Artifact Reading Inspector 19

ตอนที่ 19

TL : ขอแก้ชื่อของเจ้านายของโมโมโกะเป็น “มิซึโนะ โทรุ นะครับ

 

“ฮา… เฮ้ ฉันเหนื่อยแล้ว เราช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม?”

 

แฮจินช้าลงเมื่อเขาเห็นบยองกุกหอบ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ขโมยอะไรมา แต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่า

 

“โอเค เราไปหาอะไรดื่มที่ร้านกาแฟตรงนั้นกันดีกว่า”

 

“ได้เลย ฮฺ่ เหนื่อยแทบตาย”

 

พวกเขาสั่งเครื่องดื่มของตัวเองและนั่งลง จากนั้นก็ใช้เวลาสักพักในการหายใจ

 

บยองกุกถามออกมา “เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? ทําไมโมโมโกะถึงบอกความลับพวกนั้นกับเรา และเธอรู้ได้ยังไงว่าเธอจะบอกเราทุกอย่าง?

 

แฮจินไม่สามารถพูดได้ว่ามันคือเวทมนตร์ แม้ว่าเขาจะสนิทกับบยองกุก แต่เขาก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นความลับที่ไม่ควรพูดออกมาดังๆ

 

“ที่จริงแล้ว”

 

“ที่จริงแล้ว?”

 

“ผมสะกดจิตเธอ”

 

“อะไรนะ? สะกดจิตเธอ? ตอนไหน?”

 

แม้มันจะไม่สมเหตุสมผล แต่นั่นก็เป็นข้อแก้ตัวเดียวที่แฮจินคิดได้

 

“ผมสะกดจิตเธอทันทีที่เราเข้าไปในแกลเลอรี่ ผมกังวลว่ามันอาจจะไม่ได้ผล แต่ใครมันจะไปคิดกัยล่ะว่ามันจะทํางานได้ดีขนาดนี้”

 

“จริงเหรอ? เธอสะกดจิตเธอจริงๆ?”

 

“ใช่ ผมเคยไม่เชื่อเรื่องนั้น แต่คุณก็น่าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของผม ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าไปในสุสานประหลาด และติดโรคหนึ่งที่แม้แต่แพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้”

 

“ใช่ แน่นอน ฉันรู้เรื่องนั้น”

 

“ผมพยายามทําทุกอย่างเพื่อรักษาเขา ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินมาจากนักจิตวิทยาว่าการสะกดจิตตัวเองสามารถใช้ได้กับโรคร้ายแรงแม้กระทั่งกับมะเร็ง หากมีคนเชื่อว่าตัวเองฟื้นตัวเต็มที่แล้วจากนั้นก็ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอผลที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้น”

 

“อืม ฉันคิดว่าเคยเห็นมันในข่าว”

 

“ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ทักษะการสะกดจิตจากนักจิตวิทยาคนนั้นและคิดว่าถ้าผมทําให้พ่อเชื่อว่าเขาฟื้นแล้วเขาจะหายดีจริงๆ… เฮ้อ… อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ผมพบเขาอีกทีมันก็สายไปแล้ว ส่วนนี้คือจี้ที่ผมใช้สะกดจิตคน”

 

จากนั้นแฮจินก็หยิบสร้อยคอนางฟ้าตัวน้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาซื้อมันมาระหว่างเดทกับแฟนเก่า จากนั้นเขาก็ทิ้งมันไว้ที่ไหนสักแห่งและตัดสินใจนํามันมาด้วยสําหรับสถานการณ์ในครั้งนี้

 

ส่วนสาเหตุที่เขาไม่ทิ้งมันไปเพราะ… เขาขี้เกียจและไม่ได้สนใจมันจริงๆ

 

อย่างไรก็ตามการที่เขาต้องลากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้มันทําให้เขารู้สึกแย่ พ่อครับผมขอโทษ

 

“โอ้ ฉันก็หวังว่าเขาจะมาหาเธอเพื่อรักษาโรคของเขา! แต่มันก็สายเกินไป ดังนั้นเธอก็ถูกเธอสะกดจิตแล้วสารภาพทุกอย่างงั้นเหรอ? แล้วการสะกดจิตของเธอทําได้มากแค่ไหน?”

 

เป็นเรื่องปกติที่บยองกุกจะสงสัยเขา อย่างไรก็ตามมันคงไม่มีใครคิดหรอกว่า “ไม่ใช่ว่าแฮจินเพิ่งใช้เวทมนตร์งั้นเหรอ?

 

ส่วนข้ออ้างว่าโมโมโกะหลงเสน่ห์ก็คงใช้ไม่ได้เช่นกัน บางทีเธออาจถึงขั้นถามตัวเองเลยด้วยซ้ําว่า “นี่ฉันหลงเสน่ห์ของปาร์ค แฮจินงั้นเหรอ?” แล้วหลังจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? และถึงแม้ว่าเธอจะคิดอย่างนั้นแล้วใครมันจะเชื่อเธอ?

 

ทางกล้องวงจรปิดก็มีไว้เพื่อพิสูจน์ว่าแฮจินมองไปที่ศิลาดลเท่านั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนคิดว่าโมโมโกะที่ตื่นตระหนกเพราะแฮจินใช้เวทมนตร์กับเธอ

 

หากมิซึโนะ โทรุเจ้านายของโมโมโกะได้ยินคําแก้ตัวของเธอ เขาคงคิดว่าเธอเข้าข้างซองจุนและบอกเขาทุกอย่าง

 

ไม่มีคนสติดีที่ไหนหรอกที่คิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเวทมนตร์

 

“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้ผลมากขนาดนี้ บางทีผมอาจจะมีพรสวรรค์ก็ได้ ยังไงก็เถอะผมว่าเราควรเก็บเรื่องนี้ เอาไว้เป็นความลับเพื่อที่ผมจะได้ยังสามารถสะกดจินคนอื่นได้ โอเคไหม?”

 

“โอ้ แน่นอน ฉันไม่รู้ว่าจะไปบอกใครด้วยซ้ํา?”

 

แฮจินรู้ว่าบยองกุกกําลังคล้อยตามข้ออ้างของเขา ดังนั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

 

“ยังไงก็เถอะผมไม่เห็นรู้เลยว่าถ้วยชาอันนั้นมันเป็นของแม่ ทัพอีซุนชิน

 

“เธอไม่รู้? แล้วทําไมเธอถึงยังทําแบบนั้น?”

 

“เพราะยิ่งผมคิดถึงมันมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลก ถ้วยชาไม่ได้ไร้ค่า แต่ศิลาดลมันมีค่ามากกว่าอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังยืนกรานที่จะแลกเปลี่ยนมัน ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันต้องมีบางอย่างที่เราไม่รู้ และผมก็ไม่สามารถบอกได้ ว่าผมไม่รู้ต่อหน้าลูกสาวของรองประธานกรรมการ ดังนั้นผมจึงของเวลาและแน่นอนว่ามันมีบางอย่าง…”

 

แฮจินคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในขณะที่ส่ายหัว

 

“ฉันก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะแนะนําการข้อตกลงแบบนั้นยกเว้นแต่จะเป็นไอโง่ แล้วตอนนี้เธอจะทํายังไงต่อ? เราสามารถบอกพวกเขาในสิ่งที่เราเพิ่งได้ยินได้ แต่ถ้าโมโมโกะบอกว่าเรากําลังโกหก มันก็คงจะจบแค่นั้น” 

แฮจินบันทึกทุกสิ่งที่โมโมโกะพูดเอาไว้แล้วเหมือนอย่างตอนหน่วยงานประเมินราคาชอนจิน แต่เขาไม่สามารถเล่นบันทึกต่อหน้าซองจุนได้ เขาคงจะต้องรู้สึกแปลกๆแน่ที่โมโมโกะกําลังบอกทุกอย่าง

 

ให้บอกเขาว่าเธอถูกสะกดจิตเลยยอมบอกทุกอย่างให้? นั่นมันเสี่ยงมาก แฮจินสามารถเชื่อใจบยองกุกได้เพราะแม้ว่าพวกเขาจะแตกหักกันในภายหลัง บยองกุกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าโจรปล้นสุสาน อย่างไรก็ตามแฮจินก็ไม่สามารถทําตัวเด่นต่อหน้าซองจุนที่มีทั้งอํานาจและความมั่งคั่งได้เช่นกัน

 

“ผมควรบอกเขาเรื่องสมบัติของตระกูลเทราอุจิ แน่นอนว่าผมต้องแต่งเรื่องโกหกเพิ่มเข้าไปอีก และคุณต้องช่วยผมในส่วนนั้น”

 

“เธอต้องการให้ฉันช่วยทําให้เรื่องของเธอน่าเชื่อถือ? เธอก็รู้ว่าฉันทําได้ดี”

 

“ประเด็นคือผมไม่รู้ว่าสมบัติของเทราอุจิเขียนไว้ว่ายังไง แต่เมื่อพวกเขาพบว่าถ้วยชาเป็นของแม่ทัพอีซุนชิน พวกเขาก็จะไม่สามารถขายมันได้”

 

“มันแน่อยู่แล้ว ใครจะกล้าขายถ้วยชาของอีซุนชินกัน? มันเป็นถึงสมบัติของชาติเชียวนะ!”

ความจริงแล้วถ้วยชามันไม่ถือว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่เป็นสมบัติที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่และมีมูลค่ามากมายมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ชื่นชมอีซุนชินยิ่งแล้วใหญ่

 

“อะ แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่นะว่าสมบัติตระกูลเทราอุจิคืออะไร เฮ้อ…. ผมน่าจะถามเธอด้วย แต่เธอดันหนีไปซะก่อนผมเลยถามไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ”

 

แฮจินคิดว่าถ้าเขาใช้เวทมนตร์ของเขา เขาก็จะได้รับคําตอบจากเธออย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเธอกลับวิ่งหนีไป.. กลายเป็นว่าเวทมนตร์ที่ใช้เค้นความจริงมีข้อบกพร่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้

 

“ไม่มีอะไรที่เราทําได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เรากําลังจะไปแซยอนแกลเลอรี่กันใช่ไหม? ซูจองกําลังจะมาถึงในคืนนี้ ดังนั้นพวกเราต้องไปสนามบิน

 

“แต่งานนี้มันได้เงินค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็สิบล้าน” 

 

“เฮ้ เธอเพิ่งหาเงินได้ห้าร้อยล้านไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ”

 

“คุณหมายถึงเงินห้าร้อยล้านที่ยังไม่เข้าบัญชีของผม? เงินที่ผมยังไม่เห็นเลยด้วยซ้ํา ”

 

“อืมม. ยังไงก็เถอะเราควรจบงานนี้ให้เร็วที่สุด รีบไปกันเถอะ”

 

บยองกุกรีบลุกขึ้นและเดินออกจากร้านอย่างอายๆ ทําให้แฮจินยิ้มและเดินตามหลังเขาไป ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะกินมื้อเที่ยง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบตรงไปยังแซยอนแกลเลอรี่ทันที เมื่อพวกเขามาถึงก็พบกับอื่นแฮที่กําลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานนิทรรศการ

 

“เรียบร้อยแล้ว?”

 

“ใช่ครับ คุณช่วยโทรเรียกคุณฮโยยยอนให้ผมด้วย ผมได้ข้อสรุปแล้วดังนั้นเราควรพบกัน อีกอย่างผมควรรายงานเธอหรือพ่อของเธอดี?”

 

อึนแฮต้องสงสัยมากแน่ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรกลับเมื่อเห็นว่าแฮจินไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เธออดทนเก่งจริงๆ” แฮจินคิด

 

“ได้เลยงั้นช่วยรอสักครู่นะคะ”

 

ไม่นานเธอก็กลับมา

 

“คุณพอมีเวลาไหม? เราต้องไปที่พย์องชั่ง”

 

“เขาเป็นถึงรองประธานกรรมการแต่กลับมีเวลาว่างมาก? นี่มันยังไม่เที่ยงเลย แต่เขาจะให้เราไปพบที่บ้านของเขา”

 

นั่นอาจฟังดูเหมือนไม่พอใจ แต่แฮจินตอนนี้กําลังยิ้มจางๆ

 

“ลุงของฉันมีประชุมสําคัญที่บ้านของเขา อีกอย่างเขาไม่ได้ไปทํางานทุกวัน

 

“โอ้…. ดังนั้นคนรวยก็มีวิธีการทํางานที่แตกต่างจากเรา ยังไงเราก็ไปกันเถอะ”

 

“เราไปด้วยรถของฉันกันเพราะเขาขอให้ฉันมากับคุณ”

 

อึนแฮดูประหม่าขณะที่เธอกําลังขับรถ การได้พบกับซองจุนลุงของเธอและรองประธานกรรมการอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับเธอ

 

มันเป็นการพบกันครั้งที่สองของพวกเขาและครั้งนี้ซองจุนดูใจดี

 

“ยินดีต้อนรับ เชิญนั่ง”

 

แฮจิน บยองกุก และอึนแฮนั่งลงตรงข้ามซองจุน

 

“ขอบคุณครับที่ส่งค่าประเมินให้ไวมาก”

 

ซองจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะถึงแม้มันจะฟังดูเหมือนกําลังขอบคุณ แต่ก็เป็นการร้องเรียนเรื่องที่ไม่ได้รับเงินสําหรับวัตถุโบราณที่ขายไป ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการประเมินนั้นได้รับเร็วมาก

 

“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันยังไงมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนเงินที่เธอควรจะได้ผู้อํานวยการลีจะดูแลให้เธอได้รับเงินโดยเร็วที่สุด”

 

“โอ้ ขอบคุณครับ”

 

บยองกุกดูดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

 

“ไหนเธอบอกว่าจะต้องใช้เวลาสามวัน เธอมาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้”

 

“คือผมต้องตรวจสอบบางอย่าง และผมก็ทํามันเสร็จเร็วกว่าที่คิด”

 

“อืม”

 

ซองจุนพยักหน้า จากนั้นก็เป็นฮโยยอนที่วิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมกับส่งเสียงดัง

“นายบอกว่าต้องใช้เวลาสามวัน แต่ดูเหมือนมันจะไวกว่านั้น พ่อคะหนูขออยู่ฟังด้วยได้ไหม?”

 

เธอนั่งลงก่อนที่ซองจุนจะตอบ นั่นคงเกิดขึ้นตลอดตั้งแต่ซองจุนไม่คิดจะดุเธอ เขามองไปที่แฮจิน

 

“ประการแรกศิลาดลสีเทาอมฟ้านั้นยอดเยี่ยมมาก คุณคงได้ยินเรื่องนี้จากคุณฮโยยอนแล้วซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับเครื่องเคลือบองุ่นดําซึ่งเป็นสมบัติของชาติ แน่นอนว่าศิลาดลชิ้นนี้ไม่ใช่สมบัติของชาติ แต่มันมีมูลค่ามหาศาลแน่นอน”

 

เครื่องเคลือบองุ่นดําผลิตในกวานโย (เตาเผาสําหรับใช้ในรัฐบาล) และถูกตกแต่งโดยช่างฝีมือที่ดีที่สุดในยุคนั้น ทําให้มันมีคุณค่าทางศิลปะที่ไม่สามารถวัดได้

 

“ผมไม่ได้จะบอกว่ามันมีค่ามากขนาดนั้น แต่โดยรวมแล้วมันถือเป็นวัตถุโบราณที่ยอดเยี่ยม”

 

“อืม”

 

ปากของซองจุนขยับ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

 

“หืมม… เท่าที่ฉันรู้ถ้วยชานั่นไม่ได้มีค่าเท่าศิลาดล เธอได้เห็นมันแล้วดังนั้นเธอน่าจะรู้ดี ผู้ประเมินรายอื่นบอกว่ามันมีมูลค่าไม่ถึงร้อยล้าน กระทั่งมันมีคนบอกเลยด้วยซ้ําว่าสามสิบล้านสําหรับมันก็ยังมากเกินไป นั่นคงเป็นเหตุผลสินะว่าทําไมเธอถึงขอเวลาสามวัน?”

 

“ก็ประมาณนั้น”

 

“ประมาณนั้น? งั้นเธอรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาหรือไม่ หลังจากเธอตรวจสอบมันแล้ว?”

 

“ผมคิดว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ”

 

“นั่นฟังดูคลุมเครือนะ”

 

“ดังนั้นผมเลยไปหาหยาง โซจินเพื่อตรวจสอบ โดยเฉพาะคิตากาวะ โมโมโกะ เธอเป็นคนที่ทํางานให้กับมิซึโนะ โทรุชายที่จ้างหยางโซจิน”

 

ความสนใจของซองจุนพุ่งสูงขึ้น เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและถามด้วยเสียงต่ํา “ดังนั้น?”

 

“เธอบอกผมอย่างหนึ่ง ถ้วยชาใบนั้นถูกชาวญี่ปุ่นขโมยไป เมื่อประมาณศตวรรษที่แล้ว แต่มันเพิ่งหายไปในปี 1985 จากนั้นมันก็ถูกพบอีกครั้งในแซยอนแกลเลอรี่ ดังนั้นผมเลยถามออกไปว่าถ้วยชาใบนั้นเดิมเป็นของใคร และน่าแปลกที่เธอบอกว่ามันถูกขโมยมาจากลูกหลานของแม่ทัพอีซุนชิน”

 

ซองจุนรู้สึกประหลาดใจ

 

“แม่ทัพอี ซุนชิน?”

 

“ใช่ครับ จริงๆแล้วมันไม่มีบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชาในเกาหลี ดังนั้นการจะประเมินมูลค่าที่แท้จริงจึงยากมาก อย่างไรก็ตามการที่พวกเขารู้เรื่องนี้มันเนื่องมาจากมีการบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชาอยู่ในสมบัติที่ตกทอดมาในตระกูลเทราอุจิ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทําไมพวกเขาถึงรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้ทันที”

 

“อืมม. ตระกูลเทราอุจิ เธอหมายถึงตระกูลของเทราอุจิ มาซาทาเกะ? ผู้ว่าการคนแรกในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น?”

 

อย่างที่แฮจินคาดไว้ ซองจุนรู้จักตระกูลเทราอุจิ

 

“ใช่”

 

“แต่มันยังมีบางอย่างที่ฉันอยากรู้ เธอทําให้โมโมโกะยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังได้ยังไง? ฉันได้ยินมาว่าเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

 

นี่คือส่วนสําคัญ

 

“เราทําข้อตกลงกัน”

 

“ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไร?”

 

แฮจินรู้สึกสงสารโมโมโกะ แต่เขาไม่มีทางเลือก

Artifact Reading Inspector

Artifact Reading Inspector

Score 10
Status: Completed

โดย นำเรื่อง Artifact Reading Inspector มาเป็นบางส่วน

บทนำ

ตลาดของเก่าที่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและขยะ

ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ แฮจิน เขาคือคนที่พยายามจะเป็นนักประเมินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

เรื่องย่อ

ณ ห้องหินสีดำสนิท สถานที่แห่งนี้มันสูญเสียรูปลักษณ์เดิมของมันไปแล้ว ตอนนี้ทั้งห้องมันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง บนพื้นมีหลุมที่ถูกขุดอยู่ทุกที่

 

หากไม่ใช่เพราะโคมไฟLEDขนาดเล็กที่แขวนอยู่บนผนัง เราก็จะไม่สามารถเห็นแม้แต่มือของตัวเอง

 

“เฮ้ ปาร์ค! นายกำลังทำอะไรอยู่ ? ตอนนี้เราต้องรีบออกไปแล้ว!”

 

แม้ว่ามันจะเป็นเสียงกระซิบ แต่มันก็แฝงไปด้วยความเร่งรีบ ยอนซอกมองกลับไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็หันกลับมาเหมือนเดิม

 

ดวงตาแดงก่ำของเขากำลังจ้องมองไปที่กองดินในความมืด

 

‘มันมีบางอย่างอยู่ตรงนั้น!’

 

เขารู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่ ในตอนแรกนั้นเสียงมันฟังคล้ายกับว่ามีคนกำลังแทะอะไรบางอย่าง แต่หลังจากที่เขาฟังต่อไป เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียงนั้นมันกำลังพูดกับเขาอยู่

 

ราวกับเขาถูกครอบงำโดยบางสิ่ง เขาเริ่มขุดโดยไม่ใช้จอบหรือมีด เขาใช้เพียงแค่มือของเขาเท่านั้น แต่ราวกับว่าเขารู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ทำให้มือของเขาขยับไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ลังเล

 

เขาไม่ได้กังวลเลยว่าการขุดของเขามันจะไปทำลายของที่ซ่อนอยู่ข้างใน ไม่สิ ในหัวของเขามันไม่ได้มีเรื่องนั้นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

 

“ปาร์ค! ตำรวจกำลังจะมาแล้ว! ตอนนี้นายบ้าไปแล้วรึไง? รีบออกไปกันได้แล้ว!”

 

“รอ….. รอเดี๋ยว….”

 

ในขณะที่เขาถูกเร่งจากด้านหลัง ยอนซอกกลับพูดออกมาเพียงให้โจรอเขาเท่านั้น

 

“แม่ง…งั้นฉันจะออกไปแล้วนะ นายอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วกัน ฉันจะอยู่ที่ท่าเรือชองโดถึงวันที่ 17 และนายก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันจะไม่รอนายถ้านายมาสาย”

 

“…….”

 

ยอนซอกไม่ได้ตอบกลับไป มือของเขายังคงขุดอยู่ น่าแปลกที่ดินซึ่งควรจะแข็งและขุดได้ยากกลับขุดได้ง่ายราวกับว่ามันเป็นเพียงทรายในสนามเด็กเล่น โดยปกติแล้วเขาจะต้องสังเกตเห็นสิ่งผิดปกตินี้ ตอนนี้เขากลับไม่ติดใจอะไร

 

“อ้า…อย่ามาโทษฉันล่ะกันถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้น!”

 

หลังจากสิ้นเสียง โจก็คลานผ่านอุโมงค์เล็กๆที่นำมายังห้องที่ยอนซอกอยู่ ตอนนี้พวกเขาได้ปล้นวัตถุโบราณมาค่อนข้างมาก ดังนั้นหลังจากนี้พวกเขากำลังจะได้รับเงินจำนวนมหาศาล โจจึงไม่อยากเสียเวลาและเสี่ยงที่จะถูกจับ

 

ด้านยอนซอกเขาก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน หากเขาคิดถึงลูกชายของเขาที่กำลังรอเขาอยู่สักนิด เขาก็คงจะวิ่งโดยไม่หันหลังกลับมามอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาสูญเสียความนึกคิดทั้งหมดไป เขาก็ยังคงขุดต่อไปดั่งเช่นคนบ้า ในหัวของเขามีเพียงแต่ความคิดที่จะหาของให้พบเท่านั้น

 

“แฮ่ก..แฮ่ก…”

 

ไม่ช้ามือของเขาก็ไปแตะโดนกล่องไม้สีดำเข้า จากนั้นยอนซอกก็ได้สติขึ้นมาพร้อมกับปัดดินออกจากมันเบาๆ

 

“มันยังไม่ผุ?”

 

วัตถุโบราณของสุสานแห่งนี้มีอายุอย่างน้อยสองถึงสามศตวรรษ อย่างไรก็ตามกล่องที่มีสัญลักษณ์แปลกๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกลับไม่มีร่อยรอยของการผุพังเลย บางทีมันอาจจะไม่ได้ทำมาจากไม้จริงๆก็ได้

 

คลิก…

 

ยอนซอกสะดุ้ง เขาไม่ได้เปิดมัน ไม่สิบางทีมือของเขาอาจจะไปแตะโดนมันก็ได้…. ภายในมีวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีดำที่ไม่มีการตกแต่งวางอยู่ ยอนซอกเอาของข้างในใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขาและทิ้งกล่องไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในอุโมงค์ขนาดเล็กที่พอดีกับร่างกายของเขา

 

ตอนนี้มันได้เวลาหนีแล้ว

Options

not work with dark mode
Reset