Doombringer the 5th 44

ตอนที่ 44

Ch.44 – คนที่ให้ความสำคัญ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 44

คนที่ให้ความสำคัญ

 

Part 1

 

ออแลนด์กวาดสายตามองไปยังนักดาบหนุ่มสาวทั้งสี่คนอย่างช้า ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“เฮ้อ… เพราะแบบนี้แหละน้า.. ฉันถึงไม่อยากให้พวกเธอเป็นนักดาบกันหมดทั้งสี่คนน่ะ ทีมที่ทุกคนเป็นคลาสเดียวกันหมดมันจะขาดความยืดหยุ่นในการต่อสู้ พอเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าหรือมีความสามารถที่เราแพ้ทางแล้ว ก็จะเป็นแบบนี้แหละ ถึงจะมีคลาสรองคอยเสริมด้วยก็เถอะ แต่คลาสเสริมมันก็คือคลาสเสริม ไม่เพียงพอกับการรับมือศัตรูที่ร้ายกาจหรอกนะ เวลาแบบนี้น่ะควรจะเปลี่ยนคลาสแล้วกำหนดตำแหน่งของแต่ละคนให้ชัดเจน แบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ช่วยสนับสนุนและอุดช่องโหว่ของกันและกัน ไม่ใช่พยายามเสริมแต่จุดแข็งโดยเว้นจุดอ่อนเอาไว้กลวงโล่งแบบนี้ ถ้ามีฝีมือพอแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่หรอก แต่สำหรับพวกเธอน่ะยังไปไม่ถึงจุดนั้นเลย เพราะฉะนั้น…”

ออแลนด์ร่ายยาวเพื่อเทศน์ให้เหล่าลูกศิษย์ฟังไปเรื่อยแม้คนที่ได้ยินจะมีแค่ไลฟ์ที่ยังทรุดอยู่ด้านหลังเพียงคนเดียวก็ตาม ส่วนคนอื่นที่อยู่ห่างออกไปนั้นได้ยินแต่เสียงงึมงำราวบทสวด แต่ทุกคนต่างก็ทำหน้าสลดด้วยกันทั้งหมดเพราะพอจะรู้ว่าออแลนด์กำลังพูดเรื่องอะไร

อัลติม่าไม่สนใจการกระทำของฝ่ายตรงข้ามและสลัดปีกที่คืนสภาพกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วเพื่อปลดปล่อยบอลแสงจำนวนหลายสิบลูกใส่ศัตรูคนใหม่ในทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องมองการโจมตีนั้นอย่างเยือกเย็น

เมื่อบอลพลังงานเหล่านั้นเข้ามาได้ระยะ ออแลนด์ก็เหวี่ยงดาบเป็นครึ่งวงกลมกวาดขนานไปกับพื้น ทันใดนั้นพื้นดินที่อยู่เบื้องหน้าก็ถูกแรงอัดจนยกตัวขึ้นมาตั้งเป็นกำแพงขวางบอลพลังงานเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้บอลพลังงานที่กระทบกับวัตถุเข้าเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเป็นลูกโซ่

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มไปทั่ว อัลติม่าจึงรีบดีดตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่ด้วยสัญชาตญาณ เพียงชั่ววินาทีก็มีดาบแสงขนาดใหญ่พุ่งลงมาปักเฉียดตัวเธอไปเพียงเล็กน้อย เป็นเวลาเดียวกับที่ออแลนด์พุ่งทะลุกลุ่มควันจากการระเบิดของกำแพงออกมา ร่างของเขาเรืองแสงสีส้มและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนเกิดเส้นแสงเป็นทางยาวทิ้งไว้เบื้องหลัง

อัลติม่ารีบยกปีกขึ้นมาป้องกันการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ ทว่าแม้จะแทบไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนจากการฟัน ปีกของเธอก็ถูกบาดลึกด้วยคมดาบเป็นทางยาวเพราะการฟันเพียงครั้งเดียว ทำให้รู้ว่าการโจมตีที่ดูพริ้วไหวนั้นกลับแฝงความเฉียบคมและหนักหน่วงเอาไว้ภายใน

ออแลนด์ตรงเข้ารุกไล่อัลติม่าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ขนาดเธอใช้ปีกทั้งหกข้างในการรับมือโดยพร้อมเพรียงกัน แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเธอกับออแลนด์นั้นราวกับอยู่กันคนละมิติ ไม่ว่าจะพยายามทิ่มแทงปีกโจมตีอย่างไร ออแลนด์ก็สามารถปัดป้องและหลบหลีกมันได้ทั้งหมด แถมยังหาช่องว่างโจมตีสวนกลับมาได้ด้วย ทำให้อัลติม่ารู้สึกเหมือนกับตนเองกำลังต่อสู้กับภูติผีที่ไร้ตัวตนอยู่ เธอทำได้เพียงแค่พยายามไล่จับเงาของมันโดยไม่สามารถไขว่คว้าตัวจริงได้เลย

แม้เธอจะพยายามหาจังหวะโฉบตัวขึ้นฟ้าเพื่อทิ้งระยะห่าง แต่ออแลนด์ก็ตวัดดาบสาดคลื่นพลังดักการขึ้นบินของอัลติม่าเอาไว้ได้ทุกครั้ง เพราะเขาอ่านท่วงท่าของอีกฝ่ายออกและรู้ว่าเธอพยายามจะทำอะไร จึงลงมือสกัดได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มขยับซะอีก ทำให้อัลติม่าไม่สามารถสลัดหลุดจากการพัวพันนี้ได้

แต่ดูเหมือนออแลนด์เองก็ค่อนข้างระวังตัวเช่นกัน จึงพยายามรักษาระยะห่างในระดับที่สามารถหลบออกนอกระยะโจมตีของ ‘แกรนด์ครอส’  ได้ทุกเมื่อ ทว่าด้วยระยะห่างนี้ก็ทำให้เขาไม่สามารถโจมตีอย่างเต็มที่ได้เช่นกัน ร่างของอัลติม่าจึงได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก ผิดกับปีกของเธอที่ใช้ในการต้านทานคมดาบที่กวัดแกว่งราวกับพายุนั้นเริ่มมีสภาพหลุดลุ่ยราวกับผ้าขี้ริ้ว

เพราะอาวุธคู่กายเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ แถมในระยะประชิดแบบนี้เธอยังไม่มีหนทางที่จะตอบโต้ออแลนด์ได้เลย เพราะการโจมตีของเขานั้นทั้งรวดเร็วและไร้ช่องโหว่ อัลติม่าจึงอาบพลังลงบนปีกทั้งสองข้างแล้วทุบมันลงกับพื้นให้เกิดการระเบิด เพื่ออาศัยช่องว่างนั้นดีดตัวออกมา

ออแลนด์ไม่ได้พุ่งตัวตามอัลติม่าไป แต่เขากลับตั้งท่ายืนอย่างมั่นคงก่อนจะตวัดดาบเป็นแนวขนานกับพื้น ด้วยความเร็วที่ทำให้ทั้งดาบและแขนของเขาหายไปจากสายตา เป็นท่วงท่าอันลื่นไหลที่ไม่มีการหยุดชะงัก ราวกับว่าเขาเองก็รอจังหวะนี้อยู่แล้ว

เสียงกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทันที ตามมาด้วยคลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวที่พุ่งเข้าหาอัลติม่าด้วยความเร็วสูง อัลติม่าที่ยังลงไม่ถึงพื้นดีจึงต้องรีบหุบปีกเข้ามาตั้งการ์ดเพื่อป้องกันการโจมตีนั้นไว้

ทันทีที่คลื่นพลังเข้าปะทะก็ทำให้ปีกของเธอเกิดรอยร้าวไปทั่ว และพลังบางส่วนยังผ่านช่องว่างของการป้องกันเข้ามาโดนตัวเธอด้วย ความแรงของมันทำให้หน้ากากสีขาวของเธอถึงกับแตกออกจนเผยให้เห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดที่อยู่ภายใน แถมแรงปะทะยังผลักตัวเธอกระเด็นออกไปไกลอีกนับสิบเมตร

แม้จะลอยเคว้งออกไปไกล แต่อัลติม่าก็ยังกัดฟันทนความเจ็บและหยั่งเท้าลงพื้นได้ เธอยืนอย่างโงนเงนเล็กน้อย ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แต่แววตาของเธอก็ยังเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

“แค่ก… หนอย… ตัวจริงของเสียงฟ้าผ่าก็คือการฟันนั่นเองเหรอ… ตวัดดาบอย่างรวดเร็วจนทำลายกำแพงเสียง ทำให้เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง… แต่ถ้ามีเสียงออกมาก่อนการโจมตีแบบนี้ก็น่าจะพอรับมือได้ล่ะ…”

อัลติม่าปาดเลือดที่มุมปากก่อนจะเงยหน้ากลับไปมองออแลนด์ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

เธอยังพอสัมผัสการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ได้ จึงรีบเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พบออแลนด์กำลังลอยตัวอยู่ในท่าเงื้อดาบ เธอจึงรวบรวมสมาธิเพื่อรอฟังเสียงฟ้าผ่าจากการโจมตี จะได้หลบหลีกและอาศัยช่องว่างหลังจากนั้นยิงเวทสวนกลับไป

ออแลนด์เหวี่ยงดาบเป็นแนวตั้งด้วยความเร็วอีกครั้ง แต่ในวินาทีเดียวกับที่เขาสะบัดดาบ อัลติม่าก็ถูกดาบแสงขนาดมหึมาปักเข้าใส่โดยที่ยังไม่ทันได้ขยับออกจากตรงนั้นเลยสักก้าวเดียว

เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกคมดาบเข้าแล้ว อัลติม่าจึงได้ยินเสียงฟ้าผ่าตามมาทีหลัง

“อะ.. อะไรกัน!?…”

“คงเล็งฟังเสียงฟ้าผ่าจากการตวัดดาบอยู่สินะ? แต่ต้องขอโทษที ถ้าฉันทุ่มกำลังเต็มที่ละก็ การโจมตีของดาบแสงนี้มันก็จะเร็วกว่าเสียงได้น่ะ”

ดาบแสงเฉือนร่างของอัลติม่าเข้าที่หัวไหล่และถากลงไปจนถึงเอว ทำให้เป็นแผลฉกรรจ์

เมื่อดาบแสงที่ปักคาอยู่ได้สลายตัวไป พลังงานสีดำก็แผ่พุ่งออกมาจากปากแผล ตามด้วยเลือดสีแดงสดที่ฉีดออกมาราวกับเป็นน้ำพุ จากนั้นอัลติม่าก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ซาลยังคงรอการกลับมาของทุกคนอย่างกระวนกระวายอยู่ที่จุดนัดพบ โดยมีนิโคลยืนอยู่ข้าง ๆ

ความจริงนิโคลก็เป็นห่วงทุกคนมากและรู้สึกกังวลไม่แพ้กัน แต่เพราะเธอเห็นซาลค่อนข้างร้อนใจอยู่แล้ว จึงต้องพยายามเก็บอาการไว้ เพื่อไม่ให้เขากระวนกระวายมากขึ้นอีก

เธอรู้สึกว่าเวลาในคืนนี้ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพียงแค่หนึ่งนาทีก็รู้สึกเหมือนกับมันยาวนานเป็นหนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี ยิ่งเธออยากให้มันผ่านพ้นไปเร็ว ๆ ทุกอย่างก็ดูจะยิ่งเชื่องช้าลงเรื่อย ๆ จนความกระวนกระวายยิ่งสะสม แต่ในที่สุดนิโคลก็สัมผัสได้ถึงการมาของแซนโดร ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก

“ระ.. รู้สึกว่าพวกเขาจะกลับมากันแล้วล่ะค่ะ!”

เมื่อได้ยินนิโคลพูด ซาลก็รีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มหมอกปรากฏขึ้นบริเวณใกล้ ๆ ก่อนที่หมอกนั้นจะจางลง เผยให้เห็นร่างของแซนโดรและลานาเทลค่อย ๆ เดินออกมา

ซาลรู้สึกดีใจมากที่เห็นทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยจึงรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่แสดงความรู้สึกเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“แซนโดร! ทำไมถึงใช้เวลานานนักล่ะ!? จะเข้าไปตามอยู่แล้วนะเนี่ย!”

“…แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นเธอที่นั่นน่ะ …นับว่าคราวนี้ทำตามคำสั่งได้เรียบร้อยดีนะ ต้องจดบันทึกสถิติเอาไว้แล้ว…”

“เห็นมั้ยนิโคล จริง ๆ แล้วแซนโดรคาดหวังว่าจะให้ผมเข้าไปล่ะ”

ซาลหันไปยืดอกพูดกับนิโคลด้วยท่าทางภูมิใจ ทำให้แซนโดรแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมา

“…เธอตีความหมายผิดแล้ว…”

“เอาเถอะ ได้ของที่ต้องการมารึเปล่า?…… เอ๋? แล้วอัลติม่าล่ะ?”

ซาลเพิ่งจะสังเกตว่าอัลติม่าไม่ได้กลับมาพร้อมกับทุกคนด้วย จึงพยายามมองหาอีกครั้ง พอได้ยินคำถามนั้น ลานาเทลก็หลบสายตาไปทางอื่นพร้อมกับพร้อมกับอมยิ้มเล็ก ๆ เหมือนกับกำลังรอดูเรื่องสนุกที่ใกล้จะเกิดขึ้น ในขณะที่แซนโดรก็ตอบคำถามของซาลารัสด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนปกติ

“…แม่นั่นไม่ได้กลับมาด้วยหรอก …แต่เราก็ได้ของที่ต้องการมาแล้วล่ะ รีบไปกันเถอะ…”

“หา!? หมายความว่าไงที่ไม่ได้กลับมาด้วยน่ะ!? เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”

ซาลารัสมีสีหน้าตกใจเมื่อแซนโดรบอกว่าอัลติม่าไม่ได้กลับมาด้วย เช่นเดียวกับนิโคลที่แสดงอาการตกใจออกมาเช่นกัน แต่แซนโดรก็ยังอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติ

“…ฉันใช้แม่นั่นเป็นเหยื่อล่อในระหว่างไปขโมยอาติแฟคมาน่ะ …ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้นั่นแหละ…”

“แล้วทำไมถึงไม่พาอัลติม่ากลับมาด้วยล่ะ!? ปล่อยเขาเอาไว้ที่นั่นได้ยังไง!?”

“…นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเหมือนกัน …แม่นั่นน่ะเป็นคนของนรก เราไว้ใจเธอไม่ได้หรอกนะ …การใช้อัลติม่าเป็นเหยื่อล่อจะช่วยให้เราชิงอาติแฟคมาง่ายขึ้น และถ้าแม่นั่นตายไป พันธสัญญาก็จะถูกยกเลิก เธอก็ไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะถูกชิงวิญญาณอีกต่อไป นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว…”

“ดีตรงไหนกันล่ะ!? อัลติม่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลยนะ! ทำแบบนี้มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!!”

ทั้งน้ำเสียงและสายตาของซาลสื่อให้เห็นว่าเขากำลังโกรธอยู่จริง ๆ ลานาเทลจึงสงบสีหน้าลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูระรื่นเกินไปเพราะจะเป็นการไม่รู้กาลเทศะ

เธอไม่ได้ยินดีกับการที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน และไม่ได้ยินดีกับการตายของอัลติม่า แค่รู้สึกสงสัยใคร่รู้ตามประสา ว่าการปะทะอารมณ์กันของทั้งสองคนจะมีลักษณะเป็นอย่างไร หรือพูดอีกอย่างก็คือเธออยากเห็นการแสดงอารมณ์ของแซนโดรมากกว่า ส่วนเรื่องของอัลติม่านั้นเธอไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนของนรกซึ่งอาจต้องถูกกำจัดทิ้งสักวันหนึ่งอยู่แล้ว

สำหรับแต่นิโคล แม้จะไม่เห็นด้วยกับวิธีการ แต่คำพูดของแซนโดรนั้นถูกต้องทุกอย่าง หากอัลติม่ายังอยู่ ชีวิตของซาลก็จะตกอยู่ในอันตราย แถมเธอยังกังวลว่าอัลติม่าจะชักจูงซาลไปในทางที่ผิดด้วย นิโคลจึงไม่คิดว่าเจตนาของแซนโดรเป็นสิ่งที่ผิด แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี เพราะอัลติม่าก็ดูเป็นปิศาจซื่อ ๆ เหมือนเป็นแค่เครื่องมือของทางนรกเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ทางด้านแซนโดรนั้นเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องปะทะคารมกับซาลเพราะการกระทำนี้ แต่เธอเชื่อมั่นในเหตุผลและการกระทำของตัวเองทุกอย่างว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งยังอยากจะสั่งสอนเขาให้รู้จักมองโลกในแง่ของความเป็นจริงบ้าง จึงไม่ยอมลดราวาศอกเลยแม้แต่นิดเดียว

“…จะบอกว่าถึงโดนชิงวิญญาณไปและกลายเป็นหุ่นเชิดของนรกไปจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรงั้นรึ? เลิกคิดอะไรแบบเด็ก ๆ ได้แล้ว…”

“เรื่องนั้นยังไม่รู้เลยไม่ใช่เหรอ!? ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็พอจะเปลี่ยนแปลงมันได้น่า! เราต้องรีบกลับไปช่วยอัลติม่าออกมานะ!”

“…ป่านนี้พวกผู้รักษาสันติภาพและนักผจญภัยระดับสูงจากแคว้นต่าง ๆ คงถูกส่งมาจนเต็มแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสแล้วล่ะ …ต่อให้เป็นพวกเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก …หรือถึงทำได้ แต่ให้ย้อนกลับไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว…”

ซาลได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ เขารู้สึกโกรธแซนโดรมาก ทั้งเรื่องที่ทิ้งอัลติม่าไว้ และเพราะคำพูดอันเย็นชาไร้ซึ่งเยื่อใย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

หากเป็นอย่างที่แซนโดรว่า อัลติม่าอาจจะตายไปแล้วจริง ๆ ก็ได้ แบบนั้นถึงย้อนกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เรื่องที่อัลติม่าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดเช่นกัน ในใจของเขาจึงเกิดความสับสนจนไม่รู้จะทำยังไงดี

ทันใดนั้นซาลก็นึกถึงเรื่องพันธสัญญาขึ้นมาได้ หากอัลติม่าตายไปแล้ว พันธสัญญาก็น่าจะคลายลง เขาจึงยกข้อมือขึ้นมาดู ก็พบว่าอักขระพันธสัญญาระหว่างเขากับอัลติม่ายังคงอยู่ แปลว่าอัลติม่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน

เมื่อเห็นอักขระยังคงอยู่ ซาลก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยอัลติม่าออกมายังไงอยู่ดี

หากตัวเขาไปที่นั่น ทุกคนก็ต้องตามไปด้วยแน่ แต่แซนโดรคงไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้นง่าย ๆ ที่สำคัญคือการทำแบบนั้นก็เท่ากับพาทุกคนไปเสี่ยงอันตราย ถึงจะอยากช่วยอัลติม่ามากแค่ไหน แต่ซาลก็ไม่คิดจะเอาชีวิตของทุกคนเข้าไปแลก เขาจึงได้แต่จ้องมองแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสที่อยู่ปลายขอบฟ้า พลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด

แซนโดรรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีทางเลือกเหลือแค่พยายามดึงทุกคนกลับไปยังแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสด้วยเท่านั้น แม้เธอจะคิดว่าเขาคงไม่เลือกทางนี้เพราะเชื่อว่าอย่างไรซาลก็คงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทุกคนที่นี่มากกว่าชีวิตของอัลติม่าคนเดียว แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจความคิดแบบเด็ก ๆ ของเขาอยู่ดี เพราะซาลอาจทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังได้ตลอด จึงเตรียมพร้อมที่จะหยุดเขาไว้เตลอดเวลา หากอีกฝ่ายแสดงทีท่าว่าจะมุ่งหน้าไปยังแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเมื่อไหร่ เธอก็จะซัดให้เขาสลบเพื่อพาตัวกลับไป

ในระหว่างนั้นเอง ซาลก็คิดถึงวิธีการอีกวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ แม้จะรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะมันเป็นวิธีที่ค่อนข้างอันตราย แต่เขาเป็นคนประเภทที่จะขอทำทุกอย่างให้สุดกำลังดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงกางวงเวทวงหนึ่งขึ้นบนอากาศในทันที

แซนโดรที่อยู่ทางด้านหลังจ้องมองวงเวทนั้นด้วยความสงสัย แต่กว่าเธอจะมองรูปแบบของมันออกว่าเป็นวงเวทที่ใช้ทำอะไรก็ช้าเกินไปแล้ว

“…ซาลารัส!! หยุดนะ!!…”

เสียงตะโกนของแซนโดรดังขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่วงเวทเปล่งแสงออกมา

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ที่เคออสอารีน่า กองทัพของอสูรนรกกำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

กองทหารและกลุ่มนักผจญภัยสามารถเข้าไปยึดใจกลางของเคออสอารีน่าซึ่งเป็นที่ตั้งของรอยแยกระหว่างโลกได้ และเริ่มทำการปิดประตูนรก ทำให้ไม่มีอสูรชุดใหม่ ๆ ออกมาเสริมอีก

ทางด้านอื่น หน่วยทหารก็เดินหน้ากวาดล้างอสูรนรกที่ยังเหลืออยู่ในแต่ละพื้นที่ไปทีละส่วน และค่อย ๆ บีบวงแคบเข้ามาที่กำแพงฝั่งตะวันออกที่อัลติม่าอยู่

ที่นั่น อัลติม่ายังคงทรุดนอนอยู่กับพื้นที่นองไปด้วยเลือดของตนเอง โดยมีออแลนด์กำลังยืนมองร่างของเธออยู่ห่าง ๆ ในขณะที่เหล่าทหารและนักผจญภัยก็เริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้บริเวณนั้น ร่างของอัลติม่ากลับเป็นร่างของเด็กสาวตามปกติเพราะได้รับบาดเจ็บและสูญเสียพลังไปมาก จนไม่อาจคงร่างแปลงเอาไว้ได้อีก

สมุนทั้งสามของอัลติม่าบินกลับมาหาเธออีกครั้ง แม้ทุกตัวจะอยู่ในสภาพสะบักสะบอม แต่ก็ยังพยายามมายืนขวางระหว่างอัลติม่ากับออแลนด์เอาไว้

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร พวกมันก็ถูกส่งกลับไปยังห้วงมิติของตนเอง ทำให้ร่างกายเริ่มสลายไปอย่างช้า ๆ ทุกตัวจึงหันกลับมามองยังผู้เป็นนายด้วยสายตาเดียวกัน และร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด

“ท่านอัลติม่า?…”

ในที่สุดสมุนทั้งสามก็หายวับไป ออแลนด์มองเรื่องนี้เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ของฝ่ายตรงข้าม และเริ่มครุ่นคิดว่าจะจับตัวเธอกลับไปเป็น ๆ ดีรึไม่

ทางด้านอัลติม่าที่บาดเจ็บและเหนื่อยอ่อนก็ได้แต่จ้องมองพื้นดินที่อาบไปด้วยเลือดของเธอเอง พลางครุ่นคิดในเรื่องต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกอันว่างเปล่า และจิตใจที่สงบนิ่ง

‘อา… ทำอะไรของเราเนี่ย… ถ้าเราตายไป เจ้าพวกนั้นก็ต้องสลายไปด้วยอยู่แล้วนี่นา… แต่ไม่รู้ทำไม…  ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นตายไปก่อน… ไม่อยากเห็นเจ้าพวกนั้นตาย… แปลกจริง ๆ เลยแฮะ… พวกมันก็เป็นแค่สมุนแท้ ๆ เลยนี่นา…’

อัลติม่ายันตัวขึ้นนั่ง โดยยังคงจ้องมองแอ่งเลือดบนพื้นอย่างไม่วางตา

แม้จะใช้พลังฟื้นฟูตัวเองจนสมานแผลได้แล้ว แต่เธอก็เสียเลือดมากเกินไป แถมยังมีอาการบาดเจ็บสะสมอีก เธอรู้สึกเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจจนไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่ยอมรับสภาพและนั่งรอการลงดาบครั้งสุดท้ายจากออแลนด์

ทันใดนั้นก็มีลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งเข้ามา มันเข้ากระทบที่ศีรษะของเธอและเกิดการระเบิดในทันที

ออแลนด์หันขวับไปมองยังที่มาของการโจมตี และพบว่าเหล่านักผจญภัยที่เข้ามาใกล้นั้นเริ่มเปิดฉากโจมตีใส่อัลติม่า อาจเพราะเข้าใจผิดว่าเธอยังเป็นอันตรายอยู่ หรือคิดว่าเธอเตรียมจะสู้อีกครั้งก็ได้

“นี่! หยุดก่อน! เจ้าปิศาจนี่น่ะสู้ไม่ไหวแล้ว! ไม่ต้องโจมตีแล้ว!”

แม้ออแลนด์จะพยายามห้าม เสียงของเขาก็ส่งไปไม่ถึง เพราะในสนามรบยังคงมีเสียงรบกวนเป็นจำนวนมาก ทั้งเสียงโลหะกระทบกันและเสียงระเบิด เหล่านักผจญภัยโดยรอบจึงทำการโจมตีต่อไป

อัลติม่าที่นั่งอยู่ก็ถูกเวทโจมตีเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม้ระดับของเวทจะไม่ถึงขั้นที่สร้างความเสียหายรุนแรงได้ แต่มันก็ยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ อย่างน่ารำคาญ จนเริ่มจะรู้สึกโมโหขึ้นมา

“กรอด… เจ้าพวกมดปลวกนี่… แค่ขอตายสบาย ๆ ก็ไม่ได้รึไง!?”

อัลติม่ากัดฟันและใช้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายกางปีกออกแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะสลัดพลังเวทโปรยบอลแสงสีขาวเข้าใส่พวกนักผจญภัยที่อยู่รอบบริเวณอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา

เหล่านักผจญภัยต่างก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น แม้บอลแสงจะเคลื่อนที่ช้า แต่เพราะมันมีเป็นจำนวนมากและโปรยปรายลงมาทุกทิศทางก็ทำให้หลายคนหลบการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วบริเวณนั้นไม่พ้น

แต่เพราะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้กลายเป็นเป้าอันโดดเด่น พวกนักผจญภัยที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงระดมยิงเวทเข้าใส่เธอได้ง่ายขึ้น ทำให้อัลติม่าถูกโจมตีด้วยกระสุนเวทมนตร์ที่พุ่งขึ้นมาราวกับห่าฝน แต่ก็ยังคงพยายามโปรยเวทสวนกลับไปให้ได้มากที่สุด

แม้มันจะดูเป็นฉากการแลกกระสุนอันดุเดือด แต่ในใจของอัลติม่ากลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด

ในหัวของเธอตอนนี้ มีเพียงเสียงความคิดของตนเองเท่านั้นที่เธอได้ยินอย่างชัดเจน ส่วนเสียงของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวกลับค่อย ๆ เงียบลง ราวกับมันเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ไกลห่างออกไป

‘นี่คือจุดจบของเรารึเนี่ย… ถูกหลอกใช้โดยพวกมนุษย์ แล้วก็ตายโดยพวกมนุษย์… เรานี่มัน โง่จริงๆ…’

          ‘แต่ไหนแต่ไรมาเราก็เป็นปิศาจที่โดนดูถูกอยู่แล้ว… แม้จะมีพลังระดับสูง แต่พวกปิศาจระดับต่ำกว่าก็ไม่เคยให้ความเคารพ เพราะเรามีอาวุโสน้อยที่สุด แถมยังไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมของคนอื่นด้วย… ไม่ว่าใครก็มองเราเป็นแค่ปิศาจโง่ ๆ ตนหนึ่งเท่านั้น…’

          ‘เพราะแบบนี้รึเปล่านะ ท่านเดียโบลถึงยอมสละเราได้ง่าย ๆ … เพราะเรามันโง่ แล้วก็ไร้ประโยชน์… การยอมเสียไพร่พลเพื่อช่วยเราเลยเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มสินะ…’

          ‘ถึงจะไม่มีประโยชน์…  แต่ไม่มีใครรู้สึกเป็นห่วงเราบ้างเลยเหรอ… ทั้งท่านเดียโบล ท่านเมฟิสโต้ ท่านบาล… ไม่มีใครที่จะนึกเสียใจกับการตายของเราเลยงั้นเหรอ… หรือเพราะเรายังกลับมาจุติใหม่ได้…’

          ‘ถึงจะกลับมาจุติใหม่ได้ แต่อัลติม่าคนต่อไปก็จะไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี… เราเองก็ไม่มีความทรงจำของอัลติม่าคนก่อนหน้าเหมือนกัน เพราะงั้นอัลติม่าคนต่อไปก็คงไม่มีความทรงจำของเราด้วย… เป็นเพียงปิศาจที่ชื่ออัลติม่าเท่านั้น… แค่นั้นก็พอแล้วเหรอ?…’

          ‘ตัวตนของเรา… เราคนนี้น่ะ… ไม่มีค่ากับใครเลยสินะ… ไม่มีใครสนใจกับการคงอยู่ และไม่มีใครที่จะระลึกถึงเมื่อเราจากไปด้วย…’

ความรู้สึกโดดเดี่ยวทำให้น้ำตาของอัลติม่าไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็พยายามหลับตาลงเพื่อที่จะกลั้นน้ำตานั้นเอาไว้ ในขณะที่การโจมตีจากเหล่านักเวทค่อย ๆ ทำให้เธออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อีกไม่นานพลังเวทและจิตต่อสู้ที่ใช้ป้องกันการโจมตีก็คงจะหมดลง และเธอก็คงถูกบดเป็นผงเพราะการโจมตีราวกับห่าฝนนี้

‘ไม่เอา… เรายังไม่อยากตาย… ยังไม่อยากตายไปแบบนี้…’

          ‘ใครก็ได้…’

          ‘ใครก็ได้… ช่วยด้วย…’

อัลติม่าภาวนาอย่างเงียบเชียบอยู่ในใจ เพราะรู้ว่ามันคงเป็นคำขอที่ไม่มีใครได้ยิน เธอหลับตาแน่นเพื่อรอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง แต่ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของคลื่นเวทมนตร์

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็เห็นวงเวทอันหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า

“นี่มัน…”

อัลติม่ายื่นมือออกไปแตะสัมผัสวงเวทนั้นเพื่อตอบรับการเรียก ทันใดนั้นตัวเธอก็ถูกกลืนผ่านอุโมงค์แสงสีขาวโพลน และออกมาโผล่ยังเนินแห่งหนึ่งในเวลาเพียงชั่วอึดใจ บรรยากาศโดยรอบนั้นสื่อให้เห็นว่าเป็นคนละสถานที่คนละแห่งกับที่เธอเคยอยู่ก่อนหน้า ทั้งพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มไม่ใช่ผืนดินอันแห้งผาก ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งไร้ซึ่งแสงจากวงเวทและม่านมนตราที่เคยปกคลุมอยู่ อากาศโดยรอบก็สดอาดสดชื่น ไม่มีกลิ่นอันน่าอึดอัดของฝุ่นหรือควันเลยแม้แต่น้อย

เธอพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสตั้งอยู่ไกลออกไปจนเกือบถึงเส้นขอบฟ้า ทำให้ยิ่งรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในระหว่างนั้นเองอัลติม่าก็ได้ยินเสียงคนดังแว่วมาจากด้านหลัง

“คุณซาลารัสคะ! ทำใจดี ๆ เอาไว้นะคะ!”

เมื่อหันกลับไปมอง เธอก็เห็นซาลที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดกำลังนอนหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของนิโคล

 

“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นน่ะ?…”

อัลติม่ายังคงมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน

ซาลที่อยู่ในอ้อมแขนของนิโคลนั้นยังคงนอนหมดสติโดยมีเลือดไหลออกมาจากทั้งหู ตา จมูก และปาก ส่วนผิวหนังตามร่างกายก็เกิดการปริแตกออกจนเป็นแผล ทำให้มีเลือดไหลออกมาเกือบทั่วทั้งตัว

นิโคลพยายามร่ายเวทรักษาอย่างสุดกำลัง ในขณะที่ลานาเทลก็ใช้ผ้าคลุมเลือดในการช่วยกดปากแผลตามตัวไว้ และถ่ายเลือดชดเชยให้กับเขา

“…เจ้าเด็กบ้านี่ มันอัญเชิญตัวเธอกลับมาไงล่ะ…”

เสียงของแซนโดรทำให้อัลติม่าหันขวับไปด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น แต่ถ้อยคำที่แซนโดรพูดก็ทำเธอรู้สึกประหลาดใจจนลืมความแค้นนั้นไปชั่วขณะ

“อัญเชิญ.. งั้นเหรอ?…”

“…ใช่ …เจ้าบ้านี่มันฝืนทำการอัญเชิญเธอกลับมาทั้งที่มีพลังเวทไม่ถึง ทำให้ถูกผลย้อนกลับจนบาดเจ็บสาหัส …ดูท่าเธอเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเลยสินะ …แต่ก็ถือเป็นโชคดีของเจ้านี่ …เพราะการที่เธออ่อนแอลงมาก ทำให้พลังเวทที่ต้องใช้ในการอัญเชิญลดลงไปด้วย …ถ้าเป็นเวลาปกติละก็ ผลย้อนกลับคงรุนแรงจนถึงชีวิตไปแล้วล่ะ…”

อัลติม่าหันกลับไปมองซาลด้วยสีหน้าที่ยังอยู่ในอาการตกตะลึง

“ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะฉันงั้นเหรอ?… หมอนั่น… ยอมทำเพื่อฉัน?…”

อัลติม่าเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมามากมายจนบรรยายไม่ถูก แล้วน้ำตาของเธอก็เอ่อล้นออกมา

แซนโดรมองดูอัลติม่าพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองซาลแล้วถอนหายใจออกมา

“…เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานนัก …อีกเดี๋ยวการตรวจสอบพื้นที่ภายนอกก็น่าจะเริ่มขึ้นแล้ว …รีบไปหาที่ซ่อนกันก่อนดีกว่า…”

เมื่อนิโคลกับลานาเทลรักษาอาการบาดเจ็บของซาลจนพ้นขีดอันตรายแล้ว แซนโดรก็พาทุกคนกลับไปยังคฤหาสน์ต่างมิติอีกครั้ง เพื่อให้เขาได้พักฟื้น และเพื่อหลบเร้นจากการค้นหาผู้บุกรุกด้วย

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

หลายวันผ่านไป

ในที่สุดซาลก็ลืมตาตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของคฤหาสน์

เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้ว นิโคลที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาในทันที

“คุณซาลารัส ฟื้นแล้วเหรอคะ? อา… ดื่มน้ำก่อนละกันนะคะ”

นิโคลรินน้ำใส่แก้วและพยุงให้ซาลารัสลุกขึ้นมาดื่ม จากนั้นเธอก็ซ้อนหมอนเพื่อให้เขาเอนตัวนอนได้

“หลับไปหลายวันเลยนะคะ คงจะหิวแย่เลย ถ้าไงฉันจะไปเตรียมอาหารมาให้ รอสักครู่นะคะ”

เมื่อพูดจบ นิโคลก็เดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้อง ซาลที่หันมองตามไปด้วยจึงเพิ่งจะเห็นว่ามีคนอีกคนหนึ่งนั่งเกาะขอบเตียงอยู่ เธอก็คืออัลติม่านั่นเอง

“อัลติม่า…”

ซาลเรียกชื่อของอัลติม่าด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ส่วนอัลติม่าก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและมองเขาด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจ

“นายน่ะบ้ารึเปล่า? บอกแล้วไงล่ะว่าอย่าฝืนอัญเชิญ ไม่งั้นอาจตายได้น่ะ ไม่อยากอยู่ดูโลกแล้วรึไง?”

“นั่นเพราะอัลติม่าอ้วนเกินไปต่างหาก… ถ้าลดความอ้วนลงสักหน่อยละก็ คงไม่ต้องใช้พลังเวทเยอะขนาดนี้หรอก…”

“ว่าไงน๊าาา!!”

อัลติม่าทุบเตียงด้วยความโกรธจนเตียงสั่น ส่วนซาลก็แอบหัวเราะเล็ก ๆ ในลำคอเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้น

ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ทำให้เกิดความเงียบปกคลุมไปพักหนึ่ง ก่อนที่อัลติม่าจะเอ่ยคำถามออกมาโดยพยายามหลบสายตาไปทางอื่น

“คนอย่างฉันน่ะ… มีค่าพอให้เสี่ยงชีวิตด้วยเหรอ?… ฉันน่ะพยายามจะหลอกทำสัญญากับนายเลยนะ เคยคิดจะฆ่านายทิ้งก็ตั้งหลายครั้งด้วย…”

“เห…? จริงเหรอเนี่ย…? ไม่ยักรู้มาก่อนเลย… แต่เรื่องพันธสัญญาผมเป็นฝ่ายหลอกอัลติม่าได้นี่นา เพราะงั้นถือว่าเจ๊ากันไปก็แล้วกัน…”

อัลติม่าชำเลืองมองซาลอีกครั้ง ก่อนจะหลบตาไปทางอื่นแล้วพูดต่อ

“นายยังไม่ได้ตอบคำถามเลยนะ”

ซาลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังรวบรวมสมาธิเพื่อตอบคำถามนี้ แต่ความจริงเขาเพียงแค่พักหายใจเพื่อให้พูดได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง

“…แซนโดรคิดว่าเราต้องมีพลังเพื่อการยึดครองโลก ถึงได้พยายามรวบรวมอาติแฟคและพลังอำนาจให้ได้มากที่สุด… แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นอำนาจสูงสุดในโลกนี้ไม่ใช่พลัง แต่เป็น ‘มิตร’ ต่างหาก…”

“มิตรเหรอ?”

อัลติม่าจ้องมองเด็กชายตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย เพราะแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ไม่ว่าจะมีพลังอำนาจมากแค่ไหน คน ๆ เดียวก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้หรอก มันเป็นข้อจำกัดของการทำอะไรเพียงลำพัง… กลับกัน คนที่มีมิตรสหายอยู่มากมายอาจทำได้เกือบทุกอย่าง เพราะมีคนมากมายคอยสนับสนุนและเป็นกำลังให้นั่นเอง… เราไม่จำเป็นต้องมีพลังมากที่สุด ถ้าเรามีคนที่มีพลังมากที่สุดเป็นมิตร… หรือไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างได้ ขอแค่เป็นมิตรกับทุกคนที่ทำแต่ละอย่างได้ก็พอ… คนที่มี ‘มิตร’ มากที่สุดนี่แหละ ถึงจะมีอำนาจมากที่สุดในโลก…”

“นั่นมันก็ เหมือนกับการรวบรวมสมุนไม่ใช่เหรอ? หาคนมาเป็นพวกเพื่อสะสมอำนาจสินะ?”

“ไม่เหมือนกันหรอก… อย่างที่เคยบอกไปแหละ อำนาจน่ะซื้อคนติดตามได้ แต่ซื้อคนระวังหลังไม่ได้… เส้นทางอย่างการครองโลกน่ะ แค่มีคนติดตามมันไม่พอหรอก ต้องเป็นมิตรสหายที่เชื่อใจกันได้จริง ๆ ถึงจะพากันไปสู่จุดหมายได้…”

“แต่ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความเชื่อใจเนี่ยนะ? ถ้าตายไปก็ต้องสูญเสียทุกอย่างไม่ใช่รึไง?”

“ถ้าตัวเรายังไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอื่น แล้วใครจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเราล่ะ?… แต่อันที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นหรอกนะ… ตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่อยากให้อัลติม่าตายเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องอื่น ๆ น่ะไม่ได้สนใจหรอก…”

อัลติม่าจ้องมองดวงตาของซาลอยู่พักหนึ่ง แม้ดวงตาของเขาจะดูอ่อนแรง แต่มันก็แน่วแน่ไม่สั่นไหว บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

อัลติม่านิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่และทอดสายตามองไปทางอื่นเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง และในที่สุดเธอก็เอ่ยคำพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันน่ะ… อยากจะเพิกถอนพันธสัญญากับนายซะ… ฉันไม่อยากเป็นทาสของนายแล้ว และก็ไม่ต้องการวิญญาณของนายแล้วด้วย”

“ถ้านั่นเป็นความต้องการของอัลติม่าละก็ ผมก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ…”

“แต่ด้วยกฎของปิศาจน่ะ เราไม่สามารถยกเลิกพันธสัญญาได้หรอก ต้องทำการผูกพันคู่สัญญาไปจนกว่าสัญญาจะบรรลุในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น”

“เอ๋? งั้นจะทำยังไงดีล่ะ?…”

“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือการทำพันธสัญญาใหม่โดยวางเงื่อนไขให้เป็นการปลดปล่อยพันธสัญญาเดิม แบบนี้ก็จะสามารถยกเลิกพันธสัญญาเดิมได้ แลกกับการสร้างพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาแทน ส่วนเงื่อนไขของพันธสัญญาใหม่เราก็กำหนดให้เป็นเงื่อนไขง่าย ๆ ก็พอแล้ว เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา”

“แบบนี้นี่เอง… แต่ถ้างั้นเราก็ต้องหาปิศาจอีกตนหนึ่งมาช่วยทำพันธสัญญาใหม่ให้สินะ?”

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ฉันยังมีสิทธิ์ในการทำพันธสัญญาอีกอันนึงอยู่ ขอแค่ร่างพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาแล้วเรามาทำพันธสัญญากันก็ใช้ได้แล้ว”

“งั้นก็ดีน่ะสิ… ถ้างั้นก็ มาเริ่มกันเลยดีมั้ย?…”

อัลติม่าสร้างอักขระแห่งพันธสัญญาอันใหม่ขึ้นมาบนอากาศ ก่อนจะเอามือทาบไปที่ตัวอักขระ

“เงื่อนไขของพันธสัญญานี้ต้องกำหนดขึ้นมาในรูปแบบกลับด้าน คือถ้านายยกเลิกพันธสัญญาเดิมกับฉันแล้วฉันต้องทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทน แบบนี้ค่าตอบแทนของนายก็จะถือว่าได้จ่ายไปแล้วด้วยการยกเลิกพันธสัญญาเดิม เหลือแค่ฉันที่ต้องทำตามเงื่อนไขของนาย โอเคนะ?”

“โอเค… งั้นก็… ถ้าผมยอมยกเลิกพันธสัญญาเดิม อัลติม่าต้องยอมเป็นเพื่อนกับผมตลอดไปนะ…”

ซาลกล่าวขึ้นพลางเอื้อมมือไปที่อักขระอย่างช้า ๆ ทำให้อัลติม่าต้องรีบชักมือออก

“จะบ้ารึไง!? ให้เป็นเพื่อนกับนายตลอดไปเนี่ยนะ!? ไม่เอาด้วยเหรอก!”

จู่ ๆ อัลติม่าก็ออกอาการไม่พอใจขึ้นมา ทำให้ซาลรู้สึกงุนงง

“อ้าว… งั้นจะให้ทำยังไงล่ะ?…”

“ทะ… ถ้านายยอมยกเลิกพันธสัญญาเดิมละก็ ฉันจะยอมติดตามนายเพื่อช่วยทำความปรารถนาทุกอย่างของนายให้เป็นความจริงก็ได้… แบบนั้นก็พอได้อยู่…”

“เอ๋?… แต่ความปรารถนาของคนเรามันไร้ที่สิ้นสุดไม่ใช่เหรอ? แบบนี้มิต้องติดตามผมไปตลอดชีวิตเลยเหรอ?…”

“นายก็อย่าโลภให้มันมากนักซี่! …แต่ถึงต้องติดตามนายไปตลอดชีวิต ฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะ… สรุปว่าเอาตามนี้แหละ!”

บางช่วงบางตอนของถ้อยคำเหล่านั้น อัลติม่าได้พูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและท่าทีเอียงอาย ก่อนที่จะรีบตัดบทในช่วงสุดท้าย ซาลยังสังเกตว่าเธอหน้าแดงนิด ๆ อีกด้วย จึงยิ่งรู้สึกแปลกใจเพราะเขาไม่เข้าใจในท่าทางผิดปกติที่อัลติม่าแสดงออกมาเลย

“เอ่อ… ถ้างั้นก็เอาตามที่ว่าละกันนะ เอ้า…”

ซาลแตะสัมผัสอักขระพันธสัญญาที่อัลติม่าตั้งรออยู่อีกครั้ง ส่งผลให้อักขระของพันธสัญญาเดิมที่ข้อมือสลายหายไป แล้วปรากฏอักขระของพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาแทนที่

หลังจากเปลี่ยนพันธสัญญาใหม่เรียบร้อยแล้ว นิโคลก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดอาหารสำรับใหญ่พอดี ซาลจึงเริ่มลงมือทานอาหารโดยมีนิโคลกับอัลติม่าเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ

 

อีกด้านหนึ่ง ที่ห้องของแซนโดร

แซนโดรกับลานาเทลกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ในห้องของซาลารัสผ่านทางหน้าจอเวทมนตร์

“ดูท่าอัลติม่าจะต้องติดตามพวกเราไปอีกนานเลยนะคะ~”

ลานาเทลพูดแหย่แซนโดรด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำให้เธอต้องพูดย้ำอีก

“แบบนี้จะไม่มีปัญหาจริง ๆ เหรอคะ? พวกเขาทำพันธสัญญากันใหม่ด้วยนะคะ?”

“…แค่ไม่ได้ใช้วิญญาณของซาลารัสเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็พอแล้ว …ที่สำคัญคือการยอมถอนพันธสัญญาแบบนี้น่ะ ถ้าทางนรกรู้เข้าต้องถูกลงโทษแน่ …แปลว่าแม่นั่นให้ความสำคัญกับซาลารัสมากกว่าตัวเองไงล่ะ …แบบนี้ อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้…”

“หืม~ ที่แท้คุณแซนโดรก็แค่เป็นห่วงซาลารัสจนเกินเหตุน่ะเอง ถึงวิธีการจะโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ก็เพราะรักมากเลยห่วงมากสินะคะ?”

“…ฉันแค่เป็นห่วงแผนการของเราต่างหาก…”

“แหม~ ทำเป็นปากแข็งแบบนี้ ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่เลย~”

ลานาเทลกอดเอวของแซนโดรพลางเอาคางเข้ามาหนุนที่ไหล่ของเธอ แต่แซนโดรก็ไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร เพียงแค่แสดงสายตาอันเหนื่อยหน่ายออกมา ก่อนที่จะปิดจอภาพตรงหน้าไป

แซนโดรให้เวลาซาลพักฟื้นอีกหลายวัน จนเมื่อเห็นว่าเขาแข็งแรงดีแล้วจึงพาทุกคนออกเดินทางเพื่อกลับไปยังมาลาไคท์คีป

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset