เล่ห์รักกลกาล 32

ตอนที่ 32

เมื่อนางเอ่ยประโยคนี้ออกมา ชาวบ้านหน้าประตูทนฟังไม่ได้อีก 

 

 

แต่ละคนโมโหจนหน้าแดงก่ำ ทว่าจนใจไม่กล้าทำอะไร ยืนอยู่หน้าประตูไม่กล้าส่งเสียง อย่างไรคนผู้นั้นก็คือนายอำเภอ ชาวบ้านไม่อาจต่อกรกับขุนนาง  

 

 

เยี่ยเม่ยฟังมาถึงตอนนี้ สีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็งพลันเปลี่ยนไป 

 

 

เดือดดาลเพราะเดียรัจฉานตัวหนึ่ง หาใช่นิสัยของนาง เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่ง “ความหมายของเจ้าข้าเข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อปากสุนัขไม่อาจมีงาช้างงอกออกมา[1] ข้าแนะนำว่าตั้งแต่บัดนี้ไปเจ้าไม่ต้องเอ่ยวาจาอีก” 

 

 

สิ้นเสียงนาง มีดสั้นปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือข้างซ้าย 

 

 

มือขวาบีบคอฮูหยินนายอำเภอ ทำให้นางเจ็บปวดจนต้องอ้าปาก มีดนางตวัดส่งเข้าไปในปาก 

 

 

 “อื้อ อือ…” ฮูหยินนายอำเภออยากร้อง แต่กลับร้องไม่ออก  

 

 

เลือดสดไหลเลอะทั่วหน้าฮูหยินนายอำเภอ 

 

 

เยี่ยเม่ยเก็บมีดสั้นในมือ เสียงเย็นชา “ตัดลิ้นเจ้า ภายหน้าเจ้าจะได้ไม่ต้องเอ่ยวาจาโหดร้ายทำร้ายจิตใจคนดีอีก” 

 

 

นายอำเภอหน้าตาซีดเซียว เขาทนไม่ไหวถอนร่นลงไปหลายก้าว คิดหมุนกายหนีเอาชีวิตรอด 

 

 

ยามนี้ไม่คิดถึงภรรยาร่วมผูกผมของตนอีกแล้ว คิดแต่ว่าตนปลอดภัยไร้เรื่องราว มีชีวิตต่อไป 

 

 

เขาถอยไปได้เพียงสองก้าว เยี่ยเม่ยหันไปมอง “ทำไมกัน ไม่อยากช่วยภรรยาเจ้าหรือไง นางเห็นเจ้าถูกข้าเหยียบ ถึงออกหน้าเอ่ยคำพูดรุนแรง กล่าววาจารุนแรงที่พอจะให้นางตกนรกแล้ว” 

 

 

นายอำเภอหน้าขาวซีด เอ่ยเสียงสั่น “นี่…ข้า…” 

 

 

เขาเองก็ไม่อยากหนีไปลำพัง ทว่าเขาไม่อยากตาย  

 

 

ชาวบ้านหน้าประตูเห็นฉากนี้ ต่างก็ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง รู้สึกเลื่อมใสเยี่ยเม่ยอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ช่างอาจหาญนัก ถึงกับตัดลิ้นฮูหยินนายอำเภอ… 

 

 

แม่นางผู้นี้ทำผิดมหันต์แล้ว แต่เมื่อพวกเขาเห็นครอบครัวนายอำเภอรับผลกรรม ไฉนถึงได้มีความสุขถึงเพียงนี้กัน 

 

 

ฮูหยินนายอำเภอร้องครวญครางเจ็บปวด เมื่อไม่มีลิ้นก็พูดออกไม่เป็นคำ ใช้สายตาอาฆาตมองเยี่ยเม่ย 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง เสียงเย็นเอ่ย “หากเจ้ายังใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าต่อไปอีก กระทบกระเทือนจิตใจข้า ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาแล้ว” 

 

 

พูดจบ มีดสั้นในมือนางหมุนควงอีกครั้ง 

 

 

ฮูหยินนายอำเภอผู้นั้นได้ฟัง กลอกตาครั้งหนึ่ง ตกใจเสียจนหมดสติ 

 

 

เยี่ยเม่ยหัวเราะเย้ยหยัน แม้แต่สายตายังไม่อยากสิ้นเปลืองมองไปยังร่างของสตรีผู้นั้น 

 

 

เยี่ยเม่ยมองนายอำเภอ ถามเสียงเย็น “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าคงไม่อยากให้คำตอบไม่เป็นมิตรของเจ้า ส่งผลให้เจ้าสองสามีภรรยาตายอยู่ที่นี่หรอกกระมัง” 

 

 

เวลานี้นายอำเภอตัวสั่นเทิ้ม กัดฟัน “หญิงชั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป เจ้ามีโทษประหารหัว เจ้ากระทำการโหดร้ายกับครอบครัวขุนนางราชสำนัก ทั้งยังกล้า…” 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่พูดจา สาวเท้าเข้าใกล้เขา 

 

 

จนกระทั่งเหลือระยะห่างเพียงก้าวเดียว ด้วยความหวั่นกลัวต่อความตาย ในที่สุดนายอำเภอก็สติแตกกระเจิง ทรุดตัวลงกระแทกพื้นทันที ร้องไห้เอ่ย “เขาออกนอกด่านไปแล้วลูกชายข้าออกนอกด่านไปแล้ว อาหญิงเล็กของเขาสี่ปีก่อนแต่งงานไปยังต้ามั่ว ยามนี้ต้ามั่วเปิดศึกราชสำนักเป่ยเฉินเรา ดังนั้นพวกเราไม่กล้าติดต่อกับนางอีก ประจวบนางคลอดบุตรชายพอดี ดังนั้นพวกเราแอบส่งเขาไปเยี่ยมญาติที่ต้ามั่วแล้ว” 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกไป เยี่ยเม่ยส่งสายตาสงสัยไปหาเขา ตัวนางเดินไปข้างเขา 

 

 

นายอำเภอเห็นเช่นนี้ ตกใจเสียจนปวดเบา ปลดปล่อยปัสสาวะเรี่ยราด รีบร้อนโบกมือ “อย่า..แค่กๆ อย่าฆ่าข้า ข้าพูดมาทั้งหมดคือความจริง” 

 

 

เขาถูกเยี่ยเม่ยเตะจนบาดเจ็บภายในรวมถึงกระดูกหัก เวลานี้เจ็บปวดเสียจนพูดไม่สะดวก 

 

 

เยี่ยเม่ยมองน้ำปัสสาวะเจิ่งนองอยู่ข้างเท้าเขาอย่างรังเกียจ ถอยหลังไปหลบไปก้าวหนึ่งมองนายอำเภอนิ่งๆ “เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่” 

 

 

ตอนที่สี่คนนั้นถูกนางเผาตาย ก็บอกว่าลูกชายนายอำเภอมีธุระกลับไปก่อนแล้ว 

 

 

นายอำเภอรีบตอบ “สองชั่วยามก่อน” 

 

 

เยี่ยเม่ยคำนวณเวลา ตนส่งเด็กๆ กลับบ้าน ใช้เวลาไปราวหนึ่งชั่วยามกว่า บุตรชายนายอำเภอเดินทางออกจากคฤหาสน์ก่อนได้ครึ่งชั่วยามก็ถูก เทียบเวลาแล้วไม่ผิด 

 

 

จากนั้นเห็นนายอำเภอตกใจจนถึงขั้นนี้ คงไม่โป้ปด 

 

 

นางถามต่อ “ลูกชายเจ้าชื่ออะไร” 

 

 

 “ลู่จื่อเฟิง” นายอำเภอรีบตอบ 

 

 

เยี่ยเม่ยถามต่ออีกว่า “อาหญิงของเขาคือใคร” 

 

 

นายอำเภอร้องไห้ รีบตอบว่า “อาหญิงของเขาคืออนุของเยียลี่ว์ซั่นแม่ทัพอันดับหนึ่งของโย่วอี้อ๋อง เนื่องจากได้รับความโปรดปราน ดังนั้นเมื่อสองแคว้นทำสงคราม นางจึงไม่ได้รับผลกระทบ…” 

 

 

นางเอ่ยเสียงเย็นชา “หากคำพูดของเจ้าเป็นความเท็จ เจ้าจะได้รับรู้ถึงผลที่หลอกลวงข้า” 

 

 

 “ไม่กล้าหลอกแม่นาง แค่ก…แม่นาง แค่กแค่ก…แม่นางปล่อยพวกเราไปเถอะ นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าลูกทรพีก่อไว้ แม่นางต้องการอะไรพวกเราล้วนยกให้ แม่นาง…” นายอำเภอร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อน 

 

 

เยี่ยเม่ยยกขาเหยียบนายอำเภอลงพื้น 

 

 

นางสีหน้าไร้อารมณ์เหยียบนายอำเภอก้าวไป แต่ละฝีก้าวดูไม่หนัก ทว่าแต่ละย่างก้าวนำมาซึ่งเสียงร้องโหยหวนและเสียงกระดูกแตก 

 

 

นางเอ่ยสั่งสอน “นี่คือการสั่งสอนบิดามารดาสารเลว จุดจบของลูกชายพวกเจ้า ล้วนมาจากผลที่พวกเจ้าตามใจเขา” 

 

 

นางเอ่ยจบ เดินเหยียบนายอำเภอไปอีกครั้ง 

 

 

ฝีเท้าเบาๆ ไม่กี่ก้าวนั้น เหยียบเสียจนนายอำเภอสองสามีภรรยากระดูกแตกหักไปครึ่งร่าง ส่วนจะรักษาได้หรือไม่ มีชีวิตอยู่ต่อหรือเปล่า ก็อยู่ที่ชะตาพวกเขาแล้ว 

 

 

ในห้วงความเจ็บปวดนั้น นายอำเภอมองเยี่ยเม่ย “เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรกับลูกชายข้า” 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่หันหน้ากลับมา ตอบเสียงเย็นว่า “ฆ่าเขา ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ตาม” 

 

 

         สิ้นเสียงนาง นายอำเภอหน้าสลดลง เดิมเขาคิดว่าสตรีนี้เมื่อได้ยินว่าลูกชายเขาออกนอกด่านไปแล้ว จะวางมือ คิดไม่ถึงว่า… 

 

 

พอคิดว่าอาจเป็นเพราะตนบอกร่องรอยของลูกชายไป ทำให้ลูกตาย ทำให้ตระกูลลู่ของเขาสิ้นผู้สืบทอด เวลานี้เขาเจ็บปวดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ สิ้นสติสมประดีไปภายใต้ความเศร้าสลด 

 

 

เยี่ยเม่ยเดินถึงหน้าประตูใหญ่ พวกสมุนที่พานางมากำลังสั่นเทิ้ม ไม่กล้ามองนาง 

 

 

เดิมทีพวกเขาคิดว่าเยี่ยเม่ยจะลงมือสั่งสอนพวกเขา คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยเดินมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา ไม่มองแม้สักนิด 

 

 

พวกเขายังไม่ทันดีใจ 

 

 

ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “เชื่อว่านายอำเภอคงรู้ว่าพวกเจ้าพาข้ามา เรื่องจัดการพวกเจ้า ข้าก็ไม่ต้องลงมือ” 

 

 

คราวนี้พวกลูกสมุนทรุดตัวกระแทกพื้น ร้องไห้ออกมา 

 

 

จากฝีมืออำมหิตของนายอำเภอกับฮูหยิน พวกเขายังเหลือชีวิตอีกหรือ 

 

 

   …… 

 

 

เยี่ยเม่ยเดินออกจากประตูที่ว่าการ เห็นข้างทางมีม้าขาย ล้วงเงินซื้อม้าตัวหนึ่ง นางควบม้าทะยานออกไปนอกด่าน 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในที่ลับตา มองมาไกลๆ ส่งสัญญาณให้อวี้เหว่ยจูงม้า 

 

 

เขาเพิ่งขึ้นม้า หัวหน้าทหารผู้หนึ่งเข้ามา คุกเข่าเบื้องหน้าเขา “องค์ชายสี่ พวกเราเผชิญหน้ากับต้ามั่วมาสามวันแล้ว เรื่องสงครามไม่อาจล่าช้า ข้ามาขอคำสั่งออกทัพ” 

 

 

องค์ชายสี่ได้ฟัง ปรายตามองเขา ถามด้วยเสียงเนิบว่า “เผชิญหน้ากันไม่ดีหรือ เหตุใดต้องนำทหารออกเข่นฆ่าด้วยเล่า ไฉนเจ้าไม่รู้จักเอาอย่างเยี่ยน มีความรักและใจกว้างกับคนต้ามั่วสักหน่อย” 

 

 

หัวหน้าทหารผู้นั้นกระตุกมุมปาก คนต้ามั่วมาเข่นฆ่าชิงเสบียงกับเป่ยเฉิน ยังต้องใจกว้างปล่อยไปอีก 

 

 

อวี้เหว่ยหน้าชา รีบเข้าไปเตือน “เตี้ยนเซี่ย หากแม่นางผู้นั้นจะไปฆ่าคนที่เยียลี่ว์ซั่น เกรงว่าต้องเผชิญกับทหารม้านับพัน หากพวกเราออกศึกก็อาจช่วยนางได้” 

 

 

เขาเอ่ยคำพูดออกไป 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว มองไปทั่วหน้าทหารผู้นั้นช้าๆ เอ่ยปาก “ตอนนี้ไปเตรียมตัวได้ ออกรบกับต้ามั่ว ข้าจะนำทัพฆ่าเยียลี่ว์ซั่นด้วยตัวเอง” 

 

 

หัวหน้าทหารสงสัย “เตี้ยนเซี่ย เมื่อครู่มิใช่ท่านบอกว่าต้องใจกว้างกับต้ามั่วไม่ใช่หรือ” 

 

 

องค์ชายสี่ได้ฟัง ตอบไม่ยี่หระว่า “ใจกว้างกับคนของต้ามั่ว สำหรับข้าแล้วออกจะเสแสร้งเกินไป” 

 

 

ทุกคน “…?” 

 

 

อวี้เหว่ยกลอกตา เสียงเบาบ่นอุบ “แท้จริงก็เพื่อแม่นางท่านใช่หรือไม่…” 

 

 

หัวหน้าทหารมุมปากกระตุก ไม่พร่ำมากความ รีบตอบรับ “ขอรับ ข้าจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” 

 

 

 

 

 

[1] คนไม่ดีไม่มีทางพูดคำดีออกมา 

เล่ห์รักกลกาล

เล่ห์รักกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 121 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ขณะเดินทางกลับจากทำภารกิจ เฮลิคอปเตอร์ที่ เยี่ยเม่ย นักฆ่าสาวจากโลกปัจจุบันนั่งก็ปะทะเข้ากับพายุและเกิดการขัดข้องจนตกลงไปในน้ำวนบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นยังไม่น่าแปลกเท่าไหร่ สิ่งที่ประหลาดกว่านั้นคือเธอกลับทะลุมิติเข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์หน้าไหนๆ และได้พบกับเขา ชายหนุ่มฉายาปีศาจร้ายกระหายเลือดผู้เป็นองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์เป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน การพบกันของทั้งคู่เป็นจุดเริ่มต้นในการไขปริศนาความทรงจำที่หายไปของเยี่ยเม่ย เพราะอะไรเธอถึงต้องมาที่นี่และตัวเธอเกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกนี้ ปริศนานี้เธอจะต้องไขมันให้ได้

กล่าวกันว่าความบังเอิญไม่มีในโลก หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเธอ?

Options

not work with dark mode
Reset