Doombringer the 5th 62

ตอนที่ 62

Ch.62 – ตระกูลแฮลเซียน

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 62

ตระกูลแฮลเซียน

 

Part 1

 

หลังจากตกลงเรื่องกำหนดการเดินทางเรียบร้อยแล้วแซนโดรก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน

ลานาเทลดูออกว่านิโคลกับอัลติม่าอยากจะไปเที่ยวในเมือง จึงให้วาลานาร์เป็นคนพาไป ซึ่งแม้วาลานาร์จะชักสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจนิดหน่อย แต่ก็ยอมพาทั้งสองคนไปเที่ยวชมตัวเมืองตามคำสั่งของเจ้านาย

นิโคลเอ่ยชวนซาลเพราะคิดว่าเขาน่าจะอยากไปด้วย แต่ซาลกลับปฏิเสธ เพราะเขารู้สึกไม่ค่อยชอบบ้านเมืองที่มีบรรยากาศอึมครึมแบบนี้เท่าไหร่ เลยขออยู่แต่ในที่พักดีกว่า ผู้ที่เข้าไปเที่ยวในเมืองจึงมีแค่นิโคลกับอัลติม่าเพียงสองคน

ในระหว่างนั้น ที่ห้องทำงานของผู้นำสาขา ลานาเทลก็กำลังฟังรายงานเรื่องต่าง ๆ จากเคเลเซ็ทอยู่

“แล้ว… หัวหน้าสาขานี้เขาไปไหนซะล่ะ?”

“หัวหน้าสาขานี้คือ เครเว่น ดีวอล เขาไม่ค่อยพอใจกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจสักเท่าไหร่ และยังรับไม่ได้ที่ต้องมาฟังคำสั่งจากสาวใช้ของท่านลานาเทลอย่างพวกเราด้วย ก็เลยพยายามต่อต้านพวกเราทุกวิถีทาง ทัลดาแรมเลยเชือดเจ้าหมอนั่นทิ้งไปตั้งแต่สัปดาห์แรกแล้วน่ะค่ะ”

“หืม~ ทำอย่างรอบคอบรึเปล่า?”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เราตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว หมอนี่เป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง บ้าอำนาจ แถมยังเล่นพรรคเล่นพวก ทำให้คนส่วนใหญ่ในสาขาไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ พูดง่าย ๆ ว่าเสียงสนับสนุนให้เก็บเขาซะมีมากกว่าน่ะค่ะ”

“แล้วบรรดาคนสนิทของเครเว่นล่ะ?”

“พวกเราก็จัดการหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่น่าจะเหลือคนที่เป็นเสี้ยนหนามอยู่อีกแล้ว แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้ต้องจัดหาผู้เหมาะสมมารับตำแหน่งผู้บริหารชุดใหม่เกือบทั้งชุด ดิฉันเลยต้องอยู่ที่อินิสตร้านานกว่ากำหนดน่ะค่ะ”

“อืม… เข้าใจล่ะ… แล้วความคืบหน้าเรื่องการขยายฐานอำนาจล่ะ?”

“ตอนนี้ตระกูลโควิแนนท์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของซันรีเวอร์แล้วค่ะ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะกระจายสาขาไปยังอาณาจักรอื่น ๆ ในโดมินาเรียพอสมควรแล้วด้วย คงเพราะถูกกดดันจากเรานี่แหละนะคะ เพราะงั้นตอนนี้เราเลยได้เส้นสายและสาขาของตระกูลโควิแนนท์ในแคว้นต่าง ๆ มาอยู่ใต้อาณัติทั้งหมด การขยายฐานอำนาจของเราในส่วนอื่น ๆ ของโดมินาเรียจึงน่าจะดำเนินการได้เร็วกว่าที่คิดค่ะ”

“แล้วเฉพาะในอินิสตร้านี่ล่ะ?”

“ในอินิสตร้านี่เราเริ่มดำเนินแผนการขั้นที่สองแล้วค่ะ วาลานาร์กำลังแทรกแซงและควบรวมกิจการของสมาคมการค้าต่าง ๆ ในอินิสตร้าอยู่ ตอนนี้สมาคมการค้าในอินิสตร้าตกอยู่ในการควบคุมของเราเกือบ 60% แล้ว ซึ่งดิฉันตั้งเป้าเอาไว้ที่ 80-90% ภายในเดือนนี้ค่ะ”

“อย่าประมาทจนเกินไปล่ะ พวกสมาคมการค้าต่าง ๆ คงไม่อยู่เฉย ๆ แล้วรอให้เราควบรวมกิจการหรอกนะ ที่สำคัญคือต้องระวังอย่าให้พีชคีปเปอร์ระแคะระคายด้วย”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันทำตามแผนที่ท่านลานาเทลวางเอาไว้ทุกประการ คือใช้บริษัทตัวแทนที่ตั้งขึ้นมาบังหน้าห้าบริษัทเพื่อแบ่งส่วนกันควบรวมกิจการต่าง ๆ  ดูจากภายนอกแล้วจะเหมือนกับเป็นการแข่งขันกันชิงอำนาจของกลุ่มทุนหลายกลุ่ม แต่ความจริงผู้อยู่เบื้องหลังทุกกลุ่มคือซันรีเวอร์ของเราเองค่ะ”

“อืม.. ดีมาก.. อ้อจริงสิ เกือบลืมนี่เลย”

ลานาเทลทำท่าเหมือนนึกอะไรออก ก่อนจะนำกล่องสี่เหลี่ยมทรงแบนกล่องหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ และวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้า

เมื่อเปิดกล่องออกมา ด้านในก็ปรากฏสร้อยจำนวนเกือบสามสิบเส้นวางเรียงกันอยู่ มันคือ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ อาติแฟคที่ทำให้เหล่าแวมไพร์ทนแสงอาทิตย์ในยามกลางวันได้นั่นเอง

“นี่เป็นสร้อยชุดใหม่ที่ฉันขอให้คุณแซนโดรช่วยทำขึ้นมา ชุดก่อนหน้านี้เธอคงเอาไปแจกจ่ายให้กับตัวแทนการค้าของเราจนเกือบหมดแล้วสินะ แต่ถ้าจะขยายกิจการออกไปในอาณาจักรอื่น ๆ ก็ต้องใช้คนเพิ่มอีก คัดสรรคนที่ไว้ใจได้แล้วมอบสร้อยนี่ให้ซะ เพื่อให้เขาทำงานได้สะดวกขึ้น”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“อืม… แล้วมีข่าวสารอะไรที่น่าสนใจบ้างมั้ย?”

“สำหรับข่าวที่น่าสนใจก็… ดูเหมือนว่าทางพีชคีปเปอร์ก็กำลังพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามาในโดมินาเรียเช่นกันค่ะ”

เรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายของเธอนัก ลานาเทลจึงไม่ได้แสดงอาการแปลกใจออกมาเท่าไหร่ เพราะช้าหรือเร็วพีชคีปเปอร์ก็ต้องแผ่อิทธิพลเข้ามายังอินิสตร้าอยู่แล้ว เธอสนใจแค่ว่าอีกฝ่ายมีวิธีการอย่างไรมากกว่า

“อืม… พวกนั้นมีความเคลื่อนไหวยังไงบ้างล่ะ?”

“เราได้รับรายงานว่าพีชคีปเปอร์กำลังออกทุนสนับสนุนให้กับสมาคมนักผจญภัยในอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วทั้งโดมินาเรียเพื่อสร้างสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังจัดงานประชุมเพื่อสันติภาพขึ้นที่คามิเท็นในสัปดาห์หน้าด้วยค่ะ เห็นว่าจะมีสมาชิกระดับสูงของพีชคีปเปอร์จะเดินทางมาร่วมงานด้วยตัวเองเลยนะคะ”

“อืม… ถ้าเทียบกับเทอร่าแล้ว โดมินาเรียก็เป็นทวีปที่พีชคีปเปอร์มีอฐานอำนาจอยู่ค่อนข้างน้อยจริง ๆ แหละนะ ในช่วงที่ผ่านมาเขตอิทธิพลของเจ้าพวกนั้นจะจำกัดอยู่แค่ในราวินคาด้วย สาเหตุเพราะโดมินาเรียมีอาณาจักรที่แข็งแกร่งอย่างคามิเท็นเป็นศูนย์กลาง แถมยังมี ‘บิ๊กซิส’ อยู่ที่นี่ด้วย ทำให้คนในโดมินาเรียไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาพีชคีปเปอร์สักเท่าไหร่”

“ดูเหมือนตอนนี้พวกเขากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นอยู่น่ะค่ะ ถึงได้จัดการประชุมเพื่อสันติภาพขึ้นที่คามิเท็น คงเพราะอยากเชื่อมความสัมพันธ์กับคามิเท็นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย”

“อืม… การประชุมจัดขึ้นที่คามิเท็น… ยังไงเราก็ไปไม่ถึงที่นั่นอยู่แล้ว ส่วนคนสำคัญของพีชคีปเปอร์ถ้ามาโดมินาเรียก็น่าจะเข้ามาทางราวินคามากกว่า เพราะงั้นเส้นทางจากอินิสตร้าไปจนถึงอลาเรียก็น่าจะไม่มีอุปสรรคอะไรนะ…”

ลานาเทลรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เข้าโดมินาเรียมาทางราวินคา เพราะถ้าไปที่นั่นในจังหวะที่คนสำคัญของพีชคีปเปอร์มาพอดี ทั้งการรักษาความปลอดภัยในตัวเมืองและเส้นทางออกจากเมืองคงมีการดูแลที่เข้มงวดกว่าปกติมาก

แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเธออยู่ที่อินิสตร้าและกำลังจะไปอลาเรีย เส้นทางที่ใช้ก็ควรจะเป็นคนละสายกับบุคคลสำคัญของพีชคีปเปอร์โดยสิ้นเชิง เพราะจากราวินคาสามารถตรงไปยังคามิเท็นได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านอลาเรีย เธอจึงคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีผลกับการเดินทางของทุกคน

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ในคืนนั้น หลังจากคนอื่น ๆ แยกย้ายเข้าห้องของตัวเองกันไปหมดแล้ว ลานาเทลก็ได้อธิบายสถานการณ์ต่าง ๆ ให้แซนโดรได้ฟัง เผื่อว่าแซนโดรจะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งอะไร

“…เธอคิดไม่ผิดหรอก เส้นทางของเราไม่น่าจะทับซ้อนกับบุคคลสำคัญของพีชคีปเปอร์ได้ …หากเป็นคนสำคัญระดับนั้นจริง ๆ น่าจะใช้ ‘ทาวน์พอทัล’ เคลื่อนย้ายไปยังคามิเท็นโดยตรงมากกว่านั่งเรือเหาะมาด้วย …เพราะงั้นเราไม่น่าจะไปเจอกับคณะเดินทางของเขาได้หรอก…”

ทาวน์พอทัล (Town Portal) คือวงเวทเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางระหว่างเมืองต่าง ๆ ซึ่งลงนามในพันธสัญญาแลกเปลี่ยนวงเวทกัน สามารถเคลื่อนย้ายผู้คนได้ในระยะทางแทบไม่จำกัด หรือเคลื่อนย้ายข้ามทวีปได้เลยทีเดียว ปกติจะใช้สำหรับเคลื่อนย้ายบุคคลสำคัญในกรณีสำคัญจริง ๆ เท่านั้น และต้องมีการแจ้งการเดินทางให้ทางพีชคีปเปอร์กับอาณาจักรปลายทางทราบล่วงหน้าด้วย

“ค่ะ ถ้างั้นกำหนดการของเราก็ยังคงเหมือนเดิมสินะคะ?”

“…อืม …ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก…”

“ว่าแต่พี่ชายกับพี่สาวของซาลารัสเนี่ย เขาอยู่ส่วนไหนของอลาเรียเหรอคะ?”

“…พวกนั้นอยู่ที่เขตกรีวิลล์ ใกล้ ๆ กับเมืองหลวงของอลาเรียน่ะ …ความจริงฉันก็ไม่เคยไปหรอกนะ …ตอนที่ส่งพวกเขาออกจากจูริสก็แค่ส่งลงเรือออกมาเท่านั้น และให้เดินทางต่อมายังอลาเรียด้วยตัวเอง …ฉันแค่ได้รับการติดต่อจากคนสนิทของซารามอธในอลาเรียภายหลังว่าพวกเขาไปถึงได้โดยสวัสดิภาพน่ะ…”

“เห? ให้เดินทางกันไปเองเหรอคะ? ไม่อันตรายแย่เหรอคะให้เด็ก ๆ เดินทางกันเองแบบนั้น?”

“…ตอนนั้นพี่ชายของซาลารัสก็อายุครบ 18 แล้วน่ะ ส่วนพี่สาวก็น่าจะราว ๆ 14-15 ล่ะมั้ง …อีกอย่างเซอร์เก้.. เจ้าคนพี่นั่นก็มีฝีมือพอตัวอยู่ ฉันก็เลยวางใจให้เดินทางกันเองได้ …ความจริงถ้าไม่ติดว่าต้องรีบกลับมาตามหาซาลารัส ฉันก็คงไปส่งพวกเขาด้วยตัวเองน่ะนะ…”

“เห? อายุ 18 เหรอคะ? นี่ก็ผ่านเหตุการณ์เรื่องการทรยศของซารามอธมาเกือบ ๆ สี่ปีแล้ว แปลว่าตอนนี้เขาอายุ 21 ? ห่างจากซาลารัสมากเลยนะคะเนี่ย… ไม่สิ ปีนี้ซารามอธ (Zaramoth) ก็น่าจะอายุแค่ 35 เองนี่นา ทำไมเขาถึงมีลูกชายที่อายุห่างกันแค่สิบสี่ปีได้ล่ะคะ?”

“…เพราะว่าเป็นลูกบุญธรรมน่ะ…”

“เห? ลูกบุญธรรมเหรอคะ?”

ลานาเทลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าซารามอธมีลูกบุญธรรมด้วย อันที่จริงเรื่องที่เขามีลูกทั้งหมดสี่คนนี่ก็เป็นเรื่องที่เธอเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจว่าซารามอธมีลูกเพียงสองคนเท่านั้น

“…อืม …ลูกคนโตทั้งสองคน ต่างก็เป็นเด็กที่ซารามอธเก็บมาเลี้ยงทั้งนั้น …เซอเจรัส (Zergeras) ลูกชายคนแรกเป็นเด็กกำพร้าที่ซารามอธไปเจอในสนามรบ ก็เลยรับมาอุปการะ …ส่วนเซการัส (Zegaras) ลูกสาวคนรองก็เป็นเด็กกำพร้าอีกคนที่เขาไปเจอในระหว่างทำภารกิจ เลยรับมาเลี้ยงดูอีกคน…”

“ดูเหมือนจะเป็นคนใจบุญมากเลยนะคะเนี่ย คุณซารามอธเนี่ย”

“…ก็ไม่เชิงหรอก …เป็นเรื่องของการถูกชะตามากกว่า …เจ้าหมอนั่นก็แค่ถูกชะตากับเด็กสองคนนี้ และทำตามใจตัวเองเท่านั้นแหละ …ว่าไปแล้วถ้าไม่เจอกับแม่ของซาลารัสซะก่อนละก็ เจ้านั่นอาจมีลูกบุญธรรมเป็นขโยงแล้วก็ได้…”

แซนโดรพูดด้วยสีหน้าที่แสดงอาการหงุดหงิดออกมาเล็กน้อยทั้งที่ฟังดูควรจะเป็นคำพูดล้อเล่น ทำให้ลานาเทลไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็อดอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางที่หายากนั้นไม่ได้

“แปลว่าทั้งสองคนนั้นเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีสายเลือดของชาวสวรรค์เหมือนกับซาลารัสสินะคะ?”

“…ใช่…”

“แล้วน้องสาวของซาลารัสล่ะคะ?”

“…ลาซารัส (Lazaras) เป็นน้องสาวฝาแฝด ดังนั้นจึงมีสายเลือดของชาวสวรรค์เหมือนกับซาลารัสนั่นแหละ…”

“ลาซารัสงั้นเหรอคะ? อืม… ซาลารัส (Zalaras) ลาซารัส (Lazaras) เซอเจรัส (Zergeras) เซการัส (Zegaras)… คุณซารามอธเนี่ยดูจะมีรสนิยมเรื่องการตั้งชื่อแปลก ๆ นะคะ…”

“…หมอนั่นมันบอกว่านี่เป็นชื่อที่ตั้งตามลำดับของตระกูลน่ะ …ลูกหลานรุ่นนี้ต้องชื่อลงท้ายด้วย ‘รัส’ และมี ซ. โซ่ (ตัว Z) อยู่ในชื่อด้วย …ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น…”

“เห? ตระกูลแฮลเซียนนี่เป็นตระกูลเก่าแก่เหรอคะ? ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“…เปล่า …ตระกูลนี้เริ่มก่อตั้งโดยมัน… ซารามอธ นั่นแหละ …พวกลูก ๆ นี่ก็เพิ่งเป็นแค่รุ่นที่สองของตระกูลเท่านั้น…”

“………สรุปว่าเขาแค่ตั้งชื่อตามใจตัวเองสินะคะ?”

“…ใช่ …หมอนั่นแค่อ้างเรื่องของตระกูลขึ้นมาเพื่อหลอกเมียไม่ให้คัดค้านเท่านั้นเอง …และคนซื่ออย่างยัยนั่นก็เชื่อซะสนิทเลย…”

พอพูดถึงแม่ของซาลารัสแล้วแซนโดรก็ยิ่งมีท่าทีหงุดหงิดขึ้นไปอีก ทำให้ลานาเทลยิ่งรู้สึกสนใจ ทั้งเรื่องราวของครอบครัวซารามอธ และท่าทีของแซนโดรด้วย

“จริงสิ แล้วแม่ของซาลารัสนี่เค้าชื่ออะไรเหรอคะ?”

“…ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเป็นชื่อจริงของเธอรึเปล่า …แต่ตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์เธอใช้ชื่อว่า ‘ไอริส’ (Iris) …เป็นผู้หญิงที่ซื่อตรงและไร้เดียงสา …ว่าไปแล้วก็คล้าย ๆ กับนิโคลล่ะมั้ง…”

“อืม… สมกับเป็นทูตสวรรค์เลยนะคะ”

“…ไม่ใช่ว่าทูตสวรรค์ทุกคนจะใสซื่อไร้เดียงสาหรอกนะ …พวกที่เจ้าเล่ห์เพทุบายก็มีอยู่เหมือนกัน…”

“ฉันจะจำเอาไว้ค่ะ”

ทั้งสองคนนั่งคุยกันจนเกือบถึงช่วงกลางดึก เมื่อไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว ทั้งคู่แยกย้ายกันไปนอนยังห้องของตนเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากพักค้างแรมกันได้หนึ่งคืน และทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ทุกคนก็เตรียมตัวเพื่อเดินทางออกจากอินิสตร้าในช่วงสาย

ซาลมีท่าทีตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้ไปเจอกับพี่ ๆ แต่แซนโดรก็สังเกตเห็นคนที่มีอาการตื่นเต้นเล็ก ๆ เก็บซ่อนอยู่อีกคน นั่นก็คือลานาเทล

ช่วงที่อยู่ในอินิสตร้า ลานาเทลไม่มีท่าทีเกาะติดแซนโดรมากเหมือนปกติ แม้แต่ตอนให้แยกห้องนอนกันก็ยอมแต่โดยดี แถมการวางตัวก็ยังดูสำรวมและสุภาพเรียบร้อยทั้งกิริยาวาจาสมกับเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์

แซนโดรเข้าใจว่าทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะที่นี่แวดล้อมไปด้วยเหล่าคนสนิทอย่างเคเลเซ็ทหรือวาลานาร์ แถมยังมีสาวใช้คนอื่น ๆ เฝ้ารอรับใช้อยู่ไม่ห่าง ทำให้ลานาเทลต้องวางตัวให้เหมาะสมกับเป็นผู้นำตระกูลด้วย

คงเพราะเหตุนี้ทำให้ลานาเทลมีท่าทีสดชื่นเป็นพิเศษที่จะได้กลับไปวางตัวอิสระโดยไม่ต้องแคร์สายตาใครอีกครั้ง

“…เป็นคุณหนูนี่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ…”

“ว่าไงนะคะ?”

“…ไม่มีอะไร…”

แซนโดรไม่ได้มีเจตนาจะถาม เธอเพียงแค่พูดกับตัวเองเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ลานาเทลแปลกใจเล็กน้อย และแอบอมยิ้มเพราะรู้สึกว่าแซนโดรก็แสดงความเป็นห่วงกับตนเองเหมือนกัน

เมื่อเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกจากห้องนั่งเล่นและเดินลงมาด้านล่างของคฤหาสน์ โดยมีเคเลเซ็ทเป็นคนเดินนำ

พอลงมาถึงด้านหน้าของคฤหาสน์ แซนโดรก็นำรถม้าคู่ใจออกมา และเตรียมให้ทุกคนขึ้นรถ แต่ระหว่างนั้นวาลานาร์ก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากด้านในคฤหาสน์ซะก่อน

เมื่อเห็นท่าทางผิดปกตินั้น ลานาเทลจึงยั้งเท้าไว้และหันกลับไปรอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีอะไรเหรอวาลานาร์? วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว”

“คะ.. คือว่า… คนของเราใน ‘ทาวน์พอร์ทัล’ เพิ่งรายงานมาว่า เมื่อสักครู่นี้มีการเดินทางจากจูริสมายังอินิสตร้าโดยคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคณะเดินทางของผู้ตรวจการจากพีชคีปเปอร์ค่ะ!”

คำพูดของวาลานาร์ทำให้ทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาในทันที

แซนโดรอยากจะลองถามรายละเอียดดู แต่เพราะรู้ว่าไม่ควรทำอะไรเกินหน้าลานาเทลในตอนนี้ เธอจึงรอให้ลานาเทลเป็นคนถามออกไปแทน

“ทำไมถึงเพิ่งมารู้ตอนนี้ล่ะ? การเคลื่อนย้ายผ่าน ‘ทาวน์พอทัล’ ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าหนึ่งวันไม่ใช่เหรอ? คนของเราที่นั่นมัวทำอะไรกันอยู่?”

แม้จะไม่ใช่ความผิดของตนเอง แต่วาลานาร์ก็ยังคงมีท่าทางลุกลี้ลุกลานราวกับกลัวว่าจะถูกลงโทษไปด้วย พลางตอบคำถามด้วยคำพูดตะกุกตะกัก

“คะ.. คือ.. ดูเหมือนว่าทางพีชคีปเปอร์จะทำอะไรตามใจตัวเองน่ะค่ะ พวกนั้นแจ้งล่วงหน้ามาแค่หนึ่งชั่วโมงแล้วก็ทำการเคลื่อนย้ายมาเลย คนของเราเองก็เพิ่งจะปลีกตัวออกมาแจ้งข่าวได้ค่ะ”

ลานาเทลไม่ได้มีเจตนาจะทำให้วาลานาร์กลัวอยู่แล้ว จึงลดโทนเสียงลงและถามรายละเอียดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น

“พวกเขามากันกี่คน แล้วพอจะรู้จุดประสงค์ของการมารึเปล่า?”

“คนของเราบอกว่ามีคนมาทั้งหมดห้าคนค่ะ เป็นชายสูงอายุหนึ่งคน กับคนหนุ่มสาวที่เหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันอีกสี่คน พอมาถึงแล้วพวกเขาก็เข้าเมืองไปทันทีโดยไม่ได้ติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการใด ๆ เลยค่ะ เหมือนกับเป็นการมาอย่างไม่เป็นทางการมากกว่า”

เมื่อฟังที่วาลานาร์พูดจบ ลานาเทลก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาแซนโดรเพื่อถามความเห็น ซึ่งแซนโดรที่วิเคราะห์เรื่องนี้อยู่ตลอดก็เอ่ยความเห็นออกมาทันที

“…ดูจากพฤติกรรมแล้ว ไม่น่าจะเป็นการมาโดยมีจุดประสงค์เรื่องงานเท่าไหร่นะ ไม่งั้นคงตรงไปที่ศาลาว่าการหรือสมาคมนักผจญภัยของอินิสตร้าแล้ว …จะว่าเป็นการเดินทางแบบลับ ๆ ก็ไม่น่าใช่อีก เพราะการมาด้วย ‘ทาวน์พอทัล’ เป็นวิธีที่ค่อนข้างเอิกเกริกมาก…”

“แต่ถ้ามาด้วยเรื่องส่วนตัวก็คงไม่มีสิทธิ์ใช้ ‘ทาวน์พอทัล’ เหมือนกันนะคะ”

“…บางทีนี่อาจเป็นแค่การเดินทางมาเพื่อสังเกตการณ์ก็ได้ …ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักอะไรเป็นพิเศษ …แค่บังเอิญผ่านทางมาก็เลยแวะดูเพื่อเก็บข้อมูลเท่านั้น…”

“หมายความว่า เขาคือผู้บริหารระดับสูงของพีชคีปเปอร์ที่กำลังจะไปร่วมการประชุมเพื่อสันติภาพที่คามิเท็นเหรอคะ?”

“…อืม …มีความเป็นไปได้สูง …นี่อาจเป็นแค่การแวะตรวจการณ์รายทางก่อนจะไปคามิเท็นก็ได้…”

“งั้นเราควรจะทำยังไงกันดีคะ?”

“…พวกนั้นเพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้แค่ชั่วโมงเดียว …ถ้ามาแวะสังเกตการณ์ ยังไงก็น่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกอย่างน้อยครึ่งวัน หรืออาจค้างคืนสักคืนหนึ่ง …ระหว่างนี้ถ้าเราออกไปจากเมืองแล้วเร่งเดินทางต่อก็ไม่น่าจะพบกับเจ้าพวกนั้นอีกแล้วล่ะนะ …เพราะงั้นรีบเดินทางกันดีกว่า…”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ลานาเทลเห็นด้วยกับความคิดของแซนโดร จึงให้ทุกคนขึ้นไปบนรถแล้วรีบเดินทางเพื่อออกจากเมืองในทันที

 

ระหว่างที่รถม้าแล่นผ่านย่านใจกลางเมืองอยู่นั้น อัลติม่าก็ยังคงเกาะขอบหน้าต่างเพื่อดูทิวทัศน์ในตัวเมืองอย่างไม่วางตา จนนิโคลต้องทักขึ้นมา

“เมื่อวานนี้ยังเที่ยวไม่จุใจอีกเหรอคะคุณอัลติม่า? ท่าทางจะชอบเมืองนี้มากเลยนะคะ”

“เปล่าหรอก ฉันชอบดูเสื้อผ้าที่ผู้คนในเมืองนี้สวมใส่มากกว่าน่ะ ชุดของพวกเขาดูมีไสตล์เฉพาะตัวดี การนำเครื่องหนังมาประดับส่วนต่าง ๆ ของชุดให้ความรู้สึกดุดันแต่ก็งดงามลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย ผิดกับแฟชั่นของจูริสที่ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง แบบว่าขาดมนตร์เสน่ห์ แล้วก็ดูน่าเบื่อน่ะ อ๊ะ แบบนั้นไงล่ะ”

รถม้าชะลอตัวลงเมื่อถึงสี่แยกทำให้อัลติม่ามองเห็นผู้คนบนทางเดินถนัดตาขึ้น เธอชี้ไปยังผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมถนน ซึ่งใส่ชุดผ้าสบาย ๆ แบบที่พบเห็นได้ทั่วไปในจูริส

แต่เมื่อชายคนหนึ่งหันหน้ามาให้เห็น อัลติม่าก็รีบหดตัวหลบลงจากหน้าต่างของรถม้าในทันที แถมยังมีสีหน้าตื่นกลัวด้วย ทำให้นิโคลต้องเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“เป็นอะไรไปคะคุณอัลติม่า? หลบอะไรอยู่เหรอคะ?”

“นะ.. นั่นมัน… ผู้ชายตรงหัวมุมถนนที่ยืนอยู่กับตาแก่อีกคนนึงน่ะ นั่นคือหนึ่งในสี่นักดาบที่ฉันเจอในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสไงล่ะ!”

คำพูดของอัลติม่าทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงไปพร้อม ๆ กัน

แซนโดรวาดมือผ่านหน้าต่างของรถม้าเหมือนร่ายเวทอะไรบางอย่าง พลันก็เกิดม่านหมอกบาง ๆ กั้นที่หน้าต่างนั้น ก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าออกไปดู

ที่หัวมุมถนน มีชายหนุ่มกับชายสูงวัยอีกคนซึ่งสวมชุดแตกต่างไปจากชาวเมืองทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดยืนอยู่ ท่าทางของทั้งสองคนนั้นเหมือนกำลังโต้เถียงกันพลางกางแผนที่ไปด้วย ราวกับกำลังโต้แย้งกันเรื่องการหาเส้นทางไปยังที่ไหนสักแห่ง

ชายหนุ่มคนนั้นเป็นชายผมดำหน้าตาหล่อเหลา มีแววตาเจ้าเล่ห์และสีหน้าขี้เล่น ดูแล้วอายุน่าจะราว ๆ ยี่สิบกลาง ๆ เขาเป็นคนที่แซนโดรไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

แต่ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มนั้นกลับทำให้เธอต้องตกตะลึงและลุกขึ้นมาจากที่นั่ง

เขาเป็นชายแก่ที่มีแววตาเฉียบคม เมื่อประกอบกับใบหน้าหยาบกร้านซึ่งมีแผลเป็นอยู่หลายจุดจึงดูเหมือนกับเป็นทหารผ่านศึก แม้จะดูมีอายุเยอะแล้วแต่ทั้งสีหน้าและสายตาของเขาก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ชราเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นมากกว่า

เมื่อเห็นใบหน้าของชายแก่คนนั้น ดวงตาของแซนโดรก็เบิกโพลง ก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ราวกับเป็นเสียงกระซิบ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยอารมณ์อันรุนแรง

“…เซดดริก เดรค…”

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

แซนโดรเอ่ยชื่อของชายแก่ออกมาโดยที่สายตายังคงจับจ้องเขาอยู่ตลอด สีหน้าของเธอก็ดูเปลี่ยนไปจนลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยังรู้สึกแปลกใจ

มันเป็นแววตาของคนที่ค้นพบสิ่งที่ตัวเองตามหามานานแสนนาน ทำให้ตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้เห็นสิ่งนั้นอยู่ตรงหน้า

ที่เหนือคาดกว่านั้นคือ ในระหว่างที่ลานาเทลจะเอ่ยปากถาม แซนโดรก็เริ่มยิ้มออกมา

มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงใจและปลื้มปิติ แต่ดวงตาอันเบิกโพลงที่ยังคงจับจ้องชายแก่อยู่ไม่ห่างนั้นกลับทำให้มันกลายเป็นรอยยิ้มอันน่าขนลุก

“…หึหึหึหึ…”

“คุณแซนโดรคะ?”

เมื่อได้ยินลานาเทลเรียก แซนโดรก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาอีกครั้ง แต่รอยยิ้มก็ยังไม่หายไปจากใบหน้าของเธอ

เธอกวาดสายตามองไปยังทุกคนในรถ ซึ่งต่างก็อยู่ในอาการงุนงงด้วยกันทั้งหมด เนื่องจากไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน แซนโดรจึงนั่งลงและพยายามเก็บอาการ กระนั้นเธอก็ยังหุบยิ้มไม่ลง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณแซนโดร?”

“…ไม่มีอะไร …แค่คิดว่า …นาน ๆ ทีเจ้าหนูนี่ก็นำพาเรื่องดี ๆ มาให้ได้เหมือนกันนะ …หึหึหึหึ…”

แซนโดรพูดโดยเหลือบมองไปยังซาลเล็กน้อย ทำให้เขายิ่งข้องใจขึ้นไปอีก คนอื่น ๆ ก็รู้สึกข้องใจเช่นกัน แต่เพราะไม่เคยเห็นแซนโดรเป็นแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี

รถม้าเคลื่อนตัวพ้นสี่แยกและตรงออกมาถึงประตูเมืองในที่สุด

พวกเขาสามารถออกจากเมืองได้โดยไม่มีการตรวจสอบใด ๆ เพราะคนของลานาเทลช่วยประสานงานกับยามเฝ้าประตูเมืองไว้ให้แล้ว รถม้าของแซนโดรจึงผ่านออกมาได้อย่างสะดวก

แต่เมื่อออกห่างมาจากตัวเมืองได้สักระยะหนึ่ง แซนโดรก็สั่งให้หยุดรถ ก่อนที่เธอจะเดินลงจากรถไป

ลานาเทลที่รู้สึกข้องใจมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้วจึงตามลงไปด้วยเพื่อสอบถามแซนโดรให้รู้เรื่อง

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะคุณแซนโดร? นี่เรากำลังรอใครงั้นเหรอคะ?”

“…ไม่ได้รอใครหรอก ฉันแค่อยากให้พวกเธอล่วงหน้าไปก่อนน่ะ…”

“หมายความว่ายังไงกันคะ?”

“…บังเอิญว่าฉันได้เจอคนรู้จักน่ะ …คิดว่าจะย้อนกลับไปคุยกับเขาซะหน่อย …พวกเธอล่วงหน้ากันไปก่อนเลยนะ …ไปรอฉันที่เมืองฮาเวนกัลที่อยู่ข้างหน้า …ไว้เสร็จธุระแล้วฉันจะตามไป…”

เมื่อพูดจบ แซนโดรก็หันหลังและเดินกลับไปยังอินิสตร้าโดยไม่รอคำทักท้วงใด ๆ จากลานาเทล

ลานาเทลยังคงรู้สึกสับสนและไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แซนโดรทำเท่าไหร่

เธออยากจะรั้งตัวแซนโดรไว้และถามเหตุผลให้รู้เรื่อง แต่ก็มีความรู้สึกว่าต่อให้พยายามคาดคั้นไปก็คงไม่ได้อะไร ยิ่งได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นและเย็นชาผิดปกติของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ่งทำให้ลานาเทลรับมือไม่ถูก

แต่เธอก็เชื่อว่าคนอย่างแซนโดรคงไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ โดยพลการ ดังนั้นแม้จะรู้สึกเป็นห่วง แต่ลานาเทลก็เชื่อมั่นว่าแซนโดรคงจะไม่เป็นอะไร จึงเดินกลับขึ้นไปบนรถม้าเพียงลำพัง

ซาลที่เห็นลานาเทลกลับมาเพียงคนเดียวจึงเอ่ยถามเป็นคนแรก

“อ้าว? แล้วแซนโดรล่ะ?”

“คุณแซนโดรบอกว่ามีธุระที่ต้องไปทำน่ะค่ะ ให้พวกเราล่วงหน้ากันไปก่อน แล้วเดี๋ยวเธอจะรีบตามไปค่ะ”

แม้จะยังข้องใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินลานาเทลบอกเช่นนั้นซาลก็ไม่คิดจะซักไซ้อะไรอีก เขาเลยกะว่าจะรอถามรายละเอียดจากแซนโดรอีกทีตอนที่เธอกลับมา

แซนโดรบอกให้ลานาเทลพาทุกคนไปรอที่เมืองฮาเวนกัล ซึ่งอยู่ห่างไปจากอินิสตร้าเกือบ 150 กิโลเมตร แต่ด้วยความข้องใจและเป็นห่วง ลานาเทลจึงพาทุกคนมาหยุดรอแซนโดรที่เมืองเอลการ์ดซึ่งอยู่ห่างออกมาเพียง 60 กิโลเมตรเท่านั้น

ลานาเทลพาทุกคนเข้ามาพักในห้องโถงของโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อสั่งอาหารกินเพราะเป็นเวลาเที่ยงวันพอดี หลังจากนั้นก็ยังให้นิโคลกับอัลติม่าพาซาลารัสไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเพื่อฆ่าเวลารอการมาของแซนโดรด้วย

ทว่าจนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ ที่พวกซาลเดินเที่ยวเสร็จแล้ว แซนโดรก็ยังไม่ตามมา

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงยามเย็น ก็ยังไม่มีการติดต่อมาจากแซนโดร และลานาเทลก็ติดต่อแซนโดรไม่ได้เช่นกัน ทำให้เธอเริ่มจะร้อนใจมากขึ้น แม้จะพยายามเก็บอาการเพื่อไม่ให้คนอื่นร้อนใจไปด้วย แต่เพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้วจึงทำให้ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายอย่างช่วยไม่ได้

ในที่สุดเมื่อถึงช่วงค่ำก็มีการติดต่อเข้ามายังลานาเทล ทว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามากลับไม่ใช่แซนโดร แต่เป็นวาลานาร์ สาวใช้ของลานาเทลในอินิสตร้า

เพราะเห็นว่าอาจเป็นเรื่องส่วนตัว ลานาเทลจึงแยกตัวออกมาจากกลุ่มก่อนจะนำแหวนสื่อสารออกมาตอบรับการติดต่อนั้น

“มีอะไรเหรอวาลานาร์?”

ลานาเทลเอ่ยถามอย่างรีบเร่งเพราะกลัวว่าแซนโดรจะติดต่อมาในขณะที่ทำการสื่อสารกับคนอื่นอยู่จนติดต่อไม่ได้ จึงอยากจะรีบพูดคุยให้จบ ๆ ไป แต่เสียงอันร้อนรนและตื่นตระหนกของวาลานาร์ที่ตอบกลับมา กลับทำให้เธอต้องขนลุกไปทั้งตัว

“แย่แล้วค่ะท่านลานาเทล! ยัยแซนโดรน่ะ! ยัยแซนโดรมัน… มันกำลังทำลายเมืองอินิสตร้าอยู่ค่ะ!”

Options

not work with dark mode
Reset