Doombringer the 5th 89

ตอนที่ 89

Ch.89 – ผู้ที่ปิดกั้นท้องฟ้า

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 89

ผู้ที่ปิดกั้นท้องฟ้า

 

Part 1

 

ณ บริเวณต้นไม้ใหญ่บนเนินเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตา

ซาลกำลังอยู่ในอาการประหลาดใจ เพราะคำพูดของหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งบอกว่าจะให้รางวัลกับพวกเขา

แม้ซิสเตอร์จะบอกว่าเธอเป็นแค่ ‘ผู้เฝ้าดู’ แต่ด้วยตำแหน่งและอำนาจที่เขาเห็น เธอน่าจะเป็น ‘พระเจ้า’ หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในทั้งสามภพอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อได้ยินว่าเธอจะให้รางวัล

ท่าทางตื่นเต้นของซาลนั้นตรงกันข้ามกับซิสเตอร์ที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ก่อนจะกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันออกมา

“โฮ่~ ใจดีผิดคาดนะเนี่ย นึกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปแล้วซะอีก”

“เห? หมายถึงเรื่องอะไรเหรอครับ?”

ซาลเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจที่ซิสเตอร์พูด ซึ่งอีกฝ่ายก็โน้มตัวเขามาหาเขาก่อนจะพูดด้วยการกระซิบ

“ความจริงการปลดปล่อยวิญญาณของคนที่ตกค้างอยู่ในโลกเก่าก็นับว่าเป็นการสร้างความดีความชอบอย่างหนึ่งน่ะ ถึงจะไม่ใช่คำขอร้องของสวรรค์โดยตรง แต่สำหรับฝ่ายผู้ดีที่ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้องอย่างสวรรค์คงไม่สามารถอ้างว่า ‘ไม่ได้สั่งเลยไม่มีรางวัลให้’ ได้หรอก”

คำอธิบายของซิสเตอร์ทำให้ยูโน่ ทูตสวรรค์หนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว เพราะการใช้คำของเธอที่เหมือนกับการแดกดัน ส่วนซาลก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน

“แล้วตะกี้ทำไมถึงบอกว่าจะกลับแล้วล่ะ?”

“ก็แค่แกล้งทำไปงั้นแหละ อยากจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายน่ะ”

ซาลขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่าซิสเตอร์นี่ช่างชอบหาเลือกคนโดยไม่เลือกสถานที่และไม่เลือกคู่กรณีเลยจริง ๆ ในระหว่างนั้น หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“สำหรับเธอ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คงเป็นการนำครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันสินะ แต่ตอนนี้อำนาจของฉันจำกัดเขตอยู่แต่บนสวรรค์เท่านั้น เรื่องที่พอจะทำได้คงมีแค่อภัยโทษให้แม่ของเธอที่ฝ่าฝืนกฎและแอบลงไปยังโลก รวมถึงอนุญาตให้เขาสามารถอยู่บนโลกได้ แต่หากว่าเขาถูกทางโลกพบตัวและส่งตัวกลับขึ้นมา ฉันก็คงจะทำอะไรไม่ได้นะ”

เรื่องนี้ซาลพอจะรู้อยู่แล้วว่าปัญหาระหว่างโลกกับสวรรค์เกิดจากนโยบายของพีชคีปเปอร์ที่ต้องการจะกันสวรรค์ออกไป ทำให้เขานึกถึงปัญหานี้ขึ้นมาอีกครั้ง

ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ซิสเตอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา

“เฮ้ ๆ พูดเป็นเล่นไปน่า อภัยโทษและให้อยู่บนโลกได้งั้นเหรอ? แบบนี้มันต่างกับไม่ให้อะไรเลยตรงไหนกัน? นี่เธอคิดจะเอาเปรียบกระทั่งเด็กรึไง?”

ยูโน่แสดงอาการไม่พอใจออกมามากขึ้น ผิดกับหญิงสาวใต้ต้นไม้ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย และตอบกลับมาโดยสายตายังคงทอดยาวไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า ไม่ได้หันมามองยังคู่สนทนา

“ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไป ฉันก็พอจะมอบพลังพิเศษบางอย่างให้ได้อยู่ แต่เพราะข้อตกลงกับพีชคีปเปอร์ที่ไม่ต้องการให้เด็กที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์อยู่บนโลกด้วยน่ะ ทำให้การมอบพลังให้กับมนุษย์ครึ่งเทพกลายเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะงั้นฉันจะหาทางชดเชยให้กับเธอด้วยวิธีอื่นก็แล้วกัน”

คำพูดนั้นทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจมาก เพราะข้อตกลงระหว่างสวรรค์กับพีชคีปเปอร์ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เอ๋? มีกฎแบบนี้อยู่ด้วยเหรอครับ?”

ทันทีที่ซาลถาม ยูโน่ก็เป็นฝ่ายก้าวออกมาและอธิบายให้เขาฟัง

“สมัยก่อนผู้ที่มีเชื้อสายของชาวสวรรค์หรือเป็นลูกครึ่งเทพน่ะต่างก็มีพลังเหนือมนุษย์แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นพลังกาย, พลังเวทมนตร์, หรือความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพราะร่างจำแลงของทูตสวรรค์ที่ลงไปยังโลกยังคงมีพลังของทูตสวรรค์อย่างเต็มเปี่ยม ตอนที่ให้กำเนิดทารกออกมาจึงทำให้เด็กได้รับพลังบางส่วนติดมาด้วย

สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้ต่อต้านลัทธิบูชาเทพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ของโลก ต่างก็เกิดความกังวลว่าเหล่าลูกครึ่งที่มีความสามารถเหนือมนุษย์จะทำให้เกิดค่านิยมที่ไม่เป็นผลดีในระยะยาว คือผู้คนจะเกิดความนิยมชมชอบชาวสวรรค์หรือผู้สืบเชื้อสายของชาวสวรรค์มากกว่ามนุษย์ธรรมดา เพราะเห็นว่าทายาทที่มีกับชาวสวรรค์จะเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ แล้วในอนาคตโลกก็จะมีแต่ผู้สืบเชื้อสายของชาวสวรรค์มากกว่ามนุษย์ธรรมดาได้

ด้วยเหตุนี้จึงมีการร่างข้อตกลงให้หาทางจำกัดการถ่ายทอดพลังของทูตสวรรค์ให้กับผู้สืบเชื้อสาย เหล่าเด็กที่สืบสายเลือดจากชาวสวรรค์ในรุ่นหลัง ๆ จึงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร นั่นรวมไปถึงตัวเธอด้วย ส่วนทายาทรุ่นแรก ๆ ที่มีความสามารถพิเศษ ก็ถูกรับตัวขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ เพื่อไม่ให้อยู่ปะปนกับมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน”

ความจริงตัวเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่ทายาทของทูตสวรรค์มักจะมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์มาก่อนเลย เมื่อได้ฟังคำอธิบายของยูโน่จึงไม่ได้รู้สึกอะไรนัก แถมลึก ๆ แล้วยังรู้สึกโล่งใจด้วยซ้ำที่เป็นแบบนี้ เพราะเขาคิดว่าความสามารถพิเศษที่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นก็เหมือนกับการเอาเปรียบคนอื่นและไม่น่าภูมิใจเลยสักนิด

“ถึงงั้นก็เถอะ แต่การมอบความสามารถพิเศษให้ภายหลังก็ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่นา”

ซิสเตอร์พยายามช่วยพูดแย้ง แต่ยูโน่ก็อธิบายเหตุผลที่ทำไม่ได้กลับมา

“การมอบพลังให้กับผู้สืบสายเลือดของชาวสวรรค์จะทำให้ถูกมองว่าเป็นเด็กที่เกิดมาอย่างผิดข้อตกลงได้ เรื่องนี้ถึงอธิบายไปก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจหรอก ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหา เราจึงไม่สามารถมอบพรหรือพลังพิเศษให้กับผู้สืบสายเลือดได้”

ซิสเตอร์ขมวดคิ้วและทำท่าเหมือนจะพยายามโต้แย้งอีก แต่ซาลก็ดึงชายเสื้อของเธอเพื่อห้ามเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ความสามารถพิเศษหรือพลังอะไรน่ะผมไม่อยากได้หรอก ถูกมองว่าเก่งเพราะได้สิทธิพิเศษแบบนั้นน่ะน่ารำคาญจะตายไป ให้พยายามเท่าไหร่ก็คงถูกมองว่าใช้วิธีลัดในการประสบความสำเร็จ ของแบบนั้นน่ะสู้ไม่มีจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งซิสเตอร์และจูโน่ ต่างก็มองมายังซาลด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชมอยู่ไม่น้อย ทางด้านซิสเตอร์ถึงกับแสดงสีหน้าเหมือนกำลังยิ้มออกมา เพราะพอใจในแนวคิดของเขา

ระหว่างนั้นเอง หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็เอ่ยคำพูดขึ้นมาบ้าง

“เอาไว้ฉันจะคิดหารางวัลที่เหมาะสมให้กับเธอในภายหลังเอง สำหรับตอนนี้ฉันจะให้บัตรผ่านสำหรับติดต่อกับเรา และใช้ในการขึ้นมาบนสวรรค์ก็แล้วกัน ยูโน่ ให้บัตรกับพวกเขาไปซิ”

เมื่อได้รับคำสั่ง ทูตสวรรค์หนุ่มก็นำอาติแฟคชิ้นหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนกับบัตรประจำตัวออกมาจากช่องมิติเก็บของ และยื่นมันให้กับทั้งสองคน ก่อนจะอธิบายให้ซาลได้ฟัง

“อาติแฟคชิ้นนี้ใช้ในการติดต่อกับฉัน ถ้าต้องการจะมาที่นี่ หรือมีอะไรต้องการให้ช่วยก็ใช้มันติดต่อมาได้เลยนะ”

ยูโน่พูดกับซาลด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปหาซิสเตอร์

“ส่วนนี่ของเธอ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องติดต่อมานะ ฉันก็ไม่ได้ว่างตลอด และอาจไม่รับการติดต่อก็ได้”

เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าและท่าทางไม่เป็นมิตร ผิดกับตอนพูดกับซาลราวฟ้ากับเหว แต่ทางซิสเตอร์ก็ไม่ได้มีท่าทีถือสาอะไร แถมยังทำหน้าเหมือนกำลังยิ้มอยู่ด้วย

หลังจากยูโน่มอบบัตรผ่านให้กับทั้งสองคนไปแล้ว หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็เอ่ยคำพูดกับซิสเตอร์อีกครั้ง

“สำหรับเธอ คงไม่มีอะไรที่ต้องการแล้วสินะ?”

คำถามนั้นทำให้ซิสเตอร์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกับมีท่าทีลังเล ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวที่ใต้ต้นไม้อีกครั้ง และพูดกับเธอ

“เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะว่าฉันต้องการอะไร”

“……การชุบชีวิตคนเป็นเรื่องที่ขัดกับกฎของธรรมชาตินะ”

“ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้ชุบชีวิตเธอขึ้นมา แค่อยากจะพาวิญญาณของเธอกลับไปยังโลกเป็นการชั่วคราว ให้เธอได้เห็นความเป็นไปของโลกในตอนนี้เท่านั้นเอง”

“เธอคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องการจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“ผู้หญิงคนนั้นใฝ่ฝันอยากจะเห็นโลกที่ดีขึ้นมาโดยตลอด และนี่คือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว เธอต้องอยากเห็นมันแน่”

“สิ่งที่เธอคนนั้นอยากเห็นคือ ‘โลกเก่า’ ที่ดีขึ้นต่างหาก”

ทั้งสองคนยังคงโต้เถียงกันไปมาอยู่เป็นเวลานาน แม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ใส่อารมณ์กับอีกฝ่ายก็ตาม

ซาลไม่แน่ใจนักว่าทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่ฟังจากที่พูดแล้วเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า ซิสเตอร์คงอยากจะพาวิญญาณของคนสำคัญกลับไปยังโลกด้วยเป็นการชั่วคราว เพื่อให้คน ๆ นั้นได้เห็นโลกในตอนนี้ซึ่งเป็นผลงานของเธอ หรือบางทีอาจแค่อยากใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้

ระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ การโต้เถียงของทั้งสองคนก็ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด

“เข้าใจล่ะ… ในเมื่อเธอยืนกรานขนาดนั้นละก็… แต่ถึงจะเป็นฉันก็ใช่ว่ามีสิทธิ์ให้เธอนำวิญญาณของใครกลับไปยังโลกได้ตามใจชอบหรอกนะ ต้องถามความสมัครใจของเจ้าตัวด้วย”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ซิสเตอร์ก็มีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับปาก

“ตกลง… พาฉันไปหาเธอสิ”

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก”

เมื่อสิ้นคำพูดนั้น ก็มีแสงสว่างวาบของการเทเลพอร์ทปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของซิสเตอร์ทำให้เธอชะงักค้างไปเล็กน้อยเหมือนกับยังไม่ทันตั้งตัวกับสถานการณ์นี้

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวผมดำยาวที่มีใบหน้างดงามและรอยยิ้มอันอ่อนโยน ให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ผู้ที่ได้พบเห็น

แต่ตรงกันข้าม ซิสเตอร์กลับมีสีหน้าเหมือนกำลังตื่นตระหนกหรือประหม่าอยู่ ทั้งยังเอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่หันกลับไปมองผู้มาเยือนซะที จนซาลต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะผู้ที่มาน่าจะเป็นคนที่เธออยากพบมากแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมซิสเตอร์ถึงมีท่าทางเหมือนไม่กล้าพบหน้า

เธอเอียงตัวเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน

“เจ้าบ้าเอ๊ย! ใครใช้ให้พามาเลยเล่า!? ฉันยังไม่ได้ตั้งตัวเลย!”

“…เธอรู้แล้ว”

“หา!?”

“เธอรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกเก่าหมดแล้ว ฉันถึงไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีไงล่ะ”

“แล้วมาบอกเอาป่านนี้เนี่ยนะ!?”

ซิสเตอร์ต่อว่าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว แต่หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ซาลสังเกตเห็นว่ามีรอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาที่มุมปากของเธอก่อนจะหันไปด้วย

ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้ว คงเพราะซิสเตอร์คิดจะพาคนสำคัญของเธอลงไปดูโลกที่เธอช่วยสร้างเพื่ออวดผลงานว่าโลกที่คน ๆ นั้นใฝ่ฝันไว้ได้กลายเป็นความจริงไปแล้วแค่ไหน แต่นั่นคือกรณีที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าเธอเป็นคนทำให้โลกเก่าต้องล่มสลาย ซึ่งถ้าอีกฝ่ายรู้แล้ว การพบหน้ากันครั้งนี้คงจะเป็นอะไรที่กระอักกระอ่วนมากทีเดียว

หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ซิสเตอร์ก็ปรับสีหน้าเป็นใบหน้าที่ดูอารมณ์ดีได้สำเร็จ ก่อนจะหันกลับไปทักทายอีกฝ่าย

“ไง~ ฮารุ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีรึเปล่า?”

หญิงสาวยิ้มละไมให้กับคำทักทายของซิสเตอร์ก่อนจะจ้องมองเธอด้วยแววตาเย็นชาทั้งที่ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่ ทำให้ความหมายของรอยยิ้มนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

“เธอเป็นคนทำให้โลกต้องพบจุดจบจริง ๆ น่ะเหรอ?”

ทันทีที่ถูกถามแบบนั้นตรง ๆ ซิสเตอร์ก็มีอาการชะงักไป เธอหลบสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าที่กระอักกระอ่วน พลางลูบคลำนิ้วมือตัวเองที่ไพล่อยู่ด้านหลังอย่างร้อนรนเหมือนกับพยายามจะเก็บอาการประหม่าเอาไว้ แต่ในที่สุดเธอก็สงบจิตใจได้และหันไปสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะตอบออกไปตรง ๆ

“ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง”

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น สีหน้าของฮารุก็หมองลงในทันที ทำให้ซิสเตอร์แสดงอาการสำนึกผิดออกมาทางสายตาไปด้วย

“ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? ที่ผ่านมา คำพูดของฉันไม่เคยสื่อถึงเธอได้เลยงั้นเหรอ?”

ซิสเตอร์หลับตาลงเหมือนกับกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบคำพูดนั้นอย่างไรดี และในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำถามของฮารุ ด้วยแววตาที่เหมือนกับกำลังเย้ยหยันอีกฝ่าย

“อุดมคติของเธอมันไร้สาระ คิดจะทำให้โลกเป็นที่ ๆ ดีขึ้นงั้นรึ? โลกนั้นมันไร้ทางเยียวยาแล้ว ขนาดเธอเองก็ยังต้องตายเพราะมันเลยไม่ใช่รึไง? ตายเพราะคนที่เธอพยายามจะช่วย… หึหึหึ น่าขำชะมัด”

“ฉันก็แค่โชคไม่ดีเท่านั้นเอง… เธอจะใช้เรื่องที่เกิดกับฉันมาตัดสินว่าโลกนั้นควรหรือไม่ควรต่อการดำรงอยู่ไม่ได้หรอกนะ”

“เฮ้ อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลยน่า ฉันตัดสินโลกนั้นเพราะภาพรวมที่มันเป็น ไม่ใช่เพราะเธอคนเดียว… จริงอยู่ว่าเธอทำให้ฉันมองโลกนั้นในแง่ดีขึ้นมานิดหน่อย แต่แค่น้ำบริสุทธิ์หยดเดียว ไม่สามารถทำให้ลำคลองอันเน่าเหม็นกลับมาใสสะอาดได้หรอก ยังไงซะที่นั่นก็ต้องถูกชำระล้าง”

“การชำระล้างกับการทำลายมันไม่เหมือนกันนะ! ที่เธอทำน่ะคือการทำลายแม่น้ำทั้งสาย! ทำให้ผู้คนมากมายต้องมารับเคราะห์ไปด้วย!”

ฮารุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว คงเพราะคำพูดของซิสเตอร์ที่ทิ่มแทงจิตใจของเธออย่างต่อเนื่องทำให้เธอเริ่มจะทนไม่ไหว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน

“สิ่งที่เธอเรียกว่าผู้คนน่ะ ความจริงแล้วมันคือขยะ …ขยะที่ทำให้แม่น้ำนั้นเน่าเหม็น ถ้าไม่กำจัดพวกมันออกไป แล้วเมื่อไหร่แม่น้ำถึงจะสะอาดกันล่ะ?”

ทันทีที่พูดจบ ซิสเตอร์ก็ถูกฮารุตบเข้าที่แก้มจนหน้าหันไปอีกทาง แม้จะมีผ้าพันคอผืนใหญ่รองรับแรงปะทะจึงทำให้มีเพียงเสียงฝ่ามือกระทบผ้า แต่ด้วยความหนักแน่นของเสียงก็บ่งบอกว่าฮารุคงจะกวาดมือออกไปอย่างเต็มแรงจริง ๆ ทว่าคนที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมากลับเป็นตัวผู้ลงมือเอง

“ฉันเสียใจมากนะ… ฉันเคยคิดว่าต่อให้ฉันไม่อยู่แล้ว เธอก็จะยังคงจดจำในสิ่งที่ฉันเคยบอกกับเธอได้ และพยายามทำความฝันของฉันให้กลายเป็นความจริงด้วย…”

ฮารุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือและน้ำตาคลอเอ่อ ส่วนซิสเตอร์ก็หันกลับไปอย่างช้า ๆ และจ้องมองเธอด้วยแววตาอันเย็นชา

“ความฝันที่อยากให้โลกนั้นกลายเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบน่ะเหรอ? หึหึ… ของแบบนั้นไม่มีทางเป็นจริงหรอก ขนาดโลกที่สร้างขึ้นใหม่ยังไม่มีทางทำให้เป็นแบบนั้นได้เลย นับประสาอะไรกับโลกที่โสมมไปจนถึงแก่นกระดูกกันล่ะ? ตัวตนที่ห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบอย่างมนุษย์ ไม่มีทางให้กำเนิดโลกที่สมบูรณ์แบบได้หรอก สุดท้ายมันก็ต้องทำให้โลกนั้นเสื่อมสลายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอยู่ดี… เธอน่ะตื่นได้แล้ว”

คำพูดของซิสเตอร์ทำให้ฮารุมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและวาดมือขึ้นเพื่อจะตบหน้าเธออีกครั้ง แต่คราวนี้ซิสเตอร์จับมือของฮารุเอาไว้ได้ ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาแนบอก และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“เอาแต่พูดว่าฉันไม่ให้ความสำคัญกับความฝันของเธอ… แล้วเธอล่ะ? เคยให้ความสำคัญกับความฝันของฉันบ้างรึเปล่า?”

ฮารุแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนที่เธอจะหลุบตาลงด้วยท่าทางสำนึกผิด และผละตัวออกจากอ้อมอกของอีกฝ่าย

เธอเดินไปหายูโน่ที่อยู่อย่างออกไปไม่ไกลนัก ก่อนจะพูดกับเขาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

“ช่วยส่งฉันกลับไปด้วยค่ะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคน ๆ นี้แล้ว”

ยูโน่หันไปมองซิสเตอร์เหมือนจะถามความเห็น ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เขาจึงทำการเทเลพอร์ทส่งตัวฮารุกลับไปทันที แสงสีขาวจึงแผ่ขึ้นมาจากพื้นและอาบร่างของเธอเอาไว้ ก่อนที่ร่างนั้นจะหายลับไปพร้อม ๆ กับแสงที่ดับลง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากฮารุจากไปแล้ว ซิสเตอร์ก็จ้องมองพื้นอันว่างเปล่าที่อีกฝ่ายเคยยืนอยู่เป็นเวลานาน ด้วยแววตาที่ปกปิดความเศร้าเอาไว้ไม่มิด

ซาลรู้สึกว่าควรจะเข้าไปพูดปลอบใจเธอด้วยคำพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่ทั้งสองคนคุยกันนัก จึงไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ในขณะนั้นเองยูโน่ก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไป

“ความจริงไม่เห็นต้องพูดหรือใช้คำรุนแรงขนาดนั้นเลย… ความจริงตอนนั้นที่เธอทำไปก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ และเพราะยังเด็กอยู่ด้วย ถ้าบอกกับฮารุไปตามตรง เธอเองก็น่าจะให้อภัยนะ”

“ถึงจะให้อภัยฉัน แต่ฮารุก็คงจะไม่ให้อภัยตัวเองหรอก ถ้าเธอรู้ว่าการตายของเธอเป็นต้นเหตุให้ฉันทำลายโลก เป็นต้นเหตุให้โลกต้องล่มสลายและมีผู้คนมากมายต้องสังเวยชีวิตไป คนอย่างฮารุคงจะรับความผิดทั้งหมดนั้นไว้กับตัว และรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่…… อืม จะว่าไปเธอก็ตายไปแล้วน่ะนะ ในที่นี้ควรจะใช้คำว่าอะไรแทนดีล่ะ… ตลอดไม่มีชีวิต? ตลอดตาย? …บนสวรรค์นี่มีการบัญญัติคำใหม่ ๆ มารองรับประโยคแบบนี้เอาไว้บ้างรึเปล่า?”

เธอพูดด้วยแววตาอันเศร้าสร้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนช่วงท้ายประโยคเป็นการชงมุขเองตบเองแบบแปลก ๆ อีกครั้ง ทำให้ทั้งซาลและยูโน่ปรับอารมรณ์ตามไม่ทันจนต้องขมวดคิ้ว แต่เห็นเธอพูดเล่นได้แบบนี้ก็ทำให้ซาลรู้สึกโล่งใจขึ้น เพราะคิดว่าเธอคงไม่เป็นอะไรมาก

ซาลยังรู้สึกชื่นชมเธอด้วย ที่ยอมถูกคนสำคัญที่สุดของตนเองเข้าใจผิด และยอมถูกเกลียด เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้ ทำให้เขารู้สึกว่าได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเธอมากขึ้นอีกนิด

ระหว่างนั้น หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ลุกยืนขึ้น และปัดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ของเธอเล็กน้อยเพื่อให้เศษหญ้าที่ติดอยู่หลุดออก ก่อนจะขยับหมวกฟางของเธอให้เข้าที่เหมือนเตรียมจะออกเดินทาง

“สรุปว่าทางเรายังเป็นฝ่ายติดค้างพวกเธออยู่คนละครั้งก็แล้วกัน ถ้าเราหาสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมให้ได้แล้วจะแจ้งไปอีกที หรือระหว่างนั้นจะลองบอกความปรารถนาอื่น ๆ มาก็ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราทำได้ เราก็จะช่วยทำให้มันเป็นจริงเอง สำหรับวันนี้ฉันคงต้องขอตัวไปก่อนล่ะ ยูโน่ ฝากดูแลที่เหลือด้วยนะ”

“เฮ้! เดี๋ยวสิ! อย่าหนีนะ! เรายังไม่ได้เคลียร์กันเลย!”

โดยที่ไม่ได้สนใจคำทันทานนั้น หญิงสาวก็เทเลพอร์ทหายไปกับลำแสงสีขาวที่สว่างวาบขึ้นจากพื้น ทำให้ซิสเตอร์ที่สกัดอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ทันได้แต่แสดงสายตาหงุดหงิดออกมา

เมื่อหญิงสาวจากไปแล้ว ยูโน่ ทูตสวรรค์หนุ่มจึงพาซาลกับซิสเตอร์ลับมาส่งที่ ‘เสาค้ำสวรรค์’ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินทางกลับไปยังลิลลี่โฮไรซอนด้วยตนเอง

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset