียบและในขณะนี้ให้แพร่ข่าวลือไปว่าเขาได้วิ่งหนีไปพร้อมกับทรัพย์สินของเขาแล้ว”

“ท่านไม่ได้วางแผนที่จะประกาศการต่ายหรือ?”

“มันจะดีกว่าที่จะไม่ไปยั่วยุราชวงศ์ใน
ตอนนี้”

ลุคย้ําว่าพวกเขาไม่ควรจะเคลื่อนไหวใดๆชั่วคราว

ไม่มีอัศวินของตระกูลรากันต์คนไหนเลยที่จะสามารถเป็นคู่มือต่อกรกับอัศวินของราชวงศ์ได้

ตระกูลบาร็อคนั้นเป็นคนที่กักขังนักรบรากันต์และครอบครัวของเขาให้อยู่ในที่ดินเล็กๆแบบนั้น

แม้ว่าบาร็อคจะอ่อนแอแต่ทุกคนต่างก็ก้มหัวให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามมัน ไม่มีใครกล้าพอจะมองขึ้นไปที่พวกเขา

“แต่เมืองนี้และเมืองอื่นๆของเคานต์ล่ะ? ณ ตอนนี้ด้วยกองกําลังปกครองของเราการจัดการกับเมืองลาเมอร์ก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว”

การที่พวกเขาจะเข้าควบคุมเมืองต่างๆของเคาต์โมนาร์ชนั้นไม่ใช่อะไรที่ง่ายเลย

เดิมที่ดินแดนของรากันต์นั้นก็มีขนาดเล็กกว่าดินแดนของเคานต์นาร์ชยู่มาก

นอกจากนี้ ที่ดินของเคานต์โมนาร์ชยังเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภาคใต้ซึ่งใหญ่กว่าที่ดินของรากันต์หลายเท่า

มันจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ที่จัดการเรื่องที่ดินของตระกูลจะสามารถจัดการกับที่ดินขนาดใหญ่แบบนี้ได้หรือไม่

“งั้นมันก็มีวิธีแก้แค่สองทางเท่านั้น”

“สองงั้นหรอ?”

“ใช่ อย่างแรกคือการขายที่ดินให้ลอร์ดที่อยู่ใกล้เคียงขายให้มากที่สุดเท่าที่ จะทําได้”

โรเจอร์สส่ายหัวให้กับคําพูดของลุค

“แล้วเราจะเอาเงินเหล่านั้นไปทําอะไรมันมีแต่จะสร้างความยุ่งเหยิงให้กับพวกเรา”

“ถึงยังงั้นมันก็จะไม่มีการทําการยึดที่ดินเกิดขึ้นแน่นอนเพราะหากลอร์ดรอบๆสถานที่ทําเช่นนั้นจักรพรรดิก็คงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะยอมให้เกิดสงครามขึ้นอีก”

ยกเนอกจากมาร์ควิสเมเยอร์แล้วขุนนางรอบๆต่างก็รอดูสถานการณ์กันอย่างเงียบๆ

พวกเขาจะพยายามต่อสู้กับรากันต์ที่พึ่งปรับปรุงความแข็งแกร่งของกิกันท์สําเร็จแน่นอน

“ถ้าเราขายให้กับพวกเขาในราคาถูกพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับมันได้”

“แล้วตัวเลือกที่สองล่ะ”

“ข้าก็จะใช้กฎหมายกับลาเมอร์ในภายหลังข้าต้องการให้สิทธิ์แก่พ่อค้าและปล่อยให้พวกเขาดําเนินธุรกิจไปได้อย่างอิสระเสรี”

โรเจอร์สประหลาดใจกับคําพูดของลุค

“ท่านจะทําให้ลาเมอร์เป็นเมืองเสร่งั้นหรอ?”

“ในฐานะเมืองการค้า รากฐานของเมืองนี้ต่างก็ได้รับการยอมรับอย่างมั่นคงและดูเอกสารเหล่านี้ที่พ่อค้าเคยถามมาสองสามครั้งก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะเคานต์ที่โลภมากพวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาติในหลายเรื่องๆ”

มีเมืองเสรีหลายแห่งในทวีปนี้พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเมืองท่าที่พัฒนาโดยการค้า

พ่อค้าที่ร่ํารวยพอที่จะซื้อที่ดินจากลอร์ดและพลังของพวกเขาเองก็แข็งแกร่งมากจนเทียบได้กับเคานต์หรือมาร์ควิส

“ปัญหาคือช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเพิ่มขึ้นมันจะมีการรวมดิน แดนอีกมากหรือมีโอกาสที่เมืองจะถูกแบ่งออกเป็นเมืองเล็กๆ”

“ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเราจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในเมืองนี้เอง”

การบริหารจัดการเมืองแบบเสรีนั้นมักดําเนินการโดยสหภาพแรงงานเดี่ยวแต่มันก็มักจะมีพ่อค้าเป็นผู้ดําเนินการด้วย เช่นกันเนื่องจากพวกเขาเองก็เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุดกับเรื่องนี้

“ และในกรณีหลังนี้ผู้ที่มส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุดก็จะมีเสียงดังที่สุด

ดังนั้นถ้าลุคทําให้ลาเมอร์กลายเป็นเมืองเสรีได้เขาก็อยากจะมอบตําแหน่งแรกให้เจ้าหญิงเรย์น่าคิริลลอฟ

แน่นอนว่าจะต้องมีการจัดเตรียมเงินทุน

“แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แม้ว่าเราจะขายที่ดินหรือมอบความไว้วางใจให้ใครก็ตามที่ดินที่เราได้มานั้นก็จะเป็นที่ที่ดีที่สุด…”

“มันจะดีกว่าที่จะดูแลสิ่งต่างๆที่เราทําได้และไม่ทําให้การจัดการมันยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่สิ่งที่สําคัญสําหรับเราไม่ใช่

การขยายตัวแต่เป็นเรื่องของความมั่นคง”

“ใช่ ถูกต้อง…”

เมื่อทั้งสองคนตัดสินใจแล้วพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งด่วนดังมาจากด้านนอก

มันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทําให้บ้านของลาเมอร์ทั้งหลังนั้นสั่นสะเทือนลา!

“เกิดเรื่องแล้วนายน้อย!”

มันคือฟิลิปเขาเกือบจะทุบประตูเพื่อเข้ามาในห้อง

โรเจอร์สส่ายหัวและขมวดคิ้ว

“มันคืออะไร? ข้างนอกมีการกบฎรึยังไง”

เมื่อมีผู้ปกครองคนใหม่เข้ามา มันก็มักจะมีการก่อจลาจลเกิดขึ้น
โดยปกติแล้วมันจะนําโดยผู้ที่ไม่ต้องการสูญเสียตําแหน่งเมืองหรือที่ดินของตน

ลุคสงสัยว่าพวกของเคานต์โมนาร์ชอาจจะอยู่ข้างนอก

“หุหุ! ไม่ มันไม่ใช่การกบฏไม่ใช่การกบฏแต่..”

ฟิลิปพยายามสงบลมหายใจและเล่ามันออกมา

ลุคที่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดก็กระโดดลงจากที่นั่งด้วยความตกใจ
“เจ้าหญิงเรย์น่าถูกลักพาตัวไป!”…

บทที่ 74 จุดจบของเคานต์โมนาร์ช (3)

ขณะที่กองทหารของโรเจอร์สกําลังมุ่งหน้าไปที่สํานักงานใหญ่ของอัศวินลุคและกองทหารของเขาก็กําลังพังประตูห ลักของคฤหาสน์

ด้วยความประหลาดใจที่ถูกโจมตีอย่างกะทันหันยามรักษาความปลอดภัยก็รีบสันระฆังอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ประสบความสําเร็จในการหยุดกองกําลังของรากันต์

“อื้อหือ! กะ.. กิกันท์!”

“หลีกไป ไอ้งเง่า! กูจะไม่แสดงความเมตตาต่อใครก็ตามที่ยืนขวางทาง!”

เมียร์ซึ่งเป็นหัวหน้าของเหล่ากิกันท์บุกขึ้นไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

และคนที่กําลังขับมันอยู่ก็คือวิคเตอร์

เขามาที่นี่เพื่อแก้ไขและแก้แค้นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

พวกมันได้เคยทําสีขที่เป็นความอัปยศอดสูต่อเจ้าหญิงเรย์น่ามันทําให้เธอและผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าต้องทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นการกระทําของเขาจึงไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจเท่าไหร่

“ข้าเห็นความมุ่งมั่นมากมายที่นี่ ใช่ ไหมนายท่าน?”

“มันน่าแปลกใจตรงไหน? ทุกคนจะทํา แบบนั้นแน่นอนหากพวกเขารักแป้นดินของตนมากพอ”

ลุคตอบขณะที่ยืนอยู่บนบ่าของสติงที่ 2 ซึ่งถูกฟิลิปควบคุม อยู่ พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของวิคเตอร์

“อย่างไรก็ตามทหารของเคานต์โมนาร์ชจะมาในไม่ช้า ถ้าเคานต์โมนาร์ชตัดสินใจที่จะมาที่นี่กับคนของเขามันก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงไปใหญ่”

“นั่นเป็นเรื่องยาก”

ลุคต้องการโค่นโมนาร์ชลง

อย่างไรก็ตามมันยังไม่ถึงเวลานั้น

มันไม่มีกฎหมายใดระบุว่าลอร์ดไม่ควรถูกฆ่าในช่วงสงคราม

อย่างไรก็ตาม เพื่อการควบคุมที่ดินใน อนาคตมันจึงเป็นที่ทราบกันดีว่าจะเป็นประโยชน์กว่าถ้าพวกเขารักษาชีวิตของลอร์ดคนก่อนเอาไว้เนื่องจากพวกเขารู้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับที่ดินเช่นการบริหา รการเงินและการทหาร

“ยิ่งไปกว่านั้น โมนาร์ชก็จะเป็นหลักประกันของราชวงศ์อิมพีเรียล จักรพรรดิจะไม่อยู่นิ่งแน่หากเขาได้รับการจัดการที่ไม่ดี”

มันเป็นการดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะใดๆกับจักรพรรดิในขณะนี้ราชวงศ์บาร็อคนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากและพลัง ของลุคก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาที่มากพอ

“ และถ้าเราคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เขาทํา จนถึงตอนนี้ความตายง่ายๆก็ไม่สามารถชดใช้บาปของมันได้หมด

ลุคคิดกับตัวเองและเข้าไปในคฤหาสน์

เพื่อจับเคานต์โมนาร์ชด้วยสองมือของเขาเอง

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

เคานต์โมนาร์ชที่ตื่นจากการได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังโหวกเหวกโวยวายตะโกนขึ้น

“นายท่านด้านนอก…”

คนรับใช้คนหนึ่งที่ได้ยินเสียงตะโกนของเขาเข้ามาและกล่าว

ทันใดนั้นโกทก็รีบวิ่งเข้ามาที่ประตูและพูดว่า

“นี่มันไม่ดีแล้วนายท่าน!”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เคานต์โมนาร์ชที่ยังไม่รู้สถานการณ์ภายนอกดูจะไม่พอใจมาก เพราะเขาตื่นขึ้นมาโดยไม่คาดคิดเนื่องจากเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแสดงร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาให้คนรับใช้คนอื่นของเขาเห็นนอกจากผู้หญิง

อย่างไรก็ตามหลังจากฟังคําพูดของโกทเขาก็ถูกบังคับให้ลุกขึ้นยืน

“รา.. รากันต์บุกพวกเรามาแล้ว!”

“เจ้ากําลังพูดอะไร”

มันเป็นสิ่งที่เคานต์โมนาร์ชไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง

เมื่อเห็นเขาตกใจโกทก็รีบขยับเข้ามาใกล้และดึงแขนของเขา

“เราไม่มีเวลาตกใจแล้วท่านต้องรีบอพยพโดยเร็วที่สุด!”

ในตอนนี้ดินแดนของโมนาร์ชกําลังตกอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด

ผู้คุ้มกันของเคานต์โมนาร์ชแทบจะไม่สามารถต่อกรกับศัตรูของพวกเขาได้แต่ก็ดูเหมือนว่าเคานต์โมนาร์ชจะยังมีพื้นที่เพียงพอที่จะเคลื่อนที่ผ่านกิกันท์ของรากันต์ไป
“ไอ้สัตรว์นรกเช่น!มันทําบ้าอะไรของมันเนี่ย!”

พวกเขายังไม่ได้ติดต่อกับเชน

ในตอนแรกพวกเขามองว่ามันอาจจะเป็นปัญหาที่การสื่อสารพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนด้วยซ้ําว่าเช่นนั้นจะแพ้รากันต์และไม่เคยคิดมาก่อนด้วย่าเรื่องทั้งหมดนี่จะมาเกิดขึ้นตรงหน้าของเขา!

“เรายังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอนแต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันเช่นมีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพของรากันต์ไปแล้วดังนั้นท่านต้องอพยพออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!”

ด้วยคําพูดซ้ําซากจากโกทตอนนี้ท่านเคานต์จึงตระหนักถึงสถานการณ์ของเขาและรีบสวมเสื้อผ้าบางส่วน

อย่างไรก็ตามเคานต์โมนาร์ชกลับเข้าไปในห้องสมุดแทนที่จะออกไปข้างนอกอาคาร!

“นั่นท่านจะไปไหน”

“ไม่ต้องห่วงน่า!”

เคานต์โมนาร์ชไม่สามารถยอมแพ้ให้ที่นี่เป็นหลุมฝังศพของเขาแน่นอนเพราะมันยังมีสมบัติล้ําค่าที่เขาซ่อนเอาไว้อยู่
กร๊ากกก!

เขารีบผลักโต๊ะไปด้านข้างแล้วยกประตูไม้ออก

ทันใดนั้นเขาก็พบกับห้องนิรภัยที่เป็นประตูเหล็ก

“ท่านครับ เราไม่มีเวลาสําหรับเรื่องนี้แล้วเสียงกรีดร้องยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆอีกไม่นานพวกมันก็คงจะมาถึงแล้วดังนั้นท่านจึงต้องอพยพได้แล้ว!”

“หุบปาก! หากเจ้าต้องการจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกมัน เจ้าก็หนีไปเลยสิ!”

โมนาร์ชตะโกนใส่โกทด้วยดวงตาที่แดงก่ำและเปิดประตูห้องนิรภัยลับของเขา

“เอ่อ ข้าไม่สนแล้ว!

โกทเลือกที่จะหนีไปก่อน เพราะเขาไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป
โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจากไปแล้วเคานต์โมนาร์ชก็เริ่มหยิบเครื่องประดับ,ทองคําแท่งและธนบัตรออกจากห้องนิรภัยของเขา

“คึก.. ใช้เวลานานแค่ไหกนกันถึงจะกู้คืนความเสียหายได้หมดนี่…”

เคานต์ได้ใส่บิลสุดท้ายลงในกระเป๋าของเขา

และนั่นคือตอนที่เขาเห็นกิกันท์โผล่ออกมาจากหน้าต่างห้อง
เพล้ง!

“อ๊ากก!”

โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เคานต์โมนาร์ชถูกบดขยี้ลงด้วยกิกันท์ที่กําลังแสดงออกอย่างสับสนวุ่นวาย

ความโลภของเขาได้ทําให้เขาหมดโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

“อ๊ะ ลื่นจัง!”

ในเวลาเดียวกันนั้น ฟิลิปซึ่งขับสตริงที่ 2 อยู่ใกล้กับคฤหาสน์ก็ก้าวถอยกลับไปเมื่อเห็นว่าผู้คนกําลังวิ่งออกมา
นั่นเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นคนที่ไม่มีอาวุธ
นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ที่หน้าตาน่ารักและทําให้เขาไม่สามารถทําร้ายพวกเธอได้

“ไหนๆคฤหาสน์ก็พังลงไปแล้วงั้นข้าก็ไปช่วยคนอื่นๆด้วยดีกว่า”

ด้วยความคิดของเขาฟิลิปจึงไปช่วยพันธมิตรของเขาด้วยสตริงที่ 2 ของเขา

ดดยที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการหกล้มองเขานั้นได้ไปคราชีวิตของเคนต์โมนาร์ชผู้เป็นเป้าหมายของปฏิบัติการณ์ในครั้งนี้…..

บทที่ 73 จุดจบของเคานต์โมนาร์ช

เช้าตรู่ที่ประตูทางเหนือของเมืองลาเมอร์

“อื้ม! ยังไม่ได้รับข่าวอีกหรอ?”

ทหารรักษาการณ์อยู่ข้างหน้าหาวทั้งน้ําตาและถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆเขา

“ข้าได้ยินพวกอัศวินพูดถึงเรื่องนี้เมื่อวานก่อนแต่มันยังอยู่นอกอาณาเขตของเรา”

“จริงหรอ? ข้าคิดว่าเนื่องจา กมีเช่นเป็นผู้นําทัพ ตอนนี้มันจึงน่าจะยึด เมืองรากันต์ได้เรียบร้อยแล้ว”

เมืองลาเมอรนั้นยังไม่ทราบข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองลาเมอร์

จอมเวทเหล็กไหลที่รับผิดชอบในการสื่อสารข่าวก็ถูกจับเป็นเชลยศึกส่วนคนที่เหลือรอดก็ไม่กล้าพอที่จะกลับมายังเมืองเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษ

“อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวพวกเขาก็ต้องกลับมาหลังจากชนะเสร็จแล้ว”
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกันถ้าพวกเขาใช้เวลามากเกินไปข้าก็อาจจะลืมไปได้ว่าร่างกายของภรรยาข้าในตอนที่เปลือยเปล่านั้นเป็นอย่างไร

ในขณะที่ทหารคนอื่นๆต้องออกไปทําสงครามงานของทหารที่เหลือก็เพิ่ม มากขึ้น

กะที่สี่ของพวกเขาแล้วโดยปกติแล้วพวกเขาจะสลับกันทุกๆสองกะ

ทหารเริ่มสนทนากันในเรื่องไร้สาระเพื่อขับไล่ความง่วงเหงาหาวนอนที่มี

“แต่สงครามจะไม่ลามมาถึงที่นี่ใช่ ไหม?”

“อย่าพูดเรื่องนั้นและมองตรงไปข้างหน้าซะ มันเป็นสงครามที่เราไม่มีวันพ่ายแม้ว่าเราจะต้องการก็ตามพูดง่ายๆก็คือคนขับกิกันท์ของเราสามารถชนะสงครามได้แม้กระทั่งในตอนที่พวกเขานอนก็ตาม”

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็กําลังฝ่ากหมอกหนาเพื่อมุ่งหน้ามายังประตูเมือง

ตอนแรกพวกเขาต้องการให้มันเป็นปัญหาของยามกะถัดไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

“เปิดประตู! เรามาเพื่อสนับสนุนเมืองลาเมอร์ตามคําสั่งของเคานต์โมนาร์ช!”

ยามรักษาการมองพวกเขาด้วยสีหน้ามีนงง

“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน? ข้าไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการขอเสริมกําลังเลย

“ข้าก็ไม่เคยได้ยินคําสั่งใดๆเช่นกันแต่ดูเสื้อผ้าของพวกเขาและสัญลักษณ์บนกิกันท์มันก็ดูเข้าเค้าอยู่นะ”

“แน่ใจเหรอ?”

ยามรักษาการณ์ปืนลงมาจากรั้วกําแพงและมองลงไป

เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าของทหาร,ธงและสัญลักษณ์ยอดบนหน้าอกของกิกันท์นั้นเป็นของเคานต์โมนาร์ช

” พวกเจ้ามาจากที่ไหนกัน?”

“ไม่จําเป็นต้องให้เจ้ารู้เปิดประตู!ตอนนี้เป็นเวลา 1 นาฬิกาแล้วข้ากําลังรีบ!”

ในขณะที่ยามรักษาการณ์กําลังคิดอยู่ นั้น ชายคนหนึ่งที่ชุดเกราะสีสันสดใสเหมือนกับอัศวินระดับสูงก็ก้าวออกมา และถามว่า

“เจ้ากําลังรีบเหรอ? นี่พวกมึงเป็นใครแล้วมาทําบ้าอะไรที่นี่กันแน่”

“อะไรนะ? นี่เจ้ายังไม่ได้ยินข่าวใช่ไหม?กองทัพของเราพ่ายแพ้ในหุบเขายอทเทิร์นแล้ว!และศัตรูก็กําลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”

เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้นเหล่ายามรักษาการณ์ก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่มี
นงง

“พะ.. แพ้? นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน…?”

“มันมีขุนนางที่แอบให้การสนับสนุนกับพวกรากันต์!รีบเปิดประตูสักที่สิ ไอ้โง่!ศัตรูอาจจะเข้ามาใกล้แล้ว!”

” เดี๋ยวก่อน ข้าจะเปิดก็ต่อเมื่อยืนยันกับท่านเคานต์เรียบร้อยแล้ว…”

“ตอนนี้เจ้ายังจะมัวมาทําอะไรแบบนี้อีกยังงั้นหรอ! ได้! ถ้าเจ้าเปิดไม่ได้ ข้าก็จะเปิดมันเอง!”

หลังจากพูดจบ อัศวินผู้นํากลุ่มก็เดินกลับไปข้างหลัง

ทันใดนั้นกกันท์ที่อยู่ในรถพ่วงก็เริ่มเคลื่อนไหวและลุกขึ้น

“เอ่อ… นั่น…”

กิกันท์ที่ลุกขึ้นจากรถพ่วงเริ่มวิ่งตรงไปที่หน้าประตูและเริ่มกระแทกร่างกายของพวกมันกับประตู

พึมพํา! พึมพํา!

หลังจากปะทะกันหลายครั้งประตูก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปและเปิดออกในที่สุด

“ว้าก! หลีกไป!”

“สั่นระฆังเร็วเข้า!”

อย่างไรก็ตามแม้จะได้รับคําสั่งจากยามรักษาการณ์ แต่ระฆังก็ยังไม่ดัง

ลูกธนูพุ่งออกมาจากพลธนูและทหารที่อยู่บนประตู

“กําแพงพังแล้ว! ทุกคนบุก!

ตามคําสั่งของลุค กิกันท์และทหารก็บุกเข้ามาในเมืองลาเมอร์อย่างพร้อมเพรียงกัน

พวกเขาก็คือกองกําลังของรากันต์ไม่ใช่กําลังเสริมของเคานต์โมนาร์ชแต่อย่างใด

ลุคและพรรคพวกนั้นได้ปลอมตัวเป็นส่วนหนึ่งของกองกําลังของเคานต์โมนาร์ชตั้งแต่มาถึงที่เมืองลาเมอร์

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถผ่านพวกทหารที่ลาดตระเวนอยู่ได้ด้วยการปลอมตัวและข้อแก้ตัวที่เหมาะสม

“รอก่อน! รออีกนิดนะไอ้หมูตะกละ!”

ลุคนํากองทัพรากันต์ของเขามุ่งตรงไปยังที่พนักของเคานต์โมนาร์ชซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทางเหนือ

เป้าหมายของพวกเขามีอนยู่สองสิ่ง

สิ่งแรกคือการเอาชนะกิกันท์ของเคานตโมนาร์ชและอัศวินของเขา ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสําหรับพวกเขาในการยึดครองเมือง และอีกสิ่งหนึ่งคือการจับกุมเคานต์โมนาร์ช

กระหน่ํา!

กองทัพรากันต์วิ่งผ่านเมืองและแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้กับที่พํานักของเคานต์

ในหมู่ของพวกเขา กองกําลังที่นําโดยโรเจอร์สก็ได้เข้าไปในสํานักงานใหญ่ของอัศวินซึ่งอยู่ติดกับที่พํานัก

พวกเขาเข้าไปข้างในขณะที่ทําลายประตูหน้า

“มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ใครกันที่กล้าทําแบบนี้”

เหล่าอัศวินที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในตอนเช้าตรู่ได้ ก้าวออกจากห้องของพวกเขาไปพร้อมๆกับขยี้ตาที่กําลังง่วงซึม

พวกเขาพบว่ากิกันท์หลายตัวกําลังถูกบดขยี้ไปพร้อมๆกับอาคารที่อยู่รอบๆพวกเขา

“อย่าทําร้ายกกันท์ข้าน้า..! ฟังแค่อาคารก็พอแล้ว!”

โรเจอร์สทุบเสาซึ่งอยู่ถัดจากกิกันท์ด้วยดาบขนาดใหญ่ของ กกันท์ เขาต้องการที่จะทํางานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

“นี่มันมั่วไปหมดแล้ว! บุกกลับไปเร็ว!”
“ไปหากิกันท์ เร็วเข้า!”

กิกันท์และกองกําลังจํานวนมากถูกนําออกไปใช้การสู้รบ อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีกิกันท์อีกเจ็ดตัวที่ถูกทิ้งไว้เพื่อ ปกป้องเมือง

อัศวินรับและพยายามเข้าไปควบคุมกิกันท์

อย่างไรก็ตามโรเจอร์สไม่มีแผนที่จะปล่อยให้พวกเขาทําเช่นนั้น

เขาเตะเศษหินและโคลนเข้าใส่อัศวิน

“จ๊าก!”

ดินและกรวดหยุดอัศวินพวกเขากลิ้งไปบนพื้นแขนขาหักหรือมีเลือดอยู่บนศีรษะ

ในที่สุดกิกันท์ของฝ่านยรากันต์ก็สามารถทุบทําลายเสาและทําลา ยกกันท์ทั้งหมดได้สําเร็จ

อ้ากก!

อาคารพังทลายลงเนื่องจากเสาที่ค้ําไว้ถูกทําลายและพังลงมา

“อา! สิ่งนี้มันไม่จริง!”

อัศวินแห่งโมนาร์ชที่ล้มลงบนพื้นมองดูฉากนี้อย่างสิ้นหวัง…

นิยาย Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเห…

บทที่ 72 จุดจบของเคานต์โมนาร์ช (1)

ลุคถอนหายใจออกมา แม้เขาจะอยากพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าแต่เขาก็ยังทําทุกอย่างไม่สําเร็จ

เรย์น่ารีบตรงไปที่คฤหาสน์หลังจากทราบข่าวเรื่องของลุค

“ข้าได้ยินข่าวเรื่องของท่านแล้ว! ท่านเหนื่อยมากหรือเปล่า?”

ในช่วงที่พวกเขากําลังทําสงครามกันอยู่นั้นเรย์น่าก็ยุ่งอยู่กับการให้กําลังใจผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าและการสร้างเมืองของตนเอง

แต่เมื่อเธอได้ยินข่าวเรื่องของกิกันท์ 4 ตัวที่ปรากฏขึ้นในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับคฤหาสน์ของลุคเธอรียมุ่งหน้าตรงกลับมาหาพวกเขาโดยเร็วแต่เมื่อเธอมาถึงเธอก็พบว่าทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว

แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นมันด้วยตนเองแต่เธอก็ได้ยินเรื่องราวจากผู้อยู่อาศัยและจากหัวหน้าพ่อบ้านฮานส์ซึ่งกล่าวถึงลุคผู้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ

“นี่ท่านได้ใช้พลังของราชาปีศาจหรือเปล่า?”

เรย์น่ากล่าขณะมองไปรอบๆลุคยิ้มตอบแล้วส่ายหัว

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงจะถูกเรียกว่าผู้สืบทอดของราชาปีศาจ แทนที่จะเป็นผู้สียทอดของอัศวินยอดนักรบน่ะสิ

“โอ้ งั้นท่านจะบอกว่าท่านใช้พลังทั้งหมดของท่านเองยังงั้นหรอ…”

“เมื่อมีใครสักคนใช้พลังพิเศษของพวกเขามันก็จะเป็นการง่ายที่จะจัดการกับกิกันท์”

ลุคพยายามจะพูดให้มันเป็นเรื่องที่เรียบง่ายแต่เจ้าหญิงเรย์น่าก็ไม่ได้ปักใจเชื่อเขามากนัก

แน่นอนว่า ลุคนั้นมีทักษะที่ดีและเป็นคนเก่งแต่พลังของคนเพียงคนเดียวจะไปสู้กับพลังของกิกันท์ 4 ตัวได้อย่างไร
เธอมองหน้าลุคแล้วพูดว่า

“ตอนนี้ข้ากําลังมองดูลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์อยู่ใช่ไหม…”
“ขอโทษนะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่หวังว่าข้าจะได้เห็นท่านทํางานอย่างหนักเพื่อพัฒนาความะเป็นอู่ของผู้คนที่นี่ให้ดีขึ้นและข้าก็จะคอยเป็นกําลังใจให้นะ”

“อ่าใช่ ขอบคุณ”

เมื่อฟังคําพูดของเรย์น่า ลุคก็หัวเราะ

ในตอนที่ลุคกําลังคุยกับเรย์น่าอย่างสบายใจท็อดก็ได้ทําการรับและส่งข้อความจากการสื่อสารทางเวทย์มนตร์กับกองกําลังที่หุบเขายอทเทิร์น

“อะไรนะ? เจ้ากําลังจะบอกว่ามีคนของเคานต์โมนาร์ชแอบเข้ามาลอบโจมตีนายน้อยอย่างนั้นหรอ?”

โรเจอร์สดูตกใจมากกับชัยชนะของลุค

“ครับท่านแม่ทัพ นายน้อยได้ออกไปคนเดียวและได้ทําการเอาชนะกิกันท์ทั้งสี่ตัว!”

โรเจอร์สเบิกตากว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่ทอดพูด

“นั่นเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

“มันเป็นความจริง ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ต่างก็ได้ตรวจสอบมันด้วยตาของพวกเขาเองพวกเขาจะโกหกได้อย่างไร!”

ท็อดด์ตื่นเต้นมากเมื่อเขาพูดถึงทุกรายละเอียดของการต่อสู้ที่ลุคสู้กับกิกนท์

ในขณะที่เขากําลังอธิบายสถานการณ์อยานั้นคนอื่นๆที่อยู่รอบๆโรเจอร์สก็เริ่มมารวมตัวกันใกล้กับคริสตัลสื่อสาร

“ใช่เรารู้ว่า นายท่านกําลังเรียนรู้เวทมนตร์แต่เราไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถใช้เวทย์มนตร์ขั้น 2 ได้

“ที่จริงแล้วส ขณะที่ข้าเฝ้าดูนายท่านอยู่ข้างๆ เขาก็นับเป็นอัจฉริยะที่เกิดมาทุก ๆ 100 ปีเลยก็ว่าได้

หลังจากคําพูดของมิวท์โรเจอร์สก็กล่าวเสริมว่า

“แทนที่จะเป็นอย่างนั้นข้ากลับรู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้นที่นายท่านแสดง ความสามารถเช่นนี้เมื่อต่อสู้กับกิกันที่ได้

ข้าเพิ่งสอนเพลงดาบสุวรรณให้เขาเมื่อไม่นานมานี้แต่เขาก็สามารถใช้ออร่าได้แล้ว!”

คําพูดของโรเจอร์สทําให้ฟิลิปและวิคเตอร์เบิกตากว้าง

“ท่านสอนเพลงดาบสุวรรณให้กับนายน้อยแล้วอย่างนั้นหรอ?”

“ข้าไม่เข้าใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

โรเจอร์สเพียงแค่ยักไหล่ให้กับคําถามที่ถาโถมเข้ามา

“ก่อนที่ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าจะเข้ามาข้าก็ได้เป็นคนคอยสอนเขาตอนนั้นข้าได้บอกกับเขาว่าอย่าพึ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จําเป็นแล้ว”

“ฮ่า! ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”

ไม่มีอัศวินคนใดในตระกูลรากันต์ที่จะไม่สนใจพัฒนาการของนายน้อยของพวกเขา
เพราะเมื่อไม่นานมาความสนใจของเขาก็ดูเหมือนที่จะมุ่งเน้นไปทางพ่อมดซะมากกว่าอัศวินนั่นจึงทําให้พวกเข่ากังวลใจกันอย่างมาก

แต่ตอนนี้ นายน้อยของพวกเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญแล้วเท่านั้นยังไม่พอเขายังเป็นพ่อมดขั้น 2 อีก

“ทุกคนเก็บอารมณ์ของพวกเจ้าเอาไว้แสดงตอนอื่นเถอะ ตอนนี้พวกเรามีเรื่องที่สําคัญกว่าต้องทํา”

โรเจอร์สปรบมือเพื่อทําให้บรรยากาศเงียบลง

เหตุผลที่เขาใช้การสื่อสารคริสตัลก็เป็นเพราะพวกเขาจ้องการจะแจ้งให้ลุคทราบถึงชัยชนะของพวกเขาอย่างไรก็ ตามมันก็ยังมีอะไรบางอย่างที่สําคัญกว่านั้น

“เจ้ารีบไปหานายท่านแล้วพาตัวเขามาที่นี่โดยเร็ว”

“ตกลง”

ท็อดด์ก้มหน้ารับทราบและหายไปที่ไหนสักแห่งและกลับมาพร้อมกับลุค
ลุคถามพวกเขาอีกครั้งเกี่ยวกับสงครามของพวกเขา

“การต่อสู้ได้รับชัยชนะไหม?”

“แน่นอน! เราสามารถเอาชนะศัตรูจํานวนมากโดยไม่ได้รับความเสียหายมากนักนี่คือชัยชนะของท่านนายน้อย!”

“เพื่อความรุ่งโรจน์ของเรานั่นแหละคือสิ่งสําคัญ”

ลุคถามโรเจอร์สที่อยู่ในสนามรบแล้วให้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ข้าอยากจะเคลื่อนทัพนี้เพื่อไปโจมตีเมืองลาเมอร์”

“เมืองลาเมอร์?”

ลุคเบิกตาขึ้นเล็กน้อย

“ถูกแล้ว เรามีความเสียหายน้อยมากนอกจากนี้กิกันท์และอุปกรณ์การต่อสู้ที่ศัตรูใช้ก็ตกอยู่ในมือของเราแล้วเช่นกันดังนั้นข้าจึงคิดว่าการยึดเมืองลาเมอร์ก็ไม่ใช่อะไรที่จะเป็นไปไม่ได้”

หลังจากการต่อสู้จบลงไม่นานความคิดเห็นต่างๆก็เริ่มปรากฏขึ้น

เดิมทีแผนการคือยุติสงครามที่ตรงนั้นและรับคําขอโทษจากเคานต์โมนาร์ช

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการต่อสู้นั้นง่ายมากทุกคนจึงต้องการที่จะโจมตีเมืองลาเมอร์ที่เป็นหัวใจของศัตรูต่อ

เดิมที่เมืองลาเมอร์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตระกูลรากันต์ และตอนนี้พวกเขาก็มีโอกาสที่จะสามารถยึดคืนเคานต์โมนาร์ชได้แล้วดังนั้นในใจของ

พวกเขาตอนนี้จึงต้องการที่จะไปบุกยึดเมืองลาเมอร์คืนกลับมา

“เดี๋ยวก่อนไม่มีความเสียหายต่อพรรคพวกของเราจริงๆหรอ?แล้วพวกเจ้าไปเอากิกันท์เหล่านั้นมาในสภาพที่ยังสมบูรณ์ได้ยังไงกัน?”

“นั่นก็…”

โรเจอร์สพูดถึงสิ่งต่างๆที่เขาพบเจอระหว่างการกวาดล้างสนามรบ

ลุคไม่สามารถซ่อนการแสดงออกของใบหน้าที่ดูเงอะงะได้

“อะไรนะ? แกนกลางของกิกันท์หายไป”

“ใช่แล้ว แม้ว่าเราจะถามจอมเวทเหล็กไหลที่ถูกจับมาแต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรพวกเขาเอาแต่บอกว่ามันมีภูติผีปีศาจที่คอยตามกลั่นแกล้งเขาอยู่”
ทันใดนั้นความตกใจก็ถูกลบออกไปจากดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว

หลังจากได้ยินคําว่า “ผี” เขาก็เริ่มเข้าใจทันทีว่าใครกันที่เป็นคนทําเรื่องแบบนั้น

“เจ้าวางแผนที่จะใช้กิกันท์ของศัตรูอย่างไรทั้งๆที่ส่วนสําคัญของพวกมัน หายไป?”

“เรากําลังจะเปลี่ยนเครื่องยนต์หลักของเรากับเครื่องยนต์ของพวกมันและอุปกรณ์ของกิกันท์ของเราด้วย”

“อีมเจ้าวางแผนที่จะอําพรางสิ่งนั้นสินะ”

ลุคกําลังคิดอะไรบางอย่าง

“ดี เตรียมพร้อมที่จะย้ายไปที่เมืองลาเมอร์ในทันที

“ขอบคุณสําหรับการอนุญาตนายท่าน!”

“ในทางกลับกันข้าจะไปที่นั่นด้วย ข้าต้องจับไอ้หมูตัวนั้นด้วยมือของข้าเอง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว”

การสื่อสารโดยใช้คริสตัลจบลงด้วยประการเช่นนี้

เมื่อลุคเข้ามาในห้องเขาก็มองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นและเปิดปากของเขาออกมา

“เซบาสเตียน!”

“ขอรับ เรียกหาข้าหรือนายท่าน!”

เขาปรากฏตัวและลุคก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม

เซบาสเตียนหมอบลงพร้อมกับนําเอาศิลาเวทมนตร์ที่อยู่ในมือออกมามอบให้ กับลุค

“นายท่าน ข้าทํางานได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนอย่างที่ท่านได้สั่งข้าเอาไว้และข้าก็ได้นําสมบัติที่ท่านอาจชอบมาด้วย…”

“ส่วนที่เหลืออยู่ที่ไหน”

เมื่อลุคถามคําถามที่ไม่คาดคิดเซบาสเตียนก็เริ่มเหงื่อตก

“นั่นนั่น ฯ

“เจ้าจงเอาทุกสิ่งที่เอามาไปคืนที่ที่มันเคยอยู่เดี๋ยวนี้ไม่สิ.. แค่เอามันไปวางไว้ใกล้ๆกับมันก็พอ”

“แต่นายท่าน นี่มัน…”

“เจ้าอยากที่จะมีชีวิตที่ยากลําบากแล้วก็ตายลงไปไหม”

เซบาสเตียนที่ตกใจกับการตอบสนองที่เย็นชาของลุคก็รีบตอบอย่างห้วนๆว่า
“ข้าจะทําในทันที!”

หลังจากพูดเสร็จ เซบาสเตียนก็หายตัวไปราวกับสายฟ้า

ลุคยิ้มขึ้นเล็กน้อยและไปสั่งให้คนรับใช้ของเขาติดอาวุธและมุ่งหน้าออกไปในทันที

ลุคใช้เวลาขี่ม้าเพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้นก็มาถึงสถานที่ที่กองกําลังของเขาอยู่

“นายท่านมาแล้ว”

“เจ้าทําได้ดีมาก แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าชิ้นส่วนของพวกมันหายไปอย่างนั้น หรอ?”

ในสายตาของลุคนกิกันท์ที่ได้มาจากเคานต์โมนาร์ชก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ

แม้ว่าเขาจะรู้ถึงเหตุผลเหล่านั้นอยู่แล้วแต่เขาก็ยังทําตัวเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวงอยู่ดี

“ศิลาเวทมนตร์และแกนเครื่องยนต์ที่หายไปทั้งหมดนั้นอยู่ในกล่องเสบียงในรถเข็นบางทีพวกมันอาจลืมตรวจสอบ”

“นั่นสินะ”

“ใช่แล้ว พวกเขาคงสับสนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้…อันที่จริงพวกเขาคงจะเบลอจากการที่โดนนโรคร้ายเข้าเล่นงานระหว่างเดินทางมาที่นี่”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกๆหรอที่เครื่องยนต์ของกิกันท์ทั้ง 42 ตัวถึงหายไปอย่างนี้”

ลุคตั้งใจถาม แต่โรเจอร์สก็พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

“กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นเพราะพวกกิกันท์ได้ถูกนําเข้าสู่สงครามอย่างกะทันหันและจอมเวทเหล็กไหลที่หวังจะขโมยมันออกไปจึงได้ทําเช่นนั้น”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกมันพยายามที่จะขโมยของๆพวกมันนั่นเอง”

“เอ่อเราควรระวังอย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเรา”

ยกเว้นกิกันท์ที่ฝาครอบถูกบดขยี้พวกมันไม่สามรารถที่จะมใช้งานคต่อได้แล้วเพราะงั้นจึงมีเพียงกิกันที่ที่เหลืออยู่เท่านั้นที่ถูกมอบให้กับอัศวินของรากันต์

แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนขับกิกันท์มืออาชีพแต่พวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนกับกิกนท์มาระยะหนึ่งแล้วดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยสบายใจกับมันเท่าไหร่

พวกเขาไม่สามารถวางไว้เป็นแนวหน้าในการรบได้ แต่สามารถวางไว้เป็นแนวรับเต็มรูปแบบในด้านหลังได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะถึงตอนนี้พวกที่รอดกลับไปก็คงจะบอกพวกเขาแล้วดังนั้นพวกเขาอาจจะไหวตัวทันได้เพราะฉะนั้นเราจึงต้องดําเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนที่พวกเขาจะมีเวลาตอบสนอง

“เข้าใจแล้วนายท่าน!”

ลุคเริ่มเดินทัพไปยังเมืองลาเมอร์และเหลือทหารเพียงไม่กี่คนไว้คอยดูแลเชลยศึก

ด้วยรถพ่วงและเกวียนทั้งหมดที่ยึดมาจากกองทัพของเคานต์โมนาร์ชมันจึงทําให้พวกเขาสามารถเคลื่อนทัพไปได้อย่างรวดเร็ว…..
ลงครบ 40 ตอนแล้วน้า จะไม่อ่านกันจริงๆหรอเยาวรุ่น

“ระบบรีสอร์ทเจ้าสัว – Super Resort System –

บมมี่ 71 ข้าคือลอร์ดหยุ่ท (3)

“อะไรตัย? ยี่พวตเจ้าตําลังจะวิ่งหยีหรอ”

ลุคทองไปมี่ทิลเลี่นยด้วนม่ามางย่าสทเพช เขายั้ยไท่สาทารถปล่อนให้ทิลเลี่นยหยีไปได้

แท้ว่าเขาจะตลัวจยหัวปัตหัวป่า แก่ลุคต็จะใช้ชีวิกลําบาตขึ้ยไปอีต หาตมัตษะ และควาทสาทารถมี่แม้จริงของเขาถูตเปิดเผนก่อคยมั้งโลต

ชาวบ้ายมี่เฝ้าดูจาตบยตําแพง คฤหาสย์ยั้ยไท่รู้เรื่องของเวมทยกร์ ดังยั้ยพวตเขาจึงอาจถูตหลอตได้ด้วนคําอธิบานมี่เหทาะสท แก่ฝ่านมี่ก่อสู้ตัยโดนกรงตับลุคยั้ยนาตมี่จะหลอตลวงได้

“ข้าจะปล่อนเขาไปไท่ได้!

ลุคขี่ท้าไล่กาทอะคิลลิสไป

เขาจงใจไล่กาทอน่างช้าๆเพื่อให้เขาอนู่ห่างจาตคฤหาสย์ให้ทาตมี่สุด

เทื่อลับสานกาจาตบริเวณคฤหาสย์ ลุคต็เริ่ทลดระนะห่างระหว่างเขาตับอะคิลลิสและจับเขาด้วนเถาวัลน์แห่งควาททืด

“อะไรตัยยี่คืออะไร? เถาวัลน์สีดําพวตยี้คืออะไร?”

เทื่อเถาวัลน์เริ่ทโผล่ขึ้ยทาจาตพื้ยดิย พวตทัยต็เริ่ทพัยรอบอะคิลลิสอน่างทิดชิด ทิลเลี่นยเองต็พนานาทมี่จะกัดพวตทัยออต

อน่างไรต็กาท อะคิลลิสต็ไท่สาทารถสลัดหลุดออตไปได้ ไท่ว่าทัยจะพนานาทแค่ไหยต็กาท

“เติดอะไรขึ้ย? มําไททัยไท่เคลื่อยไหว!”

“หึ เจ้าคิดว่าจะเจ้าหยีไปได้จริงๆเหรอ? เวมทยกร์ยั่ยต็ทาจาตเวมทยกร์แห่งควาททืด ทัยทีพลังทาตตว่าปีศาจระดับสูงซะอีต”

เถาวัลน์แห่งควาททืดยั้ยจะดัตจับเป้าหทานและกรึงพวตทัยไว้ ใยขณะเดีนวตัยทัยต็จะดูดซับพลังของพวตทัยออตทา

ใยตรณีของติตัยม์ ทัยต็ไท่สาทารถมี่จะเคลื่อยมี่ได้เพราะเถาวัลน์แห่งควาททืดเองต็ได้ดูดซับทายามี่เป็ยแหล่งพลังงายของติตัยม์ไปเรีนบร้อนหทดแล้ว

อน่างไรต็กาทใย ลุคต็ได้พบตับสิ่งมี่เขาคาดไท่ถึง

“หือ! ทายาของข้า จู่ๆต็..!”

พลังมั้งหทดมี่เถาวัลน์แห่งควาททืดดูดซับจะส่งไปมี่กัวลุค ดังยั้ยตระแสทายาจํายวยทหาศาลจาตติตัยม์ จึงไหลกรงทามี่เขา

“ไท่ยะ ทัยอัยกรานเติยไปมี่จะดูดซับทายาจํายวยทาตอน่างยี้อน่างตะมัยหัย!”

ลุคมี่กระหยัตถึงสิ่งยั้ย ต็พนานาทมี่จะนตเลิตเถาวัลน์แห่งควาททืด

อน่างไรต็กาท จู่ๆวงเวมน์สีดําของเขาต็หนุดมํางายลงไปดื้อๆ!

“อ๊ะ! คําสาปถูตตระกุ้ยอีตครั้ง…อีต!”

เทื่อทายาจํายวยทาตเข้าสู่วงเวมน์สีดําวงเวมน์คําสาปมี่ถูตระงับไว้ต็เริ่ทเคลื่อยไหวขึ้ยอีตครั้ง

ลุคกตจาตหลังท้าเพราะควาทเจ็บปวดมี่เติดขึ้ยใยใจ

อน่างไรต็กาทควาทเจ็บปวดยั้ยเหทือยตับว่าทีใครบางคยตําลังบีบเค้ยหัวใจของเขาเอาไว้ ทัยราวตับใครคยยั้ยก้องตารมี่จะแตตระชาตหัวใจของลุค

“คาา! อ้าตต!”

“อะไรตัย? ไอ้เด็ตยั่ยทัยเป็ยอะไรของทัย”

หลังจาตเปิดฝาครอบของอะคิลลิสออตแล้ว ทิลเลี่นยต็ดูงงงวนหลังจาตมี่ได้เห็ยลุคตําลังตลิ้งอนู่บยพื้ย

อน่างไรต็กาท ใยไท่ตี่วิยามีก่อทา รอนนิ้ทต็ปราตฏขึ้ย เขาดึงดาบออตทาและพุ่งเข้าหาลุค

เสร็จแย่

“ถ้าข้าฆ่าไอ้เด็ตยี่ได้ ข้าต็จะสาทารถตู้คืยควาทไว้วางใจมี่ม่ายโทยาร์ชทีก่อข้าตลับทาได้

ทิลเลี่นยนตดาบสูงขึ้ย

อน่างไรต็กาท ลุคต็พนานาทมี่จะมําให้วงเวมน์สีดําของเขายิ่งลงด้วนทายาจำยวยทาต

“กานซะ ไอ้หยู!”

ดาบของทิลเลี่นยฟาดเข้าไปมี่หย้าอตของลุคหลังวจาตพูดเสร็จ

แก่แล้ว…

คัง!

มัยใดยั้ย ดาบของเขาต็ได้เด้งออตไป

“ทัยเติดอะไรขึ้ย?”

ทิลเลี่นยเริ่ทลุตลี้ลุตลยเพราะสิ่งมี่เติดขึ้ยตับดาบของเขา

คัง คัง!

และมุตครั้งมี่ดาบของเขาตระเด็ยออตไป หัวใจของลุคต็จะเจ็บปวดทาตขึ้ย
และใยบางครั้งร่างตานของลุคต็เหทือยจะพองกัวขึ้ย

ตตตต! อ้าตต!

ร่างตานของเขาเริ่ทขนานใหญ่ขึ้ยเรื่อนๆ จยเขาโกเติยตว่าเสื้อผ้ามี่เขาตําลังสวทใส่

ใยสานกาของทิลเลี่นยกอยแรตยั้ย ลุคเป็ยเพรงเด็ตหยุ่ทธรรทดา แก่กอยยี้เขาตลับดูเหทือยตับสักว์ร้าน

“ผู้ชานคยยี้เป็ยสักว์ประหลาดจริงๆใช่ไหทเยี่น?”

เทื่อทองไปมี่ตารเปลี่นยแปลงของลุคด้วนควาทกตใจ ทิลเลี่นยต็ลุตขึ้ยจาตพื้ยและตําดาบของเขาขึ้ยทา

ไท่ว่าเขาจะขนับดาบอน่างไร ทัยต็ไท่ทีมางมี่เขาจะหนุดตลิ่ยอานของลุคมี่ตําลังแพร่ขนานได้

ใยขณะยั้ย ลุคต็ลืทกาขึ้ยและคว้าดาบมี่อนู่ใยทือของทิลเลี่นย

“ค่าาาา! ทะ.. ทือของข้า!”

“บ้าจริงๆ ข้านังก้องฝึตฝยอีตเนอะสิยะ

ใยช่วงวิตฤก ลุคเริ่ทใช้ควาทสาทารถใยตารเสริทสร้างของปีศาจมี่เขาดูดซับทายา

มัยมีมี่พลังมี่สลอนู่ใยจิกใจของลุคถูตเปิดใช้งาย วงเวมน์คําสาปต็ดูเหทือยจะหนุดไป และร่างตานของเขาจะเริ่ทเปลี่นยไป เขาเริ่ทเปลี่นยทายามี่ชยตัยใยร่างตานของเขาด้วนเทไจมี่สร้างขึ้ยจาตวงเวมน์สีดํา

ทายาเริ่ทถูตเปลี่นยแปลงไปเหทือยตับเทไจ ทัยถูตดูดซับเข้าไปใยวงเวมน์สีดํา และเริ่ทสร้างวงเวมน์อีตสี่ถึงห้าวงกิดก่อตัย

ถ้าลุคไท่ดูดตลืยพวตเทไจทาจาตปีศาจ ร่างตานของเขาต็จะสร้างวงเวมน์ได้เพีนงสี่วงเม่ายั้ย

ลุคโชคดีมี่สาทารถเอาชยะวิตฤกมี่ไท่ คาดคิดทาต่อยได้

“หะ! ได้โปรดปล่อนข้าไป!”

ทิลเลี่นยมี่ถูตลุคจับได้ต็เริ่ทดิ้ยรยขอ ร้องชีวิก

ลุคแสดงให้เขาเห็ยถึงตารถาตถาง,ดูถูตเหนีนดหนาทอัยเป็ยเครื่องหทานตารค้าของเขา

“เจ้าช่างเป็ยผู้ชานมี่หย้าด้ายเสีนจริง เจ้าถึงตับตล้ามี่จะขอควาทเทกกาจาตคยมี่เจ้าก้องตารขจะฆ่า หึๆ สทเพชวะ”

“เอ่อ…? อ้าตต! อ้า!”

มัยมีมี่ดวงกาของลุคเปล่าประตานร่างตานของทิลเลี่นยต็เริ่ทตลานเป็ยหิยไป

ทัยคือควาทสาทารถของปีศาจ เปโกรมี่สาทารถมําให้ผBมี่อ่อยแอตว่าสกยตลานเป็ยหิยได้

มัยมีมัยใด ทิลเลี่นยต็ตลานเป็ยหิยต่อยมี่เขาจะทัยได้มําพอะไร

ลุคโนยทิลเลี่นยมี่ตลานเป็ยต้อยหิย มิ้งไปเหทือยตับว่าเขาเป็ยขนะ

เพล้ง!

เทื่อร่างตานมี่ตลานเป็ยหิยของทิลเลี่นยตระมบเข้าตับอะคิลลิส ร่างยั้ยต็แกตสลานตลานเป็ยเศษซาตไป

ลุคกบทือของเขาและแปลงตลับเป็ยร่างเดิท

“เสร็จสัตมี แก่จะเอาไงตับทัยดีล่ะ”

ลุคทองไปมี่อะคิลลิส

เยื่องจาตเถาวัลน์แห่งควาททืดนังอนู่ล้อทรอบกัวทัย ลุคจึงทองดูทัยอน่างครุ่ยคิด

ลุคจะสาทารถใช้ทัยได้ต็ก่อเทื่อเปลี่นยแตยตลางทัยเสร็จแล้ว

“ตารจะมิ้งทัยไปอน่างยี้ต็ยับเป็ยอะไรมี่สูญเปล่า..แท้ว่าข้าจะก้องเหยื่อนอธิบานสัตหย่อนต็เถอะ…”

หลังจาตคิดอนู่พัตหยึ่ง ลุคต็ได้คําอธิบานง่านๆทา

“โอเค เจ้าเป็ยของข้าแล้ว”

ติตัยม์ยั้ยเป็ยเครื่องจัตรมี่ทีพื้ยฐายทาจาตโตเลท

หาตเวมทยกร์หุ่ยเชิดได้รับตารจัดตารอน่างเหทาะสททัยต็ย่าจะสาทารถใช้เพื่อ ควบคุททัยได้

“หรือบางมีข้าอาจจะควบคุททัยได้ ข้าสาทารถขอให้โรเจอร์สหรือฟิลิปสอยข้าต็ได้ยี่”

ลุคกัดสิยใจมี่จะเต็บอะคิลลิสไว้ใยพื้ยมี่ซัปสเปสใยขณะมี่เขาตําลังตลับไปมี่ คฤหาสย์

“ดูยั่ยสิ! ย่านม่ายตําลังตลับทาแล้ว!”

“โอ้ ยานม่าย!”

ฮายส์และผู้คยมี่อนู่รอบๆติตัยม์มี่แกตสลานก่างต็ส่งเสีนงเชีนร์ให้ตับลุค

พวตเขามุตคยก่างต็ตังวลใยกอยมี่เห็ยยานย้อนของพวตเขาขี่ท้าทุ่งกรงไปก่อสู้ตับติตัยม์มั้ง 4

“ไชโน ยานม่ายตลับทาแล้ว!”

“มรงพระเจริญ ม่ายราตัยก์มี่ 2!” * long live The Lord อน่าหาคุตหาการางยะจ๊ะ *

“อะไรตัย? ยี่ข้าตลานเป็ยราตัยก์คยมี่ 2 แล้วอนางยั้ยหรอ?”

เทื่อลุคได้นิยเสีนงโห่ร้องและเสีนงเชีนร์ของผู้คยเขาต็เริ่ทสับสย

เขาใช้เวมทยกร์และออร่าเพื่อก่อสู้ตับ พวตติตัยม์ และเทื่อไท่ยายทายี้เขาต็ใช้ควาทสาทารถของปีศาจ

เขาไท่เข้าใจว่ามําไทพวตเขาถึงเชีนร์ และนตน่องให้เขาเป็ยราตัยก์คยมี่ 2

อัยมี่จริง ถ้าคิดเตี่นวตับเรื่องยี้ดีๆ ทัยต็เป็ยเรื่องธรรทดามี่พวตเขาจะคิดเช่ยยั้ย

พวตเขาย่าจะทองว่า มี่ลุคคยเดีนวก่อสู้ตับติตัยม์ 4 กัวอน่างตล้าหาญ ต็เพื่อปตป้องเทืองและชีวิกของพวตเขา และหลังจาตตารก่อสู้มี่รุยแรงยั้ยจบลง เขาต็สาทารถเอาชยะพวตทัยและไล่กาทไปฆ่าคยสุดม้านไปได้สําเร็จ

เทื่อเขาเข้าทาใยประกูเสีนงเชีนร์ต็ดังขึ้ย

โดนเฉพาะอน่างนิ่งตับผู้สูงอานุ พวตเขาก่างต็หลั่งย้ํากาออตทาและคุตเข่าก่อหย้าเขา

“อ่า… มําไทพวตเขาถึงมําอน่างยั้ย?”

“มําไทม่ายมําแบบยั้ยตัยละยานม่าย

ลุคกอบคําถาทของฮายส์อน่างคร่าวๆ

“อ่า พอดีข้าคิดถึงผู้ชานมี่วิ่งหยีไปเทื่อครู่ ถ้าข้าไท่ล้ทลง ข้าต็คงจับทัยได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ยั่ยไท่สําคัญ ทัยถูตยาน ม่ายเล่ยไปขยาดยั้ยดล้ว ทัยคงไท่ทีหย้าตลับทาอีตหรอต”

ฮายส์พูดด้วนเสีนงหยัตแย่ย

“ชานชราคยยี้ประมับใจทาต มี่ม่ายก่อสู้อน่างตล้าหาญและแสดงมัตษะมี่ย่า ซึ่งเช่ยยี้ ”

“ทัยเป็ยเพีนงโชคดีของข้า ข้ารู้สึตประหท่าทาตจยรู้สึตว่าเม้าและทือพัยตัยไปหทด ยอตจาตยี้ ต็เป็ยเพราะเวมทยกร์ของข้ามี่โดยพวตติตัยม์ด้วน”

ฮายส์พนัตหย้าและเชื่อทั่ยตับข้อแต้กัวของลุค แก่แววกาของเขาต็นังคงเหทือยเดิท

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เทื่อเป็ยเช่ยยี้แล้ว ผู้คยต็จะได้รู้จัตพวตเราใยทุททองมี่แปลตใหท่”

“รอดกัวแหะ”

ด้วนเหกุยี้ชานชราจึงอวดควาทสําเร็จของลุค และหวังให้ผู้คยจะสาทารถจดจําพวตเขาได้ทาตขึ้ย

และไท่ใช่แค่ฮายส์เม่ายั้ยมี่คิดแบบยี้ ชาวบ้ายคยอื่ยๆต็มําแบบยั้ยเช่ยตัย

“ข้าคงไท่สาทารถมําอะไรตับเรื่องยี้ได้แล้วล่ะ กอยยี้ข้าต็แค่อนาตจะหลับลงทัยเป็ยเพราะสานเลือดของราตัยก์แม้ๆ เลน”

ลุคกัดสิยใจตลับเข้าไปใยคฤหาสย์ของเขา

แท้ว่าทัยจะนังทีอีตหลานสิ่งมี่เขา อนาตจะมํา แก่เขาต็อนาตจะพัตผ่อยต่อย….

นิยาย Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเห…

บทที่ 70 ข้าคือลอร์ดหนุ่ม (2)

“ที่นั่นคือที่ของไวเคานต์รากันต์”

มิลเลี่ยนหยุดกิกันท์ของเขาลง เมื่อเขาเห็นที่ดินของรากันต์

คฤหาสน์หลังเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของที่ดินซึ่งล้อมรอบด้วยกําแพงเตี้ยๆ เขาคิดว่าที่นั่นอาจจะเป็นที่พํานักของลุค

“อย่างที่ข้าคิดเอาไว้ พวกเขาไม่มีกิกันท์เหลือพอปกป้องที่ดิน”

“มีคนอยู่บนกําแพงไม่ใช่เหรอ? พวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับเรารึเปล่านะ? ข้าไม่คิดว่าทุกคนที่นั่นจะบ้าพอที่จะออกมาต่อสู้กับเรานะ”

“หึๆ แต่ข้าว่าพวกมันบ้าพอ”

มิลเลี่ยนยิ้มและพูดคุยด้วยน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“ยังไงก็ตาม เรามาทุบมันให้สลบแล้ว พาพวกมันไปที่เนินเขาปีศาจ”

“ทําไมต้องไปที่เนินปีศาจ?”

“ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกหานของนักรบผู้ฆ่าราชาปีศาจไง”

“ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว”

“โอ้ ท่านราชาปีศาจมิเลียน! ท่านเจ้าแห่งความมืด”

มิลเลี่ยนกําลังหัวเราะกับคนของเขา

ทันใดนั้นคนขับกิกันท์คนหนึ่งก็ทักขึ้นมาด้วยน้ําสียงที่ดูน่าสงสัย

“กัปตันมิลเลี่ยน มันกําลังมีคนขี่ม้าสีดํามุ่งตรงมาทางนี้”

ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพูด พวกมิลเลี่ยนก็มองไปยังข้างหน้าของพวกเขา

“มันอาจจะเสียสติไปแล้วรึเปล่า? หรือว่ามันเป็นคนบ้าปกติๆ!”

จุดประสงค์ของพวกเขาคือการจับลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์จากคฤหาสน์ของ
เขา

เมื่อพวกเขาคว้าลอร์ดหนุ่มได้แล้ว การต่อสู้ของพวกเขาก็จะจบลงทันที

การทําลายคฤหาสน์และขุนนางเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น

ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับม้าสีดํา ดึงดาบของเขาออกมาแล้วปาไปทางกิกันท์เพลง?!

“อา! ไอ้เวรนี่!

ถุงมือของกิกันท์นั้นสามารถต้านทานการโจมตีของมนุษย์ปกติไดเอย่างสบายๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อดาบเขาไปกระทบกับกิกันท์ มันก็ทําให้เกิดรอยถลอกขึ้นมา และทําให้มิลเลี่ยนที่เห็นร่อยรอยเริ่มขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเขา และตะโกนด้วยเสียงดังว่า

” นี่คือคําเตือนของข้าสําหรับผู้รุกราน! ออกไปจากดินแดนของข้าซะ! เดี๋ยวนี้!”

“อะไรนะ? ที่ดินของข้า? …อย่าบอกนะว่าเจ้าคือ…?”

“ใช่! ข้าคือ ลุคแห่งรากันต์ เจ้าของผืนดินแห่งไวเคานต์รากันต์”

ชายหนุ่มหรือลุค สร้างผลกระทบมากพอที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้รุกราน

“จับเขา! “จับเขาก่อน แล้วค่อยตรวจสอบดูอีกที!

มิลเลี่ยนและคนขับกิกันท์คนอื่นๆเริ่ม เคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมายของพวกเขา

แต่ลุคก็ถอยห่างจากพวกเขา

“ชโลม!“

ทันใดนั้นพื้นก็เริ่มลื่นเหมือนกับน้ําแข็ง ทําให้พวกกิกันท์ที่พุ่งเข้ามาหาเขาต่างก็ลื่นล้มลงไปกับพื้น

“โอ้ย!” “จับเจ้าเด็กนั่นให้ได้! “

พึมพํา!

กิกันท์ทั้งสี่ลุกขึ้น และกระจัดกระจายไปล้อมรอบลุค พวกเขาพยายามที่จะลดระยะห่างระหว่างลุคกับพวกเขาอย่างค่อยๆ เพื่อจับตัวเขาเอาไว้

“หึ ช้าไปแล้ว!”

ลุคหลบหนีจากระยะการโจมตีของกิกันท์ และฟันเข้าใส่ข้อเท้าของมันกะลัง!

“ไอ้โง! ถ้าพื้นไม่ได้ลื่นแบบนี้ เจ้าก็คงจะเสร็จข้าไปแล้ว.. “

คนขับกิกันท์กล่าวขณะมองไปที่ลุค

ทันใดนั้นข้อเท้าขวาของกิกันท์ ก็ฉีกออกมาและน้ํามันสีดําก็เริ่มไหลออกมาเหมือนกับเลือด

“อา! สารหล่อลื่นที่ข้อต่ออย่างงั้นหรอ!”

ข้อต่อของกิกันท์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ํามันหล่อลื่น เช่นเดียวกันกับกระดูกอ่อนของมนุษย์ เป็นเพราะมันเป็นชิ้นส่วนที่ใช้งานบ่อย ทําให้การสึกหรอของมันนั้นรวดเร็วกว่าส่วนอื่นๆ

เมื่อน้ํามันหล่อลื่นไหลออกมาจนหมด เสียงที่น่าอึดอัดแข็งกระด้างและการเคลื่อนไหวที่ช้ากว่าเดิมก็เริ่มขึ้น

“อื้อหือ! มันเป็นผู้เชี่ยวชาญ!”

คนขับกิกันท์สามารถมองเห็นออร่าสีม่วงที่ติดอยู่กับดาบที่ลุคถืออยู่ได้

หลังจากผ่านหลบการโจมตีของกิกันท์เสร็จ ลุคก็เล็งโจมตีไปที่กกันท์ตัวเดิม

“ไอ้โง่ คิดว่าข้าจะติดกับอีกครั้งรึไง!”

คนขับกิกันท์ได้ชักดาบของเขาออกมา และทําการโจมตีสวนกลับ

ลุคขยับร่างกายส่วนบนของเขาเพื่อหนีจากดาบใหญ่และคราวนี้เขาร่ายเวทมนตร์ใส่ข้อต่ออีกข้างหนึ่งของกิกันท์

“บอลอัคคี!”

กวาง!

ลูกบอลไฟที่ออกจากมือของลุคทะลุผ่านข้อเข่าของกิกันท์และทําให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่

แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนั้นกับการป้องกันของกิกันท์

อย่างไรก็ตามการระเบิดก่อนหน้านี้มันมีพลังมากพอที่จะถือได้ว่าเป็นเวทมนตร์ขั้น 5

เป็นผลให้ศิลาเวทมนตร์ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวส่วนล่างของกิกันท์นั้นถูกทําลายลง

“อ้า! อะไม่!”

กิกันท์ที่ขาทํากล้มลงไปข้างหน้าและไม่สามารถคลานได้

“อะไรนะ? วงเวทย์ขั้น 2 ทําแบบนั้นได้อย่างไร…”

“ระวัง! อัศวินรูนนั้นไม่ได้มีพลังอะไรมากหรอก! แค่ทําให้ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงเวทมนตร์ของมันก็พอ!”

ต่างจากคนขับกิกันท์ทิ้งงงวยกับสถานการณ์ ผู้คนบนกําแพงซึ่งเห็นสถานการณ์คลี่คลายก็กรีดร้องด้วยความยินดี

” ว้าว! นายท่านสามารถเอาชนะกิกันท์ได้ด้วย!”

“โอ้ นายท่าน!”

ฮานส์มองดูการต่อสู้อย่างประหม่า ขณะที่กําหมัดแน่น

“บ้าเอ้ย อัศวินรูนใช้เวทมนตร์ขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ”

ยิ่งวงเวทย์อยู่สูงเท่าไหร่ พลังเวทย์ของที่ร้ายก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มันไม่สําคัญมากนัก หากเป็นพ่อมดทั่วไป แต่การที่อัศวินรูนจะมีเวทมนตร์เช่นนี้ได้ มันนับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจได้

อัศวินรูนเป็นคนที่สามารถใช้ทั้งดาบ และเวทมนตร์ได้ แต่เนื่องจากพวกเขาต้องจัดการกับทั้งสองสิ่ง ทักษะของพวกเขาจึงมักจะเติบโตอย่างเชื่องช้า

“แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ใช้แค่เวทมนตร์ได้เท่านั้น เขายังมีเวทมนตร์ที่แข็งแกร่ง! ทําไมข้าถึงไม่ทราบเรื่องนี้กันนะ”

และไม่ใช่แค่นั้น

ตอนนี้ลุคกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าที่มิลเลี่ยนคิดเอาไว้แล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเด็กหนุ่มคนนี้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับจุดอ่อนของพวกเขา

เกือบจะเหมือนกับว่าเขารู้เกี่ยวกับวิธีการซื้อกิกันท์ เขารู้ว่ามันเคลื่อนไหว อย่างไรและเมื่อไหร่ที่จะทําลายมันเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว

ยิ่งไปกว่านั้น…

“แม้ว่ากิกันท์จะตอบสนองได้เร็วกว่าโกเลม แต่มันจะเคลื่อนที่ก็ต่อเมื่อคนขับ บังคับเท่านั้น มันไม่สามารถตอบสนองได้ทันทีเหมือนปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายมนุษย์”

ด้วยช่องว่างดังกล่าว ลุคสามารถอ่านการเคลื่อนไหวและตอบสนองต่อมันได้

“ในอดีตมันมีปีศาจที่เร็วและสูงใหญ่กว่านี้มากมาย เพราะฉะนั้นการที่มันคิดว่าข้าจะตกหลุมพลางมันก็เป็นอะไรที่โง่มากๆเลย”

ลุคไม่กลัวหรือประหม่าใดๆ เพราะด้วยประสบการณ์ในอดีตที่เต็มเปี่ยมของเขา

เมื่อดาบตกลงมาในตําแหน่งที่เขายืนอยู่ ลุคก็ได้ใช้เวทมนตร์บินพื่อหลบหนี การโจมตีออกไป

“ลูกศรเพลิง!”

“อา!”

ลูกศรเพลิงในมือของลุคพุ่งเข้าใส่คริสตัลในดวงตาของกิกันท์

คริสตัลนั้นเป็นส่วนที่แสดงภาพจากภายนอกเข้ามาให้คนขับกิกันท์เห็น

แต่เมื่อมันถูกทําลาย คนขับกิกันท์ก็ไม่สามารถมองเห็นนอะไรได้อีก

“โอ้! ข้าไม่เห็นอะไรเลย!”

“ไอ้โง่! อย่าเปิดฝาครอบนะ!”

แม้จะมีคําเตือนของมิลเลี่ยน แต่คนขับกิกันท์คนนั้นก็ยังเปิดฝาครอบออก

เขาอยากเห็นลุคด้วยตาของเขาเอง และลุคกําลังรอคอยช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน

“ตัดลม!”

ฟื้ว!

คนขับซึ่งถูกใบมีดลมอันแหลมคมตัดผ่านได้เสียชีวิตลงในทันที

และแล้วกิกันท์ของผู้ตายก็คุกเข่าลงบนพื้นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกตัดสาย

เมื่อเขาเห็นฉากนั้น มิลเลี่ยนก็คิดอะไรไม่ออกและคนขับกิกันท์ที่เหลืออีก 2 คนก็เริ่มคลั่ง

“อะไรกันวะ? ทําไมไม่เห็นมีรายงานมาเลยว่าลอร์ดแห่งรากันต์นั้นแข็งแกร่งขนาดนี้”

ก่อนที่พวกเขาจะรับงานนี้มาทํา พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตัวลุคเองมาก่อน

พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเขากําลังเรียนรู้ การฟันดาบและทักษะของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่างานนี้จะง่ายเหมือนกับการมาลักพาตัวเด็กธรรมดาๆคนหนึ่ง

และข้อมูลนั้นก็มาจากFdm

แต่ตอนนี้ลุคกําลังสู้กับอัศวินที่ขับกิกันท์อยู่ถึง 4 คน!

“จ๊าก! บัดซบ! ตายสิ! ตายซะ!”

มิลเลี่ยนที่สูญเสียเหตุผลของเขาไปดึงดาบของเขาขึ้นมาและเหวี่ยงมันแบบ สุ่มๆโดยลืมไปว่าภารกิจของเขาคือการจับตัวลุค

“เอ่อ! ระวังกัปตัน!”

“อันตรายอันตราย…อา!”

ยิ่งเขาคิดถึงลุคมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งมากดขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังบังเอิญไปโจมตีพันธมิตรของเขา และทําให้สถานการณ์ในสงครามยิ่งสับสนขึ้นไปอีก

“เจ้าชอบพยายามอย่างหนักใช่ไหม”

ช่วงเวลาที่ลุคเย้ยหยันเขา หัวใจของมิลเลี่ยนก็แปรเปลี่ยนเย็นชา

“ไม่…ไม่ได้! ข้าไม่สามารถลุ่มสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้!”

เขาไม่สามารถเชื่อได้ว่ามันจะมีคนที่สามารถต่อสู้กับกิกันท์ทั้ง 4 ตัวด้วยตัวคนเดียวได้

บุคคลนั้นจะต้องเป็นจอมเวทสงครามขั้น 6 และอัศวินผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะแตกต่างกัน

และคนเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า “ผู้ทําลายล้าง”

มิลเลี่ยนแน่ใจว่าลุคนั้นเป็นผู้ทําลาย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแอบหนีออกไป

“กัปตัน!”

“พาพวกเราไปด้วย!”

คนอื่นๆเริ่มเรียงร้องขอความช่วยเหลือจากมิลเลี่ยน แต่มิลเลี่ยนก็แกล้งทําเป็นหูทวนลมและใส่เกียร์หมาวิ่งหนีออกไป…

นิยาย Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเห… บทที่ 69 ข้าคือลอร์ดหนุ่ม (1) (คู่ควรที่จะเสียเงินเพื่ออ่าน) บทที่ 69 ข้าคือลอร์ดหนุ่ม (1) คุงคุง! ตอนนี้กําลังมีกิกันท์ 4 ตัวที่กําลังมุ่งห น้าไปยังรากันต์ “ข้าคิดว่าตอนนี้เราได้เข้าสู่ดินแดนของรากันต์แล้วใช่ไหม” “บางที่รากันต์อาจจะสู้กับพวกกิกันท์ไปแล้วก็ได้ “ชถ้าพวกรากันต์พ่ายแพ้ไปแล้ว ผลงานของพวกเขาที่เหลือก็จะลดน้อย ลงน่ะสิ” “ถูกแล้ว” กิกันท์เหล่านี้ได้เดินทางเท้าเปล่ามา โดยที่มันนับเป็นกําลังเสริทมสําหรับกองกําลังของเคานต์โมนาร์ช กลุ่มเหล่านี้ถูกส่งมาโดยโกทโดยสั่งห้ามไม่ให้เชนรู้ ในขั้นต้นมีเพียงอัศวินจํานวนน้อยที่ถูก ส่งไปเพื่อตรวจสอบที่ดินของศัตรูและค้นหาอัศวินเงา อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามสงบลง พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าหาศัตรูจากด้านหลัง หรือจงใจเข้ายึดคฤหาสน์ของรากันต์ไว้ล่วงหน้า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ขุนนางคนอื่นๆมาเข้าชุบมือเปิปในสิ่งที่พวกเขาได้ลงมือทําไป โกทนั้นได้รับอนุญาตจากเคานต์โมนาร์ชให้สามารถจัดตั้งกลุ่มคนขับกิกันท์ได้ และเขาจัดให้มันเป็นกลุ่มแยกต่างหากจากกองกําลังของเชน โดยกลุ่มนี้จะอ้อมไปโจมตีจากทางเหนือ และเมื่อสงครามสงบลง เขาก็สั่งให้พวกของเขามุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนของรากันต์ พึมพํา! “เป็นเรื่องดีที่มิลเลี่ยนสามารถกลับมาได้ในครั้งนี้ “หุหุ ข้าไม่รู้ว่ากี่คืนแล้วที่ข้าฝันถึงสิ่ง ผู้นําของกลุ่มกิกันท์กลุ่มนี้ก็คือ มิลเลี่ยน ผู้ที่กําลังขับอะคิลลิสอยู่นั่นเอง เขาสูญเสียเครดิตที่โมนาร์ชมีต่อเขาไป เนื่องจากความพ่ายแพ้ภายใต้น้ํามือของอัศวินทมิฬที่เขาเผชิญในครั้งสุดท้ายในสนามประลองกิกันท์
ดังนั้นเมื่อโกทประกาศรับสมัครคนมาทํางานนี้ เขาจึงรีบอาสาอย่างรวดเร็ว “มันคือรากันต์ที่เป็นคนครอบครองอัศวินทมิฬงั้นเหรอ?” เหตุผลหลักที่เขาอาสาเข้าร่วมปฏิบัติการก็คือเขาได้รู้ข่าวว่าอัศวินทมิฬที่เอาชนะเขาได้นั้นเป็นอัศวินของดินแดนรากันต์ ตามที่โกทกล่าว ลอร์ดหนุ่มน่าจะอยู่ในคฤหาสน์ เนื่องจากเขาไม่มีทักษะในการฟันดาบที่ดีมากนัก เขาจึงน่าจะพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์เพราะหากเขาออกไปรบแล้วเกิดเสียชีวิตขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า ทุกสิ่งที่ทํามจะสูญเปล่า หากลอร์ดหนุ่มยังคงอยู่ในคฤหาสน์อัศวินและอัศวินทมิฬก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย “หึๆ ข้าจะเหยียบย่ํามันและฆ่ามันทิ้งซะ กิกันท์ของรากันต์นั้นถูกวางไว้เพื่อเป็นแนวตั้งรับในแนวหน้าของสงคราม นั่นหมายความว่าอัศวินทมิฬซึ่งเป็นอัศวินที่ได้รับมอบหมายจากลอร์ดจะมีจํานวนคนน้อยกว่า ในสภาพเช่นนั้น เขาจะไม่มีทางเอาชนะอะคิลลิสได้แน่นอน “คฤหาสน์อยู่ข้างหน้าแล้ว เร่งความเร็ว!” มิลเลี่ยนจินตนาการถึงฉากการแก้แค้นที่โหดร้ายและมองย้อนกลับไปที่กันท์ ที่ตามเขามา ตามคําสั่งกิกันท์ทั้ง 4 ก็เริ่มวิ่งด้วยความเร็วสูง ลุคจ้องไปที่กระดานในห้องทํางานของคฤหาสน์ บนแผนที่ขนาดใหญ่ของกระดาน สถานการณ์มีการจัดวางรูปแกะสลักของอัศวิน อัศวินกิกันท์และทหารราบโดยให้ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับการปรับใช้กองกําลังในปัจจุบัน จอมเวทเหล็กไหลทอด ได้เดินเข้าหาลุคที่กําลังเฝ้าดูหุบเขายอทเทิร์น ฮัมทฟรี่และกอดอนเพื่อนของเขา ได้ติดตามมิวท์เพื่อสนับสนุนกิกันท์ที่ถูกใช้ในการทําสงคราม แต่ทอดตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่และใช้เวทมนตร์แห่งการสื่อสาร “มันคืออะไร?” “ข้าเพิ่งทราบข่าวมาว่ามีการซุ่มโจมตี เกิดขึ้นและการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว” จากคําพูดนั้นลุคก็พยักหน้า และถามท็อดที่กําลังแสดงออกถึงความกังวล “เจ้าคิดว่าเราจะชนะไหม” “ข้า…ข้าไม่รู้ แม้ทอดตะคิดว่าพวกเขาแพ้แน่ แต่เขาก็ไม่อยากพูดในสิ่งที่จะทําให้นายน้อยของเขาไม่พอใจ ลุคยิ้มและพูดว่า “แต่จากมุมมองของข้า ข้าคิดว่าเรากําลังจะชนะ” “แม้ว่าเราจะสามารถดักซุ่มโจมตีพวกมันไกด์ แต่ความแตกต่างระหว่างพลังของเรากับมันก็ยังคงต่างกันไม่ใช่หรอท่าน?”
ทอดด์ก็รู้เช่นกัน ถึงความจริงที่ว่ากองกําลังของเคานต์โมนาร์ชกับของรากันต์นั้นแตกต่างกันเหมือนกับผู้ใหญ่กับเด็ก “หุหุ นั่นก็ถูก แต่เมื่อข้าลงมือเอง ข้าก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน”
ด้วยคําพูดของลุค ท็อดจึงรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย “นายน้อยคิดอะไรแปลกๆ นี่เขาลืมกินยาหรือกินยาเกินขนาดกันนะ?” ไม่ว่าเขาจะแปลกไปหรือไม่ ลุคก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเอ่ยขึ้น “หวังว่าฝ่ายเราคงไม่ได้รับความเสียหายอะไรนะ..” ถ้าเซบาสเตียนทําผลงานได้ดี พวกเขาก็อาจจะชนะได้ เพราะสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือจํานานและพละกําลังของของที่อาจจะหมดลงก่อน แม้ว่าพวกเขาจะชนะสงครามกับอัศวิน,คนขับกิกันท์และพ่อมด แต่มันก็ยังคงมีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกเขาไม่สามารถรับสมัครคนได้ด้วยเงิน และมันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมมาเสี่ยงชีวิตในสงครามของรากันต์ “ถ้าเราชนะสงครามในครั้งนี้ ทุกๆอย่างก็จะเปลี่ยนไป ลุคมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ขณะที่รอฟังผลของการต่อสู้ ดิง! ทันใดนั้นเสียงระฆังจากหอสังเกตการณ์ของคฤหาสน์ก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าพ่อบ้านฮานส์รีบวิ่งเข้าไปหาพวกของลุค เขารีบรายงานต่อ “มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น! มีกิกันท์สี่ปรากฏตัวขึ้นในตอนเหนือ” “อะไรนะ?” ลุครู้สึกประหลาดใจ เขาเคยคาดการณ์ถึงกรณีที่ศัตรูจะข้ามมาแล้ว เขาจึงเตรียมพร้อมทั้งดินปืนและปืนเผื่อเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับมีกิกันท์ 4 ตัวปรากฏขึ้นทางตอนเหนือ “เจ้าตรวจสอบมันรึยัง “ตัวแรกมันมีสัญลักษณ์หมูป่าประทับอยู่ที่หน้าอก “บัดสบ ไอ้โมนาร์ชมันคิดจะทําอะไรกับที่นี่กันลุคตะโกน อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลามาโกรธแล้ว เพราะกิกันท์ของฝ่ายศัตรูก็กําลังเข้าใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ พลังเดียวที่ลุคมีเหลืออยู่ในคฤหาสน์หลงนี้ก็คืออัศวินสองสามคน เพราะโรเจอร์สนั้นได้นําพากองกําลัง ส่วนใหญ่ไปต้านและทําสงครามกับกองกําลังหลักของเคานต์โมนาร์ชแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ฮานส์และอัศวินชราคนอื่นๆของโวลก้าก็เริ่มรวมตัวกัน “นายท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร? เราควรอพยพชาวบ้านก่อนหรือไม่? แม้จะมีกําแพงเมืองกันอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานพลังของกิกันท์ทั้ง 4 ตัวได้แน่นอน เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน พวกเขาจึงควรที่จะทําการอพยพตามที่ฮานส์กล่าว “หลังการอพยพเสร็จ ก็จงนําคนสองสามคนมาให้กับข้า เอาคนที่แข็งแกร่ง และมีความรวดเร็วนะ” “รับทราบ!” ฮานส์รีบวิ่งออกไปตามคําสั่งของลุค หลังจากนั้นไม่นานหอสังเกตการณ์ก็เริ่มส่งเสียงที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นเสียงของการอพยพ ลุคมองไปที่ทอด “ถึงเจ้าจะหนีตอนนี้ เจ้าก็ตายแน่นอน” “ข้าจะไม่หนีไปไหนแน่นอน “ข้าจะเชื่อมั่นพวกเขา” เมื่อพวกเขาออกมาจากคฤหานส์สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือภาพของผู้คนที่ออกมาลุกฮือ พร้อมกับมือที่ถือมีดทําครัว พลั่ว และทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธได้ “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงยังไม่อพยพออกไปอีก” เมื่อคําถามจากลุคทหารที่อยู่ข้างๆเขาพูดว่า “ฮ่าๆท่านต้องเล่นตลกแน่ๆ ถ้าเราต้องสูญเสียที่นี่ไปในครั้งนี้ พวกเราก็คงจะไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว” “พวกเจ้าอยากจะต่อสู้กับกิกันทร์ไง นั่นอาจหมายถึงความตายเลยนะ” “คนเราตายครั้งเดียวไม่ใช่สองครั้ง แม้ว่าตระกูลรากันต์จะไม่มีอํานาจ แต่ท่านก็คอยดูแลคนยากคนจนอย่างพวกเราเหมือนกับคนในครอบครัวของท่าน ในยามที่เราอด ท่านก็อดไปกับเรา เพราะฉะนั้นถ้ามีใครจะต้องสูญเสียอะไรในวันนี้ เราก็จะสูญเสียมันไปด้วยกัน” …” “ถ้าเราไม่ทําปกเช่นนี้ มันก็คงจะเป็นตราบาปติดตัวพวกเราไปตลอดชีวิตที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้มีพระคุณของเราได้เลย ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นจะเป็นสิ่ง ที่คนทั้งหมดคิดหรือไม่ก็ตาม แต่ลุคก็ประทับใจในตัวพวกเขาทุกคน ตระกูลรากันต์นั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนออกมาต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อปกป้องบ้าน , ผู้คน และวิถีชีวิตของพวกเขา “นี่คือพลังของตระกูลรากันต์อย่างนั้นหรอ?” ลุคนั้นคิดมาตลอดว่ารากันต์นั้นเป็นไอ้โง่คนหนึ่งที่ทําลายแผนการการแก้แค้นของเขา แต่เมื่อคิดดูดีๆเขากพบว่ารากันต์นั้นมีส่วนที่คล้ายเขาอยู่เยอะมาก แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูกันเพราะชีวิตที่แตกต่างกัน “หึๆ รากันต์ ข้าจะปกป้องคนของเจ้าเอง ด้วยพลังและความรู้ทั้งหมดที่ข้ามี
ลุคนั้นมั่นใจมากที่จะเอาชนะกองทัพของเคานต์โมนาร์ช เมื่อลุคตั้งสติได้ ฮานส์ก็นําม้าสีดําเข้ามาให้เขา “ท่านสามารถไปได้แล้ว แต่ท่านมีแผนอะไรกัน ?” ลุคขึ้นขี่ม้าและหัวเราะ “เราก็แค่ต้องดึงพวกกิกันท์ของเคานต์ โมนาร์ชออกไปให้ไกลจากตัวคฤหาสน์ให้มากที่สุด “เอ่อ… ท่านหมายถึงอะไร!” ฮานส์ที่ตกใจก็พยายามที่จะหยุดลุค แต่ลุคก็วิ่งหนีออกไปพร้อมกับม้าก่อนที่ฮานส์จะทันได้ทําอะไร เมื่อลุคเดินทางมาถึงหนเประตูเมือง เขาก็พบเข้ากับฝูงชนที่รายล้อมอยู่ “ว้าว นั่นนายท่าน! “นายท่านมาเพื่อปกป้องพวกเราทุกคน!” เมื่อได้ยินแบนั้น ลุคก็พูดกับพวกเขาเสียงดังว่า “เปิดประตู!!!” ประตูถูกเปิดออกโดยผู้คน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คักคุ! เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกลุคก็ออกไป เขาสามารถมองเห็นข้าวของที่เสียหายจากการเดินทางมาถึงของกิกันท์ทั้ง 4 ได้ “ในเมื่อพวกมึงกล้ามาขนาดนี้ ก็จะประเคนฝ่าพระบาทลงที่หน้าพระพักตร์ของพวกมึง ให้น้ําพระเนตรของพวกมึงไหลนองเอง!” ลุคพูดกับพวกกิกันท์อย่างดุเดือด… ราชาศัพท์วันละสามคํา ฝ่าพระบาท – ส้นตีน พระพักตร์ – เบ้าหน้า น้ําพระเนตร – น้ําตา ตัวอย่างประโยค :กูก็จะประเคนฝ่าพระบาทลงที่หน้าพระพักตร์ของพวกมึง ให้น้ําพระเนตรของพวกมึงไหลนองเอง คําแปล :กูก็จะประเคนส้นตีนใส้เบ้าหน้าของพวกมึงของพวกมึง ให้น้ําตาของพวกมึงไหลนองเอง

นิยาย Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเห… บทที่ 69 ข้าคือลอร์ดหนุ่ม (1) (คู่ควรที่จะเสียเงินเพื่ออ่าน)

บทที่ 69 ข้าคือลอร์ดหนุ่ม (1)

คุงคุง!

ตอนนี้กําลังมีกิกันท์ 4 ตัวที่กําลังมุ่งห น้าไปยังรากันต์

“ข้าคิดว่าตอนนี้เราได้เข้าสู่ดินแดนของรากันต์แล้วใช่ไหม”

“บางที่รากันต์อาจจะสู้กับพวกกิกันท์ไปแล้วก็ได้

“ชถ้าพวกรากันต์พ่ายแพ้ไปแล้ว ผลงานของพวกเขาที่เหลือก็จะลดน้อย ลงน่ะสิ”

“ถูกแล้ว”

กิกันท์เหล่านี้ได้เดินทางเท้าเปล่ามา โดยที่มันนับเป็นกําลังเสริทมสําหรับกองกําลังของเคานต์โมนาร์ช

กลุ่มเหล่านี้ถูกส่งมาโดยโกทโดยสั่งห้ามไม่ให้เชนรู้

ในขั้นต้นมีเพียงอัศวินจํานวนน้อยที่ถูก ส่งไปเพื่อตรวจสอบที่ดินของศัตรูและค้นหาอัศวินเงา

อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามสงบลง พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าหาศัตรูจากด้านหลัง หรือจงใจเข้ายึดคฤหาสน์ของรากันต์ไว้ล่วงหน้า

นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ขุนนางคนอื่นๆมาเข้าชุบมือเปิปในสิ่งที่พวกเขาได้ลงมือทําไป

โกทนั้นได้รับอนุญาตจากเคานต์โมนาร์ชให้สามารถจัดตั้งกลุ่มคนขับกิกันท์ได้ และเขาจัดให้มันเป็นกลุ่มแยกต่างหากจากกองกําลังของเชน โดยกลุ่มนี้จะอ้อมไปโจมตีจากทางเหนือ

และเมื่อสงครามสงบลง เขาก็สั่งให้พวกของเขามุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนของรากันต์

พึมพํา!

“เป็นเรื่องดีที่มิลเลี่ยนสามารถกลับมาได้ในครั้งนี้

“หุหุ ข้าไม่รู้ว่ากี่คืนแล้วที่ข้าฝันถึงสิ่ง

ผู้นําของกลุ่มกิกันท์กลุ่มนี้ก็คือ มิลเลี่ยน ผู้ที่กําลังขับอะคิลลิสอยู่นั่นเอง

เขาสูญเสียเครดิตที่โมนาร์ชมีต่อเขาไป เนื่องจากความพ่ายแพ้ภายใต้น้ํามือของอัศวินทมิฬที่เขาเผชิญในครั้งสุดท้ายในสนามประลองกิกันท์
ดังนั้นเมื่อโกทประกาศรับสมัครคนมาทํางานนี้ เขาจึงรีบอาสาอย่างรวดเร็ว

“มันคือรากันต์ที่เป็นคนครอบครองอัศวินทมิฬงั้นเหรอ?”

เหตุผลหลักที่เขาอาสาเข้าร่วมปฏิบัติการก็คือเขาได้รู้ข่าวว่าอัศวินทมิฬที่เอาชนะเขาได้นั้นเป็นอัศวินของดินแดนรากันต์

ตามที่โกทกล่าว ลอร์ดหนุ่มน่าจะอยู่ในคฤหาสน์

เนื่องจากเขาไม่มีทักษะในการฟันดาบที่ดีมากนัก เขาจึงน่าจะพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์เพราะหากเขาออกไปรบแล้วเกิดเสียชีวิตขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า ทุกสิ่งที่ทํามจะสูญเปล่า

หากลอร์ดหนุ่มยังคงอยู่ในคฤหาสน์อัศวินและอัศวินทมิฬก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย

“หึๆ ข้าจะเหยียบย่ํามันและฆ่ามันทิ้งซะ

กิกันท์ของรากันต์นั้นถูกวางไว้เพื่อเป็นแนวตั้งรับในแนวหน้าของสงคราม

นั่นหมายความว่าอัศวินทมิฬซึ่งเป็นอัศวินที่ได้รับมอบหมายจากลอร์ดจะมีจํานวนคนน้อยกว่า

ในสภาพเช่นนั้น เขาจะไม่มีทางเอาชนะอะคิลลิสได้แน่นอน

“คฤหาสน์อยู่ข้างหน้าแล้ว เร่งความเร็ว!”

มิลเลี่ยนจินตนาการถึงฉากการแก้แค้นที่โหดร้ายและมองย้อนกลับไปที่กันท์ ที่ตามเขามา

ตามคําสั่งกิกันท์ทั้ง 4 ก็เริ่มวิ่งด้วยความเร็วสูง

ลุคจ้องไปที่กระดานในห้องทํางานของคฤหาสน์

บนแผนที่ขนาดใหญ่ของกระดาน สถานการณ์มีการจัดวางรูปแกะสลักของอัศวิน อัศวินกิกันท์และทหารราบโดยให้ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับการปรับใช้กองกําลังในปัจจุบัน

จอมเวทเหล็กไหลทอด ได้เดินเข้าหาลุคที่กําลังเฝ้าดูหุบเขายอทเทิร์น

ฮัมทฟรี่และกอดอนเพื่อนของเขา ได้ติดตามมิวท์เพื่อสนับสนุนกิกันท์ที่ถูกใช้ในการทําสงคราม แต่ทอดตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่และใช้เวทมนตร์แห่งการสื่อสาร

“มันคืออะไร?”

“ข้าเพิ่งทราบข่าวมาว่ามีการซุ่มโจมตี เกิดขึ้นและการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว”

จากคําพูดนั้นลุคก็พยักหน้า และถามท็อดที่กําลังแสดงออกถึงความกังวล

“เจ้าคิดว่าเราจะชนะไหม”

“ข้า…ข้าไม่รู้

แม้ทอดตะคิดว่าพวกเขาแพ้แน่ แต่เขาก็ไม่อยากพูดในสิ่งที่จะทําให้นายน้อยของเขาไม่พอใจ

ลุคยิ้มและพูดว่า

“แต่จากมุมมองของข้า ข้าคิดว่าเรากําลังจะชนะ”

“แม้ว่าเราจะสามารถดักซุ่มโจมตีพวกมันไกด์ แต่ความแตกต่างระหว่างพลังของเรากับมันก็ยังคงต่างกันไม่ใช่หรอท่าน?”
ทอดด์ก็รู้เช่นกัน ถึงความจริงที่ว่ากองกําลังของเคานต์โมนาร์ชกับของรากันต์นั้นแตกต่างกันเหมือนกับผู้ใหญ่กับเด็ก

“หุหุ นั่นก็ถูก แต่เมื่อข้าลงมือเอง ข้าก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน”
ด้วยคําพูดของลุค ท็อดจึงรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

“นายน้อยคิดอะไรแปลกๆ นี่เขาลืมกินยาหรือกินยาเกินขนาดกันนะ?”

ไม่ว่าเขาจะแปลกไปหรือไม่ ลุคก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเอ่ยขึ้น

“หวังว่าฝ่ายเราคงไม่ได้รับความเสียหายอะไรนะ..”

ถ้าเซบาสเตียนทําผลงานได้ดี พวกเขาก็อาจจะชนะได้

เพราะสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือจํานานและพละกําลังของของที่อาจจะหมดลงก่อน

แม้ว่าพวกเขาจะชนะสงครามกับอัศวิน,คนขับกิกันท์และพ่อมด แต่มันก็ยังคงมีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

พวกเขาไม่สามารถรับสมัครคนได้ด้วยเงิน และมันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมมาเสี่ยงชีวิตในสงครามของรากันต์

“ถ้าเราชนะสงครามในครั้งนี้ ทุกๆอย่างก็จะเปลี่ยนไป

ลุคมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ขณะที่รอฟังผลของการต่อสู้

ดิง!

ทันใดนั้นเสียงระฆังจากหอสังเกตการณ์ของคฤหาสน์ก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”

หัวหน้าพ่อบ้านฮานส์รีบวิ่งเข้าไปหาพวกของลุค เขารีบรายงานต่อ

“มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น! มีกิกันท์สี่ปรากฏตัวขึ้นในตอนเหนือ” “อะไรนะ?”

ลุครู้สึกประหลาดใจ

เขาเคยคาดการณ์ถึงกรณีที่ศัตรูจะข้ามมาแล้ว เขาจึงเตรียมพร้อมทั้งดินปืนและปืนเผื่อเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับมีกิกันท์ 4 ตัวปรากฏขึ้นทางตอนเหนือ

“เจ้าตรวจสอบมันรึยัง “ตัวแรกมันมีสัญลักษณ์หมูป่าประทับอยู่ที่หน้าอก “บัดสบ ไอ้โมนาร์ชมันคิดจะทําอะไรกับที่นี่กันลุคตะโกน อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลามาโกรธแล้ว เพราะกิกันท์ของฝ่ายศัตรูก็กําลังเข้าใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ

พลังเดียวที่ลุคมีเหลืออยู่ในคฤหาสน์หลงนี้ก็คืออัศวินสองสามคน

เพราะโรเจอร์สนั้นได้นําพากองกําลัง ส่วนใหญ่ไปต้านและทําสงครามกับกองกําลังหลักของเคานต์โมนาร์ชแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ฮานส์และอัศวินชราคนอื่นๆของโวลก้าก็เริ่มรวมตัวกัน

“นายท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร? เราควรอพยพชาวบ้านก่อนหรือไม่?

แม้จะมีกําแพงเมืองกันอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานพลังของกิกันท์ทั้ง 4 ตัวได้แน่นอน

เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน พวกเขาจึงควรที่จะทําการอพยพตามที่ฮานส์กล่าว

“หลังการอพยพเสร็จ ก็จงนําคนสองสามคนมาให้กับข้า เอาคนที่แข็งแกร่ง และมีความรวดเร็วนะ” “รับทราบ!”

ฮานส์รีบวิ่งออกไปตามคําสั่งของลุค

หลังจากนั้นไม่นานหอสังเกตการณ์ก็เริ่มส่งเสียงที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นเสียงของการอพยพ

ลุคมองไปที่ทอด

“ถึงเจ้าจะหนีตอนนี้ เจ้าก็ตายแน่นอน” “ข้าจะไม่หนีไปไหนแน่นอน “ข้าจะเชื่อมั่นพวกเขา”

เมื่อพวกเขาออกมาจากคฤหานส์สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือภาพของผู้คนที่ออกมาลุกฮือ พร้อมกับมือที่ถือมีดทําครัว พลั่ว และทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธได้

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงยังไม่อพยพออกไปอีก”

เมื่อคําถามจากลุคทหารที่อยู่ข้างๆเขาพูดว่า

“ฮ่าๆท่านต้องเล่นตลกแน่ๆ ถ้าเราต้องสูญเสียที่นี่ไปในครั้งนี้ พวกเราก็คงจะไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว” “พวกเจ้าอยากจะต่อสู้กับกิกันทร์ไง นั่นอาจหมายถึงความตายเลยนะ” “คนเราตายครั้งเดียวไม่ใช่สองครั้ง แม้ว่าตระกูลรากันต์จะไม่มีอํานาจ แต่ท่านก็คอยดูแลคนยากคนจนอย่างพวกเราเหมือนกับคนในครอบครัวของท่าน ในยามที่เราอด ท่านก็อดไปกับเรา เพราะฉะนั้นถ้ามีใครจะต้องสูญเสียอะไรในวันนี้ เราก็จะสูญเสียมันไปด้วยกัน” …” “ถ้าเราไม่ทําปกเช่นนี้ มันก็คงจะเป็นตราบาปติดตัวพวกเราไปตลอดชีวิตที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้มีพระคุณของเราได้เลย

ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นจะเป็นสิ่ง ที่คนทั้งหมดคิดหรือไม่ก็ตาม แต่ลุคก็ประทับใจในตัวพวกเขาทุกคน

ตระกูลรากันต์นั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ

นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนออกมาต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อปกป้องบ้าน , ผู้คน และวิถีชีวิตของพวกเขา

“นี่คือพลังของตระกูลรากันต์อย่างนั้นหรอ?”

ลุคนั้นคิดมาตลอดว่ารากันต์นั้นเป็นไอ้โง่คนหนึ่งที่ทําลายแผนการการแก้แค้นของเขา แต่เมื่อคิดดูดีๆเขากพบว่ารากันต์นั้นมีส่วนที่คล้ายเขาอยู่เยอะมาก

แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูกันเพราะชีวิตที่แตกต่างกัน

“หึๆ รากันต์ ข้าจะปกป้องคนของเจ้าเอง ด้วยพลังและความรู้ทั้งหมดที่ข้ามี
ลุคนั้นมั่นใจมากที่จะเอาชนะกองทัพของเคานต์โมนาร์ช

เมื่อลุคตั้งสติได้ ฮานส์ก็นําม้าสีดําเข้ามาให้เขา

“ท่านสามารถไปได้แล้ว แต่ท่านมีแผนอะไรกัน ?”

ลุคขึ้นขี่ม้าและหัวเราะ

“เราก็แค่ต้องดึงพวกกิกันท์ของเคานต์ โมนาร์ชออกไปให้ไกลจากตัวคฤหาสน์ให้มากที่สุด

“เอ่อ… ท่านหมายถึงอะไร!”

ฮานส์ที่ตกใจก็พยายามที่จะหยุดลุค แต่ลุคก็วิ่งหนีออกไปพร้อมกับม้าก่อนที่ฮานส์จะทันได้ทําอะไร

เมื่อลุคเดินทางมาถึงหนเประตูเมือง เขาก็พบเข้ากับฝูงชนที่รายล้อมอยู่

“ว้าว นั่นนายท่าน! “นายท่านมาเพื่อปกป้องพวกเราทุกคน!”

เมื่อได้ยินแบนั้น ลุคก็พูดกับพวกเขาเสียงดังว่า

“เปิดประตู!!!”

ประตูถูกเปิดออกโดยผู้คน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

คักคุ!

เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกลุคก็ออกไป

เขาสามารถมองเห็นข้าวของที่เสียหายจากการเดินทางมาถึงของกิกันท์ทั้ง 4 ได้

“ในเมื่อพวกมึงกล้ามาขนาดนี้ ก็จะประเคนฝ่าพระบาทลงที่หน้าพระพักตร์ของพวกมึง ให้น้ําพระเนตรของพวกมึงไหลนองเอง!”

ลุคพูดกับพวกกิกันท์อย่างดุเดือด…

ราชาศัพท์วันละสามคํา

ฝ่าพระบาท – ส้นตีน

พระพักตร์ – เบ้าหน้า

น้ําพระเนตร – น้ําตา

ตัวอย่างประโยค :กูก็จะประเคนฝ่าพระบาทลงที่หน้าพระพักตร์ของพวกมึง ให้น้ําพระเนตรของพวกมึงไหลนองเอง

คําแปล :กูก็จะประเคนส้นตีนใส้เบ้าหน้าของพวกมึงของพวกมึง ให้น้ําตาของพวกมึงไหลนองเอง

นิยาย Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเห…

บทที่ 68 การระบาดของสงคราม (5)

กองทัพของเคานต์โมนาร์ชได้เข้าไปในหุบเขาอย่างสมบูรณ์

แม้จะไม่มีสัญญาณใดๆจนถึงตอนนี้ แต่พวกอัศวินและทหารก็ยังคงเฝ้าระวังอย่างเต็มที่

พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นทางออกของหุบเขาโดยหวังว่าจะได้ออกจากหุบเขาโดยเร็วที่สุด

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่ากองทหารของรากันต์นั้นกําลังดักซุ่มโจมตีพวกเขาอยู่กวาง!

กวาง! กวาง! ปัง!

ทันใดนั้นก้อนหินและขอนไม้ก็บินเข้ามาใส่พวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

กกันท์ทั้ง 10 ตัวที่กําลังซุ่มโจมตีกอง กําลังของเคนต์โมนาร์ชก็ได้ขว้างปาก้อนหินโดยมีเป้าหมายอยู่ที่รถพ่วงที่บรรทุกกิกันท์

“ว้าก!”

“มันคืออะไร?”

“ศัตรูปรากฏตัวแล้ว! มันอยู่บนเนิน
เขา!”

นั่นคือตอนที่ทหารของเคานต์โมนาร์ชค้นพบการมีอยู่ของกองทหารรากันต์

และไม่ว่าพวกเขาจะทําอะไรก็ตามกิกนท์ทั้ง 10 ตัวของพวกรากันต์ก็ยังคงปาหินใส่พวกเขาต่อไป

“อ้า! ปกป้องรถพ่วง! “พวกคนขับรีบเข้าไปในกิกันท์เร็ว!“เชนที่ตระหนักถึงจุดประสงค์ในการโจมตีของพวกรากันต์ก็ได้สั่งการอัศวินขณะที่เขาเองก็วิ่งที่กิกันท์ของเขา

“นรกแล้ว!”

อะไรคือวิธีที่ง่ายที่สุดในการเอาชนะคู่
ต่อสู้?

การต่อสู้ที่ชนะด้วยฝีมือและทักษะดาบ? หรือการทําลานแกนกลางของ ศัตรู?

ไม่เลย…

มันก็คือการกําจัดคนขับกิกันท์ไม่ให้ ขึ้นไปได้ตั้งแต่แรกยังไงล่ะ!

กิกันท์ที่ไม่มีคนขับก็เหฟมือนกับหุ่นกระป๋องราคาแพงเท่านั้นดังนั้นเมื่อกิก นท์ที่เป็นกําลังรบสําคัญในสงครามนั้นพลาดท่าลง พวกเขาก็จะอ่อนแอลงไปอย่างมาก

กลวิธีดังนี้นั้นเหมาะสําหรับผู้ที่มีพลังรบต่ํากว่าอีกฝ่าย

และในท้ายที่สุด มันก็ได้มีคนขับก็กันท์ที่สามารถขึ้นไปขับกิกันท์ที่อยู่บนรถ พ่วงได้

แต่กองทัพของเคานต์โมนาร์ชนั้นมีกิกนท์ที่น่าภาคกภูมิใจมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยนํามันมาใช้กับศึกภายในเลยก็ตาม อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกคนต่างก็ทํางานของตนอย่างรวดเร็วและขยันขันแข็ง

คนขับบางคนที่อยู่ในรถพ่วงก็สามารถเข้าไปควบคุมกิกันท์ของตนได้สํา เร็จ”ไอ้พวกขี้ขลาด!“ข้าจะทําให้พวกเจ้าต้องทรมานเหมือนตกอยู่ในนรก! “คนขับกิกันท์ของโมนาร์ชไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกของรากันต์จะใช้วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้

ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะดึงพลัง ออกมาจากลูกแก้วแต่มันก็ไม่มีอะไร เคลื่อนไหว แม้จะได้ยินเสียงมันทํางานก็ตาม”นี่มันอะไรกัน? ทําไมมันถึงไม่เคลื่อนไหวละ “มันพังเหรอ!“คนขับกิก นท์ของเคาตน์โมนาร์ชเริ่มทยอยออกมากจากกิกันท์ของพวกเขาอย่างลุกลี้ ลุกลนและเมื่อพวกเขาพยายามพูดกับจ อมเวทเหล็กไหลทันใดนั้นก้อนหินก็บินเข้าหารถพ่วง”บ้าเอ้ย! “คนขับกิกันท์ยกตัวจอมเวทเหล็กไหลขึ้นมาและนําตัวกระโดดออกไปจากรถพ่วง

กวาง! กวาง!

ในขณะที่พวกเขากระโดดออกไปก้อนหินก็ได้บินมาถึงกิกันท์ในที่สุด

เมื่อการโจมตีระลอกแรกเข้าเป้ามันก็ได้เริ่มสร้างความเสียหายให้บริเวณฝาครอบของกิกันท์ของเคานต์โมนาร์ชในทันที
เจ๋ง!”

หากฝาครอบของกิกันท์แตกออกมันก็จะทําให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในกิกนท์ได้นอกซะจากว่าพวกเขาจะย้ายเอาฝาครอบที่ชํารุดออกไป

คนขับกิกันท์ของเคานต์โมนาร์ชกระ ทึบเท้าด้วยความโกรธ”อะไรกัน? ทําไม่ กิกันท์ถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลยเนื่องจากการขว้างก้อนหินอย่างต่อเนื่องโรเจอร์สจึงรู้คําตอบสําหรับคําถาม

ปฏิบัติการเล็งกิกันท์ของเขานั้นประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี

แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะถึงขั้นที่ทําให้กิกันท์ทั้งหมดนั้นหยุดทํางาน

คนขับกิกันท์บางคนก็สามรารถเข้าไปในกิกันท์ได้สําเร็จแต่บางคนก็ทําได้แค่เพียงแค่หลบอยู่หลังโขดหินเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่มีกิกันท์ตัวไหนที่ขยับออกมาจากรถพ่วงได้

“ท่านแม่ทัพ! พวกนั้นกําลังทําอะไร”

ฟิลิปอยู่บนสตริงที่2 เอ่ยถามในขณะที่เขาเองก็มีคําตอบอยู่แล้ว

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเราจะสามารถโค่นล้มกิกันท์พวกนั้นได้แล้ว”

“ชิ ข้าอุส่าห์หวังว่าจะได้เข้าร่วมในมหากาพย์สงครามกิกันท์ยักษ์สะท้านโลกา…”

“ที่นี่ไม่ใช่สนามประลองกิกันท์นะแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้สนุกอะไรเลย แต่การชนะสงครามก็เป็นปัจจัยที่สําคัญที่สุด”

โรเจอร์สที่พูดกลับฟิลิปก็ชักอาวุธออกมาและตะโกนว่า

“บุก!”

คุคุคุง!

“ว้ากก!”

กิกันท์ทั้ง 10 ตัวของฝ่ายรากนต์นั้นเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

จํานวนของพวกเขาไม่ได้มีมากมายนักแต่กองทัพของเคานต์โมนาร์ชที่กําลังตกอยู่ในสถานการณ์หนีตายที่ชุลมุนก็ไม่สามารถตอยโต้อะไรกลับไปได้เลย

เชนเข้าสู่กิกันท์คลาสอัศวินแต่ในไม่กี่วินาทีต่อมาเข่าก็แทบจะต้องกระอักเลือดเพราะไม่ว่าเขาจะพยายามควบคุมกันท์ของเขายังไงมันก็ไม่ตอบสนองตามคําสั่งเขาเลนยสักนิด

“เมื่อเช้าข้าก็ตรวจมันเรียบร้อยแล้วแล้วทําไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับกิกันท์เพียงตัวเดียวแต่มันยังเกิดกับหกิกันท์อีก 42 ตัวที่เหลือด้วยเช่นกัน

เชนที่หมดความอดทนในการฝืนควบคุมกิกันท์ก็ได้ตะโกนลงไปหาจอมเวทเหล็กไหลว่า

“พ่อมดโรบินสัน! นี่มันเหี้ยอะไรกัน!”

“ข้าก็กําลังมองหาอยู่…!”

พ่อมดขั้นที่ 5 โรบินสันผู้เป็นหัวหน้าจอมเวทเหล็กไหลก็สับสนเช่นกัน
หากเขาต้องการที่จะทราบถึงสาเหตุของที่ทําให้มันไม่ขยับเขาก็จําเป็นที่จะต้องรื้อชิ้นส่วนมันออกมาดูแต่เขาก็ไม่สามารถทําแบบนี้ในระหว่างสงครามได้

“ไปตรวจซะ เดี๋ยวนี้…!”

เชนพยายามทําให้มันเคลื่อนไหว

ทันใดนั้นเสียงที่ดังก้องกังวานก็ปะทุขึ้นข้างบนเนินเขามันก็คือกกันท์ทั้ง 10 ของรากันต์นั้นเอง

“บ้าเอ้ย อัศวินเคลื่อนพลไปข้างหน้า!ยื้อพวกมันเอาไว้จนกว่ากิกันที่จะได้รับการแก้ไข

ในการต่อสู้กับกิกันท์นั้น คู่ต่อสู้ของมันจะต้องเป็นอัศวินที่อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างต่ํา

เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถรับมือกับดาบของกิกันท์มือเปล่าได้ พวกเขาจึงต้องใช้ดาบที่เคลือบไปด้วยออร่าของผู้เชี่ยวชาญ

ในบรรดาอัศวินที่ถูกนําเข้ามาในสงครามครั้งนี้นั้นมีน้อยกว่า 20 คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญนอกจากนี้ไม่มีทางใดที่จะมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะหยุดกิกันท์เอาไว้ได้เพราะพวกเขาพึ่งสูญเยพลังวงานส่วนใหญ่ไปจากการ… ตลอดสามวันที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเรื่องแบบนั้น

เชนที่กระโดดออกมาจากฝาครอบของกิกันท์ก็ดึงดาบของตนเองออกมาและลงเอยด้วยการยื่นคําขาดให้กับโรบินสัน

“ข้าให้เวลาเจ้า 10 นาที ถ้าเจ้าไม่สามารถซ่อมมันได้ภายใน 10 นาทีนี้ ข้าก็ จะใช้ดาบของข้าระเบิดหัวของพวกเจ้าทั้งหมดทิ้งซะ!”

เช่นพร้อมด้วยคนของเขา เริ่มขี่ม้าส่ง หน้าไปยับยั้งกิกันท์

“สมบัติที่น่ารักของข้า..”

ขณะที่เชนกําลังเคลื่อนไหว เซบา สเตียนที่อยู่ห่างไกลจากพวกเขาก็หัวเราะเมื่อเห็นฉากนั้น

รอบตัวของมันนั้นเต็มไปด้วยก้อนหิน ขนาดใหญ่

เซบาสเตียนนั้นชอบศิลาเวทมนตร์ มากกว่าอัญมณีใดๆในโลก เนื่องจากเขาเป็นปีศาจที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนโลกที่มีศิลาเวทยมนตร์ขนาดใหญ่จํานวนมากซึ่งหาได้ยากมากในอาณาจักรปีศาจ

ดังนั้นแล้ว เซบาสเตียนจึงออกไปเดิน เล่นนอกบ้านประมาณหนึ่งชั่วโมงและกลับมาพร้อมกับศิลาเวทมนตร์ทั้ง 42 ชิ้น

เนื่องจากความสามารถของปีศาจนั้น ไม่ได้เป็นที่จดจําของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเซบาสเตียนที่เป็นหัวขโมยที่มีชื่อเสียงการลอบเร้นมันจึงทําให้เขาไม่ค่อยจะเป็นที่จดจําเท่าไหร่
นัก

หากพวกจอมเวทเหล็กไหลของเคา นต์โมนาร์ชให้ความสนใจกับหกกันท์มากขึ้นอีกนิด พวกเขาก็จะสามารถสั่ง เกตได้ว่าศิลาเวทมนตร์ขงกิกันท์เหล่านั้นได้ถูกถอดออกไป

อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขามัวแต่กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองมากจนไม่สนใจการไหลเวียนของ มานาในกิกันท์

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เซบาสเตียนได้ทํา ให้กิกันท์ทั้ง 42 ของเคานต์โมนาร์ชกลายเป็นง่อยไปเป็นที่เรียบร้อย

ถ้าเชนรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็อาจจะอา เจียนออกมาเป็นเลือด แต่เซบาสเตียนไม่ได้สนใจอะไรเพราะยิ่งอีกฝ่ายมี

คาามงหรณ์มากเท่าใด บาร็องมีความ
“ข้าจะนําพวกมันกี่คนไปถวายให้กับ นายท่านดีนะ? ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมปล่อยข้าไป”

ไม่มีวิธีที่แน่นอนที่จะทําให้ลุคปลด ปล่อยมันไป แจต่ถึงอย่างนั้นมันก็หวังว่าเขาจดูแลมันดีขึ้นมาหน่อย

เมื่อคิดตัดสินด้วยตัวเองเสร็จ เซบาส เตียนก็ออกจากที่นั่นไปพร้อมกับกระสอบที่เต็มไปด้วยศิลาเวทมนตร์

ในขณะที่ปีศาจร้ายจอมละโมบก้าวอ อกไป อัศวิน 80 คนที่นําโดยเชนก็ได้เข้าปะทะกับกิกันท์ทั้ง 10 ตัวของรากัน

ในตอนแรก อัศวินของเคานต์นั้นดู เหมือนจะมีอํานาจเหนือกว่า

อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้ของพวกเขาคือ กิกันท์ สิ่งประดิษฐ์ที่นับได้ว่าเป็นตัวกําหนดชัยชนะของสงคราม

นอกจากนี้มันก็ยังมีทหารและอัศวินค นอื่นๆของรากันต์ ที่คอยสนับสนุนกิกันท์ของพวกเขา

ในท้ายที่สุดอัศวินของเคนต์โมนาร์ชก็ ไม่สามารถกําจัดกิกันท์ทั้ง 10 ลงได้

พวกเขาส่วนใหญ่ถูกเหยียบหรือติดอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของกิกันท์ และแม้แต่อัศวินผู้เชี่ยวชาญที่มีดาบขนาดใหญ่ก็ถูกโค่น ลงเช่นกัน

ตอนนี้มันเหลืออัศวินเพียงไม่กี่คน เท่านั้น นั่นรวมถึงเชนด้วยเช่นกัน

พ่อมดคนอื่นๆเลือกที่จะยอมจํานนใน ขณะที่อัศวินรากันต์นั้นเข้ามาใกล้พวกเขาและทหารก็เริ่มละทิ้งอาวุธและยอม จํานน

พ่อมดนั้นไม่ได้ภักดีต่อเคานต์โมนาร์ช แต่อย่างใด ที่พพวกเขาทํางานให้กับเคานต์โมนาร์ชก็เป็นเพราะเงินที่ท่า นเคนต์ขจ่ายให้กับพวกเขาต่างหากดังนั้นการพ่ายแพ้ในสงครามของเคานต์โมนาร์ชจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสําหรับพวกเขา

และเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขายอ มจํานนเป็นเพราะการขาดพลังงานในการขัดขืน

ไม่ว่าจะมองในมุมใด รากันต์ก็ได้รับ ชัยชนะอย่างง่ายดายโดยไม่คาดคิด

และได้รับกลุ่มนักโทษเชลยศึกมาเป็น จํานวนมาก

พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตื่นเต้นกับชัย ชนะที่ได้รับ….

บทที่ 67 การระบาดของสงคราม (4)

 

ทหารกําลังเดินไปตามเส้นทางที่กําหนด

 

เป็นเวลาสามวันแล้วที่พวกเขากินอาหารแล้วต้อง ท้องร่วง ทหารบางคนถึงขั้นหมดสติไปเพราะอาการขาดน้ําและแร่ธาตุ

 

เมื่อใดก็ตามที่ทหารล้มลงรถเข็นก็จะมาเก็บร่างของ พวกเขาไป

 

รถเข็นเด็มไปด้วยผู้ป่วยที่เหนื่อยล้า

 

“ กก! สถานการณ์นี้มันบ้าอะไรกัน!”

 

หลังจากเห็นทหารแล้วเชนก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ด้วยความโกรธ

 

เคานต์โมนาร์ชไม่ได้พยายามช่วยด้วยซ้ํา และหนึ่ง ในสามของทหารก็เริ่มหมดแรงและล้มลง

 

ทางด้านของพ่อมดเองแม้จะมีสถภาพที่ดีกว่าอัศวิน เล็กน้อยเพราะการปกป้องจากมานา แต่มันก็ไม่ได้ดีกว่าอะไรมากนัก

 

มันมีรอยคล้ําใต้ตาของพวกเขา

 

“ท่านแม่ทัพทําไมเราไม่รายงานกลับไปยังจอมทัพ และเดินทัพช้าลงสักหน่อย”

 

ในตอนท้ายของคําพูดของผู้หมวด เช่นส่ายหัวอย่างแน่วแน่

 

“เราไม่สามารถทําเช่นนั้นได้ ข้ายอมตายจากการต่อสู้ ดีกว่าที่จะบอกว่าข้าเพลียเพราะท้องเสีย

 

ความภาคภูมิใจมรแข็งแกร่งของเขา คือเหตุผลที่ อัศวินไม่สามารถก้าวถอยหลังได้

 

“อย่างไรก็ตามหากสิ่งต่างๆยังคงดําเนินต่อไปทหารก็ จะล้มลง แม้ว่าเราจะมีพ่อมดและอัศวิน แต่เราก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”

 

หากความทุกข์ทรมานของพวกเขายังคงดําเนินต่อ ไป อีกไม่กี่วันพ่อมดและอัศวินส่วนใหญ่ก็จะล้มลงเช่นกัน

 

หากแหล่งพลังหลักของพวกเขาล้มลง พวกเขาก็จะ ไม่สามารถใช้งานกิกันท์ได้และพวกเขาก็จะพ่ายแพ้ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น

 

“…อันดับแรกไปที่ชายแดนของรากันต์ก่อน แล้ว ค่อยตัดสินใจ”

 

ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทําตามการตัดสินใจของเชน

 

เช้าวันรุ่งขึ้นในที่สุดกองทัพของเคานต์โมนาร์ชก็มา ถึงใกล้หุบเขายอทเทิร์น

 

หากเดินทัพออกไปได้หนึ่งกิโลเมตรจากหุบเขา พวก เขาก็จะไปถึงชายแดนของรากันต์ได้

 

“ ทุกคนร่าเริงหน่อย เมื่อเราผ่านหุบเขาแล้ว เราจะให้ พวกเจ้าได้พักผ่อนบ้าง”

 

เมื่อเสียงตะโกนของเชนดังขึ้น เหล่าทหารก็เริ่มใช้ พลังอย่างเต็มที่

 

“นายท่านทําไมเราถึงยังไม่ส่งคนออกไปสอดแนม

 

ผู้หมวดเดินเข้ามาถาม

 

โดยปกติแล้ว เมื่อกองกําลังใดก็ตาม เข้าไปในดิน แดนของศัตรู พวกเขาก็มักจะส่งหน่วยสอดแนมออกไปเพื่อดูว่ามีกับดักอะไรรออยู่หรือไม่

 

“ ไม่มีทางที่พวกมันจะวางกับดักเราหรอก ต่อให้ พวกมันกล้า มันก็คงจะเป็นกับดักกากๆ”

 

“ถึงอย่างนั้น เราก็จะไม่มีทางรู้…”

 

“เจ้าอยากไปแทนไหมล่ะ?”

 

เมื่อคําพูดอันเฉียบคมของเชนทําให้ผู้หมวดเงียบไป

 

ในความเป็นจริงเขาก็เหนื่อยและเพลียเช่นกัน อย่างไรก็ตามในฐานะผู้เชี่ยวชาญเขาต้องพึ่งพาทักษะและความแข็งแกร่งของเขา

 

“ถ้าไม่อยากทําก็เงียบไป”

 

เมื่อผู้หมวดเงียบไป เชนก็มองไปยังรอบๆและตัดสินใจ

 

ในความเป็นจริงอัศวินคนอื่นๆที่ได้ยินการสนทนา ของพวกเขาก็ไม่ต้องการสอดแนมเช่นกัน

 

“ยังไงเราก็ไม่สามารถส่งหน่วยสอดแนมออกไปได้ อยู่ดี เพราะเหล่าทหารก็ยังคงป่วยอยู่ นอกจากนี้เราก็อยู่ในหุบเขาต่อให้มันมีการดักซุ่มโจมตีจริงๆ เราก็ไม่ สามารถทําอะไรได้อยู่แล้ว…

 

ดังนั้นผู้หมวดจึงตัดสินใจที่จะไม่สอดแนมสถานที่ตั้งกล่าว

 

เนื่องจากพวกเขาเคลื่อนกําลังเข้าไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ ก็ยังไม่มีวี่แววความเคลื่อนไหวของศัตรูแต่อย่างใด มันจึงเป็นผลให้พวกเขารู้สึกสบายใจ

 

“พวกรากันต์กลัวที่จะเผชิญหน้ากับรึเปล่านะ?”

 

ในความเป็นจริงแล้ว มันกําลังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งกําลัง เฝ้ามองพวกเขาอยู่บนหุบเขา

 

ในบรรดาทหารที่ถูกซ่อนด้วยลายพรางต่างๆก็มีโรเจ อร์ส,ฟิลิปและวิคเตอร์อยู่ที่นั่นด้วย

 

ฟิลิปมองไปที่กองทัพของเคานต์โมนาร์ชด้วยสีหน้า ไร้สาระ

 

“พวกเขาไม่ได้กินอาหารเช้าเลยรึไง? ทําไมพวกเขา ถึงดูอ่อนแอขนาดนี้”

 

ทหารที่เดินขบวนหลายคนมีผิวที่ซีดและดูอ่อนเพลีย

 

นอกจากนี้คนที่ขี่ม้าอยู่ก็มีท่าที่เหนื่อยล้าเหมือนกัน บางคนก็นอนหลับอยู่บนหลังม้า ขณะที่พวกพ่อมดก็หลับอยู่บนรถพ่วง

 

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอกับบางอย่างที่ไม่ปกติมา”

 

โรเจอร์สซึ่งอยู่ถัดจากฟิลิปพึมพําขณะที่เก็บกล้อง ส่องทางไหล

 

หนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานของสงครามคือการสอดแนม สภาพแวดล้อม

 

อย่างไรก็ตามทุกคนในกองทัพของโมนาร์ช ก็ทํา อะไรไม่ถูกจนดูเหมือนกบว่าพวกเขาได้สูญเสียสามัญสํานึกไป

 

“ข้าไม่เข้าใจ เชนไม่น่าจะตัดสินใจได้แย่ขนาดนี้”

 

วิคเตอร์ที่เข้าร่วมกองทัพของรากันต์เพื่อช่วยเหลือ พวกเขา ก็ส่ายหัวด้วยความสงสัย

 

ขณะที่อยู่กับเจ้าหญิงเรย์น่าในลาเมอร์ เขาก็เคย ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเชนมามากมาย

 

ในฐานะแม่ทัพอัศวินแห่งเคานต์โมนาร์ช เขาเป็นชาย ผู้บนอยู่จุดสูงสุดในบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด

 

นอกจากนี้เขายังมีชัยชนะติดต่อกัน 30 ครั้งในสนาม ประลองกิกันท์

 

แต่ไม่มีใครคิดว่ามาก่อน ว่าเขาจะเลวร้ายในเรื่องของ การวางกลอุบายและยุทธวิธี

 

“เชอะ ข้าต้องพลางตัวอย่างยากลําบากต่าพวกมัน กลับไม่คิดแม้แต่จะมองขึ้นมาด้วยซ้ํา”

 

“เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า อย่าพึ่งรู้สึกผิดหวังไป”

 

วิคเตอร์ตบไหล่ฟิลิป แล้วขึ้นกกันท์เมียร์ของเขา

 

โรเจอร์สที่เข้าไปในกิกันท์ของเขา ก็ได้สื่อสารกับ เขาโดยใช้ลูกบอลคริสตัล

 

เล็งไปที่กิกันท์ของศัตรูและหยุดมันเอาไว้ให้ได้

 

บทที่ 66 การระบาดของสงคราม (3)

มันมีเพียงแค่สามเส้นทางจากลาเมอร์เท่านั้นที่จะใช้เพื่อมุ่งตรงมายังรากันต์ได้

 

เส้นทางแรกคือการเคลื่อนย้ายโดยใช้เรือจากแม่น้ําเนียร์ อย่างไรก็ตามปัญหาคือพวกเขาต้องเผชิญกับความแห้งแล้งของแม้น้ํา เรือหนักจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปในเส้นทางนั้นได้

 

นอกจากนี้หากมีสถานการณ์เช่นอุบัติเหตุเรือล่มในน้ํา พวกเขาก็อาจจมน้ําตาย และอาวุธราคาแพงของพวกเขาจะไม่สามารถใช้งานได้อีกในภายหลัง

 

เส้นทางที่สองคือใช้ทางหลวงเลียบแม่น้ํา

 

แต่นั่นไม่น่าจะใช่เส้นทางที่เชนเลือก แม้ว่าทางหลวงนั้นจะอยู่ภายใต้การบํารุงรักษาที่ดีดังนั้น จึงไม่มีปัญหาหากพวกเขาเลือกที่จะเดินไปที่นั่น อย่างไรก็ตามข้อเสียคือมันมีระยะทางที่ยาว จึงต้องใช้เวลาในการเดินทัพที่ค่อนข้างนาน

 

และด้วยที่พวกเขาต้องการจะเคลื่อนทัพมาโค่นรากันต์ลงให้เร็วที่สุด ดังนั้นเส้นทางที่สามจึงน่าจะเป็นเส้นทางที่พวกเขาเลือก

 

โกทนั้นกลัวว่าศัตรูอาจจะดักซุ่มโจมตีอยู่ล่วงหน้า อย่างไรก็ตามเชนก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉย

 

เขามั่นใจว่ากลอุบายอย่างการซุ่มโจมตีจะใช้ไม่ได้กับเขา

 

การเดินขบวนของพวกเขาดําเนินไปอย่างราบรื่น มันมีมอนสเตอร์น้อยมากในภูมิภาคนี้ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทําคือเดินทางชิวๆ

 

“วันนี้ก็พอแค่นี้แหละ เรามาพักผ่อนกัน”

 

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เชนก็สั่งให้ตั้งค่าย

 

ทหารเริ่มสร้างค่ายและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสถานที่ทันที บางคนกําลังเก็บฟืนหาน้ําดื่มและทําอาหารเย็น

 

“หืม มีกลิ่นหอม สตูว์เนื้อ?”

 

หลังจากนั้นไม่นานลูกน้องของเขาก็นําเอาสตูว์เนื้อมันฝรั่งผักพร้อมขนมปังและน้ําผึ้งมาให้

 

เนื่องจากพวกเขาต้องการเดินขบวนให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พวกเขาจึงต้องเร่ฝีเท่าให้ไวที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อตกเย็น เชนจึงหิวและพุ่งเข้าใส่อาหารอย่างไม่รอช้า

 

“นานมากแล้วที่ข้าได้กินข้าวในทุ่งนา”

 

มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกของเขาหลังจากผ่านไป 5 ปี นับตั้งแต่ที่อยู่ในชายแดนของสาธารณรัฐโวลก้า

 

มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

 

“เราจะไปถึงเขตปกครองของรากันต์ได้ทันภายในสิ้นสัปดาห์นี้หรือไม่?

 

แน่นอนว่าถ้าเขาขี่ม้า เขาจะไปถึงที่นั่นเร็วกว่า

 

แต่เขาต้องลากกําลังพล 5,000 นายพ่วงด้วยกิกันท์และรถลากที่เต็มไปด้วยเสบียง

 

“ข้าคิดว่านี่อาจเป็นการฝึกฝนสําหรับสงครามที่เราอาจจได้ทํากับมาร์ควิสเมเยอร์ได้ด้วย”

 

เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิดสงครามระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง

 

และในเวลานั้น เคานต์โมนาร์ชก็มีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับมาร์ควิสเมเยอร์

 

นั่นก็เพราะที่ดินของทั้งสองนั้นอยู่ใกล้กันและพลังของพวกเขาก็เท่ากัน

 

หลังจากคิดได้เช่นนั้น เชนก้ก็กวาดชามสตูว์ให้สะอาดด้วยขนมปังชิ้นสุดท้ายของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

กร้ากกก!

 

“เอ่อ?”

 

“กรี้ดดด?”

 

ทันใดนั้น ใบหน้าของเชนก็แปรเปลี่ยนเป็นสับสน เมื่อได้ยินเสียงท้องร้องดังขึ้นอย่างเร่งด่วน 

 

“ทหาร!”

 

“ฮะ?”

 

“ ทหารเอาผ้ามาให้ข้า!”

 

เชนฉีกเศษผ้าซึ่งอยู่ใกล้เขาออก แล้ววิ่งเข้าไปในปา

 

อย่างไรก็ตามมีปัญหา มีทหารจํานวนมากที่เข้าไปในปาก่อนเพื่อกําหนดสถานที่ในการของพวกเขาในคืนนี้

 

ทุกคนล้วนเลือกสถานที่ของตัวเองในปา

 

หลังจากนั้นเซนที่นั่งอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ก็ทําธุระเสร็จแล้วดึงกางเกงขึ้น

 

“ว้าว นึกว่าจะตายซะแล้ว”

 

เมื่ออาการท้องเสียของเขาเย็นลง ความวิตกกังวลของเขาก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน

 

กร้ากกก!

 

“อ๊ะ!”

 

แต่แล้วความรู้สึกปั่นปวนที่ท้องของเขาก็กลับมา มันทําให้เขาต้องรีบเข้าไปประจําการที่จุดเดิมของเขา

 

เชนต้องทําแบบนี้ถึงสามครั้ง เขาเรียกหาผู้หมวดของเขาเมื่อเขากลับไปถึงค่าย

 

อย่างไรก็ตามผู้หมวดก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาพบเขาได้ เพราะเขาเองก็มีปัญหาและพยายามแก้ไขมันอย่างวิตกกังวลเช่นกัน

 

“เกิดอะไรขึ้น? อะไรคือส่วนผสมที่ใช้สําหรับมื้อเย็นของเรา? มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?”

 

เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนดังนั้นส่วนผสมของพวกเขาอาจจะเก็บได้ไม่ดีนักหรืออาจเป็น เพราะน้ําที่พวกเขาดื่มมีสารปนเปื้อน

 

“มันแปลกมาก แม้ว่าเราจะตรวจสอบแล้ว อย่างไรก็ตามพ่อมดแม่มดก็ระบุว่าส่วนผสมที่เราใช้สําหรับทําสตูว์นั้น มีส่วนประกอบที่ทําให้เกิดอาการท้องร่วง”

 

พ่อมดเหล่านี้คือจอมเวทเหล็กไหลที่พ่วงติดมากับกิกันท์ด้วย

 

และเนื่องจากพวกเขามีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ พวกเขาจึงสามารถหาสาเหตุได้

 

 “เป็นฝีมือพวกรากันตั้งั้นหรอ?”

 

เมื่อคิดแบบนั้น เชนก็มอไปที่ผู้หมวดของเขา

 

“ข้าซักถามย้อนกลับไปในขณะที่เรากําลังหาสาเหตุ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุ อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีคนน่าสงสัยเข้ามาหรือออกไปจากสถานที่ทําอาหาร”

 

“ข้าไม่รู้ว่าคนใดกันที่กล้ามาทําเช่นนี้ แต่ถ้าข้าจับผู้ชายคนนั้นได้ละก็ ข้าจะทุบหัวเขา และส่งการลงไปว่าให้หาคนที่เชื่อถือได้มาทําอาหารแทน”

 

“ เข้าใจแล้ว”

 

แต่แม้จะมีการกระทําดังกล่าว เช้าวันรุ่งขึ้นเชนและกองทหารของเขาก็ยังเกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงอีก

 

“ปา กระดาษทิชชู ได้โปรด… พาข้าไป!”

 

“ไม่มีแล้ว ข้าใช้ของข้าหมดแล้ว!”

 

“ไอ้สาระยําเอ้ย! แม้ว่ากระดาษทิชชู้มันจะราคาถูก มึงก็ควรประหยัดไว้หน่อยเช่!”

 

เสียงกรีดร้องอย่างลําบากใจและโกรธของทหารทั้ง 5,000 นายดังมาก

 

คราบกองกําลังทหารมาได้จบลงเหลือแต่ผู้คนที่ทุกทรมาร

 

หลังจากการโจมตีของโรคท้องร่วงสองครั้งติดต่อกัน พวกเขาเลือกอัศวินที่น่าเชื่อถือและปรุงอาหารด้วยตัวเอง

 

เหล่าพ่อมดเข้ามาอยู่เคียงข้างและตรวจสอบกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การตรวจสอบส่วนผสม ไปจนถึงการปรุง

 

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิม

 

พ่อมดแม่มดระบุอย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แม้แต่ช้อนส้อมสีเงินที่พวกเขาใช้ในการรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตามทุกคนก็ยังคงต้องเข้าปาตลอดทั้งวัน

 

พวกเขายังคงดื่มต่ํากับความจริงที่น่าหดหู ก้นของพวกเขาเจ็บและกลัวที่จะนั่งลง และนั่นยังไม่ใช่จุดจบของปัญหา

 

สําหรับการทําสงครามนั้น พวกเขาจําเป็นที่จะต้องกินและพักผ่อนให้เพียงพอ

 

“ว้ากก! ใครกันที่ทําเรื่องทั้งหมดนี้? อ้า!”

 

หากพวกเขาพบว่าใครเป็นผู้กระทําความผิด พวกเขาทุกคนก็อยากจะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ

 

แต่ไม่ว่าจะตรวจสอบกี่ครั้งและถี่ถ้วนแค่ไหน พวกเขาก็ไม่พบผู้กระทําผิดและนั่นทําให้ความทุกข์ยากยังคงดําเนินต่อไป

 

“หึๆ มนุษย์โง่! ไม่ว่าพวกเจ้าจะพยายามแค่ไหน พวกเจ้าก็ไม่สามารถตรวจสอบงานศิลปะของข้าได้หรอก! ”

 

ณ หลังต้นไม้ มันกําลังมีใครบางตัวมองกองทัพที่น่าสังเวชของเคานต์โมนาร์ชอยู่

 

มันเป็นแมวที่ห้อยอยู่กับกิ่งไม้

 

แมวตัวนั้นกําลังมองลงไปที่กลุ่มมนุษย์ที่เครียดอย่างบ้าคลั่ง

 

เขาคือเซบาสเตียนปีศาจอันดับล่างที่เพิ่งกลายเป็นทาสของลุค

 

เซบาสเตียนผู้อวดอ้างตัวเองว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่เก่งที่สุดในอาณาจักรปีศาจ มันมีพลังในการแปลงร่างและการลอบเร้นที่ไม่ธรรมดา

 

และมันก็ยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่ง มันคือการนำสมุนไพรและยาพิษเพื่อทํายาที่แปลกประหลาด

 

เขาใช้มันเพื่อล่าสัตว์ประหลาดที่อันตรายในอาณาจักรปีศาจเป็นหลัก และเนื่องจากเขาฉลาดมาก เขาจึงสร้างพิษที่จะสามารถสังเกตเห็นกลิ่นและรสชาติของมันได้ยาก

 

เซบาสเตียนก่อกวนกองทัพของโมนาร์ชภายใต้คําสั่งของลุค

 

ลุคตัดสินใจที่เข้าร่วมต่อสู้กับทหารของตนเอง เขาเลือกจะขึ้นเหนือมาเพื่อวางยาเหล่าทหารของศัตรูก่อน

ยานี้ผลิตขึ้นโดยใช้สารพิษหลายชนิดผสมกันซึ่งมีเฉพาะในอาณาจักรปีศาจเท่านั้น และยาจะทําปฏิกิริยาเมื่อตกไปถึงกระเพาะอาหารของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น และมันจะทําปฏิกิริยากับเอนไซม์ย่อยอาหารของสิ่งมีชีวิต

 

นอกจากนี้ยังมีการคํานวณผิดในส่วนที่ผิดพลาดของเซน

 

พวกเขาคิดว่ายาได้ถูกวางตั้งแต่กระบวนการเตรียมอาหารแล้ว แต่จริงๆแล้วยาจะถูกฉีดพ่นหลังจากที่เตรียมอาหารแล้วต่างหาก

 

มันถูกพ่นทางลมเช่นเดียวกับละอองเรณูในช่วงเวลาของการผสมพันธุ์ของดอกไม้

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันถูกฉีดพ่นในเวลารับประทานอาหารของพวกเขานั่นเอง และอาหารที่พวกเขากินก็เป็นสิ่งที่ทําให้ประตูของโลกใบใหม่ของพวกเขาเปิดขึ้น!

 

เป็นผลให้กองทัพต้องทนทุกข์กับอาการท้องร่วงรุนแรงไปอีกสามวัน และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็เดินในขณะที่ขาก็กะเผลกๆ

 

“อย่างไรก็ตามข้าไม่เข้าใจว่า ทําไมนายท่านถึงยังไม่อยากฆ่าพวกเขา”

 

ในบรรดายาพิษที่เซบาสเตียนมีนั้น มันมีแม้กระทั่งยาพิษที่สามารถฆ่าโอเกอร์ได้ในทันที

 

อย่างไรก็ตามเจ้านายของเขาได้บอกเขาว่า อย่าใช้พิษนั่น

 

หากความเสียหายต่อกองทัพร้ายแรง พวกเขาอาจตัดสินใจถอยทัพและกลับมาต่อสู้ใหม่อีกครั้ง ในจํานวนที่มากขึ้น

 

“ยังไงก็ได้! มันยังเป็นเรื่องสนุกเสมอที่ได้เห็นพวกมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมาน!”

 

ปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับเอลฟ์

 

ดังนั้นพวกมันจึงตอบสนองต่อคลื่นอารมณ์ซึ่งแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับเอลฟ์ วิธีการที่จะทําให้ปีศาจรู้สึกพึงพอใจนั้นมันบิดเบี้ยว

 

เซบาสเตียนก็เช่นกัน

 

เขายังคงเดินเตร่ไปรอบๆ กองทัพของเคานต์โมนาร์ชและพ่นยาของเขาอย่างสบายๆและรอดูผลลัพธ์ของมันอย่างสนุกสนาน

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 65 การระบาดของสงคราม (2)

“ คาฮาฮา! ในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติแล้ว”

เคานต์โมนาร์ชที่เห็นกระดาษที่ส่งมาจากผู้ส่งสารของสภาจักรพรรดิก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

มันคือกระดาษที่ประกาศถึงการทําสงครามและมีการลงตราประทับของสภาจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว

“ในที่สุด พวกเราก็จะได้ออกโรงสักที” อัศวินที่สวมชุดเกราะเต็มยศกล่าว

เขาคือมือขวาคนสนิทของเคานต์โมนาร์ช เชน อัศวินผู้เชี่ยวชาญชั้นสูง และเขาก็ยังเป็นแม่ทัพอัศวินของจักรพรรดิด้วย

“ใช่ ในที่สุด ข้าก็จะสามารถชดใช้ความอัปยศที่เกิดขึ้นในครั้งล่า

สุดได้!”

หากเคานต์โฒนาร์ชเลือกที่จะลงมือตอนนี้ สิ่งที่เขาจะทําก็คือลอบเข้าไป แล้วทําการสังหารผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดและนําเอาตัวเจ้าหญิงออกมา

ซึ่งเขาก็อดทนต่อความปรารถนาของเขาต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว แต่โกทก็ยังคงยืนกรานว่า เขาไม่ควรเคลื่อนไหวจนกว่าเขาจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากสภาจักรพรรดิ

 

“หึ! มันกล้าดียังไงมาหลอกข้า หลังจากฆ่ากองทหารม้าของข้า ไปรอก่อนเถอะ หลังจากสงครามครั้งนี้จบข้าจะไปเอาตัวเจ้าหญิงกลับคืนมา!”

 

สิ่งที่เคานต์โมนาร์ชมีต่อเจ้าหญิงเรย์น่านั้นไม่สามารถนับเป็นความชอบได้อีกต่อไปแล้ว มันคือความหลงใหล

 

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทําให้เขาโกรธมาก

 

โกทพูดพลางส่ายหัว

“แต่นายท่าน พวกเรายังไม่รู้เลยว่าพวกรากันต์มันสามารถจัดการกับกองกําลังทหารม้าของเราได้อย่างไร”

ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดนี่ตระกูลรากันต์นั้นสามารถโค่นล้มกองกําลังทหารม้าแมปองของเคานต์โมนาร์ชได้

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือ ตระกูลรากันต์ทํามันได้อย่างไร?

 

“เจ้ายังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ? พวกมันอาจจะใช้กิกันท์ก็ได้”

“มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เท่าที่เราทราบมากิกันท์ทั้ง 3 ตัวของไวเคานตากันต์นั้นไม่สามารถขยับได้

 

กิกันท์นั้นมีความสําคัญมาก ซึ่งมันทําให้ดินแดนต่างๆต่างก็จับตาดูกันและกันอยู่อย่างเสมอๆ

ด้วยเหตุนั้น มันจึงมีสายลับที่อยู่ในราดกันต์คออยจับตาดูการเคลื่อนไหวของกิกันท์ของรากันต์

 

“และยังมีอีกประการหนึ่ง ก็คือดินแดนรากันต์ทั้งหมดนั้นกําลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงความจริงที่ว่าเราสมัครเข้าร่วมสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงทําการพัฒนาเมืองต่อไป”

สายตาของโกทนั้นสงบและเยือกเย็น เขาคิดว่าการกระทําของพวกรากันท์นั้นไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

ไม่ว่าพวกเขาจะคิดที่จะเอาชนะหรือยอมแพ้ แต่ในสายตาของโกทนั้นก็บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้รู้ออะไรเลยเกี่ยวกับรากันต์

 

“นี่เป็นเพียงการคาดเดา ข้าว่าขุนนางอาจช่วยเหลือรากันต์ หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ทําให้อัศวินเงาและกองกําลังทหารม้าแมงปองถูกทําลายได้อีกแล้ว”

 

เป็นที่รู้กันดีว่าอัศวินเงาถูกส่งไปลอบสังหารลุค แต่พวกเขากลับพบซากศพของพวกอัศวินเงาพร้อมกับกิกันท์ที่ข้างใต้บริเวณหน้าผา

แวบแรกมันก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะพื้นดินที่ถล่มลงมา

 

แต่เมื่อคิดดูดีๆมันก็แปลกมาก เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะมีใครจงใจพากิกันท์ไปที่หน้าผา

นอกจากนี้สายลับยังระบุว่ารถพ่วงที่พวกอัศวินเงาเคยใช้ตอนนี้อยู่กับไวเคานต์รากันต์

 

นั่นหมายความว่าพวกอัศวินเงาต้องเคยปะทะเข้ากับพวกรากันต์แน่นอน

 

“หากเรายังไม่สามารถยืนยันคําตอบได้ ข้าก็คิดว่าการจะไปโจมตีพวกมันในตอนนี้เป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้น…”

 

คําพูดของโกทนั้นทําให้เชนรําคาญ

“แล้วไง? เจ้ากําลังจะบอกว่าเราควรยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนี้

นหรอ?”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อ อย่างไรก็ตามข้ารู้สึกว่าเรายังจําเป็นต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อนจะเริ่มการโจมตี”

 

สําหรับโกทแล้ว เชนนั้นเป็นคนที่รับมือได้ยาก

พลังของเขาที่ว่าเหนือมนุษย์แล้ว แค่ความโง่เขลาของเขานั้นเหนือมนุษย์ยิ่งกว่า

 

“ไม่ว่าพวกมันจะทําอะไร พวกเราก็เพียงแค่ต้องบดขยี้และเอาชนะพวกมันเท่านั้น เจ้าคิดว่พวกเราจะแพ้งั้นหรอ?”

 

“อ่า ก็ไม่”

 

พวกเขานั้นมีพลังที่ไม่มีวันสูญหาย

 

ลําพังเพียงจํานวนกิกันท์ที่เขาครอบครองก็มากกว่าฝ่ายรากันต์ถึง 20 ตัวแล้ว แล้วไหนจะจํานวนกองทหารอัศวินอีก

จํานวนอัศวินรวมถึงผู้เชี่ยวชาญนั้นก็มีมากกว่า 200 นายและทหารมีมากกว่า 10,000 นาย

 

ด้วยพลังที่มากขนาดนี้ พวกเขาก็จะไม่เสียเปรียบแน่นอนแม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นมาร์ควิสเมเยอร์ก็ตาม

“เชอะ เก็บหัวใหญ่ๆของเจ้าเอาไว้ทําอย่างอื่นให้ดีเถอะ!”

“ไม่ใช่ว่าข้ามีความกังวลอะไร แต่ข้าแค่อยากจะระวังไว้ก่อน”

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่อยู่ตรงหน้านี้”

 

แม้ว่าการเยาะเย้ยของเชนนั้นทําให้โกทเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหุบปาก

 

“โปรดให้ข้าได้นําทัพไปที่นั่นด้วย ข้าจะไปเล่นกับพวกมันเอง!”

 

เคานต์โมนาร์ชพยักหน้าเนด้วยอย่างมั่นใจ

 

“ข้าอนุญาต”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ขอบคุณมาก!”

 

เชนที่กระสับกระส่ายอย่างมาก กระโดดออกจากที่นั่งและออกจากห้องทํางาน

 

กองทัพได้รวมตัวกันนอกเมืองลาเมอร์…

เมื่อได้รับรายงานว่าสงครามได้รับการอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ลุคก็เข้าไปในห้องทํางานซึ่งคนรับใช้ทั้งหมดกําลังรอเขาอยู่ที่นั่น

“ คาดว่ากองกําลังของโฒนาร์ชจะระดมพลกิกันท์ 42 ตัว อัศวิน 80 นาย และทหารอีก 5,000 นาย

ไม่มีทางที่เคานต์โมนาร์ชจะระดมกองกําลังทั้งหมดของเขา นั่นก็เพราะเขาต้องเก็บกองกําลังทหารส่วนหนึ่งไว้คอยปกป้องเมือง

 

เคานต์โมนาร์ชนั้นยังมีอีกห้าเมืองนอกเหนือจากลาเมอร์และป้อมปราการมากกว่าเจ็ดแห่งที่ใต้ใต้การปกครองของเขา

 

“แต่พวกเขาก็ยังอยู่สูงเกินไปสําหรับเรา”

 

แม้จะมีส่วนหนึ่งต้องป้องกันเมือง แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากลําบากหสําหรับฝ่ายรากันต์

ลุคตอบกลับโรเจอร์ส

 

“แต่เรามีกําลังใจและการเตรียมพร้อมที่ดีกว่า”

“อื้มนั่นก็ใช่”

ลุครู้ว่าพวกเขานั้นเตรียมการอย่างหนักในการทําสงคราม แต่ยังไงซะกําลังรบของพวกเขาก็ยังจัดอยู่ในระดับต่ํา

 

“แล้วแผนการของเราคืออะไร? ท่านคงไม่คิดจะให้เราตั้งรับอยู่แต่ในนี้ใช่ไหม?”

 

“ไม่อย่างแน่นอน เราจะทําให้ศัตรูของเราต้องตกใจจนอกสั่นขวัญผวา”

 

หุบเขายอทเทิร์นที่โรเจอร์สชี้ไปนั้นเป็นเส้นทางเคานต์โมนาร์ชต้องใช้เพื่อเดินทางมาที่รากันต์

 

เส้นทางของมันนั้นไม่ได้กว้างอะไรมาก มันมีพื้นที่เลนพอให้รถม้าสองคันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงสถานที่ที่เหมาะกับการซุ่มโจม

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาไม่ใช้เส้นทางนั้น”

ไม่มีเส้นทางใดที่เคานต์โมนาร์ชจะสามารถใช้เพื่อมายังรากันต์ได้อีกแล้ว

แต่หากพวกมันสามรถหาทางได้ มันก็จะทําให้การจัดสรรกองกําลังของพวกเขาไขว้เขวไป

 

“แน่นอนว่าอาจเป็นได้ แต่คราวนี้ผู้บัญชาการของพวกเขาคือเชน จากรายงานของเรา เขาเป็นคนห้าวหาญและใจร้อน ซึ่งความคิดของเขาก็เป็นอะไรที่ตื้นเขิน ดังนั้นบางทีพวกเขาอาจจะวางแผนที่จะมาที่นี่ในเวลาที่สั้นที่สุด”

 

หุบเขายอทเทิร์นนั้นตั้งอยู่ในดินแดนของโมนาร์ช

และแม้ว่าจะต้องประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ต้องกําจัดพวกเขาด้วยกิกันท์เพียงแค่ 3 ตัว

“ใครว่า 3 ล่ะ เรามี 10 ต่างหาก”

เดิมที่พวกเขากิกันท์ที่ใช้ได้ 3 ตัวและ 5 ตัวจากการซ่อมบํารุง 1 ตัวจากแบรนดอน และ 1 ตัวจากเจ้าหญิงเรย์น่า

 

แม้ว่าการต่อสู้โดยตรงจะเป็นเรื่องยาก แต่หากการซุ่มโจมตีสามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น ชัยชนะก็น่าจะเป็นของพวกเขา

“ไม่เลว”

 

ลุคกล่าวพลางพยักหน้า

 

อย่างไรก็ตามลุคสามารถมองเห็นช่องโหว่มากมาย เนื่องจากสงครามที่เขาเคยทําในอดีต

 

“แล้วถ้าพวกเขาเห็นการซุ่มโจมตีล่ะ?”

หากพวกมันบางคนมีความรอบคอบและค้นพบการซุ่มโจมตี มันจะทําให้ฝ่ายรากันต์นั้นตกที่นั่งลําบาก

และถ้ากิกันท์จํานวนมากเหล่านั้นยังมีประสิทธิภาพคุณภาพสูงด้วยล่ะ?

 

ผู้ขับขี่หลายคนมีประสบการณ์โดยตรงในสนามประลองกิกันท์ สําหรับการต่อสู้แบบกิกันท์ นอกจากนี้ผู้บัญชาการอัศวินก็เป็นคนที่เก่งที่สุด

 

“ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ข้าก็ต้องไป”

หากเขาต้องตกอยู่ในสงคราม อํานาจของเขาก็ไม่ควรถูกเปิดเผย

ซึ่งแตกต่างจากผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าที่เขาช่วยชีวิตครั้งสุดท้าย มันมีดวงตามากมายที่จะเป็นพยานให้เขา

 

ในครั้งนี้นอกจากจะมีทหารของทั้งสองฝ่ายแล้ว มันยังมีสายลับของกอองกําลังอื่นๆอีกมากมายที่มาเฝ้าสังเกตุการณ์

ดังนั้นเขาจึงควรที่จะหนีไปซะตั้งแต่แรกๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะถูกสงสัยว่าเป็นพ่อมดแห่งความมืด

อย่างไรก็ตามการที่เขาจะเข้าร่วมในการซุ่มโจมตี มันก็หมายความว่าเขาต้องละออกจากเหล่าคนรับใช้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาไม่ควรที่จะไปเข้าร่วม

 

“ข้ายังมีภาระงานที่ต้องทําอีกมาก ซึ่งมันมองไม่เห็นด้วยตา”

 

ลุคยิ้มอย่างมีเลศนัย และปล่อยให้ทหารไปทําหน้าที่ของตน

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 64 การระบาดของสงคราม (1)

 

ลุคผู้ซึ่งยอมรับเซบาสเตียนมาเป็นทาสรับใช้ของเขา ต่อมาก็ได้ใช้เวทมนตร์บินเพื่อบินออกไปจากเทือกเขาซึ่งมีการก่อสร้างอุโมงค์

 

ในพื้นที่โล่งกว้าง ฟิลิปกําลังฝึกวิชาดาบของเขา

 

“การฝึกฝนของเจ้าเป็นไปด้วยดีหรือไม่”

 

“ อ่า นายท่านมาแล้วหรอ?”

 

ฟิลิปเก็บดาบของเขาแล้วหันตรงไปที่ลุค ในไม่ช้าเขาก็เริ่มแสดงออกถึงสีหน้าผิดหวัง

 

“เจ้ามือเปล่า นี่เจ้าจะไม่หยุดข้าเหรอ?”

 

” มันสําคัญด้วยหรอที่ข้าจะหยุดท่านหรือไม่ ท่านไม่ได้สนใจด้วยซ้ําว่ากองทัพศัตรูกําลังทําอะไรอยู่”

 

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจ แต่มันเป็นเพราะข้าต้องคิดเกี่ยวกับเรื่อง เพลงดาบสุวรรณต่างหาก”

 

ฟิลิปเป็นอัศวินที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามและคุ้มครองลุค

 

มันเป็นตําแหน่งที่ต้องการให้เขาติดตามและเฝ้าดูแลลุคตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่สามารถทําได้ นั่นเป็นเพราะลุคคอยแต่หลบหน้าเขาและเก็บทุกอย่างเป็นความลับจากเขา

 

ฟิลิปถึงกับเขียนบทกวีเพื่อบรรยาอารมณ์ความรู้สึกที่เขาต้องเผชิญแต่เขาก็ยังคงพยายามทําหน้าที่อัศวินผู้พิทักษ์ของลุคต่อไป

 

“การล้างสมองด้วยเวทมนตร์แห่งความมืดนั้นง่ายมาก….ข้ารู้สึกเสียใจมากที่ทําให้อัศวินผู้เชี่ยวชาญคนนี้กลายเป็นคนโง่”

 

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาลุคเลือกที่จะยอมให้กับฟิลิป

 

ลุคสัญญาว่าถ้าฟิลิปยอมละออกจากเขา เขาก็จะยอมสอนเรื่อง เพลงดาบสุวรรณให้

 

“ พะ.. เพลงดาบสุวรรณ”

 

“ใช่ เลือกมา ว่าจะรับหรือไม่”

 

ถ้าฟิลิปปฏิเสธข้อเสนอของลุคในตอนนั้น ลุคก็ตั้งใจจะล้างสมอง

เขา

 

แต่ฟิลิปถามแค่เรื่องเดียว

 

ถึงแม้เขาจะเป็นคนโง่เขลาที่โครตโง่ แต่จิตใจของเขาก็เป็นของอัศวินอย่างไม่ต้องสงสัย

 

มันไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธข้อเสนอของลุค เมื่อเขานึกถึงตํานานเพลงดาบสุวรรณของนักรบแห่งรากันต์ที่ยังคงถูกพูดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 500 ปี

 

หลังจากการประนีประนอมฟิลิปเสร็จ เขาก็แสร้งทําเป็นว่าตามลุคไปทุกครั้งที่เขาออกไปจากคฤหาสน์ และในรายงานเขาก็กล่าวว่า “ข้าดูลอร์ดหนุ่มฝึกดาบและรับฟังคําสั่งของท่านลอร์ด”

 

ทุกครั้งที่เขารายงานกลับไปให้โรเจอร์ส โรเจอร์สก็มักจะมีความสงสัยเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเสมอ เพราะการฟันดาบของลุคนั้นยังดูเหมือนไม่มีการพัฒนาใดๆ มีแทบจะไม่แตกต่างไปจากตอนที่เขาฝึกอยู่กับโรเจอร์สเลย

 

“ข้าอยากรู้อยากเห็นมากจริงๆ … หลังจากที่นายท่านเปลี่ยนไป ข้าก็ดีใจมากที่ท่านไม่ได้ประพฤตัวในทางที่ไม่ดี และตอนนี้ข้าก็เชื่อแล้วว่าท่านจะไม่มีสันทําเรื่องพวกนั้นแน่นอน”

 

“ใช่?”

 

“ใช่แล้ว แม้ว่าท่านจะค้นพบมรดกของราชาปีศาจ แต่ท่านก็ยังคงฝึกฝนมันอย่างตั้งใจ ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องประสบความสําเร็จอย่างมากในอนาคตแน่นอน”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของฟิลิป ลุคก็ยิ้มขึ้น

 

เขารู้สึกแย่เล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะยิ้มออกมาและมองมัน เป็นเรื่องตลก

 

“แล้วถ้าข้าทําให้เจ้าเป็นเดธไนท์ล่ะ?”

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องทําให้ข้าเป็นเดธไนท์ที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆนะ เพราะไหนๆท่านก็เปลี่ยนข้าแล้ว ท่านก็ควรจะทําให้มันดีๆ ไปเลย”

 

“ ว้าว ได้ยินแบบนี้แล้ว มันก็ทําให้ฉัน…”

 

ลุคตบไหล่ของฟิลิป จากนั้นเขาก็ดึงดาบของเขาออกมา และเริ่มทําตามสัญญาที่เขาให้ไว้กับฟิลิป เพลงดาบสุวรรณ!

 

“โอเค ทีนี้มาดูกันว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?”

 

” นั่นคือสิ่งที่ข้าทําที่นี่ ถ้าท่านรู้สึกภูมิใจมาก ท่านจะไม่สามารถสังเกตุข้อบกพร้องของท่านได้หรอกนะ”

 

เพื่อจุดประสงค์ในการฝึกฝน พันธมิตรทั้งสองคนต่างก็พร้อมที่จะต่อสู้กันอย่างที่ต่อสู้กับศัตรู

 

ลุคได้เรียนรู้วิธีสร้างออร่าทันที หลังจากที่เขาเรียนรู้การสร้างออร่าเมไจในตอนที่ฝึกฝนกับโรเจอร์ส

 

ทันใดนั้นดาบของเขาก็เรืองแสงทองออกมาอย่างรวดเร็ว

 

มานาแกนกลางซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุดของเพลงดาบสุวรรณ นั้นเป็นอะไรที่ง่ายเกินไปสําหรับเขา

 

ไม่มีใครในโลกที่สามารถก้าวจามเขาได้ทันในฐานะตอมเวทขั้น 9

 

คัง! กึ้ง!

 

ทุกครั้งที่เสียงของโลหะกระทบกันดังขึ้น ออร่าก็จะกระจายออกมา

 

แม้ว่าผิวหนังของพวกเขาจะถูกตัดออกและเสื้อผ้าของพวกเขาก็เริ่มขาดแต่การฝึกซ้อมของพวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง

 

หลังจากฝึกซ้อมเป็นเวลากว่า 20 นาที ฟิลิปก็กลายเป็นคนที่เอาดาบมาจ่อที่คอของลุค

 

” เจ้ายังแข็งแกร่งกว่าข้า”

 

“นั่นเพราะข้าไม่รู้อะไรนอกจากใช้ดาบ”

 

ทักษะการฟันดาบของลุคนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเขาก็ได้เรียนรู้มันในเวลาอันสั้น

 

ฟิลิปนั้นเรียนรู้วิชาดาบมานานกว่า 20 ปีและเขาก็แสดงความสามารถเพื่อก้าวข้ามผ่านผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง

 

เพราะฉะนั้นชัยชนะของเขา

 

และฟิลิปเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ

 

เขารู้ดีว่าลุคยังไม่หมดพลัง และเขายังรู้ว่าลุคได้เรียนรู้เวทมนตร์จากมิวท์ ดังนั้นเขาอาจมีวงเวทย์ 1 หรือ 2 วง ซึ่งมากพอที่จะใช้ในการต่อสู้

 

ฟิลิปรู้ดีว่า ถ้าลุคใช้เวทมนตร์แฟลชธรรมดาๆเขาก็จะสามารถแตะคอของฟิลิปได้เหมือนกัน

 

ตลอดทั้งชั่วโมงนั้น ลุคได้บอกฟิลิปถึงทุกอย่างที่เขาได้เรียนมาจากโรเจอร์ส

 

“ถ้าอย่างนั้นเราควรกลับไปดีไหม”

 

“ใช่ มันไม่ดีที่จะทํางานหนักเกินไป”

 

พวกเขาสองคนขี่ม้ากลับไปที่คฤหาสน์

 

แต่บรรยากาศของคฤหาสน์ในตอนนี้ก็ไม่ธรรมดา

 

เหล่าสาวใช้ทุกคนดูเหมือนจะกังวลมากและอัศวินที่สวมชุดเกราะเต็มยศก็มีท่าที่ยุ่งมากเช่นกัน

 

เมื่อเห็นดังนั้น ลุคก็รู้ได้ทันทีว่ามันต้องเกิดเหตุการณีอะไรบางอย่างขึ้นแน่นอน โดยไม่รอข้าเขาได้เอ่ยถามเพื่อยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

เมื่อได้ยอินคําถามของลุค หัวหน้านักบวชมารอนที่กําลังเดินผ่านลุคก็หยุดแล้วตอบเขา

 

“ท่านกลับมาแล้ว”

 

“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว ….”

 

“เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ส่งสารคนหนึ่งที่มาจากราชสํานัก และ กระดาษที่เขาได้มอบให้ก็ระบุว่าทางสภาและจักรพรรดิได้เซ็นยินยอมให้มีการทําสงครามแล้ว”

 

ในที่สุดคําขอของเคานต์โมนาร์ชก็ได้รับการยอมรับแล้ว

 

ลุคที่เตรียมพร้อมสําหรับเรื่อนงนี้อยู่แล้วก็ตอบกลับมารอนไปอย่างใจเย็น

 

“พวกคนรับใช้ล่ะ?”

 

“ทุกคนอยู่ในห้องทํางานและกําลังรอการมาถึงของท่าน โปรดท่านจงไปที่นั่นด้วย”

 

ลุครีบไปที่ห้องประชุม

 

หัวใจของเขาเต้นแรงแต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว และแม้ว่าตอนนี้เขาจํากําหมัดแน่นแต่หัวของเขาก็ยังเย็นเหมือนเช่นเคย

 

“รอก่อนเถอะโมนาร์ช ข้าจะนําเอาหายนะไปเคาะหน้าประตูบ้านเจ้าเอง!”

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 63 ปีศาจเซบาสเตียน (5)

ในวันรุ่งขึ้นลุคก็ได้ทําการอัญเชิญปีศาจอีกสามครั้ง

ถ้าทําได้ เขาก็อยากจะทํามันวันละหลายๆครั้ง

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงตามหาวัสดุเพื่อนํามาใช้ในการสร้างวงเวทย์อัญเชิญด้วย และอย่างที่รู้ๆกัน ลุคสามารถฆ่าปิศาจทุกตัวที่เขาอัญเชิญได้

เขาได้รับความสามารถของลําแสงเปโตรซึ่งมันสามารถทําให้คู่ต่อสู้กลายเป็นหินได้ และความสามารถของคลื่นโซนิคซึ่งสามารถ ทําให้สิ่งต่างๆตกใจด้วยคลื่นเสียงได้

และพลังที่ 3 ที่เขาได้มาก็คือ ความสามารถในการเสริมสร้างซึ่งเหมือนกับพลังความสามารถของปีสาจตนแรก มันจึงทําให้ความสามารถพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ

“ตอนนี้ข้าเหลือวัสดุพอจะอัญเชิญได้อีก 1 ครั้งเท่านั้นข้าจะทํามันตอนนี้แล้วฆ่ามันเลยดีไหมนะ?”

หลังจากคิดอย่างหนัก ลุคก็ตัดสินใจที่จะอัญเชิญปีศาจมาอีกเป็นครั้งที่ห้า

อูยอง!

วงเวทย์อัญเชิญเปล่งประกายพร้อมกับเสียงคํารามที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นโลก ปีศาจขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเสือเขี้ยวดาบปรากฏตัวขึ้น

“ว้ากก..! กูคือปีศาจเซบาสเตียนปีศาจชั้นสูงแห่งอาณาจักรปีศาจถ้ามึงไม่คุกเข่าให้กูตอนนี้ กูเล่นถึงแน่!”

 

ปีศาจที่ถูกอัญเชิญมานั้นมีฟันและกรงเล็บที่ดูแหลมคมและน่าขนลุกเป็นอย่างมาก นอกจากนี้มันยังมีปีกสีดําคล้ายกับอีกาอยู่ที่หลังของมัน

 

“อึมคราวนี้มันเป็นปีศาจประเภทสัตว์งั้นเหรอ?”

 

ในอาณาจักรปีศาจนั้นไม่ได้มีเพียงปีศาจที่รูปร่างคล้ายมนุษย์หรือมีสองขาเท่านั้น มันยังมีปีศาจอีกหลากหลายประเภทรวมถึงปีศาจชั้นสูงที่มีลักษณะคล้ายเสือเขี้ยวดาบก็เช่นกัน

“มนุษย์ ถึงกําลังทําอะไร คุกเข่าต่อหน้ากูสิ เร็วเข้า!”

ขณะที่ลุคกําลังมองมันอย่างประหม่า เซบาสเตียนก็ตะโกน

อย่างไรก็ตามลุคก็หัวเราะเยาะมัจ เมื่อเห็นแบบนั้นเซบาสเตียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน

“ไอ้สัตว์นี่! มึงกล้ามองปีศาจชั้นสูงแล้วหัวเราะได้ยังไงกูจะผ่าท้องของมึงแล้วควักไส้ออกมาแดก … ย้ากก!”

ขณะที่มันกําลังจะเดินลงไปหาลุค มันก็โดนเวทมนตร์ของลุคโจมตีเข้าอย่างฉับพลัน

 

เมื่อมันลงมาจนถึงพื้น ร่างกายของมันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไป

 

จู่ๆขนาดของมันที่เคยใหญ่กว่า 10 เมตรก็ลดลงเหลือ 30 เซนติเมตรทั้งฟันและกรงเล็บที่ดูดุร้ายและน่ากลัวตอนนี้ได้หายไปแล้ว

สภาพของปีศาจที่เคยข่มขู่จะเอาชีวิตของลุคในตอนนี้นั้นไม่ได้ต่างไปจากแมวขนปุยธรรมดาๆเลย(*ว่าแล้วก็อย่างลืมไปอุดหนุนโรงแรมแมวของเจ้าสัวกันด้วยนะค้าบ*)

ในตอนนี้ปีศาจสวมรองเท้าบูท ถุงมือหนังเข็มขัดหนังคาดเอวและกระเป๋าขนาดใหญ่และเล็กที่ห้อยลงมาจากเข็มขัดของมันและและสิ่งที่สําคัญที่สุดมีดสั้นอันเล็กๆน่ารักๆสองอันด้วย

“เอ่อ… ร่างกายของข้า …. ?”

เซบาสเตียนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองก็กล่าวขึ้นอย่างานงง

ลุคยิ้มและพูดขึ้นว่า

 

“การเปลี่ยนแปลงของเจ้าดูกระจอกมาก ข้านึกว่ามันจะดีขึ้นแต่มันกลับดูโง่และอ่อนแอลงซะงั้น”

สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งนั้นก็มักจะมีพละกําลังที่แข็งแกร่ง

ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรือของจริง พละกําลังเหล่านั้นก็สามารถสัมผัสได้

ในขณะที่เขาฟังเซบาสเตียนพูด เขาก็ตรวจสอบพละกําลังของมันแต่เขาก็ไม่พบภัยคุกคามอะไร

 

นอกจากนี้ วงเวทย์ที่ลุควาดนั้นคือวงเวทย์ที่ใช้เรียกสัตว์ระดับต่ําดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะเปลออัญเชิญอสูรที่ยิ่งใหญ่ กว่าตัวเอง

 

” ซึ่งมัน เรามาสู้กันเลยดีกว่า”

ลุคกระทืบเท้าเข้าหาเซบาสเตียน

 

“เห้ย ไอ้ศิษย์ไม่มีครู! ถึงไม่เคยได้ยินที่ขงจื้อกล่าวรึไงวะ!ว่าถ้ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรก็ให้มาคุยกัน!”

“ข้าไม่มีอะไรต้องคุย”

“ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้น! ความจริงท่านก็ดูเป็นสุภาพบุรุษที่หล่อเหลานี่นาเราน่าจะคุยกันได้อยู่น้า ยังไงท่านก็คิดซะว่าทําบุญทําทานกับแมวตัวเล็กๆน่ารักๆแบบข้าก็ได้

เซบาสเตียนพูดด้วยสีหน้าและน้ําเสียงที่ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แต่การแสดงออกที่เย็นชาของลุคก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

” ข้าจะทรมารเจ้าแล้วจากนั้นก็ค่อยดูดซับพลังของเจ้ามา”

 

อีก!”

 

เซบาสเตียนอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ

ในตอนที่เซบาสเตียนตัดสินใจตอบรับการอัญเชิญนั้นก็เป็นเพราะเขากําลังหิวและอยากกินอะไรบ้าง แต่ตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายที่จะถูกกินซะงั้น

มันเคยมีคนบอกเซบาสเตียนแล้ว ว่าให้ระวังเรื่องการอัญเชิญแต่เขาไม่เคยเชื่อและในที่สุดมันก็ต้องพบเจอเองกับตัว นั่นก็คือผู้ชายคนนี้นี่เอง!

 

“อืม.. สุดหล่อ ข้าไม่ได้มีเมไจมากมายอะไรหรอกน้า ท่านอย่าหวังที่จะเอามันไปจากปีศาจระดับต่ําแบบข้าเลย”

“ดูเหมือนว่า เจ้ากําลังจะบอกข้าว่าเจ้าก็มีเมไจ?”

“เอ่อ.. มันก็อาจจะมีบ้าง แต่จะดีกว่าน้าถ้าท่านจะเอามันจากปีศาจตัวอื่น! เพราะข้าคือเซบาสเตียนจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งอาณาจักรปีศาจยังไงล่ะ!”

“โอ้ เจ้าคือแมวขโมยเซบาสเตียนใช่ไหม?”

ลุคปลดปล่อยเวทมนตร์เถาวัลย์แห่งความมืดด้วยความผิดหวังอย่างมากทันใดนั้นเซบาสเตียนก็ล้มลงบนพื้นและขอร้องเขาไม่ หยุด

 

“ใจเย็นก่อนท่าน! ให้ข้าทําอะไรก็ได้ ดังนั้นอย่าฆ่าข้า! ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดี!ไม่สิ ข้าจะมอบวิญญาณของข้าให้ท่านเลย!”

 

เมื่อเห็นเซบาสเตียนร้องไห้ ลุคก็ค่อนข้างสับสน

ปกติแล้วการอัญเชิญปีศาจก็เหมือนกับการอัญเชิญมีดและดาบเข้ามาแทงตัวเอง

 

ดังนั้นฝ่ายที่ควรจะเป็นคนของความดเมตตาก็ควรจะเป็นฝ่ายพ่อมดเองซะมากกว่า

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ เจ้าปีศาจแมวตนนี้ก็กําลังบอกว่ามันจะมอบวิญญาณของมันให้กับเขา!

“บะ! ไอ้แมวนี่ดูน่าสนใจจริงๆ”

นอกจากมันตจะน่าสนใจแล้ว ลุคยังคิดว่มันอาจจะมีประโชน์กับเขาได้ในภายหลัง

ในโลกที่น่ารังเกลียดของอาณาจักรปีศาจ การที่แมวกระจอกแบบนี้สามารถอยู่รอดมาได้ก็แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษแน่ๆ

 

“มันบอกว่าเป็นขโมยใช่มั้ย? ถ้ามันสามารถปลอมตัวและสอดแนมได้ดีบางทีข้าอาจใช้มันในการสอดแนมเคานต์ได้”

 

ดูเหมือนว่าการอัญเชิญเสือเขี้ยวดาบมาในคราวนี้จะเป็นอะไรที่มีประโชน์กับเขาซะแล้ว

ลุคมองไปที่เซบาสเตียนด้วยสายตาที่เข้มงวดและทําการตัดสินใจจากนั้นเขาก็พูดว่า

“เจ้าจะบอมมอบวิญญาณของเจ้าให้ข้าจริงๆหรอ?”

“ใช่ ข้าจะมอบวิญญาณของข้าให้กับท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้า – เซบาสเตียนเป็นคนรับใช้ของท่าน!”

“โอ้ งั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้าในครั้งนี้”

หลังจากนั้นลุคก็ทําพิธีร่วมกับเซบาสเตียน

 

เนื่องจากฝ่ายที่จะมอบวิญญาณให้ได้สลับกันแล้ว ในตอนนี้ลุคจึงต้องแก้ไขพิกรรมและวงเวทย์อีกเล็กน้อย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากสําหรับอดีตพ่อมดขั้น 9 แบบเขา

“ปีศาจเซบาสเตียนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วิญญาณของเจ้าเป็นของลุคชีวิตและความตายของเจ้าจักอยู่ในมือของข้า ดังนั้นอย่าแม้แต่จะคิดที่จะกบฏ!”

หลังพิธีกรรมเสร็จสิ้น คอของเซบาสเตียนก็ถูกทําเครื่องหมายด้วยปานรูปตัว L ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชื่อย่อของลุค

“ข้าเป็นทาส! ข้าเป็นปีศาจที่เป็นทาสของมนุษย์! ”

 

มันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การร้องไห้ แต่หลังจากเห็นท่าทางอันเย็นชาของเจ้านายของมัน เซบาสเตียนก็ยิม

 

“ข้าจะรับใช้ท่านอย่างดีที่สุด!”

“ไม่ เจ้าจงก้าวไปข้างหน้าด้วยความจริงใจและตั้งใจจริง”

ลุคยอมรับในตัวของปีศาจเซบาสเตียนซึ่งเป็นปีศาจที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบมา…

30 ตอนแล้วนะเออ 30ยังแจ๋วอะ ยูวโนว?

 

ไม่โนวก็ไม่เป็นไร เข้ามาใกล้ๆเดี๋ยวฟาดให้โนวเอง

เห้ย! นั่นมันหัวโน

-ตลกตบมุขเอง

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 62 ปีศาจเซบาสเตียน (4)

ในชั้นใต้ดินของเทือกเขาระหว่างแม่น้ําเนียร์และที่ราบทางตอนเหนือของรากันต์

โกเลมหลายสิบตัวและสัตว์ประหลาดหลายร้อยตัวกําลังขุดอุโมงค์กันอย่างหนักหน่วง

 

พวกเขากําลังสร้างช่องทางใต้ดินตามคําสั่งของลุค

โกเลมหินนั้นกําลังต่อยหินแข็งเพื่อขุดเจาะ สวนโกเลมไม้และสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆก็กําลังขนเศษซากออกมาโดยใช้พลั่วและกระสอบขนาดใหญ่

 

คนคงแง

นาโตดนจากแมน

นมาแบบนี้”

 

ลุคมองจากด้านหลังและยิ้ม

เขาจะบอกกับทุกคนว่าเขาไปตักน้ําแล้วเจอเข้ากับน้ําบาดาล

มันมีเหตุผลสําหรับความพยายามในการหาข้ออ้างของเขาเพราะถ้าจู่ๆน้ําก็ผุดขึ้นมาปุ๊บปั๊ปคนก็คงคิดว่ามันต้องมีอะไรแปลกแน่ๆ

 

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการหลอกพวกเขาก็คือแสดงให้เห็นว่ามีการพบน้ําบาดาลจากพื้นดินตามธรรมชาติโดยบังเอิญ

“ถ้าข้าได้รับพลังมากขึ้นในอนาคต ข้าจะสั่งให้โกเลมเหล่านี้ทํางานหนักอย่างเปิดเผยดีไหมนะ?”

 

ลุคไม่ชอบที่จะต้องมาคอยทําอะไรลับๆล่อๆ แต่เนื่องจากความไว้วางใจของเหล่าคนรับใช้ที่มีต่อเขานั้นค่อนข้างต่ํา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขา

 

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ลุคก็กําลังพยายามแก้ปัญหาเรื่องน้ําซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดสําหรับที่ดินของเขาในตอนนี้

เขามองไปรอบๆเพื่อเช็คดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จากนั้นเขาก็เริ่มวาดวงเวทลงบนพื้น

“เนื่องจากตอนนี้ข้ามีกําลังพอแล้วข้าจึงสามารถเริ่มฝึกฝนใหม่

ได้”

แนวปฏิบัติใหม่ แบบเดียวกับที่เขาเคยทําในสมัยเป็นเวท

นั่นก็คือการอัญเชิญปีศาจและต่อสู้กับมันเพื่อเอาพลังของมันมา

เขาตัดสินใจที่จะเริ่มฝึกซ้อมเพราะเขาเองก็ต้องสร้างค่อยๆเพิ่มพลังของตัวเองขึ้นทีละน้อยเพื่อเตรียมตัวสําหรับสงครรามที่กําลังจะเกิดขึ้น

” ข้าต้องสร้างวงเวทย์เพื่ออัญเชิญแล้วก็ … “

ลุควาดวงเวทย์แห่งความมืดโดยใช้ดาบที่ห้อยอยู่ข้างเอวของเขา เขาใช้มือบีบเข้าไปที่ดาบจนเลือดไหลออกมาจากมัน

โดยปกติวงเวทย์จะใช้เลือดของสัตว์อสูรหรือเลือดข องมนุษย์คนอื่นในการอัญเชิญ แต่ลุคและนักเวทคนอื่นๆที่ทําพิธี กรรมเกี่ยวกับความมืดไม่เลือกที่จะใช้สิ่งนั้น

 

ลุคคิดว่าเป็นเรื่องผิดทางศีลธรรมที่จะเสียสละสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อกําลังของตัวเอง

 

“เพื่อทําการอัญเชิญปีศาจเหล่านั้น วิญญาณและเลือดของพ่อมดคนนั้นก็จะต้องถูกใช้เพื่อเป็นครื่องบูชายัญ”

 

ปกติแล้วปีศาจจะชอบเลือดและวิญญาณ

เมื่อเลือดของลุคหยดลงบนวงเวทย์อัญเชิญปีศาจ แสงริบหรีจากวงเวทย์ก็เริ่มตอบสนองแทบจะในทันที

หวีด!

เมื่อวงเวทย์หายไป พื้นที่มืดมิดก็เปิดออกแล้วเผยให้เห็นถึงปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวตัวละบาท ที่มีกล้ามเนื้อหนาและมีเขา ขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากหัว

“กุกกุกมนุษย์! เจ้าต้องการอะไรกัน แต่ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรเจ้าก็จะต้องมอบวิญญาณของเจ้าเพื่อเป็นค่าแลกเปลี่ยนให้กับข้า!”

ปีศาจโวลท์พูดด้วยความภาคภูมิใจอย่างมากกับลุค

โดยปกติพ่อมดมักจะกระโดดออกไปหรือตกใจจนล้มลงไปกับพื้นแบบตัวสั่น อย่างไรก็ตามมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นแตกต่างออกไป

” ข้าต้องการอะไรหรอ? ข้าต้องการ ความสามารถที่จึงมีอ่ะ!และก็เมไจที่ถึงครอบครองด้วย!”

“อะไรนะ?”

 

ในขณะนั้นโวล์คก็มองใบหน้าของเขาอย่างไร้สาระ

ผู้ชายคนนี้เป็นอไรกันถึงมาทวงคืนหรือถามหาพลังของมันทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทําอะไรให้เลย

ขณะที่มันยังคงสับสนกับสิ่งที่ลุคพูด ลุคก็เริ่มแสดงทักษะของเขาและทําการคุกคามปีศาจอย่างป่าเถื่อน

 

แฟลช!

“กวาก!”

ลุคใช้เวทมนตร์สายฟ้าและทําให้ปีศาจโวลท์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

 

“นี่ เวทย์นี้มันไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาๆ!”

 

ปีศาจมองหน้าลุคกด้วยใบหน้าที่บิดดเบี้ยววไปด้วยความโกรธจากนั้นมันก็เริ่มพุ่งเข้าหาเขา

 

บึง! อึ้ง!

หมัดที่กําแน่นของปีศาจทุบลงไปที่พื้นและทําให้พื้นระเบิดออก

ลุคหลีกเลี่ยงการโจมตีของปีศาจ และใช้มือข้างหนึ่งร่ายเวทมนตร์และอีกข้างหนึ่งใช้ดาบ

 

“อ้ากก.. ไอ้บ้านี่มันอะไรกัน?”

เมื่อการโจมตีของเขาล้มเหลว ปีศาจโวลท์ก็เริ่มหงุดหงิด

การโจมตีของมันนั้นแทบจะได้รับการยกย่องจากหมู่ปีศาจด้วยกันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ตอนนี้มันกลับมีพ่อมดสามรารถหลบการโจมตีของเขาได้

 

นอกจากนี้ลุคยังใช้เวทมนตร์และดาบเพื่อโจมตีเขาอีก

“แก

แกเป็นใคร”

โวลค์ขอให้ลุคระบุตัวตนและลุคก็ตอบ

 

“ข้าน่ะหรอ? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเคยได้ยินรึเปล่าแต่ชื่อของข้าเมื่อ 500 ปีก่อนก็คือ เซย์ม่อน”

 

“เจ้าพูดว่า เซย์ม่อน?”

ปีศาจโวลท์เริ่มนึกถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นในอาณาจักรปีศาจเมื่อ 500 ปีก่อนทันที

 

ในตอนนั้นกการถูกอัญเชิญไปต่างโลกกําลังได้รับความนิยมในหมู่ปีศาจนั่นเป็นเพราะพวกเขาสนุกกับการได้ฆ่าและทําลายดินแดน

ปัญหาคือปีศาจระดับสูงส่วนใหญ่ที่ได้ไปต่างโลกก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย…

หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินมาว่าปีศาจพวกนั้นถูกเรียกไปโดยพ่อมดคนหนึ่งด้วยวงเวทย์อัญเชิญ

“ตอนนี้กําลังมีพ่อมดคนหนึ่งที่ไล่ฆ่าพวกเราเพื่อชกชิงเอาหลังและเมไจของพวกเราไป เพราะฉะนั้นถ้าพวกเจ้าถูกเรียกด้วยวงเวทย์ก็อย่าคิดที่จะตอบรับมันเชียว…”

และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าพ่อมดคนนี้คือใคร

 

มันคือพ่อมดเซย์ม่อน!

“ฮ่า แต่เจ้าดูไม่เหมือนกับผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 500 ปีเลยนะ”

 

“หึหึหึ พอดีข้าเจอปัญหานิดหน่อยนะ แต่ข้าว่าตอนนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องความสามารถของเจ้าและเมไจที่เจ้ามีดีกว่า”

 

ลุคที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอจึงเริ่มร่ายเถาวัลย์แห่งความมืดเพื่อดูดซับเมไจของฝ่ายตรงข้าม

ฮวาอา!

โวลท์พยายามหลีกเลี่ยงมัน อย่างไรก็ตามเขาใช้เวลาต่อสู้กับลุคมากเกินไปและในที่สุดก็ติดอยู่ในเถาวัลย์ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน

 

“อ๊ะไม่! นี่มันบ้าไปแล้ว เจ้ากําลังละเมิดกฏการอัญเชิญปีศาจอยู่นะ”

มันพยายามที่จะกระพือปีกและในไม่ช้ามันก็ยอมแพ้ด้วยเหตุนั้นทั้งเมไจและความสามารถของมันจึงถูกดูดซับโดยลุค

“ว้าวมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับปีศาจที่ต่ํากว่า”

 

ลุคปาดเหงื่อที่หน้าผาก

 

แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่รังแกปีศาจโวลท์อยู่ฝ่ายเดียวแต่เขาก็ได้รู้ถึงความยากลําบากในการใช้วงเวทย์ขั้น 5 และ 6

 

“ยิ่งข้าใช้มันมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น”

เมื่อคิดแล้วเขาก็หลับตาและมองไปที่ความสามารถของโวลท์

“ไหนดูหน่อยซิ…”

โดยปกตินอกเหนือจากเมไจแล้ว ปีศาจยังมีความสามารถที่ดีที่สามารถใช้ได้

ลุควิเคราะห์เมใจที่เขาดูดซับมาและเริ่มสกัดมันออกมา

เมื่อเขาสกัดมันเสร็จเขาก็ประทับมันเข้าร่วมไปกับจิตใจของเขาทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะตอบสนองต่อเมไจทันที

 

พรึบ!

เมื่อร่างกายของเขาเริ่มล้นไปด้วยพลัง เขาก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าของเขาเริ่มแน่นขึ้น

ในเวลาเดียวกันพละกําลังของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าจากเดิมผิวหนังของเขาก็แข็งขึ้น มันแข็งพอที่จะปัดมีดให้กระเด็นอ อกไปได้

“ความสามารถในการเสริมสร้าง” มันคือความสามารถที่ที่ใช้ในการเสริมสร้างร่างกายของคนๆหนึ่ง “สําหรับปีศาจระดับต่ําแบบแกก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่าพึงพอใจล่ะนะ”

เมื่อเทียบกับปีศาจระดับที่สูงกว่าที่เขาเคยเอาชนะมาในอดีตลุคก็ดูจะพอใจกับเหยื่อตัวแรกของเขา

 

หากสามารถใช้ความสามารถของมันได้ดี มันก็จะมีประโยชน์มากและสําหรับผู้ชายที่ปรารถนาที่จะได้รับความแข็งแกร่งอย่างที่เขาไม่มีมันก็สามารถนับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสําหรับคนๆนั้นได้เลย

“ยังไงก็ตาม ถ้าข้าต้องการความสามารถอันอื่นข้าก็สามารถเรียกปีศาจตัวอื่นได้ตลอดเวลา”

 

หลังจากนั้นลุคก็ดูแลการก่อสร้างอุโมงค์บาดาลและกลับไปที่คฤหาสน์

สนุกน้าไม่อ่านหน่อยหรอ

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 61 ปีศาจเซบาสเตียน (3)

“ท่านลุคท่านมาแล้วหรอ?”

เจ้าหญิงเรย์น่าได้ต้อนรับเขาทันทีที่ลุคเข้าไปที่ปราสาทราชาปีศาจ

 

เธอพร้อมกับคนรับใช้และผู้ลี้ภัยคนอื่นๆนั้นพักกันอยู่ในปราสาท

ลุคนั้นเสนอให้พวกเขาเข้ามาพักข้างในคฤหาสน์ก่อนแต่พวกเขานั้นปฏิเสธ

 

“เซอร์วิคเตอร์หายไปไหน?”

 

วิคเตอร์นั้นเป็นอัศวินชราที่อายุมากแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดั่งหินผา

 

ลุคถามออกไปเพราะเขาคิดว่าวิคเตอร์ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมออกห่างจากเจ้าหญิงเรย์น่า

 

“เขากําลังฝึกอดีตทหารของโวลก้าอยู่ด้านหลัง”

 

ทันทีที่เรย์น่ามาถึงที่ดินของรากันต์ เธอก็ได้คัดเลือกทหารรับจ้าง 400 คนจากกลุ่มผู้ลี้ภัยของเธอ

พวกเขาไม่ได้มีจุดประสงค์รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับเคานต์โมนาร์ชแต่พวกเขารวมตัวกันเพื่อปกป้องอนาคตของลุคและเหมืองในภูเขาร็อคเคีย

 

“เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและดูเหมือนทุกคนจะกระตือรือร้นมาก”

 

“มันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ สิ่งก่อสร้างเป็นอย่างไรบ้าง”

“เอ่อเราได้ตั้งสํานักงานใหญ่ในคฤหาสน์รากันต์แล้วและเรากําลังเปิดสาขาในเมืองใกล้เคียง

 

ลุคไปที่นั่นและให้เจ้าหญิงเรย์น่า 500,000 เปโซและสั่งให้เธอใช้มันตามที่เธอเห็นสมควร

เขากังวลว่าเจ้าหญิงจะทํางานหนักเกินไป แต่เธอนั้นทํางานเช่นการบัญชีการทําบัญชีของเธอนั้นได้สร้างองค์กรที่มีระเบียบและสามารถตรวจสอบได้ขึ้นมา

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ทําทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว

พาเวลและคนรับใช้คนอื่นๆต่างก็ช่วยกันทําในสิ่งต่างๆ

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้สูงอายุ แต่พวกเขาก็นับเป็นผู้เชีวชาญในสาขางานที่พวกเขาทํา

 

โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาได้เรียนรู้มามากมายและมีประสบการณ์มากมายในด้านการบริหารและการจัดการ พวกเขาเพียงพอที่จะทํามัน

“ท่านได้ตั้งชื่อ หอการค้า ของท่านแล้วหรือยัง”

“ถ้าท่านลอร์ดหนุ่มโอเค ข้าก็อยากจะตั้งมันว่าหอการค้าคิลลิวลอฟ”

 

“ตั้งชื่อตามราชวงศ์? นั่นเป็นชื่อที่ดี”

เจ้าของและผู้บริหารในนั้นล้วนเป็นบุคคลสําคัญของโวลก้าเพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะสมแล้วที่จะตั้งชื่อนี้

“แล้วคนงานในเหมืองมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

ลุคนั้นได้มอบหมายงานในเหมืองให้กับพวกเขา ดังนั้นเจ้าหญิงจึงเกณฑ์ผู้ลี้ภัยบางส่วนที่เคยทํางานในเหมืองให้มาทํางานในส่วนนี้

และก่อนหน้านั้นลุคก็ได้นําเอาพวกโกเลมและมอนสเตอร์ออกไปจากเหมือนแล้ว

 

ในระหว่างนั้นมอนสเตอร์ที่ทํางานในเหมืองก็ได้รับอาหารและย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เด่นสะดุดตาผู้คน

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ลุคจึงตัดสินใจที่จะยกพวกเขาเป็นหนึ่งในพลังที่จะใช้ในการต่อสู้กับทางจักรวรรดิ

 

“ตอนนี้ข้ากําลังซ่อมแซมสถานที่ที่คนแคระในอดีตเคยใช้เป็นบ้านชั่วคราวและตอนนี้เราก็มีอาหารและน้ํามากมายมันจึงไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”

 

หมู่บ้านที่สร้างขึ้นข้างล่างภูเขาร็อคเคียนั้นเป็นที่ที่ครอบครัวขอ คนงานเหมืองจะอาศัยอยู่

 

ขณะที่เธอพูดคุยเกี่ยวกับเหมืองแร่และคนงานเหมืองเธอก็ถามขึ้นมาอีกคําถามว่า

“แต่ข้าได้ยินมาว่าเรามีโอกาสที่จะเกิดสงคราม..มันใช่พวกโมนาร์ชรีเปล่า?” ”

เธอนั้นไม่รู้จักสันดารของเคานต์โมนาร์ชดี

เธอนั้นรู้ว่าเขาจะต้องทําอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ที่เธอไม่รู้คือมันจะบานปลายและรุนแรงไปได้ถึงขนาดนี้

 

“มันเป็นเพราะข้าหรือเปล่า”

 

เรย์น่าเริ่มมีสีหน้าที่หม่นหมอง แต่ลุคส่ายหัว

 

“แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้มาเพื่อชิงตัวท่าน มันก็จะยังมาเพื่อเรื่องเหมืองแร่อยู่ดี ดังนั้นท่านโปรดอย่ากังวลไป ยังไงซะพวกเราก็อยู่ด้วยกันที่นี่แล้ว”

“มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ไหม”

 

“ไม่มีอะไรที่ท่านสามารถทําได้ในส่วนของการต่อสู้ ทุกวันนี้สงครามเริ่มต้นด้วกิกันท์และจบลงด้วยกิกันท์”

มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่การต่อสู้ก็มักขึ้นอยู่กับพวกมันเมื่อสูญเสียพลังรบของกิกันท์ไปการทําสงครามต่อก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ทันทีไม่ว่าพวกเขาจะมีพลังอื่นๆอีกมากมายก็ตาม

 

“กิกันท์? เราพอมีกิกันท์อยู่ 1 ตัว ท่านจะโอเคไหม ถึงแม้มันจะมีประสิทธิภาพลดลงไปแล้วก็ตาม

“อ่า ท่านกําลังพูดถึงเมียร์หรือเปล่า”

 

กิกันท์เมียร์นั้นเป็นกิกันท์ที่ฟิลิปเคยควบคุมอยู่ในตอนที่เขาไปต่อสู้ในสนามประลองกิกันท์ในเมืองลาเมอร์

หลังจากการต่อสู้เสร็จสิ้น เมียร์ก็ถูกยืมไปยังที่ดินใกล้เคียงและเมื่อเร็วๆนี้มันก็ถูกใช้เพื่อลากผู้ลี้ภัยในระหว่างการหลบหนี

และปัจจุบันมันถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ในการช่วยในการก่อสร้างเมือง

“และถ้าการต่อสู้มันคับขันจริงๆข้าว่าเซอร์วิคเตอร์และพรรคพวกของเขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยหรือฟังคําพูดของข้าแน่นอนดังนั้นโปรดท่านช่วยดูแลพวกเขาด้วย”

“ข้าจะแจ้งให้เซอร์โรเจอร์สทราบทันที”

“ข้าเข้าใจแล้ว และ…”

 

เรย์น่ายื่นหนังสือให้ลุค เหมือนเธอจําอะไรบางอย่างที่เธอลืมไป

หนังสือเก่าเล่มนั้นเป็นไดอารี่ที่ลุคเคยเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับชีวประวัติของเซย์ม่อน

 

เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวของเขานั้นเป็นเรื่องจริงลุคจึงมอบไดอารี่ให้เรย์น่าเมื่อเธอมาที่ปราสาท

“เมื่อข้าได้อ่านไดอารี่ของเซย์ม่อนโดยตรง ข้าถึงได้รู้ว่าเขานั้นทั้งเศร้าและโดดเดี่ยวมาก ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ําว่าข้าร้องไห้ออกมาเมื่ออ่านมัน”

 

“ คุณอ่านหมดแล้วหรอ?”

“ โดยเฉพาะเมื่อเขาคิดถึงคนรักที่ตายไปแล้ว มันแปลกมากที่ข้าไม่สามารถหยุดน้ําตาได้ อาจเป็นเพราะข้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน”

 

ราวกับว่าความรู้สึกยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอจากนั้นเจ้าหญิงเรย์น่าก็เริ่มน้ําตาซึมอีกครั้ง

ใน

 

ลุคที่เคยรู้สึกเหงามากก็เริ่มยิ้มขึ้นมาจางๆ

“ข้ามั่นใจว่าเซย์ม่อนจะมีความสุขแน่นอนที่มีคนเข้าใจเขและอารมณ์ที่เขารู้สึก”

“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ข้าก็หวังว่าจะมีสักครั้งที่โลกจะเข้าใจเขามากขึ้นอีกนิด”

ลุคเริ่มพูดคุยกับเจ้าหญิงเรย์น่ามากขึ้น และเริ่มให้คําแนะนําเกี่ยวกับห้องทดลองใต้ดิน

จากนั้นเขาก็ไปหยิบหนังสือที่เขายังไม่ได้อ่านออกมาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาพลังของเขา

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

บทที่ 60 ปีศาจเซบาสเตียน (2)

 

เป็นเวลานานแล้วที่ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าเข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนรากันต์อย่างปลอดภัย

 

หลังจากพวกเขามาถึง ดินแดนรากันต์ก็เริ่มมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เกิดขึ้น

 

เป็นเพราะการก่อตั้งหมู่บ้านทั้งเจ็ดแห่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าได้มาตั้งรกราก สองแห่งอยู่ใกล้กับคฤหาสน์ของไวเคานต์ และสี่แห่งบนที่ราบทางตอนเหนือ และอีกแห่งหนึ่งอยู่ใต้ภูเขาร็อคเคีย

 

ทีติ! ตติ๊ก!

 

กวาง กวาง!

 

“เฮ้ เอาไม้มาที่นี่!”

“อิฐจะมาถึงเมื่อไหร่กัน!”

 

“ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุนะ!”

เสียงตะโกนดังก้องของหัวหน้าฝ่ายก่อสร้างดังไปทั่วที่ดิน

 

แม้อยู่ดีๆจะมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และการระดมกําลังเจ้าหน้าที่จํานวนมากดเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่มีใครไม่พอใจกับมัน

ไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านผู้ลี้ภัยชาวโวลก้า เพราะพวกเขากําลังสร้างบ้านของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ผู้สูงอายุและเด็กก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน

 

ยังไงซะคนในท้องถิ่นก็ได้ประโยชน์จากการก่อสร้างอยู่แล้ว

 

นอกจากนี้คนหนุ่มสาวที่ออกไปหาเงิน ก็กลับมาหลังจากที่ได้ยินข่าวลือด้วยใจที่ไม่สว่าง

 

แม้ว่าทุกคนจะจมอยู่กับการก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่ก็ยังขาดบ้านที่สร้างเสร็จแล้วสําหรับผู้ลี้ภัย

 

ดังนั้นพวกเขาจึงถูกบังคับให้อยู่ในปราสาท หรือที่พักพิง หรือกางเต็นท์ในบริเวณที่โล่งกว้าง

 

ต้องขอบคุณความพยายามและความร่วมมือของทุกคน ดูเหมือนจะสามารถทํามันได้สําเร็จเร็วขึ้นและน่าจะเสร็จสิ้นก่อนจะถึงฤดูหนาว

 

ห้องทํางานในคฤหาสน์

ลุคกําลังประชุมกับเหล่าคนรับใช้ของเขา

หลังจากอยู่ในที่ดินเป็นเวลานานบรรยากาศของเหล่าคนรับใช้ก็ดูน่าตื่นเต้น

 

“ไม่เลว”

ลุคจ้องมองที่คนรับใช้ของเขาและเอ่ยปาก

 

“เมืองนี้จะต้องสร้างอีกนานแค่ไหน?”

 

เมื่อเกิดคําถามขึ้น หัวหน้างานก่อสร้างวิศวกรโยธาและผู้พัฒนาเหมืองก็ถูกเรียกไปที่หาลุค

 

“ตอนนี้งานสําเร็จไปแล้วประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ครับ เพราะเรามีคนงานและวัสดุจํานวนมากในตอนนี้ และเราจะเริ่มเห็นโครงร่างคร่าวๆในหนึ่งเดือนครับ”

 

“มันจะเป็นสถานที่ของเหล่าผู้คนที่จะมาเป็นหนึ่งเดียวกับเราในอนาคต เพราะฉะนั้นสร้างมันให้ดีๆอย่ารีบนักล่ะ ว่าแต่สิ่งก่อสร้างที่ข้าสั่งไว้ล่ะ?”

 

“แน่นอน ตามที่นายท่านสั่ง เรากําลังสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆในสถานที่ที่เหมาะสม

หัวหน้าฝ่ายก่อสร้างคลี่แผนที่ที่เขาถืออยู่

มันคือแผนที่เมืองใหม่ที่กําลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเมืองที่มีอยู่และสิ่งก่อสร้างที่กําลังดําเนินการอยู่

“ช่างตีเหล็กและโรงงานอื่นๆตั้งอยู่นอกเมืองและมีการสร้างห้องอาบน้ําสาธารณะถัดจากจัตุรัส ด้วยการสร้างโรงสีข้าวและโกดังใกล้ที่ทําการเกษตร”

“เอาล่ะ แล้วกําแพงที่จะใช้ปกป้องเมืองล่ะ?

“เรากําลังตระเวนไปยังอาณาจักรต่างๆ และหาสิ่งของมาเพื่อทําการต่อเติมและก่อสร้างครับ”

กําแพงล้อมรอบเมืองและถนนนั้นจําเป็นที่จะต้องได้รับการหมักหมมและแข็งตัว

อย่างไรก็ตาม มันจําเป็นต้องใช้กําลังคนเป็นจํานวนมาก แต่แทนที่จะใช้กําลังคน พวกเขากลับเลือกที่จะใช้แรงของกิกันท์แทน เพื่อให้งานสามารถก้างหน้าไปได้เร็วขึ้น

“เรากําลังจัดการกับสิ่งหนึ่งและเรากําลังจะหยุดการสร้างสะพานที่เชื่อมต่อเรากับดินแดนทางใต้ เพราะมันต้องใช้ทักษะอย่างมากสําหรับการก่อสร้าง”

 

ที่ดินของรากันต์นั้นถูกแบ่งออกเป็นเขตคฤหาสน์ด้านหนึ่งและหุบเขาทางทิศใต้

 

หากสามารถจัดการกับสะพานได้ มันก็จะทําให้การคมนาคมระหว่างทั้งสองเขตสามารถเป็นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

 

“ปล่อยไว้ให้เป็นหน้าที่ของช่างเทคนิคทีหลัง ข้าหวังว่าจะมีคนแคระมาช่วยเราในงานนี้จริงๆ”

 

ไม่มีใครคัดค้านที่จะจ้างคนแคระราคาแพง เนื่องจากตอนนี้พวกเขามีเงินเป็นจํานวนมาก

 

หากพวกเขามีเงินไม่เพียงพอทุกคนจะต้องขอให้ บริษัทก่อสร้างดําเนินการให้เสร็จสิ้นเอง

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วดิกสันก็ยกมือขึ้นและถามว่า

 

“นายท่าน ข้าว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สมเหตุสมผล

 

“อะไร?”

 

“อะไรคือเหตุผลที่ทําให้ท่านต้องการสร้างเมืองด้านล่างภูเขาร็อคเคียกัน?”

ในความเป็นจริงแล้ว คนที่สงสัยในเรื่องนี้ได้มีเพียงแค่โดยดิกสันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนรับใช้คนอื่นๆด้วย

“อ่า นั่นนะหรอ? ก็เพราะว่าข้าต้องการที่จะพัฒนาเหมืองในภูเขาร็อคเคียยยังไงล่ะ”

 

“เหมือง? มีเหมืองอยู่ที่นั่นด้วยหรือ?”

“ใช่ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าคนหนึ่งมีความคิดมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาเหมือง เขาได้ทําการสํารวจหลายครั้งและเนื่องจากเขาพบว่ามันมีทุ่นระเบิดบนภูเขาร็อคเคีย และเขาพบร่องรอยของเหมืองที่คนแคระในสมัยโบราณใช้”

 

“เอ่อ! เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”

ดิกสันและคนรับใช้คนอื่นๆตกใจกับคําโกหกที่ลุคเพิ่งบอกพวกเขา

การทําเหมืองนั้นหมายถึงการผลิตเงินแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ

 

หากสามารถพบเหมืองทองคําและเงินได้ มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ และแม้ว่าเหมืองนั้นจะเป็นเหล็กหรือทองแดง แต่พวกเขาก็จะสามารถหาเงินได้เพียงพอสําหรับเงินทุนหนึ่งปีของที่ดินทั้งหมด

“แต่มันไม่มีใครพบเหมืองคนแคระมาเป็นร้อยปีแล้วนะ”

“ข้าเองก็เคยไปดูด้วยตัวเองเหมือนกัน มันไม่มีถนนเหมือนที่ดินส่วนตัว ”

“นั่นเป็นเรื่องจริง”

 

ดิกสันและคนรับใช้เริ่มเอามือจับหัวของตัวเอง

เมื่อปีที่แล้วลุคก็ที่จะพยายามพัฒนาเหมืองด้วยเงินกู้จากบริษัทอาลอน แต่เขาไม่ประสบความสําเร็จในการทําเช่นนั้น

ในตอนนั้นเหล่าคนรับใช้รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อนายน้อยของพวกเขา ที่ถูกล่อลวงด้วยความหวังลมๆแล้งๆ

 

“ข้าจะดีใจมากถ้าท่านทําสําเร็จ”

 

“ใช่ ข้าก็จะตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน”

 

ลุคพยายามส่งมอบเหมืองที่พัฒนาแล้ว 3 แห่งในภูเขาร็อคเคีย ให้ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้า

ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็จะสามารถนําเอาแร่ทองคําและแร่เงินไปลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างถูกกฎหมาย

ด้วยเงิน 300,000 เปโซในตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลกับวิกฤตการเงิน

อย่างไรก็ตามพวกเขายังจําเป็นต้องเพิ่มเงินให้มากขึ้นอีก หากเขาต้องต่อสู้กับราชวงศ์จักรพรรดิหรือหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

 

“และเมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้ว ต่อไปเราก็จะพัฒนาพื้นที่เพาะปลูก”

เมื่อได้ยินคําพูดของลุค คนรับใช้ทุกคนก็พยักหหน้า

เพื่อให้ทุกอย่างสามารถดําเนินไปได้โดยไม่มีปัญหา การเพาะปลูกเพื่อสร้างอาหารที่สําคัญเช่นกัน

มีผู้คนมากมายที่ต้องกรอาหารไม่เว้นแม้กระทั่งในเมืองหลวง

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่ดินแห่งนี้กฟไม่เคยทําการเพาะปลูกใดๆ พวกเขาเพียงแต่พึ่งพาอาหารที่รับมาจากนอกดินแดน

 

ลุคตัดสินใจที่จะปรับปรุงดินแดนใหม่ เพราะเขาไม่ต้องการให้นําอาหารจากภายนอกเข้ามา และเขาจําเป็นต้องจัดหางานให้กับผู้ลี้ภัย

เจ้าหน้าที่การเกษตรชี้ไปที่แผนที่และพูด

 

มีความพยายามมากมายที่จะกวาดล้างดินแดนในอดีตเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามสาเหตุของความล้มเหลวคือปริมาณน้ําฝนต่ํามาก และไม่มีแม่น้ําไหลผ่านที่ดิน

 

ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดึงน้ํามาจากลําน้ําสาขาที่ใกล้ที่สุดของแม่น้ําเนียร์ซึ่งหากออกไปถึง 20 กิโลเมตร

 

อย่างไรก็ตามหินและก้อนหินที่ขวางทางก็ทําให้ไม่สามารถสร้างทางน้ําได้

ทางน้ําได้”

 

แต่มันคงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างทางน้ําร่วมกับมนุษย์

มีความจําเป็นในการสร้างขนาดใหญ่และพลังที่แข็งแกร่ง ลุคจึงตัดสินใจใช้โกเลมจนกว่าแหล่งจ่ายมานาจะถูกตัดออก

“ข้าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหานั้น”

”ข้าเข้าใจ”

“อย่างไรก็ตาม ด้านเคานตฒโมนาร์ชเป็นอย่างไรบ้าง”

ฮานส์ตอบคําถามของลุค

“ที่สภาอิมพีเรียล เขาได้ยื่นคําขอทําสงครามโดยระบุว่าเราได้สังหารหน่วยทหารม้าแมงปองของเขา และนี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และข้าก็คิดว่าคําขอจะถูกปฏิเสธในไม่ช้า”

 

ในขณะที่คําพูดของฮานส์เสร็จสิ้น เหล่าคนรับใช้ในห้องก็เริ่มกล่าวสาปแช่งเคานต์โมนาร์ช

“ไอ้หมูตัวนั้น! เราไม่เห็นแต่เงาของหน่วยทหารม้าเฮงซวยของมันด้วยซ้ํา!”

 

“ใช่แล้ว เราข้ามดินแดนของพวกมันไปเพียงเล็กน้อยเพื่อนําผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าเข้ามา เราจะไปปะทะกับทหารของมันได้ยังไง!”

คนรับใช้พูดถูกที่พวกเขาไม่เคยเจอกับเหล่าทหารม้า

 

แน่นอนว่าลุคก็รู้เช่นกัน เขาพยายามสงบสติอารมณ์เหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“อ่าใจเย็นๆ พวกเจ้าทุกคนเลย ไม่ว่าเราจะต้องทําสงครามกับเคานต์ต่อไปหรือไม่ แต่การเตรียมตัวของเราเป็นอย่างไรบ้าง”

 

ลุคถามกับโรเจอร์ส

“เมื่อเร็วๆ นี้เราได้คัดเลือกทหารมากกว่า 300 นายโดยเฉพาะชายหนุ่มที่เพิ่งกลับบ้าน การฝึกอบรมก็เป็นไปไม่เลวเช่นกัน”

พวกเขาอาจรับสมัครได้อีกเป็นพัน แต่โรเจอร์สไม่ได้ตั้งใจที่จะทําเช่นนั้น

 

เป็นเพราะสงครามสมัยใหม่มีศูนย์กลางอยู่ที่กิกันท์หรือทหารม้าเท่านั้น

ทหารราบถูกใช้เพื่อการรักษาความปลอดภัย,การค้นหาและการลาดตระเวนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องมีคนจํานวนมากในสถานการณ์นี้

“มิวท์?”

“ต้องขอบคุณการสนับสนุนของท่าน เราสามารถให้ซ่อมบํารุงกิกันท์เศษเหล็กทั้งห้าในโกดังได้แล้ว เนื่องจากเป็นคําสั่งของนายท่านที่ให้เก็บเรื่องของกิกันท์ไว้เป็นความลับ จึงไม่มีใครนอกจากคนรับใช้ที่รู้เรื่องนี้”

กิกันท์ทั้งห้านั้นไม่ได้ถูกใช้เพื่อการก่อสร้างทางแพ่งที่เกิดขึ้น

 

เมื่อสงครามปะทุขึ้นเขาวางแผนที่จะใช้มันเป็นอาวุธลับไม้ตาย

“ทําได้ดีมาก อสังหาริมทรัพย์ของเรามีอํานาจตามวัตถุประสงค์มากมาย แต่พวกเจ้าทุกคนรู้ดีว่าสงครามไม่ได้เป็นเพียงแค่การเอาชนะศัตรูเท่านั้น”

 

เพื่อที่จะชนะสิ่งสําคัญคือต้องมีกลยุทธ์และยุทธวิธีใช้ประโยชน์ จากมันเพื่อเพิ่มพลัง

การรวมกําลัง,การล่อลวงและความสามารถในการสอดแนมศัตรูเป็นปัจจัยที่กําหนดชัยชนะหรือพ่ายแพ้

“อย่าละเลยสิ่งใดจนกว่าเราจะเห็นคู่ต่อสู้ของเราในอีกด้านห

“เราจะทําตามคําสั่งของท่านอย่างเต็มที่ครับ!”

คนรับใช้ทั้งหมดลุกขึ้นและย่ําเท้าตามคําพูดของลุค

พวกเขานั้นเหมือนกับผ้าที่ถูกถักทอขึ้นอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่ที่ดินแห่งนี้ได้ถือกําเนิดขึ้น

ลุคซึ่งพอใจกับการกระทําของพวกเขามาก ก็คุยกับพวกเขาอีกชั่วโมงกว่าแล้วจึงไปที่ปราสาทราชาปีศาจ

ระบบเจ้าสัวใครอยากเป็นเจ้าของซีพี่บ้าง? เอ้ย! เจ้าของโรงแรมรีสอร์ท?

 

 

บทที่ 59 ปีศาจเซบาสเตียน (1)

เมืองหลวงของจักรวรรดิ – เนเมซิส

เมืองหลวงของอาณาจักรบาล็อคนั้นเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 3 ล้านคน

ไม่เหมือนกับจักรวรรดิอาร์เธเนียอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่มีไข่มุกพ่นออกมาโดยรอบและถือว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองเนซิสนั้นถูกสร้างขึ้นบนที่ราบ

ใจกลางของเมืองก็คือพระราชวังที่มียอดแหลมสูงหลายสิบเมตร

ห้องทํางานของจักรพรรดิก็ตั้งอยู่บนหอคอยที่สูงที่สุดเช่นกัน

ตอนนี้กําลังมีชายวัยกลางคนที่มีผมสีแดงห้อยราวกับแผงคอสิ่งโตนั่งอยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีที่สวยงามซึ่งนําเข้ามาจากทวีปทางใต้

 

เขาคือรูดอล์ฟซึ่งเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิบาลอคหรือราชาราชสีห์

 

ด้านหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนผมสีเข้มที่ดูสงบนิ่งเคานต์โวลเทสหนึ่งในผู้ช่วยที่ใกล้ชิดที่สุดของรูดอล์ฟ

“ดังนั้น เจ้าจะบอกว่าโมนาร์ชกําลังเตรียมตัวที่จะทําสงครามหรอ?”

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ เหนือหัว”

“ ศัตรูคือมาร์ควิสเมเยอร์ใช่หรือเปล่า”

เมื่อรูดอล์ฟถามเสร็จ โวลเทสก็โค้งคํานับ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะเป็นสถานการณ์ที่ดี แต่น่าเสียดายที่นี่อลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์”

“ไวเคานต์รากันต์? นั่นคือตระกูลของอัศวินนักรบใช่ไหม?”

“ใช่พะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นการตอบสนองของโวลเทสรูดอล์ฟก็ฮึดฮัดอย่างประหม่า

 

“ทําไมเขาถึงต้องต่อสู้กับอะไรเช่นนี้? ถ้าเขาอยากจะสู้จริงๆเขาก็ควรจะไปสู้กับมาร์ควิสเมเยอร์และต่อสู้อย่างยิ่งใหญ่สิ”

สาเหตุที่จักรวรรดิผลักไสรากันต์ออกจากเขตปกครองและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา ก็เป็นเพราะประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งครอบครอง

“แต่ทําไมโมนาร์ชจอมละโมบจึงพยายามโจมตีรากันต์กัน”

“ไม่นานมานี้ลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์พร้อมกับเจ้าหญิงเรย์น่าได้พาผู้ลี้ภัยหนีออกไปและหน่วยทหารม้าแมงปองที่ถูกส่งไปหยุดการหลบหนีก็มีรายงานมาว่าหายไป จากคํากล่าวของเคานต์โมนาร์ชเขาบอกว่ามันเป็นฝีมือของพวกรากันต์”

“แล้วหลักฐานล่ะ”

 

“ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้จึงมีการอภิปรายกันมากมายในการประชุมระดับสูง

 

ลุคนั้นได้ฝังศพไว้ลึกลงไปในพื้นดิน และเคานต์ราชาจะไม่สามารถพบแมงปองทหารม้าได้แม้แต่หนึ่งในพัน

นั่นทําให้เคานต์โมนาร์ชเจ็บปวดมาก และนําไปสู่ความแตกแยกอย่างชัดเจนระหว่างสภาขุนนางว่าจะยอมทําสงครามแย่งชิงดินแด นหรือไม่

แน่นอนว่าไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรจักรพรรดิก็มีคําตอบสุดท้ายสําหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว และโดยปกติจักรพรรดิจะเลือกที่จะต่อต้านสิ่งที่สภาตัดสินใจ

รูดอล์ฟถามโวลเทสหลังจากคิดอยู่ซักพัก

“เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“ข้ากําลังสงสัยว่าเราควรเก็บกวาดไวเคานต์หรือไม่มันคงเป็นเรื่องน่าอายสําหรับท่านที่จะสัมผัสดินแดนนั้น ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่จะให้โมนาร์ชทํามันแทนท่าน”

“อืม นั่นสินะ”

ในความเป็นจริงรูดอล์ฟมีเหตุผลอื่นในการตัดสินใจของเขา อย่างไรก็ตามเขาเลือกที่จะไม่พูดมัน

ไม่ว่าเขาจะสนิทกับเคานต์โวลเทสมากแค่ไหน แต่จักรพรรดิก็ต้องเก็บความลับของเขา

 

“โอเคงั้นข้าจะยอม”

รูดอล์ฟตัดสินใจและประทับตราของจักรพรรดิ์ลงบนเอกสารการชําระเงินก่อนที่จะย้ายไปยังฉบับต่อไป

 

“พระสันตะปาปาแห่งจักรวรรดิอาร์เธเนียอันศักดิ์สิทธิ์ล้มลง?”

“ใช่พะย่ะค่ะ ตามรายงานที่ออกมาเมื่อวานนี้ พระสันตปาปาองค์เก่าล้มลงขณะอธิษฐาน”

“เป็นเพราะโรคหรือเปล่า”

สมเด็จพระสันตะปาปาแห่งอาณาจักรอาร์เธเนียมีพระชนมายุกว่า 80 ปีแล้วและทรงปวยเป็นโรคเรื้อรัง ทุกคนต่างก็กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา

 

“นั่นคือสิ่งที่ข้าสันนิษฐาน และการต่อสู้เพื่อค้นหาผู้สืบทอดคนต่อไปได้เริ่มขึ้นแล้ว”

 

“โอโฮ! นั่นเป็นข่าวดี”

ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ตําแหน่งของพระสันตปาปาในจักรวรรดิอาร์เธเนียอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ตกทอดไปยังลูกหลาน

ตามกฏทั่วไป ผู้ที่มีตําแหน่งสูงสุดในนิกายจะเป็นผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระสันตปาปาองค์ต่อไป

ในสถานการณ์นี้พระคาร์ดินัลได้จัดการประชุมกันเพื่อเลือกคนต่อไปเพื่อสรรหาพระสังฆราชที่มีอํานาจมากที่สุดมาเป็นพระสันตปาปาองค์ใหม่

 

เป็นสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่และผู้ศรัทธาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างไรก็ตามขุนนางดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไม่ว่ายังไงก็ตาม รูดอล์ฟก็รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวของจักรวรรดิอา ทเนียร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่กําลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

“มีที่ว่างให้เราเข้าไปแทรกแซงในเวลานี้หรือไม่

เขาถามโวลเทสว่าการต่อสู้เพื่อสืบทอดตําแหน่งสามารถแทรกแซงได้หรือไม่

 

มันอาจทําให้เกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่หรือก็อาจมีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขารวมตัวเป็นหนึ่ง

เดียว

“น่าเสียดายที่คริสตจักรถูกปิด แต่เราสามารถลองดูได้”

 

“โอเค แม้จะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร”

รูดอล์ฟเสร็จจากวาระการประชุมของวัน เขาก็กลับไปฝึกดาบเล่มโปรดของเขา

 

ใครอยากเป็นเจ้าสัว? ใครอยากตัวเลี่ยมทอง? ใครอยากมองหน้าแมว?

 

บทที่ 58 การกลับมาของราชาปีศาจ (4)

 

“โอ้พระเจ้า!”

 

“ลอร์ดลุคเป็นคนที่น่ากลัวมากจริงๆ!”

 

เจ้าหญิงเรย์น่าและคนรับใช้ที่ย้ายไปที่แม่น้ำเนียร์ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูทหารม้าแมงปองถูกทําลาย

 

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าลุคซึ่งเป็นทายาทของตระกูลนักรบอัศวินผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นผู้นําของโกเลมและเวทมนตร์ที่ทรงพลังเช่นนี้

 

เขาฆ่าแม้กระทั่งผู้ที่ยอมจํานนด้วยซ้ำ

 

มันเหมือนกับครั้งนั้นเมื่อ 500 ปีก่อน “โศกนาฏกรรมของราชาปีศาจเซย์ม่อน”

 

“ข้ารู้สึกว่าตระกูลรากันต์เป็นสถานที่ที่แตกต่างไปจากที่เราคิดไว้มาก”

 

“ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”

 

“บางทีเราก็อาจจะถูกฆ่าเช่นกัน…”

 

เรย์น่ารีบตัดบทคําพูดของหล่าคนรับใช้ที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

 

“ได้โปรดพอแล้ว เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตพวกเราทุกคนไว้นะ”

 

และนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด

 

เขายังช่วนเธอโดยการยอมสมรู้ร่วมคิดในการรับผู้ลี้ภัยมายังดินแดนของตน

 

และถ้าพวกเขาถูกขอให้ออกจากรากันต์ พวกเขาก็จะไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วจริงๆ

 

“ข้าเองก็มีคําถามที่ยังไม่ได้รับคําตอบมากมายเกี่ยวกับเขา แต่ก็จงอย่าลืมว่าเขาคือความหวังสุดท้ายของเรา”

 

หลังจากพูดเสร็จ เรย์น่าก็ปิดริมฝีปากของเธอไป

 

เมื่อสั่งงานโกเลมเสร็จแล้ว เขาก็ใช้เวทมนตร์บินเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ผู้ลี้ภัยหลบอยู่

 

เมื่อมาถึง เรย์น่าก็รีบขอบคุณเขาอีกครั้งที่ช่วยคนของเธอ

 

ครั้งที่ชวยคนของเธอ

“ลอร์ดลุค ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณที่ท่านได้ช่วยเหลือและช่วยชีวิตของพวกเรา”

 

ลุคค่อนข้างอารมณ์เสียเมื่อเห็นเธอขอบคุณเขา

 

เพื่อช่วยเจ้าหญิงและผู้ลี้ภัย ลุคจึงรีบลงเอยด้วยการแสดงเวทมนตร์และโกเลมของเขาให้พวกเขาเห็น

 

แม้ทหารทั้งหมดจะถูกสังหาร แต่ปัญหาคือเขาไม่สามารถทําแบบเดียวกันได้กับเจ้าหญิงและผู้ลี้ภัยได้

 

เป็นกรณีเดียวกับตอนเขาเป็นพ่อมดเซย์ม่อน ลุคไม่เคยเป็นนักฆ่า เขาค่อนข้างจะเมตตาต่อผู้ที่อ่อนแอ

 

“ข้าควรทําอย่างไรกับคนเหล่านี้ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่เล่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ ”

 

ลุคครุ่นคิดถึงวิธีที่เป็นไปได้เพื่อแก้ปัญหานี้

 

เขาจึงคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมพวกเขา

 

“อืมถ้าข้าพูดแบบนี้น่าจะดีกว่า”

 

เขามองไปที่เจ้าหญิงและคนรับใช้ของเธอที่กําลังสงสัยและกังวล

 

“ท่านคงจะประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้สินะ”

 

ทุกคนพยักหน้าและฟังลุค

 

“ข้าอยากจะทําทุกอย่างที่ทําได้เพื่อช่วยพวกคุณทุกคน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทําให้ข้าต้องใช้พลังที่ซ่อนอยู่ดังนั้นโปรดเก็บเป็นความลับด้วย”

 

“ข้าเข้าใจแล้วท่านลอร์ด แต่พลังนั้น..?”

 

“ท่านกําลังอยากรู้ใช่ไหมว่าข้าได้พลังนี้มาได้ยังไง? ก่อนหน้านั้นข้าต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ทุกอย่างที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก”

 

แม้จะมีเรื่องโกหกอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงละนะ

 

เมื่อเห็นลุคทําท่าที่จริงจัง เจ้าหญิงเรย์น่าและชายชราทั้งสองก็ตั้งใจฟังเขาอย่างประหม่า

 

“ข้านั้นอ่อนแอมากตั้งแต่เด็กๆ ข้าพยายามเรียนรู้วิชาดาบของตระกูล แต่ข้าก็เรียนช้ามาก เมื่อใดก็ตามที่ข้ารู้สึกท้อแท้กับตัวเองข้าเอง ข้าก็มักจะหนีไปที่ปราสาทราชาปีศาจและเล่นที่นั่น”

 

และจากการเล่นในปราสาทราชาปีศาจบ่อยๆ มันก็ไม่มีมุมไหนที่เขาไม่เคยไป และเมื่อเก้าปีก่อนเขาก็บังเอิญไปพบทางลับที่อยู่ใต้ดิน

 

“นั่นก็คือห้องทดลองของเซย์ม่อน และในห้องทดลองนั้นก็มีหนังสือเวทมนตร์และโกเลมที่อดีตเจ้าของสถานที่นั้นทิ้งไว้นั่นคือเซย์ม่อน”

 

“โอ้พระเจ้า!”

 

“มรดกของราชาปีศาจยังคงอยู่!”

 

ชายชรารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ลุคพูด

 

แม้ราชาปีศาจจะถูกโค่นล้มแล้วโดยรากันต์ แต่พวกเขาก็ไม่เคยพบกับสิ่งประดิษฐ์เวทมนต์หรือโกเลมของเขาเลย

 

ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนคาดเดาว่าลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอาจจะทําลายมันทิ้งไปแล้ว

 

แต่แท้จริงแล้วพวกมันถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของปราสาทราชาปีศาจ

 

ลุคเหลือบมองไปที่ชายชรา

 

“แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือไดอารี่ของเซย์ม่อน”

 

“ไดอารี่?”

 

“ใช่ ชีวิตของเขาถูกเขียนไว้ในนั้น”

 

สมุดบันทึกของจริงถูกเก็บไว้ในห้องแล็บอย่างปลอดภัย เขาจึงสามารถเล่ามันให้เจ้าหญิงและคนของเธอฟังได้

 

“สมุดบันทึกมีภาพจริงของเซย์ม่อน ซึ่งคนทั้งโลกไม่รู้ ข้าเห็นมันและตระหนักว่ามันไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งที่จะเรียกเขาว่าราชาปีศาจ”

 

ลุคบอกความจริงเกี่ยวกับเซย์มอนว่า แท้จริงแล้วเขาเคยเป็นพ่อมดในหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสมาก่อน แต่เพราะเขาก็หวั่นไหวกับการตายของคนรัก จึงเลือกเดินหน้าสัมผัสกับเวทมนตร์ต้องห้ามและวิธีที่เขาต่อสู้กับชาติต่างๆเพื่อเอาชนะศัตรูของเขา

 

เจ้าหญิงเรย์น่าและชายชราต่างก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

เป็นเพราะภาพลักษณ์ของเซย์ม่อนผู้เกือบจะทําการโค่นล้มทั้งทวีปนั้นแตกต่างจากที่พวกเขาเคยรู้จัก

 

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”

 

“หากเป็นเช่นนั้นประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิบาล็อคก็คงจะต้องถูกเขียนขึ้นใหม่”

 

“ ข้าคิดว่าความจริงอาจจะถูกบิดเบือนไปจริงๆ ผลงานของจักรพรรดิบาร็อคในยุคแรกนั้นค่อนข้างเป็นความลับของประวัติศาสตร์”

 

“ไม่มีข่าวลือแบบนั้นกับหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส…”

 

ลุคดูปฏิกิริยาของชายชราที่กําลังสงสัยอยู่ชั่วครู่และพูดต่ออีกครั้ง

 

“เมื่อข้าได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เซย์มอนเป็นอยู่และได้หนังสือเวทมนตร์และโกเลมมา ข้าก็เริ่มเรียนรู้เวทมนตร์อย่างลับๆ ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงคิดที่จะใช้มรดกของราชาปีศาจเพื่อนํามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลและความเป็นอยู่ของผู้คน”

 

เรน์น่าที่ฟังอย่างเงียบๆก็ถามขึ้นมาว่า

 

“คนรับใช้ของคุณรู้เรื่องนี้หรือไม่”

 

“พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่ค่อยชอบใจกับเรื่องของราชาปีศาจเอามากๆดังนั้นข้าจึงต้องซ่อนมันไว้”

 

เรย์น่าดูขมขื่นกับมัน

 

เป็นเพราะลุคต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแม้ว่าเขาจะอยู่ในกลุ่มคนที่ใกล้ชิดที่สุดก็ตาม

 

เธอเข้าใจความเหงาของเขาได้ เรย์น่าจับมือของลุคโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“เจ้าหญิงเรย์น่า…”

 

“ข้าเชื่อคําพูดของท่าน ไม่สําคัญว่ามนเป็มรดกของใคร สิ่งที่สําคัญคือการนําไปใช้อย่างไร”

 

จากหัวใจที่เข้มแข็งของเธอ ความจริงใจสามารถเข้าใจและสัมผัสได้

 

คําพูดของเธอเป็นคําพูดที่โดดเด่นซึ่งผู้นับถือนิกายเอลคาสเซิลและราชวงศ์บาล็อคก็ควรได้ยินสิ่งนี้

 

สําหรับพวกเขาเวทมนตร์แห่งความมืดเป็นพลังชั่วร้ายที่ต้องล้างออกจากโลกนี้และราชาปีศาจเซย์มอนก็เป็นคนชั่วร้ายที่ทําลายล้างทวีปด้วยพลังอันชั่วร้ายของเขา

 

ชายชราบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และพยายามเตือนเธอ อย่างไรก็ตามวิกเตอร์และพาเวลก็หยุดพวกเขา

 

“ท่านคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”

 

“ใช่ ข้าคิดอย่างนั้น ราชาปีศาจนั้นไม่มีอยู่จริง เซย์ม่อนนั้นเป็นเพียงชายที่น่าสงสารก็เท่านั้น”

 

เมื่อฟังคําพูดของเธอ ลุคก็แทบจะน้ำตาไหล

 

หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในร่างของทายาทของนักรบเขาก็ได้ยินเพียงคําวิจารณ์เกี่ยวกับอดีตของเขาเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าใจเขาจริงๆ

 

“ดังนั้นโปรดเข้มแข็งและทําเจตจํานงของท่านให้เข้มแข็งตาม แม้แต่ยาพิษที่คร่าชีวิตผู้คน ก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้เช่นกันเมื่อขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้สั่งจ่ายยา”

 

“อ่าผู้หญิงคนนี้?”

 

ไม่รู้ว่าเพราะเหคุใด ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาไปจนถึงบุคลิกและคําพูดของเธอ ทุกอย่างนั้นดูคล้ายกับคาธาริน่าอย่างมาก

 

วลีที่เธอพูดเกี่ยวกับวิธีใช้ยาพิษเป็นตัวอย่างเดียวกันกับที่ คาธารีน่าเคยให้เขาเมื่อในอดีตตอนที่พวกเขาคุยกันว่าหนังสือเวทมนตร์โบราณควรจะถูกกําจัดหรือไม่

 

“ข้าคิดถูกแล้วที่จะช่วยผู้หญิงคนนี้”

 

ลุครู้สึกดีเพราะเขารู้สึกเหมือนได้เพื่อนร่วมงานที่เชื่อมั่นในตัวเขา

 

“หัวใจของข้ารู้สึกเบาขึ้นหลังจากได้ยินคําพูดของท่านเจ้าหญิง แต่ขณะนี้โปรดเก็บความลับของข้าไว้ด้วย”

 

“ไม่ต้องกังวล ที่นี่จะไม่มีใครต่อต้านคําพูดของข้าและผู้ลี้ภัยก็จะปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน”

 

ด้วยความใกล้ชิดที่เรย์น่ามีกับผู้คนของเธอ ผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าก็ยินดีที่จะปิดปากเงียบกับสิ่งที่พวกเขาเห็น

 

หลังจากนําโกเลมของเขากลับเข้าไปในพื้นที่ซับสเปส ลุคก็ตัดสินใจที่อําลา

 

“แล้วเจอกันที่รากันต์”

 

ลุคเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากคนรับใช้ของเขา ดังนั้น ลุคจึงต้องกลับไปที่รากันต์ด้วยตัวเอง

 

พาเวลเข้าไปหาเจ้าหญิงและพูดกับเธอในขณะที่เธอมองไปที่ลุคจนกระทั่งเขาหายไปจากสายตาของเธอ

 

“เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆและคนของเราพอใจมากกับสิ่งที่เขาทํากับทหารเหล่านั้น”

 

“เป็นอย่างนั้นหรอ”

 

“ใช่ครับ บางที่ลอร์ดหนุ่มอาจจะสามารถปลุกวิญญาณของไวเคานต์รากันต์ที่สูญหายไปแล้วกลับมาก็เป็นได้”

 

ขณะที่พวกเขาประเมินลุคเสร็จแล้ว พวกเขาก็หันไปที่ที่ผู้ลี้ภัยอยู่และเริ่มย้ายออกไป…

 

เทรนเจ้าสัวกําลังมาน้าา รีบมาอ่านวิถีทางสู่การเป็นเจ้าสัวผู้ที่จะสร้างรีสอร์ทบนดวงจันทร์กันเถอะ พูดจริงน้า ไม่เชื่อก็ไปอ่านอินโทรเรื่องได้เลย ไม่อยากโม้ เดี๋ยวหาว่าสปอย แต่ถ้าอยากฟังสปอยก็หลังไมมาครับ ได้หมดถ้าจ่ายเงิน เห้ย ถ้าสดชื่น

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

 

บทที่ 57 การกลับมาของราชาปีศาจ (3)

 

ด้วยเวทมนตร์หุ่นเชิดลุคสามารถควบคุมโกเลมของเขาได้

 

โกเลมเริ่มดึงก้อนหินขนาดใหญ่และขนาดเล็กรอบๆตัวพว กมันออกมาแล้วโยนไปที่เหล่าทหารม้า

 

ก้อนหินบินออกไปเหมือนกับอุกาบาตและบดขยี้ม้าและ กองทหารในคราวเดียว

 

การโจมตีของโกเลมทําให้เหล่าทหารม้าเริ่มสับสนกับการโจ มตีของพวกเขาและทําให้พวกเขาเริ่มโจมตีด้วยอาวุธขนาด ใหญ่ของพวกเขา

 

“ไอ้เหี้ยเอ้ย หยุดมันให้ได้! โจมตี!”

 

“อย่าถอยหลัง! คู่ต่อสู้ของเจ้าไม่ได้เป็นคนบ้า! มันเป็นแค่โก

เลม!

 

กิกันท์ซึ่งเป็นอาวุธต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบของวิศวกรรมเว ทย์มนตร์สมัยใหม่ มันไม่ใช่สิ่งที่ทหารปกติจะรับมือได้

 

อย่างไรก็ตามโกเลมต่างกัน

 

ขนาดของมันเล็กกว่ากิกันท์ถึงครึ่งหนึ่ง และวัสดุที่ถูกสร้างโดยไม้หรือหินก็เทียบกับแผ่นเหล็กไม่ได้ด้วยซ้ํานอกจากนี้การ เคลื่อนไหวของมันยังช้ากว่ากิกันท์มากดังนั้นหากมีใครสา มารถจัดการกับลุคได้พวกเขาก็จะสามารถล้มมันได้

 

“แต่มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนที่ควบคุมโกเลมนั้นควบคุม ได้ไม่ดี”

 

อาวุธโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับทักษะ

 

ไม่ว่าดาบจะดีแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์หากอยู่ในมือของเด็กในขณะที่มีดที่ไร้คมก็อาจเป็นอันตรายได้หากอยู่ในมือของนัก

ฆ่า

 

และลุคก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ

 

ในอดีตกองทัพโกเลมได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับทั้งประเทศและจักรวรรดิ

เขาได้ต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามจํานวนมากและในหมู่พวกเขาก็มีทหารม้าหลายพันคนอยู่ที่นั่น

 

“ห์ วันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าการต้องต่อสสู้กับสุดยอดพ่อมดเซย์ม่อนนั้นรู้สึกอย่างไร!”

 

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถพูดมันออกมาดังๆได้ แต่เขาก็สาบานว่าจะแสดงให้ไอ้เคานต์ที่หน้าตาเหมือนหมูดู ว่าเขาได้ทุบศัตรูทั้งหมดของเขาในอดีตอย่างไร

 

เมื่อเขนของลุคอ้าขึ้น ดกเลมก็เริ่มขยับตามเหมือนกับคอนดักเตอร์ของวงออเคสตร้า

 

ก่อนอื่นเขาแบ่งโกเลมออกเป็น 4 หน่วย

 

จากนั้นโกเลมก็จู่เริ่มโจมทหารซึ่งอยู่รอบๆผู้ลี้ภัยชาวโวลก้า

 

ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่นั้นได้รับการปกป้องจากเปลวไฟเวทมนตร์ อย่างไรก็ตามผู้ลี้ภัยบางส่วนอาจถูกโจมตีด้วยหอกและดาบใน ระหว่างการสู้รบ

 

“เปิดทาง!”

 

“เปลี่ยนสายและหน่วยจู่โจมลุยเลย!”

 

ทหารม้าเริ่มโจมตีสวนกลับโกเลมด้วยหอก

 

อย่างไรก็ตามลุคได้ปกป้องสหายของทหารม้า

 

มันเป็นการต่อสู้ระยะประชิดที่ทําให้เหล่าทหารม้าคิดว่าลุคซ่อนคนขับไว้ในโกเลม

 

ทหารม้าไม่เคยกลัวขนาดนี้แม้จะต้องปะทะกับทหารหน่วยอื่นที่ทรงพลัง

 

และม้าเหล่านี้ก็ไม่ใช่ม้าทั่วไป พวกมันดื้อกว่าม้าทั่วไปและในบางกรณีมันก็ทําให้มันตกเป็นเป้าหมายได้ยาก

 

ลุคผลักดันทหารม้าด้วยกลยุทธ์สองสามอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

 

“ไอ้เด็กเหี้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นกูฆ่าเจ้าหญิงแน่!”

 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้หยุดลง มันทําให้ไวเปอร์ก็รู้สึกโกรธอย่างมาก

 

เมื่อผู้หมวดที่ได้ยินเสียงตะโกนของไวเปอร์ เขาก็รีบชี้ดาบไปที่คอของเจ้าหญิง

 

อย่างไรก็ตามลุคไม่ได้จับตาดูเธอตั้งแต่แรก

 

ก้าวพริบตา!

 

ร่างของลุคสว่างวาบและหายไป และไปปรากฏตัวอีกที่ต่อหน้าเจ้าหญิงเรย์น่า

 

ในขณะที่ผู้หมวดตกใจ ลุคก็ไม่ได้ให้เวลาเขาในการฟื้นตัวและใช้นิ้วของเขายิงกระสุนเวทมนตร์ใส่

 

“อ้าก”

 

เมื่อกระสุนสีม่วงผ่านทะลุหัวใจของผู้หมวดไป เขาก็กรีดร้องและทรุดลงไป

 

ในที่สุดไวเปอร์ก็ตัดสินใจที่จะจัดการกับลุคด้วยดาบของเขา

เอง

อย่างไรก็ตามลุคก็กอดเจ้าหญิงอย่างสบายใจและใช้ก้าวพริบตาและเดินกลับไปที่ที่เขาอยู่

 

ก้าวพริบตานั้นเป็นคาถาเทเลพอร์ตระยะสั้น 6 วงเวทย์ซึ่งอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาขโมยมาจากหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

 

โดยปกติเวทมนตร์จะต้องใช้มานา อย่างไรก็ตามลุคมีเมไจ

แม้ลักษณะของเมไจนั้นจะไม่ได้ต่างจากมานามาก

 

แต่มันก็เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของให้เป็นตัวตนที่ทรงพลังและซับซ้อนแตกต่างจากมานาได้

 

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องอันตรายที่จะควบคุม แต่หากสามารถจัดการได้ดี แม้จะมีเมไจเพียงไม่มาก แต่ก็จะสามารถใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้

 

นอกจากก้าวพริบตาขั้น 6 แล้วลุคยังสามารถแสดงกําแพงอัคคีขั้น 5ซึ่งเขาใช้สําหรับผู้ลี้ภัยชาวโวลก้า

 

“ขอบคุณ ขอบคุณ”

 

เรย์น่ารีบขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของเธอ

 

ใบหน้าของเธอแดงขึ้น

 

เธอได้รับความช่วยเหลือจากชายคนนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งและเหตุใดชายคนนี้จึงทุ่มเทช่วยเหลือเธอ

 

“ปล่อยไปก่อน ข้าจะไปจัดการกับไอ้สาระยํานั่น เจ้าหญิงท่านจงไปรวมกลุ่มกับคนของท่าน”

 

ลุคปล่อยเรย์น่าลงและเปิดทางเดินด้านหนึ่งของกําแพงอัคคี

 

คนรับใช้โผล่ออกมาจากกองไฟเข้าร่วมกับเจ้าหญิงและรีบไปที่แม่น้ําเนียร์ในทันที

 

“บ้าเอ้ย อย่าปล่อยพวกมันไป!”

 

ในการติดตามของไวเปอร์ ทหารม้าหลายคนพยายามไล่ตามพวกเขา อย่างไรก็ตามลุคได้โจมตีด้วยสายฟ้าแห่งความมืด

 

ไวเปอร์รู้สึกโกรธมาก

 

“ว้าก! ลอร์ดลุค!”

 

หลังจากเห็นผู้ลี้ภัยย้ายออกไปอย่างปลอดภัย ลุคก็มองเข้าไปในดวงตาของไวเปอร์และกองทหารม้า

 

“เรามาสู้แบบจริงจังกันเถอะ”

 

ลุคผู้ซึ่งกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดในการต่อสู้ เริ่มมุ่งเน้นไปที่การควบคุมโกเลมของเขา

 

โกเลมเริ่มมีท่าทีเหมือนโกรธมากขึ้นและเริ่มวิ่งเข้าใส่เหล่าทหารม้า

 

ทหารม้าพยายามที่จะกําจัดพวกเขาด้วยการค้นหาจุดอ่อนของพวกเขา แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาใกล้จะทําลายมันได้ลุคก็จะทําในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขา

 

การควบคุมโกเลม 40 ตัวในคราวเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆแต่หากทําได้มันก็จะเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยม

 

อย่างไรก็ตามลุคก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับพ่อมดที่ยอดเยี่ยม

 

เดิมมีชื่อว่าพ่อมดแห่งความมืดซึ่งอยู่ในขั้น 9 ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างและจัดการกับโกเลม

 

แน่นอนว่าเขาไม่มีพลังในตอนนั้นซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถควมคุมโกเลมอะไรได้มากกว่า 40 ตัว

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ในอดีตเขาจะใช้เวทมนตร์หุ่นเชิดเพื่อสั่งพวกมันในการต่อสู้เมื่อจําเป็น

เท่านั้น

 

และช่องว่างที่สร้างขึ้นในกระบวนการนี้ช่วยให้ใช้เวทมนตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

“ตายซะเถอะไอ้หนู!”

 

กองทหารโจมตีโกเลมอย่างสิ้นหวังเพื่อบุกฝ่าเข้าไปหาลุค

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดก็ตกเป็นเหยื่อของกระสุนแห่งความมืดที่ลุคใช้

 

ชิค! ฮิฮิ

 

“อ้ากก

 

“ว้ากก

 

เมื่อใดก็ตามที่กระสุนสีม่วงบินผ่านม้าและกองทหารไปมันก็จะมีคนที่ล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับเลือดที่ไหลนอง

 

“ฮึก! เวทมนตร์นี่มันอะไรกัน”

 

“ปีศาจ! ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นปีศาจแน่ๆ!”

 

ธนูไฟและหอกน้ําแข็งซึ่งคล้ายกับกระสุนแห่งความมืดสามารถยิงได้ครั้งละนัดเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามกระสุนแห่งความมืดนั้นสามารถชาร์จได้ถึง 10 นัดในคราวเดียวกันและยังพุ่งไปได้ไกล 5 ฟุต

 

หากโจมตีอย่างถูกต้องด้วยเวลาที่แตกต่างกันมันก็อาจจะมีคนหลายสิบคนที่ถูกกําจัดออกไป

 

“ล่าถอย! ทุกคนถอย!”

 

ไวเปอร์ออกคําสั่งให้ถอยหนีเนื่องจากสถานการณ์ที่ดูไม่ดี

นัก

 

“ข้าไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ออกสู่โลกได้แน่นอน”

 

การเตรียมตัวในการทําสงครามของเคานต์โมนาร์ชนั้นไม่ได้ใช้เวลานานอะไรมาก กลับกันฝ่ายของรากันต์นั้นต้องใช้เวลาในการเตรียมการอย่างยาวนาน

 

และในการทําเช่นนั้นจําเป็นต้องปกปิดความจริงที่ว่าลูกหลานของรากันต์คือผู้ที่ขัดขวางการหลบหนี

 

และความจริงที่ว่าเขาใช้เวทมนตร์และควบคุมโกเลมได้ก็ยังไม่สามารถบอกให้โลกรู้ได้ เพราะลุคได้เรียนรู้เวทมนตร์มากมายในช่วงเวลาสั้นๆ

 

หากเป็นเช่นนั้นคนรับใช้ของรากันต์จะเริ่มสงสัยในตัวของเขา

 

“หยุดการล่าถอยให้ได้! อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไป!”

 

ลุคสั่งให้โกเลมไล่ตามพวกเขาในขณะที่กําแพงอัคคีเริ่มกระจายออกไปล้อมรอบพวกมัน

 

ไฮอึ้ง!

 

“บ้าเอย! เราไม่สามารถผ่านมันไปได้เ”

 

ในที่สุดหน่วยทหารม้าแมงปองก็ดูเหมือนกับหนูที่ติดอยู่ในกับดักหนู

 

ด้านหน้าถูกกําแพงไฟปิดกั้นและด้านหลังพวกเขาถูกพวกโกเลมไล่ล่า

 

“บ้าเอ้ย เสร็จกัน!”

 

“ข้ายอมแล้ว! ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”

 

กองทหารม้าบางคนกระโดดเข้าไปในกําแพงอัคคีหรือพุ่งเข้าหาโกเลมและบางคนทิ้งอาวุธและยอมจํานน

 

แต่ลุคไม่ยอมรับการยอมจํานนของพวกเขา

 

“ไม่จําเป็นต้องมีนักโทษ! ฆ่าแม่งให้หมด!”

 

ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้เชลยศึกมีชีวิตอยู่ได้

และพวกเขาคือหน่วยทหารม้าแมงปองที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเคานต์โมนาร์ช

 

ถ้าพวกเขาสามารถรอดไปด้ มันก็จะเป็นปัญหากับลุคในภายหลัง

 

ตามคําสั่งของลุค ในที่สุดหน่วยทหารม้าแมงปองก็ถูกกําจัดออกไปจนหมดสิ้น

 

ศัตรูตายหมดแล้ว ไปพักผ่อนที่รีสอร์ทเจ้าสัวเถอะ

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

 

บทที่ 56 การกลับมาของราชาปีศาจ (2)

 

“อ้าก! นี่มันอะไร?”

 

“ระวัง!”

 

เมื่อเห็นกองเพลิงลุกไหม้ พวกเขาก็บางคนก็เริ่มปรหลาดใจ ขณะที่บางส่วนก็ตกลงจากหลังม้าเพราะการพยศของมัน

 

“ชิ ข้าตัดสินใจมาที่นี่ก็เพราะมีบางอย่างทําให้ข้ารู้สึกกังวล..!”

 

“ใครวะ?”

 

ไวเปอร์จ้องไปยังทิศทางที่มาของเสียงนั้น

 

ถ้าใครสามารถจุดไฟในบริเวณนั้นได้เขาคิดว่าพ่อมดน่าจะอยู่ในวัยกลางคน และชุดของชายคนนั้นก็แปลกตามากเช่นกัน

 

เสื้อผ้าที่เขาสวมดูเหมือนกับของขุนนางมากกว่าเสื้อคลุมของพ่อมด

 

“มันมีพรรคพวกมาด้วยหรือเปล่า?”

 

ไวเปอร์มองไปรอบๆชายหนุ่ม แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น

 

“เจ้าเป็นคนทํามันอย่างนั้นหรอ?”

 

“ตาบอดหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นการกระทําทั้งหมดนี้ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อ 500 ปีก่อนเลย”

 

ตัวตนของผู้ชายคือลุค

 

ในตอนแรกเขาต้องการให้ทหารของรากันต์นําผู้ลี้ภัยเข้ามาตามแผนที่วางไว้

 

อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขารู้สึกถึงลางไม่ดีและฝันร้าย

 

“เหมือนกับตอนที่คาธารีน่าหลงทาง”

 

ถึงอย่างนั้นก็มีความรู้สึกที่เป็นลางไม่ดีและเขาก็กลับไปที่เตียงโดยคิดว่ามันเป็นฝันร้ายที่เขาเคยมี

 

ในฐานะพ่อมดในการค้นหาความจริงโดยปกติแล้วมันเป็นเรื่องยากที่คนเราจะถูกมองข้ามไปอย่างไม่ชัดเจนและไม่สามารถเพิกเฉยต่อผลลัพธ์ของอดีตได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นบางทีพวกมันอาจเป็นความรู้สึกที่แสดงออกมาในแบบที่เราไม่รู้สึกตัว?

 

“เราวางแผนและเตรียมพร้อม แต่ไม่มีการรับประกันว่าทุกอย่างจะราบรื่น มันมีตัวแปรมากเกินไป”

 

ลุคคิดว่าคงเป็นแผนการที่ดีที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง และลุคก็ออกจากรากันต์ด้วยตัวเองในตอนเช้าโดยทิ้งงานทั้งหมดที่เขาต้องทําไว้เอาไว้ก่อน

 

และด้วยพลังเวทมนตร์ในการวิ่งเขาจึงมาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทัน

 

“ลอร์ดลุค!”

 

เรย์น่าตะโกนขึ้นเมื่อเห็นลุค

 

เมื่อเห็นเธอตะโกน ไวเปอร์ก็มองเขาด้วยสีหน้างี่เง่า

 

“ลอร์ดลุค? นี่มันไอ้หนุ่มรากันต์ที่นอนเป็นผักเมื่อไม่นาน มานี้นี่”

 

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าใครนอนเป็นผัก และข้าก็ไม่รู้ว่าใคร ไอ้หนุ่มที่เจ้าหมายถึง เพราะข้าคือ ลอร์ดลุค แห่ง รากันต์!”

 

“เขาเป็นคนที่ให้กําลังใจเจ้าหญิงเรย์น่า!”

 

ไวเปอร์เคยได้ยินสถานการณ์ทั้งหมดจากโกท ก่อนที่จะเริ่มการไล่ล่า

 

เคานต์โมนาร์ชได้กดดันสถานการณ์ที่รุนแรงกับผู้ลี้ภัยโวลก้าเพื่อทําให้เธอตกไปเป็นนางบําเรอของเขา และสถานการณ์ต่างๆก็ทําให้ผู้ลี้ภัยต้องหนีในเวลากลางคืน

 

โกทบอกว่าอาจมีใครบางคนที่สนับสนุนเจ้าหญิงจากด้านหลังและการตัดสินของเขาก็ถูกต้อง

 

“ลอร์ดลุค ท่านคิดจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องของเราตอนนี้อย่างนั้นหรอ?”

 

ไวเปอร์ถามด้วยสายตาสงสัย

 

“ถ้าใช่ล่ะ?”

 

“ท่านไม่ทราบรึไงว่าท่านไม่ควรยื่นมือไปสอดกับประชาชนของคนอื่น”

 

“ถ้าเจ้าเคยคิดว่าผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าเป็นคนในที่ดินของเจ้า ข้าก็จะเอามือออกจากเรื่องนี้”

 

แน่นอนเขาไม่มีความคิดที่จะทําเช่นนั้น

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงอยู่ที่นั่นเป็นการส่วนตัวเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ

 

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พวกเขานั้นมีเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเคานต์โมนาร์ช และท่านก็กําลังเข้าไปในที่ดินของคนอื่นและแทรกแซงเรื่องในบ้านของพวกเขา ท่านลอร์ด หากท่านไม่ดับเปลวไฟเหล่านั้นในทันที ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดแน่นอน”

 

จริงๆแล้วไวเปอร์ไม่ต้องการให้ลุคต้องถอยกลับ

 

เป็นเพราะเขารู้ว่าเคานต์โมนาร์ชนั้นมีแผนที่จะกลืนกินที่ดินของรากันต์

 

“คูคูคู อย่าถอยหลังน้า ข้าไม่ควรพลาดโอกาสที่จะฆ่ามัน!”

 

ลุคเหลือบตามองไปที่ดวงตาของไวเปอร์

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ากําลังคิดอะไร”

 

ในอดีตลุคเคยต่อสู้กับขุนนางที่ละโมบและเจ้าเล่ห์ที่อยู่รอบๆ ดยุกบาล็อค นิสัยและพฤติกรรมของเห็บเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

 

“เจ้าต้องการฆ่าข้าเหรอ? เจ้ามีพลังพอหรอ?”

 

เชอะ!

 

ไวเปอร์ตกใจที่ลุคสามารถตระหนักถึงความคิดของเขาได้

 

แต่ในไม่ช้า เขาก็ชี้ไปที่กองทหารม้าของเขา

 

“ท่านลอร์ดมองเห็นไม่ชัดหรอ? ท่านจะตลกมากถ้าท่านเชื่อมั่นในเปลวไฟขนาดนั้น”

 

เขาไม่เคยคิดเลยว่าทายาทของนักรบรากันต์ที่เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะใช้เวทมนตร์ได้

 

ยังไงซะเขาก็มีแค่ตัวคนเดียว แต่ไวเปอร์มีทหารม้าอยู่รอบข้างถึง 2,000 นาย

 

แม้จะไม่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในกลุ่มของพวกเขา แต่มันก็มีมากกว่า 100 คนที่ถึงขั้นนักกดาบพื้นฐานแล้ว

 

และเขาจะเผชิญหน้ากับพวกเขาเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรอ?

 

เว้นเสียแต่ว่าพ่อมดนั้นมีวงเวทย์มากกว่า 6 วง หรือผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่สามารถร่ายเวทย์โจมตีระยะไกลได้

 

การโจมตีด้วยเวทมนตร์สามารถตีได้อย่างถูกต้องเพียงไม่กี่ครั้ง

 

แต่แล้วคําพูดของลุคก็ทําให้ความคิดของพวกเขาแตกสลายไป

 

“เมื่อไหร่กัน ที่ข้าบอกว่าข้ามีคนเดียว”

 

ลุคยื่นมือที่ใส่สร้อยข้อมือซับสเปซไปข้างหน้าแล้วร่ายเวทมนตร์

 

ทันใดนั้นก็มียักษ์ประมาณ 40 ตัวปรากฏตัวขึ้นมา

 

“อะไรกันเนี่ย?”

 

“กิกันท์?”

 

“ไม่ใช่! มันมีขนาดเล็กกว่าและลําตัวมันก็ทํามาจากไม้ มันจะต้องเป็นโกเลมแน่นอน!”

 

ในความเป็นจริง หน่วยทหารม้าแมงปองไม่ได้ตกใจกับการปากฏตัวของโกเลม แต่สิ่งที่ทําให้พวกเขาตกใจคือการที่ม้าของพวกเขาตกใจแล้วเริ่มพยศ

 

ฮิอิอิอิยาห์! ฮิฮิฮิ!

 

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”

 

“บ้าเอ้ย! อยู่นิ่งๆสิวะ!”

 

พวกเขามีรูปร่างเพรียวและมีพละกําลังที่ดูจะเพียงพอสําหรับการต่อสู้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถัน

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ทําให้พวกเขาประหลาดใจกับโกเลม แม้ว่ามันจะไม่แปลกก็ตาม

 

อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันเป็นแผนของลุค

 

และแล้วลุคก็เริ่มสั่งงานโกเลมของเขา

 

“โจมตี!”…

 

เจ้าสัวมาแรงเด้อเจ้าค่ะ

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

 

บทที่ 55 การกลับมาของราชาปีศาจ (1)

 

“ทุกคนจงมีกําลังใจ!”

 

“อีกไม่ไกลเราก็จะมาถึงแม่น้ําเนียร์ สิ่งที่เราต้องทําคือกําจัดทหารออกไปให้พ้นทาง!”

 

หลังจากผ่านไปมากกว่าหนึ่งวันผู้ลี้ภัยก็เริ่มเคลื่อนย้าย

 

สุขภาพของผู้ลี้ภัยซึ่งมีชีวิตที่ย่ําแย่มาเป็นเวลานานนั้นแย่ลงกว่าที่เรย์น่าคิดไว้มาก

 

ไม่ว่าเรย์น่าจะพยายามเข้าหาพวกเขาเพื่อให้กําลังใจมากแค่ไหน มันก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผล

 

“เจ้าหญิง ข้าว่ามันจะเป็นการดีที่เราจะหยุดพักสักหน่อย”

 

วิคเตอร์ซึ่งเฝ้าดูขบวนอยู่พูดด้วยสีหน้าแน่วแน่

 

อย่างไรก็ตามพาเวลต่อต้านมัน

“ไม่! อีกครึ่งวันค่อยพัก!”

 

“แต่ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะอยู่ได้ถึงครึ่งวัน!”

 

“แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้ากองทัพของเคานต์จับได้”

 

“ข้าคิดว่าพวกเขาจะล้มลงก่อนที่จะถูกจับได้ซะอีก”

 

เรนะตัดสินใจในขณะที่อัศวินทั้งสองยังคงขัดแย้งกันกับความคิดเห็นของพวกเขา

 

“เราจะหยุดพักหนึ่งชั่วโมง ในระหว่างนี้จงกินให้อิ่มท้องและนอนหลับให้เพียงพอ”

 

เมื่อคําสั่งของเธอจบลง เส้นเดินทัพก็หยุดลง

 

คนที่เหนื่อยล้าก็เอนหลังและนั่งลง คนที่หิวโหยก็เติมเต็มความหิวด้วยอาหารอะไรก็ตามที่พวกเขาหาได้

 

“เจ้าหญิงกินนี่สิ”

 

เรย์น่านั้นยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน

 

เป็นเพราะพวกเขาพยายามกระตุ้นให้ผู้คนเคลื่อนไหวแทนที่จะใช้เวลาในการรับประทานอาหาร

 

ดังนั้นเมื่อเธอเห็นชามซุปอุ่นๆที่พาเวลนํามาให้เธอจึงรู้สึกหิวขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตาม

 

“ท่านนํามันไปให้ผู้อื่นเถอะ”

 

“เจ้าหญิงเป็นจุดแข็งของประชาชน คนอื่นๆก็มีความสําคัญอย่างแน่นอน แต่มันจะเป็นเรื่องใหญ่หากเจ้าหญิงนั้นล้ม

ลง”

 

” ขอบคุณนะ”

 

แต่ในขณะที่เรย์น่ากําลังจะตักซุปขึ้นมาแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน

ตุ๊ดดดดด!

 

“นี้! กองทัพที่เคานต์ส่งมา!”

 

“ทุกคนยืนขึ้น! เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้!”

 

วิกเตอร์และคนรับใช้คนอื่นๆ เริ่มตะโกนบอกผู้ลี้ภัยอย่าง

ร้อนรน

 

ผู้ลี้ภัยที่ลุกขึ้นเริ่มวิ่งหนี อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่มีพลังงานมากพอที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

 

ในที่สุดพวกเขาก็ถูกหน่วยทหารม้าแมงปปองล้อม

 

“ไอ้บ้าเอ้ย! อีกนิดเดียวเราก็จะถึงแม่น้ําอยู่แล้ว

 

“ถ้าเรามีเพียงพลังที่จะหยุดพวกมันได้ล่ะก็!”

 

ความรู้สึกสิ้นหวังและโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าหญิง

 

เมื่อการล้อมเสร็จสิ้น ชายคนหนึ่งที่สวมหมวกหลากสีก็ก้าวไปข้างหน้า

 

มันก็คือหัวหน้าของหน่อยทหารม้าแมงปองไวเปอร์

 

“เจ้าหญิง ท่านรู้ไหมว่าการหลบหนีออกจากความเมตตาของท่านเคาต์โมนาร์ชมันน่าระอาเพียงใด!”

 

“ความเมตตาของท่านเคานต์? เจ้ากําลังพูดถึงอะไร?เคานต์เคยทําอะไรให้เราด้วยหรอ?”

 

วิคเตอร์ตะโกนแทนเรย์น่า

 

“เมื่อตอนที่พวกเจ้าเหล่าผู้ลี้ภัยมาซุกหัวนอนอยู่ในเมืองนั่นก็คือพระคุณที่ข้าพูดถึง!”

 

“หุบปาก! พูดอย่างกับเราได้พักฟรีเราจ่ายภาษีให้กับพวกเจ้าถึงสองเท่า และเวลามีปัญหาอะไรพวกเราก็มักจะถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอีก”

 

แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสําหรับผู้ลี้ภัย

 

อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดว่าผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าจะเป็นกลุ่มคนผู้ลี้ภัยจริงๆ พวกมันเห็นพวกเขาเป็นนักล้วงกระเป๋าและให้พวกเขาทํางานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สายตาของพวกเขาเย็นชาต่อผู้ลี้ภัยเสมอ

ไวเปอร์บีบจมูกของเขาขณะที่วิกเตอร์พูดถึงการเลือกปฏิบัติที่พวกเขาได้รับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

“ห็นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า ฟังนะ เจ้าหญิงเรย์น่าถ้าท่านตามพวกเราไปอย่างโดยดี เราก็จะปล่อยคนของท่านไปอย่างไรก็ตามหากท่านเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเรามันก็อาจจะมีการนองเลือดของสัตว์ร้ายเกิดขึ้นที่นี่”

 

ไวเปอร์ได้รับคําสั่งจากเคานต์โมนาร์ชให้นําเจ้าหญิงกลับคืนมาโดยไม่ทําร้ายแม้แต่เส้นผมของเธอ

 

พวกเขาต้องการทําตามคําสั่ง แต่มีโอกาสที่เจ้าหญิงจะทําร้ายตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะพูดออกไปก่อน

 

ทหารที่ขู่ด้วยมีดในมือ ทําให้ผู้ลี้ภัยที่หวาดกลัวเริ่มถอนตัวออกไป

 

“นี่มันหมายถึงอะไรกัน เอลคาสเซิล

 

เรย์น่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วถาม

 

หากนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการเธอก็ตัดสินใจที่จะไม่รู้สึกสิ้นหวังและยอมรับมัน

 

ถ้าเธอเสียใจมันก็จะมีแค่อย่างเดียวนั่นก็คือเธอคงไม่สามารถไปพบกับลุคที่เธอชอบ

 

“อย่าเลยเจ้าหญิง!”

 

“เราจะเปิดเส้นทางให้ท่านเองและเจ้าหญิงก็จะได้หนี”

 

เรย์น่าพยายามเดินหน้าต่อไป แต่คนรับใช้ก็ต่อต้านมัน

 

อย่างไรก็ตามเรย์น่ายังคงยืนกราน

 

“ข้าเป็นราชวงศ์คนสุดท้ายของอาณาจักรโวลก้าข้าจะละทิ้งคนของข้าแล้วหนีไปได้อย่างไร”

 

ราชวงศ์โวลก้าไม่เคยละทิ้งผู้คน

 

แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่ความผิดพลาดก็จะไม่หายไป

 

แทนที่จะละทิ้งผู้คนของเธอ เรย์น่าคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่จะยอมสละตัวเองแล้วไปเป็นนางบําเรอของเคานต์โมนาร์ช

 

“เจ้าหญิง! โปรดกําจัดความคิดที่ไร้ความสามารถเหล่านั้นออกไปจากหัวของท่านด้วย!”

 

“เจ้าหญิง! ท่านจะไปไม่ได้นะ!”

 

หญิงชราและคนอื่นๆกําลังร้องไห้ทั้งน้ํา ตาและขอร้องให้เธอหยุด

 

“ถ้าข้าไปกับเจ้าโดยไม่ขัดขืน เจ้าจะปล่อยคนของข้าไปจริงๆใช่ไหม”

 

เธอมองไปที่ไวเปอร์

 

ไวเปอร์พยักหน้า

 

“แน่นอน ข้าจะไม่กล้าแตะต้องแม้แต่นิ้วของพวกเขาด้วยซ้ํา”

ไวเปอร์โกหกอย่างไร้ยางอาย

 

เรย์น่าซึ่งไม่รู้ถึงความชั่วร้ายของเขา จึงกลายเป็นตัวประกันของหน่วยทหารม้าแมงปองเพื่อช่วยคนของเธอ

 

เม่ได้ตัวเจ้าหญิงมาแล้ว ไวเปอร์ก็เริ่มแสดงสีที่แท้จริงของเขา

 

“เนื่องจากเจ้าหญิงปลอดภัยแล้ว จงฆ่าคนอื่นๆให้หมด! ท่านเคานต์บอกว่าเขาไม่ต้องการขยะเพิ่ม!”

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”

 

“เขา.. เขาหลอกเรา!”

 

ขณะที่กองทหารก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับดาบดาบผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าที่ตกใจก็เริ่มกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก

 

เรย์น่าตะโกนใส่ไวเปอร์ที่ชั่วร้าย

 

“ไหนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะปล่อยคนของข้าไปถ้าข้ามากับ

 

“คุคุคุ เจ้าเป็นเจ้าหญิงที่ไร้เดียงสาดสียจริง สัญญานั้นมีไว้เพื่อทําลาย”

 

ไวเปอร์ยิ้มกว้าง

 

“อ๊ะอ๊ะ! โอ้พระเจ้า! ทุกอย่างจะจบลงแบบนี้จริงๆเหรอ!? ”

 

เมื่อระยะห่างระหว่างทหารม้าและผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าเริ่มแคบลงเท่าไหร่ น้ําตาตาของเจ้าหญิงเรย์น่าก็เริ่มไหลออกมามากขึ้นเท่านั้น

 

ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนเธอสาบานว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าผู้คนของเธอ แต่เธอก็ทําผิดคําสาบานนั้นโดยไม่รู้ตัว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดหลังจากนั้นไม่นานเราจะได้ลิ้มรสเลือด!”

 

“ใครอยากเดิมพันบ้าง ว่าใครจะฆ่าได้มากที่สุด?”

 

กองทหารม้าแมงปองยกดาบขึ้นด้วยรอยยิ้มที่โหดร้าย

 

พวกเขาชี้ดาบไปที่ผู้ลี้ภัย

 

แต่แล้วในขณะนั้นเอง

 

ฮวาร์ก!?

 

เปลวไฟลุกโชนขึ้นระหว่างทหารม้าและผู้ลี้ภัย

 

พวกมันเป็นเปลวไฟสีม่วงสว่างซึ่งไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

 

บทที่ 54 ปฏิบัติการ ”เคลื่อนย้าย” (4)

 

“เจ้าพูดว่อะไรนะ! เจ้าคิดว่าพวกคนในสลัมคิดที่จะหนีออกนอกปราสาทอย่างนั้นหรอ?”

 

หลังจากได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คริส นายอําเภอเมืองลาเมอร์ก็ดูรําคาญอย่างมาก

 

“โรคนี้ยังไม่ได้ระบาดมากนัก ท่านต้องการให้เราทําอย่างไร?”

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรว่าเจ้าต้องทําอะไร? ข้าต้องการให้ทหารรีบไปที่สลัมในทันที และเพิ่มการลาดตระเวนเดี๋ยวนี้”

 

สําหรับเขามันไม่สําคัญว่าคนในสลัมจะเสียชีวิตหรือไม่

 

เขาแค่กังวลว่าโรคระบาดจะแพร่เข้ามาในเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาคิดจะปิดกันประตูและปรับปรุงการลาดตระเวน

 

‘หากสถานการณ์ยังเลวร้ายลงไป เราก็สามารถใช้กําลังทหารกวาดล้างสลัมได้

คริสกําลังคิดเกี่ยวกับมัน’

 

“จะไม่เป็นไรใช่ไหม? มันจะละเมิดคําสั่งของท่านเคานต์หรือเปล่าครับท่าน”

 

โกทจึงสั่งให้กองกําลังความมั่นคงคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของผู้คนในสลัม

 

เป็นผลให้จํานวนยามและเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนใกล้สลัมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามปัญหาคือตํารวจยังมีไม่เพียงพอ

 

“ถึงมีสมองไหม? ระหว่างการขัดคําสั่งกับโรคร้ายแพร่ระบาดแล้วคนตาย ถึงคิดไม่ได้รึไง?”

 

คริสตอบอย่างไม่สนใจคําสั่งของโกท

 

เขาไม่ชอบขี้หน้าโกทอยู่แล้ว โกทซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากนอกดินแดนเมื่อไม่กี่ปีก่อนและไม่ได้เป็นแม้กระทั่งคนรับใช้ตระกูลโมนาร์ชด้วยซ้ํา

 

“แต่แม้ว่าคนที่สั่งเราจะเป็นโกท แต่มันก็หมายถึงคําสั่งของเคานต์…”

 

“ไม่เป็นไร ข้าจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่เอง”

 

เมื่อยินคําพูดเหล่านั้นของคริส ทหารคนนั้นก็พยักหน้า

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้

 

ว่าเคานต์โมนาร์ชและโกทนั้นกําลังสนใจเรื่องสลัม

 

ถ้านายอําเภอรู้ว่าสาเหตุที่ท่านเคานต์กดดันและกดขี่คนยากจนเป็นเพราะจุดประสงค์เพื่อให้เรย์น่ามาเป็นนางบําเรอของเขา เขาก็จะไม่มีวันละเลยการสอดส่องดูแล

 

ตกดึกเมื่อดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

ผู้คนที่กําลังแบกและถือกระเป๋าต่างก็หลั่งไหลมาที่ถนน

 

ผู้คนเกือบสองหมื่นคนกําลังรวมตัวกันอยู่ในสลัมพร้อมกับเจ้าหญิงเรย์น่า

 

“ทุกคนมากันครบหรือยัง”

 

“ครบแล้วครับ เราสามารถออกเดินทางได้ทันที”

 

วิคเตอร์ที่ในชุดเกราะของอัศวินผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรโวลก้าตอบรับอย่างจริงจัง

 

เขาหยิบเกราะทรงจานซึ่งถูกเก็บเข้าไปในมุมในโกดังเป็นเวลานาน เขาทามันด้วยน้ํามันและทําการขัดมันด้วยกระดาษทราย

 

“ทหารละ?”

 

“เราไม่เห็นพวกเขาเลยตั้งแต่พวกเขาถอนตัวไปเมื่อสามวันก่อน นั่นหมายความว่าแผนเรานั้นได้ผลคิคิ!”

 

วิคเตอร์หัวเราะอย่างลับๆ

 

พาเวลยังถามต่อว่า

 

“การนัดหมายมีปัญหาอะไรหรือไม่”

 

“ข้าพึ่งได้รับข้อความมาว่าเรามีแพพร้อมที่จะเดินทางแล้ว อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องอยู่ริมแม่น้ําสักสองวัน”

 

แน่นอนว่าการเดินทางทางน้ําของลาเมอร์นั้นใช้ไม่ได้ เพราะมันถูกทหารของเคานต์โมนาร์ชปกป้อง

 

นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาตกลงที่จะพบกับทหารของรากันต์ที่ริมแม่น้ําสองวันห่างจากดินแดนของเคานต์โมนาร์ช

 

คําถามคือ พวกเขาจะสามารถทําได้อย่างปลอดภัยไหม

 

พวกเขาเลือกที่จะพลางตัวเพื่อให้เนียนไปกับแม่น้ํา และเมื่อพบว่าสลัมว่างเปล่ามันก็จะสายเกินไปแล้วที่จะไล่ตามพวกเขา

 

“มันจะสายเกินไปเมื่อเคานต์โมนาร์ชตระหนักได้ว่าเราหายไป…”

 

“ถ้าพระเจ้าสงสารเรา พระองค์ก็จะส่งเราไปอย่างปลอดภัย”

 

วิคเตอร์ที่ตอบรับมันตะโกนเรียกผู้คน

 

“ พร้อมจะไปกันรึยัง!”

 

“ย้า! พร้อมแล้วกัปตัน!”

 

การหลบหนีของผู้ลี้ภัยชาวโวลก้ากว่า 20,000 คนได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

“เอลคาสเซิล! โปรดดูแลผู้คนที่เศร้าโศกของเรา!

 

เรย์น่าอธิษฐานกับท้องฟ้ายามค่ําคืนที่มืดมิดและเริ่มออกเดินทางด้วยเกวียน

 

เมื่อเร็วๆนี้ เคานต์โมนาร์ชกําลังอารมณ์ดี เพราะมันเริ่มมีสัญญาณของเจ้าหญิงเรย์น่าที่จะเริ่มยอมจํานนแล้ว

 

“ฮะ! ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็จะกระโดดเข้ามาในมือของข้า”

 

เมื่อเขาทราบข่าวครั้งแรกว่าเจ้าหญิงไปหาขุนนางฝ่ายใต้ เพื่อขอความช่วยเหลือ หัวใจของเขาก็ไม่สามารถเต้นอย่างสงบได้

 

อย่างไรก็ตามดังที่โกหกล่าว เธอกลับมามือเปล่าและถูกหลอกว่าเธอไม่ได้ออกจากสลัมด้วยซ้ํา

 

“อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะต้องถอดกระโปรงของเจ้าและเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของข้า อิๆ!”

 

เคานต์โมนาร์ชกําลังยิ้มอย่างมีความสุข

 

ทันใดนั้นประตูก็เปิดกว้างพร้อมกับโกทที่เดินเข้ามา

 

“นายท่านสลัมว่างเปล่า!”

 

“อะไรนะ!?”

 

เคานต์โมนาร์ชไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

 

“ข้าไม่มีงานทํา ดังนั้นข้าจึงเดินไปรอบๆสลัม แต่ข้าไม่เห็นใครเลยข้าจึงเข้าไปข้างใน และข้าก็ไม่เห็นเจ้าหญิงหรือผู้ส่งสารของเธอ”

 

“ฮึ!”

 

เมื่อเคานต์พูดไม่ออก โกทก็โทรหาคริส

 

หลังจากนั้นไม่นานคริสก็เข้ามาในห้องทํางาน

 

“นายอําเภอ! สลัมว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

คริสโกรธกับคําถาม แต่เขาก็พยายามควบคุมตัวเองขณะที่เคานต์โมนาร์ชเฝ้าดูอยู่

 

“ท่านหมายถึงอะไร”

 

“เช้านี้ข้าเห็นอะไรบางอย่าง ข้าจึงไปดูใกล้ๆสลัมและพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น!”

 

“ไม่ เมื่อเย็นวานนี้พวกเขายังอยู่ที่นั่น”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเขาจากไปเมื่อเย็นวานนี้ เนื่องจากเมื่อเช้านี้พวกเขาไปกันหมดแล้ว ทําไมเจ้าไม่รายงานข้า ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าจับตาดูพวกเขารึไง!”

 

“อ๊ะนั่นไง…โรคระบาดกําลังเกิดขึ้นในสลัม…”

 

“โรคระบาด?”

 

“ใช่นั่นคือเหตุผลที่ข้าดึงทหารออกไปและย้ายผู้อยู่อาศัยบางส่วนไปยังที่อื่น”

 

วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดคือการอยู่ห่าง จากมัน

 

อย่างไรก็ตาม โกทก็มีความคิดอื่นในใจของเขา

 

เขามองไปที่เคานต์ด้วยสีหน้าเร่งด่วน

 

“ดูเหมือนเจ้าหญิงจะหนีไปแล้ว”

 

“ฮะ?เจ้าหญิงหนีไปแล้ว?”

 

คริสถามด้วยใบหน้าที่รุนงง

 

“ไอ้โง่ แค่ทําตามคําสั่งง่ายๆก็ยังทําไม่ได้ด้วยซ้ํา! หุบปากไปเลย!”

 

นายอําเภอที่ยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ ถูกตะโกนโดยโกท

 

“มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลําบากในการรับผู้ลี้ภัยทั้งหมด พวกเขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกแน่นอน…. อย่างไรก็ตามเราต้องส่งทหารไปไล่ตามพวกเขา!”

 

ความคิดที่ว่าเจ้าหญิงจะหนีไปกําลังอยู่ในความคิดของเขา

 

อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้หนีไปเฉยๆ เธอยังพาผู้ลี้ภัยที่ถูกจับเป็นตัวประกันไปด้วย!

 

เคานต์โมนาร์ชรู้สึกโกรธกับสิ่งที่เจ้าหญิงได้ทําไป เขากระโดดออกจากที่นั่งและสั่ง

 

“สั่งให้หน่วยทหารม้าแมงปองเตรียมพร้อมทันที!”

 

“ หน่วยทหารม้าแมงปอง?”

 

หน่วยทหารม้าแมงปองเป็นหน่วยทหารม้าชั้นยอดของเคานต์โมนาร์ชซึ่งประกอบด้วยทหารและอัศวินทหารผ่านศึกกว่า 2,000 นาย

 

“สั่งให้พวกเขาจับพวกมันให้ได้ ฆ่าผู้ลี้ภัยทั้งหมดและนําเจ้าหญิงกลับคืนมา!”

 

เคานต์ไม่ลังเลที่จะออกคําสั่งที่โหดร้ายของเขา

 

‘หึ! เจ้าหญิง! นี่เป็นเพราะการกระทําของเธอเอง’

 

โห!

 

ทางตอนเหนือของเมืองลาเมอร์

 

เมื่อหน่วยทหารม้าแมงป่องมาถึง มันก็มีเสียงทรัมเป็ตดังขึ้นมาเพื่อประกาศการมาถึงของพวกเขา

 

พวกเขาหลั่งไหลกันออกจากค่ายและรีบออกจากเมือง….

 

บทที่ 53 ปฏิบัติการ ”เคลื่อนย้าย” (3)

สองสามวันผ่านไปตั้งแต่ลุคเริ่มเรียนรู้เพลงดาบสุวรรณ

 

ในขณะที่เขายุ่งอยู่กับการฝึกดาบและการศึกษาเวทมนตร์ การพัฒนาของเหมืองก็ยังคงดําเนินการต่อไป

นอกเหนือจากแท่งทองและเงินที่ส่งมอบให้กับเหล่าคนรับใช้แล้วแท่งเหล็กก็ยังกองอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเวิร์กช็อปใต้ดินในปราสาท ราชาปีศาจ

 

ดูเหมือนข้าควรจะโทรหาหอการค้าฮาเดสและหาวัตถุดิบสําหรับสร้างโกเลมมากกว่านี้

เขาไม่มีความตั้งใจที่จะลงทุนทุกอย่างในดินแดนของรากันต์

ลุคมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถเปิดเผยให้คนรับใช้เห็น ได้เช่นเวทมนตร์แห่งความมืดของเขา และเขาต้องการที่จะเพิ่มพลังของเขาและเพิ่มจํานวนผู้ติดตามที่เชื่อฟังเขาอย่างไร้ข้อข้องใจ เขาต้องการที่จะใช้งานคนประเภทนี้อย่างกระตือรือร้น 

 

และในการจะทําเช่นนั้นได้ เขาก็ต้องเพิ่มจํานวนโกเลมซะก่อน

ลุคจึงโทรหาผู้จัดการของหอการค้าฮาเดสทันที

 

การซื้อขายครั้งสุกท่านนั้นเป็นไปค่อยข้างดี เพราะฉะนั้นลุคจึงเลือกที่จะทําธุรกิจกับเขาอีกครั้ง

“นายท่าน ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่านต้องการอะไร”

“ข้าจําเป็นต้องใช้วัสดุก่อสร้าง,แร่ธาตุและศิลาเวทมนตร์เหมือนที่ข้าซื้อไปเมื่อครั้งที่แล้ว”

 

“ฮ่าฮ่า ถ้าท่านให้เงินข้า…”

“ข้าต้องการแบบเดียวกัน แต่ครั้งนี้ข้าต้องการเป็นจํานวน 3เท่าและต้องการให้จัดส่งภายใน 10 วัน เจ้าทําได้หรือไม่?”

เมื่อได้ยินความต้องการของลุค ผู้จัดการสาขาก็ตกใจ

 

“หือ! ขนาดนั้นเลยเหรอ!”

 

” ทําไม? เป็นไปไม่ได้เหรอ”

 

“อะไม่ใช่! ข้าจะจัดเตรียมให้ทันภายในกําหนดอย่างแน่นอนแม้ว่าข้าจะต้องไล่ลูกค้ารายอื่นไปก็ตาม”

“นี่เงินทั้งหมด”

ลุคยื่นกล่องแท่งเงินให้เขา มันมีมูลค่าประมาณ 20,000 เปโซ

หลังจากตรวจสอบแท่งเงินที่ละแท่งผู้จัดการก็มองไปที่พื้นและส่ายหัว

 

“โอ้ และข้าก็อยากได้อาหาร ไม่สําคัญว่ามันจะเป็นอาหารประเภทอะไร แต่ข้าต้องการมันประมาณ 1,000 เสิร์ฟ จะเป็นเนื้อเค็มหรือบิสกิตก็ได้”

 

“ท่านจะบดมันแล้วใช้เป็นอาหารปศุสัตว์อย่างนั้นหรอ? โอเคข้าจะจัดหามาให้ท่านในราคาถูกเลย”

 

สัตว์ประหลาดในเหมืองนั้นกําลังทํางานอย่างหนัก

ลุคจึงตัดสินใจที่จะให้อาหารพวกเขาตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาสั่งในครั้งนี้

 

หลังจากจัดการคําสั่งซื้อของลุคเสร็จแล้ว ผู้จัดการสาขาก็ออกจากคฤหาสน์

บางทีเขาอาจต้องเดินทางไปทั่วเพื่อรวบรวมรายการสินค้าที่สั่ง

 

หลังจากสั่งเสร็จ ลุคก็ลงไปที่ห้องทดลองใต้ดิน และเขาก็เลือกหนังสือหนึ่งเล่มโดยจัดเรียงตามหมวดหมู่บนชั้นหนังสือ

หนังสือในชั้นเหล่านั้นก็คือหนังสือที่ลุคขโมยมาจากหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

” ข้าจะอ่านมันทั้งหมดก่อน แล้วจึงค่อยส่งให้มิวท์ต่อบางทีเขาจะชอบพวกมัน”

พวกเขาสองคนนั้นมักจะมีอะไรที่ชอบเหมือนๆกัน แต่ลุคก็ไม่เคยเปิดเผยความลับของเขากับมิวท์

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงซื้อหนังสือเวทมนตร์ขั้น 5 จากตลาดมืดมา

 

และมันไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่เป็นหนังสือจํานวนมากที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบ

ลุคหยิบหนังสือเวทมนตร์ขึ้นมาและเริ่มอ่านมันอย่างรวดเร็ว

มันมีทฤษฎีเวทย์มนตร์ขั้น 6 ที่เกี่ยวกับการแพทย์ ไปจนถึงทฤษฎีเวทมนตร์ขั้น 9 ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณและสติปัญญา

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

“มันง่ายกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ข้าควรจะเตรียมอันต่อไปเลยดีไหมนะ”

 

คราวนี้เป็นเวทมนตร์โจมตีวงกว้างขั้น 5

 

ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์สําหรับเขาเมื่อเขาปลอมตัวเป็นพ่อมดขาว

“หุหุนี้จะเป็นการล้างตัวตนที่สมบูรณ์แบบ

เขายิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะมองไปที่ปฏิทิน

“ได้เวลาแล้วสินะ”

 

ตอนนี้ก็ถึงเวลาของปฏิบัติการ เคลื่อนย้าย” ที่เจ้าหญิงเรย์น่าคิดขึ้น

เขาหวังว่ามันจะจบลงด้วยความสงบ

แล้วเขาก็มองกลับไปที่หนังสือและเริ่มอ่านมันอีกครั้ง

“นี่คืออันที่เจ็ดแล้วใช่ไหม”

 

เรย์น่าถามพาเวลเมื่อเกวียนพร้อมผู้ป่วยเด็กและคนชราออกจากสลัมไป

 

“ถูกแล้ว อีกเพียงสองคันเท่านั้น ผู้สูงอายุทั้งหมดก็จะถูกย้าย”

“มันเร็วกว่าที่คิด”

 

“นั่นก็เป็นเพราะเกวียนและรถเข็นที่เราได้รับมาจากลอร์ดลุคยังไงล่ะ”

เพราะเงิน 33,000 เปโซที่ลุคให้กับพวกเขา มันจึงทําให้พวกเขาสามารถซื้อเกวียนและรถม้ามาได้เป็นจํานวนมาก

และทําให้การเคลื่อนย้ายของผู้ลี้ภัยเป็นไปได้เร็วขึ้นมาก

 

“ว่าแต่การเคลื่อนไหวของเตานต์โมนาร์ชล่ะ? พวกคนของเขาไม่ได้นําเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับเคานต์โมนาร์ชบ้างหรอ?”

 

“พวกเขาไม่น่าจะทําแบบนั้นหรอก ข้าคิดว่าวกเขาดใจด้วยซ้ําที่พวกผู้ลี้ภัยจากไป”

 

พวกเขานั้นรู้ดีว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยของชาวโวลก้านั้นไม่ได้มีศักยภาพทางการเงินที่ดีอะไรมาก ด้วยเหตุนี้แม้แต่การจะเรียกเก็บภาษี พวกเขาก็ไม่สามารถจ่ายได้

เป็นทัศนคติทั่วไปของทหารยามที่มีต่อผู้ลี้ภัยซึ่งมักจะทุบตีพวก

เขา

“วันทําการคืออีกสามวันใช่ไหม? เจ้าเก็บข้าวของเสร็จหมดรึยัง”

“ใช่ข้าตัดสินใจทิ้งกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ แล้เอาไปแค่ของชิ้นเล็กๆพอ”

 

“ว้า ข้าขอโทษมาก เราอยู่ที่นี่มานานกว่าทศวรรษ ข้าขอโทษที่พวกเจ้าจริงๆที่ต้องจากที่นี่ไปเพราะข้า”

 

พาเวลสะดุ้งเมื่อได้ยินความขมขึ้นจากปากของเรย์น่า

 

“อย่าคิดแบบนั้นเลย! ผู้คนต่างรู้ดีว่าเจ้าหญิงดูแลพวกเขาดีแค่ไหนและหากพวกเขาวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ต่อในอนาคต พวกเขาก็ จะต้องเจ็บปวดอีกมากเพราะงั้นมันจะดีกว่าถ้ามีคนที่เต็มใจจะยอ มรับเรา”

“ใช่ ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น”

ในขณะที่ทั้งสองคนกําลังพูดกัน วิกเตอร์ก็ส่งเกวียนคันสุดท้ายที่จะเข้ามาหาพวกเขาและถามว่า

“พวกท่านกําลังพูดถึงอะไรกัน”

 

“เรากําลังพูดถึงปฏิบัติการที่ควรจะเกิดขึ้นในอีกสามวัน”

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ถูกส่งตัวไปก่อน

 

หากเด็กถูกย้ายไปได้สําเร็จ พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีได้อ่างสะดวกมากขึ้น

 

“เราจะหลอกตบตาเคานต์โมนาร์ชได้นานแค่ไหนกัน

 

“นั่นสินะ ถ้าทหารของเคานต์เข้ามาขัดขวางเรา มันคงยุ่งแน่”

หากผู้ลี้ภัยหายไปแค่หลักพัน มันก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

อย่างไรก็ตามหากทั้งสลัมหายไปพวกเขาก็ต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน

“แล้วจะทํายังไงล่ะ”

ในขณะนั้นเอง วิคเตอร์หยิบบางอย่างออกมาและแสดงให้พวกเขาดู

 

พวกเขาทั้งสองคนประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งที่วิคเตอร์เอาออกมาให้พวกเขาดู

เขามีหน้ากากที่มีจมูกบวมและเต็มไปด้วยแผลและจุดด่างดํา

“อย่าตกใจไป นี่คือหน้ากากที่สร้างขึ้นสําหรับโรงละครโดยเฉ

พาะ”

วิคเตอร์อธิบายแผนของเขาให้ทั้งสองคนฟัง และเมื่อพวกเขาได้ฟังเสร็จพวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับวิคเตอร์ทันที

 

Emperor of Steel-กําเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

 

บทที่ 52 ปฏิบัติการ ”เคลื่อนย้าย” (2)

 

“หุหุหุ ดี”

 

ในที่สุดลุคก็ยิ้มขึ้น หลังจากที่ได้ประชุมอยู่กับเหล่าคนรับใช้เป็นเวลานาน

 

กระบวนการนี้ทําให้เขาสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหญิงและจัดการกับแหล่งที่มาของทองคําและแท่งเงินจากเหมือง

 

“และด้วยการเก็บเกี่ยวอีกครั้ง ข้าก็จะไม่ต้องฟังพวกคนรับใช้ที่ชอบบอกว่าไม่อยากให้ข้าไปที่ปราสาท”

 

จนถึงช่วงเวลานี้ มันไม่มีใครเลยที่อยากให้ลุคเข้าไปในปราสาทราชาปีศาจครั้งแล้วครั้งเล่า

 

แต่ในวันนี้ สิ่งที่พวกเขาได้รับจากมันนั้นยอดเยี่ยมมาก จนมันไม่สําคัญอีกต่อไปว่าลุคจะตัดสินใจอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน

 

“นายท่าน ท่านจะไม่เรียนฟันดาบเหรอ”

 

โรเจอร์สปิดกั้นทางเข้าปราสาทและถามลุค

 

ก่อนเกิดอุบัติเหตุลุคได้เรียนรู้และฝึกฝนการใช้ดาบสีเงินซึ่งเป็นดาบของอัศวินรากันต์

 

แม้ว่าความสําเร็จจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรมากนัก แต่เขาก็ยังคงฝึกฝนมันอย่างหนัก อย่างไรก็ตามหลังจากตื่นขึ้นจากอุบัติเหตุเขาก็ไม่ได้ฝึกฝนมันอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

“ตอนนี้ข้าใช้เวทมนตร์มากกว่าฟันดาบ…ไม่สิ ข้าก็ควรที่จะเรียนดาบ”

 

ลุคเคยบอกว่าเขาต้องการเรียนรู้เวทมนตร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้เขาจึงลดการฝึกฟันดาบและใช้เวลานั้นเพื่อเวทมนตร์

 

อย่างไรก็ตาม การลอบสังหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้ทําให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป

 

ตอนนั้นเขาเกือบจะต้องตายเพราะวงเวทย์แห่งความมืดได้หยุดลง

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะคําสาปที่ใครบางคนสาปใส่ลูกหลานของรากันต์

 

“ข้าต้องเรียนวิชาดาบด้วย ไม่จะได้มีวิธีจัดการกับศัตรูในยามที่เวทมนตร์ใช้ไม่ได้”

 

เมื่อลุคตัดสินใจเปลี่ยนใจ ใบหน้าของโรเจอร์ก็สดใสขึ้นมาทันใด

 

“หึหึ งั้นก็ย้ายไปสนามฝึกกัน”

 

ลุคเดินตามโรเจอร์สไปที่สนามฝึกเฉพาะของอัศวินในลานสวนสนาม

 

ในตอนนี้ทุกคนต่างก็ไปทํางาน มันเลยยังไม่มีใครมาฝึก

 

“ข้าจะผ่อนคลายเล็กน้อยและรอดูความสําเร็จของคนอื่น

 

“โอเค”

 

เมื่อลุคหยิบดาบขึ้นมาจากแท่นวาง ทั้งสองคนก็เข้าไปยืนประจําตําแหน่งเพื่อเริ่มฝึกฝน

 

คัง! อึ้ง !!

 

แม้มันจะไม่ใช่ดาบขึ้นชื่ออะไร แต่ทุกครั้งที่มันกระทบเข้ากับดาบอีกเล่มหนึ่ง ประกายไฟก็จะโผล่ออกมา

 

แม้ว่าลุคจะเป็นนักเวท แต่เขาก็เคยต่อสู้กับอัศวินเพื่อป้องกันตัว ในสมัยตอนที่เขาเป็นเซย์มอน

 

และในขณะที่ลอร์ดหนุ่มเจ้าของร่างเดิมซึ่งเคยฝึกฝนร่างกายอย่างหนักมาก่อน มันจึงทําให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของโรเจอร์สได้อย่างเหมาะสมและรอบคอบ

 

โหเขาเคลื่อนไหวได้เร็วและแรงกว่าเดิมมาก ในอดีตนายท่านมักจะโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากําลังศึกษาคู่ต่อสู้และพยายามอ่านท่าทางของพวกเขา

 

โรเจอร์สดูเหมือนจะประหลาดใจ

 

อย่างไรก็ตาม การกระทําของเขาก็ไม่เหมือนกับความรู้สึกของเขาเอง เขายังคงชี้แนะให้ลุคเข้าใจถึงจุดต่างๆ

 

“ในสถานการณ์แบบนี้ ท่านควรที่จะโจมตีมากกว่าที่จะปิดกั้นด้วยดาบแบบนี้”

 

“ช้าไป ท่านจะเอาชนะศัตรูด้วยการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

ลุคเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับการโจมตีทางความคิดและข่มขู่อย่างต่อเนื่อง

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้ตัวว่าเขากําลังผสมเวทมนตร์ของเขาเข้ากับดาบ

 

อุยอง!

 

ออร่าสีม่วงจางๆ เริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆดาบ

 

โรเจอร์สอดไม่ได้ที่จะดูประหลาดใจ

 

“นั่นมัน..

 

ลุคที่ยึดติดกับการล้มโรเจอร์ส เริ่มทําการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของโรเจอร์ส

 

” เช้ง!”

 

โรเจอร์สที่เริ่มรู้สึกประหม่าก็แทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจากลุคได้

 

นอกจากนี้ดาบของเขายังปะทะกับดาบออร่าขนาดเล็กของลุค

 

คัง! กร้าก!

 

ดาบที่ปะทะกันในตอนนี้นั้นน่าตื่นเต้นกว่าเมื่อก่อนมาก 

ในช่วงแรกการเผชิญหน้าที่ตึงเครียดได้เกิดขึ้น แต่ในที่สุดดาบของลุคก็ลอยไปไกล

 

ไม่ว่าเขาจะเรียนรู้การป้องกันตัวและประสบการณ์ในทางปฏิบัติมามากเพียงใด แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงของตระกูลดาบออร์โธดอกซ์

 

“นั่นคือทั้งหมดสําหรับวันนี้”

 

“ หุหุ แต่ข้ายังสู้ได้อีกหน่อยนะ”

 

ในตอนท้ายของชั้นเรียน ลุคก็กล่าวออกมา

 

“มันไม่ดีที่จะทําเช่นนั้น สิ่งสําคัญคือต้องรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดพัก และเมื่อใดควรเข้มแข็งขึ้น”

 

โรเจอร์สพูดด้วยความตื่นเต้น

 

“ว่าแต่นายท่านสามารถสร้างออร่าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

 

“ออร่า?”

 

“ใช่ ออร่าสีม่วงที่ท่านใช้นั่นไง”

 

“อ๊ะนั่น…”

 

เขาไม่รู้ตัวเพราะเขาถูกกลืนเข้าไปในความคิดที่จะโจมตีมากเกินไป แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขานั้นได้ใส่เมไจเข้าไปในนั้น

 

“การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของมานา, วิธีการทํางาน เมื่อดาบผสมกับเมไจ?”

 

เมื่อวันก่อนระหว่างการลอบสังหารเขาได้ดูดซับออร่าและพลังชีวิตขอศัตรูด้วยเวทมนตร์แห่งความมืด

 

แต่ไม่ว่าใครจะดูดซับไปมากแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีหากพวกเขาไม่รู้วิธีใช้มัน

 

ในตอนนั้นลุคกําลังโกรธกับคําตําหนิของโรเจอร์ส และจึงเผลอใส่เมไจลงไปในดาบ

 

“ออร่าเกิดจากการแสดงอารมณ์?”

 

เช่นเดียวกับเวทมนตร์ มันมีความคิดและเจตจํานงอยู่ในการทํางานของมัน

 

อย่างไรก็ตามความปรารถนาที่จะเอาชนะโรเจอร์สได้ทําให้พวกเมไจกลายเป็นออร่า

 

“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าท่านทํามันได้อย่างไรมันอาจเกิดจากสมาธิหรือเพราะความเฉียบคมของท่าน แต่ถ้าท่านฝึกฝนอีกสักหน่อย ท่านก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ดีได้”

 

เมื่อลุคไม่ตอบสนอง โรเจอร์สก็รู้ว่าทําไมเขาถึงวู่วาม

 

“ข้าคิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องฟันดาบ…”

 

มีการพูดคุยกันมากมายในหมู่อัศวินในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับความสนใจของลุคในการเรียนรู้เวทมนตร์จากมิวท์

 

นับว่าโชคดีที่ลุคนั้นดูน่าเชื่อถือกว่าแต่ก่อน แต่เขาก็ไม่ใช่ทั้งพ่อมดหรืออัศวิน

 

พวกเขาภูมิใจในตระกูลของรากันต์ เนื่องจากเรื่องราวของนักรบผู้กล้าหาญที่สร้างมาตรฐานที่โดดเด่นของอัศวิน

 

แต่ตอนนี้เจ้านายของพวกเขากลับอยากจะเป็นพ่อมด?

 

“นั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้น!

 

โรเจอร์สสาบานกับจนเองว่าเขาจะป้องกันสิ่งนั้น

 

ดังนั้นหลังจากบจากหลักสูตรดาบเงิน โรเจอร์สก็เลือกที่จะสอนสิ่งที่เขาต้องการ

 

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะสอนท่านถึง “เพลงดาบสุวรรณ” 

 

“เพลงดาบสุวรรณ?”

 

ลุคตกใจไปชั่วขณะ

 

เขาจะเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นได้อย่างไร?

 

เพราะดาบที่แทงทะลุหัวใจของเขาเมื่อ 500 ปีก่อนคือเพลงดาบสุวรรณ นี่แหละ

 

แต่ทันใดนั้น มันก็มีบางอย่างโผล่เข้ามาในห้วงความคิดของเขา

 

“เพลงดาบสุวรรณนั้นไม่ใช่สิ่งของที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นหรอ”

 

เขารู้เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของดาบเล่มนี้หลังจากฟื้นขึ้น ตามที่ระบุไว้ในลําดับวงศ์ตระกูล หลักการของมันนั้นก็เหมือนกับมรดกตกทอดของตระกูล

 

“แน่นอนมันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อ 250 ปีที่แล้ว ข้อยกเว้นก็ได้เกิดขึ้น”

 

เนื่องจากทายาทของตระกูลรากันต์นั้นมีอายุสั้น และในบางกรณีร่างกายของพวกเขาก็อ่อนแอมากซะจนบางคนได้แต่ยอมรับความตาย

 

ด้วยเหตุนี้ทายาทจึงมีปัญหากับประเพณีของเพลงดาบสุวรรณและเมื่อ 250 ปีก่อนในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจ

 

บรรพบุรุษคนหนึ่งกลัวว่าเพลงดาบซึ่งเป็นมรดกตกทอ ดของตระกูลจะสูญหายไป เขาจึงให้แม่ทัพอัศวินเป็นคนดูแลเรื่องนี้และให้เก็บมันไว้เป็นความลับ

 

“โอ้พระเจ้า!”

 

เพราะฉะนั้นแม้ลอร์ดจะตายไป แต่เพลงดาบนี้ก็จะไม่สูญหายไปแน่นอน

 

ลุคนั้นไม่รู้เรื่องถึงนี้และนั่นคือสาเหตุที่ทําให้ตํานานของไวเคานต์รากันต์ไม่ถูกทําลายลงในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา

 

อัศวินในอดีตที่ได้เรียนรู้เพลงดาบสุวรรณนั้นถือว่าเป็นผู้สนับสนุนตระกูลที่แข็งแกร่งและมีทักษะที่ยอดเยี่ยม

 

“ถ้าข้าเรียนรู้เพลงดาบสุวรรณ ข้าก็จะกลายเป็นจักรพรรดิ ดาบเหมือนกับรากันต์บรรพบุรุษของข้าได้อย่างนั้นหรอ”

 

“ข้าเกรงว่านั่นอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราได้สูญเสียครึ่งหลังของวิชาดาบไปเมื่อ 400 ปีก่อน แต่ข้าสามารถรับปากได้ว่าท่านจะสามารถเป็นปรมาจารย์ดาบได้แน่นอนหากเรียนครึ่งแรกเสร็จ”

อัศวินทั้งเจ็ดในอดีตนั้นก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ดาบ ได้หลังจากเรียนรู้มัน

 

โรเจอร์สซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 40 ต้นๆเองก็แซงหน้าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดไปแล้ว

 

“แต่เป็นเรื่องแปลกมากที่ไม่มีบรรพบุรุษคนใดได้กลายมาเป็นปรมาจารย์ดาบ หรือมันจะเป็นเพราะคําสาปรึเปล่านะ?”

 

โรเจอร์สส่ายหัวพร้อมกับปัดความคิดในใจของเขาตกไป และบอกลุคเกี่ยวกับเพลงดาบสุวรรณต่อไป

 

เขาอธิบายประวัติศาสตร์และประเด็นหลักของเพลงดาบสุวรรณที่ละขั้นตอน

 

“เพลงดาบสุวรรณนั้นมีพื้นฐานเกี่ยวกับการไหลเวียนของมานา มากกว่าการฟันดาบ หากท่านสามารถอ่านการไหลของมานาที่ซ่อนอยู่ในดาบ…”

 

ในบางครั้งดาบของโรเจอร์เริ่มเรืองแสงสีทองจางๆ

 

ลุคกําหมัดแน่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

เขายังจําอดีตในตอนที่เขาถูกสังหารโดยดาบทองได้ดี

 

“เชี่ย! นี่มันไม่ใช่รากันต์และดาบของมัน ไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัว”

 

ลุคพยายามสงบใจและมองใกล้ๆ ด้วยความเข้มข้นที่น่ากลัวของมัน เขาก็เริ่มจะซึมซับสิ่งที่โรเจอร์สพยายามอธิบาย

 

“กระแสของมานาสําคัญไหม? อ่าไม่รู้สินะแต่มันควบคุมง่ายกว่าดาบอีก คงเพราะข้าเป็นพ่อมดแหละนะ”

 

อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากนั้นก็เป็นการยากที่จะเรียนรู้วิชาดาบที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ มันจึงต้องใช้เวลาพอสมควร

 

ในตอนนี้ลุคไม่ได้ประหม่าอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ตัดสินใจที่จะค่อยๆเสริมสร้างทักษะของเขาไปทีละขั้น……..

 

บทที่ 51 ปฏิบัติการ “เคลื่อนย้าย” (1)

 

หลังจากวางแผนเรื่องการย้ายถิ่นฐานอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับพรรคพวกของเรย์น่าแล้ว ลุคก็กลับไปที่คฤหาสน์

 

ทันทีที่เขากลับมาถึงดินแดนของเขา เขาก็ได้มอบเงิน 30,000 เปโซให้กับฟิลิป

 

ฟิลิปออกเดินทางไปหาลาเมอร์ทันที

 

มันเป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจที่จะไปพบเจ้าหญิงที่นั่น

 

หลังจากส่งฟิลิปไปแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปที่ห้องทํางานใต้ดิน ในปราสาทราชาปีศาจของเขา

 

เมื่อมาถึง เขาก็สงสัยว่าแร่ธาตุต่างๆถูกรวบรวมมาได้อย่าง

 

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเมื่อเห็นแร่ธาตุที่กองอยู่เหมือนเนินเขาลูกเล็กๆในเวิร์คช็อปของเขา

 

มันเป็นเพราะโกเลมและสัตว์ประหลาดเหล่านั้นยังคงขุดแร่ ในเหมืองทั้งสามแห่งอย่างต่อเนื่องและทุกครั้งที่วงเวทย์เทเลพอร์ตกระพริบ แร่ธาตุต่างๆก็จะเข้ามา

 

พวกเขาจะทํางานหนักที่เดียว”

 

ลุคตัดสินใจที่จะให้อาหารมากมายแก่มอนสเตอร์เมื่อเขาพบพวกมัน

 

“ข้าควรเริ่มด้วยทองหรือแร่เงินดีนะ? ต้องใช้เงินจํานวนมากในการรับผู้ลี้ภัยและพัฒนาที่ดิน”

 

ลุคเรียกโกเลมและสั่งให้พวกมันเก็บแร่ธาตุจากเวิร์คช็อปลงไปในเตาหลอม

 

เตาหลอมถูกสลักด้วยวงเวทย์ที่จะทําให้เกิดเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูง

 

และด้วยมานาที่เพียงพอ มันจึงเป็นไปได้แล้วที่จะหลอมหรือถลุงแร่ธาตุต่างๆโดยไม่ต้องใช้พวกถ่านหิน

 

“มาดูกันว่าอุณหภูมิในการหลอมเงินจะสูงหรือต่ํากว่าทองคํากัน”

 

ลุคลองใช้อุณหภูมิหลอมละลายของโลหะและกระตุ้นวงเวทย์บนเตาหลอม

 

ฮวาร์!

 

ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนอย่างยิ่งใหญ่ภายในเตาหลอม และหลังจากนั้นไม่นานแร่เงินก็กลายเป็นของเหลวและไหลเข้าไปในรูด้านล่าง

 

แร่เงินไหลออกมาและเย็นลงในกรอบสี่เหลี่ยมและต่อมาก็เปลี่ยนเป็นแท่งเงิน

 

“เอาล่ะคราวนี้มาลองหลอมทองกัน”

 

ลุคเริ่มหลอมแร่ทองคําโดยเพิ่มอุณหภูมิของเตาขึ้นเล็กน้อย

 

เมื่อเวลาผ่านไปแท่งทองและแท่งเงินก็กองอยู่ตรงหน้าลุคในรูปแบบของปิรามิด

 

ลุคยิ้มกริ่มขณะถือแท่งทองคําในมือ

 

“หุหุหุ อัตราการผลิตที่รวดเร็วขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะพอสําหรับเป็นเงินทุนในการอพยพของผู้ลี้ภัยเท่านั้น แต่มันยังพอที่จะครอบครุมกองทุนเพื่อการพัฒนาที่ดินด้วยจะไม่เป็นปัญหา”

 

อย่างไรก็ตามลุคก็เริ่มสับสน

 

“แล้วข้าควรจะใช้มันอย่างไรดี”

 

ทองคําและเงินในปัจจุบันจะมีมูลค่าหลายพันเปโซ

 

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์สําหรับเจ้าหญิงและตัวอย่าง แต่ปัญหาคือเขาไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินได้

 

ที่นี่ไม่มีอะไรที่จะทําให้คนอื่นเชื่อได้เลย…”

 

ลุคครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาต้องทํา ทันใดนั้นเขาก็ปรบมือเมื่อมีความคิดที่ดี

 

“ใช่แล้ว! ข้าต้องทําได้แน่!”

 

เขาเดินไปที่ห้องทดลองใต้ดินด้วยท่าทางที่สดใส และเริ่มค้นหากล่องเก็บตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสม..

 

หลังจากเหล่าคนรับใช้ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในแบรนดอนจาก ปากของโรเจอรส์ พวกเขาก็แทบคลัง

 

“ข้าไม่เข้าใจ ทํานายท่านถึงคิดแบบนั้น!”

 

“อาจเป็นเพราะอายุของเขา ลอร์ดหนุ่มจึงมีความคิดที่แกว่งไปแกว่งมา แต่ถึงอย่างนั้นเซอร์โรเจอร์สก็ไม่น่าจะไขว้เขวตามนะ!”

 

“นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ เคานต์โมนาร์ชจะไม่มีทางอยู่เฉยๆแน่นอน แล้วทีนี้พวกเราจะทํายังไงกันดีล่ะ?”

 

“ไม่ต้องทําห่าอะไรแล้ว! ตอนนี้เราจบแล้ว!”

 

สักพักห้องประชุมก็เต็มไปด้วยความคิดของทุกคน

 

เมื่อความวุ่นวายสงบลง ดิกสันซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านการเงินก็ได้ถามฮานส์ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแล

 

ฮานส์นั้นรับฟังความคิดของคนอื่นด้วยใบหน้าที่แน่วแน่

 

“ท่านหัวหน้าพ่อบ้าน ท่านคิดอย่างไรกับการกระทําของนายท่านบ้าง”

 

“ไม่มีอะไร”

 

ดิกสันดูงงงวยเมื่อได้ยินคําตอบที่ไม่คาดคิดของฮานส์

 

“ท่านคิดว่าคฤหาสน์รากันต์แห่งนี้จะลุกเป็นไฟเพราะการกระทําของนายน้อยหรือเปล่า?

 

“ยังไงซะสักวันเราก็ต้องสู้กับเคานต์โมนาร์ชอยู่ดี ที่สําคัญ ข้าคิดว่าเคานต์โมนาร์ขอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุของนายน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อนด้วย”

 

ฮานส์ไม่สามารถพูดได้เนื่องจากเขาไม่มีเงื่อนงําที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตามเขาเชื่อ 99% ว่าเคานต์โมนาร์ชนั้นเป็นคนที่มีอยู่เบื้องหลังทั้งหมด

 

ที่ดินของรากันต์นั้นเกือบจะเผป็นเอกเทศจากจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีเคานต์โมนาร์ชที่ดูเหมือนจะมีปัญหากับพวกเขาอยู่เรื่อยๆ

 

นอกจากนี้ จากข้อมูลล่าสุดที่เขารวบรวม มันได้ชี้ให้เห็นว่าเคานตีโมนาร์ชต้องการที่จะครอบครองดินของรากันต์แห่งนี้

 

ฮานส์เคยได้ยินเรื่องนี้มาจากฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ เมื่อเขาเอาไปเล่าให้คนรับใช้ทุกคนฟัง พวกเขาก็ดูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างมาก

 

“ไม่มีทาง เป็นจริงหรือ”

 

“ไอ้หมูตอนนั่น!”

 

ความโกรธของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นราวกับภูเขาไฟที่กําลังจะปะทุ และมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินสิ่งที่โรเจอร์สพูด

 

“ในตอนแรกข้าก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงพยายามที่จะไม่พูดมัน แต่คราวนี้เราได้พบกับกลุ่มคนที่พยายามจะลอบสังหารพวกเรา ระหว่างที่กําลังเดินทางไปซื้อกิกันท์”

 

” พระเจ้า!?”

 

“ความจริงที่ว่าพวกเขามีกิกันท์และมือสังหารบางคนที่เป็นอัศวินก็ทําให้มันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาเป็นของเคานต์โมนาร์ช และแน่นอนว่าเขากําลังหมายตาดินแดนแห่งนี้

.

 

“เห้ย! ไอ้เหี้ยนั่น!”

 

ในวินาทีนั้น ไม่มีใครตําหนิลุคอีกต่อไปเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา

 

เช่นเดียวกับฮานส์ เขาพยายามจะรับมือกับสถานการณ์อย่างสงบที่สุดเท่าที่จะทําได้

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็มีเป็นไปได้สูงมาก ที่เคานต์ทโมนาร์ชจะแว้งกลับมากัดนายน้อยของเราอีกครั้ง”

 

“เขาพึ่งล้มเหลวในการลอบสังหารครั้งเดียว แต่ครั้งต่อไปอาจเป็นสงครามแย่งชิงดินแดน”

 

แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทําสงครามอาณาเขตได้ตลอดเวลา

 

ในการประกาศสงครามต้องมีเหตุผลและได้รับอนุญาตจากสภาจักรพรรดิ

 

อย่างไรก็ตาม หากเป็นขุนนางใหญ่เช่นเคานต์โมนาร์ชที่มีรายชื่อติดต่อ ยิ่งผนวกกับความจริงที่เขาเป็นเชื้อราชวงศ์ด้วย พวกเขาก็อาจจะสามารถทําเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ได้

 

“ในเมื่อสงครามนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราก็ไม่ควรที่จะรับผู้ลี้ภัยเพิ่มอีก”

 

ดิกสันพยักหน้าให้กับคําพูดของคนรับใช้คนหนึ่ง

 

“ข้าเห็นด้วย เราต้องใช้เงินเป็นจํานวนมากเพื่อเลี้ยงพวกเขาหลายพันตน แล้วเราจะสามารถใช้จ่ายเงินกับพวกเขาได้ยังไงกัน ในเมื่อเราก็ต้องเตรียมตัวสําหรับทําสงคราม?”

 

เป็นความจริงที่ว่าดินแดนแห่งนี้ต้องการผู้คนมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤตจะมีปัญหาร้ายแรงได้หากพวกเขารับผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนในเวลาที่พวกเขาไม่มีเงินทุนรองรับ

 

“ผู้ลี้ภัยจะกลายเป็นฝูงชนหากไม่ได้รับการแก้ไขความต้องการขั้นพื้นฐาน เราอาจจะล้มละลายก่อนที่จะได้ทําสงครามกับเคานต์โมนาร์ชอีก”

 

เมื่อทุกคนได้ยินคําพูดของดิกสันที่ดูเหมือนจะถูกต้อง ความวิตกกังวลก็เริ่มพุ่งออกมจากใบหน้าของเหล่าคนรับใช้อีกครั้ง

 

“ท่านจะไม่คัดค้านการรับผู้ลี้ภัยหากปัญหาเรื่องเงินได้รับการแก้ไขใช่ไหม”

 

“ แน่นอนว่าเนื่องจากเราต้องการประชากรจํานวนมากขึ้นเพื่อให้ที่ดินอยู่รอด อย่างไรก็ตามเรามีเพียงพอที่จะผ่าน…”

 

ครั้งหนึ่งพวกเขาได้ยินว่าลอร์ดหนุ่มของพวกเขาครอบครองมากกว่า 100,000 เปโซ

 

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาพวกเขาได้รับแจ้งว่าเงินเหล่านี้ถูกนําไปใช้ในการเตรียมการสร้างหอคอยเวทมนตร์และเงินส่วนที่เหลือถูกนําไปใช้เพื่อซื้อกิกันท์ตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว

 

“ข้าหวังว่าเงินที่ถูกใช้ไป จะสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเราได้”

 

“ได้สิ ข้าจะให้ความปรารถนานั้นแก่เจ้าเอง!”

 

ลุคเปิดประตูห้องและเดินเข้าไปราวกับว่าเขากําลังรอให้ดิกสันพูดจบ

 

เขาเดินไปตรงกลางห้อง และก็แกล้งทําของตกตรงหน้าพวกเขา

 

“นั่น…นั่น !”

 

“นั่นมันทองคําไม่ใช่เหรอ”

 

วัตถุทรงสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะส่องแสงเป็นประกาย

 

คนรับใช้ทุกคนต่างมองไปที่วัตถุชิ้นนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

แม้ว่าขนาดของทองคําจะไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะหนักประมาณ 10 กิโลกรัม

 

“ทั้งหมดนี้มาจากไหนกัน”

 

ดิกสันกล่าวพร้อมกัยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

เป็นความรู้ทั่วไปว่าทองคําแท่งขนาดใหญ่นั้นจะพบได้เฉพาะในธนาคารของจักรวรรดิและในห้องใต้ดินของราชวงศ์

 

“มันมาจากไหนไม่สําคัญ ที่สําคัญคือเจ้าสามารถทําตามที่เจ้าพูดไว้ได้จริงหรือเปล่า”

 

“ใช่แน่นอน”

 

“พวกเจ้าก็ด้วยเหรอ”

 

“ใช่แล้ว”

 

คนรับใช้ทั้งหมดพยักหน้า และลุคก็พาพวกเขาไปที่ปราสาทราชาปีศาจ

 

“ นายท่าน ทําไมท่านถึงพาเรามาที่นี่กัน?”

 

“พวกเจ้าจําตอนที่ข้าซื้อวัสดุก่อสร้างจากบริษัทการค้า ฮาเดสเมื่อวันก่อนได้หรือไม่”

 

“ใช่ ท่านคิดว่าปราสาทราชาปีศาจนั้นเก่าเกินไปและคิดจะซ่อมมัน”

 

“ถูกแล้ว ข้ามองไปรอบๆเพื่อดูว่าต้องซ่อมอะไรบ้าง และแล้วข้าก็พบเข้ากับกล่องที่ตกลงมาจากเพดานของปราสาท”

 

” กล่อง?”

 

“ใช่ ข้าก็ไม่รู้ว่าทําไม แต่ข้าเปิดกล่องออกมา ข้าก็พบเข้ากับแท่งทองคําละแท่งเงินจํานวนมากตามที่เจ้าเห็น”

 

“สึก!”

 

เขาไม่แน่ใจว่ากล่องใหญ่แค่ไหน แต่ดูกสันก็คิดว่าต้องมีราคาอย่างน้อยหลายหมื่นเปโซ

 

ทองคําแท่งทาลุคได้แสดงให้พวกเขาเห็นนั้นก็มีมูลค่ามากกว่า 3,000 เปโซแล้ว

 

“นายท่านโปรดแสดงมันออกมาให้หมดเลย”

 

ด้วยการกระตุ้นจากดิกสัน ลุคจึงพาพวกเขาไปหลังปราสาท

 

มันมีกําแพงที่สร้างเสร็จแล้วครึ่งหนึ่งและมีการขุดพื้นด้านล่าง

 

“กล่องอยู่ที่ไหนกัน”

 

“มันซ่อนอยู่ที่นี่”

 

ลุคนํากล่องที่มีขนาดใหญ่และหนักออกมาจากอีกด้านหนึ่ง

 

กล่องโบราณใบนั้น เต็มไปด้วยแท่งทองและแท่งเงินที่ดูเหมือนกับแท่งทองคําที่ลุคแสดงก่อนหน้านี้

 

“โอ้พระเจ้า!”

 

“เจ้าหน้าที่การเงินนี่มันจะมีมูลค่าเท่าไหร่กัน”

 

หนึ่งในคนรับใช้มองเข้าไปในกล่องและสงสัย

 

ดิกสันตอบด้วยเสียงสั่น

 

“ข้าคิดว่ามันจะต้องมีอย่างน้อย 100,000 เปโซ”

 

“ .. 100,000 เปโซ!”

 

แต่ความประหลาดใจของพวกเขายังไม่จบเพียงแค่นั้น

 

ลุคแสยะยิ้มและพูดว่า

 

“มันยังมีอีกสามกล่องที่ถูกฝังอยู่”

 

“ฮิวว!?”

 

300,000 เปโซนั้นเทียบเท่ากับงบประมาณประจําปีของตระกูลรากันต์ 3 ปี และตอนนี้มันกําลังถูกฝังอยู่ใต้ดิน!

 

“ใครจะไปคิดกัน?”

 

“ใครกัน? หรือจะเป็นราชาปีศาจเซย์ม่อนที่เป็นคนฝังสมบัติพวกนี้”

กล่องนั้นมีตราของกองกําลังแห่งความมืดที่ใช้โดยเซย์ม่อนประทับอยู่

 

และกล่องที่มีทองคําและเงินอยู่ในนั้น ก็มีร่องรอยของดินที่ดูเหมือนว่ามันถูกฝังมานานหลายปีพร้อมกับเชื้อราและสนิม

 

บางทีเซย์ม่อนอาจจะฝังมันไว้ให้ตัวเองหรือครอบครัวเพื่อใช้ในภายหลัง

 

อย่างไรก็ตามนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะเขาเสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของรากันต์

 

คนรับใช้ทั้งหมดต่างก็เชื่อคําพูดของลุค

 

จริงๆแล้วแท่งทองและเงินถูกสร้างขึ้นในเวิร์คช็อปเมื่อวันก่อนและกล่องก็เป็นกล่องเก็บตัวอย่างที่อยู่ในเวิร์คช็อปเหมือน

 

แม่พิมพ์ก็ทําโดยใช้ตัวอย่างจากเวิร์คช็อป

 

“เราใช้สิ่งนี้ได้ไหม”

 

“เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชนะจะปล้นผู้แพ้ไม่ใช่หรือ? และจากมุมมองในสถานการณ์แบบนี้ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยึดครอง!”

 

เมื่อได้ยินคําถามของคนรับใช้ ดูกสันก็เริ่มอธิบาย

 

“ท่านคิดอย่างนั้นเหรอ? แต่ถ้ามันมีคําสาปของปีศาจ

ล่ะ?”

 

” หุบปาก! เราจะเอาชนะคําสาปเหล่านั้น! สิ่งที่เราไม่รู้จักจะน่ากลัวสักแค่ไหนกัน!”

 

มีสุภาษิตโบราณว่ากันว่า “ทองคําเปลี่ยนคน”

 

นั่นหมายความว่ามนุษย์จะตกหลุมรักวัตถุอย่างแน่นอนและมันก็เป็นความจริง

 

ดิกสันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังฝ่าตีนใน 1 วินาที

 

ก่อนหน้านี้ รอบตัวของเขานั้นเต็มไปด้วยปัญหามากมาย แต่ตอนนี้เขากลับสามารถยืนหยัดต่อสู้เยี่ยงอย่างนักรบได้เพราะทองคํา

 

“ไม่ใช่แค่ราชาปีศาจเท่านั้น ต่อให้มันเป็นพ่อหรือเป็นปู่ของราชาปีศาจมาทวงคืน ข้าก็จะไม่ยอมมอบมันให้แน่นอน ตอนนี้มันเป็นของพวกเรา มันเป็นของตระกูลรากันต์!!”

 

อึม ผู้ชายคนนี้ก็มีด้านที่โหดร้ายเหมือนกัน!”

 

พ่อมดซึ่งเดิมถูกเรียกว่าปีศาจ ตอนนี้กลับได้รับความชื่นชมจากดิกสัน

 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการค้นพบเงินทุนทางทหารที่ถูกซ่อนไว้ โดยราชาปีศาจในอดีตทําให้พวกเขาสามารถยอมรับผู้ลี้ภัยได้แล้ว

 

และแม้ว่าลุคจะไม่ขอร้องพวกเขา แต่เหล่าคนรับใช้ก็ยอม

รับ

 

แน่นอนว่าแผนเริ่มจะสอดคล้องกับสิ่งที่เขาคุยไว้กับเรย์น่ามากขึ้นแล้ว…

บทที่ 50 พบกันใหม่ (4)

 

โว่ง!

 

ตรงพื้นที่ที่บิดเบี้ยว มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวจากที่นั่น 

 

พ่อมดที่สวมเสื้อคลุมสีน้ําตาลฝังดอกลิลลี่ เขาดูภาคภูมิใจมากเมื่อเห็นหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสสาขาแบรนดอน 

 

“เป็นเวลานานมากแล้วสินะที่ข้ามาที่นี่”

 

ความทรงจําเก่าๆที่เขาสร้างขึ้นเมื่อทศวรรษที่แล้ว เริ่มผุดเข้ามาในความคิดของเขา

 

“เจ้า เจ้าเป็นใคร!”

 

“เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน !?”

 

เมื่อรู้สึกถึงการไหลเวียนของมานาอย่างกะทันหัน เหล่าพอมดจึงนําทหารรับจ้างตรงมาที่ใจกลางสวนของสาขา 

 

พวกเขารู้สึกได้ว่ามีคนบุกเข้ามาในสาขาของพวกเขา และจะพยายามวางเพลิงอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาประหลาดใจที่เห็นเสื้อผ้าที่ผู้บุกรุกใส่

 

“สัญลักษณ์ดอกลิลลี่? และยังมีถึง 7.”

 

“ผะ

 

ผู้อาวุโส!”

 

ทุกคนรีบวางอาวุธลงอย่างเร่งรีบ

 

เสื้อคลุมลายดอกลิลลี่เจ็ดดอก มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสเจ็ดซึ่งเป็นผู้มีอํานาจสูงสุดรองจาก ผู้นําของหอคอย และรองผู้นํา ในหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

 

“ชื่อของข้าคือ ปิแอร์ ออร์ทรานด์ ข้าเป็นสมาชิกของสภาและข้ามาที่นี่เพื่อพบกับผู้จัดการสาขา”

 

ในไม่ช้าพวกพ่อมดของสาขาก็พาเขาไปยังอาคารที่สวยงามซึ่งอยู่ตรงกลางของสาขา

 

โอ้พระเจ้าช่วย นั่นมันปิแอร์ ออร์ทรานด์!”

 

“พวกเราตายแน่!”

 

ปิแอร์คือหนึ่งในผู้อาวุโสในสภาเป็นผู้ดูแลหอคอยเวทมนตร์

 

และเมื่อเขามาเยี่ยมชมโดยไม่ได้นัดหมายอะไร นั่นก็หมายถึงชะตาชีวิตของพวกเขาได้ขาดแล้ว

 

มันไม่เคยมีสาขาไหนที่สามารถทนได้จนถึงจบ

 

“เป็นเพราะการลอบวางเพลิงงั้นหรอ? แต่เรายังไม่ได้รายงานไปที่สํานักงานใหญ่เลยนี่ เขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

 

“นี่มันแย่จริงๆ ผู้จัดการสาขาก็คงจะรู้สึกแย่เหมือนกัน….

 

หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพวกเขาก็มาถึงหน้าห้องของผู้จัดการสาขาและพ่อมดที่นําทางมาก็พูดว่า

 

“ที่นี่แหละครับ ท่านผู้อาวุโส”

 

เมื่อปิแอร์เปิดประตู กลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรงก็ปะทะเข้ากับจมูกของเขา

 

ขณะที่ปิแอร์บีบจมูก ชายที่กําลังเมาอยู่ก็ตะโกนว่า

 

“อาราย? เมิงเป็นครายวะ?” ”

 

ชายที่กําลังเมาคนนั้นก็คือเจมสันผู้จัดการสาขาซึ่งไม่รู้ว่าผู้ อาวุโสได้มาถึงสาขาของตนแล้ว

 

ไม่ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับปิแอร์ เขาก็คงทําเช่นเดียวกัน 

 

แรงจูงใจทั้งหมดของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้น หลังจากสูญเสียเครื่องมือในการแก้แค้นอัลเบิร์ตและหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทส

 

ปิแอร์มองไปที่เจมสัน จากนั้นก็หันไปยังพ่อมดที่พาเขามาและพูดว่า

 

“ไปให้พ้น อย่าให้ใครเข้ามาในห้องนี้”

 

“อ๊ะ รับทราบ

 

พ่อมดเหล่านั้นไม่มีเจตนาที่จะขัดขืนคําสั่งของผู้อาวุโสและรีบออกไปจากสถานที่นั้นในทันที

 

เมื่อในห้องเหลือแค่พวกเขาสองคน ปิแอร์ก็ล็อคประตูและเข้าไปหาเจมสัน

 

เขาพูดกับเจมสันที่เอาแต่ดื่ม

 

“เกิดอะไรขึ้นกับพิมพ์เขียวแอทลาส?”

 

“อะไร? เอ่อเจ้า .. !”

 

ในช่วงเวลาหนึ่งแอลกอฮอล์ทั้งหมดที่เจมสันดื่มก็ดูเหมือนจะถูกล้างออกไป เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสพูด

 

เขาลุกลี้ลุกลนจนตกจากเก้าอี้และพยายามจะกลับขึ้นมา 

 

ปิแอร์กล่าวขณะมองไปที่เขาด้วยความเยาะเย้ยบนใบหน้าของเขา

 

“เจ้าไม่รู้สินะว่าข้าเป็นคนคุมเรื่องนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าคุยกับใครไปบ้างถึงเรื่องพิมพ์เขียว ข้าก็แค่อยากจะยืนดูเฉยๆว่ามันมีพวกหนอนบ่อนไส้สักแค่ไหน”

 

และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้จัดการฆ่าหนอนบ่อนไส้จนครบทุกตัว เว้นก็แต่เจมสันจากสาขาแบรนดอน

 

“เอาล่ะ พิมพ์เขียวอยู่ไหน”

 

“ใคร เมิงเป็นใคร”

 

เมื่อได้ยินคําถามจากเจมสัน ปิแอร์ก็ค่อนข้างอารมณ์เสีย

 

“เจ้ากําลังพูดถึงอะไร”

 

“ข้าก็คือผู้อาวุโสปิแอร์ไงล่ะ หึๆถึงคลื่นเวทย์มนตร์ของเขาจะเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่ทิ้งตึงเหมือนของเจ้า”

 

ปิแอร์หรือชายที่มีรูปร่างหน้าตานั้นยิ้ม

 

“เจ้าอาจเป็นอัจฉริยะในสมัยของอัลเบิร์ต แต่ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ใช่แล้ว”

 

“เมิงว่าไงอะไรนะ”

 

มันไม่เคยมีใครที่กล้าจะพูดชื่อของอัลเบิร์ตโดยไม่ให้เกียรติ

เจมสันเริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเขา อย่างไรก็ตามความกลัวเริ่มทําให้ร่างกายของเขาแข็งที่อ

 

“ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะไม่พูดกับข้า งั้นเจ้าก็เป็นคนบังคับให้ข้าต้องมองหามันเองนะ”

 

“อึก!”

 

ทันใดนั้นใบหน้าของปิแอร์ก็หายไปและกะโหลกศีรษะที่เปล่งประกายก็ปรากฏขึ้นแทน

 

ละลิช?”

 

เมื่อเจมสันกําลังจะถอยหนี เขาก็ถูกลากเข้าไปหามือของลิ

 

เขาพยายามจะตอบโต้กลับโดยใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แต่ลิชนนั้นมีอํานาจเหนือกว่า ในที่สุดเจมสันจึงถูกบังคับให้คุกเข่าลงใกล้ๆกับลิช

 

“อ้ากก!”

 

เมื่อพลังงานสีดําพุ่งออกมาจากมือของลิช เจมสันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน 

 

ราวกับว่ามีเข็มนับร้อยนับพันแทงทะลุศีรษะของเขา ความเจ็บปวดที่คมเหมือนมีดกําลังพยายามที่จะตัดศีรษะของเขาให้เปิดออก

 

ไม่ว่าความเจ็บปวดนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม ลิชก็พยายามเข้าไปในความทรงจําของเจมสันด้วยเวทมนตร์แห่งความมืดและเขาก็ได้พบบางสิ่ง

 

“ไม่! นั่นคือกระสุนแห่งความมืด”

 

ลิชนั้นรู้จักกับเวทมนตร์ที่ผู้บุกรุกใช้กับเจมสัน

 

แม้ว่ามันจะแตกต่างกันในเรื่องของสี แต่มันก็เป็นกระสุนแห่งความมืดแน่นอน

 

“ผู้บุกรุกเป็นพ่อมดอย่างนั้นหรอ?”

 

แม้ว่าเขาจะอยากรู้มากกว่านี้ แต่ความทรงจําของเจมสันก็จบลงที่นั่น

 

หลังจากนั้นไม่นาน ลิชก็เห็นภาพห้องสมุดถูกไฟไหม้จากด้านใน แต่มันก็ยังไม่ทราบที่อยู่ของพิมพ์เขียว

 

ลิชจึงได้พิจาณาอย่างแน่วแน่ว่าผู้บุกรุกได้นําเอาพิมพ์เขียวไป เพราะมันไม่มีทางที่ใครจะทิ้งของล้ําค่าเช่นนี้ให้ถูกเผาอยู่ในกองไฟ

 

“มันคือพวกดาร์มูนของสาธารณรัฐโวลก้าใช่หรือไม่?พวกเขาเป็นพวกเดียวที่มีเวทมนตร์แบบนี้นอกเหนือจากข้า…

 

ลิชนั้นรู้ความลับมากมายที่ยังไม่มีใครโลกรู้

 

หนึ่งในนั้นคือหอคอยแห่งความมืด ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทแห่งสาธารณรัฐโวลก้า

 

มันมีไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่รู้ว่าดาร์คมุนนั้นเป็นกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับการก่อตั้งและกิจการของสาธารณ

 

และหากไม่ใช่เพราะดาร์คมูน สาธารณรัฐโวลก้าก็คงจะถูกทําลายไปนานแล้ว

 

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเข่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ความลับของกันและกัน เพราะฉะนั้นพวกทั้งคู่จึงเลือกที่จะไม่พูดมันออกมาและสั่งให้ตยของพวกเขาที่รู้เรื่องนี้ห้ามพูดถึงมัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะถูกจับไปขัง

 

นอกจากนี้การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองยังเป็นผลดีสําหรับหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสอีกด้วย

 

ดังนั้นมันจึงไม่จําเป็นต้องทําลายฝ่ายตรงข้าม …

 

“การพยายามเอียงเครื่องชั่งไปด้านใดด้านหนึ่งนั้นไม่ดีเลยมันน่ารําคาญ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะต้องขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปรับพิมพ์เขียวซะหน่อยแล้ว”

 

ลิชตัดสินใจที่จะปลดปล่อยเจมสัน

 

แน่นอนว่างานยังไม่เสร็จ แต่หัวของเขาเต็มไปด้วยเวทมนตร์แห่งความมืด

 

นั่นหมายความว่ามันจะช่วยให้ลิชสามารถควบคุมเขาได้เขาจะได้เห็นได้ยินทุกอย่างที่เจมสันทํา

 

“มาดูกันว่าผู้ชายคนนี้พยายามติดต่อใครในหกอคอยอีกบ้าง และใครอีกที่กําลังมองหาเทคโนโลยีล่าสุดในหอคอยของ

เรา”

 

“อื้อหือ…เกิดอะไรขึ้น?”

 

“สบายดีไหมผู้จัดการ”

 

“ผู้อาวุโสปิแอร์?”

 

แตกต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้เจมสันเชื่อว่าลิชคือปิแอร์

 

เพราะหนอนในหัวของเขาทําให้มันดูเป็นอย่างนั้น

 

“เจ้าต้องทํางานด้วยตัวเองมากขนาดนี้เพราะห้องสมุดถูกไฟไหม้อย่างนั้นหรอ? จงทํางานหนักและเข้มแข็งต่อไป” 

 

“เอ่อ ข้าขอโทษ”

 

หลังจากเสร็จธุระกับเจมสัน ลิชก็ออกจากแบรนดอนและมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อไปยังสาธารณรัฐโวลก้าเพื่อกู้คืนพิมพ์เขียวของกิกันท์คลาสฮีโร่รุ่นล่าสุด

 

ลิขมุ่งหน้าต่อไปโดยที่ไม่หยุดคิดซักวินาทีเดียว ว่าเขากําลังเดินไปผิดทาง

บทที่ 49 พบกันใหม่ (3)

 

วันนั้นลุคและพรรคพวกก็ไม่ได้ออกจากแบรนดอน

 

ลุคกลับเข้าไปในโรงแรม และเริ่มคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่คุยกับเจ้าหญิงเรย์น่า

 

“ท่านไม่สนใจตัวเอง เพราะท่านต้องการช่วยเหลือผู้คนของท่านมากกว่าอย่างนั้นหรอ”

 

ลุคจ้องมองไปที่รูปปั้นตรงจัตุรัสผ่านหน้าต่างของห้องพัก

 

นักบุญแบรนดอนที่มาหาเขาเมื่อ 500 ปีก่อน ก็เคยพูดคําเดียวกันกับเรย์น่า

 

ลุคดูค่อนข้างอารมณ์เสียเมื่อจ้องมองไปที่รูปปั้น โรเจอร์ส พร้อมกับฟิลิปกฌพยายามอย่างหนักที่จะเกลี้ยกล่อมเขา

 

“นายท่าน ท่านไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก ท่านต้องปฏิเสธไป”

 

“ใช่ ข้าเองก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องของเจ้าหญิงเรย์น่า แต่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเราอาจจะต้องต่อสู้กับไอ้หมูตอนนั่นเลยนะ”

 

ทั้งสองนั้นเข้าใจถึงปัญหาที่เจ้าหญิงเรย์น่ากําลังเผชิญดี

 

แต่พวกเขาจะไม่ทําสงครามกับเคานต์โมนาร์ชเพื่อพวกเธอแน่นอน

 

นั่นก็เพราะพวกเขาเองก็มีคนของตัวเองต้องปกป้อง

 

“เราจะต้องทําสงครามอย่างนั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วนายท่าน โปรดเลือกอย่างชาญฉลาดด้วย”

 

ลุคตัดสินใจในที่สุด สายตาของเขามองย้อนกลับไปมันเป็นการตัดสินใจที่ยากลําบากของเขา และเป็นการตัดสินใจที่เขาไม่สามารถย้อนกลับได้

 

“เราจะรับเจ้าหญิงและผู้ลี้ภัย”

 

“โอ้พระเจ้า!”

 

“ท่าน ท่านจะทําแบบนี้ไม่ได้”

 

ในการตัดสินใจของลุค ฟิลิปและโรเจอร์สต่างก็พยายามอย่างหนักที่จะเปลี่ยนความคิดของเขา

 

อย่างไรก็ตามหัวใจของลุคไม่เปลี่ยนแปลง

 

เป็นเพราะเรย์น่านั้นทําให้เขานึกถึงคาธาริน่ารึเปล่านะ?

 

จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขามากเท่าไหร่แต่เหตุผลที่สําคัญประการหนึ่งที่ทําให้เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เป็นเพราะ…

 

ย้อนไปเมื่อ 500 ปีก่อน นักบุญแบรนดอนคุกเข่าต่อหน้าเขาและขอร้องให้เขาช่วยชีวิตผู้คนและขอให้เขานําเอากองทัพแห่งความมืดกลับไป

 

ลุคลืมไปชั่วขณะ แต่ในเวลาต่อมาเขาจําขึ้นได้ว่าแบรนดอนนี่เองที่เป็นคนที่ช่วยชีวิตเขา ตอนที่วงเวทย์ของเขาถูกทําลาย

 

หลังจากที่เขาได้รับการรักษาเขาก็ยังอยู่ที่นั่นต่อ

 

มันมีครั้งหนึ่งที่ทหารรัจ้างของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสนั้นมาเพื่อตามล่าเซย์ม่อน

 

“ท่านนักบุญ ท่านไม่อยากสู้กับเราหรอก”

 

“ข้าจะสู้ให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะทําได้”

 

” ท่านพูดอะไรนะ? ท่านคงจะบ้าไปแล้ว!”

 

“ชายคนนี้ขอให้ข้าช่วยเขา และข้าก็เลือกจะช่วยชายคนนี้ เพราะฉะนั้นข้าจะช่วยชายคนนี้จนถึงที่สุด!”

 

แบรนดอนนั้นไม่ได้มีการเรียกขานนามของพระเจ้าหรือหลักการความคิดอะไร

 

เขาระบุเพียงว่าผู้คนไม่จําเป็นต้องมีเหตุผลในการช่วยเหลือผู้อื่น

 

ลุคเองก็ไม่เข้าใจความเชื่อที่ดื้อรั้นของเขา

 

ท้ายที่สุด สิ่งที่สําคัญก็คือเซย์ม่อนสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นเดียวกัน

 

และ…

 

“ถ้าผู้คนให้ความสําคัญกับคนอื่นๆมากพอ พวกเขาก็จะไม่ต้องการเหตุผลในการช่วยชีวิตหรือช่วยเหลือผู้คน พวกเขาจะไม่เลือกปฏิบัติหรือปล่อยให้ใครตาย”

 

อย่างไรก็ตามโลกนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

ลุคถูกเลือกปฏิบัติ และคาธารีน่าก็เลือกที่จะตายเพื่อรักษาพรหมจรรย์ของเธอ

 

ลุคพยายามทําลายความไม่ยุติธรรมของโลก

 

เขาสาบานว่าจะกําจัดสัตว์ร้ายที่สิงสถิตอยู่ในหัวใจของเขาและมนุษย์คนอื่นๆ

 

“นั่นคือสาเหตุที่ข้ายอมทําสงครามกับสัตว์ร้ายเหล่านั้น…และดูเหมือนข้าเองก็จะลืมเรื่องนั้นไปแล้ว”

 

ในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา เขาติดอยู่ในสถานล้างบาปเพียงเพนสะความไร้เดียงสาของรากันต์ ตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นั่นนั้นมันทําให้เขาหลงลืมอุดมการณ์ไปและหลงเหลือเพียงแต่ความแค้นและความเกลียดชังเท่านั้น

 

เขาเก็บความเกลียดชังไว้ในใจและละเลยสิ่งที่มีค่าสําหรับเขา

 

“ขอบคุณแบรนดอน ต้องขอขอบคุณการได้พบท่านอีกครั้งที่ทําให้ข้าสามารถตัดสินใจได้ในที่สุด”

 

ลุคขอบคุณนักบุญที่จากไปเมื่อนานมาแล้ว

 

ในระหว่างนั้นการชักชวนของอัศวินทั้งสองก็ยังคงดําเนินต่อไป

 

“นายท่าน โปรดคิดถึงอนาคตด้วย!”

 

“ท่านแม่ทัพพูดถูก หลังจากการต่อสู้ไม่กี่ปี…”

 

ทันใดนั้นลุคก็ตะโกนใส่อัศวินทั้งสอง

 

” หยุด! พวกเจ้าคือดาบที่มีไว้เพื่อปกป้องรากันต์ แล้วเจ้าจะให้ข้าทําอย่างไรเมื่ออัศวินของข้าเอาแต่มุดหัวหนีเมื่อเกิดสงคราม?”

 

“แต่พลังของเรานั้นต่างกันเก….”

 

“เงียบซะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อัศวินของรากันต์ต่อสู้โดยคํานึงถึงแต่พลัง! ถ้าพวกเจ้าจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรม พวกเจ้าก็ควรกล้าที่จะกระโดดลงไปในน้ำเดือดหรือแม้กระทั่งในรังมังกร!”

 

“แต่กระนั้น…”

 

“มันไม่ควรมีเหตุผลในการช่วยเหลือผู้อื่น! หากเจ้ายอมจํานนต่อความชั่วร้ายเหล่านั้น เจ้าจะยังกล้าเรียกตัวเองว่ามนุษย์อีกอย่างนั้นหรอ!”

 

เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้นจากลุค โรเจอร์สก็ตกใจ

 

ความเชื่อดั้งเดิมที่เขาได้หลงลืมไปชั่วขณะ ได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

 

ฟิลิปยังคงพยายามโน้มน้าวเขาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามตอนนี้โรเจอร์สได้รับคําสั่งของลุคอย่างเป็นทางการแล้ว

 

“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนท่าน นายน้อย!”

 

” ท่านแม่ทัพ!”

 

ขณะที่ฟิลิปสะดุ้งตกใจโรเจอร์สก็ยิ้มขึ้นมา

 

“สงครามยังไม่ได้รับการยืนยันด้วยซ้ำ และพวกเราอัศวินต้องอาศัยอยู่บนพรมแดนแห่งความตาย หากนั่นเป็นความประสงค์ของพระเจ้า เราก็จะต่อสู้อย่างหนักเพื่อชนะ”

 

“โอ้ไม่ ท่านพูดถูก…”

 

ในที่สุดฟิลิปก็ยอมรับการตัดสินใจของลุค

 

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ชอบเจ้าหญิงเรย์น่าและผู้ลี้ภัยที่น่าสงสารที่ถูกพาเข้ามา

 

ลุคเดินไปหาเรย์น่าและพรรคพวกของเธอและแบ่งปันความตั้งใจของเขา

 

“ท่านลอร์ด ข้าขอขอบคุณอย่างมาก”

 

“ข้าจะไม่ลืมพระคุณนี้ไปจนวันตาย”

 

“ไม่เป็นไร มีวิธีใดบ้างที่จะนําผู้ลี้ภัยจํานวนหนึ่งหมื่นคนมายังดินแดนของเรา”

 

เห็นได้ชัดว่าเคานต์โมนาร์ชจะไม่ยอมหยุดอยู่เฉยๆแน่

 

และแม้ว่าเขาจะยอมหยุด แต่พวกเขาก็ยังติดปัญหาในการเคลื่อนย้ายผู้คนเหล่านี้อยู่ดี

 

“นั่นนั่น”

 

วิคเตอร์และพาเวลเกาแก้มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ

 

พวกเขาขอความช่วยเหลือด้วยใจที่แน่วแน่ แต่พวกเขาไม่มีแผนว่าจะต้องทําอะไรในภายหลัง

 

อย่างไรก็ตามเรย์น่าก็ดูเหมือนจะคิดแผนไม่เหมือนสอง คนนั้น

 

เธอขอกระดาษหนึ่งแผ่นและเริ่มจดบันทึกแผนคร่าวๆ

 

“ข้าวางแผนที่จะย้ายคนที่เคลื่อนไหวลําบากที่สุดก่อน ข้าจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ใกล้ริมแม่น้ำโดยการวางไว้บนแพที่ทําไว้ล่วงหน้า แม้ว่าเรือจะไม่สามารถเดินทางทางน้ำได้ แต่แพนั้นน่าจะสามารถใช้ได้อยู่”

 

เธออธิบายเกี่ยวกับการต่อแพของผู้คน จากนั้นก็ลากขึ้นฝั่งโดยใช้ม้าหรือรถพ่วงก็เพียงพอแล้วสําหรับการไปยังดินแดนของรากันต์

 

“อืมมันเป็นแผนที่ดีนะ แต่ที่เหลือล่ะ”

 

ด้วยผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนขนาดนี้ มันจึงไม่สามารถจะเดินทางไปได้หมดในคราวเดียว

 

และวิธีที่ดีที่สุดในการหลบหนีคือตอนกลางคืน

 

“ข้าคิดเกี่ยวกับการใช้เส้นทางผู้แสวงบุญจากโบสถ์เอลคาสเซิล แต่มันจะไม่มีประโยชน์หากเคานต์โมนาร์ชเข้ามาขัดขวาง ดังนั้นข้ารู้สึกว่ามันต้องเป็นเส้นทางที่เป็นเหมือนกับทางเข้าและออก”

 

โชคดีที่สลัมที่ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่นั้นอยู่บนกําแพงด้านนอกโดยรอบลาเมอร์

 

สิ่งที่พวกเขาต้องทําก็คือการหลบหนีออกไปในตอนกลางคืน

 

ทันทีที่พวกเขาขึ้นแพ พวกมันก็จะไม่สามารถวิ่งไล่ตามพวกเขาได้

 

ลุคพยักหน้าตามแผนของเรย์น่า

 

ในระหว่างนี้เขาสังเกตเห็นข้อเสียเปรียบที่ร้ายแรงของแผน

 

“แต่ไม่ใช่ว่าแผนนี้ยังต้องการเงินทุนในการสร้างแพอย่างนั้นหรอ?”

 

“เงิน…”

 

ในตอนแรกเจ้าหญิงเรย์น่าคิดจะเสนอแผนนี้กับมาร์ควิสเมร์เยอร์และจพได้สามารถขอเงินทุนจากเขาได้เลย

 

“ข้ายังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง หลังจากซื้อกิกันท์”

 

ลุคมอบเงิน 3,000 เปโซที่เหลืออยู่ให้กับเจ้าหญิงเรย์น่า

 

นั่นคือเงินที่เหลืออยู่จาก 210,000 เปโซที่เขาได้รับมาจากการเดิมพัน

 

“ขอบคุณท่านมาก ข้าควรจะตอบแทนพระคุณในครั้งนี้อย่างไรดี…”

 

ดวงตาของเรย์น่าตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา

 

เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าลุคจะช่วยเธออย่างกระตือรือร้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาช่วยเธอมามากกว่า 2 แล้วด้วย

 

“เจ้าหญิงเป็นหัวหน้าของผู้ลี้ภัย โปรดอย่าร้องไห้ แต่จงนําทางพวกเขาอย่างปลอดภัย”

 

ลุคเช็ดน้ำตาของเธอขณะกล่าว

 

การกระทํานั้น ทําให้เรย์น่าหน้าแดงและก้มหน้าไป

 

“ข้าจะจําเอาไว้”

 

เรย์น่าซึ่งได้รับกําลังใจจากลุค ลูบแก้มของเธอเบาๆอย่างมีชีวิตชีวาและมัดผมที่ไหลลงมา

 

ฟิ้ว!

 

“ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกนั้นแน่นอน!”

 

ลุคตกใจมากเมื่อเขามองดูเธอ

 

ในขณะที่เรย์น่ากําลังมัดผมของเธอ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติอันมหาศาลจากเธอ

 

พลังงานได้ครอบงําลุคไปชั่วขณะ และจู่ๆมันก็หายไปราวกับสายลม

 

นั้นก็คือ..

 

“ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”

 

“ฮะ? เมื่อกี้ท่านพูดอะไร”

 

“อ่าไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าท่านเป็นอะไรไป…”

 

ลุคที่มึนงง ก็พึมพําคําตอบออกไป เมื่อเรย์น่าถามเขา 

 

หญิงงามที่รู้จักกันในนามเจ้าหญิงแห่งการข่มเหงดูเหมือนจะมีความลับที่ซ่อนอยู่ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้เช่นกัน

 

ลุคไม่รู้ว่านั่นคืออะไร

 

อย่างไรก็ตามเขารู้ว่ามันไม่ใช่อะไรปกติแน่นอน

 

“ข้าอาจจะรู้ว่ามันคืออะไรเมื่อเวลาผ่านไป แต่ตอนนี้ข้าต้องขนย้ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก่อน”

 

ก่อนอื่นเขาต้องจัดการกับสิ่งเร่งด่วนเป็นอย่างแรก

 

ลุคและผู้คนทั้งหมดเริ่มพูดคุยและพัฒนารายละเอียดของแผนการสําหรับการอพยพ

ดู HENTAI ได้ที่ hanimeza.com

 

บทที่ 48 พบกันใหม่ (2)

 

“เรามีคนไข้ เรียกหมอเร็ว!”

 

เมื่อลุคมาถึงคลินิก เขาก็หาหมอและวางเรย์นาลงบนเตียงในห้องพยาบาล

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หมอก็ปรากฏตัวขึ้นและดูคนไข้อย่างใกล้ชิด

 

“อาการนี้เกิดจากความเหนื่อยล้าสะสมนะ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัดด้วย หากเธอได้รับน้ําและนอนพักฟื้นอยู่ในที่ร่มสักระยะ เดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

 

ลุคและคนรับใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

เมื่อเธอจิบน้ําเรย์น่าก็ฟื้นขึ้น

 

“ที่นี่ที่ไหน?”

 

“เราอยู่ในคลินิกใกล้จัตุรัส พอดีท่านลอร์ดลุคเขา…อา! ไม่ได้นะเจ้าหญิง ท่านต้องพักผ่อนเดี๋ยวนี้!”

 

เมื่อเรย์น่าพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง พาเวลก็ขอให้เธอนอนพักเหมือนเดิม

 

“ข้าทําไม่ได้ ถ้าข้าไม่พบกับมาร์ควิสเมย์เยอร์และขอความช่วยเหลือ…”

 

“ไม่ว่าจะการเข้าพบมาร์ควิสหรือกอธิษฐาน ข้าก็เกรงว่าร่างกายของท่านในตอนนี้จะไม่มีทางทํามันได้หรอก”

 

ลุคตัดคําพูดของเธออย่างเฉียบขาดและหนักแน่น

 

ด้วยคําพูดที่บาดหูเหล่านั้น เรย์น่าจึงยอมทิ้งความดื้อรั้นและพักผ่อนแต่โดยดี

 

“ท่านฟิลิป เจ้ารีบไปหาอะไรให้เจ้าหญิงกินเถอะ เธอจะได้ไม่ต้องลําบากมากนัก

 

“ครับนายท่าน”

 

ตามคําสั่งของลุค ฟิลิปก็รีบออกไปในทันที

 

หลังจากนั้นไม่นาน ฟิลิปก็กลับมาพร้อมกับซื้อซุปที่มีเห็ดและเนื้อที่มาจากร้านอาหารใกล้ๆ

 

ในขณะที่พาเวลกําลังตักซุปให้เรย์น่า ลุคกับวิคเตอร์ก็ออกไปจากคลินิกเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าหญิงจึงคุกเข่าอยู่หน้าคฤหาสน์ของมาร์ควิสเมร์เยอร์เหมือนกับคนได้รับอาหารเหลือกัน!”

 

ขณะที่ลุคถามด้วยความโกรธเล็กน้อยวิคเตอร์ก็ถอนหายใจ

 

“เห้อ! ตามสัตย์จริงแล้ว…”

 

วิคเตอร์พูดคุยเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่สนามประลองกิกันท์

 

เคานต์โมนาร์ชได้เก็บเพิ่มภาษีกับผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าถึงสองเท่า ละเพื่อจุดประสงค์ในการร้องขอความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ลอบวางเพลิงที่สลัมเจ้าหญิงจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากขุนนางชนชั้นสูง

 

“แต่ไอ้เจ้ามาร์ควิสเมย์เยอร์ที่ขี้ขลาดนั่น มันก็ไม่ได้ยอมให้เจ้าหญิงเข้าพบด้วยซ้ํา แม้ว่าเจ้าหญิงจะอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าแต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะเปิดประตู

 

วิคเตอร์บอกลุคถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น

 

“บางทีการเจอเธอตอนนี้อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสําหรับเขา”

 

ลุคสามารถเข้าใจสิ่งที่มาร์ควิสกําลังเผชิญอยู่

 

เรย์น่านั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในลาเมอร์ แต่ในฐานะที่เธอเป็นเจ้าหญิงของประเทศอื่น มันจึงไม่ค่อยมีใครที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ

 

หากเขาเลือกที่จะพบเธอ มันก็จะยิ่งทําให้ความสัมพันธ์ของเขากับเคานต์โมนาร์ชมีแต่แย่ลงเท่านั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นหากเขายังปะทะเข้ากับเคานต์โมนาร์ชที่มีสายเลือดของราชวงศ์อยู่ด้วยแล้วละก็ ทางราชวงศ์เองก็อาจจะทําในสิ่งที่เหลือเชื่อก็เป็นได้

 

แม้ความคิดของลุคจะไม่ได้แม่นยํามากนัก แต่มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก

 

นั่นก็เหมือนกับมาร์ควิสเมเยอร์สที่กังวลกับผู้ลี้ภัยชาวโวลก้าที่กําลังเร่ร่อนไปทั่วจักรวรรดิ

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องตัดสินอย่างเยือกเย็นในฐานะหนึ่งในสามขุนนางที่มีสถานะสูง

 

อํานาจของการเป็นขุนนางนั้นยังไม่เพียงพอที่จะใช้เพื่อต่อกรกับจักรพรรดิและมันจะยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก หากอาณาจักรใกล้เคียงให้ความช่วยเหลทือกบทางจักรวรรดิ

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาก้าวผิดแม้แต่ก้าวเดียว เขาก็จะไม่ สามารถถอยออกมาได้อีก

 

นั่นเป็นสาเหตุที่เขาไม่ยอมปล่อยให้เรย์น่าเข้าไปในคฤหาสน์

 

“เจ้าหญิงยืนกรานที่จะสวดอ้อนวอนที่หน้าประตูจนกว่ามาร์ ควิสจะมาพบที่นี่เธออยู่ที่นั่นโดยไม่ได้จิบน้ําหรือรับประทานอะไร เป็นเวลาสามวัน”

 

“มันขนาดนั้นเลยหรอ”

 

“มันคือเรื่องจริง…แต่ชายชราแบบข้าก็ไม่สามารถทําอะไรได้

เลย!”

 

วิคเตอร์ทุบหน้าอกของเขาด้วยความหงุดหงิด

 

ลุคเข้าใจความรู้สึกของอัศวินชราที่กําลังหลั่งน้ําตา

 

เขายังรู้ดีถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถทําบางสิ่งเพื่อคนที่รักได้

“ยังไงก็ท่านลอร์ด ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”

 

วิคเตอร์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก

 

ลุคพูดความจริงออกไป เพราะมันไม่ได้เป็นความลับขนาดใหญ่ที่จะต้องเก็บ

 

“ข้ากําลังจะกลับแล้ว หลังจากการซื้อกิกันท์เสร็จ”

 

“อา! แล้วรถพ่วงข้างนอก…?”

 

“ใช่แล้ว นั่นคือกกันท์ที่ข้าซื้อมาจากหอคอยเวทมนตร์ฮาริส”

 

เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น ตาของวิคเตอร์ก็เบิกกว้างราวกับว่าเขาประหลาดใจ

 

“ข้าได้ยินมาว่าท่านกําลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบากไม่ใช่หรอ?”

 

เป็นความจริงที่ทราบกันดีว่ารากันต์ผู้กล้าหาญนั้นใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติแต่สุดท้ายก็จบลงอย่างไร้เกียรติ

 

จากสิ่งที่วิคเตอร์รู้ แค่เขาบอกว่าเช่ากิกันท์มามันก็น่าเหลือเชื่อแล้ว

 

แต่นี่เขากลับบอกว่าซื้อมาแล้ว?

 

“ทุกวันนี้ทรันย์สินของเขาพัฒนาขึ้นแล้วหรอ หรือข้าตกข่าวอะไรไป?”

 

ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ลุคก็ได้ช่วยเรย์น่าไปถึงสองครั้งแล้ว

 

เมื่อทุกคนคิดว่าหดหนทางแล้ว เขาก็มักจะยื่นมือเข้ามาและช่วยเธอทันที่แทนที่จะหันหลังให้เธอ

 

“บางทีชายหนุ่มคนนี้อาจเป็นผู้ช่วยชีวิตคนเดียวของเราก็ได้”

 

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ววิกเตอร์ก็คุกเข่าต่อหน้าลุค

“ท่านเจ้า ข้าชายชราผู้นี้มีความกรุณาอย่างหนึ่งที่อยากจะขอจากท่าน”

 

“ได้โปรด ท่านกําลังทําอะไรน่ะ”

 

ลุคประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยายามจะบอกให้วิกเตอร์ลุกขึ้น แต่วิคเตอร์ก็ส่ายหัวและนอนอยู่บนพื้น

 

“โปรดยอมรับเจ้าหญิงผู้น่าสงสารและผู้ลี้ภัยของเราด้วยเถิด! อย่างที่ทราบกันดีว่าถ้าท่านไม่ช่วยเรา เจ้าหญิงจะต้องกลายเป็น นางบําเรอของไอ้เคานต์เหี้ยนั่น! ได้โปรด…!”

 

ลุคไม่สามารถซ่อนความเร่าร้อนของเขาได้

 

เขารู้ดีถึงความภักดีของชายคนนี้และขนาดของที่ดินก็ใหญ่

 

แต่เคานต์โมนาร์ชจะปล่อยนางไปจริงๆหรอ?

 

ในกรณีที่เลววร้ายที่สุด พวกเขาอาจต้องทําสงครามกัน

 

“แม้ว่าวันหนึ่งข้าจะต้องไปฆ่าไอ้โมนาร์ชอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กําลังของรากันต์เราก็ยังมีน้อยอยู่”

 

นั่นคือสถานการณ์ที่ชัดเจนที่พวกเขาอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ร่างของเซย์ม่อนก็ปรากฏขึ้นในห่วงความคิดของเขาแล้วถามว่า

 

“เจ้าต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่”

 

โศกนาฏกรรมของการสูญเสียหญิงอันเป็นที่รักไปในเงื้อมมือของผู้มีอํานาจมากกว่า?

 

เขายังคงไม่ลืมมัน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานกว่า 500 ปีแล้วก็ตาม

แต

“เธอไม่ใช่คาธารีน่า”

 

แม้จะเหมือนกันแต่เธอก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน

 

และด้วยเหตุนี้การแก้แค้นจึงเป็นไปไม่ได้

 

“ข้าเสียใจ แต่ข้าเองก็คงต้องหันหน้าหนี้

 

ลุคพยายามระงับอารมณ์ของเขาและพยายามปฏิเสธออกไป แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของเรย์น่าก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง

 

“โปรดอย่ารังเกียจฉัน”

 

“จะ.. เจ้าหญิง!”

 

เรย์น่าเดินมาโดยได้รับการสนับสนุนจากพาเวล และเธอคุกเข่าต่อหน้าลุค

 

“ข้ายังสบายดี มันไม่สําคัญสําหรับข้าอีกต่อไปแล้ว แค่รับผู้ลี้ภัยที่น่าสงสารของเรา! หนึ่งพันไม่สิ หนึ่งร้อยก็ได้ ได้โปรดเถิด…ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วย!”

 

เรย์น่าคุกเข่าลงกับพื้น และแล้วน้ําตาก็เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ…

 

อ่านจนปวดท้อง อ่านประหยัดอ่านอย่างยืนหยัดอดทน

 

บทที่ 47 พบกันใหม่ (1)

 

เช้าวันถัดมาหลังจากเหตุการณ์วางเพลิงที่หอคอยเวทมนตร์สาขาแบรนดอน

อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com

เพื่อที่จะอ่านหนังสือที่เขาขโมยมาจากห้องสมุดให้ได้มากที่สุดเขาจึงเลือกที่จะกินอาหารของโรงแรมแทนการออกไปกินข้างนอก

 

อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจ

 

“เมื่อคืน ที่หอคอยเวทย์มนต์เวอร์ริทัสมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอย่างนั้นหรอ?”

 

“ใช่ เมื่อตอนกลางคืนมีไฟพวยพุ่งออกมาจากที่นั่น ข้าจึงลองไปถามกับเพื่อนที่ทํางานอยู่ที่นั่น แต่ข้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับพวกเขา แถมยังถูกไล่ออกมาอีกต่างหาก”

 

มีทหารรับจ้างสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามกําลังสนทนากัน

 

เมื่อรู้ว่าพวกเขากําลังพูดถึงเรื่องอะไร ลุคก็แค่แสร้งทําเป็นไม่สนใจขณะที่ฟังการสนทนาของพวกเขา

 

“ถ้าแค่ไฟไหม้ มันก็ไม่น่าจะต้องปิดกั้นกันขนาดนี้นะ”

 

“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่สาขาบอกว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุจากการทดลอง

ทหารรับจ้างคนหนึ่งมองไปรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขยับเข้าไปใกล้ทหารรับจ้างคนอื่นๆและพูดว่า

 

“แต่ไม่ว่าข้าจะคิดถึงเรื่องนี้มากแค่ไหน ข้าก็คิดว่ามันต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะแบบนั้นพวกพ่อมดและทหารรับจ้างของสาขาถึงได้พยายามตามหาใครบางคน

 

“ หรือว่าพวกเขาจะถูกกวางเพลิง”

 

” อาจจะเป็นไปได้ ทําไมหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสจะต้องบอกออกไปด้วยล่ะว่าพวกเขาถูกวางเพลิง แน่นอนว่าผู้จัดการสาขาจะต้องบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากการทดลองเวทมนตร์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเชื่อเสียงของหอคอยก็จะพังพินาศเอาได้”

 

“หุหุหุ ดูเหมือนชื่อเสียงของพวกมันกําลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย”

 

ลุคหัวเราะกับตัวเอง เมื่อฟังเรื่องราวของทั้งสอง

 

เช่นเดียวกับที่พวกเขาพูด ไม่เพียงแต่มันจะถูกวางเพลิงงเท่านั้นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าก็ถูกลุคขโมยมาด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้พิมพ์เขียวกิกันท์ที่ขโมยมาก็ดูเหมือนจะสําคัญมาก!

 

“ข้าควรมาดูที่หลังดีไหมนะ? แต่พวกผู้ร้ายมักจะมาดูที่เกิดเหตุอีกครั้งนี่นา”

 

ลุคตกอยู่ในความคิดของตัวเอง ฟิลิปและโรเจอร์สก็ลงมาจากห้องของพวกเขาพอดี

 

โรเจอร์สเริ่มคุยกับลุคทันทีที่พบเขาในห้องอาหาร

 

“นายน้อยมีอะไรที่น่ายินดีเกิดขึ้นกับท่านอย่างนั้นหรอ?”

 

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่รู้สึกเหมือนได้แก้แค้นนิดหน่อย”

 

“แก้แค้นนิดหน่อย?”

 

“ถูกแล้ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเจ้าทั้งสองคนสบายดีไหม”

 

เหล้าที่พวกเขาดื่มไปเมื่อวันก่อนนั้นมีมากกว่าสามถัง

 

หลังจากผ่านไปถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มดื่มพวกมันเหมือนกับน้ำเปล่า

 

คงจะดีไม่น้อยถ้าพวกเขาตัดสินใจที่จะหยุดแค่ตรงนั้น แต่ทั้งสองคนกลับทําเครื่องดื่มที่เรียกว่า “บอมเบอร์” ซึ่งทําโดยการผสมเบียร์และวิสกี้

 

เนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นของลุค เขาจึงได้ลองมนไปแก้วหนึ่งเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทําไมพวกเขาถึงทําเรื่องไร้สาระแบบนี้

 

“ข้าไม่ชอบเครื่องดื่มนั้น มันเกือบจะทําให้หัวของข้าระเบิดออกมา”

 

ฟิลิปห้อยหัวลงทันทีที่เขานั่งลงบนโต๊ะ

 

เมื่อเห็นเช่นนั้นโรเจอร์สก็เดาะลิ้นของเขาและพูดว่า

 

“ถ้าเจ้าเป็นอัศวิน เจ้าก็ควรจะรับมือกับตัวเองได้ เมื่อดื่มครบสิบไม่ใช่แค่สามอย่าง ความแข็งแกร่งของเจ้าทั้งหมดนั้นหายไปไหน”

 

“นั่นเพราะท่านเป็นสัตว์ประหลาดยังไงละ ข้านะยังอยู่ในค่าเฉลี่ยอยู่!”

 

“ค่าเฉลี่ย!? ไร้สาระ! ข้าจะฝึกเจ้าให้มากขึ้น ละมาดูกันว่าเจ้าจะยังทําตัวแบบน้อยู่อีกไหม”

 

ฟิลิปส่ายหัวให้กับคําพูดของโรเจอร์ส

 

“ฮี พูดหมาๆ! คราวนี้นายท่านโปรดเข้าข้างข้าด้วย!”

 

“หึ เจ้าติดจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนายน้อยงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าแค่นี้จะทําให้เจ้าสามารถหนีไปจากข้าได้แล้วหรอ?”

 

“อ้ากก! กรุณาไว้”

 

ขณะที่ลุคนั่งดูทั้งสองคนคุยกัน อาหารของพวกเขาก็มาถึง

 

มันเป็นขนมปังอบง่ายๆกับไส้กรอกเบคอนและซุปแก้เมาค้างที่ทําจากเห็ดหมักและผักกับซอสเผ็ด

 

หลังจากทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ออกจากโรงแรม

 

“โอเค เรากลับไปที่คฤหาสน์กันเถอะ”

 

เมื่อบรรลุทุกสิ่งที่ต้องการแล้ว ลุคจึงอยากจะกลับไปเรียนหนังสือเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาไปที่หอคอยเวทมนตร์เฮริสและสตาร์ทรถพ่วงที่จอดไว้ที่นั่นและมุ่งหน้าไปยังดินแดนของรากันต์

 

ในระหว่างทางกลับ พวกเขาก็ผ่านปราสาทของลอร์ดในแบรนดอน ตรงหน้าจัตุรัสนั้นมีผู้หญิงที่ลุคคุ้นเคยกําลงยืนอยู่

 

“เจ้าหญิงเรย์น่า”

 

แม้เธอจะแต่งกายด้วยชุดสีดําและกําลังมองลงมาขณะกล่าวคําอธิษฐาน แต่ลุคสามารถสังเกตได้ว่าเธอคือใครในขณะที่เขาจ้องมองเธอ

 

เมื่อระยะทางใกล้เข้ามาฟิลิปพูดหลังจากสังเกตเห็นเธอ

 

“เอ่อ..? นั่นเจ้าหญิงเรย์น่าไม่ใช่เหรอ ทําไมคนที่ควรจะอยู่ในลาเมอร์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

“เอาล่ะ เธอมาทําอะไรที่นี่กันนะ?”

 

ลุคหยุดรถพ่วงโดยไม่รู้ตัวและเริ่มตรงเข้าไปหาเจ้าหญิงเรย์น่า

 

ขณะที่เธอจมดิ่งอยู่กับคําอธิษฐานของเธอ เรย์น่าก็ไม่ได้สังเกตว่าลุคกําลังเดินเข้ามาหาเธอ

 

“ลอร์ดเอลคัสเซิลผู้ยิ่งใหญ่ แม่พระธรณีเบลีส…”

 

“เจ้าหญิงเรย์น่า”

 

ทันทีที่เธอได้ยินเสียงของลุค เรย์น่าก็หยุดสวดมนต์กลางทางด้วยสีหน้างงงวย

 

“ลอร์ดลุค?”

 

“ทําไมท่านถึงมาสวดมนต์ในสถานที่แบบนี้กัน?”

 

หลังจากที่ลุคถามเสร็จ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเรย์น่าหลับตาลงเริ่มเริ่มทรุดลงไปอย่างกระทันหัน

 

” อา! เจ้าหญิง!”

 

ลุคขยับอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะพยุงเรย์น่า

 

เขาไม่สามารถรับรู้ได้จากระยะไกล แต่เมื่อเขามองดูใกล้ๆ ผิวของเธอก็ดูซีดเผือกเป็นอย่างมาก เธอดูเหมือนไม่ได้กินข้าวมาแล้วหลายวัน

 

เจ้าหญิงมาทําอะไรในสถานที่แห่งนี้กัน?

 

“คุณพระ!”

 

จากคําพูดนั้นชายชราทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆน้ําพุตรงจัตุรัสก็อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ

 

วิคเตอร์รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าชายคนหนึ่งกําลังอุ้มเจ้าหญิงอยู่และจากนั้นเขาก็เห็นว่าชายคนนั้นก็คือลุค

 

“นั่นลอร์ดลุคไม่ใช่เหรอ ทําไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ?”

 

“ข้าจะให้รายละเอียดในภายหลัง แต่เจ้าต้องมาดูอาการของนางก่อน”

 

ลุคอุ้มเรย์น่าขึ้นแล้วรีบพาเธอไปที่คลินิกที่ใกล้ที่สุดในจัตุรัสทันที…

 

บทที่ 46 ความตื่นเต้นในหอคอยเวทมนตร์ (5)

“กั๋ว…กุก! กุก!”

เจมสันที่เป็นลมเริ่มตื่นขึ้น และสัมผัสหน้าอกที่ฟกช้ำของเขา

ทันใดนั้นเอง เขาก็กระโดดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นควันไฟและเปลวไฟที่กำลังไหม้รอบๆตัวของเขา

“นี่มันอะไรกัน?”

“ไฟไหม! ไฟไหม้ห้องสมุดแล้ว!”

“ขอน้ำหน่อย!”

ขณะนี้ ห้องสมุดทั้งหลังกำลังถูกไฟไหม้ และมันก็ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้วที่จะดับมันลง

“น้ำแข็ง…ไม่น้ำ!”

เจมสันพยายามร่ายเวทมนตร์เพื่อต่อสู้กับเปลวไฟ อย่างไรก็ตามด้วยการร่ายเวทมนตร์ที่เร่งรีบ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่ได้ดีเลิศอะไรมากนัก แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยชีวิตของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงสามารถออกไปจากห้องสมุดได้

“ฟู่ว.. มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไงกัน…เอ่อ!”

ในขณะที่เขาถอนใจด้วยความโล่งอก สีหน้าของเขาก็เริ่มซีดลง

มันมีบางอย่างที่เขาลืมไปในตอนที่ตัดสินใจวิ่งหนีจากกองไฟ

“หนังสือของข้า! พิมพ์เขียวของข้า! ’

สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นที่เขาจะใช้เพื่อแก้ปัญหาความแค้นอันยาวนานของเขา

เขาพยายามจะกระโดดกลับเข้าไปในเปลวไฟ แม้กระนั้นพ่อมดและทหารรับจ้างคนอื่นๆที่อยู่รอบๆก็กีดกันเขาไม่ให้เข้าไป

“ไม่ครับท่าน. กรุณาถอยกลับไปด้วย!”

“หลบไป! ข้างในนั้น! มันมี…เอ่อ….! เจ้ากำลังทำอะไรนะ? รีบดับไฟเข้าสิ!”

2 ชั่วโมงต่อมา…

พวกทหารรับจ้างขนน้ำอย่างขยันขันแข็งและเหล่าพ่อมดที่มีเวทมนตร์ก็ใช้ฝน และในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการดับไฟ  พวกเขายังจัดการเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามไปยังอาคารที่อยู่ข้างๆ

อย่างไรก็ตามห้องสมุดกว่าครึ่งได้ถูกไฟไหม้และหนังสืออื่นๆที่เหลืออยู่ก็เปียกโชก

ห้องสมุดพังพินาศ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ มันไม่มีอะไรเหลือเลยในห้องสมุดนั้น

“อย่างแรกข้าคงต้องขอสำเนาเอกสารที่เสียไปจากสำนักงานใหญ่ มันคงจะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่…”

“อ้าก!”

ขณะที่เขากำลังทำรายงานเรื่องไฟไหม้อยู่ ผู้บริหารก็เข้ามาขัดขวางเขา

เจมสันผู้ซึ่งไม่สามารถทนต่อคำด่าทอของผู้บริหารได้อีกต่อไป และบวกกับความเศร้าโศกที่เขาต้องสูญเสียเครื่องมือในการแก้แค้นของเขาไป ในที่สุดเขาจึงระเบิดสิ่งที่อยู่ภายในใจของเขาออกมา

“มันมีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องสมุด! แล้วไอ้พวกทหารรับจ้าง,องครักษ์และพ่อมดกำลังทำห่าอะไรอยู่กันวะ? วงเวทย์และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยจะมีไว้ทำห่าอะไร มันโครตไร้ประโยชน์”

ผู้บริหารและเลขาสาขาต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว

หากสิ่งที่ผู้จัดการสาขาพูดเป็นความจริง แสดงว่าสาเหตุที่ไฟไหม้ก็เป็นผลมาจากการลอบวางเพลิง ไม่เพียงแค่นั้นการรักษาความปลอดภัยของสาขาก็ถูกทำลายอีก

ความปลอดภัยของสาขาแบรนดอนนั้นห่างไกลจากความเรียบง่าย

ในฐานะหนึ่งในสองหอคอยเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งในทวีปการรักษาความปลอดภัยของสาขานั้นเป็นอะไรที่ยากมาก จนแม้แต่นักฆ่าหรือพ่อมดที่มีประสบการณ์เองก็ไม่สามารถผ่านมันไปได้

อย่างไรก็ตาม มันกลับมีผู้บุกรุกสามารถผ่านได้?

มันเป็นใคร? แล้วยังไง?

ทุกคนต่างตั้งคำถามกับตัวเองและเงียบ เจมสันคำรามเหมือนมังกร

“ไปจับตัวคนร้ายได้แล้ว! ถ้าพวกมึงไม่สามารถทำได้ละก็ กูจะจับพวกมึงมายิงทิ้งทีละคน…เดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่พวกเขาได้ยินสิ่งที่เจมสันพูด พ่อมดและองครักษ์ทั้งหมดก็กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งเมืองเพื่อจับคนร้าย

การค้นหาคนที่วางเพลิงยังคงดำเนินไปเกือบหนึ่งเดือน

อย่าว่าแต่การจับคนร้ายเลย แค่คนที่ทำพวกเขายังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร

ในที่สุดเหล่าพ่อมดและทหารรับจ้างที่ต้องคอยรองรับความโกรธของผู้จัดการสาขาของพวกเขา ก็ได้จับกุมพ่อมดที่ดูเหมือนจะเห็นผู้กระทำความผิดมา

“ไม่ใช่ข้านะ! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นใคร!”

คนที่ถูกจับมาก็คือปีเตอร์ ผู้ที่ทำความสะอาดห้องสมุดอยู่คนเดียวในวันที่เกิดเหตุ

พวกเขากล่าวหาว่าปีเตอร์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ร้าย และความจริงที่ว่าเขาอิจฉาหอคอยเวทมนตร์ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

“วันนั้นข้าแค่เห็นผีเท่านั้น! ผู้จัดการ! โปรดเชื่อคำพูดของข้าเถอะ!”

ปีเตอร์ยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา แต่ไม่มีใครเลือกที่จะเชื่อเขา

ในที่สุดเขาถูกจับในข้อหาวางเพลิงและถูกส่งไปลงโทษที่สำนักงานใหญ่ของหอคอยเวทมนตร์

หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครเห็นเขาอีกเลย…

ตอนที่ 45 ความตื่นเต้นในหอคอยเวทมนตร์ (4)

“ฟู่.. ข้าเกือบโดนจับได้แล้วสิ”

เจมสันถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องในห้องสมุด

“เขาคงไม่รู้หรอกเนื่องจากเขาเป็นจอมเวทแห่งการรักษา”

สิ่งที่วาดบนม้วนหนังสือก็คือพิมพ์เขียวของกิกันท์อย่างที่ปีเตอร์คิด นอกจากนี้มันยังเป็นพิมพ์เขียวของ “แอทลาส” เวอร์ชันล่าสุดซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาที่สำนักงานใหญ่ของเมืองหลวงของจักรวรรดิ

สิ่งนี้เป็นผลมาจากความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ของเจมสัน

เมื่อสามสิบปีก่อนเจมสันพ่อมดผู้แข็งแกร่งในวัยยี่สิบกลางๆนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อมดอัจฉริยะที่จะเป็นผู้นำโลกแห่งเวทมนตร์ร่วมกับอัลเบิร์ตซึ่งเป็นผู้นำแห่งหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสคนปัจจุบัน

พ่อมดอัจฉริยะทั้งสองต่างก็ช่วยกันศึกษามันกันอย่างใกล้ชิด

จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมทีมพัฒนาของแกนเครื่องยนต์อันใหม่

‘แต่วงเวทย์ที่อัลเบิร์ตใช้อย่างมั่นใจนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหา’

อัลเบิร์ตยืนยันอย่างหนักแน่นว่าวงเวทย์ที่เขาใช้ใหม่นั้นจะดีและไม่เกิดข้อผิดพลาดแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว แกนเครื่องยนต์ก็ยังคงเกิดปัญหาและทำให้ทั้งเวิร์คช็อปติดอยู่ในกระแสย้อนกลับของมานาขนาดใหญ่

ในขณะที่พ่อมดหลายคนล้มลงด้วยแรงกระแทก เจมสันก็สามารถปิดการทำงานของแกนเครื่องยนต์และป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุลุกลามสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เพื่อหยุดยั้งการทำงานของแกนเครื่องยนต์ มันจึงต้องแลกมาด้วยการที่วงเวทย์ของเขาจะถูกจำกัดอยู่ในขั้น 5 ตลอดไป

แต่อัลเบิร์ตกลับเป็นคนที่ได้รับการสรรเสริญและกลายเป็นผู้นำคนถัดไปของหอคอย และแน่นอนเขาไม่ได้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในเวลานั้นผู้นำแห่งหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสก็คือพ่อของอัลเบิร์ตและเจมสันไม่สามารถทนต่อการกระทำนั้นได้

อุบัติเหตุในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะอัลเบิร์ตอย่างเห็นได้ชัด

ท้ายที่สุดเขาจึงเลือกที่จะพัฒนามันต่อเพียงคนเดียวเท่านั้น

“หอคอยเวทมนตร์ที่กลืนกินผู้คน!”

เมื่อพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นมานานแล้วความโกรธของเขาก็ยังคงหวนกลับคืนมาเสมอ

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น อัลเบิร์ตก็หันหลังให้เจมสัน

เนื่องจากเจมสันดีขึ้นเล็กน้อยพวกเขาคิดว่าเขาสามารถมีส่วนร่วมในหอคอยเวทย์มนตร์ได้ และพวกเขาสามารถให้เขาเป็นผู้อาวุโสได้ แต่พวกเขาเลือกที่จะส่งเขาไปที่สาขาที่ห่างไกลจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ

การผลักไส

ในเวลานั้นเจมสันได้แต่ทำตามคำสั่งอย่างเงียบๆ แม้ลึกๆแล้วเขาจะยังคงมีความแค้นอยู่เต็มหัวใจ

เรื่องทั้งหมดนี่ทำให้เขาต้องการที่จะลบล้างหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสออกไป

หลังจากถูกขับไล่มานาน ในที่สุดความพยายามก็ทำให้เขาสามารถคว้าพิมพ์เขียวของแอทลาสได้สำเร็จ

‘ถ้าข้าตีความตัวเลขและวงเวทย์ที่ใช้กับการออกแบบ และส่งออกไปยังหอคอยเวทมนตร์ 10 อันดับแรกอื่นๆได้ ข้าก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างมาก แน่นอนว่าเวอร์ริทัสจะต้องดิ้นรนเหมือนหมาบ้าแน่!

เจมสันอยากรู้ว่าตอนนั้นอัลเบิร์ตจะทำสีหน้าเช่นไรอย่างไร

เมื่อนึกถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึง เจมสันเริ่มทำการตีความพิมพ์เขียวเพื่อใช้ในการแก้แค้นของเขา

แต่แล้ว…

กร๊ากกก!

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอย่างน่าประหลาดใจ เจมสันก็รีบซ่อนพิมพ์เขียว และถามอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ห้ะ ใครอยู่ข้างนอกนั่นนะ”

แต่ไม่มีคำตอบกลับมา

เขาลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ๆกับประตูห้องสมุดด้านใน

เขามองไปรอบๆแต่ไม่มีใครอยู่ในสายตาของเขา

“มันแปลกจริงๆ.. มันไม่ควรจะเปิดเองแบบนี้ได้”

บนประตูนั้นมีเวทมนตร์รักษาความปลอดภัยประทับอยู่

ดังนั้นลมจึงไม่สามารถเปิดประตูได้ด้วยแรง

“แปลกจริงๆ…เอ่อ!”

ทันใดนั้นเจมสันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาหันกลับไปที่จุดของเขาเบื้องหน้าของเขาคือผู้ชายที่ดูเหมือนตัวเขาเองเป๊ะ

*เจมสันอีกคนมองเจมสันอีกคนซึ่งทำให้เจมสันอีกคนกลัว

** ชายที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มซึ่งทำให้เจมสันที่มองดูอยู่เริ่มรู้สึกกลัว

“เห้ย เจ้าคือตัวอะไร?”

“ช้าไป..”

กระสุนเวทมนตร์ที่ทรงพลังพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของสิ่งมีชีวิตลึกลับ มันพุ่งเร็วกว่าลูกศรใด และแล้วกระสุนสีม่วงก็พุ่งเข้าใส่เจมสัน

“อ๊ะ!”

เขาสำลักออกมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือกระสุนเวทมนตร์นัดนี้สามารถที่จะสั่นสะเทือนวงเวทย์ที่อยู่ในจิตใจของเขาได้

มันคล้ายกับความตกใจที่พ่อมดจะได้รับเมื่อถูกกระแทกที่หัวใจ

ท้ายที่สุดร่างปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ ลุค นั่นเอง เขาเริ่มหัวเราพอย่างน่ากลัวใส่เจมสัน

“หึหึ พ่อมดขั้น 6 ที่ไม่สามารถทนต่อกระสุนเวทมนตร์ของพ่อมดขั้น 3 ได้อย่างนั้นหรอ”

ในแง่ของการทำลายล้างและการรุกราน เวทมนตร์แห่งความมืดนั้นแข็งแกร่งกว่าเวทมนตร์ทั่วไปเสมอ

ถึงอย่างนั้น การที่พ่อมดขั้น 3 จะสามารถล้มพ่อมดขั้น 6 ได้ก็ไม่ใช่เรื่องปกติอยู่ดี

แต่เหตุผลนั้นง่ายมาก ก็แค่ฝ่ายตรงข้ามนั้นอ่อนแอมากก็แค่นั้น

“เชอะ ข้าได้ยินมาว่าจอมเวทเหล็กไหลถูกสร้างขึ้นมาให้แข็งแกร่งเหมือนกำแพงสำหรับสงคราม แต่ทำไมเจ้าช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน”

ในอดีตแม้จะมีสาขาของพ่อมดที่เฉพาะเจาะจง แต่ทุกคนก็จะต้องได้รับการฝึกฝนขั้นพื้นฐานในลักษณะที่หลากหลายมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ท้ายที่สุดลุคก็ถอดมนต์ลล่องหนของเขาและกลับสู่ร่างเดิม

จากนั้นเขาก็มองไปที่คอลเลกชันในห้องสมุด

“มันมีแต่หนังสือเวทมนตร์ขั้น 5 ขึ้นไปเท่านั้น นี่พวกเขาใช้มันทำอะไรกัน”

ริมฝีปากของลุคบิดเป็นวินาที

เขามองไปที่หนังสือสองสามเล่ม หนังสือที่เก็บไว้ในห้องสมุดนั้นมีจำนวนที่เยอะและหลากหลายมากกว่าที่เขาคาดไว้

“หนังสือเวทย์มนตร์ของหอคอยเวทมนตร์อันอื่นๆ ดูเหมือนวิสัยทัศน์ของพวกเขาจะถูกพัฒนาขึ้นไปเยอะมากในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา”

ไม่ว่าจะเรื่องความเชี่ยวชาญในเวทมนตร์ของโกเลมหรือการสร้างแกนเครื่องยนต์สำหรับกิกันท์ในยุคแรกๆ ลุคก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงใช้เวลาตั้ง 500 ปี

“เพื่อที่จะเรียนรู้แก่นแท้ของวิศวกรรมเวทย์มนตร์ที่สั่งสมมาจนถึงตอนนี้และในการผลิตกิกันท์ที่มีในระดับปัจจุบันนั้น เราคงจะต้องทำงานและเรียนรู้อย่างหนักซะแล้วสิ”

ลุคทิ้งทุกสิ่งที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ในพื้นที่ซัปสเปสที่อยู่ในสร้อยข้อมือของเขา

ขณะที่เขาเดินผ่านที่นั่งที่เจมสันนั่งก่อนหน้านี้ เขาก็ได้พบเข้ากับหนังสือและม้วนหนังสือ

หนังสือเล่มนั้นดูเหมือนจะสรุปหลักการของการศึกษาทางวิศวกรรมเครื่องกลที่สะสมมาหลายปีของหอคอยเวทมนตร์เวอริทัส

นอกจากนี้มันง่ายกว่ามากที่จะเข้าใจเพราะสิ่งที่เจมสันบันทึกไว้

“ด้วยสิ่งนี้ข้าก็จะสามารถสร้างกิกันท์ที่ไม่เหมือนใครได้”

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือม้วนคัมภีย์ที่ทำมาจากกระดาษ

ด้วยภาพวาดที่ซับซ้อนและสูตรเวทมนตร์ที่วุ่นวาย เมื่อเขามองดูมันดีๆเขาก็พบว่ามันคือพิมพ์เขียวของกิกันท์

มันดูเหมือนจะเป็นกิกันท์ที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม มันเกือบจะทรงพลังเท่าที่กิกันท์ตัวหนึ่งจะสามารถเป็นไปได้

“แอทลาส สิ่งนี่จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออสังหาริมทรัพย์และหอคอยเวทมนตร์ของเราในอนาคต”

ในที่สุดหลังจากรับพิมพ์เขียวของแอทลาสไป

ในที่สุดลุคก็เสร็จสิ้นการซื้อของที่เขาต้องการแล้ว แต่ขู่ๆเขาก็หยุดเดินกลางคันเหมือนกับว่าเขายังไม่เต็มใจที่จะออกไป

“มันจะไม่ทำให้ข้าเสียใจได้ หากออกไปทั้งๆแบบนี้…”

เมื่อพูดเสร็จลุคก็ดีดนิ้วของเขา เปลวไฟปรากฎขึ้นเหนือนิ้วของลุคพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา…..

อ่านจนหิวข้าว อ่านประหยัด อ่านอย่างยืนหยัดอดทน

บทที่ 44 ความตื่นเต้นในหอคอยเวทมนตร์ (3)

“พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ไหนๆเราก็มาถึงที่นี่แล้วด้วยมันคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายแน่นอนหากแก้วของเรายังว่างเปล่า”

หลังจากเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสองสามแห่งตลอดช่วงบ่ายลุคก็กล่าวขึ้นมา

ในเวลานั้นดวงตาของฟิลิปเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของลุค

“นี่นายท่านกำลังจะสื่อว่า…”

“ใช่ ตามที่เจ้าเข้าใจ”

เมื่อลุคพยักหน้าทั้งสองคนก็ตกใจ

เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินของตระกูลมันจึงทำให้ค่าจ้างของวกเขาไม่เพียงพอที่จะเหลือพอเอาไปดื่ม

และมีอีกอย่างหนึ่ง

ในดินแดนของรากันต์นั้นมีแต่บาร์แห่งเดียวซึ่งเป็นบาร์ราคาถูก

“ปลดเข็มขัดและดื่มพวกมันเข้าไปเท่าที่พวกเจ้าต้องการเลย”

พวกเขาทั้งสามคนไปที่บาร์ตรงชานเมืองและดื่มกันสักพัก

ไม่มีใครเกลียดแอลกอฮอล์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่โรเจอร์สและฟิลิปเทเบียร์ใส่แก้วของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

ท้ายที่สุดในตอนดึก ทั้งโรเจอร์สและฟิลิปก็มีสภาพเมาเหมือนหมา

ลุคเรียกบริกรแล้วให้ทิปเขาอย่างดีและถามว่า

“มีโรงแรมใกล้ๆที่นี่ไหม? ข้าต้องการจะย้ายพวกเขาไปสักหน่อย”

“ขอรับนายท่าน”

บริกรเรียกเพื่อนร่วมงานของเขามาและเริ่มพยุงอัศวินทั้งสองไปบังห้องพักของพวกเขา

ลุคตรวจดูพวกเขาอยู่สักพักแล้วจึงออกมาจากที่นั่น

“หุหุหุ พวกเรามาไกลมาก แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะไปที่นั่นเป็นครั้งที่ 2”

สถานที่ที่ลุคอยากไปอีกเป็นครั้งที่สองคือรถพ่วง

มันเป็นสาขาของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสที่พวกเขาเคยไปแล้วถูกทำให้อับอาย

“มันจะต้องเป็นออะไรที่ดีกว่าแน่นอนที่จะตอบแทนพวกมันที่ดูแลเราอย่างดีในวันนี้”

ในความเป็นจริงแล้วลุคไม่ได้คิดที่จะหยุดพักตามที่ฟิลิปขอ

คำขอจากฟิลิปเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ความจริงแล้วลุคมีแผนที่จะบุกเข้าไปในสาขาของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

มันจะไม่ใช่จุดจบของรากันต์ แต่ลุคคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะตอบแทนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่ สาขานี้จะโชคดีพอที่จะไม่ถูกบดขยี้

นั่นเป็นสาเหตุที่ลุคยอมให้ฟิลิปและโรเจอร์สเมาแล้วแอบร่ายมนตร์หลับใส่พวกเขา

หากพวกเขาตื่นขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างแน่นอนโดยให้เหตุผลว่ามันอันตรายเกินไป และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมแน่นอน

และพวกเขายังไม่สามารถโน้มน้าวใจเกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งความมืดได้

“ล่องหน!”

เมื่อลุคร่ายเวทมนร์ของเขาเสร็จ แสงสีม่วงที่สว่างไสวรอบร่างของเขาเริ่มหลอมรวมกับความมืด

มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นฉากที่เกิดขึ้นในเทพนิยายเท่านั้น มันน่าเสียดายมากที่ไม่มีใครได้มาเห็นฉากนี้

หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ลุคก็เริ่มบุกเข้าไปในสาขาของหอคอยเวทมนตร์เวอร์รทัสโดยการปีนข้ามกำแพง

“ฮ่าา! ไอ้กระจอก!”

นอกเหนือจากเวิร์คช็อปกิกันท์แล้ว หอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสสาขาแบรนดอนยังมีอาคารขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวม 12 อาคาร

อาคารทางเหนือสุดเป็นห้องสมุดแม้จะมืดมิดและเงียบสงัด แต่ก็ยังได้ยินเสียงพึมพำของชายหนุ่มอยู่หนึ่งคน และปีเตอร์ก็คือชื่อของเขา

เขาเป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลขุนนางและเป็นจอมเวทแห่งการรักษาขั้นที่ 3  เขานั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในหอคอยเวทมนตร์หลักของเมืองหลวงจักรวรรดิ

อย่างไรก็ตามเป็นเพราะพ่อของเขาเป็นคนดี(?)และจ่ายสินบนไปเป็นจำนวนมาก ทุกอย่างจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของเขาเอง

แต่เขาชอบขุดแร่

อย่างไรก็ตามไม่มีใครเคยจู้จี้เกี่ยวกับงานอดิเรกของเขา จนถึงช่วงเวลาที่เขาได้ไปติดต่อกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกหลานของเมส์เตอร์

“ไอ้เวรเอ้ย ทำไมอีกะ*รี่นั่นถึงมาอยู่ที่นั่นได้นะ”

ไม่ว่าจะเรื่องมันจะเป็นเช่นไร สุดท้ายปีเตอร์ก็ถูกจับโดยพวกเมย์เตอร์ที่ชั่วร้าย และถูกย้ายให้ไปทำงานที่สาขาแบรนดอน

และเนื่องจากครอบครัวของเขาก็กำลังจะล้มละลาย ปีเตอร์จึงทำอะไรมได้มากนักนอกจากทนทำงานต่อไป

พวกพ่อมดมักจะทำงานล่วงเวลาของพวกเขา ซึ่งทำให้ปีเตอร์ที่เป็นคนคอยเก็บกวาดอีกทีตต้องทำงานล่วงเวลายิ่งกว่า

มันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำทุกวัน

มันมีพ่อมด 5 คนที่ต้องทำความสะอาดเหมือนกับปีเตอร์แต่ไม่ว่าอย่งไรก็ตาม ทมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องทำงานในขณะที่คนอื่นๆไปเดินเล่นกัน

“ไอ้บ้าเอ้ย ทำไมหอคอยที่รวยล้นฟ้าแบบนี้ถึงได้ไม่จ้างคนทำความสะอาดมาทำกันนะ? ไอ้งานพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย”

เนื่องจากหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสนั้นเป็นหนึ่งในหอคอยเวทย์มนตร์ที่ยิ่งใหญ่ทวีปที่สุด กิ่งก้านสาขาของมันจึงเหมือนกับขนาดของหอคอยเวทมนตร์ขนาดเล็กหรือขนาดกลาง

และลำพังเพียงห้องสมุดของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็มีขนาดใหญ่มากแล้ว มันมีหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม ที่จัดเก็บอยู่ในนั้น

มีเรื่องเล่าว่ามันมีการคัดลอกเอกสารประมาณ 10,000 ฉบับจากห้องสมุดหลัก

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีหนังสือเล่มใดที่สำคัญเลย

หนังสือเวทย์มนตร์ตั้งแต่ขั้น 5 ขึ้นไป และเอกสารงานวิจัยที่มีค่าอื่นๆถูกเก็บไว้ในห้องสมุดเพิ่มเติม

มันมีเพียงผู้จัดการสาขาและผู้บริหารของสาขาขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

มันเป็นสถานที่ที่เหมือนฝันสำหรับปีเตอร์

“ไอ้เวร ถ้าข้ารู้ว่าข้าจะต้องทำงานแบบนี้ ตอนนั้นข้าก็คงจะตั้งใจเรียนไปแล้ว”

ปีเตอร์เสียใจกับการกระทำของเขาและกำลังพูดกับตัวเอง ถ้าเขาเป็นพ่อมดที่ดีพอ เขาก็จะไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้

“เจ้ากำลังบ่นเรื่องอะไร”

“เอ่อ หัวหน้าเจมสัน!”

เมื่อผู้จัดการสาขาปรากฏตัวขึ้น ปีเตอร์ก็ยิ้มออกมา

“อ๊ะฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้ละ”

“อืม พอดีข้ามีงานวิจัยที่ต้องทำน่ะ”

เจมสันลูบเคราของเขาขระเดินผ่านปีเตอร์ และเดินเข้าไปในห้องสมุด

เขายืนอยู่หน้าประตูของห้องสมุดภายใน เพื่อปลดล็อกคาถารักษาความปลอดภัย ในตอนนั้นเองที่เขาเผลอทำหนังสือเล่มหนึ่งที่เขากำลังหนีบอยู่ใต้รักแร้ตก

“ฮึ!”

“อา ข้าเก็บให้เอง”

เมื่อพูดเสร็จ ปีเตอร์ก็รีบวิ่งไปหยิบหนังสือและม้วนหนังสือที่ตกทันที

และเขาก็ได้เห็นเนื้อหาของม้วนหนังสือที่คลี่ออกมาครึ่งม้วนโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นภาพวาดเชิงกลที่ซับซ้อนและสูตรเวทมนตร์

เขาไม่แน่ใจว่าว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร แต่การออกแบบของมันนั้นคล้ายกับของกิกันท์อย่างมาก

“เจ้าเห็นอะไรรึเปล่า!”

อ้าาาาาา!

เจมสันตะโกนออกมาและตบเข้าไปที่หน้าของปีเตอร์

“อุ๊ย!”

ปีเตอร์จับแก้มของตัวเองและมองไปที่ผู้จัดการสาขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“เชอะ เจ้ากล้าดียังไงมาแอบดูเอกสารวิจัยของข้า?”

หลังจากได้รับหนังสือคืนทั้งหมด เจมสันก็ขมวดคิ้วด้วยความโกรธ

“ไม่นะ ข้าแค่…”

“ถ้าเจ้าพยายามขโมยงานของข้าอีก เจ้าจะถูกไล่ออกจากหอคอยเวทมนตร์แน่นอน!”

เจมสันเปิดประตูและเข้าไปข้างใน

ใบหน้าของปีเตอร์พังยับเหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้ว

“เออไอ้สัตว์…ถ้ากูโดนไล่ออกจริงๆกูจะกระทืบมึงก่อนแล้วค่อยออก”

“ใช่ ข้าก็ว่าเจ้าควรทำแบบนั้น”

ตอนนั้นเองที่มีเสียงแปลกๆดังมาจากด้านหลังของปีเตอร์

ปีเตอร์รีบหันหน้าไปมองว่ามีใครเข้ามาบ้าง แต่มันก็ไม่มีใครอยู่

“ข้าเข้าใจผิดเหรอ…เอ่อ”

ในช่วงเวลาที่ปีเตอร์พยายามสงบสติอารมณ์ มันก็มีแสงส่องเป็นเงาตรงชั้นหนังสือ!

“เอ่อ ผี…!”

อ้าก!

ปีเตอร์ที่ตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ล้มลงโดยไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง

ในที่สุดเงาที่ปีเตอร์เห็น ก็เริ่มก้าวเข้ามาและในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นเด็กผู้ชายผมแพลตตินั่ม

เงานั้นก็คือลุคที่ตัดสินใจบุกสาขา

“นี่พวกเขาใส่คาถารักษาความปลอดภัยไว้ประมาณ 5 อันรึเปล่านะ? ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลานิดหน่อยซะแล้วสินะ”

แม้ในห้องสมุดจะมีการติดตั้งเวทมนตร์รักาความปลอดภัยระดับสูง แต่สำหรับลุคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมเวทขั้น 9 มันก็ไม่ได้มีอะไร

กร๊ากกก!

ในที่สุดเวทมนตร์รักษาความปลอดภัยทั้งหมดที่วางไว้ก็ถูกปลดล็อกและประตูบานหนาก็เปิดออก

ลุคที่ซึมเข้าสู่เงามืดก็ก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ….

 

อ่านจนหัวแตก อ่านประหยัด อ่านอย่างยืนหยัดอดทน

บทที่ 43 ความตื่นเต้นในหอคอยเวทมนตร์ (2)

ในครั้งที่สอง กลุ่มของลุคก็ได้มาที่สาขาของหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นซึ่งก่อตั้งเมื่อ 80 ปีก่อน

เพื่อแสดงถึงวิศวกรรมเวทย์มนตร์ที่ทันใหม่ ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า “โมเดิร์น” จึงถูกเพิ่มเข้าไปในชื่อหอคอยเวทมนตร์

แม้ว่าหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นจะมีประวัติศาสตร์ที่สั้นไปหน่อย  แต่มันก็มีขนาดใหญ่มากจนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 หอคอยเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป

มันไม่สามารถนับจำนวนกิกันท์ที่ถูกสร้างและขายออกไปใน 1 ปีได้ด้วยนิ้วมือทั้ง 10

“หอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นเป็นหนึ่งในหอคอยเวทมนตร์สิบอันดับแรกที่มีอัตราการผลิตกิกันท์ที่รวดเร็วที่สุด พวกเขาสามารถสร้างกิกันท์ได้ถึง 3 ตัวในเวลาเพียงวันเดียว”

“การออกแบบของพวกเขาเองก็ดีเหมือนกัน”

ขณะที่โรเจอร์สอธิบายถึงหอคอยเวทมนตร์ ฟิลิปพยายามที่จะก้าวเข้ามา อย่างไรก็ตามโรเจอร์สตัดสินใจที่จะไม่สนใจเขาและพูดต่อไป

“นอกจากนี้พวกเขายังมีสาขาและเวิร์คช็อปมากมายทั่วทั้งทวีป ดังนั้นการจัดหาชุดอุปกรณ์และชิ้นส่วนจึงรวดเร็วมาก และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามเลือกจะซื้อเสบียงจำนวนมากจากหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์น”

“ข้าเข้าใจแล้ว เพื่อที่จะได้รับชัยชนะในสงคราม สิ่งสำคัญคือต้องมีอาวุธที่ทรงพลังมากกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อยหนึ่งชิ้น”

แม้มันจะมีประวัติศาสตร์อันสั้น แต่เพราะอัตราการผลิตที่รวดเร็วและความเร็วในการจัดส่งที่เหมาะสม มันจึงเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของหอคอยจนกลายเป็นหอคอยเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีป

“แต่ข้าคิดว่าคุณภาพของมันไม่ดีขนาดนั้น”

สิ่งใดที่มีข้อดีย่อมมีข้อเสียและลุคก็คำนึงถึงสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน

“ตามที่นายท่านกล่าว อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ของพวกเขาก็มีราคาที่ถูก ดังนั้นหากเรามุ่งเน้นไปที่ปริมาณ หอคอยเวทมนตร์แห่งนี้ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“โอ้! นี่ก็เป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน!”

เสียงเรียกร้องจากฟิลิปถูกละเลยอีกครั้ง

พรรคพวกของลุคเริ่มเข้าไปในหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์น

มันมีความยิ่งใหญ่สมกับที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของหอคอยเวทมนตร์ที่ดีที่สุด ขนาดของหอคอยแห่งนี้นั้นสามารถเทียบได้กับขนาดของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสเช่นกัน

นอกจากนี้จำนวนพ่อมดและทหารรับจ้างที่ทำงานอยู่ที่นี่เองก็มีจำนวนเท่ากันเหมือนกัน

“เป็นเพราะพวกเขาผลิตกิกันท์ขนาดใหญ่ทั้งหมใช่ไหม ข้าถึงคิดว่ามันมีขนาดเหมือนปกติ?”

โชคดีที่หอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นไม่ได้มีไว้ขายเพียงอย่างเดียว พวกเขายังปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างสุภาพโดยไม่เลือกปฏิบัติ

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร้องขอ แต่พวกเขาก็ให้บริการลูกค้าที่อยู่ในห้องรับรองด้วยชาและขนมของว่าง

“บรรยากาศเป็นกันเองดีขนาดนี้ หากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ดีเหมือนกัน ข้าก็จะซื้อของจากที่นี่นี่แหละ”

ลุคมองไปที่รายชื่อของกิกันท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ

มันมีตั้งแต่คลาสนีกรบไปจนถึงคลาสฮีโร่ กิกันท์ที่ถูกผลิตโดยหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นต่างก็ถูกบันทึงไว้ในเอกสารทั้งหมด พวกมันมีบอกทั้งรายละเอียดและประสิทธิภาพของกิกันท์

‘ประสิทธิภาพของกิกันท์ที่นี่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ตามที่ฟิลิปกล่าวไว้มันเป็นเรื่องดีที่กิกันท์จะมีรูปร่างที่เพรียวบาง…โดยเฉพาะ “อแวนทาร์” คลาสนักรบและ “เกร็นเกอร์” คลาสฮีโร่”

ในขณะนั้นเอง เสียงตะโกนที่น่ารังเกียจก็ดังออกมาจากอีกด้านหนึ่ง

“อะไรกัน? ซ่อมไม่ได้หรอ! อย่ามาไร้สาระนะ! หากมันมีข้อบกพร่องในกิกันท์ของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ควรที่จะซ่อมมันฟรีสิ!”

“นายท่านกรุณาใจเย็นๆ นี่มันไม่ใช่ข้อบกพร่องที่ตัวของกิกันท์”

พ่อมดพยายามอย่างมากที่จะจัดการเกลี้ยกล่อมขุนนางที่เข้ามาหาเรื่องเพราะมีข้อบกพร่องในกิกันท์ของเขา

“หมายความว่ายังไงที่มันไม่ใช่ข้อบกพร่องที่ตัวของกิกันท์? กิกันท์ของหอคอยเวทมนตร์อันอื่นๆที่สร้างขึ้นแบบเดียวกันและมีความหนาเท่ากันกลับไม่มีรอยขีดข่วนใดเลยเมื่อต่อสู้! แต่กิกันท์ที่พวกเจ้าทำ เมื่อมันโดนโจมตีปุ้ป มันก็แหลกเหมือนเศษกระป๋องเลย!”

“เอ่อ…ในกรณีนั้น ความแข็งแกร่งของถุงมืออาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมุมของการโจมตีและขนาดของดาบครับท่าน”

“นั่นมันหมายความว่ายังไง”

“การโจมตีแบบซึ่งๆหน้าจะเหมือนกับการโจมตีของกิกันท์จากหอคอยเวทมนตร์ตัวอื่นๆ แต่มันจะไม่สามารถป้องกันความเสียหายได้หากมุมห่างออกไปเล็กน้อย”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะหมายความ ข้าต้องรับทุกการโจมตีให้ได้อย่างนั้นหรอ!”

ในขณะที่ความโกลาหลดังกล่าวเกิดขึ้นในด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็มีเช่นกัน โดยมันเป็นการโต้เถียงกันเกี่ยวกับความผิดพลาดในแกนเครื่องยนต์

“ศิลาเวทมนตร์ในแกนเครื่องยนต์ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องของมันในระหว่างการฝึกเริ่มต้น พวกเจ้ามีแผนจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร?”

“เอาล่ะครับ อาจเป็นไปได้ว่าตะขอที่จับศิลาเวทมนตร์นั้นหลวม…มันไม่น่าจะใช่ความผิดปกติของแกนหลัก”

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ! มันไม่มีศิลาเวทมนตร์ในแกนเครื่องยนต์ต่างหาก มันไม่ใช่แต่ผิดปกติแล้ว!”

มันมีการร้องเรียนมากมายที่ปรากฏขึ้นในหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์น

ต้องขอบคุณความโกลาหลทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่ช่วยลุคในการตัดสินใจ

ฟิลิปซึ่งชมเชยการออกแบบกิกันท์ของหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์นอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถแม้แต่จสลัดการแสดงออกที่ดูไร้สาระบนใบหน้าของเขาได้

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ คนพวกนี้มันสร้างกิกันท์ด้วยส้นตีนของพวกมันรึไงวะ? ทำไมข้อบกพร่องมันถึงได้เยอะแยะมากมายก่ายกองแบบนี้”

“ข้าคิดว่าเป็นเพราะความเร็วในการผลิตที่มากเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีข้อบกพร่องหลุดรอดออกมาได้”

นอกจากนี้หากมองอย่างใกล้ชิดราคาของพวกเขาก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้น

“อะไรนะ? 31,000 เปโซ? นี่มันไม่เหมือนกับที่บอกในข้อมูลนี่”

เพื่อตอบตำถามของขุนนาง พ่อมดก็หยิบหุ่นจำรองออกมาและกล่าวว่า

“ท่านครับราคานี้เป็นราคาที่รวมดาบใหญ่และถุงมือสำรองเอาไว้ด้วย”

“ข้าไม่ได้ต้องการพวกมัน เอาพวกมันออกไป”

“ข้าเกรงว่านั่นจะเป็นไปไม่ได้ หากท่านต้องการซื้อกิกันท์ของเรา ท่านก็จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์สำรองไปด้วย”

‘นี่มันทำให้ข้าพูดไม่ออกจริงๆ’

ลุคที่กำลังฟังบทสนทนาของพวกเขา ก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาพยายามทำอะไร

“พวกเขาไม่ได้สร้างกิกันท์ พวกเขาแค่ทำกำไรจากมันเฉยๆ”

“นายท่านพูดได้ถูกต้องที่สุด”

อย่างไรก็ตาม มันยังมีบางอย่างที่ไร้สาระมากกว่านั้น

พวกเขายังเห็นจอมเวทเหล็กไหลและหัวหน้าภาคสนามของแต่ละเวิร์คช็อปขอขึ้นค่าจ้างและการผลิตที่ดูไม่ราบรื่นนัก

“…..เราไปที่อื่นกันเถอะ”

ลุคและพรรคพวกออกมาจากสาขาของหอคอยเวทมนตร์โมเดิร์น

ด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้เขาต้องการที่จะซื้อกิกันท์ที่เขาเห็นในนั้น แต่หลังจากฟังเรื่องราวแบบสุ่มๆข้างในนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะออกไปจากที่นั่น

“หนึ่งในสิบอันดับแรกของทวีปก็ไม่ได้ดีอย่างที่ข้าคิดไว้เท่าไหร่”

“หรือเราจะไปหอคอยเวทมนตร์เล็กๆกันดีล? แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จัก มากนักแต่ข้าก็คิดว่ามันอาจจะเป็นสถานที่ที่ดีก็ได้”

“เป็นความคิดที่ดี”

ด้วยความผิดหวังจากหอคอยใหญ่ๆ ลุคจึงตัดสินใจลองไปที่หอคอยเวทมนตร์ขนาดเล็กและกลางแทน ตามคำขอของโรเจอร์ส

สถานที่ที่สามที่ลุคและพรรคพวกของเขาไปก็คือหอคอยเวทมนตร์ขนาดเล็กที่เรียกว่าฮาลิส

“หอคอยเวทมนตร์ฮาลิสนั้นไม่เหมือนกับหอคอยเวทมนตร์อื่นๆในแง่ของประวัติศาสตร์และขนาดการผลิต แต่ในเรื่องของกิกันท์นั้น พวกเขาก็จัดเป็นมืออาชีพเช่นกัน”

ลุครู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่โรเจอร์สบอกกับเขา

เช่นเดียวกับที่โรเจอร์สได้กล่าวเอาไว้ ขนาดและอาคารของมันดูโทรมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เมื่อเทียบกับหอคอยทั้งสองก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามลุคไม่ผิดหวังอะไรมากเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าขนาดและรูปลักษณ์นั้นไม่สำคัญ

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านประตูหน้าแม่มดหญิงวัยกลางคนก็เดินเข้าไปทักทายลูกค้าของเธอ

“ยินดีต้อนรับท่านลอร์ดลุค!”

“เดี๋ยวก่อนนี่ ท่านรู้จักข้าด้วยหรอ?”

ขณะที่ลุคกำลังสับสน แม่มดก็ยิ้มและอธิบายว่า

“มีเพียงไวเคานต์รรากันต์เท่านั้นที่ใช้ตราทูตสวรรค์ที่มีดาบแห่งแสงเป็นตราประจำตระกูลของพวกเขา และข้าก็คิดว่าบุคคลที่ถูกพาตัวมาโดยอัศวินจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลุคซึ่งจะเป็นลอร์ดคนปัจจุบัน”

“หุหุถูกต้อง ท่านเป็นคนที่ช่างสังเกตจริงๆ”

ความจริงที่ว่าเธอสามารถจดจำบุคคลจากภายนอกของพวกเขาได้นั้นหมายความว่าเธอให้ความสำคัญกับพวกเขามาก

นั่นเป็นสาเหตุที่ลุคและฟิลิปรู้สึกดีกับเธอ

“ชื่อของข้าคือ เมริว ข้าเป็นเลขาธิการทั่วไปของหอคอยเวทมนตร์ฮาริส แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านมาที่หอคอยเวทมนตร์ของเรากัน?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องการซื้อกิกันท์”

ด้วยคำพูดเหล่านั้นจากลุค  เมริวก็ดูเหมือนจะค่อนข้างกระวนกระวาย

เธอนั้นรู้ดีว่าสถานะภาพทางการเงินของตระกูลรากันต์ช่วงนี้นั้นไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากเห็นพวกเขาในตอนนี้ เธอก็คิดว่ามันอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

“นั่นสินะ งั้นข้าขอยินดีต้อนรับอีกครั้ง เมื่อเร็วๆนี้เราได้พัฒนากิกันท์คลาสนักรบมาใหม่และเราได้รับคำสั่งจากเจ้านายว่าให้ขายสองสามตัวแรกในราคาที่มีส่วนลด”

สาเหตุที่ได้ส่วนลดอาจเป็นเพราะโปรโมชั่น

กิกันท์ประเภทใหม่มักจะไม่ถูกซื้อโดยตระกูลชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหอคอยเวทมนตร์ที่ได้รับความนิยมต่ำแบบนี้

นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาขายผลิตภัณฑ์ในอัตราที่ต่ำลงในช่วงแรก เพื่อที่จะสามารถเพิ่มยอดขายได้ หลังจากการประเมินผลแล้วพวกเขาก็จะตัดสินใจว่าจะใส่ราคากิกันท์ของพวกเขาอย่างไร

“ตอนนี้ข้าขอดูของจริงได้ไหม”

“โฮโฮ แน่นอน โปรดเชิญทางนี้”

ด้วยคำแนะนำของเมริว กลุ่มของลุคก็เริ่มเดินตามเมริวไป

จอมเวทเหล็กไหลและหัวหน้าภาคสนามหลายสิบคนกำลังประกอบชิ้นส่วนจำนวนมาก และเมริวก็ชี้ไปที่หนึ่งในนั้น

“ไม่นะ ตัวนี้เองหรอ”

ฟิลิปดูผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นกิกันท์ที่เมริวชี้ มันเป็นเพราะกิกันท์นั้นเหมือนกับตัวที่เขาเคยเห็นมาก่อน นั่นก็คือ กิกันท์ “สตริง” ที่คาเรนเคยขับ

สตริงเปิดตัวเมื่อ 30 ปีก่อน

“โปรดอย่าพึ่งผิดหวังไป นี่คือ สตริงที่สอง มันเป็นรุ่นที่มีการแก้ไขข้อบกพร่องของสตริงตัวก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ของเครื่องยนต์หลักของมันคือ 1,050 ไฟท์และเฟรมคอมโพสิตและถุงมือที่มีความยืดหยุ่นและการป้องกันที่ยอดเยี่ยม … “

เมริวอธิบายสเปคและประสิทธิภาพของสตริงที่สองอย่างชัดเจน

“เอาละ งั้นเรามาทดสอบมันดูกันเถอะ”

ด้วยคำพูดเหล่านั้น ฟิลิปจึงขึ้นไปลองขับสตริงท่สองอย่างเย็นชาและย้ายออกไปที่ลานสวนสนาม

หลังจากปรับตัวให้เข้ากับการเคลื่อนไหวได้แล้ว ฟิลิปก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง

กระหน่ำ!

บู๊!

โรเจอร์สกำลังชื่นชมประสิทธิถาพของกิกันท์ในขณะที่ฟิลิปก็กำลังทดสอบกิกันท์

“นี่เป็นกิกันท์ที่ดีทีเดียว ประสิทธิภาพของมันมีความเสถียรและการเคลื่อนไหวของมันก็ค่อนข้างราบรื่น”

“เจ้าก็คิดเหมือนกันใช่ไหม?”

“ใช่แล้วนายท่าน ด้วยประสิทธิภาพขนาดนี้ข้าคิดว่าเราก็คงจะตามหลังกิกันท์ของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสเพียงไม่ก่ก้าววเท่านั้น  และหากเรามีเงินเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ข้าว่าเราก็น่าจะได้รับการแนะนำให้รู้จักรุ่นอื่นๆที่ดีกว่านี้เช่นกัน”

โรเจอร์สเริ่มรู้สึกสนใจในกิกันท์เป็นอย่างมาก แต่ลุคก็ไม่มีเงินมากขนาดที่จะซื้อหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับมาซื้อพวกมันที่เหลือเมื่อมีโอกาส

หลังจากทำการทดสอบฟิลิปก็เข้ามาหาพวกเขาด้วยใบหน้าที่สดใสและพูดว่า

“ขอบคุณนายท่าน! มันเป็นอะไรที่ดีกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก”

“เจ้าจะขอบคุณทำไม? ข้ายังไม่ได้บอกว่าจะซื้อเลย”

“ทำไมท่านพูดแบบนั้นละ? ช่วยซื้อให้ข้าหน่อยเถอะ หากท่านซื้อให้ข้า ข้าจะภักดีต่อท่านไปตลอดตราบจนชั่วนิรันดร์เลย”

ความซุกซนของลุคเริ่มสร้างความหงุดหงิดให้กับฟิลิปเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าฟิลิปจะเป็นอัศวินที่เก่งกาจแค่ไหนแต่เขาก็อ่อนแอเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าลุค

ลุคยิ้มให้เมริล

“ข้าจะซื้อกิกันท์ตัวนี้”

“โฮโฮโฮ ท่านเลือกถูกแล้ว ข้ายังได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายของเราอีกว่า เราจะขายกิกันท์ตัวนี้ในราคา 27,000 เปโซสำรับไวทเคานต์รากันโดยเฉพาะ”

“โอ้ งั้นเจ้าก็สามารถร่างใบเสร็จได้เลย”

ราคาของกิกันท์คลาสนักรบมือใหม่ มักจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 เปโซ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้รับส่วนลดถึง 3,000 เปโซ

หลังจากลุคจ่ายเงินเสร็จ พวกเขาก็เริ่มขนสตริงท่สองขึ้นบนรถพ่วง

“เอ่อ.. นายท่าน”

เมื่อสตริงที่สองโหลดเข้าไปในช่องเก็บสัมภาระเสร็จ ฟิลิปก็ร้องเรียกขึ้นมา

“มีอะไร?”

“เราจะกลับไปตอนนี้เลยไหม?”

“ทำไม?  เจ้ามีอย่างอื่นที่อยากทำอย่างนั้นหรอ”

“ก็ตั้งแต่เรามาถึงที่นี่.…”

แบรนดอนเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้สุด ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย พระราชวัง,ปราสาทและริมทะเลสาบซึ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยของอาณาจักรมิลตัน มันนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคู่รักหนุ่มสาว

ลุคเห็นด้วยเนื่องจากพวกเขาเองก็ไม่ได้มีงานเร่งด่วนในมือ

“เอาล่ะหยุดพักหนึ่งวัน”

“เย้! ขอบคุณ!”

ในขณะที่ทั้งสองคนตัดสินใจ เมริวก็ยิ้มขึ้นหลังจากเห็นพวกเขา

“มันจะยากมากที่จะหาสถานที่ที่เหมาะสมกับรถพ่วงในเมือง ทำไมท่านไม่จอดมันไว้ที่หอคอยเวทมนตร์ของเรากันละ”

มันเป็นข้อเสนอที่ดีเพราะลุคเองก็กำลังตคิดอยู่ว่าเขาจะเอาเจ้ารถเข็นยักษ์ทนี่ไปเก็บไว้ที่ไหนดี

นั่นคือเหตุผลที่เขายอมรับข้อเสนอของเมริวและทิ้งรถพ่วงไว้ในหอคอยเวทมนตร์เฮริส…

 

อ่านอ้วกแตก อ่านประหยัด อ่านอย่างยืนหยัดอดทน

บทที่ 42  ความตื่นเต้นในหอคอยเวทมนตร์ (1)

สามวันหลังจากการพยายามลอบสังหาร

ลุคและพรรคพวกได้มาถึงแบรนดอนซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางที่เป็นที่อยู่อาศัยของมาร์ควิส

โดยปกติแล้วพวกเขาจะต้องใช้เวลานานถึงสองเท่าในการไปที่นั่น แต่พวกเขาสามารถไปถึงที่นั่นได้ก่อนกำหนดเพราะรถพ่วงที่พวกเขาได้รับมาระหว่างทาง

แบรนดอนเป็นเมืองทางตอนใต้ที่มีประชากรมากกว่าเมืองลาเมอร์ซึ่งเป็นเมืองการค้าและวัฒนธรรมที่พัฒนาแล้ว ที่แบรนดอนนี้มันมีทั้งหอคอยเวทมนตร์โรงเรียนและห้องสมุดขนาดใหญ่และเล็ก

“นี่คือเมืองหลวงในอดีตของอาณาจักรมิลตันใช่ไหม”

เมื่อลุคมาถึงจัตุรัสกลางของเมือง เขาก็ถามขึ้นเมื่อมองไปที่รูปปั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

“ใช่แล้ว ข้ารู้มาว่ามันถูกเรียกว่า “วอร์พอร์ท” ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ขุนนางในดินแดนนี้บางคนเรียกมาร์ควิสเมเยอร์สว่าเป็นราชา”

‘แน่นอน…’

เมื่อ 500 ปีก่อน เซย์ม่อนได้เข้ายึดครองเมืองหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นมันถูกเรียกว่าวอร์พอร์ต

เดิมทีเขาไม่ได้มีแผนหรือเจตนาอะไรที่จะไปโจมตีเมืองหลวงมิลตัน

แต่ในช่วงเวลานั้น ด้วยการที่อาณาจักรมิลตันเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรลิเบียย่า กษัตริย์ของมิลตัลจึงไปหาดยุคบาล็อคและขอกองกำลังทหารมาเพื่อกำจัดกองกำลังแห่งความมืดของเซย์ม่อน

อย่างไรก็ตามการโจมตีเมืองหลวงก็ง่ายเหมือนกับการดึงเกล็ดของมังกรที่กำลังหลับใหลอยู่ออกมา

ด้วยเหตุนั้นลุคจึงสามารถเดินเข้าไปในอาณาจักรมิลตันและเข้ายึดเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

“หุหุหุสถานที่นี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องต่างๆมากมาย ในตอนนั้นลอร์ดของที่นี่ยังมุดหัวหลบด้วยความกลัวขี้หดตดแหกอยู่ในนั้นอยู่เลย”

ลุคยิ้มขณะมองไปที่พระราชวังหินอ่อนสีขาวซึ่งปัจจุบันถูกใช้เป็นคฤหาสน์ที่พำนักของลอร์ดคนปัจจุบัน

จากนั้นโรเจอร์สก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมือง

“ตอนนั้นนักบวชแบรนดอนได้นำเอาความช่วยเหลือจากเทพธิดาเบลีซ มาขับไล่ราชาปีศาจและช่วยเหลือเมืองเอาไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองก็เปลี่ยนชื่อไปตามชื่อของนักบวชผู้ช่วยเมืองนี้เอาไว้”

“ความช่วยเหลือของเทพธิดา? อะไรวะนั่น… ไร้สาระ.. ข้าก็แค่ไม่อยากปฎิเสธคำขอของคนรู้จักเฉยๆ”

ใช่แล้ว แบรนดอนกับเซย์ม่อนนั้นเคยรู้จักกันมาก่อน

แบรนดอนซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาร์คบิชอปแห่งวอร์พอร์ตนั้นเคยเป็นคนที่รักษาเซย์ม่อนเมื่อตอนแรกๆที่เขาออกมาจากหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสพร้อมกับวงเวทย์ที่พังทลาย

เนื่องจากความกรุณาและเมตตาที่เขาเคยแสดงออกมาในอดีต เซย์ม่อนจึงไม่อาจปฎิเสธคำขอของเขาได้และยอมถอนตัวออกจากอาณาจักรนี้ตามคำขอของแบรนดอน

และเซย์ม่อนก็ไม่ได้มีเหตุผลที่จะยึดมั่นในอาณาจักรนั้นอยู่แล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมืองนี้รอดมาได้เพราะคุณงามความดีที่แบรนดอนได้แสดงออกมา ไม่ใช่เพราะพลังหรือวิญญาณของเทพธิดาปัญญาอ่อนอะไร

“อย่างไรก็ตามแม้กองกำลังแห่งความมืดจะถอนกำลังไปแล้ว แต่เมืองก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อต้านการรุกรานของอาณาจักรอื่นๆ ท้ายที่สุดแล้ว เมืองนี้จึงถูกยึดไปโดยดยุกบาล็อค”

“เช่นนั้น การที่ดยุกบาล็อคไปผูกมิตรกับอาณาจักรที่อ่อนแอกว่าก็เป็นเพราะมันต้องการที่จะขยายอาณาเขตนี่เอง”

ขณะที่ลุคกำลังฟังเรื่องราวของโรเจอร์ส รถพ่วงก็ได้ขับไปใกล้กับมุมหนึ่งของจัตุรัสซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส

‘เมื่อข้าคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ข้าก็ไม่ค่อยจะอยากซื้อกิกันท์ที่มาจากพวกมันเลยแหะ…’

มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “เราควรให้เพื่อนของเราอยู่ใกล้ๆ และควรให้ศัตรูของเราอยู่ใกล้ยิ่งกว่า” นั่นเป็นเพราะการรู้จักศัตรูคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

ลุคยังอยากรู้ด้วยอีกว่าหอคอยเวทมนตร์นี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างไรในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา

‘ถ้าสินค้าของพวกมันเป็นของดี ข้าก็จะซื้อมัน จากนั้นก็จะแยกส่วนมันออกจากกันแล้วหาข้อดีและข้อเสียของมัน แล้วจากนั้นจึงค่อยสร้างกิกันท์ที่สมบูรณ์แบบให้มากขึ้น!

ทันใดนั้นทหารยามคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาและขวางทางเข้าของพวกเขาเอาไว้

“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครๆก็เข้าไปได้ เฉพาะขุนนางที่สูงกว่าระดับการเข้าถึงขั้นต่ำเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปได้”

“ข้าเป็นผู้สืบทอดของไวเคานต์”

เมื่อเห็นลุคตอบกลับอย่างเย็นชา อัศวินก็มองเข้าไปข้างในแล้วปล่อยให้พวกเขาเข้าไป

แต่นั่นยังไม่สิ้นสุด มันยังมีพวกพ่อมดที่พวกเขาพบตอนเลือกซื้อกิกันท์ พวกเขาได้เข้ามาพูดคุยอย่าง…

“ท่านคือผู้สืบทอดของไวเคานต์รากันต์หรอ? ข้าได้ยินมาว่าท่านจน ท่านมีเงินพอที่จะซื้อกิกันท์จริงๆหรอ?”

เมื่อได้ยินคำถามจากพ่อมด โรเจอร์สและฟิลิปก็รู้สึกเหลืออดจนอยากจะตอบโต้กลับไป

อย่างไรก็ตามลุคก็ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ ลุคนั้นรู้ดีว่าพวกเขาคงจะไปฆ่าปาดคอพ่อมดพวกนั้นแน่ๆหากเขาไม่ห้ามเอาไว้

“เราอาจจะไม่มีเงิน แต่เราก็ไม่ได้เสียเงินไปโง่ๆเหมือนพวกเจ้า”

ลุคตอบกลับไปพ่อมดไป นั่นจึงทำให้เหล่าอัศวินรู้สึกโล่งใจมากขึ้น

‘ชิ ดูเหมือนว่าที่นี่จะยังเหมือนเดิมนะ!’

จากการดูจำนวนอาคารขนาดใหญ่และความยาวของรั้วและห้องประชุม มันก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสนั้นมีขนาดใหญ่เพียงใด

แต่พวกเขายังคงเพิกเฉยและดูถูกผู้อื่นเหมือนในอดีต

ไม่ ความจริงแล้วมันมีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือผู้คนที่นั่นดูเหมือนจะหยิ่งผยองมากขึ้น…

ในขณะที่ลุคแทบจะไม่สามารถยับยั้งความโกรธของเขาได้ โรเจอร์สก็พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ

“ขออภัยนายท่าน ที่ข้าไร้ความสามารถและทำให้ท่านต้องอับอายต่อหน้าผู้คน”

“ไม่เป็นไรนี่ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า ความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องได้รับการชดใช้ในภายหลังแน่นอน!”

ลุคปลอบใจโรเจอร์สที่รู้สึกแย่ ที่ทำให้ความภาคภูมิใจของลุคต้องเจ็บปวดและมัวหมองไป

และแล้วพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังหอคอยถัดไป….

 

บทที่ 41 แผนการของหอคอยเวทมตร์เวอร์ริทัส (2)

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐโวลก้า

คนสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันในห้องทำงานของบ้านพักข้าราชการ โดยมีธงสีแดงซึ่งมีแกนสองอันเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐ

หนึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสาธารณรัฐ  “วลาดิเมียร์ เรคอฟ” และอีกฝ่ายเป็นหญิงเผ่าดาร์คเอลฟ์ “ซิลเวีย อาราตรา” หัวหน้าหน่วยที่ 2 ของหน่วยข่าวกรองโวลก้า

“แล้ว.. สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อก็คือ “น้ำตาของโลก” ไม่ได้อยู่ในโวลก้าอย่างนั้นหรอ?”

ซิลเวียตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ใช่ค่ะท่าน”

“อืม.. แล้วเจ้าหญิงเรย์น่าล่ะ?”

“ผู้ที่จับตาดูเจ้าหญิงเรย์น่าเองก็บอกว่าเจ้าหญิงไม่ได้มีน้ำตาของโลกไว้ในครอบครองเช่นกันค่ะ”

น้ำตาของโลกนั้นเป็นสมบัติของราชวงศ์ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีตำนานเล่าว่า มันได้ทำให้ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาในพื้นที่ที่แห้งแล้งของโรดีเซียในช่วงที่เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่

เป็นที่รู้กันว่ามันอยู่ในมือของราชวงศ์ แต่มันก็ไม่เคยมีการระบุว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เกิดภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ในราชอาณาจักร มันก็จะมีการกล่าวกันว่ามันจะปรากฏขึ้นและแก้ไขปัญหาและก็หายไปอีกครั้ง

มันทำให้ผู้คนต่างมองว่ามันเป็น ‘น้ำตาของพระเจ้า’ ที่ป้องกันภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามชาวโวลก้าบางคนก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป

น้ำตาของโลกนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการไขความปรารถนาอันยาวนานที่สุดของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเข้าร่วมการปฏิวัติของพรรครีพับลิกันเพื่อให้ได้มาซึ่งกุญแจสำคัญและได้ครองพระราชวังในที่สุด

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาพระราชวังมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูเหมือนกับวัตถุที่ว่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันอาจเป็นพวกคนในราชวงศ์ที่เป็นคนเอามันไป

พวกเขาจึงวางสายลับไว้สืบเรื่องพวกนี้แต่ทั้งราชินีและเจ้าหญิงก็ไม่ได้มีมันไว้ในครอบครอง

เมื่อมองย้อนกลับไปในประเทศเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ พวกเขามองหาทุกสิ่งทุกอย่างและทุกเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์และทรัพย์สินของพวกเขา

แต่ท้ายที่สุดแล้ว…น้ำตาของโลกก็ยังคงเป็นปริศนา

“ถ้าน้ำตาของโลกอยู่ในทวีปทางใต้ล่ะ?”

“นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้ ไฮร์เอลฟ์เออร์เนสได้กล่าวว่ามันอยู่ในทวีปโรดีเชีย”

“อืม นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก”

ในความเป็นจริง เรคอฟได้ถอดใจไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้วกับการค้นหาน้ำตาของโลก พวกเขาเริ่มคิดว่ามันเป็นการสูญเสียซะมากกว่าที่จะตามมาหาสิ่งของที่ไม่มีใครรู้จัก

แต่แตกต่างจากความคิดของพวกที่เรียกตัวเองว่า “แฟรี่”

ในหมู่พวกมีเขาเอลฟ์รวมไปจนถึงดาร์กเอลฟ์ พวกเขาทำเหมือนกับว่ามันเป็นชะตากรรมของมนุษยชาติที่จะต้องตามหาน้ำตาของโลก

‘อ่า.. ถ้าพวกแฟรี่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติ ข้าก็คงจะไม่สนใจพวกมันแน่นอน…’

อย่างไรก็ตามนางฟ้านั้นเป็นหนึ่งในสามเสาหลักที่นำการปฏิวัติและยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเสา “ดาร์คมูน”

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ประธานาธิบดีไม่สามารถเพิกเฉยต่อคำขอของพวกเขาได้

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”

“อนุญาตให้ข้าได้พาตัวเจ้าหญิงเรย์น่ามาที่นี่”

“เธอ?”

ประธานาธิบดีประหลาดใจ

‘นี่มันบ้าไปแล้ว เธอบ้าไปแล้ว!’

การจะลักพาตัวเจ้าหญิงจากจักรวรรดิบาล็อคทางใต้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และการลักพาตัวเธอก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอีกมากมายตามมาทีหลัง

การลักพาตัวเจ้าหญิงที่ถูกขนานนามว่า “นักบุญ” อาจจะทำให้ทวีปทั้งทวีปตำหนิพวกเขาได้ และมันอาจจะทำให้อาณาจักรต่างๆต่อต้านสาธารณรัฐสำหรับการกระทำนั้น

แต่นั่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสาธารณชนรู้…

“แฟรี่นั้นจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการอะไรบางอย่าง”

โดยปกติ แฟรี่นับเป็นพวกที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงามเมื่อเทียบกับมนุษย์

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาโกรธ พวกเขาก็จะน่ากลัวจริงๆและเป็นความจริงที่รู้จักกันดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจยอมรับคำขอของพวกเขา

“ตกลง ข้าจะยอมอนุญาต แต่เจ้าต้องทำอย่างสุภาพที่สุด เนื่องจากความพยายามของเธอในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจึงทำให้มุมมองด้านมนุษยธรรมของเธอได้รับการยกย่องจากสาธารณรัฐไปด้วย”

“ตกลง”

ในวันที่ประธานาธิบดีได้ทำการอนุมัตินั่นเอง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรองในจักรวรรดิบล็อคก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน….

 

บทที่ 40 แผนการของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส (1)

แม้ว่าบริษัทอารอนจะมีชื่อเสียงในด้านธุรกิจทำเงิน แต่ในอาณาจักรบาล็อค มันก็ยังตกเป็นเหยื่อที่ใครหลายๆคนหมายตา

กว่า 100 ปีที่บริษัทมีสิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมากมายและยังสามารถทำกำไรไปได้มากพอจะใช้ถมที่ดิน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทนี้จึงเป็นเป้าสายตาของเหล่าขุนนาง

เทรินซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการของบริษัทเองก็ถูกขอให้ไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ

สถานที่ที่เขาถูกเรียกไปนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่และมีโคมไฟเพียงอันเดียวแขวนอยู่บนห้อง

ตอนนั้นเอง คนที่เทรินกำลังรออยู่ก็ได้มาถึงและกำลังยื่นมือมาหาเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสามัญชนกำลังจะได้จับมือกับจักรพรรดิ

อึก!

‘เขาคือหัวหน้าการพาณิชย์อย่างนั้นหรอ? คนแบบนี้ต้องการอะไรจากข้ากันนะ…?”

ก่อนหน้านี้เทรินได้เคยไปพบกับเจ้านายของเขาก่อนที่จะไปที่นั่น

เจ้านายของเขาซึ่งเป็นลุงของเขาเองก็เตือนเขา

“เจ้าอย่าได้ไปทำอะไรที่เป็นการเสียมารยาทต่อเขาเชียว เพราะเขาถึงเป็นหัวหน้าการพาณิช”

แน่นอนว่ามันน่าแปลกใจที่ได้รู้ว่าหัวหน้าการพาณิชได้เรียกเขาเข้าพบ แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือการแสดงออกที่น่ากลัวบนใบหน้าของลุงของเขา

ลุงของเขานั้นไม่เคยเกรงกลัวใครแม้กระทั่งขุนนางชนชั้นสูงเองก็ตาม มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เทรินคิดว่าเขาอาจจะเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ

ในขณะที่เขากำลังงงงวย เขาก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูบึ้งตึงดังจากด้านหน้าของเขา

“อ่า.. เจ้า.. คือ.. เทริน.. คนนั้น?”

เมื่อเทรินยินวิธีการพูดของเขา เขาก็เริ่มคาดเดาอายุของชายตรงหนใหม่อีกครั้ง

เทรินตอบด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

“ใช่ครับ แต่เหตุผลอะไรที่ทำให้ท่านเรียกข้ามาที่นี่?”

“ปีที่แล้ว.. เจ้าใช่ไหม.. ที่ได้ทำเรื่องดูแล.. การซื้อขายของ.. ปราสาทของเซย์ม่อน หึๆ.. มานี่ ขยับเข้ามาใกล้ๆสิ”

‘ฮึก? รับทราบ!”

ทันทีที่เขาได้ยินคำถาม ใบหน้าของเทรินก็แข็งทื่อไป

เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ

เทรินเริ่มร้องไห้และล้มลงบนพื้นทันที

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่!”

“คิๆ นี่เจ้า.. คิดว่า.. ข้าจะ.. ฆ่าเจ้า .. งั้นรึ? จงบอกข้ามา.. ทำไม.. เจ้าถึงทำ..  ถารกิจล้มเหลว”

เทรินคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจกำลังโกหก เขาจึงลังเลอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะตอบออกไป

ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดี

“ฮะ ลอร์ดหนุ่ม ไปที่. สนามปรพลอง. กิกันท์.  ในเมืองลาเมอร์.. เลยได้เงิน.. ด้วยการ. พนัน. ทั้งหมด. ข้าง. เจ้าหญิงเรย์น่า..?”

“ถูกแล้ว นั่นคือข้อมูลที่ข้าได้มา”

“อืมถ้าอย่างนั้น เคานต์โมนาร์ช. ก์คงจะ.. อยู่ไม่นิ่งแน่นอน..”

“ตามพฤติกรรมของท่านเคานต์ เขาคงคิดที่จะตอบโต้เจ้าหนุ่มนั่นอย่างแน่นอน”

“หึหึ.. ความตะกละของหมู.. ก็เหมือนกับคนนี่แหละ”

เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้ชายตรงหน้ารู้สึกไม่ดี เทรินจึงเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า

“แต่เกี่ยวกับปราสาทของราชาปีศาจ…?”

“อะไร.. เกี่ยวกับมัน. นี่เจ้า.. ซื้อมัน.. ไปแล้วหรอ?”

“ไม่! แม้ว่าจะมีอัศวินและผู้คนมากมายที่สรรเสริญและชื่นชอบในการกระทำของรากันต์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาก เพราะมันไม่สามารถที่จะสร้างเม็ดเงินให้กับพวกเราได้มากนัก…”

แม้ว่าเขาจะทำตามคำแนะนำจากคนที่สูงกว่า แต่เทรินก็มักจะสงสัยเกี่ยวกับคำสั่งเหล่านั้น

“หึๆ.. ปราสาทนั่น. และ. . พื้นที่รอบๆ.. มันมี.. ความลับ.. ที่.. ผู้คน.. ไม่รู้.. ซ่อนอยู่..”

“ความลับ?”

“ใช่. ข้าเอง.. ก็พึ่งรู้.. เกี่ยวกับ.. มันเมื่อ. ไม่กี่. ปี.. ที่ผ่านมา.. ปราสาท. และ. พื้นที่บริเวณนั้น.. มัน.. ตั้งอยู่. ใน. สถานที่. ที่. . กระแสมานา. ของธรรมชาติ.. ไหลผ่าน.. มันทำให้.. มานาที่นั่น.. มีความเข้มข้น.. และนั่น.. คือ. ตัวช่วย.. ที่อัศวิน.. คนหนึ่ง. จะ. สามารถแสดง..ความเร็ว. ใน. การเจริญเติบโต.. ได้.. มันจึง.. เป็นทำเลที่ดี… ในการก่อตั้ง..  หอคอยเวทมนตร์..  หรือ.. ห้องวิจัย”

“ทุ่งมานารอบปราสาทราชาปีศาจ?”

การมีกระแสมานานั่นหมายถึงการที่กระแสมานาจะมารวมตัวกัน

ผู้คนเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่าทุ่งมานาและถือว่าสถานที่เหล่านั้นดีรับการอวยพรจากมานา

หอคอยเวทมนตร์ต่างๆนาทวีปนี้เองก็ตั้งอยู่ในทุ่งมานาเช่นกัน

นอกจากนี้สถานที่ต่างๆเช่นพระราชวังและสถานศึกษาของทุกประเทศก็ยังตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีระดับมานาที่แตกต่างกัน

“ตอนนี้.. เจ้าก็เข้าใจ… แล้วใช่ไหม… ว่าทำไม.. ข้าถึง.. ต้องการ… สถานที่.. นั่น..”

“ใช่ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจอย่างชัดเจน!”

เทรินที่เข้าใจเหตุผลก็พยักหน้า

ทุ่งมานานั้นนับเป็นพื้นที่ที่ผู้คนต่างก็คลั่งไคล้ที่จะได้ครอบครอง

มันเป็นเรื่องปกติมาก ที่จะเห็นทหารหลายหมื่นคนต้องตายในสนามมานา

ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าดินแดนของพวกเขามีทุ่งมานาอยู่ แต่ลอร์ดส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้

แต่คนเหล่านี้รู้ความลับนั้น!

“ข้า.. ข้า.. ข้า…ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ข้าจะไม่พูดถึงสิ่งที่ข้าได้ยินในวันนี้!”

“ถ้าอย่างนั้น.. ข้าก็ควร.. จะปล่อยเจ้าไป..?”

“ได้โปรดให้ข้าได้มีชีวิตอยู่…เอ๊ย!”

ทันใดนั้นชายตรงหน้าเขาก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้

ในที่สุดเทรินก็ได้ทราบว่าเขานั้นเป็นพ่อมด

สัญลักษณ์ที่สลักไว้บนเสื้อคลุมคือดอกลิลลี่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพ่อมดผู้สูงศักดิ์แห่งหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส ซึ่งเป็นหนึ่งในสองหอคอยเวทย์มนตร์หลักในทวีป

สัญชาตญาณดั้งเดิมและความกลัวเริ่มบอกให้เขาวิ่งหนีออกไป

เมื่อเทรินมองกลับไปที่พ่อมด เขาก็เห็นหวักะโหลกที่มีออร่าที่ดูชั่วร้ายเล็ดรอดออกมาและดวงตาที่เป็นออบซิเดียน

เขาก็คือลิช สิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะด้วยพลังแห่งความมืด

“มา.. นี่.. เจ้าจะ..  ไม่เจ็บหรอก..”

“หยึย! ไม่! ปล่อยกูไป! อ้าก!”

ขณะที่เทรินกำลังดิ้นรน ร่างกายของเขาก็เริ่มถูกลากเข้าหาลิซดดยไม่สามารถทำอะไรได้

“อย่า..กลัวไป..เจ้า..จะ..ได้เป็น..ส่วนหนึ่ง..ของข้า!”

จึก!

ในขณะเดียวกันกับที่เสียงดังขึ้น เทรินก็ถูกแทงเข้าที่หน้าอกและถูกตวักหัวใจออกมาในที่สุด

ลิชเริ่มกัดกินหัวใจของเทริน

น้อมนาม! หยด!

ทุกครั้งที่เขากัดไปที่หัวใจของเทริน เลือดก็จะหยดลงไปบนพื้น ภายใต้แสงเทียน โครงกระดูเริ่มสร้างกล้ามเนื้อและเปลี่ยนร่างเป็นเทริน มันไม่ได้เปลี่ยนไปแค่รูปลักษณ์เท่านั้น มันยังคงเปลี่ยนเสียงตามไปด้วยเหมือนกัน

“รากันต์.. พวกแกนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ต้องลงมือเองสินะ”

รอยยิ้มเริ่มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของลิช

ไม่นานสิ่งมีชีวิตที่มาจากความมืดก็จางหายไปอีกครั้ง

ร่างที่ถูกแทงของเทรินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและแล้วแสงเทียนก็ดับลง…

 

 

 

บทที่ 39 การถูกโจมตี (4)

ว้าก! ย้าก!

เมื่อหน้าผาเริ่มทรุดตัวและถล่มลงไป เหล่าสมาชิกของอัศินเงาก็เริ่มล่วงหายไปทีละคน

“อั้ก!”

“อ้า.. ช่วยข้าด้วย!”

พวกเขาพยายามดิ้นรนอย่างมากที่จะไม่ตกลงไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะกรณีของกิกันท์

เนื่องจากมันมีน้ำหนักมาก พวกเขาจึงตกจากหน้าผาที่ขรุขระเร็วกว่าอัศวินเงาและได้รับความเสียหายมากกว่าอย่างมาก

“ออร์คนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะโดนโคบอลกากๆแบบนี้เล่นงานนะ”

ลุคมองลงไปและยิ้ม

เขาตรวจสอบสภาพของพื้นก่อนที่จะเรียกโกเลมของเขา

มันดูเหมือนจะยากสักหน่อย แต่ด้วยแรงที่พอเหมาะของโกเลม มันก็ดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะทำลายมันได้

นอกจากนี้พวกมือสังหารยังวิ่งและกระโดดไปมาอย่างโง่เขลาใกล้ๆกับกิกันท์ นั่นจึงเป็นผลให้พวกมันยิ่งตกไปเร็วขึ้น

ธรรมชาติคือการฆ่าที่ขาวสะอาด

“ถึงแม้พวกมันจะพยายามหาที่จับยังไง แต่จากความสูงระดับนี้ก็ไม่มีทางรอดไปได้หรอก…”

ทันใดนั้นเองลุคก็รู้สึกประหลาดใจกับพลังอันแหลมคมที่เคลื่อนไหวในความมืดซึ่งทำให้เขาหยุดพูด

ขณะที่เขาขยับร่างกาย กริชที่มาจากด้านล่างก็ผ่านร่างของเขาไป

“อึก!”

“ไอ้เหี้ยนี่!”

ทิเกลกรีดร้องขณะที่เขากำลังปีนขึ้นไปบนหน้าผา

ไม่เพียงแค่นั้น มันยังมีอีกสี่คนที่รอดชีวิตมาได้

แม้ว่าเหล่าพ่อมดจะเคลื่อนที่อย่างลุกลี้ลุกลนและไม่สามารถใช้เวทมนตร์บินได้ แต่พวกเขาก็ยังรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ด้วยการใช้ดาบยึดไว้กับหน้าผา

พวกเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับปีศาจที่คลานมาจากส่วนลึกของนรก

“กูจะไม่ฆ่ามึง กูจะทรมาณมึงไปเรื่อยๆจนกว่ามึงจะร้องขอให้กูฆ่ามึง!”

“ชิ โจมตีมัน!”

ลุคสั่งให้โกเลม

อย่างไรก็ตามมือสังหารทั้ง 5 คนที่รอดชีวิตจากหน้าผาถล่มก็สามารถหลบหมัดของโกเลมได้

หลังจากหลบการโจมตีของโกเลมได้แล้ว พวกเขาก็วิ่งเข้าหาลุค

“วายุทมิ…อ๊ะ!”

ขณะที่ลุคพยายามจะเป่ามือสังหารด้วยเวทย์พายุ เขาก็ต้องหยุดไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในทรวงอกของเขา

เมื่อการร่ายเวทมนตร์ล้มเหลว ดาบของมือสังหารก็พุ่งเข้ามาหาเขาโดยไม่ลังเล

“กั๊ก!”

ดาบของทิเกลเฉือนผ่านแก้มของลุคไปเล็กน้อย

มือสังหารทั้งสี่พยายามเจาะแขนซ้าย,มือขวาและต้นขาและน่องของลุค แม้จะหลีกเลี่ยงบาดแผลฉกรรจ์ได้ แต่ลุคก็ไม่โชคดีพอที่จะหลีกเลี่ยงการโจมดีได้ทั้งหมด

เช่นเดียวกับที่ทิเกล ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เขาจงใจหลีกเลี่ยงการโจมจีจุดสำคัญเอาไว้

ทิเกลพุ่งเข้าหาลุคและเสียบดาบของเขาเอาไว้ใกล้ไหล่ของลุค เขาค่อยๆแทงมันอย่างช้าๆ

“คราวนี้กูจะควักเนื้อของมึงออกมาให้เห็นถึงกระดูกแล้ว…”

ทันใดนั้นทิเกลก็หยุดพูดไป

ลุคกำลังใช้มนต์ดำแม้ว่าเขาจะทุกข์ทรมาน

“อ้ากก! เถาวัลย์แห่งความมืด”

ถุย! ฮิ้วว!

เถาวัลย์สีดำออกมาจากพื้นดินและในขณะนั้นเองมันก็จับร่างของมือสังหารไว้

“นี่มันอะไรกัน!”

ทิเกลพยายามดึงเถาวัลย์ที่มัดร่างกายของเขาออก แต่มันก็พันล้อมรอบเขาอย่างยุ่งเหยิง

นั่นคือเหตุผลที่เขาดึงดาบออกมาเพื่อตัดมันออก

แต่ตลอดเวลานั้นออร่าของเขาถูกดูดโดยเถาวัลย์สีดำ

ยิ่งเขาโจมตีพวกมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูดซับออร่าของเขามากขึ้นเท่านั้น

‘นี่นี่!’

ไทเกลมองไปที่ลุคด้วยดวงตาเบิกกว้าง

ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าออร่าในร่างกายของเขากำลังถูกดูดออกไป     เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผลมาจากเวทมนตร์แปลกประหลาดนี่เองที่ดึงพลังของเขาไป…

“โอ้ เวทมนตร์แห่งความมืด…!”

ทายาทแห่งรากันต์ใช้เวทมนตตร์แห่งความมืดอย่างนั้นหรอ?

“แคร็ก!”

ทิเกลพยายามจะพูดมากขึ้น แต่ลุคก็ไม่เปิดโอกาส เขาสั่งเถาวัลย์แห่งความมืดให้เคลื่อนไหวเร็วขึ้นและร่างกายของทิเกลก็เริ่มบิดงอ

รัศมีและความมีชีวิตชีวาของทิเกลเริ่มถูกดูดซับมาที่ลุค

บาดแผลของลุคเริ่มหายเป็นปกติ อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเขาไม่เปลี่ยนแปลง

“ความจริงแล้วมันเป็นเทคนิคที่ใช้ในการดูดซับพลังของปีศาจ แต่ตอนนี้ข้ากำลังใช้มันกับมนุษย์!”

ในอดีตเขาเคยเรียนรู้เวทมนตร์แห่งความมืดและสาบานว่าจะไม่ใช้มันกับมนุษย์

แต่ตอนนี้ คำสัญญาได้พังทลายลงไปแล้ว

มันช่วยไม่ได้ ที่เขาต้องทำแบบนี้ก็เพื่อเอาชีวิตรอด อย่างไรก็ตามหัวใจของเขาตอนนี้กำลังหนักอึ้งเพราะความรู้สึกผิดที่เขาได้ฝ่าฝืนคำปฏิญาณที่เขาให้ไว้ในอดีต

ลุคหันไปหามือสังหารทั้งสี่ที่ยังมีชีวิตอยู่

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกเถาวัลย์ล้อมรอบ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขยับไปได้ได้ พวกเขาทำได้แค่มองไปที่ฉากที่กัปตันของพวกเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเสียชีวิตไปอย่างไร้ประโยชน์

พวกเขานั้นเพิ่งได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความน่ากลัวของอำนาจมืด พวกเขาเคยได้ยินแต่ในเรื่องราวเก่าๆเท่านั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขามาก่อน

“อื้อ! ชะ ช่วยข้าด้วย…”

“เจ้าจะพูดได้ก็เฉพาะในตอนที่ขาสั่งให้เจ้าพูด ทีนี้พูดมา ใครเป็นคนสั่งให้พวกเจ้ามาฆ่าข้า”

“โกท มันคือโกท”

“โกท? มันเป็นใครกัน?”

*“โกท? มันเป็นใครและทำอะไรที่ไหนแบบไหนอย่างไร?”

“มันคือเลขานุการและที่ปรึกษาของเคานต์โมนาร์ช”

“นั่นสินะ…”

ใบหน้าของลุคบิดเบี้ยว

เพราะสิ่งที่เขาทำในเวทีสนามประลองกิกันท์ เคานต์โมนาร์ชจึงต้องการฆ่าที่จะฆ่าเขา

ลุคไม่เพียงแค่ช่วยเจ้าหญิงเรย์น่าเท่านั้นแต่เขายังได้รับรางวัลอีกมากมายจากที่เขาเดิมพันไปด้วย

เมื่อพิจารณาว่ามีการพยายามลอบสังหารก่อนหน้านั้นก็สามารถวางไว้ได้

แน่นอนว่าการพยายามลอบสังหารครั้งอื่นอาจไม่ใช่การกระทำของเคานต์โมนาร์ชแต่สัมผัสที่หกของลุคก็กำลังพูดเป็นอย่างอื่น

“ทำไมเคานต์โมนาร์ชถึงพยายามจะฆ่าข้า? มันเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีสนามประลองกิกันท์งั้นหรอ?”

“ข้า ข้าไม่รู้อะไรเลย…เอ่อ! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”

ร่างของนักฆ่าคนหนึ่งถูกดูดลงไปที่พื้น

มือสังหารคนอื่นๆต่างหวาดกลัวและเรื่มร้องขอชีวิตของพวกเขา แต่ลุคก็ไม่สนใจ

“ข้าจะไว้ชีวิตใครก็ตามที่สามารถบอิกได้ว่าทำไมเคานต์โมนาร์ชถึงพยายามฆ่าข้า””

“ข้าไม่รู้จริงๆ!”

“พวกเราแค่รับคำสั่งมาจากโกท…. อ้า!”

มือสังหารเหล่านี้เพยงแค่ทำตามคำสั่งนาย เอ้ย คำสั่งของเตานต์โมนาร์ชเท่านั้น

ในท้ายที่สุดพวกมันทั้งหมดก็ถูกดูดลงไปในพื้น

หลังจากจัดระเบียบเรียบร้อยแล้วลุคก็กัดฟันนึกถึงพ่อบ้านของเคานต์โมนาร์ช

“เคานต์โมนาร์ช…หึๆ ถ้าเขาอยู่ใกล้ๆข้า ข้าจะฆ่าเขาแบบไม่ลังเลแน่นอน”

เขานั้นค่อนข้างคล้ายกับดยุกบาล็อคแม้ว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม

“ข้าละอยากจะไปที่นั่นแล้วฆ่าเขาทันทีจริงๆ แต่ข้าจะต้องปล่อยให้เรื่องต่างๆดำเนินไปตั้งแต่ตอนนี้เพราะข้าได้ชื่อเจ้ามาเพราะความพยายามลอบสังหารครั้งนี้’

ในขณะที่ลุคครุ่นคิดอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงของโรเจอร์สและฟิลิปจากด้านหลัง

“นายน้อย! ท่านอยู่ที่ไหน?”

“นายท่าน!”

ลุครีบส่งโกเลมกลับเข้าไปในพื้นที่ซับสเปสด้วยความช่วยเหลือของกำไล จากนั้นเขาก็ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่ามีร่องรอยเมไจหลงเหลืออยู่หรือไม่

หลังจากตรวจสอบเสร็จ ทั้งสองก็มาถึง

ดูเหมือนพวกเขาจะหมดแรงและได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใด

“ท่านปลอดภัยสินะ!”

“อ่านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

ขณะที่พวกเขากำลังดีใจ พวกเขาเปลี่ยนมาตกใจแทนเมื่อเห็นว่ามันมีร่องรอยหน้าผาถล่มลงมา

“นีมันเกิดอะไรขึ้น?”

“ตอนนั้นข้ากำลังวิ่งหนีมาทางนี้ แล้วจู่ๆพวกมันก็มาโผล่ที่นี่และขวางทางข้า แถมพวกมันยังพากิกันท์มาด้วย พวกมันพยายามดึงข้าไป แต่แล้วพื้นดินก็พังทลายลง”

“ห๊ะนั่น…”

โรเจอร์สรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ลุคเล่า แต่เขาก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้อีก เพราะเขาคิดว่ามันเพียงพอแล้ว

“ท่านโชคดีจริงๆ”

“ใช่แล้ว แม้แต่รากันต์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถมองข้ามท่านไปได้แน่นอน”

เมื่อได้รับคำชมจากฟิลิปเกี่ยวกับรากันต์ ใบหน้าของลุคแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

สิ่งที่ฟิลิปพูดมานั้นห่างไกลจากคำอวยพรหลายขุม เพราะคำสาปของตระกูลรากันต์นั้นเกือบจะทำให้เขาตายไปแล้ว

“ความเจ็บปวดที่ข้ารู้สึกก่อนหน้านี้มันได้หยุดวงเวทย์ในหัวใจของข้าไป”

คำสาปนั้นกำเริบในสถานการณ์ที่อันตรายจริงๆ

ถ้ามันเกิดกับคนอื่นที่ไม่ใช่ลุค พวกเขาก็อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว

“ไอ้บ้าเอ้ย! ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าใครมันเป็นคนสาปกันแน่”

ในขณะที่ลุคกำลังคิดอยู่ โรเจอร์สก็ถามขึ้นมาว่า

“อาจมีพวกมันมาไล่ล่าเรามากกว่านี้ ดังนั้นข้าว่าเราต้องรีบไปที่ลาเมอร์แล้ว”

“ไม่ เราจะไม่ไปที่ลาเมอร์”

“เอ่อ… ท่านหมายความว่ายังไงกัน”

มันเป็นแผนเดิมของพวกเขาที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองลาเมอร์และซื้อกิกันท์ แต่โรเจอร์สก็รู้ดีว่ามันต้องมีเหตุผลแน่นอนที่ทำให้ลุคเปลี่ยนแผนกะทันหัน

ลุคไม่สามารถพูดได้ว่าเขาใช้เวทมนตร์แห่งความมืดเพื่อจัดการมือสังหาร

“ข้าได้ยินเสียงของหนึ่งในพวกมัน และเมื่อข้าคิดดูดีๆ มันก็เหมือนกับเสียงของคนที่ข้าเคยเจอตอนไปยังเมืองลากมอร์ครั้งก่อน”

“จริงหรอ?”

“ใช่แล้ว เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าจะสื่อใช่ไหม?  ตอนที่ข้าไปที่ห้องซ่อมบำรุงของตระกูลลิปปี้? ใช่ มันคือหนึ่งในอัศวินของเคานต์โมนาร์ช”

นั่นทำให้การแสดงสีหน้าของโรเจอร์สดูแข็งกร้าว

“ถ้าอย่างนั้น…มันอาจเป็นเคานต์โมนาร์ชที่ส่งมือสังหารมา”

“นั่นอาจเป็นได้ แต่เรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะระวังไว้ก่อน”

“งั้นเราไปที่แบรนดอนกันเถอะ มันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของจักรวรรดิและมีหอคอยเวทมนตร์ขนาดเล็กอยู่ที่นั่นด้วย”

“เอาล่ะงั้นไปที่แบรนดอนกัน”

ลุคพยักหน้าตามแผนการที่ฟิลิปเสนอ

เมืองแบรนดอนอยู่ห่างไกลออกไป แต่ควรหลีกเลี่ยงอันตรายให้มากที่สุด และเนื่องจากมีหอคอยเวทย์มนตร์มากมายมันจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ได้ศึกษาและเรียนรู้จากที่นั่น

ทั้งสามคนพักผ่อนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงค่อยลงมาจากภูเขาในตอนเช้า

….

“นั่นใช่รถพ่วงรึเปล่า”

“ใช่ บางทีอาจเป็นของพวกมือสังหารที่ใช้ในการขนส่งกิกันท์ ดูเหมือนพวกเขาจะทิ้งมันไว้ตอนที่ไล่ล่าเรา”

“ถ้าอย่างนั้น เราก็ใช้มันกันเถอะ”

“แต่เรายังต้องการตัวช่วยเพื่อใช้ในการควบคุมมัน…โอ้ใช่ ท่านรู้จักเวทมนตร์ใช่ไหม”

“ใช่ แต่ข้ายังเป็นแค่มือใหม่…”

ในตอนแรกลุครู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานการจัดการรถพ่วงก็ดูเหมือนจะง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก

มันเริ่มต้นด้วยการใส่มานาบางส่วนลงไปในลูกบอลคริสตัลซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องจักรไอน้ำ

แน่นอนว่าการใช้เวทมนตร์โดยไม่ให้ถูกจับได้นั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่ลุคก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี

จากนั้นเขาก็ดึงคันโยกไปข้างหน้าและรถพ่วงก็เริ่มเคลื่อนที่อย่างช้าๆ มันสามารถควบคุมทิศทางของรถพ่วงได้โดยใช้แท่งควบคุมครึ่งวงกลมซึ่งเรียกว่าพวงมาลัยเพื่อปรับทิศทางล้อ

หลังจากผ่านการทดสอบไปสองสามครั้ง ลุคก็เรียนรู้วิธีที่จะเลี้ยวและตีโค้ง

หลังจากเรียนรู้ทุกอย่างเสร็จพวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังแบรนดอน โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันจะมีอะไรหรือใครที่รอพวกเขาอยู่ที่นั่น….

 

บทที่ 38 ถูกโจมตี (3)

“นั่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆนายน้อย”

“ใช่แล้ว นั่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

โรเจอร์สและฟิลิปต่างก็ชื่นชมความพร้อมของลุค

แม้ว่าพ่อมดคนอื่นๆก็สามารถทำแบบนั้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าลุคจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้

พวกเขานั้นรู้ว่าลุคไม่ใช่พ่อมด มันจึงทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นลุคใช้เวทมนตร์

“ลูกเล่นที่ท่านเพิ่งใช้ไปเมื่อกี้นี้คือเวทมนตร์ใช่ไหม”

“ท่านแม่ทัพ ข้ารับรองได้ว่านายน้อยของเราจะต้องเป็นอัศวินรูนอย่างแน่นอน…”

“ถ้เจ้ามีแรงมากพอจะพูดแบบนั้น งั้นก็จงวิ่งให้เร็วขึ้นซะ!”

ลุคและพรรคพวกกำลังวิ่งลงจากภูเขา

บางทีมันอาจจะมีที่ซ่อนตัวดีๆที่พวกเขาจะสามารถหลบซ่อนได้ เพราะหากพวกอัศวินเงานนั้นตามมาทันนั่นก็จะหมายถึงปัญหาได้เข้ามาหาเขาเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีปัญหาที่พวกเขาคิดไม่ถึง

การซ่อนตัวจากศัตรูเป็นอะไรที่ง่ายก็จริง แต่มันจะใช้ความแข็งแกร่งอย่างมากมาก

ฟิลิปและโรเจอร์สเป็นอัศวินผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาจึงได้รับการฝึกฝนให้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และโชคดีเช่นกันที่ลุคเพิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายด้วยคริสตัลเมไจสำเร็จ

แต่การจะสลัดหรือกำจัดพวกอัศวินเงาที่ไล่ตามพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเมื่อพวกมันกำลังขี่ม้าตามมา

อัศวินเงาเหล่านั้นมีความสามารถในการติดตามและค้นหาที่ดีมากและพวกมันก็ยังเป็นมือสังหารต่ำทรามมากเช่นเดียวกัน

“ นั่นไง!”

“บ้าจริงพวกนี้ตื้อมากจริงๆ!”

ขณะที่กลุ่มอัศวินเงายังคงไล่ตามพวกเขาฟิลิปตัวสั่น

โรเจอร์สผลักดันไปข้างหน้าด้วยท่าทางที่มั่นคง

“เราจะซื้อเวลาให้ท่านเอง นายน้อยท่านควรหลีกเลี่ยงพวกมันก่อน”

“อย่างไรก็ตาม…”

“โปรดอย่ากังวล พวกเราไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดจะถูกพวกกากๆพวกนี้เล่นงานหรอก”

ลุคนั้นรู้ถึงเรื่องนี้ดี

ถ้าลุคยังอยู่ที่นั่น ทั้งสองคนก็จะถูกบังคับให้ต่อสู้และปกป้องลุคในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาต้องรับภาระที่หนักขึ้นเป็นอย่างมาก

‘แน่นอนว่าถ้าข้าใช้โกเลมหรือเวทมนตร์แห่งความมืดสิ่งต่างๆก็จะง่ายขึ้น…’

มีหลายสิ่งที่ต้องทำในอนาคต แต่จะเป็นการดีจริงๆหรอที่จะเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ และหากแม้แต่คนรับใช้คนใดคนหนึ่งเกิดสงสัยในสิ่งที่ลุคทำ สิ่งต่างๆก็จะน่ารำคาญมากขึ้น

ท้ายที่สุดลุคจึงตัดสินใจที่จะหนีไปก่อน

“พวกเจ้าทั้งคู่อย่ามาตายเพราะข้าก็แล้วกัน”

“แน่นอนไม่ต้องห่วงพวกเรา!”

หลังจากส่งลุคไป ฟิลิปและโรเจอร์สก็ชักดาบของพวกเขาออกมา

ในเวลาเดียวกันทั้งคู่ก็แสดงออร่าของพวกเขาและวิ่งเข้าใส่มือสังหาร

“ตาย!”

“มึงกล้ามากที่มาหาเรื่องพวกเราตระกูลรากันต์! กูจะให้พวกมึง ชดใช้ในความหยิ่งยะโสที่พวกมึงก่อ ไอ้กากก!”

พวกเขาวิ่งเข้าใส่มือสังหารอย่างป่าเถื่อน ทั้งสองต่อสู้ด้วยดาบของตนโดยไม่หยุดพัก

อัศวินเงาเริ่มจะเลือดไหลจนตายเพราะการโจมตีของพวกเขา

“แคร็ก!”

“อึก!”

“ไอ้บ้าเอ้ยอย่าเข้าไปคนเดียวสิวะ! ไปเป็นกลุ่ม!”

ความกล้าหาญและความดุร้ายของทั้งสองเปรียบเสมือนสิงโตสองตัวที่ต่อสู้กับฝูงหมาขี้เรื้อนขนาดใหญ่

มือสังหารเริ่มกระสับกระส่ายและพยายามทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานของพวกเขา แต่ผลลัพธ์กลับทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบคนเท่านั้น

พวกมันทั้งหมดพยายามอย่างมากที่จะกำจัดโรเจอร์สและฟิลิป

หลังจากวิ่งไปหนึ่งชั่วโมง

ลุคซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลแล้วเดินเข้าไปในเส้นทางที่นำไปสู่หน้าผา

“ถ้าข้าควรจะรออยู่ที่นี่จนกว่าทุกอย่างก็จะดีขึ้น”

ลุคเหลือบมองกลับไปและพึมพำกับตัวเอง

ขณะนั้นเองที่เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น

“ฮ่าๆ ยังเร็วเกินไปไหมที่จะรู้สึกโล่งใจ?”

ทิเกลและอัศวินเงาคนอื่นๆเริ่มปรากฏตัวขึ้นทีละคน

พวกเขาแบ่งแยกกันออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่ ล่าตามลุค และกลุ่มที่ดักรอลุค อันที่จริงก็มันเป็นเหมือนกับหลุมดักกระต่าย

ลุคเลียริมฝีปากของเขาหลังจากเห็นมือสังหารหลายสิบคนและกลุ่มกิกันท์ทั้งห้าตัว

“พวกเจ้าพยายามที่จะจับข้าจริงๆเหรอ? เจ้าไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยเหรอ”

“หุหุหุ แม้แต่โคบอลก็ทำได้ดีที่สุดเมื่อพยายามจับออร์ค”

“ถูกแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพยายามทำอะไร เจ้าต้องทำให้ดีที่สุด”

ขณะที่ลุคผงกหัวและเห็นด้วยทิเกลก็ขมวดคิ้ว

เป้าหมายของเขาควรจะลุกลี้ลุกลนหรือประหม่าเมื่อได้เห็นพวกเขา แต่เหตุใดเป้าหมายของพวกเขาจึงสงบนิ่ง

“เจ้าไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม”

“ไม่เลยนั่นก็เพราะ…”

ลุคหยุดพูดกลางคันและวาดตราประทับในอากาศด้วยมือ

หลังจากนั้นไม่นานเวทมนตร์อัญเชิญก็เริ่มถูกกระตุ้น

และในที่สุดเงาขนาดยักษ์ก็ปรากฏตัวรายล้อมทั้งสองข้างของลุค

พวกมันนั้นมีความสูง 5 เมตร

“เนื่องจากคนรับใช้ของข้ามองไม่เห็นข้าอีกต่อไป ข้าจึงใช้พลังของข้าเองได้แล้ว”

“นั่น…นั่น…!”

อัศวินเงาตกใจ

ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเป้าหมายของพวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าลุคจะสามารถสร้างโกเลมได้ถึง 10 ตัว

“หึ นั่นมันก็แค่ตุ๊กตาโกเลมโง่ๆ ! ฝั่งเรามีกิกันท์อยู่นะ!”

ทิเกลตะโกนขึ้นเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ของคนที่ลุกลี้ลุกลนและคำพูดของเขาก็ไม่ได้โกหกหรือผิดเช่นกัน

กิกันท์เป็นอาวุธสงครามที่แข็งแกร่ง แต่เทียบกับโกเลมแล้ว โกเลมก็เป็นเพียงแค่วัตถุโบราณ  มันเหมือนกับมอนสเตอร์โง่ๆตัวหนึ่งเท่านั้น

และตามที่กัปตันของพวกเขาพูด พวกเขานั้นมึกิกันท์อยู่ด้วย

พลังของกิกันท์นั้นสามารถจัดการบดขยี้ได้หมดไม่ว่าจะเป็นหินหรือไม้

“บดขยี้พวกมันซะ! และใครก็ตามที่สามารถเอาไอ้เด็กหน้าโง่นั้นมาได้ ข้าก็จะตบรางวัลให้กับมันเอง!”

“โอโฮ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของทิเกล อัศวินเงาทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้าลุค เหล่ากิกันท์เองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

แม้ว่าเหล่าอัศวินเงาจะวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างบ้าระห่ำ แต่ลุคก็ยังคงยิ้ม

“หึ พวกโง่!”

เคร้ง?!

ขณะนั้นเองที่ลุคเริ่มร่ายเวทมนตร์หุ่นเชิดของเขา หนึ่งในโกเลมก็เริ่มทุบพื้น

“บ้าไปแล้ว…!‘

ทิเกลขำอย่างสนุกสนานเมื่อเขาเห็นโกเลมของลุคเริ่มทุบพื้นอย่างมั่วซั่วโดยไม่คิดแม้แต่จะป้องกันหรือโจมตีพวกเขา

แต่ในไม่ช้าสีหน้าเยาะเย้ยของเขา ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว

คึคึคึ!

เสียงคำรามและเสียงแตกขนาดใหญ่ดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ จากนั้นพื้นก็เริ่มแตกและตกลงมา….

 

บทที่ 37 ถูกโจมตี (2)

พระอาทิตย์เริ่มตกดินและท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง

แม้ว่าพวกเขาจะกังวลที่ต้องอยู่อย่างคนไร้บ้านในคืนนี้ แต่ลุคและกลุ่มของเขาด็สามารถหาโรงแรมเล็กๆเพื่อพักผ่อนได้ในที่สุด

“พ่อค้าเร่เหล่านั้นที่เราพบในตอนกลางวัน ข้าคิดว่าพวกเขาเหมือนทหารรับจ้างมากกว่าพ่อค้าเร่นะ”

โรเจอร์สพยักหน้าตามคำพูดของฟิลิป

“ข้าก็คิดเหมือนกัน ทหารรับจ้างมักจะมีจุดให้สังเกตที่ชัดเจนอยู่ และทักษะของพวกเขาดูเหมือนจะค่อนข้างดี ยิ่งไปกว่านั้นมันแปลกมากที่พวกเขาขับรถพ่วงราคาแพง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าต้องหักหลบพวกมันอย่างรวดเร็ว”

ลุคที่กินข้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำเห็นด้วยกับสิ่งที่ทั้งสองจะพูด

“ข้างใต้ผ้าคลุมนั่นจะต้องมีกิกันท์ซ่อนอยู่แน่ๆ”

แม้มันจะพรางตัวเป็นสินค้าด้วยการห่อผ้าหนาๆ แต่ยังไงซะมันก็ไม่สามารถปกปิดการไหลของมานาที่เป็นเอกลักษณ์ได้

แม้พวกเขาจะยังไม่รู้วัตถุประสงค์ของพวกมัน แต่การที่มีทหารรับจ้างปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่แล้วยังนำเอากิกันท์บรรทุกไปมา นั่นก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติแล้ว

‘นอกจากนี้พวกเขายังตั้งใจหยุดตรงหน้าเรา บาทีพากเขาอาจจะ… ’

จู่ๆลุคก็นึกถึงเรื่องราวที่เขาเคยได้ยิน

เป็นการสนทนาระหว่างฮานส์และคนรับใช้คนอื่นๆซึ่งเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ทำให้ลุคต้องตกอยู่ในสภาพวิกฤต ว่ามันเป็นการกระทำของใครบางคน

หัวหน้าผู้ก่อเหตุไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในการเปิดเผยเรื่องนี้มากนักเนื่องจากพบศพในที่ดินใกล้เคียง

“มือสังหารพวกนั้นถูกส่งมาหาข้ารึเปล่า?”

หรือบางทีพวกเขาอาจเป็นคนที่แค้นฟิลิปหรือโรเจอร์สไม่ใช่แค่ลุค

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันทำให้ลุครู้สึกเหมือนเขาเป็นคนที่ถูกเพ่งเล็ง

ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่จะออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่คนเหล่านั้นจะลงมือ

แน่นอนว่าหากคนเหล่านั้นตั้งเป้าไปที่กลุ่มพวกเขาทั้งสามคน พวกมันก็คงจะอยู่ไม่ไกลมาก ดังนั้นพวกเขาจึงควรเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมากกว่าที่จะพักค้างคืนในโรงแรม

‘แต่เมื่อมีคนส่งทหารรับจ้างระดับสูงไปพร้อมกับกิกันท์ …มันจะเป็นแค่การฆ่าลอร์ดอย่างเราที่ไม่ได้ทำอะไรย่างนั้นหรอ?”

ลุคซึ่งกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยตัวเองจู่ๆก็รู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของมานาที่ผิดปกติซึ่งทำให้เขากระโดดออกจากที่นั่ง

“มีอะไรรึนายน้อย?”

“เราต้องออกไปจากที่นี่ทันที!”

“ฮะ?”

โรเจอร์สกระโดดออกจากที่นั่งและคว้าฟิลิปซึ่งกำลังงุนงงไปที่ประตูหลัง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีอำนาจมากเท่าลุค แต่เขาก็มีประสบการณ์มากพอที่จะทำหน้าที่เป็นแม่ทัพอัศวิน และเขาก็สังเกตเห็นว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆจากการแสดงออกของลุค

กวาง!

“พวกเจ้าอยู่ไหนกัน?”

ทันทีที่พวกเขาออกไปทางประตูหลัง ประตูหน้าก็พังลงและมีชายสวมหน้ากากเข้ามา

มันมีคนที่ดูโง่ๆเป็นผู้นำของกลุ่ม และนั่นคือทิเกลที่มาเพื่อลอบสังหารเป้าหมายของเขา

“มองหาพวกมันให้ทั่ว!”

“รับทราบ!”

คนเหล่านี้คืออัศวินเงาที่เคานต์โมนาร์ชส่งมาเพื่อจัดการกับลุค

ในระหว่างทางไปที่รากันต์ พวกเขาก็ได้ไปพบกับลุคโดยบังเอิญในตอนกลางวัน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะโจมตีในตอนกลางคืน

“แครก!”

“ได้โปรด ไว้ชีวิตข้..า! อ้า!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของทิเกล เหล่าอัศวินเงาก็เริ่มกวัดแกว่งดาบโดยไม่สนใจว่าใครเป็นใคร

แขกที่ทานอาหารเย็นในร้านอาหาร,คนที่หลับอยู่ในห้องและพนักงานครัวทุกคนต่างถูกพวกเขาฆ่า ทั้งหมดนี่เพียงเพราะพวกเขาอยู่ที่เดียวกับลุค แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเขาก็ตาม

“กัปตันทิเกล ข้าไม่เห็นพวกเขาที่ไหนเลย…”

“อ้ากก!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลังของโรงแรม

อย่างไรก็ตามเสียงกรีดร้องนั้นไม่ได้มาจากแขกหรือเป้าหมาย แต่มาจากปากของเหล่าอัศวินเงาที่เฝ้าอยู่รอบๆโรงแรม

“ชิ พวกมันออกไปแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากคนของเขา ทิเกลก็ออกไปทันทีหลังจากสั่งให้คนอื่นๆจุดไฟเผาโรงแรมเพื่อทำลายหลักฐาน

เสียงอาวุธปะทะกันยังคงดังก้อง ลุคและกลุ่มของเขากำลังต่อสู้กับกลุ่มอัศวินเงาด้วยดาบขณะอยู่ในความมืด

“กัปตัน คนพวกนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย!”

“ถ้ามึงมีเวลามาพูดคุย มึงก็เอาเวลาไปฆ่ามันสิวะ!”

แม้โรเจอร์สและฟิลิปจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้

แม้ว่าเขาจะแค่ต่อสู้เพื่อปกป้องลุค แต่ทักษะของอัศวินเงาเองก็มีความสามารถมาก

ในบรรดาอัศวินเงาทั้งหมด พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ แต่พวกมันก็มีมากกว่าสามคนที่เป็นถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ

และสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือกิกันท์ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาพวกเขาอย่างใกล้ชิด

พึมพำ! พึมพำ! พึมพำ!

“นี่มันใหญ่มาก!”

“ทุกคนหลับตา!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของลุค โรเจอร์สและฟิลิปก็หลับตาลงอย่างมึนงง

ในขณะเดียวกันลุคก็ใช้เวทมนตร์ของเขา

“สุริยันต์ส่องแสงยามราตรี!”

แวว?!

แสงแฟลชพราวออกมาจากมือของลุค

มันเป็นเวทมนตร์ที่เรียบง่าย แต่มันก็มีความประหลาดใจเกิดขึ้นในสายตาของอัศวินเงาทุกคนที่เคยชินกับตรอกมืด

“ย้าก!”

“ตาข้า ตาข้ามองไม่เห็น!”

คนขับกิกันท์เองก็สูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ ส่งผลให้กิกันท์ก็หยุดเคลื่อนไหวไปเช่นกัน

“โอกาสนี่แหละ ออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”

“อาไอ้บ้า! จับพวกมันไว้!”

ลุคและพรรคพวกตีฝ่ากลุ่มอัศวินเงาและทำการหลบหนีออกไป

ทิเกลที่ได้เห็นว่าคนของเขาทำตัวน่าสมเพชแค่ไหนก็เริ่มด่าทอทันที

“มึง! ไอ้ไร้ค่า! มึงอยู่ในมนต์สะกดอยู่รึไง? แล้วพ่อมดตรงนั้นอะ มึงทำเปรตอะไรกันอยู่วะ?”

“นั่น.. นั่น…ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันที่ใช้เวทมนตร์ได้ พวกเราเลยไม่ได้เตรียมการรับมือไว้…”

“หุบปาก! กูไม่ได้มีเวลามาฟังคำแก้ตัวที่ไร้ประโยชน์ของพวกมึงนะ ไปตามหาตัวพวกมันและฆ่าพวกมันทันทีที่เจอ!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของทิเกล พวกเขาก็เริ่มไล่ตามร่องรอยที่พรรคของลุคทิ้งไว้ตอนหลบหนี….

 

บทที่ 36  ถูกโจมตี (1)

ณ สลัมในเขตชานเมืองลาเมอร์

เจ้าหญิงเรย์น่าได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองสามวันแล้วหลังจากที่ชาวโวลก้าบางส่วนได้ย้ายออกไป

มันมีเหตุที่ทำให้เธอต้องเข้าไปในสลัมแม้ว่าเธอจะมีที่อยู่ที่ดีอยู่แล้วก็ตาม

เมื่อไม่นานมานี้เคานต์โมนาร์ชได้เริ่มการพัฒนาเมืองใหม่และรื้อถอนสลัมและบังคับให้มีการขับไล่ผู้คน

เจ้าหญิงเรย์น่าได้ทำการเผชิญหน้ากับทหารกิกันท์และเคานต์โมนาร์ชซึ่งกำลังดำเนินการรื้อถอนเขตสลัม

“เจ้าหญิงที่นี่มันอันตราย”

“ไม่เป็นไร พวกเขาจะไม่มีวันลงมือกับข้า”

เมื่อได้ยินคำเตือนจากพาเวล เรย์น่าก็ยิ้มอย่างมั่นใจ

เคานต์โมนาร์ชได้หยุดการรื้อถอนทันที่ที่รู้ว่าเรน์น่ามาที่นั่น

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เคานต์โมนาร์ชจึงรู้ว่าเจ้าหญิงจะมาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมเขา

“เจ้าหญิงเรย์น่าหยุดทำตัวบ้าบิ่นซะ ไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงควรจะหาวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดหรอกหรอ?”

“นี่เจ้าจะขอให้ข้าไปแต่งงานกับเคานต์โมนาร์ชอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่ชอบมันและนั่นคือการตัดสินใจที่ข้าเลือกทั้งในตอนที่อยู่ที่สนามประลองกิกันท์และตอนนี้”

“ยิ่งท่านทำตัวแบบนี้ คนอื่นๆก็จะยิ่งทุกข์นะท่าน!”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะแบ่งปันความเจ็บปวดกับผู้คนของข้า ถ้าพวกเขาต้องอดอาหารข้าก็จะอดด้วย”

“คึกก!”

เคานต์โมนาร์ชถึงกับผงะไปเมื่อเห็นการกระทำที่ดื้อรั้นของเจ้าหญิง

ในความเป็นจริงหากเขาต้องการเขาก็สามารถบังคับพวกเขาได้อย่างไรก็ตามหากมันก็อะไรขึ้นกับเจ้าหญิงระหว่างทีเขาทำการรื้อถอน มันก็จะเกิดปัญหาได้

นอกจากนี้หากข่าวลือดังกล่าวถูกแพร่ออกไป มันก็คงยากที่จะจัดการกับขุนนางคนอื่นๆ

เรย์น่านั้นตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงกล้าปกป้องผู้อพยพจากเคานต์โมนาร์ชได้โดยไม่กลัวอันตรายใดๆ

“นังนี่! นังหมาจิ้งจอก! มันพยายามจะปั่นหัวข้า!”

“ท่านจะข่มขู่นางดูไหม”

เมื่อได้ยินคำถามจากโกท โมนาร์ชก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีทาง! ยังไงก็เราต้องดึงเจ้าหญิงออกจากสลัมโดยไม่ทำร้ายแม้แต่เส้นผมของนาง!”

คนรับใช้คนอื่นๆที่ได้ยินเคานต์โมนาร์ชตอบกลับอย่างหนักแน่นต่างก็คิดว่ามันเป็นคำตอบที่เลอะเทอะ

“จะเป็นไปได้อย่างไร?” “ไอ้หมูอ้วนมันคิดอะไรของมัน?”

แต่โกทก็สามารถคิดหาวิธีได้อย่างรวดเร็ว

“นายท่าน ถ้าเราทำแบบนี้ดูละ”

โกทกระซิบข้างหูเคานต์โมนาร์ช เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่โกทเสนอแล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมา

“มันค่อนข้างอันตรายใช่ไหม”

“ไม่ต้องกังวลครับ พวกคนรับใช้ของเจ้าหญิงจะไม่นิ่งเฉยแน่นอน”

รอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฎบนใบหน้าของโกท

และในคืนนั้น…

“ไฟ!”

“เอาน้ำมาเร็ว!”

เกิดไฟไหม้ที่บริเวณหัวมุมของสลัม

เปลวไฟได้กระจายไปทั่วสถานที่และไปยังกระท่อมที่เรย์น่าพักอยู่

“เจ้าหญิงพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย! เราต้องรีบย้ายออก!”

“ไม่ข้าจะไม่ทอดทิ้งให้คนของเราต้องอยู่ที่นี่…”

“พวกเราสบายดีได้โปรดไป!”

…..

ตามที่โกทได้คาดไว้ เรย์น่าหนีออกจากสลัมพร้อมกับคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และผู้คนของเธอ

ไฟไม่ได้ลุกลามไปนอกสลัมเนื่องจากมีกองทัพของเคานต์โมนาร์ชคอยเฝ้าอยู่ อย่างไรก็ตามความเสียหายจากไฟไหม้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คนและจำนวนผู้บดเจ็บอีกมากกว่านี้สิบเท่า

“ฮักฮักข้าขอโทษจริงๆ…ข้าขอโทษจริงๆ”

เนื่องจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้น เรย์น่าจึงร้องไห้ออกมา

โกทไปเยี่ยมเธอขณะที่เธอกำลังร้องไห้ต่อหน้าร่างที่ไหม้เกรียม

“เอ่อ.. สำหรับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น”

“ …”

“ข้าดีใจที่เห็นเจ้าหญิงปลอดภัย”

เรย์น่ามองไปที่โกทที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขา

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เธอก็สามารถยืนยันได้ว่าอุบัติเหตุไฟไหม้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกได้ว่าความโกรธคืออะไร

‘ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้า!

เธอคิดว่าทุกๆอย่างจะดีขึ้นเมื่อปัญหาเรื่องหนี้สินได้รับการแก้ไข

แต่ความชั่วร้ายของเคานต์โมนาร์ชก็ไม่เคยหยุดยิ่งไปกว่านั้นมันยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

และเธอก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

‘แต่ข้าไม่มีอำนาจพอที่จะปกป้องคนของข้า’

เธอทั้งโกรธและเสียใจ

เธอต้องการที่จะดูแลผู้คนนับหมื่นที่พึ่งสูญเสียบ้าน,ชีวิตและต้องเร่ร่อนไปในตอนกลางคืน

ดังนั้นเรน่าพร้อมด้วยพาเวลและวิคเตอร์จึงเริ่มมองหาวิธีแก้ปัญหา

“ทำไมเราไม่ขอความช่วยเหลือจากลอร์ดคนอื่นๆล่ะ”

พาเวลส่ายหัวกับความคิดเห็นของวิคเตอร์

“ขอความช่วยเหลือหรอ? หากมีใครยอมช่วยเจ้าหญิงจริงๆ เราก็คงไม่ต้องฝ่าฟันปัญหาเรื่องหนี้สินทั้งหมดนี้หรอก”

“ไม่สิ ความคิดของข้าอาจจะผิด เรื่องหนี้อาจถูกละเลยเป็นเรื่องส่วนตัว และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป”

“ถึงมันจะแตกต่างกัน แต่มันจะ…”

ผู้ลี้ภัยแห่งอาณาจักรโวลก้านั้นไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ

แม้แต่คนในจักรวรรดิก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ

จะมีลอร์ดคนไหนยอมรับผู้ลี้ภัยในสถานการณ์ปัจจุบันอีก

“ข้ารู้สึกว่าเรายังต้องขอความช่วยเหลืออยู่ นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้าคิดได้ในตอนนี้”

“เจ้าหญิง…”

“งั้นอันดับแรกไปตามหามาร์ควิสเมเยอร์กัน ปัจจุบันเขาเป็นลอร์ดที่มีอำนาจมากที่สุดในภาคใต้”

เรย์น่าสาบานกับตัวเองว่าเธอยินดีที่จะขายร่างกายของเธอหากนั่นหมายถึงความปลอดภัยของผู้คนของเธอ

เหตุผลที่ทำให้เธอยึดมั่นขนาดนี้ก็เป็นเพราะเธอเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลคิลลิวลอฟ

อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้มีความภาคภูมิใจอะไรมากนักกับชื่อของเธอ เมื่อต้องเห็นผู้คนที่เธอปกครองต้องทุกข์ยากแบบนี้

“ข้าจะไปทันที โปรดเตรียมตัว”

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าหญิง”

เรย์น่าพร้อมด้วยวิคเตอร์และพาเวลมุ่งตรงไปที่แบรนดอนเพื่อพบกับมาร์ควิสเมเยอร์ส

อย่างไรก็ตามแม้มันจะเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องพิธีรีตองอะไรมากนักเพราะชีวิตของผู้คนอยู่ของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย….

 

บทที่ 35 การพัฒนาเหมือง (4)

“นายน้อย! นายน้อย?! นายน้อย?!”

ลุคที่กำลังอ่านหนังสือเวทมนตร์ที่ยืมมาจากมิวท์เริ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเรียกของฟิลิปที่ดังไม่หยุดหย่อน

“มีอะไรเซอร์ฟิลิป? ทำไมเจ้าถึงมายืนครวญครางเปแนเด็กแบบนี้กัน?”

“ข้าจะไม่ร้องครวญครางได้ยังไง? เมื่อไหร่ท่านจะทำตามสัญญาที่บอกว่าจะซื้อกิกันท์ให้ข้ากันละ?”

ย้อนกลับไปที่เมืองลาเมอร์ ลุคได้ให้คำมั่นสัญญากับฟิลิปที่เวทีสนามประลองกิกันทื เขาบอกกับฟิลิปว่า ถ้าเขาชนะกิกันท์ของฝั่งเคานต์โมนาร์ช ลุคก็จะซื้อกิกันท์ตัวใหม่ให้ฟิลิป

ด้วยคำพูดเหล่านั้นฟิลิปชนะการแข่งขัน แต่ลุคกลับยุ่งกับเรื่องอื่นๆ มากจนไม่สามารถทำตามที่สัญญาได้สักที

ท้ายที่สุดฟิลิปผู้เบื่อหน่ายกับการรอคอย จึงพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยวิธีของเขาเอง

“ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้ ผู้คนจะคิดยังไงกัน หากพบว่าลูกหลานของนักรบผู้ยิ่งใหญ่รากันต์เป็นคนไม่รักษาสัญญา ข้าสาบานได้เลยว่าพวกเขาจะต้องชี้นิ้วใส่ท่านแน่นอน”

“ข้าควรจะเปลี่ยนไอ้สารเลวนี่ให้กลายเป็นเดธไนท์ดีไหมนะ”

แต่ผู้เชี่ยวชาญที่พูดมากไร้สาระยังเป็นอะไรที่มีประโยชน์กว่าเดธไนท์ที่โง่เง่า

ในทางกลับกันลุคได้ตัดสินใจที่จะสอดแนมหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสและการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับที่นั่นในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา

“ตกลง งั้นเรามาทำสัญญาซื้อกิกันท์กันเลย”

“อ๊ะ?!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟิลปก็รีบวิ่งไปหาลุคทันที

แต่เมื่อเซอร์โรเจอร์ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการซื้อกิกันท์

“นายท่าน นี่ท่านจะซื้อกิกันท์ตัวใหม่อย่างนั้นหรอ?”

“ก็ฟิลิปต้องการนี่นา”

เมื่อเห็นลุคพูดแบบนั้นฟิลิปก็เริ่มมองไปที่โรเจอร์อย่างหวาดกลัว

และราวกับว่าโรเจอร์มีแสงสว่างในดวงตาของเขา เขาหันไปหาลุคแล้วพูดว่า

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านเอง”

“นายพลอัศวินจะไปด้วยอย่างนั้นหรอ?”

“ใช่ เนื่องจากช่วงนี้มีมอนสเตอร์ออกมาให้เห็นเป็นจำนวนมาก มันจึงไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะออกไปโดยไม่มีอัศวินคุ้มกัน ดังนั้นข้าคิดว่าข้าควรไปเองดีกว่า”

เมื่อโรเจอร์พูดแบบนั้น เขาก็มองไปที่ฟิลิปด้ยหน้าตาที่น่าเกลียด

“นอกจากนี้ข้ายังมีความรู้เรื่องกิกันท์ค่อนข้างมาก หากท่านพาฟิลิปไปด้วย ท่านจะต้องได้กิกันท์ห่วยๆที่มีข้อบกพร่องที่น่ารำคาญและมีประสิทธิภาพต่ำอย่างแน่นอน”

“ไม่นะ นี่ท่านยังมองข้าเป็นมนุษย์อยู่ไหมเนี่ย…”

เสียงสะอื้นเล็กๆหลุดออกมาจากปากของฟิลิป แต่ในไม่ช้าเขาก็หยุดเมื่อเห็นโรเจอร์กำหมัดแน่น

หลังจากเห็นอย่างนั้นลุคก็ตัดสินใจพาโรเจอร์ไปด้วย

เขารู้ว่าการไม่ซื้อกิกันท์ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเช่นกัน แต่มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะซื้อมาเพื่อปิดปากของฟิลิป

และแล้วลุค,โรเจอร์และฟิลิปก็เดินทางไปทางเหนือ

ในตอนแรกพวกเขาคิดที่จะเดินทางโดยใช้เรือ อย่างไรก็ตามเนื่องจากภัยแล้งที่ผ่านมาเรือในแม่น้ำสายใหญ่จึงถูกระงับการเดินทางเพราะฉะนั้นการเดินทางทางบกจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“เพราะระดับแม่น้ำที่ลดลงแท้ๆ เราถึงไม่สามารถใช้เรือได้”

ขณะที่ฟิลิปบ่นเหนื่อยเกี่ยวกับการขี่ม้า โรเจอร์ก็โต้กลับมาที่เขาในทันที

“เรืออาจจะเกยตื้นได้ แต่อัศวินที่เกลียดการขี่ม้า? หึ! ผู้คนจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ก็คงจะพูดว่าข้าเป็นคนขี่ม้า จะว่าไปนายท่านกำลังจะไปซื้อกิกันท์ แล้วการซื้อมือถือล่ะ ตอนนี้โทรศัพท์มือถือกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางมากๆเลยนะท่าน”

“ข้าไม่ต้องการมัน ข้าไม่ชอบเสียเงินไปกับสิ่งของไร้ค่า”

รถที่เคลื่อนที่ด้วยเครื่องจักรไอน้ำนั้นเป็นยานพาหนะที่ไม่ได้แตกต่างจากเกวียนในการขนส่งมากนัก

นอกจากนี้ความเร็วของมันยังเร็วพอๆกับรถม้าซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงถูกมองว่าหรูหรามากกว่ายานพาหนะ

“ถ้าข้าจะซื้ออะไรสักอย่าง ข้าก็จะซื้อของที่มีน้ำหนักมากๆเช่นกิกันท์ที่สามารถบรรทุกและขนของทีละหลายๆชิ้นได้”

รถพ่วงที่กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามเองก็เป็นรถที่ใช้ไอน้ำเช่นกัน มันมีคนห้าคนกำลังถือผ้าชิ้นใหญ่ห่อของที่บรรทุกมา พร้อมกับชายและหญิงที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้านั่งล้อมมัน

“มันคืออะไร?”

“มันเป็นธงที่ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน”

ทั้งสามคนขับรถออกข้างทางเพื่อให้รถพ่วงผ่านไป

รถพ่วงหยุดลงชั่วขณะและชายที่ดูโง่ๆก็ทักทายพวกเขา

“สวัสดี พวกท่านกำลังเดินทางไปที่ไหนกัน?”

“….แล้วเจ้าละ?”

โรเจอร์ถามเป็นตัวแทนของพวกเขา

“พวกเราเป็นพ่อค้าเร่ของหอการค้าปีศาจ พวกเราเดินทางไปทั่วพื้นที่ชนบทเพื่อซื้อหรือขายสินค้าพิเศษ”

“หอการค้าปีศาจ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นเป็นเพราะเราเพิ่งเปิดเมื่อไม่นานมานี้”

ชายคนนั้นพูดขณะมองไปที่ลุค

“เจ้ามาจากดินแดนใดกัน?”

“ข้าไม่ได้มาจากสถานที่ที่มีชื่อเสียงมาก และข้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าสถานที่ใดมีชื่อเสียงมากในทุกวันนี้”

“หืม.. ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่แล้ว เนื่องจากพวกข้ามีงานยุ่งงั้นพวกข้าจะขอไปก่อนนะ”

ฟิลิปดูผิดหวัง หลังจากนั้นลุคและฟิลิปก็เดินทางต่ออย่างรวดเร็ว

เมื่อคนหนึ่งในรถพ่วงเห็นชายทั้งสามคนจากไปแล้ว เขาก็ได้พูดกับพ่อมดที่อยู่ในรถพ่วงว่า…

“กัปตันทิเกล นั่นคือ…”

“เราจะบรรลุ ‘เป้าหมาย’ ของเราที่รากันต์อย่างแน่นอน แต่เขาแตกต่างจากที่เราได้ยิน”

ทิเกลหยิบกระดาษออกมาจากมือของเขา บนกระดาษแผ่นนั้นมีคำอธิบายเกี่ยวกับลุคแห่งรากัน ลอร์ดหนุ่มแห่งรากันต์บันทึกอยู่….

บทที่ 34 การพัฒนาเหมือง (3)

ณ ห้องทำงานของอัศวินแห่งรากันต์ที่อยู่ทางตะวันตกของคฤหาสน์

อาคารหลายหลังตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ขนาดใหญ่ และอาคารที่ใหญ่ที่สุดคืออาคารหลักที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการจัดเก็บและบำรุงรักษากิกันท์

“ท่านพ่อบ้าน.. ท่านมีธุระอะไรกับที่นี่กัน?”

ในขณะที่ฮานส์กำลังเข้าใกล้กิกันท์ อัศวินที่เฝ้าทางเข้าก็ถามเขา

ฮานส์เคยเป็นคนขับกิกันท์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของตระกูลรากันต์ และต่อมามันก็ได้รับการดูแลจากอัศวินและกองกำลังทหารแทน

“ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำน่ะ แล้วการซ่อมกิกันท์ล่ะ”

“มันเป็นไปได้ด้วยดี ต้องขอบคุณเงินทุนที่นายน้อยมอบให้กับท่านมิวท์เมื่อวันก่อน”

มิวท์ได้นำเงินบางส่วนที่ลุคมอบให้กับเขา ไปใช้กับการสร้างหอคอยเวทมนตร์และจัดซื้อชิ้นส่วนและวัสดุที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมกิกันท์

หอคอยเวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างแน่นอน แต่เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เขาคิดว่าการฟื้นฟูกิกันท์และพลังรบนั้นสำคัญกว่า

การซ่อมแซมในครั้งนี้ได้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของกิกันท์ทั้งสามที่อยู่ในสภาพที่แย่มากได้เป็นอย่างดี และกิกันท์เศษเหล็กที่ขึ้นสนิมอยู่ในโกดังก็ถูกนำมาสร้างใหม่เช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ขวัญกำลังใจของอัศวินเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้มีกิกันท์เพียงสามตัวที่สามารถใช้ได้ซึ่งทำให้อัศวินน้อยคนนักที่จะสามารถเป็นคนขับกิกันท์

แต่ตอนนี้เมื่อสามารถนำกิกันท์ที่ได้รับการฟื้นฟูกลับมาใช้งานได้แล้ว พวกเขาทุกคนก็เริ่มที่จะหลงไหลไปกับการฝึกกิกันท์

ในตอนแรกฮานส์ซึ่งรู้สึกไม่ค่อยพอใจสำหรับการตัดสินใจของลุคที่ต้องการจะลงทุนในเวทมนตร์ แต่เมื่อได้เห็นถึงขวัญกำลังใจของอัศวินเขาก็ตระหนักได้ว่าความคิดของเขานั้นยังเป็นอะไรที่แคบอยู่มาก

“ข้านึกว่าท่านมาที่นี่เพื่อพบนายน้อยซะอีก”

“อะไรนะ? นายน้อยมาที่นี่อย่างนั้นหรอ”

“ท่านไม่รู้เหรอ? เมื่อเช้าเขาพึ่งมาเรียนเรื่องวิศวกรรมเวทมนตร์จากท่านมิวท์ที่นี่ และเขาก็ยังมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องกิกันท์อีกด้วย”

ฮานส์ที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน รีบเดินเข้าไปข้างใน

หัวใจของเขาเต้นระรัวเมื่อคิดถึงนายน้อยที่ควบคุมกิกันท์อีกครั้ง

โชคดีที่ลุคเพียงแค่กำลังคุยกับมิวท์เกี่ยวกับกิกันท์เท่านั้น

“เซอร์มิวท์ วงเวทย์นี้ทำงานอย่างไรกัน”

“โอ้ มันมีวงเวทย์ทั้งหมดสามแบบในนั้น อันแรกคือวงเวทย์ต้านแรงโน้มถ่วงที่ช่วยในการกระโดดและวิ่ง ส่วนอันที่สองคือวงเวทย์ปรับสมดุลที่ช่วยยึดจุดศูนย์ถ่วงของกิกันท์ และวงเวทย์อันสุดท้ายคือวงเวทย์ทุติยภูมิซึ่งช่วยในการรวมวงเวทย์ทั้งสองอันแรกไว้ด้วยกัน…”

มิวท์กำลังอธิบายทุกอย่างที่เขารู้โดยละเอียด

บางสิ่งที่เขาพูดนั้นก้าวหน้ากว่าความรู้ที่ลุครู้ในอดีตไปมาก และยังมีทฤษฎีวงเวทย์ที่เขาเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ตามที่คาดไว้เวทมนตร์ในยุคนี้ได้พัฒนาไปสู่ขั้นที่ซับซ้อนและมีหลากหลายซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับในอดีต”

เมื่อฟังมิวท์พูดเสร็จ ลุคก็เริ่มคิดกับตัวเอง

เขารู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปและดีขึ้น แต่เมื่อเขาฟังต่อไปเขาก็ตระหนักว่าเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้

ตัวอย่างเช่นในสมัยก่อนมือของโกเลมนั้นสามารถทำได้แค่จับและยกสิ่งของเท่านั้น รูปแบบมือของพวกมันยังไม่มีความคล้ายหรือเหมือนกับมือของมนุษย์

แต่มือของกิกันท์นั้นมีรูปร่างเหมือนกับมือของมนุษย์ พวกมันสามารถจับดาบและสามารถจะทำในสิ่งที่ละเอียดอ่อนได้มากขึ้น

ดังนั้นคนขับกิกันทั้เก่งๆจึงสามารถหยิบแก้วไวน์ด้วยมือของกิกันท์ได้อย่างง่ายดาย

และด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเวทมนตร์โกเลมลุคสามารถเรียนรู้วิศวกรรมเวทมนตร์ได้โดยไม่ยาก

“แกนกลางซับซ้อนกว่าที่คิดแหะ”

“แน่นอน เพราะว่ามีการใช้วงเวทย์ของพ่อมดอย่างน้อย 20 ถึง 50 วง รวมกันเพื่อความปลอดภัยและยังมีอุปกรณ์ช่วยเหลือเพื่อป้องกันไม่ให้มานาหมดลงอีก”

“ถ้าอย่างนั้น จอมเวทเหล็กไหลก็ต้องจำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเลยหรอ

“ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นก็ได้ ท่านแค่ต้องใช้พ่อมดขั้น 7 และความรู้ในการออกแบบและสร้างกิกันท์  เพราะฉะนั้นก่อนหน้านั้นทุกคนจึงต้องเคยทำงานกับกิกันท์ที่อยู่ในสภาพแยกออกจากกัน”

“แล้วอย่างพวกเราละ ในดินแดนที่มีจอมเวทเหล็กไหลเพียงคนเดียวและแถมยังไม่ถึงขั้น 7 ด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็แค่ต้องซื้อมาเปลี่ยน แม้ข้อเสียของมันคือการที่มีค่าใช้จ่ายในราคาแพง แต่ข้อดีของมันก็คือช่วยลดระยะเวลาในการซ่อมบำรุง”

นี่คือเหตุผลที่หอคอยเวทมนตร์ไม่ได้สร้างกิกันท์เพียงอย่างเดียวแต่ยังผลิตและขายชิ้นส่วนอะไหร่ซึ่งสามารถทำกำไรให้พวกเขาได้เป็นอย่างมาก

“ถ้าเราไม่สามารถสร้างหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนได้แบบนี้ งั้นแบบนี้เราก็จะไม่ขึ้นอยู่กับหอคอยเวทมนตร์หรอ?”

“แน่นอนว่ามันมีปัญหาเช่นนี้อยู่ แต่ท่านก็อย่าพึ่งหลงลืมพลังของชนชั้นสูง พวกเขายังสามารถผลิตสินค้าและอะไหร่แบบเดียวกันได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้เองไปยึดติดกัยหอคอยเวทมนตร์เพียงแห่งเดียว”

หากระบบถูกทำให้เชื่อถือได้ มันก็คงจะเป็นพ่อมดแม่มดที่จะปกครองโลกปัจจุบันไม่ใช่ขุนนาง

อย่างไรก็ตามหอคอยเวทมนตร์จะไม่เปิดเผยชิ้นส่วนที่มีประสิทธิภาพสูงและวงเวทย์ของเครื่องยนต์หลักเพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขา

“พ่อมดชอบซ่อนของตลอดเวลา มันเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปเลย”

ลุคต้องการที่จะมีอำนาจมากๆเพื่อทำการแก้แค้นของเขาให้สำเร็จ

เช่นเดียวกับกองทัพโกเลมในอดีต ตอนนี้เขาต้องการที่จะครอบครองกองทัพกิกันท์ที่ทรงพลัง

ในการทำจะเช่นนั้น แทนที่จะซื้อกิกันท์จากหอคอยเวทมนตร์ เขาต้องการจะหาวิธีที่ถูกกว่าในการสร้างมัน เพราะมันจะเป็นการดีกว่าเมื่อคิดถึงอนาคตในระยะยาว

แม้พวกเขาอาจจะด้อยกว่ากิกันท์คลาสนักรบซึ่งถูกผลิตขึ้นในหอคอยเวทมนตร์ก็ตาม

“ถ้ามิวท์ยังอยู่ในขั้นที่ 5 งั้นมันก็หมายความว่าข้าต้องเข้าร่วมหอคอยเวทมนตร์เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างนั้นหรอ หรือข้าจะลองลักพาตัวพ่อมดอาวุโสมาดี”

ด้วยทักษะปัจจุบันของลุค เขาสามารถที่จะลักพาตัวพ่อมดขั้น 7 ได้อย่างแน่นอน

เพราะจอมเวทเหล็กไหลนั้นเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นพวกที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้

ขณะที่ลุคกำลังดูเป็นกังวล ฮานส์ก็เข้าไปหาเขาแล้วพูดว่า

“นายน้อยท่านทำอะไรกันหรอ? เรียนวิศวกรรมเวทมนตร์…เอ่อ!”

ขณะที่เขากำลังพูด ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง

ฮานส์นั้นมีสายตาที่ไม่ค่อยดีเนื่องจากอาการสายตายาวที่เกิดขึ้นตามวัย แต่เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ๆเขาก็เห็นลุคและมิวท์กำลังถอดชิ้นส่วนของกิกันท์ออกมาและดึงชิ้นส่วนทั้งหมดออกจากด้านใน

“นายน้อยตอนนี้พวกท่านกำลังทำอะไรอยู่กัน”

ลุคมองย้อนกลับไปแล้วตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

“ข้าแค่สงสัยว่าข้างในกิกันท์มันหน้าตาเป็นอย่างไร”

“ท่านเลยทำกับมันเป็นแบบนี้เหรอ”

ในบางครั้งคนขับกิกันท์บางคนก็สงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างและประสิทธิภาพของสิ่งที่พวกเขากำลังขับ แต่ระดับความเข้าใจของลุคบังอยุ่ในระดับต่ำ

การแยกชิ้นส่วนและการประกอบกิกันท์โดยที่ไม่มีความรู้เกียวกับเรื่องเวทมนตร์ มันก็เหมือนกับการทำลายกิกันท์ดีๆนี่เอง

“แม้ว่าท่านจะต้องการ แต่นี่มัน…”

“หึ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเครื่องจักร เราก็ต้องมองเข้าไปข้างในและดูมันให้ดีสิ”

“อ๊ะ…”

ฮานส์รู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องที่บ้าๆบอๆเอามากๆ

เขาคิดว่าลอร์ดหนุ่มกำลังรื้อกิกันท์เหมือนกับเด็กเอาแต่ใจ

“ตอนนี้ท่านแตกต่างไปมากแล้วจริงๆ”

อาจเป็นเพราะเขาได้เห็นความตายอย่างใกล้ชิด

ย้อนกลับไปตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เรียบง่าย แต่ในตอนนี้เขากลับเป็นเหมือนคนที่มองโลกยาวออกไป

“มันอาจจะเป็นแบบนั้น… แล้วเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้ท่านเห็นรายละเอียดเพิ่มเติมแล้ว ท่านคิดว่าท่านเข้าใจมันมากขึ้นรึยัง”

“ไม่ มันไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิด”

“ใช่ อย่าหักโหมมากไปละ แค่เพียงเพราะเวทมนตร์กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และทักษะที่ลึกซึ้งมากมาย มันไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกสาขา”

แม้จะรู้ถึงความตั้งใจของนายน้อย แต่ฮานส์ก็ยังคงต้องการให้ลุคได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทของอัศวิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาพูดเช่นนั้น

แต่ขณะนั้นเอง มิวท์ก็ได้พูดขึ้นมา

“ถึงกระนั้นนายน้อยก็สามารถเรียนรู้ทฤษฎีและความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็ว เขามีค่ามากกว่าคนที่ท่านคิดจะให้เป็นมาก”

ขณะที่มิวท์กำลังชมลุค เขาก็มองกลับไปยังจุดๆหนึ่งด้วยสายตาที่เย็นชา

มันมีจอมเวทเหล็กสามคน ทอดด์,กอร์ดอนและฮัมฟรี้ที่เคยถูกลุคใช้งานพวกเขาเหมือนกันตัวหมากบนมือ กำลังยืนอยู่

หลังจากถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำงานอย่างหนักจนมั่นใจที่จะกล่าวได้ว่าพวกเขามีค่าพอ

“แต่ข้าสงสัยว่าเมื่อไหร่กันที่นายน้อยเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์?”

ลุคเริ่มใจสั่นหลังจากได้ยินคำถามของมิวท์และรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

“ข้าเพิ่งเรียนรู้มัน…ด้วยตัวเอง…”

“เรียนด้วยตัวเอง? ท่านเคยบอกกับข้าว่าท่านเกลียดเวทมนตร์ในตอนที่ข้าจะสอนท่านนี่นา”

“ฮ่าฮ่าฮ่ารู้ไหม…ในตอนที่ข้าเกือบตาย จู่ๆข้าก็อยากเรียนรู้เกี่ยวกับกิกันท์และเวทมนตร์น่ะ”

ในการแก้ตัวสีข้างถลอกของลุค มิวท์ก็ดูเหมือนว่าจะหลงเชื่อกับคำตอบของเขา

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็ได้กลายเป็นสาวกที่ดุร้ายของลุค

“เจ้ายังต้องสอนข้าอีกมากมายในอนาคต”

“ข้าจะบอกท่านทุกอย่างที่ท่านอยากรู้”

“ฮ่าฮ่าขอบคุณ”

ฮานส์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินทั้งสองคุยกัน

เขารู้สึกเหมือนกับว่านายน้อยของเขาอยากเป็นพ่อมดมากกว่าอัศวิน

ในฐานะผู้พิทักษ์ของนานยน้อยและตัวแทนของรากันต์ เขาต้องการให้ลุคได้กลายเป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยม

“อย่างน้อยข้าก็ยังดีใจที่เขาไม่กลัวกิกันท์”

มันมีอัศวินมากมายที่มักจะหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้กิกันท์หลังจากประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่

แต่ลุคก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในช่วงนั้นเลย

นั่นก็เพราะเขายังคงเข้าใกล้กิกันท์และเฝ้าสังเกตพวกมันแม้ว่าเขาจะพึ่งเกิดอุบัติเหตุก็ตาม

“ระวังอย่าให้วงเวทย์นั่นเสียหาย…. อื้อ! อย่าสัมผัสศิลาเวทมนตร์สิ! หากการไหลของมานาที่ผิดเพี้ยนเพียงเล็กน้อยมันก็จะเปลี่ยนคลื่นมานาไปได้โดยสิ้นเชิง!”

“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้เรื่องนั้นหรอก”

ลุคพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับกิกันท์แทนที่จะกลัว

“ข้าหวังว่าท่านจะไม่หักโหมจนเกินไป”

เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นนายน้อยของเขามีความพยายามและความทะเยอทะยานที่จะเหนือบรรพบุรุษของเขา

แต่ฮานส์ก็กลัวว่าความทะเยอทะยานของเขาจะทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง เขาจึงเดินจากไปโดยหวังว่าลุคจะระมัดระวังตัว…

บทที่ 33 การพัฒนาเหมือง (2)

หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นานลุคก็ผลิตโกเลมชุดแรกเสร็จ

เมื่อสร้างโกเลมทั้ง 20 ตัวเสร็จ ลุคก็ดึงสิ่งประดิษฐ์ที่เหมือนกับสร้อยข้อมือออกมาจากที่เก็บของในห้องทดลองใต้ดิน

สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวถูกค้นพบในดันเจี้ยนของพ่อมดที่เขาเคยไปสำรวจร่วมกับคาธารีน่าในอดีต มันมีวงเวทย์ซับสเปซโบราณที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน

‘คาธารีน่า…’

เมื่อมองไปที่สร้อยข้อมือเงินโบราณที่มีรูปลักษณ์คล้ายใบไม้ เขาก็นึกถึงตอนที่เธอเคยสวมมัน

‘แม้ว่าร่างกายของข้าจะแตกสลายและกลายเป็นผง แต่ข้าก็จะแก้แค้นด้วยการกำจัดตระกูลบาล็อคและหอคอยเวทย์มนต์เวอร์ริทัสให้ได้! ดังนั้นโปรดรออีกสักหน่อย “

หลังจากสูญเสียผู้เป็นที่รัก ลุคก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับชีวิตของเขาเขาคิดว่าถ้าเขาสามารถแก้แค้นจนสำเร็จได้ เขาก็คงจะจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบสุข

อย่างไรก็ตามไม่ว่าชะตากรรมจะเป็นเช่นไร ภาพความทรงจำของคาธารีน่าที่เข้ามาในใจของเขา ก็กลายเป็นเจ้าหญิงเรย์น่า

บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าหญิงเรย์น่าดูคล้ายกับเธอมาก …

‘แม้ว่าเจ้าหญิงจะดูเหมือนเธอมาก แต่เธอก็ยังคงแตกต่างกันมากเช่นกัน’

แม้เขาจะคิดแบบนั้น แต่หัวใจของเขาก็ไม่สามารถหยุดนิ่งได้

บางทีอาจเป็นเพราะหนังสือศาสนาที่เขาเห็นในทวีปทางใต้เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด

“ …หรือว่าข้ากำลังจะตกหลุมรักกัน?”

ลุคสวมสร้อยข้อมือซับสเปสและกลับไปที่ห้องวิจัยโกเลมใต้ดินของเขา

“บันทึกมิติ”

ฮิ้ววว!

เมื่อลุคพูดคาถาขณะที่ฉีดอัดมันด้วยหลังงานเมไจ โกเลมทั้ง 20 ตัวก็เริ่มหายไปพร้อมกับแสงจ้า

‘มันคงจะยากมากถ้ามีคนคอยมองข้าอยู่’

ถ้าพวกคนรับใช้ได้เห็นถึงโกเลมเหล่านี้ พวกเขาก็จะต้องตื่นตกใจอย่างมากแน่นอนและมันจะทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังตกอยู่ในความโกลาหล

โกเลมนั้นไม่ได้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเซย์มอน ​​แต่มันก็ไม่เคยมีพ่อมดหรือวงเวทย์อื่นใดที่สามารถสร้างและควบคุมโกเลมได้ดีเท่าเซย์มอน

‘ช่วยไม่ได้ ยังไงซะวิญญาณในร่างนี้เป็นของเซย์มอน’

ลุคลูบสร้อยข้อมือด้วยรอยยิ้มและเดินออกจากปราสาทราชาปีศาจ มันเป็นเพราะตอนนี้เขามีสถานที่ที่อยากไป

แต่ก่อนที่เขาจะได้ไปถึงที่นั่น ฟิลิปก็ได้พบเขาก่อน

ฟิลิปที่เข้ามาในปราสาทเพื่อตามหาลุคเริ่มจู้จี้เขาทันทีที่สบตากันกับเขา

“นายท่าน ครั้งนี้ท่านจะทำอะไรต่อไปละ? การฝึกฝนลับในปราสาทราชาปีศาจมันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ แต่การที่จะทอดทิ้งอัศวินไปทุกครั้งและเข้าไปคนเดียวนี่มันคืออะไรกัน?”

“ขออภัยค้าบ ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”

ลุคตอบอย่างน่าเบื่อ ขณะที่โดนฟิลิปเทศนาใส่

“ท่านเคยคิดบ้างไหม ว่านายพลอัศวินคนนั้นรู้เรื่องนี้มากแค่ไหน? ข้าถูกบังคับให้เขียนรายงานทุกๆเดือน แต่นายท่านก็ยังไม่รักษาสัญญาที่จะซื้อกิกันท์ให้ข้า…”

“โอ้โรเจอร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”

เมื่อได้ยินคำพูดของลุค ฟิลิปก็นิ่งไปและหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามโรเจอร์ไม่ได้อยู่ที่นั่น

มีแต่แมวที่เดินผ่านมา ที่หยุดและมองกลับมาที่เขา

“อา!”

ฟิลิปที่รู้ตัวว่าถูกหลอกก็หันกลับไปมองที่ลุคอีกครั้ง แต่ในระหว่างนั้นลุคก็หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้

“ไม่นะ นายท่านนน..!”

เป็นอีกครั้งที่เสียงร้องของฟิลิปดังขึ้นในบริเวณปราสาทราชาปีศาจ

หลังจากการเผชิญหน้ากับฟิลิปไม่นาน ลุคก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาร็อคเคีย

ภูเขาร็อคเคียนั้นเป็นภูเขาหินซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปราสาทราชาปีศาจไปทางทิศตะวันตก 10 กิโลเมตร มันมีการกล่าวกันว่ามีสัตว์ประหลาดจำนวนมากซ่อนตัวและอาศัยอยู่ที่นั่นซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเก็บสมุนไพรและคนตัดไม้จึงไม่กล้าเข้าไป

มีเหตุผลว่าทำไมลุคถึงเข้าไปในพื้นที่หิน

“ข้าต้องใช้เงินจำนวนมากในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1 แห่ง”

เขาได้รับ 210,000 เปโซในเวทีสนามประลองกิกันท์แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด

เพื่อเพิ่มจำนวนผู้อยู่อาศัยในดินแดนและเพิ่มกำลังทหารให้เข้มแข็ง แหล่งรายได้ที่มั่นคงจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด

ลุคนั้นได้พบบางสิ่งบางอย่างในที่ดินของเขา ซึ่งอาจช่วยพวกเขาการสร้างรายได้ได้

‘มันมีเหมืองที่เคยถูกใช้โดยคนแคระอยู่ในภูเขาร็อคเคีย’

ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะเซย์ม่อน มันมีชนเผ่าต่างๆและสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์มากมายที่อาศัยและทำงานภายใต้บารมีของเขา

พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกดขี่

เผ่าพันธุ์จำนวนมากที่รวมตัวกันนั้นยังรวมไปถึงคนแคระด้วย

คนแคระนั้นนับเป็นเผ่าพันธุ์ของโลกใบนี้

พวกเขาพัฒนาเหมืองและสร้างอาคารแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนักแต่พวกเขาเป็นช่างตีเหล็กและสถาปนิกที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสร้างอาวุธเพื่อสนับสนุนอัศวินของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

“มันไม่มีเหมืองทองคำหรือเงินที่ถูกพัฒนาขึ้นในภูเขาร็อคเคีย”

อย่างไรก็ตามหลังจากการตายของเซย์ม่อน พวกคนแคระได้หายตัวไปและเหมืองก็ถูกปิดลง

ตระกูลรากันต์นั้นพยายามค้นหาเหมืองของคนแคระอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งเนื่องจากพวกเขาไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน

30,000 เปโซที่พวกเขาเป็นหนี้กับบริษัทอาลอนนั้นก็เป็นเพราะการค้นหาเหมืองในภูเขาร็อคเคียเช่นเดียวกัน

‘ในเมื่อข้ารู้ที่ตั้งของมัน ข้าก็จะสามารถทำให้โกเลมที่อยู่เคียงข้างข้าคอยทำงานเพื่อฟื้นฟูเหมืองได้‘

นั่นคือสาเหตุที่ลุคมาที่ภูเขาร็อคเคีย

เขาเรียกโกเลมมาที่ทางเข้าภูเขา

ในการที่จะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขานั้น เขาก็จำเป็นจะต้องทำความสะอาดเส้นทางซะก่อน

“เหล่าเด็กน้อยที่เป็นเหมือนลูกๆของข้าเอ๋ย จงกำจัดสิ่งที่ขวางทางของข้า!”

เมื่อลุคเริ่มดึงพลังเมไจออกมา และเริ่มสั่งการโกเลมหินที่สูง 5 เมตรและโกเลมไม้ที่เปล่งประกายไปด้วยพลังออร่าสีม่วงสดใส

ครืด!

คุคุก-!

โกเลมเริ่มปีนภูเขาและทำลายหินกับถอนต้นไม้ที่ขวางทางอย่างช้าๆ

เคี้ยค!

เมื่อมีการบุกรุกอาณาเขตเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าก็ส่งเสียงร้องและคำราม

พวกมันส่วนใหญ่เป็นออร์ค,ก็อบลินและโคโบลด์

เมื่อพวกสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายเหล่านั้นพบเห็นเขา พวกมันก็เริ่มโจมตีใส่พวกเขาทันที

“ห้าตัวแรกปิดกั้นการโจมตีของพวกมันไม่ให้เข้ามา ในขณะที่พวกที่เหลือก็ผลักพวกมันออกไปให้แรงที่สุด”

ลุคควบคุมโกเลมของเขาด้วยเวทย์หุ่นกระบอก

มันเป็นเวทมนตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างเขากับโกเลม เหมือนเชือกที่ติดกับตุ๊กตาหุ่นเชิด มันทำให้เขาได้เปรียบในการเชื่อมต่อและควบคุมวัตถุหลายชิ้นพร้อมกัน

แน่นอนว่ามันมีข้อเสียอยู่ตรงที่ไม่สามารถให้คำสั่งที่ละเอียดหรือหลากหลายได้

อย่างไรก็ตาม การควบคุมแค่นี้ก็เกินพอแล้วสำหรับการจัดการกับมอนสเตอร์ระดับต่ำ

หมัดและลูกเตะขนาดใหญ่ของโกเลมส่งผลให้มอนสเตอร์ตัวอื่นๆกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่พวกมันบางตัวก็กำลังวิ่งหนี

ลุคหยุดการเคลื่อนไหวของโกเลมที่ผลักมอนสเตอร์

มอนสเตอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่สั่นสะท้านเมื่อเห็นถึงความโกงที่โกเลมมี พวกมันส่วนใหญ่เป็นเพศชายและเป็นจ่าฝูงของเผ่า พวกมันต่างก็พร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตายเพื่อให้ลูกและเมียของพวกมันได้หลบหนี

ลุคที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ของมอนสเตอร์ดี เขาจึงเดินเข้ามาหาพวกมันด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังข้า ข้าก็จะไม่ขับไล่พวกเจ้าออกจากที่นี่”

ลุคพูดกับมอนสเตอร์ระดับบอสที่ดูหน้าตาดีและล้างสมองพวกมันด้วยเวทมนตร์แห่งความมืด

“การเชื่อฟัง” เป็นเวทมนตร์แห่งความมืดที่กดขี่ปีศาจและสัตว์ประหลาดที่อ่อนแอกว่าให้รับฟังคำสั่งของผู้ใช้

ลุคสามารถล้างสมองของบอสได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะยังไงเขาตอนนี้เขายังเป็นแค่พ่อมดขั้น 3 เท่านั้น

ถ้าเขาเอาชนะมอนสเตอร์ระดับบอสได้ มันก็จะไม่มีปัญหาอะไรในการทำส่วนที่เหลือดังนั้นเขาจึงไม่ต้องใช้กำลังภายนอกอื่นใด

“ในอนาคตถ้าพวกเจ้าทำในสิ่งที่ข้าบอกให้พวกเจ้าทำได้ดี  เจ้าก็จะได้รับอาหารที่ดีเช่นกัน แต่หากไม่ ข้าก็คงจะต้องกำจัดพวกเจ้าทิ้งไป”

กิ๊กกั๊ก!

หัวของออร์คก็อบลินและโคโบลด์เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง

หลังจากนั้นลุคก็มุ่งหน้าตรงไปยังเหมืองของคนแคระ

“ทางเข้าถูกปิดอย่างนั้นหรอ”

มีเหมืองสามแห่งในภูเขาร็อคเคีย

อย่างไรก็ตามคนแคระจงใจปิดกั้นทางเข้าของเหมือง เนื่องจากเหมืองทั้งสามมีทางเข้าทางดียวกัน

“ช่วยไม่ได้ คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

ลุคพูดพลางยักไหล่ของเขา

เขาเริ่มสั่งให้โกเลมและมอนสเตอร์กำจัดสิ่งสกปรกและเศษหินที่ขวางทางเข้าออกไป

เมื่อพวกโกเลมได้รับคำสั่งให้ทุบหินหรือยก พวกมอนสเตอร์จึงเป็นฝ่ายที่ต้องขุดดินแทน

หลังจากทำงานได้สองชั่วโมง หินและสิ่งสกปรกก็ถูกล้างออกและเผยให้เห็นถึงอุโมงค์ที่คนแคระใช้ขุดเหมืองในอดีต

ลุคส่งโกเลมกลับไปยังพื้นที่ซัปสเปสแล้วจึงเข้าไปในอุโมงค์

พึมพำ! พึมพำ!

อุโมงค์ที่สร้างโดยคนแคระนั้นเหมือนกับเขาวงกต พวกเขาทำแบบนี้เพื่อเป็นการกำจัดศัตรูที่อาจบุกเข้ามาในเหมือง และดูเหมือนว่าเหมืองจะอยู่ในสภาพดีแม้จะไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานก็ตาม

“แน่นอนว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของพวกคนแคระ”

ทวีปโรดีเซียนั้นมีเผ่าพันธุ์ช่างฝีมือที่ดีที่สุดที่สามารถสร้างหรือประดิษฐ์สิ่งที่พวกเขาต้องการได้

หลังจากที่ลุคผ่านเขาวงกตมาได้ เขาก็ได้พบเข้ากับช่องว่างขนาดใหญ่ มันเป็นสถานที่ที่คนแคระสร้างเพื่อเป็นจุดพักชั่วคราวและยังเป็นโกดังเก็บของกับโรงตีเหล็กอีกด้วย

ในนี้มีเครื่องมือและวัสดุเหลือใช้ที่พวกคนแคระเคยใช้

“พวกเขาได้ทิ้งเครื่องมือล้ำค่าที่สุดของพวกเขาไว้”

หลังจากที่เซย์ม่อนถูกรากันต์ฆ่าแล้ว ดินแดนซึ่งเดิมถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความมืด ก็ถูกมนุษย์ยึดครองอย่างสมบูรณ์

และน่าแปลกที่ถึงแม้รากันต์จะส่งหัวหน้าอัศวินและทหารจำนวนมากเพื่อตามหาพวกคนแคระแต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว

“ข้าจะต้องไปตามหาพวกเขาในภายหลัง แต่ตอนนี้ข้าต้องทำการขุดเหมืองพวกนี้ก่อน”

ลุคสั่งโกเลมสามตัวให้ไปที่เหมืองและสั่งให้มอนสเตอร์ไปช่วยพวกเขาด้วยเครื่องมือที่พวกคนแคระทิ้งเอาไว้

แม้ว่าพวกมันจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าคนแคระ แต่พวกโกเลมและมอนสเตอร์ก็ยังสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้

ในขณะที่พวกเขากำลังขุดแร่ ลุคก็จ้องไปที่วงเวทย์เทเลพอร์ตที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเหมือง

ในอดีตวงเวทย์นี้ได้รับการติดตั้งเพื่อเคลื่อนย้ายแร่ธาตุต่างๆไปยังห้องทำงานใต้ดินของปราสาทราชาปีศาจ มันสามารถทำใหม่ได้อย่างรวดเร็วด้วยการวางหินเวทย์มนตร์ใหม่

‘หุหุหุ! ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือการปรับแต่งมันในเตาหลอมเวทมนตร์”

หลังจากเยี่ยมชมเหมืองทั้งสามแห่งและทำงานที่จำเป็นทั้งหมดเสร็จแล้วลุคก็กลับไปยังคฤหาสน์

เมื่อเห็นว่าลุคนั้นออกไปเป็นเวลานาน เหล่าคนรับใช้และฮานส์ก็ไม่สามารถที่จะอดสงสัยในตัวเขาได้…

 

 

บทที่ 32 การพัฒนาเหมือง (1)

ที่คฤหาสน์ทางตอนเหนือของเมืองลาเมอร์

มีเสียงดังมาจากคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเคานต์โมนาร์ช

“อะไรกัน? ท่านจะทำแบบนี้ตั้งแต่เช้าไม่ได้นะ”

“ หุหุหุ ไม่ได้เหรอจ้ะ? ข้าทำอะไรไม่ได้! ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการ”

ในห้องทำงาน เคานต์โมนาร์ชกำลังทะเลาะกับทุกคน เรื่องการจีบนางบำเรอคนใหม่ที่เพิ่งพาเข้ามาในคฤหาสน์

ในขณะที่เขากำลังสนุกสนานนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงของผู้ดูแลพร้อมกับเคาะประตู

“ท่านครับผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน!”

“ไอ้เ?ยเอ้ย ทำไมต้องตอนนี้วะ…?”

เคานต์โมนาร์ชรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่ข่าวดังกล่าวไม่ได้มาจากใครคนอื่นนอกจาก โกทผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของเขา

เขาส่งนางบำเรอของเขาออกไปยังประตูเล็กๆ ไปยังห้องถัดไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา

“ ฮึ่ม! เข้ามา!”

เมื่อมีคำสั่งเข้ามาในทางเข้าประตูก็เปิดออกและโกทก็เข้ามาทันที

“อะไรคือสิ่งสำคัญที่เจ้าอยากจะรายงาน? พวกขุนนางและราชวงศ์ทะเลาะกันอีกแล้วรึไง”

ย้อนไปเมื่อ 300 ปีที่แล้ว ในตอนที่อาณาจักรพึ่งจะถูกก่อตั้งในทวีปแห่งนี้ มันได้ทำให้พวกเขากลายมาเป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจ

พวกขุนนางที่เริ่มรู้สึกถึงวิกฤต ก็เริ่มรวมตัวกันทีละน้อยๆ ปละเรียกตัวเองว่า – ขุนนางผู้สูงศักดิ์

อย่างไรก็ตามพวกขุนนางเหล่านี้ก็ยังคงมีอำนาจน้อยกว่าขุนนางของจักรวรรดิ และอิทธิพลของพวกมันก็มักจะรุนแรงขึ้นตามกิจกาจที่จักรวรรดิครอบครอง

เป็นผลให้ขุนนางและราชวงศ์ต่างๆ เริ่มย้ายออกไปอยู่ที่อื่น

เคานต์โมนาร์ชซึ่งเป็นญาติของทางราชวงศ์ ก็ถูกบังคับให้ดูแลภูมิภาคที่สำคัญที่สุด

ดินแดนทางใต้ของจักรวรรดินั้นมีขุนนางชั้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในสามขุนนางซึ่งก็คือ มาร์ควิสมาเยอร์แห่งดินแดนทางใต้ หากเรื่องที่พวกเขาทำผิดถึงหูของเมเยอร์สแล้วละก็ พวกเขาก็อาจจะถูกเนรเทศได้

“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เราได้ค้นพบตัวตนของอัศวินทมิฬที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียเงินไปเมื่อวันก่อน”

“อะ.. อัศวินทมิฬ!”

ความกลัวปรากฏออกมาในสายตาของเขา เคานต์โมนาร์ชถามขณะที่เขากระโดดขึ้นจากที่นั่ง

การเดิมพันกับเรย์น่านั้นเป็นอะไรที่มีความสำคัญอยู่พอสมควร

เงินหลายแสนเปโซถูกใช้ไปในเงินเดิมพันที่วางเอาไว้

แต่แล้วคนขับกิกันท์รับจ้างคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในเกมและขว้างโคลนด้วยความพยายามของพวกเขา

“ใครกันที่รู้ว่ามันเป็นใคร? นี่มันทำงานให้กับขุนนางที่อยากจะขัดขวางข้าอย่างนั้นหรอ?”

“ไม่ใช่เลย…”

โกทเปิดเผยข้อมูลที่เขารวบรวมในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ใบหน้าของเคานต์โมนาร์ชเปลี่ยนไปอย่างบิดเบี้ยวหลังจากได้ยินข้อมูลที่โกทรวบรวมมา

“อัศวินทมิฬคนนั้นเป็นคนรับใช้ของตระกูลรากันต์อย่างนั้นหรอ?”

“ใช่. ในช่วงเวลานั้นเขาได้ปรากฏตัวในเวทีพร้อมกับเจ้านายของมัน”

“ …ไม่  ไอ้เจ้าลุคคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?”

เคานต์ถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร

เขาได้รับข้อมูลมาว่าผู้สืบสายเลือดคนสุดท้ายของตระกูลรากันต์นั้นได้เสียชีวิตไปแล้วจากอาการบาดเจ็บที่สมองเพราะอุบัติเหตุขณะควบคุมกิกันท์

“นั่นนั่นนั่น…”

เมื่อเห็นว่าโกทตอบไม่ได้เคานต์โมนาร์ชที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวจึงถามว่า

“ทำไมเจ้าถึงตอบไม่ได้! ไหนเจ้าบอกว่าผู้ชายคนนั้นได้ตายไปแล้วไง?”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด เป็นเรื่องจริงที่เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ”

แต่เขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี

การรอดชีวิตจากอุบัติเหตุของลุคนั้นไม่ได้ทำให้เคานต์โมนาร์ชโกรธแต่อย่างใด แต่การที่เขาไปที่เมืองลาเมอร์และเข้าไปยุ่งการเดิมพันต่างหากที่ทำให้เคานต์โกรธ

“ว้ากก!  พวก_งกำลังทำอะไรอยู่วะ? ถ้าพวก_งส่งมันให้ไปตายตั้งแต่แรก มันก็คงไม่ได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงและเข้าใกล้เธอมากขนาดนี้หรอก!”

ย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน เคานต์โมนาร์ชได้วางแผนที่จะกำจัดลุคทิ้ง เพื่อหวังที่จะหุบเอาที่ดินของรากันต์มาเป็นของตัวเอง

เขาได้ทำการซื้อหัวหน้าภาคสนามคนหนึ่งและตัดสินใจที่จะฆ่าลุคด้วยการเปลี่ยนเครื่องยนต์หลักของกิกันท์ที่เขาขับ

แต่แผนล้มเหลว

ขณะที่เคานต์โมนาร์ชกำลังสบทอย่างโกรธเกรี้ยว โกทคุกเข่าลงบนพื้น

“ข้าต้อฃขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆท่านเคานต์! ครั้งนี้ข้าจะไปฆ่าไอ้ขยะนี่เอง!”

ในความเป็นจริงแล้วโกทไม่ได้อยากที่จะฆ่าใครมากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เคานต์โมนาร์ชหมดอารมณ์ เขาก็มักจะชอบให้คนรับใช้ทำเช่นนั้น

ว้า! พุก!

เคานต์โมนาร์ชที่กำลังโกรธก็ได้พูกขึ้นมา

“หึ! เจ้ายังไม่ได้ทำลายหลักฐานหรือเบาะแสใช่ไหม?”

โกทที่ยืนขึ้นก็หันกลับมาและตอบว่า

“ข้าได้จัดการกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบสักแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่รู้แน่นอนว่าเราเป็นคนทำ”

“งั้นก็ดีแล้ว”

หากพวกของลุครู้ว่ามือขวาของเขาเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ ปัญหาเล็กใหญ่ก็จะตามมาทีหลังแน่นอน

มันไม่ใช่ว่าเขากลัวสายเลือดของรากันต์

แต่หากมาร์ควิสเมเยอร์สและลอร์ดคนอื่นๆของทางใต้จับได้ว่าพวกเขาเป็นคนลงมือทำเรื่องเหล่านี้ สิ่งต่างๆก็อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายแน่นอน

แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางใหญ่อันดับสองในภาคใต้ แต่เขาก็ไม่สามารถรับมือได้แน่นอนหากต้องเป็นศัตรูกับทุกคน

“อึก! ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิถึงยังคงนิ่งเฉยต่อเรื่องของขุนนาง ข้าละอยากจะระดมกองทัพและกวาดล้างพวกเขาจริงๆ”

‘ถ้าพวกเราทำอย่างนั้นสาธารณรัฐโวลก้าและจักรวรรดิอาร์เทเนียศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่อยู่นิ่งแน่นอน’

มันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องการโจมตีศัตรู แต่ว่าการกระทำแบบนั้นก็จะดึงดูดศัตรูจากภายนอกมาเช่นกัน

เพราะเหตุนี้จักรพรรดิรูดอล์ฟจึงไม่สามารถกวาดล้างขุนนางคนอื่นๆได้

อย่างไรก็ตามโกทตัดสินใจที่จะไม่พูดคำพูดของเขาในตอนนี้ ถ้าเขาทำแบบนั้นต่อหน้าเคานต์โมนาร์ช สิ่งที่เขาจะได้รับก็จะมีเพียงความเสียหายเท่านั้น

และสาเหตุที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้เคานต์โมนาร์ชต้องการที่ดินของตระกูลรากันต์ก็เป็นเพราะความก้าวหน้าในการทำลายการปิดล้อมของขุนนางฝ่ายใต้

เมื่อมีการเปิดถนนใหม่ทางด้านตะวันตกของจักรวรรดิ มันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมต่อที่ดินของรากันต์กับทางตะวันตกเฉียงใต้ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย

แน่นอนว่าหมู่บ้านในที่ดินของรากันต์นั้นไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี้เลย

“แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เจ้าก็ต้องจัดการกับลุคให้ได้”

“ไม่ต้องห่วงนายท่าน เราจะทำการเคลื่อนพลอัศวินเงาในอีกไม่กี่วันและนำคอของเขามาให้ท่านเอง”

“อัศวินเงา?”

“ใช่แล้ว ข้าคิดว่าคนที่กล้าท้าทายอำนาจของท่าน ต้องได้รับอะไรแบบนี้”

“ฮ่าๆ เจ้าแน่มาก ทำได้ดี! ทำได้ดี!”

อัศวินเงาเป็นหนึ่งในพลังลับของเคานต์โมนาร์ช ซึ่งเป็นกองกำลังทหารหรือทหารรับจ้างและอัศวินอิสระที่ถูกเกณฑ์ไปยังเวทีกิกันท์

พวกเขาดูแลงานที่ยุ่งเหยิงของเคานต์เป็นหลัก และทักษะในการควบคุมกิกันท์ของคนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกอัศวิน

เคานต์โมนาร์ชพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และถามบางอย่างที่อยู่ในใจของเขา

“แล้วตอนนี้เจ้าหญิงเรย์น่าเป็นยังไงบ้าง”

เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเจ้าหญิง และยังคงคิดหาวิธีกดดันเธอและทำให้เธอเป็นของเขา

เขาเริ่มต้นด้วยการเพิ่มภาษีให้กับผู้คนที่เข้ามาจากอาณาจักรโวลก้าและหากพวกเขาทำอะไรที่ไม่สบายใจหรือแสดงพฤติกรรมไม่พอใจทหารตำรวจจะจับพวกเขาทันที

ส่งผลให้คนรับใช้เก่าที่เคยทำงานกับเจ้าหญิงออกมาประท้วงหลายครั้ง แต่เคานต์โมนาร์ชก็ไม่ได้สนใจพวกเขา

“เธอกำลังพบปะผู้คนที่นู่นและที่นั่น แต่ในไม่ช้าเธอก็จะหมดทางเลือก”

“ดีมาก! ในท้ายที่สุดเธอจะต้องยอมจำนนและเข้ามาโอบกอดข้า”

ทั้งโกทและเคานต์โมนาร์ชที่รู้สึกหงุดหงิดก็เริ่มยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าหญิงที่วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของพวกเขา….

 

 

บทที่ 31 ก้าวแรก (4)

ณ ห้องทดลองเวทมนตร์ของมิวท์

มันเป็นอาคารสองชั้นขนาดเล็ก โดยชั้นที่สองเป็นหอพักและห้องทำงานส่วนชั้นแรกเป็นห้องทดลอง

เอียด!

เมื่อประตูไม้เปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในความมืดก็ตะโกนดังลั่น

“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไง!”

“เซอร์มิ้วท์ นายน้อยมาที่นี่แล้ว”

ชายวัยกลางคนลุกขึ้นอย่างสับสนเมื่อได้ยินคำตอบของฮานส์

“นายน้อยมาอย่างนั้นหรอ”

“ชิ ดูเหมือนว่าเจ้าจะดื่มมาเยอะเลยนะ”

ลุคเดาะลิ้นของเขาและพูดอย่างหนักแน่นเมื่อเขาสังเกตเห็นขวดไวน์สองสามขวดในห้องแล็บ

เมื่อได้ยินแบบนั้น มิวท์ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

ลุคมองมิวท์ด้วยสมาธิสูงสุด

มานาแสกนเป็นเวทมนตร์ประเภทหนึ่งที่สามารถใช้ได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องระวังให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่สังเกตเห็นว่าลุคกำลังใช้เวทมนตร์และกำลังเรียนรู้เวทมนตร์แห่งความมืด

“5 วงเวทย์! เขาอยู่สูงกว่าที่ข้าคิดไว้แหะ”

เนื่องจากลุคได้ยินมาว่าเขาเป็นเพียงพ่อมดที่มาจากหอคอยเวทมนตร์ขนาดเล็กๆจากเมืองเล็กๆ เขาจึงคาดว่าพ่อมดคนนี้จะต้องมีวงเวทย์มากที่สุดประมาณ 3 หรือ 4 วงเท่านั้น

ระหว่างที่ลุคกำลังคิด มิวต์ก็เคลียร์ห้องแล็บและส่งเก้าอี้ให้ลุคนั่ง

“ท่านประสงค์สิ่งใดกัน ถึงได้มาหาชายผู้ต่ำต้อยเช่นข้าในยามวิกาลแบบนี้”

“ข้าอยากรู้ว่า เจ้าจะโทษตัวเองไปอีกนานแค่ไหน”

เมื่อพูดคำนั้นมิวท์ก็หัวเราะและส่ายหัว

“ได้โปรดอย่าใส่ใจข้าเลย”

“มิวท์…”

“อุบัติเหตุครั้งนั้นมันเป็นเพราะข้าเอง ไม่ว่าข้าจะคิดถึงเรื่องนี้สักกี่ครั้ง มันจะไม่เกิดขึ้นแน่ๆถ้าข้าได้มองมันใกล้กว่านี้”

หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น มิวท์ก็ไม่ได้กินหรือดื่มอะไรแบบคนปกติอีกเลย เขาเอาแต่อธิษฐานกับตัวเอง และโชคดีที่นายน้อยก็ตื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

แน่นอนว่าลุคดูเปลี่ยนไปมาก แต่มิวท์ก็ยังไม่รู้การเปลี่ยนแปลงใด ๆที่เกิดขึ้น

“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้เจ้ารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆข้ามาเพื่อบอกให้เจ้าเลิกยึดติดได้แล้ว”

ที่ดินของรากันต์แห่งน้นั้นมีขนาดเล็ก มันจึงทำให้มิวท์ที่เป็นจอมเวทเหล็กไหลยากที่จะหาชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นให้ตรงกับเวลา

แม้จะต้องทำงานอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น แต่มิวท์ก็ยังคงทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แม้ว่าผู้ที่เขาให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีจะตายไปแล้วก็ตาม

แม้จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่เขาก็สามารถจัดการกับกิกันท์ทั้งสามตัวได้เพราะความพยายามของเขา

และทุกคนก็รู้ถึงข้อนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครขอให้เขารับผิดชอบต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น

“ขอบคุณนายท่าน แต่ข้าไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้”

“แล้วเจ้าจะละเลยเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรอ เจ้าอยากจะเมาอย่างไร้ค่าไปตลอดชีวิตรึไง”

มิวท์พยักหน้าอย่างเงียบๆ

ลุคขมวดคิ้ว

“เจ้าเคยเดินทางเร่ร่อนเพราะไม่ชอบยึดติดกับสถานที่เพียงแห่งเดียว ผู้ชายคนนั้น! ผู้ชายที่ดื้อรั้นและมีความรู้คนนั้นอยู่ที่ไหนกัน”

ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาชอบทัศนคติของเจ้านายคนเก่า เขาจึงตัดสินใจยอมที่จะเป็นผู้ติดตามของเขา

“ตกลง หากเจ้าไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ งั้นข้าก็จะลงโทษเจ้าเอง”

“นายท่าน!”

ฮานส์เรียกเขาอย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นลุคยกมือขึ้น

มิวท์ในตอนนี้นั้นพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งแล้ว

……

ลุคให้เงิน 70,000 เปโซแก่เขา

“นายท่าน?”

ในตอนแรกเขาคิดว่ามันจะมีมีดดาบโผล่ออกมาตัดหัวของเขา แต่เมื่อเขาเห็นว่ามันเป็นเงินที่เข้ามาแทน มิวท์ก็ค่อนข้างลนลาน

“ข้าขอสั่งเจ้า ให้ใช้เงินนั้นสร้างหอคอยเวทมนตร์ในที่ดินของเรา ซื้อหนังสือคาถาและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและการผลิต แล้วรวบรวมบุคคลที่มีความสามารถและสอนพวกเขา”

“นายท่าน…”

“ข้าไม่เหมือนกับเจ้านายคนอื่นๆ ข้าจะลงทุนในเวทมนตร์ ดังนั้นเจ้าจงพัฒนาเวทมนตร์ในที่ดินของเราและพยายามป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกในอนาคต”

มันเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ แต่มันก็เหมือนกับการได้รับรางวัล

สนับสนุนการสร้างหอคอยเวทมนตร์อย่างนั้นหรอ?

เมื่อสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเขา มิวท์ก็เริ่มพูดไม่ถูก

ลุคให้คำสั่งสุดท้ายแก่เขา

“และบทลงโทษสุดท้าย! จงอย่าทรยศข้าหรือหันหลังให้กับที่ดินนี้เป็นอันขาด นี่คือการลงโทษทั้งหมดที่เจ้าได้รับ จงรู้จักให้เกียรติตัวเองในฐานะพ่อมดและจงเรียนรู้วิธีปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรทำ”

มิวท์ที่กำลังร้องไห้อยู่ เช็ดน้ำตาของเขาด้วยเสื้อคลุม

เขาคุกเข่าลงต่อหน้าลุคและสาบานว่าจะภักดีต่อเขา

“ข้าขอยอมรับการลงโทษจากนายท่านไปตลอดชีวิต”

ลุคยิ้มเมื่อได้ยินคำสาบานของมิวท์และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น

“แล้วก็นะ มีจอมเวทเหล็กไหลมาใหม่สามคน เจ้าช่วยรับพวกเขาไปดูแลทีนะ จะใช้พวกเขาทำอะไรก็ตามแต่เจ้าเลย”

“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งนายน้อย”

มิวท์ก้มหัวให้ลุคอีกครั้ง

จากนั้นลุคก็ออกจากห้องและมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานของเขา

พ่อบ้านฮานส์เองก็เดินตามนายน้อยของเขาด้วยสีหน้าอบอุ่น

“ท่านทำได้ดีจริงๆ ท่านโน้มน้าวมิวท์ได้ดีกว่าข้าคิดเอาไว้มาก เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไปข้าจะไม่ทำเหมือนท่านเป็นเด็กอีกแล้ว”

“หึๆ มันไม่มีใครดื้อไปกว่าเขาแล้วจริงๆ…”

มันยังมีใครบางคนที่ดื้อรั้นมากกว่ามิวท์

ในช่วงเวลาที่เขายังเป็นจอมเวทเซย์มอนเมื่อ 500 ปีก่อน ลุคเคยพบกับชายผู้ที่ดื้อรั้นกว่ามิวท์มาก

เขาคนนั้นเป็นที่รู้จักในนาม “ค้อนแดงรอมเมล” และเขายังเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ชายที่ดื้อรั้นที่สุดในบรรดาคนแคระ เขาเป็นที่รู้จักตลอดหลายศตวรรษว่าเป็นคนดื้อรั้น

มิวท์ไม่สามารถนับเป็นอะไรได้เลยเมื่อเทียบกับเขา เขาแทบจะดูเหมือนเด็กน้อยเลยเมื่อเทียบกับคนแคระคนนั้น

“ยิ่งเจ้ามีความรู้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งต้องการได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าจะจงรักภักดีต่อคนที่มองเห็นคุณค่าของเจ้าเท่านั้น”

นั่นคือสาเหตุที่ลุคไม่ได้บังคับให้มิวท์ทำคำสัตย์มานา

อันที่จริงคำสัตย์ของมานาไม่ได้ผลกับคนที่เข้าใจ หากเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาสามารถทำลายวงเวทย์ได้ตลอดเวลา

“แต่นายน้อย ท่านจะลงทุนในเวทมนตร์จริงๆหรอ”

“ใช่แล้ว ข้ามองว่าอีกไม่นานวิศวกรรมเวทมนตร์ก็จะเข้าสู่ยุคใหม่”

ด้วยการถือกำเนิดของศิลาเวทมนตร์เทียม กองกำลังที่น่ากลัวในสนามรบปัจจุบันจึงอยู่ที่กิกันท์

การใช้พ่อมดและอัศวินในการต่อสู้นั้นจะเป็นอะไรที่ไม่คุ้มกับค่าความเสียหายแน่นอน แต่ถึงยังงั้นพวกเขาก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ของกิกันท์

นอกจากนี้ยังมีการผลิตและใช้สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์หลายชนิดในด้านต่างๆ

ในอดีตสิ่งประดิษฐ์มีราคาแพงมากและมักจะถูกผลิตในปริมาณที่น้อย แต่ด้วยพัฒนาการของวิศวกรรมเวทย์มนตร์มันจึงทำให้สิ่งของเหล่านี้ได้รับการผลิตจำนวนมากและมีราคาที่ถูกลง

สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์แบบเรียบง่ายไม่ได้มีไว้สำหรับพ่อมดหรือขุนนางเท่านั้นอีกต่อไป และไฟวิเศษที่ติดไว้ตรงมุมถนนก็นับเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า

ลุคซึ่งเดินทางไปยังลาเมอร์ ไม่มีเจตนาที่จะเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงเหล่านั้น แน่นอนว่าเขาวางแผนที่จะมีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่เขาได้กลับมาเกิดอีกครั้งแล้ว

“แต่เดิมที ตระกูลรากันต์นั้นจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ดาบ”

“ใช่ แต่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว จริงอยู่ที่ดาบในมือกับศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมนั้นยังมีความสำคัญ แต่เราก็ต้องยอมรับในพลังของเวทมนตร์ที่มาใหม่ด้วยเช่นกัน”

เมื่อ 500 ปีก่อน

มันไม่มีอัศวินคนไหนที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังโกเลมของเซย์ม่อนได้แม้แต่คนเดียว

แน่นอนว่ามันเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งสัตว์ประหลาดหายากอย่างรากันต์ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็เป็นคนสุดท้ายเช่นกันที่ทำให้โลกได้รู้จักกับเปลวไฟของอัศวินที่ลุกโชนอย่างสว่างไสว

“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องคำสั่งของนายน้อย ข้าได้ลบรูปเหมือนของบรรพบุรุษในอดีตเพื่อต่ออายุตระกูลของเราเรียบร้อยแล้ว”

“อืม..”

จริงๆแล้วลุคก็แค่ไม่อยากเห็นภาพที่น่ากลัวของรากันท์ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนรับใช้ลบทุกภาพที่เกี่ยวข้องกับรากันต์และขอให้พวกเขาไม่พูดถึงมันอีก

ฮานส์ซึ่งไม่รู้เจตนาของลุค จึงคิดว่าเขาแค่ไม่สบาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือการรื้อฟื้นชื่อเสียงของตระกูล!

“ตั้งแต่ข้าอายุมากขึ้น ความคิดของข้าก็โตขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าท่านต้องการจะทำสิ่งต่างๆในแบบของท่าน ข้าก็ยินดีที่จะพลิกโฉมโลกตามที่ท่านต้องการ”

“หึๆ ข้าก็หวังไว้แบบนั้น”

ลุคมองดูฮานส์ที่กำลังก้มหน้าและรู้สึกยินดี

แต่เดิมฮานส์นั้นเป็นนักแข่งกิกันท์ที่เป็นตัวแทนของตระกูลรากันต์

นอกจากนั้นเขายังเป็นมือขวาของผู้นำตระกูลคนก่อนและเป็นผู้พิทักษ์ของลุค

และหน้าที่ดังกล่าวก็ได้ทำลายความดื้อรั้นของเขาไป แน่นอนว่าธรรมชาติของเขานั้นไม่ใช่อะไรที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ และการจู้จี้เล็กๆน้อยๆก็ยังคงจำเป็นตราบเท่าที่มันไม่ได้รุนแรงเกินไป

“เอาล่ะในที่สุดข้าก็ได้ครองตระกูลรากันต์สักที”

มีงานอีกมากมายที่เขาต้องทำเพื่อทำให้แก้แค้นของเขาสำเร็จ

สำหรับลุคแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การเดินทางระยะยาวเท่านั้น และสิ่งที่เขาพึ่งทำไปก็นับเป็นแค่ “ก้าวแรก” ที่สำคัญที่สุดของเขา….

 

บทที่ 30  ก้าวแรก (3)

เมื่อลุคมาถึงโกดังขนาดยักษ์ เขาก็พบเข้ากับกองหินและกองไม้ขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งมีกล่องขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุไปด้วยอาเซนและศิลาเวมทมนตร์ที่สิ้นอายุการใช้งาน

“หินแข็งกำลังดี คุณภาพไม้ก็ดีมากด้วย…”

“วัสดุเหล่านี้ล้วนเป็นวัสดุที่ดีที่สุดที่ใช้ในการสร้างป้อมปราการและปราสาท แน่นอนเพราะเราขายแต่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ”

เมื่อเห็นการตอบสนองต่อการประเมินของลุค ผู้บริหารของหอการค้าฮาเดสก็พูดด้วยความภาคภูมิใจ

หอการค้าฮาเดสเป็นบริษัทการค้าที่ทำการแลกเปลี่ยนอยู่ในโลกมืดเท่านั้น  แม้หอการค้านี้จะมีขนาดเล็กกว่าบริษัทอาลอนอยู่มาก แต่พวกเขาก็มีชื่อเสียงอย่างมากเนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าเป็นบริษัทที่ซื่อสัตย์และละเอียดรอบคอบ

พวกเขายังแวะมาขายของใช้ในชีวิตประจำวันให้กับตระกูลรากันต์ อีกด้วยเดือนละครั้ง

“ว่าแต่ท่านจะเอาไปใช้ทำอะไรล่ะ? หรือว่าท่านกำลังจะซ่อมแซมปราสาทราชาปีศาจอย่างนั้นหรอ”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นหรอก ทั้งหมดนี่ราคาเท่าไหร่กัน”

“ทั้งหมด 50,000 เปโซ”

ผู้บริหารมอบใบเสร็จให้กับลุค

“แพงกว่าที่คิดแหะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านครับ เราจัดหาสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าเท่านั้น นอกจากนี้เราทุกคนก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน…”

“ตกลง ข้าจ่าย”

ลุคหยิบเงิน 50,000 เปโซออกมาและส่งมอบมันให้กับตัวแทนของหอการค้าทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องทำงานใต้ดินพร้อมกับกล่องที่บรรจุศิลาเวทมนตร์

ตัวจ่ายมานานั้นเป็นเหมือนกับโรงไฟฟ้าที่จ่ายมานาให้กับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ

ในบางแง่มันก็คล้ายกับเครื่องยนต์หลักที่อยู่ในกิกันท์ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของมันก็คือขนาดและพลังมรามันจ่ายให้

ในอดีต ตัวจ่ายมานาขของลุคนั้นมีพลังมากจนสามารถสร้างและควบคุมกองกำลังโกเลมได้แบบสบายๆ

“เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าได้สัมผัสสิ่งนี้…”

ลุคสัมผัสตัวจ่ายมานาของเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

เมื่อลุคตรวจสอบเสร็จเขาก็เริ่มเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหายหรือชำรุดกับอะไหร่ที่เขาซื้อมาจากหอการค้าฮาเดส

“หุหุ ฝีมือของข้ายังดีเหมือนเดิมจริงๆ”

แม้ร่างกายของเขาจะเปลี่ยนไปและวงเวทย์มนต์ดำก็ลดลงเหลือเพียงแค่ 3 วง แต่ประสบการณ์และความรู้ของเขาก็ยังคงอยู่

เขาใช้เวลาอันสั้นเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วนออกมาแล้วใส่กลับเข้าไป

หลังจากประกอบตัวจ่ายมานาเสร็จอีกครั้ง เขาก็เริ่มใช้เวทมนตร์บางอย่าง

ครึก! เคร้ง?!

เมื่อตัวจ่ายมานาเริ่มทำงาน เสียงที่ดังกึกก้องก็ดังขึ้น

แม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 500 ปี แต่มันก็ยังทำงานได้ราวกับว่าเป็นของใหม่

มานาเริ่มถูกแจกจ่ายให้กับอุปกรณ์ต่างๆเช่น วงเวทย์เทเลพอร์ท

แสงจากวงเวทย์เทเลพอร์ตเริ่มสว่างไปทั่วทั้งห้อง และในไม่ช้าก้อนหินและไม้ในโกดังก็เริ่มถูกดึงเข้ามา

คุง! ทุ่ง!

เครื่องจักรต่างๆในห้องทดลองเริ่มเคลื่อนไหวและทำการผลิตโกเลมขึ้นโดยอัตโนมัติ

หินและไม้เริ่มถูกตัดแต่ง ชิ้นส่วนที่ทำเสร็จแล้วจะถูกสลักด้วยวงเวทย์ด้วยเครื่องมือที่มีเวทมนตร์แห่งเปลวไฟ

ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาที่เขารับบท เซย์ม่อน หรือ ลุค  เขาก็มักจะสร้างโกเลมทั้งหมดด้วยความช่วยเหลือของเครื่องจักรที่อยู่ในห้องแล็บเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงสามารถผลิตสิ่งของจำนวนมากได้โดยใช้กำลังคนขั้นต่ำ แต่เขาไม่สามารถทำกระบวนการนี้ได้ตลอดไป

นอกเหนือจากวัสดุทั่วไปเช่นหินและไม้แล้ว โกเลมยังทำจากอัญมณีวิเศษและวัสดุวิเศษอื่นๆอีกมากมาย

และการแปรรูปวัสดุวิเศษเหล่านั้นก็จำเป็นต้องใช้ความประณีตและความระมัดระวังซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้โดยใช้เครื่องจักร

ฮาเดสมีวัสดุวิเศษจำนวนหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างโกเลมแต่มันก็สร้างได้เพียง 20 ตัวเท่านั้น

“อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าต้องทำทีละอย่าง”

หลายสิ่งไม่สามารถทำได้ในครั้งเดียว

ไม่ว่างานนั้นจะเร่งด่วนสักเพียงใด แทนที่จะรีบเร่งทำให้เสร็จ ลุค กลับเลือกที่จะค่อยๆทำมันอย่างปราณีต และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่เคยทำงานล้าช้าเพราะติดปัญหาที่ไม่คาดคิด

เมื่อพอใจกับการทำงานของเครื่องจักรแล้ว ลุคก็ย้ายไปที่ห้องทดลองลับและเริ่มฝึกฝนเวทมนตร์แห่งความมืด

ในตอนเย็น เมื่อลุคกลับไปที่คฤหาสน์ ฮานส์ก็อยู่ที่นั่นก็เริ่มจู้จี้เขา

“นายน้อย นี่ท่านไปที่ปราสาทราชาปีศาจด้วยตัวคนเดียวอีกแล้วหรอ?”

“ตอนเด็กๆข้าก็ไปที่นั่นคนเดียวได้ไม่ใช่รึยังไง”

“ตอนนั้นท่านยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ทุกอย่างของตระกูลขึ้นอยู่กับชีวิตของท่านแล้วนะ…!”

ฮานส์พยายามอธิบายทุกอย่าง แต่เขาหยุดกลางคัน

“อย่างไรก็ตาม การออกไปข้างนอกคฤหาสน์ด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป ดังนั้นโปรดพาฟิลิปไปกับท่านจะได้ไหม หรือไม่ก็อย่าไปไหนเลย”

“โอเค”

ลุคพยักหน้าและเดินเข้าไปยังห้องทำงานในคฤหาสน์ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเขาก็เริ่มการจินตนาการถึงวิธีการพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตามความคิดของเขาก็ต้องถูกระงับไปชั่วขณะ

ภายในห้องทำงาน ดิ๊กสันและคนรับใช้คนอื่นๆก็เริ่มเข้ามาและร้องไห้ออกมา

“นายท่าน เพื่อฟื้นฟูการค้าของเรา เราจำเป็นต้องสร้างถนนใหม่และเพิ่มร้านค้าในหมู่บ้านให้มากขึ้น และเงินในการสร้างทางหลวงและร้านค้า … ”

“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร! เราต้องเคลียร์ที่ดินก่อน! การเกษตรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของเรา! นายท่านกรุณาจัดการเรื่องเงินทุนสำหรับการจัดการบัญชีที่ดินก่อนเถิด!”

“ฮะ! เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร สภาพความเป็นอยู่ของผู้อยู่อาศัยต้องได้รับการปรับปรุงก่อนสิ ดังนั้น…”

คนรับใช้คนหนึ่งได้พบกับผู้บริหารของหอการค้าฮาเดสที่กำลังจะเดินทางกลับหลังจากส่งมอบสินค้าเสร็จ  เขาได้รับข้อมูลมาว่านายน้อยของเขาได้จ่าย 50,000 เปโซไปเรียบร้อยแล้ว

ด้วยเพราะเหตุนี้ คนเหล่านี้จึงรู้ถึงเรื่องเงินที่ลุคมี

ความจริงที่ว่านายน้อยนั้นมีเงินอยู่ในมือของเขาหลังจากการพนันในบ่อนและการพนันในสนามประลองกิกันท์นั้นเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว

ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งไปหาลุคและเริ่มขอร้องทีละคนเพื่อให้ลุคลงทุนกับการพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

ลุคมีหน้าตาบูดบึ้ง

ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทุนในอะไรสักอย่างก็คล้ายกับการดื่มยาพิษ

“เงิน 30,000 เปโซที่ใช้ในเหมืองมันหายไปไหนแล้วล่ะ?”

หากไม่ได้รับการวางแผนอย่างถูกต้อง ลุคก็คิดว่าเขาอาจหลงกลพวกลูกน้องที่คิดจะเอาแต่ได้ได้และอาจจะต้องใช้จ่ายมากกว่าที่จำเป็น

“หยุด!”

ลุคตะโกนขึ้นเพื่อสั่งให้พวกเขาเงียบ และเริ่มตอบด้วยท่าทางที่แน่วแน่

“ข้าเข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนพยายามจะสื่อ แต่ข้ามีแผนชัดเจนอยู่แล้วว่าจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างไร ดังนั้นเราจึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป”

“แต่…”

“ก็_บอกว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกไง!”

กวาง!

ลุคกระแทกโต๊ะด้านหน้า ซึ่งทำให้ดิ๊กสันและคนอื่นๆเงียบไป

ในขณะที่ฮานส์กำลังจะเข้ามาหาลุค เขาก็ได้เดินสวนกับคนรับใช้คนอื่นๆที่เดินออกมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ยังไงซะ ทำไมช่วงนี้ข้าถึงไม่เห็นมิวท์เลยละ”

ลุคก็ถามเมื่อวันก่อนเช่นกันเพราะเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เห็นมิวท์ซึ่งเป็นพ่อมดเพียงคนเดียวและผู้พิทักษ์ทรัพย์สมบัติ

“เขาอยู่ในห้องทดลองเวทมนตร์ตลอดทั้งวันเลย เขาไม่ได้ออกมาตั้งแต่วันที่ท่านประสบอุบัติเหตุ”

“หืมจริงเหรอ”

มิวท์มาจากหอคอยเวทมนตร์ของเมืองเล็กๆจากอาณาจักรใกล้เคียง  ด้วยความไม่เต็มใจที่จะต้องยึดติดกับสถานที่เพียงแห่งเดียวเขาจึงออกจากหอคอยเวทย์มนตร์ในเมืองของเขาและเดินทางไปทั่วทวีป และในที่สุดเขาก็มาลงเอยที่รากันต์เมื่อ 12 ปีก่อน

ตอนนั้นเองที่จอมเวทเหล็กไหลคนก่อนที่ทำงานให้กับตระกูลรากันต์ได้เสียชีวิตลง

ในท้ายที่สุด อดีตเจ้านายคนก่อนจึงประกาศรับสมัครหาพ่อมดคนใหม่ ซึ่งมิวท์ที่รู้สึกถูกชะตากับเขาจึงมาสมัครและในที่สุด ปัจจุบันนี้เขาก็ยังทำงานเป็นจอมเวทเหล็กไหลและพ่อมดเพียงคนเดียวในที่ดินแห่งนี้

แต่หลังจากอุบัติเหตุผ่นไปได้หนึ่งเดือน มิวท์ก็เริ่มเสียสติพร้อมทั้งโทษตัวเองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับนายน้อยของเขา

“บางที ข้าควรไปหาเขาหน่อย”

คนงานที่จำเป็นและน่าเบื่อที่สุดในที่ดินแห่งนี้ก็คือพ่อมด

คนรับใช้คนอื่นอาจถูกหลอกได้ แต่พ่อมดนั้นแตกต่างออกไป

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่าหากเขาไม่สามารถทำให้พ่อมดคนนั้นกลายเป็นคนของเขาได้ ลุคก็จะขับไล่เขาออกไปแทน

เมื่อคิดได้แบบนั้นลุคลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าไปพบกับพ่อมด….

 

 

บทที่ 29  ก้าวแรก (2)

ทอดด์,กอร์ดอนและฮัมฟรี้ย์

ทั้งสามคนเป็นเพื่อนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันและเป็นพ่อมดที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์คนเดียวกัน

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีภูมิหลังที่มีชื่อเสียงหรือมีอำนาจทางการเงิน ทักษะของพวกเขาก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหางานทำเป็นเป็นแหล่งได้

จากนั้นในเวทีประลองกิกันท์พวกเขาก็ได้แพ้พนันให้กับลุคและถูกจับไปเป็นทาสของเขา

“พระเจ้าช่วย! นี่มันน่าเบื่อจริงๆ!”

“แฮ่ก แต่เราจะไม่ตายหรอ ถ้ายังรับใช้เขาต่อไป”

จอมเวทเหล็กไหลทั้งสามถอนหายใจอย่างแรง

ลุคนั้นรู้วิธีที่ใช้พวกเขาอย่างไรให้เกิดประโยชน์

เป็นเพราะจอมเวทเหล็กไหลเหล่านี้ที่มีวงเวทย์ 2 หรือ 3 วง นั้นเป็นคนที่สามารถบำรุงรักษาและซ่อมแซมกิกันท์ได้ลุคจึงเก็บพวกเขาเอาไว้

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคฤหาสน์

เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาไม่สามารถทำงานได้ตามที่ลุคสั่ง มันก็จะมีหมัดพระราชทานมอบให้กับพวกเขาเสมอ เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาทำการประท้วง มันก็จะมีลูกเตะพระราชทานมอบมาให้พวกเขาเช่นกัน

ในที่สุดพวกเขาก็ยอมจำนนต่อความรุนแรงและทำตามที่ลุคสั่งอย่างโดยดี หากพวกเขาพูดมากเกินไปหมัดและลูกเตะก็จะถูกประเคนเข้ามาหาพวกเขาอย่างถาโถม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาทนทำงานอย่างหนัก

“เ*รเอ้ย! ใครมันเป็นคนเริ่มการเดิมพันกัน!”

“แต่เจ้าก็เห็นด้วย!”

“ข้ามันบ้าเอง ที่ทำตามคำพูดของเจ้า!”

ถ้าทำได้พวกเขาก็อยากจะวิ่งหนีออกไปทันที อย่างไรก็ตามทั้งสามก็ไม่สามารถทำได้ มันเป็นเพราะคำสัตย์มานาที่พวกเขากล่าวไว้ว่าจะรับใช้ลุคไปตลอดชีวิต

คำสัตย์มานานั้นเป็นพิธีกรรมเวทย์มนตร์ชนิดหนึ่งที่เหล่าพ่อมดแม่มดจะวางไว้บนวงเวทย์ของพวกเขา และมันก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้

มานาเหล่านั้นจะได้รับอิทธิพลจากเจตจำนงและคำพูดของมนุษย์

ดังนั้นเมื่อใครสักคนคิดที่จะทำคำสัตย์มานา พวกเขาก็จะต้องคิดให้ดีอย่างมีสติ เพราะหากเขาเลือกที่จะต่อต้านมันในภายหลัง มานาเหล่านั้นและวงเวทย์ของพวกเขาก็จะถูกทำลายไป

ความเจ็บปวดที่ได้รับเนื่องจากการผิดคำสัตย์นั้น กล่าวได้ว่าเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

นั่นเป็นสาเหตุที่ถ้าพ่อมดเหล่านี้สามารถย้อนเวลากลับไปได้ พวกเขาก็จะไม่มีทางทำคำสัตย์มานากับลุคแน่นอน

“หึ!ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่ควรทำตามคำสัตย์มานากับเขาจริงๆ”

“แต่เราก็ไม่สามารถจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ในตอนแรกได้หรอก จริงไหม?”

“พวกเรามันโง่เองแหละ โง่ที่โดนเจ้าหนุ่มคนนั้นหลอก”

ไม่นานหลังจากการต่อสู้ของเจ้าหญิงเรย็น่าสิ้นสุดลง พ่อมดทั้งสามก็ต้องเผาเสื้อคลุมของพวกเขาเพื่อเป็นการไถ่โทษ มันมีจอมเวทเหล็กไหลจำนวนมากที่เฝ้าดูพวกเขาในตอนที่ทำสัญญาดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารภทำผิดสัญญาได้

‘เ?ย! ข้าทำไม่ได้จริงๆ!

ไม่ว่าพ่อมดอิสระจะเก่งกาจเพียงใด แต่หลังจากที่เผาเสื้อคลุมของตัวเองไปแล้ว มันก็จะทำให้การกลับมาทำหน้าที่ในฐานะพ่อมดอีกครั้งเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน

ข่าวลือจะแพร่กระจายไปทั่วเกี่ยวกับการไม่มีเสื้อคลุม

พวกเขาทั้งสามได้เคยพยายามพูดคุยกับลุคเกี่ยวกับเรื่องคำสัตย์ว่ายังพอมีทางเลือกอื่นอีกไหมที่พวกเขาจะสามารถทำแทนคำสัตย์ได้ แต่ลุคก็ให้แค่ทางเลือกที่เลวร้ายแก่พวกเขา

“โถ่ๆ เจ้าพ่อมดตัวน้อยของข้า พวกเจ้านั้นมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการทำคำสัตย์มานาว่าจะรับใช้ข้าไปตลอดชีวิต”

ในเวลานั้นใบหน้าของพ่อมดทั้งสามจ่างก็มีสีหน้าที่ซีดเซียว

อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการทำตามคำสัตย์มานาข้อนี้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม วิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถปกป้องความภาคภูมิใจในฐานะพ่อมดแม่มดของพวกเขาไว้ได้ก็คือ การปล่อยวางในเรื่องของวงเวทย์ ซึ่งมันหมายความว่าสื่งที่พวกเขาทำมาตลอดนั้นจะลูญเปล่าไป

“แม้ว่าเราจะพยายามหลบหนียังไง แต่การกระทำเล็กๆของพวกเราก็คงจะไม่สามารถรอดพ้นจากการเฝ้าสังเกตุของทหารยามไปได้หรอก…”

“ตอนนี้พวก_งกำลังทำอะไรวะ? นี่พวก_งลืมคำสั่งที่ที่สั่งให้พวก_งวิ่งไปอีก 50 รอบของนายน้อยไปแล้วรึยังไง?”

ทอดด์บ่นกับตัวเองเมื่อเห็นฟิลิปที่คอยจับตาดูพวกเขาอยู่ห่างๆ รีบวิ่งเข้ามาและเตือนพวกเขาเกี่ยวกับคำสั่งของลุค

การกระทำของฟิลิปนั้นเหมือนกับตอนที่คุณครูผู้ชั่วร้ายกำลังลงโทษเด็กนักเรียนของเขา

“เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นอีกเรื่อยๆ ถ้า_งช้าแบบนี้พวก_งก็จะไม่สามารถรักษาคำสัตย์ที่ให้ไว้กับนายน้อยได้หรอกนะ”

“เซอร์ฟิลิปได้โปรดเถิด เพียงช่วยข้าครั้งนี้ พวกเราไม่ใช่อัศวินนะ พวกเราเป็นพ่อมด!”

“ _ไม่สนว่าพวก_งจะเป็นใคร  วิ่ง! วิ่งให้เร็ว!! วิ่งให้เร็วเร็วไปเลย!!! ถ้าพวก_งไม่วิ่ง _ก็จะเอาเรื่องนี้ไปรายงานนายน้อยแน่นอน”

กอร์ดอนผู้น่าสงสารถูกคุณครูผู้โหดเหี้ยมข่มขู่และทำร้ายร่างกายจนต้องลงไปนอนกองกับพื้น

“ไม่! ข้าทำไม่ได้! ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย…”

ขณะลุกขึ้นจากพื้น กอร์ดอนที่พยายามจะบอกว่าเขาทำไม่ได้ก็ต้องเงียบไป

ในตอนนี้ลุคกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าขนลุกบนใบหน้าของเขา และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือไม้เรียวยาวที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้

“หากการตายเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็จะเป็นคนมอบสิ่งนั้นให้กับเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”

“ไม่ไม่! ข้าจะวิ่ง ข้าจะวิ่งอย่างสุดกำลัง! ข้าอยากจะวิ่งจนตายไปเลย!”

เมื่อบ่นเสร็จพ่อมดทั้งสามรวมถึงกอร์ดอนก็เริ่มวิ่งอีกครั้ง

ในตอนที่พวกเขาประท้วงอย่างรุนแรงเมื่อสี่วันก่อน พวกเขาก็ได้ถูกลุคทุบตีอย่างหนัก จนพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกซ้อมอย่างสะบัดสะบอม

นอกจากนี้ลุคยังเลือกสถานที่ที่เป็นจุดอ่อนของมนุษย์เช่นข้อต่อ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวที่สุดคือรูปลักษณ์ของลุค รอยยิ้มที่น่าขนลุกซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวแม้กระทั่งในยามที่พวกเขาหลับฝัน

“หุหุหุ ถ้าพวกเจ้าวิ่งต่อไปอีกหน่อย พวกเจ้าก็จะได้มีประโยชน์มากขึ้นไง” ลุครู้สึกพอใจมาก

ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะนำพาจอมเวทเหล็กไหลทั้งสามกลับมา เขาแค่คิดจะทำให้พวกเขาอับอาย

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขาก็ได้เปลี่ยนใจ

เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องพัฒนากองกำลังของตนและสิ่งต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกิกันท์

“ข้ายังต้องการพ่อมดที่ดีอีกเป็นจำนวนมาก”

ลำพังเขาเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถที่จะเติมความรู้และเวทมนตร์ได้เพียงพอ

ซึ่งด้วยความคิดเหล่านั้น เขาจึงต้องการคนที่จะกระโดดลงไปในน้ำเดือดได้โดยไม่ต้องคิดหรือถามอะไร

เพราะฉะนั้นการให้พวกเขาออกวิ่ง จึงเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด เมื่อพวกเขาได้ทนทุกข์เช่นนั้นแล้ว ความคิดอื่นๆทั้งหมดก็จะเริ่มหายไปและในที่สุดพวกเขาก็จะเริ่มยอมรับความเป็นจริง

และนี่คือสิ่งที่ลุคได้เรียนรู้จากนักบวช ใช่แล้ว มันคือนักบวชมนุษย์ที่เป็นคนสอนเรื่องนี้ให้กับเขา ไม่ใช่ปีศาจแต่อย่างใด

ลุคยืนอยู่ที่ข้างทางและมองดูพ่อมดทั้งสามวิ่งไปมา จากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของเขา

บนโต๊ะทำงานของคฤหาสน์ ที่ซึ่งกองบันทึกเอกสารถูกลุครวบรวมไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล เขาจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสถานะของอสังหาริมทรัพย์ดั้งเดิมซะก่อน ดังนั้นเขาจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมัน

ลุคอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในขณะที่อ่านเอกสารที่กองอยู่

“อ่า นี่มันแย่กว่าที่คิด!”

ประชากรในที่ดินแห่งนี้มีเกือบ 20,000 คนตี่บุคคลที่มีรายได้หรือทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นมีน้อยมาก แถมสองในสามของที่ดินก็เป็นที่รกร้างว่างเปล่า และในป่าก็ยังมีสัตว์ประหลาดซุ่มซ่อนอยู่อีกมากมาย

เพราะฉะนั้นสถานที่ที่ดีที่สุดก็คือจุดที่อยู่ใกล้กัยคฤหาสน์และปราสาทราชาปีศาจ

“มีทหารประจำการน้อยกว่า 500 นายและมีกิกันท์เพียง 3 ตัว…”

ถึงแม้กิกันท์ทั้งสามตัวที่เขามีนั้นจะเป็นคลาสนักรบ แต่พวกมันในตอนนี้ก็จัดว่าอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเป็นอย่างมาก หากมีชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของมันพังลง ลุคก็จะไม่แปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

“อ๋อใช่ ข้าไม่ลืมเรื่องพลังของอัศวิน”

นายพลอัศวินโรเจอร์นั้นจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญและภายในกองกำลังของเขาก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากถึง 10 คน

จำนวนอัศวินคือ 30 นายและเมื่อรวมเด็กฝึกงานที่มีอยู่ด้วยเข้าไป มันก็จะมีประมาณ 50 นาย มันเป็นจำนวนมากกว่าที่ลุคคาดคิดไว้

“สมแล้วที่ครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้คือที่อยู่ของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ มันจะต้องเป็นสถานที่ที่ดีที่ใช้ในการฝึกอบรมอย่างแน่นอน”

แม้กระทั่งเซย์ม่อนในสมัยก่อนก็ยังมีกองอัศวินและผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่นายเท่านั้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

พวกเขาบางส่วนก็เป็นพวกที่ไม่เป็นที่ต้องการของที่ที่พวกเขาจากมาหรือไม่ก็เป็นพวกที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกขับไล่โดยผู้บังคับบัญชา

พวกเขาฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดกลุ่มของพวกเขาก็เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว

…..

ลุคมองดูเอกสารอีกครั้ง

รายได้จากภาษีทั้งปีแทบจะไม่เกิน 100,000 เปโซ ในเวลาเดียวกันพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากการขาดอาหารและความอดอยากเรื้อรัง

เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาสถานะดั้งเดิมของตระกูลและเพิ่มกำลังทหาร

“ข้าจะสามารถสู้กับจักรวรรดิและหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสด้วยกองกำลังเหล่านี้ได้ไหมนะ”

ไม่นานนักลุคก็เปลี่ยนความคิดของเขา เขาตัดสินใจที่จะลองดูก่อน

“เมื่อวัตถุดิบมาถึงแล้ว ข้าก็จะได้เริ่มสร้างโกเลมขึ้นสักที และเมื่อโกเลมถูกสร้างเสร็จแล้วการพัฒนาดินแดนแห่งนี้ก็จะเริ่มต้นขึ้น”

ลุคกำลังวางแผนล่วงหน้าในอนาคตของเขาทั้งหมดไว้ในหัว

ก็อก!

เสียงของคนรับใช้ดังมาจากด้านนอกประตู

“เรียนนายน้อย ชายคนหนึ่งที่มาจากหอการค้าฮาเดสได้นำเอาของที่สั่งมาส่งเรียบร้อยเล้ว”

“จริงหรอ?”

ในที่สุดสิ่งที่เขารอคอยก็มาถึง ลุครู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อคิดว่าจะได้เริ่มสร้างโกเลมอีกครั้งในบ้านของเขา

 

บทที่ 28 ก้าวแรก (1)

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ลุคกลับมาจากปราสาทราชาปีศาจ

หลังจากเสร็จสิ้นการสวดมนต์ตอนเช้า นักบวชมารอนก็ได้รับคำเชิญจากหัวหน้าพ่อบ้านฮานส์ให้ไปพบกับเขาที่คฤหาสน์

…..

“ท่านเรียกหาข้าเหรอ?”

ขณะที่นักบวชมารอนถาม ฮานส์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงภะวงความคิดก็ตื่นขึ้น

“เข้ามาก่อนสิ รับชาหน่อยไหม?”

“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงเรียกข้ามา?”

เมื่อเห็นมารอนถามด้วยความสงสัย ฮานส์ก็เริ่มอธิบายว่าทำไมเขาถึงเรียกมารอนมา

“ข้าคิดว่านายน้อยในช่วงนี้นั้นดูแปลกๆไป”

“อ๋อใช่ ข้าก็คิดเหมือนกันตั้งแต่เห็นท่าทีของเขาหลังจากฟื้นขึ้นมา”

จู่ๆเขาก็ขโมยรูปปั้นของบรรพบุรุษไปเพื่อใชแป็นทุนในการพนันหรืออวดทักษะการพนันในเมืองลาเมอร์บ้างละ

นอกจากนี้หลังจากเยี่ยมชมปราสาทราชาปีศาจเสร็จ ลุคก็ขอให้พวกเขาตามหาศิลาเวทมนตร์ที่สูญเสียความมีชีวิตชีวาไปเป็นจำนวนมาก

เมื่อคนรับใช้คนหนึ่งพบว่ามันแปลกๆ เขาก็ได้ถามถึงเหตุผลของนายน้อย แต่ลุคก็ไม่ได้ตอบอะไรชัดเจนมาก เขาบอกเพียงแค่มันถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ในการฝึก

นอกจากนี้คำสั่งที่ลุคให้กับพวกเขาเมื่อวันก่อนก็น่าตกใจมากเช่นกัน

“ขายภาพบรรพบุรุษของข้าออกจากคฤหาสน์ทั้งหมด”

“ท่านพูดว่าอะไรนะ!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของลุค คนรับใช้ต่างก็กระโดดออกจากที่นั่งด้วยความตกใจ และคนที่ตอบโต้รุนแรงที่สุดคือหัวหน้าพ่อบ้านฮานส์

ก่อนที่จะมาเป็นพ่อบ้าน เขาได้คอยเลี้ยงดูนายน้อยของเขาตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้ายในชีวิตของนายน้อยของเขา

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจต่อต้านคำสั่งของลุคอย่างแน่วแน่

“ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ ครั้งล่าสุดท่านก็พึ่งขายรูปปั้นของบรรพบุรุษไป มาตอนนี้ท่านยังต้องการจะขายรูปภาพบรรพบุรุษของท่านอีก”

“ถ้าข้าได้เงิน ข้าก็ไม่ลังเลที่จะทำ”

“นายน้อย!”

เสียงตะโกนที่น่ากลัวของฮานส์ดังก้องในห้องประชุมราวกับเสียงคำรามของมังกร

เขาขยับเข้าหาลุคพร้อมกับกำหมัดแน่นราวกับจะระเบิดออกได้ทุกวินาที

อย่างไรก็ตามลุคก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดหรือการแสดงออกของเขาแต่อย่างใด แม้จะเห็นปฏิกิริยาของฮานส์แล้วก็ตาม

ตรงกันข้ามเขาถามคำถามอื่น

“เจ้านายเก่าของเจ้าสำคัญกว่าการคงอยู่ของตระกูลและที่ดินแห่งนี้อย่างนั้นหรอ?”

“ทั้งคู่สำคัญมาก!”

“จริงหรอ? นี่คือสิ่งที่ข้าคิด ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะต้องดูแลสิ่งต่างๆของบรรพบุรุษของข้าอีกต่อไป บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วกว่า 500 ปีไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับเราอีกแล้ว”

“ไอ้เด็กสารเลว! เจ้ากล้าพูดอย่างนี้ได้ยังไง!”

ด้วยระดับความโกรธแค้นฮานส์ได้รับสั่งสมมานาน เขาได้ลืมที่จะพูดกับลุคอย่างให้เกียรติ เขาเกือบที่จะที่จะใช้หมัดทั้งสองของเขาซัดไปที่ลุค

แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม ปฏิกิริยาบนใบหน้าของลุคก็ยังคงเย็นชาอยู่เหมือนเดิม

“เป็นเพราะมีคนรับใช้เช่นเจ้าไง ตระกูลนี้ถึงยังคงเป็นแบบนี้ และนั่นคือทั้งหมด”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

“ลองคิดดูสักครั้ง เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ตลอดเวลา 500 ปี? ไม่ใช่ว่าทุกคนเอาแต่พยายามพึ่งใบบุญของบรรพบุรุษรึยังไง?!”

“นั่น นั่นมัน…”

ฮานส์อยากจะโต้เถียงกลับไป แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถพูดออกไปได้

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับข้อเท็จจริงที่ลุคพูด แต่ลึกๆแล้วเขาก็รู้ว่ามันถูกต้องตามที่ลุคได้กล่าวไป

“ข้ารู้ดีว่าในอดีตบรรพบุรุษของข้าทุกรุ่นพยายามที่จะฟื้นคืนชื่อเสียงของตระกูลเรากลับมานี้ แต่นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ แทนที่จะพยายามแสดงทักษะและความสามารถของพวกเขาเอง พวกเขากลับพยายามที่จะหากินกับการใช้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษ”

รูปปั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์นั้นและภาพบุคคลก็ครอบงำคฤหาสน์ด้วยเหตุผลนั้น

พวกเขาหวังว่าลูกหลานคนต่อไปจะเติบโตขึ้นเมื่อมองภาพบุคคลและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเหมือนบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าผิดหวังมาก

เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษผู้เป็นหนึ่งในชายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีป ลูกหลานของเขานั้นนอกจากจะตายเร็วแล้วยังมีความสามารถต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าผิดหวัง

ไม่เพียงแค่นั้น …

“พวกเขาบางคนยังต้องเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ในสงคราม เนื่องจากความกดดันที่เกิดมาเพื่อบรรพบุรุษเช่นนี้ มันไม่ใช่แค่คนหรือสองคนเท่านั้นที่พยายามพัฒนาความสามารถที่พวกเขาไม่เคยมีและต้องตายไป”

“นั่นอาจเป็นเพราะคำสาปของปีศาจ…”

เมื่อมีคนยกข้ออ้างขึ้นมา การแสดงออกบนใบหน้าของลุคก็บิดเบี้ยวไปและเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นว่า

“นี่คือแหละปัญหา! ถ้าสิ่งที่ดีเกิดขึ้นก็ขอบคุณบรรพบุรุษแต่พอเรื่องร้ายเกิดขึ้นก็โทษปีศาจ พวกเจ้าไม่เคยคิดที่จะหันกลับมามองดูตัวเองกันเลย ทำไมพวกถึงต้องเอาแต่โทษคนอื่นเสมอ”

“…”

“ข้าเองก็เคยทำอย่างที่ข้าได้กล่าวไป แต่ตลอดเวลาช่วงเวลานั้นข้าเหมือนกับกำลังเดินสู่หนทางแห่งความตาย มันเป็นทางเดินที่ผิด แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบรรพบุรุษของข้าก็ตาม แต่ข้าก็ต้องการที่จะเป็นตัวของข้าเอง!”

ไม่มีใครพูดอะไรกับลุคอีก

โรเจอร์และคนรับใช้อีกสองสามคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับตระกูลรากันต์ต่างก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

แม้แต่คนที่ดื้อรั้นที่สุดอย่างฮานส์ก็ไม่สามารถที่จะทนได้อีกต่อไปและเลือกที่จะก้าวถอยหลังออกมา

“งั้นต่อจากนี้…ท่านมีแผนที่จะทำอะไรต่อ”

เมื่อได้ยินคำถามของฮานส์ ลุคก็ชักดาบของเขาออกจากฝัก

“ข้าจะสร้างทักษะของตัวเองด้วยพรสวรรค์ของตัวเองและข้าก็จะปกครองและเป็นผู้นำของตระกูลนี้ด้วยวิจารณญาณของข้า!”

กวาง!

และเพื่อยืนยันให้คำพูดของเขามีน้ำหนักมากขึ้น ลุคจึงวางดาบขแงเขาลงไปที่โต๊ะ

“คราวนี้ข้าจะทำให้มันชัดเจนมากสำหรับพวกเจ้า ข้าจะเป็นมากกว่าสิ่งที่บรรพบุรุษของข้าเคยเป็น ดังนั้นอย่าคิดล้อเลียนข้าเพราะมันไร้ประโยชน์ที่จะเอาข้าไปเปรียบเทียบกับบรรพบุรุษ”

ในที่สุดการประชุมที่บ้าคลั่งก็สิ้นสุดลง

ในทันใดนั้นอนุสาวรีย์ของบรรพบุรุษที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ถูกรื้อถอน แล้วนำไปวางไว้ในโกดัง

เสมียนที่บันทึกรายละเอียดการประชุมได้ทำการบันทึกทุกอย่างอย่างละเอียด

ลูกหลานของตระกูลรากันต์จะจดจำวันนี้ในฐานะ “วันแห่งหายนะ”

เมื่อฮานส์นึกถึงการประชุมอันแสนดุเดือดที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ข้ารู้สึกดีใจจริงๆที่นายน้อยมีปณิธานที่สว่างไสวกว่าผู้ใดที่ข้าเคยพบมา แต่มันก็มีจุดที่น่าสงสัยอยู่เล็กน้อย”

“และท่านหมายถึงอะไร…?”

“ข้าสงสัยว่าคำสาปของราชาปีศาจหรือวิญญาณจะส่งผลร้ายต่อเขาเมื่อตอนที่เขาหมดสติไปรึเปล่า”

มีข่าวลือมานานกว่า 500 ปี ว่าสายเลือดของรากันต์นั้นถูกสาปโดยราชาปีศาจเซย์มอน

แม้ฮานส์จะไม่เคยเชื่อคำพูดเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันมีบางอย่างผิดพลาดเสมอสำหรับลูกหลานของรากันต์

“อา! หากเป็นเรื่องที่น่ากังวลเช่นนี้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก จริงๆแล้วข้าเองก็รู้สึกเหมือนกันว่านายน้อยนั้นดูไม่ปกติ แต่หลังจากที่ข้าตรวจสอบดูใกล้ๆแล้ว ข้าก็ไม่พบพลังชั่วร้ายใดๆเลย”

“จริงหรอ? งั้นข้าก็โล่งใจแล้ว”

ฮานส์ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดของมารอน เขาไม่ต้องการด่วนสรุปโดยที่ไม่รู้ความจริงอะไรด้วยเหตุนี้เขาจึงถามมารอน

“แล้ววันก่อนเกิดอะไรขึ้นกับการสอบสวน”

“ท่านกำลังพูดถึงกิกันท์ที่มีการระเบิดของเครื่องยนต์หลักใช่หรือไม่”

ฮานส์เคยบอกกับมารอนครั้งหนึ่งเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เกิดขึ้นกับนายน้อยของพวกเขา

โดยปกติแล้วเครื่องยนต์หลักของกิกันท์จะติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยไว้สองถึงสามเท่าซึ่งบ่งชี้ว่าโอกาสที่มันจะระเบิดนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่หายาก

ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือการบำรุงรักษาที่ไม่ดีพอหรืออาจเป็นเพราะคนขับเหนื่อยล้าเกินไปจนทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการควบคุมมานา

“ในกรณีของนายน้อยของเรานั้น เขาพึ่งขึ้นขับไปได้เพียง 5 นาทีเท่านั้นก่อนที่เครื่องยนต์ของกิกันท์มันจะระเบิด แทนที่จะเป็นความผิดพลาดของคนขับ มันมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาที่เครื่องยนต์มากกว่า”

“แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจนัก แต่ข้าก็ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และข้าก็พบสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง”

“มันคืออะไร?”

มารอนกลืนน้ำลายและถาม

“ส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์หลักได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแนบเนียน”

“ถ้าอย่างนั้นมันเป็นการพยายามลอบสังหารนายน้อยอย่างนั้นหรอ?”

มารอนถามด้วยความตกใจ

“ใช่”

ฮานส์สันนิฐานว่าหัวหน้าภาคสนามคนหนึ่งอาจจะเป็นผู้ร้าย

แต่ทันทีที่เขาคิดได้ บุคคลคนนั้นก็ได้หายตัวไปสองสามวัน และต่อมาฮานส์ก็ได้รับแจ้งว่าเขาถูกพบในสภาพเป็นศพในที่ดินใกล้เคียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

“ถ้าอย่างนั้นใครมันเป็นคนทำกัน!”

“ข้าคิดว่าคนที่พยายามจะลอบสังหารนายน้อยคงคิดที่จะฆ่ามันเพื่อปิดปาก เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราจึงยังไม่มีเบาะแสอื่นใดให้ค้นหา”

“ชิ นี่มันแย่จริงๆ”

ใครกันที่กล้าพอจะสังหารผู้สืบทอดแห่งรากันต์?

ตระกูลรากันต์นั้นไม่เคยได้รับความไม่พอใจจากตระกูลใด และพวกเขาก็ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความอิจฉาได้

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ฮานส์ก็สาบานว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดและลงโทษมันให้ได้

“ถ้าอย่างนั้นจะ อีกนานแค่ไหนกัน…?”

มารอนเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง

…..

ฟิลิปกำลังเดินควบคู่ไปกับพ่อมดทั้งสาม

ด้วยคำสั่งของลุค เหล่าพ่อมดจึงต้องทำงานหนักโดยที่ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้

“ข้าไม่เข้าใจ นายน้อยไม่ได้จ้างพวกเขาเข้าทำงานนี่ แล้วพวกเขาจะมาทำงานให้ที่นี่ทำไมกัน”

จอมเวทเหล็กไหลนั้นไม่เหมือนกับอัศวิน

การอยู่เบื้องหลังไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นทหารจริงๆ

“ข้าได้ยินมาจากฟิลิปว่าพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเดิมพันกับนายน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาทำงานให้กับนายน้อยของพวกเราฟรีๆ”

“เดิมพัน? เดิมพันอะไรกัน”

“ข้าไม่ได้รู้ถึงรายละเอียดใดๆ แต่อาจเป็นการพนัน”

ฮานส์พูดด้วยท่าทางไม่พอใจ

เขาคิดว่าพ่อมดเหล่านี้นั้นเป็นนักพนันที่โง่เขลาที่พนันอิสระของตัวเองและสูญเสียมันไปในที่สุด

เขามองว่าพวกพ่อมดคงจะพยายามปล้นนายน้อยของเขา แต่พลาดท่าเสียทีซะเอง

“อะฮ่าฮ่า! เพราะการพนัน…พวกเขาช่างเป็นพี่น้องที่โง่เขลาซะจริงที่ต้องมาลำบากขนาดนี้เพราะการพนัน”

“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว เราก็ไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่งกับการพนันเลย”

ไม่ว่าเขาต้องการจะจ่ายหนี้สักเท่าไหร่ แต่ฮานส์ก็ไม่พอใจที่จะต้องเห็นนายน้อยของเขาเล่นการพนัน พวกพ่อมดที่หกำลังทำงานหนักเหล่านั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะยกตัวอย่าง

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮานส์เป็นกังวลกับลุคมากขนาดนี้…

 

บทที่ 27 คริสตัลเมไจ (5)

“อ้า! ออกไปให้พ้น!”

ลุคกระโดดลงจากพื้นและสะบัดหัวไปมาอย่างดุเดือด

ในขณะนั้นเองเมไจที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆร่างกายของเขาก็เริ่มหายไปราวกับว่ามันกำลังระเหย

ในไม่ช้าร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เล็บและเขี้ยวของเขาก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน ความเจ็บปวดและการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้หายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

“อึก! มันเกือบได้ชีวิตของข้าไปแล้ว!”

ไม่มีจิตใจของปีศาจที่เป็นพิษในคริสตัลเมไจ

สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นไปก็คือความชั่วร้ายที่อยู่ภายในความคิดและจิตใจของเขาเอง

ถ้าจิตวิญญาณของลุคไม่ได้เป็นของพ่อมดที่ขยันขันแข็งในการต่อสู้กับความคิดอันชั่วร้ายแล้วละก็ ผลที่ตามมามันก็จะ…

….

“ข้าทำสำเร็จแล้ว!”

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะดีขึ้นกว่าเดิมอยู่เล็กน้อย

 

กล้ามเนื้อของเขาในตอนนี้ ทุกส่วนต่างก็เต็มไปด้วยพละกำลังและระบบการหายใจของเขาก็เช่นกัน มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาวิ่งไปมาทั้งวันโดยไม่เหนื่อย เมื่อการเผาผลาญของเขาเริ่มทำงาน ร่างกายของเขาก็เริ่มมีพลังเอ่อล้นออกมา

“และเหนือสิ่งอื่นใด…”

ลุคยิ้มจาง ๆ

อัตราการเต้นของหัวใจของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอัตราที่คุ้นเคย

“วงเวทย์สีดำได้รับการฟื้นฟูแล้ว’

คริสตัลเมไจไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเดิม  มันยังวางรากฐานสำหรับการใช้เวทมนตร์แห่งความมืดไว้อีกด้วย

“ว้าว ระดับของวงเวทย์น่าจะอยู่ในขั้นที่ 3”

เพื่อทดสอบพลังของเขา ลุคจึงใช้ “เพลิงทมิฬ” ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนตร์แห่งความมืดที่เขาถนัด

เขาเร่งใช้เวทมนตร์แห่งความมืดและใช้เทคนิคต่างๆแบบเดียวกันกับที่เขาได้เคยเรียนรู้ในอดีต ทันใดนั้นดอกไม้ไฟสีม่วงโผล่ขึ้นมาจากมือของเขา

ลุคเบิกตากว้าง

“ฮะ?ทำไมมันถึงเป็นสีม่วง? ไม่ใช่ว่าเปลวไฟควรจะเป็นสีดำหรอกหรอ”

ในท้ายที่สุดสถานะของวงเวทย์สีดำก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย คลื่นมานาที่ปล่อยออกมาจากมันก็เริ่มให้ความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน

เมื่อเปรียบเทียบมันกับดนตรี วงเวทย์สีดำของเซย์ม่อนในอดีตก็เป็นเหมือนโน้ตโซโล่ที่โดดเดี่ยว แต่ในตอนนี้มันเป็นเหมือนวงนักร้องประสานเสียงที่มีท่วงทำนองมากมาย

“นี่เป็นเพราะเมไจที่ถูกกรองรึเปล่านะ”

เขาลองใช้เวทมนตร์แห่งความมืดอันอื่นๆในระดับของเขา เพื่อดูว่ายังมีปัญหาอื่นๆอีกหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ มันมีเพียงสีและคลื่นมานาเท่านั้นที่แตกต่างกันอย่างแปลกประหลาด

นอกจากนั้นยังมีสิ่งแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง

เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงเศษซากของเมไจที่ควรจะเกิดขึ้นในกระบวนการร่ายเวทมนตร์แห่งความมืด

หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวตนของเมไจอีก

“แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ด้วยวิธีนี้มันก็น่าจะง่ายกว่า”

ลุคตัดสินใจที่จะมองมันในแง่ดีและหันมาทำความสะอาดห้องทดลองใต้ดินที่ยุ่งเหยิงของเขาแทน

“อย่างไรก็ตามคำสาปบนร่างกายนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม”

คำสาปนั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่บึกลับและดื้อด้าน

แม้จะยอมรับคริสตัลเมไจนั้นให้ผลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่คำสาปก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“มันไม่เหมือนกับเวทมนตร์ทั่วไป คำสาปมนต์ดำนั้นค่อนข้างด้อยกว่ามาก ผู้ที่แข็งแกร่งจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเวทย์คำสาปที่ถูกร่ายโดยคนที่อ่อนแอกว่า”

นั่นหมายความว่าคนที่สาปแช่งสายเลือดของรากันย์นั้นจะไม่มีทางเป็นพ่อมดขั้น 3 แน่นอน

“ไม่ รากันต์ไม่ใช่คนที่ถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์อะไรก็ได้ คู่ต่อสู้ของเขาต้องเป็นพ่อมดขั้น 9 ที่สามารถเทียบได้กับระดับของข้าอย่างแน่นอน”

“แต่ในเวลานั้นมันยังมีพ่อมดที่เทียบเท่ากับข้าได้อีกหรือหรือ?”

มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังซุกซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ แต่ลุคก็มั่นใจว่ามันไม่มีพ่อมดหรือแม่มดคนใดที่บรรลุถึงขั้นที่ 9 ภายในช่วงเวลานั้นนอกจากพ่อมดขาว

อย่างไรก็ตามด้วยพลังจากคริสตัลเมไจ มันก็ได้ทำให้เขากลายเป็นพ่อมดขั้นที่ 3

แต่พลังนั่นก็ยังไม่เพียงพอ หากเขาต้องการที่จะขจัดความขุ่นเคืองในใจออกไป

เพื่อที่จะต่อสู้กับหอคอยเวทมนร์เวอร์ริทัส ผู้ซึ่งมีอิทธิพลสูงมากต่อทั้งจักรวรรดิและทวีปโรดีเซีย อย่างน้อยๆเขาก็ควรมีคนหนุนหลังและความสามารถแบบเดียวกับที่เขามีในอดีต

“ยังไงซะข้าก็รู้ทั้งทฤษฎีและวิธีการที่จะเข้าถึงในแต่ละขั้น ดังนั้นมันจะไม่มีปัญหาใดๆ ในการเติบโตไปสู่ขั้นที่ 9 แต่กว่าจะไปถึงวงที่ 9 ของวงเวทย์สีดำ ข้าก็คงจะต้องรอและใช้เวลาอีกนานในการรวบรวมเมไจ…”

แม้ว่าร่างกายของเขายังเด็กมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะมองโลกในแง่ดีต่อไปได้ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะคำสาปที่อบู่ในร่างกายองเขา แม้มันจะมีลูกหลานของรากันต์เพียงไม่กี่คนที่เสียชีวิตในวัยเด็กแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มี

หากมีความผิดปกติเล็กๆน้อยๆอะไรเกิดขึ้นกับหัวใจหรือสมองของเขา มันก็อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับร่างกายของเขาในตอนนี้

หากคำสาปนี้สามารถสร้างโรคให้กับเขาได้ ลุคก็คิดว่าเขาอาจจะไม่สามารถรับมือกับมันได้มากเท่าที่ควร

ลุคขมวดคิ้วขณะที่เขากำลังคิด

“ยังไงซะเวทมนตร์ก็ได้พัฒนาไปมากแล้วในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา”

ลุคตัดสินใจออกไปจากห้องทดลอง เขาเปิดประตูลับอีกบานและเดินเข้าไปในห้องเล็กๆเขาโดยไม่ส่งเสียงดังอะไรมากนัก เขาเดินไปที่ลิฟต์และเดินลงไปยังห้องวิจัยใต้ดิน

มันเป็นพื้นที่ใต้ดินขนาดใหญ่ 100 ตารางเมตร และพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็ถูกผนึกไว้

มันคือห้องวิจัยโกเลมนั่นเอง

เวิร์คช็อปที่ผลิตโกเลมซึ่งเป็นกองกำลังหลักของกองทัพแห่งความมืดล้วนจมอยู่ภายใต้ความมืดมิดอย่างเงียบๆ

“ปลดผนึก!”

ลุคยกเลิกผนึกเวทมนตร์ที่เขาวางเอาไว้เพื่อปกป้องสถานที่นั้นปลอดภัยจากผู้รุกราน ในไม่ช้าผนึกเวทมนตร์ก็ถูกปลดแกและในห้องวิจัยก็เริ่มส่องสว่างขึ้น

เครื่องจักรและอุปกรณ์วิเศษทั้งหมดที่ลุคเคยใช้และผลงานวิจัยของเขาที่ยังทำไม่เสร็จก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

ลุคมองไปยังรอบๆแล้วกล่าวว่า

“มันเป็นอะไรที่ยากจริงๆ ที่จะกลับไปทำงานในตอนนี้”

ต้องขอบคุณผนึกเวทมนตร์ที่ลุควางเอาไว้ อุปกรณ์ทั้งหมดของเขาในตอนนี้จึงยังอยู่ในสภาพดี

อย่างไรก็ตาม ตัวจ่ายมานานั้นได้พังไปแล้วมันจึงทำให้ห้องวิจัยแห่งนี้ขาดแคลนมานาและเป็นผลให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดมีประสิทธิภาพลดลง

สำหรับการซ่อมแซมตัวจ่ายมานานั้นจำเป็นจะต้องใช้วัสดุและชิ้นส่วนอีกหลายอย่าง

“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาสิ่งของที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมก่อนสินะ”

หลังจากกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง เสียงของคนรับใช้และทหารยามก็ดังขึ้นที่ทางเดินของปราสาท

“นายน้อย ท่านอยู่ที่ไหนกัน?”

“ได้โปรดออกมาเถิดนายน้อย!”

บางทีพวกเขาอาจมาหาเขาหลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากคนเฝ้าประตู

“บางทีนายน้อยอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”

“ข้าก็คิดเหมือนกัน ข้าคิดว่าเขาคงไปที่อื่นแล้ว…”

….

โรเจอร์และฟิลิปที่เพิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็รู้สึกประหลาดใจทันทีที่พบว่าลุคกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของราชาปีศาจ

“นายน้อย!”

“ข้าไม่เข้าใจ ท่านจะซ่อนตัวจากเหล่าคนรับใช้ก่อนหน้านี้ทำไม?”

ลุคหัวเราะให้กับคำถามของฟิลิป เมื่อเห็นว่าเขาพยายามอย่างมากที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา

“ข้าไม่ได้ซ่อนตัว พวกเจ้าหาข้าไม่เจอเองต่างหาก”

“ไม่ ไม่มีทาง…ตอนแรกท่านไม่ได้นั่งอยุูที่นี่!”

ฟิลิปส่ายหัวเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูจะเป็นอะไรที่ไร้สาระ

ในตอนที่พวกเขาทราบข่าวว่าลุคออกไปจากคฤหาสน์ เหล่าทหารยามทั้งหมดก็รีบเข้ามารุมล้อมรอบปราสาทราชาปีศาจไว้

และเมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็รีบทำการยืนยัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย

โรเจอร์ผู้ซึ่งกำลังมองฟิลิปอย่างงงงวย ก็ได้หันกลับมามองยังลุคและถามขึ้นมา..

“ว่าแต่ทำไมจู่ๆท่านถึงอยากมาที่นี่ล่ะ”

 

“ข้าก็แค่อยากมองไปรอบๆ สถานที่ที่บรรพบุรุษของข้าเคยอยู่ เพื่อที่ข้าจะได้เก็บความทรงจำเหล่านั้นกลับคืนมา ข้าผิดหรือเปล่าที่ทำเช่นนั้น”

“ไม่ ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

โรเจอร์รู้สึกภาคภูมิใจเมื่อได้ยินคำพูดของลุคโดยที่เขาไม่ได้ทราบเลยว่ามันเป็นเรื่องโกหก

“ว่าแต่.. ตอนนี้ท่านดูมีความมั่นใจขึ้นมากเลยนะ ไม่ทราบว่าท่านจำอะไรได้บ้างไหม”

สาเหตุที่แท้จริงที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ของราชาปีศาจก็เป็นเพราะเขาต้องการที่จะดูสง่างาม แต่โรเจอร์ก็ยังคงภูมิใจในตัวลุค

“เราก็กลับกันเถอะ ข้าหิวแล้ว.. อ๋อใช่ อย่าลืมบอกพวกทหารด้วยละ ว่าให้หยุดทำการค้นหาข้าได้แล้ว”

“รับทราบ ข้าเข้าใจแล้ว”

ด้วยเหตุประการเช่นนี้ คดีการหลบหนีเล็กๆของลุคจึงถูกปิดลงโดยไม่มีใครสามารถสังเหตุได้เห็นถึงความจริง….

 

 

บทที่ 26 คริสตัลเมไจ (4)

คริสตัลเมไจนั้นถูกค้นพบในอดีตเมื่อตอนที่เซย์ม่อนกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับปีศาจอยู่ ในช่วงเวลานั้นเขาได้ถูกความแค้นเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์

หลังจากเอาชนะปีศาจที่ถูกอัญเชิญด้วยเลือดของเขาเองได้แล้ว เซย์ม่อนก็ยังคงเติบโตในแบบที่ไม่มีใครสามารถตามเขาทันได้

สำหรับพ่อมดแล้ว สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ได้สัมผัสกับเมไจ พวกมันก็จะเริ่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไป

มีครั้งหนึ่งที่เซย์ม่อนได้เห็นพ่อมดคนหนึ่งวิ่งไล่ล่าผู้คนอย่างป่าเถื่อนและทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากการที่เขาได้ไปสัมผัสเข้ากับเมไจ

แต่เพื่อที่จะจดจำเรื่องราวของคาธารีน่าต่อไป เซย์ม่อนจึงยังไม่ต้องการที่จะสละความเป็นมนุษย์ของเขา เขานั้นได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับเมไจอย่างใกล้ชิด

ในตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับความจริงที่น่าประหลาดใจ นั่นก็คือการที่เมไจและมานานั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักในแง่ของธรรมชาติ

ด้วยความสงสัย เซย์ม่อนหยุดงานวิจัยทั้งหมดที่เขาทำและเริ่มทำการศึกษาเกี่ยวกับเอกสารวิจัยโบราณ

“ในตอนแรกที่เวทมนตร์ถูกกล่าวถึง มันไม่ได้มีการอ้างอิงถึงสิ่งที่เรียกว่ามานาหรือเมไจแต่อย่างใดมันมีเพียงสิ่งที่เรียกว่า“อากาศธาตุ”

อากาศธาตุเป็นสสารที่ถูกกล่าวถึงเพียงแค่ในเทพนิยายเท่านั้น

ตามตำนานโบราณกล่าวว่า ในตอนที่เทพเจ้าถือกำเนิดขึ้นมา โลกทั้งใบก็เต็มไปด้วยอากาศธาตุแล้ว

นั่นคือสิ่งที่บรรยายถึงอากาศธาตุในตำนานเทพนิยายโบราณ

อากาศธาตุนั้นนับได้ว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันยังมีลักษณะของมานาและออร่าที่สามารถจะเปลี่ยนรูปร่างให้ออกมาในแบบกายภาพได้ นอกจากนี้ยังมีลักษณะหนึ่งก็คือที่ความมืดและความโกลาหลซึ่งถูกเรียกว่าเมไจ

“พูดง่ายๆก็คือ อากาศธาตุนั้นเป็นรากฐานของพลังทั้งหมด”

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากที่ได้ทราบว่า ในสมัยโบราณโลกของพ่อมดแม่มดนั้นไม่ได้แบ่งออกโดยใช้เกณฑ์ความดีหรือความชั่ว

พวกเขาแบ่งสิ่งต่างๆออกเป็นความมืดและความสว่างหรือ หยินและหยาง และเน้นย้ำถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความสมดุล”

แต่เมื่อเวทมนตร์เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทฤษฎีฝ่ายดีและฝ่ายชั่วก็เริ่มก่อตัวขึ้น

ในเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงเวทมนตร์(สีขาว)ซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่ถูกใช้มากที่สุดเท่านั้น ที่ได้รับการยอมรับถึงสถานะและระดับของฝู้ใช้ แต่ในส่วนของเวทมนตร์(สีดำ)และเวทมนตร์แห่งจิตวิญญาณเท่านั้นที่ถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต

สิ่งที่ถูกกดขี่มากที่สุดในบรรดาเวทมนตร์ทั้งหมดก็คือเวทมนตร์แห่งความมืด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันถูกจัดให้เป็นอัครสาวกของเวทมนต์แขนงต่างๆเหมือนกันและถือว่าเป็นศิลปะแห่งความเศร้าโศกด้วยซ้ำไป

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพ่อมดทุกคนก็เริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องของมานามากกว่าเรื่องของอากาศธาตุ

ทำไมทฤษฎีเวทมนตร์ถึงเปลี่ยนแปลงไปกัน?

ลุคซึ่งไม่พบคำตอบสำหรับคำถามนี้ ได้เริ่มสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาของการก่อตั้งทฤษฎีดีและชั่วนั้นอยู่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาก่อตั้งของนิกายเอลคาสเซล ที่นำโดยนักบุญรามิเอล

“ศาสนาและเทววิทยาที่เริ่มเฟื่องฟูในยุคแรกนั้นได้ทำให้ทฤษฎีเกี่ยวกับเวทมนตร์ได้รับผลกระทบตามไปด้วย”

ด้วยเหตุนี้ภาพของเวทมนตร์แห่งความมืดซึ่งเกี่ยวข้องกับความมืดและความโกลาหลจึงถูกขับออกไป

นอกจากนี้เวทมนตร์ที่เป็นพื้นฐานของเวทมนตร์แห่งความมืดก็ยังเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับปีศาจ

พวกปีศาจนั้นชื่นชอบการทำลายล้างและการเข่นฆ่า พวกมันเกลียดชังในพระวจนะของพระเจ้า

‘แต่ปีศาจทำเช่นนั้นด้วยเหตุผล’

เป็นความจริงที่ทราบกันในภายหลังว่าการมีอยู่ของเมใจและปีศาจนั้น อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “นรก”

มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยควันกำมะถันที่ลอยเหมือนเมฆบนท้องฟ้าและแม่น้ำมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยสารปรอท

โลกที่รกร้างแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยสารพิษทุกชนิดที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต แม้แต่ปีศาจไม่สามารถทำอะไรได้มาก พวกมันทำได้แค่เพียงล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าตนเองเพื่อนำมาเป็นอาหาร

การจับคนที่อ่อนแอกว่ามาเป็นอาหารนั้นเป็นความคิดง่ายๆของคนที่อยู่ที่นั่น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่สามารถเข้ากันได้กับมนุษย์

และหลังจากเรียนรู้ความจริงเบื้องหลังประวัติศาสตร์และนิเวศวิทยาของแต่ละเผ่าพันธุ์เรียบร้อยแล้ว ลุคก็พบว่าเมไจก็คือแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังของปีศาจทั้งหมด

เมไจนั้นคอยพัฒนาร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาเพื่อปรับให้พวกเขาสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆได้

“ตามตำนานกล่าวว่าโลกนั้นเกิดจากความโกลาหล ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆงั้นมันก็จะหมายความว่าเราจะสามารถสร้างเผ่าพันธ์ใหม่หรือพัฒนาตัวเองได้ ถ้าหากเรามีพลังของเวทมนตร์แห่งความโกลาหลมากพอ”

ตราบใดที่ข้อสงสัยของเขายังไม่ได้รับคำตอบ เซย์ม่อนก็คิดที่จะเรียกปีศาจออกมาเพื่อทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมไจต่อไป

เมไจที่ถูกสกัดรวบรวมและกรองออกมาถูกเรียกว่า “คริสตัลเมไจ”

“ข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้เลย แม้ว่าการสร้างมันนั้นจะเป็นอะไรที่ยากมากก็ตาม”

คริสตัลเมไจในตอนนี้นั้นยังไม่มีพลังมากพอที่จะสร้างชีวิตใหม่และแม้ว่ามันจะสามารถใช้เพื่อพัฒนาร่างกายได้ แต่ผลลัธ์ของมันก็เป็นอะไรที่ต่ำเตี้ยอย่างมาก มันสามารถพัฒนาได้แค่เรื่องของความเร็วและความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่เขาค้นพบเรื่องนี้ เขาก็เป็นถึงพ่อมดขั้นที่ 8 แล้ว ดังนั้นคริสตัลเมไจจึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขามากนัก

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องของคริสตัลเมไจก็ถูกลืมเลือนลงไปในที่สุด

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เซย์ม่อนได้ตื่นขึ้นมาในร่างของลุค เขาก็เลือกที่จะมาที่นี่ในทันทีเพราะเขาต้องการที่จะได้รับพลังที่แข็งแกร่ง

“คำสาปของลูกหลานของรากันต์นั้นเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก แต่เจ้าสิ่งนี้ก็น่าจะเปลี่ยนร่างที่บอบบางแบบนี้ได้นิดหน่อย”

ในไม่ช้าลุคก็เปิดขวดและเริ่มทำการดูดซับคริสตัลเมไจเข้าไป

“กึก!”

ในตอนแรกลุครู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ มันเหมือนกับการกลืนเมือกที่มีชีวิต มันได้ทำให้แขนและขาของเขาสั่น

เมไจที่เขาดูดซับเริ่มค่อยๆแพร่กระจายผ่านเส้นเลือดและเส้นประสาทของเขา

“อั้ก!”

ความเจ็บปวดกำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวของเขา ลุคล้มลงไปกับพื้นและเริ่มกลิ้งไปมาอย่างทุรนทุราย

โดยปกติแล้ว เมื่อมนุษย์รับเอาเมไจแบบดิบๆเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาก็อาจจะตายได้ในทันที หรือกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไป

อย่างไรก็ตามคริสตัลเมไจนั้นให้ผลที่แตกต่างกันออกไป

เหตุผลนั้นมาจากการที่ความคิดของปีศาจและสารพิษที่อยู่ภายในพวกมันถูกได้กำจัดและกรองออกไปแล้วในรูปแบบของอากาศธาตุ

อย่างไรก็ตามร่างกายที่อ่อนแอของลุคก็ดูเหมือนจะไม่สามารถต้านทานเมไจที่ถูกกรองแล้วได้อยู่ดี

เพราะความจริงแล้ว การดูดซับอะไรแบบนี้นั้นนับว่ายากกว่าการดูดซับเมไจแบบดิบๆมาก เพราะสถานะของเมใจในตอนนี้นั้นมันใกล้เคียงกับอากาศธาตุในยุคแรกเริ่มอย่างมาก

และมันก็ไม่เคยมีบันทึกบทไหนที่บอกว่ามนุษย์นั้นสามารถดูดซับหรือจัดการกับอากาศธาตุได้

“อึก! ความเจ็บปวดนี้มันอะไรกัน!”

ความเจ็บปวดในครั้งนี้นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าในครั้งที่เขาโดนแทงด้วยดาบโอริคัลคุมของรากันต์เสียอีก

อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดในครั้งนี้มันไม่ได้อยู่ในร่างกายของเขา แต่มันอยู่ข้างในจิตวิญญาณของเขาต่างหาก ลุคทำได้แค่เพียงนอนดิ้นรนรับสภาพอยู่กับพื้นเท่านั้น เพราะความเจ็บปวดที่เขาได้รับนั้นไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย

แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ควันสีดำก็ลอยขึ้นออกจากร่างกายของเขา ไม่เพียงแค่นั้นดวงตาของลุคก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงและดำเหมือนกับปีศาจ

“ฆ่า! ทำลายพวกมัน! ทำลายทุกสิ่ง !!”

ลุคได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องอยู่ภายในหัวของเขา

ในขณะเดียวกันเล็บที่แหลมคมเหมือนอย่างสัตว์ร้ายก็โผล่ออกมาจากปลายนิ้วของเขาและเขาก็เริ่มมีเขี้ยวที่แหลมคมงอกขึ้นอีกด้วย

เขาเริ่มจะถูกครอบงำด้วยความคิดร้ายแรงและธรรมชาติที่เป็นพิษ

ไม่นานหลังจากนั้นลุคที่กำลังคำรามเหมือนสัตว์ร้ายก็ค่อยๆลุกขึ้น

บึ้ม!

เมไจแห่งความมืดที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาเริ่มหมุนวนอย่างรุนแรงราวกับว่ามันจะระเบิดห้องทดลองใต้ดินไปได้ทุกเมื่อ…

 

(ช่วงสาระน่ารู้แต่คุณไม่รู้ก็ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร)

เมไจและมานานั้นเป็นสับเซ็ตของอากากาศธาตุ

เปรียบมานาคือพลังงานที่ก่อให้เกิดเวทไฟ เวทแสง

เมไจก็จะเป็นเวทมืด เป็นต้น

 

บทที่ 25 คริสตัลเมไจ (3)

เมื่อลุคเดินเข้าไปในห้องของเขา เขาก็ได้ทิ้งตัวลงบนเตียงและพยายามเข้านอนทันที ร่างกายของลุคนั้นเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างมากและเขาก็รู้ถึงความจริงในข้อนี้ดี แต่เขาก็นอนไม่หลับ

มันเป็นเพราะเขายังต้องคิดตัดสินใจว่าจะทำอะไรไปในอนาคต

เขาได้ประสบความสำเร็จในจุดมุ่งหมายประการแรกเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือการชำระหนี้และปกป้องกิกันท์ไม่ให้ถูกขายออกไป อย่างไรก็ตามมันก็ยังเหลืออยู่อีกสองประการใหญ่นั่นก็คือ

“การโค่นล้มจักรวรรดิบาร็อคและหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัส!”

“ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกเจ้าแน่!”

พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตที่เขาและคาธารีน่าควรจะได้ใช้ร่วมกัน และยังเป็นพวกที่ขโมยผลงานการวิจัยของเขาที่ศึกษามาจากเวทมนตร์แห่งความมืดเพื่อใช้ในการขยายอำนาจและกดขี่ข่มเหงผู้คนอีก

“แม้ว่าพ่อมดแห่งหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสในตอนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกพ่อมดที่ชั่วร้ายในอดีต แต่พวกมันก็ยังเป็นคนที่ทำบาปที่ยิ่งใหญ่ไว้ นั่นก็คือการพรากสิ่งสำคัญของผู้คนไป”

เช่นเดียวกับพวกบาล็อค

พวกมันสนุกกับการสร้างอาณาจักรของตนเองด้วยความช่วยเหลือของหอคอยเวทมนตร์เวอริทัส

ลุคมองว่าอำนาจและการกระทำที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้สมควรที่จะถูกกำจัดออกไป

“แต่จะทำอย่างนั้นได้ ข้าก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ซะก่อน”

และเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่แข็งแกร่ง เขาจึงต้องเพิ่มพลังของทั้งตัวเขาเองและกองกำลังของเขาด้วย

เหล่าอัศวินที่อยู่ใต้การปกครองของเขานั้นล้วนมีศักยภายที่สามารถพัฒนาได้ เพราะฉะนั้นปัญหาใหญ่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือร่างกายที่ลุคนั้นครอบครองอยู่

มันเป็นอะไรที่ยากมากที่ลุคจะสามารถเติบโตและพัฒนาได้ เนื่องจากคำสาปมนต์ดำที่ติดอยู่ในร่างกายของเขา

“ข้าต้องการบางสิ่งบางอย่างที่มันเฉพาะเจาะจง..”

ลุคทำความสะอาดเสื้อผ้าและออกไปที่คอกม้าและนำม้าของเขาออกมา

“นายน้อยนี่ท่านกำลังจะไปไหนกัน?”

ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์กล่าวขณะเคลื่อนมาบังหน้าของลุค

มันเป็นเวลาไม่นานนักตั้งแต่เขากลับมา แต่ตอนนี้เขาก็กำลังจะออกไปที่ไหนก็ไม่รู้โดยไร้ผู้ติดตามอีก มันจะต้องเกิดปัญหาแน่นอนถ้าเขาเผลอไปพบเข้ากับศัตรูระหว่างทาง

“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะกลับมาในอีกไม่ช้า และถ้ามีคนถามก็ให้ตอบไปว่าข้าไปเยี่ยมชมปราสาทข้างหน้านะ”

“รับทราบขอรับ แต่อัศวินผู้พิทักษ์ของท่านละ…!”

ก่อนที่ทหารยามจะได้พูดเสร็จ ลุคก็ได้วิ่งออกไปพร้อมกับม้าของเขาเรียบร้อยแล้ว

“นายน้อย! กรุณารอสักครู่เถิด..นายน้อย!”

เหล่าทหารยามต่างก็พยายามร้องเรียกและไล่ตามนายน้อยของพวกเขา แต่ลุคก็ยังคงมุ่งไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของเหล่าทหารยาม

เพราะเวลาที่ผ่านไปกว่าร้อยปี มันจึงทำให้ทั้งป่ามืดทึบด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ และเมื่อเคลื่อนผ่านป่าไปลึกเท่าไหร่ โครงสร้างของปราสาทที่ทำมาจากหินสีดำก็เริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น

ปราสาทที่มีหอคอยสูงชันตั้งอยู่ตรงกลางนี้ เคยเป็นบ้านของลุคในอดีต ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นสถานที่ที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘ปราสาทราชาปีศาจ’

ตำนานเล่าว่าปราสาทราชาปีศาจถูกสร้างขึ้นโดยราชาปีศาจย์ม่อน และปราสาทนี้ก็ทำมาจากหินที่เขาได้รับมาจากสาวกปีศาจของเขา บางตำนานก็เล่าว่ามีชีวิตของผู้บริสุทธิ์นับพันที่ถูกใช้ในพิธีกรรมสังเวยหรือบูชายัญเพื่ออัญเชิญปีศาจเหล่านั้นออกมา

“หึ มันคงจะมีค่าใช้จ่ายสูงมากแน่ๆถ้าข้าจะทำให้เรื่องมันซับซ้อนแบบนั้น งี่เง่าเอ้ย!”

ลุคเย้ยหยันป้ายที่บอกชื่อของปราสาทและตำนานเกี่ยวกับที่มาของมัน

แม้ว่าเซย์มอนจะต้องการ แต่ก็ไม่มีปีศาจตัวไหนที่มีค่าพอให้เขาบูชาหรือยอมรับใช้เขาแต่โดยดี

ปีศาจที่ถูกเซย์ม่อนอัญเชิญมาทั้งหมด ล้วนแต่ก็ถูกเขาทุบตี และจับขังไว้เพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้เขาดูดซับอีกทีหนึ่ง แต่ก็จะมีพวกมันบางส่วนที่ถูกเขาจับไปทำการทดลองเช่นกัน

ความเป็นจริงแล้ววัสดุที่ใช้ในการสร้างปราสาทก็คือหินบะซอลโง่ๆที่เหล่าคนแคระมอบให้กับเขาเพื่อใช้ในการสร้างบ้านเฉยๆ

มันไม่ได้มีการสังเวยหรือบูชายัญบ้าบออะไรเกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าจะมีบ้างแต่พวกมันก็เป็นเพียงพวกพ่อค้าทาสที่จับเอาผู้คนที่อ่อนแอกว่าตัวเองไปขาย ดังนั้นสิ่งที่เซย์ม่อนทำจึงเป็นอะไรที่เขาเห็นพ้องแล้วว่าสมควรและไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

แต่ผู้ชนะก็คือคนเขียนประวัติศาสตร์ ท้ายที่สุดเซย์ม่อนก็ถูกจดจำในฐานะของราชาปีศาจ

….

“งานวันนี้ก็จบลงแล้วสินะ…อา นายน้อย ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?”

“ข้าก็แค่อยากจะมาชมปราสาทแค่นั้นแหละ”

ลุคควบม้าไปยังจุดที่ภารโรงที่ยืนอยู่

เมื่อใกล้ถึงเวลาปิดทำการเยี่ยมชมปราสาท มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้เข้าชมเหลืออยู่เลย แต่สิ่งนี้ก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับลุค เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใดๆ

เขาเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวและมองดูสิ่งต่างๆทั้งหมด

“ตอนนั้นข้ายังอยู่กับคาทาริน่า’

ลุคไปตามความทรงจำ

ในช่วงเวลานั้น เขาได้พบกับปราสาทหลังนี้ขณะที่กำลังหาที่หลบฝนร่วมกับคาธารีน่า

ในตอนแรกพวกเขาเข้ามาที่นี้เพื่อหาที่หลบฝนเท่านั้น แต่ต่อมามนุษย์ผู้รักการผจญภัยทั้งสองก็ได้เดินไปสำรวจรอบๆปราสาท และลงเอยด้วยการค้นพบหนังสือเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้

“ในตอนนั้น ข้าพยายามที่จะกำจัดมัน แต่เพราะหนังสือเล่มนี้มีพลังเวทย์มนต์คอยป้องกันอยู่รอบตัว พวกเราจึงล้มเหลวในการที่จะทำลายหนังสือลงในที่สุด”

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะซ่อนหนังสือเวทมนตร์แห่งความมืดเล่มนี้ไว้ในที่ที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้

ในภายหลังลุคซึ่งสูญเสียคาธาริน่าไปก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อปลดล็อกหนังสือเวทมนตร์แห่งความมืดและนำมันไปใช้ในการแก้แค้น

แก่นแท้ของหนังสือเวทมนตร์แห่งความมืดนั้นประกอบไปด้วยความมืดและความโกลาหล

แน่นอนว่าเวทมนตร์แห่งความมืดขั้นที่ 9 นั้นสามารถที่จะทำลายหนังสือเล่มนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้กำจัดมันเพราะหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เขาได้แบ่งปันร่วมกับเธอผู้เป็นที่รัก

“เกิดอะไรขึ้นกับหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ข้าตายกันนะ? รากันต์ได้กำจัดมันไปรึเปล่านะ?”

ลุคเดินเข้าไปเรื่อยๆจนถึงห้องโถงใหญ่ ในขณะนั้นเองที่เขาได้พบเข้ากับสัญลักษณ์ประหลาดบนกำแพง

“สถานที่ต่อสู้ที่ผู้กล้าใช้ต่อสู้กับราชาปีศาจเซย์มอน”

ประโยคนี้ถูกขีดเส้นใต้ด้วยสีแดง

ในความเป็นจริงการต่อสู้ระหว่างรากันต์และเซย์ม่อนนั้นเกิดขึ้นที่บริเวณด้านหน้าของปราสาทซึ่งในตอนนี้มันก็คือที่ตั้งของคฤหาสน์ในปัจจุบัน

“ไอ้พวกเ*ยนี้มันจะบิดเบือนความจริงไปอีกมากแค่ไหนกันวะ? ฮะ? แล้วนี่มันอะไรกัน? นี่พวกมันคิดว่าข้าจะนั่งไอ้บัลลังค์เด็กเล่นแบบนี้รึไงวะ?”

ลุคกล่าวขณะชี้ไปบัลลังก์ทองอันสง่างาม

มันไม่มีทางที่บัลลังก์ของเขาจะเป็นอะไรแบบนี้

อย่างไรก็ตามเมื่อลุคเข้าไปเพื่อตรวจสอบว่ามันคือทองคำแท้รึเปล่า เขาก็ได้พบว่ามันเป็นแค่บัลลังค์ธรรมดาๆที่ทาสีทองและประดับไปด้วยเศษแก้วโง่ๆเท่านั้น

“ถ้ามันเป็นของข้าจริงๆ ข้าก็คงจะซื้อมาในตอนที่มันลดราคา…”

ลุคหันหลังเข้าหากำแพงที่อยู่ข้างหลังเขา

“ไหนดูซิ ดันตรงนี้แล้วก็ต่อด้วยตรงนั้น…”

ลุคมองไปที่อิฐทั้งเจ็ดก้อนในกำแพง แล้วกดมันเป็นจังหวะ

เนื่องจากไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน อิฐจึงเคลื่อนตัวได้ไม่ค่อยดี

นัก

คุคุคุ!

ทันใดนั้นกำแพงหินก็แยกออกจากกันและเผยให้เห็นถึงทางเดินลับที่ซ่อนอยู่

“ทักษะการสร้างของพวกคนแคระนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้จะผ่านไปกว่า 500 ปีแล้วแต่มันก็ยังสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

ฝุ่นที่เกาะตลอดทางเดินนั้นแสดงให้เห็นถึงว่ามันไม่มีใครเลยที่เข้ามาที่นี่ตลอด 500 ปีที่ผ่านมา มันมีเพียงแค่ ฝุ่น แมงมุมและใยแมงมุมเท่านั้น ที่ต่างไปจากที่เขาจำความได้ นอกนั้นทุกๆอย่างยังคงอยู่ที่เดิมที่เซย์ม่อนได้วางไว้

เนื่องจากทางเดินลับนี่ถูกสร้างขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือมาจากความรู้ของพวกคนแคระ พวกนักล่าสมบัติหรือพ่อมดที่มาเยี่ยมชมจึงไม่สามารถที่จะตรวจพบกับทางเดินนี้ได้

ในเวลาต่อมา ลุคได้เดินตามทางเดินลับไปเรื่อยๆ จนได้พบเข้ากับประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่

“ในความมืดมิด ข้ากล่าวกับวิญญาณที่ส่องสว่างเพื่อเปิดทางสู่ความจริง”

เมื่อลุคกล่าวคำร่ายเสร็จ เวทมนตร์ที่ประทับอยู่บนประตูทองสัมฤทธิ์ก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง

และในที่สุด มันก็เริ่มเปิดเผยให้เห็นถึงห้องทดลองใต้ดินของลุค

“500 ปีแล้วสินะ…”

ลุคมองไปที่ห้องทดลองใต้ดินด้วยหางตา

มันมีใยแมงมุม,ฝุ่นและเชื้อราอยู่ทั่วทุกมุมห้อง นอกจากนั้นแล้วสิ่งอื่นๆทั้งหมดที่อยู่ข้างในนั้นก็ดูปกติดี

หนังสือคาถา,ขวดที่มีน้ำยาวิเศษหรือการทดลองที่เขาได้ทำค้างไว้ เมื่อเขาได้อ่านบันทึกการทดลองที่เขาได้ทำค้างเอาไว้ เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“มันเป็นการทดลองที่ทำเสร็จไปแล้วเกือบ 90% …ถ้ายังงั้นข้าก็คงยังออกไปตอนนี้ไม่ได้สินะ”

ลูคเปิดหนังสือที่บันทึกการทดลองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องทดลองแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อค้นหาสิ่งที่เขาต้องการ

“ตู้เซฟที่สามนับจากขวามือ!’

ลุคเปิดตู้เซฟซึ่งอยู่ภายในตู้  สิ่งที่เขาหยิบออกมาจากตู้เซฟคือขวดที่ปิดสนิท ของเหลวสีดำโปร่งแสงในแก้วเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต

“ในที่สุดข้าก็พบเจ้า คริสตัลเมไจ!”

บทที่ 24 คริสตัลเมไจ (2)

สามวันต่อมาลุคและพรรคพวกของเขาก็ได้เดินทางกลับไปยังดินแดนของตน

เมื่อลุคมาถึงคฤหาสน์ของเขา เหล่าคนรับใช้ของตระกูลรากันต์ก็แห่กรูกันเข้ามาล้อมรอบเขา

“นายน้อย! นี่ท่านไปทำอะไรมากัน!”

“ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน ท่านก็ไม่ควรจะเอารูปปั้นของบรรพบุรุษไปขาย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัญลักษณ์ประจำตระกูลของท่าน!”

“ท่านต้องเอามันกลับมานะ!”

ลุคยิ้มให้คนรับใช้ทุกคนของเขา

“ข้าได้ขายมันให้กับช่างตีเหล็กไปแล้ว ตอนนี้มันก็น่าจะละลายไปเรียบร้อยแล้ว”

“พระเจ้า!”

เมื่อคนรับใช้ได้ยินสิ่งที่ลุคพูด พวกเขาก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก

ฮานส์หลับตาลงขณะพยายามข่มอารมณ์ของเขาและเริ่มพูดคุยกับลุค

“งั้นจากที่ขายไป ท่านได้เงินถึง 30,000 เปโซหรือไม่”

“ไม่ ข้าได้รับเพียง 2,300 เปโซเท่านั้น”

“หุหุ! นั่นคงจะเป็นเรื่องจริง”

ผู้ชายที่หัวเราะด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่พอใจก็คือเทรินผู้จัดการของบริษัทอาลอน

ในขณะที่เทรินกำลังเดินไปรอบๆ ลุคตัดสินใจจบเรื่องนี้ซะ

“เรายังมีเวลาอีกสองวันใช่ไหม”

“แน่นอน ข้าเพียงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบข้าวของเฉยๆ เพราะข้าอยากรู้จริงๆว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นหลังจากที่ข้าไม่ได้รับเงิน 30,000 เปโซ”

“จริงหรอ? เจ้าอยากรู้มากใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว ข้าต้องอยากรู้อยากเห็นกับเรื่องธุรกิจในครั้งนี้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเทริน ลุคก็ก้าวเข้ามาหาเขา และลุคก็ได้ยัดอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของเขาเข้าไปในปากของเทริน

“งั้นก็รับนี่ไปเลย 30,000 เปโซ!”

“กึก!”

เทรินร้องเสียงหลงขณะกำลังกลิ้งลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับพยายามคายสิ่งๆนั้นออกมาจากปากของเขา

เมื่อเห็นสิ่งของที่ออกมาจากปากของเขา เทรินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

“นี่!”

“นี่คือเช็คที่ออกให้เจ้ายังไงละ”

ที่เวทีสนามประลองกิกันท์เมื่อมีการได้รับเงินปันผลจำนวนมาก พวกเขาก็มักจะใช้ธนบัตรหรือเช็คขึ้นเงินที่ออกโดยธนาคารและบริษัทการค้าที่มีเครดิตสูงแทนที่จะมอบเหรียญทองให้

และด้วยเหตุนั้นมันจึงทำให้ลุคสามารถดึงเงินจำนวนมากออกมาได้อย่างสบายๆและไม่ต้องขนให้เปลืองแรง

“นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย! ยังไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำแต่ไอ้เด็กนี่กลับหาเงินก้อนโตขนาดนี้มาได้…?”

เทรินมองไปที่เช็คของเขา เขามีความรู้สึกว่ามันอาจจะถูกปลอมแปลง แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบและตราประทับบนกระดาษและผิวสัมผัสของกระดาษก็รู้สึกเหมือนกับที่บริษัทมีเป็นอย่างมาก

“ท่านหามันมาได้อย่างไร?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้และข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไสหัวออกไปจากที่ดินของข้าได้แล้ว”

ลุคโยนเหรียญที่เหลือใส่เทริน

อย่างไรก็ตามเทรินก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรโต้กลับไปได้

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น!

เทรินรู้สึกเหมือนว่าเขาได้พลาดอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ไป และขณะนั้นเองลุคก็เริ่มชักดาบออกมา

“ไป!”

“หึ ได้เลย!”

เมื่อเทรินเห็นท่าทีที่ดูโกรธเกรี้ยวของลุค เขาก็รีบกลิ้งออกไป มันไม่ใช่เพียงเทรินเท่านั้นที่ประหลาดใจ คนรับใช้ในตระกูลทุกคนต่างก็ตกใจเช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดล้วนคิดว่าการชำระหนี้ทั้งหมดนั้นเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่แล้วปาฎิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้น

“นายน้อยของข้า นี่ท่านได้เงินจำนวนนี้มาด้วยวิธีใดกัน?”

ลุคตอบคำถามของดิกสันด้วยท่าทีสบายใจ

“มันคือการพนัน”

“จาก 2,300 เปโซ?”

“ใช่”

“ท่านใช้วิธีอะไรกัน ถึงได้เพิ่มมูลค่าของมันจนมากกว่า 10 เท่าในเวลาไม่ถึง 10 วันได้?”

ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ลุคจึงทิ้งไว้เพึยง “ความลับ” โดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ความสนใจทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่ฟิลิปซึ่งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว

เงินที่ได้มาจากการเดิมพันในเวทีประลองกิกันท์นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เขาไม่สามารถบอกได้

พวกผู้อาวุโสที่เต็มไปด้วยความยุติธรรมและความกล้าหาญจะไม่มีทางยอมรับมันอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าวิธีการหาเงินแบบนี้มันจะทำให้ริดรอนชื่อเสียงและเกียรติยศของตระกูล แน่นอนว่าฟิลิปจะต้องถูกลงโทษในฐานะที่ไม่ชี้นำเจ้านายของเขาให้ไปในทางที่ดี

“ข้าควรจะพูดยังไงดีเพื่อให้เรื่องนี้มันจบลง?”

ขณะที่ฟิลิปกำลังคิดอย่างหนัก นายพลอัศวินโรเจอร์ก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า

“เจ้ากำลังทำอะไร? แจ้งให้เราทราบว่าเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ที่! นายน้อยมี…”

มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่เนื่องจากความคิดที่สอดคล้องกันของฟิลิป เขาจึงสามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงได้อย่างสวยงาม

“…ดังนั้นเจ้าจะบอกว่านายน้อยได้ไปที่บ่อนเพื่อหาเงินมาชดใช้หนี้อย่างนั้นหรอ?”

เมื่อฮันส์ถามด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ ฟิลิปก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ถูกแล้ว มันไม่มีทางอื่นแล้วที่จะสามารถเพิ่มเงินจาก 2,300 เปโซให้กลายเป็น 30,000 เปโซได้ในช่วงเวลาสั้นๆ”

“อะไรนะผู้ชายคนนี้! แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงก็ตาม! แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดนายน้อยนำเงินในตระกูลไปเล่นการพนันจนหมด? หากเจ้าเป็นอัศวินที่ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลนายน้อย เจ้าก็ควรเกลี้ยกล่อมให้เขาให้ต่อต้านไม่ใช่เข้าร่วม!”

ยามที่รักษาการณ์คนหนึ่งตะโกนขึ้น

“ตอนแรกข้าก็พยายามจะพูดให้เขาฟังแล้ว แต่นายน้อยนั้นเล่นการพนันเก่งมาก เขาเปรียบได้เหมือนกับเทพเจ้าแห่งการพนัน”

“เทพเจ้าแห่งการพนัน?”

“ใช่ เขานั้นได้รับชัยชนะจากกลอุบายหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาสามารถทำสเตรทฟลัชได้โดยที่ไม่ต้องมองไพ่ด้วยซ้ำ…หึ! ถ้าพวกเจ้าได้ดูสิ่งที่นายน้อยทำลงไป พวกเจ้าก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับข้า!”

ฟิลิปป่าวประกาศผลงานในการพนันของลุคออกไปให้เหล่านักพนันรุ่นเก่าได้ฟัง เขากล่าวด้วยท่าทีและอารมณ์ที่พุ่งพล่านเหมือนกับตอนที่นักพูดผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวสุนทรพจน์

อย่างไรก็ตามใบหน้าของเหล่าคนรับใช้นั้นก็ยังค่อนข้างน่ากลัว

พวกเขาไม่แน่ใจว่านายน้อยของพวกเขาไปเรียนรู้การพนันมาจากไหนและพวกเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่านำมาโอ้อวดแต่อย่างใด

“นี่พวกเจ้าได้เงินทั้ง 30,000 เปโซ มาจากบ่อนอย่างนั้นหรอ”

“ไม่ เราไปที่สนามประลองกิกันท์หลังจากได้รับเงินมา 10,000 เปโซ…”

ฟิลิปเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่เวทีสนามประลองกิกันท์

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้บอกเกี่ยวกับความลับที่ลุคได้ทำการชุบชีวิตศิลาเวทมนตร์ที่ใกล้จะตาย แต่เขามุ่งเน้นไปที่วิธีที่เขาใช้กิกันท์ในการต่อสู้แทน

นั่นคือตอนที่ใบหน้าของเหล่าคนรับใช้ที่มั่นคงราวกับหินผาเริ่มดูคล้อยตามเขา

“หือ มันเกิดขึ้นจริงๆเหรอ!”

“ช่วยเหลือเจ้าหญิง…?”

พวกเขาช่วยเจ้าหญิงที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเขาคู่ควรแล้วที่จะเป็นลูกหลานอันทรงเกียรติของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่รากันต์

“เช็คเหล่านั้นไม่ใช่เงินปันผลที่เราได้มาจากการพนัน แต่เป็นเช็คที่เจ้าหญิงทรงมอบให้กับพวกเราเป็นการขอบคุณต่างหาก”

มารอนนั้นคือว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าตกใจอยางมาก แต่มันเป็นอะไรที่น่าเชื่อเช่นเดียวกัน แม้แต่ฮานส์ที่ดื้อรั้นที่สุดก็ยังผงกหัวและถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องโกหก?”

“ใช่! ข้าแน่ใจ ข้าขอสาบานกับ  มาร์ เทพเจ้าแห่งสงคราม เลยว่าทั้งหมดนี่คือความจริง!”

เนื่องจากฟิลิปไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งสงคราม เขาจึงไม่กลัวที่จะต้องสาบาน

แต่ยังไงก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าฟิลิปนั้นยังเลือกที่จะไม่พูดถึงเงินที่นายน้อยของเขาเก็บเอาไว้ ซึ่งเป็นเงินกว่า 210,000 เปโซไม่ใช่ เพียง 30,000 เปโซ

“งั้นในเมื่อเราชำระหนี้กันเรียบร้อยแล้ว ข้าว่าเราก็ไปคุยกันต่อที่ห้องโถงดีกวาไหม?”

“นั่นสินะ.”

เมื่อได้ยินคำถามของไดซอน ทุกคนก็ต่างพยักหน้า

หลังจากพวกเขาประชุมกันเสร็จ ข่าวเรื่องการกลับมาของนายน้อยก็เริ่มถูกแพร่ออกไป

“ฟู่ว..ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสินะ”

ฟิลิปถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นว่าสภาพในคฤหาสน์ไม่ไดเปลี่ยนไปมากนัก

แต่โรเจอร์ยังคงมองมาที่เขา

“เจ้าทำได้ดีมาก”

“ไม่ใช่เลย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”

หลังจากนั้นเขาก็กินอาหารอร่อย ๆ

…..

“จริงสินะ อย่างไรก็ตามเจ้าก็อย่าลืมส่งรายงานด้วยละ”

“รายงาน?”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนติดตามที่ทำการสนับสนุนนายน้อยอยู่ตลอดการเดินทางอย่างนั้นหรอ?”

“แต่นั่นมันสำหรับอัศวินของที่นี่ไม่ใช่หรอ…!”

“ข้ารู้ ข้ารู้..”

โรเจอร์ตบไหล่ของฟิลิปเหมือนกับว่าเขาเข้าใจว่าฟิลิปรู้สึกอย่างไร

“ถึงอย่างไรเจ้าก็เขียนไปเถอะ แต่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจ้าโกหกหรือบิดเบือนเรื่องนี้ไปแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม”

ฟิลิปเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อถูกคุกคามโดยโรเจอร์

ในตอนแรกเขาคิดว่าเขานั้นโชคดีที่สามารถบิดเบือนเรื่องราวทั้งหมดให้ผ่านพ้นไปได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะจบลงด้วยความทุกข์ยากลำบากซะแล้วสิ..

 

 

บทที่ 23 คริสตัลเมไจ (1)

ใกล้ท่าเรือเมืองลาเมอร์

ลุค,ฟิลิปและเจ้าหญิงเรย์น่ายืนอยู่ริมถนน

“ปัญหาเรื่องหนี้ของท่านเป็นไปด้วยดีหรือไม่”

“โอ้ เมื่อวานนี้ข้าได้แวะไปที่ธนาคารภายในจักรวรรดิพร้อมกับอาคบิชอปปาสคาลและทำทุกอย่างให้มันชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ท่านน่าจะได้เห็นสีหน้าของท่านเคานต์…”

พาเวลตอบคำถามของลุคด้วยรอยยิ้มขณะคิดถึงเรื่องของเมื่อวาน

เรย์น่ายิ้มอย่างสดใสและกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง

“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านจริงๆ” ?

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หรอก”

ลุคกุมมือของเขาในขณะที่แอบหัวเราะอยู่เล็กๆ

“ข้าจะตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นท่านเองก็โปรดรอจนถึงตอนนั้นด้วยนะ”

“ตกลง”

 

ถึงแม้จริงๆแล้วลุคจะอยากปฎิเสธไป แต่เขาก็ไม่อยากจะทำร้ายความภาคภูมิใจของเธอ ด้วยเหตุนั้นเองลุคจึงพยักหน้า

ปี้ป!

ทันใดนั้นเสียงแตรก็ดังขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง

“นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเล็กน้อยจริงๆ”

“จุดจบของการพบปะก็คือการจากลา แต่หลังจากการจากลา มันก็จะมีการพบปะอีกครั้งเสมอ”

เมื่อลุคได้กล่าวถึงบทกวีที่เขาเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว เรย์น่าก็ยิ้มออกมา

“มันคือบทกวี “การผจญภัยของสายลม” ของลุนด์ใช่ไหม ข้าว่ามันเป็นกวีที่เก่ามากเลยนะ…”

“กวีที่ดียังบอกอีกด้วย ว่าแสงจะไม่มีวันจางหายไปแม้จะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายก็ตาม”

เซย์ม่อนนั้นเป็นคนที่ได้ยินบทกวีนี้จากลุนด์โดยตรง

“ท่านรู้เรื่องกวีเหล่านี้ดีจริงๆ…ดูเหมือนท่านจะแก่กว่าอายุของท่านอีกนะ”

 

“ท่านคิดว่างั้นหรอ?”

“ใช่ ข้าประหลาดใจมากจริงๆในตอนที่รู้ว่าท่านมีอายุเพียงแค่ 17 ปี”

“นีคำพูดและการกระทำของข้า มันมีกลิ่นอายของคนแก่ขนาดนั้นเลยหรอ?”

สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอายุของลุคนั้นก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องการกระทำของเขามากนัก อย่างนั้นแล้วฟิลิปและคนรับใช้คนอื่นๆในตระกูลรากันต์ก็คงจะดูออกและคิดว่ามันน่าสงสัยแน่นอน

ในไม่ช้าเขาก็ได้รับคำตอบของคำถามที่เขากำลังสงสัยจากฟิลิป

“ฮ่าฮ่า องค์ชายของเราเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เขายังเด็ก เขานั้นเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตก่อนกำหนด และเมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่เขาตื่นจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เขาก็ดูมีความคิดที่โตขึ้นอย่างมาก”

“โอ้ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ!”

เรย์น่ารีบขอโทษเมื่อเธอรู้ถึงอดีตอันเลวร้ายของลุค อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับลุค เพราะจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้นั้นเป็นของเซย์ม่อน

“ไม่เป็นไร เราคงจะต้องแยกทางกันตรงนี้แล้วแหละ”

ลุคกล่าวอำลาเรย์น่าอย่างสุภาพ

แม้ว่าเขาจะอยากใช้เวลากับเธอให้นานขึ้นอีก แต่เขาก็มีภารกิจสำคัญในการปกป้องสิ่งที่มีค่าอย่างมากสำหรับเขา

เหล่าจอมเวทเหล็กไหลต่างก็มีท่าทีกระอักกระอวนเมื่อเห็นเรย์น่าเดินจากไป

“โปรดเดินทางโดยสวัสดิภาพ”

“โปรดเดินทางโดยสวัสดิภาพเช่นกันเจ้าหญิง”

หลังจากบอกลาเรย์น่าเสร็จ ลุคก็พาฟิลิปและจอมเวทหล็กไหลทั้งสามคนไปยังท่าเรือด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความคาดหวังที่จะได้พบกันใหม่..

 

 

บทที่ 22 การปรากฎตัวของอัศวินทมิฬ (5)

กวาง..

กว๊าก!

กิกันท์อะคิลลิสสีฟ้าถูกผลักกลับไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างแตกตื่นของผู้ชม

“อี๊กกก! มันต้องไม่เป็นแบบนี้!”

เลือดเริ่มไหลออกจากริมฝีปากของมิลเลี่ยน

หลังจากรับการโจมตีที่หนักหน่วงของฟิลิปเสร็จ มานาที่อยู่ภายในของอะคิลลิสก็เริ่มเกิดการปั่นป่วน  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้นมิลเลี่ยนเริ่มกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความกลัว

“บ้าจริง! เจ้านี่ต้องไม่ได้เป็นแค่คนธรรมดาแน่ๆ”

หากฟิลิปไม่สามารใช้ออร่าขนาดมหีมานั้นได้อีก มิลเลี่ยนก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะฟิลิปได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามในขณะที่มิลเลี่ยนกำลังมีความสุขกับจินตนาการของตัวเขาเอง เขาก็ได้แสดงออร่าขนาดมหึมาห่อหุ้มร่างกายของเขา

นี่เป็นครั้งแรกที่มิลเลี่ยนต้องอับอายขนาดนี้ต่อหน้าฝูงชน และนั่นยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อคนที่ทำให้เขาอับอายนั้นเป็นใครก็ไม่รู้

“เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?”

“ฮะ?”

มิลเลี่ยนตัดสินใจที่จะป้องกันการโจมตีของฟิลิปด้วยความกล้าหาญทั้งหมดที่เขามี

“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าคงจะแพ้เป็นแน่! หากเป็นเช่นนั้นแล้วความประทับใจที่ท่านเคานต์มีต่อข้าก็จะหายไป!”

หากเขาพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทุกความประทับใจและความเชื่อใจที่เขาเคยได้รับจากเคานต์โมนาร์ชก็จะหายไป

ท้ายที่สุดมิลเลี่ยนจึงตัดสินใจที่จะใช้ไม้ตายของเขา

เขาคว้าคริสตัลที่ติดอยู่กับแกนเครื่องยนต์ของกิกันท์ และพยายามจัดการกับพลังนั้นด้วยมือของเขาเอง

บึ้ม!

ทันทีที่เสียงคำรามดังขึ้น การเคลื่อนไหวของอะคิลลิสก็เปลี่ยนไป ทั้งความเร็วและพละกำลังของมันต่างก็ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น

ด้วยความเร็วและพละกำลังในตอนนี้ มันทำให้ดูเหมือนกับว่าที่เมียร์สามารถต้อนอะคิลลิสจน จนมุมได้นั้นเป็นเรื่องโกหก

“นี่มันอะไรกัน!?”

ฟิลิปสะดุ้งขึ้นเมื่อเห็นว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาตั้งรับขณะที่คิดหาวิธีตอบโต้สิ่งที่เกิดขึ้น

“นี่มันทุเรศจริงๆ!”

ทันใดนั้นลุคที่มองดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิดก็ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอะคิลลิส

เขาวิ่งไปที่ที่นั่งของผู้ตัดสินและกล่าวประท้วง

“ผลลัพธ์แกนเครื่องยนต์ของอะคิลลิสนั้นมันมากเกินไป นี่มันไม่ใช่พลังของกิกันท์คลาสนักรบเเล้ว!”

ในสนามประลองกิกันท์แห่งนี้ ก็มีกฎบางอย่างที่ถือเป็นข้อห้ามสำคัญ

หนึ่งในนั้นคือข้อจำกัดของผลลัพธ์จากแกนเครื่องยนต์ที่ห้ามเกินกว่า 1,200 ไฟท์ ถ้าเกินกว่านั้นกิกันท์ตัวนั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าแข่งขันไป

แต่จากเท่าที่ลุคสังเกตเห็น ผลลัพธ์แกนเครื่องยนต์ของอะคิลลิสในตอนนี้นับได้ว่าเป็น 1.5 เท่าของผลลัพธ์ที่เมียร์สามารถทำได้ หรือก็คือผลลัพธ์ของอะคิลลิสนั้นได้เกินกว่า 1,500 ไฟท์ไปแล้วนั่นเอง

“ยุติการต่อสู้เดี๋ยวนี้ และปรับให้แคลนลิปปี้พ่ายแพ้ไป!”

อย่างไรก็ตาม ผู้ตัดสินก็ยังคงเพิกเฉยต่อการประท้วงที่ดุเดือดของลุค

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอะคิลลิสนั้นมีผลลัพธ์มากกว่า 1,500 ไฟท์ “

“ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การต่อสู้นี้ก็เหมือนกับการต่อสู้ของกิกันท์คลาสนักรบธรรมดาสองตัว”

“พวกเ*รนี้!”

ลุคโกรธอย่างยิ่งเมื่อเห็นท่าทีการแสดงออกของผู้ตัดสิน

แม้ว่าลุคจะรู้อยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้มีเจ้าของเป็นเคานต์โมนาร์ช แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะโกงจนเลยเถิดไปได้ไกลขนาดนี้

“นี่พวกเจ้ามาเพราะเรื่องแค่นี้เองหรอ?”

ขณะที่ลุคกำลังจะยื่นมือไปจับดาบที่ติดอยู่ข้างเอวของเขา เจ้าหญิงเรย์น่าก็ได้เดินเข้ามาและคว้ามือของเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้เอื้อมไปจับดาบ

“ใจเย็นๆก่อนเถอะลุค โปรดเชื่อฟิลิปต่ออีกหน่อย”

“ฟู่.. โอเค”

ตามจริงแล้วต่อให้ทำการต่อต้านพวกเขาไป มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร มิหน่ำซ้ำดีไม่ดีพวกเขาอาจจะถูกโยนออกไปโดยพวกผู้คุม

ถึงแม้ลุคโกรธมาก แต่เขาก็เลือกที่จะกลับไปยังที่นั่งอย่างเงียบๆ

ฟิลิปซึ่งกำลังอยู่เป็นฝ่ายตั้งรับก็พยายามสังเกตุศัตรูของเขาอย่างเต็มที่

ร่างกายส่วนบนของเมียร์เริ่มแกว่งไปแกว่งมาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อสร้างภาพติดตาให้กับฝ่ายอะคิลลิส

มิลเลี่ยนเบิกตากว้างด้วยตั้งใจและมองหาจุดอ่อนของศัตรูที่จะสร้างชัยชนะให้กับเขา

‘นั่นไง!’

กวาง!

กิกันท์ทั้งสองต่างโจมตีสวนกันไปมา

เมื่อดาบของกิกันท์ทั้งสองปะทะกัน เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ฝุ่นต่างฟุ้งทั่วเวทีสนามประลอง

“โอ้โอ้ ใครคือผู้ชนะกัน?”

“อาดูนั่นสิ!”

ขณะที่ฝูงชนกำลังค้นหาผู้ชนะด้วยความตื่นเต้น พวกเขาก็เหบือยไปพบกับแขนของเมียร์ที่ตกอยู่บนพื้น

“ว้าว! นี่ท่านมิลเลี่ยนชนะใช่ไหม”

หลังจากฝุ่นหายไปจากเวทีประลองเรียบร้อยแล้ว ภาพของแขนขาทั้งสองข้างซึ่งเป็นของอะคิลลิสก็ปรากฎออกมา ทั้งร่างกายส่วนบนและส่วนล่างต่างก็แยกออกจากกัน

พึมพำ!

ในไม่ช้าอะคิลลิสก็ได้ล้มลงไปนอนกองกับพึ้น พร้อมกับเสียงที่ดังออกมาจากห้องคนขับของกิกันท์อีกตัว

“เจ้าต้องการจะสู้ต่ออีกไหม”

“คึก … ข้าแพ้แล้ว!”

แม้มิลเลี่ยนจะโกรธสักแค่ไหน แต่เขาก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

“อัศวินปีศาจทมิฬปรากฏตัวที่นี่จริงๆหรอเนี่ย!”

วิถีดาบอันน่าทึ่งที่ฟิลิปได้แสดงให้เห็นในตอนสุดท้ายนั้นเป็นสิ่งที่มิลเลี่ยนเคยได้เห็นมาก่อนแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขายังประลองอยู่ที่สนามประลองกิกันท์จักพรรดิ มันมีครั้งหนึ่งที่เขาได้ถูกคู่ต่อสู้หลอกล่อจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด

มิลเลี่ยนได้มาพบในภายหลังว่าคนขับ “กิกันท์ทมิฬ” ที่เขาได้พ่ายแพ้ไปนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม “อัศวินทมิฬ” อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนออกมา

แต่ในตอนนี้สิ่งที่เขาได้เห็นนั้นมันคล้ายกับบุคคลในความทรงจำของเขาอย่างมาก!

“ท่านคืออัศวินทมิฬใช่ไหม?”

“หึ ครั้งหนึ่งข้าเคยถูกเรียกแบบนั้น”

ตลอดช่วงชีวิตของเขาในฐานะอัศวิน ฟิลิปไม่เคยได้เข้าสู่เส้นทางของคนขับกิกันท์อย่างแท้จริงเลยสักครั้งเดียวเพราะมันมีพวกขุนนางชั้นสูงที่คอยอิจฉาและกลั่นแกล้งเขา

ในตอนนั้นเขาก็ต้องการที่จะฝึกกับกิกันท์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม เขาจึงไปรับหน้าที่คนขับกิกันท์ให้กับแคลนในสนามประลองกิกันท์จักพรรดิอย่างลับๆ

ตอนแรกที่เขาเข้าไปประลองก็เพราะเขาแค่อยากจะฝึกเฉยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มตกหลุมรักกิกันท์และกลายเป็นคนขับกิกันท์รับจ้างเป็นเวลาสามปี

ในช่วงเวลานั้น เขาได้รับอะไรมากมายหลายอย่างจากมัน นั่รวมถึงฉายา “อัศวินทมิฬ”

ต่อมาเมื่อสิ่งต่างๆเริ่มซับซ้อนเขาก็เริ่มสูญเสียชื่อเสียงนั้น

“ทำไมกัน? ทำไมคนที่มีทักษะเช่นนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่…”

“เป็นเพราะคำสั่งของเจ้านายของข้ายังไงละ และมันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่อัศวินจะช่วยเจ้าหญิงที่กำลังลำบากและต้องการความช่วยเหลือ”

หลังจากอธิบายเสร็จฟิลิปก็หันหลังกลับไป และโบกมือซ้ายให้กับฝูงชนที่กำลังชื่นชมกับความสำเร็จของเขา

“เราชนะ! เราชนะจริงๆ!”

เจ้าหญิงเรย์น่าก็รู้สึกดีใจจนน้ำตาเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ

ลุคที่เห็นผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ เขาก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น

“ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเคานต์โมนาร์ชอีกต่อไปแล้วนะ”

“ใช่.. ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณท่านมากจริงๆ ขอบคุณนะ”

เจ้าหญิงเรย์น่ากล่าวขอบคุณลุคอย่างจริงใจ

ลุคส่ายหัวขณะกล่าว

“มันไม่ใช่แค่เพราะคนเดียวหรอก ใครก็ตามที่เข้าใจถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ของท่านต่างก็อยากที่จะช่วยท่านกันทั้งนั้น”

“ถึงแล้ว…”

ขณะนั้นเองวิคเตอร์ที่พึ่งมาถึงก็กล่าวขัดจังหวะขึ้นมา

“เจ้าหญิงเราควรจะมุ่งหน้าลงไปที่โรงซ่อมบำรุงเลยหรือไม่?”

“โอ้! ข้าควรจะที่จะไปขอบคุณเซอร์ฟิลิป สำหรับความช่วยเหลือทั้งหมดของเขา”

เมื่อเห็นเรย์น่าเริ่มลงบันไดไป ที่มุมปากของลุคก็เริ่มมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น

“เจ้าทำได้ดีมาก ที่ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแบบนี้ก็เพราะเจ้าจริงๆ ฟิลิป”

แม้ว่าเจ้าหญิงเรย์น่าจะไม่ใช่คาธารีน่าที่เขารู้จักก็ตาม แต่การได้ช่วยเหลือเธอนั้น ก็ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เขารู้สึกผิดลดลงไปเล็กน้อยที่ไม่สามารถปกป้องคาธารีน่าในอดีตได้

“อ๊ะ! ข้าไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้”

ลุคนั้นทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าและเพื่อที่จะได้รับเงินปันผล 210,000 เปโซ…

 

บทที่ 21 การปรากฎตัวของอัศวินทมิฬ(4)

“การประลองคู่สุดท้ายของวันนี้คือศึกตัดสินระหว่าง เมลเลี่ยนนักขับกิกันท์รุ่นเก๋าจากแคลนลิปปี้ซึ่งเป็นเจ้าของกิกันท์เหล็ก อะคิลลิส! และผู้ที่กำลังจะมาเพื่อต่อต้านเขาก็คือ อัศวินนิรนามฟิลิปที่ขึ้นขับกิกันท์เมียร์แทนคนขับคนเก่าเพื่อช่วยเจ้าหญิงที่กำลังลำบาก!!!”

ชรรรรรรร! พรึ่บ!

ในตอนท้ายของการประกาศนั้นเอง เวทีทั้งเวทีก็มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับประตูบานใหญ่ที่เปิดออกให้เห็นถึงฟิลิปที่กำลังเดินออกไปขณะขับเมียร์

บนหน้าจอแสดงภาพของห้องคนขับ ภาพเวทีอันกว้างขวางก็ปรากฏขึ้น

ณ กลางสนามประลองกิกันท์จะสามารถมองเห็นกิกันท์ของฝั่งแคลนลิปปี้ได้ มันเป็นกิกันท์สีน้ำเงินที่มีเขาสองอันอยู่บนหัวของมันและมันก็เป็นอะไรที่ดูน่าประทับใจอย่างยิ่ง

แน่นอนว่านี่คืออะคิลลิสที่ถูกสร้างขึ้นโดยหอคอยเวมนตร์อัลทิก้า

“ว้า!”

“วู้ว!”

ฟิลิปหลับตาลงขณะที่เสียงตะโกนยังคงดังเข้ามาในหูของเขา

“ความรู้สึกพุ่งพล่านนี่มัน…นานมากแล้วสินะ!’

ฟิลิปนั้นจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารราชวงศ์ เขานั้นได้รับมอบหมายให้เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ซึ่งถือเป็นตำแหน่งอัศวินที่ดีที่สุดตำแหน่งหนึ่งในจักรวรรดิ

ในตอนนั้นเขาหวังว่าจะได้เป็นคนขับกิกันท์ระดับฮีโร่ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับกิกันท์เหล่านั้นได้ เพราะมันมีพวกขุนนางระดับสูงที่ไร้ความสามารถและไม่มีพรสวรรค์คอยอิจฉาเขา

ฟิลิปไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันจากทุกด้านที่เข้ามาได้ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ขุนนางชั้นต่ำอีกคนหนึ่งและเมื่อกิกันท์ของเขาประสบอุบัติเหตุบางอย่างในท้ายที่สุด เขาจึงหันเหความสนใจออกจากกิกันท์ด้วยในที่สุด

หลังจากลาออกและเดินเตร็ดเตร่อยู่พักหนึ่ง ฟิลิปก็ถูกญาติห่างๆ ของเขาเรียกตัวกลับไปเพื่อรับหน้าที่เป็นอัศวินให้กับตระกูลรากันต์

เนื่องจากข้อเสนอที่ไม่คาดคิด ความคิดที่จะไปสู่จักรวรรดิจึงได้ถูกปิดลง และเขาก็ได้ตามโรเจอร์ไปยังที่นั่นเพื่อที่จะเป็นอัศวินที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลลอร์ดหนุ่มของรากันต์

และตลอดสองปีที่น่าเบื่อได้ผ่านไป

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ข้าจะได้กลับมาสัมผัสกับความรู้สึกนี้อีกครั้ง…”

หูของฟิลิปในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจากการที่เขาได้ยินในสิ่งที่ไม่ได้ยินมานาน

ขณะนั้นเองฟิลิปก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาอย่างกึกก้อง

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าเจ้าจะไปได้ถึงขั้นไหน แต่ข้ามั่นใจเลยว่าข้าจะทำให้เจ้าจะต้องเสียใจกับการที่มาท้าทายอำนาจของพวกเรา!”

เสียงหัวเราะนั้นเป็นเสียงร้องแห่งชัยชนะที่ดังออกมาจากห้องควบคุมของอะคิลลิส

“เมลเลี่ยน …  คนขับจากแคลนลิปปี้สินะ”

เท่าที่ฟิลิปรู้มาก็คือเมลเลี่ยนนั้นเป็นหนึ่งในสามอัศวินที่แข็งแกรงที่สุดที่อยู่ภายใต้อำนาจของเคานต์โมนาร์ช

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสนามประลองกิกันท์ เขานั้นมีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกอยู่ในวงการนี้ไว้เช่นกัน

และกลุ่มที่เป็นเจ้าของเขาคือเคานต์โมนาร์ช และมีข่าวลือว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมนั้นไม่เคยสงสัยในชัยชนะของเขา

“หุหุหุ อีกสักครู่ผู้คนทุกคนจะต้องประหลาดใจแน่นอน”

เมื่อฟิลิปเบิกตาขึ้น  เขาก็ชี้นิ้วของเขาไปยังคู่ต่อสู้

“นี่เจ้าเรียนรู้การต่อสู้มาจากเด็กหรอ? ถ้าเจ้ายังยืนยันที่จะใช้คำพูดคำจาแบบเด็กๆแล้วละก็ เจ้าก็คงจะต้องใช้โชคของเจ้าเข้าช่วยแล้วหล่ะ”

“อะไรนะ?”

“ถ้าเจ้ารู้สึกกลัว  เจ้าก็สามารถยอมแพ้ได้เลย”

“อึก! นี่ไอ้เด็กเ*รนี่!”

ทันใดนั้นเมลเลี่ยนที่ถูกล้อเลียนโดยเด็กที่ไม่มีใครรู้จัก ก็เริ่มกรีดร้องและรีบวิ่งไปพร้อมกับอะคิลลิสของเขา

โฮ่ง -!

ฟิลิปเอนหลังเพื่อหลบหลีกการโจมตีที่เข้ามาและเป็นผลให้คทาของอะคิลลิสพุ่งผ่านศีรษะของเมียร์ไป

ปั้ก -!

ในฐานะคนขับกิกันท์ที่มีประสบการณ์ เมลเลี่ยนนั้นสามารถยกโล่ขนาดเล็กของเขาขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเพื่อหยุดการโจมตีของฟิลิป

“ถ้าเจ้าคิดว่าจะล้มข้าได้ด้วยการยั่วยุกากๆแบบนั้น ข้าก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าความคิดของเจ้ามันผิด!”

“หิม? คิดงั้นหรอ?”

ฟิลิปที่ถูกผลักออกไปเริ่มพุ่งกลับเข้ามาใหม่โดยอาศัยหลักโมเมนตัม

บึ้ม!

มันเป็นการโจมตีเหมือนอาบน้ำ เมลเลี่ยนดูลุกลี้ลุกลนอย่างมากในขณะที่พยายามจะป้องกันการโจมตีของฟิลิป

“อะไรกัน? นี่มันไม่ใช่ฝีมือของคนทั่วไปแล้ว!”

พวกเขานั้นรู้ดีว่าเจ้าหญิงกำลังรีบไปหาคนขับกิกันท์ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าคนที่มาแทนนี้น่าจะมีระดับที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้เห็นถึงพลังอันมหาศาลและการโจมตีที่ไม่หยุดยั้งของฟิลิปนั้น พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องไม่ใช่พลังของคนที่มีระดับต่ำกว่าผู้เชี่ยวชาญแน่นอน

“กิกันท์นั่นก็ด้วย มันมีอายุเกิน 50 ปีแล้วนะ! ’

เมียร์นั้นแข็งกว่าอะคิลลิสอยู่เล็กน้อยเพราะด้วยเรื่องอายุที่มากกว่า แต่ในเรื่องของผลลัพธ์การทำงานของแกนเครื่องยนต์นั้นอาจเทียบได้กับกิกันท์คลาสนักรบ …

“เจ้านนั่นมันใช่กิกันท์ขยะที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้แน่หรอ? ถ้าเกิดว่าข้าทำพลาดขึ้นมา ข้าก็คงจะถูกลงโทษแน่นอน!”

แม้ว่าเมลเลี่ยนจะตกใจ แต่เขาก็ยังคงเชื่อว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้ เพราะถ้าเขาเกิดแพ้ขึ้นมา เคานต์โมนาร์ชก็คงจะดกรธและลงโทษเขาแน่ๆ

ท้ายที่สุดเมลเลี่ยนจึงตัดสินใจที่เปลี่ยนมาตั้งรับแทน เพราะมันจะหมายความว่าเขาจะหมดปัญหาไปอีกสักพักหนึ่ง

เขาเชื่อว่าในระหว่านั้นเขาอาจจะสามารถคิดวิธีที่จะตอบโต้การโจมตีของฟิลิปหรือสวนกลับมันได้

ในขณะที่ฟิลิปกำลังจะยกดาบขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อโจมตีมิลเลี่ยน มิลเลี่ยนก็ได้โยนคทาของเขาไปข้างหน้า

กวาง!

ฟิลิปรีบหยุดการโจมตีของขาและหันมาป้องกัน

ในขณะเดียวกัน เมลเลี่ยนก็ถอยหลังไปและดึงโซ่ที่อยู่รอบเอวของอะคิลลิสออก

ท่อเหล็กที่ติดกับโซ่ก็เริ่มติดกัน จนกลายเป็นดาบขนาดใหญ่

“ดาบโซ่?”

“ข้ารู้สึกตกใจจริงๆที่เจ้าทำได้ถึงขนาดนี้ แต่อย่าหวังว่าจะเอาชนะข้าได้!”

มิลเลี่ยนซึ่งเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็เริ่มมุ่งความสนใจไปที่ดาบโซ่ยักษ์ของเขา

ปั้ง!

บริเวณรอบๆใบดาบเริ่มมีแสงสีเทาเรืองห่อรอบมัน มันไม่ได้เห็นชัดเป็นรูปร่าง

“นั่นมัน.. ออร่า!”

“ว้าว! มันเป็นออร่าที่มีขนาดใหญ่มหึมาจริงๆ!”

ฝูงชนที่สังเกตเห็นออร่ายักษ์ต่างเริ่มตะโกน

มีคนขับกิกันท์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำแบบนี้ได้

มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสร้างออร่าจากร่างกายที่ไม่มีอะไรเลยโดยเฉพาะกับกิกันท์

ทักษะดาบนั้นเป็นทักษะขั้นสูงที่มีเพียงคนขับกิกันท์ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถทำได้

“นี่แหละคือมิลเลี่ยนแห่งแคลนลิปปี้!”

“ใช่ นั่นแหละความคาดหวังของโมนาร์ข!”

“ชิ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นใครแต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะจบแล้ว”

“ข้ารู้สึกเสียใจมากจริงๆ เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ”

เมื่อเห็นมิลเลี่ยนปล่อยออร่าขนาดมหึมาออกมา ทุกคนก็คิดว่าชัยชนะคงจะเป็นของมิลเลี่ยนแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหญิงเรย์น่าก็เช่นกัน

“ฮ่าๆๆๆ! เซอร์ฟิลิปไม่เป็นไรหรอก”

ลุคยิ้มให้กับเรย์น่าที่กำลังกังวลเรื่องของฟิลิป

“ไม่ต้องกังวล เซอร์ฟิลิปนั้นเป็นคนขับกิกันท์ที่ดีกว่าที่ท่านคิด”

ลุคเคยได้ยินมาว่าฟิลิปมีผลงานที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนเตรียมทหารราชวงศ์และมานาที่ไหลออกจากร่างกายของเขาก็ยังอยู่เหนือกว่าระดับของผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางทั่วไป

มันจึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะสามารถรับมือกับการโจมตีของมิลเลี่ยนและโจมตีสวนกลับไปได้

ฮวก!

เมื่อดาบยักษ์ของเมียร์พุ่งขึ้น ออร่ายักษ์ที่เปล่งประกายเป็นสีแดงก็พุ่งทะลุมิลเลี่ยนไป

“โอ้พระเจ้า! เขาเก่งกว่าคนขับกิกันท์ของฝ่ายตรงข้ามมากๆเลย! ”

“มันเป็นออร่าที่ใหญ่และชัดเจนกว่าของมิลเลี่ยนมากจริงๆ!”

ฝูงชนที่ประหลาดใจต่างอ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในไม่ช้าหัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับระเบิดออกจากความตื่นเต้น

เพราะพวกเขาไม่เคยเจอกับคนขับกิกันท์ที่สามารถใช้ออร่าขนาดมหึมาแบบนั้นได้มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ในการประลองในวันนี้จึงถูกบันทึกเป็นการประลองครั้งประวัติศาสตร์ที่ทุกคนเป็นสักขีพยาน และหลังจากฟื้นคืนสติพวกเขาทุกคนก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับการเดิมพันที่พวกเขาวางไว้

กวาง!

ทันใดนั้นคนขับกิกันท์ทั้งสองก็เริ่มการต่อสู้กันต่อ

เมื่อใดก็ตามที่ออร่าขนาดมหึมาโจมตีเข้าใส่อีกฝั่ง มันก็จะมีเปลวไฟพุ่งออกมาจากรอยฟันนั้นและชิ้นส่วนของโลหะที่กระเด็นออกไปทุกทิศทุกทาง

การประลองที่รวดเร็วและรุนแรงของกิกันท์ทั้งสองนั้นทำให้สนามประลองทั้งหมดเริ่มสั่นสะเทือน และทำให้บรรยากาศรอบๆเริ่มร้อนเหมือนอยู่ในเตาเผาเตาเผา

“ดูเหมือนมันกำลังจะจบลงแล้ว!”

“ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้มาดูการประลองในครั้งนี้”

ผู้ชมทั้งหมดต่างกู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ฮ่าฮ่า! กรี๊ดอีก!”

ฟิลิปถูกผลักออกโดยมิลเลี่ยนในช่วงเวลาที่เขาโจมตีอย่างโหมกระหน่ำ และแล้วการโจมตีครั้งสุดท้ายก็มาถึง….

 

บทที่ 20 การปรากฎตัวของอัศวินทมิฬ(3)

ในที่สุดเวลาสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็มาถึง  พระอาทิตย์กำลังตกดิน แต่แทนที่ฝูงชนจะแยกย้ายกันออกไปพวกเขากลับรวมตัวกันแทน

“การต่อสู้ของคู่สุดท้ายของวันนี้จะต้องเป็นอะไรที่น่าสนใจมากแน่ๆ”

“เห็นว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการพนันกันระหว่างนักบุญแห่งลาเมอร์กับเคานต์โมนาร์ชใช่ไหม?”

“ข้าได้ยินมาว่า ถ้าเจ้าหญิงชนะเคานต์โมนาร์ชก็จะล้างหนี้ของเธอใหเโดยไม่มีเงื่อนไข แค่ถ้าเธอแพ้เธอก็จะต้องยอมแต่งงานกับเคานต์โมนาร์ช”

“เจ้าหญิงเรย์น่าจะชนะได้ไหมนะ?”

“นั่นเป็นไปไม่ได้  ตระกูลลิปปี้นั้นแข็งแกร่งที่สุดแล้วในดินแดนทางใต้”

“ใช่แล้ว เจ้าหญิงที่แสนจะใจดีคนนั้นจะต้องถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของไอ้หมูตอนนั้น…”

ข่าวลือเรื่องการต่อสู้ระหว่างทั้งสองถูกแพร่กระจายออกไป

ผู้ชมส่วนใหญ่นั้นต่างก็เป็นฝ่ายที่สนับสนุนเจ้าหญิงเรย์น่าจนถึงผู้ลีภัยที่ถูกเธอช่วยเอาไว้ แต่ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คือการกำลังใจ

“แคลนลิปปี้ก็เปลี่ยนแกนเครื่องยนต์ของพวกเขาเหมือนกันใช่ไหม?”

“ใช่ ดูเหมือนว่าจะไปดีทีเดียว”

ลุคบอกกับฟิลิปถึงสิ่งที่เขาเห็นในตอนที่แอบเข้าไปในห้องซ่อมบำรุงของแคลนลิปปี้ หลังจากที่เขาไปซื้อตั๋วเงินปันผลเสร็จ

“เปลี่ยนแกนเครื่องยนต์ใหม่? ชิ งั้นแกนเครื่องยนต์ของฝั่งเราก็เป็นเหมือนของโบราณเลยเมื่อเทียบกับพวกเขา … “

“ทำไมละ? เจ้าไม่มั่นใจเกี่ยวกับชัยชนะของเจ้าแล้วรึไง? เจ้าบอกจะชนะได้ถ้าประสิทธิภาพของกิกันท์เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณไม่ใช่รึไง”

“นั่นมัน…”

ช่วงเวลาที่ฟิลิปกำลังพยายามที่จะแก้ตัว ลุคก็เข้ามาจับไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง และพูดอย่างหนักแน่น

“อย่าลืมว่าเจ้าต้องชนะนะเซอร์ฟิลิป นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง!”

“โอ้นี่มันไม่ตลกเลยนะ”

ฟิลิปเริ่มเหงื่อตกเมื่อเห็นจิตวิญญาณที่ลุกโชนในดวงตาของลุค

ว่ากันว่าอัตราต่อรองของเจ้าหญิงคือ 21 เท่า

และถ้าลุคชนะการเดิมพันเขาก็จะได้รับเงินถึง 210,000 เปโซ อย่างไรก็ตามสาเหตที่ทำให้อัตราต่อรองนั้นสูงขึ้นก็เป็นเพราะความยากในการเอาชนะคู่ต่อสู้เองก็สูงเหมือนกัน

แน่นอนว่าอัตราการต่อรองก็ไม่ได้ถูกเสมอไป แต่เพราะคู่ต่อสู้ในครั้งนี้เป็นถึงเจ้าของสนามประลองซึ่งก็คือเคานต์โมนาร์ชเจ้าของแคลนลิปปี้ผลของมันจึงเหมือนกับถูกตัดสินไว้อยู่แล้ว

ณ ห้องรับรองของเคานต์โมนาร์ช

“เจ้าคิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้มันยุติธรรมหรือไม่?”

‘หึๆ มันก็ครึ่งต่อครึ่งละนะ…’

….

เหตุผลที่ลุคกระตุ้นให้ฟิลิปต้องชนะนั้นไม่ใช่แค่เพราะเงินเท่านั้น

“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าหญิงถูกพลากไปอีกครั้งแน่นอน!”’

เมื่อลุคไปที่ห้องซ่อมบำรุงของแคลนลิปปี้เพื่อสอดแนม เขาก็ได้เห็นเคานต์โมนาร์ชที่กำลังกำลังใจคนขับกิกันท์และจอมเวทเหล็กไหลอยู่

การกระทำของเคานต์โมนาร์ชนั้นดูคล้ายกับการกระทำของดยุก แห่งบาล็อคผู้ซึ่งเป็นศัตรูในสมัยก่อนของลุคเป็นอย่างมาก

และสิ่งเลวร้ายที่สุดที่พวกเขาเหมือนกันก็คือความหื่นยังกระหาย

มันจะไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะปล่อยให้เจ้าหญิงเรย์น่าตกไปอยู่กับพวกมัน!

“ถ้าเจ้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็จะซื้อกิกันท์ให้เจ้าเป็นรางวัล และมันก็จะมีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขับมันได้”

“ท่านหมายความตามที่พูดอย่างนั้นจริงๆเหรอ?”

ลุคเลือกจะมอบรางวัลจากความเป็นไปได้ที่จะสามารถทำให้ฟิลิปตกปากรับคำได้ แลก็ดูเหมือนว่าฟิลิปจะหลงเหยื่อเข้าเต็มเปา

ใบหน้าของฟิลิปเริ่มเปลี่ยนจากความวิตกกังวลเป็นความละโมภขึ้นทันทีเมื่อได้ยินรางวัลที่ลุคได้เสนอให้กับเขาหากชนะ

“แน่นอน ข้าจะซื้อตัวใหม่ให้กับเจ้าเลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ท่านสัญญาแล้วนะ!”

เหมือนกับว่าฟิลิปได้กินมังกรที่ยังมีชีวิตอยู่ สีหน้าของฟิลิปในตอนนี้ดูมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เขาเขาไปยังห้องควบคุมของเมียร์อย่างมั่นใข

เมื่อมองไปที่เขาในตอนนี้ มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเอาชนะศัตรูได้หมดแม้ว่าพวกเขาจะเป็นปรมจารย์ดาบหรือจักรพรรดิแห่งดาบก็ตาม

“ได้โปรดออกไปได้แล้ว การประลองจะเริ่มแล้ว!”

ตึ๊ดตึ๊ด!

เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่ของสนามประลอง ฟิลิปก็เริ่มควบคุมเมียร์และเดินไปที่ทางออก

ลุคเองก็ย้ายไปที่อัฒจันทร์ที่ที่เจ้าหญิงเรย์น่ากำลังนั่งอยู่..

 

 

บทที่ 19 การปรากฏตัวของอัศวินทมิฬ (2)

เมื่อลุคจัดการกับความสนใจจากผู้คนเสร็จ เขาก็เอื้อมมือไปหาวิคเตอร์ที่อยู่ด้านข้าง

“ขอข้ายืมดาบของท่านซักครู่ได้ไหม?”

“ดาบ? ข้าไม่เข้าใจ ท่านจะใช้มันทำอะไรกัน”

วิคเตอร์กล่าวอย่างสงสัยขณะดึงดาบออก

ลุคหยิบดาบและคว้าใบมีดด้วยมือซ้ายแล้วดึงมัน

เฉือด!

เลือดไหลออกจากมือของลุค และทำให้ใบดาบเปลี่ยนไปเป็นสีแดง

“นายน้อย?”

“ไม่ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น!”

จากนั้นเขาก็บีบเลือดออกจากมือของตัวเองราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เลือดสีแดงเริ่มหยดลงบนศิลาเวทมนตร์ที่วางอยู่บนพื้น

‘ศิลาเวทมนต์มันต้องเปียกแบบนี้…’

หลังจากศิลาเวทมนต์จมอยู่ภายใต้เลือดของลุค เขาก็ได้เริ่มวาดวงเวทย์รอบๆหิน

จอมเวทเหล็กไหลทุกคนต่างอ้าปากค้างเมื่อเห็นลุควาดวงเวทย์และอักขระเวทย์มนตร์บนพื้นอย่างไร้ซึ่งความลังเล

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าลุคคงจะเป็นขุนนางหนุ่มธรรมดาๆอีกคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรูปร่างและรูปแบบของวงเวทย์นั้นเหมือนกับรูปแบบคลื่นมานาที่แกนกลางของศิลาเวทมนตร์ปล่อยออกมา

‘ไม่ เป็นไม่ได้!’

‘เขาไม่ใช่พ่อมดด้วยซ้ำ เขาจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?

ลุคยังคงทำงานต่อไปในขณะที่เหล่าจอมเวทเหล็กไหลต่างก็กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เขาทำ

หลังจากนั้นไม่นานวงเวทย์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เมตรก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากคืนดาบให้วิคเตอร์ ลุคก็หายใจเข้าและเริ่มร่ายมนตร์ด้วยเสียงอันดังก้อง

“ราห์ คานทาร์ เอลี เรย์ เพราโต …”

‘ไม่มีทาง! นั่นคือคาถาเวทมนต์! ’

 

จอมเวทเหล็กไหลเริ่มอ้าปากค้าง เมื่อพวกเขานึกถึงคำสัญญาที่พวกเขาได้ใหไว้กับลุค

คาถาเวทมนตร์นั้นเป็นเหมือนเวทมนตร์รอง การจดจำคำร่ายในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของมานาและช่วยในการสร้างเวทมนตร์

มันมีข้อได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องการวงเวทย์ แต่ในทางกลับกันคำร่ายของคาถาก็ยาวมากและระยะเวลาในการร่ายกับจังหวะของการร่ายจะต้องเท่ากันทุกประการ

หากทำได้ไม่ดี ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่ได้ดีตาม

คาถาเวทมนตร์นั้นสามารถสร้างวงเวทย์พื้นฐานได้เพียงหนึ่งหรือสองวง เท่านั้น หากต้องการวงเวทย์วงที่ 3 เขาก็จำเป็นจะต้องวาดวงเวทย์นั้นเอง นี่คือสาเหตุที่เหล่าพ่อมดไม่ค่อยพุ่งความสนใจไปที่เวทมนตร์ประเภทนี้และทำให้ผู้ที่ไม่ใช่พ่อมด,นักวิชาการและขุนนางต่างก็สนใจและพยายามที่จะเรียนรู้มัน

แต่เด็กชายคนนี้กลับรู้วิธีการใช้เวทมนตร์แล้ว!

“ก็แค่การพูดเลียนแบบคำร่าย…’

ในระหว่างพิธีร่ายมนต์ของลุค วงเวทย์ที่วาดด้วยเลือดของเขาก็เริ่มเปล่งประกายออกมาพร้อมกันนั้นมานาที่ถูกรวบรวมโดยวงเวทย์ก็เริ่มแทรกตัวเข้าไปในหินเวทมนตร์

วงเวทย์เริ่มเปล่งประกายและมีเสียงสะท้อนดังออกมาจากศิลาเวทมนตร์

“อะไรกัน? นีเจ้ากำลังทำบ้าอะไร?”

“มันเกิดอะไรขึ้นกับมานาเหล่านั้นกัน”

จอมเวทเหล็กไหลจากแคลนอื่นๆเริ่มสงสัยในปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น

พวกเขายังต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

แกนกลางของศิลาเวทมนต์ที่กำลังอยู่ในช่วงท้ายของชีวิตเริ่มเรืองแสงออกมาและสีของมันก็เริ่มเปลี่ยนไป

ในขณะนี้ดวงตาของผู้คนรอบตัวลุคเริ่มเบิกกว้าง

“นั่น…นั่นมัน!”

“ตะกอนมานาที่ถูกสะสมไว้กำลังหายไป!”

ท่ามกลางความสับสนชุลมุน ลุคทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อจะร่ายคาถาต่อให้เสร็จ

 

หลังจากพิธีกรรมเวทมนตร์ประมาณ 30 นาทีวงเวทย์เลือดรอบๆลุคก็เริ่มระเหยหายไป

ในที่สุดแกนกลางของศิลาเวทมนต์ก็กลับมามีสีโปร่งใส  เหมือนกับระยะแรกๆที่มันดริ่มถูกใช้

“ตอนนี้มันจบแล้ว ท่านสามารถไปตรวจสอบมันได้เลย”

ลุควางศิลาเวทมนตร์กลับเข้าไปในแกนเครื่องยนต์ และทำให้ประสิทธิภาพของเมียร์เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ มันดูเหมือนเป็นกิกันท์ตัวใหม่ที่เพิ่งลงมาจากเวิร์กชอป

เหล่าจอมเวทเหล็กไหลโดยเฉพาะผู้ที่ท้าทายลุคเป็นการเดิมพันนั้นถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์

“ไร้สาระ!”

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร…”

ลุคแทบไม่ได้เรียนรู้เวทมนตร์คาถาใด ๆ

แต่ด้วยวงเวทย์และการสะสมมานาของศิลาเวทย์มนตร์ มันจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้

“เรื่องไร้สาระ? หึ เป็นธรรมดาสำหรับพวกเจ้าที่ไม่ได้ศึกษามาอย่างถูกต้องที่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้”

ในตอนที่ลุคยังเป็นพ่อมดซย์มอนและยังไม่มีศิลาเวทมนตร์เทียมมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะตามหาศิลาเวทมนตร์มาสักก้อน

และแม้แต่ลุคที่เป็นผู้นำในการสร้างกองทัพโกเลมเอง ก็ไม่สามารถทนกับความจริงที่ว่า โกเลมที่เขาสร้างขึ้นมานั้นไม่สามารถจะอยู่ในจุดที่ดีที่สุดได้เนื่องจากไม่มีศิลาเวทมนตร์

“คงจะดีไม่น้อย หากข้าสามารถรีไซเคิลเศษศิลาเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งในตอนท้ายของชีวิต…’

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลุคเริ่มศึกษาค้นคว้าในเรื่องของตะกอนมานา

และในตอนนั้นเองที่เขาคิดได้

“ทำไมร่างกายมนุษย์เราถึงไม่มีการตกตะกอนของมานาเหมือนกับศิลาเวทมนตร์กันนะ”

มานาที่สะสมอยู่ในร่างกายนั้นไม่เคยหยุดไหลและเขาก็ไม่เคยได้ยินแนวคิดเช่นนี้มาก่อน

ด้วยเหตุนั้นลุคจึงเริ่มคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ จากนั้นเขาก็ถึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขากำลังมองหาก็คือเลือด ความมีชีวิตชีวาชองมันเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการไหลของมานา

นอกจากนี้เขายังค้นคว้าวิธีการชุบชีวิตหินเวทมนตร์โดยอาศัยเลือดและวงเวทย์ได้สำเร็จ

“ข้าคงกำลังเหนื่อยและจ้องมองเห็นภาพหลอนแน่ๆเลย”

“ใช่แล้ว เขาพยายามทำให้เราหลอนโดยใช้เวทย์มนตร์มืด!”

ลุคจ้องไปที่เหล่าจอมเวทเหล็กไหลขณะที่พวกเขากำลังพ่นเรื่องไร้สาระออกมา

ในความเป็นจริงคำพูดของพวกเขาเกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งความมืดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้ว่าเวทมนตร์นี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของคาเวทมนตร์ แต่คาถาเวทมนตร์นั้นก็ตั้งอยู่บนความรู้จากเวทมนตร์มืดเช่นกัน

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ได้ ลุคจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก

“มนต์ดำ? เห็นข้าอัญเชิญปีศาจออกมารึไง? หรือว่าเห็นฉันสังเวยมนุษย์ไปกัน”

“เห็นได้ชัดว่าวงเวทย์นั่นสร้างจากเลือด…!”

“หุบปากซะ ไอ้โง่นี่! เจ้ากล้าดียังไง ที่มาทำเหมือนกับว่าความลับของจระกูลข้าเป็นเรื่องตลก!”

เมื่อลุคขึ้นเสียงราวกับว่าเขากำลังโกรธ เรย์น่าก็เข้ามายืนข้างๆเขา

“ลุคเป็นลูกหลานของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่รากันต์ เขาจะใช้เวทมนตร์แห่งความมืดได้อย่างไร”

รากันต์นั้นมีชื่อเสียงในด้านการเป็นจักรพรรดิแห่งดาบ แต่ผู้คนมักจดจำเขาในฐานะอัศวินศักดิ์สิทธิ์

ด้วยเหตุนั้นลูกหลานของเขาจะกล้าใช้เวทมนตร์มืดได้อย่างไรกัน แม้ว่าเวทมนต์ที่ใช้เลือดเป็นสื่อกลางนั้นจะไม่ค่อยมีให้พบเห็นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

ฝูงชนที่ได้ยินคำถามของเรย์น่าก็เริ่มส่ายหัว

“มันดูแปลกๆ แต่มันก็ไม่น่าจะใช่เวทมนตร์แห่งความมืด”

“นั่นสิ ใครจะกล้าใช้เวทมนตร์แห่งความมืดในเวลากลางวันกัน”

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลรากันต์จะมีความลับแบบนี้ซ่อนอยู่”

โดยไม่คำนึงถึงการเดิมพัน พ่อมดคนอื่นๆก็เริ่มเข้าข้างลุค

“สำหรับเรื่องนี้…”

“พวกเจ้าทั้งสามคงไม่คิดที่จะแสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติของพ่อมดหรอกใช่ไหม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการขาดความน่าเชื่อถืออาจจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่การเดิมพันโดยแล้วไม่ทำตามนั้นล้วนแต่ไม่น่าให้อภัย”

เมื่อลุคถามเสร็จ ขอมเวทเหล็กไหลทั้งสามก็รู้สึกอายจนแทบจะยกหัวไม่ขึ้น

ในทางกลับกันเจ้าหญิงย์น่าก็กำลังมองไปที่ลุคด้วยความชื่นชม

“นายน้อยท่านช่างน่าทึ่งจริงๆ แต่เมื่อไหร่กันที่ท่านเริ่มเรียนรู้เวทมนตร์พวกนี้?”

ฟิลิปที่ยืนอ้าปากค้างกล่าวขึ้นหลังจากฟื้นคืนสติ

ลุคให้การตอบกลับอย่างชาญฉลาด

“มันไม่มีอะไรพิเศษหรอก สิ่งนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งในความเชี่ยวชาญของตระกูลเราที่จะต้องได้รับการฟื้นฟู”

“แต่ท่านเรียนรู้เรื่องนี้มาจากใครกัน? จอมเวทเหล็กไหลที่ดินแดนเราก็มีเพียว มิวท์ เท่านั้น”

“ข้าเรียนรู้มันด้วยตัวเอง หลังจากอ่านหนังสือบางเล่ม”

“ข้าเข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าตระกูลของท่านนั้นเป็นตระกูลอัศวินหรอกหรือ? การแสดงวงเวทย์นั้นก็เหมือนกับการมีความฝันที่ไม่มีอยู่จริง…”

ขณะที่ฟิลิปตั้งคำถามอยู่เรื่อยๆ การพูดโกหกก็เริ่มกลายเป็นเรื่องยากขึ้นไปเรื่อยๆ และทำให้ลุคเริ่มรู้สึกรำคาญอย่างช้าๆ

“เซอร์ฟิลิป!”

“ขอรับ นายน้อย!”

“ข้าได้แก้ไขกิกันท์แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าจำเป็นจะต้องลองทดสอบมันดูก่อนหรอ?”

“อ๊ะใช่! นี่เป็นครั้งแรกของข้า แต่ฉันจะพยายามควบคุมให้ดีที่สุด”

ฟิลิปปีนขึ้นไปบนบันไดเพื่อเปิดฝาบนหน้าอกเมียร์เพื่อเข้าไปในห้องควบคุม เขาเริ่มต้นด้วยการขยับนิ้วและข้อเท้า แล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวเพลงดาบขั้นพื้นฐานและพยายามปรับตัวให้เข้ากับกิกันท์ตัวใหม่นี้ให้มากที่สุดโดยมีลุคเฝ้าดูเขาจากด้านหลัง

ขณะที่ลุคกำลังทำเช่นนั้นเจ้าหญิงเรย์น่าก็มองมาที่เขา

“เขาเป็นคนที่น่าทึ่งต่างจากรูปลักษณ์ของเขาจริงๆ เขาดูค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เมื่อเทียบกับอายุของเขา”

ตามอายุแล้ว ฟิลิปเป็นคนที่ให้บรรยากาศเหมือนกับพี่ชายซึ่งมันทำให้ลุคดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ลุคกำลังมองไปที่เมียร์ซึ่งทำให้เขาคิดขึ้นมาทันที

“ข้าสามารถเดิมพันในเกมนี้ได้ด้วยนี่นา และดูเหมือนเงินปันผลจะสูงขึ้นเนื่องจากอำนาจต่อรองในฝั่งของเจ้าหญิงนั้นต่ำกว่าของตระกูลเคาท์ลิปปี้อย่างเห็นได้ชัด… “

เรย์น่าเมื่อเห็นลุคก้าวขึ้นมาพร้อมกับถุงเงินจึงถามว่า

“ลุค นี่ท่านกำลังจะไปไหนกัน?”

“โอ้ ข้าก็จะไปดูว่ากิกันท์ของท่านเคานต์เป็นอย่างไรบ้าง”

ไม่มีทางที่ลุคจะพูดออกไปว่า ‘โอ้! ข้าจะซื้อตั๋วเงินปันผล!

เจ้าหญิงจะมองเขาอย่างไรถ้าเธอรู้ว่าเขาเดิมพันในเกมที่หมายถึงชีวิตของเธอ?

แน่นอนว่าหลังจากซื้อตั๋วเงินปันผลเสร็จ เขาก็ได้วางแผนที่จะไปสอดแนมกลุ่มของเคานต์อยู่เหมือนกัน

เรย์น่าเหลือบมองลุคที่เดินออกไปอย่างทุลักทุเล

“ทำไมเขาถึงเอาเงินไปสอดแนมด้วยกันนะ?”

เธอคิดหาวิธีต่างๆมากมายในการพยายามทำความเข้าใจความคิดของลุค แต่เธอก็ยังคิดไม่ออก…

 

บทที่ 18 การปรากฏตัวของอัศวินทมิฬ (1)

เมื่อลุคคิดวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เขาก็มองไปที่ฟิลิปอีกครั้ง

“ถ้ากิกันท์ตัวนี้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เจ้ามั่นใจไหมว่าเจ้าจะชนะ?”

“แน่นอน. มันค่อนข้างจะน่าอึดอัดสำหรับข้า ที่จะพูดมันออกจากปากของตัวเอง แต่ข้าก็เป็นหนึ่งในคนขับกิกันท์ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโรงเรียนเตรียมทหารราชวงศ์”

‘ผู้ชายที่เก่งแบบนี้ ทำไมถึงไม่ไปรับใช้ตระกูลสำคัญๆกันนะ?”

มันมีเหตุผลอะไรกันที่ทำให้ฟิลิปมาอยู่ในตระกูลเช่นนี้

ลุคตัดสินใจที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นในภายหลัง เพราะตอนนี้เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ

“โอเค งั้นรอสักครู่”

ลุคยืนยันกับฟิลิปและขออนุญาตเรย์น่า

“จะเป็นอะไรไหมถ้าข้าจะเปลี่ยนฟังก์ชันบางอย่างของกิกันท์ตัวนี้”

“แน่นอน เชิญท่านลงมือได้เลย”

เรย์น่าพยักหน้าเห็นด้วยด้วยสีหน้ายินดี

พ่อมดที่ทำการดูแลเมียร์ไม่ได้คัดค้านอะไรต่อเจ้าหญิง แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เพราะพวกเขากังวลว่าเด็กหนุ่มจะไปทำลายกิกันท์ด้วยความรู้เพียงเล็กน้อยที่เขามี

“เด็กทุกคนไม่สามารถซ่อมกิกันท์ได้หรอกนะ เจ้ารู้ใช่ไหม?’

“เจ้านั่นรู้ใช่ไหมว่าสาเหตุที่พวกถูกเรียกว่าจอมเวทเหล็กไหล ก็เป็นเพราะเรามีควมเชี่ยวชาญในด้านกิกันท์น่ะ”

“ผู้ชายคนนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แต่ในเมื่อเจ้าหญิงก็ยอมรับแล้ว…”

ในขณะที่เหล่าจอมเวทเหล็กไหลกำลังสลับอารมณ์ไปมาระหว่างความกังวลและความโศกเศร้า ลุคก็ปีนบันไดขึ้นไปและทำการตรวจสอบด้านในชุดเกราะของเมียร์ โดยเฉพาะตรงส่วนของแกรเครื่องยนต์

โครงสร้างของแกนเครื่องยนต์นั้นเหมือนกับในอดีต อย่างไรก็ตามพวกมันข้างในต่างก็แยกกันออกเป็นส่วนๆอย่างกระจัดกระจาย

“นี่มันไม่มีข้อต่อยึดติดอะไรเลยหรอ ทำไมมันมีแค่ร่อง… นี่ข้าต้องใช้ประแจเพื่อไขปัญหานี้ใช่ไหมเนี่ย?”

ลุคหยิบเครื่องมือขึ้นมาและพยายามนึกถึงผลงานของจอมเวทเหล็กไหลคนอื่น ๆ

เขาใส่ประแจเข้าไปในร่องหกเหลี่ยมแล้วหมุนตามเข็มนาฬิกา แม้ว่ามันจะแน่นและแข็งมาก แต่ก็โชคดีที่เขายังสามารถทำมันได้ด้วยกำลังของเขาเอง

หลังจากถอดน็อตสองสามตัวและถอดฝาครอบออกเรียบร้อยแล้วหินเวทมนต์ข้างในแกนเครื่องยนต์ก็เผยออกมาให้เห็น

ลุคดึงหินเวทมนต์ออกมาอย่างระมัดระวังและมองไปที่มัน

“หินนี่น่าจะใกล้สิ้นอายุขัยแล้วแน่นอน”

เขาสามารถเข้าใจได้เพราะภายในของกิกันท์นี่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำทันทีที่เขาเอามันออกมา  การเปลี่ยนแปลงของสีเกิดจากการที่มานาบางส่วนที่สะสมอยู่ภายในไหลออกมาสู่ภายนอก

เรย์น่ามองดูการแสดงออกของลุค

“จะไม่ดีกว่าเหรอถ้าจะสร้างมานาขึ้นมาใหม่”

“ไม่ แม้ว่าการเกิดตะกอนมานาจะสามารถเกิดขึ้นได้แต่มันก็ไม่ควรที่จะไปขัดขวางการไหลของมานา ลองพิจารณาอ่างเก็บน้ำเป็นตัวอย่างนะ หากน้ำไหลเข้าและออกได้อย่างอิสระอ่างก็จะสะอาดอยู่เสมอ แต่ถ้าน้ำค้างอยู่แต่ในอ่าง น้ำเหล่านั้นก็จะเริ่มเป็นพิษ”

“อา ข้าเข้าใจแล้ว”

“และเพื่อให้การไหลเวียนเป็นไปได้อย่างสะดวกและเพื่อให้ได้น้ำประปาที่ดีเราจึงจะต้องกำจัดตะกอนที่สะสมอยู่ในน้ำและพื้นดินออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอ่างเก็บน้ำนี่มันไม่ได้รับการบำรุงรักษาอะไรเลย”

“แล้วเราจะกำจัดตะกอนมานาเหล่านี้ได้อย่างไร”

จอมเวทเหล็กไหลที่ได้ยินนั้นล้วนยอมรับว่าลุคมีความรู้มากกว่าที่พวกเขาคิด

แม้พวกเขาจะรู้ถึงปัญหานี้อยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถคิดคำตอบสำหรับคำถามของเจ้าหญิงเรย์น่าได้

เป็นเพราะการสะสมของมานาในแกนเครื่องยนต์นั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้จนถึงตอนนี้

เมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งานของแกนเครื่องยนต์ พวกเขาก็มักจะเปลี่ยนศิลาเป็นอันใหม่แล้วทิ้งอันเก่าไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศิลาเวทมนตร์เทียมเริ่มถูกผลิตและราคาเริ่มลดลงการวิจัยเกี่ยวกับการรีไซเคิลก็ลดลง

“ข้ารู้วิธี”

“อะไรนะ!”

เสียงกรีดร้องเหล่านี้ไม่ได้มาจากเจ้าหญิงเรย์น่า แต่เป็นเหล่าจอมเวทเหล็กไหลต่างหากที่เป็นคนกรีดร้องออกมา

พ่อมดเหล่านี้ได้รับการแนะนำโดยบุคคลที่รู้จักกับเจ้าหญิงและพวกเขาต่างคิดว่าคำพูดของขุนนางหนุ่มคนนี้นั้นเป็นอะไรที่ไม่มีมูลความจริง

“อย่ามาเลอะเทอะ!”

“มาดูกัน. นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ!”

“เจ้าไม่สามารถชุบชีวิตศิลาเวทมนตร์ที่หมดอายุขัยได้หรอกนะ”

ลุคขมวดคิ้วใส่เหล่าจอมเวทเหล็กไหล เขานั้นเข้าใจดีว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อ

แต่สำหรับพ่อมดที่สำรวจธรรมชาติมาโดยตลอดและเต็มใจที่จะไขคำถามและไล่ตามความจริงนั้นมัน ‘แน่นอนที่สุด’!

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าสามารถชุบชีวิตได้”

“ฮ่าๆ เป็นไปไม่ได้!”

“ถ้าอย่างนั้นเรามาพนันกันดีกว่า ถ้าข้าสามารถชุบชีวิตศิลาเวทมนตร์นี้ได้ เจ้าจะต้องเผาเสื้อคลุมที่สวมอยู่ แต่ถ้าข้าไม่สามารถทำได้ข้าก็จะให้เงินทั้งหมดที่ข้ามีกับพวกเจ้ามี”

ลุควางเงินในกระเป๋าลงบนพื้น

จอมเวทเหล็กไหลต่างก็กลืนน้ำลายเมื่อมองไปที่ถุงเงิน

พ่อมดอิสระมักไม่ได้ทำงานในสถานี่แห่งใดแห่งหนึ่ง และพ่อมดส่วนมากก็มักจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร เพราะพวกเขาต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากกับการเรียนเวทมนตร์และการพัฒนาทักษะของพวกเขา

พวกเขามีความสุขมากเมื่อสถานการณ์เช่นนี้นำเสนอเหมือนตอนที่พวกเขาอยู่กับเจ้าหญิงด้วยเงินเพียงเล็กน้อย

‘ไม่ว่าเจ้าหญิงจะสวยแค่ไหน…’

‘เชอะ ไอ้เด็กคนนี้!’

มันเป็นเรื่องที่ลบหลู่กันอย่างมากที่จะขอให้พวกเขาเผาเสื้อคลุม ของตัวเอง เพราะมันเหมือนกับการปฏิเสธการมีอยู่ของพวกเขาในฐานะพ่อมด แต่งานที่มอบให้กับลุคนั้นเป็นไปไม่ได้

“โอเคถ้าเจ้าทำมันได้ พวกข้าก็ยินดีที่จะเผาเสื้อคลุมของตนเองและเป็นข้ารับใช้ของเจ้า”

“ข้าจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อทำงานให้เจ้าเช่นกัน”

“ไม่ว่าจะในฐานะของพ่อมดหรือทาส เจ้าก็สามารถจะสั่งให้เราทำอะไรก็ได้”

เหล่าพ่อมดที่เชื่อมั่นว่าเด็กชายจะล้มเหลวไม่ลังเลที่จะให้คำมั่นสัญญาเพิ่มเติมกับเขา

แต่ลุคกลับเย้ยหยันพวกเขา

“อย่าเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในภายหลังก็แล้วกัน”

และด้วยเหตุนี้จึงเกิดข้อตกลงปากเปล่า และทำให้เจ้าหญิงเรย์น่าเป็นผู้รับรองการเดิมพันไปโดยปริยาย…

 

บทที่ 17: วิกฤตของเรย์น่า (5)

“คนขับกิกันท์…ข้าขอเป็นคนนั้นได้ไหม”

เรย์น่าหันมองไปยังเจ้าของเสียงนั่น เขาเป็นเด็กชายดูเหมือนจะอายุประมาณ 17 ปี และเสื้อผ้าของเขาก็ดูค่อนข้างคุ้นเคย

“อ่า ท่านคือคนที่ช่วยเหลือเด็กๆเหล่านั้นเอาไว้เมื่อวานนี่”

“ให้ข้าได้แนะนำตัวเถอะ ข้าชื่อนามว่า ลุค แห่ง รากันต์”

ลุคแนะนำตัวกับพวกเขาด้วยความเคารพ

ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้พบกับคาทาริน่า

“ฉันไม่รู้สึกถึงพลังอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อวานนี้เลย’

ลุคมองตรวจสอบเธออย่างใกล้ชิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เขารู้สึกเมื่อวานก่อน

หรือนั่นจะเป็นภาพลวงตา?

“ลุค แห่ง รากันต์? ท่านคือลอร์ดผู้สืบทอดของไวเทานต์รากันต์อย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ ถูกต้องแล้ว”

เมื่อได้รับคำตอบจากลุค ประกายแสงแห่งความหวังก็ส่องเข้ามาในดวงตาของเรย์น่า กลับกันวิคเตอร์และพาเวลต่างก็มองไปที่ลุคด้วยความสงสัย

“ข้าขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งที่ขัดจังหวะ แต่ท่านคือลุคแห่งรากันต์จริงๆเหรอ?”

“พวกข้าได้ยินมาว่าท่านประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่และได้หมดสติไปเมื่อไม่นานมานี้”

“นั่นเป็นความจริงแต่ข้าพึ่งฟื้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ข่าวเรื่องนี้จึงยังไม่ถูกแพร่ออกมา”

ลุคพูดขณะถูแหวนที่อยู่บนมือขวาของเขา ทันใดนั้นแหวนก็เริ่มมีประกายแสงส่องสว่างออกมา มันคือตราประจำตระกูลรากันต์

แหวนวงนี้ทำจากเหล็กที่ไม่ใช่เหล็กทั่วๆไป และมันเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับมอบมาจากราชวงศ์อิมพีเรียล มันจึงเป็นแหวนที่ไม่สามารถดัดแปลงหรือลอกเลียนแบบได้

และด้วยเหตุนั้นเรย์น่าและพรรคพวกจึงรู้ว่าลุคเป็นตัวจริง

“ขอท่านโปรดจงอภัยให้ข้าด้วย สำหรับความหยาบคายที่ข้าได้กระทำไป”

“ไม่ นั่นไม่เป็นไร”

ชายชราทั้งสองโค้งคำนับให้กับลุค  สาเหตุที่พวกเขาสงสัยในตัวตนของลุค ก็เป็นเพราะข่าวลือที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับลุคว่าเขากำลังนอนพักรักษาตัวอยู่

ในสถานการณ์นี้ พวกเขาจึงกลัวว่าเด็กชายคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมรู้ร่วมคิดของเคานต์โมนาร์ช

มันอาจจะเป็นกลอุบายในการแสร้งทำเป็นช่วยเหลือพวกเขาที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และค่อยเฉลยตอนท้ายว่ามันเป็นแผนหลอกพวกเขา

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเราจะได้รับความช่วยเหลือจากลอร์ดแห่งรากันต์!’

ชายชราทั้งสองมีเหตุผลที่ทำให้เชื่อในการกระทำของลุค เพราะแต่เดิมเมืองลาเมอร์นั้นถูกปกครองโดยตระกูลรากันต์และตระกูลลิเบียย่า

อย่างไรก็ตามดินแดนและเมืองจำนวนมากสูญหายไปในการก่อกบฏที่เกิดจาก คาร์โนแห่งบาร็อค ที่ต่อมาได้กลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิบาร็อค

ในเวลานั้นบรรพบุรุษของพวกเขาต้องส่งมอบที่ดินให้กับราชสำนักและนั่นเป็นเหตุให้ตระกูลต่างๆต้องโยกย้ายไปทำมาหากินที่อื่น

เมื่อนึกถึงความชั่วร้ายในอดีตที่ผ่านมาของพวกจักรวรรดิ์และขุนนาง มันจึงไม่แปลกอะไรที่ตระกูลรากันต์จะมาช่วยเหลือพวกเขาในครั้งนี้

นอกจากนี้พวกเขายังได้ยินมาว่าตระกูลรากันต์เป็นตระกูลขนาดเล็กแต่ก็ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

“แต่ท่านจะเป็นคนขับกิกันท์ให้พวกเราเองเลยเหรอ?”

ลุคพยักหน้าเป็นการตอบกลับคำถามของเรย์น่า

“ใช่ เท่าที่ข้าได้ยินมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของพวกท่านจะเริ่มจนมุมแล้วสินะ”

เจ้าหญิงเรย์น่าซึ่งมีลักษณะหน้าตาคล้ายกับคาธาริน่าตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเธอเช่นกัน เพราะคาธาริน่าเลือกที่จะปฏิเสธการเป็นของเล่นของขุนนางลามกเหล่านั้น ตัวเลือกของเธอจึงมีเพียงความตายเท่านั้น

“แต่ตอนนี้มันจะต้องแตกต่างออกไป!’

เขาอยากช่วยเรย์น่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือความผูกพันของโชคชะตา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ผลลัพธ์ต้องมาจบเหมือนเดิม

ลุคชี้ไปที่ฟิลิปที่อยู่ข้างหลังเขา

“ฟิลิปเป็นอัศวินผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนเตรียมทหารราชวงศ์แม้ว่ามันจะดูไม่น่าพอใจเท่าไหร่ก็ตาม”

ใบหน้าของเรย์น่าและชายชราทั้งสองเปลี่ยนไปพร้อมกัน

โรงเรียนเตรียมทหารราชวงศ์นั้นเป็นค่ายฝึกสอนอัศวินที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้พวกเขายังมีการสอนขับกิกันท์อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่อายุเพียงแค่นี้ มันก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทักษะของเขาอาจจะเทียบเท่ากับคนขับที่เก่งที่สุดของสนามประลองแห่งนี้

“บ้าจริง  สำหรับเรื่องนี้ … “

ฟิลิปที่ยืนอยู่ห่างๆเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินการประกาศชื่อของเขา

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นประกายความหวังในดวงตาของลุคและพรรคพวกของเรย์น่า

 

“นายน้อย ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สามารถเอาชนะคนขับกิกันท์ของเคานต์โมนาร์ชได้ ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม”

“อะไรนะ?”

“เท่าที่ข้ารู้มา แคลนลิปปี้ที่ดำเนินการโดยเคานต์โมนาร์ชนั้น มีคนขับระดับผู้เชี่ยวชาญอยู่เป็นจำนวนมาก และข้าก็ได้ยินมาว่าแม้แต่คนขับกิกันท์ที่เก่งที่สุดของสนามประลองแห่งนี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเท่านั้นยังไม่พอแม้แต่ในสนามประลองของราชวงศ์ก็หาคนที่จะสามารถทัดเทียมกับพวกเขาได้ยาก นอกจากนี้พวกเขายังมีกิกันท์ที่เรียกว่า “อะคิลลิส” ”

อะคิลลิสนั้นเป็นกิกันท์คลาสนักรบที่เปิดตัวเมื่อ 20 ปีก่อนโดยหอคอยเวทมนต์อัลติก้า ซึ่งเป็นโรงวิจัยเวทมนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของทวีป

อะคิลลิสยังได้รับการยกย่องว่ามีชุดเกราะที่คงกระพันและมั่นคงมันได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของกิกันท์คลาสนักรบ

“มันต่างจากกิกันท์ตัวนี้ไหม?”

“เมียร์นั้นมีอายุมากกว่า 50 ปี และแกนเครื่องยนต์เองก็จุพลังได้ไม่มากนักเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นตอนนี้มันจึงไม่ใด้จัดอยู่ในคลาสนักรบ”

 

กิกันท์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามคลาสตามพลังรบและประสิทธิภาพ

สำหรับ 1,000 ไฟท์ จะจัดเป็นคลาสนักรบ 2,000ไฟท์ เป็นคลาสอัศวินและ3,000 ไฟท์ เป็นคลาสฮีโร่

ไฟท์คือหน่วยที่แสดงถึงพลังของกิกันท์ มันมีที่มามาจาก “พลังการต่อสู้ของทหารชั้นยอดคนหนึ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังรบของกิกันท์คลาสนักรบ 1 ตัวจะมีพลังรบเทียบเท่ากับกองทหารชั้นยอด 1,000นาย อย่างไรก็ตาม กิกันท์ที่มีการอายุการใช้งานเกิน 30 ถึง 100 ปีจะเริ่มมีประสิทธิภาพลดลงไปตามลำดับ

กิกันท์ทั้งหมดที่ถูกสร้างใหม่ล้วนได้รับการพัฒนา เพราะกำลังขับและการทำงานของเครื่องยนต์หลักล้วนลดลงเรื่อยๆไปเมื่อเวลาผ่านไป

“มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้กำลังประสิทธิภาพของกิกันท์ลดลง แต่เก้าในสิบส่วนมักเกิดจากการสิ้นอายุการใช้งานของแกนเครื่องยนต์ที่ฝังอยู่ในตัวกิกันท์ และนั่นก็อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกิกันท์ตัวนี้เช่นกัน”

พ่อมดที่เป็นคนดูแลเมียร์กล่าวพลางพยักหน้าให้ฟิลิป

ลุคมองไปที่เมียร์ เขาสังเกตเห็นถึงพลังงานของมานาของมันและด้วยความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์โกเลมที่เขามีและการทำงานของพ่อมดที่เขาไปนั่งดูมา มันจึงทำให้เขาเข้าใจสภาพของกิกันท์ตัวนี้

แม้ว่ามันจะอยู่ในระหว่างการบำรุงรักษา แต่มันก็ยังคงดูดซับมานาจำนวนเล็กน้อยจากสิ่งรอบข้าง เหมือนกับคนที่หายใจเข้าออกขณะหลับ

แกนเครื่องยนต์ทำงานเหมือนหัวใจ แต่มานาที่รวมอยู่ในแกนกลางของเมียร์นั้นอ่อนแอกว่าของกิกันท์ตัวอื่นมากๆ

“มันเหมือนการเปรียบเทียบระหว่างคนแก่กับคนหนุ่ม”

นั่นคือสาเหตุที่มีหินวิเศษอยู่ตรงกลางของแกนหลักตามที่ฟิลิปได้กล่าวไว้

“จะใช้เวลานานไหมในการสังเคราห์แร่”

หินเวทมนต์แต่ละก้อนนั้นมีคลื่นมานาเป็นของตัวเอง

ดังนั้นวงเวทย์ที่สลักอยู่บนแกนเครื่องยนต์จึงต้องตรงกับคลื่นมานาที่หินเวทมนต์ปล่อยออกมา เพื่อให้กิกันท์สามารถดึงมานาออกมาได้อย่างเต็มที่ตามอายุการใช้งานของแกนเครื่องยนต์

ดังนั้นหินเวทมนต์และวงเวทย์จำนวนมากที่สลักอยู่บนเครื่องยนต์ จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เช่นกัน

หินเวทมนต์จะสามารถทำงานได้เฉพาะกับวงเวทย์เท่านั้น

 

พวกเขาจึงต้องสร้างวงเวทย์ที่มีความเข้ากันกับคลื่นมานาของ

หินเวทมนต์  และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเสร็จได้ในวันหรือสองวัน

“ถ้าอย่างนั้น…มันก็เหลือเพียงทางเดียว!’

มีสิ่งเดียวที่จะสามารถทำให้ใช้งานได้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้

และเมื่อลุคนึกถึงสิ่งนั้นเขาก็ยิ้มออกมา…

บทที่ 16  วิกฤตของเรย์น่า (4)

‘หึ! ข้ามั่นใจว่าตอนนี้เจ้าหญิงจะต้องมืดมนและอัปจนหนทางอยู่แน่ๆ ถูกไหม?’

ณ ที่นั่งขนาดใหญ่พร้อมวิวสนามที่สวยงาม ชายชราที่มีร่างกายคล้ายกับศพกำลังพิงบนโซฟาที่สวยงามและยิ้มอย่างร้ายกาจ

เขาก็คือ “ลิปปี้ แห่ง โมนาร์ช”

เขาเป็นเจ้าชายที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นอันดับสองของจักรวรรดิทางใต้และรวมถึงเมืองลาเมอร์

“เจ้าจัดการกับยมทูตสีชาตเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

อัศวินที่อยู่ข้างๆเคานต์โมนาร์ชตอบอย่างเย็นชา

“ข้าจ่ายเงินส่วนแบ่งตามที่สัญญากับเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และส่งเขาไปอาณาจักรคาสเทียเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”

“ดีมาก”

มันไม่มีหลักฐานที่บอกถึงการสมรู้ร่วมคิด ไม่ว่าเจ้าหญิงจะต่อต้านอย่างดื้อรั้นแค่ไหน แต่เธอก็ได้วางเดิมพันไปแล้ว

“มีโอกาสแค่ไหนที่จะมีคนขับกิกันท์รับจ้างโง่ๆ เข้ามาช่วยเหลือนาง?”

“ข้าได้สั่งทางกองทัพและทหารรับจ้างทั้งหมดในสนามประลองแล้วว่าอย่าเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครยอมช่วยเหลือนางในการเอาชนะเคานต์ลอร์ดแห่งลาเมอร์หรือเจ้าของสนามประลองแน่นอน”

“ดี! ดีมาก! ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือรอดูผลลัพธ์เท่านั้นสินะ”

เมื่อสามปีที่แล้วเมื่อโมนาร์ชได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าหญิง มันเป็นความลือเกี่ยวกับความงามของนางว่าเธอทั้งยังเด็กและงดงาม เหนือสิ่งอื่นใดมันทำให้เขาต้องการที่จะครอบครองนาง

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมองหาโอกาสที่จะทำให้เธอเป็นของตัวเอง และเมื่อเขาได้รู้ว่าเรย์น่ามีหนี้สินก้อนโตในธนาคารอิมพีเรียล เขาจึงเริ่มใช้ระบบธนาคารและให้สนับสนุนกับธนาคารอิมพีเรียลเพื่อขอให้กำหนดการในการชำระหนี้ของเจ้าหญิงนั้นขยับมาเร็วขึ้น

และแล้วเจ้านกตัวน้อยก็ติดกับดักของเขา

“ฮ๋าๆ”

“อะไรที่ทำให้ท่านรู้สึกดีขนาดนี้”

ขณะที่เคานต์โมนาร์ชกำลังหัวเราะอยู่คนเดียว นักบวชชั้นสูงก็ได้เดินเข้ามาและเอ่ยถามกับเขา

“อาคบิชอปปาสคาล!”

เคานต์โมนาร์ชลุกขึ้นจากที่นั่งและรีบทักทายนักบวชสูงอายุอย่างรวดเร็ว

ปาสคาลนั้นเป็นนักบวชอาวุโสของเอลคาสเซล ซึ่งสาเหตุที่โมนาร์ชเชิญเขามา ก็เป็นเพราะโมนาร์ชต้องการให้อาคบิชอปมาเป็นสักขีพยานในการแพ้พ่ายของเรย์น่า

“ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี งั้นท่านจะบอกให้ข้ารู้หน่อยไม่ได้เหรอ ท่านจะได้มีความสุขจากการแบ่งปันยังไงละ”

“ฮ่าๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ข้าก็แค่หัวเราะ…”

อาคบิชอปปาสคาลเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความรู้แม้แต่ในโลกมืดก็เช่นกัน

หากเคานต์โมนาร์ชบอกความจริงออกไปว่า การที่เขาเชิญปาสคาลมานั้นก็เป็นเพราะเขาต้องการที่จะยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้าหญิงจะตกเป็นของเขาแน่นอน ถ้าปาสคาลได้รู้เรื่องนี้ เขาก็จะต่อต้านมันอย่างแน่นอน และปาสคาลก็จะประณามเขาอย่างรุนแรง

“การเดินทางของท่านในครั้งนี้คงจะเป็นอะไรที่ยากลำบากสินะ”

“มันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อข้าคำนึงถึงเงินบริจาคที่ได้รับมาจากท่านในทุกๆปี ข้าก็จะไม่รังเกียจเลยแม้จะต้องใช้ขาทั้งสองข้างเดินมาที่นี่”

“ฮ่าๆ ท่านอย่าพูดแบบนั้นเลย…”

เคานต์โมนาร์ชกำลังหัวเราะอยู่ภายนอก แต่ภายในใจของเขานั้นรู้สึกขมขื่น

การบริจาคให้กับนิกายไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต เนื่องจากเขาต้องการการยอมรับทางการเมืองและสังคมเป็นอย่างมาก เขาจึงต้องบริจาคเงินจำนวนนี้ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า

“ว่าแต่ การต่อสู้ที่ท่านอยากให้ข้ารับชมจะเริ่มเมื่อใดกัน?”

“ข้าวางมันไว้เป็นอันดับสุดท้ายเพราะมันจะเป็นคู่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด”

“หึๆ งั้นเหรอ?”

ทั้งสองคนคุยกันอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหันหน้าไปที่สนามประลองที่การแข่งขันนัดที่เก้ากำลังจะเริ่มขึ้น

บทที่ 15: วิกฤตของเรย์น่า (3)

ในช่วงที่เรย์น่ากำลังทำความสะอาดด้านข้างของกิกันท์ เธอก็ถอนหายใจออกมาขณะที่กำลังลูบหัวของกิกันท์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของเธอ

ขณะที่เธอกำลังกังวลอยู่นั้น ชายชราในชุดอัศวินก็ได้พูดกับเธอ

“ไม่ต้องกังวลเจ้าหญิง อังเดรย์นั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนขับกิกันท์ที่มีฝีมือ”

“แต่ความแตกต่างในประสิทธิภาพของกิกันท์นั้นมันมากเกินไป… อย่างไรก็ตามถ้าอังเดรย์เก่งอย่างที่ท่านพูดจริงๆ เราก็อาจจะเอาชนะคนขับกิกันท์ของเคานต์โมนาร์ชได้”

หลังจากฟังคำพูดของชายชรา ใบหน้าของเรย์น่าก็ดูคลายความกังวลลงเล็กน้อย

ในตอนนี้เธอกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

วิกฤตนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ในตอนที่ธนาคารอิมพีเรียลได้ทำการการแจ้งเตือนหนี้ที่ค้างชำระให้กับเธอ

หากพวกเขาไม่ทำการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยซึ่งมีมูลค่ากว่า 200,000 เปโซ พวกเธอก็จะต้องชดใช้ตามที่ได้กำหนดเอาไว้ในสัญญา

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว เรย์น่าได้กู้ยืมเงินจากธนาคารอิมพีเรียลเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุทกภัย แต่เธอไม่รู้ว่าทางธนาคารจะไม่ให้เวลาพวกเธอในการหาเงินมาจ่าย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีลูกหนี้มากมายที่ถูกบังคับให้จ่ายดอกเบี้ยอย่างโหดเหี้ยม และการบังคับใช้หนี้อย่างไร้ความปรานีนี้เองที่ทำให้พวกของเรย์น่าสูญเสียทุกสิ่ง ไม่ใช่แค่พ่อและแม่แต่ยังรวมถึงความทรงจำในคฤหาสน์และเฟอร์นิเจอร์ของพวกเธอด้วย

เรย์น่ามองหาทุกวิธีทางในการหาเงินมาจ่ายทางธนาคาร

แต่ด้วยการที่เธอเป็นราชวงศ์ที่ถูกเนรเทศ มันจึงไม่มีใครยอมให้เธอกู้ยืมเงินจำนวนมากขนาดนั้น

ในช่วงเวลานั้นเองที่มีคนเข้ามาหาเธอและเสนอทางแก้แก่เธอ มันคือ “เคานต์โมนาร์ชแห่งลาเมอร์”หรือ “ลิปปี้ แห่ง โมนาร์ช”

“ข้าจะจ่ายหนี้ให้ท่านเอง แต่กลับกันท่านจะต้องแต่งงานกับข้า”

แต่เรย์น่าปฏิเสธอย่างทันที

เคานต์โมนาร์ชนั้นมีอายุห้าสิบปี และมีภรรยาอีกสองคน และยังมีข่าวลือว่าเขายังมีภรรยาเก็บอีกกว่าสิบคนที่ซ่อนอยู่

นอกจากเรื่องผู้หญิงแล้ว ชื่อเสียงของเคานต์โมนาร์ชก็ยังแย่มากจนทำให้ผู้คนต่างพากันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา

เรย์น่าคิดว่าการอยู่คนเดียวยังจะดีกว่าการต้องแต่งงานกับคนแบบนี้

แต่เมื่อวันชำระหนี้ใกล้เข้ามาถึง คำเตือนของธนาคารอิมพีเรียลก็เพิ่มมากขึ้นจนทำให้เธอก็เริ่มวิตกกังวล

ในช่วงความสับสนวุ่นวายนั้นเองเคานต์โมนาร์ชก็ได้ทำการเดิมพัน

ภายในสนามประลองกิกันท์ ถ้าหากฝ่ายของเจ้าหญิงชนะ เขาจะจ่ายยอมหนี้ให้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาชนะการเดิมพันครั้งนี้ เธอก็จะต้องแต่งงานกับเขา

ในที่สุดเรย์น่าก็ยอมรับการเดิมพัน

มันมีกิกันท์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของเธอ

แม้ว่ามันจะอยู่มานานกว่า 50 ปีแล้ว แต่มันก็ยังสามารถปล่อยเช่าให้กับขุนนางที่ต้องการใช้มันเพื่อปราบสัตว์ประหลาดได้

แต่ปัญหาในตอนนี้คือคนขับกกันท์

อัศวินเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเรย์น่าคืออดีตอัศวินของอาณาจักรโวลก้าซึ่งอยู่กับเธอมานานกว่า 10 ปีและคนเดียวที่ขับกิกันท์

ได้ในหมู่พวกเขาก็คือเซอร์วิคเตอร์ อย่างไรก็ตามครั้งสุดท้ายที่วิคเตอร์ขับกิกันท์ก็คือเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว

ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะจ้างคนขับมืออาชีพมาแทน และอันเดรย์คือคนที่ผ่านการคัดเลือกของพวกเขาได้ และมีชื่อเล่นว่า ยมทูตสีชาต

อันเดรย์นั้นเป็นคนขับกิกันท์รับจ้างที่มีชื่อเสียงในจักรวรรดิทางใต้เขาเก่งมากจนสามารถชนะการรบ 100 ครั้ง และเขายังไม่ได้เป็นแค่นักแข่งที่เก่งกาจ แต่เขายังมาจากอาณาจักรโวลก้าอีกด้วย

เขาเพียงแค่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหญิงผู้มีคุณธรรม เขาไม่ได้ต้องการเงินเป็นการแลกเปลี่ยนแม้เลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้เจ้าหญิงจึงเริ่มมองเห็นความหวังในการเสี่ยงโชค

“ขออภัยเซอร์วิคเตอร์ ฉันเดาว่าฉันต้องพึ่งพาพวกคุณอีกครั้ง”

“ไม่จำเป็น! ถ้าเขากล้าจับท่านไปเป็นนางบำเรอ ชายแก่คนนี้ก็ไม่มีจะนิ่งดูดายแน่นอน และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหญิง ข้ากับพาเวลคงจะต่อต้านเขาไปนานแล้ว”

 

เซอร์วิคเตอร์และกัปตันพาเวลเป็นคนที่ภักดีที่สุดของที่เรย์น่าสามารถเชื่อใจได้ พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนที่ดูแลเรย์น่ามาตั้งแต่เธอเกิดจนกระทั่งช่วงที่เธอถูกเนรเทศพวกเขาก็ยังไม่ทิ้งเธอไป

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจที่จะยู่ข้างเธอแม้ว่าจะแก่แล้วก็ตาม และเรย์น่าที่รู้เรื่องนี้ก็ปฏิบัติกับพวกเขาเป็นเหมือนปู่ย่าตายายของเธอเอง

“แต่ดูเหมือนอันเดรย์จะมาสาย”

“ท่านไม่ต้องกังวล ข้าให้พาเวลไปพาเขามาแล้ว”

ในขณะที่พวกเขาสองคนกำลังคุยกันอยู่หน้ากิกันท์ พาเวลที่ไปนำตัวอังเดรต์ก็กลับมา แต่มีบางอย่างที่ดูผิปกติ สีหน้าของพาเวลนั้นทำให้พวกเขารู้สึกถึงเรื่องร้าย

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้วเจ้าหญิง!”

“มีอะไรเกิดขึ้นกัน?”

“อันเดรย์หายตัวไป! ข้าตามหาเขาตั้งแต่ห้องพักคนขับของเขารวมไปจนถึงสถานที่ที่เขาพัก แต่ข้าก็พบเห็นร่องรอยของเขาเลย!”

 

“ไม่ ไม่นะ มันไม่ควรขจะเป็นแบบนี้!” ร่างกายของเรย์น่าเริ่มร้อนรุ่มด้วยความกังวลใจ

วิกเตอร์ที่สังเกตเห็นสีหน้าอาการของเจ้าหญิง จึงถามพาเวลว่า

“เจ้าดูอย่างละเอียดแล้วหรือยัง?”

“ข้าดูทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ก็ไม่พบกับอังเดรย์เลย!”

“นี่! ฉันอยากจะทำสิ่งต่างๆให้เสร็จอย่างง่ายดาย…”

ยมทูตสีชาตเป็นคนขับกิกันท์รับจ้างที่มีความสามารถ ซึ่งมันทำให้เขาเป็นที่ต้องการของแคลนหลายๆแคลน และไม่ได้มีแค่แคลนที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขุนนางที่มีอำนาจและเหล่าราชวงศ์อีกด้วยที่ต้องการตัวเขา

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในประเทศเดียวกัน แต่พวกเขาก็ควรจะสงสัยสักหน่อยเมื่อเห็นอังเดรย์ตอบรับคำขอของเจ้าหญิงในทันที

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันอีกแล้ว!

วิคเตอร์ตะโกน ขณะที่ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ

“นี่ต้องเป็นฝีมือของโมนาร์ชแน่นอน! ข้าจะไปรับเขากลับมา!”

“แต่เราไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะ”

เรย์น่ากล่าวพลางถอนหายใจและส่ายหัว

การรับรองเอกสารการทำสัญญานั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วและไม่สามารถเลื่อนเวลาหรือเปลี่ยนแปลงมันได้อีก เพราะฉะนั้นหากพวกเขาตัดสินใจที่จะยอมแพ้มันก็จะมีค่าเท่ากับการแพ้พนัน

“ข้าจะขอออกไปข้างนอกเอง แม้ว่าข้าจะต้องตายแต่เราจะต้องชนะ…”

“ไม่! เซอร์วิคเตอร์ท่านยังบาดเจ็บหลังอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมกิกันท์ด้วยอาการบาดเจ็บแบบนั้น!”

“แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เราจะหาคนขับได้จากที่ไหนกัน?”

ผู้ที่จะขับกิกันท์นั้นต้องเป็นอัศวินที่มีความชำนาญกับมัน แล้วพวกเขาจะหาคนแบบนี้มาจากไหน?

“เราควรจะขอยืมคนขับจากกลุ่มอื่นหรือไม่?”

มันไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเลยสำหรับพวกเขาในตอนนี้ ต่อให้พวกเขาสามารถยืมคนขับมาจากที่อื่นได้ แต่ก็ยังเป็นงานยากที่จะเอาชนะอัศวินของเคานต์โมนาร์ช

ในตอนนั้นเอง

ตัวละครที่ไม่คาดคิดปรากฏตัวขึ้นและพูดว่า

“คนขับ…ข้าขอเป็นคนนั้นได้ไหม?”

 

บทที่ 14 วิกฤตของเรย์น่า (2)

ณ โรงซ่อมบำรุงกิกันท์ข้างใต้สนามประลอง

มันไม่ได้เป็นแค่เพียงสถานที่ที่หายากเท่านั้น แต่มันยังเป็นสถานที่ที่เข้าไปได้ยากด้วยเช่นกัน

“ที่นี่ ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า” อัศวินที่ทำการเฝ้าประตูกล่าว

ลุคค่อยๆหยิบเหรียญทองออกจากกระเป๋าแล้วนำมาวางไว้บนมือ

“ห้ะ! ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ…”

“ชู่ว.. อย่าส่งเสียงดังไป มองดูเหรียญนี่ดีๆสิ”

อัศวินรับสินบนแล้วเดินไปเปิดประตูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร

ทันทีที่ลุคเข้ามาในโรงซ่อมบำรุง เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ร้อนระอุ ลุคมองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เฉียบคมของเขา

ลุคได้เห็นกิกันท์ยืนเรียงรายอยู่ตลอดทางเดินของเขา มันมีพ่อมดกับคนควบคุมกำลังดูแลรักษากิกันท์ของพวกเขา

ลุคมุ่งหน้าตรงไปยังกิกันท์ที่ถูกแยกส่วนออกมา แต่เมื่อเขาได้เข้าไปใกล้ๆ เหล่าพ่อมดและผู้ควบคุมก็ได้ออกมาหยุดเขา พร้อมกับทหารรับจ้างที่เดินตามมาทีหลัง

เนื่องจากบุคคลภายนอกไม่สามารถที่จะเข้ามาในนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าลุคเป็นคนของตระกูลอื่นที่มาเพื่อสอดแนม

“เจ้าเป็นใครกัน? สายลับเหรอ?”

“ข้าแค่มาเพื่อดูเฉยๆ” เมื่อได้ยินคำตอบของลุค เหล่าพ่อมดก็เริ่มแสดงท่าทีผ่อนคลายออกมา

“อืม.. ไม่มีพลังเวทหรือเครื่องมืออะไร โอเคเจ้าสามารถอยู่ดูได้ แต่ถ้ามาขวางการทำงานของพวกเราเมื่อไหร่ เจ้าจะถูกไล่ออกจากตรงนี้แน่”

หลังจากยืนยันว่าลุคไม่ใช่สายลับเสร็จ เขาก็ได้รับอนุญาตจากเหล่าพ่อมดให้สามารถตรวจสอบการทำงานของพวกเขาได้

ภายในของกิกันท์นั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก มันไม่สามารถนำมาเทียบกับโกเลมของเขาได้เลย

นอกจากนี้ยิ่งเขามองดูมันใกล้มากเท่าไหร่ เขาก็เห็นถึงการไหลเวียนของมานาที่ซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น มันเกือบจะทำหน้าที่เหมือนเส้นเลือดและระบบประสาทของมนุษย์

“ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นถูกประกอบอย่างความพิธีพิถันด้วยศิลาเวทมนตร์เทียมที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนไหวได้ซับซ้อนแบบนี้สินะ”

มีชิ้นส่วน 3 ส่วนหลักๆที่สำคัญและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก

หนึ่งคือ “ ตัวแปลงมานา” ซึ่งช่วยในการเปลี่ยนมานาให้เป็นเวทมนตร์หรือพลังทางกายภาพ

สองคือ “อุปกรณ์รักษาสมดุล” เพื่อรักษาโครงร่างของกิกันท์ที่ทำมาจากเหล็ก

และส่วนสุดท้าย “แกนเครื่องยนต์” ในบรรดาชิ้นส่วนทั้งหมด แกนเครื่องยนต์เป็นสิ่งที่คอยรวบรวมมานาจากธรรมชาติและเติมเต็มพวกมันไปยังส่วนต่างๆของกิกันท์

พูดให้ชัด มันก็ทำหน้าที่เหมือนกับหัวใจและปอด

ลุคประหลาดใจอย่างมากที่เห็นว่าการทำงานของอุปกรณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้กลับมีความเสถียรและประสิทธิภาพกวาโกเล็มของเขาจนน่าตกใจ

และนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของกิกันท์

“เหลือเชื่อจริงๆ นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ข้าเคยสร้างเลย”

ตัวแปลงมานา,อุปกรณ์รักษาสมดุลและแกนเครื่องยนต์ ทั้งสามนั้นมีหลักการที่คล้ายคลึงกับที่เขาคิด แม้ว่าจะมีการปรับแต่งบางอย่างที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่หลักการและโครงสร้างพื้นฐานก็มีความเหมือนกันอยู่ในหลายๆจุด

“เฮ้ไอ้หนู! เจ้าอยากจะโดนหักขารึไง?”

“ไปให้ไกลๆ ก่อนที่ข้าจะเรียนผู้คุมมาลากคอเจ้าออกไป!”

แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายไล่เขาออกไป แต่ลุคก็ยังคงยืนมองส่วนต่างๆของกิกันท์ต่อไป แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่กิกันท์ทุกตัวก็ยังคงมีส่วนประกอบหลักทั้ง 3 ส่วนเหมือนกันทั้งหมด

“มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ไหงชิ้นส่วนต่างๆมันถึงได้เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เมื่อ 500 ปีก่อนกัน?”

หลังจากมองดูไปสักพักเขาก็เริ่มระลึกย้อนไปถึงอดีต

“เดี๋ยวก่อนนะ มันคือหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสใช่ไหมที่สร้างกิกันท์?”

“นายน้อย ท่านกำลังจะทำอะไรกัน?”

“ฟิลิป นายรู้รึเปล่าว่าหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสพัฒนากิกันท์มาได้ยังไง”

“พัฒนา? ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“เช่นพวกเขาเป็นคนสร้างพิมพ์เขียวเอง หรือไปขุดพบจากซากปรักหักพังโบราณกัน?”

เมื่อฟิลิปได้ยินคำอธิบายเขาก็พยักหน้าเข้าใจ

“ในตอนที่ข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหาร ข้าได้ยินมาว่า อาร์ซีน ปรมาจารย์แห้งหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสเป็นคนพัฒนามันขึ้นมาหลังจากทำการวิจัยมานานหลายทศวรรษ”

“งานวิจัย?..”

“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งกิกันท์ และ “จอมเวทผู้สร้างสรรค์” และ “มหาจอมเวทเหล็กไหล”

“ไร้สาระ!”

ก่อนที่เวทมนต์อัญเชิญโกเลมจะถูกสร้างขึ้น เป็นที่รู้กันดีว่ามันคือเซย์ม่อน ที่เป็นคนทำวิจัยเรื่องพวกนี้ เขาทำวิจัยเรื่องนี้เพียงลำพังและอาร์ซีนก็ไม่เคยแม้แต่จะเข้าร่วมการให้ช่วยเหลือเขา

อาร์ซีนเป็นจอมเวทสงครามที่เน้นไปทางการป้องกัน มันเรื่องอะไรกันละที่จะทำให้เขามาสร้างหรือทำวิจัยเกี่ยวกับโกเลมได้ แถมในตอนนี้เขากลับได้เป็นถึงผู้ให้กำเนิดวิศกรรมเวทมนต์

“ไม่ มันจะต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ”

ในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสมักมีเหตุการณ์ที่พ่อมดอาวุโสขโมยเอกสารงานวิจัยของพ่อมดระดับล่าง และอาร์ซีนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

และมันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาปล้นงานวิจัยของลุคไปหลังจากการทำงานหนักของเขา

‘ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าผู้ชายคนนั้นขโมยความสำเร็จของใครบางคนและนำมาเป็นของเขา ไม่เป็นไร แต่… ’

ลุคจำช่วงเวลาที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์รากันต์มาสังหารเขาได้ ในเวลานั้นรากันต์มีอาวุธคือดาบสีทองที่ทำโดยหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสซึ่งมอบโดยอาร์ชบิชอปแห่งเอลคาสเซล

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสนั้นช่วยเหลือรากันต์ในการฆ่าเซย์ม่อน

“พวกมันทั้งหมดนั้นพยายามจะกำจัดฉันด้วยการจับมือกับดยุกบาล็อคและยังมาจับมือกับรากันต์เพื่อขโมยเอาเอกสารงานวิจัยของฉันไปอีก!”

เมื่อคิดได้แบบนี้ทุกอย่างก็ดูจะลงล็อคพอดี

ท้ายที่สุดและมันคืออาร์ซีนนี่เองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด มันเป็นคนที่ทำให้คาธารีน่าต้องฆ่าตัวตาย เป็นคนที่ใส่ร้ายว่าเขาเป็นปีศาจ มันกีดกันเขาออกจากงานวิจัยของตัวเขาเองและทำให้เขาต้องมามีชีวิตแบบทุกวันนี้…

“มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันสร้างอะไรออกมา”

ดวงตาของลุคเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ แม้ศัตรูที่เขาต้องการจะฆ่าได้ตายไปแล้ว แต่หอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสก็ยังคงตั้งอยู่เหมือนเดิม

“อาร์ซีน ข้าจะขูดรีดขูดเนื้อเจ้าออกมาให้หมด” ในตอนนี้ลุคนั้นได้เป้าหมายใหม่แล้ว นั่นคือ..

“ลบหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสออกจากโลก”

“ทั้งหนังสือวิจัย,ทรัพย์สิน,หรือพลังเวทย์ ฉันจะลบพวกมันออกจากหน้าประวัติศาสตร์เอง”

ตอนนี้ลุคมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการล้างแค้นพวกศัตรูที่ครั้งหนึ่งเคยดูดเลือดดูดเนื้อของเขา

“ดูเหมือนว่าฉันจะมีอะไรต้องทำอีกมากมายในอนาคต”

แต่ตอนนี้เขาต้องหาเงินมาจ่ายหนี้สินที่มีซะก่อน เพื่อที่จะรักษาสถานที่แห่งความทรงจำของเขาและสถานที่ที่จะมอบพลังให้กับเขาในการแก้แค้น

“หือ..”

ขณะที่ลุคกำลังเดิน เขาก็ได้หยุดเดินเมื่อได้เหลือบไปพบกับคนๆหนึ่ง มันไม่ใช่ใครอื่นทีหยุดเขาเอาไว้ มันคือผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อวาน

“เจ้าหญิงเรย์น่า!”

บทที่ 13 วิกฤตของเรย์น่า (1)

กิกันท์ของแคลนอินเตอร์ถูกทาด้วยสีดำ และกิกันท์ของแคลนพาร์เซียก็ถูกทาด้วยสีแดง

เห็นได้ชัดว่าไลโอเนลที่ลุคไม่ได้วางเดิมพันไว้ดูเหมือนจะชนะ

ในตอนนี้ไลโอเนลกำลังใช้ดาบคู่ของมันไล่ต้อนศัตรูจนจนมุมด้วยเทคนิคดาบอันยอดเยี่ยมของมัน

แต่ลุคนั้นมองต่างออกไป เขามองว่าตำแหน่งที่แคลนอินเตอร์ยืนอยู่นั้นเป็นอะไรที่ได้เปรียบ แม้ว่าฝีมือดาบของลีโอเนลจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่สามารถทำความเสียหายอะไรมากนัก เนื่องจากจุดที่มันโจมตีโดนส่วนใหญ่เป็นชุดเกราะของฝั่งอินเตอร์

“การประลองนี้น่าจะจบลงในไม่ช้า”

เมื่อมานาของเลโอเนลเริ่มหมดลง ทางฝั่งของคาซานก็เริ่มทำการโต้กลับอย่างต่อเนื่อง

ปัง..

ลีโอเนลหยุดชะงักไปจากการโจมตีสวนของคาซาน โดยไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดรอย คาซานก็รีบพุ่งเข้าหาลีโอเนล ในที่สุดการโจมตีปิดฉากก็มาถึง

“ผู้ชนะคือคาซานแห่งแคลนอินเตอร์!”

“วู้ว..”

เสียงเชียร์ของผู้ชมดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลอง

คนที่พนันข้างผู้ชนะไว้ต่างก็โห่ร้องด้วยความยินดี แต่กลับกันคนที่พนันข้างผู้แพ้เริ่มสบถออกมา

“หุๆ 5,000 เปโซ กลายเป็นกระดาษในชั่วพริบตาเลยแหะ”

ลุคเดาะลิ้นของเขาเมื่อนึกถึงขุนนางที่พนันข้างลีโอเนลไว้ 5,000 เปโซ

“คู่ต่อไป คือการประลองกันระหว่าง “ซาเวจ!” โดยอัศวิน ไบรอัน จากแคลนเจอร์แมนจ์ และ “สตริง!” ดาวรุ่งแห่งแคลนอัลบีเรีย ที่ควบคุมโดย นักรบสาวคาเรน!”

เมื่อเสียงประกาศสิ้นสุดลง กิกินท์ทั้งสองก็ก้าวขึ้นมายังสนามประลอง

กิกันท์ของฝั่งไยรอันเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวมากและอาวุธของมันก็คือขวานสองมือที่ดูหนักหน่วง ในทางตรงกันข้ามกิกันท์ของฝั่งคาเรนมีขนาดที่เล็กกว่าของไบรอันอยู่ประมาณหนึ่งและอาวุธของเธอก็คือโล่และคทา

การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเป็นอะไรที่ไม่เท่าเทียมกันเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ไบรอันก็ยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าของคาเรน

“ด้วยกิกันท์นั่นมันจะทำให้เขาได้เปรียบอย่างมาก นี่ผู้จัดการแข่งขันเป็นคนจับคู่ให้กับคู่นี้จริงๆเหรอ”

ในขณะที่ลุคกำลังคิด กิกันท์ของไบรอันก็เริ่มทำการไล่ต้อนคาเรนอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ขวานสองมือของซาเวจปะทะเข้ากับโล่ของสตริง มันก็จะเกิดประกายไฟเศษเล็กเศษน้อยกระจายไปทั่ว

“ฮ่าๆ นี่มันน่ากลัวมากเกินไปแล้ว”

“จบมันเลย คู่ต่อสู้ของแกเป็นแค่ผู้หญิงนะ”

เมื่อไบนอันผลักคาเรนเข้าจนมุมเรียบร้อยแล้ว ผู้ชมส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าผลการประลองได้ถูกตัดสินออกมาแล้ว

แต่ในตอนนั้นเองที่ลุครู้สึกถึงความผิดปกติ

“อย่าบอกนะ..”

ในจังหวะที่ขวานของซาเวจกำลังจะผ่าลงตรงหัวของสตริง คาเรนได้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเพื่อขยับมาอยู่ข้างหลังของซาเวจ และทำการฟาดคทาไปยังกลางหลังของซาเวจ

พ้วง..

ในช่วงที่คทากระทบเขากับซาเวจ มันก็ได้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ที่ทรงพลังที่ตัวของซาเวจ

“นั่นมันเวทมนต์! ระเบิดอัคคี”

ไบรอันพยายามดึงร่างที่ทรุดโทรมของซาเวจขึ้นมา แต่ด้วยความเสียหายบริเซณลำตัวของซาเวจ จึงทำให้มันไม่สามารถขยับได้

“ผู้ชนะคือคาเรนแห่งแคลนอัลบีเรีย!”

“ไม่นะ!”

ฝูงชนต่างตกตะลึกกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าซาเวจของไบรอันจะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งฟิลิปเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“เวทมนต์ มันใช้เวทมนต์”

เวทมนต์ของคาเรนไม่ได้มีเพียงแค่ “ระเบิดอัคคี”เท่านั้น มันยังเวทมนต์เสริมความเร็วอีกด้วย ฟิลิปพยักหน้าราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ข้าคิดว่าคาเรนเป็นอัศวินแห่งรูน” อัศวินแห่งรูนนั้นไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรมากนัก แต่พวกเขามีความสามารถทั้งการใช้เวทมนต์และดาบ

“…”

“นี่ นายน้อย?”

เมื่อเห็นว่าลุคเงียบไป ฟิลิปก็ได้เรียกเขาขึ้นมา การแสดงออกของลุคนั้นแตกต่างออกไป เมื่อฟิลิปเห็นแบบนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

“อย่าบอกนะว่าท่านจะเดิมพันหมดหน้าตัก?”

แน่นอนว่าลุคไม่ได้ทำอะไรที่บุ่มบ่าม เขาวางเดิมพันกับไบรอันไปแค่ 5200 เปโซเท่านั้น แต่สาเหตุที่ทำให้เขาตกใจนั้นคือ..

“การใช้เวทมนต์ขณะที่ขับกิกันท์..”

คนปกติจะไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างกิกันท์ที่ใช้พลังกายภาพกับกิกันท์ที่ใช้เวทมนต์

“มันคืออะไรกัน? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

กิกันท์นั้นได้รับการปรับแต่งมาจากโกเลมที่มีการไหลของมานาขั้นพื้นฐาน  พ่อมดที่สร้างกิกันท์จะต้องรู้ถึงข้อบกพร่องและจุดอ่อนของมันแน่นอน  ไม่ว่าจะเรื่องของการควบคุม การซุ่มยิงของศัตรู

นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง แต่ตอนนี้เขากำลังสงสัยเรื่องเรื่องการขยายพลังเวทของอัศวินแห่งรูน ไม่ว่าแนวคิดนี้จะมีความคล้ายคลึงกันหรือไม่ก็ตาม ยังไงการจะนำมันมาใช้ร่วมกับเครื่องจักรนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลที่เขาได้มานี้ก็เป็นผลมาจากการศึกษาเวทมนต์แห่งความมืด ซึ่งมันหมายความว่าพ่อมดคนอื่นจะไม่มีทางเข้าใจมันได้อย่างแน่นอน และต่อให้เขาเข้าใจ แต่หลักการการทำงานของมานาทั้งสองนั้นก็เป็นอะไรที่แตกต่างกัน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสงสัยว่าทำไมทฤษฏีและการทำงานของสิ่งนี้ถึงเป็นไปได้

ลุคไม่สามารถหยุดยั้งคำถามมากมายที่โผล่เข้ามาในหัวของเขาได้

“ฟิลิบ มันมีสถานที่ไหนบ้างที่ข้าจะสามารถตรวจสอบและดูการซ่อมแซมของกิกันท์ได้บ้าง?”

“ตรวจสอบการซ่อมแซม? แน่นอนว่ามีครับ”

“งั้นนำทางข้าไปหน่อย ข้าต้องการจะไปที่นั่น”

“ห้ะ? ทำไมจู่ๆเขาถึงอยากไปที่นั่นกัน?” ฟิลิปคิดอย่างสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไปเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของลุค เขากำลังรู้สึกกลัวด้วยเหคุผลบางอย่าง

“ข้าต้องเข้าไปดูข้างในนั้น ข้าจะได้ได้คำตอบที่ต้องการซักที”

ลุคเดินไปยังทางออกของสนามประลองอย่างรวดเร็ว…

บทที่ 12 แสดงทักษะ (3)

ในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

หลังจากทั้งสองคนตื่นนอนและกินอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังสนามประลองกิกันท์

สนามประลองกิกันท์นั้นตั้งอยู่บนภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองลาเมอร์ เมื่อพวกเขามองดูจากระยะไกลก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่ทำมาจากหินสีเทา พวกเขาจึงสันนิฐานว่ามันน่าจะเป็นป้อมปราการหรือปราสาทอะไรซักอย่าง

“โลกพัฒนาไปไกลจริงๆ”

เมื่อก่อนสนามประลองส่วนใหญ่นั้นสร้างมาจากไม้และสามารถจุคนได้มากสุดแค่ประมาณ 5,000 คน แต่ตามที่ฟิลิปบอกเขามา สนามประลองในปัจจุบันนั้นสามารถจุผู้คนได้มากถึง 30,000 คนในเวลาเดียวกัน

“ข้าไม่แน่ใจว่าท่านเคยไปที่สนามประลองของกษัตริย์รึเปล่า แต่ที่นั่นสามารถจุคนได้มากว่า 100,000 คนและความสวยงามของสถาปัตยกรรมนั้นก็ราวกับถูกสร้างโดยพวกคนแคระ”

“ห้ะ!”

ในขณะที่เขากำลังฟังเรื่องราวจากฟิลิปอยู่นั้น พวกเขาก็ได้มาถึงยังสนามประลอง และได้พบเข้ากับยักษ์เหล็กขนาดตั้งแต่ 8-15 เมตร ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด นั่นทำให้เขาเข้าใจทันทีถึงเหตุผลที่ต้องสร้างสนามประลองให้มีขนาดใหญ่แบบนี้

“นั่นคือกิกันท์เหรอ? มันดูเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ”

โดยไม่ทันจะได้ชื่นชมกับความอลังการของสนามประลอง สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่งก็ได้พุ่งผ่านหน้าของเขาไป มันมีลักษณะคล้ายรถม้าซึ่งมันกำลังพ่นไอน้ำออกมาจากด้านล่างทำให้มันสามารถวิ่งอยู่บนอากาศได้ และด้านหลังของมันก็ตามมาด้วยรถเข็นเหล็กขนาดใหญ่ที่บรรทุกสิ่งของที่คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ

เมื่อมองแวบแรก สินค้าที่บรรทุกมานั้นก็ดูเหมือนจะหนักเอามากๆ แต่รถเกวียนคันนี้ก็สามารถที่จะเข็นมันไปได้อย่างปกติ ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด

เห็นได้ชัดว่ารถคันนี้ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำที่ถูกต้มโดยเครื่องยนต์ที่ถูกสลักด้วยวงเวทย์ธาตุไฟ มันไม่ได้มีเพียงพ่อค้าเท่านั้นที่ลุคได้พบเจอ ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีพ่อมดที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเวทมนต์ปะปนอยู่อีกด้วย

พวกเขาว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้วิศวกรรมเวทมนต์ก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นผลมาจากการเปิดตัวของหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัส เมื่อ 500 ปีก่อน

เครื่องจักรที่ใช้เครื่องยนต์ไอน้ำในการขับเคลื่อนก็ถูกผลิตขึ้นมาในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตอนนั้นมันยังไม่ได้รับความนิยมมากก็เท่านั้น

การใช้เวทมนต์ในการทำสิ่งต่างๆที่สามารถทำได้โดยใช้แรงของคนหรือม้านั้น เป็นการทำให้หินเวทมนต์สูญเปล่า

วงเวทย์นั้นต่างก็ยืมมานามาจากธรรมชาติ และการจะแปลงมานาเหล่านั้นให้กลายมาเป็นเวทมนต์ที่พวกเขาต้องการนั้นก็ต้องอาศัยสื่อกลางคือ หินเวทมนต์ แต่หินเวทมนต์นั้นเป็นอะไรที่หายาก มันมีราคามากกว่าทองคำในน้ำหนักที่เท่ากันหลายสิบเท่า

แต่เมื่อ 100 ปีก่อน สิ่งต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป

เมื่อพ่อมดเอลฟ์ที่มีนามว่า “เออร์วิน เลซา” ได้คิดค้นการสร้างแร่เทียมโดยการผสมกันระหว่างแร่บางอย่างกับคริสตัล

เมื่อลุคได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาก็รู้สึกตกใจเหมือนโดนฟ้าผ่า

“นี่มันไม่ใช่แค่สิ่งของธรรมดาแล้ว! นี่มีคือหินเวทมนต์เลยนะ! พ่อมดเอลฟ์นั่นจะต้องเป็นอัจฉริยะแน่ๆ!”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเข้ามามีบทบาทของหินเวทมนต์เทียมได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในด้านของเทคโนโลยี และทำให้ปัจจัยการผลิตและราคาซื้อขายของพวกมันมีราคาที่ถูกลง

ดังนั้นในปัจจุบัน วิศวกรรมเวทมนต์จึงไม่ได้ถูกใช้แค่ในแง่ของการทหาร แต่ยังถูกใช้ทั้งในชีวิตประจำวันอีกด้วย

และสามารถทำให้ได้ดูการต่อสู้ของเหล่าหุ่นรบยักษ์นี้ด้วยเช่นกัน

อะไรคือสิ่งที่ทำให้จักรวรรดิบาล็อครุ่งโรจน์? อะไรกันที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นในสายตาของคนปกติ?

ลุครู้สึกตื่นเต้นจนถึงขีดสุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเร่งรีบที่จะไปยังบริเวณเวที

การประลองได้เริ่มต้นขึ้นไปแล้ว และยิ่งพวกเขาเข้าใกล้สนามประลองมากเท่าไหร่ แรงสั่นสะเทือนและเสียงกรีดร้องของผู้คนก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น

“ว้าว..!”

“ฆ่ามัน ฆ่ามันเลย!”

“นี่มันน่าตื่นเต้นจริงๆ”

เมื่อลุคที่จ่ายเงินค่าเข้าเสร็จ เขาก็รีบเข้าไปในสนามประลองทันที เหงื่อของเขาเริ่มแตกออกมาเพราะความร้อนที่เกิดจากฝูงชน

ลุคหันความสนใจไปยังใจกลางของสนามประลอง ที่ที่สายตาของทุกๆคนต่างก็จับจ้องไปที่มัน

บึ้ม!

ยักษ์เหล็กที่กำลังถือดาบและโล่ขนาดใหญ่กำลังแลกเปลี่ยนการโจมตีและปะทะกันอย่างดุเดือด

ทุกครั้งที่การโจมตีของยักษ์เหล็กปะทะกัน เขาก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือที่เกิดขึ้นใต้เท้าของเขา  มันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังดูนักรบในตำนานต่อสู้กัน

“มันเจ๋งจริงๆ!”

“ใช่ มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

ในตอนที่กลับมาเกิดใหม่ ลุคได้สูญเสียพลังเวทของเขาไป แต่ด้วยวิญญาณของเขา เขาจึฃยังสัมผัสได้ถึงมานาที่ไหลเวียนในสนามประลองแห่งนี้ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเข้าใจความรู้สึกตื่นเต้นและความกระตือรือร้นของผู้คนได้

มานารอบสนามประลองนั้นปะทะกันอย่างรุนแรง

ไม่เพียงแต่มานาจากธรรมชาติเท่านั้นที่หมุนเวียนอยู่ในที่แหงนี้ แต่มานาจากผู้คนที่รับชมก็ถูกดูดมาหมุนเวียนอยู่ในนี้เช่นกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความรู้สึกของผู้คนทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันกับกิกันท์  ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของหุ่นรบด้วยความกระตือรือร้น

“นี่มันมีคนขับอยู่ในนั้นรึเปล่านะ? แต่มันน่าจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วการรับรู้และเคลื่อนไหวของกิกันท์ก็คงจะไม่ละเอียดอ่อนและรวดเร็วขนาดนี้ได้”

เมื่อ 500 ปีก่อน ซาธ่าได้ทำการจัดอันดับพ่อมดผู้ใช้โกเลมที่เก่งที่สุด ซึ่งอันดับ 1 ก็คือเซย์ม่อนนั้นเอง ในเวลานั้นเซย์ม่อนกำลังทำการแก้แค้นของเขาอยู่ โดยใช้กองทัพโกเลมแห่งความมืดของเขาในการสร้างความปั่นป่วน

อย่างไรก็ตามโกเลมของเขาก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กน้อย

ประการแรกคือ การควบคุมโกเลมนั้นต้องใช้เวทมนต์ควบคุมจิตใจ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างไร้ประโยชน์เมื่อเจอเข้ากับพ่อมดที่เชี่ยวชาญในด้านการควบคุมจิตใจ

ประการที่สองคือ ยิ่งโกเลมอยู่ห่างจากพ่อมดมากเท่าไหร่ การตอบสนองของมันก็จะเริ่มช้ามากขึ้นเท่านั้น

และประการสุดท้าย เนื่องจากพ่อมดไม่มีความสามารถเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด จึงทำให้การควบคุมโกเลมต่อสู้ระยะประชิดนั้นเป็นไปได้ยากด้วย

และเพื่อเอาชนะข้อบกพร่องเหล่านั้น เซย์ม่อนจึงได้ทำการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆโดยอาศัยความรู้ที่เขาสั่งสมมาจากการศึกษาเวทมนต์แห่งความมืด

อย่างไรก็ตามก่อนที่เซย์ม่อนจะได้ทำการทดลองในขั้นต่อไป เขาก็ได้ถูกปลิดชีพลงโดยรากันต์ซะก่อน

“ฉันเคยได้ยินมาว่าพ่อมดคนอื่นๆในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัสต่างก็พยายามศึกษาอาวุธเพื่อนำมาต่อสู้กับโกเลมของฉัน บางทีเจ้ากิกันท์นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในผลการทดลองเหล่านั้น

ในฐานะพ่อมดผู้อัญเชิญโกเลม เรื่องนี้ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อเขากลับไปถึงที่ดินของเขาเมื่อไหร่ เขาจะทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด และทำการศึกาเกี่ยวกับกิกันท์

“แค่ตอนนี้ฉันจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ก่อน”

ด้วยเงินในมือของเขาตอนนี้ เขารู้ว่ามันยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องปราสาทและกิกันท์ได้

“เราจะวางเดิมพันได้อย่างไร?”

“ท่านสามารถซื้อตั๋วเงินของคู่ต่อไปได้ที่สำนักงานขายด้านล้างนั่นได้เลย”

เมื่อลุคมองไปตามทางที่ฟิลิปชี้ เขาก็ได้พบเข้ากับกลุ่มคนที่ต่อแถวกันเพื่อรอซื้อตั๋วเงิน อย่างไรก็ตามมันยังมีอีกบูธหนึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง

ฟิลิปได้อธิบายกับเขาว่ามันคือ แคลน ซึ่งก็คือกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้นั่นเอง

“แคลน? นักสู้?”

“ใช่แล้ว แต่เนื่องจากกิกันท์มีขนาดใหญ่มาก จนไม่มีนักสู้คนไหนที่สามารถดูแลมันด้วยตัวคนเดียวได้ ดังนั้นพวกมันจึงถูกดำเนินการภายใต้การควบคุมของขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์”

ณ หน้าบูธก็มีผู้คนที่ดูเหมือนกับพนักงานคอยแนะนำกิกันท์และผู้ควบคุมของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น

“เขาคือคนขับจากแคลนอินเตอร์ “คาซาน!” เขามีประวัติการแข่ง 32 ครั้ง ชนะ 25 แพ้ 7 ข้ารับประกันได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าเลือกเรา”

“เจ้ากำลังพูดถึงอะไรกัน?  ถ้าพูดถึงคนขับกิกันท์แล้วละก็ ท่านก็ต้องนึกถึง “เลโอเนล” จากแคลนพาร์เซียสิ เขาคือรุกกี้หน้าใหม่ที่ยังไม่เคยแพ้ใครมาก่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวมากนักก็ตาม”

“ทักษะของคนขับนั้นสำคัญมากก็จริง แต่ประสิทธิภาพของกิกันท์ก็สำคัญเช่นกัน และหากคุณนึกถึงผลงานชิ้นเอกของแคลนอัลมาเรีย “แมมมอธ!”มันเป็นกิกันท์ที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณรัฐโวลก้า…”

ขณะที่ลุคกำลังมองดูแต่ละบูธเพื่อตัดสินใจ ฟิลิปก็ได้กล่าวแนะนำกับเขา…

“นายน้อยข้าคิดว่าเราควรเลือกคาซานนะ แม้ว่าอัตราต่อรองของเลโอเนลจะสูงกว่า 2.5 เท่า แต่ข้าก็คิดว่ามันเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยมากที่สุด”

“อย่างนั้นเหรอ?“

ลุคคิดทบทวนอีกสองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจตามคำแนะนำของฟิลิป

“ข้าต้องการเดิมพันข้างคาซาน 100 เปโซ”

“ครับนายท่าน นี่คือตั๋วเงิน 100 เปโซครับ”

และทันใดนั้นเอง

“5,000 เปโซ สำหรับเลโอเนล!”

ลุคที่พึ่งได้รับตั๋วเงินมานั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเห็นเงินที่ขุนนางด้านหลังของเขาใช้ไปกับการพนัน

แต่ดูเหมือนว่าพนักงานจะมองว่านี่เป็นเรื่องปกติ พวกเขานับจำนวนเงินและประทับตราลงบนตั๋วเงินแล้วจึงส่งมอบให้กับขุนนางคนนั้นอย่างสุภาพ

“ฟิลิป มันเป็นไปได้ไหมที่เราจะวางเดิมพันจำนวนมากทีเดียว”

“ตามกฎแล้วมันก็ได้อยู่..แต่ว่า..”

“เก็บไว้จะดีกว่าเหรอ?”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่พวกเราจ่ายเงินเพื่อเข้าชม ผู้ดำเนินการก็สามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมากแล้ว”

ตามที่ฟิลิปบอก สนามประลองแบบปกติถูกมองข้ามไป เพราะพวกเขาไม่สนใจมันแล้ว

นอกจากนี้เจ้าของสนามประลองแห่งนี้ยังเป็นเชื้อพระวงศ์อีกด้วย ดังนั้นมันจึงทำให้ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ

“หึๆ ประเทศนี้ดูเหมือนจะพัฒนามาในทางที่ดีจริงๆ”

ก่อนที่ใครๆจะได้ทำการต่อต้านมัน ความสงบสุขและเศรษฐกิจต่างๆของประเทศพวกเขาก็เริ่มที่จะถูกเข้าแทรกแซงไปแล้ว

นอกจากนี้ การคอร์รัปชั่นของชนชั้นสูงยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการเนรเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

หน่วยงานในจักรวรรดิต่างก็ปล่อยให้สมาชิกของราชวงศ์ลอยนวลไม่มีการลงโทษใดๆเกิดขึ้น

“หุๆ ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าตระกูลบาร็อคจะพัฒนาประเทศนี้ไปได้มากจริงๆ”

ลุคกล่าวอย่างเหน็บแนมขณะนั่งคุยกับฟิลิปและเริ่มดูการประลอง…

 

บทที่ 11 แสดงทักษะ (2)

ในยามเช้า หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านถนนที่ถูกสาดส่องด้วยแสงจันทร์มาทั้งคืน พวกเขาก็ได้เจอเข้ากับไกด์อีกคน

เมื่อส่งมอบเหรียญทองให้กับไกด์เสร็จ ไกด์นั้นก็ได้นำทางพวกเขามายังสถานที่อีกแห่ง อย่างไรก็ตามสถานที่ที่พวกเขาเข้ามานั้นไม่ใช่บ่อน

“นี่พี่ชาย ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะต้องจ่ายค่าชดใช้ให้กับเราหรอกเหรอ”

ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูบึ้งตึงก็ดังมาจากชายที่มีสีหน้าเคร่งขรึมที่ปรากฏตัวต่อหน้าลุคและฟิลิป พวกเขาทั้งหมดถืออาวุธที่ดูไม่ธรรมดาและด้านหลังของพวกเขาก็มีคนอีกสี่คนคอยยืนปิดทางไม่ให้ใครเข้าออก

“นี่พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกับเด็กๆที่ข้าไปเล่นมาด้วยเมื่อวานเหรอ?”

ลุคถามชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นบนใบหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“หุๆ ครั้งก่อนเจ้าเล่นกับลูกน้องของข้าซะหมดท่าเลย มาตอนนี้ข้าก็เลยอยากจะให้เจ้าชดใช้มาสักหน่อย”

ชายวัยกลางคนนั้นมีนามว่า  เฮคเตอร์ เขาคือ “เพชรสีคราม” แห่งกิลด์จอมโจร ในตอนแรกเขาตกใจมากเมื่อได้ข่าวว่ามีคนกล้าโกงในบ่อนของเขา

หลังจากที่เขาสามารถยืนยันตัวคนปล่อยข่าวได้แล้ว เขาก็ตัดสินใจมุ่งหน้ามาหามันทันที

“โกงเหรอ? เจ้าคงจะหมายถึงลูกน้องของเจ้าสินะที่พยายามจะโกงข้า”

“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้วไอ้หนู ประเด็นคือถ้าเจ้าคืนเงินที่เอาไปทั้งหมดมาให้ข้า ข้าก็จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”

เห็นได้ชัดว่าลุคไม่มีความเกรงกลัวหรือความตั้งใจที่จะส่งมอบเงินให้กับพวกเขา

บ่อนของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยชื่อเสียงในแง่ร้ายและพวกเขาก็เข้าใจในข้อนี้เป็นอย่างดี ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นถึงขุนนางพวกเขาก็ควรที่จะเกรงกลัวต่อผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลัง เช่นเดียวกันกับกิลด์จอมโจร เนื่องจากพวกเขาต่างก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตกับอาชญากรรมจนเป็นเรื่องปกติ

“มันคงจะดีกว่าถ้าเราเลือกจะฝังพวกเขาแทน”

ราวกับเขาตระหนักได้ถึงความคิดอันชั่วร้ายของเฮคเตอร์ ฟิลิปก้าวออกมาข้างหน้าของลุคเพื่อทำการปกป้องเขาในทันที

“นายน้อย เดี๋ยวข้าจะเป็นคนดูแลพวกเขาเอง ดังนั้นโปรดท่านรออยู่ข้างหลังของข้าซักครู่”

“เจ้าจะดูแลพวกเขาทั้งหมดเลยเหรอ?”

“ฮ่าๆ ถ้าข้าไม่สามารถจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้ ข้าก็คงไม่มีหน้ามารับตำแหน่งอัศวินผู้พิทักษ์ของท่านหรอก” ฟิลิปยิ้มขณะที่ชักดาบที่อยู่ด้านหลังของเขาออกมา

“ฮ่าๆ นี่เจ้าเป็นอัศวินอย่างนั้นเหรอ? ข้าว่าดาบของเจ้าคงจะแทงทุท้องข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ… อ้าก!”

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเฮคเตอร์ก็ดังขึ้น และมีเสียงหัวเราะออกมาจากปากของฟิลิป

ดาบของฟิลิปเริ่มเปล่งออร่าสีแดงสดใสออกมา

“นี่มัน.. ผู้เชี่ยวชาญ”

อัศวินนั้นฝึกฝนมานาในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากพ่อมด พวกเขาสะสมมานาเพื่อเสริมสร้างพลังงานในร่างกาย และบางคนก็สามารถปลดปล่อยมันออกมาในรูปแบบของกายภาพได้หรือก็คือออร่า

และอัศวินที่สามารถปลดปล่อยออร่าได้ก็จะถูกเรียกว่า“ผู้เชี่ยวชาญ”

ผู้เชี่ยวชาญนั้นมีพละกำลังและมีความว่องไวที่เหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสริมออร่าเข้ากับดาบ มันจะทำให้ดาบของพวกเขามีพลังมากพอจะตัดผ่านอิฐหรือแผ่นเหล็กหนาๆได้

ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงจัดเป็นบุคลากรระดับสูงที่ไม่มีใครอยากต่อกรด้วย  แต่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้กลับปรากฏตัวในตรอกเปลี่ยวๆ

“บ้าเอ้ย มันเป็นอัศวินจริงๆ”

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่า ทั้งสองคนคงจะเป็นขุนนางชั้นต่ำที่เพิ่งถูกปลดออกมา

ในขณะที่พวกโจรกำลังถอยกลับมาตั้งหลักอย่างประหม่า ฟิลิปก็ได้ตะโกนขึ้นมา

“ทำไมกัน? พวกเจ้าไม่อยากจะเล่นกับข้าแล้วงั้นเหรอ? แต่ข้ามีดาบที่สามารถแทงทะลุท้องพวกเจ้าได้เลยนะ พวกเข้าจะไม่สนใจมันหน่อยเหรอ?”

“เ*ยเอ้ย! นี่มันก็แค่ผู้เชี่ยวชาญ เล่นมันเลยพวกเรา!”

เมื่อเฮคเตอร์พูดเสร็จ เขาก็กระโจนเข้าหาฟิลิปขณะที่คนอื่นๆยังยืนลังเลอยู่ ถ้าพวกเขากลับไปที่กิลด์ในสภาพนี้ พวกเขาก็คงจะโดนต่อว่าเป็นแน่

และเมื่อลองคำนวณดีๆ เขาก็คิดว่าฟิลิปคงจะเป็นพวกผู้เชี่ยวชาญระดับล่างๆ ที่พึ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นผู้เชี่ยวชาญได้เมื่อไม่นานมานี้

เมื่อพวกโจรรู้สึกตัว พวกมันก็เริ่มกวัดแกว่งดาบและขวานของพวกมันขณะที่สบถออกมา

“อั้ก!”

“เจ้าไอ้สารเลว!”

“อ้ะ! ไอ้เ*ย!”

ฟิลิปเคลื่อนที่ไปรอบๆเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีที่เข้ามา นอกจากนั้นเขายังสามารถแทงและเฉือนพวกโจรทีละคน

“เ*ยเอ้ย! นี่มันไม่ใช่แค่เด็กแล้ว”

เทคนิคของฟิลิปนั้นเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ มันไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลยที่เปล่าประโบชน์ และเขายังรักษาความเสถียรของออร่าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำตามที่เฮคเตอร์คิด

เฮคเตอร์ที่คิดว่าเขาไม่ใช่คู่มือของฟิลิป ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี เขาพยายามที่จะไล่ต้อนฟิลิปเข้าไปยังมุมและพยายามจะจับลุคเอาไว้เป็นตัวประกันและขู่ว่า

“”ไอ้เด็กเวรนี่…”

ขณะที่เฮคเตอร์กำลังเคลื่อนไหว เขาก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับเหรียญทองที่กำลังบินมาหาเขา เมื่อเขามองไปยังเหรียญนั้น ทุกอย่างก็ยังไม่ได้จบลงแค่นั้น

ลุคไม่พลาดโอกาสของเขา เขาเริ่มเหวี่ยงถุงเงินที่หนังอึ้งเหมือนกับคทาเข้าใส่เฮคเตอร์

ปั้ก..

“แอ๊ะ..!”

เฮคเตอร์ที่โดนถุงเงินฟาดไปยังบริเวณหัว ก็โยกหัวเด้งไปมาเหมือนกับกบ

“นี่ข้าดูกระจอกขนาดนั้นรึยังไง?”

แม้ว่าร่างกายของเขาจะเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดา แต่จิตวิญญาณและสติปัญญาของเขาก็เป็นของพ่อมดเซย์ม่อน ซึ่งมีอายุมากกว่า 40 ปี

ในอดีตเขาได้เคยเห็นถึงความขมขื่นของโลกที่ไร้หัวใจมาแล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตรอกนี้จึงเป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับเขาในการจัดการ

“เจ้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป.. อ้าก!”

ลุคเหยียบไปยังนิ้วมือของเฮคเตอร์ และเริ่มลงน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ และแทนที่เขาจะเหยียบคาอยู่ที่มือเฉยๆ เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเหยียบย่ำไปยังส่วนต่างๆของเฮคเตอร์และทำให้เขาต้องกู่ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ในความเป็นจริงแล้ว การศึกษาโครงสร้างร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าการศึกษาเวทมนตร์ แม้แต่ลุคก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ปั้กๆ.. ตุบ.

“อ้า..ฮือ . โปรดเมตตา อัก… ได้โปรด..”

เฮคเอตร์ที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่ไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด เริ่มกรีดร้องและขอร้องอย่างน่าสมเพช

“เ*ยเอ้ย! นี่มันเป็นวิธีการทรมานบที่โครตโหดร้ายเลย”

เมื่อเห็นลุคเหยียบย่ำไปยังจุดต่างๆของเฮคเตอร์ ฟิลิปก็เริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขารู้ว่าลุคนั้นได้เรียนการป้องกันตัวมาบ้างจากโรเจอร์ส แต่เขาไม่รู้เลยว่าลุคจะสามารถลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนเช่นนี้

“ว้าว เจ้าดูดีจริงๆ” ลุคเอ่ยชมเมื่อมองไปยังสีหน้าของเฮคเตอร์ที่กำลังร้องคร่ำครวญ

หลังจากเขาออกกำลังกายเรียกเหงื่อในครั้งนี้เสร็จ ความเครียดที่ถูกสั่งสมมานานก็ดูเหมือนจะถูกปลดปล่อยออกมา

“ตอนนี้เจ้ามีแผนจะทำอะไรอีกละ?”

เขาเล่นกับเฮคเตอร์อยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะไปเก็บเหรียญทองที่เขาโยนไปขึ้นมา ลุคที่รู้ว่าฟิลิปกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรกับฟิลิปมาก

“บ่อนไม่ใช่สถานที่ที่เราจะไปได้อีกแล้ว”

เขาไม่รู้ว่าจะหารายได้จากที่ไหนอีก 20,000 เปโซที่เหลือ และทุกครั้งที่เขาคิดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่มหาศาลนี้มันก็มักจะทำให้เขารู้สึกรำคาญอยู่ทุกครั้งไป

และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถือเงินก้อนโตอะไรมาก แต่การที่ชายหนุ่มสองคนถือเงินจำนวนมากเอาไว้ขณะเดินบนถนน มันก็ย่อมไม่แปลกที่จะทำให้พวกเขาตกไปเป็นเป้าหมายของโจรกลุ่มต่างๆ

“ดังนั้นฉันควรจะหาวิธีการหาเงินที่ถูกกฎหมายถึงจะดีที่สุด”

ลุคเดินออกไปจากตรอกและเอ่ยถามฟิลิป

“เมืองแห่งนี้มีสนามแข่งรถหรือสนามประลองหรือไม่?”

“ข้าไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสนามแข่งรถมากนัก แต่ข้าพอรู้เกี่ยวกับสนามประลองอยู่บ้าง.. ใช่แล้ว สนามประลองกิกันท์!”

มันอาจจะเป็นสถานที่ที่มีการวางเดิมพันเป็นกิกันท์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะสามารถเดิมพันเป็นเงินได้หรือไม่

เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของลุค ฟิลิปก็พยักหน้าพลางกล่าว

“แน่นอนว่าเราสามารถเดิมพันเป็นเงินได้ แต่การเดิมพันนั้นต้องใช้เงินจำนวนมากและสามารถที่จะเสียไปได้อย่างง่ายดาย”

“ถ้าอย่างนั้นมันก็หมายความว่าจะสามารถได้กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน เอาละไปที่สนามประลองกิกันท์กันเถอะ”

“ข้าเกรงว่าวันนี้การประลองจะเริ่มไปแล้ว เราควรจะกลับไปนอนพักเอาแรงและไปใหม่ในวันพรุ่งนี้จะดีกว่า”

“เอาตามนั้น”

ลุคเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน เพราะทั้งการพนันและงานต่างๆที่เขาต้องจัดการในแต่ละวัน ระหว่างทางไปยังโรงเตี้ยมลุคก็ได้เหลือบไปมองอัศวินข้างกายของเขาที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

เขาเข้าใจมาตลอดว่าฟิลิปนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเก่งทั้งในด้านของการพูดและการกระทำ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าฟิลิปเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญ และน่าจะอยู่ในระดับกลางเป็นอย่างต่ำ

ลุคตัดสินพลังของฟิลิบจากเหล่าอัศวินที่เคยทำงานอยู่ข้างเขาในสมัยก่อน

“เป็นอะไรที่น่าประทับใจจริงๆ ที่เขาสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย”

เนื่องจากรากันต์นั้นเป็นอัจฉริยะด้านการฟันดาบและเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแกร่งดุจดั่งสัตว์ประหลาด มันจึงไม่ได้ยากอะไรสำหรับเขาที่จะเข้าสู่ขั้นผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่กลับกัน หากเป็นอัศวินธรรมดาพวกเขาอาจจะให้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาให้ถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อ 500 ปีก่อน มันมีผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางน้อยกว่า 100 คนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรลิเบียย่า

“มังกรจะยังคงเป็นมังกรแม้มันจะเหลือแต่ซากก็ตาม”

แม้ว่าเชื้อสายของรากันต์จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ และลุคก็มั่นใจว่าความรุ่งโรจน์และความสามารถในอดีตของตระกูลนี้คงจะสูญหายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขามองไปยังฟิลิป…

“หึๆ เขาอาจจะเป็นประโยชน์กับข้าในภายหลังก็เป็นได้”

แม้ว่าจะยังไม่มีแผนที่ชัดเจนแต่เขาก็คิดว่าการจะล้างแค้นตระกูลบาล็อคจะสามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเขามีกองกำลังของตระกูลรากันต์คอยหนุนหลังอยู่

และเมื่อนึกถึงตระกูลรากันต์เรื่องที่ไม่ค่อยดีก็เริ่มไหลเข้ามาในหัวของเขา

“ก่อนหน้านั้น ข้าคงจะต้องจ่ายหนี้สินให้หมดก่อนสินะ”

หลังจากเข้าพักในโรงเตี้ยมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เริ่มพักผ่อนและรอจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไปทำการเสี่ยงโชคที่ต้องการ…

บทที่ 10 แสดงทักษะ (1)

ท่ามกลางความมืดมิด ฟิลิปและลุคก้าวออกมาจากถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และเข้าไปยังตรอกที่ค่อนข้างเงียบและไร้ผู้คน

แม้ว่าลุคจะไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของบ่อน แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้กังวลกับเรื่องนั้นมากนัก ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันก็ยังมีคนที่สามารถพาพวกเขาไปที่นั่นได้อยู่

“สวัสดีครับท่าน ท่านกำลังมองหาไกด์นำทางอยู่รึเปล่าครับ?”

เสียงดังมาจากชายที่กำลังเดินออกมาจากซอยที่มืดมิด

ลุคส่งมอบเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้กับชายคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้สึกอยากจะเสี่ยงโชคสักหน่อย ที่นี่มีที่ไหนบ้างที่เจ้าอยากจะแนะนำบ้าง?”

“แน่นอน.. โปรดตามข้ามา”

ฟิลิปกัดฟันอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นลุคทำตามคำแนะนำของชายแปลกหน้า เขานั้นเข้าใจความคิดของลุคดีเนื่องจากเขาอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว

การกระทำของลุคนั้นนับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเป็น “ขุนนางตกอับ”

“เขาเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาเรียนรู้เรื่องทั้งหมดนี่ในเวลาแค่ไม่กี่ปีเองอย่างงั้นเหรอ?” ในความคิดของฟิลิป นายน้อยของเขานั้นเป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและจริงใจ เขารับฟังคำพูดของผู้อาวุโสอย่างตั้งใจและไม่เคยพูดอะไรที่หยาบคายหรือออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อฟิลิปนึกถึงสิ่งที่ลุคทำกับรูปปั้นบรรพบุรุษของเขา  เขาจึงเกิดความสับสนขึ้นในใจ

“แมวที่อ่อนโยนมักจะเป็นตัวแรกที่ปีนขึ้นกระท่อมก่อนเสมอ”

ฟิลิปถอนหายใจและเดินตามลุคไป

….

ณ ตรอกที่ทอดยาวออกไป  มีบ้านอิฐสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ในซอยที่คดเคี้ยว มันคือบ่อนการพนันที่ดำเนินการโดยกิลด์จอมโจร

ข้างในของบ่อนนั้นแตกต่างจากภายนอกที่ดูทรุดโทรม มันทั้งหรูหราและกว้างขวาง พื้นถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน และเพดานประดับด้วยโคมไฟระย้าที่ประดับด้วยอัญมณีอีกที

ณ โต๊ะที่ทำมาจากไม้นำเข้า มีขุนนางและตัวแทนค้าขายมากมายนั่งอยู่ และพวกเขาก็ใส่ชุดเพียงแค่ครึ่งท่อนบนเท่านั้น…

พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาใหม่หรือคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสนใจมีเพียงแค่การทอยลูกเต๋ากับไพ่ที่อยู่บนมือเท่านั้น

ลุคใช้มือปัดควันบุหรี่ที่ฟุ้งอยู่ในบ่อน

“ยินดีต้อนรับสู่ ถ้ำแห่งบาป!”

“หรือในอีกชื่อ หลุมแห่งการทำลายล้าง!”

ฟิลิปมักจะคอยกระซิบบอกให้ลุกออกไป แต่ลุคก็ไม่สนใจฟัง เขานั่งลงที่โต๊ะและยิ้มขึ้น

“ขอข้าเล่นด้วยได้ไหม?”

“ตราบใดที่เจ้ามีเงินเพียงพอ ก็เชิญได้เลย”

ลุควางเงิน 2,000 เปโซที่เขาเหลือจากการขายรูปปั้นลงบนโต๊ะ ในทันทีที่คนอื่นๆได้เห็นเงินเหล่านี้ พวกเขาก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความละโมบ

“นายท่าน พวกเขาดูเหมือนกับนักพนันมืออาชีพจริงๆ”

“ข้ารู้น่า..”

ลุคถูกเตือนด้วยเสียงกระซิปที่มาจากข้างหลังของเขา หลังจากนั้นเกมไพ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะเริ่มต้นเบาๆและทำให้มันจบแบบง่ายๆ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาไปจากเมื่อ 500 ปีที่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นนัยยะสำคัญ

การเล่นของนักพนันนั้นไม่ได้มีเทคนิคอะไรที่โดดเด่น แต่ทั้งหมดนั้นมันคือการเริ่มต้นเพียงเท่านั้น มันเหมือนกับการเติมลมเพื่อก่อกองไฟ

หลังจากนั้นไม่นาน ทุนในมือของลุคก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 5,000 เปโซ และการพนันของจริงก็เริ่มขึ้น…

“ฟลัช! ด้านเจ้าละ”

“ตองสี่..”

เหล่านักพนันล้วนอ้าปากค้างเมื่อเห็นไพ่ของลุค พวกเขาต่างมั่นใจว่าลุคต้องมีไพ่ที่ต่ำกว่าของพวกเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ

“บ้าจริง! ไอ้เด็กนี่มันไม่ใช่แค่มือใหม่”

“ดูเหมือนพวกเราจะทำเป็นเล่นไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแสดงความต่างชั้นระหว่างเรากับไอ้เด็กนี่แล้วล่ะ”

เหล่านักพนันต่างเริ่มมองหน้ากัน และเริ่มงัดเทคนิคของพวกเขาออกมา ในขณะที่พวกเขากำลังสับไพ่กันอยู่ ลุคก็เห็นหนึ่งในพวกเขาดึงไพ่ออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเขาเปิดดูไพ่เรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า..

“สเตรท!”

“ห้ะ!”

เป็นอีกครั้งที่เหล่านักพนันทำได้แค่เฝ้าดูลุคกวาดเอาเงินทั้งหมดไป

จากหลังจากนั้นลุคก็ยังคงชนะต่อไป ต่อไป และต่อไป…

แม้ว่าเขาจะมีเสียบ้างนิดหน่อยในตอนกลางแต่มันก็นับเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่เขาทำได้

กองชิปในตอนนี้นั้นมีขนาดเท่ากับจานใบหนึ่งแล้ว

“อะไรกัน? นี่คือทั้งหมดที่เราได้มางั้นเหรอ?”

ฟิลิปผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนายน้อยของเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นนายน้อยของเขาเล่นพนันเก่งขนาดนี้

ในตอนแรกฟิลิปคิดว่าจะพวกเขาเองที่ต้องหมดตัวภายในไม่กี่เกม แต่ตอนนี้กลับเป็นเหล่านักพนันที่เริ่มกระสับกระส่ายและเริ่มแสดงออกถึงความมืดมนบนใบหน้า

“เจ้าหนุ่ม นี่เจ้าเคยเล่นมาก่อนใช่ไหม?”

“ก็..นิดหน่อย”

จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่ “นิดหน่อย”

ย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีก่อน ลุคหรือเซย์ม่อนมักจะมาเล่นการพนันเพื่อระบายความเครียด

ในตอนก่อนที่เขาจะเริ่มทำสงครามอย่างจริงจัง เขามักจะใช้บ่อนในการถลุงเงินทุนของฝั่งศัตรูและยังใช้บ่อนเพื่อล้วงเอาข้อมูลของคนที่เป็นหนี้เขา

ในช่วงนั้นเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลเม็ดเคล็ดลับของไพ่จากกิลด์จอมโจร และศึกษาความน่าจะเป็นของไพ่ ซึ่งหมายความว่าเขาจะเหนือกว่านักพนันทั่วๆไปที่ใช้แค่กลเม็ดในการอ่านท่าทีของศัตรู

“เอาสุรามาทางนี้หน่อยสิ!” นักพนันคนหนึ่งที่กำลังสูบบุหรี่ ตะโกนสั่งพนักงาน

พนักงานชายคนหนึ่งนำเอาขวดและขนมมาวางไว้โต๊ะ แต่ขวดนั้นไม่ใช่สุรา

“โฮๆ เจ้ากำลังสนุกอยู่รึเปล่า”

“โอ้ พวกเจ้าจะไม่จริงจังกันเกินไปหน่อยเหรอ?”

กลุ่มฝูงชนกล่าวขึ้นขณะมองไปทางลุคและนักพนันคนอื่นๆ ในหมู่ของฝูงชนนั้นยังมีมีผู้หญิงผมดำยาวคนหนึ่ง เธอตรงไปหาลุคและเกาะไหล่ของเขา

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้า พอจะบอกได้ไหมว่าเจ้าชื่ออะไร?”

“เซย์ม่อน..”

“โฮๆ คนโกหก ชื่อเดียวกันกับราชาปีศาจเลยนะ”

หลังจากดื่มเสร็จ เขาก็เริ่มเล่นไพ่อีกครั้ง

ลุคแพ้ไป 4 เกมติดต่อกัน แต่เขาก็ยังคงเล่นต่อไป มันเหมือนกับว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเขามีไพ่อะไรอยู่ในมือ

“นายน้อย โชคของท่านอาจจะหมดแล้ว ข้าว่าเรากลับกันเถอะ”

ฟิลิปกระซิปบอกลุค เขานั้นเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น

แต่ลุคยังคงยิ้มอยู่ และในครั้งนี้ เขาก็วางเดิมพันหมดหน้าตัก

“โอ้ นายน้อยอย่าบอกนะว่าท่าน..”

ฟิลิปรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งที่นายน้อยของเขาทำ

แต่ทันใดนั้นเอง ลุคก็ได้พูดขึ้นขัดจังหวะของฟิลิป..

“ข้าจะเล่นรอบนี้รอบสุดท้ายแล้ว ร่างกายของข้าตอนนี้มันอ่อนล้าจนไม่สามารถเล่นต่อไปได้แล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของลุค ใบหน้าของเหล่านักพนันก็เริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ

“นี่เจ้าคิดจะกอบโกยทุกอย่างคืนมาในครั้งเดียวรึไงกัน?”

เมื่อเห็นถึงความไม่พอใจของคนที่เหลือ ลุคก็กล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม

“ข้าเล่นกับเด็กพวกนี้มานานพอแล้ว เจ้ามีแผนยังไงบ้างละ”

“หึ.. หมดหน้าตัก”

“ข้าเอาด้วย” เป็นดั่งที่ลุควางแผนไว้ ในช่วงเวลานี้นักพนันทุกคนเลือกที่จะทุ่มหมดหน้าตัก พวกเขาต่างเชื่อว่าผู้ที่จะชนะเกมนี้คือพวกเขาไม่ใช่ลุค

ในความเป็นจริง พวกเขานั้นมีกลยุทธ์ที่สามารถรีบประกันชัยชนะของพวกเขาได้อยู่

มันคือ ผู้หญิงผมดำที่ยืนอยู่ข้างหลังของลุค นั่นเอง

เธอเป็นคนที่คอยก้มดูไพ่ของลุคและส่งสัญญาณบอกพวกเขาอย่างลับๆ

“การรู้จักศัตรูคือการรู้จักตัวเราเอง” นี่คือคำพูดที่มีชื่อเสียงของทวีปทางใต้

แต่แล้วเกมก็ไม่ได้เป็นไปดั่งที่พวกเขาคิด

“นะ. นี่คืออะไร? เจ้าจะไม่เปิดดูไพ่หน่อยเหรอ?”

“แค่นี้ก็พอแล้ว” ลุคกล่าวหลังจากที่เขาได้รับไพ่

นักพนันต่างขมวดคิ้ว หากลุคไม่เปิดไพ่ หญิงสาวผมดำก็จะไม่สามารถบอกพวกเขาถึงไพ่ที่ลุคถือได้ หรือพูดได้ว่า ลุคได้ทำลายแผนของพวกเขาลงเรียบร้อยแล้ว

“โอเค เอาแบบนั้นก็ได้”

ไพ่แต่ละใบถูกแจกให้กับผู้เล่นทีละคน และความตึงเครียดก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการแจกไพ่สิ้นสุดลง หนึ่งในนักพนันก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่า

“เจ้าไม่ต้องการจะเปิดไพ่เพื่อตรวจสอบหน่อยเลยเหรอ?”

“อืม นี่แกจะตายรึไงถ้าฉันไม่เปิดไพ่”

“เออดี! งั้นพวกเราก็มาเปิดไพ่พร้อมกันไปเลย!”

“ฉันไม่รู้หรอกนะไอ้หนู ว่าเจ้ามีแผนจะทำอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าหนึ่งในพวกข้าต้องชนะแกได้อย่างแน่นอน”

ทันใดนั้นทั้ง 5 คนก็เปิดไพ่พร้อมกัน

“ฮ่าๆ ฟูลเฮ้าส์ คราวนี้ฉัน… ว้ากกกก!”

หนึ่งในนักพนันที่คิดว่าตัวเองได้ไพ่สูงสุดก็กรีดร้องขึ้นมาเมื่อเห็นไพ่ของลุค

มันคือ สเตรทฟลัช!

“ฮ่าๆ ขอบคุณ” ลุคกล่าวขณะกวาดเงินเข้ากระเป๋า

“ไม่มีทาง เจ้าขี้โกง”

“ไอ้หนู เจ้ากล้าดียังไงมาทำแบบนี้ที่นี่”

บรรดานักพนันต่างลุกขึ้นต่อว่าลุคด้วยไม่พอใจ

แต่ดวงตาของลุคยังคงส่องประกายสดใส

“โกง?ไม่ใช่ว่าหนึ่งในพวกเจ้าดึงไพ่ออกจากสำรับเหรอ? ไหนจะไอ้คนที่แอบดูไพ่อยู่ด้านหลังข้าอีกละ?”

“นั่น.. นั่นมัน..”

เหล่านักพนันพยายามเก็บความลำบากใจ

การใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือนั้นทำให้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัว

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันพูดเรื่องนี้ออกไป”

ในหมู่ของนักพนันทั้งหมดจะมีทาซาสซ่อนอยู่ พวกเขาคือคนที่ดูแลความเรียบร้อยของบ่อน

และหากความจริงที่ว่ามีการใช้กลโกงในการพนันถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของบ่อนก็จะพังทลายและทำให้ไม่มีลูกค้าคนไหนจะอยากจะเข้ามาใช้บริการบ่อนอีกแน่นอน

“อ้า นี่!”

“ดีมาก ข้าหวังว่าถ้ามีโอกาสพวกเราจะได้พบกันอีกนะ”

ลุคกล่าวเยาะเย้ยเหล่านักพนันที่พ่ายแพ้ขณะที่เขากำลังกวาดเอาเงินทั้งหมดไป

เมื่อพวกเขาออกมาจากตรอก เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามลุคเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“นายน้อย ในตาสุดท้ายมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

มันน่าทึ่งมากที่ลุคสามารถคาดเดาไพ่บนมือของนักพนันคนอื่นได้ แต่ในรอบสุดท้ายลุคไม่เพียงแต่จะคาดเดาไพ่ของคนอื่นได้เขายังคาดเดาไพ่ในมือของเขาเองโดยไม่เปิดดูได้ด้วย

แตกต่างจากท่าทีที่ดูตกใจของฟิลิป ลุคตอบกลับมาอย่างมีความสุข

“นั่นนะเหรอ มันก็แค่ผลลัพธ์ของคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง”

ลุคนั้นรู้จักเกมนี้เป็นอย่างดี เขาสามารถจดจำลำดับและความน่าจะเป็นของไพ่ทั้งหมดได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทิ้งรอยเล็บจางๆเพื่อทำตำหนิไว้กับไพ่แต่ละใบเอาไว้ ด้วยวิธีการนั้นมันจึงทำให้เขารู้จักไพ่ทั้งหมดที่ทุกคนเล่น

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมองดูหน้าไพ่ก็สามารถทำนายผลได้

“พวกที่ชอบโกงก็มักจะไม่โกงให้ตัวเองได้ไพ่รอยัลสเตรทฟลัชหรอก เพราะมันจะทำให้พวกเขาดูน่าสงสัย”

“ข้าเข้าใจแล้ว แต่เราพึ่งจะได้มาแค่ 10,000 เปโซเอง แล้วเงินอีก 20,000 เปโซที่เหลือละ เราจะหาจากไหน?”

“นายพูดอะไรน่ะ? เราก็จะไปหาจากบ่อนต่อไปยังไงละ”

ยังไงซะเขาก็ไม่สามารถกลับไปยังสถานที่ที่เคยไปได้อยู่แล้ว เพราะทางกิลด์จอมโจรคงจะประกาศแบนพวกเขาไปแล้วอย่างแน่นอน

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาเหยื่อ(บ่อน)อีกครั้ง…

 

ช่วงสาระน่ารู้… แต่คุณไม่รู้ก็ได้นะไม่ได้ว่าอะไร ¯_(ツ)_/¯

รอยัลสเตรทฟลัช (Royal Straight Flush)-โอกาส 0.00015%

สเตรทฟลัช หรือเรียงสี (Straight Flush)-โอกาส 0.0015%

โฟร์การ์ด (Four of a kind)-โอกาส 0.024%

ฟูลเฮ้าส์ (Full House)-โอกาส 0.14%

ฟลัช หรือสี (Flush)-โอกาส 0.20%

สเตรท หรือเรียง (Straight)-โอกาส 0.39%

 

บทที่ 9 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (4)

“ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ยินเสียงอันไพเราะ เหล่าทหารก็หยุดการกระทำของพวกเขาทั้งหมดทันที

ไม่นานนักผู้หญิงที่เป็นเจ้าของเสียงก็เดินออกมาตรงหน้าของเหล่าทหาร ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเธอดูเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับชุดสวยๆที่เธอสวมใส่

ลุคดูค่อนข้างแปลกใจเมื่อเขาได้เห็นหน้าเจ้าของเสียง มันไม่ใช่เพราะความสง่างามของเธอที่ทำให้เขาตกใจ แต่มันเป็นเพราะใบหน้าของเธอที่มีความคล้ายคลึงกันกับหญิงสาวที่เขารู้จัก

“คาธารีน่า?”

เธอคือคนที่ลุคมีความคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดี

ย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ในตอนที่ลุคยังทำงานอยู่ในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัส เขาได้พบกับหญิงงามคนหนึ่ง เธอมีนามว่า คาธารีน่า แองเจลโล่ เธอเป็นนักเวทย์ขั้น 2 ที่เข้ามาในหอคอยเพื่อฝึกงาน

คาธารีน่านั้นเกิดมาในฐานะลูกนอกสมรสของขุนนาง และตกหลุมรักลุคไม่นานหลังจากได้พบกับเขา

ทั้งสองมักจะออกไปเที่ยวด้วยบ่อยๆกันในช่วงวันหยุดพักผ่อนของพวกเขา และในช่วงเวลานั้นเองที่พวกเขาได้พบกับหนังสือเวทมนตร์แห่งความมืดในซากปรักหักพังโบราณ

แต่พวกเขาทั้งสองก็ได้ใช้พลังในการผนึกเวทมนต์แห่งความมืดเอาไว้ สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาทั้งคู่คือการผจญภัย ไม่ใช่มนต์ดำต้องห้าม

พวกเขาทั้งคู่มีความฝันที่เรียบง่าย นั่นคือการได้แต่งงานกัน ละทิ้งหอคอยเวทมนต์และเปิดร้านของขายวิเศษเล็กๆในเมืองเล็กๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป

แต่แล้ว…

“ไอ้สัตว์ร้ายพวกนั้นมันก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป..”

แม้ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้าที่ดูเก่าซอมซ่อซักแค่ไหน แต่ความงดงามของเธอก็ยังคงเปล่งประกายออกมา

และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องการที่จะได้เธอมาครอบครอง

ดยุกบาล็อคที่ยังอยู่ในอาณาจักรลีเบียย่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เขามาที่หอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสเพื่อดูเธอ สิ่งนี้ทำให้ไอ้เลวเมส์เตอร์ อาร์ซีน ที่อยากจะเป็นใหญ่เป็นโต ได้เสนอให้เธอไปเป็นนางสนมของดยุกโดยที่ไม่ฟังความคิดเห็นของเธอแม้แต่น้อย

ท้ายที่สุดคาธารีน่าก็ถูกขายให้กับดยุกบาล็อค และได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายก่อนวันแต่งงานของเธอกับเขา

ในช่วงเวลานั้นลุคได้ถูกสั่งให้ไปทำงานในต่างพื้นที่ เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องของคาธารีน่า และเมื่อเขากลับมาเชาจึงได้รู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะไปช่วยเธอ เหตุการณ์นี้ทำให้เขาหมดเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

และนั่น…

ทันใดนั้นหญิงสาวที่ลุคเคยตกหลุมรักก็ได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกับเด็กเหล่านี้กัน? พวกเจ้าไม่อายกันบ้างรึยังไง? พวกเจ้ายังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไหม?”

“นั่น.. พวกเราแค่ทำตามคำสั่ง..”

หัวหน้าทหารยามรู้สึกอับอายในขณะที่โดนหญิงสาวต่อว่า แม้ภาพลักษณ์ของเธอจะดูเป็นผู้ดีสักแค่ไหน แต่การแสดงออกของเธอตอนนี้มันก็สวนทางกันเป็นอย่างมาก

“นั่นมัน…” ในขณะที่ลุคกำลังมองดูเธออย่างเงียบๆ ฟิลิปก็พูดขึ้นมาว่า

“นี่ข้ากำลังมองเธออยู่จริงๆเหรอเนี่ย”

“เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ?” ลุคหันไปถาม

“นายน้อยสนใจนางอย่างนั้นเหรอ? ข้าเข้าใจ ผู้ชายเราก็สนใจสาวงามแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” เมื่อพูดเสร็จฟิลิปก็เริ่มอธิบายต่อ

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับนาง แต่ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่า เมืองลาเมอร์มีนักบุญสาวรูปงามอยู่คนหนึ่ง”

“ นักบุญ?”

“ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าลำพังแค่คำพูดกับตัวอักษรจะอธิบายถึงความงามของนางไม่ได้เลยจริงๆ”

“ขอบคุณพระเจ้า..”

ฟิลิปไม่เข้าใจว่าทำไมลุคถึงแสดงท่าทีแบบนั้น

“อย่างไรก็ตามชื่อของเธอคือ เรย์น่า  เพโตรน่า คิริลลอฟ และดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเป็นเพียงขุนนางธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เจ้าหญิงอีกต่อไปแล้ว”

“เจ้าหญิง? ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีคนคอยอารักษ์เธอเลยละ?”

“เพราะประเทศนั้นล่มสลายลงไปแล้ว”

เจ้าหญิงเรย์น่าเป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวของกษัตริย์เพโตรที่ 2 แห่งอาณาจักรโวลก้า

จนกระทั่งเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อาณาจักโวลก้าได้เกิดการปฏิวัติขึ้น

มันทำให้กษัตริย์พลอเต้อร์ที่ 2 และลูกน้องคนสนิทอีกสสองสามคนต้องก็หลบหนีไปยังจักรวรรดิบาล็อคที่อยู่ใกล้เคียง

“ในลาเมอร์แห่งนี้ยังมีผู้อพยพที่มาจากโวลก้าและอาณาจักรใกล้เคียงอีกไม่น้อย และในฐานะของผู้ลี้ภัย มันทำให้ชีวิตประจำวันของพวกเขาจึงต้องทำงานอย่างหนัก”

ในตอนแรกทางจักรวรรดิได้ให้เงินทุนตั้งต้นชีวิตใหม่กับเหล่าผู้ลี้ภัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มถอยห่างจากผู้ลี้ภัยเหล่านั้นและในท้ายที่สุดทางจักรวรรดิก็ได้ละทิ้งและเมินเฉยต่อพวกเขา

“ไม่มีพวกขุนนางหรือคนจากจักรวรรดิมาช่วยเหลือพวกเขาเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“แทนที่จะช่วยเหลือ ทางจักรวรรดิกลับมองว่าคนเหล่านี้เป็นภาระซะมากกว่า หากอาณาจักรโวลก้าไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิบาล็อค พวกเขาก็คงจะโดนขับไล่ออกไปนานเล้ว”

กษัตริย์พลอเต้อร์ที่ 2 ที่ยังไม่สามารถลืมความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโวลก้าได้ลง ก็จะไปเยี่ยมเยือนในบางครั้งที่มีโอกาส

จักพรรดิรูดอล์ฟแห่งจักวรรดิบาล็อกนั้นยืนกรานให้เหล่าราชวงศ์ที่ลี้ภัยมาสามารถย้ายไปตั้งต้นใหม่ที่ลาเมอร์ได้

“จริงๆแล้วสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะ ทางจักรวรรดิรำคาญที่จะให้พวกเขามาอยู่ใกล้ๆกับตน”

และเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในตอนที่จักรวรรดิได้พ่ายแพ้ในสงครามการปกป้องโวลก้า โอกาสที่จะฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ก็ได้หายไปและในสองปีถัดมา กษัตริย์พลอเต้อร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ลง

และเป็นเหตุผลให้เหล่าผู้บี้ภัยกระจัดกระจาแยกย้ายกันออกไป

มีข่าวลือหลายแห่งที่กล่าวว่าเชื้อพระวงศ์ของโวลก้าก็ได้หายไปจากประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าหญิงเรย์น่าก็ยังไม่มีแผนที่จะยอมแพ้

เธอขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของราชวงศ์เพื่อนำเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับเหล่าผู้คนที่ลี้ภัยและจัดหางานให้กับพวกเขา

เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีเวลา เธอจะไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยและช่วยงานอาสาสมัครที่นั่น

“ผู้คนในลาเมอร์ต่างก็ยกย่องเจ้าหญิงว่าเปรียบเสมือนกับนักบุญ เพราะเธอไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเท่านั้นแต่เธอยังช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยและผู้ยากไร้ของจักรวรรดิอีกด้วย การกระทำขอองเธอได้กลายเป็นข่าวลือไปทั่วทั้งทางใต้และทำให้เธอเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง”

“เธอยังคงเหมือนเดิมจริงๆ..”   ในตอนแรกเขาคิดว่าเธอนั้นคงมีแค่หน้าตาที่คล้ายคลึงกับคนรักเก่าของเขาเท่านั้น แต่ในตอนนี้การกระทำของเธอก็ไม่ต่างไปจากคนรักเก่าของเขาเลย คาธารีน่าเองก็มักจะไปช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังลำบากอยู่เหมือนกัน

“ไปบอกเจ้านายของเจ้าซะ ว่าถ้าต้องการพัฒนาลาเมอร์แห่งนี้ ก็จงเหลียวมองไปยังชาวเมือง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก”

ในขณะที่ลุคยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นิ่งๆ เรย์น่าก็สามารถไล่พวกทหารยามไปได้สำเร็จและเข้าไปดูเด็กๆ

“เจ้าเจ็บมากไหม?”

“ข้าไม่เป็นอะไรมาก ต้องขอบคุณพี่ชายคนนั้น”

หญิงสาวฉีกชุดของเธออกมาและนำมาพันแผลให้กับเด็กและจึงเดินออกมา  เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินมาทางเขา ลุคก็เริ่มใจเต้นแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

และในจังหวะที่เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว

“พลังงานนี้…?”

พลังนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าโดนอะไรบางอย่างเข้าครอบงำ มันเหมือนกับโลกทั้งใบหายไป และในจังหวะที่เขาสงบสติอารมณ์ได้ เรย์น่าก็เริ่มทักทายเขาอย่าฃสุภาพ

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเด็กๆไว้”

“อ่า ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอก”

ลุคผายมือลงอย่างถ่อมตน หลังจากนั้นก็มีชายชราสองคนวิ่งตรงมาหาหญิงสาว

“เจ้าหญิง ท่านมาทำอะไรในที่แบบนี้กัน?”

“ตอนนี้ท่านต้องเริ่มออกเดินทางได้แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านจะไปไม่ทันนัดกับท่านอังเดรย์นะขอรับ”

ขณะที่ชายชราทั้งสองคนวิ่งมาหาเธอพร้อมทั้งกล่าวเตือน เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองหอนาฬิกาที่อยู่ข้างบน

“โอ้ได้เวลาแล้วอย่างนั้นเหรอ… ข้าคงต้องไปแล้วหล่ะ แล้วจงจำไว้นะว่าระวังพวกลุงนั่นให้ดี”

เจ้าหญิงเรย์น่าโบกมือให้กับเด็กๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนรับใช้สูงอายุทั้งสอง

ลุคจ้องมองไปยังเรย์น่าจนกระทั่งเธอลับสายตาไป

การปรากฎตัวของเรย์น่านั้นมาพร้อมกับบรรยากาศอันอบอุ่นแบบเดียวกับที่เขาเคยสัมผัสได้จากคาธารีน่า ความรู้สึกนั้นไม่สามารถลบออกไปจากเข้าได้ง่ายๆ

และ..

“พลังงานก่อนหน้านี้มันคืออะไรกัน?” ลุคยิ้มขณะส่ายหัว

ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันแปลกประหลาดเมื่อเจ้าหญิงเดินเข้ามาใกล้เขา ลุครู้สึกเหมือนมันเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของเขา มันเหมือนกับความอบอุ่นที่มาจากอ้อมกอดของแม่อย่างเป็นธรรมชาติ

“แต่มนุษย์เราสามารถสร้างพลังงานแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”

ตามความรู้ที่เขามีมันไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาส่ายหัว

“ข้าคงจะเข้าใจผิดไปเอง มันเป็นเพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปนี่รึเปล่านะ?”

มันไม่มีทางที่พลังงานพวกนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว  และถ้าเธอยังอยู่ต่ออีกสักหน่อย เขาก็น่าจะสามารถตรวจสอบพลังงานนั้นได้

“นายน้อยเราก็ไปกันเถอะ”

“…นั่นสินะ”

ลุคกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดีใจขนาดนี้…

 

 

บทที่ 8 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (3)

เมื่อทั้งสองกำหนดเป้าหมายเสร็จ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง

หลังเดินทางไปได้ 3 วัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองลาเมอร์ในยามค่ำตืน  เมืองนี้นับเป็นเมืองท่าที่ติดอยู่กับแม่น้ำเนียร์

เมืองลาเมอร์มีประชากรประมาณ 200,000 คน เป็นเมืองที่มีผู้คนมาทำการค้าข้ายกันอย่างคับคั่งเป็นอันดับสองของจักรวรรดิ

“มันน่าทึ่งมากที่หมู่บ้านการประมงเล็กๆสามารถพัฒนามาเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้” เมื่อลุคมองดูการเปลี่ยนแปลงของเมืองเสร็จ เขาก็เดินตรงเข้าไปหาช่างตีเหล็กที่อยู่ใกล้ที่สุดในทันที

“เจ้าต้องการขายรูปปั้นนี่อย่างนั้นเหรอ?”  ช่างตีเหล็กถาม

“ใช่”

เมื่อได้ยินคำตอบของลุค ช่างตีเหล็กก็เริ่มประเมินรูปปั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ชูสองนิ้วให้กับลุค

“ไม่ นั่นมันถูกเกินไป แค่จะซื้อข้าวกินยังซื้อไม่ได้เลย”

ลุคไม่ได้เดินทางสามวันสามคืนเพื่อมาเล่นเกมต่อราคา เขาได้เคยพูดคุยกับฟิลิปมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับราคาวัตถุดิบต่างๆในจักรวรรดิ

“เพราะราคาของทองแดงในช่วงนี้มันกำลังตกน่ะ และรูปปั้นนี่ก็ยังต้องใช้เงินอีกมากในการหลอมละลายมัน”

“แต่ผิวข้างนอกมันชุบทองคำแท้เลยนะ”

“นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้ายินดีที่จะจ่ายในราคา 2,000 ไม่ใช่1,000”

“โอ้ อย่างนั้นเหรอ งั้นข้าขอลองไปถามร้านอื่นก่อนดีกว่า”

ในขณะที่ลุคกำลังจะก้าวออกไปจากร้าน ช่างตีเหล็กก็ได้จับแขนของเขาเอาไว้

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้รับมากกว่านี้เท่าไหร่กันถ้าไปที่อื่น เอาละ ข้าจะเพิ่มให้เจ้าอีก 50 เปโซเป็นไง?”

“ถ้าเจ้ามอบม้าและเกวียนนั่นมาด้วย ข้าก็ยินดีที่จะจ่ายเพิ่มอีก 2500 เปโซ”

“อย่างนั้นก็ดี ไหนดูซิว่าเรามีม้าและเกวียนอยู่เท่าไหร่”

หลังจากทำการต่อรองราคากับช่างตีเหล็กเสร็จ ลุคก็ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก 300 เปโซ

โครก…

เสียงท้องร้องของฟิลิปดังออกมา เขาเกาหัวตัวเองและยิ้มอย่างลำบากใจให้กับลุค

“ฮ่าๆ ดูเหมือนเนื้อตากแห้งที่ข้าทานไปเมื่อกลางวันจะย่อยเสร็จหมดแล้ว ”

เนื่องจากพวกเขาพยายามที่จะหลบหนีออกจากคฤหาสน์มา พวกเขาจึงไม่สามารถนำเอาอาหารติดมาด้วยได้มากนัก

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารในแต่ละมื้อของพวกเขามีเพียงแค่บิสกิตและเนื้อตากแห้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการอาหารของฟิลิป

“ตอนนี้เราก็ไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรแล้ว และข้าก็พอจะมีเงินติดกระเป๋าอยู่เล็กน้อย ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรจะไปหาอาหารดีๆมากินรองท้องกันสักหน่อยดีกว่า”

เมื่อคิดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เขามีอยู่ในมือเสร็จแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ข้างทาง

ทั้งสองคนเลือกที่จะแวะร้านอาหารหรูระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์การค้าของเมือง

“อาหารพื้นบ้านของที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนกันนะตลอด 500 ปีที่ผ่านมา?”

เนื่องจากเวลาที่ผ่านไปเป็นเวลานาน ลุคจึงคาดหวังในพัฒนาการของรสชาติอยู่เล็กน้อย

ลุคนั่งโต๊ะริมหน้าต่างและมองไปยังเมนูที่พนักงานเสิร์ฟยื่นมาให้กับเขา จากนั้นจึงเริ่มสั่งอาหารต่างๆ

ฟิลิปคือคนที่ตื่นเต้นกับที่นี่มากที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นถึงอัศวิน แต่เงินเดือนที่เขาได้รับมานั้นก็มีจำกัด มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้ลิ้มรสอาหารคุณภาพสูงแบบนี้

“แล้วเจ้าจะกินอะไรละ..”

“เรียนนายน้อย ข้าคิดว่าไวน์บอร์กโดซ์ปี 1500 เป็นตัวเลือกที่กำลังดี”

“งั้นก็เอาตามนั้น” ลุคสั่งอาหารตามที่ฟิลิปแนะนำ

หลังจากนั้นไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็เริ่มถูกเสิร์ฟออกมาทีละอย่างๆ

จานแรกคือซุปและสลัด ตามมาด้วยปลาย่างราดซอสตับห่านกับเห็ดทรัฟเฟิลและสเต็กแบบสุกปานกลาง

ฟิลิปผู้เปี่ยมไปด้วยความอยากอาหาร เขาเริ่มที่จะขุดคุ้ยและเอาทุกอย่างยัดเข้ามาในปากของเขาอย่างตะกละตะกลาม แต่กลับกันลุคค่อยๆกินเข้าไปทีละคำและเมื่อเขากินหมด เขาก็สั่งจานต่อไป

มันคือเค้กช็อคโกแลตสำหรับจานของหวาน

“ว้าวนี่มันอร่อยจริงๆ ข้ารู้สึกเหมือนร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อกินมัน”

“เดิมทีข็อคโกแลตถูกใช้เพื่อเป็นยาบำรุงในทวีปทางตอนใต้ เพราะฉะนั้นคนในสมัยก่อนจึงนิยมใช้เมล็ดโกโก้เป็นเงินแทน”

“ทวีปทางตอนใต้อย่างงั้นเหรอ.. เดี๋ยวนี่ทักษะการเดินเรือของมนุษย์เราพัฒนาไปถึงขั้นที่จะสามารถไปทำการค้ากับที่นั้นได้แล้วเหรอ?”

มหาสมุทรที่พาดอยู่ทางตอนใต้ของโรดีเซียนั้นถูกเรียกว่า

“ทะเลแห่งวายุ”

นอกจากนี้ในทะเลยังมีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อาศัยอยู่ อย่างเช่น คราเค้นและเซอร์เพ้น ซึ่งเป็นการยากอย่างมากสำหรับผู้คนในสมัยก่อนที่จะหลบหนีมัน

ต้องขอบคุณการเดินทางของกองเรือที่ทำให้มีการค้นพบทวีปอื่นๆในท้องทะเล อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาวิศวกรรมมานานกว่า 500 ปี มนุษย์ได้ทำการสร้างกองเรือขนาดใหญ่และอาวุธที่ทรงพลังอย่างจริงจัง

การพัฒนาเหล่านี้ได้เปิดเส้นทางการค้าใหม่ระหว่างทวีปทางใต้และทวีปโรดีเซีย

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หมู่บ้านการประมงเล็กๆอย่างลาเมอร์สามารถกลายมาเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่แบบนี้ได้

“ว้าว นี่มันอร่อยมากจริงๆ”

“ต้องขอขอบคุณนายน้อยจริงๆ ที่ทำให้ข้าได้มีโอกาสกินอาหารดีๆเหล่านี้”

มันเป็นอาหารที่อร่อยคุ้มกับราคาเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ทั้งวัตถุดิบและการปรุงต่างก็มีความหลากหลายขึ้นอย่างมาก

พัฒนาการเหล่านี้ทำให้ลุครู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกันมัน เขาเพลิดเพลินกับอาหารจนกระทั่งเขาออกจากร้าน

ในขณะที่เขาออกมาจากร้านนั่นเอง เหล่าเด็กที่ดูผอมแห้งก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบเขาเหมือนผึ้ง

“ได้โปรด เมตตาพวกเราสักหน่อยเถอะ”

“หนูหิว.. หนูแค่ต้องการขนมปังซักชิ้น”

“ไอ้เด็กพวกนี้นี่! ออกไปให้หมดนะ”

ฟิลิปตะโกนใส่เหล่าเด็กขอทานที่มารุมล้อมพวกเขา แต่ก็โดนลุคตำหนิไป

“อย่าทำตัวหยาบคายสิ เจ้าจะรับผิดชอบยังไงถ้าหนึ่งในเด็กพวกนี้บาดเจ็บ”

“แต่นายน้อย…”

“ใจเย็นน่า.. เอาเงินนี่ไปแล้วซื้อของกินซะนะ”

เมื่อนึกถึงความทรงจำอันแสนน่าสังเวชของเขาในตอนที่เขายังเป็นเด็กกำพร้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะให้เงินกับเด็กพวกนี้ไป

เหล่าเด็กทั้งหลายต่างก้มหัวขอบคุณเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ขอบคุณครับ”

“ขอให้พระเจ้าอวยพรนายท่าน”

“ฮ่าๆ เหล่าเด็กน้อยผู้น่ารัก” ในขณะนั้นเอง ที่ลุคกำลังยิ้มอย่างสุขใจ

ปี๊ป…

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเป่านกหวีดแหลมจากทหารยามที่ปรากฎตัวขึ้นมาในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงิน

“ออกไปซะ ไอ้พวกหนูสกปรก”

คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของหัวหน้าทหารรักษาความปลอดภัยของเมือง พวกมันวิ่งเข้าไปหาเด็กๆก่อนที่จะใช้ไม้ฟาดและเตะพวกเขา

“ไอ้เด็กพวกนี้นี่  ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไง ว่าอย่าสะเออะมาบริเวณเขตนี้ของเมือง”

“อ๊า! พวกเราขอโทษ พวกเราผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้พวกเราด้วย”

ทั้งถนนเต็มไปด้วยเสียงสบทของทหารและเสียงกรีดร้องของเด็กๆ

ในขณะนั้นเอง ลุคก็รู้สึกเหลืออดเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ฟิลิปกระทำกับเด็กนั้นเป็นเพียงแค่การแหวกทางให้กับเขาเท่านั้น มันไม่สามารถนับเป็นอะไรได้เลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เหล่าทหารเหล่านี้ทำ

“ไอ้ป่าเถื่อน!”

“นะ.. นายท่าน”

แต่ก่อนที่ฟิลิปจะทันได้พูดจบ ลุคก็ชักดาบและนำมาทาบที่คอของทหารยามเรียบร้อยแล้ว

“ไอ้เวรนี่ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกับเด็กที่น่าสงสารพวกนี้กันแน่?”

“อะไรกัน? ไอ้นี่มันมาจากไหนกัน?”

การกระทำของลุคนั้นก่อให้เกิดความรำคาญต่อหัวหน้าทหารยามเป็นอย่างมาก ในหัวของเขานั้นคิดว่าถ้าลุคเป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดา เขาก็จะทำการประหารลุคทิ้งในข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่

แต่ดวงตาของเด็กชายที่เขามองไปนั้น ให้ความรู้สึกและกลิ่นอายของขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือน้ำเสียงของเขาก็ตาม

แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมขุนนางหนุ่มผู้นี้ถึงต้องเข้ามาขัดขวางการทำงานของเขา

หัวหน้าทหารยามนั้นรู้ตัวดีว่าหากเขาไปมีเรื่องกับขุนนางเข้า ปัญหาทั้งหมดที่มีนอกจากจะไม่จบลงอย่างง่ายๆแล้ว มันยังจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน

ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกจะเปิดปากเอ่ยโน้มน้าวเด็กหนุ่มตรงหน้า

และทันใดนั้นเอง เสียงที่ฟังดูเล็กแหลมและงามสง่าก็ดังก้องกังวานขึ้นมา…

 

บทที่ 7 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (2)

ในวันรุ่งขึ้น หลังจากสวดมนต์เสร็จ มารอนหัวหน้านักบวชก็ได้ทำการเข้าพบกับหัวหน้าพ่อบ้านฮานส์และถามเขาด้วยความกังวลที่เขียนอยู่บนใบหน้าเขา

“แม้ว่านายน้อยจะบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง.. แต่มันจะมีทางใดกันที่จะทำให้เขาสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”

พ่อบ้านฮานส์ถอนหายใจและส่ายหัว

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน”

“หรือบางทีนายน้อยอาจจะมีทุนสำรองที่ครอบครัวมอบให้เขาเอาไว้กัน”

“ไม่.. ถ้ามีมันจริงๆเขาก็คงใช้มันไปนานแล้ว”

ที่ดินของไวท์เคานต์รากันต์เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริงแม้จะมีที่ดินที่กว้างใหญ่แต่บริเวณส่วนใหญ่นั้นเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า มันไม่สามารถใช้เพื่อทำการเกษตรได้ และการที่ดินที่ตั้งอยู่บริเวณขอบของจักรวรรดิก็ทำให้การคมนาคมเป็นไปไม่ค่อยสะดวกและเศรษฐกิจก็เติบโตไปอย่างเชื่องช้า

ที่ดินผืนนี้ไม่มีแม้กระทั่งกับระเบิดหรือกองกระดูก…

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวในบริเวณนี้คือ ปราสาทราชาปีศาจ มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ร้านอาหารและที่พักสามารถสร้างรายได้ได้

และนั่นคือสถานที่เดียวที่ทำให้ที่ดินของรากันต์มีรายได้อย่างต่อเนื่อง

การฝึกอบรมทหารก็เริ่มลดน้อยลง ที่อยู่อาศัยของประชาชนก็เริ่มเสื่อมโทรมและชำรุด

“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว การชำระหนี้มันจะยังพอเป็นไปได้ไหม?”

บริษัทอาลอนนั้นค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินที่เข้มงวด หากพวกเขาทำการชำหนี้หรือดอกเบี้ยช้าไปเพียงเล็กน้อย หลักประกันที่พวกเขายื่นเอาไว้ก็จะถูกยึดในทันที

อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไปกู้เงินกับทางบริษัทอาลอนก็เป็นเพราะมันไม่มีธนาคารไหนที่จะยอมปล่อยกู้ให้กับพวกเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลรากันต์ที่ตกต่ำลงเรื่อยๆมากว่า 500 ปี

“ทำไมเขาถึงไม่บอกไปตรงๆกันนะ ว่าเขาไม่มีเงินจ่ายคืน “

ฮานส์ส่ายหัวด้วยใบหน้าที่มืดมนเมื่อได้ยินคำพูดของมารอน

“มีข่าวลือว่าบริษัทอาลอนนั้นได้รับการสนับสนุนจากหอคอยเวทมนตร์จักรพรรดิ และผู้คนที่ขัดขืนหรือต่อต้านพวกเขาก็มักจะหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ”

นอกเหนือจากอำนาจทางการเงิน หอคอยเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ยังมีกองกำลังทหารรับจ้างอีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาทำการต่อต้านบริษัทอาลอน พวกเขาก็คงจะมีชีวิตอยู่รอดได้อีกไม่ถึง 1 ปีแน่นอน

“หึ! ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมขายกิกันท์ไปกัน? เขารู้ไหมว่ากิกันท์มันขายยากขนาดไหน? และทำไมเขาถึงต้องการที่จะพัฒนาเหมืองด้วย?”

“บางทีสิ่งที่เขาทำมันอาจจะได้ผล แต่ฉันก็เกรงว่าเวลาของพวกเราจะไม่มีมากพอถึงตอนนั้น” ฮานส์นั้นเป็นหนึ่งในคนรับใช้ที่สนับสนุนการพัฒนาเหมือง

ทันใดนั้นคนรับใช้คนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้วครับหัวหน้า!”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน?”

“ระ.. รูปปั้นท่านรากันต์ในสวนได้หายไปครับท่าน!”

“อะไรนะ?”

ฮานส์รีบวิ่งออกไปอย่างใจร้อน เหตุการณ์นี้ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก

รูปปั้นนั้นคือรูปปั้นที่มีขนาดสูงถึง  2 เมตร มันรูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงตอนที่รากันต์ได้รับชัยชนะเหนือราชาปีศาจเซย์ม่อน ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของพวกเขาเลยก็ว่าได้

แต่ตอนนี้สัญลักษณ์นั้นหายไปแล้ว!

เมื่อฮานส์ได้รับข่าว เขาก็เรียกคนรับใช้และทหารคนอื่นๆให้ออก ตามหารูปปั้น ในทันที เขาไม่รู้ว่ามันคือคนประเภทไหนกันที่กล้ามาขโมยรูปปั้นประจำตระกูล แต่ถ้าเขารู้ว่ามันเป็นใคร เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้มันรอดไปแน่นอน

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้รับรายงานจากคนรับใช้ เขาก็ต้องตกใจ

“ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยรูปปั้นไปก็คือนายน้อยครับ   เขาได้สั่งให้ ฟิลิปขนมันขึ้นรถเกวียนและออกเดินทางไปแล้วครับ”

“นั่น.. เขากำลังทำบ้าอะไรกัน?”

ในอดีต มีการระบุไว้ว่า ในตอนนี้บรรพบุรุษของเขาทำการก่อสร้างรูปปั้นนี้ พวกเขาได้ใช้ทองแดงไปประมาณ 1 ตันและทองคำแท้อีกเล็กน้อย

แต่ถึงอย่างนั้นมูลค่าของมันก็ไม่ได้มากไปกว่า 30,000 เปโซแต่อย่างใด  เพราะรูปปั้นนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงและก็ยังไม่ใช่ของโบราณเก่าแก่ที่มีมูลค่า

“เขาจะเอารูปปั้นนี้ไปทำอะไรกันแน่?”

ฮานส์ไม่สามารถตามความคิดของลุคได้ทัน เขาได้แต่ส่ายหัวและออกคำสั่ง

“ประกาศออกไปว่าให้ทุกคนตามหาตัวนายน้อยให้เจอ”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันก็ไม่มีความหมายใดๆที่จะนำเอารูปปั้นประจำตระกูลออกไป และเขาก็จะไม่ยอมให้เด็กหนุ่มที่พึ่งฟื้นคืนสติจากการนอนเป็นผัก มาตัดสินชะตากรรมของรูปปั้นประจำตระกูลอย่างแน่นอน

……..

“หืม มีคนกำลังพูดถึงข้าอยู่รึเปล่านะ?”

ลุคที่กำลังนั่งอยู่บนรถเกวียนก็ได้หัวเราะออกมาเมื่อเขารู้สึกจักกะจี้ที่หูของเขา

เมื่อเห็นแบบนี้ ฟิลิปที่นั่งอยู่ถัดไปจากลุคก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“นายน้อย ตอนนี้ท่านยังมีอารมณ์มาหัวเราะอีกเหรอ?”

“แล้วทำไมเจ้าถึงกังวลกันล่ะ?”

“มันแน่อยู่แล้ว ก็เพราะเราพึ่งจะขโมยรูปปั้นประจำตระกูลของท่านมานะ ท่านไม่กลัวผลที่จะตามมาบ้างเหรอ?”

“ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ฆ่าข้าเพราะเรื่องแค่นี้หรอกจริงไหม? เพราะถ้าข้าตายขึ้นมา มันก็คงจะถึงคราวอวสานของตระกูลรากันต์แล้วละ”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือทำแต่มันก็มีชั่วขณะหนึ่งที่เขาเคยคิดที่จะแกล้งฆ่าตัวตาย  เพราะเขาคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำลายตำนานและลูกหลานของรากันต์ลงได้ หลังจากเขาล้มเหลวในแผนการที่จะแก้แค้น

แต่ยังไงก็ตาม การแกล้งฆ่าตัวตายมันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรสำหรับเขา และเพื่อให้ความทรงจำอันมีค่านั้นคงอยู่ต่อไป เขาจึงต้องมีชีวิตต่อเพื่อชดใช้หนี้บาปกรรมที่เขาเคยก่อ

“นายน้อย.. ท่านนั้นอาจจะโดนเพียงแค่คำต่อว่า แต่ว่าข้าล่ะ? ข้าจะไม่ถูกประหารชีวิตหรอกเหรอที่ไม่หยุดท่านเอาไว้”

ฟิลิปนั้นอายุ 26 ปีและเป็นญาติห่างๆของอัศวินโรเจอร์ที่โรงเรียนเตรียมทหารสุริยุปราคา

ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเป็นคนที่มีความประพฤติดีและเก่งในรอบด้าน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เป็นอัศวินที่อยู่ข้างกายของลุคตั้งแต่ยังหนุ่ม

“มันจะไม่เป็นไรแน่นอน ข้าจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเองและจะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าโดนประหารแน่นอน”

“ไม่มีทาง การเชื่อใจท่านก็เหมือนกับการเชื่อว่าชีสทำมาจากถั่วนั่นแหละ”

“ผู้ชายคนนี้เป็นพวกขี้กลัวจริงๆ”

ถึงอย่างนั้นลุคก็ชอบฟิลิป ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับอัศวินคนอื่น พวกเขาก็คงจะเอาเรื่องไปป่าวประกาศแล้วแน่นอน

“ยังไงก็เถอะ ท่านคิดว่าถ้าเราสามารถขายรูปปั้นนี้ได้จริงๆ เราจะได้เงินถึง 30,000 เปโซจริงๆเหรอ”

“ใช่ ที่เจ้าต้องทำก็แค่เชื่อใจข้า”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านได้โปรดอธิบายถึงแผนการให้ข้าได้เข้าใจด้วยเถอะ”

อัศวินไม่แน่ใจว่าลุคจะได้รับเงิน 30,000 เปโซจากรูปปั้นนี้ได้อย่างไร และเขาก็ได้ยินข่าวลือมาว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถที่จะหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ทัน พวกเขาจะต้องขายกิกันต์ทิ้ง

การขายกิกันต์ก็เหมือนกับการขายกองกำลังติดอาวุธที่ทำหน้าที่ปกป้องที่ดินของเขา ถ้าลุคตัดสินใจทำแบบนั้นมันก็หมายความว่าเขาอาจจะไม่ต้องการทหารที่ทำหน้าที่รักษาการณ์ไว้ด้วยเช่นกัน และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็อาจจะตกงานและต้องกลายเป็นทหารรับจ้างเร่ร่อนในที่สุด

ความเชื่อใจที่ฟิลิปมีต่อลุคนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความคิดของเขาเองล้วนๆ

“พูดให้เข้าใจง่ายๆ… ข้าจะขายรูปปั้นแล้วเอาเงินไปใช้เสี่ยงโชค”

“ใช้เสี่ยงโชค?  นี่ท่านคิดจะเอาเงินไปลงทุนกับอะไรเหรอ?”

“ไม่ การเสี่ยงโชคของฉันไม่ใช่การลงทุน มันคือการพนันต่างหากละ บางทีเราอาจจะไม่ต้องเดินทางไปหลายที่มากนัก”

“โอ้ไม่! ท่านมัน! โอ้พระเจ้าช่วย…!” น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของฟิลิป

เขาเคยเชื่อว่าคำพูด น้ำเสียงและการกระทำของลุคนั้นเป็นอะไรที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วเพราะเขากำลังทำในสิ่งที่โครตบ้าบิ่น!

บางทีอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นของเขามันอาจจะยังไม่หายดี มันจึงส่งผลกระทบให้นายน้อยของเขาทำตัวแบบนี้

“ท่านครับ ข้าคิดว่าเราควรหยุดในตอนที่ยังมีโอกาสนะครับ”

“ลูกเต๋าได้ถูกทอดไปแล้ว และเราก็กำลังนั่งอยู่บนหลังมังกร”

“ถ้าอย่างนั้นท่านพอจะเอาข้าลงจากหลังมังกรได้หรือไม่?”

ฟิลิปนั้นไม่ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบ้าๆของนายน้อยของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถต่อต้านมันได้เช่นกันเพราะถ้าเขาทิ้งนายน้อยเอาไว้ที่นี่ มันก็เหมือนกับเขาละทิ้งหน้าที่อัศวินที่เขาได้รับมอบหมายมา…

 

 

บทที่ 6  มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (1)

ลุคสั่งให้ผู้ที่ดูแลเรื่องอสังหาริมทรัพย์และค่าใช้จ่ายของตระกูลนำเอาเอกสารมาให้เขา เมื่อเขาอ่านเอกสารแต่ละฉบับสีหน้าของเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวไป

“นี่มันเ*ยอะไรเนี่ย พวกเรากำลังจะล้มละลาย!”

แม้สมุดบัญชีที่บันทึกรายรับรายจ่ายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลจะยังไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก แต่จำนวนเงินที่เขาต้องหามาใช้หนี้นั้นมันก็นับได้ว่าเป็นอะไรที่มากโข

“ไอ้พวกลูกหลานของตำนานนักรบผู้โค่นราชาปีศาจนี่ มันไม่มีตำนานสมบัติที่ถูกซ่อนบ้างรึไงนะ”  แม้ว่าเขาจะพยายามค้นหาข้อมูลมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่มีวี่แววของสมบัติที่ถูกซ่อนอยู่เลย

ในตอนนี้ลำพังเงินที่พวกเขาถือครองอยู่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่อยู่อาศัยก็ยังมีไม่ถึง 1 ใน 100 ของ 30,000 เปโซเลยด้วยซ้ำ

“นี่มันใช่ตระกูลของนักรบในตำนานจริงๆเหรอวะเนี่ย แม้แต่ก็อบลินที่เดินผ่านมาเห็น มันก็คงจะหัวเราะเยาะจนท้องแข็งตายแน่นอน”

จากที่ลุคได้ไปศึกษาในพงศาวดารของตระกูลรากันต์ หลังจากที่รากันต์ฆ่าเขาได้แล้ว เขาก็ได้ถูกแต่งตั้งเป็นมาร์ควิส และที่ดินอันกว้างใหญ่ทางตอนใต้ของอาณาจักรลิเบียย่า

แต่เมื่อพิจารณาจากจุดที่รากันต์อยู่แต่แรกแล้ว เขาก็นับเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความสำเร็จนั้นจะไม่ได้อยู่คงทนนัก เมื่อเกิดการก่อกบฏขึ้นของดยุกบาล็อค  มันทำให้รากันต์ผู้ซึ่งไม่สามารถเมินเฉยต่อการก่อกบฏและความอยุติธรรมได้ ได้ทำการต่อสู้กับเขา แต่เนื่องจากรากันต์นั้นกำลังเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงพ่ายแพ้ให้กับดยุกบาล็อค

โชคยังดีที่บาล็อคไม่สามารถฆ่าเขาได้เพราะเขาเป็นอัศวินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งทวีป นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ดยุกบาล็อคตัดสินใจลดฐานะของเขาให้เหลือแค่ ไวเคานต์ และกีดกันพวกเขาให้ไปอยู่ในที่ดินรกร้าง

สิ่งนี้ทำให้รากันต์รู้สึกหดหู่และตามบันทึกหลังจากผ่านไปได้ 1 ปี พวกลูกหลานของเขาต่างก็พากันคิดว่าเขานั้นโดนคำสาปโดยราชาปีศาจเซย์ม่อน

“สรุปนี่เจ้าโดนฆ่าตายโดยคนที่สั่งให้เจ้ามาฆ่าข้าเนี่ยนะ?”

ลุคเอ่ยถามขณะที่มองไปยังรูปปั้นของรากันต์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในสวน

รูปปั้นของรากันต์เป็นสีทองเปล่งประกายและอยู่ในท่วงท่าที่สง่าผ่าเผย แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา

รูปปั้นนั้นคืออนุสรณ์ที่ปู่ของลุคสร้างขึ้นมาเมื่อ 50 ปีก่อน

เหล่าลูกหลานของรากันต์นั้นต่างก็พยายามดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อให้ตระกูลของพวกเขากลับมายิ่งใหญ่ตามเดิม แต่แน่นอนว่าลูกหลานของพวกเขาต่างก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ

ลูกหลานบางส่วนตายไปเพราะไม่สามารถทนต่อพิษของโรคร้ายได้ ขณะที่บางส่วนก็ไปทำสงครามและไม่ได้กลับมา

รุ่นของลุคนั้นเป็นรุ่นที่โชคร้ายทีสุด เขาพึ่งอายุได้ 17 ปี แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งการพัฒนาและการฟื้นฟูชื่อเสียงของตระกูลท่ามกลางผลกระทบที่เลวร้ายจากวิกฤตการณ์เหล่านั้น

เขาได้อ่านหนังสือมากมายและค้นพบวิธีการที่จะพัฒนาที่ดินของเขาในที่สุด และแม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่อ่อนแอแต่เขาก็ยังคงจับดาบและเลือกที่จะเรียนรู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของบรรพบุรุษของเขา

และไม่นานมานี้เขาก็พยายามที่จะควบคุมกิกันท์แต่เนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของเครื่องยนต์มันจึงทำให้เขาประสบอุบัติเหตุในท้ายที่สุด

แม้เขาถูกวินิจฉัยว่าการทำงานของสมองตายไปแล้วและมีภาวะมานาไหลย้อน แต่แล้วในวันถัดมาเขาก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา

“ไม่ เขาตายไปแล้วแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้วิญญาณของฉันสามารถเข้ามาในร่างนี้ได้”

เซย์ม่อนทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวของตระกูลรากันต์และเรื่องราวที่เขาได้ยินจากคนรับใช้ เขานั้นรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ลุคต้องเผชิญ เพราะรากันต์เป็นคนเดียวที่เขามีความบาดหมางด้วย เขาไม่ได้มีความแค้นหรือบาดหมางอะไรกับลูกหลานของรากันต์

ในความเป็นจริงลุคเป็นเพียงเด็กยากจนที่ถูกบดบังด้วยรัศมีอันเจิดจรัสของรากันต์ผู้นำตระกูลเขาเท่านั้น เขานั้นต้องรับภาระอันหนักอึ้งในการฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของตระกูล แม้ว่าเขาจะต้องการเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายก็ตาม

อย่างไรก็ตามแทนที่เขาจะหลบหนีจากโชคชะตา เขากลับเลือกที่จะยอมรับมันอย่างจริงจังและเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลชั่วคราวแทน

 

เซย์ม่อนไม่ได้รู้สึกเหมือนกับลุคเป็นคนอื่นไกล

“แม้ว่าตอนเด็กฉันจะไม่ได้กำพร้าและทุกข์ยากอะไรมาก แต่เราก็มีชื่อเหมือนกัน”

ใช่แล้ว ชื่อเดิมของเซย์ม่อนก็คือ ลุค เหมือนกัน แต่อาจารย์ที่สอนเวทมนตร์ให้กับเขาได้บอกว่า ชื่อของเขานั้นฟังดูไม่เหมือนกับพ่อมดเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น เซย์ม่อน ตามชื่อของนักปราชญ์โบราณ

“มันเป็นความจริงสินะที่บ้านหลังนี้มันไม่มีสมบัติอะไรซ่อนเอาไว้เลย”  ตามปกติแล้ว มันควรจะมีสมบัติซ่อนอยู่ในบ้านของขุนนางไม่มากก็น้อย

ที่ดินของเขาในตอนนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่น เพราะพวกเขาก็ต้องนำเอารายได้และภาษีส่วนหนึ่งส่งกลับไปให้กับพระราชาของจักรวรรดินี้

อย่างไรก็ตาม ตระกูลของรากันต์นั้นก็เป็นขุนนางประเภทที่มีความยากจนข้นแค้น มันมีเพียงขุนนางไม่กี่คนในจักรวรรดิแห่งนี้เท่านั้นที่ยากจนเหมือนกับขุนนางตระกูลรากันต์

หากมันมีอัศวินที่รักความยุติธรรมคนไหนเดินผ่านมา พวกเขาก็จะตะโกนออกมาว่า

“สวัสดี ครอบครัวของอัศวินผู้ทรงเกียรติ”

และลุคก็มักจะตะโกนกลับไปเช่นกัน

“ *งเป็นบ้าอะไรกัน! ไอ้เจ้ารากันต์นั่น อย่างน้อยมันก็ควรที่จะทิ้งเงินไว้ให้ลูกหลานมันหน่อยสิ”

และแย่ไปกว่านั้นรากันต์ได้ถลุงทรัพย์สมบัติและเงินทุนของตระกูลไปจนหมดสิ้น  แม้ว่าเขาจะใช้มันเพื่อหยุดการรุกรานของกลุ่มกบฏแต่ลุคก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรากันต์ซักเท่าไหร่

หากรากันต์เหลือเงินไว้ให้ตระกูลของเขาซักเล็กน้อย ปัญหาแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก

“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะ ไอ้โง่งี่เง่าไร้ความคิดรากันต์แท้ๆเลย.. ฟิ้ว ไม่ได้ๆ ข้าควรที่จะสงบสติอารมณ์ เมื่อข้าสงบสติได้แล้วเดี๋ยวความคิดดีๆก็จะผุดขึ้นมาในหัวเอง”

แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าควรสงบสติอารมณ์ แต่สถานการณ์รอบข้างนั้นก็เร่งเขา จนเขาไม่สามารถทำได้

การฟื้นขึ้นในร่างของหนุ่มสาวนี้ดูเหมือนจะทำให้เขาเต็มไปด้วยความใจร้อน ความใจร้อนที่เขาไม่เคยมีปัญหาในการควบคุมในสมัยยังอยู่ในร่างเซย์ม่อนมาก่อน

“สถานการณ์นี้มันเลวร้ายจริงๆ”

สถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่ทำให้เขาตื่นตระหนกอย่างมาก และเมื่อผนวกเข้ากับความจริงที่เขาไม่มีแม้กระทั่งงานทำ

“ช่างมัน.. ข้าควรที่จะไปที่ไหนหรือพึ่งพาใครดี..”

จำนวนเงินในตอนนี้ก็มีน้อยกว่า 30,000 เปโซ

“ข้าควรที่จะขายกิกันท์หรืออะไรดีนะ… ใช่แล้ว!”

เมื่อนึกถึงกิกันท์ ลุคก็กระโดดขึ้นมาจากที่นั่ง

แต่วิธีการที่เขาจะใช้ทำเงินมันติดใจเขาอยู่สักหน่อยก็เถอะ

ลุคมองไปยังด้านข้างของเขา และรอยยิ้มที่น่ากลัวก็เริ่มปรากฎออกมาให้เห็น

“ใช่แล้ว! สิ่งนี้มันจะต้องทำเงินได้แน่นอน!”

 

.

บทที่ 5 ผู้สืบสายเลือดของไวท์เคานต์รากันต์ (4)

“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังพูดอะไรออกมา เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ไหน?”

พั้ว! ตุบ!

“นี่สำหรับความกล้าของเจ้า!”

“นายน้อย ท่านโปรดใจเย็นๆก่อน”

ถ้าคนรับใช้เข้าไปห้ามลุคช้ากว่านี้อีกหน่อย จมูกของเทรินก็คงจะแบะออกด้วยหมัดของลุคไปแล้ว

นี่คือความโกรธที่ลุคกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ ในตอนแรกเขาเกลียดที่จะต้องมาอยู่ในร่างของลูกหลานของรากันต์เป็นทุนอยู่เเล้ว แต่มาในตอนนี้เขายังได้ยินถึงการซื้อขายบ้านที่เขาและคนสำคัญของเขาเคยอาศัยอยู่ด้วยกันอีก!

ถ้ามันเป็นเพียงแค่สถานที่พักธรรมดาๆเขาก็คงจะไม่โกรธมากขนาดนี้ แต่ที่แห่งนี้มันยังคงมีความทรงจำที่เขาไม่มีวันลืมเก็บไว้อยู่

ในตอนนั้นมันยังไม่ได้ดูเหมือนกับปราสาทที่ใกล้พังแบบนี้ ย้อนกลับไป มันเคยเป็นสถานที่ที่เขาและเธอผู้เป็นที่รักเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน

และมัน มันที่ไม่ได้รู้เรื่องเ*ย อะไรเลยกลับกล้ามาพูดแบบนี้ต่อหน้าเขา

“ปล่อยย! ข้าจะผ่าท้องของมันออกมาและมาดูกันซิว่ามันจะยังมีหน้ามาพูดแบบนั้นอีกรึเปล่า!”

“ท่านได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะนายน้อย”

“พวกเราเป็นคนผิดเอง ดังนั้นได้โปรดเถอะ…”

มันเป็นอีกครั้งที่เหล่าคนรับใช้เห็นนายน้อยของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้  และคำพูดเหล่านั้นก็ดูป่าเถื่อนเหมือนกับเขาไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดีมา

แต่ในทางกลับกัน พวกเขานั้นก็เข้าใจดีถึงการกระทำของนายน้อยของพวกเขา

แม้ว่าปราสาทของราชาปีศาจจะไม่ได้เป็นที่น่าพอใจมากนัก แต่มันก็เป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของเขาได้รับชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ และถ้าสถานที่แห่งนี้ถูกขายทิ้งไปโดยที่เขาไม่ทำหรือพูดอะไร เขาก็คงจะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกหลานของรากันต์ได้ยังไงกัน

แม้สิ่งที่พวกเขาคิดจะไม่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในหัวของลุค แต่มันก็ทำให้เหล่าคนรับใช้รู้สึกเคารพนับถือในตัวนายน้อยของพวกเขาขึ้นอย่างมาก

“เจ้ากล้าที่ทำกับเจ้าหนี้ของเจ้าแบบนี้ได้ยังไง? เจ้าไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของเราแล้วใช่ไหม?”

เทรินที่โดนซัดจนหน้าปูดบวมพูดขึ้นขณะที่ในดวงตาของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัว

“ไม่ใช่แบบนั้น นี่มันก็แค่การตอบแทนเล็กๆน้อยๆ”

“ตอบแทน? เล็กๆน้อยๆ? นี่เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?”

ในความเป็นจริงแล้ว คนอย่างลุคคือคนที่เทรินต้องการ เพราะเขาคือคนประเภทที่ขาดความสามารถในการใช้หนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยินยอมที่จะปล่อยกู้ให้กับลุค

“โอ้ ใช่เจ้าหมายถึงตอบแทนแบบนั้นเองสินะ 30,000 เปโซใช่ไหม? ได้! ข้าจะจ่ายแกภายใน 10 วัน พร้อมกับดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อเจ้าได้ยินแล้วก็ไสหัวออกไปให้พ้นจากสายตาของข้าซะ!”

“หึ! แล้วข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำได้ตามที่พูดหรือไม่”

แม้ว่าเทรินจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ตอนนี้หัวใจของเขาก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งเหมือนจะระเบิดออกมาแล้ว เขารู้ว่าสิ่งที่ลุคพูดออกมานั้นมันไม่ใช่เพียงคำขู่แน่นอน

คำพูดของลุคติดอยู่ในหัวของเทรินดั่งกับเสี้ยนหนามที่เสียดแทงความคิดเขา ดวงตาของลุคเองก็เปล่งประกายเป็นสีแดง เมื่อมองเข้าไปเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าดวงวิญญาณของเขากำลังถูกแผดเผา

“เ*ยเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ”

หลังจากลุคพูดเสร็จ เทรินและคนของเขาก็เลือกที่จะเดินออกไปแต่โดยดี

“นายน้อย ท่านทำได้ดีเป็นอย่างมาก”

แม้ว่าฮานส์จะรู้สึกเป็นกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแต่เขาก็ยังรู้สึกพึงพอใจมากกว่าเมื่อได้เห็นนายน้อยของเขาเลือกในเส้นทางที่ถูกต้องและน่าเคารพเช่นนี้

“แต่นายน้อย ท่านมีแผนที่จะชำระหนี้อย่างไรกัน?”  ไดซอน พนักงานที่จัดการเรื่องการเงินของตระกูลเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง

มันไม่มีสถานที่หรืองานอะไรที่จะสามารถทำเงิน 30,000 เปโซได้ในระยะเวลา 10 วัน ต่อให้พวกเขาขายทุกอย่างในบ้านทิ้ง มันก็ยังไม่ถึง 30,000 เปโซอยู่ดี

30,000 เปโซ มันนับเป็นจำนวนเงินที่มีค่าเท่ากับข้าวสาร 20 กิโลกรัม 10,000 กระสอบ หรือหุ่นรบกิกันท์ใหม่เอี่ยม 1 ตัว

และระยะเวลา 10 วันนี้ มันยังไม่มากพอที่จะทำให้เด็กชายที่เพิ่งสูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุบริเวณศีรษะฟื้นตัวทันด้วยซ้ำ

“ทางธนาคารอิมพีเรียลหรือธนาคารอื่นๆก็ไม่มีทางจะให้เรายืมเงินแน่นอน ถ้าเราไม่มีหลักค้ำประกันที่เหมาะสมไปวาง…”

“เงียบๆ! ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะฉะนั้นออกไปให้หมด”

เหล่าคนรับใช้ปล่อยให้ลุคอยู่คนเดียวตามที่เขาขอ

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาจะปกป้องสถานที่แห่งความทรงจำที่เขาได้ใช้ร่วมกันกับเธอผู้เป็นที่รักเอาไว้ให้ได้…

บทที่ 4 ผู้สืบสายเลือดของไวท์เคานต์รากันต์ (3)

ในวันรุ่งขึ้น เซย์ม่อนไม่สิ ลุคก็ยังไม่สามารถขจัดความขุ่นมัวที่อยู่ในจิตใจของเขาได้

เขามาเดินเล่นในสวนเพื่อบรรเทาความโกรธให้เย็นลง ในขณะนั้นเองเขาก็ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางเขา

หนึ่งในนั้นคือคนรับใช้ของตระกูลรากันต์และหัวหน้าพ่อบ้านฮานส์ ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มร่างอ้วนที่มีท่าทางหยิ่งผยองและผู้คุ้มกันของเขา

มันดูเหมือนไม่สิ่งใดที่จะสามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้ และท่าทางการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ดูเป็นอะไรที่ขัดหูขัดตา

“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้ นายน้อยยังคงป่วยอยู่นะ”

“อย่าคิดจะมาหยุดข้าให้ง่าย ข้าจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นเขาด้วยตาของตัวเอง.. โอ้นั่นไงๆ”

เมื่อชายหนุ่มเห็นเซย์ม่อนเข้า เขาก็ดูดีใจอย่างมาก มันเหมือนกับหมาป่าที่ได้พบกับเหยื่ออันโอชะของมัน

เด็กหนุ่มผลักคนรับใช้ของตระกูลรากันต์ออกและรีบเดินตรงเข้ามาหาลุค

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับนายน้อย?”

“อะไรของมันวะ?”

เมื่อเห็นสายตาของเซย์ม่อนที่มองมาอย่างรำคาญ ชายหนุ่มก็เริ่มมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มกล่าวแนะนำตัวเอง

“ท่านไม่คิดว่าจะเจอข้าใช่ไหมละ? ข้าเองเทริน ผู้จัดการของบริษัทอาลอน”

“บริษัท? นี่ข้าต้องให้ความสนใจเจ้าด้วยเหรอ?”

ลุคมองไปยังฮานส์ด้วยสายตาที่ไม่แยแส มันเหมือนกับจะบอกเขาเป็นนัยๆว่า ให้เอามันไปดูแลแทนเขาที

แต่เทรินยังคงดื้อดึง

“หึๆ ท่านต้องสนใจมันอย่างแน่นอน เพราะท่านได้ทำการกู้เงินไป 30,000 เปโซ เพื่อทำการพัฒนาเหมืองในปีที่แล้วยังไงล่ะ และกำหนดชำระหนี้ก็เหลือเพียงแค่อีก 1 เดือนเท่านั้น” เทรินกล่าวขณะที่กำลังดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้พวกเขาดู

มันคือโฉนดเงินกู้

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของลุคยังคงนิ่งสงบและไม่แยแสต่อสิ่งใดเหมือนเคย เงิน 30,000 เปโซอาจจะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากมายเลยเมื่อเทียบกับสถานะครอบครัวของเขา

“ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งว่าคฤหาสน์แห่งนี้ถูกวางไว้เพื่อเป็นหลักประกันแน่นอนว่าหากท่านคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากที่จะจ่ายหนี้ให้ทันกำหนด ท่านก็สามารถที่จะมอบคฤหาสน์หลังนี้ให้กับข้าได้เลย”

“ข้าไม่รู้และไม่สนด้วย ไปถามพวกคนรับใช้เอาสิ”

แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ แต่การตัดสินใจของเขาก็เป็นอะไรที่ถูกต้อง  พ่อแม่ของลุคนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็กแล้ว  มันทำให้เขาต้องรับผิดชอบอสังหาริมทรัพย์มากมายตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก

“ในเมื่อนายน้อยพูดออกมาแบบนี้ เจ้าคิดว่ายังไงละ เจ้าสามารถที่จะจ่ายได้ทันภายใน 20 วันไหม?”

เหงื่อเย็นเริ่มไหลออกมาจากศีรษะที่ล้านของ ดิคสัน ซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องที่ดินของตระกูล

เทรินเริ่มจ้องเขาตาเขม่งและพูดขึ้นเสียงดัง

“ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าก็ขอรับหลักประกันนี่แทนเลยก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่าเหมือนเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ข้าก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้”

“ชิ ถ้าเจ้าต้องการมันมากก็เอาไปเลย”

“ไม่ เรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น!”

ชายวัยกลางคนรู้สึกประทับใจในชายที่สวมเครื่องแบบอัศวินเป็นอย่างมากที่เขากล้าคัดค้านขึ้นมาแบบนั้น

“ยังไงที่ดินแห่งนี้ก็กำลังจะถูกกองกำลังติดอาวุธและกิกันท์เข้ายึดภายใน 3 ปี อย่างนั้นแล้วใครมันจะไปอยากซื้อที่ดินผืนนี้กัน? ท่านจะยอมก้มหัวให้กับราชวงศ์ข้างเคียงอย่างนั้นเหรอ?”

ในปัจจุบันแม้จะผ่านไปกว่า 500 ปีหลังจากการตายของเซย์ม่อน แต่ความสำคัญของชื่อเสียงและเกียรติยศก็ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่ และเมื่อพูดถึงการรักษาความปลอดภัย พลังของกิกันท์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงของประดับที่จะซื้อมาขายไปได้ง่ายๆ

“อ่าโอเคๆ ข้าจะไม่ขายกิกันท์หรอกเพราะงั้นสบายใจได้”

ในเวลานั้นเอง คนรับใช้อีกคนก็เสนอวิธีแก้ปัญหาและข้อเสนอ

“แล้วการเก็บภาษีละ…”

“นี่เจ้าไม่รู้รึไงว่าทุกวันนี้ผู้คนใช้ชีวิตกันยังไง ถ้าพวกเขาเลือกที่จะย้ายออกไปแทนที่จะจ่ายละ เจ้าจะมีแผนรับมือยังไงละ?”

ที่ดินของไวท์เคานต์รากันต์นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากตัวจักรวรรดิ แม้ว่าจะมีพื้นดินที่กว้างใหญ่แต่ที่ดินส่วนมากก็เป็นที่รกร้างเนื่องจากเมืองนี้มีประชากรเป็นจำนวนน้อย มันจึงทำให้รายได้จากการเก็บภาษีน้อยตามไปด้วย

“ถ้ายังงั้นแล้วเราก็ควรที่จะขายกิกันท์ไหม?”

“แน่นอนว่าไม่!”

ลุคกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งขณะที่มองดูเหล่าคนรับใช้พูดคุยกันหาทางแก้ปัญหากัน

“หึ บางทีฉันควรเข้าไปดูตัวบ้านซักหน่อย”

ลุคกำลังเดินเข้าไปยังบ้านของรากันต์ ชายผู้ปลิดชีพของเขา

ในตอนนั้นเอง เทรินก็เริ่มเบื่อที่จะนั่งฟังพวกคนรับใช้ที่พยายามจะหาทางแก้ไขกัน

“นี่ทุกคน ถ้าสิ่งนั้นและสิ่งนู้นมันไม่เวิร์ค แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่ลองสิ่งนี้ดูละ”

“อะไร?”

“ข้าจะยอมรับข้อเสนอทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หรือกิกันท์ แต่ข้าต้องการให้ครอบครัวของนักรบผู้ยิ่งใหญ่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเงินของบริษัทเราสักหน่อย”

แม้ว่าชื่อเสียงของอัศวินของรากันต์จะไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักต่อผู้คน แต่มันก็ยังคงสร้างผลกระทบอย่างมากต่ออัศวินและผู้ที่อยากจะเป็นอัศวิน

อัศวินส่วนใหญ่นั้นมีความฝันแบบเดียวกันเมื่อได้ยินตำนานของรากันต์ ชายผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอาชนะราชาปีศาจและกองทัพแห่งความมืดของมัน

“เอาแบบนี้แล้วกัน ทำไมพวกท่านถึงไม่ส่งสิ่งนั้นมาให้ข้าแทนล่ะ?”

“สิ่งนั้น?”

สายตาของทุกคนพุ่งตรงไปยังทิศทางที่นิ้วของเทรินชี้ไป

มันคือปราสาทหอคอยขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจากที่นี่ ปราสาทแห่งนี้เดิมทีคือบ้านของเซย์ม่อนที่ถูกรากันต์ยึดไปและตั้งชื่อใหม่ให้กับมันว่า “ปราสาทของราชาปีศาจ”

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามันเป็นปราสาทนั่น..”

“อืม ช่วงนี้ผู้คนที่มาเข้าชมก็มีจำนวนน้อยลงซะด้วยสิ”

“ดี มันดีกว่าการยกกิกันท์หรือคฤหาสน์ให้เป็นร้อยเท่าเลย”

นอกเหนือจากฮานส์และอีกสองสามคนแล้ว ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับการมอบปราสาทนั่นให้กับเทริน

นอกจากนี้เทรินยังคงกล่าวต่อ

“หากท่านมอบปราสาทและที่ดินใกล้เคียงให้กับบริษัทของเรา เราจะช่วยเหลือคุณในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเข้าชมปราสาทราชาปีศาจ ซึ่งนั่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและทำให้พวกคุณได้ประโยชน์จากเหล่านักท่องเที่ยวไปด้วยยังไงล่ะ”

และในขณะนั้นเอง

“หึ ไอ้เวรนี่!”

เสียงตะโกนดังออกมาจากบุคคลที่พวกเขาคาดไม่ถึง ลุค! ใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาเดินตรงเข้าไปหาเทริน คว้าคอเสื้อของเขาและซัดหน้าของมัน

การกระทำนี้ออกมาจากจิตวิญญาณของเซย์ม่อน ชายผู้เลือกเดินในเส้นทางแห่งความมืดด้วยเหตุผลเพียงเหตุผลเดียวนั่นคือ

“การแก้แค้น!”

บทที่ 3 ผู้สืบสายเลือดของไวท์เคานต์รากันต์ (2)

“ข้าไม่สามารถที่จะเชื่อในคำพูดของคนพวกนี้ได้ ข้าต้องไปยืนยันมันด้วยตัวข้าเอง”

เซย์ม่อนยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของทั้งสองคน เขาจึงได้สั่งให้คนรับใช้ของเขาพาเขาไปยังห้องสมุดของราชวงศ์

โดยปกติแล้วห้องสมุดจะมีหนังสือที่จดบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมาก และรวมถึงแผนผังตระกูลของเขาด้วย

เมื่อมาถึงห้องสมุด เซย์ม่อนก็พบเข้ากับหนังสือสองเล่มที่วางอยู่บนชั้นวางของหนังสือ ตรงหน้าปกของหนังสือทั้งสองเล่มนั้นเขียนว่า“ลำดับวงศ์ตระกูลรากันต์” และ “ประวัติศาสตร์ของทวีปโรดีเซีย”

เขาเปิดหนังสือและเริ่มศึกษาเกี่ยวกับแผนผังตระกูลของรากันต์

ทันทีทีเขาเห็นภาพของรากันต์ในส่วนแรกของหนังสือและรูปของเขาเองในส่วนสุดท้าย เขาก็ทำได้แค่ยอมรับกับตัวเองเท่านั้น

มันคือความจริงที่เขาอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มผู้สืบสายเลือดของรากันต์

“เ_ี้ยเอ้ย!”

เมื่อเขาทำการยืนยันเสร็จเขาก็เปลี่ยนมาอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่ง

…..

500ปีก่อน

ในตอนนั้น ดยุกบาล็อคยังเป็นเพียงขุนนางระดับสูงของอาณาจักรลิเบียย่าที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีป

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขารวบรวมขุนนางที่เชื่อใจได้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ทำการแย่งชิงบัลลังก์และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “อาณาจักรบาล็อค”

หลังจากการเสียชีวิตของเซย์ม่อนผ่านไปได้ 10 ปี   ชายที่น่ารังเกียจและลูกหลานของเขาก็ได้ทำการก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ และทำสงครามพิชิตดินแดน กลืนกินทุกชาติพันธุ์ที่อยู่รอบๆ

และเมื่อสงครามในทวีปโรดีเซียสิ้นสุดลง อาณาจักรใหม่ๆก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา มันมีพลังเทียบเท่ากับจักรวรรดิอาร์เธเนียอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งชื่อของมันก็คือจักรวรรดิบาล็อคในปัจจุบันนั่นเอง

“อาณาจักรบาล็อคเติบโตขึ้นจนกลายเป็นจักรวรรดิภายใต้การสนับสนุนของหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสที่สามารถสร้างหุ่นรบตัวแรกที่ชื่อ กิกันท์(Gigant) ได้สำเร็จ”

เซย์ม่อนยิ้มมุมปากขณะที่กำลังอ่านประวัติศาสตร์ของทวีปโรดีเซีย  มันเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า กิกันท์ นั้นดูเป็นอะไรที่น่าสนใจและน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน

“นี่คือวอล์คเกอร์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อย่างนั้นเหรอ หรือว่ามันคือโกเลมกันแน่? ฉันจะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง”

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ความสำเร็จของอาณาจักรบาล็อคและหอคอยเวทมนตร์เวอร์ริทัสตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน พวกเขาถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธที่รู้จักกันในชื่อ กิกันท์  ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าหอคอยเวทมนตร์ของจักรวรรดิอาร์เธเนียถึง 2 เท่า

“นึกย้อนกลับไปในสมัยนั้นพวกมันไม่ได้ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของหอคอยที่มีชื่อเสียงด้วยซ้ำ นี่พวกมันไปค้นพบดันเจี้ยนโบราณเข้ารึยังไงกันนะ?”

หากพวกเขาเป็นคนพัฒนาอาวุธหุ่นนักรบนี่เอง อย่างนั้นแล้วเซย์ม่อนที่เคยทำงานอยู่ในนั้นก็ควรจะเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาบ้างสิ

บางทีพวกมันอาจจะค้นพบดันเจี้ยนโบราณเข้าจริงๆหลังจากที่เขาเสียชีวิต และพวกมันก็คงจะเจอพิมพ์เขียวนี้ข้างในนั้นแน่ๆ

“ไม่ ไม่มีทาง..”

หลังจากทำการค้นข้อมูลเสร็จ เซย์ม่อนก็เดินออกจากห้องสมุดและมองออกไปนอกหน้าต่างตรงโถงทางเดิน ทันใดนั้นเองเขาก็พบเข้ากับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ดูคุ้นเคย เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาคิด เขาจึงถามคนรับใช้ของเขา

“เฮ้! ปราสาทหลังนั้นมันคืออะไร?”

“ปราสาทหลังนั้นเคยเป็นที่อยู่อาศัยของราชาปีศาจที่บรรพบุรุษของท่านได้ทำการสังหารมัน นายน้อยอยากเข้าไปชมมันหรือไม่”

“ราชาปีศาจ?”

“ราชาปีศาจเซย์ม่อนที่พ่ายแพ้ต่อบรรพบุรุษของท่าน และหลังจากเขาได้เอาชนะกองกำลังแห่งความมืดของราชาปีศาจเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้รับการยกย่องในฐานะของนักรบผู้ยิ่งใหญ่”

หัวหน้าพ่อบ้านฮานส์เชื่อว่านายน้อยของเขาได้ความจำเสื่อมไปแล้วจริงๆ เขาจึงเลือกคนรับใช้ผู้ภักดีให้คอยติดตามนายน้อยและให้คำอธิบายในสิ่งที่เขาอยากรู้โดยละเอียด

“ข้า..? ข้าเนี่ยนะราชาปีศาจ? แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? กองกำลังแห่งความมืด?”

เซย์ม่อนนับได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง มันไม่มีทางที่เขาจะทำการอัญเชิญปีศาจและปล้นชิงผู้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่แล้วความเป็นจริงนั้นก็ได้ถูกบิดเบือนไปในทิศทางตามที่คนรับใช้ได้เล่ามา

คนรับใช้ยังคงพูดต่อไปและทุกประโยคนั้นก็ไหลเข้ามาในหัวของเซย์ม่อน และเนื้อหาทั้งหมดมันก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อไป

“ตอนนี้ปราสาทของราชาปีศาจเซย์ม่อนได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเป็นเกียรติสำหรับบรรพบุรุษของท่าน หลังจากการตายของราชาปีศาจ ทุกๆปีจะมีเด็กหนุ่มมากมายที่ใฝ่ฝันจะเป็นอัศวิน เดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อเยี่ยมชมและค่าเข้าชมที่พวกเราสามารถเก็บจากมันก็นับเป็นรายได้หลักของตระกูลรากันต์”

ในการต่อสู้เพื่อล้างแค้นของเซย์ม่อน โกเลมจำนวนมากที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ได้ทำให้อัศวินหนุ่มมากมายเดินทางมารวมตัวกัน  วอล็อคนั้นเลื่อมใสและชื่นชมพวกเขาที่มีเส้นทางเป็นของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามอัศวินของตระกูลที่เข้าร่วมเหล่านั้น บ้างก็ถูกทำลาย บ้างก็ถูกขับไล่

เซย์ม่อนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เขาพยายามที่จะไม่แสดงมันออกมาต่อหน้าคนรับใช้

“ไปเอาเหล้าแรงๆมาให้ข้า!”

“ท่านอยากดื่มสุราอย่างนั้นเหรอครับ?” คนรับใช้ถามอย่างสงสัย

“ใช่!”

“แต่ท่านพึ่งตื่นจากการหลับใหล ข้าเกรงว่าการดื่มสุราในเวลานี้จะไม่เป็นการดีสำหรับท่าน..”

“ถ้า_ูบอกให้_ึงเอาเหล้ามา _ึงก็ไปเอาเหล้ามาสิ _ึงจะมางงอะไรกับคำสั่งของ_ูกันห้ะ?”

ขณะที่เซย์ม่อนกำลังตะโกน คนรับใช้ก็เริ่มถอยหลังไปสองสามก้าวและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็วิ่งกลับมาพร้อมกับไวน์รสเข้มข้น  เซย์ม่อนหยิบขวดไวน์ขึ้นมาและเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อชมวิวยามค่ำ

ในตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเขาจะเป็นบ้าถ้าไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมา

“มันเป็นเรื่องดีที่ข้าได้ฟื้นขึ้นมาแทนที่จะนอนตายอยู่เฉยๆ แต่ทำไมกัน ทำไมถึงต้องมาเกิดใหม่ในร่างของลูกหลานไอ้เจ้ารากันต์”

เซย์ม่อนถอนหายใจอย่างหนักขณะกำลังพยายามจะเปิดจุกไวน์ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามซักแค่ไหนจุกมันก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“ร่างกายนี้มันอ่อนแอจริงๆ”

“ท่านต้องการให้ข้าช่วยเปิดให้ไหม?”

“ไม่จำเป็น..”

 

มนุษย์นั้นมีทั้งพวกที่ฉลาดและตรงกันข้าม…

หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เซย์ม่อนก็เริ่มดื่มไวน์ของเขา

“ไอ้เ_ี้ยเอ้ย เ_ี้ยจริงๆ ไอ้ร่างทายาทของนักรบผู้ยิ่งใหญ่นี่มันไม่มีพละกำลังอะไรเลยจริงๆสินะ”

ทันใดนั้นเซย์ม่อนก็ยุติการบ่นของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานประหลาดในร่างของเขา ซึ่งพลังนั้นก็น่าจะมาจากภายในร่างกายของเขาเอง

“นี่มันเป็นเพราะคำสาปแห่งมนต์ดำรึเปล่านะ?”

คลื่นพลังนี้บางเหมือนกับด้าย การปรากฎขึ้นของมันนั้นพร่ามัวอย่างมาก แต่เขาก็มั่นใจว่ามันอยู่ในร่างกายของเขาแน่ๆ

เซย์ม่อนผู้เคยเป็นถึงพ่อมดมนต์ดำขั้น 9 เขาสามารถตรวจจับมันได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าพลังเวทย์จะหายไปแล้วแต่รอยจารึกในจิตวิญญาณของเขานั้นยังคงอยู่

“ไม่สามารถตรวจพบได้.. มันเป็นคำสาปที่รุนแรงและอันตรายมากจริงๆ นี่คงจะเห็นสาเหตุที่ทำให้ลูกหลานของรากันต์ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก”

จากการที่เขาได้เคยไปศึกษาลำดับวงศ์ตระกูล เขาจึงได้ทราบว่ารากันต์นั้นเสียชีวิตในวัย 33 ปีและลูกหลานของเขาก็เสียชีวิตในวัยไล่เลี่ยกัน

แม้ว่ารากันต์จะเป็นถึงจักรพรรดิดาบ แต่ก็ไม่มีลูกหลานคนใดเลยที่สามารถไต่เต้ามาจนถึงขั้นปรมาจารย์ดาบได้ แม้แต่คนเดียวก็ไม่

พวกเขามักจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยหรือจากอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง

“อย่าบอกนะว่านี่เป็นเพราะข้า?”

เซย์ม่อนเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงคำสาปแช่งที่เขากล่าวไว้ก่อนจะเสียชีวิต

พวกวอล็อคที่เป็นพ่อมดขาวหรือพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มักจะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้การสาปแช่งของพวกเขาในตอนที่ใกล้ตายจึงเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนนั้นวงเวทย์ได้แตกไปแล้ว แล้วคำสาปนี้มันคืออะไรกันแน่?”

แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการสาปแช่งรากันต์ แต่คำสาปนั้นก็ทำได้แค่ให้รากันต์ฝันร้ายไปตลอดทั้งชีวิต  ยิ่งไปกว่านั้นเซย์ม่อนก็ยังไม่มั่นใจว่าเวทมนตร์แห่งความมืดนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับคำสาปหรือไม่  เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้คำสาปแบบนี้และคำสาปแบบนี้เมื่อถูกร่ายมันก็จะทำลายจิตวิญญาณของผู้ใช้ไปทีละนิด

“หรือมันจะถูกสาปโดยพ่อมดคนอื่น?”

พ่อมดที่รากันต์สังหารนั้นไม่ได้มีเพียงเขาแค่คนเดียว ในบรรดาผู้ที่ถูกเขาสังหารนั้นยังมีสมาชิกของหอคอยมนต์ดำที่ติดตามเซย์ม่อนมา และพวกสาวกที่นับถือในราชาปีศาจตัวจริงและพยายามจะทำลายโลก

บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนสาปรากันต์

“ฉันเข้าใจแล้ว แต่ทำไมมันถึงซับซ้อนอย่างนี้ละ”

เซย์ม่อนปาไวน์ที่เหลืออีกครึ่งขวดทิ้งไปด้วยความผิดหวัง  แม้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาในฐานะผู้สืบสายเลือดของรากันต์แต่เขาก็มีร่างกายที่อ่อนแอและเพื่อทำให้เรื่องมันแย่ขึ้นไปอีกร่างกายนี้ของเขายังถูกสาป

ตอนนี้เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาควรใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรในอนาคต เขาควรอยู่ต่อในฐานะของผู้สืบสายเลือดของรากันต์ต่อหรือไม่

“เห้อ.. ไอ้เจ้าบ้ารากันต์นั่น..”

เซย์ม่อนถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง เขาตัดสินใจว่าจะคิดเรื่องเอายังไงต่อไป หลังจากตื่นในวันรุ่งขึ้น…

 

บทที่ 2 ผู้สืบสายเลือดของไวเคานต์รากันต์ (1)

ไม่สามารถมองเห็นทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ชายคนหนึ่งกำลังหลงอยู่ในความมืดมิดที่ล้อมรอบตัวเค้า เขาคนนั้นคือ เซย์ม่อน

“นี่ข้ากำลังอยู่ในสถานล้างบาปอย่างนั้นเหรอ?”

สถานล้างบาปคือสถานที่ที่มนุษย์จะต้องผ่านก่อนจะไปสู่ยมโลก นั่นคือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของเซย์ม่อน

ความมืดมิดคือสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เขาเรียนรู้ทั้งเวทยมนต์แห่งความมืดและดูเหมือนเขาจะชินกับมันแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ชอบก็ตาม

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ได้คาดหวังที่จะไปสู่ชีวิตหลังความตายก่อนที่จะแก้แค้นได้สำเร็จ

“ไอ้เ?ยนั่น! ทั้งหมดเป็นเพราะมันคนเดียว รากันต์!”

ถ้าเขายังไม่สามารถแก้แค้นพวกมันได้อย่างสาสมแล้วละก็ เขาจะมีหน้ากลับไปพบเธอผู้เป็นที่รักได้อย่างไร?

“ถ้าข้าได้พบกับเจ้าหลังจากการแก้แค้นสิ้นสุดลง ข้าก็คงจะพอมีหน้าไปพบเจ้าได้เล็กน้อย” เซย์ม่อนถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว

เขาคิดว่าการกระทำของเขานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ตลอดการแก้แค้นของเขานั้น มันไม่มีการฆ่าฟันครั้งไหนที่ไม่จำเป็น เขาไม่เคยลงมือกับคนที่ไม่มีอำนาจต่อกรกับเขา

แน่นอนว่าเขาได้ศึกษาเวทยมนต์แห่งความมืด แต่เขาก็ใช้มันแค่ในการแก้แค้นเท่านั้น

พวกพ่อมดบางคนนั้นถวายวิญญาณของตัวเองเพื่อเป็นเครื่องบูชาในการอัญเชิญปีศาจ

อย่างไรก็ตาม เซย์ม่อนนั้นแตกต่างออกไป หลังจากเขาอัญเชิญปีศาจออกมาโดยใช้เลือดเป็นเครื่องบูชา เขาก็ได้ทำการต่อสู้กับปีศาจตนนั้นและได้รับพลังของมันมา ดังนั้นแล้วมันจึงไม่เหมือนกับพวกพ่อมดเหล่านั้น วิญญาณของเขานั้นยังอยู่กับตัวและไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เพราะมันไม่มีปีศาจที่สามารถล่วงล้ำจิตใจของเขาได้

เขายังค้นพบความจริงต่างๆเกี่ยวกับเวทยมนตร์แห่งความมืดและเวทมนตร์แห่งความโกลาหล เช่นการค้นหากลุ่มดาวในค่ำคืนที่อับแสง

…..

แต่บาปก็คือบาป

แม้ว่าเขาจะพยายามรักษาบาปที่เขาก่อให้เหลือน้อยที่สุด แต่บาปที่เขาทำร้ายผู้คนด้วยเหตุผลเดียวคือการแก้แค้นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจลบล้างหรือลบเลือนได้

เดิมทีเขาคิดว่ามันคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย แต่…

“หากสาเหตุที่ข้าแก้แค้นต่อไม่ได้นั้นเป็นเพราะข้าได้ทำบาปมามากแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วไอ้พวกหน้าซื่อใจคดละ ทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่ต่อได้?”

ไอ้พวกพ่อมดอาวุโสและพวกราชวงศ์ชั้นสูงที่ที่ทำให้เธอต้องตาย ไม่ใช่เพียงพวกมันจะยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นแต่พวกมันยังไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไปเลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่ปลอบใจตัวเองและหลอกตัวเองเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้ว

พวกหมูตะกละและพวกหมาป่าที่ชอบทำตัวลับๆล่อๆ จะต้องดีใจเป็นบ้าเป็นหลังแน่นอน ถ้าพวกมันรู้ว่ารากันต์สามารถฆ่าเขาได้สำเร็จ

“ข้าขอสาปแช่งไอ้พวกสัตว์เหล่านั้น และไอ้บ้ารากันต์นั่น”

ความแค้นและความเกรียวโกรธของเซย์ม่อนนั้นดูจะเป็นอะไรที่ไม่หายไปในเวลาอันสั้นแน่นอน ความรู้สึกแสบร้อนในทรวงอกเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อของเขาเพียงเท่านั้น

“ถ้าข้ามีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกเจ้าแน่!”

อารมณ์ที่รุนแรงและความปรารถนาที่จะได้เกิดใหม่ของเขาก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในส่วนลึกของจิตใจ

และในที่สุด เซย์ม่อนก็มองเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆในความมืดมิดที่เขาสัมผัสได้เพียงความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

“นั่นมัน..”

เช่นเดียวกับดวงดาวที่ส่องแสงยามราตรี เซย์ม่อนเคลื่อนตัวไปยังทิศทางของแสงสว่างจุดเล็กๆจุดนั้น

ยิ่งความปรารถนาของเขาแรงกล้ามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกเหมือนเคลื่อนที่เร็วขึ้นมากเท่านั้น และแสงก็เริ่มส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้นเขาก็พบเข้ากับประตูที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงที่สว่างจ้า

เซย์ม่อนรีบเปิดประตูเข้าไปในทันที เขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีท่าทีลังเลใดๆ

และแล้ว

….

แสงที่สว่างจ้าส่องมาที่ตาของเขา

เซย์ม่อนยกมือขึ้นมาบังแสงละเริ่มมองไปยังพื้นที่รอบๆตัวของเขา

เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงแดดอันอบอุ่นส่องเข้ามา นกตัวเล็กๆต่างส่งเสียงร้องกันอยู่ข้างนอกหน้าต่าง

ในห้องนั้นถูกตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าและเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหรา และนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เขารับรู้ได้ เขายังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากผ้าห่มและไอเย็นที่ออกมาจากปากของเขาตอนหายใจออก

“ข้ายังไม่ตาย?”

ไม่ เขานั้นถูกรากันต์ฆ่าตายไปแล้วอย่างแน่นอน เขายังจำได้ถึงความเจ็บปวดในตอนที่รากันต์ใช้ดาบแทงทะลุหัวใจของเขา

หลังจากตาย เขาก็เดินวนเวียนอยู่ในความมืดมิดจนพบเข้ากับประตูที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสง

“นี่มันไม่ใช่ประตูสู่โลกหลังความตายหรอกเหรอ”

ความรู้สึก,การมองเห็น,การได้ยินและการได้กลิ่นของเขาเริ่มกลับมา สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเขาว่าเขากำลังมีชีวิตอยู่

เขาไม่สามารถสัมผัสถึงพลังเวทย์มืดที่อยู่ในใจเขาได้อีกต่อไป นั่นอาจเกิดจากการที่ถูกดาบแทงทะลุหัวใจ

และถ้ามันจะมีอะไรที่สามารถตอบคำถามของเขาได้ก็คงเป็น…

“ใครเป็นคนช่วยข้าเอาไว้กัน? นี่มีคนจากหอคอยแห่งมนต์ดำช่วยข้าไว้อย่างนั้นเหรอ?”

เพล้ง…

ขณะที่กำลังสงสัยเขาก็เริ่มดึงผ้าห่มออกจากตัวและได้ยินเสียงแหลมดังขึ้น เมื่อเขาหันไปยังทิศทางที่เดินเสียง เขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเปิดประตูเข้ามา เธอดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นและเสียงแหลมที่เขาได้ยินนั้นก็มาจากแจกันที่เธอทำหล่น ดูจากชุดของเธอแล้วเธอน่าจะเป็นสาวใช้

ขณะที่เซย์ม่อนกำลังจะเอ่ยถามหญิงสาว เธอก็ได้แข็งทื่อไปและส่งเสียงกรีดร้องออกมา

“อ้า! นายน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว!”

เซย์ม่อนขมวดคิ้วและยกมืดขึ้นมาปิดหูของตัวเอง เสียงของเธอนั้นค่อนข้างดังและมันเกือบจะทำให้เขาคิดว่ามันเป็นเวทมนต์รูปแบบหนึ่ง

แต่.. สิ่งที่สำคัญกว่าเสียงกรีดร้องของเธอตอนนี้คือ

“นายน้อย…? ข้าเนี่ยนะ?”

หญิงสาวมองมาที่เขาอย่างแน่วแน่และยังคงกรีดร้องขณะจ้องมอง

เซย์ม่อนเริ่มจัดระเบียบความคิดของตัวเองและทำความเข้าใจในสถานการณ์ แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรเสร็จ

แอด..

ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกอีกครั้งและมีคนสองคนเดินเข้ามานั่นคือ ชายชราและชายวัยกลางคน

เมื่อพวกเขาเห็นว่าเซย์ม่อนตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มมีความสุขขึ้นมาทันที

“นายน้อย..”

“ท่านตื่นแล้วจริงๆ”

ขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งเข้ามาหาเซย์ม่อน เซย์ม่อนก็ยกมือขึ้นหยุดพวกเขาซะก่อน

“หยุดก่อน พวกเจ้าคือพวกผู้ที่เหลือรอดจากหอคอยแห่งมนต์ดำอย่างนั้นเหรอ?”

เซย์ม่อนต้องการจะยืนยันสิ่งต่างๆทันที หากหอคอยแห่งมนต์ดำยังคงอยู่แล้วละก็ มันก็พอที่จะอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ แต่คำตอบที่เขาได้ยินนั้นเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงและมันก็ไม่ค่อยมีความสมเหตุสมผลซักเท่าไหร่

“ขออภัยนะครับ หอคอยแห่งมนต์ดำ?  นายน้อย ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าข้าคือใคร”

“ข้าไม่รู้ นี่พวกเจ้าช่วยข้าทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหอคอยมนต์ดำคืออะไร? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

ในขณะที่ชายชราเริ่มทำตัวลุกลี้ลุกลน นักบวชวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆก็เริ่มส่ายหัวและพูดขึ้นว่า

“ข้าเกรงว่าผลกระทบจากอุบัติเหตุจะทำให้ความทรงจำของนายน้อยเกิดปัญหา”

“โอ้ ไม่นะ..”  ชายชราดูค่อนข้างเศร้า

ในกรณีที่หายากที่สุด ผลกระทบจากการที่ศีรษะโดนกระแทกอย่างรุนแรงนั้น มักจะส่งผลให้ความทรงจำหรือความคิดของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปได้

ชายชราเข้าใจในสิ่งที่นักบวชพยายามจะสื่อ เขามองไปทางเซย์ม่อนและเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น

“ข้าคือ ฮานส์ หัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลรากันต์ ส่วนนี่คือ มารอน หัวหน้านักบวชของที่นี่ และนายน้อยก็คือผู้ปกครองคนต่อไปของสถานที่แห่งนี้ นั่นคือสาเหตุที่เราเรียกท่านว่านายน้อย”

“เดี๋ยวก่อนนะ พวกเจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”

เซย์ม่อนสงสัยในสิ่งที่เขาได้ยิน  เขาไม่เคยได้ยินชื่อของหัวหน้าพ่อบ้านและนักบวชทั้งสองมาก่อน มันมีเพียงสองสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาในตอนนี้ นั่นก็คืออีกชื่อที่เขาได้ยินหลังจากตื่นนอน

“รากันต์แห่งจักรวรรดิบาล็อค?”

“..รากันต์?”

“ใช่แล้วนายท่าน ท่านจำอะไรได้ไหม?  ลอร์ดหนุ่ม,ลุคแห่งรากันต์,ผู้สืบทอดและผู้ถือครองในมรดกแห่งรากันต์ ท่านหมดสติไปเพราะอุบัติเหตุ แต่ข้าก็เชื่อเสมอว่าท่านจะตื่นขึ้นมาและในที่สุดวันนี้ท่านก็…”

คำพูดของฮานส์ยังคงดำเนินต่อไปแต่มีเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นที่เข้ามาในหัวของเขา

บาล็อค.. รากันต์… ไวเคานต์…

“อย่าบอกนะว่า… มันคงไม่จริงใช่ไหม..”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อรากันต์และชายที่บงการให้รากันต์มาโจมตีเขาก็คือ ดยุกแห่งบาล็อค ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนจักรพรรดิเหล็กไหล

เซย์ม่อนรู้ดีว่าในทวีปโรดีเซียนั้นมีจักรวรรดิที่ชื่อ อาร์เธเนียอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ และในอาณาจักรแห่งนั้นก็ไม่มีไวเคานต์ที่ชื่อว่ารากันต์อยู่อย่างแน่นอน

เซย์ม่อนเริ่มส่ายหัวในใจ

“บางทีพวกเขาอาจพยายามที่จะหลอกข้า ทำไมพวกเขาถึงเรียกข้าว่านายน้อยกัน ทั้งๆที่ข้าอายุ 40 กว่าแล้ว”

เซย์ม่อนหันหน้ามองไปรอบๆห้องในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่ และทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็ขยายขึ้น เมื่อเห็นโต๊ะกระจกบานหนึ่ง

ภาพในกระจกที่ส่องสะท้อนนั้นเห็นได้ชัดว่ามันเป็นภาพของเด็กหนุ่มที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ไม่ใช่นักเวทวัยกลางคน

“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย..”

เซย์ม่อนแตะไปที่ใบหน้าของตัวเอง และภาพเด็กหนุ่มในกระจกกก็ทำเช่นเดียวกัน มันทำให้เขาสับสนอย่างมาก เขาดึงแก้มตัวเองเพื่อดูว่าฝันไปหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มในกระจกก็ทำตามเขาเช่นกัน

“หึๆ นี่มัน..”

มันเหมือนกับตอนนี้เขากำลังจะหนีจากความเป็นจริงที่เขาเจออยู่  อย่างไรก็ตามเซย์ม่อนเริ่มสังเกตุสิ่งที่เขาเห็นอย่างตั้งใจ

ผมสีเงินหยักศก ดวงตาสีฟ้าที่ดูดื้อดึง  คิ้วเข้ม หน้าผากกว้างและริมฝีปากทีดูเต่งตึง  เขาดูค่อนข้างจะขี้โรค แต่ถึงยังงั้นเขาก็ยังดูเหมือนคนที่ปกติดีจนน่าประหลาด

หลังจากดูอยู่ซักพักหนึ่ง ก็มีชื่อๆหนึ่งโผล่ออกมาจากปากของเขา

“ระ.. รากันต์”

“ท่านจำได้แล้ว ใช่แล้ว นายน้อยคือผู้สืบสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลรากันต์”

“ท่านคือผู้สืบสายเลือดของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ รากันต์!”

ฮานส์และมารอนรีบอธิบายเพิ่มเติมอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่านายน้อยของพวกเขาเริ่มที่จะรื้อฟื้นความทรงจำได้บ้างเล็กน้อย

แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันเหมือนกับการเอาดินปืนไปใส่ในบ้านที่กำลังไหม้ไฟ

“ย้ากกส์…” ความโกรธและความเกลียดชังของเซย์ม่อนระเบิดออกมาเหมือนกับภูเขาไฟ

“นายน้อย ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

“ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

ชายทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่านายน้อยของพวกเขากำลังสั่นสะท้านด้วยความโกรธ โดยไม่สนใจอะไรเซย์ม่อนถามพวกเขาเพียงแค่

“วันที่ในปฎิทินศักดิ์สิทธิ์คือวันที่เท่าไหร่?”

เขารู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวของเขา

“การเปลี่ยนวิญญาณ!”

มันคือเวทมนต์แห่งความมืด ที่จะเอาวิญญาณจากร่างกายของคนคนหนึ่งออกไปและแทนที่ด้วยดวงวิญญาณอีกดวงแทน

ถ้าพวกวอล็อครู้เรื่องนี้เข้า พวกมันจะต้องใช้การเปลี่ยนวิญญาณนี้เพื่อฟื้นคืนชีพผู้สืบสายเลือดของรากันต์กลับมาเป็นแน่

และด้วยเหตุการณ์แบบนี้นี่เอง เขามัโอกาสในการทำตามความปรารถนาสุดท้ายของเขาได้

“นี่มันหมายความว่าข้ายังมีโอกาสที่จะแก้แค้น…”

เพื่อให้การแก้แค้นดำเนินต่อไปได้ พวกบาล็อคและรากันต์นั้นจะต้องยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น และเซย์ม่อนก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเกินไป

“วันนี้คือวันที่ 23 มีนาคม 1532 ครับ”

“พวกเราอยู่ในปี 1500?”

“ใช่แล้วครับ เป็นเวลากว่า 500 ปีแล้วที่บรรพบุรุษของท่าน ท่านรากันต์ได้จากไป”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ฮานส์บอก เซย์ม่อนก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย เขาเสียชีวิตไปในปี 1021 ซึ่งมันหมายความว่าเวลาได้ผ่านไปนานกว่า 511 ปีแล้วนับตั้งแต่เขาเสียชีวิต

ศัตรูทั้งหมดของเขานั้นได้ตายและกลายเป็นฝุ่นธุลีไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คงมีแต่ผู้สืบสายเลือดของพวกเขาเท่านั้น  แต่มันจะไปมีความหมายอะไรกัน ถ้าพวกคนร้ายตายไปทั้งหมดแล้ว การแก้แค้นกับลูกหลานของพวกมันจะไปมีประโยชน์อะไร

“ฮ่าๆ…” เซย์ม่อนหัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยุดไป

“ออกไปให้พ้น..”

“ฮะ? นายน้อย ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

“ข้าบอกให้ออกไปให้พ้นจากสายตาของข้า!”

เซย์ม่อนตัดสินใจที่จะความความประทับใจกับพวกเขาโดยการปากระจกลงไปยังพื้น

ฮานส์และมารอนที่ตกใจกับการกระทำของเซย์ม่อนนั้นก็รีบออกไปจากห้องนอนของเขาในทันที อย่างไรก็ตามเซย์ม่อนยังไม่รู้สึกว่าเขาเป็นอิสระจากความโกรธเหล่านี้ เขาหยิบทุกอย่างและปามันทิ้งลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์

“หึ! ทำไม… ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!”

พ่อมดมนต์ดำขั้น 9  ที่รู้จักกันในนาม “เซย์ม่อน” บัดนี้ได้ฟื้นคืนชีพในร่างของผู้สืบสายเลือดของรากันต์ จักรพรรดิดาบผู้ที่ปลิดชีพของเขาลงเมื่อ 500 ปีก่อน…

 

 

บทที่ 1 หัวศีรษะ

ในสถานที่ทุรกันดารที่สามารถมองเห็นปราสาทขนาดมหึมาได้ ในตอนนี้ได้มีการต่อสู้กันระหว่างพ่อมดที่สวมชุดคลุมสีเทาและอัศวินที่สวมเกราะสีทอง

เมื่อพลังแห่งความมืดพุ่งออกจากมือของพ่อมด ลาวาสีแดงเดือดก็ผุดขึ้นมาจากพื้น ขณะที่ออร่าสีทองของอัศวินก็ทำให้เกิดภาพของทูตสวรรค์ที่กำลังถือโล่กันไม่ให้ลาวาเข้ามาใกล้

ขณะที่พ่อมดกำลังพยายามที่จะทำลายการป้องกันของอัศวิน เขาก็ได้ถอยกลับออกมา และพบว่ามีเลือดหยดลงมาจากดาบของอัศวินเกราะทอง

“ตายซะเถอะ ไอ้ปีศาจเซย์ม่อน!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของอัศวินเกราะทอง พ่อมดชุดเทาก็เริ่มกัดฟัน เขาใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาในการพยายามที่จะหยุดยั้งดาบของอัศวินเกราะทองและถามว่า

“ปีศาจ? นี่เจ้าจะบอกว่าพลังของข้าเป็นพลังของปีศาจอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว! ที่ดินและเมืองต่างก็เต็มไปด้วยมนต์ดำอันสกปรกของเจ้า สิ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนเช่นนี้จะไม่ใช่พลังของปีศาจได้ยังไง”

เซย์ม่อนรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้  แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เพราะคำพูดของอัศวินเราะทองนั้นเป็นความจริง

เซย์ม่อนนั้นเป็นพ่อมดมนต์ดำขั้นที่ 9 และตามที่อัศวินพูด มันคือพลังของเขาเองที่จัดการกับทั้งเมืองและที่ดิน

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณานั่นก็คือ สิ่งที่เซย์ม่อนทำลายไปนั้นก็มีเพียงพวกขุนนางชั่ว และพวกผู้ติดตามของมัน มันไม่ใช่ว่าเขาควรดีใจเหรอที่เซย์ม่อนช่วยกำจัดพวกกาฝากให้

และในส่วนของผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องนั้น เขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรด้วยยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยอมจำนนต่างก็มีชีวิตรอดอย่างปลอดภัย เท่านั้นนั่นยังไม่พอ! นอกจากนี้เขายังช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่ถูกกักขังและถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับฉายาจากเผ่าพันธุ์อื่นๆว่า “ปราชญ์แห่งความมืด” และ “เทวดาผู้ปลดปล่อย”

แต่อัศวินเกราะทองนั้นตัดสินใจโดยไม่สนความจริง นั่นทำให้ความจริงนั้นถูกบิดเบือนไป

“หึ! เจ้าจะมองเห็นและชมดวงดาราได้ ก็แค่ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละ!” อัศวินเกราะทองหัวเราะหลังจากพูดเสร็จ

“รากันต์ ข้าทำอะไรผิดกัน? มันเป็นความผิดงั้นเหรอที่ข้าจัดการกับไอ้พวกที่สูบเลือดสูบเนื้อผู้บริสุทธิ์ และทำให้ประเทศนี้มันย่ำแย่ลง”

ขณะที่เขากำลังพูด น้ำตาก็เอ่อล้นที่ดวงตาของเซย์ม่อน

“ถ้าเจ้ามีตา เจ้าก็คงจะเคยได้เห็นเหมือนกัน ว่ามันคือพวกราชวงศ์ต่างหากที่ทำลายที่ดินและอาณาจักรด้วยความโลภของพวกมัน คุกคามกดขี่ประชาชนและเหล่ามนุษย์ลูกครึ่ง พวกมันต่างหากที่เป็นปีศาจที่แท้จริง”

อย่างไรก็ตามรากันต์ส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย

“ไม่ พวกเขาไม่เหมือนกับเจ้า เจ้าทำให้โลกทั้งใบนี้ยุ่งเหยิงไปด้วยเวทมนต์อันชั่วร้ายของเจ้า”

“ หึ ที่เจ้าพูดหมายความว่ายังไงกัน?.. โอเคเราอาจจะไม่เหมือนกันจริงๆ เพราะข้าไม่ใช่พวกลูกแกะที่เดินตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วกัดกินเลือดเนื้อคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองเหมือนกับหมาบ้าหรอกนะ “

“หุปปาก! เจ้าอย่ามาคิดจะมาหลอกลวงข้าด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้า”

“ไอ้เจ้าโง่ เจ้านะถูกหลอกแล้ว ถูกหลอกโดยพวกหมาป่าที่ห่มหนังแกะ” เซย์ม่อนกล่าวขณะเริ่มสร้างวงเวทย์

ความมืดเริ่มกัดกินนิ้วมือที่ของเขา กำลังร่ายเวทย์

และมันเริ่มมีของเหลวไร้สีไหลออกมาจากดวงตาของเขา มันคือน้ำตา.. น้ำตาที่เขาคิดว่ามันจะแห้งเหือดไปนานแล้ว ขณะนี้มันได้เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อเขานึกถึงความเศร้าโศกและความโกรธที่ไม่มีวันลบออกไปจากความคิดของเขาได้

……

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เซย์ม่อนยังเป็นแค่พ่อมดธรรมดาคนหนึ่งในหอคอยเวทมนต์เวอร์ริทัช มันไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นมากให้เขาทำข้างในนั้น

ในช่วงที่เขาอยู่ในหอคอยนั้น เขาได้ครอบครองในสิ่งที่เขาไม่ควรจะได้ครอบครอง มันจึงทำให้เขามักโดนอิจฉาหรือหยามเหยียดอยู่บ่อยครั้ง

โดยปกติแล้ว หน้าที่ของเขาคือการทำความสะอาดส่วนที่สกปรกของหอคอย แต่ยังไงก็ตามเขายังคงอดทนกับงานหนักเหล่านั้นมาโดยตลอด

ใยบางครั้งไอเดียความคิดและเอกสารงานวิจัยของเขาก็ได้ถูกขโมยไปโดยเหลาพ่อมดอาวุโส อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยบ่นถึงเรื่องนี้เลยซักครั้ง

“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ ตราบใดที่เจ้ายังมองมาที่ข้าและอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็สามารถที่จะแบกโลกทั้งใบเอาไว้ได้..”

เพื่อผู้หญิงอันเป็นที่รักของเขาแล้ว เขาสามารถลืมความเจ็บปวดในอดีต มีความสุขกับปัจจุบันและฝันถึงอนาคตได้

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะมีพวกพ่อมดจอมละโมภและขุนนางที่บ้าคลั่งคอยก่อกวนและพยายามจะพรากเธอจากเขา เธอผู้มีค่าที่สุดสำหรับเขา

และนั่นคือสิ่งที่เขาจะไม่มีวันอภัยให้ การกระทำอันชั่วร้ายของพวกมันทำให้เธอตาย มันทำให้จิตใจของเซย์ม่อนนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ

เขาสูญเสียทั้งสติและเหตุผล เขาวิ่งเข้าใส่พวกมันแต่เพราะเขาก็ไม่มีความสามารถพอ พลังของพ่อมดขั้น 4 นั้นไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย หลังจากเหตุการนั้นเขาก็ถูกขอให้ละทิ้งพลังเวทและถูกขับไล่ออกจากหอคอย เซย์ม่อนต้องสูญเสียทุกอย่าง

ไร้ซึ่งพลัง ไร้ซึ่งชีวิต และไร้ซึ่งคนรัก แต่เขาก็ยังคงอยากมีชีวิตอยู่ เขาจึงได้สร้างเหตุผลในการดำรงอยู่ขึ้นมาใหม่นั่นก็คือ..

“แก้แค้น!”  เขาเผาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มต้นชีวิตใหม่จากเถ้าถ่านอีกครั้ง

“ถ้าพวกแกจับมือกับพระเจ้า ฉันก็จะจับมือการปีศาจเอง”

เซย์ม่อน ผู้ซึ่งถูกความแค้นเข้าฝังลึกจนถึงกระดูกเริ่มถูกเติมเต็มด้วยพลังแห่งความมืด  กองทหารแห่งความมืดของเขาก็ที่จะเริ่มเหยียบย่ำและกวาดล้างทุกสิ่งอย่าง

…..

“เจ้ากำลังหลงทางรากันต์ ข้าไม่มีอะไรต้องพูดคุยกับเจ้าอีกแล้ว”

“อ้าก!”

พายุแห่งความมืดเริ่มก่อตัวล้อมรอบรากันต์ วงเวทย์นี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และอักขระอันซับซ้อนที่ลุกโชนไปด้วยเลือด

ในไม่ช้าวงเวทย์ก็เริ่มเปล่งแสงออกมา และในที่สุดสิ่งที่ออกมาจากวงเวทย์ก็เริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้นมันคือ โกเลม!

โกเลมที่ถูกอัญเชิญมานั้นขยับร่างกายของพวกมันอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกมันแต่ละตัวปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงอย่างมากออกมา

ถ้าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือมอนส์เตอร์ที่แข็งแกร่งอย่าง ออร์คยัก 2 หัว มันก็คงจะกลายเป็นกองเลือดไปแล้วแต่อย่างไรก็ตาม รากันต์นั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นถึงจักรพรรดิดาบ เขาสามารถตัดผ่านโกเลมยักษ์เหล่านั้นได้ในพริบตาด้วยดาบออริคัลคุมที่หุ้มไฮเปอร์ออร่าเอาไว้

“รับนี่ไปซะ! เซย์ม่อน!”

“อั้ก! นี่มัน…”

เพื่อที่จะรับการโจมตีของรากันต์ เซย์ม่อนจึงได้นำเอาหอกเวทมนต์แห่งความมืดออกมา

คลื่นกระแทกจากการปะทะทำให้ฝุ่นกระจัดกระจายออกไปทั่ว ขณะที่การปะทะกันระหว่างทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป

ผลของการต่อสู้ในตอนแรกเหมือนจะจบลงที่เสมอกัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่องว่างระหว่างชัยชนะและความพ่ายแพ้ก็เริ่มกว้างขึ้น

ในที่สุดหอกแห่งความมืดก็แตกลงเมื่อสัมผัสกับดาบของรากันต์ ส่งผลให้หัวใจของเซย์ม่อนถูกแทงด้วยดาบของเขา ยิ่งดาบแทงลึกไปเท่าไหร่ เลือดก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น ความเจ็บปวดนี้มาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากันต์

เมื่อการโจมตีจบลงเซม่อนก็ยังคงไม่ล้มลง เขาจับดาบที่แทงทะลุหัวใจของเขาและมองไปที่รากันต์ด้วยความโกรธและเกลียดชัง

“รากันต์! ไอ้โง่! ข้าขอสาปแช่งเจ้า! และสายเลือดของเจ้!”

เซย์ม่อนที่กำลังจะหมดพลังชีวิตไปได้กล่าวสาปแช่งรากันต์และลูกหลานของเขา เลือดของเซม่อนต์ที่หยดลงไปที่บริเวณเท้าของรากันต์เริ่มก่อตัวเป็นสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาด

“รอก่อนเถอะ ครอบครัวของเจ้าจะต้องผอมแห้งเหมือนกับด้าย ลูกหลานของเจ้าจะต้องประสบพบเจอแต่กับโชคร้ายและโรคภัยต่างๆ และเจ้า! เจ้าจะต้องทนทรมาณในขณะที่ทำได้แค่เฝ้าดู”

ผมบนหัวของเซย์ม่อนเริ่มลุกขึ้น ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขาเริ่มมองดูเหมือนกับปีศาจ และน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเขา

สภาพของเขาในตอนนี้สามารถทำให้รากันต์สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวได้ แม้กระทั่งในยามที่เขาหลับฝันก็ตาม

แต่ในไม่ช้าเขาก็เริ่มพยายามสงบจิตใจที่กระสับกระส่าย เขาดึงดาบออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา และทำการตัดหัวศีรษะของเซย์ม่อนอย่างโหดเหี้ยม

เทพนิยายปีศาจที่ทุกคนเคยรู้จักกันในชื่อ “ราชาปีศาจมนต์ดำ” บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว…

 

Emperor of Steel-กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

Emperor of Steel-กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล

Score 10
Status: Completed

กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล เซย์ม่อน

เขาคือชายผู้ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของของศาสตร์มนต์ดำ

เขาคือชายผู้ถูกขนานนามว่าปราชญ์แห่งความมืด

เขาคือชายผู้ถูกตีตราว่าเป็นราชาปีศาจ

สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวเขา และทำให้เขาถูกสังหารลงโดยจักรพรรดิดาบในที่สุด

“ไม่ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้มันจบลงแบบนี้!”

ในที่สุดแล้ว ด้วยความปรารถณาอันแรงกล้าที่อยากจะมีชีวิตต่อของเขา มันได้ทำให้เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

แต่โชคชะตาและความจริงนั้นโหดร้าย เขากลับมาเกิดใหม่หลังจากเวลาได้ล่วงเลยไปแล้วกว่า 500 ปี.. ชีวิตในครั้งนี้ของเขาจักถือกำเนิดใหม่ในฐานะผู้สืบทอดของศัตรูคู่แค้นของเขา จักรพรรดิดาบ

Options

not work with dark mode
Reset