Doombringer the 5th 127

ตอนที่ 127

Ch.127 – ของที่ใช้แทนบัตรผ่าน

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 123

ของที่ใช้แทนบัตรผ่าน

 

Part 1

 

หลายวันต่อมา ที่ทุ่งหญ้าฝั่งตะวันตกห่างจากเขตโรงเรียนอีจิสไพร์มมาเกือบ 40 กิโลเมตร มีรถเทียมม้าคันหนึ่งกำลังแล่นด้วยความเร็วปานกลางไปตามถนนดินซึ่งตัดผ่านที่ราบอันเขียวชอุ่มแห่งนี้

มันเป็นรถเทียมม้าธรรมดา ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป ตัวรถทำจากไม้และมีหลังคาเป็นกระโจมผ้าใบซึ่งเปิดโล่งคล้ายกับรถขนของ และใช้ม้าเพียงหนึ่งตัวในการลาก รถโดยสารระหว่างโรงเรียนอีจิสไพร์มกับเมืองจูริสก็เป็นรถเทียมม้าที่มีลักษณะแบบนี้

ภายในกระโจมที่นั่งของรถม้าคันนั้นไม่มีผู้โดยสารอยู่เลย มีเพียงสัมภาระไม่กี่อย่างถูกวางอยู่เท่านั้น ส่วนที่นั่งด้านหน้าซึ่งเป็นที่นั่งของสารถีก็มีหญิงสาวผมขาวในชุดคลุมสีเทากำลังนั่งอยู่ เธอก็คือคุรุโมะ ไอธรีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ควบคุมรถและเป็นผู้โดยสารเพียงหนึ่งเดียวของรถม้าคันนี้ด้วย

ไม่นานนัก รถม้าก็แล่นมาถึงทางเลียบชายป่าทำให้เริ่มมีแนวไม้เบาบางปรากฏให้เห็นทางฝั่งซ้ายของเส้นทาง ถนนสายนี้ถูกตัดอ้อมแนวป่าเพื่อความสะดวกในการเดินทางและความปลอดภัยของผู้สัญจร แต่ทันทีที่มาถึงบริเวณนี้ คุรุโมะกลับบังคับรถออกนอกเส้นทางและมุ่งตรงเข้าไปในป่าแทน

ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ แนวไม้โดยรอบก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งรถม้าก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีก คุรุโมะจึงลงจากรถม้าเพื่อเดินเท้าต่อไปด้วยตัวเองแทน

เธอกางมือไปทางรถม้าเพื่อเก็บมันกลับเข้าช่องมิติเก็บของ ทำให้รถม้าคันเรืองแสงออกมาและหายวับไปในทันที เมื่อเก็บรถม้าเสร็จแล้วคุรุโมะก็หันมายังม้าที่ใช้ลากรถแล้วแตะสัมผัสที่ขั้วบังเหียนของมัน ทันใดนั้นร่างของมันก็เปล่งแสงออกมาและแปรสภาพกลายเป็นตราสัญลักษณ์รูปหัวม้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือแทน

นี่เป็นวัตถุเวทมนตร์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘ซัมมอนนิ่งเอ็มเบลม’ (Summoning Emblem) ขอเพียงแค่ถ่ายเทพลังเวทลงไปก็จะสามารถใช้งานเวทอัญเชิญที่ถูกบรรจุเอาไว้ในตราสัญลักษณ์นั้นได้

เพราะเวทอัญเชิญถือเป็นเวทเสริมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายได้ดีมากชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะการอัญเชิญพาหนะขึ้นมาใช้ในการเดินทาง นักผจญภัยส่วนใหญ่จึงมักจะเรียนเวทอัญเชิญเอาไว้เป็นคลาสรองด้วย แต่ก็ยังมีทางเลือกที่สองสำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้งานเวทสายนี้แต่ไม่อยากเรียนเวทอัญเชิญอยู่ ก็คือการใช้วัตถุเวทมนตร์ที่บรรจุโครงสร้างเวทมนตร์สำเร็จรูปของเวทนั้น ๆ เอาไว้นั่นเอง

วัตถุเวทมนตร์ชนิดนี้จะบรรจุโครงสร้างวงเวทอัญเชิญแบบสำเร็จรูปไว้ภายใน ขอแค่ถ่ายพลังเวทลงไปก็สามารถใช้งานเวทอัญเชิญได้ทันที อย่างไรก็ตามการอัญเชิญในลักษณะนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เพราะวิทยาการด้านเวทอัญเชิญของโลกนี้ยังพัฒนาไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับวิทยาการเวทมนตร์แขนงอื่น ๆ วัตถุเวทมนตร์ประเภทนี้จึงมีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นของที่มีราคาแพงอยู่ดี เพราะช่วยให้ใครก็สามารถใช้งานพาหนะอัญเชิญได้โดยไม่ต้องฝึกฝนนั่นเอง

คุรุโมะหยิบตราสัญลักษณ์รูปหัวม้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาดูและเพ่งพิจารณาอย่างละเอียด ตราสัญลักษณ์สีเงินแวววับนั้นเริ่มมีรอยดำด้านปรากฏขึ้นที่ส่วนปลายของของแผงคอแล้ว ทั้งยังมีการลุกลามขึ้นมาบริเวณต้นคอเล็กน้อยแล้วด้วย ทำให้ส่วนที่ยังคงเป็นสีเงินอยู่เหลือเพียง 70% ได้

“อืม… น่าจะใช้ได้อีกราว ๆ 7-8 ครั้งล่ะมั้ง ยี่ห้อนี้นี่ไม่ค่อยทนเลยแฮะ คราวหน้าลองซื้อของ ‘มัสแตง’ มาใช้ดูบ้างดีกว่า”

เมื่อพึมพำกับตัวเองจบ คุรุโมะก็เก็บตราสัญลักษณ์นั้นเข้าไปในปกเสื้อ ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของป่าในทันที

ในระหว่างที่เดินอยู่ คุรุโมะก็หยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา มันเป็นการ์ดทรงสี่เหลี่ยมสีดำสนิทที่มีลวดลายสีขาวคล้ายกับช่อดอกไม้ประดับประดาอยู่บริเวณขอบมุม ทันทีที่คุรุโมะถ่ายเทพลังเวทลงไป ลวดลายสีขาวบนการ์ดก็เริ่มเรืองแสงอ่อน ๆ และปลดปล่อยละอองเวทมนตร์สีขาวขุ่นคล้ายกับควันธูปออกมา ละอองเวทมนตร์เหล่านั้นไม่ได้ถูกพัดปลิวลู่ไปตามกระแสลมแต่กลับลอยชี้ไปยังเส้นทางเบื้องหน้า ซึ่งคุรุโมะก็อาศัยการดูทิศทางจากละอองเวทมนตร์นี้เป็นเครื่องนำทางและเดินต่อไป

ไม่นานนักเธอก็มาถึงพื้นที่โล่งบริเวณใจกลางป่าซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่

ดูจากขนาดของมันที่มีความกว้างนับสิบคนโอบ ต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุนับร้อยปีมาแล้ว รากขนาดใหญ่ของมันแผ่ออกไปปกคลุมผืนดินที่อยู่โดยรอบเป็นรัศมีเกือบสิบเมตร ทำให้แทบจะไม่มีต้นไม้ต้นอื่นเติบโตขึ้นมาในบริเวณนั้นได้เลย ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จึงตั้งอยู่อย่างโดดเด่นโดยไม่มีแมกไม้ใด ๆ เข้ามาเบียดบัง ราวกับมันเป็นราชาแห่งป่า

คุรุโมะเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นอีกเล็กน้อยก่อนจะพลิกสะบัดการ์ดที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นบรรยากาศเบื้องหน้าของต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มบิดผันและแปรเปลี่ยนไป ไม่นานนักก็ประตูมิติสีดำสนิทที่มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มพลังงานที่ไหลเชี่ยวราวกับใจกลางของวังน้ำวนก็ปรากฏขึ้นมา

ทันทีที่ประตูปรากฏ คุรุโมะก็เดินตรงเข้าไปในทันที ทำให้ร่างของเธอหายวับไปในห้วงมิติ ส่วนประตูมิติก็ค่อย ๆ สลายตัวไป จนทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติตามเดิม

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้อยู่ภายใต้การจับตาดูของแมลงเต่าทองตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนลำต้นของไม้ใหญ่ต้นนั้น โดยที่คุรุโมะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

ไม่นานนักก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาจากหมู่แมกไม้ แมลงเต่าทองบนต้นไม้ใหญ่จึงออกบินและไปเกาะอยู่บนไหล่ของคนผู้นั้นแทน ส่วนผู้มาเยือนก็เหลือบตาขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ด้วยแววตาอันลึกล้ำและรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์อยู่เล็กน้อย

คน ๆ นี้ก็คือซาลที่แอบตามคุรุโมะมาตั้งแต่ออกจากโรงเรียนนั่นเอง

เขารู้ว่าคุรุโมะจะต้องออกเดินทางมายังจุดเชื่อมต่อที่ไหนสักแห่งเพื่อไปร่วมงานชุมนุมของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืด จึงให้เอ็มเมอริชคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเธอเอาไว้ และในที่สุดเมื่อย่างเข้าสู่วันที่สามคุรุโมะก็เดินทางออกจากโรงเรียน ซาลจึงใช้แมลงเต่าทองในการสะกดรอยเธอตลอดการเดินทาง ส่วนตัวเขาเองก็ตามมาโดยทิ้งระยะห่างเกือบสามกิโลเมตรเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ไหวตัว

“อืม~ ต้นไม้นี่คือจุดเชื่อมต่อจุดแรกสินะ แต่ทำไมมันถึงเป็นประตูมิติหว่า? ความจริงมันน่าจะเป็นวงเวทเคลื่อนย้ายนี่นา…”

เพราะป่าแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนอีจิสไพร์มมาไม่มาก ทั้งยังอยู่ในเขตปกครองของเมืองหลวงจูริสไพร์มอีกด้วย ซาลจึงไม่คิดว่าพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดจะกล้ามาตั้งสถานที่จัดงานกันในบริเวณนี้ จุดเชื่อมต่อจุดแรกจึงควรจะเป็นวงเวทเคลื่อนย้ายที่ใช้ส่งตัวผู้ร่วมงานไปยังพื้นที่อื่นก่อนมากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่ามีประตูมิติเหมือนกับประตูดันเจี้ยนอยู่ในบริเวณนี้ ทำให้เขารู้สึกผิดคาด

ความเป็นไปได้หนึ่งคือนี่อาจเป็นจุดนัดพบที่เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดมารวมตัวกันก่อนจะออกเดินทางจริง ๆ  หากเป็นเช่นนั้นนี่ก็อาจเป็นจุดที่ใช้ตรวจสอบประวัติหรือคุณสมบัติของผู้ร่วมงานด้วย ทำให้ซาลต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นเป็นพิเศษ

“ยังไงซะขั้นแรกก็ต้องเข้าไปข้างในให้ได้ก่อนล่ะนะ เอาล่ะ… เอ็มเมอริช! ยูนิตี้!”

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซาลก็วาดมือไปข้างหน้าและประกาศชื่อของขุนพลทั้งสองเพื่ออัญเชิญทั้งคู่ออกมา ทำให้เกิดลวดลายอักขระเวทมนตร์ซึ่งเปล่งแสงเรืองรองสานตัวกันขึ้นมาเป็นวงเวทอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างของเด็กผู้ชายผมสีฟ้าและเด็กผู้ชายผมสีเขียวอ่อนจะปรากฏขึ้นมาจากวงเวท

สองคนนี้ก็คือเอ็มเมอริชและยูนิตี้ สองขุนพลที่มีความสามารถในด้านวิทยาการเวทมนตร์มากที่สุดนั่นเอง

เอ็มเมอริชเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิศวกรรมเวทมนตร์

เวทมนตร์ทุกชนิดล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาโดยการประสานอักขระเวทจำนวนมากด้วยชุดรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์จนกลายเป็นวงเวทซึ่งจะแปรเปลี่ยนพลังเวทที่ถูกถ่ายเทลงไปให้เป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ความรู้ในการสร้างวงเวทขึ้นมาด้วยอักขระและรูปแบบโครงสร้างเหล่านั้นเรียกว่างานวิศวกรรมเวทมนตร์ ผู้ที่แตกฉานในด้านนี้จะสามารถสร้างเวทมนตร์ขึ้นมาได้ทุกรูปแบบ และในทางกลับกันก็สามารถย้อนกระบวนการทางวิศวกรรมเพื่อแยกโครงสร้างของเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกมาศึกษาและปรับแต่งได้

ส่วนยูนิตี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเวทมนตร์

โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่ศึกษาวิทยาการแขนงนี้ก็จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านวิศวกรมเวทมนตร์อยู่พอสมควรเช่นกัน แต่แทนที่จะลงลึกถึงโครงสร้างระดับอักขระ ผู้ศึกษาสถาปัตยกรรมเวทมนตร์จะให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงสร้างเวทมนตร์เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของวงเวทให้ดียิ่งขึ้น หรือสร้างเวทมนตร์ชนิดใหม่ขึ้นมาแทน วิทยาการทั้งสองแขนงจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพราะนักสถาปัตยกรรมเวทมนตร์จะออกแบบพัฒนาโครงสร้างเวทมนตร์ชนิดใหม่ขึ้นมา ส่วนนักวิศวกรรมเวทมนตร์ก็จะเป็นผู้นำไอเดียนั้นมาทำให้เป็นจริง

ทั้งสองอย่างล้วนแล้วแต่เป็นศาสตร์ระดับสูงซึ่งมีแต่ผู้ที่ศึกษาเวทมนตร์มาหลายสิบปีเท่านั้นถึงจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างเวทมนตร์มากพอที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่เอ็มเมอริชและยูนิตี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในห้องสมุดของลิลลี่โฮไรซอนก็สามารถสำเร็จความรู้พื้นฐานทั้งหมดและเริ่มศึกษาทั้งงานวิศวกรรมเวทมนตร์และงานสถาปัตยกรรมเวทมนตร์ได้ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะตำราข้อมูลอันพร้อมสรรพที่อยู่ในห้องสมุด แต่ความสามารถในการเรียนรู้ของทั้งสองคนก็จัดเป็นอะไรที่เหนือกว่าคนทั่วไปมาก

แน่นอนว่าการที่ซาลเรียกทั้งสองคนนี้ออกมาพร้อมกันก็เพื่อให้พวกเขาช่วยในการเปิดประตูมิติขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง

โดยปกติแล้วประตูมิติแบบนี้จะถูกกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานเอาไว้ หากไม่ใช่ผู้ที่มี ‘กุญแจ’ ซึ่งได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึง ตัวประตูเองก็จะไม่ปรากฏออกมาให้เห็นด้วยซ้ำ หรือต่อให้เห็น แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ครอบครองกุญแจก็จะไม่สามารถผ่านเข้าประตูไปได้ ในที่นี้กุญแจก็คือการ์ดสีดำที่คุรุโมะถือนั่นเอง

แต่ถึงตัวประตูจะไม่ปรากฏให้คนนอกเห็น พื้นที่โดยรอบก็จะต้องมีวงจรเวทมนตร์ที่ใช้ตอบสนองต่อกุญแจซ่อนอยู่ และนั่นคือจุดที่สามารถใช้ในการเจาะระบบเพื่อเปิดประตูขึ้นใหม่ได้

ทันทีที่ถูกอัญเชิญออกมา เอ็มเมอริชและยูนิตี้ก็แยกย้ายกันตรวจสอบพื้นที่โดยรอบต้นไม้ใหญ่ในทันที โดยเอ็มเมอริชใช้เวทตรวจสอบสำรวจบริเวณลำต้น ส่วนยูนิตี้ก็ใช้เวทตรวจสอบสำรวจบริเวณรากของต้นไม้แทน แม้แต่ซาลก็ใช้เวทตรวจสอบในการสำรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปด้วย เพื่อความแน่ใจ

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ในที่สุดยูนิตี้ก็พบสิ่งที่ทุกคนค้นหา

“เจอแล้วครับ วงจรเวทมนตร์สำหรับตอบสนองต่อกุญแจถูกซ่อนเอาไว้ใต้รากแขนงนี้เอง”

“อืม ดีมาก จะว่าไปแล้วพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดนี่ประมาทไปหน่อยรึเปล่านะ เอาประตูมาวางไว้ในที่โดดเด่นขนาดนี้ ตามปกติถ้าจะมีการตรวจสอบก็ต้องมาดูบริเวณต้นไม้ใหญ่นี่เป็นอันดับแรกอยู่แล้วไม่ใช่รึ? นี่คงไม่ใช่กับดักอะไรหรอกนะ…”

ซาลเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าข้องใจเพราะเขารูสึกว่าประตูแห่งนี้ถูกซ่อนเอาไว้ในจุดที่โดดเด่นเกินไปจนน่าสงสัย แต่ยูนิตี้ก็ส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา

“ไม่หรอกครับ รู้สึกว่านี่จะเป็นวงจรเวทมนตร์แบบจำกัดการใช้งาน เมื่อประตูถูกเปิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ระบบตอบสนองที่ถูกซ่อนอยู่ตรงนี้ก็จะค่อย ๆ เสื่อสภาพไป นี่ถ้าเรามาถึงช้ากว่านี้สักห้านาทีละก็คงจะไม่พบอะไรเลยแน่ ๆ “

“เห? แบบนี้เองเหรอเนี่ย? แต่ถ้างั้นก็หมายความว่าโครงสร้างวงเวทเริ่มจะสลายตัวแล้วน่ะสิ? เอ็มเมอริข พอจะถอดรหัสทันรึเปล่า?”

ซาลหันไปถามเอ็มเมอริช ซึ่งเพิ่งจะตรวจสอบโครงสร้างเวทมนตร์ที่ยูนิตี้ชี้ให้ดูเสร็จพอดี เขาจึงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่แสดงความกังวลอยู่เล็กน้อย

“เอ่อ… เหลือเวลาอีกราว ๆ สามนาทีครับ ถ้าผมคนเดียวก็คงทันแบบฉิวเฉียดหน่อย แต่ถ้าเราสามคนช่วยกันละก็ ไม่ถึงนาทีก็น่าจะเรียบร้อยครับ”

“โอ้ งั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ”

เมื่อได้รับคำสั่ง เอ็มเมอริชก็ทำการแจกแจงโครงสร้างของระบบเวทมนตร์แบบย่อ ๆ โดยแบ่งมันออกเป็นสามส่วนและให้แต่ละคนนำไปถอดรหัสและแก้ไขโครงสร้างเพื่อเปิดการทำงานของประตู

เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ทั้งสามคนก็สามารถจัดการงานในส่วนของตัวเองได้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทันทีที่โครงสร้างทั้งสามส่วนกลับมาสอดประสานกันโดยสมบูรณ์ เอ็มเมอริชก็เปิดการทำงานของมัน ทำให้ประตูมิติสีดำสนิทปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง

“อีกฟากหนึ่งของประตูอาจมีคนคอยตรวจสอบผู้เข้าร่วมงานอยู่ก็ได้ เพราะงั้นก็…”

เมื่อพูดจบ ซาลก็กางมือออกไปเบื้องหน้า ทำให้มีวงเวทสีฟ้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตรปรากฏขึ้นมา ซึ่งทันทีที่มันปรากฏ พลังงานเวทมนตร์จำนวนมากก็หลั่งไหลออกมาจากฝั่งตรงข้ามของวงเวทและก่อตัวขึ้นเป็นร่างของคน ๆ หนึ่ง

คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มซึ่งน่าจะมีอายุราว 20 ปี เขามีเส้นผมสีแดงเพลิงและมีใบหน้าอันหล่อเหลา แต่หากมองจากบางมุมเค้าหน้าอันอ่อนหวานนั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นหญิงงามได้เช่นกัน หากคนผู้นี้ไว้ผมยาวแทนที่จะเป็นผมสั้นคงจะเป็นการยากที่คนทั่วไปจะคาดเดาได้ถูกว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่

ทันทีที่ร่างนั้นปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ์ ซาลก็หลับตาลง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้สง่างามซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของวงเวทเริ่มลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีแดงจาง ๆ ซึ่งเป็นประกายใสราวกับอัญมณีสีชมพู

ชายหนุ่มผู้นั้นกางมือขึ้นมาแตะสัมผัสวงเวทที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้ร่างของซาลที่กำลังหลับใหลค่อย ๆ แปรสภาพเป็นพลังงานเวทมนตร์และถูกกลืนหายเข้าไปในวงเวท ก่อนที่วงเวทนั้นจะหายวับไป

นี่คือการสลับร่างกับร่างอัญเชิญ ซาลได้อัญเชิญร่างของชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็น ‘ตัวตน’ ในการเดินทางครั้งนี้ มันเป็นร่างเปล่า ๆ ที่เขาเข้าควบคุมด้วยเวท ‘โพสเซสชั่น’ จากนั้นก็ทำการเก็บร่างจริงของตนเองเข้าไปในช่องมิติเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนได้ กระบวนการนี้จึงเหมือนกับการย้ายจิตเข้าไปอยู่ในร่างใหม่เลย

ด้วยวิธีนี้ทำให้ซาลและเหล่าขุนพลสามารถแปลงโฉมเป็นใครหรือจะอยู่ในรูปลักษณ์ไหนก็ได้ ทั้งยังสามารถอัญเชิญ ‘ร่างต่อสู้’ ซึ่งสร้างขึ้นมาจากการใช้เวท ‘แซคคริไฟซ์’ สังเวยเหล่าสมุนนับพันนับหมื่นตัวมาใช้เป็นร่างต่อสู้แทนร่างจริงที่ยังเป็นเด็กอยู่ได้อีกด้วย

ชายหนุ่มผมแดงผู้มีใบหน้าสำอางคนนี้ก็คือหนึ่งในร่างต่อสู้ของซาล การที่เขาอัญเชิญร่างนี้ออกมาใช้นั้นเหตุผลหนึ่งก็เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง และอีกเหตุผลก็คือเพื่อให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกรูปแบบด้วย

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

เมื่อพูดจบ ซาลในร่างของชายหนุ่มก็โบกมือเพื่อยกเลิกการอัญเชิญ ทำให้ร่างของเอ็มเมอริชและยูนิตี้ค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองเวทมนตร์ไป ก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินเข้าไปในประตูมิติสีดำสนิทด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นและความสงสัยใคร่รู้ ว่าเบื้องหลังประตูบานนี้จะมีอะไรรออยู่

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากก้าวเข้ามาในประตู ร่างของซาลก็ถูกส่งผ่านห้วงมิติอันมืดมิดซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยเพราะนี่ไม่ใช่รูปแบบของการเคลื่อนย้ายผ่านประตูมิติทั่ว ๆ ไป แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากนักเขาก็มองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนกับเป็นประตูมิติสีดำอีกบานหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ซาลจึงหลับตาลงเพื่อเตรียมปรับสายตาให้เข้ากับระดับแสงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตู

ทันทีที่พ้นออกจากอุโมงค์มิตินั้นมาได้ ซาลก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในดินแดนอันรกร้างแห่งหนึ่ง ผืนดินโดยรอบนั้นเป็นดินเหลืองอันแห้งกรังที่ไร้ซึ่งร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ไกลออกไปหน่อยก็เป็นภูผาสีเทาซึ่งดูเหมือนเป็นก้อนหินขนาดมหึมาที่ถูกฝังลงไปในดินมากกว่า แถมท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังเป็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนซึ่งพร่างพรายไปด้วยดวงดาวระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วนที่สาดแสงลงมายังโลกเบื้องล่างจนทำให้สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ถนัดตาโดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างอื่นใดเลย

“นี่มัน… ‘เรล์ม’ งั้นเหรอ? ประตูเมื่อครู่นี้ไม่ได้เชื่อมกับดันเจี้ยน แต่เชื่อมต่อกับเรล์มแห่งนี้…”

เพราะอีกฟากหนึ่งของประตูเป็นอะไรที่ผิดจากความคาดหมายของซาลไปพอสมควร เขาจึงรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ในขณะเดียวกันแววตาของเขาก็ส่องประกายของความตื่นเต้นออกมาด้วย

ซาลกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจพื้นที่ เขาพบว่าส่วนอื่น ๆ ของเรล์มแห่งนี้เป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีร่องรอยของผู้คนอยู่เลย ภูเขาที่อยู่โดยรอบก็เรียงตัวกันอย่างสลับซับซ้อนราวกับเป็นเขาวงกต แม้เบื้องหน้าจะมีเส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในหุบเขาปรากฏอยู่ แต่ซาลก็ยังไม่อยากจะตรงดิ่งเข้าไปในลักษณะนี้

เขาวาดมือออกไปเบื้องหน้าทำให้มีวงเวทเล็ก ๆ จำนวนนับร้อยวงปรากฏขึ้นบนอากาศ ก่อนจะมีแมลงปีกแข็งสีดำตัวเล็ก ๆ ออกมาจากวงเวทเหล่านั้น นี่คือแมลงสอดแนมสำหรับใช้ในเวลากลางคืน ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับช่วงเวลาของเรล์มแห่งนี้ ทั้งยังเข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่มากกว่าด้วย ทันทีที่อัญเชิญแมลงทั้งร้อยตัวออกมาครบ ซาลก็ให้พวกมันบินกระจายกันออกไปทั่วทุกสารทิศเพื่อสำรวจที่แห่งนี้ในทันที

แมลงสีดำเหล่านี้มีความเร็วในการบินเหนือกว่าแมลงเต่าทองที่เขาใช้อยู่ปกติหลายเท่า ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีพวกมันก็บินห่างออกไปเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ทำให้ซาลสามารถมองเห็นสภาพโดยรวมของที่แห่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น

เขาพบว่าเรล์มแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับเขาวงกตจริง ๆ ภูผาหินจำนวนหลายพันหรือหลายหมื่นลูกได้ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไปจนสุดเส้นขอบฟ้า ก่อให้เกิดเส้นทางอันคดเคี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างหุบเขา จนยากที่จะเดาได้ว่าเส้นทางใดจะนำไปสู่ที่แห่งไหนกันแน่

ซาลให้แมลงตัวหนึ่งบินสูงขึ้นไปอีกเผื่อจะสามารถหาจุดที่น่าจะเป็นทางออกของเขาวงกตแห่งนี้ได้ แต่ก็ไม่พบอะไรที่เข้าเค้าเลย ทันใดนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นประกายแสงแปลบปลาบจากเวทมนตร์หลากหลายชนิดสาดส่องออกมาจากเส้นทางเบื้องล่างหลายจุด

เขารีบให้แมลงสอดแนมมุ่งตรงไปดูยังต้นตอของแสงเหล่านั้นทันทีและพบว่าทุกจุดล้วนแต่มีการต่อสู้เกิดขึ้น มันเป็นการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งคือผู้คนที่สวมหน้ากากสีขาวพร้อมกับผ้าคลุมสีดำสนิทซึ่งน่าจะเป็นเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืด ส่วนอีกฝ่ายคือเหล่ามอนสเตอร์หลากหลายชนิด มีตั้งแต่สเกลตัน (นักรบโครงกระดูก), เคิร์สอาเมอร์ (ชุดเกราะขยับได้), ฟอลเลนแชมเปี้ยน (นักผจญภัยแห่งความมืด), ไปจนถึงเดรดไนท์ (อัศวินม้าดำ)

ผู้ใช้ศาสตร์มืดส่วนมากจะเดินทางเพียงคนเดียวและต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์เพียงลำพัง แต่ก็มีบ้างที่เดินทางมากันเป็นกลุ่มและต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่มีจำนวนมากพอ ๆ กันด้วย เมื่อมอนบางตัวถูกกำจัด มันก็จะปลดปล่อยดวงแสงเล็ก ๆ คล้ายกับก้อนพลังงานออกมา ซึ่งก้อนพลังงานนั้นจะถูกดูดเข้าไปในการ์ดสีดำของผู้ใช้ศาสตร์มืด จากนั้นบนตัวการ์ดจะปรากฏอักขระเวทมนตร์ที่มีรูปร่างคล้ายกับลูกศรบอกทางออกมา ทำให้ผู้ถือการ์ดสามารถเดินทางต่อไปได้อย่างสะดวกเพราะลูกศรนี้จะคอยชี้บอกทิศที่ควรไปเมื่อพบกับทางแยกให้

ซาลสังเกตว่าไม่ใช่มอนสเตอร์ทุกตัวที่ถูกกำจัดแล้วจะปลดปล่อยดวงแสงนั้นออกมา หรือบางครั้งก็มีมอนสเตอร์มากกว่าหนึ่งตัวที่ปลดปล่อยแสงนั้นออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสับสนในทีแรก แต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วซาลก็พบว่ามอนสเตอร์ที่ปลดปล่อยแสงนั้นออกมาจะเป็นมอนสเตอร์ที่ถูกกำจัดด้วยเวทมนตร์หรือท่าโจมตีบางอย่างเท่านั้น เขาจึงสรุปได้ว่าเงื่อนไขของการเกิดแสงที่จะถูกเก็บเข้าไปในการ์ดเชิญนี้จึงไม่ใช่ตัวมอนสเตอร์ แต่เป็นท่าโจมตีที่ใช้จัดการมัน

เมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดแล้ว ซาลก็เริ่มจะเข้าใจสถานที่แห่งนี้มากขึ้น

“แบบนี้นี่เอง… เรล์มแห่งนี้คือเส้นทางที่ใช้ทดสอบผู้เข้าร่วมงาน การจะคัดกรองผู้เข้าร่วมงานว่าเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริงรึเปล่า วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้แสดงวิชาสายมืดของตัวเองออกมาสินะ ดวงแสงนั่นจะปรากฏเมื่อจัดการกับมอนสเตอร์ด้วยเวทบางชนิดเท่านั้น บางทีอาจเป็นวิชาเฉพาะตัวของผู้ถือการ์ด หากใช้วิชาที่ตรงกับข้อมูลในการ์ด ก็จะทำให้มอนสเตอร์ปลดปล่อยแสงออกมา แล้วแสงนั้นก็จะปลดผนึกการทำงานของการ์ดให้กลายเป็นเข็มทิศซึ่งช่วยชี้เส้นทางที่ถูกต้องสำหรับออกจากเขาวงกตให้ เป็นรูปแบบการคัดกรองที่ทั้งรัดกุม, มีประสิทธิภาพ, และประหยัดเวลาในการตรวจสอบได้มากทีเดียว…”

แม้จะรู้สึกชื่นชมวิธีการคัดกรองผู้ร่วมงานของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืด แต่ความยอดเยี่ยมของมันก็ทำให้ซาลรู้สึกปวดหัวอยู่นิด ๆ เช่นกัน เพราะหากเป็นแบบนี้ การเข้าร่วมงานโดยไม่มีการ์ดเชิญก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ในทีแรกเขาคิดว่าหลังจากตามคุรุโมะมาจนเจอที่ชุมนุมแห่งแรกของผู้ใช้ศาสตร์มืดแล้วก็จะแอบขโมยการ์ดเชิญจากใครสักคนมาใช้ หรือไม่ก็ทำการคัดลอกเพื่อสร้างการ์ดเชิญของตัวเองขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าการ์ดเชิญสำหรับงานชุมนุมนี้จะเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าที่คิดเอาไว้มาก เพราะทางฝั่งผู้จัดงานมีการเก็บข้อมูลของผู้ร่วมงานเอาไว้ทุกขั้นตอน การจะแอบอ้างบัตรของคนอื่นจึงเป็นเรื่องยาก แถมยังทำการ์ดปลอมมาตบตาผู้จัดงานไม่ได้ด้วยเพราะจะถูกตรวจสอบได้ทันทีว่าไม่มีชื่อของคนผู้นี้อยู่ในฐานข้อมูล

ความจริงเขายังมีวิธีที่พอจะทำได้อยู่อีก คือการสวมรอยเป็นคนอื่นโดยสมบูรณ์ไปเลยด้วยการผนึกร่างของผู้ถือบัตรสักคนเอาไว้แล้วทำการอัญเชิญร่างเสมือนของคน ๆ นั้นออกมา ก่อนจะใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ ถ่ายจิตเข้าไปอยู่ในร่างนั้นแทน วิธีนี้น่าจะช่วยให้เข้าไปในงานได้โดยไม่มีปัญหา ทว่าซาลเองก็มีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่งในการมาร่วมงานครั้งนี้ เขาจึงไม่อยากใช้ร่างของคนอื่นในการเข้างาน แต่อยากใช้ร่างที่เป็นของตนเองมากกว่า

“ถึงจะปลอมบัตรไม่ได้ แต่เราก็ยังพอจะใช้การถอดรหัสเพื่อเปิดประตูหลังจากที่คนอื่นใช้งานประตูไปแล้วได้ ที่สำคัญคือต้องหาปลายทางของเขาวงกตซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของประตูทางออกให้ได้ซะก่อน ทางออกที่ว่านั่นอยู่ตรงไหนกันนะ…”

ที่แห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ตำแหน่งที่ตั้งของประตูจะอยู่ตรงไหนก็ได้ และประตูยังจะไม่ปรากฏจนกว่าจะมีผู้ถือการ์ดเดินเข้าไปใกล้อีกด้วย แมลงสอดแนมของเขาจึงไม่มีทางมองเห็นประตูที่ว่านี้ได้ สิ่งนี้ทำให้ซาลต้องหลับตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนกับคิดอะไรบางอย่างออก

“ถึงเราจะไม่สามารถหาตำแหน่งของประตูได้ แต่ก็ยังพอจะประเมินปลายทางที่พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดแต่ละคนมุ่งหน้าไปได้นี่นา ตำแหน่งที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้ามาบรรจบกันนั่นแหละคือตำแหน่งของประตู!”

เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ ซาลก็ให้เหล่าสมุนสอดแนมทั้งหมดแยกย้ายกันไปติดตามเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดแต่ละคน โดยเหลือแมลงสอดแนมเพียงตัวเดียวคอยสังเกตการณ์ในมุมกว้างอยู่บนท้องฟ้า เขาสร้างแผนที่สองมิติขึ้นมาบนอากาศโดยใช้ภาพมุมกว้างจากสายตาของแมลงสอดแนมตัวนั้น ก่อนจะปรับให้แผนที่แสดงตำแหน่งของสมุนทั้งหมดที่อยู่ในอาณาบริเวณ ซึ่งหลังจากเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของจุดแสงบนแผนที่อยู่พักหนึ่ง ซาลก็สามารถคาดคะเนจุดที่ควรจะเป็นตำแหน่งที่ตั้งของประตูได้

“ทุกคนต่างก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามายังตำแหน่งนี้ทีละน้อย แปลว่าประตูควรจะอยู่แถวนี้สินะ ขอแค่เราไปซุ่มอยู่แถวนั้น แล้วแอบตามคนที่เดินทางมาเพื่อเปิดประตู เท่านี้ก็จะรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนของประตูได้ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากแล้ว!”

เมื่อระบุพื้นที่ซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของประตูได้ ซาลก็รีบมุ่งหน้าไปยังบริเวณนั้นในทันที

แน่นอนว่าสำหรับคนที่ไม่มีการ์ดเชิญย่อมไม่สามารถรู้เส้นทางในเขาวงกตนี้ได้อยู่แล้ว การเดินทางบนพื้นดินจึงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับซาล แต่เขาก็ยังมีเส้นทางอื่นในการเดินทางอยู่ ก็คือท้องฟ้านั่นเอง

ร่างจริงของเขาซึ่งเพิ่งจะมีอายุเพียง 12 ขวบนั้นมีพลังเวทค่อนข้างจำกัด ทำให้สามารถใช้งานเวทมนตร์ได้จำกัดไปด้วย แต่สำหรับร่างชายหนุ่มซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นร่างต่อสู้โดยเฉพาะนี้เรื่องของพลังเวทแทบจะไม่ใช่ปัญหาเลย ทำให้สามารถใช้เวทได้เกือบทุกชนิด รวมไปถึงเวท ‘บิน’ ในแบบฉบับของเขาเองด้วย

ในโลกนี้มีเวทมนตร์ที่ทำให้มนุษย์บินได้อยู่หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะเป็นเวทมนตร์ระดับสูงที่ควบคุมยากและสิ้นเปลืองพลังเวทอย่างมหาศาล คนทั่วไปจึงมักจะใช้อุปกรณ์เวทมนตร์เป็นตัวช่วยในการบินมากกว่า แต่ซาลคิดว่าการบินด้วยเวทของตัวเองจะเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้ในยามคับขันมากกว่า (ทั้งยังเท่กว่าด้วย) จึงทุ่มเทเวลาค้นคว้าวิจัยอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สามารถนำเวทสายมิติเวลาที่เขาถนัดมาประยุกต์ใช้ให้กลายเป็นเวทสำหรับการบินได้เป็นผลสำเร็จ

เดิมทีเวทนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายอย่างที่ทำให้มันไม่สมบูรณ์ แต่หลังจากที่ได้เรียนเวทสายมิติกับโลรินแล้ว ซาลก็ได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับเวทสายมิติมากขึ้น และสามารถนำวิชาเหล่านั้นมาช่วยเสริมจุดที่ยังขาดหายไปของเวทการบินนี้จนมันกลายเป็นเวทที่ใช้งานจริงได้ เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วเขาจึงร่ายเวทนี้ออกมา ทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นเหนือพื้นดินราวกับอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักในทันที

ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ซาลก็เงยหน้าขึ้นและสะบัดมือไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นร่างของเขาก็พุ่งขึ้นไปยังทิศทางที่เขาสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ราวกับมีเชือกสลิงที่มองไม่เห็นกำลังฉุดร่างของเขาขึ้นไป เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็ลอยขึ้นสูงจนอยู่เหนือยอดเขาและสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ไกลนับสิบกิโลเมตรในทันที

นี่คือการบินด้วยเวทสายมิติ เขาลดแรงโน้มถ่วงที่อยู่รอบตัวด้วยการปรับสภาพมิติให้คืนรูป จากนั้นก็สร้างจุดหดตัวของมิติขึ้นอีกแห่งหนึ่งในทิศทางที่จะไป ทำให้เกิดแรงดึงดูดจากจุดนั้นดึงร่างของเขาเข้าไปหา เมื่อวนกระบวนการนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ ก็จะให้ผลลัพธ์เหมือนกับการบินร่อนไปบนอากาศได้อย่างอิสระนั่นเอง

ซาลค่อย ๆ เหาะเหินไปบนอากาศด้วยวิธีนี้และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่เขาเล็งเอาไว้ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าบนท้องฟ้าแห่งนี้ก็มีเวทตรวจจับทำงานอยู่

 

——————————————————————————–

 

Part 4

 

ห่างออกไปไม่ไกล บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีคนสามคนซึ่งสวมชุดคลุมสีดำและหน้ากากสีขาวกำลังมองดูขาวงกตเบื้องล่างและพูดคุยกันไปด้วย

“ปีนี้ผู้ร่วมงานน้อยกว่าปกติรึเปล่านะ? ทุกทีน่ะถ้ามองจากตรงนี้ลงไปละก็ จะเห็นแสงจากเวทมนตร์แปลบปลาบไปทั่ว ราวกับเป็นงานชมดอกไม้ไฟเลยล่ะ”

“ไม่หรอก เพราะปีนี้มีการแยกเรล์มทดสอบสำหรับคนที่อยู่แต่ละทวีปเพื่อลดการแออัดต่างหากล่ะ นี่เป็นเรล์มสำหรับคนที่อยู่ในจูริสเท่านั้น ก็เลยไม่มีคนจากโดมินาเรียกับเทอร่ามาร่วมด้วยน่ะ นี่นายไม่ได้ฟังที่หัวหน้าอธิบายสรุปรึไง?”

“อ้อ จริงด้วย พอพูดแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้น่ะ ฮะ ๆ ๆ ”

“เฮ้อ… ตั้งใจทำงานหน่อยสิ พวกพีสคีปเปอร์น่ะมันกดดันหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีเลยนะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมาละก็… หืม? อะ.. เอ๊ะ!? มีคนฝ่าฝืนกฎห้ามบินและกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วย!”

“ว่าไงนะ!?”

ในเขาวงกตซึ่งใช้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร่วมงานแห่งนี้มีกฎห้ามใช้เวทมนตร์หรืออุปกรณ์ใด ๆ ในการบินอยู่ เพราะหากอยู่บนท้องฟ้าก็สามารถใช้สายตาสอดส่องดูคนที่อยู่เบื้องล่างจนรู้ตำแหน่งของประตูทางออกโดยไม่ต้องทำตามกระบวนการปกติ ซึ่งนั่นจะเป็นการลัดขั้นตอนการตรวจสอบ ทำให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด หรือผู้ที่ไม่มีบัตรสามารถลอบเข้างานได้ ด้วยเหตุนี้บนท้องฟ้าจึงมีข่ายเวทมนตร์ตรวจจับกางเอาไว้อยู่ เวทตรวจจับนี้จะทำงานทันทีที่สัมผัสถึงการใช้พลังงานเวทมนตร์ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในขณะเดินทางด้วยเวทการบินอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวทการบินชนิดใดก็ตาม รวมถึงเวทของซาลด้วย

ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎห้ามบินจะถูกตั้งข้อสงสัยในทันทีว่ามีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ หรือเป็นคนนอกที่แฝงตัวเข้ามา เมื่อได้รับสัญญาณเตือนว่ามีผู้ฝ่าฝืนกฎห้ามบิน ผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามคนจึงเกิดอาการตื่นตัวในทันที

ทั้งสามคนต่างก็นำอุปกรณ์เวทมนตร์ช่วยบินของตนเองออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน คนหนึ่งอัญเชิญไวเวิร์นออกมาเป็นพาหนะ อีกคนก็กระทืบเท้าลงกับพื้นทำให้มีปีกแสงคู่เล็ก ๆ ปรากฏออกมาจากบริเวณส้นรองเท้าของเขา ส่วนคนสุดท้ายที่มีสรีระคล้ายกับผู้หญิงก็นำไม้กวาดออกมาจากช่องมิติเก็บของ ก่อนจะโดดขึ้นไปนั่งไขว้บนนั้นและเตรียมออกบิน

เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ พร้อมแล้ว ทั้งสามคนก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้าและมุ่งตรงไปหาซาลเพื่อเข้าสกัดเขาในทันที

ซาลที่เห็นคนสามคนกำลังตรงเข้ามาหาก็รับรู้ได้ว่าตัวเองน่าจะทำอะไรบางอย่างผิดไปเช่นกัน เขารีบนำผ้าคลุมสีดำและหน้ากากสีขาวออกมาสวมเพื่อไม่ให้ดูแตกต่างจากผู้ใช้ศาสตร์มืดคนอื่น ๆ มากเกินไป ก่อนจะหยุดยืนค้างอยู่บนอากาศเพื่อรอการมาของคนทั้งสาม

เขารู้ว่าตอนนี้ตนเองน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว และสิ่งแรกที่อีกฝ่ายจะขอดูก็คือการ์ดเชิญที่เขาไม่มี ซาลจึงต้องรีบคิดหาวิธีที่จะช่วยให้รออดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้

ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ กลุ่มคนชุดดำก็บินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเขาพอดี ทั้งสามคนแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นซาลยืนลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เวทมนตร์ใด ๆ โดยปกติแล้วคนที่สามารถใช้เวทมนตร์บินได้ด้วยตัวเองหรือค้างตัวอยู่กลางอากาศได้นั้นจะต้องเป็นนักเวทระดับสูงใช่ย่อย เพราะมันเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองพลังเวทมาก ทั้งสามคนจึงเพิ่มความระวังตัวตามไปด้วย โดยเฉพาะหญิงสาวที่ขี่ไม้กวาดอยู่นั้นได้แอบส่งสัญญาณติดต่อไปยังผู้ดูแลคนอื่น ๆ ในทันที

ชายหนุ่มในชุดคลุมที่ขี่ไวเวิร์นอยู่ขยับตัวมาด้านหน้าเพื่อเตรียมจะถอบถามและขอดูการ์ดเชิญ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ซาลก็เป็นฝ่ายชิงพูดออกมาซะก่อน

“เฮ้~ พวกคุณเป็นผู้ดูแลสถานที่สินะครับ? ดีใจจังเลยที่ได้เจอ ผมนึกว่าจะต้องหลงอยู่ที่นี่ไปจนตายซะแล้ว ถ้ายังไงช่วยพาไปที่ทางออกหน่อยสิครับ”

คำพูดที่คาดไม่ถึงของซาลทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะขอดูการ์ดเชิญต้องชะงักไปเล็กน้อย เขาหันไปมองเพื่อนอีกสองคนด้วยท่าทางงุนงง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับซาลอีกครั้ง

“พูดพล่ามอะไรของนายน่ะ? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย แล้วไม่รู้รึไงว่านี่เป็นเขตห้ามบินน่ะ? ฝ่าฝืนกฎแบบนี้มีเจตนาอะไร?”

“แหม ก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะครับ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ คือผมน่ะพลัดหลงกับคนที่พามา พอดีเขาให้ผมมารอที่ด้านในประตูก่อน แต่ไม่รู้ทำไมจนกระทั่งประตูปิดไปแล้วเขาก็ยังไม่ตามมา ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็คงจะดีหรอก… แต่เพราะแบบนี้ผมก็เลยไม่มีการ์ดเชิญติดมาด้วยเพราะเป็นแค่ผู้ติดตามของเขาเท่านั้น ไม่มีการ์ดเชิญก็ไม่มีอุปกรณ์นำทางในเขาวงกต ผมเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบินขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือนี่ล่ะครับ ดีจริง ๆ ที่เจอพวกคุณ ยังนึกอยู่เลยว่าถ้าไม่มีใครโผล่มาจะทำยังไงดีเนี่ย ฮะ ๆ ๆ “

ซาลพยายามแต่งเรื่องเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจสอบได้ยากที่สุด ทั้งยังพยายามเอ่ยถึงกระบวนการตรวจสอบที่เขารู้เพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนในที่รู้ขั้นตอนอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ไม่สามารถทำตามขั้นตอนได้เท่านั้น

เขาเห็นแล้วว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่อยู่ในเรล์มนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีการ์ดเชิญอยู่กับตัว บางคนก็เป็นเพียงผู้ติดสอยห้อยตามผู้ถือการ์ดมา การอ้างว่าเป็นแค่ผู้ติดตามจึงน่าจะเหมาะสมที่สุด แบบนี้อีกฝ่ายจะไม่สามารถขอเขาดูการ์ดเชิญเพื่อตรวจสอบฐานะได้ แม้จะยังไม่แน่ใจว่ามีการลงทะเบียนรายชื่อของผู้ติดตามด้วยรึเปล่า แต่มันก็เป็นทางเลือกแบบ 50-50 ที่เขาคิดว่าน่าจะลองเสี่ยงดู

ผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสมคนต่างก็มองหน้ากันไปมาเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อเรื่องที่ซาลพูดดีหรือไม่ และควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี แต่ในที่สุด ชายหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยรองเท้าที่มีปีกเวทมนตร์ประดับส้นอยู่ก็เอ่ยคำพูดออกมา

“เฮอะ ไอ้เรื่องพวกนั้นจะจริงรึเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้หรอก และเราก็ยังไม่มีวิธีที่จะพิสูจน์คำพูดของนายด้วย แต่การจะพิสูจน์ว่านายเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริงรึเปล่าน่ะมันง่ายนิดเดียว”

เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็นำดาบเล่มใหญ่ออกมาจากช่องมิติเก็บของ ก่อนจะอาบมันด้วยพลังงานสีดำสนิทจนเหมือนกับใบดาบกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงทมิฬ

ผู้ดูแลอีกสองคนที่เห็นเช่นนั้นก็เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายได้ในทันที จึงนำอาวุธประจำกายของตนออกมา โดยชายหนุ่มที่ขี่ไวเวิร์นนำธนูคันใหญ่ออกมาขึ้นสายด้วยลูกศรที่อาบด้วยเปลวเพลิงสีม่วง ส่วนหญิงสาวที่ขี่ไม้กวาดอยู่ก็นำไม้เท้าเวทสีดำสนิทซึ่งมีลูกแก้วสีเขียวลูกใหญ่ประดับอยู่ตรงปลายออกมารวบรวมพลัง

“พวกที่ฝึกศาสตร์มืดมาแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพื่อจะมาแฝงตัวน่ะไม่มีทางใช้วิชาระดับต่ำแบบนั้นเอาตัวรอดจากภาวะคับขันได้หรอก ถ้าไม่อยากตายละก็ จงแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาซะ!”

ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มที่ถือดาบก็ทำการตวัดดาบที่อยู่ในมือเพื่อปลดปล่อยคมมีดพลังงานสีดำสนิทเข้าใส่ซาลในทันที ในขณะที่พุ่งฝ่าอากาศไปคมมีดนั้นก็ยิ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อมาถึงด้านหน้าของซาลมันก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานทรงจันทร์เสี้ยวที่มีความยาวกว่าสิบเมตรแล้ว

ชายหนุ่มที่ขี่ไวเวิร์นก็ปล่อยลูกธนูออกจากคันศรเช่นกัน ทันทีที่มันพุ่งออกมา เปลวเพลิงสีม่วงที่ห่อหุ้มปลายศรอยู่ก็ลุกโชติช่วงและขยายตัวขึ้นอีกหลายเท่า จนลูกธนูดอกนั้นมีสภาพเหมือนกับเป็นทวนยาวที่เหล่าทหารม้าใช้ในการทิ่มแทงประหัตประหารกัน

หญิงสาวที่ขี่ไม้กวาดอยู่ก็ปลดปล่อยเวทของเธอในเวลาไล่เลี่ยกัน กระแสเวทมนตร์อันเข้มข้นที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบลูกแก้วที่ปลายไม้เท้าได้ไหลมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีเขียวเข้มพุ่งตรงไปยังซาลด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ทุกการโจมตีล้วนแล้วแต่เป็นท่าโจมตีระดับสูงที่สามารถทำให้นักผจญภัยระดับ 7-8 ต้องบาดเจ็บสาหัสได้ การโจมตีประสานจากสามคนพร้อมกันแบบนี้จึงเป็นการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว ทั้งสามคนประเมินว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ควรจะมีฝีมือพอตัวจึงสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยด้วย การทดสอบนี้จึงไม่ถือว่าหนักมือเกินไป เพราะหากปล่อยให้สายลับของพีชคีปเปอร์หลุดรอดเข้าไปในงานได้ ผลลัพธ์ที่เกิดกับเครือข่ายของผู้ใช้ศาสตร์มืดจะเลวร้ายสุดพรรณนา พวกเขาจึงยอมฆ่าคนผิดดีกว่าที่จะปล่อยให้ศัตรูเล็ดรอดไปได้

เรื่องที่ชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นสายลับรึไม่ เอาไว้ซัดให้ปางตายก่อนแล้วค่อยมาทำการสืบสวนก็ยังไม่สาย นั่นคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืด และเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลพื้นที่ทั้งสามต่างก็เห็นตรงกัน

ซาลรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ฝ่ายตรงข้ามปลดปล่อยการโจมตีระดับเอาชีวิตแบบนี้ออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน แต่สีหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเขาก็ยังคงเยือกเย็น ทั้งยังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏให้เห็นอีกด้วย

เขาสะบัดมืออย่างรวดเร็วและกางมือออกไปข้างหน้า ทำให้มีวงเวทขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตรปรากฏออกมา ทันใดนั้น โครงกระดูกมังกรที่มีระอุไปด้วยออร่าสีแดงราวกับเลือดก็โผล่ออกมาจากวงเวทและพุ่งเข้ารับการโจมตีของผู้ดูแลทั้งสามในทันที

เสียงระเบิดกึกก้องดังไปทั่วบริเวณพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าที่เกือบจะทำให้ท้องฟ้าในยามราตรีของโลกต่างมิติแห่งนี้กลายเป็นเวลากลางวันไปแวบหนึ่ง เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ต้องหันขึ้นไปมองปรากฏการณ์อันผิดปกตินี้โดยพร้อมเพรียงกัน แต่จากจุดที่พวกเขาอยู่ทำให้มีน้อยคนที่จะเห็นเหตุการณ์ที่อยู่บนท้องฟ้านั้นได้ถนัดตานัก

ตรงกันข้ามกับผู้ดูแลทั้งสามซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้านั้นด้วยตนเอง ทำให้ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกตะลึง

มังกรโครงกระดูกตัวใหญ่มุดร่างออกมาจากกลุ่มควันโดยไร้รอยขีดข่วน ราวกับการโจมตีนั้นไม่ได้สร้างความสะทกสะท้ายให้กับมันเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งตรงเข้าหาผู้ดูแลทั้งสามโดยหอบเอากลุ่มควันติดตัวมาด้วย ควันเหล่านั้นถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยออร่าจากร่างของมังกรจนดูเหมือนกับเป็นเมฆเพลิงที่กำลังม้วนตัวเข้ามากลืนกินทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลี เพียงชั่วพริบตา ร่างของผู้ดูแลทั้งสามก็ถูกเมฆเพลิงนั้นกลืนหายไป

เหล่าผู้ดูแลทั้งสามต่างก็ถูกร่างของมังกรโครงกระดูกพุ่งเข้ากระแทกจนปลิวกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง แต่พวกเขาก็ลอยเคว้งเพียงครู่เดียวก่อนจะสามารถตั้งหลักและกลับมาลอยตัวได้อีกครั้ง เพราะมังกรโครงกระดูกตัวนั้นไม่ได้ทำการโจมตีใด ๆ มันเพียงแค่บินผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้ใช้ออร่าที่ห่อหุ้มตัวอยู่ทำอันตรายต่อผู้ที่ได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ

ถึงกระนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ผู้ดูแลทั้งสามคนถึงกับขวัญผวา ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก และได้แต่จ้องมองมังกรโครงกระดูกตัวนั้นสลับกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่อาจเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาได้

มังกรโครงกระดูกตัวนั้นบินตีวงกลับไปหาชาซาลอีกครั้งก่อนที่มันจะกระพือปีกเพื่อลอยตัวอยู่กับที่ ส่วนซาลก็ร่อนลงไปยืนบนหัวของมันก่อนจะหันไปถามผู้ดูแลทั้งสามด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังเขินอายอยู่เล็กน้อย

“อ่า… แบบนี้ พอจะใช้ได้รึเปล่าครับ?”

คำถามของซาลทำให้เหล่าผู้ดูแลพื้นที่ได้แต่นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ความเงียบจึงปกคลุมท้องฟ้าในยามราตรีของเรล์มแห่งนี้อยูอีกเป็นเวลานาน

Options

not work with dark mode
Reset