Double รักร้ายคูณสอง 17

ตอนที่ 17

ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความงุนงง เดี๋ยวสิ… ถึงฉันจะเป็นคนขอให้เขาช่วยก่อนก็จริง แต่แบบนี้มันแปลกๆ ไปหน่อยไหมนะ อีกอย่าง… เจนนี่ก็เป็นคู่หมั้นเขาด้วยเนี่ยสิ ให้ตายเถอะ!

“คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย?”

“อือ ไม่ล้อเล่น”

“แต่เจนนี่เป็นคู่หมั้นคุณอยู่ไม่ใช่รึไง ถ้าฉันทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าฉันคิดจะแย่ง…”

“เจนนี่ไม่ใช่คู่หมั้นฉันอีกแล้ว”

“อะไรนะ?!” ฉันกะพริบตาปริบๆ มองหน้าเอริคอย่างมึนงงปนสงสัยไม่หาย

“ก็อย่างที่บอก”

“เดี๋ยวนะ… คุณไม่ได้เป็นคู่หมั้นเจนนี่แล้วเหรอ? งั้น…”

งั้นที่ฉันคิดฟุ้งซ่านบ้าบอที่บ้านพักเรื่องที่เผลอตัวเผลอใจเพราะบรรยากาศพาไปกับเอริคที่บ้านพักของเขามันคืออะไรยะ! ฉันก็คิดหนักเรื่องแบบนี้เหมือนกันนะ นึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่ไปแย่งคู่หมั้นคนอื่นซะแล้วสิเนี่ย!

“ฉันโทรไปยกเลิกเรื่องนี้กับพ่อของเจนนี่แล้ว”

เอริคเอ่ยบอกพลางยักไหล่ แล้วตักสปาเก็ตตี้ในจานกินต่อหน้าตาเฉย ปล่อยให้ฉันนั่งอ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ ฉันกะพริบตาตั้งสติก่อนจะถามเขาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“ตั้งแต่… ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”

“เดือนที่แล้ว” เดือนที่แล้วงั้นเรอะ!? อย่างนี้ก็นานแล้วน่ะสิ ให้ตายเถอะ แถมเขายังมีอะไรกับฉันโดยไม่คิดจะบอกอะไรฉันบ้างเลยหรือไงกันน่ะ?!

“ทำไมคุณถึงไม่บอกฉัน”

“เคยบอกแล้ว” ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ เอริคพูดอะไรกันน่ะ… เขาเคยบอกฉันด้วยงั้นเหรอ

“ตอนไหนคะ? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินคุณพูดเรื่องนี้เลย”

“ช่างมันเถอะน่า” เอริคมองหน้าฉันสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ส่วนฉันก็ทำได้เพียงแค่กรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เหอะ ฉันอุตส่าห์คิดมากเรื่องคู่หมั้นของคุณ บ้าจริง…”

“คิดมากทำไม”

“ก็เราสองคนมี เอ่อ…”

ฉันรีบหุบปากฉับทันทีที่รู้ตัวว่าเกือบจะพูดอะไรออกมา เอริคเลิกคิ้วเข้มพลางยกยิ้มมุมปากและมองฉันด้วยสายตาคมวาววับอย่างเจ้าเล่ห์ทันที

“หึ เราสองคนทำไมงั้นเหรอ โมนา”

“เปล่า… ไม่อะไรหรอกค่ะ ช่างมันเถอะ”

ฉันกระแอมแล้วตอบเสียงตะกุกตะกักอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะรีบหลบสายตาคมดุจหมาป่าไปทางอื่นด้วยความรวดเร็ว ให้ตายสิ ฉันอยากจะตบปากตัวเองจริงๆ ไม่น่าเผลอพูดให้เขามีโอกาสหาเรื่องกวนประสาทใส่เลย บ้าชะมัด!

“ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันรับผิดชอบเอง”

ฉันหันขวับกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาจนคอแทบเคล็ด เมื่อกี้เขาบอกว่าจะรับผิดชอบงั้นเหรอ? รับผิดชอบอะไรของเขากัน… ฉันไม่ได้ต้องการให้เอริคมารับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด ยังไงฉันก็ยินยอมพร้อมใจและเผลอไผลไปเอง ถึงแม้ช่วงนี้จะสับสนไปหน่อยก็ตาม แต่ฉันไม่ได้อยากให้เขามารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ระหว่างเรามันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ก็เท่านั้นเอง…

“คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรฉันหรอกค่ะ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าไม่ซีเรียสอะไร”

“โมนา”

ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างประหม่าหน่อยๆ เมื่อเสียงเข้มต่ำเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของฉันเท่าไหร่นัก เหอะ อะไรของเขากันล่ะ เรื่องแค่นี้จะหัวร้อนทำไมไม่ทราบ…

“ฉันหมายความแบบนั้นค่ะ ฉันเป็นเลขาของคุณ”

ฉันสบกับสายตาคมดุดันเหมือนไม่สนใจอย่างที่พูด ถึงแม้ในใจจะกระตุกและเจ็บจี๊ดนิดๆ ก็เถอะ บ้าจริง เลิกฟุ้งซ่านเพราะเอริคสักที เขาก็ชอบกวนประสาทหรือปั่นหัวให้ฉันหงุดหงิดเล่นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ!

“หึ ระวังจะได้เป็นอย่างอื่นแทน”

ฉันเบิกตาโพรงพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นตึกตักระรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ เอริคพูดบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย เป็นอะไรฉันก็ไม่เป็นทั้งนั้นแหละ ฉันเป็นเลขาย่ะ… ท่องไว้โมนา แก! เป็น! เล! ขา!

“ฉัน… ฉันอิ่มแล้ว เรากลับคอนโดกันเถอะค่ะ ฉันต้องไปหาเพื่อนต่อ”

“แล้วข้อแลกเปลี่ยนล่ะ ว่าไง”

“ก็ได้ค่ะ ฉัน… ตกลง” ฉันนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้ามองเอริคอีกครั้งอย่างขุ่นเคืองหน่อยๆ แต่เขากลับอารมณ์ดีที่เห็นฉันหงุดหงิดซะได้ น่าโมโหชะมัดเลย!

“หึ ดี”

เสียงทุ้มต่ำพึมพำอย่างพอใจพร้อมกับสายตาคมดุดันมองใบหน้าฉันนิ่ง แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของเอริคก็ดังขึ้นซะก่อน เขาหยิบขึ้นมากดรับสาย ไม่กี่นาทีต่อมาคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเล็กน้อย จากนั้นเอริคก็สถบออกมาเบาๆ แล้วกดตัดสายด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“เอ่อ… มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ไอ้ออสจะให้เธอไปช่วยงาน” ฉันกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่ค่อยอย่างเชื่อหูตัวเอง ไอ้งานใส่ชุดกระต่ายบ้าบอนั่นอีกแล้วหรือไงน่ะ!

“ถ้าจะให้ใส่ชุดกระต่ายนั่นอีกฉันคง…”

เอริคถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ให้หายหงุดหงิด “มันบอกว่างานนี้ไม่ต้องใส่ชุดคอสเพล”

“จริงเหรอคะ? แล้วออสตินให้ฉันไปทำอะไรน่ะ”

“ไม่รู้ มันบอกไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” อีกแล้วเหรอ… ไอ้คำพูดกำกวมแบบนี้อีกแล้วงั้นเรอะ?! ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดแบบนี้ของออสตินเท่าไหร่เลย ให้ตายเถอะ

“เอ่อ… คือฉัน”

“มันฝากบอกว่าให้ค่าจ้างมากกว่าครั้งที่แล้ว แต่เธอไม่ต้อง…”

“โอเคค่ะ เราไปกันเลยมั้ยคะ? เดี๋ยวออสตินจะรอนาน”  แต่ออสตินนี่ก็ช่างแสนรู้ดีจริงๆ ว่าถ้าเอาเรื่องเงินๆ ทองๆ มาล่อแบบนี้ ฉันก็ต้องยอมอยู่แล้วสิยะ ไม่ใช่ว่าฉันเห็นแก่เงินหรืออะไรหรอกนะ แต่เงินมันก็สำคัญสำหรับฉันอยู่ไม่น้อย เหอะ!

“งั้นกลับคอนโดก่อน แล้วค่อยไป”

“โอเคค่ะ เอางั้นก็ได้”

หลังจากที่ฉันกับเอริคกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดฯ เสร็จ เขาก็ขับรถพาฉันมาหาออสตินที่ผับ พอมาถึงลูกค้าที่ร้านก็เริ่มมากันจนโต๊ะด้านหน้าเกือบเต็มแล้ว ฉันเลยโทรไปบอกเดล่าว่าถ้ามาถึงแล้วให้โทรบอกก่อน เพราะฉันมีธุระนิดหน่อย ซึ่งธุระที่ว่าก็คืองานที่ออสตินจะให้ฉันช่วยนี่แหละ…

หมับ

เท้าเรียวชะงักกึกเมื่อจู่ๆ ท่อนแขนแข็งแรงก็โอบรอบเอวบางไว้จนแผ่นหลังฉันแนบชิดกับแผงอกกำยำ ฉันเงยหน้ามองร่างสูงตาปริบๆ ด้วยความงุนงง เขาเลิกคิ้วแล้วโน้มมาเอ่ยถามข้างใบหูอย่างไม่สะทกสะท้าน

“มองอะไร”

“ก็คุณ…”

“เดินไปเถอะน่า” ฝ่ามือหนาดันหลังให้ฉันเดินไปตามทางเพื่อขึ้นไปหาออสตินที่ชั้นสอง แต่คนตรงทางขึ้นบันไดเยอะเกินไปจนฉันต้องเบียดเสียดผู้คนและคอยหลบอย่างยากลำบาก

หมับ!

“อ๊ะ…”เอริคทำอะไรของเขาเนี่ย จะกอดฉันไว้ทำไมไม่ทราบยะ!

“มึงจะทำอะไร?”

เสียงเข้มต่ำที่ดังขึ้นข้างใบหูอย่างหัวเสีย ฉันกะพริบตาด้วยความสงสัย พอเหลือบมองไปทางด้านหลังของตัวเอง ก็ต้องขมวดคิ้วมึนงงทันทีที่เห็นเอริคกำลังจับข้อมือของผู้ชายอีกคนเอาไว้แน่นอย่างไม่พอใจและน่ากลัว

“ปะ… เปล่า ไม่ได้ทำอะไรโว้ย!” ผู้ชายคนนั้นกระชากข้อมือตัวเองออกจากมือของเอริคอย่างล่อกแล่กมีพิรุธด้วยความรวดเร็ว

“แต่กูเห็น”

“ก็กูบอกว่าไม่ได้ทำอะไรไงวะ!” ผู้ชายคนเดิมทำท่าทางโมโหกลบเกลื่อนแล้วรีบเดินหนีเอริคไปอีกทาง ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ทันทีที่เห็นว่าเอริคหงุดหงิดจนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว เขาหงุดหงิดอะไรขนาดนั้นล่ะเนี่ย

“มึงจะหนีไปไหน…”

หมับ!

“เอริค อย่า”

ฉันรีบกอดรอบเอวสอบเอาไว้แน่นก่อนที่เอริคจะเดินไปต่อยผู้ชายคนนั้นซะก่อน เขาสถบคำหยาบคายออกมาอย่างหัวเสีย จากนั้นก็หันมาจ้องมองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมดุดันพลางเอ่ยบอกท่าทางไม่สบอารมณ์ทันที

“แต่มันจะจับนมเธอนะโมนา”

“อะ…. อะไรนะ?! ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ” เดี๋ยวสิ… ไอ้บ้านั่นจะจับหน้าอกฉันงั้นเหรอ?! แล้วเอริครู้ได้ยังไงน่ะ ขนาดฉันเดินอยู่ข้านหน้าเขาแท้ๆ ยังไม่เห็นว่ามีใครจะมาจับหน้าอกของตัวเองเลย

“ก็มัวแต่ยืนซื่อบื้ออยู่ไง”

ฉันอ้าปากพะงาบๆ ยืนนิ่งอึ้งเงยมองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วเข้มมุ่นอย่างขุ่นเคืองหน่อยๆ นี่เอริคด่าว่าฉันซื่อบื้อเรอะ! เหอะ ซื่อบื้อบ้าอะไรกันล่ะ เพราะอยู่ดีๆ เขาก็มากอดฉันนั่นแหละ สติฉันถึงได้ล่องลอยไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ!

“คุณอย่ามาว่าฉันแบบนี้นะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมาแตะเนื้อต้องตัวฉันแนบชิดขนาดนั้น ฉันก็คงมีสติมากกว่านี้อยู่หรอก”

“หึ แค่ฉันแตะตัวเธอก็ทำให้ไม่มีสติคิดอย่างอื่นเลยรึไง”

เอริคโน้มลงมากระซิบข้างใบหูเสียงเข้มต่ำแหบพร่า ฉันถึงกลับกลืนน้ำลายลงคอดังอึกอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะกระแอมแล้วรีบหลบสายตาคมไปมองทางอื่นด้วยความรวดเร็ว

“เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น…”

“แต่ฉันว่ามันเป็นแบบนั้นนะ”

“นี่เอริค ก็ฉันบอกว่า…”

หมับ!

“หึ แล้วถ้าทำแบบนี้เธอคงมีสติอยู่สินะ โมนา” จู่ๆ ร่างสูงก็เดินมาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันถอยหนีขึ้นมาอยู่ตรงมุมบันไดชั้นสองโดยไม่รู้ตัว ฉันเม้มริมฝีปาก พยายามสูดหายใจเพื่อรวบรวมสมาธิทันทีที่ฝ่ามือหนาลูบไล้ขาเรียวที่โผล่พ้นชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงของฉันขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างเย้าแหย่

“ชะ… ใช่ค่ะ ฉันมีสติดีมากเลยล่ะ” ดีกับผีน่ะสิ! ตอนนี้หัวใจฉันเต้นตึกตักแข่งกับเสียงดนตรีในผับแทบเด้งออกมากระโดดดึ๋งๆ ด้านนอกแล้วเนี่ย บ้าที่สุด เอริคกำลังกวนประสาทฉันเล่นอีกแล้วสินะ!

“หึ งั้นก็ดี”

“เอริค… อย่าแกล้งฉันแบบนี้นะ” ฉันพูดเสียงตะกุกตะกักอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อริมฝีปากอุ่นซุกไซ้ซอกคอหอมไปมาจนฉันเริ่มทำตัวไม่ค่อยถูก

“อะไร ไม่แกล้งสักหน่อย”

ให้ตายเถอะ เขาบอกว่าไม่ได้แกล้ง แต่มือหนากลับยังคงลูบคลำซุกซนอยู่ที่ต้นขาของฉันไม่ปล่อยแบบนี้น่ะนะ! ฉันกัดริมฝีปากล่างแล้วสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นไปทาบทับแผงอกกำยำแล้วค่อยๆ ลูบไล้แผ่วเบาไม่ต่างกัน เอาสิ… เอริคจะเล่นแบบนี้สินะ เหอะ คิดว่าฉันจะยอมแพ้หรือไงกัน!

“ฉันก็จะทำให้คุณไม่มีสติเหมือนกันเอริค ดูซิว่าใครจะสติแตกก่อนกัน”

“หึ จะรอดูเลย โมนา”

“คุณนี่มันน่าโมโหชะมัด…” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองเสียงเบาอุบอิบ แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือหนาอีกข้างจับเอวบางแล้วดึงตัวฉันให้เข้าไปใกล้เขามากขึ้นกว่าเดิม

“ไง ทำอะไรต่อดีล่ะ”

เอริคยกยิ้มมุมปากพลางเลิกคิ้วมองฉันอย่างท้าทาย ฉันเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเอื้อมมือไปจับบ่ากว้าง สูดหายใจลึกๆ เชิ่ดหน้าเล็กน้อย สบกับสายตาคมวาววับด้วยความเย้ายวน แล้วค่อยๆ ลูบไล้กรอบหน้าคมคายแผ่วเบา จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้นไปประกบริมฝีปากอุ่นเบาๆ อย่างไม่เกรงกลัว คนอย่างโมนาไม่สติแตกง่ายๆ เพราะคำท้าทายของเอริคหรอกย่ะ!

“หึ”

“อ๊ะ… อื้อ!” ฉันเบิกตาโพรงทันทีที่ลิ้นเปียกชื้นตวัดลิ้นเล็กไปมาอย่างช่ำชองโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือหนายังคงลูบไล้ที่เอวบางจนร่างกายฉันเริ่มร้อนรุ่มแปลกๆ แค่เขาสัมผัสฉันเพียงเล็กน้อย ฉันกลับประหม่าและใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแล้ว ให้ตายเถอะ…

“ไหน ใครกันจะทำให้ฉันสติแตก”

เสียงจูบเร่าร้อนดังขึ้นเมื่อเอริคผละริมฝีปากออกพลางขบเม้มริมฝีปากล่างของฉันอย่างหยอกเย้า ก่อนเขาจะโน้มลงมาสบสายตากับฉันเหมือนหมาป่ากำลังจ้องงับเหยื่อที่แสนหวาน… ฉันเม้มปากและพยายามควบคุมสติที่แตกกระเจิงของตัวเองทันที

“จูบ… จูบของคุณก็พอใช้ได้ แต่แค่นี้ฉันสบายมาก สติครบถ้วนดีมากเลยค่ะ”

“หึ แค่พอใช้ได้งั้นเหรอ”

ฉันฉีกยิ้มกว้างพลางยักไหล่ทำเป็นไม่ใส่ใจกับจูบดูดดื่มของเขา แต่มือกลับกำบ่ากว้างด้วยความประหม่าโดยไม่รู้ตัวซะงั้น โอ๊ย ยัยบ้าโมนา ตั้งสติไว้ ตั้งสติ!

“ค่ะ… หรือคุณสติหายไปกับจูบเมื่อกี้กันล่ะ”

“หึ ไม่รู้ ต้องลองอีกรอบ” พูดจบเอริคก็โน้มลงมากระซิบแล้วใช้ฟันขบเม้มที่ใบหูของขาวจนฉันสะดุ้งและรู้สึกสยิวอย่างบอกไม่ถูก เขาทำบ้าอะไรกับหูฉันเนี่ย!

“อะ… เอริค”

“ว่าไง” ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกเมื่อริมฝีปากอุ่นจูบซุกไซ้ซอกคอฉันลงไปเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็กดจูบแรงๆ บริเวณเนินอกเต่งตึงจนฉันรู้สึกเจ็บจี๊ดและหอบหายใจแรง

“เอริค… เราต้องรีบไปหาออสตินนะ อ๊ะ…”

“มันรอได้น่า”

“แต่ฉันคิดว่าเราควรจะไปได้แล้ว” ฉันพูดไปมือไม่รักดีก็เผลอลูบซิกแพคแน่นๆ ของเอริคไปอย่างห้ามไม่อยู่ เอริคคำรามต่ำในลำคอแกร่งอย่างพอใจ กล้ามเนื้อแน่นๆ เกร็งเครียดขึ้นเล็กน้อย ฉันยกยิ้ม เหอะ อย่างน้อยฉันทำให้เอริคเสียการควบคุมได้บ้างล่ะน่า…

“ไอ้เอริค… โอ๊ะโอ! โทษที งั้นเดี๋ยวฉันไปรอข้างบนนะ เสร็จธุระด่วนกันแล้วก็อย่าลืมตามมาด้วยล่ะ หึ”

กึก!

ฉันชะงักกึกพร้อมกับอ้าปากพะงาบๆ เมื่อหันขวับไปเจอออสตินกำลังยืนมองเราสองคนและยิ้มกรุ้มกริ่มไม่เลิก ส่วนเอริคทำเพียงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนเขาจะถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ พอตั้งสติได้อีกครั้ง ฉันก็รีบดึงมือออกจากแผงอกกำยำที่ลูบไล้นัวเนียออก แต่ฝ่ามือหนากลับยังคงลูบไล้ต้นขาฉันไม่หยุด บ้าชะมัด เอริคจะหยุดลูบคลำเนื้อตัวฉันได้หรือยัง เพื่อนเขามองอยู่ไม่เห็นหรือไงยะ!

“คือ เอ่อ…”

ฉันกำลังอ้าปากอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ออสตินฟัง แต่เขากลับหันหลังเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสามของผับโดยไม่สนใจฟังฉันสักนิด ให้ตายสิ ออสตินต้องคิดว่าฉันกับเอริคแอบมาทำอะไรงามหน้าที่ผับของเขาแน่ๆ เลย!

“หึ งั้นเรามาต่อจากเมื่อกี้กันดีกว่า” ต่อบ้าต่อบออะไรกันเล่า! เพื่อนเขาเห็นขนาดนั้นจะต่ออะไรไม่ทราบ!

พรึ่บ!

“ฉันว่า… เรารีบไปกันดีกว่า”

ฉันอึกอึกแล้วดันแผงอกกำยำออก ขยับตัวมายืนจัดชุดเดรสสีแดงของตัวเองให้เรียบร้อยมากกว่าเดิม บ้าจริง! เนินอกของฉันมีรอยจูบเป็นจ้ำที่เอริคเป็นคนทำเอาไว้ด้วยเนี่ยสิ และไม่ว่าจะดึงชุดเดรสมาบังขนาดไหนมันก็ปิดไว้ไม่มิดอีกต่างหาก เอ่อ… หวังว่าคงไม่มีใครมาเห็นน่ะนะ ยังไงผับก็ออกจะมืดขนาดนี้

หลังจากที่ฉันรีบเดินดุ่มๆ หนีเอริคและเปิดประตูห้องพักชั้นสามของออสติน เขาก็หันไปถามเพื่อนตัวเองที่ยืนอยู่ด้านหลังฉันพร้อมกับยิ้มกริ่มไม่เลิกทันที

“มากันแล้วเหรอ ทำไมเร็วจังวะ”

“หึ เดี๋ยวกูจัดการทีหลัง”

ฉันหันขวับไปมองเอริคด้วยสายตาขุ่นเคืองจนคอแทบเคล็ด จัดการอะไรของเขาไม่ทราบ ฝันไปเถอะย่ะ! ฉันแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินไปนั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับออสตินทันที

“ตกลงยังจะให้ฉันช่วยงานอยู่มั้ยออสติน”

“อย่าดุนักสิโมนา แต่สงสัยเพราะเธอเป็นแบบนี้ล่ะมั้งไอ้เอริคถึง…”

“ถ้าไม่คุยฉันจะกลับแล้วนะ” ฉันรีบพูดแทรกก่อนที่ออสตินจะพ่นอะไรออกมาให้ฉันประหม่ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ บ้าชะมัด ตอนนี้ฉันยิ่งไม่อยากสบตากับเอริคตรงๆ อยู่ด้วย น่าอายจริง!

“โอเคๆ” ออสตินยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำท่ายอมแพ้พร้อมกับยกยิ้มมุมปากและยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่

เอริคเดินมานั่งข้างฉัน แล้วเอื้อมไปหยิบแก้วเหล้าบนโต๊ะออสตินชงดื่มด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วถามท่าทางสงสัย “ว่ามา”

“กูจะให้ช่วยแสดงอะไรสนุกๆ นิดหน่อย” ออสตินเหลือบฉันกับเอริคสลับกันไปมาแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ฉันขมวดคิ้วมุ่น ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ไว้ใจท่าทางแบบนั้นของออสตินยังไงก็ไม่รู้สิ แถมตอนนี้ยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ จนต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองป้อยๆ…

เอริคยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วขมวดคิ้วเข้มมองออสตินอย่างไม่ค่อยไว้ใจเช่นกัน “มึงจะให้แสดงอะไร?”

“มึงใช้แส้เป็นไม่ใช่เหรอ”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของออสิตินฉันก็เบิกตาโพรงเท่าไข่ห่าน เดี๋ยวนะ… นี่พวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แล้วแส้บ้าบอนั่นมันเกี่ยวอะไรกันไม่ทราบยะ?!

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset