Doombringer the 5th 33

ตอนที่ 33

Ch.33 – ผู้ทรยศของทั้งสามโลก

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 33

ผู้ทรยศของทั้งสามโลก

 

Part 1

 

“ดันปล่อยมือมาได้นะ! ยัยบ้าเมฟิส!”

“น่า ๆ ~ แค่เผลอหลุดมือเอง อย่าโกรธสิจ๊ะ”

เดียโบลกำลังโวยวายพร้อมกับตรงเข้าไประดมเหวี่ยงหมัดใส่เมฟิสโต้เพื่อเอาคืนที่โดนโยนไปกระแทกพื้น แต่เมฟิสโต้ซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งก็ใช้มือยันหน้าผากของเธอเอาไว้ทำให้เดียโบลที่มีรูปร่างเล็กราวกับเด็กไม่สามารถเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ซะที

ทางฝั่งบาลยังคงจ้องเขม็งไปยังอัลติม่าด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในขณะที่เจ้าตัวยังตาค้างเพราะอยู่ในอาการตกใจ

“ซะ.. แซนโดร เอลราธ งั้นเหรอคะ? (ใช่ยัยนั่นรึเปล่านะ…) ตะ.. แต่ว่าภาพที่เคยส่งมาให้ดูน่ะ… เป็นคนนี้ไม่ใช่เหรอคะ?”

อัลติม่าฉายภาพที่เดียโบลเคยส่งมาให้ดูขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นภาพของแซนโดรกับซาลกำลังเดินอยู่ในตลาดของเมือง

“ใช่เด็กนั่นที่ไหนเล่า! ผู้หญิงคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ ต่างหาก!”

“เอ๋!? ตะ.. แต่ว่าตอนนั้นพอบอกว่าน่ารักดี ก็ไม่เห็นทักท้วงอะไรเลยนี่คะ แถมยังตัดการติดต่อไปด้วย ดิฉันก็เลยนึกว่า…”

“กรอด… สุดท้ายแล้วปัญหามันก็เกิดจากความชุ่ยของเธอนี่แหละ! ยัยมารแคระ!”

“เรียกใครว่ามารแคระกันน่ะหา!?”

บาลเข้าใจสาเหตุของความผิดพลาดแล้วก็หันไปเล่นงานเดียโบลแทน ทั้งสองคนจึงโต้เถียงกันเป็นการใหญ่โดยมีเมฟิสโต้คอยพยายามห้ามปรามตามเคย

อัลติม่ารู้สึกเบาใจลงนิดหน่อยที่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอเต็ม ๆ แต่ก็ยังเหงื่อตกเพราะดูท่าเธอคงหนีปัญหานี้ไปไม่พ้นอยู่ดี

หลังจากเหตุการณ์เริ่มสงบลงแล้ว บาลก็หันกลับมาทางอัลติม่าอีกครั้ง

“เฮ้อ… เรื่องที่ผ่านมาก็ช่างมันละกัน เธอไปหาทางทำพันธสัญญากับแซนโดร เอลราธ และชักจูงเขามาเป็นผู้สร้างหายนะให้ได้ซะ”

“เอ่อ… คือว่า เรื่องนั้น… คงจะไม่ได้หรอกค่ะ… เพราะว่าฉันทำพันธสัญญากับซาลารัส แฮลเซียน ไปแล้ว… ”

อัลติม่ารู้ชะตากรรมดีจึงตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาพลางหลบสายตาไปทางอื่น ส่วนบาลก็เกิดเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งตามคาด

“ว่าไงนะ!! ไหนบอกว่าแค่ใช้เสน่ห์ยั่วยวนจนชักจูงมาได้ไงล่ะ!?”

“เอ่อ.. มันก็… ใช่อยู่หรอกนะคะ… แต่เพื่อความแน่ใจก็เลย…”

“ความจริงเธอน่าจะคิดได้เองด้วยซ้ำนะ ว่าเด็กจะเป็นผู้สร้างหายนะได้ยังไงกันเล่า! ถึงคำสั่งจะไม่ชัดเจนก็เถอะ แต่ไม่รู้สึกเอะใจบ้างเลยรึไง!?”

“กะ.. ก็… ดิฉันคิดว่านี่เป็นแผนการระยะยาว แบบว่าชักชวนมาก่อนตอนยังเด็ก แล้วรอไว้ใช้งานตอนโต… อะไรแบบนี้น่ะค่ะ…”

“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ!? แล้วเจ้าเด็กนั่นมันเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ เธอไปทำพันธสัญญามั่ว ๆ ได้ยังไง!?”

“มะ.. ไม่ใช่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้นะคะ ฉันเห็นว่าเขาคือ ซาลารัส แฮลเซียน ก็เลยคิดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติที่นรกหมายตาน่ะค่ะ…”

“ก็แล้วมันเป็นใครกันเล่า!?”

“นี่ ๆ ~ แฮลเซียน ก็คือผู้ชายคนนั้นไง~ คนที่เคยพาพวกเราขึ้นสวรรค์กันไงล่ะ”

เมฟิสโต้พูดแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางเอียงอายที่ชวนให้เข้าใจผิด ทำให้บาลหยุดคิดไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานเธอก็นึกออก

“ออ… ไอ้เจ้าผู้สร้างหายนะคนที่สี่ตัวแสบนั่นเอง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชื่อ ซารามอธ แฮลเซียน สินะ แล้วเจ้าเด็กซาลารัสนี่เป็นอะไรกับมันล่ะ?”

“เขาเป็นลูกชายของซารามอธค่ะ และยังมีเชื้อสายของทูตสวรรค์ด้วย ฉันก็เลยคิดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติน่ะค่ะ”

อัลติม่าตอบโดยที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่เพราะกลัวความผิด ฝั่งบาลเมื่อได้ยินปูมหลังของซาลแล้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ลูกชายของคนที่สี่ และยังมีเชื้อสายของชาวสวรรค์ด้วยงั้นรึ… เชื้อสายของชาวสวรรค์ก็ไม่เลวหรอก แต่การที่เป็นลูกของเจ้านั่นนี่สิที่น่าหนักใจ”

“น่า ๆ ~ เด็กคนนี้ก็น่าจะเป็นตัวหมากที่ไม่เลวไม่ใช่เหรอจ๊ะ? อย่างน้อยก็น่าจะเก็บเอาไว้ใช้งานได้นะ”

เมฟิสโต้ช่วยพูดเสริม อัลติม่าจึงรีบสนับสนุนเพราะเห็นโอกาสรอด

“ชะ.. ใช่แล้วค่ะ! ถึงจะให้เป็นคนที่ห้าไม่ได้ แต่เก็บไว้ใช้เป็นคนที่หกก็ได้นะคะ!”

“แบบนั้นก็แปลว่าครั้งที่ห้ามันต้องล้มเหลวไม่ใช่เรอะ!? ทำงานโดยตั้งเป้าไว้ก่อนว่ามันจะล้มเหลวแบบนี้แล้วจะไปสำเร็จได้ยังไง!?”

บาลตวาดอัลติม่าที่พูดเสนอขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความผิดให้กับตัวเอง แต่คำพูดนั้นกลับกลายเป็นเชือกรัดคอเธอยิ่งกว่าเดิม อัลติม่าจึงต้องก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ยังไงก็เถอะ.. ถ้าทำพันธสัญญาไปแล้วก็คงช่วยไม่ได้.. ว่าแต่ เอาเงื่อนไขของพันธสัญญามาดูซิ ว่ามีข้อผูกมัดและเงื่อนไขยังไงบ้าง”

เมื่อบาลถามถึงเงื่อนไขของพันธสัญญาก็ทำให้อัลติม่าหน้าซีดและเหงื่อแตกขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธออยากจะให้บาลได้รู้จริง ๆ

“คะ.. คือว่า…”

“ชักช้าอะไรอยู่ล่ะ? เอาอักขระแห่งพันธสัญญามาดูซิ”

ในเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว อัลติม่าจึงยกข้อมือข้างที่มีอักขระขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

เมื่ออัลติม่ายกข้อมือขึ้นมา บาลก็วาดมือไปบนอากาศเพื่อให้อักขระแสดงรายละเอียดของพันธสัญญา

อักขระบนข้อมือของอัลติม่าได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งและฉายอักขระเรืองแสงอีกชุดซึ่งเป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาขึ้นบนอากาศ

“หา!? จะยอมเป็นทาสไปจนกว่า ซาลารัส แฮลเซียน จะยึดครองทั้งสามโลกได้!? นี่มันข้อตกลงบ้าอะไรเนี่ย!?”

“คะ.. คือว่า…”

เมื่อไม่มีทางที่จะปิดบังได้อีกแล้ว อัลติม่าจึงจำเป็นต้องสารภาพว่าเพราะความเลินเล่อของตัวเองทำให้อีกฝ่ายกำหนดข้อตกลงและทำพันธสัญญาในขณะที่เธอกำลังเผลอ จึงได้สัญญาที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ออกมา

“ยัย….. ปิศาจที่ไหนเขาโดนเด็กหลอกกันน่ะหา!?”

“ขะ.. ขออภัยด้วยค่ะ! ก็ตอนนั้นดิฉันไม่คิดว่า…”

“ฮุฮุฮุ~ สมกับเป็นลูกชายของคน ๆ นั้นจริง ๆ เลยนะ คนพ่อเองยังเคยหลอกทั้งนรกมาแล้ว ดังนั้นถ้าลูกชายจะหลอกอัลติม่าได้ก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง~”

แม้บรรยากาศจะค่อนข้างตึงเครียด แต่เมฟิสโต้ก็กลับหัวเราะออกมาด้วยท่าทางขี้เล่นสบาย ๆ ตามปกติ ทำบรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้สีหน้าของบาลจะยังไม่เปลี่ยนไปก็ตาม

ในอดีตนั้น ซารามอธ แฮลเซียน พ่อของซาล ต้องการจะบุกขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อชิงตัวภรรยากลับมา แต่เพราะไม่มีกำลังสนับสนุนเพียงพอจึงได้หลอกทำข้อตกลงกับเหล่าปิศาจ ขอยืมกองทัพนรกเพื่อแลกกับการเป็นผู้สร้างหายนะ

แต่แทนที่ซารามอธจะเปิดประตูเชื่อมระหว่างโลกกับนรก เขากลับเปิดเส้นทางเชื่อมต่อจากนรกไปยังสวรรค์แทน ทำให้กองทัพนรกที่คิดจะรุกรานโลกต้องไปเผชิญกับทัพสวรรค์โดยไม่ทันตั้งตัว

นี่เป็นสาเหตุให้การรุกรานครั้งที่สี่สร้างความเสียหายให้กับโลกน้อยมาก แม้เหล่ามอนสเตอร์บนโลกจะมีอาการคลุ้มคลั่งเพราะการเปิดประตูนรกและออกอาละวาดไปทั่ว แต่มันก็เป็นแค่การจู่โจมของมอนสเตอร์ธรรมดา ๆ ซึ่งห่างชั้นจากการรุกรานจริง ๆ มาก

ส่วนบนสวรรค์นั้น ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ซารามอธเปลี่ยนใจกลางคันและหันมาโจมตีฝ่ายนรกแทน เมื่อผู้นำทัพแปรพักตร์ แถมไพร่พลของสวรรค์ก็ยังแข็งแกร่งกว่าทัพนรกมาก ทำให้ฝ่ายนรกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ด้วยเหตุนี้ ซารามอธ แฮลเซียน จึงถูกขนานนามว่าผู้ทรยศของทั้งสามโลก (The Traitor) และถูกจองจำเอาไว้ใน ‘เทรชเชอรี่’ ชั้นลึกสุดของนรก เช่นเดียวกับผู้สร้างหายนะคนอื่น ๆ

“ฮึ่ม… ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งหงุดหงิด.. เพราะเจ้าบ้านั่นทำให้เราเสียไพร่พลเกือบครึ่งไปฟรี ๆ แผนการต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า… ยังไงก็เถอะ! ไหนว่าเจ้าเด็กนั่นมันหลงเสน่ห์เธอหัวปักหัวปำไงล่ะ! ทำไมยังโดนมันจับเป็นทาสอีก!?”

“ระ.. เรื่องนั้นก็เพราะว่า… ดะ.. เด็กคนนั้นเขาปรารถนาในตัวฉันมากเกินไป ก็เลยเลือกทำพันธสัญญาให้เป็นทาส เพื่อจะได้ผูกมัดดิฉันเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัวไงล่ะคะ!”

“อืม… ท่าทางมันจะหื่นกามมากเลยนะ เจ้าเด็กนั่นน่ะ”

“ชะ.. ใช่แล้วค่ะ! มันเป็นเด็กที่หื่นกามมากเลยค่ะ!”

“ทั้งที่เพิ่งจะสิบขวบเนี่ยนะ?”

“ใช่ค่ะ! มันหื่นกามตั้งแต่เด็กเลยค่ะ!”

บาลจ้องมองอัลติม่าด้วยสายตาที่ดูจะยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ ถ้าเป็นสมัยโลกเก่าละก็ การที่เด็กสิบขวบจะมีนิสัยแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับโลกใหม่ที่ศีลธรรมถูกฟื้นฟูขึ้นมาเยอะแล้ว การจะมีเด็กที่จิตใจเสื่อมโทรมขนาดนี้ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เลย แต่จะมาสืบสาวเรื่องนี้ต่อไปก็ดูจะไม่เกิดประโยชน์

“เฮ้อ.. ช่างเถอะ แต่ปัญหาจริง ๆ คือเงื่อนไขการบรรลุพันธสัญญานี่สิ ยึดครองทั้งสามโลกงั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะเนี่ย? เงื่อนไขแบบนี้มัน…”

บาลหยุดพูดกลางคันแล้วครุ่นคิดถึงเนื้อหาของพันธสัญญาอีกครั้ง

“เงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดพันธสัญญาได้ไม่ใช่เหรอ? นี่หมายความว่า…”

“เห~ แปลว่าเด็กคนนั้นมีคุณสมบัติที่จะยึดครองทั้งสามโลกได้จริงๆสินะคะ”

คำพูดของเมฟิสโต้ทำให้ทั้งบาลและอัลติม่ามีสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

“ชะตากรรมที่สามารถยึดครองทั้งสามโลกได้งั้นเหรอ… รู้สึกจะเป็นตัวปัญหากว่าที่คิดซะแล้ว… อัลติม่า หาทางฆ่าเจ้าเด็กนั่นซะ”

อัลติม่ารู้สึกตะลึงกับคำสั่งนั้นจนตาเบิกโพลง เพราะมันไม่ต่างไปจากการบอกให้เธอฆ่าตัวตายสักเท่าไหร่เลย

“บะ.. แบบนั้น.. ดิฉันก็ตายด้วยน่ะสิคะ!?”

“เธอน่ะทำงานพลาด ยังไงก็ต้องรับโทษอยู่แล้ว คิดซะว่านี่เป็นการชดเชยความผิดพลาดก็แล้วกันนะ”

ด้วยคำตอบที่เย็นชาของบาลทำให้อัลติม่าต้องนิ่งเงียบไปอีกครั้งด้วยสีหน้าตกตะลึง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

“น่า ๆ ~ อย่าเพิ่งใจร้อนสิจ๊ะบาล ตัวหมากที่สำคัญขนาดนี้น่ะจะทำลายทิ้งไปง่าย ๆ ได้ยังไง ถ้าเขามาอยู่ฝ่ายเราละก็ แปลว่านรกอาจเอาชนะสวรรค์และยึดครองทั้งสามโลกได้เชียวนะ โอกาสแบบนี้น่ะหายากนา”

เมฟิสโต้เอ่ยแทรกขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำสั่งของบาล เพราะเธอมีความเห็นที่แตกต่างออกไป

“ครอบครองสามโลกก็แปลว่ามันจะได้ปกครองนรกด้วยไม่ใช่เหรอ? ถ้าต้องให้อยู่ใต้อาณัติของมนุษย์ละก็ ฉันยอมตายซะดีกว่า”

“อย่าพูดแบบนั้นซี่~ การจะได้มาซึ่งอะไรบางอย่างก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งนั้น ถ้าพูดกันตามจริงละก็ การรุกรานที่เราทำได้มันก็แค่ความพยายามในการสร้างความเสียหายให้กับโลกเพื่อให้เกิดพลังงานด้านลบมาค้ำจุนนรกเท่านั้น ความหวังที่จะยึดครองโลกได้จริง ๆ น่ะมันริบหรี่จะตายไป แต่ถ้าได้ผู้มีชะตากรรมมาช่วยละก็ เราอาจทำสำเร็จจริง ๆ ก็ได้”

“ผู้ที่ครอบครองสามโลกต้องเป็นเพียวอีวิล (ปิศาจพันธุ์แท้) อย่างพวกเราเท่านั้น! การจะให้คนอื่นมารับตำแหน่งนี้ไปน่ะ ฉันยอมรับไม่ได้หรอก!”

“แหม~ ตำแหน่งที่ว่าน่ะเราเองก็ใช่ว่าจะช่วงชิงมาได้ซะเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราสนับสนุนผู้มีโอกาสและแบ่งปันความสำเร็จกับเขาได้ แบบนี้ก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ อย่ามัวหวงก้างอยู่เลยน่า”

“ว่าไงนะ!?”

“พอซะทีเถอะ ทั้งสองคน”

ในที่สุดเดียโบลซึ่งนิ่งเงียบฟังการสนทนาอยู่นานก็เอ่ยปากขึ้นมา ทำให้ทั้งสองคนหยุดการโต้เถียงในทันที ราวกับมันเป็นวาจาสิทธิ์จากผู้ทรงอำนาจเหนือชีวิต ทั้งที่มันยังคงเป็นเสียงใส ๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เพื่อให้ปรากฏตัวในหน้าจอสนทนาแบบเต็ม ๆ ได้ เดียโบลจึงต้องยืนห่างจากหน้าจอไปพอสมควร ทั้งบาลและเมฟิสโต้จึงต้องเดินถอยตามออกไปด้วย

“ชะตากรรมมันก็เป็นแค่คุณสมบัติ ผู้ที่มีดวงชะตาแห่งราชาก็ใช่ว่าจะได้เป็นราชาจริง ๆ ของอย่างชะตากรรมซึ่งขึ้นอยู่กับอนาคตน่ะมันคาดหวังอะไรไม่ได้หรอก เพราะอนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ”

“หืม~ แต่เรื่องของคุณสมบัติน่ะ มีไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่เหรอ?”

“เจ้าเด็กคนนั้นมันจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เรื่องของอนาคตก็เอาไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้เราต้องคุยกันเรื่องของผู้สร้างหายนะคนที่ห้าต่างหาก แซนโดร เอลราธ คนนั้นก็อยู่ในกลุ่มของ ซาลารัส แฮลเซียน ด้วยสินะ แล้วสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ยังไงกัน?”

“เอ่อ… ก็เป็น… ผู้ร่วมขบวนการในการเป็นผู้สร้างหายนะล่ะมั้งคะ…”

“หมายความว่ายังไง? พูดมาให้ชัดเจนซิ”

แม้จะรู้สึกลังเลนิดหน่อย แต่อัลติม่าคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วถึงปิดบังความจริงไปก็ไม่มีประโยชน์

“รู้สึกว่า แซนโดร เอลราธ คนนั้น คิดจะเลี้ยงดู ซาลารัส แฮลเซียน ให้เป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าน่ะค่ะ…”

“หืม? แปลว่าพวกนั้นตั้งใจจะร่วมมือกับเราอยู่แล้วงั้นเหรอ?”

“ชะ.. ใช่ค่ะ…”

“กรอด… สรุปแล้วเธอทำอะไรบ้างเนี่ย!?”

“พอทีเถอะบาล ฉันยังพูดไม่จบนะ”

บาลตวาดอัลติม่าด้วยความไม่พอใจ ทำให้อีกฝ่ายต้องขดตัวด้วยความกลัว แต่ก่อนจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นก็ถูกเดียโบลปรามเอาไว้ซะก่อน

แม้ในยามปกติที่เดียโบลทำตัวไม่เอาการเอางาน บาลจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องมีท่าทีเกรงใจเลย แต่ในเวลาที่เธอจริงจังขึ้นมาแบบนี้ แม้แต่บาลก็ไม่กล้าที่จะขัดคอผู้ที่เป็นจ้าวนรกเช่นกัน ท่าทีสงบเสี่ยมและยอมปฏิบัติตามคำสั่งทุกถ้อยคำของนั้นไม่มีวี่แววของการฝืนทำหรือเสแสร้งปะปนอยู่เลย มันเป็นความยำเกรงที่มาจากใจจริง ผิดจากเวลาที่ทั้งสองคนทะเลาะกันมาก

“เรื่องนี้… ชักน่าสงสัยแฮะ ถึงแม่นั่นจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดที่เราหมายตาอยู่แล้วก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของคุณสมบัติเท่านั้น ไม่เคยได้รับรายงานเลยว่าเธอมีแนวคิดแบบนี้ด้วย”

“เราเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกเกี่ยวกับเธอเท่าไหร่ รู้แค่เรื่องราวผิวเผินจากสายของเราที่ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ศึกษาศาสตร์มืดเท่านั้น เพราะงั้นแม่นั่นอาจมีเหตุผลลึก ๆ ที่เราไม่รู้ก็ได้”

“อื้ม ๆ ~ แค่เขามีความสนใจจะมาร่วมกับเราแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“หากยังไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด ฉันก็ยังไม่วางใจหรอก พวกมนุษย์น่ะเจ้าเล่ห์และไว้ใจไม่ได้ยิ่งกว่าปิศาจอย่างเราซะอีก”

ด้วยคำพูดนั้นทำให้ทั้งบาลและเมฟิสโต้ต้องเงียบไป แม้แต่อัลติม่าที่นั่งฟังอยู่ก็รู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดนี้เช่นกัน เพราะมันเป็นความจริงที่เคยประสบมากับตัวแล้วนั่นเอง

“…อัลติม่า จากนี้ไปให้จับตาดู แซนโดร เอลราธ คนนี้เอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามสืบหาเหตุผลเธอต้องการจะปั้นผู้สร้างหายนะขึ้นมาซะ แต่อย่าไปถามเจ้าตัวหรือคนรอบข้างตรง ๆ ล่ะ ให้แอบสืบมาเท่านั้น”

“ขะ.. เข้าใจแล้วค่ะ”

“แล้วก็นี่คือสิทธิ์ในการทำพันธสัญญาครั้งที่สอง มันจะทำให้เธอสามารถทำสัญญากับคนอื่นได้อีกหนึ่งครั้ง ถือเป็นขีดจำกัดสูงสุดของการถือครองพันธสัญญาแล้วล่ะนะ จงรับไปซะ”

เดียโบลสร้างอักขระแห่งพันธสัญญาอีกอันขึ้นบนอากาศ ก่อนที่อักขระนั้นจะสลายไป และไปปรากฏที่ข้อมือข้างซ้ายของอัลติม่าแทน”

“ค่ะ แต่… จะให้ดิฉันเอาสิทธิ์ในการทำพันธสัญญาอีกอันไปทำอะไรเหรอคะ?”

“ถ้าเป็นไปได้ละก็ จงหาทางทำพันธสัญญาผูกมัดกับ แซนโดร เอลราธ ซะ คราวนี้อย่าให้พลาดอีกล่ะ”

“เอ๋!? ตะ.. แต่ว่า…… ขะ.. เข้าใจแล้วค่ะ…”

อัลติม่ามีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอไม่ถูกชะตากับแซนโดรอย่างแรง แต่ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของนายเหนือหัว เธอจึงได้แต่รับบัญชามา

“สำหรับเด็กที่ชื่อซาลารัสนั่น… อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้ถือพันธสัญญาอยู่แล้ว ก็จับตาดูต่อไปละกัน ถ้าเจ้านั่นหลงเธอหัวปักหัวปำจริง ๆ ยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาสินะ”

“ชะ.. ใช่แล้วค่ะ! ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ!”

อัลติม่าตอบกลับมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนทำให้บาลยิ่งสงสัยเข้าไปอีก แต่เดียโบลกลับไม่ใส่ใจอะไร

“ถ้างั้นก็แค่นี้แหละ ไว้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่จะติดต่อไปอีกทีนะ”

“ระ.. รับทราบค่ะ”

เมื่อสั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เดียโบลก็ตัดการเชื่อมต่อลง ทำให้หน้าจอสื่อสารดับไป

 

“อืม~ ถ้าอัลติม่าทำสำเร็จก็คงจะดีเนอะ”

เมฟิสโต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น หลังจบการสื่อสารกับอัลติม่า

“ไม่สำเร็จหรอก ยัยนั่นน่ะติงต๊องจะตาย แค่ทำพันธสัญญากับเด็กยังโดนเด็กหลอกเลย เพราะงั้นกับ แซนโดร เอลราธ ก็คงไม่รอดแน่”

“เอ๋~ แล้วทำไมถึงยังสั่งไปแบบนั้นล่ะ?”

“ถึงแม่นั่นอาจสืบข้อมูลอะไรมาไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเราก็จะพอรู้ถึงเจตนาและความคิดของ แซนโดร เอลราธ ได้ ผ่านสิ่งที่ยัยนั่นทำกับอัลติม่าไงล่ะ”

“แหม ๆ ~ ใจร้ายจังเลยนะจ๊ะเนี่ย ความจริงฉันก็ชอบเด็กน่ารักอย่างอัลติม่านะ ถ้าไม่เป็นอะไรไปซะก่อนก็คงจะดีหรอก”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ดูเหมือนว่าเราจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ซะแล้ว พวกเธอน่ะ ทำการติดต่อกับพวกปิศาจใต้อาณัติของตัวเองที่อยู่บนโลกซะ ฉันต้องการรู้ข้อมูลของ แซนโดร เอลราธ กับ ซาลารัส แฮลเซียน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“เข้าใจแล้วจ้ะ”

เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เมฟิสโต้กับบาลก็เปิดประตูมิติสีม่วงและสีเหลืองเพื่อออกจากห้องของเดียโบลไป

พอทั้งสองคนออกไปแล้ว เดียโบลก็เปิดภาพของแซนโดรกับซาลารัสขึ้นมาดูอีกครั้ง

“คิดจะสร้างผู้สร้างหายนะขึ้นมาด้วยตัวเองงั้นเหรอ… เป้าหมายของมันคืออะไรกันแน่นะ…”

เดียโบลจ้องมองภาพของแซนโดรและครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ พักหนึ่ง ก่อนที่จะยักไหล่ราวกับจะสื่อว่า ‘ช่างมันละกัน’ จากนั้นก็เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมต่อ

Options

not work with dark mode
Reset