“เป็นอะไรมุตาหน้าบึ้งมาเชียวอ่อยคุณแซคไม่สำเร็จรึไง” ต้นหลิวแซวคนที่ทำหน้าฮึดฮัดเข้ามา
“อ่อยอะไรใครอ่อยหนูไปบอกให้เขาเข้ามานั่งในร้านเฉยๆ” มุตาพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง เธอไม่ชอบสายตาของผู้ชายคนนั้น ชิ ไม่น่าเดินไปให้เมื่อยเลย
“จ๊ะไม่อ่อยเลย ว่าแต่ท่านประธานกินส้มตำด้วยเหรอวะ” ต้นหลิวถามด้วยความสงสัย หทัยรัตน์คันปากยิกๆ อยากจะพูดว่าเพื่อนเธอเองที่อยากกินแต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่แสดงสีหน้าสงสัยเหมือนกับคนอื่นๆ ภวานาให้ทุกคนอย่าคิดถึงปลายฝนที่ขึ้นไปหาท่านประธานเลย
“เขาก็คนไหม โอ๊ยเจ้ ผมพูดผิดตรงไหน” มาร์คพูดขึ้นก็โดนฝ่ามืออรหันของต้นหลิวเข้า
“ฉันรู้ว่าเขาก็คน แต่คนระดับนั้นมันแปลกไปไหม” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“บางทีท่านอาจจะเป็นคนติดดินก็ได้นะ ท่านเป็นลูกครึ่งไทยไม่แปลกหรอกที่จะกินพวกนี้เป็น” หทัยรัตน์หาข้อแก้ตัวให้
“ก็จริง”
“หล่ออยู่แล้วยิ่งหล่อขึ้นไปอีกนะท่านประธานของเรา ไม่เหมือนเลขา” มุตาชมเจ้านายใหญ่แต่แขวะเลขา
“แหมยัยมุตาพอเขาไม่เล่นด้วยหน่อยก็ว่าเขา” มุตาส่งค่อนให้คนรู้ทัน
“มาแล้วๆ ส้มตำเผ็ดๆ” ส้มตำและอาหารถูกนำมาเสิร์ฟทั้งหมดก็เลิกคุยกันแล้วหันมากินข้าวเพื่อที่จะได้ไปทำงาน แต่สายตาก็อดเหลือบไปมองเลขาของท่านประธานไม่ได้
แซคมองกลุ่มพนักงานของบริษัทที่นั่งกินข้าวอยู่แถมยังแอบมองเขาเป็นระยะเขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงของกรวิทย์และเป็นเพื่อนของพิรุณรัก
ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมเขามาซื้อส้มตำ
“ได้แล้วพ่อหนุ่ม” ป้าเจ้าของร้านเดินเอากับข้าวใส่ถุงมาให้พูดด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงเป็นภาษาไทย
“ครับ” ป้าอ้าปากค้างที่ได้ยินภาษาไทยตอบกลับมา
“พูดไทยได้เหรอพ่อ”
“ครับ นิดหน่อย” แซคตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ เขาก็เคยเรียนภาษาไทยถึงจะไม่เก่งเท่าเจ้านายแต่ก็ฟังออกพูดได้
“โอ้ว ดีจริงนี่จ๊ะทั้งหมดสามร้อยยี่สิบบาท”
“นี่ครับ ไม่ต้องทอน” แซคยื่นเงินให้ คิดในใจทำไมถูกจัง
“ไม่ได้ๆ ต้องทอนป้าไม่ใช่คนเอาเปรียบคนต่างชาติ” ป้ารับแบงก์พันมารีบควานหาเงินทอนในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน
“ไม่เป็นไรครับป้า ผมอยากให้เอาเปรียบ ไปก่อนนะครับ” แซคเดินออกมาทันที เขาเดินเข้าไปในบริษัทก็มีแต่พนักงานมองเพราะคงแปลกใจที่เห็นเลขาท่านประธานถือถุงส้มตำ
“สามเดือนเธอว่ามันมากหรือน้อยเกินไปที่เราจะทำความรู้จักกัน” แกริคคิดว่าเขาจะใช้เวลาสามเดือนในการทำความรู้จักตัวตนของเธอจริงๆ จังๆ
“สำหรับหนูมันน้อยไปค่ะ” พิรุณรักพูดตามความคิดของเธอ สามเดือนสำหรับเธอมันน้อยไปจริงๆ เธออยากอยู่กับเขานานกว่านี้ อยากอยู่ตลอดไปเลยก็ว่าได้ แต่เขาจะให้สิทธิ์นั้นกับเธอรึเปล่าก็อีกเรื่อง
“ใช่ มันน้อยไป ลาออกจากงานเลยดีไหมจะได้ไม่มีปัญหา” แกริคพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อีกคนกลับคิดไปไกลแล้วว่าเขาอยากให้เธอเป็นแค่นางบำเรอของเขาอยู่บนเตียง เวลาสามเดือนเขาคงอยากใช้ให้คุ้ม แล้วคำว่าแฟนของเขามันหมายความว่าอย่างไร
“หนูไม่ลาออกค่ะ หนูบอกแล้วไงคะ หนูไม่ใช่นางบำเรอบนเตียงของคุณ” ตากลมโตกะพริบถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหล ความน้อยใจเสียใจเกิดขึ้นทันทีที่ความคิดแล่นไปถึงจุดนั้น
“นี่ ฉันพูดฉันบอกไปนี่ไม่รับรู้อะไรเลยใช่ไหม” แกริครู้สึกโมโหคนที่เข้าใจยาก คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ
“รู้ค่ะ” ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ก้มหน้ามองตักของตัวเอง
“รู้อะไร บอกฉันหน่อย” เขานั่งลงบนโซฟาแล้วเฉยคางมนของเธอให้เงยขึ้นมาสบตา
“หนู…”
“ฉันบอกไปแล้วไงว่าเธอไม่ใช่นางบำเรอบนเตียง เราเป็นอะไรกันพูดสิ” สายตาอ่อนโยนที่เขาส่งมาทำให้เธอรู้สึกผิดที่พูดออกไปแบบนั้น และก็เข้าใจในทันทีว่าที่เขาพูดหมายความว่ายังไง ความผิดทุกอย่างมันอยู่ที่เธอเอง เธอยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องของเรา
“เรา…”
“เด็กดี อย่าพูดให้ตัวเองดูไร้ค่าอีก ฉันไม่ชอบเข้าใจไหม” แกริคเห็นน้ำตาคลอเบ้าของหญิงสาวแล้วทำให้ใจเขาหล่นวูบ ดึงร่างบางเข้ามากอด จูบลงบนกลุ่มผมของเธอเบาๆ
“ค่ะ หนูขอโทษค่ะ ที่คิดแบบนั้น แต่หนูอยากให้คุณให้เวลาหนูหน่อย คุณก็รู้ว่าเรื่องของเรามันเร็วเกินไปแล้วคุณก็เป็นถึงท่านประธาน” พิรุณรักอธิบายให้เขาฟัง ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าคนนี้คือแฟนเธอ แต่เธอขอทำใจอีกแป๊บกับคำนินทาของคนอื่น ทุกคนต้องว่าเธอจับเขาแน่นอน
“ฉันรู้ ถึงฉันจะอยากประกาศให้คนอื่นรู้แค่ไหนก็ตาม”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ”
“แต่ถ้าถึงสามเดือนแล้ว ฉันมีเรื่องให้เธอตัดสินใจ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน
“เรื่องอะไรคะ”
“ยังไม่บอกตอนนี้ ให้ถึงวันนั้นก่อน”
“บอกตอนนี้ไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ ถ้าอยากให้ฉันบอกตอนนี้ เธอต้องเปิดเผยเรื่องของเราให้คนอื่นรู้ด้วย เลือกเอา” พิรุณรักหน้ามุ่ย
“ก็ได้ค่ะ หนูจะรอ” เธอเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะให้ตัดสินใจเรื่องอะไร
ก๊อกๆ
“แซคคงมาแล้ว”
แซคเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถุงกับข้าวในมือ พิรุณรักเห็นก็วิ่งเข้าไปช่วยถือ
“เรามีจานไหมคะ” เป็นเพราะถ้าจะรับประทานอาหารมีแต่สั่งขึ้นมากินเธอเลยไม่รู้ว่ามีจานรึเปล่า
“น่าจะมีนะครับ เดี๋ยวผมไปหามาให้” แซคเดินออกไปจากห้อง พิรุณรักก็หยิบถุงกับข้าวออกมา เธอสั่งตำไทยใส่พริกแค่เม็ดเดียวมาให้ท่านประธานกับเลขาด้วยกลัวว่าทั้งสองคนจะกินปลาร้าไม่ได้ แล้วก็มีต้มแซ่บ ลาบหมู ตับหวาน ทุกอย่างไม่เผ็ด เธอหวังว่าเขาจะกินได้
“มีอะไรบ้าง” แกริคเดินเข้ามาดูด้วยเห็นหญิงสาวกลืนน้ำลายหลายรอบเลยสนใจ อาหารที่เธอซื้อมามันน่ากินและอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ
“นี่ค่ะ ตำไทยของคุณกับคุณแซค แล้วก็มีต้มแซ่บ ลาบหมู ตับหวาน อ่อ ฉันลืมไปมีไก่ย่างด้วย แล้วก็ข้าวเหนียว ข้าวสวยเผื่อคุณกินไม่ได้” พิรุณรักแนะนำเขาทีละอย่าง แต่คนตัวโตดูเหมือนจะไม่รู้จักสักอย่างเพราะคิ้วเข้มๆ ยังขมวดเข้าหากัน ทำให้เธอรู้สึกกังวล
“สั่งอาหารมาเพิ่มดีไหมคะ หนูกลัวคุณกินไม่ได้”
“ไม่ต้องหรอก ยังไม่ได้ลองเลย อาหารพวกนี้คือที่เธอชอบกินงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ ส้มตำนี่อร่อยมากของโปรดหนูเลย” พูดแล้วทำท่าซีดปาก แค่คิดก็น้ำลายไหล
“มาแล้วครับ” แซคเดินเข้ามาพร้อมกับจานและถ้วย
“มาค่ะ นั่งเลยค่ะ หนูจัดการเอง” พิรุณรักจัดการแกะกับข้าวทุกอย่างเทใส่จาน จัดจานให้ทุกคนเรียบร้อย
“คุณกินข้าวเหนียวหรือขาวสวยดีคะ” คำถามนี้เธอตั้งใจถามทั้งสองคน แกริคมองข้าวที่อยู่ในห่อ
“เธอกินอะไร” เขาทำหน้าครุ่นคิด
“หนูกินข้าวเหนียวค่ะ”
“เอาแบบเธอ” พิรุณรักตาโต
“เคยกินรึเปล่าคะ”
“ไม่เคย”
“ไม่เคยก็กินข้าวสวยดีกว่าค่ะ แค่นี้หนูก็กลัวว่าท้องคุณจะรับไม่ไหวแล้ว”
“เอามาเถอะน่า”
“ให้เจ้านายไปเถอะครับ” ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง
“ก็ได้ค่ะ แล้วคุณแซคล่ะคะ”
“ผมก็อยากลองข้าวเหนียวด้วยครับ” เอาเข้าไป
“งั้นลุยเลยค่ะ”
พิรุณรักจัดการกับข้าวตรงหน้าทันทีเพราะตอนนี้เธอหิวมากแล้ว เลยเที่ยงมาหลายนาทีแล้วด้วยต้องรีบกินแล้วลงไปทำงาน สองหนุ่มได้แต่มองเธอตาปริบๆ
“ทำไมไม่กินล่ะคะ”