ตอนแรกโชอิจิคิดว่าเขาได้ยินผิดไป
เด็กผู้หญิงที่เขาเพิ่งคิดว่าน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีก จู่ ๆ เขาก็ถูกขอให้สอนหนังสือให้กับเธอ จิตใจของเขาเลยสับสนเล็กน้อย
พอเขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเขาก็เผลอคร่ำครวญออกไปโดยไม่ตั้งใจ “อืม… ขอโทษนะครับ ช่วยพูดอีกรอบได้ไหมครับ”
“ก็อย่างที่บอกไปครูจะให้ช่วยสอนยูซึกิหน่อย ไม่ได้ยินที่ครูพูดก่อนหน้านี้เหรอ?”
“มะ-ไม่ใช่ครับ ผมได้ยินชัดเจนเลย แค่สงสัยว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย!” เขาเผชิญหน้ากับครู ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทำแบบนี้
เขาเป็นแค่นักเรียนธรรมดา ๆ เขาไม่ได้มีภาระหรือธุระอะไร ที่ต้องมาสนใจสอนหนังสืออามิรุ ว่าให้เรียนอย่างไร เพราะเธอก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน ทำไมเขาเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะ?
มันเป็นเรื่องปกติที่อาจารย์ประจำชั้นต้องใส่ใจทั้งชั้นเรียนสิ ไม่ใช่ใส่ใจแค่บางคน เขาทำตัวราวกับว่าเขาเอ็นดูอามิรุแค่คนเดียว ในฐานะผู้ให้การศึกษา เขาไม่มความละอายใจบางเลยเหรอ?
ขณะที่ โชอิจิ จ้องมองอาจารย์ประจำชั้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ อาจารย์ประจำชั้นก็เริ่มพูด ‘อธิบาย’ เหตุผลออกมา
“จำได้ไหม ตอนที่เริ่มเรียนไปได้ไม่นาน แต่ละวิชาก็เริ่มมีการทดสอบวัดคะแนนกัน”
“จำได้ครับ เพราะมันเป็นการทดสอบความรู้ระดับมัธยมต้นก่อนที่จะเริ่มสอบกลางภาค”
“ใช่และคุณก็ได้คะแนนเต็มร้อยด้วย”
“หืม?”
ขณะที่เขากำลังพยายามค้นหาความหมายในสิ่งที่อาจารย์ต้องการจะสื่อ อาจารย์ประจำชั้นก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ของโชอิจิและพูดออกมาว่า “…แล้วคุณเคยเห็นใครได้คะแนนหลักเดียวในทุกวิชาหรือเปล่าล่ะ”
“เอ่อ…”
โชอิจิ ที่พอจะนึกออกว่าน่าจะเป็นใคร ก็หันไปมองที่อามิรุ ดวงตาของอามิรุสั่นไหวและมือของเธอก็จับแก้มที่กลายเป็นสีแดงของเธอราวกับว่าเธอกำลังเขินอาย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เวลาที่ควรจะมัวอายแบบนี้
“สรุปคือ คนที่ได้คะแนนเท่านั้นคืออามิ… ยูซึกิ? เหรอครับ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่อาจารย์ต้องดูแลเธอเรียนเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆสินะครับ”
“ถูกต้อง ครูได้ยินข่าวลือมาว่าคุณกับยูซึกิ โตมาด้วยกันและก็อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กัน คุณเป็นนักเรียนที่ดี ครูแน่ใจว่าคุณจะต้องสอนคนอื่นได้ดีแน่ ๆ ครูอยากให้ คุณควรที่จะช่วยเธอในการเรียนเสริมของเธอเพราะถ้าคุณไม่ทำ จะมีการตัดสินให้มีการซ้ำชั้นทันทีแน่ ๆ แต่ถ้าคุณยอมช่วย ครูจะเพิ่มคะแนนพิเศษให้คุณเอง”
โชอิจิพึมพำ “หือ?” อีกครั้งและมองไปที่ อามิรุ เขาไม่ได้พลาดที่จะมองสีหน้าของเธอเมื่อตอนที่คำว่า ‘ซ้ำชั้น’ ผุดขึ้นมา เธอในตอนนี้นั้น กำลังรู้สึกว่าชีวิตในวัยเรียนอยู่ในช่วงวิกฤตและหน้าของเธอก็ดูซีดมาก ๆ
แม้จะรู้สึกตัวว่ากำลังวิกฤต แต่เธอยังคงสวมชุดนักเรียนอย่างไม่เรียบร้อย มือของเธอกำลังจับผมอย่างกระสับกระส่าย และท่าทางของเธอก็ดูไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่
ฉันจะไม่สนหรอกว่าเธอจะยังมีมุมพูดน้อยเหมือนตอนที่ยังเด็กไหม… แต่ถ้าขอให้ฉันช่วยในการเรียนของเธอตอนนี้คิดว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นคนที่พูดมากเกินไป
เธอมีความตั้งใจที่จะเรียนอย่างจริงจังหรือไม่? ถ้าไม่การสอนหนังให้เธอก็เป็นการเสียเวลาเปล่า การที่จะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด ซึ่งัมนไม่เหมาะกับนิสัยของโชอิจิ
เขาควรจะปฏิเสธมันไปดีไหมหลังจากได้ยินเหตุผลทั้งหมดแล้ว? ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ จู่ๆ อามิรุก็เปิดปากของเธอขึ้น
“โปรด…นายช่วยสอนหนังสือให้ฉันหน่อยได้ไหม โชจัง”
“โชจัง!?”
“ใช่ โชจังก็คือโชจังไง เอ๊ะ หรือฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
โชอิจิเริ่มคร่ำครวญ “ไม่” ขณะที่เขากลอกตาไปมา มันเป็นเรื่องจริงที่อามิรุเรียกเขาแบบนี้ เพียงแต่มันเคยเป็นตอนที่อยู่ช่วงประถม แต่เนื่องจากทั้งสองคนห่างเหินกันไปนาน เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเรียกเขาแบบนั้นอีกโดยที่ไม่ลังเลเลย
ฮะ? ฉันกับอามิรุก็ไม่ได้สนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอ? เอ๋?
เขาเริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เขาเคยคิดว่าชีวิตของเขาและเธอจะไม่มีวันบรรจบกันอีกครั้งด้วยซ้ำ ความรู้สึกแบบนี้ มันเกิดจากอะไรกันนะ?
อย่างไรก็ตาม อามิรุ นั้นไม่ได้สนใจความสับสนของโชอิจิเลยและเดินเข้าไปหาเขาโดยไม่ลังเล
“เน~ได้โปรด สอนหนังสือให้หน่อยนะคะ หันมามองฉันหน่อยสิ!”
เธอประสานมือและก้มตัวลง เมื่อเธอก้มศีรษะลง เขาก็แอบเห็นรอยนูนเล็กๆ ที่หน้าอกของเธอที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตที่ลุ่มล่ามของและมีผ้าสีฉูดฉาดคลุมอยู่
โชอิจิรีบหันหน้าหนีอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพึมพำ “อะไรกัน-ทำไมฉันต้องช่วยด้วยล่ะ ทำไมเธอไม่ไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาหรือเรียนกับติวเตอร์ส่วนตัวล่ะ”
“เพราะบ้านของฉันไม่มีเงินมากอะไรนี่”
“อา…”
คำตอบนั้นทำให้โชอิจินึกถึงบางอย่างออก ครอบครัวของอามิรุกลายเป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่พ่อของเธอเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร และนอกจากนี้แม่ของเธอก็ยังป่วยด้วย
เขาเคยได้ยินจากเพื่อนบางคนว่าค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวหรือซื้อของแต่งตัวมันใช้เงินเยอะ เขาไม่รู้ว่าเธอทำมันได้อย่างไร
ถึงยังไง โรงเรียนกวดวิชาและติวเตอร์ส่วนตัวต่างก็มีราคาแพงอย่างน่าขัน มันคงจะดีถ้ามีคนอยู่ใกล้ๆ ที่สามารถสอนหนังสือให้เธอได้ ซึ่งจะช่วยเธอได้ดีที่สุด
“แต่ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะสอนหนังสือให้เธอ…”
“ได้โปรดเถอะนะโชจัง ผู้หญิงส่วนใหญ่รอบๆ ตัวฉันก็ไม่ฉลาดพอๆ กับฉันนั้นแหละ ดังนั้นโชจังจึงเป็นคนเดียวที่ฉันวางใจได้ที่สุดในตอนนี้”
“นั่นมัน…ก็น่าจะจริงนะ”
“อา นั่นมันแย่มาก นายหยาบคายกับเพื่อนของฉันเกินไปแล้วนะ”
“แต่เธอเป็นคนเริ่มมันเองไม่ใช่เหรอ!?”
“อ่าฮะ นั่นแหละ ได้โปรดนะ โชจัง ได้โปรดเถอะนะ นะ”
“เฮ้ อย่าเข้ามานะ มันใกล้เกินไป ใกล้เกินไป ใบหน้าของคุณอยู่ใกล้เกินไปแล้ว… เฮ้ย อย่าเอาหัวมาวางบนไหล่ของฉันสิ!”
ก่อนที่เขาจะได้รู้ตัว อามิรุก็ลดระยะห่างลงจนถึงจุดที่เขาสามารถสัมผัสหายใจได้ของเธอได้ เหมือนเดิม เธอพิงไหล่ของโชอิจิราวกับว่าเธออยากจะถูกเขาตามใจ
ความรู้สึกนี้นั้นมันทั้งอบอุ่นและนุ่มนวล กลิ่นหอมหวานที่ไม่รู้ว่ามากกลิ่นตัวหรือน้ำหอมบางชนิดที่ลอยอยู่ในอากาศเกือบจะขโมยความสามารถในการคิดของโชอิจิไปจนหมด
ผู้หญิงคนนี้เธอตัวหอมมาก… ตอนเด็กๆ ได้กลิ่นแบบไหนนะ? ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โชอิจิก็ส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก
เขาไม่ควรหลงกล เขาจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและเหมาะสม
หากไม่คำนึงถึงทัศนคติของเธอ อามิรุดูเหมือนจะค่อนข้างจริงจัง ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้โกหกที่เธอต้องการจะเรียนพิเศษ ฉันแน่ใจว่าเธอไม่ต้องการที่จะซ้ำชั้นอีกปี และฉันก็รู้สึกแย่ที่จะทิ้งเธอ นอกจากนี้ยังอาจเป็นประโยชน์สำหรับฉันที่จะได้รับคะแนนพิเศษการเพิ่มเติม…
-สุดท้าย ก็มีเพียงทางเลือกเดียว โชอิจิถอนหายใจออกมา
“ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะสอนหนังสือเธอเอง… แต่ถ้าฉันตัดสินใจว่าเธอไม่ได้มีความตั้งใจจริง ฉันจะทิ้งเธอทันทีเข้าใจไหม”
“ยัตตา! โชจัง ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”
อามิรุรู้สึกตื่นเต้นมากจนเธอเผลอเกาะคอเขา ขณะที่เขากำลังจะล้มลง โชอิจิก็สงสัยในขณะที่กำลังตกใจ
“ฉันไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนนี้มาสามปีแล้วไม่ใช่เหรอ?” การกลับมาคุยอีกครั้งมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
ไม่สิ อามิรุกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นไปแล้ว อามิรุกลายเป็นผู้หญิงประเภทที่สดใสสามารถคุยกับใครก็ได้และก็คงไม่ลังเลที่มีการสกินชิพเล็ก ๆ น้อย ๆ
อามิรุตอนประถมก็คงไม่มีท่าทางแบบนี้ ไม่ว่าเธอจะพึ่งพา โชอิจิมากแค่ไหน เธอก็คงได้แต่พูดคำว่า “ขอบคุณ” ด้วยท่าทางที่อาย ๆ
ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยและกอดเขาแบบสบายๆ โชอิจิรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อตระหนักอีกครั้งว่าทุกคนย่อมต้องที่จะเปลี่ยนไป
ในขณะนั้น อาจารย์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ ก็โยนกุญแจให้พวกเขา
“คุณสามารถใช้ห้องเรียนที่นี่ หลังเลิกเรียนได้ ดังนั้นก็เรียนกันไปนะ แต่ขอให้อย่าลืมล็อคประตูตอนกลับด้วยล่ะ”
“ครับ-ครับ”
“อ้อ แล้วก็… อย่าทำอะไรลามก ๆเพียงเพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ล่ะเพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมาครูได้โดนตำหนิแน่ ๆ”
“พวกเราไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ!?” โชอิจิอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่อาจารย์ ที่พูดจาไร้สาระเช่นนั้นออกมา นี่เป็นอาจารย์ประจำชั้นแบบไหนกันเนี่ย?
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนอาจารย์ประจำชั้นจะไม่สนใจอะไรต่อ ในขณะที่โบกมือและรีบออกจากห้องเรียนไป
โชอิจิซึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แอบมองดูอามิรุซึ่งถูกทิ้งไว้ด้วยเช่นกัน และเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“เอิ่ม” เขากระแอมในลำคอ
“อืม เรามาเริ่มเรียนกันเถอะ มันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นต้องเตรียมตัวกันให้ดีๆ”
“ฉันเข้าใจแล้ว! ฉันจะทำให้ดีที่สุด!” ขณะที่เธอประสานมือกับหน้าอกของเธอ อามิรุพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
แต่สีหน้าของเธอดูเหมือนว่ามันจะบ่งบอกว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเลย ซึ่งทำให้โชอิจิสงสัยว่า “นี่มันโอเคจริงๆ หรือ?”
สิ่งที่แก้ไข เว้นวรรคเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น
“เอ๊ะ เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นล่ะนั่น”
“อือ ฉันพูดจริง ๆ นะ! ฉันน่ะ ตกหลุมรักเจ้าเครื่องประดับชิ้นนั้นตั้งแต่ที่ได้เห็นมันเลยนะ และตอนที่ฉันกลับบ้านไปเอาเงินมาซื้อมันนะ มันขายหมดไปแล้วนี่สิ! มันไม่น่าทึ่งเหรอ? ทำเอาฉันนี่ตกใจหมดเลย~”
ตอนนั้นเองที่เสียงดังกล่าวได้ดังเข้าหูของเขา โชอิจิ คาชิมะ ที่พึ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 ได้ไม่นาน เขาละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่หันไปมองยังทางต้นเสียง ไม่ใช่ว่าการสนทนาพวกนั้นรบกวนเขา เขาแค่สนใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากทางไหน
ในห้องเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงที่ฟังดูวุ่นวาย เนื่องจากเป็นช่วงพักกลางวันเป็นช่วงที่นักเรียนจะเพลิดเพลินกับเวลาว่างกัน พวกเขาจึงกำลังพูดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น วิดีโอที่กำลังนิยมในตอนนี้ เครื่องสำอางใหม่ล่าสุด จะไปเล่นที่ไหนกันดี? และเมื่อไหร่ที่พวกเขาควรทำอย่างนั้น?
“นี่ไปร้องเพลงกันไหม”
“เอาสิ เอาสิ ฉันชอบคาราโอเกะ”
“เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะฉันไม่ได้ไปนานแล้วด้วย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงดัง ที่มาจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กลางห้องเรียน ที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัว ตามแฟชั่นกัน ซึ่งเสียงที่ขัดจังหวะการอ่านหนังสือของโชอิจิ ก็ดังมาจากผู้หญิงกลุ่มนี้เช่นกัน
“อือ ฉันหวังว่ามันจะเอามาขายอีกนะ ตอนนั้นฉันไม่น่าลืมกระเป๋าสตางค์เลยฉันอยากจะเหมือนซา*เอะซังแท้ ๆ”
“อะไรล่ะนั่น ร่าเริงไว้หน่อย ไม่ต้องกังวลไปหรอกเดี๋ยวมันก็เอาขายอีกนั่นแหละ!”
“จริงด้วย ที่มันขายหมดไวนั่นหมายความว่าเธอมีสายตาที่ดีเลยนะ เป็นข้อดีที่ดีเลยของเธอเลยว่าไหม”
“เอ๊ะ อย่างนั้นเหรอ? ฉันเชื่อเธอได้จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ใช่สิ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว คราวหน้าก็อย่าลืมพกกระเป๋าเงินไปด้วยก็พอแล้ว!”
ด้วยเหตุนี้เสียงหัวเราะมากมายเหล่านั้นก็ทำห้องเรียนดูสดใสขึ้นมาทันที เด็กผู้หญิงเหล่านี้เรียกว่า ‘สาวแกล’ และพวกเธอเหล่านี้มักจะได้รับความสนใจจากพวกผู้ชายส่วนใหญ่อยู่บ่อย ๆ ในฐานะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน
“สาว ๆ ในห้องของพวกเรานี่สวยกันจริง ๆ ว่าไหม”
“ใช่ ฉันก็คิดว่าพวกเธอดูดีกันมากจริง ๆ”
“ฉันนี่โคตรดีใจเลยที่ได้เข้าเรียนที่นี้เนี่ย”
พวกผู้ชายหลายคนต่างคุยกันอย่างสนุกสนานและบางคนก็ยังพึมพำออกมาว่า “บางทีเราน่าจะเชิญพวกเธอไปเที่ยวกับพวกเราครั้งหน้านะ”
มันเป็นแค่พฤติกรรมที่มีต่อเพศตรงข้ามที่เป็นปกติของวัยรุ่น เพียงแต่โชอิจิ ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ซักนิดเลย
ฉันไม่สามารถไปเที่ยวเล่น… ถ้าฉันว่างมีเวลา ฉันอยากที่จะเรียนมากกว่า
เขาพึมพำในใจและมองไปที่หนังสือที่เขาเพิ่งอ่าน มันไม่ใช่การ์ตูนหรือไลท์โนเวลสำหรับวัยรุ่น แต่มันเป็นหนังสือวิชาการเพื่อแสวงหาความรู้ ซึ่งมันเป็นหลักการของเขา ที่ว่าในขณะที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ ก็ควรที่จะขยันหมั่นเพียรในการศึกษาอยู่เสมอ
มันไม่ใช่ว่าเขาชอบที่จะเรียน แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังดีกว่าที่เขาจะศึกษาหาความรู้อยู่เสมอเพื่อเป้าหมายของเขาในอนาคต พูดง่าย ๆ คือเขาเป็นคนมีเหตุมีผลและยังด้วยนิสัยที่จริงจังหรือค่อนข้างเข้มงวดของเขา ทำให้เขามักจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุและผลอยู่เสมอ
ชีวิตในตอนนี้ของเขาเหมือนพวกที่อยู่ในลัทธิสโตอิก การอ่านและการศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอไม่ว่าจะเวลาไหนหรืออยู่ตอนที่อยู่ที่บ้าน เขาในตอนนี้นั้นห่างไกลจากพวกสื่อบันเทิงทั้งหมด เช่น พวกเครื่องสำอาง คอนเสิร์ต และคาราโอเกะ ถึงแม้ว่าเครื่องสำอางมันจะห่างไกลจากเขาอยู่เสมอก็เถอะ โดยธรรมชาติแล้ว เขาไม่ได้สนใจพวกสาว ๆ เลยสักนิด เขาเพียงแค่คิดว่าพวกเธอนั้นเสียงดังไปหน่อยก็เท่านั้น
หากพวกเขาจะชอบคุยกันขนาดนั้น พวกเขาควรพูดกันเรื่องที่มีสาระมากกว่านี้จะดีกว่า…อย่างเช่น เรื่องของเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่เพิ่งค้นพบเซลล์ใหม่เมื่อเร็ว ๆ ที่มันเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยค้นพบ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ฉันก็กำลังสนใจอยู่
แม้ว่าบางคนอาจพูดว่า “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่อง ที่ฉันไม่ได้ชอบหรอกนะ~” โชอิจิ ที่ค่อนข้างจริงจังกับมัน เขามีความคิดที่ง่าย ๆ และไม่ชอบพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กับคนอื่นถ้าคนนั้นไม่ได้สนใจมัน
แน่นอนว่าความหวังลึก ๆ ในใจของโชอิจิมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ และพวกสาว ๆ ยังคงสนทนากันต่อไป โดยเปลี่ยนจากหัวข้อหนึ่งเป็นอีกหัวข้อหนึ่งภายในไม่กี่วินาที
“…นี่รู้ไหม วิดีโอนั่นนะมันเป็นที่นิยมพอตัวเลยนะ ไม่รู้ทำไมมันถึงลูกลบ ฉันแปลกใจมาก ๆ เลยล่ะ!”
“ลบไปแล้ว? ผู้ชายคนนั้นทำบ้าอะไรเนี่ย”
“อืม ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่แต่อาจจะเป็นเรื่องไม่ดีก็ได้มั้ง ก็เล่นลบบัญชีไปด้วยนี่”
“อะไรกันเนี่ย? เรื่องนี้มันดูน่าสนใจเกินไปแล้วนะ!”
ตามที่เขาสามารถบอกได้จากการสังเกตพวกสาว ๆ อย่างใกล้ชิด เด็กสาวผมบลอนด์ที่อยู่ตรงกลางนั้นเป็นศูนย์กลางของการสนทนา เธอนั้นทั้งเสียงดังและดูเต็มไปด้วยความร่าเริง เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่ดูไร้กังวล
เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นพูดหรือทำอะไรสักอย่าง เสียงหัวเราะก็จะดังออกมาจากคนรอบข้างเสมอ มันไม่ได้เกิดจากการการหัวเราะเยาะ แต่เกิดจากความสนิทสนมที่เธอมีกับคนรอบข้าง นั่นคือพลังของเธอที่มีผลกับคนรอบข้างเสมอ เมื่อโชอิจิยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งนั้น เขาก็มีความรู้สึกที่ดูซับซ้อน
ผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ-
จู่ ๆ คำพูดพวกนี้ก็เข้ามาในหัวของเขา
รอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าของเธอดูเรียบร้อยเหมือนกับตุ๊กตาและดูน่ารักราวกับเด็ก
ผมสีบลอนด์หยักศกของเธอถูกมัดรวบขึ้นไปด้านข้าง เธอแต่งหน้าด้วยโทนอ่อน ๆ ไม่ดูเข้มจนเกินไป โดยจะเน้นแค่ส่วนที่เป็นธรรมชาติของเธอเท่านั้น มีเล็บปลอมสำหรับเพ้นท์เล็บบนนิ้วของเธอ และดวงตาของเธอก็ดูต่างไปจากปกติเล็กน้อยเคงเพราะเธออาจจะใส่คอนแทคเลนส์สีอยู่
ปกเครื่องแบบของเธอจะไม่ค่อยเรียบร้อย และมือของเธอจะถูกซ่อนไว้ด้วยแขนเสื้อขนาดใหญ่
ที่จริงแล้ว เธอไม่ได้ดูแลตัวเองดีมากเท่าไหร่เพื่อเทียบกับสาว ๆ คนอื่นๆ แต่การที่เธอยังดูโดดเด่นและสดใสอาจเป็นผลจากเสน่ห์ตามธรรมชาติของเธอเอง
ขณะที่เขามองดูเธอ โชอิจิก็พูดส่วนที่เหลือของสิ่งที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดูจะดีใจนิด ๆ
“…ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปจริง ๆ สินะ”
“อะไรนะ? นายเคยรู้จักยูซึกิมาก่อน ด้วยเหรอคาชิมะ”
ตอนนั้นเองมีนักเรียนชายที่เดินผ่านมา จึงเอ่ยปากถามออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงพึมพำของโชอิจิ
โชอิจิจึงเริ่มรู้สึกอายที่มีคนได้ยินเขาพูดกับตัวเอง
“เอ๊ะ? เอ่อ อืม…”
“ว้าว น่าแปลกใจนะเนี่ย ที่คนที่จริงจังกับเรื่องเรียนและเป็นนักเรียนดีเด่นแบบนาย เคยรู้จักผู้หญิงน่ารัก ๆ แบบนั้นด้วย”
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก…. และฉันก็ไม่ใช่นักเรียนดีเด่นอะไรด้วย นายกำลังประเมินฉันสูงเกินไปแล้ว”
“อีกแล้ว อีกแล้ว อย่าถ่อมตัวเลยตกลงนะ นายน่ะอ่านทบทวนอยู่เสมอในช่วงพัก และนายก็เป็นนักเรียนดีเด่น ด้วย แต่คงจะดีกว่านี้ถ้านายเข้ากับคนอื่น ๆ ได้มากกว่านี้นะ”
โชอิจิยอมรับว่ามันเป็นความจริง เขานั้นมีเพื่อนไม่มาก แต่ถ้าพูดอย่างไม่ข้างตัวเองเลยต้องบอกว่าไม่มีเลยจะดีกว่า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนและอ่านหนังสือ ส่วนคนที่เขาคุยด้วยบ่อย ๆ คือเพื่อนร่วมชั้นที่คอยดูแลเขาและพูดคุยกับเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ความจริงแล้ว มันไม่ใช่ความตั้งใจจริง ๆ ของเขาที่จะอยู่คนเดียว ไม่ว่าเขาจะเชื่อมั่นมากแค่ไหน ว่านักเรียนควรเรียนแค่หนังสือ มันแทบไม่มีเหตุผลที่ทำให้เขาต้องสละเวลาว่างและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นเลยไปแค่กับการเรียนอย่างเดียว เพีงแต่สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเริ่มเรียนทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ก็เนื่องจาก ‘สถานการณ์’ บางอย่างเมื่อตอนที่เขาเข้าโรงเรียนมัธยม
เมื่อโชอิจิท่องจำจนเสร็จ เพื่อนร่วมชั้นของเขาก็มองไปที่ปกหนังสือที่เขาถืออยู่และขมวดคิ้ว
“บางครั้งนายก็อ่านเรื่องประหลาด ๆ เหมือนกันนะเนี่ย”
“เอ๊ะ ประหลาด? อย่างนั้นเหรอ”โชอิจิทำท่าทางที่ดูแปลกใจ
“ใช่ ก็…นี่ไง” ‘การพบเห็นโยไคทั่วประเทศ? ชื่อมันดูเหมือนจะเกี่ยวกับโยไคนะ แต่โยไคเป็นแค่เรื่องลึกลับและเป็นแค่เรื่องงมงายนี่ พวกเราไม่ใช่นักเรียนชั้นประถมแล้วนะ…”
“นายพูดอะไรน่ะ! เรื่องลึกลับมันสามารถใช้เป็นหัวข้อวิจัยเชิงวิชาการได้เลยนะ! ประการแรก การคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องลึกลับเป็นความคิดที่แย่มาก แค่ลองได้วิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วสักครั้งล่ะก็นายก็จะสามารถ–“
“พอ พอ อย่าพูดเร็วมากได้ไหม! โอเค โอเค ฉันเข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนาย ฉันขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะการอ่านของนาย”
จากนั้นเขาก็ขอตัวไปหาเพื่อนคนอื่นต่อ ด้วยรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยว ในขณะที่พึมพำออกมาว่า “ฉันเผลอไปเปิดสวิตช์แปลก ๆ ของหมอนั่นเข้าหรือไงเนี่ย…”
หลังจากโชอิจิมองเพื่อนร่วมห้องจากไป เขาก็หันกลับมามองหญิงสาวที่ชื่อ ‘ยูซึกิ’ อีกครั้งเธอยังคงแสดงออกด้วยท่าทางที่ไร้กังวลเช่นเคยและกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
-น่าแปลกใจ นายเคยรู้จักเธอมาก่อนเหรอ
โชอิจิถอนหายใจอย่างคลุมเครือในขณะที่ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้
อันที่จริงมันเป็นมากกว่าแค่คนเคยรู้จักกัน
โชอิจิ นั้นรู้จักผู้หญิงคนนั้น ‘อามิรุ ยูซึกิ’ เป็นอย่างดี เขารู้จักเธอตั้งแต่ก่อนที่เขาจะจำความได้ด้วยซ้ำ เธอเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่อนุบาลแล้วและก็เคยทำทุกอย่างด้วยกัน พูดง่าย ๆ คือเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน
ตอนยังเด็ก ๆ อามิรุ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ขี้อายและชอบมาหลบที่หลังของโชอิจิบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ไปเรียนมัธยมต้น เธอก็ถูกเพื่อน ๆ หว่านล้อมจนได้เปิดตัวในฐานะ สาวแกล
อามิรุนั้นดูเข้ากับโลกนั้นได้ค่อนข้างง่าย ด้วยล่ะมั้ง? ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มออกไปเที่ยวกับเพื่อนที่ดูสดใสและร่างเริงของเธอ… และฉันก็ได้เลิกคุยกับเธอไป
ตอนนี้ทั้งคู่นั้นเหินห่างกันอย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าจะอยู่ในโรงเรียนมัธยมเดียวกันหรือแม้แต่จะได้อยู่ห้องเดียวกัน มีหลายครั้งที่เธอนั้นพยายามที่จะคุยกับเขา แต่ทุกครั้งเธอจะถูกเพื่อนๆ รอบตัวเธอชวนคุยเสมอสุดท้าย อามิรุ ก็ถูกลากออกไปพร้อม ๆ กับกลุ่มเพื่อน สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าตัวตนที่ดูจริงจังและเคร่งขรึมของเขาและตัวตนที่สดใสและร่าเริงของเธอ จะอาศัยอยู่ในโลกที่ต่างกันเกินไป
“ไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง แน่ ๆ!”
เสียงหัวเราะที่ดูไร้เดียงสาแต่ดูวุ่นวายดังขึ้นเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนในวันนี้ และโชอิจิก็หลับตาลง ตอนนี้ไม่มีเพื่อนสมัยเด็กคนเดิมที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว
แค่เพราะเราเคยสนิทกัน ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องปกติ ที่จะเป็นแบบนั้นไปตลอด ฉันจะไปตามทางของฉัน และ อามิรุนั้นก็จะไปตามทางของเธอ… ชีวิตมันก็เท่านั้นแหละ
เขาครุ่นคิดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นในวิสัยทัศน์ของเขา เขาสามารถเห็น อามิรุ จ้องมองที่หลังมือของเธอ
“เอ๊ะ นี่มันอะไรน่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“ก็วันนี้น่ะมีส่วนลด 30% สำหรับหัวไชเท้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต…” นั่นคือสิ่งที่อามิรุกล่าวออกมา
“เอ๊ะ?!!!!!”
คำพูดนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้สาวๆ รอบตัวแปลกใจ แต่ยังทำให้โชอิจิตะโกนออกมาดัง ๆ ตามไปด้วย
ทำไมจู่ ๆ เด็กสาวม.ปลาย ที่ควรจะเขินอายเรื่องที่มันดูสวย ๆ งาม ๆ ทำไมถึงได้พูดถึงหัวไชเท้าลดราคาขึ้นมาได้ล่ะ?
เขามองด้วยท่าทางที่สับสน เขาเห็นอามิรุ รีบเกาหัวของเธออย่างมีเสน่ห์และพูดว่า “ม…ไม่มีอะไรหรอก”
เพื่อนๆ ของเธอซึ่งเคยงุนงงก็กลับมาหัวเราะอีกครั้ง
“เดี๋ยวนะ อามิรุ นี่มันไม่แปลกไปเหรอ ฉันขำจะตายแล้วเนี่ย!”
“บางครั้ง อามิรุ ก็พูดแปลก ๆ ออกมานี่เนอะ”
“นั่นมันเป็นส่วนที่ทำให้เธอน่ารักและเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลยนะ”
ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของเธอจะไม่ถูกทำลายด้วยความผิดปกติของเธอ ซึ่งในตอนนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจ
ไม่สิ ปัญหาของอามิรุไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะสนใจอีกต่อไปแล้ว…
ทั้งสองคนได้เดินแยกทางกันไปนานแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว
โชอิจิบ่นในใจด้วยความเศร้าเล็กน้อยและเริ่มอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง
หลังเลิกเรียนในวันนั้น
โชอิจิ ถูกอาจารย์ประจำชั้นเรียกคุยก่อนที่เขาจะได้ออกจากห้องเรียน เพราะอาจารย์ประจำชั้นเหมือนต้องการที่จะคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง นักเรียนส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ในตอนนี้จึงเป็นแค่พวกที่ทำในกิจกรรมของชมรม ซึ่งก็ไม่มีไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องเรียนอีก
ในระหว่างนั้น จู่ ๆ อาจารย์ประจำชั้นก็เริ่มพูดกับโชอิจิ
“คาชิมะ คุณไม่ได้อยู่ในชมรมไหนเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมเป็นพวกชมรมกลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงตัวแล้วล่ะ สอนหนังสือให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ใช่ไหม”
โชอิจิกระพริบตากับคำพูดของอาจารย์ประจำชั้นและเผลออุทานออกไป “อะไรนะ?”
เมื่อครูเคลื่อนตัวหลบ หญิงสาวซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังได้ก้าวเดินออกมาที่ด้านหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงความประหลาดใจอย่างมาก เธอที่มีใบหน้าเหมือนกับตุ๊กตา แต่งตัวดูไม่ค่อยเรียบร้อย และผมสีบลอนด์ที่ถูกรวบมัดขึ้นด้านบน
“ยาโฮ ได้โปรดช่วยดูแลฉันด้วยนะ!”
เธอขยิบตาให้เขาอย่างเขินอาย และเขารู้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงคนนั้นคืออามิรุ ยูซึกิ
Stoicism (ลัทธิสโตอิก) คือแนวคิดปรัชญาที่สอนให้อดทนต่อความยากลําบาก ควบคุมตัวเอง และไม่ปล่อยให้อารมณ์แง่ลบมากวนใจ
อัปสัปดาห์ละ 2-3 ตอน