Doombringer the 5th 102

ตอนที่ 102

Ch.102 – เจ้าถิ่นที่ไม่ได้รับเชิญ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 98

เจ้าถิ่นที่ไม่ได้รับเชิญ

 

Part 1

 

หลังออกจากประตูโรงเรียนและเดินออกจากเขตชุมชนของอีจิสไพร์มมาทางตะวันตกได้ราว ๆ 15 นาที ซาลกับคุโระก็มาถึงที่ราบด้านหน้าเขตชายป่าของป่าสนธยา

มันเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่กินอาณาเขตไพศาล แค่พื้นที่รอบนอกก็น่าจะกินอาณาบริเวณนับสิบตารางกิโลเมตรแล้ว เมื่อได้มาเห็นของจริงแบบนี้ซาลจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่แผนการวางพื้นที่ดันเจี้ยนต้องหยุดชะงักไป

บริเวณที่ราบด้านหน้าชายป่านั้นมีแท่งศิลาสีขาวความสูงระดับหัวเข่าถูกปักตรึงอยู่โดยรอบ แม้ศิลาแต่ละแท่งจะถูกปักห่างจากกันราว ๆ 100 เมตร แต่เมื่อมองไกล ๆ แล้วมันก็ดูเหมือนกับแนวรั้วสีขาวที่แบ่งแยกอาณาเขตระหว่างผืนป่ากับที่ราบอยู่

แห่งศิลาเหล่านี้คืออุปกรณ์ตรวจจับซึ่งปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นมาล้อมพื้นที่ดันเจี้ยนที่อยู่ใกล้ชุมชนเกือบทุกแห่ง ด้วยเหตุผลสองประการด้วยกัน

ประการแรกคือเพื่อให้หน่วยเฝ้าระวังของเมืองสามารถรับรู้ได้ล่วงหน้าว่ามีมอนสเตอร์ออกมาจากพื้นที่ดันเจี้ยน จะได้เตรียมการป้องกันหรือส่งคนไปจัดการได้ก่อนที่มอนสเตอร์เหล่านั้นจะทำให้เกิดปัญหา

ประการที่สองคือเพื่อป้องกันผู้ลักลอบเข้าไปล่ามอนสเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะปัจจุบันนี้จำนวนนักผจญภัยมีเยอะขึ้นมาก ความจริงจำนวนของนักผจญภัยก็ยังไม่ถึงกับเยอะจนมีดันเจี้ยนไม่พอให้ล่า แต่เพราะนักผจญภัยส่วนใหญ่มักจะเน้นความสะดวกสบาย คือเข้าไปล่ามอนสเตอร์หรือกวาดล้างดันเจี้ยนที่อยู่ใกล้เขตชุมชนไว้ก่อน หรือไม่ก็ไปล่าเฉพาะดันเจี้ยนดัง ๆ ที่มีมอนสเตอร์ที่ต้องการ ซึ่งเรื่องนี้ก่อให้เกิดผลเสียเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ตามมา

เมื่อทำการล่าเฉพาะบริเวณใกล้เคียง ดันเจี้ยนที่อยู่ไกลออกไปก็จะถูกละเลยจนเริ่มเกิดการพัฒนากลายไปเป็นดันเจี้ยนระดับสูงขึ้น มีมอนสเตอร์ที่อันตรายมากขึ้น มอนสเตอร์ระดับสูงปกติจะออกล่ามอนสเตอร์ระดับต่ำกว่าเป็นอาหาร แต่ในเมื่อดันเจี้ยนและมอนสเตอร์ระดับต่ำถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว พวกมันจึงหันมาโจมตีชุมชนของมนุษย์แทน เป็นผลจากการที่ระบบนิเวศเสียสมดุลไป

อีกเรื่องคือ เมื่อดันเจี้ยนระดับต่ำหรือมอนสเตอร์ระดับต่ำถูกกวาดล้างไปหมด นักผจญภัยรุ่นใหม่ ๆ ก็จะหาสถานที่เหมาะ ๆ ในการฝึกฝนตนเองได้ลำบาก อาจต้องเสี่ยงเข้าไปยังพื้นที่ระดับสูงขึ้น และทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ เรื่องนี้เคยเป็นปัญหาที่ทำให้บางอาณาจักรมีจำนวนนักผจญภัยลดลงมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศได้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทางสมาคมนักผจญภัยรวมไปถึงคณะปกครองของอาณาจักรต่าง ๆ จึงออกนโยบายมากมายเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศของเหล่ามอนสเตอร์เอาไว้ นั่นรวมไปถึงการจำกัดการล่าในดันเจี้ยนใกล้เขตชุมชนด้วย

หลักเขตที่ใช้ตรวจจับการเข้าออกนี้จะทำงานเมื่อมีมอนสเตอร์ออกมาจากเขตดันเจี้ยน หรือมีผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปในเขตดันเจี้ยน เป็นวิทยาการคล้าย ๆ กับหลักเขตแดนของวาลาเชีย ดินแดนของเหล่าแวมไพร์ แต่ก็ยังมีระดับต่ำกว่ามาก เพราะแค่อาศัยการปรับแต่งอำพรางเพียงนิดหน่อย แปดขุนพลของซาลก็สามารถเข้าออกพื้นที่เหล่านี้ได้ตามใจชอบแล้ว

สำหรับนักเรียนของอีจิสไพร์ม เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ ก็จะมีการขึ้นทะเบียนเลขบัตรประจำตัวกับฐานข้อมูลของพื้นที่โดยอัตโนมัติ ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางเข้าออกพื้นที่ดันเจี้ยนได้อย่างอิสระ แต่การอนุญาตนี้จะทำเป็นกรณี ๆ ไป โดยจำกัดทั้งสถานที่และช่วงเวลาให้เข้าไปได้เฉพาะในพื้นที่ภารกิจเท่านั้น และเมื่อพ้นหนึ่งสัปดาห์ก็จะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่นั้นได้อีก เป็นการจำกัดเวลาทำภารกิจไปในตัวด้วย

ซาลกับคุโระเดินผ่านแนวเขตของเสาตรวจจับมาได้อย่างไม่มีปัญหา และมุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าทันที โดยก่อนที่จะเข้าไปในนั้น พวกเขายังเห็นนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ที่มาทำภารกิจ ทยอยกันเดินเข้าไปในป่าจากจุดอื่น ๆ ด้วย

บริเวณรอบนอกของป่าสนธยายังเป็นป่าที่มีอายุไม่ถึงสิบปี ต้นไม้แถบนี้มีความสูงเพียง 7-8 เมตร และขึ้นกระจัดกระจายกันไป ทำให้บรรยากาศภายในนี้ค่อนข้างโปร่ง ถึงกระนั้นคุโระก็ยังดูกระวนกระวายอยู่ดี คงเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยที่เข้ามาในเขตดันเจี้ยนกับซาลเพียงสองคน ซาลจึงพยายามชวนคุยเพื่อให้เขาผ่อนคลาย

“จะว่าไปแล้ว ฉันยังไม่ได้ถามเรื่องคลาสของนายเลยนี่นะ นายมีคลาสหลักเป็นอะไรเหรอคุโระ?”

“เอ่อ… คลาสหลักของผมเป็นซอร์ดแมน (นักดาบ) สายเฟนเซอร์ครับ”

เฟนเซอร์ คือนักดาบสายหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญการใช้กระบี่ (Sabre) มีความคล่องตัวสูง และมุ่งเน้นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่คนซึ่งดูไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับใครอย่างคุโระเลือกคลาสแบบนี้เป็นคลาสหลัก

“เห~ แปลกดีเหมือนกันนะเนี่ย ปกติเขาจะฝึกการเป็นเฟนเซอร์กันเมื่อขึ้นคลาสระดับสองหรือสามนี่นา?”

“ถ้าฝึกฝนตั้งแต่คลาสแรกจะทำให้มีพื้นฐานที่ดีกว่าน่ะครับ”

“แต่มันเป็นสายที่ไม่ค่อยเหมาะกับการผจญภัยหรือการสำรวจดันเจี้ยนไม่ใช่เหรอ?”

“เรื่องนั้น… ผมคิดว่าถ้าพยายามมากพอ ก็น่าจะใช้ฝีมือชดเชยเอาได้ครับ”

แม้จะพูดโดยหลบสายตาไปทางอื่นเหมือนกับจะยังไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเองนัก แต่คำพูดของคุโระก็ทำให้ซาลรู้สึกว่าเขาอาจประเมินอีกฝ่ายผิดไป ความจริงคุโระอาจไม่ใช่คนอ่อนแอหรือหัวอ่อนอย่างที่เขาคิดก็ได้

อีกอย่างคือการที่คุโระเลือกคลาสที่ตัวเองชอบก่อนจะคำนึงถึงความสะดวกนั้นก็เป็นจุดยืนที่คล้ายคลึงกับซาลที่อยากจะเป็นซัมมอนเนอร์ด้วย ทำให้เขารู้สึกถูกชะตากับคุโระมากขึ้นไปอีก

ในระหว่างนั้นเอง คุโระที่สังเกตว่าพวกเขาเอาแต่เดินลึกเข้ามาในป่าแค่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ทำการบันทึกสภาพภูมิประเทศลงไปใน ‘เมโมรี่ริง’ เลย ก็รู้สึกสงสัยจนอดถามขึ้นไม่ได้

“นี่เราก็เดินเข้ามาได้ระยะแล้วนะครับ คุณซาลจะไม่ทำการบันทึกพื้นที่สักหน่อยเหรอครับ?”

“อืม… เรายังมาไม่ถึงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ชั้นแรกของป่าสนธยาเลยน่ะนะ แต่เอาเถอะ ปล่อยจากแถว ๆ นี้ก็ได้มั้ง”

“เอ๋? ปล่อยอะไรเหรอครับ?”

ซาลเพียงยิ้มโดยไม่ได้ตอบคำถามของคุโระ ก่อนจะวาดมือขึ้นไปบนอากาศเพื่อสร้างวงเวทอัญเชิญขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนมากออกมา มันเป็นวงเวทขนาดเล็กที่มีจำนวนมากกว่า 20 วงทีเดียว

ไม่นานนัก ก็มีแมลงเต่าทองตัวขนาดเท่าปลายนิ้วโผล่ออกมาจากวงเวทแต่ละวง ก่อนที่วงเวทเหล่านั้นจะจางหายไป ทำให้เบื้องหน้าของซาลกับคุโระมีแมลงเต่าทองฝูงใหญ่บินลอยตัวอยู่

เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว ซาลจึงเริ่มอธิบายให้คุโระฟัง

“นี่เป็นสมุนอัญเชิญของฉันเอง ฉันใส่ทักษะในการใช้ ‘ดันเจี้ยนแมปปิ้ง’ ให้กับทุกตัวแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้พวกมันแยกย้ายกันไปบันทึกสภาพภูมิประเทศทั้งหมดของป่าสนธยาชั้นแรก แล้วข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกส่งกลับมายัง ‘เมโมรี่ริง’ ที่ฉันสวมอยู่ คิดว่าไม่เกินชั่วโมงเราก็น่าจะได้แผนที่ที่สมบูรณ์สำหรับผ่านภารกิจได้นะ”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น คุโระก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวิธีแบบนี้ในการสำรวจพื้นที่ด้วย อีกอย่างคือปกติแล้วการจะสำรวจพื้นที่ดันเจี้ยนที่มีความกว้างขนาดนี้จะต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ เท่าที่เขารู้ สถิติของนักเรียนที่เคยทำการสำรวจพื้นที่นี้ได้เร็วที่สุดคือใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง แต่ซาลกลับบอกว่าสามารถทำให้เสร็จได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นับเป็นความเร็วที่น่าตกใจมาก

ที่คุโระตกใจก็เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นความจริงนั่นเอง

เพราะหลังจากที่เขาได้เห็นแมลงเต่าทองอัญเชิญพากันบินแยกย้ายไปทั่วทุกสารทิศ เขาก็เข้าใจในความสะดวกและรวดเร็วของวิธีนี้ เนื่องจากถ้าเป็นนักผจญภัยทั่ว ๆ ไปก็ต้องคอยหลบหลีกหรือต่อสู้กับเหล่ามอนเตอร์ที่ได้พบเจอ ทำให้เสียเวลาไปมาก แต่ถ้าใช้สมุนอัญเชิญในการสำรวจแบบนี้ พวกมอนสเตอร์ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการสำรวจ จึงสามารถใช้เวลาในการสำรวจได้อย่างเต็มที่ แถมซาลยังใช้สมุนมากกว่ายี่สิบตัวพร้อมกัน การที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย

“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ”

ซาลเอ่ยขึ้นหลังจากส่งแมลงเต่าทองทั้งหมดออกไปแล้ว ทำให้คุโระหลุดจากภวังค์และหันกลับมาถามเขาด้วยความสงสัยอีกครั้ง

“ไปต่อ? ไปไหนเหรอครับ? เราแค่รอรับข้อมูลอยู่ที่นี่ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“ถึงระยะควบคุมของพวกแมลงเต่าทองจะไม่มีจำกัด แต่ระยะที่ส่งข้อมูลกลับมาให้ฉันได้ก็ยังมีจำกัดอยู่ และจุดที่ฉันอยากจะสำรวจจริง ๆ ก็อยู่ลึกเข้าไปกว่านี้อีก เลยต้องเดินเข้าไปด้วยตัวเองน่ะ”

“จุดที่คุณซาลอยากสำรวจ? หมายถึง?”

“ก็พื้นที่ระดับสองของป่าสนธยาไงล่ะ เราจะไปเอาคะแนนพิเศษกัน”

เมื่อพูดจบ ซาลก็เริมเดินต่อทันที ทำให้คุโระที่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่งจนถูกทิ้งระยะห่างต้องรีบเดินตามไป

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

ซาลนำคุโระเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบเริ่มมีต้นไม้ปกคลุมหนาทึบขึ้น

เส้นทางที่เขาใช้ในการไปยังพื้นที่ระดับสองของป่าสนธยาเป็นทางสายหลักที่เหล่านักผจญภัยระดับสูงมักใช้กันในการเข้าไปยังส่วนลึกของดันเจี้ยน ทำให้ไม่ค่อยมีมอนสเตอร์อยู่ในบริเวณนี้มากนัก

เพราะพวกมอนสเตอร์มีสัญชาตญาณที่ดี พวกมันรู้ว่าเส้นทางนี้มีศัตรูที่แข็งแกร่งใช้เป็นทางผ่านอยู่บ่อยครั้ง จึงนับเป็นเขตอันตรายสำหรับพวกมัน มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ในป่าสนธยาชั้นแรกจึงพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางหลักสายนี้ ทำให้นี่เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัย

ถึงกระนั้น คุโระก็ยังมีท่าทีกระวนกระวายอยู่ดี เพราะแม้จะเป็นเส้นทางหลัก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับพวกมอนสเตอร์ อีกทั้งพวกเขายังมากันแค่สองคน หากเจอกับมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ ๆ ขึ้นมาจริง ๆ อาจเกิดอันตรายขึ้นก็ได้

แต่ไม่รู้ทำไม คุโระถึงรู้สึกกังวลน้อยลงกว่าในทีแรกที่เขารู้ว่าจะต้องเข้ามาสำรวจดันเจี้ยนกับซาลเพียงลำพังสองคน อาจเพราะเขาได้เห็นมาแล้วว่าซาลสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งมีดันเจี้ยนมิติเป็นบ้านพักส่วนตัวของตัวเอง ทั้งมีความเฉลียวฉลาดวางแผนทุกอย่างได้ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า อีกทั้งยังสามารถใช้งานสมุนอัญเชิญได้อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ทั้งหมดนี้ทำให้คุโระเชื่อว่าบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนนี้ไม่ใช่คนโง่หรือทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด หากเขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่างก็แปลว่ามีแผนการรองรับเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้น คุโระก็รู้สึกเบาใจลง

หลังจากที่เดินลึกเข้ามาได้อีกระยะ พวกเขาก็พบกับนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมาทำการสำรวจพื้นที่เช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะในหนึ่งห้องอาจมีนักเรียนมากถึงสิบกลุ่ม และทุกกลุ่มต่างก็ได้รับการมอบหมายภารกิจเดียวกันบนพื้นที่เดียวกัน จึงอาจมีการพบเจอกันในระหว่างทำภารกิจได้

กลุ่มนักเรียนที่พบกับพวกซาลเข้าก็มีอาการประหลาดใจเช่นกัน สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่มีท่าทีลังเลและทำท่าเหมือนไม่อยากเข้ามาใกล้ แต่หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาซึ่งเป็นเด็กผู้ชายผมทองหน้าตาหล่อเหลาก็ทำการพูดคุยกับทุกคนก่อนจะปลีกตัวออกมา และเดินตรงมายังซาลกับคุโระในทันที

คนผู้นั้นก็คือฟาลโก้นั่นเอง

ทันทีที่เดินมาถึง ฟาลโก้ก็ทักทายทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร แม้แววตาของเขาที่มองไปยังซาลจะดูเย็นชาอยู่บ้าง

“สวัสดี บังเอิญจังเลยนะ”

“อื้ม บังเอิญจริง ๆ นั่นแหละ”

ซาลตอบกลับด้วยท่าทีสบาย ๆ ทำให้ฟาลโก้หรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะท่าทีที่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นของซาล ทำให้เขาเดาเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออก และเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจขึ้นมา

ถึงกระนั้น เขาก็สูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิ ก่อนจะเอ่ยข้อเสนอกับทั้งสองคน

“พวกนายมีกันแค่สองคน คงจะลำบากมากสินะ ถึงได้ต้องเดินตัดผ่านเฉพาะทางสายหลักแบบนี้เพื่อหลบเลี่ยงมอนสเตอร์.. ถ้ายังไงไปกับพวกเราดีมั้ย? ถึงพวกเราคงไม่ย้อนกลับไปทางพื้นที่เก่าที่สำรวจมาแล้ว แต่อย่างน้อยถ้าไปกับเรา พวกนายก็น่าจะสำรวจพื้นที่ได้สักหนึ่งในสี่นะ”

เมื่อได้ฟังข้อเสนอของฟาลโก้ คุโระก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่สื่อถึงความซาบซึ้งใจออกมา เพราะโดยปกติแล้วแม้จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่ด้วยรูปแบบการประเมินผลที่ให้นักเรียนแข่งขันกันเองก็ทำให้แต่ละกลุ่มไม่ค่อยให้ความร่วมมือกันนัก

เนื่องจากการทำภารกิจโดยปกติจะทำโดยคนเพียง 4-5 คน แต่นักเรียนทั้งห้องอาจมีจำนวนถึง 40 คน และได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจเดียวกัน ดังนั้นหากทั้ง 40 คนร่วมมือกันโดยรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ก็จะสามารถทำภารกิจที่ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงอะไรกันได้โดยง่าย อย่างเช่นภารกิจสำรวจนี้ หากนักเรียนทั้งห้องรวมตัวกันเป็นเรด (Raid = ปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกตั้งแต่ 20-40 คน) ก็จะสามารถสำรวจทั้งดันเจี้ยนได้อย่างง่ายดายในวันเดียวโดยแทบไม่ต้องเกรงกลัวภัยคุกคามอะไรเลย ซึ่งนั่นเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการฝึกฝน

ด้วยเหตุนี้ การประเมินผลเพื่อเลื่อนห้องจึงมีการประเมินโดยใช้คะแนนเฉลี่ยของทุกกลุ่มในห้องเป็นเกณฑ์ด้วย เพื่อบีบไม่ให้นักเรียนร่วมมือกันในการปั่นคะแนน โดยผู้ที่จะได้เลื่อนห้องนั้นจะต้องมีคะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของห้องไม่น้อยกว่า 30% แปลว่าถ้ายิ่งคะแนนของคนในห้องเกาะกลุ่มกันสูงมาก ผู้ที่อยากจะเลื่อนห้องก็ยิ่งต้องทำคะแนนหนีให้ห่างออกไปมากขึ้นด้วย

เช่นถ้าคะแนนเฉลี่ยของคนในห้องคือ 70 ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเพื่อเลื่อนห้องก็ต้องได้คะแนน 91 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าคะแนนเฉลี่ยของทั้งห้องเป็น 80 จะไม่มีใครได้เลื่อนห้องเลยแม้แต่คนเดียว เพราะ 30% ของ 80 คือ 24 คนที่จะเลื่อนห้องได้ก็ต้องมีคะแนน 104 คะแนน แต่คะแนนเต็มสูงสุดมีแค่เพียง 100 จึงไม่สามารถบรรลุเกณฑ์การพิจารณาเพื่อเลื่อนห้องได้

แม้แต่ในห้องสูงสุดอย่างห้อง A แม้จะไม่มีห้องที่สูงกว่านี้ให้เลื่อนระดับขึ้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีรูปแบบการประเมินอันเข้มงวดกว่าอีกสี่ห้องที่เหลือด้วย เพราะการจะอยู่ในห้อง A ได้ต้องมีคะแนนรายวิชาไม่ต่ำกว่าวิชาละ 80 คะแนน และจะมีการจับตามองเป็นพิเศษว่ามีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำภารกิจหรือไม่ หากตรวจพบ ทุกคนจะถูกปรับลดคะแนนลงทันที 10-20 คะแนน แล้วแต่อาจารย์ผู้สอนจะพิจารณา ซึ่งเรื่องนี้เคยทำให้เกิดเหตุการณ์ที่นักเรียนห้อง A ทั้งห้องถูกลดไปอยู่ห้อง B มาแล้ว

ด้วยกฎนี้ ทำให้นักเรียนของอีจิสไพร์มเกิดสภาพในการเป็นคู่แข่งกันอย่างเต็มที่เมื่อเป็นเรื่องของการทำภารกิจ แต่ก็ไม่ถึงกับมีการขัดขวางกันซึ่ง ๆ หน้าหรือใช้วิธีการสกปรกกับผู้อื่น เพราะในโรงเรียนแห่งนี้ คุณธรรมและความถูกต้อง ยังคงเป็นหลักสำคัญที่ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ ผู้ที่ใช้วิธีการสกปรกจะถูกรังเกียจและถูกลงโทษจากสังคมได้ (แต่ก็ขึ้นกับว่าผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเป็นใครด้วย) การแก่งแย่งในชั้นเรียนจึงมักจะเป็นไปในรูปแบบของการแข่งขันอย่างยุติธรรม แต่แค่นั้นก็ทำให้การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องที่หายากแล้ว

นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุโระรู้สึกประทับใจในความเอื้ออาธรของฟาลโก้ เพราะเขาเสนอความช่วยเหลือให้กับคุโระและซาล โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นการช่วยเหลือคู่แข่งนั่นเอง

หากเป็นเวลาปกติ คุโระคงจะรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้าไปแล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะซาลมีวิธีสำรวจดันเจี้ยนทั้งหมดได้ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว ต่างกับกลุ่มของฟาลโก้ซึ่งให้ใช้เวลาจนหมดวันก็คงสำรวจไปได้แค่หนึ่งในสามเท่านั้น แปลว่าความจริงแล้วผู้ที่ควรจะยื่นความช่วยเหลือให้กับอีกฝ่ายก็คือพวกเขามากกว่า คุโระจึงเริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเพราะไม่รู้จะตอบรับน้ำใจของฟาลโก้อย่างไรดี

ในระหว่างนั้น ซาลก็เป็นฝ่ายก้าวออกไปและพูดกับฟาลโก้ด้วยสีหน้าสบาย ๆ เหมือนเช่นเคย

“ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะ แต่พวกเราจัดการกันเองได้น่ะ นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

แม้ซาลจะพยายามพูดด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร แต่นั่นก็ยังทำให้ฟาลโก้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอยู่ดี

เขาคิดว่าบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนนี้กลัวจะเสียหน้าจึงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น อันที่จริงฟาลโก้ก็ไม่ได้ใส่ใจความเป็นไปของซาลมากนักอยู่แล้ว ที่เขาเสนอความช่วยเหลือให้เพราะมีเจตนาอยากจะช่วยคุโระต่างหาก และคิดว่าซาลเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธอะไร แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดื้อดึงขนาดนี้ ทำให้ฟาลโก้เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แต่ก็ยังพยายามคงสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

“นายมั่นใจนะว่าจะสามารถทำภารกิจได้เสร็จทันเวลาน่ะ?”

“ได้สิ มีเวลาตั้งอาทิตย์นึงนี่นา”

ซาลไม่ได้พูดไปตามตรงว่าสามารถสำเร็จภารกิจได้ภายในวันนี้ เพราะไม่อยากเปิดเผยฝีมือมากจนเกินไป และอีกฝ่ายคงจะมองว่าเป็นการคุยโม้โอ้อวดอยู่ดี

“แต่การสำรวจดันเจี้ยนกันแค่สองคนแบบนี้มันอันตรายนะ พวกเราเอง ระหว่างทางนี่ก็เจอมอนสเตอร์ระดับ 3 มาหลายกลุ่มแล้ว แต่ละกลุ่มก็มีจำนวน 5-6 ตัวขึ้นไปทั้งนั้น พวกนายจะรับมือได้แน่เหรอ?”

“ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘มีซัมมอนเนอร์คนเดียว ก็เหมือนกับมีไพร่พลเป็นกองทัพ’ หรอกเหรอ? ฉันไม่กล้าอวดอ้างว่ามีฝีมือเท่ากับคนเป็นกองทัพหรอกนะ แต่ก็พอมีสมุนอัญเชิญที่ใช้ทดแทนตำแหน่งที่ขาดหายไปในปาร์ตี้ได้บ้าง หรืออย่างแย่ที่สุดก็ใช้เป็นตัวล่อในขณะที่หลบหนีได้ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอกน่า”

ซาลพยายามอธิบายให้ฟังดูน่าเชื่อถือและอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด เพราะกลัวจะถูกเข้าใจผิดมากขึ้นอีก และอยากให้ฟาลโก้เลิกเป็นห่วงซะที แต่ดูจากสีหน้าแล้ว ท่าทางเขาจะยังไม่รู้สึกวางใจนัก

ในระหว่างนั้นเอง นักเรียนชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มและตรงเข้ามาแทรกการสนทนาของซาลกับฟาลโก้

“เฮ้ ถ้าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ปล่อยเขาไปเถอะน่า พวกเราเองก็ต้องทำเวลาเหมือนกันนะ”

นักเรียนชายผู้ไว้ผมสีน้ำตาลกระเซอะกระเซิงเหมือนกับเป็นแฟชั่นแปลก ๆ เอ่ยพูดด้วยเสียงอันดังโดยยังคงยืนทิ้งระยะห่างจากจุดที่ฟาลโก้ยืนคุยกับซาลอยู่บ้างเหมือนกับไม่อยากเข้ามาใกล้มากนัก

คำพูดของเขาทำให้ฟาลโก้หยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับซาลอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ พรุ่งนี้ค่อยมารวมกลุ่มกับเราเพื่อทำการสำรวจก็ได้นะ เราน่าจะมาทำการสำรวจต่อกันอีกครั้งตั้งแต่เช้านั่นแหละ”

“อื้ม ขอบคุณมากนะ”

แม้ซาลจะรับปาก แต่ฟาลโก้ก็รู้ดีกว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาแน่ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ซาลไม่ยอมรับความช่วยเหลือนั้นก็เพราะมันไม่มีความจำเป็นใด ๆ ไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่งของเจ้าตัวอย่างที่เขาคิดหรอก

เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ฟาลโก้จึงยอมตัดใจและเดินจากมา ก่อนจะพากลุ่มของเขากลับเข้าไปในป่าเพื่อทำการสำรวจพื้นที่ต่ออีกครั้ง ส่วนซาลกับคุโระก็มุ่งหน้าตรงขึ้นไปป่าสนธยาระดับสอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากเดินมาได้อีกประมาณสิบนาที ซาลกับคุโระก็เดินมาถึงเขตรอยต่อของป่าสนธยาระดับหนึ่งกับระดับสอง

แนวไม้ที่อยู่ในเขตป่าสนธยาระดับสองนั้นมีความมืดทึบและให้บรรยากาศที่อึมครึมกว่าอย่างเห็นได้ชัด เกือบทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยเงาของแมกไม้จนแทบจะไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาถึงพื้นดินได้ แค่เห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ คุโระก็รู้สึกไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปแล้ว

ซาลยืนหลับตาเพื่อพิจารณาพื้นที่อยู่พักหนึ่ง

ภายในใจ เขากำลังเปิดดูแผนที่ดันเจี้ยนที่ลูเซียน (ขุนพลผมสีทอง) เก็บรวบรวมมาได้ นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นการค้นลึกเข้าไปในความทรงจำของตัวเองและดึงภาพความทรงจำที่เก็บเอาไว้ออกมาใช้งานได้ตามต้องการ เหมือนกับสมองของเขาเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่ความทรงจำทั้งหมดถูกเก็บเอาไว้ในรูปของหนังสือ เพียงแค่หยิบหนังสือออกมา เขาก็สามารถเข้าถึงความทรงจำที่ต้องการได้ทันที ซาลเรียกความสามารถนี้ในแบบของเขาเองว่า ‘มายด์ไลบรารี่’ (Mind Library = ห้องสมุดแห่งจิตใจ)

นี่เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่เขาค้นพบจากบันทึกของโลกเก่าในห้องสมุดลับของลิลลี่โฮไรซอน เรียกว่า ‘เมโมรี่พาเลซ’ (Memory Palace) เป็นเทคนิคช่วยจำที่ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคนี้สามารถจัดเก็บและเรียกใช้ความทรงจำของตนเองได้ดั่งใจนึก ซึ่งซาลก็พยายามาฝึกฝนจนสามารถใช้งานมันได้เป็นผลสำเร็จ แม้จะยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง แต่สำหรับข้อมูลสำคัญที่เขาตั้งใจจะจดจำแล้ว การจะดึงมันออกมาใช้ด้วยความสามารถนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ความจริงถ้าคุโระไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาก็คงไม่จำเป็นต้องใช้ ‘มายด์ไลบรารี่’ ในการเปิดดูแผนที่จากความทรงจำ แต่สามารถเปิดแผนที่ของจริงขึ้นมาดูได้เลย ทว่าเพราะยังไม่อยากเปิดเผยความลับเรื่องความสามารถของตนเองต่อคุโระมากจนเกินไป รวมทั้งการที่เขามีแผนที่สามมิติของพื้นที่ดันเจี้ยนระดับแรกเกือบทั้งหมดไว้ในครอบครองก็เป็นเรื่องที่อธิบายยากด้วย จึงจงใจหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เกิดคำถามไว้ก่อน

ในแผนที่ที่ลูเซียนรวบรวมมานี้ คืออาณาเขตที่ได้ทำการวางพื้นที่ดันเจี้ยนไปแล้ว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของป่าสนธยาส่วนแรกไปราว ๆ 80% โดยเว้นพื้นที่รอบนอกเอาไว้ และทำการครองพื้นที่จากฝั่งในที่เชื่อมกับป่าสนธยาระดับสองออกไปแทน นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เพราะพื้นที่ส่วนที่ติดกับป่าสนธยาระดับสองนี้ย่อมมีความสำคัญกว่าพื้นที่รอบนอกซึ่งมีแต่มอนสเตอร์ระดับต่ำ ๆ พอสมควร

หากทำการสำรวจพื้นที่ลึกเข้าไปเป็นเส้นตรง ก็อาจถูกมองเป็นเรื่องผิดสังเกตได้ เพราะปาร์ตี้ที่มีนักเรียนปีหนึ่งแค่สองคนไม่ควรจะฝ่ากลุ่มมอนสเตอร์ในพื้นที่ระดับสองเข้าไปได้ง่าย ๆ ซาลจึงตัดสินใจว่าจะทำการสำรวจและบันทึกภูมิประเทศเฉพาะบริเวณชายขอบของพื้นที่ระดับสอง จะได้อ้างว่าตัวเขากับคุโระไม่ได้ล้ำเข้าไปในป่าระดับสอง แค่ส่งสมุนอัญเชิญเข้าไปสอดแนมเท่านั้น

เขาคิดจะบอกเรื่องการใช้สมุนอัญเชิญในการสำรวจพื้นที่กับอาจารย์เอนจิลอยู่แล้ว เพราะตั้งใจว่าจะส่งภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายในวันนี้เลย ซึ่งถ้าไม่มีคำอธิบายว่าทำไมพวกเขาแค่สองคนถึงสามารถสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้ในเวลาเพียงครึ่งวันก็คงจะทำให้ถูกสงสัยและจับตามองจนทำอะไรลำบาก สู้บอกไปตรง ๆ เลยดีกว่า เพราะการใช้สมุนอัญเชิญในลักษณะนี้ก็ไม่ใช่ความลับที่ต้องปกปิดอะไรมากนักอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ใช่ความสามารถในเชิงต่อสู้ที่คนทั่วไปให้ความสำคัญด้วย

ถึงกระนั้น นี่ก็ยังเป็นความสามารถในการสอดแนมระดับสูง ซึ่งอาจทำให้คนที่รู้เกิดความระมัดระวังในศักยภาพของเขามากขึ้นอยู่ดี เขาจึงต้องกำชับกับคุโระให้ช่วยกลบเกลื่อนอีกแรงด้วย

“นี่ คุโระ ถ้ามีคนถามว่าเราใช้วิธีอะไรถึงทำภารกิจได้เร็วนัก ก็บอกไปได้เลยว่าฉันใช้สมุนอัญเชิญช่วยในการสำรวจ แต่ถ้าเขาถามว่าใช้สมุนอะไร สำรวจในลักษณะไหน ให้บอกไปว่า ฉันใช้ ‘สุนัขจิ้งจอก’ ในการวิ่งสำรวจพื้นที่ดันเจี้ยนแทน เข้าใจนะ”

“เห? เอ่อ… ก็ได้ครับ แต่ว่า ทำไมต้องบอกว่าเป็นหมาจิ้งจอกแทนที่จะเป็นแมลงเต่าทองล่ะครับ?”

“เพราะระดับของการคุกคามมันต่างกันไงล่ะ แมลงเต่าทองเป็นสมุนขาดเล็กที่สังเกตพบได้ยาก ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันมีสมุนแบบนี้แถมยังใช้ในการสอดแนมตามใจชอบได้ พวกเขาก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย อีกอย่างคือเพราะอคติที่มีต่อฉันอยู่แล้ว ต่อจากนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องมีคนนำมาเชื่อมโยงให้เป็นความผิดของฉันแน่ ๆ

ไม่ว่าจะเป็นความลับหรือเรื่องราวของใคร หากมีการแพร่งพรายออกไป คนก็ต้องหาว่าเป็นฝีมือจากการสอดแนมของฉัน นายก็เห็นการบิดเบือนของข่าวลือเมื่อตอนกลางวันแล้วนี่ คงพอจะเดาออกนะว่าถ้าทุกคนรู้ว่าฉันสามารถใช้สมุนในการสอดแนมโดยไม่มีใครรู้ตัวได้น่ะ พวกเขาจะมีปฏิกิริยายังไง”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซาล คุโระก็พยักหน้ารับก่อนจะกล่าวตอบ

“แบบนี้นี่เอง… ถ้าบอกว่าใช้หมาจิ้งจอกในการสำรวจ มันก็เป็นแค่การเอาสมุนอัญเชิญมาใช้ในการสำรวจพื้นที่เท่านั้น คงไม่มีใครมองว่ามันจะถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมในเขตชุมชนหรืออาคารเรียนได้ และคุณซาลก็จะไม่ถูกดึงไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากด้วย”

“ถูกต้อง หัวไวดีนี่นา”

“โอเคครับ ผมจะบอกกับคนอื่น ๆ ว่าเราใช้หมาจิ้งจอกในการสำรวจพื้นที่ทั้งหมดนี้ คุณซาลไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“อื้ม ขอบใจมากนะ”

เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ซาลก็วาดมือไปบนอากาศและอัญเชิญแมลงเต่าทองออกมาอีกห้าตัว ก่อนจะส่งพวกมันแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่ชายขอบของพื้นที่ระดับสองเพื่อเก็บคะแนนพิเศษ ซาลคิดว่าแค่สำรวจชายขอบทั้งหมดของพื้นที่ระดับสองลึกเข้าไปสัก 150-200 เมตร บวกกับพื้นที่ทั้งหมดของป่าสนธยาระดับแรก ก็น่าจะทำให้ได้คะแนนเต็มในวิชานี้แล้ว

ระหว่างที่รอให้เหล่าสมุนทำการสำรวจและส่งข้อมูลกลับมา ซาลก็เปิดแผนที่ซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ใน ‘เมโมรี่ริง’ ขึ้นมาดู พบว่าพื้นที่ดันเจี้ยนส่วนแรกได้รับการสำรวจและบันทึกภูมิประเทศไปเกือบ 70% แล้ว ส่วนบริเวณชายขอบของพื้นที่ระดับสองก็ได้รับการสำรวจไปราว ๆ 20% แล้วเช่นกัน

โครงร่างแผนที่ซึ่งฉายขึ้นบนอากาศและกำลังถูกเติมเต็มไปทีละส่วนราวกับการต่อจิ๊กซอว์เพราะข้อมูลจากเหล่าสมุนที่ส่งมาอย่างไม่ขาดสายนี้ทำให้คุโระจ้องมองมันด้วยแววตาเป็นประกายเพราะรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนละสายตาไปไม่ได้

แต่ทันใดนั้นเอง ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงหักโค่นของแนวไม้ดังใกล้เข้ามา

ซาลกับคุโระต่างก็หันขวับไปยังต้นเสียงซึ่งมาจากส่วนลึกของพื้นที่ระดับสอง พวกเขาเห็นยอดไม้สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นจากระยะไกล แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าอะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์อันผิดปกตินั้น

คุโระมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซาลดูออกว่าเขากำลังกลัว ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจากเสียงและการสั่นไหวของยอดไม้นั้นก็พอจะเดาออกว่ากำลังมีมอนสเตอร์ขนาดใหญ่วิ่งชนแนวไม้จนล้มระเนระนาดอยู่ในป่าส่วนลึก ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร แต่มอนสเตอร์ที่สร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้ย่อมไม่ใช่คู่มือของนักเรียนปีหนึ่งอย่างพวกเขา

อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่คุโระคิด

สำหรับซาลแล้ว เขาจับจ้องความเคลื่อนไหวในส่วนลึกของป่าแบบตาไม่กะพริบ เพราะรู้สึกสนใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความจริงคือถ้าไม่มีคุโระอยู่ด้วย เขาอาจตรงเข้าไปดูด้วยตัวเองให้รู้แน่แล้วก็ได้

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าใช้สมุนสอดแนมเข้าไปดูซะก็หมดเรื่อง

ซาลกลอกตาและแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายให้กับความทึ่มของตัวเองเล็กน้อยที่ไม่คิดเรื่องนี้ให้ได้เร็วกว่านี้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเพื่อเตรียมอัญเชิญสมุนและส่งออกไปดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเสกวงเวทอัญเชิญออกมา ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกจากส่วนลึกของป่าและมุ่งตรงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่

คนกลุ่มนั้นสวมชุดนักผจญภัยทับลงบนชุดที่เป็นเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ดูจากอายุแล้วแต่ละคนน่าจะมีอายุ 16-17 ปี แปลว่าเป็นนักผจญภัยรุ่นสามัญขั้นปลาย หรือเป็นนักเรียนปี 4 ไม่ก็ปี 5 ของโรงเรียนอีจิสไพร์มนั่นเอง

พวกเขาวิ่งกระหืดกระหอบมายังเขตเชื่อมต่อระหว่างเหมือนกับว่ากำลังหนีตายจากอะไรสักอย่าง เมื่อชายหนุ่มที่นำอยู่ด้านหน้าเห็นซาลกับคุโระซึ่งน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งยืนอยู่บริเวณนี้จึงรีบร้องตะโกนเตือนพวกเขา

“พวกนาย! รีบหนีไปเร็วเข้า! มีมอนสเตอร์หลุดมาจากพื้นที่ระดับสามกำลังตรงมาทางนี้แล้ว!!”

สิ้นเสียงของชายหนุ่ม แนวไม้ด้านหลังที่พวกเขาเพิ่งจะวิ่งออกมาก็ถูกชนจนถอนขึ้นมาทั้งรากและปลิวกระเด็นตามแรงกระแทกไปคนละทิศคนละทาง ก่อนจะมีอสูรกายร่างยักษ์ลักษณะคล้ายกับวัวกระทิงรูปร่างกำยำที่มีเปลือกแข็งคล้ายกับเปลือกแมลงสีดำสนิทห่อหุ้มทั้งตัวพุ่งทะยานออกมา เพียงแค่มันย่ำลงพื้นอีกครั้งก็ทำให้พื้นดินทั่วบริเวณเกิดการสั่นไหวจนใบไม้จากต้นไม้ที่อยู่โดยรอบโปรยปรายลงมาราวกับเป็นฤดูใบไม้ร่วง

ลมหายใจของมันที่พ่นออกมาทำให้ทั้งพื้นหญ้าและต้นไม้ที่สัมผัสกับไอร้อนนั้นถูกลวกจนเหี่ยวเฉาไปหมด มันหันมองมายังกลุ่มนักผจญภัยที่กำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตด้วยดวงตาสีแดงสดราวกับทับทิมโดยไม่ได้ไล่ตามพวกเขามาในทันที เหมือนกับจงใจให้พวกเขาได้ทิ้งระยะห่างไปสักระยะหนึ่งก่อนจะไล่กวดต่อ เพื่อให้การไล่ล่าครั้งนี้สนุกขึ้นอีกนิด

นี่เป็นการจงใจเล่นสนุกกับเหยื่ออย่างเห็นได้ชัด

“นะ.. นั่นมัน… ฟอเรสต์เบฮีมอธ!?”

คุโระพูดออกมาด้วยอาการตะกุกตะกักและน้ำเสียงหวาดผวา เพราะอสูรกายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือมอนสเตอร์ระดับ 8 ที่เรียกว่า ‘ฟอเรสต์เบฮีมอธ’ (Forest Behemoth) แม้จะเป็นสายพันธุ์ที่จัดว่าค่อนข้างอ่อนแอในตระกูลเบฮีมอธด้วยกัน แต่ก็จัดเป็นหนึ่งในมอนสเตอร์ที่มีระดับสูงที่สุดของป่าสนธยา ซึ่งแม้แต่พวกนักผจญภัยมืออาชีพก็ยังต้องขยาด

แม้คุโระจะเชื่อว่าซาลพอมีวิธีรับมือกับมอนสเตอร์ในป่าระดับหนึ่งและสองได้ แต่สำหรับสัตว์ที่ถือว่าเป็นเจ้าป่าของพื้นที่ระดับสามอย่างฟอเรสต์เบฮีมอธนี้ไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ซาลสามารถทำอะไรได้เลย เขาจึงหันไปเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“คุณซาลครับ! พวกเรา…”

เสียงของคุโระขาดหายไปกลางคันเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของซาล

เพราะซาลกำลังจ้องมองไปยังฟอเรสต์เบฮีมอธด้วยแววตาอันเป็นประกาย ทั้งยังพึมพำกับตัวเองพลางเผยรอยยิ้มออกมาด้วย

“ทะ.. เท่เป็นบ้าเลย…”

ทั้งคำพูดและสีหน้าที่ผิดปกติวิสัยของซาลทำให้คุโระต้องขมวดคิ้วด้วยความงุนงงไปอีกครั้ง

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เจ้ากระทิงเกราะร่างยักษ์สีดำทะมึนก็เริ่มเคลื่อนไหว

Options

not work with dark mode
Reset