Double รักร้ายคูณสอง 6

ตอนที่ 6

@บริษัทMT

พอมาถึงบริษัทฉันก็รีบแจ้งรายละเอียดของหุ้นส่วนที่จะเข้ามาคุยงานกับเอริคในอีกไม่ถึงชั่วโมงให้เขาฟัง แต่เขากลับเอนตัวนั่งพิงโซฟาตรงข้ามท่าทางไม่ทุกข์ร้อนพลางมองหน้าฉันเรียบนิ่ง ถึงแม้ว่าจะพยักหน้าอย่างเข้าใจในบางครั้งแต่เหมือนเขาไม่ได้ฟังในสิ่งที่ฉันบอกหรืออธิบายให้ฟังเลยสักนิด ให้ตายสิ!

“คุณเอริค คุณฟังฉันอยู่จริงๆ ใช่มั้ยคะ”

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยุดพูดก่อนจะเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารบนโต๊ะไปสบกับสายตาคมดุดันอย่างคาดคั้น เอริคยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าเบาๆ “ฟัง พูดต่อสิ”

“งั้นคุณรู้ใช่มั้ยคะ ว่าคุณคาลอฟท์จะเข้ามาตอนกี่โมง?” ฉันลองถามและหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ถ้าเอริคตอบถูกฉันจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อยว่าการคุยกับหุ้นส่วนวันนี้จะไม่มีอะไรขัดข้องหรือมีเรื่องปวดหัวตามมาภายหลัง

“อีกสามสิบนาที”

เอริคเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือหนาของตัวเองแล้วเอ่ยเสียงทุ้มเข้มอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก ฉันพยักหน้าพลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยเขาก็ฟังที่ฉันพูด ถึงแม้ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเต็มใจมานั่งฟังอะไรยืดยาวแบบนี้ก็ตามน่ะนะ…

“โอเคค่ะ คุณจะดื่มกาแฟหน่อยมั้ยคะ? ฉันจะไปทำพอดี”

“งั้นขอกาแฟดำ”

“รอแป๊ปนึงนะคะ”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินออกไปยังโซนเครื่องดื่มของบริษัทที่อยู่ไม่ไกลจากห้องผู้บริหารของเอริคมากนัก และระหว่างที่กำลังถือกาแฟกลับไปที่ห้องทำงานเอริค ฉันก็แอบได้ยินเสียงพูดคุยกันของสาวๆ พนักงานหญิงที่พูดถึงเขาไม่หยุดปาก บางคนก็ละเมอเพ้อเป็นตุเป็นตะว่าเขาหล่ออย่างกับเทพบุตร ดูเท่แบดๆ อย่างกับพระเอกหนังฮอลีวูด ฉันนี่ได้แต่แอบยิ้มมุมปากอย่างขำๆ ถ้าพวกนั้นมาเห็นเขาเปลือยท่อนบนแบบฉันไม่ใช่จะเป็นลมล้มพับเพราะซิกแพกแน่นๆ นั่นเลยหรือไงน่ะ นี่ขนาดฉันแค่นึกถึงก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะ นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือไงยะ!

“คนที่ชื่อคารอฟท์นี่อายุยี่สิบหกงั้นเหรอ”

ทันทีที่ฉันเดินเข้ามาในห้องเอริคก็ถามขึ้นมาโดยที่ฉันตั้งตัวแทบไม่ทัน ก่อนฉันจะรวบรวมสติได้เมื่อเอริคยื่นมือหนามาหยิบแก้วกาแฟที่ฉันถือไปดื่ม สายตาคมจดจ้องมองใบหน้าฉันไม่วางตาขณะที่ฉันเดินไปนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“ใช่คะ ฉันบอกคุณไปแล้วหนิคะ”

“ไม่ได้สนใจประวัติใครเท่าไหร่”

ให้ตายสิ แต่นี่มันประวัติของหุ้นส่วนบริษัทเลยนะ เขาควรสนใจบ้างสิ บ้าจริง! ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเลิกคิ้วมองเอริคด้วยความสงสัยเพราะเห็นว่าเขายังเอาแต่นั่งจ้องฉันไม่เลิก หน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ เอริคถึงจ้องกันอยู่ได้…

“คุณมองฉันแบบนั้นทำไม มีอะไรรึเปล่าคะ?”

ตุบๆ!

“โมนา มานี่หน่อย” มือหนาตบลงบนโซฟาข้างๆ เขาสองสามทีคล้ายจะให้ฉันลงไปนั่ง ฉันขมวดคิ้วงุนงงแต่ก็เดินไปนั่งตามที่เขาต้องการแล้วหันไปถามด้วยสีหน้าสงสัยอีกครั้ง เอริคคิดจะทำอะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย…

“ทำไมคะ… อ๊ะ”

หมับ! พรึ่บ!

“คุณ… คุณเอริค จะทำอะไรน่ะ!” จู่ๆ ท่อนแขนแข็งแรงก็คว้าเอวบางแล้วดึงตัวฉันเข้าไปใกล้และทำให้ฉันเซไปนั่งลงบนตักแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันเบิกตาโพลงพร้อมกับใช้มือดันแผงอกกำยำให้ออกห่างเล็กน้อย แต่เอริคกลับยกยิ้มมุมปาก สายตาคมดุดันวาววับอย่างเจ้าเล่ห์จ้องมองมาไม่เลิกจนฉันเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่าหน่อยๆ ให้ตายสิ หยุดใจเต้นตึกตักเดี๋ยวนี้นะยัยโมนา!

“หึ”

“นี่คุณ… อ๊ะ!”

และแล้วสติของฉันก็แตกกระเจิงหายไปหมดทันทีที่เอริคโน้มลงมากดจูบที่เนินอกของฉันจนรู้สึกเจ็บ ฉันได้แต่นั่งนิ่งกำเสื้อยืดของเขาเอาไว้แน่น อยากจะผลักเอริคให้ออกห่างแต่สมองกับร่างกายมันสวนทางกันอย่างน่าหงุดหงิด และพอริมฝีปากอุ่นเริ่มซุกไซ้ต่ำลงมาเรื่อยๆ ฉันก็เผลอจิกเล็บลงไปบนลำคอแกร่งโดยไม่รู้ตัว…

“จิกทำไม โมนา”

เอริคเงยหน้าจากการซุกไซ้เนินอกฉันขึ้นมาถาม เขายังจะมีหน้ามาถามอีกงั้นเรอะ?! ฉันไม่ข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาก็ดีแต่ไหนแล้ว!“ก็… ก็คุณทำบ้าอะไรของคุณคะ ปล่อยฉันลงเลยนะ!”

หมับ!

“หึ แค่จะขอบคุณสำหรับกาแฟ” ฉันกำลังจะลุกขึ้นยืนแต่เอริคก็จับเอวบางแล้วเป็นฝ่ายพลิกขึ้นมาคร่อมฉันบนโซฟาด้วยความรวดเร็วแทน บ้าชะมัด! นี่มันคำขอบคุณประเทศส่วนไหนของโลก ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้เห็นประเทศไหนเขาขอบคุณกันแนบแน่นแบบนี้มาก่อนเลยนะ! แถมดูจากสายตาเจ้าเล่ห์วาววับอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งฉันแล้ว ฉันก็เริ่มหวั่นๆ ขึ้นมาว่าเอริคคงกำลังคิดจะหาเรื่องอะไรมากวนประสาทใส่ฉันอีกแน่ๆ!

“อย่าแกล้งฉันแบบนี้นะคุณเอริค”

“ไม่ได้แกล้ง”

“นี่! อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ..”

เชื่อก็บ้าแล้ว! ดูยังไงเขาก็สนุกที่ได้แกล้งฉันชัดๆ เหอะ! เอาหัวเป็นประกันเลย แล้วยิ่งเอริคโน้มใบหน้าลงมาใกล้ฉันมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งประหม่ามากกว่าเดิม แถมยังได้กลิ่นบุหรี่ผสมกับกลิ่นโคโรญจางๆ จากเขาอีกต่างหาก ให้ตายเถอะ เขาจะใกล้ฉันเกินไปแล้วนะยะ!

ก๊อกๆ ๆ

“คุณเอริคคะ คุณคารอฟท์มาถึงแล้วค่ะ”

ผลั่ก! ตุบ! พรึ่บ!

“อึก โมนา… นี่เธอ“ ฉันที่ตกใจเสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกของเลวี่หลังบานประตูห้องทำงานเลยเผลอยกเท้าที่ใส่ร้องเท้าส้นสูงสีแดงแหลมปี๊ดถีบเอริคที่กำลังคร่อมร่างกายฉันไว้แรงกว่าที่คิด บ้าจริง ก็ฉันตกใจและกลัวว่าจะมีคนมาเห็นสภาพของเราสองคนเข้าน่ะสิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่ฉันเลยไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง… เท้ามันก็กระตุกไปเองโดยอัตโนมัติน่ะนะ เหอะ

“คุณ… คุณแกล้งฉันก่อนเองนะ”

ฉันลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว ส่วนเอริคก็นั่งกุมหน้าท้องตัวเองอยู่บนโซฟาพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสายตาดุดันน่ากลัว ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง ฉันว่าฉันถีบเอริคแรงแล้วนะแต่เขาแค่เอนตัวกระแทกขอบโซฟาเองเหรอ ชิ!

“โอเค เดี๋ยวออกไป”  เดี๋ยวคุณคาลอฟท์จะรอนาน”

“หึ ระวังตัวไว้ให้ดี โมนา”

เสียงเข้มต่ำที่เอ่ยบอกราบเรียบทำให้ฉันต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ที่เอริคบอกเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันน่ะ ระวังอะไร? เอ่อ… เขาจะงับหัวฉันจริงๆ ใช่ไหม? แล้วทำไมต้องทำท่าทางน่ากลัวแบบนั้นด้วยเล่า! ฉันแค่เผลอถีบเขาด้วยรองเท้าส้นสูงสีแดงส้นแหลมปี๊ดเองนะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยนักสิ!

และหลังจากที่ฉันกับเอริคเดินลงไปต้อนรับคุณคาลอฟท์ที่ชั้นล่างของบริษัท ตอนนี้เราสามคนก็ได้มานั่งรวมตัวกันที่ห้องทำงานของเอริคอีกครั้ง ขณะที่พูดคุยกันคุณคาลอฟท์หัวเราะออกอย่างอารมณ์ดีเหมือนไม่ใช่คนไม่คิดมากอะไร เขาดูเป็นคนเฟรนลี่กว่าที่คิดเยอะเลย แถมท่าทางทำตัวตามสบายไม่ต่างจากเอริคเท่าไหร่… จะต่างก็ตรงการแต่งตัวของคุณคาลอฟท์ที่ดูเป็นนักธุรกิจกว่าน่ะนะ

“คุณเอริคดูเป็นคนชิวๆ ดีนะครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะเป็นผู้บริหารที่ใส่สูทเนียบๆ ซะอีก”

“ผมไม่ชอบใส่สูทน่ะ”

เหอะ คุณคาลอฟท์ดูเฟรนลี่อัธยาศัยดี แต่เอริคนี่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เรานั่งคุยเรื่องงานกันจบและตอนนี้กำลังคุยกันเรื่อยเปื่อยฉันก็เห็นแต่คุณคาลอฟท์ชวนเอริคคุยอยู่ฝ่ายเดียว อย่างน้อยเขาก็ช่วยทำหน้าตาให้ดูเป็นมิตรกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงกันยะ

“ว่าแต่ วันนี้เลิกงานโมนามีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่าครับ?”

“เอ๊ะ… ทำไมเหรอคะ?”

จู่ๆ คุณคาลอฟท์ก็หันมาถามฉันที่นั่งข้างเอริคแทน จนฉันที่กำลังคิดอะไรฟุ้งซ่านถึงกับกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเขากลับไปด้วยความงุนงงปนสงสัย ส่วนเอริคก็จ้องหน้าคุณคาลอฟท์นิ่งไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

“ผมว่าจะชวนโมนาไปทานข้าวน่ะ คุณเอริคคงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าวันนี้ผมจะขอยืมตัวเลขาของคุณหน่อย” คุณคาลอฟท์หันไปจ้องหน้าเอริคแล้วยิ้มกริ่มคล้ายกำลังสนุกกับอะไรบางอย่างจนฉันเริ่มอึกอักอย่างทำตัวไม่ค่อยถูก

“ฉัน..”

“ไม่ได้ โมนาต้องช่วยผมทำงานต่อ”

และฉันยังไม่ทันจะอ้าปากบอกคุณคาลอฟท์จบประโยคดีด้วยซ้ำเอริคกลับพูดแทรกแล้วเอาท่อนแขนแข็งแรงมาโอบไหล่ฉันเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม ฉันนั่งนิ่ง กะพริบตามมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความสับสนมึนงงทันที อะไรกันล่ะเนี่ย เอริคทำอะไรของเขาน่ะ?!

“งั้นเหรอครับ… ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับโมนา”

“เอ่อ… ได้ค่ะ”

ฉันพนักหน้าหงึกหงักกลับไปให้คุณคาลอฟท์ด้วยความรวดเร็ว และไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นคุณคาลอฟท์เหลือบมองมาแถวคอเสื้อของฉันแล้วยกยิ้มเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง จนพอฉันลองมองตามสายตาของเขาถึงได้นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ และแทบจะสติแตกทันทีที่รับรู้ว่าคอเสื้อฉันมันอ้ากว้างกว่าเดิม แถมมันยังมีรอยจูบเป็นจ้ำบางๆ ที่เอริคทำไว้ให้ดูเป็นขวัญตาอีกต่างหาก ให้ตายสิ นี่เขาทำมันเป็นรอยแดงขนาดนี้เลยเหรอ! ฉันว่าตอนแรกมันก็คงไม่เห็นหรอกถ้าเอริคไม่ใช้ท่อนแขนกำยำมาโอบไหล่เพื่อดึงตัวฉันเข้าไปใกล้แบบนั้นน่ะ บ้าจริง!

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีต้องไปประชุมที่บริษัทต่อน่ะ… แล้วเจอกันนะครับ โมนา”

“ละ… แล้วเจอกันค่ะคุณคาลอฟท์”

คุณคารอฟท์ส่งยิ้มหล่อละลายใจมาให้ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของเอริคไป ส่วนฉันก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปแทน และพอเห็นว่าคุณคาลอฟท์ออกไปแล้วฉันก็หันขวับไปจ้องมองเอริคอย่างขุ่นเคืองทันที

“อะไร มองแบบนั้นทำไมโมนา”

นี่เขายังจะมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอว่าทำไม ก็เพราะเขาไม่ใช่หรือไงฉันถึงต้องมามีเรื่องน่าอายต่อหน้าแขกขนาดนี้น่ะ! “คุณทำแบบนี้ได้ยังไงคะ!”

“ทำอะไร”

เอริคหันมาถามฉันด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่เต็มไปด้วยความกวนประสาท ให้ตายสิ! ฉันเม้มริมฝีปาก อยากจะพูดแต่ก็อึกอักอย่างบอกไม่ถูก “ก็คุณ…”

“ฉันทำอะไร”

ทำไมเอริคถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะกวนประสาทได้น่าโมโหขนาดนี้ นี่ฉันคิดถูกแล้วใช่ไหมที่เข้ามาทำงานเป็นเลขาส่วนตัวให้เขาน่ะ?! ฉันฉันสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะสบกับสายตาคมดุดันอย่างจริงจัง แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจฉันถึงได้เต้นแรงทุกครั้งที่มองเห็นรอยจูบที่เขาทำไว้ก็ไม่รู้สิ… หรือว่าฉันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เนี่ย!

“ก็คุณ… คุณทำมันเป็นรอย! แล้วคุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้นะ… คุณเอริค”

“หึ งั้นจะทำให้มีสิทธิ์เลยดีมั้ย”

“นี่… นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” ฉันกะพริบตาปริบๆ พลางก้าวถอยหนีร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ทันที แต่เขายังคงเดินเข้ามาใกล้ฉันไม่หยุดจนสะโพกฉันชนกับขอบโต๊ะทำงานของเขาโดยไม่รู้ตัว…

“ก็จะทำให้มีสิทธิ์ไง โมนา”

หมับ!

“อ๊ะ… คุณบ้าไปแล้วเหรอ เอริค!”

ฉันเบิกตาโพลงและร้องเสียงหลงด้วยความตกใจทันทีที่เอริคอุ้มฉันขึ้นพาดบ่ากว้าง จากนั้นเขาก็เดินไปที่โซฟาท่าทางไม่รีบร้อน ท่อนแขนแข็งแรงล็อกรอบเอวบางไว้แน่น ฝ่ามือหนาอีกข้างก็ยกขึ้นมาจับสะโพกกลมกลึงไม่ให้ขยับหนี ฉันอ้าปากพะงาบๆ รวบรวมสติของตัวเองแล้วทุบแผ่นหลังบึกบึนของเขาสุดแรง แต่เอริคกลับนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น บ้าจริง เขาคิดจะทำอะไรอีกแล้วเนี่ย!

“หึ เดี๋ยวก็รู้ว่าบ้าหรือไม่บ้า”

“ปล่อยฉันนะ!”

ฟุ่บ!

“อยากให้คนทั้งบริษัทได้ยินรึไง โมนา” เอริควางฉันลงบนโซฟานุ่มนิ่มในห้องทำงานของเขาแล้วเอริคก็คร่อมร่างกายฉันไว้พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ส่งมาให้จนฉันต้องยกมือดันแผงอกกำยำเอาไว้แต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดี ให้ตายเถอะ น่าหงุดหงิดชะมัดเลย!

“เอริค คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

“หึ สงสัยจะจริง”

“เอริค เดี๋ยว… อื้อ!” เสียงห้ามของฉันถูกกลืนไปจนหมดเมื่อเอริคสอดแทรกลิ้นเปียกชื้นเข้ามาตวัดลิ้นเล็กด้วยความช่ำชองจนฉันไม่ทันตั้งตัว มือบางทุบไหล่แกร่งอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดจูบดูดดื่มอย่างเร่าร้อนออกสักที ให้ตายสิ ฉันเริ่มจะควบคุมสติตัวเองไว้ไม่ได้แล้วนะ อีกอย่าง… ทำไมฉันถึงรู้สึกดีกับจูบของเอริคแบบนี้กันยะ?!

“หึ”

เอริคผละริมฝีปากออกแล้วสบสายตากับฉันนิ่ง สายตาคมวาววับดุจเสือร้ายยิ่งทำให้แววตาฉันสั่นไหวพลางหอบหายใจแรงอย่างหวาดหวั่นกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำไมฉันต้องใจเต้นแรงเพราะเอริคในสภาพแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ฉันควรตั้งสติหน่อยสิโว้ยย!

“อะ… เอริค”

“โมนา ผ่อนคลายไว้”

“คุณจะทำอะไร… อ๊ะ!”

ฉันปรือตามองเอริคพร้อมกับสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด แต่ทำได้เพียงไม่นานเอริคก็โน้มลงมาประกบริมฝีปากฉันไว้อีกครั้ง เขาแทรกลิ้นเปียกชื้นเข้ามาตักตวงความหวานจากโพรงปากฉันลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม ฉันส่งเสียงอู้อี้ในลำคออยากจะผลักเขาออกแต่เรี่ยวแรงก็หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ และทำได้แต่กำเสื้อยืดของเขาไว้แน่นจนมันยับยู่ยี่โดยไม่รู้ตัว…

ฝ่ามือหนาซุกไซ้เข้ามาในเสื้อเชิตสีขาวของฉันขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้แผ่นหลังบางไปมาอย่างหยอกเย้า ร่างกายของเราสองคนแนบชิดกันมากกว่าทุกครั้ง มันแนบชิดจนฉันกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจฉันที่เต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง สมองมึนเบลอกับสัมผัสอบอุ่นที่เขาลูบไล้ไปมาไม่ห่าง บ้าชะมัด… ตอนนี้ความรู้สึกของฉันทั้งสับสน และงุนงงตีกันไปหมดแล้วนะ!

พรึ่บ!

ฉันชะงักกึก นอนนิ่งทันทีที่ตะขอบราเซียร์ของตัวเองหลุดออกจากกัน ฉันกะพริบตาปริบๆ และพอสติเริ่มกลับมา มือที่กำเสื้อยืดของเอริคเอาไว้แน่นก็เริ่มดันแผงอกกำยำให้ออกห่างอีกครั้ง แต่ไม่นานสัมผัสแสนอบุอ่นจากเอริคก็ทำให้ทุกอย่างที่ฉันจะทำมันดูยากเย็นอย่างน่าหงุดหงิด เรี่ยวแรงที่จะใช้ทุบแผงอกของเขาก็เริ่มลดลงทันที่มือหนาจับข้อมือฉันขึ้นไปคล้องรอบลำคอแกร่งแทน แถมแขนไม่รักดีของฉันกลับทำตามเขาอย่างง่ายดายอีกต่างหาก ให้ตายสิ!

“หึ หายใจช้าๆ” เอริคผละริมฝีปากออกแล้วกระซิบเสียงเข้มต่ำข้างใบหูอย่างเย้าแหย่ ฉันหอบหายใจแรงแล้วรีบสูดเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ด้วยความเร่าร้อน แต่มันเพราะจูบของเขาไม่ใช่หรือไงฉันถึงเกือบขาดอากาศหายใจตายน่ะ!

“คือฉัน…”

ฉันบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าขาดห้วงอย่างน่าอายก่อนจะต้องรีบกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ดวงตากลมโตหรี่ปรือมองใบหน้าหล่อเหลา เมื่อมือหนาลูบไล้ต้นขาเรียวที่โผล่พ้นกระโปรงของฉันขึ้นมาเรื่อยๆ จากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็จูบซุกไซ้ซอกคอฉันอย่างใจเย็นคล้ายกำลังจะแกล้งให้ฉันสติแตกมากกว่าเดิม…

“ทำไมโมนา”

“อะ… เอริค”

ฉันหลับตาพริ้มทันที่ที่ริมฝีปากอุ่นขบเม้มยอดอกที่แข็งชูชันอย่างช่ำชอง ลิ้นเปียกชื้นไล่เลียแผ่วเบาแล้วเปลี่ยนเป็นดูดดึงด้วยความเร่าร้อนจนฉันเสียวซ่าน และจิกเล็บลงไปบนลำคอแกร่งแรงๆ เพื่อคลายความร้อนรุ่มลง ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจยังคงเต้นตึกตักไม่หยุดหย่อน แถมยังรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมซะแก ให้ตายสิ ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!

“เป็นอะไร”

“คุณ… คุณหยุดก่อน ฉันว่า…”

ลำคอของฉันแห้งผากจนเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าขาดห้วง ฉันเม้มริมฝีปาก รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่เคยถูกสัมผัสลึกซึ้งแบบนี้จากใคร ถึงจะเที่ยวผับเที่ยวบาร์กับเพื่อนบ่อยๆ แต่ฉันก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้กับใครขนาดนี้ แต่กลับเอริคทำไมฉันถึงได้..

Options

not work with dark mode
Reset