Doombringer the 5th 25

ตอนที่ 25

Ch.25 – ยามว่างของผู้รักษาสันติภาพ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 25

ยามว่างของผู้รักษาสันติภาพ

 

Part 1

 

ณ ย่านการค้าอันพลุกพล่าน ภายในกำแพงเมืองชั้นที่สามของจูริสไพรม์ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจูริส

มีผู้คนมากมายคราคร่ำกันมาเข้าคิวเพื่อใช้บริการร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร เพราะพนักงานในร้านทุกคนจะเป็นสาวน้อยในชุดเมด (ชุดสาวใช้) ทั้งสิ้น

มันคือร้านเมดคาเฟ่ ‘ซีไซด์’ (Sea Side) สาขา 3 ซึ่งเป็นร้านสาขาจากเครือข่ายร้านเมดคาเฟ่ยอดนิยมซึ่งมีสาขาหลักอยู่ที่อาณาจักรคามิเท็น

สาเหตุที่วันนี้ลูกค้าต้องต่อคิวกันยาวผิดปกติเพราะพื้นที่ชั้นสองของร้านได้ถูกเหมาเอาไว้หมดแล้วโดยชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บริเวณที่นั่งด้านในสุดของชั้นสอง

เขาเป็นชายแก่ที่มีแววตาเฉียบคม เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เมื่อประกอบกับใบหน้าที่ดูหยาบกร้านและมีแผลเป็นเล็กน้อยแล้วทำให้เขาดูเหมือนเป็นทหารผ่านศึกผู้มากประสบการณ์

คนผู้นั้นนั่งจิบน้ำชาพลางอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งมีชายสูงวัยอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา และนั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม คนผู้นี้ดูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชายแก่ที่นั่งอยู่ก่อนหน้า แต่มีจุดเด่นคือหนวดอันเฟิ้มหนาที่ปกปิดใบหน้าจนแทบมองไม่เห็นริมฝีปาก

ทันทีที่ชายอีกคนเข้ามานั่ง พนักงานสาวที่ยืนรออยู่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อรับออเดอร์ในทันทีด้วยท่าทางอันร่าเริงแจ่มใส

“จะรับอะไรดีคะ? นายท่านทั้งสอง”

“ขอเป็น… อะ.. เอ๋?”

ชายที่เพิ่งเข้ามาถึงกำลังอ้าปากจะสั่งอาหารแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันไปเห็นเด็กสาวในชุดเมดที่สวมแว่นพร้อมกับมีหูแมวอยู่บนหัวเข้ามารับออเดอร์ ส่วนทางฝั่งสาวน้อยก็ยังคงยืนรอรับการสั่งอาหารด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง

“เอ่อ… ขอเป็น ชาเย็นก็แล้วกัน…”

“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วนายท่านอีกคนล่ะคะ?”

“ฉันขอเป็น ‘กิกันติกโมเอะออมไรซ์’ (ข้าวห่อไข่โมเอะขนาดพิเศษ) หนึ่งที่ก็แล้วกันนะ”

“โอเคค่ะ แล้ว จะให้เขียนบนไข่ว่าอะไรดีคะ?”

“เอาเป็นคำว่า… ‘สันติภาพ’ ก็แล้วกัน”

“เข้าใจแล้วค่ะนายท่าน กรุณารอสักครู่นะคะ”

เมื่อได้รับรายการอาหารแล้ว สาวเมดตัวน้อยก็รีบเดินลงไปส่งออเดอร์โดยไม่รีรอ

พอเด็กสาวเดินลับตาไปแล้ว ชายสูงวัยที่เพิ่งเข้ามาก็หันมาพูดกับชายอีกคน

“เด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้… เป็นเผ่าฮาลฟ์บีสต์ (กึ่งสัตว์) เหรอ?”

“ใช่ที่ไหนล่ะ หูนั่นมันแค่เครื่องประดับเท่านั้นเอง”

ชายสูงอายุหันกลับไปมองดูสาวน้อยในชุดเมดอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะหันกลับมาคุยกับคู่สนทนาอีกครั้ง

“นี่นาย… ทำไมต้องนัดพบในร้านแบบนี้ด้วยล่ะ? มันไม่เข้ากับอายุของเราเลยนะ”

“แกนี่ไม่มีความฝันเอาซะเลยนะ แกริส ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่าหน่อยเซ่ เกิดวันนี้พรุ่งนี้ตายไปจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังไงเล่า”

“เรื่องบางอย่างมันเสียใจหลังจากทำลงไปแล้วต่างหากล่ะ…”

ชายแก่คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าคือ เซดดริก เดรค ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยข่าวกรองประจำพีชคีปเปอร์ส่วนอีกคนที่เพิ่งจะมาถึงคือ แกริส ฮาล์ม หนึ่งในสมาชิกระดับสูงขององค์กรเช่นกัน

“เฮ้อ… เอาเถอะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ดูเหมือนว่าการค้นหาในซิลวานจะคว้าน้ำเหลวสินะ?”

“อืม… รู้สึกว่าการเคลื่อนย้ายทางไกลที่เราตรวจจับได้จะเป็นแผนลวงให้หลงทางน่ะ ถูกความฉลาดของตัวเองเล่นงานเข้าแบบนี้ น่าเจ็บใจจริง ๆ ”

เซดดริกตอบคำถามของแกริสด้วยสีหน้าที่แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้แววตาที่ดูดุดันอยู่แล้วนั่นยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก แต่สายตานั้นก็ไม่ได้ทำให้แกริสผู้คุ้นเคยกับเซดดริกอยู่แล้วรู้สึกกดดันแต่อย่างใด

“นักเวทหัวกะโหลกนั่นเป็นใครกันแน่นะ คนที่มีความสามารถระดับนี้ ไม่น่าจะตกการสำรวจของเราไปได้เลยนี่นา”

“ฉันเองก็ลองเช็คดูรายชื่อในฐานข้อมูลดูแล้วแต่ก็ยังไม่เจอคนที่น่าจะเข้าข่ายเลย แต่ก็นะ พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดน่ะแฝงเร้นตัวเองจากพวกเรามาได้เป็นศตวรรษแล้ว ถ้าจะมีคนระดับนี้อยู่ในหมู่พวกมันโดยที่เราไม่รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือการที่มันสามารถดัดหลังพวกเราได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่สิ”

“ตอนที่ระดมพลเพื่อเตรียมเรด (Raid) น่ะต้องมีการประสานงานเป็นวงกว้าง และมีผู้เกี่ยวข้องมากมาย ข่าวสารอาจรั่วออกไปในขั้นตอนนั้นก็ได้นะ”

“เรื่องที่มันรู้ตัวก่อนน่ะฉันยังไม่ติดใจเท่าไหร่ แต่ที่ฉันข้องใจจริง ๆ ก็คือการที่มันรู้วิธีการทำงานของเรา ทั้งการใช้คลื่นตรวจจับมังกร และการดักจับการเคลื่อนย้ายทางไกล ทุกอย่างเป็นวิทยาการระดับสูงที่คนนอกไม่น่าจะรู้ทั้งนั้น หรือต่อให้รู้ ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ก็ไม่น่าจะตบตาเราได้เลย”

“แปลว่ามีคนทรยศอยู่ในหมู่พวกเรางั้นเหรอ?”

แกริสเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เซดดริกก็ไม่ได้ฟันธงอะไรกับทฤษฎีนี้

“เรื่องนั้นมันก็พูดยากนะ มีความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกที่ขั้นตอนและวิธีการทำงานของเราจะรั่วไหลออกไป ดังนั้นคงบอกได้แค่ว่าเจ้านี่น่ะเป็นคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเราเป็นอย่างดี”

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีสาวเมดอีกคนหนึ่งเดินเข้ามายังที่นั่งของชายแก่ทั้งสอง เธอคนนี้เป็นเมดสาวผมดำยาว แม้จะไม่มีหูแมวแต่ก็สวมแว่นเช่นกัน

“ระหว่างรออาหารก็เป็นบริการพูดคุยกับสาวเมดค่ะ นายท่านทั้งสองพักนี้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึเปล่าคะ?”

แกริสทำท่างง ๆ เหมือนยังตั้งตัวไม่ทัน ต่างกับทางเซดดริกที่เริ่มโอดครวญกับสาวน้อยในทันที เรื่องที่เขาเล่าล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการทำงานในพีชคีปเปอร์ แม้จะไม่ได้ออกชื่อมาตรง ๆ ก็ตาม

“แหม่~ จะว่าไปแล้วช่วงนี้น่ะมีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นหลายเรื่องเลยล่ะ ตั้งแต่คนร้ายที่ตามจับอยู่หายตัวไป ทำให้ต้องเรียกระดมพลเก้อบ้าง ส่งคนไปดักรอเก้อบ้าง วิธีการทำงานก็เหมือนจะโดนฝ่ายตรงข้ามอ่านออกด้วย เซ็งสุด ๆ เลย”

“เห~ แบบนั้นเองเหรอคะ แล้วไงต่อคะ?”

สาวเมดฟังเซดดริกด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ ส่วนเซดดริกก็จ้อไม่หยุด ในขณะที่แกริสได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ เท่านั้น เป็นเวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าเซดดริกจะพูดจนจบ

“แหม~ ลำบากแย่เลยนะคะนายท่าน ยังไงฉันก็จะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้เค้านะคะ!”

สาวใช้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่า ‘สู้ๆ’ พร้อมพูดด้วยท่าทีเข็งขัน

“ขอบใจมากจ้า~ ชั้นก็จะพยายามเช่นกันจ้า”

เซดดริกทำท่า ‘สู้ๆ’ ตามด้วยสีหน้าเบิกบานสุด ๆ ก่อนที่สาวเมดจะค่อย ๆ เดินออกจากโต๊ะไป

หลังจากเด็กสาวจากไปแล้ว แกริสก็หันมาพูดกับเซดดริกอีกครั้งด้วยสายตาเคลือบแคลง

“นี่นาย… แน่ใจนะว่าข่าวมันไม่ได้รั่วไปจากทางนี้น่ะ…”

“ทางไหนเหรอ?”

“ก็ทางนี้ไง”

แกริสใช้สายตาบอกใบ้ว่าหมายถึงสาวเมดคนเมื่อสักครู่นี้ แต่ทางเซดดริกก็รีบปฏิเสธในทันที

“เฮ้ย ไม่ใช่หรอกน่า มายะจัง เค้าไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“มายะ.. จัง?”

“ก็ชื่อของแม่หนูคนนั้นไง หึหึหึ จะบอกให้นะ สาวเมดที่นี่น่ะไม่บอกชื่อให้กับใครง่าย ๆ หรอก การจะรู้ชื่อของเธอต้องเล่นเกมกับเธอให้ชนะครบสามครั้งแล้วถึงจะถามชื่อได้ ซึ่งฉันก็เอาชนะมาได้ไงล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้แกริสต้องมองเซดดริกจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง เหมือนกำลังมองคนที่ไม่เคยรู้จัก ก่อนจะเอ่ยต่อ

“นี่นาย… ถลำลึกเกินไปรึเปล่า?…”

“เฮ่ย~ แกนี่พูดจาไร้ความฝันซะจริง ทำตัวเป็นตาแก่แบบนี้เดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก”

“คนที่ตายเร็วมันนายต่างหาก ถ้าเมียนายรู้เข้าละก็…”

“อุ๊ว๊ะ! ยิ่งพูดก็ยิ่งพาเสียอารมณ์เข้าไปใหญ่ พอ ๆ ๆ กลับมาเข้าเรื่องกันได้แล้ว”

เซดดริกตัดบทก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาซดจนหมด แกริสจึงกลับเข้าเรื่องจริงจังอีกครั้ง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

หลังจากครุ่นคิดถึงปัญหาอยู่พักหนึ่ง แกริสก็เสนอวิธีการที่คิดได้ให้เซดดริกฟัง

“อืม… เรื่องรูรั่วน่ะ ทำไมไม่ลองตรวจสอบพวกนักผจญภัยอิสระดูล่ะ?”

“นักผจญภัยอิสระเหรอ?”

“คนในองค์กรของเราเองนายคงจะตรวจสอบไปหมดแล้วสินะ แต่คนที่รู้วิธีการทำงานของพีชคีปเปอร์น่ะใช่ว่าจะมีแค่คนในองค์กรอย่างเดียว พวกนักผจญภัยระดับสูงเอง หลายครั้งก็ถูกเรียกมาเพื่อให้ช่วยในการทำภารกิจเหมือนกัน เพราะงั้นนี่ก็เป็นคนอีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้าม”

“อืม… จริงด้วยแฮะ… หึหึหึ.. ฮ่า ๆ ๆ ๆ ~ คุยกับแกแค่ห้านาทีเนี่ย ฉันได้การได้งานกว่าคุยกับไอ้สมอเรือ (ตัวถ่วง) สี่ตัวนั่นเป็นอาทิตย์ ๆ ซะอีกนะเนี่ย”

เซดดริกหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ ทำให้แกริสนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“พูดขึ้นมาแล้ว ได้ข่าวว่านายเคยไล่พวกเขาออกจากห้องประชุมด้วยสินะ จะไม่เป็นไรแน่เหรอ? เด็กเส้นทั้งนั้นเลยนี่”

“ถ้ามีปัญหาก็มาปลดฉันเซ่ ไม่ได้อยากจะมาทำตำแหน่งนี้อยู่แล้ว ถ้าได้ปลดเกษียนก่อนกำหนดก็เข้าทางเลย”

“มันจะไม่จบแค่นั้นน่ะสิ ถ้าพวกเขาเห็นนายเป็นเสี้ยนหนามละก็ อาจไม่จบแค่ถูกปลดก็ได้…”

“ไม่ต้องห่วง ฉันเขียนพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ แล้วก็สั่งเสียพวกลูกน้องเอาไว้แล้วด้วยว่าถ้าฉันเป็นอะไรไป พวกนั้นต้องไปคิดบัญชีเอากับใครบ้าง เพราะงั้นวางใจได้”

“เฮ้อ… เลิกพูดเล่นซะทีได้มั้ย”

“ทำไมถึงคิดว่าฉันพูดเล่นล่ะ?”

เซดดริกแสยะยิ้มด้วยแววตาอันคมกริบ สื่อว่าทุกถ้อยคำเป็นการเอาจริงแน่นอน ทำให้แกริสได้แต่ถอนหายใจ

ในระหว่างนั้นเองก็มีสาวเมดเข็นรถเข็นที่มีอุปกรณ์ชงชาวางอยู่ด้านบนมาที่โต๊ะของเซดดริกและแกริส

สาวใช้คนนี้เป็นเด็กสาวตัวเล็ก มีผมสั้นสีน้ำตาลดูน่ารัก เมื่อมาถึงก็ลงมือชงชาแบบสด ๆ ตรงนั้น พร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วยในระหว่างชงชา ทำให้แกริสเกิดอาการแปลกใจปนอึดอัดนิดหน่อย ส่วนเซดดริกก็นั่งฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม

เมื่อสาวเมดตัวน้อยชงชาเสร็จเพลงก็จบพอดี เธอรินน้ำชาลงในแก้วที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้ จากนั้นก็ยกมาเสิร์ฟให้กับแกริส แต่ก่อนที่แกริสจะเอื้อมมือไปหยิบชามาดื่มนั้น เธอก็พูดห้ามเขาเอาไว้ซะก่อน

“เดี๋ยวก่อนค่ะนายท่าน ต้องร่ายมนตร์ก่อนสิคะ”

คำพูดนั้นทำให้แกริสชะงักไปอีกครั้งด้วยความแปลกใจ

“…ร่ายมนตร์เหรอ?”

สาวเมดทำมือเป็นรูปหัวใจแล้วโบกไปมาพร้อมกับพูดถ้อยคำที่เหมือนกับเป็นคาถาไปด้วย

“โออิชิ คุนาเระ~ โมเอะ โมเอะ คิ้ววว~”

เมื่อร่ายคาถาจบเธอก็เหยียดแขนและทำมือเหมือนพยายามส่องลำแสงไปยังแก้วชานั้น เสร็จแล้วจึงหันมาหาแกริสอีกครั้ง

“เอ้า นายท่านก็ทำตามด้วยสิคะ”

“หะ.. หา!? ฉะ.. ฉันต้องทำด้วยเหรอ?”

“ต้องทำสิคะนายท่าน แล้วชาจะอร่อยขึ้นไงคะ”

“มะ.. ไม่ต้องอร่อยมากก็ได้มั้ง แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ…”

“ไม่ได้นะคะนายท่าน มันเป็นกฎค่ะ!”

สาวใช้ตัวน้อยพองแก้มให้รู้ว่ากำลังงอนและจ้องมายังแกริสด้วยสายตาจริงจัง

แกริสไม่รู้จะทำยังไงดีเลยมองไปหาความช่วยเหลือจากเซดดริก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ สายตาของเซดดริกนั้นบอกอย่างชัดเจนว่า ‘ทำซะ’ แกริสจึงไม่มีทางเลือก

“เอ่อ..  มะ.. โมเอะ โมเอะ กุ๊ง~”

“ไม่ใช่ค่ะ โมเอะ โมเอะคิ้ววว~ ค่ะ แล้วก็ต้องทำมือแบบนี้ด้วยค่ะ”

สาวใช้จับมือของแกริสแล้วปรับให้เป็นรูปร่างที่ถูกต้อง ก่อนจะให้เขาทำใหม่อีกครั้ง

“มะ.. โมเอะ โมเอะ คิ้ววว~”

“แบบนั้นแหละค่ะ! เก่งมากเลยค่ะนายท่าน! เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

สาวเมดปรบมือให้กับความสำเร็จของแกริสก่อนจะเข็นชุดน้ำชากลับไป ส่วนฝั่งแกริสก็ได้แต่นั่งจ้องมองแก้วชานั้นด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า

“ฉันรู้สึก.. เหมือนเพิ่งสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปยังไงก็ไม่รู้… ถ้าพวกหลาน ๆ ของฉันมารู้เรื่องนี้เข้าละก็ อาจขอตัดขาดกับวงศ์ตระกูล แล้วหนีไปใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรอันห่างไกลที่ไหนสักแห่งก็ได้…”

“เฮ่ย ลูกหลานต้องยอมรับในสิ่งที่พ่อแม่เป็นได้เซ่ ถ้าพวกมันรับไม่ได้ก็ให้มันไสหัวไปเถอะ”

“แต่นี่มันไม่ใช่ว้อย! มันไม่ใช่! มันไม่ใช่! ฉันไม่ได้เป็น!”

แกริสฟิวส์ขาดและทุบโต๊ะรัว ๆ ด้วยความคับแค้นใจ ส่วนทางเซดดริกก็ได้แต่จิบน้ำชามองดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

เป็นเวลาครู่หนึ่งกว่าแกริสจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ทั้งสองคนจึงกลับมาเข้าเรื่องกันอีกครั้ง

“สรุปว่าเบาะแสของเราก็ขาดตอนไปอีกครั้งแล้วสินะ…”

“จะว่างั้นก็ใช่ แต่ฉันเพิ่งได้รับข่าวที่น่าสนใจมาอย่างนึง”

“ข่าวที่น่าสนใจเหรอ?”

แกริสเอ่ยถามด้วยท่าทางสนใจ เซดดริกจึงเล่าต่อ

“ลานาเทล ซันรีเวอร์ แห่งวาลาเชียน่ะถูกลอบสังหารไปเมื่อคืนก่อน”

“หืม? ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ? รายละเอียดเป็นยังไง?”

“ข้อมูลที่ได้มายังไม่ชัดเจนนัก แต่เห็นว่าเป็นฝีมือของตระกูลคู่แค้นจากอินิสตร้า ส่งคนมาทำทีเจรจา แล้วก็ลงมือลอบสังหารน่ะ”

“เท่าที่เคยได้ยินมา ฝีมือของเธอน่าจะอยู่ในระดับ SS เลยนี่นา ไม่น่าจะถูกฆ่าได้ง่าย ๆ เลย”

“ถึงฝีมือจะสูง แต่ถ้าถูกลอบกัดหรือวางยาพิษก็มีโอกาสตายได้เหมือนกันแหละนะ แต่ที่น่าสนใจจริง ๆ คือที่เกิดเหตุต่างหาก”

“ที่เกิดเหตุเหรอ?”

“สายของเราเข้าไปถึงที่เกิดเหตุเมื่อตอนเหตุการณ์สงบแล้วก็เลยไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ได้พบก็คือคฤหาสน์ลานาเทลซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ตั้งตัวอาคารและบริเวณโดยรอบ เหมือนกับที่เกิดเหตุในอคาทอชตอนที่เออเธมีลหนีไปเลย”

“นิโคล โบลอส”

“หืม?”

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อ นิโคล โบลอส”

แกริสแก้คำพูดของเซดดริกด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย มันเป็นเพียงการพูดปกติ ไม่ได้แฝงความหมายหรือความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งเซดดริกก็เข้าใจดี

“ออ แกไม่ชอบให้เรียกชื่อนั้นตามเผ่ามังกรนี่นะ ฉันเองก็ใช่ว่าเห็นดีเห็นงามด้วยหรอก แค่ว่าปกติตอนประสานงานต้องใช้ชื่อนี้ที่คนอื่น ๆ เขารู้จักกันมากกว่า ก็เลยเคยชินน่ะ”

“ไม่เป็นไร แล้วเรื่องที่พูดเมื่อกี้ หมายความว่าผู้ก่อเหตุอาจเป็น นิโคล โบลอส งั้นเหรอ?”

“มันก็ตอบยากนะ ยังมีเวทหรืออุปกรณ์เวทมนตร์อีกหลายอย่างที่ให้ผลคล้ายกับ ‘แอพโซลูทซีโร่’ ได้เหมือนกัน แต่ที่ฉันสะกิดใจขึ้นมาก็เพราะว่าเจ้านักเวทหัวกะโหลกมันล่อให้เราไปค้นหาในซิลวานที่อยู่ทางตะวันออก แล้วก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทางตะวันตกแทน มันดูจะประจวบเหมาะเกินไปหน่อยน่ะ”

“มันก็น่าคิดจริง ๆ … แล้วเหตุการณ์เป็นยังไงต่อล่ะ?”

“พวกแวมไพร์บอกว่าเหล่าสาวใช้ของลานาเทลสามารถตามไปจนเจอตัวคนร้ายแล้ว แต่เพราะพวกนั้นขัดขืนก็เลยถูกฆ่าไปแล้วน่ะ”

“เรื่องนี้ยืนยันได้รึเปล่า? แล้วรูปพรรณคนร้ายล่ะ?”

“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าหงุดหงิด เรายืนยันอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกสักอย่างเลยด้วย เพราะทางวาลาเชียเองก็ค่อนข้างจะเป็นปฏิปักษ์กับเราพอสมควร การแฝงแหล่งข่าวลงไปเพื่อหาข้อมูลเลยทำได้ยาก”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของแกริสก็เริ่มหมองลงเล็กน้อย

“เพราะเรื่องเมื่อตอนนั้นสินะ…”

“ใช่ ถ้าสมัยก่อนไม่มีพวกโง่คิดจะยึดครองวาลาเชียและทำหน้าที่ของเราอย่างที่ควรจะทำละก็ ป่านนี้เราก็น่าจะมีวาลาเชียเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งแคว้น และได้นักรบฝีมือฉกาจอย่างลานาเทลมาเป็นผู้สร้างสันติภาพด้วย ไม่ใช่ว่ากลายมาเป็นศัตรูกันแบบนี้”

“…รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดจากการกระทำของเราเองมันจะเยอะกว่าปัญหาที่เกิดจากพวกปิศาจซะอีกนะ”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ใช่เลยล่ะ ยิ่งทำงานไปฉันก็ยิ่งคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งเพราะความจริงที่เหมือนกับตลกร้ายนี้ ก่อนที่แกริสจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ไคเอ็น ไม่คิดจะทำอะไรกับเรื่องนี้บ้างเลยเหรอ?”

“หมอนั่นก็พยายามแล้ว.. คิดว่านะ… แต่การจะขับเคลื่อนองค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้ เงินทุนก็เป็นปัจจัยสำคัญ และการจะได้มาซึ่งเงินทุนก็จำเป็นต้องมอบผลประโยชน์ที่เหมาะสมให้กับผู้ออกทุนด้วย เรื่องการเมืองงี่เง่านี่ฉันก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งนักหรอก ก็ได้แต่ทน ๆ ไป จนกว่าจะทนไม่ไหวนั่นแหละ”

“อืม… สรุปว่าตอนนี้เบาะแสที่ใกล้เคียงที่สุดอยู่ที่วาลาเชียสินะ จะให้ฉันไปที่นั่นเลยมั้ย?”

“ไม่มีประโยชน์หรอก ความเป็นไปได้มันริบหรี่เกินไป แถมเวลาก็ล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้วด้วย ไปตอนนี้ก็ไม่ทันหรอก ที่ฉันเรียกแกมาเพราะมีเรื่องอื่นต่างหาก”

“เรื่องอื่นเหรอ?”

“คนเรามักจะมัวไล่ตามสิ่งที่เสียไปแล้วจนละเลยสิ่งที่ยังมีอยู่ แกเองก็ควรจะให้ความสนใจไปยังสิ่งที่เหลืออยู่ดีกว่านะ”

คำพูดที่เหมือนกับเป็นปริศนานั้นทำให้แกริสต้องหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะนึกออก

“หมายถึง ลาซารัส น่ะเหรอ?”

“ใช่แล้ว เบื้องบนเพิ่งจะมีคำสั่งมาให้นำเด็กคนนั้นเข้าโปรแกรมแทนซาลารัสน่ะ”

“ว่าไงนะ!? นี่ไม่ใช่ข้อตกลงของเราในทีแรกนี่นา”

แกริสออกอาการร้อนรนขึ้นมาในทันที แต่ทางเซดดริกก็ยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ข้อตกลงนั่นดำรงอยู่ได้เพราะซาลารัส แต่ในเมื่อตอนนี้เขาหายตัวไปแล้ว เบื้องบนเลยให้เรานำคนน้องมาเข้าโปรแกรมแทน เด็กคนนั้นจะถูกส่งตัวกลับมาจากเทอร่าภายในอาทิตย์หน้านี้”

แม้จะอยากคัดค้านให้มากกว่านี้ แต่แกริสก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เมื่อมีการสั่งการลงมาแล้วก็คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก จึงได้แต่สงบสติอารมณ์เท่านั้น

“ทั้งที่ฉันพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะรักษาชีวิตปกติของพี่น้องคู่นี้เอาไว้ให้ได้สักคนแท้ ๆ …”

แกริสกัดฟันพูดด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด มือของเขาก็กุมขากางเกงเอาไว้จนแน่น ทางด้านเซดดริกเองก็มีสีหน้าและแววตาที่สื่อถึงความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

ระหว่างที่แกริสกำลังก้มหน้าอยู่นั้น ม่านของร้านก็ได้ปิดลงจนทำให้ภายในร้านมืดสนิท จากนั้นก็เกิดแสงไฟหลากสีสาดส่องภายไปในร้านเหมือนกับมีงานฉลองขึ้นมาแทน เพลงที่เปิดอยู่ในร้านก็ถูกเปลี่ยนเป็นเพลงประจำร้านแทนด้วย แกริสจึงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความงุนงง

ทันใดนั้นก็มีสาวเมดกลุ่มใหญ่ขึ้นลิฟท์มายังชั้นสองพร้อมกับรถเข็นซึ่งมีข้าวห่อไข่จานยักษ์วางอยู่

สาวเมดทวินเทลที่เดินนำหน้านั้นถือไมค์อยู่ในมือทำให้คำพูดของเธอถูกประกาศออกไปทางลำโพงจนได้ยินกันไปทั้งร้าน และอาจได้ยินไปถึงถนนด้านหน้าของร้านด้วยก็ได้

สิ่งที่เธอประกาศออกมานั้นคือ

“มีคนสั่ง ‘กิกันติกโมเอะออมไรซ์’ แล้วค่า~ จะเป็นใครกันน้อ~ ใครเป็นเจ้าของออมไรซ์จานนี้ เมื่อนับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง แล้ว ให้ลุกขึ้นทำท่าแมวแล้วพูดว่า ‘เนี๊ยว เนี๊ยว’ เลยนะค้า~”

เมื่อพูดจบ สาวเมดคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันนับถอยหลังอย่างช้า ๆ

“สาม~ สอง~”

แกริสทำหน้าตื่นตระหนกเหมือนกับยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหันกลับไปมองเซดดริกก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก

“มะ.. ไม่จริงใช่มั้ย.. เซดดริก…”

“หนึ่ง~”

“เนี๊ยว เนี๊ยว จ้า~ ทางนี้เลยจ้า~”

เซดดริกลุกขึ้นทำท่าแมวเหมียวแล้วตอบรับกลุ่มสาวเมด พวกเธอจึงเข็นรถมายังโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ในทันที

สาวเมดทั้งกลุ่มร่วมแรงร่วมใจกันร่ายคาถา ‘โมเอะ โมเอะ คิ้ววว~’ ใส่ข้าวห่อไข่อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเซดดริกก็ทำการร่ายคาถาพร้อม ๆ กับกลุ่มสาวเมดด้วย

สาวใช้ทวินเทลบีบซอสมะเขือเทศเพื่อเขียนคำว่า ‘สันติภาพ’ ลงบนข้าวห่อไข่ ก่อนจะให้สาวเมดทั้งกลุ่มทำท่าร่ายมนตร์ ‘เลิฟเลิฟ’ ใส่ข้าวห่อไข่อีกครั้งเป็นการปิดท้าย แล้วทุกคนก็เดินกลับลงไป

พอสาว ๆ กลับไปหมดแล้ว เซดดริกก็ลงมือทานข้าวห่อไข่จานยักษ์นั้นทันที โดยมีแกริสที่ทำหน้าเหมือนสูญเสียความเชื่อมั่นในมวลมนุษย์ชาติไปแล้วนั่งคอตกอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

ตอนที่เซดดริกกินข้าวห่อไข่หมดก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สภาพจิตใจของแกริสฟื้นตัวกลับมาพอดี พวกเขาจึงเริ่มสนทนากันอีกครั้ง

“ฉันจัดการเรื่องตำแหน่งของแกในโรงเรียนสำหรับเด็กคนนั้นแล้ว เว้นแต่แกจะไม่อยากรับหน้าที่นี้แล้วน่ะนะ”

“เข้าใจล่ะ… ฉันจะรับหน้าที่นี้เอง …แล้วเรื่องของซาลารัสล่ะ?”

“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ฉันก็จะไม่ทำอะไรให้เด็กคนนั้นอยู่ในอันตรายหรอก”

“เข้าใจล่ะ… ขอฝากด้วยนะ”

“อืม”

“ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนล่ะ ไว้จะติดต่อไปอีกที”

เมื่อพูดจบ แกริสก็วางเงินส่วนของค่าน้ำชาไว้และลุกจากที่นั่ง ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างด้านหลังร้าน เซดดริกจึงต้องเอ่ยทักเอาไว้

“เฮ้ ประตูหน้ามันอยู่ทางนี้ต่างหาก”

“ฉันรู้…”

แกริสเปิดหน้าต่างชั้นสองของร้านออก ก่อนจะโดดออกจากร้านไปทางหน้าต่างนั้นเอง

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset