Alchemy Emperor of the Divine Dao 510

ตอนที่ 510

ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันมองเห็นชายชราผิวคล้ำร่างผอมปรากฏตัว แม้ชายชราจะดูธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวจนสามารถทำให้ผู้คนขวัญผวาได้เลย

มันคือตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือกลิ่นอายของชายชราผู้นี้นั้นอบอวลไปด้วยความตาย

ปราณซากศพ!

ชายชราผู้นี้มาจากนิกายพันศพ!

หลังจากนิ่งเฉยมานาน ในที่นิกายพันศพก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

ไม่ใช่เพียงชายชราร่างผอมแค่คนเดียว ผ่านไปสักพักชายชราร่างอ้วนเตี้ยก็ปรากฏตัวตามมา

“โจมตีไม่โดน” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว

“อุปกรณ์มิตินั่นช่างไม่ธรรมดาจริงๆ มันสามารถป้องกันได้แม้แต่การโจมตีของเจ้า” ชายชราอ้วนเตี้ยกล่าว

“เป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว “ถ้านิกายของเราได้มันมาครอบครอง พวกเราจะยังต้องกลัวผู้ใดอีก?”

“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว!” ชายชราร่างอ้วนถูมือไปมาพร้อมกับหัวเราะลั่น

แต่ปัญหาก็คือพวกมันจะนำสมบัตินั่นมาได้อย่างไร? พวกมันไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งที่หลิงฮันอยู่ เพราะงั้นจึงไม่อาจสังหารเพื่อแย่งชิงมันมาได้

“เจี่ยวหยิน เจ้าเคยปะทะกับเจ้าหนูนั่นมาแล้ว มันมีจุดอ่อนใดให้เราใช้ประโยชน์ได้บ้าง?” ชายชราร่างอ้วนถาม

เจี่ยวหยินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพ “อาวุโสเทียนเฉื่อ พรสวรรค์ในวิถีวรยุทธของเจ้าหนูนั่นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก แถมสัมผํสสวรรค์ก็ยังเฉียบแหลมอีกด้วย ข้าเคยพยายามลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”

“ฮึ่ม อาณาเขตแห่งนี้คือภูมิภาคเหนือที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณคือราชัน ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าข้าจะจัดการกับเจ้าหนูนั่นไม่ได้!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“คุ้มกันที่นี่เอาไว้ เมื่อเจ้าหนูนั่นปรากฏตัวอีกครั้ง จงคร่าชีวิตของมันซะ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว

“อะไรกัน?!” ร่างของพวกมันชะงักพร้อมกันในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังบริเวณช่องว่างของหุบเขา พวกมันเห็นชายชราแปดคนกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าก่อนที่จะปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าพวกมัน

“ที่แท้ก็เป็นสหายพี่น้องจากนิกายจันทราเหมันต์นี่เอง” อาวุโสเทียนเฉื่อประสานมือทักทาย

“เหอะ เจ้าเรียกใครว่าพี่น้อง?” จือเฮอชุนพูดอย่างเย็นชา

“ในเมื่อเห็นพวกเราแล้ว พวกเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก?”

“ไสหัวไป?” อาวุโสเทียนเฉื่อแสยะยิ้ม “จือเฮอชุน เจ้ารู้รึไม่ว่านิกายของพวกข้าแข็งแกร่งขนาดไหน? ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายพันศพคือตัวตนระดับทลายมิติอันเกรียงไกร! ผู้อาวุโสรองทั้งเจ็ดที่คอยคุ้มกันนิกายคือระดับสวรรค์ทุกคน! ผู้คุมกฎระดับก้าวสู่เทวามีสามสิบสามคนในขณะที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นพวกเรานั้นมีเป็นร้อย!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนก็สูดหายใจลึก

ขุมกำลังนี้แข็งแกร่งเกินไป ขนาดตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณยังมีนับร้อย หากนับทั่วทั้งภูมิภาคเหนือ ระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งหมดจะมีจำนวนใกล้เคียงนิกายพันศพรึเปล่า?

“แล้วอย่างไร?” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวกรอกตา “ราชันของภูมิภาคเหนือคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ เหล่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขึ้นไปที่ข้ามผ่านกำแพงของภูมิภาคมาจะต้องถูกผนึกพลังบ่มเพาะหรืออาจจะกระทั่งพลังชีวิต ดังนั้นสถานที่ตั้งของนิกายพันศพสมควรจะตั้งอยู่ที่ภูมิภาคกลาง ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ขอให้ตัวตนระดับก้าวสู่เทวามาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ?”

“นิกายของเราจะรวมผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้านี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเจ้าไม่อยากกลายเป็นทหารซากศพ พวกเจ้าก็ต้องร้องขอความเมตตาจากพวกข้า!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดอย่างทะนงตน “เพียงแค่กำแพงแห่งภูมิภาค คิดรึว่าตัวตนระดับสูงของนิกายเราจะทำลายมันไม่ได้?”

จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนตกตะลึง กำแพงแห่งภูมิภาคคืออะไร? มันคือกำแพงที่สร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับทลายมิติ และถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะสามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธระดับทลายมิติเหมือนกันได้รึ?

“ใครที่เชื่อฟังเราจะรุ่งโรจน์ และใครที่ต่อต้านเราจะแตกดับ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกับอาวุโสเทียนเฉื่อพูดออกมาพร้อมกัน

“บดซับ!” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวคำรามด้วยความโกรธ “ความชั่วร้ายไม่มีทางชนะความดี ถ้าผู้นำนิกายของเจ้ากล้าลงมือผลีผลาม คิดรึว่านิกายดาบสวรรค์และนิกายนกอมตะเมฆาจะไม่แทรกแซงหยุดยั้งพวกเจ้า? เลิกพูดเรื่องไร้สาระและไสหัวไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องตาย!”

อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราร่างผอมผิวคล้ำเค้นเสียงดูถูก ‘ฟิ้ววว’ เมื่อพวกมันผิวปากด้วยเสียงแสบแก้วหู โลงศพทั้งสี่ก็ลอยใกล้เข้าใกล้มาจากตำแหน่งที่ห่างไกลพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายที่อบอวลไปทั่วบริเวณ

ชายชราสองคนนี้วางแผนจะซุ่มสังหารหลิงฮัน ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกมันจึงไม่สามารถนำทหารซากศพไว้ใกล้ตัวได้

‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ทหารซากศพสี่ตัวกระโจนออกมาจากโลงศพ ใบหน้าของพวกมันหน้าสยดสยองเป็นอย่างมาก แต่ชั้นผิวหนังบนร่างของพวกมันถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์

ทหารซากศพระดับทองคำขั้นหนึ่ง พลังของพวกมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ

“แล้วแบบนี้ล่ะจะว่าอย่างไร?” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดเยาะเย้ย

จือเฮอชุนและผู้อาวุโสอีกเจ็ดคนขมวดคิ้ว แปดปะทะหก พวกมันยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ แต่ปัญหาก็คือถึงแม้พวกมันจะสามารถเอาชนะได้ แต่ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายก็ต้องมหาศาลแน่นอน

“เหอะ เป้าหมายของทุกคนคือเจ้าหนูนั่น ทำไมไม่รอให้มันปรากฏตัวและค่อยสังหารมันด้วยกันล่ะ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราทุกคนจะสามารถขโมยสมบัติของมันมาได้!” จือเฮอชุนกล่าว

“งั้นก็ตามนั้น!” ชายชราระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสองของนิกายพันศพเองก็ไม่ได้ต้องการเปิดศึกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรพวกมันก็เสียเปรียบในเรื่องของจำนวนคน

เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ พวกมันก็ล้มเลิกความเป็นปรปักษ์กันชั่วคราวและรอคอยให้หลิงฮันปรากฏตัว

ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันฮันถอนหายใจ ด้วยการโจมตีเมื่อสักครู่ทำให้หอคอยทมิฬที่มีขนาดทำเม็ดฝุ่นปลิวลอยตามสายลมไปยังบริเวณที่ห่างไกล ไม่เช่นนั้นถ้าหากเขานำซากศพของพระเจ้าออกมา เขาจะต้องกำราบตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสิบคนนั่นได้อย่างแน่นอน

แต่แรงกดดันนั่นจะมีผลกับทหารซากศพรึ?

หลิงฮันไม่รู้ในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรทหารซากศพก็เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าหุ่นเชิด ไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อนว่าพวกมันสามารถถูกกดดันด้วยกลิ่นอายใดๆ

แล้วเขาจะทำอย่างไรดี? รอให้พวกมันหมดความอดทนแล้วจากไป?

หลิงฮันส่ายหัวทันที หากเป็นเช่นนั้นอสูรเฒ่าเหล่านั้นจะต้องออกตามหาหลิงตงซิงเป็นแน่

เขาตัดสินใจที่จะทำการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และจัดการอสูรเฒ่าบัดซบเหล่านั้นด้วยพรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬ

หลิงฮันตั้งมั่น เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างทิ้งและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง ในตอนแรกเขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงกลางอยู่แล้ว หลังจากบ่มเพาะพลังได้สิบวัน พลังบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงปลาย

ภายในตันเถียนของเขาปรากฏห้วงมหาสมุทรวิญญาณอันกว้างใหญ่โดยมีแก่นแท้จิตวิญญาณสองลูกอันทรงอำนาจลอยอยู่เหนือมหาสมุทร

“จะดีกว่านี้ถ้าใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนในการควบแน่นพลังบ่มเพาะให้ถึงจุดสมบูรณ์ก่อนที่จะทะลวงผ่าน แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น ข้าต้องรีบเริ่มทะลวงกำแพงของระดับบุปผาผลิบานเดี๋ยวนี้เลย!” หลิงฮันกล่าว

‘แกรก แกรก แกรก แกรก’ กระดูกภายในร่างของเขาเริ่มปริแตก ราวกับห่วงโซ่แห่งเต๋าที่เหนี่ยวรั้งวัฏจักรมนุษย์กำลังพังทลาย หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆหลิงฮัน ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชร์อย่างมาก

คู่แม่ลูกพูดคุยกันอย่างเนิ่นนาน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เย่วฮงฉางจะถามว่าเขาใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร

หลิงฮันพูดออกมาทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี และเมื่อนางพบว่าลูกชายของนางนั้นกลายเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์แล้ว ทำให้เย่วฮงฉางรู้สึกตกใจมากจนพูดไม่ออก ไม่แปลกใจเลยที่อ้าวเฟิงและคนอื่นถึงเรียกหลิงฮันว่าปรมาจารย์หลิง

หลังจากที่พูดคุยกันได้ครึ่งวัน หลิงฮันพูดออกมาว่า “ท่านแม่ ข้าอยากแนะนำใครบางคนให้ท่านได้รู้จัก”

เขาพาเย่วฮงฉางไปหาหลิวอู๋ตงและคนอื่นๆ

“มันเป็นเกียรติสำหรับพวกเราเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบนายหญิง!” ชางเย่ ชูหวู่จิวและกว่างหยวนแสดงความเคารพออกมาด้วยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวทั้งสามคนเรียกนางว่าท่านป้า ส่วนฮูหนิวนั้นดูสับสนและกดนิ้วของตัวเอง

เย่วฮงฉางไม่อาจปกปิดความสุขของนางได้ หญิงสาวทั้งสามคนล้วนแต่มีเสน่ห์อย่างมากกันทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูเสวี่ยนเอ๋อที่งดงามมากแม้แต่นางยังรู้สึกประทับใจ ลูกชายของนางช่างโชคดีเสียจริงที่ได้พบเจอกับภรรยาที่งดงามอย่างพวกนาง

หญิงสาวทั้งสามคนขบคิดกับตัวเองอยู่ในใจ นี่คือแม่สามีของพวกนางในอนาคต แม้ว่าหลิงฮันจะไม่สนใจพวกนาง แต่ตราบใดที่พวกนางครองใจแม่สามีได้นั้นพวกนางยังจำเป็นต้องหวาดกลัวที่จะไม่ได้เป็นภรรยาของหลิงฮันหรือไม่?

“ลูก นี่คือลูกสาวของเจ้างั้นหรือ?” เมื่อเห็นฮูหนิว เย่วฮงฉางรู้สึกงงงวยขึ้นมาทันที ลูกชายของนางเพิ่งจะเติบโต แต่เขากลับมีลูกสาวที่อายุห้าถึงหกปีแล้ว?

ฮูหนิวเอามือเท้าเอวและพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ใช่ ฮูหนิวคือภรรยาของหลิงฮัน!”

เย่วฮงฉางถึงกับพูดไม่ออก เด็กสาวตัวน้อยนี่ยังเด็กมา แต่นางกลับพูดว่านางเป็นภรรยาของลูกชายนาง นี่ลูกชายของนางจะต้องรอคอยนานแค่ไหนกัน? นางจะต้องรอนานแค่ไหนถึงจะได้อุ้มหลานไว้ในอ้อมแขนของนาง?

อย่างไรก็ตาม เด็กสาวตัวน้อยนี่ก็มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล หลังจากที่นางเติบโตขึ้น บางทีความงามของนางนั้นอาจไม่ได้ด้อยไปกว่าจูเสวี่ยนเอ๋อ

หืม นี่ลูกชายของนางจะกินผู้หญิงและเลี้ยงเด็กไว้คนหนึ่งงั้นหรือ และทำให้ทุกคนเป็นคนของตระกูลหลิงในอนาคต!

ถ้าหลิงตงซิงกล้าทำแบบนั้น เย่วฮงฉางจะต้องกลายเป็นราชสีห์อย่างแน่นอน แต่มันแตกต่างถ้าเป็นลูกชายของนาง ยิ่งมีภรรยามากถือว่าดี และจะดีมากถ้าพวกนางมีก้นใหญ่ที่สามารถให้กำเนิดหลานชายและหลานสาวให้นางได้มากขึ้น

ในขณะนั้น หลิงฮันไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปพูดสอดแทรกแม้แต่น้อย เย่วฮงฉางเริ่มทำตามที่นางคิดขณะที่นางดึงหลิวอู๋ตงและหญิงสาวอีกสองคนเข้ามา และพูดคุยกันราวกับว่าพวกนางเป็นคนครอบครัวตระกูลหลิงไปแล้ว ส่วนฮูหนิวไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศและเริ่มกินอาหารอีกครั้ง โดนไม่เกรงว่าการกินมากจะทำให้แม่สามีในอนาคตกลัว

“ชางเย่ วิถีวรยุทธของเจ้าไม่ใช่การอยู่เคียงข้างข้า” หลิงฮันเรียกชางเย่มาหาเขา “การติดตามข้า เจ้าจะเป็นได้แค่คนที่แข็งแกร่งในอนาคต แต่ไม่ได้เป็นคนที่แข็งแกร่งของยุค”

หลิงฮันหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นปรมาจารย์กระบี่ที่ยิ่งใหญ่บนวิถีแห่งกระบี่ อย่างจักรพรรดิกระบี่!”

ชางเย่หายใจถี่ขึ้นมาทันที เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลิงฮันจะประเมินเขาไว้สูงขนาดนี้ เขาไม่ได้เสแสร้งทำและคุกเข่าลงข้างหนึ่งขณะที่พูดออกมาว่า “นายน้อยฮัน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน!”

หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ข้าจะมอบทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับเจ้า แต่อย่างมากที่สุดเจ้าสามารถใช้มันได้ถึงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้า และจากนี้ไปเจ้าจะต้องเดินด้วยตัวเอง! ยังไงก็ตาม เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินนั้นคือเส้นทางวิถีวรยุทธที่แท้จริงที่เจ้าเป็นคนสร้างขึ้นเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ชางเย่พยักหน้า

หลิงฮันครุ่นคิดและพูดว่า “อย่างแรกเจ้าจะต้องไปที่ภูมิภาคกลาง ข้าเองก็กำลังจะไปที่นั่น แต่ไม่ใช่ในฐานะตัวตนหลิงฮัน”

ชางเย่เข้าใจ ทุกคนต่างรู้ว่าหลิงฮันนั้นได้รับมรดกจากสิบสองพระราชวัง และถึงขั้นรู้ตำแหน่งขุมทรัพย์ของพระเจ้า ถ้าหลิงฮันไปที่ภูมิภาคกลาง เขาจะต้องถูกจอมยุทธระดับทลายมิติสังหารอย่างแน่นอน

“ข้าจะยังคงใช้ชื่อฮันหลิง” หลิงฮันพูดต่อ

“ขอรับ” ชางเย่พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลิงฮันโยนแหวนมิติหลายวงที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบปรุงยาจากภายในหอคอยทมิฬให้กับชางเย่

ชางเย่ไม่ตรวจสอบแม้แต่น้อย เขาเก็บมันไว้ด้วยความขอบคุณ ถ้าหลิงฮันต้องการอะไรในอนาคต เขาจะเป็นกระบี่ให้กับหลิงฮันและฟาดฟันศัตรูของเขาทุกคน

“ไปได้แล้ว!” หลิงฮันปล่อยชางเย่ออกมาจากหอคอยทมิฬ แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวนี่แน่นอนว่าไม่สามารถทำอะไรจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้

หอคอยทมิฬลอยไปตามคลื่นและหลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดหลิงฮันก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ ในตอนนี้ เขาอยู่ห่างไกลจากอาณาเขตของนิกายจันทราเหมันตร์มาก เมื่อหาหลิงฮันไม่พบมาเป็นเวลาหลายวัน จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเหล่านั้นก็สูญเสียร่องรอยของเขาไปอย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นมีโอกาสที่จะดักซุ่มโจมตีที่เขาหุบเขาจันทราร่วงหล่น ซึ่งเป็นทางผ่านที่จะเข้าสู่ดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว

จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณหลายคนดักซุ่มจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเพียงคนเดียว…นี่เป็นเรื่องที่น่าขันเป็นอย่างยิ่ง แต่หลิงฮันนั้นมีซากศพของตัวตนระดับพระเจ้าอยู่ที่แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ดังนั้นพวกมันจึงทำได้แค่ซุ่มโจมตีเท่านั้น และไม่กล้าปล่อยให้หลิงฮันนำซากศพตัวตนระดับพระเจ้าออกมา

หลิงฮันส่ายหัวอยู่ในใจ ซากศพตัวตนระดับพระเจ้าทั้งสองร่างนั่นไม่ได้ถูกเก็บรักษาอย่างเหมาะสมและถูกดูดพลังไปจนหมด ดังนั้นอำนาจกดขี่ที่เหลืออยู่อาจเลือนลางและไม่นานคงจะกลายเป็นกระดูกธรรมดา

อย่างไรก็ตาม หลิงฮันหาได้สนใจไม่ การสะกดข่มผู้คนอื่นด้วยกระดูกตัวตนระดับพระเจ้านั้นไม่ได้ช่วยให้เขาก้าวหน้าขึ้นในวิถีวรยุทธ และถ้ามันไม่สามารถช่วยแม่ของเขาได้ในตอนนี้ เขาคงไม่ต้องการใช้มัน

มีทรัพยากรมากมายภายในหอคอยทมิฬ อย่างเช่นเนื้อสัตว์อสูรระดับราชา ผลึกก่อเกิดระดับสูง วัตถุดิบปรุงยาต่างๆและหยดวิญญาณ เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน พลังของหลิงฮันจะก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณชั้นเก้าภายในสิบวัน และอยู่ไม่ไกลจากระดับบุปผาผลิบาน

พละกำลังของเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้วเช่นกัน แต่อันตราความก้าวหน้านั้นเริ่มช้าลง นั่นเป็นเพราะมันไล่ตามระดับพลังของหลิงฮันทันแล้ว

ความก้าวหน้าของทุกคนนั้นเห็นได้ชัดเจน แรกเริ่มเย่วฮงฉางนั้นอยู่ระดับห้วงจิตวิญญาณขั้นสาม แต่ตอนนี้นางทะลวงผ่านขั้นสี่แล้วในเวลาประมาณครึ่งเดือน มันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางได้รับประโยชน์มากเพียงใดภายในหอคอยทมิฬ

“ในเวลาครึ่งเดือน ข้าสามารถทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้” หลิงฮันพูดพึมพัม “ถ้าพวกตาแก่สารเลวนั่นยังกล้าที่จะกลั่นแกล้งข้า ข้าจะใช้พลังของหอคอยทมิฬเพื่อบดขยี้และฆ่าพวกมันทุกคน แล้วทำให้พวกมันเสียใจไปตลอดกาล!”

การก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานนั้นความหมายว่าในที่สุดเขาก็กลายเป็นจอมยุทธที่แท้จริงและละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปและมีอายุขัยสองร้อยปี แล้วสามารถโปยบินบนอากาศได้

หลังจากผ่านไปอีกวัน หุบเขาจันทราร่วงหล่นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา มันราวกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกตัดผ่านโดยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

หลิงฮันย่างก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาจะต้องไปที่ตำหนักดาราเจิดจรัสเพราะเขาเคยสัญญากับหลงหย่งฉางและคนอื่นว่าจะให้สังเกตเขาปรุงเม็ดยาโอสถคืนวิญญาณ ในตอนท้าย เขาให้ลิ่วจี้ถงส่งเม็ดยาให้กับแคว้นพิรุณ

อย่างไรก็ตาม มันมีเม็ดยาระดับปฐพีหลายชนิดที่เขาสามารถปรุงขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปปรุงเม็ดยาอีกชนิดหนึ่ง

พรึบ การโจมตีที่รวดเร็วเท่าสายฟ้าพุ่งเข้ามา!

สัญชาตญาณของหลิงฮันนั้นรวดเร็วกว่าสติของเขาและเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที การโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดใช้งานเกราะอัสนี และถ้าแม้จะเปิดใช้งานได้ มันก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่หนักหน่วงของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ช่องว่างมันใหญ่เกินไป

ปัง ที่ที่เขายืนอยู่เมื่อครู่กลายเป็นหลุมลึกและมีเมฆฝุ่นรูปเห็ดลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าทันที พลังทำลายล้างของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก

มันเป็นการโจมตีที่เล็งเอาชีวิตของเขา!

Alchemy Emperor of the Divine Dao

Alchemy Emperor of the Divine Dao

Score 10
Status: Completed

จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์

ตอนที่ 1 – 1900 อ่านนิยาย


หลิงฮันสุดยอดจอมยุทธ์และจักรพรรดิปรุงยาเพียงหนึ่งเดียว เสียชีวิตลงในการบรรลุสู่การเป็นเทพเจ้า ในหนึ่งหมื่นปีต่อมาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เขาได้เกิดใหม่ในร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อเหมือนกัน จากนั้นทั้งสายลมและเมฆจะต้องแหวกออกเมื่อเขาได้ต่อกรกับเหล่าอัจฉริยะในยุคใหม่นับไม่ถ้วน เส้นทางในการเป็นตำนานของเขาได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในทุกยุคสมัย ภายใต้สวรรค์ ข้าแกร่งที่สุด!!

Options

not work with dark mode
Reset