เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)บทที่ 132 ฉันอยากนั่งบนบัลลังก์ราชารอพวกเขา

บทที่ 132 ฉันอยากนั่งบนบัลลังก์ราชารอพวกเขา

บทที่ 132 ฉันอยากนั่งบนบัลลังก์ราชารอพวกเขา
หลังจากเลือกหุบเขาลึกลับเป็นฟาร์มเพาะปลูกพืชปราณกำเนิด และจัดการให้ครอบครัวหนูภูเขาเป็นเจ้าหน้าที่แนะนำทางเทคนิค ฟางหนิงก็ปล่อยเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชปราณกำเนิดให้พวกประธานจ้าวดูแล

ในเมื่อมันเป็นงานระยะยาว ยังมองไม่เห็นความคืบหน้าในสิบวันหรือครึ่งปี เขาไม่มีความอดทนที่จะเฝ้าดูมันทุกวันหรอก

เขากับระบบทำงานประจำวันโดยการเปิดแผนที่ต่อไป แน่นอนว่าระบบเป็นฝ่ายทำงาน ส่วนเขาแค่ออกมาดูเป็นครั้งคราว…

นี่เป็นงานระยะยาวเช่นกัน การจะเปิดแผนที่ทั่วประเทศนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก ถ้าไม่ใช่เพราะระบบมีความอดทนอันไร้ขีดจำกัด ขืนให้ฟางหนิงทำเองล่ะก็ ทำได้ไม่เกินสามวันแน่นอน

ดูสิ หลังจากทำฟาร์มแผนที่เมืองเถามาตั้งหลายวัน ผ่านไปหลายสัปดาห์ก็มาถึงขั้น “ความไว้ใจ” กลายเป็นแผนที่ระบบที่เปิดอย่างเป็นทางการแห่งที่สาม ซึ่งรวมเข้ากับแผนที่เมืองฉี

ฟางหนิงกำลังคิดหาวิธีเร่งความเร็วขั้นตอนนี้ และอยู่ๆ วันหนึ่งเจิ้งต้าวก็ส่งอีเมลหัวข้อ “จดหมายเชิญแข่งขันรายการอันดับมืด” มาขัดจังหวะความคิดของเขา

ฟางหนิงเปิดอีเมลและอ่านข้อความต่อไปนี้

“ท่านเทพมังกรที่เคารพ

ผมดีใจที่ได้ทราบว่าท่านชนะราชาอันดับมืดปีที่แล้ว การแข่งขันจัดอันดับมืดปีนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ท่านได้รับการแนะนำจากบุคคลสำคัญและจะเข้าสู่ตำแหน่งผู้ท้าทายระดับอาวุโสโดยอัตโนมัติ จึงขอเชิญท่านให้เกียรติเข้าร่วม

หากท่านประสงค์จะเข้าร่วม กรุณาตอบกลับอีเมลนี้ด้วย แล้วเราจะส่งเวลาและสถานที่ของการแข่งขันในปีนี้ไปให้คุณ

หมายเหตุ: รางวัลในแต่ละปีของการแข่งขันราชาอันดับมืดคือ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งสิทธิ์ใช้เกาะสวรรค์หนึ่งปี รางวัลอื่นมีดังนี้… รางวัลอันดับสองถึงอันดับเก้าของอันดับมืดได้แก่…. รางวัลผู้ชนะแต่ละสนามมีดังนี้…”

ระบบ “รีบเข้าร่วมเลย”

ฟางหนิง “แกโง่จริงๆ สินะ นี่มันหลุมพรางชัดๆ ทำไมมันถึงมาเวลานี้ล่ะ มันมาหลังจากที่เราฆ่าแอนเดอร์สันแล้ว รอฉันสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ฟางหนิงเคยเห็นจากหลายกระดานสนทนามาก่อนแล้วว่าต่างประเทศมีการแข่งขันผู้วิเศษเชิงพาณิชย์มากมายแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ อย่างน้อยการโฆษณา การเชิญคนดังมาโปรโมตย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะอิทธิพลของมันยังเทียบกับรายการแข่งขันกีฬาที่มีชื่อเสียงอย่างการชกมวยและฟุตบอลไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พลังพิเศษ สามารถดึงดูดเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงจำนวนมากให้ไปชมงานได้

แต่เสินโจวกลับเข้มงวดมากกับเรื่องพวกนี้ ยังไม่มีใครจัดการแข่งขันผู้วิเศษเชิงพาณิชย์เช่นนี้ได้

แต่แล้วคราวนี้จู่ๆ ก็มีคำเชิญเข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะชื่อเสียงของอัศวิน A โด่งดังมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขา หรือบางทีพวกอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดตลาดเศรษฐีเสินโจว แต่ฟางหนิงกลับรู้สึกว่าอาจมีใครบางคนกำลังวางแผนร้ายกับอัศวิน A เพราะมันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป

ในเมื่อเป็นการแข่งขันของต่างประเทศ อย่างนั้นแอนเดอร์สันที่อยู่ต่างประเทศตลอดคงพอทราบข่าวคราวบ้าง น่าจะไปลองถามอีกฝ่ายดู

ฟางหนิงมาถึงคุกของระบบ คราวนี้แน่นอนว่าเขาใช้ร่างมนุษย์ คราวที่แล้วมีเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมันสบายกว่าที่จะใช้ร่างมนุษย์

เวลานี้คุกของระบบมีหน้าตาเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนมีเพียงไม่กี่ห้องขัง แต่ตอนนี้มีรูปแบบของเรือนจำ และมีคุณสมบัติพอที่จะเรียกว่า “เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์”…

กำแพงหินภูเขาไฟที่แข็งแกร่งหลายสีสันสูงตระหง่านล้อมรอบแยกสัดส่วนภายในกับภายนอก ปิดล้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ในพื้นที่ของระบบ

ประตูไม้สีเหลืองเข้มบนกำแพงนั้น มีเพียงฟางหนิงที่มีสิทธิ์เข้าถึงประตูไม้บานนี้ได้ ดูเผินๆ เหมือนทำลายได้ด้วยฝ่ามือเดียว แต่ฟางหนิงเคยลองดูแล้วกลับไม่มีทางทำเช่นนั้นได้เลย

หลังประตูไม้มีถนนสายหลักที่สว่างสดใสมุ่งสู่ด้านใน ​​”เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์”

สองข้างทางของถนนสายหลักในตอนนี้มีห้องขังเดี่ยวมืดสนิทฝั่งละเก้าห้อง รวมทั้งหมดเป็นสิบแปดห้อง

นอกจากติดถนนใหญ่แล้ว ยังมีทางเดินเล็กที่นำไปสู่ห้องอื่นๆ

ภายในพรั่งพร้อมไปด้วยห้องทำงานของนักโทษ ห้องสอบสวน ห้องลงโทษ ห้องเรียน โรงอาหาร… แต่โรงอาหารกลับว่างเปล่า เพราะไม่มีอะไรจะกินได้ ตอนนี้นักโทษพวกนี้จึงได้แต่อดทน…

ห้องสอบปากคำมีอุปกรณ์ครบครันที่สุดและยังมีห้องเรียนอีด้วย ทั้งสองห้องนี้ติดตั้งเครื่องมือทรมานวิญญาณ 18 ประเภทที่แอนเดอร์สันคิดค้นขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการทรมานวิญญาณ 18 ประเภท ตามที่ฟางหนิงกำชับ ทั้งหมดนั้นอัดแน่นด้วยความโกรธแค้น

ฟางหนิงอยากให้พวกคนชั่วเข้าใจความโกรธของญาติผู้ถูกทำร้ายเป็นอย่างดี จะได้รู้ว่าความผิดของตนเองหนักหนาสาหัสเพียงใด แอนเดอร์สันได้ยินแบบนั้นก็บอกว่าพัศดีฉลาดมาก…

ฟางหนิงมาถึงนอกห้องทำงานของพัศดีแต่ไม่เข้าไป

เพราะความสามารถในการทำงานของแอนเดอร์สัน เขาจึงถูกจัดให้อยู่ในห้องทำงานของพัศดีที่ใหญ่และกว้างกว่าซึ่งมีชั้นหนังสือหลายชั้น ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นแบบขยายใหญ่ของห้องขังเดี่ยว

แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อระบบ แต่ถึงอย่างไรฟางหนิงก็ไม่ไว้ใจอัจฉริยะที่ชั่วร้ายนี้เด็ดขาด จนกว่าฟางหนิงจะแข็งแกร่ง เขาไม่มีทางปล่อยให้นักโทษรายนี้ออกมาพบกับตัวเองตามลำพัง

อย่างไรก็ตาม ความคิดทางจิตของหมอนี่ไม่ได้ถูกระบบจำกัด มันยังคงใช้ความคิดทางจิตเพื่อทำงานจากระยะไกลได้ เหมือนกับความคิดทางจิตที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา

ส่วนห้องอื่นๆ ที่มีชื่อเรียกต่างกันไปนั้น ยังคงเป็นห้องขังเช่นเดิม เพียงแต่อุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในแตกต่างกัน จึงมีหน้าที่แตกต่างกันไปและถูกเรียกด้วยชื่อต่างกัน

“หัวหน้าเรือนจำ” แอนเดอร์สันเรียก “อ้อ ที่แท้ท่านพัศดีนั่นเอง วันนี้อยากฟังรายงานไหม”

ฟางหนิง “เล่ามาสิ”

แอนเดอร์สัน “ขณะนี้มีนักโทษรวม 18 คนใน “เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์” รวมถึงผู้แข็งแกร่งระดับสระน้ำหนึ่งคน ผู้เล่นระดับถังน้ำสองคน ผู้เล่นระดับช้อนส้อมแปดคน และผู้เล่นระดับถ้วยเจ็ดคน ปัจจุบันผู้ต้องขังทั้งหมดสภาพจิตอยู่ในเกณฑ์ดีและอารมณ์มั่นคง รายงานจบเท่านี้”

ฟางหนิงพยักหน้าหลังจากได้ฟังรายงาน หมอนี่ซื่อสัตย์มาก ไม่ใช่เพราะได้เลื่อนตำแหน่งจึงเลิกทำตัวเป็นนักโทษ ตอนนี้จำนวนคนเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย ต้องขอบคุณระบบที่ทำงานหนักทั้งวันทั้งคืน

ฟางหนิง “นายจัดการได้ดี อีกไม่นานพวกเขาจะมีประโยชน์มาก”

ใช่แล้ว ตอนนี้พวกคนบาปยังว่างอยู่ เพราะวัตถุดิบปราณกำเนิดราคาถูกยังไม่ปล่อยออกมา เพื่อให้พวกวิญญาณทำกิจกรรมที่มีความแข็งแกร่งสูงอย่างการเก็บเหรียญทองในเกม การสูญเสียนั้นเร็วเกินไป และการใช้ปราณกำเนิดก็เสียมากกว่า ฟางหนิงจึงไม่ย้ายคนพวกนี้ไปเก็บเหรียญทอง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ว่างเสียทีเดียว เมื่อใดก็ตามที่ระบบทำแผนที่ความโกรธได้น้อย ฟางหนิงจะขอให้แอนเดอร์สันหาข้ออ้างที่จะให้เครื่องมือทรมานวิญญาณแก่พวกคนบาป จากนั้นความโกรธก็จะ “พลุ่งพล่าน” ทันที …

แอนเดอร์สัน “ขอบคุณที่ท่านชม”

ฟางหนิง “จริงสิ แอนเดอร์สัน ถามอะไรหน่อย นายรู้เรื่องการแข่งขันอันดับมืดไหม”

แอนเดอร์สันพูดสบายๆ “อ๋อ ผมรู้จักแน่นอน ปีที่แล้วขาดเงินทุนทดลองและยังสปอนเซอร์แย่อีก ของบประมาณเพิ่มเติมเท่าไหร่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติสักที ฉันพาคนไปที่นั่นเพื่อหาเงินก้อนหนึ่ง เงินรางวัลไม่น้อยแต่สิทธิ์ใช้เกาะพาราไดซ์ฉันให้คนประมูลไป สิทธิ์ใช้เกาะหนึ่งปีขายได้ 800 ล้านดอลลาร์ มากกว่าเงินรางวัลตั้งหลายเท่า”

ฟางหนิงได้ยินอย่างนั้นก็ตกตะลึง แอนเดอร์สันเป็นราชาแห่งอันดับมืดปีที่แล้วจริงๆ ดูเหมือนว่าทุกสาขาอาชีพขอแค่ไปถึงจุดสูงสุดได้ ความสามารถในการสูบเงินก็เกินกว่าจะจินตนาการได้

ฟางหนิง “ที่นั่นอันตรายไหม มันเป็นยังไงบ้าง”

แอนเดอร์สัน “ไม่มีอันตรายอะไร มันเป็นการแข่งขันผู้วิเศษโลกมืดที่องค์กรนานาชาติใหญ่หกแห่งร่วมกันจัดขึ้น จัดขึ้นปีละครั้งตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี ผู้เล่นมาจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงสถาบันทางการของแต่ละประเทศก็จะส่งคนเข้าร่วมอย่างลับๆ เพื่อออกไปดูโลกกว้าง

“พูดถึงในแง่ของความตื่นตาตื่นใจ มันเหนือกว่าการแข่งขันทั่วไปมาก แต่มันถูกจำกัดโดยสำนักงานสหพันธ์นานาชาติอย่างลับๆ จึงเปิดเผยไม่ได้ เฉพาะมหาเศรษฐีระดับสูงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับเชิญให้ไปชมเกม อีกอย่างขนาดของเงินทุนยังไม่มากพอ

“โชคดีที่สำนักงานสหพันธ์นานาชาติกำลังค่อยๆ คลายข้อจำกัด และในอนาคตจะเชิญมหาเศรษฐีให้เข้ามาชมเกมมากขึ้น คิดว่ามันคงเป็นงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น”

ฟางหนิงครุ่นคิด “อย่างนี้นี่เอง งั้นปีที่แล้วนายชนะที่หนึ่งมาได้ยังไง”

แอนเดอร์สัน “ความสำเร็จเล็กน้อยไม่ควรค่าที่จะเอ่ยต่อหน้ามังกรแท้ ถึงตอนนี้คู่ต่อสู้จะเป็นเพียงเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้น พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรกับความคิดทางจิตของผมได้ ไม่มีใครทำได้เหมือนท่าน มีเพียงต้องสู้จนตัวตายเท่านั้น”

“ผมจำได้ว่าคนที่ต้านได้นานที่สุดทำได้ต่อเนื่อง 18 ครั้ง ถ้าพิธีกรไม่ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้เสียก่อน ดาบสุดท้ายของผมคงจะหั่นครึ่งมัน เดิมทีปีนี้ผมอยากจะไปโกยเงินมหาศาลที่นั่น แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันต้องมาอยู่ที่นี่”

ฟางหนิง “อ้อ นายอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ”

แอนเดอร์สัน “ท่าน ท่าน ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ถ้าท่านสนใจการแข่งขันนั่น ผมสามารถออกไปช่วยท่านต่อสู้ในสังเวียนได้ เราแบ่งส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่งก็ได้ ท่านเก้า ผมหนึ่ง เดี๋ยวก่อน ท่านพัศดี ช้าก่อน ผมไม่เอาส่วนแบ่ง ขอแค่ให้ผมออกไปเดินเล่นก็ได้…”

ฟางหนิงสงวนท่าทีสง่างามเอาไว้ แล้วเดินจากไป

ทันทีที่ฟางหนิงเดินออกจากพื้นที่คุกของระบบ ระบบก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ไปเถอะ รีบไป แอนเดอร์สันคว้าที่หนึ่งได้มาง่ายๆ เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันแน่นอน จากนี้ไปฉันจะนั่งบนบัลลังก์ราชารอคอยพวกเขาทุกปี”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “อย่า อย่าโม้ให้มันมากนัก แน่ใจได้ไงว่าจะไม่พลาด แอนเดอร์สันเป็นที่หนึ่งได้เพราะวิธีตัดความคิดทางจิตของเขา ในสภาพการแข่งขันอย่างนั้น ควบคุมคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ได้ง่ายมาก

“แต่แกไม่มีความเร็วการโจมตีเท่าเขา ถ้าเจอคู่ต่อสู้เก่งๆ สู้ไม่ชนะหนีก็ไม่พ้น จะทำยังไง”

ระบบ “ฮ่าฮ่าฮ่า โฮสต์โง่จริงๆ… ตอนนี้ถ้าระบบเจอคู่ต่อสู้ที่สู้ไม่ได้ ก็หนีได้สบายๆ แน่นอน”

ฟางหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “แกเป็นเทพแห่งการเรียนรู้ในการต่อสู้ มิน่าทำไมแกถึงให้คุณค่ากับทักษะในตำนาน “ช่วยเหลือพันลี้” มากขนาดนั้น และยังเน้นย้ำถึงประโยชน์ของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง

“ทักษะไพ่ตายระดับกลยุทธ์ “ช่วยเหลือพันลี้” ที่จริงแล้วเปลี่ยนเป็น “หลบหนีพันลี้” ได้ ตราบใดที่ก่อนต่อสู้ทุกครั้ง เตรียมหมาดำไป๋หลี่ให้อัญเชิญมังกรก่อนการต่อสู้ให้พร้อมทุกครั้ง …

ระบบ “เอ๊ะ โฮสต์การรับรู้ของคุณในด้านการต่อสู้กำลังจะตามระบบทันแล้ว…”

ฟางหนิง “ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องไหนที่ฉันต้องการเรียนรู้ ก็ไม่มีอะไรที่ฉันเรียนไม่ได้”

ระบบ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นโฮสต์ก็เรียน “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” เล่มนั้นละกัน เจ้าหมาเหลือเซวียปาเรียนรู้แล้วพอดี ส่วนเจิ้งต้าวก็กำลังจะเรียนพื้นฐาน มีแต่โฮสต์กับหมาดำไป๋หลี่ที่ผัดวันประกันพรุ่ง เริ่มเรียนรู้ด้วยกันตอนนี้เลย มี “ช่วยเหลือพันลี้” แล้ว แต่ระบบก็ยังต้องการสล็อตพลังปราณอีก”

ฟางหนิง “…เรียนก็เรียน ฉันเทียบกับหมาไม่ได้เลยรึไง”

…………

ณ เทียนฮุ่ยวิลล่าในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งของเมืองจี้ วันสิ้นปีผ่านไปแล้วและปีใหม่มาถึง ในสถาบันฝึกอบรมพิเศษของสำนักสัจธรรมก็เช่นกัน นี่เป็นการสอบครั้งแรกของปีใหม่และเป็นบทสรุปของปีที่แล้ว

พี่น้องเฉียวจื่อซาน ผู้ฝึกสอนไห่หลาน และยังมีน้องชายของเธอไห่เฉิงต่างก็นั่งในที่นั่งผู้ชมเฝ้าดูการแข่งขันของเยาวชนรุ่นใหม่บนเวที

เหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ล้วนกล้าหาญสง่างาม ทั้งหมดอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ มีกำลังวังชาแข็งแกร่งกำยำ

พวกเขาได้รับการศึกษาและทำงานร่วมมือกัน เคารพกฎระเบียบไม่มีใครหาเรื่องทะเลาะต่อยตีกัน

การแข่งขันมีทั้งน่าเบื่อและน่าตื่นเต้น แต่ไม่ว่าเรียกใครออกมาก็ตาม ในสายตาของผู้ชมพวกเขาจะสามารถบดขยี้ทหารไร้สังกัดมากมายที่อยู่ข้างนอกได้แน่ แต่แน่นอนว่าไม่รวมถึงยอดฝีมือบางคน

พวกเขาเป็นอนาคตของสำนักสัจธรรม เป็นแกนหลักอย่างแท้จริง ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนาที่สุดในอนาคตด้วย

ไม่เพียงแต่กฎทหารเท่านั้นที่จำกัดพวกเขา แต่ยังเป็นการจำกัดทางจิตวิญญาณที่ทุกคนยอมรับโดยสมัครใจ แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ยอมรับจะเก็บไว้ไม่ได้ ได้แต่ส่งไปเป็นสมาชิกกลุ่มพื้นฐานเท่านั้น

เฉียวจื่อซานดูอยู่พักหนึ่งก็พอใจมาก พวกเขามีความสามารถสูงและยังขยันขันแข็งมาก ยังมีวิธีการฝึกอบรมที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด ความแข็งแกร่งของพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ในความเห็นของเขา มีหัวกะทิไม่กี่คนที่ความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเขาแล้ว

เขาหันไปถามไห่เฉิง “อาเฉิง ในความคิดของอา พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนเหรอ”

ไห่เฉิงกวาดตาดูแล้วพยักหน้า “คนพวกนี้เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการคัดเลือกจากทั่วเสินโจว คุณสมบัติการฝึกฝนปราณชีวิตของพวกเขาอย่างน้อยก็ระดับ C คู่ ในเวลานี้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลายคนถึงระดับ C แล้ว มีสามคนน่าจะไม่ด้อยกว่าเธอแล้ว ถ้าไม่นับดวงตาศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าอาอีกมาก”

“แค่พวกเขายังขาดประสบการณ์การต่อสู้จริงๆ เท่านั้น ถ้าพวกเขาออกไปต่อสู้ตอนนี้ ถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับคนอย่างแอนเดอร์สัน เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้ยับเยิน ถ้าไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ของเรา เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะพุ่งเข้าสนามรบทันที และนั่นจะเป็นการส่งคนไปตายอย่างไร้ค่า”

……………………………………………………………….

บทที่ 131 การเดินทางของฉันคือทะเลแห่งดวงดาว
หลังจากที่หวงรุ่ยกลับไปแล้ว พ่อบ้านเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

ฟางหนิงต้องการสิทธิ์ควบคุมร่างกายของเขา ถามขึ้น “ว่าไง พ่อบ้านเจิ้ง คุณคิดว่าตาแก่นั่นพูดมีเหตุผลเหรอ”

พ่อบ้านเจิ้ง “ตามความรู้สึกของผม แม้ว่าคำพูดของเขาจะเกินจริงไปบ้าง ทั้งพฤติกรรมก็ยังดูแปลก แต่ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล”

ฟางหนิงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แล้วลุกขึ้นเงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาพูดได้ดีทีเดียว แต่นั่นเป็นเพียงความเห็นของคนธรรมดาเท่านั้น เขามองเห็นแค่พื้นที่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แต่ฉันมองเห็นทะเลดวงดาว…”

พ่อบ้านเจิ้งได้ยินก็รู้สึกงงงันในตอนแรก แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจ พยักหน้าแสดงความชื่นชม “นายท่านเป็นคนมองการณ์ไกล ผู้น้อยไม่อาจเทียบได้ จึงทำได้แค่ติดสอยห้อยตามเท่านั้น”

ฟางหนิงโบกมือให้เจิ้งต้าวไปทำงานแล้วคืนร่างกายให้ระบบ

ระบบสงสัย “โฮสต์ เมื่อกี้คุณแกล้งอีกแล้วเหรอ”

ฟางหนิง “ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่เห็นเหล่าเจิ้งตกใจเหรอ สายตาของฉันมองการณ์ไกลจริงๆ ระบบเล็กๆ อย่างแกไม่เข้าใจหรอก”

ระบบ “ระบบคิดเสมอว่าโฮสต์กำลังพล่ามเรื่องไร้สาระ…ช่างเถอะ ตอนนี้ระบบจะไปฝึกต่อแล้ว อย่าลืมล่ะ ครั้งหน้ามีคนมาให้เงินถึงประตูก็อย่าลืมรับไว้”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “เข้าใจแล้วน่า อัศวิน A ต้องการแค่เงิน เขาไร้ยางอาย โชคดีที่ฉันไม่ได้ใช้สถานะที่แท้จริงของฟางหนิง…”

…………

อัศวิน A ถูกระบบครองร่างเพื่อจับปีศาจและเปิดแผนที่ต่อไปตามปกติ ขณะที่ฟางหนิงไม่มีอะไรทำ เขาจึงเตรียมจะไปเล่นเกม “Beasts Fighting for Heroes” อีกสักสองสามตา เพราะเขาไม่ได้เล่นมาพักหนึ่งแล้ว

หลังจากจับบอสได้สำเร็จ ฟางหนิงก็ดูอนิเมชั่นตอนจบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหวนคิดถึงวันนั้นที่เห็นสำนักงานสัจธรรมส่งต่อฉากของสัตว์ร้ายในนั้นแทบจะเหมือนกับของบอสเลย สำนักสัจธรรมทำอย่างนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่

เมื่อรวมกับคำตอบก่อนหน้าของแอนเดอร์สัน เขาพอจะมีคำตอบอยู่บ้าง ตอนนี้เพียงรอดูว่าเมื่อไหร่คำตอบนี้จะกลายเป็นความจริง

ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆ QQ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เป็นประธานจ้าวส่งข้อความ QQ ให้ตัวตนที่แท้จริงของฟางหนิง

ประธานจ้าว “หลานชายที่รัก ช่วงนี้ฉันกับตาอ้วนหลิวเพิ่งถูกใจที่ดินบนภูเขาสามแห่ง คิดว่าจะเลือกหนึ่งแห่งเพื่อลงทุนในฟาร์มพืชผลปราณชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำธุรกิจนี้ รู้สึกไม่มั่นใจเลย ป้าของเธอตัดไปได้แค่หนึ่งที่ อีกสองที่ลังเลยังตัดสินใจไม่ได้”

ฟางหนิง “อ้อ คุณลุงอยากให้ผมเชิญอัศวิน A มาช่วยดูใช่ไหม”

ประธานจ้าว “อ่า…เสี่ยวฟาง เธอเป็นเถ้าแก่มาครึ่งปีแล้วสินะ ฉลาดมากทีเดียวๆ ลุงหมายความว่าใครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการตัดสินระดับความเข้มข้นของปราณชีวิต นอกจากมังกรแท้ยังจะมีใครได้อีกเหรอ แน่นอน เราจะไม่เชิญเขาเปล่าๆ เราจะมอบหุ้นของเราให้ด้วย”

ฟางหนิงตอบกลับ “เรื่องนี้ไม่ยาก ผมจะติดต่ออัศวิน A ให้ ลองถามว่าเขาจะตกลงไหม”

ประธานจ้าว “อืม เสี่ยวฟางรบกวนด้วยนะ”

ฟางหนิงไม่ได้ “ลำบาก” เลยสักนิด เขาแค่ตะโกนเรียกระบบเท่านั้น

“อุตสาหกรรมพืชผลปราณชีวิตกำลังจะเปิดแล้ว ลองไปดูสถานที่หน่อยไหม พวกเขายังบอกด้วยว่าจะให้หุ้นฟรีๆ เรื่องนี้คงไม่รบกวนการฝึกบำเพ็ญใช่ไหม”

ระบบ “ไม่รบกวนเลยสักนิด อยู่ไหนล่ะ จะไปเมื่อไหร่”

ฟางหนิงคิดจะถามประธานจ้าว แต่เขาจะติดต่อกลับไปเร็วขนาดนี้ไม่ได้ มันดูปลอมเกินไป…

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาจึงตอบประธานจ้าวกลับไป “อัศวิน A ตกลงแล้ว คุณลุงช่วยระบุที่อยู่โดยละเอียดและเวลานัดพบมาให้ผมหน่อยนะครับ”

ประธานจ้าวประหลาดใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ตอนแรกเขาไม่มีความหวังมากนัก เพราะหากไม่สำเร็จ เขาจะขอให้ใครสักคนติดต่อหม่าเต้าฉางแห่งจื่อซานกวน

เพราะได้ยินมาว่าอีกฝ่ายดูฮวงจุ้ยเก่งมาก เร็วๆ นี้เขากำลังจะมาที่เมืองฉีเพื่อช่วยตระกูลฉีที่ประสบปัญหาการปลูกวัตถุดิบยา ประธานจ้าวจึงคิดว่าจะถือโอกาสนี้เชิญเขามาเสียเลย

หากแต่เขาก็คิดว่าอัศวิน A เป็นมังกรแท้ เพราะฉะนั้นความสามารถย่อมมากกว่า แต่ต้องอาศัยการขอร้องอย่างจริงใจและให้ค่าตอบแทนเพิ่ม เท่านี้ก็สามารถกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะลืมตัวเองและคนอื่นถ้าไม่ได้ติดต่อกันนาน

แต่ระบบนั้นจำได้แม่นยำเสมอว่าใครที่ให้เงินมันบ้าง เพราะฉะนั้นประธานจ้าวจึงไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะลืมตนเองเลย แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้…

…………

สามวันต่อมา ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆลมเอื่อย

ประธานจ้าว ตาอ้วนหลิว คุณนายจ้าว อัศวิน A มนุษย์กลไกตัวแทนฟางหนิง และกลุ่มบอดี้การ์ดในชุดสีดำก็ยืนอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งกำลังทอดมองสายตาไปยังภูเขาที่อยู่ไกลๆ

นี่เป็นแห่งที่สามแล้วที่พวกเขามาดู

ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลทางตอนใต้ของเมืองฉี ยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่มีแม้แต่หมู่บ้านในแถบนี้ ทางหลวงใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตร เรียกได้ว่าทุรกันดารมากทีเดียว

ทุกคนยืนห้อมล้อมอัศวิน A ท่าทางเคารพนับถือมาก

คุณนายจ้าวก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าพลังของเธอจะเหนือกว่าคนธรรมดา แต่เธอกลับให้เกียรติเขายิ่ง เพราะอาศัยความสัมพันธ์สายเลือดปีศาจงู เธอยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันตามธรรมชาติของอีกฝ่าย

ประธานจ้าวแนะนำ “ภูเขารกร้างแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่สองหมื่นไร่ หน่วยงานท้องถิ่นยินดีทำสัญญากับเราในราคาถูกมากแทบจะไม่คิดเงิน ขอเพียงรับประกันว่าจะใช้สำหรับการพัฒนาพืชผลที่มีปราณกำเนิด ไม่เพียงแต่ให้เช่าได้ห้าสิบปีเท่านั้น แต่ยังยินดีสนับสนุนเงินทุนพัฒนาก้อนหนึ่งอีกด้วย และยังอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนน ประปาและไฟฟ้า”

ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินก็รู้ว่าเงินทุนเริ่มถูกย้ายจากเบื้องบนอย่างเห็นได้ชัด เสินโจวมีข้อได้เปรียบอย่างนี้ เบื้องบนมีทรัพยากรมากที่สุดและค่อนข้างง่ายที่จะปรับให้เข้ากับอุตสาหกรรมเกิดใหม่บางประเภท

อัศวิน A ไม่พูดอะไร เขาเพียงสัมผัสลมปราณของภูเขาโดยละเอียด

ไม่นานอัศวิน A ก็เอ่ยขึ้น “ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะทำเลดีก็ตาม แต่ฉันกลับมีที่หนึ่งที่ดีกว่าทั้งสามที่ที่เราดูกันมาเป็นสิบเท่า แต่สถานที่นั้นห่างไกลและลึกลับมากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีวิธีที่จะเดินทางได้ ไม่ทราบว่าพวกคุณเต็มใจใช้เงินก้อนใหญ่บุกเบิกไหม”

เพราะเป็นคำแนะนำจากมังกรแท้จะต้องเป็นสถานที่ดีเยี่ยมแน่ ทันทีที่ประธานจ้าวได้ยิน เขาจึงรีบตอบกลับไป “ในเมื่อท่านอัศวิน A เสนอแบบนั้น ผมก็เต็มใจแน่นอน”

ตาอ้วนหลิวไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ผมก็ยินดีร่วมด้วย”

อัศวิน A “งั้นตามผมมา”

ฟางหนิงได้ฟังก็จะพอจะรู้บางอย่าง เขานึกถึงสถานที่หนึ่งที่เข้ากับคำอธิบายของระบบมาก

หลังจากระบบนำทางไปช่วงหนึ่ง ฟางหนิงก็แน่ใจทันทีว่าตนเองคาดเดาถูก

ใช่แล้ว สถานที่ที่พวกเขาจะไปก็คือหุบเขาอันห่างไกลที่ระบบเคยบังคับให้สามีภรรยาตระกูลไป๋ฆ่าตัวตาย และยังเป็นสถานที่ที่ฆ่ากุ่ยชีอีกด้วย ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ซ่อนของหนูยักษ์ แต่ตอนนี้มันถูกทิ้งร้างมานานแล้ว

ทั้งคณะขับรถเข้ามาก่อน แล้วทิ้งรถไว้ทางด้านนอก ก่อนจะบุกลุยภูเขาและแม่น้ำจนมาถึงด้านนอกหุบเขา สุดท้าย พวกเขามองดูภูเขาสูงชันแล้วเริ่มปีนป่ายขึ้นไป

มนุษย์กลไกตัวแทนฟางหนิงนั้นไม่มีปัญหา ด้านบอดี้การ์ดซึ่งฝึกฝนร่างกายทุกวัน และล่าสุดพวกเขาเพิ่งจะฝึก “หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน” ไป กำลังกายจึงไม่ย่ำแย่และปฏิกิริยาว่องไวไร้ปัญหา ด้านคุณนายจ้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากนัก แต่ยังโชคดีที่ได้บอดี้การ์ดช่วยประคอง เพราะยังปีนขึ้นไปไม่ถึงครึ่งทาง พวกเขาก็ก้มตัวหอบหายใจ “แฮ่กๆ” อย่างหนักแล้ว…

เดิมทีคุณนายจ้าวอยากจะแบกประธานจ้าวขึ้นไปเอง แต่ประธานจ้าวอายที่จะปล่อยให้ภรรยาแบกเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ สุดท้ายจึงยืนกรานจะปีนภูเขาสูงชันนี้เอง

ยังดีที่หลังจากปีนขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้วมองหุบเขาที่เต็มไปด้วยม่านหมอก ประธานจ้าวกับตาอ้วนหลิวก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า

ในหุบเขามีหมอกล่องลอยคล้ายคลุมผ้าผืนบางเอาไว้ ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งฝุ่นควันอย่างในเมืองใหญ่ แต่กลับเผยความบริสุทธิ์และเป็นอมตะ

แม้แต่คนอย่างประธานจ้าวและตาอ้วนหลิวที่ไม่ได้ฝึกฝนจริงจัง เมื่อหายใจเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายและอิ่มเอมความสุข คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“มันเป็นสถานที่ที่ราวกับแดนสวรรค์จริงๆ หากคุณอยากปลูกพืชปราณกำเนิดที่นี่ คุณจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว เพียงแต่ว่าน่าเสียดาย เพราะถ้าเราเลือกที่นี่จริงๆ มันอาจไม่บริสุทธิ์เท่าเดิม” ประธานจ้าวถอนหายใจ

อัศวิน A ตอบกลับ “ไม่เป็นไรหรอก หุบเขาแห่งนี้ถูกพวกหนูยักษ์ทำลายไปนานแล้ว มันถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน ปราณกำเนิดที่นี่มากมายเหลือล้นกว่าสามที่ก่อนหน้านี้มาก อ้อ ดูเหมือนว่าเราจะหาแรงงานฟรีได้ด้วย”

ขณะที่เขาพูดก็ขยับตัวเล็กน้อยราวกับเทพเซียน สองมือไพล่หลัง เท้าลอยสูงเหาะตรงไปที่หน้าผา

ทุกคนต่างตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นวรยุทธ์ชั้นสูงของอีกฝ่ายกับตา ต่างก็คิดในใจว่าอีกฝ่ายควรเป็นเทพเซียนชั้นหนึ่งบนแผ่นดิน ตราบใดที่พวกเขาพึ่งพิงผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ยังจะต้องกังวลเรื่องอะไรอีก

หนูสีเทาตัวหนึ่งอยู่ในรอยแยกบนหน้าผามองออกไปยังกลุ่มคนที่ปรากฏตัวบนยอดเขา มันไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาทำอะไรที่นี่อีก

ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยสักนิด ซ้ำยังอยู่ห่างไกล แล้วทำไมมักมีคนมาอยู่เรื่อย

หลังจากกุ่ยชีตายไปเมื่อครั้งก่อน มันก็พาลูกหลานออกไปหลบภัยรอบหนึ่ง และบังเอิญหลบเลี่ยงเหตุการณ์ไป๋ซื่อซินแอบวางแผนทำร้ายอัศวิน A ได้พอดี

สุดท้ายมันก็พบว่าบ้านเกิดปลอดภัยที่สุด ป่าเป็นถิ่นของตระกูลหนูยักษ์มาช้านาน สัตว์ป่าจำนวนมากที่คนไม่เห็นคุณค่าถูกพวกมันล่า ทั้งหมูป่าและกระต่ายไม่ใช่ศัตรูของหนูยักษ์เลย

แขนขาเล็กๆ ของพวกมันยิ่งไม่ไหว ถ้ามันไม่ได้หลอกล่อหนูยักษ์ที่ไร้สมองว่าทุกคนเป็นตระกูลหนูด้วยกันควรจะสามัคคีต่อสู้กับศัตรู ไม่อย่างนั้นพวกมันคงตกเป็นอาหารของอีกฝ่ายแล้ว

สุดท้ายมันจึงล่าถอยกลับมาพร้อมกับลูกหลาน อย่างน้อยหนูยักษ์ในหุบเขานี้ก็จะไม่รุกเข้ามาอีก แต่มันนึกไม่ถึงว่าจะถูกมังกรเพลิงขวางทางอีกครั้ง

เมื่ออัศวิน A ปรากฏตัวต่อหน้ามัน มันกลับไม่หวาดกลัว แต่รีบก้มตัวลง “สวัสดีใต้เท้ามังกรเพลิง”

อัศวิน A “ฉันกับคนอื่นๆ ต้องการปลูกพืชปราณกำเนิดที่นี่ ฉันเคยสังเกตเห็นตระกูลของเจ้าปลูกผลไม้ป่าได้ คิดว่าน่าจะมีประสบการณ์ปลูกพืชปราณกำเนิด ถ้าเจ้าช่วยได้ พวกเขาจะจ่ายค่าตอบแทนให้มากทีเดียว”

หนูเทากลอกตา “ผู้น้อยรู้วิธีปลูกพืชปราณกำเนิดจริง เพียงแต่ผู้น้อยไม่ต้องการรางวัลอื่นใด เพียงปรารถนาอาหารดำรงชีพ และปกป้องครอบครัวผู้น้อยก็พอแล้ว”

ทันทีที่ระบบได้ฟัง ก็คิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นกลุ่มช่างฝีมือ หนูพวกนี้คุณค่าสูงกว่านี้มาก และที่นี่ยังเป็นพื้นที่เปิดแผนที่ หากมีปีศาจคุกคามก็จะสามารถจัดการได้โดยง่าย

อัศวิน A จึงตอบรับ “ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ฉันทำได้แค่ปกป้องครอบครัวตอนนี้ของเจ้า ถ้ามีลูกหลานมากเกินไปกว่านี้ ฉันคงดูแลไม่ไหว”

หนูเทา “ผู้น้อยทราบดี ผู้น้อยจะควบคุมการขยายพันธุ์ของพวกมัน ถ้าเยอะมาก ผู้น้อยก็เลี้ยงไม่ไหวเหมือนกัน”

เมื่ออัศวิน A พาหนูเทาที่พูดภาษามนุษย์ได้ลงมา ทุกคนก็ไม่แปลกใจเลย พวกเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ด้วยรู้ดีว่าช่วงนี้สัตว์หลายชนิดพัฒนาสติปัญญาได้แล้วและมีเศรษฐีไม่น้อยทีซื้อสัตว์เลี้ยงมีสติปัญญาพวกนี้ในราคาสูง แต่น่าเสียดายที่สัตว์เลี้ยงมีสติปัญญาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่อไป…

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้วิธีปลูกพืชปราณกำเนิดจริงๆ ประธานจ้าวก็ดีใจมาก บอกว่าเขาจะให้หุ้นเพิ่มเป็นชุดพนักงาน ในฐานะบอส เขาตระหนักดีถึงความแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่

ตระกูลฉีต้องต้องคลำทางหาหนทางเองตั้งแต่แรก โดยไม่มีคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ มันไม่ง่ายเลยที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญจากสำนักสัจธรรมให้เข้ามาช่วยเหลือ พวกเขามีเพียงวัสดุปลูกพื้นฐานบางส่วนเท่านั้นที่ส่งต่ออยู่ข้างนอก

หนูเทาตัวนั้นยังบอกด้วยว่าเขาจะให้ชุดพนักงานกับใต้เท้ามังกรเพลิงเพื่อแลกกับการคุ้มครอง

ประธานจ้าวย่อมไม่ปฏิเสธคำขอที่สมเหตุสมผลนี้แน่นอน มีการสนับสนุนและเทคโนโลยีครบครัน ตลาดก็มีอยู่แล้ว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าการลงทุนครั้งนี้จะล้มเหลวได้ยังไง

……………………………………………………

บทที่ 130 อัศวิน A ที่ไม่มีความทะเยอทะยาน
ในวันนี้ ขณะที่ฟางหนิงกำลังตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันอยู่นั้น เทพแห่งระบบก็ควบคุมร่างกายของอัศวิน A แล้วเปิดแผนที่ออกจัดการปีศาจ จากนั้นข้อความ QQ ของเจิ้งต้าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เจิ้งต้าว “นายท่าน สำนักสัจธรรมกำลังดำเนินการสรุปสิ้นปี พวกเขาขอแสดงความเสียใจไปยังหน่วยสหกรณ์โดดเด่น โดยขอเข้าพบนายท่านทั้งสอง”

ฟางหนิงกำลังจะปฏิเสธ เพราะเทพแห่งระบบกำลังยุ่งมากในตอนนี้ เขาจะมีเวลาคุยกับพวกเขาได้อย่างไร?

แต่ฟางหนิงก็ตกลงหลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้อีกที ไม่มีเหตุผลอื่นเลย เพราะนักโทษของ “เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์” จะต้องเปลี่ยนสกินก่อน จึงจะสามารถเข้าร่วม “อสูร” เพื่อรับทองได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะมีปัญหามากมายในสำนักสัจธรรมแน่นอน

สองวันต่อมาอัศวิน A ก็กลับไปที่วิลล่า ในห้องนั่งเล่นที่ไม่ได้ถูกตกแต่งอะไรเอาไว้นั้นได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากคนของสำนักสัจธรรม

ชายหญิงคู่หนึ่งมาที่นั่น ทั้งสองหน้าตาธรรมดาทั่วไป ไม่หล่อไม่สวย ผู้หญิงอายุราว 20 กว่าๆ ท่าทางยังสาวและมีเสน่ห์ ส่วนผู้ชายนั้นอายุราว 40 ปี ท่าทางสงบเงียบและซื่อสัตย์

หลังจากที่เจิ้งต้าวชงชาหลงจิ่งชั้นดีและยกไปเสิร์ฟให้พวกเขาแล้ว เขาก็ยืนรอคำสั่ง

ฟางหนิงเชิญพวกเขาทั้งสองดื่มชา แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธ พวกเขาเพียงแค่จิบมันเล็กน้อยแล้วเริ่มเข้าประเด็นทันที

ชายวัยกลางคนเอ่ย “ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ เรามาจากกลุ่มนอกสถานที่จากสำนักสัจธรรม ผมชื่อเซี่ยตง ส่วนเธอชื่อหลิวชิง ก่อนอื่นผมมาที่นี่เพื่อขอบคุณทั้งสองสำหรับความพยายามของพวกคุณในการทำให้โลกมั่นคงและเป็นระเบียบในในปีที่ผ่านมา สำหรับผลงานที่โดดเด่นนั้นนี่คือเงินรางวัล จำนวนเงินไม่เยอะมากนัก แต่สื่อถึงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ได้”

เซี่ยตงกล่าวพลางก็วางซองสีแดงซองหนึ่ง

เมื่อหลิวชิงเห็นภาพนี้ เธอก็จำได้ว่าเพื่อนร่วมงานเคยพูดเอาไว้ เมื่อพบท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ ไม่ต้องนำของอะไรไปให้เขา เพียงแค่พกเงินไปก็จะพูดคุยได้ง่ายขึ้นแล้ว

ฟางหนิง “เกรงใจพวกคุณทั้งสองมาก ดื่มชาอีกหน่อยสิ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะขอตัวปิดจิตและฝึกซ้อมต่อ แล้วให้พ่อบ้านเจิ้งมาคุยกับพวกคุณทั้งสองแทน”

จากนั้น เซี่ยตงก็ขยิบตาให้หลิวชิง เธอรีบพูดว่า “นายท่านผู้นี้ขยันจริงๆ เราอยากจะถามว่า ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณมีเป้าหมายใหม่อะไรไหม?”

ใจของฟางหนิงเต้นรัว สองคนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

เขาพูดกับระบบทันทีว่า “แกออกไปคุยหน่อยสิ พูดว่าเป้าหมายสำหรับปีหน้าคือการฝึกซ้อมตามปกติและปฏิบัติตนเป็นคนกล้าหาญ”

ระบบจัดการเคืนร่างอัศวิน A “ไม่มีเป้าหมายใหม่ มีเพียง ‘ปฏิบัติการเพื่อขจัดความชั่วร้าย’ เท่านั้น”

เซี่ยตงขยิบตาให้หลิวชิงอีกครั้ง อีกฝ่ายรีบพูดต่อ “ความทะเยอทะยานอันสูงส่งของท่านนั้นบริสุทธิ์ยิ่ง และเราชื่นชมมันมาก เราจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาในการฝึกซ้อม เป็นเรื่องดีที่พ่อบ้านเจิ้งจะอยู่พูดคุยกับเรา”

ปกติแล้วอัศวิน A ไม่ค่อยสนใจใครมากนัก เขาเดินออกจากห้องนั่งเล่น แล้วปล่อยให้พ่อบ้านเจิ้งพูดกับทั้งสองคน

หลังจากออกไปแล้ว ระบบก็ถามฟางหนิงว่า “โฮสตฺจะให้ระบบออกไปตอบเพื่ออะไร?”

ฟางหนิง “ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าแกจริงใจและไว้ใจได้ นั่นจะทำให้คนพวกนี้รู้สึกสบายใจ”

ระบบ “ก็จริง ระบบไม่เหมือนโฮศต์ ระบบซื่อสัตย์มาโดยตลอด”

หลังจากนั่งพูดคุยกับพ่อบ้านเจิ้งได้สักพัก เซี่ยตงและหลิวชิงออกมาจากวิลล่าของอัศวิน A พวกเขาขึ้นรถสีดำ และหลังจากขับออกไปไกลได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็รายงานเรื่องทั้งหมดลับๆ ผ่านช่องทางออนไลน์

“ความทะเยอทะยานของอัศวิน A ยังไม่มีอะไรมาก และเป้าหมายสำหรับปีหน้ายังคงเป็นการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และปฏิบัติตนเป็นผู้กล้าหาญ หลังจากที่ฉันประเมินแล้ว สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด และยังเป็นภัยคุกคามไม่เปลี่ยนแปลง…”

…………

หนึ่งวันต่อมา ที่จื่อซานกวนทางภาคเหนือ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาพบหม่าฟู่เทียน

ผู้ดูแลหม่า “ฮ่าฮ่า มาถึงปีที่จื่อซานกวนของฉันจะเปิดประตูเลือกสาวกที่โดดเด่นจากทั่วประเทศจีน และแสดงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่แล้วสินะ แน่นอน ฉันยังต้องขอให้คุณช่วยเรื่องนี้…”

เซี่ยตงรายงาน “ความทะเยอทะยานของจื่อซานกวนเพิ่มขึ้น หลังจากระบุแล้ว บางอย่างก็เป็นความจริง และบางส่วนก็ถูกปกปิด ขอแนะนำให้เพิ่มระดับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นด้วย…”

จากนั้นทั้งสองก็รีบไปที่สมาคมราชาผีทางใต้ แต่พวกเขาไม่ได้เจอกับราชาผี แต่ได้เจอกับกุ่ยต้าที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของที่นั่นแทน

กุ่ยต้า “สมาคมราชาผีของเราถือเอาความปลอดภัยของประเทศและถือประชาชนเป็นความรับผิดชอบของพวกเรามาโดยตลอด และจะไม่มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในปีหน้า”

เซี่ยตงรายงาน “สมาคมราชาผีจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ไม่ทราบแน่ชัดในปีหน้า ขอแนะนำให้ตื่นตัวพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา”

ทั้งสองทำงานร่วมกันมาโดยตลอด จึงถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา “เป้าหมายใหม่ในปีหน้าคืออะไร?”

เป็นธรรมดาที่คนที่มีประสบการณ์ชีวิตเหล่านั้นจะไม่ตอบ เขาเพียงแค่หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ออกมา เพื่อทำเป็นว่าตนเองคล้อยตาม

เซี่ยตงไม่ได้สนใจ เพียงแค่เจรจากับพวกเขาต่อไป แล้วพิจารณาเนื้อหาของรายงานตามความจริงหรือความเท็จของคำพูดของอีกฝ่าย

ผ่านไปกว่าสองสัปดาห์ คนทั้งสองก็ได้ค้นหาผู้ฝึกเป็นสิบคนในประเทศจีน แล้วจึงรายงานเนื้อหาของการค้นหา

เมื่อเริ่นรั่วเฟิงเห็นรายงาน ก็พูดเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของผู้คนจะเติบโตขึ้นอย่างมากทีเดียว จิตใจของพวกเขาไม่สงบ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับสิ่งนั้นโดยเร็ว เพื่อจะได้มีแรงกายไม่ให้บุคคลอื่นมาเอาเปรียบ”

เมื่อเขาพูดจบ พายุก็ตามมาในไม่ช้า

…………

หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว อัศวิน A ไม่ได้เปิดแผนที่อีกต่อไป เขาฝึกฝนที่บ้าน โดยแปลงค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับให้เป็นพลังต่อสู้

ในวันนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาที่บ้านอีกครั้ง

ชายคนนี้เป็นชายชราหน้าตาหล่อเหลา แต่งกายด้วยชุดโบราณ แม้ว่าเขาจะแก่แล้ว แต่ดวงตาของเขาก็ยังเฉียบคม

หลังจากเห็นคนผู้นี้ ฟางหนิงก็เกือบจะคิดว่าเขามาจากสมัยโบราณ และเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยพูดกับตนแล้ว ฟางหนิงก็ยิ่งคิดว่าตนเองคิดถูก

“ข้าน้อยหวงรุ่ย ขออภัยยิ่ง ข้ามาที่นี่อย่างรีบเร่งและและมาโดยไม่ได้รับเชิญ ข้าหวังว่าท่านอัศวินจะอภัยให้” ชายชราเดินตรงไปแล้วคำนับขอโทษ

ฟางหนิงรู้ดีว่าใกล้จะสิ้นปีแล้ว และมีงานให้ทำเยอะมาก ดังนั้นเขาจึงต้อนรับแขกด้วยความใจเย็น ด้านพ่อบ้านเจิ้งก็เสิร์ฟชาให้แขกที่มาเยือนและคอยยืนอยู่ข้างๆ

ฟางหนิงยกมือขึ้นโบกไปมาเบาๆ “ไม่ทราบว่าที่ท่านมาที่นี่ มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

หวงรุ่ย “ท่านอัศวิน A ท่านเดินทางไปทั่วโลก ทำให้ทั่วทั้งโลกมีเสถียรภาพ และเป็นที่เคารพของผู้คน แต่ท่านเคยได้ยินชื่อหานซินและหลี่ซานมาก่อนหรือไม่?”

ฟางหนิงยกชาขึ้นจิบ และเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น เขาก็เกือบจะสำลักออกมา คนคนนี้มาจากสมัยโบราณแน่นอน แต่ฉันไม่รู้ว่าเขามาจากยุคสามก๊ก หรือยุคจ้านกว๋อ? เขาดูจะคุ้นเคยกับสองยุคประวัติศาสตร์นี้มากที่สุด และรู้ว่าในเวลานั้นมีความแตกต่างมากมาย

ดังนั้น ฟางหนิงจึงตอบกลับด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ผมพอจะได้ยินมาบ้าง ไม่รู้ว่าที่ท่านเอ่ยถึงปราชญ์ทั้งสองนั้น หมายความว่าอะไร”

หวงรุ่ยท่าทีจริงจัง “คนของท่านตกอยู่ในอันตราย ท่านไม่รู้หรือ? แม้ว่าข้าจะเป็นคนขี้ขลาด แต่ข้าก็รู้จักความเมตตาและความชอบธรรม”

ฟางหนิงงุนงง “ในทุกๆ วัน ผมได้ช่วยชีวิตคนจำนวนมาก และผมยังไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงใคร? ”

หวงรุ่ยตอบกลับ “ครอบครัวของข้าอยู่ในเมืองจี้ ทรัพย์สมบัติมากมาย และครั้งหนึ่งเคยเป็นคนละโมบโลภมาก แต่ต้องขอบคุณท่าน ท่านเป็นวีรบุรุษ ท่านได้กำจัดบุคคลนั้นตามความประสงค์แล้ว และสิ่งนี้ทำให้ทุกอย่างสงบสุข ไร้อันตราย ข้ามักจะคิดเกี่ยวกับการตอบแทนอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่ทรัพย์สินทางโลกมีไม่มากแล้ว และข้าคิดว่าท่านคงจะไม่สนใจมัน และหลังจากคิดเรื่องนี้เป็นเวลานาน ข้าก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ”

ฟางหนิงคิด ‘ไม่ มีชายคนหนึ่งที่คอยจับตาดูอยู่ แต่โชคดีที่เขายุ่ง เลยไม่ต้องกังวลว่าจะออกมาทำลายการเรียนรู้ของฉันในตอนนี้’

หวงรุ่ยกล่าวต่อ “โชคดีที่ข้าน้อยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยู่เสมอ และถามตัวเองว่าเขามีความรู้มากแค่ไหน เมื่อเร็วๆ นี้ข้าน้อยได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการกระทำของท่าน ตอนนั้นเองที่ข้าได้ค้นพบอันตรายที่ซ่อนอยู่อย่างใหญ่หลวง หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ท่านจะประสบหายนะครั้งใหญ่ในอนาคต ข้าจึงมาเตือนท่าน”

ฟางหนิง “อันตรายอะไรกัน? ผมหวังว่าท่านจะพูดให้ผมเข้าใจมันมากกว่านี้”

หวงรุ่ยพูดเสียงเข้ม “นกย่อมหลบซ่อนคันธนู สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนมากนัก และท่านก็ยิ่งต้องพยายาม ข้าเกรงว่าการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของท่าน คนเหล่านั้นที่ท่านได้สังหารเขาไปครั้งแล้วครั้งเล่าอาจสร้างปัญหาในอนาคตให้ท่านได้”

ทันทีที่ฟางหนิงได้ยิน เขาก็เรียกระบบอีกครั้งแล้วให้ระบบตอบกลับตามที่เขาพูดแบบในครั้งที่แล้ว

ระบบ “ฉันรู้แค่ว่า ฉัน ‘ปฏิบัติการเพื่อขจัดความชั่วร้าย’ เท่านั้น อุดมการณ์นี้ยังชัดเจนอยู่เสมอ ท่านไม่ต้องมายุ่งหรอก”

ใบหน้าของหวงรุ่ยผิดหวังอย่างมาก เขากล่าวทันที “ไอ้หยา ท่านไม่ฟังคำแนะนำของข้าเลย ข้าแค่หวังว่าท่านจะไม่เสียใจกับมันในอนาคต…”

เขาพูดจบก็หันหลังเดินออกไป

ระบบ “เดี๋ยวก่อน”

ใบหน้าของหวงรุ่ยพลันฉายแววยินดี หันกลับมาทันที “ท่านต้องการฟังคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาเรื่องในภายภาคหน้าใช่ไหม?”

ระบบ “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก เมื่อครู่ผมเพิ่งได้ยินคุณพูดว่า ‘ท่านไม่สบายใจมาตลอด ที่ไม่ได้ตอบแทนคุณ’ เพราะฉะนั้นถ้าอยากสบายใจ ง่ายมาก แค่บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้ผมก็พอ”

หวงรุ่ยพูดไม่ออก เขาพยายามเค้นหาเสียงตนเอง “เช่นนั้น ข้าน้อยจะอุทิศทรัพย์สินของครอบครัวครึ่งหนึ่งให้กับท่าน เพื่อเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณ”

ระบบ “ดีมาก หากมีสิ่งใดร้ายแรง สามารถติดต่อพ่อบ้านเจิ้งได้ทันที”

หวงรุ่ยท่าทางดีใจ “ขอบคุณสำหรับความกรุณา ข้าน้อยขอลา”

หลังจากพูดจบ เขาก็รีบออกไป

ฟางหนิงพูดแทบไม่ออก “ฉันขอแค่ให้แกพูดแค่ประโยคเดียว แล้วแกจะพูดต่ออีกทำไม?”

ระบบ “ระบบได้ยินมาว่าเขาอยากมอบเงินให้ แน่นอนว่าต้องพูดต่อสิ โฮสต์ไม่ต้องอายที่จะขอหรอก ระบบปล่อยให้เงินลอยไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้… อีกอย่างอัศวิน A ไม่ใช่ตัวจริงของโฮสต์นะ” ถ้าเงินมาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องรับไว้ แผนการทั้งหมดของโฮสต์ยอดเยี่ยมตลอด แต่มีแผนไหนบ้างล่ะที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน?”

ฟางหนิงโต้กลับ “ฉันอยากจะเรียนรู้พฤติกรรมของคนโบราณ โอกาสมาถึงที่แล้ว แต่แกกลับทำลายมันจนไม่เหลือ”

ระบบ “คราวหน้าอย่าเล่นตัวเยอะสิ เกือบพลาดเงินไปแล้วเนี่ย…”

…………

หลังจากที่หวงรุ่ยออกจากวิลล่าของอัศวิน A เขาก็ขึ้นรถและขับรถออกไป

หลังจากขับรถมาได้ไกลแล้ว หวงรุ่ยก็ส่งโทรเลขทางไกลไปยังใครคนหนึ่งทันที “คุณทอม อัศวิน A ไม่มีความทะเยอทะยานเลย เขาเพียงแค่ต้องการฝึกฝนและขจัดความชั่วร้าย ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจากสำนักงานสัจธรรมนั่นยอมลงทุนไปกับเขามากมาย และอยากจะสนับสนุนให้เขากลายเป็นฮีโร่คนใหม่”

แมวดำทอบตอบกลับ “ถ้าเป็นกรณีนี้ เขาก็ไม่มีค่าทางยุทธศาสตร์น่ะสิ ฉันคิดหาวิธีที่จะฆ่าเขาและล้างแค้นให้แอนเดอร์สันและคนอื่นๆ ดีกว่า แม็กกี้กับแอนเดอร์สันมีความแค้นส่วนตัวและไม่อยากจัดการกับมัน แต่ฉันปล่อยให้พี่น้องในสมาคมอยู่อย่างหวาดกลัวไม่ได้หรอก”

หวงรุ่ย “นายท่านฉลาดที่สุด ผมจะคิดถึงวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มีปัญหาเล็กน้อย”

ทอมถามกลับ “เกิดอะไรขึ้น?”

หวงรุ่ยรับปากว่าจะมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้กับอัศวิน A

และทรัพย์สินเป็นสมบัติของสโมสรทั้งหมด เขาไม่สามารถใช้มันได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากทอม

ทอมแค่นเสียง “เจ้าโง่ แกพลาดจริงๆ แกไม่รู้หรือว่าอัศวิน A โลภมากแค่ไหน?”

หวงรุ่ยท่าทางหวาดกลัว “ขออภัยนายท่าน ผมคิดว่าเขาจะต้องตกใจกับคำพูดพวกนั้น แต่เขาเป็นคนโลภมากจริงๆ เหรอ? ไม่รู้ว่าสำนักสัจธรรมจะปล่อยให้เขาฝึกฝนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนดไปทำไม”

ทอมตอบกลับ “หึ บางทีเขาอาจจะยังคิดว่าเขาสามารถฝึกฝนจนไม่มีใครทำให้เขาอับอายได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าทุกช่วงเวลาในโลกนี้ย่อมมีขีดจำกัดของการฝึกฝน มีแค่หยวนเท่านั้น.. . โอ้ เรื่องนี้แกไม่รู้สินะ ตัวตนของแกสำคัญมาก อย่าปล่อยให้อัศวิน A สงสัยเชียวล่ะ ตอนนี้ฉันอนุมัติให้แกใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งได้”

…………………………………………………..

บทที่ 129 อัจฉริยะสู่หัวหน้านักโทษคนใหม่
ฟางหนิงไม่ได้ถามแอนเดอร์สันตรงๆ เขาไม่ได้ตกใจเหมือนเทพแห่งระบบ เพราะเจ้าหมอนั่นเป็นคนชั่ว ถ้าหลอกถามเรื่องอื่นๆ คงไม่มีผลอะไรร้ายแรง แต่ในเมื่อมันเกี่ยวกับตัวตนของเขา จะถามออกไปง่ายๆ แบบนั้นได้เหรอ? ไม่กลัวความลับจะแตกรึไง?

ดังนั้นเขาจึงกลายร่างเป็นมังกรขาวแล้วยังบริเวณห้องขังของระบบ

แอนเดอร์สันงุนงง “เอ๋ คนที่ควรมาในครั้งนี้ ต้องเป็นพัศดีสิ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีมังกรมาคุม ไม่ นี่ไม่ถูกต้อง… คุณคืออัศวิน A สินะ ส่วนเมื่อครู่นั่นคงเป็นคนใช้ของคุณถึงจะถูก! ”

ฟางหนิงตกใจ เป็นไปได้ไหมที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาและร่างมนุษย์ก่อนหน้านี้เป็นคนเดียวกัน?

เขาได้ยินแอนเดอร์สันพูดออกมาเท่านั้น พร้อมกับน้ำเสียงหัวเราะถากถาง อีกฝ่ายหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ

“ไม่คิดเลย ไม่คิดเลย ด้วยชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทาน แม้แต่ความรู้สึกทางดวงตาเทพเจ้าของฉันก็ไม่สามารถจัดการอัศวิน A ได้ ร่างกายที่แท้จริงและความรู้สึกทางจิตวิญญาณนั้นคือตัวอ่อนของมังกรสินะ!”

ซวยแล้วไง! ใบหน้าของฟางหนิงเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัศวิน A ความน่ากลัวของดวงตาเทพเจ้าในการหยั่งรู้ของแอนเดอร์สันนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริงๆ โชคดีหลังจากฟังต่อ เขาก็เริ่มจะสงบใจลงได้…

“มิน่าล่ะ เห็นๆ กันอยู่ว่านี่เป็นร่างมังกรจริง แต่มันมาเร็วขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่คุณต้องซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่พิเศษนี้ตลอดเวลา ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาเทคโนโลยี AI ของมนุษย์ แล้วใช้ประสาทสัมผัสทางจิตวิญญาณของคุณเพื่อควบคุมชิปของ AI ภายนอก ผมเข้าใจหมดแล้ว! มังกรแห่งจิตวิญญาณ และมังกรขาวศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองล้วนเป็นกลอุบาย และเบื้องหลังพวกเขาก็คือคุณ ดวงตาเทพเจ้าของมังกรตัวจริงที่ควบคุมมัน!”

แอนเดอร์สันหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ราวกับว่าเขาได้ไขข้อสงสัยในใจของตนเอง และทุกคนก็ดูเหมือนจะผ่อนคลาย

“ฉันสงสัยมานานแล้วว่ามังกรตัวจริงนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง ระดับพลังของมันนั้นสูงมาก พัฒนามาเร็วขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าความเข้มข้นของพลังชีวิตในช่วงปัจจุบันของโลกย่อมแข็งแกร่ง เหมาะกับมังกรตัวจริงที่จะทะลวงเข้ามา แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงรูปแบบของความคิดทางจิตวิญญาณเช่นคุณแล้ว ผมถึงได้เข้าใจ!

“ที่แท้ตระกูลมังกรตัวจริง ได้ส่งตัวอ่อนมังกรไปจัดการล่วงหน้าแล้ว และเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาก็เลยเตรียมอุปกรณ์อวกาศล้ำค่านี้ไว้ ซึ่งสามารถใช้ซ่อนจิตวิญญาณของตัวอ่อนได้

“ไม่น่าแปลกใจที่จะมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่สามารถเข้ามาที่นี่ และคนที่มีชีวิตจะตายเมื่อพวกเขาเข้ามา เพราะมันไม่ได้มีเจตนาให้คนมีชีวิตเข้ามา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการคุกคามจิตวิญญาณของตัวอ่อนมังกรตัวจริง

“ฮ่าฮ่า ฉันคือคนแรก คนเดียว และคนสุดท้ายที่รู้จักร่างที่แท้จริงของอัศวิน A ในโลกนี้!”

หม่าเต๋อชุน “ตอนนี้มีคนสามคนที่รู้เรื่องนี้ แอนเดอร์สัน ผู้เฒ่าเฟิง และฉัน”

ผู้เฒ่าเฟิง “ไม่ มีแค่แกสองคนเท่านั้น เมื่อครู่ฉันเล่นไพ่อยู่ แต่หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วไม่ได้ยินอะไรเลย”

แอนเดอร์สัน “หม่าเต๋อชุน ไหนลองพูดอีกครั้งสิ เมื่อกี้นายได้ยินอะไรไหม? ผู้เฒ่าเฟิง คุณทรมานเขาในนามของผมในเขาวงกตแห่งจิต”

หม่าเต๋อชุน “อย่า อย่าทะเลาะกัน ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแหละ ทั้งตอนนี้ ในอนาคต และไม่ว่าเมื่อไหร่ แอนเดอร์สันเป็นคนเดียวที่รู้ร่างที่แท้จริงของอัศวิน A…”

ฟางหนิงพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ มันร้ายกาจจริงๆ ร้ายกาจแบบไม่มีอะไรมาวัดได้ แต่ละคนช่างชั่วร้ายมาก

แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะมองเห็นความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับร่างกายภายนอก ฟางหนิงก็ไม่แปลกใจที่ได้ยินเรื่องนี้อีกต่อไป แอนเดอร์สันเป็นคนฉลาด แต่เขาฉลาดเกินไป…

ด้วยท่าทีของอีกฝ่าย เขาไม่จำเป็นต้องถามคำถามเดิมอีกต่อไป มันพิสูจน์ได้อย่างสมบูรณ์แล้วว่าร่างมังกรและร่างมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสองประเภท

“การแปลงร่างมังกร” เวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบนี้ทรงพลังจริงๆ ฉลาดพอๆ กับ แอนเดอร์สัน เขาอาจจะคิดว่าร่างมังกรขาวของเขาเป็นร่างที่แท้จริงของอัศวิน A ส่วนร่างกายจริงๆ ของเขา สามารถเปลี่ยนเป็นอีกคน

ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจผิดแบบนั้นไปแล้วก็ดี เพราะฟางหนิงเองก็ไม่อยากอธิบายอะไร

ฟางหนิง “สายตาแกเฉียบแหลมมาก แต่การรู้เรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ฉันสามารถบดขยี้แกให้ตายได้เพียงแค่โบกมือ ทำให้วิญญาณของแกหายไป และกลายเป็นสามคนสุดท้ายที่รู้จักร่างที่แท้จริงของฉัน”

แอนเดอร์สันได้ยินคำขู่นี้ ก็ไม่เหลือเค้าความภูมิใจเหมือนตอนแรกแล้ว แต่กลับยอมจำนนทันที “โปรดอภัยให้ด้วย ท่านมังกรจริง”

“ตอนนี้ท่านสามารถเอาชนะผมได้ในฐานะตัวอ่อนมังกร เพราะศักยภาพของท่านนั้นยากจะหยั่งถึง ในอนาคตท่านจะเป็นคนที่อยู่ในระดับเทพเซียนแน่นอน ผมเต็มใจที่จะอุทิศสติปัญญาและความจงรักภักดีทั้งหมดของผมให้ท่าน”

ฟางหนิงตกตะลึง เจ้าหมอนี่ฉลาดมาก ถ้าความจงรักภักดีของเขาเป็นของจริง ระบบจะสามารถตัดสินได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ ระบบเป็นระบบด้านศิลปะการต่อสู้ มันยังต้องโหลดเทมเพลตฮีโร่อีกมากมายและไม่สามารถตัดสินได้แน่ๆ

แน่นอนว่าการแจ้งเตือนของระบบเป็นการพิสูจน์การคาดเดาของฟางหนิง

‘ระบบปราบแอนเดอร์สันตัวละครที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งด้วยพลังอันทรงพลานุภาพ อีกฝ่ายตัดสินใจสาบานว่าจะจงรักภักดี คุณสมบัติของคู่ต่อสู้นั้นสูงกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำของระบบมาก แต่แนวโน้มความดีและความชั่วของคู่ต่อสู้ขัดแย้งกันอย่างร้ายแรงกับคุณลักษณะที่กล้าหาญของระบบ และระบบจะไม่ยอมรับคู่ต่อสู้เป็นผู้ติดตาม’

แบบนี้สิถึงจะถูก ฟางหนิงลอบพยักหน้าให้ หลังจากอ่านข้อความแจ้งเตือน ทันทีที่ข้อความแจ้งเตือนนี้ปรากฏขึ้น ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยโกหกมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถส่งข้อความแจ้งผู้ติดตามได้

จากนั้นเขาก็มั่นใจได้ว่าหากจำเป็น เขาจะใช้ร่างมนุษย์เพื่อลงทะเบียนสถานะเหนือมนุษย์ของ “ฟางหนิง” อย่างไรก็ตาม ก่อนเล่นเกมนี้ ฟางหนิงจะใช้ร่างมังกรขาวเพื่อรับรองความถูกต้อง

แน่นอนว่ามันไม่จำเป็น และเขาก็ไม่สนใจที่จะลงทะเบียนตัวตนที่แท้จริงของเขาในฐานะยอดมนุษย์ด้วย เพราะยังไงก็ตาม ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมสถาบันที่เป็นทางการสำหรับการฝึกอบรม …

เพียงแต่ระบบไม่สามารถรับอีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามได้ แต่เขาสามารถยอมรับได้ด้วยวาจา เพื่อให้ค่าของคนนี้เล่นได้ดีขึ้น ฟางหนิงคิดแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่เทพแห่งระบบ และไม่ถูกจำกัดด้วยคุณลักษณะที่กล้าหาญของเขา ตราบใดที่เขามั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกยั่วยุโดยผู้ชายคนนี้ให้ทำสิ่งที่ไม่ดี

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้…เพราะร่างกายของเขาได้รับความไว้วางใจจากเทพแห่งระบบแล้ว และสิ่งเลวร้ายที่ขัดกับคุณลักษณะที่กล้าหาญก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึง

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางหนิงก็แสร้งทำเป็นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะความฉลาดของแก ฉันจะให้แกมีโอกาสได้ติดตามและแต่งตั้งให้แกเป็นหัวหน้านักโทษของ ‘เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์’ นี้อย่างเป็นทางการ”

ด้านผู้เฒ่าเฟิงได้ยินดังนั้นก็เสียใจ ตอนที่มีชีวิตอยู่แอนเดอร์สันก็อยู่เหนือกว่าเขา และตอนนี้หลังจากตายเป็นผีไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าแอนเดอร์สันจะอยู่เหนือเขาอีก ต้องโทษตัวเองที่สงวนท่าทีมากเกินไป พวกผีเหล่านี้จะยอมจำนนเพื่อแลกกับความเชื่อใจต่อเจ้านายใหม่สินะ…

แอนเดอร์สันพยักหน้า “ ‘เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์’ คุกที่เหมือนนรกนี่ควรตั้งชื่อนี้แหละ ผมถามตัวเองถึงความแข็งแกร่งของความรู้สึกทางจิตวิญญาณซึ่งหาตัวจับยากในโลกนี้ แต่ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากที่นี่ได้ มีเพียงทักษะการรับรู้ทางวิญญาณบางอย่างเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ผมจะช่วยท่านจัดการเรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างดี และป้องกันไม่ให้นักโทษแม้แต่คนเดียวหลบหนีไป”

ฟางหนิง “แกไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ไม่มีใครสามารถหลบหนีจากที่นี่ได้แน่นอน เพราะแกยังมีทักษะด้านความรู้สึกทางจิตวิญญาณอยู่บ้าง ฉันจึงไม่จำกัดการใช้ความสามารถเหล่านี้ เพื่อให้แกสามารถจัดการวิญญาณชั่วร้ายใหม่ๆ ได้ง่ายๆ

“ฉันมีบางอย่างที่อยากให้แกทำแทนฉันหน่อย เพราะก่อนหน้านี้นายเชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ และเรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะก่อตั้งขึ้น ระบบการลงโทษยังไม่เข้าที่เข้าทาง ดังนั้นแกควรนึกถึงความรู้สึกทางจิตวิญญาณการลงโทษทั้งสิบแปดประเภท จะได้สะดวกต่อการลงโทษวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นในอนาคต ประการแรกคือการลงโทษพวกเขาที่กระทำบาปในชีวิตที่ผ่านมา อีกประการคือแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของเรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้าทำผิดพลาดในอนาคตอีก”

แอนเดอร์สัน “อย่ากังวลไปเลยนายท่าน ผมจะจัดการกับการลงโทษทางจิตวิญญาณทั้งสิบแปดประเภทโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยให้ท่านลงโทษคนบาปเหล่านั้นได้ดีขึ้น”

เมื่อผู้เฒ่าเฟิงและหม่าเต๋อชุนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็ตัวสั่นคลอน ตอนนี้อำนาจทุกอย่างในคุกแห่งนี้อยู่ในมือของแอนเดอร์สันแล้ว

หากแต่ก่อนที่ทั้งสองจะตื่นจากความกลัว ฟางหนิงก็หันหลังแล้วจากไป เพราะมีแอนเดอร์สันหัวหน้าเรือนจำมาช่วยจัดการ เขาจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป

…………

ระบบ “โฮสต์ฉลาดมาก แอนเดอร์สันกลายเป็นเครื่องมือของเราจนได้”

ฟางหนิง “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แกเองก็สามารถทำได้แบบนี้เหมือนกันแหละนา…”

‘ระบบกำลังพิจารณา…’

‘ระบบกำลังพิจารณา…’

‘ระบบตัดสินใจใช้ร่างอัศวิน A…’

ฟางหนิงพูดไม่ออกเมื่อเห็น “ฉันตกใจหมด นึกว่าแกจะหนีไปอีกแล้ว”

ระบบตอบกลับ “ระบบอยากจับอาชญากรให้มากกว่านี้ ระบบกลัวว่า ‘เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์’ ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะดูทรุดโทรมเกินไป…”

ฟางหนิง “เอาล่ะ ระบบ แกเป็นระบบที่ซื่อสัตย์มาก ทำงานได้ดี เพราะฉะนั้นผู้บัญชาการคนนี้จะคอยดูแลที่แห่งนี้ให้เอง วางใจได้”

…………

อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ณ ลานสนามหญ้าเขียวชอุ่ม ต้นเบิร์ชสองสามต้นกระจัดกระจายอยู่ในนั้น หญิงสาวผิวขาวเนียนในชุดเดรสยาวสีขาวกำลังเดินอยู่บนพื้นหญ้า เธออุ้มแมวอ้วนดำอยู่ในอ้อมแขน

“ทอม บอกฉันที แอนเดอร์ตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” หญิงผิวขาวถามเสียงต่ำขณะลูบขนแมวดำเบาๆ

แมวดำนอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวอย่างเกียจคร้าน มีเพียงหนวดสองสามเส้นของมันที่สั่นไหวไปมา

ผ่านไปสักพัก ริมฝีปากของแมวดำก็ขยับ “วิญญาณของแอนเดอร์สันได้หายไปจากโลกนี้แล้ว และจะไม่กลับมาอีก ด้วยความช่วยเหลือจากความสัมพันธ์ครั้งก่อนของฉันกับวิญญาณของเขา ฉันสัมผัสได้ถึงข้อมูลสุดท้ายบางส่วนจากจิตวิญญาณของแอนเดอร์สัน ในตอนนี้วิญญาณของเขาอยู่ในขุมนรกแห่งหนึ่ง และดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะกลายเป็นคนสำคัญในนรกแห่งนั้น แต่หลังจากนั้นฉันก็สัมผัสอะไรไม่ได้อีกเลย เป็นไปได้ว่าเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณของฉันแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หญิงสาวก็ผุดยิ้มเล็กๆ ออกมา ใบหน้าของเธอสดใส “เจ้าหมอนั่นสมควรอยู่หรอกถ้าต้องลงนรกน่ะ… เพราะตอนมีชีวิตอยู่ก็ทำแต่เรื่องร้ายกาจ ส่วนเรื่องเป็นคนสำคัญอะไรนั่น จากความสามารถของเขาแล้วก็ไม่ได้น่าแปลกใจ แต่น่าเสียดายที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการวิจัยโครงการด้านเทคนิคของเราหลายโครงการ ในบรรดาพวกคนใหม่ๆ ที่มีความสามารถนั้น แกว่ามีใครที่สามารถแทนที่เขาได้ไหม?”

แมวดำตอบกลับ “มีชาวเอเชียคนหนึ่งชื่อเปิ่นซง ความสามารถอาจอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่บุคลิกของเขาตรงไปตรงมามากกว่าแอนเดอร์สัน เขาสามารถแทนที่แอนเดอร์สันได้ และมันก็สามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์ของสมาคมดุลอำนาจของเราได้อีกมาก”

หญิงผิวขาวพูด “ใช่ ฝึกฝนเขาให้ดี ในอนาคตจะได้ให้เขาเข้ารับตำแหน่งแทนแอนเดอร์สัน แอนเดอร์สันเก่งเกินไป ฉันคิดเรื่องกำจัดเขามานานแล้ว แต่อัศวิน A กลับยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้แทนแล้ว หากมีโอกาสก็ค่อยไปขอบคุณเขาสักครั้งเถอะ…”

แมวดำ “เหมียว…ถึงเวลาสนับสนุนเขาแล้ว… คนสวย หยุดก่อนสิ ฉันอยากคุยกับเธอสักหน่อย…”

ตอนนั้นเอง แมวสีขาวขนสะอาดสะอ้านตัวหนึ่งก็เดินข้ามกำแพงลานไปทีละก้าวด้วยท่าทางสง่างาม เจ้าแมวดำรีบกระโดดลงจากอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้นทันที มันบิดร่างอ้วนๆ แล้วไล่ตามแมวสีขาวไป

หญิงผิวขาวได้แต่มองภาพนั้นเงียบๆ…

…………………………………………………………………..

บทที่ 127 กู้ภัยกำลังจะมา นับถอยหลังภายในเวลา 24 ชั่วโมง
หลังจากอ่านข้อความจากระบบ ฟางหนิงก็ถามขึ้นว่า “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะฟื้นฟูได้สมบูรณ์”

ระบบ “สองวัน”

ฟางหนิงพยักหน้า “ตกลง ถ้าอย่างนั้นแกก็รักษาตัวเถอะ ฉันจะไปทำธุระเรื่องหนึ่งก่อน”

ระบบ “โฮสต์คงไม่ได้จะไปสู้กับปีศาจในเกมหรอกใช่ไหม”

ฟางหนิง “ฉันดูเป็นคนไม่เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังขนาดนั้นเลยหรือยังไง? คนอื่นมีไม้ตายคือไพ่ดอกจิกเรียงกันห้าใบเชียวนะ เพราะฉะนั้นเราต้องได้คิง ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม…”

หลังจากพูดจบ ฟางหนิงก็ไปที่ QQ เพื่อติดต่อกับนกฮัมมิ่งเบิร์ด การติดต่อสำนักสัจธรรมเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับเจิ้งต้าว พวกเขาจะได้รู้ว่าตอนนี้ไม่มีปัญหา แต่เมื่อพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าอาจไม่ดีนัก เพราะนั่นอาจเป็นอันตรายกับมังกรขาวได้

นกฮัมมิงเบิร์ด “นายท่าน คำสั่งของท่านคืออะไร?”

ฟางหนิง “ซื้อเครื่องจับเวลามาสักโหลหรือมากกว่านั้นมาติดตั้ง ฉันอยากให้หน้าตาของพวกมันดูเหมือนโทรศัพท์มือถือและไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย ตราบใดที่พวกมันสามารถฆ่าสุนัขได้ก็เพียงพอแล้ว สามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และสามารถเปิดปิดการควบคุมได้ด้วยตนเอง ที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพต้องดีพอ แต่หากพบว่าเป็นสินค้าปลอมแปลง ฉันจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน”

นกฮัมมิงเบิร์ด “วางใจได้นายท่าน มันจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน คุณภาพสูง และส่งถึงบ้านโดยเร็วแน่นอน”

ฟางหนิง “พวกคุณเก่งจริงๆ แม้ว่าจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้สังกัดของสำนักสัจธรรม แต่พวกคุณก็ทำมันได้”

นกฮัมมิงเบิร์ด “นายท่าน เมื่อก่อนก็เป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้พวกหนูยักษ์ได้เปิดบริการการจัดส่งแล้ว หนูยักษ์ส่งไปตามทางใต้ดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเท่าบริษัทขนส่งบนพื้นดิน แต่ก็ยังสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ต่อวัน กุญแจสำคัญคือการปกปิด ไม่ให้ใครรู้”

ฟางหนิงสะดุ้ง ‘บ้าจริง มีคนฉลาดในกลุ่มหนูยักษ์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกมันได้หน้าได้ตากันแบบนี้มากี่เดือนแล้ว? ฉันพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจของตัวเอง การขนส่งด่วนดูเหมือนจะง่าย แต่สถานะของมันสำคัญมากทีเดียว มันเทียบเท่ากับหลอดเลือดในร่างกายมนุษย์’

ด้านหนึ่งมันทำเงินในพื้นที่สีเทาของมนุษย์และในทางกลับกันก็ปรับปรุงระบบเศรษฐกิจของตัวเองด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นี่เป็นแนวทางด้านทฤษฎีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์แนะนำให้แก่หนูยักษ์

ฟางหนิงรู้สึกกดดันอีกครั้ง เมื่อกองกำลังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้พัฒนาพลังขึ้น ในอนาคตพวกมันจะน่ากลัวอย่างยิ่ง

ฟางหนิงเอ่ยถาม “สำนักสัจธรรมจะไม่สนใจเรื่องนี้เหรอ?”

นกฮัมมิงเบิร์ดตอบกลับ “ตามข้อมูลลับ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะบรรลุความเข้าใจโดยปริยายผ่านสมาคมราชาผีแล้ว หนูยักษ์ไม่สามารถขนส่งสิ่งของที่มีระดับต่ำได้ แต่อย่างอื่นสามารถผ่อนปรนได้ แน่นอนว่าสำหรับนายท่าน ข้อจำกัดนี้ไม่ควรกล่าวถึง”

ฟางหนิงนึกถึงไพ่ดอกจิกของสำนักสัจธรรม ดินแดนมรดกลึกลับนั่น และเข้าใจดีว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่กับพวกกลุ่มหนูยักษ์

พวกเขารอจนกว่าการพัฒนาจะเสร็จสิ้น แล้วจากนั้นค่อยทำลายมันในคราวเดียวโดยไม่ทิ้งปัญหาเอาไว้ในอนาคต ส่วนสิ่งสำคัญที่สุดของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการควบคุมสถานการณ์โดยรวมให้ปราศจากความวุ่นวาย และยังคงส่งเลือดไปพัฒนาดินแดนมรดกของพวกเขาต่อไป

ฟางหนิง “ลำบากพวกคุณแล้ว ไว้ของถึง แล้วค่อยมาเก็บเงินนะ”

…………

สองวันต่อมา ที่วิลล่าของฟางหนิง

ในฤดูหนาว ฟาร์มรกร้างยิ่งกว่าปกติ ยกเว้นเรือนกระจกไม่กี่แห่งที่ยังคงปลูกผักสดเอาไว้ ไร่ส่วนใหญ่กลายเป็นผืนดินเปล่า ไม่มีใครปลูกข้าวสาลีในฤดูหนาว

ในทุ่งว่างแห่งนี้หมาดำไป๋หลี่ยื่นขาหน้าออกมาและจิ้มไปที่โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่อยู่บนพื้นตรงหน้า โทรศัพท์เครื่องนี้แย่ยิ่งกว่า iphone X ที่มันซื้อผ่านทางออนไลน์อีก

โทรศัพท์เครื่องนี้ภายนอกดูเหมือนโทรศัพท์ Nokia รุ่นเก่า โดยมีหน้าจอขนาดเล็กอยู่ด้านบนและแถวของปุ่มด้านล่างหน้าจอ ปุ่มหนึ่งมีเครื่องหมาย “โทร” ส่วนอีกปุ่มหนึ่งระบุว่า “ยกเลิก” ส่วนที่เหลือเป็นปุ่มตัวอักษรและตัวเลข

มังกรขาวตัวเล็กเอ่ยขึ้น “ไป๋หลี่ นี่เป็นรางวัลใหญ่สำหรับแก ‘ด้วยลูกศรเจาะเมฆา ทหารนับพันจะพบกัน’ ซึ่งเรียกว่าลูกศรเจาะเมฆ กดตัวเลข 139 ลงไป… จากนั้นกดปุ่มโทรออกเพื่อเรียกมังกร

“ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหน ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณจะมาถึงทันเวลา แน่นอนว่าถ้าแกไม่มีเรื่องด่วน ก็อย่ากดเลย ถ้าปิดการโทรออก ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณจะไม่มา”

ได้ยินคำพูดนี้ เจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อก็ก้มศีรษะลงทันทีและกอดโทรศัพท์ที่เหมือนก้อนอิฐหนาปึกเครื่องนั้นไว้ในอ้อมแขน มันตอบกลับ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ ไป๋หลี่จะเรียกหาเขาเพราะเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร มันต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนสิถึงจะเรียก”

มังกรขาวตัวเล็กพยักหน้าและพูดว่า “แกฉลาดมาก อย่าเผลอกดปุ่มผิดโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ อาวุธเวทมนตร์นี้สร้างขึ้นใหม่โดยเราเอง ดังนั้นมันจะได้รับการทดสอบเป็นเวลานาน เมื่อถึงเวลานั้นแกจะติดตามพวกเราเพื่อทดสอบทีละเมือง”

ฟางหนิง ‘ไม่สำคัญหรอกว่าแกจะเผลอกดมันไหม เพราะอย่างมากที่สุด มันจะบินข้ามฟ้าและลากแกกลับไปทานอาหารสองมื้อเพื่อเพิ่มความจำของแก”

หมาดำเงยหัวขึ้นตอบรับ “ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน”

ตอนที่มันพูดออกไป สายตาก็มองไปรอบด้านราวกับกำลังมองหาสุนัขตัวอื่นเพื่ออวดสมบัติของมัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หมาเหลืองไม่ได้อยู่ที่นี่ คาดว่าอีกฝ่ายคงกำลังฝึก “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล”

ฟางหนิงตอบ “ดีมาก แต่หนังสือ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” ฉันอนุญาตให้แกไปถามเซวียเฟิงเพื่อเรียนรู้ได้ แกต้องรีบเรียนรู้มัน”

เจ้าหมาดำดีใจมากอีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับของขวัญจากนายท่าน”

ฟางหนิงพูด “เอาล่ะ อย่าลืมดูแลโทรศัพท์เครื่องนี้ให้ดี เป็นการดีที่สุดที่จะขอให้พ่อบ้านเจิ้ง ทำกระเป๋าหนังที่คล้องคอให้แกได้ จะได้พกพามันได้สะดวก”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าหมาดำก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปทันที

ฟางหนิงพยักหน้า ความคิดของเขาคล้ายกับเจ้าหมาดำ ดังนั้นเขาจึงสามารถรักษาจิตใจของมันไว้ได้ ส่วนอัจฉริยะและวายร้ายอย่าง แอนเดอร์สันควรเข้าคุกและปล่อยให้เน่าตายไปในนั้นซะ..

ระบบ “โฮสต์ ทำไมคุณใจร้ายจัง…”

ฟางหนิงถลึงตาใส่ “อะไรกัน? ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเปิดแผนที่ของแกไง ฉันพยายามที่จะหาช่องโหว่ได้ง่ายๆ แล้วนะ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบที่จะดำเนินการโดยเริ่มจากเมืองเถาที่อยู่ใกล้เคียง

“เซวียยปากำลังฝึกซ้อม ส่วนเจิ้งต้าวกำลังหาข้อมูล มีเพียงไป๋หลี่เท่านั้นที่ไม่ได้ทำอะไร ผิวของมันหยาบและหนามาก มันออกกำลังกายทุกวัน ผู้ที่ใช้พลังของนกฮัมมิ่งเบิร์ดในโทรศัพท์ได้ทำวิดีโอสาธิตแล้ว มันไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นมังกรพ่นน้ำไปก็จะช่วยชีวิตมันไว้ได้

“อีกอย่างจากกรณีของพ่อบ้านเจิ้ง ฉันพบว่าแม้ว่าพวกเขาจะไม่พบอันตรายร้ายแรงก็จริง แต่ก็คงจะลำบากมาก หากพวกเขาต้องถูกขังอยู่ในสถานที่บางแห่งเป็นเวลานานและไม่สามารถออกไปไหนได้ เมื่อทดสอบแล้ว ก็ส่งให้พวกเขาเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต”

ระบบ “โฮสต์รอบคอบมาก ระบบอยากชมโฮสต์ว่าเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหล…”

ฟางหนิง “หยุด อย่าให้น้ำไหลเข้าออกเลย แกต้องมีท่าทีตอบโต้ทันทีเมื่อถึงเวลา ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบ และเป็นการยากที่จะรับประกันข้อผิดพลาดอะไรได้ เมื่อโหมดช่วยเหลือพันลี้ เปิดใช้งาน ก็ต้องรีบไปช่วยทันที ”

ระบบ “ไม่เป็นไร เพราะถ้ามีข้อผิดพลาดจริง ก็ปล่อยให้วิญญาณของเขาเข้าไปในห้องขังของระบบในฐานะสุนัขเฝ้ายาม หมาดำจะมีช่วงเวลาที่ดีในนั้น”

ฟางหนิง “หยุดนะ แกหยุดความคิดนี้ไปเลย นั่นเป็นสหายที่ซื่อสัตย์และมีประโยชน์ของฉันนะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดจริงๆ ค่อยขอให้ราชาผีช่วยเขา”

…………

“โอเค การทดสอบเริ่มต้น และไป๋หลี่เท่อเริ่มใช้ ‘ลูกศรเจาะเมฆา’ เพื่อเรียกมังกรทันที”

ฟางหนิงโทรหาไป๋หลี่ด้วยโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง

ในเวลานี้เซวียเฟิงซึ่งกำลัง “บินอยู่” บนฟ้า ได้พาไป๋หลี่ไปเมืองเฉิงแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าหมาดำก็วาง iPhone X ลงด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือ Nokia เครื่องเก่าขึ้นมา และแตะปุ่ม “โทร” ด้วยอุ้งเท้าหน้าของมัน

จากนั้นข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของโทรศัพท์มือถือทันที

“หน่วยกู้ภัยกำลังจะมาถึง นับถอยหลัง 24 ชั่วโมง 23:59:59…”

ในชั่วพริบตาไป๋หลี่ก็เห็นอัศวิน A ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตามันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“ดีมาก การทดสอบสำเร็จ สามารถหยุดการโทรได้”

ไป่หลี่รู้สึกปลาบปลื้มในทันที และกดปุ่ม “ยกเลิก” อย่างรวดเร็ว มันคิดกับตัวเองว่า นายท่านใจดีกับตนมาก อาวุธวิเศษนี้คงจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมันโดยเฉพาะ ด้วยเรื่องที่มันถูกลอบโจมตีครั้งล่าสุด

สิ่งนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมหาศาลแน่นอน และฉันต้องรักมันให้เหมือนที่ฉันรักพี่ชายของฉัน

อัศวิน A พูดอีกครั้ง “โอเค ถ้าแกทำการทดสอบได้สำเร็จ ก็ไปหาที่วิ่งเล่นเถอะ บอกให้พ่อบ้านเจิ้งตอบแทนแกด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยด้วยล่ะ”

หมาดำยืนนิ่งและนั่งยองๆ ยกขาขึ้นแสดงความเคารพ “ครับ นายท่าน”

หลังจากพูดจบ เจ้าหมาดำก็ใส่โทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องไว้ในกระเป๋าที่ด้านหน้าคอของมัน จากนั้นสุนัขก็ออกวิ่งไปอย่างมีความสุข

ในเวลานี้ อัศวิน A มองไปรอบๆ ดวงตาของเขาเป็นประกาย และเขาก็วิ่งไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

…………

ในอาคารพักอาศัยที่ค่อนข้างเก่าในเมืองเถาง อาคารชั้น 12 ในห้องเช่าแห่งหนึ่ง มีชายชราใบหน้าหมองมัวคนหนึ่งเพิ่งลุกขึ้นจากเตียงในเวลา 11 โมงเช้า

เขาเดินไปที่หน้าต่างบ้านเช่าและมองออกไปยังทางหลวงที่อยู่ใกล้กับอาคารสูงซึ่งขณะนี้แออัดไปด้วยการจราจรและผู้คนมากมาย

เขาเห็นชายหนุ่มมีเสน่ห์มากความสามารถ ฉับพลันแววตาละโมบก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเมื่อเห็นเหยื่อ

ในโลกนี้ ในอนาคตฉันจะเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย แม้ตอนนี้ฉันจะทำได้แค่ตามล่าพวกคนธรรมดาไปก่อน แต่ในอนาคต ฉันจะตามล่าพวกคนมีอำนาจเหล่านั้นด้วย ชีวิตและความตายของทุกคนอยู่ในกำมือฉัน

หน่วยกิจการพิเศษจะมีประโยชน์อะไร พอโตมาในเมืองที่ห่างไกลพวกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกแกก็หมดหนทาง…

ในเวลานี้ ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ดูราวกับเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย กำลังขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันหนึ่งอยู่ริมถนนด้านขวา ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บนใบหน้าของเขามีเหงื่อผุดพรายเล็กน้อย ด้านหลังสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีกล่องเขียนคำว่า take away ติดอยู่

ทันใดนั้น ลมกระโชกแรงสายหนึ่งก็พัดเข้ามา กองใบไม้ที่ถูกกวาดไว้กองเป็นปลิวระเบียบกระจัดกระจาย ก่อนจะบดบังทัศนวิสัยของเขา

นักศึกษาคนนั้นใช้มือขวาออกไปปัดเป่าใบไม้ ทำให้รถส่ายโดยไม่รู้ ก่อนจะตัวล้มลงบนถนนทางหลวงพิเศษ ตอนนั้นบนถนนก็มีมีรถโฟล์คสวาเกนขับผ่านมาพอดี…

ด้วยเสียงเบรกอันรุนแรงของรถ รถโฟล์คสวาเกนคันนั้นหยุดรถได้ทันเวลา หน้าต่างถูกลดระดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือด

คนขับหนุ่มตบหน้าอกตนเองด้วยความตื่นตระหนก ชะเง้อคอมองไปที่สกู๊ตเตอร์และคนที่อยู่ข้างหน้ารถของเขา ระยะห่างมีเพียงแค่สามสิบเซนติเมตรเท่านั้น

คนขับหนุ่มตกใจมากและคิดว่า แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เพิ่งถูกแฟนลากไปเล่นเกม “Battle of the Beasts” และฝึกฝน “Basic Refinement Magic”

เหมือนกับที่ผู้เล่นคนอื่นๆ พูดกัน เกมนี้ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองเพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะเพียงชั่วครู่เท่านั้นที่เขาสามารถตอบสนองต่อการเหยียบเบรกได้ทันเวลา

ไม่อย่างนั้นด้วยสถานการณ์ที่กะทันหันขนาดนี้ คงไม่มีทางเหยียบเบรกทันแน่นอน เขาเพิ่งกู้เงินมาซื้อรถซะด้วยสิ ไม่งั้นเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

นักศึกษาเหลือบมองคนขับอีกครั้ง ก่อนจะโค้งคำนับและพูดว่า “ขอโทษครับที่ทำให้คุณลำบาก” แล้วรีบออกไปเลื่อนสกูตเตอร์ไฟฟ้ามาไว้ด้านข้างถนน

คนขับหนุ่มโบกมือไม่สนใจอะไร ดูเหมือนนักศึกษาคนนั้นจะไม่ได้ตั้งใจ เขาสตาร์ทรถแล้วขับรถต่อไป

ถนนกลับสู่ความสงบดังเดิม ไม่มีใครรู้เลยว่ามีหน่วยกิจการพิเศษอยู่ที่นี่

“น่าเสียดาย พลาดอีกแล้ว มันยากจริงๆ ที่จะเลือกคนหนุ่มสาวเป็นเป้าหมายในการตามล่า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้ประโยชน์สูงสุดก็ตาม” ชายชราอยู่ชั้นบน ส่ายหัว แล้วมองไปยังคนถัดไป “ครั้งต่อไปจะไม่เลือกพวกเขาอีกแล้ว ”

“ไปในคุกเพื่อหาโอกาสอีกครั้งเถอะ…” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นข้างหู ก่อนที่ชายชราจะหายตัวไปจากห้องเช่า

…………

ในพื้นที่ห้องขังของระบบ จู่ๆ ก็เกิดห้องขังหมายเลข 3 ขึ้นมา

แอนเดอร์สัน “ตอนนี้ผมสามารถต่อสู้กับเจ้าโฮสต์นั่นได้…”

ผู้เฒ่าเฟิง “ฉันยังอยากนอน ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

แอนเดอร์สัน “น่าเสียดาย ที่จริงผมว่าจะบอกวิธีที่ทำให้คุณได้มีชีวิตอยู่ต่อสักหน่อย ”

ผู้เฒ่าเฟิงลุกขึ้นทันที “มีวิธีนั้นด้วยเหรอ?”

แอนเดอร์สัย “ร่วมมือกับผม เพื่อต่อสู้กับโฮสต์ก่อน”

ผู้เฒ่าเฟิง “ที่นี่ไม่มีอะไรเลย จะทำได้ยังไงกัน?”

แอนเดอร์สัน “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ…”

ผู้เฒ่าเฟิง “น่าทึ่งมาก แอนเดอร์สัน มันสมองของแกสุดยอดจริงๆ แกยังสามารถพบเขาวงกตจิตในสถานที่แบบนี้ได้”

ตอนนั้นเองชายชรานิรนามก็เอ่ยขึ้น “ที่นี่คือที่ไหน ฉันอยู่ที่ไหนกัน?”

แอนเดอร์สัน “ผู้เฒ่าเฟิง เรียกสติให้กับคนมาใหม่นั่นหน่อยสิ”

ผู้เฒ่าเฟิงแสยะยิ้ม “ได้สิ แอนเดอร์สัน”

………………………………………………………..

บทที่ 128 มีแค่คนที่มีประโยชน์เท่านั้นที่จะอยู่ได้นาน
การแจ้งเตือนจากระบบ ‘ความโกรธของหม่าเต๋อชุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเต็มแล้ว ปัจจุบันระดับความโกรธบางส่วนได้รับการเติมเต็มไป 20%’

ฟางหนิงไม่ได้อ่านนิยายหรือเล่นเกม เขากำลังอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์เว่ยป๋ออ่านหัวข้อข่าว และเรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบันเมื่อได้รับข้อความแจ้งเช่นนี้

เอ๋ ห้องขังทั้งหมดเป็นห้องเดี่ยว จะมีนักโทษโผล่เข้ามาอีกได้ไงกัน? ใครกันที่เก่งได้ถึงขนาดนี้?

แผนการอันชั่วร้ายวายผ่านเข้ามาในหัวทันที นอกจากแอนเดอร์สันแล้วยังมีใครอีกเหรอ?

ฟางหนิงรีบเดินไปที่ห้องขังซึ่หมายเลข 3 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในนั้นต้องเป็นคนที่มาใหม่ “หม่าเต๋อชุน” แน่นอน

ฟางหนิงเปิดหนังสือเกม

“หม่าเต๋อชุน เพศชาย งานอดิเรกคือสนใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการพนัน อายุ 69 ปี สถานะ ว่างงาน”

“แนวโน้มความดีและความชั่ว ความชั่ว”

“การประเมินความแข็งแกร่ง ผู้เล่นระดับถ้วย ขนาดโดยละเอียด ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย มีความสามารถพิเศษที่ปลุกให้ตื่นได้ยาก และมีศักยภาพสูงมาก”

“อย่างน้อยอัจฉริยะชั่วร้ายก็ถูกกำจัดแล้ว ดีจริงๆ” ฟางหนิงปิดหนังสือเกมแล้วเดินไปดู เขาเป็นคนที่มีศักยภาพสูงคนหนึ่ง ฟางหนิงเห็นเขาครั้งแรกก็รู้เลยว่าชายคนนี้หากปล่อยเอาไว้ ในอนาคตจะต้องกลายเป็นปีศาจแน่นอน

หากฟางหนิงใช้ร่างมนุษย์ในพื้นที่ระบบ รูปลักษณ์ของเขาจะเบลอ และเขาจะไม่ปรากฏพร้อมกับ “ฟางหนิง” ตัวตนที่แท้แน่นอน แต่เขาก็กลัวว่าตนเองจะลืมตัวจนบังเอิญออกจากพื้นที่ระบบไปและก่อให้เกิดปัญหาใหญ่

ฟางหนิงระมัดระวังในการปกปิดตัวตนของเขามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค้นพบความจริงและไพ่ไม้ตายแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันจำเป็นมากที่จะต้องเตรียมตัวสำหรับการเคลื่อนไหวนี้ล่วงหน้าหนึ่งวัน ถ้าวันใดวันหนึ่งอัศวิน A เข้ากับเขาไม่ได้ เขาก็จะได้ใช้ตัวตนที่แท้จริงของฟางหนิงต่อไปได้เพื่อพัฒนา

ฟางหนิงมาที่ห้องขัง เขามองเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่านักโทษทั้งสามกำลังหลับอยู่ แต่ดวงตาเทพเจ้ากลับกำลังพูด

ผู้เฒ่าเฟิง “ไม่กล้าเรียก”

แอนเดอร์สัน “สามคะแนน เรียกเจ้าโฮสต์นั่นซะ”

หม่าเต๋อชุน “ไม่กล้าเรียก”

…………

แอนเดอร์สัน “ฤดูใบไม้ผลิ”

ผู้เฒ่าเฟิง “แพ้อีกแล้ว”

หม่าเต๋อชุน “ทำไมถึงได้แพ้ตลอดนะ? เหลือไพ่อีกแค่ใบเดียวแท้ๆ แกต้องโกงฉันแน่ๆ……”

แอนเดอร์สัน “ผู้เฒ่าเฟิง สอนเขาหน่อยสิว่าแบบไหนถึงเรียกว่าโกง”

…………

การแจ้งเตือนจากระบบ ‘ความโกรธของหม่าเต๋อชุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเต็มแล้ว ปัจจุบันระดับความโกรธหนึ่งถูกเติมเต็มเข้าไป 10%’

ฟางหนิงพยักหน้า บุคคลนี้ถูกระบบจับกุมแล้ว เขาไม่รู้ว่าระบบเป็นใคร ในใจจึงทำได้แค่โทษคนที่อยู่ตรงหน้า

แต่เจ้าแอนเดอร์สันนักโทษที่อยู่ในคุกนั่น เห็นได้ชัดว่าไม่มีงานอดิเรกอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังมีช่วงเวลาที่ดี หรือบางทีเขากำลังปิดบังความเหงาในใจกันนะ? แต่ช่างเถอะ อย่าไปให้ค่าอะไรเขามากเลยจะดีกว่า

“พวกแกกำลังทำอะไรอยู่? นี่กำลังเล่นไพ่กันอย่างนั้นเหรอ? เล่นต่อหน้าฉันที่เป็นผู้คุมเหรอ…” ฟางหนิงทำทีครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วในพริบตาก็ถ่มน้ำลายออกมา “ถุย พวกแกกล้ามาก! คราวหน้าฉันจะเรียกพัศดีมา ถึงตอนนั้นล่ะ พวกแกได้เจอของจริงแน่”

แอนเดอร์สันรีบกล่าว “ท่านครับ อภัยให้เราด้วย ผมแค่อยากช่วยดูแลเด็กที่มาใหม่ ตอนนี้เจ้านี่เอาแต่ถามว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตัวเองเป็นใคร จะออกไปได้ยังไง เขาเอาแต่ถามแบบนี้ทั้งวัน”

ฟางหนิงแอบชื่นชมอยู่ในใจ แอนเดอร์สันฉลาดจริงๆ เขาเอาตัวรอดเก่ง แต่เขาก็ยังเป็นจอมร้ายกาจ หลังจากที่ตนได้ฟังเรื่องทั้งหมด ก็รู้สึกไม่อยากให้เทพแห่งระบบสร้างอุปกรณ์อีก คล้ายกับเสียดายความสามารถ…

ฟางหนิงพูด “นายทำได้ดีมาก ฉันคิดว่านายสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนพวกนักโทษได้ชั่วคราว”

ทันทีที่ผู้เฒ่าเฟิงได้ยิน เขาก็นึกถึงสิ่งที่แอนเดอร์สันพูดทันทีเมื่อตอนที่เล่นไพ่ ตราบใดที่อีกฝ่ายเห็นคุณค่าของตน ตนก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น

ผู้เฒ่าเฟิงรีบพูดขึ้นบ้าง “ฉันขอสารภาพ ฉันจะอธิบาย ฉันสามารถบอกท่านพัศดีถึงวิธีการของ ‘มือปืนมรณะ’ ได้ สองคนนี้เข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะฉันเป็นคนสอนพวกเขาเอง และที่สำคัญที่สุดคือ ‘ดวงตาแห่งภูติผี’ ฉันไม่เคยสอนใครเลย”

ฟางหนิงเริ่มสนใจ ในบรรดารางวัลที่ได้รับจากสำนักสัจธรรมสำหรับภารกิจนี้รางวัลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ารวมมูลค่า 500 ล้านหยวน แต่นั่นยังไม่รวม “มือปืนมรณะ” ที่อัศวิน A ขอไว้อย่างชัดเจน

เขาคิดว่ามันเป็นเพราะสำนักสัจธรรมลังเล แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีวิธีนี้ให้เรียนรู้ได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้เฒ่าเฟิงจึงค่อยๆ อธิบาย จากนั้นการแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้น

การแจ้งเตือนของระบบ ‘ระบบได้รับทักษะลับ “มือปืนมรณะ” ซึ่งขัดแย้งกับระบบศิลปะการต่อสู้ที่มีอยู่ ระบบเลือกที่จะไม่เรียนรู้ ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์จำนวนมากเพื่อสรุปเวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบ’

ฟางหนิงพูดกับระบบว่า “แกตัดสินใจให้ฉันเรียนรู้อย่างนั้นนั้นเหรอ?”

ระบบตอบ “ให้พวกสุนัขสองตัวเรียนรู้ไป แม้ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งมากในการค้นหาศัตรู แต่พวกมันไม่สามารถเป็นแนวหน้าในสนามรบได้นาน ในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว ระบบเห็นว่าพวกมันซ่อนตัวได้เก่งมาก โดยเฉพาะเจ้าหมาเหลือง ระบบไม่เห็นมันในแผนที่เลย แทบจะหามันไม่เจอ”

ฟางหนิงชื่นชมอย่างจริงใจ “ระบบ แกนี่สุดยอดจริงๆ”

ระบบหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ระบบจะยอมรับคำเยินยอจากโฮสต์เอาไว้”

ฟางหนิง “เฟิงเกินเซิงดูเหมือนจะสงบขึ้นบ้างแล้ว ถ้าอย่างนั้นให้เขาเริ่มทำงานเพื่อเราเถอะ แกบอกว่าแกสามารถปรับแต่งเม็ดยาที่เติมพลังเพื่อให้วิญญาณดูดซับและรักษารูปร่างของมันได้ แกจะทำยังไง?”

ระบบตอบกลับ “ก็แค่ให้ยาชูกำลังแก่เขา แต่สมุนไพรที่เราใช้ทั้งหมดมาจากสำนักสัจธรรม คุณภาพดี แต่ราคาสูงเกินไป ทางที่ดีใช้อันที่ถูกกว่าเถอะ ยังไงคุณภาพของมันก็ใกล้เคียง ชายคนนั้นไม่ต้องฝึกหรอก แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว…”

ฟางหนิงพูด “นี่คงเป็นนิสัยขี้เหนียวของแกสินะ ไม่ต้องกังวลหรอก ประธานจ้าวและคนอื่นๆ กำลังมองหาที่สำหรับเริ่มทำฟาร์ม และฉันเห็นในข่าวล่าสุดว่าเมืองใหญ่หลายเมืองกำลังเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้แล้ว เร็วๆ นี้ สมุนไพรยาคุณภาพต่ำและราคาถูกทุกชนิดจะถูกผลิตออกมา ถึงเวลานั้นใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้ราคาถูกยิ่งกว่านี้อีก”

ระบบ “ไม่เป็นไร”

‘ระบบใช้เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุหลัก ใช้แต้มประสบการณ์นับพัน และใช้วัตถุดิบทางการแพทย์หลายอย่าง “ชะเอมเทศ” และ “โสมสิบปี” เพื่อสร้างยาเม็ดพลังชีวิตที่กลายพันธุ์ 10 เม็ด ซึ่งจิตวิญญาณสามารถใช้เพื่อดูดซับพลังชีวิตได้’

ฟางหนิงมองไปที่ข้อความแจ้งเตือน ก่อนจะเกิดความสงสัย “ลืมเรื่องชะเอมเทศไปได้เลย ‘โสม 10 ปี’ นี้ที่อยู่ในกล่องนั้นไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘โสมว่านเจี๋ย’ หรอกเหรอ?”

ระบบ “ม้าเทพ? พวกเขาโกงเราจริงหรือ? โสมนี้ปรากฏไว้ในกฎเกณฑ์ ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณพลังชีวิตที่ถูกดูดซึมมาเป็นเวลาสิบปีตามปกติ ระบบคิดว่ามันถูกเรียกว่า ‘โสมว่านเจี๋ย’ มาโดยตลอดสำนักงานสัจธรรมเป็นคนตั้งชื่อ ที่แท้พวกเขาก็ใช้ของไม่ดีสินะ ไม่ได้การ ต้องให้พวกเขามอบโสมว่านเจี๋ยเป็นค่าตอบแทน”

ฟางหนิงตอบกลับ “พวกเขาจ่ายให้ไม่ได้หรอก ระยะเวลาของ ‘ว่านเจี๋ย’ นั้นเกินจริงเกินไป ให้เจิ้งต้าวไปหาพวกเขาเถอะ”

หลังจากที่ฟางหนิงและระบบคุยกันอย่างลับๆ แล้ว เขาก็โยนยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในห้องขังของเฟิงเกินเซิง “เฟิงเกินเซิง ครั้งนี้แกทำได้ดี นี่เป็นรางวัลสำหรับแก จำไว้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้งแล้ว แต่ก็ยังพอจะเป็นผีที่ดีได้”

“ครับ ท่านพัศดี” ผู้เฒ่าเฟิงตอบรับทันที เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสก็รู้ว่ามันเป็นเม็ดยาคุณภาพสูง คราวนี้เกรงว่าจะไม่มีใครกลั่นกรองได้ มีเพียงมังกรตัวจริงเท่านั้นที่สามารถทำได้ ด้วยวิธีนี้ วิญญาณและร่างกายของเขาอาจจะมีเสถียรภาพอยู่อีกหนึ่งปี เขามีความหวังทันที “ขอบคุณท่านมังกร ผมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นผีที่ดีแน่นอนครับ”

ฟางหนิงไม่สนใจพวกเขาอีก ตอนนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนสักสองสามวันก่อนดีกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องทำงานหนักแล้ว

ฟางหนิงออกจากพื้นที่ของระบบและกลับไปดูข่าว ครึ่งปีให้หลัง โลกเปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะในเสินโจว พร้อมกับการส่งเสริมของ “เทคนิคการปรับแต่งขั้นพื้นฐาน” บางสิ่งที่น้อยคนจะรู้จัก ได้ทยอยเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบแล้ว

กิจกรรมพิเศษบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ระดับสูงและผู้ฝึกฝนสามารถเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตในลักษณะที่ยิ่งใหญ่ แทนที่จะลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทันทีที่มีการเผยแพร่ครั้งแรก เมื่อเทียบกับประเทศเปิดบางประเทศ มันยังความอนุรักษ์นิยมมาก ได้ยินว่าบางแห่งมีผู้ปฏิบัติงานบางคนแอบจัดการแข่งขันต่างๆ ในช่วงต้นหลังจากเหตุการณ์อุกกาบาต ผู้ใช้ระดับสูงได้ตื่นรู้มากขึ้นเป็นวงกว้าง และตอนนี้ พวกเขาก็ได้รับการเปิดเสรีเพิ่มเติมแล้ว ผู้ใช้ที่มีอำนาจจากตะวันตกจำนวนมากได้เข้าร่วมในสาขาธุรกิจเพื่อแสดงความสามารถของตน

หากแต่กลับเสินโจวเป็นพวกหัวโบราณมากมาก ตอนนี้มีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่แห่งที่เปิดสาขาเกี่ยวกับงานอดิเรก เพื่อเพิ่มหลักสูตรพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก ตั้งแต่การจำแนกประเภท การระบุ และการเพาะปลูกพืชพลังชีวิต ไปจนถึงกลไกการออกฤทธิ์ของพลังชีวิต และวิธีการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ การสอนกำลังดำเนินการ และการวิจัยต่างๆ ก็กำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน

สิ่งนี้จะต้องดำเนินการด้วยการสนับสนุนทางเทคนิคเบื้องหลังของสำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษ

แน่นอนว่า ไม่มีวิธีการเพาะปลูกที่แท้จริง หากคุณต้องการเรียนรู้ คุณต้องเลือกเข้ารับการรักษาที่หน่วยงานกิจการพิเศษในท้องถิ่น จากนั้น คุณก็จะถูกเลือกทีละขั้น

แน่นอนว่าผู้ที่เข้าสอบจะไม่สามารถเทียบได้กับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่สถาบันฝึกอบรมพิเศษที่ดำเนินโดยสำนักสัจธรรมตั้งแต่เด็กๆ ผู้ที่เป็นแกนหลักและชนชั้นสูงจะได้รับการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุด

สำหรับผู้ที่มีความสามารถตื่นตัว เช่นเดียวกับผู้ฝึกฝนพื้นบ้าน จะไม่จัดอยู่ในหมวดของคนธรรมดาอีกต่อไป ผู้ที่ก้าวเข้าสู่กลุ่มคนพิเศษ จะมีการจัดการที่เข้มงวดกว่า

“มาตรการชั่วคราวเพื่อการบริหารงานบุคคลวิสามัญ” ฉบับใหม่กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการและจะดำเนินการในเร็วๆ นี้

เนื้อหาโดยรวมคือ ในอนาคต บุคคลพิเศษทุกคนจะต้องฝึกฝน “เทคนิคการฝึกพื้นฐานจากพระเจ้า” และลงทะเบียนเป็นบุคคลพิเศษกับเครือข่ายเทียนหลัวผ่านสัญญาณประสาทสัมผัสแห่งสวรรค์ ส่วนผู้ที่ไม่ลงทะเบียนจะไม่มีสิทธิเข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น และจะไม่สามารถเข้าสถาบันที่เป็นทางการเพื่อศึกษาต่อในอนาคตได้ พวกเขาจะสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับการฝึกไม่ได้ และไม่สามารถซื้อสมุนไพรการเพาะปลูกจากช่องทางที่เป็นทางการได้เช่นกัน พวกเขาจะมีส่วนร่วมอยู่ในงานของคนธรรมดาเพียงเท่านั้น

เช่นเดียวกับ DNA สัญญาณความรู้สึกทางวิญญาณนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับคนๆ เดียว และทุกคนก็ต่างกัน หลังจากการลงทะเบียนครั้งแรกก็จะสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของยอดมนุษย์ทั้งหมดได้ โดยไม่มีวิธีใดที่จะปลอมแปลงและแทนที่ได้

ฟางหนิงคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ และเขาเข้าใจว่าในอนาคต สัญญาณดวงตาเทพเจ้าจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับพวกเหนือมนุษย์ที่จะใช้ระบุตัวตนของพวกเขาได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่เขาอ่านมันแล้ว เขาก็นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาทันที ตัวแทนของเขาจะหลบซ่อนต่อไปได้ยังไง

ฟางหนิงรีบถามระบบทันทีด้วยความเป็นห่วง

ระบบ “ระบบเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่หน่วยงานสำรองมีฟังก์ชั่นการควบคุมระยะไกลที่สามารถช่วยให้โฮสต์ส่งต่อสัญญาณดวงตาเทพเจ้าได้ หรือโฮสต์สามารถจับนักโทษในคุกได้ โดยให้สัญญาณดวงตาเทพเจ้าแทนร่างกาย”

ฟางหนิงคิดพลางก็ส่ายหน้า “สิ่งนี้ได้รับการแก้ไขเพียงครั้งเดียวและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้านักโทษตายขึ้นมา มันจะไม่ลำบากเหรอ?”

ระบบ “แล้วต้องทำยังไงล่ะ?”

ฟางหนิงมองไปที่ร่างวิญญาณของมนุษย์ในเวลานี้ ตอนนั้นเองก็มีความคิดว่า “แกบอกว่าร่างมังกรของฉันและร่างมนุษย์ของฉันควรจะส่งสัญญาณดวงตาเทพเจ้าที่แตกต่างกันใช่ไหม? เพราะสองสิ่งนี้ควรนับเป็นสิ่งมีชีวิตสองแบบ”

ระบบ “ระบบเองก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก โฮสต์สามารถถามแอนเดอร์สันได้ เขาสามารถพัฒนาดวงตาเทพเจ้าได้ถึงขนาดนี้ เขาต้องให้คำตอบโฮสต์ได้อย่างแน่นอน”

ฟางหนิง “ฉันเองก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าตอนนี้แอนเดอร์สันจะยังมีประโยชน์อยู่มาก อย่าใช้เขาเป็นเครื่องมือก่อนเลย”

ระบบตอบกลับ “ก็ได้”

ต้องบอกว่าแอนเดอร์สันเป็นอัจฉริยะตัวจริงเลยทีเดียว ขาต้องได้เห็นทุกสิ่งมาแล้วแน่นอน

ภายในคุกของระบบ สำหรับคนชั่วเหล่านี้ ฟางหนิงไม่เคยพูดว่าเขาเป็นคนใจอ่อนเลย คนที่มีประโยชน์เท่านั้นที่จะมีชีวิตยืนยาวได้ วัสดุที่ไร้ประโยชน์ย่อมถูกนำมาใช้เป็นวัสดุตามธรรมชาติ เพื่อช่วยติดตามปีศาจให้ระบบ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ แต่ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว

…………………………………………………

บทที่ 127 กู้ภัยกำลังจะมา นับถอยหลังภายในเวลา 24 ชั่วโมง
หลังจากอ่านข้อความจากระบบ ฟางหนิงก็ถามขึ้นว่า “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะฟื้นฟูได้สมบูรณ์”

ระบบ “สองวัน”

ฟางหนิงพยักหน้า “ตกลง ถ้าอย่างนั้นแกก็รักษาตัวเถอะ ฉันจะไปทำธุระเรื่องหนึ่งก่อน”

ระบบ “โฮสต์คงไม่ได้จะไปสู้กับปีศาจในเกมหรอกใช่ไหม”

ฟางหนิง “ฉันดูเป็นคนไม่เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังขนาดนั้นเลยหรือยังไง? คนอื่นมีไม้ตายคือไพ่ดอกจิกเรียงกันห้าใบเชียวนะ เพราะฉะนั้นเราต้องได้คิง ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม…”

หลังจากพูดจบ ฟางหนิงก็ไปที่ QQ เพื่อติดต่อกับนกฮัมมิ่งเบิร์ด การติดต่อสำนักสัจธรรมเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับเจิ้งต้าว พวกเขาจะได้รู้ว่าตอนนี้ไม่มีปัญหา แต่เมื่อพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าอาจไม่ดีนัก เพราะนั่นอาจเป็นอันตรายกับมังกรขาวได้

นกฮัมมิงเบิร์ด “นายท่าน คำสั่งของท่านคืออะไร?”

ฟางหนิง “ซื้อเครื่องจับเวลามาสักโหลหรือมากกว่านั้นมาติดตั้ง ฉันอยากให้หน้าตาของพวกมันดูเหมือนโทรศัพท์มือถือและไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย ตราบใดที่พวกมันสามารถฆ่าสุนัขได้ก็เพียงพอแล้ว สามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และสามารถเปิดปิดการควบคุมได้ด้วยตนเอง ที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพต้องดีพอ แต่หากพบว่าเป็นสินค้าปลอมแปลง ฉันจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน”

นกฮัมมิงเบิร์ด “วางใจได้นายท่าน มันจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน คุณภาพสูง และส่งถึงบ้านโดยเร็วแน่นอน”

ฟางหนิง “พวกคุณเก่งจริงๆ แม้ว่าจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้สังกัดของสำนักสัจธรรม แต่พวกคุณก็ทำมันได้”

นกฮัมมิงเบิร์ด “นายท่าน เมื่อก่อนก็เป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้พวกหนูยักษ์ได้เปิดบริการการจัดส่งแล้ว หนูยักษ์ส่งไปตามทางใต้ดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเท่าบริษัทขนส่งบนพื้นดิน แต่ก็ยังสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ต่อวัน กุญแจสำคัญคือการปกปิด ไม่ให้ใครรู้”

ฟางหนิงสะดุ้ง ‘บ้าจริง มีคนฉลาดในกลุ่มหนูยักษ์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกมันได้หน้าได้ตากันแบบนี้มากี่เดือนแล้ว? ฉันพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจของตัวเอง การขนส่งด่วนดูเหมือนจะง่าย แต่สถานะของมันสำคัญมากทีเดียว มันเทียบเท่ากับหลอดเลือดในร่างกายมนุษย์’

ด้านหนึ่งมันทำเงินในพื้นที่สีเทาของมนุษย์และในทางกลับกันก็ปรับปรุงระบบเศรษฐกิจของตัวเองด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นี่เป็นแนวทางด้านทฤษฎีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์แนะนำให้แก่หนูยักษ์

ฟางหนิงรู้สึกกดดันอีกครั้ง เมื่อกองกำลังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้พัฒนาพลังขึ้น ในอนาคตพวกมันจะน่ากลัวอย่างยิ่ง

ฟางหนิงเอ่ยถาม “สำนักสัจธรรมจะไม่สนใจเรื่องนี้เหรอ?”

นกฮัมมิงเบิร์ดตอบกลับ “ตามข้อมูลลับ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะบรรลุความเข้าใจโดยปริยายผ่านสมาคมราชาผีแล้ว หนูยักษ์ไม่สามารถขนส่งสิ่งของที่มีระดับต่ำได้ แต่อย่างอื่นสามารถผ่อนปรนได้ แน่นอนว่าสำหรับนายท่าน ข้อจำกัดนี้ไม่ควรกล่าวถึง”

ฟางหนิงนึกถึงไพ่ดอกจิกของสำนักสัจธรรม ดินแดนมรดกลึกลับนั่น และเข้าใจดีว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่กับพวกกลุ่มหนูยักษ์

พวกเขารอจนกว่าการพัฒนาจะเสร็จสิ้น แล้วจากนั้นค่อยทำลายมันในคราวเดียวโดยไม่ทิ้งปัญหาเอาไว้ในอนาคต ส่วนสิ่งสำคัญที่สุดของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการควบคุมสถานการณ์โดยรวมให้ปราศจากความวุ่นวาย และยังคงส่งเลือดไปพัฒนาดินแดนมรดกของพวกเขาต่อไป

ฟางหนิง “ลำบากพวกคุณแล้ว ไว้ของถึง แล้วค่อยมาเก็บเงินนะ”

…………

สองวันต่อมา ที่วิลล่าของฟางหนิง

ในฤดูหนาว ฟาร์มรกร้างยิ่งกว่าปกติ ยกเว้นเรือนกระจกไม่กี่แห่งที่ยังคงปลูกผักสดเอาไว้ ไร่ส่วนใหญ่กลายเป็นผืนดินเปล่า ไม่มีใครปลูกข้าวสาลีในฤดูหนาว

ในทุ่งว่างแห่งนี้หมาดำไป๋หลี่ยื่นขาหน้าออกมาและจิ้มไปที่โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่อยู่บนพื้นตรงหน้า โทรศัพท์เครื่องนี้แย่ยิ่งกว่า iphone X ที่มันซื้อผ่านทางออนไลน์อีก

โทรศัพท์เครื่องนี้ภายนอกดูเหมือนโทรศัพท์ Nokia รุ่นเก่า โดยมีหน้าจอขนาดเล็กอยู่ด้านบนและแถวของปุ่มด้านล่างหน้าจอ ปุ่มหนึ่งมีเครื่องหมาย “โทร” ส่วนอีกปุ่มหนึ่งระบุว่า “ยกเลิก” ส่วนที่เหลือเป็นปุ่มตัวอักษรและตัวเลข

มังกรขาวตัวเล็กเอ่ยขึ้น “ไป๋หลี่ นี่เป็นรางวัลใหญ่สำหรับแก ‘ด้วยลูกศรเจาะเมฆา ทหารนับพันจะพบกัน’ ซึ่งเรียกว่าลูกศรเจาะเมฆ กดตัวเลข 139 ลงไป… จากนั้นกดปุ่มโทรออกเพื่อเรียกมังกร

“ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหน ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณจะมาถึงทันเวลา แน่นอนว่าถ้าแกไม่มีเรื่องด่วน ก็อย่ากดเลย ถ้าปิดการโทรออก ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณจะไม่มา”

ได้ยินคำพูดนี้ เจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อก็ก้มศีรษะลงทันทีและกอดโทรศัพท์ที่เหมือนก้อนอิฐหนาปึกเครื่องนั้นไว้ในอ้อมแขน มันตอบกลับ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ ไป๋หลี่จะเรียกหาเขาเพราะเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร มันต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนสิถึงจะเรียก”

มังกรขาวตัวเล็กพยักหน้าและพูดว่า “แกฉลาดมาก อย่าเผลอกดปุ่มผิดโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ อาวุธเวทมนตร์นี้สร้างขึ้นใหม่โดยเราเอง ดังนั้นมันจะได้รับการทดสอบเป็นเวลานาน เมื่อถึงเวลานั้นแกจะติดตามพวกเราเพื่อทดสอบทีละเมือง”

ฟางหนิง ‘ไม่สำคัญหรอกว่าแกจะเผลอกดมันไหม เพราะอย่างมากที่สุด มันจะบินข้ามฟ้าและลากแกกลับไปทานอาหารสองมื้อเพื่อเพิ่มความจำของแก”

หมาดำเงยหัวขึ้นตอบรับ “ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน”

ตอนที่มันพูดออกไป สายตาก็มองไปรอบด้านราวกับกำลังมองหาสุนัขตัวอื่นเพื่ออวดสมบัติของมัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หมาเหลืองไม่ได้อยู่ที่นี่ คาดว่าอีกฝ่ายคงกำลังฝึก “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล”

ฟางหนิงตอบ “ดีมาก แต่หนังสือ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” ฉันอนุญาตให้แกไปถามเซวียเฟิงเพื่อเรียนรู้ได้ แกต้องรีบเรียนรู้มัน”

เจ้าหมาดำดีใจมากอีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับของขวัญจากนายท่าน”

ฟางหนิงพูด “เอาล่ะ อย่าลืมดูแลโทรศัพท์เครื่องนี้ให้ดี เป็นการดีที่สุดที่จะขอให้พ่อบ้านเจิ้ง ทำกระเป๋าหนังที่คล้องคอให้แกได้ จะได้พกพามันได้สะดวก”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าหมาดำก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปทันที

ฟางหนิงพยักหน้า ความคิดของเขาคล้ายกับเจ้าหมาดำ ดังนั้นเขาจึงสามารถรักษาจิตใจของมันไว้ได้ ส่วนอัจฉริยะและวายร้ายอย่าง แอนเดอร์สันควรเข้าคุกและปล่อยให้เน่าตายไปในนั้นซะ..

ระบบ “โฮสต์ ทำไมคุณใจร้ายจัง…”

ฟางหนิงถลึงตาใส่ “อะไรกัน? ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเปิดแผนที่ของแกไง ฉันพยายามที่จะหาช่องโหว่ได้ง่ายๆ แล้วนะ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบที่จะดำเนินการโดยเริ่มจากเมืองเถาที่อยู่ใกล้เคียง

“เซวียยปากำลังฝึกซ้อม ส่วนเจิ้งต้าวกำลังหาข้อมูล มีเพียงไป๋หลี่เท่านั้นที่ไม่ได้ทำอะไร ผิวของมันหยาบและหนามาก มันออกกำลังกายทุกวัน ผู้ที่ใช้พลังของนกฮัมมิ่งเบิร์ดในโทรศัพท์ได้ทำวิดีโอสาธิตแล้ว มันไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นมังกรพ่นน้ำไปก็จะช่วยชีวิตมันไว้ได้

“อีกอย่างจากกรณีของพ่อบ้านเจิ้ง ฉันพบว่าแม้ว่าพวกเขาจะไม่พบอันตรายร้ายแรงก็จริง แต่ก็คงจะลำบากมาก หากพวกเขาต้องถูกขังอยู่ในสถานที่บางแห่งเป็นเวลานานและไม่สามารถออกไปไหนได้ เมื่อทดสอบแล้ว ก็ส่งให้พวกเขาเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต”

ระบบ “โฮสต์รอบคอบมาก ระบบอยากชมโฮสต์ว่าเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหล…”

ฟางหนิง “หยุด อย่าให้น้ำไหลเข้าออกเลย แกต้องมีท่าทีตอบโต้ทันทีเมื่อถึงเวลา ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบ และเป็นการยากที่จะรับประกันข้อผิดพลาดอะไรได้ เมื่อโหมดช่วยเหลือพันลี้ เปิดใช้งาน ก็ต้องรีบไปช่วยทันที ”

ระบบ “ไม่เป็นไร เพราะถ้ามีข้อผิดพลาดจริง ก็ปล่อยให้วิญญาณของเขาเข้าไปในห้องขังของระบบในฐานะสุนัขเฝ้ายาม หมาดำจะมีช่วงเวลาที่ดีในนั้น”

ฟางหนิง “หยุดนะ แกหยุดความคิดนี้ไปเลย นั่นเป็นสหายที่ซื่อสัตย์และมีประโยชน์ของฉันนะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดจริงๆ ค่อยขอให้ราชาผีช่วยเขา”

…………

“โอเค การทดสอบเริ่มต้น และไป๋หลี่เท่อเริ่มใช้ ‘ลูกศรเจาะเมฆา’ เพื่อเรียกมังกรทันที”

ฟางหนิงโทรหาไป๋หลี่ด้วยโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง

ในเวลานี้เซวียเฟิงซึ่งกำลัง “บินอยู่” บนฟ้า ได้พาไป๋หลี่ไปเมืองเฉิงแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าหมาดำก็วาง iPhone X ลงด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือ Nokia เครื่องเก่าขึ้นมา และแตะปุ่ม “โทร” ด้วยอุ้งเท้าหน้าของมัน

จากนั้นข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของโทรศัพท์มือถือทันที

“หน่วยกู้ภัยกำลังจะมาถึง นับถอยหลัง 24 ชั่วโมง 23:59:59…”

ในชั่วพริบตาไป๋หลี่ก็เห็นอัศวิน A ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตามันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“ดีมาก การทดสอบสำเร็จ สามารถหยุดการโทรได้”

ไป่หลี่รู้สึกปลาบปลื้มในทันที และกดปุ่ม “ยกเลิก” อย่างรวดเร็ว มันคิดกับตัวเองว่า นายท่านใจดีกับตนมาก อาวุธวิเศษนี้คงจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมันโดยเฉพาะ ด้วยเรื่องที่มันถูกลอบโจมตีครั้งล่าสุด

สิ่งนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมหาศาลแน่นอน และฉันต้องรักมันให้เหมือนที่ฉันรักพี่ชายของฉัน

อัศวิน A พูดอีกครั้ง “โอเค ถ้าแกทำการทดสอบได้สำเร็จ ก็ไปหาที่วิ่งเล่นเถอะ บอกให้พ่อบ้านเจิ้งตอบแทนแกด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยด้วยล่ะ”

หมาดำยืนนิ่งและนั่งยองๆ ยกขาขึ้นแสดงความเคารพ “ครับ นายท่าน”

หลังจากพูดจบ เจ้าหมาดำก็ใส่โทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องไว้ในกระเป๋าที่ด้านหน้าคอของมัน จากนั้นสุนัขก็ออกวิ่งไปอย่างมีความสุข

ในเวลานี้ อัศวิน A มองไปรอบๆ ดวงตาของเขาเป็นประกาย และเขาก็วิ่งไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

…………

ในอาคารพักอาศัยที่ค่อนข้างเก่าในเมืองเถาง อาคารชั้น 12 ในห้องเช่าแห่งหนึ่ง มีชายชราใบหน้าหมองมัวคนหนึ่งเพิ่งลุกขึ้นจากเตียงในเวลา 11 โมงเช้า

เขาเดินไปที่หน้าต่างบ้านเช่าและมองออกไปยังทางหลวงที่อยู่ใกล้กับอาคารสูงซึ่งขณะนี้แออัดไปด้วยการจราจรและผู้คนมากมาย

เขาเห็นชายหนุ่มมีเสน่ห์มากความสามารถ ฉับพลันแววตาละโมบก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเมื่อเห็นเหยื่อ

ในโลกนี้ ในอนาคตฉันจะเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย แม้ตอนนี้ฉันจะทำได้แค่ตามล่าพวกคนธรรมดาไปก่อน แต่ในอนาคต ฉันจะตามล่าพวกคนมีอำนาจเหล่านั้นด้วย ชีวิตและความตายของทุกคนอยู่ในกำมือฉัน

หน่วยกิจการพิเศษจะมีประโยชน์อะไร พอโตมาในเมืองที่ห่างไกลพวกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกแกก็หมดหนทาง…

ในเวลานี้ ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ดูราวกับเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย กำลังขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันหนึ่งอยู่ริมถนนด้านขวา ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บนใบหน้าของเขามีเหงื่อผุดพรายเล็กน้อย ด้านหลังสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีกล่องเขียนคำว่า take away ติดอยู่

ทันใดนั้น ลมกระโชกแรงสายหนึ่งก็พัดเข้ามา กองใบไม้ที่ถูกกวาดไว้กองเป็นปลิวระเบียบกระจัดกระจาย ก่อนจะบดบังทัศนวิสัยของเขา

นักศึกษาคนนั้นใช้มือขวาออกไปปัดเป่าใบไม้ ทำให้รถส่ายโดยไม่รู้ ก่อนจะตัวล้มลงบนถนนทางหลวงพิเศษ ตอนนั้นบนถนนก็มีมีรถโฟล์คสวาเกนขับผ่านมาพอดี…

ด้วยเสียงเบรกอันรุนแรงของรถ รถโฟล์คสวาเกนคันนั้นหยุดรถได้ทันเวลา หน้าต่างถูกลดระดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือด

คนขับหนุ่มตบหน้าอกตนเองด้วยความตื่นตระหนก ชะเง้อคอมองไปที่สกู๊ตเตอร์และคนที่อยู่ข้างหน้ารถของเขา ระยะห่างมีเพียงแค่สามสิบเซนติเมตรเท่านั้น

คนขับหนุ่มตกใจมากและคิดว่า แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เพิ่งถูกแฟนลากไปเล่นเกม “Battle of the Beasts” และฝึกฝน “Basic Refinement Magic”

เหมือนกับที่ผู้เล่นคนอื่นๆ พูดกัน เกมนี้ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองเพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะเพียงชั่วครู่เท่านั้นที่เขาสามารถตอบสนองต่อการเหยียบเบรกได้ทันเวลา

ไม่อย่างนั้นด้วยสถานการณ์ที่กะทันหันขนาดนี้ คงไม่มีทางเหยียบเบรกทันแน่นอน เขาเพิ่งกู้เงินมาซื้อรถซะด้วยสิ ไม่งั้นเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

นักศึกษาเหลือบมองคนขับอีกครั้ง ก่อนจะโค้งคำนับและพูดว่า “ขอโทษครับที่ทำให้คุณลำบาก” แล้วรีบออกไปเลื่อนสกูตเตอร์ไฟฟ้ามาไว้ด้านข้างถนน

คนขับหนุ่มโบกมือไม่สนใจอะไร ดูเหมือนนักศึกษาคนนั้นจะไม่ได้ตั้งใจ เขาสตาร์ทรถแล้วขับรถต่อไป

ถนนกลับสู่ความสงบดังเดิม ไม่มีใครรู้เลยว่ามีหน่วยกิจการพิเศษอยู่ที่นี่

“น่าเสียดาย พลาดอีกแล้ว มันยากจริงๆ ที่จะเลือกคนหนุ่มสาวเป็นเป้าหมายในการตามล่า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้ประโยชน์สูงสุดก็ตาม” ชายชราอยู่ชั้นบน ส่ายหัว แล้วมองไปยังคนถัดไป “ครั้งต่อไปจะไม่เลือกพวกเขาอีกแล้ว ”

“ไปในคุกเพื่อหาโอกาสอีกครั้งเถอะ…” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นข้างหู ก่อนที่ชายชราจะหายตัวไปจากห้องเช่า

…………

ในพื้นที่ห้องขังของระบบ จู่ๆ ก็เกิดห้องขังหมายเลข 3 ขึ้นมา

แอนเดอร์สัน “ตอนนี้ผมสามารถต่อสู้กับเจ้าโฮสต์นั่นได้…”

ผู้เฒ่าเฟิง “ฉันยังอยากนอน ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

แอนเดอร์สัน “น่าเสียดาย ที่จริงผมว่าจะบอกวิธีที่ทำให้คุณได้มีชีวิตอยู่ต่อสักหน่อย ”

ผู้เฒ่าเฟิงลุกขึ้นทันที “มีวิธีนั้นด้วยเหรอ?”

แอนเดอร์สัย “ร่วมมือกับผม เพื่อต่อสู้กับโฮสต์ก่อน”

ผู้เฒ่าเฟิง “ที่นี่ไม่มีอะไรเลย จะทำได้ยังไงกัน?”

แอนเดอร์สัน “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ…”

ผู้เฒ่าเฟิง “น่าทึ่งมาก แอนเดอร์สัน มันสมองของแกสุดยอดจริงๆ แกยังสามารถพบเขาวงกตจิตในสถานที่แบบนี้ได้”

ตอนนั้นเองชายชรานิรนามก็เอ่ยขึ้น “ที่นี่คือที่ไหน ฉันอยู่ที่ไหนกัน?”

แอนเดอร์สัน “ผู้เฒ่าเฟิง เรียกสติให้กับคนมาใหม่นั่นหน่อยสิ”

ผู้เฒ่าเฟิงแสยะยิ้ม “ได้สิ แอนเดอร์สัน”

………………………………………………………..

บทที่ 126 ยังคงมั่นใจในตัวโฮสต์
ทันทีที่ฟางหนิงได้ยิน เขาก็ตอบกลับทันที “ยังจะมีปีศาจที่ทรงพลังแบบนี้อีกเหรอ? ถึงบาดแผลของแกจะหายดีแล้ว แต่ฉันก็จะไม่ปล่อยแกไปเสี่ยงหรอก พื้นที่ประหลาดนี้ต่างจากพื้นที่ของอสูรในฝันร้ายเมื่อครั้งที่แล้วมาก

“คราวก่อน…แกสัมผัสได้ว่ามิติอื่นไม่มีอันตราย แต่ที่นี่ แกต้องรอจนกว่าฉันจะแน่ใจก่อน”

ระบบ “งั้นก็รีบไปหารายละเอียดสิ”

ระบบไม่ได้โต้ตอบ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นปีศาจจำนวนมาก และไม่ได้รีบบอกว่ามันจะออกไปทำลาย

ฟางหนิงไม่ได้ออกไปทันที เขาคิดแล้วคิดอีก

พื้นที่แห่งนี้ดูเหมือนจะมีมานานแล้ว และต้องเป็นความลับในความลับแน่นอน ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีวันถูกเปิดเผยเลย ความจริงก็คือวัตถุดิบและยาที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตควรจะมาจากที่นี่ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เอฟเฟกต์นี้จะทรงพลังมาก จนสามารถนำไปเป็นอาหารบำรุงเลือดได้

เขาว่าหลงฟานอาจจะเข้าไปสำรวจพื้นที่นี้บ่อยๆ อีกฝ่ายเลยเสียชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าในนั้น ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงไม่บังเอิญ ทันทีที่ฟางหนิงตั้งกองทัพพันธมิตรกับเขาขึ้นมา หลงฟานก็ตายไปทันทีไปอีกรอบ ทำให้เกิดผลกระทบของ ‘การช่วยเหลือพันลี้’

คงจะเป็นเฉียวจื่อเจียวและคนอื่นๆ ที่เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างมากและได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการฝึกอบรมพิเศษที่นี่ เพราะท้ายที่สุด พื้นที่นี้ก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และไกลเกินกว่าโลกแห่งความเป็นจริง

นี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักสัจธรรม มันถูกซ่อนอยู่ตลอดเวลา และมันไม่เคยพลาดข่าวลือใดๆ

ฟางหนิงชื่นชมความสามารถในการเก็บความลับของอีกฝ่ายมาก ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าไป๋จะไม่รู้ด้วยซ้ำ เป็นไปได้ไหมว่ามีเพียงแกนหลักและคนที่น่าเชื่อถือที่สุดเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ? หรือไม่ก็จะมีเฉพาะคนที่เข้าไป ไม่สามารถออกมาได้?

เพียงแต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตนจะมีความสามารถระดับตำนานของระบบอยู่ สามารถเปิดแผนที่ระบบและเห็นว่าไพ่ไม้ตายของพวกเขาเป็นไพ่ดอกจิกเรียงกันห้าใบ

หากแต่หลงฟานที่ดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มีโอกาสเข้าไปในนั้นได้ยังไงกัน? พวกเขาไม่กลัวว่าหลงฟานจะทำความลับรั่วไหลเหรอ?

ฟางหนิงนึกถึงเรื่องนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะตอบคำถามของเขาได้ และไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาได้ค้นพบสถานที่ลึกลับแห่งนี้แล้ว

ฟางหนิงหันกลับมาและกลับไปยังพื้นที่ระบบอีกครั้ง

…………

ในเวลานี้ แอนเดอร์สันกำลังพลิกหนังสือเล่มหนึ่งไปมา แสดงท่าทีสนอกสนใจ

“ใช้ได้ เล่มสีเขียวนี้น่าสนใจมากทีเดียว”

“อืม หลุมนี้ก็ยากต่อการป้องกันมาก แต่ฉันเห็นทุกอย่างล่วงหน้าและหลบหนีได้สำเร็จ…”

“เอ๋ แต่ดูเหมือนว่าพระเอกเรื่องนี้จะตายนี่ เพราะฉะนั้นไม่อ่านดีกว่า”

ฟางหนิงกลอกตาเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้นจากนอกห้องขัง ‘ดูเหมือนว่าวิธีนี้อาจจะไม่ได้ผลมากนัด อาจจะใช้หลอกเพียงครั้งเดียวได้เพื่อปิดปากพวกงี่เง่าบางคนอย่างเช่น’

ฟางหนิงกระแอมออกมา

แอนเดอร์สัน “อ้าว ท่านผู้คนใจดีอีกแล้ว ขอบคุณสำหรับหนังสือมากเลย ปกติผมไม่มีเวลาอ่านเรื่องพวกนี้หรอก แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกโมโหนิดหน่อย แต่พออ่านอีกที กลับรู้สึกว่าน่าสนใจมาก”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ฉันมาถามนายในฐานะที่เป็นรองประธานสมาคมดุลอำนาจแห่งชาติ ตำแหน่งระดับสูงขนาดนี้ และเป็นนักวิจัยด้านเทคนิคที่สำคัญด้วย นายต้องรู้ความลับในสมาคมไม่มากก็น้อยใช่ไหม?”

แอนเดอร์สันตอบกลับ “แน่นอนสิ ตอนนี้มันอยู่ในมือของคุณแล้ว ฉันหวังว่าความลับพวกนี้จะช่วยซื้อชีวิตให้อยู่ต่อไปได้อีกสองสามวัน ”

ฟางหนิงพูด “แล้วนายรู้ไหมว่ามีมิติชนิดหนึ่ง ที่สามารถรองรับห่วงโซ่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด รวมถึงสัตว์ป่า ป่าไม้ และแม่น้ำได้”

แอนเดอร์สันเอ่ยเสียงเรียบ “โอ้ นั่นคือสถานที่ที่เป็นดินแดนมรดก มันคือแกนหลักและรากฐานที่สำคัญที่สุดขององค์กรขนาดใหญ่ มังกรตัวจริงของคุณอยู่ตามลำพัง คาดว่าคุณไม่มีโอกาสค้นพบทางเข้าที่ซ่อนอยู่สู่ดินแดนมรดกในโลกแห่งความเป็นจริงได้ มีเพียงองค์กรที่มีจำนวนคนและเครื่องมือจำนวนมากเท่านั้นที่กระจายไปทั่ว จึงเป็นไปได้ที่จะสังเคราะห์ข้อมูลที่ผิดปกติจำนวนมากและวิเคราะห์ทางเข้าดินแดนมรดก เราพยายามหาทางเข้าดินแดนมรดกมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่เราหามันไม่เจอ”

ได้ยินเช่นนี้ ฟางหนิงก็นึกถึงปีศาจในฝันขึ้นมาทันที แอนเดอร์สันพูดถูกแล้ว

ถ้ามันไม่โดนปากกระบอกปืนของเทพแห่งระบบ ใครจะคิดว่ามันยังมีพื้นที่อิสระอยู่ล่ะ? ผู้คนสามารถอยู่ในนั้นได้ถึงครึ่งปีเหรอ? มันเป็นการพัฒนาที่ยังไม่สมบูรณ์ และสามารถใช้เป็นกับดักได้เท่านั้น และนั่นแตกต่างจากที่ฉันเห็นในครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง

ฟางหนิงถามต่อ “เพราะมันเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นจึงต้องถูกเก็บเป็นความลับแน่นอน แต่ในองค์กรใหญ่มีคนเยอะและต้องมีคนระแคะระคายเรื่องนี้บ้าง ทำไมถึงไม่ได้ยินข่าวลือหลุดมาภายนอกเลย?”

แอนเดอร์สันยิ้ม “นั่นทำได้ไม่ยาก ฉันรู้ว่ามีอย่างน้อยสองเทคนิคที่สามารถทำได้ หนึ่งคือจิตต้องห้าม และอย่างที่สองคือเขาวงกตจิต แบบแรกคือ เมื่อมีคนคิดจะเปิดจิต ระบบจะถูกสั่งให้หยุดทันที ส่วนอย่างหลังนั้นมีพลังและลึกลับมากกว่า มันทำให้ผู้คนสูญเสียความทรงจำได้ และสามารถรักษาเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือปฏิบัติต่อเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นเหมือนเคยเกิดขึ้นแล้วได้ด้วย

“โดยทั่วไปจะใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน สมาชิกองค์กรที่มีอำนาจระดับล่างใช้เขาวงกตจิต ในขณะที่ผู้มีอำนาจระดับสูงได้รับอนุญาตให้ใช้จิตต้องห้าม แน่นอนว่าสำหรับบางคนอาจใช้ทั้งสองวิธี”

ฟางหนิงรู้ทันทีว่าทำไมเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ถึงไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับดินแดนมรดกเลย

องค์กรขนาดใหญ่เหล่านี้แต่ละแห่งล้วนมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งมาก แต่แล้วจู่ๆ อัศวิน A ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างกะทันหันภายในเวลาครึ่งปีก็อาศัยข้อได้เปรียบเฉพาะของระบบ เป็นผู้นำในแง่ของกำลังส่วนบุคคลมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีกำลังที่จะพิจารณาทิศทางอื่น เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายโดยรวมแล้วก็ยังล้าหลังอยู่มาก

นอกจากนี้เขายังคิดถึงสถานการณ์ก่อนที่เจิ้งต้าวจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้สื่อสารกับเขาผ่าน QQ ใบหน้าที่สับสนและมั่นใจว่าเขาได้รับอนุญาตจากตนและท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ ดังนั้นเขาจะถอยและฝึกฝนด้วยความสงบเงียบๆ มันเป็นผลหลังจากที่เขาเข้าไปในเขาวงกตจิต

ฟางหนิงพูด “นี่ นายจะเปิดโปงข่าวเรื่องดินแดนมรดกไหม? เป็นไปได้ไหมว่าตำแหน่งระดับสูงอย่างนายไม่มีข้อจำกัดใดๆ?”

แอนเดอร์สันยิ้มกริ่ม “คุณลืมไปแล้วว่าหรือว่าความรู้สึกทางจิตวิญญาณของฉันแข็งแกร่งแค่ไหน? ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยใช้ทั้งสองวิธีและไม่สามารถบอกใครเกี่ยวกับดินแดนมรดกได้ เพียงแต่ว่าฉันเข้าใจทั้งสองวิธีนั้นอย่างถ่องแท้ เพราะว่าไม่ว่าจิตต้องห้าม หรือจะเขาวงกตจิต ผมได้ศึกษามันจนเข้าใจแล้ว”

ฟางหนิงเพิกเฉยต่อคนตรงหน้าที่กำลังโอ้อวด เขาได้รับข้อมูลเพียงพอจากอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว

อีกฝ่ายไม่ควรรู้เรื่องของดินแดนมรดก และท้ายที่สุด พวกสมาคมดุลอำนาจแห่งชาติ ก็ไม่ได้มีดินแดนมรดกแม้แต่ที่เดียวเป็นของตัวเอง

ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะผิดปกติมาก และฉันไม่สามารถจะสอบถามจากใครอื่นได้ เพราะที่นี่น่าจะเป็นจุดสำคัญที่สุดของสำนักสัจธรรมที่กำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่พวกเขาจะประกาศเรื่องนี้ออกไป ใครก็ตามที่พบเจอคนในระดับล่างนี้ มีผลที่คาดเดาไม่ได้

ฟางหนิงเดินออกจากพื้นที่ของระบบและส่งต่อข่าวไปยังระบบ

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “สถานที่แห่งนั้น แกสามารถไปที่นั่นได้หลังจากที่แกรู้สึกว่าแกมีพลังเหนือกว่าปีศาจพวกนั้นแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลงฟานตายที่นั่นแน่นอน แต่เขาไม่รู้ตัว คราวนี้แกอย่าวิ่งหนีเป็นอันขาด ถ้าแกจะตาย ฉันก็จะตายไปกับแก ตายคนเดียว แต่คร่าถึงสองชีวิต”

ระบบ “ถ้าโฮสต์ไม่ไป ระบบก็จะไม่ไป”

ฟางหนิงตอบกลับ “ไม่เป็นไร ตอนนั้นฉันได้รู้แล้วว่าทำไมแกถึงได้บอกว่า ‘ความช่วยเหลือพันลี้’ นั้นมีค่าไม่น้อยไปกว่าการเปิดใช้งานโมดูลความชอบธรรมในช่วงแรก และเป็นความจริงที่แกค้นพบสถานที่ลึกลับแห่งนี้ล่วงหน้าก่อนแล้ว”

ระบบ “แน่นอน โฮสต์สามารถดูว่ามันทรงพลังแค่ไหนได้ เพียงแค่ดูที่คำอธิบายทักษะ เพราะตราบใดที่โฮสต์ใช้ความชอบธรรมเพียงพอ โฮสต์ก็สามารถข้ามพื้นที่ได้เลย”

…………

ในเวลานี้ ณ สำนักสัจธรรมที่อยู่ในดินแดนมรดก พี่น้องเฉียวจื่อซานกำลังนั่งสมาธิและฝึกฝนอยู่ในจัตุรัสเล็กๆ แห่งหนึ่ง

เฉียวจื่อซานลืมตาขึ้นมาทันที มองไปที่พี่ชายที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน ก่อนจะลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเดินออกไป

เธอหลับตาลงและครุ่นคิดถึงบางอย่าง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“ความจริงแล้วฉันไม่พบอะไรเลย ไม่มีทางแล้ว ทุกครั้งที่หลงฟานเข้ามา เขาจะคิดว่าเขาเข้ามาเป็นครั้งแรก เขาไม่สามารถสะสมประสบการณ์และบทเรียนได้ และเขาจะทำผิดพลาดอยู่เสมอ ประสิทธิภาพของการตรวจจับต่ำ แต่น่าเสียดาย เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่น่าไว้วางใจ และนั่นคือทั้งหมดที่สามารถทำได้ในตอนนี้ ”

หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เฉียวจื่อซานก็กลับที่เดิมและนั่งสมาธิฝึกฝนอีกครั้ง

ในสถานที่ที่ความเข้มข้นของพลังนั้นเหนือกว่าโลกภายนอกมาก คาดว่าคงจะใช้เวลาสองสามปีกว่าจะตามให้ทันอัศวิน A ในปัจจุบัน อีกอย่างพวกผู้อาวุโสก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสถานการณ์ภายนอกให้มั่นคง เพื่อซื้อเวลาฝึกอบรมให้กับพนักงานหลัก

เฉียวจื่อเจียงหลับตาและตั้งสมาธิ ขจัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวใจของเธอออกไป จากนั้นจึงดำดิ่งสู่การฝึกฝน

…………

ฟางหนิงพยายามควบคุมอย่างหนัก เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับดินแดนมรดกของสำนักสัจธรรมนั้นถูกส่งต่อไปยังก้นบึ้งของหัวใจ มันไม่ใช่สถานที่ที่ระบบสามารถสัมผัสได้ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับเขาด้วย ฟางหนิงมองเห็นพลังที่กว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น มันไม่ใช่แค่นั่งบนพื้นและดูท้องฟ้าอีกต่อไปแล้ว

แต่เขาไม่กลัว เพราะตอนนี้เขาสามารถเอาชนะแอนเดอร์สันสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้

สำนักสัจธรรมมีดินแดนมรดกไว้เพื่อแอบปรับปรุงอำนาจทางทหารของตน องค์กรขนาดใหญ่อื่นๆ ก็มีสถานที่ที่คล้ายกัน แต่เทพแห่งระบบสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดในโลกได้ เพราะฉะนั้นฟางหนิงมั่นใจว่าหัวหน้าระบบจะไม่อ่อนแอกว่าคนอื่นแน่นอน

ยังไงก็ตาม เทพแห่งระบบก็ยังทำงานหนัก ด้านฟางหนิงก็แบ่งพลังสมองไปให้บ้าง ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย แน่นอนว่าเขาเชื่อใจในตัวระบบ…

สามวันต่อมา เจิ้งต้าวอยู่ที่เมืองจี้ก็แจ้งว่าการซื้อสมุนไพรยาได้เสร็จสิ้นแล้ว และถูกจัดเก็บไว้ชั่วคราวในโกดังสำคัญของสำนักสัจธรรม ซึ่งมีมูลค่ารวม 230 ล้านหยวน

นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่าสำนักสัจธรรมได้มอบรางวัลภารกิจพร้อมโบนัส 500 ล้านหยวนให้ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหน่วยสหกรณ์ระดับสาม ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหน่วยสหกรณ์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้ เพื่อเปิดตลาดภายในเพิ่มเติม และเพิ่มอำนาจการแบ่งปันข่าวกรอง

ฟางหนิงยกย่องเขาและตามตัวดาบไร้ปราณีเซวียเฟิง ให้พาตนบินตรงไปยังตำแหน่งปัจจุบันของอีกฝ่าย

อัศวิน A ตามเจิ้งต้าวไปที่โกดัง ตอนแรก เขาคิดว่าโกดังทั้งหมดจะมีแต่พวกวัตถุดิบยา แต่กลับกลายเป็นว่าโกดังนั้นว่างเปล่า

จนกระทั่งเจิ้งต้าวและผู้ดูแลโกดังนำพวกเขาไปดูสมุนไพรที่มุมหนึ่ง เมื่อพวกเขาเดินผ่าน กลิ่นของสมุนไพรก็ลอยมาแตะจมูก และมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กวางอยู่ที่มุมห้อง

เงินจำนวน 230 ล้านหยวนอยู่ในกระเป๋าใบนี้

กลิ่นหอมของยาลอยออกมาจากด้านใน ด้านนอกกล่องมีรายชื่อยายาวๆ เช่น ‘เห็ดหลินจือพันปี’ และ ‘โสมว่านเจี๋ย’ ติดอยู่

ในเวลานี้ผู้รับผิดชอบคลังสินค้าก็แนะนำว่า “สมุนไพรยาพวกนี้ได้รับการปลูกอย่างพิถีพิถีนโดยสำนักสัจธรรมของเราเป็นเวลาหลายปี และเราได้เลือกสถานที่ที่มีความเข้มข้นสูงสุดสำหรับการเพาะปลูกและนอกภาครัฐทั่วไป องค์กรต่างๆ ไม่มีทางซื้อได้ในขณะนี้ เฉพาะผู้ทำงานร่วมกันที่มีคะแนนเพียงพอเท่านั้นจึงจะสามารถจำกัดการจัดหาได้ และแม้ว่าราคาจะแพง แต่ในแง่ของคุณภาพ ทั้งหมดนั้นก็ถือว่าดีที่สุดและคุ้มค่าเงินที่เสียไปอย่างแน่นอน”

ฟางหนิงคิดเกี่ยวกับดินแดนมรดก ‘ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง พวกเขาผูกขาดด้านธุรกิจโดยตรง และเมื่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรยาเหล่านี้ได้รับการปลูกขึ้นมา ใครจะได้กำไรสูงสุด ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าใคร’

ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมวิธีการปลูกสมุนไพรยาเหล่านี้ให้กับคนรวย ปรากฏว่าได้กลายเป็นการเพาะปลูกหลัก เพราะหลังจากการจัดหาสมุนไพรหลักสำหรับพลังชีวิตเพียงพอแล้วและมีราคาที่มั่นคง มีกลุ่มผู้บริโภคเพียงพอก็จะเปิดตัวสมุนไพรระดับพรีเมี่ยมเหล่านี้ได้ และหากมีผู้บริโภคไม่เพียงพอ ก็จะไม่มีการเปรียบเทียบ ส่วนทองคำก็ไม่สามารถขายได้ราคาดี มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยินดีที่จะใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อมัน

เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะเขารู้ความลับของดินแดนมรดกล่วงหน้า แต่เพราะเขาถูกขังอยู่ในความมืด

อัศวิน A มองไปรอบๆ และหลังจากยืนยันกับเจิ้งต้าวว่าไม่มีอะไรอื่นสำหรับเขาแล้ว เขาก็หยิบกระเป๋าเดินทางใบนั้นและกลับเข้าไปในพื้นที่ของระบบทันที ผู้คุมโกดังแอบรู้สึกอิจฉาอยู่ลึกๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ

วินาทีถัดมา ฟางหนิงก็ได้ยินข้อความแจ้งเตือนจากระบบ

ระบบแจ้งเตือน ‘ระบบใช้เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุหลัก ใช้คะแนนประสบการณ์ 1,000 แต้ม และใช้สมุนไพรยา ‘ตังกุยจิ่วจ่วน’ และ ‘ดอกคำฝอยหานถาน’ เพื่อสร้างยากระตุ้นเลือดกลายพันธุ์ ระบบใช้ยาเพิ่มเลือด และอาการบาดเจ็บของโฮสต์เริ่มฟื้นตัว’

………………………………………………

บทที่ 125 ดูเหมือนว่าจะต้องหาของสะสมพิเศษให้ตนเอง
ผู้เฒ่าเฟิงโกรธมาก โต้กลับไปว่า “ไอ้ผู้คุม แกอย่าเก่งแต่รังแกคนอื่น! พวกแกจับแอนเดอร์สันมาได้ก็ดีแล้วนี่ แต่ช่วงเวลาดีๆ มันอยู่ไม่นานหรอก!”

ฟางหนิงอึ้งไปเล็กน้อย ทำไมผู้เฒ่าคนนี้ถึงได้หยิ่งผยองนัก?

แอนเดอร์สันพึมพำ “เบาๆ หน่อยสิ ผู้เฒ่าเฟิง ดังคำสุภาษิตที่ว่า เมื่อตนด้อยค่าและด้อยโอกาสกว่าคนอื่น ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม คุณมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วัน ต้องหยาบคายถึงขนาดนี้เลยเหรอ ฉันจะไม่ตายในสามหรือห้าปีนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องโมโหขนาดนี้หรอก”

ฟางหนิงถามเสียงเรียบกลับไป “ผู้เฒ่าเฟิง ฟังจากที่แกพูดแล้ว นี่หมายความว่าจะมีคนมาช่วยแกอย่างนั้นเหรอ?”

ผู้เฒ่าเฟิงแค่นเสียงหัวเราะ “หึหึ แอนเดอร์สันเป็นรองประธานสมาคมดุลอำนาจแห่งชาติของเรา เขารับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เขารับผิดชอบโครงการวิจัยทางเทคนิคมากมาย และโครงการนั้นต้องทำให้แกลำบากแน่ อัศวิน A!”

หัวใจของฟางหนิงเต้นผิดจังหวะ อะไรกัน เป็นไปได้ไหมว่าเพลงคลาสสิคนั่นที่บรรเลงเป็นจังหวะเบาๆ ได้กลายเป็นจังหวะแบบเพลงเก่าแล้ว?

จากนั้นเขาก็ได้ยินแอนเดอร์สันพูดต่อ

แอนเดอร์สัน “ผู้เฒ่าเฟิง คุณความจำเลอะเลือนเหรอ? ตอนนั้นที่ฉันทำการทดลอง วัตถุดิบเกิดไม่เพียงพอชั่วคราว ฉันก็เลยฆ่าเลขาคนสนิทที่ถูกส่งไปสังเกตการณ์ความคืบหน้า และหลังจากบอกทุกคนในการประชุมทางวิดีโอ ใครบางคนก็พูดขึ้นว่า หลังจากนี้เขาจะไม่สนเรื่องความเป็นความตายของฉันอีกต่อไป”

ผู้เฒ่าเฟิงเงยหน้าขึ้น ท่าทางแทบจะกระอักเลือด “แอนเดอร์สัน ไอ้โง่ ถ้าฉันพูดอะไร แกไม่ต้องเถียงฉันกลับทุกเรื่องก็ได้?”

แอนเดอร์สัน “ไม่ ผู้เฒ่าเฟิง ฉันแค่ต้องการบอกความจริงจากทัศนคติเชิงปฏิบัติของช่างเทคนิค”

ในตอนแรกฟางหนิงอยากจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็พิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง มันเป็นความจริงที่แอนเดอร์สันถูกตัดสินว่า ‘เป็นคนชั่วร้าย’ เรื่องนั้นไม่ผิดเลยสักนิด เพราะจากคำพูดของฝ่ายตรงข้าม การฆ่าคนเพราะการทดลองเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนกับการกินเมื่อเขาหิว

ฟางหนิงตระหนักได้ทันทีว่าหากต้องการจะให้แอนเดอร์สันพูดออกมาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือใดมาช่วยเลย เพราะเพียงแค่ถามเขา เขาก็พร้อมที่จะคายทุกสิ่งที่คุณต้องการรู้

ดังนั้นเขาจึงถามต่อคร่าวๆ ว่า “แอนเดอร์สัน คุณกำลังพูดถึงใคร? เก่งแค่ไหนกัน?”

ผู้เฒ่าเฟิงรีบตอบกลับ “เขาคือหัวหน้าทีมของเรา ถ้าเขาใช้พลังทั้งหมดที่มี อาวุธของแกทั้งหมดก็ไม่สามารถสู้เขาได้ คราวนี้แกคงกลัวขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้ากลัวก็ปล่อยฉันออกไปเถอะ ฉันเป็นคนสนิทของหัวหน้ากิลด์ ปล่อยให้แอนเดอร์สันตายคนเดียวที่นี่เถอะ”

ฟางหนิงตกใจ แต่ก็ได้ยินแอนเดอร์สันพูดขึ้นอีกครั้ง

แอนเดอร์สัน “ต่อหน้าฉัน เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นฉันจึงฆ่าเลขาส่วนตัวของเขาซะเพื่อเป็นสื่อในการทดลอง และเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับฉันได้เช่นกัน สำหรับผู้เฒ่าเฟิง ตอนนี้เขากลายเป็นผีไปแล้ว และคนๆ นั้นจะไม่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวเพื่อช่วยชีวิตคนอย่างแน่นอน เขาจะเป็นคนแรก และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ เป็นประโยชน์และไร้ประโยชน์ ”

“แก แก…” ผู้เฒ่าเฟิงเค้นเสียงลอดไรฟัน พูดอะไรต่อไปไม่ออก

ฟางหนิง “ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ต้องการสะสมพลังงานและไม่เหมาะกับการต่อสู้เดี่ยวเลย”

แอนเดอร์สัน “ใช่ พูดตรงๆ แล้ว เขาเป็นคนอัญเชิญราชาปีศาจได้เพียงแค่กระดิกเพียงปลายนิ้วเท่านั้น…”

ฟางหนิงเริ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ถ้าชายคนนั้นเป็นประเภทปรากฎตัวขึ้นในเงามืด ใครจะต้านทานเขาได้ล่ะ? โลกควรถูกตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตไม่ใช่หรือ

ฟางหนิงถามอีกครั้ง “แอนเดอร์สัน นายต้องการเอาเทคโนโลยีอะไรจากสำนักสัจธรรมกัน ถึงทำให้พวกเขาวุ่นวายได้ขนาดนี้?”

น้ำเสียงของแอนเดอร์สันฟังดูแฝงความยินดีเอาไว้บางส่วน “ฮ่าฮ่า ในที่สุดก็มีคนอยากจะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับฉัน มา ฉันจะเล่าอะไรดีดีให้ฟัง”

ในเวลานี้ ผู้เฒ่าเฟิงที่อยู่ห้องขังถัดไป ก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งแล้ว

คราวนี้ฟางหนิงไม่สนใจชายชราอีก ดังนั้นเขาจึงรีบเค้นข้อมูลออกจากปากหัวหน้าใหญ่ที่แท้จริงคนนี้

ฟางหนิง “ถ้านายบอกอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ฉัน ฉันจะช่วยให้นายอยู่ที่นี่อย่างสบายขึ้นอีกหน่อย”

แอนเดอร์สัน “ได้อยู่แล้ว ท่านผู้คุม ฉันแทรกซึมเข้าไปในเสินโจวโดยการใช้สัมผัสแห่งสวรรค์ เพื่อเข้าบุกรุกตาข่ายสวรรค์และโลก ขโมยเทคโนโลยีสัญญาณดวงตาเทพเจ้าและสัญญาณการแปลงร่วมอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักสัจธรรม พวกเขากำลังทดสอบเทคโนโลยีด้วยเกม กระบวนการทั้งหมดคือการที่ผู้ฝึกหัดเชื่อมต่อกับเว็บไซต์เทียนหลัวผ่านสัญญาณดวงตาเทพเจ้า จากนั้นเว็บไซต์เทียนหลัวก็จะใช้อุปกรณ์พิเศษในการแปลงสัญญาณดวงตาเทพเจ้าเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ แล้วเชื่อมต่อกับเกม

“ด้วยวิธีนี้ จุดประสงค์ของการควบคุมตัวละครในเกมด้วยดวงตาเทพเจ้านั้นจึงสำเร็จ และฉันมีความคิดที่แน่วแน่ว่า เทคโนโลยีนี้ต้องเป็นเพียงสิ่งตบตา พวกมันมีจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น”

ฟางหนิงตื่นตกใจมาก ทำให้เขานึกถึงหลุมสมองขึ้นมาทันที ถ้าหากเป็นเรื่องจริง แนวคิดของสำนักสัจธรรมคงจะยิ่งใหญ่มากแน่นอน

แอนเดอร์สันกล่าวอีกครั้ง “ในความคิดของฉัน ท่านมังกรจริง เทคโนโลยีควรจะได้รับการพัฒนาไปเรียบร้อยแล้ว ดวงตาเทพเจ้าของมังกรถูกซ่อนไว้ที่นี่ แต่มันสามารถสั่งให้ร่างกายภายนอกต่อสู้กับชิป AI ข้ามอวกาศและออกคำสั่งการต่อสู้ได้ ซึ่งการแปลงสัญญาณดวงตาเทพเจ้าและสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ห้ามขาดกัน ฉันเดาว่าสำนักสัจธรรมอาจต้องการสร้างร่างเลียนแบบมังกรจริง”

ฟางหนิง ‘ฉันขอโทษด้วย ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือเทพแห่งระบบต่างหาก ฉันใช้ความรู้สึกทางวิญญาณของฉันในการพูดเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมของเขา แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่คุณพูดเลย’

ฟางหนิง “เอาล่ะ ในเมื่อนายพูดจริง ฉันจะให้ของขวัญนาย นายพูดภาษาจีนได้ดีกว่าฉันอีก เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ฟางหนิงพูดออกไปอย่างนั้น ก่อนจะโยนหนังสือที่จับต้องได้ทั้งหมดที่เทพแห่งระบบเคยให้ไว้เข้าไปในห้องขังหมายเลข 1

แอนเดอร์สันประหลาดใจมาก “คนซื่อสัตย์ย่อมได้รับรางวัลจริงๆ ดูสิ ผู้เฒ่าเฟิง ท่านผู้คุมมอบอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณมาให้ฉันจริงๆ ด้วย…”

ฟางหนิง “อืม ถ้านายทำตัวดีๆ อนาคตอาจจะมีมากกว่านี้…”

แอนเดอร์สันรีบเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง เขาพลิกมันไปมา ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ “ไม่ต้องกังวลเลยท่านผู้คุม ถ้าผมรู้ ผมจะไม่ปิดบังท่านเลย”

…………

สิบนาทีให้หลัง การแจ้งเตือนของระบบก็เด้งขึ้นมา ‘ความโกรธของแอนเดอร์สันที่มีต่อโฮสต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงค่าเต็มแล้ว และสามารถดูดซับได้ ตอนนี้สล็อตความโกรธสองเต็มแล้ว’

ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้มีดวงตาเทพเจ้าที่ทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ หลังจากที่ค่าความโกรธถึงค่าเต็มแล้ว เพียงแค่ดูดซับก็เพียงพอสำหรับเครื่องวัดความโกรธทั้งสองอัน ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าการที่ตนโกรธโฮสต์เองมากนัก อีกอย่างก็เพิ่งให้หนังสือเล่มนี้ไปเท่านั้น หากตนเป็นผู้เขียนเองล่ะก็…

ฟางหนิงกลอกตาไปมา “”ระบบ ในอนาคตฉันจะใช้ชื่อ ท่านมังกรขาว แทนที่ชื่อหนังสือและผู้แต่งทั้งหมด”

ระบบ “โฮสต์ ฉลาดมาก”

ฟางหนิง “ไม่เลย ฉันเป็นคนโง่เง่า ฉันแค่คิดว่าฉันเสียหนังสือไปหลายเล่มแล้ว”

ระบบ “ระบบยังไม่ได้คิดถึงเคล็ดลับนี้เลย…”

หลังจากที่ฟางหนิงทำตามคำแนะนำของเขาเสร็จแล้ว ในใจก็คิดว่า ‘แค่สิบนาที แอนเดอร์สันก็จะสามารถมองเห็นแก่นแท้ของลู่เหวินได้ใช่ไหม?

ไม่น่าแปลกใจเลยที่งานอดิเรกของเขาจะไม่ถูกบันทึกเอาไว้ ฉันกลัวว่า ความบันเทิงของมนุษย์ เกมฟุตบอล นวนิยาย ดนตรี และสิ่งต่างๆ จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามองเห็นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง’

การวิจัยทางเทคนิคเท่านั้นที่ทำให้เขาเรียนรู้ได้นาน แต่อย่างที่เขาพูด มันเป็นแค่งาน ไม่ใช่งานอดิเรก

อีกอย่าง เขาไม่พบสิ่งใดที่ถือว่าเป็นงานอดิเรกระยะยาวของเขาเลย

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาของสะสมพิเศษให้กับตนเอง!

…………

เมื่อออกจากพื้นที่ระบบ ฟางหนิงก็เดินไปรอบๆ ลานบ้านแถวๆ รูปปั้นของมังกรขาว เขาสูดอากาศบริสุทธิ์ระหว่างทาง แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ต่อดวงตาเทพเจ้าของเขา แต่เขาก็รู้สึกว่า กายของมังกรค่อนข้างผ่อนคลายและมีความสุข

เมื่อแหงนมองขึ้นไป ท้องฟ้าเป็นสีคราม เมฆขาวเคลื่อนคล้อย และในนั้นยังมีจุดสีดำจุดหนึ่งปรากฎอยู่ด้วย

หลังจากลดขั้นไปถึงระดับหนึ่ง ฟางหนิงก็ตระหนักว่า

ให้ตายสิ ทำไมดาบไร้ปราณีถึงตกลงมาจากฟากฟ้ากันล่ะ?

ฟางหนิงรีบไปเรียกเทพแห่งระบบ

ทันใดนั้นมังกรเพลิงก็ปรากฏขึ้นและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

มังกรเพลิงจับเซวียเฟิงดาบไร้ปราณีวางลงบนพื้น อีกฝ่ายดูจะมีอาการมึนหัวเล็กน้อย

ฟางหนิงมองไปที่มัน อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บ พลขับของเขายังคงสบายดี

“เกิดอะไรขึ้น?”

เซวียเฟิงตอบกลับ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันบินเร็วเกินไปก็เลยชนนกสองสามตัวเข้า ทำให้เวียนหัวน่ะ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ดูเหมือนว่ารูปแบบการป้องกันบนดาบบินของนายควรจะอัพเกรดนะ”

เซวียเฟิงหยิบถุงกระดาษหนาๆ ออกมาจากแขนเสื้อของเขา “นี่เป็นยาที่ฉันเพิ่งแลกเปลี่ยนมา และอยากมอบมันให้กับท่านมังกรเพื่อใช้รักษา”

ฟางหนิงตื้นตันใจมาก เซวียเฟิงใจดีจริงๆ

เขาคงเคยได้ยินเฉียวจื่อเจียงและคนอื่นๆ พูดถึงอาการบาดเจ็บของอัศวิน A ดังนั้นจึงรีบมาส่งยาให้ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ก็ตาม

ฟางหนิงใช้กรงเล็บมังกรหยิบห่อกระดาษ แต่มันก็หายไปในพริบตา ไม่บอกก็รู้ว่านี่เป็นฝีมือของระบบแน่นอน

เซวียเฟิง “ท่านทั้งสอง ข้าน้อยจะขอลากลับแล้ว”

พูดจบอีกฝ่ายก็รีบออกไป

ระบบ “วัตถุดิบยาเหล่านี้ล้วนมีคุณภาพสูง ดูเหมือนว่าเซวียเฟิงจะหวังดีต่อเราจริงๆ แต่ทำไมเขาไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวบนแผนที่ของระบบล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นกองทัพพันธมิตรอย่างนั้นเหรอ?”

ฟางหนิง “คนที่อยู่ในที่สาธารณะและพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดูอย่างหลงฟานสิ เป็นแค่คนงานชั่วคราวและเขาไม่มีเจตนาจะภักดีต่อสำนักสัจธรรม แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ ก็กำหนดได้ว่าเขาเป็นพันธมิตรได้ ”

ระบบ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง… เมื่อกี้โฮสต์พูดถึงหลงฟาน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาล่ะ”

ระบบแจ้ง ‘งูดำหลงฟานถูกคุกคามถึงความตาย แผนที่ระบบใกล้เคียงถูกเปิดชั่วคราวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และ “ความช่วยเหลือพันลี้” กำลังเปิดตัว ‘

ฟางหนิงเห็นข้อความแจ้งเตือนก็รีบกลับไปในพื้นที่ระบบเพื่อดูแผนที่ระบบ

เขาเห็นสถานที่แปลกประหลาด เต็มไปด้วยป่าไม้และหญ้าเขียวชอุ่ม มันเป็นสถานที่ที่ดี ที่ชายป่ามีที่ดินบางส่วนที่ขุดพบ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีหุบเหวและทุ่งนาทีละแห่ง มีพืชแปลกๆ เติบโตในทุ่งนา ซึ่งบางต้นก็ผลิบานแล้วและแข่งขันกันเพื่อความสวยงาม

ในทุ่งนายังมีชายชุดดำสวมปลอกแขนรูปใบไม้อยู่ด้วย เขาคอยดูแล รดน้ำบ้าง กำจัดวัชพืชบ้าง เอาใจใส่มากกว่าชาวนาที่มีฝีมือบางคนด้วยซ้ำ

ฟางหนิงไม่รู้จักชื่อพืชเหล่านั้น แต่เขาจำชายเหล่านั้นได้ พวกเขาทั้งหมดเป็นสมาชิกระดับรากหญ้าของสำนักสัจธรรม

ฟางหนิงทอดสายตามองออกไปไกลๆ ก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าริมฝั่งแม่น้ำมีกองทัพขนาดใหญ่ที่มีชายชุดดำหลายหมื่นคนกำลังต่อสู้กับกลุ่มสัตว์ร้ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่รู้ว่ากลุ่มสัตว์ร้ายนั่นคืออะไร เพราะไม่มีสีใดแสดงบนแผนที่ระบบ

“การต่อสู้ของสัตว์เดรัจฉาน?!”

ฟางหนิงรู้ดีว่าทำไมเขาถึงจำชื่อนี้ได้ เพราะสัตว์ร้ายบางตัวมีความคล้ายคลึงกับบอสในเกมที่เขาเล่นมาก แทบจะถอดแบบออกมาเลยเลยทีเดียว

ฟางหนิงพลิกดูแผนที่ระบบด้วยพลังทั้งหมดของเขา แล้วลากมันมาเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะเห็นเส้นขอบ ก่อนจะพบว่ามีเมฆหมอกสีขาวขนาดใหญ่

ดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะเป็นพื้นที่ที่แตกต่างกัน เหมือนกับพื้นที่ที่แตกต่างกันซึ่งก่อตั้งโดยอสูรฝันร้ายชั้นยอด

เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ที่แตกต่างกันนี้มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์มากขึ้น สามารถรองรับห่วงโซ่ชีวภาพที่สมบูรณ์ต่อไปได้

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ระบบ “เกิดอะไรขึ้น?”

ฟางหนิง “แกอ่านความคิดของฉันอีกแล้วเหรอ?”

ระบบ “ความคิดของโฮสต์แข็งแกร่งเกินไป หากอ่านไม่เข้าใจก็ไม่อ่านหรอก รีบตอบสิ”

ฟางหนิง “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่ฉันรู้คือ ครั้งนี้อาวุธเวทมนตร์ของเราอาจถูกใช้เพื่อดึงดูดสัตว์ประหลาด ใช้เพื่อเป็นโอกาสให้แสดงความสามารถ…”

ระบบ “ระบบไม่ได้เตือนโฮสต์มาหลายเดือนแล้ว ระบบคิดว่าโฮสต์ลืมหลุมที่ตนเองขุดไว้…”

ฟางหนิง “ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

ระบบ “ระบบไม่สามารถไปไหนได้ในขณะนี้ ระบบต้องรักษาอาการบาดเจ็บ ระบบเห็นได้ว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าแอนเดอร์สันมาก กองทัพก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ”

ฟางหนิงตกใจมาก “แกไม่ได้บอกว่าแอนเดอร์สันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้เหรอ?”

ระบบ “ใช่ แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกของเราอย่างแน่นอน…”

………………………………………………………….

บทที่ 124 ต่อให้ตายไปแล้ว ก็ต้องคิดทบทวนให้ดี!
ฟางหนิงได้ยินคำพูดนั้น “โอ้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจความสามารถของแกเลย…”

ระบบตอบ “โฮสต์แค่ขี้เกียจ”

ฟางหนิงตอบกลับ “แค่มีชีวิตมันก็ยากอยู่แล้ว เรื่ืองบางเรื่องไม่มีความจำเป็นต้องรู้หรอก…การทดลองแบบนี้จะว่าดีก็ดี แต่จะมีปัญหาอยู่สองประการ”

ระบบพูด “โฮสต์ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ อย่างแรกเป็นประเภทระดับนี้ของเฟิงเกินเซิง ทั้งหมดซ่อนไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

“อย่างที่สองคือนี่คือพื้นที่ของระบบ และไม่มีพลังภายนอกสำหรับเฟิงเกินเซิงที่จะดูดซับและฝึกฝนได้ เขาไม่ได้ดีไปกว่าแอนเดอร์สันเท่าไหร่หรอก อีกอย่างเขาก็อยู่ได้อีกไม่นาน”

ฟางหนิง”ฉันมีวิธีแก้ปัญหาสำหรับอย่างแรกแล้ว แกรู้วิธีจัดการกับอย่างที่สองไหม?”

ระบบ “โฮสต์สามารถป้อนยาให้พวกเขากินได้ ระบบสามารถปรับแต่งน้ำอมฤตเพื่อเติมพลังให้พวกเขาดูดซับได้ อย่างไรก็ตาม โฮสต์ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะว่าจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบยาที่เก่าแก่มาผลิต อุตสาหกรรมพืชผลพลังที่เก่าแก่ของเรายังไม่ได้ลงทุน จึงต้องซื้อจากตลาดภายในของสำนักสัจธรรม”

ฟางหนิง “โอ้ แกไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แน่นอนว่าพวกเขาต้องพึ่งพาตนเองเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เดิมและพัฒนาให้ดีขึ้น แกเองก็ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ฉันเล่นเกมหาเงินได้? ดึงพวกเขาเข้าไปในกิลด์ที่ฉันอยากจะสร้าง และกดทองให้ฉันทุกวันก็พอ”

ระบบ “โฮสต์ คุณพิจารณายัง…ไม่ครอบคลุม หรือว่าครั้งที่แล้วหลังจากที่โฮสต์เลิกเล่นเกมนั้น โฮสต์ก็มีความคิดแบบนี้? แค่ไม่มีโอกาสได้ทำ”

ฟางหนิง “ฉันเป็นคนแบบไหน? ฉันกำลังคิดถึงคนเลวพวกนี้อยู่ เมื่อก่อนแกเพียงแค่ตบให้ตาย ราคาถูกเกินไปสำหรับคนร้ายพวกนี้ ตอนนี้หลังจากฆ่าพวกมันแล้ว ค่อยบังคับวิญญาณของพวกเขาให้ส่งความโกรธและทองมาให้เรา ขั้นแรก ลงโทษพวกเขาก่อน และขั้นที่สอง ให้พวกเขาช่วยเราสะสมทรัพยากร นี่ไม่ใช่การยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเหรอ?”

ระบบ “โฮสต์ ฉลาดมาก”

ฟางหนิง “ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องไร้สาระของแกที่มาจากอินเทอร์เน็ต การทดลองแผนการเติบโตของระบบครั้งแรกนั้นประสบความสำเร็จในขั้นต้น ตอนนี้ฉันอารมณ์ดีขึ้นแล้ว และฉันอยากอ่านนิยายเพื่อพักสมอง รีบรักษาบาดแผลของแกซะ แล้วหยุดอ้วกเสียที ฉันอยากพักแล้ว ดำเนินตามแผนขั้นที่สองได้”

การแจ้งเตือนของระบบ ‘โฮสต์ปลด ‘สถานะปราชญ์’ อารมณ์กำลังฟื้นตัว’

ระบบ “เอาล่ะ ตอนนี้ระบบแน่ใจได้แล้วว่าโฮสต์คนเดิมกลับมาแล้ว…”

…………

วันรุ่งขึ้น ฟางหนิงก็มอบโรเบิร์ตและเฉียงเวยให้กับสำนักสัจธรรม

ในช่วงเวลาของการส่งมอบ เขาถือโอกาสนี้ทำแผนส่วนที่สองให้สำเร็จ โดยช่วยหลงฟานที่เพิ่งฟื้นคืนชีพให้อ้างสิทธิ์ในตัวเอง…

หลังจากทำเสร็จแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่าหลงฟาน กลายเป็นกองทัพพันธมิตรสีเขียวบนแผนที่ระบบของเขา และความเป็นมิตรก็ดูเหมือนจะมาถึงระดับมาตรฐานแล้ว

ระบบ “ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีใช้เอฟเฟกต์ ‘ความช่วยเหลือพันลี้’ เพื่อฟื้นฟูสัตว์ประหลาดในเกม ตอนที่ฉันจัดการแอนเดอร์สัน ฉันโจมตีร่างกายของเขาโดยตรงได้”

ฟางหนิง “ฮ่าฮ่า ตราบใดที่ฉันอยากคิดเกี่ยวกับมัน แกก็คิดไม่ถึงหรอก…”

ระบบ “เพื่อให้โฮสต์ได้คิดมากขึ้น สงสัยต้องเข้าโหมด ‘สถานะนักปราชญ์’ อีกสักสองสามครั้งถึงจะดี”

ฟางหนิง “… มีหลงฟานเป็นพันธมิตร ไม่ต้องกังวลหรอก”

ระบบ “โฮสต์ ฉลาดมาก”

ฟางหนิง “หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…”

ระบบ “ไม่ “

หลงฟานไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นที่จดจำของผู้อื่น สิ่งที่เข้าทำมีเพียงฝึกพลังเวทต่อไป

แน่นอนว่ามันไม่ใช่ระดับของ ‘การแปลงร่างมังกร’ หรอก มันเป็นแค่เทคนิคการแปลงร่างที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างของมันได้

ฉันได้ประโยชน์มหาศาลจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอีกแล้ว แต่ไม่เคยตอบแทนท่านได้เลย รู้สึกผิดจริงๆ

ขณะฝึกฝน เขาคิดเช่นนี้

…………

หลังจากจบงานใหญ่ของหลงฟานแล้ว ฟางหนิงก็จำเหตุการณ์ที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วได้ขึ้นมา

“เฮ้ เราต้องตามหาพ่อบ้านเจิ้งไม่ใช่เหรอ? เขาอยู่ที่ไหน?”

ขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น QQ ก็มีข้อความให่เข้ามา

เป็นเจิ้งต้าวนั่นเอง “นายท่าน ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในการปฏิการครั้งนี้และจะกลับมาในวันพรุ่งนี้”

ฟางหนิงรู้สึกเหมือนอีกาสามตัวบินมาเหนือหัวและส่งเสียงร้อง ‘กา กา กา’ เกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจิ้งต้าวเลยเหรอ ไม่มีเรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ?

ฟางหนิงพิมพ์ถามกลับไป “ช่วงนี้นายไปไหนมาบ้าง?”

เจิ้งต้าว “เอ๊ะ ทำไมนายท่านถึงถามคำถามนี้? หลังจากที่ผมขอลาก็ไปพบเพื่อนคนหนึ่ง และได้ตกลงเข้าไปในเขาวงกตทางจิต ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นอาจารย์คนนั้นอยากจะสอนทักษะบางอย่างให้ เงื่อนไขคือต้องตัดขาดกับโลกภายนอก ผมถามผู้อาวุโสทั้งสองเพื่อขอคำแนะนำล่วงหน้าผ่าน QQ แล้ว ตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่าลูกน้องควรตามอาจารย์ไปปฏิบัติ”

ฟางหนิงแทบจะกระอักเลือด “ผู้อาวุโสเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? พวกนั้นหลอกลวงคุณด้วยภาพลวงตาอย่างแน่นอน เพราะฉันไม่เห็นข้อความจากคุณเลย ผม… ไม่ สำนักสัจธรรมก็ตรวจสอบประวัติการสนทนา QQ ของคุณแล้ว และบอกผมว่าคุณไม่ได้ส่งข้อมูลใดๆ ให้ผมเลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไปหาคุณทุกที่ทำไม?”

เจิ้งต้าวหน้าถอดสี “ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นสวมชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิง นายท่านไม่ได้รับข่าว เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้ผมยังไม่ออกจากเขาวงกตจิต?”

ฟางหนิง “ถ้านายสามารถติดต่อกับฉันตอนนี้ ผู้อาวุโสท่านนั้นก็คงจะปล่อยนายออกมา”

เจิ้งต้าว “เป็นไปได้ไหมที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านนี้กำลังตามหาผมอยู่ข้างนอก? ผมละอายใจจริงๆ ท่านทั้งสองสบายดีไหม?”

ฟางหนิง “เราไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แต่ฉันว่านายกำลังเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้ว”

เจิ้งต้าว “…”

ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและเมฆขาว เหนือหลังคาของวิลล่า มังกรขาวและสุนัขสองตัวเกาะอยู่บนรั้ว เฝ้าดูการต่อสู้เบื้องล่าง

“ไม่เลวเลยที่ฉันอยู่ตัวคนเดียวมาจนถึงสองร้อยห้าสิบปี” หมาเหลืองกล่าว

หมาดำตอบกลับ “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าผลที่ตามมาจากการโดนกระสุนนั่นก็ไม่ได่น่ากลัวเท่าไหร่…”

ที่ลานชั้นล่าง เจิ้งต้าวต้องเผชิญหน้าผู้หญิงสองคนที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ เขาคิดหาวิธีไม่ได้

“ติงเซียง ท่านมังกรขาวที่เฝ้ามองจากเบื้องบน แบบนี้ก็ดีเลยสิ? นอกจากนี้ คนที่ปลอมตัวมานั้นเป็นคนของสำนักสัจธรรมสินะ?”

ติงเซียงทั้งสองคนไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในเวลาเดียวกันก็พิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์ หลังจากนั้นพวกเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมกันโดยไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา

โทรศัพท์หันไปทางหลังคาของอาคาร ฟางหนิงอยู่บนนั้น และด้วยสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นตัวอักษรตัวเล็กๆ บนนั้นได้อย่างชัดเจน

“หืม ใช้เทคโนโลยีที่ด้อยค่าขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะพูด เธอละทิ้งความมืดมิดและหันไปหาความสว่าง ยอมรับการจำกัดสายเลือดโดยสมัครใจ และเข้าร่วมสำนักสัจธรรมเพื่อชดใช้บาปของเธอ คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้

“อย่างไรก็ตาม ท่านมังกรขาวกังวลมากว่าท่านไม่สามารถเห็นความจริงและความเท็จได้ ข้าทำสิ่งนี้โดยได้รับอนุญาตจากเขา เร็วเข้า ให้เวลาคุณยี่สิบนาที คุณแยกแยะไม่ออกหรอก ฉันจะทำให้คุณดูดีขึ้นเอง…”

เจิ้งต้าวทำอะไรไม่ถูก “ติงเซียง คุณบอกความจริงได้ไหม? ผมถูกจับกุมครั้งแรกและได้รับการช่วยเหลือ ผมไม่เคยทำให้คุณโกรธเลยนะ”

หลังจากนั้นไม่นาน ติงเซียงทั้งสองคนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง

“หืม ถ้าคุณไม่ได้เห็นการปลอมตัวของเธอ คุณก็คงไม่ถูกคนจับไปได้ง่ายๆ หรอก” เธอเพิ่งอธิบายว่าเธอได้รับมอบหมายจากผู้เฒ่าเฟิง และใช้รูปลักษณ์ของฉันเพื่อส่งข้อความวิดีโอถึงคุณ เพื่อที่เธอจะได้เชิญคุณไปยังสถานที่ซึ่งวางกับดักไว้ก่อนหน้านี้ และคุณจะถูกจับโดยผู้เฒ่าเฟิงและเหล่ยเจวี๋ยต้งโดยไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆ ฉันควรช่วยฝึกฝนให้คุณไหม เพื่อให้คุณมีความสามารถในการแยกความแตกต่างระหว่างความจริงกับภาพที่สร้างขึ้นมา จะได้ไม่พลาดอีกในอนาคต”

เจิ้งต้าวพูดอะไรไม่ออก

…………

หลังจากที่เห็นฉากนี้แล้ว ฟางหนิงก็ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเช่นไร เขารู้เพียงว่าเจิ้งต้าวออกไปพร้อมกับติงเซียงทั้งสอง และหลังจากที่เขากลับมา เขาก็อยู่ใน ‘สถานะปราชญ์’ เสมอ ไม่มีพลังงานใดใดเลย

“เจิ้งต้าว ขึ้นรถคันนี้ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเหรอ?” ฟางหนิงบินไปที่เจิ้งต้าวและเอ่ยถาม

เจิ้งต้าวทำอะไรไม่ถูก “ท่านมังกรขาว ลูกน้องของท่านเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ผมเพิ่งใช้พลังวิญญาณมากเกินไป และเพิ่งไปช่วยติงเซียงทำการรักษาจิตบำบัด”

ฟางหนิงเลิกกังวลเกี่ยวกับการวิ่งระยะไกลของเจิ้งต้าว ท้ายที่สุด พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนและอายุขัยของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น

เขาเปิดปากพูดสิ่งที่ร้ายแรงออกมา “คุณไปถามสำนักสัจธรรมดูสิว่าครั้งนี้จะให้รางวัลเป็นอะไร? นอกจากนี้ ตลาดภายในของพวกเขาไม่เปิดให้เราแล้วเหรอ ฉันจะบอกรายการยาและงบประมาณให้นาย นายสามารถซื้อคืนได้ ถึงต้องจ่ายเพิ่มก็ไม่เป็นไร”

เทพแห่งระบบยังคงอาเจียนเป็นเลือดเป็นระยะ และยาที่ใช้รักษาไม่สามารถซื้อจากภายนอกได้

กลุ่มเภสัชกรรมของเมืองเฉิงเริ่มทดลองกับการเพาะปลูกวัตถุดิบยา แต่เพิ่งเริ่มได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ก็ยังเร็วเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ ฉันได้ยินประธานจ้าวพูดใน QQ ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาประสบปัญหามากมาย และประธานกลุ่มฉีเยว่ก็วิ่งเต้น มองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ปัญหา

ทันทีที่เจิ้งต้าวได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ดูจริงจัง “ผมกำลังจะรายงานเรื่องนี้ต่อนายท่านพอดี สำนักงานสัจธรรมกล่าวว่าการสังหารแอนเดอร์สันและพรรคของเขาในครั้งนี้เป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญอย่างยิ่งรั่วไหลออกไป รางวัลยังคงอยู่ในการประเมินเบื้องต้น”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็หูผึ่ง ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญมากคืออะไรกัน? มันจะมีประโยชน์สำหรับแผนการเติบโตของระบบด้วยไหม?

มันเกิดขึ้นตอนที่แอนเดอร์สันถูกขังอยู่ในห้องขัง และเขาไม่ได้ถามคำถามออกไป ถ้าไม่อยากพูด ก็แค่โมโหใส่เขา

ฟางหนิงยื่นใบสั่งยาที่ระบบพิมพ์ออกมาให้เจิ้งต้าวทันที และขอให้ระบบโอนเงินจำนวนหนึ่งให้เขาเพื่อดำเนินการ

จากนั้นเขาก็เข้าสู่พื้นที่ระบบ

…………

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงถือหนังสือเกมและเดินช้าๆ ไปบนพื้นหินอ่อน

พื้นที่ของระบบเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างจ้า แต่ห้องขังกลับมืดสนิท มีเพียงทางเดินเท่านั้นที่มีแสงสว่าง

เวลานี้ ห้องขังเดี่ยวสองห้องกำลังเผชิญหน้ากัน โดยมีป้ายบอกทางหมายเลข 1 และหมายเลข 2

แอนเดอร์สันอยู่ในห้องขังหมายเลข 1 ซึ่งครั้งสุดท้ายไว้ใช้ขังอสูรฝันร้ายที่ตอนนี้ได้กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับอุปกรณ์อวกาศในตำนานไปเรียบร้อยแล้ว

แอนเดอร์สัน “มีคนอยู่ที่นี่ ผู้เฒ่าเฟิง อย่าเพิ่งหลับล่ะ”

ผู้เฒ่าเฟิง “ฉันคงทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว ขอฉันนอนพักสักหน่อยเถอะก่อนที่ร่างวิญญาณของฉันจะสลายไป ยังไงฉันก็ตายอยู่แล้ว”

ฟางหนิงเอื้อมมือออกไปแล้วโยนหนังสือเกมกระแทกเข้าไปในผนังห้องขังอย่างจัง คนข้างในสะดุ้งโหยง

หลังจากที่หนังสือเกมบินกลับโดยอัตโนมัติ เขาตะโกน “ตื่นได้แล้ว เฟิงเกินเซิง! ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้แกมาหลับนะ แกทำเรื่องแย่ๆ มากี่เรื่องแล้ว? บาปหนักหนาขนาดนี้ยังกล้ามานอนหลับสบายใจอยู่อีกเหรอ? ต่อให้ตายไปแล้วก็ช่วยคิดทบทวนให้ดี!”

ระบบแจ้งเตือน ‘ความโกรธของเฟิงเกินเซิงที่มีต่อโฮสต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว’

ฟางหนิงพยักหน้า “ดี”

……………………………………………………………………..

บทที่ 123 ส่วนหนึ่งของแผนการได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากฟางหนิงพูดจบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ จะจัดการผลที่ตามมา เขากำลังตรวจสอบผลการต่อสู้ครั้งนี้และคิดเกี่ยวกับแผนการเติบโตของระบบ

ในเวลานี้ อัศวิน A โบกมือให้ติงเซียงหยุด เพราะเธอต้องการเข้ามารักษาเขา

เขาเริ่มเดินไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยโลงแก้วราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง

น่าเสียดายที่หลังจากค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้วกลับไม่พบขุมทรัพย์หรือของมีค่าใดๆ เลย ยกเว้นคนตาย

แอนเดอร์สันนั้นเก่งมาก แต่นอกเหนือจากดวงตาเทพเจ้าของเขาแล้ว เขาก็ไม่ทิ้งอะไรไว้เลย

การต่อสู้กับบอสใหญ่แบบนี้ แต่กลับไม่มีของมีค่าในตำนานเลยสักอย่าง เรื่องนี้ทำให้เทพแห่งระบบผิดหวังมาก

แน่นอนว่าเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ไม่สามารถแย่งชิงอาวุธระหว่างการต่อสู้จากอีกฝ่ายได้ และนั่นนับเป็นเรื่องที่ดีมาก

พวกเขารายงานทีละคนอย่างระมัดระวัง

ในเวลานี้ เฉียวจื่อเจียงก็มองลงมาที่โทรศัพท์และพูดต่อ “ข้อมูลล่าสุด มีคนสองคนที่ยังหลบหนีไปได้ ตำแหน่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก พิกัดน่าจะเป็น… เราต้องส่งคนไปไล่ล่า……”

เมื่ออัศวิน A ได้ยินเช่นนี้ เขาก็หมุนตัวและเดินจากไปในทันที

ทุกคนตกตะลึง นี่คือมังกรแห่งจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เขาอาเจียนเป็นเลือด แต่ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัส แล้วตอนนี้เขาจะไปอีกเหรอ?

ติงเซียงยังรักษาอัศวิน A ไปได้ไม่มากเลย “ถ้าหากรับรู้ถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ความชั่วร้ายจะต้องถูกกำจัดให้หมดไป เจิ้งต้าวพูดถูกแล้ว อัศวิน A เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก้มหัวเล็กน้อยแล้วเดินตามอัศวิน A ไป

เฉียวจื่อซานมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามทันที “จื่อเจียง คุณกำลังมองหาอะไร? ที่นี่ไม่น่าจะมีอะไรดีหรอก ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้น ฉันก็น่าจะเจอมันแล้ว”

“เลือดมังกร! ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ศัตรูปรากฏตัว และผู้ชายคนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขนาดนั้น แต่ก็ยังตามเขาไปอีก แม้เลือดมังกรไม่ได้มีความหมายกับเรามากนัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่ใช่สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตบนโลกและไม่สามารถโคลนร่างได้ แต่ถ้าตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว มันจะเป็นปัญหาใหญ่”

ทุกคนต่างพากันชื่นชม ผู้หญิงคนนี้ จู่เก๋อ ช่างทรงพลังเสียจริง…

ไห่เฉิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว “ใช่ ในบรรดาประเภทของพลังที่ฉันรู้จัก บางชนิดเป็นเวทมนตร์ซึ่งใช้เลือดของผู้อื่นหรือของใช้ในการร่ายคาถา และมันเลวร้ายมาก ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของเขาในปัจจุบัน เขาอาจจะไม่สามารถทนได้”

นอกจากคนที่มีภารกิจที่ต้องทำแล้ว คนอื่นก็เริ่มก้มหน้ามองหาเช่นกัน ไห่เฉิงวิเคราะห์ชัดเจนขนาดนั้น พวกเขาจะไม่คิดว่ามันเป็นอันตรายเหรอ?

ในขั้นตอนนี้ พลังการต่อสู้อันทรงพลังและล้ำค่าเช่นนี้ไม่สามารถปล่อยให้มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้

ไม่นานทุกคนก็เริ่มสงสัย

“น่าแปลก เขาเพิ่งจะอาเจียนเป็นเลือดออกมาเยอะมาก และทุกอย่างก็ตกลงสู่พื้น แต่ว่าทั้งหมดหายไปไหนแล้ว? เป็นไปได้ไหมว่าเลือดพวกนั้นจะถูกนำกลับเข้าไปในพื้นที่อุปกรณ์ที่เขาติดตัวมา?”

เฉียวจื่อเจียงค้นหาเป็นเวลานาน ไม่ต้องพูดถึงเลือดมังกรของ อัศวิน A บนพื้น แม้แต่น้ำลายเล็กๆ ของเขายังมองไม่เห็น

………………

ในป่าที่ห่างไกลออกไป อัศวิน A เอนตัวพิงต้นไม้และมองดูคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา มุมปากของเขายังมีเลือดติดอยู่

หลังจากที่เฉียวจื่อเจียงเปิดเผยตำแหน่งของศัตรูแล้ว เขาก็เปิดใช้แผนที่ระบบบริเวณใกล้เคียง เพื่อสกัดกั้นผู้เฒ่าเฟิงและโรเบิร์ตในทันที

หลังจากค้นพบคนสองคนนี้ ฟางหนิงก็รีบพูดกับระบบว่า “อย่าเพิ่งฆ่าพวกเขา แผนการเติบโตของระบบที่ฉันจะทำเพื่อแก อาจจำเป็นต้องใช้งานพวกเขาอยู่ ตอนนี้ลองฟังสิ่งที่พวกเขาพูดก่อน”

ระบบ “ถึงโฮสต์ไม่พูด ระบบก็จะไว้ชีวิตอยู่แล้ว”

ฟางหนิงประหลาดใจ

“อัศวิน A แอนเดอร์สันไม่ได้ฆ่าคุณเหรอ? บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังจะไล่ตามมาอีก? ฉันเป็นเพียงคนแก่ธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไร แอนเดอร์สันเป็นรองประธานของกลุ่ม เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งกับเราเลย”

ผู้เฒ่าเฟิงมองไปที่อัศวิน A ซึ่งยังคงอาเจียนเป็นเลือดด้วยสีหน้าสยดสยอง

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของแอนเดอร์สัน แต่ทำไมเขาถึงยังไล่ตามมาอีก วิญญาณแบบไหนกันที่คอยสนับสนุนเขา?

ในทางกลับกัน สีหน้าของโรเบิร์ตเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ตกตะลึงอย่างก่อนหน้าอีกแล้ว

เขาโค้งคำนับอย่างเร่งรีบ “ท่านอัศวิน ผมเป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกพวกเขาจ้างมา

“แต่ผมเพิ่งจะมาเข้าร่วมกับพวกเขา และผมแค่ทำร้ายหมาเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ตอนนั้นผมตั้งใจเล็งไปที่อัณฑะของมัน แต่กระสุนที่ผมใช้นั้นเป็นกระสุนเจาะเกราะที่ผมตั้งใจหยิบออกมาใช้เป็นพิเศษ พลังของมันนั้นน้อยที่สุดเมื่อนำมาใช้ จะไม่ทำร้ายส่วนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเป็นสัตวแพทย์มาสิบปี และผมแค่อยากจะทำหมันให้ฟรีๆ ไม่ใช่ฆ่ามัน ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ…”

ฟางหนิงพูดกับระบบ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไป๋หลี่รู้สึกแย่ขนาดนั้น ฉันเดาผิดไปนี่เอง ที่แท้มันรู้ตัวว่ามันเกือบจะกลายเป็นหมัน…คำพูดของผู้ชายคนนี้น่าเชื่อถือไหม?”

ระบบ “เป็นเรื่องจริง ระบบเห็นจุดโจมตี มันอยู่ใต้เป้าของไป๋หลี่เท่อ”

ในเวลานี้ ผู้เฒ่าเฟิงชี้ไปที่โรเบิร์ต “อะไรนะ? โรเบิร์ต ก่อนหน้านั้นแกโกหกพวกเราอย่างนั้นเหรอ! แกจงใจเลือกสุนัขตัวนั้นเป็นเป้าหมายของแก แกรู้ใช่ไหมว่า ‘ชีวิตของสุนัขตัวแรกของอัศวิน’ คืออะไร?”

โรเบิร์ตพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คุณคิดว่าผลการสอบวัดระดับภาษาจีนของผมมันสูญเปล่าอย่างนั้นเหรอ? ผมรู้ด้วยว่า ‘อัศวิน A แพ้พวกเรา’ และ ‘อัศวิน A เอาชนะพวกเรา’ เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ยังไงซะ เขาชนะ… คราวนี้คุณควรเชื่อเรื่องระดับภาษาจีนของผมนะ”

ผู้เฒ่าเฟิงพูดไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงก่ำ

ฟางหนิงพูดกับระบบต่อ “ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับภูมิหลังของคนที่ชื่อโรเบิร์ตแน่ๆ หนังสือเกมที่รัก แสดงโปรไฟล์ของเขาให้ฉันดูหน่อยสิ”

“เดวิด โรเบิร์ต เพศชาย ชอบเล่นฟุตบอล อายุสามสิบเก้าปี ข้อมูลประจำตัว ตัวแทนสายลับ SBI”

“แนวโน้มสู่ความดีและความชั่ว ความเป็นกลางเหนือความยุติธรรม”

“การประเมินความแข็งแกร่ง ผู้เล่นระดับถ้วย ขนาดโดยละเอียด ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย มันจะแตกเมื่อกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว หมายเหตุ : ความชอบธรรมในร่างกายมีศักยภาพสูงขึ้น”

ไม่น่าแปลกใจเมื่อเขาอ่านไปที่การแจ้งเตือนของระบบ เขาไม่ถูกโจมตีโดยความชอบธรรม

ฉันรู้จักแต่ FBI แล้ว SBI นี่เป็นหน่วยงานประเภทไหนกันนะ? กลุ่มคนโง่เหรอ?

ฟางหนิงคิดถึงเรื่องนี้และขอให้ระบบถาม

อัศวิน A “SBI คืออะไร?”

ผู้เฒ่าเฟิงตกใจและมองโรเบิร์ตทันที “ที่แท้แกก็เป็นสายลับจริงๆ แกเป็นคนของสำนักสืบสวนกิจการพิเศษ! เหล่ยเจวี๋ยต้งไม่ได้เดาผิด…”

โรเบิร์ตไม่แปลกใจเลย เขายักไหล่แล้วพูดด้วยความโล่งใจว่า “ใช่ ผมมาจาก SBI ดังนั้นผมจึงไม่ได้ทำร้ายคุณ สำนักสืบสวนกิจการพิเศษ ‘S’ หมายถึง ‘กิจกรรมพิเศษ’

“มันคล้ายกับคำย่อของสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ‘FBI’ มาก แต่เหนือกว่า FBI มาก มันเป็นหน่วยงานกิจการพิเศษของอเมริกา และบุคลากรหลักมาจากสหรัฐอเมริกา เอาล่ะ ผมพูดทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว คุณปล่อยผมได้แล้ว เราเป็นพันธมิตรกัน และเราทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกขอสำนักงานสหพันธ์นานาชาติ”

อัศวิน A “เพื่อนร่วมรบ หรือไม่ใช่เพื่อนร่วมรบ”

ฟางหนิงพูด “แกดูในแผนที่ระบบสิ ตอนนี้ยังไม่มีสีเขียว มีแต่สีเหลืองกับสีขาวเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่กองกำลังพันธมิตร”

โรเบิร์ตยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

ฟางหนิงพูดต่อ “คำถามคล้ายๆ กัน พาผู้เฒ่าเฟิงคนนี้ไปอยู่ในห้องขังก่อน และเปิดห้องเดี่ยวเพิ่มอีกสองสามห้อง ในอดีตมีเพียงร่างกายจิตใจฝ่ายวิญญาณเท่านั้นที่ถูกขังอยู่ในห้องขังนั้น อสูรฝันร้ายชั้นยอดถูกขังครั้งเดียว และมีดวงตาเทพเจ้าของแอนเดอร์สัน”

ใช่แล้ว คนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ระบบฉลาดมากขึ้นแล้ว ฟางหนิงเองก็ถูกปรับให้ไม่เห็นใจผู้อื่นมากขึ้นเช่นกัน

เขาเห็นว่าระบบนั้นกล้าหาญและชอบธรรมมากเกินไป และเขาได้ตั้งจิต ‘เมื่อเห็นคนชั่วร้าย ให้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนตาย’

ระบบ “ระบบไม่เคยคิดที่จะจับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ โฮสต์ต้องการทำอะไร”

ฟางหนิงตอบ “อีกสักครู่แกจะรู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผน”

หลังจากที่ผู้เฒ่าเฟิงทราบเหตุการณ์ เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าของเขาก็ตกตะลึงทันที และเขาต้องการฆ่าตัวตายทันทีเช่นกัน

แต่ครู่ต่อมา เขาถูกจับโดยมือเหล็กที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น

…………

ฟางหนิง จ้องไปที่ผู้เฒ่าเฟิงซึ่งถูกส่งไปยังเซลล์ระบบ

ฟางหนิงถอนหายใจ “แน่นอนว่าแกไม่สามารถกักขังเขาตลอดได้ ดูเหมือนว่าแกจะสามารถกักขังจิตใจได้เท่านั้น”

หลังจากนั้นไม่นาน วิญญาณของผู้เฒ่าเฟิงค่อยๆ ลุกขึ้น

วิญญาณของผู้เฒ่าเฟิงดูสับสนมึนงง จากนั้นก็ได้สติและพยายามหาว่าตนเองอยู่ที่ไหน

ในเวลานี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากห้องขังเดี่ยวอีกห้องหนึ่ง

แอนเดอร์สัน “นี่ มีอีกห้องอยู่ข้างๆ และเป็นคนที่คุณรู้จักซะด้วย”

ผู้เฒ่าเฟิง “แอนเดอร์สัน? แกยังถูกจับมาที่นี่เหรอ เป็นไปได้อย่างไร? แกควรจะต่อสู้ด้วยดวงตาเทพเจ้าสิ หรือว่าใช้วิธีนั้นแล้วแกยังแพ้อีกเหรอ?”

แอนเดอร์สันพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ผมใช้วิชานั้นอยู่แล้ว แต่มังกรตัวจริงตัวนี้ค่อนข้างแปลก ดวงตาเทพเจ้าของเขาถูกซ่อนอยู่ในพื้นที่นี้ ส่วนวิธีที่มังกรตัวจริงควบคุมร่างกายในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ผมเข้าใจหลักการแล้ว ผมจะบอกคุณ……”

ผู้เฒ่าเฟิงขัดจังหวะเขา “อย่าพยายามคุยกับฉันเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้อีก ฉันไม่เข้าใจ แค่บอกฉันว่าเรายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า”

แอนเดอร์สัน “คุณยังต้องการมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ? คุณตายไปแล้วต่างหากล่ะ ด้านล่างนั่นไม่ใช่ศพของคุณเหรอ?”

ผู้เฒ่าเฟิงก้มหน้าลงมอง “อัศวิน A ไอ้เวรเอ้ย ตระกูลไป๋พูดถูก ถ้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ก็เป็นการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง ฉันควรจะฆ่าตัวตายเมื่อฉันเห็นเขา แน่นอนถึงฉันตาย เขาก็จะไม่ปล่อยจิตวิญญาณฉัน เขาร้ายกาจกว่าแกอีก แอนเดอร์สัน!”

แอนเดอร์สันตอบ “อ่า…เขาควรจะเมตตาผมมากกว่านี้ อย่างน้อยเขาก็จะไม่ใช้วิญญาณบริสุทธิ์ในการทดลองวิจัย ตอนนี้เขาแค่ขังคุณไว้ อย่ายั่วโมโหเขาอีกก็พอ”

ระบบแจ้ง ‘เฟิงเกินเซิงระเบิดความโกรธไปที่โฮสต์ ความโกรธของเฟิงเกินเซิงเต็มแล้ว เตรียมดูดซับ ความคืบหน้าของระดับความโกรธในปัจจุบันเพิ่มขึ้น 30%’

ระบบ “ยังมีการปฏิบัติการแบบนี้อยู่อีกเหรอ? โฮสต์ คุณรู้วิธีเล่นจริงๆ ทำไมถึงไม่ใช้วิธีนี้ก่อนหน้านี้ล่ะ?”

…………………………………………………………………..

บทที่ 122 แผนการเติบโตของระบบได้เริ่มต้นขึ้น
ทันทีที่แอนเดอร์สันพูดจบ ไห่เฉิงซึ่งยังคงโจมตีด้วยดวงตาศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางถ้ำต่อไปก็ราวกับถูกมีดคมเฉือน เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทันที ก่อนจะขมวดคิ้วและล้มลง

ตอนนั้นเองโม่ซิ่งผู้ซึ่งกำลังเติมพลังเวทของตนให้เขาอยู่ด้านหลัง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่อยากเชื่อ มือยกขึ้นจับศีรษะ เศษผมร่วงหลุดออก พร้อมกับรอยคราบเลือดที่มองเห็นได้ชัดเจนก็ปรากฏขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถ่มน้ำลายออกมา “โชคดีที่ฉันเตี้ยกว่าพี่ไห่มาก…”

ใบหน้าของไห่หลานตกตะลึง “ฉันใช้การป้องกันถึงสี่ชั้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถป้องกันได้อีกเหรอ?”

ตอนนั้นเอง ติงเซียงก็เข้ามาช่วยเหลือ

…………

ในสนามรบ แอนเดอร์สันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวังอีกครั้ง

“ไม่มีการเชื่อมโยงตามที่คาดไว้จริงๆ หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าโจมตีเกินระยะทาง ความพินาศก็จะสลายตัวเร็วมากขึ้น”

“โอเค ดูเหมือนว่าครั้งนี้ฉันคงจะต้องยอมแพ้จริงๆ ดังคำพูดนี้ที่เคยกล่าวไว้ การพึ่งพาตนเองเป็นแนวทางของกษัตริย์ หากต้องการที่จะขโมยเทคโนโลยีขั้นสูงสุด คุณก็ไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะขโมยได้ไม่ครบ อย่างน้อยก็เข้าใจเรื่องนี้มากพอ แล้วนั่นก็เพียงพอแล้ว แต่คนที่จ้องจะทำลายแผนการของฉัน มันไม่มีวันรอดไปได้”

ฟางหนิงได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายในพื้นที่ระบบ ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามา

เขาฝึกฝน ‘การแปลงร่างมังกร’ และฝึกฝน ‘คัมภีร์โพธิ์’ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นคู่มือลับที่สมบูรณ์แบบที่ได้รับจากระบบ ตอนนี้เขาไม่ใช่มือใหม่ในการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่

การแจ้งเตือนของระบบ ‘ระบบจะใช้ช่องพลังงานบวกที่เหลือทั้งหมด และระบบจะใช้พลังความโกรธทั้งหมดเพื่อเพิ่มพลังให้แก่วิชา ‘การแปลงร่างมังกร’ ก่อนหน้านั้น ‘การแปลงร่างมังกร’ อยู่ในระดับกลาง แต่ตอนนี้ได้ได้ก้าวไปสู่ ‘การรวมร่างมังกรคู่’ อีกครั้ง

ระบบเปิดใช้งานรูปแบบของมังกรลม และมังกรเพลิงเพื่อรวมร่าง นี่จะทำให้ความแข็งแกร่งของร่างกายของโฮสต์เพิ่มขึ้นอย่างมากฟางหนิงตกตะลึง

เพียงแค่เขาเห็นร่างมังกรเพลิงตัวนั้น ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็วาบผ่านบนตัวมังกรเพลิวแล้วปรากฏขึ้นตรงศีรษะมังกรอีกตัวหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ด้านบนเกล็ดสีแดงเพลิงบนร่างมังกร ก็ได้ปรากฎเกล็ดสีฟ้าชั้นใหม่ปกคลุมเกสรสีแดงไว้จนหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่ามาก

ในเวลาเดียวกันกับที่มังกรเพลิงเปลี่ยนร่าง บรรดาผู้คนที่นอนอยู่ในโลงแก้วต่างก็ลืมตาขึ้นทีละคน ทันใดนั้นรูทวารทั้งเจ็ดก็เปิดออก และหลังจากผ่านการโจมตีสองสามครั้งก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก

ใจของฟางหนิงที่เต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่ง นี่แหละความน่ากลัวของยุคนี้ ดังเช่นมหาสมุทรที่ดูเหมือนจะสงบ วันหนึ่งอาจมีคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา ก่อนคลื่นจะสงบตัว ใครที่ขึ้นเรือใหญ่ไม่ทัน ขึ้นได้แต่เรือลำเล็ก ก็ต้องว่ายน้ำเปลือยกายและถูกคลื่นดูดกลืนลงทะเลอย่างไร้ความปราณี…

ผู้โชคดีเท่านั้นที่จะได้นั่งบนเรือลำใหญ่ที่มีรากฐานที่ดีและอัพเกรดตัวเองได้

ในขณะที่ฟางหนิงกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นโล่สีดำทั้งหมดก็หายวับไปทันที

บนร่างของชายหนุ่มผิวขาวซีดที่เสียชีวิต วิญญาณก็ปรากฏขึ้น เทียบกับดวงตาเทพเจ้าของร่างมังกรขาวของฟางหนิง รูปแบบของดวงตาเทพเจ้านี้มีพลังมากกว่ามาก ฟางหนิงเพียงแค่มองผ่านระบบมุมมอง ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เหนือกว่าเขาอย่างแท้จริง

แอนเดอร์สัน “มันอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มาเลย มาเลย อัศวิน A มังกรตัวจริง คราวนี้ถึงคราวตายของแก!”

แต่ก่อนที่จะพูดจบ พริบตาต่อมาเขาก็พุ่งชนร่างของมังกรลมสองหัว!

ฟางหนิงตกตะลึงหลังจากที่มองผ่านมุมมองของระบบ เขาเคยเห็นเทพของระบบใช้มังกรเพลิงหรือมังกรพิโรธทำลายร่างกายคนมานับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นเขาก็ทำลายอีกฝ่ายให้กลายเป็นฝุ่นผงที่กระจัดกระจายไป!

แต่โชคดีไม่ได้อยู่กับคุณตลอด หรือคราวนี้จะถึงคราวโชคร้ายแล้วว?

ฟางหนิงรู้สึกเสียใจที่เขาขี้เกียจขึ้นมาทันที ถ้าเพียงแต่เขาตั้งใจ ขยันฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง มีพัฒนาการในทุกวัน ตื่นนอนเวลาตีสี่ครึ่งทุกเช้า และเข้านอนเวลาห้าทุ่มทุกวัน คงจะดีกว่านี้…

แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว…

ศัตรูที่เทพแห่งระบบต้องเจอนั้น แม้แต่เฉียวจื่อซาน และคนอื่นๆ ก็รับมือไม่ได้ แม้ว่าเขาจะทำงานหนักเป็นเวลาห้าเดือน เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย พวกเขาจะถูกฆ่าทันทีเมื่อเขาออกไป…

แน่นอนว่าเขายังคงเริ่มต้นจากกลยุทธ์พื้นฐาน เพื่อช่วยให้เทพแห่งระบบเลื่อนระดับอย่างรวดเร็ว

ขอเพียงแค่เทพแห่งระบบสามารถต้านการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ เขาสัญญาว่าจะจัดทำแผนการเติบโตของระบบให้สมบูรณ์ และจะไม่ยอมให้เทพแห่งระบบประมาทอีก…

เวลาผ่านไปทีละนิด…

ฟางหนิงกำลังรอผลของการต่อสู้ที่เด็ดขาดภายในร่างกายอย่างใจจดใจจ่อ มุมมองของระบบไม่สามารถมองเห็นภายในร่างกายได้ และเขาไม่ได้ฝึกเพื่อที่จะมองเข้าไปข้างใน เขาจึงไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้

เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก ด้วยกลัวว่าจะรบกวนจิตวิญญาณของเทพแห่งระบบที่ต่อสู้กับศัตรูและกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ตัดสินระหว่างชัยชนะและความพ่ายแพ้

เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับตาดูสิ่งรอบข้างจากมุมมองของระบบ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์อื่นขึ้น ไม่อาจพูดได้ว่ามีแค่ตัวเขาเอง มังกรขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ปรากฏตัวเป็นผู้กอบกู้โลกอีกครั้งหนึ่ง

ประมาณห้านาทีต่อมา เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ก็เข้ามาในสนามรบอย่างระแวดระวัง ฟางหนิงจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อย่างน้อยกลุ่มของพวกเขาก็ไม่มีใครคิดทรยศ

เฉียวจื่อซาน มองเห็นลมและไฟของมังกรสองหัว และเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะถูกแช่แข็งในอากาศ ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหว

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

หลังจากเฉียวจื่อซานพูดแล้ว เขาก็หันไปหาไห่เฉิง

ไห่เฉิงปิดหว่างคิ้วแล้วขา และหลังจากการรักษาฉุกเฉินจากรองหัวหน้าทีมอย่างติงเซียง อาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาลง

เขาพูดว่า “ฉันจะลองดูอีกครั้ง”

เมื่อไห่หลาน พี่สาวของเขาได้ยินดังนี้ เธอก็พูดทันที “นายเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังไหวเหรอ?”

ใบหน้าของไห่เฉิงสงบมาก “ไม่เป็นไร ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

ขณะที่เขาตอบกลับ หว่างคิ้วก็เปิดออกอีกครั้ง

และหลังจากเปิดมันได้ น้ำตาก็พลัยไหลออกมาจากตาดวงนั้นทันที ลามไปที่จมูกของเขา ราวกับว่าใบหน้าทั้งหมดของเขาถูกผ่าครึ่ง

แสงสีฟ้าส่องผ่านดวงตาสีเลือดอีกครั้ง ฉายแสงไปที่มังกรสองหัว

ไห่เฉิงดูงุนงง “มังกรแห่งจิตวิญญาณมีดวงตาเทพเจ้าที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ไปทั่ว ราวกับว่าเขากำลังมองหาบางอย่างที่ใช้ในการต่อสู้ ดวงตาเทพเจ้านั้นชั่วร้ายและลึกลับ ไม่ใช่ดวงตาเทพเจ้าของมังกรแห่งจิตวิญญาณอย่างแน่นอน”

ทันทีที่เฉียวจื่อเจียงได้ยินประโยคนี้ เธอก็ถามทันทีว่า “มีอันตรายอะไรไหม? เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นนายของดวงตาเทพเจ้าก่อนหน้านี้?”

ไห่เฉิงส่ายหัว “ไม่มีอันตราย ดวงตาเทพเจ้าที่น่าสะพรึงกลัวถูกมังกรในร่างกายปิดกั้นและมันไม่สามารถออกมาทำร้ายผู้คนได้แล้ว แต่ดวงตาเทพเจ้าของมังกรแห่งจิตวิญญาณนั้นไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว นี่คือเหตุผลที่มังกรแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้”

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของไห่เฉิงจากพื้นที่ของระบบ ขณะนี้เขาทำได้เพียงฟังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และหวังว่าคำพูดเหล่านั้นจะเชื่อถือได้

เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ เฝ้าระวังอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามฉวยโอกาสลอบโจมตี

…………

อีกห้องหนึ่ง ผู้เฒ่าไป๋กำลังรับชมฉากนี้บนหน้าจอขนาดใหญ่ รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเขา

ผู้เฒ่าไป๋ “มันควรจะเป็นไม้ตายสุดท้ายของแอนเดอร์สันศึกชี้ชะตาของดวงตาเทพเจ้า อย่างที่คาดไว้ อัศวิน A จะชนะ แต่ดวงจาเทพเจ้าของเขากลับบาดเจ็บสาหัส และมันจะต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อยสองสามปี”

ไป๋ซื่อซิน “ท่านผู้เฒ่าก็ชมเกินไปแล้ว อันตรายของศึกชี้ชะตาดวงตาเทพเจ้านี้ พวกเราในฐานะมนุษย์นั้นเข้าใจมากที่สุด การแข่งขันระหว่างสองฝ่าย มีช่องว่างมาก ผู้ชนะก็จะถูกโจมตีอย่างหนักเช่นกัน

“ไม่ว่าดวงตาเทพเจ้าของอัศวิน A จะแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเทียบกับผลรวมของดวงตาเทพเจ้าของพลังไซโอนิกของแอนเดอร์สัน ย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บทางวิญญาณประเภทนี้ และกว่าเขาจะฟื้นตัวรากฐานของพวกเราก็มั่นคงแล้ว”

ผู้เฒ่าไป๋ตอบรับ “อืม ซื่อซิน แกใจเย็นกว่าที่ฉันคิด”

ภาพหน้าจอเปลี่ยนไป พวกเขาต่างมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันในทันที…

…………

ฟางหนิงไม่พูดอะไร เขารอถึงครึ่งชั่วโมงก่อนจะได้ยินระบบแจ้งเตือน

‘ดวงตาพระเจ้าของแอนเดอร์สันกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการประลองกับดวงตาพระเจ้าของโฮสต์

แอนเดอร์สันไม่พบเป้าหมายการต่อสู้

แอนเดอร์สันกำลังมองหาเป้าหมาย…

แอนเดอร์สันกำลังมองหาเป้าหมาย…

แอนเดอร์สันสับสน…

แอนเดอร์สันเตรียมที่จะล่าถอย และระบบก็ปิดกั้น

การล่าถอยของแอนเดอร์สันล้มเหลว และแอนเดอร์สันล้มลง…

การปลดปล่อยดวงตาเทพเจ้าของแอนเดอร์สัน ทำลายทุกสิ่งอย่าง…

ร่างกายของโฮสต์ได้รับบาดเจ็บ และระบบกำลังรักษา…

โฮสต์ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

กระบวนการข้างต้นนั้นกำลังวนซ้ำเรื่อยๆ …

ดวงตาเทพเจ้าของแอนเดอร์สันประสบกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรง…

ระบบจับจิตวิญญานของแอนเดอร์สันและใส่ไว้ในเซลล์ระบบ

โฮสต์ได้รับบาดเจ็บสาหัส…

ในเวลานี้ ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่ามังกรสองหัวตกลงมาจากกลางอากาศ และเปลี่ยนร่างเป็นอัศวิน A ก่อนจะอาเจียนเป็นเลือดออกมา!

ติงเซียงรีบรักษา แต่ก็พบว่าผลการรักษาของเธอมีประสิทธิภาพน้อยมาก

ฟางหนิงเห็นฉากนี้จากมุมมองของระบบเป็นครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่เทพแห่งระบบอาเจียนจนเป็นเลือดและได้รับบาดเจ็บ!

ในเวลานี้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย เขาหายใจติดขัด “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ฉันขี้เกียจเกินไป และฉันลืมเตรียมแผนการเติบโตของระบบให้แกก่อนหน้านี้ ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ระบบ แกยังสบายดีใช่ไหม?”

ระบบ “ระบบไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายของโฮสต์…”

ฟางหนิงพูดแทบไม่ออก “เอาล่ะ ฉันลืมไปว่าสิ่งที่ฉันควรกังวลมากที่สุดคือร่างกายของฉันเอง… ฉันจะรักษาอาการบาดเจ็บร้ายแรงนั้นได้อย่างไร?”

ระบบตอบกลับ “กินยา”

ฟางหนิงตอบ “เอาล่ะ คราวหน้าแกห้ามใจร้อนอีก”

ระบบ “โฮสต์สบายใจได้ ดวงตาเทพเจ้าของแอนเดอร์สันนี้ หากเขาไม่รีบเข้าไปในร่างโฮสต์ของตัวเอง ก็จะไม่สามารถจับเขาได้เลย ประโยชน์ของการจับเขาครั้งนี้ไม่มีที่สิ้นสุด และโฮสต์จะรู้ในภายหลัง ตอนนี้ระบบจะมอบหมายงานใหม่ให้โฮสต์”

ฟางหนิงตกใจมาก “เขาแข็งแกร่งมากเลยเหรอ?”

ระบบตอบกลับ “ถูกต้อง ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด ถ้าเปลี่ยนเป็นพระโพธิสัตว์ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกเขาฆ่า ในตอนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถต้านเขาได้”

ฟางหนิงรู้สึกโชคดีมากในตอนนี้ “โชคดีของระบบที่แกไม่ใช่สิ่งมีชีวิต โชคดีที่หลังจากที่ฉันได้รับมอบหมายจากแกฉันก็อยู่ในพื้นที่ของระบบมาตลอด”

ระบบ “ใช่ ถูกต้อง โฮสต์ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก ต้องขอบคุณความขี้ขลาดและกลัวตายที่ฝังในหัวของโฮสต์ โฮสต์ได้พัฒนานิสัยที่ดี ขอเพียงแค่โฮสต์ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของระบบในตอนนี้ เขาจะมาถึงในทันที และด้วยความคิดของมนุษย์ ไม่สามารถตอบโต้กลับได้เลย เขาสามารถจับโฮสต์ได้ในคราวเดียว และเราจะถูกแขวนไปด้วยกัน ครั้งนี้อยากได้รางวัลภารกิจเป็นอะไร?”

ฟางหนิงส่ายหัว “ฉันไม่ต้องการรางวัลอะไรทั้งนั้น ฉันตระหนักได้ทันทีว่าในยุคของการฟื้นฟูพลังชีวิตนี้ คือการได้อยู่ในพื้นที่ของระบบด้วยความอุ่นใจเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”

ระบบงุนงง “???”

หลังจากนั้นไม่นาน ระบบก็พูดว่า “โฮสต์ถูกดวงตาเทพเจ้าที่หลงเหลือของแอนเดอร์สันจู่โจมเหรอ? ไม่มีทาง นี่แปลกมากๆ ระบบต้องเช็กสักหน่อย…”

ก่อนที่ฟางหนิงจะได้ค้านอะไร เขาก็ได้ยินข้อความแจ้งเตือนจากระบบแล้ว

ระบบเริ่มตรวจสอบจิตใจของโฮสต์

ระบบตรวจสอบจิตใจของโฮสต์…

ระบบพบว่าวิญญาณของโฮสต์อยู่ใน ‘สถานะปราชญ์’ ชั่วคราว

ระบบจะถือว่าทุกอย่างเป็นปกติและสิ้นสุดการตรวจสอบ

ฟางหนิงกล่าวเบาๆ “ขอบคุณท่านเทพแห่งระบบที่เป็นห่วงฉันนะ”

……………………………………….

บทที่ 121 คำอธิบายการต่อสู้แบบผลัดกันเล่นและเพื่อนร่วมทีมของพระเจ้า
เมื่อโล่สีดำปรากฏขึ้นและขัดขวางไฟเหล่านั้น เสียงของแอนเดอร์สันก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“แกเห็นจุดอ่อนของฉันได้เร็วจริงๆ”

แต่เขาก็เผยให้เห็นความผิดหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากป้องกันจุดอ่อนแล้ว ก็กลับมาโจมตี!

ตอนนั้นเอง มังกรเพลิงก็วาบผ่านเข้ามา และคราบเลือดก็ปรากฏขึ้นจางๆ จากเกล็ดบนศีรษะของมัน

“ไวเสียจริง! นี่เป็นครั้งแรกที่สิ่งมีชีวิตสามารถหลบหนีจากดวงตาเทพเจ้าของฉันได้… คุณต้องติดตั้งชิพ AI ขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการต่อสู้ ด้วยความเร็วปฏิกิริยาที่จำกัดของสิ่งมีชีวิต มันสายเกินไปแล้วที่จะหลบ ในท้ายที่สุด มันคือร่างของมังกรตัวจริงที่มีสายเลือดที่แข็งแกร่งและสามารถเข้ากันได้กับทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้สืบทอดทั่วไปจะติดตั้งชิป AI เหล่านี้ในร่างกายของพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงการที่ให้พวกมันควบคุมร่างกายของตัวเอง เพื่อตอบโต้การต่อสู้ที่รุนแรง”

ฟางหนิงตกใจเมื่อได้ยิน ผู้ชายคนนี้ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่? …

ระบบนั้นเดิมเป็นโปรแกรมเกมแบบเบ็ดเสร็จ และการต่อสู้ AIนั้นก็ถูกติดตั้งไว้ภายในแล้ว และหลังจากการเปลี่ยนแปลง ระบบก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

มังกรเพลิงวาบผ่าอีกครั้ง และระเบิดไฟอีกลูกก็พุ่งเข้าใส่โล่สีดำ

ในเวลาเดียวกัน พายุก็พลันปรากฏขึ้น กวาดพัดเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนและเผาโล่สีดำทั้งอัน

ภาพที่ปรากฎทั้งหมดนี้ ดูเหมือนเป็นเผาเตาขนาดใหญ่ที่กำลังคว่ำลง

หลังจากมันพ่นไฟ ร่างของมังกรเพลิงก็แตกสลายและฟื้นคืนขึ้นใหม่ทันที

เสียงของแอนเดอร์สันดังขึ้นอีกครั้ง

“นี่คือวิชาอะไรกัน? เห็นได้ชัดว่าร่างได้แตกสลายไปแล้ว แต่ยังสามารถกลับมารวมร่างได้ในทันที? ฉันจำได้แค่ว่าเคยเห็นความสามารถประเภทนี้ จากในเรื่อง ‘วันพีซ’ เท่านั้น แกสามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวจากตัวการ์ตูนในแอนิเมชั่นเหรอ! มังกรตัวจริงของแกมีข้อได้เปรียบมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”

ฟางหนิงซึ่งอยู่ในพื้นที่ของระบบได้มีประสบการณ์กับการต่อสู้ต่างๆ มากมาย เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงตอบกลับ

“เขากำลังถ่วงเวลา”

ระบบพูด “เพิ่มความโกรธ…”

ฟางหนิงตอบกลับ “เข้าใจแล้ว”

ฟางหนิงจะไม่มีวันเมินเฉยต่อเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเทพเจ้าในสงครามจะพูดอะไร เขาก็จะทำตาม

คำแนะนำของระบบ โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘โกรธสุดขีด’ และมาตรวัดความโกรธทั้งหมดจะถูกเติมโดยอัตโนมัติหลังจากการบริโภค

เมื่อเข้าสู่สงครามที่ยืดเยื้อแล้ว ก็ไม่มีทางจบลงได้ภายในเวลาอันสั้น

ด้วยประสบการณ์หลายปีของฟางหนิงจากนวนิยายและเกม เขาสามารถเข้าใจกระบวนการต่อสู้ได้ดี

เมื่อรวมกับภูมิหลังของเขาในฐานะโปรแกรมเมอร์แล้ว ก็สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ได้เข้าสู่ระบบผลัดกันเล่น สรุปโดยย่อมีดังนี้

ระบบ ‘โจมตี’

แอนเดอร์สัน ‘ต่อต้าน ฆ่า’

ระบบ ‘สะท้อนกลับ’

แอนเดอร์สัน ‘ฉันจะอธิบาย…’

ระบบ ‘ไม่ฟัง ถือโอกาสโจมตีเพิ่ม’

…………

กระบวนการต่อสู้นั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่ฟางหนิงเข้าใจถึงอันตรายที่เกี่ยวข้อง ท่าโจมตีไร้เสียงของแอนเดอร์สันนั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็วมาก

เขาไม่กลัวที่จะโจมตีไปที่อื่นๆ มีการป้องกันแบบสัมบูรณ์ระดับต่ำ เขาสามารถถอดชิ้นส่วนของร่างกายเพื่อโจมตีและเข้าสู่พื้นที่รักษาความสดใหม่ของพื้นที่ระบบได้ ส่งผลให้การโจมตีเป็นโมฆะ

แต่หลายครั้งที่มังกรเพลิงถูกโจมตี ระบบก็ได้รับอันตรายไปด้วย

หากมันถูกแทนที่ด้วยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งทุกประเภทแล้ว และหากไม่มีระบบ ความเร็วในการตอบสนองการต่อสู้ของคอมพิวเตอร์ AI ก็จะเร็วกว่ามาก ยกเว้นแรงต้าน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะหลบมันได้

หลังจากพยายามอีกหลายครั้ง การโจมตีทั้งหมดของแอนเดอร์สันก็โดนหัวมังกรเพลิงอย่างจัง

แต่ด้วยการทำงานสุดแม่นยำของเทพแห่งระบบ มันสามารถสะท้อนกลับได้หนึ่งครั้ง และตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มีความสามารถพิเศษ มันก็สามารถสะท้อนกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หัวของมังกรนั้นเล็กกว่าตัวของมังกรมาก การหลบหลีกรวดเร็วกว่า และการยิงที่หัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน แต่น่าแปลกที่ทั้งสองไม่เลือกที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลง พวกเขายังคงต่อสู้แบบผลัดกันเล่นเช่นเดิม

ฟางหนิงมองการต่อสู้อยู่ ก็รู้สึกว่าหากต่อสู้ไปอย่างนี้ ตนจะมีโอกาสชนะ เพราะพวกเขาต่างไม่คิดที่จะทำลายสมดุลในการต่อสู้เลย

ฟางหนิงเริ่มกังวล ไม่มีใครรู้เลยว่าแอนเดอร์สันจะมาไม้ไหน

…………

ในห้องที่ผู้เฒ่าไป๋อยู่ ผู้ชมอีกสองคนกำลังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการต่อสู้ที่หาดูได้ยาก

ไป๋ซื่อซินดูการต่อสู้อย่างจริงจัง ราวกับว่าจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาแม้แต้ภาพเดียว

ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ “ซื่อซิน เมื่อก่อนตอนที่เจ้ายังแข็งแกร่ง เจ้าคิดว่าการที่จะต้านทานแอนเดอร์สันได้นั้น ต้องใช้ความพยายามกี่ครั้ง?”

ไป๋ซื่อซินตอบโดยไม่ลังเล “ผมไม่สามารถต้านทานได้สักครั้งเลย ดวงตาเทพเจ้าของเขาแข็งแกร่งมาก มันเป็นการโจมตีที่เร็วและโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ความเร็วของขีปนาวุธและจรวดที่ปะทะต่อหน้าเขา ต่างกลายเป็นเหมือนเด็กชั้นประถม มีท่าไม้ตายเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาได้เป็นถึงรองประธานสมาคมดุลอำนาจแห่งชาติ นี่น่ากลัวจริงๆ”

ผู้เฒ่าตระกูลไป๋ตอบรับ “อืม มองขาดมาก หากต้องการต่อสู้กับดวงตาเทพเจ้า ต้องต่อสู้อย่างหนักด้วยเนื้อหนังและเลือดบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามความคิดที่ว่าแอนเดอร์สันต่อสู้เพื่อถ่วงเวลา เป็นการยืนยันการคาดเดาก่อนหน้าของเจ้าเกี่ยวกับอัศวิน A ได้”

ไป๋ซื่อซิน “อืม แอนเดอร์สันมาจากอเมริกา เป็นประเทศที่ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาอย่างมาก เขาไม่คุ้นเคยกับ AI การต่อสู้แน่นอน และเขาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับมันก่อน ดังนั้นผมเลยมั่นใจ”

ผู้เฒ่าไป๋ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ความสามารถระดับสูงในสายคอมพิวเตอร์มีน้อยและหายากเกินไป คนที่เรากำลังจับตามองทั้งหมดจะถูกดึงเข้าไปในระบบของพวกเขาโดยสำนักสัจธรรม ตอนนี้พวกเขาอาจจะยุ่งอยู่กับโครงการใหญ่ลึกลับมากมาย และพวกเขายังต้องศึกษาเทคโนโลยีขั้นสูงของการรวม AI การต่อสู้เข้ากับผู้ปฏิบัติงาน เราไม่มีพื้นฐานในการทำวิจัยประเภทนี้เลย”

ไป๋ซื่อซิน “ท่านอาจารย์กังวลอะไร เทคโนโลยีนี้จะว่าดีก็ดี แต่ก็มีข้อเสียไม่ใช่เหรอ?”

ผู้เฒ่าไป๋ยิ้มเล็กน้อย “ย่อมมีข้อเสีย ทุกสิ่งบนโลกจะมีแต่ข้อดีได้อย่างไร? หลังจากติดตั้งวัตถุแปลกปลอมทางเทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว หากต้องการฝึกฝนและก้าวหน้าในอนาคต ก็เทียบเท่ากับการปีนภูเขาอีกลูกบนหลังของตน”

ไป่ซื่อซินพยักหน้าเห็นด้วย เขาชี้ไปที่หน้าจออีกหน้าจอหนึ่งพลางกล่าว “ในที่สุดคนของสำนักสัจธรรมก็มาถึงแล้ว”

เห็นดังนั้น ผู้เฒ่าไป๋ก็ยิ้มเหยียดออกมา “การเข้าไปในการประลอง ก็ถือเป็นจุดจบของพวกเขาเท่านั้น”

…………

หมาดำนำทางฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ไปที่ทางเดิน มันได้กลิ่นเปลวไฟมาแต่ไกลแล้ว แต่เพราะนายท่านได้กำชับไว้ มันจึงไม่เข้ามา

“นายท่านอยู่ข้างในนั้น ศัตรูที่อยู่ข้างในก็แข็งแกร่งมาก นายท่านบอกให้ฉันไปซ่อนให้ไกลที่สุด จากที่นี่ไปยังห้องโถงมีระยะทางเพียงสามเมตร แต่ฉันเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ และถ้าพวกคุณเข้าไปใกล้กว่านี้ อาจเป้นอันตราย”

“ต้องทำยังไงดี? ฉันต้องเตือนพวกคุณว่า ฉันเข้าใจถึงความรุนแรงของสนามรบข้างหน้า ฉันกลัวว่าหลังจากที่พวกคุณเข้าไปแล้ว คุณจะไม่สามารถรับมือไหว อย่าคิดว่าฉันอ่อนแอเลย แต่ฉันได้ข้อมูลมาแบบนี้จริงๆ”

เฉียวจื่อซานตอบกลับ “ฉันเพิ่งส่งข่าวกรองไปใหม่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะฝ่าฟันขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไปได้แล้ว อาจต้องใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมง การต่อสู้ครั้งนี้อันตรายมาก เริ่มการเตรียมการการจู่โจมทันที”

ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของไห่หลานก็ฉายแสงประกายสีฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนพลันเพิ่มชั้นน้ำแข็งให้เป็นเกราะหนากว่าเดิม

ติงเซียงประสานมือของเธอเข้าด้วยกัน จากนั้นแสงสีเขียวหลายชั้นก็ส่องมาที่ทุกคน

เฉียวจื่อเจียงพูด “จากภาพตอนที่หลงฟานทิ้งไว้ก่อนสิ้นใจนั้น ศัตรูนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเขาเก่งวิธีการโจมตีด้วยประสาทสัมผัสทางวิญญาณแบบฆ่าเราในฉับพลัน เรามีบันทึกที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปควรใช้โหมดโจมตีระยะไกล”

เฉียวจื่อซานพยักหน้า “เอาล่ะโม่ซิ่ง คุณจัดหาพลังเวทให้ไห่เฉิงก่อน จากนั้นไห่เฉิงจะใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของคุณโจมตีในครั้งนี้ มีเพียงดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของคุณเท่านั้นที่สามารถโจมตีได้ไกลพอและมีกำลังเพียงพอที่จะสนับสนุนของผู้อื่น ส่วนคนอื่นๆ รอคอยที่จะเติมพลังเวทให้ไห่เฉิงแทน”

หมาเหลืองสงสัยว่าทางเดินใต้ดินที่นี่คดเคี้ยวมากและไม่สามารถมองเห็นสนามรบในห้องโถงจากที่นี่ได้ มนุษย์เหล่านี้จะใช้วิธีการโจมตีระยะไกลแบบใด?

แต่แล้วไม่นานมันก็เข้าใจ

มันเห็นเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ยังคงประจำการอยู่ที่เดิม พวกเขาไม่ได้เข้าไปในห้องโถงเลย

เฉียวจื่อเจียงเรียกตัวลิ่นซึ่งกำลังเดินตามทิศทางไปที่ห้องโถงพอดีให้เข้ามา…

แม้ว่าถ้ำที่นี่จะทำจากหินที่ลึกลงไปในพื้นดิน แต่เมื่อมีตัวลิ่นเหล่านี้ ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้

ตัวลิ่นพวกนี้มีประสิทธิภาพมาก เพราะผ่านไปเพียงสิบนาที โพรงหินที่แคบตรงก็เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว

เฉียวจื่อเจียงพูด “พวกตัวลิ่นขุดเข้าไปในห้องโถงของสนามรบแล้ว”

เฉียวจื่อซานโบกมือกลับ หลังจากได้ยินเรื่องนี้ไห่เฉิงก็ก้าวไปข้างหน้าทันที

เขายืนอยู่หน้ารูแคบๆ นั้น

ไม่นาน เนตรสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของเขา คราวนี้ มันไม่ใช่แสงสีฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นแสงสีแดง มันปรากฏขึ้นในแวบแรกและโจมตีโล่สีดำในห้องโถงทันที

โม่ซิ่งยืนอยู่ข้างหลังเขา วางมือบนแผ่นหลังของกันและกัน

…………

หลังจากที่เห็นภาพล่าสุดบนหน้าจอ ผู้เฒ่าตระกูลไป๋ก็หน้าซีดเผือด ด้านไป๋ซื่อซินพูดอะไรไม่ออกสักคำ

ภายในห้องโถงของสนามรบ เมื่อเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ เข้ามาแล้วชัยชนะจึงเริ่มเอนเอียงไปทางเทพแห่งระบบ

เวลานี้ฟางหนิงกำลังเอาใจช่วยอยู่ในพื้นที่ระบบ “เร็วเข้าๆ พลังงานเริ่ไม่เสถียรแล้ว!”

ผ่านไปสักพัก “เอาล่ะ ไฟสีแดงนี้กลับมาแรงขึ้นแล้ว งานนี้มีลุ้น!”

“หึ ผู้เฒ่าเฟิงไม่น่ายอมให้พวกมันเลย ไม่งั้นคนของสำนักสัจธรรมคงเข้ามาไม่ได้”

มังกรเพลิงพ่นไฟครั้งสุดท้ายออกมา

“นี่เราแล้วสินะ? ครั้งหน้าคงไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกแล้ว”

น้ำเสียงของแอนเดอร์สันแปลกมาก เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะล้มเหลว น้ำเสียงของเขากลับมีความผิดหวังเพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาไม่เหมือนศัตรูคนก่อนๆ ที่เอาแต่พูดว่า “เป็นไปไม่ได้” หรือ “ฉันจะตายได้ยังไง”

“อืม…ที่หลบซ่อนอยู่นอกระยะการโจมตีของฉัน ตามที่สำนักสัจธรรมเสินโจวคาดไว้”

“แต่ฉันกำลังจะระเบิด…”

………………………………………………………….

บทที่ 120 ตามความเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างฉัน อัศวิน A จะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปอีกหลายปี
ภายใต้การนำของหมาเหลือง อัศวิน A กำลังไล่ตามกลุ่มคนที่เหลืออยู่นั้น เวลานี้ชายชราเพิ่งหนีออกมาจากยอดเขาและโรเบิร์ตก็อยู่ในห้องใต้ดินแล้ว

ห้องนี้ไม่มีแม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ กล่าวให้ถูกก็คือมันเป็นถ้ำใต้ดินสี่เหลี่ยมนั่นเอง

เขาโค้งคำนับให้กับอีกสองคนในห้องและกล่าวด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโส ดีใจที่ได้พบพี่ซื่อซิน”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “ผู้เฒ่าเฟิง พวกเราจัดหาคนหนุนหลังที่ดีให้กับคุณแล้ว แต่คุณกลับปั้นเขาให้คนอื่นมาฆ่าตัวเอง ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอร้องฉันอีก ฉันลำบากใจมากนะ”

ผู้เฒ่าเฟิง “ไม่ว่ายังไงท่านอาวุโสได้โปรดช่วยเหลืออีกสักครั้งเถอะ เหลืออีกสามชั่วโมงเท่านั้น”

ผู้อาวุโสไป๋โบกมือ “เรื่องนี้คุณต้องโน้มน้าวซื่อซินแล้วล่ะ เขาเป็นกองทหารกลุ่มแรกในตระกูลของเรา ถ้าเขาให้คำแนะนำในได้ ฉันจะตกลงช่วยเหลือ”

พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกจากห้องไป

โรเบิร์ตยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ โดยไม่ปริปาก

เขาค้นพบสิ่งหนึ่ง ตั้งแต่เวลาที่เขาเห็นตัวละครลึกลับสองคนนี้ ชายชุดดำที่ ‘ไอ’ ออกมาเป็นบางครั้งได้มองมาที่เขา ราวกับว่าเขามีบางอย่างในตัวที่เป็นที่สนใจของอีกฝ่าย

ทันทีที่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋จากไป ผู้เฒ่าเฟิงก็วิงวอนกับไป๋ซื่อซินทันที “พี่ซื่อซิน ได้โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตด้วยเถอะ ขอให้ท่านผู้อาวุโสลงมือช่วยเหลืออีกสักครั้ง”

จากนั้นไป๋ซื่อซินก็หันความสนใจไปที่ชายชราที่มีถุงยาสูบและส่ายหัว “ผู้เฒ่าเฟิงดูเหมือนจะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่สำคัญและทุกอย่างอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ท่านไม่ได้ยินหรือว่าผู้อาวุโสปฏิเสธอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้แล้ว ในกลุ่มของฉัน ไม่มีใครสามารถช่วยผู้อาวุโสตัดสินใจได้ หากท่านผู้อาวุโสต้องการจะช่วย เขาคงตอบรับโดยทันทีไปแล้ว ตอนนี้คงอยากจะไว้หน้าท่าน”

ใบหน้าของผู้อาวุโสเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “บัดซบ ยังจะต้องไว้หน้าอะไรอีก! สัตว์ประหลาดกลุ่มหนึ่งข้ามแม่น้ำและรื้อสะพานโดยไม่สนใจผิดชอบชั่วดี ไม่ใช่ว่าพวกท่านกลัวอัศวิน A นั่นหรอกใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ไป๋ซื่อซินก็หัวเราะ ‘หึหึ’ “ฉันเพิ่งทราบรายละเอียดของอัศวิน A เมื่อเร็วๆ นี้เอง ดังนั้นฉันคิดว่าฉันไม่จำเป็นต้องกลัวเขาเลยในอนาคต เพราะมีใครบางคนต้องการกำจัดเขาในไม่ช้า เป็นการดีที่จะกำจัดเขา เพียงแต่ยังไม่สามารถกำจัดเขาได้ตอนนี้ จนถึงตอนนั้นเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปอีกหลายปีแน่นอน เพราะงั้นฉันไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”

เมื่อผู้อาวุโสเฟิงได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด “เพราะงั้นพวกท่านเลยไม่อยากอยู่จนถึงวาระสุดท้าย เพราะเกรงว่าจะถูกตรวจพบไพ่ตายของพวกเราสินะ! ที่อยากให้เราพินาศไปพร้อมกับอัศวิน A ก็เพราะต้องการกำจัดสองสิ่งอันตรายที่ซ่อนอยู่ น่าเกลียดจริงๆ แถมยังคิดจะจะใช้แผนยืมดาบฆ่าคนอีก”

ไป๋ซื่อซินยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การยืมดาบฆ่าคน ตั้งแต่ต้นจนจบฉันเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น ไม่เคยคิดเริ่มเลย อย่างมากที่สุดเรียกได้ว่าเป็นการตามน้ำไปเท่านั้น”

ผู้เฒ่าเฟิงกัดฟัน “ได้ พวกคุณมันไร้ความปรานี แต่ในโลกนี้มีบางสิ่งที่เกินความคาดหมายเสมอ!”

“อย่างงั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พึ่งตัวเองก็แล้วกัน” ไป๋ซื่อซินหยุดพูดและเมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังออกจากห้องไป

มองอีกฝ่ายออกจากห้องไปเช่นนั้น แม้ว่าผู้เฒ่าเฟิงจะรู้สึกว่าเขาสามารถฆ่าคนเลวพวกนั้นด้วยฝ่ามือเดียวได้แต่เขากลับไม่กล้าทำ เขาแค่พูดอย่างขมขื่นว่า “รอก่อนเถอะ รอให้คนๆ นั้นระเบิด พวกแกจะต้องตายไปพร้อมกัน!”

“โรเบิร์ต” ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยต่อชายผิวขาววัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขา “พวกเราไปเถอะ หนีตายจากที่นี่กัน”

โรเบิร์ตไม่ขยับ แต่พูดอย่างตะลึง “คุณกำลังเรียกผมเหรอ? ผมไม่ใช่โรเบิร์ตยักษ์แล้วเหรอ?”

ผู้เฒ่าเฟิงโกรธมาก เขาหยิบถุงบุหรี่ขึ้นมาตีเบาๆ “อะไรกันฮะ นายคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเหรอว่าชื่อคนผิวขาวอย่างพวกนายออกเสียงยังไง? ตอนนั้นถ้านายกล้าดื้อดึงสักนิด ตอนนั้นฉันอาจจะยืนมองนายถูกเหล่ยเจวี๋ยต้งโยนลงจากยอดเขาเฉยๆ ก็ได้! ทีหลังไม่ต้องพูดถึงมันอีก ใช้พลังเวทพาออกไปจากที่นี่ได้แล้ว!”

โรเบิร์ต “ครับ ครับ ขอบคุณครับเจ้านาย”

หลังจากพูดจบทั้งสองก็ออกไปทันที

ในอีกห้องหนึ่งไป๋ซื่อซินและผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังดูหน้าจอขนาดใหญ่ มีฉากห้องโถงฉายอยู่ในนั้นโลงศพแก้วมากมายตั้งเรียงราย พร้อมศพข้างใน

ไป๋ซื่อซิน “สองคนนั้นน่าจะไปแล้ว”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “ปล่อยให้พวกเขาออกไปไม่ได้”

ไป๋ซื่อซิน “ทราบแล้วครับ กระผมได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ในไม่ช้าพวกเขาจะตายด้วยน้ำมือของสำนักงานสัจธรรม”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “แบบนั้นก็ดี ให้พวกเขาต่อสู้ไป มาดูโชว์ใหญ่กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวก็รู้ว่าพี่เฟิงพูดจริงหรือเท็จ ไม่รู้ว่าจะเป็นแอนเดอร์สันหรืออัศวิน A ที่มีอำนาจเหนือกว่ากัน ตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถคาดเดาได้ นายล่ะคิดยังไง?”

ไป๋ซื่อซิน “ผู้อาวุโสก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ตามความเข้าใจของกระผม ท้ายที่สุดผู้ชนะคงจะเป็นอัศวิน A อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นเวลาหลายปี พลาดโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาตนและจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเราอีก กระผมเคยผ่านมาก่อนแล้ว ครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋พยักหน้า “เอาล่ะซื่อซิน นายก้าวหน้าไปมากแล้ว ต่อไปก็เน้นหนักขึ้นในการเสริมสร้างรากฐานเถอะ”

ไป๋ซื่อซิน “เข้าใจแล้วครับ”

…………

ในเวลานี้หมาเหลืองเซวียปากำลังเข้าใกล้ห้องโถงใต้ดินกับเจ้านายของมัน พร้อมกับงูดำหลงฟาน

โลงศพแก้วตั้งเรียงรายและศพก็นอนอยู่ในนั้น หน้าอกของพวกเขากระเพื่อมเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะยังมีชีวิตอยู่และเพียงแค่หลับตา บางคนยิ้มอย่างมีความสุข บางคนเศร้า และบางคนถึงกับร้องไห้

ฟางหนิงดูงุนงง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

คนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่รู้ถึงการมาถึงของพวกเขา ทุกคนยังคงหลับตาอยู่

ฟางหนิงขอให้ระบบส่งสัญญาณไปยังหมาเหลือง “ได้กลิ่นของเจิ้งต้าวที่นี่ไหม?”

หมาเหลืองส่ายหัว “ไม่มี จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พ่อบ้านเจิ้งเลยแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นเซวียปาคงร้องเตือนนายท่านไปนานแล้ว แต่ทั้งห้าคนที่เจ้านายต้องการฆ่าอยู่ในหมู่พวกเขา ท่านต้องการให้มุ่งเป้าเลยไหม?”

ฟางหนิงตรวจสอบแผนที่ระบบก่อนจะพบว่ามันเป็นสีดำสนิท

แต่ตอนอยู่บนพื้นดินมีโหมดช่วยเหลือพันลี้ แผนที่ระบบจึงเปิดชั่วคราวเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าถ้าเข้าไปยังใต้ดินลึกในระดับหนึ่ง พวกเราจะเข้าสู่พื้นที่อื่น?

ฟางหนิงครุ่นคิด ตอนนั้นเองระบบก็มีการเคลื่อนไหว

อัศวิน A “หลงฟาน นายลองไปสำรวจดูทีสิ”

งูดำหลงฟานแอบเข้าไปในห้องโถงเงียบๆ เลื้อยตัวไปมา

หลงฟาน “ท่านผู้อาวุโส ไม่พบการซุ่มโจมตีและไม่พบมาตรการป้องกันใดๆ พวกเขาน่าจะนอนกันหมดแล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย”

ฟางหนิงสงสัย ‘ครั้งนี้จะต้องฆ่าศัตรูในสภาพนี้เหรอ ในที่ที่มีโลงศพขนาดนี้เนี่ยนะ แปลกจริงๆ’

“เซวียป้า หลงฟาน อพยพเดี๋ยวนี้ยิ่งไกลยิ่งดี”

หมาเหลืองเซวป้าเมื่อได้ยินเพียงคำว่า ‘อพยพ’ ก็ทรุดตัวลงกับพื้นและหายตัวไปทันที ปฏิกิริยาตอบสนองนี้ทำให้หลงฟานพูดไม่ออก

หลงฟานตกตะลึงอย่างมากก่อนจะหันกลับหลังและบินไปอย่างรวดเร็ว

แต่มันบินไปได้เพียงระยะทางสั้นๆ ทันใดนั้นร่างของมันก็หยุดกลางอากาศ แล้วร่างของงูสีดำทั้งร่างก็ถูกผ่าเป็นเจ็ดแปดส่วนกลางอากาศ

มันพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค “ให้ตายสิ ตายอีกแล้ว!”

ชิ้นส่วนของร่างกายทั้งหมดระเบิดออกพร้อมๆ กัน กลายเป็นควันสีขาวจำนวนมากและค่อยๆ สลายไปในอากาศทันที

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงที่กำลังดูการต่อสู้พูดไม่ออกเมื่อเห็นฉากนี้ ห

ถ้างูดำหลงฟานไม่เป็นอมตะ วันนี้มันคงตายที่นี่

ระบบรู้เรื่องนี้ดี บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูอีกฝ่ายเลยไม่ต้องเสียสล็อตพลังปราณและสล็อตความโกรธเพื่อช่วยหลงฟาน

ขณะนั้นเองเสียงสุภาพเสียงหนึ่งก็ลอยออกมาจากโลงแก้ว

“อนิจจา อัศวิน A ในที่สุดพวกคุณก็มา อนิจจา พวกคุณเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติเท่านั้น เราไม่มีความแค้น ไม่มีความเกลียดชัง ขอเพียงไม่รบกวนกัน ก็ไม่มีใครห้ามพวกคุณ ทว่าฉันปล่อยให้งูดำกลับไปรายงานความจริงไม่ได้ ดังนั้นเลยต้องฆ่ามัน ขอโทษจริงๆ แต่ตามข้อมูลงูดำเป็นของสำนักสัจธรรม ไม่ใช่ของคุณเองใช่ไหม?”

“ไร้สาระจริงๆ แกมันเป็นคนบาป ฉันจะประหารชีวิตในนามของสวรรค์ในวันนี้และฆ่าแกที่นี่!”

อัศวิน A ไร้ความรู้สึก เขากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว

“เดี๋ยวก่อน พ่อบ้านของคุณไม่ได้อยู่ที่นี่กับฉัน หลังจากที่ผู้เฒ่าเฟิงและคนอื่นๆ จับเขาไปแล้ว ก่อนที่จะขนย้ายก็ได้ถูกใครบางคนสกัดกั้นไว้ ฉันไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะตามฉันมา ดูเหมือนว่าพวกคุณจะถูกสำนักสัจธรรมหลอกใช้นะ หรือควรจะถอยไปตามหาพ่อบ้านของพวกคุณดี ถ้าชักช้ากว่านี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่านี่สิ?”

ฟางหนิงได้ยินคนผู้นี้พูดสุภาพมากจึงไม่อยากขัดแย้ง

คิดว่าเขาไม่รู้เหรอว่าพ่อบ้านเจิ้งไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใดๆ เลย ผลของการช่วยเหลือพันลี้ได้พิสูจน์แล้ว

แค่มองไปที่ท่าทางไม่ยินดียินร้ายของระบบ ก็ต้องพบว่าบาปของอีกฝ่ายนั้นร้ายแรงจริงๆ แต่แผนผังระบบเป็นสีดำ ทั้งมองไม่เห็นเครื่องหมายสีของอีกฝ่ายบนแผนที่ด้วย

เดี๋ยวนะ ฉันมีหนังสือเกมที่สามารถบันทึกข้อมูลทางชีววิทยาที่ระบบได้เห็นและน่าจะสามารถแบ่งปันข้อมูลได้นี่นา

ฟางหนิงยื่นมือออกมา ก่อนที่หนังสือเกมจะลอยไปอยู่ในมือของเขาทันที

“เปิดหน้ารวบรวมประวัติ สถิติล่าสุด”

หนังสือเกมพลิกหน้าทันที

ใบหน้าของฟางหนิงตกตะลึง

“แอนเดอร์สัน: ไม่มีเพศ ไม่มีงานอดิเรก ไม่ทราบอายุ ตำแหน่ง: รองประธานสำนักงานร่วมกิจการพิเศษสากล”

“แนวโน้มความดีและชั่ว: ชั่วร้ายอย่างยิ่ง”

“การประเมินความแข็งแกร่ง: ความแข็งแกร่งระดับบ่อ รายละเอียดขนาด: สระว่ายน้ำที่ไม่ทราบความลึก อันตรายอย่างยิ่ง”

ฟางหนิงต้องการทราบว่าระบบอยู่ในระดับไหน แต่ตอนนี้อยู่ในระหว่างการต่อสู้และมีแนวโน้มว่าจะเป็นการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตาย เขาเลยไม่คิดจะส่งเสียงขัดจังหวะ

แต่เขาเข้าใจดีอยู่แล้วว่าระบบไม่สามารถปล่อยชายผู้นี้ไปได้

ความแข็งแกร่งระดับบ่อควรอยู่ที่ระดับของผู้นำทั้งหกของสำนักสัจธรรม ซึ่งเป็นระดับ A ในการประเมินของพวกเขา

เทียบได้กับระดับอ่างอาบน้ำ ระดับถัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลึกกว่ามาก

ฟางหนิงหดตัวกลับไปในพื้นที่ระบบเพื่อใช้ความคิด ตอนนั้นเองอัศวิน A ก็ได้เริ่มลงมือแล้ว

‘โฮร่ก’ เสียงมังกรคำรามกึกก้อง ภายในในห้องโถงใต้ดิน ในตอนนี้มังกรเพลิงขนาดเท่างูดำกำลังปรากฏตัวขึ้น

ฟางหนิงพยักหน้า ‘เทพแห่งการเรียนรู้คือเทพแห่งการเรียนรู้ ดูจากภูมิประเทศที่นี่แล้วถ้าให้แปลงเป็นร่างมังกรไฟขนาดใหญ่เหมือนตอนแรกคงจะไม่ได้สินะ’

ทันทีที่มังกรเพลิงขนาดเล็กปรากฏขึ้น มันก็พ่นไฟออกมาทันที แต่เปลวไฟกลับไม่เล็กตามขนาดร่างกาย มันพุ่งเป้าไปที่โลงศพทั้งหมด

“หยุดนะ!”

ขณะที่เสียงของแอนเดอร์สันดังขึ้น ตอนนั้นเองโล่สีดำก็ปรากฏขึ้นเข้าปกคลุมโลงศพทั้งหมด

………………………………………………………

บทที่ 119 พี่ชาย ถ้าไม่ลงทะเบียนก่อน ผมจะช่วยพี่ลำบากนะ
ทันทีที่ได้ยินไห่เฉิงอธิบายรายละเอียดของ ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ เฉียวจื่อเจียงก็คิดหาวิธีตอบโต้ทันที

รายงานกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสมุนของกลุ่มที่มีระดับความแข็งแกร่งไม่เกินระดับ C เท่านั้น แต่พวกเขาที่อยู่ที่นี่มีขุมพลังระดับ B และต่ำสุดคือแกนหลักระดับ D ซึ่งสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์

การใช้อาวุธเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทรงพลังนั้นค่อนข้างง่ายต่อการควบคุม รวมถึงการฝึกฝนทั่วไปและพัฒนาทักษะลับที่มีพลังระเบิดสูง เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากและถือเป็นแนวทางการวิจัยของสำนักสัจธรรม

ดังนั้นเฉียวจื่อเจียงจึงคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับการเผชิญหน้าครั้งนี้

หลังจากฟัง เธอก็พูดขึ้นทันที “ฉันจะปล่อยเจ้างูดำหลงฟานให้มันออกสำรวจยอดเขาโดยรอบภายในยี่สิบกิโลเมตร นี่คือภูมิประเทศในหุบเขา ถ้าพวกเขาต้องการเปิดฉากโจมตีทางไกลอีกครั้ง เป็นไปได้ว่าอาจจะย้ายไปยังจุดสูงอื่นเพื่อตั้งค่าจุดลอบยิงใหม่ก็ได้ หลงฟานบินได้ไวมาก ทั้งยังไหวพริบดี สามารถซ่อนตัวได้แนบเนียน มีประสบการณ์การสืบสวนมากมาย ประสิทธิภาพสูงและแข็งแกร่งกว่าเครื่องมือสืบสวนทั่วไปร้อยเท่า รอให้เขายืนยันว่ามือปืนอยู่ที่ไหน เราจะแบ่งกองทหารของเราออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มนึงคอยทำลายมือปืน ส่วนอีกกลุ่มคอยโจมตีเป้าหมาย”

ขณะที่พูด งูดำก็เลื้อยออกมาภายใต้แขนเสื้อของเธอ

เฉียวจื่อซานครุ่นคิด พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดี ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ หนีไม่รอดแน่ แต่หลงฟานคือศัตรู แม้จะหาพบก็ไม่วายถูกฆ่า เธอมีรอยประทับของจิตวิญญาณของเขาและสามารถใช้พลังเพื่อชุบชีวิตได้ใช่ไหม”

งูดำตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันไม่กลัวตายหรอกนะ จะให้ทำงานที่เสี่ยงอันตรายใช่ไหม? สไนเปอร์ซุ่มยิงน่ากลัวมากสินะ ไหนๆ ตอนนี้ฉันเป็นลูกจ้างของคุณแล้ว ไม่ใช่ทาส เพราะฉะนั้นฉันต้องการให้ขึ้นเงินเดือน และเพิ่มโบนัสด้วย…”

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้าทันที “รีบไปเถอะ ทุกความต้องการของนายฉันจะสนองให้”

งูดำหลงฟานได้ยินก็รู้สึกทันทีว่ามีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากเธอ เป็นเรื่องยากผู้หญิงคนนี้จะยอมให้ เป็นไปได้ไหมที่เฉียวจื่อซานไม่สามารถต้านทานกับ ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ ได้หากไม่มีมาตรการป้องกันเป้าหมาย?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ มันก็ต่อรองราคาให้เพิ่มสูงขึ้นทันที “เอาล่ะ ตอนนี้ฉันได้อ่านแค่นิยายเท่านั้น ไม่เคยไดด้เล่นเกมเลย คุณต้องหาวิธีการฟาร์มขั้นสูงมาให้ฉันด้วย…”

เฉียวจื่อเจียงกัดฟัน แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง “เอาล่ะ ถ้านายพบจุดลอบโจมตีและยอมสละตัวเอง ฉันจะแลกเปลี่ยนมันให้นาย แต่ถ้าท่านมังกรเป็นคนไล่ตามศัตรูจนสำเร็จ โดยที่นายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย นั่นอาจจะทำให้นายต้องชดใช้หนักสักหน่อย”

งูดำหลงฟานรู้ว่าเขามาถึงจุดต่ำสุดแล้ว เอาแต่ตามเฉียวจื่อเจียงต้อยๆ เมื่อได้ยินคำพูดทั้งหมด เขาก็รู้วิธีหาจุดลอบโจมตีโดยสัญชาตญาณ เขาพยักหน้าตอบตกลง ก่อนจะบินออกจากภูเขาเพื่อออกไปสำรวจ

เมื่อโม่ซิ่งได้ยินเฉียวจื่อเจียงพูดก็ส่งสัญญาณให้กับอัศวิน A ที่ไม่อยู่ที่นี่ ‘ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ เกรงว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายแล้วล่ะ ภารกิจของงูดำในครั้งนี้น่าจะง่ายมากทีเดียว’

แน่นอนว่าเขาเห็น หลังจากที่เฉียวจื่อเจียงสั่งให้งูดำออกไปตรวจสอบ เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันทีและพิมพ์อย่างรวดเร็ว คงจะติดต่อท่านทั้งสองเพื่อยืนยันเรื่องนี้เช่นกันสินะ

…………

ไม่นานหลังจากที่งูดำหลงฟานบินออกไป หมาเหลืองเซวียปาซึ่งซ่อนอยู่ข้างๆ ก็ทำจมูกฟุดฟิดสองสามครั้งแล้ววิ่งออกไปจากที่กำบัง มันวิ่งออกไปข้างนอกเงียบๆ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หมาดำก็เดินตามไปทันที ไม่ถึงครึ่งก้าว

งูดำหลงฟานที่กำลังบินวนอยู่ในอากาศพลันบินขึ้นไปบนยอดเขา เมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของหมาสองตัว ดวงตาก็เป็นประกายลอบตามไปกลางอากาศ ท่านทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? คนอื่นคิดหาวิธีได้แล้วนะ เขายังคิดไม่ออกอีกเหรอ?

เขาและทั้งสองท่านเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว…

ไม่นานหมาสองตัวที่อยู่ในป่าก็พบเข้ากับอัศวิน A

เสียง ‘ตู้ม’ ดังต่อหน้าหมาเหลือง เป็นเสียงของร่างหญิงวัยกลางคนที่ถูกอัศวิน A จัดการ

อัศวิน A “เซวียปา ช่วยดมกลิ่นของผู้หญิงคนนี้แล้วตามหาสหายของเธอหน่อยได้ไหม?”

หมาเหลืองเซวียปาก้มศีรษะลงทันทีและดมกลิ่นของผู้หญิงคนนั้น เอ่ย “ได้เลย ก่อนหน้านี้เธอติดต่อกับคนทั้งหมดแปดคนและมีคนสามคนที่เธอเพิ่งเจอมา ดูเหมือนว่าคนสามคนที่เธอเพิ่งเจอน่าจะเป็นกลุ่มคนเดียวกับที่โจมตีไป๋หลี่ ส่วนอีกห้าคน ติดต่อมาเมื่อวันก่อนและอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขอเวลาสิบนาทีในการติดตามว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”

อัศวิน A “นำทางไปเลย”

เมื่อหมาเหลืองเซวียปาได้ยินคำพูดนี้ มันก็วิ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่งทันที

เมื่อเห็นอย่างนั้นอัศวิน A ก็ไม่สนใจหญิงสาวที่อยู่บนพื้นดินอีก คิดเพียงแค่ต้องตามให้ทันและต้องเป็นคนแรกที่จะสังหารปีศาจ

ภายในพื้นที่ของระบบ เมื่อฟางหนิงเห็นฉากนี้เข้าจากมุมมองของระบบก็รีบเอ่ยเตือน ‘อย่างน้อยก็ส่งผู้หญิงคนนี้ไปให้เฉียวจื่อซานสิ ถึงยังไงเธอก็เป็นอาชญากรที่สำคัญ ขืนปล่อยไว้ในป่ารอให้เธอฟื้นขึ้น เธอได้หนีรอดไปแน่ไม่ใช่หรือไง?’

ขณะนั้นหมาดำก็รีบส่งเสียง “นายท่าน ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะมีค่าตัวถึงร้อยล้านเหรียญสหรัฐ…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัศวิน A ก็ชะงักกึก ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นทันที

เมื่อหมาเหลืองได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ตบหัวตัวเองด้วยขาหน้าของมัน ‘คนฉลาดมีความคิดนับพันย่อมต้องมีการสูญเสีย ทำไมฉันถึงคิดแค่ไล่ตามศัตรูแล้วลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้นะ ปล่อยให้ผู้รับใช้ตัวดำนี่ขโมยเครดิตของฉันไปโดยเปล่าประโยชน์ได้ยังไง!’

หมาดำกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วเมินเฉยต่อสายตาของหมาเหลืองที่มองมา ‘ฉันภูมิใจที่บอกเจ้านายเกี่ยวกับข้อมูลที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับ ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ เมื่อสักครู่นี้’

หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้ว อัศวิน A ก็ก้มลงลูบหัวหมาดำเบาๆ “ทำได้ดีมาก เมื่อฉันกลับแล้วฉันจะให้รางวัลใหญ่กับแก!”

เมื่อโดนลูบหัวแบบนั้นมันก็กระปรี้กระเปร่าทันที มันภูมิใจมากกว่าเดิม ‘เจ้านั่นอวดเสมอว่าไอคิวของมันดีกว่า แต่กลับพลาดไปได้’

อัศวิน A “เอาล่ะ ไป๋หลี่ นำผู้หญิงคนนี้กลับไปส่งให้เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ อย่าลืมขอเงินรางวัลจากพวกเขาด้วยล่ะ ถ้าในอนาคตพวกเขาสามารถหาวิธีจัดการดับ ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ ได้ก็ขอให้พวกเขาทำสำเนาให้เราด้วย”

หมาดำหมอบลงและเหยียดขาหน้าออก “ตามบัญชาเจ้านาย!”

อัศวิน A พยักหน้า ดีจริงๆ ที่มีผู้ติดตามระดับสูง เขาหันไปมองหมาเหลือง “เอาล่ะเซวียปาไปกันต่อเถอะ”

ขณะที่คนและหมาทั้งสองกำลังจะแยกจากกัน ทันใดนั้นงูสีดำก็โฉบลงมาจากด้านบน

อัศวิน A ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่หมาสีดำและหมาเหลืองกลับตกใจ มันเงยหน้าและส่งเสียงเห่า

“อย่าเห่า อย่าเห่า พวกท่านทั้งสองนี่เป็นคนรู้จัก เป็นคนรู้จัก” งูดำหลงฟานพ่นคำพูดของมนุษย์ออกมาและรีบอธิบาย

อัศวิน A โบกมือเพื่อหยุดเสียงเห่า “ฉันจำแกได้ แกชื่อหลงฟานเป็นหน่วยสอดแนมของเฉียวจื่อเจียง”

หลงฟานพยักหน้า “ใช่แล้วๆ ท่านมีความจำที่ดีจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านมังกรขาวอยู่ที่ไหนหรือ? ครั้งสุดท้ายที่บอกลาก็ไม่เจอกันอีกเลย มัวแต่ตามคนอื่นต้อยๆ เพิ่งจะได้ออกมาพบและขอบคุณเอาป่านนี้ น่าละอายจริงๆ”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “โฮสต์คู่หูหนอนหนังสือของนายหลงฟานอยู่ที่นี่ อย่าแสร้งนั่งเฉยอยู่สิ อยากออกไปเจอไหม?”

ในเวลานี้ฟางหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้คอมพิวเตอร์ในร่างมนุษย์ วางคางไว้บนมือข้างหนึ่ง ขมวดคิ้วไม่พูดอะไรคล้ายกำลังคิดบางอย่าง

เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะถูกบังคับให้หยุดทำท่าทางแข็งกร้าวเพราะพฤติกรรมโง่ๆ แล้ว แต่โชคดีที่เจ้าหมาดำตัวน้อยนี้ช่วยเตือนสติเขา

ตอนนี้เขาจึงเพิ่งคิดได้เกี่ยวกับประโยคที่ระบบแจ้งเตือน

“ระบบใช้สล็อตพลังปราณห้าช่องและสล็อตความโกรธห้าช่องเพื่อเปิดใช้งานการเคลื่อนไหวป้องกัน ‘ลมปราณคุ้มร่าง’“

บ้าเอ๊ย ตอนนี้มีสล็อตพลังปราณทั้งหมด 18 ช่องและสล็อตความโกรธแค่ 12 ช่อง แม้ว่าคนด้านหลังจะสามารถเสริมด้วยความโกรธของเขาเองได้ แต่สิ่งสำคัญคือเขาจะโกรธขนาดนั้นได้ยังไง

เขาเลยกังวลใจมาก เขารู้ว่ามันเป็นการลอบยิง เป็นไปได้ไหมว่าอนาคตจะมีการโจมตีแบบนี้อีก?

ระบบไม่เคยคิดเรื่องนี้จึงคอยสร้างกระแสอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจอบอสใหญ่มันจึงสะท้อนสิ่งนี้ได้อย่างเต็มที่

เขาต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาเล่น ระบบก็จะไม่รอด…

เมื่อได้ยินการมาเยือนของหลงฟาน เขาพลันนึกถึงสิ่งที่เฉียวจื่อเจียงได้พูดไว้ตอนนั้น สายฟ้าวาบผ่านในจิตใจของเขา ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามา

ฟางหนิงกล่าวตอบทันที “มาได้ทันเวลาพอดี ฉันมีแผนการใหญ่ที่จะมอบหมายให้”

น้ำเสียงของระบบดูถูกเหยียดหยาม “ออกไปเล่นละครอีกแล้วสินะ…”

ฟางหนิงไม่สนใจระบบ รอให้ความคิดของเขาสำเร็จก่อนเถอะ ระบบห่วยนี่จะต้องคุกเข่าลงให้เขา

เขาเปลี่ยนกลับเป็นร่างของมังกรขาวในทันที ก่อนจะบินออกจากพื้นที่ระบบ ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้างูดำหลงฟาน

“ฮ่าฮ่า พี่มังกร ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา งูดำหลงฟานก็รู้สึกยินดีกว่าเก่า “ท่านไป๋หลง ข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ต้องขอบคุณท่านที่เลิกจดจำอดีตและปล่อยวาง ท่านเทพมังกรเคยบอกกับข้าว่าตอนนี้ข้าสามารถมีชีวิตที่ดีได้แล้ว การมาที่นี่ครั้งนี้ก็เพื่อขอบคุณโดยเฉพาะ”

ฟางหนิงยิ้ม “ฮ่าฮ่า เราเป็นคู่หูหนอนหนังสือกัน ดังนั้นไม่ต้องสุภาพหรอก ขอบคงขอบคุณอะไรไม่จำเป็น ฉันเป็นคนกล้าหาญอยู่แล้วและความดีนั้นมาจากใจไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความกระตือรือร้นขนาดนั้น งูดำหลงฟานจึงคิดว่านั่นอาจเป็นการเเสดงละคร

มันกัดฟันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้หญิงด้านล่างเป็นวายร้ายที่อยากจะสังหารท่านเทพสี่ขาเมื่อครู่ใช่ไหม?”

ฟางหนิง “ใช่แล้วล่ะ พี่ชายของฉันเทพมังกรก็เพิ่งฆ่ากลุ่มนักยิงปืนไป ส่วนนี่คือคนที่ถูกจับทั้งเป็น เขาเพิ่งสั่งให้หมาดำพาเธอกลับไป”

งูดำหลงฟานคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ และเขาก็เดาไม่ผิดเลย เฉียวจื่อเจียงวางแผนมาอย่างดีแล้ว ส่งตัวเขามาและให้เขาติดต่อกับผู้อาวุโสทั้งสอง เพื่อยืนยันว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่

แต่เขากลับไม่รู้ว่าในเวลานี้ฟางหนิงกำลังเป็นกังวล…

งูดำหลงฟาน “ท่านทั้งสองมีพลังมาก ข้าชื่นชมพวกท่านจริงๆ”

ฟางหนิงเหนื่อยมากกับการพูดวกวนไปมา ดังนั้นเขาจึงพูดต่อทันทีว่า “เอาล่ะ เราเคยพบกันก่อนหน้านี้และเราได้ต่อสู้กันมาหลายร้อยครั้งแล้ว เราทุกคนต่างก็รู้รายละเอียดของกันและกัน นายไม่จำเป็นต้องวกวนไปมาหรอก ฉันรู้จุดประสงค์ของนายดี นายทำงานให้เฉียวจื่อเจียง ที่มาที่นี่ก็เพื่อมาเอาเครดิตใช่ไหม?”

งูดำหลงฟานหัวเราะแล้วพยักหน้าตอบรับ “นั่นก็เพราะว่าฉันไม่รู้จักร่างที่แท้จริงของท่านผู้อาวุโส อาจจะดูหยาบคายไปหน่อย ตอนนี้ฉันไม่กล้าแล้ว ท่านสายตาเฉียบแหลมมาก คราวเดียวก็มองความคิดความอ่านภายในใจออก ฉันละอายใจจริงๆ บุญคุณที่มอบให้ครั้งก่อนยังไม่ตอบแทน คราวนี้ต้องมารบกวนท่านอีก”

ฟางหนิงตอบกลับอย่างลึกซึ้ง “ยากที่จะพูดว่าลำบากใจ เพราะมันก็แค่คำพูด แต่ถ้าจะให้ช่วยอีกครั้งก็คงยากมาก…”

งูดำหลงฟานงุนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หมายความว่ายังไงกัน? มันไม่เข้าใจเลย ทำไมท่านมังกรขาวถึงไม่รู้ล่ะ

ฟางหนิงยังเล่นละครตบตาไม่ทันจบ ระบบก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

“หยุดเสแสร้งได้แล้ส ถ้าพูดอีกสักคำสองคำแล้วพวกเขาทั้งหมดหนีไปได้ ระบบจะชำระบัญชีกับโฮสต์”

ฟางหนิงควบคุมตัวเองและรีบสั่งการทั้งหมาสองตัว ปล่อยให้งูดำหลงฟานตามเทพมังกรต้อยๆ แน่นอนว่าตัวเขาเองเลือกที่จะหดตัวกลับเข้าไปในพื้นที่ระบบ ถึงงูดำหลงฟานจะไม่กลัวตาย แต่เขากลัวตาย…

หมาสองตัวดำเนินการตามคำสั่งของฟางหนิง หมาดำพาหญิงวัยกลางคนกลับไป ด้านหมาเหลืองก็วิ่งตามหาศัตรู

ตอนนี้ระบบพอใจมาก ก่อนจะคุมร่างของอัศวิน A ให้ตามหมาเหลืองไปติดๆ ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ป่าทึบ หากจะใช้วิธีบินหาคงไม่เหมาะนัก

…………………………………………

บทที่ 118 ว่ากันว่ามีคนต้องการฆ่าอัศวิน A
เมื่อเห็นโรเบิร์ตพยักหน้าแบบนั้นแล้ว เหล่ยเจวี๋ยต้งก็เอื้อมมือไปหาเขาแล้วเอ่ย “เอาล่ะ เอากระสุนที่นายจะใช้หลังจากนี้มา ฉันจะร่ายเวทมนต์ให้”

โรเบิร์ตเปิดกล่อง จากนั้นก็หยิบกระสุนแถวยาวสั่งทำพิเศษขึ้นมายื่นให้

เมื่อเห็นเช่นนี้เหล่ยเจวี๋ยต้งก็ขมวดคิ้ว “นายมีโอกาสยิงนัดเดียวเท่านั้น ขอกระสุนที่นายจะใช้ทันที”

โรเบิร์ตหยิบกระสุนหนึ่งนัดแล้วยื่นให้อีกฝ่าย ร่างของชายชราสั่นอีกครั้ง ก่อนจะหดลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นชายร่างกำยำ

ไม่นานไอหมอกหนาทึบก็พรั่งพรูออกมาจากร่างของชายกำยำเมื่อครู่ จากนั้นไอหมอกทั้งหมดก็พุ่งเข้าหากระสุน

หลังจากเหล่ยเจวี๋ยต้งร่ายคาถาเสร็จสิ้น เขาไม่ได้ส่งกระสุนคืนให้โรเบิร์ต แต่กลับส่งสัญญาณให้หญิงวัยกลางคนอย่างเฉียงเวยเดินเข้ามาแทน

เฉียงเวยดูลังเลเล็กน้อยไม่ได้หยิบกระสุนขึ้นมา กายของเธอกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะมีหมอกสีดำบางๆ ปรากฏ แล้วไหลเข้าไปในกระสุนเดียวกัน ร่างของเธอน้ำหนักลดฮวบอย่างรวดเร็ว ทั้งผิวก็หย่อนยานไม่น้อย

หลังจากเสร็จสิ้นเหล่ยเจวี๋ยต้งก็ส่งกระสุนให้โรเบิร์ต ก่อนจะชี้นิ้วไปทางอัศวิน A เอ่ยกระแหนะกระแหน “เอาล่ะ! ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’ เตรียมพร้อมแล้ว โรเบิร์ตยักษ์ไปเอาชีวิตสุนัขของอัศวิน A มาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

โรเบิร์ตหยิบกระสุนขึ้นมา ยืนขึ้นอีกครั้งและพูดเสียงขรึม “ตามบัญชาการครับ!”

โรเบิร์ตเป็นมืออาชีพ เขาพบตำแหน่งซุ่มยิงที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบรรจุกระสุนปืน

เขานอนราบเล็งไกปืนไปที่เป้าหมาย โดยมีเฉียงเวยยืนมองอยู่ข้างสนาม

เหล่ยเจวี๋ยต้งยืนอยู่ข้างโรเบิร์ตทำหน้าที่เป็นยาม สายตาจดจ้องไปทางอัศวิน A อีกครั้ง รอยยิ้มอันโหดร้ายปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ในดวงตาฉายแววความคาดหวังทุกครั้งที่เห็นเหยื่อในภาพที่อยู่ห่างไกล ไม่มีกำลังที่จะหลบหนีกระสุนนี้ไปได้

เฉียวจื่อซานและพรรคพวกหารือเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการ ส่วนโม่ซิ่งถูกส่งออกไปเพื่อแจ้งข่าวแก่อัศวิน A

แต่เมื่อเขาเดินไปที่หินที่อัศวิน A นั่งขัดสมาธิ ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร จู่ๆ ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว

โม่ซิ่งตกตะลึง ก่อนที่เสียง ‘ปัง’ จะดังขึ้ย เขาหันขวับไปมองทันที

ห่างออกไปสองสามร้อยเมตร กลุ่มควันขนาดใหญ่ก่อตั้วขึ้นอยู่ตรงนั้น ไม่นานเศษหญ้าและสิ่งสกปรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับพายุทราย

จากนั้นร่างของอัศวิน A ก็เดินออกจากพายุทรายพร้อมกับหมาดำ หมาตัวนั้นท่าทางเคร่งขรึม แต่ใบหน้ากลับดูย่ำแย่ ดวงตาของมันหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

ก่อนที่โม่ซิ่งจะได้ตอบโต้เสียง ‘ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว’ ก็ดังตามมา

ขณะนั้นน้ำแข็งสีน้ำเงินหนาก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะทุกคน รวมถึงอัศวิน A ที่กำลังเดินกลับมาที่นี่

ทุกคนถูกแยกออกจากกัน ยกเว้นหมาเหลืองเพียงตัวเดียวที่หลบซ่อนตัวอยู่ ดูเหมือนว่าเขายังไม่พบเป้าหมายของเจ้าหมานั่นเลยไม่สามารถเสกคาถาและปัดเป่าบัฟการป้องกันได้

อัศวิน A ลอยกลับไปที่ที่ทุกคนอยู่พร้อมกับหมาดำอย่างรวดเร็ว

“ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ ท่านรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” เฉียวจื่อเจียงรีบถาม

ในเวลาเดียวกันกับที่เฉียวจื่อซานเอ่ยถาม ฟางหนิงซึ่งกำลังหดตัวอยู่ในพื้นที่ของระบบ กำลังตรวจสอบข้อความแจ้งเตือนของระบบอยู่เช่นกัย

ทุกครั้งที่เขาเข้าไปในสนามรบ ร่างโอตาคุจะเวียนหัว ถ้าเขาควบคุมร่างกายของเขาตัวเองโดยไม่มีระบบคอยช่วยเหลือเขาคงจะโดนยิงจนพรุนไปตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว

การที่เขาต้องตรวจสอบการแจ้งเตือนของระบบทุกครั้งก็เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการต่อสู้ดุเดือดเหล่านั้นบ้าง คราวนี้ก็เหมือนกัน

ระบบแจ้ง มือปืนต้าเว่ยโรเบิร์ตโจมตีหมาดำไป๋หลี่ด้วย ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’!

โรเบิร์ตได้รับการสนับสนุนมากมาย

เปิดโหมด ‘เนตรอเวจี’ เพื่อเพิ่มการมองเห็นเป็นสิบเท่า

‘กระสุนเดียว’ การโจมตีประเภทกระสุน ครั้งต่อไปจะโจมตีเป้าหมายที่ล็อคไว้ในปัจจุบันของผู้โจมตีได้อย่างแม่นยำ

‘ไร้เสียงไร้เงา’ หนึ่งวินาทีก่อนจะโจมตีเป้าหมาย คนที่ถูกล็อคเอาไว้อาจรับรู้ถึงอันตรายถึงชีวิตและมีโอกาสป้องกัน

‘สัมผัสมัจจุราช’ หลังจากโจมตีเป้าหมายแล้ว หากเป้าหมายไม่มีการป้องกันพิเศษจะถูกสังหารในทันที

‘จู่โจมทำลายเกราะ’ หลังจากการสังหารในทันทีล้มเหลว จะสามารถละเกราะป้องกันของคู่ต่อสู้ได้

‘ระเบิดรุนแรง’ สร้างความเสียหายสองเท่าให้กับเป้าหมาย

หมาดำไป๋หลี่กลายเป็นเป้าหมาย แผนที่ระบบใกล้เคียงถูกเปิดชั่วคราวและเปิดโหมด ‘ช่วยเหลือพันลี้’

ระบบใช้ศีลธรรมอันน้อยนิดที่มีเข้าช่วยหมาดำไป๋หลี่ให้ทันเวลา

ระบบใช้พลังปราณห้าช่องและสล็อตความโกรธห้าช่องเพื่อเปิดการใช้งานการป้องกัน ‘การป้องกันร่างธรรม’

‘ลมปราณคุ้มร่าง’ พัฒนาชั่วคราวเป็น ‘ปราณแท้คุ้มร่าง’ ตอบโต้การโจมตี!

โรเบิร์ตถูกโจมตีด้วยพลังปราณ!

โรเบิร์ตต่อต้านพลังปราณ!

โรเบิร์ตไม่ได้รับบาดเจ็บ

ฟางหนิงอ่านข้อความทั้งหมด ก่อนจะพบว่าครั้งนี้มีข้อสงสัยมากมาย เขารู้สึกอึดอัดมาก ในการต่อสู้เขากลายเป็นคนขี้ขลาดงั้นเหรอ?

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตั้งคำถามกับระบบ เขาต้องรอให้ระบบรับมือกับเฉียวจื่อซานละคนอื่นๆ ก่อน

หลังจากที่เฉียวจื่อซานถามคำถาม สายตาของทุกคนก็เพ่งไปที่อัศวิน A เพื่อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

อัศวิน A “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่มีคนแอบซุ่มดูเราจากที่ไกลๆ”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบตะโกนว่า “ป้าไห่ เพิ่มการป้องกันเป็นสามชั้นให้แต่ละคน”

ทันใดนั้น ‘ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว’ ชั้นน้ำแข็งสีน้ำเงินบนร่างของทุกคนก็หนาขึ้น

จากนั้นเฉียวจื่อเจียงก็สั่งไห่เฉิงที่อยู่ข้างๆ “ลุงเฉิง ตรวจสอบสถานการณ์ตอนนี้โดยด่วน”

ไห่เฉิงไม่ลังเล เปิดโหมด ‘เนตรสีชาด’ ทันที ดวงตาสีเลือดตรงหว่างคิ้วพลันปรากฏขึ้น แสงสีน้ำเงินกวาดไปยังสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

มีเพียงแสงสีน้ำเงินเท่านั้นที่กวาดออกไป ใบหน้าของไห่เฉิงตื่นตกใจ น้ำเสียงของเขาร้อนรน “เกิดปัญหาใหญ่แล้ว นั่นมัน ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’! รีบซ่อนเร็ว!”

พูดจบเขาก็รีบหลบ คว้าโม่ซิ่งที่อยู่ไม่ไกล แล้ววิ่งไปทางด้านหลังของหิน

ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ทุกคนซ่อนตัวเดี๋ยวนี้!” เป็นเฉียวจื่อเจียงที่พูดขึ้น

แม้ว่าเฉียวจื่อซานจะเป็นหัวหน้าทีมและติงเซียงจะเป็นรองหัวหน้าทีม แต่ในฐานะผู้บัญชาการสนามรบเธอก็มักได้รับฉายา ‘หญิงฉลาดเฉลียว’ อยู่เสมอ

ทันทีที่ได้ยิน ทุกคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบลดตัวลงต่ำมองไปรอบๆ เพื่อหาที่หลบ

อัศวิน A ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่หลังจากเขาวางหมาดำลงแล้ว ก็หายตัวไปทันที…

…………

“แกอยากตายหรือไง?!” เหล่ยเจวี๋ยต้งเตะโรเบิร์ตที่กำลังนอนคว่ำอยู่ อีกฝ่ายกระเด็นออกไปสองสามเมตร ก่อนจะอัดกระแทกเข้ากับก้อนหินจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด

“ท่านครับ อย่าฆ่าผมเลย” โรเบิร์ตอ้อนวอน “พวกมันแข็งแกร่งมาก ฆ่าไม่ตาย ผมเป็นแค่คนธรรมดา ได้โปรดอย่าโทษผมเลย ผมก็ทำตามความต้องการของคุณแล้วไง ลอบโจมตีเป้าหมายน่ะ”

“ทำตามที่ฉันต้องการบ้านแกสิ!” เหล่ยเจวี๋ยต้งโกรธมากเดินไปยกคอเสื้อเขาขึ้น แล้วตะคอก “ฉันให้แกไปเอาชีวิตหมาของอัศวิน A! แกลอบยิงหมาสีดำของเขาทำไม? บอกมานะ แกเป็นสายลับที่แฝงตัวมาจากสหพันธ์นานาชาติใช่ไหม?”

ดวงตาของโรเบิร์ตเต็มไปด้วยหวาดกลัว “ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร ผมทำตามคำสั่งคุณแล้ว คุณไม่ได้เน้นย้ำว่าหมาดำตัวนั้นเป็นหมาของอัศวิน A นี่? ผมก็เลยปลิดชีพหมาของอัศวิน A”

เหล่ยเจวี๋ยต้งหายใจฮึดฮัด สีแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “สอบผ่านภาษาจีนสากลระดับห้างั้นเหรอ! แอนเดอร์สัน ไอ้โง่เอ้ย! แกไอ้โรเบิร์ต ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหละ!”

“เดี๋ยว!” ขณะที่เหล่ยเจวี๋ยต้งกำลังจะโยนโรเบิร์ตชายหนุ่มผิวขาวลงจากยอดเขา จู่ๆ ชายชราอีกคนก็เอ่ยขึ้น “วางโรเบิร์ตลง ฉันเพิ่งดูผลกระทบของการลอบยิงมา อัศวิน A ช่างน่ากลัว เขาปกป้องหมาดำสุดฤทธิ์ ไม่ได้หลีกเลี่ยงการถูกลอบสังหารแต่กลับต่อต้านตรงๆ เลยช่วยชีวิตได้หวุดหวิด ฉันประเมินเขาต่ำไปจริงๆ โรเบิร์ต ไม่อยากจะเชื่อว่านายเก่งขนาดนี้ ทำได้ดีมาก! ถ้านายกำหนดเป้าหมายโดยตรงและโจมตีอัศวิน A มันก็จะไร้ประโยชน์ แต่การจู่โจมสุนัขปีศาจของเขาซึ่งกำลังลดลงอย่างมากนั้นได้ผลดีกว่ามาก อย่างน้อยตอนนี้มันก็บังคับให้เขาใช้พลังงานมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่าการชะลอเวลา”

เหล่ยเจวี๋ยต้งไม่คิดว่าโรเบิร์ตจะประสบความสำเร็จ เขาอับอายมากแต่แทนที่จะขอโทษ เขากลับโยนร่างโรเบิร์ตลงบนก้อนหินอย่างรุนแรง

โรเบิร์ตอดทนต่อความเจ็บปวด ไม่พูดอะไร เพียงเช็ดเลือดแล้วลุกขึ้นทันที ก่อนจะวิ่งไปยังตำแหน่งซุ่มยิงและเตรียมที่จะแยกชิ้นส่วนปืนสไนเปอร์เพื่อบรรจุลงในกล่อง ไอรีนโนเวล

ด้วยรู้ว่ามีโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะยิงได้ เขาจะเดินหน้าต่อไปอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจะไม่เสียเวลาแม้แต่นิดเดียว

“มาแล้ว เขามาเร็วอะไรอย่างนี้!” ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เมื่อสิ้นเสียงของชายชราที่สีหน้าย่ำแย่ก็คว้าตัวโรเบิร์ต ทั้งสองคนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ก่อนที่พวกเขาก็หายตัวไปในทันที

ยังไม่ทันที่เหล่ยเจวี๋ยต้งและเฉียงเวยจะตอบสนอง หลังจากมึนงงเล็กน้อย พวกเขาก็เห็นมังกรพิโรธสองตัวโพยพุ่งออกมาจากด้านบนของภูเขาและชนเข้ากับพวกเขาทันที

การแสดงออกของเหล่ยเจวี๋ยต้งเปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นเขาก็พูดอย่างไม่เชื่อ “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ฉันฆ่าคนที่แข็งแกร่งมานักต่อนัก ล้วนมีเวลาเหลือเฟือที่จะหลบหนี ฉันจะตายที่นี่ได้ยังไง?”

ไม่นานหลังจากพูดจบ ร่างกายของเขาก็ระเบิด ‘ตู้ม’ เลือดเนื้อกระจัดกระจาย

เฉียงเวยตื่นตกใจ มือทาบอก ในใจพลางรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคร้ายนัก

เธอรู้ว่าทักษะทั้งหมดของเธอคือการอำพรางและตอนนี้ความแข็งแกร่งของเธอก็ลดลงอย่างมาก ซึ่งแย่กว่าเหล่ยเจวี๋ยต้งหลายเท่า อีกฝ่ายตายอย่างอนาจขนาดนี้ เธอจะสามารถต้านทานได้กี่วินาทีกัน?

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอครุ่นคิดเสร็จก็พบว่าตัวเองเริ่ม ‘อาเจียน’ ออกมาเป็นเลือด ขณะที่กำลังงุนงงอยู่นั้น ร่างของเฉียงเวยก็ล้มลงบนพื้นไม่ขยับเขยื้อนแล้ว

ในตอนนั้นอัศวิน A ก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา เขามองไปรอบๆ แล้วเอนตัวไปยกสองสิ่งขึ้นมาก่อนจะลอยออกไป

…………

เส้นทางผ่านภูเขาเวลานี้ลึกลับมาก หมาเหลืองเซวียปากำลังนั่งหมอบอยู่ท่ามกลางก้อนหินหลายก้อน ทั้งหมาดำไป๋หลี่เองก็นั่งหมอบอยู่ข้างๆ

หมาสองตัวกำลังฟังไห่เฉิงพูดคุยกับเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ว่าอะไรคือ ‘สไนเปอร์ซุ่มยิง’

“สไนเปอร์ซุ่มยิง’ ที่ฉันพูดถึงนั้น จากที่หน่วยข่าวกรองแบ่งปันร่วมกับเรานั้น มันเป็นคำเตือนระดับสีแดงและเป็นความลับสุดยอด ตามข้อมูลมันถูกสร้างขึ้นโดยชายชั่วร้ายสามคนที่เชี่ยวชาญด้านกลิ่นอายแห่งความตายจากเหม่ยโจว สามารถใช้เอฟเฟกต์เวทมนตร์ที่น่าสะพรึงกลัวกับพลซุ่มยิง โดยสามารถเปิดการโจมตีระยะไกลพิเศษ ซึ่งระยะการโจมตีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคืออย่างน้อยยี่สิบกิโลเมตร วิธีการลอบโจมตีแบบนี้ทรงพลังมากและออกแบบมาเพื่อฆ่ายอดฝีมือโดยเฉพาะ แต่ต่างจากขีปนาวุธอะไรพวกนั้น มันเงียบและไม่สามารถตรวจจับได้ คนที่ถูกล็อคเป้าไว้จะไม่สามารถรับรู้ถึงการคุกคามของความตายล่วงหน้าและทุกการยิงจะแแม่นยำเสมอ เนื่องจากมันถูกปล่อยออกไปในระยะทางที่ไกลมาก ก่อนที่คู่ต่อสู้จะพยายามค้นหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน จนถึงตอนนั้นพวกเขาก็จากไปไกลแล้ว หลักการเฉพาะของ ‘ปืนสไนเปอร์ไรเฟิล’ ยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างแน่ชัด ทั้งนี้สำนักงานสหพันธ์นานาชาติให้รางวัลสูงถึงร้อยล้านเหรียญสหรัฐสำหรับข้อมูลของมัน แน่นอนว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันสูงกว่านี้มาก แต่ถึงจะมีคนรู้ พวกเขาก็คงจะไม่มอบมันให้เพื่อรางวัลหรอก…”

ทุกครั้งที่เขาพูดใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป ที่แท้การที่มังกรแห่งจิตวิญญาณผู้นั้นบอกไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่นเป็นเพราะศัตรูพวกนั้นเป็นเนื้อหนังและเลือดของมนุษย์นี่เอง

……………………………………..

บทที่ 117 สไนเปอร์ซุ่มยิงกำลังเตรียมการ
ขณะที่เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ กำลังคุยกันเรื่องแผนปฏิบัติการ ด้านอัศวิน A กลับนั่งขัดสมาธิบนหินที่อยู่ไม่ไกล เขานั่งสมาธิและฝึกฝนต่อไป โดยไม่ปล่อยให้เวลาในการฝึกฝนเสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย

หมาดำและหมาเหลือง แม้ไม่ได้รับคำสั่งก็รับผิดชอบในการปกป้องเจ้านายและความปลอดภัยรอบด้านทันที

หมาเหลืองเซวียปาซ่อนตัวอยู่กลางหินก้อนใหญ่สองสามก้อนไม่ไกลนัก มันซ่อนตัวได้แนบเนียนมาก หูของมันตั้งสูง จมูกฟุดฟิดเป็นบางครั้ง ให้ความสนใจกับกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย

ด้านหมาดำไป๋หลี่ก็ซ่อนอยู่ในพงหญ้าพร้อมโจมตีทุกเวลา ในฤดูหนาวหญ้าเบาบางจึงไม่สามารถซ่อนร่างสีดำที่แข็งแรงได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ คุยกันถึงแผนการนี้ พวกเขาไม่ได้ห่างจากอัศวิน A มากนัก เสียงของพวกเขาจึงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของฟางหนิง

เฉียวจื่อเจียงอธิบายอยู่นาน เป้าหมายของการโจมตีถูกกำหนดไว้แล้ว แต่จะค้นหาศัตรูอย่างไร จะตอบโต้อย่างไร ศัตรูจะมีความสามารถทำลายล้างอะไรบ้างและวิธีจัดการกับมันล้วนต้องวางแผนล่วงหน้าทีละอย่าง

เพราะพวกเขาเพิ่งได้ข้อมูลของศัตรูมา

ฟางหนิงฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญใจนิดๆ คิดในใจว่า ‘แย่จริงๆ แผนที่ของตอนกลางเสินโจวยังไม่ถูกเปิดออกเลย ไม่อย่างนั้นคงจะสามารถเห็นความแปลกประหลาดได้อย่างรวดเร็ว การกำจัดแบบไร้สมอง แผนการต่างๆ ความร่วมมือ อาจเป็นไปได้ยาก…

ดูเหมือนว่าต่อไปอีกระยะหนึ่ง คงต้องใช้ ‘เที่ยวบินฟรี’ มากกว่านี้แล้วปล่อยให้ระบบได้ใช้ชีวิตประจำวันในเสินโจวตามปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจบางตัวแทรกซึมเข้ามาที่นี่หรือสร้างปัญหาที่จะส่งผลต่อแผนการใหญ่ของเขาในอนาคต

หากเขาไม่เอ่ยเตือน ระบบห่วยนั่นที่ผู้ไม่มีมุมมองเชิงกลยุทธ์ก็คงไม่คิดถึงเรื่องนี้ การเปิดแผนที่ให้เต็มที่ก่อน ในตอนแรกมันอาจจะเสียประสิทธิภาพในการฟาร์มปีศาจแต่ในภายหลังมันจะมีประโยชน์มากทีเดียว อย่างน้อยความละอายในปัจจุบันก็จะไม่ปรากฏ’

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงขอให้ระบบส่งสัญญาณหาหมาเหลืองที่เฝ้ายามแล้วถามว่า “เซวียปา แกหาตำแหน่งของศัตรูเหมือนครั้งล่าสุดที่ฆ่าปีศาจแมลงได้ไหม?”

หมาเหลืองเซวียปายกขาหน้าขึ้นเกาหัว “นายท่าน ทำไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ฉันได้กลิ่นบางอย่าง เป็นกลิ่นปราณแห่งความตายจางๆ ผสมกับลมหายใจของสิ่งมีชีวิตมากมายในบริเวณใกล้เคียง มันน่าจะเป็นการตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากและพลังงานที่ตายแล้วจำนวนมากก็ถูกทิ้งไว้หลังจากถูกสะกดด้วยเวทมนตร์บางอย่าง”

หัวใจของฟางหนิงนิ่งค้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ไม่แปลกใจเลยที่ละแวกนี้เงียบมาก เขาขอให้หมาเหลืองเตือนเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ แล้วกลับไปซ่อนตัวต่อ

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางหนิงก็รีบสั่งการระบบให้เฝ้าระวัง ไม่แปลกใจที่เฉียวจื่อเจียงต้องวางแผนรับมืออย่างระมัดระวังขนาดนั้น

ระบบ “ถ้าต้องให้โฮสต์มาเตือนทุกครั้งที่ต่อสู้ คงน่าอายมาก…”

ฟางหนิงรู้ถึงความจริงจัง ดังนั้นเขาจะไม่ทะเลาะกับระบบในเวลานี้ แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาแทน “โอเคๆ พวกขี้โกงทุกคนคงไม่เคยกังวลอะไรเลยสินะ…”

…………

ในขณะเดียวกันอันตรายก็คืบคลานเข้ามาทีละขั้น

ยอดเขาสูงตระหง่านห่างไกลออกไปจากฟางหนิงและที่อื่นๆ กว่าสิบกิโลเมตร บนนั้นมีหิน วัชพืชเหี่ยวแห้งที่เป็นสีเหลือง พร้อมทั้งลมหนาวที่หวีดหวิว

เวลานี้คนสามคนบนยอดเขาหันมองไปทางแม่น้ำที่ฟางหนิงและคนอื่นๆ อยู่

ท่ามกลางกลุ่มคนมีชายผิวเหลืองตัวสูงโปร่ง เขาเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสาปแช่งด้วยความโกรธ

“น่าขยะแขยง ทั้งหมดเป็นเพราะแกไม่ปลอมตัวให้ดีเฉียงเวย ท้ายที่สุดแกก็หลอกไอ้อัศวิน A นั่นไม่ได้! ถ้ารู้ก่อนว่าไม่ควรแตะต้องผู้รับใช้ของเขา พวกเราที่นี่ใครจะกล้านำตัวเขามา! เหลือเวลาอีกเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น เราสูญเสียพลังงานและหลายชีวิตก็ถูกสังเวยไปมาก ดูสิว่าแอนเดอร์สันกับคนอื่นๆ กำลังจะบุกเข้ามาและกำลังจะรับข้อมูลทางเทคนิคไปได้สำเร็จหรือยัง อยากดูความสำเร็จและความล้มเหลวจนถึงตอนจบหรือไง?!”

หญิงวัยกลางคนที่มีผิวหย่อนหยาน หน้าตาธรรมดา อายุมากกว่าสี่สิบปี เมื่อได้ยินก็พูดขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว “เหล่ยเจวี๋ยต้ง แกจะโกรธใครได้! การที่อัศวิน A รีบเร่ง หนึ่งคือเพราะแกจับเจิ้งต้าวมากะทันหันแบบนี้และสองก็เป็นเพราะแอนเดอร์สันกับคนอื่นๆ ทั้งสองคนนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันแค่แกล้งปกปิดทุกทางเพื่อหลีกเลี่ยงการค้นพบจิตวิญญาณคนแปลกหน้าที่หายไปก่อนเวลาอันควร ชนะไปแล้วเจ็ดวันเจ็ดคืนยังจะต้องการอะไรอีก?!”

“อย่าทะเลาะกันเลย ฉันไม่เชื่อว่าอัศวิน A จะอยู่ยงคงกระพันหรอก ต้องมีวิธีสิ” เวลานี้ชายชราร่างเตี้ยตัวผอมบางเอ่ยขึ้นห้ามปราม

เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ “เรามีกันสามคน อีกเดี๋ยวแอนเดอร์สันกับคนอื่นๆ จะส่งคนผิวขาวที่ชื่อว่าโรเบิร์ตอะไรสักอย่างมาสนับสนุนเรา ว่ากันว่านี่เป็นมือปืนที่พวกเขาจ้างมาเป็นพิเศษสำหรับปฏิบัติการนี้ เขามาจากประเทศมิอิด้วยประสบการณ์ในสนามรบสิบปีและสถิติการซุ่มยิงที่สองพันสองร้อยเมตร แม้จะยังมีช่องว่างเล็กน้อยจากสถิติโลกนั้น แต่ก็เก่งมากทีเดียว พวกเราต้องใช้เลือดมากขึ้นเพื่อเป็นกำลังแก่เขา เทคโนโลยีของมนุษย์ในโลกนี้และพลังแห่งเวทมนตร์ของเรา เราได้ทำการทดลองในหนานเหม่ยแล้ว เราสามารถยิงสไนเปอร์ซุ่มยิงได้ภายในยี่สิบกิโลเมตร อัศวินคือมังกรจริง ไม่สามารถต้านทานได้หรอก”

เหล่ยเจวี๋ยต้งพยักหน้าก่อนแล้วขมวดคิ้ว “คนผิวขาวนั่นจะฟังพวกเรารู้เรื่องไหม? พวกเราพูดภาษานั้นได้ที่ไหนล่ะ เจอกันครั้งแรกคงไม่ง่ายขนาดนั้น แอนเดอร์สันและพวกเขาทั้งหมดพูดภาษาจีน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องมีการแปลห้แต่ ตอนนี้พวกเขายุ่งมากจนไม่สามารถมาได้ด้วยตัวเอง หากพวกเขาหาล่ามได้ก็ดี”

ชายอีกคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก แอนเดอร์สันบอกว่าเจ้ายักษ์โรเบิร์ตนั่นมีใบรับรองกาสอบวัดระดับภาษาจีนสากลอยู่ ถึงจะต่ำกว่าระดับมาตรฐานเล็กนอ้อยแต่ไม่น่าจะมีปัญหา”

จากนั้นเหล่ยเจวี๋ยต้งก็ขมวดคิ้ว “งั้นก็โอเค ก็คอยดูว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”

เฉียงเวยถาม “เราไม่เคยร่วมมือกับคนผิวขาวมาก่อน การต่อสู้ครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นตั้งเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเพื่อปฏิบัติการนี้เลยคอยแต่สะสมความแข็งแกร่ง ไม่เคยได้ใช้ความสามารถนี้อีกเลย แม้ว่าจะมีเอฟเฟกต์คาถาบางอย่าง แต่อัตราความสำเร็จของการทำลายการป้องกันจะสูงแค่ไหนกันเชียว? อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามเป็นมังกรตัวจริง”

ชายชราวางกระเป๋ายาสูบของตน “ถึงแม้จะไม่ได้ผล ตราบใดที่นายโจมตีเกราะของอัศวิน A และแสดงพลังโจมตีระยะไกล พลังอันยิ่งใหญ่ของสไนเปอร์ซุ่มยิงของเราย่อมทำให้พวกเขาตกใจได้! พวกเขาสามารถดำเนินการอย่างระมัดระวัง ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลาออกไปได้สามชั่วโมง จนถึงตอนนั้นก็คงหนีได้สำเร็จแล้ว”

ทั้งสามคนกำลังคุยกันอยู่บนยอดเขา ในระยะต่ำกว่าลงมามีชายผิวขาววัยกลางคนกับกล่องหนักกำลังดิ้นรนเพื่อปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงชันพร้อมกับหนูยักษ์ที่กำลังนำทางอยู่ข้างหน้าเขา

สามคนที่อยู่บนยอดเขากำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็หยุดพูดทันที

“ใครบางคนน่าจะมาถึงแล้ว ฉันจะไปเขาขึ้นมา” หลังจากที่ชายชราพูดจบ เขาก็หายตัวและออกจากยอดเขาไป

ไม่นานชายชราก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนบนภูเขา หยิบกล่องนั้นขึ้นมา ยกมันขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ แล้วพูดกับหนูยักษ์ว่า “กลับไปบอกเจ้านายของพวกเจ้าว่าหากเรื่องในครั้งนี้จบลงก็ถือว่าพวกเขาได้ตอบแทนแล้วต่อจากนี้หนี้ของเราหายกัน”

หนูยักษ์ดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของมนุษย์ มันพยักหน้าและวิ่งลงจากภูเขา

ชายชราหายตัวอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาอยู่บนยอดเขาอีกครั้ง

เขาวางชายผิวขาววัยกลางคนและกล่องหนักลง ชี้นิ้วไปที่หน้าอีกฝ่าย “นายคือโรเบิร์ตยักษ์คนนั้นน่ะเหรอ?”

ดวงตาของชายวัยกลางคนผิวขาวเกิดความสงสัยขึ้น นิ้วโป้งมือขวาชี้มาที่ตัวเองและพูดเป็นภาษาจีนที่ทื่อเล็กน้อยว่า

“ไร้สาระ” เหล่ยเจวี๋ยต้งเข้ามาและตบไหล่เขา “มีใครที่นี่จะถามอีกไหม?”

ชายผิวขาววัยกลางคนพยักหน้า “ถ้าคุณไม่เติมคำว่า ‘ยักษ์’ นั่นมาด้วย ก็คงจะใช่ฉันแหละ ชื่อเต็มของฉันคือต้าเว่ยโรเบิร์ต พอดีฉันชอบใช้นามสกุลเป็นภาษาจีนน่ะ ทุกท่านสามารถเรียกฉันว่าโรเบิร์ตต้าเว่ยหรือเรียกง่ายๆ ว่าโรเบิร์ตหรือต้าเว่ยก็ได้”

“สามชื่อมากเกินไป ต่อจากนี้ไปนายจะถูกเรียกว่า โรเบิร์ตยักษ์เข้าใจไหม?” ชายชราพูดอย่างหงุดหงิด “แอนเดอร์สันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?”

โรเบิร์ตยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมย “อ่าห้ะ เอาที่คุณสบายใจเถอะ แอนเดอร์สันบอกว่าตราบใดที่ฉันเชื่อฟังคำสั่งของคุณไม่ว่าจะให้ฆ่าคนหรือปีศาจ เขาจะขอให้ใครสักคนช่วยรักษาลูกสาวของฉันที่ป่วยระยะสุดท้ายและให้เงินก้อนโตแก่พวกเรา”

ชายชราพอใจ “ก็นะ โรเบิร์ตยักษ์ แกเป็นคนว่าง่าย ลูกสาวของแกจะอยู่รอดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของแกตอนนี้แล้วล่ะ ควรรู้ไว้นะว่าเราไม่ใช่คนธรรมดา ถ้ากล้าหือกับพวกเราอย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้”

โรเบิร์ตยืนนิ่ง ท่าทางเคร่งขรึม “ผมจะทำตามที่คุณสั่งทุกอย่าง”

เมื่อเห็นพลังงานที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีของอีกฝ่าย ชายชราก็พยักหน้า ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณไปยังอีกสองคนอย่างลับๆ

ชายชรา “เขาดูใช้ได้เลย หากเขาสามารถจับคู่ความแข็งแกร่งของวิชาทดสอบก่อนหน้าของเราได้ ก็ควรเก็บเขาไว้และใช้เขาในครั้งต่อไป”

เหล่ยเจวี๋ยต้ง “ได้เลย พลังแห่งสไนเปอร์ซุ่มยิงไม่มีวันถึงขีดจำกัดอยู่แล้ว”

เฉียงเวย “ฉันไม่ขอออกความเห็น ขอดูฝีมือก่อน”

หลังจากที่ทั้งสามพูดคุยกันแล้ว พวกเขาก็ออกคำสั่งกับโรเบิร์ตทันที “อืม โรเบิร์ตยักษ์ยืนนิ่งๆ แบบนี้แหละ อย่าตกใจเมื่อเห็นอะไร อย่าพูด แค่ทำตามคำสั่งของเราก็พอ”

โรเบิร์ตยังคงนิ่งและพูดว่า “ตามที่ท่านต้องการครับ!”

เขาทำในสิ่งที่พูด ขณะที่มองชายชราร่างเตี้ยสั่นกาย ก่อนจะแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ

จากนั้น หมอกสีดำก็พุ่งออกมาจากร่างของชายชรา สิ่งนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก หลังจากหมอกสีดำลอยออกมา ทั้งหมดก็พุ่งเข้าใส่ดวงตาของโรเบิร์ต ความเร็วของมันไม่มากนัก แต่โรเบิร์ตไม่แม้แต่จะกระพริบตาเพื่อหลบซ่อนได้

ชายชราดูเหมือนจะอ่อนแรงลงมากในทันใด เขายังคงไออยู่ จากนั้นจึงก้าวออกไปนั่งขัดสมาธิบนก้อนหิน เขาไม่พูดอะไรอีกเพียงกวักมือไวๆ ให้เหล่ยเจวี๋ยต้งออกมาข้างหน้า

“เอาล่ะ ตอนนี้ลองมองใต้ยอดเขาไปทางนั้นสิ” เหล่ยเจวี๋ยต้งโบกมือให้อีกฝ่ายเดินมาแล้วชี้ไปทางอัศวิน A “ฝั่งแม่น้ำทางนั้น เห็นชัดไหม?”

โรเบิร์ตเดินเข้ามาและมองไปในทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ สีหน้าของเขาประหลาดใจและตื่นเต้นมาก “คาถาเวทมนตร์สินะ ด้วยกล้องส่องทางไกลจากปืนสไนเปอร์ไม่สามารถเห็นได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้มองเห็นชัดเจนด้วยตาเปล่า! แอนเดอร์สันไม่ได้โกหกฉัน พวกคุณมีความสามารถในการรักษาลูกสาวของฉันได้แน่นอน”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เหล่ยเจวี๋ยต้งมองอย่างเหลืออด “บอกผมมา แกเห็นอะไรบ้าง”

โรเบิร์ต “มีหมาดำตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า ยังมีอีกเจ็ดคน หนึ่งในนั้นมีชายผู้หล่อเหลากำลังนั่งอยู่บนก้อนหินเพียงลำพัง”

เหล่ยเจวี๋ยต้งมีความสุขเมื่อได้ยินดังนั้น “ถึงแม้จะพลาดไปหนึ่งอัน แต่นั่นก็ไม่สำคัญ นายเป็นมือปืนระดับพระกาฬจริงๆ สามารถมองเห็นว่าเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ใดได้ในพริบตา ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นชื่ออัศวิน A หมาดำตัวนั่นเป็นสุนัขปีศาจ นายไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อของมันหรอก แค่รู้ว่ามันคือสุนัขของอัศวิน A ก็พอ”

โรเบิร์ตพยักหน้า

………………………………………………..

บทที่ 116 วิธีทำให้โกรธที่ดีที่สุด!!
ฟางหนิงจำตัวตนทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ และอีกฝ่ายก็จำตัวตนทั้งหมดของฝ่ายฟางหนิงได้เช่นกัน ถึงแม้ทั้งสี่จะรู้กันแล้ว แต่ก็มีสองคนที่ไม่ใช่ตัวจริง…

เฉียวจื่อเจียงและคนอื่นๆ เห็นฟางหนิงปรากฏขึ้นด้านข้างอัศวิน A จากระยะไกลแต่กลับไม่มีใครแปลกใจเลย เพราะมีรายงานแจ้งมาก่อนหน้านี้แล้วว่าอัศวิน A คือมังกรแห่งจิตวิญญาณ เขามาพร้อมกับอุปกรณ์ทางอากาศ และนี่ก็คือหนึ่งในปัญหาที่สำนักสัจธรรมได้รวบรวมกำลังคนที่จะเอาชนะเขา…

“ท่านมังกรขาว ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณและสุนัขผู้ยิ่งใหญ่สองตัวของเผ่าพันธุ์สุนัข ขอบคุณที่เดินทางมาจากแดนไกล จื่อซานกำลังรอพวกท่านอยู่เลย” หลังจากที่เฉียวจื่อซานนำผู้มาใหม่ขึ้นไปบนเขาก็แนะนำพวกเขาให้ทุกคนรู้จัก ทุกคนต่างโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อทักทายผู้อาวุโสทั้งสอง

แม้แต่ไห่เฉิงผู้หยิ่งผยองก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตน นอกจากนี้เขายังโค้งคำนับและกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งสองรวมถึงสุนัทั้งสองตัวโดยไร้ความเย่อหยิ่งและไร้การเสแสร้ง

จนปัญญา พวกเขาเพิ่งเริ่มคิดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ครั้งแรกระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ มันอาจจะง่ายกว่าหากจับมือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ก็จริง แต่เฉียวจื่อเจียงกลับให้การปฏิเสธทันที ฝั่งตรงข้ามมีสี่คน แต่อีกสามคนไม่สะดวกที่จะจับมือ ฝั่งพวกเขาไม่กลัวความเขินอายหรอก แต่กลัวว่ารุ่นพี่สามคนนี้มากกว่าที่จะเขินอาย…

ฟางหนิงไม่ชอบการสื่อสารกับคนแปลกหน้า เขาพูดได้ไม่กี่คำ ก็บินกลับไปที่พื้นที่ของระบบและใช้ชีวิตต่อโดยใช้ข้ออ้างที่เขาเคยใช้มาก่อน อันที่จริงเป็นเพราะเขากังวลว่าระบบจะเล่นอะไรแผลงๆ โดยไม่มีเขามากกว่า และท้ายที่สุดแล้วไอคิวก็จะไม่เพิ่มขึ้น…

ทุกคนไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลังจากกลับมาที่พื้นที่ระบบ ฟางหนิงกลับไม่มีอารมณ์จะเล่นเลยสักนิด เขาขลุกอยู่กับการทำงาน

ฟางหนิง “คนเยอะจนฉันตาลายเลยล่ะ ฉันต้องตรวจสอบแผนที่ระบบสักหน่อย ดูว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน และวิเคราะห์ว่าคนอื่นๆ พัฒนาไปถึงระดับไหนแล้ว?”

ในขณะที่พูดฟางหนิงก็เปิดแผนที่ระบบ แล้วไตร่ตรองดูอย่างระมัดระวัง ไร้หนทาง ระบบรู้แค่ว่าเขาชอบการฟาร์มดังนั้นจึงไม่กังวลกับเรื่องนี้

แผนที่ระบบของพื้นที่ปัจจุบันยังไม่ได้เปิดใช้งานและยังคงเป็นสีดำสนิท ด้านข้างของเขามีจุดสีน้ำเงินจำนวนหนึ่งและอีกด้านมีจุดสีขาว โดยธรรมชาติแล้วมันคือเฉียวจื่อซาน

อีกห้าจุดนั้นมีสีเหลืองปนกับสีขาวจำนวนมากต่างกันแค่ระดับ ของติงเซียงส่วนใหญ่เป็นสีขาว ถัดไปคือเฉียวจื่อเจียงตามด้วยไห่หลาน โม่ซิ่ง และไห่เฉิง

หลังจากที่มองมันอยู่พักหนึ่ง วงกลมหนาทึบที่มีขนาดและสีต่างกันก็ทำให้ฟางหนิงรำคาญใจ

เขาบ่นกระปอดกระแปด “ระบบแผนที่ของแกยอดเยี่ยมก็จริงนะ แต่มันไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว วงกลมขนาดใหญ่วงกลมเล็กและสีเหลืองสีขาวอะไรนี่ ฉันดูแล้วไม่สะดวกเอาซะเลย แกดูสิว่าคนของสำนักสัจธรรมรู้ระดับพลังที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้โดยการระบุตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งมันง่ายกว่ามากเลยนะ”

ระบบ “ไร้สาระน่า แผนที่นั่นแต่เดิมทำขึ้นมาเพื่อให้ระบบดู ไม่ใช่ให้คนอื่นดู ใครสนใจกัน…”

ฟางหนิงไม่ตอบโต้ แล้วหันไปสนใจหนังสือเกมอันล้ำค่าบนโต๊ะ

ฟางหนิงโอบกอดรอบหนังสือเกมของเขา “เฮ้ หนังสือเกมที่รัก แกเห็นว่าพ่อของแกมักจะครอบงำและรังแกฉันอยู่เสมอเลย ต่อไปแกต้องช่วยฉันด้วยนะ ถ้าให้ฉันชี้ไปที่ใครสักคน แกจะถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ช่วยฉันทำภารกิจที่สอง ‘ไม่อ่อนแอกว่าคน’ ให้สำเร็จทีได้ไหม? นั่นถือเป็นภารกิจหลักที่ยาวนานมาก ไตรมาสละครั้งเชียวล่ะ”

หนังสือเกมสั่นตอบราวกับจะบอกว่า ‘ไม่มีปัญหา’

ระบบ “พวกนายสองคนร้ายกาจมาก รีบโยนหนังสือทิ้งได้แล้ว! ระบบจะเพิ่มโมดูลสะสมสิ่งมีชีวิตเข้าไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ระบบเห็นในอนาคต มีค่าและแข็งแกร่งเพียงพอที่จะถูกรวบรวมให้โฮสต์โดยอัตโนมัติ

“เปลี่ยนแผนที่ระบบโดยแบ่งระดับให้เหมือนกับสำนักสัจธรรม โดยแบ่งออกเป็นความดีและความชั่วตามระดับของสี สิ่งนี้ควรทำอย่างนั้นเหรอ? จะมาโกงแบบนี้ไม่ได้…”

ฟางหนิง “มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”

ฟางหนิงวางหนังสือเกมลงบนโต๊ะในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบทันที

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคำสั่ง

ระบบแจ้งเตือน ระบบใช้คะแนนประสบการณ์ 5,000 คะแนน เพื่อเพิ่มโมดูลการทำงานใหม่ให้กับหนังสือเกมหลักได้รวบรวมสิ่งมีชีวิต

จากนั้นหนังสือเกมก็ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า

ฟางหนิงบินขึ้นไปโอบกอดมันไว้ ราวกับกลัวว่ามันจะโปรยลงกับพื้น

หลังจากกอดมันแน่นๆ แล้ว ฟางหนิงก็เอ่ยว่า “หนังสือเกมที่รัก ไปที่หน้าของการรวบรวมสิ่งมีชีวิตให้ฉันทีสิ”

ฟางหนิงพบว่าหนังสือเกมค่อนข้างฉลาดทีเดียว มันทำให้เขาคิดหาวิธีต่างๆ มากมายในการแก้ปัญหาได้โดยเร็ว…

เห็นได้ชัดว่าหนังสือเกมนี้ยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเขา เพราะหลังจากนั้นไม่นาน หนังสือก้เปิดออกทีละหน้า จนสุดท้ายก็เปิดหน้าที่ชื่อ ‘ม้วนสิ่งมีชีวิต’ ให้ปรากฏขึ้น

ก่อนที่ฟางหนิงจะเปิดดู ทันใดนั้นมันก็กลายเป็น ‘สี่เหลี่ยม’ !

เขาเห็นอะไรน่ะ?

คำใบ้ที่จุดเริ่มต้นของหน้าแรก ตามด้วยข้อมูลตัวละครของ ‘เฉียวจื่อซาน’

“หมายเหตุสำคัญ โปรดเข้าใจผู้เล่นทุกคนตามสถานการณ์ปกติทั่วไป สิทธิ์การตีความขั้นสุดท้ายเป็นของระบบ”

“เฉียวจื่อซาน เพศชาย งานอดิเรกไม่ทราบ อายุยี่สิบห้าปี ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษสำนักงานสัจธรรม”

สิ่งเหล่านี้ยังคงปกติ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการประเมินโดยละเอียดต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายของระบบ

“แนวโน้มความดีและความชั่วเท่ากับ ยุติธรรม”

“ระดับความแข็งแกร่ง: เท่าอ่างน้ำสูง ขนาดโดยละเอียด: อ่างอาบน้ำ หมายเหตุ: อ่างมีความลึกมากและสามารถเติมได้เองอย่างช้าๆ”

หลังจากที่ฟางหนิงอ่านบรรทัด ‘การประเมินความแข็งแกร่ง’ แล้ว เขาก็ใช้เวลาทบทวนครู่ใหญ่

เขาครุ่นคิด ‘เฉียวจื่อซานคงไม่ได้ไปแหย่อะไรให้ระบบไม่พอใจใช่ไหม? ทำไมการประเมินพลังถึงออกมาอย่างนั้นล่ะ?

แม้ว่าจะมีการระบุบนแผนที่ระบบ กล่าวล้อเลียนว่าระยะจุดของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีขนาดเกือบจะเท่ากับอ่างอาบน้ำ แต่ระบบไม่ได้ให้ข้อมูลเท็จแน่นอน

เมื่อสติหวนกลับคืนมาหลังจากปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งไปครู่หนึ่ง สมองก็ประมวลผลความแข็งแกร่งของเฉียวจื่อซานบนแผนที่ระบบได้ทันที

ถ้าเฉียวจื่อซานได้รับสมญานามระดับ B มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหนในตอนแรก

แต่เมื่อฟางหนิงพลิกไปที่หน้าสอง เขาก็เข้าใจทันที ระบบห่วยนั่นใส่ใจมากว่าเขาอยู่ที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามันมีความหมายลึกซึ้งอีกอย่างหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นเทพแห่งการเรียนรู้ด้านการต่อสู้ด้วย…

เฉียวจื่อเจียง เพศหญิง งานอดิเรก สังหรณ์ไม่ดี อายุสิบแปดปี ตำแหน่งสมาชิกหน่วยสืบสวนพิเศษสำนักงานสัจธรรม

“แนวโน้มความดีและความชั่วเท่ากับ ความเป็นกลางเหนือความยุติธรรม”

“ระดับความแข็งแกร่ง: ระดับถัง ขนาดโดยละเอียด: หนึ่งถัง หมายเหตุ: ถังลึก แต่อาจรั่วได้”

พรึ่บ! ฟางหนิงได้ยืนยันความตั้งใจที่แท้จริงของระบบอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

…………

ฟางหนิงยังคงพลิกหน้ากระดาษต่อไป ลองดูว่ามีการแบ่งแยกที่แปลกประหลาดกว่านี้อีกไหม ซึ่งตอนนี้เขาได้หมดความหวังในบรรทัดฐานของระบบไปแล้ว…

แน่นอนว่ามีส่วนที่น่าเศร้ากว่านั้น

“โม่ซิ่ง เพศชาย งานอดิเรก ไม่มี อายุสามสิบห้าปี ตำแหน่งสมาชิกหน่วยสืบสวนกิจการพิเศษ”

“แนวโน้มความดีและความชั่วเท่ากับ ความเป็นกลางเหนือความยุติธรรม”

“ระดับความแข็งแกร่ง: ผู้เล่นระดับมีด ขนาดโดยละเอียด: ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เปลืองคำ มีโอกาสสูงที่จะวางสายก่อน”

…………

“ไห่เฉิง เพศชาย งานอดิเรก ไม่มี อายุยี่สิบเจ็ดปี ตำแหน่งสมาชิกของสำนักงานสัจธรรม”

…………

หลังจากที่ฟางหนิงเข้าใจเจตนาของระบบอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ใจร้อนหรือรีบเร่งอีก แต่แสร้งพูดบีบคั้นแทน “เฮ้ ระบบฉันเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในแง่ของการต่อสู้และปรับปรุงความแข็งแกร่งของแกนะ! แต่การที่แกแบ่งแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้ฉันออกไปเหรอ ในอนาคตสถานการณ์แบบนี้จะปรากฏทุกที่ – ‘แม้แต่ความแข็งแกร่งระดับถังยังกล้าท้าทายปรมาจารย์ระดับอ่างอาบน้ำ?’ เป็นใครจะไม่โกรธบ้างล่ะ? ฉันรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนต้นคิด แต่นั่นมันเกิดขึ้นเพราะความโกรธที่มีต่อแกในทุกๆ วัน แต่แกก็ดันทำจริงๆ”

น้ำเสียงของระบบไม่ค่อยพอใจ “โฮสต์นี่ชอบป้ายสีตีไข่คนอื่นจังนะ! ระบบไม่ได้วางแผนให้มันแบบนั้น และไม่ได้สร้างขึ้นโดยไร้เหตุผลหรือแบ่งสุ่มสี่สุ่มห้า มันถูกกำหนดโดยแผนที่ระบบและขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ก่อนหน้านี้ที่โฮสต์ดูแผนที่ระบบ ไม่ใช่เพราะโฮสต์เห็นชายร่างใหญ่บนแผนที่ระบบหรอกเหรอ หรือแค่คิดว่ามันอาจใหญ่พอๆ กับอ่างไม่กี่อ่าง ดูเหมือนว่าจะมีขนาดประมาณอ่างล้างหน้าล่ะสิ? ความคิดของโฮสต์เยี่ยมยอดมาก ระบบรู้สึกถึงมันได้อย่างแจ่มแจ้ง! และทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสะดวกของโฮสต์ แบบนี้มันไม่สมจริงไปกว่าระดับ ABCD ที่พวกเขาคิดขึ้นเลยหรือไง? ถ้าระบบอธิบายแบบนี้ โฮสต์ก็จะสามารถเห็นขนาดของตำแหน่งได้ทันที และพวกมันยังเป็นขุมพลังระดับ A ทั้งความลึกก็แตกต่างกันด้วย คนระดับล่างจำนวนมากสามารถฆ่าคนได้แบบก้าวกระโดด เป็นเพราะภายนอกอาจดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งด้อยกว่าคนระดับสูง แต่จริงๆ แล้วมันหยั่งลึกลงไปกว่านั้นมาก ระบบใช้วิธีนี้เพื่อคัดแยกคนพิเศษเหล่านั้นออกมา เพราะกลัวว่าโฮสต์จะไม่ระวังจนอาจตกหลุมพรางได้ พูดมาสิว่าสำหรับโฮสต์แล้วระบบมีมนุษยธรรมมากแค่ไหน! ทั้งหมดนี้ที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ แต่ไม่นึกเลยว่าโฮสต์จะเข้าใจผิด กว่าระบบจะทำออกมาได้ มันยากมากจริงๆ นะ…”

ระบบรัวออกมาราวกับยิงลูกกระสุนปืนกลขนาดใหญ่ ฟางหนิงที่แสร้งทำเป็นพูดไม่ออกทำได้เพียงถือหนังสือเกมอย่างเงียบๆ…

ฟางหนิงรู้ดีว่าเหตุผลที่ได้รับมานั้นก็คืออย่าปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ใช้คะแนนประสบการณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ในที่สุดเขาก็ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง “เอาเถอะ ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนเดียวที่ใช้มัน ฉันจะไม่บอกใครหรอก แกก็อย่าพูดไปล่ะ…”

ระบบ “ในที่โฮสต์ก็เข้าใจสักที ระบบค้นหาระดับพลังทั้งหมดในนิยายมนุษย์ของโฮสต์แล้วเลือกชื่อที่คิดว่าเก่งที่สุดและเข้ากันได้มากที่สุด แต่โฮสต์เพิ่งเตือนระบบเมื่อกี้ ระบบเลยไม่รู้จริงๆ ว่ามนุษย์อย่างโฮสต์จะยังคงสนใจเรื่องฉายาอยู่ ยังดีที่มันมีประโยชน์ต่อการเพิ่มความโกรธ เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะช่วยระบบโปรโมตมัน โฮสต์จะได้ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือพวกนั้นแล้ว…”

ฟางหนิงแทบจะกระอักเลือด เขาส่ายหัวไปมา แสดงว่าไม่มีที่ว่างให้ต่อรอง “อย่างที่คาดไว้เลย ฉันไม่มีความหน้าด้านเหมือนแก ถ้าฉันใช้มันเป็นการส่วนตัวคงไม่กล้าพูดออกไปแบบนี้…”

ระบบ “อย่าเพิ่งตัดสินสิ ระบบจ้างก็ได้…”

ฟางหนิง “ฉันดูเป็นคนหิวเงินมากขนาดนั้นหรือไง! แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ฉันก็คิดดีแล้วแหละที่ได้พูด ตกลงก็ตกลงแต่อย่าไปสร้างปัญหาใหญ่โตแล้วกัน”

ระบบ “ระบบเชื่อในโฮสต์ โฮสต์ทำได้!”

…………

ขณะเดียวกันเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าพวกเขาแต่ละคนได้รับการเปลี่ยนโปรไฟล์โดยระบบเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถูกทำเครื่องหมายว่าความแข็งแกร่งเป็นระดับอ่างอาบน้ำและระดับถังต่างๆ สารพัด

พวกเขานั่งคุยกันและพูดคุยถึงแนวทางปฏิบัติในครั้งต่อไป

………………………………………………….

บทที่ 115 ระบบยื่นหัวออกมา ฉันจะเป่าหัวนาย
“ทุกท่าน วันนี้เป็นเวลาที่พวกเราจะได้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยพ่อบ้านเจิ้ง! ทุกคนต้องรวบรวมความกล้าในการจู่โจมเข้าเร่งช่วยเหลือพ่อบ้านเจิ้งที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักโดยเร็วที่สุด ด้วยมิตรภาพของพี่น้องทุกคนและความรักของเพื่อนร่วมงาน ขั้นแรกพวกคุณต้องตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนว่าสมบูรณ์ไหม ไป๋หลี่ตรวจดูว่ากล้ามเนื้อของนายยืดหยุ่นดีไหม? เซวียปาสวมหมวกกันน็อคให้ถูกต้องด้วย…”

มังกรขาวตัวเล็กลอยอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางเคร่งขรึม มันออกคำสั่งจากที่สูงบัญชาการคนที่อยู่บนพื้นดิน

น้ำเสียงของมันหนักแน่นและเปี่ยมด้วยพลัง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครชื่นชม…

จะมีก็แต่สุนัขสีเหลืองและสีดำสองตัวเท่านั้น

หมาเหลืองส่ายหัว เหยียดขาหน้าสองข้างออกและยืดหมวกให้ตรง จัดท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง “นายท่าน ข้าตรวจสอบเสร็จแล้ว พร้อมออกปฏิบัติการในทันที”

สุนัขสีดำวิดพื้นสองครั้ง จากนั้นก็เขย่ากล้ามเนื้อและตะโกนว่า “นายท่าน ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบแล้ว พร้อมออกปฏิบัติการในทันที”

ฟางหนิงพอใจมาก น้องเล็กทั้งสองมีประสิทธิภาพสูง เมื่อหมาสองตัวนี้ฟื้นฟูพลังเต็มที่ พวกมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋เมื่อก่อนเลย

แน่นอนว่าเมื่อความแข็งแกร่งของพวกมันได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้ว ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็อาจจะมีความก้าวหน้าอย่างมากเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ฟางหนิงได้เพิ่มขวัญกำลังใจเรียบร้อย เขาก็กลับไปยังพื้นที่ของระบบ

ระบบ “ผู้ติดตามพร้อมแล้ว โฮสต์พร้อมหรือยัง?”

ฟางหนิงตอบกลับ “ฉันต้องเตรียมตัวด้วยเหรอ? ฉันเป็นผู้บัญชาการนะ ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเตรียมตัว รายงานบอกว่าถึงแม้จะมีศัตรูจำนวนมาก แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มลูกสมุนตัวเล็กๆ ไม่มีบอสใหญ่ ระบบแกไม่ต้องแปลงร่างเป็นมังกรด้วยซ้ำก็สามารถจัดการได้ ฉันแค่ปรบมือให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แทบไม่ต้องเตรียมอะไรเลย”

ระบบ “ไม่ เรื่องการต่อสู้โฮสต์ต้องฟังระบบ มีชัยชนะที่แน่นอนที่ไหนกันล่ะ? อย่าลืมเตรียมตัวให้ดีเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุด้วย มาๆ ไม่ต้องเกรงใจ ระบบเตรียมไว้ให้โฮสต์เรียบร้อยแล้ว งบประมาณการรบทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับโฮสต์หรอก……”

ขณะที่ระบบกำลังพูด จู่ๆ เสียง ‘ผึ่บผั่บ’ ก็ดังขึ้นในพื้นที่ระบบ กระทั่งกองหนังสือกองหนึ่งก็ตกลงมาจากฟากฟ้า

ฟางหนิงเหลือบมอง ก่อนจะเห็นชื่ออันคุ้นตาบนหน้าปกของหนังสือคู่มือราวกับมันกำลังกวักมือเรียกเขา

“XX” “XXX” “XXXX” “XXXXX”…

ไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาด้วยซ้ำ เพราะแค่มองปราดเดียวฟางหนิงก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณที่ซึมซาบเข้ามาในอกแล้ว…

“ผลของการอ่านนิยาย ระบบเคยอ่านหนังสือของเพื่อนๆ ทางอินเทอร์เน็ต พวกเขาว่ากันว่าหนังสือบางประเภทต้องดูของจริงถึงจะรู้สึกมากกว่า” ระบบพูดอย่างภาคภูมิใจ “แถมยังบอกอีกว่าเพราะมันมีอิทธิพลและเป็นสิ่งแท้จริงมากกว่า ผู้คนเลยมักจะเชื่อถือหนังสือกระดาษมากกว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์…”

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘ร้อนรุ่มในอก’ ขีดสล็อตความโกรธเต็มสามขีด

ระบบ “แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ มันประสิทธิภาพสูงกว่าเวอร์ชันอิเล็กทรอนิกส์ที่โฮสต์อ่านมาก…”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “จำไว้เลยนะ แล้วแกเตรียมอะไรสำหรับกองกำลังหลักของการต่อสู้แนวหน้าบ้าง?”

ระบบ “อ่านการแจ้งเตือนก็จะรู้เอง มีเรื่องเซอร์ไพรส์อีกหนึ่งอย่าง เนื่องจากในการต่อสู้ครั้งนี้โฮสต์ไม่จำเป็นต้องจัดการกับบอสใหญ่ แต่ควรลงสนามและทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศการต่อสู้ ระบบเตรียมอาวุธพิเศษไว้ให้โฮสต์เล่นโดยเฉพาะเลย…”

ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินสิทธิประโยชน์มากมายแบบนั้น เขาก็สงบลงจากความโกรธทันที ดวงตาเป็นประกายเอ่ย “รีบเอามาให้ดูสักทีสิ ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้แกทำอะไรอยู่ ฉันไม่เห็นระบบแจ้งเตือนเลย…”

ระบบแจ้งเตือน ระบบใช้คะแนนประสบการณ์บางส่วนเพื่ออัพเกรดระดับเป็น 15 ค่าเลือดเพิ่มขึ้น ค่าปราณแท้เพิ่มขึ้น ค่าสถานะอิสระเพิ่มขึ้น 4 และค่าความตระหนักรู้ทั้งหมดได้รับเพิ่ม

สล็อตความโกรธพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1 ช่อง สล็อตความโกรธพื้นฐานที่มีอยู่คือ 4 ช่อง เอฟเฟกต์กำไลความโกรธ กักเก็บความโกรธ จำนวนสำรองสูงสุดเท่ากับจำนวนสล็อตความโกรธในระบบปัจจุบันคูณด้วยสอง ตอนนี้สามารถสำรองสล็อตความโกรธเพิ่มได้อีก 8 ช่อง สล็อตความโกรธทั้งหมดในปัจจุบันคือ 12

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์จำนวนมากเพื่ออัพเกรด ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เวอร์ชันสมบูรณ์เป็นระดับกลาง ระบบได้รับการอัพเกรดใหม่

หนึ่ง: เสริมร่างปราณแท้ ระดับปัจจุบันสามารถเก็บค่าพลังปราณได้ถึงสองเท่าของสล็อตพลังปราณในปัจจุบัน เพิ่มจำนวนสล็อตพลังปราณในปัจจุบันขึ้นเป็น 18 ช่อง

สอง: เพิ่มโบนัสพลังของวิทยายุทธ์ทั้งหมดหลังจากบริโภคพลังปราณ ซึ่งปัจจุบันเพิ่มขึ้น 100%

สาม: เพิ่มฟังก์ชันใหม่ของโมดูลพลังปราณ ทักษะที่มีอยู่ ‘เกราะป้องกันปราณแท้’ ระดับทักษะปัจจุบันเพิ่มความสามารถ: ‘ดูดซับพลังปราณ’ เมื่อระบบได้รับชื่อเสียงถึงขั้น ‘บูชา’ แล้ว สล็อตพลังปราณจะถูกเติม

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์ 100 คะแนน เพื่อเปลี่ยนชื่อหนังสือเกมหลัก ‘ชีวิตออนไลน์’ เป็น ‘ถ้าให้ข้าตัดสินแบบส่งเดชก็คือเผาแกซะ!’

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์ 5,000 คะแนน เพื่อเพิ่มโมดูลฟังก์ชันใหม่ให้กับหนังสือเกมหลักคือ โมดูลแผงคุณสมบัติของตัวละคร

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์ 500,000 คะแนน เพื่อเพิ่มโมดูลใหม่คือ ‘ทำลายไม่ได้’

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์ 500,000 คะแนน เพื่อเพิ่มโมดูล ‘การชุบชีวิตอัตโนมัติ’

ระบบได้ใช้คะแนนประสบการณ์ 500,000 คะแนน เพื่อเพิ่มคุณลักษณะใหม่ ‘การโจมตีไอคิว’

ผลกระทบหลัก: หากกระทบหัวศัตรูหลังจากการขว้าง จะมีโอกาสลดไอคิวของศัตรูลงยี่สิบสี่ชั่วโมง เอฟเฟกต์เพิ่มเติมจะถูกเพิ่มหลังจากการอัพเกรด

ฟางหนิงพูดไม่ออก นี่เป็น ‘เรื่องเซอร์ไพรส์’ จริงๆ ด้วย

หลังจากอ่านแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ หลังจากนั้นไม่นานก็พบหนังสือเกมที่อัพเดตแล้วอยู่ตรงมุมหนึ่งของพื้นที่ระบบ

แม้หนังสือเกมเล่มนี้จะหยาบกร้านแต่อย่างน้อยก็อยู่ในรูปแบบของหนังสือ แต่ตอนนี้มันกลับอยู่ในสภาพที่จำเกือบไม่ได้

หน้าปกเสียหายหลายส่วน บนนั้นมีชุดอักษรจีนจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นชื่อหนังสือ

“หนังสือเกมที่น่าสงสารของฉัน ตกไปอยู่ในมือของไอ้คนร้ายกาจจนกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง?” ฟางหนิงถือหนังสือเกมด้วยความทุกข์ใจพร้อมกับลูบเบาๆ “อย่ากลัวเลย เจ้าโง่นั่นต้องสร้างบั๊กขึ้นอีกแน่นอน หลังจากที่มันเพิ่มโมดูล ‘ทำลายไม่ได้’ แล้ว แกก็จะไม่เป็นอะไร”

ทันทีที่ฟางหนิงพูดจบ หนังสือเกมก็สั่นหลายครั้งราวกับว่ามันเข้าใจ

ระบบ “โฮสต์อย่ายั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกของเราได้ไหม เด็กนั่นคือสิ่งที่ระบบสร้างขึ้นมาเองกับมือ ระบบเป็นพ่อของมัน จะทำร้ายมันได้ยังไง..”

หนังสือเกมไม่ได้พูดอะไร มันแค่หลุดออกจากมือของฟางหนิงแล้วลอยขึ้นไปในอากาศพลางกางหน้าหนังสืออก ‘ถ้าให้ข้าตัดสินแบบส่งเดชก็คือเผาแกซะ!’ ตัวหนังสือใหญ่พวกนี้เด่นชัดมาก…

ระบบพูดไม่ออก

ฟางหนิงไม่แปลกใจกับการกระทำของหนังสือเลย ในทางกลับกันเขาจึงถือโอกาสนี้ใส่ไฟเพิ่มเข้าไปอีก!

“เมื่ออาวุธพิเศษถูกปล่อยออกมาสิ่งแรกที่ต้องทำคือค้นหาดาบสังเวยซะก่อน พื้นที่ระบบนี้มีแค่เรา ฉะนั้นคงต้องยกให้แกเล่นบทบาทนี้แล้ว ประจวบเหมาะกับฉันที่ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้แกก็โผล่มาแล้ว เพราะฉะนั้นให้ฉันได้ลองใช้เอฟเฟคสกิลของอาวุธพิเศษนี้หน่อยสิ…”

ระบบกลับกลายเป็นคนหูหนวกในทันที ก่อนจะควบคุมอัศวิน A ให้วิ่งด้วยความเร็วสูงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง…

หมาสองตัวเดินตามหลังอย่างใกล้ชิด ท่าทางของพวกมันแข็งแรงราวกับกำลังบินอยู่ ติดตามด้านหลังเจ้านายไม่ห่าง

ฟางหนิงเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “จะออกแรงไปทำไม่ล่ะ เรียก ‘เที่ยวบินฟรี’ ของเราสิ…”

ระบบหยุดกึก “ทำไมโฮสต์ไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ…”

…………

สถานที่นัดพบกับเฉียวจื่อเจียงอยู่ในเทือกเขาแห่งหนึ่งในภาคกลางของเสินโจว

อีกฝ่ายหนึ่งได้ส่งพิกัดละติจูดและลองจิจูดที่สอดคล้องกันของแผนที่มาแล้ว

“บิน!” เซวียเฟิงมาถึงทันทีที่เขาเรียก ก่อนจะนำส่งพวกเขาไปยังจุดหมายปลายทางในชั่วพริบตา เมื่อถึงจุดหมายก็ทำความเคารพนอบน้อม ก่อนจะจากไป ไอลีนโนเวล

หลังจากลงจอด ฟางหนิงก็บินออกจากพื้นที่ระบบกลายเป็นมังกรขาว

สถานที่นัดพบเป็นเพียงหุบเขาแคบยาว มีภูเขาสูงสองข้างทาง ต้นไม้เจริญงอกงาม ใบไม้ส่วนใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากต้นแล้ว ลำต้นของมันเหี่ยวเฉาและมีสีเหลือง มีเพียงต้นไม้บางต้นเท่านั้นที่ยังคงเขียวขจี ที่นี่ช่างเป็นป่าที่เงียบสงบมาก นกไม่ตื่นตระหนก แมลงไม่ส่งเสียงหรีดหริ่ง

ตรงกลางมีแม่น้ำคดเคี้ยวไหลทอดยาวออกไปไกล พวกเขาลงจอดบนหาดหินกรวดที่ด้านหนึ่งของแม่น้ำ นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่เปิดโล่งไม่กี่แห่งที่อยู่ใกล้เคียง

ฟางหนิงมองสำรวจภูมิประเทศก็พลันรู้สึกตะคริวกินเล็กน้อย เขามองไปรอบๆ ก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง ที่นี่เงียบเกินไปหน่อย

ไม่นานเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ

หลังจากฟางหนิงเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นชัดเจนแล้ว เขาก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะพยักหน้า

กลุ่มคนที่เห็นคือเฉียวจื่อเจียงและพรรคพวก

คนที่เดินข้างหน้าคือเฉียวจื่อซานในมาดผู้ใหญ่ และข้างๆ เขาคือเฉียวจื่อเจียงที่มีใบหน้าสีเขียว

จากนั้นผู้หญิงในชุดสีเขียวร่วมสมัยก็ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งก็คือ ‘ความรักและความหวังอันเลือนลาง’ หรือติงเซียงที่อยู่ในวิดีโอ

เฉียวจื่อเจียงแนะนำ QQ และติงเซียงคนรักของเจิ้งต้าวให้รู้จัก

ถัดจากนั้นก็เป็นหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวผู้มีใบหน้าเย็นชา

ฟางหนิงไม่คุ้นหน้าพวกเธอเลยสักนิด หลังจากครุ่นคิดเขาก็จำได้จากไฟล์โปรไฟล์ที่เจิ้งต้าวเคยส่งให้ทุกสัปดาห์ว่าผู้หญิงคนนี้หลายคนเรียกเธอว่า ‘ไห่หลาน’

อันที่จริงอีกฝ่ายเคยปรากฏตัวที่งานเลี้ยงอาหารค่ำของสถาบันฝึกอบรมพิเศษแล้ว แต่ฟางหนิงเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจ ในตอนนั้นที่ระบบกำลังกินดื่ม เขามัวแต่เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาสองวันติดเลยไม่ได้ออกมาพบอีกฝ่าย

เขาสามารถรับรู้ได้เนื่องจากไฟล์ข้อมูลตัวละครที่จัดโดยเจิ้งต้าว ซึ่งอีกฝ่ายรายงานและอัพเดตให้เป็นประจำ

ตัดภาพกลับมาตอนนี้ ฟางหนิงเอานิ้วขยี้ตาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าคนคุ้นเคยเก่าแก่จะมาด้วย

เขาคนนั้นคือโม่ซิ่ง อดีตผู้อำนวยการหน่วยงานกิจการพิเศษของ ‘เมืองฉี’

อีกฝ่ายอายุสามสิบแล้ว ทว่าร่างกายยังผอมเช่นเดิม แม้ว่าเขาจะสวมแว่นแต่บุคลิกของเขากลับไม่สง่างามเท่าเจิ้งต้าว กลับกันราวกับมีคมดาบแฝงอยู่ในความสงบ

ข้างๆ เขาคือชายหนุ่มท่าทางเย่อหยิ่ง แม้จะเดินรั้งท้ายก็ยังคงนิ่งนอนใจ

ฟางหนิงไม่เคยพบคนคนนี้มาก่อน แต่เขาก็รู้ชื่อและความสัมพันธ์ทางสังคมจากไฟล์ที่เจิ้งต้าวให้ไว้

ไห่เฉิงน้องชายแท้ๆ ของไห่หลาน อายุยี่สิบเจ็ดปี อัจฉริยะร่วมสมัยของตระกูลไห่ เจ้าของฉายา ‘ดวงเนตรสีชาด’ คุณสมบัติการฝึกพลังระดับ A สองเท่า ทั้งการจับ ตัดสินประเภทของพลังและความเข้มข้นของพลังลมปราณ

ตอนนี้มีเพียงหกคนเท่านั้น ฟางหนิงเหยียดยิ้มมุมปากแสดงออกว่าไร้แรงกดดัน ที่นี่มีคนของเขาแล้วสี่คนและแน่นอนว่าตราบใดที่มีระบบก็สามารจัดการพวกเขาได้ทั้งหมด

………………………………………………………

บทที่ 114 ห้ามอัพเลเวล ฉันจะดูแลร่างกายนายเอง อย่าแม้แต่จะคิดใช้การฝึกฝนหลังจากที่นายเรียนรู้มันเชียว
ฟางหนิงโล่งใจ ในความคิดของเขาระบบก็คือระบบผู้มีสายตาและความทรงจำที่ไม่มีใครเทียบได้

หลังจากรู้กลโกง ฟางหนิงก็เริ่มแสร้งเล่นละคร “ฮ่าฮ่า ไอ้ตัวปลอม! นายคิดว่าแค่แกเลียนแบบพ่อบ้านเจิ้งได้ก็พอแล้วสินะ? แต่แกคงไม่รู้หรอกว่าท่านมังกรขาวของฉันอ่านโคนันมาแล้วกว่าเก้าร้อยตอน และนิยายนักสืบกว่าเจ็ดร้อยเรื่องตั้งแต่เขามายังโลก ตอนนี้เขาพัฒนาเป็นนักสืบมังกรขาวชื่อดังไปแล้ว ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว!”

‘เจิ้งต้าว’ ยิ้มบาง “ท่านมังกรขาว พูดเล่นอีกแล้วสินะ ผมคือเจิ้งต้าวตัวจริง ท่านยังคิดว่าอะไรไม่จริงอีก?”

“ระยะเดินเท้า ช่วงการวาดมือ การสั่นของไหล่ และการกระเพื่อมของหน้าอก” ฟางหนิงกล่าวเสียงเรียบทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป “ในจุดนี้ชี้ให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนระหว่างพ่อบ้านเจิ้งตัวจริง แกอยากให้ฉันเล่นวิดีโอการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของพ่อบ้านเจิ้งเปรียบเทียบกับแกดูไหม?”

ระบบไม่พอใจเล็กน้อย “โฮสต์ไม่รู้สึกละอายใจที่ลอกคำพูดของระบบไปหน้าด้านๆ บ้างหรือไง?”

ฟางหนิงไม่รู้สึกละอายเลนสักนิด “ถ้าฉันไม่ลอกเลียนแบบนี้ จะรู้ได้ยังไงว่าฉันพบจุดบกพร่อง จะยอมแพ้ไหมล่ะ? แกไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้และทำได้แค่เป็นฮีโร่ที่อยู่เบื้องหลังฉัน ฉันเป็นคนเดียวที่รู้เครดิตของแก ตอนนี้งานของฉันเสร็จสิ้นแล้ว ถึงคิวของอัศวิน A ที่จะปรากฎตัว เชิญนายแสดงพลังได้ตามต้องการเลย”

เหตุผลนี้ทรงพลังมากจนระบบเลือกที่จะถอยกลับ

หลังจากอ่านคำที่ฟางหนิงพิมพ์ ในตอนนี้ ‘เจิ้งต้าว’ ในวิดีโอก็ระเบิดออก ท่ามกลางควันขโมง ปรากฏหญิงสาวในชุดสีเขียวงดงามทันสมัยค่อยๆ ปรากฏขึ้น…

“อย่างที่คาดไว้เลย” ฟางหนิงตอบกลับ “ต่อให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์แค่ไหน ก็ไม่สามารถหลบสายตานักล่าที่ดีของฉันได้หรอก!”

“ขอแนะนำตัวเองสักหน่อย ฉันมีชื่อว่าติงเซียง ชื่อออนไลน์คือ ‘ความรักและความหวังอันเลือนราง’ และเป็นเพื่อนใน QQ ของ ‘เรียนรู้รายทาง’“ ผู้หญิงในชุดเขียวพูดเสียงเบาในวิดีโอ

ฟางหนิงคิดในใจ ‘เรียนรู้รายทาง’ เป็นชื่อเล่น QQ ของเจิ้งต้าวไม่ใช่เหรอ? ไม่เพียงแต่พูดชื่อเขาแล้วทุกอย่างจะจบ ทันทีที่ได้ยินชื่อของสองคนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นคู่หูศิลปิน เหล่าเจิ้งจะตั้งชื่อตัวเองว่าเจิ้งต้าวหรือ ‘เรียนรู้รายทาง’ ซึ่งคล้องจองกัน ฮิปสเตอร์เกินไปแล้ว ไม่เห็นเย่อหยิ่งเหมือนชื่อ ‘มังกรบินแห่งใต้หล้า’ ของเขาเลย

ฟางหนิง “ฉันตั้งตารอมานานแล้ว ไม่ทราบว่าติงเซียงเอาเจิ้งต้าวของเราไปซ่อนไว้ที่ไหน?”

หญิงชุดเขียวตอบกลับ “ฉันได้ยินเขาพูดหลายครั้งว่าท่านทั้งสองเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่ยืนอยู่เหนือฟ้า ต้องเป็นบุคคลที่น่านับถือแน่นอน ฉันกับเขาอยู่ในความรักอันขมขื่นมานานกว่าสิบปีแล้ว ตอนนี้พวกเราตัดสินใจกลับไปที่ป่าเขา ขอให้ท่านได้โปรดเห็นใจเราด้วย”

ฟางหนิงครุ่นคิด ‘เป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ?’ เป็นไปได้ไหมที่ตัวเขาจะคิดผิด?

ฟางหนิง “พี่สาวมีอะไรก็คุยกันดีๆ เถอะ ถ้าอยากจะแต่งงานกับเขา ฉันก็ไม่มีข้อโต้แย้ง ฉันสามารถให้บ้านเป็นของขวัญแต่งงานได้ เพียงแต่ปล่อยให้เขาทำงานกับฉันต่อไปก็พอ ฐานะทางบ้านของฉันมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน เรียกได้ว่าเป็นมังกรเศรษฐี นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษมอบให้ ทั้งหนึ่งในสี่ปรมาจารย์หลักในเสินโจวก็คอยควบคุมดูแลอยู่ ไม่มีอะไรต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเลย ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนจะสวัสดิการดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว…”

หญิงชุดเขียว “ท่านมังกรขาว พวกเราไม่สนใจสิ่งนอกกายพวกนี้หรอก เราแค่อยากอยู่กันท่ามกลางป่าเขา โปรดยกโทษให้ด้วย ขอตัวก่อน”

ฟางหนิงส่งข้อความกลับไปทันที “ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ ฉันพูดความจริง ฉันเป็นเจ้านายที่ดีแห่งศตวรรษ…เฮ้ อย่าเพิ่งออฟไลน์สิ กลับมา กลับมาก่อน…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ไม่ทันไรบัญชี QQ ของเจิ้งเต้าก็ดับหายไป ไม่ว่าจะปิดกั้นหรือออฟไลน์ อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่มีการตอบสนองใดอีกแล้ว

ฟางหนิงหันไปพูดกับระบบ “ฟังเข้าใจหรือเปล่า?”

ระบบตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่เข้าใจ มันดูเหมือนบทรักๆ ใคร่ๆ ใช่ไหม?”

ฟางหนิงเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้นเขาจึงโชคร้ายยิ่งกว่าเดิม เขายังโสดและตอนนี้เขาก็กำลังคิดถึงกิจวัตรที่เคร่งเครียดของผู้หญิงที่ไล่ตามผู้ชายสุดฤทธิ์สุดเดช…

ฟางหนิงกุมศรีษะ “อ่า ฉันรู้สึกอยากจะระเบิดพลังโจมตีสักหมื่นครั้ง! ทำไมเรื่องดีๆ แบบนี้ถึงไม่เกิดขึ้นกับฉันบ้าง…”

ระบบ “พวกมนุษย์ช่างเปราะบางเหลือเกิน…โฮสต์ยังมีความคิดที่จะจีบผู้หญิงอยู่อีกเหรอ?”

“แต่ฉันยังกลัวงูอยู่นิดหน่อย…” เมื่อฟางหนิงเห็นว่าหัวข้อกำลังจะเปลี่ยนมาที่ตัวเอง เขาจึงรีบพยายามเปลี่ยนเรื่องพัลวัน “เดี๋ยวก่อน อย่าพูดไร้สาระ ถ้าฉันขอให้แกทำเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้หนักหนามาก แกจะช่วยทำให้ไหม?”

ระบบ “ไม่ทำ”

ฟังหนิงยังคงจับศีรษะและขอร้อง “โอ้ มันเป็นเรื่องใหญ่นะ ช่วยหน่อยเถอะ! แกไปช่วยฉันตามหาเจิ้งต้าว ไม่สิ ทั้งหมดนี้เป็นบันทึกการสนทนา QQ ของ ‘เรียนรู้รายทาง’ และ ‘ความรักและความหวังอันเลือนราง’ นักสืบคนนี้ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อไขคดีการหายตัวไปของพ่อบ้านเจิ้ง ก่อนหน้านี้แกเคยพูดไว้ว่าสามารถเข้าสู่สถานที่ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตสาธารณะได้ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านหรือเรียนรู้ได้เลย แต่แกสามารถคัดลอกกลับมาให้ฉันได้นี่ นี่แกพูดเองนะ หรืออย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาโกหก จริงๆ แล้วแกทำไม่ได้ใช่ไหม?”

ระบบ “ทำไม่จะไม่ได้? ภายในสิบนาทีระบบจะหามาให้”

ฟางหนิง “รีบไปรีบมาล่ะ”

หลังจากนั้นไม่นาน ไฟล์ข้อความที่มีขนาดมากกว่าสิบเมกะไบต์ก็ปรากฏขึ้นบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของฟางหนิง

“ระบบนายสุดยอดมาก!” หลังจากที่ฟางหนิงถอนหายใจและเปิดมัน บันทึกการสนทนาทั้งหมดของชื่อไอดี ‘เรียนรู้รายทาง’ และ ‘ความรักและความหวังอันเลือนราง’ ก็ปรากฏขึ้น

จากที่ดูระยะเวลายาวนานมากทีเดียว ด้วยช่วงวัยสิบแปดปีเรียกได้ว่าเป็นบททดสอบความรักทางไกลอย่างดี

ยิ่งดูฟางหนิงยิ่งซาบซึ้ง ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายสดใส เสียงหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ ดังออกมาจากปากของเขาเป็นครั้งคราว

ระบบ “โฮสต์เจอเบาะแสอะไรบ้างหรือยัง?”

ฟางหนิงซาบซึ้งในเรื่องนี้มากจนไอคิวของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง เขาพูดอย่างเป็นกันเองว่า “ฉันเจอเยอะเลยแหละ บันทึกการสนทนาของ QQ ของคู่รักนี้ดีกว่านิยายรักออนไลน์ซะอีก…”

ระบบ “โฮสต์อยากให้ระบบตัดไฟไหม?”

ฟางหนิง “อย่าเชียวนะ ฉันกำลังไขคดีอยู่…”

ระบบ “ระบบรู้ว่าโฮสต์โกหก โฮสต์กำลังอ่านนิยายอยู่ชัดๆ…”

ฟางหนิง “ตั้งใจแล้ว ตั้งใจแล้วจ้าโอเคไหม? ระหว่างคนและระบบเรายังไว้วางใจกันได้เนอะ? อย่ารีบสิ ฉันกำลังอ่านอยู่ เดี๋ยวก็ได้รู้ความจริงแล้ว แม้ว่าจะผิดจรรยาบรรณไปบ้าง แต่เรามาถึงจุดนี้ก็เพื่อช่วยเขา! ปกติฉันไม่เคยให้แกทำแบบนี้มาก่อนซะหน่อย จากการวิเคราะห์ของนักสืบคนนี้ ในตอนนี้เหล่าเจิ้งน่าจะปลอดภัย ไม่แน่เขาอาจจะยังเพลิดเพลินกับความสุขสมอยู่ก็ได้! ปล่อยให้เขาสนุกกับการพบปะกันก่อน หากมีอันตรายร้ายแรง เพียงแค่เปิดใช้ทักษะในตำนานของเราอย่าง ‘ช่วยเหลือพันลี้’ เราก็สามารถบินข้ามไปได้ทันทีโดยไม่เสียเวลาแล้ว นายดูสิฉันพิจารณาทุกอย่างไว้แล้ว เพราะงั้นตอนนี้แกก็ปล่อยให้ฉันวิเคราะห์ข้อมูลรูปคดีด้วยความสบายใจเถอะ แล้วตามหาสถานที่ที่เหล่าเจิ้งอาจจะมีนัดออฟไลน์กับอีกฝ่าย…”

ระบบ “โอ้ ดูเหมือนว่าโฮสต์ยังคงคิดมากเหมือนเคยเลยนะ งั้นระบบจะไม่รบกวนแล้ว ระบบต้องเร่งปรับปรุงวิธีการเพิ่มพลัง โฮสต์ค่อยๆ อ่านไปนะ”

ฟางหนิงไม่เงยหน้า “ไปดีมาดี…”

………………

ฐานสำนักงานสัจธรรม ในสำนักงานแห่งหนึ่งท่ามกลางคอมพิวเตอร์ที่เรียงหลายเครื่อง หญิงสาวสองคนกำลังนั่งดูบางอย่างอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

เฉียวจื่อเจียง “ฉันเพิ่งรายงานข้อมูลไปข้างต้น เราควรจะอนุมัติการดำเนินการของเราโดยเร็ว ป้าติงเห็นบันทึกการสนทนาเมื่อครู่นี้ไหม?”

คนที่นั่งถัดจากเธอเป็นหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวร่วมสมัยซึ่งมีรูปลักษณ์ที่สง่างามไม่แพ้กัน เธอคือติงเซียงเป็นคนรักเจิ้งต้าว

ติงเซียงได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับ “อืม ลำบากเธอแล้วจื่อเจียง ไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้าปลอมตัวเป็นฉัน น่าขยะแขยงจริงๆ ทั้งเหล่าเจิ้งคนนั้นก็งี่เง่ามาก คบกันมาหลายปีขนาดนี้เขายังแยกตัวจริงตัวปลอมของฉันไม่ออกเลย ไม่เหมือนท่านมังกรขาว ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเป็นได้แค่พ่อบ้านใหญ่เท่านั้น…”

เฉียวจื่อเจียง “ฮ่าฮ่า ป้าติง จากการสนทนาเมื่อครู่ท่านมังกรขาวนับว่าไม่เลวเลยนะ ก่อนหน้านี้ท่านได้ทำผิดต่อเขาใหญ่หลวงแล้วล่ะ”

ติงเซียงหน้าแดง “มันเป็นความผิดของฉันเองที่เจิ้งต้าวคนงี่เง่าไม่ได้อธิบายชัดเจน ฉันจึงคิดผิดว่าท่านมังกรขาวและมังกรแห่งจิตวิญญาณเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่คอยแต่จะปิดปากผู้คน คนพวกนั้นชอบพูดกันว่า ‘การใหญ่ยังไม่ทันสำเร็จ จะรีบคิดถึงครอบครัวไปทำไม’ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงอย่างเราอยู่แล้วนี่นา”

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้ารับถี่รัว “ก็จริงๆ มีคนจำนวนมากวิ่งพล่านเพื่ออำนาจ ท้ายที่สุดแล้วก็เลยต้องการตัดทอนเชื้อสาย? หรือไม่แต่งงาน? มีเหตุผลแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ จูเก่อเลี่ยงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อหลิวเป้ยในการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น มันก็เหมือนกับการแต่งงานกับภรรยาและมีลูกไม่ใช่เหรอ?”

แม้ปากเฉียวจื่อเจียงจะเอ่ยสนับสนุนแต่ในใจกลับคิดว่า ‘หึหึ เธอมองไม่ได้เห็นความจริงอะไรหรอก ป้าติงเซียงคนนี้มีประวัติความรักอันขมขื่น เพราะเจิ้งต้าวกลายเป็นพ่อบ้านของท่านมังกรขาวและมังกรแห่งจิตวิญญาณ จึงถูกดึงเข้ามาอยู่ในความดูแล อีกอย่างฉันก็ได้ดึงบันทึกการสนทนาออนไลน์ทั้งหมดของเขามาแล้ว ตอนนั้นเองที่ฉันพบว่าเจิ้งต้าวกับป้าติงอยู่ในช่วงความรักที่ยาวนานมาก

ใบหน้าของติงเซียงสงบลง รู้สึกกระดากอายที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับรุ่นน้องต่อ ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “เอาละ จื่อเจียง อย่าพูดถึงเรื่องนี้ต่อเลย พยายามให้ดีที่สุดเพื่อจับคนคนนั้นเถอะ ดูว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร”

“ได้ค่ะ ป้าติง” เฉียวจื่อเจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ป้าติงอยากให้เชิญสองท่านนี้อีกครั้งไหม หากมีพวกเขารับรองได้เลยว่าภารกิจนี้จะไม่มีอันตราย! นอกจากนี้เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับพวกเขาและพวกเขาต้องไปช่วยพ่อบ้านเจิ้งแน่นอน ประหยัดงบทีมสืบสวนพิเศษของเรา ทั้งยังมีพวกเขาเป็นผู้ประสานงานร่วมกัน ขอแค่พวกเขาได้รับการอนุมัติจากต้นสังกัดก็พอ”

ติงเซียง “ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็จะดีมาก ท่านผู้นำทั้งหกมีภาระที่ต้องรับผิดชอบล้นมือ พวกเขาอาจต้องรับมือกับเหตุฉุกเฉินบ่อยครั้ง คงโทรตามอำเภอใจไม่ได้หรอก คราวที่แล้วเรื่องแมลงปีศาจ ลุงของเธอและคนอื่นๆ ก็ถูกย้ายไปจัดการกับเหตุการณ์อื่นๆ ทันที โชคดีที่ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณอยู่ เขาถึงได้กำจัดพวกมันได้กวาดล้างจนเรียบร้อยไม่ให้ได้เล็ดลอดออกไปแม้แต่ตัวเดียว น่าเสียดายที่ท่านมังกรขาวไม่ยอมปรากฏตัว ฉันเดาว่าเขาคงประสานงานอยู่เบื้องหลังแหละเนอะ?”

เฉียวจื่อเจียงตอบกลับ “คงจะใช่ แต่เดี๋ยวหนูจะติดต่อเขาให้ทันที ช่วงนี้เขาหมกมุ่นอยู่กับเกมที่ชื่อว่า ‘Beasts Fighting for Heroes’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้การสนับสนุนด้านเทคนิคอยู่เบื้องหลัง เมื่อไม่นานมานี้เขาใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างบ้าคลั่งในการเล่นมัน และมังกรบินแห่งใต้หล้าก็คือชื่อบัญชีของเขา ซึ่งขึ้นอันดับแรกในทุกหมวด แต่ดูจากบันทึกการสนทนา แสดงว่าท่านผู้นั้นยังคงห่วงใยพ่อบ้านเจิ้งอย่างลึกซึ้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งเขาไว้หรอก”

ติงเซียงยิ้มแล้วมองเฉียวจื่อเจียงเข้าสู่ระบบ QQ พร้อมกล่าวต่อ “ฮ่าฮ่า ท่านสองคนนี้ช่างโลภและขี้เล่นจริงๆ น่าสนใจมาก พวกเขาแตกต่างจากคนที่แข็งแกร่งอื่นๆ อย่างสิ้นเชิงเลย”

เฉียวจื่อเจียงได้ติดต่อกับผู้อาวุโสมังกรขาวแล้วบอกอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะนัดพบกันและออกเดินทาง หลังจากได้ยินดังนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยตอบรับอย่างเห็นด้วยทันที

ไม่รู้ทำไมเมื่อมองข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาก็ไม่แปลกใจเลย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นผิด เพียงแต่ในน้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายจะมีความเสียใจปะปนอยู่

หรือว่าเธอติดต่อมาช้าเกินไป? ควรให้เขารู้สึกว่าพ่อบ้านเจิ้งอาจต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้อีกหน่อยดีไหม แต่นั่นคงไร้หนทาง ในการบริการสาธารณะจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและการดำเนินการใดๆ ย่อมต้องรอการอนุมัติ

เฉียวจื่อเจียงเพิกเฉยต่อความผิดปกตินี้ เธอดีใจเนื้อเต้นที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจะมาปรากฏตัว เท่านี้ก็หมดห่วงแล้ว

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและรอการอนุมัติ เธอก็เริ่มคุยกับติงเซียงอีกครั้ง เธอต้องการเก็บเกี่ยวจากอีกฝ่ายและหาประสบการณ์ไปด้วย ผู้หญิงส่วนน้อยเท่านั้นแหละที่ไม่สนใจเรื่องนี้

…………

ระบบ “โฮสต์จะไปเมื่อไหร่? โฮสต์วิเคราะห์ออกมาว่าผู้หญิงคนนั้นปลอมตัวมาซึ่งตรงกับผลวิเคราะห์ของสำนักสัจธรรม ดูเหมือนว่าโฮสต์นายจะเป็นนักสืบตัวจริงเลยนะ แล้วโฮสต์จะอ่านไปจนถึงเมื่อไหร่เหรอ คดียังไม่กระจ่างอีกหรือไง?”

ฟางหนิง “เวลาและสถานที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แกอย่าเพิ่งเร่งสิ ตอนที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับบันทึกนี่ เหมือนว่าฉันได้เข้าสู่เขตแดนแปลกประหลาดและได้ยินคนพูดถึงฉันบ่อยๆ…หรือว่าจะมีเงื่อนงำอะไรเกี่ยวกับบันทึกการสนทนาออนไลน์ของเหล่าเจิ้งหรือเปล่า? แปลกจริงๆ…ขอฉันดูหน่อย”

ระบบ “โฮสต์โกหกอีกแล้ว ระบบไม่มีทางโดนหลอกแน่! ดับเครื่อง…”

ระบบแจ้งเตือนคุณปิดการใช้งานแล้ว

ฟางหนิงมองไปที่หน้าจอสีดำสนิทของคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทีไม่แยแส “หึหึ ปิดก็ปิดไป ฉันรอให้แกลงมือทำอยู่นานแล้ว ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้ประสบการณ์ทั้งหมดของเหล่าเจิ้งในเขตแดนประหลาดนั่นมาแล้ว…”

ระบบ “ต่อให้โฮสต์เรียนรู้ประสบการณ์มากแค่ไหน ระบบก็อัพเลเวลให้ไม่ได้หรอก ระบบจะดูแลร่างกายโฮสต์เอง อย่าแม้แต่จะคิดใช้การฝึกฝนหลังจากที่โฮสต์เรียนรู้มันเชียว…”

ฟางหนิงแทบจะกระอักเลือดออกมาสักสามลิตรเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาล้มลงกับพื้นท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ก่อนที่จะจำนนกับความพ่ายแพ้นี้

…………………………………………………………

บทที่ 113 ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
ฟางหนิงคิดว่าถ้าเจิ้งต้าวยังคงใช้ QQ ได้อยู่ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จึงน่าจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้

สิ่งที่แน่นอนคือเขาอาจจะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่รู้จักเพราะแผนที่ระบบยังไม่ได้เปิดใช้งาน ดังนั้นบริเวณรอบตัวเขาจึงแสดงเป็นภาพสีดำ หากเป็นกรณีนี้อย่างน้อยก็ไม่ใช่ ‘เมืองเฉิง’ และ ‘เมืองจี้’

ขณะที่ฟางหนิงกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจิ้งต้าวก็ส่งข้อความจาก QQ เข้ามาอีกข้อความหนึ่ง

เจิ้งต้าวกล่าวว่า “ขอบคุณท่านมังกรขาวที่เป็นห่วง ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ผมได้กราบลานายท่านทั้งสองในวันนี้แล้วก็จะขอลาออกกลับบ้านเกิดเพื่อแต่งงาน ในอนาคตคงไม่มีโอกาสได้พบท่านทั้งสองแล้ว การไม่ได้อยู่รับใช้ช่างเป็นอะไรที่น่าละอายใจจริงๆ ผมได้แต่อวยพรให้นายท่านทั้งสองประความสำเร็จในชีวิตและมีความสงบสุขในโลก”

ฟางหนิงตกตะลึง อะไรกัน! ทีมห้าผู้พิทักษ์ปราบปรามปีศาจของอัศวิน A กำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง แต่แล้วพ่อบ้านใหญ่อย่างเจิ้งต้าวผู้รับผิดชอบการจัดตารางเวลากำลังจะขอลาออกกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดเนี่ยนะ?

ฟางหนิงหดหู่ใจมาก แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่า ‘ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดจริงๆ เขาก็คงจะบังคับไม่ได้’ ท้ายที่สุดเมื่อทุกคนอายุย่างสี่สิบปี การจะอยู่คนเดียวโดยไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกคงไม่สามารถทำได้จริงๆ

ตอนนี้ไม่ใช่ยุคโบราณแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ผูกพันส่วนตัว จากสามัญสำนึกพ่อบ้านเจิ้งต้าวจึงเป็นเพียงลูกจ้างที่ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านนอกเวลาในฐานะผู้จัดการทั่วไปของบริษัทโดยไม่ได้เซ็นสัญญาใดๆ ผูกมัด ทุกคนย่อมมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะลาออกและจากไป

ขณะที่ฟางหนิงกำลังจะพิมพ์ข้อความเพื่อแสดงความยินดีกับอีกฝ่าย จู่ๆ ระบบก็ขัดจังหวะ “โฮสต์ปล่อยให้พ่อบ้านเจิ้งกลับบ้านเกิดไม่ได้นะ ถ้าไม่มีเขาล่ะก็แย่แน่ โฮสต์ไม่ชอบสื่อสารกับผู้คนไม่ใช่เหรอ ฉันคงไม่สะดวกที่จะจัดการกับปีศาจตัวยักษ์ไปพร้อมกันหรอก ถ้าเขาอยากแต่งงานก็แต่งไป ส่วนเราก็แค่มอบของขวัญแสดงความยินดีแก่เขาล่วงหน้าด้วยบ้านในเมืองฉีก็ได้นี่ ทั้งภารกิจในปัจจุบันก็ตั้งใจจะจ่ายเงินรางวัลให้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เขาสามารถช่วยเราทำงานต่อไปได้ ทำไมถึงต้องลาออกไปแต่งงานด้วยล่ะ? เขาต้องกลับไปบ้านเกิดเพื่อแต่งงานและมีลูกจริงๆ หรือว่าบ้านเกิดของเขาต้องการตัวเขากลับไปสืบราชบัลลังก์หรือไง?”

ฝางหนิงถูกระบบรบกวนจึงหยุดพิมพ์ทันที ภายในใจว่างเปล่า ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง ‘จริงด้วย ทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดและต้องการตัดขาดจากเราโดยสิ้นเชิงล่ะ? มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่’

“เมื่อเจอบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการอัพเกรดปีศาจ ระบบยังคงฉลาดและน่าชื่นชมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ที่ไหนกันเล่า? ระบบเท่แบบนี้ได้แค่บางโอกาสเท่านั้นแหละ” เมื่อระบบได้รับคำชมจากโฮสต์ก็พลันปลื้มใจ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แต่น่าเสียดาย ถ้าผู้ติดตามเป็นเหมือนโฮสต์ก็คงมีข้อบังคับว่า ‘ก่อนที่ระบบจะอัพเกรดเป็นเลเวล 100 ห้ามไม่ให้ผู้ติดตามแต่งงานและเบี่ยงเบนความสนใจ’ ถ้าโฮสต์ยังไม่อัพเกรดระดับเหมือนระบบ โฮสต์ก็จะพบกับปัญหาเหมือนในวันนี้อีก…”

“ระบบความคิดของนายร้ายกาจเกินไปแล้ว น่าผิดหวังที่ก่อนหน้านี้นายกล้าพูดว่าตัวเองเป็นระบบที่ชอบธรรม ใจดีและใจกว้าง” ฟางหนิงส่ายหน้าและดูถูกความคิดไร้ยางอายของระบบ แต่แล้วเขาก็ตกตะลึง “บัดซบ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง!”

ระบบดีใจใหญ่ “โฮสต์คิดได้แล้วเหรอว่าทำไมพ่อบ้านเจิ้งจะจากไป?”

ฟางหนิงอาเจียนเป็นเลือด “ไปไกลๆ เลย ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ จู่ๆ ฉันก็เข้าใจว่าทำไมแกถึงเอาแต่หมุนไปรอบๆ ตอนที่เลเวล 10! พูดมาสิว่า ‘เลเวลไม่ใช่กุญแจและต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังต่อสู้’ สิ่งเหล่านั้นควรจะมี แต่หลายอย่างแกกลับพยายามจะลดระดับของฉันลง การที่อยากให้ฉันอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตก็เพื่อที่ทุกๆ วันแกจะได้สามารถใช้ร่างกายของฉันตามฆ่าปีศาจอย่างนั้นสินะ?”

ระบบ “อะไรกัน ระบบไม่ได้พูดอะไรเลยนะ? ลดระดับลงอะไรนั่น เป็นเพราะโฮสต์เล่นเกมเจ็ดวันเจ็ดคืนติดกันต่างหาก ตอนนี้โฮสต์มีอาการประสาทหลอนทางการได้ยินใช่ไหม? ก่อนหน้าที่ระบบยังไม่อัพเลเวลว ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่ายังไม่มีประสบการณ์มากพอ แต่ตอนนี้มีประสบการณ์เกือบสิบล้านครั้งแล้ว อีกอย่างเพิ่งจะผ่านการเก็บตัวฝึกพลังมาอีกเจ็ดวันด้วย เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ก็จะถึงเวลาอัพเลเวล…”

ฟางหนิง “แกโกหกฉันอีกแล้ว ยังไงก็ตามแกรู้อยู่แล้วว่าตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ แกก็ยังถือไพ่เหนือฉันเสมอ…”

“โฮสต์กำลังใส่ร้าย…ระบบเป็นระบบที่ซื่อสัตย์มากทุกประการ” ระบบเปลี่ยนเรื่องทันที “การที่พ่อบ้านเจิ้งคนนี้ต้องการจะจากไป ระบบรู้สึกว่านี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ทีเดียว แม้เครดิตที่เขาสร้างขึ้นนั้นมีไม่น้อยก็จริง แต่ยังไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่เราลงทุนไปหรอก โชคดีที่เขาไม่มีเวลาเรียนรู้ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’…”

หลังจากฟางหนิงถูกขัดจังหวะแบบนั้นเข้า จิตใจของเขาก็สงบลงมากทีเดียว เขาพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฟางหนิงก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า ระบบ นิสัยขี้เหนียวของแกบางครั้งก็มีประโยชน์จริงๆ เตือนสติฉันได้ดีเลย ไม่ต้องห่วง ฉันรับประกันได้ว่าพ่อบ้านเจิ้งจะไม่สามารถไปไหนได้ทั้งนั้น”

ระบบตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้นอีก มนุษย์อย่างโฮสต์ชอบพูดวกไปวนมา ไม่มีความตรงไปตรงมาเหมือนอัศวิน A เลย…”

ฟางหนิงแทบกระอักเลือด “ก็ใช่ นี่แกตั้งฉายาให้ฉันว่า ‘ตรงไปตรงมา’ เหรอ? ฉันจะตอบแกอย่างตรงไปตรงมาให้ก็ได้ เหตุผลที่เจิ้งต้าวบอกว่าเขาจะลาออกไปแต่งงานและไม่ได้เจอเราอีกนั้น มีเพียงความจริงข้อเดียวนั่นคือสิ่งที่ ‘เจิ้งต้าว’ พูดมาทั้งหมดคือเรื่องหลอกลวง!”

ระบบตื่นตกใจ “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? ระบบไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นเลยสักนิด? ไอคิวของโฮสต์สูงเทียบเท่าระบบไม่ได้หรอกนะ!”

ฟางหนิงแสร้งตีหน้าขรึม “หืม นายคงไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์สินะ? พ่อบ้านเจิ้งใส่ใจในความดีงามและความชอบธรรม เขาจะละทิ้งบุญคุณผู้ที่ช่วยชีวิตเอาไว้โดยไม่ตอบแทนและจากไปหลังจากพูดทิ้งทวนประโยคหนึ่งผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ยังไง? ฉันฟางหนิงในฐานะโอตาคุขนานแท้ ย่อมรู้ดีว่าคนเราต้องตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างเต็มที่ ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอคนๆ นั้นอีก เขาถูกระบบจดจำว่าเป็นชื่อสีน้ำเงิน ทั้งตัวละครของเขาก็เหมือนกับฟางหนิงซึ่งเป็นคนดีที่รู้จักตอบแทนความกตัญญู ในสายตาของฟางหนิงนักสืบชื่อดัง ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ‘มีใครบางคนแอบสวมรอยเป็นเจิ้งต้าวและบอกว่าจะกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด เพื่อให้เราล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขา พวกมันคงจะกระวนกระวายมากแน่ๆ ! เพราะถ้าไม่พูดแบบนี้ เราก็จะออกตามหาเจิ้งต้าวไปทั่ว ซึ่งนั่นคงทำให้พวกมันไม่สบายใจ และผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็เป็นแบบอย่างของพวกเขา”

ระบบเอ่ยชมทันที “โฮสต์นี่น่าเชื่อถือได้เหมือนเคย…”

ฟางหนิงสนุกกับคำเยินยอของระบบมาก นานแค่ไหนแล้วที่ระบบห่วยไม่ได้เทิดทูนเขาแบบนี้?

ระบบยังพูดไม่จบ “ถ้าอย่างนั้นโฮสต์ก็รีบช่วยระบบตามตัวพ่อบ้านเจิ้งให้กลับมาเร็วๆ เถอะ ระบบต้องการเขา…”

ฟางหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง “ตามบัญชา…”

จากนั้นเขาก็พิมพ์หา ‘เจิ้งต้าว’ “หึหึ แกคิดว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่กับใคร? กล้าดียังไงมาขโมยเบอร์ของเจิ้งต้าว? แกรู้ชื่อของฉันผู้นี้และท่านมังกรขาว ก็ควรจะรู้ด้วยว่าเราแข็งแกร่งแค่ไหน! พวกที่กล้าลอบกัดเราอย่างเจ็บแสบแบบนี้ มีหลายคนนักที่คิดว่าตัวเองฉลาด แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกพวกเราฆ่าทิ้งหมด พูดอีกอย่างก็คือพวกมันถูกเราไล่ล่า…”

คำพูดของฟางหนิงเต็มไปด้วยจิตสังหารและความโกรธแค้น เขาปวดใจเล็กน้อยคนคุ้นเคยมาเอ่ยลาทันทีแบบนั้น เป็นเรื่องน่าเศร้ามากทีเดียว…

เจิ้งต้าว “ท่านมังกรขาว ทำไมท่านพูดแบบนี้ล่ะ? ผมคือเจิ้งต้าวเอง ใช่คนอื่นที่ไหนกัน ทำไมเราไม่วิดีโอคอลกันดูสักหน่อย?”

ฟางหนิง “ได้สิ งั้นเรามาวิดีโอคอลกันเถอะ”

จากนั้นฟางหนิงก็พูดกับระบบว่า “เฮ้ ผลการใช้ ‘เนตรเทพตาภูต’ ของแก สามารถมองเห็นความจริงผ่านทางวิดีโอได้ไหม?”

ระบบ “โฮสต์คิดว่าฉันเป็นพระเจ้าหรือไง? มีผลแค่ในกรณีที่ศัตรูอยู่ใกล้เท่านั้นแหละถึงจะมองเห็นร่างจริงของพวกมันได้ ใช้อินเตอร์เน็ตแบบนี้ไม่รู้ห่างไกลกันตั้งกี่หมื่นลี้ เป็นแค่การประมวลภาพจำพวกหนึ่งจะมองเห็นร่างจริงได้ยังไง?”

ฟางหนิงยังคงแน่วแน่ สวมมาดนับสืบต่อไป เขากล่าวต่อ “ไม่เป็นไร ฉันมีทางออก แกคงจำท่าทางและนิสัยทั้งหมดของเจิ้งต้าวได้สินะ ท้ายที่สุดแกก็คือระบบ หน่วยความจำของแกก็เป็นเหมือนฮาร์ดดิสก์”

ระบบ “แน่นอน ระบบเข้าใจดีว่าโฮสต์หมายถึงอะไร โฮสต์คงอยากเช็คเขาผ่านทางวิดีโอสักครู่ว่ายัง ‘สบายดีเดินคล่องปร๋อ’ อยู่หรือเปล่าใช่ไหม?”

ฟางหนิง “ระบบช่วงนี้แกเรียนรู้อะไรจากอินเทอร์เน็ตได้เยอะแยะเลยนะ ถึงไอคิวจะเท่าเดิม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว น่าชื่นชมๆ”

ระบบ “อย่าคิดว่าระบบไม่ได้ยินว่าโฮสต์เรียกระบบว่าคนโง่เง่าที่มีประสบการณ์นะ…”

“อะไรกัน ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ? แกพูดเอาเองต่างหาก” ฟางหนิงได้แต่นึกในใจ ระบบห่วยนี้มีประสบการณ์ห่วยสมชื่อจริงๆ เขารีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว “ช่างเถอะ รีบไปสะสางธุระก่อน แกระบุด้วยล่ะว่าเป็นเจิ้งต้าวจริงๆไหม…”

ในเวลานี้ ‘เจิ้งต้าว’ ก็ได้ได้ส่งคำขอวิดีโอคอล QQ เข้ามาพอดี

ฟางหนิงไม่ยอมรับคำขอวิดีโอในทันที ก่อนจะสำรวจร่างของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาอยู่ในร่างมังกรขาว จากนั้นจึงถอดปลั๊กไมโครโฟนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ออก เพื่อป้องกันไม่ให้การสนทนาระหว่างเขากับระบบแพร่ออกไป

หลังจากทำทั้งหมดนี้ ฟางหนิงจึงยอมรับคำขอวิดีโอคอลจากอีกฝ่าย

อีกฝ่ายกลัวว่าฟางหนิงจะไม่เชื่อ จึงตั้งกล้องเพื่อให้จับภาพได้ทั้งหมด

ฟางหนิงมองภาพรวมของ ‘เจิ้งต้าว’ ในวิดีโอ ชุดสูทรองเท้าหนัง แว่นตากรอบทอง ชายวัยกลางคนที่งามสง่าและมีเสน่ห์ รูปลักษณ์ของเขาเหมือนกับของเจิ้งต้าวไม่ผิดเพี้ยน

ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ในห้องธรรมดา ตกแต่งแบบเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์สมัยก่อนและหน้าต่างทางด้านหลัง จากหน้าต่างสามารถมองเห็นภูเขาและป่าไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไปได้เลือนราง ให้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้านเกิดที่บนภูเขาจริงๆ

เป็นไปได้ไหมว่าความจริงคนๆ นี้ก็คือเจิ้งต้าว?

ฟางหนิงค่อยๆ ทำความเข้าใจสถานการณ์ “ในช่วงสองวันที่ผ่านมาคุณเป็นยังไงบ้าง?”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วงเป็นใย ตอนนี้เจิ้งต้าวจิตใจแจ่มใส สบายกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรงเยี่ยมยอดดีครับ”

เมื่อเห็นท่าทางตอบกลับแบบนั้น ฟางหนิงก็รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องจับผิดอะไรอีกแล้ว

‘เจิ้งต้าว’ คนนี้ แน่นอนว่า…ไม่ ไม่สิ ฉันจะพูดคำสองพยางค์บ้าๆ ว่า ‘แน่นอน’ ไม่ได้ ควรจะบอกว่า ‘มีโอกาสเป็นตัวปลอมถึง 99%’!

เจิ้งต้าวพูดแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ?

เขาเป็นคนที่ใส่ใจมิตรภาพ มีความรอบคอบและมักจะรักษาหน้าคนอื่นอยู่เสมอ

ทั้งมังกรขาวมังกรแห่งจิตวิญญาณ หมาดำ หมาเหลือง ผู้บังคับบัญชาทั้งสี่ และเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนร่วมทุกข์ร่วมโศกกันมา การที่ตัวเขากลับบ้านเกิดไปแต่งงานว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ต่อหน้าเจ้านายเขาจะพูดจาอวดดีตรงๆ อย่าง ‘อารมณ์ดีมีความสุข’ แบบนี้ได้ยังไง?

คนอื่นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่มีทางที่เจิ้งต้าวตัวจริงจะทำแบบนี้แน่นอน!

แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้เลย เพราะยังมีความไม่แน่นอนเหลืออยู่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ฟางหนิงยังคงพิมพ์ต่อไป “ในเมื่อนายไม่ป่วย งั้นก็ลองเดินให้ดูสักสองก้าวทีสิ ถ้านายปฏิเสธแสดงว่านายเป็นตัวปลอม เพราะเจินเจิ้งต้าวไม่มีทางปฏิเสธ”

‘เจิ้งต้าว’ ได้ยินคำขอนี้กลับไม่ตื่นตระหนก

ราวกับว่าเขารู้ดีว่าฟางหนิงกำลังจะทำอะไร เขาลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเรียบเฉย เดินกลับไปกลับมาสองสามครั้งในวิดีโอ จงใจให้กล้องถ่ายภาพพฤติกรรมท่าทางของเขาอย่างชัดเจน

จากมุมมองของฟางหนิง ‘เจิ้งต้าว’ คนนี้เหมือนกับที่เจินเจิ้งต้าวพ่อบ้านที่เขาเคยเห็นมาก่อนทุกประการ ทั้งท่าเดิน การเคลื่อนไหวของมือและฝีเท้า นั่นทำให้เขากังวลเล็กน้อย มันจะเป็นโอกาสหนึ่งเปอร์เซ็นต์จริงเหรอ?

เขารีบถามระบบ

ระบบ “หมอนี่ไม่ใช่ตัวจริง มีจุดบกพร่องมากมาย เช่น ระยะเดินเท้า ช่วงการวาดมือ การสั่นของไหล่ และการกระเพื่อมของหน้าอก เหล่านี้ล้วนต่างจากพ่อบ้านเจิ้งตัวจริงอย่างเห็นได้ชัด”

ระบบไม่ได้ดำรงอยู่เหมือนมนุษย์ วิสัยทัศน์และความทรงจำนี้มนุษย์จะเทียบกับมันได้ยังไง? เพราเขามองไม่เห็นถึง ‘ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด’ อะไรเลย

ฟางหนิงโล่งใจขึ้นมาทันที

………………………………………………………

บทที่ 110 ระบบแกรู้จักย้อมแมวขายแล้วเหรอ…
ฟางหนิงเรียกระบบอยู่หลายครั้ง เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่เขาหลับไปกันแน่ แต่เทพแห่งระบบกลับทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และไม่ตอบกลับมาเลย

ฟางหนิงขี้เกียจยุ่งกับระบบงี่เง่านี้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น นิสัยที่อยากไปไหนก็ไปโดยไม่สนใจอะไรของระบบงี่เง่านั่น ไม่นานตนก็จะเจอช่องโหว่ของมันเอง

ตอนนี้มีข้อดีข้อหนึ่งก็คือ เขาสามารถเล่นได้อย่างสบายใจไปอีกพักใหญ่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมันรบกวน

ฟางหนิงกลับไปเล่นเกมต่อ หลังจากที่เขาฟาร์มบอสเสร็จหนึ่งตัวแล้ว ข้อความแจ้งเตือนที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในเกมทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีเล็กน้อย

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น ‘มีเงินทันที’ ที่ประสบความสำเร็จในการก่อตั้งสำนักอันดับหนึ่ง ชื่อสำนัก ‘ลัทธิย่อยออนไลน์อันดับหนึ่งของจื่อซานกวน’ ‘มีเงินทันที’ ได้รับชื่อเสียงหนึ่งหมื่นแต้ม กลายเป็นเจ้าลัทธิของสำนัก ‘ลัทธิย่อยออนไลน์อันดับหนึ่งของจื่อซานกวน’

ฟางหนิงมองประกาศที่เลื่อนไปมาด้วยความอิจฉาและหมั่นไส้ “ไอเท็มจำเป็นสำหรับก่อตั้งสำนัก ‘ตราประทับราชาหมาป่า’ ซึ่งตอนนี้ได้ระเบิดออกมาสามอัน ในตลาดซื้อขายผู้เล่นภายใน ราคาเริ่มต้นที่เงินสดสิบล้าน เรายังไม่กล้าซื้อ แต่แกกลับซื้อโดยไม่ต้องกะพริบตา จอมล้างผลาญจริงๆ! ไม่ควรชื่อ ‘มีเงินทันที’ ควรเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ล้มละลายทันที!’ ซะมากกว่า”

“เดี๋ยวก่อน ทำไมชื่อสำนักที่หมอนี่ตั้งถึงคุ้นหูจัง? นี่ไม่ใช่โรงฝึกก่อนหน้านี้ของหม่าเหล่าเต้าหรอกเหรอ? ตอนฟาร์มกลุ่มแมลง ตาแก่นี่ถูกลูกชายผลาญเงินจนต้องเดินออกไป ออกไปก็ออกไปสิ แต่ที่น่าแปลกคือไม่แสดงอะไรทั้งนั้น ซึ่งต่างจากยอดฝีมืออีกสองคนมาก จะว่าไปหมอนี่ก็ไม่ละอายใจเลย แต่กลับนำเอาป้ายชื่อโรงฝึกมาแขวนในเกมอย่างสง่าผ่าเผย?”

เมื่อรู้ว่ามีหม่าเหล่าเต้าอยู่เบื้องหลัง ฟางหนิงก็รู้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีเงินซื้อไอเท็มสำนัก ‘ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นยอดฝีมือที่ได้รับการยอมรับจากพระโพธิสัตว์ปีศาจและมหาปุโรหิต ฐานะร่ำรวยแน่นอน เทพแห่งระบบใช้เวลานานเท่าไรเอง และได้รับคะแนนจำนวนมาก เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ได้รับมากว่าหนึ่งพันล้าน’

แต่น่าเสียดาย เพราะนี่ไม่เหมือนกัน เงินของเทพแห่งระบบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เขาใช้ได้เฉพาะเงินทุนในบัญชีที่มียอดทั้งหมด 15.5 ล้านเท่านั้น ซึ่งไม่มีความมั่นใจที่จะเอาไปเทียบกับคนอื่นเลย

เมื่อฟางหนิงผู้เล่นเกมใหม่เป็นชีวิตจิตใจเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า จึงแอบตัดสินใจว่าจะพึ่งพาทักษะการเล่นเกมที่ไม่ธรรมดาของเขา มาทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเกมนี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเงิน

ในเวลานี้ ข้อความใหม่ก็ปรากฏขึ้น

‘ลัทธิย่อยออนไลน์อันดับหนึ่งของจื่อซานกวน’ รับสมัครวีรบุรุษทุกสาย และจำกัดให้ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ ค่าเข้าสำนักห้าแสน สวัสดิการของลัทธิคือ สอน ‘หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน’ ให้กับผู้ไม่เคยฝึกฝน สอนจนสามารถฝึกฝนได้ ถ้าไม่ได้คืนเงินเต็มจำนวน

ฟางหนิงตกใจอีกรอบ “ให้ตาย ติดตามตลาดจริงๆ เริ่มฝึกอบรมวิชาชีพแล้วหรือนี่”

ถึ

จะตกใจแต่ฟางหนิงก็ยังคงเล่นเกมต่อไป และไม่ได้ไปดูแจ้งเตือนที่เหล่าคนรวยคุกเข่าอ้อนวอนเพื่อสมัครเข้าลัทธิย่อยออนไลน์อันดับหนึ่งของจื่อซานกวนเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเห็นแล้วเจ็บใจมาก…

ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เจิ้งเต้าก็แจ้งเขาผ่าน QQ ว่า เงินรางวัลจากสำนักสัจธรรมเข้าบัญชีแล้ว

เมื่อเห็นรางวัล ฟางหนิงก็นึกถึงเรื่องที่คนอื่นใช้เงินตั้งสำนักเมื่อครู่ ซึ่งตนยังห่างไกลคำนั้นอีกมากโข ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั่น แค่ซื้อตราประทับตั้งสำนักก็ไม่เหลือเงินทุนซื้ออย่างอื่นแล้ว

จู่ๆ แววตาของเขาก็เป็นประกาย พยายามเรียกหาเทพแห่งระบบอีกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายยังคงฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี

แต่เขายังคงไม่สบายใจ เขาคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้น ก็ผุดยิ้มเจ้าแผนการขึ้นมา แล้วยื่นศีรษะของอัศวิน A ไปกระแทกผนังข้างๆ…

‘ปัง!’ ศีรษะของอัศวิน A กระแทกเข้ากับผนังอย่างจัง

ฟางหนิงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก แต่ผนังก็ถูกเขากระแทกจนเป็นหลุมลึกแล้ว อัศวิน A นั้นแข็งแกร่งจริงๆ ดูท่ารอยบนผนังนี้คงต้องเสียเงินซ่อมอีกมากโข

แต่เมื่อฟางหนิงเห็นสิ่งนี้กลับดีใจ เขาเริ่มบทสนทนากับเจิ้งเต้าทันที

ฟางหนิง “พูดถึงรางวัลสักหน่อยสิ”

เจิ้งเต้า “เงินสดจำนวน 250 ล้านปลอดภาษีทั้งหมด ตอนนี้หน่วยงานร่วมได้รับการอัพเกรดเป็นระดับ 2A หน่วยงานข่าวกรองที่เกี่ยวข้องได้รับการขยาย เปิดตลาดภายในบางส่วน และอนุญาตให้เราเข้าไปทำรายการได้”

ฟางหนิงมองข้ามผลประโยชน์ข้างหลัง เขาพิมพ์ไปว่า “โอนเงินสิบล้านเข้าบัญชีนี้ก่อน…”

เมื่อเจิ้งเต้าเห็นเงื่อนไขการโอนก็เริ่มกังวลเล็กน้อย ‘หรือเพราะนายท่านมังกรเล่นเทคโนโลยีที่ทันสมัยไม่เป็นจึงถูกแฮ็คบัญชี?’

แต่หลังจากที่เขาดูชื่อบัญชีและหมายเลขบัญชีแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การหลอกลวงแน่นอน ‘เพราะมันคือบัญชีธนาคารของท่านมังกรขาวนั่นเอง’

ข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ เขาในฐานะพ่อบ้าน ได้หาเวลาว่างถามท่านมังกรขาวใน QQ ก่อนหน้านี้แล้ว และจำได้อย่างดี

เจิ้งเต้าคิดในใจ ทั้งสองท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ ท่านมังกรขาวกำลังปิดประตูฝึกฝนอยู่คนเดียว ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณจึงโอนค่าใช้จ่ายไปให้อย่างเงียบๆ เพื่อช่วยอีกฝ่ายคลายความกังวลใจ

เจิ้งเต้าตอบกลับทันที “ครับ นายท่านมังกร ผมจะโอนเข้าบัญชีนี้ทันทีผ่านช่องทางการโอนพิเศษ”

หลังจากเจิ้งเต้าส่งข้อความมาแจ้งว่าการโอนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ฟางหนิงก็เข้าสู่ระบบธนาคารออนไลน์อย่างมีความสุขเพื่อตรวจ แต่คิดไม่ถึงว่าในบัญชีจะมีเงินมากขึ้นเป็นสิบล้าน

‘เอาล่ะ ฉันต้องรีบบ้างแล้ว จะล้าหลังคนอื่นมากกว่านี้ไม่ได้ เราเองก็ต้องตั้งสำนัก รับคนที่ไม่เคยฝึกฝน รสนิยมต่ำจริงๆ แต่ฉันจะรับแต่คนที่ฝึกฝน ชื่อว่ามังกรสู่ผู้สูงส่งแล้วกัน ฉันจำต้องเป็นผู้ครองเกมนี้!’

‘ฉันไม่ได้มาเพื่อความสนุกสนาน นี่เป็นการวางแผนสำหรับอนาคตข้างหน้า ซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง ใช้เงินเพียงเล็กน้อยในตอนนี้ จะต้องได้รับคืนเป็นร้อยเท่าในอนาคตแน่นอน จื่อซานกวนเปิดประเภทการศึกษา เช่นนั้นเราก็เปิดประเภทใช้กำลัง’

เมื่อมีเงิน ฟางหนิงเข้าสู่ตลาดการซื้อขายผู้เล่นทันที ขณะที่เขากำลังจะประมูลซื้อตราประทับนั่นเอง ข้อความแจ้งเตือนบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

(บัญชีของคุณถูกระบบโอนออกไปสิบล้าน)

“ให้ตาย…” ฟางหนิงน้ำตาแทบไหล “ระบบแกยังคงเปิดระบบเฝ้าสังเกตอยู่อีกเหรอ! แล้วทำไมตอนฉันชนกำแพงไม่หยุดฉันล่ะ? ฉันควรจะคิดได้แต่แรก แกขี้งกขนาดนั้น จะปล่อยให้ฉันมีช่องโหว่ได้ยังไง! ฉันมันโง่เอง ที่ไปเอาหัวโขกกำแพงแบบนั้น…”

ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ยอมเปิดปาก “อ่า…โฮสต์พูดเรื่องอะไรเหรอ? ระบบไม่เข้าใจเลย ระบบพบว่าเมื่อครู่เจิ้งเต้าโอนเงินผิดบัญชี ระบบก็เลยโอนเงินคืน”

“ระบบบอกไปแล้วนะว่าก่อนหน้านี้ ‘เปิดระบบเฝ้าสังเกตไว้ตลอด จะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับโฮสต์เด็ดขาด’ แต่การกระแทกผนังเมื่อครู่โฮสต์ก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ? ระบบเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดก็เลยไม่ห้าม แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าผนังพังโฮสต์ก็ต้องจ่าย”

ฟางหนิง “หึ ถือว่าฉันโชคร้ายเอง แกรีบกลับฝึกเถอะ ฉันจะเล่นเกมต่อแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร ใช้เงินของฉันซื้อตราประทับตั้งสำนักเองก็ได้”

ระบบ “ระบบไม่สนใจเงินของโฮสต์หรอก เพราะยังไงใช้หมดก็แค่หมด…”

ฟางหนิงกันฟันกรอดคิดจะกัดฟันซื้อตราประทับราชาหมาป่า แต่ก็ได้ยินเทพแห่งระบบพูดขึ้นมาอีกว่า

ระบบ “ปกติโฮสต์ขี้เกียจจนผิดปกติ ลูกน้องทั้งสามก็ปล่อยเลยตามเลย แต่ทำไมในเกมกลับฮึกเหิมขนาดนี้? แถมยังจะเสียเงินสิบล้านเพื่อซื้อตราประทับตั้งสำนักอีก เกมนี้มันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ? ระบบไม่เห็นรู้สึกอะไร”

ฟางหนิง “แกไม่ใช่มนุษย์ สนุกแบบมนุษย์ไม่ได้หรอก แน่นอนว่าเกมนี้สนุก ทั้งอาชีพและสถานะต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกค่าประสบการณ์ในเกมสามารถเปลี่ยนสถานะได้ ภารกิจก็หลากหลายและมีสีสัน ทั้งแนวเรื่องหลักและแนวเรื่องย่อยก็แปลกใหม่และตื่นเต้นไม่หยุด ไม่เหมือนแกสักหน่อยที่ทำได้แต่ฟาร์มปีศาจกับชงชา”

ระบบทำท่าครุ่นคิด “อ้อ ที่แท้โฮสต์ก็ชอบทำภารกิจ ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลย ระบบจะทำตามรูปแบบในเกมของโฮสต์ แล้วสร้างสักสองสามเกม ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปกับของพวกเขาเลย”

ฟางหนิงได้ยินก็ทั้งดีใจและประหลาดใจ “ตอนที่ฉันถูกแกครองร่างแรกๆ ก็ถามแกแล้วว่ามีระบบภารกิจหรือเปล่า แต่ตอนนั้นแกไม่ได้ตอบฉัน หรือว่าวันนี้เป็นจังหวะที่แกจะเปิดใช้งานโมดูลภารกิจ? เราก็สามารถเล่นในโลกออนไลน์ได้แล้วสิ?”

ระบบ “อะไรคือโลกออนไลน์ ไม่เข้าใจ แน่นอนว่าระบบไม่มีระบบภารกิจ และไม่มีการตั้งค่ากฎเกณฑ์ที่จะได้รับรางวัลภารกิจมือเปล่า ถ้ามีล่ะก็…ระบบไปนั่งฟาร์มเองทุกวันแล้ว จะถึงคราวโฮสต์เหรอ?”

“ฉันเห็นว่าแกกระตือรือร้นที่จะทำภารกิจในเกมขนาดนี้ และพวกมันก็ล้วนแต่เป็นของสมมติ เล่นแล้วนอกจากเสียเวลาและเงินตรา ก็ไม่มีอะไรดีอีก”

“ระบบเองก็สามารถสร้างภารกิจเกมให้โฮสต์ได้ แน่นอนว่าแปลกใหม่และตื่นเต้นกว่า ถ้าวันหยุดโฮศต์ไม่มีอะไรทำก็ไปเล่นเกมที่ระบบสร้างขึ้นมาสิ ดูสิว่าระบบดีกับโฮสต์แค่ไหน?”

ฟางหนิงฟังแล้วก็สงสัยว่า “ทำไมแกถึงใจดีแบบนี้ล่ะ ต้องมีบางอย่างผิดปกติ แกกำลังขุดหลุมอะไรสินะ?”

ระบบ “จะมีอะไรผิดปกติได้ล่ะ เราใช้ร่างกายเดียวกัน ถ้าโฮสต์ตายระบบก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน ระบบจะขุดหลุมทำร้ายตัวเองทำไม และภารกิจเกมที่ระบบสร้างขึ้นมานั้น ไม่ได้สนุกอย่างเดียว แต่รางวัลจากภารกิจยังเป็นเงินสด…”

ได้ยินคำว่าเงิน ฟางหนิงก็หูผึ่งทันที เขาขี้เกียจเกินกว่าจะคิดถึงความแปลกที่แฝงอยู่ ‘รายได้ของเขาถูกเทพแห่งระบบควบคุมไว้ ต้องมีผลงานในการฟาร์มปีศาจอัพเลเวลจึงจะได้รับเงินรางวัล’

หากมีแหล่งที่มาประจำ เช่นนั้นตนก็สามารถฟื้นฟูตัวตนของนักรบเงินตรา กลับไปไร้เทียมทานได้อีกครั้ง และรวบรวมลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ได้?

ฟางหนิงร้องขอ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบสร้างภารกิจแปลกใหม่ที่ท้าทายและเงินรางวัลสูงออกมาสิ? ให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

หลังจากที่ฟางหนิงเห็นระบบแจ้งเตือน เขาก็อึ้งไปเลย ‘ไม่ควรประเมินไอคิวของเทพแห่งระบบสูงเกินไป และอย่าประเมินความตระหนี่ของเขาต่ำเกินไป…’

ระบบแจ้งเตือน

ระบบใช้ทักษะการเขียนพู่กันจีนขั้นต้น ทักษะการวาดภาพขั้นต้น ทักษะช่างไม้ขั้นปรมาจารย์ ใช้ค่าประสบการณ์ 100,000 คะแนน ใช้วัสดุเช่นกระดาษขั้นสูง เชือก เป็นต้น สร้างหนังสือภาพเกม ‘ชีวิตออนไลน์’

ระบบใช้ค่าประสบการณ์ 5,000 คะแนน เพื่อสร้างโมดูลภารกิจ

โมดูลภารกิจเริ่มมอบหมายภารกิจเกมให้กับโฮสต์

ภารกิจที่ 1 ‘แผนที่สมบูรณ์แบบ’ คิดหาแผนที่สมบูรณ์แบบในการกำจัดท่านปรมาจารย์ตระกูลไป๋ภายในสามวัน รางวัลภารกิจ ‘เงินสด 500,000’ ระบบจะสร้างโมดูลสกินสถานะของโฮสต์

ภารกิจที่ 2 ‘ไม่อ่อนแอไปกว่าคนอื่น’ ภารกิจหลักที่ไม่กำจัดระยะเวลา ค้นหาสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ทุกๆ ไตรมาส เพื่อเป็นคู่เปรียบเทียบให้กับระบบ รางวัลภารกิจ ‘เงินสด 1,000,000’

หมายเหตุ ‘หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ รางวัลจะถูกโอนไปยังโฮสต์โดยอัตโนมัติ’

ภารกิจทั้งหมดถูกบันทึกในหน้าที่เกี่ยวข้องแล้ว โฮสต์สามารถตรวจสอบความคืบหน้าได้ตลอดเวลา

ฟางหนิงกอดหนังสือเล่มหนึ่งที่ผูกด้วยเชือกหนา ชื่อเรื่องของมันคือ ‘ชีวิตออนไลน์’ เขาสีหน้าเฉยเมยและเอ่ยว่า “ระบบ แกล้อเล่นสินะ เลย ฉันลืมไปแล้วว่าแกเคยเรียนรู้ทักษะการกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรจีน และการวาดพู่กันจีน…”

ระบบ “แต่ระบบเฝ้ามองโฮสต์อยู่หลายเดือน ทักษะการเล่นกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรจีนและการวาดพู่กันจีนที่ระบบได้เรียนรู้มานั้นก็เตรียมพร้อมมาเพื่อวันนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ต่อไปโฮสต์ก็จะได้เล่นสนุก นี่สนุกกว่าเกมออนไลน์ของโฮสต์แน่นอน และโฮสต์ก็ไม่ต้องกลัวว่าระบบจะตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่สามารถเล่นเกมได้อีกต่อไป”

ฟางหนิงยังคงนั่งเหม่อ “นั่นน่ะสิ แกเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีอาจารย์คอยสอนชี้แนะแล้ว และสามารถเข้าใจแก่นแท้ของการย้อมแมวขายอีกด้วย… ฉันหมดคำพูดจริงๆ ภารกิจของแกก็เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ รางวัลก็เป็นค่าตายตัวด้วย ไม่ให้โอกาสฉันได้ต่อรองเลย!”

ระบบ “อ้อ ดูเหมือนโฮสต์จะดีใจจนพูดไม่ถูกสินะ ต่อไปก็เล่นหนังสือเกมภาพนี้ให้สนุกล่ะ ระบบจะมาอัพเดตให้บ่อยๆ ไม่มีบั๊กแน่นอน หลังจากภารกิจแรกเสร็จสิ้นแล้ว ระบบจะให้สกินสถานะกับโฮสต์ ซึ่งดีกว่าเกมที่โฮสต์กำลังเล่นอยู่ในตอนนี้มากแน่”

…………………………………………………………….

บทที่ 109 มีประโยคหนึ่งอยากมอบให้โฮสต์
อัศวิน A ออกมาจากบ้านของตระกูลจ้าว และกลับไปที่ฟาร์มวิลล่าของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มนั่งสมาธิและฝึกฝนทันทีโดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแม้นาทีเดียว

เพิ่งจะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากมา ถ้าเทพแห่งระบบไม่รีบเร่งทำการทดลอง คงจะเริ่มฝึกฝนเพื่อแปลงเป็นความแข็งแกร่งนานแล้ว

การอัพเกรดวิชายุทธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็น ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ หรือ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ล้วนทรงพลังมาก ทักษะและเอฟเฟกต์บัฟแรงกล้า และต้องใช้การประสานกับวิชายุทธ์ระบบศิลปะการต่อสู้ของระบบปัจจุบัน หลังจากอัพเกรดแล้วก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้มาก เพียงแต่ต้องใช้พลังงานมากกว่า และต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลในการอัพเกรดหนึ่งเลเวล

อีกอย่างต้องอัพเกรดระดับด้วย เพราะมีหลายทักษะที่บรรลุจุดสูงสุดจะไม่สามารถอัพเกรดได้อีก แต่เมื่อทำการอัพเกรดจะยังสามารถช่วยเพิ่มค่าสถานะได้

หลายชั่วโมงต่อมา อัศวิน A ผู้กำลังสงบนิ่งจากการนั่งสมาธินั้น ก็เอนร่างล้มลงบนเตียง เขาหยิบผ้าขึ้นมาห่มไว้อย่างดี ท่านอนไม่ต่างอะไรจากฟางหนิงที่ผล็อยหลับไปก่อนหน้านี้ สภาพของผ้าห่มยังคงเรียบสนิทเช่นเดิม…

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ เจิ้งเต้ามาแจ้งว่างานเลี้ยงไล่ปีศาจได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศวินไปเข้าร่วมได้

ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็รู้สึกตัว

เขาลืมตาตื่น สัมผัสได้กำลังวังชาที่ฟื้นฟูแล้วเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความสงสัยเล็กๆ ในใจว่า “น่าแปลกจริงๆ ทำไมรู้สึกว่าการนอนด้วยร่างของตัวเองบนเตียงนอนไม่ต่างจากการนอนในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบก่อนหน้านี้เลยล่ะ?

ช่วงแรกก็รู้สึกสบายตัวอยู่หรอก แต่ว่าช่วงหลังๆ กลับรู้สึกเหมือนเดิม เอาเถอะ อาจเป็นเพราะการฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของเรามีความก้าวหน้าขึ้นมาก เป็นไปได้ว่าตอนนี้จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างการนอนด้วยพลังจิตและการนอนด้วยร่างกาย

หลังจากพอใจกับตัวเองแล้ว ฟางหนิงก็ใช้มือหยิบผ้าห่มกำลังจะลูกขึ้นจากที่นอน แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้าพอดี ‘ให้ตายเถอะหลับไปตื่นหนึ่ง สภาพของผ้าห่มกลับเหมือนเดิมไม่มีผิด เป็นไปได้ยังไง? หลังจากหลับเขาต้องกลิ้งไปกลิ้งมาหลายครั้งสิ ถึงจะรู้สึกสบายตัว ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…’

อย่างไรก็ตาม มีลูกศิษย์รออยู่ข้างนอก ฟางหนิงขี้เกียจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องประหลาดนี้แล้ว จึงสวมเสื้อผ้าและเปิดประตูออกไป

“นายท่าน ในร้านอาหารจัดเตรียมงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านไปกล่าวอะไรกับทุกคนสักหน่อยเถอะ” เจิ้งเต้าเอ่ยด้วยความนบนอบ

“ลำบากคุณแล้วล่ะ” ฟางหนิงว่าพลางก็ออกเดิน “เดี๋ยวคุณเองก็ทานเยอะๆ ล่ะ การฝึกฝนหลังจากนี้ จะใช้พลังงานค่อนข้างมาก”

“ขอบคุณนายท่านที่เป็นห่วง” เจิ้งเต้าตอบ

ในร้านอาหาร ด้านบนของโต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศหลากหลายชนิด รูปร่างนั้นแปลกตาสวยงาม รสชาติก็ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้คนมีความอยากอาหารมากขึ้น

งานเลี้ยงเป็นการกินจานแยก จะมีจานขนาดใหญ่วางไว้ด้านหน้าแต่ละคน ขณะตักอาหาร ใช้ชุดอุปกรณ์ทานอาหารร่วมกันชุดหนึ่ง แต่เมื่อตักทานก็จะใช้ชุดอุปกรณ์แยกอีกชุดหนึ่ง

เจิ้งเต้าอธิบายประเด็นนี้โดยละเอียด เขาเป็นคนรอบคอบและใส่ใจกับทุกสิ่ง

การจัดการรูปแบบนี้ไม่เพียงได้ดูแลเพื่อนสุนัขทั้งสองเท่านั้น แต่ทำให้ท่านอัศวินได้รู้สึกผ่อนคลานด้วย

จากการอยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็นว่า ‘เพื่อนร่วมงานทั้งสองใช้ปากแย่งกระดูกในชามกันโต้งๆ ซึ่งเขาทนกับภาพพวกนั้นไม่ได้จริงๆ’

หากเป็นที่ส่วนตัวก็ไม่ต้องถือสาอะไรหรอก แต่ในเมื่อท่านอัศวินก็อยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

สำหรับชุดอุปกรณ์ทานอาหารของมนุษย์นั้น เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมงานทั้งสองจะใช้ไม่เป็น พวกมันไม่ใช่สุนัขธรรมดา พวกมันสามารถยืดอุ้งเท้าสุนัขของตัวเองให้ยาวขึ้นได้ ให้เหมือนกับมือมนุษย์

เขาเคยเห็นหลายครั้งแล้ว ‘ขณะสุนัขดำกำลังดูวิดีโอหรือรายการทีวีที่บ้าน มันมักจะใช้อุ้งเท้าสุนัขของมันควบคุมเมาส์หรือรีโมทคอนโทรลได้คล่องกว่าเขาเสียอีก ส่วนสุนัขเหลือง เขาเคยเห็นเพียงท่าทางของมันที่ใช้อุ้งเท้าสุนัขค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างระมัดระวัง แต่คิดว่าไม่ต่างกันมากหรอก…’

ฟางหนิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่า นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองกินข้าว?

หลังจากเทพแห่งระบบอัพเกรด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นระดับกลาง เขากินอาหารเพียงเดือนละหนึ่งมื้อใหญ่เท่านั้น และใช้เวลาในการกินหนึ่งวันเต็ม ตัวเขาเองก็ขี้เกียจที่จะต้องเสียเวลากับเรื่องนั้น จึงไม่ได้ให้ระบบคืนเวลากินข้าวให้กับตน

ข้อดีก็คือมีเวลาเล่นเกมเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ข้อเสียก็คือตนไม่ได้เพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสเลย แต่วันนี้สามารถชดเชยได้เล็กน้อยแล้ว

ฟางหนิงนั่งลงสุนัขสองตัวกับอีกหนึ่งคนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่มีบ่าวใช้สำหรับเสิร์ฟอาหาร…

ฟางหนิงเอ่ย “ขอเริ่มงานเลี้ยงไล่ปีศาจตั้งแต่บัดนี้ นี่คือรางวัลสำหรับทุกคน ตามสบายได้เลย อยากกินอะไรก็หยิบเอา ไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจใดๆ”

เจิ้งเต้าพยักหน้าและนั่งลง หลังจากที่ฟางหนิงใช้ตะเกียบชิมอาหารแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือ

เจิ้งเต้ากินอย่างมีมารยาท แต่สุนัขทั้งสองกลับเริ่มแย่งกันอีกแล้ว

สุนัขเหลืองเซวียปาสู้สุนัขดำไป๋หลี่ที่กล้ามเป็นมัดๆ ไม่ได้ เมื่อกินต่อหน้าเจ้านาย มันจึงไม่สามารถใช้ปากแย่งได้ ทำได้เพียงใช้ชุดอุปกรณ์อย่างว่าง่าย ในด้านนี้อุ้งเท้าสุนัขของมันมีความว่องไวน้อยกว่าสุนัขดำมาก ซึ่งความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ…

มันสงสัยอยู่ในใจ ‘เมื่อครู่ฉันเหนือกว่าแกไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมอยู่บนโต๊ะอาหารเจ้าสุนัขดำนี่จึงไม่รู้จักมารยาทแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่ากระดูกชิ้นใหญ่ต้องเสียสละให้ลูกพี่กิน?’

ดังนั้น มันจึงต้องใช้วิชาทางสายตา จ้องไปที่สุนัขดำ “วางกระดูกใหญ่ในจานของลูกพี่สิ…”

สุนัขดำไป๋หลี่กำลังกัดแทะอย่างมีความสุขแล้วตอบกลับมา “เจ้านายบอกว่ากินได้ตามสบาย…”

สุนัขเหลืองเซวียปาหมดคำพูด “พอถึงเวลากิน สมองของแกก็ใช้งานได้ไม่ดีแล้ว?”

“ขอบคุณที่ชม” สุนัขดำพูดพลางใช้ตะเกียบคีบไก่ย่างอีกตัวไปอย่างคล่องแคล่ว “ถ้ากินน้อยไป ฉันจะมีแรงวิดพื้นทุกวันได้ยังไงล่ะ? วันๆ แกอ่านแต่หนังสือ ต้องกินอะไรที่บำรุงสมองให้มาก อย่าจ้องแต่กระดูกใหญ่สิ! ตอนนี้แกกำลังเรียนรู้ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ซึ่งต้องใช้พลังงานสมองมากที่สุด เอาล่ะ ฉันจะตักผักให้ลูกพี่นะ”

พูดจบสุนัขดำก็คีบเมล็ดวอลนัท พุทรา เห็ดหูหนูอะไรทำนองนั้นจากจานอย่างชำนาญ ทุกอย่างที่ได้ชื่อว่าเป็นการบำรุงสมอง จึงตกอยู่ในจานอาหารของเซวียปาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเซวียปาเห็นว่าจานใหญ่ตรงหน้าได้เต็มไปด้วยผักเหล่านี้จนไม่มีที่ว่างสำหรับอย่างอื่นแล้ว มันก็ถลึงตาใส่สุนัขดำอีกครั้ง “ฉันมีประโยคหนึ่งอยากมอบให้กับแก…”

ขณะเดียวกันที่ฟางหนิงกำลังตักอาหาร เขาก็เห็นฉากนี้พอดี จึงพยักหน้าแสดงความพอใจอย่างสุดซึ้ง ‘สุนัขโสดสองตัวนี้ดูเข้ากันได้ดีทีเดียว ดูเหมือนตนก็มีพรสวรรค์ในการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนกัน…’

เจิ้งเต้าที่รู้ความจริงไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่ก้มหน้ากินข้าวต่อไป

ฟางหนิงกินไปส่วนหนึ่ง ได้ลิ้มรสบ้าง ก็รู้สึกเพียงพอแล้ว ‘เทพแห่งระบบทำให้ความอยากอาหารของอัศวิน A มีมากเกินไป ถ้าให้เขากินจนอิ่ม คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกินอะไรแน่’

ดังนั้นเขาจึงลุกออกไป และบอกหนึ่งคนกับสุนัขสองตัวให้ตามสบาย

ไม่นานหลังจากนั้น เจิ้งเต้าเองก็ลุกออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน เขาไม่สามารถอยู่แย่งอาหารกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองได้จริงๆ…

ฟางหนิงกลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มเล่นเกม จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองเล่นเกมมานานแล้วเหมือนกัน

เล่นไปถึงครึ่งทาง เทพแห่งระบบก็ตะโกนขึ้นมา

ระบบ “ระบบขอถามอะไรบางอย่าง?”

ฟางหนิงหยุดเกมและรีบตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็ว่ามาสิ”

แม้จะเป็นเวลาอิสระ ก็ไม่อาจหยิ่งผยองเกินไปได้ อย่างไรก็มีเวลาแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น

ระบบ “อื้ม เมื่อกี้ระบบทำการทด… อ้อ ไม่มีอะไร ระบบก็แค่ถาม อาจารย์ปีศาจงูของโฮสต์ถือได้ว่าเป็นคนชี้ทางการเปิดใช้งานเส้นทางมิอาจเทียบเทียมของเรา ตอนนี้โฮสต์ต้องการที่จะตอบแทนพระคุณอาจารย์ปีศาจงูหรือยัง?

ฟางหนิงขมวดคิ้ว ‘เจ้านี่มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือเกิดอะไรขึ้นกับว่าที่แม่ยายของตน?’

เขารีบถามกลับ “ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือ?”

ระบบ “ไม่ ตอนนี้มีทักษะในตำนานอย่าง ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ หากพวกเขาถูกคุกคามร้ายแรงล่ะก็ ระบบจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างแน่นอน ระบบจะรู้ทันทีโฮสต์ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ระบบถามแค่ว่า ตอนนี้โฮสต์อยากตอบแทนเธออย่างไร?”

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่คิดถึงตนและเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นมีเพียงครอบครัวของประธานจ้าวเท่านั้น เขามองออกว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขานานแล้ว

ฟางหนิงพูดต่อว่า “ตอบแทนเหรอ เมื่อก่อนฉันเคยคิดวิธีมาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้รับ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ไม่ใช่หรอกเหรอ? ถ้าเกิดมีการแจ้งเตือนภัยคุกคาม ฉันจะรีบเรียกให้นายไปช่วยทันที นี่ไม่ใช่วิธีตอบแทนที่ดีที่สุดเหรอ?

“ส่วนวิธีตอบแทนอื่นๆ หลังจากได้รับทักษะนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดอีกเลย ฉันกลัวว่าถ้าเกิดหลังจากที่แกช่วยตอบแทนไปหนึ่งครั้ง ต่อไปถ้าเกิดพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออีก หากแกกำลังฟาร์มบอสใหญ่อะไรหรืออะไรขึ้นมา และบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้ได้ตอบแทนน้ำใจไมตรีของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขาหรอก ’ อะไรทำนองนั้น”

ระบบรีบโต้กลับทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ระบบจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

ฟางหนิงกลอกตา “สิ่งเดียวที่สามารถบังคับแกได้จริงๆ ก็คือกฎ แกเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองมาโดยตลอด ถ้าได้ฟาร์มปีศาจก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น… ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วนี่ ไม่ว่าฉันจะบอกเหตุผลอะไรไปแกก็ไม่ฟัง แกลืมไปหมดแล้วเหรอ?”

“ฉันไม่มีวิธีควบคุมแกหรอก ฉันต้องเก็บความคิดนี้ไว้ ให้กลายเป็นความโหยหาในยามฉุกเฉิน ความโหยหาของฉันนั้นแข็งแกร่งมากพอ มันสามารถกระตุ้นการตั้งค่าลับได้ ต้องทำให้แกยอมช่วยเหลือคนแน่ๆ และถึงยังไงก็ตามไม่ว่าจะกำลังฟาร์มปีศาจอะไรก็ไม่มีทางที่จะสู้ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการตั้งค่าลับได้หรอก ใช่ไหม?”

“แน่นอน ฉันมีนิสัยเหมือนคนธรรมดา มักจะไม่ทำอะไรจริงจัง และในอนาคตข้างหน้าก็คงไม่มีทางสำเร็จทักษะเทพขั้นสูงอะไร แต่ถ้ามีความคิดแปลกใหม่มากหน่อยก็อาจช่วยได้ เทพแห่งระบบท่านมีข้อได้เปรียบมากมายขนาดนั้น ต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเทียบเคียงกับเหล่าบอสใหญ่ในระดับใหม่แต่ละระดับได้ หรือสูงกว่าขั้นหนึ่งดีที่สุด เพื่อไม่ให้ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ต้องกลายเป็น ‘ช่วยตายหมื่นลี้’…”

ระบบ “โฮสต์คุณรู้จักตระหนักในตัวเองจริงๆ แน่นอนว่าระบบต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้โฮสต์พูดหรอก เล่นเกมของโฮสต์ต่อไปเถอะ แค่โฮสต์ไม่ลืมหาปีศาจให้ระบบเยอะๆ ระบบก็ไม่มีทางล้าหลังพวกเขาเด็ดขาด”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่คิดว่าวันนี้นายจะมีเหตุผลมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินที่ฉันพูด ไม่คิดเลยว่าแกจะไม่ถือโอกาสบังคับฉันให้ฝึกฝนล่วงเวลาในอนาคต…”

ระบบ “โอ้ นั่นเป็นเพราะเพิ่งจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลไงล่ะ และตอนนี้ระบบขี้เกียจโต้เถียงกับโฮสต์แล้ว”

ฟางหนิง “อย่างนี้นี่เอง หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันจะกลับไปเล่นจริงๆ แล้วนะ…”

ระบบ “เดี๋ยวก่อน ระบบมีบางอย่างจะพูด”

ฟางหนิงจนปัญญา “ระบบวันนี้แกทำอะไรให้มันได้ใจหน่อยได้ไหม? มีเรื่องอะไรสินะ? หรือต้องการให้ทำความสะอาดขยะระบบ?”

ระบบ “ระบบคิดไม่ถึงว่าวิธีการตอบแทนครอบครัวปีศาจงูของโฮสต์จะเป็นแบบนี้ ไม่แปลกที่ระบบไม่สามารถกระตุ้น… ไม่ โฮสต์มองการณ์ไกลและรอบคอบเสียจริง ไม่คิดว่าจะพิจารณาครบทุกด้านแล้ว! ประมาทโฮสต์ไม่ได้เลยเด็ดขาด เกินคาดอีกแล้ว ตอนนี้ระบบมีประโยคหนึ่งที่อยากมอบให้โฮสต์เป็นอย่างมาก…”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกภูมิใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนแค่พูดออกไปจะทำให้เทพแห่งระบบตกใจได้

สันนิษฐานว่าเจ้านี่จะต้องว่าง่ายไปอีกระยะหนึ่งแน่

เขาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “พูดออกมาเลยสิ ตอนนี้นายอยากพูดว่า ‘โฮสต์เยี่ยมจริงๆ ต่อไประบบจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง จะไม่คลั่งอีกแล้ว’ อะไรทำนองนี้ใช่ไหม?”

ระบบ “ไม่ใช่ แต่เป็นอีกประโยคหนึ่ง ‘ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก!…’

เทพแห่งระบบตะโกนอยู่ข้างหูฟางหนิงจนเขาเกือบจะล้มลงกับพื้น

เขาปิดหู แต่มันไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งระบบกันแน่ และหลังจากเล่นจบไปสามรอบ เสียงนั่นก็ยังเล่นซ้ำในหัวของเขา…”

ตอนนี้สมองของฟางหนิงตื่นเต็มตัวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความผิดปกติที่เห็นตอนตื่นนอน เขาเข้าใจในทันทีแล้วโต้กลับ “เดี๋ยวก่อน หุบปาก! แกแอบขโมยเวลานอนของฉันไปทำเรื่องอะไรบ้าๆ ใช่ไหม? และตอนนี้ก็มาบ่นฉันว่าไม่พูดแต่แรก? ไม่แปลกที่แกจะพูดมากขนาดนี้!”

ระบบหยุดพูดทันที “ไม่มีอะไร ระบบไม่ได้ทำอะไร อ้อ เล่นให้สนุกล่ะ ระบบจะไปฝึกวิทยายุทธ์ต่อแล้ว!”

…………………………………………………………………

บทที่ 108 ปัญหายังคงต้องโยนให้โฮสต์
ประธานจ้าวได้ยินแบบนั้นก็ลุกจากโซฟาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าประหม่าและน้ำเสียงร้อนรนว่า “ที่รัก ไม่มีอะไรใช่ไหม?”

คุณนายจ้าวตรวจจับอย่างละเอียด ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เปี่ยมยิ้ม เธอโบกมือและพูดว่า “อย่ากังวลไป จากสัญชาตญาณสายเลือดนารีมังกรของฉัน ฉันไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ดูเหมือนโอกาสครั้งใหญ่ในเส้นทางแห่งการฝึกฝนของฉันกำลังจะมาถึง!”

หลังจากประธานจ้าวได้ยิน สีหน้าของเขากลับยิ่งประหม่ามากขึ้น

เขาจับใบหน้าที่เริ่มมีกระขึ้น และมองไปที่พุงน้อยๆ ของตัวเอง แล้วมองไปที่โฉมหน้างดงามที่ดูเหมือนสาววัยสามสิบของภรรยา ทันใดนั้นก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

เขาคิดในใจว่า ‘หมู่นี้ภรรยามีความเพียรในการฝึกฝนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากยังไม่ลืมที่จะไปทานข้าวที่บ้านของลูกเขยในอนาคตอย่างสม่ำเสมอแล้ว นับวันเธอก็ยิ่งสนใจเรื่องในบ้านและเรื่องนอกบ้านน้อยลง’

คนรับใช้ในบ้านก็ไม่ได้เห็นหน้าเธอนานแล้ว

และนี่ ต้องรอให้ถึงสิ้นปี จึงจะได้เห็นนายหญิงของตัวเอง

แล้วตอนนี้จะได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่อีกเหรอ หากภรรยาหมกมุ่นกับการฝึกฝนมากเกินไป เธออาจจะทิ้งสามีและลูกสาวเพื่อไปฝึกตนเป็นเซียนก็ได้…

คุณนายจ้าวไม่รู้ว่าสามีของตนตกอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน ทันทีที่เธอพูดจบ จู่ๆ ก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างชนเข้า เธอชะงักและแสดงสีหน้าตกใจ

ในเวลานี้ ดูเหมือนเธอจะพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว จึงรีบหันไปมองทางหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน แต่กลับเห็นเพียงกระถางดอกไม้ไม่กี่กระถาง และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

“ตาแก่จ้าว เมื่อกี้คุณเห็น ‘แสงสีขาวกะพริบ’ อะไรทำนองนั้นไหม?”

“ไม่ได้สังเกต…” ประธานจ้าวตอบตามสัญชาตญาณ แต่ทันทีที่เขาพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และรีบวิ่งไปหาคุณนายจ้าว กางแขนออก และขวางทิศทางหนึ่งเอาไว้ “ไม่ ตอนนี้มันปรากฏตัวแล้ว ที่รัก คุณรีบไปเร็ว…”

คุณนายจ้าวมองไปยังทิศทางที่ตาแก่จ้าวขวางอยู่ทันที ก็เห็นเส้นสีขาวเรียวยาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ซึ่งประธานจ้าวไม่สามารถขวางมันได้เลย มันอ้อมมาและพุ่งเข้าหาตนโดยตรง…

“ที่รักรีบไปเร็วเข้า ขึ้นไปเรียกเหยาเหยาแล้วออกไปด้วยกัน ฉันจะขวางมันไว้ก่อน!” ทันทีที่ประธานจ้าวพูดจบ ก็ถูกคุณนายจ้าวที่อยู่ข้างๆ ตบเข้าที่หัวทีหนึ่ง

“ขวางอะไรกัน! นี่ก็คือโอกาสที่มาถึงของฉัน! รีบหลีกไปซะ!” คุณนายจ้าวไม่เห็นค่าเลยสักนิด แต่กลับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น และยื่นมือผลักสามีตัวเองออกไป

ประธานจ้าวรู้สึกได้ถึงพลังอันแรงกล้าที่มาจากมือของภรรยา จากนั้นก็หมุนตลบไปหลายรอบอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ และสุดท้ายก็ล้มลงบนโซฟาข้างๆ และทำได้เพียงมองภรรยาด้วยแววตาผู้ไร้เดียงสา

เห็นเพียงคุณนายจ้าวมุ่งตรงไปยังเส้นสีขาวสายนั้น ดวงตาเป็นประกาย แววตานั้นเหมือนกับตอนที่เธอเห็นแกะย่างทั้งตัวที่ฟางหนิงยกมาตอนไปงานเลี้ยงครั้งแรก

เส้นสีขาวสายนั้นไหลเข้าไปในร่างกายของคุณนายจ้าว หลังจากนั้น คุณนายเจ้าก็หลับตาลง สีหน้าเปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็นสงบ จากสงบเป็นเคร่งขรึม และสุดท้ายจากเคร่งขรึมก็กลายเป็นศักดิ์สิทธิ์

จังหวะการเปลี่ยนสีหน้านี้ ทำให้ประธานจ้าวรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเหลือเกิน

ประธานจ้าวถามขึ้นด้วยความประหม่า “ที่รัก โอกาสอะไรกันแน่? ทำไมเมื่อกี้รู้สึกว่าคุณตื่นเต้นกว่ากินอาหารมื้อใหญ่ที่ฟางหนิงทำสักอีก?”

“อยู่เงียบๆ ไม่ต้องพูด อย่าเพิ่งรบกวนก่อน ฉันกำลังตระหนักในสัจธรรม…”

คุณนายจ้าวไม่แม้แต่จะลืมตา และไม่ให้คำอธิบายใดๆ

ประธานจ้าวไม่พูดอะไรอีก เพื่อไม่ให้รบกวนภรรยา จึงทำได้เพียงแอบสงสัยในใจ

มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ซ่อนตัวอยู่นอกหน้าต่าง ซึ่งก็เกิดความสงสัยเช่นกันเดียวกัน

ไม่สิ โฮสต์ขี้เกียจสามารถกระตุ้นการตั้งค่าลับได้สองครั้ง และได้รับสองความสำเร็จกล้าหาญพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่ในคำชี้แจงเองก็แจ้งว่า “โฮสต์สำเร็จความโหยหา ‘XX’ อะไรทำนองนั้น”

แต่ความโหยหาทั้งสองของโฮสต์นั้นดูลึกลับ แต่จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดก็เป็นเรื่องเดียวกัน ก็แค่การต้องทดแทนบุญคุณ ใครดีกับฉัน ฉันก็จะดีกับคนนั้น

จะว่าไปการที่ปีศาจงูตัวนี้ถ่ายทอดทักษะวิชา ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เบื้องต้นให้กับโฮสต์ก่อนนี้ ระบบจึงสามารถสรุป ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ฉบับสมบูรณ์ออกมาได้ และหลังจากนั้นถึงจะสามารถชนะศัตรูได้อย่างรวดเร็ว

แม้จะเคยได้ยินโฮสต์บอกว่า ณ ตอนนั้นเธอน่าจะไม่มีจุดประสงค์อื่น แต่ก็ถือได้ว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงกับโฮสต์

ตอนนี้เธอเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งได้รับการตัดสินโดยกฎเกณฑ์ความเป็นมิตร ระบบมอบพลังลึกลับโพธิสัตว์ปีศาจแก่เธอ ซึ่งจำต้องเป็นการช่วยโฮสต์ตอบแทนบุญคุณ

แล้วทำไมตอนนี้ยังกระตุ้นตั้งค่าลับไม่ได้ล่ะ? ต้องสำเร็จความโหยหาของโฮสต์อีกหนึ่งสิ่ง และเปิดใช้งานความสำเร็จกล้าหาญอีกหนึ่งความสำเร็จหรือ?

เป็นไปได้ว่าโฮสต์จะปากไม่ตรงกับใจ และไม่มีจิตสำนึกที่จะตอบแทนพระคุณของอาจารย์ปีศาจงูเลย?

ไม่สิ ดูออกว่าแม้โฮสต์จะขี้เกียจ แต่ก็ยังคงรู้สึกขอบคุณครอบครัวอาจารย์ปีศาจงูของเขา ตอนที่ฆ่าปีศาจฝันร้ายครั้งที่แล้ว เขาเป็นคนพูดด้วยว่าจะปล่อยให้ประธานจ้าวหิวไม่ได้

หรือเป็นว่ากฎเกณฑ์คิดว่าความปรารถนาที่คิดจะตอบแทนบุญคุณของระบบไม่แรงกล้าพอ เช่นนั้นจะลองเติมพลังให้เธอมากขึ้นอีกสักหน่อย…

หลังจากเทพแห่งระบบวิเคราะห์อยู่นาน ก็ควบคุมอัศวิน A ให้รวบรวมกำลัง และส่งไอสีขาวที่หนากว่าเดิมไปยังปีศาจงู

ส่วนประธานจ้าวนั้นตะลึงอยู่ข้างๆ เส้นสีขาวนั้นกลับยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหนาเท่าปากถ้วย! ซึ่งมันน่ากลัวไปหน่อย ภรรยาของเขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?

แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็ไม่กล้าพูดเตือนเหมือนกัน

ถูกต้อง เทพแห่งระบบผู้ตระหนี่แต่ฉลาดแอบขโมยเวลานอนของฟางหนิง มันไม่แม้แต่จะหารือด้วยซ้ำ แต่กลับวิ่งออกมาทำการทดลองอย่างรีบเร่งแล้ว ‘เพียงแค่มาทดสอบสักหน่อยว่าช่วยโฮสต์ตอบแทนบุญคุณจะสามารถกระตุ้นความสำเร็จกล้าหาญอีกหนึ่งประการหรือไม่’

ซึ่งมันเป็นเพราะว่าทักษะในตำนานที่เพิ่งได้รับมานั้นมีค่ามากจริงๆ มันไม่ธรรมดาสำหรับเทพแห่งระบบเลย ไม่ว่าจะฟาร์มบอสใหญ่กี่ตัวก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้

ตอนนั้นฟางหนิงคิดเพียงแค่เรื่องจะช่วยเพื่อนร่วมทีมอะไรทำนองนั้น แต่มันกลับคิดถึงด้านการต่อสู้ อาศัยทักษะนี้ สามารถแสดงลูกไม้ใหม่ๆ ได้จำนวนมาก

นี่ไม่ใช่เพราะไอคิวของฟางหนิงสู้เทพแห่งระบบไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองมีนิสัยการคิดที่แตกต่างกัน ในมุมมองของเทพแห่งระบบ การฝึกวิทยายุทธ์และการอัพเลเวลถึงจะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไรต่างก็ทำเพื่อสิ่งนี้ แน่นอนว่าเมื่อมีอะไรดีๆ ปรากฏ ก็ต้องคิดก่อนว่าจะสามารถใช้ในการฝึกวิทยายุทธ์หรืออัพเลเวลปีศาจได้หรือไม่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าพลังของสารีริกธาตุถูกใช้ไปเกือบครึ่ง ก็ยังไม่มีแจ้งเตือนใดๆ จากระบบปรากฏ ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ต้องผิดหวัง ‘หากต้องการเพิ่มแรงปรารถนาในการตอบแทนพระคุณอีก เว้นแต่จะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ไปเลย หรือมอบของดีอื่นๆ…’

มันจะเป็นไปได้ยังไง… ใช้พลังที่ยังไม่ได้ใช้ชั่วคราวมาทำการทดลอง ลงทุนกับความเสี่ยงครึ่งเดียวยังพอว่า แต่ถ้าต้องมอบของดีที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมากนี้ออกไปนั้นไม่ได้เด็ดขาด

สำหรับสิ่งที่เป็นทักษะวิชานั้น ไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเทพแห่งระบบเลย ถ้าไม่จำเป็นมันจะไม่เปิดเผยเบื้องลึกของตัวเอง เพื่อไปถ่ายทอดทักษะวิชาให้คนอื่น

จนถึงตอนนี้ มันเคยถ่ายทอดทักษะวิชาที่ไม่มีนัยสำคัญให้กับฉีเยียน ที่เหลือนั้น ก็เป็นเพียงผู้ติดตามที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันได้

สุดท้ายเทพแห่งระบบก็ตัดสินใจยอมแพ้ เดี๋ยวรอโฮสต์ตื่น ค่อยโดยเรื่องยุ่งยากนี้ให้เขาดีกว่า…

อัศวิน A บินออกจากหลังคาบ้านตระกูลจ้าวอย่างเงียบๆ เหลือเพียงคุณนายจ้าวที่ตื่นเต้นจนคุมตัวเองไม่อยู่ และตาแก่จ้าวที่เต็มไปด้วยความสงสัย

คุณนายจ้าวที่ดูดซึมพลังจากสวรรค์ แสดงสีหน้าเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ มีท่าทีว่ากำลังจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ ทำให้ตาแก่จ้าวรู้สึกไม่สบายใจ

“ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่คิดว่าฉันนั่งอยู่ที่บ้านจะได้เจอสมบัติจากสวรรค์!” ทันใดนั้นคุณนายจ้าวก็เอามือเท้าเอว และแหงนหน้าหัวเราะลั่น ไม่มีความสุขุมของสตรีผู้สูงศักดิ์เลยสักนิด “เดิมทีพวกนิยายที่เสี่ยวฟางอ่าน เนื้อหาในนั้นก็เป็นเรื่องโกหก แต่ก็มีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงเหมือนกันนะ!”

น้ำเสียงที่คุ้นเคย! ท่าทางที่คุ้นเคย! เมื่อประธานจ้าวเห็นดังนี้ จึงไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไปแล้ว จากท่าทางดีใจจนลืมตัวของภรรยา ไม่สามารถไปเป็นพระโพธิสัตว์ได้หรอก…

หลังจากพูดจบ เมื่อคุณนายจ้าวเห็นว่าสามีกำลังมองตัวเอง จึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองค่อนข้างยั้งสติไม่อยู่

เธอส่งเสียงไอ ‘แค่กๆ ’ “คุณจ้าว เมื่อครู่คุณเห็นอะไรไหม?”

ประธานจ้าวพูดตรงๆ ว่า “ไม่เพียงแต่ไม่เห็นอะไร แต่ยังไม่ได้ยินอะไรด้วย”

คุณนายจ้าวแสดงทีท่าพอใจ “แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”

ประธานจ้าวคิดในใจ ‘ผมจะไปรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น? ผมรู้เพียงแค่ว่าคุณจะหมกมุ่นมากเกินไปแล้ว’

แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดแบบนี้ จึงพลั้งปากว่า “คุณทำบุญสร้างกุศลมาโดยตลอด ถือศีลกินเจมาก็ไม่น้อย เมื่อครู่ขณะแสงสีขาวดวงนั้นสัมผัสกับคุณโดยตรง ก็เห็นคุณมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้น หรือเป็นความเมตตาจากพระโพธิสัตว์ ที่มาช่วยคุณในการฝึกฝน?”

เมื่อคุณนายจ้าวได้ยินก็ตะลึงในคำพูดทันที และกวาดมองสามีของตนตั้งแต่หัวจรวดเท้า แน่ใจแล้วว่ายังเป็นสามีคนเดิมจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เลวนี่ ตาแก่จ้าว ในการฝึกฝนคุณเปิดได้เพียงหกทวารจากทวารทั้งเจ็ด แต่ประสบการณ์ความรู้ของคุณกลับไม่เลวเลย ไม่เสียเงินเปล่าไปกับการซื้อข้อมูลมากมายเช่นนั้นจริงๆ เหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นในวันนี้เกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์จริงๆ หลิ่วหรูอย่างฉันก็จะสามารถฝึกตนให้กลายเป็นไป๋ซู่ได้… ไม่ ไม่ หมายถึงมีความเป็นไปได้ที่จะบำเพ็ญตบะสำเร็จน่ะ”

ประธานจ้าว “ดูเหมือนผมจะได้ยินชื่นที่ค่อนข้างคุ้นเคย…”

“นั่นเป็นเพราะคุณได้ยินผิด รีบลืมมันไปซะ” คุณนายจ้าวโบกมือ และไม่มีทีท่าปฏิเสธ “เดี๋ยวฉันจะไปดูลูกสาวสักหน่อย และแบ่งปันความเมตตาของพระโพธิสัตว์ให้เธอฟัง คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนเลย รอให้ฉันฝึกจนก้าวหน้าสักนิดค่อยว่ากันอีกที”

ประธานจ้าว “เรื่องนี้ผมรู้ แต่คุณอย่าหักโหมเกินไป ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับความปลอดภัยของครอบครัวไว้ที่ตัวเอง เสี่ยวฟางเจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งมาก แม้แต่มังกรตัวจริงก็กินเพียงอาหารของเขา เท่ากับว่าเรามีคนที่สามารถพึ่งพาได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ที่ผมได้รับการช่วยเหลือครั้งที่แล้วนั้น ล้วนแต่เป็นเพราะเสี่ยวฟาง เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่ได้พูดแบบนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงคนของสำนักสัจธรรมไปตรวจสอบเขาอีก เพราะเจ้าเด็กนั่นกลัวความยุ่งยากมากที่สุด”

คุณนายจ้าว “เฮ้อ ตอนนั้นฉันตกใจมากจริงๆ! คุณพูดถูก โชคดีที่มีเสี่ยวฟางอยู่ เราจึงมีคนที่พึ่งพาได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เขาเก่งมากจริงๆ เมื่อก่อนฉันยังเข้าใจผิดว่าเขาจะเป็นมังกรตัวจริงเสียอีก แต่ไม่คิดว่าข้อมูลที่ซื้อมาได้เร็วๆ นี้นั้น บอกว่าเขาเป็นมังกรตัวจริง น่าเสียดายแม้ว่าเขาจะเป็นเผ่าเดียวกับฉัน แต่เขาอยู่อีกโลกหนึ่ง ความเป็นญาติจึงค่อนข้างไกล ไม่เช่นนั้นสามารถไปทำความรู้จักกันถึงที่โดยตรง…” ไอรีนโนเวล

“แต่ตอนนี้สถานการณ์คาดเดาได้ยาก ตัวเองต้องแข็งแกร่งจึงจะเป็นผลดี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอันตรายใกล้เข้ามา มังกรตัวจริงก็ไม่สามารถมาถึงในทันที ดังนั้น ฉันจึงจำเป็นต้องรีบฝึกฝน อย่างน้อยเมื่อเกิดอันตราย จะสามารถยื้อจนรอให้เขามาถึง”

เมื่อประธานจ้าวได้ยินก็รู้สึกตื้นตันใจ จึงเดินมาโอบไหล่ภรรยา “ลำบากคุณแล้วจริงๆ คุณอยากทานอะไรอร่อยๆ ไหม เดี๋ยวให้คนเตรียมวัตถุดิบ ผมจะทำให้คุณทานเอง”

คุณนายจ้าวกลอกตา และพูดอย่างไม่แยแสว่า “เอาเถอะ คุณอย่าทำลายของดีเลย รอพรุ่งนี้เมื่อเสี่ยวฟางมาถึง ให้เขาทำเถอะ”

ประธานจ้าวรู้สึกจนปัญญา “เชิญเสี่ยวฟางมาที่บ้าน เพื่อเป็นแขกรับเชิญ ปีนี้จะผ่านไปแล้ว เขาอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป มีที่ไหนบนโลกที่ให้แขกรับเชิญทำอาหารบ้าง?”

คุณนายจ้าวถลึงตาใส่ตาแก่จ้าว “ทำไม? ฉันเป็นทั้งอาจารย์และว่าที่แม่ยายของเขาเชียวนะ พรุ่งนี้ฉันเองก็จะแบ่งปันรางวัลจากพระโพธิสัตว์นี้ให้เขาด้วย ฉันมองเขาเป็นคนในครอบครัวนานแล้ว ให้เขาเข้าครัวสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?”

ประธานจ้าว “เฮ้อ เสี่ยวฟางเป็นคนว่าง่าย ทุกครั้งที่คุณไปทานข้าว พวกเราก็รบกวนเขาไม่น้อยอยู่ไม่น้อย ครั้งนี้ให้เขาพักสักหน่อยเถอะ”

คุณนายจ้าวจนปัญญา “ตกลง คุณพูดแบบนี้แล้ว พรุ่งนี้คุณก็ทำอาหารเองเถอะ ดูสิว่าลูกสาวสุดที่รักของคุณจะกินลงไหม?”

ประธานจ้าวส่ายหน้าไปมา “เป็นไปไม่ได้ที่จะกินไม่ลง เหยาเหยาชอบกินอาหารที่ฉันทำมากที่สุด”

…………………………………………………………………

บทที่ 107 ระบบตัดสินใจทำการทดลอง
ฟางหนิงหยิบ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มใหญ่ออกมาและยื่นให้หมาเหลืองเซวียปา

หมาเหลืองเซวียปารีบยืนสองขา และยื่นขาหน้าทั้งสองข้างออกไปรับ

ฟางหนิงไม่ได้สนใจ และวางลงบนขาของมันโดยตรง

เสียง ‘บู้ม’ ดังขึ้น หมาเหลืองเซวียปาทรงตัวไม่อยู่ มันล้มลงกับพื้น แต่ในชั่วพริบตา มันก็พลิกตัว และรับหนังสือเล่มหนาด้วยท้องอันอ่อนนุ่มเอาไว้ โดยไม่ปล่อยให้หนังสือเปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย

สมแล้วที่เป็นสุนัขเด็กเรียนชอบอ่านหนังสือ หวงแหนหนังสือทีเดียว ฟางหนิงจึงตระหนักได้ว่าตัวเองคิดไม่รอบคอบเอาซะเลย สุนัขเด็กเรียนฉลาดเกินไป จึงมองมันเป็นมนุษย์โดยไม่รู้ตัว มันเพิ่งฟื้นตัวเล็กน้อย การวิ่งเร็วเพราะใช้สี่ขา ตอนนี้ใช้สองขาหน้าถือหนังสือเล่มหนาเล่มนี้ไว้ และต้องยืนด้วยอีกสองขา จึงยากที่จะทรงตัวให้อยู่

ฟางหนิงจึงต้องก้มลงหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้น เขาไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีวิทยายุทธ์แบบเทพแห่งระบบ พลังจิตวิญญาณแห่งเทพที่ได้ฝึกฝนมาก็ไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่อย่างนั้นก็ควรจะให้หนังสือลอยขึ้นมาเอง จึงจะน่าเชื่อถือมากกว่า

เมื่อหมาดำไป๋หลี่เท่อได้ยินเสียงนั้น มันก็ยกศีรษะขึ้นจากขาหน้าอย่างเงียบๆ มันเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาดูหมิ่นให้เพื่อนของมัน “ดูสิ วันๆ แกเอาแต่อ่านหนังสือ ขาดการออกกำลังกาย แม้แต่หนังสือเล่มเดียวก็ถือไม่ไหว ไร้ประโยชน์จริงๆ ระวังตอนแก่จะป่วยและพิการล่ะ…”

หมาเหลืองมองกลับ “เรื่องของฉัน…”

ฟางหนิง “เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปไว้ในห้องหนังสือ พวกแกอย่าลืมจับตาดูหนังสือให้ดี อย่าให้คนนอกเข้าใกล้ นอกจากเจิ้งเต้า ฉันจะบอกเขาเองในตอนหลัง เซวียปาตอนนี้แกเรียนรู้เองก่อน แล้วค่อยสอนเขา ยังไงแกก็มีความรู้ด้านการฝึกฝนมากมาย น่าจะเรียนรู้ได้ไวกว่า”

หมาเหลืองลุกขึ้นนั่งยองๆ “เจ้านายวางใจได้ แม้เซวียปาจะจะไม่กินไม่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็จะทำความเข้าใจกับหนังสือเล่มนี้ให้เร็วที่สุด และถ่ายทอดให้กับเจิ้งเต้า”

ฟางหนิง “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดี ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มยังพอมีเวลาเหลือ ฉันทำงานหนักมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวจะพักสักหน่อย เซวียปาตอนนี้แกไปห้องหนังสือกับฉันก่อน และเฝ้าหนังสือให้ดี ไป๋หลี่แกกำยำล่ำสัน ตามมาเฝ้ายามให้กับห้องหนังสือแล้วกัน อย่าปล่อยให้ใครรบกวนเซวียปา งานเลี้ยงไล่ปีศาจยังต้องใช้เวลาเตรียมการอีกสักพัก อย่าให้เสียเวลาเปล่า”

พูดจบ ฟางหนิงก็หยิบหนังสือขึ้นและเดินไปยังห้องหนังสือ

หลังจากฟังคำสั่งของเจ้านายแล้ว เจ้าหมาเหลืองก็กระดิกหางเดินตามไปอย่างภาคภูมิใจ ส่วนเจ้าหมาดำก็ทำได้เพียงเดินตามอีกฝ่ายอย่างหมดอาลัยตายอยากด้วยท่าทางราวกับกำลังโค้งคำนับให้กับลูกพี่คนใหม่

หลังจากฟางหนิงไปถึงห้องหนังสือและวาง ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ บนโต๊ะ แล้วสั่งการเพียงไม่กี่คำ เขาก็บอกว่าตัวเองจะไปพักผ่อนและให้มันตั้งใจศึกษา

หมาเหลืองเซวียปาพยักหน้า ทันทีที่ฟางหนิงออกไป มันก็รีบไปที่โต๊ะ นั่งยองๆ บนเก้าอี้แล้วตั้งตัวตรง และใช้ขาหน้าข้างหนึ่งเปิดหนังสือเล่มหนาเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง

ในเวลานี้ เจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อกำลังหมอบอยู่หน้าประตูห้องอ่านหนังสือ โดยทำตามคำสั่งของเจ้านาย ทำหน้าที่ผู้รักษาความปลอดภัยอย่างว่าง่าย

หลังจากที่หมาเหลืองเซวียปาเปิดอ่านคร่าวๆ แล้ว มันก็พูดอย่างตื้นตันใจว่า “ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ไม่ธรรมดาจริงๆ คิดไม่ถึงว่าภายในหนังสือจะสมบูรณ์และประณีตทั้งข้อความและภาพประกอบ และอธิบายได้ละเอียดมาก ถ้าฉันทำไม่ได้อีก ก็ไม่ต่างจากเจ้าหมาบ้ากล้ามบางตัว! เจ้านายช่างดีกับเราเสียจริง ฮือๆ ตื้นตันใจจริงๆ…”

เมื่อเจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อได้ยิน ก็คิดว่าสุนัขเด็กเรียนจงใจอวดอีกแล้ว

มันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จึงหันไปมอง แต่เห็นว่าเจ้าหมาเหลืองกำลังน้ำตาคลอเบ้าจริงๆ พลันพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “โอ้ว เจ้าสุนัขเด็กเรียน ไม่คิดว่าแกจะเอาจริง น้ำตาจะไหลออกมาอยู่แล้ว ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง? แกเพิ่งร้องไห้ครั้งล่าสุดตอนจะโดนหนูยักษ์ต้มไม่ใช่หรือ?”

“หมาบ้ากล้ามอย่างแกไม่เข้าใจหรอก” หมาเหลืองเซวียปาใช้ขาหน้าเช็ดน้ำตา และส่งสายตา ‘ดูหมิ่น’ จากนั้นก็ตกไปในความทรงจำอันยาวนาน “คิดๆ แล้วเซวียปาก็ติดตามเจ้านายมาทั้งหมดสองคน และทำตัวสุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวังมาโดยตลอด เจ้านายเองต่างก็ดีกับฉัน อนุญาตให้ฉันเปิดอ่านหนังสือได้ตามต้องการ แต่ทักษะวิชาระดับสูงเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด ไม่แม้แต่จะให้ฉันได้เห็นแม้แต่ตัวอักษรเดียว ซึ่งมันก็คือธรรมชาติของมนุษย์ ฉันไม่เคยปรารถนาสักนิด แต่ทักษะวิชาที่ฉันกำลังฝึกฝนอยู่ตอนนี้ ฉันต้องแลกด้วยครึ่งชีวิตของตัวเองถึงจะได้มา”

“หลังจากติดตามเจ้านายคนใหม่ ฉันทำงานเพียงเล็กน้อย เจ้านายใหม่ก็ปฏิบัติกับฉันดีเช่นนี้ ฮือๆ แกรู้ไหมว่าทักษะวิชาในหนังสือเล่มนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก ถือเป็นสมบัติล้ำค่าในโลกของเราเลยล่ะ”

“ไม่เพียงเท่านี้ แต่ในหนังสือเล่มนี้ยังบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนทั้งหมดเอาไว้ ซึ่งได้อธิบายอย่างชัดเจนด้วยภาพและข้อความ แกเองก็รู้ว่าไม่ว่าที่ใดก็ตาม เคล็ดลับการฝึกฝนทักษะวิชาระดับสูงเช่นนี้จะถ่ายทอดผ่านคำพูดจากปากต่อปากเท่านั้น จะไม่มีการบันทึกเป็นข้อความ คิดไม่ถึงว่าเจ้านายกลับเขียนลงบนหนังสือทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าเขาไว้ใจสุนัขอย่างฉันมากแค่ไหน ฉันจะตั้งใจศึกษา รีบฝึกให้สำเร็จโดยเร็ว และช่วยเหลือเจ้านายให้มากกว่าเดิมในอนาคต…

หมาดำไป๋หลี่เท่อเป็นสุนัขนักกล้าม ไม่เคยสนใจที่จะอ่านหนังสือเลย แต่การฝึกฝนไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมันแน่นอน มันเป็นสุนัขนักกล้ามที่เสพติดการฝึกฝน และเข้าใจในความทรงพลังของการฝึกฝนมากที่สุด

มันไม่ได้ตอบโต้ในทันที แต่กลับพยักหน้า “แกพูดถูก เคล็ดลับการฝึกฝนคือสิ่งล้ำค่าที่สุด ทักษะวิชาที่ฉันได้ฝึกฝนนั้น ก็ได้รับหลังจากที่ได้สร้างผลงานที่ต้องเสี่ยงตายเลยทีเดียว เจ้านายคนใหม่มีความจริงใจกับเราจริงๆ เอาล่ะ ไป๋หลี่เท่อจะไม่ลืมที่จะออกกำลังกาย รีบฟื้นฟูความแข็งแกร่ง รีบสร้างผลงาน และให้เจ้านายสอนให้ฉันด้วย”

หมาเหลืองเซวียปาตอบกลับ “อืม จิตสำนึกของแกไม่เลว แค่สร้างผลงานสักหน่อย เจ้านายจะต้องสอนแกด้วยแน่ ดังนั้นตอนนี้ต้องเชื่อฟังเจ้านาย เฝ้าประตูให้ฉันดีๆ อย่าปล่อยคนนอกเข้ามาแม้แต่คนเดียว หลังจากฉันอ่านจบและท่องได้แล้วก็จะคืนให้เจ้านายโดยเร็ว จะปล่อยให้เคล็ดลับการฝึกฝนเหล่านี้รั่วไหลออกไปไม่ได้”

หมาดำไป๋หลี่เท่อพยักหน้าเห็นด้วยและนั่งเฝ้าประตูอย่างว่าง่าย

หลังจากนั่งเฝ้าประตูอยู่พักหนึ่ง มันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนว่ามันได้ลืมสิ่งที่สำคัญอย่างมากไป

มันคิดไม่ออกอยู่พักใหญ่ และเมื่อเห็นว่าสุนัขเด็กเรียนกำลังใจจดใจจ่อกับหนังสือ จึงไม่กล้าถาม

ตอนนี้มันคือสุนัขตัวโปรดของเจ้านาย กำลังโด่งดัง และเป็นลูกพี่คนใหม่ จะไปรบกวนลูกพี่อ่านหนังสือไม่ได้ เจ้านายเองก็พูดชัดเจนแล้ว

หมาดำครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ‘บ้าจริง ที่แท้ตัวเองก็ลืมวิดพื้น!’

การเฝ้ายามจะไม่ทำให้ฉันเสียเวลาหรอกหรือ? อย่างไรก็ตาม ตนจมูกไวอยู่แล้ว ถ้ามีใครเข้าใกล้จำต้องได้กลิ่นแต่ไกล ไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่งแบบนี้หรอก

ดังนั้น มันเริ่มวิดพื้นไป เฝ้ายามไป…

ช่างเป็นสุนัขที่โง่เขลาเสียจริง หมาเหลืองรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวนี้ เมื่อเห็นเจ้าหมาดำกำลังวิดพื้น ก็พลันกลอกตา แต่ขี้เกียจสนใจมัน จึงฟุบอ่าน ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ …

ฟางหนิงง่วงนอนมาก แต่เขายังคงอดทนกับความง่วง และกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องต่างๆ ของงานเลี้ยงไล่ปีศาจ

“เจิ้งเต้า การไล่ปีศาจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แกก็มีความดีความชอบในการจัดการประสานอยู่มาก ฉันตัดสินใจจะถ่ายทอดทักษะวิชาระดับสูงให้แก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าให้รั่วไหลออกไปเชียวล่ะ”

เมื่อได้ยินที่เทพมังกรศักดิ์สิทธิ์พูด เจิ้งเต้ารีบพูดขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้อยู่ในขอบเขตของนายท่าน ไม่จำเป็นต้องให้รางวัล”

ฟางหนิงโบกมือ “ไม่ต้องพูดมาก แกสามารถไปเรียนรู้กับเซวียปาในภายหลัง เมื่อครู่ฉันสั่งมันไว้แล้ว ตอนนี้มันน่าจะกำลังเรียนรู้ทักษะวิชาเล่มนั้นอยู่ แกไปยุ่งเรื่องของตัวเองเถอะ ฉันทำงานหนักเกินไป ต้องการพักผ่อนสักหน่อย”

เจิ้งเต้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก เพิ่งผ่านมานานเท่าไรเองที่ท่านเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ถ่ายทอดทักษะตัวเบาขั้นสูงให้เราด้วยตัวท่านเอง นี่เป็นแค่หน้าที่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าท่านเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์จะใช้โอกาสนี้ในการถ่ายทอดทักษะวิชาคงกระพันให้เราด้วยตัวเองอีก นั่นเป็นเพราะกลัวว่าเราเองจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้และจะถูกปีศาจมาทำร้ายอีก

เขารู้ได้จากน้ำเสียงของท่านเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ว่าง่วงนอนมาก ดูเหมือนการกำจัดปีศาจครั้งนี้เหนื่อยมากจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพียงแค่จดจำน้ำใจไมตรีนี้ไว้ในใจลึกๆ จากนั้นก็โค้งคำนับและจากไป

เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไป ฟางหนิงจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเดี่ยวชั้นบนของอัศวิน A ในที่สุดก็สามารถนอนพักจริงๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง

การเป็นเจ้านายไม่ง่ายเลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องใช้เวลานานมาก นี่มีลูกมือแค่สามคนเท่านั้น ถ้ารับลูกมือเพิ่มอีกสองสามคนล่ะก็ จะเอาเวลาที่ไหนมาเล่นเกมอยู่ที่บ้านอีก?

ฟางหนิงนอนอยู่บนเตียงและถอนหายใจ

เขาพบว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใช้ร่างของตัวเองนอนเป็นเวลานานแล้ว นี่อาจแปลกเล็กน้อย แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก นอนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่การใช้ร่างกายของตัวเองนอนมันหลับสบายมากกว่า…

หลังจากฝึกฝน ความคิดฟุ้งซ่านก็หายไปอย่างรวดเร็ว อยากนอนหลับก็หลับ ฟางหนิงหลับตาลงไม่นานก็ผล็อยหลับไป

หลังจากฟางหนิงหลับไปไม่นาน แจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้น

ระบบกำลังคิด…

ระบบกำลังคิด…

ระบบตัดสินใจทำการทดลอง…

แม้ว่าระบบแจ้งเตือนจะชัดเจนมาก แต่ในเวลานี้ฟางหนิงกลับหลับลึก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าเจ้าไอคิวที่มักจะค้างชำระเงินกำลังจะเริ่มเดินทางเพียงลำพังอีกครั้ง…

หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที ร่างกายของอัศวิน A ก็ลุกขึ้นจากเตียงจริงๆ

คงไม่ต้องบอกนี่เป็นเพราะเทพแห่งระบบรู้สึกว่าโฮสต์หลับไปแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงได้แอบกลับไปครองร่างอีกครั้ง ปากบอกว่าให้อิสระโฮสต์เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่ในเมื่อโฮสต์หลับไปแล้ว อย่างไรก็ตามการรีทรีทจะสามารถใช้เวลาตื่นตัวของโฮสต์ได้ มันไม่มีทางปล่อยร่างกายให้เสียเปล่าแน่นอน

ฟางหนิงไม่รู้เลยว่าระบบแอบใช้เวลานอนของเขา ซึ่งก็แค่ห้านาที…

อัศวิน A เปิดหน้าต่างและลอยออกไป

ไม่มีใครในฟาร์มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาเลย นอกจากเจ้าหมาดำและเจ้าหมาเหลืองในห้องหนังสือ ที่ได้กลิ่นเจ้านายของตัวเองกำลังออกจากฟาร์มวิลล่าอย่างรวดเร็ว

สุนัขทั้งสองรู้สึกตื้นตันใจ ‘เจ้านายบอกว่าไปพักผ่อน ซึ่งน่าจะยังพักไม่ถึงห้านาทีหรือเปล่า? จะออกไปผดุงคุณธรรมอีกแล้ว ความขยันหมั่นเพียรนี้ มีใครบนโลกสามารถทำได้อีกไหม? พวกฉันจะต้องขยันให้มากกว่านี้’

ทันใดนั้น เจ้าหมาดำก็ได้เร่งความถี่ในการวิดพื้น ส่วนเจ้าหมาเหลืองเองก็เร่งความเร็วในการพลิกหนังสือด้วย…

อัศวิน A ตรงไปตลอดทางประหนึ่งมีจุดหมายที่ชัดเจน

ในที่สุดเขาก็ลงจอดอย่างเงียบๆ ในฟาร์มวิลล่าชานเมืองอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับของเขามาก

ในเวลานี้คุณนายจ้าวนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงใหญ่ มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ที่นั่นด้วย พ่อบ้าน คนสวน รปภ. หมอส่วนตัว ครูสอนพิเศษ ฯลฯ ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีคนกว่าสิบคน

กองกำลังนี้ใหญ่กว่าของฟางหนิงมาก แต่เขาก็สามารถจัดการให้เป็นระเบียบโดยไม่รู้สึกยุ่งยากอะไรเลย ในทางกลับกัน ฟางหนิงซึ่งต้องดูแลผู้ติดตามเพียงสามคนก็ยังดูแลไม่ทั่วถึงนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้านายเลยจริงๆ

คุณนายจ้าวใบหน้าเปี่ยมเมตตา และพูดกับพวกเขาว่า “เพียงพริบตาเดียวก็ย่างเข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว อีกไม่นานก็ถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว ลำบากทุกคนแล้วนะ ไม่ง่ายเลยที่ต่างก็ผ่านปีนี้มาได้อย่างปลอดภัย หลังจากนี้พวกคุณไปรับอั่งเปาที่พ่อบ้าน ถือว่าเป็นรางวัลปีใหม่ล่วงหน้าแล้วกัน ส่วนคนที่ต้องการกลับบ้านในช่วงปีใหม่ ต้องระมัดระวังความปลอดภัยให้มาก อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว ให้ไปในที่ที่มีคนมาก”

“ขอบคุณคุณนาย” ทุกคนต่างแสดงสีหน้าซาบซึ้ง ทุกครั้งที่มีวันสำคัญเจ้านายก็มักจะให้เงินฉลองเทศกาล ให้ในวันปีใหม่ และตรุษจีนจะได้มากกว่า ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำความผิดใหญ่หลวง ทุกคนจะได้รับเงินก้อนโต

“เอาล่ะ พวกคุณไปได้แล้ว”

ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานต่อ

คุณนายจ้าวมาที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อหาประธานจ้าว

“ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว พรุ่งนี้คุณเชิญเสี่ยวฟางมาที่บ้านหน่อยสิ”

เมื่อประธานจ้าวได้ยินก็เงยหน้าขึ้น และวางหนังสือพิมพ์ในมือลง บนหนังสือพิมพ์มีพาดหัวข่าวสีดำอันเขย่าขวัญ ‘พบศพลอยน้ำปริศนาในพื้นที่ขนาดใหญ่ของน่านน้ำทางเหนือ สงสัยว่ามาจากทางตะวันออก’

“นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว” ประธานจ้าวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะส่งข้อความวีแชทให้เจ้าเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้เลย”

คุณนายจ้าว “อื้ม เหยาเหยายังฝึกกู่ฉินอยู่ที่ชั้นบนไหม?”

ประธานจ้าว “ใช่ โรงเรียนของเธอกำลังจะจัดงานราตรีวันปีใหม่ เธอเองก็ได้สมัครเข้าร่วมรายการโชว์ด้วย กำลังฝึกเพลงโบราณเพลงหนึ่งที่ชื่อ ‘กว่างหลิงส่าน’ และยังบอกอีกด้วยว่าเป็นเวอร์ชันจีคังหรืออะไรทำนองนั้น ผมไม่เข้าใจ”

“เด็กผู้หญิงควรเรียนรู้กู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรจีน และการวาดพู่กันจีนให้มากเข้าไว้” คุณนายจ้าวไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงแค่พยักหน้าแสดงความพอใจเท่านั้น ดูเหมือนเธอจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจว่า “เอ๊ะ ดูเหมือนฉันจะเห็นอะไรบางอย่างแวบผ่านไป ตาแก่จ้าวคุณอย่าเพิ่งขยับนะ ฉันจะไปดูรอบๆ สักหน่อย”

……………………………………………………………

บทที่ 106 ความสำเร็จที่กล้าหาญ ‘น้ำใจไมตรีที่มิอาจเทียบเทียม’!
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ฟางหนิงเป็นคนใจอ่อน

ภายในเวลาไม่ถึงนาที หมาดำก็กลับมารายงานด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ‘หลังจากมันแจ้งเจิ้งเต้าเสร็จ อีกฝ่ายก็ได้เริ่มโทรศัพท์หาพ่อครัวฟาง ทีมพ่อครัวของร้านอาหารตระกูลฟางกำลังมุ่งหน้ามายังที่นี่อย่างรีบเร่ง…’

เดิมทีเขาอยากจะตำหนิหมาดำกับท่าทางเอ้อระเหยที่ไม่ฟังคำพูดของเจ้านายให้จบ แต่เมื่อเห็นสีหน้า ‘รีบมาชมผมเถอะ’ ของอีกฝ่าย ฟางหนิงจึงตัดสินใจให้อภัยสุนัขโง่เขลาตัวนี้

อย่างไรก็ตาม มันเองก็ได้ทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างตน เพียงแต่ลงมือเร็วไปหน่อย ก็เพราะมันชื่อ ‘ไป๋หลี่เท่อ’ น่ะสิ

ช่วยไม่ได้ สุนัขของใคร ใครก็รัก ถึงจะโง่ไปหน่อย แต่ก็ถือว่าฉลาดแล้ว ทว่าความกดดันคงมาตกอยู่ที่เขาแทนแล้วนี่สิ เพราะสุนัขฉลาดมักหลอกยาก

ฟางหนิงส่งเสียงไอ ‘แค่กๆ’ และพูดต่อว่า “เอาล่ะ ไป๋หลี่เท่อความกระฉับกระเฉงในการปฏิบัติตามหน้าที่ของแกดีเยี่ยม เรื่องนี้ขอชมเชย แต่ว่า ครั้งต่อไปอย่าลืมฟังฉันพูดให้จบก่อนล่ะ แล้วค่อยไปปฏิบัติตามหน้าที่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมาเหลืองเซวียปาก็ส่งสายตา ‘ดูถูก’ ให้กับเพื่อนที่เพิ่งทำภารกิจที่ต้องใช้ความเร็วเสร็จ ‘เจ้าไป๋หลี่ ดูแกสิ ไม่รอบคอบเอาซะเลย โดนตำหนิแล้วล่ะสิ? แกเรียนรู้ที่จะสุขุมแบบฉันไม่ได้เหรอ?’

จากการแย่งอาหารกันของสุนัขสองตัวนี้ในหลายวันที่ผ่านมา แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพื่อนยาก แต่หมาเหลืองเซวียปาก็ต้องการตั้งตัวเองให้เป็นลูกพี่ที่แท้จริง อย่างน้อยกระดูกชิ้นใหญ่ก็ต้องเป็นของมัน…

ดังนั้น มันจึงกดหมาดำให้ต่ำอยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับโดยดี…

หมาดำไป๋หลี่เท่อส่งสายตาเฉยเมยกลับ ‘เจ้านายกำลังชมเชยฉันชัดๆ เมื่อครู่เจ้านายบอกด้วยว่าความกระฉับกระเฉงในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันดีเยี่ยม ครั้งต่อไปฉันจะวิ่งให้เร็วกว่านี้อีก’

หมาเหลืองเซวียปาหมดคำพูด ‘ดูแกสิ ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย มีแต่กล้ามเนื้อเน้นๆ ถึงไม่รู้ว่าคำพูดของมนุษย์นั้น ประเด็นมักอยู่หลังคำว่า ‘แต่ว่า’ เหรอ?’

หมาดำไป๋หลี่เท่อกลอกตา และโจมตีกลับอย่างรุนแรง ‘สุนัขเด็กเรียนอย่างแกรู้เยอะก็จริง แต่ก็ยังโสดไม่ต่างไปจากฉันไม่ใช่เหรอ?’

หมาเหลืองเซวียปา ‘ความคิดเราไม่ตรงกัน ตั้งใจฟังเจ้านายพูดเถอะ อย่าเบนความสนใจ’

หมาดำไป๋หลี่เท่อ ‘เห็นได้ชัดว่าแกทนความเหงาไม่ได้ แล้วมาเล่นหูเล่นตาใส่ฉันก่อน…’

หมาเหลืองเซวียปากระอักเลือด ‘แกไม่เคยอ่านหนังสือ แล้วไปเรียนสำนวนนี้มาจากไหน? เห็นจากในทีวีของมนุษย์น่ะสิ ใช้ผิดที่ผิดทางแล้ว อย่าไปบอกคนอื่นนะว่าเรารู้จักกัน’

ฟางหนิงไม่เข้าใจภาษาสุนัข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสื่อสารผ่านสายตาอย่างลึกซึ้งระหว่างสุนัขสองตัวแบบนี้

เขาไม่รู้ตัว และยังคงพูดต่ออย่างไม่สนใจใคร “เจ้าหมาเหลืองเซวีบปา ครั้งนี้แกทำได้ดีมาก ช่วยฉันหาตำแหน่งของแมลงปีศาจและพญาแมลงเจอได้อย่างราบรื่น จึงได้เจอกับพระโพธิสัตว์ปีศาจ และในที่สุดก็ได้รวมพลังกับท่านในการฆ่าแมลงปีศาจ เพื่อกำจัดมารผจญตัวนี้ให้กับโลก ครั้งนี้ฉันได้คิดไตร่ตรองแล้วว่าจะมอบรางวัลใหญ่ให้แก”

เมื่อได้ยินคำชมที่ชัดเจนของเจ้านาย และยังมีรางวัลใหญ่ที่จะมอบให้กับตนด้วย เจ้าเซวียปาก็ดีใจจนยิ้มหน้าบาน และอดไม่ได้ที่จะกระดิกหาง

หมาดำไป๋หลี่เท่อตอบกลับด้วยสายตา ‘ดูหมิ่น’ ‘เก็บอาการหน่อยได้ไหม? คิดไม่ถึงว่าจะกระดิกหางเหมือนหมาธรรมดาด้วย! ตอนนี้ฉันเองก็ไม่อยากรู้จักกับแกเหมือนกัน แกมาจากชนบทไหนเหรอ? แน่นอนว่าไม่ใช่หมาภาคพื้นชั้นสูงอย่างฉันแน่นอน’

หมาเหลืองเซวียปาไม่แม้แต่จะหันไปตอบโต้ เพียงเชิดหน้าขึ้นสูง และยังคงกระดิกหางต่อไป โดยไม่สนใจหมาดำแม้แต่น้อย มันแสดงท่าทาง ‘ถึงแกจะอิจฉาก็ไร้ประโยชน์’ ทำให้หมาดำได้แต่กัดฟัน

อย่างไรก็ตาม ฟางหนิงไม่ใช่เทพแห่งระบบ จึงขาดความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนไปของสิ่งแวดล้อม เขาสนใจแต่ตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของสุนัขทั้งสองปะทะกันจนถึงจุดที่เกือบจะกัดกันแล้ว

เขาพูดต่อว่า “รางวัลใหญ่นี้ก็คือ ฉันจะสอนวิธีฝึกบำเพ็ญให้แกด้วยตัวเอง มันล้ำค่ามาก ซึ่งเป็นวิชาเดียวในโลก เพียงแต่ถ้าต้องการเริ่ม ต้องดูว่าสุขภาพจิตของแกมีคุณสมบัติหรือไม่ หลังจากสำเร็จ มันจะช่วยปกป้องร่างกายของแกได้เป็นอย่างดี ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด และยังสามารถพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตัวได้อย่างมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกไว้วางใจแกตั้งแต่แวบแรก

ฟางหนิงใช้วิธีการมอบรางวัลทั่วไปของเหล่าเจ้านาย โดยแนะนำผลงานที่ผ่านมาของผู้ได้รับรางวัลอย่างละเอียด แล้วอธิบายถึงมูลค่าของรางวัล เพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานอย่างเต็มที่

รางวัลที่สุนัขโสดสองตัวนี้อยากได้มากที่สุด ไม่ใช่พลัง แต่เป็นสุนัขสาว เขามองออกนานแล้ว ดังนั้น จึงได้พูดประโยคหลังเสริม ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาเองก็เจ้าเล่ห์ไม่น้อย…

เมื่อเจ้าหมาเหลืองได้ยินก็น้ำลายไหลไม่หยุด และส่งสายตา ‘หยิ่งลำพอง’ ให้กับเจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อทันที แล้วตอบโดยไม่ลังเลว่า “เจ้านาย ข้าน้อยชอบช่วยเหลือผู้อื่นตั้งแต่ชาติปางก่อน ไม่เคยรังแกผู้บริสุทธิ์แม้แต่คนเดียว ยิ่งกว่านั้น ข้าน้อยมีจิตใจซื่อตรง เมื่อเห็นสุนัขสาวๆ ก็ไม่เคยมีความคิดชั่วร้ายใดๆ ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งกายและใจแน่นอน”

เมื่อเจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อได้ยินก็น้ำลายไหลไม่หยุดเช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ‘ถ้าเจ้านายก็ให้รางวัลตนด้วย หลังจากบรรลุ ก็หมายความว่าตนจะสามารถทำให้สุนัขสาวรู้สึกปลอดภัยและน่าพึ่งพามากขึ้น แล้วยังต้องกังวลกับการต้องเป็นสุนัขโสดอีกหรือ? ครั้งต่อไปจะต้องพยายามมากกว่านี้ จะไม่ปล่อยให้เจ้าหมาเหลืองนั่นแย่งความดีความชอบไปอีก’

ฟางหนิงมองสีหน้าของสุนัขทั้งสอง และรู้สึกว่าถึงเวลาสำหรับมอบรางวัลแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในพื้นที่ของระบบ และเริ่มเรียกหาเทพแห่งระบบ “นำ ‘การฝึกพลังปราณแท้จักรวาล’ ฉบับสมบูรณ์และประณีตทั้งข้อความและภาพประกอบปัจจุบันมาพิมพ์ชุดหนังสือจริงหนึ่งชุด เพียงแค่แกมีค่าประสบการณ์เพียงพอ การสรุปสิ่งนั้นน่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว”

ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ

ระบบใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากในการสรุป ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ฉบับสมบูรณ์

ระบบใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากในการสรุป ‘คัมภีร์โพธิ’ ฉบับสมบูรณ์

ฟางหนิงหมดคำพูด “ฉันต้องการแค่ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เท่านั้น แกช่างใจกว้างเสียจริง สรุปสองเล่มพร้อมกันเลย ดูเหมือนว่ารอฉันอยู่ที่นี่นานแล้วสินะ! แต่ถึงแม้ว่าแกจะให้ ‘คัมภีร์โพธิ’ ฉันด้วย สัปดาห์นี้ฉันก็ไม่มีทางเรียนรู้มันหรอก ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากฉันหยุดแล้วกัน”

ระบบไม่ได้ตอบโต้ ผ่านไปพักใหญ่ บนโต๊ะของร้านอินเทอร์เน็ตของระบบถึงส่งเสียง ‘ตูม’ ‘ตูม’ สองครั้ง และมีหนังสือขนาดใหญ่และหนาปึกสองเล่มตกลงมาจากฟ้า

ฟางหนิงหยิบแค่หนังสือเล่มหนาที่มีชื่อว่า ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ขึ้นมา มันหนักมากจริงๆ แถมยังหนาขนาดนี้ ใช้ ‘ก้อนอิฐ’ มาพรรณนาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ความหนาของ ‘แผ่นซีเมนต์’ จึงจะเหมาะสม

หลังจากระบบส่งหนังสือหนาปึกทั้งสองเล่มนี้ออกมาจึงพูดขึ้นว่า “ฟังจากที่โฮสต์พูดเมื่อครู่ ต้องการถ่ายทอด ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มนี้ให้ผู้ติดตามสินะ”

ฟางหนิง “ใช่ มีปัญหาอะไรไหม?”

ระบบ “ระบบใช้กฎของระบบ และค่าประสบการณ์มากมายในการสรุปทักษะวิชาฉบับสมบูรณ์ ล้วนแต่เป็นฉบับที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ใช้คำพูดของสุนัขเด็กเรียนก็คือ มีกฎเกณฑ์ในนั้น”

“ความภักดีของผู้ติดตามได้รับการตรวจสอบตามกฎแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากโฮสต์ จะไม่มีทางเปิดเผยแม้แต่ตัวอักษรเดียว แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันในตอนนี้ต่ำมาก ยากที่จะรับประกันว่าพวกมันจะไม่ถูกคนอื่นจับตัวไป แล้วใช้วิธีบางอย่างให้ได้ทักษะวิชาต้นฉบับ และสุดท้ายก็จะรั่วไหลออกไป ทำให้เกิดภัยพิบัติ โฮสต์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เหรอ?”

ฟางหนิงสีหน้านิ่งเฉย “ไอคิวระดับแกยังคิดได้ ทำไมฉันจะคิดไม่ถึงล่ะ? จะว่าไป เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนและการอัพเกรด ไอคิวของแกก็ยังสามารถกลับสู่ระดับปกติได้นะ”

ระบบสงสัย “ไร้สาระ ระบบขอถามคุณ แล้วทำไมคุณถึงถ่ายทอดให้พวกมันได้โดยไม่ลังเลสักนิด?”

ฟางหนิงถอนหายใจยาวและแสดงสีหน้าลึกล้ำ “ช่วยไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเห็นคนที่หวังดีกับฉันจริงๆ ต้องตายเปล่าในยุคใหม่ที่คาดเดาอะไรไม่ได้นี้ เมื่อก่อนฉันเป็นคนธรรมดา จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดถึงเรื่องปกป้อง หลังจากนั้นแกก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนที่แกยังเป็นแค่ระบบเล็กๆ ฉันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย”

“แต่ตอนนี้แกกลายเป็นเทพแห่งระบบแล้ว และยังสามารถเทียบเคียงกับเหล่าบอสใหญ่ได้ ฉันได้สร้างทักษะคุ้มกันปราณแท้ให้แกด้วย เพียงแค่สำรองพลังปราณแท้เพียงพอ ทักษะ ‘ปราณแท้คุ้มร่าง’ ก็จะสามารถปกป้องผู้ติดตามและพันธมิตรของเราได้ สำหรับแกแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนที่มีความภักดีและเป็นมิตรที่ได้รับการรับรองตามกฎ”

“แต่สำหรับฉัน พวกเขาก็คือคนที่หวังดีกับฉันจริงๆ เพียงแค่พวกเขาสามารถสำเร็จ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ พลังปราณแท้จำนวนมากที่เราได้รับในยามทั่วไปก็จะสามารถสะสมได้มากขึ้น และพวกเขาก็จะปลอดภัยมากขึ้น ส่วนภัยแฝงเร้นที่แกพูดถึงนั้น ก็เป็นแค่ภัยแฝงเร้นเท่านั้น ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องทั้งหมดก็ง่ายแบบนี้ล่ะ”

ระบบ “ไม่คิดว่าโฮสต์จะวิเคราะห์แบบนี้ ระ… ระบบคิดว่า…”

ฟางหนิงจนปัญญา “แกไม่ใช่มนุษย์ ทำไมถึงรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกล่ะ?”

ระบบ “ไร้สาระ ระบบไม่รู้สึกตื้นตันหรอก ระบบหมายความว่า ความรู้สึกที่แท้จริงของโฮสต์ถูกเปิดเผยกะทันหัน ระบบคิดว่าอาจไปกระตุ้นการตั้งค่าลับอีกแล้ว…”

ตอนนี้ต่อมความรู้สึกของเทพแห่งระบบเฉียบขาดจริงๆ ทันทีที่มันพูดจบ ระบบแจ้งเตือนก็ปรากฏขึ้น

โฮสต์ทำตามความโหยหาสำเร็จ ‘ปกป้องสิ่งที่ต้องการปกป้อง…’ กระตุ้นความสำเร็จที่กล้าหาญหนึ่งเดียวในการตั้งค่าเฉพาะ ‘น้ำใจไมตรีที่มิอาจเทียบเทียม’ ได้รับทักษะในตำนาน ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ประสิทธิภาพของทักษะ ‘เมื่อพันธมิตรหรือผู้ติดตามตกอยู่ในภัยคุกคามร้ายแรง แผนที่ใกล้เคียงจะถูกบังคับให้เปิดชั่วคราวเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ระบบสามารถเลือกใช้ค่าพลังปราณจำนวนมากเพื่อส่งไปยังจุดที่กำหนดที่ใกล้กับอีกฝ่าย เพื่อทำการช่วยเหลือ ซึ่งค่าพลังปราณที่ใช้สัมพันธ์กับระยะทางและอุปสรรค

ฟางหนิงชะงัก “ประสิทธิภาพของทักษะนี้เป็นอย่างไร? ฉันคิดว่าอย่างน้อยในอนาคตเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมทีมของเราจะบุกเข้าไปในกลุ่มปีศาจ และถูกทำลายอย่างงงๆ…”

ระบบ “ประโยชน์ไม่ได้มีแค่นี้ ตามคาด เพียงแค่กระตุ้นตั้งค่าลับ สิ่งที่ได้รับก็จะไม่แย่หรอก โมดูลปราณแท้ที่ถูกเปิดใช้งานก่อนเวลาครั้งที่แล้ว โฮสต์ก็ได้เห็นมูลค่าทั้งหมดของมันแล้วนี่”

ฟางหนิงพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีมัน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของเราก็ไร้ประโยชน์ เพราะยังคงเปลี่ยนเป็นร่างมังกรไม่ได้ และยังคงไม่สามารถเอาชนะบอสใหญ่พวกนั้นได้ ไม่แม้แต่จะทำลายการป้องกันได้ด้วยซ้ำ”

ระบบ “มูลค่าที่แท้จริงของทักษะนี้ คล้ายกับโมดูลปราณแท้นั้น ซึ่งโฮสต์จะรู้ในภายหลัง เอาล่ะ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เป็นเพียงการฝึกฝนพลังปราณแท้ คนของตระกูลเฉียวก็ทำได้ ไม่ใช่ทักษะวิชาเฉพาะของเรา ถ่ายทอดให้ผู้ติดตามเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แล้วได้รับทักษะในตำนานที่มีศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งนี้ระบบเห็นด้วย แต่ครั้งต่อไปโฮสต์อย่าคิดเองเออเองอีก เพราะระบบไม่มีทางถ่ายทอดทักษะวิชาหลักของระบบให้ใครเด็ดขาด ขืนรายละเอียดเบื้องลึกรั่วไหลออกไป กลายเป็นเป้าหมายของใครเข้า จะอันตรายเกินไป”

ฟางหนิง “เรื่องนี้ต้องรอให้แกสอนอีกเหรอ? แกดูสิฉันไม่เคยพูดถึง ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ สักคำ”

ระบบ “ถึงโฮศต์จะพูดถึงระบบก็ไม่มีทางเห็นด้วยเด็ดขาด… จริงด้วย เดี๋ยวตอนโฮสต์ออกไปสอนอย่าลืมเปลี่ยนสีหน้าลึกล้ำของโฮสต์กลับล่ะ มันไม่เข้ากับตัวตนของอัศวิน A เลย อย่าทำให้สุนัขสองตัวที่อยู่ข้างนอกกลัวล่ะ พวกมันคุ้นชินกับอัศวิน A หน้านิ่งไปแล้ว”

ฟางหนิง “ให้ตายสิ ถ้าพวกมันเห็นสีหน้าลึกล้ำที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของพวกมันของฉันแล้ว มีแต่จะภักดีต่อฉันมากขึ้น จะกลัวได้อย่างไร?”

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่หลังจากเทพแห่งระบบพูดเตือน ฟางหนิงก็กลับไปแสดงสีหน้าปกติ จากนั้นจึงหยิบ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มนั้นออกมาจากพื้นที่ของระบบ แล้วกลับไปควบคุมร่างกายของอัศวิน A อีกครั้ง

เมื่อเห็นเจ้านายหยิบหนังสือเล่มใหญ่และหนาปึกออกมา สุนัขเด็กเรียนก็ตาลุกวาว กระดิกหางอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม มันแสดงท่าทางดีอกดีใจกระโดดโลดเต้น ใบหน้าฉายชัดเป็นคำว่า ‘ผมอยากอ่าน’

ส่วนเจ้าหมาดำไป๋หลี่กลับถอยออกไปเงียบๆ ก่อนจะมุดหัวเข้าไประหว่างขาหน้าด้วยท่าทางราวกับต้องการบอกว่า ‘ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น’

…………………………………………………………..

บทที่ 105 หลังจากนี้จะได้บินฟรีแล้ว
ฟางหนิงมองไปที่ข้อความแจ้งเตือนของระบบพลางดูเวลา เขาอยากนอนต่อ ตอนนี้เขายังนอนไม่เต็มอิ่มเลย

ฟางหนิง “นอนได้อย่างสบายใจสักที เหนื่อยจะตายแล้ว จริงสิ นายสลับร่างคืนก่อน ส่วนเรื่องจะแปลงร่างเป็นมังกรบินกลับบ้านนั้นค่อยว่ากันอีกที”

ระบบ “ระบบไม่สลับร่างกับโฮสต์หรอก ตกลงกันว่านับจากนี้หนึ่งสัปดาห์จะยกให้เป็นเวลาของโฮสต์ระบบไม่สนใจว่าโฮสต์จะสลับร่างคืนยังไง ตอนนี้ระบบอยากผ่อนคลายตัวเองสักหนึ่งสัปดาห์ หลังจากได้รับค่าประสบการณ์มากมาย ในที่สุดระบบก็จะได้เพิ่มเลเวลและฝึกปราณได้”

ฟางหนิงตกตะลึง “ว่าแต่ แกไม่อยากเถียงอะไรหน่อยเหรอ?”

ระบบ “ไม่ล่ะ ระบบไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนโฮสต์ เพราะฉะนั้นก็ไม่โกรธหรอก สำหรับระบบมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”

ฟางหนิง “แกพูดแบบนี้ ไม่มีผีตัวไหนเชื่อแกหรอก เมื่อก่อนแค่สบตากับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็โกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟแล้วไม่ใช่หรือไง?”

ระบบ “ถ้าอย่างนั้นบอกระบบหน่อยสิว่าคำพูดเมื่อกี้ของโฮสต์หมายความว่าอะไร? ระบบจะช่วยสลับร่างกับโฮสต์ก่อนกลับบ้านก็ได้”

ฟางหนิง “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแกหรอก แกก็แค่คิดหาวิธีกลับบ้านที่เร็วกว่าเดิม ถ้าแกให้เงินฉันอีกสักสิบล้าน ฉันจะยอมบอกว่าคำพูดพวกนั้นหมายถึงอะไร”

ระบบ “ห้าแสน”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “จะบอกอะไรให้นะ มนุษย์เราไม่มีกลอุบายลดราคาแบบระบบอย่างแกหรอก เอาเถอะ ห้าแสนก็ห้าแสน แต่ฉันจะบอกแกว่าพระโพธิสัตว์ปีศาจต้องมีความคิดเดียวกันกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋แน่นอน ทั้งคู่ล้วนต้องการอาศัยอยู่บนโลกของเราเพื่อการชำระบริสุทธิ์ แกยังจำได้ไหม? เรื่องที่เราได้ยินกุ้ยเอ่อร์และคนอื่นๆ พูดก่อนหน้านี้น่ะ”

ระบบ “จำได้สิ ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ต้องการฆ่าเราหลังจากที่เขาได้รับการชำระบริสุทธิ์ ในช่วงที่ระบบฝึกปราณ โฮสต์ก็ลองคิดหากลยุทธ์มาให้หน่อยสิ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยเรียกพระโพธิสัตว์ปีศาจก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องชิงฆ่ามันก่อน”

ฟางหนิง “นั่นอธิบายได้ดีเลย แกมักจะพูดถึง ‘การลงทัณฑ์ในนามสวรรค์’ และ ‘อาณัติแห่งสวรรค์’ อยู่เสมอ เขาคงเข้าใจผิดว่าเราต้องการที่จะชำระบริสุทธิ์เพื่อขึ้นเป็นเทพเจ้าและแสวงหาตำแหน่งอมตะอันสูงส่งมั้ง เขาออกตัวสนับสนุนเรา สำหรับเขาแล้วค่าตอบแทนนี้มีค่าพอให้เป็นคำมั่นในศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของเขามากกว่าสิ่งของอื่นเช่นเงินหรืออาวุธวิเศษ”

ระบบ “เขาจะยังคงมอบเงินและอาวุธวิเศษให้…ตราบใดที่เราอัพเกรดและฝึกฝนปราณต่อไปก็จะสามารถมีชีวิตอยู่เป็นอมตะได้อย่างสบายใจ คราวหน้าโฮสต์ก็อธิบายเขาให้เข้าใจชัดเจนว่า เราไม่ต้องการให้เขาสนับสนุนเพื่อให้ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า ในอนาคตเราเพียงต้องการอาวุธวิเศษและเคล็ดวิชาเป็นรางวัลสำหรับภารกิจกำจัดปีศาจ หรือหากไม่มีจริงๆ ก็จ่ายเป็นเงินเพิ่มให้ได้…”

ฟางหนิง “แกนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ…”

ระบบ “แล้วอะไรที่เรียกว่าได้เรื่องกันล่ะ ด้วยสิ่งเหล่านี้โฮสต์จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคุณได้ทันที มีของดีมากมายอยู่ในตัวเขา ทุกครั้งที่ระบบพบเขาก็ล้วนได้มันมาสักหนึ่งอย่าง”

ฟางหนิง “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ฉันจะทำให้เขาเข้าใจว่ารสนิยมของแกนั้นแตกต่างจากคนอื่น แน่นอนว่ามันจะไม่มีทางกระทบกับสถานะของอัศวิน A หรอก”

ระบบ “โฮสต์ ความสามารถในการหลอกล่อคนอื่นของโฮสต์ยังคงทำให้ระบบวางใจได้เสมอเลย ดีล่ะ ระบบต้องขอตัวไปผ่อนคลายฝึกฝนปราณและใช้ร่างกายตัวเองก่อนแล้วกัน”

ฟางหนิง “เดี๋ยวก่อน ร่างอัศวิน A ของแกนี่มีร่างกายที่แข็งแรงก็จริง แต่ฉันจะใช้มันตลอดทั้งสัปดาห์ คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ใช่ไหม? เช่น ควบคุมพลังไม่ได้ ทำลายดอกไม้ใบหญ้าเสียหายอะไรพวกนั้น?”

ระบบ “โฮสต์ไม่ต้องกังวลหรอก ระบบเปิดเธรดการตรวจสอบอยู่ ไม่ยอมให้โฮสต์เกิดอุบัติเหตุหรอก”

ฟางหนิง “ว้าว ถ้าอย่างนั้นฉันขอลองใช้วิทยายุทธ์กังฟูของอัศวิน A เล่นสักสองสามวันได้ไหม? รับรองว่าจะไม่เปิดเผยตัวตน”

ระบบ “ไม่ได้ โฮสต์ไม่รู้จักวิทยายุทธ์ของระบบด้วยซ้ำแล้วจะเล่นได้ยังไง? สัปดาห์นี้โฮสต์ห้ามเล่น ระบบจะช่วยสรุป ‘คัมภีร์โพธิ์’ ให้โฮสต์ทีหลัง”

ฟางหนิง “ไม่เอา ฉันทำงานล่วงเวลามาแปดเก้าวันติดต่อกันแล้ว ให้ฉันได้พักผ่อนเต็มอิ่มสักหนึ่งอาทิตย์เถอะ ฉันจะ ‘บิน’ กลับบ้านไปนอน”

ระบบ “’บิน’ เหรอ หมายความว่าไง…”

…………

หลังจากนั้น เซวียเฟิงดาบไร้ปรานีก็ ‘บิน’ ลงจอดต่อหน้าอีกฝ่าย

อัศวิน A “ข้ากำจัดปีศาจอย่างต่อเนื่องและบริโภคมากเกินไป ดังนั้นจะขอรบกวนเจ้าแค่อีกครั้งเท่านั้น”

เซวียเฟิงพยักหน้ารับ “โปรดขึ้นมายืนบนดาบ”

ฟางหนิงควบคุมร่างของอัศวิน A เดินขึ้นไปยืนอย่างมั่นคง

ฟางหนิงไม่กลัว ระบบบอกว่ามีเธรดคอยเฝ้าดูอยู่ แม้ว่าจะร่วงจากฟ้าก็แค่เปลี่ยนเป็นร่างมังกรสักครู่หนึ่ง ด้วยความมั่นใจนี้ เขาจึงไม่มีอะไรให้ต้องตื่นตระหนก

ชั่วพริบตาทั้งสองก็มาถึงฟาร์มวิลล่าในเขตชานเมืองฉี เที่ยว ‘บิน’ ช่างรวดเร็วจริงๆ

เมื่ออัศวิน A มาถึงที่หมาย เขาไม่ได้บอกลาในทันทีแต่ยังยืนนิ่งด้วยความงุนงง

เซวียเฟิงไม่ได้เร่งรีบและยังยืนเงียบโดยไม่พูดอะไร ชายร่างใหญ่สองคนตกอยู่ในความงุนงง

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิง “ระบบ แกดูสิว่าความคล่องตัวนี้แข็งแกร่งมากกว่าร่างมังกรของแกเยอะเลย อย่าคิดว่าแกจะตีเด็กคนนี้ได้ด้วยฝ่ามือเดียวเชียว แกลองเรียนรู้วิชาดาบไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่มีเคล็ดวิชา ฉันจะขอให้เซวียเฟิงช่วยแกเอง”

ระบบ “โลภเพื่อการเรียนรู้ไม่เสียหาย แต่ตอนนี้ระบบมีค่าประสบการณ์ไม่เพียงพอสำหรับอัปเกรด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ และ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ นอกจากนี้ระบบไม่สามารถเรียนรู้ได้ตามอำเภอใจ สิ่งนั้นต้องเหมาะกับระบบวิทยายุทธ์ของระบบด้วย รอระบบกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กัน”

ฟางหนิง “ได้ จริงสิ ฉันค่อยให้ค่าตอบแทนแก่เด็กน้อยทุกคนทีหลังแล้วกัน”

เทพแห่งระบบตระหนี่มาก “ทำไมยังต้องให้ค่าตอบแทนด้วย? ครั้งนี้เราไม่ได้ช่วยพวกเขาปราบปีศาจหรอกเหรอ? ไม่ใช่พวกเขาที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เราหรือไง?”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ช่วยพวกเขาด้วยความจริงใจแน่นอนว่าไม่คิดอยากได้อะไร แต่เราจะไม่จัดการเรื่องส่วนตัวในอนาคตเหรอ? ตอนนี้ก็ให้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ในอนาคตฉันอาจเรียกให้เขาไปเป็นสารถีอีก”

เทพแห่งระบบ “อ่า โฮสต์ต้องการเรียกใช้เด็กคนนี้ในอนาคตอีกสินะ เรื่องง่ายแบบนี้ โฮสต์สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งของเขา ทั้งยังเป็นพลังปราณแท้เข้าออกที่มาจากการฝึกฝนพลังเวทอีกด้วย คราวที่แล้วพระโพธิสัตว์ปีศาจได้ทิ้งอัฐิฮุ่ยหยวนไว้เป็นครั้งสุดท้าย…”

ฟางหนิงรีบขัดจังหวะ “ระบบ ฉันบอกจะให้ทิปนิดๆ หน่อยๆ ไง ไม่ต้องใจกว้างขนาดนั้นก็ได้ไหม? ฟังแล้วรู้สึกหดหู่ชะมัด งั้นเอาเป็นอาวุธวิเศษแล้วกัน เรามีกันแค่ไม่กี่อย่าง แจกคนละอันเลยเป็นไง?”

ระบบไม่ทำให้ฟางหนิงผิดหวังจริงๆ “ได้ที่ไหนกัน ระบบยังพูดไม่จบ! มีพลังเวทจำนวนมากที่เก็บไว้ เรายังไม่สามารถใช้มันได้ อีกอย่างวิธีการแปลงพลังเวทให้กลายเป็นปราณแท้ก็ยังไม่ได้เรียนรู้ ตอนนี้ให้ทิปเขาสักนิดหน่อยก็น่าจะดี”

ฟางหนิง “อย่างที่คาดไว้เลย ฉันถึงบอกว่าแกใจกว้างขนาดนี้ได้ยังไงกัน…”

หลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันเรื่องนี้ อัศวิน A ก็หลุดออกจากภวังค์แห่งความงุนงง

อัศวิน A “ลำบากหัวหน้าเซวียแล้ว ดูท่าคุณคงใช้พลังเวทไปไม่น้อยเลยใช่ไหม?”

เซวียเฟิง “สบายมาก ตราบใดที่มันไม่ได้อยู่ระหว่างการต่อสู้ ในยามปกติการบินของดาบนั้นไม่ได้ใช้พลังเวทของข้ามากนัก ดาบเล่มนี้มีรูปแบบของตัวเอง ส่วนมากแล้วมันบินได้โดยดูดซับพลังปราณกำเนิดฟ้าดิน ข้ามีหน้าที่เพียงใช้พลังเวทเพื่อควบคุมทิศทางเท่านั้น”

ฟางหนิงพูดไม่ออก ‘ช่างเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์จริงๆ เมื่อเจ้าพูดแบบนั้น เทพแห่งระบบคงจะมอบส่วนลด 10% แก่เจ้าทันทีสำหรับทิปที่เขากำลังจะมอบให้’

ฟางหนิงพูดถูก นั่นคือสิ่งที่ระบบกำลังจะทำ

อัศวิน A “ข้าไม่เคยดูแคลนใคร ดังนั้นฉันจะให้สิ่งเล็กน้อยนี้”

การแสดงออกของเซวียเฟิงไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่พยักหน้าขอบคุณ

เขาไม่สนใจรางวัลอะไรทั้งนั้น แต่เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการจะให้ เขาก็จะไม่ปฏิเสธเพราะถ้าเขาปฏิเสธ ทั้งสองฝ่ายก็จะเกรงใจกันไปมาซึ่งนั่นคงลำบากใจเกินไป

ในความคิดของเขา อีกฝ่ายคงไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าเงิน ถึงอย่างไรคราวนี้เขาก็เป็นเพียงสารถี ไม่มีเรื่องอื่นอีก

เขาเห็นอีกฝ่ายยื่นนิ้วออกมา จากนั้นก็รู้สึกว่ามีไอสีขาวซึมเข้าไปในร่างกายของตัวเอง

ในตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นั่นคือพลังเวทขั้นสูงสุด!

ไม่มีร่องรอยของตราพลังจิตประทับอยู่กลางไอสีขาวเล็กๆ นั้น มันเรียบนิ่งและสงบ

จากที่ดูคงเป็นพลังเวทในจำนวนน้อยนิด และหลังจากที่เข้าไปในตัวเขาแล้ว ไอสีขาวเล็กๆ ก็ตกลงมารวมตัวกันเป็นฝุ่นผงราวกับเมล็ดพืช ซึ่งไม่ได้รวมเข้ากับพลังเวทที่อยู่รายรอบ

เมล็ดพันธุ์พลังเวทนี้เปรียบเหมือนหลวงจีนที่ละทางโลก ปราศจากการโต้เถียง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้เขาได้สัมผัสความหมายบางอย่างว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก

เขากำลังครุ่นคิด ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคงกลัวว่าแก่นแท้ของพลังเวทย์ระดับนี้อาจต่างกันกับของเขา

เซวียเฟิงโค้งคำนับนอบน้อมพลางกล่าวด้วยความเคารพว่า “เซวียเฟิงขอขอบคุณท่านสำหรับของขวัญแห่งการรู้แจ้ง ในอนาคตหากท่านต้องการสิ่งใด ตราบใดที่เซวียเฟิงไม่มีงานราชการรัดตัว จะขอทำหน้าที่เป็นศิษย์ท่านอีกคน”

เขาคิดว่าที่อีกฝ่ายมอบแก่นแท้ของพลังเวทนี้แก่ตน หมายความว่าเขากำลังแสดงให้เห็นถึงวิธีการฝึกฝนพลังเวท

เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เขาจึงต้องเข้าเป็นศิษย์และรับใช้อีกคนโดยปริยาย

หากพูดถึงการมีส่วนร่วมและการแบ่งปัน เมล็ดพันธุ์พลังเวทนั้นมีค่าอ้างอิงที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนในอนาคต

อัศวิน A “พูดได้ดี ตามใจเจ้าเถอะ”

เมื่อเห็นเซวียเฟิงออกไปพร้อมกับดาบแล้ว เทพแห่งระบบก็ไม่สบายใจอีกครั้ง “ทำไมระบบถึงรู้สึกว่าเขาได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่นัก นี่ระบบให้มากเกินไปไหม?”

ฟางหนิง “สิ่งที่แกให้ไปนั้นน้อยมาก…แต่ถ้าหากแกเพิ่มระดับการฟาร์มปีศาจได้ ปราณมังกรโกรธเกรี้ยวก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ฉันไม่สนใจพลังเวทปราณกำเนิดอะไรนั่นหรอก ฉันรู้ว่ามันมาจากพระโพธิสัตว์ปีศาจ เขาเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาจุติ เขาที่มีพลังเวทย์มาก สำหรับผู้ฝึกฝนปุถุชนธรรมดาแล้วต้องเป็นสมบัติจากสวรรค์อย่างแน่นอน”

ระบบ “ตอนนี้ระบบยังไม่เข้าใจการฝึกพลังปราณกำเนิดของพวกเขา เพราะงั้นระบบจะให้ค่าตอบแทนที่สูงหน่อย คราวหน้าคงไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “แกทำดีแล้วล่ะ เซวียเฟิงเป็นตัวละครที่อยู่ข้างเรา มันจะดีสำหรับเราถ้าเขาได้รับประโยชน์ อย่างน้อยต่อไปก็จะได้บินฟรีๆ สิ่งนี้สามารถประหยัดทั้งความพยายามและเงินได้มาก แกจะได้ไม่เสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่อไปฉันจะขอให้เจ้าสุนัขเด็กเรียนจดบันทึกหนังสือทั้งหมดที่มันอ่าน ถ้าแกกลัวว่ามันจะไม่เข้ากับระบบวิทยายุทธ์ของแกก็ไม่ต้องเรียนรู้ แค่จำมันไว้ก็พอ เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าแกจะสามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมดแล้วเหรอ?”

ฟางหนิงพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าและเมื่อมองลงไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เจ้าหมาดำเจ้าหมาเหลืองทั้งสองตัวมานอนอยู่บนพื้นแล้วจ้องมาที่เขาแล้ว

ดีอะไรอย่างนี้ ฉันเพิ่งคุยเรื่องเจ้าหมาเหลืองกับระบบไปหยกๆ เจ้าหมอนี่ก็มาได้เวลาแถมยังพาเจ้าหมาดำมาด้วย ช่างใจตรงกันจริงๆ หึหึ…

ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้เลยแล้วกัน

ฟางหนิงกระแอมไอเล็กน้อย วางมาดของเจ้านายที่กำลังเอ่ยชมเชยพนักงานช่วงสิ้นปี

อัศวิน A “ถึงการปราบปีศาจครั้งนี้จะยากลำบาก แต่ในที่สุดก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หมาดำไป๋หลี่แกไปบอกให้เจิ้งเต้าโทรหาร้านรสชาติของฟางซื่อแล้วเชิญพ่อครัวมา วันนี้เราจะมีงานเลี้ยงฉลองหลังปราบปีศาจกัน! ส่วนเซวียปา…”

ทันทีเจ้าหมาดำได้ยิน มันก็แสดงพลังออกมาทันทีรีบหมุนตัว ‘ฟิ้ว’ หายไป…

ฟางหนิง ‘เจ้าบ้า ฉันยังพูดไม่จบเลย…’

เจ้าหมาเหลืองเซวียปาหันมองไปทางเจ้าหมาดำที่เพิ่งจะจากไป ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เจ้านั่นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอได้ยินว่าจะได้กินอาหารมื้อใหญ่ กลับวิ่งไปเร็วขนาดนั้น เราในตอนนี้ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมาแย่งความโปรดปรานกับมัน…”

………………………………………………………………..

บทที่ 104 คนคํานวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต…ให้สิบล้านก่อนแล้วจะบอกว่าหมายถึงอะไร
ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ความรู้สึกไวมาก เมื่อสังเกตเห็นต้นตอของความโลภที่จ้องมองมาก็ตกใจทันทีเขาเคยมีความแค้นกับอัศวิน A มาก่อน จึงเตรียมการหลบหนีไว้อย่างดี เพราะหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าพระโพธิสัตว์ปีศาจจะคิดช่วยใคร หากเขามีความมั่นใจในการสู้มากกว่านี้ เมื่อครู่คงจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายกำจัดปีศาจแมลงไปเด็ดขาด

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงที่ไม่มีเวลาอีกแล้ว ตอนนั้นเองก็ได้ยินเทพแห่งระบบพูดขึ้นด้วยความกังวล

ระบบ “โอกาสมีครั้งเดียวเท่านั้น! โฮสต์ให้ระบบออกโรงเถอะ พระโพธิสัตว์ปีศาจได้ขัดขวางผู้เฒ่าไป๋นั่นไว้แล้ว ระบบต้องกำจัดเขาเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวและร้อนรนมากจนฟางหนิงสามารถสัมผัสได้ ระบบได้คิดเรื่องบอสระดับสูงตัวนี้มานานกว่าหนึ่งหรือสองวันแล้ว ตอนนั้นเขาบีบบังคับตัวเองจนเกินกำลัง พลิกแผ่นดินแผ่นฟ้าทั่วทุกมุมโลก ขอให้คนค้นหาตำแหน่งของผู้เฒ่าไป๋จอมเจ้าเล่ห์แต่ท้ายที่สุดก็หาไม่พบ วันนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะร้อนรน…

แต่ฟางหนิงยังคงเมินเฉยมันอย่างไร้ความร้ปราณี

ฟางหนิง “โทษทีนะ แต่พระโพธิสัตว์ปีศาจไม่มีทางช่วยเรากำจัดมันหรอก”

ระบบตกตะลึงทันที “ทำไมล่ะ? เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขายังอยากช่วยเราจัดการกับผู้เฒ่าตระกูลไป๋อยู่เลย! แถมยังบอกอีกว่า ‘ข้าคนนี้ไม่ต้องการยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว’“

ฟางหนิง “แกจำแม่นจริงๆ แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องผลประโยชน์สินะ ผู้คนต่างบอกว่าอย่าเพิ่งฆ่ามันก่อนด้วยยังมีอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานคือ ถ้าหากผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ส่งร่างอวตารร่างสุดท้ายของปีศาจแมลงให้ ตอนนี้ผู้เฒ่านั่นยินดีจะมอบมันให้ทั้งยังพูดเข้าตัวเองโดยบอกว่าเขาเป็นผู้ฆ่าปีศาจ แล้วทำไมเมื่อครู่ถึงจัดงานเลี้ยงฉลองปีศาจล่ะ”

ระบบ “ชั่วช้าจริงๆ ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ? มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว พระโพธิสัตว์ปีศาจรูปนี้เป็นสีขาว เขาเป็นคนดีโดยสมบูรณ์แบบจะไม่ช่วยเรากำจัดมันได้ยังไง? โฮสต์คงขี้เกียจอีกแล้วแน่ๆ ไม่อยากช่วยระบบเพิ่มค่าความโกรธแต่อยากกลับไปเล่นเกมงั้นสิ?”

ในครั้งนี้ฟางหนิงถูกใส่ร้ายเต็มๆ เขาแทบจะกระอักเลือดออกมา “เอาเถอะ แกคงยังไม่เชื่อฉันสินะ ถึงได้ใส่ร้ายกันแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ความขี้เกียจของฉันไปวิเคราะห์รายละเอียดให้แกแล้วกัน ลองถามเขาสิว่าเขาเห็นด้วยไหม?”

เทพแห่งระบบไม่เชื่อคำพูดของฟางหนิงจริงๆ เขาจึงเอ่ยถามกับพระโพธิสัตว์ปีศาจ

อัศวิน A “พระโพธิสัตว์ผู้ทำหน้าที่ปัดเป่าความชั่วร้าย ร่วมมือกับข้าเพื่อฆ่าผู้เฒ่าตระกูลไป๋เถอะ!”

หลังจากพระโพธิสัตว์ปีศาจได้ยินข้อความเสียงนั้นของอัศวิน A เขาก็ประหลาดใจอย่างมาก ‘ดูเหมือนพี่ใหญ่มังกรจะเกลียดผู้เฒ่าตระกูลไป๋เข้ากระดูกดำเลยทีเดียว’

จากนั้นเขาก็คิดใคร่ครวญ ฉับพลันก็คล้ายกับนึกบางอย่างได้ ‘จริงสิ เพื่อการหยั่งรากได้รวดเร็วขึ้น ผู้เฒ่าตระกูลไป๋เลยจงใจยุยงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากินมนุษย์เพื่อเพิ่มพลังเวท ด้วยอารมณ์ความโกรธเแค้นของพี่ใหญ่มังกร จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเสแสร้งใส่อีกฝ่าย การแสดงออกนี้เป็นเรื่องปกติมาก

เขามีความจริงใจ ยืนกรานในหลักการของตนเสมอ ไม่อาจถูกข่มโดยพลังอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่าย

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยนและหนักแน่น “พี่ใหญ่มังกร ข้าเข้าใจในความตั้งใจที่จะกำจัดความชั่วร้ายและชื่นชมความชอบธรรมของท่าน ด้วยความแข็งแกร่งร่วมกันของท่านและข้า พวกเราไม่ต้องใช้ความพยายามในการฆ่าผู้เฒ่าตระกูลไป๋ด้วยซ้ำ แต่ผู้เฒ่าตระกูลไป๋ในฐานะผู้นำกลุ่มหนูยักษ์ ตอนนี้สามารถยับยั้งหนูยักษ์ได้หลายตัวและป้องกันไม่ให้พวกมันทำร้ายผู้คนได้แล้ว จำนวนหนูยักษ์ในตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหลายสิบล้านหรือหลายร้อยล้าน ถ้าวันนี้ท่านและข้าสังหารเขา หนูยักษ์เหล่านี้จะสูญเสียการควบคุมในทันทีและพวกมันทั้งหมดอาจจะรีบขึ้นไปบนพื้นดินเพื่อสร้างปัญหา เมื่อถึงตอนนั้นจำนวนประชาชนที่เดือดร้อนนั้นคงจะมีนับไม่ถ้วน หากต้องการฆ่าปีศาจตนนี้ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์เข้าต่อกร”

ระบบได้ยินสิ่งนี้ ก็ห่อเหี่ยวไปในทันตา ‘อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยจริงๆ และโฮสต์ก็มีไอคิวสูงกว่าเขาจริงๆ นั่นแหละ…’

อัศวิน A “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็จะเชื่อฟังสิ่งที่ท่านบอก จะไว้ชีวิตเขาก่อนแล้วกัน”

หลังจากได้ยินพระโพธิสัตว์ปีศาจพลันโล่งใจ เป็นเรื่องยากที่พี่ใหญ่มังกรจะเข้าใจสถานการณ์โดยรวม เมื่อนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ เขาก็ครุ่นคิดอีกครั้ง

อันที่จริงนี่เป็นเพราะว่าตอนนี้เทพแห่งระบบเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ทั้งรู้ดีว่าหากปราศจากความร่วมมือของพระโพธิสัตว์ปีศาจแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลไป๋อาจหลบหนีไปซ่อนได้อีก มันจึงไม่มีทางเลือกเลย คราวที่แล้วไป๋ซื่อซินสามารถหลบหนีจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้ แต่ผู้อาวุโสไป๋ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าไป่ซื่อซินมาก

หลังจากที่ทั้งสองเสร็จสิ้นการสนทนา ผู้อาวุโสไป๋ก็พบว่าอัศวิน A ได้ละสายตาไปจากตนแล้ว เขารู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่ก็ยังต้องระวังตัว

ขณะนั้นเองพระโพธิสัตว์ปีศาจก็พูดกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง “หายากที่ผู้อาวุโสจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ คราวนี้ข้าสามารถเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้ากับพี่ใหญ่มังกรจะยอมล่าถอยไป สุดท้ายนี้ข้าอยากจะแนะนำว่าก่อนจะทำทุกอย่างจงคิดให้รอบคอบ อย่าได้เข่นฆ่าผู้คนไปมากกว่านี้ ระวังบาปจะได้รับการชดใช้ในที่สุด…”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ปรบมือแล้วกล่าว “คำชี้แนะของพระโพธิสัตว์จะตราตรึงอยู่ในใจข้าไปอีกช้านาน แม้ว่าหนูยักษ์จะมีจำนวนมากแต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์บาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการควบคุมของข้า”

เขารู้แล้วว่าพระโพธิสัตว์ปีศาจไม่พร้อมจะลงมือ คงกลัวว่าเมื่อหนูยักษ์สูญเสียผู้นำของพวกมัน จะบ้าคลั่งไก้การควบคุมจนออกไปทำร้ายผู้คน

ประโยชน์ของฝูงสัตว์ที่ชุบเลี้ยงได้ปรากฏขึ้นแล้ว หากเขาอยู่คนเดียวคงไม่รอดแล้วแน่นอน พระโพธิสัตว์ปีศาจและอัศวิน A กำลังไล่ตามเขามาที่นี่ ในวันนี้สถานที่แห่งนี้อาจได้กลายเป็นหลุมฝังศพของตน

ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงใด อีกฝ่ายก็จะยอมทนกับมันชั่วคราว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงลอบตัดสินใจบางอย่าง

ได้ยินดังนั้นพระโพธิสัตว์ปีศาจและอัศวิน A ก็พลันหายวับไปกลางอากาศอีกครั้ง

หลังจากทั้งสองมาถึงพื้นดิน พระอาทิตย์ก็ทอแสงอบอุ่นอีกครั้ง เนื่องจากที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้จึงยังคงมีความเขียวขจีให้เห็นอยู่อีกมากมาย และห่างไกลออกไปก็มีคนเดินถนนที่กำลังเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมทิวทัศน์อันเงียบสงบ

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มกว้าง

เขาเอ่ยปาก “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่มังกรในครั้งนี้ เราถึงสามารถสังหารปีศาจแมลงที่เป็นปัญหามาหลายร้อยปีลงได้ ความสำเร็จของพี่ใหญ่มังกรนั้นไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำ”

อัศวิน A “ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของข้า ถ้ามีเรื่องที่เกี่ยวกับการปราบปีศาจหรือกำจัดมันในอนาคต พระโพธิสัตว์มาหาข้าคนนี้ได้เสมอ”

พระโพธิสัตว์ปีศาจผงกศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าควรจะให้ค่าตอบแทนแก่พี่ใหญ่มังกร แต่ว่านั่นเป็นเพียงสิ่งจอมปลอม ข้าคิดว่าพี่ใหญ่มังกรคงไม่ชอบใจนัก”

ฟางหนิง ‘คุณคิดผิดแล้วล่ะ ระบบไม่เคยปฏิเสธมันสักครั้งเดียว ยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะงั้นรีบไปเอาสิ่งจอมปลอมนั่นมาเถอะ’

พระโพธิสัตว์ปีศาจกล่าวต่อ “หากข้าจำไม่ผิด จำได้ว่าพี่ใหญ่มังกรเคยกล่าวไว้ ทุกครั้งที่ฆ่าปีศาจชั่วร้าย ล้วนพูดว่าเป็นอาณัติของสวรรค์และต้องการลงทัณฑ์แทนสวรรค์ เป็นไปได้ไหมว่าในอนาคตพี่มังกรจะสนใจตำแหน่งนั้น?”

อัศวิน A พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “เขาหมายความว่ายังไง? ระบบไม่เข้าใจเลย แค่มอบอาวุธวิเศษกับระบบสักอันหรือไม่ก็เคล็ดวิชาดีๆ ก็พอแล้ว วกไปวนมาแบบนี้เพื่ออะไรกัน? โฮสต์คุณไปหลอกล่อเขาให้อธิบายให้ชัดเจนทีสิ”

ฟางหนิง “เมื่อกี้แกยังหัวชนฝาไม่เชื่อฉันอยู่เลย ตอนนี้ดันจะมาขอความช่วยเหลือจากฉันเหรอ ให้ฉันถามแกก่อนเถอะ คำพูดเสแสร้งที่แกพูดก่อนหน้านี้ว่าจะฆ่าปีศาจตนนั้น ยังมีนัยสำคัญอะไรหรือเปล่า? แกคงไม่เคยกล้าถาม หากกลัวว่าจะแตะต้องภารกิจหลักบางอย่าง”

ระบบ “มันไม่สำคัญหรอก ทุกข้อความคือคำพูดที่ระบบดึงมาจากนวนิยายบนอินเทอร์เน็ต ระบบแค่คิดว่าหลังจากที่พูดออกไป ชื่อเสียงของระบบก็จะพุ่งสูงเร็วขึ้นหรืออาจเรียกกฎที่ซ่อนอยู่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผล รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป…”

ฟางหนิง “ให้ตายสิ แกทำร้ายคนอื่นมากจริงๆ ”

ฟางหนิงออกไปยึดร่างและเริ่มหลอกล่อ

อัศวิน A “คนคํานวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิตได้เล่า”

พระโพธิสัตว์ปีศาจพยักหน้า “พี่ใหญ่มังกรมีดวงใจอันเปิดกว้างสุดจะหาได้ ในอนาคตข้าจะลงคะแนนให้ท่านอย่างแน่นอน ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรมของท่าน เหมาะสมยิ่งนักที่จะได้รับตำแหน่งนั้น”

อัศวิน A “ขอบคุณในความกรุณาของพระโพธิสัตว์”

พระโพธิสัตว์ปีศาจพยักหน้า “อย่างนั้นข้าคงต้องขอตัวลา หวังว่าพี่ใหญ่มังกรจะรักษาตนอย่างดี หากประสบปัญหาใดๆ ให้ใครสักคนแจ้งข้ามาได้โดยตรง”

อัศวิน A “โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่สามารถไปส่งท่านด้วยตัวเอง”

ฟางหนิง ‘ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เจ้านี่เข้าใจยากชะมัด ที่ไม่ไปส่งก็เพราะไม่มีที่ไหนให้ไปส่งต่างหาก’

จากนั้น พระโพธิสัตว์ปีศาจก็ยิ้มให้เล็กน้อยและหายตัวไปอีกครั้ง

ระบบ “คุณสองคนเพิ่งตกลงกันว่าจะโหวตให้ได้ตำแหน่ง แล้วไอ้ ‘คนคํานวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต’ นั่นหมายถึงอะไร โฮสต์หมายความว่ายังไงกัน”

ฟางหนิง “ไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรอกน่า เพราะฉันรู้ฉันก็เลยไม่บอกแก ใครบอกให้แกไม่เชื่อใจฉันก่อนล่ะ ฉันต้องเช็คแจ้งเตือนในระบบอย่ามารบกวนฉันนะ”

ระบบ “…”

การแจ้งเตือนของระบบ ระบบใช้ความหมายที่ลึกซึ้ง: ระเบิดมังกรยักษ์

ระบบฆ่าร่างอวตารสุดท้ายของปีศาจแมลง

ระบบทำลายวิญญาณของปีศาจแมลง

ระบบฆ่าปีศาจแมลงโดยสมบูรณ์

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 3 ล้านคะแนน

ระบบกำจัดภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อโลกอย่างสมบูรณ์ โฮสต์จะได้รับคะแนนความชอบห้าคะแนนสำหรับคุณลักษณะทั้งหมดของเทพมังกรตัวจริง

ระบบได้รับชื่อเสียงว่าเป็นคนกล้าหาญ

ระบบได้รับค่าพลังปราณส่วนเกิน สล็อตพลังปราณเต็มแล้วและกระแสน้ำก็ล้นเกิน คำเตือนเพิ่มเติม: คุณสามารถให้ผู้ติดตามที่มีคุณสมบัติการฝึกฝน ‘พลังปราณฟ้าดิน’ สำรองพลังปราณเพิ่มเติมได้ ระดับจำนวนสล็อตพลังปราณสูงสุดของผู้ติดตามเป็นครึ่งหนึ่งของระบบ

ฟางหนิง “นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แกเห็นไหมว่าการตั้งค่าอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ได้ถูกเปิดการใช้งานแล้ว จริงๆ แล้วเป็นความคิดริเริ่มที่จะบอกเราถึงวิธีเก็บพลังปราณที่เกินออกมา แกรีบกรอกเวอร์ชันที่ไม่สมบูรณ์เร็ว”

ระบบ “ความสามารถในการเปลี่ยนเรื่องของโฮสต์แย่มาก…”

ฟางหนิง “เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ? ฉันลืมไปแล้วล่ะ ครั้งนี้เหล่าเด็กๆ ออกแรงไปเยอะมากยกเว้นหมาดำไป๋หลี่ ส่วนอีกสองคนนั้นทุ่มสุดตัว รางวัลการทำงานของพวกเขาแกส่งมาให้ฉันก่อนล่ะ และรางวัลภารกิจที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่าอีกหนึ่งสัปดาห์หน้าจะเป็นเวลาว่างของฉัน อย่าคิดจะถอดสายอินเทอร์เน็ตเด็ดขาด ตอนนี้พวกเราไม่กลัวนายแล้ว”

ระบบเอือมระอาเหลือเกิน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือโฮสต์คนนี้ได้…

…………………………………………………..

บทที่ 103 คู่หูที่สมบูรณ์แบบควรใช้งานแบบนี้สิถึงจะถูก
ฟางหนิงคุมร่างของอัศวิน A หลังจากสอบถามพระโพธิสัตว์ปีศาจ ก็ได้ความว่าที่อีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อฆ่าปีศาจแมลงนั้น เป็นเพราะเขาได้รับจดหมายจากใครบางคน

ระบบ “ทำไม โฮสต์เดาได้ไหมว่าใครซ่อนร่างอวตารร่างสุดท้ายของปีศาจแมลงเอาไว้?”

ฟางหนิง “ถ้าให้ฉันเดา มีเพียงคนเดียวก็คือผู้อาวุโสตระกูลไป๋”

ระบบ “จริงสิ เป็นมันแน่ ดูเหมือนว่าเราต้องตามหาผู้อาวุโสตระกูลไป๋ มันซ่อนดีมาก ระบบควรทำยังไงดี?”

ฟางหนิง “หาคนช่วยสิ”

ระบบ “ปีศาจแมลงอยู่กับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ อีกฝ่ายเป็นบอสใหญ่ แม้ว่าจะพบเขา แต่รูปแบบค่ายกลกระบี่สี่สภาพย่อมสร้างปัญหาและไม่สามารถควบคุมได้แน่นอนด้ จะทำยังไงถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปกับปีศาจแมลงได้อีกครั้ง?”

ฟางหนิง “แกไม่เห็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของเราข้างๆ เหรอ? เขามีความชำนาญในคาถาและมีวิธีการต่างๆ มากมาย มันต้องมีวิธีที่แตกต่างจากการใช้พละกำลังกล้ามเนื้ออย่างแกแน่”

ระบบ “โฮสต์พูดถูกแล้ว…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองจึงมองไปที่พระโพธิสัตว์ปีศาจอีกรอบ

…………

สำนักสัจธรรมกำลังจัดประชุมอย่างเร่งด่วนทางวิดีโอ โดยมีเพียงผู้นำที่เหลืออีกหกคนเท่านั้นที่เข้าร่วม

ผู้เฒ่าสวี่ “จำเป็นต้องการใช้สายลับหมายเลขหนึ่งจริงๆ เหรอ?”

เฉียวอันผิง “ฉันไม่มีความเห็น ปีศาจแมลงบ้าระห่ำมาก หากมันฟื้นคืนชีพก็เหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุเมื่อไหร่ก็ได้”

ผู้เฒ่าเฟิงลังเล “เราใช้ความพยายามอย่างมากในการเตรียมการหมายเลขหนึ่ง มันเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ขั้นสูงของโลกอนาคต ในตอนนี้ความเสี่ยงมีไม่น้อยเลย”

ผู้เฒ่าไห่ “ในการเปิดใช้หมายเลขหนึ่ง จำเป็นต้องใช้เครือข่ายเทียนลั่วด้วย แต่หน้าที่ของเครือข่ายเทียนลั่วยังไม่เสถียรพอ”

หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ปีศาจแมลงร้ายกาจเกินมาก มันมีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมของเรา ต้องรีบกำจัดมัน! วิสัยทัศน์ของอัศวิน A ไม่ได้เลวร้าย เพราะเขาคือมังกรตัวจริงที่มายังโลก”

เด็กชายอีกคนที่หน้าตาดูแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่บนหัวกลับเต็มไปด้วยผมขาวจำนวนมาก ยกมือข้างหนึ่งลูบใต้คางพลางมองบนหน้าจออย่างเฉยเมย “ใช้ก็ใช้ ไม่มีทางอื่นแล้ว ตาเฒ่าตระกูลไป๋ที่คิดว่าตัวเองฉลาดนั้น ไม่ต่างจากตุ๊กตาเชือกในมือ แผนสำหรับการเตรียมการหมายเลขหนึ่งนั้น มันคงคิดไม่ถึงหรอก”

เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองพูดจบ หัวหน้าใหญ่ทั้งสี่ก็ดูทำอะไรไม่ถูก เขาขมวดคิ้ว

เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งนี้ เธอก็โบกมือด้วยความหงุดหงิด “มันแข็งแกร่งมากก็จริง เพื่อนร่วมชั้น SB คนที่ไม่รู้คงคิดว่านายช่างเป็นคนวางแผนได้แม่นยำ แต่ผู้หญิงอย่างฉันรู้จักตัวตนของนายดี หมายเลขหนึ่งเป็นแค่ผ้าปิดแผลที่นายใช้แปะข้ามคืนใช่ไหมล่ะ? หลังจากที่ตาเฒ่าตระกูลไป๋ได้รับการยืนยันจากพี่น้องตระกูลเฉียวว่ามีความตั้งใจที่ต่างกันแล้ว ตอนนั้นผมของแกก็จะขาวโพลนไปไม่น้อยแล้วเลยทีเดียว”

ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะถูกเสียดสีเข้าให้แล้ว เขาลุกขึ้นยืน “เธอกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร? ยายเฒ่าหง อย่าแสร้งอวดเก่งไปหน่อยเลย! ฉันคือความเฉลียวฉลาดที่หาตัวได้จับยาก ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ในกลุ่มนักวิเคราะห์หรอก ในขณะที่เธอเป็นได้แค่รองหัวหน้าชั่วคราวเท่านั้น! ฉันได้ดูรายละเอียดของตระกูลไป๋ล่วงหน้าแล้ว ฉันมีแผนในใจแต่แค่ยังไม่ได้จัดการกับมันก่อนเวลาอันควร ถ้าไม่ใช่คำสั่งของฉัน พี่น้องตระกูลเฉียวจะหาแหล่งข้อมูลมากมายที่ตรวจสอบมาได้ไหม?”

ผู้เฒ่าสวี่โบกมือห้าม “เอาล่ะ คุณสองคนอายุมากแล้ว อย่ามาทะเลาะกันเหมือนเด็กเลย แม้ว่าคุณจะโต้เถียงต่อหน้าคนของตัวเอง คุณก็ต้องจดจำตัวตนของคุณต่อหน้าคนนอกด้วย ตอนนี้ให้รีบตัดสินใจขั้นสุดท้าย อย่าถ่วงเวลาโจมตีของอัศวิน A ฉันยินยอมให้ใช้หมายเลขหนึ่ง”

เห็นได้ชัดว่าบารมีของผู้เฒ่าสวี่นั้นสูงพอ ทำให้ทั้งสองที่ทำนิสัยเหมือนคนวัยหนุ่มสาวหยุดเถียงกันในทันที

อีกห้าคนมองหน้ากันและยกมือเห็นด้วย

…………

ณ ที่ไหนสักแห่งในห้องโถงใต้ดินลึก มีงานเลี้ยงเล็กๆ งานหนึ่งเกิดขึ้น

“มา มา มาฉลองให้กับซื่อซินกันเถอะ ครั้งนี้เป็นการกวาดล้างครั้งยิ่งใหญ่ แต่ต้องขอบคุณซื่อซินที่เฉลียวฉลาดไม่มีใครเทียบเทียม ใช้มีดที่ยืมมาฆ่าผู้คนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ทำให้แผนของปีศาจแมลงสำเร็จลุล่วง ซึ่งทำให้พวกเราผู้อยู่เบื้องหลัง ใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างสูงสุด” ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยกแก้วขึ้นพลางกล่าวอย่างมีความสุข

ปีศาจหนูยักษ์นั่งห้อมล้อมรอบโต๊ะกลมต่างชมเชยซึ่งกันและกัน

ไป๋ซื่อซินทาบหน้าอกด้วยมือข้างหนึ่งพลางถือแก้วไวน์ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง กล่าว “ผู้อาวุโส กลยุทธ์ของซื่อซินสามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งหมดนี้ก็ได้ความอุตสาหะของท่านในการจัดเตรียมและสร้างกองหนุนจำนวนมาก ทั้งฐานใต้ดินตามสถานที่ต่างๆ ทั้งหมดเป็นเพราะฐานใต้ดินที่พี่น้องของเราลาดตระเวนทั้งวันทั้งคืนก่อนที่จะมีการค้นพบถ้ำที่พญาแมลงตั้งอยู่และมีโอกาสค้นพบที่ซ่อนของหนึ่งในร่างอวตารของปีศาจแมลง หากปราศจากรากฐานเหล่านี้ ไม่ว่ากลยุทธ์ของซื่อซินจะแยบยลเพียงใด มันก็เป็นเพียงวิมานในอากาศ”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋รู้สึกพึงพอใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สั่งให้ปีศาจหนูยักษ์ผลัดกันดื่มอวยพรให้กับไป๋ซือซิน เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณูปการอันใหญ่หลวงของเขา

ปีศาจหนูยักษ์ทุกตัวต่างอิจฉา อีกฝ่ายก็มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมาก ปีศาจแมลงนั้นทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นพวกมัน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกมันมาบ้าง อาวุธแผนที่เชิงกลยุทธ์แบบสัมบูรณ์นั้นคล้ายกับอาวุธเห็ดในโลกมนุษย์ พลังยับยั้งเท่าเดิมแต่แพ้ทั้งสองกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ ต้องบอกว่าถึงแม้พละกำลังของคู่ต่อสู้จะสูญเสียไป แต่สมองนั้นก็ยังทรงพลังกว่า

“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโส ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ซื่อซิน สำหรับผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มหนูยักษ์ของเราสำหรับอาวุธเชิงกลยุทธ์อีกชิ้นหนึ่ง โลกใบนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว” ปีศาจหนูยักษ์ทั้งหมดขยิบตา ในเวลานี้พวกมันทั้งหมดก็เริ่มแสดงความยินดี

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋มีความสุขมากขึ้น “ฮ่าฮ่า วันนี้ข้ามีความสุขมาก ปีศาจแมลงมันบ้า ต่อให้มีกลยุทธ์ของซื่อซิน เขาก็สามารถบรรลุผลที่ยิ่งใหญ่ได้ เรามีผู้คนมากมายที่ทำงานหนักเพื่อสะสมรากฐานนี้ เขาสามารถบรรลุมันได้โดยลำพังและมีความสามารถในการแข่งขันกับเราเพื่อโลกนี้ได้แน่ แต่น่าเสียดายที่เขาหวาดระแวงและคลั่งไคล้การเข่นฆ่ามากเกินไป ถือว่าการฆ่าเป็นความหมายของชีวิต จนในที่สุดแม้แต่สหายของเขาก็ยังทรยศเขา นี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องจบชีวิตลงในวันนี้ สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงเครื่องมือในการพัฒนาและเติบโตของเราเท่านั้น จงจำไว้ว่ามันเป็นบทเรียนที่มีชีวิต”

ปีศาจหนูยักษ์คำราม

ในเวลานี้ปีศาจหนูยักษ์รูปงามได้กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่รู้ว่าร่างอวตารร่างสุดท้ายของปีศาจแมลงหน้าตาเป็นยังไง ขอให้ท่านทำให้พวกน้องๆ ประจักษ์แก่สายตาและเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้หรือเปล่า?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมความหวังของทุกคน เขาก็ยิ้ม

ดังนั้นในที่สุดเขาก็พูดว่า “เอาล่ะ ปล่อยให้เจ้ามีประสบการณ์อันยาวนานแล้ว ท้ายที่สุดพวกเจ้าทุกคนก็จะต้องรับมือกับมันในอนาคต ดังนั้นเป็นการดีที่จะทราบรายละเอียดของมันล่วงหน้า ในสายตาของผู้อื่น มันเป็นเพียงอาวุธที่ทรงพลัง แต่ในสายตาของข้าผู้นี้ มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาอันทรงพลังที่สามารถทำให้เราพัฒนาได้เร็วขึ้นสิบเท่า”

ขณะที่เขาพูด เขาก็กางฝ่ามือออกเพื่อเปิดเผยบางอย่าง แต่ในขณะนี้เขาได้ยินเสียง ‘ไอ’ ของไป๋ซื่อซินก็ดังขึ้นหลายครั้ง เขาจึงมองดูด้วยความกังวล

ไป๋ซื่อซิน “ผู้อาวุโส ได้โปรดยกโทษให้ร่างกายของซื่อซินที่ไม่สามารถสนับสนุนการบรรยายของท่านได้ ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ได้ตำหนิเขา พร้อมกับสั่งให้ใครสักคนพาไป๋ซื่อซินกลับไปยังห้องของเขาในทันทีเพื่อพักผ่อน

จากนั้นความสนใจของเขาก็ดำเนินต่อไป สิ่งที่อธิบายไม่ได้ในฝ่ามือของเขาพลันลอยขึ้นมาต่อหน้าทุกคน

กลายเป็นผลึกอำพัน

เมื่อทุกคนเห็นก็ประหลาดใจในทันที: ภายในมีผีเสื้อเสมือนจริงซ่อนอยู่ในอำพันด้วย

ปีศาจแมลงนี้ซ่อนได้ดีจริงๆ ด้วยทักษะของมัน เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อยังมีชีวิตอยู่ในชั่วพริบตา แต่ในสายตาคนทั่วไปกลับมองว่ามันต้องตายแล้วแน่ๆ หลังจากค้นพบแล้วจึงเป็นเพียงของสะสมชั้นดีเท่านั้น ไม่มีใครจงใจตามล่ามันอีก

หลังจากสังเกตการอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็ตกตะลึงมาก ผลึกอำพันดูเหมือนจะลอยอยู่ในอากาศ แต่ทุกคนพบว่ามันถูกล้อมรอบด้วยช่องว่างอากาศอันทรงพลัง ใครก็ตามที่ต้องการสัมผัสมันอย่างไม่เต็มใจจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสเอามันออกมาด้วยความมั่นใจแบบนี้

“พวกเจ้าจงฟัง ผีเสื้อในอำพันถูกผนึกโดยเลือดของข้า หลังจากที่ปีศาจแมลงฟื้นคืนชีพ มีเพียงข้าผู้อาวุโสเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ ภายใต้ชั้นช่องว่างอากาศนี้เป็นเอฟเฟกต์พิเศษของอาวุธวิเศษแห่งพื้นที่ที่อยู่บนร่างกายของข้า ซึ่งถูกใช้เป็นพิเศษเพื่อแยกใยโลหิตของแม่แมลง หากปราศจากวิธีของข้าแล้ว ไม่มีใครสามารถกำจัดมันได้”

หลังจากที่ให้ทุกคนได้ดูและได้รู้จักแล้ว ในตอนที่ผู้อาวุโสตระกูลไปกำลังจะเก็บมัน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในพริบตา

ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ผลึกอำพันได้ถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนา จนเขาไม่สามารถเอามันกลับคืนมาได้ แม้ว่าเขาจะใช้พื้นที่อาวุธวิเศษในพื้นที่ของตัวเองก็ตาม!

คนที่มีวิธีการดังกล่าวได้ สามารถนับได้ด้วยมือเดียว

ใบหน้าของเขาเย็นชา รีบลุกขึ้นยืน “เป็นสหายคนไหนที่ไม่ได้รับเชิญกัน? เล่นตลกกับข้าแบบนี้ คนที่คิดขโมยของของข้าไม่มีทางรอดหรอก!”

“หึหึ ไป๋อวิ๋นเซิง เจ้าโลภมากเกินไปแล้ว นั่นถือเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่” จากนั้นเสียงที่อ่อนโยนก็ปรากฏขึ้น

ชายหนุ่มคนหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากอากาศและที่ข้างๆ เขาเป็นชายผู้แข็งแกร่ง

“พระโพธิสัตว์ปีศาจ อัศวิน A !” ผู้อาวุโสตระกูลไป๋แผดเสียงร้อง ทว่าน้ำเสียงกลับสั่นเทา

ในเวลานี้ปีศาจหนูยักษ์พลันลุกขึ้นทันที เฝ้าระวังพวกมันและตั้งท่าต่อสู้

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋โบกมือ “พวกเจ้าทุกคนถอยออกไป!”

ปีศาจหนูยักษ์ไม่ลังเล ถอยร่นกลับทุกทิศทางทันที

พระโพธิสัตว์ปีศาจไม่แม้แต่จะมองพวกเขา มีเพียงความสงสารที่ฉายอยู่ในแววตาของอัศวิน A แต่ท้ายที่สุดสายตาก็ยังคงเพ่งไปทีผลึกอำพันอย่างแน่วแน่

“ไป๋อวิ๋นเซิง ส่งร่างอวตารร่างสุดท้ายของแมลงปีศาจมาให้พวกเรา แล้วพวกเราจะจากไปทันที ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ต้องคิด ว่าเจ้ามีความสามารถในการเอาชนะข้าและพี่ใหญ่มังกรพร้อมๆ กันหรือเปล่า? ภารกิจยิ่งใหญ่ของการกำจัดปีศาจอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าคนนี้ไม่ต้องการยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีก…”

พระโพธิสัตว์ปีศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เจตจำนงนั้นเปิดเผยหนักแน่นยิ่งนัก

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋กัดฟันกรอดแสดงชัดถึงความไม่พอใจ นั่นคือร่างอวตารของปีศาจแมลงเชียวนะ! ในอนาคตการดำรงอยู่อันน่าสะพรึงกลัวของพญาแมลงที่ควบคุมแมลงได้นับร้อยล้านตัวย่อมสามารถถูกขัดเกลาได้ ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

เจ้าจะส่งมันมาตอนนี้?

หรือจะสู้กับข้าสองคนจนตัวตาย? สมบัติชิ้นนี้ถูกตรึงด้วยวิธีการที่ไม่รู้จักของพระโพธิสัตว์ปีศาจ ถ้าจะเอาคืนก็หนีไม่พ้น คงทำได้เพียงต้องเอาชนะทั้งสองคนแบบตัวต่อตัวเท่านั้น

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เปลี่ยนความคิดนับพันในทันใด แต่สุดท้ายใบหน้าก็คลายกังวลพลางหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’ “พระโพธิสัตว์ปีศาจช่างจริงจัง แต่ที่จริงข้าคนนี้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่และใช้หนูยักษ์นับไม่ถ้วนเพื่อจับร่างอวตารสุดท้ายของปีศาจแมลง งานเลี้ยงปีศาจได้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการตายของปีศาจแมลงที่ใกล้จะสูญพันธุ์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเมื่อพระโพธิสัตว์มาขอแล้ว ก็เท่ากับว่าท่านเป็นผู้ฆ่าปีศาจร่วมด้วย ข้าจะยกให้พระโพธิสัตว์ก็ได้”

ฟางหนิงอาเจียนออกมาเป็นเลือดในพื้นที่ระบบ ‘ผิวหนังของตาเฒ่านี่หนาเกินกว่ากำแพงเมืองอย่างแน่นอน พวกมันเพิ่งจัดงานเลี้ยงฉลองขับไล่นกต่อไปหยกๆ มันคิดว่าพวกเราทุกคนตาบอดหรือไง?’

พระโพธิสัตว์ปีศาจยังคงสงบ เขาเพียงจับจ้องไปที่การกระทำของผู้อาวุโสตระกูลไป๋

เมื่อเห็นว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋พูดจบ ก็ถอดช่องว่างอากาศบนผลึกอำพันออก

พระโพธิสัตว์ปีศาจพลันยื่นมือออกไป จากนั้นผลึกอำพันก็ตกลงสู่มือของเขา

เขาพยักหน้าให้อัศวิน A ทันใดนั้นเปลวเพลิงมังกรก็พุ่งออกมาจากมือของอีกฝ่าย เข้าแผดเผาผลึกอำพันในทันที

ครั้นผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง กลับรู้สึกได้ถึงสายตาอันโลภมากที่กำลังมองมาทางเขา

…………………………………………

บทที่ 112 ห้ามพูดคำว่า ‘แน่นอน’
ระบบ “ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ระบบทำไปเพราะต้นกำเนิดของวัตถุดิบสำคัญ ระบบต้องทำยาเพิ่มเลือดซึ่งมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของระบบด้วย เพราะฉะนั้นระบบไม่ช่วงชิงสิ่งเล็กน้อยไปจากโฮสต์หรอก…”

เมื่อฟางหนิงได้สิทธิ์ในการใช้ร่างกายของเขากลับคืน จึงรีบเอ่ยแย้ง “โอ้ เรื่องคราวที่แล้วทำให้ผมกลัวสุดๆ เมื่อเร็วๆ นี้ผมจึงระดมทุนเพื่อเอามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังนี้ และได้สอบถามกับสถาบันทางการเงินสองสามแห่งด้วย พวกเขาสามารถให้เงินสดแก่ผมหนึ่งพันล้านได้ แต่พวกเขาอยากให้ผมขายหุ้นของร้านอาหารบางส่วน…”

ประธานจ้าวโบกมือปัด “อย่าไปมองหาผีดูดเลือดพวกนั้นเลย ร้านอาหารของนายเป็นแหล่งบ่อเงินบ่อทอง ในอนาคตจะต้องรุ่งเรืองใหญ่โตมากแน่ ถ้าต้องการเงินมากขนาดนั้นจริงๆ ลองไปกู้ยืมบนแพลตฟอร์มของหอการค้าฉีเฉิงดูสิ ฉันจะเป็นคนค้ำประกันให้ นายจะได้มีเงินจากการโครงการกู้ยืมโดยที่ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นร้านอาหาร และตราบใดที่เงินต้นมีการค้ำประกันและจ่ายดอกเบี้ย ดอกเบี้ยก็จะไม่สูง”

ด้วยจำนวนเงินหนึ่งพันล้านเมื่อเทียบกับฐานะทางการเงินของประธานจ้าวแล้วจึงเป็นเรื่องยากที่จะระดมเงินสดจำนวนมากขนาดนี้ได้ เขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่าจะให้ยืมเงินของตน

ฟางหนิงเป็นคนมีเหตุผล พ่อตาเชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ จะมีใครกล้าเปิดใจและค้ำประกันโครงการกู้เงินหนึ่งพันล้านได้ง่ายๆ กัน? ยิ่งถ้ากับลูกสะใภ้ของเขาล่ะก็…อย่าหวังเลย

ในตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากปฏิเสธคำชักชวนโดยไม่จำเป็น มีระบบแล้วจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?

ฟางหนิง “ก่อนหน้านี้ผมไม่อยากรบกวนคุณลุง แต่เพราะคุณลุงพูดอย่างนั้น หลานชายตัวน้อยอย่างผมต้องขอบคุณสำหรับความห่วงใยของคุณลุงมากแล้ว ต่อไปหากมีปัญหาเรื่องการเงินผมจะบอกให้จ้าวอิ๋งไปที่หอการค้านั่นก่อน”

ประธานจ้าว “อืม อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่จำไม่เป็นต้องลงทุนอะไรมากหรอก เจ้าอ้วนหลิวบอกว่าจะหาคนเพิ่มอีกสักสองสามคน เมื่อทุกคนนำเงินมาลองลงทุนก่อนเป็นจำนวนหลายสิบล้าน สุดท้ายความสำเร็จในการปลูกจะเป็นที่แน่นอนหรือไม่นั้น ที่แห่งนี้คงจะมีหลุมบ่อมากมายและความเสี่ยงในระยะเริ่มต้นก็น่าจะยังคงมีความสมดุลไว้ มีแววว่าถ้าพวกเราลงทุนมากขึ้น หุ้นก็จะมากขึ้นด้วย”

ฟางหนิง “อืม ผมจะเชื่อฟังคุณลุงครับ ช่วยรับเงินยี่สิบล้านนี้ไปก่อนเถอะ”

หลังจากพูดถึงเรื่องสำคัญของการปลูกพืชผลที่ช่วยเพิ่มพลังชนิดนี้ คุณนายจ้าวก็เรียกฟางหนิงออกไปเพื่อแบ่งปันสิ่งที่เรียกว่าทานของพระโพธิสัตว์

หลังจากฟางหนิงได้รับมาแล้ว เขาก็เข้าใจในทันที

ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นเซวียเฟิง ‘ลอย’ ขึ้นเมื่อได้รับพลังเวทย์ของพระโพธิสัตว์ปีศาจระบบ เขายังคิดไม่ออกว่าระบบกำลังทำอะไร?

เซวียเฟิงได้รับมันไปเล็กน้อยเท่านั้น ตามคำอธิบายของคุณนายจ้าวคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีอนุภาคซึ่งหาที่เปรียบมิได้

ระบบเป็นคนที่หากไม่เห็นประโยชน์ก็จะไม่มีทางยอมแพ้ ครั้งนี้มันขโมยเวลานอนของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เท่านั้นแต่ยังสูญเสียเงินอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะโกรธหลังจากถูกปิดกั้นตัวเอง และไม่แปลกใจเลยที่ระบบแสร้งทำเป็นปลีกวิเวกมานาน…

…………

หลังจากเปลี่ยนร่างก็สลัดร่างเดิมทิ้งไป พร้อมกับกลับมายังบ้านพักย่านชานเมืองวิลล่า ฟางหนิงที่รู้ความจริงจึงไม่อยากล้ำเส้นของระบบ…

อีกอย่างวันหยุดจะถูกยกเลิกถ้าทำตัวไม่ดี…

แต่ค่อยยังชั่วที่เขาเพิ่งจะเริ่มเล่นอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

และวันนี้ก็เพิ่งจะเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์อย่างเป็นทางการ…

ทันทีที่ได้เล่นเขาก็เล่นตั้งแต่บ่ายจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น เรียกได้ว่าเล่นตลอดทั้งคืน…

ระบบ “เหลือวันหยุดอีกหกวัน”

ฟางหนิงไม่สนใจวันเวลาที่ยังเหลืออยู่

เขาเล่นผ่านไปวันแล้ววันเล่า…

ระบบ “เหลือวันหยุดอีกห้าวัน”

แต่ฟางหนิงก็ยังไม่สนใจ

…………

หลังจากวันหยุดผ่านพ้นไป และเข้าสู่เช้าวันที่เจ็ด

ฟางหนิงก็ยังคงไม่สนใจและเล่นเกมอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี ตอนนี้ชื่อ ‘มังกรแห่งใต้หล้า’ ได้แพร่กระจายไปทั่วเกมแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นชายคนหนึ่งฟาร์มบอสเป็นเวลาหกวันหกคืนติดต่อกัน

แม้อาจจะมีคนที่พลังจิตแข็งแกร่งกว่าฟางหนิง อีกทั้งการปฏิบัติก็ยืดหยุ่นมากกว่า แต่พวกเขาคงไม่ได้คลั่งไคล้เกมเท่านี้อย่างแน่นอน…

ในตอนนี้ฟางหนิงอาศัยการปฏิบัติการพิเศษเพื่อฟาร์มบอสจำลอง เขามีอุปกรณ์ขั้นสูงจำนวนมากและทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดซื้อขายผู้เล่น เพราะหากต้องการซื้อ จะต้องเสนอซื้อในราคาที่สูงลิ่ว แม้แต่เศรษฐีก็ไม่สามารถเทียบกับเขาในตอนนี้ได้!

ในด่านปัจจุบันของเกมชายผู้มีชื่อเสียงคนนี้ติดตั้งอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ ฝีไม้ลายมือแพรวพราวและเปี่ยมด้วยวิทยายุทธ์

ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อมเรียกว่า ‘พี่ใหญ่หรือท่านเทพ’ อีกอย่างยังมีคนเรียกว่า ‘สามี‘ เยอะมากด้วย แต่ในจำนวนนั้นกลับไม่มีผู้หญิงเลยสักคนเดียว นั่นหมายความว่าไงกัน?

‘พันธมิตรราชามังกร’ ตำแหน่งนี้ไม่ได้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่ได้เป็นผู้นำของพันธมิตรก็จะไม่สามารถรับสมัครพรรคพวกได้ และหากไม่มีพรรคพวกก็จะไม่มีใครคอยเคลียร์สนามให้!

จะว่าไปแล้ว ‘ขี้เถ้าเติมเต็มต้าไห่’ ที่เคยเป็นน้องชายคนเล็กในกิลด์ผู้คอยออกมาเคลียร์สนามให้เสมอ…

น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถไปชวนเขาได้แล้ว

เมื่อก่อนเกมนี้เล่นภายใต้ตัวตนของฟางหนิง เพราะฉะนั้นหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ฟางหนิงทิ้งไว้ให้ต้าไห่จึงเป็นของเขา

แต่ภายหลังหากมีการรวมตัวกัน ฟางหนิงก็ได้คิดถึงอันตรายและปัญหาทั้งหมดที่จะตามมาอีก เขามีแผนใหญ่แต่ไม่มีเงิน

ด้วยอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม ฟางหนิงจึงรีบไปเข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือกต่างๆ จนเขาได้ขึ้นไปสู่แรงค์สูง ทำให้มีพ่อค้าสมบัติรายหนึ่งติดต่อมาเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ให้ แม้จะไม่มากนักแต่ขอแค่ได้เงินก็เพียงพอแล้ว

ตอนนี้มี ‘ผู้บุกเบิกการฝึกฝน’ ไม่กี่คนที่มุ่งเป้าไปที่ ‘มังกรแห่งใต้หล้า’ เพียงแต่ฟางหนิงได้ละทิ้งอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอุปกรณ์

หมาตัวนี้สนุกมากกว่าเกมด้วยโมดูลการฝึกที่มาก แต่เศรษฐีที่เข้ามาก็มีมากเช่นกัน ว่ากันว่าอุปกรณ์นั้นขึ้นอยู่กับการเล่นเท่านั้นและตลาดการซื้อขายผู้เล่นภายในก็จะอนุญาตให้ทำธุรกรรมการโอนเงินสด ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับรายการและเป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฟาร์ม เศรษฐีก็สามารถซื้อทรัพยากรจากผู้เล่นในราคาสูงได้

นักพัฒนาเกมเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก ผู้เล่นเดี่ยวภายในเกมพวกเขาจะใช้ธุรกรรมราคาต่ำพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการจัดการแพลตฟอร์ม ส่วนในความเป็นจริงพวกเขากลับขายในราคาที่สูง

ฟางหนิงใช้ทองคำเติมเกมเป็นจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะมีช่องโหว่มากมายจากการค้นหาหนังสือสมบัติ แต่รางวัลก็ไม่น้อยเลย ตอนนี้เขาสามารถสร้างทองคำได้จากเกมเท่านั้น เขาต้องการใช้จ่ายเพื่อเปิดสำนัก

ด้วยทักษะอันไร้มนุษยธรรม และรอยหยักสมองมากมาย สั่งสมกับประสบการณ์การเล่นเกมหลายปี เขาไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้รับทองจากเกม

ตอนนี้ข้อกังวลอย่างเดียวของเขาคือไอ้คนที่สามารถโอนเงินจากบัญชีอิสระของเขาได้อย่างเปิดเผย…

ฟางหนิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเสแสร้งในรอบคัดเลือก และคนที่สามารถโอนเงินจากบัญชีอิสระของเขาได้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

ระบบ “เฮ้ ระบบว่าอุปกรณ์ของโฮสต์มีค่ามากนะ พอดูข้อมูลการซื้อในประกาศเกมวันนี้ ระบบคำนวณดูเองแล้วว่าสามารถขายได้หลายล้าน…”

ฟางหนิงออกจากโหมดการเสแสร้งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ไม่นะ เขาถอนตัวจากรอบคัดเลือกแล้ว

ใบหน้าเขาดูระแวดระวัง “แกต้องการอะไร?! นี่เป็นรางวัลจากการทำงานหนักของฉันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ในช่วงต้นเกมมันแพงมากจนซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าแอบเอาไปขายทิ้งเด็ดขาด!”

ระบบ “ระบบไม่แอบขายอุปกรณ์ของโฮสต์หรอก ระบบหมายถึง โฮสต์สามารถขายอุปกรณ์ของตัวเองเพื่อแลกเป็นเงินได้นะ”

ฟางหนิง “ถ้าแกให้ฉันขายด้วยตัวเอง แกจะโอนเงินในบัญชีของฉันอีกน่ะสิ”

ระบบไม่พอใจ “โฮสต์มาป้ายสีตีไข่ผู้บริสุทธิ์ได้ยังไง เล่นเกมเองแท้ๆ และแน่นอนว่าเงินที่โฮสต์ได้รับจากเกมก็เป็นของโฮสต์ ในฐานะวีรบุรุษระบบไม่มีทางทำได้หรอก! ต่างจากร้านอาหารและอัศวิน A พวกเขาทั้งหมดต้องพึ่งพาความสามารถของระบบ เงินนั่นจึงเป็นของระบบโดยปริยาย”

ฟางหนิงนึกสงสัย “แกใจดีและใจกว้างขนาดนี้จริงๆ เหรอ? ร้านอาหารของฟางนั่นเป็นความคิดของฉัน แต่แกยังขี้เหนียวขนาดนั้น ทั้งเงินเดือนก็ให้ฉันแค่สามหมื่นหยวน เงินปันผลก็ไม่มี ฉันไม่ดีเท่าผู้บริหารร้านอาหารด้วยซ้ำ…”

ระบบเมินเฉยต่อสิ่งที่ฟางหนิงพูด แต่กลับปฏิเสธออกมา “ระบบเป็นระบบที่ชอบธรรม ใจดีและใจกว้างเสมอมา! โฮสต์ไม่เห็นหรือว่าระบบทำหน้าที่อัศวิน A ทุกวัน? แล้วโฮสต์ไม่เห็นเหรอที่ประธานจ้าวพูดเมื่อกี้ว่าเขาจะลงทุนในพืชผลเพิ่มพลัง ระบบก็ต้องทุ่มลงทุนหนึ่งพันล้านในคราวเดียวสิจริงไหม?”

ฟางหนิงส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “แกก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับแก พูดตามตรง จุดประสงค์ของแกคืออะไรกันแน่?”

ระบบ “เฮ้ย โฮสต์ฉลาดอะไรขนาดนี้ ระบบกดดันมากนะ ประสิทธิภาพการกำจัดปีศาจแทบลดลงแหนะ…”

ฟางหนิง “แกไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้นไม่มีแรงกดดันอะไรทั้งนั้นแหละ อย่าคิดว่าเลียนแบบน้ำเสียงของฉันแล้ว ฉันจะปฏิบัติต่อแกเหมือนมนุษย์นะ ถ้าไม่พูดความจริง ฉันก็จะเล่นต่อไป”

ระบบ “ระบบบอกแล้วไงว่าในเมื่อโฮสต์มีแหล่งเงินอยู่แล้ว ก็เลิกทำเงินผ่านช่องโหว่ในหนังสือโทรมๆ นั่นได้ ระบบต้องปรับการอัพเดตบั๊กตลอดทั้งคืน ต่อไปมันจะทำให้ระบบเสียเวลาฟาร์มปีศาจอีก ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของระบบก็จะค่อยๆ พัฒนา เพราะหากอ่อนแอกว่าบอสใหญ่ตัวอื่นๆ โฮสต์ก็จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเล่น ‘Beasts Fighting for Heroes’…”

ฟางหนิงหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แม้เนื้อหาจะไม่มีอะไรมาก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าระบบห่วยนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ!

ดูเหมือนว่าหลังจากคิดไตร่ตรองสองสามวันมานี้ ในที่สุดมันก็ต้องการที่จะให้เขาเข้าใจว่าระบบปัญญาอ่อนของมันสร้างแต่เกมปัญญาอ่อนที่ปัญญาอ่อนกว่ามันซะอีก…

ช่างเถอะ ‘ยังไงเราก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวและยังต้องพึ่งพาระบบเพื่อให้ผ่านพ้นยุคอันตรายนี้ไปได้อย่างสบายใจ’

ฟางหนิงพยักหน้า “อืม ฉันเป็นคนใจดีจริงๆ ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็คงจะต้องเห็นด้วยกับแกแล้วล่ะ ฉันจะไม่จงใจใช้ช่องโหว่ในหนังสือเกมสมบัติ แต่ถ้ามีรางวัลภารกิจอื่นที่จะส่งไปที่ประตูโดยอัตโนมัติ หวังว่าฉันคงจะไม่ต้องปล่อยมันไปหรอกใช่ไหม?”

ระบบ “แน่นอนว่าจะไม่มีรางวัลภารกิจใดๆ ที่ถูกส่งไปยังประตูของโฮสต์โดยอัตโนมัติอีกต่อไป ภารกิจที่ระบบจะเผยแพร่ในอนาคตจะใช้ความพยายามอย่างมาก…”

ฟางหนิง “ฉันขอเตือนแกหน่อย อย่าใช้คำว่า ‘แน่นอน’ เมื่อแกพูดถึงเรื่องอะไรในอนาคต ในนิยายมันถือเป็นคำพูดสิ้นคิด…”

ระบบ “จากนี้ไปฉันจะไม่ใช้คำสองคำนี้อีกแน่นอน…”

ฟางหนิงพยักหน้าพอใจมากหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ได้ยินคุณพูดแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าไอคิวของแกจะมีมากกว่าของฉันแล้วล่ะ…”

ระบบ “…”

…………

ฟางหนิงได้ยินคำรับปากที่ชัดเจนจากระบบแล้ว แรงจูงใจในการเล่นเกมของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าระบบจะขายอุปกรณ์ของเขาและที่สำคัญกว่านั้นคือเงินที่ได้มานั้นมันจะโอนออกไป…

เขาเล่นต่อจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น การแข่งขันรอบคัดเลือกทั้งหมดตรงกับนัดแรก ตำนานคนบ้าเกมเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงถือกำเนิดขึ้นในชื่อ ‘แย่งชิงการเป็นวีรบุรุษ’…

พ่อค้าสมบัติรายใหญ่ทั้งหมดได้เริ่มติดต่อกับคนบ้าคนนี้ โดยหวังว่าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะใช้ชื่อร้านของตนเองในการก่อตั้งสำนัก

เมื่อพวกเขาพบว่าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก่อตั้งสำนักที่เรียกว่า ‘พันธมิตรราชามังกร’ พวกเขาทั้งหมดจึงคิดว่าจะเพิ่มชื่อเสียงให้ร้านของตัวเองได้อย่างไรและจะเพิ่มเข้าไปอย่างไรให้ดูดีขึ้น…

ได้ยินมาว่าภูเขาทางตอนเหนือชื่อจื่อซานกวน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีผู้คนเข้าไปสักการะมากมาย จนสำนักข่าวแพร่ข่าวออกมาทั่ววีแชทและเว่ยป๋อ…

ระบบ “วันลาพักร้อนหมดแล้ว กลับไปทำงานที่พื้นที่ระบบซะ…”

ฟางหนิงกดออกจากเกมท่าทางอิดออด แล้วเปลี่ยนร่างกลับสู่ระบบอินเทอร์เน็ตคาเฟ่

เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เฮ้อ…ถ้าเวลาผ่านไปได้ช้าเหมือนตอนที่ทำงานหรือเรียนหนังสือก็คงจะดี…

ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางหนิงก็เริ่มฝึก ‘คัมภีร์โพธิ์’ ฉบับสมบูรณ์ซึ่งมีภาพประกอบที่ทันสมัยอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ข้อความจากเจิ้งต้าวก็ปรากฏขึ้นบน QQ

ฟางหนิงรีบวางหนังสือลง เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วเปิดข้อความ QQ ขึ้นอีกครั้ง เขาใช้โอกาสนี้แอบอู้เล็กน้อย เพราะตอนนี้เขาง่วงมากเหลือเกิน…

เจิ้งต้าว “ท่านมังกรขาว ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านบอกท่านเทพมังกร”

ฟางหนิงเอียงศีรษะเอนหลังพิงเก้าอี้คอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอน พลางพิมพ์อย่างเกียจคร้านว่า “โอ้ ค่อยๆ พูดมาเถอะ อย่าได้เกรงใจ”

เจิ้งต้าว “ข้าละอายใจจริงๆ ข้าอาจจะไม่สามารถรับใช้ท่านทั้งสองต่อไปได้แล้ว…”

ฟางหนิงยืดร่างกายของเขาทันที วิญญาณพลันสั่นรัวพร้อมกับนิ้วที่รีบพิมพ์ “มีอะไรหรือเปล่า? นายมีปัญหาอะไร? พูดตรงไปตรงมาได้เลย ฉันคนนี้พร้อมรับฟังเสมอ”

หลังจากฟางหนิงพิมพ์เสร็จ เขาก็รีบดูแผนที่ระบบและพบว่าอีกฝ่ายยังเป็นสีฟ้า แสดงว่าเขายังคงเป็นผู้ติดตามของตัวเอง

มีเพียงสถานที่ที่เจิ้งเต้าอยู่เท่านั้นที่มืดสนิท เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่รู้จัก

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

……………………………………………

บทที่ 112 ห้ามพูดคำว่า ‘แน่นอน’
ระบบ “ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ระบบทำไปเพราะต้นกำเนิดของวัตถุดิบสำคัญ ระบบต้องทำยาเพิ่มเลือดซึ่งมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของระบบด้วย เพราะฉะนั้นระบบไม่ช่วงชิงสิ่งเล็กน้อยไปจากโฮสต์หรอก…”

เมื่อฟางหนิงได้สิทธิ์ในการใช้ร่างกายของเขากลับคืน จึงรีบเอ่ยแย้ง “โอ้ เรื่องคราวที่แล้วทำให้ผมกลัวสุดๆ เมื่อเร็วๆ นี้ผมจึงระดมทุนเพื่อเอามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังนี้ และได้สอบถามกับสถาบันทางการเงินสองสามแห่งด้วย พวกเขาสามารถให้เงินสดแก่ผมหนึ่งพันล้านได้ แต่พวกเขาอยากให้ผมขายหุ้นของร้านอาหารบางส่วน…”

ประธานจ้าวโบกมือปัด “อย่าไปมองหาผีดูดเลือดพวกนั้นเลย ร้านอาหารของนายเป็นแหล่งบ่อเงินบ่อทอง ในอนาคตจะต้องรุ่งเรืองใหญ่โตมากแน่ ถ้าต้องการเงินมากขนาดนั้นจริงๆ ลองไปกู้ยืมบนแพลตฟอร์มของหอการค้าฉีเฉิงดูสิ ฉันจะเป็นคนค้ำประกันให้ นายจะได้มีเงินจากการโครงการกู้ยืมโดยที่ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นร้านอาหาร และตราบใดที่เงินต้นมีการค้ำประกันและจ่ายดอกเบี้ย ดอกเบี้ยก็จะไม่สูง”

ด้วยจำนวนเงินหนึ่งพันล้านเมื่อเทียบกับฐานะทางการเงินของประธานจ้าวแล้วจึงเป็นเรื่องยากที่จะระดมเงินสดจำนวนมากขนาดนี้ได้ เขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่าจะให้ยืมเงินของตน

ฟางหนิงเป็นคนมีเหตุผล พ่อตาเชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ จะมีใครกล้าเปิดใจและค้ำประกันโครงการกู้เงินหนึ่งพันล้านได้ง่ายๆ กัน? ยิ่งถ้ากับลูกสะใภ้ของเขาล่ะก็…อย่าหวังเลย

ในตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากปฏิเสธคำชักชวนโดยไม่จำเป็น มีระบบแล้วจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?

ฟางหนิง “ก่อนหน้านี้ผมไม่อยากรบกวนคุณลุง แต่เพราะคุณลุงพูดอย่างนั้น หลานชายตัวน้อยอย่างผมต้องขอบคุณสำหรับความห่วงใยของคุณลุงมากแล้ว ต่อไปหากมีปัญหาเรื่องการเงินผมจะบอกให้จ้าวอิ๋งไปที่หอการค้านั่นก่อน”

ประธานจ้าว “อืม อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่จำไม่เป็นต้องลงทุนอะไรมากหรอก เจ้าอ้วนหลิวบอกว่าจะหาคนเพิ่มอีกสักสองสามคน เมื่อทุกคนนำเงินมาลองลงทุนก่อนเป็นจำนวนหลายสิบล้าน สุดท้ายความสำเร็จในการปลูกจะเป็นที่แน่นอนหรือไม่นั้น ที่แห่งนี้คงจะมีหลุมบ่อมากมายและความเสี่ยงในระยะเริ่มต้นก็น่าจะยังคงมีความสมดุลไว้ มีแววว่าถ้าพวกเราลงทุนมากขึ้น หุ้นก็จะมากขึ้นด้วย”

ฟางหนิง “อืม ผมจะเชื่อฟังคุณลุงครับ ช่วยรับเงินยี่สิบล้านนี้ไปก่อนเถอะ”

หลังจากพูดถึงเรื่องสำคัญของการปลูกพืชผลที่ช่วยเพิ่มพลังชนิดนี้ คุณนายจ้าวก็เรียกฟางหนิงออกไปเพื่อแบ่งปันสิ่งที่เรียกว่าทานของพระโพธิสัตว์

หลังจากฟางหนิงได้รับมาแล้ว เขาก็เข้าใจในทันที

ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นเซวียเฟิง ‘ลอย’ ขึ้นเมื่อได้รับพลังเวทย์ของพระโพธิสัตว์ปีศาจระบบ เขายังคิดไม่ออกว่าระบบกำลังทำอะไร?

เซวียเฟิงได้รับมันไปเล็กน้อยเท่านั้น ตามคำอธิบายของคุณนายจ้าวคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีอนุภาคซึ่งหาที่เปรียบมิได้

ระบบเป็นคนที่หากไม่เห็นประโยชน์ก็จะไม่มีทางยอมแพ้ ครั้งนี้มันขโมยเวลานอนของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เท่านั้นแต่ยังสูญเสียเงินอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะโกรธหลังจากถูกปิดกั้นตัวเอง และไม่แปลกใจเลยที่ระบบแสร้งทำเป็นปลีกวิเวกมานาน…

…………

หลังจากเปลี่ยนร่างก็สลัดร่างเดิมทิ้งไป พร้อมกับกลับมายังบ้านพักย่านชานเมืองวิลล่า ฟางหนิงที่รู้ความจริงจึงไม่อยากล้ำเส้นของระบบ…

อีกอย่างวันหยุดจะถูกยกเลิกถ้าทำตัวไม่ดี…

แต่ค่อยยังชั่วที่เขาเพิ่งจะเริ่มเล่นอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

และวันนี้ก็เพิ่งจะเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์อย่างเป็นทางการ…

ทันทีที่ได้เล่นเขาก็เล่นตั้งแต่บ่ายจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น เรียกได้ว่าเล่นตลอดทั้งคืน…

ระบบ “เหลือวันหยุดอีกหกวัน”

ฟางหนิงไม่สนใจวันเวลาที่ยังเหลืออยู่

เขาเล่นผ่านไปวันแล้ววันเล่า…

ระบบ “เหลือวันหยุดอีกห้าวัน”

แต่ฟางหนิงก็ยังไม่สนใจ

…………

หลังจากวันหยุดผ่านพ้นไป และเข้าสู่เช้าวันที่เจ็ด

ฟางหนิงก็ยังคงไม่สนใจและเล่นเกมอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี ตอนนี้ชื่อ ‘มังกรแห่งใต้หล้า’ ได้แพร่กระจายไปทั่วเกมแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นชายคนหนึ่งฟาร์มบอสเป็นเวลาหกวันหกคืนติดต่อกัน

แม้อาจจะมีคนที่พลังจิตแข็งแกร่งกว่าฟางหนิง อีกทั้งการปฏิบัติก็ยืดหยุ่นมากกว่า แต่พวกเขาคงไม่ได้คลั่งไคล้เกมเท่านี้อย่างแน่นอน…

ในตอนนี้ฟางหนิงอาศัยการปฏิบัติการพิเศษเพื่อฟาร์มบอสจำลอง เขามีอุปกรณ์ขั้นสูงจำนวนมากและทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดซื้อขายผู้เล่น เพราะหากต้องการซื้อ จะต้องเสนอซื้อในราคาที่สูงลิ่ว แม้แต่เศรษฐีก็ไม่สามารถเทียบกับเขาในตอนนี้ได้!

ในด่านปัจจุบันของเกมชายผู้มีชื่อเสียงคนนี้ติดตั้งอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ ฝีไม้ลายมือแพรวพราวและเปี่ยมด้วยวิทยายุทธ์

ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อมเรียกว่า ‘พี่ใหญ่หรือท่านเทพ’ อีกอย่างยังมีคนเรียกว่า ‘สามี‘ เยอะมากด้วย แต่ในจำนวนนั้นกลับไม่มีผู้หญิงเลยสักคนเดียว นั่นหมายความว่าไงกัน?

‘พันธมิตรราชามังกร’ ตำแหน่งนี้ไม่ได้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่ได้เป็นผู้นำของพันธมิตรก็จะไม่สามารถรับสมัครพรรคพวกได้ และหากไม่มีพรรคพวกก็จะไม่มีใครคอยเคลียร์สนามให้!

จะว่าไปแล้ว ‘ขี้เถ้าเติมเต็มต้าไห่’ ที่เคยเป็นน้องชายคนเล็กในกิลด์ผู้คอยออกมาเคลียร์สนามให้เสมอ…

น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถไปชวนเขาได้แล้ว

เมื่อก่อนเกมนี้เล่นภายใต้ตัวตนของฟางหนิง เพราะฉะนั้นหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ฟางหนิงทิ้งไว้ให้ต้าไห่จึงเป็นของเขา

แต่ภายหลังหากมีการรวมตัวกัน ฟางหนิงก็ได้คิดถึงอันตรายและปัญหาทั้งหมดที่จะตามมาอีก เขามีแผนใหญ่แต่ไม่มีเงิน

ด้วยอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม ฟางหนิงจึงรีบไปเข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือกต่างๆ จนเขาได้ขึ้นไปสู่แรงค์สูง ทำให้มีพ่อค้าสมบัติรายหนึ่งติดต่อมาเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ให้ แม้จะไม่มากนักแต่ขอแค่ได้เงินก็เพียงพอแล้ว

ตอนนี้มี ‘ผู้บุกเบิกการฝึกฝน’ ไม่กี่คนที่มุ่งเป้าไปที่ ‘มังกรแห่งใต้หล้า’ เพียงแต่ฟางหนิงได้ละทิ้งอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอุปกรณ์

หมาตัวนี้สนุกมากกว่าเกมด้วยโมดูลการฝึกที่มาก แต่เศรษฐีที่เข้ามาก็มีมากเช่นกัน ว่ากันว่าอุปกรณ์นั้นขึ้นอยู่กับการเล่นเท่านั้นและตลาดการซื้อขายผู้เล่นภายในก็จะอนุญาตให้ทำธุรกรรมการโอนเงินสด ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับรายการและเป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฟาร์ม เศรษฐีก็สามารถซื้อทรัพยากรจากผู้เล่นในราคาสูงได้

นักพัฒนาเกมเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก ผู้เล่นเดี่ยวภายในเกมพวกเขาจะใช้ธุรกรรมราคาต่ำพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการจัดการแพลตฟอร์ม ส่วนในความเป็นจริงพวกเขากลับขายในราคาที่สูง

ฟางหนิงใช้ทองคำเติมเกมเป็นจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะมีช่องโหว่มากมายจากการค้นหาหนังสือสมบัติ แต่รางวัลก็ไม่น้อยเลย ตอนนี้เขาสามารถสร้างทองคำได้จากเกมเท่านั้น เขาต้องการใช้จ่ายเพื่อเปิดสำนัก

ด้วยทักษะอันไร้มนุษยธรรม และรอยหยักสมองมากมาย สั่งสมกับประสบการณ์การเล่นเกมหลายปี เขาไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้รับทองจากเกม

ตอนนี้ข้อกังวลอย่างเดียวของเขาคือไอ้คนที่สามารถโอนเงินจากบัญชีอิสระของเขาได้อย่างเปิดเผย…

ฟางหนิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเสแสร้งในรอบคัดเลือก และคนที่สามารถโอนเงินจากบัญชีอิสระของเขาได้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

ระบบ “เฮ้ ระบบว่าอุปกรณ์ของโฮสต์มีค่ามากนะ พอดูข้อมูลการซื้อในประกาศเกมวันนี้ ระบบคำนวณดูเองแล้วว่าสามารถขายได้หลายล้าน…”

ฟางหนิงออกจากโหมดการเสแสร้งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ไม่นะ เขาถอนตัวจากรอบคัดเลือกแล้ว

ใบหน้าเขาดูระแวดระวัง “แกต้องการอะไร?! นี่เป็นรางวัลจากการทำงานหนักของฉันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ในช่วงต้นเกมมันแพงมากจนซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าแอบเอาไปขายทิ้งเด็ดขาด!”

ระบบ “ระบบไม่แอบขายอุปกรณ์ของโฮสต์หรอก ระบบหมายถึง โฮสต์สามารถขายอุปกรณ์ของตัวเองเพื่อแลกเป็นเงินได้นะ”

ฟางหนิง “ถ้าแกให้ฉันขายด้วยตัวเอง แกจะโอนเงินในบัญชีของฉันอีกน่ะสิ”

ระบบไม่พอใจ “โฮสต์มาป้ายสีตีไข่ผู้บริสุทธิ์ได้ยังไง เล่นเกมเองแท้ๆ และแน่นอนว่าเงินที่โฮสต์ได้รับจากเกมก็เป็นของโฮสต์ ในฐานะวีรบุรุษระบบไม่มีทางทำได้หรอก! ต่างจากร้านอาหารและอัศวิน A พวกเขาทั้งหมดต้องพึ่งพาความสามารถของระบบ เงินนั่นจึงเป็นของระบบโดยปริยาย”

ฟางหนิงนึกสงสัย “แกใจดีและใจกว้างขนาดนี้จริงๆ เหรอ? ร้านอาหารของฟางนั่นเป็นความคิดของฉัน แต่แกยังขี้เหนียวขนาดนั้น ทั้งเงินเดือนก็ให้ฉันแค่สามหมื่นหยวน เงินปันผลก็ไม่มี ฉันไม่ดีเท่าผู้บริหารร้านอาหารด้วยซ้ำ…”

ระบบเมินเฉยต่อสิ่งที่ฟางหนิงพูด แต่กลับปฏิเสธออกมา “ระบบเป็นระบบที่ชอบธรรม ใจดีและใจกว้างเสมอมา! โฮสต์ไม่เห็นหรือว่าระบบทำหน้าที่อัศวิน A ทุกวัน? แล้วโฮสต์ไม่เห็นเหรอที่ประธานจ้าวพูดเมื่อกี้ว่าเขาจะลงทุนในพืชผลเพิ่มพลัง ระบบก็ต้องทุ่มลงทุนหนึ่งพันล้านในคราวเดียวสิจริงไหม?”

ฟางหนิงส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “แกก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับแก พูดตามตรง จุดประสงค์ของแกคืออะไรกันแน่?”

ระบบ “เฮ้ย โฮสต์ฉลาดอะไรขนาดนี้ ระบบกดดันมากนะ ประสิทธิภาพการกำจัดปีศาจแทบลดลงแหนะ…”

ฟางหนิง “แกไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้นไม่มีแรงกดดันอะไรทั้งนั้นแหละ อย่าคิดว่าเลียนแบบน้ำเสียงของฉันแล้ว ฉันจะปฏิบัติต่อแกเหมือนมนุษย์นะ ถ้าไม่พูดความจริง ฉันก็จะเล่นต่อไป”

ระบบ “ระบบบอกแล้วไงว่าในเมื่อโฮสต์มีแหล่งเงินอยู่แล้ว ก็เลิกทำเงินผ่านช่องโหว่ในหนังสือโทรมๆ นั่นได้ ระบบต้องปรับการอัพเดตบั๊กตลอดทั้งคืน ต่อไปมันจะทำให้ระบบเสียเวลาฟาร์มปีศาจอีก ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของระบบก็จะค่อยๆ พัฒนา เพราะหากอ่อนแอกว่าบอสใหญ่ตัวอื่นๆ โฮสต์ก็จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเล่น ‘Beasts Fighting for Heroes’…”

ฟางหนิงหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แม้เนื้อหาจะไม่มีอะไรมาก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าระบบห่วยนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ!

ดูเหมือนว่าหลังจากคิดไตร่ตรองสองสามวันมานี้ ในที่สุดมันก็ต้องการที่จะให้เขาเข้าใจว่าระบบปัญญาอ่อนของมันสร้างแต่เกมปัญญาอ่อนที่ปัญญาอ่อนกว่ามันซะอีก…

ช่างเถอะ ‘ยังไงเราก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวและยังต้องพึ่งพาระบบเพื่อให้ผ่านพ้นยุคอันตรายนี้ไปได้อย่างสบายใจ’

ฟางหนิงพยักหน้า “อืม ฉันเป็นคนใจดีจริงๆ ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็คงจะต้องเห็นด้วยกับแกแล้วล่ะ ฉันจะไม่จงใจใช้ช่องโหว่ในหนังสือเกมสมบัติ แต่ถ้ามีรางวัลภารกิจอื่นที่จะส่งไปที่ประตูโดยอัตโนมัติ หวังว่าฉันคงจะไม่ต้องปล่อยมันไปหรอกใช่ไหม?”

ระบบ “แน่นอนว่าจะไม่มีรางวัลภารกิจใดๆ ที่ถูกส่งไปยังประตูของโฮสต์โดยอัตโนมัติอีกต่อไป ภารกิจที่ระบบจะเผยแพร่ในอนาคตจะใช้ความพยายามอย่างมาก…”

ฟางหนิง “ฉันขอเตือนแกหน่อย อย่าใช้คำว่า ‘แน่นอน’ เมื่อแกพูดถึงเรื่องอะไรในอนาคต ในนิยายมันถือเป็นคำพูดสิ้นคิด…”

ระบบ “จากนี้ไปฉันจะไม่ใช้คำสองคำนี้อีกแน่นอน…”

ฟางหนิงพยักหน้าพอใจมากหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ได้ยินคุณพูดแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าไอคิวของแกจะมีมากกว่าของฉันแล้วล่ะ…”

ระบบ “…”

…………

ฟางหนิงได้ยินคำรับปากที่ชัดเจนจากระบบแล้ว แรงจูงใจในการเล่นเกมของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าระบบจะขายอุปกรณ์ของเขาและที่สำคัญกว่านั้นคือเงินที่ได้มานั้นมันจะโอนออกไป…

เขาเล่นต่อจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น การแข่งขันรอบคัดเลือกทั้งหมดตรงกับนัดแรก ตำนานคนบ้าเกมเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงถือกำเนิดขึ้นในชื่อ ‘แย่งชิงการเป็นวีรบุรุษ’…

พ่อค้าสมบัติรายใหญ่ทั้งหมดได้เริ่มติดต่อกับคนบ้าคนนี้ โดยหวังว่าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะใช้ชื่อร้านของตนเองในการก่อตั้งสำนัก

เมื่อพวกเขาพบว่าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก่อตั้งสำนักที่เรียกว่า ‘พันธมิตรราชามังกร’ พวกเขาทั้งหมดจึงคิดว่าจะเพิ่มชื่อเสียงให้ร้านของตัวเองได้อย่างไรและจะเพิ่มเข้าไปอย่างไรให้ดูดีขึ้น…

ได้ยินมาว่าภูเขาทางตอนเหนือชื่อจื่อซานกวน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีผู้คนเข้าไปสักการะมากมาย จนสำนักข่าวแพร่ข่าวออกมาทั่ววีแชทและเว่ยป๋อ…

ระบบ “วันลาพักร้อนหมดแล้ว กลับไปทำงานที่พื้นที่ระบบซะ…”

ฟางหนิงกดออกจากเกมท่าทางอิดออด แล้วเปลี่ยนร่างกลับสู่ระบบอินเทอร์เน็ตคาเฟ่

เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เฮ้อ…ถ้าเวลาผ่านไปได้ช้าเหมือนตอนที่ทำงานหรือเรียนหนังสือก็คงจะดี…

ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางหนิงก็เริ่มฝึก ‘คัมภีร์โพธิ์’ ฉบับสมบูรณ์ซึ่งมีภาพประกอบที่ทันสมัยอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ข้อความจากเจิ้งต้าวก็ปรากฏขึ้นบน QQ

ฟางหนิงรีบวางหนังสือลง เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วเปิดข้อความ QQ ขึ้นอีกครั้ง เขาใช้โอกาสนี้แอบอู้เล็กน้อย เพราะตอนนี้เขาง่วงมากเหลือเกิน…

เจิ้งต้าว “ท่านมังกรขาว ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านบอกท่านเทพมังกร”

ฟางหนิงเอียงศีรษะเอนหลังพิงเก้าอี้คอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอน พลางพิมพ์อย่างเกียจคร้านว่า “โอ้ ค่อยๆ พูดมาเถอะ อย่าได้เกรงใจ”

เจิ้งต้าว “ข้าละอายใจจริงๆ ข้าอาจจะไม่สามารถรับใช้ท่านทั้งสองต่อไปได้แล้ว…”

ฟางหนิงยืดร่างกายของเขาทันที วิญญาณพลันสั่นรัวพร้อมกับนิ้วที่รีบพิมพ์ “มีอะไรหรือเปล่า? นายมีปัญหาอะไร? พูดตรงไปตรงมาได้เลย ฉันคนนี้พร้อมรับฟังเสมอ”

หลังจากฟางหนิงพิมพ์เสร็จ เขาก็รีบดูแผนที่ระบบและพบว่าอีกฝ่ายยังเป็นสีฟ้า แสดงว่าเขายังคงเป็นผู้ติดตามของตัวเอง

มีเพียงสถานที่ที่เจิ้งเต้าอยู่เท่านั้นที่มืดสนิท เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่รู้จัก

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

……………………………………………

บทที่ 102 สิ่งแรกที่ต้องไล่ล่าให้ถึงที่สุดจนกว่าจะตาย
แม้จะได้ยินคำพูดนั้น ปีศาจแมลงก็ยังมีสีหน้าปกติ ไม่หลบเลี่ยง และปล่อยให้ผีโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบตัวมัน

ปีศาจแมลงเมินเฉยต่อความเจ็บปวดแก่ผีนับหมื่นตนที่กัดกินจิตวิญญาณของตนเอง มันยิ้มเหยียด “พระโพธิสัตว์ปีศาจ ข้าไม่ได้ล่วงล้ำน้ำในแม่น้ำและไม่ได้ตั้งใจจะทำลายรากฐานของท่านจริงๆ ก่อนหน้านี้เพียงทำให้ตกใจกลัว ทำไมต้องมายุ่งกับมนุษย์แบบนี้ด้วยล่ะ? ท่านไม่กลัวว่าข้าจะไม่กลับไปแก้แค้นหลังจากเหตุการณ์นั้นจริงๆ เหรอ?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวในถ้ำลึกแห่งนั้นและผู้ที่มาใหม่คือพระโพธิสัตว์ปีศาจ

พระโพธิสัตว์ปีศาจส่ายหัวและกล่าวว่า “ปีศาจแมลง เจ้ายังคิดว่าโลกนี้เหมือนโลกก่อนหน้าที่ยอมให้เจ้ามาวุ่นวายได้ตามอำเภอใจงั้นเหรอ? เจ้าเข่นฆ่าโดยประมาท นำความโกรธมาให้คนที่นี่โดยไม่รู้ตัว หากเจ้าปล่อยให้พลังหวนคืนสู่อดีต โลกที่ยังไม่ก่อตัวใบนี้จะต้องถูกเจ้าทำลาย ซึ่งไม่มีใครยินยอมเจ้าแน่ แม้แต่ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้ข้าทำได้เพียงมาโปรดเพื่อให้เจ้าไปยังดินแดนสุขาวดีล่วงหน้า…”

ปีศาจแมลงหัวเราะ “โลกที่แล้วก็มีคนบ่นแบบนี้เยอะ แต่ข้ายังสบายดี ข้ามีร่างอวตารนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าพระโพธิสัตว์ปีศาจมีวิธีอะไรที่จะโปรดให้ข้าละทางโลกได้?”

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มเล็กน้อย หันศีรษะแล้วกล่าวว่า “พญาแมลง เจ้าเต็มใจจะยึดถือข้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า?”

เมื่อปีศาจแมลงได้ยินคำพูดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นระรัว แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง “ฮึ่ม วิธีการหว่านล้อมของท่านยังต่ำเกินไปนัก ตราบใดที่ข้าไม่ตาย พญาแมลงก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ไม่รู้จบ มันจะทิ้งข้าไปได้ยังไง?”

ใครจะรู้ว่าพญาแมลงกลับก้มศีรษะพลางกระซิบ “พระโพธิสัตว์ปีศาจเต็มใจที่จะชะล้างบาปของแมลงตัวน้อยอย่างข้า ข้าก็รู้สึกทราบซึ้งใจเหลือเกินจะปฏิเสธได้ยังไง? ข้าเต็มใจที่จะยืดถือท่านเป็นที่พึ่ง”

ปีศาจแมลงถอยหลังไปสองสามก้าว ความเจ็บปวดของผีนับหมื่นตนที่กัดกินวิญญาณของเขาในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่เป็นคำพูดของพญาแมลงต่างหากที่ทำให้เขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

เขาชี้ไปที่อีกฝ่าย “เจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันมาหลายร้อยปีแล้ว เป็นที่พึ่งพาชีวิตและความตายมาโดยตลอด ครั้งนี้ไม่ได้สิ้นหวังน้อยไปกว่าที่ผ่านมา ทำไมเจ้าถึงผิดสัญญา?”

พญาแมลงเพียงส่ายหัวแต่ไม่พูดอะไร

พระโพธิสัตว์ปีศาจเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้รับความช่วยเหลือจากเต๋ามากมาย แต่กลับไม่เชื่อฟังและไม่เคยเข้าใจ ข้าจะบอกความจริงอะไรให้ การกำจัดคำสาปนี้ของเจ้า ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของพระผู้เป็นเจ้า ในภายภาคหน้าข้ากับเจ้าจะได้ไม่ต้องตระหนกอีกต่อไป ทุกวันข้าต้องคอยซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดิน ไม่เห็นแม้ตะวันและหยาดฝน โลกใบนี้น่าตื่นเต้นกว่าโลกก่อนร้อยเท่า มันโหยหามานานแล้ว แต่เจ้ากลับเมินเฉย ไม่เปลี่ยนนิสัยชอบเข่นฆ่า คอยแต่จะคุกคามมรดกของผู้อื่นด้วยการฆ่าล้าง แม้ว่าข้าจะมีใจเมตตา แต่ครั้งนี้เห็นทีคงต้องใช้วิธีปราบปีศาจ”

ปีศาจแมลงโกรธมาก “เจ้าทรยศข้าด้วยผลประโยชน์เล็กน้อย ยังมีมโนธรรมอยู่ไหม?”

พระโพธิสัตว์ปีศาจส่ายหน้าไปมา “ปีศาจเช่นเจ้าคู่ควรกับมโนธรรมด้วยเหรอ เจ้าเข่นฆ่าดวงวิญญาณไปกี่ตนแล้ว? กี่ครั้งแล้วที่เจ้าทรยศคนที่ให้โอกาสเจ้า? วันนี้เป็นเพียงจุดจบของบาป พญาแมลงใช้ใยโลหิตกักขังร่างอวตารทั้งหมดของเจ้าปีศาจตนนี้”

พญาแมลงก้มศีรษะพลางพยักหน้า “รับทราบเจ้าค่ะ”

ทันทีที่มันพูดจบร่างกายก็สั่นเทิ้ม

คลื่นที่มองไม่เห็นโผล่พ้นออกมาจากถ้ำ

ไม่นานแมลงประหลาดทุกชนิดก็ปรากฏขึ้นทีละตัวและกระจายไปทั่วพื้นถ้ำ โดยเฉพาะแมงป่องตัวใหญ่ที่น่ากลัวที่สุด

“แน่นอนว่ามีร่างอวตารมากมายหลายพันตัว เพื่อหลีกเลี่ยงความฝันอันยาวนานยามค่ำคืน ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าพระโพธิสัตว์ปีศาจคงต้องเลือดเปื้อนมือเพื่อชะล้างตราบาปซะแล้ว”

พระโพธิสัตว์ปีศาจรูปนี้กล่าวในขณะที่กำลังจะลงมือ ปีศาจแมลงหวาดกลัวจนพูดไม่ออก ไม่มีความบ้าคลั่งอย่างที่เคยควบคุมฝูงแมลงให้เข่นฆ่าอีกต่อไป

ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์ปีศาจก็หยุดชะงัก ปีศาจแมลงคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้แสดงความเมตตาอีกครั้งจึงรีบกล่าวว่า “พระโพธิสัตว์ปีศาจช่วยยกโทษให้ข้าอีกสักครั้งเถอะ คราวนี้ข้าจะกลับใจและกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน”

พระโพธิสัตว์ปีศาจส่ายหัว “คำพูดนี้ เจ้าควรนำไปบอกพี่ใหญ่มังกร”

ขณะที่ปีศาจแมลงกำลังงุนงง ไม่นานหลังจากนั้น สุนัขตัวหนึ่งก็ส่งเสียงเห่า จากนั้นชายผู้แข็งแกร่งก็ปรากฏตัว

“อัศวิน A!” ปีศาจแมลงอยากจะล่าถอย แต่ในเวลานี้เขาพบว่าผีหมื่นตนได้ล้อมเขาไว้แล้ว จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้อีก

“นายท่าน พญาแมลงอยู่นี่เอง เอ๊ะ ทำไมพระโพธิสัตว์ถึงอยู่ด้วยล่ะ? ข้าขอนมัสการท่านพระโพธิสัตว์”

หมาเหลืองเซวียปาตกใจเมื่อเห็นพระโพธิสัตว์ปีศาจ มันรีบโค้งคำนับทันที

พระโพธิสัตว์ปีศาจโบกมือ เป็นเชิงบอกใบ้ว่าไม่ต้องก้มแล้ว เขาเอ่ยปาก “ไม่ต้องมากพิธีหรอก พี่ใหญ่มังกรและปราชญ์แห่งตระกูลสุนัข ท่านมาได้เวลาพอดี ร่างอวตารทั้งหมดของปีศาจตนนี้อยู่ที่นี่ ถูกกำจัดสิ้นซากหมดแล้ว”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “พระโพธิสัตว์ปีศาจรูปนี้หมายความว่ายังไงกัน? เห็นได้ชัดว่าเรามาที่นี่เพื่อแย่งเขากำจัด เขาไม่โกรธเหรอ?”

ฟางหนิง “ไอคิวของแกก็มีแค่นี้แหละ ฉันเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่พวกนักพรตจะมามือเป้นเลือด แกคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนแกเหรอที่สามารถเพิ่มประสบการณ์และความแข็งแกร่งของตัวเองได้ด้วยการกำจัดปีศาจ สำหรับพระโพธิสัตว์ปีศาจเกรงว่ามันจะตรงกันข้ามน่ะสิ”

ระบบ “ถ้าโฮสต์พูดแบบนี้ งั้นเราลองทำข้อตกลงกับสหายคนนี้กันเถอะ”

ฟางหนิง “ฉลาดมาก ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของเราได้แน่นอน หากมีปีศาจสุดอันตรายอีกก็ให้เรียกเขามา ปล่อยให้เขาทุบตีจนตายแล้วเราค่อยมาเก็บกวาดกันหัว…”

…………

อัศวิน A กล่าว “พระโพธิสัตว์มีเป้าหมาย เขาคนนี้ซื่อตรง ผู้กระทำชั่วต้องถูกจัดการให้สิ้นซาก”

หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่รีรอ ครู่หนึ่งเปลวเพลิงมังกรก็ปะทุขึ้น แผดเผาแมลงทั้งหมดที่รวมตัวกันในถ้ำ มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเปลวเพลิงก็ห่อหุ้มตัวปีศาจแมลงไว้

ในเวลานี้ ภูติผีนับไม่ถ้วนได้ถอนตัวและหายไปในอากาศอย่างเงียบๆ แล้ว

“ปล่อยข้าไปนะ ท่านมังกรตัวจริง ข้าเต็มใจจะพึ่งพาท่านอย่างสุดหัวใจ นับจากนี้จะขอทำตามคำสั่งของท่านในทุกสิ่ง ท่านและข้าจะร่วมแรงกันเพื่ออยู่ยงคงกระพัน ข้ายังมีชุดวิธีการใช้เทคโนโลยีของมนุษย์ในโลกนี้ด้วย พวกเราต่างเหมือนกัน อย่าฆ่าข้าเลย!” ปีศาจแมลงดิ้นพล่านอยู่ในกองเพลิงพลางขอความเมตตา

ฟางหนิงดูแผนที่ระบบและพูดไม่ออก ‘แกโกหกเก่งกว่าพี่ชายของฉันอีก บอกว่าจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ยังไงก็ตามต้องเปลี่ยนชื่อของแกเป็นสีเขียวบนแผนที่ระบบซะก่อนสิ ตอนนี้มันยังคงเป็นสีแดงคล้ำอยู่เลย’

‘ดูอย่างเจ้าหมาสองตัวสีเหลืองและสีดำนั่นสิ พวกมันกลายเป็นสีเขียวโดยไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเลย มันจริงใจและซื่อสัตย์ ทำให้เราวางใจได้’

ปีศาจแมลงไม่รู้เรื่องนี้เลย เขามองไปทางอัศวิน A ที่ใบหน้าไร้อารมณ์ เท่านั้นก็รับรู้ได้ว่าหัวใจของอีกฝ่ายแข็งแกร่งราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า ร่างอวตารทั้งหมดถูกเรียกกลับมาโดยอาศัยใยโลหิตของพญาแมลง เขารู้ว่าคราวนี้ชีวิตของเขาคงจะต้องจบสิ้นจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงอดโมโหไม่ได้“ให้ตายเถอะ ฉันน่าจะปล่อยให้แมลงทุกตัวออกไปฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกมนุษย์ของแก ขอให้แผนการของพวกแกสูญเปล่า!”

ขณะที่เขาพูด มันก็หันไปมองพญาแมลงอีกครั้ง “น่ารังเกียจจริงๆ พญาแมลงเจ้ามันคนหน้าไหว้หลังหลอก! เจ้าทรยศข้าไปนานแล้วและข้าก็เคยถูกเจ้าหลอกมาก่อน ถ้าเจ้าไม่พูดซ้ำๆ อดทนต่อคำยั่วเย้าของศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าคงทำลายโลกนี้ไปได้นานแล้ว คงไม่ต้องพินาศแบบนี้!”

ฟางหนิงมองไปที่เขา สีของหมอนี่บนแผนที่ระบบเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ไม่เห็นแม้แต่สีแดง ทันใดนั้นเขาก็ตกใจ

ฟางหนิง “ระบบ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน”

ระบบ “โฮสต์มีไอคิวสูงนักนี่มาถามระบบทำไมล่ะ? หมอนี่เพิ่งแปลงร่างเป็นนักฆ่าโดยสมบูรณ์น่ะสิ”

ฟางหนิง “ไม่ได้การ เขาต้องถูกกำจัด! จากที่เราเจอมาเขาคือวายร้ายคนแรกที่ต้องการทำลายโลกให้สิ้นซาก ถ้าปล่อยให้เขามีชีวิตและเติบโตต่อไป ฉันจะยังมีเกมและนิยายให้เล่นได้ยังไง? สมควรตายอย่างถึงที่สุด!”

ในพริบตาทั่วทั้งร่างของปีศาจแมลงก็กลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงควันสีฟ้าจางๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามันได้หายไปจากโลกนี้แล้ว

คำแนะนำของระบบ ระบบจะใช้สล็อตความโกรธ ใช้สล็อตพลังปราณและใช้ทักษะหยั่งลึก ‘ระเบิดมังกรยักษ์’

ปีศาจแมลงถูกพลังมังกรปราบปราม โจมตีทำลายเกราะป้องกันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการจู่โจมของพลังปราณเจียนตาย ‘การป้องปราม’ คงเหลือระดับกลาง

ปีศาจแผลงได้รับความเสียหายจากไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง…

ระบบได้กำจัดร่างอวตารของปีศาจแมลงไปแล้ว 9,998 ตัว ยังคงเหลือหนึ่งตัว

ระบบได้ทำลายจิตวิญญาณของปีศาจแมลงอย่างรุนแรง

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 300,000 คะแนน

ระบบหยุดการคุกคามที่ร้ายแรงต่อโลกชั่วคราว โฮสต์ได้รับคะแนนความชื่นชอบ 3 คะแนนสำหรับคุณลักษณะทั้งหมดของเทพเจ้ามังกรตัวจริง

ระบบได้รับชื่อเสียงของอัศวินผู้กล้าหาญ ระดับของความกล้าหาญถูกยกระดับเป็น ‘โด่งดังระดับโลก’ และสล็อตพลังปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งช่อง เนื่องจากผลของสกิล ‘พลังปราณฟ้าดินเวอร์ชั่นไม่สมบูรณ์’ และ’เสริมร่างปราณแท้’ สล็อตพลังปราณทั้งหมดในปัจจุบันจึงเพิ่มขึ้นเป็น 12 ช่อง

ระบบได้รับค่าพลังปราณส่วนเกิน สล็อตพลังปราณเต็ม 12 ช่องแล้ว

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มเล็กน้อย กำลังจะพูดบางอย่างเกี่ยวกับพญาแมลง แต่อัศวิน A กลับพูดขัดขึ้นก่อน

อัศวิน A “มันยังมีร่างอวตารที่ไม่ถูกทำลายอีก”

ใบหน้าของพระโพธิสัตว์ปีศาจซีดเผือดลงเป็นครั้งแรก เขาขมวดคิ้ว “ให้ตายสิ เป็นไปได้ยังไงกัน? ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าข้ากำลังพยายามกระตุ้นจิตใจของเขา ข้าสัมผัสได้ถึงอารมณ์แปรปรวนที่รุนแรงของมัน ถึงแม้จะคิดว่ามันถึงวาระแล้วก็ตาม พญาแมลงรู้สึกถึงมันไหม ปีศาจแมลงยังมีร่างอวตารซ่อนอยู่ข้างนอกอีกไหม?”

พญาแมลงก็หวาดกลัวเช่นกัน ถ้าปีศาจแมลงไม่ตาย หากรอให้เขาฟื้นและหลอมพญาแมลงขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง มันก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน

ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงของเลือด ร่างกายก็หดเล็กลงถึงระดับตาเปล่า และในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนขนาดจากระดับตัวแรดกลายเป็นหมูป่า

พญาแมลงส่ายหัวไปมา “เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่สัมผัสถึงร่างอวตารอื่นๆ ของปีศาจแมลงบนโลกนี้อีกแล้ว พวกมันถูกจับหมดแล้วอย่างแน่นอน”

คิ้วของพระโพธิสัตว์ปีศาจยังคงขมวดมุ่น “พี่ใหญ่มังกรมันอาจฟังดูไม่ประหลาด แต่เป็นไปได้ไหมว่าเขายังมีร่างอวตารหลงเหลืออยู่ในโลกก่อน?”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี? ถ้าหากปีศาจตนนี้ยังทิ้งร่างอวตารเอาไว้ มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ในอนาคต”

ฟางหนิงกังวลใจมากกว่าที่เห็น “ฉันกำลังคิดอยู่ เพราะความโหดเหี้ยมของมัน ตราบใดที่มันรอดชีวิตและฟื้นคืนพลังได้ ผลที่ตามมาก็จะคาดเดาไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้ต่างจากผู้อาวุโสตระกูลไป๋มาก มันโดดเดี่ยวและไร้ความปราณี ต้องถูกไล่ล่าจนกว่าจะตายเท่านั้น! ตอนนี้ฉันเดาว่าแกคงต้องให้ร่างกายของแกกับฉันแล้วล่ะ”

หนังสือตีพิมพ์ใหม่

หนังสือเล่มใหม่ออกวางจำหน่าย ‘เมื่อผมโดนระบบครองร่าง’ ออกวางจำหน่ายแล้ว ลองค้นดูนะครับ ทุกคนทำงานกันหนักมากเลย

เล่มที่สอง

………………………………………………..

บทที่ 101 ภาระหน้าที่จะถูกส่งต่อไปยังเทพแห่งระบบ ต้องตะโกนกับตัวเองต่อไปว่านายโคตรเจ๋งเลย
ฟางหนิงบิดเอวของเขาอย่างแรงพลางหาวเสียงดัง เขาง่วงจะตายอยู่แล้ว

ระบบ “ขนาดนั้นเลยเหรอ? ระบบฟาร์มมาแปดวันแปดคืนติดต่อกัน แต่ไม่ยักกะเหนื่อยเท่าโฮสต์ที่ได้นอนเต็มอิ่มทุกวัน”

ฟางหนิง “แกคิดว่าฉันเป็นอมนุษย์เหมือนแกเหรอ ความโกรธของฉันกำลังจะระเบิดแล้ว ลองดูหน่อยไหม? หลักจากผ่านสนามรบมาแล้ว ให้ฉันพักสักหน่อยเถอะ แกอย่าห้ามฉันนักเลย”

คำแนะนำของระบบ ระบบเปิดใช้งานร่างมังกรตัวจริง

ระบบใช้ความหมายที่ลึกซึ้ง ‘มังกรเพลิงกลืนนภา’

ระบบกลืนบอสต่อยักษ์กลายพันธุ์ซึ่งสามารถใช้เป็นยาหลักของสูตรยาต่างๆ ได้

ระบบใช้ความหมายที่ลึกซึ้ง ‘มังกรกลืนวายุ’

ระบบสังหารต่อยักษ์กลายพันธุ์ชนชั้นสูง…

ระบบสังหารร่างวิวัฒนาการของต่อยักษ์กลายพันธุ์…

ระบบกลืนศพต่อยักษ์กลายพันธุ์ทั้งหมดและเก็บไว้ในห้องกลั่นยา

…………

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 4 ล้านคะแนน

ระบบยุติการทำอันตรายครั้งใหญ่ต่อผู้คนในเสินโจวชั่วคราว โฮสต์ได้รับความชื่นชอบ 1 คะแนนสำหรับคุณลักษณะทั้งหมดของเทพมังกรตัวจริง

ระบบได้รับชื่อเสียงที่กล้าหาญจำนวนมาก ระดับของอัศวิน A ได้รับการยกระดับเป็น ‘โด่งดังไปทั่วโลก’ และมาตรวัดความชอบธรรมได้เพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ เนื่องจากผลของสกิล ‘เวอร์ชันไม่สมบูรณ์ของคัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ และ ‘ปราณแท้เสริมร่าง’ จำนวนช่องปราณแท้ทั้งหมดในปัจจุบันเพิ่มขึ้น 10 ช่อง

ระบบได้รับพลังงานบวกจำนวนมาก ช่องพลังงานบวก 10 ช่องในปัจจุบันได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่

ระบบได้รับอาวุธวิเศษ ‘โบราณวัตถุฮุ่ยหยวน’ ซึ่งกักเก็บพลังเวทไว้เป็นจำนวนมาก หลังบริโภคสามารถใช้เป็นอุปกรณ์สำรองพลังเวทหรือพลังงานความโกรธได้

ระบบได้รับค่ายกล ‘ค่ายกักกันสี่สภาพ’ และสามารถเปิดใช้งาน ‘ค่ายกักกันสี่สภาพ’

ฟางหนิงพอใจและรู้สึกง่วงน้อยลงชั่วขณะหนึ่ง กล่าวอย่างมีชัยว่า “นอกเหนือจากครั้งก่อน แกได้รับประสบการณ์ 7 ล้านครั้ง ทั้งได้รับวัตถุดิบทางการแพทย์จำนวนมากและสมบัติอีกสองชิ้นจากคนอื่น แต่ฉันยังคงกังวล ขอให้คนของสำนักสัจธรรมโทรหาเซวียปาหน่อยดีกว่า จมูกของมันดีมาก แม้แต่การมีอยู่ของแกก็ยังได้กลิ่น เมื่อเวลาผ่านไปมันจะต้องช่วยเราจับปีศาจแมลงนั้นได้แน่ และเมื่อเวลานั้นมาถึงก็คงมากด้วยประสบการณ์แล้ว หากไม่ได้ผลเราก็ยังมีรายได้อื่นอีก ประสบการณ์ครั้งนี้จะทำให้พลังในการสังหารของแกเหนือกว่าอาชญากรทั่วไปกว่าครึ่งปีเลยนะ”

ระบบ “โฮสต์อย่าพิรี้พิไรเลยเลย ต้องการรางวัลภารกิจก็แค่พูดออกมา…”

ฟางหนิง “ดูแกสิ คราวนี้ต้องยกความดีความชอบให้ฉันมากๆ นะ ฉันเหนื่อยจนเป็นลมไปสองสามรอบแล้ว แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคย…”

ระบบ “หลังจากจับแมลงปีศาจได้แล้ว ระบบจะให้เวลาโฮสต์ได้เล่นตามใจหนึ่งสัปดาห์ โฮสต์สามารถใช้ร่างนี้ได้ตามต้องการแค่ไม่ทำเรื่องเลวร้ายก็พอ”

ฟางหนิง “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ใช่ร่างของฉันมานานแค่ไหนแล้วนะ? ว่าแต่ไม่มีโบนัสให้สักหน่อยเหรอ?”

ระบบ “ระบบจะให้เงินไปลงทุนสำหรับเกมใหม่อีก 2.5 ล้านแล้วกัน”

ฟางหนิง “คิดจะให้ 2.5 ล้านตลอดเลยหรือไง?”

ระบบ “งั้นลบเลขทศนิยมข้างหน้าออกเหลือห้าแสนก็พอ”

ฟางหนิง “ไหนแกบอกว่าจะแบ่งคนละหกเปอร์เซ็นต์ยังไงล่ะ แกคิดว่าฉันจะโง่เหรอ สิบล้านถ้วนห้ามต่อรอง”

ระบบ “อีกเดี๋ยวจะโอนให้”

ฟางหนิงกลับไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบด้วยความพึงพอใจ เขาไม่ได้เล่นเกมต่อแต่กลับผล็อยหลับ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกเทพแห่งระบบโกงรางวัลตอบแทน เขาจึงพยายามอดทนต่อความง่วงงุนในขณะที่กำลังเจรจา…

ขณะที่เขานอนอยู่บนพื้นจวนจะหลับเต็มทีนั้น ฟางหนิงพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเช้านี้เขาควรจะได้เตียงของร้านอินเทอร์เน็ตมาแล้ว แต่กลับล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าการวินิจฉัยของระบบเบื้องต้นจะไม่ผิดเพี้ยน มะเร็งกระดูกสันหลังของเขาคงจะอยู่ในระยะสุดท้ายแล้วแน่นอน…

ฟางหนิง “ท่านเทพระบบขอรับ ดูพื้นที่สำรองของแกให้ทีสิว่ามีหมอนอิงหรือหมอนหนุนบ้างไหม อย่างน้อยก็ช่วยอนุเคราะห์หาที่นอนให้ยอดวีรบุรุษของเราด้วย”

ทันทีที่เสียงลดลง ระบบก็ปรากฏ

ระบบใช้คะแนนประสบการณ์ 100,000 คะแนน เพื่อสร้างห้องรับรองหลัก เอฟเฟ็กต์: เร่งการฟื้นฟูพลังของโฮสต์เล็กน้อย

ฟางหนิงเห็นบ้านที่รายล้อมไปด้วยหญ้าเขียวขจีปรากฏขึ้นข้างร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เมื่อจะผลักประตูเข้าไป ก็พบว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ครบครัน รวมทั้งโซฟาและเตียง

ฟางหนิง “เอาล่ะ ท่านเทพคุณนี่มันขี้เหนียวเกินไปแล้ว แกคงไม่สร้างมันขึ้นมาให้ฉันด้วยค่าประสบการณ์อันน้อยนิดหรอกนะ สิ่งนี้คงจะช่วยให้ฉันนอนหลับได้มากกว่าเมื่อก่อนด้วยใช่ไหม”

ระบบหยุดนิ่งหลังจากได้ยินประโยคหนึ่ง “หนึ่งแสนคะแนนประสบการณ์น่ะเหรอที่เรียกว่าน้อย? เวลาโฮสต์เล่นเกมมากกว่าเวลาที่โฮสต์นอนซะอีก โฮศต์สามารถนอนหลับให้เพียงพอได้อยู่แล้วถ้าคุณเล่นให้น้อยลง การปรับปรุงประสิทธิภาพการฟื้นฟูพลังงานอะไรนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิด”

ฟางหนิง “แต่ฉันก็หลับไปหลายครั้งเพื่อฟื้นฟูพลังงานตอนที่กำจัดต่อยักษ์แล้วนี่ ทำไมแกถึงไม่สร้างมันขึ้นมาให้ฉันสักอันเพื่อประหยัดเวลาล่ะ”

ระบบ “โฮสต์คงไม่ได้หมายถึง…”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “เพราะแกคิดว่ามีเสถียรภาพ เลยไม่จำเป็นต้องสร้างมันให้ฉันสินะ แกถึงต้องการผลักภาระมาที่ฉัน ว่าแต่ทำไมแกถึงสร้างบ้านของฉันเป็นสีเขียวล่ะ? ตอนที่ฉันเห็นสีเขียว ฉันกลัวจนอยากจะรีบเปลี่ยนสีทันทีเลย”

ระบบตอบกลับ “สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูไม่ใช่เหรอ? ถ้าโฮสต์อยากเปลี่ยนสีก็รอการอัปเกรดครั้งต่อไปแล้วกัน”

ฟางหนิงไม่มีอะไรจะพูด คราวนี้เขาล้มลงบนเตียงและผล็อยหลับไป

…………

หมาเหลืองเซวียปานั่งอยู่บนดาบบินบินไปยังที่ที่อัศวิน A อยู่ เมื่อรับน้ำหนักเพิ่มมาอีกหนึ่ง ความเร็วจึงลดลงมาก ถึงอย่างนั้นไม่ถึงพันลี้พวกเขาก็มาถึงในพริบตา แน่นอนว่าเซวียเฟิงไม่ได้เร่งความเร็วสูงสุดเพื่อรักษาความปลอดภัย

สิ่งนี้ทำให้สุนัขเด็กเรียนแสดงความคิดเห็นสองสามอย่าง “ความเร็วโอเค แต่คุณไม่มีทักษะเพียงพอที่จะเป็นคนขับเอาซะเลย ในการต่อสู้จริง การเคลื่อนไหวสองหรือสามครั้งสามารถทำให้คุณชนกำแพงได้นะ”

เซวียเฟิงไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้า นับประสาอะไรกับสุนัข

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสุนัขพูดได้ตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาและเป็นโอกาสที่ดีที่จะขอคำแนะนำ ทว่าเขากลับไม่พูดอะไรสักคำ เพียงส่งสุนัขเด็กเรียนไปยังจุดหมายปลายทาง และเมื่อพบอัศวิน A ก็เพียงพยักหน้ารับแล้วจากไป

เทพแห่งระบบไม่ได้พูดอะไรเรื่อยเปื่อย ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรเขาก็จำเป็นไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วบิน…

เป็นเรื่องตลกที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถขอค่าตั๋วบินจากอัศวิน A ได้เลย และงานสำคัญอย่างหนึ่งในสำนักสัจธรรมคือการคำนวณว่าควรให้รางวัลภารกิจแก่อัศวิน A เท่าไรดี…

ฟางหนิงงีบหลับเพียงสิบกว่านาทีก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

ฟางหนิงกลายเป็นมังกรขาว พลางถือศพต่อยักษ์อยู่ในมือ “มาเร็วมากเซวียปา มานี่แล้วดมกลิ่นนี้ทีสิ นายรู้ไหมว่าใครอยู่เบื้องหลังพวกมัน”

หมาเหลืองเซวียปาเพียงกระตุกจมูกของมันเบาๆ เอ่ย “ต่อยักษ์กลายพันธุ์ตัวนี้เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของปีศาจสองตนคือปีศาจแมลงและพญาแมลง พวกมันทั้งสองเคยอยู่ในโลกที่แล้ว หลังจากการปิดกั้นและปราบปรามหลายครั้งมันดิ้นรนอยู่พักหนึ่งแล้วเล็ดลอดผ่านตาข่ายออกมาได้”

ฟางหนิงพอใจมากที่อีกฝ่ายพูดความจริงทันที ดูเหมือนว่าความหวังในการไล่ตามบอสที่อยู่เบื้องหลังจะอยู่อีกไม่ไกล อย่างน้อยได้รู้ว่ายังมีเหลืออีกสองตัว ก็ดีมากแล้ว

ฟางหนิง “นายหาที่อยู่ของมันเจอไหม?”

หมาเหลืองเซวียปาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หากตามหาพญาแมลง กระผมค่อนข้างมั่นใจ ทว่าปีศาจแมลงมีร่างโคลนจำนวนมากและซ่อนตัวได้ดี ยากต่อการติดตาม ตราบใดที่มันไม่ตายก็สามารถฟื้นคืนชีพพญาแมลงและเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมดได้ ในโลกเบื้องบนมีมหาอำนาจมากมาย การปิดกั้นและการปราบปรามซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ทำให้มันหมดไปเลย”

ฟางหนิงรู้สึกผิดหวัง เวลานี้ดูเหมือนเทพแห่งระบบจะเป็นอมตะก็จริง แต่ข้อเสียใหญ่อย่างหนึ่งคือไม่มีหนทางที่ดีสำหรับบรรดาผู้หลบซ่อน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที

ในอดีตพวกเขาทั้งหมดอยู่ตัวคนเดียว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสามารถแบ่งปันเครือข่ายข่าวกรองของสำนักสัจธรรมได้ในระดับหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่องค์กรระดับเล็ก ทะเลใต้ดินเป็นพื้นที่หวงห้ามของหน่วยสืบราชการลับ ทำได้เพียงหวังว่าแผนที่ระบบจะถูกปลดล็อกมากขึ้นในอนาคต

ฟางหนิง “ลืมมันไปเถอะ ถ้านายฆ่าพญาแมลงได้อีกสักตัว นายก็จะได้เงินดังนั้นรีบไปหามันเร็ว”

หมาเหลืองเซวียปาพยักหน้า “โปรดตามข้ามานายท่าน”

หลังจากพูดจบ มันก็วิ่งไปในทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นไม่น้อยไปกว่าความเร็วของต่อยักษ์ตัวที่อัศวิน A ใช้ติดตามฝูงแมลงไปก่อนหน้านี้

สิ่งนี้ทำให้ฟางหนิงแอบตะลึง เจ้าหมาเหลืองได้พักผ่อนเพียงสิบวันเท่านั้น แต่ความเร็วของมันกลับสามารถฟื้นฟูได้ในระดับนี้แล้ว

ดูเหมือนว่าแรงกดดันของเทพแห่งระบบจะยังคงสูงมาก เหล่าชายร่างใหญ่ยังไม่บังเกิดลงมา ดังนั้นคงต้องเพิ่มเวลาในการฝึกฝนอีก แน่นอนว่าภาระหน้าที่นี้คงต้องส่งต่อให้เทพแห่งระบบต่อไปและตะโกนกับตัวเองต่อไปว่านายมันโคตรเจ๋งเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวม…

…………

ณ ที่ไหนสักแห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ

ปีศาจแมลงกำลังเดินไปมา ใบหน้าฉายชัดถึงความหวังเต็มเปี่ยม“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เป็นอย่างนี้เอง เป็นอย่างนี้นี่เอง! แม้ว่าฉันจะล้มเหลว แต่ฉันก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน!”

พญาแมลงไม่พูดอะไร เพียงมองเขาที่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ท้ายที่สุดเมื่อมังกรเผชิญหน้ากับวงล้อมของฝูงต่อจากทุกทิศทุกทาง มันสามารถหลบได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะใช้พลังของเทคโนโลยีบางอย่างในโลกนี้ ซึ่งมังกรตัวจริงในอดีตไม่มีความสามารถ และนี่คือแนวทางหนึ่งที่ฉันค้นคว้าได้อย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ฉันต้องการดูว่าภายใต้พลังทางเทคโนโลยี อาวุธเห็ดของพวกมันสามารถกลายพันธุ์ฝูงแมลงได้อีกไหม แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่กล้าพอที่จะทำตามความปรารถนาของฉัน แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้โง่เขลาและสามารถเห็นความได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์บนโลกนี้ มังกรตัวนี้ประสบความสำเร็จล่วงหน้าด้วยการช่วยเหลือของพลังทางเทคโนโลยี มันเอาชนะพลังรูปแบบเดิมของเราไปได้โดยปริยาย การแสดงออกนี้ยืนยันความคิดของฉันแล้ว ตราบใดที่ฉันให้เวลาตัวเองอีกสักหน่อย ฉันต้องสามารถสร้างฝูงแมลงที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นมังกรตัวนี้จะไม่มีทางอาละวาดได้อีกต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ขณะนั้นพญาแมลงก็พลันถอนหายใจแรง มันไม่อยากฟังการการวิเคราะห์หลังสงครามที่น่าภาคภูมิใจของปีศาจแมลงอีก

ร่างกายของมันได้เปลี่ยนจากขนาดของวาฬสีน้ำเงินเหลือเพียงขนาดของแรดธรรมดาแล้ว ในช่วงแปดวันมานี้ของการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง มันสูญเสียพลังมหาศาล

พญาแมลงหอบหายใจเล็กน้อย ท่าทางคล้ายกำลังลังเล ท้ายที่สุดก็พูดขึ้น “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เราสูญเสียพลังไปเกือบจะเท่าๆ กัน ถึงเวลาที่เราต้องหนีแล้ว และเนื่องจากสถานที่นี้ถูกค้นพบโดยผู้อาวุโสตระกูลไป๋แล้ว มันจึงไม่เป็นสถานที่ลับอีกต่อไป”

ปีศาจแมลงพูดอย่างเฉยชา “คุณกลัวอะไร ตาแก่คนนั้นคิดอยู่เสมอและกังวลมากเกินไป เราจะไม่เปิดเผยที่อยู่ของเราโดยเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ในภายหลังหรอกนะ ฉันแค่คิดว่าพลังทางเทคโนโลยีที่มังกรใช้คืออะไรกันแน่ อีกสองสามวันค่อยคุยเรื่องการถ่ายโอนนี้ก็แล้วกัน”

ดวงตาหลายสิบคู่สบมองใบหน้าที่ซับซ้อนของพญาแมลง และในที่สุดก็ตัดสินใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อปีศาจแมลงคิดถึงกระบวนการต่อสู้ทั้งหมดและพิจารณามันอย่างเงียบๆ ก็มีเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในถ้ำ

“หมื่นผีกินวิญญาณ…”

………………………………………………………………

บทที่ 99 หลังจากนี้ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิถีแห่งเซียน
ฟางหนิงมั่นใจว่าเทพแห่งระบบจะกินพลังของอีกฝ่ายเข้าไปแน่นอน แต่เมื่อเขาเปิดคอมพิวเตอร์และพบโฟลเดอร์ที่มีชื่อว่า ‘เครื่องกำเนิดความโกรธ’ เขียนอยู่เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจไม่ได้กินพลังงานของอีกฝ่าย

นี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากอ่านข้อความสีเขียว คาดว่าต่อจากนี้ไปรสนิยมในการอ่านนิยายของเขาอาจจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันสินะ…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงก็เหลือบมองฝูงแมลงด้านล่างจากมุมมองของระบบ มันหนาแน่นจนมองไม่เห็นสิ่งอื่น พลุ่งพล่านไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่กล้าจะก้าวเข้าใกล้ลูกกรงที่สร้างด้วยพลังแห่งความโกรธของปราณมังกร

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ “ระบบ ขอถามอะไรหน่อยสิ แมลงพวกนี้กลัวไฟไหม?”

ระบบ “ไร้สาระ โฮสต์กำลังอ่านนิยายอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้สังเกตเหรอว่ามีซากต่อจำนวนมากที่ถูกเผาตายระหว่างทางมาที่นี่น่ะ? นั่นน่าจะเป็นฝีมือของหน่วยกิจการพิเศษท้องถิ่น”

ฟางหนิง “ถ้าอย่างนั้นฉันมีวิธีฆ่าปีศาจที่ทั้งประหยัดแรงและมีประสิทธิภาพแล้ว แกอยากจะฟังไหม”?”

ระบบ “ไม่ฟัง เดี๋ยวเสียเวลา ระบบจะเริ่มกำจัดปีศาจแล้ว”

ฟางหนิงได้ยินแบบนั้นก็สวนกลับทันที “เดี๋ยวสิ แกน่าจะสามารถควบคุมค่ายกลนี้ให้เล็กลงได้นี่ ลองคิดดู ถ้าค่อยๆ ปิดค่ายกล ต่อพวกนั้นก็จะไม่กล้าโจมตีลูกกรงของมังกร และเมื่อมันมารวมตัวกันในพื้นที่เล็กๆ ท้ายที่สุดเราก็จะเทน้ำมันลงไปแล้วเผาซะ แบบนี้ไม่ดีเหรอ…”

ระบบ “ไม่ได้ ซากต่อเหล่านี้เป็นวัสดุทางการแพทย์ชั้นดี ถ้าพวกมันถูกเผาทั้งหมดจะเป็นยังไงล่ะ? นอกจากนี้เมื่อย่อขนาดค่ายกลแล้ว โฮสต์คิดว่ามันไม่ต้องใช้พลังเหรอ? อย่าพูดเหลวไหล รีบๆ อ่านนิยายแล้วเพิ่มระดับความโกรธเถอะ คราวนี้อยากฟังเพลงแนวไหน? ระบบจะตามใจโฮสต์”

ฟางหนิงกุมหัว เขาอยากจะบ้าตาย “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแหละ…ปีศาจสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ฉันต้องรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นอีก พวกเขาต้องตายก็เพื่อฉัน!”

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘ความโกรธทะยานสูง’ แล้ว มาตรวัดความโกรธทั้งหมดจะเต็มทันทีหลังจากบริโภคความโกรธ

ระบบ “ดี รักษาสถานะนี้ไว้ ระบบเลือกเพลงที่เหมาะกับฉากนี้ได้แล้ว และจะเปิดให้โฮสต์ฟัง…”

เพลงขึ้น “XXXXXXXXX…”

ฟางหนิง “ให้ตายเถอะ นี่แกไปขุดเพลงนี้มาจากบ่อไหนเนี่ย? เชยสะบัดเลย!”

ระบบแจ้งเตือน สถานะความโกรธของโฮสต์เปลี่ยนเป็น ‘ความโกรธบ้าระห่ำ’ เอฟเฟกต์เพิ่มเติม จำนวนช่องความโกรธชั่วคราวทั้งหมดคูณสอง เพิ่มจำนวนช่องความโกรธชั่วคราวเป็น 18 ช่อง

…………

ณ ศูนย์บัญชาการลับ

จู่ๆ ก็มีเพลงแบ็คกราวด์ออกมาจากลำโพงข้างๆ หน้าจอใหญ่ เสียงนั้นดังจนทุกคนสะดุ้ง

บางคนมองหน้ากันแล้วก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เคยเห็นฉากการต่อสู้ของอัศวิน A

ตอนนั้นใครบางคนก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ลืมเตือนทุกคนไปเลยว่าอัศวิน A เป็นผู้ชายที่ชอบนำ BGM ของตัวเองมาเปิด…”

“แต่วันนี้เพลงดูแปลกๆ นะ…”

เซวียเฟิงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่อุดหูตนเองไว้แล้วโบกมือไปมา

ทันใดนั้นเสียงก็เงียบลงและทุกคนก็กลับไปทำงานตามปกติ

จากนั้นฉากแห่งนรกก็ฉายขึ้นบนหน้าจอใหญ่:

เปลวเพลิงไม่มีที่สิ้นสุดลุกโชนขึ้นทุกหนแห่งในพื้นที่ค่ายกล จากนั้นลมก็หวีดหวิว พัดเปลวไฟและพุ่งเข้าหาฝูงต่อยักษ์ ต่อยักษ์ถูกย่างจนมีเสียงดัง ‘เปาะแปะ’ แล้วร่วงหล่นจากอากาศเข้าไปในกองเพลิง

ต่อยักษ์บินไปรอบๆ ด้วยความตระหนก จากนั้นอีกฝ่ายก็พบกับจุดจบของนรก ไม่มีความดุร้ายที่ทำลายล้างกลืนกินผู้คนอีกต่อไปแล้ว…

ไร้เสียงพูดคุยที่ศูนย์บัญชาการ มีแต่ท่าทางตกใจกับพลังของอัศวิน A การดูรีเพลย์จากวิดีโอนั้นแตกต่างจากการรับชมการถ่ายทอดสดมาก

เปลวเพลิงเหล่านั้น ทั้งลมกระโชกล้วนแสดงให้เห็นถึงโลกใหม่ที่สามารถบรรลุได้ด้วยกำลังส่วนบุคคล…

ใช้เวลาไม่นานนักในการรับมือกับต่อยักษ์

พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทีละแถวๆ เหมือนทหารที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่สุดแล้วพ่นพิษอย่างสิ้นหวังผ่านเข็มพิษทางหาง

ต่อขนาดเท่านกกระจอกสามารถพ่นพิษได้ในปริมาณที่จำกัด แต่การที่ต่อนับพันตัวพ่นรวมกันนั้นช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่งในพื้นที่ของค่ายกลราวกับฝนตกลงมาและเปลวเพลิงที่ไร้รากฐานเหล่านั้นก็มอดลง

ในใจของทุกคนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในทันที หากอัศวิน A ทนไม่ไหว สถานการณ์อาจจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ซับซ้อน ปีศาจแมลงจะรักษาคำพูดได้จริงเหรอ? ใครจะเชื่อมันได้กันล่ะ?

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไฟแห่งนรกก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้งทั้งยังโหมแรงยิ่งขึ้น หลังจากเห็นฉากนี้ทุกคนก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย

…………

ระบบแจ้งเตือน ระบบใช้ช่องความโกรธทั้งหมด 18 ช่องเพื่อร่ายสกิลลับ ‘นรกปราณมังกร’ คุณสมบัติกระบวนท่าปัจจุบันคือลมและไฟ โฮสต์อยู่ในสถานะ ‘ความโกรธบ้าระห่ำ’ และช่องความโกรธทั้งหมดก็เต็มแล้ว

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ถูกโจมตีโดยลมและไฟซ้อนทับกัน เสริมด้วยพลังมังกรกดทับและบดขยี้! ละเว้นการโจมตีป้องกัน!

ฝูงต่อยักษ์กลายพันธุ์ได้รับความเสียหาย 150,000 หน่วย

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง…

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 10 คะแนน

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ชนชั้นสูงตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 50 คะแนน

ตัวอ่อนต่อกลายพันธุ์ตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 2 คะแนน…

…………

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ใช้ ‘วิถีพ่นพิษ’ ความเสียหายจากการไหม้ของไฟหายไป

ระบบใช้ ‘นรกปราณมังกร’ อีกครั้ง…

ฟางหนิงไม่แม้แต่จะดูที่ระบบแจ้งเตือน เพราะการปัดหน้าจอทำให้เขาเวียนหัว…

ไม่รู้ว่าใช้เวลานานไปแค่ไหน แต่เขายังคงเวียนหัวอยู่เพราะความโกรธ

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์มีการสูญเสียทางจิตมากเกินไปและต้องการพักผ่อน

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจและรีบนอนลงบนพื้นอย่างรวดเร็วราว “ดูสิ คำเตือนขึ้นแล้ว รีบปล่อยให้ฉันพักผ่อนสักที”

ระบบ “มันเป็นความผิดของโฮศต์ที่ไม่รู้จักฝึกฝน! สัมผัสทางวิญญาณเลยยังอ่อนแออยู่และมันก็ใช้เวลานานมากในการรักษาจิตวิญญาณด้วย! ระบบเพิ่งเก็บค่าประสบการณ์ได้ 200,000 แต้ม ไปจัดการบอสตัวเล็กๆ เพิ่มดีกว่า”

ฟางหนิงโบกมือปัด “หลังจากนี้ฉันจะตั้งใจฝึกวิถีแห่งเซียนนะ อ่า…มันเป็นการฝึกฝนนี่นา เหนื่อยจนพูดไม่ชัดแล้ว ขอนอนพักแป๊บหนึ่งนะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนพื้นของระบบร้านอินเทอร์เน็ต

เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เขาเป็นคนแรกที่หยุดใช้พลัง…

ภายในศูนย์บัญชาการลับ หลังจากที่เปลวเพลิงในค่ายกลหายไป อัศวิน A ก็ไม่ได้เปิดการโจมตีแผงลูกกรงขนาดใหญ่ แต่พลังปราณมังกรสองตัวกลับปรากฏขึ้น พุ่งเข้าใส่ฝูงแมลงยักษ์ที่ยังเหลืออยู่

เมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของพลังปราณมังกรสองตัว ฝูงแมลงกลับไม่ได้นิ่งเฉย พวกมันบินมารวมกัน ก่อตัวเป็นลูกบอลขนาดใหญ่ทีละลูก

ต่อยักษ์รวมกันเป็นทรงกลมขนาดต่างๆ ปราณที่สร้างจากความโกรธเกรี้ยวของมังกรก็ลดประสิทธิภาพการฆ่าลงอย่างมาก ต้องออกแรงสองสามครั้งก่อนที่จะวิ่งผ่านโล่เข้าไปในลูกบอลทรงกลมเพื่อไล่ฆ่าได้

ในเวลานี้ทุกคนเริ่มวิตกอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้อัศวิน A จะต้องดื่มกินปราณแท้เข้าไปมากแค่ไหนกัน? จนถึงตอนนี้หลังจากการฆ่าแมลงเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย…

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “ไม่มีความโกรธและก็ไม่สามารถใช้ปราณแท้ได้อีก แม้ว่าตอนนี้โฮสต์จะสามารถฆ่ามันได้ แต่ประสิทธิภาพนั้นต่ำเกินไป…โฮสต์บอกว่าจะพักผ่อนแค่สองชั่วโมงไม่ใช่เหรอ โฮสต์คุณตื่นขึ้นได้แล้ว”

ฟางหนิงทำหูทวนลม ไม่ยอมพลิกร่างกายกลับมา เพียงอ้าปากกว้างทำเสียงพึมพำ

ระบบ “ดูเหมือนว่าโฮสต์จะเล่นเกมมากเกินไปจนหมดแรงสินะ…”

ฟางหนิง “งือ…งือ…”

ระบบ “เพื่อป้องกันไม่ให้โฮสต์ขาดพลังงานในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้อีกในอนาคต ระบบจะขายอุปกรณ์เกมของโฮสต์และลบหมายเลขบัญชี”

ฟางหนิงผุดลุกขึ้นทันที “ฉันเผลอหลับไปเหรอ! ไอ้ปีศาจแมลงสมควรตาย ทำชั่วไว้มากนัก อยู่ดีๆ ไม่ชอบแต่กลับโผล่ออกมาสร้างความเดือดร้อน! เพราะพวกแก อุปกรณ์เกมอันล้ำค่าของฉันถึงตกอยู่ในอันตราย เพราะฉะนั้นพวกแกก็สมควรตายแล้ว!”

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘ความโกรธทะยานสูง’ และมาตรวัดความโกรธทั้งหมดจะเต็มทันทีหลังจากการบริโภคความโกรธ

ระบบ “จัดการได้เจ๋งมาก…ฉากนี้เอาไปเลยสามล้านคะแนน นี่เป็นแค่ฝูงต่อที่ปีศาจแมลงอัญเชิญมา ถ้าเป็นร่างจริงของมันเอง ไม่รู้ต้องใช้ค่าประสบการณ์เท่าไหร่ ระบบเคยกำจัดอย่างมากที่สุดก็คือสามพี่น้องตระกูลไป๋ ซึ่งทั้งสามคนให้ 1.1 ล้านคะแนน ช่องว่างระหว่างบอสใหญ่กับบอสเล็กนั้นมีมากเกินไปจริงๆ”

ฟางหนิงทำอะไรไม่ถูก “ก็ดีแล้วถ้ามันทำให้แกสบายใจได้…แล้วก็อย่ายุ่งกับอุปกรณ์เกมของฉันล่ะ มันไม่คุ้มเงินหรอก”

ระบบ “ไม่จริงหรอก? ครั้งที่แล้วระบบจำได้ว่ามีคนจะจ่ายหนึ่งแสนหยวนสำหรับหนังสือที่โฮสต์ตีพิมพ์ ถ้าโฮสต์ตีพิมพ์หนังสือหลายร้อยเล่มจริงล่ะก็…คงจะทำเงินได้ไม่น้อยไปกว่าร้านอาหารเลย…”

ฟางหนิง “แกนี่ความจำดีจริงๆ…”

แมลงในค่ายกลเริ่มลดน้อยลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณของการเสริมกำลัง

ทว่าเทพแห่งระบบกลับไม่ได้พักเลย นี่ย่างเข้าสู่วันที่แปดแล้ว

ด้านศูนย์บัญชาการลับก็มีการเปลี่ยนผลัดพนักงานเข้าประจำการ ทุกคนต่างมองโลกในแง่ดี

ทุกคนมาเพื่อผลัดกันดูท่านเทพมังกรตนนี้และท่วงท่าอันสง่างามของอัศวิน A แน่นอนว่าพวกเขามาเพื่อฟังดนตรีคลายความเบื่อหน่ายด้วย เพียงไม่มีใครรู้ว่ากฎของการเปลี่ยน BGM ของอัศวิน A ทุกวันนี้คืออะไร? เรื่องนี้จึงได้กลายเป็นหัวข้อการวิจัยขนาดเล็กไปโดยปริยาย

……………………………………………………..

บทที่ 99 หลังจากนี้ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิถีแห่งเซียน
ฟางหนิงมั่นใจว่าเทพแห่งระบบจะกินพลังของอีกฝ่ายเข้าไปแน่นอน แต่เมื่อเขาเปิดคอมพิวเตอร์และพบโฟลเดอร์ที่มีชื่อว่า ‘เครื่องกำเนิดความโกรธ’ เขียนอยู่เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจไม่ได้กินพลังงานของอีกฝ่าย

นี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากอ่านข้อความสีเขียว คาดว่าต่อจากนี้ไปรสนิยมในการอ่านนิยายของเขาอาจจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันสินะ…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงก็เหลือบมองฝูงแมลงด้านล่างจากมุมมองของระบบ มันหนาแน่นจนมองไม่เห็นสิ่งอื่น พลุ่งพล่านไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่กล้าจะก้าวเข้าใกล้ลูกกรงที่สร้างด้วยพลังแห่งความโกรธของปราณมังกร

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ “ระบบ ขอถามอะไรหน่อยสิ แมลงพวกนี้กลัวไฟไหม?”

ระบบ “ไร้สาระ โฮสต์กำลังอ่านนิยายอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้สังเกตเหรอว่ามีซากต่อจำนวนมากที่ถูกเผาตายระหว่างทางมาที่นี่น่ะ? นั่นน่าจะเป็นฝีมือของหน่วยกิจการพิเศษท้องถิ่น”

ฟางหนิง “ถ้าอย่างนั้นฉันมีวิธีฆ่าปีศาจที่ทั้งประหยัดแรงและมีประสิทธิภาพแล้ว แกอยากจะฟังไหม”?”

ระบบ “ไม่ฟัง เดี๋ยวเสียเวลา ระบบจะเริ่มกำจัดปีศาจแล้ว”

ฟางหนิงได้ยินแบบนั้นก็สวนกลับทันที “เดี๋ยวสิ แกน่าจะสามารถควบคุมค่ายกลนี้ให้เล็กลงได้นี่ ลองคิดดู ถ้าค่อยๆ ปิดค่ายกล ต่อพวกนั้นก็จะไม่กล้าโจมตีลูกกรงของมังกร และเมื่อมันมารวมตัวกันในพื้นที่เล็กๆ ท้ายที่สุดเราก็จะเทน้ำมันลงไปแล้วเผาซะ แบบนี้ไม่ดีเหรอ…”

ระบบ “ไม่ได้ ซากต่อเหล่านี้เป็นวัสดุทางการแพทย์ชั้นดี ถ้าพวกมันถูกเผาทั้งหมดจะเป็นยังไงล่ะ? นอกจากนี้เมื่อย่อขนาดค่ายกลแล้ว โฮสต์คิดว่ามันไม่ต้องใช้พลังเหรอ? อย่าพูดเหลวไหล รีบๆ อ่านนิยายแล้วเพิ่มระดับความโกรธเถอะ คราวนี้อยากฟังเพลงแนวไหน? ระบบจะตามใจโฮสต์”

ฟางหนิงกุมหัว เขาอยากจะบ้าตาย “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแหละ…ปีศาจสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ฉันต้องรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นอีก พวกเขาต้องตายก็เพื่อฉัน!”

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘ความโกรธทะยานสูง’ แล้ว มาตรวัดความโกรธทั้งหมดจะเต็มทันทีหลังจากบริโภคความโกรธ

ระบบ “ดี รักษาสถานะนี้ไว้ ระบบเลือกเพลงที่เหมาะกับฉากนี้ได้แล้ว และจะเปิดให้โฮสต์ฟัง…”

เพลงขึ้น “XXXXXXXXX…”

ฟางหนิง “ให้ตายเถอะ นี่แกไปขุดเพลงนี้มาจากบ่อไหนเนี่ย? เชยสะบัดเลย!”

ระบบแจ้งเตือน สถานะความโกรธของโฮสต์เปลี่ยนเป็น ‘ความโกรธบ้าระห่ำ’ เอฟเฟกต์เพิ่มเติม จำนวนช่องความโกรธชั่วคราวทั้งหมดคูณสอง เพิ่มจำนวนช่องความโกรธชั่วคราวเป็น 18 ช่อง

…………

ณ ศูนย์บัญชาการลับ

จู่ๆ ก็มีเพลงแบ็คกราวด์ออกมาจากลำโพงข้างๆ หน้าจอใหญ่ เสียงนั้นดังจนทุกคนสะดุ้ง

บางคนมองหน้ากันแล้วก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เคยเห็นฉากการต่อสู้ของอัศวิน A

ตอนนั้นใครบางคนก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ลืมเตือนทุกคนไปเลยว่าอัศวิน A เป็นผู้ชายที่ชอบนำ BGM ของตัวเองมาเปิด…”

“แต่วันนี้เพลงดูแปลกๆ นะ…”

เซวียเฟิงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่อุดหูตนเองไว้แล้วโบกมือไปมา

ทันใดนั้นเสียงก็เงียบลงและทุกคนก็กลับไปทำงานตามปกติ

จากนั้นฉากแห่งนรกก็ฉายขึ้นบนหน้าจอใหญ่:

เปลวเพลิงไม่มีที่สิ้นสุดลุกโชนขึ้นทุกหนแห่งในพื้นที่ค่ายกล จากนั้นลมก็หวีดหวิว พัดเปลวไฟและพุ่งเข้าหาฝูงต่อยักษ์ ต่อยักษ์ถูกย่างจนมีเสียงดัง ‘เปาะแปะ’ แล้วร่วงหล่นจากอากาศเข้าไปในกองเพลิง

ต่อยักษ์บินไปรอบๆ ด้วยความตระหนก จากนั้นอีกฝ่ายก็พบกับจุดจบของนรก ไม่มีความดุร้ายที่ทำลายล้างกลืนกินผู้คนอีกต่อไปแล้ว…

ไร้เสียงพูดคุยที่ศูนย์บัญชาการ มีแต่ท่าทางตกใจกับพลังของอัศวิน A การดูรีเพลย์จากวิดีโอนั้นแตกต่างจากการรับชมการถ่ายทอดสดมาก

เปลวเพลิงเหล่านั้น ทั้งลมกระโชกล้วนแสดงให้เห็นถึงโลกใหม่ที่สามารถบรรลุได้ด้วยกำลังส่วนบุคคล…

ใช้เวลาไม่นานนักในการรับมือกับต่อยักษ์

พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทีละแถวๆ เหมือนทหารที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่สุดแล้วพ่นพิษอย่างสิ้นหวังผ่านเข็มพิษทางหาง

ต่อขนาดเท่านกกระจอกสามารถพ่นพิษได้ในปริมาณที่จำกัด แต่การที่ต่อนับพันตัวพ่นรวมกันนั้นช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่งในพื้นที่ของค่ายกลราวกับฝนตกลงมาและเปลวเพลิงที่ไร้รากฐานเหล่านั้นก็มอดลง

ในใจของทุกคนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในทันที หากอัศวิน A ทนไม่ไหว สถานการณ์อาจจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ซับซ้อน ปีศาจแมลงจะรักษาคำพูดได้จริงเหรอ? ใครจะเชื่อมันได้กันล่ะ?

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไฟแห่งนรกก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้งทั้งยังโหมแรงยิ่งขึ้น หลังจากเห็นฉากนี้ทุกคนก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย

…………

ระบบแจ้งเตือน ระบบใช้ช่องความโกรธทั้งหมด 18 ช่องเพื่อร่ายสกิลลับ ‘นรกปราณมังกร’ คุณสมบัติกระบวนท่าปัจจุบันคือลมและไฟ โฮสต์อยู่ในสถานะ ‘ความโกรธบ้าระห่ำ’ และช่องความโกรธทั้งหมดก็เต็มแล้ว

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ถูกโจมตีโดยลมและไฟซ้อนทับกัน เสริมด้วยพลังมังกรกดทับและบดขยี้! ละเว้นการโจมตีป้องกัน!

ฝูงต่อยักษ์กลายพันธุ์ได้รับความเสียหาย 150,000 หน่วย

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง…

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 10 คะแนน

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ชนชั้นสูงตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 50 คะแนน

ตัวอ่อนต่อกลายพันธุ์ตายแล้ว…

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 2 คะแนน…

…………

ต่อยักษ์กลายพันธุ์ใช้ ‘วิถีพ่นพิษ’ ความเสียหายจากการไหม้ของไฟหายไป

ระบบใช้ ‘นรกปราณมังกร’ อีกครั้ง…

ฟางหนิงไม่แม้แต่จะดูที่ระบบแจ้งเตือน เพราะการปัดหน้าจอทำให้เขาเวียนหัว…

ไม่รู้ว่าใช้เวลานานไปแค่ไหน แต่เขายังคงเวียนหัวอยู่เพราะความโกรธ

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์มีการสูญเสียทางจิตมากเกินไปและต้องการพักผ่อน

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจและรีบนอนลงบนพื้นอย่างรวดเร็วราว “ดูสิ คำเตือนขึ้นแล้ว รีบปล่อยให้ฉันพักผ่อนสักที”

ระบบ “มันเป็นความผิดของโฮศต์ที่ไม่รู้จักฝึกฝน! สัมผัสทางวิญญาณเลยยังอ่อนแออยู่และมันก็ใช้เวลานานมากในการรักษาจิตวิญญาณด้วย! ระบบเพิ่งเก็บค่าประสบการณ์ได้ 200,000 แต้ม ไปจัดการบอสตัวเล็กๆ เพิ่มดีกว่า”

ฟางหนิงโบกมือปัด “หลังจากนี้ฉันจะตั้งใจฝึกวิถีแห่งเซียนนะ อ่า…มันเป็นการฝึกฝนนี่นา เหนื่อยจนพูดไม่ชัดแล้ว ขอนอนพักแป๊บหนึ่งนะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนพื้นของระบบร้านอินเทอร์เน็ต

เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เขาเป็นคนแรกที่หยุดใช้พลัง…

ภายในศูนย์บัญชาการลับ หลังจากที่เปลวเพลิงในค่ายกลหายไป อัศวิน A ก็ไม่ได้เปิดการโจมตีแผงลูกกรงขนาดใหญ่ แต่พลังปราณมังกรสองตัวกลับปรากฏขึ้น พุ่งเข้าใส่ฝูงแมลงยักษ์ที่ยังเหลืออยู่

เมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของพลังปราณมังกรสองตัว ฝูงแมลงกลับไม่ได้นิ่งเฉย พวกมันบินมารวมกัน ก่อตัวเป็นลูกบอลขนาดใหญ่ทีละลูก

ต่อยักษ์รวมกันเป็นทรงกลมขนาดต่างๆ ปราณที่สร้างจากความโกรธเกรี้ยวของมังกรก็ลดประสิทธิภาพการฆ่าลงอย่างมาก ต้องออกแรงสองสามครั้งก่อนที่จะวิ่งผ่านโล่เข้าไปในลูกบอลทรงกลมเพื่อไล่ฆ่าได้

ในเวลานี้ทุกคนเริ่มวิตกอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้อัศวิน A จะต้องดื่มกินปราณแท้เข้าไปมากแค่ไหนกัน? จนถึงตอนนี้หลังจากการฆ่าแมลงเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย…

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “ไม่มีความโกรธและก็ไม่สามารถใช้ปราณแท้ได้อีก แม้ว่าตอนนี้โฮสต์จะสามารถฆ่ามันได้ แต่ประสิทธิภาพนั้นต่ำเกินไป…โฮสต์บอกว่าจะพักผ่อนแค่สองชั่วโมงไม่ใช่เหรอ โฮสต์คุณตื่นขึ้นได้แล้ว”

ฟางหนิงทำหูทวนลม ไม่ยอมพลิกร่างกายกลับมา เพียงอ้าปากกว้างทำเสียงพึมพำ

ระบบ “ดูเหมือนว่าโฮสต์จะเล่นเกมมากเกินไปจนหมดแรงสินะ…”

ฟางหนิง “งือ…งือ…”

ระบบ “เพื่อป้องกันไม่ให้โฮสต์ขาดพลังงานในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้อีกในอนาคต ระบบจะขายอุปกรณ์เกมของโฮสต์และลบหมายเลขบัญชี”

ฟางหนิงผุดลุกขึ้นทันที “ฉันเผลอหลับไปเหรอ! ไอ้ปีศาจแมลงสมควรตาย ทำชั่วไว้มากนัก อยู่ดีๆ ไม่ชอบแต่กลับโผล่ออกมาสร้างความเดือดร้อน! เพราะพวกแก อุปกรณ์เกมอันล้ำค่าของฉันถึงตกอยู่ในอันตราย เพราะฉะนั้นพวกแกก็สมควรตายแล้ว!”

ระบบแจ้งเตือน โฮสต์เข้าสู่สถานะ ‘ความโกรธทะยานสูง’ และมาตรวัดความโกรธทั้งหมดจะเต็มทันทีหลังจากการบริโภคความโกรธ

ระบบ “จัดการได้เจ๋งมาก…ฉากนี้เอาไปเลยสามล้านคะแนน นี่เป็นแค่ฝูงต่อที่ปีศาจแมลงอัญเชิญมา ถ้าเป็นร่างจริงของมันเอง ไม่รู้ต้องใช้ค่าประสบการณ์เท่าไหร่ ระบบเคยกำจัดอย่างมากที่สุดก็คือสามพี่น้องตระกูลไป๋ ซึ่งทั้งสามคนให้ 1.1 ล้านคะแนน ช่องว่างระหว่างบอสใหญ่กับบอสเล็กนั้นมีมากเกินไปจริงๆ”

ฟางหนิงทำอะไรไม่ถูก “ก็ดีแล้วถ้ามันทำให้แกสบายใจได้…แล้วก็อย่ายุ่งกับอุปกรณ์เกมของฉันล่ะ มันไม่คุ้มเงินหรอก”

ระบบ “ไม่จริงหรอก? ครั้งที่แล้วระบบจำได้ว่ามีคนจะจ่ายหนึ่งแสนหยวนสำหรับหนังสือที่โฮสต์ตีพิมพ์ ถ้าโฮสต์ตีพิมพ์หนังสือหลายร้อยเล่มจริงล่ะก็…คงจะทำเงินได้ไม่น้อยไปกว่าร้านอาหารเลย…”

ฟางหนิง “แกนี่ความจำดีจริงๆ…”

แมลงในค่ายกลเริ่มลดน้อยลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณของการเสริมกำลัง

ทว่าเทพแห่งระบบกลับไม่ได้พักเลย นี่ย่างเข้าสู่วันที่แปดแล้ว

ด้านศูนย์บัญชาการลับก็มีการเปลี่ยนผลัดพนักงานเข้าประจำการ ทุกคนต่างมองโลกในแง่ดี

ทุกคนมาเพื่อผลัดกันดูท่านเทพมังกรตนนี้และท่วงท่าอันสง่างามของอัศวิน A แน่นอนว่าพวกเขามาเพื่อฟังดนตรีคลายความเบื่อหน่ายด้วย เพียงไม่มีใครรู้ว่ากฎของการเปลี่ยน BGM ของอัศวิน A ทุกวันนี้คืออะไร? เรื่องนี้จึงได้กลายเป็นหัวข้อการวิจัยขนาดเล็กไปโดยปริยาย

……………………………………………………..

บทที่ 98 หนึ่งปราณสามบริสุทธิ์ ไม่นะ เพียงเปิดเกลียวกลไกไม่กี่ฝั่งเอง
ค่ายกลกระบี่สี่สภาพเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่เทพแห่งระบบกำลังระเบิดพลังโกรธใส่ฝูงต่อยักษ์ในพื้นที่กักกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องมาจากข้างนอก

“ท่านพ่อช่วยด้วย!”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น สีหน้าของหม่าเถ้าฉ่างแห่งจื่อซานกวนพลันเปลี่ยนไปในทันใด

เขาหันศีรษะเพื่อดูว่าเสียงมาจากไหน แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้ยังไง? คนของสำนักสัจธรรมควรจะอยู่ใกล้ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การจู่โจม ถึงผิงเอ๋อร์จะไม่ได้ซ่อนตัวอย่างดีขนาดนั้นแต่เขาก็น่าจะได้รับการคุ้มครอง แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ในเวลานี้เด็กชายอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดเพิ่งจะถูกแมงป่องยักษ์บีบอัดและจับชูขึ้นไปกลางอากาศ หางของแมงป่องที่มีเข็มพิษเป็นประกายแวววาวนั้นกำลังเล็งไปที่หัวของเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กชายจะกรีดร้องออกมา

ไม่เพียงแค่นั้น แมงป่องยังขู่เสียงดัง “หม่าฝูเทียน! ลูกชายของเจ้าอยู่ในมือของข้าแล้ว เห็นแบบนี้แล้วก็ออกมาจากค่ายกลกระบี่สี่สภาพซะ แล้วกลับไปที่จื่อซานกวนของเจ้า! อย่ามายุ่มย่ามเรื่องแมลงปีศาจของข้า แล้วข้าจะปล่อยลูกชายของเจ้าไป ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ลิ้มรสพลังของแมงป่องยักษ์เก้าพิษของข้าก่อน”

หม่าเถ้าฉ่างแววตาว่างเปล่า ไม่สามารถตัดสินใจได้ชั่วขณะ

แมงป่องเห็นท่าทีเช่นนั้นก็พูดอีกครั้ง “เจ้าวางใจได้ ข้าแค่ไม่พอใจที่มังกรตัวจริงแสร้งอยากจะทำเป็นมือปราบปีศาจ? ยอมรับข้อเสนอซะ แล้วข้าจะปล่อยฝูงแมลงให้บินออกจากเสินโจว ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีที่สำหรับข้า เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าฝูงแมลงจะสร้างความหายนะอีก!”

หม่าเถ้าฉางมองสามคนที่เหลือ หลวงจีนเฒ่านิ่งเงียบ ส่วนพระโพธิสัตว์ปีศาจส่ายหัวเล็กน้อย

“สหายเต๋าทั้งสาม ข้าละอายใจจริงๆ…”

ทว่าตอนนั้นเองอัศวิน A ก็กล่าวขึ้น “ท่านไปเถอะ ข้าเคยพูดไปแล้วว่าผู้กระทำผิดทั้งหมดจะต้องถูกข้าสังหารที่นี่”

ใบหน้าของหม่าเถ้าฉ่างตื่นตะลึง เขายืนขึ้นและโค้งคำนับให้ทั้งสามคนอย่างสุดซึ้ง จากนั้นจึงกระโดดออกจากค่ายกล แล้วรีบเดินไปทางตอนเหนือโดยไม่หันหลังกลับมา

เมื่อเห็นดังนั้น แมงป่องยักษ์ก็บินโฉบลงบนพื้น คืนตัวหม่าผิงและหายตัวไปในทันที

หลังจากที่หม่าเถ้าฉ่างจากไปแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ พระโพธิสัตว์ปีศาจก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย

เขาส่ายหัวให้สหายเต๋าที่เหลืออีกสองคนและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจทำตามใจตนเองได้ คงจะขอล่าถอยไปด้วย”

หลวงจีนเฒ่าพยักหน้าตอบรับด้วยความเข้าใจ “พระโพธิสัตว์ไปเถอะ”

พระโพธิสัตว์ปีศาจหายตัวไปแล้ว แต่ลูกประคำกลับถูกทิ้งไว้ที่เดิมซึ่งเคยอยู่

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิง “เอาล่ะ อีกไม่นานหลวงจีนเฒ่าก็คงจะถอนตัวด้วย ฟังนะ ฉันพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ความสำคัญของการซ่อนตัวตนของแก ทุกครอบครัวมีอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยม หากพวกเขาทั้งหมดถูกเปิดเผยแก่ภายนอกและถูกผู้มีอำนาจมาพบเข้า พวกเขาก็จะถูกจับทันที และทันทีที่พวกเขาถูกจับได้ พวกเขาก็จะไม่ใช่องค์กรที่เป็นทางการอย่างสำนักสัจธรรม และท้ายที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมเรื่องใหญ่โตได้ เว้นแต่พวกเขาจะไปถึงจุดที่ปลาตายและแหขาด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะยอมแพ้ต่อหน้าผู้มีอำนาจเหล่านี้ ฟังจากคำพูดของปีศาจแมลงแล้ว เป้าหมายคือเรา ถ้าไม่มีทั้งสามคนคอยช่วยเหลือ พวกเราก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้น”

ระบบ “ถูกแล้วที่ให้พวกเขาจากไป…ระบบยังกังวลว่าพวกเขาจะไม่รักษาคำพูดแล้วหาจังหวะแย่งชิงบอสของฝูงแมลงไป”

ฟางหนิง “แต่ค่ายกลกระบี่สี่สภาพนี้ต้องการคนสี่คนในการควบคุมมันนะ ถ้าไม่มีการกักกันพื้นที่ สุดท้ายแล้วปีศาจแมลงนั่นก็จะหนีไปได้อยู่ดี แล้วเราก็จะไม่สามารถกำจัดมันได้”

ระบบ “ไม่ต้องเป็นห่วง ระบบเตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว”

ฟางหนิงตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสายตา “อะไรนะ ด้วยแขนและขาเล็กๆ ของฉัน แกยังมีแก่ใจให้ฉันต่อสู้อีกเหรอ?”

ระบบ “โฮสต์ไม่จำเป็นต้องสู้ แต่ต้องต้องเพิ่มความโกรธ หยิบนิยายที่ภรรยานั้นมีชู้ที่โฮสต์เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้ออกมาอ่านซะ…”

ฟางหนิง “ให้ตายเถอะ ให้ฉันกำจัดปีศาจต่อยักษ์สักสองสามตัวยังจะดีกว่า…”

ระบบ “โฮสต์ไม่กลัวบอสที่ซ่อนอยู่ในฝูงเหรอ?”

ตั้งแต่เกิดมาฟางหนิงไม่เคยเขินอายเท่านี้มาก่อน “อ่านก็อ่าน!”

ตามที่คาดไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าก็กระตุกสองสามครั้ง สลับเป็นสีแดงและขาว

ขณะที่เขากำลังจะพูด ก็เห็นอัศวิน A พูดขึ้นก่อน “หลวงจีนเฒ่าท่านไปได้นะ ข้าคนนี้ถูกลิขิตให้เกิดมา จะขอทำมันด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ไม่มีทางหลงกลอุบายของปีศาจหนุ่มสาวเหล่านี้หรอก!”

หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจ “ข้าจนปัญญาจริงๆ น่าละอายใจยิ่งนัก ขอส่งต่อค่ายกลกระบี่สี่สภาพนี้แก่สหายมังกรเพื่อปราบปีศาจด้วย”

หลังจากพูดจบ เขาก็ปลดปล่อยค่ายกล เคลื่อนไปด้านหน้าแล้วหายตัวไป

…………

ณ ห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับ

ผู้เฒ่าไห่ “เซวียเฟิงรับคำสั่งจากฉัน มีอุบัติเหตุร้ายแรงในทางตอนเหนือ อันผิงและคนอื่นๆ ถูกย้ายไปแล้ว ฉันต้องรีบตามไป ยังไงก็ตาม อย่าลืมว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เว้นเสียแต่ว่าปีศาจแมลงจะทรยศต่อคำสัญญาของเขา ไม่อย่างนั้นก็อย่าออกคำสั่งปิดล้อมเด็ดขาด”

เซวียเฟิงดาบไร้ปรานีตอบกลับ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัศวิน A ไม่สามารถออกแรงด้วยตัวคนเดียวได้?”

ผู้เฒ่าไห่ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปที่สนามเพื่อช่วยเขา อย่าปล่อยให้พันธมิตรต้องผิดหวัง คุณเชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้ด้วยดาบของคุณใช่ไหม?”

เซวียเฟิงตอบกลับ “ตอนนี้ความเข้มข้นของปราณได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่ ผมได้ฝึกฝนไปเมื่อสองสามวันก่อนแล้วครับ”

ผู้เฒ่าไห่พยักหน้า เหลือบมองภาพบนหน้าจอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอนหายใจแล้วจากไป

ผู้คนภายในห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับมองหน้ากัน

ใครสักคนกระซิบ “การต่อสู้แบบกลุ่มกลายเป็นตัวต่อตัว อัศวิน A จะทำได้ไหมนะ?”

“คุณคิดผิดแล้ว มันเคยเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวต่างหาก ตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้แบบกลุ่มแล้ว…”

“เอฟเฟ็กต์ของพื้นที่กักกันน่าจะหายไปในไม่ช้านี้ใช่ไหม? เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงแมลง ไม่ว่าอัศวิน A จะแข็งแกร่งเพียงใด ฉันกลัวว่าสุดท้ายมันจะหนีไปได้ และทิ้งความอับอายไว้ให้เขา”

“ใช่ แต่ก็ยังมีหัวหน้าทีมเซวียนะ ฉันยังไม่เคยเห็นดาบไร้ปราณีเลย…”

เสียงของทุกคนดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองก็มีเสียงตำหนิดังขึ้น “เงียบหน่อย ให้ความสงบกับฉันที ตอนนี้เราอยู่ในสนามรบนะ! พวกคุณคิดว่าตัวเองกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงชมการแสดงอยู่เหรอ!”

ห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับกลับสู่ความเงียบทันที มีเสียงแตะแป้นพิมพ์อย่างต่อเนื่องตลอดจนเสียงเตือนต่างๆ และเสียงคำสั่งเท่านั้นที่ส่งเสียงดัง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านี่คือศูนย์บัญชาการในสภาวะบรรยากาศที่ตึงเครียด

เซวียเฟิงทำหูทวนลม เขาจ้องไปที่หน้าจอขนาดใหญ่และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ความคืบหน้าตรงหน้า เขาได้เตรียมการสำหรับการช่วยเหลืออย่างลับๆ ไว้แล้ว ทั้งทักษะดาบก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หากฝึกฝนมันสำเร็จก็ย่อมมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าทีมที่แท้จริง

…………

ณ ค่ายกลกระบี่สี่สภาพ

จากสี่คนจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเหลือแค่อัศวิน A เพียงคนเดียว

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงมาจากด้านล่าง

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นยังไงบ้าง? มันเป็นแค่เคล็ดลับเล็กน้อยที่จะแบ่งปันเจ้า ขอบคุณสหายเก่าของข้าที่คอยเตือน ตอนแรกกะจะวางแผนหนึ่งรุมสาม แต่แบบนี้คงดีกว่ามาก หากปราศจากพื้นที่กักกันของค่ายกลกระบี่สี่สภาพแล้ว ฝูงแมลงของข้าคงสามารถเติมเต็มได้ตามต้องการ วันนี้แหละข้าจะสังหารเจ้ามังกรซะ!”

อัศวิน A มองลงไป

เมื่อเห็นฝูงแมลงด้านล่าง ทันใดนั้นใบหน้ามืดครึ้มของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น และตอนนี้กำลังแสยะยิ้มมาให้อัศวิน A

ฟางหนิง ‘โง่เง่าจริงๆ ระบบอยู่คนเดียวมาตลอด และไม่เคยกำจัดปีศาจร่วมกับใคร แกก็แค่ไปกระตุ้นความกังวลของมันเท่านั้นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สะทกสะท้านสักนิด’

ฟางหนิงพูดกับระบบทันที “แกเปิดเกลียวกลไกได้กี่อัน ทำไมไม่เคยบอกฉันเลย”

ระบบ “โฮสต์ฉลาดอีกแล้ว รู้ทันจริงๆ ว่าระบบจะทำอะไร จำนวนเกลียวกลไกที่เปิดก็เหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์ของมนุษย์ มันขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ด้วยกำลังของระบบ ก็น่าจะเปิดได้ห้าอัน”

ฟางหนิง “ฉันถามจริงๆ นะ แกดูสบายใจแบบนี้เพราะว่าแอบปิดบังอะไรเอาไว้ใช่ไหม”

หลังบทสนทนาจบลง ปราณรูปมังกรโกรธเกรี้ยวสามตัวก็พลันปรากฏขึ้นด้านหลังอัศวิน A พร้อมกัน ความเข้มข้นของปราณแท้เหมือนกันทุกประการกับก่อนหน้านี้ หลังจากที่พวกมันปรากฏขึ้น พวกมันก็เข้าประจำทั้งสามทิศทาง เหนือ ใต้ และตก

ภายใต้ค่ายกลกระบี่สี่สภาพทั้งหมด รังสีแสงนับร้อยล้านซึ่งเดิมทำหน้าที่เป็นราวกรง ถูกแทนที่ด้วยปราณรูปมังกรที่วนเป็นวงกลมขึ้นลง ทว่ากลับดูสง่างามกว่าและไม่มีแมลงตัวไหนกล้าบินเข้าใกล้

“บ้าจริง เป็นไปไม่ได้! นี่เรียนรู้วิธีการผสานความบริสุทธิ์ทั้งสามให้เป็นปราณเดียวอันเป็นขั้นสูงสุดของลัทธิเต๋า แกทำได้ยังไงกัน?”

เสียงของปีศาจแมลงเต็มไปด้วยความเดือดดาล

ฟางหนิงครุ่นคิด ‘ แค่เปิดสามไอดีเองไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้นะ?’

ที่ศูนย์บัญชาการลับ ทุกคนตื่นตกใจอีกครั้ง ไม่คิดว่าอัศวิน A จะเปิดไอดีสำรองเพื่อช่วยเหลือ เรียกมังกรสามตัวออกมาสนับสนุนสถานการณ์

เพราะเพิ่งจะถูกเจ้านายตำหนิ ทุกคนจึงไม่ส่งเสียงฮือฮาออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ในใจกลับตื่นเต้นไม่แพ้กัน ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงสื่อสารความตื่นตกใจของตนเองได้ด้วยสายตา

เพียงแต่ว่าปีศาจแมลงนั้นยังคงยืนหยัด ราวกับเป็นผู้อยู่เหนือกว่า “เจ้าแค่คนเดียวจะทนรับความต้องการทั้งสี่ด้านได้นานแค่ไหนเชียว? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะพวกเราได้!”

ฟางหนิง ‘ประทานโทษนะ รอแกยืนหยัดได้ถึงสามปีห้าปีก่อนค่อยพูดเรื่องใหญ่โตแบบนี้เถอะ เทพแห่งระบบอาศัยการกินเพื่อฝึกฝนปราณแท้ เพราะฉะนั้นแค่มีอาหารใหม่เข้าไปในพื้นที่เก็บความสดของระบบก็ได้แล้ว…’

………………………………………………

บทที่ 96 เล่นแบบนี้ใช่ไหมแล้วจะได้เห็นดีกัน
ในฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก บนพื้นที่ราบสูงแห่งหนึ่ง ดินแดนรกร้างไร้มนุษย์ แหงนหน้ามองไปทางใดก็พบเพียงที่ราบกว้าง ไม่มีที่หลบซ่อน มีเพียงวัชพืชสีเหลืองเหี่ยวแห้งและสีเขียวประปรายที่พยายามผลิบานอย่างดื้อรั้น ฝูงแกะป่าวิ่งมาจากที่ไกลๆ จนเกิดฝุ่นตลบ

ไม่นาน พื้นที่แห่งนี้ก็ครึกครื้นขึ้นมา

“พระโพธิสัตว์หายไปนานเลยนะ” นักพรตเฒ่าใบหน้าเคร่งขรึม มองดูนักบวชตรงหน้าที่กำลังลูบสายประคำ พลางก้มศีรษะเล็กน้อยให้เด็กหนุ่ม

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

“พระโพธิสัตว์มาในโลกครั้งแรก กลับสร้างประตูศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ…” นักพรตเฒ่าขมวดคิ้วพลางลูบสายประคำ

เด็กหนุ่มยังคงไม่พูด

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็เงียบลง

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าสองคนมาถึงแล้ว ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่งสินะ” ตอนนั้นหลวงจีนเฒ่าผู้สวมเสื้อคลุมสีดำของลัทธิเต๋าก็ปรากฏขึ้น

เพียงแต่ว่ารูปร่างของหลวงจีนเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เขาถือแส้สีขาวไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งแบกมนุษย์เอาไว้

“วางผมลงนะ ท่านพ่อ…” ชายหนุ่มพึมพำ

“เงียบนะ ต่อหน้าคนนอก เรียกข้าว่าพระคุณเจ้าหรือท่านครู พูดไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าถูกส่งตัวไป…” หลวงจีนเฒ่าตำหนิชายที่เขาแบกเอาไว้

“ทราบแล้วขอรับ” หลังจากพูดจบ หลวงจีนเฒ่าก็ปล่อยเขาให้ล้มลงกับพื้น

“หึหึ ท่านทั้งสองอย่าเข้าใจผิดเลย ข้าเป็นหลวงจีนเฒ่าไร้ครอบครัว จะแต่งภรรยาและมีลูกได้ยังไง? เด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เขาปฏิบัติกับข้าราวกับพ่อแท้ๆ ก่อนที่เขาจะพูดได้ซะอีก…” หลวงจีนยิ้มให้คนทั้งสอง

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน ก็เพียงพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไร

แต่เขากลับกลับเริ่มสนใจและมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่กองอยู่บนพื้น อีกฝ่ายหน้าตาธรรมดาๆ อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาหันไปทางด้านนักพรตเฒ่าพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าตอนที่หม่าเถ้าฉ่างออกจากบ้านก็อายุสามสิบแปดแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีสายเลือดสัมพันธ์กับหม่าเถ้าฉ่างสินะ”

เมื่อพูดอย่างนั้น ลูกประคำใสก็พุ่งออกมาจากมือของชายหนุ่ม

หม่าเถ้าฉ่างเอื้อมมือไปหยิบมันพลางเช็ดให้เบาๆ ก่อนจะยกมันขึ้นเพื่อส่องดูผ่านแสงอาทิตย์

หลังจากพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็เผยยิ้ม “ใครๆ ต่างก็พูดว่าพระโพธิสัตว์ใจกว้าง ตามที่คาดการณ์ไว้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์เต็มใจจะมอบสิ่งของล้ำค่าเช่นนี้ ย่อมเป็นที่น่ายินดี ข้าพเจ้าก็จะมอบเขาให้ท่านในฐานะเด็กรับใช้เลยก็แล้วกัน…”

เด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นคร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านคิดจะเอาผมไปแลกงั้นเหรอ”

หลวงจีนเฒ่าชักแส้ปัดป่ายไล่เขา “ให้เจ้าลงเขาไปเรียนก็ไม่ยอมเรียน ยังไม่ทันจบมัธยมปลายก็วิ่งแจ้นกลับมาก่อน วันวันเอาแต่เล่นเกมอยู่ในวัด ถ้าข้าควบคุมเจ้าไม่ได้ สู้ส่งให้คนอื่นที่ไม่ใจอ่อนเหมือนข้าจัดการดีกว่า…”

เด็กหนุ่มกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยเตือนทั้งสองว่า “มาแล้ว…”

ใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าราบเรียบ เขาดึงเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วดันลูกประคำนั้นไปให้อีกฝ่าย เอ่ยกำชับแผ่วเบา “ผิงเอ๋อร์ พ่อจะพาเจ้าออกไปดูโลก อย่าดื้อนักเลย เก็บมันไว้เถอะ..”

หลังจากพูดจบก็ผลักเด็กหนุ่มออก เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น เขาบินขึ้นไปในอากาศและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลานี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงแมลงบินว่อน มันบดบังแสงอาทิตย์ เสียงดังครืนครานขวางกั้นไร้ทางผ่าน ทั่วทุกหนแห่งที่ห่างไกลออกไป ยังมีเครื่องบินหลายลำบินวนอยู่ราวกับกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหว

“น่ากลัวจริงๆ ถ้าปล่อยให้พวกมันแพร่กระจายไปยังที่ที่มีประชากรเยอะๆ ไม่รู้ว่าจะต้องมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกกี่คน” หลวงจีนเฒ่ากล่าวด้วยความกังวล

ชายหนุ่ม “น่าเสียดาย ที่แนวกำลังผีของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งยังมีราชาผีอีกสามตนเป็นกองกำลังหน้าอีกด้วย ไม่อย่างนั้นฝูงแมลงพวกนี้คงไม่ทางได้ก่อเรื่องแน่นอน”

แต่แล้วนักพรตเฒ่ากลับหัวเราะ สมบัติชิ้นหนึ่งทอแสงวาบขึ้นในมือของเขาและกล่าวว่า “สมบัติที่นักพรตเฒ่ากลั่นอย่างประณีตมาหลายปีเพิ่งได้รับการปลดปล่อย ตอนนี้กำลังมองหาหินลับคมมัน ซึ่งวันนี้เหมาะจะเสาะหาที่จื่อซานกวนแห่งนั้น ถึงเวลาดำเนินตามแผนแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนา ฝูงแมลงก็ได้บินเข้ามาใกล้แล้ว หากแต่ภายใต้ฝูงแมลงนั้นยังมีใครคนหนึ่งที่บินไล่ตามมาด้วย

ทั้งสามเหฌนภาพนี้เกือบจะพร้อมกัน

“ท่านพี่มังกรก็อยู่ที่นี่ด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย

หลวงจีนเฒ่าเบิกตากว้าง “ในเมื่อมีมังกรตัวจริงมาช่วยเรา รวมกับพลังของพวกเราทั้งสามก็น่าจะขจัดความยุ่งยากนี้ไปได้”

ทว่านักพรตเฒ่ากลับตกตะลึง “อนิจจา นักธุรกิจอีกคนก็มาเหมือนกัน”

ในชั่วพริบตา อัศวิน A ก็มาที่ด้านหน้าของทั้งสาม ขณะเดียวกันฝูงแมลงที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดบินแล้วค่อยๆ ลอยตัวลงมา

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นจึงอ่านนิยายในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของตัวเอง

ในเวลานี้เทพแห่งระบบก็เดินทางไปคนเดียวจนถึงที่หมายแล้ว

ระบบ “โฮสต์ออกไปสิ”

ฟางหนิงสบถ “บ้าเอ๊ย ฉันจะไม่ไปไหน…”

ระบบ “นี่โฮสตฺพูดเองนะ”

ฟางหนิง “หยุดเลย ออกไปก็ออกไป…”

อัศวิน A เหลือบมองทั้งสามคน แน่ใจว่ามีเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือพระโพธิสัตว์ปีศาจ

“พระโพธิสัตว์ไม่เจอกันนานเป็นอย่างไรบ้าง?”

“พี่มังกร ยังสบายดีหายห่วง ข้าจัดระเบียบพวกโจรย่องเบาบางส่วนแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนผีรอง (กุ้ยเอ่อร์) รายงานว่าพวกเขาได้เจรจากับกลุ่มปีศาจหนูยักษ์แล้ว อีกฝ่ายสัญญาว่าจะหยุดหนูยักษ์ไม่ให้ย้ายท่อใต้ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต พี่มังกรวางใจได้”

เมื่อฟางหนิงได้ยิน ก็คิดในใจว่านี่เป็นข่าวดีมากทีเดียว ดูเหมือนว่าผีรองจะกลัวอัศวิน A หัวหด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ามารายงานด้วยตัวเอง

อัศวิน A “ถ้าอย่างนั้นพระโพธิสัตว์ก็อย่าได้เป็นกังวล”

หลังจากที่ฟางหนิงพูดอย่างสุภาพแล้ว เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เทพแห่งระบบนี้ไม่ใช่มนุษย์ เขาไม่รู้จักโลกและมันง่ายมากที่จะทำให้คนอื่นขุ่นเคือง พระโพธิสัตว์ปีศาจไม่ได้กล่าวอะไร อีกสองคนคงเป็นบอสระดับเดียวกันแน่นอน พูดเย้ยคนอื่นหน้าตาเฉยอย่างนั้นจะเริ่มสนทนากับคนอื่นได้อีกยังไง?

อัศวิน A ตกอยู่ในความงุนงง อีกสามคนไม่ได้เร่งเร้าอะไร แค่คิดว่าเขาคงคิดจะรวบรวมกองกำลังเพื่อจัดการกับฝูงแมลงที่กำลังจะลงจากท้องฟ้าอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลวงจีนเฒ่าก็เปิดปาก “ข้ามีค่ายกลกระบี่สี่สภาพ มันเป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า พลังนั้นไร้ขอบเขตและสามารถสร้างพื้นที่ปิดได้ ซึ่งเพียงพอที่จะระงับฝูงแมลงทั้งหมด เพียงแต่ต้องการความร่วมมือจากปรมาจารย์ทั้งสี่ที่มีความเแข็งแกร่งเทียมกัน”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “อย่าเร่งรีบเลย ปล่อยให้พวกเขาลงมือไปเถอะ แค่บอกพวกเขาว่าคงปิดกั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง และอย่าปล่อยให้แมลงหลุดออกไปก็พอ พวกเรามาเปิดฉากสังหารปีศาจกันดีกว่า”

ฟางหนิง “โชคดีที่ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันกับแกสลับร่างกันไปมา ฉันลงมือยากมา”

ระบบ “รีบไปเร็ว”

อัศวิน A กอบหมัดคำนับหลวงจีนเฒ่า “หายากนักที่ท่านจะมีแผนการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอให้ดำเนินการทันที ทั้งสามเป็นผู้ถือศีล ไม่เหมาะที่จะเปื้อนเลือด แมลงเหล่านี้มีนับพันๆ ตัว ข้าคนนี้จะทำหน้าที่กำจัดปีศาจพวกนี้ให้พวกท่านเอง”

หลวงจีนเฒ่ายิ้มพอใจ เขาเคยบอกว่าอัศวิน A นั้นหยิ่งทะนง แต่หลังจากติดต่อเป็นการส่วนตัว กลับหาได้ยากนักที่จะมีคนที่ความคิดดีแบบนี้

ว่ากันตามจริงแล้วเขาย่อมไม่สะดวกหากมือต้องเปื้อนเลือดมากเกินไป แต่หากปฏิบัติตามโลกที่แล้วก็เพียงแค่ปราบฝูงแมลงเหล่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันมันเกือบจะเหมือนกับการระเบิดเวลา แม้ต้องพลาดไปสักกี่ครั้ง ก็ยังดีเสียกว่าถ้ากำจัดไปในครั้งเดียวให้สิ้นซาก เขายังยึดมั่นในจุดนี้

พระโพธิสัตว์ปีศาจก็พยักหน้าเช่นกัน “ได้ ข้าก็ไม่อยากทำให้เกิดการนองเลือดมากนัก แต่เพราะมันสร้างปัญหาให้ท่านพี่มังกร”

นักพรตเฒ่าที่สำรวจหุบเขาลูกนั้นอยู่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนในสามคนตกลงกันได้แล้ว จึงมองสมบัติในมือแล้วถอนหายใจ “ช่างเถอะ หลวงจีนเฒ่ามีเมตตา ปราบปีศาจและกำจัดปีศาจเป็นเรื่องภายใน แต่การจะฆ่าคนจำนวนมากในคราวเดียว ข้าคงทนไม่ได้ เพราะสงสารสมบัติชิ้นนี้…”

ขณะนั้นหม่าผิงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลุ่ม เมื่อได้ยินคำพูดของท่านพ่อ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านกำลังหลอกผีอยู่นะ ท่านไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมากเพียงใด สมบัติชิ้นนั้นของท่านไม่รู้ว่าหลอมรวมอสูร ปีศาจ ภูตผีไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว ทีนี้ท่านกลัวการสังหารมากขึ้นไหม? ท่านไม่กลัวที่จะเปิดเผยความลับต่อหน้าพวกเขาทั้งสองเหรอ?”

ทั้งสี่คนหยุดพูด ฝูงแมลงยังคงค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมา หลวงจีนเฒ่าหยิบผ้าหนาสีเหลืองที่มีข้อความและรูปภาพออกมาปักไว้ทันที

หวงจีนเฒ่าเอ่ย “ค่ายกลกระบี่สี่สภาพมีอานุภาพสูงแต่เรียบง่าย ในสายตาของปรมาจารย์คงสามารถเรียนรู้ได้ทันที เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของเพื่อนรักจากโลกที่แล้ว สหายทั้งสามคงจะทราบได้เองเมื่อเห็นค่ายกล”

ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไป แล้วผ้าสีเหลืองที่มีค่ายกลก็ค่อยๆ ลอยไปทางพระโพธิสัตว์ปีศาจ

พระโพธิสัตว์ปีศาจนิ่งเงียบ เพียงแค่เหลือบมองแล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

จากนั้นพระโพธิสัตว์ปีศาจก็ยื่นมือออก แล้วค่ายกลก็ลอยไปทางนักพรตเฒ่าอีกครั้ง

นักพรตเฒ่าลูบเคราด้วยท่าทางผ่อนคลาย ดวงตากวาดมองไปยังค่ายกล

เขารู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่กลับแค่นหัวเราะ “หึหึ นี่เป็นสิ่งของประจำลัทธิเต๋าของข้า ข้าคงไม่ต้องพูดถึงมากหรอก”

เขาแอบกระซิบเบาๆ

“ผิงเอ๋อร์ ข้าจะส่งค่ายกลกระบี่สี่สภาพลงในทะเลแห่งความรู้ไปให้เร็วๆ นี้แล้ว เจ้ารีบบอกวิธีใช้งานของมันด้วย…”

หม่าผิง “ท่านท่าน ท่านกำลังฝึกวิธีที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการปราบปีศาจและกำจัดปีศาจ ท่านลืมทักษะพื้นฐานของลัทธิเต๋าไปแล้ว ยังกล้าจะบอกว่าทุกวันนี้ไปสำรวจจื่อซานกวนแห่งนั้นอีกเหรอ……”

“หยุดพูดไร้สาระเสียที ถ้าเจ้าไม่รีบ มันจะทำให้ข้าเสียหน้า และเมื่อข้ากลับไป ข้าจะยึดเครื่องเล่นเกม แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือทั้งหมดแล้วให้เจ้าไปเล่นกับผีแทน…”

“ผมจะรีบวิเคราะห์ให้ทันที ท่านรอสักครู่ แล้วที่บอกว่าจะพาผมออกไปดูโลก ผมคิดว่าท่านควรจะคิดถึงสิ่งนี้มาได้ตั้งนานแล้ว…”

หลวงจีนเฒ่าย่อมไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าพูดเช่นนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจ เดิมทีนี่เป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า โดยปกติเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าปรมาจารย์หม่าเถ้าฉ่างผู้โด่งดังจะเข้าใจมันหรือไม่

เขามองอัศวิน A ด้วยความกังวลเล็กน้อย นี่คือมังกร คงไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญในยุทธวิธีการต่อสู้มากนัก ดังนั้นเขาอาจต้องอธิบายเรื่องนี้

แต่ไม่ทันคาดคิดว่าอัศวิน A ก็เหลือบมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ยากมาก ข้าพอจะเข้าใจแล้ว “

ฟางหนิงคิดในใจ ก็คงง่ายอยู่หรอก เทพแห่งระบบเล่นใช้คะแนนประสบการณ์ไปสองสามร้อยคะแนนเลยนี่…

………………………………………………………..

บทที่ 96 เล่นแบบนี้ใช่ไหมแล้วจะได้เห็นดีกัน
ในฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก บนพื้นที่ราบสูงแห่งหนึ่ง ดินแดนรกร้างไร้มนุษย์ แหงนหน้ามองไปทางใดก็พบเพียงที่ราบกว้าง ไม่มีที่หลบซ่อน มีเพียงวัชพืชสีเหลืองเหี่ยวแห้งและสีเขียวประปรายที่พยายามผลิบานอย่างดื้อรั้น ฝูงแกะป่าวิ่งมาจากที่ไกลๆ จนเกิดฝุ่นตลบ

ไม่นาน พื้นที่แห่งนี้ก็ครึกครื้นขึ้นมา

“พระโพธิสัตว์หายไปนานเลยนะ” นักพรตเฒ่าใบหน้าเคร่งขรึม มองดูนักบวชตรงหน้าที่กำลังลูบสายประคำ พลางก้มศีรษะเล็กน้อยให้เด็กหนุ่ม

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

“พระโพธิสัตว์มาในโลกครั้งแรก กลับสร้างประตูศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ…” นักพรตเฒ่าขมวดคิ้วพลางลูบสายประคำ

เด็กหนุ่มยังคงไม่พูด

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็เงียบลง

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าสองคนมาถึงแล้ว ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่งสินะ” ตอนนั้นหลวงจีนเฒ่าผู้สวมเสื้อคลุมสีดำของลัทธิเต๋าก็ปรากฏขึ้น

เพียงแต่ว่ารูปร่างของหลวงจีนเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เขาถือแส้สีขาวไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งแบกมนุษย์เอาไว้

“วางผมลงนะ ท่านพ่อ…” ชายหนุ่มพึมพำ

“เงียบนะ ต่อหน้าคนนอก เรียกข้าว่าพระคุณเจ้าหรือท่านครู พูดไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าถูกส่งตัวไป…” หลวงจีนเฒ่าตำหนิชายที่เขาแบกเอาไว้

“ทราบแล้วขอรับ” หลังจากพูดจบ หลวงจีนเฒ่าก็ปล่อยเขาให้ล้มลงกับพื้น

“หึหึ ท่านทั้งสองอย่าเข้าใจผิดเลย ข้าเป็นหลวงจีนเฒ่าไร้ครอบครัว จะแต่งภรรยาและมีลูกได้ยังไง? เด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เขาปฏิบัติกับข้าราวกับพ่อแท้ๆ ก่อนที่เขาจะพูดได้ซะอีก…” หลวงจีนยิ้มให้คนทั้งสอง

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน ก็เพียงพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไร

แต่เขากลับกลับเริ่มสนใจและมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่กองอยู่บนพื้น อีกฝ่ายหน้าตาธรรมดาๆ อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาหันไปทางด้านนักพรตเฒ่าพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าตอนที่หม่าเถ้าฉ่างออกจากบ้านก็อายุสามสิบแปดแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีสายเลือดสัมพันธ์กับหม่าเถ้าฉ่างสินะ”

เมื่อพูดอย่างนั้น ลูกประคำใสก็พุ่งออกมาจากมือของชายหนุ่ม

หม่าเถ้าฉ่างเอื้อมมือไปหยิบมันพลางเช็ดให้เบาๆ ก่อนจะยกมันขึ้นเพื่อส่องดูผ่านแสงอาทิตย์

หลังจากพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็เผยยิ้ม “ใครๆ ต่างก็พูดว่าพระโพธิสัตว์ใจกว้าง ตามที่คาดการณ์ไว้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์เต็มใจจะมอบสิ่งของล้ำค่าเช่นนี้ ย่อมเป็นที่น่ายินดี ข้าพเจ้าก็จะมอบเขาให้ท่านในฐานะเด็กรับใช้เลยก็แล้วกัน…”

เด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นคร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านคิดจะเอาผมไปแลกงั้นเหรอ”

หลวงจีนเฒ่าชักแส้ปัดป่ายไล่เขา “ให้เจ้าลงเขาไปเรียนก็ไม่ยอมเรียน ยังไม่ทันจบมัธยมปลายก็วิ่งแจ้นกลับมาก่อน วันวันเอาแต่เล่นเกมอยู่ในวัด ถ้าข้าควบคุมเจ้าไม่ได้ สู้ส่งให้คนอื่นที่ไม่ใจอ่อนเหมือนข้าจัดการดีกว่า…”

เด็กหนุ่มกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยเตือนทั้งสองว่า “มาแล้ว…”

ใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าราบเรียบ เขาดึงเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วดันลูกประคำนั้นไปให้อีกฝ่าย เอ่ยกำชับแผ่วเบา “ผิงเอ๋อร์ พ่อจะพาเจ้าออกไปดูโลก อย่าดื้อนักเลย เก็บมันไว้เถอะ..”

หลังจากพูดจบก็ผลักเด็กหนุ่มออก เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น เขาบินขึ้นไปในอากาศและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลานี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงแมลงบินว่อน มันบดบังแสงอาทิตย์ เสียงดังครืนครานขวางกั้นไร้ทางผ่าน ทั่วทุกหนแห่งที่ห่างไกลออกไป ยังมีเครื่องบินหลายลำบินวนอยู่ราวกับกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหว

“น่ากลัวจริงๆ ถ้าปล่อยให้พวกมันแพร่กระจายไปยังที่ที่มีประชากรเยอะๆ ไม่รู้ว่าจะต้องมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกกี่คน” หลวงจีนเฒ่ากล่าวด้วยความกังวล

ชายหนุ่ม “น่าเสียดาย ที่แนวกำลังผีของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งยังมีราชาผีอีกสามตนเป็นกองกำลังหน้าอีกด้วย ไม่อย่างนั้นฝูงแมลงพวกนี้คงไม่ทางได้ก่อเรื่องแน่นอน”

แต่แล้วนักพรตเฒ่ากลับหัวเราะ สมบัติชิ้นหนึ่งทอแสงวาบขึ้นในมือของเขาและกล่าวว่า “สมบัติที่นักพรตเฒ่ากลั่นอย่างประณีตมาหลายปีเพิ่งได้รับการปลดปล่อย ตอนนี้กำลังมองหาหินลับคมมัน ซึ่งวันนี้เหมาะจะเสาะหาที่จื่อซานกวนแห่งนั้น ถึงเวลาดำเนินตามแผนแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนา ฝูงแมลงก็ได้บินเข้ามาใกล้แล้ว หากแต่ภายใต้ฝูงแมลงนั้นยังมีใครคนหนึ่งที่บินไล่ตามมาด้วย

ทั้งสามเหฌนภาพนี้เกือบจะพร้อมกัน

“ท่านพี่มังกรก็อยู่ที่นี่ด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย

หลวงจีนเฒ่าเบิกตากว้าง “ในเมื่อมีมังกรตัวจริงมาช่วยเรา รวมกับพลังของพวกเราทั้งสามก็น่าจะขจัดความยุ่งยากนี้ไปได้”

ทว่านักพรตเฒ่ากลับตกตะลึง “อนิจจา นักธุรกิจอีกคนก็มาเหมือนกัน”

ในชั่วพริบตา อัศวิน A ก็มาที่ด้านหน้าของทั้งสาม ขณะเดียวกันฝูงแมลงที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดบินแล้วค่อยๆ ลอยตัวลงมา

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นจึงอ่านนิยายในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของตัวเอง

ในเวลานี้เทพแห่งระบบก็เดินทางไปคนเดียวจนถึงที่หมายแล้ว

ระบบ “โฮสต์ออกไปสิ”

ฟางหนิงสบถ “บ้าเอ๊ย ฉันจะไม่ไปไหน…”

ระบบ “นี่โฮสตฺพูดเองนะ”

ฟางหนิง “หยุดเลย ออกไปก็ออกไป…”

อัศวิน A เหลือบมองทั้งสามคน แน่ใจว่ามีเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือพระโพธิสัตว์ปีศาจ

“พระโพธิสัตว์ไม่เจอกันนานเป็นอย่างไรบ้าง?”

“พี่มังกร ยังสบายดีหายห่วง ข้าจัดระเบียบพวกโจรย่องเบาบางส่วนแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนผีรอง (กุ้ยเอ่อร์) รายงานว่าพวกเขาได้เจรจากับกลุ่มปีศาจหนูยักษ์แล้ว อีกฝ่ายสัญญาว่าจะหยุดหนูยักษ์ไม่ให้ย้ายท่อใต้ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต พี่มังกรวางใจได้”

เมื่อฟางหนิงได้ยิน ก็คิดในใจว่านี่เป็นข่าวดีมากทีเดียว ดูเหมือนว่าผีรองจะกลัวอัศวิน A หัวหด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ามารายงานด้วยตัวเอง

อัศวิน A “ถ้าอย่างนั้นพระโพธิสัตว์ก็อย่าได้เป็นกังวล”

หลังจากที่ฟางหนิงพูดอย่างสุภาพแล้ว เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เทพแห่งระบบนี้ไม่ใช่มนุษย์ เขาไม่รู้จักโลกและมันง่ายมากที่จะทำให้คนอื่นขุ่นเคือง พระโพธิสัตว์ปีศาจไม่ได้กล่าวอะไร อีกสองคนคงเป็นบอสระดับเดียวกันแน่นอน พูดเย้ยคนอื่นหน้าตาเฉยอย่างนั้นจะเริ่มสนทนากับคนอื่นได้อีกยังไง?

อัศวิน A ตกอยู่ในความงุนงง อีกสามคนไม่ได้เร่งเร้าอะไร แค่คิดว่าเขาคงคิดจะรวบรวมกองกำลังเพื่อจัดการกับฝูงแมลงที่กำลังจะลงจากท้องฟ้าอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลวงจีนเฒ่าก็เปิดปาก “ข้ามีค่ายกลกระบี่สี่สภาพ มันเป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า พลังนั้นไร้ขอบเขตและสามารถสร้างพื้นที่ปิดได้ ซึ่งเพียงพอที่จะระงับฝูงแมลงทั้งหมด เพียงแต่ต้องการความร่วมมือจากปรมาจารย์ทั้งสี่ที่มีความเแข็งแกร่งเทียมกัน”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “อย่าเร่งรีบเลย ปล่อยให้พวกเขาลงมือไปเถอะ แค่บอกพวกเขาว่าคงปิดกั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง และอย่าปล่อยให้แมลงหลุดออกไปก็พอ พวกเรามาเปิดฉากสังหารปีศาจกันดีกว่า”

ฟางหนิง “โชคดีที่ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันกับแกสลับร่างกันไปมา ฉันลงมือยากมา”

ระบบ “รีบไปเร็ว”

อัศวิน A กอบหมัดคำนับหลวงจีนเฒ่า “หายากนักที่ท่านจะมีแผนการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอให้ดำเนินการทันที ทั้งสามเป็นผู้ถือศีล ไม่เหมาะที่จะเปื้อนเลือด แมลงเหล่านี้มีนับพันๆ ตัว ข้าคนนี้จะทำหน้าที่กำจัดปีศาจพวกนี้ให้พวกท่านเอง”

หลวงจีนเฒ่ายิ้มพอใจ เขาเคยบอกว่าอัศวิน A นั้นหยิ่งทะนง แต่หลังจากติดต่อเป็นการส่วนตัว กลับหาได้ยากนักที่จะมีคนที่ความคิดดีแบบนี้

ว่ากันตามจริงแล้วเขาย่อมไม่สะดวกหากมือต้องเปื้อนเลือดมากเกินไป แต่หากปฏิบัติตามโลกที่แล้วก็เพียงแค่ปราบฝูงแมลงเหล่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันมันเกือบจะเหมือนกับการระเบิดเวลา แม้ต้องพลาดไปสักกี่ครั้ง ก็ยังดีเสียกว่าถ้ากำจัดไปในครั้งเดียวให้สิ้นซาก เขายังยึดมั่นในจุดนี้

พระโพธิสัตว์ปีศาจก็พยักหน้าเช่นกัน “ได้ ข้าก็ไม่อยากทำให้เกิดการนองเลือดมากนัก แต่เพราะมันสร้างปัญหาให้ท่านพี่มังกร”

นักพรตเฒ่าที่สำรวจหุบเขาลูกนั้นอยู่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนในสามคนตกลงกันได้แล้ว จึงมองสมบัติในมือแล้วถอนหายใจ “ช่างเถอะ หลวงจีนเฒ่ามีเมตตา ปราบปีศาจและกำจัดปีศาจเป็นเรื่องภายใน แต่การจะฆ่าคนจำนวนมากในคราวเดียว ข้าคงทนไม่ได้ เพราะสงสารสมบัติชิ้นนี้…”

ขณะนั้นหม่าผิงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลุ่ม เมื่อได้ยินคำพูดของท่านพ่อ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านกำลังหลอกผีอยู่นะ ท่านไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมากเพียงใด สมบัติชิ้นนั้นของท่านไม่รู้ว่าหลอมรวมอสูร ปีศาจ ภูตผีไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว ทีนี้ท่านกลัวการสังหารมากขึ้นไหม? ท่านไม่กลัวที่จะเปิดเผยความลับต่อหน้าพวกเขาทั้งสองเหรอ?”

ทั้งสี่คนหยุดพูด ฝูงแมลงยังคงค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมา หลวงจีนเฒ่าหยิบผ้าหนาสีเหลืองที่มีข้อความและรูปภาพออกมาปักไว้ทันที

หวงจีนเฒ่าเอ่ย “ค่ายกลกระบี่สี่สภาพมีอานุภาพสูงแต่เรียบง่าย ในสายตาของปรมาจารย์คงสามารถเรียนรู้ได้ทันที เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของเพื่อนรักจากโลกที่แล้ว สหายทั้งสามคงจะทราบได้เองเมื่อเห็นค่ายกล”

ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไป แล้วผ้าสีเหลืองที่มีค่ายกลก็ค่อยๆ ลอยไปทางพระโพธิสัตว์ปีศาจ

พระโพธิสัตว์ปีศาจนิ่งเงียบ เพียงแค่เหลือบมองแล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

จากนั้นพระโพธิสัตว์ปีศาจก็ยื่นมือออก แล้วค่ายกลก็ลอยไปทางนักพรตเฒ่าอีกครั้ง

นักพรตเฒ่าลูบเคราด้วยท่าทางผ่อนคลาย ดวงตากวาดมองไปยังค่ายกล

เขารู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่กลับแค่นหัวเราะ “หึหึ นี่เป็นสิ่งของประจำลัทธิเต๋าของข้า ข้าคงไม่ต้องพูดถึงมากหรอก”

เขาแอบกระซิบเบาๆ

“ผิงเอ๋อร์ ข้าจะส่งค่ายกลกระบี่สี่สภาพลงในทะเลแห่งความรู้ไปให้เร็วๆ นี้แล้ว เจ้ารีบบอกวิธีใช้งานของมันด้วย…”

หม่าผิง “ท่านท่าน ท่านกำลังฝึกวิธีที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการปราบปีศาจและกำจัดปีศาจ ท่านลืมทักษะพื้นฐานของลัทธิเต๋าไปแล้ว ยังกล้าจะบอกว่าทุกวันนี้ไปสำรวจจื่อซานกวนแห่งนั้นอีกเหรอ……”

“หยุดพูดไร้สาระเสียที ถ้าเจ้าไม่รีบ มันจะทำให้ข้าเสียหน้า และเมื่อข้ากลับไป ข้าจะยึดเครื่องเล่นเกม แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือทั้งหมดแล้วให้เจ้าไปเล่นกับผีแทน…”

“ผมจะรีบวิเคราะห์ให้ทันที ท่านรอสักครู่ แล้วที่บอกว่าจะพาผมออกไปดูโลก ผมคิดว่าท่านควรจะคิดถึงสิ่งนี้มาได้ตั้งนานแล้ว…”

หลวงจีนเฒ่าย่อมไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าพูดเช่นนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจ เดิมทีนี่เป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า โดยปกติเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าปรมาจารย์หม่าเถ้าฉ่างผู้โด่งดังจะเข้าใจมันหรือไม่

เขามองอัศวิน A ด้วยความกังวลเล็กน้อย นี่คือมังกร คงไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญในยุทธวิธีการต่อสู้มากนัก ดังนั้นเขาอาจต้องอธิบายเรื่องนี้

แต่ไม่ทันคาดคิดว่าอัศวิน A ก็เหลือบมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ยากมาก ข้าพอจะเข้าใจแล้ว “

ฟางหนิงคิดในใจ ก็คงง่ายอยู่หรอก เทพแห่งระบบเล่นใช้คะแนนประสบการณ์ไปสองสามร้อยคะแนนเลยนี่…

………………………………………………………..

บทที่ 95 มีใครบางคนต้องการกำจัดมังกร
ที่ไหนสักแห่งในถ้ำลึก พญาแมลงขนาดยักษ์รูปร่างคล้ายดักแด้แต่ขนาดตัวกลับเทียบเท่ากับร่างของวาฬสีน้ำเงิน กำลังนอนอยู่บนพื้น

ต่อยักษ์โผล่ออกมาจากท้องหลังของมันเป็นครั้งคราว ทันทีที่ต่อยักษ์เหล่านั้นปรากฏขึ้น พวกมันก็บินออกไปตามทางบนภูเขาซับซ้อนหลายสิบแห่ง

ด้านหน้าพญาแมลงยักษ์ตัวนี้ ปรากฏเด็กหนุ่มผิวสีเข้มลังนั่งไขว่ห้าง

ในมือของเด็กหนุ่มถือกระจก เขากำลังส่องมัน

ในกระจกปรากฏภาพของต่อยักษ์กำลังโจมตีผู้คนภายนอก นอกจากภาพนั้นแล้วยังมีเสียงอื่นอีกด้วย

เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นใครบางคนล้มลงและกรีดร้อง เด็กหนุ่มก็จะแลบลิ้นสีแดงราวกับเลือดแตะเลียริมฝีปากของตน พื้นผิวบนใบหน้าของเขาเริ่มสั่นสะท้าน รอยยิ้มกระหายเลือดและพึงพอใจปรากฏขึ้นตรงมุมปาก

หลังจากภาพนั้น เมื่อต่อยักษ์ไม่พบเป้าหมายที่จะโจมตีอีกต่อไป ก็จะค่อยๆ ต่อต้าน

กลุ่มคนชุดดำปรากฏตัวขึ้น พวกเขาบางคนใช้เครื่องพ่นไฟ ทุกครั้งที่กด เปลวไฟก็จะพ่นออกมาแผดเผาและฆ่าตัวต่อพวกนั้น

บางคนใช้อาวุธเข้าโจมตี ทุกครั้งที่เล็งไปที่ต่อยักษ์ แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวใด แต่ต่อยักษ์กลับตกลงมาจากอากาศ ส่วนใหญ่ดิ้นทุรนทุรายสักพัก ก่อนจะแน่นิ่งไป

ต่อยักษ์เริ่มเข้าโจมตีคนกลุ่มนี้ทีละคน แต่พวกเขาก็ปัดป้องเป็นระยะเพื่อปิดกั้นไม่ให้ต่อยักษ์พวกนั้นออกไป

หลังจากดูจนพอใจแล้ว เด็กหนุ่มก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองภาพในกระจกก็เปลี่ยนไป

ภาพของทีมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีพร้อมอาวุธหลากหลายประเภทกำลังเคลื่อนเข้ามาตรงกลางจากทุกทิศทุกทาง

เหนือคนเหล่านี้ยังมีโดรนติดอาวุธขนาดใหญ่จำนวนมาก

และเหนือขึ้นไปกลางอากาศ ยังมีกลุ่มเฮลิคอปเตอร์ทางการรบซึ่งพวกมันทั้งหมดใช้เพื่อติดตามกองกำลังภาคพื้นดินร่วมกัน

บนพื้นดินและในอากาศเวลานี้ หนาแน่นไปด้วยกองกำลังกำลังล้อมวงเข้ามา

หลังจากเห็นสิ่งนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็หันไปทางพญาแมลงก่อนจะเอ่ยด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “พญาแมลง ดูเหมือนพวกมันจะใช้กลอุบายที่ล้าสมัยไปหน่อย เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการฝูงแมลงของข้าได้จริงเหรอ? ยังไงตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพัวพันกับพวกเขาแล้ว นี่คือจุดสิ้นสุดของการตรวจสอบพลังของมนุษย์ซึ่งสามารถกระตุ้นให้แมลงเหล่านั้นย้ายไปยังดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ทางตะวันตกได้ แต่ข้ามีเป้าหมายใหม่ที่คุ้มค่ามากกว่าการเสียเวลากับพวกมนุษย์แล้วล่ะ”

เมื่อพูดอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็เลียริมฝีปากของเขาอีกครั้ง บนใบหน้าสีเข้มของเขาแสดงออกถึงความกระหายเลือดท่าทางโหดร้าย

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น พญาแมลงยักษ์ก็ดิ้นไปมาสองสามครั้งแล้วพูดว่า “ปีศาจแมลง คราวนี้เจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดแล้ว โรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่มนุษย์ส่งมานั้นไม่สำคัญหรอก มีเพียงมังกรที่ค้นพบก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เป็นศัตรูตัวฉกาจตามธรรมชาติของปีศาจ และฝูงแมลงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของมันจะลดลงอย่างมากแล้ว น้อยกว่าหนึ่งในหมื่นของจำนวนทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรมองข้ามขั้นตอนนี้ไป ตอนที่ข้าพบมันก่อนหน้านี้ ข้าได้สั่งให้พวกเด็กๆ เตรียมพร้อมที่จะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงห้ามไม่ให้ข้าทำอย่างนั้นล่ะ?”

ชายหนุ่มปรายตามองมันเล็กน้อย “อืม ถ้าฝูงนั้นกระจัดกระจาย จะดึงดูดมันให้ออกมาได้ยังไงล่ะ? มันค่อนข้างฉลาดทีเดียว กลัวฝูงต่อจนหัวหดหนีหายไปกลางอากาศ เลยนึกอยากจะลอบโจมตี แต่น่าเสียดายที่ความฉลาดนั้นดันถูกเข้าใจผิด เป้าหมายใหม่ของข้าก็คือมัน ไม่มีอะไรจะทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากไปกว่าการฆ่ามังกรอีกแล้ว! ข้าคิดว่ามังกรตัวจริงในโลกก่อนหน้านี้เพิ่งจะลงมาที่โลก เพียงแค่พวกแมลงกินมัน พวกมันก็จะสามารถกลายพันธุ์เป็นแมลงมังกรได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าเจ้ากินแมลงมังกรเหล่านั้นอีกครั้ง เราก็จะอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับศัตรูตัวฉกาจอีกต่อไป!”

พญาแมลงประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ความโลภปรากฏขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงของมันยังคงลังเล “ปีศาจแมลง แม้ว่าปราณที่เราสะสมมาในทุกวันนี้จะหยั่งลึกเพียงพอแล้วจริงๆ แต่มังกรตัวนั้นย่อมมีมากกว่า หากเทียบกับมนุษย์บนโลกนี้แล้ว เราอาจอยู่ในประเภทที่มีความแข็งแกร่งยาวนานกว่ามาก แต่กับประเภทที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง เราไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่มีเช่นนี้อย่างเทพมังกรได้ มันสามารถฆ่าเราด้วยการระเบิดลมปราณมังกรได้เพียงครั้งเดียว”

ปีศาจแมลงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ไม่พอใจสหายของเขาที่เยินยอผู้อื่นแต่กลับทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่เขาก็ต้องไม่วู่วาม เพราะหากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอีกฝ่าย ผลที่ตามมาอาจร้ายแรง

ปีศาจแมลง “ไม่เป็นไร วิธีการล่องหนของข้านั้นเเยบยลพอที่จะปกป้องเราในที่ที่เราอยู่ มนุษย์ในท้องถิ่นหาเราไม่พบหรอก เจ้ามังกรก็จนปัญญาเช่นกัน เราแค่ต้องซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง ใช้พละกำลังของเราเรียกฝูงแมลงให้เข้าต่อสู้กับมังกรตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าบอกว่าเรามีความอดทนยาวนาน ตราบใดที่เจ้าและข้าร่วมมือกัน เราจะต้องกลืนกินมันจนสิ้นชีพได้แน่นอน เอาล่ะพญาแมลง ตอนนี้ฟังคำสั่งของข้า ใช้ใยโลหิตของเจ้าเพิ่มพลังการบินของพวกแมลง ปลดปล่อยพวกมันให้บุกจากที่สูงแล้วย้ายไปยังดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ ทำให้มนุษย์พวกนั้นหวาดกลัวซะ”

พญาแมลงไม่เชื่อฟังในทันที แต่กลับโน้มน้าว “ข้าว่าอย่าทำแบบนี้เลย ราชาหนูยักษ์และผู้อาวุโสตระกูลไป๋ที่มายังโลกนี้ล่วงหน้าเราเนิ่นนานหลายปีย่อมแข็งแกร่งกว่า ว่ากันว่าเขามีความขัดแย้งกับมังกรตัวนี้ แต่ก็เลือกที่จะล่าถอย พวกเราไม่ควรเป็นนกต่อตัวแรกนะ ถึงยังไงมังกรตัวนี้ก็ไม่รู้ว่าพวกเรามีตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้นมันคงไม่มีผลใดๆ ต่อแผนการในอนาคตของเราหรอก”

ปีศาจแมลงอธิบายหลายสิ่งหลายอย่าง ท้ายที่สุดก็หมดความอดทนอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่าล่าถอย จึงตำหนิทันที “จะเซ้าซี้อะไรนักหนา! เจ้ากลัวอะไร? ให้ข้าฆ่าเจ้าทิ้งดีไหม! เรามีร่างอวตารจำนวนนับไม่ถ้วน ตราบใดที่ร่างอวตารของแมลงยังมีชีวิตอยู่ มันก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ อย่างมากที่สุดก็แค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ถ้ามังกรตัวนี้ถูกฆ่าตาย ในระยะแรกของการวิวัฒนาการนี้ ผลประโยชน์ย่อมมีมากมายไม่รู้จบ! ทำในสิ่งที่ข้าพูดซะ ถ้ายังเซ้าซี้แบบนี้อีก อย่าโทษที่ข้าต้องใช้วิธีการบีบบังคับโดยไม่คำนึงถึงมิตรภาพของเราก็แล้วกัน!”

พญาแมลงยักษ์หยุดพูด ร่างของมันสั่นเทิ้ม

หลังจากนั้นไม่นาน ความผันผวนที่มองไม่เห็นก็แผ่ขยายออกไป ร่างกายอวบอ้วนของพญาแมลงค่อยๆ หดลดลง จนมองแทบไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวล ด้วยวิธีการของข้า ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า จะต้องฆ่ามังกรตัวนั้นได้แน่! เมื่อถึงตอนนั้นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดจะไปไหนจากเจ้าได้? เจ้าจะกลายเป็นเป็นพญาของแมลงมังกรตนแรก!”

เมื่อพญาแมลงได้ยินสิ่งนี้ แรงจูงใจของมันก็เพิ่มขึ้น จากนั้นจึงเริ่มควบคุมฝูงแมลง

…………

ขณะเดียวกันในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ในฐานบัญชาการลับ

เสมียน “รายงาน เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าติดตามได้ส่งข้อมูลฉุกเฉินมา โดยระบุว่าเรดาร์ตรวจพบการเคลื่อนไหวใหม่ของฝูงแมลงขนาดใหญ่ พวกมันกำลังเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฝูงแมลงบินสูงถึงหลายร้อยเมตรแล้วและดูเหมือนว่าจะบินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของเครือข่ายเทียนลั่วยืนยันความถูกต้องของข่าวนี้ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งของพลังลมปราณแล้วด้วย”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักสัจธรรม “เป็นไปได้ยังไง? โง่เง่าสิ้นดี เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นแค่ตัวต่อกลายพันธุ์ แต่พวกมันก็มีขนาดเทียบเท่านกกระจอกเท่านั้นและพวกมันก็ไม่สามารถบินสูงขนาดนั้นได้ ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน ดูเหมือนรายงานในตอนต้นจะผิดพลาดซะแล้ว ต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังต่อพวกนี้ สั่งให้คนหาตัวผู้บงการเดี๋ยวนี้”

ในเวลานี้ ใครบางคนก็แทรกขึ้นว่า “ผู้เฒ่าไห่ ผู้บงการเบื้องหลังต้องลึกลับมากแน่ ไม่อย่างนั้นข้อมูลเบื้องต้นคงจะไม่ถูกเข้าใจผิด จะจัดการกับฝูงแมลงขนาดใหญ่เหล่านี้โดยเตรียมการจากที่สูงได้ยังไงกัน? แม้ว่าท่านจะร้องขอการสนับสนุนจากกองกำลังรบทางอากาศ แต่ก็ไม่มีทางที่จะห้อมล้อมท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แบบนี้ได้ เว้นแต่คุณจะใช้อาวุธเห็ดหรืออาวุธอื่นๆ ที่สามารถกระจายฝูงเหล่านี้ออกไปได้เท่านั้น เพราะเราไม่สามารถกำจัดพวกมันได้ในคราวเดียว”

ผู้เฒ่าไห่เอ่ยเสียงแข็ง “ไม่ได้ ในกรณีกลายพันธุ์จะทำให้รับมือได้ยากขึ้น ผลกระทบที่ตามมาก็ยิ่งกว้างและเลวร้ายเกินกว่าจะควบคุม ขอคิดดูก่อนว่าอาวุธคลื่นเสียงที่ปรับปรุงแล้วมีประสิทธิภาพแค่ไหนกัน?”

ใครบางคนตอบกลับ “เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ป้อนกลับก่อนหน้านี้ ผลกระทบค่อนข้างชัดเจน แต่ยังชัดเจนไม่เพียงพอ หลังจากที่แมลงเหล่านี้กลายพันธุ์ โครงสร้างทางสรีรวิทยาของพวกมันก็เปลี่ยนไปด้วย พวกมันทั้งหมดมีสัญญาณพลังเวทในร่างกายที่อ่อนแอ กลับกันมีความต้านทานที่ค่อนข้างสูง”

ผู้เฒ่าไห่ขมวดคิ้ว “ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มนักวิเคราะห์ อย่าปล่อยให้พวกมันแพร่กระจายออกไปได้”

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนรายงานว่า “จากรายงาน ภาพเรดาร์ล่าสุดแสดงเหตุการณ์หลังจากที่ฝูงแมลงเหล่านั้นบินสูงขึ้นถึงระดับความสูงหนึ่งพันเมตรแล้ว พวกมันไม่ได้กระจายไปในทุกทิศทาง แต่ยังคงรักษาฝูงไว้และบินไปทางทิศตะวันตก”

ทิศตะวันตก?

ผู้เฒ่าไห่งุนงง “ที่ราบสูงแห่งนั้น ส่วนใหญ่เป็นที่รกร้างและไม่มีคนอาศัย มีสัตว์และพืชอยู่น้อยนิด แต่ทางทิศตะวันออกมีประชากรหนาแน่นและมีอาหารจำนวนวมาก ทำไมพวกมันถึงไม่หนีไปที่นั่นเพื่อดื่มน้ำหรือหาอาหารล่ะ? สั่งกำลังพลทั้งหมดตามติดทันที ห้ามโจมตีโดยตรง ให้คอยเฝ้าระวังไว้ก็พอ”

………………

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิง “ตามที่เจิ้งเต้ากล่าวมา แมลงเหล่านั้นได้บินไปทางทิศตะวันตกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันจะพยายามหลบหนี ระบบยังจะไล่ตามไปอีกไหม?”

อัศวิน A แหงนมองท้องฟ้า ฝูงแมลงขนาดใหญ่เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตร เรียงรายกันเป็นชั้นๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าพวกมันกำลังปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์

ระบบไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับควบคุมอัศวิน A ให้ไล่ตามไป

แม้ว่าฝูงแมลงนี้จะกำลังบินอยู่ ทว่าความเร็วของพวกมันกลับไม่มากนัก หากเปรียบกับการเคลื่อนไหวที่เบาบางอันไร้ที่ติของอัศวิน A แล้ว เขาจึงสามารถไล่ตามมันทันได้โดยปริยาย

……………………………………………………..

บทที่ 94 เทพแห่งระบบบ้าไปแล้ว…
ฟางหนิงจ้องไปที่ด้านนอกผ่านมุมมองของระบบ ขณะนี้มังกรเพลิงกำลังบินอยู่เหนือเมฆ ท้องฟ้าและมวลเมฆสีขาวด้านล่างเคลื่อนกลับอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันได้ยินเสียงฟ้าร้อง ก็ดูเหมือนจะมีความเร็วเหนือเสียงอื่นแทรกเข้ามาก่อนแล้ว

แต่ด้วยความเร็วของชั่วโมงบินในตอนนี้ ฟางหนิงคาดว่าเขาจะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์นั่นเอง ฟางหนิงก็คิดถึงกระบวนการเสแสร้ง

ฟางหนิง “ระบบ ตอนที่แกลงมาจากฟ้า มังกรพายุอีกตัวจะดูดกลืนต่อเหล่านั้นในคราวเดียวสินะ ฉากนั้นจะต้องยิ่งใหญ่อลังการแน่นอน พวกมันจะต้องตกใจชักดิ้นชักงอ ทั้งที่อัศวิน A ยังไม่ได้ออกโรง นี่อาจเป็นเหตุฉุกเฉินที่สำคัญในเสินโจว”

ระบบ “โฮสต์ไม่จำเป็นต้องสอนระบบเกี่ยวกับการต่อสู้…”

ฟางหนิง “ฉันผิดไปแล้ว…ฉันแค่คิดว่ามันคงจะดีถ้าถ่ายวิดีโอเอาไว้ ลองถามสำนักสัจธรรมสิว่าพอจะสามารถขยายต่อสาธารณะได้ไหม สิ่งนี้อาจสามารถทำเงินได้มาก แกไม่รู้หรอกว่าการถ่ายทอดสดนั้นดังแค่ไหนและดึงดูดเงินได้ตั้งเท่าไหร่…”

ระบบ “อย่าปล่อยให้ข้อมูลการต่อสู้ของฉันรั่วไหลก็พอ”

ฟางหนิงตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นก็ลืมมันไปเถอะ ตอนนี้มีวิธีหาเงินอีกหลายทาง แต่ไพ่ตายจะให้รั่วไหลไม่ได้ ต้องห้ามไม่ให้คนในสำนักสำนักสัจธรรมปล่อยภาพเผยแพร่ต่อสาธารณะ ไม่อย่างนั้นจะได้รับผลกระทบใหญ่เกินไป แค่ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นขโมยหรือถ่ายทำก็พอ แกจำตอนที่ตีอสูรฉีเทาได้ไหม ในตอนนั้นมีสายลับฮัมมิ่งเบิร์ดสองคนที่ลอบตามหลังมาแอบถ่ายพวกเรา”

ขณะที่พูดนั้น ระยะห่างอยู่ไม่ไกลจากภัยพิบัติที่ระบุในหน่วยข่าวกรองซึ่งใช้เวลาบินเพียงครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นฟางหนิงก็สังเกตเห็นว่า QQ ส่องแสงกะพริบวาบอีกครั้ง

เจิ้งเต้า “เมื่อครู่สำนักสัจธรรมติดต่อผมมาเร่งด่วน เครือข่ายเทียนลั่วสัมผัสได้ถึงลมปราณของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังแล่นผ่านไปด้วยความเร็วสูง พวกเขาถามว่าท่านมังกรกำลังรีบไปที่เกิดเหตุโดยใช้ร่างจริงไหม?”

ฟางหนิงแสร้งทำเป็นวางมาด “อืม ฉันอยู่กับเขาแล้ว อีกไม่นานภัยพิบัตินี้จะคลี่คลายในทันที บอกให้พวกเขาอุ่นใจและเตรียมรางวัลหลังจบงานไว้ก็พอ ภารกิจพิเศษระดับสูงแบบนี้คงไม่มากเกินไปหรอก อย่างน้อยก็สักสองร้อยล้านหยวน”

เจิ้งเต้าทำอะไรไม่ถูก “ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาขอให้ท่านมังกรอย่ารีบไปที่เกิดเหตุในร่างจริง เพราะในเวลานี้ฝูงต่อกำลังรวมตัวกัน เพราะมีสัญญาณการรวมฝูงกระจัดกระจายโดยรอบ จากการวิเคราะห์บุคคลที่เกี่ยวข้องพบว่าน่าจะเป็นเพราะพวกมันสัมผัสได้ถึงการมาของศัตรูธรรมชาติ มันจึงเริ่มโหมโรงวิ่งไปรอบๆ เมื่อรวมกับข้อมูลการลาดตระเวนของเครือข่ายเทียนลั่วแล้ว พวกเขาเริ่มอนุมานได้ว่าอาจเป็นเพราะมังกรจริงที่ทำให้พวกมันรู้สึกตัว”

ฟางหนิงพูดไม่ออกหลังจากได้ยินเรื่องนี้ “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

ฟางหนิงพูดกับระบบ “แกสามารถยับยั้งออร่าความเก่งกาจที่เปล่งประกายจากตัวแกได้ไหม?”

ระบบ “มันง่ายที่จะยับยั้งภายใต้ร่างมนุษย์ แต่ตอนนี้อยู่ในร่างของมังกรแล้ว ร่างมังกรนั้นแข็งแกร่งเกินไป ผลของวิทยายุทธ์กลั้นลมปราณมีขนาดเล็กมากและอาวุธวิเศษก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพขนาดนั้น”

ฟางหนิงถอนหายใจ “เรื่องนี้ฉันเข้าใจ ทุกครั้งที่ฉันเห็นระบบแจ้งเตือน ศัตรูเหล่านั้นจะถูกกดขี่ด้วยพลังมังกรของแกและไม่สามารถใช้ทักษะของพวกมันได้ ฉันรู้ดีว่าสิ่งนี้รุนแรงแค่ไหน คราวที่แล้วสุนัขทั้งสองยังสัมผัสได้ถึงการโจมตีของมังกรเพลิงล่วงหน้าจนวิ่งหนีไป ตอนนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงต่อกลายพันธุ์กลุ่มนี้ จึงไม่แปลกนักเพราะพวกมันไวต่อความรู้สึก ที่นี่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรจากพวกมันเลยนะ! ด้วยประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่เฉียบแหลม ทำให้มีพลังการให้เหตุผลเทียบเท่ากับนักสืบชื่อดังเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องระวังให้ดี”

ระบบตอบกลับ “ระบบไม่เข้าใจ…”

ฟางหนิง “เมื่อถึงเวลาฉันจะเตือนแกเอง ตอนนี้กลับเข้าไปอยู่ในร่างมนุษย์ก่อน”

ในระหว่างการสนทนาของทั้งสอง ระบบก็เสาะหาพื้นที่ห่างไกลแล้วลงสู้พื้นดินเพื่อกลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง

ฟางหนิงเป็นกังวล “ในกรณีนี้ หลังจากมาถึงสถานที่แล้ว แกไม่สามารถใช้ค่ายกลเพื่อโจมตีได้ใช่ไหม?”

ระบบ “ในร่างมนุษย์ก็สามารถใช้ได้ แต่พลังและระยะอาจไม่ดีเท่าร่างมังกรจริง แต่พวกมันเป็นเพียงต่อขนาดเท่านกกระจอก อานุภาพของสิ่งนี้มากพอที่จะฆ่าพวกมันได้แน่นอน”

ขณะพูดนั้นอัศวิน A ก็วิ่งไปยังจุดหมายปลายทางด้วยความเร็วสูง แต่ความเร็วในการวิ่งนั้นกลับเทียบกับความเร็วในการบินไม่ได้เลยสักนิด เดิมทีเหลือเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้กลับใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการวิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เจิ้งเต้าก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง “คนจากสำนักสัจธรรมแจ้งมาว่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่เดินทางด้วยความเร็วสูงนั้นได้หายไปแล้ว อีกอย่างฝูงต่อกลายพันธุ์ก็หยุดกระบวนการจัดกลุ่มแล้วด้วย นายท่านกลับร่างมนุษย์แล้วหรือ?”

ฟางหนิง “ใช่ ดูเหมือนว่ากลุ่มต่อจะสามารถตรวจจับการมาถึงของมังกรจริงได้ แต่พวกมันตรวจจับได้ยังไงและด้วยวิธีการอะไรนั้นนายต้องตรวจสอบให้ละเอียด ตอนนี้เรายังห่างจากพวกมันมาก”

เจิ้งเต้า “ผมจะขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครับ”

…………

ในเวลานี้หุบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ไหนสักแห่งในฐานบัญชาการลับ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักสัจธรรมเอ่ยขึ้น “การเตรียมการเจ้าหน้าที่ที่จะเริ่มต้นการล้อมปราบปรามนเป็นยังไงบ้าง?”

ผู้อำนวยการหน่วยงานกิจการพิเศษปาเฉิง “ทางฝั่งตะวันออกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วครับ”

ผู้อำนวยการหน่วยงานกิจการพิเศษซูเฉิง “ทางเหนือและตะวันตกก็ได้รับจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน”

ผู้อำนวยการหน่วยงานกิจการพิเศษเตียนเฉิง “ทางใต้เรียบร้อยดีแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนั้นไปที่แผนที่เพื่อสั่งการ “สั่งให้พวกเขาวางตาข่ายทุกด้านทันทีแล้วค่อยๆ ล้อมมัน เซวียเฟิงนายไปถามเรื่องความช่วยเหลือจากต่างประเทศ จากความแข็งแกร่งของพวกเขา นายสามารถจัดการกับพวกเขาได้ทันทีและแจ้งให้พวกเขารีบไปยังตำแหน่งสำคัญทั้งสี่นี้ เหนือ ใต้ ออก และตก กระจายกองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เพื่อเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทหารรักษาการณ์ของเราในการจัดการกับราชาต่อที่อาจหนีไปได้”

มีเพียงชายหนุ่มถือดาบที่หลังจากเห็นสถานที่หลายแห่งบนแผนที่นั้น ลุกยืนขึ้นอย่างไร้อารมณ์และและเดินไปยังประตู

ไม่นานเขาก็กลับมาอีกครั้ง “ได้รับแจ้งแล้ว ท่านเทพมังกรและมังกรขาวทั้งสองไปถึงสถานที่ที่กำหนดทางทิศตะวันออกภายในหนึ่งชั่วโมง พระโพธิสัตว์ปีศาจไปถึงทางทิศใต้ภายในครึ่งชั่วโมง ราชาดาบเทียนจิงจะมาถึงทางทิศตะวันตกในยี่สิบนาที และนักบวชลัทธิเต๋าแห่งจื่อซานกวนอยู่ใกล้กับทางภาคเหนือและสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในห้านาที นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนมารวมตัวกันที่นี่ในเวลาอีกประมาณสองชั่วโมง”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนั้นเอ่ย “ระบุกลุ่มคนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่มีประวัติและไม่ได้ระบุตัวตน ปล่อยให้พวกเขารออยู่ในที่ที่พวกเขาอยู่ อย่ารีบเร่งเพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดภารกิจพิเศษในระดับนี้ยังไงก็อยู่ภายใต้ความดูแลของเรา การสนับสนุนจากต่างประเทศของพวกเขาเป็นเพียงการเติมแต่งเท่านั้น”

เซวียเฟิงพยักหน้าและไปยังประตู

สิ่งที่เรียกว่าการรวมพลังทั้งหมดที่สามารถรวมกันได้นั้นไม่ใช่การพูดเรื่อยเปื่อย และอัศวิน A ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พลเมืองหลายคนผู้มีตำแหน่งโดยชอบธรรมที่เต็มใจอุทิศตนเพื่อสำนักสัจธรรม ถึงไม่อยากเข้าระบบที่มีข้อจำกัดมากเกินไป แต่พวกเขาทั้งหมดก็ได้ลงนามในหน่วยความร่วมมือด้านกิจการพิเศษอยู่แล้ว

แม้แต่ราชาผี ทั้งกองกำลังฐานลับและเผ่าอสูรหนูยักษ์ ก็ยังไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นเป็นศัตรูหรือพยายามสร้างความแตกแยกเลย

…………

ในเวลานี้อัศวิน A อยู่ในบังเกอร์บนภูเขา กำลังยืนอยู่บนยอดไม้สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่ มองไปรอบๆ

รอบๆ ตัวเขา มีเจ้าหน้าที่ทางทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ประจำจุดสำคัญอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีการสร้างป้อมปราการเรียบง่ายขึ้นอย่างเร่งด่วน

พวกมันถูกซ่อนไว้อย่างดีและติดตั้งอาวุธที่ไม่สามารถระบุตัวตนไว้มากมาย แต่มุมมองของระบบยังคงยอดเยี่ยม ฟางหนิงค้นพบได้อย่างรวดเร็วว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และหลังจากดูไประยะหนึ่ง เขาก็พบว่าอาวุธที่พวกเขาใช้นั้นแตกต่างไปจากอาวุธทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจเป็นอาวุธที่ได้รับการดัดแปลงมาจากอาวุธทั่วไป

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “เป็นการกำจัดที่ใหญ่โตจริงๆ ทำไมโฮสต์ถึงอยากมาที่นี่?! จากตรงนี้กับระยะห่างไปถึงตัวบอสนั้น ระบบสัมผัสได้ว่าในพื้นที่นี้หนาแน่นไปด้วยพวกปีศาจ”

ฟางหนิงอธิบายด้วยความหงุดหงิด “แกคิดซะว่ามันเป็นหนังแล้วกัน มีภารกิจพิเศษอะไรบ้างที่ให้ฮีโร่พวกนั้นกอบกู้สถานการณ์? สำนักสัจธรรมไม่ใช่ผู้กำกับ แค่อำนวยให้เราขึ้นเวทีเพื่อโชว์การแสดง พวกเขาจะต้องวางแผนอย่างเข้มงวด เหมือนกับหลักการสี่เหลี่ยมหกมุมและสิบด้านของแผนตาข่ายในปลายราชวงศ์หมิงตอนปลายในประวัติศาสตร์ ซึ่งชั้นล่างของวงล้อมได้รับการจัดวางแล้ว พร้อมที่จะกำจัดต่อกลายพันธุ์ฝูงนี้ เนื่องจากเราใช้เครือข่ายข่าวกรองของคนอื่นเพื่อให้ได้รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่นี่ ทั้งยังพึ่งพาผู้อื่นเพื่อล้างข้อมูลตัวตนของเราด้วย ฉะนั้นเราจะรอที่นี่อย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอจับปลาที่ลอดผ่านอวนเข้ามา”

หลังจากที่ฟางหนิงพูดจบ เทพแห่งระบบก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร

ฟางหนิงรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ลงตัวแล้ว เพียงแต่ยังคิดบางอย่างไม่ออก เขาไม่ใช่ระบบที่มีอารมณ์ฝึกฝนความขยันได้ทุกที่ทุกเวลา จึงขอเตรียมตัวเอาเวลาไปขโมยเล่นเกมดีกว่า

แต่ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น ระบบก็ปรากฏตัวขึ้นก่อน ทำเอาฟางหนิงหมดอารมณ์จะเล่นเกม

น่าขันจริงๆ ระบบที่บินได้หลายพันลี้ ไม่ทันไรก็จับปลาที่เล็ดลอดผ่านตาข่ายได้แล้ว!

ระบบกำลังประมวลผล…

ระบบกำลังประมวลผล…

ระบบกำลังประมวลผล…

ระบบตัดสินใจกำจัดแตนยักษ์กลายพันธุ์เพื่อเก็บเลเวล

ฟางหนิงรีบร้องตะโกน “เฮ้ แกจะไปคนเดียวอีกแล้วเหรอ? ผลที่ตามมาอาจเป็นเรื่องร้ายแรงมากนะ!”

อัศวิน A หูทวนลม ลอยตัวลงมาจากต้นไม้อย่างเงียบเชียบ

เขาเดินผ่านป่าทึบไปตลอดทาง แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ทางทหารที่ตื่นตัวอยู่โดยรอบ แต่กลับไม่มีใครสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของอัศวิน A ได้เลย เช่นเดียวกับเครือข่ายของสำนักสัจธรรมที่ไม่ตอบสนองใดๆ

ฟางหนิงเรียกอีกสองสามครั้ง เขายืนยันว่าเทพแห่งระบบได้เข้าสู่สถานะเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์เต็มรูปแบบและอยู่ในสถานะที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกแล้ว

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่กล้าขอให้เจิ้งเต้าแจ้งสำนักสัจธรรม เพราะการรบกวนความสนใจของเทพแห่งระบบในการฆ่าปีศาจนั้นมีผลที่ตามมาร้ายแรงยิ่งกว่า

ฟางหนิงรีบใช้สมองของเขาคิดหาวิธีจัดการกับผลที่ตามมาทั้งหมด

เขารู้ว่าแม้เทพแห่งระบบจะบ้าคลั่ง แต่ข้อเสนอแนะของเขานั้นสมเหตุสมผลมากทีเดียว“กับดักถูกจัดเรียงแบบนี้ พวกเขาคงไม่อยากให้ฝูงต่อนั่นผ่านออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว”

“สล็อตพลังปราณเหลือไม่มากแล้วนะ สองวันที่ผ่านมาคุณเปลี่ยนร่างเป็นมังกรไปมา แล้วยังเล่นเกมจนไม่มีเวลากลับมาเก็บเลเวลคืน”

“ถ้าการอาละวาดโดยพลการของคุณนำไปสู่อันตรายที่เพิ่มมากขึ้นล่ะก็ ระวังว่าสล็อตความกล้าหาญจะลดลงล่ะ”

……………………………………………………..

บทที่ 93 โปรดอัปเกรด

ฟางหนิงคลิกที่กล่องโต้ตอบ กล่องระบุข้อตกลงอันยาวเหยียดอีกกล่องก็ปรากฏขึ้นทันที เขาอ่านมันเพียงครั้งเดียว ก็เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดของข้อตกลง

จุดสำคัญที่สุด: ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการฝึกฝนนั้นตกเป็นภาระของผู้ปฏิบัติเอง

ด้านล่างข้อตกลงสุดท้ายมีสองตัวเลือกระหว่างเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

โดยปกติแล้วฟางหนิงมักจะคลิกตกลงโดยไม่ลังเล จากนั้นการยืนยันตัวตนก็จะปรากฏขึ้น เขาไม่รีบเร่ง ป้อนบัตรประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์มือถือของ ‘ท่านมังกรขาว’ และทำการตรวจสอบผ่านโทรศัพท์มือถือให้เสร็จสิ้น

ตอนนี้เขามีเสื้อเกราะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่สำคัญ ด้วยพลังสมองในปัจจุบันของเขาไม่มีวันสับสนอย่างแน่นอน เสื้อเกราะมังกรขาวเป็นสิ่งที่เจิ้งต้าวได้รับมาเมื่อลงทะเบียนกับ Anshi Capability Co., Ltd. ก่อนจะไปหาสำนักสัจธรรมเพื่อเคลียร์ตัวตนของอัศวิน A และทำให้เขามีตัวตนอย่างถูกต้อง

หลังจากเสร็จสิ้นการยืนยันตัวตนแล้ว ข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “อายุตัวตนที่แท้จริงของคุณคือ สิบแปดปี หนึ่งวัน อายุต่ำกว่าห้าสิบปีและมากกว่าสิบแปดปี คุณได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หน้าต่างการฝึกฝน ผลที่ตามมาของการปลอมแปลงตัวตนหรือการปลอมแปลงอายุของคุณ จะตกเป็นภาระของคุณตามข้อตกลงพิเศษ”

ฟางหนิงไม่ได้กังวลเรื่องนี้ หลังจากคลิกที่ข้อความแจ้งเตือน ในที่สุดเขาก็พบหน้าจอก่อนจะเข้าสู่หน้าต่างใหม่

หนังสือสีน้ำเงินโบราณปรากฏบนหน้าต่างการฝึกฝน โดยมีชื่อว่า ‘หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน’

ฟางหนิงคลิกอีกครั้ง จากนั้นรูปสามมิติก็ปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าจอ เป็นภาพตัวละครกำลังนั่งไขว่ห้างพร้อมกับหลักการข้างๆ ตัวเขา ด้านข้างหลักการในแต่ละขั้นมีการบรรยายและภาพประกอบจำนวนมากเพื่ออธิบาย

เมื่อเทียบกับการอ่านออกเสียงง่ายๆ นี่คือเวอร์ชันเต็มของรูปภาพและข้อความสมัยใหม่ เป็นสิ่งที่ทำให้คนธรรมดาสามารถเริ่มฝึกฝนได้อย่างแท้จริง

ในตอนนี้ฟางหนิงนึกถึงกระบวนการฝึกฝนของเขา เปรียบเทียบกับคำอธิบายของภาพประกอบคำบรรยาย ในที่สุดก็ค้นพบความจริงที่ว่าเขาได้เรียนรู้แล้วจริงๆ……

แต่มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น จะให้เกมรู้ว่าเขาเรียนรู้แล้วได้อย่างไร?

นี่ไม่ใช่เกมเสมือนจริง เพราะจิตใจสามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ เกมนี้สามารถรู้ได้ว่าเขาทำอะไรลงไปด้วยตัวเขาเองบ้าง

ฟางหนิงใช้เวลาไม่นานในการค้นหาปุ่มยืนยันความก้าวหน้าในการฝึกฝนที่มุมล่างขวา

หลังจากที่ฟางหนิงคลิก ในครั้งนี้หน้าต่างใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกรอบ “ได้โปรดใช้พลังจิตที่คุณฝึกฝนมาเพื่อท่องคาถาต่อไปนี้ด้วยรหัสเฉพาะ…”

ฟางหนิงครุ่นคิด พลังจิตคือพลังที่มีอยู่ในร่างมังกรขาวของเขาไม่ใช่เหรอ?

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจความหมายของประโยคนี้ ประโยคที่กล่าวมานี้คือตัวเขาในร่างมังกรขาวนี่เอง

เขาพูดแบบนี้ทุกวัน เพราะเคยชินเลยลืมไปว่ามันลึกลับมากสำหรับคนทั่วไป

ข้อความนี้เขียนยากมาก จนฟางหนิงพูดไม่ออก

เขาสรุปอย่างรวดเร็วได้ว่าหลักการของคาถานี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอ่านด้วยพลังจิต แล้วปล่อยสัญญาณความถี่พิเศษที่ดูเหมือนว่าจะต้องเชื่อมต่อกับส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อตรวจสอบ ซึ่งอาจจะไม่เป็นอันตรายใดๆ

หลังจากเข้าใจแล้ว ฟางหนิงก็ท่องคาถาอีกครั้งทันที “รหัส XXFSAFA2332 เซิร์ฟเวอร์ห่วย หากมีสิ่งใดหายไป โปรดอัปเกรด…”

สิ่งนี้เป็นเวทมนตร์คาถาอย่างนั้นเหรอ? หลังจากที่ฟางหนิงอ่านแล้ว กลับพบว่าหน้าต่างของเกมไม่ได้มีการตอบกลับใดๆ เลย ดังนั้นเขาจึงอ่านมันครั้งสองครั้ง ก่อนจะพบข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าต่างของเกม

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นมังกรบินแห่งใต้หล้า คนแรกที่ประสบความสำเร็จในการฝึก ‘หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน’ รับชื่อเสียง 10,000 คะแนน เหรียญหมาป่า 10,000 เหรียญ และคุณลักษณะสติปัญญาของตัวละครในเกมของคุณจะเพิ่มขึ้น 10 คะแนน คุณต้องการเผยแพร่ภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดหรือไม่?”

ฟางหนิงอ่านมัน เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ ในเกมนี้คุณลักษณะของตัวละครจะค่อยๆ อัปเกรดได้ด้วยการผ่านเควสเท่านั้น

“ไร้สาระ ต้องเผยแพร่อยู่แล้วสิ! กดสามครั้งไปเลย!”

เขากดตกลงทันที เกมนี้เขาจะไม่ย่ำอยู่กับที่ เขาอยากจะเจิดจรัสทำให้เป็นที่ประจักษ์! ในอนาคตยังต้องเป็นผู้อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง? อย่างไรก็ตาม เขามีแบ๊คอัพใหญ่อย่างระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าจะมีใครหน้าไหนมาตรวจสอบเบื้องหลังของเขาหรือเล่นแก้แค้นอะไรแน่นอน

“Battle of the Beasts ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ผู้เล่นมังกรบินแห่งใต้หล้าเป็นคนแรกที่ฝึกฝน ‘หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน’ สำเร็จ! ได้รับตำแหน่ง ‘ผู้บุกเบิกการฝึกฝน’!”

“Beasts…!”

“Beasts…!”

เสียงฮือฮาดังต่อเนื่องกันสามครั้ง ตอนนี้กลุ่มคนเริ่มปัดหน้าจอเลื่อนดู

“ท่านโปรเพลเยอร์ อะไรคือ ‘หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน’ เหรอ?” คนนี้ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นใหม่

“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเรียนรู้เคล็ดลับของการฝึกฝนจริงๆ ดูเหมือนว่าการโปรโมตเกมนี้จะไม่เลวเลยทีเดียว มีฟังก์ชันอันทรงพลังซุกซ่อนอยู่ด้วย” ท่าทางหมอนี่จะยังไม่รู้จักวงการนี้มากนัก

“เรียนรู้ะไรกัน ฉันจะใช้เงินแสนเพื่อซื้อไกด์ไลน์ในเกม!” พวกเศรษฐีบางคนใช้เงินเหมือนกระดาษ ฟางหนิงไม่ได้ตอบข้อความพวกนั้นกลับ เขาเลือกที่จะปฏิเสธข้อความทั้งหมดด้วยท่าทางเย็นชา

ฟางหนิงอาศัยข้อได้เปรียบในทางปฏิบัติ ก้าวล้ำหน้าผู้เล่นคนอื่นหนึ่งก้าว ความหวังที่จะครองแชมป์ในเกมใหม่เริ่มปรากฏ เขากระหน่ำเล่นมันมากขึ้นและนั่งจ้องมันทั้งคืน

เพียงแต่ว่าระบบกลับไม่เห็นด้วย เพราะหมอนี่มัวแต่สนใจเรื่องไร้สาระจนละเลยสิ่งสำคัญ

ระบบ “พอได้แล้ว พรุ่งนี้ไปทำงานตามปกติ หมดเวลาพักผ่อนแล้ว อย่าเล่นมากเกินไป เกมนี้มีประโยชน์อะไรกัน กินก็ไม่ได้สักหน่อย”

ฟางหนิง “แกยุ่งอะไรล่ะ…”

ขณะเดียวกัน เซวียปากำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอันอบอุ่น มันกำลังฝันบางอย่างพร้อมปากก็กำลังพึมพำ “ทำไมถึงคิดว่ามีบางอย่างที่พยายามยั่วยวนพลังจิตของท่านมังกรขาวล่ะ? ช่างเถอะ นายท่านปกปิดตัวตนไว้อย่างดี คงไม่มีอะไรไปรบกวนได้หรอก นอนต่อเถอะ กระดูกชิ้นใหญ่ของข้า พี่สาวอย่าไปนะ…”

ใต้โต๊ะอาหาร ไป๋หลี่ที่นอนอยู่บนพื้นเย็นๆ ก็ละเมอเช่นกัน “มีการเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า? อืม หนาวจังเลย มีสุนัขสาวตัวไหนใจดีแบ่งปันเตียงอันอบอุ่นให้ไหมนะ?”

ณ ฐานทัพแห่งหนึ่งของสำนักสัจธรรม

“ใช้เวลาเจ็ดปีในการแก้ไขปรับปรุง ‘หลักสูตรการฝึกจิต’ จนได้เปิดตัวในเกมเป็นครั้งแรก แต่ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็มีคนฝึกฝนสำเร็จ และข้อความยืนยันก็ได้ถูกส่งไปยังเว็บไซต์เทียนลั่วแล้ว นี่คงจะเป็นผู้ฝึกฝนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตอนท้าย แม้ว่าจะได้รับสัญญาณตอบรับที่ชัดเจนและยืนยันตัวตนของผู้ฝึกฝนได้แล้ว แต่กลับไม่ได้ระบุถึงตำแหน่งที่แน่นอนของผู้ฝึกฝน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้รับรู้ถึงพลังจิตตามสมควรอีกด้วย”

“ดูเหมือนว่าฟังก์ชันที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ของเว็บไซต์เทียนลั่วจะเกิดข้อบกพร่อง”

“ให้ตายเถอะ แจ้งกลุ่มพวกโปรแกรมเมอร์ให้แก้จุดบกพร่องที คืนนี้คงต้องทำงานล่วงเวลาสักหน่อย…”

…………

เช้าวันรุ่งขึ้นเจิ้งต้าวรีบติดต่ออัศวิน A ทางอินเทอร์เน็ตทันที เขารู้ว่าถ้าเขาใช้อินเทอร์เน็ต มันจะสามารถติดต่อกับนายท่านสักคนได้ กลับกันถ้าเขาต้องวิ่งไปหาใครสักคนคงจะใช้เวลามากทีเดียว

“นายท่านทั้งสอง ด้วยความร้อนใจ ผมเพิ่งรู้ว่าสำนักสัจธรรมกำลังจะออกประกาศฉุกเฉินที่ครอบคลุม โดยมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานกิจการพิเศษในพื้นที่และหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือทั้งหมด ด้วยได้รับแจ้งว่ามีเหตุฉุกเฉินสำคัญเกิดขึ้นในหุบเขาตะวันตกเฉียงใต้ ออกเตือนหน่วยงานกิจการพิเศษในท้องถิ่นทั้งหมดให้เข้าสู่สถานะการแจ้งเตือนระยะแรกและขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือทั้งหมด”

ฟางหนิงขยี้ตา เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาเล่นเกมจริงจังมากเกินไป ทำให้ตอนนี้เขามีอาการง่วงงุนเล็กน้อย อีกทั้งยังรู้สึกขี้เกียจด้วย

แต่เมื่อเขาเห็นข่าวแวบผ่านบนอินเทอร์เน็ต ฟางหนิงก็ตื่นเต็มตา

ถือเป็นเหตุฉุกเฉินครั้งใหญ่จริงๆ จะมีการปิดเครือข่ายในเสินโจวหรือเปล่า? จะเป็นแบบนั้นไม่ได้นะ! กว่าเขาจะสามารถครองตำแหน่งผู้นำในเกมใหม่อย่าง ‘Battle of the Beasts’ มาได้ก็ยากเย็นมาก จะมาจบเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้

“เอาล่ะ รีบแชร์ข้อมูลให้ฉันที”

ก่อนที่ฟางหนิงจะกดส่งข้คอวาม เจิ้งต้าวก็ส่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มาให้แล้วเรียบร้อย

ฟางหนิงเปิดอ่านสิ่งที่ตัวอันตรายนี้กล่าวมาอย่างรวดเร็วว่ามันคืออะไรกันแน่ “บ้าจริง มันคือเจ้านี่จริงๆ ด้วย ไปจัดการมันเร็วเข้าระบบ คราวนี้แกต้องกำจัดมันทิ้งเท่านั้น”

ระบบ “ดูข้อมูลแล้ว คราวนี้โฮสต์เองก็ต้องลงมือด้วย”

ฟางหนิง “ลงมือก็ลงมือ”

หลังจากที่ฟางหนิงและระบบพูดคุยกันเสร็จแล้ว เขาก็ส่งข้อความไปหาเจิ้งต้าวอีกครั้ง “เรียกไป๋หลี่…ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาพักอีกสักสามวันแล้วกัน ในช่วงสามวันนี้ให้ร้านอาหารส่งอาหารมานะ ให้พ่อครัวคนนั้นเป็นคนทำ เถ้าแก่ไม่ต้องมาแล้ว”

เมื่อเจิ้งต้าวเห็นข้อความ เขาก็ถอนหายใจออกมา ท่านมังกรขาวผู้นี้ดูแลลูกน้องของอย่างเท่าเทียมกันจริงๆ

อัศวิน A ขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปในอากาศ กลายร่างเป็นมังกรเพลิงโบยบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

…………

ณ หุบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้

เมื่อก่อนที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงเพลง ทว่ายามนี้กลับเจิ่งนองด้วยเลือดที่รินไหลลงในแม่น้ำ

ที่ไหนสักแห่งในบางพื้นที่ ต่อยักษ์กำลังบินไปรอบๆ เพื่อหาเป้าหมาย

ใครก็ตามที่ถูกมันต่อยจะกลายเป็นสีดำทั้งตัว ออกวิ่งได้เพียงสามก้าวก็ต้องล้มลง

อีกอย่างงตัวต่อยักษ์บางตัว เมื่อเห็นคนล้มลงแล้วมันก็จะไปวางไข่บนศพ

ไข่เหล่านั้นจะมีระยะการฟักตัวรวดเร็วมาก ไม่ทันไรก็จะกลายเป็นตัวอ่อนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นตัวอ่อนก็จะกัดกินซากศพและเริ่มเติบโต

ในเวลานี้ผู้คนจากหน่วยกิจการพิเศษท้องถิ่นได้ปรากฏตัวแล้ว โดยจัดเจ้าหน้าที่เพื่อต่อสู้กับเจ้าต่อเหล่านี้และช่วยอพยพของชาวบ้าน

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่จำนวนของต่อก็มีมากเช่นกัน พวกเขาทำได้เพียงปกป้องกัน ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้

มีรายงายว่าต่อยักษ์เหล่านี้ไม่ได้มีสติปัญญาไม่เฉลียวฉลาดนัก พวกมันอาศัยเพียงสัญชาตญาณว่าต้องฆ่าคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้น

ไม่แปลกใจเลยที่ฟางหนิงจะกังวลเมื่อเห็นข่าว เจ้าสิ่งนี้บินได้และมีพิษ ทั้งยังเป็นแมลง มีพลังการสืบพันธุ์ที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแพร่กระจายที่น่ากลัว

……………………………………………………..

บทที่ 92 โฮสต์นี่เสแสร้งได้เก่งจริงๆ

เซวียปาอ้าปากตอบทันที“ในหลักการชุดนี้ มีคำกล่าวถึง ‘การฝึกจิตวิญญาณ’ แต่ไม่มีการกล่าวถึง ‘การฝึกร่างกาย’”

ฟางหนิงเข้าใจดี ตอนที่เขาพยายามฝึกฝน ‘การแปลงร่างมังกร’ เป็นครั้งแรก ระบบก็กล่าวถึงเรื่อง ‘การฝึกร่างกาย‘ ว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ทั้งหมดเป็นเพราะมีระบบคอยจัดการ เขาเลยไม่ต้องกังวล

ฟางหนิงถามต่อ “อะไรจะเป็นผลที่ตามมาของการไม่มีขั้นตอนนี้?”

เซวียปากเอ่ย “ผลที่ตามมานั้นง่ายมาก จะเกิดขีดจำกัดของการฝึกฝนโดยไม่รู้ตัว ขีดจำกัดสูงสุดของพลังจิตโดยทั่วไปต้องการพลังปราณทางกายภาพและเลือดที่แข็งแกร่ง การฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากฝึกฝนเพียงพลังจิต แต่ไม่สามารถไล่ตามขอบเขตทางกายภาพได้ทัน นายท่านก็จะกลายเป็นดั่งน้ำโดยปราศจากแหล่ง เป็นต้นไม้ที่ไร้รากและจะไม่สามารถก้าวหน้าได้อีกต่อไป หากวิธีการฝึกฝนพลังจิตนั้นสมบูรณ์แล้ว จะยิ่งเพิ่มขอบเขตการฝึกจิตวิญญาณออกไปทำให้ร่างกายขาดเลือดและปราณ ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นกองกระดูกที่ตายแล้ว หลักการที่นายท่านเพิ่งพูดเมื่อครู่ เป็นการฝึกฝนที่ใช้ได้เฉพาะยามที่สิ่งแปดเปื้อนมารวมตัวกันเท่านั้น ไม่มีการฝึกธรรมทวารอีกต่อไป เพราะมันคือขีดจำกัดสูงสุดของร่างกายที่คนทั่วไปจะรองรับได้ ดังนั้นฉันจึงพูดว่ามันไม่เป็นอันตราย โดยปกติวิธีการฝึกฝนพลังจิตควรเน้นที่การอธิบายว่าร่างกายต้องการไปถึงขอบเขตไหนก่อนที่จะไปถึงขั้นเหล่านั้นได้”

เมื่อฟางหนิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมครูฝึกสวี่ถึงต้องการเน้นย้ำถึงอันตรายของการฝึกฝนพลังจิต คนรวยเหล่านั้นแก่แล้ว จึงตกอยู่ภายใต้ความเครียดทางจิตใจสูง แม้ร่างกายดูแข็งแรงแต่มีการสูญเสียภายในไปแล้ว การฝึกฝนพลังจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหามากขึ้น

ฟางหนิงเกิดคำถามในใจ ‘ถ้างั้นหมาเหลืองตัวนี้อาจเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังจิต มันจะรู้อะไรเกี่ยวกับร่างมังกรขาวกับอัศวิน A ไหมนะ’

คิดได้แบบนั้น เขาก็ถามทันที “งั้นนายรู้ไหมว่าร่างกายนี้ของฉันคือการฝึกฝนไปสู่ขั้นไหน?”

ในใจฟางหนิงกำลังเป็นกังวล แต่เซวียปากลับตะลึงเมื่อได้ยินคำถามนั้น

มันกำลังคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ตอนนี้มันหยาบคายเกินไป เมื่อถูกเจ้านายคนใหม่จับได้ เขาอาจจะรู้สึกเสียหน้า นี่คือการเอาชนะเหรอ? ในตอนนี้ท่านมังกรขาวแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจวิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐาน อาจเป็นเพราะว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมังกรตัวจริงและไม่สนใจวิธีการฝึกฝนของมนุษย์อย่างแน่นอน คราวนี้นายท่านต้องการใช้ประสบการณ์ของเขาเป็นคำถามทดสอบ แต่มันก็ไม่ง่ายนัก

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก มันก็ยกเท้าขึ้นเกาหัวแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “นายท่านสามารถใช้พลังจิตแปลงกายมังกรออกจากร่าง แล้วสามารถไปปะปนกับมนุษย์ปุถุชนได้โดยไม่ต้องสงสัย อีกทั้งปราการทั้งห้าของร่างกายมนุษย์อันได้แก่ การรักษาสุขภาพ ความแข็งแกร่ง การเจาะพลังปราณ จิตสำนึกแห่งปัญญาและพลังเหนือธรรมชาติ ในฐานะที่นายท่านเป็นมังกรจริง มีข่าวลือว่าร่างกายของมังกรตัวจริงนั้นมีร่างโดยกำเนิดทั้งหมดที่เชื่อมโยงกันและมีพลังเหนือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับขอบเขตการฝึกฝนของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา น้อยครั้งนักที่จะพบเห็นมังกรตัวจริงเดินทางมาจากแดนไกล ส่วนใหญ่จะสัมผัสได้เพียงลมปราณของมังกรตัวจริงเท่านั้น ทั้งนี้ความสามารถของข้ามีข้อจำกัด กลับตรวจไม่พบว่าร่างที่แท้จริงของท่านวางอยู่ที่ไหน ข้าตอบไม่ได้จริงๆ หวังว่านายท่านจะให้อภัย”

ฟางหนิงได้ยินก็ตกใจ ระบบเคยบอกว่าเมื่อหมาเหลืองโตเต็มที่ ความแข็งแกร่งของมันจะสามารถเทียบได้กับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ซึ่งเป็นเรื่องจริง จนถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่มองว่าเขาเป็นเพียงตัวอ่อนของมังกร แต่หมาเหลืองตัวนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นมังกรที่แปลงกายโดยพลังจิต ช่างเป็นความหยั่งรู้อันทรงพลัง เพียงแค่มันมองไม่เห็นว่าร่างจริงของเขาว่าอยู่ที่ไหน แสดงว่ามันก็อาจเห็นความผิดปกติของร่างอัศวิน A ของเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ?

ฟางหนิงเริ่มผ่อนคลาย เอ่ยถามต่อ “มองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นฉันคนนี้จะทดสอบนายอีกครั้ง นายว่าท่านมังกรตนนั้นที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ อะไรคือความแตกต่างระหว่างขอบเขตพลังจิตและกายภาพ?”

เซวียปาตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าการเป็นที่ปรึกษาทางทหารไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามทดสอบของนายท่านคนใหม่นั้นต่างออกไป ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก “ข้ามีความรู้น้อย หากพูดสิ่งใดผิดไป นายท่านได้โปรดอย่าโกรธเคือง”

ฟางหนิงได้ยินคำทักท้วงจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายจึงส่ายหน้าทันทีและกล่าว “ไม่เป็นไร แม้จะผิด ฉันคนนี้ก็จะไม่ตำหนิหรอก”

เซวียปารู้สึกโล่งใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันก็เอ่ย “ข้าคิดว่าเมื่อท่านทั้งสองมาถึง พวกเขาจะได้รับผลกระทบจากอุปสรรคของโลกนี้เหมือนกับข้า หากผู้แข็งแกร่งยิ่งแข็งแกร่ง นายท่านทั้งสองก็จะยิ่งสูญเสียจุดแข็งที่รุนแรงกว่านี้ ทว่าในร่างเนื้อพลังจิตแห่งมังกรของนายท่าน ลมปราณมังกรที่แท้จริงนั้นอ่อนแออย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับมังกรตัวจริงที่ข้าเคยเห็นมาก่อน มีช่องว่างระหว่างโลกและท้องฟ้า แต่ขอบเขตของร่างกายก็อยู่เหนือขอบเขตของพลังเหนือธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน มีเพียงพลังจิตของนายท่านที่แข็งแกร่ง สมควรได้รับฉายาว่า ‘มังกรแห่งจิตวิญญาณ’ ในแง่ที่คลุมเครือเล็กน้อย เกรงว่ายามที่ข้าชราภาพท่านคงได้แตะถึงขั้นของเต๋าแล้วและคงจะควบแน่นตามรูปร่างของกฎ ซึ่งมังกรตัวจริงที่ข้าเคยเห็นมาก่อนนั้นหาที่เปรียบไม่ได้สักนิด ไม่น่าแปลกที่นายท่านทั้งสองที่มีร่างกายทรราชของมังกรตัวจริงจะสามารถมายังโลกนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อวางแผนและจัดการได้”

ฟางหนิงที่ตกใจในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นปีติยินดี

เขาคิดว่า หมาเหลืองตัวนี้เป็นนักปราชญ์ตัวจริง แม้จะเรียนรู้ ‘การแปลงร่างมังกร’ ของเทพแห่งระบบ แต่ตอนนี้เขาฝึกฝนจนถึงเพียงระดับกลางเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีลมปราณของมังกรตัวจริงและยังสามารถแปลงร่างเป็นมังกรด้วยพลังปราณเบิกเนตรได้ แต่เดิมทีลมปราณของมังกรตัวจริงนั้นอ่อนแอมากอยู่แล้ว สำหรับเทพแห่งระบบนั้น เดิมทีเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ของเกมโดยย่อในด้านวิทยายุทธ์ที่ตรึงไว้กับตัวเขา เซวียปาได้กลิ่นของกฎจริงๆ บอกได้คำเดียวว่าจมูกของสุนัขตัวนี้ช่างน่าทึ่งโดยแท้!

โชคดีที่มันไม่รู้ถึงต้นกำเนิดของระบบ ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่สามัญสำนึกจะคาดเดาได้

ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่าทำไมหมาเหลืองถึงไม่รู้ว่ามังกรขาวตัวน้อยที่เขาแปลงร่างเป็นอัศวิน A นั้นคือตัวเขาเอง เพราะความแตกต่างระหว่างพลังจิตทั้งสองนั้นใหญ่มากจนเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเป็นคนเดียวกัน

เมื่อความลับไม่รั่วไหล เขาจึงคลายความกังวลใจทั้งหมด

ฟางหนิงไม่กังวลอีกต่อไป แต่แสร้งแกมบังคับอีกครั้ง พูดเบาๆ “นายพูดได้ไม่เลว มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นที่ปรึกษาทางทหารของฉัน”

จากนั้นเขาก็เข้าใจถึงความซับซ้อนของเกมใหม่นี้ มันช่างหยั่งรู้จริงๆ ในอนาคตเหล่าผู้มีฝีมือที่จะมาเข้าร่วมนั้นคงไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอน ในเสินโจวการที่จะทำสิ่งนั้นได้อย่างเปิดเผยนั้น ต้องแยกออกจากกลุ่มคนในสำนักงานสัจธรรมโดยสิ้นเชิง

หมาเหลืองตัวนี้ไม่ได้รู้ว่าความจริงคืออะไรและก็ไม่สนใจด้วย มันแค่รู้ตำแหน่งของที่ปรึกษาทางทหารว่ามีท่านมังกรขาวเป็นหลักประกันไว้เพื่ออวดอำนาจของมันต่อหน้าหมาดำในอนาคตก็เท่านั้น

นอกจากความเพลิดเพลินแล้ว มันยังคิดถึงของอร่อยๆ เหล่านั้นอีกพลางคิดในใจว่า ‘เวลาในการทดสอบช่างยาวนานเหลือเกิน เจ้าหมาดำนั่นจะเหลือให้ตัวเองได้กินสักเท่าไรกัน?’

มันจึงถามอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “นายท่าน มีคำถามอื่นๆ อีกไหม?”

ฟางหนิงโบกกรงเล็บมังกรของเขา “ไม่มีแล้ว กลับไปกินต่อเถอะ”

หลังการทดสอบของเซวียปาสิ้นสุดลง มันก็รีบกลับไปที่โต๊ะอาหาร แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกระดูกชิ้นใหญ่อีกแล้ว เพราะเหลือเพียงแต่หมาดำตัวโตและพุงกลมๆ กำลังนอนหลับอยู่ใต้โต๊ะอย่างพึงพอใจ

โอ้พระเจ้า การเป็นที่ปรึกษาทางทหารในแนวหลังคงไม่สบายเท่ากับเจ้านี่ที่ทำงานหนักในแนวหน้าแน่นอน…

โชคร้ายที่มันวิ่งเข้าครัวแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในนี้…ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอาบน้ำและนอน เขาต่างจากเจ้านั่นที่มีแต่กล้ามอย่างเดียวไม่มีสมอง ในฐานะที่ปรึกษาทางทหารในอนาคต ถึงจะนอนราบกับพื้นที่ไหนก็ได้ แต่เจ้านายคนใหม่กลับจัดเตรียมห้องนอนให้เสร็จสรรพ

ฟางหนิงรู้สึกปลาบปลื้มใจ เพราะเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายหลังจากการฝึกฝนพลังจิตชุดนี้และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยตัวตนของเขาด้วย ทั้งนี้เขารู้รายละเอียดของหลักการนี้จากปากของเซวียปาแล้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีว่าตัวเองสามารถแสร้งทำเป็นมีพลังอันยิ่งใหญ่ได้!

ดังนั้นเขาจึงรีบใช้พลังสมองที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจหลักการทั้งหมด จากนั้นจึงเริ่มฝึกตามสิ่งที่กล่าวไว้

เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน แม้ว่าสภาพปัจจุบันของเขาจะดีมากและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังจิต แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสองสามวันในการปฏิบัติให้เสร็จสิ้น ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเร่ง

ฟางหนิงท่องหลักการไปพลางฝึกฝนทีละขั้นตอนตามแต่ละขั้น บรรยากาศของความจริงจังก็อบอวลอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

หลังจากนั้นไม่นานเทพแห่งระบบก็เอ่ยแทรกขึ้น “ทำไมโฮสต์ไม่ฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ทำไมถึงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนวิธีการระดับต่ำแบบนี้? แม้จะไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างคนทั้งสอง แต่ฝึกแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าเหรอ?”

ฟางหนิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รู้ว่าระบบอยู่ข้างๆ จึงรีบเอ่ย “รากฐานของฉันไม่มั่นคง ต่างจากระบบที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างแกที่จะสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนดังนั้นฉันจึงต้องอาศัยโอกาสนี้ หลังจากวางรากฐานและเรียนรู้วิธีการขั้นสูงเหล่านั้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนอีกด้วย”

ระบบ “โฮสต์พูดถูก โฮสต์สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมและรับความรู้เพิ่มเติมได้ โฮสต์ต้องการให้ระบบชี้แนะสักหน่อยไหม? หลักการฝึกพื้นฐานชุดนี้ ระบบเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่เสียค่าประสบการณ์ในการเรียนรู้”

มีผู้เชี่ยวชาญต้องการแนะนำเรา เราจะขอปฏิเสธไปทำไมล่ะ จริงไหม?

ฟางหนิงรีบพูดว่า “งั้นก็เยี่ยมไปเลย!”

ระบบ “เอาล่ะ จะบอกโฮสต์ให้รู้ไว้นะ มีคนกล่าวไว้ข้างต้นว่า ความคิดของมนุษย์นับพันเมื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะสามารถเปิดเส้นทางแห่งการฝึกฝนพลังจิตได้ อันที่จริงโฮสต์ทำได้มาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นโฮสต์จะประสบความสำเร็จได้ยังไง? ดังนั้นโฮสต์ต้องเปลี่ยนรูปแบบของวิธีการใช้พลังจิตเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าโฮสต์ได้เรียนรู้วิธีการฝึกฝนพลังจิตระดับต่ำเรียบร้อยแล้วด้วย”

ฟางหนิงตระหนักในทันทีว่าเทพแห่งระบบเป็นคู่หูและคู่ต่อสู้ขนานแท้ อีกฝ่ายให้คำแนะนำแบบสบายๆ ทำให้ตัวเขาเองเข้าใจประเด็นในทันที

ทันทีที่เขาเพ่งจิตเกี่ยวกับมัน เขาก็เห็นว่าร่างมังกรขาวทั้งหมดที่รวบรวมโดยพลังจิตของเขาพลันสลายไป และกลับกลายเป็นความคิดนับพัน กลายเป็นรูปร่างของสิ่งแปดเปื้อน จนในที่สุดทั้งหมดก็รวมตัวกันเป็นจุดสว่างอันริบหรี่

กระบวนการทั้งหมดดูเหมือนจะยาวนาน แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้ามกับความคิด มันใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ระบบ “เอาล่ะ โฮสต์ก็เห็นว่าโฮสต์ได้เรียนรู้วิธีนี้แล้ว ในตอนนี้สามารถฝึกฝนมันได้ตามวิธีการปฏิบัติด้วย แน่นอนว่าระบบจะไม่แนะนำให้โฮสต์เสียเวลาหรอก หันมาฝึกฝน ‘การแปลงร่างมังกร’ ต่อไปดีกว่า เพื่อเพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากขึ้น”

ฟางหนิง “ระบบ แกนี่มันสุดยอดจริงๆ…”

หลังจากฝึกฝนได้สำเร็จ ฟางหนิงคงจะยุ่งอยู่กับการเล่นเกม ดังนั้นเขาจึงต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้บนเมนูเกม ปุ่มใหม่สำหรับ ‘การฝึกฝน’ ก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ แล้ว

เขารีบคลิกปุ่ม ‘การฝึกฝน’ เพื่อดูกล่องโต้ตอบใหม่ที่ปรากฏขึ้น

“ผู้เล่นที่เคารพ ก่อนที่คุณจะเริ่มฟังก์ชั่นใหม่ คุณต้องลงนามในข้อตกลงพิเศษด้วยตัวตนที่แท้จริงของคุณก่อน ข้อตกลงนี้สำคัญมากและมีผลทางกฎหมาย โปรดอย่าลากผ่านมัน โปรดอ่านทุกข้อ…”

………………………………………………

บทที่ 91 รู้สึกมานานแล้วว่าเกมใหม่นี้ค่อนข้างซับซ้อน

ในการรับน้องเข้าทีม แน่นอนว่าต้องมีประเพณีเลี้ยงต้อนรับแล้วค่อยเน้นย้ำเส้นทางอนาคตที่สดใสอีกที แต่ด้วยความเกียจคร้านของฟางหนิง เขากลับลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท

ครั้งก่อนที่เจิ้งต้าวเข้าร่วมทีม เขาไม่ได้เลี้ยงต้อนรับเช่นกัน แต่นั่นก็เพราะเจิ้งต้าวหมกมุ่นอยู่กับผลงานอันยิ่งใหญ่ของการกอบกู้โลกจนไม่สนใจเรื่องนี้เลย

คราวนี้เจิ้งต้าวมาต้อนรับเพื่อนร่วมทีมทั้งสองเพื่อเข้าร่วมกลุ่มแล้ว หลังพบกันแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะเป็นสุนัข ด้วยดวงใจที่วิจิตรบรรจง เขาสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองนี้คงไม่ได้ทานอาหารมาหลายวัน เพราะท้องของพวกมันเหี่ยวแห้งมาก

เจิ้งต้าวใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เพื่อนใหม่ทั้งสอง ทำไมไม่ให้ฉันเป็นเจ้าภาพและเชิญนายทั้งสองไปกินอาหารล่ะ”

เขาไม่คิดว่าการกินอาการกับสุนัขจะทำให้สูญเสียตัวตนของเขาไป ประสบการณ์การถูกปีศาจฝันร้ายหลอกหลอนทำให้เขารู้เรื่องแปลกใหม่มากมาย และมันจะต้องมีอะไรพิเศษแน่นอนถึงได้รับการยอมรับจากเถ้าแก่

หมาดำไป๋หลี่เต๋อกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสุภาพเป็นอย่างไร “เอาล่ะๆ ต้องไปกินที่ร้านอาหารรสชาติของฟางซื่อนะ คราวที่แล้วเขาไม่ให้พวกเราเข้า ทั้งยังบอกว่าจะให้พวกเรากินแต่ของเหลือด้วย จะดูถูกสุนัขเกินไปแล้ว”

หมาเหลืองเซวียปาได้ยินเช่นนั้นก็ก็นึกถึงกลิ่นอันน่าดึงดูดใจที่มาจากร้านอาหาร ทันที น้ำลายของมันไหลยืดกว่าสามฟุต แต่มันต่างจากหมาดำที่ไร้สมองและมองจ้องมังกรขาวศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงตาปริบๆ

ในที่สุดฟางหนิงก็ทำธุระเหล่านี้เสร็จ เขาแค่อยากจะกลับไปเล่นเกมใหม่อย่าง ‘Battle of the Beasts’ โดยเร็ว แต่เขายังไม่อยากกินอะไรเลย

เขาไม่ใช่ระบบที่จะไม่ซับซ้อน อีกอย่างเขาต้องการแสดงฝีมือให้น้องชายทั้งสองคนได้เห็น จึงพูดทันทีว่า “อย่าหงุดหงิดนักเลย คราวก่อนเถ้าแก่ร้านได้รับการช่วยเหลือจากพวกเราแล้ว ดังนั้นนายควรโทรหาเขาโดยตรงในนามของอัศวิน A ให้เขาทำอาหารแก่พวกนาย อาหารในร้านอาหารของเขาปรุงโดยพ่อครัวธรรมดาๆ น้อยมากที่เขาจะเป็นคนลงมือทำเอง ฉันกินลมดื่มน้ำค้าง ไม่กินดอกไม้ไฟแห่งโลกมนุษย์ ฉะนั้นคงไปกับพวกนายไม่ได้ เจิ้งต้าวพาเพื่อนใหม่ทั้งสองไปทานอาหารแทนฉันด้วยนะ”

เจิ้งต้าวตอบรับหนักแน่น แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องความอยากอาหาร แต่เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเถ้าแก่ของร้านอาหารแห่งนั้น ว่าทักษะการทำอาหารของเขานั้นอยู่ในระดับสูงมาก

เพียงแต่ข้อมูลที่เขาได้รวบรวมมา ส่วนหนึ่งบอกว่าอีกฝ่ายนั้นเกลียดการออกไปข้างนอกเป็นที่สุด สิ่งที่พวกเศรษฐีหน้าใหม่ชอบทำคือการเล่นอยู่ที่บ้านทั้งวัน ก่อนหน้านี้เพิ่งกลับมาทำงานตามปกติ แต่ไม่เคยได้ยินว่าใครสามารถเชิญอีกฝ่ายออกไปงานเลี้ยงได้เลย

แต่ตามคำสั่งของตอนนี้หลังจากโทรหาอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินว่าอัศวิน A ต้องการเชิญใครมาทานอาหารด้วย ปลายสายกลับตอบตกลงทันที

เจิ้งต้าวมีความสุขมาก หลังจากอธิบายอย่างละเอียดว่าทุกคนอยู่ที่ไหนในตอนนี้ เขาก็วางสาย

หลังจากวางสาย เจิ้งต้าวถอนหายใจพลางพูดกับเพื่อนใหม่ทั้งสองว่า “ทักษะการทำอาหารของเถ้าแก่ฟางนั้นเยี่ยมยอดเลย ฉันไม่ได้กินอาหารที่เขาทำแต่ทุกคนต่างยกย่องเขา วันนี้เขาเต็มใจที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง เราโชคดีมากจริงๆ”

เขาคิดว่าเพื่อนใหม่สองคนเพิ่งมาถึง คงยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ทั้งสองกลับพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อได้ยิน

หมาดำไป๋หลี่เต๋อเอ่ย “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน ตั้งแต่ฉันมาถึงที่นี่ ก็ได้กลิ่นอาหารจากร้านนั้นลอยมาแต่ไกลแล้ว มันมีทั้งหมดสองรสชาติ รสหนึ่งหนักมากแต่มีคุณภาพสูงสุด รสหนึ่งอ่อนมากแต่กลับดีที่สุด รสชาติที่ยอดเยี่ยมต้องมาจากอาหารที่เถ้าแก่ทำด้วยตัวเองแน่”

หมาเหลืองเซวียปาเอ่ยขัด “นายยังความรู้น้อย จากกลิ่นที่รุนแรง ฉันยังได้กลิ่นส่วนผสมทั่วไปของแต่ละจานด้วย ถ้าส่วนผสมนั้นเต็มไปด้วยพลัง เกรงว่าส่วนผสมนั้นจะมีพลังมากกว่านี้น่ะสิ”

เจิ้งต้าวได้ยินก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองเป็นสุนัข เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงระดับทักษะการทำอาหารอะไรเลย…

เจิ้งต้าวต้องเปลี่ยนเรื่องพูด โดยสร้างขวัญกำลังใจ “เถ้าแก่ฟางผู้นี้มีคุณลักษณะอย่างหนึ่งนั่นคือเขาเป็นคนหัวแข็งมากจนคนส่วนใหญ่ไม่สามารถขอให้เขาออกไปงานเลี้ยงได้ เขาตอบตกลงแบบนี้เพราะรู้จักกตัญญูตอบแทนต่ออัศวิน A แน่นอน ที่สำคัญปราชญ์ทั้งสองที่เราติดตามอยู่นั้นช่างน่าอัศจรรย์ใจ ในอนาคตเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะร้องขอให้พวกเราไม่ได้อีก เพราะความใจดีนี้ ดังนั้นเราจึงสามารถกินได้ตลอดเวลา”

ความจงรักภักดีของสองพี่น้องที่เพิ่งรับเข้ามาไต่ถึงระดับใหม่ทันที สำหรับสุนัขสองตัวนี้แล้ว ตราบใดที่พวกมันได้กินดี แม้จะทำงานหนักพวกมันก็ไม่หวั่น

หลังจากได้ฟังคำพูดของเจิ้งต้าว พวกมันจึงวิ่งตรงไปที่ประตู

ขณะเดียวกันณ ฟาร์มวิลล่าในชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองฉี

สิ่งนี้ถูกส่งมาให้โดยประธานจ้าว หลังจากที่เขากลับมาที่เมืองฉีอย่างปลอดภัยและส่งของขวัญเพิ่มเติมให้กับอัศวิน A แล้ว

เทพแห่งระบบไม่เคยรู้ว่าความสุภาพหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่คุยกับฟางหนิงและไม่สนใจว่าตัวเขาจะใช้เวลาทั้งวันข้างนอกบ้านเพื่อฟาร์มปีศาจและฝึกศิลปะการต่อสู้

สุนัขสองตัววิ่งไปที่ประตูบ้านแล้วนั่งยองๆ จ้องไปที่ถนนอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าพวกมันจะได้ใช้ชีวิตตามวันเวลาของพวกมัน

เจิ้งต้าวมองไปที่ด้านหลังของเพื่อนร่วมทีมใหม่ทั้งสองพลางยิ้มหัวเราะ เขาเปิดโน้ตบุ๊กทันที จากนั้นก็เข้าสู่ระบบเครือข่ายพิเศษของสำนักสัจธรรมและใช้อำนาจของหน่วยความร่วมมือเพื่อค้นหาศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า

ขณะเดียวกันฟางหนิงก็กำลังเล่นเกมอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตกับระบบ

โชคดีระบบไม่มีเวลาไปกับพวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ได้กิน…

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ฟางหนิงก็เริ่มคลั่งไคล้เกมนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันสุนัขสองตัวที่อยู่ข้างนอกก็ก็เริ่มแข่งขันกันเองแล้ว

หมาดำไป๋หลี่ “เซวียปา แกอ่านหนังสือทุกวันโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ถ้ากินมากแกจะอ้วนจนไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการแน่นอน ให้ฉันช่วยทำให้แกดูดีขึ้นไหมล่ะ?”

เซวียปา “ไร้สาระ แกเห็นไหมว่าฉันผอมมาก ฉันต้องบำรุงเพิ่มอีก ส่วนแกกลับอ้วนและกินมากเกินไป รีบๆ หยุดแล้วไปฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูพละกำลังเร็วเข้า แกต้องเป็นแนวหน้าเพื่อทำงานให้นายท่านนะ”

หมาดำไป๋หลี่ได้ยินก็แปลกใจ “ฉันต้องไปเป็นแนวหน้าเหรอ แล้วแกทำอะไร?”

เซวียปาตอบ “ฉันอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ในอนาคตฉันจะต้องเป็นที่ปรึกษาทางทหารให้กับนายท่านได้อย่างแน่นอน ทั้งวางแผนกลยุทธ์และชนะรางวัลในที่ห่างไกลหลายพันไมล์”

ไป๋หลี่พูดไม่ออก นัยน์ตาเป็นประกายอีกครั้ง “เรื่องนี้ต้องให้กระดูกชิ้นใหญ่นี้แก่ฉันก่อน แล้วแกจะได้กินเมนูที่ทำด้วยเมล็ดวอลนัทที่ช่วยบำรุงสมอง”

พูดจบ พวกมันก็แย่งกระดูกชิ้นใหญ่ไปด้วยความเร็วสูง…

เซวียปา “ฉันแพ้พวกไร้สมองจริงๆ”

ฟางหนิงไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด เขากำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเกม หลังจากที่เขากดเลือกบอสมือใหม่ของหมู่บ้าน ตอนนั้นเองกล่องโต้ตอบก็ปรากฏขึ้น

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นมังกรบินแห่งใต้หล้า คุณผ่านการทดสอบพิเศษและได้รับหีบสมบัติหายาก”

ฟางหนิงเปิดมันออก ก็พบหนังสือโบราณเปล่งแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

เขาไม่ได้จริงจังกับมันมากนักแค่คลิ๊กเข้าไปเท่านั้น บางทีอาจจะมีทักษะเพิ่มเติมหรือภารกิจอื่นอะไรให้ทำ ทว่าผลลัพธ์กลับต่างออกไป

เสียงดังลอดผ่านจากลำโพงของคอมพิวเตอร์

“มีความคิดของมนุษย์นับพัน เมื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เราจึงจะสามารถเปิดเส้นทางแห่งการฝึกฝนความคิดทางจิตวิญญาณได้ การบ่มเพาะสัมผัสทางจิตวิญญาณมีสี่ระดับ รวบรวมฝุ่น ดวงดาราที่เจิดจรัส ก่อตัวเป็นจันทรา และเปลี่ยนดวงตะวัน…”

จากนั้นภาพแอนิเมชั่นของใครบางคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ปรากฏขึ้น

ฟางหนิงไม่ได้จริงจังกับมันในตอนแรกมากนัก เขาอยากจะกด ESC ข้าม แต่เกมบังคับให้เขาไม่สามารถกดข้ามแอนิเมชั่นได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนและฟังมันต่อไป

แต่ฟังไปครู่หนึ่งก็พลันได้ยินสิ่งผิดปกติบางอย่าง

‘การแปลงร่างมังกร’ คือการผ่านสามขั้นตอนของการขัดเกลาจิตใจ การขัดเกลาจิตวิญญาณ และการขัดเกลาร่างกาย จนในที่สุดสามารถกลายเป็นมังกรตัวจริงได้ เดิมเขามีรูปแบบในอุดมคติและตอนนี้เขาได้ฝึกฝนจนเป็นมังกรแล้ว กล่าวได้ว่าเขาฝึกฝนความรู้สึกทางจิตวิญญาณมาโดยตลอด

เมื่อเขาฟังสิ่งที่กำลังเล่นอยู่ในเกมนี้ต่อ ฟางหนิงก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขารีบเรียกระบบ “หลักการเล่นในเกมเมื่อกี้ แกเคยได้ยินไหม?”

ระบบ “เคยได้ยินนะ นี่เป็นวิธีการพื้นฐานที่สุดในการปลูกฝังพลังจิต เมื่อเทียบกับ ‘การแปลงร่างมังกร’ และ ‘คัมภีร์โพธิ’ ของเรามันเปรียบได้กับฟ้าและดิน ทำไมโฮสต์ถึงสนใจเรื่องนี้เหรอ?”

ฟางหนิงพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าระบบห่วยนี่ทรงพลังแค่ไหน

เขาตอบ “ครั้งล่าสุดที่เราไปเรียนที่ค่ายฝึกฝนเส้นทางเศรษฐีอะไรนั่น ครูฝึกสวี่ไม่ได้เน้นย้ำว่าการปลูกฝังความคิดทางจิตวิญญาณนั้นยากมาก ถ้าไม่ระวังจะมีปัญหาไม่ใช่เหรอ? ไม่นึกเลยว่าเกมนี้เปิดสอนแบบสาธารณะได้ด้วย? ฉันรู้สึกมานานแล้วว่าเกมใหม่นี้ค่อนข้างซับซ้อน ตอนนั้นแกก็ไม่เชื่อ ยังบอกอีกว่าถ้าคำพูดของฉันผิด จะขายอุปกรณ์เกมของฉันทิ้ง”

ระบบ “เอาล่ะ ตอนนี้ระบบเชื่อแล้ว จากนี้ไปจะไม่ขายอุปกรณ์เกมของโฮสต์ แต่ระบบยังไม่รู้เลยว่าโฮสต์ต้องการจะพูดอะไร“

ฟางหนิงพูดไม่ออก “เอาเถอะ ฉันค่อยไปถามคนอื่นแล้วกัน “

ดังนั้นหมาเหลืองเซวียปาที่เพิ่งประกาศตัวเองเป็นที่ปรึกษาทางทหาร ก็ถูกเทพมังกรขาวเรียกไปอย่างน่าเศร้าใจ เพราะมันเพิ่งกินอาหารไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้น…ปล่อยให้หมาดำไป๋หลี่ตื่นตาตื่นใจกับงานเลี้ยงใหญ่โตเพียงตัวเดียว

เจิ้งต้าวกินอิ่มแล้ว เดิมทีเขาอยากจะคุยกับเพื่อนร่วมทีมทั้งสองเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากคุยได้เพียงไม่กี่ครั้ง ก็พบว่ามุมมองทางโลกของพวกเขานั้นแตกต่างกันมากเกินไปจึงต้องยอมจำนน ก่อนจะพูดถึงเรื่องวิธีการออกเดทให้แก่สุนัขโสดสองตัวฟังว่าควรจะทำอย่างไร?

จากนั้นสาวๆ ทุกคนก็เริ่มตามจีบเขา…

เพื่อไม่ให้มีเรื่องกับเพื่อนร่วมทีมใหม่ทั้งสอง เขาจึงหาข้ออ้างหลบหนีงานเลี้ยงนี้แล้วไปทำงานต่อ

ฟางหนิงท่องหลักการเล่นในเกมให้เซวียปาฟังอีกรอบแล้วเอ่ยถาม “หลักการนี้เป็นอันตรายต่อการฝึกไหม?”

เซวียปาพยายามยับยั้งใจจากอาหารรสเลิศ มันกัดฟันตอบ “ไม่มีอันตรายก็จริง แต่มีบางอย่างขาดหายไป”

ฟางหนิงตกใจ “มีอะไรหายไปงั้นเหรอ?”

…………………………………………

บทที่ 90 อย่าถามคำถามนี้

ณ ฐานใต้ดินลึกแห่งหนึ่งการประชุมฉุกเฉินได้สิ้นสุดลงแล้ว ใบหน้าของไป๋ซื่อซินสงบนิ่ง เขาเดินกลับบ้านช้าๆ และระหว่างทางก็ได้พบกับเพื่อนร่วมงานปีศาจหนูยักษ์ที่เพิ่งเลิกประชุมเช่นกัน พวกนั้นต่างมองเขาด้วยสายตาประหลาด ทั้งอิจฉา ริษยา และดูหมิ่น

เขากลับบ้านไปหาภรรยา ก็พบว่าภรรยายังคงส่งยิ้มให้เช่นเดิม

ไป๋ซื่อซินหัวใจห่อเหี่ยว กล่าว “จิงเอ๋อร์ คุณกังวลอะไรเหรอ? การประชุมเมื่อครู่นี้ ปรมาจารย์ของฉันได้แต่งตั้งให้ฉันเป็นผู้นำกองทหารกองแรก มีคนมากกว่าหนึ่งหมื่นคน เลยทีเดียว ”

จิงเอ๋อร์เอ่ย “ซื่อซิน ฉันเคยได้ยินมาก่อน เผ่าปีศาจของคุณมีพื้นฐานมาจากความแข็งแกร่งส่วน แต่การสูญเสียความแข็งแกร่งนั้นจะอยู่ได้จริงๆ เหรอ…”

ไป๋ซื่อซินรีบเอื้อมมือห้ามไม่ให้ภรรยาพูด “ห้ามพูดถึงเรื่องนี้ เป็นคำต้องห้าม ปรมาจารย์มีพลังมหาศาล ในอนาคตเทพเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ฉันแค่อยากทำงานเพื่อสังคม โดยปกติแล้วฉัน…แค่กๆ…”

พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไอออกมา และหลังจากตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียดแล้ว เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าอัศวิน A เป็นมังกรจริงๆ ลมหายใจของมังกรสองตัวในร่างกายของเขา กำลังกลืนกินทักษะดั้งเดิมของเขาไป มันน่ากลัวมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะแข็งแกร่งเท่ากับไป๋อวิ๋นเซิง

“คุณเป็นอะไรไปคะ?” จิงเอ๋อร์ตกใจและรีบเข้าไปช่วย

ไป๋ซื่อซินโบกมือ “ไม่เป็นไร ฉันสบายดี ก็แค่สูญเสียทักษะไปชั่วคราว แต่เธอไม่ต้องกลัวหรอก ก่อนหน้านี้ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติ ถ้าปรมาจารย์ไม่ทำ ก็ไม่มีใครทำร้ายเธอได้”

จิงเอ๋อร์โล่งใจ ว่าต้อ “เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้คุณดีกว่า”

ไป๋ซื่อซินยิ้มขื่น “จิงเอ๋อร์ คุณยังคิดว่านี่เป็นอาการบาดเจ็บธรรมดางั้นเหรอ? นี่คือลมหายใจของมังกรจริง ในโลกของเธอ ยาที่สามารถรับมือกับมันได้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ มีคนหนึ่งที่สามารถรับมือได้ แต่ฉันไม่สามารถอ้อนวอนเขาได้”

จิงเอ๋อร์กังวล “ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลใช่ไหมคะ? ถ้าเงินไม่พอ ขอให้ปรมาจารย์ตอบแทนด้วยความเยาว์วัยและอายุยืนแทนได้ไหม?”

ไป๋ซื่อซินส่ายหัว “บุคคลนั้นเป็นอมตะ ปรมาจารย์กล่าวในที่ประชุมว่าเขาจะขอร้องคนคนนั้นนั้นด้วยเงินจำนนวนหนึ่ง แต่ฉันปฏิเสธไป

“ลืมมันไปเถอะ เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉันหรอก แค่ตั้งใจกับงานของเธอก็พอตราบใดที่งานของเธอเสร็จเร็วและรากฐานของเรามั่นคง เท่านั้นก็พอแล้ว”

จิงเอ๋อร์พยักหน้า “ได้ ฉันจะให้คนรับใช้ให้ดูแลคุณอย่างดี คุณจะได้พักผ่อนมากกว่านี้”

ไป๋ซื่อซินพยักหน้ารับ “โอเค กลับไปทำงานก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคลื่อนไหวไปไหนหรอก”

ทั้งสองแยกจากกัน

ในเวลานี้ ไป๋ซื่อซินยังคงอ่าน “ศิลปะการต่อสู้ของซุนวู” แต่คราวนี้เขาเปลี่ยนบทแล้ว

…………

“เจ้าปีศาจทั้งสอง ไม่สิ สุนัขอมตะ เราคือเจ้านายคนใหม่”

มังกรขาวกำลังสอนหมาเหลืองและหมาดำสองตัว

สุนัขทั้งสองหน้าตาซื่อสัตย์

หมาเหลืองเอ่ย “ท่านมังกรขาวผู้นี้เป็นคนมีความสามารถ ฉันใช้ชื่อนั้นมาหลายปีแล้ว ดูเหมือนพวกอันธพาลอยู่ริมถนน ไม่น่าแปลกใจที่สาวๆ ไม่แม้แต่จะมอง”

หมาดำกล่าว “ฉันคิดว่าหวงต้าก็ดีนะ จำง่ายดี ยังไงก็แล้วแต่ เดิมทีแกเป็นหมาเหลือง”

หมาเหลืองเอ่ย “ส่วนแกเตี้ยและความรู้น้อย อย่ามาพูดกับฉันนะ”

หมาดำกล่าว “…แกคิดตรรกะนี้ขึ้นมาได้ยังไง?”

ตอนนั้นเอง ฟางหนิงก็เอ่ยขึ้น “ฉันขอถามพวกแกก่อน งานอดิเรกของพวกแกคืออะไร?”

หมาเหลืองเหยียดขาและยกเท้าขึ้นตอบ

“โอเค เรามาคุยกันก่อน”

หมาเหลืองตอบ “ฉันชอบอ่านหนังสือ ฉันอ่านหนังสือทุกเล่มที่อดีตเจ้าของของฉันเคยแกล้งทำเป็นถูกบังคับอ่าน ฉันอ่านมันสามครั้ง”

ฟางหนิงตกใจเมื่อได้ยิน เป็นไปได้ไหมว่านักวิชาการคนอื่นยังมีชีวิตอยู่ ไม่ เขาไม่สามารถเทียบกับเทพระบบได้อย่างแน่นอน

“งั้นฉันขอถามหน่อย แกอ่านหนังสืออะไรบ้าง?”

หมาเหลืองตอบ “108 ท่วงท่าการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการปลูกฝังที่มีประสิทธิภาพสูงของความคิดทางจิตวิญญาณ การใส่แท็ก (option+1) n+1 พลังรูปแบบ N+1 ที่สามารถแปลงร่างได้ แปดขั้นตอนในการฝึกฝนพลัง”

ฟางหนิงตะลึง หมาดำก็สับสนเช่นกัน

ฟางหนิงเอ่ย “โอเคๆ แกไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างอื่น ชื่อของแกดีเกินกว่าจะตัดสินได้ งั้นเรียกว่าเซวียปาดีกว่า”

หมาเหลืองยังไม่ค่อยพอใจนัก มันอยากจะบอกว่ามันใช้ชื่อสำรองดีๆ ไปมากกว่าร้อยชื่อแล้ว เพียงแต่ว่าท่านมังกรขาวได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะโต้เถียงเจ้าของใหม่ ถ้าแบบนั้นก็ใช้ไปเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าชื่อพวกอันธพาลข้างถนนอย่าง “ลูกพี่หวง” หรือ “หวงต้า”

“ขอบคุณท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชื่อ”

หมาดำหันมองมัน “ลูกพี่หวง แกฉลาดมาก แต่แกอายุสองร้อยห้าสิบปีแล้ว ยังไม่พบสาวๆ บ้างเลย แกอ่านหนังสือที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นทุกวัน สาวๆ ก็จะมองแกแปลกๆ นะๆ”

หมาเหลือง ‘เซวียปา’ โต้กลับทันที “ไร้สาระ ในหนังสือระบุไว้ชัดเจนว่าสาวๆ ชอบสุนัขโสดที่จริงจังกับการอ่านหนังสือ! มันถูกเขียนไว้ตั้งเยอะในนิยายเหนือธรรมชาติทุกประเภท เมื่อคนโสดอ่านหนังสือ มักจะมีปีศาจจิ้งจอกแสนสวยแอบมองมาจากนอกหน้าต่าง สุดท้ายก็จะมาเติมความหอมให้เขา”

หมาดำกล่าว “แล้วมีผู้หญิงคนไหนที่เข้าหาคุณตอนที่คุณกำลังอ่านหนังสือบ้าง?”

‘เซวียปา’ ก้มหน้าลงด้วยความสิ้นหวังทันที “ไร้สาระ ถ้ามีคนคิดจะเข้าหาฉัน ฉันจะมาอยู่ที่นี่เหรอ? อย่าว่าแต่ความชอบของหญิงสาวแห่งตระกูลหลิงหูเลย แม้แต่ป้าแก่ๆ ที่กวาดล้างตระกูลสุนัขก็ไม่คิดที่จะเข้ามาหาฉัน…”

หมาดำกล่าว “แกกลายเป็นหมาไม่ธรรมดาที่ไม่ทิ้งหนังสือเลยสักวัน สาวๆ ในเผ่าสุนัขของเราใครจะกล้ามองแกล่ะ?”

ขณะที่สุนัขทั้งสองสบตากัน ฟางหนิงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง รีบถามหมาดำตัวต่อไป

ฟางหนิงเอ่ยถาม “เฮยเอ้อร์ แกมีงานอดิเรกอะไรมาก่อนเหรอ?”

หมาดำรีบพูด “ฉันชอบฟิตเนสมากที่สุด ในบรรดาสุนัขธรรมดา ฉันมีร่างกายที่แข็งแรงและวิ่งเร็ว แต่ฉันฝึกฝนทุกวัน ดูดซับพลัง และกินน้อยมาก…”

ฟางหนิงพยักหน้า เป็นสิ่งที่ดี เลี้ยงง่าย และร่างกายก็แข็งแรงพอที่จะอยู่ดึกและทำงานล่วงเวลาได้…

หมาเหลือง ‘เซวียปา’ มองเขาทันที “แกออกกำลังกายทุกวัน ตอนนี้ยังไม่จบปริญญาตรีอีกหรือไง?”

หมาดำสลดใจเช่นกัน “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง? แต่ฉันฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน และได้อันดับหนึ่งของทุกๆ การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของสุนัข”

หมาเหลือง ‘เซวียปา’ กล่าวว่า “แล้วทำไมไม่ลองถามท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะหาสาวได้ยังไงล่ะ? เขาเป็นคนรอบรู้และมีพลัง ต้องถูกคนสวยไล่ตามแน่นอน เขาต้องรู้แน่ๆ”

หมาดำมองมันด้วยสายตาแน่วแน่

‘เซวียปา’ ยกเท้าหน้าขึ้นถามทันที “ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราขอถามอะไรท่านอย่างหนึ่งได้ไหม?”

ฟางหนิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ สุนัขเซวียปามีมารยาทมาก

จากนั้นหมาเหลือง ‘เซวียปา’ จึงเอ่ย “คุณฉลาดและมีความสามารถมาก ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา นี้ต้องมีสาวๆ เยอะแน่นอน?”

ใบหน้าของฟางหนิงหม่นลง “แกพูดอะไร?”

หมาเหลือง ‘เซวียปา’ เหยียดขาของตัวเองออกและแตะลงบนหัว เป็นไปได้ไหมว่าภาษาจีนกลางของมันไม่ดีพอ?

มันสงสัย “ฉันถามว่า คุณต้องมีผู้หญิงเยอะแน่เลยใช่ไหม?”

ใบหน้าของฟางหนิงหม่นลง “ไม่ใช่ประโยคนี้ แต่เป็นประโยคสุดท้ายของประโยคสุดท้ายของคุณ ”

เซวียปาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ประโยคนั้นไม่ใช่เหรอ ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราขอถามอะไรท่านหน่อยได้ไหม?”

ฟางหนิงพยักหน้าแล้วพูดด้วยความมั่นใจ “อย่าถามคำถามนี้”

เซวียปาและหมาดำได้ยินก็สิ้นหวังทันที…

ฟางหนิงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของเขาด่างพร้อย

เขาเอ่ย “งานใหญ่ยังไม่สำเร็จ ครอบครัวคืออะไร? สถานการณ์ตอนนี้มันซับซ้อนมาก ไม่ง่ายเลยที่จะปรับตัว”

ได้ยินดังนั้น สุนัขสองตัวก็ตกตะลึง

ขณะเดียวกันพวกมันก็ชื่นชมไม่น้อย “หัวใจของท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์มีความเมตตากรุณาและความชอบธรรมอย่างแท้จริง เราสาบานว่าจะติดตามเขาไปจนตาย”

ฟางหนิงพยักหน้าด้วยความพอใจ เขากล่าว “เพื่อที่จะเล่นเกมได้ดี เราต้องรักษาระเบียบโลกและป้องกันไม่ให้เครือข่ายถูกตัดการเชื่อมต่อ”

“ดังนั้นกลับมาที่หัวข้อเดิม หมาดำ เพราะแกชอบออกกำลังกาย วิ่งเร็ว เพราะฉะนั้นก็ควรเรียกว่าไป่หลี่เต๋อ โบลด์สามารถวิ่งได้หนึ่งร้อยเมตรในเวลาน้อยกว่าสิบวินาที ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเทพสุนัขอย่างแกหรอกที่ต้องวิ่งหนึ่งร้อยไมล์ภายในสิบวินาที?”

ทันทีที่หมาดำได้ยิน ชื่อนี้ก็ฟังดูคลาสสิกไม่น้อย

มันพยักหน้ารับทันที “ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ที่จุดสูงสุดหนึ่งร้อยไมล์ในสิบวินาที นั่นย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน”

เซวียปาได้ยินเช่นนี้ ก็ทำหน้าไม่พอใจ “ทำไมฉันถึงคิดว่าสุนัขที่เต็มไปด้วยกวีนิพนธ์และหนังสือ มีชื่อใหม่ที่ไม่ดีเท่าแกนะ ผู้ชายที่พัฒนาแค่แขนขาแต่จิตใจไม่พัฒนา?”

หมาดำ ‘ไป่หลี่เต๋อ’ โต้กลับ “แกก็ไปหาเจ้าของใหม่สิ”

เซวียปาได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

……………………………………………………..

บทที่ 89 สร้างเทมเพลตที่เปลี่ยนจากอัจฉริยะให้กลายเป็นขยะ

ฟางหนิงที่หลบอยู่ในพื้นที่ของระบบตื่นตกใจ ดวงตาของเขาเห็นแสงสีน้ำเงินและแสงสีแดงกะพริบอยู่เบื้องหน้า ดวงไฟทั้งสองดวงหลอมรวมกัน แล้วเคลื่อนตัวและทิ้งระเบิดลงที่พื้นที่ไหนสักแห่ง!

เขาได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ บนพื้นที่ถูกทิ้งระเบิดมีคราบเลือดขนาดใหญ่ปรากฏ จากนั้นหนูยักษ์สองตัวก็ปรากฏขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ร่างกายพลันแหลกสลายเป็นชิ้นๆ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นหมาเหลืองและหมาดำนอนอยู่บนพื้น ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันเบิกกว้าง และอากาศสีขาวสองสายก็พุ่งออกมาจากร่างของมัน เชือกที่พันรอบตัวขาดออก ส

กระบวนการต่อสู้ทั้งหมดสิ้นสุดภายในไม่กี่วินาที

สำหรับการต่อสู้สั้นๆ เช่นนี้ ฟางหนิงสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะมึนงง เขาพูดอย่างไม่เต็มใจว่า ‘ตอนนี้เทพระบบได้เรียนรู้การต่อสู้แบบเทพเจ้าแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด!’

ช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายในการต่อสู้นั้นใหญ่มาเทียบเท่ากับดอกเตอร์และเด็กประถม เขาอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงมองย้อนไปที่การแจ้งเตือนของระบบ

ระบบถูกโจมตีโดยปีศาจหนูยักษ์ไป๋ซื่อซิน

ไป๋ซื่อซินใช้เทคนิคสร้างความสับสนโดยจงใจทำให้ระบบตกใจ

ระบบมีภูมิคุ้มกันต่อแรงกระแทก

ไป๋ซื่อซินดื่มเลือดบริสุทธิ์และใช้ความสามารถในการฆ่าที่ซ่อนอยู่ “การฆ่าสิบขั้นตอน” และเอฟเฟกต์ทริกเกอร์ “โจมตี”! “ระเบิดพลังโจมตี”! “หลบหนี”!

ระบบเปิดใช้งานทักษะ “การป้องกันแบบสัมบูรณ์ระดับต่ำ”

การโจมตีของไป๋ซื่อซินล้มเหลว

ระบบจะใช้สล็อตความโกรธหนึ่งช่อง ใช้สล็อตพลังปราณหนึ่งช่อง และเปิดใช้งาน “มังกรเพลิงคำราม”

ระบบจะใช้สล๊อตความโกรธหนึ่งช่อง ใช้สล็อตพลังปราณหนึ่งช่อง และเปิดใช้งาน “วายุมังกรโจมตี”

เอฟเฟกต์ของปราณจะพัฒนาเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะลึกลับ “วายุเพลิงมังกร”!

ระบบโจมตีไป๋ซื่อซิน

ไป๋ซื่อซินถูกโจมตีโดยคุณสมบัติหยางขั้นสุด พลังมังกรถูกกดขี่ โจมตีอย่างรุนแรงด้วยปราณแท้ และโจมตีด้วยการผสมผสานของทักษะที่ลึกซึ้ง!

ไป๋ซื่อซินหนีไม่พ้น

ไป๋ซื่อซินได้รับความเสียหาย 17,000 หน่วย

ไป๋ซื้อซินเปิดใช้งานการแสดงความสามารถแฝงแบบ passive “การถ่ายโอนความเสียหาย” เคลื่อนย้ายสิ่งของ สุนัขธรรมดา “หวงต้า” และ “เฮยเอ้อร์”

ทักษะที่พักพิงความชอบธรรมของพันธมิตรมีผล แต่ทักษะ “การถ่ายโอนความเสียหาย” ล้มเหลว โดยเสียสล็อตพลังปราณหนึ่งช่อง

หุ่นเชิดของไป๋ซื่อซินมีผล และแบ่งความเสียหาย

หุ่นเชิดสองตัวของไป๋ซื่อซินเสียชีวิต และไป๋ซื่อซินก็ได้รับบาดเจ็บถึง 4,000 หน่วย

ไป่ซื่อซินถูกลมปราณของมังกรฟาด กระแทกด้วยปราณแท้ และได้รับบาดเจ็บภายใน…

ไป๋ซื่อซินดื่มเลือดบริสุทธ์จำนวนมากและใช้ทักษะการฆ่าที่ซ่อนอยู่ “หลบหนีไปพันไมล์”

ไป๋ซื่อซินหลบหนีไปแล้ว

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 200,000 คะแนน

ภายในพื้นที่ของระบบ

การแสดงออกของฟางหนิงนั้นซับซ้อน “ระบบ พลังการต่อสู้ของแกร้ายกาจเหมือนเดิม แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าศัตรูจะหลบหนีไปได้สำเร็จสินะ? แกได้รับค่าประสบการณ์น้อยนิด และไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง”

ระบบกล่าว “ไม่เป็นไร หนูยักษ์ตัวนี้ไม่ได้เก่งมากนัก ยังมีวิธีฆ่ามันอีกหลายวิธี ระบบเลยไม่ได้ฆ่ามันทันที แต่สุดท้ายแล้ว ร่างจริงของมันก็ยังโดนระบบตบอยู่ หลังจากกินวายุเพลิงมังกร เส้นเลือดทั้งแปดของมันก็จะถูกตัดออก นอกจากนี้ลมหายใจมังกรและปราณแท้ยังคงทำร้ายมันด้วย อาจอยู่ได้นานถึงสองวัน หลังจากนั้นโฮสต์จะได้รับการแจ้งเตือน”

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนี้

แต่เขาก็โต้แย้งอีกครั้ง “อาจไม่ตายก็ได้ โลกนี้กว้างใหญ่มาก ใครจะไปรู้ว่ามันมีทางรอดอื่นไหม?”

ระบบกล่าว “ถึงแม้จะอยู่รอด แต่ก็ยังเป็นคนไร้ประโยชน์ ปราณแท้อาจมีวิธีที่จะกำจัดมัน แต่ศิลปะการต่อสู้มังกรเพลิงของระบบนั้นเต็มพิกัดขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว อีกอย่างยังมีคุณลักษณะวายุมาผสม ลมหายใจของมังกรกระทบเส้นลมปราณของมันทั้งสองฝั่ง ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูได้

“ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์สัตว์ปีศาจ ก็ไม่มีใครสามารถฟื้นฟูได้แล้ว พระโพธิสัตว์ปีศาจเป็นมิตรกับเรา ตระหนักถึงความเข้มแข็งและลมหายใจของเรา ไม่มีวันช่วยเหลือมันแน่นอน”

ฟางหนิงเอ่ย “โอเค อัจฉริยะที่น่าทึ่งคนนี้ ตอนนี้ก็กลายเป็นเทมเพลตขยะโดยฝีมือของเทพระบบแล้วสินะ แต่แกยังต้องฝึกต่ออีกขั้น เพราะท้ายที่สุดผู้ชายคนนี้ก็หนีไปได้ หลังจากนี้แกจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับวิธียับยั้งชั่งใจของความสามารถแปลกๆ พวกนี้ด้วย”

เทพระบบกล่าว “วิธีการนี้ ก็แค่เพิ่มสุนัขปีศาจสองตัวเข้าไป พวกมันน่าจะเป็นประโยชน์ในการติดตามศัตรูที่หลบหนี แต่ตอนนี้พวกมันอ่อนแอมาก พวกมันต้องพักผ่อน ก่อนที่พวกมันจะเข้าสู่สนามรบ”

ขณะพูดคุยกับโฮสต์ ระบบก็ควบคุมร่างของฟางหนิงให้ยืนอยู่หน้าสุนัขปีศาจสองตัว

สุนัขปีศาจสองตัวไม่กล้าขยับ

หมาดำส่งเสียงเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้น ยืดกล้ามเนื้อ และวางแผนที่จะแสดงร่างกายของเขาต่อเจ้าของคนใหม่

ด้านหมาเหลืองที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ยืนขึ้น แต่พลิกตัว แขนขาชี้ฟ้า เผยให้เห็นพุงสีขาว ใบหน้าของมันเอียงไปทางอัศวิน A ด้วยรอยยิ้ม

หมาดำมองด้วยความงุนงง: “ลูกพี่หวง แกก็ไร้ยางอายเกินไปแล้ว…”

หมาเหลืองตอบ “ศักดิ์ศรีกินได้ที่ไหนล่ะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าหมาดำก็นอนลงอย่างเชื่อฟังและเผยให้เห็นท้องสีขาวของมันบ้าง

ระบบกล่าว “ระบบช่วยเหลือสุนัขธรรมดา “หวงต้า” และ “เฮยเอ้อร์” อีกฝ่ายตัดสินใจสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อความตาย คุณสมบัติของอีกฝ่ายนั้นเกินข้อกำหนดขั้นต่ำของระบบมาก และระบบยอมรับ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ติดตาม จำนวนผู้ติดตามปัจจุบันคือสาม และขีดจำกัดคือสาม

หลังจากการเเจ้งเตือน อัศวิน A กับหวงต้าและเฮยเอ้อร์ก็กลับบ้านอย่างมีความสุข

ไม่ได้ฆ่าปีศาจตัวใหญ่ แต่ได้คะแนนประสบการณ์รวมและมีผู้ติดตามเป็นสุนัขปีศาจที่มีคุณสมบัติพิเศษมาสองตัว แต่ถึงอย่างนั้นระบบก็พอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ จึงไม่พูดถึงเรื่องการตัดการเชื่อมต่อฟางหนิงออกจากอินเทอร์เน็ตอีกเลย

…………

ในถ้ำใต้ดินลึก มีแสงสลัวและอับชื้น ทั้งยังได้ยินเสียงหยดน้ำดังเป็นระยะๆ

ไป๋ซื่อซินพิงกำแพงโคลน ท่าทางคล้ายกับตายไปแล้ว

เขาใช้ทักษะการหลบหนีจากกลุ่มสังหารที่ซ่อนอยู่และหนีมายังที่นี่ในลมหายใจเดียว เพราะคิดว่าอัศวิน A ไม่มีทางตามทัน ดังนั้นจึงเตรียมการจัดการกับอาการบาดเจ็บ

เขากระซิบกับตัวเองว่า “อาจารย์ไป๋ ได้โปรดออกมาช่วยรักษาข้าด้วย ขับไล่ปราณแท้ ครอบครัวไป๋ของพวกเราจะต้องมีหนทางแน่ ลูกชายของคุณกำลังจะแต่งงานกับครอบครัวเฉียว ดังนั้นคุณจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับปราณแท้”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในถ้ำใต้ดินอันว่างเปล่า ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อาจารย์ไป๋” น้ำเสียงเยาะเย้ยดังขึ้น “ฮ่าฮ่า ฉันไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นปราชญ์ของตระกูลหนูยักษ์เลย เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เชียวเหรอ? ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าคงไม่รอดถึงสองวัน

“อัศวิน A ชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ! แค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้เจ้าพ่ายแพ้ต่อปีศาจที่มีไพ่กล้าหาญมากมายแล้ว อย่างที่ฉันคาดไว้ก่อนหน้านี้ ปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นไม่กล้าลอบโจมตีเขาอย่างลับๆ เพราะกลัวว่าจะสูญเสียทั้งสองฝ่าย

“มันค่อนข้างแปลกสำหรับข้า ด้วยความฉลาดของเจ้า เจ้าสามารถฆ่าสุนัขปีศาจสองตัวโดยตรงและทำงานของปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์สำเร็จ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?”

ไป๋ซื่อซิน “ฮึ่ม คนธรรมดาอย่างพวกเจ้าจะมองผ่านความคิดของข้าได้ยังไง? แค่ฆ่าสุนัขปีศาจสองตัวที่สูญเสียพละกำลังไป จะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

“แนวทางของฉันไม่ผิด แต่น่าเสียดายที่การแสดงความสามารถ ‘การถ่ายโอนความเสียหาย’ กลับไม่สำเร็จ ถ้ามันสำเร็จ ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่อัศวิน A จะฆ่าสุนัขผู้สูงศักดิ์สองตัวด้วยมือของเขาเอง สร้างสัมพันธ์กับ ตระกูลสุนัข การแก้แค้นนี้ จะมีศัตรูอีกหนึ่งตัวในอนาคต และครอบครัวหนูยักษ์ของเราจะมีอันธพาลอีกหนึ่งคนเพื่อช่วยเราจัดการกับสุนัขธรรมดาๆ ได้ฟรีๆ

“ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายยังไม่มีเครือข่ายข่าวกรองของสำนักสัจธรรม ทำให้ข้าขาดข้อมูล ข้าไม่รู้ว่าอัศวิน A มีพื้นฐานการฝึกฝนปราณแท้ และเขาสามารถปกป้องผู้อื่นได้เท่าที่เขาทำได้จริงๆ ช่วยชีวิตสุนัขปีศาจสองตัว ซึ่งทำลายกลยุทธ์อันลึกซึ้งของข้า”

อาจารย์ไป๋คำราม “ฮึ่ม เจ้าคนชั่วนั่น คำนวณได้ลึกซึ้งจริงๆ แม้แต่ศัตรูที่แข็งแกร่งก็ยังต้องการเป็นผู้ช่วยเผ่าของแก น่าเสียดายที่แกล้มเหลวโดยสิ้นเชิงและได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นนี้!”

ไป๋ซื่อซินตอบ “แล้วไงล่ะ? ข้าคิดมานานแล้ว ว่าข้ายังมีหุ่นเชิดสองตัวสำหรับการช่วยชีวิตครั้งสุดท้าย แต่ก็ยังสามารถหลบหนีได้”

อาจารย์ไป๋ “น่าเสียดายๆ หุ่นกระบอกของเจ้ารับความเสียหายไม่ได้ เจ้ากำลังจะถูกฆ่าแล้ว แล้วเจ้าเคยคำนวณไว้ไหม ว่าข้าจะช่วยเจ้าได้? ต้องรู้ว่าถ้าข้าไม่ช่วยขับไล่ปราณแท้ตอนนี้ เจ้าตายแน่! เพราะปราณแท้จะแตกออกในไม่ช้า พวกปีศาจทำอะไรปราณแท้ไม่ได้ และเจ้าจะไม่สามารถหาคนอื่นที่สามารถจัดการกับปราณแท้ได้ภายในสองวันแน่ๆ”

ไป๋ซือซินยิ้ม “ฮ่าๆ เจ้าจะช่วยข้ารักษาได้แน่นอน เพราะเจ้ายังเป็นหนี้บุญคุณก้อนใหญ่อยู่ ถ้าข้าไม่จงใจบอกคุณชายชางถึงสาเหตุที่แท้จริงของการตายของแม่ของเขา ลูกชายที่ขี้ขลาดและไร้ประโยชน์ของเจ้าก็จะร้องไห้ คุณชายชางคงจะเป็นเหมือนข้ามากที่สุด ซ่อนวิญญาณของเขาไว้ในทะเลแห่งความรู้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเขา ทำสิ่งที่ทรยศต่อบรรพบุรุษ นับประสาอะไรกับให้สมบัติที่ปกป้องวิญญาณแก่เขา ภรรยาของคุณเสียชีวิตไปก่อน และไป๋รั่วชางป็นลูกชายคนเดียวของเจ้า ความเมตตานี้ของข้ายิ่งใหญ่มาก”

อาจารย์ไป๋ ไม่ได้พูดอะไรพักหนึ่ง และสุดท้ายก็เอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “เอาล่ะ เมื่อพิจารณาถึงความดีความชอบอันยิ่งใหญ่นี้ เจ้าก็ไม่ได้กินคนจริงๆ เสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”

ตอนนั้นเองที่ไป๋ซื่อซินรู้สึกโล่งใจ “การกินคนจะเพิ่มพลังอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นอีกกับดักที่บรรพบุรุษของเราวางไว้ ด้วยความสามารถในการฝึกฝนของข้า ความเร็วในการฝึกฝนของข้านั้นเร็วกว่าคนอื่นมาก

“โลกนี้มนุษย์ยังคงเป็นตัวเอก การกินเนื้อคนจะถูกปนเปื้อนด้วยความขุ่นเคืองอย่างมาก และมันจะขัดขวางการฝึกฝนของเจ้าไปสู่ระดับสูงสุด เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าอยากจะขอบคุณอัศวิน A ที่ฆ่า ไป๋ซื่อผิงและภรรยาของเขาล่วงหน้า พวกเขาเป็นคู่กัน แต่ก่อนหน้านี้สิ่งเดียวที่สามารถเปิดเผยคือข้าไม่เคยกินคนมาก่อน”

ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก หลังจากผ่านไปนาน ไป๋ซื่อซินก็สัมผัสได้ว่ามีก๊าซสีขาวในร่างกายของเขาค่อยๆ จางลง และหัวใจของเขาก็ผ่อนคลายลงในทันที

มันเป็นเพียงลมหายใจที่โหมกระหน่ำ ชั่วขณะหนึ่งเหมือนมีดลมที่ขูดกระดูก ชั่วขณะหนึ่งก็ไหม้ราวกับไฟแผดเผา ทำให้เขาเจ็บปวดเจียนตาย แต่ด้วยความดื้อรั้นจึงไม่พูดอะไรสักคำ .

“อาจารย์ไป๋” “ข้าสลายปราณแท้ให้เจ้าแล้ว แต่เส้นลมปราณพิเศษและเส้นลมปราณทั้งแปดของพวกเจ้าถูกทำลาย และมีลมหายใจมังกรสองตัวที่มีคุณสมบัติต่างกันซึ่งจะส่งผลต่อเส้นลมปราณที่เหลือซึ่งจะทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้าตกนรกทุกวัน เจ็บเจียนตาย! อืม ข้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

ไป๋ซื่อซินเอ่ย “อย่ากังวลไปเลย ข้ารู้ว่าควรไปหาใครเพื่อสิ่งนี้ แต่ข้าจะไม่ไปหาเขา คนอวดดีคนนั้น ไม่ต้องพูดถึงฝีมือของเขา เขาต้องเต็มใจช่วยข้าให้อยู่ในสภาวะที่พอประมาณแน่นอน ไม่เป็นไร ข้าไม่กลัวความเจ็บปวดนี้ การเป็นคนพิการไม่ได้ไร้ประโยชน์อื่นใด อย่างน้อยหลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสี่ยงด้วยตัวเองและไม่ต้องกังวลว่าจะถูกบรรพบุรุษสงสัยอีก…”

อาจารย์ไป๋ตอบกลับ“ฮึ่มๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องคิดให้รอบคอบ ว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะแต่กลับกลายเป็นเทมเพลตขยะ ในนิยายมนุษย์เราทุกคนต้องใช้ชีวิตที่เศร้าหมอง…”

ไป่ซื่อซินนิ่งเงียบ

………………………………………………….

บทที่ 88 สกิลร่างเสือสะท้านเปิดใช้งานได้หรือไม่?

ในหุบเขาลึกลับที่ซึ่งไป๋ซื่อผิงและภรรยาของเขาได้ฆ่าตัวตาย ในตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพร้อมกับสุนัขสองตัวเดินเข้ามา

สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่าและเงียบสงบ หุบเขาดั้งเดิมของตระกูลหนู เวลานี้ไม่รู้ว่าพวกมันย้ายไปที่ไหนแล้ว

“ท่านอาจารย์ ทำไมเราไม่ฆ่าหมาจรจัดสองตัวนี้เสียล่ะ แล้วค่อยเอากลับไป?” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

ไป๋ซื่อซินส่ายหัว “ฆ่าทั้งหมดไม่ได้หรอก พวกมันยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในอนาคตของฉัน สุนัขปีศาจสองตัวนี้ไม่มีแรงเหลือแล้ว มันสูญเสียเรี่ยวแรงไปมาก แต่สำหรับปีศาจหนูยักษ์เกิดใหม่ในท้องถิ่นของพวกนาย มันยังคงเป็นอาหารเสริมที่ดี หลังจากที่ได้กินจะสามารถเพิ่มทักษะต่างๆ ได้ เมื่อถึงเวลานั้นนายสามารถช่วยฉันได้มาก พวกนายสามารถเลือกมากินก่อนหนึ่งตัวได้ หลังจากกินข้าวก็รีบกลับ ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำ”

ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามก็แสดงความตื้นตัน จากนั้นก็กลายเป็นความโลภ คว้าไปที่สุนัขสีเหลืองและสีดำสองตัวที่ถูกมัดไว้แน่น พวกมันดูหนาวสั่นไปทั้งตัว

“ขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับรางวัล แต่ท่านต้องการตัวไหนหรือขอรับ?”

ไป๋ซื่อซินคว้าพูดอย่างเป็นกันเอง “หมาเหลืองตัวนี้ได้รับการฝึกฝนนานกว่าเล็กน้อย และการกินมันจะดีกว่าสำหรับพวกนาย มนุษย์ไม่เข้าใจสิ่งนี้หรอก พวกเขารู้แค่ว่าพวกมันแข็งแกร่งหรือไม่ จากนั้นจึงคว้าหมาเหลืองตัวนี้ออกไปฆ่า”

ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหมาดำก็ฉายแววยินดี มันหันไปมองหมาเหลืองที่กำลังจะตาย จากนั้นก็เห่า “โฮ่งๆ” ขึ้นสองสามครั้ง “คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ? ลูกพี่หวง กิจวัตรของคุณเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์เหล่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ที่รู้วิธีการจริงๆ!”

หมาเหลืองไม่ตอบอะไร แค่หลับตาลงและยอมรับชะตากรรม

ดูเหมือนว่าไป๋ซื่อซินจะเข้าใจภาษาสุนัขได้ หลังจากฟังอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะขึ้น “ทำไมสุนัขธรรมดาสองตัวที่มีระดับการฝึกฝนเท่ากัน ตัวหนึ่งฉลาดมาก แต่อีกตัวกลับโง่มาก? สติปัญญาเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่สามารถได้จากการบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียวแน่นอน”

หมาดำไม่กล้าโต้แย้ง เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเลือกเขาอีก

ในเวลานี้ดูเหมือนว่าไป๋ซื่อซินจะมีอารมณ์ขุ่นมัวบ้างแล้ว ไม่ก็บางทีเขาอาจจะแค่รอจนเบื่อ

“ลูกพี่หวง ตอนนั้นคุณยืนขึ้นแต่ไม่ได้ฉวยโอกาสหนี แต่เพื่อฉวยโอกาสโจมตีพวกที่ฆ่าสุนัขใช่ไหม?” หมาดำเอ่ยถาม

ตอนนี้สุนัขสีเหลืองเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่คิดว่าคุณจะมีสายตาที่เฉียบคม คนรับใช้ชุดดำคนนี้อยู่ใกล้ๆ ฉันแต่กลับไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ แต่คุณกลับมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลแสนไกล”

ไป๋ซื่อซินยิ้ม “ฮ่าฮ่า ลูกพี่หวงที่คุณแกล้งตาย อาจเป็นเพราะคุณต้องการให้มนุษย์เปิดประตูกรง และเลือกหมาดำตัวนั้นแทนคุณใช่ไหม? เมื่อมนุษย์พวกนั้นเปิดประตูกรงและมุ่งความสนใจไปที่หมาดำ จากระดับการทักษะของคุณนั้นค่อนข้างสูง จึงมั่นใจมากขึ้นว่าจะล้มมนุษย์เหล่านั้นด้วยการลอบโจมตีได้ และในที่สุดทั้งสองก็จะหลบหนีไปด้วยกัน”

หมาเหลืองตอบ “ใช่แล้ว”

หมาดำเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น ลูกพี่หวง ทำไมคุณไม่บอกกับฉันก่อนหน้านี้ล่ะ ฉันจะได้ร่วมมือกับคุณ”

ไป๋ซื่อซินส่ายหัวและหัวเราะต่อไป “เจ้าหมาดำ แค่อุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ แกยังมองไม่ออกเลย ในทางกลับกัน แกยังหัวเราะเยาะคนที่ต้องการจะช่วยชีวิตแก แกทำแบบนั้นได้ยังไง? หึ แค่ฉันเห็นแก ฉันก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของมนุษย์ สิ่งนี้ทำให้ฉันมีความรู้สึกเหนือกว่าในเรื่องไอคิว…”

หมาดำตกตะลึง ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจลูกพี่หวงผิดไปหมด มันเห่าทันที “โฮ่งๆ” ทั้งหมดนี้คือคำขอโทษ

หมาเหลืองใช้เวลานานกว่าจะตอบกลับ “เสี่ยวเฮย ประหยัดพลังงานของแกไว้ ฉันรู้ว่าหนูตัวนี้หมายถึงอะไร แกยังมีประโยชน์อีกมาก และอาจมีโอกาสรอดชีวิตด้วย”

ไป๋ซื่อซินพยักหน้า “ท้ายที่สุดพวกสุนัข ก็เกิดมาเพื่อรู้จักความเมตตาและห่วงใยเครือญาติของตัวเอง ไม่ได้ฉลาดแกมโกงเหมือนหนูยักษ์ของเราที่สนใจแต่ตัวเองเท่านั้น น่าเสียดายๆ ฉันต้องการใช้คุณเป็นมันสมองที่น่าเชื่อถือ แต่ไม่มีทาง เราเป็นศัตรู และตอนนี้พวกแกเป็นได้แค่อาหารของคนรับใช้ฉันเท่านั้น””

ในเวลานี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของไป๋ซื่อซิน ได้ตั้งหม้อติดเตาแล้ว และเริ่มกระทำการจุดไฟต้มน้ำ เพื่อเตรียมสำหรับงานเลี้ยงสุนัขทั้งหมดอันใหญ่โต

แม้ว่าหมาดำจะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของมัน แต่ดวงตาก็รื้นน้ำแล้ว

ไป๋ซื่อซินส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก

เวลาผ่านไปสักพัก น้ำก็เดือด คนใช้คนหนึ่งยกหมาเหลืองขึ้นมาโยนลงไปหน้าเตาไฟ หัวของหมาดำและหมาเหลืองชนกัน น้ำตาของพวกมันไหลไม่หยุด

เมื่อหมาเหลืองใกล้จะถูกสังหาร ไป๋ซื่อซินก็มองดูท้องฟ้าในระยะไกล และเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ช่างมัน ดูเหมือนว่าโชคของพวกนายจะไม่ค่อยดีนัก กินไม่ทันแล้ว ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ พวกนายรีบไปซะ”

“ครับ ท่านอาจารย์ “แม้ว่าผู้รับใช้ทั้งสามจะน้ำลายไหล แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ลังเลและรีบมุดตัวออกไปทันที

เวลานี้หมาเหลืองหยุดร้องไห้ แต่เริ่มพูดโดยใช้ภาษามนุษย์ “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นปีศาจหนูยักษ์มีน้ำใจต่อลูกน้องเช่นนี้ ฉันเดาถูกแล้ว แกต้องการใช้พวกเราเป็นเหยื่อ เป็นไปได้ไหมว่าแกต้องการจะจับมังกรตัวนั้น? แกกลัวว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นจะถูกฆ่าตายด้วยกระบวนท่าเดียวสินะ จึงให้พวกเขาไปก่อน”

เมื่อไป๋ซื่อซินได้ยินเช่นนี้ ความสนใจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาชอบคบหากับคนฉลาด เพราะการโต้ตอบกับคนโง่ก็เหมือนกับการเล่นหมากรุกด้วยตะกร้าหมากรุกที่เหม็นอับ

ไป๋ซื่อซินกล่าวว่า “แกเดาถูกแล้ว งั้นฉันจะทดสอบแกอีกครั้ง ฉันต้องการเพียงหนึ่งตัวในแผนของฉัน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถพาพวกแกสักตัวกลับไปกินก่อนได้ แล้วทำไมฉันต้องทำอย่างนี้ ให้พวกเขาเชือดกินต่อหน้าต่อตาไม่ดีกว่าเหรอ?”

หมาเหลืองตอบ “มีหลายคำตอบทีเดียว แต่เมื่อรวมกับการกระทำก่อนหน้านี้แล้ว ก็มีเหตุผลหนึ่งข้อ คือแกกลัวว่าเมื่อพวกเขาเชือดและกินเป็นการส่วนตัวแล้ว บางคนจะกินมากขึ้นและมีพลังมาก และความพยามที่จะแสดงความเมตตาของแกก็จะล้มเหลว มันไม่ง่ายสำหรับแกเลยที่จะสั่งห้ามของแบบนี้ เดิมทีกฎของปีศาจก็คือผู้ที่แข็งแกร่งจะครอบครองมากกว่านั้น ถ้าแกตำหนิพวกเขา มันจะกลายเป็นการต่อต้าน

“ฉันเกรงว่าแกจะไม่ได้มาที่โลกนี้นานแล้วสินะ แกบอกว่าพวกมันเป็นปีศาจหนูยักษ์เกิดใหม่ ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานในการกำราบพวกมัน แต่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจไม่เชื่อฟังแกเสมอไป หรอก ต้องใช้เวลานาน กว่าพวกมันจะกลับมาเชื่อฟัง”

ไป๋ซื่อซินอดปรบมือไม่ได้ “ดีมากๆ และฉลาดมาก มองเห็นจิตใจของผู้คนได้อย่างแม่นยำนัก น่าเสียดาย ที่สุนัขธรรมดาอย่างพวกแกถูกผสมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เข้มแข็งมาโดยตลอด แม้ว่าฉันจะชอบแกมากขึ้นและต้องการรับแกมากขึ้น แต่ท่านปรมาจารย์ก็ไม่เห็นด้วย”

หมาดำที่อยู่ด้านข้างนั้นฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ลูกพี่หวงนี้อายุมากกว่ามันสิบปี แต่เขากลับฉลาดกว่ามันมาก แต่ว่าทำไมถึงยังโสดล่ะ

เมื่อไป๋ซื่อซินพูดเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาเล็กน้อย และปากของสุนัขทั้งสองก็ถูกปิดผนึกไว้แน่น ไม่สามารถขยับได้

“เห็นว่าแกฉลาด เพราะฉะนั้นฉันจะเก็บแกไว้ก่อน จะอยู่ได้ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องดูโชคชะตาของแกแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็หายตัวไปในอากาศทันที

แม้ว่าร่างกายจะขยับไม่ได้ แต่สุนัขทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับสามารถสื่อสารกันได้

หมาดำกล่าวว่า “ลูกพี่หวง ฉันขอโทษ ถ้าแกรอดชีวิตได้ในครั้งนี้ จากนี้ไปเมื่อพบสาวๆ ฉันจะให้แกเลือกก่อนเลย”

หมาเหลืองกล่าวตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณแกแล้ว แกฟังมามากแล้ว แกควรรู้ถึงความแตกต่างระหว่างไอคิวของเรา แกสามารถฉลาดขึ้นได้ในอนาคต แกสามารถทำในสิ่งที่ฉันทำได้”

หมาคุกเข่าและตอบตกลงทันที “ฉันจะเชื่อฟังลูกพี่หวง คนเมื่อกี้น่ากลัวจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด”

หมาเหลืองกล่าวว่า “อืม ถ้าฉันเดาถูก มันควรจะเป็นมือสังหารลับของเผ่าหนูยักษ์ ในแง่ความสามารถเป็นรองแค่ราชาเผ่าหนูยักษ์ แต่เมื่อพูดถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ ก็ยังห่างไกลจากเขามาก”

หมาดำเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่ามันกำลังจะจับมังกร จัดการมันได้ไหม?”

หมาเหลืองตอบ “มันขึ้นอยู่กับว่ามังกรจะรอดจากการถูกโจมตีครั้งแรกหรือไม่ แต่โชคร้ายที่เราไม่สามารถเตือนมันได้ แต่จะเบี่ยงเบนความสนใจของมังกรแทน แค่ดูว่าโชคของเขาจะดีไหม”

ไม่นานนัก สุนัขทั้งสองก็ได้กลิ่นของมนุษย์อันแข็งแกร่งในหุบเขา จากการเปรียบเทียบลมหายใจ จึงทราบได้ถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าอสูรหนูยักษ์กี่เท่า เมื่อตอนที่พวกมันยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ พวกมันยังไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่ายในเวลานี้เลย

ในพื้นที่ของระบบ

ระบบกล่าว “พบสุนัขปีศาจทั้งสองตัวแล้ว”

ฟางหนิงตอบ “ยินดีด้วยๆ”

ฟางหนิงคิดในใจ การตัดอินเทอร์เน็ตใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ แต่ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์จึงจะเชื่อมต่อได้ และตัวเองต้องรอให้พื้นที่ใหม่เปิดขึ้น

ระบบกล่าว “แต่จัดการไม่ได้”

ฟางหนิงตอบ “อ่า แกกำลังบอกว่าพวกมันยังคงเป็นสีเหลืองเหรอ? ไม่ต้องกังวล แค่รอให้ฉันเตรียมการก็พอ สองตัวนั่นปรากฏตัวขึ้น มันทำให้ฉันต้องถูกตัดอินเทอร์เน็ตฉันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และฉันก็ทำให้พวกมันเป็นสีแดงทันที”

ระบบกล่าว “จะเตรียมการยังไงก็เปล่าประโยชน์”

ฟางหนิงงุนงง เมื่อเขาเปิดแผนที่ระบบ เขาก็ตกตะลึง “ทำไมพวกมันถึงเป็นสีเขียวล่ะ”

เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ชื่อสีเขียวปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย คุณจ้าวมาหาเขาเพื่อทานอาหารเย็น และอาศัยอาหารอร่อยๆ เพื่อทำให้ครอบครัวเขียวขจี ในขณะนั้นไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ของระบบ เหมือนกับการเตือนของเทพระบบ เกิดอะไรขึ้นกับสุนัขปีศาจสองตัวนี้กันนะ?

ก่อนที่จะเจอสุนัขปีศาจ แผนที่ระบบจะต้องไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว ไม่อย่างนั้น ระบบคงแจ้งเตือนก่อนหน้านี้แล้ว

ฟางหนิงงุนงงมาก “นั่นบ่งบอกได้ว่าทันทีที่เราปรากฏตัวขึ้น พวกมันเห็นว่าพวกเรานั้นทรงพลัง จึงหดหัวยอมแพ้ ตอนนี้ร่วมมือกันแล้วใช่ไหม? แต่ฉันจำได้แม่นว่าเราไม่เคยใช้สกิล ‘ร่างเสือสะท้าน’ นี้เลยนะ?”

ระบบกล่าว “ระบบจะรู้ได้ยังไง?”

ฟางหนิงไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมองจากมุมมองของระบบ ก็รู้คำตอบในทันที

อืม สุนัขปีศาจผู้สง่างามทั้งสอง ตามการกล่าวถึงของเทพระบบ ถ้าพลังของพวกมันฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ก็จะเทียบได้กับปรมาจารย์ไป๋

แต่ในเวลานี้ทั้งสองถูกมัดไว้แน่น และมีหม้อต้มน้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจังหวะของงานเลี้ยง

ก่อนหน้านี้พวกมันเกือบถูกคนฆ่าตาย และตอนนี้ก็เกือบถูกปีศาจหนูยักษ์จับกิน ชีวิตยากลำบากมากกว่าจะได้มาถึงโลกนี้!

ฟางหนิงตระหนักได้ในทันที “ฉันเข้าใจแล้ว ตราบใดที่พวกมันอยู่ในสภาพนี้ เมื่อพวกเขาเห็นเรา จะต้องอยากให้เราช่วยพวกมันอย่างแน่นอน! ครั้งสุดท้ายที่เจิ้งต้าวได้รับการช่วยเหลือ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นสีน้ำเงินได้โดยตรง ตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าพวกมันจะเปลี่ยนชื่อเป็นสีเขียว หากได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาจะต้องเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอย่างแน่นอน”

ระบบกล่าวว่า “นั่นสินะ..”

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“สิบขั้นตอนในการฆ่า!”

เมื่อเสียงดังกล่าวดังขึ้น ฟางหนิงเปิดมุมมองระบบขึ้นดดู แล้วเขาก็ต้องตกใจ…

……………………………………………………………..

บทที่ 87 ฉันเห็นคุณเป็นพี่น้อง แต่จริงๆ แล้วคุณหลอกฉันเหรอ?

ทันทีที่อินเทอร์เน็ตถูกตัดการเชื่อมต่อ แรงจูงใจของฟางหนิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่สองในทันที สุนัขปีศาจสองตัวนั่นต้องถูกจับไปแล้วแน่นอน แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือของหนูยักษ์ อาจเป็นพวกสุนัขโจรก็ได้

เขารีบแจ้งเจิ้งต้าวถึงความเป็นไปได้ทั้งสองนี้ง อีกฝ่ายชื่นชมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยบอกว่าเขาขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้แล้ว ท่านช่างปราดเปรื่องจริงๆ…

คราวนี้ความพยายามอันล่าช้าของฟางหนิงนั้นถูกต้องแล้ว

หลังจากที่หมาจรจัดทั้งสองตัวหนีจากหนูยักษ์ผู้ชั่วร้าย มันจึงใช้วิธีมุดดินหนี ซึ่งเปลืองแรงอย่างมหาศาล ไม่นานก็หิวจนท้องร้อง

พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มหน้าหาของเหลือในเมืองกิน แต่ก็ไม่กล้าไปที่ที่มีผู้คน ด้วยเกรงว่าจะมีคนไปบอกมังกรเพลิงให้มาจับพวกมันไป

หลังจากเดินเตร่ไปทั่วเมืองเป็นเวลานาน พวกมันวิ่งไปยังถังขยะทั่วทุกที่ แต่พวกมันกลับไม่พบแม้แต่เส้นผม จนกระทั่งซาลาเปากลิ่นหอมชิ้นใหญ่สองชิ้นปรากฏขึ้นตรงหน้า สุนัขทั้งสองแบ่งซาลาเปากันคนละชิ้นแล้วกินอย่างตะกละตะกลาม

ก่อนที่จะสลบไปพวกมันได้ยินคนขายพูดกันว่า “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ต้องมาใช้จับหมาโง่สองตัวนี้อีก พวกหนูยักษ์สมควรตายนัก…”

ในช่วงเวลาที่สะลึมสะลือ สุนัขจรจัดทั้งสองก็อยู่ในกรงแล้ว พวกมันถูกขังอยู่กลางลานในแถบชานเมืองที่ไม่มีใครรู้จักเป็นเวลาสองวันแล้ว

รอบตัวของพวกมันคือสุนัขจรจัดตัวอื่นๆ ที่กำลังตัวสั่นเทา ทั้งหมดถูกขังอยู่ในกรงสกปรก มีคราบเลือดติดอยู่บนพื้น ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียน

หมาเหลืองหงายท้อง โน้มศีรษะลงกับพื้น ลิ้นข้างหนึ่งห้อยออกมา ท่าทางเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

หมาดำเอ่ย “ลูกพี่หวง แกเพิ่งถูกขังแค่สองวัน ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ? ถึงจะถูกขัง แต่พวกเขาก็ให้อาหารเล็กๆ น้อยๆ เรา แกไม่น่าเป็นแบบนี้นี่?”

มันพูดไปก็วิดพื้นไป ออกกำลังแขนขาที่ดูแลมาอย่างดี ไม่เคยลืมที่จะฝึกฝนตัวเอง มันยังจำสิ่งที่เจ้าของคนสุดท้ายบอกมันได้ โอกาสที่จะหลุดจากความโสดจะสงวนไว้สำหรับสุนัขโดดเดี่ยวที่พร้อมเสมอ

หมาเหลืองพูดอย่างอ่อนแรง “ฉันแก่แล้ว ฉันอายุสองร้อยห้าสิบปีนะ ไม่ได้เด็กเท่าแกที่มีอายุสองร้อยสามสิบสามปีนี่ ถูกขังอยู่สองวัน ฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว ให้ฉันนอนลงและพักผ่อนหน่อยเถอะ”

หมาดำรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย แต่ก็พูดด้วยความดีใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนและฟื้นตัวเร็วๆ เถอะ ฉันคิดว่าอีกครึ่งวันพลังของฉันก็จะฟื้นกลับมา วิชาหลบหนีน่าจะใช้ได้อีกครั้ง ถ้าถึงตอนนั้นแล้วแกยังไม่ฟื้น ฉันก็ไม่มีวิธีที่จะพาแกหนีนะ”

หมาเหลืองกล่าว “ไม่ต้อง ฉันมีวิธีของตัวเอง เมื่อถึงเวลาแกก็ไปคนเดียวก่อน ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

หมาดำรู้สึกผิดเล็กน้อย “ฉันเสียใจจริงๆ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าฉันจะได้พบกันไม่กี่ครั้งในโลกก่อนหน้านี้ แต่สองวันมานี้ ฉันก็พบว่าเราเป็นคนแบบเดียวกันจริงๆ ฉันจะทิ้งลูกพี่หวงและหนีไปคนเดียวได้ยังไง”

หมาเหลืองพูดว่า “ไม่เป็นไร แกยังเด็กและแข็งแรง สามารถสืบทอดความหวังในอนาคตของเผ่าสุนัขเราได้”

หมาดำครุ่นคิด ความรู้สึกผิดหายไป ก่อนจะเอ่ยว่า “พอฉันหนีไปแล้ว ฉันก็จะหาเจ้าของที่ดีและกลับมาช่วยแกทันที ฉันไม่ชอบคนที่มาที่นี่ คนหนึ่งอ่อนแอกว่าอีกคนหนึ่ง ฉันต้องหนีและหาเจ้านายใหม่ที่แข็งแกร่งกว่า”

หมาเหลืองเอ่ยแผ่วเบา “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องเสียใจกับแกด้วยแล้ว…แกยังไม่รู้สินะ ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่?”

หมาดำถามด้วยความสงสัย “ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับจับสุนัขมาขายให้คนหรอกเหรอ?”

หมาเหลืองตอบ “ใช่แล้ว แต่พวกเขาขายให้พวกมนุษย์กิน เมื่อกี้ฉันได้ยินแขกที่มาพูด แขกคนนั้นบอกว่าเขาจะไปที่สวนด้านหลังเพื่อเลือกนักเชือดที่แข็งแรงที่สุด…”

หมาดำได้ยินก็งุนงง ตอนนั้นเองเสียงมนุษย์ก็ดังเข้ามา

“เถ้าแก่ซัง ทำไมคุณไม่เชื่อน้องชายล่ะ จะมาเลือกด้วยตัวเองทำไม คุณดูสิว่าสุนัขที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่” คนขายเนื้อสุนัข พูดกับคนร่างท้วมด้านหลัง

ชายร่างท้วมที่ชื่อว่าเถ้าแก่ซังโบกมือ เขาไม่สนใจเรื่องความสกปรกในสวนด้านหลังเลย เขากำลังมองสุนัขพวกนั้นอยู่ ทุกครั้งที่เขาผ่านกรง สุนัขข้างในก็จะกลัวจนหัวหด

“เนื้อสุนัขม้วนสามครั้ง และอมตะนั้นไม่ยั้งยืน” ชีวิตของเถ้าแก่ซังคือเนื้อสุนัขอร่อยๆ หนึ่งคำ

แม้ว่าร้านอาหาร “รสชาติของฟางซื่อ” ที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่กี่เดือนในเมืองฉีจะอร่อยมากก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทำเนื้อสุนัขหรือแมวเลย พูดได้ว่าสถานที่ที่ดีที่สุดในการปรุงอาหารเนื้อสุนัข คือสถานที่แห่งนี้

หลังจากมองไปรอบๆ เขาไม่พอใจจนกระทั่งเห็นสุนัขโดดเดี่ยวสองตัวสีเหลืองหนึ่งและสีดำหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

ผู้ที่กินเนื้อสุนัขมากๆ จะมองเห็นได้ทันที แม้สุนัขสองตัวนี้จะเป็นสุนัขธรรมดา แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่าพวกมันจะต้องแตกต่างอย่างมาก เพียงแต่ว่าท้องของสุนัขสีเหลืองนั้นหงายขึ้น ศีรษะตก และลิ้นก็ห้อยออกมาในฤดูหนาว แบบนี้ดูแปลกประหลาดไปหน่อย

“ใช่แล้ว เจ้าเหลืองกับเจ้าดำเพิ่งจะจับมาได้เมื่อวานก่อน สะอาดเอี่ยมกว่าตัวอื่น พวกเราจึงแค่ขังมันเอาไว้ คุณดูสิ โดยเฉพาะเจ้าหมาดำนั่น มันแข็งแรงมาก และรู้วิธีออกกำลังกายด้วยตัวมันเองทุกวัน เหมือนว่ามันอยากจะฝึกให้เนื้อตัวมันแข็งแรงขึ้น และรอให้เถ้าแก่ซังมากิน” คนขายเนื้อสุนัขชื่นชม

เถ้าแก่ซังตื่นเต้นยินดี “ไม่เลว เอาหมาดำตัวนี้ละ เชือดที่นี่ ฉันอยากเห็นพวกแกเชือดมัน อย่าคิดหลอกฉันเชียว…”

คนขายเนื้อสุนัขขยิบตาให้น้องชายสองคนที่อยู่ข้างหลังเขา ต่อมาก็มีคนก้าวไปข้างหน้า เปิดประตูกรงออกแล้วคว้าโซ่เหล็กหนาไปพันไว้รอบคอของหมาดำ มันพยายามดิ้นรน เพื่อดึงตัวมันออกจากกรงเหล็ก…

หมาดำหันไปมองหมาเหลืองที่ใกล้ตายไปแล้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว มันคำราม ‘โฮ่งๆ’ เสียงดัง “ฉันเห็นแกเป็นพี่น้อง แต่แกหลอกฉัน …”

หมาเหลืองส่ายหัว: “หนุ่มน้อย ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

ทุกคนต่างจับจ้องไปยังหมาดำที่กำลังดิ้นรน อีกฝ่ายยังคงเต็มไปด้วยพลัง แต่ยิ่งดิ้นรน เถ้าแก่ซังก็ยิ่งพอใจ

ตอนนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า หมาเหลืองได้คลานออกไปเงียบๆ แล้ว มีเพียงเชือกป่านธรรมดาที่ผูกรอบคอของมันเท่านั้น ในเวลานี้ดวงตาของสุนัขของมันเต็มไปด้วยแสงอันดุดันที่ตรวจจับไม่ได้ จ้องมองไปยังประตูกรงที่เปิดกว้าง และคนขายเนื้อสุนัขที่ดูน่ารังเกียจ…

…………

หมาดำสิ้นหวัง ขณะที่ตัวมันถูกลากออกจากกรง ทำไมยังมีคนในโลกนี้ที่อยากกินเนื้อสุนัขอีกล่ะ ในโทรทัศน์บอกว่าสุนัขคือเพื่อนแท้ของมนุษย์ไม่ใช่เหรอ?

ตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ฉันซื้อสุนัขเหล่านี้ทั้งหมดไว้แล้ว มาเสนอราคากัน”

มันหันมองด้วยความรู้สึกขอบคุณ ด้านหมาเหลืองที่พร้อมจะหนีไปตอนนี้ กลับเอนหลังและกลับสู่ท่าแกล้งตายอีกครั้ง

ชายวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้าสงบนิ่ง เขาสวมชุดสีดำ ข้างๆ เขามีคนอีกสามคน ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูสวนด้านหลัง

“ใครกัน? คุณจะรับเท่าไหร่? “คนขายเนื้อสุนัขไม่สามารถมองข้ามลูกค้าออกไปได้ เถ้าแก่ซังเป็นลูกค้าประจำทั่วไป แต่คนตรงหน้าดูมีภูมิฐานยิ่งกว่า

ธุรกิจขโมยสุนัขจรจัด ฆ่า และขายมันจะล้มเหลวในไม่ช้า โดยปกติแล้วใครให้เงินมากกว่า ก็จะเป็นของคนนั้น

“สองพันสำหรับสุนัขหนึ่งตัว ราคานี้น่าจะสูงพอสำหรับกลุ่มหมาจรจัดใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนสวมชุดดำกล่าว

เมื่อคนขายเนื้อสุนัขได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไม่พอใจ ราคาที่ได้นั้นเกินความคาดหมายในใจของเขามากแล้ว เขาไม่ได้ต่อรอง “เอาละๆ เถ้าแก่คนนี้ตรงไปตรงมามาก ไม่เลือกไม่หยิบ ฉันจะให้คนบรรจุให้ท่านเดี๋ยวนี้ ท่านนำรถบรรทุกมาด้วยไหม? ถ้าไม่ ฉันจะไปส่งให้ด้วยตัวเอง”

เถ้าแก่ซังไม่พอใจ “น้องชาย สุนัขตัวอื่นๆ นายอยากได้เงินเท่าไรก็แล้วแต่ แต่ฉันเลือกหมาดำตัวนี้ที่จะถูกเชือด”

ชายวัยกลางคนสวมชุดดำยกยิ้ม “คุณยังไม่ได้จ่ายเงิน แล้วมันจะเป็นของคุณได้ยังไง? เป็นไปได้ไหมว่า คุณคนเดียวอยากจะมีเรื่องกับพี่น้องของฉัน?”

เถ้าแก่ซังเป็นนักธุรกิจแต่ยังขี้ขลาด ไม่คุ้มที่จะถูกทุบตีเพราะเนื้อหมา ฝั่งโน้นคนเยอะ คนขายเนื้อหมาไม่ยอมยืนข้างใคร ใครจะกล้ามีปัญหากับเงินกันล่ะ?

“อืม เราได้เห็นดีกัน ลมน้ำเปลี่ยนทิศ” เขาพูดเสียงแข็ง แล้วเดินออกจากสวนไป

เถ้าแก่ซังเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปแล้ว ผู้ติดตามของชายคนนั้นมองอย่างดุดันและกำลังจะยกขาขึ้นเตะ

“หยุดซะ” แต่ชายวัยกลางคนก็ปรามไว้ก่อน

ขาของผู้ติดตามลอยค้างอยู่ในอากาศ เขาหยุดชะงัก ก่อนจะชักเท้ากลับ

เหงื่อเย็นผุดเต็มกายเถ้าแก่ซัง และเมื่อได้ยินเสียงลมเมื่อครู่นี้ เขาก็สัมผัสได้ว่าหากลูกเตะนั้นประทับลงบนตัวเขาจริง แม้ตัวเองจะไม่ตายก็เกือบตาย ในตอนนี้จึงทิ้งเนื้อสุนัขทั้งหมดไว้ข้างหลัง แล้วรีบวิ่งออกจากสวนไปทันที

เมื่อรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยสุนัขจรจัดขับออกไปแล้ว คนขายเนื้อที่นั่งอยู่ในร้าน ก็เริ่มนับกองเงินสดในกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ

เขาถือบุหรี่ ภายใต้รอยยับย่นบนใบหน้า คนขายเนื้อสุนัขยิ้มอย่างพึงพอใจ ผู้ชายคนนี้ซื้อไปเยอะมาก นี่มันกำไรล้วนๆ

เมื่อการนับใกล้จะเสร็จสิ้น เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู “หวงเต๋อเปียว คุณจับหมาจรจัดและขายเนื้ออย่างผิดกฎหมาย ตอนนี้ร้านของคุณจะถูกปิดเพื่อปรับปรุง ได้โปรดมากับเรา”

…………

เจิ้งต้าวเอ่ย “กัปตันหลิว นี่มันยากลำบากจริงๆ นะ นี่เป็นร้านขายเนื้อสุนัขผิดกฎหมายแห่งที่สิบสามที่นายยึดมาได้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาใช่ไหม?”

กัปตันหลิวตอบ “ใช่ครับ หัวหน้าหวงเต๋อเปียวเพิ่งจะถูกจับกุม เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วมีคนซื้อสุนัขจรจัดทั้งหมดจากเขา มีหมาดำตัวหนึ่งอยู่ในนั้นซึ่งทำให้เขาประทับใจมากที่สุด และดูคล้ายกับหมาดำในภาพของเรา เนื่องจากหมาดำตัวนี้ทำการวิดพื้นทุกวันเป็นเวลาสองวันหลังจากที่มันถูกจับได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน ดังนั้นเขาจึงประทับใจเป็นพิเศษ”

เจิ้งต้าวดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “นั่นควรเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เรากำลังมองหา ฉันขอบคุณกัปตันหลิวจริงๆ ฉันจะช่วยคุณอย่างแน่นอนเมื่อกลับไป”

กัปตันหลิวก็มีความสุขมากเช่นกันเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ทั้งหมดนี้เป็นงานของเรา และคงจะดีมากถ้าสามารถช่วยคุณได้”

ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่ง กัปตันหลิวก็แจ้งสถานการณ์ทั่วไปและตำแหน่งของรถบรรทุกอีกครั้ง เจิ้งต้าวบอกลาทันที จากนั้นก็ส่งข่าวให้เทพเจ้าทั้งสอง นอกจากนี้เขายังต้องไปหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอบันทึกตำแหน่งของรถบรรทุก

การสืบเสาะเรื่องนี้เป็นงานหนัก วิ่งวนไปมา และต้องใช้สมอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ฟางหนิงจะโยนมันให้คนอื่นทำ

………………………………………………………

บทที่ 86 สุนัขสองตัวที่เดียวดายไปไหนแล้ว?

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เมืองฉี’ ใบหน้าของไป๋ซื่อซินยังคงเรียบนิ่ง ราวกับว่าเขาถูกส่งไปยังสถานที่ธรรมดาบางแห่ง

เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่สงบนิ่งเช่นนั้น ปรมาจารย์ไป๋ก็พอใจมาก “ดีมาก ตระกูลหนูยักษ์ในยุคของพวกเจ้า เจ้าคือผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เฉลียวฉลาดที่สุด ส่งภารกิจครั้งนี้ให้เจ้า ข้าก็วางใจได้แล้ว”

ไป๋ซื่อซินเอ่ย “ท่านปรมาจารย์ประเสริฐยิ่ง”

ปรมาจารย์ไป๋ตบไหล่ของเขา แล้วหยิบจี้หยกสีเขียวมรกตออกมามอบให้ “นี่คือจี้หยกที่เก็บสะสมไว้ ก่อนหน้านี้ข้ามอบมันให้กับบุตรสาวคนโตของซื่อผิง แต่เธอถูกสังหารแล้ว เป็นอัศวิน A ที่แย่งเอามันไป เมื่อข้ามายังโลกนี้ ข้าได้นำมันมาทั้งหมดสามชิ้น และชิ้นที่สองนี้มอบให้เจ้า มันสามารถปกปิดกลิ่นอายปีศาจบนร่างกายของเจ้าได้ สวมมันซะและระวังตัว แม้ว่าเจ้าจะพบอัศวิน A เขาก็จะไม่รู้”

ไป๋ซื่อซินก้มลงมอง จากนั้นก็ดันจี้หยกกลับไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านปรมาจารย์รู้อยู่แล้วว่าความสามารถพิเศษของซื่อซินคือการหลบซ่อน ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะถูกอัศวิน A พบเจอหรอก มอบจี้หยกนี้ให้กับซื่อฟู่ และคนอื่นๆ เถอะ แผนการที่พวกเขากำลังทำอยู่ในเมืองจี้เป็นรากฐานของหนูยักษ์มาเป็นเวลาหลายพันปี จากข่าวสารได้ยินมาว่า ตอนนี้อัศวิน A ก็อยู่ในเมืองจี้เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ลึกๆ แต่ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีการเผชิญหน้า พวกเขาต้องการมันมากกว่าข้า”

“ดี ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ มันคุ้มค่าแล้วที่ใช้เวลาหลายปีมานี้สอนให้พวกเจ้าสามัคคีกัน ในวัยเดียวกันนี้มีแค่เจ้าซื่อซินที่เข้าใจความพยายามอันอุตสาหะของข้าดีที่สุดและมีจิตสาธารณะมากที่สุด เอาอย่างนี้ ในภารกิจนี้เจ้าก็เอามันไปใช้ก่อน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วค่อยนำกลับมาคืนข้า จากนั้นข้าก็จะมอบให้กับซื่อฟู่และคนอื่นๆ อีกหน่อยสมบัติพวกนี้จะเป็นของสาธารณะและถูกจัดสรรเพื่อการใช้งานชั่วคราว”

ไป๋ซื่อซินเอื้อมมือไปหยิบ แล้วโค้งคำนับพร้อมกล่าว “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ ข้าน้อยสาบานว่าจะทำภารกิจให้เสร็จ”

ปรมาจารย์ไป๋ยิ้มกว้าง “ฮ่าฮ่า พยายามรักษาชีวิตไว้ แม้จะทำภารกิจไม่สำเร็จก็ขอแค่รอดชีวิตกลับมา พวกสุนัขธรรมดาชอบอยู่อาศัยกับมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่หนีเก่ง พวกมันคบคิดกับเหล่ามนุษย์มานานแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าวันหน้าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเรา แต่ไม่เป็นไรหากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว พวกเรายังมีโอกาสที่จะจัดการกับพวกมัน”

ไป๋ซื่อซินน้ำตาคลอเบ้า “ท่านปรมาจารย์มีน้ำใจยิ่ง ใจของข้าตื้นตันมาก ยากจะบรรยาย”

ปรมาจารย์ไป๋ตอบรับ “อืม เจ้าไปเถอะ ข้าจะบอกพวกเขาทีหลัง หากเจ้าต้องการสิ่งใดสำหรับภารกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังคนหรือวัสดุ ทั้งหมดจะได้รับการจัดสรรก่อน”

ไป๋ซื่อซินพยักหน้าแล้วหันหลังถอยออกไป

ปรมาจารย์ตระกูลไป๋มองไปยังเงาหลังที่จากไปของเขา พลางลูบเคราของตัวเอง คิดในใจ ‘เขาบอกว่าเขาสามารถซ่อนการรับรู้ของอัศวิน A ได้ แต่เขาจะซ่อนตัวจากตัวเองได้เหรอ’

…………

หลังจากไป๋ซื่อซินออกมาแล้ว ก็วนไปวนมา ไม่ได้ออกไปทำภารกิจให้สำเร็จโดยทันที เขากลับไปที่บ้านของตัวเอง

ที่นี่คือห้องใต้ดินขนาดใหญ่ มีห้าห้องพักและสี่ห้องโถง ตกแต่งหรูหราและวิจิตรงดงาม มีการระบายอากาศที่ดี ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ทันสมัยทั้งหมด และหน้าจออิเล็กทรอนิกส์บนหน้าต่างก็ใช้ถ่ายทอดทิวทัศน์บนพื้นดินแบบเรียลไทม์ การขุดดินและสร้างบ้านใต้ดินนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ นั่นแสดงถึงสถานะอันสูงส่ง

เขายื่นมือออกไปปลดล็อกกลอนประตู และผลักประตูเข้าไปหลังจากมีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้น ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง สายลมอันหอมหวนก็พัดเข้ามาในอ้อมแขน

“สามี คุณกลับมาได้แล้ว คุณคงไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่คุณไม่อยู่ข้างๆ ฉัน ฉันกลัวแทบตาย เพราะกลัวว่าพี่น้องของคุณจะออกมากินฉัน” เด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาในอ้อมกอดของไป๋ซื่อซินพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปนหวาดหวั่น

ก่อนหน้านี้ไป๋ซื่อซินระมัดระวังและจริงจังต่อหน้าปรมาจารย์มาก แต่ในเวลานี้ใบหน้าของเขากลับผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

เขาหัวเราะ “ฮ่าๆ จิงเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวหรอก ใครจะกล้าทำแบบนั้นกัร ฉันจะจัดการมันด้วยหมัดเดียวเอง! ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังสวมสมบัติป้องกันตัวที่ฉันนำมาสู่โลกนี้ แค่พลังอันน้อยนิดของพวกเขา ตามจริงแล้วไม่สามารถทำร้ายเธอได้เลย ฉันเคยบอกเธอไปก่อนหน้านี้แล้ว”

“สามีคือผู้ยิ่งใหญ่” จิงเอ๋อร์มองเขาด้วยความชื่นชมแล้ววางศีรษะลงแนบอกของเขา

ไป่ซื่อซินลูบหัวของหญิงสาวเบาๆ “เพื่อให้มั่นใจ ฉันจะบอกความลับอื่นให้เธอฟัง ตอนที่พวกเธอไม่กี่คนเข้ามาลี้ภัยในเผ่าของเรา ฉันก็ได้ติดตั้งอุปกรณ์ระบุตำแหน่งไว้บนร่างกายแล้ว ทั้งหมดนั้นอยู่ในแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ของท่านปรมาจารย์ผู้แกร่งกล้า ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์ได้มีคำสั่งลงมา สำหรับคนที่เข้ามาลี้ภัยในเผ่าของเรานั้น เหล่าหนูยักษ์ไม่สามารถแตะต้องได้แม้แต่ปลายผม ไม่อย่างนั้นต้องตายสถานเดียว

“อีกอย่างนะ จิงเอ๋อร์ เธอยังมีความสามารถระดับสูงที่หายากในด้านการเกษตร และมันเกี่ยวข้องกับรากฐานหลายพันปีของตระกูลเราด้วย ตราบใดที่สิ่งนั้นเสร็จสิ้น ด้วยคุณงามความดีของเธอ ท่านปรมาจารย์สัญญาว่าจะมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้เธอ เยาว์วัยไม่แก่เฒ่า จะต้องทำตามสัญญาแน่นอน”

ใบหน้าของจิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสุข จากนั้นเธอก็กังวลขึ้นมา “แต่ฉันได้ยินมาว่าปีศาจอย่างพวกคุณทุกคนฉลาดแกมโกง ถ้าเวลานั้นมาถึง กระต่ายถูกฆ่าสุนัขถูกกิน ฉันควรทำยังไง?”

เมื่อไป๋ซื่อซินได้ยินเช่นนี้ เขาไม่โกรธเลยสักนิด แต่ยังลูบผมของอีกฝ่ายด้วยความรัก “ฮ่าๆ นั่นคือสิ่งที่เธอทำตอนที่มีชีวิตอันแสนสั้นไงล่ะ”

“เธอรู้ไหมว่าปรมาจารย์ของฉันมีชีวิตอยู่มานานแค่ไหน? ในปีนี้เขามีอายุห้าร้อยปี และมีพลังวิเศษมากมาย พวกเธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ ให้ชีวิตอมตะแก่พวกเธอ ก็มีชีวิตได้ไม่เท่าเขาอยู่ดี เขากลัวจะอะไรพวกเธอล่ะ? การที่สุนัขกินกระต่ายนั้นทำลายสัญญาระหว่างพวกเรา แล้วเรายังจะรับสมัครผู้มีความสามารถระดับสูงในเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเธอต่อไปในอนาคตได้ยังไง? พวกเขาทั้งหมดมีความสามารถมาก ถ้าเธออยู่ได้ดี พวกเขาจะมาอย่างต่อเนื่อง”

จิงเอ๋อร์เปลี่ยนท่าทีจากความกังวลเป็นความยินดี แล้วตบๆ หน้าอกของตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นฉันก็วางใจได้ ฉันยังอยากเป็นนางฟ้าคู่กับสามีไปตลอดชีวิต”

ไป๋ซื่อซินพยักหน้า พลางลูบผมของอีกฝ่ายต่อไป และค่อยๆ ช่วยทำความสะอาดฝุ่นที่คนธรรมดามองไม่เห็น

แต่แล้วจิงเอ๋อร์ก็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่องานใหญ่เสร็จสิ้น คู่สามีภรรยาซื่อผิงก็ตายไปแล้ว สามีท่านเป็นรองแค่หนึ่งคนแต่เหนือกว่าหมื่นคน คุณจะไม่แต่งภรรยาเพิ่มใช่ไหม?”

ไป๋ซื่อซินหยุดล้างมือและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ตระกูลหนูยักษ์ของเรามีนิสัยเจ้าเล่ห์ และความเสน่หาในครอบครัวก็ไม่แยแสกับเรามากหรอก มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จงรักภักดีต่อคู่ของพวกเขา เธอต้องรู้ด้วยว่าซื่อผิงและภรรยาของเขาเสียชีวิตแล้ว ในท้ายที่สุดพวกเขาจะถูกทรมานในที่เดียวกันในเวลาเดียวกันและไม่มีใครรอดพ้นไปเพียงลำพัง”

จิงเอ๋อร์เอ่ยว่า “ฟังสิ่งที่คุณพูดแล้ว ฉันก็ทำงานได้อย่างสบายใจ อ้อสามี วันนี้ฉันเจอสูตรทำอาหารใหม่จากอินเทอร์เน็ตแล้วลองทำดู หลังจากพวกเรากินเสร็จ ฉันจะออกไปทำงานล่วงเวลา”

“ตกลง ฉันจะรอชิมฝีมือของภรรยาสุดที่รัก” ไป๋ซื่อซินเอ่ยอย่างมีความสุขพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องอาหารกับภรรยาของเขา เมื่อครู่ปรมาจารย์เพิ่งจะมอบภารกิจให้ เขาไม่ได้รีบร้อนเลยสักนิด

หลังจากทานอาหารเสร็จ ไป๋ซื่อซินและภรรยาของก็กล่าวคำอำลา แยกกันไปคนละทางแล้วขึ้นรถไฟใต้ดิน

อีกฝ่ายต้องออกไปทำงานล่วงเวลาตอนกลางคืน กว่าจะกลับก็บ่ายโมง

แม้จะกลับช้า แต่ไป๋ซื่อซินก็ไม่ได้กังวลเพราะภรรยาของเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองลับๆ อย่างเข้มงวดระหว่างทางไปและกลับตลอด การดูแลแบบลับๆ นี้ไม่ได้จะป้องกันจากหนูยักษ์ แต่เพื่อป้องกันจากผู้คน

หลังจากส่งภรรยาออกไปแล้ว เขาก็เผชิญสถานที่แห่งหนึ่งในอากาศ

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสถานที่นั้น

“เจ้ารู้ไหมว่าเธอหวาดกลัวอะไรในช่วงนี้?”

“รายงานกับอาจารย์ เมื่อสองวันก่อนหนูยักษ์แรกเกิดจำนวนหนึ่งถูกส่งตัวไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบอาหาร เนื่องจากหนูยักษ์มีมากเกินไปและเร่งด่วนจึงทำให้บางตัวไม่มีเวลาฝึกฝนให้ดี จึงได้แสดงท่าทางดุร้ายต่อเธอระหว่างการทดลอง”

ดวงตาของไป๋ซื่อซินฉายแววเย็นเยียบ เขายื่นมือออกไปโบกกลางอากาศ “สังหารกลุ่มนั้นทั้งหมดแล้วแทนที่ด้วยกลุ่มที่ได้รับการฝึกฝน ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะช้าหรือเร็ว แต่หนูยักษ์ทั้งหมดที่จะเข้าสู่ห้องปฏิบัติการในอนาคตต้องได้รับการฝึกฝนและไม่ก้าวร้าว”

“ขอรับ ท่านอาจารย์ ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้”

“อืม ไปซะ”

ไป๋ซื่อซินกลับบ้าน เมื่อกลับมาถึง เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือ สายตาพลันเหลือบมองไปที่ชั้นหนังสือและดึงหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อเรื่องว่า “ศิลปะแห่งสงครามซุนวู” ออกมา

เขาพลิกไปที่หน้าหนึ่งและเริ่มอ่าน

“ผู้ที่เก่งกาจในการต่อสู้ จะยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งที่ไร้เทียมทาน และไม่พ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู ดังนั้นทหารที่ได้รับชัยชนะนั้นก่อนจะต่อสู้ ทหารที่แพ้ต่อสู้ก่อนแล้วจึงชนะ ”

เขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววแปลกประหลาดฉายวาบในดวงตา

…………

ในพื้นที่ของระบบ

สามวันผ่านไป ยังไม่มีข่าวสารใดๆ และระบบก็หมดความอดทนแล้ว

ระบบกล่าว “ปีศาจตัวใหญ่สองตัวนั้นหายไปไหนนะ? ไม่มีข่าวคราวเลย ระบบมองว่าเจิ้งต้าวเป็นมือใหม่ เกรงว่าจะมีประสบการณ์น้อยไป ทำไมโฮสต์ไม่ออกหน้าเอง? อย่างไรก็ตาม โฮสต์ยังสามารถดูแผนที่ระบบได้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เขาไม่มี”

ฟางหนิงเข้าใจที่ระบบหงุดหงิดแบบนี้ ปีศาจตัวใหญ่สองตัวนั้นมีขนาดเท่ากันกับปรมาจารย์ไป๋ แต่พวกมันเพิ่งมาถึง พลังจึงอ่อนแอเกินไปที่จะเห็นสี

เทียบเท่ากับ BOSS ที่โดนเลือดหยดสุดท้ายในเกมแล้ววิ่งหนีไป พวกมันเป็นผู้เล่นที่ต้องค้นหาและระเบิดอย่างรวดเร็ว

ฟางหนิงไม่อยากวางเกม “Battle of the Beasts” ลงเลย

เขารู้ว่าหลังจากที่ปีศาจทั้งสองนี้ถูกกำจัด ค่าประสบการณ์ของ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” เวอร์ชันเต็มก็น่าจะเพียงพอ

ฟางหนิงกล่าวว่า “ถ้าฉันจะออกโรงเดี๋ยวก็ออกโรงเอง แต่ขอฉันดูข้อมูลที่เจิ้งต้าวตรวจสอบก่อน”

ระบบกล่าว “รีบมาดูสิ”

ฟางหนิงเปิดข้อมูลที่อีกฝ่ายส่งมาให้ เขาอ่านมันเพียงครั้งเดียว ด้วยพลังสมองที่พัฒนาอย่างมากนั้นเทียบได้กับนักสืบที่มีชื่อเสียงเลยทีเดียว และตอนนี้เขาก็รู้แล้ว “ตามข้อมูลการสอบสวน ปีศาจทั้งสองตัวนี้ ดูเหมือนจะเป็นหมาจรจัด พวกมันไปที่ร้านของเราเพื่อกินอาหาร มีเพียงพวกมันเท่านั้นที่มีการพัฒนาด้านการดมกลิ่น และความสามารถในการหลบหนีจากพื้นดิน ดังนั้นพวกมันจึงสามารถตรวจจับการโจมตีของมังกรเพลิงล่วงหน้าและหลบหนีไปได้

“เจิ้งต้าวและคนอื่นๆ ค้นพบว่าการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของพวกมันอยู่ในพื้นที่เพาะปลูกในเขตชานเมืองของเมืองฉี ฉันเชื่อว่าพวกมันอ่อนแอมากจนไม่สามารถใช้ทักษะการหลบหนีร่วมกันได้ ไม่อย่างนั้นพวกมันก็ตรงออกจากบริเวณเมืองฉีไปแล้ว”

ระบบกล่าว “อย่าวิเคราะห์ให้มากนัก โฮสต์แค่บอกมาว่าพวกมันอยู่ที่ไหน?”

ฟางหนิงตอบ “มีสถานที่หนึ่ง ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด”

ระบบถาม “ที่ไหนล่ะ”

ฟางหนิงตอบว่า “หม้ออาหารของหนูยักษ์”

ระบบงุนงง

ฟางหนิงเอ่ย “แกรู้แค่วิธีฆ่าปีศาจและฝึกฝน แต่ไม่รู้จักวิเคราะห์ ฉันรู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้จำนวนสุนัขและแมวจรจัดได้ลดลงไปอย่างมากในเมืองใหญ่ๆ และหลายๆ แห่งก็ว่างเปล่า หลายคนเคยเห็นว่าถูกหนูยักษ์ลากลงไปใต้ดินแล้วกลืนลงไป เจิ้งต้าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นและการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะ เขาจะต้องค้นพบสถานที่ที่สามารถพบได้โดยรอบเมืองฉี แต่สถานที่ที่หาไม่พบนั่นก็อยู่ใต้ดิน สุนัขปีศาจสองตัวนั้น น่าจะถูกหนูยักษ์ลากไปกินแล้ว”

ระบบกล่าว “โฮสต์หมายความว่าเราหมดหวังแล้วงั้นเหรอ? โฮสต์ก็ออกโรงเองไม่ได้เหรอ?”

ฟางหนิงตอบ “ใช่แล้ว”

เขาคิดในใจ ‘ไม่ใช่ว่าเราไม่เสียสละ แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้ ยอมแพ้เลยน่าจะดีกว่าแล้วปล่อยให้ฉันเล่นเกมต่อเถอะ เกมเพิ่งจะเปิด ฉันจะทิ้งคนอื่นได้ไง”

ระบบกล่าว “เอาละ ในเมื่อโฮสต์ไร้ประโยชน์ขนาดนี้ ก็ปิดและตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วกลับไปฝึกฝนอย่างหนัก”

ฟางหนิงพูดไม่ออก

………………………………………………………………

บทที่ 85 มอนสเตอร์ยักษ์สองตัวนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว

“แกก็มาที่นี่ด้วยเหรอ?”

“ใช่ มาก่อนแกแค่ไม่กี่วัน”

“แกมาที่นี่ เพราะอยากได้พละกำลังใช่ไหม?”

“ฉันอยากได้สาวๆ น่ะ”

“พี่น้องร่วมศรัทธา…”

“แกเป็นโสดมานานแค่ไหนแล้ว?”

“ปีนี้ฉันอายุสองร้อยสามสิบสามปี”

“โอ้ ฉันอายุสองร้อยห้าสิบปี ดูเหมือนว่าฉันจะโสดมานานกว่าคุณแกอีก”

สุนัขอภิบาลสองตัวยืนอยู่บนเตียงดอกไม้ แม้ว่าปากจะไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงการสบตากันเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการสื่อสารเลย

สุนัขอภิบาลสองตัวนี้ ตัวหนึ่งสีดำและตัวหนึ่งสีเหลือง

หมาดำบอกว่าตนนั้นอายุสองร้อยสามสิบสามปี ท่าทางของมันแข็งแรงมาก แต่หน้าท้องมีรอยย่นเล็กน้อย ส่วนหมาเหลืองอายุสองร้อยห้าสิบปี ร่างกายผ่ายผอม หน้าท้องยับย่นยิ่งกว่า

ในเวลานี้ หญิงสาวฐานะดีคนหนึ่งที่กำลังเดินดูโทรศัพท์มือถือ ก็จูงสุนัขลาบราดอร์สีขาวตัวหนึ่งเดินผ่านเข้ามา

ทันทีที่สุนัขลาบราดอร์ปรากฏตัว พวกมันก็สูดจมูกพร้อมๆ กัน แล้วส่งยิ้มให้กันเล็กน้อย จากนั้นก็มองตามสุนัขลาบราดอร์ที่ก้าวเดินไป

“แกไปก่อนเถอะ?” หลังจากที่คอยมองอย่างตะกละตะกลามอยู่พักใหญ่ หมาดำก็หันศีรษะมาพลางส่งสายตา

“คราวนี้ฉันจะให้แกก่อน” หมาเหลืองมองดูรูปร่างที่แข็งแรงของลาบราดอร์ แล้วเปรียบเทียบรูปร่างที่ขาดสารอาหารของตัวเอง ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

“ขอบคุณมาก”

หลังจากที่หมาดำพูดจบ มันก็เดินผ่านไปท่าทางมั่นอกมั่นใจ โดยโชว์กล้ามเนื้อที่กำยำของตัวเองขณะเดิน อย่างไรก็ตามยังไม่ทันเข้าใกล้สามเมตร หญิงสาวคนนั้นก็ผลักมันออกไปด้วยท่าทางรังเกียจ “หมาจดจัดสินะ ไม่มีแม้แต่ป้ายชื่อ ไปให้ อย่าเข้ามาใกล้ตันตันของฉันนะ”

หมาดำท้อแท้และสิ้นหวัง มันเดินกลับมาที่เดิม

“ตาแกแล้ว” มันพูดกับหมาเหลือง

หมาเหลืองเรียนรู้บทเรียนแล้ว เมื่อหญิงสาวเจ้าของสุนัขลาบราดอร์กำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นโทรศัพท์ มันจึงก้มศีรษะลงและเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นลาบราดอร์สีขาวคำรามใส่มันเสียงต่ำ ก็รีบบิดหางวิ่งเยาะๆ กลับไปที่เดิมทันที

“เกิดอะไรขึ้น?” หมาดำถาม

“เธอบอกว่าฉันไม่มีทะเบียน กลิ่นเหมือนเอเลี่ยน ไม่มีเจ้าของไม่มีบ้าน ยากจนไม่มีจะกิน”หมาเหลืองเองก็มีท่าทางหดหู่เช่นกัน

“ดูเหมือนว่าสาวๆ พวกนี้จะจีบไม่ง่ายเลย” หมาดำรู้สึกแบบเดียวกัน

“งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ฉันมาที่นี่” หมาเหลืองกล่าว น้ำลายไหลออกจากปาก

“ฉันก็ด้วย หลังจากที่ฉันมาที่นี่ ฉันก็ได้กลิ่นร้านอาหารดีๆ แห่งหนึ่ง ฉันอยากไปมาก แต่ก็มาช้าเพราะมัวมองหาสาวๆ ก่อน” หมาดำกล่าว

“ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้กลิ่นแล้ว และฉันก็ไม่ได้ไปเพราะมัวแต่มองหาสาวๆ อยู่เหมือนกัน” หมาเหลืองตอบพลางพยักหน้า

พวกมันมองหน้ากัน แล้วยิ้มออกมา ทั้งสองวิ่งคู่กันไปทางร้านอาหาร “รสชาติของฟางซื่อ”

…………

ในเวลานี้อัศวิน A ซึ่งอยู่ห่างไกลจากแผนที่ “เมืองจี้” กำลังไล่ฆ่าปีศาจทั้งกลางวันและกลางคืน ทันใดนั้น เขาก็หยุด ดวงตาพลันเป็นประกาย จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางและวิ่งไปยังบ้านของตัวเองทางทิศใต้

ไม่กี่ก้าว เขาก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ มังกรเพลิงปรากฏตัวขึ้นและพุ่งตรงไปบนท้องฟ้า มันออกบินไปด้วยความเร็วสูง

…………

“ไอ้หยา หมาสองตัวนี้มาจากไหนกัน? พวกมันหิวโซ ดี ไปนั่งข้างๆ ก่อน แล้วพี่สาวจะให้คนเอาของเหลือมาให้พวกแก” ผู้จัดการร้านจ้าวอิ๋งกล่าวกับสุนัขจรจัดสองตัว

ตอนที่เธอกำลังยุ่ง เธอถูกพนักงานร้านเรียกเอาไว้โดยบอกว่ามีหมาจรจัดจะเข้ามาในร้าน พวกเขามาถามผู้จัดการร้านว่าจะใช้ไม้ไล่พวกมันไปหรือไม่

พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะทุกคนรู้ดีว่าผู้จัดการร้านจดีกับสัตว์เล็กๆ มากหมาจรจัดสองตัวนี้ไม่สกปรกเลยสักนิด ดูเชื่อง และไม่น่ารำคาญจนเกินไป แตกต่างจากสุนัขจรจัดบางตัว

“ไอ้ขี้เหร่คนนี้พูดอะไร แค่เอาของเหลือมาให้เรางั้นเหรอ? ถ้าเราก้มหน้าลงกินสิ่งนั้นได้ ตอนนี้เราจะยังหิวอยู่ไหม?” หมาเหลืองหันมอง

หมาดำพยักหน้า “ใช่ ดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว พวกเราล้วนเป็นขุนนางของเผ่าสุนัขป่า ที่มาที่นี่ทีละคน และเลือกที่จะแปลงร่างเป็นหมาจรจัดเพื่อรวมเข้ากับท้องถิ่น ไม่อยากเชื่อเลยว่า ทุกคนไม่ได้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น”

หมาเหลืองเอ่ย “ใช่แล้ว ถ้าเลี้ยงเราด้วยอาหารมื้อใหญ่ แล้วปิดกั้นประตูไม่ให้เราเข้าไป หรือกระทั่งขับไล่เราออกไป คงเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมาก! ขึ้นไปผลักมนุษย์ที่น่าเกลียดเหล่านี้ออกไป แล้วเดินกร่างเข้าไปนั่งกินกันเถอะ”

หมาดำเอ่ย “แกมา แกมาเร็วๆ”

หมาเหลืองตอบกลับ “ไม่ คุณไปสิ แกยังเด็กแกไปก่อนเลย”

หมาดำใช้จมูกดมๆ และหมาเหลืองก็ดมด้วยเช่นกัน ทั้งสองแหงนหน้ามองฟ้า แล้วพูดออกมาพร้อมกันว่า “มาเถอะ ไปด้วยกัน…”

จากนั้นจ้าวอิ๋งก็เห็นหมาจรรจัดทั้งสอง ก้มศีรษะลงกระแทกกับพื้นคอนกรีตแข็ง ก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องตกใจ สุนัขสองตัวนั้นก็หายไปแล้ว

ในทุ่งร้างเขตชานเมือง มีเพียงข้าวสาลีฤดูหนาวในทุ่งเท่านั้นที่ยังคงเบ่งบานด้วยสีเขียว

จู่ๆ สุนัขสองตัวก็โผล่ออกมาจากสันเขา

“สิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้มาได้ยังไง? ทำให้เทพกลายเป็นหนูอีกครั้ง หลังจากที่ฉันเกิดมา ก็หายตัวแค่ไม่กี่ครั้งเอง”หมาดำนอนอยู่บนพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนัก

“ฉันก็ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันหนีมาออกมาได้ ไอ้คนที่บินมาจากท้องฟ้า พลังของเขาฟื้นคืนเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?” หมาเหลืองหอบหายใจหนักขึ้น

“มันอาจได้พบกับเจ้าของที่ร่ำรวยและแสนดีที่นี่ เลยกินอาหารได้อย่างอิ่มเอมทุกวัน” หมาดำคาดเดา

หมาเหลืองยืนขึ้น “ควรจะเป็น เราไม่ได้เสียภาพลักษณ์ของขุนนาง ต่อให้หิวจนตายก็ไม่เก็บขยะกิน หลังจากมาที่นี่ ก็ยังไม่เจอเจ้าของ ไม่เคยได้กินข้าว เกรงว่าจะสู้มันไม่ได้”

หมาดำเอ่ย “งั้นเราก็ไปหาเจ้าของที่ร่ำรวยกันเถอะ กินอิ่มแล้วก็ไม่ต้องกลัวมัน นอกจากนี้หากมีเจ้านายก็จะมีบ้าน และจะมีทุนไปจีบสาวเมื่อครู่นี้”

หมาเหลืองพูด “พูดได้ดี”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ พวกเขาก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างอีกครั้ง และในขณะเดียวกันก็หันกลับมามอง เห็นเพียงหนูยักษ์ตัวหนึ่งที่ไม่เล็กไปกว่าพวกมัน ทันใดนั้นก็โผล่หัวออกมาจากรูในทุ่ง ดวงตาเย็นเฉียบคู่นั้นมองมาทางพวกมัน ราวกับมองดูเนื้อสองก้อนที่เคลื่อนไหวได้

สุนัขสองตัวตัวเทาสั่น

หมาสีดำก้าวถอยหลังพลางเอ่ยว่า “มีหนูตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง?”

หมาเหลืองเอ่ยต่อ “เอามันไปเป็นอาหารของวันนี้ดีไหม?””

หมาดำ: “งั้นแกไปจับมันสิ”

หมาเหลืองตอบ “ไม่ แกจับเถอะ”

พอพูดจบ เจ้าหมาสองตัวก็วิ่งหนีไปแล้ว…

…………

หมาจรจัดหายไปจากพื้นพร้อมกัน เรื่องนี้ทำให้จ้าวอิ๋งสงสัยอยู่นาน เธอกำลังจะกลับไปทำงานในร้าน ก็เห็นคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ

นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพี่ชายรูปหล่อ เขามาโผล่ได้ยังไง เป็นไปได้ไหมที่เขารับรู้ได้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในอันตรายและเข้ามาช่วยฉันเมื่อกี้นี้เหรอ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่สุนัขหน้าตาดุร้ายสองตัว อยากจะจู่โจมฉัน

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยดวงดาวเล็กๆ ด้วยรู้สึกซาบซึ้งมากจนพูดไม่ออก จึงเอื้อมมือออกไปทักทายทันที

อัศวิน A งุนงงอยู่พักหนึ่งแล้วหายไป เหลือเพียงสายลมที่พัดผ่านจ้าวอิ๋ง

ผู้ช่วยร้านสองคนที่อยู่ข้างๆ มองดูผู้จัดการร้านคนสวยที่เพิ่งยื่นมือออกไป จึงกลั้นไว้ไม่กล้าหัวเราะ

…………

พื้นที่ของระบบ

ระบบกล่าว “เมื่อกี้มีปีศาจตัวใหญ่มากๆ สองตัว ปรากฏตัวในบ้านเกิดของเรา ในแง่ของพื้นที่ไม่มีใครเลวร้ายไปกว่าปรมาจารย์ของตระกูลไป๋ แต่สีนั้นอ่อนเกินไป ถ้าฉันไม่ใส่ใจ ก็แทบจะมองไม่เห็น นี่มันอ่อนแอเกินไป ฉันหลงคิดไปว่าพวกมันมากับจอมมารเจ็ดอารมณ์ครั้งก่อนเพราะงั้นจึงเป็นอย่างนี้ ครั้งนี้กลัวโดนปล้น จึงแปลงร่างเป็นมังกรแล้วรีบกลับไป แต่ไม่เห็นมันอีก เกิดอะไรขึ้น? ”

ฟางหนิงกำลังเล่นเกมใหม่อยู่ เกมใหม่มีชื่อว่า “สัตว์ต่างๆ แข่งกันเพื่ออำนาจสูงสุด” การออกแบบนั้นสนุกจริงๆ เขาติดเกมนี้มาก ทั้งอุปกรณ์ที่ติดตั้งในเกม ไม่สามารถใช้เงินซื้อชุดสีทองได้ ก็อย่าบอกว่าซื้อประสบการณ์

แต่สำหรับผู้ที่ฝึกฝนมาจนถึงจุดเริ่มต้นของร่างมังกร ความได้เปรียบในขั้นต้นนั้นยิ่งใหญ่กว่า เมื่อพูดถึงการทำงานของเกม เขาสามารถบดขยี้ผู้เล่นคนอื่นได้หลายครั้งด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดปกติของเขา ตราบใดที่เขาสามารถทำลายการป้องกันได้ เขากล้าฆ่า BOSS ด้วยตัวคนเดียว ทำให้เขาเห็นความหวังในการเป็นราชาด้วยเงินเพียงน้อยนิดและจัดระเบียบกิลด์ใหม่

ในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจมันเลย แค่พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นก็ส่งให้เจิ้งต้าว ให้เขาสืบสวนก่อน ตอนนี้เขามีทักษะตัวเบาขั้นสูงที่คุณมอบให้ และมีทักษะเกราะป้องกันปราณแท้ที่ฉันได้มา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล

“นอกจากนี้ เขายังได้สร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของสำนักสัจธรรมด้วย และได้จัดตั้งแบรนด์ของหน่วยงานการจัดการร่วมฝ่ายกิจการพิเศษสำหรับบริษัทใหม่ และสำนักงานกิจการพิเศษในท้องถิ่นจะเผชิญหน้าบ้าง ที่นี่ก็คือบ้านเกิดของเรา หมดกังวลเรื่องสานสัมพันธ์ มอบให้เขานั้นจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ”

เมื่อมีคนที่จะส่งให้ แน่นอนว่าฟางหนิงก็ไม่ได้ผลักมันออกจากหัวสมองไป

ระบบกล่าวว่า “ก็ดี น่าเสียดายที่ฉันเสียการเดินทางไปเปล่าๆ และเสียสล็อตปราณไปเปล่าๆ ถ้ามันไม่เพิ่มเป็นสองเท่าในตอนนี้ ฉันคงลังเลที่จะใช้มัน ลืมมันไปเถอะ แค่อยู่ในเมืองฉีไม่กี่วัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องวิ่งกลับหลังจากเจิ้งต้าวตรวจสอบได้ความแล้ว ”

ฟางหนิงไม่เงยหน้ามอง “ตามใจสิ…”

…………

ภายในห้องลึกใต้ดิน

ปรมาจารย์ของตระกูลไป๋มองดูแผนที่อิเล็กทรอนิกส์โดยเอามือไขว้หลัง และฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างครุ่นคิด

“แกหมายถึง มีสุนัขปีศาจสองตัวอยู่ในเมืองฉีงั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ มีการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับราชาหนูยักษ์ในพื้นที่ ว่าสุนัขปีศาจสองตัว ดูจากลมหายใจ น่าจะเป็นสุนัขธรรมดา และไม่สามารถมองเห็นถึงระดับสายเลือดได้ พวกเขาควรจะเป็นเนื้อสด และตอนนี้พวกมันอ่อนแอมากจนหนูยักษ์ธรรมดาๆ ก็สามารถทำให้พวกมันหวาดกลัวได้ เนื่องจากคำสั่งของปรมาจารย์จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์ตื่นตระหนกมากเกินไปได้ในตอนนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น ราชาหนูยักษ์เพิ่งส่งหนูยักษ์ไปจ้องมองที่พวกมันใต้ดิน แต่ก็ไม่ได้จับพวกมัน ”

ปรมาจารย์ตระกูลไป๋พยักหน้า “อืม พวกเจ้าทำได้ดีมาก เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพืชใต้ดินของเรายังคงอยู่ห่างจากการวิจัยเพียงขั้นตอนเดียว ดังนั้นเราต้องงดเว้นในช่วงนี้ ”

“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ที่ชื่นชม ”

ปรมาจารย์ตระกูลไป๋ครุ่นคิด แล้วพูดว่า: “เวลาในการคำนวณก็ใกล้เคียงกัน แม้ว่าพวกมันจะช้าไปหนึ่งก้าว แต่ฉันไป๋อวิ๋นเซิงจะไม่ยอมให้มีปีศาจกลุ่มที่สองปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เรียกซื่อซินมาหาข้า ”

หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนในชุดสีดำที่มีใบหน้าเรียบเฉยก็เข้ามาหาปรมาจารย์และโค้งคำนับ

“เอาละ ซื่อซิน อย่าสุภาพเกินไป ปรมาจารย์เรียกหาเจ้าในครั้งนี้ เพราะต้องการให้เจ้ากำจัดปัญหาร้ายแรงสองประการให้กับตระกูลข้าล่วงหน้า เจ้าตกลงไหม? ”

ไป๋ซื่อซินกล่าว “ข้าน้อยอารมณ์เสียมาก และจะไม่ปฏิเสธ ”

“เจ้าจะไม่ถามก่อนเหรอว่าสองปัญหาใหญ่นั้นคือใคร? ”

ปฏิกิริยาของไป๋ซื่อซินไม่ได้เปลี่ยนแปลง: “ข้าน้อยสนใจแค่ว่าศัตรูอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ศัตรูคือใคร ”

ปรมาจารย์ตระกูลไป๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ: “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกคุณว่าศัตรูอยู่ในเมืองฉี และพวกมันเป็นสุนัขสองตัวที่จะกลายเป็นเนื้อในไม่ช้า”

……………………………………………………..

บทที่ 84 ได้เวลากวาดล้างปีศาจที่แข็งกร้าวแล้ว

เฉียวจื่อซานดีใจจริงๆ ที่อัศวิน A มีผู้ช่วย ไม่อย่างนั้นการแลกเปลี่ยนเรื่องศิลปะการต่อสู้ จะเป็นการยากสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับอัศวิน A

เขาเอ่ยขึ้นในทันทีว่า “หากท่านทั้งสองเต็มใจจะสอน นั่นก็คงจะดี แต่ผมต้องรบกวนให้พี่เจิ้งถ่ายทอดหนึ่งหรือสองสิ่งในนามของเขา”

เจิ้งต้าวตอบตกลง จากนั้นทั้งสองก็พักกันที่โรงน้ำชาชั่วคราว เจิ้งต้าวได้ติดต่อหาฟางหนิง

หลังจากที่ฟางหนิงได้ฟังเรื่องราว ก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่เขาแก้ปัญหาการป้องกันสามมิติด้วยตัวเอง และกำลังจะล้มลงบนตัวขอเฉียวจื่อซาน อีกฝ่ายไม่มีความคิดที่จะติดต่อเขาเลย

เขาตอบกลับ “ไม่ยากเลย พวกเรามาคุยกันเถอะ”

ในพริบตา อัศวิน A ก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน

“เคยเห็นเทพเจ้า”

“เคยเห็นจอมยุทธ์”

อัศวิน A “ที่นั่งนี้รู้ปัญหาอยู่แล้ว และปัญหาด้านอุปนิสัยก็แก้ได้ไม่ยาก แค่ต้องฟังขั้นตอนการฝึกปราณเบื้องต้นของนาย จึงจะวางแผนได้ถูก”

เฉียวจื่อซานเผยสีหน้ายินดี และพยักหน้าทันทีโดยไม่ลังเล “นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น”

หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็เริ่มอธิบายวิธีการเริ่มต้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ก็มีเสียง “ติ๊งๆ” ดังขึ้น

เขาขอตัวออกไปรับสายโทรศัพท์

เฉียวจื่อซาน “อ่า เป็นผู้เฒ่าเฟิงเหรอ? มีอะไรเหรอครับ”

เสียงนั้นดังมาจากปลายสาย “จื่อซาน นายรายงานโดยไม่ขอคำแนะนำหรือเปล่า จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องถ่ายทอดการฝึกฝนปราณเบื้องต้นนี้?”

เฉียวจื่อซานไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายรู้ทุกความเคลื่อนไหวของตัวเอง ต้องรู้ว่านี่คือที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสำนักสัจธรรม และการเฝ้าระวังมีอยู่ทุกที่ ในฐานะหัวหน้าทีมสืบสวนพิเศษของสำนักสัจธรรม เขามีความลับมากมาย ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่สำคัญ

เขาบ่นพึมพำ “ผู้เฒ่าเฟิง ผมเพิ่งแลกเปลี่ยนความรู้และการฝึกฝนกับเพื่อนสองคน นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดเหรอ?”

ผู้เฒ่าเฟิงตอบ “การฝึกปราณเป็นไพ่ใบใหญ่สำหรับเราในการต่อสู้กับปีศาจ ถ้านายถ่ายทอดออกไป แล้วพวกเขาพบช่องโหว่หรือจุดอ่อน นายจะรับผิดชอบได้ไหม?”

เฉียวจื่อซานเอ่ย “เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่นานหลังจากการก่อตั้งสำนักสัจธรรม ครอบครัวเฉียวของเราจะแนะนำวิธีเริ่มต้น ให้สมาชิกทั้งหมดของสำนักสัจธรรมเรียนรู้ได้อย่างอิสระ ผู้ที่เริ่มต้นได้ก็สามารถดำเนินการศึกษาต่อกับผมได้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เริ่มต้นได้ ถ้าพวกปีศาจจะรู้ ก็รู้นานแล้วครับ”

ผู้เฒ่าเฟิงเอ่ย “นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจะบอก ในตอนแรกที่ครอบครัวเฉียวของนายต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้ ฉันก็คัดค้านอย่างมาก แต่พวกนายทุกคนไม่ฟัง ว่ากันว่ายิ่งคนที่เรียนรู้มันมากเท่าไรก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้นในการต่อสู้กับวิกฤตในอนาคต ผลที่ได้รับก็ดี แต่มีไม่กี่คนที่เรียน และมันก็ยากสำหรับพวกเขาแต่ละคนที่จะฝึกฝนต่อไป

“ตรงกันข้ามให้ผู้เฒ่าไป๋ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเรา แล้วส่งคนไปศึกษาอย่างเปิดเผย หลังจากที่พวกปีศาจได้รู้วิธีเบื้องต้นแล้ว พวกเขาจะต้องเห็นว่าปราณนั้นเป็นศัตรูตัวร้ายของพวกปีศาจ มันจะสร้างตัวเองเป็นเผ่าตั้งแต่เนิ่นๆ และเราก็จะไม่สามารถทำอะไรมันได้”

เฉียวจื่อซานพูดไม่ออกครู่หนึ่ง ปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นคนชอบเถียง “แล้วท่านหมายความว่าอย่างไรครับ?”

ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวว่า “กฎถูกกำหนดไว้นานแล้ว และฉันจะปฏิบัติตาม ตั้งแต่มีกฎว่าเจ้าหน้าที่สำนักสัจธรรมสามารถเรียนรู้ได้อย่างอิสระ ตอนนี้นอกจากอัศวิน A จะเข้าร่วมกับสำนักสัจธรรมแล้ว นายก็ห้ามบอกคนภายนอกเรื่องการฝึกฝนปราณเบื้องต้นนี้”

เฉียวจื่อซานถอนหายใจ สถานะของอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าตนมาก และเขาก็มีเหตุผล ด้วยอุปนิสัยของเขาไม่สามารถต่อต้านได้ ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ “เอาละ ผู้เฒ่าเฟิง ผมจะทำในสิ่งที่ท่านต้องการ”

เมื่อเขากลับมา เฉียวจื่อซานก็ขอโทษทั้งสองคนครั้งแล้วครั้งเล่า อธิบายเรื่องราวทั้งหมด และกล่าวว่าผู้เฒ่าเฟิงห้ามไม่ให้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการฝึกฝนปราณเบื้องต้นกับคนนอก

เจิ้งต้าวกล่าวปลอบใจอีกฝ่ายและแสดงความเข้าอกเข้าใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนในระบบ การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ อาจถูกจำกัด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

ในทางกลับกัน อัศวิน A ก็กล่าวว่า “ใครคือผู้เฒ่าเฟิงที่นายพูดถึง?”

เฉียวจื่อซานตอบ “เขารับผิดชอบเรื่องวิธีการฝึกฝนที่เชี่ยวชาญโดยสำนักสัจธรรมของเรา และเขาก็เป็นผู้ดูแล ‘พิพิธภัณฑ์เหวินหุย’ ของสำนักสัจธรรม ศักยภาพของเขาเทียบได้กับลุงของฉัน แต่สถานะของเขานั้นสูงกว่ามาก”

อัศวิน A ถามต่อ “ปกติเขาเป็นคนยังไง?”

เฉียวจื่อซานไม่เข้าใจความหมายของอัศวิน A แต่ก็พูดไปตามความจริง “หลายคนบอกว่าเขาดื้อรั้น แต่ฉันเห็นว่าผู้เฒ่าเฟิงยังคงอุทิศตนเพื่อสาธารณะ และนอกเหนือจากนั้นก็จัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างยุติธรรม”

อัศวิน A เอ่ย “น่าเสียดายจริงๆ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นฉันขอตัว”

เฉียวจื่อซานคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งเสียดายที่พวกเขาทั้งสองไม่ได้แลกเปลี่ยนความรู้และการฝึกฝนที่ดี จึงกล่าวขอโทษทันที “ทำให้จอมยุทธ์เสียเวลาแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของจื่อซาน ขอท่านจอมยุทธ์โปรดอภัย”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ อัศวิน A ก็ลอดทางหน้าต่างออกไปแล้ว เขาลอดหน้าต่างออกไปอย่างรวดเร็ว…

มองเงาหลังของอัศวิน A ที่จากไป เฉียวจื่อซานก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปโดยเปล่าประโยชน์

ความรู้สึกผิดยังคงก่อกวนจิตใจ ตอนนี้เขาไม่มีทางรู้ว่าเพราะความดื้อรั้นของผู้เฒ่าเฟิง ตัวเองได้สูญเสียอะไรไปบ้าง แต่เขารู้ว่ามันจะต้องสำคัญมาก เพราะวิธีการฝึกฝนปราณเบื้องต้นของตระกูลเฉียวนั้น มักติดอยู่ในระดับการฝึกฝนอุปนิสัยอยู่เสมอ…

ในพื้นที่ของระบบ

น้ำเสียงของระบบฟังดูท้อแท้เล็กน้อย “น่าเสียดาย ถ้าได้ฟังวิธีการฝึกฝนปราณเบื้องต้นของเขา ระบบก็จะสามารถหักคะแนนได้ มีโมดูลปราณอยู่ จะต้องสามารถเรียนรู้กังฟูที่เข้ากันได้กับศิลปะการต่อสู้ที่มีอยู่อย่างแน่นอน ทั้งหมดต้องโทษเจ้าคนชั่วผู้เฒ่าเฟิงนั่น ถ้าระบบไม่ได้ยินจากเฉียวจื่อซานว่าเขาเป็นคนดี ก็คงไปที่ประตูและจัดการเขาแล้ว”

ใบหน้าของฟางหนิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “น่าเสียดายที่เฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ พูดถูก ฉันมีวิธีที่จะเรียนรู้และวิธีการนั้นก็ง่ายมาก”

ระบบประหลาดใจ “เมื่อกี้เฉียวจื่อซานบอกเราแล้ว เจ้าผู้เฒ่าเฟิงนั้นบอกว่านอกเสียจากพวกเราจะเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักสัจธรรม ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ พวกเราเข้าร่วมกับที่นั่นไม่ได้ แล้วจะมีเวลาล่าปีศาจได้ยังไง?”

IQ ของฟางหนิงถูกบดขยี้ “แกไม่ใช่มนุษย์ ย่อมไม่รู้แน่นอน ตอนนั้นเฉียวจื่อซานยังกล่าวอีกว่า ทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักสัจธรรมล้วนสามารถเรียนรู้ได้ เมื่อได้ยินคำนี้ฉันก็รู้แล้วว่าต้องทำยังไง”

ระบบงุนงงเล็กน้อย “นี่ จู่ๆ โฮสต์ก็ตอบรับด้วยความยินยอมเหรอ? ระบบหลงคิดว่าโฮสต์จะได้รับค่าตอบแทนเสียก่อนอีก ไม่ว่ายังไงโฮสต์ก็ต้องถอนเงินสองวันนี้”

เมื่อฟางหนิงได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความจนใจ “ฉันยังมีข้อแม้อยู่ ตกลงไหม? การเพิ่มความแข็งแกร่งของคุณก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของฉัน ไม่ต้องพูดถึงเพื่อรับประกันความปลอดภัยของน้องชายของฉัน แล้วฉันจะใช้สิ่งนี้จัดการกับแกเหรอ?”

ระบบกล่าว “โอ้ คราวนี้โฮสต์ปากดีจริงๆ ฉันจะไม่ให้ค่าตอบแทนภารกิจกับคุณแล้ว”

ฟางหนิงเปลี่ยนไปทันที “อย่าๆ ในเมื่อแกเป็นคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ แล้วเราจะไม่ให้หน้าเทพระบบได้ยังไงล่ะ แกไม่รังเกียจงั้นเหรอ? ฉันจะเล่นเกมใหม่เร็วๆ นี้ และเกมนั้นจะต้องใช้เงินมหาศาล”

ระบบได้ยินดังนั้นก็ปฏิเสธทันที “จริงๆ แล้วโฮสต์เล่นเกมไปก็เสียเวลาเปล่า ถ้าโฮสต์ไม่บอกว่าต้องการพักผ่อน ระบบก็ไม่อนุญาตให้เล่นหรอก ครั้งสุดท้ายที่เห็นโฮสต์จะถังแตก ระบบให้เงินโฮสต์ไปแล้ว 2.5 ล้าน และก็ไม่ต้องการมันคืน แต่โฮสต์ยังจะเอาอีกงั้นเหรอ? งั้นก็ไม่ต้องเอาซักสลึงเดียว!”

ฟางหนิงเอ่ย “เฮ้ๆ ฉันไม่ได้เล่นแค่ครั้งนี้จริงๆ ฉันใช้เวลาสำรวจในช่วงสองวันที่ผ่านมาและพบว่าบางสิ่งในเกมใหม่ดูเหมือนจะลึกซึ้งมาก แกไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวมหรอก ฉันจะไปสำรวจน้ำ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ”

ระบบลังเล “เกมเดียว จะมีอะไรซับซ้อน? เอาอย่างนี้ ถ้าโฮสต์เรียนรู้วิธีการฝึกปราณเบื้องต้นนี้จริงๆ ระบบก็จะเอาเงินครึ่งนึงของ 2.5 ล้านครั้งก่อน คืนให้ แน่นอนถ้าโฮสต์โกหกอีก ก็อย่ามาโทษระบบที่ขายอุปกรณ์ในเกมแล้วกัน…”

ฟางหนิงหนาวไปทั้งร่าง…

เขารีบเอ่ย “ฉันจะหาวิธีฝึกฝนให้เทพทันที…”

หลังจากที่ฟางหนิงพูดจบ เขาก็ QQ หาองค์กรฮัมมิ่งเบิร์ด

ฟางหนิงกล่าว “มอบหนังสือวิธีการฝึกฝนปราณเบื้องต้นของตระกูลเฉียวเล่มหนึ่งมาให้ฉัน ต้องการเงินเท่าไร?”

ฮัมมิ่งเบิร์ดตอบ “ด้วยพลังเหนือธรรมชาติของจอมยุทธ์ ได้เห็นวิธีการฝึกฝนที่ไร้รสชาติแบบนั้น คือพรของมัน พวกเราไม่ค่อยได้ให้บริการจอมยุทธ์ เราควรจะคุยเรื่องเงินแบบไหนดี? หนังสือเล่มนั้นจะถูกมอบให้กับท่านจอมยุทธ์ เดี๋ยวฉันจะส่ง e-book ให้”

ฟางหนิงตอบ “ตกลง ฉันจะจดความความดีของคุณไว้ ถ้ามีคนไม่ดีมารบกวน ฉันจะช่วยนายฟรีๆ หนึ่งครั้ง”

ระบบจับตาดูกระบวนการทั้งหมด ก็มึนงงทันที “แค่นี้เองเหรอ? นึกไม่ถึงเลยว่าจะง่ายมาก เมื่อฟังความหมายของเฉียวจื่อซาน ผู้เฒ่าเฟิงคือปัญหาสินะ”

ฟางหนิงกล่าว “ตอนนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร คนจำนวนมากในสำนักสัจธรรมรู้อยู่แล้ว แม้ว่าคนของสำนักสัจธรรมจะไม่รั่วไหล แต่ตระกูลไป๋ปีศาจหนูนั่นจะไม่รั่วไหลงั้นเหรอ? ผู้เฒ่าเฟิงไม่รู้ตรงจุดนี้เลยสักนิด แค่อยากจะจัดการกับคนนอกอย่างพวกเรา”

ระบบกล่าว “ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้โฮสต์ได้ยิน ถ้าอย่างนั้นก็มีวิธีแล้ว โฮสต์รับเอกสารมา ระบบก็จะได้เรียนรู้”

ฟางหนิงพยักหน้า ชาวฮัมมิ่งเบิร์ดคิดว่ามันไม่มีรสชาติ และผู้เฒ่าเฟิงก็คิดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเริ่มต้นได้ นับประสาการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเทพระบบว่าเหลือเชื่อเพียงใด และเขายังสามารถทำการหักเงินเวอร์ชันติดตามผลที่สมบูรณ์ได้…

ข้อเสียคือมันใช้ค่าประสบการณ์มากเกินไป การเรียนรู้และอัพเกรด “การเปลี่ยนร่างมังกร” นั้นเหนื่อยมากจนเทพระบบยังอยู่ในเกรดสิบ โชคดีที่ประสิทธิภาพด้านต้นทุนนั้นสูงพอ

ฟางหนิงยอมรับ e-book ชื่อ “วิธีการเบื้องต้นในการฝึกปราณตระกูลเฉียว” เขาเปิดมันออกและไม่นานระบบก็แจ้งเตือน…

ระบบแจ้งเตือน ระบบเลือกเรียนรู้ “เวอร์ชันที่ไม่สมบูรณ์ของคัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล”

ระดับทักษะ: ทักษะการต่อสู้ที่หายากและทักษะการต่อสู้ปัจจุบันที่เข้ากันได้สูง ค่าประสบการณ์ปัจจุบันของระบบไม่เพียงพอ และสามารถอนุมานได้เฉพาะเวอร์ชันที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ระดับการได้มาปัจจุบัน: ระดับเริ่มต้น ระบบได้รับบัฟพิเศษ:

หนึ่ง: ปราณแท้เสริมร่าง หลังจากที่สล็อตพลังปราณในปัจจุบันเต็ม ก็สามารถเก็บพลังปราณต่อไปได้ ระดับปัจจุบันสามารถสำรองได้มากกว่าสองเท่าของจำนวนสล็อตปราณในปัจจุบัน

สอง: เพิ่มโบนัสพลังของศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดหลังจากสะสมปราณแท้ ซึ่งปัจจุบันเพิ่มขึ้น 50%

สาม: เพิ่มฟังก์ชันใหม่ของโมดูลปราณแท้ ระดับทักษะปัจจุบันเพิ่มทักษะ: “เกราะป้องกันปราณแท้” มอบเอฟเฟกต์ “ปราณแท้คุ้มร่าง” ให้กับพันธมิตรและผู้ติดตาม ทุกครั้งที่เปิดใช้งานเอฟเฟกต์ สำรองปราณแท้ของระบบจะถูกใช้ไป และปริมาณที่ใช้จะเป็นสัดส่วนกับความเสียหายที่ได้รับ

ฟางหนิงฟังแล้วก็ได้แต่ทึ้งหัว โอเค ค่าประสบการณ์ไม่พอจริงๆ และฉันเรียนรู้บางอย่างที่ไม่สมบูรณ์ ถึงเวลาที่จะต้องออกล่าปีศาจเพิ่มแล้ว…

………………………………………………………

บทที่ 83 ปราณเบื้องต้นที่ใช้ในการบรรลุขั้นสูงสุดต้องฝึกฝนอย่างไรถึงจะรวดเร็ว

ระบบยังคงไล่ล่าปีศาจในชีวิตประจำวัน แต่ฟางหนิงไม่ได้เล่นเกมและไม่ได้อ่านนิยายเลย เขาทำเพียงจดจ้องแผนที่ระบบอย่างเลื่อนลอย

หลังจากปัดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ระบบก็เห็นว่าฟางหนิงไม่ได้ฝึกฝนและเล่นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับใจลอยอยู่นาน

เนื่องจากมีการแจ้งเตือนถึงความผิดพลาดครั้งก่อน ระบบจึงกลัวเล็กน้อยว่าโฮสต์ที่ “เปราะบางทางจิตใจ” คนนี้จะปล่อยปีศาจออกมา มันจึงเอ่ยถามว่า “โฮสต์กำลังมองหาอะไรในแผนที่ระบบเหรอ? หรือว่าพบสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ซ่อนอยู่?”

ฟางหนิงตกใจที่อยู่ๆ ระบบก็เอ่ยถามออกมา “ฉันจะหาสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนอยู่ได้ยังไง? ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาที่สำคัญมากๆ”

ระบบกล่าว “ถ้าโฮสต์ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คิดต่อไปเถอะ ระบบจะไปกวาดล้างปีศาจ”

ฟางหนิงเอ่ย “ในเมื่ออยู่ที่นี่ ก็ช่วยฉันหน่อยสิ ฉันขอถามแกหน่อย จุดสีน้ำเงินอื่นๆ บนแผนที่นี้ต้องเป็นน้องชายที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ของเราเจิ้งต้าวใช่ไหม และวงกลมสีขาวขนาดใหญ่ ที่ใกล้เคียงก็ควรจะเป็นเฉียวจื่อซาน”

ระบบกล่าว “ถูกต้องแล้ว โฮสต์สามารถเดาได้ว่าใครเป็นใครผ่านจุดสีบนแผนที่ นี่นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่จริงๆ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ไร้สาระน่า มันชัดเจนขนาดนี้แล้ว สีน้ำเงินหนึ่งสีขาวหนึ่งถึงสองวง วงกลมสีขาวทั้งหมด พวกเราเคยเห็นแค่สองคน หนึ่งคือพระโพธิสัตว์ปีศาจและอีกหนึ่งคือเฉียวจื่อซาน ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นชัดเจนมาก ถ้าฉันเดาไม่ออก ฉันคงตาบอดแล้ว”

ระบบกล่าว “โฮสต์สนใจอะไรสองคนนั้นเหรอ?”

ฟางหนิงตอบกลับ “ฉันกังวลเกี่ยวกับน้องชายที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ของเรา เฉียวจื่อซานมีองค์กรและผู้สนับสนุน ดังนั้นฉันไม่ห่วง ฉันไม่ได้พูดไปแล้วเหรอว่าต้องการเพิ่มประกันให้เจิ้งต้าว? เขาไม่เหมือนแก อีกอย่างเขายังมีคุณลักษณะที่ไม่เหมือนมนุษย์เพราะสามารถต้านทานสภาวะเชิงลบต่างๆ ได้ และการเอาตัวรอดของเขาแข็งแกร่งกว่ามาก

แค่ภายนอกเขาดูอ่อนแอ และล้มลงได้ด้วยการยิงนัดเดียว อัศวิน A มีความลับมากมาย น้องชายคนนี้ได้รับการรับรองอย่างซื่อสัตย์จากกฎของระบบ ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสมรู้ร่วมคิดกับคนเลว พบได้ยากมาก และไม่สามารถสูญหายไปได้ง่ายๆ”

ระบบกล่าว “โฮสต์พูดได้ดี แล้วโฮสต์วางแผนจะเพิ่มประกันอะไรล่ะ”

ฟางหนิง “สกั๊ด+กระดองเต่า”

ระบบกล่าว “นั่นง่ายมาก ระบบจะส่งทักษะตัวเบาขั้นสูงและหมวกกระดิ่งสีทองให้เขา โฮสต์คิดว่าไงเหรอ?”

ฟางหนิงพูดไม่ออกเ “การป้องกันของแกต่อผู้คนนั้นเพียงพอแล้ว แต่มันไม่ดีพอสำหรับป้องกันปีศาจ เราจำเป็นต้องปรับใช้การป้องกันสามมิติโดยไม่มีจุดบอดในคราวเดียวกัน เมื่อกี้หลังจากที่ฉันเห็นเขาและเฉียวจื่อซานอยู่ด้วยกัน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ เป็นความผิดแกที่จู่ๆ ก็เรียกฉันและขัดจังหวะความคิดของฉันพอดี ตอนนี้ก็รีบจ่ายเงินมาให้ฉันเพื่อชดเชยซะ”

ระบบกล่าว “อ่า ถ้าอย่างนั้นโฮสต์ก็เชื่อมโยงความคิดของคุณต่อไป ฉันจะไปฆ่าปีศาจเดี๋ยวนี้”

ฟางหนิงยื่นมือออกมา “แล้วเงินของฉัน…”

…………

ถ้าเจิ้งต้าวที่วิ่งไปรอบๆ ตอนนี้รู้ว่าฟางหนิงเป็นห่วงเขามาก เขาจะต้องดีใจแน่ว่าการทำงานหนักของเขาในช่วงสองวันที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าแล้ว

ในเวลานี้เขามีสัมภาษณ์พิเศษกับเฉียวจื่อซานเล็กน้อย

เมื่อเห็นเพื่อนวัยห้าขวบคนนี้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก เฉียวจื่อซานก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก

ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของสำนักสัจธรรมได้ใช้ความพยายามอย่างมาก ในการสืบค้นภูมิหลังของครอบครัว ตรวจสอบชีวิตประจำวันของพ่อแม่ และการตรวจสอบพฤติกรรมส่วนบุคคล… กลุ่มของขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน และในที่สุดก็แนะนำคนๆ นี้ให้เขาอย่างจริงจัง ดอกไม้อันล้ำค่าสามดอกของเสินโจวนั้นมีคุณธรรม เลี้ยงดูเป็นอย่างดี และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เฉียวจื่อซานเข้าสู่ครอบครัวของเขาทันทีและสืบทอดวิธีการบ่มเพาะคุณธรรม

“น้องเจิ้ง นายมาดูนี่ เจ้าเด็กน้อยหวงเสี่ยวหมิงคนนี้ มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้คน ปีนี้เขาเพิ่งอายุได้ห้าขวบ เขาอยู่ชั้นอนุบาลห้องคิง เขาได้รับดอกไม้สีแดงเล็กๆ ทุกวัน สะสมทองได้สามสิบสามครั้งโดยไม่รู้ตัว ช่วยป้อนข้าวเด็กสี่สิบห้าครั้ง เป็นต้นกล้าที่ดีในการปลูกฝังคุณธรรม”

เจิ้งต้าวพยักหน้าและยิ้มให้ เขามองไปยังคนสี่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนหนึ่งคือหวงเสี่ยวหมิงเด็กน้อยที่ฉลาดและน่ารัก ส่วนอีกสามคนเป็นผู้ใหญ่ ชายสองและหญิงหนึ่ง

หลังจากทักทายกับพอหอมปากหอมคอ เขาก็รับรู้อะไรบางอย่าง

ชายสองคน คนหนึ่งเป็นผู้นำระดับกลางของสำนักสัจธรรม และอีกคนหนึ่งเป็นผู้นำหน่วยงานสำคัญในเมืองจี้ เป็นน้องชายของผู้นำระดับกลางของสำนักสัจธรรมและเป็นพ่อของเด็ก ส่วนผู้หญิงก็เป็นแม่ของเด็ก และเป็นแม่บ้านที่ซื่อสัตย์

หลังจากนั้น เจิ้งต้าวก็เข้ามาหาเด็กน้อยที่ดูชาญฉลาดคนนี้ เชานั่งยองๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สวัสดี เจ้าหนู หนูคือนักเรียนเสี่ยวหมิงใช่ไหม”

หวงเสี่ยวหมิงเบิกตากว้างและมองไปยังคุณลุงใจดี

การปรากฏตัวของอีกฝ่าย ทำให้เขาสงบลงทันที

ในเวลานี้ ชายทั้งสองต่างก็ส่งสายตาให้กำลังใจเขาพร้อมๆ กัน และหวงเสี่ยวหมิงก็ตอบรับอย่างกล้าหาญ “ใช่ครับคุณลุง ผมชื่อหวงเสี่ยวหมิง”

เจิ้งต้าวพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามคำถามเธอสักสองสามข้อนะ ดีไหม? และเธอต้องตอบตามความจริงล่ะ”

หวงเสี่ยวหมิงพยักหน้ารับคำรวดเร็ว

เจิ้งต้าวเอ่ย “เสี่ยวหมิง ปกติหนูชอบดูทีวีอยู่บ้านไหม?”

หวงเสี่ยวหมิง “ชอบครับ”

เจิ้งต้าวเอ่ย “มีประโยคไหนที่หนูประทับใจและชอบมากๆ ที่จะแบ่งปันกับลุงของหนูไหม?”

เมื่อหวงเสี่ยวหมิงได้ยินแบบนั้น เขาก็พูดอย่างภาคภูมิใจทันทีว่า “มีสิๆ ก็แค่ประโยคที่ว่า โอ้เฮ้! คุณลุง เชิญขึ้นไปข้างบน! สาวน้อยคนใหม่น่ารักมาก”

ทันทีที่นักเรียนเสี่ยวหมิงพูดจบ การแสดงออกของผู้ใหญ่สามคนที่มากับเขาก็เปลี่ยนไป

พ่อของเด็กแสดงท่าทางโกรธเคืองกับคำตอบ แล้วจ้องไปที่เสี่ยวหมิงพลางกล่าว “ลูก เมื่อกลับไปพ่อจะดูแลลูกอย่างดี”

ชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อของเด็กซึ่งเป็นผู้อำนวยการระดับกลางของสำนักสัจธรรม ใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง

เขารู้อยู่แล้วว่าข้อกำหนดในการเข้าสู่การฝึกฝนอย่างตรงไปตรงมาของตระกูลเฉียวนั้นโหดร้าย เสี่ยวหมิงนั้นเป็นเด็กที่ฉลาดมาก แต่เขาก็อาจจะถูกกีดกันจากคำพูดที่ไม่ตั้งใจนี้ เขาโทษน้องชายของเขาที่ไม่มีงานอดิเรกอื่น เลิกงานกลับมาก็ดูแต่ซีรี่ส์กำลังภายใน

แม่ของเด็กกอดเด็กไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เจิ้งต้าวยืนขึ้นและยิ้มให้กับเสี่ยวหมิง “ดีมาก เสี่ยวหมิงเป็นเด็กดีจริงๆ”

ได้ยินเช่นนี้เฉียวจื่อซานก็ถอนหายใจ แต่เมื่อเขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง เจิ้งต้าวก็หันกลับมาและพูดกับเขาอีกครั้งว่า “ยินดีด้วยจื่อซานน้องชายที่รัก นักเรียนเสี่ยวหมิงคนนี้ จะสามารถสืบทอดวิธีการฝึกฝนคุณธรรมของนายได้อย่างแน่นอน”

ในเวลานี้ จู่ๆ ชายอีกสองคนก็ดูมีความสุขทันตา แต่แม่ของเด็กกลับดูเศร้าสร้อย เธออุ้มเด็กไว้ไม่ยอมปล่อย

ได้ยินเช่นนี้เฉียวจื่อซานก็ประหลาดใจมาก กล่าวในทันทีว่า “นี่มันดีจริงๆ ถ้าพี่เจิ้งว่าแบบนั้น จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน หัวหน้าทีมหวงและผู้อำนวยการหวง พี่หลิว ตามขั้นตอนแล้ว เราจะลงนามในข้อตกลงการฝึกอบรมระยะยาวในภายหลัง นักเรียนเสี่ยวหมิงจะมาเรียนกับฉันเป็นประจำ ในอนาคตถ้าฉันไม่มีอะไรทำฉันจะหาเวลาสอนเขาสัปดาห์ละครั้ง”

“ฮ่าๆ หลังจากนี้จะต้องลำบากมากนะหัวหน้าทีมเฉียว ด้วยความสัตย์จริง ฉันหลีกเลี่ยงการสัมผัส คนไม่ดีจะถูกตำหนิ ตอนนี้ฉันได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าทีมเฉียวแล้ว ฉันไม่กลัวที่จะถูกนินทาลับหลังหรอก” หัวหน้าทีมหวงยิ้มกว้าง ก้าวขึ้นมาจับมือกับเฉียวจื่อซานพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

“ได้ๆ จื่อซานอยากจะขอบคุณหัวหน้าทีมหวง ที่เป็นคนเที่ยงธรรมและทำงานซื่อตรง คุณทั้งสองควรพาลูกกลับไปพักผ่อน ฉันยังมีเรื่องจะคุยกับพี่เจิ้ง” เฉียวจื่อซานจับมือตอบ

“โอเคๆ พวกคุณยุ่งอยู่ แล้วเจอกัน” หัวหน้าทีมหวงกล่าวและจากไปพร้อมกับทั้งสามคน

หลังจากที่ทั้งสี่คนเดินออกแล้ว เฉียวจื่อซานก็ได้ยินทั้งสี่คนเริ่มพูดคุยกัน

เห็นเพียงหัวหน้าทีมหวงพูดกับผู้อำนวยการหวงที่อยู่ข้างๆ เขาว่า “เหวยคัง หลังจากนี้ดูทีวีให้น้อยลงหน่อยนะ ในการฝึกฝนเด็กจะต้องเชื่อฟังหัวหน้าทีมเฉียว อนาคตของเสี่ยวหมิงขึ้นอยู่กับคนในครอบครัว”

“ใช่แล้วๆ พี่ชาย ฉันจะต้องฟังหัวหน้าทีมเฉียว” ผู้อำนวยการหวงคนนี้ เป็นผู้นำหน่วยงานระดับสูงเขาเป็นคนมีเกียรติ แต่ในตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าหัวหน้าทีม จึงต้องยินยอม

แม่ของเด็กกังวลเล็กน้อย “แต่ว่า คุณลุงคะ พวกคุณสำนักสัจธรรมมักจะต้องเผชิญกับความเป็นความตาย ตอนนี้เสี่ยวหมิงได้เล่าเรียนกับหัวหน้าทีมเฉียวแล้ว ในอนาคตจะเป็นแบบนั้นด้วยไหมคะ”

หัวหน้าทีมหวงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่อาจพูดจารุนแรงเกินไปได้ “เฮ้อ…น้องชาย น้องสาว เวลาเปลี่ยนไปแล้ว ในอดีตมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยรักษาความมั่นคง และคนธรรมดาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ แต่ในอนาคตอาจไม่เป็นแบบนั้น ในอนาคตฉันจะต้องจงรักภักดีกับสำนักสัจธรรม“หัวหน้าทีมเฉียวคนนั้นมีความสามารถมาก และฉันไม่สามารถเทียบเขาได้เลย การที่ส่งเสี่ยวหมิงไปเรียนกับเขา จะทำให้เสี่ยวหมิงได้เรียนรู้ทักษะมากมายแน่นอน ฉันไม่ได้ขอให้เขาเรียนรู้อะไรมากมาย ฉันแค่ต้องการให้เขาสามารถปกป้องคนในครอบครัวของพวกนาย และป้องกันไม่ให้ครอบครัวหวงของฉันถูกทำลาย”

หลังจากที่ทั้งสี่คุยกันและเดินออกไปไกล เฉียวจื่อซานก็หันไปหาเจิ้งต้าวและกล่าวว่า “พี่เจิ้ง ครั้งนี้ขอบคุณมาก ในที่สุดฉันก็สามารถเลือกต้นกล้าที่มีจิตใจบริสุทธิ์ได้แล้ว”

เจิ้งต้าวส่ายหัวด้วยความละอายเล็กน้อย “ขอโทษด้วย แต่ครั้งนี้ฉันโกหกน้องจื่อซาน นักเรียนเสี่ยวหมิงคนนี้มีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่อาจไม่เหมาะสมกับการฝึกฝนคุณธรรมแบบที่น้องเฉียวต้องการ อย่างน้อยเขาก็อาจจะไม่ผ่านความสัมพันธ์เบื้องต้นที่คุณบอกฉันก่อนหน้านี้ได้”

เฉียวจื่อซานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “การเข้าสู่การฝึกฝนคุณธรรมของฉันคือหลังจากที่ได้เห็นคนงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ความคิดที่ว่าโลกใบนี้สวยงามจริงๆ ควรปรากฏขึ้นในใจ และคงจะดีที่สุดถ้าสามารถสร้างความคิดที่ต้องการปกป้องโลกขึ้นมาได้ เสี่ยวหมิงยังเด็กมาก เขาไม่น่าจะมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อยากปกป้องโลก แต่เขาจะไม่มีความคิดอื่นๆ ใช่ไหม”

เจิ้งจ้าวจนปัญญา น้องเฉียวคนดีคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย

เขากล่าวตอบ “จะต้องเกิดความคิดอื่นๆ แน่ แต่เขายังเด็ก ฉันเชื่อว่าภายใต้คำสั่งสอนของน้องจื่อซาน คงใช้เวลาไม่นานมากนัก ก็จะสามารถบรรลุถึงความยิ่งใหญ่ที่นายบอกไว้ได้แล้ว…”

เฉียวจื่อซานจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ “ไม่เป็นไร ผมมีความมั่นใจ น่าเสียดายที่ครอบครัวเฉียวของผมไม่มีวิธีที่ดีในการปลูกฝังอุปนิสัย พวกเขาสอนด้วยคำพูดและการกระทำเท่านั้น เป็นเรื่องดีที่จะบอกว่าความบันเทิงนั้นด้อยพัฒนาในอดีต แต่ตอนนี้มันยากเกินไป มีข้อมูลมากมายถูกปล่อยออกมา เกรงว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการสั่งสอนเสี่ยวหมิงให้ดี”

หัวใจของเจิ้งต้าวเต้นแรง “ถ้าเป็นกรณีนี้ ทำไมนายไม่ไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสสองท่านล่ะ พวกเขาทรงพลังมาก เพราะงั้นจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่เร็วกว่าและดีกว่าแน่นอน”

……………………………………………………………

บทที่ 82 หลังจากนี้ต้องหาคนผิด

ฟางหนิงเสียเลือดไม่น้อย ตอนนั้นเองก็มีข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับชั้นวางหนังสือ เขาจึงคลิกเข้าไปดู ใครจะรู้ว่ามันจะระเบิดออก

“ขอโทษนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปนัดบอด ทุกคน วันนี้ขอลาหยุดหนึ่งวัน”

“ขอโทษค่ะ…หนังสือเล่มนี้กำลังจะถูกปลด ฉันต้องไปนัดบอดในตอนบ่าย ฝ่ายหญิงรู้ว่าฉันเขียนนิยาย และเธอก็พูดว่า เธอสนใจพนักงานส่งของมากกว่านักเขียน”

“ผิดหวังมาก พรุ่งนี้ฉันจะไปขอใบรับรองแพทย์และจะไปเป็นพนักงานส่งของแล้ว”

“อั่ก!” ฟางหนิงพ่นลมหายใจ เดิมทีเขาอยากจะอ่านนิยายเล่มนี้เพื่อเพิ่มเลือด แต่กลับถูกโจมตีอย่างรุนแรง แล้วอาเจียนออกมาเป็นเลือดจำนวนมากขึ้นไปบนท้องฟ้า และเมื่อเพลิกตัว เขาก็ล้มลง

การแจ้งเตือนของระบบ : คำเตือนที่จริงจัง โฮสต์อยู่ในภาวะบาดเจ็บ…

ระบบปล่อยกระเป๋าโชคดีที่เล็งไว้ แล้วบินไปยังพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหยุด จากนั้นจึงตัดเข้าไปในพื้นที่ของระบบเพื่อถามคำถาม

ระบบถาม “อะไรกัน ฉันไม่ได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนะ ทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ล่ะโฮสต์?”

ไม่มีทาง แม้ว่าเทพแห่งระบบจะรับร่างของฟางหนิงซึ่งกินเวลานานมาก แต่ถ้าโฮสต์ตาย มันก็ต้องตายด้วย หนึ่งศพ สองชีวิต

ฟางหนิงเป็นอัมพาตในระบบอินเทอร์เน็ตไปแล้ว สภาพของเขาตอนนี้เหมือนปลาที่ขาดน้ำ “เกมนี้จบแล้ว และนิยายที่ฉันชอบอ่านก็ไม่ได้เขียนต่อแล้วด้วย ขอฉันนอนลงตรงนี้สักครู่ ฉันขออยู่เงียบๆ”

ระบบงุนงง

ฟางหนิงนิ่งเงียบ

ระบบ “ร่างกายของโฮสต์มูลค่ากว่าพันล้าน แค่เอาเงินออกมาใช้นิดหน่อย นิยายเรื่องนั้นไม่ได้เขียนต่อ โฮสต์ต้องเสียใจขนาดนี้เลยเหรอ…”

ฟางหนิง “เงินพวกนั้นเป็นของแกไม่ใช่เหรอ? แกให้เงินฉันสามหมื่นหยวนต่อเดือน ครั้งสุดท้ายที่ฉันซื้อหนังสือ แกบอกว่าฉันใช้เงินแค่ครั้งเดียวเท่ากับใช้เงินของทั้งสามเดือนไปแล้ว ตอนนี้ฉันมีเงินที่ไหนกัน ฉันจะจ่ายให้ใครได้อีก”

ระบบ “แต่สภาพของโฮสต์ย่ำแย่มากจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น ก็แค่ให้เงินโฮสต์ใช้อีกสักหน่อย”

เมื่อฟางหนิงได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ฟื้นคืนชีพทันที ลุกขึ้นอีกครั้ง และหมอบอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พร้อมที่จะรับเงินจากเทพแห่งระบบ

ฟางหนิงถาม “แกจะให้ฉันเท่าไหร่?”

ระบบตอบกลับ “หนึ่งแสนพอไหม?”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “แกนี่งกจริงๆ หนึ่งแสนคือเงินเดือนรวมทั้งปีของฉัน แกจะให้ฉันได้นานแค่ไหน? ทำยังไงถึงจะได้ห้าล้าน”

ระบบ “แล้วถ้าสองล้านห้าแสนล่ะ”

ฟางหนิงขี้เกียจต่อรอง เขาตกลง “สองล้านห้าแสนก็สองล้านห้าแสน”

ฟางหนิงนอนคว่ำหน้าลงบนคอมพิวเตอร์แ มองแจ้งเตือนเงินเข้าสองล้านห้าแสนจากบัญชีส่วนตัวของเขาและรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที

การแจ้งเตือนของระบบ จิตวิญญาณของโฮสต์ได้รับการฟื้นฟูแล้ว

ระบบ “ตอนนี้โฮสต์สามารถจ้างให้นักเขียนเขียนนิยายเล่มนั้นต่อได้แล้วใช่ไหม?”

ฟางหนิง “นั่นมากเกินไป ฉันขี้เกียจจะตามหาเขา มันต้องใช้เวลามากในการพูดคุย ฉันจะเปลี่ยนบุคลิกของฉันเอง”

มีเงินมหาศาลขนาดนี้สามารถใช้แบบสบายๆ ก็แค่เปลี่ยนหนังสืออ่านเท่านั้น…

หากนักเขียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เขาคงทำได้เพียงร้องไห้จนเป็นลมในห้องน้ำ

ระบบถาม “แล้วจะเอาเงินไปทำอะไร?”

ฟางหนิงตอบกลับ “ลงทุนในเกมใหม่…”

ระบบ “โฮสต์ไม่ได้ฝึกฝนวิชาแปลงร่างมังกรจนถึงขั้นต้นของการแปลงร่างเป็นมังกรได้แล้วหรอกเหรอ แต่ทำไมจิตวิญญาณของโฮสต์ถึงยังเปราะบางอยู่? ถ้าเกิดความวุ่นวายในอนาคต ทุกคนต่างยุ่งกับการเอาชีวิตรอด และนิยายทุกประเภทหยุดเขียน โฮสต์อยากจะเก็บเล่มไหนไว้?”

ฟางหนิงตอบกลับทันทีที่ได้ยิน “แกคิดว่าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เหรอ ฉันต้องกำจัดพวกที่ต้องการแย่งชิงอำนาจและยึดครองประเทศเพื่อไม่ให้โลกวุ่นวายไปมากกว่านี้ เมื่อก่อนไม่มีพวกนี้ แกก็ทำลายแค่ในเกมฟันผัก พูดตามตรง การทำลายส่วนใหญ่ยังเป็นการปล้นธุรกิจปกติของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของคนอื่นด้วย สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ๆ ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึก เมื่อก่อนฉันเจอแค่ไม่กี่ตัวก็มองออก แต่ตอนนี้พวกมันเก่งเกินไป สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว”

ระบบถามกลับ “แล้วเราควรทำยังไง”

ฟางหนิงตอบ “ง่ายมาก ยังไงก็ตามเราต่างรู้จักพวกฝ่ายระดับสูงในสำนักสัจธรรม ก็แค่ทำให้ตัวตนของอัศวิน A นั้นมีภาพลักษณ์ที่ดีและเปิดบริษัท จากนั้นเราจะหาทางโยนความผิดให้กับอีกฝ่าย…”

ระบบตอบกลับ “อ๋อ เข้าใจแล้ว เมื่อก่อนนายเคยกลัวว่าจะวุ่นวาย แต่ตอนนี้นายอยากฝากให้ลูกศิษย์ฉันไปจัดการใช่ไหม?”

ฟางหนิงตอบกลับ “แกพูดถูก แต่อย่าพูดไร้สาระ ลองให้งบประมาณมาก่อน”

ระบบถาม “สิบล้านพอไหม?”

ฟางหนิงแทบสำลัก “หนึ่งร้อยล้าน!”

ระบบตอบกลับ “โอเค”

ฟางหนิงกลอกตา ในเรื่องธุรกิจ เทพแห่งระบบก็ยอมจ่ายเต็มที่ ให้เงินฉันทีละนิดทีละนิด แถมยังจะต้องมาหารครึ่งอีก

ทันทีที่เงินเข้าบัญชี ฟางหนิงเริ่มเคลียร์ความคิดตัวเอง เขาคิดว่า จะใช้พลังงานของนกตัวนี้ทำไมกัน เพียงแค่มีใจที่ซื่อสัตย์ และรู้จักใช้คนก็พอแล้ว แต่ตัวเขานั้นขาดพลังและขาดสติปัญญา…

ฟางหนิงบอกเรื่องทาง QQ ให้เจิ้งต้าวรู้ทันที

เจิ้งต้าว “ที่จริงผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่คิดว่าท่านจะตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ แผนธุรกิจของบริษัทผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ต้องการตั้งชื่อบริษัทว่าอะไรเหรอ?”

ฟางหนิงตอบ “ฉันมีปัญหาในการตั้งชื่อ นายไปคิดมาสักสองสามชื่อให้ฉันเลือกเถอะ ฉันต้องการชื่อที่เรียบง่าย แต่มีความหมายแฝง…”

เจิ้งต้าวตอบ “ตกลง ผมจะติดต่อท่านในอีกหนึ่งชั่วโมง”

ฟางหนิงตอบ “อืม นายไปเถอะ”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจิ้งต้าวก็ส่งชื่อบริษัทมาเป็นสิบชื่อ

ฟางหนิงใช้เวลาเลือกชื่อนานมาก แต่เขาก็ไม่สามารถเลือกได้

พูดตรงๆ เขาไม่เหมาะจะเป็นเจ้านายเลยสักนิด ทำไมกันนะ?

เพราะความต้องการของเขาไม่มากพอ และแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ เขาคิดว่าการตั้งชื่อมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โยนหน้าที่นี้ให้คนอื่นทำดีกว่า อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรอก

เขายังคิดว่าตอนที่ยังทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ตอนที่เขาต้องแก้งานตามความต้องกาารของลูกค้า แก้ไปถึงสามครั้ง เขาแทบจะโยนคอมพิวเตอร์ทิ้ง ดังนั้นเขาจะหยุดทำร้ายความกระตือรือร้นของเด็กใหม่ที่เพิ่งจะรับเข้าทำงาน หลับตาและเลือกมาหนึ่งชื่อ..

ฟางหนิง “ชื่อนี้ก็แล้วกัน แต่ขอเปลี่ยนหนึ่งคำ เป็นชื่อ ‘บริษัท อันซื่อพาวเวอร์ จำกัด’ เป็นชื่อที่เรียบง่ายมาก…”

เจิ้งต้าวตอบรับ “ผมจะไปที่สำนักงานสัจธรรมก่อน เพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เห็นได้ชัดว่า ธุรกิจของพวกเขาทับซ้อนกันมากเกินไป ถ้าหากสามาถรับรู้ข่าวสารของพวกเขา มันจะง่ายขึ้นมาก”

ฟางหนิง “เอาล่ะ นายเป็นคนคิดรอบคอบ เพราะฉะนั้นบริษัทนี้นายเป็นผู้จัดการก็แล้วกัน แต่ตำแหน่งนี้ในอนาคตอาจจะอันตรายมากขึ้น ฉันต้องคิดหาวิธีเพิ่มประกันให้กับนาย”

ในใจเจิ้งต้าวเต็มไปด้วยซาบซึ้ง หลังจากติดต่อมาหลายครั้ง เขาก็เห็นได้ว่าท่านมังกรขาวผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำงานจัดการเรื่องอันยิ่งใหญ่เพื่อทำให้โลกมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่เขายังปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ และเขาใส่ใจในความปลอดภัยผู้อื่นด้วย

เขารู้นิสัยของเจ้านายคนนี้แล้ว รีบตอบกลับทันที “ขอบคุณครับ ผมจะออกไปหาพวกเขา”

ในใจของฟางหนิงเต็มไปด้วยความสุข เพียงแค่ออกปากก็มีคนไปทำธุระให้ และสามารถนำความคิดมากมายไปลงมือปฏิบัติตามได้ เขาต้องสนับสนุนให้เจิ้งต้าวไปจัดการเรื่องต่างๆ แทน เกรงว่าอาจจะไม่สามารถหาคนที่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว

ฟางหนิงตอบรับ “ไปเถอะ เดินทางปลอดภัย หากต้องการให้ฉันช่วยก็วีแชทมา”

…………

เจิ้งต้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรายชื่อผู้ติดต่อจำนวนหลายสิบชื่อก็เข้ามาในความคิดของเขา ในที่สุด เขาก็เปิดวีแชทหาใครบางคน

เจิ้งต้าว “คุณจื่อซาน คุณกำลังยุ่งอยู่รึเปล่า?”

ถูกต้อง เขาเลือกเฉียวจื่อซาน เมื่อวานนี้พวกเขาทักทายกันเพียงไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็ถือว่าเขาเป็นพี่ชายที่รู้จักกันมาสักพักแล้ว แน่นอน เขาย่อมเข้าใจดีว่า เพราะส่วนใหญ่เขาอยู่เบื้องหลังอัศวินผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น อีกฝ่ายจึงให้ความสำคัญกับเขาเช่นกัน

คนคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ และเป็นคนที่ทำความรู้จักได้ง่ายที่สุด

เฉียวจื่อซาน “โอ้ นั่นพี่เจิ้งเหรอ โอ้ย ตอนนี้ฉันปวดหัวมาก ปวดจนไม่สามารถยกหัวขึ้นมาได้เลย”

เจิ้งต้าว “ดีเลย ฉันมีความสามารถในการปลอบประโลมจิตวิญญาณ ทำไมไม่มาเจอกันหน่อยล่ะ ฉันจะเติมเลือดให้นาย”

เฉียวจื่อซาน “นั่นพี่เจิ้งจริงๆ สินะ เจอกันที่โรงน้ำชาชิงหยวนในเขต XX เถอะ”

เจิ้งต้าว “ได้ เจอกันที่นั่นนะ”

…………

ที่โรงน้ำชาชิงหยวน บรรยาภายในร้านนั้นเงียบมาก มีเพียงเสียงชงชาเท่านั้น และเสียงของแขกบางคนที่กำลังพูดคุยกัน

ทั้งสองขอห้องส่วนตัว สั่งชาหลงจิ่ง และบอกพนักงานเสิร์ฟว่าห้ามเข้ามารบกวน

หลังจากหย่อนกายนั่งลง ไอร้อนของชาก็ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ แม้เจิ้งต้าวจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่เฉียวจื่อซานกลับรู้สึกว่ากระแสน้ำอุ่นพัดผ่านร่างกายของเขา และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นทันที ปัญหามากมายหายไป เขาถอนหายใจออกมา “พี่เจิ้ง คนที่มีความสามารถแบบนี้ก็คือคนรวย ไม่น่าแปลกใจที่สามารถเข้าสู่ชั้นเรียนฝึกอบรมที่ต้องใช้เงินมหาศาลเช่นนี้ได้”

เจิ้งต้าวคิดในใจว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ เรื่องไหนควรพูดเรื่องไหนไม่ควรพูด อย่างไรก็ตามความโชคร้ายในชั้นเรียนการฝึก ก็ถือเป็นโชคดีได้เช่นกัน สิ่งเลวร้าย อาจจะนำพาไปสู่สิ่งที่ดี ส่วนสิ่งที่ดีก็สามารถนำพาไปสู่สิ่งเลวร้ายได้เช่นกัน โลกนี้ช่างลึกลับเสียเหลือเกิน

เจิ้งต้าวยิ้ม “ฉันไม่รู้ว่าทำไมน้องจื่อซานถึงเป็นกังวล นายช่วยบอกได้ไหมว่าต้องการจะพูดอะไร?”

เจิ้งต้าวรู้ดีว่าอยากได้อะไร ก็ต้องมอบให้คนอื่นก่อน ธุรกิจคือการแลกเปลี่ยน

เมื่อเฉียวจื่อซานได้ยิน ตอนแรกเขาคิดว่ามันอาจเกี่ยวกับความลับ แต่เมื่อเขาคิดว่าอัศวินผู้นี้มีความลับมากมายเป็นแน่ เขาเลยไม่รู้ว่าควรถามอะไรเช่นกัน และอีกฝ่ายก็ไม่สามารถรู้ความลับของเขาได้

แต่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับระบบการฝึกส่วนตัวและไม่ใช่ธุรกิจเฉพาะของสำนักงานสัจธรรม ไม่ได้เป็นสาธารณสมบัติ นอกจากนี้ ผู้เฒ่าสวี่ยังสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้จากกันและกันเสมอ สร้างจุดแข็ง พัฒนาจุดด้อย และก้าวหน้าไปด้วยกัน

ในอดีต อัศวินที่อยู่ในตำแหน่งสูง คงยากที่จะพูดคุยด้วย แต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีแล้ว โชคดีที่ได้เจิ้งต้าวมาพูดคุยด้วย

ในเวลานี้เขารู้สึกได้เพียงว่าในใจของเขาผ่อนคลายมากขึ้น ความกังวลลดลง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่กังวลในการหาคนที่จะมาสานต่อ เดี๋ยวนี้คนใจร้อนกันมากขึ้น แถมยังปกปิดตัวตนเก่ง ภายนอกดูเป็นคนประพฤติดี แต่เมื่อได้รับการฝึกแล้ว กลับเปิดเผยธาตุแท้ของตนเองออกมา แม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญบางอย่างก็เกิดขึ้น จะหาคนดี บริสุทธิ์ใจนั้นยากนัก ทุกวันนี้ผมลำบากแทบตายอยู่แล้ว”

เมื่อเจิ้งต้าวได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มและหัวเราะ “น้องจื่อซาน ถ้าตอนนี้นายอยากหาคนดี คนที่มีใจบริสุทธิ์ คงต้องไปหาที่โรงเรียนอนุบาลแทนแล้ว”

เจิ้งต้าวพูดติดตลก แต่นั่นกลับทำให้เฉียวจื่อซานตัวแข็งค้าง ก่อนจะโค้งมือลงทันที “ขอบคุณพี่เจิ้ง ผมไม่กลัวเสียเวลา แต่ผมกลัวว่าจะหาคนผิด ดังนั้นผมจะขอให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องเลือกคนใหม่ ไปทำงานให้กับผู้ปกครอง”

เจิ้งต้าวคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ในกรณีนี้ ไม่ว่าฉันกับนายจะเป็นคนเลือก แต่ท้ายที่สุด ความรู้สึกของฉันยังคงสามารถทำให้คนพูดความจริงได้ หรือไม่ก็ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย”

เฉียวจื่อซานรู้สึกขอบคุณมาก เขารีบจ่ายเงิน และทั้งสองก็เดินออกไปพร้อมกัน

………………………………………………………………

บทที่ 81 การต่อสู้ระหว่างลูกน้องที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณกับหัวหน้าที่ฟื้นจากความตาย

เมื่อเฉียวอันผิง เฉียวจื่อเจียง สองอาหลานคู่นี้กล่าวถึงผู้มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้า ขณะเดียวกัน อัศวิน A ผู้ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน “คนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก” ก็กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อยู่ที่โรงแรมแถวชานเมืองกับเจิ้งต้าว

หลังจากคุยโม้กันอยู่พักหนึ่ง อัศวิน A ก็รีบวิ่งไปที่หน้าต่างโดยบอกว่ามีวิญญาณชั่วร้ายมากมายรอให้เขาจัดการอยู่…

เจิ้งต้าวมองไปทางร่างที่หายไปของอัศวินผู้นี้ด้วยความชื่นชม และคิดว่านี่คืออัศวินที่อุทิศให้กับโลกใบนี้จริงๆ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะติดตามอัศวินผู้นี้ต่อไป

เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เทพแห่งระบบได้เปิด “แผนที่เมืองจี้” คงจะได้อยู่ในสภาวะร้อนใจจนรอไม่ได้แน่นอน

เพียงแต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ และตอนนี้ หลังจากปล่อยให้ฟางหนิงอธิบายงานบางอย่างกับผู้ติดตามใหม่คนนี้ไปบ้างแล้ว แน่นอนว่าต้องยุ่งอยู่กับการอัปเกรดปีศาจ

เจิ้งต้าวมองไปที่นามบัตรบนโต๊ะ เปิดแล็ปท็อปแบบพกพาของเขา ใช้ชื่อและนามสกุลบนนามบัตรและช่องทางส่วนตัวบางอย่างจากอินเทอร์เน็ต ทำให้เข้าเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันบางส่วน จากนั้นจึงสร้างไฟล์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทำเครื่องหมาย และตั้งข้อสังเกต

เขาวุ่นอยู่กับการทำงานจนดึกดื่น และหลังจากเริ่มรู้จักคนเหล่านี้แล้ว เขาก็เพิ่มข้อมูลติดต่อของคนเหล่านี้และเริ่มกล่าวทักทายทีละคน

แค่ดูความเป็นมืออาชีพของคนอื่น ฟางหนิงก็ต้องยอมเสียเปรียบ เพราะหลังจากที่เขาได้เพิ่มข้อมูลติดต่อแล้ว เขาจะทิ้งคนเหล่านี้ออกจากระบบคลาวด์ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เขาจะไม่มีความคิดแบบนี้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงการสร้างไฟล์พิเศษเพื่อจัดการ…

เฉียวจื่อซาน “คุณคือตัวแทนของอัศวิน A ใช่ไหม? อ้อ ถ้างั้นผมเรียกคุณว่าคุณพ่อบ้านดีกว่า เขาเคยส่งข้อความถึงเรื่องนี้มาก่อน เฉียวจื่อซาน เคยพบกับคุณเจิ้งต้าว ”

เจิ้งต้าวทักทายไม่กี่คำ แต่นั่นก็ทำให้เฉียวจื่อซานรู้สึกดี และเกือบจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังเกี่ยวกับปัญหาที่เขาพบเมื่อเร็วๆ นี้ โชคดีที่เขายังคงตระหนักถึงงานของตัวเอง จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

เฉียวจื่อเจียง “พ่อบ้านเจิ้ง สวัสดี หากว่าในอนาคตมีอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันต้องติดต่อบุคคลนั้นผ่านคุณใช่ไหม?”

เจิ้งต้าว “ใช่ครับ แน่นอนว่าถ้ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด คุณสามารถติดต่อกับท่านทั้งสองได้โดยตรง”

เฉียวจื่อเจียง “ท่านทั้งสองเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของอัศวิน A คือญาติของเขาที่เป็นงูขาว?”

เจิ้งต้าวไม่แปลกใจเลย ก่อนหน้านี้เขาได้ตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายว่า “ฉลาดมาก” และไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาได้อย่างเฉียบคม

เจิ้งต้าวกล่าว “โอ้ คุณหมายถึงท่านงูขาวและท่านเทพมังกรสินะครับ ท่านงูขาวคงเป็นคนหลังที่ท่านพูดถึง และท่านเทพมังกรคือตัวตนที่แท้จริงของคนที่คุณเรียกว่า ‘อัศวิน A’”

เฉียวจื่อเจียงคิดในใจ ช่างไม่มีรสนิยมจริงๆ มันเหมือนเป็นชื่อชั่วคราวสำหรับงูขาวขี้เกียจตัวนั้นมากกว่า

แต่โดยปกติแล้วเธอจะไม่พูดความจริง แต่ยังคงพิมพ์ถามกลับไปว่า “อย่างนี้นี่เอง ขอแสดงความยินดีกับพ่อบ้านเจิ้ง ที่ติดตามมังกรตัวจริง จากนี้ไปอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สิ้นสุด”

หลังจากการสนทนาครั้งนี้ เจิ้งต้าวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมภายใต้ชื่อ “เฉียวจื่อเจียง”

จากนั้นคนหลายสิบคน ก็พูดออกมาสองสามประโยค คนเหล่านี้ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดี บางคนมีเงินหลายพันล้าน มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น บางคนก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา อย่างกับวีรบุรุษ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ต่างก็ปฏิบัติต่อเขาที่เป็นพ่อบ้านหรือคนดูแลอย่างสุภาพ ไม่เคยละเลยเลยแม้แต่น้อย ความเคารพแบบนี้ ในอดีตหาได้ยากมาก

ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าภาระหน้าที่ของตนมีความสำคัญยิ่ง คนที่มีคอนเนคชั่นเยอะขนาดนี้ สองคนที่ยุ่งกับการกอบกู้โลก มีภารกิจสำคัญเหล่านี้ให้เขาเข้ามาจัดการเต้มไปด้วยความไว้วางใจ คุณต้องทำงานหนักและทำให้ดีที่สุดจนตัวตาย เพราะมีแต่หลังความตายเท่านั้นที่จะพักได้…

ถูกต้อง เทพแห่งระบบยุ่งมาก เขาฆ่าสัตว์ประหลาดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและฝึกพลังอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้นำประเทศไหนจะยุ่งเท่าเขาเลย หากมีเจิ้งต้าวมาอีกสามคน ยังทำได้ไม่เท่าเขา ท้ายที่สุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเทพแห่งระบบยังคงสามารถเปิดระบบได้…

แต่ท่านผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้านายที่แท้จริงของเจิ้งต้าว ก็คือฟางหนิงผู้กำลังยุ่งอยู่กับการรักษากิลด์ในเกม…

ตอนนี้ฟางหนิงใช้เวลาช่วงกลางวันในการทำงานและฝึกซ้อม ดังนั้นเขาจึงเล่นเกมเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น

เป็นครั้งแรกที่เขาก่อตั้งสมาคมเกมโดยใช้พลังของจินหยวน และในที่สุดเขาก็สามารถครองเซิร์ฟเวอร์ของเกมยอดนิยมได้ เพลิดเพลินไปกับความยิ่งใหญ่ของนักรบจินหยวน ตอนนี้เกมใหม่ออกมาแล้ว ว่ากันว่าสนุกมาก สมาชิกของกิลด์ไม่มีใครไม่ออนไลน์ และพวกเขาทั้งหมดกำลังเริ่มเกมใหม่

เจิ้งต้าวยุ่งจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นก็ออกมายืดเส้นยืดสาย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะยุ่งมากเช่นกัน แต่เขาก็ไม่เคยทำงานที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้และมีความรู้สึกต่อภารกิจอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ตอนนั้นเอง บัญชี QQ ของเขาก็มีแสงแจ้งเตือนขึ้น หลังจากที่เขาเห็นชื่อ QQ เขาก็ถอนหายใจและกดไปที่ชื่อนั้น

‘ดอกไลแล็คในตรอกวันที่ฝนตก’ ทักมาว่า “ช่วงนี้คุณเลี่ยงที่จะพบฉัน ฉันเพิ่งรู้สาเหตุว่าคุณถูกผีสิง ทำไมคุณไม่มาหาฉันล่ะ?”

เจิ้งต้าวตอบกลับ “แค่ทำร้ายผมคนเดียวก็เพียงพอแล้ว จะต้องไปทำร้ายคนอื่นด้วยเหรอ?”

‘ดอกไลแล็คในตรอกวันที่ฝนตก’ ตอบกลับ “คุณไม่มาหาฉัน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าฉันจะจัดการกับปีศาจตนนั้นไม่ได้? อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้สิ ตอนนี้คุณไม่เป็นไรแล้ว ทำไมถึงยังไม่ติดต่อฉันมาอีก?”

เจิ้งต้าวตอบกลับ “ผมเพิ่งจะติดตามชายผู้กล้าหาญผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง และผมกำลังจัดการกับเรื่องทางโลกและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เขา สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องยาก หลังจากนี้ผมตัดสินใจที่จะติดตามเขาอย่างเต็มใจ และอุทิศตนให้กับเหตุอันยิ่งใหญ่ของการกอบกู้โลก … ดังนั้นเรื่องความรัก ผมไม่ได้สนใจมันอีกต่อไปแล้ว คุณเองก็ควรหยุดเสียที”

‘ดอกไลแล็คในตรอกวันที่ฝนตก’ ตอบกลับมาว่า “เมื่อก่อนฉันเคยยอมแพ้ให้กับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ตอนนี้ฉันคิดได้ไหมว่า ฉันเองก็แพ้ให้กับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเหมือนกันสินะ”

เจิ้งต้าวถ่มน้ำลาย “อย่าพูดจาเหลวไหล! อัศวินท่านนั้น ยิ่งใหญ่ และแน่วแน่ แม้ว่ามิตรภาพระหว่างเราคือการพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต คุณเองก็ไม่ควรที่จะพูดออกมาแบบนี้”

‘ดอกไลแล็คในตรอกวันที่ฝนตก’ ตอบ “เหอะ ดูเหมือนว่าคุณจะชื่นชมคนคนหนึ่งจริงๆ แต่ฉันอยากจะเห็นนักว่าเขามีอะไรบ้าง”

เจิ้งต้าวทำอะไรไม่ถูก “นึกถึงมิตรภาพที่เราเคยมีมา อย่าทำให้ผมต้องลำบากเลย ผมช่วยอัศวินคนนั้นแก้ปัญหา จะไม่ทำให้เขาเดือดร้อน”

‘ดอกไลแล็คในตรอกวันที่ฝนตก’ “ถ้าคุณขอร้องฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ทำให้เขาต้องลำบาก”

เจิ้งต้าว “ถ้าอย่างนั้น ผมขอร้องคุณก็แล้วกัน”

…………

แม้แต่น้องชายวัยกลางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มีผู้หญิงอยู่ในใจ แต่ฟางหนิง ขนาดจะเลี้ยงสุนัขก็เล่นได้แต่เฉพาะในเกมเท่านั้น ใครใช้ให้เทพแห่งระบบมาอยู่กับเขาล่ะ แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเงินหลายร้อยล้าน เขาก็ทำได้แค่สร้างความบันเทิงให้กับตัวเองในพื้นที่ของระบบเท่านั้น…

เช้าวันรุ่งขึ้น ระบบก็กลับมาหลังจากไปทำภารกิจ แต่ในใจฟางหนิงกลับรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย ทำไมกัน? เขาเกลี้ยกล่อมสมาชิกที่เหลือของกิลด์เกมซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ตัดสินใจออกจากเกมทีละคน โดยบอกว่าตราบใดที่พวกเขามีเงิน พวกเขาสามารถเป็นเหมือนตัวหลักของเกมได้ และพวกเขาไม่มีความหวังที่จะต่อสู้

มันด้อยกว่าเกมใหม่ที่เพิ่งออกมา ว่ากันว่าไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่เล่นเท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชั่นที่ซ่อนเร้นและทรงพลังมากด้วย แต่มันจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อเกมถึงระดับหนึ่งเท่านั้น และต้องลงนามในข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลเสียก่อน…

ระบบ “เมืองใหญ่นี้แตกต่างออกไป มีปีศาจเยอะมาก โฮสต์ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตารอ อาจจะบังเอิญเจอมันโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ เพียงแต่อยู่ภายใต้การปกครองของสำนักสัจธรรม ผู้ทรงอำนาจจริงๆ มีน้อย ส่วนมากเป็นอาชญากรทั่วไป ถึงแม้โดยรวมจะดี แต่ก็ยังมีข้อเสีย”

ฟางหนิงหมดอาลัยตายอยาก “ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีกับแกด้วย วิธีนี้ไม่อันตรายเหรอ?”

ระบบตอบ “ใช่ แต่ทำไมโฮสต์ถึงดูหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้น? ระบบก็ไม่ได้ตัดระบบการเชื่อต่อนะ แถมยังไม่ได้ให้ฝึกเกินเวลาด้วย”

ฟางหนิงตอบ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันปิดเกม มันก็เป็นแบบนี้เสมอ เมื่อฉันพร้อมสำหรับเกมใหม่ในครั้งต่อไป จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง”

ระบบ “อ้อ ถ้าอย่างนั้นกรอโฮสต์กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม จากนั้นระบบจะหาที่ฝึกซ้อมสักพัก แล้วก็ไปตามฆ่าปีศาจ ยังไงก็ตาม เรารู้จักเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักสัจธรรมแล้ว ตราบใดที่เราไม่ฆ่าพวกมันแรงเกินไป เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัว”

ฟางหนิงยังคงไร้เรี่ยวแรง “อืม ฉันอิจฉาแกจริงๆ ที่ไม่มีร่างกายไม่มีหัวใจ เพียงแต่ฟันอาหารในเกม แกก็ได้อาหารใหม่มากิน …”

โชคดีที่นักรบจินหยวนกำลังจะถูกทำลาย หากไม่มีคนเล่นด้วยล่ะก็ เครื่องแต่งกายที่มีค่าก็คงจะสวมใส่ไม่ได้

ในเวลานี้เขาเห็นว่ามีเพียงเขาและนักรบจินหยวนอีกคนหนึ่งที่เหลืออยู่ในที่ประชุม ‘ใช้ขี้เถ้าเติมทะเล’ กำลังออนไลน์อยู่ และอีกฝ่ายก็ลงทุนไม่น้อยในการเป็นกำลังสำคัญของในกิลด์…

ฟางหนิงใช้เรี่ยงแรงอันน้อยนิดพิมพ์ไปหา “ต้าไห่ ยังเล่นอยู่ไหม”

‘ใช้ขี้เถ้าเติมทะเล’ ตอบกลับ “เล่นอีกสักรอบ ไม่มีคนเล่นแล้ว น่าแปลกมาก จริงๆ แล้วไม่ควรจะแยกย้ายกันเร็วขนาดนี้ โดยปกติควรจะใช้เวลาครึ่งปีในการเคลียร์เซิร์ฟเวอร์ เกมนี้เคยดังมาก่อน แต่เดือนนี้เพียงเดือนเดียว กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครเล่นอีก ไม่มีใครรู้สาเหตุเลย”

“แต่ช่างมันเถอะ ช่วงนี้ปู่ของผมได้ยินเกี่ยวกับการกลับมาของชั้นเรียนฝึกหัด เขาเรียกประชุมทั้งครอบครัวและขอให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้เรื่องการฝึก เขายังขอให้ผมเตรียมตัวสำหรับการฝึกด้วย หลังจากนี้ผมคงไม่มีเวลาเล่นอีกแล้ว ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้สิ คราวหลังผมจะเชิญประธานไปทานอาหารเย็น”

ฟางหนิงรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันจะโทรหาคุณทีหลัง อ้อ ปู่นายแซ่อะไรน่ะ ฉันอาจจะรู้จักเขา เขาเรียนวิชาฝึกหัดที่ชานเมืองจี้เฉิงไหม”

แน่นอน ฟางหนิงจะไม่ระบุสถานที่ทั้งหมด ห้ามหลุดความลับโดยเด็ดขาด

‘ใช้ขี้เถ้าเติมทะเล’ ตอบ “อ้อ ที่นั่นแหละ ดูเหมือนจะเป็นที่วิลล่าอะไรสักอย่าง คุณปู่ไม่ได้บอกผมทุกอย่าง แซ่ของปู่ผมคือเหว่ย เป็นไปได้ไหมที่ประธานเพิ่งเข้าชั้นเรียนฝึกอบรมนั้นเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย? ชั้นเรียนนั้นค่อนข้างแพงทีเดียว คุณปู่ไม่พาผมไปที่นั่น เขาบอกว่า ถ้าไปสองคนจะเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป ลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ประธาน คุณรวยจริงๆ”

ฟางหนิงแสร้งทำเป็นอวดอ้างและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “ฮ่าฮ่า เปล่า เปล่าหรอก ฉันเพิ่งโพสต์ไปไม่นานนี้เอง ถ้าอย่างนั้นฉันก็รู้จักคุณปู่ของนายแน่นอน ตอนนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในชั้นเรียน ต้องขอบคุณความสุขุมรอบคอบของคุณเหว่ย”

แน่นอนว่าฟางหนิงไม่ได้พูดถึงเรื่องสัตว์ประหลาดเหล่านั้น เพราะไม่อยากทำให้เด็กคนอื่นกลัว

‘ใช้ขี้เถ้าเติมทะเล’ ตอบ “ใช่แล้ว ปู่ของผมก็พูดอะไรบางอย่างเหมือนกัน เขาเป็นกำลังหลักของทุกคนในครอบครัว ครั้งนี้นำเครื่องรางกลับมาวางไว้ที่ห้องโถง ไม่ยอมให้ผมดูสักนิดเดียว เอาแต่บอกว่าเป็นสิ่งที่ปกป้องตระกูลเหว่ย”

ฟางหนิงตอบกลับ “คุณปู่พูดถูกแล้ว ต้าไห่ นายเป็นคนสนใจและใส่ใจสิ่งของ แต่อย่าไปสนใจและแตะต้องสิ่งนั้นเลย ฉันเองก็มีอยู่อันหนึ่ง หลังจากนี้นายฝึกฝนต่อไปอย่างซื่อสัตย์เถอะ และเมื่อถึงรุ่งสาง ฉันก็จะไปฝึกฝนเหมือนกัน”

‘ใช้ขี้เถ้าเติมทะเล’ ตอบกลับ “ได้ครับ ผมจะเชื่อฟังคุณ จะไม่สนใจสิ่งนั้นเป็นอันขาด อีกอย่าง อย่าลืมทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ในห้องแชทนะครับ หลังจากนี้ผมคงไม่ได้เล่นเกมอีกแล้ว”

ฟางหนิงส่งเพื่อนคนสุดท้ายในอ้อมแขนออกไป เขาหันมองไปรอบๆ ในใจยังคงรู้กห่อเหี่ยว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจฟันอ่านนิยายสองสามเล่มเพื่อรับค่าพลังเลือดเพิ่ม

……………………………………………………………….

บทที่ 80 อัศวิน A อยากกินอิ่ม ก็แค่ฆ่าคนเลว แบบนี้ถึงจะอยู่ร่วมกันได้

สามวันต่อมา เฉียวอันผิงลงนามและปล่อยตัวเจิ้งต้าวด้วยตัวเอง เขาเฝ้าดูอีกฝ่ายและอัศวิน A ออกจากเทียนฮุ่ยวิลล่า

เฉียวอันผิงมองพวกเขาจากทางด้านหลังที่ไกลห่างไปผ่านทางชั้นบนของสำนักงาน

จากนั้นเขาก็โทรศัพท์

“ผู้เฒ่าสวี่ อัศวิน A ออกไปแล้ว เขาจากไปด้วยความพึงพอใจ และเจิ้งต้าวได้ถูกตรวจสอบแล้วว่าเขาบริสุทธิ์”

“อืม แบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้เฒ่าไป๋เป็นคนทรยศ กองกำลังปราบปรามทั้งเจ็ดของสำนักสัจธรรมของพวกเรา เมื่อคนน้อยลง ก็ไม่มีใครพูดถึง และยังดึงคนของเราอีกคนไปปกป้องเขา ตอนนี้จึงเหลือกองกำลังเพียงแค่ห้ากองเท่านั้น ต้องขอบคุณการปรากฏตัวของอัศวิน A ที่บังคับให้ผู้เฒ่าไป๋ยอมจำนน ทำให้พวกเราไม่ต้องดึงคนออกมา เราต้องรวบรวมกำลังทั้งหมดที่เรามี”

“ผมจะทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ แต่ติดปัญหาอยู่เล็กน้อย”

“ปัญหาเล็กน้อยเหรอ? ปัญหาอะไรกัน อันผิง ฉันสบายใจที่นายเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างให้ฉัน นายเองก็รู้นิสัยของอัศวิน A เป็นอย่างดี จะมีปัญหาได้ยังไง”

“อ้อ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้…” เฉียวอันผิงจะรายงานเรื่องที่อีกฝ่ายกินวัตถุดิบและสมุนไพรพิเศษจำนวนมหาศาลเข้าไป“ผมจะชดเชยส่วนต่างเอง แต่มีวัตถุดิบและสมุนไพรบางอย่างไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ผมต้องการให้ท่านพิจารณา”

“พิจารณาอะไร? นี่เป็นเรื่องดี”

เฉียวอันผิงสงสัย “มันจะยังเป็นเรื่องดีได้ยังไงกัน?”

“ในเมื่อมังกรตัวจริงอย่างเขากินอาหารได้เอร็ดอร่อยขนาดนี้ เขาต้องคิดที่จะอยากกินอีกถูกไหม? ตอนนี้มีเพียงสำนักสัจธรรมเท่านั้นที่มีวัตถุดิบและสมุนไพรพิเศษซึ่งสามารถตอบสนองความอยากอาหารของเขาได้ หากเป็นเช่นนี้ นายคิดว่าถ้าเขาสามารถจัดการและรับมือกับอันตรายใหญ่ที่อาจจะขึ้นเกิดที่นี่ได้ เขาจะเพิกเฉยเหรอ?”

“ผู้เฒ่าสวี่ ท่านเป็นคนมองการณ์ไกลจริงๆ”

“ไม่ต้องประจบหรอก นายยังมีหน้าที่ของนายอยู่ และการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าของนายยังมีปัญหาอยู่เล็กน้อย นายจำเป็นต้องชดเชยเงินทั้งหมดหรอก จ่ายแค่หนึ่งในสามก็พอ คนอื่นจะได้ไม่นินทา ของพวกนั้นจริงๆ แล้วมีประโยชน์อย่างมาก แต่จะมีประโยชน์มากกว่าหากสามารถผูกมิตรกับมังกรตัวจริงต่อไปได้ ขอเพียงแค่เราเข้าใจในเรื่องนี้ แต่คนบางคนอาจจะไม่คิดอย่างนั้น”

เฉียวอันผิงวางสายโทรศัพท์ ไม่มีความเศร้าหมองบนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจออกมาแทน

“อัศวินคนนี้ไร้ที่ติจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ใช่มนุษย์ ด้วยความอยากอาหารของมังกร หลังจากนี้เราคงไม่สามารถนั่งร่วมโต๊ะกินกับเขาได้แล้วสินะ อย่าว่าแต่ดื่มเลย น่าเสียดายจัง”

“อย่าเสียดายไปเลยน่าคุณลุง… ความอยากอาหารของเขามีมากขนาดนั้น ไม่ว่าครอบครัวเฉียวของเราจะรวยแค่ไหน ก็เอาไม่อยู่หรอก ปู่สวี่ ขอให้ลุงจ่ายเงินแค่หนึ่งในสาม เพื่อจะได้ไม่เป็นขี้ปากของคนอื่น แต่นั้นเป็นเงินเจ็ดสิบล้านหยวนเลยนะคะ” เฉียวจื่อเอ่ยเสียงฉุน

เฉียวอันผิงยิ้มหัวเราะ “เอาเถอะ ลุงรู้ว่าครั้งนี้ให้แกเป็นคนจัดการอีกก็ไม่ได้ลำบากอะไร แม้แกจะเป็นจูเก๋อของตระกูลเฉียวของเรา แต่แกก็ยังแอบอวดตัวเองอยู่เสมอว่าระดับไอคิวของแกคือผลรวมของลุงและจื่อซานรวมกัน แต่น่าเสียดายที่แกไม่ได้หยิ่งผยองขนาดนั้น”

เฉียวจื่อเจียงกระอักเลือด แค่ความหยิ่งผยองของพวกลุงทั้งคู่ก็พอแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว พวกลุงนั่นแหละที่จะทำลายครอบครัวของลุงเอง

เฉียวอันผิงสั่งสอนอีกครั้ง “อย่าเพิ่งมั่นใจไปเลย ปู่ของแกบอกลุงก่อนที่เขาจะจากไปว่าเงินเป็นของนอกกาย ตราบใดที่แกมีเพื่อนแท้ ทุกอย่างที่แกก็ต้องการก็จะกลับมาหาแก แต่ในทางกลับกัน หากแกรวยพันล้าน แต่คบเพื่อนที่ไม่ดี มันจะทำให้แกสูญเสียทุกอย่างภายในคืนเดียว พวกเราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอัศวิน A คนนี้แล้ว เพราะฉะนั้นตระกูลเฉียวของเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตไปอีกหลายพันปี”

เฉียวจื่อเจียงได้ยินดังนั้นก็คิดว่าลุงของเธอมั่นใจในสิ่งที่เขาพูดมาก ลุงของเธอ อายุเพียงแค่สี่สิบก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นรองคณบดีของสถาบันฝึกอบรมพิเศษ เขาเป็นคนใจกว้างและใจดี แต่นั่นเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่ง แต่ความสามารถในการมองคนที่สามารถเป็นประโยชน์ต่อเรานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ

ใช่แล้ว ร่างที่แท้จริงของอัศวิน A คือมังกร และสามารถอยู่ได้อย่างน้อยพันปี ด้วยบุคลิกของอีกฝ่ายแล้ว ดูเป็นเรื่องยากที่จะทำลายครอบครัวของอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะไม่ลงมือจริงๆ ใช่ไหม? นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “นั่นก็จริง แต่ลุงจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะยอมเป็นมิตรด้วย?”

อันที่จริง เธอสงสัยเรื่องนี้มาโดยตลอด สายตารีบหันมองไปที่ลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานของเธอทันที แต่ในบรรดาเพื่อนที่เขาผูกมิตรด้วยนั้น ไม่มีใครคนไหนที่ดูไม่จริงใจหรือเป็นคนไม่ดีเลย

เหมือนกับบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ ผู้ที่เป็นมิตรและร่าเริงอยู่เสมอ แต่ลุงของเธอบอกกลับเธอว่าเขามองผู้ชายคนนี้ไม่ออก ยากที่จะบอกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี จึงสั่งเธอและพี่ชายว่า ให้ติดต่อกับฝ่ายนั้นน้อยลงจะเป็นการดี แต่มุมมองนี้ สามารถนำมาใช้สำหรับการผูกมิตรกับคนอื่นเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาวิจารณ์อีกฝ่ายได้

ตัวเธอเองก็อาศัยความเฉลียวฉลาดและความสามารถในวิเคราะห์รายละเอียดบุคลิกของคนอื่นได้บ้าง แต่ลุงของเธอจะตัดสินคนได้แม่นยำขนาดนี้ได้เชียวเหรอ?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวอันผิง ก็ยิ้มอีกครั้ง “ลุงรู้ว่าแกต้องสงสัย ลุงไม่ได้มีความคิดแบบแก จื่อเจียง ลุงมองคนออกว่าคนนี้สามารถผูกมิตรได้ เพราะอีกฝ่ายโลภมาก แต่เขาบอกว่าเขาไม่เคยบังคับให้พ่อครัวฝีมือระดับเทพอย่างฟางหนิงทำอาหารให้ เรื่องนี้เขาจะไม่โกหก เพราะคนอื่นจะมองออกได้”

เฉียวจื่อเจียงงุนงง “แต่นั่นแหละก็หมายความว่าเขาไม่ได้รังแกคนอ่อนแอ แต่ทำไมลุงถึงยังคิดว่าเขาจะปล่อยให้ตระกูลเฉียวของเราพึ่งพาเขาเป็นเวลาตั้งพันปี”

เฉียวอันผิงยิ้มเล็กน้อย “เพราะเขาได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม”

เฉียวจื่อเจียงไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อลุงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาแบบนั้น ทำไมถึงยังคิดอย่างนั้น? ตอนที่ได้ยินในสิ่งที่พี่พูดถึงในตอนนั้น เมื่อได้ยินเกี่ยวกับวิธีที่โหดเหี้ยมและใช้ความคิด ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย คิดว่าเขาต้องเป็นคนไร้ความปราณีอย่างแน่นอน”

เมื่อเฉียวอันผิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ตบไหล่ของเฉียวจื่อเจียงเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบ “แกจะกลัวอะไร? คนอื่นคงกลัว แต่ตระกูลเฉียวของเราไม่ต้องกลัว วิธีที่โหดเหี้ยมไม่มีอะไรต้องกลัว ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีความรู้สึกอยู่ในนั้นด้วยเหรอ? พวกมันทำให้คนกลัวไหมล่ะ? ไม่ เพราะพวกมันเคลื่อนย้ายแบบนี้เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิต นี่เป็นหลักการ เป็นเพราะอัศวิน A ฝึกฝนด้วยวิธีพวกนั้น หลักการของเขาเสถียรพอๆ กับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิ่งแวดล้อมภายนอก

หลักการของเขานั้นง่ายมาก นั่นคือ เขาไม่ได้กดขี่ผู้บริสุทธิ์และผู้อ่อนแอ และลงโทษเฉพาะผู้ที่ทำบาปเท่านั้น แน่นอน แกไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อจูงใจเขาได้ ตราบใดที่ตระกูลเฉียวของเราปฏิบัติตามกฎของบรรพบุรุษ ไม่ทำชั่ว ทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่สงสัยเขา แบบนี้จะไม่มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างเราและเขา มีแต่การเสริมกำลัง พึ่งพาอาศัยกันเท่านั้น”

เฉียวจื่อเจียงยิ้ม “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ท้ายที่สุดเป็นเพราะลุง และพรสวรรค์ในการฝึกฝนก็สูง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลุงอายุเพียงแค่สี่สิบปี จะกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้นำแห่งสำนักงานความจริง ด้านการฝึกกังฟู ขนาดฉันที่เป็นหลานสาว ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็ยังไม่อาจสู้ลุงได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวอันผิงจึงยิ้มด้วยความพอใจ “ฮ่าฮ่า จื่อเจียง แกนี่ไม่เลวจริงๆ เมื่อเทียบกับลุงและจื่อซาน ยังต่างระดับกันอยู่เล็กน้อย แต่การสืบทอดการฝึกของตระกูลเฉียว มีเพียงแค่เราสองคน แกก็ควรศึกษาให้หนักและเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ด้วย แกไม่สมควรที่จะออกไปเสี่ยงอันตราย ไม่อย่างนั้นแกก็สมัครเป็นครูของสถาบันสิ ตอนนี้เปิดให้ลงทะเบียนแล้ว คนยังลงไม่มาก นี่คือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พูดถึงอัศวิน A จบแล้ว แล้วคนที่มีอำนาจอื่นๆ ล่ะ?”

พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเฉียวอันผิงก็เรียบนิ่ง ไม่นาน เขาก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “คนที่มีอำนาจสูงสุดอื่นๆ น่ะเหรอ การผูกมิตรกับพวกมันนั้นง่ายและน่ากังวลน้อยกว่าการผูกมิตรกับอัศวิน A เห็นได้จากวิถีชีวิตของอัศวิน A เขาจะกินอิ่มก็ต่อเมื่อรู้ว่าเขาต้องฆ่าคนเลว เขาไม่เคยมีความคิดหรือการคำนวณใดๆ เลย และไม่มีเป้าหมายใหญ่ในการเป็นราชาหรือต้องการควบคุมโลก เขาโดดเดี่ยว แกก็เจอเขาแล้ว ไม่พูดไม่จา ไม่มีมารยาทเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร”

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “ประเด็นนี้ได้ยินคนพูดถึงกันมามาก ไม่เช่นนั้นทุกคนคงไม่รู้สึกโล่งใจนัก ที่ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาตระเวนอยู่ข้างนอก”

เฉียวอันผิงเอ่ยเสียงเข้ม “มันยากเกินไปที่จะร่วมมือกับผู้มีอำนาจอื่นๆ ดังนั้นลุงจะพูดสั้นๆ เกี่ยวกับสำนักสัจธรรมของเราบางส่วน …”

………………………………………………………………

บทที่ 79 ห้ามกินและเอากลับมา ให้คนอื่นได้กินด้วย!

ไห่หลานได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันซีดเผือด

เฉียวจื่อเจียงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ

เฉียวจื่อซาน และพนักงานอีกสองคนเหลือบมองกันและกัน แล้วลุกขึ้นเงียบๆ พึมพึมว่าพวกเขาต้องไปจัดการอะไรบางอย่าง

พวกเขาจำบทเรียนนี้ได้อย่างลึกซึ้ง หากในอนาคตจะเชิญแขกมาทานอาหารค่ำ พวกเขาจะไม่ร่วมโต๊ะกับอัศวิน A แน่นอน เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ และไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องมารยาทเหล่านั้นเลย

ตอนนี้หากเฉียวอันผิงจะคัดค้านไม่ให้อีกฝ่ายกินต่อก็ย่อมได้ แต่ด้วยบุคลิกและสไตล์ของเขาแล้ว หากให้เขาพูดว่าไม่ให้แขกกินต่อนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้เขาลาออกจากตำแหน่งรองประธาน และเขาไม่มีทางทำแน่นอน…

ไห่หลานขอความช่วยเหลือจากเฉียวจื่อเจียง อีกฝ่ายคือหนึ่งในสตรีจูเก๋อ เมื่อประสบความยากลำบาก ก็ยังมีทางออกให้เธอเสมอ หันมองเวลาอีกครั้งก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว และสมาชิกหลายคนก็เป็นผู้อาวุโส

หลังจากที่พวกเธอกระซิบกระซาบกันเล็กน้อยแล้ว ดวงตาของไห่หลานก็เปล่งประกาย

ไห่หลานเดินช้าๆ เข้าไปใกล้ๆ เฉียวอันผิง ก้มศีรษะลงแล้วพูด “ประธานเฉียว คุณพูดก่อนงานเลี้ยงว่าจะมีของขวัญชดเชยให้แก่สมาชิก ตอนนี้ดึกมากแล้ว และสุขภาพของพวกเขาอาจจะสู้ไม่ไหว คุณลองดูสิว่าตอนนี้เป็นเวลาสมควรแก่การกล่าวอะไรอีกสักหน่อยไหม จากนั้นก็ให้พวกเขากลับไปพักผ่อน? ”

เธอไม่ได้บอกว่า “ฟางหนิง” เป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย จากที่เธอคิด การให้ของขวัญชดเชยนั้น เธอจะเรียกให้ “ฟางหนิง” ออกมาเป็นคนมอบ หากกล่าวอะไรนอกเหนือจากนั้นคงจะใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง การกินอาการก็จะโดนขัดจังหวะ และงานเลี้ยงก็จะสิ้นสุดลง

เธอจะวางแผนอย่างรอบคอบ เป้าหมายเล็กๆ เพื่อปกป้องทรัพยากของวิทยาลัย ส่วนเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นคือเธอรู้ลักษณะนิสัยของเฉียวผิงอันดี ถ้ามีคนถามเรื่องนี้ในที่ประชุม เขาจะต้องยืนยันหนักแน่นว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้หักจากบัญส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน

แม้ว่าตระกูลเฉียวจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก แต่มีพนักงานที่ขึ้นตรงต่อตระกูลเพียงไม่กี่คน แม้จะมีแม่บ้านที่มีความสามารถในการจัดการธุรกิจของครอบครัว แต่คงไม่สามารถทำเรื่องนี้ซ้ำๆ ต่อไปได้แน่นอน

เฉียวอันผิงตกตะลึงครู่หนึ่ง เขาเพิ่งจะทักทายอัศวิน A แต่เขาก็เกือบลืมเรื่องนี้ไป

ในตอนนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากและกล่าวขอโทษไปทางอัศวิน A “อัศวิน ท่านอยู่ท่ามกลางโลก ร่างกายควบคุมตนเองไม่ได้ เฉียวโม่วต้องแยกออกมาสักพัก”

อัศวิน A ตอบกลับ “คุณไม่จำเป็นต้องมาดูแลผม แค่ปล่อยให้พ่อครัวฟางหนิงทำอาหารให้ก็พอแล้ว ปกติแล้วพ่อครัวคนนั้นจะขี้เกียจมากที่จะต้องมาทำอาหาร และผมไม่เคยบังคับคนอื่นให้กินเลย แต่ครั้งนี้เขาติดหนี้ผม ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ผมได้กินอย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวล ผมรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ อดหลับอดนอนสองสามคืน ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้หรอก”

เมื่อเฉียวอันผิงได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้าพร้อมตอบกลับว่า “แบบนั้นก็ดีสิ หลังจากนี้ผมจะส่งคนไปให้เขา”

เฉียวอันผิงยืนขึ้นและเดินไปที่แท่น ขณะที่เดิน ก็คิดในใจว่า ด้วยพลังของอัศวิน ฟางหนิง หัวหน้าพ่อครัวคนนั้น ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้แน่นอน ถ้าเขาโกรธอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าคงไม่สามารถเปิดร้านได้อีกต่อไปแน่

แต่อัศวิน A ไม่เคยบังคับอีกฝ่ายให้ทำอาหารให้เขา เขาคือชายผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขาไม่แสดงอำนาจต่อผู้อ่อนแอและไร้เดียงสา แต่จะตั้งรับเฉพาะคนชั่วเท่านั้น เฉียวอันผิงจึงตัดสินใจที่จะเป็นมิตรกับชายคนนี้

ไห่หลานได้ยินก็ตกตะลึง อีกฝ่ายอยากจะกินไปอีกกี่วัน?

เธอเจ็บปวดใจ รู้สึกอับจนหนทาง สุดท้ายจึงมองไปที่เฉียวจื่อเจียง และเดินกลับมาอีกครั้ง เอ่ยถามแผ่วเบา “มีวิธีอื่นอีกไหม?”

เฉียวจื่อเจียงยักไหล่ท่าทางไม่ยี่หระ ตอบเบาๆ “อัศวิน A คนนี้พูดถูกแล้ว ก่อนหน้านั้นหนูและพี่ชายเคยไปที่เมืองฉีเฉิง อยากจะจ่ายเงินสามล้านให้กับพ่อครัวคนนั้นเพื่อให้ทำอาหารให้ แต่ผู้หญิงคนนั้น ผู้จัดการร้านน่ะ ไม่แม้แต่จะแจ้งให้เขาทราบ เธอพูดเพียงแค่ว่าโดยปกติแล้ว เจ้านายของเธอไม่ได้ทำอาหาร แต่พี่ชายเป็นคนเกลี้ยกล่อมหนู ไม่อย่างนั้นหนูจะไปหาเขาเป็นการส่วนตัว

ด้วยบุคลิกของอัศวิน A เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายกดดันเขาแน่นอน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่ติดค้างกันในอดีต ที่ต้องเอาคืนกลับมาสักครั้ง วัตถุดิบที่เก็บไว้ในวิทยาลัยของเรานั้นอร่อยด้วยฝีมือของพ่อครัวธรรมดา แต่ฝีมือของฟางหนิง รสชาติอาหารต้องออกมาดีกว่าแน่นอน ป้าหลาน ป้าก็กินไปตั้งเยอะแล้ว และอัศวิน A ต้องกินให้พอเช่นกัน”

ไห่หลานได้ยินเรื่องนี้ก็กลอกตา เธอกินเข้าไปเยอะทีเดียว ไม่คิดว่าจื่อเจียงจะสังเกตเห็น ช่างขายหน้าจริงๆ โชคดีที่เฉียวอันผิงมัวแต่ดูแลอัศวิน A เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย

ไห่หลานตอบอย่างไม่เต็มใจว่า “มิน่าล่ะที่เขาปรากฏตัวโดยบังเอิญ ฉันสงสัยมากว่าเขาเลือกที่จะปรากฏตัวก่อนงานเลี้ยงเพราะเขารู้ว่าพ่อครัวกำลังทำอาหารอยู่ พ่อครัวก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเองก็รู้สึกได้ เขาเลยยืมสถานที่และวัตถุดิบของเรามาทำอาหาร ช่างมันเถอะ ใครใช้ให้พวกเราติดหนี้บุญคุณคนกินเยอะแบบนี้ล่ะ เราไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ตามนั้นแหละ ฉันจะคอยดูว่าอัศวิน A คนนี้จะสามารถกินวัตถุดิบทั้งหมดในโกดังของเราได้ไหม”

จากนั้นเธอก็กระซิบ “อีกสักพักเธอลองชวนคุณลุงเธอสิ ถ้ามีคนถามเรื่องค่าใช้จ่าย จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียว เพราะคนที่เป็นหนี้บุญคุณอัศวิน A จริงๆ แล้วคือวิทยาลัยของพวกเรา”

เฉียวจื่อเจียงโบกมือปัดแล้วพูดว่า “แทนที่จะขอให้หนูเกลี้ยกล่อม ให้หนูพิจารณาก่อนว่าอัศวิน A จะกินอาหารมื้อนี้มากแค่ไหน และครั้งต่อไปค่อยไปเจรจากับปู่ เพื่อหาวิธีใหม่ในการหาเงินเพื่อชดเชยการขาดทุนในครั้งนี้ ในงานเลี้ยงครั้งก่อน คนรวยเหล่านั้นพูดเกี่ยวกับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เยอะมาก พวกเรามีเทคโนโลยี พวกเขามีเงินทุนและกำลังคน ถ้าร่วมมือกัน เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะไม่สามารถทำเงินได้”

เมื่อไห่หลานได้ยินเรื่องนี้ ก็รู้สึกยินดีไม่น้อย “โชคดีที่ตระกูลเฉียวยังมีจื่อเจียง ไม่รู้เลยว่าในอนาคตใครกันที่จะเป็นสามีผู้โชคดีคนนั้น”

ใบหน้าของเฉียวจื่อเจียงแดงก่ำ โต้กลับทันที “อย่างน้อยหนูก็รู้ว่าป้าหลานอยากจะแต่งงานกับอารอง แต่คุณไม่สามารถทำให้เป็นแบบนั้นได้ เพราะในใจของคุณอารองมีแต่เพื่อน เรื่องของบริษัท เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนั้นเลย…”

เอาคืนสำเร็จ! ถึงคราวที่ใบหน้าของไห่หลานแดงก่ำ

ใครก็ตามที่มีแรงจูงใจและสถานะที่สามารถกีดกันอัศวิน A จากการกิน เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ คนเดียวที่สามารถขัดขวางการกินของอัศวิน A ได้นั้น ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ?

ในพื้นที่ระบบ

ระบบ “โฮสต์ คำแนะนำก่อนหน้านี้ของคุณดีมาก พวกเราปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม และครั้งนี้เราได้รับมากกว่า 1.2 พันล้าน ระบบเพิ่งเฝึกอบรมเสร็จและต้องการอาหารเสริมอย่างเร่งด่วน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ตอนนี้ ค่าอาหารจำนวนมากที่ต้องประหยัด ก็ไม่อาจะเทียบได้ ประเด็นสำคัญคือส่วนผสมและสมุนไพรที่จัดเตรียมที่นี่นั้นไม่ธรรมดา หลังจากรับประทานอาหารมื้อนี้แล้ว คาดว่าจะเพิ่มคะแนนแอตทริบิวต์ฟรีสองหรือสามแต้ม ซึ่งไม่สามารถซื้อด้วยเงินในตลาดนอกได้ โฮสต์เล่นต่อไปเถอะ ระบบจะไปกินต่อ”

ฟางหนิงไม่เงยหน้าและไม่ตอบกลับ สายตาจดจ่ออยู่แค่เกมออนไลน์ “ปังปัง” และเหลือบมองนิยายที่อัพโหลดตอนใหม่เป็นครั้งคราว

หากเทียบกับเวลาภายนอกแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น สำหรับเขา เป็นเวลากว่าครึ่งปีที่เข้าถูกตัดขาดจากโลกอินเทอร์เน็ต สำหรับเด็กเนิร์ดแบบเขา การที่ตัดขาดจากโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเวลาครึ่งปี สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากได้กลับเข้ามาเล่นอีกครั้งนั่นก็คือ เล่นให้เต็มที่

แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอารมณ์ของเทพแห่งระบบแล้ว เขาต้องมีส่วนร่วมเพื่อให้เล่นได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต

ดังนั้น หลังจากที่เขารู้จากตัวแทนว่าคฤหาสน์กำลังจะจัดงานเลี้ยง เขาจึงปล่อยให้เทพแห่งระบบทำตาม

ระหว่างการเล่นเกมบนอินเทอร์เน็ตกับการเพลิดเพลินไปกับการรับประทานอาหาร เขาเลือกอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างแรกแน่นอน ดังนั้นฟางหนิงจึงทิ้งงานกินให้เทพแห่งระบบจัดการ ปรากฎว่าประสิทธิภาพการกินของเทพแห่งระบบนั้นเร็วกว่าเขามาก เขาให้เทคนิคการกินแบบสายน้ำแทนที่การกินแบบคนปกติ นี่คือสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้…

ด้วยการสนับสนุนดังกล่าว ฟางหนิงตั้งใจที่จะไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเทพแห่งระบบ เขาเพียงแค่เล่นเกมออนไลน์ของเขาต่อไป

…………

หลังจากเล่นเป็นเวลานาน ฟางหนิงก็สามารถดึงระดับตัวละครในเกมออนไลน์กลับมาได้ เมื่อมองดูเวลา นี่ก็ผ่านไปสองวันสองคืนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ครั้งนี้เทพแห่งระบบควรจะมีช่วงเวลาในการกินที่ดีและมีความสุข เขาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อให้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน

แน่นอนว่ายังต้องฝึกฝน ฝึกฝนเสร็จแล้ว ทั้งคืนก็ไม่เหนื่อย!

ฟางหนิงถอนหายใจ หลังจากหยุดเล่นเกมเขาก็อ่านนิยายต่ออีกสักพัก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในเวลานี้ภายในระบบนอกจากเสียงคอมพิวเตอร์แล้ว ก็ยังมีเสียงตีเหล็ก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าภายในระบบจะมีอะไรบางอย่างเข้ามาเป็นระยะๆ มันคืออะไรกัน?

ใช่แล้ว หลังจากที่เขาฝึกฝน “วิชาการแปลงร่างมังกร” สู่อาณาจักรแห่งการเป็นมังกรแล้ว ความรู้สึกทางจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก และความรู้สึกของพื้นที่ทั้งหมดในระบบก็อ่อนไหวมากขึ้น

ฟางหนิงคิดแล้วคิดอีก แม้จะรู้ว่าระบบดเหมือนจะมีประสบการณ์มากมาย แต่หากไม่ได้รับการดูแลจากเขาแล้ว คงไม่สามารถทำอะไรได้แน่นอน

ครั้งนี้เขาเล่นเกมออนไลน์คนเดียว ทิ้งมันไว้ให้กินคนเดียวถึงสองวัน แม้จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นโดยตรง แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องอื่นตามมา

เขามองไปรอบๆ และในที่สุดก็พบปัญหา

มีอาหารจำนวนมากอยู่ในพื้นที่เก็บของสดของระบบซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้มันกองพะเนินไปด้วยจานที่เต็มไปด้วยสีสัน และมีกลิ่นหอม

“นี่มันอะไรกัน?” ฟางหนิงตระหนก ทักษะการทำอาหารของหุ่นตัวแทนยังไม่ได้รับการอัปเกรด จะทำอาหารเรืองแสงได้อย่างไร?

เป็นไปได้ไหมว่าเทพแห่งระบบกินมากเกินไป อาหารที่เขาทำเองที่สำนักสัจธรรม จึงเป็นเอฟเฟกต์พิเศษที่ทำโดยการปรุงอาหารระดับปรมาจารย์อย่างนั้นเหรอ?

เรื่องนี้ไม่ดีแน่ จะไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนเหรอ?

ฟางหนิงคำราม “อย่าเพิ่งกิน ทำไมพื้นที่เก็บของสดถึงเรืองแสงออกมาได้? แกทำให้มันเป็นแบบนั้นรึเปล่า?”

ระบบตอบกลับ “ไม่ใช่”

ในที่สุด ฟางหนิงก็โล่งใจ ตอนนี้อัศวิน A เล่นใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาเปิดเผยตัวตนจริงๆ การพัฒนาขั้นต่ำของเขาจะล้มเหลว จะมีปัญหามากขึ้นในอนาคต และในที่สุดรากฐานที่เขาวางไว้จะพังลงไม่เป็นท่า

ฟางหนิงถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ระบบตอบ “อ้อ วันนี้ตอนเที่ยงระบบกินมาอิ่มนิดหน่อย ระบบอยากจะหยุด แต่รองประธานที่ชื่อ เฉียวอันผิง เห็นว่าระบบกำลังเรอ และอาหารทุกจานก็ถูกเสิร์ฟอีกครั้ง เขาจึงพูดว่า ไม่เป็นไร ถ้าหากกินไม่ไหวแล้วจะได้นำอาหารกลับ มันเกิดขึ้นตอนที่ระบบเห็นว่ามีอาหารมากมายที่สามารถเพิ่มพลังลมปราณและเลือดได้ ระบบจึงกินมันต่อไป เมื่อกินอาหารที่สามารถเพิ่มพลังปราณและเลือด มันจึงเรืองแสงออกมา”

ฟางหนิงแทบกระอักเลือด “ให้ตายสิ! ดูเหมือนว่าแกได้กินวัตถุดิบที่เลวร้ายในคลังของพวกเขาหมดแล้ว และเฉียวอันผิงก็อยากจะรักษาหน้า ดังนั้นเขาพอรู้สึกไม่ดีก็เลยตัดสินใจออกไปซื้อวัตถุดิบธรรมดาอย่างรวดเร็วเพื่อมาตบตาพวกเรา”

ระบบตอบกลับ “อืม เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าระบบจะต้องกินต่อไป”

ฟางหนิงได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลง “ท่านเทพแห่งระบบ แกจะกินแบบนี้ไม่ได้ ให้คนอื่นเขาได้กินด้วยเถอะ! ครั้งหน้าหากพวกเราช่วยเขาอีก เขายังจะให้เราเข้าไปอีกไหม? อย่างมากที่สุดจะถูกดึงลงมาหลังจากส่งรางวัลใหญ่ห้าสิบล้าน คงไม่มีใครเชิญไปกินแล้ว”

ระบบครุ่นคิด แล้วตอบตกลง “โฮสต์ต้องคิดระยะยาว เรื่องนี้เป็นการวางแผนระยะยาว พวกเราไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ ระบบได้ยินที่ผู้หญิงสองคนกระซิบว่า ของเหล่านี้หาซื้อไม่ได้จากตลาดข้างนอก และราคาที่ซื้อได้ไม่ใช่สิบเท่าหรือร้อยเท่า”

ฟางหนิงพูด “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็กินให้มันพอเหมาะหน่อย ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สามารถให้พวกเราจัดการกับพวกสัตว์ประหลาด”

………………………………………………………………….

บทที่ 78 แค่มื้อเดียวสามารถกินได้ถึงหนึ่งร้อยล้าน เชื่อไหมล่ะ?

ในฐานะที่เป็น “หนึ่งในสตรีจูเก๋อ” การคาดการณ์ของเฉียวจื่อเจียงนั้นถูกต้อง

ตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม ทุกคนต่างร่วมดื่มอวยพรให้กับอัศวิน A ที่ช่วยพวกเขาไว้ราวกับเทพที่ลงมาจุติบนโลก และในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็บอกว่าจะทานอาหารเย็นแบบส่วนตัวในภายหลัง ทุกคนต่างพยายามเข้าหาอัศวิน A แต่ อัศวิน A กลับเพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น แขกแต่ละคนจึงพยายามส่งนามบัตรที่มี QQ และ WeChat ให้เขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มทานอาหารกันแล้ว ไม่นานทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ …

เฉียวอันผิงก็มาร่วมงานด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีเฉียวจื่อซาน และเจ้าหน้าที่ชายสองคน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับอัศวิน A ต่างร่วมมารับประทานอาหารเย็นกับเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็พบว่าแขกที่นั่งด้วยทั้งสี่คนนี้ไม่น่าสนใจเลยสักนิด เพราะพวกเขาไม่แตะอาหารจานใดเลยแม้แต่จานเดียว…

ตอนนี้โต๊ะอื่นๆ เสิร์ฟอาหารไปมากกว่าสิบจานแล้ว หนึ่งโต๊ะนั่งด้วยกันหกคน มีทั้งหมดเจ็ดหรือแปดโต๊ะ และแทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสิร์ฟอาหารใดๆ อีก เห็นได้ชัดว่าอาหารเหล่านี้ทานยากมาก เพราะแม้ว่ารสชาติของมันจะดี และทุกคนอยากจะทานให้มากขึ้น แต่ไม่สามารถทานมันลงได้อีกแล้ว

เนื่องจากราคาอาหารแต่ละจานค่อนข้างสูง อีกทั้งเบื้องบนยังรณรงค์ให้ประหยัดและอดออม พวกเขาจึงทานไม่ลงอีกต่อไป อาหารทุกจานหยุดเสิร์ฟ

ไห่หลานนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ผู้หญิงพวกนั้นมีทั้งอายุเยอะและอายุน้อย แต่ตอนนี้บนโต๊ะของพวกเธอ อาหารไม่ได้พร่องลงเลยสักนิดเดียว พวกเธอทานน้อยมาก ในทางกลับกัน เธอยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แม้ในใจพวกเธอจะอยากทานอาหารอร่อยพวกนี้อีก แต่ก็กังวลเกี่ยวกับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้น และอีกอย่าง ความอยากอาหารของพวกเธอมีไม่มากนัก

ไห่หลานทานอาหารพวกนี้โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ของตัวเอง อาหารเหล่านี้ทำมาจากวัตถุดิบชั้นดีและสมุนไพร ไม่สามารถหาซื้อทั่วไปได้ พวกพนักงานระดับกลางและสูงกว่าของสถาบันการศึกษา จะทานอาหารเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อมีเทศกาลสำคัญเท่านั้น

เธอคิดว่าทั้งหมดนี้ต้องโทษพ่อครัว ใครใช้ให้ใครไม่รู้จักโกหกกันล่ะ อาหารพวกนี้หาได้เฉพาะในสวรรค์เท่านั้น และไม่ควรปรากฏในโลกเลย…

ไม่น่าแปลกใจเลยที่มังกรจริงจะกินอาหารแค่ที่บ้านของเขา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โต๊ะของเฉียวอันผิง เพราะอยากจะเห็นสีหน้าของอัศวิน A มีต่ออาหารอันโอชะพวกนี้ว่าเป็นยังไง?

จากนั้นเธอก็ต้องตกตะลึง

เธอเห็นอัศวิน A นั่งตัวตรง มือและเท้าของเขาไม่ขยับเขยื้อนสักนิดเดียว ใบหน้าปราศจากความรู้สึก สีหน้าคล้ายคนกำลังเคี้ยวขี้ผึ้ง มีเพียงแค่ปากของเขาที่ขยับเป็นครั้งคราว

อัศวินคนนี้บางครั้งก็จะอ้าปากและหายใจเข้า ซุปทีหยดจะไหลออกจากถ้วยโดยตรงราวกับน้ำตก ไหลกลับเข้าไปในปากของอีกฝ่ายโดยไม่เหลืออะไรเลย

ไม่นานนัก เธอก็รู้ว่าเขาใช้พลังดูดด้วยลมปราณเพื่อควบคุมอาหารโดยรอบ ลอกหนังและเอากระดูกออก ทำความสะอาดเครื่องปรุง เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการรับประทานอาหารที่มีประสิทธิภาพขั้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการรับประทานอาหารแบบธรรมดา สามารถเปลี่ยนให้เป็นกระบวนการไหลได้ และเธอรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก

และอีกสี่คนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน มาเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเท่านั้น…

สีหน้าของสามคนที่เหลือไร้อารมณ์ แต่เฉียวอันผิง ดีใจมากที่เห็นอัศวิน A กินอย่างมีความสุข ตามธรรมเนียมของภาคเหนือ แขกยิ่งกินยิ่งแสดงว่าอีกฝ่ายเห็นแก่หน้าเจ้าภาพ ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนนอก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเรียกพนักงานไม่หยุดหย่อน ให้เอาอาหารมาเพิ่ม และพูดซ้ำๆ ว่าต้องให้ผู้มีพระคุณกินและดื่มอย่างเต็มที่…

แขกโต๊ะอื่นหยุดกินไปนานแล้ว ตอนนี้มีแต่โต๊ะนี้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะกินอาหารเป็นน้ำ…

ไห่หลานมองดูอยู่พักหนึ่งก็พบว่าอัศวิน A ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เฉียวอันผิงบอกว่าเขาต้องกินและดื่มให้เต็มที่ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาจริงจังกับมันมาก สนใจแต่การกินเพียงเท่านั้นจริงๆ

ในเวลานี้ ที่ห้องครัวด้านหลัง พนักงานคนหนึ่งเหงื่อท่วมหัว กล่าวเสียงรีบ “เร็วเข้า รีบเสิร์ฟอาหาร อัศวินคนนั้นกินอาหารจานที่หกสิบหมดแล้ว”

“ฟางหนิง” มีมือและเท้าที่รวดเร็วมาก การเคลื่อนไหวของเขาแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อีกอย่าง เพราะทำงานมานาน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเต็มที แต่ก็ยังโชคดีที่กำลังคนที่เตรียมไว้เพียงพอสำหรับผลัดเปลี่ยนกะ

เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ เขาอยู่ในการต่อสู้ตัวคนเดียวมาตลอด ทุกการเคลื่อนไหวราวกับหุ่นยนต์ แม่นยำ และรวดเร็ว

ไม่นานอาหารจานอื่นก็พร้อมเสิร์ฟ พนักงานรีบยกมันออกไป

แต่จู่ๆ ใครบางคนก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าวัตถุดิบที่เตรียมไว้จะไม่พอแล้ว พวกสมุนไพรก็ด้วย”

“งั้นก็รีบไปรายงานรองประธาน…”

เฉียวอันผิงได้รับรายงานในไม่ช้า เขาลุกขึ้น พร้อมกับพูดขอโทษอัศวิน A แล้วลุกออกมาพูดกับพนักงานว่า “ง่ายมาก ฉันจ่ายเอง พวกแกไปที่โกดังสำรอง รีบจัดการนำวัตถุดิบมา”

ตอนนี้เอง พนักงานคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความลำบากใจ “ค่าจัดเลี้ยงนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของวิทยาลัย และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ผมเกรงว่า…”เมื่อเฉียวอันผิงได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “อัศวินคนนั้นได้แก้ปัญหาใหญ่ให้เรา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่บ้านของตระกูลเฉียวในฐานะแขก ถ้าให้อัศวินกลับไปพร้อมกับท้องที่หิวโหย ชื่อเสียงของข้าในฐานะเฉียวอันผิงจะเป็นอย่างไร? ไม่ว่าจะราคาแพงแค่ไหน ก็ให้มาเบิกที่บัญชีส่วนตัวของฉัน!”

พนักงานยังคงโต้แย้งว่า “แต่หลายอย่างที่เขากินไม่สามารถหาซื้อจากภายนอกได้ ทั้งหมดเป็นเสบียงพิเศษภายในของเรานะครับ”

เฉียวอันผิงตอบกลับ “แกนี่พูดมากจริงๆ ฉันจะโทรหาผู้เฒ่าสวี่ และขอให้เขาตกลง”

จากนั้นเฉียวอันผิงก็โทรหาผู้เฒ่าสวี่และอธิบายเรื่องนี้อีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าสวี่ไม่เข้าใจความอยากอาหารของอัศวิน A แต่ก็พูดอย่างร่าเริงว่า “อย่างนี้แล้วกัน ทำตามที่นายพูดเถอะอันผิง ฉันจะกลับไปบอกพวกเขาในที่ประชุมในภายหลัง”

ผู้เฒ่าสวี่ต้องตอบตกลงแน่นอนข้อแรก เพราะอีกฝ่ายหนึ่งประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในสถาบันฝึกอบรมพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก อย่างที่สอง อีกฝ่ายก็ช่วยชีวิตลูกชายที่ไร้ความสามารถของเขาด้วย ทั้งภาครัฐและเอกชน พวกเขาจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พนักงานจึงนำลายเซ็นต์ของเฉียวอันผิงไปยังคลังสินค้าทันที

ทันทีที่อาหารจำนวนมากถูกนำเข้ามาในห้องครัว รวมถึงพวกสมุนไพรที่เกี่ยวข้อง พ่อครัวระดับเทพก็มือไม่ว่างอีกต่อไป

อัศวิน A กินอาหารไปถึงโต๊ะที่สิบ และขณะเดียวกันฝูงชนยังคงรอให้งานเลี้ยงสิ้นสุด…

ไห่หลานเองก็อิ่มแล้ว เธอเดินไปที่โต๊ะอื่นอย่างเงียบๆ แล้วสะกิดไหล่ของเฉียวจื่อเจียง

อีกฝ่ายลุกขึ้นอย่างรู้งานและเดินออกไปพร้อมกับเธอ “ป้าหลาน ป้าคงอยากจถามว่าเขาจะกินไปจนถึงเมื่อไหร่ใช่ไหม?”

ไห่หลานพยักหน้า แต่เมื่อเธออ้าปาก ในใจก็รู้สึกว่าบางอย่างแปลกประหลาด อัศวิน A คนนี้ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวทั้งตอนเช้าและตอนค่ำ แต่มาในช่วงทานอาหาร

อีกอย่าง “ฟางหนิง” ก็ยอกตกลงกับคำขอก่อนหน้านี้ของเธออย่างมีความสุขที่อีกฝ่ายได้ทำอาหารด้วยตัวเอง แถมยังยังขอคนล่วงหน้ามากกว่ายี่สิบคน

มองกลับไปแล้วก็ดูเหมือนว่า “ฟางหนิง” จะเข้าใจมังกรจริงตัวนี้อย่างลึกซึ้ง และยังมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเองมากอีกด้วย เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาทำอาหารออกมาได้ดี และอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ เขา เขาต้องรู้สึกได้อย่างแน่นอน สถานที่นี้เป็ของสำนักสัจธรรม และวัตถุดิบก็มาจากสำนักสัจธรรมเช่นกัน…

ความจริงแล้วมันไม่สำคัญหรอก ต้องขอบคุณคนอื่น ถึงแม้ว่าวัตถุดิบที่เตรียมสำหรับมื้อนี้จะมีราคาแพงก็ตาม

แต่เฉียวอันผิง ชายใจดีผู้นี้ ไม่เคยกังวลเรื่องการเงินเลย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้สิ่งต่างๆ กำลังดิ่งลงเหว…

ท้ายที่สุดสมองของฉันก็ไม่ได้ดีเท่าเฉียวจื่อเจียง ฉันจะคิดได้ก็ต่อเมื่อฉันเห็นข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า แม้ว่าตนเองจะรู้ข้อมูลของอัสวิน A ว่าเป็นคนกินเก่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะเธอเองก็กินเก่ง นักสู้ทุกคนกินเก่งกันทั้งนั้น แต่เธอไม่รู้ว่าที่คนอื่นกินได้ขนาดนี้เพราะวัดจากมาตรฐานมังกร…

เฉียวจื่อเจียงเห็นสีหน้าผิดหวังของไห่หลาน พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนที่หนูไปเมืองฉีเฉิง หนูเห็นเขาแค่ครั้งเดียว ต่อมาก็ได้สืบสวนพิเศษ เขาไม่ได้กินบ่อย ทุกๆ สิบวันครึ่ง เขาจะกินเพียงหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเขาเริ่มกิน เขามักจะเริ่มตอนกลางคืนและกินจนรุ่งสาง… มันเป็นอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบและสมุนไพรของตลาดนอก และเขากินได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน พอมาเจอของดีๆ ที่ทางโรงเรียนจัดให้โดยเฉพาะ แถมมีลุงคอยชักชวนอีก ถ้าเขาจะกินไปสองวันสองคืน หนูก็ไม่แปลกใจเลย…”

ไห่หลานสูดลมหายใจเข้า “วัตถุดิบและสมุนไพรที่ทางสถาบันจัดหาให้โดยเฉพาะ เป็นสิ่งที่หาซื้อได้จากตลาดนอกเท่านั้น อีกทั้งราคาแพงกว่าสิบเท่ายังซื้อไม่ได้เลย”

เฉียวจื่อเจียงตอบกลับ “ใช่ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะกินให้ถึงหนึ่งร้อยล้านสำหรับมื้อนี้…”

ด้วยความรวดเร็ว กินอีกโต๊ะเสร็จแล้ว คราวนี้ไห่หลานเกลียด “ฟางหนิง” ที่เธอยอมตกลงให้เขาทำอาหารเอง คาดว่าถ้าคนอื่นทำอาหาร ความอยากอาหารของอีกฝ่ายจะไม่ดีขนาดนี้…

ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่า “ฟางหนิง” คงจะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวได้เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอมองหาพนักงานเสิร์ฟ และเริ่มสอบถาม

พนักงานพวกนั้นเกาหัวแล้วตอบว่า “อีกฝ่ายยังคงกระตือรือร้นอยู่ เขาเป็นยอดมนุษย์ เต็มไปด้วยพลัง พ่อครัวคนอื่นๆ เปลี่ยนกะไปหมดแล้ว มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย”

ทั้งสองชำเลืองมองกันและกัน และความหวังเดียวนี้ก็ถูกบดบังภายในสายตา

โชคดีที่เมื่ออัศวิน A กินอาหารจานที่หนึ่งร้อย พ่อครัวก็ส่งคนมาพร้อมกับวัวย่างทั้งตัว

ไห่หลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เอาล่ะ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาหารจานสุดท้ายแล้ว”

“ไม่แน่หรอก…” เฉียวจื่อเจียงพูด

“ฟางหนิง” ขอให้พนักงานเสิร์ฟส่งเนื้อวัวย่างทั้งหมดไปที่โต๊ะของอัศวิน A และหลังจากวางถาดลง กลิ่นหอมก็อบอวลเต็มไปทั่วทั้งยอดเขา

แขกที่ทานอิ่มแล้วทำได้เพียงมองวัวย่างแล้วถอนหายใจ มีเพียงเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้พวกเขาก็สามารถใช้ตะเกียบได้สักที

แต่ครู่ต่อมา พวกเขาก็ต้องหมดหวัง

เมื่ออัศวิน A พยักหน้าเล็กน้อยไปที่ “ฟางหนิง” จากนั้นก็หันไปทางวัวย่าง…

ไม่มีใครมองเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็เห็นว่าวัวย่างทั้งตัวที่วางอยู่นั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงกลิ่นน้ำมันที่หลงเหลืออยู่บนเพื่อย้ำเตือนว่าก่อนหน้านี้มีวัวย่างวางอยู่ตรงนั้น

“ขอบคุณท่านอัศวินที่ชอบอาหารฝีมือข้า เพื่อเป็นการขอบคุณอัศวินที่ช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้ ผมขอประกาศว่าเมื่ออัศวินกลับมาที่ร้าน อาหารทั้งหมดจะถูกขายในราคาทุน ตรงนี้ยังมีบัตรอีกด้วย จำนวนไม่มากสามสิบล้านหยวน ขอท่านอัศวินอย่าคิดว่าน้อยไป ไม่ว่ายังไงก็ตามห้ามปฏิเสธ”

พูดจบ “ฟางหนิง” ก็หยิบการ์ดทองคำที่มีรหัสผ่านออกมา

อัศวิน A พยักหน้าและกล่าว “คุณเก่งมาก คุณมาจากสถานที่ที่มีขนบธรรมเนียมเรียบง่ายจริงๆ และคุณรู้ความจริงของความกตัญญูเป็นอย่างดี”

ทันทีที่เขาพูดจบ บัตรทองก็บินตรงจาก “ฟางหนิง” ไปยังมือของเขา

ในตอนนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเข้าใจได้ในทันที อันที่จริงแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนวางแผนที่จะขอบคุณอัศวิน A แต่ทุกคนต่างคิดว่านี่เป็นการเชิญส่วนตัว จึงใช้โอกาสนี้ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ

เมื่อถึงตอนนี้ ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกแล้ว เมื่อมีคนเปิด พวกเขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และไม่ว่าจะเป็นยังไง สถานภาพของพวกเขาต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนขี้ขลาด

ผ่านไปครู่หนึ่ง สมาชิกทุกคนในงานเลี้ยงต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ตัวเลขที่แสดงออกมาสามารถทำให้คนธรรมดาตกตะลึง

ไห่หลานคิดว่างานเลี้ยงนี้ควรจะจบลงเสียที

แต่แล้ว ตอนนั้นเองเฉียวอันผิงก็พูดอีกครั้ง “อัศวิน ท่านกินอิ่มแล้วเหรอ ให้พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาให้เพิ่มอีกไหม?”

หากเป็นคนอื่น คงจะบอกว่าพอแล้วพอ งานเลี้ยงควรจะต้องจบลงเสียที

แต่วงจรสมองของอัศวินคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไป เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าตอบรับ” ดีเลย ให้พวกเขาทำอาหารต่อเถอะ…”

……………………………………………………………

บทที่ 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

ไห่หลาน “คุณจะบอกว่าปีศาจร้ายนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”

เจิ้งเต้าพยักหน้า “ตายแล้วแน่ๆ ตอนนี้ผมรับรู้ถึงมันไม่ได้”

ไห่หลานไม่สงสัย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากปากคนอื่นว่าอัศวิน A แปลงร่างเป็นมังกรกลืนกินปีศาจร้ายแล้ว เช่นนั้นความตายของมันก็เป็นเพียงเรื่องเวลา ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน เวลาในพื้นที่ปีศาจร้ายน่าจะผ่านไปครึ่งปี เทียบเวลาสอดรับกัน มันน่าจะตายแล้ว

เธอพยักหน้าให้พี่น้องตระกูลเฉียวที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าอัศวิน A จะใกล้ปรากฏตัวแล้ว”

เจิ้งเต้าสงสัย “อัศวิน A คือใคร”

ไห่หลานตอบ “ก็คือคนที่ฆ่าปีศาจร้าย”

แววตาของเจิ้งเต้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ที่แท้คนนี้เองที่ช่วยเหลือตัวเองจากฝันร้าย เขาจะต้องตอบแทนอีกฝ่ายให้เต็มที่

เจิ้งเต้า “ในเมื่อปีศาจร้ายตายแล้ว ผมก็ออกไปได้แล้วใช่ไหม”

ไห่หลานส่ายหน้า “แม้จากการสอบถามคนอื่น พวกเราจะทราบว่าคุณเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ไม่มีความผิดและยังทำความดี หลายครั้งที่สกัดแรงจูงใจสังหารของปีศาจร้ายได้ ช่วยให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนรอดพ้นความตาย แต่ตามขั้นตอนแล้วจะยืนยันง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรออีกพักหนึ่งให้จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราถึงจะปล่อยคุณออกไปได้”

เจิ้งเต้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นกระบวนการปกติจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ

เขาเพียงแต่พยักหน้า “งั้นก่อนปล่อยผมออกไป อย่างน้อยช่วยย้ายผมไปอยู่ห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำได้ไหม”

ไห่หลานได้ยินก็สงสัย “แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนห้อง แต่ทำไมต้องมีห้องน้ำล่ะ”

เจิ้งเต้าหัวเราะขมขื่น พูดอย่างลำบากใจมาก “หลายวันมานี้ ผมถูกปีศาจร้ายนั่นคอยใช้สารพัด ภาพหลอนสยองขวัญคอยหลอกหลอนผมไม่หยุด ทำให้ตอนนี้ผมปวดปัสสาวะบ่อยๆ”

“ฮ่าๆ คุณเจิ้งลำบากแย่เลย” เฉียวจื่อซานได้ยินก็หัวเราะก่อน

ไห่หลานสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกลับหน้าแดง

ไห่หลานเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปลี่ยนห้องให้คุณทันที”

…………

คืนวันต่อมา ไห่หลานนำพี่น้องตระกูลเฉียวและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งมาจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งบนยอดเขาในวิลล่า ช่วยสมาชิกสโมสรคลายความตื่นตกใจ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดคือแก้ไขผลกระทบที่ตามมาหลังเกิดเรื่องนี้

เพื่อให้งานเลี้ยงครั้งนี้จัดออกมาได้ดี ไห่หลานตั้งใจปรึกษากับทีมหลังบ้านเพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอโทษ จัดสรรวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศเป็นพิเศษ มันเพาะปลูกเป็นพิเศษในสถานที่มีพลังชีวิตเข้มข้น ช่วงนี้พลังชีวิตฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วและเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เป็นจำนวนมาก จึงแบ่งมาที่นี่ได้ หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน แม้แต่คนในองค์กรก็ไม่อาจได้กิน

การบริโภคในระยะยาวนั้นดีต่อร่างกายและกินครั้งเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ เมื่อเทียบกับอาหารชั้นเลิศทั่วไปแล้วแตกต่างกันมาก อีกทั้งยังสามารถให้พวกเศรษฐีกลุ่มนี้ได้สัมผัสกับคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมัน ดึงดูดพวกเขาให้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ‘ฟางหนิง’ กำลังจัดงานเลี้ยงและตั้งใจกล่าวว่าเขานั้นเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและควรจะจัดเตรียมสมุนไพรมา แต่ราคาอาหารเทียบไม่ได้กับสมุนไพรเลย ไห่หลานนึกถึงพวกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐี รสนิยมอาหารของพวกเขาจะสูงถึงขนาดไหนกันนะ

สุดท้ายอาหารที่ปรุงด้วยยาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าปากของเธอและเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาฝึกฝนมานาน ร่างกายใช้พลังงานสูงและความอยากอาหารมาก คนเดียวกินเท่ากับเศรษฐีห้าคนก็ไม่เกินจริง

เธอได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบนในโรงเรียนแล้ว จึงรีบจัดสรรสมุนไพรจากคลัง สินค้าตามท้องถนนในตลาดภายนอกย่อมเทียบไม่ได้ การเพาะปลูกไม่ใช่แค่ต้องการพลังชีวิตเข้มข้น แต่ยังต้องการผู้ฝึกฝนเข้าร่วมด้วย

วัตถุดิบอื่นๆ เตรียมง่ายกว่านี้มากเพราะโรงอาหารของโรงเรียนมีแบบสำเร็จรูป “ฟางหนิง” ต้องการอีกยี่สิบกว่าคนมาเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

ไห่หลานที่ใส่ใจฝีมือทำอาหารของฟางหนิงมาก ย่อมแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องการคนมากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงแค่สามสิบกว่าคนรวมกับคนติดตามอย่างมากก็สี่สิบกว่าคน มีพ่อครัวสี่ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

แต่บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการแสดงทักษะเต็มที่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วต้องใช้คนกี่คนในด้านต่างๆ

ช่วงระหว่างปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ในภาคเหนือกลางคืนจะมืดเร็วและหนาวมาก เวลานี้การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง จึงอาจหนาวจนแข็งได้…

ทว่าเมื่อทุกคนพกพาความสงสัยขึ้นไปบนยอดเขาที่จัดงานเลี้ยงตามสถานที่และเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ กลับพบว่ามันอบอุ่นราวกับอยู่ในอาคาร เหมือนมีระบบทำความร้อนใต้พื้น

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบส่องแสงและมีต้นไม้สูงอยู่ใกล้ๆ มากมาย ทุกคนอดตื่นตะลึงไม่ได้กับพลังแฝงของสำนักสัจธรรม

บนยอดเขามีพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ในเวลานี้แสงไฟสว่างจ้า พื้นปูด้วยพรมสีเขียวมรกต ให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทีเดียว

บนพรมนั้นวางโต๊ะรับประทานอาหารเรียงเป็นระเบียบ ด้านหน้าตั้งเวทีสีแดง บางคนยืนอยู่บนนั้นรอคอยพวกเขา

ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบัตรเชิญ แล้วนำผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้

ไห่หลานยืนบนเวที หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เธอก็แนะนำชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขามีร่างกายกำยำและท่าทางหยาบกระด้าง “เรียนสมาชิกกลุ่มแรกของสโมสรฝึกบำเพ็ญ เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างจริงใจที่เกิดเหตุเช่นนี้ ท่านนี้คือเฉียวอันผิงรองผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพิเศษของเรา เขาเร่งรีบมาที่นี่และจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนจัดการเรื่องนี้เอง”

สองวันมานี้ทุกคนรู้จักไห่หลานแล้ว ผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาคนนี้ตรงไปตรงมากับทุกคน แต่เวลานี้ ทุกคนกลับรับรู้ได้จากสายตาและการกระทำของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติกับรองผู้อำนวยการคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

รองผู้อำนวยการเฉียวไม่ต้องการไมโครโฟน เพียงแค่กำมือทำท่าคำนับให้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็โค้งให้ทุกคนก่อนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมเฉียวอันผิงขอโทษทุกท่าน หลายวันนี้ผมร่วมกับผู้อาวุโสสวี่จัดการปัญหาหนูยักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โรงเรียนฝึกพิเศษมาสักพัก ถึงได้ปล่อยให้เจ้าหมาบ้าใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว

อีกสักครู่เชิญทุกท่านรับประทานอาหาร และผ่อนคลายจิตใจเต็มที่ หลังรับประทานอาหารผมจะมอบยันต์คุ้มครองแก่ทุกท่านนำไปบูชาที่บ้านได้ รับประกันต่อไปทุกท่านและครอบครัวจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”

ในตอนแรกเริ่มทุกคนต่างประหลาดใจที่รองประธานท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็อดดีใจไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับของล้ำค่าที่ปกป้องครอบครัวได้ ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าค่าชดเชยที่หลายคนคิดก่อนหน้านี้มากทีเดียว

เขาพูดจบแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนยืนขึ้น เป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าซึ่งก็คือคนที่จัดการทุกคนและแก้ไขปัญหาหลายครั้งในพื้นที่ปีศาจร้ายนั่นเอง

ผู้เฒ่า “ในเมื่อรองผู้อำนวยการเฉียวพูดอย่างนี้ คนมิใช่เทพย่อมเคยทำผิดพลาด ผู้น้อยเว่ยไม่เอาความ รองผู้อำนวยการเฉียวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ผู้น้อยเว่ยนับถือๆ”

เมื่อคนอื่นเห็นอย่างนี้ ในโอกาสเช่นนี้ หากพวกเขาต้องการขอผลประโยชน์เพิ่มเติมเห็นได้ชัดว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาทั้งหมดมีอาชีพการงานใหญ่โต โอกาสที่จะเกิดเรื่องก็สูงมาก

ในอนาคตอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานกิจการพิเศษอีกมาก อีกอย่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงๆ แม้ว่าบางคนอาจยังไม่พอใจ อย่างน้อยทุกคนก็ทยอยแสดงความเห็นด้วยกับการชดเชยนี้

เมื่อเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ราบรื่น รองผู้อำนวยการเฉียวที่ดูภายนอกหยาบกระด้างก็พอใจมาก หลังจากที่เขาถามเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก็ยกแก้วขึ้น “อาหารเตรียมพร้อมแล้วจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ผมขอประกาศเริ่มงานเลี้ยง เชิญทุกท่านกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ…”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีรายงานกับเขา

“มีเรื่องอะไร ทำไมตื่นตกใจขนาดนี้”

“รายงานรองผู้อำนวยการเฉียว อัศวิน A จู่ๆ ก็มาที่หน้าประตูวิลล่า แจ้งว่าจะมาพบคนครับ”

เฉียวอันผิงพอได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ “พอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจจะขอบคุณท่านอัศวินอย่างไรดี ถ้าไม่ได้เขาออกหน้าช่วยเหลือผดุงคุณธรรมละก็ ครั้งนี้ฉันกับผู้อาวุโสสวี่สั่นคลอนแน่ ฉันลงชื่อตรงนี้ พวกเธอรีบไปเรียกเขามา ช่างเถอะ ฉันไปเองจะดีกว่า”

พอเขาพูดจบก็ขยับตัว หายวับไปจากบนเวทีทันที

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่แปลกใจที่รองผู้อำนวยการสวี่ทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะสองวันมานี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เล็กๆ…

หลังจากเฉียวอันผิงออกไป ไห่หลานที่ก่อนหน้านี้ยืนด้านหลังเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาก็มาเถอะ เธอจะถือโอกาสขอคำแนะนำหลังงานเลี้ยง ดูว่าห่างกับอีกฝ่ายแค่ไหนกันแน่ เรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งความสามารถพิเศษของเธอก็ยิ่งก้าวหน้าเร็ว

เฉียวจื่อเจียงที่ยืนข้างเธอตลอดตอนนี้กลับสะกิดเธอพลางกระซิบถาม “คุณน้าไห่ น้าเตรียมอาหารไว้เท่าไหร่คะ”

ไห่หลานงงงวย “จื่อเจียงทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ ฉันเตรียมอาหารสำหรับหกสิบคนไว้ ในเมื่อคุณอาของเธอกลับมาปลอดภัย เขากินเยอะแต่ไหนแต่ไร ถือโอกาสนี้เลี้ยงต้อนรับให้เขากินหรูหน่อยเถอะ ออกไปแล้วไม่มีของอร่อยกินมากขนาดนี้หรอก ฉันตั้งใจเชิญฟางหนิงที่ร่ำลือกันว่าฝีมือทำอาหารขั้นเทพมาลงครัวทำอาหารเอง ให้เขาได้ชิมซะหน่อย”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้ายุ่งยากใจ “อ๋อ หนูไม่กังวลอะไรหรอกถ้าคุณอาไม่มา แต่น้าเชิญพ่อครัวเทพคนนั้นมา แล้วเชิญอากลับมา อัศวิน A ก็มาอีก ถ้าอย่างนั้นก็ปัญหาใหญ่แล้ว”

ไห่หลานสงสัย “เธอหมายความว่ายังไง อาของเธอเป็นคนกระตือรือร้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ส่วนอัศวิน A นั่นก็เห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรมมาตลอด ฟางหนิงก็ยังเกี่ยวข้องกันบ้าง พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเด็ดขาด”

เฉียวจื่อเจียงกระซิบ “หนูไม่ได้กลัวพวกเขาสามคนจะขัดแย้งอะไรกัน กลัวแต่…”

พูดถึงตอนนี้เธอก็หยุดพูดเพราะมีคนสองคนขึ้นมาบนเวทีพร้อมกันแล้ว คนหนึ่งคือเฉียวอันผิงที่รูปร่างใหญ่โตกำยำ และอีกคนก็คืออัศวิน A ที่ทำให้ทุกคนแววตาเป็นประกาย

คนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีชีวิตชีวา พอเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชาผู้สูงศักดิ์ ดูน่าประทับใจมาก

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ทั้งเฉียวจื่อซาน เฉียวอันผิง และไห่หลานต่างกลายเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออก ได้แต่มองสายตาทุกคู่ที่ต่างจ้องมองอัศวิน A ส่วนพี่ชายและคุณอาของตัวเองที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับเป็นแค่ตัวประกอบ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

เธอแอบคิดในใจ ‘พวกเธอตาสว่างเถอะ อีกเดี๋ยวได้สว่างจนตาบอดแน่…’

………………………………………………

บทที่ 76 เด็กเรียนขั้นเทพยังโกงจะเทียบกันยังไง

“ฮ่าๆๆ ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จแล้ว!”

ฟางหนิงมังกรสีขาวตัวเล็กเคลื่อนกายไปมาในระบบ เดี๋ยวคดเคี้ยว เดี๋ยวเป็นวงกลม แสดงว่าตนเองฝึกฝนได้ผลเป็นอย่างดี

ฟางหนิง “ตรากตรำฝึกฝนครึ่งปี ทำโอทีทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็แปลงร่างเป็นมังกรขั้นต้นได้แล้ว ไม่ง่ายเลย! ดูมังกรน้ำแข็งพ่นลมปราณราวกับหิมะโปรยปราย…”

เขาบินเริงร่าพลางพ่นปราณสีขาวออกมาเป็นสายๆ ไปรอบพื้นที่

ระบบ “โฮสต์ขี้เกียจมากต่างหาก ทุกวันฝึกแค่แปดชั่วโมงแถมยังมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ กระทั่งวันปีใหม่ เทศกาลเชงเม้ง วันแรงงาน วันชาติ วันไหว้พระจันทร์ก็ไม่เคยพลาดหยุดสักวัน อย่างนี้เรียกทำโอทีทั้งวันทั้งคืนเหรอ ระบบไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนฉลองเทศกาลได้เยอะขนาดนี้ในเวลาแค่ครึ่งปี โฮสต์ฝึกสำเร็จเป็นเพราะระบบช่วยเพิ่มสติปัญญาให้สูงขึ้นต่างหากล่ะ…”

ฟางหนิง “ฮ่าๆ แกจะเข้าใจอะไร อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและพักผ่อน ประสิทธิภาพถึงจะสูง”

ระบบ “ถึงอย่างไรระบบก็ค้นหาข้อมูลลับในอินเทอร์เน็ต ไม่เคยเจอใครเก็บตัวฝึกฝนแล้วยังมีวันพักร้อน ยังไม่ต้องพูดถึงฝึกฝน 24 ชั่วโมง อย่างน้อยก็ 18 ชั่วโมง หลายคนถึงกับไม่กินข้าวกินปลา เอาแต่ฝึกฝนตลอดเวลา”

ฟางหนิง “นั่นเพราะพวกเขาไม่มีระบบครองร่างไงล่ะ ทำได้แต่ทรมานตัวเองแบบนั้น อย่ามัวแต่พูดเรื่องนี้เลย ในเมื่อฉันฝึกสำเร็จแล้ว ก็รีบๆ จัดการปีศาจร้ายนั่นให้จบไป ฉันยังต้องรีบไปใช้อินเทอร์เน็ต”

ระบบ “โฮสต์ไม่คิดจะเปรียบกับผลการฝึกของระบบหน่อยเหรอ ละอายใจตัวเอง”

ฟางหนิง “อะไรนะ เมื่อกี้แกพูดอะไร ตอนนี้ฉันเป็นมังกร บินเร็วไปหน่อย ลมแรงมากได้ยินไม่ชัด”

การแจ้งเตือนของระบบ ระบบเพิ่งสำเร็จการเก็บตัวฝึกฝนนานครึ่งปี

ระบบฝึกทักษะงานไม้ถึงระดับปรมาจารย์ ถึงคอขวดระดับปัจจุบัน

ระบบฝึกทักษะการแปลงโฉมถึงระดับปรมาจารย์ ถึงคอขวดระดับปัจจุบัน

ระบบฝึกทักษะการหลอมถึงระดับปรมาจารย์ ถึงคอขวดระดับปัจจุบัน

ระบบฝึกทักษะทำอาหารถึงระดับปรมาจารย์ ถึงคอขวดระดับปัจจุบัน

ด้วยทักษะทำอาหารระดับปรมาจารย์ ระบบเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ “ช่ำชองเหมือนเพ่าติงชำแหละเนื้อ” การโจมตีถึงชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างสูงเช่นเดียวกับการทำลายการป้องกัน

ระบบฝึกทักษะการแพทย์ถึงระดับปรมาจารย์ ขณะนี้ถึงคอขวด

ด้วยทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์ ระบบเรียนรู้ทักษะ “กลั่นยา” ขั้นต้น

ระบบเรียนรู้ทักษะขั้นต้น “ดีดพิณ”

ระบบเรียนรู้ทักษะขั้นต้น “การเล่นหมากรุก”

ระบบเรียนรู้ทักษะขั้นต้น “การเขียนพู่กันจีน”

ระบบเรียนรู้ทักษะขั้นต้น “การวาดภาพ”

ระบบบุกเบิกสิ่งก่อสร้างใหม่ “ห้องกลั่นยา” “ห้องหนังสือ”

ระบบฝึกวิทยายุทธ์มังกรธาตุไฟมาถึงขีดจำกัดแล้ว ผลลัพธ์คืออานุภาพวิทยายุทธ์มังกรธาตุไฟเพิ่มขึ้น 100%

ระบบเริ่มฝึกวิทยายุทธ์มังกรธาตุลม

ความก้าวหน้าผสมผสานเนื้อหาการเรียนวิทยายุทธ์มังกรที่ระบบมีขณะนี้เกินครึ่งแล้ว ระบบเรียนรู้วิธีเรียนกระบวนท่าวิทยายุทธ์มังกรใหม่ “นรกปราณมังกร”

ระบบใช้ศพ “จอมมารอารมณ์” สร้างอุปกรณ์ล้ำค่าที่หายาก “กำไลความโกรธ” ผลลัพธ์ก็คือสะสมความโกรธ ปริมาณการสะสมสูงสุดเท่ากับสล็อตความโกรธที่ระบบมีขนะนี้คูณสอง ปัจจุบันเก็บสล็อตความโกรธได้หกอัน

ระบบปรับปรุงปราณแท้และเลือดและปราณค่าสูงสุดถึงระดับหนึ่งในช่วงที่เก็บตัวฝึกฝนระยะยาว

ระบบสังหารปีศาจฝันร้าย ระบบมีทักษะการหลอมระดับปรมาจารย์เตรียมใช้วิญญาณปีศาจฝันร้ายสร้างเป็นอุปกรณ์พื้นที่ตำนาน

ระบบกำจัดภัยคุกคามใหญ่ที่แอบซ่อนต่อผู้คนในเสินโจว โฮสต์ก็ได้รับความโปรดปรานเล็กน้อยจากเทพเจ้ามังกรแท้ในทุกธาตุ

ระบบได้รับชื่อเสียงที่กล้าหาญมาก ระดับมิตรภาพเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทั้งหมดบนพื้นดินในเสินโจวเพิ่มขึ้นสู่ขั้น ‘มิตรภาพ’ มิตรภาพของเขต ‘เมืองจี้’ เพิ่มขึ้นเป็น ‘ความไว้ใจ’ และเปิดแผนที่เมืองจี้แล้ว มิตรภาพในพื้นที่ ‘เมืองฉี’ เพิ่มขึ้นเป็น ‘การบูชา’ และเปิดฟังก์ชันสนามรบ

ระบบถูกพื้นที่ไม่ทราบดูถูก

ระบบมีชื่อเสียงอัศวินมากขึ้นจนถึง “โด่งดังใต้หล้า” สล็อตพลังปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งสล็อต ปัจจุบันมีสี่สล็อต

ระบบได้รับสล็อตพลังปราณจำนวนมาก สี่สล็อตพลังปราณเต็มแล้ว

ระบบได้รับค่าประสบการณ์ 120,000

ระบบทำลายปีศาจครองร่าง “เจิ้งเต้า” ผู้มีความสามารถพิเศษที่มีน้อยขอบคุณมาก ตัดสินใจตัดสินใจที่จะสาบานจงรักภักดีต่อผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ คุณสมบัติของเจิ้งเต้าสอดคล้องกับข้อกำหนดขั้นต่ำของระบบ ระบบเปิดโมดูล ‘ผู้ติดตาม’ จำนวนผู้ติดตามปัจจุบันคือ 1 สูงสุดคือ 3 เพิ่มผู้ติดตามหนึ่งรายทุกสิบระดับ

ฟางหนิงอ่านพักใหญ่ถึงจะเลื่อนข้อความระบบมาถึงข้อสุดท้าย ฉันเข้าใจดีว่าในช่วงเวลาเรียนครึ่งปีเท่ากันเด็กเรียนอ่อนต่างกับกับเด็กเรียนขั้นเทพมากเพียงใด มีช่องว่างพรสวรรค์ทางปัญญาแน่นอน แต่ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพการใช้เวลาก็ไม่อาจละเลยได้เช่นกัน

“ไม่ถูก แกต้องโกงข้อสอบแน่ๆ!” ฟางหนิงพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง

ระบบ “อ้อ โฮสต์จะพูดว่าระบบเปิดมัลติเธรดเพราะไม่มีคนอยู่ภายนอกและยังอยู่ในสภาพแวดล้อมเก็บตัว ระบบเปลี่ยนเธรดการตรวจสอบทั้งหมดเพื่อฝึกฝน…”

ฟางหนิงพูดไม่ออก ในเรื่องการใช้ประโยชน์ของเวลา เด็กเรียนขั้นเทพจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับหัวหน้าระบบที่ไม่ฟุ้งซ่านและยังเปิดการโกงแบบมัลติเธรดได้อีกด้วย…

เขากลอกตามองบน ในใจคิดว่า ‘ถึงอย่างไรสุดท้ายแกคือคนที่ทำงานหนัก ส่วนฉันได้ประโยชน์ ยิ่งแกเจ๋งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฉันจะไม่ละอายใจหรอก น่าเสียดายที่ปีศาจชั่วร้ายนั่นตายแล้ว ไม่อาจเร่งความเร็วได้อีก…’

ฟางหนิง “เอาล่ะ ตอนนี้ปีศาจนั่นก็ตายแล้ว พวกเราออกไปได้ยัง”

ระบบ “พวกเราออกมาแล้ว พื้นที่นั้นเพิ่งพังทลายลง แต่การหลอมระดับปรมาจารย์ของฉันเตือนว่าสามารถใช้วิญญาณของปีศาจฝันร้ายสร้างเป็นอุปกรณ์พื้นที่ตำนาน น่าจะปรากฏพื้นที่ปีศาจร้ายได้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้รับปากไม่ดับวิญญาณของมันเพื่อใช้สร้างอุปกรณ์ เพียงแต่ไม่ได้ผลด้านเร่งเวลา เพราะต้องเป็นตัวปีศาจร้ายเองถึงจะทำได้”

ฟางหนิงพอได้ยินก็สมองแล่น “งั้นก็ไม่เลว พื้นที่ระบบของแกแม้ว่าจะกว้างใหญ่ แต่นอกจากสติสัมปชัญญะของฉัน ทำได้แค่ขังศัตรูที่จับได้เข้าคุกของระบบ สมองของฉันไม่กล้าเข้าไป อัศวิน A ก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าหากสร้างสถานที่ทำนองเดียวกับพื้นที่ปีศาจร้ายก่อนหน้านี้ มีอะไรที่จะทำไม่ได้ล่ะ อย่างน้อยลากบอสใหญ่เข้าไป พวกเราก็ค่อยๆ จับ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกล้อมปราบอีกต่อไป”

ระบบพอได้ยินก็ตื่นเต้น มันไม่เคยลืมบอสใหญ่ “อย่างนั้นดีที่สุด ระบบจะเริ่มสร้างตอนนี้เลย ค่าประสบการณ์ขั้นถัดไปใช้ทำอันนี้พอดี”

ฟางหนิงฟังแล้วก็เซ็ง “ค่าประสบการณ์ของแกไม่เพิ่มขึ้น เอาแต่อยู่ระดับสิบกว่าตลอด ไม่กลัวระดับต่ำไปจะเกิดปัญหาเหรอ”

ระบบ “ไม่ต้องกังวลหรอก นี่ไม่ใช่เกม ระดับสูงกดดันทุกอย่างได้ แม้ว่ามันจะสำคัญมาก แต่ตอนนี้ความสามารถส่วนใหญ่ของระบบไม่ใช่ที่ระดับนั้น”

ฟางหนิง “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ระดับสิบเหนือชั้นสู้กับระดับยี่สิบได้ใช่ไหม”

ระบบ “ทำนองนั้น ระดับก็สำคัญมาก ความหมายคือยกระดับคุณสมบัติ ปลดล็อกขีดจำกัดของทักษะ เพิ่มจำนวนคุณสมบัติเสริมประเภทต่างๆ เช่น สล็อตความโกรธและสล็อตพลังปราณ ยกระดับค่าสูงสุดปราณแท้และปราณและเลือด ถ้าหากไม่เพิ่มการฝึกฝน แม้ระดับที่สูงขึ้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นการยกระดับความสามารถการต่อสู้”

ฟางหนิงไม่ห่วงปัญหาระบบอีก เขาใช้ทักษะของระบบไม่ได้ เพียงแต่โมดูล “ผู้ติดตาม” ทำให้เขารู้สึกมีอนาคตมาก

เมื่อเป็นอย่างนี้ อัศวิน A ก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวแล้ว มีน้องชายช่วยสนับสนุน ทุกครั้งเรียก “ตัวเอง” ในที่สุดไม่ทำให้เขาที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบรู้สึกเก้อเขินอยู่เรื่อย

แม้ว่ายังเร็วเกินไปที่จะมีคนคอยดูแลประกบหน้าหลัง แต่อย่างน้อยก็มีทิศทางแล้ว แน่นอนว่านิสัยโอตาคุอย่างฟางหนิงไม่มีทางจัดการเองได้ อย่างมากก็แค่เลือกแต่ละคนออกมา

เพียงแต่ข้อกำหนดสูงมาก เจิ้งเต้ามีคุณสมบัติฝึกพลังชีวิตระดับ B+คู่ ถึงผ่านข้อกำหนดขั้นต่ำ เห็นได้ว่าระบบไม่ให้ใครมาเป็นผู้ติดตามง่ายๆ

ฟางหนิงดูแผนที่ระบบทันที แผนที่เมืองจี้เปิดแล้ว เขารีบดูตำแหน่งของเจิ้งเต้าทันที

ที่แท้เจิ้งเต้าเหมือนกับตัวเอง นั่นคือเป็นจุดสีน้ำเงิน เพียงแต่พื้นที่เล็กกว่าจนน่าสงสาร เขาอยู่ในห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีทางโจมตีตนเองได้ กระทั่งพูดได้ว่าอัศวิน A สั่งให้ทำอะไรต่อให้เป็นภารกิจที่ต้องตายเขาก็ยังไปทำ

แน่นอน นักรบผู้กล้าตายมีไม่น้อยมาแต่ครั้งอดีต แม้ว่าสมัยใหม่จะมีความคิดเปิดกว้างแต่ที่จริงแล้วก็ไม่น้อย ส่วนผู้กล้าตายที่มีคุณสมบัติสูงเช่นนี้ถือได้ว่าหายากยิ่งนัก

แน่นอนว่านิสัยใจอ่อนของฟางหนิงไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายไปเป็นผู้กล้าตาย โดยเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติดีอย่างนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะเจอคนที่สอง

เขาคิดว่ามีคนรับใช้คุณสมบัติสูงที่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ต่อไปตัวเองเป็นโอตาคุจะได้สะดวกขึ้น หลายเรื่องใช้สถานะอัศวิน A กำชับก็ได้ ไม่ต้องออกหน้าเองทุกเรื่อง มีเรื่องมากมายที่อยากจะทำแต่ขี้เกียจที่จะลงมือทำ…

…………

ขณะเดียวกันเจิ้งเต้าที่ถูกขังในห้องไต่สวนใต้ดินของโรงเรียนฝึกอบรมพิเศษก็รู้สึกจิตใจผ่อนคลาย เขารู้ทันทีว่าปีศาจร้ายที่รบกวนเขามาหลายเดือนได้ดับสูญไปแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้ชีวิตในช่วงนี้อย่างไร ในฐานะนักบำบัดจิตที่คอยปลอบประโลมใจคนอื่นมาโดยตลอด เขากลับถูกปีศาจร้ายใช้เป็นโฮสต์และใช้เขาเป็นสื่อทำร้ายผู้คน มันคือสิ่งที่เขาไม่อาจทนได้

ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถพิเศษด้านจิตใจปลอบใจตัวเองได้ เขาคงตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ารุนแรงไปนานแล้ว คุณไม่มีทางจินตนาการถึงความรู้สึกที่ปีศาจฝันร้ายคอยสร้างฝันร้ายให้กับโฮสต์ทุกวัน ไม่อาจข่มตาหลับได้ตลอดเวลา พอหลับตาลงก็เห็นภาพลวงตาอันน่าสะพรึงกลัวต่างๆ นานา

มีแต่ตอนที่เขาใช้ความสามารถพิเศษด้านจิตใจต่อต้านมันเท่านั้นถึงจะได้รับความสงบชั่วคราวบ้าง

ถ้าหากการฆ่าตัวตายจะกำจัดปีศาจร้ายและแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เขาต้องลงมือทำแน่นอน การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมสมัยใหม่

แต่เขาไม่อาจปล่อยให้ปีศาจร้ายเปลี่ยนโฮสต์และทำร้ายคนอื่นได้ง่ายขึ้น สุดท้ายเขาจึงไม่ทำเช่นนั้น

มีคนรายงานการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพจิตใจของเจิ้งเต้าในทันที ไม่นานนักไห่หลานและสองพี่น้องตระกูลเฉียวก็เข้ามา

……………………………………………………….

บทที่ 75 แน่นอนว่าคือคนจากแดนไกลมาช่วยพวกเรา

ห้องลับแห่งหนึ่งในเทียนฮุ่ยวิลล่า

ไห่หลานกำลังสอบถามทีละคน คนแรกที่เธอสอบถามก็คือครูฝึกสวี่ ทั้งสองคนสนทนากันพักหนึ่ง ครูฝึกสวี่ก็ขอตัวกลับและไม่มีใครทราบว่าเขาไปไหน

คนที่สองที่เข้ามาก็คือตาอ้วนหลิว พอเข้ามาแล้วก็ไม่กลัวอะไร ยังไม่มีใครพูดอะไรก็นั่งลงบนโซฟาที่มุมหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่มีใครคิดมากเพราะไม่ใช่การไต่สวน

ไห่หลาน “ประธานหลิวซื่อเหลียง คุณรู้จักมังกรเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่ปีศาจร้ายไหม”

ตาอ้วนหลิว “พื้นที่ปีศาจร้ายคืออะไรครับ ใช่สถานที่ที่พวกเราเพิ่งถูกขังไว้ไหม”

ไห่หลานพยักหน้า “ใช่แล้ว คุณรู้จักมังกรเพลิงตัวนั้นไหม”

ตาอ้วนหลิวเกาหัวท่าทางใคร่ครวญครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ตบมือฉาด แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมรู้จักแน่นอน จะต้องเป็นอัศวินชื่อดังในเมืองฉีของพวกเราแน่ๆ เพราะเขามีวิธีเหนือชั้นแปลงร่างเป็นมังกรเพลิงได้ เขาผดุงคุณธรรมมาตลอด คอยคุ้มครองพวกเราชาวบ้านในเมืองฉี…

ผมเป็นคนใจบุญสุนทานและผดุงความเป็นยุติธรรมเสมอมา ทุกคนในเมืองฉีรู้ดี คราวนี้เขาคงรับรู้ว่าผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจึงมาไกลนับพันลี้เพื่อช่วยเหลือ กลับไปแล้วผมต้องระดมบุคลากรหอการค้ารวบรวมเงินบริจาคสร้างรูปปั้นทองคำและศาลเจ้าให้อัศวินคนนี้!”

ไห่หลานฟังแล้วก็กลอกตามองบน ‘แค่ความดีของคุณ เขาจะมาไกลนับพันลี้เพื่อช่วยเหลือได้ยังไงล่ะ มาไกลเพื่อเก็บศพยังมีความเป็นไปได้มากกว่า’

เธอเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วโบกมือหมดแรง “เอาล่ะ เรารู้ดีว่าประธานหลิวเป็นคนมีคุณธรรม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันมาก เรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับคุณ แต่คุณก็น่าจะมองออกว่าสถานการณ์ปัจจุบันอันตราย ต่อให้เป็นสถานที่ในสังกัดขององค์การอย่างนี้ก็ยังไม่ปลอดภัย หลังจากที่คุณกลับไปแล้ว ขอให้คิดเรื่องระยะยาวให้มากขึ้น”

ตาอ้วนหลิวพยักหน้าหงึกหงัก คิดในใจ ‘ไร้สาระ” แน่นอนว่ารอบนี้เกือบตายจริงๆ แล้ว อีกย่างก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับอัศวินคนนั้นเลย ส่วนครั้งนี้เขาก็มาเอง เอาล่ะ วันหลังอาจสามารถขอความช่วยเหลือได้บ้าง’

หลังจากนั้นตาอ้วนหลิวก็ออกไปจากห้องสอบถาม หูฟังของไห่หลานพลันมีเสียงหนึ่งดังเข้ามา

“โดยพื้นฐานเขาพูดความจริง มีแค่ที่พูดว่าอัศวิน A มาช่วยเขานั้น ชัดเจนว่าเป็นเพราะเขาเยินยอตัวเอง ไม่มีทางเป็นไปได้”

‘ไร้สาระ แน่นอนว่าฉันรู้เขาขี้โม้’ ไห่หลานคิดในใจ หลังจากนั้นก็สั่งให้เรียกคนต่อไปเข้ามา

คนต่อไปก็คือประธานจ้าว เขาเดินสวนกับตาอ้วนหลิวที่ออกไปพอดี สองคนไม่ทันพูดอะไรกัน แต่ตาอ้วนหลิวยังส่งสายตาปลอบใจให้เขา

ไห่หลาน “ประธานจ้าวเสียงเหวิน คุณรู้จักมังกรเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่ปีศาจร้ายไหม”

ประธานจ้าวสีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้น “รู้จักสิ ต้องใช่อัศวิน A เมืองฉีของเราแน่ๆ”

ไห่หลานสนใจขึ้นมา เธอยืดตัวตรง เห็นชัดว่าประธานจ้าวรู้มากกว่าตาอ้วนหลิวทีเดียว

ไห่หลาน “ทำไมคุณแน่ใจขนาดนี้”

ประธานจ้าว “ผมเคยเจอเขาหลายครั้ง เขามักจะไปร้านอาหารรสชาติของฟางซื่อและเป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์คนสำคัญในเมืองฉีของซิงเซิ่งกรุ๊ป พวกเขาจัดซื้ออาหารชั้นเลิศส่วนใหญ่ที่พวกเราผลิต ผมเองก็ไปกินอาหารที่นั่นกับครอบครัวบ่อยๆ เคยพบเขาอยู่สองสามครั้ง

คนธรรมดาในเมืองฉีย่อมไม่รู้เรื่องที่เขาแปลงร่างเป็นมังกรเพลิงได้ คนของพวกเรามีช่องทางให้ซื้อคลิปที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เพราะฉะนั้นเลยรู้ข้อมูลของอัศวินคนนั้นได้ไม่ยาก ผมจ่ายเงินสองล้านซื้อข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากองค์กรที่ชื่อฮัมมิ่งเบิร์ด”

ไห่หลานพยักหน้า อีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก เธอซักถามต่อไป “งั้นคุณรู้ไหมทำไมจู่ๆ เขาถึงมาปรากฏตัวในพื้นที่ปีศาจร้ายช่วยเหลือพวกคุณ”

ประธานจ้าวมั่นใจยิ่งกว่าตาอ้วนหลิว พอได้ยินคำถามนี้ก็มีสีหน้าจริงจัง รีบตอบทันที “เรื่องนี้ไม่ต้องถามเลย แน่นอนว่าเป็นเพราะผมจ้าวเสียงเหวินทำความดีในเมืองฉีมาตลอด เพื่อพิทักษ์คุณธรรมแล้ว แถมผมยังเคยเจอกับอัศวินใหญ่ท่านนี้บ่อยๆ ย่อมต้องมีมิตรภาพอยู่บ้าง เขามีพลังอันยิ่งใหญ่จะต้องรับรู้ได้ว่าผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจึงมาช่วยผมจากแดนไกล

นอกจากนี้ผมมักจะกำชับลูกน้องให้มอบส่วนลดไม่น้อยกับอุปทานของร้านอาหารรสชาติของฟางซื่อ ร้านอาหารเห็นแก่หน้าผมจึงแอบให้ส่วนลดเขาบ่อยๆ แม้ว่าผมจะไม่เคยเปิดเผยความดีความชอบของตัวเอง แต่อัศวิน A ก็น่าจะทราบดีแก่ใจ แน่นอนว่าอัศวินทำให้เมืองฉีสงบสุข นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยของผมเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะตอบแทน”

ไห่หลานกลอกตามองบนอีกครั้ง แทบจะเป็นคำตอบเหมือนกันเป๊ะ คุณกับเจ้าอ้วนที่เพิ่งออกไปสมแล้วที่เป็นเพื่อนซี้เก่าซี้แก่ วิธียกยอตัวเองเหมือนกันเปี๊ยบ ต่อให้ฉันรู้ว่าพวกคุณรวยขึ้นมาได้ยังไง ความสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์หน้าด้านๆ ไม่รวยสิแปลก

“ถ้าอย่างนั้นคุณยังคงวางแผนที่จะกลับไปขอรับบริจาค สร้างรูปปั้นทองคำและศาลเจ้าให้อัศวินคนนี้ใช่ไหม” ไห่หลานถามเรื่อยๆ

ประธานจ้าวประหลาดใจครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “คุณฉลาดจริงๆ มิน่าถึงได้ทำงานในองค์กรของสำนักสัจธรรม แต่เรื่องนี้ต้องถามอัศวินใหญ่ท่านนั้นก่อน ถ้าท่านอัศวินเห็นด้วย ผมจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเต็มที่ ไม่ขอรับบริจาคหรอก”

ไห่หลาน “อ้อ ดูท่าประธานจ้าวจะโดดเด่นยิ่งกว่าลุงอ้วนอีกนะ”

ประธานจ้าวพอได้ยินก็รู้ว่าตาอ้วนหลิวพูดอะไร เขาหัวเราะ “ฮ่าๆ ประธานหลิวซื่อเหลียงของพวกเราเป็นคนประหยัดตลอด”

ไห่หลานพยักหน้า “อืม รบกวนคุณแล้ว เชิญคุณกลับไปพักผ่อนก่อนได้ เรื่องนี้พวกเราจะต้องมีคำตอบให้ทุกท่าน”

คนที่สามที่เข้ามาคือมนุษย์กลไกตัวแสดงแทนของฟางหนิง หลังจากเข้ามาก็ไม่ยอมนั่งทันที แต่ยืนรอคำสั่ง

“เชิญนั่งก่อน ประธานฟาง”

ไห่หลานผายมือเชื้อเชิญ “ฟางหนิง” ถึงค่อยนั่งลงที่โซฟา

ไห่หลาน “ไม่ต้องกังวลค่ะ พวกเราแค่จะถามคำถามง่ายๆ”

‘ฟางหนิง’ “เชิญถามมาเถอะ อะไรที่ผมรู้ก็จะบอกครับ”

ไห่หลานคิดในใจ สมแล้วที่เป็นโอตาคุ ห่างชั้นกับจิ้งจอกเฒ่าสองคนก่อนที่ดูมั่นอกมั่นใจมาก

ไห่หลาน “คุณรู้จักมังกรเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่ปีศาจร้ายไหม”

‘ฟางหนิง’ ขมวดคิ้วคิดพักหนึ่งถึงค่อยถามอย่างไม่แน่ใจนัก “ใช่อัศวิน A แห่งเมืองฉีหรือเปล่าครับ”

ไห่หลานไม่ตอบกลับแต่ย้อนถาม “ทำไมคุณสรุปอย่างนี้ล่ะ”

‘ฟางหนิง’ “อ้อ ผมเคยบังเอิญได้ยินคุณลุงจ้าวพูดให้ฟังครั้งหนึ่ง เขาเล่าว่าอัศวินคนนั้นมีพลังวิเศษยิ่งใหญ่และยังแปลงร่างเป็นมังกรเพลิงได้ คุณลุงจ้าวก็เลยสั่งให้ร้านอาหารของผมต้อนรับขับสู้เขาเป็นพิเศษ ต่อให้ค้างจ่ายก็ไม่เป็นไร ผมช่วยจ่ายให้เอง แน่นอนว่าผมไม่ให้เขาจ่ายเงิน อัศวินคนนั้นไม่เคยทำให้กิจการเล็กๆ ของผมต้องลำบาก”

ไห่หลานแอบดูถูกในใจ นักธุรกิจพวกนี้ทำให้คนอื่นแย่เหมือนกัน แม้แต่โอตาคุที่สนิทกับประธานจ้าวมากไป ก็ยังเรียนรู้วิธีลื่นเหมือนปลาไหล

เดือนๆ หนึ่งมีรายได้หลักสิบล้านยังเรียกกิจการเล็กๆ รายได้ต่อเดือนของฉันเพียงสามสี่หมื่นเท่านั้น โชคดีที่มีเบี้ยเลี้ยงบางงานที่สำนักสัจธรรมบ้าง ถึงได้พอจ่ายค่าอาหารและเสื้อผ้าไม่ขายหน้าสถานะคุณหนูตระกูลไห่

แน่นอนเธอไม่ได้พูดออกไป ธุรกิจของเขาถูกกฎหมายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ไห่หลานได้แต่เสียใจที่ความสามารถพิเศษของเธอไม่ใช่ด้านโลจิสติกส์ที่ทำเงินได้มากมาย แต่เป็นความสามารถแนวหน้าประเภทต่อสู้

ไห่หลาน “อ้อ งั้นรู้ไหมทำไมจู่ๆ เขาถึงไปโผล่ที่นั่นล่ะ”

ไห่หลานคิดว่าอย่าบอกนะว่ามาเพราะคุณ!

‘ฟางหนิง’ เกาหัวแกรกๆ พูดขึ้นอย่างเกรงใจ “คงจะเป็นเพราะท่านอัศวินติดใจรสชาติอาหารที่ผมทำ ผมยังไม่เคยเห็นเขาไปกินที่ร้านอาหารอื่นเลย ผมเชื่อว่าเขาไม่อยากให้พ่อครัวตาย ต่อไปจะไม่ได้กินอาหารเลิศรสอีก อัศวินคนนั้นมีพลังวิเศษแกร่งกล้าจะต้องรับรู้ได้ว่าผมตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถึงได้มาไกลนับพันลี้เพื่อช่วยชีวิตผม”

ไห่หลานอดรำคาญไม่ได้ พวกคุณสามคนสมแล้วที่มาจากที่เดียวกันและยังรู้จักกัน แต่ละคนต่างยกยอปอปั้นตัวเอง

เธอซักถามต่อไปอย่างจนใจ “งั้นคุณคิดจะกลับไปชักชวนคนบริจาคเงินสร้างรูปปั้นทองคำและศาลเจ้าให้อัศวินคนนี้ใช่ไหม”

‘ฟางหนิง’ ได้ยินเช่นนั้นก็อึ้ง ครั้งนี้ปฏิกิริยาต่างกับสองคนนั้น “ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ในเมื่อผมเป็นคนนิสัยเกียจคร้าน เดิมคิดแค่ว่าอัศวินคนนี้มากินอาหารที่ร้านผมอีกครั้ง ผมจะเก็บเงินเท่าต้นทุนก็พอ ในเมื่อคุณเตือนอย่างนี้ งั้นผมคงต้องปวดหัวหน่อยแล้ว เงินไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องออกงานพิธีอะไรพวกนี้ น่าปวดหัวจริงๆ”

ไห่หลานอึ้งเช่นกัน เธอเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว กระะเพระมังกรตัวนี้ใหญ่มาก ‘กิจการเล็กๆ’ ย่อมไม่กล้าให้เขากินฟรี แต่บันทึกที่เกี่ยวกับโอตาคุฟางหนิงคนนี้ไม่ผิดสักนิด เขาเบื่อหน่ายกับการออกงานจริงๆ

ไห่หลาน “เอาล่ะ เรื่องนี้พวกเราจะต้องมีคำตอบให้คุณ ตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

‘ฟางหนิง’ กำลังจะลุกไปก็ถูกเรียกไว้ก่อน

“จริงสิ ในเมื่อคุณบอกว่าอาหารที่คุณปรุงทำให้อัศวินมาจากแดนไกลเพื่อช่วยคุณ เราจะจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นเพื่อเป็นการปลอบใจทุกคน ถ้าเราจะจ้างคุณชั่วคราวหนึ่งวันช่วยทำอาหารได้ไหม แน่นอนว่าเราจะจ่ายเงินค่าแรงตามมาตรฐานที่คุณจัดงานในเมืองฉี”

‘ฟางหนิง’ พยักหน้า “ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ผมเองก็เป็นนักธุรกิจ ย่อมทำได้แน่นอน”

ไห่หลานคิดในใจ ‘ฉันอยากจะดูว่าฝีมือทำอาหารของคุณเป็นยังไงกันแน่ ฝีมือขั้นเทพจริงหรือเปล่า ในเมื่อไม่ใช่แค่แบ่งปันผลพลังปราณคุ้มร่าง ยังถึงขั้นเรียกมังกรแท้ที่อยู่ห่างออกไปตั้งไกลโพ้นมาช่วยได้เชียวหรือ’

ใช่แล้ว เธอไม่เชื่อคำพูดของประธานจ้าวกับตาอ้วนหลิว แต่ข้อมูลของ ‘ฟางหนิง’ จากบันทึกว่านิสัยซื่อสัตย์ เรื่องที่เขาพูดอาจเป็นความจริงขึ้นมาก็ได้

ในที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามังกรชอบใคร แต่ที่แน่ๆ อีกฝ่ายไม่ต้องการตึกสูงระฟ้าสมัยใหม่ วิลล่า หญิงงาม รถยนต์สปอร์ตหรู เสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างนั้นความต้องการในโลกมนุษย์ก็เหลือแค่เรื่องกินแล้ว

แม้แต่เหตุผลที่อีกฝ่ายอยากได้ความมั่งคั่งก็มองออก อาหารที่เขากินนั้น หากไม่มีเงินทองมากมายย่อมกินไม่ไหวแน่นอน มื้อหนึ่งก็ปาไปหลักล้านแล้ว หากจะใช้ชีวิตแบบนี้ต้องมีชีวิตสุดหรูหรา

มิน่ามันถึงเสนอราคาให้จื่อเจียง 50 ล้าน ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ที่มายังโลกนี้จะต้องแก้ปัญหาเรื่องการกินก่อน โชคดีที่มังกรตัวนี้ชอบอาหารของมนุษย์

บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุแท้จริงที่อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างมนุษย์ก็ได้ อย่าลืมว่าเรื่องที่ดูสำคัญยิ่งใหญ่มากมาย แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา

ไห่หลานคิดอย่างนี้แล้วก็เตรียมเรียกคนต่อไปเข้ามา ความจริงแล้วเธอมองว่าพวกคนที่เหลือไม่สำคัญอะไร มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่มากนัก เพียงแค่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเท่านั้น

…………………………………………………….

บทที่ 74 โทษประหารก็มีแบ่งประเภท

ฟางหนิงที่ยืนอยู่หน้าคุกของระบบมองผ่านหน้าต่างกระจกบานเล็กเข้าไป ผ่านไปพักใหญ่ถึงพบว่าตอนนี้ปีศาจไอหมอกหรือปีศาจฝันร้ายที่ถูกระบบจับเข้ามากำลังขดตัวอยู่มุมหนึ่ง ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามเช่นก่อนหน้านี้

ฟางหนิงเอ่ยถาม “แกบอกว่าจะทำให้ฉันเป็นหนุ่มตลอดกาลไม่แก่เฒ่า ไหนพูดมาสิมีวิธียังไงบ้าง”

ปีศาจฝันร้ายพอได้ฟังก็ดีใจ คิดว่าคนธรรมดาก็คือคนธรรมดา! ไม่มีทางหนีกิเลสพ้น

มันอ้าปากเล่าขั้นตอนฝึกฝนชุดหนึ่งและคำสาปมั่วซั่วอีกมากมาย

ระบบแจ้งเตือน ปีศาจฝันร้ายส่งวิธีฝึกประเภทปีศาจร้ายให้ระบบ ระบบใช้ค่าประสบการณ์วิเคราะห์วิธีการฝึกประเภทนี้ ทุกครั้งที่สร้างฝันร้ายทำให้คนตายสิบคนจะได้รับพลังงานชีวิตเล็กน้อยจากอีกฝ่าย ขั้นต้นได้รับชีวิตเท่ากับหนึ่งวัน หลังจากเริ่มฝึกจะทำให้จิตใจของโฮสต์ค่อยๆ ดำดิ่ง สุดท้ายกลายเป็นโฮสต์ใหม่ของปีศาจฝันร้าย วิธีการฝึกนี้ขัดแย้งกับกฎของระบบขณะนี้อย่างรุนแรง ระบบจึงปฏิเสธการเรียน

ฟางหนิงอ่านแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่เสียชื่อปีศาจร้าย มันเสนอวิธีการโหดเหี้ยมขนาดนี้ถือว่าล้ำเส้นของเขาไปมาก

ก่อนหน้านี้เคยได้รับวิธีฝึกหัดมาแล้วสองวิธี แต่ไม่มีการแจ้งเตือนมากขนาดนี้ เพียงแค่แจ้งว่ามีข้อขัดแย้งหรือไม่ และระบบเลือกที่จะเรียนรู้หรือไม่ก็แค่นั้น

แต่ครั้งนี้กลับวิเคราะห์ก่อนแล้วอธิบายผลการฝึกฝนชัดเจน แม้แต่ระบบก็ยังต้องเตรียมตัวเต็มที่ หลุมพรางในวิธีฝึกนี้ลึกจริงๆ!

มันเป็นปีศาจร้ายเจ้าเล่ห์มาก ไม่แปลกใจเลยที่มันจะพูดเชิญชวนเช่นนั้น ตราบใดที่หวั่นไหว ข้ามเส้นแล้วเริ่มฝึกฝนก็จะติดกับดักของมัน

เขาเข้าใจทันทีว่าปีศาจร้ายไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด พวกมันไม่มีทางบอกความจริง ทุกคำพูดมีหลุมพราง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟางหนิงก็ส่ายหน้าพลางกล่าว “เหอะๆ ต้องฆ่าคนมากมายถึงจะได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นสินะ มิน่าถึงได้ดำขนาดนี้ ยอมรับโทษประหารชีวิตซะดีๆ คราวหน้าเกิดใหม่เป็นก้อนหินแล้วกัน”

ฟางหนิงเข้าใจนิสัยของปีศาจกระจ่างแล้ว ในสายตาพวกมัน มนุษย์เป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับปีศาจหนูยักษ์พวกนั้น ไม่มีทางที่จะมีจุดยืนเดียวกัน มิน่าสีบนแผนที่จึงเป็นสีแดงเข้มปนดำ ไม่ผิดพลาดจริงๆ

ปีศาจฝันร้ายฟังแล้วก็งุนงง ดำขนาดนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าตัวเองใจดำต้องการฆ่าคนแย่งชิงชีวิตงั้นเหรอ บางทีพวกมนุษย์ก็ทำเหมือนมันไม่ใช่รึ เป็นเรื่องปกติที่จะสละชีวิตคนธรรมดาเพื่ออายุยืน ทำไมพัศดีที่ดูเกียจคร้านคนนี้ถึงได้พูดแบบนั้นออกมาล่ะ

มันใช้วิธีนี้กัดกร่อนโฮสต์ของมันมาแล้วมากมาย กระทั่งล่าสุดก็เจอเข้ากับอุปสรรคจากผู้มีความสามารถพิเศษด้านจิตใจที่ชื่อเจิ้งเต้า อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นจิตใจตกต่ำ หลังจากมันใช่ร่างแล้ว พูดให้เข้าใจง่ายๆ แทบไม่กระตุ้นมันให้มีแรงจูงใจสังหาร น้อยครั้งที่มันจะมีโอกาสออกไปทำร้ายผู้คน

ครั้งนี้มันไม่มีทางเลือก ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็เลยกวาดมาสามสิบกว่าคนในคราวเดียวกัน แต่ว่ากลับผิดแผนเ เพราะกลายเป็นมันถูกขังเสียเอง

มันไม่คิดว่าพัศดีเล็กๆ จะมองเห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในวิธีฝึกของตัวเอง

พัศดีคนนี้มองดูแล้วคงเคยมีประสบการณ์การฝึกฝนเล็กน้อย เขาถูกขังที่นี่เพื่อดูแลคุก ไม่มีทางมองทะลุปรุโปร่ง หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีเมตตาจริงๆ

มันหัวเราะขึ้นอีกครั้ง “ฮ่าๆ ทำไมเจ้าคร่ำครึขนาดนั้น รอจนเจ้าแก่ตัวแล้วจะเสียใจ”

ฟางหนิงไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระกับมันอีก อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเห็นกลอุบายของมันแล้ว เขาอาศัยระบบฝึกฝนอายุยืนก็ได้ หมอนี่ไม่น่าเชื่อถือเลย

เขาแอบเรียกระบบ

ฟางหนิง “ช่วยปิดเสียงคุกนั้นได้ไหม”

ระบบ “ตกลง”

ดูท่าระบบจะระวังตัวจากปีศาจร้ายที่จิตใจเต็มไปด้วยกลอุบายมากทีเดียว ตอนนี้ไม่มีเสียงดังมาจากคุกอีกแล้ว

เอาล่ะ ในที่สุดก็ได้เล่นเงียบๆ สักที ฟางหนิงกลับไปเพิ่มเลเวล ‘เกม Mount & Blade’ เขายังต้องทนอีกครึ่งปี ต้องสร้างสมดุลการทำงานและพักผ่อน เรื่องอายุยืนยาวอะไรพวกนั้น ปล่อยให้ระบบดูแลจะดีกว่า…

ขณะเดียวกันผู้คนภายนอกก็ตื่นขึ้นจากลมพายุโหมกระหน่ำ สีหน้าของแต่ละคนดีขึ้นบ้างแล้ว ต่างรีบหันมองหน้ากัน

เนิ่นนานกว่าจะมีใครพูดขึ้น “ปีศาจร้ายถูกมังกรตัวนั้นกลืนกินหรือไม่”

“ดูจากสถานการณ์สุดท้ายแล้วน่าจะใช่”

“ปีศาจร้ายยังไม่ตายเหรอ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเรายังอยู่ที่นี่ล่ะ”

ขณะที่ฟางหนิงเล่นเกมก็ได้ยินเสียงสนทนาของคนกลุ่มนี้ถึงคิดขึ้นได้ คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา แม้ว่าออกไปข้างนอกแล้วอย่างมากเวลาก็แค่ผ่านไปครึ่งวัน แต่พวกเขาต้องแก่ขึ้นครึ่งปีจริงๆ ไม่เหมือนตัวเอง ที่นี่ก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร ให้พวกเขารีบออกไปอย่าเปลืองอายุขัยของพวกเขาจะดีกว่า

ฟางหนิง “ช่วยเปิดเสียงในคุกหน่อย”

ระบบ “ทำไมล่ะ หรือว่าเสียใจขึ้นมา ยังคิดอยากจะเรียนวิธีอายุยืนเหรอ นั่นทำไม่ได้”

ฟางหนิง “ฉันคงโง่มากแน่ถ้าทำอย่างนั้น ให้ปีศาจร้ายนั่นปล่อยคนพวกนั้นไปเถอะ ฉันเชื่อว่าแกทำได้”

ระบบ “พวกเขาไปแล้ว แต่พวกเราอยู่ที่นี่ โฮสต์แน่ใจหรือว่าจะทนอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปี”

ฟางหนิง “ขอแค่ให้ฉันได้เล่นเกมคนเดียวสักสองสามชั่วโมงทุกวันก็พอแล้ว ฉันลงนิยายไว้แล้วหลายเล่ม สามารถอ่านฆ่าเวลาได้ และฉันก็ไม่คิดจะรบกวนคนอื่นมาเป็นเพื่อนรับโทษ”

ระบบไม่ใช่แค่ไม่ฟังฟางหนิง แต่กลับทำท่าเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่าง “อ้อ มิน่าทำไมตอนที่ระบบใช้ร่างโฮสต์ฝึกฝน ถึงได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ยังเล่นเกมได้ยังไง ที่แท้ก็เล่นเกมคนเดียวนี่เอง รู้อย่างนี้ ดูท่าต้องตัดไฟซะแล้ว ต้องทำอย่างนั้นโฮสต์ถึงจะมีสมาธิ”

ฟางหนิงนึกไม่ถึงว่าการแสดงความปรารถนาดีของตน จะกลับกลายเป็นการเตือนให้ระบบบีบคั้นตนเอง เขาถึงกับพูดไม่ออก “ไม่มีไฟกับอินเทอร์เน็ต ฉันทนฝึกครึ่งปีไม่ไหวหรอก”

ทั้งสองโต้เถียงกันไปมา สุดท้ายฟางหนิงก็งัดไม้ตายสุดท้าย ได้แต่จำยอมเป็นฝ่ายถอยหนึ่งก้าว “ตอนฝึกฝนตัดไฟก็ได้ แต่ตอนเลิกงานอย่ามายุ่งกับฉัน อย่างนี้ปล่อยคนพวกนี้ได้แล้วยัง”

ระบบ “ปล่อยๆๆ อย่าเสียใจล่ะ”

ฟางหนิง “ฉันจะเสียใจอะไร ปีศาจร้ายนั่นจะฟังแกไหม มันรู้อยู่ว่าจะต้องตายแล้วจะทำตามเหรอ”

ระบบ “ขืนมันไม่ทำตาม ระบบจะให้มันรู้ว่าโทษประหารก็มีแบ่งประเภท ประเภทหนึ่งเรียกว่าจิตวิญญาณดับสลาย”

…………

เวลานี้ในเทียนฮุ่ยวิลล่า หลังจากสอบสวนเจิ้งเต้าแล้ว ไห่หลานไม่ได้เปลี่ยนสถานที่ แต่กลับรายงานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักสัจธรรมในที่เกิดเหตุ

ไห่หลาน “ใช่แล้ว สมาชิก 30 คน หายตัวไป 29 คน และยังมีเจ้าหน้าที่ต้อนรับอีกหนึ่งคน รวมทั้งครูฝึกที่เพิ่งส่งมาใหม่สวี่เว่ยหวา”

เจ้าหน้าที่ระดับสูง “อะไรนะ หายตัวไปนานแค่ไหนแล้ว”

ไห่หลาน “ไม่ถึงสิบนาที”

เจ้าหน้าที่ระดับสูง “พวกคุณปฏิกิริยาเร็วมาก พวกเราจะเรียกประชุมด่วนเพื่อหารือแผนแก้ไขปัญหา”

ไห่หลาน “ไม่ต้องหารือวิธีแก้ปัญหาหรอก…พิจารณาวิธีรับมือเรื่องที่จะตามมาดีกว่า”

เจ้าหน้าที่ระดับสูง “สถานการณ์เป็นยังไงกันแน่”

ไห่หลาน “เราสอบสวนโฮสต์ของปีศาจแล้วทราบข้อมูลที่ไม่แน่นอนนัก คนเหล่านั้นถูกปีศาจดึงเข้าไปในพื้นที่พิเศษ เวลาของที่นั่นแตกต่างจากโลกของเรา เวลาสิบนาทีจะเท่ากับการเดินเข้าไปในพื้นที่นั้น ฉันเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อดอาหารตายแล้ว”

เจ้าหน้าที่ระดับสูง “ในนั้นมีลูกชายของผู้อาวุโสสวี่ ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบแจ้งครอบครัวของเขา”

ไห่หลาน “ขอให้แจ้งอ้อมๆ หน่อย…ข่าวยังไม่ยืนยันขั้นสุดท้าย บางทีโฮสต์อาจจะถูกปีศาจทำให้สับสนกระทั่งเทียบเวลาของสองโลกผิดพลาด”

เจิ้งเต้าที่อยู่ข้างๆ ฟังอีกฝ่ายวิเคราะห์ก็ย้อนคิดอย่างจริงจัง อดไม่ได้ที่จะมองผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาด้วยความชื่นชม มันอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นไปได้มากที่ปีศาจจงใจทำให้เขาเกิดภาพลวงตาในการเทียบเวลาเพื่อสะท้อนความแปลกประหลาดและทรงพลังของมัน ทำให้ตัวเองหวาดกลัวและในที่สุดก็ตกอยู่ในการควบคุมของมัน นิสัยฉลาดแกมโกงของมันเป็นเรื่องที่รู้กัน

พูดจบแล้ว สีหน้าไห่หลานพลันเคร่งเครียด ตายทีเดียวสามสิบกว่าคนและยังเกิดขึ้นในโรงเรียนสังกัดสำนักสัจธรรม แม้ว่าจะไม่ใช่สำนักงานใหญ่ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ

คงจะต้องเตรียมเขียนรายงานตรวจสอบให้ดีแล้วค่อยถูกไล่ออกกลับบ้าน

เธอเตรียมใจอย่างนี้แล้ว แต่ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็มีคนรายงานเธอทางวิทยุรับส่ง

ไห่หลาน “พูดมาสิ”

สมาชิกคนหนึ่ง “ดูจากกล้องวงจรปิดเมื่อครู่ยืนยันว่าทุกคนกลับมาแล้ว ไม่มีใครหายไปสักคน”

ไห่หลานดีใจ ดูท่าไม่ต้องเขียนรายงานตรวจสอบแล้ว “รีบเรียกพวกเขามารวมกัน ตรวจร่างกายก่อนแล้วแยกกันสอบถาม”

เจิ้งเต้าที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินเช่นนั้น ใบหน้ากลับฉายแววสงสัย เพราะเขารู้สึกได้ว่าปีศาจร้ายที่ครองร่างตนเองยังไม่ตาย เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมมันถึงใจดีปล่อยคนพวกนี้ออกมา

…………

ประธานจ้าวกลับไปห้องก็คิดว่าจะไปดูฟางหนิงสักหน่อยก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

พอเขาเปิดประตูก็เห็นตาอ้วนหลิว

ประธานจ้าว “อ้าว ฉันคิดว่าเดี๋ยวจะไปหา ใจตรงกันพอดี ไป ไปดูเสี่ยวฟางก่อน”

ตาอ้วนหลิวได้ยินก็ดีใจ “ดีเลย ฉันจะมาชวนแกกับเสี่ยวฟางไปหาอาหารมื้อใหญ่กิน สองวันนี้มีแค่บะหมี่กับไส้กรอกแฮม ไม่มีอะไรอร่อยๆ กิน และยังต้องแบ่งให้คนร่างกายอ่อนแออีก แบ่งไม่ถึงฉันเท่าไร รสชาติก็พอไหว แต่กินไม่อิ่มสักมื้อนี่สิ”

ประธานจ้าวพูดไม่ออก “มีกินก็บุญแล้ว! ตาอ้วนน่าจะปล่อยให้หิวสักสองวัน จะได้ลดความอ้วนไง”

ความหวังที่ตาอ้วนหลิวจะได้กินมื้อใหญ่ใกล้พังลง เพิ่งจะเคาะห้องฟางหนิงก็เห็น “ฟางหนิง” ลงมาจากเตียง กลุ่มคนชุดดำปรากฏตัวในอาคารแล้ว…

……………………………………………………

บทที่ 73 ถ้าอยู่เป็นโอตาคุอมตะได้ ใครกันอยากจะนั่งรถเข็นดูคนอื่นเล่น

ทุกคนหันมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีใครรีบเข้าไปเอาอาหาร ด้วยคิดว่านี่อาจเป็นฝีมือของปีศาจตนนี้วางแผนหลอกล่อไว้

หลังจากปีศาจไอหมอกหลบของที่ตกลงมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที “เป็นอย่างนี้ได้ไง?! ข้าปิดทางเข้าพื้นที่นี้ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะโยนของเข้ามาได้!”

อาหารตกลงมานานมากแล้ว และท้ายที่สุดก็เป็นตาอ้วนหลิวที่ทนหิวไม่ไหว เข้าไปหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมากินชิ้นหนึ่งพร้อมกับดื่มน้ำ ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อทุกคนเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร จึงเชื่อมั่นว่าอาหารและน้ำดื่มปลอดภัย

ความจริงแล้วแค่ระบบยืนขึ้น ด้วยชื่อเสียงของอัศวิน A แห่งเมืองฉี ประธานจ้าวกับตาอ้วนหลิวก็จะออกมารับรองเป็นคนแรกว่าอาหารพวกนี้ไม่มีปัญหา แต่ระบบที่ยุ่งกับการฝึกวรยุทธ์ไม่มีเวลาออกมาอธิบายอะไรมากมาย ถึงอย่างไรเมื่อหิวจนหน้ามืดตาลายแล้วย่อมมีคนออกมากินอาหารอยู่ดี…

หลังจากตาอ้วนหลิวลองกินแล้ว ทุกคนจึงข้าใจว่านี่คือขนมเปี๊ยะที่หล่นจากท้องฟ้าจริงๆ…

“แต่อาหารกับน้ำน้อยอย่างนี้จะแบ่งอย่างไรล่ะ” ใครบางคนเอ่ยถามน้ำเสียงลำบากใจ เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกต่างรีบมองหน้ากัน แววตาซับซ้อน

ขณะเดียวกัน ด้านปีศาจไอหมอกก็รีบค้นหาที่มาของอาหารแต่คว้าน้ำเหลว สายตาของมันพลันเหลือบไปเห็นอาหารเพียงน้อยนิดที่ด้านล่างก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าจะแบ่งยังไง ผู้แข็งแกร่งย่อมชนะ! ฮ่าๆ ฆ่ากันเองสิ คนที่ชนะไม่ใช่แค่ได้อาหารตรงหน้า ไม่แน่อาจค้นพบอาหารใหม่”

ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียด แต่แล้วก็ได้ยินเสียง ‘ตุบๆ’ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีน้ำแร่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอกแฮม กระทั่งพะโล้ อย่างไก่ต้มพะโล้ตกลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน…

ทุกคนต่างประหลาดใจรีบหันมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ไม่มีใครยืนเซ่ออีก ต่างเข้าไปเก็บอาหารขึ้นมา…

คนที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นใครบางคนในกลุ่มคนธรรมดาที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษมหัศจรรย์อย่าง ‘การอธิษฐาน’ เท่านั้นครูฝึกสวี่ที่พิงก้อนหินคิดในใจ เขากวาดตามองทุกคน แต่หาไม่เจอเลยว่าคนไหนที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษหายากอย่างนี้ ไม่น่าแปลกใจ เพราะเดิมทีเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ประเภทสำรวจตรวจสอบอยู่แล้ว

แม้ว่าท้องจะหิวโหยเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเจอกับอาหารที่ตกลงมาดั่งสายฝน ครูฝึกสวี่กลับไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่คิดต่อว่าบางทีเขาอาจจะผิดไป และพวกคนแก่นั่นพูดถูกแล้ว

ทุกคนเก็บอาหารอย่างดีและจัดเรียงเป็นหมวดหมู่ต่างๆ แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้ เมื่อพบว่าในบรรดากองอาหารที่สวรรค์ประทานมานั้น กว่าครึ่งเขียนว่า “ผลิตที่โรงงานอาหารXXเมืองฉีเฉิง”

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ระบบไม่ชอบความยุ่งยาก อาหารทั้งหมดที่โยนลงไปจึงเป็นสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ตราคาถูกที่เก็บไว้ในช่วงแรกๆ ย่อมผลิตโดยโรงงานอาหารนท้องถิ่นเมืองฉีแน่นอน น่าเสียดายเกินไปที่จะโยนอาหารคุณภาพสูงและยาจำนวนมากให้คนเหล่านี้…

ปีศาจไอหมอกที่กำลังยุให้ทุกคนฆ่ากันเองโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “เป็นไปได้ยังไง มันโผล่มาจากไหนกันแน่ ข้าไม่เชื่อว่ามันจะตกลงมาเรื่อยๆ!”

เมื่อได้ยินปีศาจพูดอย่างนั้น คนอ้วนหลายคนที่นำโดยตาอ้วนหลิวที่เดิมทีอยากกินมื้อใหญ่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นโดยเร็ว ทุกคนรวบรวมอาหารและเตรียมแบ่งอาหารเท่าๆ กัน

แน่นอนว่าหลังจากอาหารตกลงมาช่วงหนึ่งก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก ปริมาณอาหารที่ตกลงมานั้นเพียงพอให้คนกลุ่มนี้กินได้หนึ่งวันเท่านั้น

ปีศาจไอหมอกได้ใจอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่ไร้ขอบเขต พวกเจ้าทนต่อได้แค่หนึ่งวันเท่านั้นแหละ…

วันรุ่งขึ้น อาหารเริ่มตกจากท้องฟ้าอีกแล้ว

ปีศาจไอหมอก “…”

ตอนที่อาหารตกลงมาวันที่สาม ปีศาจไอหมอกไม่โผล่หน้ามาอีก ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าปีศาจจะพูดอะไร

วันนี้เองชายชราอายุราว 70 ผู้ยังมีร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาคนหนึ่งเดินช้าๆ เข้าไปหาครูฝึกสวี่ที่นั่งพิงก้อนหิน เขาไม่ได้กินอาหารมาสองวันแล้ว ชายชราจึงยื่นไก่พะโล้ให้หนึ่งตัวและน้ำสองขวด

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน ผ่านไปนานมากก็เห็นว่าครูฝึกสวี่รับอาหารไปกินเงียบๆ

ขณะเดียวกันในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ฟางหนิงก็พบว่าระบบกำลังรวบรวมกำลังครองร่างของตัวเองฝึกฝนทักษะอีกครั้ง เพราะฉะนั้นแล้วน่าจะไม่มีเวลาสนใจเขาพักหนึ่ง

ฟางหนิงจึงฉวยโอกาสนี้ในการแอบอู้ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ก็ไปเปิด MOD ของเกม Mount & Blade เล่นคนเดียว

ขณะที่ฟางหนิงกำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขสุดๆ ปีศาจไอหมอกที่เก็บตัวเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและเริ่มพูดมากอีกครั้ง

“หึๆ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรพวกเจ้าดี แต่พวกเจ้าอย่าได้ใจไปล่ะ ครั้งนี้จะปล่อยพวกเจ้าไป แต่อย่าลืมว่าร่างกายของพวกเจ้าถูกข้าประทับตราคลุมไว้แล้ว!

ข้ารู้แล้วว่าคราวนี้พวกเจ้าบางคนอธิษฐานขออาหารจากท้องฟ้าได้ พวกเจ้าจะไม่อดตาย ข้าจะไม่โง่เปลืองพลังไปเปล่าๆ แต่สักวัน ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทีละคน ชีวิตที่เหลือของพวกเจ้าทำได้แค่นอนหลับด้วยความหวาดผวา ฮ่าๆๆๆ…”

ในตอนแรกทุกคนดูยินดี แต่หลังจากนั้นก็หน้าซีดเผือด แม้แต่ครูฝึกสวี่ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาปลอบใจคนอื่นๆ “ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกครั้งที่มันพูดจบ เรื่องที่เกิดขึ้นจะย้อนกลับมา ครั้งนี้ไม่เกินคาดแน่นอน”

ฟางหนิงที่กำลังเล่นเกมได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าท่าไม่ดี จึงรีบวางเกมลง ตะโกนเสียงดังลั่น “ระบบ แผนที่วางไว้กำลังจะพัง ปีศาจนั่นจะปล่อยคนไป มันจะปิดเซิร์ฟเวอร์แน่ๆ…พวกเราอาจอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปี”

ความจริงไม่ใช่เกม และปีศาจก็ไม่ใช่ NPC หรือตัวประกอบงี่เง่า เมื่อพบว่าผิดปกติย่อมต้องปรับกลยุทธ์ ต้องคำนวณโอกาสประสบความสำเร็จ ไม่ไหวก็ถอย หนีไม่ได้ก็ค่อยสู้สุดชีวิต

มันไม่รู้สึกมีเกียรติอะไร ก็แค่ปีศาจชั่วร้ายเท่านั้น เช่นเดียวกับระบบ การเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด

ระบบ “มันไล่พวกเราไปไม่ได้หรอก ระบบจะขังมันไว้ก่อน”

เวลานี้ฟางหนิงก็เห็นอัศวิน A เผยตัว แต่ครั้งนี้หลังออกมาจากที่ซ่อนก็ปรากฏในร่างมังกรเพลิงกลางอากาศทันที

มังกรเพลิงปากใหญ่ยักษ์พุ่งทะยานเข้าใส่ปีศาจไอหมอก

“มังกรบูรพาเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?!” ปีศาจไอหมอกตื่นตะลึงแต่มันก็เคลื่อนย้ายร่างได้พริบตา

ปีศาจตนนี้สามารถต้านทานความกดดันที่มีอานุภาพเกรียงไกรของมังกรและยังปลดปล่อยทักษะได้อีก! ฟางหนิงได้แต่เสียดายเมื่อเห็นปากยักษ์ของมังกรเพลิงคลาดกับปีศาจไปเพียงนิดเดียว หลังจากนั้นปีศาจไอหมอกก็หนีไปไกลแล้ว

ฟางหนิงกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน “หรือว่ามีแต่การโจมตีด้วยปืนใหญ่ของแผนที่ถึงจะปราบมันได้ ช่างเถอะ ใช้มังกรเพลิงคำรามที่แกเคยพูดเถอะ ปล่อยอาวุธแผนที่ฆ่ามัน”

ระบบเป็นผู้เชี่ยวชาญในสนามรบ ครั้งนี้ไม่ได้ฟังคำสั่งของฟางหนิง มันยังคงคิดเรื่องเวลาฝึกฝนครึ่งปีถึงได้ผิดพลาด

ฟางหนิงเห็นได้จากแผนที่ระบบว่าปีศาจกำลังเคลื่อนที่ไปรอบๆ พื้นที่ทั้งหมด นอกจากใต้ดินที่มุดลงไปไม่ได้ ท้องฟ้าทั้งหมดเป็นขอบเขตเคลื่อนไหวอิสระของมัน มันไม่อยู่นิ่งเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ ระบบจะจับมันได้อย่างไร

มังกรเพลิงพลันอ้าปากกว้าง เริ่มหายใจเข้าหนักหน่วง…

“ลมแรงจัง มังกรเพลิงนั่นทำอะไร” ทุกคนที่อยู่ข้างล่างตกตะลึง ปีศาจไอหมอกครั้งนี้ไม่พูดพล่ามอีก มังกรเพลิงปรากฏตัวขึ้นหมายจะกลืนมันเข้าไป ปีศาจจะพูดอะไรออกมาอีกนะ…

น่าเสียดายที่ยังไม่ได้กลืนมันลงไป แต่ดูท่าทางตอนนี้แล้ว มังกรเพลิงอาจอยากจะกลืนกินพื้นที่ขนาดหมู่บ้านเล็กๆ นี้

“แบ่งเป็นสองกลุ่ม จับมือกันเป็นวงกลมล้อมรอบหินพวกนี้” ชายชราที่เพิ่งเอ่ยปลอบโยนทุกคนก็ตะโกนเสียงดัง เขาเห็นความปั่นป่วนของอากาศบนท้องฟ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังจะเกิดพายุโหมรุนแรง

ชายชราคาดเดาถูกต้อง หลังจากนั้นไม่นาน กระแสลมหมุนรุนแรงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็แผ่ไปทั่วทั้งพื้นที่ปีศาจร้าย มันพุ่งออกจากปากของมังกรแผ่ขยายออกไปอย่างรุนแรง

พวกเขาทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณที่พายุหมุนจงใจหลีกเลี่ยงพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะถูกแรงดึงไม่น้อย แต่ก็ยังเกาะก้อนหินไว้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกกวาดออกไป

ไม่นานพื้นที่ทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยพายุหมุนลูกใหญ่ ฝุ่นปลิวฟุ้งตลบ ข้าวของลอยไปที่ปากของมังกร แต่ดูเหมือนว่าจะมีตาข่ายกรองกั้นไว้จึงลอยเข้าไปไม่ได้

ปีศาจไอหมอกไม่ไหวแล้ว มันคาดไม่ถึงว่าจะเผชิญกับการโจมตีที่ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ไม่อาจเคลื่อนย้ายหลบหนีได้ตามอำเภอใจ และมันไม่อาจเจาะเข้าไปหลบใต้ดินได้

ท่ามกลางกระแสลมรุนแรง มันทำได้แค่ล่องลอยไปตามกระแสลมและสุดท้ายก็ถูกดูดเข้าไปในปากของมังกร จากนั้นมังกรก็หายวับไปจากกลางอากาศ เหลือเพียงผู้ชมที่ตะลึงอ้าปากค้าง

ระบบแจ้งเตือน ระบบใช้สล็อตพลังปราณสุดท้ายเพื่อเปิดใช้งานร่างมังกรเพลิง ระบบใช้เคล็ดวิชา ‘มังกรเพลิงกลืนฟ้า!’

ระบบโจมตีปีศาจฝันร้ายตัวฉกาจ

ทักษะปีศาจฝันร้าย ‘เคลื่อนย้ายในพื้นที่’ ได้ผล และปีศาจฝันร้ายต้านทานอานุภาพของมังกร!

ปีศาจฝันร้ายหลบหนีไป

ระบบใช้เคล็ดวิชา ‘มังกรพายุดูดกลืน!’

ระบบเปิดใช้รูปแบบการโจมตีแผนที่

สถานที่เป้าหมาย ‘เคลื่อนย้ายพื้นที่’ ของปีศาจฝันร้ายถูกรบกวน ไม่มีทางได้ผล ปีศาจฝันร้ายถูกกลืนกินแล้ว

ปีศาจฝันร้ายถูกขังในคุกของระบบ

ฟางหนิงอ่านข้อความแล้วก็หัวเราะ ในที่สุดก็มีคนเป็นเพื่อนตัวเองถูกขังในห้องดำของพื้นที่ระบบแล้ว

สำหรับการขาดการแจ้งเตือนการเก็บเกี่ยว ดูเหมือนว่าเราจะต้องรอจนกว่าสัตว์ประหลาดจะอดอาหารตายทั้งเป็น

อย่างไรก็ตาม หลังจากอัปเกรด “การเปลี่ยนร่างมังกร” หนึ่งครั้งแล้ว อานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก มิน่าล่ะระบบถึงได้มั่นใจมากขนาดนี้…

เมื่อปีศาจไอหมอกตนนี้ถูกขังในคุกของระบบ ฟางหนิงก็พบว่าพื้นที่ปีศาจร้ายทั้งหมดยังคงมีอยู่ ชัดเจนว่าต้องรอจนพลังของปีศาจหมดก่อนที่แห่งนี้ถึงจะพังทลายลง แผนของระบบดำเนินต่อไปได้…

แต่ก็หมายความว่า ตัวเขาต้องอยู่ในห้องดำเล็กๆ ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตนานถึงครึ่งปีจริงๆ…

ฟางหนิงกำลังถอนใจในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหู

“ปล่อยข้าออกไป ข้ารู้สึกได้ถึงเจ้า เจ้าเป็นพัศดีที่นี่ใช่ไหม ขอแค่ปล่อยข้าออกไป ข้าจะดลบันดาลให้เจ้าได้ทุกอย่าง เงินทองของมีค่า คฤหาสน์ และหญิงงาม ในโลกมนุษย์ไม่ว่ามีอะไรข้าให้ได้หมด แม้แต่ความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์และความเป็นอมตะ ข้าก็ให้เจ้าได้เหมือนกัน…”

ฟางหนิง “บ้าเอ้ย เคยได้ยินว่าปีศาจร้ายถนัดชักจูงใจคน เป็นอย่างนี้จริงๆ สินะ เพิ่งจะเข้ามาก็คิดจะหลอกล่อฉันแล้วเหรอ”

“ว่าไง หรือว่าแกไม่อยากออกไป ต้องเป็นโอตาคุอยู่ที่นี่จนไตพร่อง อายุขัยได้อย่างมากหนึ่งถึงสองร้อยปีก็ตายแล้ว”

ฟางหนิงหงุดหงิด ฉันถูกระบบครองร่าง วันๆ เอาแต่ฝึกฝนจนแข็งแกร่งขนาดนี้จะไตพร่องได้ยังไงกัน

เพียงแต่ว่าต้องอยู่โดยไร้อินเทอร์เน็ต จิตใจจึงห่อเหี่ยว สงสัยปีศาจตนนี้จะดูออก

เขาหัวเราะเยาะอีกฝ่ายทันทีเพื่อตอบโต้ “ฉันอยู่ได้ร้อยหรือสองร้อยปี แต่แกจะต้องถูกขังจนตายซาก แกเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสการดูแลในคุกเลยนา… ตอนนั้นแมงมุมยักษ์ก็ถูกลากไปเป็นอุปกรณ์ทันที ส่วนแกแค่ถูกพิพากษาชะลอเวลาประหารชีวิต”

“ถึงยังไงก็ต้องตาย จะตายเร็วหรือช้าพวกเราก็มีจุดจบอย่างเดียวกัน จะดีใจไปทำไมล่ะ”

ฟางหนิงจิตใจหวั่นไหว ตอนนี้ตัวเองอาศัยระบบก็ทำได้แต่ไม่มีทางได้รับความสุข เรื่องเป็นอมตะไม่แก่เฒ่าตลอดไปช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน

ถ้าเป็นโอตาคุที่มีชีวิตเป็นอมตะตลอดไปก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเหมือนเมื่อก่อน เพราะแต่ละวันผ่านไปรวดเร็ว เล่นแล้วคืนหนึ่งก็ผ่านไป อีกวันก็ผ่านไป เล่นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเล่นไม่ไหว จากนั้นก็นั่งมือสั่นอยู่บนรถเข็นให้คนอื่นคอยดูแล…

ระบบเป็นระบบด้านศิลปะการต่อสู้ เขาเคยคุยกับมันครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางฝึกฝนจนไม่แก่เฒ่า แต่เรื่องนี้ระมัดระวังหน่อยจะดีกว่า

แน่นอนว่าถ้าละเมิดกฎระเบียบของระบบก็จำต้องปฏิเสธไป ไม่มีระบบครองร่างใช้แรงงาน ฟางหนิงยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนโหดเหี้ยม ด้วยความเพียรสูงอย่างเดียวก็มีอายุยืนยาวได้ด้วยตัวเอง…

ฟางหนิงอยากจะเข้าใจเรื่องนี้จึงเดินตามเสียงออกไป ไม่นานก็เห็นสิ่งก่อสร้างพื้นที่ระบบใหม่แห่งหนึ่ง

เขาเห็นแต่อาคารเล็กๆ ที่มีแผ่นเหล็กล้อมรอบ มีเพียงประตูด้านข้างบานหนึ่ง บนประตูมีหน้าต่างกระจกขนาดเท่ากำปั้นมองเห็นด้านใน ด้านในว่างเปล่าทั้งแคบทั้งมืด เป็นห้องมืดอย่างไม่ต้องสงสัย สภาพแย่กว่าห้องของเขามากทีเดียว…

…………………………………………

บทที่ 72 ตัวร้ายรอดตายเพราะพูดมากก็มี…

เวลานี้เฉียวจื่อเจียงพูดขึ้นเบาๆ “พวกเราคุยกันมาตั้งนาน ยังไม่มีใครออกมา พวกเขาจะตายอยู่ในนั้นไหม ทำไมคุณไม่รีบรายงานแต่แรก”

คนอื่นได้ฟังแล้วต่างก็ส่งสายตาไม่พอใจมองไปที่เจิ้งเต้า

เจิ้งเต้าปาดเหงื่อ คิดในใจ ‘ดูท่าจะถูกคิดบัญชีแน่นอน แต่ถ้าเขาบอกไป ปีศาจร้ายก็จะเปลี่ยนโฮสต์ ส่วนเขาก็คงตายไปนานแล้ว และหลังจากเปลี่ยนโฮสต์แล้ว ปีศาจนั่นต้องทำร้ายผู้คนมากขึ้นแน่ ถึงพูดไป พวกเขาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี’

ในตอนนี้เขาทำได้เพียงฝืนอธิบายต่อ “ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ แค่ส่งต่อความคิดนี้ก็จะถูกปีศาจร้ายนั่นสังเกตเห็น หากดำเนินการใดๆ อีก มันก็สังหารโฮสต์อย่างผมทันที ถ้าเปลี่ยนโฮสต์ใหม่ ผมก็จะไม่มีโอกาสบอกใครทั้งนั้น แต่ที่ผมเพิ่งพูดไป เป็นเพียงข้อมูลที่ผมพอหาได้จนถึงตอนนี้ บางทีครูฝึกสวี่อาจจะฆ่ามันได้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้านทานความสามารถพิเศษของผมได้มากทีเดียว”

เวลาเดียวกันในพื้นที่ปีศาจร้าย

ฟางหนิง “ปีศาจนั่นออกมาแล้ว ระบบ ให้ฉันดูหน่อย แกจะจัดการมันยังไง…”

ทั้งสามสิบกว่าคนที่ถูกจับตัวไป ได้สติกันหมดแล้ว

พวกคนแก่ต่างมองไปรอบๆ ด้วยความหวังเพื่อหาทางออก

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้กว้างมาก มันเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ ทั่วไป ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินทั่ว

พวกเขาออกค้นหาทุกหนทุกแห่ง ทั้งเหนื่อยล้าและง่วงนอน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาทางออกไม่ได้ ทุกครั้งที่พวกเขาไปถึงจุดสูงสุดก็จะย้อนกลับไปที่กองหินระเกะระกะที่พวกเขาเข้ามานอนแต่แรก

ที่นี่ยังดีมีก้อนหิน แต่ที่อื่นๆ แม้จะสว่างจ้าก็ไม่เห็นแม้แต่หญ้า ผืนดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแห้งแตกระแหง ไม่มีทางที่พืชใดๆ จะเติบโตได้เลย มดสักตัวก็ไม่มี…

จนกระทั่ง…ปีศาจที่คล้ายกับไอหมอกนั้นก็ปรากฏตัวในที่สุด มันลอยค้างกลางอากาศสูงเหนือพื้นสิบกว่าเมตร มองคนที่อยู่เบื้องล่างจากมุมสูง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความพออกพอใจ

“อย่ามัวแต่คิดให้เปลืองสมองเลย อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างพวกเจ้า ต่อให้ผู้แข็งแกร่งแท้จริงในโลกของพวกเจ้าย่างกรายเข้ามาที่นี่ ตอนแรกอาจพอทนได้สักเดือนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จะหิวตายในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ หินพวกนี้คือร่างของผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นหินหลังความตาย…ฮ่าๆๆ!”

สิ้นเสียงปีศาจ ระบบที่ได้ยินคำแนะนำของฟางหนิงก็เริ่มหายใจเข้าลึกแล้ว หน้าอกและท้องพองลม…

เวลานี้ปีศาจก็พูดขึ้นอีก “ต่อให้ผู้แข็งแกร่งอดทนจนถึงตายก็ยังหาทางออกไม่เจอ!! ฮ่าๆๆ…”

ฟางหนิง “เดี๋ยวก่อน…”

ระบบชะงัก

ปีศาจหมอก “มีแค่ข้าตายเท่านั้น พื้นที่นี้ถึงจะพังทลาย…”

มันเพิ่งพูดจบ ทุกคนก็แหงนหน้ามอง ตอนนั้นเองจึงเห็นว่าฝ่ากำหมัดยักษ์กำลังทะยานมาทางด้านหลังของมัน!

ชั่วอึดใจนั้น ปีศาจหมอกพลันหายวับไปจากตรงที่ที่มันเคยอยู่ หมัดนั้นฟาดลงบนอากาศว่างเปล่า ปีศาจหลบไปที่อื่น

“ฮ่าๆๆ ในที่สุดผู้แข็งแกร่งในหมู่พวกเจ้าก็เริ่มลงมือแล้ว! ดีมาก แต่ไร้ประโยชน์! ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ นอกจากการโจมตีของเจ้าจะครอบคลุมพื้นที่แห่งนี้ ก็ไม่มีทางจะทำร้ายข้าได้!”

ฝ่ามือนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งท้องฟ้าแล้วพุ่งทะยานไปทางปีศาจตนนั้น

ทว่าเป็นอย่างที่ปีศาจพูด ทุกครั้งที่มันกำลังจะถูกจับ มันจะเคลื่อนย้ายไปที่อื่นภายในพริบตา

และหลังจากผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือยักษ์นั้นเคลื่อนช้าลงอย่างมาก

“ฮ่าๆๆ ข้าลืมบอกไปว่าในพื้นที่นี้ไม่มีพลังชีวิตสวรรค์และโลก! เจ้าใช้ได้เฉพาะพลังกายเท่านั้น เก็บไว้ยืดชีวิตตัวเองเถอะ ยังพอทนต่อไปได้อีกสักสองสามวัน”

สายตาทุกคนมองเจ้าของฝ่ามือ ก็เห็นแต่ใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย

“ข้าเตือนแล้วไง เสียแรงเปล่า จริงสิ เจ้าคิดว่าหมอนี่กำลังช่วยชีวิตพวกเจ้าเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย เขาไถ่โทษต่างหาก ฮ่าฮ่า เขาต้องรู้ดี ข้าคือวิดีโอที่พวกเจ้าดูวันนี้ ปีศาจอันตรายประเภทแรกไงล่ะ ตราบใดที่มีคนมายั่วยุโฮสต์ของข้า ข้าจะออกมาฆ่าคนทันที แน่นอนว่าโฮสต์ของข้าไม่อยู่ที่นี่…”

สายตาของทุกคนดูซับซ้อนแต่แล้วก็คิดออกอย่างรวดเร็ว สมาชิกที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ในเวลานี้จะต้องเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ประจวบเหมาะกับที่เจ้าของมือยักษ์นั่นพูดจาไม่เข้าหูในชั้นเรียนก็ได้โจมตีเขาเข้าแล้ว

สมาชิกเหล่านี้ยังสงวนท่าที ไม่มีใครโวยวาย แต่เมื่อเห็นแววตาเริ่มสิ้นหวังก็รู้ว่าการโวยวายนั้นเป็นเพียงปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น เพราะวิดีโอจนถึงตอนจบไม่ได้บอกวิธีทำลายปีศาจ…

“เดิมทีโฮสต์ของข้าดีมาก เขามีความสามารถพิเศษด้านจิตใจคอยปลอบโยนคนที่อยู่รอบข้าง คนจิตใจดีจะไม่ขัดแย้งกับเขา ข้าแทบไม่ได้ออกมาอาละวาดเลย เขาทุ่มเงินทองที่เพิ่งสะสมมาได้นิดหน่อยจนหมด เพื่อเข้ามาเรียนที่นี่จะได้ขับไล่ข้าไป เขารู้สึกว่าใช้เงินไปเยอะและที่นี่ยังเป็นถิ่นของสำนักสัจธรรม ไม่น่าจะเจอกับปัญหาใหญ่

แต่ครูคนแรกที่เขาพบ คนที่โจมตีข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากจริงๆ ความสามารถพิเศษด้านจิตใจของโฮสต์ทำอะไรเขาไม่ได้เลย ตอนที่หมอนี่ยั่วยุข้า โฮสต์ของข้าถูกข้าควบคุมหมดแล้ว มันจึงไม่ยุติธรรมเลยที่พวกเจ้าจะตาย!”

ฟางหนิงได้ยินก็หงุดหงิด “รีบฆ่ามันซะ หาทางออกให้พวกเรารีบออกไปเถอะ หมอนี่พูดจาไร้สาระจริงๆ”

ระบบ “ไม่เท่าโฮสต์หรอก…”

พอพูดจบระบบก็เริ่มสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง…

ปีศาจหมอกหลบหนีการโจมตีของฝ่ามือยักษ์ได้หลายครั้ง ในที่สุดฝ่ามือนั้นก็ฝืนไม่ไหวหดเล็กลงแล้วสลายไป เจ้าของฝ่ามือเองก็เหนื่อยจนนอนกองอยู่ที่พื้น

“หมอนี่หัวดื้อเหลือเกิน เจ้าต้องรู้ไว้ว่าพื้นที่นี้ยังมีขีดจำกัด มากสุดก็ยืนหยัดได้ถึงครึ่งปี แต่เวลาภายนอกจะผ่านไปนานที่สุดแค่ไม่เกินครึ่งวัน

ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าฆ่าพวกเจ้าไม่ได้สักคน อาจคิดที่จะประหยัดพลังไว้ ไม่คิดจะฆ่าข้าเพื่อพยายามหาทางออกอีกต่อไป แต่จะคิดหาวิธีอื่นที่จะอดทนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ น่าเสียดาย ต่อให้ตอนนี้พวกเจ้ารู้แล้ว และต่อให้สงวนพละกำลังไว้ก่อน ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ และไม่มีพลังชีวิตชดเชย คิดจะทนถึงครึ่งปีนั่นฝันไปเถอะ ผู้แข็งแกร่งคนก่อนที่คิดอย่างนี้ก็กลายเป็นก้อนหินไปแล้ว! ฮ่าๆๆ! ข้าคงได้รับอิทธิพลจิตใจดีมาจากโฮสต์แน่ ถึงได้พูดมากอย่างนี้ ช่วยพวกเจ้าตาสว่างก่อนตาย…”

ระบบหยุดหายใจเข้าอีกครั้ง

ฟางหนิงเซ็ง “นายท่านระบบขอรับ ไหนบอกว่าฆ่ามันได้ในอึดใจไง อย่าบอกนะว่าลมหายใจเดียวของแกครอบคลุมไม่ได้ทั้งพื้นที่”

ระบบ “จะเป็นไปได้ยังไง โฮสต์ยังไม่เคยเห็น ‘มังกรเพลิงคำราม’ อย่าว่าแต่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างนี้เลย แค่พ่นลมหายใจออกไป ทั้งเมืองฉีก็สั่นสะเทือนได้แล้ว”

ฟางหนิงโบกมือแสดงว่าไม่เชื่อ “อย่าขี้โม้ให้มันมากนัก แล้วทำไมถึงหยุดซะล่ะ”

ระบบ “ในเมื่อมันเพิ่งคายความลับออกมา ก็อย่าเพิ่งฆ่ามันตายสิ ปล่อยให้มันเก็บพื้นที่นี้ต่อไป พวกเรามีเวลาฝึกฝนมากกว่าคนข้างนอกครึ่งปีไม่ใช่หรือ ตอนนี้ร่างกายของโฮสต์ที่ถูกฉันครองร่างฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ อายุยืนขึ้นไม่น้อย แก่ขึ้นครึ่งปีในพื้นที่นี้ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ในเมื่อโฮสต์สามารถฝึกฝน ‘คัมภีร์โพธิ์’ ไปถึงขั้นสูง…ช่างเถอะนั่นเป็นต้นฉบับ โฮสต์ฝึกไปแล้วไม่ค่อยได้ผล โฮสต์ฝึก ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ถึงขั้นเปลี่ยนร่างมังกรขั้นต้นไปเลยดีกว่า แม้ว่ายังไม่ถึงเปลี่ยนร่างมังกรหยวนเสิน แต่ก็ยังพอออกมาช่วยเรื่องเล็กๆ ได้เป็นครั้งคราว ไม่ต้องกังวลไป มีระบบคอยดูอยู่ไม่มีทางเกิดอันตรายอะไร และยังเพิ่มประสิทธิภาพจับปีศาจด้วย”

ฟางหนิงฟังจบก็เหงื่อตก ตัวร้ายน่าจะยินดีที่มันพูดมากบอกความลับทั้งหมดของตัวเองละเอียดลออ

ถ้ามันดูหนังที่สร้างจากนิยายของมนุษย์ อาจได้รู้ว่าคนร้ายหลายคนล้วนตายเพราะปากทั้งสิ้น เวลานี้มันคงถูกระบบฆ่าตายไปแล้ว!

ตอนนี้มันยังอยู่ต่อได้ครึ่งปี ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว!

เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงปีศาจ คิดดูแล้วรู้ว่าพลังของปีศาจมาจากคนที่ตายในโลกนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฟางหนิงจะทำอย่างนั้น ถ้าหัวหน้าระบบทำอย่างนั้นเองจะต้องสูญเสียคุณลักษณะอัศวินจนหมดแน่

แต่แล้วหลังจากนั้นฟางหนิงก็คิดได้เรื่องหนึ่ง เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด “ที่นี่ตัดขาดกับโลกข้างนอก เมื่อกี้ฉันลองดูแล้ว ไม่มีไฟยังไม่กลุ้มใจเท่าไร แต่ไม่มีอินเทอร์เน็ต แกจะให้ฉันทนฝึกอย่างนี้ไปครึ่งปีเหรอ”

ระบบ “ใช่แล้ว อย่างนี้ไม่ดีเหรอ เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ระบบรู้ว่าการฝึกฝนของโฮสต์มีประสิทธิภาพขึ้นมากทีเดียว”

ฟางหนิงโวยวาย “แต่ฉันทนไม่มีอินเทอร์เน็ตนานขนาดนั้นไม่ไหวแน่ ต้องขาดใจตาย…”

ระบบ “วางใจเถอะ ระบบเข้าใจมนุษย์อย่างพวกโฮสต์บ้างแล้ว อีกไม่นานจะมีกลุ่มที่ขาดอาหารเปรียบเทียบกับโฮสต์ โฮสต์จะมีความสุขมากที่ทนไปได้ครึ่งปี”

ฟางหนิงถึงได้สติ มองดูกลุ่มคนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ก็เข้าใจความคิดของระบบทันที “เลวเอ้ย แกมันคนไม่มีมนุษยธรรม! ให้ฉันทนครึ่งปีก็ได้ ในพื้นที่เก็บความสดของพื้นที่ระบบ นิสัยอย่างแกต้องเก็บอาหารไว้เยอะมากๆ หยิบออกมานิดหน่อยได้ไหม เพื่อให้คนพวกนี้ไม่ต้องอดตาย ในนั้นยังมีว่าที่พ่อตาของฉันกับตาอ้วนหลิวที่เป็นคนคุ้นเคยด้วย”

ระบบ “ถึงโฮสต์ไม่พูด ระบบก็จะให้อยู่แล้ว เพราะมักจะมีเหตุไม่คาดคิด ระบบจึงตุนอาหารไว้ล่วงหน้าเสมอ อย่าว่าแต่ครึ่งปีเลย ต่อให้สามปีห้าปีก็ไม่ใช่ปัญหา และในสถานการณ์อย่างนี้ หากระบบไม่ทำเช่นนั้น คุณสมบัติอัศวินต้องหมดสิ้นแน่นอน…”

ฟางหนิง “ก็จริง ในเมื่อกระเพาะคนสามสิบกว่าคนรวมกันแล้วยังไม่เท่าแกคนเดียว แกยังเป็นคนที่อยู่รอดอันดับหนึ่ง ปริมาณอาหารที่เตรียมไว้ต้องไม่ใช่ปัญหาแน่ๆ”

หลังจากนั้นระบบก็ไม่สนใจปีศาจช่างพูดตนนั้นอีก มันเร่งให้ฟางหนิงฝึกฝนและยอมรับปากกับฟางหนิงว่าจะไม่ให้คนใดคนหนึ่งในกลุ่มนั้นหิวตายหรือป่วยตาย เมื่อมีการรับรองเช่นนี้แล้ว ฟางหนิงก็สบายใจ…

ระบบควบคุมร่างกายของอัศวิน A และเริ่มเก็บตัวฝึกฝนทันที เตรียมฝึกทักษะต่างๆ จนสุดทาง ในเมื่อไม่มีค่าประสบการณ์ยังยืดเวลาได้ แน่นอนมันได้เปิดเธรดเล็กๆ คอยเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอก

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งวัน หลายคนรู้สึกหิวกระหายและเริ่มตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ปีศาจตัวนี้ไม่ได้โกหกพวกเขาจริงๆ

ปีศาจมองกลุ่มคนพวกนั้นก็ผุดยิ้ม

“ว่ายังไง ข้าจะไม่เสียเวลาหลอกลวงพวกเจ้าที่ได้แต่รอความตายเท่านั้น ให้ข้าลองคิดตอนนี้สิว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังนึกถึงปาฏิหาริย์จากท้องฟ้าสินะ น้ำแร่ตกลงมาสักสองสามขวดจะดีกว่าไหม ฮ่าๆ เมื่อมนุษย์อย่างพวกเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมักจะมีความคิดไร้เดียงสาอยู่เสมอ ให้ข้าดูหน่อยใครกันจะเป็นคนแรกที่ร้องไห้ขอให้ข้าช่วย แม้ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งออกไปแน่นอน ฮ่าๆๆ!”

ทันทีที่มันพูดจบก็มีอาหารตกลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับน้ำแร่อีกสองขวด ถ้าปีศาจเคลื่อนที่หลบไม่ได้ล่ะก็…อาหารและน้ำคงหล่นใส่มันไปแล้ว…

……………………………………………………

บทที่ 71 ระบบ แกกลิ่นปากแรงมาก

ระบบเล่าสถานการณ์โดยรวมให้ฟังแล้ว ฟางหนิงถึงค่อยกล้าสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกผ่านมุมมองระบบ

ระบบไม่อาจอธิบายลักษณะของปีศาจได้ มองโดยละเอียดแล้วค่อนข้างคล้ายกับหมอกหนากลุ่มหนึ่ง รูปร่างเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ มิน่าล่ะมันถึงอธิบายไม่ถูก

หมอกกลุ่มนั้นหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายก็พูดเบาๆ “พลังปราณคุ้มร่างนั้นเจ๋งขนาดนี้เชียวหรือ”

พูดจบสัตว์ประหลาดก็จากไปอย่างเงียบเชียบ

เวลานี้เอง ในห้องของฟางหนิง ระบบโยนมนุษย์กลไกตัวแทนลงวางบนเตียงให้แกล้งนอนหลับ แล้วเปลี่ยนเป็นอัศวิน A ติดตามออกไป

ฟางหนิงไม่ได้ให้ระบบเลือกแปลงโฉมเป็นคนอื่น เพราะเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นมังกร ยังมีคนที่มองออกว่านั่นคืออัศวิน A อาจจะทำให้เรื่องแย่ลง

ปีศาจที่เห็นเหมือนหมอกนั้นลอยไปมา สุดท้ายมันก็เข้าไปในห้องหนึ่ง ห้องนี้อยู่ในหอพักเดียวกับฟางหนิงและยังอยู่ชั้นสองเหมือนกัน

ฟางหนิงครุ่นคิด ที่นี่น่าจะเป็นห้องของชายคนนั้นที่ชื่อเจิ้งเต้า

เพราะอีกฝ่ายมีคุณสมบัติฝึกฝนสูงที่สุด เขาจึงคอยจับสังเกต หลังกินอาหารกลางวัน อีกฝ่ายเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน ตอนนี้ความสามารถในการจดจำของฟางหนิงเพิ่มขึ้นแล้ว เขาสามารถจดจำรายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ชัดเจน

ภายในห้อง เจิ้งเต้าสวมชุดนอน คลุมผ้าห่มกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง ท่าทางดูปกติมาก

ตอนนั้นเอง ระบบจึงเอ่ยขึ้น

ระบบ “ปีศาจหายไปอีกแล้ว”

ฟางหนิง “เป็นไปได้ยังไง”

พอเขาดูแผนที่ระบบ ก็พบว่าจุดสีแดงหายไปแล้วจริงๆ ใกล้กันนั้นมีเพียงจุดสีเหลืองของเจิ้งเต้า แต่จุดสีเหลืองนี้ผสมกับสีขาว

เห็นชัดว่าเจิ้งเต้าไม่ใช่ปีศาจ ฟางหนิงเองก็ประหลาดใจ ไม่เคยมีปีศาจที่ระบบเจอแล้วยังหลุดหายไปอีกครั้งได้

เมื่อครู่เขาจับตามองหมอกประหลาดพวกนั้น ก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะหายไปตอนพวกเขาเข้าไปในห้องนี้ ตอนนี้การแจ้งเตือนระบบปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ระบบใช้สล็อตพลังปราณระดับสองและสล็อตความโกรธระดับหนึ่ง ระบบเปิดใช้งานทักษะที่ลึกซึ้ง ‘เนตรปีศาจ’ อานุภาพ ‘เนตรปีศาจ’ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบได้รับผล ‘มุมมองจริง•สูง’ ต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมง ระบบพบทางเข้าที่ซ่อนอยู่ไปยังพื้นที่แตกต่าง

ฟางหนิงตกใจเมื่อมองผ่านมุมมองระบบก็เห็นฉากแปลกประหลาด

เขาเห็นว่าด้านบนของเตียงที่เจิ้งเต้านอนอยู่ มีประตูแสงสีขาวลอยกะพริบรางๆ ด้านในประตูคือโพรงดำมืด

ตอนนี้ระบบก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ระบบสัมผัสได้ถึงไอปีศาจในประตูนั้น”

ฟางหนิงดูแผนที่ระบบ จุดสีแดงนั้นมีสีดำเข้มอยู่ด้วย ตำแหน่งทับซ้อนกับประตูพอดี

ฟางหนิง “ดูแล้วต้องเข้าไปในประตูนั้นถึงจะได้”

ถ้าหากเล่นเกม RPG ฟางหนิงต้องบันทึกข้อมูลไว้แน่ๆ พุ่งเข้าไปโดยไม่หันกลับมา น่าเสียดายที่ความจริงไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ เขาต้องระวังหน่อยแล้ว

ฟางหนิง “งั้นปีศาจแข็งแกร่งแค่ไหน”

ระบบ “ระบบฆ่ามันได้ในชั่วอึดใจ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ระบบ แกกลิ่นปากแรงมาก อย่างลืมแปรงฟันเยอะๆ ล่ะ เข้าไปจัดการมันเลย”

อัศวิน A กดหน้าต่างเบาๆ ให้เปิดออก หลังจากนั้นวิญญาณก็เหมือนลอยเข้าไปในประตูที่กะพริบนั่น ตลอดเวลานั้นเจิ้งเต้าที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย เขาไม่แม้แต่จะพลิกตัว

หลังจากอัศวิน A เข้าไปแล้ว ฉากทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงทันที

เบื้องหน้าคือพื้นที่รกร้างว่างเปล่า สว่างไสว และเวิ้งว้าง มีเพียงหินประหลาดตั้งตระหง่านรอบๆ ไม่ไกลนัก เขามองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังนอนอยู่

ฟางหนิงมองไปก็เห็นคนที่ตัวเองคุ้นเคยทั้งประธานจ้าว ตาอ้วนหลิว ยังมีครูฝึกสวี่ และเว่ยเซี่ยที่เพิ่งรู้จักวันนี้ กระทั่งเจ้าหน้าที่ต้อนรับฉายวิดีโอการสอน ทั้งหมดเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสโมรสฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่ก่อตั้งใหม่ คนที่ขาดไปก็มีแต่เจิ้งเต้าที่เมื่อครู่นอนอยู่บนเตียงในห้อง

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหลังจากกวาดสายตามองรอบหนึ่งแล้ว มนุษย์กลไกตัวแทนที่ระบบเพิ่งวางไว้บนเตียงก็อยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย

“ดูแล้ว นี่ไม่น่าจะใช่ภาพจินตนาการ” ฟางหนิงดูผ่านมุมมอง เมื่อแน่ใจแล้วจึงพูดขึ้น

ระบบ “แน่นอนว่าไม่ใช่ ระบบเห็นชัดเจน หลังจากที่พวกเราเข้าไปในพื้นที่นี้ พวกเขาก็ปรากฏตัวทันที ดูเหมือนจะถูกลากเข้ามา”

ฟางหนิงประหลาดใจ “นี่มันไม่ใช่การถ่ายโอนข้ามพื้นที่เหรอ แต่นั่นคือความสามารถในตำนาน ระบบอย่างนี้เราจะไม่แย่เหรอ”

ระบบ “ไม่ต้องกังวลหรอก ปีศาจแค่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ขอแค่มันกล้าโผล่หน้าออกมา พวกเราก็ฆ่ามันได้ในชั่วอึดใจ”

ฟางหนิง “ดีๆ ค่อยโล่งใจหน่อย”

ตอนนี้เอง กลุ่มคนที่นอนบนพื้นก็เริ่มรู้สึกตัว อัศวิน A รีบเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังหินก้อนหนึ่ง ไม่ให้พวกเขามองเห็น แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะเป็นการยากที่จะอธิบายว่าทำไมอัศวิน A ถึงมาโผล่มาที่นี่ได้ หากไม่มีความจำเป็นก็ซ่อนตัวทำงานในที่ลับจะสะดวกกว่า

“ที่นี่คือที่ไหน เมื่อกี้ฉันเพิ่งฝันร้าย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ หรือว่าฉันยังไม่ตื่น” ตาอ้วนหลิวงงงัน จากนั้นก็มองไปรอบๆ เขาพบว่าไม่ไกลนักยังมีประธานจ้าวที่ยังงุนงงอยู่เช่นเดียวกัน จึงเดินเข้าไปหยิกแขนของอีกฝ่ายเต็มแรง

“บ้าเอ้ย ตาอ้วนแกคิดจะทำอะไร” ประธานจ้าวรู้สึกตัวก็เห็นมืออวบอ้วนของตาอ้วนหลิวกำลังหยิกแขนของตน

“ฉันอยากรู้ว่ายังฝันอยู่หรือเปล่าน่ะสิ”

“แกอยากรู้ว่าตัวเองฝันอยู่ไหม ก็หยิกตัวเองสิ จะมาหยิกฉันทำไมกัน”

“อ้อ เพราะฉันรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนฝันสักนิด ถ้าหยิกตัวเองก็เจ็บสิ ตอนนี้เห็นแกร้องโอดโอยขึ้นมาจริงๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ฝันแน่ เพราะในฝันทุกครั้งที่ฉันหยิกแก แกจะไม่พูดอะไรแต่เข้ามาตบฉันต่างหาก”

ประธานจ้าวไม่อยากเถียงด้วย เขาลุกขึ้นยืน

เมื่อเห็นว่า ‘ฟางหนิง’ กำลังยืนมองไปรอบๆ ก็ร้องเรียก

“เสี่ยวฟาง มาทางนี้”

‘ฟางหนิง’ รีบเดินเข้าไปทันที “คุณลุงทั้งสองไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

ประธานจ้าวนวดศีรษะ “เมื่อกี้เหมือนฝันร้าย จู่ๆ ก็มาโผล่ที่นี่ อย่าเจอเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรอีกเลย แต่เธอไม่ต้องตกใจนะ ตอนมาป้าของเธอให้ยันต์คุ้มครองมาสองชิ้น เอาไปชิ้นหนึ่งสิ”

พูดแล้วประธานจ้าวก็ถอดสร้อยคอแล้วยื่นให้ฟางหนิง

‘ฟางหนิง’ รับสร้อยมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ มันแขวนเครื่องรางทองแดงอยู่ด้านล่าง ด้านบนมีงูขดอยู่ แต่ดูเหมือนมังกรเขาเดียวมาก บนหัวมีเขาและมีกรงเล็บอยู่ที่ท้อง

ตาอ้วนหลิวได้แต่มองด้วยความอิจฉา เขาลูบอกตัวเองที่สวมไว้แค่ชุดนอนเท่านั้น

แต่แล้ว ‘ฟางหนิง’ กลับส่งยันต์นั่นให้ตาอ้วนหลิว “อันนี้ให้คุณลุงหลิวใช้เถอะครับ ในเมื่อผมเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ จิตใจแข็งแกร่ง ไม่กลัวสัตว์ประหลาดพวกนี้หรอก”

ตาอ้วนหลิวซาบซึ้งมาก ไม่พูดอะไรเพียงแต่ตบไหล่ ‘ฟางหนิง’ เบาๆ ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด

ประธานจ้าวกลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ ในช่วงเวลาประหลาดที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยันต์คุ้มครองอาจจะหมายถึงชีวิต ว่าที่ลูกเขยของตัวเองทำอย่างนี้ ต่อไปคงไม่ต้องกังวลเรื่องในอนาคตแล้วอีกแล้ว

ฟางหนิงที่ซ่อนตัวอยู่ไกลออกไปเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับความรู้สึกดีจากประธานจ้าวและตาอ้วนหลิวโดยไม่ตั้งใจไปด้วย

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำจริงๆ เพียงแต่เขารู้สึกว่ามนุษย์กลไกตัวแทนจะเรียกคืนเมื่อไรก็ได้ ระบบเองก็อยู่ใกล้ๆ ตาอ้วนหลิวจะพูดอย่างไรก็เป็นคนคุ้นเคย และยังเป็นเพื่อนซี้ของประธานจ้าว จะไม่สนใจก็ไม่ได้

…………

ขณะเดียวกัน ในห้องพักของเจิ้งเต้า จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา

กลุ่มคนที่เข้ามามีทั้งหมดสามคน ถ้าหากอัศวิน A ยังจับตาดูอยู่ข้างนอกเหมือนเมื่อครู่ น่าจะดูออกว่าสองคนคือพี่น้องตระกูลเฉียว

และยังมีอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ท่าทางเย็นชา รูปร่างสง่างามสวมชุดกี่เพ้าสีฟ้าสดใส แม้ว่าฤดูหนาวในภาคเหนือจะใกล้เข้ามาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่หวั่นต่อความหนาวเย็น

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชายชุดดำที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างดีและมีอาวุธครบมือติดตามมาด้วย

เฉียวจื่อซานเข้ามาแล้วก็รีบเปิดพลังปราณแผ่คลุมร่างของเจิ้งเต้าที่หลับสนิท

ทว่าพลังปราณนั้นกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น

เฉียวจื่อเจียง “อะไรกัน พลังปราณของพี่ไม่ตอบสนองอะไรกับมนต์ดำที่เพิ่งปรากฏขึ้นเหรอ”

เฉียวจื่อซาน “พี่รู้สึกได้ว่าพลังปราณตอบกลับเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลุ่มคนที่หายตัวไปแน่ชัดว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว ปีศาจนั่นก็ไม่ได้อยู่เช่นกัน ถึงได้ไม่มีการตอบสนอง น้าไห่ว่าควรทำอย่างไรกันดี”

ขณะที่เขาพูดก็ปลุกเจิ้งเต้าที่หลับสนิทให้ตื่นขึ้น

เจิ้งเต้าใส่ชุดนอนลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสงบ และยังมีใจจัดเสื้อนอนที่ยับยู่ยี่ ราวกับรู้ล่วงหน้าการมาถึงของคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว

น้าไห่ที่เฉียวจื่อซานเรียกเมื่อครู่ก็คือหญิงสาวท่าทางสง่างามและเย็นชาคนนี้ เธอคือไห่หลาน หรือก็คือเจ๊ใหญ่ของ “เนตรสีแดง” ไห่เฉิง

ไห่หลานแววตาเย็นชา เอ่ยปากถามตรงๆ “พูดมาเถอะ เจิ้งเต้า คุณเป็นแค่นักจิตบำบัดที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษ แล้วทำไมถึงได้เรียกปีศาจร้ายออกมา”

เจิ้งเต้าใบหน้างงงัน “คุณผู้หญิงคนนี้ตัดสินตามความคิดตัวเองแล้ว เอาหลักฐานออกมาก่อนสิ ผมเคารพกฎหมายมาตลอด แม้แต่ไฟแดงยังไม่เคยฝ่า”

ไห่หลานกอดอกพลางส่ายหน้า “พวกเราคือสำนักสัจธรรม ไม่ใช่องค์กรรักษาความสงบ ขอแค่พิสูจน์ได้ว่าคุณเกี่ยวข้องกับเรื่องพิเศษที่ไม่ใช่ขอบเขตของคนธรรมดา เราก็ต้องใช้ขั้นตอนเด็ดขาด คุณไม่ต้องบ่ายเบี่ยงหรอก เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา ทำไมถึงกล้าหาญอย่างนี้ แถมยังกล้าลงมือที่นี่ตั้งแต่วันแรก”

เจิ้งเต้าฟังถึงตรงนี้ก็ไม่โต้แย้ง เพียงแต่ยักไหล่เผยยิ้มจนใจ “เอาล่ะผมไม่อยากถูกทรมาน ในเมื่อผมบริสุทธิ์จริงๆ ผมจะเล่าให้ฟังละกัน มันยาวหน่อย ผมจะพยายามพูดให้เข้าใจง่ายๆ”

ทั้งสามต่างจ้องมองเขา

เจิ้งเต้า “ผมเป็นนักจิตบำบัด และไม่ใช่คนโง่เง่า ถ้าหากผมทำจริงๆ ย่อมไม่เลือกลงมือที่นี่แน่นอน แถมยังทำตั้งแต่วันแรกด้วย ที่จริงผมกลายเป็นโฮสต์ของปีศาจตนหนึ่ง พวกคุณคงรู้จักปีศาจประเภทนี้ดี…

วิดีโอการสอนเรื่องแรกที่พวกคุณฉายในวันนี้ก็คือประเภทเดียวกับมัน เพียงแต่มันแข็งแกร่งกว่าในบางด้าน ไม่ใช่แค่ดึงสติสัมปชัญญะของคนเข้าไปในความฝัน แต่สามารถทำให้คนเข้าไปอยู่ในโลกของมันได้ด้วย ตอนนี้พวกคุณคงจะพบว่ามีคนหายตัวไป งั้นก็ไม่ต้องตามหาแล้ว พวกเขาถูกดึงเข้าไปอยู่ในพื้นที่ปีศาจร้ายตัวนั้น”

ไห่หลานได้ยินก็รีบถามต่อด้วยความกังวล “งั้นในพื้นที่ปีศาจร้ายมีอันตรายอะไรไหม”

เจิ้งเต้าจนปัญญา “ผมบอกได้แค่เท่าที่ตัวเองรู้ ที่นั่นไม่มีอันตรายอะไร แต่ผมก็ไม่รับรองหรอก โดยพื้นฐานปีศาจตนนี้ไม่มีความสามารถในการโจมตี เพียงแต่ว่าในพื้นที่นั้นว่างเปล่า พอเข้าไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะออกมาได้ ถ้าหากมันใช้พลังก็อาจจะนานกว่านั้น แน่นอนว่าที่นั่นไม่เหมือนกับที่นี่ ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ที่นั่นก็ยังเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ แต่หากปีศาจนั่นเจอกับศัตรูแข็งแกร่งในโลกนี้ก็จะเลือกพาศัตรูขังไว้ที่นั่น”

“อะไรนะ” ทั้งสามคนตกตะลึง ตอนนี้มีคนถูกขังที่นั่นเกือบสามสิบกว่าคน พวกเขาถูกดึงเข้าไปขณะนอนหลับโดยไม่ได้พกอะไรไปด้วยเลย

ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด อย่างน้อยที่สุด หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เกรงว่าในสามสิบกว่าคนที่หายไปนั้น จะมีแค่ครูฝึกสวี่เว่ยหวาที่ทนได้

……………………………………………

บทที่ 69 ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด

หลังจากเฉียวจื่อซานตรวจสอบก็เริ่มเข้าใจ ใบหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาสวี่ไปสอนสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่เพิ่งเปิดใหม่เพราะแพ้น้าไห่ไม่ใช่เหรอ พวกเขาทุกคนเป็นแค่คนธรรมดา มีแค่สามคนเท่านั้นที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ และยังไม่มีประเภทโจมตีด้วย อามีหน้าที่รับผิดชอบสอนเท่านั้น ทำไมถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดและยังบาดเจ็บภายในรุนแรงขนาดนี้ล่ะ”

สวี่เว่ยหวาส่ายหน้า “อย่าเพิ่งถามหาสาเหตุเลย บอกมาก่อนว่าจะแก้ไขได้ไหม”

เฉียวจื่อซาน ”ตอนนี้ย่อมไม่มีปัญหาที่จะจัดการมัน โชคดีที่ผมมาที่นี่เพื่อเลือกต้นกล้าที่จะสืบทอดวิธีการฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ไม่อย่างนั้นถ้าอามาหาผมช้าไปหนึ่งวันล่ะก็ พลังปราณนี้จะปักหลักอยู่ในร่างกายของอา เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดชั่วร้ายก็จะออกฤทธิ์ครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสองสามเดือนถึงค่อยๆ หายไป ผมจะช่วยขับออกให้เดี๋ยวนี้ แต่ผมรู้สึกได้ คนที่ทำร้ายอาดูเหมือนจะตั้งรับการป้องกัน น่าจะเป็นอาที่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดใช่ไหมล่ะ”

เมื่อสวี่เว่ยหวาได้ยินว่าแก้ไขปัญหาได้ก็ค่อยวางใจ

หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จื่อซานมองได้แม่นยำมาก ตอนที่อยู่ในชั้นเรียนอาอยากจะเพิ่มเนื้อหาให้นักเรียนสักหน่อย ทำให้พวกเขาตกใจ และให้พวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเร็วขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้มีความสามารถพิเศษด้านทำอาหารคนหนึ่งเหมือนหลาน มีพลังปราณคุ้มร่าง อาเลยไม่ได้เตรียมรับมือ เมื่อถึงตาที่อาจะขู่เขาก็ถูกพลังปราณที่พุ่งออกมาจากร่างของเขาฉับพลันทำให้บาดเจ็บแล้ว ถือว่าอาโชคร้ายละกัน แต่ก็โชคดีที่ได้เจอเธอทันเวลา”

ก่อนหน้านี้เฉียวจื่อซานมักจะอยู่ข้างนอก ย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดจึงรักษาสวี่เว่ยหวาพลางซักถาม

ถึงอย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับพลังปราณยิ่งกว่าอะไร แม้หลับตาก็ไม่มีทางผิดพลาด

เขาฟังถึงตรงนี้ก็ถามแทรกขึ้น “ความสามารถพิเศษทำอาหารงั้นหรือ อาหมายถึงคนที่ชื่อฟางหนิงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมก็พอจะนึกสาเหตุออกแล้ว มันต้องเป็นเพราะอัศวิน A แน่ๆ อาจเป็นเพราะอาสวี่ดูถูกคนธรรมดามาตลอด ถึงได้ถูกลงโทษครั้งนี้”

สวี่เว่ยหวาไม่ใส่ใจประโยคหลังของเฉียวจื่อซาน เขารู้ว่าหลานชายคนนี้พูดจาไม่น่าฟัง แต่ประโยคแรกที่เฉียวจื่อซานเอ่ยนั้นกลับดึงดูดความใจของเขาได้ “หลานเข้าไปพัวพันกับเขาได้อย่างไรกัน เขาฝึกฝนเส้นทางไร้ความปราณีไม่ใช่หรือ เขาอยู่คนเดียวมาตลอด นอกจากญาติของเขางูขาว เขาไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนเลยไม่ใช่หรือ”

เฉียวจื่อซาน “ฟางหนิงไม่เหมือนคนอื่น ร้านอาหารที่เขาเปิดคือร้านอาหารที่อัศวิน A ใช้ ทำหน้าที่เป็นผู้กล้าหาญทุกวันและนอกเหนือจากการฝึกฝนวิธีไร้ความปราณีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขายังฝึกฝนวิธีที่มีพลังปราณด้วย ผมสัมผัสได้แต่ไม่เข้าใจว่าเขาฝึกฝนทั้งสองอย่างได้ยังไงและไม่เคยพูดถึงกับคนอื่น ตอนนั้นผมมองไม่ออกว่าพลังปราณของเขาอยู่ระดับไหน นักเรียนฟางหนิงคนนี้มีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินไม่น้อย คงจะแบ่งพลังปราณให้เขาคุ้มครอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมีพลังปราณคุ้มร่าง

เมื่อดูจากจุดนี้ ตอนนี้ผมแน่ใจแล้ว ว่าพลังปราณของอัศวิน A อย่างน้อยสูงกว่าผมหนึ่งขั้น ถึงขั้นคุ้มครองคนที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องที่ผมพูดนี้ต้องเก็บเป็นความลับนะครับ อย่าบอกใครเด็ดขาดรวมทั้งจื่อเจียงด้วย วันนี้อาสวี่เจอเขาแล้ว ผมถึงได้อธิบาย อาจะไม่ได้ไม่ต้องติดค้างในใจ”

สวี่เว่ยหวาพยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง อารู้แล้ว เบื้องลึกของอัศวิน A มีมากเหลือเกิน และไม่ใช่เรื่องดี ยังมีคนแอบจับตาเขาด้วย”

เฉียวจื่อซาน “อืม อาเข้าใจก็ดีแล้วครับ”

เมื่อสวี่เว่ยหวารู้สึกว่ากระแสปราณในร่างกายที่กระแทกอวัยวะภายในไม่หยุดค่อยๆ อ่อนลงและหายไป เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ หลังจากนั้นแววตาก็เย็นเยือก

…………

ขณะที่เฉียวจื่อซานรักษาให้ครูฝึกสวี่ ในเวลานี้ทุกคนกำลังชมวิดีดิโอการสอน ทัศนคติของพนักงานต้อนรับก็ดีมาก คอยตอบคำถามทุกข้อของสมาชิกด้วยความเคารพ

หัวข้อชุดวิดีโอการสอนคือ “ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด”

ในวิดีโอการสอนแบ่งเป็นวิดีโอสั้นสามเรื่อง

ในวิดีโอสั้นเรื่องแรก หัวข้อคือ “ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว”

ทุกคนเห็นชื่อเรื่องก็ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฉายหนังสยองขวัญหรือหนังฆาตกรรม

เจ้าหน้าที่ต้อนรับ “นี่เป็นกรณีจริงที่เกิดขึ้นในรัฐหนึ่งของประเทศมิอิ เพิ่งผ่านมา 27 วันเท่านั้น ข้อมูลที่เราได้รับจากสำนักงานร่วมกิจการพิเศษสากลเป็นความลับ ไม่มีทางเผยแพร่ในช่องทางสาธารณะใดๆ”

ตอนนั้นเอง สมาชิกคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นสอบถาม “เรียนมาจะครึ่งค่อนวันแล้ว พวกเรายังไม่ทราบที่มาของสโมสรเศรษฐีแห่งนี้เลย คุณช่วยแนะนำก่อนได้ไหม”

พนักงานต้อนรับพยักหน้าแล้วตอบด้วยความเคารพ “แน่นอน สโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่คุณเข้าร่วมนั้นเชื่อมโยงกับโรงเรียนฝึกอบรมพิเศษของสำนักงานสัจธรรมที่เปิดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสังคมและใช้เพื่อเผยแพร่ความรู้การฝึกบำเพ็ญทั่วไป ตอนนี้ยังเป็นเพียงต้นแบบ การจัดสรรครูผู้สอนยังไม่พรั่งพร้อม เมื่อขยายขนาดใหญ่ขึ้นจะมีอาจารย์มาสอนมากขึ้น

แน่นอนว่ามีนักเรียนอย่างเป็นทางการอยู่ห้องข้างๆ พวกเขาได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นการรับสมัครนักเรียนกับโรงเรียนโดยคัดเลือกผู้ที่เก่งที่สุดในกลุ่มหัวกะทิ หลังจากการตรวจสอบต่างๆ ถึงจะออกบัตรเชิญโดยเฉพาะ พวกเขาพัฒนาเร็วมากและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แบ่งเป็นหกชั้นปี แต่ละชั้นปีมีตั้งแต่หลายสิบถึงหลายพันคน ตอนนี้คุณสวี่จากสำนักสัจธรรมของเราเป็นผู้นำการสอนเอง”

พนักงานต้อนรับคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดา คอยตอบทุกคำถามอย่างละเอียดไม่ต้องให้คอยซักถามเพิ่ม

หลังจากฟังการแนะนำที่มาที่ไปแล้วก็ดูวิดีโอสั้น ทุกคนก็เข้าใจแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ จึงตั้งใจดูมันอย่างเต็มที่

วิดีโอสั้นเรื่องแรกสั้นมาก ใช้เวลาเพียงสิบนาทีและเนื้อหาไม่ซับซ้อน

ชายหนุ่มมิอิขับรถกินลมเล่นกับแฟนสาว ไม่ทันระวังน้ำกระเด็นใส่วัยรุ่นที่เดินอยู่ริมถนน อีกฝ่ายร้องด่าเขา “พวกแกจะตายยกครัว” เขาไม่ได้หยุดรถขอโทษ แต่ยังด่ากลับ จากนั้นแฟนสาวในรถก็ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย แล้วทั้งสองก็จากไปทันที

ต่อมาในคืนนั้นเองตำรวจสายตรวจพบว่าเขาและแฟนสาวเสียชีวิตขณะนอนหลับ หลังจากนั้นครอบครัวของเขาและแฟนสาวก็ทยอยเสียชีวิตอย่างลึกลับขณะนอนหลับเช่นกัน มีเพียงคนใช้ที่ครอบครัวจ้างมาเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย สุดท้ายจากการเฝ้าสังเกต พบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเขาสองคนมีเพียงเขาและชายหนุ่มที่เดินผ่านเท่านั้นที่มีความขัดแย้งกัน

เจ้าหน้าที่ต้อนรับอธิบาย “ชายหนุ่มคนนี้ถูกหน่วยงานพิเศษที่เกี่ยวข้องของมิอิยิงตายในระหว่างกระบวนการจับกุม แต่ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศอื่นๆ แล้ว แม้ว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นฆาตกรถูกฆ่าหรือจับกุมแล้ว แต่ก็ยังเกิดเหตุไม่หยุดหย่อน

“บางคนเริ่มสงสัยว่าเป็นการกระทำของปีศาจ วัยรุ่นคนนี้เป็นเพียงโฮสต์ของปีศาจตัวนี้เท่านั้น พวกเราเรียกฆาตกรโหดเหี้ยมนี้ว่า ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว แรงจูงใจการฆ่ามักมาจากความขัดแย้งเพียงหนึ่งหรือสองประโยค”

ทุกคนค่อนข้างตกใจหลังจากดูวิดีโอสั้นเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะป้องกันความตายที่ประหลาดแบบนี้ได้

ดูเหมือนครูฝึกสวี่ที่ปากร้ายเมื่อครู่ไม่ได้แค่ขู่พวกเขา ไม่รู้ว่าทุกวันในเสินโจวเกิดเรื่องแบบนี้มากสักเท่าไรและเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกเขาถามตัวเองว่าหากยังพอมีความรู้ จะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ใช่ไหม แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าคนในครอบครัวจะไม่ระวัง นั่นจะไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร

ฟางหนิงไม่หวั่นกลัวสักนิดเพราะร่างกายถูกระบบครองร่าง มันไม่หลับไม่นอนหลับด้วยซ้ำ ส่วนเขาเองถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็หลบอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ไม่น่าจะต้องกังวลว่าจะถูกปีศาจเจอตัว…

นอกจากเขาแล้ว ในบรรดานักเรียนยังมีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบทองคนนั้น ท่าทางของเขาสงบมาก เพียงแต่จับแว่นตาทำทีครุ่นคิด แววตาเผยความจนใจและขัดแย้งแต่กลับมีแสงเย็นยะเยือกส่องสะท้อนบนเลนส์แว่นตา

วิดีโอสั้นเรื่องที่สองเกิดขึ้นในยุโรป

ชื่อเรื่องคือ “ประเภทหลอกเงินยึดร่าง”

เนื้อหาเรื่องนี้ค่อนข้างยาวกินเวลาครึ่งชั่วโมง

แต่เนื้อหากลับเรียบง่ายมาก ไม่มีการวางแผนสมรู้ร่วมคิด เป็นเรื่องราวของแม่มดชั่วร้ายที่ใช้เวลากว่าสิบปี ค่อยๆ เปลี่ยนคนในตระกูลเศรษฐีให้เป็นหุ่นเชิดของเธอ และสุดท้ายก็ให้ทรัพย์สมบัติแม่มดเสวยสุข

แม่มดถูกเปิดโปงเพราะสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งไปกราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และนักบวชที่ผ่านไปมาเห็นว่าวิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์ ในที่สุดแม่มดชั่วร้ายก็ถูกจับเผาอย่างลับๆ

ขณะที่วิดีโอสั้นเรื่องที่สามกำลังจะฉาย ครูฝึกสวี่ก็เข้ามาโบกมือ วิดีโอสั้นหยุดชั่วคราว ทุกคนเห็นชื่อเรื่องที่ฉายอยู่บนนั้น “ประเภทฆาตกรรมที่ไม่ธรรมดาและอธิบายไม่ได้”

“โอเค ไม่ต้องฉายหนังสยองขวัญแล้ว” เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับ อีกฝ่ายหยุดทันที

“เรื่องที่สาม ฉันจะเล่าสั้นๆ เกือบจะเหมือนนิทานเด็กเล่นมด แน่นอนในนิทานพวกเราเป็นมด คนที่ไม่รู้ว่ามีอยู่คือเด็กๆ พวกเขาอาจฉี่ในรังมด หรือใช้แว่นขยายในอากาศเผามด หรือขุดเขาวงกตลึกบนชายหาดแล้วโยนมดเข้าไปเพื่อหาทางออก สรุปแล้วพวกคุณคาดเดาไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดภัยพิบัติเหล่านี้”

บางทีอาจเป็นเพราะถูกฟางหนิงเล่นงานเมื่อครู่ น้ำเสียงครูฝึกสวี่จึงไม่เย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้

แต่อารมณ์ของทุกคนกลับไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด สีหน้าของคนส่วนใหญ่เคร่งขรึม บางคนถึงกับขมวดคิ้ว ราวกับคิดแผนรับมือจนปวดหัวจะระเบิด

ครูฝึกสวี่กวาดสายตามอง แต่ละคนต่างคิดว่าตนเองเงินและอำนาจ เบื้องหน้าพลังของยุคใหม่ พวกแกยังมีความสำคัญอะไรอีก อ้อ… พูดไปแล้ว ตัวเองก็ไม่เท่าไรเช่นกัน พวกไห่เฉิงก็พูดถูกจริงๆ พลังคืออันดับหนึ่งเสมอ ดูท่าต้องรีบออกจากงานห่วยๆ นี้ แล้วกลับไปเก็บตัวฝึกฝน ไม่อย่างนั้นต้องกลายเป็นตัวตลกแน่นอน ขายหน้าชะมัด

เขาคิดอย่างนั้นในใจแต่กลับปากแข็ง “เอาล่ะ เมื่อครู่แค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย ช่วงนี้ฉันบำรุงมากไป ปราณและเลือดจึงรุนแรงมาก ฮ่าฮ่า กระอักเลือดออกมาหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว ดูฉันสิปกติดีไม่ใช่เหรอ แถมกลับมาสอนพวกคุณได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณเลย”

ทุกคนต่างคิดว่าเชื่อแกสิถึงจะแปลก นานขนาดนี้ออกไปกระอักเลือดเล่นๆ เหรอ

แต่ความลับที่พวกเขาอยากรู้ทำไมฟางหนิงถึงปล่อยแสงสีขาวได้ ครูฝึกไม่แม้แต่จะพูดถึง ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในเมื่อเขาไม่เอ่ยมันขึ้นมา จึงไม่มีใครยกมือถามสักคนเดียว ด้วยกลัวว่าจะโดนครูฝึกปากร้ายคนนี้ดูถูก อีกอย่างตอนนี้เขายังอารมณ์เสียหนักมาก

“เอาล่ะ พูดเรื่องที่แทรกมาเสร็จแล้ว พวกเรามาเริ่มเรียนต่อเถอะ ฟางหนิง คุณมาทดสอบคุณสมบัติต่อได้”

………………………………………………

บทที่ 69 ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด

หลังจากเฉียวจื่อซานตรวจสอบก็เริ่มเข้าใจ ใบหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาสวี่ไปสอนสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่เพิ่งเปิดใหม่เพราะแพ้น้าไห่ไม่ใช่เหรอ พวกเขาทุกคนเป็นแค่คนธรรมดา มีแค่สามคนเท่านั้นที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ และยังไม่มีประเภทโจมตีด้วย อามีหน้าที่รับผิดชอบสอนเท่านั้น ทำไมถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดและยังบาดเจ็บภายในรุนแรงขนาดนี้ล่ะ”

สวี่เว่ยหวาส่ายหน้า “อย่าเพิ่งถามหาสาเหตุเลย บอกมาก่อนว่าจะแก้ไขได้ไหม”

เฉียวจื่อซาน ”ตอนนี้ย่อมไม่มีปัญหาที่จะจัดการมัน โชคดีที่ผมมาที่นี่เพื่อเลือกต้นกล้าที่จะสืบทอดวิธีการฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ไม่อย่างนั้นถ้าอามาหาผมช้าไปหนึ่งวันล่ะก็ พลังปราณนี้จะปักหลักอยู่ในร่างกายของอา เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดชั่วร้ายก็จะออกฤทธิ์ครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสองสามเดือนถึงค่อยๆ หายไป ผมจะช่วยขับออกให้เดี๋ยวนี้ แต่ผมรู้สึกได้ คนที่ทำร้ายอาดูเหมือนจะตั้งรับการป้องกัน น่าจะเป็นอาที่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดใช่ไหมล่ะ”

เมื่อสวี่เว่ยหวาได้ยินว่าแก้ไขปัญหาได้ก็ค่อยวางใจ

หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จื่อซานมองได้แม่นยำมาก ตอนที่อยู่ในชั้นเรียนอาอยากจะเพิ่มเนื้อหาให้นักเรียนสักหน่อย ทำให้พวกเขาตกใจ และให้พวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเร็วขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้มีความสามารถพิเศษด้านทำอาหารคนหนึ่งเหมือนหลาน มีพลังปราณคุ้มร่าง อาเลยไม่ได้เตรียมรับมือ เมื่อถึงตาที่อาจะขู่เขาก็ถูกพลังปราณที่พุ่งออกมาจากร่างของเขาฉับพลันทำให้บาดเจ็บแล้ว ถือว่าอาโชคร้ายละกัน แต่ก็โชคดีที่ได้เจอเธอทันเวลา”

ก่อนหน้านี้เฉียวจื่อซานมักจะอยู่ข้างนอก ย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดจึงรักษาสวี่เว่ยหวาพลางซักถาม

ถึงอย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับพลังปราณยิ่งกว่าอะไร แม้หลับตาก็ไม่มีทางผิดพลาด

เขาฟังถึงตรงนี้ก็ถามแทรกขึ้น “ความสามารถพิเศษทำอาหารงั้นหรือ อาหมายถึงคนที่ชื่อฟางหนิงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมก็พอจะนึกสาเหตุออกแล้ว มันต้องเป็นเพราะอัศวิน A แน่ๆ อาจเป็นเพราะอาสวี่ดูถูกคนธรรมดามาตลอด ถึงได้ถูกลงโทษครั้งนี้”

สวี่เว่ยหวาไม่ใส่ใจประโยคหลังของเฉียวจื่อซาน เขารู้ว่าหลานชายคนนี้พูดจาไม่น่าฟัง แต่ประโยคแรกที่เฉียวจื่อซานเอ่ยนั้นกลับดึงดูดความใจของเขาได้ “หลานเข้าไปพัวพันกับเขาได้อย่างไรกัน เขาฝึกฝนเส้นทางไร้ความปราณีไม่ใช่หรือ เขาอยู่คนเดียวมาตลอด นอกจากญาติของเขางูขาว เขาไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนเลยไม่ใช่หรือ”

เฉียวจื่อซาน “ฟางหนิงไม่เหมือนคนอื่น ร้านอาหารที่เขาเปิดคือร้านอาหารที่อัศวิน A ใช้ ทำหน้าที่เป็นผู้กล้าหาญทุกวันและนอกเหนือจากการฝึกฝนวิธีไร้ความปราณีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขายังฝึกฝนวิธีที่มีพลังปราณด้วย ผมสัมผัสได้แต่ไม่เข้าใจว่าเขาฝึกฝนทั้งสองอย่างได้ยังไงและไม่เคยพูดถึงกับคนอื่น ตอนนั้นผมมองไม่ออกว่าพลังปราณของเขาอยู่ระดับไหน นักเรียนฟางหนิงคนนี้มีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินไม่น้อย คงจะแบ่งพลังปราณให้เขาคุ้มครอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมีพลังปราณคุ้มร่าง

เมื่อดูจากจุดนี้ ตอนนี้ผมแน่ใจแล้ว ว่าพลังปราณของอัศวิน A อย่างน้อยสูงกว่าผมหนึ่งขั้น ถึงขั้นคุ้มครองคนที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องที่ผมพูดนี้ต้องเก็บเป็นความลับนะครับ อย่าบอกใครเด็ดขาดรวมทั้งจื่อเจียงด้วย วันนี้อาสวี่เจอเขาแล้ว ผมถึงได้อธิบาย อาจะไม่ได้ไม่ต้องติดค้างในใจ”

สวี่เว่ยหวาพยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง อารู้แล้ว เบื้องลึกของอัศวิน A มีมากเหลือเกิน และไม่ใช่เรื่องดี ยังมีคนแอบจับตาเขาด้วย”

เฉียวจื่อซาน “อืม อาเข้าใจก็ดีแล้วครับ”

เมื่อสวี่เว่ยหวารู้สึกว่ากระแสปราณในร่างกายที่กระแทกอวัยวะภายในไม่หยุดค่อยๆ อ่อนลงและหายไป เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ หลังจากนั้นแววตาก็เย็นเยือก

…………

ขณะที่เฉียวจื่อซานรักษาให้ครูฝึกสวี่ ในเวลานี้ทุกคนกำลังชมวิดีดิโอการสอน ทัศนคติของพนักงานต้อนรับก็ดีมาก คอยตอบคำถามทุกข้อของสมาชิกด้วยความเคารพ

หัวข้อชุดวิดีโอการสอนคือ “ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด”

ในวิดีโอการสอนแบ่งเป็นวิดีโอสั้นสามเรื่อง

ในวิดีโอสั้นเรื่องแรก หัวข้อคือ “ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว”

ทุกคนเห็นชื่อเรื่องก็ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฉายหนังสยองขวัญหรือหนังฆาตกรรม

เจ้าหน้าที่ต้อนรับ “นี่เป็นกรณีจริงที่เกิดขึ้นในรัฐหนึ่งของประเทศมิอิ เพิ่งผ่านมา 27 วันเท่านั้น ข้อมูลที่เราได้รับจากสำนักงานร่วมกิจการพิเศษสากลเป็นความลับ ไม่มีทางเผยแพร่ในช่องทางสาธารณะใดๆ”

ตอนนั้นเอง สมาชิกคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นสอบถาม “เรียนมาจะครึ่งค่อนวันแล้ว พวกเรายังไม่ทราบที่มาของสโมสรเศรษฐีแห่งนี้เลย คุณช่วยแนะนำก่อนได้ไหม”

พนักงานต้อนรับพยักหน้าแล้วตอบด้วยความเคารพ “แน่นอน สโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่คุณเข้าร่วมนั้นเชื่อมโยงกับโรงเรียนฝึกอบรมพิเศษของสำนักงานสัจธรรมที่เปิดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสังคมและใช้เพื่อเผยแพร่ความรู้การฝึกบำเพ็ญทั่วไป ตอนนี้ยังเป็นเพียงต้นแบบ การจัดสรรครูผู้สอนยังไม่พรั่งพร้อม เมื่อขยายขนาดใหญ่ขึ้นจะมีอาจารย์มาสอนมากขึ้น

แน่นอนว่ามีนักเรียนอย่างเป็นทางการอยู่ห้องข้างๆ พวกเขาได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นการรับสมัครนักเรียนกับโรงเรียนโดยคัดเลือกผู้ที่เก่งที่สุดในกลุ่มหัวกะทิ หลังจากการตรวจสอบต่างๆ ถึงจะออกบัตรเชิญโดยเฉพาะ พวกเขาพัฒนาเร็วมากและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แบ่งเป็นหกชั้นปี แต่ละชั้นปีมีตั้งแต่หลายสิบถึงหลายพันคน ตอนนี้คุณสวี่จากสำนักสัจธรรมของเราเป็นผู้นำการสอนเอง”

พนักงานต้อนรับคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดา คอยตอบทุกคำถามอย่างละเอียดไม่ต้องให้คอยซักถามเพิ่ม

หลังจากฟังการแนะนำที่มาที่ไปแล้วก็ดูวิดีโอสั้น ทุกคนก็เข้าใจแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ จึงตั้งใจดูมันอย่างเต็มที่

วิดีโอสั้นเรื่องแรกสั้นมาก ใช้เวลาเพียงสิบนาทีและเนื้อหาไม่ซับซ้อน

ชายหนุ่มมิอิขับรถกินลมเล่นกับแฟนสาว ไม่ทันระวังน้ำกระเด็นใส่วัยรุ่นที่เดินอยู่ริมถนน อีกฝ่ายร้องด่าเขา “พวกแกจะตายยกครัว” เขาไม่ได้หยุดรถขอโทษ แต่ยังด่ากลับ จากนั้นแฟนสาวในรถก็ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย แล้วทั้งสองก็จากไปทันที

ต่อมาในคืนนั้นเองตำรวจสายตรวจพบว่าเขาและแฟนสาวเสียชีวิตขณะนอนหลับ หลังจากนั้นครอบครัวของเขาและแฟนสาวก็ทยอยเสียชีวิตอย่างลึกลับขณะนอนหลับเช่นกัน มีเพียงคนใช้ที่ครอบครัวจ้างมาเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย สุดท้ายจากการเฝ้าสังเกต พบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเขาสองคนมีเพียงเขาและชายหนุ่มที่เดินผ่านเท่านั้นที่มีความขัดแย้งกัน

เจ้าหน้าที่ต้อนรับอธิบาย “ชายหนุ่มคนนี้ถูกหน่วยงานพิเศษที่เกี่ยวข้องของมิอิยิงตายในระหว่างกระบวนการจับกุม แต่ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศอื่นๆ แล้ว แม้ว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นฆาตกรถูกฆ่าหรือจับกุมแล้ว แต่ก็ยังเกิดเหตุไม่หยุดหย่อน

“บางคนเริ่มสงสัยว่าเป็นการกระทำของปีศาจ วัยรุ่นคนนี้เป็นเพียงโฮสต์ของปีศาจตัวนี้เท่านั้น พวกเราเรียกฆาตกรโหดเหี้ยมนี้ว่า ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว แรงจูงใจการฆ่ามักมาจากความขัดแย้งเพียงหนึ่งหรือสองประโยค”

ทุกคนค่อนข้างตกใจหลังจากดูวิดีโอสั้นเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะป้องกันความตายที่ประหลาดแบบนี้ได้

ดูเหมือนครูฝึกสวี่ที่ปากร้ายเมื่อครู่ไม่ได้แค่ขู่พวกเขา ไม่รู้ว่าทุกวันในเสินโจวเกิดเรื่องแบบนี้มากสักเท่าไรและเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกเขาถามตัวเองว่าหากยังพอมีความรู้ จะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ใช่ไหม แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าคนในครอบครัวจะไม่ระวัง นั่นจะไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร

ฟางหนิงไม่หวั่นกลัวสักนิดเพราะร่างกายถูกระบบครองร่าง มันไม่หลับไม่นอนหลับด้วยซ้ำ ส่วนเขาเองถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็หลบอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ไม่น่าจะต้องกังวลว่าจะถูกปีศาจเจอตัว…

นอกจากเขาแล้ว ในบรรดานักเรียนยังมีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบทองคนนั้น ท่าทางของเขาสงบมาก เพียงแต่จับแว่นตาทำทีครุ่นคิด แววตาเผยความจนใจและขัดแย้งแต่กลับมีแสงเย็นยะเยือกส่องสะท้อนบนเลนส์แว่นตา

วิดีโอสั้นเรื่องที่สองเกิดขึ้นในยุโรป

ชื่อเรื่องคือ “ประเภทหลอกเงินยึดร่าง”

เนื้อหาเรื่องนี้ค่อนข้างยาวกินเวลาครึ่งชั่วโมง

แต่เนื้อหากลับเรียบง่ายมาก ไม่มีการวางแผนสมรู้ร่วมคิด เป็นเรื่องราวของแม่มดชั่วร้ายที่ใช้เวลากว่าสิบปี ค่อยๆ เปลี่ยนคนในตระกูลเศรษฐีให้เป็นหุ่นเชิดของเธอ และสุดท้ายก็ให้ทรัพย์สมบัติแม่มดเสวยสุข

แม่มดถูกเปิดโปงเพราะสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งไปกราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และนักบวชที่ผ่านไปมาเห็นว่าวิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์ ในที่สุดแม่มดชั่วร้ายก็ถูกจับเผาอย่างลับๆ

ขณะที่วิดีโอสั้นเรื่องที่สามกำลังจะฉาย ครูฝึกสวี่ก็เข้ามาโบกมือ วิดีโอสั้นหยุดชั่วคราว ทุกคนเห็นชื่อเรื่องที่ฉายอยู่บนนั้น “ประเภทฆาตกรรมที่ไม่ธรรมดาและอธิบายไม่ได้”

“โอเค ไม่ต้องฉายหนังสยองขวัญแล้ว” เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับ อีกฝ่ายหยุดทันที

“เรื่องที่สาม ฉันจะเล่าสั้นๆ เกือบจะเหมือนนิทานเด็กเล่นมด แน่นอนในนิทานพวกเราเป็นมด คนที่ไม่รู้ว่ามีอยู่คือเด็กๆ พวกเขาอาจฉี่ในรังมด หรือใช้แว่นขยายในอากาศเผามด หรือขุดเขาวงกตลึกบนชายหาดแล้วโยนมดเข้าไปเพื่อหาทางออก สรุปแล้วพวกคุณคาดเดาไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดภัยพิบัติเหล่านี้”

บางทีอาจเป็นเพราะถูกฟางหนิงเล่นงานเมื่อครู่ น้ำเสียงครูฝึกสวี่จึงไม่เย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้

แต่อารมณ์ของทุกคนกลับไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด สีหน้าของคนส่วนใหญ่เคร่งขรึม บางคนถึงกับขมวดคิ้ว ราวกับคิดแผนรับมือจนปวดหัวจะระเบิด

ครูฝึกสวี่กวาดสายตามอง แต่ละคนต่างคิดว่าตนเองเงินและอำนาจ เบื้องหน้าพลังของยุคใหม่ พวกแกยังมีความสำคัญอะไรอีก อ้อ… พูดไปแล้ว ตัวเองก็ไม่เท่าไรเช่นกัน พวกไห่เฉิงก็พูดถูกจริงๆ พลังคืออันดับหนึ่งเสมอ ดูท่าต้องรีบออกจากงานห่วยๆ นี้ แล้วกลับไปเก็บตัวฝึกฝน ไม่อย่างนั้นต้องกลายเป็นตัวตลกแน่นอน ขายหน้าชะมัด

เขาคิดอย่างนั้นในใจแต่กลับปากแข็ง “เอาล่ะ เมื่อครู่แค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย ช่วงนี้ฉันบำรุงมากไป ปราณและเลือดจึงรุนแรงมาก ฮ่าฮ่า กระอักเลือดออกมาหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว ดูฉันสิปกติดีไม่ใช่เหรอ แถมกลับมาสอนพวกคุณได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณเลย”

ทุกคนต่างคิดว่าเชื่อแกสิถึงจะแปลก นานขนาดนี้ออกไปกระอักเลือดเล่นๆ เหรอ

แต่ความลับที่พวกเขาอยากรู้ทำไมฟางหนิงถึงปล่อยแสงสีขาวได้ ครูฝึกไม่แม้แต่จะพูดถึง ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในเมื่อเขาไม่เอ่ยมันขึ้นมา จึงไม่มีใครยกมือถามสักคนเดียว ด้วยกลัวว่าจะโดนครูฝึกปากร้ายคนนี้ดูถูก อีกอย่างตอนนี้เขายังอารมณ์เสียหนักมาก

“เอาล่ะ พูดเรื่องที่แทรกมาเสร็จแล้ว พวกเรามาเริ่มเรียนต่อเถอะ ฟางหนิง คุณมาทดสอบคุณสมบัติต่อได้”

………………………………………………

บทที่ 68 โต้ตอบจริงๆ แล้ว…

ทุกคนฟังแล้วก็แปลกใจ ด้านตาอ้วนหลิวใบหน้าก็ฉายความงุนงง

ที่จริงเขาได้ยินคำพูดของครูฝึกตั้งแต่อยู่ในกล่อง ด้านในไม่ได้กันเสียง เขาไม่มีโอกาสฝึกแต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากมาย ในเมื่อเขามาที่นี่ได้ ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้เขาอายุห้าสิบกว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนเด็กๆ อายุสิบเจ็ดสิบแปดที่จะทนรับไม่ได้กับเรื่องเล็กน้อย

เขาอึ้งเพราะไม่รู้ว่า ‘สิทธิ์เข้าเรียน VIP ของคลาสเศรษฐี’ คืออะไร

แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ เพราะเมื่อครูฝึกสวี่ปรบมืออีกครั้ง เจ้าหน้าที่ต้อนรับก็เดินเข้ามา

เจ้าหน้าที่ต้อนรับคนนี้เอ่ยขึ้น “คุณหลิว ตอนนี้คุณเลือกไปห้องส่วนตัวเข้าเรียนระยะไกลได้ ที่นั่นมีอุปกรณ์ครบถ้วน สามารถดูได้ชัดเจน เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ภาพ เสียง และสภาพแวดล้อมที่หรูหรา คุณสามารถกินดื่มและพักผ่อนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดเนื้อหาใดๆ เรามีระดับราคาห้องส่วนตัวทั้งหมดสามระดับ หนึ่งคือระดับประหยัด 8,888 หยวนต่อวัน ระดับมงกุฎที่ 88,888 หยวนต่อวัน และระดับพรีเมี่ยมคือ 888,888 หยวน”

ตาอ้วนหลิวปาดเหงื่อ ขูดรีดขูดเนื้อกันจริงๆ ค่าสมาชิกรายปีเพิ่งจะจ่ายไป 8,888,888 หยวน ห้องส่วนตัวระดับพรีเมี่ยมหนึ่งวัน 888,888 หยวน ฉันต้องเรียนสองสัปดาห์แพงยิ่งกว่าค่าสมาชิกเสียอีก

แต่ว่า ในเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้จะให้เลือกระดับประหยัดได้อย่างไรกัน เลือกห้องวันละแปดหมื่น หนึ่งปี 12 สัปดาห์ก็พอๆ กับค่าเรียนอีกเท่าหนึ่ง

“ฉันอยากจะคุยกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยเลือกนะ” แน่นอนว่าตาอ้วนหลิวชาญฉลาดพอ เขาคิดแผนการได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ต้อนรับค่อนข้างผิดหวัง แต่ยังคงส่งยิ้มไมตรีจิตให้ตาอ้วนหลิวแล้วเดินออกไปนอกห้องเรียน ราวกับรอคอยอยู่ด้านนอกตลอดเวลา

ครูฝึกสวี่ยิ้มบางให้ตาอ้วนหลิว ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย “โอเค คุณหลิวกลับไปนั่งที่เถอะ เรามาดูกันว่าคนต่อไปคือใคร”

ใช้เวลาคนละสองสามนาทีไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า

หลายคนเริ่มไม่แปลกใจกับการทดสอบอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าทำไมครูฝึกสวี่ถึงเอาแต่พูดเรื่องที่ให้พวกเขาหาเงินอย่างสบายใจ

การทดสอบผ่านไปแล้ว 17 คน มีแค่คนเดียวที่ระดับความอ่อนไหวต่อพลังชีวิตอยู่ที่ระดับ E แต่ระดับอัตราความเร็วการเข้าออกของพลังชีวิตกลับอยู่ต่ำกว่าระดับ F คนนี้ยังคงไม่ผ่าน คนอื่นๆ ส่วนใหญ่คล้ายกับตาอ้วนหลิว ดีหน่อยก็อยู่ที่ระดับ F เท่านั้น

ครูฝึกสวี่ยังคงพูดจาไม่ค่อยเข้าหู

“ถึงการสอนพวกคุณจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ที่เจ๊ไห่พูดก็ถูก ยังมีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลมาก ส่วนเจ๊ไห่ต้องมีผมหงอกเพิ่มขึ้นหลายเส้นแน่ สาวโสดนี่จะขึ้นคานอยู่แล้ว”

บางทีครูฝึกสวี่คงจะเบื่อมากจริงๆ ครั้งนี้จึงเรียกหนึ่งในสามคนที่ในประวัติสมาชิกรอบนี้มีความสามารถพิเศษ เขาคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่สูงถึง 1.90 เมตร

ชายคนนี้เป็นคนที่รูปร่างสูงที่สุดในกลุ่มเศรษฐีและรู้จักคนน้อยที่สุด ตั้งแต่เข้ามาก็นั่งอยู่ที่ด้านหลังสุดคนเดียวไม่พูดจากับใคร จนถึงตอนนี้ที่แม้ว่าคนอื่นจะทยอยไปนั่งข้างหน้าเพื่อดูหน้าจอแล้ว เขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว

“เว่ยเซี่ย คุณคือคนต่อไป”

ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังกล่องบนเวทีด้วยท่าทางนวยนาด จนทุกคนอยากจะขึ้นไปผลักเขาให้เดินไปข้างหน้าเร็วๆ

ครูฝึกสวี่ก็ไม่เอ่ยปากเร่ง เพียงแต่เสยแต่งผมทรงไถเรียบ…

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเว่ยเซี่ย หลังจากนั้นเขาก็ลอยพุ่งตรงเข้าไปกระแทกกล่องทั้งตัว

หลังจากเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ คนที่มีอายุหลายคนต่างสงสารเด็กคนนี้ มีเพียงคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สะใจซ้ำเติม

แน่นอนว่าคนหนุ่มพวกนี้ไม่นับรวมฟางหนิง เขาไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้น

“คิดจะเสแสร้งกับฉันเหรอ น่าเบื่อชะมัด” ครูฝึกสวี่ดึงประตูปิดทันที

ผ่านไปสองนาที สีหน้าครูฝึกสวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ในที่สุดก็มีคนที่น่าสนใจบ้างแล้ว”

ทุกคนต่างมองด้วยความประหลาดใจ หน้าจอแสดงข้อความ “การประเมินระดับความอ่อนไหวของพลังชีวิต: ระดับ C และการประเมินอัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิต: ระดับ C+”

“นักเรียนท่านนี้ยินดีด้วย ตอนนี้คุณต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก นั่นคือเลือกฝึกบำเพ็ญ วันใดฝึกมากเกินไปจนเสียสติ หาเงินต่อไปเหมือนเดิมจะดีกว่าหรือเปล่า”

เว่ยเซี่ยสีหน้านิ่งขรึมเดินออกมา ใบหน้าปูดบวม เมื่อครู่ถูกเหวี่ยงแรงมากแต่เขายังคงเก็บอารมณ์ไว้ได้เอ่ยเสียงเรียบ “แน่นอนว่าเลือกฝึกบำเพ็ญ จะต้องมีสักวันที่ฉันจะเหวี่ยงคุณได้เหมือนเมื่อกี้ ไม่มีทางจ่ายเงินจ้างใครมาทำแทน”

“ยินดีๆ ดูท่าอย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ช่วยสร้างแรงจูงใจแล้ว ไม่เลว ใช้ได้จริงๆ บางทีต่อไปพวกเราอาจจะเป็นหินลับคมผู้แข็งแกร่งในอนาคต ถือได้ว่าเป็นประโยชน์กับเสินโจว ดูอย่างนี้แล้ว การทดสอบจิตใจขั้นที่สองคงจะไม่มีปัญหาแรงจูงใจแล้ว” ครูฝึกสวี่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“หึ” คราวนี้เว่ยเซี่ยก้าวเท้าเร็วขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งที่แถวหลังสุด

ต่อจากนั้น ครูฝึกสวี่ไม่พูดอะไรอีก แต่กวาดตามองใบหน้าคนสองคนไปมา

ทุกคนมองตามสายตาของเขา เขามองคนหนุ่มที่รูปร่างไม่สูง หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวมีรสนิยมสูง ดูเหมือนจะถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พามา คาดว่าคงจะเป็นทายาทเศรษฐี แต่ทั้งสองหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิด คาดว่าอาจจะเป็นญาติห่างๆ กัน

อีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามสวมแว่นตากรอบทองอายุราวสี่สิบกว่า เขาคนนั้นก็คือคนที่ช่วยทุกคนพูดแต่ถูกครูฝึกสั่งสอนนั่นเอง

“ช่างเถอะ ฟางหนิงคุณเป็นคนหนุ่ม ขึ้นมาก่อนแล้วกัน ฉันไม่อยากเก็บเซอร์ไพรส์ไว้ท้ายสุด” เขาเอ่ยขึ้น

ฟางหนิงได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาเก็บตัวมาหลายวัน ตอนนี้ถึงเวลาเล่นใหญ่แล้ว!

เขาคิดว่าช่วงไม่กี่เดือนมานี้ระบบได้เพิ่มกระดูกรากฐานจำนวนมากและยังกินอาหารที่มียาบำรุงมานาน คุณสมบัติการฝึกฝนน่าจะดีขึ้นมากเช่นกัน นอกจากนี้พลังสมองของเขายังพัฒนาขึ้นมากจนแทบจะคิดไม่ออกเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาจะด้อยกว่าเว่ยเซี่ย

ฟางหนิงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นไปบนเวที

แม้ว่าจังหวะฝีก้าวของเขาจะไม่ช้า แต่ประธานจ้าวที่คอยจ้องมองตามแผ่นหลังของเขาตลอดเวลาก็อดกังวลไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าครูฝึกขี้หงุดหงิดนั่นจะทำอะไร

ฟางหนิงเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็ปรากฏฝ่ามือใหญ่ขึ้นแล้ว…

ท่าทางครูฝึกสวี่คงอยากจะประหยัดเวลา จึงยกมือขึ้นเสยผมอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ ขณะที่ฝ่ามือยักษ์นั้นผลักไปทางด้านหลังของฟางหนิงและทุกคนต่างก็เป็นกังวล จู่ๆ ก็มีปราณขาวยาวสามเมตรระเบิดออกมาจากตัวฟางหนิง เมื่อปะทะเข้ากับมือยักษ์ มือยักษ์ก็สลายหายไป

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ตัวครูฝึกสวี่กลับถูกค้อนยักษ์ทุบทันที ร่างกายโซเซแทบจะยืนไม่อยู่ จากนั้นเขาก็คำรามออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก

“หึ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพลังปราณคุ้มร่าง! เจ้าหน้าที่ต้อนรับ เข้ามาเปิดวิดีโอการสอน ฉันมีธุระต้องออกไปก่อน”

หลังจากพูดจบ ครูฝึกสวี่ก็กุมหน้าอกแล้วเร่งรีบเดินออกไปทันที

ทันใดนั้นทั้งห้องเรียนก็เกิดเสียงดังฮือฮา หลายคนระงับอารมณ์ที่เก็บกดก่อนหน้าเอาไว้ไม่ได้ต่างพากันระเบิดออกมา

“ฮ่าๆ หมอนั่นเจอของแข็งเข้าแล้ว”

“สะใจจัง!”

“อย่าเพิ่งสนใจเลย ถามเขาก่อน ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ คืออะไรกันแน่”

“ใช่ๆ”

เจ๋งมาก ฟางหนิงโต้กลับได้เยี่ยมยอด แต่ในสายตาของทุกคนเขากลับกลายเป็นที่นิยม ไม่มีทางที่จะไม่โดดเด่นเลย

เพียงครู่เดียวก็มีคนจำนวนมากเข้ามารายล้อม เว้นแต่คนหนุ่มที่มีกำลังความสามารถมากพอไม่ได้กรูเข้ามาด้วย คนอายุน้อยหน่อยหลายคนเข้ามาซักถามไม่หยุดหย่อน พลังนั่นไม่ต่างอะไรกับนักข่าวขอสัมภาษณ์

“ลุงป้าน้าอาทุกท่าน ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรคือพลังปราณคุ้มร่าง อาจจะเกี่ยวกับที่ผมมีความสามารถพิเศษ แน่นอนว่าไม่ต้องฟังผมคาดเดาหรอก ทุกคนรอครูฝึกกลับมาอธิบายจะดีกว่า ในเมื่อเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ”

ในเวลาคับขัน ฟางหนิงรีบพูดมั่วๆ ออกไปด้วยท่าทีจริงจัง

ผู้มีความสามารถพิเศษไม่ใช่ข่าวน่าแปลกใจอะไรตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องพวกนี้แพร่ไปทั่วในแวดวงเศรษฐี

พอได้ยินว่าอาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษของอีกฝ่าย ชัดเจนว่าไม่มีทางเรียนได้ อีกอย่างฟางหนิงก็มีเหตุผล ครูฝึกสวี่ปากร้าย แต่ความรู้อาชีพไม่แย่ ทุกคนต่างมีสถานะใหญ่โต สุดท้ายจึงพากันสงบสติอารมณ์แล้วแยกย้าย แน่นอนว่าก่อนไปก็ได้ให้นามบัตรแก่ฟางหนิงเผื่อติดต่อกันภายหลัง

ประธานจ้าวรอกระทั่งฟางหนิงกลับมานั่ง ก็ถามออกมา “เพราะฝึกฝนนั่นถึงได้มีพลังปราณคุ้มร่างอะไรนี่ใช่ไหม”

ฟางหนิงตอบ “อาจจะเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่แน่ว่าจะใช่จริงๆ”

ที่จริงเขาเข้าใจดีกว่าใครเพราะการแจ้งเตือนระบบเขียนชัดเจน

โฮสต์ถูก ‘มหามุทรา’ ของสวี่เว่ยหวาโจมตี ระบบเลือกใช้วิธีป้องกัน ‘ลมปราณคุ้มร่าง’ ขณะเดียวกันก็เลือกใช้พลังปราณบางส่วน

‘ลมปราณคุ้มร่าง’ พัฒนาเป็น ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ โจมตีกลับ!

สวี่เว่ยหวาถูกพลังปราณแว้งกัด!

สวี่เว่ยหวาได้รับบาดเจ็บ 70 คะแนน

สวี่เว่ยหวาได้รับบาดเจ็บภายในร่างกายต่อเนื่อง

ภายในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิง “ฉันไม่ได้เตือน แต่แกกลับฉลาดมาก ครั้งนี้ไม่ได้ใช้วิธีมังกรเพลิงอะไรพวกนั้นตบเขากลับไป”

ระบบ “ฉลาดอะไรเหรอ โฮสต์บอกเองนี่ว่าให้ปกปิดตัวตนแล้วตอบโต้กลับ ระบบแค่เปิดใช้งานปราณแท้เพื่อป้องกัน แต่ครั้งแรกที่เจอกับวิธีการโจมตีประเภทนี้ เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัย จึงเพิ่มพลังปราณขึ้น มันจึงพัฒนาเป็น ‘พลังปราณคุ้มร่าง’W

ฟางหนิง “ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันบอกให้โต้กลับแกก็ทำจริงๆ สถานะจริงไม่อาจใช้วรยุทธ์อะไรพวกนั้นได้ ใช้ ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ ก็ดีแล้ว แต่ฉันยังมีวิธีหลอกล่ออื่นอีก”

เวลานี้เจ้าหน้าที่ต้อนรับก็เดินเข้ามา หลังจากจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วก็เปิดวิดีโอการสอนให้ทุกคนดู

เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง ฟางหนิงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับคนอื่นๆ

…………

ขณะเดียวกันสวี่เว่ยหวาอยู่กับเฉียวจื่อซาน

“ครั้งนี้ถือว่าฉันดวงซวยเจอเข้ากับของแข็ง จื่อซาน แกฝึกพลังปราณมาตั้งแต่เด็ก มีประสบการณ์มากที่สุด รีบดูหน่อยเร็วเพราะพลังปราณแว้งกัดถึงได้บาดเจ็บภายใน จัดการให้ดีๆ หน่อยเถอะ ฉันไม่อยากทิ้งปัญหาไว้ในวันหน้า ฉันรู้อานุภาพของพลังปราณแกดีมาก แกก็รู้ว่าอาของแกยังไม่ได้แต่งเมีย” ครูฝึกสวี่เวลานี้ไม่มีความเฉื่อยช้าและท่าทางเบื่อหน่ายเหมือนตอนอยู่ในห้องเรียนแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมมาก

เฉียวจื่อซานพอได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี รีบจับมือขวาของเขา ปราณขาวไหลออกมาจากมือแล้วไหลตรงเข้าไปในมือขวาของครูฝึกสวี่

………………………………………..

บทที่ 68 โต้ตอบจริงๆ แล้ว…

ทุกคนฟังแล้วก็แปลกใจ ด้านตาอ้วนหลิวใบหน้าก็ฉายความงุนงง

ที่จริงเขาได้ยินคำพูดของครูฝึกตั้งแต่อยู่ในกล่อง ด้านในไม่ได้กันเสียง เขาไม่มีโอกาสฝึกแต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากมาย ในเมื่อเขามาที่นี่ได้ ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้เขาอายุห้าสิบกว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนเด็กๆ อายุสิบเจ็ดสิบแปดที่จะทนรับไม่ได้กับเรื่องเล็กน้อย

เขาอึ้งเพราะไม่รู้ว่า ‘สิทธิ์เข้าเรียน VIP ของคลาสเศรษฐี’ คืออะไร

แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ เพราะเมื่อครูฝึกสวี่ปรบมืออีกครั้ง เจ้าหน้าที่ต้อนรับก็เดินเข้ามา

เจ้าหน้าที่ต้อนรับคนนี้เอ่ยขึ้น “คุณหลิว ตอนนี้คุณเลือกไปห้องส่วนตัวเข้าเรียนระยะไกลได้ ที่นั่นมีอุปกรณ์ครบถ้วน สามารถดูได้ชัดเจน เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ภาพ เสียง และสภาพแวดล้อมที่หรูหรา คุณสามารถกินดื่มและพักผ่อนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดเนื้อหาใดๆ เรามีระดับราคาห้องส่วนตัวทั้งหมดสามระดับ หนึ่งคือระดับประหยัด 8,888 หยวนต่อวัน ระดับมงกุฎที่ 88,888 หยวนต่อวัน และระดับพรีเมี่ยมคือ 888,888 หยวน”

ตาอ้วนหลิวปาดเหงื่อ ขูดรีดขูดเนื้อกันจริงๆ ค่าสมาชิกรายปีเพิ่งจะจ่ายไป 8,888,888 หยวน ห้องส่วนตัวระดับพรีเมี่ยมหนึ่งวัน 888,888 หยวน ฉันต้องเรียนสองสัปดาห์แพงยิ่งกว่าค่าสมาชิกเสียอีก

แต่ว่า ในเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้จะให้เลือกระดับประหยัดได้อย่างไรกัน เลือกห้องวันละแปดหมื่น หนึ่งปี 12 สัปดาห์ก็พอๆ กับค่าเรียนอีกเท่าหนึ่ง

“ฉันอยากจะคุยกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยเลือกนะ” แน่นอนว่าตาอ้วนหลิวชาญฉลาดพอ เขาคิดแผนการได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ต้อนรับค่อนข้างผิดหวัง แต่ยังคงส่งยิ้มไมตรีจิตให้ตาอ้วนหลิวแล้วเดินออกไปนอกห้องเรียน ราวกับรอคอยอยู่ด้านนอกตลอดเวลา

ครูฝึกสวี่ยิ้มบางให้ตาอ้วนหลิว ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย “โอเค คุณหลิวกลับไปนั่งที่เถอะ เรามาดูกันว่าคนต่อไปคือใคร”

ใช้เวลาคนละสองสามนาทีไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า

หลายคนเริ่มไม่แปลกใจกับการทดสอบอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าทำไมครูฝึกสวี่ถึงเอาแต่พูดเรื่องที่ให้พวกเขาหาเงินอย่างสบายใจ

การทดสอบผ่านไปแล้ว 17 คน มีแค่คนเดียวที่ระดับความอ่อนไหวต่อพลังชีวิตอยู่ที่ระดับ E แต่ระดับอัตราความเร็วการเข้าออกของพลังชีวิตกลับอยู่ต่ำกว่าระดับ F คนนี้ยังคงไม่ผ่าน คนอื่นๆ ส่วนใหญ่คล้ายกับตาอ้วนหลิว ดีหน่อยก็อยู่ที่ระดับ F เท่านั้น

ครูฝึกสวี่ยังคงพูดจาไม่ค่อยเข้าหู

“ถึงการสอนพวกคุณจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ที่เจ๊ไห่พูดก็ถูก ยังมีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลมาก ส่วนเจ๊ไห่ต้องมีผมหงอกเพิ่มขึ้นหลายเส้นแน่ สาวโสดนี่จะขึ้นคานอยู่แล้ว”

บางทีครูฝึกสวี่คงจะเบื่อมากจริงๆ ครั้งนี้จึงเรียกหนึ่งในสามคนที่ในประวัติสมาชิกรอบนี้มีความสามารถพิเศษ เขาคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่สูงถึง 1.90 เมตร

ชายคนนี้เป็นคนที่รูปร่างสูงที่สุดในกลุ่มเศรษฐีและรู้จักคนน้อยที่สุด ตั้งแต่เข้ามาก็นั่งอยู่ที่ด้านหลังสุดคนเดียวไม่พูดจากับใคร จนถึงตอนนี้ที่แม้ว่าคนอื่นจะทยอยไปนั่งข้างหน้าเพื่อดูหน้าจอแล้ว เขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว

“เว่ยเซี่ย คุณคือคนต่อไป”

ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังกล่องบนเวทีด้วยท่าทางนวยนาด จนทุกคนอยากจะขึ้นไปผลักเขาให้เดินไปข้างหน้าเร็วๆ

ครูฝึกสวี่ก็ไม่เอ่ยปากเร่ง เพียงแต่เสยแต่งผมทรงไถเรียบ…

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเว่ยเซี่ย หลังจากนั้นเขาก็ลอยพุ่งตรงเข้าไปกระแทกกล่องทั้งตัว

หลังจากเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ คนที่มีอายุหลายคนต่างสงสารเด็กคนนี้ มีเพียงคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สะใจซ้ำเติม

แน่นอนว่าคนหนุ่มพวกนี้ไม่นับรวมฟางหนิง เขาไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้น

“คิดจะเสแสร้งกับฉันเหรอ น่าเบื่อชะมัด” ครูฝึกสวี่ดึงประตูปิดทันที

ผ่านไปสองนาที สีหน้าครูฝึกสวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ในที่สุดก็มีคนที่น่าสนใจบ้างแล้ว”

ทุกคนต่างมองด้วยความประหลาดใจ หน้าจอแสดงข้อความ “การประเมินระดับความอ่อนไหวของพลังชีวิต: ระดับ C และการประเมินอัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิต: ระดับ C+”

“นักเรียนท่านนี้ยินดีด้วย ตอนนี้คุณต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก นั่นคือเลือกฝึกบำเพ็ญ วันใดฝึกมากเกินไปจนเสียสติ หาเงินต่อไปเหมือนเดิมจะดีกว่าหรือเปล่า”

เว่ยเซี่ยสีหน้านิ่งขรึมเดินออกมา ใบหน้าปูดบวม เมื่อครู่ถูกเหวี่ยงแรงมากแต่เขายังคงเก็บอารมณ์ไว้ได้เอ่ยเสียงเรียบ “แน่นอนว่าเลือกฝึกบำเพ็ญ จะต้องมีสักวันที่ฉันจะเหวี่ยงคุณได้เหมือนเมื่อกี้ ไม่มีทางจ่ายเงินจ้างใครมาทำแทน”

“ยินดีๆ ดูท่าอย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ช่วยสร้างแรงจูงใจแล้ว ไม่เลว ใช้ได้จริงๆ บางทีต่อไปพวกเราอาจจะเป็นหินลับคมผู้แข็งแกร่งในอนาคต ถือได้ว่าเป็นประโยชน์กับเสินโจว ดูอย่างนี้แล้ว การทดสอบจิตใจขั้นที่สองคงจะไม่มีปัญหาแรงจูงใจแล้ว” ครูฝึกสวี่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“หึ” คราวนี้เว่ยเซี่ยก้าวเท้าเร็วขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งที่แถวหลังสุด

ต่อจากนั้น ครูฝึกสวี่ไม่พูดอะไรอีก แต่กวาดตามองใบหน้าคนสองคนไปมา

ทุกคนมองตามสายตาของเขา เขามองคนหนุ่มที่รูปร่างไม่สูง หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวมีรสนิยมสูง ดูเหมือนจะถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พามา คาดว่าคงจะเป็นทายาทเศรษฐี แต่ทั้งสองหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิด คาดว่าอาจจะเป็นญาติห่างๆ กัน

อีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามสวมแว่นตากรอบทองอายุราวสี่สิบกว่า เขาคนนั้นก็คือคนที่ช่วยทุกคนพูดแต่ถูกครูฝึกสั่งสอนนั่นเอง

“ช่างเถอะ ฟางหนิงคุณเป็นคนหนุ่ม ขึ้นมาก่อนแล้วกัน ฉันไม่อยากเก็บเซอร์ไพรส์ไว้ท้ายสุด” เขาเอ่ยขึ้น

ฟางหนิงได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาเก็บตัวมาหลายวัน ตอนนี้ถึงเวลาเล่นใหญ่แล้ว!

เขาคิดว่าช่วงไม่กี่เดือนมานี้ระบบได้เพิ่มกระดูกรากฐานจำนวนมากและยังกินอาหารที่มียาบำรุงมานาน คุณสมบัติการฝึกฝนน่าจะดีขึ้นมากเช่นกัน นอกจากนี้พลังสมองของเขายังพัฒนาขึ้นมากจนแทบจะคิดไม่ออกเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาจะด้อยกว่าเว่ยเซี่ย

ฟางหนิงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นไปบนเวที

แม้ว่าจังหวะฝีก้าวของเขาจะไม่ช้า แต่ประธานจ้าวที่คอยจ้องมองตามแผ่นหลังของเขาตลอดเวลาก็อดกังวลไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าครูฝึกขี้หงุดหงิดนั่นจะทำอะไร

ฟางหนิงเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็ปรากฏฝ่ามือใหญ่ขึ้นแล้ว…

ท่าทางครูฝึกสวี่คงอยากจะประหยัดเวลา จึงยกมือขึ้นเสยผมอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ ขณะที่ฝ่ามือยักษ์นั้นผลักไปทางด้านหลังของฟางหนิงและทุกคนต่างก็เป็นกังวล จู่ๆ ก็มีปราณขาวยาวสามเมตรระเบิดออกมาจากตัวฟางหนิง เมื่อปะทะเข้ากับมือยักษ์ มือยักษ์ก็สลายหายไป

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ตัวครูฝึกสวี่กลับถูกค้อนยักษ์ทุบทันที ร่างกายโซเซแทบจะยืนไม่อยู่ จากนั้นเขาก็คำรามออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก

“หึ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพลังปราณคุ้มร่าง! เจ้าหน้าที่ต้อนรับ เข้ามาเปิดวิดีโอการสอน ฉันมีธุระต้องออกไปก่อน”

หลังจากพูดจบ ครูฝึกสวี่ก็กุมหน้าอกแล้วเร่งรีบเดินออกไปทันที

ทันใดนั้นทั้งห้องเรียนก็เกิดเสียงดังฮือฮา หลายคนระงับอารมณ์ที่เก็บกดก่อนหน้าเอาไว้ไม่ได้ต่างพากันระเบิดออกมา

“ฮ่าๆ หมอนั่นเจอของแข็งเข้าแล้ว”

“สะใจจัง!”

“อย่าเพิ่งสนใจเลย ถามเขาก่อน ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ คืออะไรกันแน่”

“ใช่ๆ”

เจ๋งมาก ฟางหนิงโต้กลับได้เยี่ยมยอด แต่ในสายตาของทุกคนเขากลับกลายเป็นที่นิยม ไม่มีทางที่จะไม่โดดเด่นเลย

เพียงครู่เดียวก็มีคนจำนวนมากเข้ามารายล้อม เว้นแต่คนหนุ่มที่มีกำลังความสามารถมากพอไม่ได้กรูเข้ามาด้วย คนอายุน้อยหน่อยหลายคนเข้ามาซักถามไม่หยุดหย่อน พลังนั่นไม่ต่างอะไรกับนักข่าวขอสัมภาษณ์

“ลุงป้าน้าอาทุกท่าน ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรคือพลังปราณคุ้มร่าง อาจจะเกี่ยวกับที่ผมมีความสามารถพิเศษ แน่นอนว่าไม่ต้องฟังผมคาดเดาหรอก ทุกคนรอครูฝึกกลับมาอธิบายจะดีกว่า ในเมื่อเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ”

ในเวลาคับขัน ฟางหนิงรีบพูดมั่วๆ ออกไปด้วยท่าทีจริงจัง

ผู้มีความสามารถพิเศษไม่ใช่ข่าวน่าแปลกใจอะไรตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องพวกนี้แพร่ไปทั่วในแวดวงเศรษฐี

พอได้ยินว่าอาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษของอีกฝ่าย ชัดเจนว่าไม่มีทางเรียนได้ อีกอย่างฟางหนิงก็มีเหตุผล ครูฝึกสวี่ปากร้าย แต่ความรู้อาชีพไม่แย่ ทุกคนต่างมีสถานะใหญ่โต สุดท้ายจึงพากันสงบสติอารมณ์แล้วแยกย้าย แน่นอนว่าก่อนไปก็ได้ให้นามบัตรแก่ฟางหนิงเผื่อติดต่อกันภายหลัง

ประธานจ้าวรอกระทั่งฟางหนิงกลับมานั่ง ก็ถามออกมา “เพราะฝึกฝนนั่นถึงได้มีพลังปราณคุ้มร่างอะไรนี่ใช่ไหม”

ฟางหนิงตอบ “อาจจะเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่แน่ว่าจะใช่จริงๆ”

ที่จริงเขาเข้าใจดีกว่าใครเพราะการแจ้งเตือนระบบเขียนชัดเจน

โฮสต์ถูก ‘มหามุทรา’ ของสวี่เว่ยหวาโจมตี ระบบเลือกใช้วิธีป้องกัน ‘ลมปราณคุ้มร่าง’ ขณะเดียวกันก็เลือกใช้พลังปราณบางส่วน

‘ลมปราณคุ้มร่าง’ พัฒนาเป็น ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ โจมตีกลับ!

สวี่เว่ยหวาถูกพลังปราณแว้งกัด!

สวี่เว่ยหวาได้รับบาดเจ็บ 70 คะแนน

สวี่เว่ยหวาได้รับบาดเจ็บภายในร่างกายต่อเนื่อง

ภายในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิง “ฉันไม่ได้เตือน แต่แกกลับฉลาดมาก ครั้งนี้ไม่ได้ใช้วิธีมังกรเพลิงอะไรพวกนั้นตบเขากลับไป”

ระบบ “ฉลาดอะไรเหรอ โฮสต์บอกเองนี่ว่าให้ปกปิดตัวตนแล้วตอบโต้กลับ ระบบแค่เปิดใช้งานปราณแท้เพื่อป้องกัน แต่ครั้งแรกที่เจอกับวิธีการโจมตีประเภทนี้ เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัย จึงเพิ่มพลังปราณขึ้น มันจึงพัฒนาเป็น ‘พลังปราณคุ้มร่าง’W

ฟางหนิง “ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันบอกให้โต้กลับแกก็ทำจริงๆ สถานะจริงไม่อาจใช้วรยุทธ์อะไรพวกนั้นได้ ใช้ ‘พลังปราณคุ้มร่าง’ ก็ดีแล้ว แต่ฉันยังมีวิธีหลอกล่ออื่นอีก”

เวลานี้เจ้าหน้าที่ต้อนรับก็เดินเข้ามา หลังจากจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วก็เปิดวิดีโอการสอนให้ทุกคนดู

เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง ฟางหนิงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับคนอื่นๆ

…………

ขณะเดียวกันสวี่เว่ยหวาอยู่กับเฉียวจื่อซาน

“ครั้งนี้ถือว่าฉันดวงซวยเจอเข้ากับของแข็ง จื่อซาน แกฝึกพลังปราณมาตั้งแต่เด็ก มีประสบการณ์มากที่สุด รีบดูหน่อยเร็วเพราะพลังปราณแว้งกัดถึงได้บาดเจ็บภายใน จัดการให้ดีๆ หน่อยเถอะ ฉันไม่อยากทิ้งปัญหาไว้ในวันหน้า ฉันรู้อานุภาพของพลังปราณแกดีมาก แกก็รู้ว่าอาของแกยังไม่ได้แต่งเมีย” ครูฝึกสวี่เวลานี้ไม่มีความเฉื่อยช้าและท่าทางเบื่อหน่ายเหมือนตอนอยู่ในห้องเรียนแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมมาก

เฉียวจื่อซานพอได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี รีบจับมือขวาของเขา ปราณขาวไหลออกมาจากมือแล้วไหลตรงเข้าไปในมือขวาของครูฝึกสวี่

………………………………………..

ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขามีทรัพย์สินเงินทองทุกวันนี้ได้ นอกจากทายาทเศรษฐีบางคนแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าธรรมชาติของมนุษย์จะชั่วร้ายถึงระดับไหนหากไร้ซึ่งกฎหมายควบคุม

“บางทีในพวกคุณอาจยังมีคนที่คิดว่าตอนนี้คนของสำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้หรอกใช่ไหม งั้นฉันจะบอกทุกคนละกัน

เว้นเสียแต่ว่าจะมีภัยคุกคามร้ายแรง ไม่อย่างนั้นปกติแล้วบทบาทที่แท้จริงของพวกเขา ถ้าพูดเกินจริงหน่อย ที่จริงแล้วก็คือพวกตัวละครในหนังที่มาถึงที่เกิดเหตุคนสุดท้ายหลังจากเกิดเหตุ พวกคุณคิดว่าพวกเขาจะคอยปกป้องพวกคุณทุกคนได้ตลอดวันตลอดคืนหรือ ต่อให้พวกเขาหาผู้ร้ายเจอและลงโทษอย่างหนัก แต่พวกคุณก็ตายไปแล้ว…”

“ต่อไปนี้ เมื่อพวกคุณเจอกับพวกคนร้าย มีแค่สามทางเลือกเท่านั้น เรียนรู้ที่จะคุกเข่าเพื่อเอาชีวิตรอดหรือยืนหยัดรับความตาย สุดท้ายนี้คือสิ่งที่เราให้คุณ นั่นคือเดินเข้าไปในประตูใหญ่แห่งโลกการฝึกบำเพ็ญเอง ศึกษาความรู้ของการฝึกบำเพ็ญ อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไมพวกมันถึงแข็งแกร่ง จากนั้นใช้เงินที่คุณมีไม่ขาด ดึงดูดผู้แข็งแกร่งที่เป็นเป้าหมายมาปกป้องตัวเอง หรือใช้เงินนั้นเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”

ทั้งห้องเรียนมีแต่เสียงเนือยๆ ของครูฝึกสวี่ดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

สีหน้าทุกคนเคร่งขรึม ไม่มีท่าทางผ่อนคลายคล้ายกับมาท่องเที่ยวในตอนแรกอีกแล้ว

สีหน้าฟางหนิงดูจริงจังขึ้น แม้ว่าเขาจะเอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมหลังเลิกงาน แต่ตราบใดที่เขาเข้าเรียนหรือทำงาน เขาจะจริงจังมาก ไม่อย่างนั้นเขาไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้สบายๆ แน่นอน

อีกทั้งเขารู้เรื่องที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่บ้านนานมาก แต่เขาก็ยังเอาชนะความเฉื่อยชาในอดีตไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าในตอนแรกๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็ฝึกฝนวันละแปดชั่วโมง แม้ว่าบางครั้งเขาจะเกียจคร้านก็ตาม…

ในเมื่อต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อมาที่นี่ และระบบยังอุตส่าห์ปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระ แน่นอนว่าเขาต้องเรียนความรู้พื้นฐานการฝึกฝนให้มากหน่อย จะได้ไม่ต้องไปค้นหาข้อมูลออนไลน์ทุกวัน

ครูฝึกสวี่กวาดตามอง เขามองเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคน ไม่มีคนไหนที่ไม่จริงจัง ยิ่งรวยก็ยิ่งรักชีวิตสินะ

น่าเสียดาย พวกคุณจริงจังแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ คลาสเศรษฐีครั้งนี้มีทั้งหมด 30 คน อาจเป็นคนที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษจึงได้อาศัยความสามารถพิเศษเข้ามาในแวดวงเศรษฐี และยังมีคนที่มีความหวังว่าจะฝึกบำเพ็ญ แต่อายุก็มากเกินไปแล้ว ซึ่งก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ส่วนคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งใจหาเงินทองแล้วจ่ายค่าเรียนกับค่าคุ้มครองให้พวกเราจะดีที่สุด…

เขาคิดอย่างนี้แล้วเอ่ยต่อ

“เอาล่ะ ต่อไปพวกเรามาทดสอบเล็กๆ กัน ในตัวเลือกทั้งสามที่เราให้มา เราจะมาดูกันว่าพวกคุณเหมาะสมกับเส้นทางแรกหรือเส้นทางที่สอง”

“การทดสอบนี้แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน ขั้นแรกคือการทดสอบความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของคุณ และขั้นที่สองคือการทดสอบนิสัยการฝึกบำเพ็ญของคุณ หากไม่ผ่านขั้นตอนใดก็ตาม พวกคุณสบายใจได้ แค่เรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญอย่างเป็นระบบก็ได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกบำเพ็ญน่าเบื่อ แค่ใช้ความเชี่ยวชาญของคุณทำเงินต่อไปก็พอ”

เขาพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ปรบมือดึงความสนใจของทุกคน

บนเวทีใหญ่ที่มีเพียงเขาคนเดียวพลันเกิดความผันผวนในอากาศ จากนั้นกล่องเหล็กยักษ์สูงราวสองสามเมตรก็ปรากฏขึ้นบนเวที ราวกับว่ามันอยู่ที่นั่นมาตลอด

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้งแล้วพิจารณามันอย่างละเอียด ด้านบนกล่องยักษ์มีประตูหันมาทางพวกเขา บนประตูยังมีจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่แสดงตัวเลขสีเขียว

ครูฝึกสวี่เดินเข้าไปพิงกล่องแล้วยื่นมือออกไปกดบนหน้าจอที่อยู่บนประตู

“ด้านบนมีตัวเลขสามตัว หนึ่งคือความเข้มข้นของพลังชีวิต สองคือระดับความอ่อนไหวของร่างกายมนุษย์ต่อพลังชีวิต และสามก็คืออัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตของร่างกายมนุษย์ ด้านหลังมีตัวเลขสองตัว เมื่อรวมกันแล้วจะกำหนดความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของพวกคุณ อ้อ ฉันพูดอย่างนี้อาจจะดูไม่เข้มงวดมาก แต่วิธีฝึกบำเพ็ญที่พวกคุณจะได้สัมผัสค่อนข้างปลอดภัยหรือก็คือวิธีการฝึกฝนพลังชีวิต อื่นๆ เช่น การฝึกความสามารถพิเศษ พวกคุณส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถพิเศษเลย อีกอย่างความสามารถพิเศษก็แปลกประหลาด ส่วนใหญ่มีแต่คนที่มีความสามารถพิเศษถึงจะรู้ว่าต้องฝึกอย่างไร พวกเราสอนไม่ได้”

“ยังมีอีกแบบซึ่งแบบนี้ก็คือการฝึกความคิดทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะ การฝึกพลังส่วนใหญ่อันตรายถึงชีวิต ข้อกำหนดแต่ละด้านสูงมาก โดยทั่วไปแล้วอย่าฝึกด้วยตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าผิดพลาดอาจจะเสียสติได้ และพวกเราไม่มีทางสอนแบบนั้นให้พวกคุณแน่นอน เพราะสถานะของพวกคุณแต่ละคนก็ไม่ได้ธรรมดา พวกเราชดใช้ไม่ไหวจริงๆ ส่วนวิธีการฝึกพลังชีวิต อย่างน้อยหากพวกคุณฝึกกับพวกเราที่นี่แล้วติดขัด ส่วนใหญ่แล้วพวกเรายังช่วยชีวิตได้ อีกทั้งวิธีการฝึกพลังชีวิตทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และยังเสริมสร้างความคิดทางจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นช้าๆ ปลอดภัยมากทีเดียว”

เขาพูดจบแล้วก็มองทุกคนพลางชี้ไปที่คนหนึ่ง “เฮ้ นักเรียนคนนี้ชื่อหลิวซื่อเหลียงใช่ไหม เห็นคุณรูปร่างอ้วนท้วน มีลักษณะเด่นที่สุด สามารถเป็นตัวอย่างการสอนให้ทุกคนได้ ขึ้นมาข้างบนหน่อยแล้วกัน”

คนผู้นั้นก็คือตาอ้วนหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของประธานจ้าวนั่นเอง

คงไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเขาเหมาะสมเป็นตัวอย่างการสอนอะไรพรรค์นั้นหรอก น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ตาอ้วนหลิวเสียงดังที่สุด และครูฝึกก็จำเขาได้ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา ข้อมูลของพวกเขาทั้งชื่อและหน้าตามีตั้งแต่ตอนที่พวกเขาลงทะเบียนสมาชิก และด้วยความสามารถของครูฝึกคนนี้ จึงไม่ยากที่จะจดจำรายละเอียดใครสักคน

หลิวซื่อเหลียงนิ่งอึ้ง แต่เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของครูฝึกเมื่อครู่แล้วก็ยอมทำแต่โดยดี เมื่อครู่ก็แสดงชัดเจนแล้วว่า อีกฝ่ายไม่มีทางทำร้ายเขา ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมานานยังจะกลัวสถานการณ์นี้อีกหรือ

คนแรกยิ่งดีจะได้มีคนรู้จักข้าเหล่าหลิวมากขึ้น บางทีอาจมีลูกค้ามาติดต่อ เขาคิดอย่างนี้ก็ขึ้นไปบนเวทีเป็นตัวอย่างการเรียนด้วยความดีใจ

เห็นตาอ้วนหลิวขึ้นไปบนเวทีแล้ว ครูฝึกสวี่ก็เปิดประตูกล่องพลางชี้ “เข้าไปสิ”

ตาอ้วนหลิวเดินโยกเยกเข้าไปในประตูของกล่องแต่แล้วก็ต้องชะงักเท้า สีหน้าฉายความเขินอาย ทว่า ทุกคนกลับหัวเราะเบาๆ ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนที่เคร่งเครียดผ่อนคลายลง

ทุกคนมองแวบเดียวก็ดูออกว่าตาอ้วนหลิวไม่มีทางเดินเข้าประตูกล่องนี้ได้ เข้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็ดีเท่าไรแล้ว ต่อให้เอียงตัวเข้าไปก็ไม่ได้อยู่ดี พุงของเขาอ้วนพลุ้ยเท่ากันทุกด้าน

“ฮ่าๆ ฉันคำนวณผิดไปหน่อย รู้อย่างนี้ให้พวกฝ่ายขนส่งทำประตูใหญ่ๆ ก็ดีสิ” ครูฝึกสวี่ยื่นสองมือมาจับกรอบประตูเหล็กสองด้านออกแรงดึงก็เห็นว่ากรอบประตูเหล็กทั้งบานถูกดึงกลายเป็นทรงโค้ง ยังดีที่จออิเล็กทรอนิกส์นั้นแขวนอยู่บนประตู ไม่อย่างนั้นเขาต้องทำมันพังแน่นอน

ทุกคนตะลึงอีกครั้ง ครูฝึกสวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือไปแตะ “เชิญเลย นักเรียนหลิว”

ตาอ้วนหลิวมองดูตนเอง เขาสูง 160 ซม. ไม่ต้องก้มก็เข้าประตูโค้งได้พอดี เขาตกตะลึง ครูฝึกสวี่ดึงกล่องเหล็กได้ก็สุดยอดมากแล้ว พละกำลังที่แม่นยำนี้น่าตกใจจริงๆ

เขารู้สึกประดักประเดิดขณะเดินเข้าไป สองมือครูฝึกสวี่จับกรอบประตูที่เพิ่งง้างให้กว้าง เพียงดึงง่ายๆ กรอบประตูก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยบิดงอมาก่อน

หลังจากประตูปิดลง ครูฝึกสวี่ก็ปรับแต่งหน้าจอครู่หนึ่งแล้วหันไปหาทุกคน

“ตอนนี้ฉันปรับแต่งระดับความเข้มข้นพลังชีวิตถึงระดับ B นี่คือขอบเขตความเข้มข้นพลังชีวิตที่พวกคุณใช้เงินซื้อได้ ส่วนจะดีกว่านี้นั้น พวกคุณเข้าใจดีว่าต้องออกไปนอกเสินโจวเท่านั้น เอาล่ะ อีกสองนาทีพวกเราค่อยมาดูคุณหลิว ไม่สิ ค่าทั้งสองของคุณหลิวก็คือ ระดับความอ่อนไหวของเขาต่อพลังชีวิตและยังมีความเร็วการรับเข้าออกพลังชีวิตของเขา”

ทุกคนไม่มีใครวอกแวกต่างจ้องมองไม่วางตา เพราะเป็นคลาสเล็กสามสิบคน แค่ไม่กี่แถวด้านหน้าก็นั่งพอ ตอนแรกยังมีคนนั่งด้านหลัง แต่ตอนนี้ทุกคนเดินมานั่งข้างหน้าหมดแล้ว เห็นชัดว่าพอตาอ้วนหลิวเข้าไปและปิดประตูแล้ว ตัวเลขสีเขียวบนจอก็วิ่งไม่หยุด

ที่หน้าประตู ครูฝึกสวี่พูดเสียงเนิบนาบ “สองค่านี้ ระดับจาก F ถึง S ทั้งหมด ถ้าหากอยู่ที่ระดับ E ขึ้นไป ความหวังฝึกฝนยังมี เข้าทดสอบขั้นต่อไปได้ แต่หากมีค่าระดับ E ลงไปก็ไม่มีความหวังแล้ว อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป เสียเวลาฝึกสิบปีสู้ขยันหาเงินไม่ได้”

ผ่านไปสองนาที ครูฝึกสวี่ก็ปรบมือ เอ่ยเสียงยินดี “ยินดีๆ ยินดีกับคุณหลิวท่านนี้ ไม่ต้องไปฝึกให้ลำบาก พวกคุณดูสิ ค่าทั้งสองของเขาไม่มีระดับ F เลย”

ทุกคนเห็นแต่แรกแล้วว่าบนหน้าจอนั้นกำลังแสดงข้อความ “การประเมินระดับความอ่อนไหวต่อพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F และอัตราความเร็วการเข้าออกของพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F”

ตอนแรกยังมีคนประหลาดใจทำไมครูฝึกดีใจขนาดนี้ แต่ไม่ช้าก็เข้าใจได้ ดีใจที่ไหนกันล่ะ นี่คือการดูถูกอีกแบบหนึ่งก็เท่านั้น

ทำไมอีกฝ่ายต้องพูดอย่างนี้ด้วย

หลังจากนั้นครูฝึกก็ดึงประตูเป็นทรงโค้งอีกครั้ง น้ำเสียงที่เรียกคุณหลิวออกมานั้นกระตือรือร้นมากๆ ไม่มีท่าทางเกียจคร้านอย่างก่อนหน้าสักนิด

เมื่อตาอ้วนหลิวออกมา เขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้นทันที “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณหลิว คุณเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิ์เข้าเรียน VIP ของชั้นเรียนเศรษฐี”

…………………………………………

ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขามีทรัพย์สินเงินทองทุกวันนี้ได้ นอกจากทายาทเศรษฐีบางคนแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าธรรมชาติของมนุษย์จะชั่วร้ายถึงระดับไหนหากไร้ซึ่งกฎหมายควบคุม

“บางทีในพวกคุณอาจยังมีคนที่คิดว่าตอนนี้คนของสำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้หรอกใช่ไหม งั้นฉันจะบอกทุกคนละกัน

เว้นเสียแต่ว่าจะมีภัยคุกคามร้ายแรง ไม่อย่างนั้นปกติแล้วบทบาทที่แท้จริงของพวกเขา ถ้าพูดเกินจริงหน่อย ที่จริงแล้วก็คือพวกตัวละครในหนังที่มาถึงที่เกิดเหตุคนสุดท้ายหลังจากเกิดเหตุ พวกคุณคิดว่าพวกเขาจะคอยปกป้องพวกคุณทุกคนได้ตลอดวันตลอดคืนหรือ ต่อให้พวกเขาหาผู้ร้ายเจอและลงโทษอย่างหนัก แต่พวกคุณก็ตายไปแล้ว…”

“ต่อไปนี้ เมื่อพวกคุณเจอกับพวกคนร้าย มีแค่สามทางเลือกเท่านั้น เรียนรู้ที่จะคุกเข่าเพื่อเอาชีวิตรอดหรือยืนหยัดรับความตาย สุดท้ายนี้คือสิ่งที่เราให้คุณ นั่นคือเดินเข้าไปในประตูใหญ่แห่งโลกการฝึกบำเพ็ญเอง ศึกษาความรู้ของการฝึกบำเพ็ญ อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไมพวกมันถึงแข็งแกร่ง จากนั้นใช้เงินที่คุณมีไม่ขาด ดึงดูดผู้แข็งแกร่งที่เป็นเป้าหมายมาปกป้องตัวเอง หรือใช้เงินนั้นเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”

ทั้งห้องเรียนมีแต่เสียงเนือยๆ ของครูฝึกสวี่ดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

สีหน้าทุกคนเคร่งขรึม ไม่มีท่าทางผ่อนคลายคล้ายกับมาท่องเที่ยวในตอนแรกอีกแล้ว

สีหน้าฟางหนิงดูจริงจังขึ้น แม้ว่าเขาจะเอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมหลังเลิกงาน แต่ตราบใดที่เขาเข้าเรียนหรือทำงาน เขาจะจริงจังมาก ไม่อย่างนั้นเขาไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้สบายๆ แน่นอน

อีกทั้งเขารู้เรื่องที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่บ้านนานมาก แต่เขาก็ยังเอาชนะความเฉื่อยชาในอดีตไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าในตอนแรกๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็ฝึกฝนวันละแปดชั่วโมง แม้ว่าบางครั้งเขาจะเกียจคร้านก็ตาม…

ในเมื่อต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อมาที่นี่ และระบบยังอุตส่าห์ปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระ แน่นอนว่าเขาต้องเรียนความรู้พื้นฐานการฝึกฝนให้มากหน่อย จะได้ไม่ต้องไปค้นหาข้อมูลออนไลน์ทุกวัน

ครูฝึกสวี่กวาดตามอง เขามองเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคน ไม่มีคนไหนที่ไม่จริงจัง ยิ่งรวยก็ยิ่งรักชีวิตสินะ

น่าเสียดาย พวกคุณจริงจังแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ คลาสเศรษฐีครั้งนี้มีทั้งหมด 30 คน อาจเป็นคนที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษจึงได้อาศัยความสามารถพิเศษเข้ามาในแวดวงเศรษฐี และยังมีคนที่มีความหวังว่าจะฝึกบำเพ็ญ แต่อายุก็มากเกินไปแล้ว ซึ่งก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ส่วนคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งใจหาเงินทองแล้วจ่ายค่าเรียนกับค่าคุ้มครองให้พวกเราจะดีที่สุด…

เขาคิดอย่างนี้แล้วเอ่ยต่อ

“เอาล่ะ ต่อไปพวกเรามาทดสอบเล็กๆ กัน ในตัวเลือกทั้งสามที่เราให้มา เราจะมาดูกันว่าพวกคุณเหมาะสมกับเส้นทางแรกหรือเส้นทางที่สอง”

“การทดสอบนี้แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน ขั้นแรกคือการทดสอบความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของคุณ และขั้นที่สองคือการทดสอบนิสัยการฝึกบำเพ็ญของคุณ หากไม่ผ่านขั้นตอนใดก็ตาม พวกคุณสบายใจได้ แค่เรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญอย่างเป็นระบบก็ได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกบำเพ็ญน่าเบื่อ แค่ใช้ความเชี่ยวชาญของคุณทำเงินต่อไปก็พอ”

เขาพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ปรบมือดึงความสนใจของทุกคน

บนเวทีใหญ่ที่มีเพียงเขาคนเดียวพลันเกิดความผันผวนในอากาศ จากนั้นกล่องเหล็กยักษ์สูงราวสองสามเมตรก็ปรากฏขึ้นบนเวที ราวกับว่ามันอยู่ที่นั่นมาตลอด

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้งแล้วพิจารณามันอย่างละเอียด ด้านบนกล่องยักษ์มีประตูหันมาทางพวกเขา บนประตูยังมีจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่แสดงตัวเลขสีเขียว

ครูฝึกสวี่เดินเข้าไปพิงกล่องแล้วยื่นมือออกไปกดบนหน้าจอที่อยู่บนประตู

“ด้านบนมีตัวเลขสามตัว หนึ่งคือความเข้มข้นของพลังชีวิต สองคือระดับความอ่อนไหวของร่างกายมนุษย์ต่อพลังชีวิต และสามก็คืออัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตของร่างกายมนุษย์ ด้านหลังมีตัวเลขสองตัว เมื่อรวมกันแล้วจะกำหนดความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของพวกคุณ อ้อ ฉันพูดอย่างนี้อาจจะดูไม่เข้มงวดมาก แต่วิธีฝึกบำเพ็ญที่พวกคุณจะได้สัมผัสค่อนข้างปลอดภัยหรือก็คือวิธีการฝึกฝนพลังชีวิต อื่นๆ เช่น การฝึกความสามารถพิเศษ พวกคุณส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถพิเศษเลย อีกอย่างความสามารถพิเศษก็แปลกประหลาด ส่วนใหญ่มีแต่คนที่มีความสามารถพิเศษถึงจะรู้ว่าต้องฝึกอย่างไร พวกเราสอนไม่ได้”

“ยังมีอีกแบบซึ่งแบบนี้ก็คือการฝึกความคิดทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะ การฝึกพลังส่วนใหญ่อันตรายถึงชีวิต ข้อกำหนดแต่ละด้านสูงมาก โดยทั่วไปแล้วอย่าฝึกด้วยตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าผิดพลาดอาจจะเสียสติได้ และพวกเราไม่มีทางสอนแบบนั้นให้พวกคุณแน่นอน เพราะสถานะของพวกคุณแต่ละคนก็ไม่ได้ธรรมดา พวกเราชดใช้ไม่ไหวจริงๆ ส่วนวิธีการฝึกพลังชีวิต อย่างน้อยหากพวกคุณฝึกกับพวกเราที่นี่แล้วติดขัด ส่วนใหญ่แล้วพวกเรายังช่วยชีวิตได้ อีกทั้งวิธีการฝึกพลังชีวิตทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และยังเสริมสร้างความคิดทางจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นช้าๆ ปลอดภัยมากทีเดียว”

เขาพูดจบแล้วก็มองทุกคนพลางชี้ไปที่คนหนึ่ง “เฮ้ นักเรียนคนนี้ชื่อหลิวซื่อเหลียงใช่ไหม เห็นคุณรูปร่างอ้วนท้วน มีลักษณะเด่นที่สุด สามารถเป็นตัวอย่างการสอนให้ทุกคนได้ ขึ้นมาข้างบนหน่อยแล้วกัน”

คนผู้นั้นก็คือตาอ้วนหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของประธานจ้าวนั่นเอง

คงไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเขาเหมาะสมเป็นตัวอย่างการสอนอะไรพรรค์นั้นหรอก น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ตาอ้วนหลิวเสียงดังที่สุด และครูฝึกก็จำเขาได้ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา ข้อมูลของพวกเขาทั้งชื่อและหน้าตามีตั้งแต่ตอนที่พวกเขาลงทะเบียนสมาชิก และด้วยความสามารถของครูฝึกคนนี้ จึงไม่ยากที่จะจดจำรายละเอียดใครสักคน

หลิวซื่อเหลียงนิ่งอึ้ง แต่เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของครูฝึกเมื่อครู่แล้วก็ยอมทำแต่โดยดี เมื่อครู่ก็แสดงชัดเจนแล้วว่า อีกฝ่ายไม่มีทางทำร้ายเขา ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมานานยังจะกลัวสถานการณ์นี้อีกหรือ

คนแรกยิ่งดีจะได้มีคนรู้จักข้าเหล่าหลิวมากขึ้น บางทีอาจมีลูกค้ามาติดต่อ เขาคิดอย่างนี้ก็ขึ้นไปบนเวทีเป็นตัวอย่างการเรียนด้วยความดีใจ

เห็นตาอ้วนหลิวขึ้นไปบนเวทีแล้ว ครูฝึกสวี่ก็เปิดประตูกล่องพลางชี้ “เข้าไปสิ”

ตาอ้วนหลิวเดินโยกเยกเข้าไปในประตูของกล่องแต่แล้วก็ต้องชะงักเท้า สีหน้าฉายความเขินอาย ทว่า ทุกคนกลับหัวเราะเบาๆ ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนที่เคร่งเครียดผ่อนคลายลง

ทุกคนมองแวบเดียวก็ดูออกว่าตาอ้วนหลิวไม่มีทางเดินเข้าประตูกล่องนี้ได้ เข้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็ดีเท่าไรแล้ว ต่อให้เอียงตัวเข้าไปก็ไม่ได้อยู่ดี พุงของเขาอ้วนพลุ้ยเท่ากันทุกด้าน

“ฮ่าๆ ฉันคำนวณผิดไปหน่อย รู้อย่างนี้ให้พวกฝ่ายขนส่งทำประตูใหญ่ๆ ก็ดีสิ” ครูฝึกสวี่ยื่นสองมือมาจับกรอบประตูเหล็กสองด้านออกแรงดึงก็เห็นว่ากรอบประตูเหล็กทั้งบานถูกดึงกลายเป็นทรงโค้ง ยังดีที่จออิเล็กทรอนิกส์นั้นแขวนอยู่บนประตู ไม่อย่างนั้นเขาต้องทำมันพังแน่นอน

ทุกคนตะลึงอีกครั้ง ครูฝึกสวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือไปแตะ “เชิญเลย นักเรียนหลิว”

ตาอ้วนหลิวมองดูตนเอง เขาสูง 160 ซม. ไม่ต้องก้มก็เข้าประตูโค้งได้พอดี เขาตกตะลึง ครูฝึกสวี่ดึงกล่องเหล็กได้ก็สุดยอดมากแล้ว พละกำลังที่แม่นยำนี้น่าตกใจจริงๆ

เขารู้สึกประดักประเดิดขณะเดินเข้าไป สองมือครูฝึกสวี่จับกรอบประตูที่เพิ่งง้างให้กว้าง เพียงดึงง่ายๆ กรอบประตูก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยบิดงอมาก่อน

หลังจากประตูปิดลง ครูฝึกสวี่ก็ปรับแต่งหน้าจอครู่หนึ่งแล้วหันไปหาทุกคน

“ตอนนี้ฉันปรับแต่งระดับความเข้มข้นพลังชีวิตถึงระดับ B นี่คือขอบเขตความเข้มข้นพลังชีวิตที่พวกคุณใช้เงินซื้อได้ ส่วนจะดีกว่านี้นั้น พวกคุณเข้าใจดีว่าต้องออกไปนอกเสินโจวเท่านั้น เอาล่ะ อีกสองนาทีพวกเราค่อยมาดูคุณหลิว ไม่สิ ค่าทั้งสองของคุณหลิวก็คือ ระดับความอ่อนไหวของเขาต่อพลังชีวิตและยังมีความเร็วการรับเข้าออกพลังชีวิตของเขา”

ทุกคนไม่มีใครวอกแวกต่างจ้องมองไม่วางตา เพราะเป็นคลาสเล็กสามสิบคน แค่ไม่กี่แถวด้านหน้าก็นั่งพอ ตอนแรกยังมีคนนั่งด้านหลัง แต่ตอนนี้ทุกคนเดินมานั่งข้างหน้าหมดแล้ว เห็นชัดว่าพอตาอ้วนหลิวเข้าไปและปิดประตูแล้ว ตัวเลขสีเขียวบนจอก็วิ่งไม่หยุด

ที่หน้าประตู ครูฝึกสวี่พูดเสียงเนิบนาบ “สองค่านี้ ระดับจาก F ถึง S ทั้งหมด ถ้าหากอยู่ที่ระดับ E ขึ้นไป ความหวังฝึกฝนยังมี เข้าทดสอบขั้นต่อไปได้ แต่หากมีค่าระดับ E ลงไปก็ไม่มีความหวังแล้ว อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป เสียเวลาฝึกสิบปีสู้ขยันหาเงินไม่ได้”

ผ่านไปสองนาที ครูฝึกสวี่ก็ปรบมือ เอ่ยเสียงยินดี “ยินดีๆ ยินดีกับคุณหลิวท่านนี้ ไม่ต้องไปฝึกให้ลำบาก พวกคุณดูสิ ค่าทั้งสองของเขาไม่มีระดับ F เลย”

ทุกคนเห็นแต่แรกแล้วว่าบนหน้าจอนั้นกำลังแสดงข้อความ “การประเมินระดับความอ่อนไหวต่อพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F และอัตราความเร็วการเข้าออกของพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F”

ตอนแรกยังมีคนประหลาดใจทำไมครูฝึกดีใจขนาดนี้ แต่ไม่ช้าก็เข้าใจได้ ดีใจที่ไหนกันล่ะ นี่คือการดูถูกอีกแบบหนึ่งก็เท่านั้น

ทำไมอีกฝ่ายต้องพูดอย่างนี้ด้วย

หลังจากนั้นครูฝึกก็ดึงประตูเป็นทรงโค้งอีกครั้ง น้ำเสียงที่เรียกคุณหลิวออกมานั้นกระตือรือร้นมากๆ ไม่มีท่าทางเกียจคร้านอย่างก่อนหน้าสักนิด

เมื่อตาอ้วนหลิวออกมา เขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้นทันที “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณหลิว คุณเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิ์เข้าเรียน VIP ของชั้นเรียนเศรษฐี”

…………………………………………

บทที่ 66 เสแสร้งถึงตัวเราก็ต้องสู้กลับ

ฟางหนิงพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ระบบที่กำลังง่วนกับการจับหัวขโมยเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะการไปเมืองจี้เพื่อเข้าร่วมสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐี

“ถึงเวลาที่จะออกไปดูระดับปีศาจในใต้หล้าแล้ว”

ตอนแรกฟางหนิงประหลาดใจที่โมดูลอัศวินเปิดแล้วและชื่อเสียงถึงขั้น ‘ชื่อเสียงขจรขจาย’ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเกิดปัญหาชื่อเสียงหายไปหลังจากเปลี่ยนสถานที่ ทำไมหัวหน้าระบบไม่เคยเสนอเปลี่ยนสถานที่จับปีศาจล่ะ

ระบบเอ่ยต่อ “สถานที่อื่นไม่ได้เปิดแผนที่จึงมองไม่เห็นปีศาจ ต้องให้ปีศาจเข้าใกล้ ระบบจะอาศัยพลังงานรับรู้ แผนที่ถึงจะแสดงปีศาจได้

ขณะที่ไปจับในสถานที่อื่น ถ้าหากจับได้ถึงระดับมิตรภาพขั้นความนับถือในพื้นที่ ก็จะกลายเป็นเจ้าของพื้นที่ สามารถยับยั้งคู่ต่อสู้ที่ใช้จิตใจของคนเป็นพื้นฐานการฝึกบำเพ็ญได้มาก อย่างเช่นเฉียวจื่อซานที่ฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ถ้าหากเป็นศัตรูกับพวกเราต่อสู้ที่เมืองฉีละก็ ความสามารถของพวกเขาจะลดฮวบลง”

ฟางหนิงฟังถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นมาก ใครกันจะไม่อยากได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในชนบท อีกทั้งยังหมายความว่าได้เพิ่มความสามารถการต่อสู้ มีทางหนีทีไล่เพิ่มขึ้น

เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “แกเหมือนยาสีฟันจริงๆ ถามนิดนึงก็ตอบนิดนึง ครั้งที่แล้วแกก็พูดชัดแล้ว ฉันวางแผนให้ได้ไม่ใช่หรือ”

ไม่รอให้ระบบได้โต้ตอบ เขาก็ถามต่อไป “งั้นแผนที่ระบบของสถานที่อื่นจะเปิดได้อย่างไร”

ระบบ “แผนที่ใกล้เคียงสถานที่เกิดมอบให้ฟรี แผนที่สถานที่อื่นไม่ใช่เดินรอบๆ แล้วจะแสดงสถานการณ์ที่นั่นได้แบบเรียลไทม์ และต้องถึงระดับมิตรภาพที่เกี่ยวข้องกับในพื้นที่นั้นถึงจะได้รับ

ระดับมิตรภาพในพื้นที่มีห้าขั้นตอน ได้แก่ ความเกลียดชังในพื้นที่, ความเป็นกลางในพื้นที่, มิตรภาพในพื้นที่, ความไว้ใจในพื้นที่, ความนับถือในพื้นที่ บางทีอาจมีระดับมิตรภาพที่แอบซ่อน ซึ่งต้องอาศัยคุณแอคติเวท ต้องถึงระดับความไว้ใจในพื้นที่ถึงจะได้รับแผนที่ในพื้นที่แห่งนั้น ต่อไปถึงจะค้นหาภูมิประเทศและสถานการณ์ปีศาจที่นั่นได้แบบเรียลไทม์”

ตอนแรกฟางหนิงรู้สึกประหลาด แต่จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ดูท่าการตั้งค่ากฎของนายท่านระบบจะเกี่ยวข้องกับอัศวินทุกจุด เช่น ถ้าทำผิดในที่หนึ่งก็จะไม่อำนวยความสะดวกใดๆ ให้ ต้องทำความดีถึงจะเปิดแผนที่ในพื้นที่นั้นให้ เพื่อสะดวกในการค้นหาคนที่ทำชั่ว

ฟางหนิง “งั้นระดับมิตรภาพในเมืองฉีของพวกเราอยู่ระดับไหนแล้วล่ะ”

ระบบ “เพิ่งผ่านระดับความไว้ใจพื้นที่ ยังห่างกับขั้นนับถืออีกมากโข”

ฟางหนิงพยักหน้า เมื่อเทียบกับเรื่องที่ทำที่นี่ น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณนี้

ฟางหนิง “งั้นพวกเราต้องไปเมืองจี้ ระดับมิตรภาพในพื้นที่นั้นอยู่ที่ขั้นตอนไหนแล้วล่ะ”

ระบบ “จัดอยู่ในขั้นมิตรภาพในพื้นที่ หลังจากกำจัดมารร้ายตระกูลไป๋ได้ ช่วยพวกเขากำจัดกลุ่มมารกินคน”

ฟางหนิง “ห่างจากขั้นความไว้ใจอีกไกลไหม”

ระบบ “น่าจะต้องจับอย่างน้อยสองเดือนกระมัง”

ฟางหนิงครุ่นคิด เมืองฉีห่างกับเมืองจี้ไม่มากนัก ถ้าหากระบบแปลงเป็นมังกรบินไปกลับ ใช้ความเร็วเหนือเสียงก็จะไม่ถึง 20 นาที ใกล้กว่าคนส่วนใหญ่ออกจากบ้านไปทำงานเสียอีก

อีกอย่างที่นั่นมีประชากรมากถึง 20 กว่าล้านคน และยังเป็นมหานครนานาชาติ ใช้เป็นฐานทัพจับปีศาจสาขาสองได้ สล็อตพลังปราณที่ใช้ไปคาดว่าจับแค่ไม่กี่วันก็คงได้คืนแล้ว แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ วิ่งด้วยความเร็วสูงในรูปลักษณ์คนก็ไม่ถึงสองชั่วโมง

ฟางหนิงเอ่ยขึ้น “งั้นไปครั้งนี้ พวกเราจะไปอยู่ชั่วคราว ให้มนุษย์กลไกตัวแสดงแทนกลับมาก็ได้ ร่องรอยกิจกรรมระหว่างสองสถานะจะได้ไม่เหมือนกันเกินไป ฟางหนิงไปที่ไหน อัศวิน A ก็ตามไปที่นั่น ฟางหนิงกลับมา อัศวิน A ก็กลับมา”

ระบบ “ตกลง”

…………

วันรุ่งขึ้นฟางหนิงกับประธานจ้าวพร้อมคนติดตามก็เร่งเดินทางไปที่เมืองจี้ ถึงจุดหมายแล้วพวกเขาก็ตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปยังวิลล่าเทียนฮุ่ยในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งของเมือง แต่เมื่อลงรถประธานจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที

ประธานจ้าว “ทำไมถึงดูรกร้างอย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่น่าเชื่อถือมากแนะนำมา แถมป้าของเธอก็บอกว่าไม่มีปัญหา ฉันคงคิดว่าเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งอันตรายมากด้วย ต้องระวังมากขึ้นหน่อยแล้ว”

ฟางหนิงลงรถตามมา ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ที่นี่เหมือนกับสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขา ทั้งสี่ด้านโอบล้อมด้วยเนินเขาสูงต่ำเป็นทิวแถว สีเขียวบนภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงต่างจากฤดูหนาวไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เหี่ยวแห้ง มีเพียงถนนสายเดียวที่ผ่านภูเขาเพื่อเข้ามาที่แห่งนี้

วิลล่าเทียนฮุ่ยใช้รั้วเตี้ยล้อมรอบเนินเขาหลายลูก ด้านในมีอาคารสองสามชั้นหลายหลัง นอกจากนี้ยังมีทุ่งขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชไม่รู้จักชื่อ บางส่วนมีโรงเรือนพลาสติกคลุม ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าเป็นวิลล่า จะต้องเข้าใจว่าที่นี่คือฟาร์มชานเมืองขนาดใหญ่แน่นอน ไม่ใช่สถานที่ฝึกบำเพ็ญแต่อย่างใด

ฟางหนิงไม่สนใจว่าที่นี่จะรกร้างหรือไม่ เขาปลอบใจ “บางทีถ้ามันตั้งอยู่ในภูเขา อาจทำให้พลังชีวิตมากขึ้น และอาจจะสะดวกต่อการฝึกบำเพ็ญของเราก็ได้นะครับ”

คิ้วประธานจ้าวถึงค่อยคลายออกจากกัน “คงจะเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ พวกเราตามพวกเขาเข้าไปเถอะ แต่ต้องคอยระวังตลอดนะ”

ฟางหนิงพยักหน้า ประธานจ้าวไม่ใช่คนกลัวความลำบากแน่นอน เพราะเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากมือเปล่า เขาเคยพูดกับฟางหนิงว่าตนเคยลำบากมากกว่านี้

ที่พักและอาหารที่นี่ก็ดีทีเดียว เพียงแต่คงเป็นเพราะประธานจ้าวเคยชินกับฝีมือปรุงอาหารของมนุษย์กลไกตัวแสดงแทนฟางหนิง จึงแสดงท่าทางไม่ชอบใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่เพราะเป็นผู้มาเยือน เขาคงแอบบอกให้ฟางหนิงไปแสดงฝีมือแล้ว

วันรุ่งขึ้นคือวันเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ

เมื่อฟางหนิงกับประธานจ้าวเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปถึงห้องเรียน ด้านในก็มีเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้น

“ประธานกัว สวัสดีๆ”

“ประธานเซี่ยก็มาด้วยหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ”

บทสนทนาทำนองนี้ทยอยดังมาไม่ขาด แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่อยากเปิดเผยสถานะ เสียงพูดจึงเบามาก

เมื่อสองคนเข้าไปก็มีคนทักทายพวกเขาเช่นกัน แต่ครั้งนี้เสียงไม่เบาเลย

“เหล่าจ้าว แกมาจริงๆ ด้วย! รู้อยู่แล้วว่าแกจะต้องมาก็เลยไม่ได้เรียก”

เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่งของห้องเรียนมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งส่วนสูงราว 160 เซนติเมตร และน้ำหนัก 200 กิโลกรัมกำลังร้องทักทายมาทางประธานจ้าว ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ส่งสายตาไม่พอใจ

ประธานจ้าวส่งสายตาขอโทษขอโพยคนรอบข้าง ก่อนจะโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางว่าไม่รู้จักชายอ้วนคนนี้

“แกจะแกล้งไปทำบ้าอะไรก็เศรษฐีใหม่บ้านๆ เหมือนกันหมอดนั่นแหละ จะแกล้งทำเป็นคนมีการศึกษาไปทำไมกัน” ตาอ้วนหลิวไขมันกระเพื่อมดึงประธานจ้าวไปนั่งข้างตัวเอง

ฟางหนิงรู้ดีว่าสองคนเป็นเพื่อนซี้เก่าแก่กัน จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธตาอ้วนหลิวได้ แม้ว่าการทำเรื่องนี้จะง่ายมากก็ตาม

ประธานจ้าวสีหน้ากังวล ก่อนหย่อนกายลงนั่งข้างตาอ้วนหลิว จากนั้นก็รีบเรียกฟางหนิงไปนั่งด้วย

“คนนี้คือว่าที่ลูกเขยที่แกหามาหรือ ใช้ได้ๆ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนเก่ง หมู่นี้ฉันแวะไปร้านอาหารตระกูลฟางของคุณหลายครั้ง เจ๋งจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่คุณลงมือทำอาหารเอง ไม่มีใครเทียบได้เลย น่าเสียดายที่จองยากเหลือเกิน” ตาอ้วนหลิวเป็นกันเองกับฟางหนิงยิ่งกว่ากับประธานจ้าวเสียอีก เอ่ยชมเขาไม่ขาดปาก

ฟางหนิงรู้ดีว่าเรื่องที่เขาพูดถึงจะเป็นมนุษย์กลไกที่แสดงแทนตัวเอง แต่ระบบไม่มีทางลงครัวทำอาหารต้อนรับแขกที่ไม่เกี่ยวข้อง

“สวัสดีครับประธานหลิว” ฟางหนิงทักทายด้วยความสุภาพ

ขณะที่ทั้งสามคนสนทนากัน ตอนนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่ง สีผิวคล้ำ รูปร่างกำยำแข็งแรงเดินเข้ามาในห้องเรียน

ผู้ชายคนนั้นยืนบนเวทีพลางกวาดตามองเหล่าเศรษฐีที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที สายตาฉายแววดูแคลนแวบหนึ่ง

“อืม” เสียงของเขาไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนตะลึง เสียงนั้นราวกับมีพลังทะลุจิตใจคน

เสียงซุบซิบในห้องเรียนเงียบกริบลงทันที

“ฉันแซ่สวี่ เรียกว่าครูฝึกสวี่ก็ได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้ฉันจะรับผิดชอบสอนพวกคุณ พูดตามจริงแล้ว สอนพวกคุณเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก แต่ใครใช้ให้ฉันแพ้เจ๊ไห่ที่สอนห้องข้างๆ ล่ะ เธอได้สอนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายทั่วประเทศ แต่ฉันกลับได้รับมอบหมายแค่ให้ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กับพวกคุณ”

เขาเพิ่งจะพูดจบ ชายวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบทองก็ยกมือขึ้นแสดงความต้องการว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

“คุณมีมารยาทมาก ก็ได้ ลุกขึ้นพูดเถอะ ”ครูฝึกสวี่ยืนพิงโต๊ะบรรยายเอ่ยเสียงเนือยๆ

ชายวัยกลางคนสวมแว่นยิ้มบาง “ครูฝึกสวี่ครับ ฉันคิดว่าการเคารพควรจะเกิดขึ้นจากสองฝ่าย ในเมื่อพวกเราจ่ายเงินค่าสมาชิกก้อนใหญ่มาเรียนที่นี่ เวลาคุณพูดขอให้ระวังน้ำเสียงหน่อยด้วยครับ”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ทุกคนฟังแล้วรู้สึกเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิ จิตใจพลันสงบทันที

ทว่าครูฝึกสวี่คล้ายกับไม่รู้สึกอะไร เพียงส่งยิ้มบางกลับไปให้ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดปัญหานี้ เอาล่ะ นี่คือครั้งแรกที่ฉันจะอธิบายและจะเป็นครั้งเดียวด้วย”

เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อครู่ที่ฉันพูดนั้นก็คือบทเรียนแรกสำหรับพวกคุณ”

“บทเรียนแรกก็คือ การเรียนรู้ว่าจะเคารพผู้แข็งแกร่งยุคใหม่อย่างไร!”

เขาพูดพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมไถเรียบ ใบหน้าชายหนุ่มสวมแว่นกรอบทองที่นั่งอยู่ห่างจากเขาไปเจ็ดแปดโต๊ะพลันมีฝ่ามือขนาดเท่าพัดใบลานฟาดลงบนหัวทันที!

ชายคนนั้นตกตะลึง เพียงแต่ฝ่ามือกลับหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงไม่กี่คืบ แต่สายลมที่กระพือเข้ามาก็เกือบจะพัดแว่นตาของเขาร่วงลงพื้น

ครูฝึกสวี่มองไปทางเขาพลางเอ่ย “ว่าไง คุณคงไม่คิดว่าฉันแค่ขู่ให้กลัวใช่ไหม ฉันบอกทุกคนได้เลย ถ้าหากฟาดจริงๆ ละก็ นักเรียนคนนี้สมองหายแน่นอน ต่อให้มีกล้องวงจรปิดก็ไม่มีทางที่ใครจะใช้กฎหมายปัจจุบันฟ้องฉันได้หรอก”

“เกินไปแล้ว”

“กล้าทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง”

คนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจเช่นกัน ชายคนนี้ช่วยพูดแทนพวกเขา จุดยืนของพวกเขาย่อมชัดเจน

ครูฝึกสวี่ส่ายหน้าท่าทางผิดหวัง “ทำไมหลายคนถึงยังไม่เข้าใจอีก ตอนนี้ฉันคือคนที่เบื้องบนยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่แล้วส่งมาสอนพวกคุณ ถึงได้ใจเย็นและไม่ตบหน้าเขาจริงๆ แต่น้ำเสียงเขาเมื่อครู่กลับปีนเกลียว ถ้าหากเจอกับผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณคิดว่าอีกฝ่ายจะยั้งมือไหมล่ะ”

ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นค่อยๆ นั่งลง ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แต่ไม่มีใครเห็นว่าหลังจากนั่งลงแล้ว แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายไป

เวลานี้เองฟางหนิงเองที่ขุ่นเคืองเช่นกันก็ได้ยินระบบเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเมื่อครู่มีจุดแดงกะพริบแวบหนึ่ง หรือว่ามีปีศาจผ่านมา”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ตอนนี้กำลังเรียน เงียบหน่อย อย่าเพิ่งครองร่างฉันก่อน บนเวทีมีคนกำลังเสแสร้งบางอย่าง พวกเราต้องให้ความร่วมมือกับเขาหน่อย…”

ระบบ “ถ้าเขาเสแสร้งใส่พวกเราบ้างจะทำไงล่ะ”

ฟางหนิง “สู้กลับ! อย่าเปิดเผยสถานะเป็นใช้ได้”

…………………………………………………….

บทที่ 66 เสแสร้งถึงตัวเราก็ต้องสู้กลับ

ฟางหนิงพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ระบบที่กำลังง่วนกับการจับหัวขโมยเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะการไปเมืองจี้เพื่อเข้าร่วมสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐี

“ถึงเวลาที่จะออกไปดูระดับปีศาจในใต้หล้าแล้ว”

ตอนแรกฟางหนิงประหลาดใจที่โมดูลอัศวินเปิดแล้วและชื่อเสียงถึงขั้น ‘ชื่อเสียงขจรขจาย’ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเกิดปัญหาชื่อเสียงหายไปหลังจากเปลี่ยนสถานที่ ทำไมหัวหน้าระบบไม่เคยเสนอเปลี่ยนสถานที่จับปีศาจล่ะ

ระบบเอ่ยต่อ “สถานที่อื่นไม่ได้เปิดแผนที่จึงมองไม่เห็นปีศาจ ต้องให้ปีศาจเข้าใกล้ ระบบจะอาศัยพลังงานรับรู้ แผนที่ถึงจะแสดงปีศาจได้

ขณะที่ไปจับในสถานที่อื่น ถ้าหากจับได้ถึงระดับมิตรภาพขั้นความนับถือในพื้นที่ ก็จะกลายเป็นเจ้าของพื้นที่ สามารถยับยั้งคู่ต่อสู้ที่ใช้จิตใจของคนเป็นพื้นฐานการฝึกบำเพ็ญได้มาก อย่างเช่นเฉียวจื่อซานที่ฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ถ้าหากเป็นศัตรูกับพวกเราต่อสู้ที่เมืองฉีละก็ ความสามารถของพวกเขาจะลดฮวบลง”

ฟางหนิงฟังถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นมาก ใครกันจะไม่อยากได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในชนบท อีกทั้งยังหมายความว่าได้เพิ่มความสามารถการต่อสู้ มีทางหนีทีไล่เพิ่มขึ้น

เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “แกเหมือนยาสีฟันจริงๆ ถามนิดนึงก็ตอบนิดนึง ครั้งที่แล้วแกก็พูดชัดแล้ว ฉันวางแผนให้ได้ไม่ใช่หรือ”

ไม่รอให้ระบบได้โต้ตอบ เขาก็ถามต่อไป “งั้นแผนที่ระบบของสถานที่อื่นจะเปิดได้อย่างไร”

ระบบ “แผนที่ใกล้เคียงสถานที่เกิดมอบให้ฟรี แผนที่สถานที่อื่นไม่ใช่เดินรอบๆ แล้วจะแสดงสถานการณ์ที่นั่นได้แบบเรียลไทม์ และต้องถึงระดับมิตรภาพที่เกี่ยวข้องกับในพื้นที่นั้นถึงจะได้รับ

ระดับมิตรภาพในพื้นที่มีห้าขั้นตอน ได้แก่ ความเกลียดชังในพื้นที่, ความเป็นกลางในพื้นที่, มิตรภาพในพื้นที่, ความไว้ใจในพื้นที่, ความนับถือในพื้นที่ บางทีอาจมีระดับมิตรภาพที่แอบซ่อน ซึ่งต้องอาศัยคุณแอคติเวท ต้องถึงระดับความไว้ใจในพื้นที่ถึงจะได้รับแผนที่ในพื้นที่แห่งนั้น ต่อไปถึงจะค้นหาภูมิประเทศและสถานการณ์ปีศาจที่นั่นได้แบบเรียลไทม์”

ตอนแรกฟางหนิงรู้สึกประหลาด แต่จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ดูท่าการตั้งค่ากฎของนายท่านระบบจะเกี่ยวข้องกับอัศวินทุกจุด เช่น ถ้าทำผิดในที่หนึ่งก็จะไม่อำนวยความสะดวกใดๆ ให้ ต้องทำความดีถึงจะเปิดแผนที่ในพื้นที่นั้นให้ เพื่อสะดวกในการค้นหาคนที่ทำชั่ว

ฟางหนิง “งั้นระดับมิตรภาพในเมืองฉีของพวกเราอยู่ระดับไหนแล้วล่ะ”

ระบบ “เพิ่งผ่านระดับความไว้ใจพื้นที่ ยังห่างกับขั้นนับถืออีกมากโข”

ฟางหนิงพยักหน้า เมื่อเทียบกับเรื่องที่ทำที่นี่ น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณนี้

ฟางหนิง “งั้นพวกเราต้องไปเมืองจี้ ระดับมิตรภาพในพื้นที่นั้นอยู่ที่ขั้นตอนไหนแล้วล่ะ”

ระบบ “จัดอยู่ในขั้นมิตรภาพในพื้นที่ หลังจากกำจัดมารร้ายตระกูลไป๋ได้ ช่วยพวกเขากำจัดกลุ่มมารกินคน”

ฟางหนิง “ห่างจากขั้นความไว้ใจอีกไกลไหม”

ระบบ “น่าจะต้องจับอย่างน้อยสองเดือนกระมัง”

ฟางหนิงครุ่นคิด เมืองฉีห่างกับเมืองจี้ไม่มากนัก ถ้าหากระบบแปลงเป็นมังกรบินไปกลับ ใช้ความเร็วเหนือเสียงก็จะไม่ถึง 20 นาที ใกล้กว่าคนส่วนใหญ่ออกจากบ้านไปทำงานเสียอีก

อีกอย่างที่นั่นมีประชากรมากถึง 20 กว่าล้านคน และยังเป็นมหานครนานาชาติ ใช้เป็นฐานทัพจับปีศาจสาขาสองได้ สล็อตพลังปราณที่ใช้ไปคาดว่าจับแค่ไม่กี่วันก็คงได้คืนแล้ว แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ วิ่งด้วยความเร็วสูงในรูปลักษณ์คนก็ไม่ถึงสองชั่วโมง

ฟางหนิงเอ่ยขึ้น “งั้นไปครั้งนี้ พวกเราจะไปอยู่ชั่วคราว ให้มนุษย์กลไกตัวแสดงแทนกลับมาก็ได้ ร่องรอยกิจกรรมระหว่างสองสถานะจะได้ไม่เหมือนกันเกินไป ฟางหนิงไปที่ไหน อัศวิน A ก็ตามไปที่นั่น ฟางหนิงกลับมา อัศวิน A ก็กลับมา”

ระบบ “ตกลง”

…………

วันรุ่งขึ้นฟางหนิงกับประธานจ้าวพร้อมคนติดตามก็เร่งเดินทางไปที่เมืองจี้ ถึงจุดหมายแล้วพวกเขาก็ตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปยังวิลล่าเทียนฮุ่ยในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งของเมือง แต่เมื่อลงรถประธานจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที

ประธานจ้าว “ทำไมถึงดูรกร้างอย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่น่าเชื่อถือมากแนะนำมา แถมป้าของเธอก็บอกว่าไม่มีปัญหา ฉันคงคิดว่าเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งอันตรายมากด้วย ต้องระวังมากขึ้นหน่อยแล้ว”

ฟางหนิงลงรถตามมา ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ที่นี่เหมือนกับสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขา ทั้งสี่ด้านโอบล้อมด้วยเนินเขาสูงต่ำเป็นทิวแถว สีเขียวบนภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงต่างจากฤดูหนาวไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เหี่ยวแห้ง มีเพียงถนนสายเดียวที่ผ่านภูเขาเพื่อเข้ามาที่แห่งนี้

วิลล่าเทียนฮุ่ยใช้รั้วเตี้ยล้อมรอบเนินเขาหลายลูก ด้านในมีอาคารสองสามชั้นหลายหลัง นอกจากนี้ยังมีทุ่งขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชไม่รู้จักชื่อ บางส่วนมีโรงเรือนพลาสติกคลุม ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าเป็นวิลล่า จะต้องเข้าใจว่าที่นี่คือฟาร์มชานเมืองขนาดใหญ่แน่นอน ไม่ใช่สถานที่ฝึกบำเพ็ญแต่อย่างใด

ฟางหนิงไม่สนใจว่าที่นี่จะรกร้างหรือไม่ เขาปลอบใจ “บางทีถ้ามันตั้งอยู่ในภูเขา อาจทำให้พลังชีวิตมากขึ้น และอาจจะสะดวกต่อการฝึกบำเพ็ญของเราก็ได้นะครับ”

คิ้วประธานจ้าวถึงค่อยคลายออกจากกัน “คงจะเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ พวกเราตามพวกเขาเข้าไปเถอะ แต่ต้องคอยระวังตลอดนะ”

ฟางหนิงพยักหน้า ประธานจ้าวไม่ใช่คนกลัวความลำบากแน่นอน เพราะเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากมือเปล่า เขาเคยพูดกับฟางหนิงว่าตนเคยลำบากมากกว่านี้

ที่พักและอาหารที่นี่ก็ดีทีเดียว เพียงแต่คงเป็นเพราะประธานจ้าวเคยชินกับฝีมือปรุงอาหารของมนุษย์กลไกตัวแสดงแทนฟางหนิง จึงแสดงท่าทางไม่ชอบใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่เพราะเป็นผู้มาเยือน เขาคงแอบบอกให้ฟางหนิงไปแสดงฝีมือแล้ว

วันรุ่งขึ้นคือวันเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ

เมื่อฟางหนิงกับประธานจ้าวเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปถึงห้องเรียน ด้านในก็มีเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้น

“ประธานกัว สวัสดีๆ”

“ประธานเซี่ยก็มาด้วยหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ”

บทสนทนาทำนองนี้ทยอยดังมาไม่ขาด แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่อยากเปิดเผยสถานะ เสียงพูดจึงเบามาก

เมื่อสองคนเข้าไปก็มีคนทักทายพวกเขาเช่นกัน แต่ครั้งนี้เสียงไม่เบาเลย

“เหล่าจ้าว แกมาจริงๆ ด้วย! รู้อยู่แล้วว่าแกจะต้องมาก็เลยไม่ได้เรียก”

เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่งของห้องเรียนมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งส่วนสูงราว 160 เซนติเมตร และน้ำหนัก 200 กิโลกรัมกำลังร้องทักทายมาทางประธานจ้าว ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ส่งสายตาไม่พอใจ

ประธานจ้าวส่งสายตาขอโทษขอโพยคนรอบข้าง ก่อนจะโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางว่าไม่รู้จักชายอ้วนคนนี้

“แกจะแกล้งไปทำบ้าอะไรก็เศรษฐีใหม่บ้านๆ เหมือนกันหมอดนั่นแหละ จะแกล้งทำเป็นคนมีการศึกษาไปทำไมกัน” ตาอ้วนหลิวไขมันกระเพื่อมดึงประธานจ้าวไปนั่งข้างตัวเอง

ฟางหนิงรู้ดีว่าสองคนเป็นเพื่อนซี้เก่าแก่กัน จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธตาอ้วนหลิวได้ แม้ว่าการทำเรื่องนี้จะง่ายมากก็ตาม

ประธานจ้าวสีหน้ากังวล ก่อนหย่อนกายลงนั่งข้างตาอ้วนหลิว จากนั้นก็รีบเรียกฟางหนิงไปนั่งด้วย

“คนนี้คือว่าที่ลูกเขยที่แกหามาหรือ ใช้ได้ๆ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนเก่ง หมู่นี้ฉันแวะไปร้านอาหารตระกูลฟางของคุณหลายครั้ง เจ๋งจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่คุณลงมือทำอาหารเอง ไม่มีใครเทียบได้เลย น่าเสียดายที่จองยากเหลือเกิน” ตาอ้วนหลิวเป็นกันเองกับฟางหนิงยิ่งกว่ากับประธานจ้าวเสียอีก เอ่ยชมเขาไม่ขาดปาก

ฟางหนิงรู้ดีว่าเรื่องที่เขาพูดถึงจะเป็นมนุษย์กลไกที่แสดงแทนตัวเอง แต่ระบบไม่มีทางลงครัวทำอาหารต้อนรับแขกที่ไม่เกี่ยวข้อง

“สวัสดีครับประธานหลิว” ฟางหนิงทักทายด้วยความสุภาพ

ขณะที่ทั้งสามคนสนทนากัน ตอนนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่ง สีผิวคล้ำ รูปร่างกำยำแข็งแรงเดินเข้ามาในห้องเรียน

ผู้ชายคนนั้นยืนบนเวทีพลางกวาดตามองเหล่าเศรษฐีที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที สายตาฉายแววดูแคลนแวบหนึ่ง

“อืม” เสียงของเขาไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนตะลึง เสียงนั้นราวกับมีพลังทะลุจิตใจคน

เสียงซุบซิบในห้องเรียนเงียบกริบลงทันที

“ฉันแซ่สวี่ เรียกว่าครูฝึกสวี่ก็ได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้ฉันจะรับผิดชอบสอนพวกคุณ พูดตามจริงแล้ว สอนพวกคุณเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก แต่ใครใช้ให้ฉันแพ้เจ๊ไห่ที่สอนห้องข้างๆ ล่ะ เธอได้สอนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายทั่วประเทศ แต่ฉันกลับได้รับมอบหมายแค่ให้ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กับพวกคุณ”

เขาเพิ่งจะพูดจบ ชายวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบทองก็ยกมือขึ้นแสดงความต้องการว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

“คุณมีมารยาทมาก ก็ได้ ลุกขึ้นพูดเถอะ ”ครูฝึกสวี่ยืนพิงโต๊ะบรรยายเอ่ยเสียงเนือยๆ

ชายวัยกลางคนสวมแว่นยิ้มบาง “ครูฝึกสวี่ครับ ฉันคิดว่าการเคารพควรจะเกิดขึ้นจากสองฝ่าย ในเมื่อพวกเราจ่ายเงินค่าสมาชิกก้อนใหญ่มาเรียนที่นี่ เวลาคุณพูดขอให้ระวังน้ำเสียงหน่อยด้วยครับ”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ทุกคนฟังแล้วรู้สึกเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิ จิตใจพลันสงบทันที

ทว่าครูฝึกสวี่คล้ายกับไม่รู้สึกอะไร เพียงส่งยิ้มบางกลับไปให้ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดปัญหานี้ เอาล่ะ นี่คือครั้งแรกที่ฉันจะอธิบายและจะเป็นครั้งเดียวด้วย”

เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อครู่ที่ฉันพูดนั้นก็คือบทเรียนแรกสำหรับพวกคุณ”

“บทเรียนแรกก็คือ การเรียนรู้ว่าจะเคารพผู้แข็งแกร่งยุคใหม่อย่างไร!”

เขาพูดพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมไถเรียบ ใบหน้าชายหนุ่มสวมแว่นกรอบทองที่นั่งอยู่ห่างจากเขาไปเจ็ดแปดโต๊ะพลันมีฝ่ามือขนาดเท่าพัดใบลานฟาดลงบนหัวทันที!

ชายคนนั้นตกตะลึง เพียงแต่ฝ่ามือกลับหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงไม่กี่คืบ แต่สายลมที่กระพือเข้ามาก็เกือบจะพัดแว่นตาของเขาร่วงลงพื้น

ครูฝึกสวี่มองไปทางเขาพลางเอ่ย “ว่าไง คุณคงไม่คิดว่าฉันแค่ขู่ให้กลัวใช่ไหม ฉันบอกทุกคนได้เลย ถ้าหากฟาดจริงๆ ละก็ นักเรียนคนนี้สมองหายแน่นอน ต่อให้มีกล้องวงจรปิดก็ไม่มีทางที่ใครจะใช้กฎหมายปัจจุบันฟ้องฉันได้หรอก”

“เกินไปแล้ว”

“กล้าทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง”

คนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจเช่นกัน ชายคนนี้ช่วยพูดแทนพวกเขา จุดยืนของพวกเขาย่อมชัดเจน

ครูฝึกสวี่ส่ายหน้าท่าทางผิดหวัง “ทำไมหลายคนถึงยังไม่เข้าใจอีก ตอนนี้ฉันคือคนที่เบื้องบนยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่แล้วส่งมาสอนพวกคุณ ถึงได้ใจเย็นและไม่ตบหน้าเขาจริงๆ แต่น้ำเสียงเขาเมื่อครู่กลับปีนเกลียว ถ้าหากเจอกับผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณคิดว่าอีกฝ่ายจะยั้งมือไหมล่ะ”

ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นค่อยๆ นั่งลง ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แต่ไม่มีใครเห็นว่าหลังจากนั่งลงแล้ว แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายไป

เวลานี้เองฟางหนิงเองที่ขุ่นเคืองเช่นกันก็ได้ยินระบบเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเมื่อครู่มีจุดแดงกะพริบแวบหนึ่ง หรือว่ามีปีศาจผ่านมา”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ตอนนี้กำลังเรียน เงียบหน่อย อย่าเพิ่งครองร่างฉันก่อน บนเวทีมีคนกำลังเสแสร้งบางอย่าง พวกเราต้องให้ความร่วมมือกับเขาหน่อย…”

ระบบ “ถ้าเขาเสแสร้งใส่พวกเราบ้างจะทำไงล่ะ”

ฟางหนิง “สู้กลับ! อย่าเปิดเผยสถานะเป็นใช้ได้”

…………………………………………………….

บทที่ 65 สโมสรฝึกบำเพ็ญเปิดรับสมัคร

ฟางหนิงอาศัยการปรากฏตัวของพระโพธิสัตว์ราชาผีชี้แนะให้จับบอสใหญ่ เวลาผ่านไปนาน ความเสี่ยงที่แฝงอยู่ก็ยิ่งสูง ถ้าหากพระโพธิสัตว์ราชาผีที่ปรากฏตัวครั้งนี้เป็นบุคคลอันตราย สถานะอัศวิน A นี้ต่อให้เล่นจนพลาด ตอนที่ปะทะกับอีกฝ่าย บรรพบุรุษตระกูลไป๋จะต้องฉวยโอกาสลอบโจมตีเป็นแน่ พวกเขาทำได้แค่เปลี่ยนตัวละคร

เขาบอกอย่างจริงจัง ว่าระบบจะเอาแต่คิดเรื่องจับบอสระเบิดชุดทองอย่างเดียวไม่ได้ เป็นคน ไม่สิ เป็นระบบก็ต้องอยู่กับความจริง ต้องคอยเก็บตัวเหมือนก่อน ตั้งใจจับปีศาจและขยันอัปเลเวล รอจนถึงเวลาเมื่อไรที่จับบอสแล้วไม่ต่างกับจับปีศาจลิ่วล้อ ค่อยมาจัดการฆ่าบอสเก็บไอเท็มล้ำค่า ทว่านี่เป็นชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เกม บอสใหญ่จะรวมตัวกันเรียกเพื่อนมาช่วย และสำคัญที่สุดก็คือจะไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพอีก

ฟางหนิงสั่งสอนระบบชุดใหญ่ ให้เลิกยึดติดกับซุปเปอร์บอส แล้วเลือกที่จะพัฒนาฝึกฝนต่อไปอย่างเรียบง่าย และเขาเองก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันตอกบัตรเข้างานตามเวลาเดิม เลิกงานอยู่บ้านเล่นเกมได้ตามปกติเสียที

เรื่องจับบอสใหญ่ทั้งหมดในครั้งนี้ นอกจากการทดสอบขีดจำกัดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งในปัจจุบันแล้ว ฟางหนิงยังมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากๆ นั่นไม่ควรไปแตะคัมภีร์เล่มนี้เข้าเป็นอันขาด! เพราะมันมักจะเป็นสาเหตุให้อินเทอร์เน็ตและไฟดับ

หลังจากเรื่องนั้น แม้ว่าจะไม่ได้อะไรมากนัก แต่หัวหน้าระบบยังให้รางวัลเขาด้วยการปล่อยให้ร่างกายเป็นอิสระ ในเมื่อสุดท้ายแล้วยังคงเป็นเพราะคำแนะนำของเขา จึงได้รับคัมภีร์ลับหายากนั่นมา

แน่นอนว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือฟางหนิงพูดนั่นนี่มากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะพักผ่อนให้มากขึ้น หลายวันนี้เอาแต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ไม่ได้โต้ตอบกับผู้คนจนรู้สึกว่าสมองเชื่องช้า และหากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าสมองจะฝ่อไปในที่สุด

สามวันต่อมา ฟางหนิงก็วาง ‘คัมภีร์โพธิ์’ ที่เข้าใจได้ยากลง และยังหลอกหัวหน้าระบบว่าจะใช้เวลาพักผ่อน ไม่ให้ระบบติดตามตัวเอง ให้เขาได้ฝึกเองก่อน ปล่อยให้เขามีความเป็นส่วนตัวเต็มที่และมีเวลาอิสระเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

วิธีการใช้ชีวิตอย่างอิสระของฟางหนิงก็คือใช้เวลาในการพักผ่อนด้วยการไปไปร้านหนังสือใหญ่ที่สุดในเมืองเพื่อซื้อนิยายกองหนึ่ง

ใช่แล้ว การใช้ชีวิตอิสระที่เขาเรียก แท้จริงแล้วก็คือการเตรียมพร้อมเผื่อวันหลังถูกขังในห้องมืดพื้นที่ระบบนั่นเอง

ฟางหนิงแต่งตัวตามสไตล์เศรษฐีขี้อวด เสื้อผ้าแบรนด์ Armani กับรองเท้า Adidas มีคนเดินขนาบข้างซ้ายขวาสองคน เดินอกผายไหล่ผึ่งเข้าไปในร้านหนังสือ

ด้านนอกมีรถจอดอยู่สองคัน คันหนึ่งเป็นรถหรู อีกคันเป็นรถบรรทุก โอตาคุอย่างฟางหนิงไม่มีทางเรียนขับรถ สองคนนี้คือคนขับรถของร้าน และรถก็เป็นทรัพย์สินของร้าน

เมื่อเขาพาทั้งสองเข้าไปในร้านหนังสือก็เห็นว่าพนักงานร้านสาวสวยคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ นี่คือเศรษฐีหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ มาซื้อหนังสือกลับไปโอ้อวดกองโตเลยสินะ กิจการจะต้องรุ่งเรืองมากแน่นอน!

“คุณลูกค้า ต้องการหนังสือเล่มไหนหรือคะ ให้ฉันช่วยแนะนำไหมคะ”

ฟางหนิง “ไม่เป็นไรครับ ผมหาหนังสือนิยายออนไลน์ที่ออกใหม่ คุณไปทำงานเถอะครับ”

พนักงานผิดหวังเล็กน้อย ถึงอย่างไรหนังสือคลาสสิกก็เหมาะกับความต้องการโอ้อวดมากที่สุด หนังสือชุดหนึ่งแพงหูฉี่ หนังสือคลาสสิกเลียนแบบของเก่ามีมากมายหาไม่ยาก ถ้าเศรษฐีคนนี้ให้เธอแนะนำหนังสือล่ะก็… เธอคงแนะนำหนังสือชุดแพงๆ ได้หลายชุดแน่นอน

นึกไม่ถึงว่าสไตล์การโอ้อวดของเศรษฐีคนนี้จะต่างกับคนทั่วไป นิยายออนไลน์เป็นหนังสือใหม่ทั้งนั้น ทั้งยังหนาและหนัก ชุดหนึ่งก็ราคาไม่แพงมาก แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงพูดจาด้วยความสุภาพ “คุณลูกค้า นิยายออนไลน์ออกใหม่อยู่ที่ชั้นนี้ค่ะ”

ฟางหนิงเดินไปตามทางที่พนักงานร้านบอก มีหนังสือนิยายวางเรียงแน่นเป็นแถว แต่ละปกสีสันสวยงามละลานตา

“เล่มนี้เพิ่งอ่านจบ” ฟางหนิงเดินไปหยิบเล่มหนึ่งออกมาให้พนักงานที่ตามมา

“เล่มนี้ตอนจบห่วยมาก” เขาหยิบออกมาอีกเล่ม

“เล่มนี้ตอนท้ายเขียนไม่จบตั้งนานแล้ว” และอีกเล่ม

ฟางหนิงเลือกหนังสือแล้วดึงออกมาทีละเล่ม

สุดท้ายเขาก็หยิบหนังสือออกมานับสิบกว่าเล่มแล้วถือไปวางที่เคาน์เตอร์

พนักงานสาวสวยผิดหวังมาก แต่ยังคงยิ้มแย้มรักษามารยาทเอาไว้ “คุณลูกค้า ฉันจะสแกนราคาหนังสือให้คุณดูค่ะ”

ฟางหนิงรู้สึกพอใจแต่ภายนอกกลับส่ายหน้า ชี้นิ้วไปที่ชั้นหนังสือพลางเอ่ยขึ้น “นอกจากหนังสือพวกนี้ หนังสือออนไลน์บนชั้นนั้นของพวกคุณ ขอให้ผมทุกเล่ม ปกละหนึ่งเล่มไม่ซ้ำกัน”

พนักงานสาวสวยประหลาดใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นท่าทางดีใจ สุดท้ายก็คิดว่า พวกชอบอวดรวยจริงๆ เหมือนพล็อตคลาสสิกเศรษฐีที่ชอบไปซื้อเสื้อผ้าในหนังสินะ เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่สนใจเสื้อผ้า กลับมาอวดรวยที่ร้านหนังสือแทน

“ค่ะๆ ฉันจะรีบให้คนขนไปให้ที่รถค่ะ” พนักงานสาวพยักหน้า

ขายหนังสือได้พันเล่มในคราวเดียวก็ทำเงินได้ไม่น้อย ถ้าเขาจะอวดรวยก็โอเค

พนักงานสาวคิดเงิน ดีใจจนหน้าบาน เศรษฐีที่มีรสนิยมพิเศษ ดูเหมือนจะกวาดซื้อนิยายออนไลน์ออกใหม่ทุกเล่ม นับรวมเป็นพันเล่มเลยทีเดียว ตอนที่คิดเงินจึงมากถึงแสนกว่าหยวน เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ทำเงินเข้ากระเป๋าได้หนักจริงๆ!

ตลอดเวลาที่ไปซื้อหนังสือ ระบบราวกับไม่มีตัวตน ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

แต่เมื่อฟางหนิงเตรียมจะรูดบัตรเครดิต ระบบกลับแย้งขึ้น

ระบบ “อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย ถ้าฉันไม่ตกลง โฮสต์จะเอาของพวกนี้เข้าไปในพื้นที่ระบบไม่ได้ ซื้อเยอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์…”

ฟางหนิงอึ้ง มองหนังสือที่ขนไปยังรถบรรทุก และยังมีพนักงานที่กำลังฉีกยิ้ม กัดฟันพูด “แกจะจับตาดูฉันตลอดใช่ไหม อยากเห็นฉันขายหน้าหรือไง ไม่ให้วางในพื้นที่ระบบ ฉันซื้อไปวางที่บ้านไม่ได้หรือไง!”

ระบบ “โฮสต์อยากจะซื้อหนังสือนิยายออนไลน์พวกนี้อวดรวยก็เชิญเลย เพราะถึงยังไง โฮสต์ฏ้ใช้งบทั้งสามเดือนหมดเกลี้ยงแล้ว…”

ในที่สุดพนักงานสาวสวยก็ไม่ต้องผิดหวัง เธอส่งเศรษฐีขี้อวดคนนี้กลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็สองสัปดาห์แล้ว

วันนี้ ฟางหนิงฉวยโอกาสที่ระบบกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บค่าความยุติธรรม มา แอบทำงาน อ่านนิยาย และเล่นเกม ในตอนนั้นเอง QQ ที่มุมขวาล่างของคอมพิวเตอร์ก็กะพริบ

ฟางหนิงเปิดกล่องข้อความ QQ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นประธานจ้าว มีเรื่องอะไรกันนะ

ว่าที่พ่อตาคนนี้มากินข้าวฟรีสัปดาห์ละครั้ง มนุษย์กลไกระดับสูงที่เป็นตัวแทนฟางหนิงคอยแสดงแทนและคอยต้อนรับอย่างสุภาพตลอด ยังจะมีเรื่องอะไรอีก

ปัญหาเดียวก็คืออีกฝ่ายเห็นห้องหนังสือของเขามีนิยายออนไลน์วางเรียงรายอย่างอลังการแล้ว ก็ส่ายหัวถอนหายใจอยู่นาน และเอ่ยหลายครั้งว่าจะแนะนำหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้ แต่รสนิยมกลับไม่ตรงกัน

ฟางหนิงรีบปฏิเสธ ในใจคิดว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพถูกครองร่าง หนังสือคำคมคงไม่ได้ช่วยอะไร

ประธานจ้าวกำลังพิมพ์ “ลูกเขย ไม่ใช่ๆ เมื่อกี้การป้อนคำมีปัญหา หลานชาย หมู่นี้ฉันได้ยินมาว่าในประเทศเรามีสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีกำลังรับสมัครสมาชิกทั่วประเทศ ฉันรู้สึกว่าฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ คืบหน้าไปช้ามาก อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเรียนไม่ไหว…

แม่ยาย ไม่ใช่สิ ภรรยาฉันน่ะบอกว่าพวกเราน่าจะลองไปฟังดู ที่นั่นมีวิธีฝึกบำเพ็ญพื้นฐาน ไม่ได้หลอกลวงเลยนะ ค่าสมาชิกหนึ่งปี 8,888,888 หยวน หนึ่งปีเรียน 12 คลาส เดือนละครั้ง ครั้งละสัปดาห์ ฉันช่วยจ่ายค่าสมาชิกให้แล้ว อีกสองวันพวกเราไปเรียนกันเถอะ สถานที่คือวิลล่าเทียนฮุ่ยเขตชานเมืองXX เมืองจี้ ถึงตอนนั้นจะอยู่ที่นั่นหนึ่งสัปดาห์”

ฟางหนิงกลุ้มใจ ว่าที่พ่อตาคงจะมองตัวเองทะลุปรุโปร่งแน่ๆ รู้ดีว่าถ้าถามว่าเขาจะไปไหม โอตาคุอย่างเขาจะต้องปฏิเสธทันควัน

จัดการเรื่องเรื่องเรียบร้อยหมดแล้ว จะบอกให้เขาไปขอเงินคืนได้อย่างไรกัน

ฟางหนิงพิมพ์ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “ขอบคุณที่หวังดีครับ ทำให้คุณลุงต้องหนักใจแล้ว ส่วนเงินผมจะให้พวกเขาโอนเงินจากบัญชีบริษัทคืนไปให้เดือนหน้านะครับ ผมไม่รบกวนหรอกครับ”

เขาจะต้องเห็นด้วย เพราะบางทีระบบก็ออกไปจับปีศาจ ขี้เกียจก็ส่วนขี้เกียจ แต่เขาก็ยังมองการณ์ไกลถึงอนาคต

ประธานจ้าว “ไม่ต้องคืนเงินหรอก คนกันเองทั้งนั้น เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปรับ ไม่ต้องเตรียมของใช้สำหรับการเดินทางนะ คุณป้ากับเหยาเหยาเตรียมให้เธอหมดแล้ว”

ฟางหนิงคิดในใจ ก็ดีเหมือนกัน มนุษย์กลไกระดับสูงเจ๋งมาก ดูแลครอบครัวประธานจ้าวทำให้พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองเพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยปกติ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมนุษย์กลไกนั่นเลียนแบบนิสัยตัวเองได้ทั้งหมด เมื่อกลับมาเป็นตัวจริงก็ยังเหมือนกัน ครอบครัวประธานจ้าวไม่มีทางสังเกตเห็นความผิดปกติหรอก

ฟางหนิง “งั้นฝากขอบคุณเธอด้วยครับ ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”

ประธานจ้าวคิด ‘ห่วงแต่เล่นอีกแล้วสินะ ไอ้เด็กคนนี้’

ฟางหนิงคิด ‘ระบบกลับมาแล้ว…’

“แค่กๆ อย่างนี้ ต้องการม้าดี ต้องทำให้ม้าดีมีใจชอบธรรม ถึงจะเป็นม้าดีได้ อ้อ หลายคำนี้ต้องไปค้นหาในอินเทอร์เน็ต…”

ระบบเห็นโฮสต์ไม่ได้แอบอู้ เพียงแต่ความรู้พื้นฐานภาษาโบราณยังต้องพัฒนา มันจึงไปจับหัวขโมยนักล้วงกระเป๋าต่อไป

…………………………………………..

บทที่ 65 สโมสรฝึกบำเพ็ญเปิดรับสมัคร

ฟางหนิงอาศัยการปรากฏตัวของพระโพธิสัตว์ราชาผีชี้แนะให้จับบอสใหญ่ เวลาผ่านไปนาน ความเสี่ยงที่แฝงอยู่ก็ยิ่งสูง ถ้าหากพระโพธิสัตว์ราชาผีที่ปรากฏตัวครั้งนี้เป็นบุคคลอันตราย สถานะอัศวิน A นี้ต่อให้เล่นจนพลาด ตอนที่ปะทะกับอีกฝ่าย บรรพบุรุษตระกูลไป๋จะต้องฉวยโอกาสลอบโจมตีเป็นแน่ พวกเขาทำได้แค่เปลี่ยนตัวละคร

เขาบอกอย่างจริงจัง ว่าระบบจะเอาแต่คิดเรื่องจับบอสระเบิดชุดทองอย่างเดียวไม่ได้ เป็นคน ไม่สิ เป็นระบบก็ต้องอยู่กับความจริง ต้องคอยเก็บตัวเหมือนก่อน ตั้งใจจับปีศาจและขยันอัปเลเวล รอจนถึงเวลาเมื่อไรที่จับบอสแล้วไม่ต่างกับจับปีศาจลิ่วล้อ ค่อยมาจัดการฆ่าบอสเก็บไอเท็มล้ำค่า ทว่านี่เป็นชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เกม บอสใหญ่จะรวมตัวกันเรียกเพื่อนมาช่วย และสำคัญที่สุดก็คือจะไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพอีก

ฟางหนิงสั่งสอนระบบชุดใหญ่ ให้เลิกยึดติดกับซุปเปอร์บอส แล้วเลือกที่จะพัฒนาฝึกฝนต่อไปอย่างเรียบง่าย และเขาเองก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันตอกบัตรเข้างานตามเวลาเดิม เลิกงานอยู่บ้านเล่นเกมได้ตามปกติเสียที

เรื่องจับบอสใหญ่ทั้งหมดในครั้งนี้ นอกจากการทดสอบขีดจำกัดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งในปัจจุบันแล้ว ฟางหนิงยังมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากๆ นั่นไม่ควรไปแตะคัมภีร์เล่มนี้เข้าเป็นอันขาด! เพราะมันมักจะเป็นสาเหตุให้อินเทอร์เน็ตและไฟดับ

หลังจากเรื่องนั้น แม้ว่าจะไม่ได้อะไรมากนัก แต่หัวหน้าระบบยังให้รางวัลเขาด้วยการปล่อยให้ร่างกายเป็นอิสระ ในเมื่อสุดท้ายแล้วยังคงเป็นเพราะคำแนะนำของเขา จึงได้รับคัมภีร์ลับหายากนั่นมา

แน่นอนว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือฟางหนิงพูดนั่นนี่มากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะพักผ่อนให้มากขึ้น หลายวันนี้เอาแต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ไม่ได้โต้ตอบกับผู้คนจนรู้สึกว่าสมองเชื่องช้า และหากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าสมองจะฝ่อไปในที่สุด

สามวันต่อมา ฟางหนิงก็วาง ‘คัมภีร์โพธิ์’ ที่เข้าใจได้ยากลง และยังหลอกหัวหน้าระบบว่าจะใช้เวลาพักผ่อน ไม่ให้ระบบติดตามตัวเอง ให้เขาได้ฝึกเองก่อน ปล่อยให้เขามีความเป็นส่วนตัวเต็มที่และมีเวลาอิสระเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

วิธีการใช้ชีวิตอย่างอิสระของฟางหนิงก็คือใช้เวลาในการพักผ่อนด้วยการไปไปร้านหนังสือใหญ่ที่สุดในเมืองเพื่อซื้อนิยายกองหนึ่ง

ใช่แล้ว การใช้ชีวิตอิสระที่เขาเรียก แท้จริงแล้วก็คือการเตรียมพร้อมเผื่อวันหลังถูกขังในห้องมืดพื้นที่ระบบนั่นเอง

ฟางหนิงแต่งตัวตามสไตล์เศรษฐีขี้อวด เสื้อผ้าแบรนด์ Armani กับรองเท้า Adidas มีคนเดินขนาบข้างซ้ายขวาสองคน เดินอกผายไหล่ผึ่งเข้าไปในร้านหนังสือ

ด้านนอกมีรถจอดอยู่สองคัน คันหนึ่งเป็นรถหรู อีกคันเป็นรถบรรทุก โอตาคุอย่างฟางหนิงไม่มีทางเรียนขับรถ สองคนนี้คือคนขับรถของร้าน และรถก็เป็นทรัพย์สินของร้าน

เมื่อเขาพาทั้งสองเข้าไปในร้านหนังสือก็เห็นว่าพนักงานร้านสาวสวยคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ นี่คือเศรษฐีหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ มาซื้อหนังสือกลับไปโอ้อวดกองโตเลยสินะ กิจการจะต้องรุ่งเรืองมากแน่นอน!

“คุณลูกค้า ต้องการหนังสือเล่มไหนหรือคะ ให้ฉันช่วยแนะนำไหมคะ”

ฟางหนิง “ไม่เป็นไรครับ ผมหาหนังสือนิยายออนไลน์ที่ออกใหม่ คุณไปทำงานเถอะครับ”

พนักงานผิดหวังเล็กน้อย ถึงอย่างไรหนังสือคลาสสิกก็เหมาะกับความต้องการโอ้อวดมากที่สุด หนังสือชุดหนึ่งแพงหูฉี่ หนังสือคลาสสิกเลียนแบบของเก่ามีมากมายหาไม่ยาก ถ้าเศรษฐีคนนี้ให้เธอแนะนำหนังสือล่ะก็… เธอคงแนะนำหนังสือชุดแพงๆ ได้หลายชุดแน่นอน

นึกไม่ถึงว่าสไตล์การโอ้อวดของเศรษฐีคนนี้จะต่างกับคนทั่วไป นิยายออนไลน์เป็นหนังสือใหม่ทั้งนั้น ทั้งยังหนาและหนัก ชุดหนึ่งก็ราคาไม่แพงมาก แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงพูดจาด้วยความสุภาพ “คุณลูกค้า นิยายออนไลน์ออกใหม่อยู่ที่ชั้นนี้ค่ะ”

ฟางหนิงเดินไปตามทางที่พนักงานร้านบอก มีหนังสือนิยายวางเรียงแน่นเป็นแถว แต่ละปกสีสันสวยงามละลานตา

“เล่มนี้เพิ่งอ่านจบ” ฟางหนิงเดินไปหยิบเล่มหนึ่งออกมาให้พนักงานที่ตามมา

“เล่มนี้ตอนจบห่วยมาก” เขาหยิบออกมาอีกเล่ม

“เล่มนี้ตอนท้ายเขียนไม่จบตั้งนานแล้ว” และอีกเล่ม

ฟางหนิงเลือกหนังสือแล้วดึงออกมาทีละเล่ม

สุดท้ายเขาก็หยิบหนังสือออกมานับสิบกว่าเล่มแล้วถือไปวางที่เคาน์เตอร์

พนักงานสาวสวยผิดหวังมาก แต่ยังคงยิ้มแย้มรักษามารยาทเอาไว้ “คุณลูกค้า ฉันจะสแกนราคาหนังสือให้คุณดูค่ะ”

ฟางหนิงรู้สึกพอใจแต่ภายนอกกลับส่ายหน้า ชี้นิ้วไปที่ชั้นหนังสือพลางเอ่ยขึ้น “นอกจากหนังสือพวกนี้ หนังสือออนไลน์บนชั้นนั้นของพวกคุณ ขอให้ผมทุกเล่ม ปกละหนึ่งเล่มไม่ซ้ำกัน”

พนักงานสาวสวยประหลาดใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นท่าทางดีใจ สุดท้ายก็คิดว่า พวกชอบอวดรวยจริงๆ เหมือนพล็อตคลาสสิกเศรษฐีที่ชอบไปซื้อเสื้อผ้าในหนังสินะ เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่สนใจเสื้อผ้า กลับมาอวดรวยที่ร้านหนังสือแทน

“ค่ะๆ ฉันจะรีบให้คนขนไปให้ที่รถค่ะ” พนักงานสาวพยักหน้า

ขายหนังสือได้พันเล่มในคราวเดียวก็ทำเงินได้ไม่น้อย ถ้าเขาจะอวดรวยก็โอเค

พนักงานสาวคิดเงิน ดีใจจนหน้าบาน เศรษฐีที่มีรสนิยมพิเศษ ดูเหมือนจะกวาดซื้อนิยายออนไลน์ออกใหม่ทุกเล่ม นับรวมเป็นพันเล่มเลยทีเดียว ตอนที่คิดเงินจึงมากถึงแสนกว่าหยวน เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ทำเงินเข้ากระเป๋าได้หนักจริงๆ!

ตลอดเวลาที่ไปซื้อหนังสือ ระบบราวกับไม่มีตัวตน ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

แต่เมื่อฟางหนิงเตรียมจะรูดบัตรเครดิต ระบบกลับแย้งขึ้น

ระบบ “อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย ถ้าฉันไม่ตกลง โฮสต์จะเอาของพวกนี้เข้าไปในพื้นที่ระบบไม่ได้ ซื้อเยอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์…”

ฟางหนิงอึ้ง มองหนังสือที่ขนไปยังรถบรรทุก และยังมีพนักงานที่กำลังฉีกยิ้ม กัดฟันพูด “แกจะจับตาดูฉันตลอดใช่ไหม อยากเห็นฉันขายหน้าหรือไง ไม่ให้วางในพื้นที่ระบบ ฉันซื้อไปวางที่บ้านไม่ได้หรือไง!”

ระบบ “โฮสต์อยากจะซื้อหนังสือนิยายออนไลน์พวกนี้อวดรวยก็เชิญเลย เพราะถึงยังไง โฮสต์ฏ้ใช้งบทั้งสามเดือนหมดเกลี้ยงแล้ว…”

ในที่สุดพนักงานสาวสวยก็ไม่ต้องผิดหวัง เธอส่งเศรษฐีขี้อวดคนนี้กลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็สองสัปดาห์แล้ว

วันนี้ ฟางหนิงฉวยโอกาสที่ระบบกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บค่าความยุติธรรม มา แอบทำงาน อ่านนิยาย และเล่นเกม ในตอนนั้นเอง QQ ที่มุมขวาล่างของคอมพิวเตอร์ก็กะพริบ

ฟางหนิงเปิดกล่องข้อความ QQ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นประธานจ้าว มีเรื่องอะไรกันนะ

ว่าที่พ่อตาคนนี้มากินข้าวฟรีสัปดาห์ละครั้ง มนุษย์กลไกระดับสูงที่เป็นตัวแทนฟางหนิงคอยแสดงแทนและคอยต้อนรับอย่างสุภาพตลอด ยังจะมีเรื่องอะไรอีก

ปัญหาเดียวก็คืออีกฝ่ายเห็นห้องหนังสือของเขามีนิยายออนไลน์วางเรียงรายอย่างอลังการแล้ว ก็ส่ายหัวถอนหายใจอยู่นาน และเอ่ยหลายครั้งว่าจะแนะนำหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้ แต่รสนิยมกลับไม่ตรงกัน

ฟางหนิงรีบปฏิเสธ ในใจคิดว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพถูกครองร่าง หนังสือคำคมคงไม่ได้ช่วยอะไร

ประธานจ้าวกำลังพิมพ์ “ลูกเขย ไม่ใช่ๆ เมื่อกี้การป้อนคำมีปัญหา หลานชาย หมู่นี้ฉันได้ยินมาว่าในประเทศเรามีสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีกำลังรับสมัครสมาชิกทั่วประเทศ ฉันรู้สึกว่าฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ คืบหน้าไปช้ามาก อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเรียนไม่ไหว…

แม่ยาย ไม่ใช่สิ ภรรยาฉันน่ะบอกว่าพวกเราน่าจะลองไปฟังดู ที่นั่นมีวิธีฝึกบำเพ็ญพื้นฐาน ไม่ได้หลอกลวงเลยนะ ค่าสมาชิกหนึ่งปี 8,888,888 หยวน หนึ่งปีเรียน 12 คลาส เดือนละครั้ง ครั้งละสัปดาห์ ฉันช่วยจ่ายค่าสมาชิกให้แล้ว อีกสองวันพวกเราไปเรียนกันเถอะ สถานที่คือวิลล่าเทียนฮุ่ยเขตชานเมืองXX เมืองจี้ ถึงตอนนั้นจะอยู่ที่นั่นหนึ่งสัปดาห์”

ฟางหนิงกลุ้มใจ ว่าที่พ่อตาคงจะมองตัวเองทะลุปรุโปร่งแน่ๆ รู้ดีว่าถ้าถามว่าเขาจะไปไหม โอตาคุอย่างเขาจะต้องปฏิเสธทันควัน

จัดการเรื่องเรื่องเรียบร้อยหมดแล้ว จะบอกให้เขาไปขอเงินคืนได้อย่างไรกัน

ฟางหนิงพิมพ์ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “ขอบคุณที่หวังดีครับ ทำให้คุณลุงต้องหนักใจแล้ว ส่วนเงินผมจะให้พวกเขาโอนเงินจากบัญชีบริษัทคืนไปให้เดือนหน้านะครับ ผมไม่รบกวนหรอกครับ”

เขาจะต้องเห็นด้วย เพราะบางทีระบบก็ออกไปจับปีศาจ ขี้เกียจก็ส่วนขี้เกียจ แต่เขาก็ยังมองการณ์ไกลถึงอนาคต

ประธานจ้าว “ไม่ต้องคืนเงินหรอก คนกันเองทั้งนั้น เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปรับ ไม่ต้องเตรียมของใช้สำหรับการเดินทางนะ คุณป้ากับเหยาเหยาเตรียมให้เธอหมดแล้ว”

ฟางหนิงคิดในใจ ก็ดีเหมือนกัน มนุษย์กลไกระดับสูงเจ๋งมาก ดูแลครอบครัวประธานจ้าวทำให้พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองเพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยปกติ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมนุษย์กลไกนั่นเลียนแบบนิสัยตัวเองได้ทั้งหมด เมื่อกลับมาเป็นตัวจริงก็ยังเหมือนกัน ครอบครัวประธานจ้าวไม่มีทางสังเกตเห็นความผิดปกติหรอก

ฟางหนิง “งั้นฝากขอบคุณเธอด้วยครับ ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”

ประธานจ้าวคิด ‘ห่วงแต่เล่นอีกแล้วสินะ ไอ้เด็กคนนี้’

ฟางหนิงคิด ‘ระบบกลับมาแล้ว…’

“แค่กๆ อย่างนี้ ต้องการม้าดี ต้องทำให้ม้าดีมีใจชอบธรรม ถึงจะเป็นม้าดีได้ อ้อ หลายคำนี้ต้องไปค้นหาในอินเทอร์เน็ต…”

ระบบเห็นโฮสต์ไม่ได้แอบอู้ เพียงแต่ความรู้พื้นฐานภาษาโบราณยังต้องพัฒนา มันจึงไปจับหัวขโมยนักล้วงกระเป๋าต่อไป

…………………………………………..

บทที่ 64 วิธีตบหน้าที่ตรงไปตรงมา

อัศวิน A กุ่ยเอ้อร์และคนอื่นต่างหันไปมองตามเสียงนั้นที่ดังขึ้น

ก็เห็นเพียงเงาเลือนรางของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าเกรงขามในหุบเขา กำลังย่างเท้าเข้ามาช้าๆ

“คารวะพระโพธิสัตว์” กุ่ยเอ้อร์รู้แต่แรกแล้วว่าเป็นพระโพธิสัตว์ปรากฏตัว แต่เวลานี้ย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ เขายังคงหมอบกายอยู่บนพื้น เพียงแต่รีบลุกขึ้นวิ่งไปคุกเข่าเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์

ชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับกุ่ยเอ้อร์ “ข้ารู้เรื่องแล้ว พวกเจ้าเลือกเป็นพันธมิตรกับมารหนูยักษ์ก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าอยากหาความมั่นคงให้สมาคมของเรา เป็นการทำเพื่อส่วนรวม แต่พวกเจ้าสองคนไม่ควรสมรู้ร่วมคิดกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋เพื่อทำร้ายน้องชายมังกรท่านนี้ กุ่ยชีเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะกล้าหลอกลวงข้าด้วย ครั้งนี้ยิ่งทำผิดใหญ่หลวงแล้ว แม้ตายไปก็ยังมีความผิด ข้าจะไม่ช่วยออกหน้าให้เขา”

“พระโพธิสัตว์โปรดอภัย ต้องโทษข้าที่โลภมาก บรรพบุรุษตระกูลไป๋บอกว่าจะให้สมาคมราชาผีเช่าโลกใต้ดินบางส่วนเพื่อสร้างจวนผีใต้ดิน ข้าถึงได้ตอบตกลงทำร้ายอัศวินท่านนี้” กุ่ยชีตายแล้ว กุ่ยเอ้อร์ย่อมไม่ตำหนิเขา เวลานี้ยิ่งออกหน้ารับผิดชอบ พระโพธิสัตว์ก็ยิ่งดีใจ

ชายหนุ่มคนนั้นได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ ดูแล้วท่าทางพอใจกับคำตอบ

เขาหันไปหาอัศวิน A ประสานมือคารวะ จากนั้นในมือก็ปรากฏสมุดเล่มเล็กสีเขียวมรกตลอยเข้าไปหาอัศวิน A ช้าๆ

“ต้องขออภัยด้วยที่ปกติแล้วข้าเก็บตัวมากเกินไป ไม่ดูแลพวกเขาให้เข้มงวด ต้องขอโทษน้องมังกรด้วย ข้าขอมอบ ‘คัมภีร์โพธิ’ เล่มนี้ให้ท่านเป็นการชดเชย ไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรหรอก แต่หากฝึกถึงระดับสูงได้ก็นับว่าล้ำเลิศยิ่งนัก”

อัศวิน A เพียงสะบัดมือทีหนึ่ง คัมภีร์เล่มนั้นก็มาอยู่ในมือ

กุ่ยเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉานัก เขาเคยได้ยินชื่อ ‘คัมภีร์โพธิ์’” เล่มนี้มานานแล้ว ถ้าหากฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงสุดก็จะฟื้นคนตายให้เป็น กระดูกกลับมีเลือดเนื้อได้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใดของสมาคมราชาผีได้รับถ่ายทอด พระโพธิสัตว์กล่าวว่านิสัยของพวกเขาไม่พอที่จะเข้าใจความลึกลับของมัน หากฝืนเรียนไปรังแต่จะทำลายรากฐาน

แต่พระโพธิสัตว์กลับมอบมันให้กับอัศวิน A อย่างง่ายดาย เพื่อเป็นการชดเชย ข่าวลือที่ว่าพระโพธิสัตว์อยากจะดึงอัศวิน A มาเข้าร่วมสมาคมราชาผีดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้เมื่อมั่นใจแล้วว่าอัศวิน A เป็นมังกร เกรงว่าพระโพธิสัตว์มองว่าไม่มีอะไรที่จะรักษาหน้าได้ไปกว่ามังกรแท้ผู้พิทักษ์

น่าเสียดายที่เขาคิดว่านี่คงเป็นการเตะหมูเข้าปากหมาเสียแล้ว เพราะด้วยนิสัยท่าทางอย่างอัศวิน A คงไม่มีทางเข้าร่วมองค์กรใดๆ

…………

ในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงเห็นการแจ้งเตือนระบบใหม่

ระบบได้รับ ‘คัมภีร์โพธิ์’ ซึ่งเป็นคัมภีร์ลับสำหรับการฝึกบำเพ็ญที่หาได้ยาก เพราะขัดแย้งกับระบบวิทยายุทธ์ขณะนี้ ระบบจึงเลือกที่จะไม่ฝึกมัน

ฟางหนิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่ไม่พูดออกมาน่าจะดีกว่า หลังจากนี้เมื่อถูกขังในห้องมืด เขาคงมีของเล่นฆ่าเวลาเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง…

เวลานี้ระบบไม่ได้เอ่ยถึงคัมภีร์นี้ แต่กลับพูดว่า “บอสใหม่คนนี้ โฮสต์ดูที่แสดงในแผนที่สิ พื้นที่ใหญ่กว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋มากทีเดียว แต่เหลือเชื่อว่าเป็นสีขาวทั้งตัว ปราณขาวมากกว่าเฉียวจื่อซานเสียอีก อีกอย่างเมื่อเขาปรากฏตัว นอกจากจะเอ่ยขอโทษยังมอบคัมภีร์หายากให้ ใจกว้างทีเดียว ปรมาจารย์มารอสรพิษส่งคัมภีร์หายากยังต้องขอร้องพวกเรา เพียงแต่ทำไมในมือเขาถึงมีของที่เป็นความลับสองอย่างนี้นะ”

ฟางหนิงปาดเหงื่อ แม้ระบบจะไม่สนใจ ‘คัมภีร์โพธิ์’ ในตอนนี้ แต่ด้วยความจำของระบบแล้ว ระบบจะไม่มีทางลืมมัน

เขารีบอธิบาย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ตรงไหน ลูกน้องรับมือยากกว่าเจ้านาย เขาคงจะเป็นคนที่หลงใหลการฝึกบำเพ็ญ คาดว่าคงถูกยกย่องมานานแล้วจึงไม่สนใจซักถามเรื่องราวของลูกน้อง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็อย่าไปยั่วยุเขาเลย กลับบ้านไปจับปีศาจอัปเกรดเลเวลกันเถอะ”

ระบบเอ่ย “เขาเป็นคนชั่วก็ดีสิ การเตรียมจับบอสสองสามวันนี้จะได้ไม่ต้องเสียเปล่า ถึงอย่างไรตอนนี้บรรพบุรุษตระกูลไป๋ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แน่ๆ”

ฟางหนิง “ความคิดของแกนี่มันแปลกประหลาด (งี่เง่า) จริงๆ… ไล่จับเขาตั้งสามเดือนไม่หยุดหย่อน แล้วตอนนี้บรรพบุรุษตระกูลไป๋จะไม่รู้ข่าวหรือ ถึงตอนนั้นต่อให้สองบอสมาจับพวกเรา สุดท้ายก็ได้แต่วิ่งหนีเท่านั้น”

…………

อัศวิน A “อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไว้หน้าพระโพธิสัตว์ กุ่ยเอ้อร์นี่ก็ส่งให้พระโพธิสัตว์จัดการเอง แต่ต้องให้มันทำให้อันตรายของหนูยักษ์เมืองฉีสงบก่อน เห็นแก่บุญกุศลนี้ ข้าจะไม่ตามเอาเรื่องอีก”

กุ่ยเอ้อร์คุกเข่าคำนับไม่หยุด “ขอบคุณท่านอัศวินมาก กุ่ยเอ้อร์จะทำให้ดีที่สุด จะไปทำทันที จะไม่ขออะไรตอบแทนอีก”

พระโพธิสัตว์เอ่ยขึ้นบ้าง “เอาล่ะ ยากที่น้องมังกรจะเอ่ยปากปล่อยเจ้า ต่อไปเจ้าต้องแก้ไขข้อผิดพลาด ทุกเรื่องต้องทำเพื่อส่วนรวม ตอนนี้ลุกขึ้นเถอะ”

กุ่ยเอ้อร์เข้าใจความหมายของพระโพธิสัตว์ดี หากทุ่มเททำงานให้กับสมาคมราชาผี ซื่อสัตย์จนตาย เมื่อเกิดเรื่องจะปกป้องจนถึงที่สุด มิเช่นนั้นก็จะมีจุดจบแบบกุ่ยชี

เขาหยัดกายลุกขึ้น พยักหน้าหงึกหงัก

อัศวิน A “ข้ายังมีธุระอีก ขอไม่ผูกมิตรกับพระโพธิสัตว์ ลาก่อน”

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางยิ้มอย่างเข้าใจให้แก่อัศวิน A

ตอนนั้นเอง จูซานเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันเกิดปราณดำพวยพุ่งออกจากใบหน้า ร่างผีสั่นคลอน คล้ายกับที่กุ่ยชีเอ่ยก่อนตาย ท่าทางวิญญาณใกล้จะแตกสลายแล้ว

อัศวิน A ชะงักฝีเท้า แล้วหันมองไปที่จูซานเม่ย

ฟางหนิงสงสัย “หยุดทำไมหรือ”

ระบบ “กฎมีข้อจำกัด เราจะละเมิดเส้นทางอัศวินไม่ได้ วิญญาณผู้หญิงตนนี้ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้าย เคยถูกลงโทษครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ต้องตายเพราะพวกเราสังหารกุ่ยชี เราจะไม่สนใจไม่ได้”

ฟางหนิงไม่เข้าใจ “น่าปวดหัวจริงๆ ฉันรู้แล้วว่าทำไมพวกอัศวินถึงอายุไม่ยืนกัน เหมือนก๊วยเจ๋งในเรื่องมังกรหยก เห็นได้ชัดว่ามีเกาะดอกท้อให้หลบหนีไปเสวยสุขได้ ยังจะเลือกไปตายในสมรภูมิรบที่เมืองเซียงหยางอีก วันหน้าพวกเราจะต้องลงเอยแบบนี้สินะ พอหลับตาฉันก็เห็นภาพทางตันในข้อกำหนดอัศวิน N+1”

ระบบตอบกลับ “งั้นก็แล้วแต่โฮสต์ ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อัศวินอันดับสอง โฮสต์ลองดูแล้วกันว่าจะทำอย่างไร”

ฟางหนิงตอบ “คัมภีร์โพธิ์เล่มนี้ช่วยได้บ้างไหม”

ระบบท่าทางใคร่ครวญเล็กน้อย “น่าจะได้ แต่ระบบเรียนไม่ได้ ระดับความสอดคล้องกับวิทยายุทธ์ที่มีตอนนี้ไม่เพียงพอ มันขัดแย้งกัน แต่โฮสต์เรียนได้ เพราะหลักๆ แล้ว มันคือการฝึกฝนพลังจิต”

ฟางหนิงเข้าใจ “ฉันรู้อยู่แล้วแกจะต้องส่งให้ฉัน แต่ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บฉันจะเรียนได้ทันที กว่าจะเรียนสำเร็จน้องสาวคนนี้คงตายไปก่อนแล้วล่ะ แต่ช่างเถอะ ฉันจะบอกวิธีหนึ่งให้”

ระบบ “? ? ?”

ฟางหนิง “อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูด”

ระบบนิ่งอึ้ง “ทำอย่างนี้ได้หรือ ความคิดของโฮสต์ประหลาดจริงๆ”

อัศวิน A ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าปราศจากอารมณ์มองวิญญาณจูซานเม่ยที่กำลังย่ำแย่ ท่าทางของเขาดูเหมือนไม่สนใจ แต่เท้ากลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแสดงถึงเจตนาที่ไม่ยอมจากไป

กุ่ยเอ้อร์เริ่มสงสัยแต่หลังจากนั้นก็เข้าใจได้ อีกฝ่ายต้องการให้พวกเขาลงมือ สองมือของเขาร่ายมนต์ ลมปราณสีดำหม่นพุ่งออกมาจากตัวของเขาแล้วแผ่คลุมร่างจูซานเม่ย

ร่างจูซานเม่ยค่อยๆ หยุดนิ่ง แต่หลังจากนั้นก็สั่นสะท้านมากขึ้น เธอเพียงแต่กัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะ ดูเหมือนว่าจะมีความสุขจากการปลดปล่อยอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อการดับสูญ

เสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งตัวของเธอก็ระเบิด วิญญาณแตกดับ ปราณดำกระจายไปทั่ว แค่อึดใจก็สลายหายไปสิ้น

อัศวิน A ยังคงมีท่าทีเฉยเมย กุ่ยเอ้อร์มองด้วยความกังวล ‘อย่าลากข้าซวยไปด้วยล่ะ ข้าเคยทำผิดใหญ่หลวงแล้ว แต่ก็สารภาพหมดแล้วไม่ใช่หรือ’

พระโพธิสัตว์ยิ้มบางๆ ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ยื่นมือออกมาทำท่าวิตรรกะมุทรา เห็นแต่ปราณขาวหลั่งไหลออกมาจากง่ามนิ้วไปยังกลางอากาศว่างเปล่า

กุ่ยเอ้อร์พลันต้องตกตะลึง

เห็นแต่วิญญาณที่แตกกระจายของจูซานเม่ยถูกปราณขาวดึงไว้ ลอยใหม่อีกครั้งกลางอากาศ คล้ายหญิงสาวถูกปั่นด้ายถักทอขึ้นใหม่อีกครั้ง

ครั้งนี้ร่างของเธอไม่ได้ประกอบร่างจากปราณดำของภูตผี แต่มาจากปราณขาว ช่างน่าทึ่ง ร่างกายห่อด้วยเสื้อคลุมสีแดงสดทั้งตัว ในมือมีหอกสีแดงเพลิงเพิ่มขึ้นมา การเคลื่อนไหวดูผึ่งผายสง่างามราวกับเป็นคนจริง

“แม้เจ้าจะเป็นวิญญาณ แต่จิตใจยังมีความเมตตา ต่อไปเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของสมาคมราชาผี คอยออกตรวจสอบแทนข้า หากมีคนทำชั่ว เจ้าจะรับรู้ได้เอง” พระโพธิสัตว์เอ่ยเสียงเรียบ

“จูซานเม่ยซาบซึ้งถึงเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ซานเม่ยจะออกลาดตระเวนกลางวันกลางคืน ไม่ทำให้ชื่อเสียงความเมตตาของพระโพธิสัตว์แปดเปื้อน” จูซานเม่ยท่าทางดีใจท่วมท้วน รีบคุกเข่าคำนับ

“หึๆ ลุกขึ้นเถอะ เจ้าฉลาดมาก แค่นิดเดียวก็เข้าใจแล้ว มีคุณสมบัติของราชาผีจริงๆ น่าเสียดายที่กุ่ยชีใช้งานไม่ถูกต้อง ต่อไปข้าจะแนะนำเจ้าเอง ว่าควรจะฝึกบำเพ็ญอย่างไร ข้าจะมอบชื่อใหม่ให้เจ้า ‘หงอิง’ คนราวกับพู่แดง จิตใจแข็งแกร่งดั่งหอก สยบผู้มีใจคิดชั่วร้ายทั้งหลาย” พระโพธิสัตว์ยิ้มบาง

“จูหงอิงขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ประทานชื่อให้” จูหงอิงฮึกเหิม ปราศจากความคับข้องใจเหมือนก่อน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้มาดพี่ใหญ่ของพี่น้องร่วมสาบานสี่คนกลับมาเหมือนเก่า

ภายในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงพูด “ลองคิดดูสิ ดีขนาดไหน มีคนที่รักษาความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยจะทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาเราเดินเล่น”

ระบบน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ดีสักนิด”

ฟางหนิงเอ่ยเซ็งๆ “ทำไมอีกล่ะ”

ระบบตอบกลับ “มีหอกเพิ่มขึ้นกลายเป็นตัวอันตราย…”

ฟางหนิงกลอกตา “บ้าเอ้ย ง่ายนิดเดียว ให้ QQ กับเว่ยป๋อเธอสิ เข้าใจไหม…”

ระบบตอบ “ระบบเข้าใจ”

อัศวิน A ยื่นมือออกไป ทันใดนั้นก็มีนามบัตรลอยออกมา “ฮ่าๆ พระโพธิสัตว์มีปัญญายิ่ง สาวน้อย ขอแสดงความยินดีที่เจ้าได้ชีวิตใหม่ ต่อไปพระโพธิสัตว์เจอคนชั่วที่ฆ่าไม่ได้ เชิญมาหาข้าได้ทันที นี่คือ QQ และเว่ยป๋อของข้า อย่าลืมเพิ่มข้าเป็นเพื่อนล่ะ”

จูหงอิงรับนามบัตรไปด้วยสีหน้างงงวย อัศวิน A คนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เธอหันมองพระโพธิสัตว์ ก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มให้และพยักหน้าให้เธอ

“เช่นนั้นก็ขอบใจท่านอัศวินแล้ว” จูหงอิงเก็บนามบัตรไว้

ผ่านไปครู่หนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็ไม่พูดอะไรอีก พยักหน้าแล้วหายไปทันที กุ่ยเอ้อร์และจูหงอิงก็จากไปเช่นกัน

ฟางหนิงถอนหายใจ “นี่เราโดนตบหน้าจังๆ เลยหรือ”

ระบบ “โฮสต์พูดอะไร”

ฟางหนิง “พวกเราเพิ่งฆ่ากุ่ยชีไปนะ แต่เขาไม่เรียกวิญญานของมันกลับมา แต่เรียกวิญญาณของจูหงอิงกลับมาแทน แถมยังแต่งตั้งให้เป็นวิญญาณรับใช้ แข็งแกร่งกว่าร่างกายมนุษย์ อย่างนี้ไม่ใช่ตบหน้าพวกเราหรือ แกสุดยอด ถึงขั้นทำให้คนตายฟื้นได้ไหมล่ะ”

ระบบ “ทำไม่ได้ โฮสต์อยากเล่นก็เล่นไป พวกเราไม่ได้เสียอะไร”

ฟางหนิงเงียบ “ขอโทษที ฉันลืมไปว่าแกไม่มีใบหน้า แกเลยไม่รู้สึกว่ากำลังโดนตบหน้าสินะ”

ระบบโต้กลับ “โฮสต์ก็ไม่มีหน้าตั้งนานแล้ว ยังกลัวอะไรกับการถูกตบหน้า ถ้ากลัวถูกตบหน้ามากนักก็ตั้งใจเรียนคัมภีร์โพธิ์สิ ระบบเห็นว่าพระโพธิสัตว์ราชาผีใช้วิชาในนั้น เห็นเขาทำเป็นสบายๆ แต่ระบบก็รู้สึกได้ว่าเขาหมดพลังไปมากทีเดียว ถึงได้รีบร้อนกลับไปขนาดนั้น มนุษย์อย่างพวกโฮสต์เสแสร้งเก่ง โฮสต์เรียนได้แล้วก็จะเสแสร้งได้เหมือนกัน”

ฟางหนิง “…คนไม่เสแสร้งจะต่างอะไรกับคนขี้แพ้ล่ะ เรียนก็เรียน รีบๆ คืนไฟกับอินเทอร์เน็ตมาก่อนสิ ขืนตัดการเชื่อมต่ออย่างนี้ ฉันจะยอมแพ้แล้วนะ”

ระบบ “โฮสต์แกล้งหมดอาลัยตายยากไม่สำเร็จหรอก ระบบครองร่างของโฮสต์ทั้งหมด มีการเคลื่อนไหวของจิตใจอะไรก็ย่อมรู้ดีแจ่มแจ้ง ก่อนหน้านี้หมดอาลัยตายอยากจริงๆ แต่ตอนนี้โฮสต์มีชีวิตชีวาตั้งนานแล้ว”

ฟางหนิง “เรื่องเกี่ยวกับบอสยุติลงชั่วคราว แกอย่ามัวแต่คิดเรื่องนั้นสิ รีบไปจับปีศาจอัปเกรดเร็ว”

ระบบ “จะรีบไป แต่โฮสต์ศึกษาคัมภีร์โพธิ์ก่อน พอค่าประสบการณ์อัปเกรดการเปลี่ยนร่างมังกรถึงระดับกลาง ก็จะใช้ค่าประสบการณ์ไปพอสมควรแล้ว ไม่อาจแสดงภาพและข้อความที่ดีเยี่ยมเรียบง่ายและทันสมัยได้”

ฟางหนิง “งั้นก็รีบคืนอินเทอร์เน็ตกับไฟมาให้ฉันสิ ไม่มีอินเทอร์เน็ตฉันจะเรียนยังไงล่ะ”

……………………………………………..

บทที่ 64 วิธีตบหน้าที่ตรงไปตรงมา

อัศวิน A กุ่ยเอ้อร์และคนอื่นต่างหันไปมองตามเสียงนั้นที่ดังขึ้น

ก็เห็นเพียงเงาเลือนรางของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าเกรงขามในหุบเขา กำลังย่างเท้าเข้ามาช้าๆ

“คารวะพระโพธิสัตว์” กุ่ยเอ้อร์รู้แต่แรกแล้วว่าเป็นพระโพธิสัตว์ปรากฏตัว แต่เวลานี้ย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ เขายังคงหมอบกายอยู่บนพื้น เพียงแต่รีบลุกขึ้นวิ่งไปคุกเข่าเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์

ชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับกุ่ยเอ้อร์ “ข้ารู้เรื่องแล้ว พวกเจ้าเลือกเป็นพันธมิตรกับมารหนูยักษ์ก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าอยากหาความมั่นคงให้สมาคมของเรา เป็นการทำเพื่อส่วนรวม แต่พวกเจ้าสองคนไม่ควรสมรู้ร่วมคิดกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋เพื่อทำร้ายน้องชายมังกรท่านนี้ กุ่ยชีเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะกล้าหลอกลวงข้าด้วย ครั้งนี้ยิ่งทำผิดใหญ่หลวงแล้ว แม้ตายไปก็ยังมีความผิด ข้าจะไม่ช่วยออกหน้าให้เขา”

“พระโพธิสัตว์โปรดอภัย ต้องโทษข้าที่โลภมาก บรรพบุรุษตระกูลไป๋บอกว่าจะให้สมาคมราชาผีเช่าโลกใต้ดินบางส่วนเพื่อสร้างจวนผีใต้ดิน ข้าถึงได้ตอบตกลงทำร้ายอัศวินท่านนี้” กุ่ยชีตายแล้ว กุ่ยเอ้อร์ย่อมไม่ตำหนิเขา เวลานี้ยิ่งออกหน้ารับผิดชอบ พระโพธิสัตว์ก็ยิ่งดีใจ

ชายหนุ่มคนนั้นได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ ดูแล้วท่าทางพอใจกับคำตอบ

เขาหันไปหาอัศวิน A ประสานมือคารวะ จากนั้นในมือก็ปรากฏสมุดเล่มเล็กสีเขียวมรกตลอยเข้าไปหาอัศวิน A ช้าๆ

“ต้องขออภัยด้วยที่ปกติแล้วข้าเก็บตัวมากเกินไป ไม่ดูแลพวกเขาให้เข้มงวด ต้องขอโทษน้องมังกรด้วย ข้าขอมอบ ‘คัมภีร์โพธิ’ เล่มนี้ให้ท่านเป็นการชดเชย ไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรหรอก แต่หากฝึกถึงระดับสูงได้ก็นับว่าล้ำเลิศยิ่งนัก”

อัศวิน A เพียงสะบัดมือทีหนึ่ง คัมภีร์เล่มนั้นก็มาอยู่ในมือ

กุ่ยเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉานัก เขาเคยได้ยินชื่อ ‘คัมภีร์โพธิ์’” เล่มนี้มานานแล้ว ถ้าหากฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงสุดก็จะฟื้นคนตายให้เป็น กระดูกกลับมีเลือดเนื้อได้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใดของสมาคมราชาผีได้รับถ่ายทอด พระโพธิสัตว์กล่าวว่านิสัยของพวกเขาไม่พอที่จะเข้าใจความลึกลับของมัน หากฝืนเรียนไปรังแต่จะทำลายรากฐาน

แต่พระโพธิสัตว์กลับมอบมันให้กับอัศวิน A อย่างง่ายดาย เพื่อเป็นการชดเชย ข่าวลือที่ว่าพระโพธิสัตว์อยากจะดึงอัศวิน A มาเข้าร่วมสมาคมราชาผีดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้เมื่อมั่นใจแล้วว่าอัศวิน A เป็นมังกร เกรงว่าพระโพธิสัตว์มองว่าไม่มีอะไรที่จะรักษาหน้าได้ไปกว่ามังกรแท้ผู้พิทักษ์

น่าเสียดายที่เขาคิดว่านี่คงเป็นการเตะหมูเข้าปากหมาเสียแล้ว เพราะด้วยนิสัยท่าทางอย่างอัศวิน A คงไม่มีทางเข้าร่วมองค์กรใดๆ

…………

ในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงเห็นการแจ้งเตือนระบบใหม่

ระบบได้รับ ‘คัมภีร์โพธิ์’ ซึ่งเป็นคัมภีร์ลับสำหรับการฝึกบำเพ็ญที่หาได้ยาก เพราะขัดแย้งกับระบบวิทยายุทธ์ขณะนี้ ระบบจึงเลือกที่จะไม่ฝึกมัน

ฟางหนิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่ไม่พูดออกมาน่าจะดีกว่า หลังจากนี้เมื่อถูกขังในห้องมืด เขาคงมีของเล่นฆ่าเวลาเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง…

เวลานี้ระบบไม่ได้เอ่ยถึงคัมภีร์นี้ แต่กลับพูดว่า “บอสใหม่คนนี้ โฮสต์ดูที่แสดงในแผนที่สิ พื้นที่ใหญ่กว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋มากทีเดียว แต่เหลือเชื่อว่าเป็นสีขาวทั้งตัว ปราณขาวมากกว่าเฉียวจื่อซานเสียอีก อีกอย่างเมื่อเขาปรากฏตัว นอกจากจะเอ่ยขอโทษยังมอบคัมภีร์หายากให้ ใจกว้างทีเดียว ปรมาจารย์มารอสรพิษส่งคัมภีร์หายากยังต้องขอร้องพวกเรา เพียงแต่ทำไมในมือเขาถึงมีของที่เป็นความลับสองอย่างนี้นะ”

ฟางหนิงปาดเหงื่อ แม้ระบบจะไม่สนใจ ‘คัมภีร์โพธิ์’ ในตอนนี้ แต่ด้วยความจำของระบบแล้ว ระบบจะไม่มีทางลืมมัน

เขารีบอธิบาย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ตรงไหน ลูกน้องรับมือยากกว่าเจ้านาย เขาคงจะเป็นคนที่หลงใหลการฝึกบำเพ็ญ คาดว่าคงถูกยกย่องมานานแล้วจึงไม่สนใจซักถามเรื่องราวของลูกน้อง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็อย่าไปยั่วยุเขาเลย กลับบ้านไปจับปีศาจอัปเกรดเลเวลกันเถอะ”

ระบบเอ่ย “เขาเป็นคนชั่วก็ดีสิ การเตรียมจับบอสสองสามวันนี้จะได้ไม่ต้องเสียเปล่า ถึงอย่างไรตอนนี้บรรพบุรุษตระกูลไป๋ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แน่ๆ”

ฟางหนิง “ความคิดของแกนี่มันแปลกประหลาด (งี่เง่า) จริงๆ… ไล่จับเขาตั้งสามเดือนไม่หยุดหย่อน แล้วตอนนี้บรรพบุรุษตระกูลไป๋จะไม่รู้ข่าวหรือ ถึงตอนนั้นต่อให้สองบอสมาจับพวกเรา สุดท้ายก็ได้แต่วิ่งหนีเท่านั้น”

…………

อัศวิน A “อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไว้หน้าพระโพธิสัตว์ กุ่ยเอ้อร์นี่ก็ส่งให้พระโพธิสัตว์จัดการเอง แต่ต้องให้มันทำให้อันตรายของหนูยักษ์เมืองฉีสงบก่อน เห็นแก่บุญกุศลนี้ ข้าจะไม่ตามเอาเรื่องอีก”

กุ่ยเอ้อร์คุกเข่าคำนับไม่หยุด “ขอบคุณท่านอัศวินมาก กุ่ยเอ้อร์จะทำให้ดีที่สุด จะไปทำทันที จะไม่ขออะไรตอบแทนอีก”

พระโพธิสัตว์เอ่ยขึ้นบ้าง “เอาล่ะ ยากที่น้องมังกรจะเอ่ยปากปล่อยเจ้า ต่อไปเจ้าต้องแก้ไขข้อผิดพลาด ทุกเรื่องต้องทำเพื่อส่วนรวม ตอนนี้ลุกขึ้นเถอะ”

กุ่ยเอ้อร์เข้าใจความหมายของพระโพธิสัตว์ดี หากทุ่มเททำงานให้กับสมาคมราชาผี ซื่อสัตย์จนตาย เมื่อเกิดเรื่องจะปกป้องจนถึงที่สุด มิเช่นนั้นก็จะมีจุดจบแบบกุ่ยชี

เขาหยัดกายลุกขึ้น พยักหน้าหงึกหงัก

อัศวิน A “ข้ายังมีธุระอีก ขอไม่ผูกมิตรกับพระโพธิสัตว์ ลาก่อน”

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางยิ้มอย่างเข้าใจให้แก่อัศวิน A

ตอนนั้นเอง จูซานเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันเกิดปราณดำพวยพุ่งออกจากใบหน้า ร่างผีสั่นคลอน คล้ายกับที่กุ่ยชีเอ่ยก่อนตาย ท่าทางวิญญาณใกล้จะแตกสลายแล้ว

อัศวิน A ชะงักฝีเท้า แล้วหันมองไปที่จูซานเม่ย

ฟางหนิงสงสัย “หยุดทำไมหรือ”

ระบบ “กฎมีข้อจำกัด เราจะละเมิดเส้นทางอัศวินไม่ได้ วิญญาณผู้หญิงตนนี้ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้าย เคยถูกลงโทษครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ต้องตายเพราะพวกเราสังหารกุ่ยชี เราจะไม่สนใจไม่ได้”

ฟางหนิงไม่เข้าใจ “น่าปวดหัวจริงๆ ฉันรู้แล้วว่าทำไมพวกอัศวินถึงอายุไม่ยืนกัน เหมือนก๊วยเจ๋งในเรื่องมังกรหยก เห็นได้ชัดว่ามีเกาะดอกท้อให้หลบหนีไปเสวยสุขได้ ยังจะเลือกไปตายในสมรภูมิรบที่เมืองเซียงหยางอีก วันหน้าพวกเราจะต้องลงเอยแบบนี้สินะ พอหลับตาฉันก็เห็นภาพทางตันในข้อกำหนดอัศวิน N+1”

ระบบตอบกลับ “งั้นก็แล้วแต่โฮสต์ ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อัศวินอันดับสอง โฮสต์ลองดูแล้วกันว่าจะทำอย่างไร”

ฟางหนิงตอบ “คัมภีร์โพธิ์เล่มนี้ช่วยได้บ้างไหม”

ระบบท่าทางใคร่ครวญเล็กน้อย “น่าจะได้ แต่ระบบเรียนไม่ได้ ระดับความสอดคล้องกับวิทยายุทธ์ที่มีตอนนี้ไม่เพียงพอ มันขัดแย้งกัน แต่โฮสต์เรียนได้ เพราะหลักๆ แล้ว มันคือการฝึกฝนพลังจิต”

ฟางหนิงเข้าใจ “ฉันรู้อยู่แล้วแกจะต้องส่งให้ฉัน แต่ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บฉันจะเรียนได้ทันที กว่าจะเรียนสำเร็จน้องสาวคนนี้คงตายไปก่อนแล้วล่ะ แต่ช่างเถอะ ฉันจะบอกวิธีหนึ่งให้”

ระบบ “? ? ?”

ฟางหนิง “อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูด”

ระบบนิ่งอึ้ง “ทำอย่างนี้ได้หรือ ความคิดของโฮสต์ประหลาดจริงๆ”

อัศวิน A ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าปราศจากอารมณ์มองวิญญาณจูซานเม่ยที่กำลังย่ำแย่ ท่าทางของเขาดูเหมือนไม่สนใจ แต่เท้ากลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแสดงถึงเจตนาที่ไม่ยอมจากไป

กุ่ยเอ้อร์เริ่มสงสัยแต่หลังจากนั้นก็เข้าใจได้ อีกฝ่ายต้องการให้พวกเขาลงมือ สองมือของเขาร่ายมนต์ ลมปราณสีดำหม่นพุ่งออกมาจากตัวของเขาแล้วแผ่คลุมร่างจูซานเม่ย

ร่างจูซานเม่ยค่อยๆ หยุดนิ่ง แต่หลังจากนั้นก็สั่นสะท้านมากขึ้น เธอเพียงแต่กัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะ ดูเหมือนว่าจะมีความสุขจากการปลดปล่อยอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อการดับสูญ

เสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งตัวของเธอก็ระเบิด วิญญาณแตกดับ ปราณดำกระจายไปทั่ว แค่อึดใจก็สลายหายไปสิ้น

อัศวิน A ยังคงมีท่าทีเฉยเมย กุ่ยเอ้อร์มองด้วยความกังวล ‘อย่าลากข้าซวยไปด้วยล่ะ ข้าเคยทำผิดใหญ่หลวงแล้ว แต่ก็สารภาพหมดแล้วไม่ใช่หรือ’

พระโพธิสัตว์ยิ้มบางๆ ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ยื่นมือออกมาทำท่าวิตรรกะมุทรา เห็นแต่ปราณขาวหลั่งไหลออกมาจากง่ามนิ้วไปยังกลางอากาศว่างเปล่า

กุ่ยเอ้อร์พลันต้องตกตะลึง

เห็นแต่วิญญาณที่แตกกระจายของจูซานเม่ยถูกปราณขาวดึงไว้ ลอยใหม่อีกครั้งกลางอากาศ คล้ายหญิงสาวถูกปั่นด้ายถักทอขึ้นใหม่อีกครั้ง

ครั้งนี้ร่างของเธอไม่ได้ประกอบร่างจากปราณดำของภูตผี แต่มาจากปราณขาว ช่างน่าทึ่ง ร่างกายห่อด้วยเสื้อคลุมสีแดงสดทั้งตัว ในมือมีหอกสีแดงเพลิงเพิ่มขึ้นมา การเคลื่อนไหวดูผึ่งผายสง่างามราวกับเป็นคนจริง

“แม้เจ้าจะเป็นวิญญาณ แต่จิตใจยังมีความเมตตา ต่อไปเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของสมาคมราชาผี คอยออกตรวจสอบแทนข้า หากมีคนทำชั่ว เจ้าจะรับรู้ได้เอง” พระโพธิสัตว์เอ่ยเสียงเรียบ

“จูซานเม่ยซาบซึ้งถึงเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ซานเม่ยจะออกลาดตระเวนกลางวันกลางคืน ไม่ทำให้ชื่อเสียงความเมตตาของพระโพธิสัตว์แปดเปื้อน” จูซานเม่ยท่าทางดีใจท่วมท้วน รีบคุกเข่าคำนับ

“หึๆ ลุกขึ้นเถอะ เจ้าฉลาดมาก แค่นิดเดียวก็เข้าใจแล้ว มีคุณสมบัติของราชาผีจริงๆ น่าเสียดายที่กุ่ยชีใช้งานไม่ถูกต้อง ต่อไปข้าจะแนะนำเจ้าเอง ว่าควรจะฝึกบำเพ็ญอย่างไร ข้าจะมอบชื่อใหม่ให้เจ้า ‘หงอิง’ คนราวกับพู่แดง จิตใจแข็งแกร่งดั่งหอก สยบผู้มีใจคิดชั่วร้ายทั้งหลาย” พระโพธิสัตว์ยิ้มบาง

“จูหงอิงขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ประทานชื่อให้” จูหงอิงฮึกเหิม ปราศจากความคับข้องใจเหมือนก่อน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้มาดพี่ใหญ่ของพี่น้องร่วมสาบานสี่คนกลับมาเหมือนเก่า

ภายในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงพูด “ลองคิดดูสิ ดีขนาดไหน มีคนที่รักษาความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยจะทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาเราเดินเล่น”

ระบบน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ดีสักนิด”

ฟางหนิงเอ่ยเซ็งๆ “ทำไมอีกล่ะ”

ระบบตอบกลับ “มีหอกเพิ่มขึ้นกลายเป็นตัวอันตราย…”

ฟางหนิงกลอกตา “บ้าเอ้ย ง่ายนิดเดียว ให้ QQ กับเว่ยป๋อเธอสิ เข้าใจไหม…”

ระบบตอบ “ระบบเข้าใจ”

อัศวิน A ยื่นมือออกไป ทันใดนั้นก็มีนามบัตรลอยออกมา “ฮ่าๆ พระโพธิสัตว์มีปัญญายิ่ง สาวน้อย ขอแสดงความยินดีที่เจ้าได้ชีวิตใหม่ ต่อไปพระโพธิสัตว์เจอคนชั่วที่ฆ่าไม่ได้ เชิญมาหาข้าได้ทันที นี่คือ QQ และเว่ยป๋อของข้า อย่าลืมเพิ่มข้าเป็นเพื่อนล่ะ”

จูหงอิงรับนามบัตรไปด้วยสีหน้างงงวย อัศวิน A คนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เธอหันมองพระโพธิสัตว์ ก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มให้และพยักหน้าให้เธอ

“เช่นนั้นก็ขอบใจท่านอัศวินแล้ว” จูหงอิงเก็บนามบัตรไว้

ผ่านไปครู่หนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็ไม่พูดอะไรอีก พยักหน้าแล้วหายไปทันที กุ่ยเอ้อร์และจูหงอิงก็จากไปเช่นกัน

ฟางหนิงถอนหายใจ “นี่เราโดนตบหน้าจังๆ เลยหรือ”

ระบบ “โฮสต์พูดอะไร”

ฟางหนิง “พวกเราเพิ่งฆ่ากุ่ยชีไปนะ แต่เขาไม่เรียกวิญญานของมันกลับมา แต่เรียกวิญญาณของจูหงอิงกลับมาแทน แถมยังแต่งตั้งให้เป็นวิญญาณรับใช้ แข็งแกร่งกว่าร่างกายมนุษย์ อย่างนี้ไม่ใช่ตบหน้าพวกเราหรือ แกสุดยอด ถึงขั้นทำให้คนตายฟื้นได้ไหมล่ะ”

ระบบ “ทำไม่ได้ โฮสต์อยากเล่นก็เล่นไป พวกเราไม่ได้เสียอะไร”

ฟางหนิงเงียบ “ขอโทษที ฉันลืมไปว่าแกไม่มีใบหน้า แกเลยไม่รู้สึกว่ากำลังโดนตบหน้าสินะ”

ระบบโต้กลับ “โฮสต์ก็ไม่มีหน้าตั้งนานแล้ว ยังกลัวอะไรกับการถูกตบหน้า ถ้ากลัวถูกตบหน้ามากนักก็ตั้งใจเรียนคัมภีร์โพธิ์สิ ระบบเห็นว่าพระโพธิสัตว์ราชาผีใช้วิชาในนั้น เห็นเขาทำเป็นสบายๆ แต่ระบบก็รู้สึกได้ว่าเขาหมดพลังไปมากทีเดียว ถึงได้รีบร้อนกลับไปขนาดนั้น มนุษย์อย่างพวกโฮสต์เสแสร้งเก่ง โฮสต์เรียนได้แล้วก็จะเสแสร้งได้เหมือนกัน”

ฟางหนิง “…คนไม่เสแสร้งจะต่างอะไรกับคนขี้แพ้ล่ะ เรียนก็เรียน รีบๆ คืนไฟกับอินเทอร์เน็ตมาก่อนสิ ขืนตัดการเชื่อมต่ออย่างนี้ ฉันจะยอมแพ้แล้วนะ”

ระบบ “โฮสต์แกล้งหมดอาลัยตายยากไม่สำเร็จหรอก ระบบครองร่างของโฮสต์ทั้งหมด มีการเคลื่อนไหวของจิตใจอะไรก็ย่อมรู้ดีแจ่มแจ้ง ก่อนหน้านี้หมดอาลัยตายอยากจริงๆ แต่ตอนนี้โฮสต์มีชีวิตชีวาตั้งนานแล้ว”

ฟางหนิง “เรื่องเกี่ยวกับบอสยุติลงชั่วคราว แกอย่ามัวแต่คิดเรื่องนั้นสิ รีบไปจับปีศาจอัปเกรดเร็ว”

ระบบ “จะรีบไป แต่โฮสต์ศึกษาคัมภีร์โพธิ์ก่อน พอค่าประสบการณ์อัปเกรดการเปลี่ยนร่างมังกรถึงระดับกลาง ก็จะใช้ค่าประสบการณ์ไปพอสมควรแล้ว ไม่อาจแสดงภาพและข้อความที่ดีเยี่ยมเรียบง่ายและทันสมัยได้”

ฟางหนิง “งั้นก็รีบคืนอินเทอร์เน็ตกับไฟมาให้ฉันสิ ไม่มีอินเทอร์เน็ตฉันจะเรียนยังไงล่ะ”

……………………………………………..

บทที่ 63 อยากเสแสร้งก็ต้องทำจนสุดทาง

กุ่ยชีค่อยๆ หันไปมอง ในใจอยากจะเอ่ยบางอย่างเอาอกเอาใจออกไป แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาบีบคอมันแน่น

มันปล่อยมือที่จับหนูสีเทาออกโดยพลัน มือทั้งสองเปลี่ยนมาพยายามแกะมือที่แข็งราวกับเหล็กออกไป

หากแต่มันกลับพบว่ามือนี้มีปราณแท้ไหลเวียนอยู่รอบมือ และสกัดมือทั้งสองข้างของมันไว้ ทำให้ไม่สามารถแตะต้องอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

มันคิดจะใช้พลังเวท แต่ก็พบว่าเพราะปราณแท้ที่ไหลเวียนรอบตัวคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก สามารถกดพลังเวทของมันเอาไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาได้

หนูสีเทาตัวนั้น เมื่อร่วงลงสู่พื้นก็ก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีหายวับไปทันที มันรู้ดีว่าคนใจโหดผู้นี้ไม่มีทางทำให้มันลำบากแน่

“พูดมาสิ กุ่ยชีดูถูกข้าเช่นนี้ ทำโดยพลการ สมควรรับโทษอย่างไรดี” อัศวิน A ย่อมไม่สนหนูเทา เขาไม่ได้พูดกับกุ่ยชี แต่พูดกับกุ่ยเอ้อร์ (ผีรอง) ที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ แทน

เวลานี้ไม่มีบรรพบุรุษตระกูลไป๋เข้ามาสอดแนม กุ่ยเอ้อร์เจียมตัวมาก ในใจรู้ดีว่าหากตอบไม่ถูกใจ ทั้งความแค้นเก่าใหม่ย่อมโดนคิดบัญชีพร้อมกันแน่นอน อัศวิน A ผู้นี้แค่สองกระบวนท่าก็สามารถปลิดชีวิตตนและกุ่ยชีได้แล้ว

“น่นอนว่าย่อมให้ท่านอัศวิน A เป็นผู้ตัดสิน” กุ่ยเอ้อร์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง

อัศวิน A รับคำ “อ้อ งั้นหรือ หากยังมีใครมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ ร่วมมือกับคนชั่วอยากจะลอบทำร้ายข้า ลองดูสิ ข้าจะให้วิญญาณของมันสลายเป็นผุยผง”

กุ่ยชีท่าทางหวาดกลัว อัศวิน A ผู้นี้รู้ถึงขนาดว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋ซ่อนตัวที่ไหน มิน่าล่ะพี่รองมีโอกาสตั้งหลายครั้งก็ยังไม่ยอมลงมือ ตัวเองวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว พี่รองไม่มั่นใจ อีกฝ่ายได้แต่อดทนสร้างพรรคพวกก่อนจึงจะมีความสามารถสังหารอัศวิน A

มันคุกเข่าลงทันที “ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ไม่ฟังคำสอนของพระโพธิสัตว์ ถูกความโลภครอบงำถึงได้ร่วมมือกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ทำให้ท่านต้องเสียเรื่องแล้ว ข้าทำผิดมหันต์ หวังว่าท่านอัศวินจะเมตตาไว้ชีวิต ข้ายอมถูกลงโทษ ขอเพียงเหลือวิญญาณที่จะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง”

กุ้ยชีกลับยังคงมีความหวังที่จะรอดชีวิต มันวางแผนอย่างยากลำบากจนถึงตอนนี้ เห็นผลที่สะสมมาอยู่ ไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้น เขาจะอยากเป็นมนุษย์อีกไปทำไมกัน

มันจึงแบกหน้าพูด “อัศวิน A ไว้ชีวิตข้าเถิด พวกเราเป็นคนของสมาคมราชาผี พระโพธิสัตว์ราชาผีคือหัวหน้าของพวกเรามีพลังวิเศษแกร่งกล้า ปกติแล้วข้าเป็นผู้ที่เขาชื่นชอบที่สุด หากสังหารข้าละก็จะเป็นการยั่วยุบรรพบุรุษตระกูลไป๋อีกท่านหนึ่งให้โมโห”

อัศวิน A ได้ฟังแล้วก็เงียบไม่พูดจา

กุ่ยชีเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ เข้าใจว่าอัศวิน A เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

กุ่ยเอ้อร์ไม่พูดอะไรแต่อาศัยจังหวะนี้แอบบีบเครื่องรางในอก

ในพื้นที่ระบบ

ระบบเอ่ยขึ้น “พวกมันพูดถึงพระโพธิสัตว์อีกแล้ว เป็นบอสใหญ่คนใหม่หรือ มนุษย์อย่างโฮสต์เรียกว่าอะไรนะ เสียประโยชน์อย่างหนึ่งก่อน แต่ได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่”

ฟางหนิงไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนระบบ หลังจากฟังระบบพล่ามจนจบแล้ว เขาก็ได้แต่ปวดหัว ความคิดที่ว่าอาจจับปีศาจตัวนี้ไม่ได้เริ่มผุดขึ้นมา ถ้ามีบอสใหญ่ซ่อนอยู่อีกคนหนึ่งแล้วจะไปยั่วยุอีกคนได้อย่างไร

ยิ่งคิดฟางหนิงก็ยิ่งท้อใจมากกว่าเดิม เอาเถอะ ตอนนี้เจอกับปีศาจที่มีภูมิหลัง ไม่ใช่พวกพเนจร การเดินทางของอัศวินต่อไปจะต้องเปลี่ยนเป็นการเดินทางสู่ชมพูทวีปอย่างไซอิ๋วหรือไม่ ปีศาจมีภูมิหลังปล่อยไป ไม่มีภูมิหลังค่อยสังหาร

แต่อย่างนี้ยังเรียกอัศวินได้อีกหรือ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป กฎอัศวินของระบบคงจะเล่นจบไม่ช้าก็เร็วแน่นอน นิ้วทองคำที่ตัวเองถูกระบบครองร่างก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นยังต้องเก็บเลเวลถึงระดับบดขยี้ถึงจะมีทุนเป็นอัศวินต่อไป

ฟางหนิงคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว ระบบงี่เง่านี่คิดแต่จะสังหาร สังหาร และสังหารเพียงอย่างเดียว ไม่กังวลเรื่องพวกนี้เลย น่ากลุ้มใจจริงๆ แต่เอาเถอะ…ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันทำงานหนักไปก่อนแล้วกัน.

ฟางหนิงคิดบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้น“แย่แล้ว ท่าไม่ดีแน่ ฉีนถามแกกลับหน่อย ถ้าแกเปิดบอสใหญ่ขนาดนี้เหมือนบรรพบุรุษตระกูลไป๋สองคนพร้อมกัน ยังมั่นใจอีกไหมว่าจะจับได้”

ระบบหดหัว “งั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นมังกรวิ่ง แล้วทิ้งสถานะอัศวิน A”

ฟางหนิงถามต่อ “เห็นไหมล่ะว่าฉันฉลาดแค่ไหนที่ให้แกเปลี่ยนสถานะจับปีศาจตั้งแต่แรก เพราะกลัวว่าจะเจอสถานการณ์ลำบากที่แก้ไขไม่ได้อย่างนี้น่ะสิ มีอัศวิน A คอยอำพราง ต่อให้เล่นพังก็เปลี่ยนกลับไปสถานะจริงได้ มีรากฐานอยู่เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นก็ได้”

ระบบตอบ “โฮสต์ฉลาดมาก ถ้าอย่างนั้นให้โฮสต์แก้ไขปัญหาแล้วกัน”

ฟางหนิง “แก้ไขปัญหาก็ได้ แต่หลังเสร็จเรื่องต้องเลิกตัดการเชื่อมต่อของฉันนะ”

ระบบ “ระบบต้องพิจารณาเรื่องนี้ก่อน ช่วงนี้พบว่าเมื่อไม่มีการเชื่อมต่อ ประสิทธิภาพการฝึกฝนของโฮสต์สูงมาก รอให้โฮสต์ฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ถึงขั้นแปลงร่างมังกรขั้นต้นได้ ค่อยคืนให้แล้วกัน…”

หน้าจอแจ้งเตือนของระบบพลันปรากฏ: ระบบกำลังพิจารณา…

ฟางหนิงโมโหมาก เขาถูกขังในห้องมืดของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบสองวันแล้ว ยังไม่เป็นบ้าไปก่อนก็เพราะการฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ยากมาก ทำให้เขาทำได้ตามที่ระบบต้องการและพูดน้อยลงหน่อยไปชั่วขณะหนึ่ง…

ระบบแจ้งเตือน: คำเตือน…โฮสต์กำลังจะเป็นสติแตก

ระบบ “ไม่ต้องโกรธหรอก หลังเสร็จเรื่องนี้ สัญญาจะคืนให้”

ระบบแจ้งเตือน: สติสัมปชัญญะของโฮสต์กลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อฟางหนิงได้คำตอบยืนยัน ก็กลับมาอารมณ์ดี รีบตอบกลับน้ำเสียงสดใสทันที “งั้นก็ฆ่ากุ่ยชีซะแล้วปล่อยกุ่ยเอ้อร์ไป กุ่ยเอ้อฉลาดกว่า ที่สำคัญคือรอบคอบกว่าด้วยาหนูเทาตัวนั้นทำหนังสือของเราเสียหาย มันยังกังวลขนาดนี้ ระงับความโลภของตนไว้ได้ และต้องการปล่อยหนูสีเทาไป แสดงว่าความจริงแล้วมีนิสัยขี้ลังเล ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรา

กลับกันกุ่ยชีนั้นโลภมาก เมื่อครู่ยังแสดงออกถึงความปราณี คนแบบนี้ต้องเป็นปัญหาในวันหน้าแน่นอน สังหารมันตัวเดียวก็เป็นการไว้หน้าสมาคมราชาผีแล้ว พวกเขาผิดก่อนไม่มีทางฉีกหน้าพวกเราได้ บรรพบุรุษตระกูลไป๋ยอมรับความน่าเกรงขามของพวกเราแล้ว แต่เบื้องหน้าย่อมไม่อ่อนข้อ ต้องเหมือนเมื่อก่อนแสดงท่าทางมีอำนาจแข็งแกร่งถึงจะไม่ขัดกับนิสัยของอัศวิน A”

ระบบบ่น “น่าปวดหัว”

แต่หากความเห็นที่ฟางหนิงเสนอมีประโยชน์ ระบบก็ยอมทำตาม

กุ่ยเอ้อร์สังเกตเห็นมังกรเพลิงโผล่ออกมาจากมือของอัศวิน A ร่างกุ่ยชีถูกเปลวเพลิงลุกท่วม เพียงครู่เดียวกุ่ยชีก็กรีดร้องน่าเวทนาท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น

ไม่นานนักก็มีแสงสีขาวอ่อนๆ ประกายหนึ่งลอยขึ้นมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโหม มันไม่ได้ทำให้กุ่ยชีกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที แต่ให้อีกฝ่ายต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการเผาไหม้

กุ่ยเอ้อร์จับตาดูการเคลื่อนไหวนี้อย่างระแวดระวัง มันเห็นแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยกุ่ยชีได้ เพราะนั่นจะเป็นการรนหาที่ตาย

ฟางหนิงสังเกตเห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่เป็นเพราะการแจ้งเตือนของระบบ เขาจึงสังเกตเห็น

ระบบโจมตีกุ่ยชี ระบบใช้กระบวนท่าลับ ‘มังกรเพลิงเผาร่าง’ ใช้สล็อตความโกรธระดับสอง

กุ่ยชีถูกอานุภาพมังกรกดดัน ได้รับความกดดันระดับกลาง ‘สยบ’ สติสัมปชัญญะกุ่ยชีลดลงเข้าสู่สภาวะเผาไหม้

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่ายมนต์ป้องกัน ‘มนตราหัวใจโพธิ์’ ให้กุ่ยชี กุ่ยชีได้รับการปกป้องจิตวิญญาณและต้านทานเปลวไฟเพิ่มขึ้น รวมทั้งการฟื้นชีวิต

กุ่ยชีต้านทานความเจ็บปวดไว้ได้ กุ่ยชีกำลังฟื้นค่าชีวิต…

เวลานี้กุ่ยชีที่เจ็บปวดทรมานยื่นมือหนึ่งออกมาชี้ไปที่ผีสาวจูซานเม่ยที่หลบอยู่ด้านข้างนานแล้ว “แกมานี่ ดับไฟให้เจ้านาย!”

ผีสาวจูซานเม่ยส่ายหัวแรงๆ ตอนนี้เธอยังสร้างร่างแยกไม่ได้ เธอเป็นร่างหลัก และอัศวิน A กำลังจับเจ้านายของเธอเผา หากยื่นมือเข้าไปช่วย อีกฝ่ายคงตบเธอกระเด็นได้ด้วยฝ่ามือเดียว

“ถ้าข้าตาย ไม่นานวิญญาณแกก็จะแตกสลาย!” กุ่ยชีเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด

แต่จูซานเม่ยก็ยังไม่ขยับ อานุภาพของอัศวิน A ประทับในกระดูกของเธอนานแล้ว เวลานี้คำขู่ของเจ้านายที่กำลังดิ้นรนจากความตายเทียบไม่ได้กับพลังอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เธอยอมให้วิญญาณแตกสลายหลังจากนี้ แต่ไม่อยากจะเข้าไปถูกตบจนตาย

ทนไปได้ไม่เท่าไร กุ่ยชีก็พบว่าแม้จะดิ้นรน ก็ไม่มีทางหลุดพ้นความทรมานจากการถูกมังกรเพลิงแผดเผาได้ ในที่สุดความสิ้นหวังก็เกาะกุมจิตใจ มันร้องตะโกน “เหี้ยมโหดนัก! ข้ามีแผนการและความคิดมากมาย อดทนรอคอยมาตั้งสามปีถึงจะเก็บวิญญาณที่มีคุณสมบัติราชาผีได้สักตัวโดยมือตัวเองไม่เปื้อนเลือด ข้าเป็นจักรพรรดิผีในนรกได้ พระโพธิสัตว์นั่นถูกข้าสรรเสริญเยินยอจนตัวลอย ราชาผีต่อไปต้องเป็นของข้า ข้าจะยอมตายก่อนได้อย่างไรกัน ข้าไม่ยอม!”

กุ่ยเอ้อร์ได้ยินประโยคเหล่านั้นชัดเจน และทันทีที่เสียงของกุ่ยชีเบาลง ปราณสีขาวที่ต่อสู้กับเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ก็หายไปในพริบตา

เมื่อไม่มีการสกัดกั้นจากปราณสีขาว มังกรเพลิงตัวนั้นก็ม้วนตัวทันที กุ่ยชีร้องครั้งสุดท้าย ทั้งตัวก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่วิญญาณก็แตกสลายไป

กุ่ยเอ้อร์รู้สึกเศร้าใจและตกตะลึงกับความทะเยอทะยานของกุ่ยชี มันไม่ได้เก่งกาจมากนัก แต่ความทะเยอทะยานกลับทะลุฟ้า กุ่ยเอ้อร์คิดในใจ ‘ตัวข้าเป็นมันสมองอันดับหนึ่งของสมาคมราชาผียังไม่กล้าที่จะมีความหวังเกินตัวเช่นนี้ เจ้าแอบมีใจทะเยอะทะยานถึงขนาดจะแทนที่พระโพธิสัตว์เชียวหรือ เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองเพิ่งพลาดโอกาสสำคัญขนาดไหน นั่นคือโอกาสล้ำค่าที่พระโพธิสัตว์มอบให้!’

กุ่ยเอ้อร์รู้ดีว่า หากกุ่ยชียืนหยัดต่ออีกสักนิด เกรงว่าต่อไปลูกพี่สมาคมราชาผีจะต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหวจนพูดจาเลอะเทอะ ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ยังคงวิงวอนพระโพธิสัตว์คุ้มครองเช่นเคย และไม่มีทางจบลงด้วยวิญญาณแตกดับ อย่างน้อยพระโพธิสัตว์ก็ยังให้อนาคตการบำเพ็ญผีกับเขาได้

เขาทะเยอทะยานสูงไป ไม่ฉลาดเหมือนตน หากอยากจะเสแสร้งก็ต้องทำให้สุดทางถึงจะถูก! แต่สุดท้ายก็หลุดปากเอ่ยแผนการในใจออกมา ตายอย่างนี้เท่ากับตายเปล่า

ฟางหนิงก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ระบบแจ้งเตือนบอกสาเหตุกับเขา

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่าย ‘มนตราหัวใจโพธิ’ กุ่ยชีสูญเสียการปกป้องวิญญาณ และสูญเสียการต้านทานเปลวไฟ รวมทั้งการฟื้นคืนชีวิต

กุ่ยชีถูกเปลวเพลิงของมังกรเพลิงเผาไหม้จนวอดวาย

ระบบได้รับค่าประสบการณ์ห้าหมื่นคะแนน

ระบบได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญเล็กน้อย

เห็นวิญญาณกุ่ยชีแตกสลาย อัศวิน A ก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับเพิ่งเห็นมดตัวหนึ่งตายเท่านั้น เขาเอ่ยเสียงเรียบ “บรรพบุรุษตระกูลไป๋ถูกข้าไล่ล่าจนขึ้นสวรรค์ไร้ทางลงนรกไร้ประตู ข้ายังกลัวพระโพธิสัตว์ที่พวกเจ้าอวดอ้างถึงอีกหรือไง ข้าอยากจะดูหน่อยว่าผู้มีอำนาจบารมีที่เจ้าพูดถึงจะช่วยเจ้าเกิดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”

อัศวิน A กล่าวจบ เสียงทรงพลังขุมหนึ่งก็ดังกึกก้องทั่วทั้งหุบเขา

“น้องชายมังกรท่านนี้โมโหหนักไปหน่อยแล้ว”

………………………………………………………………….

บทที่ 63 อยากเสแสร้งก็ต้องทำจนสุดทาง

กุ่ยชีค่อยๆ หันไปมอง ในใจอยากจะเอ่ยบางอย่างเอาอกเอาใจออกไป แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาบีบคอมันแน่น

มันปล่อยมือที่จับหนูสีเทาออกโดยพลัน มือทั้งสองเปลี่ยนมาพยายามแกะมือที่แข็งราวกับเหล็กออกไป

หากแต่มันกลับพบว่ามือนี้มีปราณแท้ไหลเวียนอยู่รอบมือ และสกัดมือทั้งสองข้างของมันไว้ ทำให้ไม่สามารถแตะต้องอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

มันคิดจะใช้พลังเวท แต่ก็พบว่าเพราะปราณแท้ที่ไหลเวียนรอบตัวคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก สามารถกดพลังเวทของมันเอาไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาได้

หนูสีเทาตัวนั้น เมื่อร่วงลงสู่พื้นก็ก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีหายวับไปทันที มันรู้ดีว่าคนใจโหดผู้นี้ไม่มีทางทำให้มันลำบากแน่

“พูดมาสิ กุ่ยชีดูถูกข้าเช่นนี้ ทำโดยพลการ สมควรรับโทษอย่างไรดี” อัศวิน A ย่อมไม่สนหนูเทา เขาไม่ได้พูดกับกุ่ยชี แต่พูดกับกุ่ยเอ้อร์ (ผีรอง) ที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ แทน

เวลานี้ไม่มีบรรพบุรุษตระกูลไป๋เข้ามาสอดแนม กุ่ยเอ้อร์เจียมตัวมาก ในใจรู้ดีว่าหากตอบไม่ถูกใจ ทั้งความแค้นเก่าใหม่ย่อมโดนคิดบัญชีพร้อมกันแน่นอน อัศวิน A ผู้นี้แค่สองกระบวนท่าก็สามารถปลิดชีวิตตนและกุ่ยชีได้แล้ว

“น่นอนว่าย่อมให้ท่านอัศวิน A เป็นผู้ตัดสิน” กุ่ยเอ้อร์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง

อัศวิน A รับคำ “อ้อ งั้นหรือ หากยังมีใครมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ ร่วมมือกับคนชั่วอยากจะลอบทำร้ายข้า ลองดูสิ ข้าจะให้วิญญาณของมันสลายเป็นผุยผง”

กุ่ยชีท่าทางหวาดกลัว อัศวิน A ผู้นี้รู้ถึงขนาดว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋ซ่อนตัวที่ไหน มิน่าล่ะพี่รองมีโอกาสตั้งหลายครั้งก็ยังไม่ยอมลงมือ ตัวเองวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว พี่รองไม่มั่นใจ อีกฝ่ายได้แต่อดทนสร้างพรรคพวกก่อนจึงจะมีความสามารถสังหารอัศวิน A

มันคุกเข่าลงทันที “ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ไม่ฟังคำสอนของพระโพธิสัตว์ ถูกความโลภครอบงำถึงได้ร่วมมือกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ทำให้ท่านต้องเสียเรื่องแล้ว ข้าทำผิดมหันต์ หวังว่าท่านอัศวินจะเมตตาไว้ชีวิต ข้ายอมถูกลงโทษ ขอเพียงเหลือวิญญาณที่จะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง”

กุ้ยชีกลับยังคงมีความหวังที่จะรอดชีวิต มันวางแผนอย่างยากลำบากจนถึงตอนนี้ เห็นผลที่สะสมมาอยู่ ไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้น เขาจะอยากเป็นมนุษย์อีกไปทำไมกัน

มันจึงแบกหน้าพูด “อัศวิน A ไว้ชีวิตข้าเถิด พวกเราเป็นคนของสมาคมราชาผี พระโพธิสัตว์ราชาผีคือหัวหน้าของพวกเรามีพลังวิเศษแกร่งกล้า ปกติแล้วข้าเป็นผู้ที่เขาชื่นชอบที่สุด หากสังหารข้าละก็จะเป็นการยั่วยุบรรพบุรุษตระกูลไป๋อีกท่านหนึ่งให้โมโห”

อัศวิน A ได้ฟังแล้วก็เงียบไม่พูดจา

กุ่ยชีเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ เข้าใจว่าอัศวิน A เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

กุ่ยเอ้อร์ไม่พูดอะไรแต่อาศัยจังหวะนี้แอบบีบเครื่องรางในอก

ในพื้นที่ระบบ

ระบบเอ่ยขึ้น “พวกมันพูดถึงพระโพธิสัตว์อีกแล้ว เป็นบอสใหญ่คนใหม่หรือ มนุษย์อย่างโฮสต์เรียกว่าอะไรนะ เสียประโยชน์อย่างหนึ่งก่อน แต่ได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่”

ฟางหนิงไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนระบบ หลังจากฟังระบบพล่ามจนจบแล้ว เขาก็ได้แต่ปวดหัว ความคิดที่ว่าอาจจับปีศาจตัวนี้ไม่ได้เริ่มผุดขึ้นมา ถ้ามีบอสใหญ่ซ่อนอยู่อีกคนหนึ่งแล้วจะไปยั่วยุอีกคนได้อย่างไร

ยิ่งคิดฟางหนิงก็ยิ่งท้อใจมากกว่าเดิม เอาเถอะ ตอนนี้เจอกับปีศาจที่มีภูมิหลัง ไม่ใช่พวกพเนจร การเดินทางของอัศวินต่อไปจะต้องเปลี่ยนเป็นการเดินทางสู่ชมพูทวีปอย่างไซอิ๋วหรือไม่ ปีศาจมีภูมิหลังปล่อยไป ไม่มีภูมิหลังค่อยสังหาร

แต่อย่างนี้ยังเรียกอัศวินได้อีกหรือ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป กฎอัศวินของระบบคงจะเล่นจบไม่ช้าก็เร็วแน่นอน นิ้วทองคำที่ตัวเองถูกระบบครองร่างก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นยังต้องเก็บเลเวลถึงระดับบดขยี้ถึงจะมีทุนเป็นอัศวินต่อไป

ฟางหนิงคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว ระบบงี่เง่านี่คิดแต่จะสังหาร สังหาร และสังหารเพียงอย่างเดียว ไม่กังวลเรื่องพวกนี้เลย น่ากลุ้มใจจริงๆ แต่เอาเถอะ…ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันทำงานหนักไปก่อนแล้วกัน.

ฟางหนิงคิดบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้น“แย่แล้ว ท่าไม่ดีแน่ ฉีนถามแกกลับหน่อย ถ้าแกเปิดบอสใหญ่ขนาดนี้เหมือนบรรพบุรุษตระกูลไป๋สองคนพร้อมกัน ยังมั่นใจอีกไหมว่าจะจับได้”

ระบบหดหัว “งั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นมังกรวิ่ง แล้วทิ้งสถานะอัศวิน A”

ฟางหนิงถามต่อ “เห็นไหมล่ะว่าฉันฉลาดแค่ไหนที่ให้แกเปลี่ยนสถานะจับปีศาจตั้งแต่แรก เพราะกลัวว่าจะเจอสถานการณ์ลำบากที่แก้ไขไม่ได้อย่างนี้น่ะสิ มีอัศวิน A คอยอำพราง ต่อให้เล่นพังก็เปลี่ยนกลับไปสถานะจริงได้ มีรากฐานอยู่เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นก็ได้”

ระบบตอบ “โฮสต์ฉลาดมาก ถ้าอย่างนั้นให้โฮสต์แก้ไขปัญหาแล้วกัน”

ฟางหนิง “แก้ไขปัญหาก็ได้ แต่หลังเสร็จเรื่องต้องเลิกตัดการเชื่อมต่อของฉันนะ”

ระบบ “ระบบต้องพิจารณาเรื่องนี้ก่อน ช่วงนี้พบว่าเมื่อไม่มีการเชื่อมต่อ ประสิทธิภาพการฝึกฝนของโฮสต์สูงมาก รอให้โฮสต์ฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ถึงขั้นแปลงร่างมังกรขั้นต้นได้ ค่อยคืนให้แล้วกัน…”

หน้าจอแจ้งเตือนของระบบพลันปรากฏ: ระบบกำลังพิจารณา…

ฟางหนิงโมโหมาก เขาถูกขังในห้องมืดของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบสองวันแล้ว ยังไม่เป็นบ้าไปก่อนก็เพราะการฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ยากมาก ทำให้เขาทำได้ตามที่ระบบต้องการและพูดน้อยลงหน่อยไปชั่วขณะหนึ่ง…

ระบบแจ้งเตือน: คำเตือน…โฮสต์กำลังจะเป็นสติแตก

ระบบ “ไม่ต้องโกรธหรอก หลังเสร็จเรื่องนี้ สัญญาจะคืนให้”

ระบบแจ้งเตือน: สติสัมปชัญญะของโฮสต์กลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อฟางหนิงได้คำตอบยืนยัน ก็กลับมาอารมณ์ดี รีบตอบกลับน้ำเสียงสดใสทันที “งั้นก็ฆ่ากุ่ยชีซะแล้วปล่อยกุ่ยเอ้อร์ไป กุ่ยเอ้อฉลาดกว่า ที่สำคัญคือรอบคอบกว่าด้วยาหนูเทาตัวนั้นทำหนังสือของเราเสียหาย มันยังกังวลขนาดนี้ ระงับความโลภของตนไว้ได้ และต้องการปล่อยหนูสีเทาไป แสดงว่าความจริงแล้วมีนิสัยขี้ลังเล ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรา

กลับกันกุ่ยชีนั้นโลภมาก เมื่อครู่ยังแสดงออกถึงความปราณี คนแบบนี้ต้องเป็นปัญหาในวันหน้าแน่นอน สังหารมันตัวเดียวก็เป็นการไว้หน้าสมาคมราชาผีแล้ว พวกเขาผิดก่อนไม่มีทางฉีกหน้าพวกเราได้ บรรพบุรุษตระกูลไป๋ยอมรับความน่าเกรงขามของพวกเราแล้ว แต่เบื้องหน้าย่อมไม่อ่อนข้อ ต้องเหมือนเมื่อก่อนแสดงท่าทางมีอำนาจแข็งแกร่งถึงจะไม่ขัดกับนิสัยของอัศวิน A”

ระบบบ่น “น่าปวดหัว”

แต่หากความเห็นที่ฟางหนิงเสนอมีประโยชน์ ระบบก็ยอมทำตาม

กุ่ยเอ้อร์สังเกตเห็นมังกรเพลิงโผล่ออกมาจากมือของอัศวิน A ร่างกุ่ยชีถูกเปลวเพลิงลุกท่วม เพียงครู่เดียวกุ่ยชีก็กรีดร้องน่าเวทนาท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น

ไม่นานนักก็มีแสงสีขาวอ่อนๆ ประกายหนึ่งลอยขึ้นมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโหม มันไม่ได้ทำให้กุ่ยชีกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที แต่ให้อีกฝ่ายต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการเผาไหม้

กุ่ยเอ้อร์จับตาดูการเคลื่อนไหวนี้อย่างระแวดระวัง มันเห็นแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยกุ่ยชีได้ เพราะนั่นจะเป็นการรนหาที่ตาย

ฟางหนิงสังเกตเห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่เป็นเพราะการแจ้งเตือนของระบบ เขาจึงสังเกตเห็น

ระบบโจมตีกุ่ยชี ระบบใช้กระบวนท่าลับ ‘มังกรเพลิงเผาร่าง’ ใช้สล็อตความโกรธระดับสอง

กุ่ยชีถูกอานุภาพมังกรกดดัน ได้รับความกดดันระดับกลาง ‘สยบ’ สติสัมปชัญญะกุ่ยชีลดลงเข้าสู่สภาวะเผาไหม้

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่ายมนต์ป้องกัน ‘มนตราหัวใจโพธิ์’ ให้กุ่ยชี กุ่ยชีได้รับการปกป้องจิตวิญญาณและต้านทานเปลวไฟเพิ่มขึ้น รวมทั้งการฟื้นชีวิต

กุ่ยชีต้านทานความเจ็บปวดไว้ได้ กุ่ยชีกำลังฟื้นค่าชีวิต…

เวลานี้กุ่ยชีที่เจ็บปวดทรมานยื่นมือหนึ่งออกมาชี้ไปที่ผีสาวจูซานเม่ยที่หลบอยู่ด้านข้างนานแล้ว “แกมานี่ ดับไฟให้เจ้านาย!”

ผีสาวจูซานเม่ยส่ายหัวแรงๆ ตอนนี้เธอยังสร้างร่างแยกไม่ได้ เธอเป็นร่างหลัก และอัศวิน A กำลังจับเจ้านายของเธอเผา หากยื่นมือเข้าไปช่วย อีกฝ่ายคงตบเธอกระเด็นได้ด้วยฝ่ามือเดียว

“ถ้าข้าตาย ไม่นานวิญญาณแกก็จะแตกสลาย!” กุ่ยชีเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด

แต่จูซานเม่ยก็ยังไม่ขยับ อานุภาพของอัศวิน A ประทับในกระดูกของเธอนานแล้ว เวลานี้คำขู่ของเจ้านายที่กำลังดิ้นรนจากความตายเทียบไม่ได้กับพลังอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เธอยอมให้วิญญาณแตกสลายหลังจากนี้ แต่ไม่อยากจะเข้าไปถูกตบจนตาย

ทนไปได้ไม่เท่าไร กุ่ยชีก็พบว่าแม้จะดิ้นรน ก็ไม่มีทางหลุดพ้นความทรมานจากการถูกมังกรเพลิงแผดเผาได้ ในที่สุดความสิ้นหวังก็เกาะกุมจิตใจ มันร้องตะโกน “เหี้ยมโหดนัก! ข้ามีแผนการและความคิดมากมาย อดทนรอคอยมาตั้งสามปีถึงจะเก็บวิญญาณที่มีคุณสมบัติราชาผีได้สักตัวโดยมือตัวเองไม่เปื้อนเลือด ข้าเป็นจักรพรรดิผีในนรกได้ พระโพธิสัตว์นั่นถูกข้าสรรเสริญเยินยอจนตัวลอย ราชาผีต่อไปต้องเป็นของข้า ข้าจะยอมตายก่อนได้อย่างไรกัน ข้าไม่ยอม!”

กุ่ยเอ้อร์ได้ยินประโยคเหล่านั้นชัดเจน และทันทีที่เสียงของกุ่ยชีเบาลง ปราณสีขาวที่ต่อสู้กับเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ก็หายไปในพริบตา

เมื่อไม่มีการสกัดกั้นจากปราณสีขาว มังกรเพลิงตัวนั้นก็ม้วนตัวทันที กุ่ยชีร้องครั้งสุดท้าย ทั้งตัวก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่วิญญาณก็แตกสลายไป

กุ่ยเอ้อร์รู้สึกเศร้าใจและตกตะลึงกับความทะเยอทะยานของกุ่ยชี มันไม่ได้เก่งกาจมากนัก แต่ความทะเยอทะยานกลับทะลุฟ้า กุ่ยเอ้อร์คิดในใจ ‘ตัวข้าเป็นมันสมองอันดับหนึ่งของสมาคมราชาผียังไม่กล้าที่จะมีความหวังเกินตัวเช่นนี้ เจ้าแอบมีใจทะเยอะทะยานถึงขนาดจะแทนที่พระโพธิสัตว์เชียวหรือ เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองเพิ่งพลาดโอกาสสำคัญขนาดไหน นั่นคือโอกาสล้ำค่าที่พระโพธิสัตว์มอบให้!’

กุ่ยเอ้อร์รู้ดีว่า หากกุ่ยชียืนหยัดต่ออีกสักนิด เกรงว่าต่อไปลูกพี่สมาคมราชาผีจะต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหวจนพูดจาเลอะเทอะ ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ยังคงวิงวอนพระโพธิสัตว์คุ้มครองเช่นเคย และไม่มีทางจบลงด้วยวิญญาณแตกดับ อย่างน้อยพระโพธิสัตว์ก็ยังให้อนาคตการบำเพ็ญผีกับเขาได้

เขาทะเยอทะยานสูงไป ไม่ฉลาดเหมือนตน หากอยากจะเสแสร้งก็ต้องทำให้สุดทางถึงจะถูก! แต่สุดท้ายก็หลุดปากเอ่ยแผนการในใจออกมา ตายอย่างนี้เท่ากับตายเปล่า

ฟางหนิงก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ระบบแจ้งเตือนบอกสาเหตุกับเขา

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่าย ‘มนตราหัวใจโพธิ’ กุ่ยชีสูญเสียการปกป้องวิญญาณ และสูญเสียการต้านทานเปลวไฟ รวมทั้งการฟื้นคืนชีวิต

กุ่ยชีถูกเปลวเพลิงของมังกรเพลิงเผาไหม้จนวอดวาย

ระบบได้รับค่าประสบการณ์ห้าหมื่นคะแนน

ระบบได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญเล็กน้อย

เห็นวิญญาณกุ่ยชีแตกสลาย อัศวิน A ก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับเพิ่งเห็นมดตัวหนึ่งตายเท่านั้น เขาเอ่ยเสียงเรียบ “บรรพบุรุษตระกูลไป๋ถูกข้าไล่ล่าจนขึ้นสวรรค์ไร้ทางลงนรกไร้ประตู ข้ายังกลัวพระโพธิสัตว์ที่พวกเจ้าอวดอ้างถึงอีกหรือไง ข้าอยากจะดูหน่อยว่าผู้มีอำนาจบารมีที่เจ้าพูดถึงจะช่วยเจ้าเกิดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”

อัศวิน A กล่าวจบ เสียงทรงพลังขุมหนึ่งก็ดังกึกก้องทั่วทั้งหุบเขา

“น้องชายมังกรท่านนี้โมโหหนักไปหน่อยแล้ว”

………………………………………………………………….

บทที่ 62 เก่งกาจแม้เราอยู่ภายใต้ความกดดันมากมาย

ผ่านไปหลายวันก็ยังหาตัวผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่พบ ความจริงแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ เพราะนี่ไม่ใช่เกมกำจัดปีศาจที่จะรอให้บอสใหญ่ปรากฏตัวออกมาเอง…

ฟางหนิงฝึกฝนทักษะ ‘การแปลงร่างมังกร’ ด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ต ตอนนี้ไฟดับ เขาไม่สามารถเล่นมันได้ ส่วนนิยายก็อ่านไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้เขาจึงเศร้ามาก…

ไม่ได้การ ฟางหนิงไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไปแล้ว เขานึกถึงบางอย่างที่ต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำ แต่ต้องทำให้เทพแห่งระบบเห็นด้วยก่อน รอให้เขาสามารถคืนค่าพลังงานเครือข่ายกลับมาให้ได้ก่อนเถอะ

ฟางหนิง “ผีสองตนนั่นที่สมรู้ร่วมคิดกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ต้องถูกจับมาทรมานเพื่อหาเบาะแสจากมัน กล้าดียังไงสมรู้ร่วมคิดมาทำร้ายเรา ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยอมแพ้ไปก่อน เราอาจต้องสูญเสียบางอย่างไป! ไม่ว่าจะหาตัวผู้อาวุโสตระกูลไป๋เจอหรือไม่ก็ต้องฆ่าวิญญาณสองตัวนั่นให้ได้ ให้พวกมันได้รู้ว่าไม่ควรที่จะมาตลบหลังเราอีก!”

ดูเหมือนว่าสองสามวันมานี้ระบบจะเฉื่อยชาเป็นพิเศษ ทั้งความหวังของมันที่จะขโมยสมบัติจากบอสใหญ่ก็ดูไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน

สุดท้ายระบบก็เห็นด้วยกับแผนของฟางหนิง “สิ่งที่โฮสต์พูดมาก็สมเหตุสมผลดี ตราบใดที่มันสามารถเพิ่มปัจจัยด้านความปลอดภัยของเราได้ เราก็จะทำ หลังจากจัดการพวกมันแล้ว เราก็จะสามารถบันทึกคะแนนประสบการณ์กลับคืนมาได้”

ฟางหนิงได้โอกาสพูดต่อ “จากนั้นฉันก็จะถามคนในเครือข่ายถึงตำแหน่งของพวกเขา”

ระบบเอ่ย “ไม่จำเป็นหรอก พวกเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีปลิดลมหายใจของสามพี่น้องตระกูลไป๋ ระบบสามารถค้นหาพวกมันได้จากแผนที่ พวกมันถูกเรียกว่าผีรองและกุ่ยชี อยู่ในหุบเขาเร้นลับที่สองสามีภรรยาหนูยักษ์ฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด แต่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

ฟางหนิงนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ‘จอมยุทธ์ท่านช่างเก่งกาจอะไรอย่างนี้ ฉันนี่กดดันแทบตาย’

อย่างไรก็ตาม แผนการของเขาในการฟื้นฟูเครือข่ายพลังงานก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง เขาได้แต่โทษตัวเองที่ไม่มีนิสัยชอบซื้อหนังสือ ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนกับ ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ต่อไป…

ในหุบเขาเร้นลับเงียบสลัดมากและปกคลุมไปด้วยหมอก ผีกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การนำของผีสาวแดงเพลิงกระจายตัวไปทั่วหุบเขา เข้าแทรกซึมในทุกถ้ำ

ในถ้ำหินแห่งหนึ่ง ใลหน้าหนูสีเทาฉายชัดถึงความกังวล มันกระตุ้นให้หนูภูเขาตัวใหญ่ฟังการเคลื่อนไหว

“ฟันเหล็ก เจ้าขุดทางผ่านถ้ำที่อยู่ข้างหน้าได้หรือเปล่า? ผีพวกนั้นกำลังจะมาแล้ว”

“อีกนิดเดียวฝ่าบาท” หนูภูเขาตัวใหญ่กล่าวตอบพร้อมฝังหัวของมันลงไปบนทางเดิน กัดเจาะเข้าที่กำแพงหินอย่างสิ้นหวังพลางเงยหน้าขึ้นพูด ทันทีที่มันอ้าปาก ฟันแหลมคมของมันก็เผยแสงเย็นวาบออกมา

“งั้นก็รีบเข้า เด็กๆ เข้าแถวหลังฟันเหล็กอีกนิดเดียวแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นให้ผ่านไปทีละตัว!” หนูสีเทากระตุ้น

หนูภูเขากลุ่มใหญ่ ดูท่าทางวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกมันรวมต่อต่อแถวอยู่หลังฟันเหล็ก รอคอยเวลาผ่านทางเดินนั้น

ในเวลานี้ที่ด้านล่างของหุบเขา กุ่ยชีอยู่กับผีกลุ่มใหญ่ ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือจูซานเม่ย ส่วนที่เหลือคือพวกที่เขาได้รวบรวมมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีศักดิ์น้อยกว่าภูมิหลังของผีรอง

ผีรองยืนอยู่ข้างกายเขา มันยังคงสวมหน้ากากสีขาว เฝ้ามองผีรับใช้ที่ไม่ยอมออกมา

ผีรองมองไปที่มันครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กุ่ยชีเจ้าค้นหามาสองวันแล้วทำไมถึงยังไม่พบราชาหนูภูเขาที่เจ้ากล่าวถึงอีก? หรือว่าที่นี่จะไม่มีราชาหนู? ต้องการให้ข้าช่วยหาไหม?”

“พี่รอง กล้าดียังไงมาแทรกแซงงานของข้า อดทนไว้เถอะ ข้าชำนาญเรื่องนี้มาก เดินทางมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งแล้ว ข้าแน่ใจว่ามีหนูภูเขาจำนวนหนึ่งและในหมู่พวกมันก็มีราชา แม้ว่าขนาดจะเป็นเพียงหนูธรรมดา แต่เขาฉลาดมาก เหมาะจะเป็นวิญญาณหลักของหุ่นเชิดศพ ก่อนหน้านี้พวกมันเคยอาศัยอยู่ร่วมกับหนูยักษ์ ซึ่งดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นฐานที่มั่นของตระกูลไป๋ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าไม่กล้าทำอะไรก็เพราะตระกูลไป๋ แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เป็นหนี้…”

เขากำลังจะพูดต่อ แต่เสียงกระแอมไปของผีรองกลับขัดจังหวะขึ้นก่อน “ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เป็นสิ่งชั่วร้าย ตอนนี้กำลังถูกไล่ล่าและปราบปรามโดยสำนักสัจธรรม อีกอย่างอัศวิน A ยังเสนอเงินรางวัลเพื่อตามล่าเขาในเฉินโจวอีก สมาคมราชาผีของเราจะไม่มีวันจัดการกับเรื่องดังกล่าว”

จากนั้นกุ่ยชีก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ใช่ๆ พี่รองกล่าวว่าตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังซ่อนตัวอยู่ ที่มั่นแห่งนี้ก็ถูกพวกเขาทอดทิ้งเช่นกัน เพิ่งมาถูกราชาหนูภูเขายึดครอง มันจะต้องอยู่อาศัยที่นี่แน่ แค่เห็นเมล็ดพืชที่ปลูกที่ก้นหุบเขาแล้วรดน้ำไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็รู้ว่าพวกมันรีบหนีไปเพราะความกลัว อาจยังไปไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”

ผีรองกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบค้นหามันเถอะ นี่อาจทำให้ภารกิจของอัศวิน A ล่าช้า เจ้าก็รู้ว่ามีซากศพอสูรหนูยักษ์รอเราอยู่ เพราะเจ้าเต็มใจที่จะเสียสละจิตวิญญาณของราชาหนูที่มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าจะมอบศพปีศาจตนสุดท้ายให้กับเจ้า”

กุ่ยชีกล่าวอย่างมีความสุข “ขอบคุณพี่รองมาก”

ผีรอง “พูดได้ดีๆ”

ทันใดนั้นกุ่ยชีก็ดีใจขึ้นมาอีกรอบ “ผีรับใช้ของข้าพบพวกมันแล้ว”

ผีรองท่าทางประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบจับมันซะ ข้าอยากรู้ว่ามันฉลาดแค่ไหนกันเชียว แม้ว่าหนูยักษ์จะดุร้าย แต่ความเฉลียวฉลาดของมันกลับไม่สูงมาก สมบัติของตระกูลไป๋มีประโยชน์มากมาย เราสามารถทำให้พวกมันหวาดกลัวได้แต่เราไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ หากราชาหนูภูเขาฉลาดมากพอ ก็คงไม่ย่ำแย่ไปกว่าราชาหนูยักษ์หรอก”

ในตอนนี้เอง ผีสาวจูซานเม่ยก็พบตัวราชาหนูภูเขาเข้าแล้วจริงๆ

หนูสีเทายืนอยู่หน้าอุโมงค์สุดท้ายที่ขุด ปล่อยให้หนูภูเขาตัวสุดท้ายมุดเข้าไป มันใช้ร่างตัวเองปิดกั้นรูเอาไว้และกรีดร้องใส่ผีสาวสีแดงเพลิงที่อยู่ข้างหน้า

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร และจะขอบอกเจ้าเอาไว้ว่าข้าเองก็มีผู้สนับสนุน!”

จูซานเม่ยมีใบหน้ากลมเรียว ก่อนตายเธอคงจะเป็นเด็กสาวที่หน้าตาดีไม่น้อย ในตอนนี้เธอเห็นการกระทำทั้งหมดของราชาหนูภูเขาแล้ว ภาพในอดีตบางส่วนจึงปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ เธอไม่ได้เข้าไปจับอีกฝ่ายในทันที แต่กลับเห็นอกเห็นใจมันเล็กน้อย คอยฟังสิ่งที่หนูสีเทาตัวน้อยนี้พูด

“ผู้สนับสนุนของฉันคือมังกรเพลิงตัวใหญ่!”

“ทันทีที่เขาปรากฏตัว ปีศาจหนูยักษ์สองตัวที่วิ่งมาที่นี่ก่อนหน้านี้ก็กลัวจนต้องฆ่าตัวตาย!”

“ส่วนหนูยักษ์ที่เหลือก็ตกใจจนหนีหายไปหมด!”

“พวกข้าไม่เป็นไรเลยสักนิด เพราะเขาขับไล่ปีศาจหนูยักษ์ไปให้แล้ว และพวกข้าก็ยังสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ตามที่เขาอนุญาต ถ้าเจ้าสังหารข้า เขาจะต้องโกรธแน่นอน และหายนะจะมาสู่เจ้านายของเจ้า!”

จูซานเม่ยรู้สึกขบขัน แต่ลึกๆ ก็รู้สึกสงสารลึก เธอคิดในใจ ‘โลกนี้ช่างอันตรายและคาดเดาไม่ได้จริงๆ สิ่งเล็กน้อยเช่นนี้แข็งแกร่งมากสามารถฆ่าได้ด้วยกรงเล็บเดียว แต่ก็ยังมีคนเกือบฆ่าตัวตายด้วยฝ่ามือเดียว มีเพียงผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะรู้สึกปลอดภัย’

แต่ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ หากจะปล่อยอีกฝ่ายไปก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน ท้ายที่สุดเจ้านายผู้เจ้าเล่ห์อาจใช้บทลงโทษที่รุนแรงที่สุดกับเธอ

ความเห็นอกเห็นใจของเธอเพียงพอที่จะให้ราชาหนูภูเขาพูดจนจบ

เธอยื่นกรงเล็บผีออกมาและหยิบหนูภูเขาขึ้นมาอย่างเบามือ จากนั้นจึงเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจหนูภูเขาที่กรีดร้องอยู่ในทางเดิน

หนูสีเทาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เต็มไปด้วยความอาลัยโหยหาอย่างล้ำลึก มันมองดูหนูน้อยบนภูเขาที่อยู่ตรงทางเดินพลางออกคำสั่ง “ฟันเหล็ก พาเด็กๆ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้…”

“มังกรเพลิงตัวใหญ่ใดกันที่คอยหนุนหลังหนูภูเขา ไร้สาระสิ้นดี กล้าหลอกลวงนายท่านงั้นหรือ สมควรแก่ความตายจริงๆ!” กุ่ยชีถือหนูสีเทาไว้ในมือขวา หลังจากฟังคำพูดของจูซานเม่ย มันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟพลางออกแรงทั้งหมดในมือบีบคั้นมันให้ตาย

“เดี๋ยวก่อน” ผีรองรีบห้ามเอาไว้

กุ่ยชีงุนงง “พี่รอง เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินที่มันพูดแล้ว มันหลอกเรา ปีศาจบนภูเขาเช่นนี้จะมีมังกรเพลิงคอยหนุนหลังได้อย่างไร” ”

ผีรองโบกมือ “ข้าขอถามมันมันสักสองสามข้อก่อน”

ผีรองมองไปที่หนูสีเทา ดวงตาของหนูสีเทากลิ้งกลอกไปมา แม้ว่ามันจะกลัวเขาแต่ก็ยังสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ ผีรองจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูด “ข้าขอถามหน่อย มังกรเพลิงตัวใหญ่นั่นกลายร่างเป็นได้คนหรือไม่?”

หนูสีเทารู้สึกมีความหวัง เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็รีบตอบกลับทันที “ได้ มังกรเพลิงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นคน พูดจาเหมือนมนุษย์อย่างพวกเจ้า รูปลักษณ์หล่อเหล่าไม่น้อย ท่าทางน่าสะพรึงกลัว ชนิดที่ว่าผู้หญิงเห็นเป็นอันต้องอยากตั้งครรภ์ด้วย ผีสาวเห็นคงอยากเกิดใหม่ทันทีเชียวล่ะ…”

“พอแล้ว หยุดโอ้อวดสักที ข้ารู้แล้วว่าเป็นเขา ดูเหมือนว่าอัศวิน A อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมันจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรมันเลย ปล่อยมันไปเถอะ” ผีรองรีบพุ่งเข้าไปหากุ่ยชีเพื่อส่งสัญญาณให้ปล่อยอีกฝ่ายไป

กุ่ยชีกลับไม่อยากทำแบบนั้น เขามองหนูสีเทาตัวนี้อยู่นาน เขาเคยถูกข่มตระกูลไป๋ข่มขู่มาก่อน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือ แต่ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่อีกฝ่ายจะได้รับน้ำใจจากเขา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเห็นอกเห็นใจกันได้ เดิมทีเขาตั้งใจใช้มันเป็นตัวแทนของซากหนูยักษ์ตัวนั้น ถ้าปล่อยไป เขาจะหาหุ่นเชิดอันล้ำค่าที่ได้มาโดยง่ายเช่นนี้ได้จากที่ไหนอีก?

มีหนูยักษ์ใต้ดินจำนวนมากในเมืองฉีง เดิมทีสมาคมราชาผีของเขาไม่สามารถยับยั้งราชาหนูยักษ์ได้เลย และเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ด้วย เพราะฉะนั้นหากต้องการทำภารกิจของอัศวิน A ให้สำเร็จ มีเพียงผีรองเท่านั้นที่ทำได้

ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่รองทำไมท่านถึงระวังตัวเช่นนี้ล่ะ? สิ่งเล็กน้อยนี่อาจไม่เกี่ยวอะไรกับอัศวิน A ก็ได้ ครั้งสุดท้ายที่อัศวิน A บีบบังคับสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ให้ฆ่าตัวตาย อาจเป็นเพราะบังเอิญเห็นฉากต่อสู้บางอย่างเข้า เลยกุเรื่องโกหกขึ้นมา ไม่ได้มีความความสัมพันธ์ใดด้วย?”

“อัศวิน A เป็นจอมยุทธ์ไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เมื่อเราใส่ร้ายเขาลับหลังเหมือนคราวที่แล้ว เขาได้ยินอย่างชัดเจนแน่นอน หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาอาจจัดการเราก็ได้ ราชาหนูภูเขาตัวน้อยนี้ เราจะอ้างว่าในเวลานั้นจำเป็นต้องกำจัดภัยพิบัติของหนูยักษ์ในเมืองฉี แม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์กับเขาก็จริง แต่เกรงว่าเขาจะต้องยอมเสียสละชีวิตของสิ่งเล็กน้อยนี้เพื่อแลกกับผู้คนในเมือง”

ดูเหมือนว่าหนูสีเทาจะเข้าใจโดยสมบูรณ์แล้ว ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอีกครั้ง

กุ่ยชีอธิบายไปมากมาย แต่ผีรองกลับไม่ได้กล่าวอะไร เพียงขยิบตาให้เขาทีหนึ่ง ฉับพลันร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา

……………………………………….

บทที่ 62 เก่งกาจแม้เราอยู่ภายใต้ความกดดันมากมาย

ผ่านไปหลายวันก็ยังหาตัวผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่พบ ความจริงแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ เพราะนี่ไม่ใช่เกมกำจัดปีศาจที่จะรอให้บอสใหญ่ปรากฏตัวออกมาเอง…

ฟางหนิงฝึกฝนทักษะ ‘การแปลงร่างมังกร’ ด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ต ตอนนี้ไฟดับ เขาไม่สามารถเล่นมันได้ ส่วนนิยายก็อ่านไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้เขาจึงเศร้ามาก…

ไม่ได้การ ฟางหนิงไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไปแล้ว เขานึกถึงบางอย่างที่ต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำ แต่ต้องทำให้เทพแห่งระบบเห็นด้วยก่อน รอให้เขาสามารถคืนค่าพลังงานเครือข่ายกลับมาให้ได้ก่อนเถอะ

ฟางหนิง “ผีสองตนนั่นที่สมรู้ร่วมคิดกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ต้องถูกจับมาทรมานเพื่อหาเบาะแสจากมัน กล้าดียังไงสมรู้ร่วมคิดมาทำร้ายเรา ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยอมแพ้ไปก่อน เราอาจต้องสูญเสียบางอย่างไป! ไม่ว่าจะหาตัวผู้อาวุโสตระกูลไป๋เจอหรือไม่ก็ต้องฆ่าวิญญาณสองตัวนั่นให้ได้ ให้พวกมันได้รู้ว่าไม่ควรที่จะมาตลบหลังเราอีก!”

ดูเหมือนว่าสองสามวันมานี้ระบบจะเฉื่อยชาเป็นพิเศษ ทั้งความหวังของมันที่จะขโมยสมบัติจากบอสใหญ่ก็ดูไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน

สุดท้ายระบบก็เห็นด้วยกับแผนของฟางหนิง “สิ่งที่โฮสต์พูดมาก็สมเหตุสมผลดี ตราบใดที่มันสามารถเพิ่มปัจจัยด้านความปลอดภัยของเราได้ เราก็จะทำ หลังจากจัดการพวกมันแล้ว เราก็จะสามารถบันทึกคะแนนประสบการณ์กลับคืนมาได้”

ฟางหนิงได้โอกาสพูดต่อ “จากนั้นฉันก็จะถามคนในเครือข่ายถึงตำแหน่งของพวกเขา”

ระบบเอ่ย “ไม่จำเป็นหรอก พวกเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีปลิดลมหายใจของสามพี่น้องตระกูลไป๋ ระบบสามารถค้นหาพวกมันได้จากแผนที่ พวกมันถูกเรียกว่าผีรองและกุ่ยชี อยู่ในหุบเขาเร้นลับที่สองสามีภรรยาหนูยักษ์ฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด แต่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

ฟางหนิงนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ‘จอมยุทธ์ท่านช่างเก่งกาจอะไรอย่างนี้ ฉันนี่กดดันแทบตาย’

อย่างไรก็ตาม แผนการของเขาในการฟื้นฟูเครือข่ายพลังงานก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง เขาได้แต่โทษตัวเองที่ไม่มีนิสัยชอบซื้อหนังสือ ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนกับ ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ต่อไป…

ในหุบเขาเร้นลับเงียบสลัดมากและปกคลุมไปด้วยหมอก ผีกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การนำของผีสาวแดงเพลิงกระจายตัวไปทั่วหุบเขา เข้าแทรกซึมในทุกถ้ำ

ในถ้ำหินแห่งหนึ่ง ใลหน้าหนูสีเทาฉายชัดถึงความกังวล มันกระตุ้นให้หนูภูเขาตัวใหญ่ฟังการเคลื่อนไหว

“ฟันเหล็ก เจ้าขุดทางผ่านถ้ำที่อยู่ข้างหน้าได้หรือเปล่า? ผีพวกนั้นกำลังจะมาแล้ว”

“อีกนิดเดียวฝ่าบาท” หนูภูเขาตัวใหญ่กล่าวตอบพร้อมฝังหัวของมันลงไปบนทางเดิน กัดเจาะเข้าที่กำแพงหินอย่างสิ้นหวังพลางเงยหน้าขึ้นพูด ทันทีที่มันอ้าปาก ฟันแหลมคมของมันก็เผยแสงเย็นวาบออกมา

“งั้นก็รีบเข้า เด็กๆ เข้าแถวหลังฟันเหล็กอีกนิดเดียวแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นให้ผ่านไปทีละตัว!” หนูสีเทากระตุ้น

หนูภูเขากลุ่มใหญ่ ดูท่าทางวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกมันรวมต่อต่อแถวอยู่หลังฟันเหล็ก รอคอยเวลาผ่านทางเดินนั้น

ในเวลานี้ที่ด้านล่างของหุบเขา กุ่ยชีอยู่กับผีกลุ่มใหญ่ ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือจูซานเม่ย ส่วนที่เหลือคือพวกที่เขาได้รวบรวมมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีศักดิ์น้อยกว่าภูมิหลังของผีรอง

ผีรองยืนอยู่ข้างกายเขา มันยังคงสวมหน้ากากสีขาว เฝ้ามองผีรับใช้ที่ไม่ยอมออกมา

ผีรองมองไปที่มันครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กุ่ยชีเจ้าค้นหามาสองวันแล้วทำไมถึงยังไม่พบราชาหนูภูเขาที่เจ้ากล่าวถึงอีก? หรือว่าที่นี่จะไม่มีราชาหนู? ต้องการให้ข้าช่วยหาไหม?”

“พี่รอง กล้าดียังไงมาแทรกแซงงานของข้า อดทนไว้เถอะ ข้าชำนาญเรื่องนี้มาก เดินทางมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งแล้ว ข้าแน่ใจว่ามีหนูภูเขาจำนวนหนึ่งและในหมู่พวกมันก็มีราชา แม้ว่าขนาดจะเป็นเพียงหนูธรรมดา แต่เขาฉลาดมาก เหมาะจะเป็นวิญญาณหลักของหุ่นเชิดศพ ก่อนหน้านี้พวกมันเคยอาศัยอยู่ร่วมกับหนูยักษ์ ซึ่งดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นฐานที่มั่นของตระกูลไป๋ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าไม่กล้าทำอะไรก็เพราะตระกูลไป๋ แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เป็นหนี้…”

เขากำลังจะพูดต่อ แต่เสียงกระแอมไปของผีรองกลับขัดจังหวะขึ้นก่อน “ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เป็นสิ่งชั่วร้าย ตอนนี้กำลังถูกไล่ล่าและปราบปรามโดยสำนักสัจธรรม อีกอย่างอัศวิน A ยังเสนอเงินรางวัลเพื่อตามล่าเขาในเฉินโจวอีก สมาคมราชาผีของเราจะไม่มีวันจัดการกับเรื่องดังกล่าว”

จากนั้นกุ่ยชีก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ใช่ๆ พี่รองกล่าวว่าตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังซ่อนตัวอยู่ ที่มั่นแห่งนี้ก็ถูกพวกเขาทอดทิ้งเช่นกัน เพิ่งมาถูกราชาหนูภูเขายึดครอง มันจะต้องอยู่อาศัยที่นี่แน่ แค่เห็นเมล็ดพืชที่ปลูกที่ก้นหุบเขาแล้วรดน้ำไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็รู้ว่าพวกมันรีบหนีไปเพราะความกลัว อาจยังไปไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”

ผีรองกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบค้นหามันเถอะ นี่อาจทำให้ภารกิจของอัศวิน A ล่าช้า เจ้าก็รู้ว่ามีซากศพอสูรหนูยักษ์รอเราอยู่ เพราะเจ้าเต็มใจที่จะเสียสละจิตวิญญาณของราชาหนูที่มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าจะมอบศพปีศาจตนสุดท้ายให้กับเจ้า”

กุ่ยชีกล่าวอย่างมีความสุข “ขอบคุณพี่รองมาก”

ผีรอง “พูดได้ดีๆ”

ทันใดนั้นกุ่ยชีก็ดีใจขึ้นมาอีกรอบ “ผีรับใช้ของข้าพบพวกมันแล้ว”

ผีรองท่าทางประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบจับมันซะ ข้าอยากรู้ว่ามันฉลาดแค่ไหนกันเชียว แม้ว่าหนูยักษ์จะดุร้าย แต่ความเฉลียวฉลาดของมันกลับไม่สูงมาก สมบัติของตระกูลไป๋มีประโยชน์มากมาย เราสามารถทำให้พวกมันหวาดกลัวได้แต่เราไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ หากราชาหนูภูเขาฉลาดมากพอ ก็คงไม่ย่ำแย่ไปกว่าราชาหนูยักษ์หรอก”

ในตอนนี้เอง ผีสาวจูซานเม่ยก็พบตัวราชาหนูภูเขาเข้าแล้วจริงๆ

หนูสีเทายืนอยู่หน้าอุโมงค์สุดท้ายที่ขุด ปล่อยให้หนูภูเขาตัวสุดท้ายมุดเข้าไป มันใช้ร่างตัวเองปิดกั้นรูเอาไว้และกรีดร้องใส่ผีสาวสีแดงเพลิงที่อยู่ข้างหน้า

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร และจะขอบอกเจ้าเอาไว้ว่าข้าเองก็มีผู้สนับสนุน!”

จูซานเม่ยมีใบหน้ากลมเรียว ก่อนตายเธอคงจะเป็นเด็กสาวที่หน้าตาดีไม่น้อย ในตอนนี้เธอเห็นการกระทำทั้งหมดของราชาหนูภูเขาแล้ว ภาพในอดีตบางส่วนจึงปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ เธอไม่ได้เข้าไปจับอีกฝ่ายในทันที แต่กลับเห็นอกเห็นใจมันเล็กน้อย คอยฟังสิ่งที่หนูสีเทาตัวน้อยนี้พูด

“ผู้สนับสนุนของฉันคือมังกรเพลิงตัวใหญ่!”

“ทันทีที่เขาปรากฏตัว ปีศาจหนูยักษ์สองตัวที่วิ่งมาที่นี่ก่อนหน้านี้ก็กลัวจนต้องฆ่าตัวตาย!”

“ส่วนหนูยักษ์ที่เหลือก็ตกใจจนหนีหายไปหมด!”

“พวกข้าไม่เป็นไรเลยสักนิด เพราะเขาขับไล่ปีศาจหนูยักษ์ไปให้แล้ว และพวกข้าก็ยังสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ตามที่เขาอนุญาต ถ้าเจ้าสังหารข้า เขาจะต้องโกรธแน่นอน และหายนะจะมาสู่เจ้านายของเจ้า!”

จูซานเม่ยรู้สึกขบขัน แต่ลึกๆ ก็รู้สึกสงสารลึก เธอคิดในใจ ‘โลกนี้ช่างอันตรายและคาดเดาไม่ได้จริงๆ สิ่งเล็กน้อยเช่นนี้แข็งแกร่งมากสามารถฆ่าได้ด้วยกรงเล็บเดียว แต่ก็ยังมีคนเกือบฆ่าตัวตายด้วยฝ่ามือเดียว มีเพียงผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะรู้สึกปลอดภัย’

แต่ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ หากจะปล่อยอีกฝ่ายไปก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน ท้ายที่สุดเจ้านายผู้เจ้าเล่ห์อาจใช้บทลงโทษที่รุนแรงที่สุดกับเธอ

ความเห็นอกเห็นใจของเธอเพียงพอที่จะให้ราชาหนูภูเขาพูดจนจบ

เธอยื่นกรงเล็บผีออกมาและหยิบหนูภูเขาขึ้นมาอย่างเบามือ จากนั้นจึงเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจหนูภูเขาที่กรีดร้องอยู่ในทางเดิน

หนูสีเทาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เต็มไปด้วยความอาลัยโหยหาอย่างล้ำลึก มันมองดูหนูน้อยบนภูเขาที่อยู่ตรงทางเดินพลางออกคำสั่ง “ฟันเหล็ก พาเด็กๆ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้…”

“มังกรเพลิงตัวใหญ่ใดกันที่คอยหนุนหลังหนูภูเขา ไร้สาระสิ้นดี กล้าหลอกลวงนายท่านงั้นหรือ สมควรแก่ความตายจริงๆ!” กุ่ยชีถือหนูสีเทาไว้ในมือขวา หลังจากฟังคำพูดของจูซานเม่ย มันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟพลางออกแรงทั้งหมดในมือบีบคั้นมันให้ตาย

“เดี๋ยวก่อน” ผีรองรีบห้ามเอาไว้

กุ่ยชีงุนงง “พี่รอง เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินที่มันพูดแล้ว มันหลอกเรา ปีศาจบนภูเขาเช่นนี้จะมีมังกรเพลิงคอยหนุนหลังได้อย่างไร” ”

ผีรองโบกมือ “ข้าขอถามมันมันสักสองสามข้อก่อน”

ผีรองมองไปที่หนูสีเทา ดวงตาของหนูสีเทากลิ้งกลอกไปมา แม้ว่ามันจะกลัวเขาแต่ก็ยังสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ ผีรองจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูด “ข้าขอถามหน่อย มังกรเพลิงตัวใหญ่นั่นกลายร่างเป็นได้คนหรือไม่?”

หนูสีเทารู้สึกมีความหวัง เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็รีบตอบกลับทันที “ได้ มังกรเพลิงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นคน พูดจาเหมือนมนุษย์อย่างพวกเจ้า รูปลักษณ์หล่อเหล่าไม่น้อย ท่าทางน่าสะพรึงกลัว ชนิดที่ว่าผู้หญิงเห็นเป็นอันต้องอยากตั้งครรภ์ด้วย ผีสาวเห็นคงอยากเกิดใหม่ทันทีเชียวล่ะ…”

“พอแล้ว หยุดโอ้อวดสักที ข้ารู้แล้วว่าเป็นเขา ดูเหมือนว่าอัศวิน A อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมันจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรมันเลย ปล่อยมันไปเถอะ” ผีรองรีบพุ่งเข้าไปหากุ่ยชีเพื่อส่งสัญญาณให้ปล่อยอีกฝ่ายไป

กุ่ยชีกลับไม่อยากทำแบบนั้น เขามองหนูสีเทาตัวนี้อยู่นาน เขาเคยถูกข่มตระกูลไป๋ข่มขู่มาก่อน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือ แต่ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่อีกฝ่ายจะได้รับน้ำใจจากเขา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเห็นอกเห็นใจกันได้ เดิมทีเขาตั้งใจใช้มันเป็นตัวแทนของซากหนูยักษ์ตัวนั้น ถ้าปล่อยไป เขาจะหาหุ่นเชิดอันล้ำค่าที่ได้มาโดยง่ายเช่นนี้ได้จากที่ไหนอีก?

มีหนูยักษ์ใต้ดินจำนวนมากในเมืองฉีง เดิมทีสมาคมราชาผีของเขาไม่สามารถยับยั้งราชาหนูยักษ์ได้เลย และเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ด้วย เพราะฉะนั้นหากต้องการทำภารกิจของอัศวิน A ให้สำเร็จ มีเพียงผีรองเท่านั้นที่ทำได้

ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่รองทำไมท่านถึงระวังตัวเช่นนี้ล่ะ? สิ่งเล็กน้อยนี่อาจไม่เกี่ยวอะไรกับอัศวิน A ก็ได้ ครั้งสุดท้ายที่อัศวิน A บีบบังคับสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ให้ฆ่าตัวตาย อาจเป็นเพราะบังเอิญเห็นฉากต่อสู้บางอย่างเข้า เลยกุเรื่องโกหกขึ้นมา ไม่ได้มีความความสัมพันธ์ใดด้วย?”

“อัศวิน A เป็นจอมยุทธ์ไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เมื่อเราใส่ร้ายเขาลับหลังเหมือนคราวที่แล้ว เขาได้ยินอย่างชัดเจนแน่นอน หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาอาจจัดการเราก็ได้ ราชาหนูภูเขาตัวน้อยนี้ เราจะอ้างว่าในเวลานั้นจำเป็นต้องกำจัดภัยพิบัติของหนูยักษ์ในเมืองฉี แม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์กับเขาก็จริง แต่เกรงว่าเขาจะต้องยอมเสียสละชีวิตของสิ่งเล็กน้อยนี้เพื่อแลกกับผู้คนในเมือง”

ดูเหมือนว่าหนูสีเทาจะเข้าใจโดยสมบูรณ์แล้ว ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอีกครั้ง

กุ่ยชีอธิบายไปมากมาย แต่ผีรองกลับไม่ได้กล่าวอะไร เพียงขยิบตาให้เขาทีหนึ่ง ฉับพลันร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา

……………………………………….

บทที่ 61 บอสใหญ่เจ้าเล่ห์

เมื่อวิดีโอจบลง ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็พูดขึ้นเบาๆ “แล้วทำไมในสามครั้งนี้เขาถึงไม่ลงมือ? พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”

ทันทีที่เขาพูดจบ เด็กชายชุดดำก็ยกมือขึ้น

“ซื่อซิน ลุกขึ้นพูดได้” น้ำเสียงขอผู้อาวุโสตระกูลไป๋มีความหนักแน่นและเปี่ยมสุข

ไป๋ซื่อซิน “เมื่อรวมกับหัวข้อ PPT ของท่านผู้อาวุโส เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสต้องการเตือนเราว่าอย่าคิดว่าเราสามารถพึ่งพาท่านได้ทุกอย่าง เราต้องเป็นเหมือนเมื่อเรามาครั้งแรก รักษาใจให้เดินบนน้ำแข็งบางๆ เสมอ พึงระวังชาวโลกนี้ไว้ให้ดี อย่าหยิ่งผยอง เพราะมันจะนำมาซึ่งการทำลายล้างตัวเราเอง อัศวิน A ผู้นี้ นอกจากท่านผู้อาวุโส ก็ไม่มีใครในห้องนี้จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาได้ การที่ผู้อาวุโสตั้งดาบเดโมคลีสไว้บนหัวของเราก็เพื่อปลุกเราให้ตื่นตัว”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋พยักหน้าและโบกมือให้เขานั่งลง

ไป๋ซื่อซินนั่งลง แต่สายตากลับแอบชำเลืองมอง เพื่อดูว่ามีใครยกมือขึ้นบ้าง

ในเวลานี้อีกคนก็ยกมือขึ้น

“ซื่อฟู่ ไหนว่ามา”

ไป๋ซื่อฟู่ “ข้าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของพี่ใหญ่ซื่อซิน อัศวิน A นี้ไม่ใช่ดาบของเดโมคลีส ตรงกันข้ามเขาเป็นหินลับที่ท่านผู้อาวุโสของเราคัดสรรมาอย่างดี ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะเขาได้หมายความว่าคนผู้นั้นคือผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในการฝึกฝน”

“ดี นั่งลงได้”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋โบกมือให้ตัวชี้เลเซอร์ กล่าวเป็นนัยว่าคนอื่นไม่ต้องยกมือขึ้นแล้ว

เขากล่าวต่อ “เมื่อครู่ทั้งสองคนพูดได้ดีมาก ตอนแรกเมื่อข้าได้ยินว่าสมาชิกครอบครัวของซื่อผิงต้องทนทุกข์ทรมาน หัวใจของข้าก็เหมือนมีมีดกรีดลงมา มันแสนเจ็บปวดนัก! พวกเขาทั้งห้ามายังโลกนี้พร้อมกับข้า พวกเขามีมโนธรรมและสติสัมปชัญญะ แต่พวกเขาได้รับคำสั่ง และต้องประสบกับความโชคร้าย!”

ในเวลานี้ ทุกคนฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ยกเว้นเด็กชายชุดขาวคนสุดท้ายที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ

เขามีใบหน้าเฉยเมย ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ย่นจมูกเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อะไรคือความโชคร้าย ข้าคิดว่าบาปของพวกเขาสิ้นสุดแล้วต่างหาก…”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ได้ยิน เขาเอ่ยต่อไป “โชคดีที่ซื่อผิง ผิงเอ๋อร์ และภรรยาของเขาทราบถึงร่างแท้จริงของอัศวิน A ได้ทันเวลาเลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากนั้นพวกเขาก็กอบกู้จิตวิญญาณของตัวเองกลับมาได้ ข้าได้เก็บวิญญาณของพวกเขาไว้แล้ว ตราบใดที่ภารกิจยิ่งใหญ่เสร็จสิ้น เมื่อเผ่าพันธุ์ของเรายืนอยู่หนึ่งเดียวในโลกนี้ ก็เป็นวันที่พวกเราจะกลายเป็นเจ้าแห่งโลก!”

ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น ขวัญกำลังใจกลับคืนมา

มีเพียงชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ด้านหลังเท่านั้นที่เปลี่ยนสีหน้า เขาหยุดเล่นโทรศัพท์ ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มเล็กน้อย

“หลังจากที่ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดจากวิญญาณของสองสามีภรรยา ข้าก็วางแผนไว้มากมาย ถึงกับยอมให้สัมปทานกับสมาคมราชาผีอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาร่วมกัน ให้ได้นำมาซึ่งโอกาสที่สมบูรณ์แบบและแผนซุ่มโจมตีอัศวิน A แต่นาทีสุดท้ายข้ากลับยอมแพ้!”

“เขากลัวที่จะต้องต่อสู้กับอัศวิน A งั้นหรือ? !”

ซื่อซินและซื่อฟู่เอ่ยขึ้น ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือ จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ นั่นคือสาเหตุที่ครอบครัวซื่อผิงโชคดี หากคราวนี้พวกเขาได้พบกับชายที่แข็งแกร่ง ทั้งครอบครัวจะถูกทำลายล้างหรือเปล่า? แม้ว่าอัศวิน A จะกดขี่ข่มเหง อย่างน้อยสามพี่น้องก็สามารถฆ่าตัวตายได้ทันเวลาเพื่อช่วยจิตวิญญาณของตัวเองเช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขา และรอโอกาสที่จะกลายเป็นเทพเจ้าในอนาคต!

ทุกคนเข้าใจดีแล้ว คราวนี้จึงไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่ฟังเงียบๆ

“เหตุผลที่พวกเจ้าควรรู้ หากเจอผู้เล่นที่แข็งแกร่งจริงๆ อีกฝ่ายจะมองศักดิ์ศรีของพวกเจ้า แต่อัศวิน A นั้นคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร เพราะฉะนั้นห้ามประมาทเด็ดขาด โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบความคิดของคนๆ เดียว! คราวหน้าพวกเจ้าทุกคนต้องจำไว้ จงระแวดระวังและรอบคอบให้มากขึ้น แม้ว่าข้าจะมีอำนาจและมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ชั่วชีวิต พวกเจ้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อปรับปรุง เจียมเนื้อเจียมตัวและรอบคอบ ทำงานในระดับสูงแต่ปฏิบัติตนอย่างต่ำต้อย!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋สอนอย่างจริงใจซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนในที่นั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะกินคนให้มากขึ้นเพื่อ เสริมสร้างพละกำลังในการสังหานอัศวิน Aชำระแค้นให้ให้กับตระกูล!

ตอนนั้นเองเด็กชายชุดขาวที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายก็แอบย่อตัวลงมาที่ประตูหลังห้องเรียน

“บ้าจริง ทำไมข้าเปิดไม่ได้” เด็กชายชุดขาวพยายามเปรียบเทียบความแรงของเขากับประตูหลังอย่างสุดความสามารถ ประตูที่เคยเปิดออก ในเวลานี้กลับเปิดไม่ออก

“ชางเอ๋อร์ เจ้าไม่ตั้งใจฟังการบรรยายของข้า แล้วคิดจะโดดเรียนอีกหรือ?” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ทำให้เด็กชายตื่นตกใจ

ในเวลานี้ทุกคนหันมามองเขา บ้างอิจฉาตาร้อน บ้างก็ท่าทางราวกับกำลังดูละคร

รอยยิ้มน่าเกลียดผุดขึ้นใบหน้าของเด็กชายในชุดขาว “ท่านผู้อาวุโส ชางเอ๋อร์ต้องรีบไปปัสสาวะ”

“รีบปัสสาวะหรือ มนุษย์บอกว่าตกใจกลัวจนปัสสาวะ ดูเหมือนว่าชางเอ๋อร์จะตกใจกลัวสินะ ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามของเจ้าเสียชีวิตหมดแล้ว ทั้งลุงรองและป้ารองก็ฆ่าตัวตาย นั่นทำให้เจ้ากลัวหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน

ไป๋รั่วชางรีบพยักหน้า “แน่นอน ชางเอ๋อร์ขี้กลัว ได้ยินเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นก็อดตกใจไม่ได้”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ผุดยิ้ม “โอ้ เจ้าช่างเป็นเด็กดีและใจดีจริงๆ แต่ข้าได้ยินรายงานลับแล้ว หลังจากเจ้าพบว่าครอบครัวของพวกเขาตายหมด เจ้าก็ไปเผาเงินกระดาษให้ ไหว้พระเพื่อสักการะและร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน มันคงยากลำบากสำหรับเจ้าจริงๆ”

ไป๋รั่วชางพยักหน้า “ใช่ๆ ผมสนิทกับครอบครัวของอารองมาก ได้ยินสถานการณ์น่าเศร้าของพวกเขา หัวใจของผมก็เหมือนกับมีมีดทิ่มแทง แทบทนไม่ไหว”

มุมปากของผู้อาวุโสตระกูลไป๋กระตุก “ข้าเกรงว่าจะมีคนอื่นที่เจ้าไปกราบไหว้เสียอีก? อย่างเช่นคนในตระกูลที่แท้จริงของลุงรองเจ้า?”

ใบหน้าของไป๋รั่วซีดเผือด “นี่ จะเป็นไปได้ยังไงกัน จะมีใครในครอบครัวของลุงรองอีก?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ส่ายหัว “เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว หยุดแสดงเถอะ วิญญาณของผิงเอ๋อร์บอกแล้ว ว่าเจ้าเป็นคนทรยศ! แม้ว่าความตายของทั้งสามจะไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่ซื่อผิงและผิงเอ๋อร์ก็ตายแล้ว คนที่ทำให้ อัศวิน A ไปยังหุบเขาที่ซ่อนอยู่ได้นั้น ไม่มีใครแล้วนอกจากเจ้า!”

หลังจากได้ยินไป๋รั่วชางก็งุนงง ในตอนนั้นเขาไม่ได้แจ้งอัศวิน A เกี่ยวกับที่ตั้งของไป๋ซื่อผิงและภรรยาเลย หลังจากที่ทั้งสองเสียชีวิต เมื่อสบโอกาสเขาก็แจ้งเฉียวจื่อซานและคนอื่น ๆ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เฉียวจื่อซานและพวกเขาคนอื่นๆ จะบอกเรื่องนี้กับอัศวิน A แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่าอัศวิน A คงจะมีวิธีการของตัวเอง แต่เขาไม่ได้โต้แย้งกลับไป

ตรงกันข้ามเขากัดฟันและเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ ไป๋อวิ๋นเซิง! เจ้านี่มันปีศาจเจ้าเล่ห์จริงๆ! ตระกูลไป๋ของข้าได้รับการปลูกฝังมาหลายชั่วอายุคน เป็นสิ่งดีงาม จู่ๆ เจ้าก็มาที่โลกนี้ ปลอมตัวเป็นเซียน ปล้นปู่ทวดของข้าไปและตัดรอนตระกูลไป๋จากสูงศักดิ์ให้จมลงดิน! ข้าเกลียดตัวเองที่ขี้ขลาดและไร้ความสามารถ เมื่อก่อนอาจขี้เล่นและละเลยการฝึกฝน จึงทำให้เสียความสามารถในการฝึกฝนอันยอดเยี่ยมไป ถ้าข้าได้ร่างกลับคืนมาเร็วกว่านี้ กองทัพหนูคงตายไปนานแล้ว!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ส่ายหัว “เจ้าคิดผิด”

ไป๋รั่วชางตะลึง “หมายความว่ายังไง?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “มีหลายคนในตระกูลไป๋ของเจ้าซึ่งเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน ความถนัดของพวกเขาแย่กว่าเจ้าเสียอีก แต่การฝึกฝนของพวกเขานั้นยากลำบากกว่าของเจ้ามาก และเจตจำนงของพวกเขาก็กดดันมากกว่าเจ้าด้วย ในการแข่งขันเจตจำนง ในที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็ชนะ ข้าฆ่าลูกหลานของตัวเองไปหลายคน ไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในตอนท้าย เป็นเพราะว่าเจ้าขี้ขลาดและไร้ความสามารถ มีการฝึกฝนที่ย่ำแย่ที่สุด แต่เจ้าก็ได้รับเลือกจากข้าให้เป็นลูกหลานของลูกชายข้า ชางเอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กจิตใจดี ถึงแม้ว่าเจ้าจะพรั่งพร้อมด้วยความช่วยเหลือของข้า แต่ข้าก็ทนไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้า ”

เมื่อไป๋รั่วชางได้ยินดังนั้น แชก็แค่นเสียงเย้ยหยัน “งั้นท่านอยากรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ลูกชายสุดที่รักของท่านอยู่ที่ไหน?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยิ้มจาง “เจ้าอยากจะพูดอะไร? ลูกชายของข้ามีสมบัติที่ข้ามอบให้เป็นการส่วนตัวเพื่อปกป้องจิตวิญญาณ แม้แต่มังกรตัวจริงก็ไม่สามารถทำลายได้ ”

ไป๋รั่วชางยังคงเยาะเย้ย “ใช่ เพราะเขามีสมบัติล้ำค่ ข้าถึงไม่สามารถทำลายจิตวิญญาณของเขาได้ แต่เขาหลอกง่ายเหลือเกิน! ข้าร้องไห้เพียงไม่กี่ครั้งโดยบอกว่าวิญญาณของข้าจะถูกค้นพบโดยเจ้าที่เป็นปีศาจไม่ช้าก็เร็วตระกูลไป๋ของข้าก็จะต้องถูกตัดขาดจากสายเลือด ดังนั้นเขาจึงมอบสมบัติชิ้นนั้นเพื่อปกป้องข้า!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ใบหน้าถอดสี “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

“แล้วดูนี่สิว่ามันคืออะไร!” จู่ๆ ไป๋รั่วชางก็ทุบหัวของเขาด้วยฝ่ามือ ฆ่าตัวตายในทันที

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เดินข้ามไปอีกฝั่งของห้องเรียนในทันที ถือศพของไป๋รั่วชางด้วยมือข้างหนึ่งและใช้อีกมือหนึ่งร่ายพลังเวท

ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งออกมาจากศพของไป๋รั่วชางที่ห่อหุ้มด้วยจิตวิญญาณสีขาว โบยบินตรงออกจากห้องเรียนใต้ดินที่ปิดสนิทแห่งนี้ โดยไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ร่ายพลังเวทออกมาแล้ว ฝ่ามือยักษ์ที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าบินตามลำแสงนั่นไป แม้พยายามไล่จับเพียงใด ทว่าลำแสงนั่นก็ทะลุฝ่ามือยักษ์ออกไปและหายตัวไปในทันที

ท่ามกลางหินแข็งใต้ดิน ลำแสงส่องผ่านเข้ามา

“นายน้อยชาง ตอนนี้เราจะหนีไปที่ไหนดี? ในตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋แข็งแกร่งและทรงพลังมาก ในดินแดนเฉินโจวแทบไม่มีใครยินดีต้อรับพวกเราเลย ส่วนที่สำนักสัจธรรม ข้าไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ใบหน้าของข้าตอนนี้ไม่คสรให้มครพบเห็น”

“มีที่อื่นที่เขาจะไม่ปรากฏตัว”

“ที่ไหน?”

“เมืองฉีเฉิง ”

“ทำไม? ข้าเข้าใจที่เจ้าหมายถึง นั่นคือที่ซ่อนของอัศวิน A แต่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ได้กล่าวไว้เหรอ? อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาเพียงทิ้งหินลับให้รังปีศาจหนูยักษ์โดยเฉพาะ แล้วดาบของเดโมครีสล่ะ เพื่อที่จะได้เจ้ากลับมา เขาจะไม่สนใจอัศวิน A อย่างแน่นอน”

“ฮ่าๆ เจ้าจะเชื่อที่เขาพูดงั้นหรือ ราชวงศ์หนูยักษ์ของเรามีพรสวรรค์พิเศษด้านสัญชาตญาณแห่งความตาย เขากล่าวในวิดีโอว่าเขามั่นใจ 99% ซึ่งจริง แต่ถ้าสิ่งที่เขาไม่แน่ใจในอีก 1% นั้นมันคงเป็นสัญชาตญาณแห่งความตายที่เตือนเขาว่า อัศวิน A ต้องมีวิธีที่สามารถฆ่าเขาได้แน่!”

“ข้าเข้าใจที่เจ้าหมายถึง ผีเฒ่าผู้นี้ทรยศจริงๆ! เห็นได้ชัดว่าเขากลัวท่อระบายน้ำจะพลิกคว่ำ ดังนั้นเขาจึงเลิกซุ่มโจมตีอัศวิน A แต่ใช้มันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มแทน ไม่เพียงแต่ไม่เสียศักดิ์ศรี แต่ยังทำให้คนในเผ่าพันธุ์มีกำลังใจและคิดบวกมากขึ้นแทน ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดนัก”

“เฮ้ นี่คือกลอุบายทั้งหมดที่เขาเล่นในโลกก่อน สำหรับคนที่ไม่รู้รายละเอียดก็ยากจะมองออก ผู้ที่สามารถมาสู่โลกนี้ได้ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นน้องที่เขาคัดสรรมาอย่างดี ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เพียงเพื่อซ่อนรายละเอียด”

“หลังจากที่ตระกูลหนูยักษ์พัฒนาในอนาคต ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะฆ่าอัศวิน A แน่นอน”

“ถูกต้อง และเท่าที่ข้ารู้ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองทำเองแน่นอน แต่เป็นรุ่นน้องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาแทน”

“ตาแก่เจ้าเล่ห์เอ๊ย”

……………………………………………..

บทที่ 61 บอสใหญ่เจ้าเล่ห์

เมื่อวิดีโอจบลง ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็พูดขึ้นเบาๆ “แล้วทำไมในสามครั้งนี้เขาถึงไม่ลงมือ? พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”

ทันทีที่เขาพูดจบ เด็กชายชุดดำก็ยกมือขึ้น

“ซื่อซิน ลุกขึ้นพูดได้” น้ำเสียงขอผู้อาวุโสตระกูลไป๋มีความหนักแน่นและเปี่ยมสุข

ไป๋ซื่อซิน “เมื่อรวมกับหัวข้อ PPT ของท่านผู้อาวุโส เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสต้องการเตือนเราว่าอย่าคิดว่าเราสามารถพึ่งพาท่านได้ทุกอย่าง เราต้องเป็นเหมือนเมื่อเรามาครั้งแรก รักษาใจให้เดินบนน้ำแข็งบางๆ เสมอ พึงระวังชาวโลกนี้ไว้ให้ดี อย่าหยิ่งผยอง เพราะมันจะนำมาซึ่งการทำลายล้างตัวเราเอง อัศวิน A ผู้นี้ นอกจากท่านผู้อาวุโส ก็ไม่มีใครในห้องนี้จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาได้ การที่ผู้อาวุโสตั้งดาบเดโมคลีสไว้บนหัวของเราก็เพื่อปลุกเราให้ตื่นตัว”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋พยักหน้าและโบกมือให้เขานั่งลง

ไป๋ซื่อซินนั่งลง แต่สายตากลับแอบชำเลืองมอง เพื่อดูว่ามีใครยกมือขึ้นบ้าง

ในเวลานี้อีกคนก็ยกมือขึ้น

“ซื่อฟู่ ไหนว่ามา”

ไป๋ซื่อฟู่ “ข้าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของพี่ใหญ่ซื่อซิน อัศวิน A นี้ไม่ใช่ดาบของเดโมคลีส ตรงกันข้ามเขาเป็นหินลับที่ท่านผู้อาวุโสของเราคัดสรรมาอย่างดี ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะเขาได้หมายความว่าคนผู้นั้นคือผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในการฝึกฝน”

“ดี นั่งลงได้”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋โบกมือให้ตัวชี้เลเซอร์ กล่าวเป็นนัยว่าคนอื่นไม่ต้องยกมือขึ้นแล้ว

เขากล่าวต่อ “เมื่อครู่ทั้งสองคนพูดได้ดีมาก ตอนแรกเมื่อข้าได้ยินว่าสมาชิกครอบครัวของซื่อผิงต้องทนทุกข์ทรมาน หัวใจของข้าก็เหมือนมีมีดกรีดลงมา มันแสนเจ็บปวดนัก! พวกเขาทั้งห้ามายังโลกนี้พร้อมกับข้า พวกเขามีมโนธรรมและสติสัมปชัญญะ แต่พวกเขาได้รับคำสั่ง และต้องประสบกับความโชคร้าย!”

ในเวลานี้ ทุกคนฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ยกเว้นเด็กชายชุดขาวคนสุดท้ายที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ

เขามีใบหน้าเฉยเมย ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ย่นจมูกเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อะไรคือความโชคร้าย ข้าคิดว่าบาปของพวกเขาสิ้นสุดแล้วต่างหาก…”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ได้ยิน เขาเอ่ยต่อไป “โชคดีที่ซื่อผิง ผิงเอ๋อร์ และภรรยาของเขาทราบถึงร่างแท้จริงของอัศวิน A ได้ทันเวลาเลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากนั้นพวกเขาก็กอบกู้จิตวิญญาณของตัวเองกลับมาได้ ข้าได้เก็บวิญญาณของพวกเขาไว้แล้ว ตราบใดที่ภารกิจยิ่งใหญ่เสร็จสิ้น เมื่อเผ่าพันธุ์ของเรายืนอยู่หนึ่งเดียวในโลกนี้ ก็เป็นวันที่พวกเราจะกลายเป็นเจ้าแห่งโลก!”

ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น ขวัญกำลังใจกลับคืนมา

มีเพียงชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ด้านหลังเท่านั้นที่เปลี่ยนสีหน้า เขาหยุดเล่นโทรศัพท์ ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มเล็กน้อย

“หลังจากที่ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดจากวิญญาณของสองสามีภรรยา ข้าก็วางแผนไว้มากมาย ถึงกับยอมให้สัมปทานกับสมาคมราชาผีอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาร่วมกัน ให้ได้นำมาซึ่งโอกาสที่สมบูรณ์แบบและแผนซุ่มโจมตีอัศวิน A แต่นาทีสุดท้ายข้ากลับยอมแพ้!”

“เขากลัวที่จะต้องต่อสู้กับอัศวิน A งั้นหรือ? !”

ซื่อซินและซื่อฟู่เอ่ยขึ้น ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือ จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ นั่นคือสาเหตุที่ครอบครัวซื่อผิงโชคดี หากคราวนี้พวกเขาได้พบกับชายที่แข็งแกร่ง ทั้งครอบครัวจะถูกทำลายล้างหรือเปล่า? แม้ว่าอัศวิน A จะกดขี่ข่มเหง อย่างน้อยสามพี่น้องก็สามารถฆ่าตัวตายได้ทันเวลาเพื่อช่วยจิตวิญญาณของตัวเองเช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขา และรอโอกาสที่จะกลายเป็นเทพเจ้าในอนาคต!

ทุกคนเข้าใจดีแล้ว คราวนี้จึงไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่ฟังเงียบๆ

“เหตุผลที่พวกเจ้าควรรู้ หากเจอผู้เล่นที่แข็งแกร่งจริงๆ อีกฝ่ายจะมองศักดิ์ศรีของพวกเจ้า แต่อัศวิน A นั้นคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร เพราะฉะนั้นห้ามประมาทเด็ดขาด โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบความคิดของคนๆ เดียว! คราวหน้าพวกเจ้าทุกคนต้องจำไว้ จงระแวดระวังและรอบคอบให้มากขึ้น แม้ว่าข้าจะมีอำนาจและมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ชั่วชีวิต พวกเจ้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อปรับปรุง เจียมเนื้อเจียมตัวและรอบคอบ ทำงานในระดับสูงแต่ปฏิบัติตนอย่างต่ำต้อย!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋สอนอย่างจริงใจซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนในที่นั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะกินคนให้มากขึ้นเพื่อ เสริมสร้างพละกำลังในการสังหานอัศวิน Aชำระแค้นให้ให้กับตระกูล!

ตอนนั้นเองเด็กชายชุดขาวที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายก็แอบย่อตัวลงมาที่ประตูหลังห้องเรียน

“บ้าจริง ทำไมข้าเปิดไม่ได้” เด็กชายชุดขาวพยายามเปรียบเทียบความแรงของเขากับประตูหลังอย่างสุดความสามารถ ประตูที่เคยเปิดออก ในเวลานี้กลับเปิดไม่ออก

“ชางเอ๋อร์ เจ้าไม่ตั้งใจฟังการบรรยายของข้า แล้วคิดจะโดดเรียนอีกหรือ?” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ทำให้เด็กชายตื่นตกใจ

ในเวลานี้ทุกคนหันมามองเขา บ้างอิจฉาตาร้อน บ้างก็ท่าทางราวกับกำลังดูละคร

รอยยิ้มน่าเกลียดผุดขึ้นใบหน้าของเด็กชายในชุดขาว “ท่านผู้อาวุโส ชางเอ๋อร์ต้องรีบไปปัสสาวะ”

“รีบปัสสาวะหรือ มนุษย์บอกว่าตกใจกลัวจนปัสสาวะ ดูเหมือนว่าชางเอ๋อร์จะตกใจกลัวสินะ ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามของเจ้าเสียชีวิตหมดแล้ว ทั้งลุงรองและป้ารองก็ฆ่าตัวตาย นั่นทำให้เจ้ากลัวหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน

ไป๋รั่วชางรีบพยักหน้า “แน่นอน ชางเอ๋อร์ขี้กลัว ได้ยินเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นก็อดตกใจไม่ได้”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ผุดยิ้ม “โอ้ เจ้าช่างเป็นเด็กดีและใจดีจริงๆ แต่ข้าได้ยินรายงานลับแล้ว หลังจากเจ้าพบว่าครอบครัวของพวกเขาตายหมด เจ้าก็ไปเผาเงินกระดาษให้ ไหว้พระเพื่อสักการะและร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน มันคงยากลำบากสำหรับเจ้าจริงๆ”

ไป๋รั่วชางพยักหน้า “ใช่ๆ ผมสนิทกับครอบครัวของอารองมาก ได้ยินสถานการณ์น่าเศร้าของพวกเขา หัวใจของผมก็เหมือนกับมีมีดทิ่มแทง แทบทนไม่ไหว”

มุมปากของผู้อาวุโสตระกูลไป๋กระตุก “ข้าเกรงว่าจะมีคนอื่นที่เจ้าไปกราบไหว้เสียอีก? อย่างเช่นคนในตระกูลที่แท้จริงของลุงรองเจ้า?”

ใบหน้าของไป๋รั่วซีดเผือด “นี่ จะเป็นไปได้ยังไงกัน จะมีใครในครอบครัวของลุงรองอีก?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ส่ายหัว “เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว หยุดแสดงเถอะ วิญญาณของผิงเอ๋อร์บอกแล้ว ว่าเจ้าเป็นคนทรยศ! แม้ว่าความตายของทั้งสามจะไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่ซื่อผิงและผิงเอ๋อร์ก็ตายแล้ว คนที่ทำให้ อัศวิน A ไปยังหุบเขาที่ซ่อนอยู่ได้นั้น ไม่มีใครแล้วนอกจากเจ้า!”

หลังจากได้ยินไป๋รั่วชางก็งุนงง ในตอนนั้นเขาไม่ได้แจ้งอัศวิน A เกี่ยวกับที่ตั้งของไป๋ซื่อผิงและภรรยาเลย หลังจากที่ทั้งสองเสียชีวิต เมื่อสบโอกาสเขาก็แจ้งเฉียวจื่อซานและคนอื่น ๆ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เฉียวจื่อซานและพวกเขาคนอื่นๆ จะบอกเรื่องนี้กับอัศวิน A แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่าอัศวิน A คงจะมีวิธีการของตัวเอง แต่เขาไม่ได้โต้แย้งกลับไป

ตรงกันข้ามเขากัดฟันและเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ ไป๋อวิ๋นเซิง! เจ้านี่มันปีศาจเจ้าเล่ห์จริงๆ! ตระกูลไป๋ของข้าได้รับการปลูกฝังมาหลายชั่วอายุคน เป็นสิ่งดีงาม จู่ๆ เจ้าก็มาที่โลกนี้ ปลอมตัวเป็นเซียน ปล้นปู่ทวดของข้าไปและตัดรอนตระกูลไป๋จากสูงศักดิ์ให้จมลงดิน! ข้าเกลียดตัวเองที่ขี้ขลาดและไร้ความสามารถ เมื่อก่อนอาจขี้เล่นและละเลยการฝึกฝน จึงทำให้เสียความสามารถในการฝึกฝนอันยอดเยี่ยมไป ถ้าข้าได้ร่างกลับคืนมาเร็วกว่านี้ กองทัพหนูคงตายไปนานแล้ว!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ส่ายหัว “เจ้าคิดผิด”

ไป๋รั่วชางตะลึง “หมายความว่ายังไง?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “มีหลายคนในตระกูลไป๋ของเจ้าซึ่งเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน ความถนัดของพวกเขาแย่กว่าเจ้าเสียอีก แต่การฝึกฝนของพวกเขานั้นยากลำบากกว่าของเจ้ามาก และเจตจำนงของพวกเขาก็กดดันมากกว่าเจ้าด้วย ในการแข่งขันเจตจำนง ในที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็ชนะ ข้าฆ่าลูกหลานของตัวเองไปหลายคน ไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในตอนท้าย เป็นเพราะว่าเจ้าขี้ขลาดและไร้ความสามารถ มีการฝึกฝนที่ย่ำแย่ที่สุด แต่เจ้าก็ได้รับเลือกจากข้าให้เป็นลูกหลานของลูกชายข้า ชางเอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กจิตใจดี ถึงแม้ว่าเจ้าจะพรั่งพร้อมด้วยความช่วยเหลือของข้า แต่ข้าก็ทนไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้า ”

เมื่อไป๋รั่วชางได้ยินดังนั้น แชก็แค่นเสียงเย้ยหยัน “งั้นท่านอยากรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ลูกชายสุดที่รักของท่านอยู่ที่ไหน?”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยิ้มจาง “เจ้าอยากจะพูดอะไร? ลูกชายของข้ามีสมบัติที่ข้ามอบให้เป็นการส่วนตัวเพื่อปกป้องจิตวิญญาณ แม้แต่มังกรตัวจริงก็ไม่สามารถทำลายได้ ”

ไป๋รั่วชางยังคงเยาะเย้ย “ใช่ เพราะเขามีสมบัติล้ำค่ ข้าถึงไม่สามารถทำลายจิตวิญญาณของเขาได้ แต่เขาหลอกง่ายเหลือเกิน! ข้าร้องไห้เพียงไม่กี่ครั้งโดยบอกว่าวิญญาณของข้าจะถูกค้นพบโดยเจ้าที่เป็นปีศาจไม่ช้าก็เร็วตระกูลไป๋ของข้าก็จะต้องถูกตัดขาดจากสายเลือด ดังนั้นเขาจึงมอบสมบัติชิ้นนั้นเพื่อปกป้องข้า!”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ใบหน้าถอดสี “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

“แล้วดูนี่สิว่ามันคืออะไร!” จู่ๆ ไป๋รั่วชางก็ทุบหัวของเขาด้วยฝ่ามือ ฆ่าตัวตายในทันที

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เดินข้ามไปอีกฝั่งของห้องเรียนในทันที ถือศพของไป๋รั่วชางด้วยมือข้างหนึ่งและใช้อีกมือหนึ่งร่ายพลังเวท

ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งออกมาจากศพของไป๋รั่วชางที่ห่อหุ้มด้วยจิตวิญญาณสีขาว โบยบินตรงออกจากห้องเรียนใต้ดินที่ปิดสนิทแห่งนี้ โดยไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ร่ายพลังเวทออกมาแล้ว ฝ่ามือยักษ์ที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าบินตามลำแสงนั่นไป แม้พยายามไล่จับเพียงใด ทว่าลำแสงนั่นก็ทะลุฝ่ามือยักษ์ออกไปและหายตัวไปในทันที

ท่ามกลางหินแข็งใต้ดิน ลำแสงส่องผ่านเข้ามา

“นายน้อยชาง ตอนนี้เราจะหนีไปที่ไหนดี? ในตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋แข็งแกร่งและทรงพลังมาก ในดินแดนเฉินโจวแทบไม่มีใครยินดีต้อรับพวกเราเลย ส่วนที่สำนักสัจธรรม ข้าไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ใบหน้าของข้าตอนนี้ไม่คสรให้มครพบเห็น”

“มีที่อื่นที่เขาจะไม่ปรากฏตัว”

“ที่ไหน?”

“เมืองฉีเฉิง ”

“ทำไม? ข้าเข้าใจที่เจ้าหมายถึง นั่นคือที่ซ่อนของอัศวิน A แต่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ไม่ได้กล่าวไว้เหรอ? อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาเพียงทิ้งหินลับให้รังปีศาจหนูยักษ์โดยเฉพาะ แล้วดาบของเดโมครีสล่ะ เพื่อที่จะได้เจ้ากลับมา เขาจะไม่สนใจอัศวิน A อย่างแน่นอน”

“ฮ่าๆ เจ้าจะเชื่อที่เขาพูดงั้นหรือ ราชวงศ์หนูยักษ์ของเรามีพรสวรรค์พิเศษด้านสัญชาตญาณแห่งความตาย เขากล่าวในวิดีโอว่าเขามั่นใจ 99% ซึ่งจริง แต่ถ้าสิ่งที่เขาไม่แน่ใจในอีก 1% นั้นมันคงเป็นสัญชาตญาณแห่งความตายที่เตือนเขาว่า อัศวิน A ต้องมีวิธีที่สามารถฆ่าเขาได้แน่!”

“ข้าเข้าใจที่เจ้าหมายถึง ผีเฒ่าผู้นี้ทรยศจริงๆ! เห็นได้ชัดว่าเขากลัวท่อระบายน้ำจะพลิกคว่ำ ดังนั้นเขาจึงเลิกซุ่มโจมตีอัศวิน A แต่ใช้มันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มแทน ไม่เพียงแต่ไม่เสียศักดิ์ศรี แต่ยังทำให้คนในเผ่าพันธุ์มีกำลังใจและคิดบวกมากขึ้นแทน ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดนัก”

“เฮ้ นี่คือกลอุบายทั้งหมดที่เขาเล่นในโลกก่อน สำหรับคนที่ไม่รู้รายละเอียดก็ยากจะมองออก ผู้ที่สามารถมาสู่โลกนี้ได้ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นน้องที่เขาคัดสรรมาอย่างดี ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เพียงเพื่อซ่อนรายละเอียด”

“หลังจากที่ตระกูลหนูยักษ์พัฒนาในอนาคต ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะฆ่าอัศวิน A แน่นอน”

“ถูกต้อง และเท่าที่ข้ารู้ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองทำเองแน่นอน แต่เป็นรุ่นน้องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาแทน”

“ตาแก่เจ้าเล่ห์เอ๊ย”

……………………………………………..

บทที่ 60 พลิกแผ่นดินและแผ่นฟ้าก็หาบอสไม่พบ

เช้าวันรุ่งขึ้นฟางหนิงระงับความเจ็บปวดและได้รวบรวมเอานิยายที่ทำร้ายหัวใจมาภายในชั่วข้ามคืน หลังจากเตรียมการครั้งสุดท้าย ระบบก็รอแทบไม่ไหวที่จะออกเดินทางทันที

ไม่นานอัศวิน A ก็มาที่ชายหาดต้าชา

ฟางหนิงพูด “อย่างที่คิดไว้เลย ปีศาจหนีไปแล้ว…”

ฟางหนิงลูบคางของร่างเสมือนของตนเอง ในใจคิดว่า คราวนี้จะได้เลิกอ่านนิยายดราม่าหัวใจสลายพวกนั้นเสียที ลาก่อน!

ระบบเอ่ยเสียงเรียบ “ตามหามัน…”

ฟางหนิงตกใจ สถานการณ์นี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก เขาพยายามแนะนำอย่างระมัดระวัง “มีคนบอกว่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋ซ่อนตัวอย่างลึกลับมาก เมื่อวานเขาจงใจหลบพวกเราชัดๆ มีโอกาสแล้วแต่กลับไม่ยอมลงมือ คงกำลังเตรียมการวางแผนขั้นต่อไปเพื่อบดขยี้พวกเราแน่นอน พวกเรามาเร่งจัดการปีศาจและอัพเกรดเลเวลกันเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นเราคงจะเอาชนะเขาได้”

ระบบ “นับถอยหลังเพื่อตัดการเชื่อมต่อและปิดเครื่องในอีก 10 9 8…”

ฟางหนิง “หยุด ฉันจะรีบติดต่อทุกคน เพื่อหาเจ้าหนูเฒ่าตัวนี้!”

ระบบ “การนับถอยหลังหยุดชั่วคราว”

ฟางหนิงรีบพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบทันที

อัศวิน A “สวัสดี นั่นนกฮัมมิงเบิร์ดใช่ไหม? ฉันต้องการเสนอรางวัลเพื่อค้นหาที่อยู่ของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ แน่นอนว่าเขาต้องถูกสังหาร! รางวัลครั้งนี้คือศพของปีศาจหนูยักษ์สองตัว ดูของก่อนได้เลย!”

นกฮัมมิ่งเบิร์ด “เอ๋?! ความทะเยอทะยานของท่านอัศวินนั้นช่างน่าประหลาดใจและน่าชื่นชมอย่างมาก ได้ยินมาว่าอัศวิน A เพิ่งจะสังหารคนในตระกูลเขาไปห้าคน และตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังต้องการจะตามล่าเพื่อถอนรากถอนโคนสินะ! นี่เป็นโชคดีของเฉินโจวโดยแท้จริง”

อัศวิน A “ฮ่าๆ พูดได้ดีนี่ ตัดสินใจได้รวดเร็วมาก”

นกฮัมมิ่งเบิร์ด “แน่นอนสิ เราจะส่งรางวัลนี้ให้เครือข่ายระดับประเทศ”

ผ่านไปสักพักนกฮัมมิงเบิร์ดก็พูดต่อ “ขออภัยท่านอัศวินด้วย ไม่มีใครมารับของรางวัลหรอก หลายคนต่อให้รู้ก็ไม่กล้ามา…”

อัศวิน A “พวกขี้ขลาด! หนูเฒ่าตัวเดียวที่ฉันกำลังไล่ตามพยายามหลบซ่อนไปทุกที่ เฉินโจวกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะไม่มีใครอยากได้รางวัลนี้เลยเหรอ”

นกฮัมมิ่งเบิร์ด “พวกเขามองท่านในแง่ร้ายน่ะ…”

อัศวิน A “มีตาหามีแววไม่! ฉันไปหาเองก็ได้!”

อัศวิน A “พี่เฉียวเหรอ?”

เฉียวจื่อซาน “มีคำสั่งจากท่านอัศวิน จดหมายการต่อสู้ฉบับสุดท้ายถูกส่งไปแล้ว แต่ผู้อาวุโสไป๋กลับไม่ทำอะไรเลย”

อัศวิน A “ไม่ เขามีการเคลื่อนไหว เขาร่วมมือกับผีสองตัวชื่อกุ่ยชีและกุ่ยเอ้อร์ พวกมันซุ่มโจมตีฉันพร้อมกัน แต่ฉันมองออกก่อน”

เฉียวจื่อซานตกใจ “กุ่ยชีและกุ่ยเอ้อร์เป็นสมาชิกของสมาคมราชาผี นี่พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันงั้นเหรอ! ท่านอัศวินไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”

อัศวิน A “จะเจ็บได้ยังไงล่ะ ตาแก่นั่นไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย ฉันลืมอาวุธบางอย่างไว้ที่บ้านเลยไม่ได้ลงมือทันที พอกลับบ้านมาตระเตรียมของและจะกลับไปอีกรอบ ตาแก่นั่นก็หนีไปแล้ว ส่วนสุนัขสองตัวที่กล้าวางแผนตลบหลังนั่น ฉันไม่สนใจมันหรอก แต่พวกมันจะได้รู้ว่าการที่วิญญาณถูกทำลายทิ้งแล้วไม่ได้เกิดใหม่จะเป็นยังไง”

ฟางหนิงอยากจะอวดอ้างต่อหน้าคนรู้จักและตบหน้าพวกมัน แต่กลับไม่มีใครยอมเปิดเผยความจริงของผู้อาวุโสตระกูลไป๋เลย

แต่ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย ต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่พบผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก่อน ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังจับตาดูแผนของเขา

ส่วนผีสองตัวที่กล้าคิดตลบหลัง ถึงเวลาบอกให้พวกมันได้รู้แล้วว่าความน่ากลัวที่แท้จริงเป็นอย่างไร! พวกมันคงคิดว่าเพราะตนไม่มีบาปใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้อัศวิน A คงจะไม่ลงมือฆ่าใคร ดังนั้นจึงกล้าแทรกแซงแผนการแล้วตลบหลัง แต่กลับไม่รู้เลยว่าอะไรก็ตามที่คุกคามการมีอยู่ของเทพแห่งระบบจะต้องถูกทำลาย!

เฉียวจื่อซานตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ด้วยรู้ว่าอัศวิน A ผู้นี้ฝึกฝนวิถีอันโหดเหี้ยม กล่าวคือแม้ว่าในคำพูดจะมีความโกรธแฝงอยู่ แต่หัวใจของเขานั้นเย็นชา เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้วก็ยากจะสั่นคลอน

แต่แล้วเขาก็เกิดความสงสัยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากใจแย่ ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้อยู่ที่ไหนและมีรูปลักษณ์เป็นยังไง โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ไม่มีทางที่จะพบเขาได้เลย แต่สองคนนั้นจากสมาคมราชาผีอาจหาตัวเขาได้”

ขณะนั้นคำเชิญแชทกลุ่มปรากฏขึ้น เมื่อฟางหนิงและเฉียวจื่อซานเห็นว่าเป็นเฉียวจื่อเจียงก็เข้าร่วมทันทีเพื่อฟังความคิดเห็นของเด็กสาว

เฉียวจื่อเจียง “ยังมีอีกวิธี โจมตีศัตรูเพื่อระดมศัตรู”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฟางหนิงก็ตบหัวของตนเอง “โอ้ ฉันนี่ฉลาดจริงๆ ตอนแรกคิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว มันคงเป็นเพราะระบบห่วยๆ ที่บังคับฉันมากเกินไปแน่ มันต้องอย่างนี้สิ หลังจากเรื่องนี้เรามาผ่อนคลายกันเถอะ”

เฉียวจื่อซาน “จะโจมตีผู้อาวุโสตระกูลไป๋ แล้วรู้เหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน? แม้เขาจะเป็นเผ่าหนูยักษ์ แต่กลุ่มหนูยักษ์กระจายไปใต้ดินทั่วโลกแล้ว แม้ว่าสำนักสัจธรรมจะออกสำรวจอย่างละเอียดก็ยังไม่เจอ เดิมทีเจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องการเอาชนะสมาคมราชาผีเพื่อจัดการกับพวกเขา แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะต้องมาร่วมมือกับอีกฝ่ายหรอกนะ”

เฉียวจื่อเจียง “ฉันได้ยินข่าวลือบางอย่างมา นั่นคือสายเลือดของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ลูกชายคนเดียวของเขาได้มายังโลกของเราแล้ว เขาแข็งแกร่ง แต่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋โดยสิ้นเชิง ฉันได้ยินมาว่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋ได้รับความเสียหายอย่างหนักในโลกเดิม ก่อนที่พวกเขาจะมา การสืบทอดสายเลือดไม่สามารถทำได้อีกต่อไป แน่นอนว่าเขาจะสูญเสียลูกชายคนนี้ไปไม่ได้อีก หากพบตัวเขา ผู้อาวุโสตระกูลไป๋จะต้องมาช่วยชีวิตเขาและเผยร่างแท้จริงของตนออกมาแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร ฉันแค่เดาเอาเท่านั้น”

อัศวิน A “ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้มาข่มขู่เขา และละเมิดวิถีแห่งความกล้าหาญซะ แม้ว่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋จะเป็นปีศาจ แต่ฉันจะไม่ประมาทเด็ดขาด! เพราะคุณบอกว่าลูกชายของเขาใจดีเมตตา หากต้องถูกตัดสินลงโทษในความชั่วช้า นั่นคงเป็นไปได้น้อยมาก”

ฟางหนิงพูดออกไป เขาไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับระบบ เพราะเขารู้กฎของระบบอยู่แล้ว นั่นคือเขาต้องปฏิบัติตามวิถีแห่งความกล้าหาญ เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การแอบฟัง การติดตาม และการข่มขู่ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่ สามารถพบเจอสิ่งเหล่านี้ได้เมื่อขอให้เทพแห่งระบบจู่โจม แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำ

แน่นอนว่าฟางหนิงไม่ใช่คนอวดดี แต่เขาจะไม่เสี่ยงขนาดนี้เพียงเพราะบอสใหญ่กำลังซ่อนตัว หากเขาไม่สามารถทำให้มันถูกต้องได้ เขาจะทำลายกฎของระบบนิ้วทองคำที่มีเพียงระบบเดียวในโลก ถึงตอนนั้นเขาอาจจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา และมันคงสายเกินไปที่จะเสียใจ

ตอนนี้มันถูกจัดการโดยเทพแห่งระบบแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก และตราบใดที่ใช้สมอง ก็จะมีเงินใช้ มีเกมนิยายให้เก็บเลเวล ในยุคแห่งการฟื้นฟูที่อันตรายนี้ ความรู้สึกปลอดภัยย่อมล้ำค่าที่สุด จะไปหาชีวิตแบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ?

เฉียวจื่อซานไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของฟางหนิง เธอคิดว่าเขานั้นอวดรู้ งี่เง่า โง่เขลา ปัญญานิ่ม! แต่เธอไม่ได้พิมพ์แบบนี้ลงไปในแชทกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม เฉียวจื่อซานกลับมีท่าทีชื่นชมและเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอัศวินช่างใจกว้างยิ่ง ทั้งยังซื่อตรง จื่อซานรู้สึกละอายใจในตัวเองจริงๆ! ฉันเองก็กลุ้มใจเช่นกัน ท้ายที่สุดผู้อาวุโสตระกูลไป๋กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด นี่นับว่าเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ หากต้องกำจัด ฉันก็ยังลังเลอยู่ว่าจะใช้วิธีใด”

อัศวิน A “ฉันไม่กลัวภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ของเขาหรอก ถ้าเขาออกมาได้ก็ดี แต่ไม่ว่าเขาจะออกมาหรือไม่ ฉันก็มีอาณัติของสวรรค์ ร่างแห่งชะตากรรม ผู้กล้าจะไม่กลัว คนฉลาดจะไม่ถูกหลอก คนใจดีจะไม่เศร้าโศก! เมื่อฉันและสามสิ่งนี้ถูกรวมเข้าด้วยกัน จะกลัวหนูเฒ่าที่ซ่อนหัวอยู่ได้ยังไง!”

อย่างไรก็ตาม การโอ้อวดบ้างสักนิดคงไม่เป็นไร

พี่น้องเฉียวตกตะลึง!

เฉียวจื่อเจียงคิดในใจ ครั้งแรกที่ฉันเห็นคนผู้นี้ ใช่แน่ อัศวิน A คนนี้คือมังกร และใบหน้าของมังกรนั้นใหญ่กว่าหน้ามนุษย์อย่างเทียบไม่ได้!

เฉียวจื่อซาน ‘ฉันขอคืนคำชมของฉันตอนนี้ได้ไหม? พฤติกรรมของอัศวิน A ตรงไปตรงมาก็จริง แต่ขี้อวดเกินไปหน่อย’

เฉียวจื่อเจียง “ฮ่าๆ มีบุรุษผู้รอบรู้ กล้าหาญและเมตตากรุณาเหมือนท่านเช่นนี้ เราคงจะถูกคุกคามน้อยลงแน่นอน ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มั่นใจนัก”

เฉียวจื่อซาน “ฉันจะขอให้พี่น้องบางคนช่วยดูว่าพวกเขาสามารถสืบหาข่าวมาได้ไหม แม้ฉันคิดว่ามันจะยากก็ตาม”

อัศวิน A “ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอข่าวจากคุณอีกที”

หลังจากที่ฟางหนิงคุยโวเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกเบื่อและว่างเปล่า

เพราะยังไม่มีอะไรให้ทำ อีกอย่างนิยายและเกมพวกนั้นก็จบไปแล้ว ฟางหนิงจึงทำได้แค่รอ…

ขณะที่เทพแห่งระบบพลิกแผ่นดินและแผ่นฟ้าเพื่อค้นหาสุดยอดบอสที่หายไป ในห้องใต้ดินลึกบอสใหญ่ก็กำลังเปิดสอนอีเลิร์นนิงที่ไม่เหมือนใคร

ชายชราร่างเตี้ยรูปร่างผอมบางยืนอยู่บนแท่น ถือเลเซอร์พอยเตอร์ในมือซ้ายและเมาส์ไร้สายในมือขวา

บนกระดานดำมีจอฉายภาพที่มี PPT อยู่ เนื้อหาสาระใน PPT คือ ‘ความเย่อหยิ่งทำให้คนล้าหลัง’

ด้านล่างมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งใจฟังอยู่ประมาณสิบกว่าคน ทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งต่างจากนักเรียนทั่วไป พวกเขาล้วนมีกลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายออกมา

มีนักเรียนเพียงคนเดียวนั่งอยู่ด้านหลังและแต่งกายด้วยชุดขาว ไม่มีเลือดสักหยด เขากำลังเล่นโทรศัพท์มือถือ ก้มหน้าลงโดยไม่ดูเนื้อหาในนั้น

ชายชราร่างเตี้ยรูปร่างผอมบางคนนี้คือผู้อาวุโสตระกูลไป๋

ณ เวลานี้เขาสงบและผ่อนคลายมาก

ชายชราพลิกหน้า PPT และวิดีโอก็ปรากฏขึ้น

จากนั้นเขาก็คลิกที่วิดีโอและกล่าวว่า “นี่เป็นกระบวนการทั้งหมดของการเผชิญหน้าเมื่อสองสามวันก่อนระหว่างคนผู้นี้กับอำนาจสูงสุดในโลกปัจจุบัน ฉันคิดว่านี่จะเป็นประโยชน์กับทุกคน”

ทุกคนนิ่งเงียบและเฝ้าดูอย่างตั้งใจ

ในวิดีโอร่างของอัศวิน A เริ่มปรากฏขึ้น จากนั้นก็เห็นเขาหยุดแอบฟังการสนทนาระหว่างกุ่ยเอ้อร์และกุ่ยฉี แล้วปรากฏตัว พูดคุย และจากไป จากนั้นก็เป็นเงาร่างของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ซึ่งซุ่มคอยอยู่เงียบๆ รอให้อัศวิน A จากไป

………………………………………………………….

เมื่ออัศวิน A จากไป บนหน้าจอแผนที่ระบบ ฟางหนิงก็เห็นว่าบอสใหญยังคงนิ่งเงียบ ซ่อนตัวอยู่เช่นเดิม ไม่ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อโจมตี

ระบบเร่งฟางหนิงให้รีบเตรียมตัวสำหรับเรื่องของปีศาจยักษ์ เพื่อประหยัดเวลา หากปีศาจหนีไปได้อีก ครั้งนี้คงยากจะหยุดได้แล้วจริงๆ

เมื่ออัศวิน A จากไป ผีรองและกุ่ยชียังคงทำงานหนัก จนกระทั่งได้ยินเสียงไอ ทั้งสอก็ราวกับได้รับการการอภัยโทษ หยุดการกระทำทั้งหมด แล้วหาต้นตอของเสียงว่ามาจากที่ไหน

กลับกลายเป็นว่าชายชราร่างเตี้ย รูปร่างผอมบาง ใบหน้าธรรมดา ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองโดยไร้สุ้มเสียง

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ผีทั้งสองก็คำนับพร้อมกัน “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโสตระกูลไป๋”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ “ผู้อาวุโสราชาผีทั้งสอง ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก พวกท่านทำดีได้มาก อัศวิน A ผู้นั้นมองไม่เห็นข้าเลย เขาเป็นตัวละครที่มีพลังมากจริงๆ สามารถฝึกฝนวิถีอันโหดเหี้ยมไปสู่สภาวะสุดท้ายได้ พวกคุณยั่วยุเขาลับหลัง ทำให้เขาได้ยินจุดจบตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ยินความลับมากมายของอาณาจักร ฉันมองเห็นได้ชัดเจน ได้ยินชัดเจน สีหน้าท่าทางเรียบนิ่ง การหายใจและการเต้นของหัวใจไม่ถูกรบกวนสักนิด แม้ว่าน้ำเสียงที่ดุคุณในตอนนั้นจะรุนแรง แต่หัวใจของเขากลับสงบมาก ไม่มีร่องรอยความโกรธ ถ้าฉันไม่ได้ตรวจสอบเป็นการส่วนตัว ฉันคงไม่เชื่อว่าจะมีคนฝึกวิถีอันโหดเหี้ยมถึงระดับนั้นได้ ครั้งนี้ฉันอยากจะขอบคุณท่านทั้งสองจริงๆ”

ผีรองผุดยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสสุภาพนัก ในเมื่อท่านกับเราได้ตัดสินใจสร้างพันธมิตรกันแล้ว เรื่องเล็กน้อยนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋หัวเราะ “ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอะไรกัน ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ แต่พวกท่านกล้าที่จะออกมาช่วยเหลือฉัน ฉันไป๋อวิ๋นเซิงจะเก็บมันไว้ในใจ และจะตอบแทนในอนาคตอย่างแน่นอน สำหรับหุ่นเชิดหนูยักษ์ พวกท่านสามารถใช้มันได้มากเท่าที่ต้องการ จะไม่มีตระกูลไป๋คนใดสร้างความลำบากให้พวกท่าน”

ใบหน้าของผีรองและกุ่ยชีพลันเบิกบาน ศพปีศาจหนูยักษ์เป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ หากไม่ได้รับอนุญาตพวกเขาจะกล้าทำหุ่นเชิดได้อย่างไร? สิ่งนี้ร้ายแรงกว่าการขุดหลุมฝังศพของผู้อาวุโสและการเฆี่ยนตีร่างของผู้คนซะอีก

ผีรอง “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านผู้อาวุโสแล้ว อัศวิน A คนนั้นจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ กุ่ยชีและข้าไม่เคยแตะต้องชีวิตมนุษย์ เรื่องชั่วร้ายก็กระทำเพียงเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะโกรธ อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ทุบตีเรา สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือฆ่าเราด้วยฝ่ามือเดียวและความเป็นไปได้ที่จะทำลายจิตวิญญาณของเรานั้นน้อยมากด้วยพระโพธิสัตว์เป็นผู้สนับสนุนเรา สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดก็คือหันไปหาผู้ปลุกผี”

กุ่ยชี “น่าเสียดายที่เขาไม่โกรธเลย”

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เข้าใจความหมายของกุ่ยชี เขาเพียงแค่ยิ้มและส่ายหัว

ในทางกลับกัน ผีรองก็เกิดความสงสัยบางอย่าง “ท่านผู้อาวุโส แม้ว่าอัศวิน A นั้นจะโหดเหี้ยม แต่ท่านก็มีโอกาสถึงสามครั้งที่จะฆ่าเขา ครั้งหนึ่งเมื่อเขาปรากฏตัว ครั้งหนึ่งเมื่อเขาหยุดเพื่อแอบฟังการสนทนาของเรา และอีกครั้งเมื่อเขาจากไป จากการคำนวณนี้ ท่านมีโอกาสถึง 90% ในการลงมือฆ่าเขา ทำไมท่านถึงไม่ทำล่ะ”

ชายชราร่างคลี่ยิ้มจาง “ท่านคิดผิดแล้ว ฉันมีโอกาสถึง 90% ก็จริง แต่ทุกครั้งที่ต้องการจะเคลื่อนไหว ฉันก็ต้องยอมแพ้แล้ว”

ผีรองและกุ่ยชีงุนงง “ทำไมกัน?”

ชายชราร่างเตี้ยและผอมเพรียวส่ายหัว “ถ้าพวกท่านเข้าใจปัญหานี้ อนาคตของพวกท่านก็จะไร้ขอบเขตจริงๆ ไม่ต้องพูดอะไรมาก อนาคตยังอีกยาวไกล ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ ชายชราก็หายตัวไป เหลือเพียงผีทั้งสองที่มองหน้ากัน

กุ่ยชี “พี่สอง พี่เข้าใจความหมายของเขาหรือไม่?”

ผีรองพูดเสียงเหยียดหยาม “อืม ผีเฒ่านี้แสร้งทำเป็นว่ามีความลึกซึ้ง ข้าจึงแสร้งทำเป็นสับสนและไม่เปิดเผยตัวเขาต่อหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่แน่ใจนักว่าจะฆ่าอัศวิน A ได้ในตอนนี้ แต่ต้องการรออนาคตหลังจากได้รับการชะล้างให้บริสุทธิ์ แล้วบดขยี้อัศวิน A โดยตรง”

กุ่ยชีรีบกล่าวชม “พี่สองช่างฉลาด พี่สองบอกความตั้งใจของชายชราผู้นี้ทั้งหมด แต่เนื่องจากเป็นกรณีนี้ คำขอที่เขาทำในตอนแรก ขอให้เราจงใจใช้ประโยชน์จากการแอบฟังของอัศวิน A บอกแผนการของเขาที่จะใช้พลังของตระกูลในการถวายเทพเจ้า และให้อัศวิน A จงใจฟัง นั่นไม่ได้เผยให้เห็นข้อบกพร่องของเขาหรือ?”

กุ่ยเอ๋อร์ “นั่นเป็นเจตนาร้ายของชายชราคนนี้ต่างหาก”

กุ่ยชีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ จึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”

กุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า “เขาบอกว่ามีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นคือจงใจบอกอัศวิน A ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะชนะ นั่นคือการใช้ครอบครัวที่พยายามอุทิศให้กับเทพเจ้า และด้วยบุคลิกของอัศวิน A จะทำธุรกิจจำลองนี้ได้ดีที่ใด เฉพาะข้อดีที่มีอยู่เท่านั้นที่จะถูกยกเลิก ผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นที่รู้จัก”

ทันใดนั้นกุ่ยชีก็ตระหนักได้ แต่เขาก็ยังคงกังวลเรื่องอุโมงค์ใต้ดินอยู่ดี “ถ้าอย่างนั้นในกรณีที่อัศวิน A ถูกเตือนจากเขาและไปทางตรงกันข้าม เขาตัดสินใจที่จะวางอำนาจลง แล้วเต็มใจขุดลงไปที่พื้น ลอบโจมตีหนูกลุ่มนั้นทุกทิศทุกทาง เพื่อขุดรากฐานของเผ่าหนูยักษ์เก่าแก่นั่น ให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับการชะล้างให้บริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่การเอาชนะตัวเองหรือ”

คราวนี้ผีรองพูดไม่ออกพักใหญ่ ใบหน้าภายใต้หน้ากากสีขาว หายใจหอบแรง

กุ่ยชีกำลังจะถามอีกครั้ง แต่จู่ๆ ผีรองก็เหยียดขาของเขาออกไปตรงๆ แล้วเตะลงไปในทราย พร้อมสาปแช่ง “เจ้านี่มีปัญหามากจริง!”

ปากของกุ่ยชีเต็มไปด้วยทราย ไม่สามารถอ้าปากได้ เขารู้ว่าพี่สองพูดไม่ออก

หลังจากผีรองเตะเขาเสร็จแล้ว ก็ใช้เวลาสักครู่กว่าที่เขาจะเข้าใจ จากนั้นเขาก็เปิดปากพูด “แผนที่สมบูรณ์แบบมันจะไปมีที่ไหนกัน! ฉันไม่ต้องการเสี่ยงเพื่อทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่หรอกนะ! อัศวิน A ที่ทำตัวเหมือนผู้สูงศักดิ์ตลอดเวลา เขาสามารถขุดหลุมเพื่อดักจับหนูเพื่อเล่นได้ทุกวันไหม? นอกจากนี้ เขาสามารถฆ่าหนูด้วยตัวเองได้ตั้งกี่ตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่ารังหนึ่งหนูสามารถอยู่ได้กี่ตัว? หากเจ้าไม่ศึกษาความรู้บนอินเทอร์เน็ตให้ดีพอ เจ้าก็จะเป็นคนงี่เง่าที่พูดจาโผงผางไปวันๆ และไม่เข้าใจอะไรเลย ดังนั้นไสหัวไปซะ!”

เมื่อกุ่ยชีได้ยิน เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด ดังนั้นจึงรีบเรียกผีรับใช้ของตนแล้วจากไปทันที

ผีรองเห็นกุ่ยชีจากไปแล้วก็ถอดหน้ากากออก เผยยิ้มเย็นชา จากนั้นจึงมองซากศพปีศาจหนูยักษ์อย่างตะกละตะกลาม เขาไม่สามารถบอกเหตุผลจริงๆ ได้หรอก เขาตั้งใจเตะอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้กุ่ยชีเอาศพหนูยักษ์ไปจากตน

เทพแห่งระบบไม่เคยคิดจะขุดดินเพื่อฆ่าหนูเลย เพื่อทำลายรากฐานของเผ่าหนูยักษ์ที่ไร้ประสิทธิภาพนั่น โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเล่นกลในการจำลองการทำงานของเหล่าทวยเทพและชำระล้างเหล่าทวยเทพ เขากำลังกระตุ้นให้ฟางหนิงเตรียมพร้อมสำหรับสุดยอดบอสต่างหาก

เมื่อฟางหนิงเคยต่อสู้กับบอส เขาทำแค่สามอย่างเท่านั้นคือ ปัสสาวะ ชาเข้มข้น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

ฟางหนิง “ต้องใช้เวลาสามเดือนในการกำจัดบอสตัวนั้น ตัวแทนประจำตัวแกมีทักษะการทำอาหารแทนแกได้ไหม? ในที่สุดร้านฉันก็ประสบความสำเร็จ โด่งดังไปทั่วประเทศ น่าเสียดายหากต้องเสียมันไป เมื่อสองสามวันที่แล้วแกเอาเงินไปห้าสิบล้าน นั่นคือโชคลาภทั้งหมด สิ้นปีนี้คงหาไม่ได้อีก”

ระบบ “ถ้าโฮสต์ต้องการให้มันเรียนรู้ทักษะของระบบ โฮสต์ต้องอัปเกรดใหม่อีกครั้ง คราวนี้การบริโภคจะมหาศาล คุณค่าของประสบการณ์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ”

ฟางหนิงประหลาดใจ “ครั้งสุดท้ายที่แกอัปเกรด แกใช้ผม เลือด และเล็บของฉัน ครั้งนี้แกต้องใช้ชิ้นส่วนของฉันไหม?”

ระบบ “ใช้”

ฟางหนิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็หลับตาและกัดฟัน “เอาล่ะ ตราบใดที่มันไม่ใช่ส่วนเอวและน้องชายของฉัน ที่เหลือก็ทำได้แล้ว อย่าแขวนหรือทำให้ฉันเป็นอัมพาตเด็ดขาด”

ระบบ “ระบบจะใช้ไขมันของโฮสต์สิบจิน ทำไมโฮสต์ถึงกังวลจัง”

ฟางหนิงตะลึง “ให้ตายสิ แกอย่ามาโทษฉันว่าประหม่าเลยนะ ทำไมไม่บอกให้ชัดๆ ก่อนล่ะ”

ฟางหนิงมองลงไปยังท้องที่พองโตของตัวเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจ

ฟางหนิงท่าทางเฉยเมย “ตกลง ถ้าอย่างนั้นแกก็สามารถอัปเกรดได้”

คำแนะนำของระบบ

ระบบได้รับการอัปเกรดเป็นกลไกระดับกลาง ใช้เนื้อเยื่อไขมันของโฮสต์ 5 กิโลกรัม และใช้คะแนนประสบการณ์ 200,000 คะแนน

อวัยวะระดับกลางพัฒนาเป็นอวัยวะระดับสูงได้สำเร็จ

การใช้งานในตอนนี้: ลายพรางที่สมบูรณ์แบบ, การควบคุมระยะไกล, ความสามารถในการสนทนาขั้นสูง, ความสามารถในการเลียนแบบการกระทำขั้นสูง ระบบเลือกสืบทอดทักษะชีวิต : การทำอาหาร

ฟางหนิงพูด “เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว แกไม่ต้องกลับมาทำเครื่องปรุงอีกบ่อยๆ แล้วในอนาคต มันจะช่วยให้แกไม่ต้องลำบากมากในการทำอาหารให้อาจารย์ปีศาจงูของฉัน โดยปกติตราบใดที่มีการควบคุมจากระยะไกลเป็นครั้งคราวก็ย่อมดี ยกเว้นเมื่อจำเป็นก็จะสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นตัวตนของแกได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ค่าประสบการณ์ 200,000 แต้มตอนนี้ยังไม่มากมายนัก แค่ปีศาจตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ฉันไม่มีไขมันในร่างกายแล้ว”

ระบบตอบกลับ “ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อครู่ระบบดูแลร่างกายโฮสต์แล้ว โฮสต์ก็เติบโตได้ดีเพราะกินเยอะมาก…”

ฟางหนิง “บ้าจริง อย่าให้ฉันต้องโตกว่านี้อีกเลย ยังไงก็ตามตอนนี้อัศวิน A สามารถเปลี่ยนร่างมังกรได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสังเกตการรักษาคุณภาพ และไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไขมันของฉันเพื่อให้เขามีรูปร่างที่ดีหรอก เขากินเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าเอามันไปไว้ที่ไหน”

ระบบ “ระบบสามารถอธิบายเรื่องนี้กับโฮสต์ได้ ตราบเท่าที่โฮสต์มีความอดทนฟังสักสามวันสองคืน…”

ฟางหนิง “ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันไม่สนใจที่จะฟังเรื่องไร้สาระนั่นหรอก แค่กังวลกับตัวเองก็เท่านั้น สองวันมานี้เหนื่อยมากแล้ว เรื่องสุดยอดบอสทำให้หมดแรงสุดๆ… ฉันต้องพักผ่อนก่อน ตอนนี้แกสามารถใช้เวลาสามเดือนเพื่อเอาชนะบอสตัวนั้นได้ และฉันจะใช้โอกาสนี้ ดูเกมออนไลน์และเพิ่มระดับผู้เล่น”

ระบบ “นับถอยหลังสู่การตัดการเชื่อมต่อ 3, 2…”

ฟางหนิง “เดี๋ยวก่อน ฉันนึกได้เรื่องหนึ่ง แมงมุมตัวใหญ่ที่แกจับได้ก่อนหน้านี้มีอุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มความโกรธไหม? ถ้าถึงตอนนั้นอย่าโกรธก็พอ”

ระบบ “ เวลาผ่านไปนานเท่าไร อุปกรณ์หายากก็สร้างได้ง่ายขึ้น

ฟางหนิงรู้สึกแย่ “มันใช่เวลาหรือ ฉันไม่ได้พักเลย ฉันต้องคิดหาวิธีที่จะอยู่ในอารมณ์โกรธอีกหรืออ? แต่นั่นมันสามเดือนเลยนะ!”

ระบบ “เพราะฉะนั้นโฮสต์เลยต้องคิดหาวิธี”

ฟางหนิงกัดฟัน ใช้ความคิดหนักหน่วง สุดท้ายร่องรอยของความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “เอาล่ะ ฉันจะรวบรวมนิยายที่สามีภรรยามีชู้ที่ฉันบังเอิญอ่านเมื่อนานมาแล้วไว้ รวมถึงผลงานชิ้นเอกต่างๆ ของหัวใจสลายด้วย ภายในสามเดือน ทุกวันฉันจะอ่านมันหนึ่งเล่ม…”

ระบบ “มันจะได้ผลใช่ไหม?”

ฟางหนิงกัดฟันพลางเอ่ย “มันได้ผลแน่นอน แค่ฉันคิดถึงมัน ฉันก็โมโหและอยากจุขุดหลุมฝังคนพวกนั้นแล้ว!”

…………………………………………

เมื่อฟางหนิงแอบฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองก็รู้สึกโมโห ตอนนั้นเองระบบก็เด้งข้อความแจ้งเตือน

ระบบสล็อตพลังปราณเลเวลหนึ่ง ระบบใช้สล็อตพลังปราณเลเวลหนึ่ง ระบบเปิดใช้งานทักษะที่ลึกลับ ‘ตาผี’ พลังของ ‘ตาผี’ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบได้รับ ‘ทัศนะขั้นสุดยอด’ ซึ่งคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ระบบพบศัตรูที่ไม่รู้จักและทรงพลังซุ่มซ่อนอยู่

ฟางหนิงตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น มีศัตรูที่สามารถค้นพบได้โดยใช้สล็อตพลังปราณในเวลาเดียวกัน!

เขาเปิดแผนที่ระบบทันทีและมองหา และนั่นก็ทำให้เขาตกใจมากยิ่งขึ้น!

บนแผนที่มีจุดสีเหลืองเล็กๆ สองจุดในระยะไกลและใกล้จากตัวเขา พร้อมด้วยจุดสีแดงสดขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่ว!

ฟางหนิงตกตะลึง เพราะพื้นที่สีแดงขนาดใหญ่นี้เหนือกว่าศัตรูที่เขาเคยเห็นทั้งหมด!

ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเห็นคือไป๋ซื่อผิงซึ่งถูกเทพแห่งระบบบังคับให้ฆ่าตัวตาย แต่ตอนนี้บนแผนที่ระบบแสดงจำนวนมากกว่าพื้นที่อ่างอาบน้ำซะอีก ครั้งที่แล้วเฉียวจื่อซานอ่อนแอกว่าไป๋ซื่อผิงเล็กน้อย แต่เขาบอกว่าลุงของเขาแข็งแกร่งกว่าเขาถึงสามเท่า

และตอนนี้สีแดงจุดนี้ก็กินพื้นที่ไปมากกว่าสามอ่าง เห็นได้ชัดว่าเจ็ดหรือแปดอ่าง!

เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทันทีว่า “ระบบ พวกเราจะวิ่งทันไหม?”

ระบบทวนคำ “วิ่ง? ทำไมกัน ผู้ชายคนนี้ไม่มีทีท่าจะโจมตีเลย แต่กลับซ่อนเร้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ระบบเดาว่าจอมยุทธ์คนนี้จะช่วยเราเก็บเลเวลภายในเวลาสามเดือนได้”

มีความกระวนกระวายและความตื่นเต้นในน้ำเสียงของระบบ

การต่อสู้ของวันนี้ได้พิสูจน์เรื่องนี้มานานแล้วว่าในด้านวรยุทธ์เทพแห่งระบบถือเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า คอยทุ่มเทให้กับการกำจัดปีศาจ

ฟางหนิงตัดสินใจแล้ว ดูเหมือนว่าเทพแห่งระบบกำลังเตรียมการจะสู้กับหัวหน้าใหญ่ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง นอกจากเทพแห่งระบบจะไม่กลัวหัวหน้าใหญ่ตัวนี้แล้ว ตรงกันข้าม มันกลับหวังว่าจะได้ใช้ไอเท็มพิเศษเข้าจัดการ

ความคิดนี้ทำให้ฟางหนิงนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เขาเคยทำงานเป็นหัวหน้ากะกลางคืน โดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะของตัวละครระหว่างผู้เล่นและหัวหน้า หากทำงานหนักแบบนี้จะตายได้ ฉะนั้นควรเล่นอย่างรัดกุมไว้ก่อน ด้วยการปฏิบัติการต่อสู้ที่แม่นยำโดยสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเทพแห่งระบบ ความเป็นไปได้ของการเล่นโดยพื้นฐานจึงไม่มีอยู่จริง

แม้จะน่าตื่นเต้นมากเพียงใด แต่เขาก็ต้องสงบสติอารมณ์และคิดอย่างรอบคอบว่าจริงๆ แล้วไม่มีการฟื้นคืนชีพ

ยิ่งฟางหนิงคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งผิดมากขึ้นเท่านั้น “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องจบภารกิจกันเลย เรายังมีบางสิ่งที่ไม่ได้จัดการ เลยไปทำสงครามโดยตรงไม่ได้ เขาซ่อนอยู่ที่นี่ และจุดสีเหลืองสองจุดนั่นก็ชัดเจนว่าเป็นจุดที่คนเสนอรางวัลให้เพื่อแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันอย่างบังเอิญจนบางทีอาจสมรู้ร่วมคิดกันมานาน นี่คงกำลังวางแผนที่จะซุ่มโจมตีพวกเราแน่นอน! สิ่งที่ฉันได้ยินเมื่อครู่คือพวกเขากำลังวางแผน พวกเขาต้องการยั่วยุให้เราปะทะกับบอส!”

ระบบกล่าว “ไม่เห็นเข้าใจ…”

เมื่อฟางหนิงได้ยินเรื่องนี้ ก็คิดในใจ ‘พูดไปก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ ในด้านอื่นเทพแห่งระบบก็ไม่ดีเท่าตัวละครระดับขาวเลย’

การเปิดสงครามโดยตรงยังไม่ถึงเวลา การเก็บเลเวลหนึ่งครั้งใช้เวลาเก็บถึงสามเดือน ร้านค้าที่มีตัวตนจริงๆ สามารถปิดตัวลงได้ ร่างเสมือนของเขาเองก็ทำอาหารไม่เป็นด้วย

เทพแห่งระบบไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเพียงการเก็บเลเวลเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเขา

ในช่วงแรกมีบอสใหญ่แบบนี้ ข่าวดีแค่สองข้อคือเทพแห่งระบบไม่กลัว และเขายังไม่เห็นมัน

ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้มันรู้ตัวว่าเขาเจอมันแล้ว ซึ่งหมายความว่าแผนเดิมจะต้องดำเนินต่อไป

ฟางหนิง “ไปกันเถอะ ไปทำให้ไอ้สองตัวนั่นตกใจกัน”

ระบบ “ยังไม่ถึงเวลากำจัดบอสตัวนี้ไม่ใช่หรือ? มันอาจจะหนีไปได้นะ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “มันคงไม่สายเกินไปที่จะจัดการหรอก ฉันเข้าใจแล้ว เจ้านี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสผู้เร้นกายลึกล้ำของตระกูลไป๋ แน่นอนว่าในความเป็นจริงบอสที่มองการณ์ไกลย่อมคิดจะสังหาร แต่ในนิยายมันไม่มาเคาะประตูบอกกันซึ่งๆหน้าหรอก

ระบบ “…ช่างลำบากจริงๆ”

เดิมทีฟางหนิงยังคงสนใจเอฟเฟกต์ของสิ่งที่เรียกว่า ‘หมื่นผีหายตัว’ แต่ตอนนี้เขารู้ว่ามีบอสใหญ่กำลังหลบอยู่ จึงเลิกสนใจไปก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดเอฟเฟกต์ภาพจริง ไม่มีสกิลหายตัวช่วยก็คงทำไม่สำเร็จ เจ้าโง่สองตัวนั้นไม่ได้ยืนคุยกันอยู่ตรงนั้นหรอกเหรอ?

อัศวิน A เริ่มเคลื่อนไหว แต่เมื่อเขาอยู่ในแนวดิ่ง ชายสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขา

“ใครคือ ‘ลมกรรโชก’ ที่เพิ่งคุยกับฉันทางอินเทอร์เน็ต”

หนึ่งในสองคนนั้นตื่นตกใจ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คนต่อไปคือกุ่ยชี ยินดีต้อนรับการมาถึงของท่านจอมยุทธ์ ลมกรรโชกที่ติดต่อท่านก่อนหน้านี้คือผีพี่สองพี่ชายร่วมสาบานของข้าเอง”

ชายฉกรรจ์คนนี้เคยติดต่ออัศวิน A มาแล้วครั้งหนึ่ง เขาเป็นผีรับใช้ของจูซาน ที่คอยตามรังควานอัศวิน A จนทำให้ฟางหนิงโดนผีพุ่งชนเป็นครั้งแรก

ต่อมาเมื่อเขาได้ยินชื่อเสียงของอัศวิน A โชคดีที่เขาระมัดระวังและหลบซ่อนอยู่เสมอไม่ได้ทำให้อัศวิน A อับอายขายหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้

เมื่อเผชิญหน้ากับอัศวิน A เขากลับรักษาน้ำเสียงไว้เช่นเดิม เพราะเขาไม่กล้าสู้หน้า เขารู้ข้อมูลบางอย่างแต่อัศวิน A ผู้นี้สามารถเอาชนะผู้คนได้อย่างน่าตกใจ

“หึ ทำลับๆ ล่อๆ เหมือนคนทำผิด ตราบใดที่ฉันสามารถทำภารกิจของมหาเทพนี้เสร็จสิ้นได้ ฉันก็ไม่สนใจแกหรอก”

ใบหน้าของผีตนนี้ต่างจากชายผู้เป็นเหยื่อ ใบหน้านั้นสวมหน้ากากสีขาวดูท่าทางน่ากลัว แต่เมื่อดูที่ตำแหน่งของเขาบนแผนที่ระบบ ฟางหนิงก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งกระจอกสำหรับระบบและเขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

เมื่อผีอีกตัวเห็นการปรากฏตัวของอัศวิน A ก็ตื่นตกใจเช่นกัน ทักษะหมื่นผีหายตัวของมันเคยถูก ‘เนตรสีแดง’ ของไห่เฉิงมองทะลุได้

ไม่คิดเลยว่าอัศวิน A จะมองทะลุผ่านได้เช่นกัน เขาเดาได้ในทันทีว่าอัศวิน A คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

หัวใจของเขาเต้นโครมคราม แต่น้ำเสียงกลับกระตือรือร้น ”โอ้ ขออภัยจริงๆ ท่านจอมยุทธ์ ข้าต้องซ่อนตัวเล็กน้อย และก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ว่าไม่สามารถหลอดลอดสายตาท่านไปได้ ตอนแรกข้าอยากให้พี่ชายต้อนรับท่าน แต่ไม่คิดว่าท่านจะมาที่นี่ก่อน ช่างน่าอับอายนัก”

ถ้าเขาไม่ได้ฟังสิ่งที่อีกคนพูดก่อนหน้านี้ ถ้าเขาไม่พบว่าบอสใหญ่หลบอยู่ที่นี่ฟางหนิงคิดว่าคนนี้ท่าทางเป็นมิตรอยู่บ้าง คำพูดของเขาทำให้คนฟังสบายใจ แต่เมื่อเปรียบเทียบและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าบุคคลนี้มีแรงจูงใจซ่อนเร้น

จากมุมหนึ่ง คนนี้ไม่ดีเท่ากับปีศาจหนูยักษ์ไป๋ซื่อผิงที่ฆ่าตัวตายไป

อัศวิน A “ถ้าไม่ใช่เพื่อชาวเมือง ฉันไม่มีทางลดตัวโต้ตอบกับพวกที่หลบๆ ซ่อนๆ หรอก! ตอนนี้ฉันมีวิธีควบคุมหนูยักษ์แล้ว เร็วเข้า!”

กุ่ยชีและผีรองถูกตำหนิ อัศวิน A ไม่เพียงแต่จะมองหน้าพวกมัน แต่น้ำเสียงกลับเย็นชายิ่ง

“แน่นอน ไม่อย่างนั้นเราคงไม่กล้ารับเงินมัดจำของท่านจอมยุทธ์หรอก เราเก่งเรื่องไล่ผี ตราบใดที่ท่านจอมยุทธ์จ่ายเงินมัดจำ เราก็ขับไล่ผีไปทันที แล้วให้มันค้นหาหนูยักษ์ที่เหลือ”

ฟางหนิงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยถามระบบถึงบางอย่าง

อัศวิน A “ฉันได้กำจัดปีศาจหนูยักษ์ 5 ตัวไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เมื่อรู้ว่าหนูยักษ์ในท้องที่นั้นถูกควบคุมโดยตระกูลไป๋ พวกแกกล้าจะยั่วยุพวกมันหรือไม่”

ผีรอง “ฮ่าๆ ข้าขอขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง แม้ว่าเราจะมีความกล้า แต่เราก็ไม่กล้าแตะต้องสิ่งของของตระกูลไป๋ เพียงแต่ว่าตอนนี้ตระกูลไป๋ถูกเปิดเผยแล้ว และสำนักสัจธรรมจะต้องกวาดล้างพวกเขาแน่นอน พวกเขาต้องถอยหนี ความจริงแล้วเมืองฉีเป็นเพียงเมืองชั้นสอง แต่ก็เป็นช่องทางจราจรที่สำคัญ ตอนนี้พวกมันเหลือจำนวนน้อยลงคงจะรวมกองกำลังทั้งหมดไว้ใต้ดินแน่ๆ ที่นี่จะต้องเป็นจุดจบของมัน แต่หากเราเจรจากับราชาหนูยักษ์ ไม่สังหารพวกมัน บางทีมันอาจไม่มาสร้างปัญหาให้เราอีก”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็คิดในใจทันทีว่า ‘เจ้าบ้า ทำไมฉันจะไม่รู้? มันจะต้องหลอกลวงพวกหนูแน่! ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็ซุ่มอยู่ข้างๆ ยังพูดตรงไปตรงมาโดยบอกราวกับเป็นความจริง ฉันเชื่อแล้วว่าแกเป็นผี’

หลังจากได้รับคำตอบ ฟางหนิงก็ให้เทพแห่งระบบดำเนินการต่อไป

อัศวิน A “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ทำให้เร็วที่สุด นี่คือเงินฝาก ฉันต้องการเห็นผลลับภายในหนึ่งเดือน อีกอย่างแกแค่ควบคุมหนูยักษ์ไม่ให้ทำลายระบบอินเทอร์เน็ตใต้ดินเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ”

กุ่ยชีและผีรองพยักหน้ารับพร้อมกล่าวรับคำ เมื่อพวกเขาเห็นศพของหนูยักษ์ตัวหนึ่งที่ตกลงมาบนชายหาด พร้อมด้วยทรายจำนวนมากกระเซ็นออกมา ดวงตาของพวกมันก็เพ่งมองทันที

ด้านหนึ่งพวกเขารู้สึกเศร้าใจกับซากศพปีศาจหนูยักษ์ที่จะตกเป็นของพวกเขาในไม่ช้า แต่ในทางกลับกันพวกเขากลับมีความโลภด้วย ‘ อัศวิน A ผู้นี้มาจากภูมิหลังที่สูงศักดิ์มากจริงๆ หลังจากที่บังเกิดขึ้นก็มีอาวุธวิเศษติดตัวข้างกายแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงเย่อหยิ่งอะไรแบบนี้สินะ? ต้องรู้ให้ได้ว่ามีอาวุธวิเศษอะไรถึงสามารถข้ามโลกที่แตกต่างได้’

อย่างไรก็ตาม เพื่อวัดความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย พวกเขามีความกล้าหาญอีกสิบประการ ก็คงไม่กล้าที่จะขโมยอะไรจากมือของอัศวิน

ด้วยความสามารถของพวกเขา การแสดงของอีกฝ่ายในทุกวันนี้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ กระบวนท่านับไม่ถ้วนที่พวกเขาได้เตรียมการมาอย่างอุตสาหะเมื่อครู่นี้ไม่มีผลแม้แต่น้อย พวกเขาทำไพ่ไม้ตายสุดท้ายที่ซ่อนไว้หายไปแล้ว

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกขอบคุณ แล้วนำผีสองสามตัวให้ตามไป ทำความสะอาดศพอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอาใส่ถุงใหญ่

อัศวิน A มองการกระทำพวกนั้นอยู่พักหนึ่ง “ฉันต้องขอตัวก่อน พวกแกรีบคว้าโอกาสนี้ไว้เถอะ ถ้าฉันเห็นว่าพวกแกเกียจคร้านและมีท่าทีหลอกลวง จุดจบพวแกก็จะเหมือนกับศพปีศาจหนูยักษ์!”

“ไม่กล้าแน่นอน ท่านจอมยุทธ์วางใจเถอะ” ผีรองและกุ่ยชีตอบรับเป็นเสียงเดียว

…………………………………………………………….

สองวันต่อมา เวลาของเทพแห่งระบบนั้นแม่นยำมาก ระบบแจ้งเตือนการปิดระบบสำเร็จปรากฏขึ้นตรงเวลา

ระบบแจ้งเตือน: ระบบใช้คะแนนประสบการณ์จำนวนมากเพื่อฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ระดับกลาง ผลที่ได้ปัจจุบัน

ข้อแรก: ความอิ่มปานกลาง สามารถรับประทานอาหารที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมหนึ่งเดือนได้ในครั้งเดียว ไม่ต้องกินอาหารเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ข้อสอง: พลังวิทยายุทธ์ประเภทมังกรทั้งหมดเพิ่มขึ้น ระดับทักษะปัจจุบันเพิ่มขึ้น 200%

ข้อสาม: การหลอมรวมพลังวิทยายุทธ์ประเภทมังกรทั้งหมด พลังวิทยายุทธ์ประเภทมังกรปัจจุบันได้รวมเข้ากับหกประเภทแล้ว อีก 26 ประเภทที่เหลือยังคงดำเนินการอยู่…

หลังจากที่ฟางหนิงเหลือบมองไปรอบๆ ก็ทราบเรื่องราวต่างๆ แต่กลับพบว่ามีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เทพแห่งระบบอยู่ในช่วงปิดระบบ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการลอบโจมตี แต่ในระหว่างนั้น ช่วงนี้เขากลับเห็นผู้อาวุโสตระกูลไป๋มาที่นี่

เขาคิดในแง่ร้าย เป็นไปได้ไหมที่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋จะรู้ว่าตระกูลของเขานั้นมีอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยมและยังคงเป็นหน้าต่างของโอกาสเชิงกลยุทธ์ในช่วงการพัฒนา เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถยั่วยุมังกรอย่างอัศวิน A ได้ หากต้องการพัฒนาในภายหลัง เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องอาศัยทรัพย์สมบัติ และความสามารถที่บรรลุถึงขีดสุดถึงจะสามารถบดขยี้อัศวิน A ได้

แต่เพราะระบบไม่ใช่มนุษย์ มันเลยไม่รู้ว่าอัศวิน A พัฒนาการความสามารถได้รวดเร็วมาก

โชคดีที่เราปกปิดตัวตนที่แท้จริงไว้มิดชิดแล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน

หลังจากคิดได้ดังนั้น ฟางหนิงก็พักเรื่องไว้ชั่วคราว และไม่ยอมให้เทพแห่งระบบรบกวนช่วงการพัฒนาของอีกฝ่าย ตอนนี้เทพแห่งระบบไม่สามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ เพราะถ้าเขาเร่งรีบนั่นก็จะเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก

ทว่าแผนที่วางไว้อย่างยาวนาน ในที่สุดก็ได้คำตอบแล้ว

หลังจากอ่านข้อความจากระบบ ขณะที่ฟางหนิงกำลังอ่านนิยาย เขาก็พบว่า QQ ของอัศวิน A กะพริบ

ฟางหนิงเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าคนที่ติดต่อมาคือคนสุดท้ายที่เขาใช้ซากหนูยักษ์สองตัวเป็นเงินรางวัลเพื่อแก้ปัญหาการขาดเชื่อมต่อของเครือข่ายที่เกิดจากการขุดเจาะของหนูยักษ์ในเมืองฉี

แพะรับบาป “ท่านจอมยุทธ์ เรื่องที่ท่านให้ทำ พวกเรามาเจรจาแผนการกันเถอะ”

ฟางหนิง “ว่ามาสิ”

แต่แพะรับบาปกลับไม่ยอมบอกแผนการทันที “พูดกันแบบนี้คงไม่ได้อะไร ท่านจอมยุทธ์อาจคิดว่าฉันคุยโว ทำไมไม่ลองไปตรวจสอบที่เกิดเหตุกันดูล่ะ”

ฟางหนิงใคร่ครวญ เทพแห่งระบบเพิ่งปิดระบบและฝึกฝนได้สำเร็จ ประจวบเหมาะกับที่จะออกไปบนภูเขาเพื่อทดสอบพลัง เขาพิมพ์กลับทันที “ที่ไหน?”

“ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำต้าชาทางตอนเหนือของเมืองฉี” อีกฝ่ายพิมพ์กลับมาพร้อมกับส่งรูปภาพมาให้ ภาพนั้นคือแผนที่อิเล็กทรอนิกส์พร้อมพื้นที่วงกลมและที่อยู่โดยละเอียด

ฟางหนิง “โอเค ที่นั่นไม่ไกลมาก ฉันจะไปถึงในอีกยี่สิบนาที”

ในตอนนี้วิธีเร่งความเร็วด้วยการเปลี่ยนเป็นมังกรบินคือวิธีที่เร็วที่สุด ฟางหนิงยังไม่เคยเห็นขีดจำกัดของมัน แต่อ้างอิงจากครั้งสุดท้ายที่เขาไล่ตามหนูยักษ์ คาดว่าหากระบบดำเนินการเต็มกำลัง อาจถึงขั้นสามารถไล่ตามเครื่องบินรบที่มีความเร็วเหนือเสียงได้เลย แน่นอนว่าการใช้ความเร็วนั้นก็ต้องใช้พลังงานมากด้วย

การใช้วิชาตัวเบาในร่างมนุษย์ขึ้นอยู่กับความต้องการของเทพแห่งระบบเอง แต่ขีดจำกัดสูงสุดจะต้องไม่เกินรถไฟความเร็วสูงอย่างแน่นอน แต่เมื่อพิจารณาด้านเศรษฐกิจแล้ว การใช้ความเร็วของมอเตอร์ไซค์ก็น่าจะฆ่าปีศาจได้เช่นกัน

แผนที่ที่อีกฝ่ายให้มา ระยะทางไม่ไกล แค่ 20 นาทีก็คงเพียงพอ

ฟางหนิงพูด “ระบบ จัดการกับหายนะหนูยักษ์ในเมืองนี้ ถึงเวลาที่แกต้องออกโรงแล้ว”

ระบบจะไม่ผิดสัญญากับสิ่งที่เคยรับปากไว้ มันปิดระบบแล้วค้นหาสถานที่เพื่อเปลี่ยนตัวตนของอัศวิน A จากนั้นเก็รีบไปยังสถานที่ที่ฟางหนิงระบุ

ระหว่างทางฟางหนิงมีความสุขมาก หมายความว่าหลังจากทำงานนี้เสร็จ เขาก็ไม่ต้องกังวลกับการที่อินเทอร์เน็ตของเมืองฉีจะโดนตัดการเชื่อมต่ออีก

ส่วนเขตเฉินโจวนั้นยังคงเป็นหน้าที่ของคนจากสำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษที่ต้องจัดการ ความจริงแล้วเขาไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น เพียงแต่เฉินโจวเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นเครือข่ายแกนหลักในเมืองใหญ่ลำดับต้นๆ หากมันพังลงจริงๆ เมืองฉีก็คงไม่มีทางดีขึ้น ดังนั้นจึงพูดไม่เต็มปากว่าไม่ต้องกังวลอีก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงก็เริ่มกังวล ‘จากนี้ไปถ้าอยากอยู่บ้านอย่างสบายใจก็จะต้องเจอเรื่องอะไรที่กังวลแบบนี้หรือเปล่านะ ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวปัญหานี้ เพราะระบบสนใจแค่การกำจัดปีศาจและเพิ่มเลเวลเท่านั้น แต่ก็หวังว่าจะมีองค์กรที่แข็งแกร่งจริงๆ เข้ามาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงตอนนั้นเราคงจะสามารถเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อรับร่มเงาได้สักที’

ขณะที่ฟางหนิงครึ้มดีครึ้มร้าย ระบบก็พูดขึ้น

“ใกล้จะถึงแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ โฮสต์ได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากและการฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เองก็มีความคืบหน้าอย่างมาก ยังกลัวผีอยู่หรือเปล่า?”

ฟางหนิงคุยโอ้อวด “ครั้งสุดท้ายที่ฉันต่อสู้กับงูดำหลงฟาน เขาก็เป็นผีนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันไม่กลัวผีแล้ว”

ระบบตอบรับ “อืม งั้นก็ดีแล้ว เพราะพวกเรามาถึงแล้ว”

ฟางหนิงรู้สึกแย่ในวินาทีต่อมาทันที เมื่อเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ชายหาดต้าชาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ในเวลานี้ไร้แสงสว่าง แต่กลับมีแสงระยิบระยับอยู่รำไร ทั้งหมดนั่นคือผี และหลังจากเพ่งมองดีๆ บัดซบเอ้ย ผีทุกชนิดมารวมกันอยู่ที่นี่ ทั้งผีผูกคอ ผีครึ่งตัว ผีเหี้ยน…ไม่ต้องพูดถึงความหลากหลายเหล่านั้น แต่ละตัวเคลื่อนตัวเชื่องช้า สลับเปลี่ยนตำแหน่ง บรรยากาศน่าสยดสยองมาก

ฟางหนิงตกใจมากจนถอยเข้าไปในร้านช่างตีเหล็กในพื้นที่ระบบ เขาหยุดอยู่ใกล้อาวุธวิเศษพวกนั้น

ว่ากันว่าอาวุธเทพนี้อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว เดิมทีมันคือเครื่องมือกระตุ้นปีศาจที่คิดค้นโดยความคิดสร้างสรรค์อันพิสดารของฟางหนิง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเทพแห่งระบบด้วยความพยายามแรงกล้า แต่มันกลับไม่เคยได้ใช้ประโยชน์ นอกจากช่วยมอบความกล้าหาญให้ฟางหนิงแล้ว…นอกนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ระบบ “นี่เหรอที่โฮสต์บอกว่าไม่กลัวแล้ว”

ฟางหนิง “ฉันไม่กลัวเลยสักนิด แค่แสดงไปงั้น แต่ผีกับปีศาจที่รายรอบตัวมากขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีที่จะวิ่งหนีน่ะสิ”

ระบบ “ถ้าอย่างนั้นโฮสต์ก็อยู่เฉยๆ ไม่ต้องออกมาล่ะ”

ในเวลานี้ฟางหนิงอาศัยพลังการได้ยินของเทพแห่งระบบ ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ไกลๆ เขาขอให้เทพแห่งระบบหยุด ด้วยประสบการณ์ดักฟังคู่หนูยักษ์ครั้งที่แล้ว ฟางหนิงคิดว่าการดักฟังครั้งนี้อาจมีประโยชน์

“กุ่ยชีครั้งสุดท้ายที่ฉันให้นกฮัมมิ่งเบิร์ดนำทาง อัศวิน A อะไรนั่น ที่นายจ้างแนะนำฉันให้รู้จัก คงจะมาในเร็วๆ นี้ หากพวกเจ้าออกไปรับทีละคน เกรงว่าเขาอาจจะไม่กล้าเจอเรา”

“อ้อ ที่พี่สองพูดน่ะ…ข้าสามารถใช้พลัง ทำให้จิตใจของผู้คนสับสน สะกดจิตของผู้คน ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นความจริงได้ คนในหน่วยตรวสอบตามเรามาหลายครั้ง ก็ยังจับไม่ได้ ส่วนอัศวิน A แม้จะมีชื่อเสียงและทรงพลังในด้านวรยุทธ์ แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางมองออกหรอก”

“จากที่กุ่ยชีบอกมา อัศวิน A อาจไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เขาถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของหวังเฉียนชวี ผู้อาวุโสตระกูลไป๋คนนั้นทรงพลังเพียงใด ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาถูกซ่อนไว้อย่างลึกซึ้ง นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักสัจธรรมมา เขาต่อสู้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นปีศาจหนูยักษ์ และตอนนี้กำลังจะวางรากฐานให้ตระกูลหนูยักษ์ในโลกนี้อย่างเงียบๆ!”

“พระโพธิสัตว์เตือนไว้แล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเขา แต่อัศวิน A กลับโผล่มา ถึงจะไม่รู้รายละเอียด แต่มันก็สามารถฆ่าทายาทสายตรงของเขาได้ถึงสามคน!”

ฟางหนิงก่นด่าในใจ ‘หนอย! สองคนนั่นถูกกดดันจนฆ่าตัวตายเองต่างหาก’

“น้องสอง น้องก็เห็นด้วยสินะ แต่เพราะบอกว่าเขาเป็นทายาทด้วย ก็นเกรงว่าเขาอาจจะมาจากภูมิหลังที่สูงมากเช่นกัน ทำไมท่านถึงบอกว่าเขาสามารถเป็นอิสระได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง?”

“เอ่อ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องสงสัย เจ้าไม่ได้ติดตามพระโพธิสัตว์มาสักระยะแล้ว แต่ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ในตอนนี้ แต่ตราบใดที่เจ้ารู้ว่าผู้อาวุโสเป็นหนูยักษ์ ก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะกลายเป็นเทพปีศาจในอนาคต และรูปแบบพฤติกรรมของอัศวิน A ในตอนนี้ ก็อาจทำให้เจ้าสามารถเปิดสาขาท้องถิ่นในเมืองฉีได้ ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”

“ใช่ อัศวิน A คิดว่าตัวเองมีตำแหน่งสูงใหญ่ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำอะไรคนเดียว จนหน่วยกิจการพิเศษและสำนักสัจธรรมด฿ไร้ประโยชน์ โม่ซิ่งผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่น ถือคติว่าต่างคนต่างอยู่เสมอ ความจริงก็คือเมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งสามถูกส่งมาเพื่อพยายามเอาชนะเขา แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าสามสาวปีศาจหนูยักษ์จะถูกเขาฆ่าตาย หากเราอยู่ในตำแหน่งของเขา แม้ว่าเราจะพบว่าพวกมันเป็นปีศาจ ก็ต้องแจ้งสำนักสัจธรรมก่อน และให้อีกฝ่ายตัดสินใจว่าจะจัดการกับมันอย่างไร”

“ก็เป็นแบบนี้แหละ ในเมื่อเขามีพฤติกรรมเช่นนี้ เขาจะกังวลเกี่ยวกับธุรกิจที่ซับซ้อนของตระกูลได้ยังไง? หากปราศจากการสนับสนุนจากจิตใจของมนุษย์ ในอนาคตไม่ว่าเขาจะฝึกฝนมากแค่ไหน เขาก็เป็นได้แค่นักรบชั้นยอดเท่านั้น ในอนาคตถ้าได้พบกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ในฐานะเทพปีศาจลำดับที่หนึ่ง จะเป็นคู่ต่อสู้ได้ยังไง? ในตำนานของพวกมนุษย์ซุนหงอคงมีพลังแค่ไหนกัน? ไม่เคยพ่ายแพ้อยู่ใต้ฝ่ามือของพระพุทธเจ้าหรอกหรือ?”

“สิ่งที่น้องสองพูดนั้นถูกแล้ว แต่โชคดีที่เขาไม่รู้ถึงความสำคัญ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้ศพหนูยักษ์มา! อีกอย่าง เราได้รับค่าตอบแทนในสิ่งที่เราทำจากเขา พระโพธิสัตว์อนุญาตให้ทำเช่นนี้แล้ว ในอนาคตผู้อาวุโสตระกูลไป๋จะไม่กล้าทำร้ายพระโพธิสัตว์แน่ และเขาจะเกลียดอัศวิน A มากยิ่งขึ้นไปอีก นี่ทำให้เราได้เปรียบมาก”

ได้ยินเช่นนี้ ฟางหนิงก็ไม่สบอารมณ์ แต่เขารู้ดีแก่ใจ เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองคนจะรู้ว่าอัศวิน A เป็นเขาจริงๆ และเขาถูกควบคุมโดยสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีการจำกัดการอัปเกรดในอนาคตสำหรับสมองอัจฉริยะ แม้ว่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋จะสามารถชะล้างให้บริสุทธิ์ได้จริง แต่จะทำอะไรได้

ฟางหนิงเงี่ยหูฟังต่อไป

“แน่นอน อัศวิน A เป็นเพียงนักรบ เขาไม่รู้เลยว่าศพนี้มีประโยชน์ยังไง ด้วยซากหนูยักษ์สองตัวนี้ ควบคู่ไปกับวิญญาณหนูผู้ปราดเปรื่อง ก็สามารถสร้างหุ่นเชิดหนูยักษ์ทรงพลังได้แล้ว ศพหนูยักษ์นี้สามารถใช้ทักษะของราชาหนูยักษ์ได้ ภายหน้าราชาผีจะสามารถเชิดหนูยักษ์ แล้วสร้างถ้ำใต้ดินขึ้นอีกหลายแห่ง โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกโจมตี”

“ฮ่าๆ พี่สองคือนักคิดของสมาคมราชาวิญญาณโดยแท้ เช่างน่าชื่นชมจริงๆ”

“ตราบใดที่เจ้าให้ความร่วมมืออย่างดี เมื่อถึงเวลาข้าก็จะมอบรางวัลให้เจ้าด้วย”

………………………………………

เทพแห่งระบบควบคุมร่างของฟางหนิงให้ยืนเคียงข้างเขา เฝ้าคุมไม่ห่าง

ฟางหนิงตามน้ำไม่เอ่ยขัด งูดำตัวนั้นไม่กลัวแม้แต่อัศวิน A ที่กำลังเฝ้าดูอยู่

อัศวิน A พยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นมือใหม่ แต่อย่างน้อยฟางหนิงก็เป็นมือใหม่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพแห่งระบบ ในความพลิ้วไหว เดินหน้า ถอยหลัง เชิงรุก และแนวรับย่อมสมควรเหนือกว่า

ในทางกลับกันงูดำกลับไม่เคลื่อนไหว มันอาศัยสัญชาตญาณในการสะกดรอยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เวลาฝึกซ้อมของฟางหนิงนั้นแสนสั้น ความแข็งแกร่งของเขาต่ำเกินไป เขาต่อสู้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่ชนะคู่ต่อสู้ ตรงกันข้ามหลังจากปล่อยทักษะไปสองสามครั้ง ก็ถูกอีกฝ่ายหลบอย่างหลอกล่อ จนพวกเขาเกือบจะถูกอีกฝ่ายลอบโจมตีสำเร็จ

ฟางหนิงก้าวถอยหลังและเปิดระยะห่าง ใช้ประโยชน์จากเวลาฟื้นตัวของคู่ต่อสู้

แต่นั่นกลับเสียเวลามากเกินไป เพราะเขาไม่สามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้เป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลิกใช้วรยุทธ์ เตรียมใช้ทักษะลิ้นพิษแทน เพื่อขับไล่งูดำผู้น่าสงสารนี้ออกไป

เขายังมีเกมที่ต้องเล่นอีก แต่นี่ผ่านไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาฝึกทักษะไปแล้วหนึ่งครั้ง หากไม่หยุดตอนนี้มีหวังคงได้ไปตลอดคืนแน่นอน อีกอย่าวพรุ่งนี้ก็วันจันทร์อีกแล้ว ไม่เล่นวันนี้แล้วจะเล่นวันไหนอีก

ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากขึ้นอีกรอบ “วิทยายุทธ์ไม่ได้ด้อย แต่น่าเสียดายที่ถูกควบคุมโดยคนอื่นราวกับสุนัข การคอยไล่ฆ่าแกมันช่างน่าเบื่อจริงๆ วันนี้ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ เพราะฉะนั้นฉันจะไว้ชีวิตสุนัขอย่างแกแล้วกัน! รีบไสหัวไปให้พ้น!”

เมื่อเทพแห่งระบบได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปในทันที โฮสต์เป็นอะไรไป? ตอนนี้ยังเปิดอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไว้อีกหรือ? ไหนดูเวลาสิ บ้าชิบ! เพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง แต่โฮสต์ก็คิดถึงเกมที่ยังเล่นไม่จบแล้ว

งูดำยังไม่ยอมล่าถอย ตอนนี้ภารกิจของมันยังไม่สำเร็จ ส่วนอัศวิน A จะเป็นมังกรตัวจริงหรือไม่ก็ยังไม่อาจทราบได้

งูดำ “น่าสมเพชจริงๆ! แกไม่มีที่ไปล่ะสิ ดูแกแล้วคงเป็นได้แค่สัตว์เลี้ยงของคนอื่นเท่านั้นแหละ! ถูกบังคับให้ซ้อมทุกวี่ทุกวัน กลัวจนต้องยอมนอนดึกดื่น! ทำอะไรได้บ้าง!”

ฟางหนิงได้ยินแบบนั้น ก็ไม่สามารทนอยู่เฉยให้ใครเข้าใจผิดได้ จึงปฏิเสธทันที “ฮ่าฮ่า คนผู้นี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรืออะไรทั้งนั้น! คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยดูเหตุการณ์ เป็นแค่ทาสรับใช้ของฉันเท่านั้นแหละ! เขาดูแลทุกปัญหาและฉันก็ได้รับอิสระเสมอ แค่ช่วงนี้มีงานยุ่งนิดหน่อย ต้องตอกบัตรที่ทำงานด้วย แต่หลังจากเลิกงานก็ยังสามารถเคลียร์นิยายแล้วก็เล่นเกมของมนุษย์ได้ สบายกว่าสุนัขที่ถูกบังคับให้ทำนู่นนี่อย่างแกตั้งเยอะ!”

เมื่องูดำได้ยิน ก็เกิดความรู้สึกอิจฉาชิงชังทันที มันโต้กลับ “เป็นไปไม่ได้ โลกจะมีหลักการเช่นนี้ได้ยังไง? แกไม่รู้หรือว่าเขาเก่งกว่าเจ้านายของฉันตั้งกี่เท่า แต่แกกลับอ่อนแอเหมือนฉัน แล้วแกจะเป็นเจ้านายของเขาได้ยังไงกัน? แถมทุกวันยังมีเวลาอิสระ ฉันไม่เชื่อหรอก! เว้นแต่ว่าแกกำลังพูดถึงนิยายสุดฮอตเรื่องล่าสุด ‘XXXX’ ว่าอัพไปกี่ตอนแล้ว? เนื้อหาเป็นไงงั้นหรือ?”

ฟางหนิงตอบกลับ “ฉันไม่ได้คาดหวังว่าแกจะมาเป็นเพื่อนฉันด้วยหรอกนะ นิยายเล่มนั้นได้รับการอัปเดตถึงบทที่ 223 เรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ในสมรภูมิพบที่ยิ่งใหญ่ของคนสามฝ่าย นักเขียนสองคนโกหกว่าเขาเข้าโรงพยาบาล และฉันกำลังจะไปดูว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม ถ้าเขาโกหก ก็แค่จับเขาแล้วบังคับให้อัปโหลดตอนใหม่ซะ แต่จนถึงตอนนี้จากที่ฉันมานับดู ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีครอบครัวและญาติของเขาน่าจะเข้าโรงพยาบาลไปหมดแล้วล่ะ แกจะพูดอะไรอีก นี่คือประกาศอัปเดตที่เราเพิ่งเห็นเมื่อเช้านี้!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ งูดำก็เหมือนถูกโจมตีเข้า 10,000 แต้มและหลังจากต่อสู้กันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนั้นเองมันก็ก้มศีรษะลง ก้าวถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็พิงกำแพงในตรอกราวกับว่าพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

จากนั้นงูดำก็คำรามขึ้นไปบนฟ้า “ให้ตายสิ ทุกคนเป็นมือใหม่ แต่แกกลับสามารถพลิกกลับมานำได้ ส่วนฉันเป็นได้แค่หมา! เกิดอะไรขึ้นกัน!”

เมื่อฟางหนิงได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คิดในใจ เด็กคนนี้ช่างโง่เขลานักก แต่เราไม่ได้โกหกเขาหรอก เทพแห่งระบบไม่ใช่มนุษย์และเขาก็ไม่มีความรู้สึกถึงสถานะของเจ้านายกับทาสรับใช้

ในตอนนี้เขาสนใจเรื่องราวที่น่าเศร้าของชายคนนี้มากกว่า “มาเถอะ พูดถึงความโชคร้ายของแกมากพอแล้ว มาทำให้ทุกคนมีความสุขกันเถอะ บางทีแกอาจหาทาสรับใช้มาช่วยได้ จะได้รู้สักทีว่าฉันไม่ได้พูดโอ้อวด”

งูดำแทบกระอักเลือด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็มีความหวังขึ้นอีกครั้ง จึงรีบเอ่ย “ฉันชื่อหลงฟาน เดิมทีฉันเป็นคนธรรมดาที่เล่นอยู่ในบ้าน จู่ๆ ก็ถูกจิตปีศาจงูเข้าครอบงำ ขอบคุณฉันที่อ่านนิยายมาหลายปี จึงขุดหลุมขนาดใหญ่ในทะเลแห่งจิตสำนึกแล้วฝังมันไว้ โดยไม่คาดคิดว่าต่อมาตอนที่ฉันขับรถแท็กซี่ออกไป งูนั่นจะคลานออกมาจากหลุมกลางทะเลแห่งจิตสำนึก ฉันกลัวจนไม่พูดอะไรไม่ออกทำให้รถเกิดพลิกคว่ำ พอตื่นมาก็พบว่าปีศาจงูครองร่างฉันไว้ชั่วขณะ แล้วยังคิดจะกินผู้โดยสารของฉันที่อาการโคม่า! ฉันจัดการเอาร่างของตัวเองกลับคืนมาเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสาร แต่เพราะฉันอยู่ในร่างงงู เลยถูกเข้าใจผิด ฉันจึงถูกสาวน้อยที่เดินผ่านเข้าตีจนตาย เหลือเพียงวิญญาณหนึ่งดวง สาวน้อยคนนั้นฉันไม่รู้ว่าเธอใช้คาถาอะไร เธอผสานฉันกับวิญญาณปีศาจงูแปลงร่างเป็นอสรพิษดำตัวนี้ แล้วก็เปลี่ยนฉันให้กลายเป็นหน่วยสำรวจของเธอ ที่ไหนมีรูก็จะให้ขุดไปที่นั่น ที่ไหนมีอันตรายก็เรียกให้ฉันเข้าไปดู!”

ฟางหนิงฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่หลังจากคิดดูแล้ว กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “นี่ล้อเล่นใช่ไหม? เจ้านายของแก ถ้าฉันเดาไม่ผิดน่าจะเป็นผู้หญิงที่นั่งทานอาหารเย็นอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังฉัน ดูไม่เหมือนคนไม่ดีเลย ช่วยอธิบายทีสิว่าทำไมหล่อนปล่อยนายไปไม่ได้?”

งูดำอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง “ถ้าแกตั้งใจฟังที่ฉันบอก แกคิดว่าฉะนจะสู้กับเธอได้หรือ? เธอใช้คำพูดทั้งหมดกับฉันในฐานะปีศาจเจ้าเล่ห์ แต่จิตวิญญาณของฉันถูกพันธนาการกับปีศาจงู บางครั้งฉันก็จะแสดงสัญชาตญาณของงูออกมา เธอก็เลยไม่เชื่อ”

ไม่มีสุขใดไร้การเปรียบเทียบ เทพแห่งระบบเพียงครองร่างของฟางหนิงเอาไว้และปล่อยให้เขาได้เพลิดเพลินกับความสุขของตนเอง ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเข้มงวดมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่เหนื่อยจากการทำงานและฝึกซ้อมนิดหน่อย และอย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลกับชะตากรรมอย่างชายคนนี้

ฟางหนิงคิดเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจทันที “โอ้ เพื่อนยาก ชีวิตยังคงสวยงาม ต้องตั้งหน้าตั้งตารอต่อไปเถอะ ถึงยังไงนายก็ยังมีวิญญาณนี่ แค่เป็นอีกวิถีชีวิตหนึ่ง ถึงจะเล่นเกมไม่ได้ แต่ก็อ่านนิยายแก้ขัดไปก่อนได้ไม่ใช่หรือ?”

เดี๋ยวนะ วิญญาณ?

จู่ๆ ฟางหนิงก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงรีบติดต่อไปยังเทพแห่งระบบทันที “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมปีศาจหนูยักษ์สองตัวถึงฆ่าตัวตายครั้งก่อน”

เทพแห่งระบบกำลังเตรียมการให้ฟางหนิงกลับไปที่ร้านอินเทอร์เน็ต ก่อนจะตัดขาดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ใครใช้ฟางหนิงมัวแต่เล่นไม่สนใจการฝึกซ้อมล่ะ

แค่โจมตีอีกครึ่งเดียวก็ชนะแล้วแต่โฮสต์กลับไม่ยอมทำ นึกไม่ถึงเลยว่างูดำจะมาพัวพันกับนิยายหรืออะไรสักอย่างด้วย มันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนสถานะของเจ้านายและทาสรับใช้ มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และสิ่งนั้นไม่สามารถเพิ่มพูนอัตราการรอดชีวิตได้

ทว่า เมื่อได้ยินโฮสต์พูดเรื่องนี้ ระบบกลับรีบตั้งใจฟัง

ระบบเอ่ยถาม “ทำไมหรือ”

ฟางหนิงรีบบอก “ฉันจำได้ว่าหลังจากที่นายฆ่าพี่น้องหนูยักษ์ครั้งสุดท้าย นายเคยพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่าพวกมันถูกทุบตีจนร่างกายของพวกมันใช้การไม่ได้ใช่ไหม?”

ระบบตอบรับ “ใช่ ร่างมังกรตัวจริงนั้นทรงพลังเกินไป ปราณอยู่ในช่วงฟื้นฟูและวิญญาณของพวกมันก็ไม่แข็งแรงพอ ถ้าฉันไม่จงใจควบคุมและฆ่าพวกมันโดยตรงด้วยร่างของมังกรตัวจริง พวกมันก็จะถูกกำจัดโดยธรรมชาติ”

ฟางหนิงเอ่ย “ใช่แล้ว ไม่น่าแปลกที่คู่หนูยักษ์นั่นฆ่าตัวตายล่วงหน้า ดังนั้นจึงสมเหตุสมผล พวกเขาไม่อยากถูกร่างมังกรฆ่าตาย พวกเขาจึงละทิ้งจิตวิญญาณทั้งหมดด้วยตัวพวกเขาเอง พี่น้องหนูยักษ์ก่อนหน้านี้สองตัวตายเร็วเกินไป และตัวสุดท้ายต่อสู้กับปีศาจงู ทั้งยังถูกเราลอบโจมตีอีก จนพวกมันทั้งหมดวิญญาณแหลกสลาย”

ระบบ “โอ้ ดูเหมือนว่าร่างมังกรตัวจริง จะไม่สามารถใช้ได้ตามใจชอบแล้วสินะ ถ้าพวกมันเล่นฆ่าตัวตายกันอีก พวกเราจะจบภารกิจของพวกมันไม่ได้”

ฟางหนิง “การกลายร่างของมังกรนั้นใช้การเคลื่อนไหวมากเกินไป เพราะลอบโจมตีก่อน เราเลยใช้ไพ่ไม้ตายสุดท้ายได้”

ระบบ “ลืมมันไปเถอะ โฮสต์รู้เหตุผลแล้ว มันถึงจัดการได้ง่าย การจู่โจมยังถูกใช้งานไม่บ่อยนัก ถ้านายใช้มันมากเกินไป จะสูญเสียทักษะกล้าหาญได้โดยง่าย”

เมื่อโฮสต์ทำประโยชน์ ระบบจึงยอมเพิกเฉยเรื่องที่เขาเกียจคร้านในการต่อสู้

ฟางหนิงกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม แกช่วยให้ฉันดูสีของงูดำตัวนี้หน่อย ว่าเห็นตราบาปของมันไหม”

ฟางหนิงไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะตกหลุมพรางแต่เนิ่นๆ ? ดังนั้นบนแผนที่ระบบตำแหน่งของอีกฝ่ายควรจะมีสีขาวตามคำกล่าว แต่หากเป็นสีแดงนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายโกหก

ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เขามีสีเหลืองกับสีขาว ไม่มีสีแดงเลยสักนิด เขาอาจจะเป็นงูที่ดีก็ได้”

ฟางหนิงพูดไม่ออก แม้จะอึดอัดเล็กน้อย แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกเขาหลอก

ฟางหนิงกลับไปพูดคุยกับงูดำอีกครั้ง

ฟางหนิง “เอาล่ะ ทาสรับใช้ของฉันบอกว่านายไม่ได้โกหก”

งูดำหลั่งน้ำตาพร้อมพยักหน้า “ขอบคุณแกมาก ขอบคุณจริงๆ โปรดไปที่นั่นและช่วยบอกเจ้านายฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ที”

ฟางหนิงเหลือบมอง ยากนักที่จะพบสหายคอหนังสือเดียวกัน แค่ความพยายามสื่อในประโยคที่พูด อีกอย่างงูดำตัวนี้เป็นหน่วยสอดแนมของหน่วยตรวจสอบมาโดยตลอด เขาจะต้องรู้ความลับมากมายที่อาจนำไปใช้ในอนาคตได้

“โอเค ปล่อยให้ทาสรับใช้ของฉันจัดการเถอะ เขามีชื่อเสียงมากกว่าฉันในโลกมนุษย์ ฉันจะให้หมายเลข QQ ของทาสรับใช้ของฉันแก่นาย เพื่อที่เราจะสามารถติดต่อกันได้ในอนาคต”

หลังจากฟางหนิงพูดจบเขาก็ถอยกลับไปยังในพื้นที่ระบบ แล้วตั้งใจทำงานต่อไป ปล่อยให้เทพแห่งระบบจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ให้เสร็จ

………………………………………………

“เป็นไปได้ยังไง!?” เฉียวจื่อเจียงเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ ทันทีรู้ว่าสายตาอื่นกำลังจ้องมาด้วยจึงเปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบแทน “นักดาบไร้ปราณี เจ้าเด็กทึ่มคนนั้น ที่ฝึกตนด้วยวิถีอันโหดเหี้ยม เขาเคยกล่าวไว้ว่าจุดสูงสุดของความโหดเหี้ยม ก็คือไร้ตัวตนและไร้มนุษย์ ไร้สีไร้ความจริง และไร้สรรพสิ่งเคลื่อนไหว อัศวิน A ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนได้เร็วแค่ไหนเขาก็สามารถไปจุดนั้นได้ ไม่นะ พี่ชาย คนคนนี้อันตรายเกินไป!”

เฉียวจื่อชานพยักหน้าและส่งเสียงกระซิบ “ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองทางที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเขา อย่างแรกคือเขาเป็นอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนอันลึกล้ำนอกอาณาจักร จุดประสงค์ของการมายังโลกของเราเป็นสิ่งเดียวกันกับจอมมารเจ็ดอารมณ์ ระดับความยากประเภทนี้อยู่ในจุดที่สูงเกินไป ความแข็งแกร่งจึงลดลงอย่างมาก ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งก็คือความคิดและจิตวิญญาณของอัศวินบางคน ต้องการนำตราประทับโลหิตชุบร่างมนุษย์บนโลกนี้ให้ฟื้นขึ้นมา ระดับความยากประเภทนี้ต่ำกว่ามาก และเหมาะสำหรับการขยายกองทัพ กรณีนี้สำหรับผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจะถือตนว่าเป็นปีศาจ สิ่งนั้นจะอยู่ในการต่อสู้ของจิตสำนึก หากจิตสำนึกของทายาทมีชัย จิตสำนึกของมนุษย์ก็จะอ่อนแอลง ท้ายที่สุดจิตสำนึกของทายาทก็จะเข้าครอบงำและค่อยๆ ปลูกฝังให้คืนกลับสู่รูปแบบเดิม”

เฉียวจื่อเจียงกล่าวขึ้นบ้าง “สำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นไม่เคยพบตัวตนของเขาในโลกนี้เลย ดังนั้นมันอาจเป็นเขาในอดีต ถ้าเราค้นข้อมูล แล้วไม่พบก็ไม่แปลก แต่หนูกลับหวั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกคนอื่น ตอนนี้สังเกตเขาไปก่อนดีกว่า”

ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกล่าว ก็เหลือบมองไปทางอัศวิน A ที่นั่งอยู่เงียบๆ

อีกฝ่ายนั่งกินข้าวอยู่โต๊ะไม่ห่างจากพวกเขามากนัก จากมุมนี้นับว่ามองเห็นได้ชัดเจน

เฉียวจื่อเจียงพิจารณาอย่างรอบคอบ พลางคิดว่าโครงหน้านั้นช่างขาวเรียวบางเสียจริง ขัดกับความสุขุมต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง ทว่ามีใบหน้าที่เรียบนิ่งและสง่างามไม่น้อยเลย

ขณะที่กินอาหารรสชาติลึกล้ำพวกนั้น ใบหน้ากลับไร้อารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วยราวกับเคี้ยวขี้ผึ้ง ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจและตัวสั่นอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ บางทีอาจเพราะอาการเบื่ออาหารก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีน้ำหนักตัวที่สูงเกินเกณฑ์ ในทุกวันจึงไม่เบื่อหน่ายกับการกินดื่ม

เขากักเก็บลมหายใจทั่วร่างให้กลมกลืนกับคนธรรมดา แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นว่าตนมีวิทยายุทธ์ในตัว ทว่าจากวิดีโอและข้อมูลไม่มีทางผิดเพี้ยน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญวิชาการสกัดกลั้นลมหายใจเช่นกัน เพื่อต้องป้องกันการลอบโจมตี

อย่าคิดว่าฉากในวิดีโอ ขึต้องมีฉากเปิดอย่าง “เสียงดังเปรี้ยงบนท้องฟ้า เวลาตัวเอกออกมาพร้อมกับแสงระยิบระยับ” ตามแบบฉบับเลย ในวิดีโอเขากลับทำแบบเดียวกันกับตอนที่ลอบฆ่าจอมมารเจ็ดอารมณ์จากด้านหลัง

นี่อาจเป็นร่างจริงของอีกฝ่าย ถ้าเป็นไปตามที่ฉันนั้น เห็นทีคงต้องทดสอบกันสักหน่อย

เมื่อถึงตรงนี้ แมลงวันก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของเฉียวจื่อเจียงและบินไปอย่างเงียบเชียบ ไปยังจานที่อยู่ถัดไปของอัศวิน A

ทันใดนั้นไอสีขาวก็พร่างพราย ทันทีที่เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ แมลงวันก็หายไปในอากาศราวกับฟองสบู่

เฉียวจื่อซานเอ่ย “พี่รู้ว่าเธอต้องการทดสอบรายละเอียดของเขา แต่อย่าให้ร้านต้องกระทบไปด้วยสิ แม้อัศวิน A จะฝึกฝนด้วยวิถีอันโหดเหี้ยม แต่เขาคงไม่สนใจแมลงวันตัวหนึ่งหรอก หากเป็นคนอื่นเห็นว่ามีแมลงวันอยู่ในจาน ชื่อเสียงของร้านอาหารที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้คงจะต้องถูกทำลายแน่นอน อย่างน้อยคนชั้นสูงเหล่านั้นก็จะไม่มาที่นี่อีก”

เฉียวจื่อเจียงก้มศีรษะลง “พี่ชายพูดถูกแล้ว หนูประมาทเอง หนูจะเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เฉียวจื่อจางก็กางฝ่ามือออก ทันใดนั้นงูดำโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้น

เฉียวจื่อซานพยักหน้าอย่างกังวล “แม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นเสี่ยวหลง แต่หากปล่อยมันไปทดสอบ มันจะเป็นอันตรายได้”

เฉียวจื่อเจียงตอบ “ไม่เป็นไร อัศวิน A ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แค่จะดูว่าเขามีทัศนคติอย่างไรต่อมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ เสี่ยวหลงเกิดจากรากฐานของหนูโดยอาศัยวิญญาณของปีศาจงูชั่วร้ายที่ถูกสังหาร ผสมกับพลังจิต จนกลายเป็นเหมือนกับอสรพิษ แม้ว่ามันจะถูกทำให้แตกสลาย ก็ไม่สามารถตายได้ อย่างมากที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือนในการรวมร่างขึ้นใหม่”

ขณะที่พูด เธอก็พยายามบังคับงูดำให้บินไปด้านข้างของอัศวิน A

ทว่างูกลับขี้เกียจไม่แม้แต่จะขยับ เพียงขดตัวแล้วแสร้งทำเป็นหลับ

“ให้ตายสิ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นสินะ” เฉียวจื่อเจียงรู้ว่ามันเป็นดวงจิตของปีศาจอสรพิษและไม่อยากฆ่าศัตรู เธอพึมพำสองสามคำ งูม้วนตัวขึ้นด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงฝืนบินไปที่ด้านข้างของอัศวิน A

คราวนี้เฉียวจื่อซานไม่ได้ห้ามกลับถามออกไปว่า “จื่อเจียง ในตอนนี้เธอกำลังคิดอะไร?”

เฉียวจื่อเจียง “หนูรู้สึกเสมอว่าเทพมังกรตัวจริงนั้นอัญเชิญยากมาก พี่ชายหนูเปรียบเสมือนเจิ้งถ่งแห่งเฉินโจว ลูกหลานของหวงเหมียวอี้ ตอนนี้ได้ร่างแห่งปราณของต้าเฉิง ท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเทพมังกรตัวจริง?”

เฉียวจื่อซานส่ายหัว “มันยากเกินไป ในแง่ของความคลุมเครือ แม้แต่เงาก็ไม่พบ”

เฉียวจื่อเจียง “ใช่ หนูคิดว่ามังกรเพลิงในวิดีโอนั่นอาจไม่ใช่มังกรตัวจริงก็ได้ แถมพี่ชายท่านยังบอกว่าวิถีอันโหดเหี้ยมของอัศวิน A ได้รับการฝึกฝนจนไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ยากยิ่งที่จะสลักลงบนร่างมนุษย์ คนที่มีเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนายากนักที่จะกำจัดและฟื้นคืนโดยง่าย ทว่าการสลักลงบนร่างต่างเผ่าพันธุ์ การฝึกฝนแบบนี้กลับไม่ได้ยากลำบากนัก ทว่าอาจจะง่ายมากกว่าด้วยซ้ำ”

เฉียวจื่อซานตัวแข็งทื่อ “เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นมังกรตัวจริง หลังจากที่ลงมายังอาณาจักรนี้แล้วเขาก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์?”

“แค่นั้นแหละ แค่ดูว่าปีศาจตนอื่นๆ มีปฏิกิริยาอย่างไร ก็จะสามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นหนอนหรืออสรพิษ มังกรตัวจริงคือศัตรูตัวฉกาจ การถูกมังกรตัวจริงฆ่าก็เท่ากับดวงวิญญาณถูกทำลาย ไม่มีใครไม่กลัวมังกรตัวจริง ไม่ เป็นไปได้ว่าอัศวิน A ผู้นี้จะกักเก็บลมหายใจของมังกรตัวจริงได้ และจะปลดปล่อยออกมาก็ต่อเมื่อเปลี่ยนกลับสู่ร่างเดิมระหว่างการต่อสู้” ในขณะที่พูด เฉียวจื่อเจียงก็บังคับงูดำให้เข้าไปใกล้อัศวิน A

อัศวิน A กำลังกินผัก ในช่วงเวลานี้เขาฆ่าปีศาจอย่างต่อเนื่อง การบริโภคอย่างหนักหน่วง ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยการกินเพียงหนึ่งมื้อหรือสองมื้อ

เทพแห่งระบบเกียจคร้านเกินกว่าจะใช้เวลาทำอาหาร ตอนนี้การบำรุงสุขภาพด้วยอาหารก็นับว่าไม่เลวนัก ดังนั้นเขาจึงไปทานที่ร้านดั้งเดิมของตน

ระบบ “โฮสต์ออกมาเร็ว ปีศาจงูมาแล้ว”

ฟางหนิงวางเกมลงอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะออกจากร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ มองจากมุมมองของระบบ พลันเห็นงูตัวเล็กที่มีรูปร่างกลับกลอก เลื้อนไปมาในอากาศแล้วเบี่ยงตัวมาทางนี้

ฟางหนิงตกใจ “มันมาจากไหน? กล้าดียังไงตามหามังกรตัวจริงของเรา”

ระบบตอบกลับ “อ่า มีจุดใหญ่สองจุดนั่งอยู่ข้างหลังเรา มองมาที่เราตลอดเวลา ตัวหนึ่งเป็นสีเหลือง แต่มีสีขาวจำนวนมากในสีเหลือง ซึ่งก็คือคนที่ปล่อยงูตัวเล็กนี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งเป็นปีศาจสีขาวที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จุดประหลาดที่มีสีขาวนั้นใหญ่เกินไป แต่ไม่เลวร้ายเท่าสีแดงที่เจอในทุกวัน น่าเสียดายที่พวกเขาควรจะเป็นคนชอบธรรม ปีศาจประเภทนี้ไม่สามารถกำจัดได้เว้นแต่มันจะมีความคิดริเริ่มที่จะโจมตีเรา”

ฟางหนิงดูแผนที่ระบบ ในตอนนั้นเขาถึงกับกระอักเลือดออกมา “เทพแห่งระบบ แกอยากจะไล่ฆ่าปีศาจจนบ้าคลั่งขนาดนี้เลยหรือ! เป็นการยากที่จะเจอปีศาจยักษ์สองตนที่มีค่าสถานะเป็นฝ่ายดี แต่แกยังต้องการจะกำจัดอีกหรือ? ฉันว่าพวกเขาแค่ต้องการทดสอบอัศวิน A เท่านั้น เพราะไม่นานมานี้เรามีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ ฉันแค่อยากเล่นอยู่บ้านอย่างสงบ คนดีเหล่านี้ควรรักษาความสงบเรียบร้อย เดิมทีพวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉันหรอก ปล่อยไปเถอะนา…”

ระบบ “อืม แบบนี้ก็น่าเสียดายสิ ดีไม่ดีในอนาคตอาจจะถูกโจมตีโดยปีศาจสีขาวมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ ถ้าโฮสต์สามารถเอาชนะได้ก็จะสามารถบันทึกค่าประสบการณ์ได้มากขึ้น”

ฟางหนิงได้ยินแบบนั้นก็รับรู้ทันทีว่า ถ้าเขาทำตามที่ระบบพูดจริงๆ เขาจะยังมีวันที่ปลอดภัยที่จะเล่นได้วันไหนอีก จึงรีบคุกเข่าลงอ้อนวอน “เทพแห่งระบบ อย่าหวั่นเกรงไปเลยขอรับ ถ้าหากยังลังเลใจ คุณจะไร้คุณลักษณะที่กล้าหาญจนทำให้แพ้เกม เวลานี้มีจอมยุทธ์คนใดบ้างที่อยากกำจัดคนดีเล่า?”

เมื่อระบบได้ยิน มันก็หยุดทันที “เอาเถอะ ระบบไม่อยากรบกวนพวกเขา แต่ว่าหากจะถึงคราวสลายก็ต้องฝ่าฝืนกฎ”

ฟางหนิงสั่งให้เทพแห่งระบบหยุดนิ่ง แล้วมองไปที่งูน้อยที่น่าสงสาร หลังจากเข้าใกล้ร่างนั่น มันก็หมุนตัวไปรอบๆ เขา ทั้งยังพยายามเจาะเข้ามาในเสื้อผ้า แต่กลับถูกระบบป้องกันของระบบปราณแท้เข้าขัดขวางเอาไว้

ระบบ “โอ้ ตอนนี้มันเป็นร่างวิญญาณที่อ่อนแอมากและไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้ ในเมื่อโฮสต์มีหัวใจ ประจวบกับระบบที่อยู่ข้างๆ โฮสต์ก็ลองใช้อกาสกับร่างของมันสิ นำวิถีกังฟูเหล่านั้นที่ระบบสอนไปฝึกฝน อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วจะเล่นได้นะ”

ฟางหนิง “บ้าจริง เล่นวันหยุดสุดสัปดาห์มันผิดตรงไหน? ฉันมักจะฝึก ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นเวลา 8 ชั่วโมงในวันทำงาน”

ระบบนิ่งเงียบฟางหนิง “ที่นี่คนเยอะเกินไป ต้องเปลี่ยนสถานที่ฝึกแล้ว เราคิดเงินก่อนค่อยออกไปแล้วกัน”

คราวนี้อัศวิน A กินอาหารไม่กี่จาน ซึ่งน้อยกว่าก่อนหน้ามาก เขาคิดเงินเสร็จก็ลุกขึ้นจากไปทันที พี่น้องเฉียวไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่ยังคงกินต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันดวงตาของพวกเขากลับไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลยสักนิด

ในตรอกซอยว่างเปล่า งูขาวที่ฟางหนิงฝึกฝนด้วยพลังจิตกำลังเผชิญกับงูดำโปร่งแสง เจ้าพุ่งมาข้าพุ่งกลับ เจ้ากัดหางข้าข้าฉกหัวเจ้า การต่อสู้แห่งศตวรรษกำลังเกิดขึ้น ช่างเป็น ‘วิถีการสู้จนตัวตาย’ ขนานแท้!

นั่นคือมุมมองของฟางหนิง

แต่ในความคิดของระบบ มีเพียงคำเดียวที่จะอธิบายได้ นั่นคือ ‘พวกไก่อ่อน’ กำลังสู้กัน

………………………………………………

ท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงบ จู่ๆ ใครบางคนก็ส่งเสียงทำลายบรรยากาศ นี่มันความรู้สึกอะไรกัน? เหมือนกำลังเล่นดนตรีอยู่ในสนามรบไม่มีผิด

ปีศาจในหุบเขาต่างตื่นตกใจ หนูยักษ์หลายร้อยตัวล้อมรอบสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ราวกับทหารที่คอยปกป้องกษัตริย์ ดูเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่างบนหน้าผา แต่ในไม่ช้ามันก็หายไป

คุณนายไป๋มองไปยังอัศวิน A ที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “นั่นแกหรืออัศวิน A! เป็นไปไม่ได้ แกหาที่นี่พบได้อย่างไร? พวกเราไม่เคยพบใครระหว่างทางมาที่นี่เลย และไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของเราด้วย ฉันรู้แล้ว! น่ารังเกียจจริงๆ คนทรยศคนนั้นคือผู้อาวุโสสินะ…”

ไป๋ซื่อผิงสีหน้าตื่นตกใจทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี หากเป็นอย่างนั้น สิ่งที่พวกเขาทำไปทั้งหมดจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

“เป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด!” คุณนายไป๋พูดพลางกัดฟันกรอด

ไป๋ซื่อผิงมองไปที่อัศวิน A ตราบใดที่ผู้อาวุโสไม่สร้างปัญหาใดๆ อย่างน้อยพวกเขาสามีภรรยาก็ยังมีทางเลือกสุดท้าย

เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนใส่อัศวิน A “อัศวิน A อย่าเพิ่งได้ใจไป เรารู้พลังการต่อสู้ของแก และเรารู้ถึงพลังวิเศษของแกด้วย! แต่ถึงแม้วันนี้แกจะฆ่าพวกเราสองสามีภรรยา ท่านอาวุโสก็ยังมีพลังแกร่งกล้า ไม่ช้าก็เร็วจะตามตัวแกเพื่อชำระแค้น ขีดจำกัดสูงสุดของมนุษย์อย่างพวกแกมีมากน้อยเพียงใด พวกเราจะไม่รู้เลยหรือ? ท้ายที่สุดแกก็เป็นเพียงเนื้อหนังและเลือด! หากรู้แล้ว ก็ควรรีบถอยไปซะ พวกเราต่างก็มีวิถีที่ต่างกัน!”

คุณนายไป๋กลับท่าทีสงบลง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อัศวิน A แกก็เป็นหนึ่งในทายาทด้วยไม่ใช่หรือ จะมายุ่งกับพวกเราทำไม ถึงแม้ว่าแกจะเป็นมนุษย์แต่ก็ไม่ได้มีต้นกำเนิดเฉกเช่นมนุษย์บนโลกนี้ บัดนี้เรากำลังจะฉีกหน้าพวกมนุษย์โลก คงเป็นการดีกว่าหากแกจะยืนเฉยๆ แล้วรอดูการต่อสู้ จะดีกว่าไหมหากรอจนกว่าผู้ชนะจะถูกตัดสินก่อนที่จะลงน้ำไป?”

“พวกแกจะนำหายนะมาสู่โลก ทำร้ายผู้คน และความชั่วร้ายจะยิ่งใหญ่คับฟ้า! มหาเทพผู้นี้เกิดขึ้นพร้อมกับอาณัติแห่งสวรรค์ ยอมจำนนต่อราษฎร ช่วยชีวิตประชาชน ช่วยเหลือโลก เจ้าพวกหนู! กล้าดียังไงมาเทียบเคียงกัน! วันนี้บาปของพวกแกถึงคราวชำระแล้ว สมควรถูกลงโทษ!”

สองสามีภรรยาตระกูลไป๋ต่างตกตะลึง หากมีใครบอกว่าอัศวิน A ไม่ใช่ทายาท พวกเขาจะต้องตบหน้าคนเหล่านั้นแน่ ในบรรดามหาอำนาจในโลกนี้ จะมีใครบ้างหน้าหนาถึงขนาดกล่าวอ้างตัวเองเช่นนี้?

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ไป๋ซื่อผิงก็ยิ่งหงุดหงิด

เขาวางอำนาจมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยอยู่ในสายตาของหัวหน้าหน่วยกิจการพิเศษเลย ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ถูกตำหนิ เขามีจิตวิญญาณแห่งการทำงานหนักซึมลึกในกระดูก เพิ่งจะหนีหน้าผู้น้อยคนนั้นอย่างเฉียวจื่อซานมาได้หมาดๆ นั่นทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้ามาก แต่เฉียวจื่อซานได้ฝึกฝนปราณมาหลายปีแล้วและมีความชำนาญในการใช้ เขารู้รายละเอียดของฝั่งตรงข้าม ทำให้เขารู้ว่านั่นคือศัตรูตัวฉกาจของเหล่าปีศาจ ถ้าไม่อยากตายก็จงหนีไปให้ได้

ตอนนี้อัศวิน A ทายาทผู้นี้ได้เอ่ยกลางอากาศว่าเขาเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาจุติบนพื้นโลก ดูจากภูมิหลังแล้ว ไป๋ซื่อผิงก็ไม่ต่างอะไรจากตัวตลก

สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมากจนความอดทนแทบขาดผึ่ง เขาต้องการต่อสู้กับอีกฝ่ายเพื่อพิสูจน์ว่าใครเหนือกว่า แต่ทำได้เพียงถอนหายใจ!

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะโกรธ แต่เขาก็อยู่ในตำแหน่งสูงนี้มาหลายปีแล้วและก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาไม่เชื่อว่าอัศวิน A ที่เพิ่งจะฟื้นฟูวิทยายุทธ์ขึ้นมาไม่กี่เดือน จะมีระดับปราณเหนือกว่าเฉียวจื่อซาน แต่เขาไม่ใช่คนจากโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงอาจไม่สามารถใช้พลังปราณได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าการต่อสู้จะพ่ายแพ้จริงๆ ตราบใดที่ผู้อาวุโสยังไม่ตาย ตราบใดที่อัศวิน A ไม่สามารถอัญเชิญมังกรมาครอบครองได้ เขาก็ยังมีทางหนีทีไล่

“ฉันไม่เชื่อหรอก เทพเจ้ามังกรตัวจริงยังอยู่ในขั้นตอนของการฟักตัว และหากบังคับมันให้ออกมาในคราวเดียว แกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลแน่ อัศวิน A อย่างแกไม่ใช่บุตรแห่งมังกรตัวจริงหรอก จะอัญเชิญมันออกอีกครั้งได้อย่างไร” เทพมังกรไม่ออกมา ข้าจะกลัวอะไรแกล่ะ! เข้ามาเลย เรามาสู้กันให้ตายไปข้าง!” ไป๋ซื่อผิงกล่าวอย่างดุเดือด

ทันทีที่เขาโบกมือ เหล่าหนูยักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็มีทีท่าโกรธจัด อ้าปากง้างฟันและกรงเล็บ พุ่งเข้าหาอัศวิน A กลางอากาศ

คุณนายไป๋ไม่เอ่ยห้ามผู้เป็นสามี เมื่อมองแวบแรกอีกฝ่ายเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่อย่างยิ่ง แตกต่างสิ้นเชิงกับเฉียวจื่อซานที่ความศรัทธายังไม่บรรลุผล ลูกสาวทั้งสามตายจากไปแล้ว และเป็นไปได้ว่าความปรารถนาอันน่าสะพรึงกลัวของชายผู้นี้ไม่อาจขยับเขยื้อนด้วยคำพูดได้

ท้ายที่สุดพี่น้องตระกูลเฉียวก็ยังอ่อนประสบการณ์และต้องรู้ทันให้มากกว่านี้ เพราะทั้งหมดเป็นเพียงกลอุบายการยื้อเวลาของพวกเขาเท่านั้น มองแวบแรกอัศวิน A คนนี้ ไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าสามีของเธอไม่ต่อสู้ อีกฝ่ายจะฆ่าเขาในทันที ในกรณีนี้ สู้ได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น ถ้าไม่สู้ก็จะไม่มีเวลาหาโอกาสหนีอีกแล้ว

คุณนายไป๋เคลื่อนไหวเงียบเชียบ มองหาทางหนีอื่น ถ้ำใต้ดินกระจัดกระจายไปทุกที่ ถ้าหนูยักษ์เหล่านั้นไม่มีอำนาจบังคับบัญชา อาจจะขุดหลุมตามใจชอบจนทำให้ยุ่งเหยิง ฉะนั้นต้องหาเส้นทางที่ดีที่สุด

เธอยังหาทางหนีไม่ได้ แต่แล้วสายตาก็เห็นมังกรเพลิงระเบิดขึ้นกลางอากาศเสียก่อน พร้อมกับหนูยักษ์ที่วิ่งไปรอบๆ ราวกับถูกไฟเผา ผิวหนังและเนื้อของพวกมันแตกละเอียด ไอสีดำผุดออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นก็ราวกับเกี๊ยวตกลงมาจากฟากฟ้า ล้มลงกับพื้นและตายทันที!

“เป็นไปได้อย่างไร แกเรียกเทพมังกรตัวจริงออกมาอีกได้ยังไง เทพมังกรตัวจริงจะมาที่โลกบ่อยได้ยังไงกัน นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ทว่าเมื่อมองไปยังไป๋ซื่อผิงที่กำลังมองมังกรเพลิงกลางอากาศ เขาก็ร่นถอยหลังไปสองสามก้าวแล้ว ท่าทีโหดเหี้ยมก่อนหน้านี้หายวับ มีเพียงเสียงกรีดร้องด้วยความประหลาดใจเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่!

เขาหันหน้าไปมองคุณนายไป๋ อีกฝ่ายดูงงงวย ทันใดนั้นก็เข้าใจกระจ่าง “ผิดแล้ว พวกเราผิดกันหมด! ที่เขาพูดน่ะถูกต้องแล้ว!”

เธอกล่าวโดยไม่ลังเล ตบฉาดเข้าที่หน้าผากของตนเอง ทันใดนั้นศีรษะของเธอก็แตกออกเป็นเสี่ยง ดวงตาเบิกกว้างแล้วล้มลงกับพื้นแน่นิ่ง

ไป๋ซื่อผิงเองก็เข้าใจในทันที เหลือบมองมังกรเพลิงตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เขาพลันตบฝ่ามือเข้าที่หน้าอก หัวใจแตกสลายสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับภรรยาของตน

ฟางหนิงตื่นตกใจ “บ้าจริง นี่เป็นครั้งแรกเลยพบว่าปีศาจฆ่าตัวตายก่อน เป็นไปได้ยังไงกัน?

ระบบกลับตกใจยิ่งกว่า “ปีศาจฆ่าตัวตาย? ไม่มีทางตามเคลียร์ภารกิจได้”

ฟางหนิงถาม “ทำไมล่ะ? ”

อย่างไรก็ตามระบบก็ปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา: การตายของทั้งสองไม่ใช่การเสแสร้ง ปีศาจหนูยักษ์กลัวชื่อเสียงเรื่องความกล้าหาญของระบบเลยเลือกที่จะฆ่าตัวตาย!

ระบบได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญ

ระบบได้รับค่าความยุติธรรมจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้ค่าพลังถึงขีดจำกัด ไม่สามารถกักเก็บได้อีก

ระบบดูแลโทเท็มศักดิ์สิทธิ์แห่งเฉินโจว…กระบวนการกำเนิดเทพมังกรตัวจริง โฮสต์ได้รับเทพมังกรตัวจริง ความสัมผัสว่องไวต่อไม้ ความสัมผัสว่องไวปัจจุบันคือระดับสี่

ปีศาจหนูยักษ์ไป๋ซื่อผิงเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพราะกลัวระบบ!

ระบบนี้ได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญ ผู้เล่น A ของระบบอันดับเพิ่มขึ้น ระดับปัจจุบันคือ ผู้ทรงเกียรติ ระบบได้รับสล็อตพลังปราณใหม่ สล็อตพลังปราณปัจจุบันคือสาม

ทักษะติดตัวของระบบอัศวิน ‘ป้องปราม’ เบื้องต้น เลื่อนขึ้นสู่ระดับกลาง

ระบบและฟางหนิงอ่านข้อความแจ้งเตือนพร้อมกัน ปีศาจหนูยักษ์ทั้งสองตัวตายไปแล้วจริงๆ

พวกเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมปีศาจหนูยักษ์ถึงตายไปอย่างง่ายดาย แล้วคำพูดสุดท้ายที่คุณนายไป๋พูดมันหมายความว่าอะไรกัน?

ฟางหนิงงุนงง แต่เขาก็กลัวว่าระบบจะผิดหวัง ดังนั้นจึงรีบชี้ไปยังสถานที่ที่ไม่ไกลออกไปมากนัก “มีกลุ่มหนูตัวเล็กอยู่ตรงนั้นด้วย”

ระบบ “พวกมันยังเป็นสีเหลือง ระบบคิดว่าพวกมันจะล้อมวงเข้ามาพร้อมกันซะอีก ไม่คิดว่าหนูอย่างพวกมันจะขี้ขลาดมากขนาดนี้ โฮสต์คิดหาวิธีจนหมกมุ่นไปแล้วนะ…”

ฟางหนิงไม่จำเป็นต้องหมกมุ่น หนูยักษ์ที่เหลือมีขนาดเล็กกว่า เมื่อเห็นว่าปีศาจหนูยักษ์สองตัวถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายโดยคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกที่แข็งแกร่งและดุร้ายในเผ่าพันธุ์ก็จะถูกฆ่าตายในทันทีเช่นกัน จะเอาแรงที่ไหนมาแข็งข้อได้อีกล่ะ…

ฟางหนิงเห็นว่าพวกมันขลาดกลัวคนที่มีคุณธรรมจึงเอ่ยขึ้น “เช่นเดียวกับนกเหล่านี้ ฉันต้องการที่จะหมกมุ่นอยู่กับการทำให้พวกมันเป็นภัยคุกคามต่อฉัน แต่มันเป็นไปไม่ได้…”

ระบบตอบกลับ “ช่างเถอะ พวกมันไม่มีบาป แต่ขี้ขลาด ปล่อยมันไปเถอะ”

เทพแห่งระบบสูญเสียค่าประสบการณ์ให้กับปีศาจยักษ์ทั้งสอง ดูเหมือนว่าเขาจะผิดหวังมาก รีบทำความสะอาดซากหนูยักษ์ทั้งสองแล้ววิ่งออกจากหุบเขาไปทันที เตรียมพร้อมที่จะไปเคลียร์ภารกิจอื่นเพื่อสะสมคะแนนประสบการณ์ต่อไป

อย่างน้อยพวกที่ขุดหลุมใต้ดินเมืองฉีนั้นก็ถูกกำจัดไปบางส่วนแล้ว…

ฟางหนิงมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย เพราะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

เมื่ออัศวิน A ออกจากหุบเขาไปแล้ว หนูยักษ์ยังคงไม่กล้าผุดหัวขึ้นมา มันนั่งยองๆ ทีละตัว

หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ในรูเล็กๆ บนหน้าผา หนูสีเทาขนาดเท่าหนูธรรมดาตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมา

มันมองไปรอบๆ แล้วหันกลับมาตะโกนเข้าไปในรูว่า “ออกมาเถอะ พวกเด็กนั่นหายไปแล้ว พวกที่ปล้นบ้านเรา หนูยักษ์ที่น่าสะอิดสะเอียนนั่นกลัวชายคนนั้น พวกเราถือโอกาสนี้ขนอาหารของพวกมันไปไว้สำหรับฤดูหนาวเถอะ…”

“ขอรับ นายท่าน”

“ไปกัน”

“ขอรับ”

เสียงโครมครามอึกทึกดังขึ้น หนูป่ากลุ่มหนึ่งวิ่งกรูออกไป พวกมันวิ่งไปที่ถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่งตามที่ตั้งใจไว้ ที่ที่มีกลิ่นไก่ย่างและเนื้อทอดลอยโชยออกมา…

…………………………………………………..

หลังจากที่ปรึกษาหารือกันทั้งคืนกับผู้นำท้องถิ่นหลายคน เพื่อช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข โม่ซิ่งก็กลับมาที่สำนักงานของตน

เขากำลังจะงีบหลับ แต่ก่อนที่จะได้เอนกายพิงโซฟา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เคาะประตูเข้ามาเพื่อแจ้งว่าสำนักสัจธรรมมาถึงแล้ว

“คนพวกนั้นเป็นใครกัน?” โม่ซิ่งพยายามระงับอารมณ์ เขาจะไม่โกรธคนรอบข้างโดยไม่มีเหตุผล

“ไม่รู้ครับ พวกเขากำลังรออยู่ที่ห้องรับแขก มีทั้งหมดสองคน พวกเขาเพิ่งแสดงใบรับรองพิเศษจากสำนักสัจธรรม และพวกเขาไม่ได้แนะนำตัวเองด้วย พวกเขาบอกแค่ว่าคุณต้องทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เป็นไปได้ไหมว่า พวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเราแก้ปัญหาเรื่องหนูยักษ์?” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดอย่างระมัดระวัง

ใบหน้าของโม่ซิ่งเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อได้ยิน ปัญหาเรื่องหนูยักษ์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ลำบากที่สุดสำหรับเขาในช่วงนี้ และเขาทำอะไรแทบไม่ได้ เมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงของอัศวิน A กับสำนักตัดสัจธรรม มันแทบจะไม่มีอะไรเลย ในความเห็นของเขา มันเกี่ยวข้องกับการเลื่อนตำแหน่งส่วนตัวของเขามากกว่า

แต่ปัญหาหนูยักษ์นี้ส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่นั้นๆ อย่างมาก และเขายังคงเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องสาธารณะและเรื่องส่วนตัวด้วย

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจสำนักสัจธรรมเท่าไรนัก แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ เขาจะไม่สร้างปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะควบคุมอารมณ์และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อถึงคราววิกฤต เพราะฉะนั้นคงพอจะมีวิธีที่จะแก้ปัญหาหนูยักษ์ได้

“ดีมาก ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” โม่ซิ่งเอ่ยเสียงร่าเริง สลัดความง่วงทิ้งไปและลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว มายังห้องรับรองของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษ

เขาผลักประตูเข้าไปข้างใน มีคนสองคนนั่งอยู่ในห้องรับรอง เมื่อเห็นใบหน้าตึงเครียดของอีกฝ่าย หัวใจของโม่ซิ่งก็หล่นวูบ สัญชาตญาณเขาได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่คนที่จะช่วยเขาแก้ปัญหาอย่างแน่นอน สองคนนี้น่าจะพาปัญหามาให้เขามากกว่า

ทั้งคู่เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อยู่ในวัยกลางคน อายุราวห้าสิบปีเศษ หว่างคิ้วของผู้หญิงนั้นคล้ายกับพี่น้องตระกูลไป๋ทั้งสามมาก ถึงแม้ว่าจะแก่กว่า แต่ก็ยังมีมีเสน่ห์ โม่ซิ่งเกรงว่าพวกเขาอาจเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ส่วนผู้ชายอีกคน หน้าตาหล่อเหลา แต่คิ้วของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย

“คุณเป็นผู้อำนวยการสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษที่นี่ใช่ไหม?”

เสียงของชายวัยกลางคนฟังแล้วน่าเกรงขาม เขาสงวนท่าทีเล็กน้อยก่อยเอ่ยถามโม่ซิ่ง

โม่ซิ่งรู้สึกประหม่า นับตั้งแต่วันที่เขาก่อตั้งสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษขึ้น เขามีอำนาจในมือ แม้ว่าจะเป็นเพียงตำแหน่งผู้อำนวยการในนาม ทว่า แม้แต่ผู้นำหลักขององค์กรท้องถิ่นที่มีตำแหน่งสูงมากก็ยังพูดจาสุภาพกับเขา

โม่ซิ่งระงับอารมณ์ของตน ในใจยังคงมีความหวังเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาเรื่องหนูยักษ์ “ผม โม่ซิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี พวกคุณมาทำอะไรหรือ? มีเอกสารราชการที่ส่งมาจากเบื้องบนหรือ”

ชายวัยกลางคนนั้นพูดตอบ “เปล่าหรอก ผมเป็นคนสำนักสัจธรรม และผมมีสิทธิ์ที่จะสุ่มตรวจสอบงานสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษในพื้นที่ของคุณได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปีศาจร้ายหรือสัตว์ประหลาดมาครอบงำ”

โม่ซิ่งคิดในใจ นี่มันแย่จริงๆ หมายความว่าถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนั้น เขาจะถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าโดนปีศาจเจ้าสิงร่างหรือ?

โม่ซิ่งตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นคุณรีบมาพบผมในตอนเช้านี้ ก็เพราะอยากจะตรวจสอบดูว่าหน่วยกิจการพิเศษนี้กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม ตอนนี้การแพร่ระบาดของหนูยักษ์ในเมืองฉีนั้นรุนแรงมาก ผมหวังว่าคุณจะช่วยเราคิดหาทางแก้ไขได้ เราจะรู้สึกขอบคุณมากและจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการช่วยเหลือของคุณ”

ชายคนนั้นท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเขาจะคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงระงับความโกรธของตนเอาไว้ “เหอะ การแพร่ระบาดของหนูยักษ์นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด! คุณไม่ต้องพูดมาก ผมจะถามคุณตรงๆ ลูกสาวสามคนของผมมาที่นี่เมื่อวานนี้ เพื่อเตรียมตัวลงชื่อกับผู้ชายชื่ออัศวิน A ให้ไปที่สำนักงานสัจธรรม ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหน?”

โม่ซิ่งตื่นตระหนก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจ บางทีอาจจะเพื่อช่วยแก้ปัญหาของหนูยักษ์ ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อความเหนื่อยล้าจากการนอนดึก และมาต้อนรับด้วยตนเองอย่างมีความสุข เขาเองก็อายุ 35 ปีแล้ว วิธีฝึกร่างกายของเขานั้นคือคุณสมบัติน้ำแข็ง ซึ่งดีสำหรับการเพาะปลูกทางจิตวิญญาณ แต่ไม่เหมาะสำหรับการทำให้ร่างกายอบอุ่น

เขาไม่คิดว่าสองคนนี้จะมาถึงที่นี่แต่เช้า บุกเข้ามาในสำนักงานใหญ่แล้วอ้างว่าสำนักสัจธรรมสั่งมา จากนั้นก็เรียกผู้อำนวยการที่ไม่ได้นอนทั้งคืนออกมา เพื่อถามเรื่องส่วนตัวของครอบครัว

โม่ซิ่งระงับความโกรธเอาไว้ เขารู้ว่าคนๆ ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องด้วยได้ “ในตอนนั้น มีการส่งเอกสารอย่างเป็นทางการ พวกเขาเพียงบอกให้ผมร่วมมือในการหาอัศวิน A แและส่วนที่เหลือนั้น ไม่ได้อยู่ในความดูแลของผม ผมมีบันทึกวิดีโอเป็นหลักฐาน”

ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานกิจการพิเศษ เพื่อป้องกันปัญหาและอุบัติเหตุทุกประเภท เขามีเครื่องมือบันทึกวิดีโอแบบพกพาอยู่เสมอ

ชายคนนั้นรีบกล่าว “เอาไฟล์วิดีโอทั้งหมดมาให้ผมดู”

โม่ซิ่งตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้ชายคนนี้ช่างหน้าไม่อายและหยิ่งผยองเสียจริง เขาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษ และชายคนนี้ก็กล้าที่จะขอข้อมูลวิดีโอจากเขา!

ต้องเข้าใจก่อนว่าข้อมูลทั้งหมดต้องถูกดึงผ่านขั้นตอนของทางการเพื่อป้องกันการรั่วไหล อีกอย่างข้อมูลส่วนใหญ่ในสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษก็นับว่าเป็นความลับสุดยอด ซึ่งหากข้อมูลเหล่านี้รั่วไหลออกไปต้องร้ายแรงมากแน่นอน เขาบอกว่าตัวเองเป็นคนจากสำนักสัจธรรม แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์อะไร ถ้าเขาต้องการดูข้อมูลลับเหล่านี้จริงๆ เขาต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เพื่อขออนุมัติ เขาคิดว่าตัวเขาเองเป็นใครกัน? พูดด้วยปากเปล่าก็จะให้ดูได้หรือ?

“ถ้าคุณอยากดูวีดีโอ คุณก็สามารถทำได้ แต่ต้องติดต่อกับแผนกระดับสูงเพื่อขออนุมัติก่อน และหลังจากที่คุณได้พิสูจน์ตัวตนของคุณผ่านทางเอกสารทางการที่เกี่ยวข้องแล้ว ผมจะให้คุณตรวจสอบวีดีโอทั้งหมดเอง”

ชายวัยกลางคนเมื่อถูกโม่ซิ่งปฏิเสธเช่นนั้น สุดท้ายก็ควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป “แกกำลังรนหาที่ตาย!”

ทันทีที่เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น โม่ซิ่งก็รู้สึกว่าปีศาจได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว มันกำลังพุ่งเข้าหา ท่าทางต้องการจะเขมือบเข้าเขาไป!

ขณะที่ตกใจ และสติหลุดลอยออกไปชั่วครู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ที่รัก” เสียงใสกังวานดังออกมา ปีศาจร้ายหายวับไปทันทีขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนก็เข้ามาช่วยโม่ซิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบ “ผู้อำนวยการโม่คะ เราแค่อยากจะขอดูสักหน่อย เดี๋ยวจะคืนให้คุณทันที”

โม่ซิ่งรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายราวกับเสียงสวรรค์ ด้วยเสียงนุ่มนวลที่ไม่อาจต้านทานได้ และดวงตาคู่สวยที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นกัน เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ราวกับว่าเขาพยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว และหยิบ USB พกพาออกมาให้อย่างรวดเร็ว

“เหอะ ผิงเอ๋อร์ เจ้ายังต้องใช้เวทงงงันจัดการกับขยะแบบนี้อยู่อีกหรือ?” ชายวัยกลางคนไม่สบอารมณ์ แล้วมองไปทางโม่ซิ่งที่หลงเสน่ห์และหมดสติไปด้วยความรังเกียจ

เสียงของหญิงวัยกลางคนตอบกลับแผ่วเบา “ถ้าเรายังไม่ทราบรายละเอียดของอัศวิน A เราก็ไม่ควรทำเรื่องใหญ่โต ไม่งั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวตนเอาได้ ลูกๆ ต้องพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่นี่แล้ว พวกลูกกินคนที่มีศักยภาพมากกว่าเรา และเราก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าลูกๆ มากนัก”

ขณะพูด หญิงวัยกลางคนก็หยิบ USB ที่โม่ซิ่งยื่นให้เมื่อครู่ ก่อนจะเสียบมันเข้ากับแล็ปท็อปที่เธอนำมาด้วย

โม่ซิ่งหมดสติ ล้มตัวลงบนโซฟาในห้องรับรอง ท่าทางของเขาคล้ายคนกำลังหลับสนิท

ชายหญิงคู่นั้นดูข้อมูลวีดิโออย่างระมัดระวัง เมื่อวานนี้โม่ซิ่งพาพี่น้องสาวสามคนของตระกูลไป๋ไปตามหาอัศวิน A

“ผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกหก ดูเหมือนว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น” หลังจากยืนยันเรื่องนี้แล้ว ชายหญิงคู่นี้ก็จัดของและออกจากห้องรับแขกอย่างเร่งรีบทันที

ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากห้องรับแขกไป โม่ซิ่งซึ่งนอนอยู่บนโซฟาก็ลืมตาตื่น ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความตกใจ!

ชายหญิงวัยกลางคนเดินออกจากสำนักงานใหญ่ของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษ และรีบมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอันเงียบสงบที่อยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งสองกวาดตามองรอบด้าน หยุดที่นี่เพื่อหารือกันเล็กน้อย

หญิงวัยกลางคนกล่าว “ที่รัก ในวีดิโอ มีเพียงซวงเอ๋อร์ สามคนพี่น้อง และอัศวิน A ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะปกติ แต่ฉันพบว่าสถานที่นี้แปลกประหลาดมาก”

ชายวัยกลางคนตอบกลับ “ผมคิดว่าทุกอย่างปกติมาก เกิดอะไรขึ้น มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”

หญิงวัยกลางคนพูด “ในไฟล์วิดีโอเมื่อครู่ หลังจากที่ได้เห็นซวงเอ๋อร์ และคนอื่นๆ ฉันเห็นรอยยิ้มหนึ่งและก็คิดว่ารอยยิ้มนั้นมันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน”

ชายวัยกลางคนงุนงง “คุ้นเคย? นั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่ผู้ชายมักจะยิ้มให้หลังจากเห็นผู้หญิงสวยๆ หรอกหรือ? เขาคงหลงเสน่ห์ความงามของซวงเอ๋อร์และคนอื่นๆ”

“ไม่ใช่” หญิงวัยกลางรีบโต้กลับ หลังจากเหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มของสามี ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ต้องเปลี่ยนสี “ฉันคิดออกแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง พวกเราถูกหลอก!”

ชายวัยกลางคนงุนงง รีบถามทันที “คุณหมายความว่าอะไร”

“นั่นไม่ใช่รอยยิ้มเพราะความลุ่มหลง” หญิงวัยกลางเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “นั่นเป็นรอยยิ้มของนักล่า ‘เห็นการล่าสัตว์ จิตใจเบิกบาน’! รอยยิ้มนั่นเหมือนกับรอยยิ้มของคุณตอนที่ได้กินใครสักคน!”

………………………………………………….

ใช้เวลาไม่นานนัก ระบบก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว โฮสต์ที่ขี้เกียจสุดๆ นี้ไม่มีแผนอะไรเลย เขาใช้ซากของปีศาจหนูสองตัวเป็นเหยื่อล่อและโยนความผิดให้คนอื่นแก้ปัญหา

อีกฝ่ายพูดอยู่เสมอว่าอีกไม่นานพวกเขาจะคิดแผนอะไรสักอย่างออกมา เพื่อให้แน่ใจว่าแผนนั้นจะสำเร็จ เพราะเหตุการณ์สุดท้ายที่ทำให้เกิดการตัดการเชื่อมต่อของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกิดจากการขุดท่อสื่อสารใต้ดินขนาดใหญ่โดยสัตว์ประหลาดใต้ดิน เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในเมืองฉี

แน่นอนว่าฟางหนิงไม่มั่นใจ เขาเสนอว่าต้องวางเงินมัดจำหลังจากเห็นแผนการและยืนยันถึงความเป็นไปได้ หลังจากที่อีกฝ่ายหนึ่งทำตามแผนเสร็จ อีกครึ่งหนึ่งจะจ่ายเงินให้ภายใน 3 ปี ถ้าไม่มีปัญหาอะไร นี่คือเหตุผลที่เขาขอหนูยักษ์สองตัวนั่น

ส่วนการใช้ซากศพครึ่งหนึ่งเป็นเงินฝาก ความน่าดึงดูดจะลดลงอย่างมาก และอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ ฟางหนิงไม่สามารถใช้ศพของหนูยักษ์ได้ และแน่นอนเขาจะไม่เลือกสิ่งนี้ ซึ่งจะส่งผลต่ออาชีพบนอินเทอร์เน็ตของเขา

เครดิตของอัศวิน A ยังคงสูงพอ

ระบบถามขึ้นมา “เสร็จแล้วหรือ”

ฟางหนิงตอบกลับ “เสร็จแล้ว ฉันไม่ใช่คนไอคิวสูง ก็เลยต้องหาผู้เชี่ยวชาญ”

ระบบพูดต่อ “ดูเหมือนระบบไม่ต้องทำอะไรเลย”

ฟางหนิงถามกลับ “ทำไมแกถึงจะไม่ต้องทำล่ะ? เมื่อถึงเวลา แกจะได้เป็นผู้ดูแลและไปตรวจสอบ ถ้าพวกมันกล้าหลอกฉัน แกต้องช่วยฉันดึงมันขึ้นมา…”

นี่คือเหตุผลที่ฟางหนิงไม่กังวล เพราะหากอีกฝ่ายกล้าฮุบเงินมัดจำและแบล็กเมล์เขาจริงๆ คนๆ นั้นก็ควรพิจารณาว่าตนมีพลังพอหรือไม่ที่จะต่อสู้กับชายผู้อัญเชิญวิญญาณมังกรได้…

ผ่านไปสักพักระบบก็เอ่ยขึ้นอีก “ระบบรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ? คล้ายกับกำลังเสียเปรียบอยู่? ถึงแม้จะไม่เข้าใจมากนัก แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียรางวัลไปถึงสองอย่างให้โฮสต์ แม้จะพูดว่าให้รางวัลแก่โฮสต์ก็จริง โฮสต์ก็เลือกที่จะใช้มันมันแก้ปัญหาในการใช้ท่องอินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง”

ฟางหนิงกลอกตาและชื่นชมพลังงานความสามารถที่แก่กล้าเช่นนี้ของเทพแห่งระบบทันที “โอเค ฉันไม่ได้พูดอะไร แกแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่เสียเปรียบแน่นอน ใครก็ตามที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเราจะต้องได้ประโยชน์จากเขาอย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน”

ระบบตอบกลับ “โอเค ถ้าพวกเขาไม่ให้ ระบบจะช่วยโฮสต์ฟรีๆ ไม่นับเป็นรางวัลในภารกิจ…”

หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมสำคัญนี้ ฟางหนิงก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น เมื่อมองเวลา ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเข้านอนเสียที โชคดีที่หลังจากฝึกฝน “การแปลงร่างมังกร” จิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นมาก จึงทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกง่วงเท่าไร หากย้อนกลับไปเป็นเมื่อก่อนคงหลับไปนานแล้ว

ฟางหนิงรีบกลับเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและเริ่มเล่นอีกครั้ง เขารีบดาวน์โหลดนิยายที่จบแล้วสองสามเล่ม รวมถึงผลงานชิ้นเอกล่าสุดของผู้เล่นเดี่ยว เพราะกลัวว่าจะมีการตัดขาดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีก…

ในตอนที่เขาเล่นคนเดียว ฟางหนิงคิดว่าเทพแห่งระบบต้องรีบใช้เวลาเล่นเกมตีตัวตุ่นอีกแน่นอน เขาเหลือบมองไปที่ข้อความแจ้งเตือนของระบบทันที แต่ก็พบว่าไม่เป็นเช่นนั้น

ระบบแจ้งเตือน: ระบบกำลังคิดพิจารณา…

ระบบกำลังคิดพิจารณา…

ระบบตัดสินใจทานอาหารเย็น

ฟางหนิงกลอกตา เทพแห่งระบบ แกเองก็เรียนรู้ที่จะขี้เกียจเหมือนกันแล้วสินะ

อย่างไรก็ตาม เขาตอบกลับไปในภายหลัง เพราะดูเหมือนว่าเขาจะแปลงเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สามตัวติดต่อกัน และเวลาในการแปลงร่างเป็นมังกรก็นานมาก นั่นทำให้ระบบทำงานหนักเกินไป และจำเป็นต้องได้รับอารหารเสริม เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการทำอาหาร

อัศวิน A รีบไปที่ร้านเก่า “รสชาติของฟางซื่อ” ด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าจะดึกแล้ว แต่สถานที่นี้ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนและเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อไม่กี่วันก่อน ภายใต้การดูแลของผู้จัดการร้านสาวนามว่าจ้าวอิ๋ง ร้านนี้ได้เปลี่ยนเวลาทำการเป็นเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และหน้าร้านก็ใหญ่โตขึ้นมาก

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของพี่ชายสุดหล่อ จ้าวอิ๋ง ผู้ซึ่งจงใจเลิกงานช่วงดึกๆ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ ไม่มีทางเลือก พี่ชายสุดหล่อก็พี่ชายสุดหล่อเถอะ ค่าบัตรเครดิตรอบล่าสุดตั้ง 380,000 หยวนเชียวนะ ใกล้จะถึงวันจ่ายแล้วด้วย และแม้ว่าเงินเดือนของเธอจะขึ้นหลายเท่า แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะร้านเพิ่งเปิดได้แค่สามเดือนเอง ถึงแม้จะผ่อนค่าบัตรเป็นงวดๆ แต่มันก็หนักเกินไปสำหรับจ้าวอิ๋ง

อัศวิน A เห็นจ้าวอิ๋งก็นึกออกทันที เทพแห่งระบบก็คือเทพแห่งระบบ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นมันไม่มีวันลืม

ก่อนการต่อสู้กับแมงมุมเมื่อครั้งที่แล้ว มันกับฟางหนิงวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ แถมยังไม่ได้เช็คบิลเลยด้วยซ้ำ ฟางหนิงเป็นเด็กเนิร์ด คงจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ อีกอย่างนั่นไม่ใช่อาหารที่เขาสั่งมากินเองด้วย เขาคงลืมไปหมดแล้วแน่นอน

อัศวิน A ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “อ้อ คราวที่แล้วฉันมัวแต่ยุ่งกับงาน ลืมจ่ายเงิน คราวนี้รวมบิลมาเลยนะ”

จ้าวอิ๋งตอบกลับออกไปโดยไม่รู้ตัว “ไม่ต้องแล้ว จ่ายให้แล้วจ้า”

อัศวิน A โค้งคำนับ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณมาก ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีขนบธรรมเนียมพื้นบ้านเรียบง่าย ถึงแม้ว่าจะทำบางสิ่งไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะต้องการรางวัลเช่นนี้ มันคงยากสำหรับเธอ”

อะไรกัน? ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย พี่ชายสุดหล่อคนนี้ควรจะพูดว่า “เกรงใจคุณมาก” ไม่ก็พูดขอบคุณสักคำ หรือไม่ก็มีของขวัญให้เล็กน้อย แล้วจึงค่อยจ่ายเงินสิ?

จ้าวอิ๋งงุนงง คิดใจใน ‘หลังจากคิดแล้วคิดอีกว่าการกระทำของพี่ชายสุดหล่อเป็นแบบนั้นจริงๆ และเขาไม่ได้ล้อเล่นกับเธอ จ้าวอิ๋งก็อดหงุดหงิดไม่ได้

ฟางหนิงที่กำลังเล่นเกมอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ต ได้ยินการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง ก็พูดออกมาด้วยความโมโห จ้าวอิ๋ง ยัยเด็กน้อยเอ๋ย เธอไม่รู้จักแม้แต่บุคลิกของเทพแห่งระบบ คนอื่นประหยัดได้ต้องประหยัดสิ และสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการละเมิดคุณลักษณะที่กล้าหาญของเทพแห่งระบบเลย เพราะเขาฆ่าแมงมุมยักษ์ที่อาจทำร้ายคนทั้งเมืองในคราวที่แล้วได้ ซึ่งเทียบเท่ากับการช่วยชีวิตของเธอ จากมุมมองของเธอ การที่เธอช่วยเขาจ่ายบิล ไม่มีอะไรขัดกับวิถีอัศวินเลย

เพียงแต่ว่าฟางหนิงยังคงใจอ่อน เห็นได้ชัดว่า จ้าวอิ๋งยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

เทพแห่งระบบกินเยอะมาก และเขาก็รู้ว่าราคาของหนึ่งเมนูนั้น ต้องใช้เงินเดือนทั้งปีของจ้าวอิ๋ง เขายังคงเป็นเจ้าของร้าน ดังนั้นจึงรู้ว่าเขาจ่ายเงินให้ใครไปมากน้อยแค่ไหน

เขารีบให้เทพแห่งระบบคืนร่างก่อนรีบพูดว่า “อ่า ฉันแค่ล้อเล่นนะ คนอย่างฉันจะปล่อยให้หญิงสาวอย่างเธอจ่ายแทนได้ไง มาคิดเงินกันเถอะ”

จ้าวอิ๋งไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว เธอรีบส่งยิ้มให้ และต้อนรับอัศวิน A ให้เข้ามา จากนั้นจึงเตรียมห้องแยกไว้ให้เขา

เทพแห่งระบบไม่สนใจเงินจำนวนเล็กน้อยที่ฟางหนิงจะจ่าย ท้ายที่สุดสถานะของฟางหนิงก็สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในการต่อสู้ครั้งก่อน หากไม่ใช่เพราะความฉลาดของฟางหนิง จี้หยกล้ำค่านั่นคงจะสูญหายไปเปล่า ๆ นั่นเป็นสมบัติที่เงินจำนวนมากไม่สามารถซื้อได้ในขณะนี้

ในขณะที่อัศวิน A กำลังรับประทานอาหารนั้น ภายในเขตอำนาจของเมืองฉี ทีมทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีทำงานเป็นกะตลอดทั้งคืน พวกเขาตรวจสอบหนูยักษ์กลายพันธุ์จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง

พวกเขาถือเครื่องมือตรวจจับชีวิตที่ได้รับการดัดแปลงเป็นพิเศษไว้ในมือ มันสามารถตรวจจับได้ว่ามีหนูยักษ์อาศัยอยู่ใต้ดินลงไปหลายสิบเมตรหรือไม่ นี่เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เคยคิดค้นมาก่อน

โม่ซิ่งยืนอยู่ในศูนย์บัญชาการข้อมูลของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษ กำลังมองเหตุการณ์นี้เงียบๆ ผ่านหน้าจอ ถัดจากเขาคือผู้นำบางคนของสถาบันท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในเมืองฉี ทุกคนมีสีหน้าหนักใจ

เนื่องจากการปรากฏตัวของหนูยักษ์ ได้ปรากฏเครื่องหมายสีแดงสดทุกที่บนแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ที่แสดงรายละเอียดถึงเขตอำนาจศาลของเมืองฉี พื้นที่ทั้งหมดค่อยๆ กลายเป็นสีแดง และความรู้สึกของผู้คนที่กำลังมองผลอยู่นั้นก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด ผู้นำก็อดสงสัยไม่ได้ว่า “ทำไมถึงมีจำนวนมากขนาดนี้ พวกมันกินอะไรเข้าไปถึงมีชีวิตอยู่ได้? ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ยินว่ามีอาหารจำนวนมากถูกขโมย?”

โม่ซิ่งตอบกลับเสียงเบา “หนูยักษ์กินอะไรก็ได้ อาหารของพวกมันมีมากกว่าบ้านของมัน ท้องและระบบย่อยอาหารของพวกมันก็แข็งแรง เมื่อนานมาแล้วพวกมันขุดท่อระบายน้ำ มีน้ำลายและเศษอาหารเหลือทิ้งมากมาย ลงในท่อระบายน้ำจากร้านอาหารต่างๆ ในกองขยะขนาดใหญ่ จุดทิ้งขยะในชุมชน และแม้กระทั่งถังขยะบนท้องถนน ก็พบหลุมที่นำไปสู่ใต้พื้นดิน และขยะอินทรีย์ต่างๆ จำนวนมากถูกขโมยทุกวัน

เมืองของเรามีประชากรแปดล้านคน หากเราไม่สามารถกินอาหารเหลือทิ้งในทุกวันได้ เราสามารถเลี้ยงคนในเมืองที่มีประชากรถึงสองล้านคนได้ และนั่นมันไม่ใช่ปัญหาที่จะเลี้ยงหนูยักษ์แปดล้านตัวเลย ในแง่หนึ่งพวกมันเป็นนักสะสมขยะที่เก่งที่สุด”

เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ ผู้นำท้องถิ่นต่างพากันหน้าซีด พวกเขาตระหนักดีว่าหากวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น หนูยักษ์จำนวนแปดล้านตัวนั้นได้โผล่ขึ้นมา คนจำนวนแปดล้านคนไม่สามารถยับยั้งพวกมันได้แน่นอน เว้นเสียแต่ว่าทุกคนจะเป็นทหาร แล้วเราจะทำอย่างไร?

ใครบางคนถามขึ้นมา “แล้วจะแก้ไขปัญหาเรื่องหนูยังไง? เราถามข้างต้น และข้างต้นกล่าวว่าภัยพิบัติหนูยักษ์ได้เกิดขึ้นในใต้ดินเมืองอื่นๆ ด้วย ซึ่งสามารถควบคุมได้โดยสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นและหน่วยงานท้องถิ่นเท่านั้น สิ่งที่พูดมาข้างต้นไม่ได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหาที่ดีเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่สั่งกองทหารรักษาการณ์ในพื้นที่ ให้เข้าช่วยสนับสนุนเพียงชั่วคราว ข่าวดีอย่างเดียวที่ได้ยินมาก็คือพื้นที่ในชนบท ไม่ค่อยมีใครพบเห็นพวกหนู และจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ”

โม่ซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นไม่ใช่ข่าวดี มันแสดงให้เห็นว่าพวกมันฉลาดพอที่จะเป็นเหมือนคน ทำไมพวกมันถึงปรากฏตัวแค่ชั้นใต้ดินของเมือง มันง่ายมาก ที่พวกมันสามารถผูกติดกับมนุษย์อย่างพวกเราได้ มีวิธีการทางการทหารที่มีประสิทธิภาพมากมาย ใครจะกล้าใช้พวกมันล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นด้านเคมี วิทยาศาสตร์ อาวุธชีวภาพ ไวรัสชีวภาพ ใครจะกล้าแบกรับอันตราย หากในที่สุดมันแพร่กระจายสู่ประชาชนจริงๆ สำหรับเหตุผลที่พวกมันไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรนั้นกลับน่ากลัวยิ่งกว่า”

โม่ซิ่งไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว เขาจึงหันไปหารองผู้อำนวยการหลิว รองผู้อำนวยการของสำนักงานกิจการพิเศษที่อยู่ข้างๆ เพื่อรอคำตอบ

รองผู้อำนวยการหลิว “น่าจะเป็นเพราะพวกมันมีแนวคิดเรื่องความยั่งยืน การพัฒนา เพราะพวกมันต้องการพัฒนาและขยายจำนวนประชากร เลบไม่สามารถทำได้หากไม่มีอาหารเพียงพอ บนพื้นดินพวกมันสามารถหาอาหารจากมนุษย์เราได้เศษอาหารจำนวนมากกลายเป็นนอาหารอันโอชะของพวกมัน”

ผู้นำอีกคนเอ่ยขึ้นบ้าง “ไม่น่าแปลกใจที่เราไม่ค่อยได้ยินเกี่ยวกับหนูยักษ์โจมตีผู้คน เพราะว่าพวกมันยังคงต้องพึ่งพาเราในการจัดหาอาหาร นี่คือโชคดีในความโชคร้าย”

รองผู้อำนวยการหลิวพูด “ผมกลัวว่า วันหนึ่งถ้าพวกมันเรียนรู้ที่จะผลิตอาหารจากมนุษย์อย่างเรา ในเวลานั้นพวกมันจะทำให้มนุษย์อย่างพวกเราเดือดร้อนได้”

………………………………………………………………

เมื่อมองไปที่มังกรเพลิงซึ่งลอยค้างอยู่ในกบางอากาศ สามพี่น้องตระกูลไป๋ก็กลายร่างกลับมายังร่างเดิมของพวกมันทันที ความคิดเดิมที่อยากจะสังหารคู่ต่อสู้ทิ้ง กลับกลายเป็นความเสียใจในภายหลังกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในที่สุดพวกมันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรพบุรุษถึงเตือนพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เทพเจ้ามังกรจำแลงตัวจริงคือศัตรูตัวฉกาจของวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมด และจะต้องถูกทำลายให้สิ้นซากก่อนเพื่อชะลอการตั้งครรภ์ของมัน

เพราะในเวลานี้ พวกมันพบว่าพลังเวทที่เหลืออยู่บางส่วนกำลังทำงานได้ไม่เต็มที่ และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมพลังงานรอบข้างเพื่อร่ายคาถา ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่างภายใต้พลังของเทพมังกรจำแลง และดูเหมือนว่าสนามรบแห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับพลังเวทไปแล้ว บางทีสัตว์ประหลาดในระดับมหากาฬอาจจะสามารถเสกคาถาออกไปได้บ้าง แต่พวกมันทำไม่ได้

บางที หากพลังเวทของพวกมันถึงจุดสูงสุด พวกมันอาจใช้พลังเวทย์ที่เหลือในร่างกายมาร่ายคาถาและยับยั้งคู่ต่อสู้ได้ถึงหนึ่งหรือสองรอบ แต่ตอนนี้พลังในร่างกลับลวดฮวบ ไม่สามารถต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้เลยสักนิด

ไม่นานหลังจากมังกรเพลิงปรากฏกายขึ้น ลมหายใจของมันก็ลุกโชติช่วง พร้อมพุ่งเข้าใส่หนูยักษ์ทั้งสามทันทีทันใดนั้น หนูยักษ์ผู้น้องทั้งสองก็เข้ามาขวางหน้าหนูยักษ์พี่ใหญ่โดยเร็ว

“พี่ใหญ่ เมื่อไหร่ถึงจะสามารถควบคุมร่างกายของเราได้?” เสียงของหนูยักษ์ผู้น้องทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก รวมถึงความโกรธเล็กน้อย

ด้านหนูพี่ใหญ่ มันสูดเอาลมหายใจมังกรเพลิงเข้าไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทั้งร่างก็พลันสั่นสะท้าน รีบปราดออกไปจากสนามรบเบื้องหน้า…

ในพริบตา หนูผู้น้องทั้งสองก็ต้องสิ้นลมหายใจอยู่ที่ตรงนั้น

ฟางหนิงเอ่ยขึ้น “ไม่คิดเลยว่าจะหนีรอดไปได้ตัวหนึ่ง”

ระบบตอบกลับ “หนูตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวนั้นหนีไปแล้ว”

ฟางหนิงถาม “แกจะไล่ตามไปไหม”

ระบบตอบกลับ “ระบบไม่เห็นมันบนแผนที่…”

ฟางหนิงพูดต่อ “แผนที่ระบบครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเมืองฉี มันไม่น่าจะหลุดออกไปจากแผนที่หรอก”

ระบบตอบกลับ “บางทีมันอาจมีคุณสมบัติบางอย่างที่สามารถปิดกั้นการตรวจจับของแผนที่ได้ ในอดีต พวกมันก็ไม่ปรากฏในแผนที่ระบบ จนกระทั่งมันปรากฏต่อหน้าเรา และสีแดงที่เป็นตัวแทนของพวกมันนั้นแตกต่างจากแมงมุมยักษ์เมื่อคราวที่แล้ว ทันทีที่มันปรากฏตัว เราสามารถมองเห็นมันได้จากระยะไกลอย่างชัดเจน”

ฟางหนิงครุ่นคิด “ไม่แปลก ขนาดคนของสำนักสัจธรรมยังมองไม่เห็นร่างจริงของพวกมัน แต่ถ้าแกพูดแบบนี้ มันก็จะหนีไปได้อย่างนั้นหรือ น่าหงุดหงิดจริงๆ พวกเราหาวิธีกันก่อนเถอะ ใช่แล้ว ในตอนนั้นมันวิ่งหนีไปทางไหนนะ”

ระบบกำลังระบุทิศทางบนแผนที่ หลังจากที่ฟางหนิงพินิจพิจารณาอยู่สักพัก ฉับพลันดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย “กลับร่างเป็นมังกรกันเถอะ แล้วไล่ตามทิศนั้นไป ไม่แน่บางทีแกอาจเคยเจอมันแล้วก็ได้…”

ในคืนนี้คุณนายจ้าวนอนไม่หลับ ลมหายใจของมังกรตัวจริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเสียงคำรามของมันก็ดังขึ้นในความเงียบ เสียงเหล่านี้รบกวนเธอมาก ทำให้เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด การปรากฏตัวต่างไปจากครั้งที่แล้ว ในครั้งนี้สถานที่ที่ลมหายใจของมังกรปรากฏขึ้นนั้นอยู่ในป่าห่างออกไปไกลจากคฤหาสน์ของเธอ แต่การยับยั้งของสายเลือดตามธรรมชาติยังคงทำให้คุณนายจ้าวรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

เธอทราบข่าวผ่านหน่วยข่าวกรองว่า ครั้งที่แล้วที่เธอเรียกเทพมังกรจำแลงออกมา คนผู้นั้นคืออัศวิน A ผู้โด่งดังในเมืองฉี ในตอนนั้นเธอโล่งใจมาก เพราะด้วยรูปแบบพฤติกรรมของอีกฝ่าย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาครอบครัวของพวกเธอเจอ

คุณนายจ้าวเหลือบมองสามีของตนเองที่หลับไปราวกับหมูที่นอนตายด้วยความอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นแต่งตัว แล้วเดินออกไปข้างนอก

หลังจากเดินสำรวจในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่แล้ว เธอไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ อีก แต่แล้วในขณะที่กำลังจะก้าวขากลับไปทางห้องนอนอีกรอบ เธอก็สัมผัสได้ถึงจังหวะลมหายใจที่ทำให้หัวใจของตนสั่นระรัว

ลมหายใจนั้นแผ่วเบา เลือนราาง คล้ายกำลังหลบซ่อน หากไม่ทันสังเกตคงไม่รู้สึก แต่บางทีอาจเพราะความระแวดระวังตัวในสัญชาตญาณ คุณนายจ้าวจึงสัมผัสมันได้ ว่าลมหายใจนี้เป็นของหนึ่งในศัตรูเก่าของเธอ มันทั้งแปลกประหลาด ทรงพลัง และน่ากลัว เผยให้เห็นจุดอ่อนอันบางอย่าง และอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลจ้าว เมื่อสังเกตจากทิศทางของลมหายใจ มันกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของเธอในแถบชานเมือง

แต่ว่า ยังมีอีกหนึ่งลมหายใจที่คุณนายจ้าวรู้สึกคุ้นเคยมากกว่า แม้ระยะทางจะห่างไกลมาก แต่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน ลมหายใจที่มีพลังนั้นคือลมหายใจของมังกรที่เธอสัมผัสได้ในคืนนี้ กำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ใบหน้าของเธอพลันแปรเปลี่ยน นึกย้อนกลับไปยังบ้านเล็กๆ ที่ตนเคยอาศัย เท่านั้นความคิดบางอย่างก็วาบผ่านัยน์ตา คุณนายจ้าวออกวิ่งไปทางลมหายใจแผ่วเบานั้น ไม่หันกลับมามองด้านหลังเลยสักแวบเดียว

ตอนนี้ หนูยักษ์กำลังเผชิญหน้ากับงูหลามสีขาวขนาดใหญ่

“ไปให้พ้น ไอ้เจ้างูบ้า ถ้าไม่ใช่เพราะร่างเดิมของข้าบาดเจ็บ ข้าคงกลืนเจ้าภายในคำเดียวไปแล้ว!” หนูยักษ์หน้าตาน่าเกลียดตะโกนออกมาอย่างดุร้าย มันคือไป๋รั่วซวงในสามสาวพี่น้อง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การสังเวยน้องสาวทั้งสองคน ทำให้มันรอดพ้นจากการโจมตีของมังกรเพลิง

สิ่งเดียวที่ทำให้มันโชคดี นั่นก็คือสมบัติที่บรรพบุรุษมอบให้นั้นทรงพลังจริงๆ หลังจากหลบหนีไปได้ระยะหนึ่ง และโดนมังกรเพลิงไล่ล่าอย่างไม่ลดละ มันก็สามารถหนีพ้นอีกฝ่ายได้

มันต้องการรักษาบาดแผลเร่งด่วน และบางอย่างในคฤหาสน์ที่อยู่ไม่ไกลออกไป สามารถช่วยรักษาบาดแผลนี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้น หากปล่อยทิ้งไว้ ลมหายใจของมังกรเพลิงก็จะค่อยๆ พรากลมหายใจออกไปจากมัน

ดังนั้นหนูพี่ใหญ่ตัวนี้จึงไม่มีทางหนีไปอื่นแล้ว สถานที่แห่งนี้ห่างออกมาจากสนามรบค่อนข้างมาก และมีความเป็นไปได้ว่ามังกรเพลิงจะไม่สามารถหามันเจอได้ง่ายๆ

แต่เมื่อมันวิ่งเข้ามาใกล้กับคฤหาสน์ งูหลามสีขาวตัวนี้ก็มาขวางทางเอาไว้

ถ้าหากมันไม่ได้รับบาดเจ็บล่ะก็…มันคงกลืนงูตัวนี้ลงท้องไปแล้ว แต่ตอนนี้ มันหาไรได้มีพลังเวทไม่ มันไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ลมหายใจก็รวยริน ยากจะต่อกรอีกฝ่ายได้

มันเลยหวังว่าจะใช้การยับยั้งตัวเองเพื่อทำให้งูหนีไป แต่เห็นได้ชัดว่าความหวังริบหรี่เหลือเกิน

งูหลามสีขาวตัวนี้ขดเป็นวงกลมแน่น หัวขนาดใหญ่ และดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นกำลังจับจ้องทุกการเคบื่อนไหวของศัตรูตรงหน้า

จากสัญชาตญาณของสัตว์ หนูยักษ์มั่นใจมากว่า หากมันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าสักนิดเดียว งูหลามสีขาวก็พร้อมจะโจมตีมันโดยไม่ลังเล!

“ออกไปจากที่นี่ซะ ยิ่งไกลยิ่งดี ข้าไม่สนว่าเจ้าจะกินกี่คนไปกี่คนเพื่อประทังชีวิต แต่มนุษย์ที่นี่ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรเขา!” งูหลามสีขาวพูดเสียงกร้าว

หนูยักษ์เย้ยหยัน “หึ ดูเหมือนว่าข้างในจะมีมนุษย์อย่างที่เจ้าพูดจริงๆ สินะ? ไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจ ทำไมถึงต้องปกป้องมนุษย์ด้วยล่ะ? ข้าแค่บาดเจ็บและไม่อยากต่อสู้กับเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้น ข้าจะใช้เจ้าเพื่อยื้อชีวิตแทน ออกไปให้พ้นทางข้าเดี๋ยวนี้”

คำพูดของหนูยักษ์คล้ายกับเป็นการสะกิดต่อมโมโหของงูขาว มันส่งเสียงขู่ฟ่อต่ำๆ ออกมา “ข้าไม่ใช่ปีศาจ! ข้าเป็นมนุษย์ นี่เป็นเพียงร่างที่เปลี่ยนไปของข้า!”

หนูยักษ์ตอบกลับ “เจ้ามันโง่ โง่ที่หลอกตัวเอง! ตอนนี้พลังชีวิตเพิ่งฟื้นตัว มนุษย์น่ะ ไม่สามารถจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประหลาดได้ง่ายๆ หรอก แต่พอผ่านไปสักพัก พวกมันก็สามารถทำได้เหมือนกัน แล้วเจ้าก็จะตายด้วยน้ำมือของคนที่เจ้าปกป้อง!”

งูขาวไม่หวั่นไหวกับคำพูดของหนูยักษ์ มันยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหนูยักษ์อยากจะหนีไปให้ไกล แต่ก็ไร้ประโยชน์

หนูยักษ์รู้เรื่องนี้ดี ในการต่อสู้ระหว่างศัตรูตามธรรมชาติ พวกมันต้องไม่ทิ้งความหลังไว้ให้กัน ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีความคิดที่จะโจมตีคฤหาสน์

หนูยักษ์เริ่มสงบสติอารมณ์ อย่างไรก็ตาม มังกรเพลิงหายไปแล้ว เช่นนั้นก็หาวิธีจัดการกับงูขาวตรงหน้าให้ได้ก่อนแล้วกัน!

มันมั่นใจว่า แม้งูขาวตรงหน้าจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์แลล แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้กลืนกินมนุษย์ เพระฉะนั้นพลังเวทย่อมอ่อนแอกว่าร่างเดิมของมันมาก แม้แต่ตอนนี้ ก็ยังไม่มากไปกว่าพลังเวทที่หลงเหลือ

ในแง่ของประสบการณ์การต่อสู้ งูขาวตัวนี้ไร้กลิ่นเลือด ถึงมีก็ไม่มากนัก เกรงว่าอาจจะไม่ดีเท่าเมื่อเทียบกับงูป่าที่เป็นญาติของมัน และเมื่อเทียบกับหนูยักษ์ก็ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้น

หนูยักษ์ตัดสินใจ ค้อมตัวลงในท่าเตรียมโจมตี

งูหลามสีขาวก็สังเกตเห็นท่าทางนี้เช่นกัน ร่างกายของมันพลันเกร็งขึ้น เป็นเวลานานมากแล้วที่มันไม่ได้ต่อสู้จริงๆ และมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่มันได้รับชัยชนะ อีกอย่างนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง

ทันใดนั้น งูหลามสีขาวก็เห็นแสงวาบปรากฏขึ้น มันเบี่ยงศีรษะหลบตามสัญชาตญาณ หากแต่กรงเล็บแหลมคมก็ตะปบเข้าที่คอของมันแล้ว

ไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผลแพ้ชนะจะถูกตัดสินเร็วเช่นนี้ คอของมันครึ่งหนึ่งถูกผ่าออก! เผยให้เห็นกระดูกสันหลังส่วนคอของมัน! เลือดสาดกระเซ็น!

ความเจ็บปวดก่อตัวขึ้นทันที มันไม่สามารถทรงตัวเอาไว้ได้อีก มันสูญเสียอาวุธที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการโจมตีไปแล้ว!

งูหลามสีขาวไม่คิดเลยว่าเกล็ดของมันที่แข็งแกร่งมากจนแม้แต่กระสุนก็ทะลุเข้าไปไม่ได้ จะเปราะบางเมื่ออยู่ภายใต้กรงเล็บของศัตรูเก่า!

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าแอบคิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งและมีแรงต่อสู้มากกว่านี้เสียอีก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอ่อนแอขนาดนี้ ข้าถูกรูปลักษณ์ของเจ้าทำให้กลัวไปเองแท้ๆ! น่าเสียดาย ถ้าไม่ใช่เพราะเกล็ดของเจ้าแข็งไปหน่อย เมื่อกี้นี่น่าจะตัดหัวเจ้าทิ้งได้” หนูยักษ์ภูมิใจ ทันใดนั้นมันก็พบว่าดูเหมือนว่าจะสามารถใช้บางอย่างมาสมานแผลของตนได้ วิธีนี้ทำให้อาการบาดเจ็บไม่ทิ้งร่องรอยไว้

งูหลาวสีขาวเจ็บปวดจนไม่สามารถโต้ตอบได้ แต่มันยังคงขดตัวแน่น ไม่มีท่าทีว่าจะหลบหนี

“ดีเลย หลังจากกินเจ้าแล้ว ข้าก็จะไปกินสิ่งที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ต่อ อาการบาดเจ็บของข้าจะหายสนิท มังกรเวรนั่น ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่!” หนูยักษ์ตวาดดังลั่น

“ข้าไม่ ให้เจ้าผ่าน…” งูหลามสีขาวเอ่ยเสียงติดขัด มันยกหางขึ้นเล็กน้อย พร้อมจะใช้กระบวนท่าอื่น ตราบใดที่อีกฝ่ายจะเข้ามากินมัน มันก็จะใช้หางรัดอีกฝ่ายไว้ พร้อมพินาศไปด้วยกัน

“หึหึ เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว” เจ้าหนูยักษ์จะไม่รู้กลอุบายอันเป็นเอกลักษณ์ของศัตรูตัวเก่าได้อย่างไร มันโค้งตัว พร้อมที่จะโจมตีศัตรูอีกครั้ง

งูหลามขาวเองก็พร้อมที่จะต่อสู้

ทันใดนั้น ได้ยินลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังเข้ามา

“เป็นไปได้ยังไง มันหาข้าเจอเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? นี่มันเป็นไปไม่ได้!” หนูยักษ์ตื่นตระหนกและละความสนใจจากสถานการณ์ตรงหน้าทันที

“ไปให้พ้น เจ้างูสารเลว ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าและหาทางออกไปให้ได้” ไม่มีเวลาตามฆ่างูตัวนี้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าพลังชีวิตของงูตัวนี้จะอ่อนแรงมาก และสามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องใช้เวลา อีกอย่างศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงได้ปรากฏขึ้นแล้วอีกครั้ง

หากแต่งูหลามขาวยังคงไม่ขยับ มันหลีกทางให้ไม่ได้

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร? เจ้าควรจะรู้สึกถึงมัน! นั่นคือเทพมังกรตัวจริง ศัตรูของปีศาจทั้งหมด! เจ้าคิดว่าถึงเจ้าจะไม่เคยกินคน แล้วมันจะปล่อยเจ้าไปหรือ? หากเจ้าตายด้วน้ำมือของข้า เจ้ายังสามารถเกิดใหม่ได้ แต่หากเจ้าตายด้วยน้ำมือของมัน วิญญาณของเจ้าก็จะแหลกสลาย!”

“ต่อให้วิญญาณต้องสลาย ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเข้าไปแตะต้องพวกเขา เจ้าไปจากที่นี่เพื่อข้าเถอะ…”

เมื่อกี้นี้ เจ้าหนูยักษ์ได้ใช้กำลังทั้งหมดของร่างกายแล้ว อาการบาดเจ็บจึงรุนแรงขึ้นกว่าเดิม มันต้องกินคนที่อยู่ข้างในให้ได้ แล้วมันจะหลีกทางได้อย่างไรกัน?

“เจ้าบังคับจ้า ข้าปล่อยเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย!”

หนูยักษ์เดือดดาลมันกระโจนเข้าหางูหลามสีขาวอีกรอบ แต่แล้ว นันย?ช์ตาสีแดงเลือดของงูหลามขาวกลับสะท้อนเงาร่างน่าหวาดหวั่นออกมา ร่างของมันแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นทันที…

“เจอเจ้าแล้ว…” นี่เป็นคำสุดท้ายที่มันได้ยิน

………………………………………………

ภายในป่าเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ใต้เงาจันทร์ยามค่ำคืน โขดหินสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับ กระแสน้ำกระทบโขดหินเป็นเกลียวคลื่น หากเปลี่ยนเป็นสมัยโบราณ สถานที่แห่งนี้คงเหมาะแก่การแต่งบทกวีอย่างมาก

เวลานี้ มีหญิงงามสามคนกำลังร่ายรำท่ามกลางน้ำพุบนภูเขาอาบแสงจันทร์แห่งนี้

ด้วยท่าทางและรูปร่างงามสง่า พวกเธอราวกับเทพเซียนที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ กานำมาเทียบกับมนุษย์สามัญชนย่อมเป็นเรื่องยากอย่างที่กวีเช่นหลี่ไป๋เคยกล่าวไว้ ‘หากไม่ได้พบนางที่ยอดเขาฉวินอวี๋ คงจะได้พบภายใต้แสงจันทร์ของเหยาฉื่อ’

ไม่ไกลจากหญิงงามทั้งสามที่กำลังร่ายรำ มีชายหนุ่มแข็งแกร่งคนหนึ่ง กำลังมองดูพวกเธอพร้อมกับกินเนื้อหัวหมูและถั่วลิสงไปด้วย

หากเป็นคนทั่วไปเห็นภาพเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่ในสายตาของฟางหนิง กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะเทพแห่งระบบได้ทำการเบิกเนตร “มองเห็นทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” จึงทำให้เขาซึ่งมีความสามารถในการมองเห็นแบบลึกซึ้งถึงแก่นแท้เป็นการชั่วคราว ในตอนนี้ได้เห็นสิ่งที่ต่างไปจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

ภายใต้แสงจันทร์ จะมีเทพเซียนลงมาจุติลงบนพื้นโลกได้ยังไงกัน? ในทางกลับกัน เขากลับมองหญิงงามทั้งสามเป็นหนูอ้วน ตัวใหญ่ ท่าทางน่ากลัว กำลังร่ายรำอย่างด้วยความยืดยาดและน่าเกลียด

ในสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ กลิ่นเลือดที่เขาสัมผัสได้จากหนูยักษ์เหล่านั้น กลับเผยให้เห็นถึงความน่ากลัวบางอย่าง

ภายในพื้นที่ระบบ

“โฮสต์ พื้นที่สีแดงและสีดำที่แสดงบนแผนที่ระบบนั้นลดลงอย่างต่อเนื่อง มีขนาดเพียงครึ่งเดียวของอ่างอาบน้ำ ซึ่งเล็กกว่าขนาดเดิมถึงครึ่งหนึ่ง โฮสต์พูดถูกแล้ว ยิ่งปีศาจทั้งสามตัวนี้ร่ายรำท่าทางพึลึกนานเท่าไร ความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะลดลงด้วย แปลกจริงๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก ในตอนแรกพวกมันแข็งแกร่งเกือบเท่าปีศาจที่มาเยือนครั้งล่าสุด มันมีขนาดเท่ากับอ่างอาบน้ำทั้งอ่าง และตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังแข็งแกร่งกว่าปีศาจก่อนหน้านี้มาก แต่หลังจากเรื่องไร้สาระผ่านไป เมื่อพวกมันเริ่มร่ายรำ ก็ไม่ยอมเผชิญหน้ากับเราโดยตรง? โฮสต์คิดว่าพวกมันโง่ไหม?” ระบบเอ่ยถาม

“หึ พวกมันไม่ได้โง่หรอก พวกมันฉลาดเกินไปต่างหากล่ะ สิ่งที่พวกมันคิดผิดก็คือ พวกมันไม่ได้คาดคิดว่าร่างกายของฉันถูกระบบควบคุม ถ้าฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาจริง ๆ ล่ะก็ ไม่มีทางมองเห็นร่างกายแท้จริงของพวกมันได้แน่นอน ฉันเกรงว่าการร่ายรำของพวกมันต้องทำให้ผู้คนเข้ามาติดกับแน่ ถึงเวลานั้นเราจะสูญเสียความตั้งใจ เหมือนเนื้อที่วางอยู่บนเขียง พร้อมให้มันฆ่าและกินไปง่ายๆ พวกมันแข็งแกร่งมากและทำความผิดบาปเยอะนัก หากพวกมันปฏิเสธว่าไม่เคยกินคน ฉันไม่มีทางเชื่อหรอก” ฟางหนิงตอบ

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง โชคดีที่พวกมันคิดว่าตัวมันเองฉลาด ไม่อย่างนั้น หากพวกเราโจมตีพวกมันทั้งสามตัวทันที ต้องมีหนึ่งหรือสองตัวในพวกมันหนีไปได้แน่ๆ”

ฟางหนิงยิ้มภาคภูมิใจ “นี่คือความสำคัญของข้อมูลที่ทำให้เราได้เปรียบ พวกมันไม่รู้รายละเอียดของเรา ยังคงคิดว่าตัวเองได้เปรียบอยู่ และคิดว่าสามารถสะกดจิตเราได้ แต่พวกมันติดกับเราแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดทั้งสิ้นเปลืองพลังและเป็นการฆ่าตัวตาย เมื่อความแข็งแกร่งของพวกมันลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกมันวิ่งช้าลง แค่ใช้พลังมังกรเพลิงโจมตีก็สามารถจัดการพวกมันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ใช้กระบวนท่าพิเศษ”

ขณะนี้ หนูยักษ์สามตัวที่ยังไม่รู้เรื่องราวต่างกำลังกระโดดโบกมือให้กันและกัน และแอบคุยกันเงียบๆ

หนูตัวที่หนึ่งพูดว่า “พวกเราใช้พลังเวทร่ายรำสวรรค์มาเป็นเวลานานแล้ว มนุษย์ทั่วไปต้องหลงไปกับการร่ายรำของเราตั้งแต่เริ่มต้น ติดอยู่กับภาพมายาของเทพธิดา เสียสติ และเข้าไปในดินแดนกิเลสตัณหา ความชอบธรรมได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว แต่ทว่าสีหน้ามนุษย์ผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงกินเนื้อ เขาไม่หลงกลในภาพของเทพธิดาเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าโมโหเสียจริง! ถ้าหากมนุษย์ทุกคนเป็นเหมือนเขา จะมีพื้นที่สำหรับตระกูลของข้าในโลกนี้ได้อย่างไร!”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ข้าเหนื่อยจากการร่ายรำแล้ว พวกเจ้าอยากพักก่อนไหม?” หนูตัวรองถามขึ้นบ้าง

“พี่รองพูดถูกแล้ว พวกเราพักกันก่อนเถอะ พี่ใหญ่ ข้าใช้พลังเวทต่อไปไม่ไหวแล้ว” หนูตัวสุดท้องเอ่ยเสริม

“ไม่ ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่ธรรมดาเลย ตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถอัญเชิญเทพมังกรตัวจริงได้ ความมุ่งมั่นของเขานั้นไม่ธรรมดา เหนือกว่ามนุษย์คนก่อนๆ มาก เราประเมินเขาต่ำไป แต่พลังการร่ายรำสวรรค์จะต้องถูกเพิ่มให้มากที่สุด แม้ว่าพวกเจ้าจะเผาวิญญาณดั้งเดิมไปแล้ว เจ้าก็ต้องอดทน ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีความสำคัญต่อเทพมังกรตัวจริงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มากขึ้นเท่านั้น ตราบใดที่ร่างกายแห่งความชอบธรรมของเขาแตกสลาย มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกระบวนการผสมพันธุ์ของเทพเจ้ามังกรตัวจริง และส่งผลต่ออันดับของมันหลังจากที่ก่อตัวขึ้น”

“เอาล่ะ อดทนอีกหน่อยก็แล้วกัน เขาต้องแสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไร แต่จริงๆ แล้ว เขาไม่สามารถต้านทานได้นานกว่านี้แน่นอน ย่อมมีเมล็ดพันธุ์แห่งความชอบธรรมที่มีความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ เผชิญหน้ากับการร่ายรำสวรรค์ของพวกเรา ต่อต้านได้เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ต้องตกเข้าสู่ภาพมายาของเทพธิดา เข้าสู่ดินแดนแห่งกิเลสตัณหา หากไม่ใช่เพราะภูมิหลังของเขา ในตอนนั้นเขาคงเป็นอาหารอันโอชะของพวกเราแล้ว”

หนูพี่ใหญ่ใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจน้อง ๆ ทั้งสอง “เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราอดทนกันอีกสักหน่อยนะ คนผู้นี้ไม่มีภูมิหลัง โดดเดี่ยว และดื้อรั้น ตราบใดที่ร่างกายแห่งความชอบธรรมของเขาถูกทำลาย เราจะกินและใช้มันเพื่อเพิ่มพลังของเรา อย่างมากที่สุด ให้รายงานผู้อาวุโสพวกนั้นว่าพวกเขาหยิ่งและดื้อรั้น แล้วหนีไป เรามีตระกูลป๋ายคอยสนับสนุน และจะไม่ให้โอกาสเขาได้เริ่มก่อน ถึงเวลานั้น พี่น้องเอ๋ย พวกเจ้าสามารถกินได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มพลังของพวกเจ้า”

สองพี่น้องตระกูลป๋าย เมื่อได้ยินในสิ่งที่พี่ใหญ่พูด ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกาย ดังนั้นจึงกัดฟันอดทน ปล่อยให้เหงื่อกาฬไหลย้อยแล้วร่ายรำต่อไป…

หากวิญญาณชั่วทั้งสามรู้ว่าในเวลานี้ที่พวกมันกำลังร่ายรำสวรรค์อยู่นั้น ไม่ได้สร้างความสับสนให้กับเทพแห่งระบบแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจกระอักเลือดด้วยความโกรธออกมา

เทพแห่งระบบไม่ตอบสนองต่อแรงกระตุ้นทางกายภาพ และจะไม่มีวันหลงอยู่ในภาพมายาของพวกมันแน่นอน คนก็เหมือนเครื่องจักร ร่ายรำสวยแค่ไหน แต่ก็เหมือนร่ายรำให้คนตาบอดมองอยู่ดี

เมื่อวิญญาณชั่วร้ายทั้งสามร่ายรำจนหมดแรง ในที่สุดหนูพี่ใหญ่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คนผู้นี้มีสีหน้าแบบเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ ปราศจากอารมณ์ใดๆ

ทันทีที่มันโบกมือ น้องสาวทั้งสองตัวก็เกือบจะทรุดลงกับพื้น

หนูพี่ใหญ่ฉายแววเย็นชาในดวงตา มันกัดฟันเอ่ยด้วยความเดือดดาล “มิน่าล่ะ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เจ้าเป็นคนแรกที่อัญเชิญเทพมังกรที่แท้จริงมาสู่โลก เทพเจ้ามังกรจำแลงตัวจริงที่เป็นรูปเคารพสูงสุดของเสินโจว เทพเจ้ามังกรจำแลงตัวจริงไม่มีผิดแน่ ดีมาก ดีมาก!”

“น้องรอง น้องเล็ก เผาวิญญาณบรรพกาล และฆ่ามันพร้อมกับข้า!”

“หา! หนูผู้น้องทั้งสองใบหน้าซีดเผือด พวกมันรู้ว่าพี่ใหญ่หมายถึงอะไร และนี่เป็นคำสั่งที่สิ้นหวังอย่างยิ่ง แต่อีกฝ่ายสามารถอัญเชิญเทพเจ้ามังกรจำแลงตัวจริงได้ และการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้

เดิมทีพวกมันวางแผนจะสร้างความสับสนให้คู่ต่อสู้และทำลายความชอบธรรมของคู่ต่อสู้ ตราบใดที่คู่ต่อสู้ ไม่สามารถอัญเชิญมังกรตัวจริงได้ ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ก็ไม่สำคัญ

“เป็นอะไร พวกเจ้ากินมนุษย์มามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากผ่านไป ถึงเวลาที่จะต้องเสียสละชีวิตของพวกเจ้าอุทิศให้กับครอบครัวแล้ว!” หนูพี่ใหญ่จ้องไปที่สองพี่น้องและกำมือแน่น

ฉับพลัน หนูผู้น้องทั้งสองรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก มันจึงยอมผ่อนปรนและพยักหน้าพร้อมกัน

พริบตาต่อมา ร่างมนุษย์ของพวกมันก็สลายหายไป และทันใดนั้น หนูยักษ์สามตัวก็ปรากฏขึ้นระหว่างน้ำพุบนภูเขา แตกต่างไปจากฉากเทพเซียนร่างอ้อนแอ้นเมื่อครู่อย่างลิบลับ ในทางกลับกัน มันทำให้ผู้คนรู้สึกขนหัวลุก

ฟางหนิงเห็นร่างจริงตั้งแต่อยู่ในพื้นที่ของระบบแล้ว ดังนั้นเขาตึงไม่ได้รู้สึกแปลกตามากนัก และไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิดเดียว

แต่แล้วเขาก็นึกถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมา หญิงทั้งสามเหมือนมนุษย์มาก ไม่มีใครมองพวกเธอออกเลยหรือ? เป็นไปได้หรือ…

แน่นอนว่า พวกเธอต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ ทำงานหนักเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองสินะ

หลังจากคิดได้แบบนั้น ฟางหนิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมา และหันกล้องไปที่ฉากด้านล่างจากมุมมองของระบบ แล้วกดบันทึก

หากเขาคิดไม่ผิด วิดีโอเหล่านี้สามารถขายให้กับคนบางคนได้เงินเป็นจำนวนมากแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วถ่ายเก็บเป็นหลักฐานไว้ก็น่าจะดี

อัศวิน A ไม่กลัวสัตว์ร้ายทั้งสามที่พยายามโจมตีเข้ามาเลยสักนิด ตราบใดที่อัศวิน A ใช้พลังแห่งความชอบธรรมและแปลงร่างเป็นมังกร เขาก็จะสามารถปราบมันด้วยพลังของมังกรแท้จริวได้ ล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

เวลานี้ร่างของเขาลอยอยู่ในอากาศราวกับเทพเซียน ดวงตากวาดมองไปยังสิ่งชั่วร้ายทั้งสามด้านล่าง

“กลางวันแสกๆ แท้ๆ วิญญาณร้ายกลับก่อเรื่องวุ่นวาย พวกเจ้าต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก!”

………………………………………………….

หน่วยตรวจสอบนั้นเย่อหยิ่งมาก แต่ก็ไม่ได้โง่เง่า พวกเขารู้ดีว่าการเป็นผู้ชายที่สามารถอัญเชิญเทพเจ้ามังกรที่แท้จริงมาสู่โลกมนุษย์ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นคืนชีวิตนั้นหมายความว่าอย่างไร

ดังนั้นแม้ว่าข่าวที่โม่ซิ่งได้ยินจะเป็น ‘การดึงเอาอัศวิน A เข้าสู่ระบบของสำนักสัจธรรมให้เร็วที่สุด’ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสองสัปดาห์กว่าคนของสำนักสัจธรรมจะมา

โม่ซิ่งเห็นเจ้าหน้าที่จากสำนักสัจธรรมทั้งสาม แม้ใบหน้าของเขาจะเรียบเฉย แต่เขาก็สาปแช่งอยู่ในใจ พวกไร้ยางอาย ความเย่อหยิ่งในอดีตหายไปไหนเสียล่ะ?

ผู้หญิงทั้งสามคนตรงหน้า ทุกคนหน้าตาหมดจด ทั้งยังเป็นแฝดสาม ชื่อของพวกเธอคือ ไป๋รั่วซวง ไป๋รั่วปิง และไป๋รั่วอวี่

พวกเธอท่าทางสง่างามมาก แต่อายุของพวกเธอกลับเป็นความลับ สาวงามที่แต่งกายทันสมัยที่สุดคือคนที่ดูตัวเล็กที่สุด ไป๋รั่วอวี่ เธอดูคล้ายกับสาวในศตวรรษที่สิบแปดหรือสิบเก้า เธอแต่งกายเซ็กซี่ที่สุด ใกล้ฤดูหนาวแล้ว แต่เธอยังสวมชุดที่สั้นและร้อนแรง เป็นคำจำกัดความของคำว่า ‘สาวงามฤดูหนาว’

พี่สาวสองคนของเธอก็แต่งกายงดงามไม่แพ้กัน และสวยเกินกว่าจะบรรยายได้

เจ้าหน้าที่ของสำนักสัจธรรมแสดงเจตจำนงชัดเจนแล้ว เมื่อโม่ซิ่งมองดูสาวงามทั้งสามนี้ เขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทันใดนั้น เขาก็กังวลเล็กน้อยว่าความคิดที่ปรารถนาก่อนหน้านี้อาจไม่เป็นผล

แม้เขาจะรู้ว่าอัศวิน A อยู่ในเมืองฉี และได้รับการสนับสนุนจากสองสาวงาม คนหนึ่งเป็นผู้จัดการแสนสวยของร้านรสชาติของฟางซื่อ ส่วนอีกคนคือฉีอัน สาวงามอีกคนของตระกูลฉี ว่ากันว่า อีกฝ่ายกำลังเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ที่หลงเหลืออยู่และส่งต่อมาจากนักมายากลฉีหยุนเซิงที่เสียชีวิต อัศวิน A ไม่เคยหยาบคายกับพวกเขาและไม่เคยแสดงความหลงใหลในตัวผู้หญิงเลย

แต่สามคนนี้ไม่เหมือนกัน โม่ซิ่งเคยได้ยินคนกล่าวกันว่า เบื้องหลังของพวกเธอคือตระกูลไป๋ ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง ร่ำรวยที่สุดในประเทศ และยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเรื่องการฝึกฝนพลังเวทเร้นลับบางอย่าง ความน่าดึงดูดของพวกเธอนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเธอมีฐานะดีและยังเป็นแฝดสามเลย

ตระกูลไป๋มีอำนาจมากในสำนักสัจธรรม ลูกหลานหลายคนของพวกเขาเข้าทำงานในสำนักสัจธรรม

หลังจากระงับอารมณ์ได้แล้ว โม่ซิ่งก็ได้พูดคุยกับพวกเธอไม่กี่คำ อีกฝ่ายตรงไปตรงมามาก ไม่ต้องการที่จะผูกมิตรกับเขา พวกเธอสั่งให้เขาหาตัวอัศวิน A ทันที และขอให้เขาไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่อจากนี้

โม่ซิ่งลอบบ่นในใจ เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลไป๋หรอก ดังนั้นเขาจึงติดต่ออัศวิน A ให้พวกเธอ แล้วจากไป เพราะมีช่องทางการติดต่อของอัศวิน A แล้ว ตอนนี้จึงสะดวกขึ้นกว่าเดิมมาก เพียงแค่พิมพ์ถามไปก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่

“พี่สาว ดูสายตาของผู้ชายคนเมื่อกี้สิ เกือบจะมองทะลุน้องไปแล้ว” ไป๋รั่วอวี่จุ๊ปากแล้วกระตุกยิ้ม

“อืม ในหมู่มนุษย์ ผู้ชายพวกนี้ล้วนแต่เป็นคนขี้ขลาดที่ถูกควบคุมได้ง่ายโดยร่างกายส่วนล่าง ตราบใดที่ผู้หญิงปรายตามองให้สักเล็กน้อย พวกเขาก็จะยอมคุกเข่าลงแล้วทำตามคำสั่งแต่โดยดี” ไป๋รั่วปิงดูถูกเหยียดหยาม

ไป๋รั่วซวงเป็นพี่คนโตสุดในบรรดาสามพี่น้อง เธอแค่นเสียงออกมาเช่นกัน “ถ้าหากอัศวิน A ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่แสร้งทำเป็นจริงจัง ในตอนแรกเราก็แค่หว่านเสน่ห์ให้เขาก่อนสักพักแล้วจากนั้นค่อยแสดงตัวตนแท้จริงออกไป ภารกิจนี้ไม่ยากเลย”

ไป๋รั่วอวี่กล่าว “แต่พี่สาว เขาต่างไปจากคนอื่นนะ สามารถเรียกเทพเจ้ามังกรตัวจริงออกมาได้ด้วย คงไม่ดีไปกว่าเมล็ดแห่งความชอบธรรมเหล่านั้น ข้าว่าครั้งนี้เราทั้งสามคนคงต้องใช้เวท ‘ท่าร่ายรำของเทพธิดา’ เพื่อเกลี้ยกล่อมเขาให้ทำตามคำสั่งของเรา”

พี่สาวสองคนของเธอหันมาสบตากัน “มันไม่ง่ายเลย น้องเล็กยังมีประสบการณ์น้อย ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ร่ายพลังเวทล่ะ นี่คือคนที่สามารถอัญเชิญมังกรได้เชียวนะ นั่นจะช่วยให้การร่ายรำเทพธิดาของเจ้าก้าวหน้าขึ้น…”

“คิๆ…”

“ฮ่าๆ…”

เมื่อเวลา 14:15 น. ด้วยความช่วยเหลือของโม่ซิ่ง ในที่สุดสามสาวพี่น้องตระกูลไป๋ก็ได้พบกับอัศวิน A ตามที่หวังไว้

ในตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเดินทอดน่องไปตามถนนนอกเมือง และหยุดที่ไหนสักแห่งข้างถนนเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหลือเพียงรอยเท้าลึกบนพื้นแข็ง

ข้างหลังเขามีกลุ่มคนติดตามมา บางคนเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย บางคนเป็นคนงาน

สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ พวกเขามีอาวุธครบมือและสวมชุดป้องกันแน่นหนามาก แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มีกระบองไฟฟ้าด้วย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ได้ตื่นกลัวเลย

คนงานบางคนกำลังขับรถขุดดิน ขุดสถานที่ที่เหล่าจอมยุทธ์ทิ้งรอยเท้าสลักลึกไว้ ลึกลงไปใต้ดินไม่กี่เมตร จะพบว่ามีอุโมงค์อยู่มากมาย

อุโมงค์พวกนี้เกิดจากหนูยักษ์ที่ใหญ่พอๆ กับแมวบ้าน พวกนี้คือปีศาจใต้ดินที่ฟางหนิงเกลียดที่สุด เพราะพวกมันทำให้การเชื่อมต่อทั้งหมดถูกตัดขาด…

คนงานบางคนก็ลงไปและสวมถุงมือเพื่อยกหนูพวกนั้นออกมา แล้วพาพวกมันไปที่รถบรรทุกที่อยู่ใกล้เคียงทีละตัว จากนั้นคนงานก็ควบคุมเครื่องจักรให้ฝังกลบอุโมงค์ที่เปิดโล่งนั้นด้วยซีเมนต์ แล้วจึงขุดอุโมงค์ใหญ่ฝังกลบอีกที

สามพี่น้องตระกูลไป๋มองด้วยสายตาจริงจัง ใบหน้าทุกคนปราศจากอารมณ์

ไป๋รั่วอวี่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา “เมืองฉีของพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ”

โม่ซิ่งยิ้ม “ช่วงนี้สายเคเบิลสื่อสารใต้ดินได้รับความเสียหายบ่อยครั้งมาก หน่วยกิจการพิเศษของเราได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นหนูพวกนี้ที่สร้างปัญหา เราจึงประกาศเสนอเงินรางวัลให้ใครก็ตามที่สามารถจับและฆ่าพวกมันได้ อีกอย่างพวกเรายังขอความช่วยเหลือเรื่องนี้จากอัศวิน A”

“งั้นก็เรียกเขามา” ไป๋รั่วอวี่มองดูฉากนองเลือดด้วยสายตารังเกียจ นัยน์ตานั้นแฝงด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ท่านอัศวิน ท่านอัศวิน” โม่ซิ่งวิ่งไปพลางร้องเรียกอัศวิน A ที่กำลังยุ่ง

อัศวิน A ไม่ได้หยุดเดิน และใช้ปราณแท้ของตนสังหารหนูยักษ์ตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ใต้พื้นดิน ก่อนจะพูดว่า “มีอะไรให้ช่วยเหรอ”

หางคิ้วของโม่ซิ่งกระตุก “คนจากสำนักงานสืบสวนกิจการพิเศษเฉินโจวของเราอยู่ที่นี่ พวกเธออยากจะเชิญคุณให้เข้าร่วมสำนักงานสืบสวนเพื่อร่วมกันติดตามสาเหตุอันยิ่งใหญ่และเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในเฉินโจว”

อัศวิน A กล่าว “คุณไม่เห็นเหรอว่าฉันยุ่งอยู่ ถ้าคุณมีเวลาว่างก็เข้ามาและขจัดสิ่งกีดขวางที่ชั่วร้ายเหล่านี้เถอะ อย่ายืนดูอยู่เฉยๆ เลย”

ขณะที่อัศวิน A พูดอยู่นั้น เขาก็เดินไปข้างหน้า

“หนูเพียงกลุ่มหนึ่งที่ถูกลิขิตให้กลายเป็นอากาศธาตุ ไร้สาระจริงๆ!”

ตอนนี้สามพี่น้องตระกูลไป๋มาถึงแล้ว เมื่อเห็นว่าอัศวิน A ไม่ได้สนใจจะหันกลับมามองพวกเธอเลยก็เริ่มแปลกใจ

แต่แล้วอัศวิน A ก็หยุดเดินและหันไปมองหญิงสาวทั้งสาม ดวงตาของเขาพลันทอประกาย จากนั้นเขาก็จ้องตรงมาที่พวกเธอ ใช้สายตาทอดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

โม่ซิ่งผู้ซึ่งเห็นการแสดงออกของอัศวิน A เช่นนั้น เขารู้สึกว่านี่เสียมารยาทมาก แม้แต่วีรบุรุษผู้เก่งกาจก็พ่ายให้กับสาวงามหรือ นี่หมายความว่าเขาคิดผิดสินะ?

สามพี่น้องตระกูลไป๋นึกดูถูกอยู่ในใจ แต่ก็แสร้งทำทีเขินอายพร้อมใช้สายตาโปรยเสน่ห์อย่างลึกซึ้ง

“อะไรกัน ท่านอัศวิน นี่มันจะไม่เปื้อนมือเหรอ? ด้วยร่างกายที่สูงส่งของคุณ คุณยังจะใช้มือคู่นี้จัดการกับพวกมันอีกเหรอ” ขณะที่พูดออกไป ไป๋รั่วซวงก็เข้ามาประชิดกายอัศวิน A

อัศวิน A ดูจะมีความสุขไม่น้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ฮ่าฮ่า ใช่ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจัดการตอนนี้จริงๆ”

ไป๋รั่วอวี่ส่งสายตาให้พี่สาวคนที่สอง ไป๋รั่วปิง ‘ดูสิ ไม่มีอะไรมากมายเลย’

ไป๋รั่วปิงจ้องกลับ ‘ไม่คาดคิดมาก่อนเลย’

ไม่นานโม่ซิ่งก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อัศวิน A จากไปพร้อมกับสาวงามทั้งสาม

ทันทีที่อัศวิน A จากไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนงานที่อยู่เบื้องหลังเขาก็หยุดทำงานทันที

ใครบางคนถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ทำดีมาก ฉันพยายามจะหารายได้เพิ่ม แต่อัศวินคนนี้กลับมีสาวงามสามคนมาติดงอมแงม สงสัยต้องกลับมาอีกทีวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”

“ฮ่าๆ คุณคิดว่าเขาจะมาในวันพรุ่งนี้เหรอ ฉันไม่คิดว่าเราจะทำตัวสบายๆ ได้เหมือนเมื่อสัปดาห์ก่อนหรอกนะ” ใครบางคนพูดขึ้นมา

โม่ซิ่งถอนใจ อัศวิน A คนนี้มีค่ามากจริงๆ…

……………………………………………….

โม่ซิ่งโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารออนไลน์ของอัศวิน A ทันที เขาโอนเงินห้าล้านแบบเรียลไทม์ผ่านช่องทางพิเศษ แน่นอนว่าบัญชีธนาคารออนไลน์นี้ถูกซื้อจากเว็บมืด โดยเทพระบบของฟางหนิง จึงไม่สามารถระบุตัวตนได้

หลังจากการพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรระหว่างทั้งสองฝ่าย อัศวิน A ได้ทิ้งช่องทางการติดต่อทางออนไลน์ไว้ให้ จากนั้นก็กล่าวว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับการเป็นอัศวิน สุดท้ายจึงบินหนีไปอีกครั้ง…

รองผู้อำนวยการหลิวปาดเหงื่อ “ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อำนวยการโม่ไม่ชอบเขา ถ้าเชิญเข้ามาจริงๆ แล้วต้องพูดแบบนี้ทุกวันใครจะทนได้”

โม่ซิ่งเอ่ย “อืม นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันมาที่นี่หรอก ตัวตนของเขากลายเป็นปริศนาไปแล้ว ตรวจสอบไม่พบ ถ้าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคต ฉันไม่ใช่พวกสำนักสัจธรรมผู้มีอำนาจ จึงไม่สามารถรับผิดชอบได้ เขากลายร่างเป็นมังกรเมื่อวันก่อน ฉันคิดไปว่าร่างของเขาเป็นมังกรจริงๆ แต่ความจริงก็คือเขาเป็นมนุษย์ ส่วนมังกรเพลิงเป็นเพียงหนึ่งในเทพเจ้ามังกรตัวจริงที่ก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานของหลินฟานและมนุษย์ เกี่ยวพันกับวิญญาณร้ายที่มาเมื่อวานซืน ตอนนี้คิดไปคิดมาอาจเป็นไปได้ว่าเขาจะมาจากนอกอาณาจักร เมื่อวิญญาณร้ายมา ก็จะมีคนดีบังเกิดขึ้น”

รองผู้อำนวยการหลิวเอ่ย “โชคดีที่เขาเป็นอย่างหลัง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนของรัฐบาล หรือจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนเฉินโจว”

โม่ซิ่งเอ่ย “ไม่น่าจะเป็นคนของเฉินโจวหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมรับกับเราง่ายๆ นั่นละ เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถพาตัวเขามาด้วยภาระผูกพันทางศีลธรรมได้ ตราบใดที่เขายังคงรักษาบรรทัดฐานทางศีลธรรมในปัจจุบันเอาไว้ เราก็สามารถสื่อสารกับเขาโดยใช้วิธีการในวันนี้ ใช้เงินจ้างเขาและรักษาความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมเอาไว้ นอกจากนั้นก็ไม่ต้องก้าวก่ายซึ่งกันและกันแล้ว อย่าสร้างปัญหาอะไรให้เขาเป็นอันขาด หากใครขัดคำสั่ง ฉันจะไล่ออก!”

ทุกคนตกตะลึง ใบหน้าของโม่ซิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว

หลังจากที่เทพระบบกลายเป็นมังกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำลายปีศาจ ด้านฟางหนิงก็มีชีวิตที่สะดวกสบายอีกครั้ง

เขาสบายใจ แต่เทพระบบกลับรู้สึกผิดหวัง

โฮสต์ประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ‘การแปลงร่างมังกร’ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็สามารถเปลี่ยนความคิดทางจิตวิญญาณของโฮสต์ให้กลายเป็นงูได้

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โฮสต์สนใจถามถึงการฝึกต่างๆ อย่างกระตือรือร้นทุกวัน และหลังจากคืบหน้าไปมาก เขาก็มีพลังมากขึ้น

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดโฮสต์ก็เริ่มเบื่อหน่ายกับกระบวนการฝึกฝนซ้ำๆ

โฮสต์เริ่มพูดถึงความจำเป็นในการทำงานและการพักผ่อน มนุษย์แตกต่างจากระบบ มนุษย์มีความสามารถในการอดทนต่อแรงกดดันได้ไม่มาก และหากร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป พวกเขาจะเสียชีวิต นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอน กล่าวโดยรวมคือเขาต้องการพักผ่อน

เทพระบบไม่แน่ใจว่าขีดจำกัดสูงสุดของความต้านทานความเครียดของโฮสต์มีมากเท่าไร ในกรณีที่โฮสต์เสียชีวิตกะทันหัน ก็จะเท่ากับว่าการฝึกอย่างหฤโหดก็จะสูญเปล่าไปด้วย สุดท้ายจึงไม่กล้าเข้มงวดเกินไป

แน่นอนว่าอาจมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ นั่นคือแนวคิดเรื่องเวลาของเทพระบบแตกต่างจากฟางหนิง

ระบบบอกฟางหนิงว่าจะใช้เวลาเพียงสิบปีในการฝึกฝนวิญญาณร่างมังกร

จากมุมมองของระบบ สำหรับการฝึกฝนที่ยากเช่นนี้ ความเร็วนี้ถือว่ารวดเร็วมาก มันสามารถสร้างเงื่อนไขการฝึกฝนที่ดีมากสำหรับโฮสต์ได้ การสอนแบบจับมือกัน ความคิดทางจิตวิญญาณและร่างกายที่มีพลังได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าการฝึกฝนก่อนที่วิญญาณจะกลายร่างเป็นมังกร ก็มีเงื่อนไขการฝึกที่ดีที่สุดแล้ว ความเร็วนี้สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อสะสมข้อดีทุกประเภทไว้

ถ้าเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเริ่มใหม่อีกครั้งเลย แม้จะเริ่มต้นได้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนโดยปราศจากการออกกำลังกายที่สมบูรณ์ แม้จะมีทักษะที่สมบูรณ์แล้ว แม้ว่าจะเดินไปถูกทาง ก็ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ รวมแล้วอาจต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยแปดสิบปีในการฝึกวิญญาณร่างมังกร…

แต่เมื่อฟางหนิงได้ยินว่าต้องใช้เวลาสิบปีกว่าเขาจะควบคุมได้ เขาก็เป็นลมทันที พลังงานที่ฝึกฝนมาแต่แรกสลายไป

วิธีสุดท้าย เทพระบบต้องเสียสละค่าประสบการณ์เพื่อให้ฟางหนิงได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ และเพื่อที่จะรักษาแรงจูงใจในการฝึกฝนขั้นพื้นฐานของเขาเอาไว้

ด้วยเหตุนี้ฟางหนิงจึงสามารถฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ได้อย่างน้อยสองชั่วโมงต่อวันแล้ว และเขาก็พัฒนาขึ้นมากหากเทียบกับเมื่อวันก่อน…

แต่เมื่อเทียบกับเทพระบบที่ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งหมดนี้คือระยะห่างระหว่างคนเขลากับเทพ

‘ปังๆ’ เสียงดังขึ้นจากระบบอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตลอดทั้งวัน เสียงนี้ทำให้ระบบหงุดหงิดและอยากจะตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตมาก…

และแล้ววันหนึ่ง เสียง ‘ปัง’ ก็หยุดลง จากนั้นเสียงกรีดร้องของโฮสต์ก็ดังตามมา “ทำไมถึงไม่ขยับล่ะ? เดี๋ยวสิ ฉันเพิ่งฆ่าไป 12 ตาย 0 ใกล้จะจบแล้ว…”

ระบบนิ่งชะงัด ก่อนมันจะพูดออกมา “เชื่อเถอะ ระบบไม่ได้ทำ”

ฟางหนิงตอบกลับ “ระบบ ฉันจะเชื่อก็ได้ว่าแกไม่ได้เป็นคนตัดการเชื่อมต่อนี้ ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ระบบกล่าว “น่าจะเป็นเพราะเครือข่ายภายนอกที่เชื่อมต่ออยู่กับโฮสต์ถูกขัดจังหวะ นี่ต้องเป็นเหตุการณ์การตัดการเชื่อมต่อขนาดใหญ่มากแน่ เพราะมันเกิดขึ้นทั่วเมือง ไม่อย่างนั้น เครือข่ายร้านอินเทอร์เน็ตระบบคงไม่มีทางถูกตัดไปด้วยหรอก”

ฟางหนิงเกาหัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับการตัดการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ภายนอกหลังจากที่เขามีร้านอินเทอร์เน็ตระบบ หากเป็นแต่ก่อนมักเป็นระบบที่เป็นผู้ตัดการเชื่อมต่อ อย่างน้อยหลังจากจบภารกิจก็จะกู้คืนได้

แต่ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ? ในกรณีนี้ก็ทำได้เพียงรอให้บริษัทสื่อสารตรวจสอบและซ่อมแซมเครือข่ายเท่านั้น

ฟางหนิงถามออกมา “แล้วเราจะวิ่งหลายร้อยกิโลเมตรไปที่เมืองอื่นเพื่อฆ่าปีศาจได้ยังไง”

ระบบตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “โฮสต์คิดว่าระบบโง่เหรอ ที่โฮสต์บอกให้ระบบวิ่งไปไกลถึงฟาร์มปีศาจน่ะเสียเวลามากเลยนะ จริงๆ แล้วโฮสต์ก็แค่อยากจะท่องอินเทอร์เน็ตสินะ?”

ฟางหนิงหงุดหงิด เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าผลลัพธ์ต้องเป็นแบบนี้ ถึงระบบจะไอคิวต่ำ แต่ก็ใช่ว่าจะหลอกได้ง่ายๆ

หากไม่มีอินเทอร์เน็ตก็ไม่สนุก ดังนั้นเขาจึงต้องเลือก ‘การแปลงร่างมังกร’ ทำอะไรที่จริงจัง และฝึกฝนต่อไป

หลังจากที่ฟางหนิงฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเวลาสองวัน ในที่สุดอินเทอร์เน็ตก็กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้เขาจึงรีบทิ้ง ‘การแปลงร่างมังกร’ และพุ่งตัวไปที่อินเทอร์เน็ตทันที

เขาเห็นคำสาปแช่งมากมายบนอินเทอร์เน็ต บางคนกล่าวหาบริษัทสื่อสารว่าจับเสือมือเปล่า บางคนอยากให้บริษัทสื่อสารจ่ายเงินชดเชย บ้างก็ว่าเกิดจากการทะเลาะวิวาทระหว่างบริษัทไฟฟ้ากับบริษัทสื่อสารในเมืองนี้

“เรียนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกท่าน เนื่องจากการทะเลาะวิวาทระหว่างบริษัทสื่อสารของเมืองกับบริษัทพลังงานของเรา เราเพิ่งจะจึงตัดสินใจอย่างยากลำบาก เราเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่าเราไม่สามารถให้บริการแก่ทุกท่านได้ คุณสามารถเลือกที่จะปิดหรือยกเลิกการเชื่อมต่อจากเครือข่าย แต่จำเป็นต้องแจ้งว่าแม้จะเลือกตัดไฟเพื่อให้อินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อ แต่บริษัทเราได้ตัดไฟบริษัทสื่อสารไปแล้ว แม้ว่าคุณจะผลิตไฟฟ้าเองได้ก็ตาม ก็ไม่สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้”

คนพวกนี้เป็นใครกัน? จริงอยู่ที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบย่อยเก่าๆ สามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อยู่ดี น่าแปลกมาก!

ฟางหนิงพูดไม่ออกจริงๆ แต่สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือของระบบ เขาจึงพบคำตอบ ดูเหมือนว่าฟอรั่มบนเว็บมืดจะเป็นคำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุด ขณะนี้มีกลุ่มของปีศาจใต้ดินกำลังสร้างรังของพวกมัน สายเคเบิลออปติคัลการสื่อสารใต้ดินถูกขุดออกในหลายพื้นที่ แม้จะมีการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนแล้วก็ตาม แต่ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะตัดขาดอีก…

ไม่นะ วันคืนอันแสนสุขของฉันจะหายไป!

และสุดท้าย ปีศาจพวกนี้ก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับการฟื้นฟูพลังชีวิตทีละน้อย

ตอนที่ฟางหนิงกำลังเล่นอยู่ที่บ้าน เขากังวลเรื่องนี้จริงๆ

แม้ว่าจะดูเหมือนมนุษย์เป็นเทพเจ้าของโลกโดยสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้ว การกระจายตัวของมนุษย์บนโลกนี้ช่างน่าสมเพชนัก โลกใต้ดินส่วนใหญ่นั้นถูกยึดครองไปหมดแล้ว

นอกจากนี้ยังมีทะเลซึ่งครอบครองพื้นที่สามในสี่ของพื้นผิวโลก โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรได้เป็นเวลานาน ไม่ต้องพูดถึงโลกใต้น้ำที่กว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด ในอดีต สัตว์ทั่วไปแม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบทางสรีระวิทยาต่างๆ ก็ตาม แต่ยังห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ มนุษย์มักระแวดระวังพวกมัน เพื่อปกป้องตนเองบนดาวเคราะห์ดวงนี้

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พื้นที่ของมนุษย์มีขนาดเล็กมาก สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดและมีสติปัญญาทุกชนิดปรากฏขึ้น และบางส่วนก็เป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาชีวิตของพวกมัน ตอนนี้รอคอยเพียงเวลาเท่านั้นเพราะไม่นานมนุษยชาติจะถูกทำลาย

ฟางหนิงไม่สนใจความเป็นเทพเจ้าของโลกอีกแล้ว …มนุษย์สูญเสียอำนาจของพวกเขาไปแล้ว และโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่แต่บ้านและอ่านนิยายเล่นเกมไปวันๆ…

ฟางหนิงไม่เคยสนใจเรื่องการพัฒนาความแข็งแกร่งมาก่อน ยังไงก็ตาม เทพระบบก็ดูแลร่างกายเขา ความแข็งแกร่งหลักของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเป็นแค่ไอซิ่งบนเค้กเท่านั้น

แต่เมื่อฟางหนิงตั้งใจทำ เขามักจะให้ความสนใจกับข่าวจากโลกภายนอกอย่างใกล้ชิดเสมอ เขากังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่านิยายเกมรายวันจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่เขาก็ตระหนักดีถึงจุดอ่อนของระบบ นั่นคือมันไม่มีมุมมองเชิงกลยุทธ์ และไม่เข้าใจโลกเลย รู้แค่จะจัดการกับปีศาจยังไงเท่านั้น สนใจแต่การสะสมค่าประสบการณ์ พัฒนาทักษะ

เมื่อปีศาจได้เข้าสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูพลังชีวิตอย่างเป็นทางการแล้ว มันจะกลายเป็นบรรทัดฐานอย่างแน่นอนหลังจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในวงกว้าง

เพราะฉะนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดในการอยู่บ้าน ในที่สุดฟางหนิงก็ตัดสินใจได้ เขาจะบอกลาวันที่ดีของการอยู่บ้านตลอดทั้งวันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เขาต้องทำงานให้หนัก ต้องก้าวหน้า และต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม…

…………………………………………………………….

ตอนสายของวันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า และเมืองฉีซึ่งผ่านพ้นภัยพิบัติมาอย่างเงียบๆ ก็ย้อมไปด้วยแสงอ่อนๆ อีกครั้ง ทุกอย่างดูเงียบสงบ การเปลี่ยนแปลงชั่วขณะของโอตาคุบางคนไม่ได้ส่งผลต่อกฎแห่งสวรรค์และโลก ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นจากทิศตะวันออกเช่นเดิม

หากแต่สำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี สำนักอธิการบดี ตอนนี้บรรยากาศกลับมาคุ

“แม่มันเถอะ ไอ้พวกหยิ่งผยอง! กล้าเยาะเย้ยรายงานของฉันที่อุตส่าห์ทำมาทั้งคืนว่าเหมือนอ่านนิยาย! กล้าดูถูกฉันที่ไม่รู้ว่ามังกรจริงคืออะไร และกล้ามากที่เหยียดหยามกัน หลังจากฉันตัดต่อวิดีโอ!”

โม่ซิ่งระเบิดอารมณ์ลงกลางสำนักงาน

หลายคนที่นั่งอยู่ในนั้น รวมทั้งอาจารย์ใหญ่จาง และรองผู้อำนวยการต่างไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ และไม่มีใครกล้าเกลี้ยกล่อม

“พวกคุณไม่อยากดึงคนเข้ามาในสำนักสัจธรรมเหรอ ดี ดีจริงๆ ตอนแรกฉันก็อยากจะทำเฉยต่อไป แต่ตอนนี้ฉันต้องสอดขาเข้ามาก่อน!” โม่ซิ่งยกแว่นตาขึ้น แววตาของเขาเย็นชา พลางกวาดสายตามองทุกคน

“รองผู้อำนวยการหลิว คุณควรติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อค้นหาความเคลื่อนไหวของอัศวิน A และเมื่อระบุตำแหน่งได้แล้ว เราจะออกเดินทางทันที!”

“ครับ ผู้อำนวยการโม่” ชายผู้เฉียบแหลมในวัยสี่สิบลุกขึ้นคำนับ จากนั้นก็หันหลังออกจากสำนักงานไป

หลังจากเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ โม่ซิ่งก็หวนนึกถึงโทรด่วนจากใครบางคนในวันนี้ที่บอกบางสิ่งกับเขา

สำนักสัจธรรมได้ตัดสินใจร่วมกันจัดประชุมเร่งด่วนเมื่อเช้า แล้วให้ความเห็นว่าควรจะเรียกตัวผู้ที่สามารถเชิญเทพมังกรที่แท้จริงได้ให้เข้ามาพบโดยเร็วที่สุด

เป็นการยากที่จะทำในพื้นที่นั้น เพราะมีผู้นำอยู่มาก และเมื่อสิ้นสุดภารกิจแต่ละครั้ง หน่วยกิจการพิเศษในพื้นที่จะต้องส่งเอกสารการรายงานไปยังสำนักสัจธรรมและสำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษในเมืองเฉินโจวพร้อมกัน

สำนักสัจธรรมมีสิทธิ์ได้รับข้อมูลรายงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกรอกสรุปบันทึกหลังจากแต่ละเหตุการณ์ สำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษเมืองเฉินโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าโดยตรง และการรายงานทุกอย่างเป็นกฎพื้นฐาน

หลังจากการทำงานหนัก ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและไม่มีใครเสียชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับเครดิตใดๆ เช่นกัน คนของสำนักสัจธรรมต่างมุ่งความสนใจไปที่การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเทพมังกรตัวจริง แต่พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลย ผู้คนที่สำนักงานใหญ่ไม่ได้ให้โอกาสตัวเองเลยสักนิด พวกเขาแค่ปล่อยให้ตนทำงานร่วมกับคนของสำนักสัจธรรมต่อไป

โม่ซิ่งจินตนาการถึงการปกปิดของการมีอยู่ของอัศวิน A แต่แล้วมันก็ถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่งพอ แต่เพราะเขาไม่ได้มีเส้นสายในสำนักสัจธรรม เขาจึงไม่สามารถล่วงรู้ความลับอันสำคัญหลายประการได้ ดังนั้นเขาจึงถูกมองว่าเป็นคนโง่ที่ต้องคอยหลบซ่อน

ความอัปยศอดสูดังกล่าวเป็นที่มาของความโกรธอันเหลือทนของเขา เขาถามตัวเองว่าไอคิวของเขาสูงกว่าคนส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเขาถึงถูกคนบ้าพวกนี้หัวเราะเยาะ เขาจะทนคำพูดพวกนี้ได้ยังไงกัน?

เขาตั้งใจจะไต่เต้าตำแหน่งสูงขึ้นไปให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าถ้าเขาสามารถกุมอำนาจได้ เขาก็จะได้ล่วงรู้ความลับมากมาย และเขาจะไม่มีวันทำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อน

ภายใต้ความโมโหนี้ โม่ซิ่งก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น และเป็นไปไม่ได้ที่คนของสำนักสัจธรรมจะล่วงรู้เรื่องของอัศวิน A แต่นั่นมันก็ไร้สาระมาก เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ถึงเขาเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของอัศวิน A ไม่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ก็ยังพยายามค้นหาข้อมูลของอัศวิน A อย่างละเอียด

และในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุป ชายผู้หยิ่งผยองคนนี้ จอมยุทธ์ที่มักจะอยู่ใน ‘สถานที่นี้’ และ ‘สถานที่นั้น’ ตลอดเวลา ยอมจำนนต่อระบบและปล่อยให้ผู้คนโห่ร้องได้ยังไง! ในระบบว่ากันว่าลูกน้องต้องเชื่อฟังเจ้านาย พฤติกรรมของอัศวิน A คนนี้ไม่เข้ากันกับระบบโดยสิ้นเชิง

โม่ซิ่งพยายามเมินเฉย ในสถานการณ์ที่อันตราย เขาพยายามอย่างมากที่จะรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โจมตีศัตรูที่มีความสำคัญและอันตราย เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของอัศวิน A เลย แล้วยังปิดผนึกไฟล์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายในองค์กรรักษาความปลอดภัยสาธารณะในนามของหน่วยกิจการพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำตามขั้นตอนปกติ นี่เป็นความสามัคคีในแบบที่แตกต่างออกไป และผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาดีมาก เมืองฉีได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองต้นแบบที่มีอาชญากรรมน้อย

ในทางกลับกัน คนของสำนักสัจธรรมกลับหยิ่งผยอง พวกเขาคิดว่าตนเหนือกว่า มีความชอบธรรมอยู่ในมือ และผูกขาดทรัพยากรที่หายาก

เขาสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าคนที่สำนักสัจธรรมส่งมาจะต้องหัวแตกเลือดไหลอย่างแน่นอน อัศวิน A คนนี้ไม่ใช่ผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติปกติ ผู้ชายที่สามารถอัญเชิญเทพมังกรตัวจริงได้ ได้สร้างจิตวิญญาณความเคารพของอีกฝ่ายแล้วอย่างแน่นอน และไม่ใส่ใจกับการเรียกประชุมเช่นนี้หรอก

ดวงตาของโม่ซิ่งหรี่ลงเล็กน้อย คิดถึงสิ่งที่จะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายแก่เขาในอนาคตอันใกล้นี้…

คืนนั้นหลังเวลา 21.00 น. ในที่สุดรองผู้อำนวยการหลิวก็ระบุตำแหน่งของอัศวิน A ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โม่ซิ่งพาคนไปพบกับรองผู้อำนวยการหลิว และสกัดกั้นอัศวิน A ที่สี่แยกได้สำเร็จ

ในเวลานี้อีกฝ่ายกำลังสกัดกั้นคนขี้เมาที่กำลังพยายามลวนลามผู้หญิง

สิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกก็คือดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่มีรูปร่างโปร่งแสงอยู่รอบๆ อัศวิน A ด้วย

แน่นอนว่าคนขี้เมาถูกกระแทกล้ม กลิ้งไปมาบนพื้น

โม่ซิ่งกระแอมไอเล็กน้อย เพื่อเตือนอีกฝ่ายให้ใส่ใจกับการปรากฏตัวของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นในระดับหนึ่งว่าพวกเขาไม่ใช่ศัตรู

อัศวิน A หันมามองก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนคุ้นเคยที่เขาไม่รู้จักชื่อ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดคือคนของหน่วยกิจการพิเศษแห่งเมืองฉี และเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน

โม่ซิ่งเตรียมพร้อมแล้ว เขาส่งสัญญาณให้รองผู้อำนวยการหลิวที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายมักจะชอบดูศิลปะการต่อสู้ ความจริงแล้วเขาอยากพานักเขียนเซ่าหานมาด้วย แต่อีกฝ่ายบอกว่าวันนี้ติดเขียนนิยาย

รองผู้อำนวยการหลิวเริ่มเอ่ยปาก “ท่านอัศวิน เมื่อวันก่อน คุณได้แสดงพลังอันยิ่งใหญ่และช่วยชีวิตผู้คนแปดล้านคนในเมืองฉีเอาไว้ ความดีของคุณมีมากมายมหาศาล พวกเรามาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณ”

อัศวิน A กล่าว “การขอบคุณไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกคุณอยู่ที่นี่ แต่ฉันแค่อยากถาม ได้ยินมาว่าพวกคุณมีรางวัลให้ฮีโร่ผู้กล้าหาญด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่าถ้าช่วยคนคนหนึ่งจะให้เงินห้าหมื่นหยวน ฉันช่วยไปแปดล้านคน ถึงจะไม่เก่งเรื่องคำนวณมากนัก แต่ว่าฉันควรจะได้มันเท่าไร”

หลังจากได้ยิน ทุกคนก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา

รองประธานหลิวได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกตะลึง แบบนี้ไม่ถูกต้องสิ

เขาไม่ได้ศึกษาข้อมูลพิเศษใดๆ เกี่ยวกับอัศวิน A ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่จอมยุทธ์ปกติ

มีเพียงโม่ซิ่งเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง พลางยิ้มเยาะในใจ ‘ตามที่คาดไว้ อัศวิน A ไม่ได้เป็นวีรบุรุษที่มีเมตตาต่อคนอวดดี เป็นความจริงที่เขาทำตัวกล้าหาญ และเป็นความจริงที่เขาไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นนักบุญ บุคคลนี้มีจุดอ่อนที่สำคัญสองประการ อย่างหนึ่งคือชื่อเสียงและอีกประการหนึ่งคือผลประโยชน์’

สำนักสัจธรรมไม่สามารถตอบสนองความอยากของจอมยุทธ์ได้หรอก ง่ายมาก หากเขาได้รางวัลจริงๆ จากภารกิจนี้ สำนักงานสัจธรรมก็ควรถูกยุบ…

เขาสามารถคำนวณเงินจำนวนห้าหมื่น คูณแปดล้าน เป็นสี่แสนล้านได้ในไม่กี่วินาที และมันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นล้านในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีกี่องค์กรกันที่สามารถให้เงินจำนวนนี้ได้?

การที่จะจัดการกับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ด้วยหลักการและบรรทัดฐาน เพียงลดท่าทีลง เสนอให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่เรียกเก็บเงินจากราคาที่สูงลิ่วเพื่อต่อสู้กับพวกปีศาจชั่วร้ายเหล่านั้น

ดังนั้นโม่ซิ่งจึงพยายามสงบอารมณ์ พร้อมกับเผยยิ้มออกมา เขาก้าวไปข้างหน้า ดึงตัวรองผู้อำนวยการหลิวออกไปพร้อมกล่าวว่า “เรื่องรางวัลนั้นต้องให้แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอัศวินใจดีและยุติธรรม จะไม่ยกย่องได้อย่างไร แต่หน่วยกิจการพิเศษในพื้นที่ของเรามีงบประมาณน้อยนิด ความกล้าหาญนี้ไม่ได้คำนวณจากจำนวนคน แต่พิจารณาจากความรุนแรงและระดับความอันตรายของเหตุการณ์ ตามระดับความรุนแรงของเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ห้าล้านคนก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเรา ซึ่งก็คือความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราแล้ว”

หลังจากได้ยิน อัศวิน A ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา แต่ดูเหมือนเขาจะมึนงง และไม่พอใจอยู่บ้าง

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง โม่ซิ่งก็เริ่มกระวนกระวายแล้ว

โชคดีที่อัศวิน A เอ่ยปากขึ้นก่อน “โอเค ฉันไม่สนใจเรื่องอื่นหรอก ห้าล้านก็ห้าล้านสิ คุณจะจ่ายเมื่อไร”

ดวงตาของโม่ซิ่งเป็นประกายอีกครั้ง รีบเอ่ย “จ่ายตรงเวลา ไม่มีการค้างชำระอย่างแน่นอน แต่ว่าท่านอัศวิน…หากคราวหน้ามีปัญหาอีก พวกเราจะยังใช้ราคานี้มาขอให้ท่านช่วยร่วมมือได้ไหม”

อัศวิน A มึนงงก่อนกล่าวตอบ “ย่อมได้ เพียงแต่ว่าแจ้งล่วงหน้าสักนิด อีกอย่างฉันไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรอกนะ”

โม่ซิ่งรู้สึกขอบคุณ เขาแอบลิงโลดอยู่ข้างในใจ ‘ตราบใดที่แสดงด้านที่ต่างออกไปของตัวเอง รอจนคนของสำนักสัจธรรมมาถึง ก็จะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าควรจะคบหากับใคร และเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะมีพื้นที่เป็นของตัวเองแล้ว’

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงและเทพแห่งระบบกำลังเฉลิมฉลองด้วยกัน

ฟางหนิงเอ่ย “โชคดีจริงๆ ที่ออกมาวันนี้ จู่ๆ ก็มีคนส่งปีศาจและเงินมาให้ อีกอย่างชายคนนี้ก็เก่งกว่าคนจากฮัมมิงเบิร์ดครั้งที่แล้วมาก”

ระบบเองก็มีความสุข “ใช่แล้ว เขาดูเป็นคนดี เมื่อก่อนพวกเรายินดีทำให้ตั้งหลายครั้งแต่ไม่มีใครให้เงินเลย เขาเป็นคนแรก คนนี้ไม่เลวๆ”

ฟางหนิงเอ่ย “เหอะๆ ฉันแน่ใจว่าเขามีจุดประสงค์อื่นอีก แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์หรอก แค่รู้ว่าเขาสามารถให้เงินและปีศาจแก่เราได้ก็พอแล้ว”

ระบบกล่าว “ระบบไม่ค่อยเข้าใจ…”

……………………………………………………………

ไม่นานหลังจากที่คุณนายจ้าวจากไป ปีศาจกลุ่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากฟาร์มอันมืดมิดทันที

“งูตัวนั้นหายไปแล้วเหรอ”

“มันต้องไปแล้วแน่ๆ”

“ดีมากๆ”

“นี่! บอกแล้วว่าอย่ากินคนงานที่นี่ แต่ละเดือนเราเคยกินคนงานสองสามคนในฟาร์มใหญ่แห่งนี้ แล้วแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาลาออกไป ก็เลยไม่มีใครมาตรวจสอบ ตอนนี้พอกินคนงานชั้นล่าง ก็เลยทำให้คนอื่นสงสัย ถึงจะแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาลาออกไป ก็ต้องมีคนสงสัยแน่นอน”

“หรือหลังจากนี้พวกเราจะไม่ได้กินคนแล้ว?”

“ไม่ได้กินคนแล้วจะโตได้ยังไงล่ะ ยังต้องกินต่อไปสิ แต่ต้องไปกินที่อื่น คิดไม่ถึงว่าจะมีสิ่งเลวร้ายอย่างปีศาจงูอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเราไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”

ในขณะที่ปีศาจกลุ่มนี้กำลังพูดคุยถึงหัวข้อที่ดูไร้สาระ พวกมันกลับไม่รู้ตัวเลยว่า ข้างหลังพวกมันมีงูหลามสีขาวราวกับหิมะกำลังมองอยู่ ดวงตาสีแดงเลือดจ้องพวกมันอย่างเยือกเย็น

“เจอตัวแล้ว”

ในพื้นที่ของระบบ

ระบบคิดว่าพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์น่าจะขึ้นจากทิศตะวันตกจริงๆ…

เพราะเมื่อไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น โฮสต์ก็จะเอาแต่หมกตัวอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ใช้ชีวิตนอนๆ เล่นๆ ไปวันๆ

และหลังจากจัดการปีศาจในคืนนี้เสร็จ โฮสต์ก็ได้ต้นฉบับของนิยายที่อยากอ่านมาทั้งหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าโฮสต์จะวางมันไว้ก่อน แถมยังอ่าน ‘การแปลงร่างมังกร’ ที่คุณนายจ้าวให้มาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เห็นได้ชัดว่าครั้งที่แล้วโฮสต์บอกว่าอยากเรียน ‘การแปลงร่างมังกร’ แต่หลังจากพยายามได้เพียงสามนาที ก็พบว่า ‘การแปลงร่างมังกร’ นั้นยากมาก จึงวางมันลงและหยิบนิยายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในคืนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เป็นเวลาตีสามแล้ว เขามักจะเข้านอนทันที แต่ตอนนี้ยังคงพึมพำกับตัวเองอยู่ “การฝึกร่างกายก่อนจะฝึกจิตใจ หัวใจที่สม่ำเสมอและจริงใจ ความจริงใจคือหนทาง หนทาง…คำนี้จริงๆ แล้วหมายความว่ายังไง? อ่านอีกทีดีกว่า”

เป็นไปได้ไหมว่าโฮสต์จะกลัวเทพเจ้ามังกรตัวจริง และตั้งแต่นั้นมาก็เปลี่ยนใจและเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความพยายาม?

เทพระบบมองโลกในแง่ดี แต่ที่ฟางหนิงวางนิยายเอาไว้ก่อนนั้นไม่มีเหตุผลอื่น นั่นเพราะเขาอยากจะแกล้งมัน…

มังกรเพลิงบางตัวที่สามารถนำ BGM ของตัวเองขึ้นมาเล่นได้ด้วย นั่นสอดคล้องกับ YY ของโอตาคุจริงๆ

ตัวตนที่แท้จริงไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะมีเพียงร่างเดียว แต่ฟางหนิงมีมันสมอง หลังจากการต่อสู้ เขาคิดว่าถ้าเขาฝึกฝนให้ตัวเองสามารถเปลี่ยนความคิดทางจิตวิญญาณของเขาให้กลายเป็นมังกรได้ ก็จะไม่มีใครมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา เพราะเมื่ออัศวิน A สังหารปีศาจได้ เขาก็ยังสามารถออกมาปรากฏตัวได้ด้วย แม้จะถูกมองว่าเป็นสัตว์เลี้ยงหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกของการมีอยู่ได้…

หลังจากแน่ใจแล้วว่าโฮสต์ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ระบบก็กล่าวออกมา “ ‘การแปลงร่างมังกร’ ที่โฮสต์กำลังฝึกยังไม่สมบูรณ์เลย มันเป็นเพียงทักษะเบื้องต้น มีบางสิ่งที่ขาดหายไป เมื่อระบบเลือกเรียน ระบบใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากในการจ่ายเงิน ถ้าไม่มีใครสอนโฮสต์ถึงสิ่งที่อยู่ในมือ โฮสต์ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ได้จริงๆ…”

ฟางหนิงรู้สึกว่ามีอีกาสามตัวบินผ่านหัวของเขา “ฉันก็ว่าทำไมมันถึงงงจัง ฉันคิดว่ามันยากมาก ทำไมแกไม่บอกตั้งแต่แรก?”

ระบบกล่าว “อ่า ตอนที่โฮสต์เริ่มฝึกครั้งที่แล้วระบบก็อยากจะพูด แต่ก่อนที่จะได้อธิบาย โฮสต์กลับหยุดฝึกและกลับไปอ่านนิยายก่อนแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ระบบคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะบอกโฮสต์ อย่างไรก็ตาม โฮสต์แค่พูดเกี่ยวกับมัน แต่ไม่ได้ฝึกฝนจริงๆ ถ้าโฮสต์อยากรู้เกี่ยวกับมันจริงๆ ก็ต้องอธิบายหลายอย่าง และมันเสียเวลาฝึกฝนของระบบไปเปล่าๆ “

ฟางหนิงคิดในใจ ‘โทษฉันเถอะ โอเคไหม แกไม่ต้องการที่จะเสียเวลาสักนาทีเดียว แต่มันทำให้ฉันต้องนั่งงงอยู่ตั้งสองชั่วโมง’

เขาพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแกก็ส่งเวอร์ชั่นภาษาจีนตัวเต็มและตัวย่อมาให้ฉันทีสิ ภาษาโบราณนี้เลอะเทอะเกินไปแล้ว”

ประสิทธิภาพของระบบนั้นสูงมาก บนคอมพิวเตอร์ในระบบอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ได้แสดงเวอร์ชันเต็มของ ‘การแปลงร่างมังกร’ WORD การปรับแต่งจิตใจ การปรับแต่งจิตวิญญาณ การปรับแต่งร่างกาย สามขั้นตอนนี้ อย่างมีระเบียบ ชัดเจน คำอธิบายและข้อสังเกตก็มีให้พร้อม ทั้งยังมาพร้อมคำอธิบายแบบกราฟิก…

ตามประสบการณ์แล้วฟางหนิงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันในการอ่านนิยาย หรืออาจจะทั้งคืน

หลังจากนั้น เขาก็บ่นออกมาเบาๆ “อาจารย์ของแกดูพอใจมากกับอาหารที่ฉันทำในตอนนั้น แล้วทำไมแกถึงให้ของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นล่ะ? นั่นทำให้ฉันเสียค่าประสบการณ์ไปมากในการทำมันให้เสร็จ และถ้าฉันทำไม่สำเร็จ มันก็จะไม่มีพลังเหมือนครั้งก่อนๆ ไม่ต้องพูดถึงการแปลงร่างเป็นมังกรเลย แค่เปลี่ยนเป็นงูได้ก็ดีแล้ว”

ฟางหนิงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบที่มีจิตใจเดียว เขาเข้าใจทุกอย่าง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปีศาจงูจะใจกว้าง

เขารู้สึกราวกับว่าสามารถกู้ศักดิ์ศรีให้ตัวเองได้อีกครั้ง “ฮ่าๆ ฟังฉันอธิบายเรื่องนี้ให้ดีนะ แกสามารถเรียนรู้ได้ในไม่กี่วินาที ส่วนฉันก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว หากเธอจะให้แบบฝึกหัดพื้นฐานแก่พวกเราก็เป็นเรื่องปกติและสมเหตุสมผลแล้ว เพราะนั่นเป็นเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปควรจะฝึกฝนได้ ฉันไม่ใช่ลูกชายของพวกเขา และยังไม่ได้เป็นลูกเขยของพวกเขาด้วย ทำไมเราต้องทำอาหารจำนวนมากและสูญเสียวัตถุดิบไปมากถึงขนาดนั้นด้วย ก็แค่จ่ายเงินให้พวกเขาส่งต่อการฝึกฝนอันล้ำค่านั้นมาให้กับเราก็ได้แล้ว ไม่มีทางที่พายจะตกลงมาจากฟ้า เรื่องดีๆ แบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก”

“ฉันว่าเธอยังมีบางอย่างให้พวกเราทำในอนาคต และเธอก็เต็มใจที่จะให้ทักษะอันล้ำค่าเช่นนี้ด้วย เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของเธอ มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะให้ทักษะที่ครบถ้วนกับพวกเรา เพียงแต่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมีเทพระบบอยู่ สามารถใช้ค่าประสบการณ์เพื่อเติมเต็มทักษะได้โดยอัตโนมัติ”

ระบบตอบกลับ “โอ้ๆ โฮสต์ สมองของคุณเป็นยังไงกัน วิเคราะห์อะไรได้มากมายขนาดนี้? แน่ล่ะ ระบบไม่มีทางเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เอง…”

ฟางหนิงกล่าว “แกเข้าใจก็ดีแล้ว แต่ตอนนี้รีบบอกฉันเกี่ยวกับเวอร์ชันเต็มของ ‘การแปลงร่างมังกร’ สักทีสิ…”

ระบบกล่าว “เอาละ สำหรับโฮสต์ มันง่ายเกินไปที่จะฝึกฝน เพราะขั้นตอนสุดท้ายคือการฝึกร่างกายที่ยากที่สุด ระบบครองร่างของโฮสต์อยู่ เพราะฉะนั้นระบบฝึกให้ไปก่อนแล้ว ความคิดทางจิตวิญญาณของโฮสต์ได้รับอิทธิพลจากร่างกายของโฮสต์ มันเติบโตอย่างแข็งแกร่งจนคนธรรมดาเทียบไม่ได้ โฮสต์แค่ต้องเรียนรู้สองขั้นตอนแรก ระบบจะสาธิตให้ดู โฮสต์ค่อยทำตาม”

เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงฟางหนิงสามารถเปลี่ยนจิตใจของเขาให้กลายเป็นงูตัวเล็กได้ สามารถโบยบินไปอย่างอิสระในพื้นที่ระบบ เทียบกับเมื่อก่อนที่ทำได้แค่ใช้จิตสำนึกของมนุษย์เดินไปมา มันแตกต่างกันมาก…

ชีวิตที่ดูเหมือนว่าจะออกจากร่างกายได้ทุกเมื่อทำให้ฟางหนิงตื่นเต้นมาก แต่คำพูดถัดไปจากระบบทำให้ความฝันของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

ระบบกล่าว “ระบบจะไม่ปล่อยให้โฮสต์ออกจากร่างกายหรอก ข้างนอกมันอันตรายเกินไป ถ้าโชคไม่ดีมีคนมาพาตัวโฮสต์ไป ก็จะเป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ เมื่อโฮสต์สามารถเป็นมังกรได้ โฮสต์อาจสามารถออกมาช่วยจัดการปีศาจได้ด้วย…”

ฟางหนิงตอบ “อย่าเลย ปีศาจพวกนั้นมักจะทำให้ฉันเสียเวลาเปล่า ดังนั้นฉันจะไม่ออกมา รอให้หยวนเซินของฉันกลายเป็นมังกร ถ้าเจอปีศาจตัวใหญ่ แล้วมีมังกรสองตัวออกไปพร้อมกัน พวกมันคงตกใจกลัวตาย…”

ระบบกล่าว “อืม ก็ดีเหมือนกัน ในกรณีนี้ ‘การแปลงร่างมังกร’ สามารถกลายเป็นมังกรที่มีคุณสมบัติ 9 ประการได้ โฮสต์อาจเริ่มต้นด้วยมังกรน้ำแข็ง แต่ตอนนี้ระบบเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แบบมังกรเพลิง ทุกครั้งที่จะกลายเป็นมังกรเพลิง น้ำแข็งก็จะเชื่อมต่อกัน พลังจะทวีคูณ”

ฟางหนิง “อะไรนะ ร่างกายของฉันกลายเป็นมังกรเพลิงไปแล้วเหรอ ส่วนวิญญาณดั้งเดิมของฉันก็กลายเป็นมังกรน้ำแข็ง!”

ระบบตะลึง “พูดอะไรกันโฮสต์ ระบบไม่เข้าใจเลยสักนิด มาๆ เดี๋ยวจะสอนวิธีฝึกมังกรน้ำแข็งให้ ด้วยความช่วยเหลือของระบบ โฮสต์จะได้เรียนรู้มันในเวลาอันรวดเร็ว…”

เทพระบบมีความกระตือรือร้นอย่างมาก และให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งมากที่สุด โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะกลัวว่าโฮสต์จะล้มเลิกความตั้งใจ มันจึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ ยิ่งระบบมีความกระตือรือร้น ฟางหนิงก็ยิ่งรู้สึกประหม่า แต่เมื่อคิดดูแล้ว ระบบคงไม่เข้าใจเรื่องของมนุษย์หรอก มังกรน้ำแข็งก็คือมังกรน้ำแข็ง อย่างน้อยมันก็สามารถแช่แข็งผู้คนได้ ทำให้ศัตรูหยุดนิ่ง…

…………………………………………………………….

ฟางหนิงกำลังเฝ้าดูระบบแจ้งเตือน ก็พบว่าสามารถจัดการปีศาจแมงมุมหน้าคนได้สำเร็จแล้วอย่างง่ายดาย

ในขณะนี้ระบบได้ทำการติดตั้งวิชากำลังภายใน ‘วิชาหัวใจมังกรเพลิง’ ขณะนี้อยู่ในร่างมังกรจริง และ ‘วิชาหัวใจมังกรเพลิง’ ได้เลื่อนขั้นเป็น ‘ทักษะเทพมังกรเพลิง’ แล้วชั่วคราว

ระบบได้ใช้รูปแบบเคลื่อนไหวอันลึกซึ้ง ‘ลมหายใจมังกรเพลิง’

ระบบได้ทำการโจมตีปีศาจแมงมุมเจ็ดใบหน้า

ปีศาจถูกคุณลักษณะหยางเข้าโจมตี ถูกมังกรอันน่าเกรงขามยับยั้ง และถูกโจมตีโดยพลังปราณอันรุนแรง

ละเว้นการป้องกัน! ระเบิดพลังโจมตี! จู่โจมเต็มกำลัง! จู่โจมสังหาร!

ระบบได้ใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวอันลึกซึ้ง ‘มังกรเพลิงกลืนนภา!’

ระบบโจมตีร่างจริงของปีศาจแมงมุมเจ็ดใบหน้า

ปีศาจถูกสังหาร

ระบบได้กำจัดภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อประชากรในท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว

ระบบได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญอย่างท้วมท้น และโมดูลเกียรติยศถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สถานะปัจจุบัน: ย้ายชื่อไปอีกฝั่ง ปัจจุบันเพิ่มขึ้นหนึ่ง และบวกหนึ่งช่องพลังปราณ ปัจจุบันมีช่องว่างพลังปราณเพิ่มขึ้นสองช่อง ได้รับทักษะ ‘การสยบ’ เป็นระดับแรก และทุกคนที่เป็นศัตรูของระบบจะต้องถูกระงับต่างกันไปตามระดับของจิตตานุภาพ

ระบบได้รับค่าพลังปราณ ขั้นแรกช่องพลังปราณกลับมาเต็มแล้ว ขั้นที่สองช่องพลังปราณกลับมาเต็มแล้วเช่นกัน

หลังจากฟางหนิงอ่านการแจ้งเตือนของระบบเสร็จสิ้น เขาก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ ไม่แปลกใจเลยที่ระบบไม่ต้องการเปลี่ยนสถานที่ฟาร์มปีศาจ เพราะหลังจากเปิดโมดูลเกียรติยศจริงๆ แล้ว เขาก็ได้รับช่องพลังปราณมากมาย

ช่องพลังปราณเป็นอย่างไร ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่เขายังมีอีกหนึ่งคำถาม “ถ้าอย่างนั้นตอนที่แมงมุมตายไปแล้ว จะเป็นยังไง?”

ระบบกล่าว “ขอบคุณที่โฮสต์เตือนเมื่อครู่นะ ระบบเลยไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นเศษซากเหมือนครั้งที่แล้ว หลังจากที่ระบบกลืนกินแมงมุมและโยนมันเข้าไปในโกดังเก็บของของร้านช่างตีเหล็ก การตั้งค่ากฎก็แจ้งเตือนให้เห็นว่ามันสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างอาวุธวิเศษได้เพราะเป็นวัสดุหายาก ก่อนหน้านี้พวกเราใช้อาวุธวิเศษที่ทำจากปีศาจธรรมดา แต่อาวุธวิเศษชิ้นนี้จะสร้างจากวัสดุหายาก”

ฟางหนิงเอ่ย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีการเตือนตอนที่ได้รับค่าประสบการณ์ แต่ด้วยวิธีนี้ ความฝันของแกที่จะไปสู่เลเวล 15 ก็ไม่สำเร็จแล้วล่ะสิ”

ระบบกล่าว “ค่าประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่อุปกรณ์ชิ้นนี้หายากมาก”

ฟางหนิงเอ่ย “จริงๆ แล้วอุปกรณ์ที่ติดตั้งคืออะไรกันแน่ แกต้องบอกข้อดีของมันหน่อยสิ”

ระบบกล่าว “ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ สิ่งที่โฮสต์ต้องรู้ก็คือเมื่อติดตั้งแล้วช่องความโกรธของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นเยอะเลย”

ฟางหนิงเอ่ย “งั้นก็แสดงว่าหลังจากนี้ไม่ต้องกังวลว่าค่าความโกรธจะไม่พอใช้ใช่ไหม”

ระบบตอบกลับ “แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมการใช้อย่างไม่จำกัด แต่ว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อกี้ตอนที่ระบบกำลังต่อสู้ โฮสต์กระตุ้นพร้อมกับรักษาสภาวะความโกรธอันรุนแรงทะยานฟ้าเอาไว้ได้ เรื่องนี้ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ตอนนี้เรามีประสบการณ์แล้ว โฮสต์ลองคิดดูอีกครั้งสิ”

ฟางหนิงมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา ดูเหมือนว่าหลังจากนี้จะมีการต่อสู้ที่สำคัญมากขึ้นอีกในอนาคต เขาอาจจะต้องรับผิดชอบเพิ่มบัฟการต่อสู้ของภารกิจ แต่ไม่ถึงขั้นระบบที่ต้องจัดการกับปีศาจตัวใหญ่ แถมยังมีเวลาอ่านนิยายและเล่นเกม ถ้าเขาคิดไม่ผิด การเพิ่มบัฟการต่อสู้หนนี้ และหลังจากการต่อสู้ครั้งสำคัญ ระบบอาจจะอยากเข้าสู่โลกใหม่แห่งที่สองแล้ว

“ฮ่าฮ่า อย่างน้อยแกก็ทำภารกิจช่องความโกรธสำเร็จ ว่าแต่…รางวัลของภารกิจนั้นล่ะ?”

ระบบ “รางวัลภารกิจอะไรกัน? ครั้งที่แล้วไม่ใช่ว่าช่วยทำอาหารให้โฮสต์ล่วงหน้าแล้วเหรอ”

ฟางหนิงเอ่ยเสียงหดหู่ “ช่างหัวช่องรางวัลของภารกิจเถอะ แต่รางวัลจากการฆ่าปีศาจในครั้งนี้ล่ะ? ฉันออกแรงไปไม่น้อยเลยนะ”

ระบบกล่าว “ก็นั่นไง เจ้านักเขียนอะไรนั่นที่นอนอยู่ตรงนั้นยังไม่ตาย โฮสต์ชอบอ่านนิยายมากไม่ใช่เหรอ รีบไปหาเขาสิ เพราะความโกรธของโฮสต์พุ่งขึ้นสูงมาตลอดการต่อสู้ ภารกิจนี้เลยสำเร็จ ทำผลงานไม่น้อยเลยจริงๆ ระบบให้เวลาโฮสต์หนึ่งชั่วโมงเพื่อผ่อนคลาย การได้ต้นฉบับจากเขา ก็คือรางวัลในครั้งนี้”

ฟางหนิงถ่มเลือดออกมาจากปากแล้วคิดในใจว่า ‘ฉันอุตส่าห์เป็นมันสมองให้ระบบที่ไร้มนุษยธรรมของแก แต่แกกลับมาบอกฉันว่านี่คือของรางวัลภารกิจเนี่ยนะ!’

โม่ซิ่งยืนอยู่ข้างเซ่าหานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงและแววตาไร้ความรู้สึก อีกฝ่ายโดนปีศาจตะปบจนร่างแยกขาดออกจากกัน แต่ไม่นานร่างก็ผสานเข้าด้วยกันได้อีกครั้ง!

เป็นอย่างที่คิดไว้ โลกนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!

เขาก้มตัวลงและตบหัวของเซ่าหาน “อย่างที่ฉันเคยพูด คราวนี้เป็นภารกิจสุดหินจริงๆ พูดไว้ไม่มีผิดใช่ไหม?”

เซ่าหานยังคงมึนงง แค่ตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “แน่นอน ฉันถูกทรมานระหว่างปฏิบัติภารกิจ และฉันก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด”

โม่ซิ่งเอ่ย “ถ้ามีคนถามว่าทำไมตอนนี้นายถึงยังสบายดี นายอยากจะตอบว่ายังไง”

เซ่าหานไม่เข้าใจความหมายของผู้อำนวยการโม่ เขาหยั่งเชิงถาม “อยู่ๆ อัศวิน A ก็กลายเป็นมังกรมาช่วยชีวิตเอาไว้”

โม่ซิ่งไม่พอใจ “ฉันได้ยินมาว่านายยังเป็นนักเขียนนิยายด้วย ทำไมถึงยังมีคนอ่านล่ะ นายลองคิดดู”

จู่ๆ เซ่าหานก็พูดว่า “โอ้ เข้าใจแล้ว ภายใต้การนำที่แข็งแกร่งของผู้อำนวยการโม่ เราต่อสู้กับปีศาจตัวนั้นหลายร้อยรอบ และในตอนท้ายพวกเราก็ไร้เรี่ยวแรงและบาดเจ็บสาหัสมาก ในตอนที่สวรรค์ก็สั่นสะเทือนด้วยเลือดอันอบอุ่นของพวกเรา มังกรตัวจริงลงมาจากฟากฟ้าเพื่อฆ่าปีศาจ และมังกรตัวจริงก็ถูกกระตุ้นด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเรา สุดท้ายฝนที่ตกลงมาก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเรา…”

โม่ซิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหันไปหาสมาชิกในทีมคนอื่นๆ แล้วตะโกนว่า “ได้ยินชัดเจนทั้งหมดใช่ไหม นี่คือคำตอบของภารกิจในวันนี้ จงจำไว้ให้ดี! อัศวิน A อะไรนั่น กลายร่างเป็นมังกรและเข้าต่อสู้กับปีศาจไม่ใช่เรื่องจริง! ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น!! และจะไม่ปรากฏในรายงานภารกิจวันนี้! พวกวิดีโอ ฉันตัดต่อแล้ว!”

พวกสมาชิกในทีมพากันตกใจ ทั้งหมดต่างก็ยืนตัวตรง “ครับ ผู้อำนวยการ!”

ทันทีที่พวกเขาตอบรับ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึง!’ ดังขึ้น!

ในขณะที่ทุกคนต่างเพ่งมองไปยังที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่าวัตถุรูปร่างแปลกปลอมที่อยู่ตรงกลางจัตุรัสที่เพิ่งตกลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกเข้ากับพื้น ก็ทำให้เกิดฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว

ทุกคนประหลาดใจ เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าจะได้ยินว่าผู้อำนวยการโกหกทุกคนอย่างโจ่งแจ้ง จึงส่งบางสิ่งลงมาเพื่อลงโทษพวกเขา โม่ซิ่งเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริง สถานการณ์คงวุ่นวายมาก!

โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนค่อยๆ ปีนขึ้นมาผ่านฝุ่นผง เห็นแค่ว่าเขาจมูกช้ำและหน้าบวม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลน ใบหน้าไร้อารมณ์ ถือดาบอยู่ในอ้อมแขน และหลังจากที่ชายคนนั้นลุกขึ้น เขาก็เดินกะโผลกกะเผลกมาทางโม่ซิ่ง

โม่ซิ่งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ดาบไร้ปราณีเซวียเฟิงเหรอ”

เซวียเฟิงค่อยๆ ขยับเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “ปีศาจอยู่ที่ไหน”

โม่ซิ่งเอ่ย “ถูกพวกเราจัดการแล้ว”

เซวียเฟิงเอ่ย “โอ้ ถ้าอย่างนั้นฉันไปละ”

โม่ซิ่งเอ่ย “ไปดีมาดี ไม่ไปส่งนะ”

เซวียเฟิงเดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาทันที

โม่ซิ่งตกใจ หรือว่าเขาจะเห็นอะไรบางอย่าง แต่แล้วอีกฝ่ายก็ถามขึ้น “ใครคือวีรบุรุษที่มาถึงคนแรกเหรอ”

โม่ซิ่งตกใจและตอบกลับทันทีว่า “รหัสไฟล์ของผู้ปลุกพลังศิลปะการต่อสู้ในเมืองของเรา สำนักสัจธรรมของพวกคุณ ‘สำนักเทพเนตรสีแดง’ ไห่เฉิง กำหนดระดับพลัง F ให้ ไม่มีอะไรให้น่าตกใจ”

เซวียเฟิงพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเชื่อใน ‘สำนักเทพเนตรสีแดง เขาไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็เดินกะเผลกจากไป

หลังจากกำจัดปีศาจแล้ว เขาก็รายงานภารกิจ และรู้สึกตกใจกับปาฏิหาริย์ที่เซ่าหานได้รับการช่วยชีวิต

โชคดีที่เจอดาบไร้ปราณี ชายที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและมีบทบาทสำคัญของสำนักสัจธรรม โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ถามอะไรมากความ

โม่ซิ่งสอนสมาชิกในทีมให้พูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ชื่อเสียง เพราะอย่างไรก็ตาม รายงานยังคงบอกว่ามังกรตัวจริงเป็นผู้สังหารปีศาจ

ตอนแรกเขาคิดว่าอัศวิน A จะถูกกำจัด แต่ว่าหลังจากนั้นโม่ซิ่งกลับเปลี่ยนใจเร็วมาก หลังจากสถานการณ์พลิกผัน…

เขายังสามารถเก็บอัศวิน A ไว้ใช้ประโยชน์ได้อีกในอนาคต

เหมือนดังคำกล่าวของเซินโม่ ‘การเป็นผู้นำที่ดีนั้นเกิดจากการใช้คนอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย…’

สำนักสัจธรรมทางเหนือ

“ผู้เฒ่าสวี่ ตรวจพบกลิ่นอายของพละกำลังอันแรงกล้าซึ่งได้ปะทุขึ้นอย่างฉับพลันในทิศทางของกำแพงฉี มันเป็นพลังหยางครอบงำอันแข็งแกร่ง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความผิดปกติใดๆ ในฐานข้อมูล ขั้นแรกประมาณการว่าอย่างน้อยก็ A+ ขึ้นไป”

“อะไรกัน! จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลอะไรขนาดนั้นได้ยังไง แล้วปีศาจที่เพิ่งมาเมื่อกี้เป็นยังไงบ้าง”

“ผู้เฒ่าสวี่ กลิ่นอายของปีศาจหายไปแล้ว หยางที่ครอบงำกลิ่นอายพละกำลังก็หายตามไปด้วย รายละเอียดเฉพาะจะได้รับการยืนยันหลังจากที่สำนักงานหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นส่งเอกสารและวิดีโอมา”

“ตกลง รอให้พวกเขาส่งวิดีโอมาก่อนแล้วค่อยมาวิเคราะห์ ว่าแต่ตอนนี้ดาบไร้ปราณีอยู่ที่ไหน”

“นักบินรายงานว่า เขากระโดดลงจากเครื่องบินแล้ว”

“กระโดดลงมาเมื่อไร”

“หลังจากที่กลิ่นอายสองกลุ่มจางหายไป…”

“โอเค ดูเหมือนว่าที่สุดแล้วเขาจะไม่ดีเท่าไห่เฉิง ความไวต่อกลิ่นอายพละกำลังยังไม่มากพอ เมื่อเขากลับไปและให้เวลาเขาพักฟื้นหนึ่งสัปดาห์ มันจะดีขึ้นเมื่อเขาได้เรียนรู้การใช้ดาบมากกว่านี้”

เมื่อมังกรเพลิงปรากฏตัว คุณนายจ้าวซึ่งกำลังสืบสวนสถานการณ์ของคนงานที่ลาออกโดยไม่มีเหตุผลชัดเจนในฟาร์มหลายแห่งของซิงเฉิงกรุ๊ป จู่ๆ ใบหน้าก็เปลี่ยนสี แล้วหันขวับไปมองย่านกำแพงฉีในยามค่ำคืน

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือลมหายใจของมังกรตัวจริง! เป็นไปได้ยังไง พลังชีวิตแบบนี้เพิ่งจะอยู่ในช่วงเวลาฟื้นตัว และเทพมังกรตัวจริงยังหล่อเลี้ยงจิตใจของชาวเสินโจว ไม่มีทางมายังโลกง่ายๆ แน่นอน หรือจะมีใครบางคนรู้วิธี อีกอย่างก่อนหน้านี้ยังเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงขึ้นด้วย อาจไปกระตุ้นเทพมังกรตัวจริงที่กำลังตั้งครรภ์เข้า แม้ว่าฉันจะไปถึงระดับสูงสุดในศิลปะการแปลงร่างมังกรแล้ว แต่ฉันก็ทำได้เพียงฝึกฝนให้เป็นมังกรคะนองน้ำเท่านั้น มังกรที่แท้จริงคือศัตรูตัวฉกาจของฉัน ฉันอยากกลับไปเร็วๆ จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต้องรู้ให้ได้”

เธอไม่สงสัยฟางหนิงเลยสักนิด อีกฝ่ายยังเร็วเกินไปที่จะเข้าใจทักษะทั้งหมด อีกอย่างทักษะการกลายร่างเป็นมังกรที่เธอมอบให้อีกฝ่ายก็เป็นแค่ขั้นแรก แม้ว่าเขาจะเรียนรู้ทั้งหมด ก็ยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นมังกรคะนองน้ำได้หรอก แล้วจะนับประสาอะไรกับมังกรตัวจริง

แต่เธอจะแน่ใจได้ยังไงว่าเมื่ออีกฝ่ายได้รับยาอายุวัฒนะแล้วจะมอบให้กับสามีของเธอจริงๆ งูเป็นสัตว์เลือดเย็นโดยธรรมชาติ ไม่ควรตั้งความหวังสู่ความสำเร็จไว้กับธรรมชาติของมนุษย์

คุณนายจ้าวพูดจบ เธอเหลือบมองไปทางฟาร์มด้วยแววตาเยือกเย็น แล้วหันหลังจากไป

…………………………………………….

ความโกรธในน้ำเสียงนั้นรุนแรงมาก แม้แต่อาคารรอบๆ ยังสั่นสะเทือน

ทุกคนตกตะลึงในทันที

แมงมุมยักษ์ก็ตกใจเช่นกัน ดวงตาของมันพร้อมกับใบหน้าทั้งเจ็ดรีบหันขวับมองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา ใบหน้าทั้งเจ็ดก็ปรากฏรอยยิ้มประหลาด

“อ่า ดีจริงๆ เพื่อความโชคดีในวันนี้ ฉันจะยอมทำตามคำขอร้องของแกอย่างไม่เต็มใจ…”

ทุกคนตกใจเมื่อได้ยิน อัศวิน A ทรงพลังมากเลยหรือ? แค่ตะโกนออกไปปีศาจตัวนี้ก็ยอมรับคำขอของเขา?

แมงมุมผุดยิ้มประหลาด มันบอกว่าจะปล่อยเซ่าหานลง แต่ทันใดนั้นกรงเล็บคู่ที่ประกบหน้าท้องของเขาก็กดลงทันที!

ดวงตาของเซ่าหานเบิกกว้าง เขากรีดร้องออกมา ลำตัวขาดออกจากกันเป็นสองท่อน ตกลงมาจากกลางอากาศ! เลือดกระจัดกระจาย!

“ฉันปล่อยเขาลงแล้ว แกดูสิ ฉันเก่งไหมล่ะ ฉันทำตามที่แกบอกแล้ว เมื่อแกกลายเป็นส่วนหนึ่งของฉันในวันหน้า ก็อย่าลืมขอบคุณฉันล่ะ…!”

ในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงที่เห็นฉากนี้เข้าพลันโกรธจัด “โว้ย! ทุบมันให้เละไปเลย!!!”

แม้ระบบเพิ่งจะมาถึงที่เกิดเหตุ แต่เขาก็สามารถได้ยินสิ่งที่เซ่าหานพูดออกมาก่อนตายได้ เพราะมีความสามารถในการได้ยินขั้นสูงของระบบ

ก่อนหน้านี้มีนิยายเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฟางหนิงหงุดหงิดมาก เขาติดตามมันตลอดทุกวัน แต่แล้วผู้เขียนก็บอกว่ากำลังจะไปที่ใดที่หนึ่งและจะหยุดอัพเดทสักพัก

ฟางหนิงคิดเสมอว่าเขาคงเข้าร่วมคลาสฝึกเพื่อเพิ่มระดับแน่นอน จึงได้แต่หวังน้อยนิดว่านักเขียนจะกลับมาอัพเดทบ้างเป็นครั้งคราว

แต่ฟางหนิงไม่คาดคิดเลยว่า ปีศาจตรงหน้าจะสังหารนักเขียนคนนั้นของเขาไปแล้ว

ระบบแจ้งเตือน: ความโกรธของโฮสต์ได้รับการเสริมความแข็งแกร่ง

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือผลกระทบของความโกรธนี้รุนแรงมาก คำที่เขาพูดในพื้นที่ระบบทำให้ระบบตกใจจริงๆ

ในเวลานี้ระบบรับรู้ได้ว่าความโกรธของโฮสต์ถึงขีดสุดเแล้ว มันรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงปีติทันที “กักเก็บความโกรธนี้ไว้! โฮสต์จะต้องทำให้ความโกรธถึงขีดสุด ตอนนี้สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ตัวนี้กลายเป็นสีแดงเต็มเปี่ยมแล้ว ระบบจะเริ่มลงมือ…”

หลังจากแมงมุมหน้าคนตัดเซ่าหานออกเป็นสองท่อนแล้ว มันก็นิ่งชะงัก

เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงพลังทางอารมณ์ของความโกรธที่ถูกดูดซับ และไม่มีท่าทีโกรธใดๆ บนใบหน้าที่สงบของคนตรงหน้า มันจึงสับสนงุนงง!

“แย่จัง ฉันไม่ชอบที่พวกมันไม่ให้พลังกับฉันเลย!”

“งั้นก็ไปตายซะ!”

ทันใดนั้น ปีศาจแมงมุมก็พ่นใยนับไม่ถ้วนออกมา มันทะยานร่างขึ้นไปบนฟ้า พุ่งเข้าหาอัศวิน A โดยไม่ลังเล!

อะไรกัน! โม่ซิ่งตื่นตระหนก เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นด้านล่าง

เขากำลังกินข้าวอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ได้?

แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอย่างอื่นอีก โม๋ซิ่งก็นึกถึงเซ่าหานที่ต้องสิ้นใจไป ความเศร้าวาบผ่านในใจเขา เขาได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตนเอง คิดในใจว่า ‘เห็นไหม ฉันบอกว่าครั้งนี้เป็นภารกิจที่ยากลำบาก มันไม่ได้สวยงามเหมือนที่นายคิดหรอก’

ตอนนี้อัศวิน A ก็กำลังติดอยู่กับปีศาจแมงมุมเช่นกัน

โม่ซิ่งได้แต่หวังว่าเครือข่ายเทียนหลัวจะค้นพบความผิดปกติของที่นี่ได้ทันเวลา และส่งกองกำลังสนับสนุนมาช่วยเหลือ

ความคิดของสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ก็คล้ายกับของโม่ซิ่งเช่นกัน เว้นแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นนักสู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ใช่ผู้ชมที่ชมการแสดง แม้ว่าฉากจะเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนจึงยังคงนิ่งเงียบ

เพียงแต่ว่าหลายคนไม่ได้มีความสง่างามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อเห็นอัศวิน A ถูกแมงมุมจับตัวไว้ลมหายใจของแต่ละคนก็เริ่มจะติดขัดตามไปด้วย

บนเครื่องบินไอพ่นความเร็วสูงลำหนึ่ง ชายผู้มีใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังของเครื่องพร้อมกอดดาบไว้ในห้อมแขน

“อีกนานแค่ไหน?”

“รายงานครับ อีกสิบนาทีจะถึงสนามบิน”

“คุณไม่จำเป็นต้องไปสนามบินหรอก แต่บินตรงไปที่จัตุรัสกลางเมืองเลย ลงจอดให้ต่ำๆ หน่อย เดี๋ยวฉันจะกระโดดลงไปเอง”

“ครับ”

ในเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จัตุรัสกลางเมือง

ในพื้นที่ของระบบ ฟางหนิงเต็มไปด้วยความโกรธและมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมด ตอนนี้เขาลืมนิยายและเกมไปหมดแล้ว

เขาโกรธมาก ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นอย่างรวดเร็วในใจ ฟางหนิงค่อยๆ คิดถึงเรื่องที่ปีศาจแมงมุมพูดเมื่อครู่

จู่ๆ เขาก็พูดกับระบบว่า “เป็นไปได้ไหมที่มันสามารถได้รับพลังจากการดูดซับความโกรธ?”

ระบบกล่าวตอบ “อืม ข้อมูลนี้สำคัญมาก! ระบบรู้แล้วว่าจะทำยังไง”

ระบบแจ้งเตือน: ระบบใช้วิชา ‘แปลงร่างมังกร’ ระบบจะเลือกใช้ระดับที่สาม และระบบเลือกที่จะใช้พลังงานบวกระดับแรกต่อไป วิชาแปลงร่างมังกรเพิ่มขึ้น ผนวกรวมเข้ากับศิลปะการต่อสู้ประเภทมังกรชั่วคราว และระบบจะรับรู้ถึงอาณาจักรศิลปะการต่อสู้พิเศษชั่วคราว สุดท้ายกลายเป็นวิชา ‘จุติเป็นมังกร’ โฮสต์อยู่ในสภาวะเดือดดาล ค่าความโกรธระดับสามเต็มแล้ว

“โอเค แปลงร่าง! จัดการมันซะ!” ฟางหนิงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง

เขาเปิดลำโพงตรงข้างคอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบเลือก เอฟเฟกต์เสียงพื้นหลังมาช่วยกระตุ้นอารมณ์เร้าใจ

ฟางหนิงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาสภาพความโกรธของเขาเอาไว้ ระบบได้ใช้เอฟเฟกต์เสียงเพื่อเล่น BGM

โม่ซิ่งและคนอื่นอ้าปากค้างกับฉากนี้

ใยแมงมุมที่ดักอัศวิน A อยู่ระเบิดขึ้นทั่วทั้งท้องฟ้า

มังกรเพลิงที่มี BGM ประกอบก็ปรากฏขึ้น

มังกรเพลิงค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ศีรษะของมันหันมาเผชิญหน้ากับแมงมุมยักษ์!

โม่ซิ่งและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่สามารถค้นหาได้ว่าใครคือตัวตนที่แท้จริงของอัศวิน A

เพราะร่างจริงของเขาคือมังกร!

แมงมุมรีบถอยหลังทันทีเมื่อพบกับศัตรูโดยธรรมชาติของมัน!

“เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังจิตของมนุษย์ในขั้นนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะรวมร่างกับเทพมังกรตัวจริง”

ใบหน้าทั้งเจ็ดของแมงมุมต่างฉายความหวาดหวั่น เอ่ยออกมาพร้อมกัน!

ในเวลานี้เสียงอันทรงเกียรติก็ดังออกมาจากปากของมังกร นั่นทำให้โม่ซิ่ง และคนอื่นๆ ยิ่งเชื่อมั่นว่าเขาคืออัศวิน A เพราะคำพูดอันเป็นเอกลักษณ์

“เจ้าสัตว์ร้าย เจ้าก่อบาปอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความโกลาหลในโลก! ในเวลากลางวันแสกๆ ในโลกที่สดใส โทษของการก่อความวุ่นวายตามอำเภอใจนี้มีแต่ต้องตายเท่านั้น”

โม่ซิ่งและคนอื่นๆ มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน และตัดสินใจได้ว่ามีเพียงอัศวิน A เท่านั้นที่พูดแบบนี้ออกมาได้

แมงมุมยักษ์ไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่หันหลังกลับและหนีไปโดยเหลือเพียงเจ็ดใบหน้ามนุษย์ที่วิ่งเข้าหามังกรเพลิง

“ตายซะ”

เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากปากของมังกรเพลิง เผาใบหน้าทั้งเจ็ดเป็นเถ้าถ่าน

ฟางหนิงเอ่ยขึ้น “ระบบ ยังเหลืออีกก้าวหนึ่ง”

ระบบตอบกลับ “พอ”

มังกรเพลิงมองแมงมุมยักษ์กำลังหนีไป ก่อนจะรีบไล่กวดตามไปทันที

แมงมุมยักษ์หนีออกมาได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นก็หยุดเท้า แล้วมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความกลัว

ทันใดนั้น ปากมังกรก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและกลืนมันเข้าไปภายในคำเดียว!

ฟางหนิง “เอาล่ะ!! นี่คือจุดจบของแก”

โม่ซิ่ง สมาชิกในทีมหลี่ว์เอ้อร์ และคนอื่นๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยคำถาม

‘นี่คือจุดจบจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?’

………………………………………….

ในเวลานี้ ณ จัตุรัสกลางเมืองแห่งหนึ่งในเมืองฉี สมาชิกส่วนใหญ่ของสำนักงานกิจการพิเศษที่รอพวกเขาอยู่ได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของปีศาจแล้ว

สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายแมงมุมยักษ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันมีหัวเจ็ดหัว แต่ละหัวมีใบหน้ามนุษย์ และใบหน้าทุกใบก็ประหลาดเสียจนไม่อาจอธิบายได้

ใบหน้าทั้งเจ็ดของมันหมุนไปรอบๆ และในแต่ละรอบ รูปร่างของมันก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

แม้ว่าปีศาจตัวนี้จะมีรูปร่างพิลึกพิลั่น หากแต่โม่ซิ่งก็ยังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น ตอนนี้เขากำหนดค่าความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดตัวนี้เรียบร้อยแล้ว มันอยู่ที่ระดับ C+ เท่านั้น และอยู่ในขอบเขตการแข่งขันของทีมอย่างสมบูรณ์

เวลานี้โม่ซิ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ตรวจสอบการเตรียมการรบของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยืนยันรายละเอียดทั้งหมดกับทุกคนในทีม ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ ดังนั้นเขาจึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนนั้นเอง จู่ๆ ใครบางคนก็เอ่ยขึ้น

“ตรวจสอบตำแหน่งของอัศวิน A ฉันไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้”

ความจริงแล้วโม่ซิ่งรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ปีศาจตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก

เขากังวลว่าครึ่งทางของการต่อสู้อัศวิน A จะเข้ามาร่วมประสมโรงกับเรื่องนี้ด้วย

สายตาเหยียดหยามเริ่มตามมา เมื่อสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้มีแต่ไปเก็บกวาดงานหลังจากอัศวิน A จัดการกับพวกปีศาจเสร็จแล้ว แน่นอนว่านั่นเป็นงานสำคัญเช่นกัน แต่ย่อมมีข้อเสียเปรียบอยู่ดี สำนักงานกิจการพิเศษบางแห่งในเมืองอื่นๆ มักจะใช้คำพูดโจมตีสำนักงานของเขา โดยบอกว่า สำนักงานหน่วยพิเศษของเมืองฉีไร้ประสิทธิภาพในการต่อสู้

โม่ซิ่งมีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละ แต่เขาต้องการยืนบนตำแหน่งที่สูงเพื่อทำตามความทะเยอทะยานของตน เขาเป็นคนรอบคอบ มีหลากหลายใบหน้า เขาเข้มงวดกับพวกทหาร และสามารถเดินไปรอบๆ กับคนหัวโบราณพวกนั้นได้

ไม่ว่าเขาจะทำได้ดีในการต่อสู้ครั้งนี้หรือไม่ นี่จะเป็นตัวกำหนดความเร็วในการขึ้นสู่ตำแหน่งสูงของเขาโดยตรง

ตอนนี้เขาอายุเพียงสามสิบห้าและเขาไม่ต้องการหยุดอยู่แค่นี้

โม่ซิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวออกไป “สถานที่นี้เป็นร้านดั้งเดิมของร้านรสชาติฟางซื่อตามรายงานของผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ดูแลท้องถิ่น ตอนนี้คนในร้านรับประทานอาหารอยู่นานกว่าสามชั่วโมงแล้ว”

โม่ซิ่งตกตะลึง “เขาเป็นหมูหรือไงกัน ทำไมถึงกินได้มากขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเขาออกกำลังกายที่ต้องใช้พลังงานมาก? แต่ช่างเถอะ ให้เขากินไปแบบนั้นก็ดีแล้ว อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทุกคนเตรียมพร้อมก่อนการต่อสู้สิบนาที!”

เวลาผ่านไป ทุกคนมองดูแมงมุมตัวนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความหวาดหวั่นตอนนั้นเอง ใบหน้าทั้งเจ็ดก็หยุดหมุน!

เจ้าหน้าที่ทุกคนตัวสั่น

ใบหน้าเหล่านั้นกวาดสายตามาทางผู้คนด้านล่าง จากนั้นจึงเริ่มแสยะยิ้ม

โม่ซิ่งสัมผัสได้ถึงอันตราย!

ร้านเก่ารสชาติของฟางซื่อ

ตอนนี้ระบบกำลังยัดทุกอย่างลงไปยังกระเพาะของฟางหนิง

ฟางหนิงรีบเตือน “ปีศาจตัวนั้นกำลังจะปรากฏตัว เราต้องออกโรงแล้วนะ”

ระบบตอบกลับทันที “รับทราบ โฮสต์ไม่ต้องห่วง แต่ความจริงแล้วมีบางอย่างที่ประหลาดมาก โฮสต์สังเกตเห็นไหมว่าที่ที่ปีศาจจะปรากฏตัวมีจุดสีเหลืองกองอยู่เต็มไปหมด แบ่งออกเป็นแปดตำแหน่ง มันกำลังทำอะไรกันแน่ ระบบไม่เคยเห็นจุดสีเหลืองเหล่านี้มาก่อน เลยบอกไม่ได้ว่าพวกมันเป็นใคร มีเพียงคนเดียวที่คุ้นเคย คือชายคนหนึ่งที่น่าจะชื่อหลี่ว์เอ้อร์ โฮสต์เดาได้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร?”

ฟางหนิงได้ยินก็ถามกลับไปทันที “เป็นไปได้ไหมว่าคนที่แกเคยพบมาก่อนจะแสดงเป็นจุดสีเหลืองหรือสีแดงบนแผนที่ระบบในอนาคต ดังนั้นแกเลยจำเขาได้”

ระบบเริ่มคล้อยตาม “ใช่ นี่ง่ายมาก หากไม่เกิดการกลายพันธุ์ โดยทั่วไปแล้วจุดบนแผนที่ระบบที่แสดงจุดเหล่านี้จะมีขนาดและการไล่สีคงที่เป็นเวลานาน และระหว่างคนสองคนจะมีความแตกต่างที่ลึกซึ้งมาก ขนาดจะเหมือนกันได้ง่าย แต่สีของคนสองคนจะไม่เหมือนกันทุกประการ เพียงเชื่อมโยงคนที่รู้จักด้วยขนาดและสีของจุดบนแผนที่ที่เกี่ยวข้อง ครั้งต่อไปที่เห็นจุดนี้ก็จะสามารถรับรู้ได้โดยพื้นฐานแล้วว่าใครเป็นใคร”

ในฐานะอดีตโปรแกรมเมอร์ ฟางหนิงเข้าใจความยากลำบากได้อย่างลึกซึ้ง เขาอดประหลาดใจไม่ได้ “แกนี่มันเยี่ยมจริงๆ นายท่านระบบ ฉันเดาไม่ถูกหรอก แต่อาจจะเป็นคนในสำนักงานกิจการพิเศษของเมืองฉี พวกเขาถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการกับสถานการณ์เร่งด่วน และการมาถึงของปีศาจก็เป็นเรื่องเร่งด่วนเช่นกัน หลี่ว์เอ้อร์เองก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วยแน่นอน เขาน่าจะเข้าระบบเรียนซ้ำอะไรนั่นหลังจากก่อเรื่องเมื่อครั้งก่อน และครั้งนี้ก็น่าจะออกมาติดตามการฝึกฝนบางอย่าง”

ระบบชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งออกจากร้านราวกับพายุ “ไม่ พวกเขากำลังพยายามจะแย่งชิงปีศาจของเรา รีบไปเร็วเข้า!”

จ้าวอิ๋งที่จงใจเสิร์ฟอาหารให้ฟางหนิงด้วยตนเอง เพราะหวังว่าจะได้ใกล้ชิดเขา เมื่อเธอเดินมาพร้อมอาหารจานสุดท้าย ก็เห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งหนีไปก่อนแล้ว ใบหน้าก็ฉายความงุนงง

ตอนนั้นเอง พนักงานทำความสะอาดของร้านก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ดูเหมือนพ่อหนุ่มนั่นจะยังไม่ได้จ่ายเงินนา”

จ้าวอิ๋งคิ้วขมวด “พูดอะไรกัน ฉันจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เอง เท่าไรเหรอ”

พนักงานในร้านตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วอีกครั้ง “384,232 หยวน”

จ้าวอิ๋งตกตะลึง “หา?”

พนักงานกลอกตาเพราะรู้ว่าผู้จัดการร้านคนสวยคนนี้แอบมีใจให้อีกฝ่าย แล้วจงใจพูดว่า”คุณรู้ไหม เราเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองฉีเลยนะ”

จ้าวอิ๋งชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกัดฟันพูด “รูดบัตรเครดิตของฉันได้เลย…”

ในเวลานี้สำนักงานหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีกำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก

“เฮ้ ทำไมไม่หัวเราะกันเลยล่ะ? ฉันไม่ตลกหรือ? ไม่ได้การแล้ว หัวเราะอออกมาหน่อยเถอะ วันนี้ใครไม่หัวเราะออกมาต้องตายไปภายในห้าวินาที!”

ใบหน้านั้นเปื้อนยิ้ม พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะไม่หยุดแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ

“เฮ้ ทำไมไม่ร้องไห้ออกมากันบ้างล่ะ? เศร้าจัง มนุษย์นี่ช่างน่าเวทนาจริงๆ เลย เสียใจด้วยที่พวกแกต้องร้องไห้นะ มันดูเหมือนกับลูกแกะโง่เขลากำลังเดินผ่านเสือที่ซุ่มอยู่ในหญ้า เฮ้ เศร้าแค่ไหนก็รีบร้องไห้ออกมาทีละคนสิ ถ้าร้องไห้ออกมาล่ะก็…ฉันอาจจะปล่อยพวกแกไป…”

อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาก็เดินไปรอบๆ เช่นกัน มันพยายามกระตุ้นพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันมากนักนี้ กลุ่มอื่นๆ ก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน

แต่ทีมสำรองสุดท้ายกลับเจอสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่ามาก…

พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแมงมุมยักษ์…

โม่ซิ่งพยายามสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ลูกทีมของเขา โดยใช้บาเรียเกราะน้ำแข็งป้องกันเอาไว้

แต่ดูเหมือนแมงมุมยักษ์นั่นจะไม่รีบร้อนทำลายบาเรียเกราะป้องกันเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแค่จ้องมาที่พวกเขา สายตานั้นคล้ายแมวกำลังจะจับหนู

ดังที่โม่ซิ่งเอ่ยไว้ ผู้ปลูกฝังและผู้ใช้ระดับสูงจะดึงดูดแมงมุมตัวนี้มากกว่ามดตัวน้อยที่ไม่โดดเด่นในระยะไกล

โมซิ่งหวนนึกถึงก่อนหน้านี้ ความพยายามในการต่อสู้ไม่ส่งผลแม้แต่น้อย ทุกคนถูกโจมตีแทบจะทันที และขวัญกำลังใจทั้งหมดก็หายไปโดยพลัน

เมื่อพวกเขาสงบลงหลังจากผ่านความปีติยินดีมา พวกเขาก็พบว่าตนถูกล้อมเอาไว้แล้ว การฝึกฝนเพื่อมาต่อสู้ไม่มีผลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายนัก แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีอาหารมื้อใหญ่ขนาดนี้เตรียมเอาไว้ให้ แต่ละคนล้วนมีพละกำลังแข็งแกร่ง เป็นชายชาตรีสุขภาพดี เอาล่ะ มาปลุกความกลัวในตัวพวกแกกันหน่อยเถอะ ใครจะเป็นเหยื่อรายแรกดีล่ะ…”

หัวใจของโม่ซิ่งบีบรัดเมื่อได้ยิน เขารู้ว่าอย่างน้อยครั้งนี้ใครบางคนต้องกลายเป็นผู้เสียสละแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าจะเป็นใคร

ตอนนั้นเองใยแมงมุมก็ทะลุบาเรียเกราะน้ำแข็งเข้ามา!

โม่ซิ่งตื่นตระหนก!

ด้านหลี่ว์เอ้อร์ที่อยู่ข้างๆ โชคดีที่ไหวตัวทัน ความสามารถของเขาเป็นประโยชน์ในเวลานี้มาก แต่เซ่าหานกลับไม่ได้โชคดีด้วย!

แมงมุมแสยะยิ้ม มันใช้ขาข้างจับตัวเซ่าหานที่กลัวขวัญหนีดีฝ่อเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน ขอฉันทำสิ่งสุดท้ายก่อนตาย!”

สัตว์ประหลาดส่งเสียงหัวเราะ

“ก็ได้ๆ แกพูดมาสิ…”

“ที่นี่มีอินเทอร์เน็ต ขอฉันส่งต้นฉบับที่เก็บไว้ก่อน ฉันเป็นนักเขียนเรื่องXXXXXXX…”

ปีศาจแสยะยิ้ม “ฮ่าฮ่า ไม่มีทางซะล่ะ…”

ทุกคนมองเซ่าหานด้วยความเห็นอกเห็นใจ

กรงเล็บแหลมคมคู่นั้นค่อยๆ บีบท้องของเซ่าหานทีละนิด!

เซ่าหานลืมตาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังพยายามก้มศีรษะหยิบโทรศัพท์ออกจากแขนและเริ่มกด…

ขณะที่ทุกคนคิดว่าเซ่าหานต้องตายแน่นอนแล้วนั่นเอง เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ

“ปล่อยเขาซะ!!”

…………………………………………………………….

ฟางหนิงสงสัยมากว่าที่เจ้าระบบนี่บอกว่าตัวค่อนข้างใหญ่นั้นหมายความว่าอย่างไร

ดังนั้นเขาจึงรีบเปิดแผนที่ระบบขึ้นตรวจสอบ ปรากฏว่าใหญ่จริง!

ฟางหนิงมองเห็นเพียงตำแหน่งของสนามแห่งหนึ่งบนแผนที่กำลังปรากฏแถบสีเหลืองขนาดใหญ่ หากจะว่ากันในตอนนี้ฟางหนิงมองเห็นคุณนายจ้าวอาจารย์ปีศาจงูของเขาในระบบแผนที่ใหญ่สุดแล้ว แต่ว่าตำแหน่งใหม่ที่ปรากฏขึ้นกลับใหญ่กว่ามาก

ฟางหนิงตื่นตกใจ เขาพบว่าแถบสีเหลืองขนาดใหญ่ที่ปรากฏนี้ยังเจือจางและห่างชั้นกับความสว่างคุณนายจ้าวมากนัก

แต่หากพิจารณาอย่างละเอียด แถบสีเหลืองขนาดใหญ่นั้นกำลังเรืองแสงสว่างขึ้น เพียงแต่ความสว่างของมันเป็นไปอย่างแช่มช้า

ฟางหนิงงุนงง โพล่งปากถามออกไป “นี่มันอะไรกัน”

ระบบตอบกลับ “ปีศาจขนาดใหญ่นี้ยังปรากฏบนโลกของพวกเราไม่สมบูรณ์ มันกำลังพยายามที่จะจุติ ตอนนี้คงกำลังเจาะกำแพงข้ามผ่านทะลุเข้ามา”

ฟางหนิงรับคำ “อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว มันกำลังข้ามผ่านทะลุกำแพงเข้ามา ร่างกายจึงค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนโลกของพวกเรา ดังนั้นก็เลยทำให้แผนที่ระบบปรากฏออกมาเป็นอย่างนั้น”

ระบบรีบพูดต่อ “จะปล่อยปีศาจตัวนี้ไว้ไม่ได้ ถ้าจัดการมันได้ อาจทำให้ระดับเพิ่มขึ้นถึงเลเวล 15”

ฟางหนิงได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของระบบก็รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะระบบไม่ใช่คน ถ้ามันใช้น้ำเสียงตื่นตกใจแบบนั้นเอ่ยออกมา แสดงว่าปีศาจตัวนี้ต้องมีค่ามหาศาลแน่นอน

แต่ปัญหาคือ จะปราบเจ้าปีศาจตัวนี้ได้หรือไม่

ฟางหนิงเอ่ยขึ้นบ้าง “นายท่านระบบมีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่คำเตือนที่แจ้งมารอบที่แล้ว มีการแจ้งอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้แกความสามารถเทียบเท่ากับคุณนายจ้าว และหากต้องการจะแข็งแกร่งกว่านี้จะต้องเรียนรู้กระบวนวิชาแปลงร่างมังกร นั่นจะทำให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นอีก มีแต่วิชามังกรที่เพิ่มพลังทำลายมาได้หนึ่งเท่า และยังมีการผสานรวมผลอีกวิชาหนึ่ง แต่นี่เพิ่งเริ่มยังไม่รู้ผล แบบนี้จะไหวเหรอ”

ระบบตอบกลับ “เท่านี้ก็พอแล้ว ยังเรียนรู้วิชาแปลงร่างมังกรไม่ได้ และก็ไม่รู้ความน่ากลัวที่แท้จริง ดังนั้นไม่รู้ว่าเมื่อทั้งสองคนนั้นรวมกันแล้วจะเก่งกล้าสักแค่ไหน ไม่ต้องกังวลหรอก รอดูไปก่อนก็พอ…”

ฟางหนิงค้อนขวับ “สรุปก็คือ เหมือนครั้งที่แล้ว แค่ไม่เสียท่าก็พอ ครั้งนี้ใช้วิธีเดิมสินะ”

ระบบยืนกราน “แน่นอนว่าไม่”

ฟางหนิงตกตะลึง “…”

ระบบพูด “สามกระบวนท่าไม่เกินนี้”

ฟางหนิงพยักหน้า “ได้ ฉันจะรออยู่ที่นี่คอยแสดงความยินดีกับระบบผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ชัยชนะกลับมา เริ่มประลองตอนนี้เลย”

ระบบปฎิเสธ “ไม่ ไปกินข้าวก่อน”

ฟางหนิง “หา?”

ระบบ “โฮสต์คงไม่รู้ เคล็ดวิชาแปลงร่างมังกรนี้มีจุดด้อยเล็กน้อย ทุกครั้งที่ใช้กระบวนท่าร่างกายจะสูญเสียพลังงานอย่างมาก จะต้องกินข้าวให้ได้ปริมาณของหนึ่งสัปดาห์จึงจะเพียงพอ ไม่อย่างนั้นจะสูญเสียพลังชีวิต ก่อนที่ปีศาจจะปรากฏตัวยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง ยังมีเวลากินอีกเยอะ”

“เอาที่แกสบายใจเถอะ”

โม่ซิ่งพาลูกสมุนมารายล้อมบริเวณหน้าลานเมือง ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบถูกกันออกไปนานแล้ว ภายในรัศมีสองกิโลเมตรใกล้เคียงถูกเคลียร์ออกไปจนหมด

ในเวลานี้ สมาชิกของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษทุกคนพร้อมแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะติดอาวุธด้วยอาวุธพิเศษต่างๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สร้างกลุ่มการต่อสู้ระดับต่างๆ เหมือนการต่อสู้ปกติ แต่พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นแปดทีมบนจัตุรัส และทีมสำรอง

ในบรรดาผู้คนทั้งหมด มีเพียงผู้อำนวยการโม่ซิ่งเท่านั้นที่เข้าใจรายละเอียดของการต่อสู้ครั้งนี้ สิ่งที่เขาจัดเตรียมคือหนึ่งในชุดของรูปแบบที่ออกแบบพิเศษสำหรับมนุษย์ที่ทรงพลังโดยผู้คนของสำนักสัจธรรมเมื่อนานมาแล้ว – เครือข่ายของสวรรค์และโลกเชื่อมโยงกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

ข้อดีของรูปแบบนี้คือใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของโลกเพื่อรวมผู้ฝึกหัดมาต่อสู้กับปีศาจ นอกจากนี้ยังช่วยให้สำนักสัจธรรมตรวจสอบข้อมูลการต่อสู้ในสถานที่ได้แบบเรียลไทม์ ผ่านเครือข่ายเทียนหลัวซึ่งสะดวกสำหรับพวกเขาในการปรับใช้กำลังคนในเวลาดำเนินการ

หากผู้เข้าร่วมภารกิจล้มลงทีละคน พวกเขาก็จะสามารถเติมทีมสำรองทีละคนเข้าไปทันที โม่ซิ่งเชื่อว่าสมาชิกที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษจะสามารถทนต่อการเสียสละได้เช่นเดียวกับทหารเสือผู้กล้าหาญที่สู้รบจนถึงวาระสุดท้ายจนกว่าศัตรูจะพ่ายแพ้ เขาเอาแต่พร่ำพูดว่ามันเป็นงานที่ยาก แต่ไม่เคยบอกว่าทำไม่ได้ เพราะเขาเชื่อว่า ตนมีกำลังคนเพียงพอ

หากแต่นักเรียนหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติอีกสองคนกลับต่างจากโม่ซิ่งมาก พวกเขาหวาดหวั่นและไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย

ความจริงแล้วโม่ซิ่งไม่ได้คาดหวังให้พวกเขามีบทบาทใดมากนัก แค่ปล่อยให้พวกเขาเป็นเหมือนฉากประดับในการต่อสู้บางส่วน

และท้ายที่สุดพวกเขาจะเป็นต้นกล้าอันยอดเยี่ยมในสนามรบครั้งนี้ และนี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของโม่ซิ่งที่นำพวกนักเรียนมาที่นี่

เวลาเคลื่อนผ่าน ทั่วทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ

ค่ำคืนเยื้องกราย แสงไฟตามถนนดูเหมือนจะหรี่ลงเช่นกัน

ลานจัตุรัสค่อยๆ มืดลง

นอกเหนือจากนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังคงปกติ แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้กำลังเข้าปกคลุมจิตใจของทุกคนในจัตุรัสนี้

เวลานี้หลี่ว์เอ้อร์ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้อำนวยการโม่ เขารู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นแรง พลังเหนือธรรมชาติในร่างกายของเขาเริ่มตื่นตัว และดูเหมือนว่ามันกำลังร้องเตือนเขาอย่างบ้าคลั่งว่ามีพลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา สัญชาตญาณบอกให้เขาหลบหนีไป

เขาหันไปมองเซ่าหานที่อยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ หลี่ว์เอ้อร์ก็เข้าใจได้ทันทีว่าถึงแม้ความสามารถของอีกฝ่ายจะแย่ แต่พลังในร่างกายก็ใกล้เคียงกัน เมื่อพบกับระดับที่สูงกว่า สัญชาตญาณย่อมส่งเสียงเตือนทันที

มีเพียงโม่ซิ่งเท่านั้นที่ถอนหายใจโล่งอก การเสียสละครั้งนี้อาจไม่ใหญ่นัก เขาหันไปสั่งการ “ศัตรูน่าจะถูกบังคับให้ลงมาและพลังก็อ่อนลงมากแล้ว ไม่น่าจะเกินระดับ B เตรียมการให้พร้อมอย่าให้ผิดพลาด”

ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชารับคำ พร้อมกับถ่ายทอดคำสั่งต่อไป

เมื่อเห็นว่าลูกน้องไม่เกรงกลัวต่ออันตรายและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเป็นระเบียบ โม่ซิงภาคภูมิใจไม่น้อย ‘ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอัศวินอะไรนั่นอีกแล้ว’

นี่แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่กล้าเสียสละ และพวกเขาก็ยังมองเห็นถึงความโกลาหลมาแต่เนิ่นๆ แม้วิธีการฝึกฝนที่พวกเขาได้รับจะเป็นเพียงวิธีการพื้นฐานเท่านั้น แต่พวกเขาก็ทำได้ โดยการใช้วิธีการเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านศัตรู

ในเวลานี้ ณ สำนักสัจธรรมทางภาคเหนือ คนกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากัน

“ปีศาจที่อยู่ทางเมืองฉีกำลังจะมา เทียนหลัวหวางพบส้นเท้าของมันแล้วหรือ?”

“จากการสแกนลมหายใจพลัง และเปรียบเทียบกับความผิดปกติที่มีอยู่ในบันทึกฐานข้อมูล อาจใช้เวลาพอสมควร…”

“ลองดูสิ ฉันรู้สึกว่าปีศาจตัวนี้มีบางอย่างผิดปกติ”

“ฮ่าฮ่า คุณซู เป็นเพราะนักเรียนที่ดีของคุณอยู่ในเมืองฉีไงล่ะ คุณสนใจเรื่องนี้หรือ”

“อย่าพล่ามไร้สาระไปเลย ถ้าเขาตายคงไม่มีใครหยุดปีศาจได้แน่ ผู้คนในเมืองฉีจะต้องทนทุกข์ทรมาน!”

“ผู้เฒ่าสวี่ ผลออกแล้ว!”

“รีบบอกมา!”

“ระดับพลังนั้นต่ำกว่าระดับ B แต่รูปแบบพลังกลับแปลกมาก ดูเหมือนว่ามันจะมุ่งเป้าไปที่การโจมตีในระดับจิตวิญญาณ และตามรายงานก่อนหน้านี้ที่ส่งมาโดยสำนักงานกิจการพิเศษเมืองฉี ปีศาจเพิ่งจะถูกโจมตี เกรงว่ามันจะเหมือนกับอันนี้ สิ่งแปลกๆ จะมีความสำคัญมาก” ”

“ปีศาจนั่นมีคุณสมบัติอะไรบ้างไหม?”

“ยังไม่ได้รับการยืนยัน และยังไม่ได้รายงานกลับไปยังสำนักงานกิจการพิเศษเมืองฉี จากผลการทดสอบในปัจจุบัน ประมาณการเบื้องต้นว่ามีความสามารถหลักสองอย่าง ความสามารถหนึ่งคือการดูดซับอารมณ์ของคนอื่นเพื่อเพิ่มพลัง อีกความสามารถหนึ่งคือการขับไล่วิญญาณ”

“อะไรนะ? ท่าไม่ดีแล้ว รีบออกคำสั่งไปยังกระบี่ไร้ใจให้เร่งมือไปช่วยเหลือ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“ที่ฐานฝึกXXทางตะวันตกเฉียงเหนือ เครื่องบินทหารพิเศษและเวลาที่จะมาถึงเมืองฉีคาดว่าจะถึงภายในสองชั่วโมง”

“นานแค่ไหนกว่าที่พวกหน่วยพิเศษจะมาครบ”

“1 ชั่วโมง 40 นาที”

“20 นาที! พวกเขาต้องเสียสละกี่คนกันเพื่อจะปราบปีศาจตัวนั้นกัน ไม่ได้การ สถานการณ์ต้องแย่ลงกว่าเดิมแน่ๆ…”

……………………………………………………………

หลี่ว์เอ้อร์ยืนอยู่ที่สนามกีฬาและพยายามอย่างยิ่งในการข่มกลั้นใจที่ต้องการเป็นอิสระเอาไว้ เขายืนรวมกลุ่มอยู่กับนักเรียนคนอื่น รอคอยบุคคลเบื้องหน้าตัดสินใจชะตาชีวิตของตน

ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่ม สถานที่แห่งนี้คือหน่วยกิจการพิเศษของเมืองฉี

ในภารกิจสองครั้งก่อน นักเรียนอาสาสมัครที่เข้าร่วมทั้งสองกลุ่มล้วนได้รับลายเซ็นต์ของโม่ซิ่ง และได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมืองฉีเพื่อใช้ชีวิตอิสระ

ตอนนี้เหล่านักเรียนที่เหลืออยู่ต่างมารวมกันใกล้ครบแล้ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าฮึกเหิม ความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ท่าทางขึงขังจริงจังนั้นดูแล้วยังมีมากกว่าสมาชิกอย่างเป็นทางการของหน่วยกิจการพิเศษเสียอีก

โม่ซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม เขามองประเมินไปทางพวกนั้นอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาออกมา “ฉันรู้ว่าพวกนายคิดอะไรอยู่ และก็รู้ด้วยว่าพวกนายจะทำอะไร แต่ว่าครั้งนี้พวกนายอย่าได้หวังจะฉวยโอกาสก่อเรื่องเด็ดขาด ครั้งนี้ไม่เหมือนสองครั้งก่อน เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมงานจากหน่วยพิทักษ์จื้ออัน”

“อัศวิน A อ้อ ได้ยินมาว่าตอนนี้มีบางคนเรียกขานเขาว่าเป็นจอมยุทธ์เมืองฉีแล้ว ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ในระบบบันทึกไว้ว่าเป็นอัศวิน A และแผนปฏิบัติการของเราก็ถูกเจ้าคนนี้ทำลายถึงสองครั้งสองครา แผนปฏิบัติการทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยจังหวะตอนที่พวกเราซุ่มรอ มันลอบเข้าไปยังบ้านของพวกโจรเหล่านั้นและฆ่าพวกมันทิ้ง”

“บ้านของเหล่าวายร้ายพวกนั้นมีศพคนตายถูกแช่แข็ง และอยู่ในสภาพถูกถลกหนัง! แต่ละร่างมีกลิ่นไอชั่วร้ายแฝงอยู่ หรือบางทีนี่อาจจะทำให้เขาทำลายกฏการเข้าไปในเคหะสถาน แอบย่องเข้าไปโดยไม่ต้องแม้แต่จะแจ้งข้อหา จากนั้นก็ลงมือสังหารทันที เพราะว่าถ้าดูจากสภาพศพที่เจอ โจรร้ายพวกนั้นถูกตีท้ายทอยจากทางด้านหลัง และตายโดยไม่รู้ตัว”

คำกล่าวนี้ของโม่ซิ่ง หากให้ฟางหนิงมาได้ยินล่ะก็…เขาจะต้องตกใจจนนอนไม่หลับไปหลายวันทีเดียว ที่แท้รูปดาวเจ็ดแฉกที่เขาเห็นนั้นก็มีการวาดลงบนหน้าคนจริงๆ!

เพียงแต่ตอนนั้นระบบเจ้ากรรมอาจจะนึกเมตตา เลยไม่ได้บอกให้ฟางหนิงรับรู้ เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ

แต่บรรดานักเรียนหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่างได้ยินกันทั้งสิ้น สีหน้าแต่ละคนปรากฏแววตกใจไม่มากก็น้อย ก่อนจะตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของภารกิจนี้

หลี่ว์เอ้อร์ที่อยู่อีกด้านได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นเหงื่อแตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง สิ่งที่เขาหวาดกลัวนั้นต่างไปจากคนอื่น เขาดีใจที่ไม่ได้ทำเรื่องน่าสยดสยองลงไป ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกอัศวิน A ตีท้ายทอยจนสิ้นใจแน่นอน

โม่ซิ่งเห็นภาพนี้เข้าสีหน้าก็สู้ดีขึ้นเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘ต้องขู่ให้กลัวเสียบ้าง แต่ละคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รอบแรกที่ทำภารกิจก็กล้าที่จะตั้งฉายาลับหลังเขาว่า “ภารกิจสุดหินของหัวหน้าโม่ คิดว่าฉันไม่รู้รึ’

“ภารกิจในครั้งนี้ต่างออกไป เครือข่ายเทียนหลัวตรวจพบพวกกลายพันธุ์สุดแข็งแกร่ง พวกมันกำลังเตรียมที่จะทำลายผนังกำแพงแขตแดนให้พังลงอย่างแรงกล้า ต้องอาศัยไอพลังปีศาจที่หลงเหลือบางส่วนในเมืองฉีมาลดความรุนแรง ดังนั้นไม่ว่าอัศวิน A จะฆ่าเหล่าโจรร้ายไปมากเท่าไร ก็ไร้ประโยชน์!”

“พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับพวกกลายพันธุ์นอกเขตอย่างตรงไปตรงมาในครั้งแรก”

“ดังนั้นภารกิจในครั้งนี้จึงจัดได้ว่าเป็นภารกิจสุดหินที่แท้จริง”

หลังจากทุกคนได้ฟังรายละเอียดแผนปฏิบัติงานแล้ว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เหล่านักเรียนหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม หนึ่งในพวกเขาหลายคนรู้สึกเสียใจภายหลัง และคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขารีบร้อนตัดสินใจเกินไป

แต่ก็สายไปแล้วที่จะถอดใจยอมแพ้เช่นกัน

ด้วยเพราะพวกเขาเซ็นสัญญาเข้าร่วมภารกิจนี้อย่างสมัครใจเรียบร้อยแล้ว หากระหว่างปฏิบัติภารกิจไม่เชื่อฟัง ฝ่าฝืนคำสั่ง หรือลักลอบหนีไปโดยพลการจะจัดการทันทีโดยไม่มีการผ่อนปรน

แต่ว่า เมื่อหลายคนนึกถึงผู้ปฏิบัติภารกิจสองครั้งก่อนที่สามารถทำได้อย่างราบรื่น เพียงแค่วิ่งไปมารอบหนึ่งเมื่อกลับมาก็ได้รับอิสรภาพ สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ต้องนั่งทานหมั่นโถวกับน้ำซุปใส ไม่ต้องเข้าเรียนทุกวัน ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มมองโลกแง่ดีขึ้นมาบ้าง และเสนอตัวเซ็นสัญญาในการเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง

โชคดีที่รอบนี้โม่ซิงยังเหลือทางอีกเส้นหนึ่งไว้ให้พวกเขา “ในตอนนี้ หากมีใครที่เสียใจกับการตัดสินใจของตนเองล่ะก็…ฉันก็จะให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับพวกนาย! ก้าวออกมาข้างหน้า เท่านี้พวกนายก็จะได้กลับไปยังสถานฝึกฝนเข้าเรียนในหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่อไป มีหรือไม่มี”

นักเรียนกลุ่มนั้นต่างหันมองซ้ายขวา หากแต่ไม่มีใครขยับ

โม่ซิ่งย้ำอีกครั้ง “ฉันให้เวลาพวกนายห้านาทีในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย หลังจากผ่านห้านาทีนี้ไปแล้ว ทั้งหมดจะเริ่มออกเดินทาง หากใครคิดหลบหนียิงสังหารทันที!”

ในที่สุดใครบางคนก็ขยับเขยื้อน เขาก้มศีรษะลงไม่มองใครหน้าไหนทั้งนั้น แล้วค่อยๆ เดินออกจากแถวมายืนอยู่ด้านหน้าสุด

เมื่อมีคนแรก คนที่สองก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหล่านักเรียนที่ก้าวออกมาเริ่มมีจำนวนเยอะขึ้น สีหน้าของโม่ซิ่งเยือกเย็นลง คิดในใจว่า ‘ไม่ผิดไปจากที่คิด คนหนุ่มพวกนี้ หลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติอย่างมากก็แค่ข่มขู่ไม่ให้ทำเรื่องร้ายแรงอีก พวกเขาอ่อนแอเกินไป ไม่มีทางรับมือกับพวกกลายพันธุ์ได้’

มีเพียงพวกที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งแรกถึงจะถือว่ามีพื้นฐาน แต่ก็มีจำนวนน้อยเกินไป ดูแล้วน่าจะต้องยื่นคำแนะนำต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้จะเลือกทิ้งเลือกขว้างไม่ได้ จะต้องไม่ให้พวกเขาสูญเสียพลังเหล่านั้นไป หากเป็นแบบนั้นก็มีแต่ตายกับตาย

โม่ซิ่งมองดูผลลัพธ์สุดท้าย ในบรรดานักเรียนพวกนี้เหลือคนที่จะเข้าร่วมภารกิจเพียงสองคนเท่านั้น

หนึ่งในสองนั้นคือ หลี่ว์เอ้อร์ แม้ว่าเขาจะหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองวิ่งได้เร็วกว่าแต่ก่อนแล้ว หากว่าจวนตัวขึ้นมาจริงๆ ก็น่าจะเร็วพอหลบลูกกระสุนได้…

ส่วนอีกคนเป็นชายคนหนึ่งนามว่าเซ่าหาน อายุสามสิบปี มีผมสีดอกเลา หน้าตาเกลี้ยงเกลา

กล่าวกันว่าเขาเป็นนักเขียนมืออาชีพ และพลังพิเศษของเขาคือการเขียนเร็ว ตามหลักแล้วด้วยพลังพิเศษแบบนี้ไม่น่าจะถูกส่งตัวมายังสถานที่เช่นนี้ได้ ควรจะมีเพียงการส่งจดหมายแจ้งเตือน หรือไม่ก็เจ้าตัวคงจะสมัครใจมาเองกระมัง

ตอนที่หลี่ว์เอ้อร์ได้ยินเรื่องนี้ก็ได้แต่คิดว่าคนคนนี้คงบ้าไปแล้วแน่นอน เซ่าหานมีทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ครบครัน คงคิดว่าการเข้าเรียนที่นี่คงง่ายดายสินะ และอาจว่างมากพอขนาดที่มีเวลาอัพเดตนิยายใหม่ได้

แต่ใครจะไปคิดว่า อาจารย์ใหญ่จางจะอยากให้ทุกคนตั้งสมาธิกับการเรียนมากถึงเพียงนั้น เขาตัดอินเทอร์เน็ตของนักเรียนทุกคน ใครบางคนบอกว่าในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของเซ่าหานมีนิยายบันทึกอยู่เป็นแสนตอน แต่ว่านิยายพวกนั้นกลับหยุดอัพเดตมาได้สองเดือนกว่าแล้ว

หากเป็นแบบนี้ต่อไป แฟนคลับคงหายหมดแน่นอน สุดท้ายเซ่าหานจึงต้องตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางออกไปจากสถานที่นี้ได้

หลี่ว์เอ้อร์ยินดีที่อย่างน้อยก็มีใครสักคนเป็นเพื่อนร่วมทาง เขาวิ่งไม่ชนะอัศวิน A อีกทั้งไม่รู้จักสมาชิกอย่างเป็นทางการของหน่วยพิเศษอันลึกลับแม้แต่นิด แต่มั่นใจได้ว่าจะพาเจ้าเพื่อนคนนี้เดินทางได้เป็นสิบรอบ

ผ่านไปห้านาทีแล้ว นักเรียนที่ตัดสินใจถอนตัวออกจากภารกิจต่างก้าวออกไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว โม่ซิ่งหันมองไปทางอาจารย์ใหญ่จางที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

อาจารย์ใหญ่จางกล่าวออกมา “ฉันจะเพิ่มจำนวนเป็นสามเท่าก่อนที่พวกเขาจะจบแน่นอน”

โม่ซิ่งพยักหน้ารับคำเล็กน้อย ท่าทางพอใจแล้วกล่าวว่า “ดี คนที่ก้าวออกมาด้านหน้าตอนนี้กลับไปได้แล้ว สองคนที่เหลืออยู่นี้กล้าหาญมาก เป็นชายที่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง พวกนายจะไม่เพียงได้สิทธิในการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ขณะเดียวกันก็จะถูกดึงเข้าร่วมกับทีมสำรองหลังบ้าน รับสิทธิในการรอเข้าเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ”

หลี่ว์เอ้อร์ไม่สนใจอย่างอื่น เขาไม่อยากได้สิทธิอะไรทั้งนั้น นอกจากการเป็นอิสระ

หากแต่เซ่าหานกลับยินดี นี่ถือว่าเขากำลังจะมีที่พึ่งพิงแล้ว ด้านหนึ่งก็มีที่พักพิงที่มั่นคง อีกด้านหนึ่งก็รอวันอัพเดตนิยายอีกครั้ง กระแสความนิยมกลับมาเช่นเดิม เท่านี้เขาก็ได้ประโยชน์มากแล้ว

“เอาล่ะ ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ให้ออกเดินทางได้ หลังจากขึ้นรถแล้วจะแจ้งรายละเอียดอีกครั้ง”

โม่ซิ่งพูดจบก็ออกเดินนำหน้าทันที

อาจารย์ใหญ่จางถลึงตามองนักเรียนพวกนั้นที่ถอนตัวออกจากภารกิจ ก่อนจะหันมองนักเรียนอีกสองคนที่ตัดสินใจร่วมภารกิจนี้ ปากพึมพำเบาๆ “อย่าตายล่ะ”

ตอนนี้อัศวิน A กำลังฆ่าปีศาจเพื่อทำภารกิจประจำวัน

ระบบเอ่ยขึ้น “วิชาแปลงร่างมังกรเพิ่มระดับใช้ค่าพลังฝึกฝนประสบการณ์สิ้นเปลืองเกินไป บริเวณโดยรอบไม่มีปีศาจที่สามารถเก็บค่าได้ ทหารวิเศษกำลังจะสร้างเสร็จแล้ว ขาดก็แค่ลงค้อนอีกครั้งเดียวเท่านั้น โฮสต์ดูสิ พวกเราเปิดกิจการดึงดูดปีศาจใช่หรือเปล่า”

ฟางหนิงรีบบอกปัด “ไม่ ไม่ ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะต้องฝึกฝนวิชาอีกสักพัก ศัตรูพวกนี้เก่งเกินไป ในเมืองนี้ก็มีแต่แกเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั่วประเทศหรือทั่วโลกเลย หากว่ามีปีศาจตัวไหนที่แกจัดการไม่ได้ พวกเราก็จะถูกตามล่าสุดฟ้าเขียว ตั๋วนอนกินฟรีๆ และกิจการต่างๆ ที่ฉันสร้างขึ้นอย่างยากลำบากได้หายไปหมดแน่นอน!”

ระบบเห็นด้วย “โฮสต์พูดถูก ค้อนยังคงไม่ทุบลงมา หยุดเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”

ได้ยินแบบนั้น ฟางหนิงก็ถามขึ้นด้วยความงุนงง “ทำไมพวกเราไม่เปลี่ยนเมืองหา แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือเครื่องบินในแค่ไม่กี่ชั่วโมงกันล่ะ หากจะคำนึงถึงประสิทธิภาพแล้วล่ะก็ ดีกว่าอยู่รอโอกาสที่นี่ตั้งเยอะเลยนะ”

ระบบตอบกลับ “ก่อนเริ่มระบบอัศวิน ไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่ตามใจชอบได้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาจะกลายเป็นศูนย์ต้องเริ่มต้นใหม่”

ฟางหนิงเข้าใจทันที “อ้อ ฉันคิดมาตลอดว่านายขี้เกียจเลยไม่อยากเปลี่ยนสถานที่ ก็เลยไม่ถามมาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเหตุผลนี้”

ระบบนิ่งเงียบ “…”

ผ่านไปพักหนึ่ง ระบบจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ “รอเดี๋ยว แผนที่ในระบบมีการเปลี่ยนแปลง ปีศาจที่เพิ่งจะปรากฏบนแผนที่นี้ตัวใหญ่และทรงพลังมาก ถึงเวลาออกล่าแล้วล่ะ…”

…………………………………………………………….

ช่วงเวลาอาหารกลางวัน

โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ว่างเปล่า บนชั้นวางอาหารข้างๆ เต็มไปด้วยจานและหม้อสภาพสะอาดเอี่ยมวางซ้อนกัน

คุณนายจ้าวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เธอรู้สึกว่าหิวมากกว่าเดิม จึงส่งสายตาให้ตาแก่จ้าวว่า ‘บอกลูกเขยของคุณให้ทำอาหารมาอีกสิ’

ตาแก่จ้าวตอบกลับ ‘สำรวมหน่อย…’

คุณนายจ้าวทำท่าเหมือนจะบิดหูของเขา

ตาแก่จ้าวส่งสายตา ‘ถ้าเขากลายเป็นลูกศิษย์คุณแล้ว ต่อไปจะกินเท่าไรก็ได้’

คุณนายจ้าวดึงมือกลับ แล้วนั่งตัวตรงและจัดเสื้อผ้า เธอเริ่มจากกระแอมไอ ‘แค่กๆ’ และพูดว่า “เสี่ยวฟาง ฉันเห็นว่าคุณเป็นเด็กดี โลกนี้เปลี่ยนแปลงเร็วนัก มันจะดีกว่าถ้าคุณมีวิธีป้องกันตัวเอง…”

ฟางหนิง “คุณป้าพูดถูก ตอนนี้ผมไม่เคยออกจากบ้านตอนกลางคืนเลยครับ”

คุณนายจ้าว “อื้ม ดีแล้วที่คุณให้ความสนใจกับตัวเอง ตอนมาตาแก่จ้าวก็บอกคุณแล้ว ฉันกับเหยาเหยาต่างก็มีสายเลือดนารีมังกรโบราณ ในความทรงจำฉันเคยได้รับวิชาฝึกฝนพิเศษ ซึ่งมันล้ำค่าและหายากมาก ปกติฉันไม่ถ่ายทอดให้คนธรรมดา…”

ฟางหนิงพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว…”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินกลับไปที่ห้องครัว ผ่านไปครู่ใหญ่ ภายใต้การรอคอยของคุณนายจ้าว ในที่สุดเขาก็กลับมาพร้อมกับลูกแกะย่างสีเหลืองทองอร่ามทั้งตัว

เมื่อแกะย่างถูกยกมาถึง สายตาของคุณนายจ้าวก็เฝ้าติดตามมันไม่ห่าง และคอยสูดกลิ่นของมัน ราวกับว่าเธอไม่ต้องการให้กลิ่นนั้นสูญหายไป…

หลังจากแกะย่างเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหารเรียบร้อย คุณนายจ้าวก็หยิบหนังสือผูกด้ายเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ และส่งมันให้ฟางหนิงซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ฉีกขาแกะกินอย่างอดรนทนไม่ได้

เธอจึงกินไปพูดไปว่า “เสี่ยวฟาง… ลองศึกษาเองดูก่อน ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจให้ถามเหยาเหยาในวีแชทได้เลย ข้างในมีภาษาโบราณมากมาย ซึ่งเป็นภาษาที่ลึกซึ้งอย่างมาก อย่าได้เข้าใจผิดล่ะ การบรรลุนั้นไม่ง่ายเลย… หลังจากที่ฉันจับมือสองเหยาเหยา เธอยังคงต้องใช้เวลาถึงสองปีจึงจะบรรลุ ส่วนตาแก่จ้าว ฉันไม่เคยให้เขาอ่าน เพราะเขาหัวล้านมากพอแล้ว”

ประธานจ้าวคิดในใจ ‘ฉันอายุ 52 แล้วนะ ผมร่วงนิดร่วงหน่อยแปลกตรงไหนกัน?’

ฟางหนิง “ครับ ขอบคุณคุณป้า…”

คุณนายจ้าวโบกมือ ขณะนี้ในปากของเธอเต็มไปด้วยเนื้อแกะ จึงไม่พูดอะไรอีก

ดังนั้นฟางหนิงจึงก้มหน้าก้มตาและเปิดอ่านหนังสือคร่าวๆ เอาเถอะ เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาถึงสองปีถึงจะเข้าใจจริงๆ เขาเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งรวมถึงชื่อหนังสือด้วย…

ระบบแจ้งเตือน: ระบบเลือกที่จะเรียนรู้ ‘ทักษะการแปลงเป็นมังกร’ ระดับการฝึกฝน ‘เทคนิคการฝึกฝนที่หายาก’ ระดับปัจจุบัน ‘ระดับเริ่มต้น’ ระบบได้รับบัฟพิเศษคือ

ข้อหนึ่ง: ความอิ่มระดับต้น คุณสามารถรับประทานอาหารที่จำเป็นต่อกิจกรรมในหนึ่งสัปดาห์ในคราวเดียวได้ และภายในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณไม่จำเป็นต้องกินอาหารอีก

ข้อสอง: วิทยายุทธที่เกี่ยวข้องกับมังกรทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับทักษะปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์

ข้อสาม: เปิดความเป็นไปได้ของการหลอมรวมของวิทยายุทธที่เกี่ยวข้องกับมังกรทั้งหมด ขณะนี้ มีวิทยายุทธที่เกี่ยวข้องกับมังกรทั้งหมด 32 ท่า เริ่มการหลอมรวม…

ในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงรู้สึกตื่นตะลึง “แค่นี้เองเหรอ? ไม่ดีแน่ๆ ถ้าฉันเรียนรู้เร็วขนาดนี้ จะผิดปกติเอานะ ฉันจะแกล้งทำเป็นว่าตัวเองต้องใช้เวลาสองปีในการเรียนรู้ นี่เรื่องใหญ่มาก! ระบบ แกเข้าใจไหม?”

ระบบตอบกลับ “โฮสต์ไม่ต้องแกล้งทำ โฮสต์ไม่มีวิชาอะไร ระบบต่างหาก…”

ฟางหนิงชะงัก “ถ้าแกพูดแบบนี้ ถือว่าเราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป”

เมื่อเห็นท่าทีหดหู่ใจหลังจากอ่านตำรา คุณนายจ้าวผู้ซึ่งพิชิตแกะย่างทั้งตัวแล้วก็เช็ดปากอย่างพึงพอใจ และวางมันลงข้างๆ อย่างสง่า จากนั้นจึงจิบน้ำแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวฟาง อย่ารีบสิ การฝึกวิทยายุทธเป็นเรื่องยาก ยิ่งเป็นเทคนิคการฝึกฝนที่หายากและล้ำค่าของฉันแล้ว ตอนนี้คุณต้องท่องให้ได้ก่อน หลังจากนี้ฉันจะมาช่วยชี้นำทุกสัปดาห์ แน่นอนว่า ทุกครั้งที่มาก็ต้องเหนื่อยและใช้พลังงานอย่างมาก…”

เขาเพิ่งให้เทคนิคการฝึกฝนที่ไร้เทียมทานมา เทพแห่งระบบก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก วิทยายุทธมังกรที่ทำให้เทพแห่งระบบพัฒนาขึ้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน และนี่เป็นแค่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงผลจากการฝึกลมปราณ หากรวมการเพิ่มขึ้นของพลังปราณ…

ด้วยท่าไม้ตายนี้ เวลาเล่นก็ยิ่งไม่ต้องกังวลน่ะสิ ผีทั้งหลายต้องหลบไปซะ

ด้วยบุญคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ฟางหนิงไม่ใช่เทพแห่งระบบผู้ไร้ยางอาย ด้วยนิสัยของเขา ไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงตอบกลับ “เมื่อถึงเวลา ศิษย์จะทำอาหารที่ดีที่สุดเพื่อตอบแทนอาจารย์”

ระบบแย้งขึ้นทันที “โฮสต์ตัดสินใจแทนระบบอีกแล้วนะ เดี๋ยวระบบจะคิดบัญชีกับโฮสต์ภายหลัง ในเมื่อโฮสต์เป็นคนตกลง ต่อไปโฮสต์ต้องเป็นคนทำอาหารนะ…”

ฟางหนิงชะงัก ‘หลังจากที่ปีศาจงูกินอาหารดิบที่ฉันทำ เธอจะโกรธหรือเปล่า จากพันธมิตรกลายเป็นศัตรูเป็นปัญหาเลยนะ’

คุณนายจ้าวไม่รู้ว่าทำไมฟางหนิงจึงหยุดชะงัก เธอคิดว่าเด็กคนนี้ดีใจจนบ้า จึงรู้สึกพึงพอใจมากกว่าเดิม “ฮ่าๆ เสี่ยวฟาง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ตาแก่ของฉันไม่มีอะไรนอกจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์และฟาร์มเกษตรรอบๆ นี้หลายแห่ง เขาเป็นประธานกลุ่มผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉีเชียวล่ะ วัตถุดิบพวกนั้นฉันจะให้เขาเป็นคนจัดการ ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่าที่คุณซื้อจากตลาดกว่ามาก และจะสบายใจในการกินด้วย”

ฟางหนิงกำลังจะปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

เทพแห่งระบบแย่งร่างจากเขาและพูดว่า “อืม เมื่อถึงเวลานั้น โปรดนำวัตถุดิบมาให้มากที่สุด ผมจะทำในปริมาณที่มาก ให้ตัวเองกินในปริมาณของหนึ่งสัปดาห์ด้วย จะได้ไม่ต้องทำอาหารอีกครั้ง จริงด้วย อย่าลืมเตรียมยาสมุนไพรจีนมาเพิ่มนะครับ ผมจะเขียนรายการไว้ให้ ผมจะทำอาหารบำรุงร่างกายด้วย ซึ่งดีต่อร่างกายอย่างมาก”

เมื่อคุณนายจ้าวได้ยินก็ดีใจจนยิ้มแก้มแทบปริ “ดีมาก แกนี่มันพูดจาตรงไปตรงมาจริงๆ แต่คุณป้าชอบ… ตาแก่ คุณไม่มีความเห็นอื่นใดใช่ไหม?”

ประธานจ้าวรีบพยักหน้า “ที่รักพูดถูก ตอนนี้การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารกำลังดุเดือด กินเยอะๆ จะได้ช่วยระบายคลังสินค้า…”

คุณนายจ้าวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “หมายความว่าอย่างไร? คุณจะให้ฉันกับเสี่ยวฟางกินของที่ใกล้หมดอายุเหรอ?”

ประธานจ้าวส่ายหน้าไปมา “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร รับรองว่าสดใหม่ทั้งหมด”

คุณนายจ้าว “แล้วยาสมุนไพรจีนที่เสี่ยวฟางต้องการล่ะ?”

ประธานจ้าวกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ตามนิสัยการกินของที่รักแล้ว มีแค่ร้านขายยาของตระกูลฉีเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการระยะยาวได้ พวกเขามียาสมุนไพรเหล่านี้จำนวนมาก และได้ยินมาว่า พวกเขาวางแผนที่จะเริ่มปลูกสมุนไพรจีนในแถบเมืองใกล้เคียงอีกด้วย”

เมื่อคุณนายจ้าวได้ยินว่าเป็นตระกูลฉีก็พลันขมวดคิ้ว แล้วหันไปพูดกับฟางหนิงว่า “ไอเด็กเวรนั่นและปู่ของมันเพิ่งจะเสียชีวิตเพราะความขัดแย้งภายในตระกูลฉีเมื่อไม่นานมานี้ คนขวางหูขวางตาล้วนไม่อยู่แล้ว ถ้าตาแก่ไปซื้อยาสมุนไพรจากที่นั่น นายมีความเห็นอะไรไหม?”

ฟางหนิงจะมีความเห็นได้อย่างไร ตอนนี้เขาไม่มีความขุ่นเคืองกับตระกูลฉี และไม่ต้องการไปสะกิดผู้มีอำนาจในนั้นด้วย จึงรีบโบกมือ “ไม่เป็นไรครับๆ เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป”

คุณนายจ้าวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อจากตระกูลฉีแล้วกัน อย่าลืมขอส่วนลดล่ะ คราวที่แล้วทำตระกูลเราเสียหน้าไม่น้อยเลย ตอนนั้นฉันกำลังยุ่ง แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีก ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาไป”

เมื่อคุณนายจ้าวพูดถึงเรื่องนี้ ร่างกายของเธอก็แผ่รัศมีสยดสยองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากรู้ตัวก็รีบดูดกลับ โดยใช้มือขวากุมปากและหัวเราะ ‘แหะๆ’ “เสี่ยวฟาง ไม่ได้ทำให้คุณกลัวใช่ไหม?”

ฟางหนิงส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับๆ”

ฟางหนิงคิด ‘แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ฉันกลัวแทบตาย แต่ตอนนี้คุณคือพันธมิตร ฉันจะกลัวได้อย่างไร แค่ระบบไม่เผยร่างที่แท้จริงของคุณให้เราเห็นก็พอ’

แต่เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตาแก่จ้าวถึงซื่อสัตย์แบบนี้ มีน้อยคนนักที่จะกล้าเผชิญหน้ากับนักล่ายักษ์ ตาแก่จ้าวยังนอนกับเธอทุกคืน กล้าหาญไม่น้อยทีเดียว…

บนรถเบนซ์ คุณนายจ้าวรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง และปฏิบัติกับตาแก่จ้าวดีขึ้นเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนดึงหูอีก

เมื่อประธานจ้าวเห็นภรรยากำลังอารมณ์ดี จึงถือโอกาสพูด “ในเมื่อเสี่ยวฟางบอกว่าเขาจะทำอาหารในปริมาณที่มาก ถ้าอย่างนั้นตอนที่รักมาสอนเขา ก็พาผมกับเหยาเหยามาด้วยดีไหม?”

คุณนายจ้าวมองประธานจ้าวหัวจรดเท้า เธอมองอยู่พักใหญ่จนเขารู้สึกกลัวว่าตัวเองขอมากไปหรือเปล่า คุณนายจ้าวจึงพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าต้องให้คุณมาด้วย คุณน่ะไม่เป็นปัญหาหรอก แค่ไก่ตัวเดียวคุณก็อิ่มแล้ว คุณแก่แล้วจำเป็นต้องบำรุงเหมือนกัน แต่เหยาเหยา?”

ประธานจ้าวรู้สึกสงสารลูกสาว จึงพูดทันทีว่า “คุณจะขังเหยาเหยาไว้ในบ้านตลอดแบบนี้ไม่ได้นะ อีกอย่าง คุณต้องการจับคู่พวกเขาสองคนด้วยไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อคุณนายจ้าวได้ยิน จึงฝืนใจพูดออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น ทุกๆ ห้าครั้ง ฉันจะพาเธอมาด้วยหนึ่งครั้งก็แล้วกัน”

ประธานจ้าวถามกลับ “หมายความว่าเดือนหนึ่ง พวกเขาจะได้เจอกันหนึ่งครั้งหรือ?”

คุณนายจ้าวจึงรีบเปลี่ยนคำ “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นทุกๆ สามครั้ง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว เด็กคนนั้นกินจุกว่าฉันอีก ระวังคุณจะหมดตัวนะ”

ประธานจ้าว “ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะขยายฐานการผลิตอีกหน่อย แต่ดูเหมือนว่าฟาร์มบางแห่งจะไม่มั่นคง คนงานบางคนออกจากงานโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ตามปกติแล้วไม่ควรเป็นแบบนี้ พวกเขาล้วนเป็นคนท้องถิ่น สวัสดิการก็ไม่เลวเลย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาอยากได้งานที่ดีกว่านี้”

คุณนายจ้าวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “คุณอย่าเพิ่งไปดูเลย ช่วงนี้คุณอยู่ที่บ้านกับเหยาเหยาไปก่อน ฉันจัดการเอง”

จากนั้นเธอก็พูดกับคนขับรถที่ขับรถอยู่ข้างหน้าว่า “เสี่ยวเฮย ช่วงนี้คุณไม่ต้องไปไหน แค่เฝ้าบ้านก็พอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบโทรหาฉัน!”

คนขับรถผู้มีผิวสีเข้ม ยังคงขับรถอย่างตั้งใจ เขาพยักหน้าและตอบรับ “ครับ พี่หลิ่ว”

ณ บ้านของฟางหนิง ในพื้นที่มิติของระบบ

จู่ๆ ระบบก็พูดขึ้นมา “วันนี้โชคดีจริงๆ ที่ได้เรียนรู้ทักษะการฝึกลมปราณที่เข้าคู่กับวิทยายุทธ์ของระบบ ดูเหมือนไม่เสียเปล่าที่เลี้ยงข้าวพวกเขา”

ฟางหนิงรู้สึกสงสัย “เฮ้ เขาว่ากันว่าการฝึกลมปราณดีกว่าวิทยายุทธ์ไม่ใช่หรือ ไม่ว่าได้เรียนรู้ทักษะไหนก็ถือว่าได้กำไรหรือเปล่า?”

ระบบโต้กลับ “ไร้สาระ โฮสต์ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะโฮสต์พูดก่อนหน้านี้ว่าแบบฝึกทักษะนี้จะสามารถประหยัดเวลาในการกินข้าวได้ ระบบก็ขี้เกียจที่จะเรียนรู้มันเหมือนกัน ถ้าเรียนรู้ทักษะมั่วๆ มีแต่จะทำลายระบบการอัพเลเวลของวิทยายุทธ์”

ฟางหนิง “เอาเถอะ แค่แกเข้าใจก็พอ ฉันไม่เข้าใจฉันก็จะไม่พูดอะไรแล้ว”

เทพแห่งระบบพึงพอใจกับท่าทีถ่อมตัวของฟางหนิงเป็นอย่างมาก “อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้กำไรมากทีเดียว และได้จัดการปัญหาเรื่องการกินในอนาคตของเราด้วย และช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากในการสลับตัวตนในตอนกินข้าวด้วย ก่อนหน้านี้ต้องเสียค่าอาหารหลายล้านต่อเดือน เงินที่ประหยัดมาได้ก็ซื้อวัตถุดิบอีกจำนวนมาก”

ฟางหนิงถอนหายใจและพูดว่า “ใช่น่ะสิ แกได้กำไรเยอะจริงๆ แต่ฉันต้องเสียหน้ามากกว่าเดิม…”

ระบบพูดต่อ “เมื่อตอนโฮสต์นั่งกับเด็กสาวคนนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จครั้งที่แล้ว โฮสต์ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโฮสต์เสียหน้าหมดแล้ว แล้วตอนนี้โฮสต์จะเสียหน้ามากกว่าเดิมได้อย่างไร?”

ฟางหนิงเงียบ “…”

หลังจากนั้นไม่นาน ฟางหนิงจึงพูดขึ้นว่า “สอนทักษะพลังมังกรให้ฉันหน่อยสิ”

ระบบงุนงง “ทำไมล่ะ? ระบบทำได้ก็พอ โฮสต์ขี้เกียจขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โฮสต์อยากเรียนรู้ทักษะเองเลยนะ ระบบขอเตือน การฝึกฝนทักษะนี้ยากและเหนื่อยมาก”

ฟางหนิงถอนหายใจเฮือก “ตอนนี้ฉันไม่มีหน้าจะเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นก็เลยต้องไปเป็นมังกร…”

……………………………………………………….

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เวลาสองทุ่ม ณ ฐานทัพสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี

โม่ซิ่ง “ทุกคน วันนี้พวกคุณมีภารกิจที่หนักมาก!”

อาจารย์ใหญ่จางสีหน้าจริงจัง

คนอื่นๆ ก็ดูเคร่งขรึม

โม่ซิ่ง “ในบรรดาพวกคุณจะมีหลายคนที่ไม่ได้กลับมา…”

ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

โม่ซิ่ง “สำนักงานความจริงได้ส่งประกาศฉุกเฉินมาอีกครั้งว่า ‘เครือข่ายของเราได้ตรวจพบเหตุการณ์พิเศษที่ 77 ปีศาจผู้ทรงพลังที่เก่งในเรื่องการพรางตัวครั้งก่อนจะกลับมาที่เมืองฉีอีกครั้งในเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ เพื่อความแน่ใจ เราได้ตรวจสอบซ้ำแล้วว่า ในครั้งนี้มีสถานที่สามแห่งที่มีความเป็นไปได้ที่มันจะลงจุติ ซึ่งได้แก่ เขตตะวันออกเฉียงใต้ เขตตะวันออกเฉียงเหนือ และใจกลางเมือง เพียงแต่สาวกที่เป็นผู้ชี้พิกัดให้มันค่อนข้างอ่อนแอ เครือข่ายจึงยากที่จะตรวจจับตำแหน่งที่แน่ชัดได้ เราจึงต้องกระจายกำลัง’”

ทุกคนสีหน้าตึงเครียดกันหมด

โม่ซิ่ง “ตามแผน แบ่งเป็นสามทีมและออกเดินทาง”

อาจารย์ใหญ่จาง “ทุกคนต้องกลับมานะ…”

การฟาร์มปีศาจในชีวิตประจำวันของอัศวิน A

ระบบพูด “โฮสต์ ไปล่าปีศาจชื่อเหลืองอีกสักตัวสองตัว…”

ฟางหนิงไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เขากำลังมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับเกมออนไลน์ในประเทศที่เขาเป็นหัวหน้ากิลด์ “ตามใจแกสิ…”

ณ ห้องใต้ดินเขตตะวันออกเฉียงใต้เมืองฉี

พื้นห้องถูกย้อมด้วยคราบเลือดสีแดงเหมือนเดิม รูปเจ็ดเหลี่ยมแปลกประหลาดร่างอยู่บนพื้นคอนกรีต มีเจ็ดมุม แต่ละมุมจะแสดงใบหน้ามนุษย์หนึ่งคน บ้างสุขบ้างโกรธ บ้างทุกข์บ้างเศร้า

ชายคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางรูปเจ็ดเหลี่ยมและพึมพำกับตนเอง “การเสียสละของอารมณ์ทั้งเจ็ด…”

อัศวิน A อยู่ข้างหลังชายคนนั้น ทว่าชายคนนั้นกลับไม่ได้สังเกตเห็น แต่แม้อัศวิน A จะอยู่ตรงนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ลงมือ…

ระบบ “โฮสต์ คุณปรับอารมณ์ของตัวเองเสร็จแล้วหรือยัง?”

ฟางหนิงตอบกลับ “ฉันทำไม่ได้ การเจอสิ่งเดิมๆ ครั้งที่สอง ก็ไม่รู้สึกกลัวเหมือนเดิมแล้ว ขอฉันสร้างบรรยากาศน่าสยดสยองในหัวก่อนนะ จินตนาการถึงอนาคตที่น่ากลัว…”

ระบบเริ่มหงุดหงิด “รีบหน่อยเถอะ ระบบรู้สึกว่าหมอนี่เป็นพวกเดียวกับคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว น่าจะกำลังเชิญบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ อาจทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองนี้ถูกตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต…”

ฟางหนิง “?! เสร็จแล้ว ดูแผนที่เร็ว!”

เสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้นฉับพลัน จากนั้นชายหนุ่มก็ลงไปนอนกับพื้นและสิ้นลมหายใจไปทันที

ฟางหนิงเอ่ยถาม “สิ่งน่าสะพรึงตัวนั้นจะไม่ถูกเรียกออกมาแล้วใช่ไหม?”

ระบบตอบกลับ “เมื่อครู่บนแผนที่ระบบมีจุดสีเหลืองสองจุดที่มีสีและขนาดเท่ากับเขา ล้วนแต่เป็นเหลืองประกายม่วงแดง สีคล้ายกันขนาดนี้ เป็นไปได้ว่ามันเป็นพวกเดียวกัน และเคยก่ออาชญากรรมเดียวกัน”

ฟางหนิงว่า “ถ้าอย่างนั้นรีบไปจัดการกันเถอะ ฉันกำลังทำภารกิจรับค่าประสบการณ์สองเท่าและอัตราการระเบิดสามเท่า จะถูกตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้…”

ระบบ “…”

ณ สนามในฐานทัพหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี

อาจารย์ใหญ่จางรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น ไม่มีโผล่มาอีกแล้วหรือ?”

รองผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษตอบกลับทันที “อาจารย์ใหญ่ เจ้าหน้าที่สำนักสัจธรรมแจ้งมาว่า สัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงหาพิกัดจุติไม่พบ ให้เรารออีกหนึ่งสัปดาห์…”

อาจารย์ใหญ่จางตอบกลับ “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องดีที่สัตว์ประหลาดตัวนี้หลงทางอยู่เรื่อย อย่างน้อยพวกคุณก็ยังปลอดภัยดี และได้สั่งสมประสบการณ์ในการเข้าร่วมเหตุการณ์ฉุกเฉินจำนวนไม่น้อยด้วย…”

โม่ซิ่งตอบรับ “แยกย้าย ห้ามใครพูดถึงรายละเอียดของภารกิจในคืนนี้!”

ณ คฤหาสน์ตระกูลจ้าวแห่งฉีเฉิงซิงเซิ่งกรุ๊ป ในเขตชานเมืองทางตะวันออก

คุณนายจ้าวเอ่ยขึ้น “ตาแก่ นี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ฉันเองก็หิวมากแล้วนะ คุณก็น่าจะไม่อายที่จะเอ่ยปากพูดได้แล้ว ฉันรอถ่ายทอดทักษะฝึกฝนเฉพาะตัวให้เขาหลังอาหารด้วย จริงที่ครั้งที่แล้วฉัยกินเยอะไปหน่อย แต่เหยาเหยาก็ได้จ่ายค่าอาหารแทนเราแล้วไม่ใช่หรือ เสี่ยวฟางนี่ไร้เดียงสาจริงๆ เลย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีเจตนาล่ะก็ คงไม่คิดจะเก็บเงินแล้ว”

จ้าวเสียงเหวินตอบกลับ “เพิ่งจะผ่านมาไม่นานเอง ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณฝึกถึงขั้นสองแล้ว กินอาหารเดือนละครั้งก็ได้ไม่ใช่หรอกหรือ? เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็แค่ขนวัตถุดิบจากซิงเซิ่งกรุ๊ปของเราไปให้เพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่การที่ทำให้เขาต้องทำงานเหนื่อยหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มนั้น ถึงจะเป็นสัปดาห์ละครั้งก็ไม่มีใครทนไหวหรอก…”

“เฮ้ๆ หยุดๆ อย่าบิดเลยๆ ฉันจะโทรไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะโทรเดี๋ยวนี้ล่ะ…”

หลิ่วเหยาลงมาจากชั้นสอง “พ่อ จะโทรหาใครคะ?”

คุณนายจ้าวยั้งมือแล้วบอกว่า “เหยาเหยา สองสามวันนี้ลูกอย่าออกไปไหน อยู่ฝึกซ้อมเปียโนที่บ้านนะ พ่อกับแม่กำลังจะทำภารกิจที่ค่อนข้างหนัก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของครอบครัวเรา…”

หลิ่วเหยา “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แต่หนูได้ยินแม่พูดว่าจะทำอะไรบางอย่างหลังกินข้าว ก็เลยคิดว่าประธานฟางคงเชิญพ่อกับแม่ไปทานข้าวอีกแล้ว”

คุณนายจ้าวยิ้มหวาน “เดินร้อยก้าวหลังอาหาร จะมีชีวิตอยู่ถึงเก้าสิบเก้าปี ไม่มีอะไรอื่น รีบไปฝึกซ้อมเปียโนเถอะจ้ะ ส่วนเรื่องกับข้าว แม่บอกแม่บ้านอู๋ว์ให้ทำอาหารจานโปรดของหนูแล้ว พ่อกับแม่ไปก่อนนะ…”

ประธานจ้าวยิ้มเจื่อน “เหอะๆ…”

หลิ่วเหยาตอบรับ “ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว…”

คุณนายจ้าวส่งสายตาให้ตาแก่จ้าว ‘เร็วเข้า’

ประธานจ้าว ‘ครับๆ’

บนรถเบนซ์ คนขับรถของตระกูลจ้าวกำลังขับรถอย่างตั้งใจ

ประธานจ้าวโทรศัพท์หลายสายให้พนักงานในเครือหลายๆ แห่งตระเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ทั้งหมดเป็นผลผลิตของซิงเซิ่งกรุ๊ป ซึ่งล้วนแต่ปลอดสารพิษและสารกันบูด…

หลังจากนั้นเขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะกดโทรหาหมายเลขหนึ่ง แต่หลังจากหยุดคิด เขาก็วางมือถือลงอีกครั้ง แต่แล้วหลังจากวางมือถือลง เขาก็ต้องหยิบมันขึ้นมาใหม่เพราะสายตาเฉียบคมของภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ

คุณนายจ้าว “นี่มันก็สิบโมงเช้าแล้ว คุณต้องเผื่อเวลาให้เขาทำอาหารด้วย ถ้าเลยเวลากินข้าวไป ก็ทำได้แค่ดื่มน้ำชายามบ่ายแล้วล่ะ…”

ในที่สุด เขาก็กัดฟันและโทรออกหมายเลขนั้น

เสียงรอสายของปลายสายดังขึ้น ‘สี่ซัวซัว~ สี่ซัวซัว…’

เสียงรอสายดังอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงตอบรับว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง”

ประธานจ้าวนิ่งเงียบ “…”

ด้านคุณนายจ้าวกลับมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งค่อยๆ เลื่อนไปที่หูของตาแก่จ้าว “เกิดอะไรขึ้น?”

ประธานจ้าวงุนงง แต่แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “อ๋อ ผมรู้แล้ว เด็กคนนี้ต้องกำลังเล่นเกมอยู่แหงๆ และเปิดเครื่องเสียงไว้ด้วยแน่นอน จึงไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า”

คุณนายจ้าว “???”

ประธานจ้าวรีบเอ่ยต่อ “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะติดต่อเขาทาง QQ เพื่อติดต่อกับสมาชิกกิลด์ในเกม เขาจะเปิด QQ ทิ้งไว้”

คุณนายจ้าวดีใจมาก “ไม่เลวเลยนะตาแก่ ทำการบ้านมาเยอะเหมือนกันนี่”

ประธานจ้าวเปิด QQ บนโทรศัพท์มือถือ แน่นอนว่าครั้งนี้เขาติดต่อฟางหนิงทาง QQ ได้สำเร็จ เขาพิมพ์ทักทายฟางหนิงอย่างชำนาญ

ประธานจ้าว “สวัสดี เสี่ยวฟาง”

ฟางหนิง “สวัสดีครับ ประธานจ้าว”

ฟางหนิงคิดในใจ ‘รีบออฟไลน์ดีกว่า เมืองของระบบจะถูกยึดอีกแล้ว ตอนนี้เทพแห่งระบบเข้มงวดมาก แอบเติมเกมยังยากเลย ทำให้เราถูกคนอื่นแซงภายในหนึ่งสัปดาห์

ประธานจ้าว “คือว่า ตามที่ฉันบอกคุณครั้งก่อน ภรรยาของฉันได้ปลุกสายเลือดนารีมังกรให้ตื่นขึ้นมา อันที่จริงในขณะเดียวกันนั้นเธอก็ได้เรียนรู้วิธีฝึกฝนพิเศษด้วย”

ฟางหนิง “ได้ยินมาว่าวิธีฝึกฝนพิเศษนั้นล้ำค่ามาก ถ้าอย่างนั้นผมขอแสดงความยินดีกับท่านอีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ ตอนนี้ผมกำลังยุ่งมากจริงๆ”

ประธานจ้าวคิดในใจ ‘ยุ่งอะไรกัน คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกกำลังทำอะไร ต้องกำลังเล่นเกมอยู่แน่นอน!’

คุณนายจ้าวผู้อยู่ข้างๆ ที่กำลังยื่นคอมาดูข้อความ QQ นั้นพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่เลวเลย ไม่หวั่นไหวแม้กระทั่งทักษะการฝึกฝนพิเศษ”

ประธานจ้าวรีบตอบกลับ “เด็กคนนี้ขี้เกียจต่างหาก ในใจมีแต่เกม เขาไม่มีใจเสียเวลาไปกับการฝึกฝนหรอก ถ้าเขารู้ว่าคุณต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างน้อยเก้าชั่วโมงต่อวัน และต้องการอาหารจำนวนมากในการเติมเต็มพลังงานที่เสียไป มิหนำซ้ำยังไม่รับประกันว่าจะบรรลุ เขายิ่งไม่มีทางที่จะยอมฝึกฝนอย่างแน่นอน”

คุณนายจ้าว “ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ฉันจะพูดถูก เขาเป็นคนที่วิเศษจริงๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการฝึกฝน”

ประธานจ้าวรีบโกลับ “เป็นไปไม่ได้เลย เขาขี้เกียจขนาดนั้น จะสร้างความลำบากให้ตัวเองทำไมกัน”

แต่คุณนายจ้าวกลับยิ้มและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก ฉันมีวิธี คุณรีบพูดเรื่องกินข้าวได้แล้ว”

ประธานจ้าวขมวดคิ้ว “เริ่มยากแล้วสิ เขาไม่สนใจอยู่แล้ว”

คุณนายจ้าวแยกเขี้ยว “ตาแก่โง่ คุณแค่บอกเขาไปว่าฝึกแล้วจะตัวเบาและสุขภาพดี หลังจากบรรลุกินอาหารแค่สัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ก็จะสามารถประหยัดเวลากินข้าวเพื่อไปเล่นเกมได้ นอกจากนี้ก็จะมีอายุยืน เมื่อมีอายุยืนก็จะมีเวลาเล่นเกมมากขึ้น”

ประธานจ้าว “ที่รักฉลาดจริงๆ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ลืมคนขับรถไปเลย ด้านคนขับรถก็มองตรงไปข้างหน้า ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ตั้งใจขับรถต่อไป

จากนั้นประธานจ้าวก็พิมพ์ข้อความส่งไปใน QQ ทันที

ฟางหนิง “ไม่…”

หลังจากนั้นไม่นาน

ฟางหนิง “ไม่รบกวนพวกท่านแล้วจริงๆ! ผมตื้นตันใจมากจริงๆ และเกรงใจอย่างมาก ผมไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านอย่างไรดี มันเป็นไปได้อย่างไร? นี่… นี่มันวิเศษมาก คิดไม่ถึงว่าการฝึกฝนของภรรยาของท่านจะช่วยให้ไม่ต้องกินข้าวและมีอายุยืนได้ มันล้ำค่าจริงๆ จะให้รับมือเปล่าแบบนี้ได้อย่างไร?”

ประธานจ้าวตอบว่า “ฮ่าๆ เราใกล้ถึงบ้านคุณแล้วล่ะ ไว้ถึงแล้วค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที จริงด้วย กินข้าวด้วยกันอีกสักมื้อ คุณไม่ต้องห่วงเรื่องวัตถุดิบนะเสี่ยวฟาง ผมให้คนส่งไปที่บ้านคุณแล้ว คุณก็แค่ทำอาหารง่ายๆ ก็พอ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “โอ้ นี่มัน… นี่มัน…”

พูดจบ ประธานจ้าวก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ที่รัก ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

คุณนายจ้าวแสดงสีหน้าลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก “ตามคาด โอตาคุอยากมีชีวิตยืนยาวแน่นอน เมื่อได้เล่นเกมขึ้นมาก็ไม่อยากกินข้าวด้วยซ้ำ…”

ประธานจ้าวผุดยิ้ม “ที่รักฉลาดมากจริงๆ”

ณ ร้านอินเทอร์เน็ตในระบบ ฟางหนิงออกจากเกม จากนั้นจึงปาดเหงื่อ “การฟาร์มปีศาจเยอะทำให้สมองเสื่อมได้ง่ายจริงๆ เกือบหลุดปากไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของโอตาคุผู้มีพลังพิเศษในด้านการทำอาหารเพียงอย่างเดียวอย่างเรา ถ้าไม่สนใจวิธีที่จะทำให้อายุยืนล่ะก็ ทุกคนต้องรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่นอน”

ระบบตอบกลับ “ระบบไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก แต่เรื่องทำอาหารไม่ควรให้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระบบจะมีเวลารับใช้พวกเขาทุกวันได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะมีกะจิตกะใจฝึกปราณกำลังภายในได้อย่างไร?”

ฟางหนิงอธิบาย “พวกเขาบอกว่าถ้าฝึกวิชานั้น ไม่เพียงแต่จะมีอายุยืน แต่กินข้าวแค่สัปดาห์ละครั้งด้วย ยิ่งในระดับที่สูงขึ้นไป กินแค่ปีละครั้งก็เพียงพอแล้ว เรื่องอายุยืนนั้นเรายังพิสูจน์ไม่ได้เพราะอายุฉันยังน้อย แต่เรื่องกินข้าวนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน”

ระบบได้ยินด็ตอบรับทันที “ถ้าอย่างนั้นก็รีบบอกให้พวกเขามาเถอะ วิชาที่สามารถประหยัดเวลากินข้าวได้นี้แม้จะเลเวล 80 ก็อาจยังไม่ได้เรียนรู้…”

…………………………………………………

เวลาสองทุ่ม ณ ฐานทัพสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี

ขณะนี้ฐานทัพได้อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอย่างเต็มรูปแบบ ทีมเจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษในชุดสูทสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ดาบและโล่พร้อมสู้รบแล้ว พวกเขาตั้งขบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนสนามภายในฐานทัพ พวกเขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม

ไม่นานหลังจากนั้น โม่ซิ่งผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษของเมืองฉีก็เดินมาหาพวกเขา และตามด้วยรองผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษสามคน อาจารย์ใหญ่จางและนักเรียนบางส่วนของศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติ

ไม่ว่าโม่ซิ่งหรือคนที่อยู่ข้างหลังเขา ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมทั้งสิ้น และเดินตามหลังเขาอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครส่งเสียงดังโดยไม่จำเป็น

โม่ซิ่งยืนนิ่งเมื่อเดินมาถึงตรงหน้าสมาชิกทีมกิจการพิเศษเหล่านั้น

นักเรียนของศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติที่อยู่ข้างหลังเขาเหล่านี้ ต่างรีบวิ่งไปขนาบทางด้านซ้ายของหน่วยกิจการพิเศษ และตั้งแถวอย่างเรียบร้อย ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

โม่ซิ่งขยับแว่นตาเล็กน้อย แสงจากระยะไกลส่องมาที่แว่นและแผ่สะท้อนรัศมีเย็นชาออกมา

ดวงตาของเขาเผยแววเย็นยะเยือก “ทุกคน วันนี้พวกคุณต้องปฏิบัติภารกิจหนึ่งที่หนักมาก อาจมีคนที่ไม่ได้กลับมาอีก หรืออาจไม่เหลือแม้แต่ซาก”

ในเวลานี้ไม่มีใครส่งเสียงดัง ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยฟังคำพูดถัดมากันอย่างเงียบๆ

“ในการจะชนะสงครามใดๆ ก็ตาม จำต้องมีการเสียสละ! และไม่มีข้อยกเว้น! สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ คือสงครามที่หฤโหดที่สุดในชีวิต! ไม่ว่าใครก็ตาม ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ ตั้งแต่ผู้ป่วยใกล้ตายไปจนถึงทารกแรกเกิด ล้วนต้องมีสำนึกในการเสียสละ! ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งใด แต่ทำเพื่อมนุษย์กันเอง!”

เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เขาก็กวาดตามองสีหน้าของทุกคน และหยุดกระตุ้น ด้วยเพราะคนขี้ขลาดและไม่หนักแน่น ถูกคัดออกจากภารกิจในคืนนี้แล้ว

“สำนักสัจธรรมเพิ่งจะส่งประกาศฉุกเฉินมาว่า เครือข่ายของเราตรวจสอบพบเหตุการณ์พิเศษที่ 77 ซึ่งมีเอเลี่ยนที่มีความสามารถในการพรางตัวสูงมาก อีกทั้งยังก้าวร้าวและมีนิสัยดุร้าย จะมาถึงเมืองฉีในเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ เหตุการณ์นี้จะเป็นภารกิจที่หลังจากหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีของเราก่อตั้งขึ้นมาสองปี ดำเนินการกวาดล้างด้วยเราเองเป็นครั้งแรก”

โม่ซิ่งสายตาเย็นชา “ถึงเราจะมี 123 คนในคืนนี้ และมันจะมีแค่ตัวเดียว แต่ทุกคนก็อย่าประมาทมันเชียว!!”

“ความเก่งกาจของมัน แตกต่างจากขีปนาวุธอย่างสิ้นเชิง! ในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแบบนี้ อาวุธหนักอะไรก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นอาวุธที่พวกคุณใช้จึงเป็นเพียงอาวุธเบาที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ และอาวุธพิเศษเหล่านี้อาจทำอะไรมันไม่ได้เลย!”

“พวกคุณอาจต้องเสียสละร่างกายและชีวิตของตนเพื่อประชาชน ในบรรดาพวกคุณมีทั้งผู้มีพลังพิเศษ และผู้ได้รับการฝึกฝนเบื้องต้นแล้ว ร่างกายและพลังทางจิตวิญญาณจะมีความแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากและน่าดึงดูดมากกว่าคนธรรมดาเช่นกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลง เพื่อโค้งคำนับทุกคน

“ผมขอบคุณทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลังจากพวกคุณได้รับพลังพิเศษแล้ว ก็ยังคงไม่กลัวที่จะเสียสละตัวเอง โดยเฉพาะบรรดาผู้มีพลังพิเศษที่อาสาเข้าร่วมในภารกิจนี้ ซึ่งหายากมาก ศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติประกาศ หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป พวกคุณจะได้รับระดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น สามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างอิสระ แค่รายงานที่อยู่เป็นประจำก็พอ”

จากนั้นเขาก็พูดกับอาจารย์ใหญ่จางที่อยู่ข้างๆ “อาจารย์ใหญ่จาง พูดอะไรกับทุกคนอีกสักหน่อยเถอะครับ”

อาจารย์ใหญ่จางมองผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนอายุยังน้อย หลายคนเคยเรียนกับเขา และต้องลำบากใจเพราะเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยโทษทัณฑ์ทั้งสามที่ค้ำคออยู่ ไม่มีใครกล้าต่อต้านเขา

แต่ในเวลานี้ เขากลับไม่ต้องการพูดอะไรอีก ไม่ต้องการที่จะปราศรัยอะไรอีก

เพราะเขารู้ว่า หลายคนในนี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นพวกเขา

สำหรับผู้มีพลังพิเศษที่อาสาเข้าร่วมภารกิจเหล่านั้น บางคนอาจโชคดี และไปเพื่ออิสรภาพแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาเข้าร่วมภารกิจ ก็หมายความว่าพวกเขาได้ตระหนักรู้ในการเสียสละแล้ว

“ต้องกลับมาทุกคนนะ”

เขาพูดแค่ประโยคเดียว ก็ยากที่จะพูดอะไรต่อได้

“ตามแผน ออกเดินทาง!” หลังจากที่โม่ซิ่งพูดจบ เขาก็เดินออกไปเป็นคนแรก

ในบรรดาพวกเขา นอกจากอาจารย์ใหญ่จางผู้ชราที่ยังยืนอยู่ที่เดิม คนอื่นๆ ต่างเดินตามโดยไม่มีข้อยกเว้น

อาจารย์ใหญ่จางมองดูแผ่นหลังของคนเหล่านี้ที่เดินไกลออกไปทีละคน ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านความยากลำบากมามากเพียงใด ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เขายื่นมือขึ้นสูง โบกมือให้กับแผ่นหลังของพวกเขา และพึมพำว่า “ทุกคน ต้องกลับมานะ…”

คนเหล่านั้นได้เข้าสู่ความมืดแล้ว และในไม่ช้าเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์จากระยะไกลก็ดังขึ้น

แต่อาจารย์ใหญ่จางยังคงยืนนิ่ง แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่มีอากาศหนาวเหน็บ เขายังคงยืนอยู่ที่นั่น เฝ้าดูทิศทางที่ผู้คนเหล่านั้นเดินจากไป…

อัศวิน A ตบหัวขโมยให้สลบไปในฝ่ามือเดียว เขาส่ายหัว นับตั้งแต่ที่เขาได้จัดการมอนสเตอร์ตัวใหญ่จนเลเวลอัพก่อนหน้านี้ เขาก็มักจะอยู่ในโหมดสแตนด์บาย เวลาส่วนใหญ่ทำได้แค่ฝึกวิทยายุทธ ฝึกทักษะ และขัดเกลาพลังปราณแท้

จู่ๆ ระบบก็พูดขึ้นว่า “นับวันปีศาจยิ่งน้อยลง เราไปตามล่าพวกชื่อสีเหลืองไหม?”

ด้านฟางหนิงที่กำลังสนุกกับการอ่านนิยาย หลังจากได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็รีบโผล่มาทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ฟางหนิง “เอาสิ ฉันจะทำตามที่แกบอก”

ระบบ “ระบบขอดูแผนที่ระบบก่อน ตัวนี้ แย่ มืดและเล็กเกินไป ดูก็รู้แล้วว่าไม่มีค่าประสบการณ์ ส่วนตัวนี้ สว่างและตัวใหญ่มากพอ แต่ไม่มีแสงสีแดง ดูเหมือนจะไม่เคยทำบาปมาก่อน ถ้าเลือกจัดการมัน ค่าคุณธรรมจะลดลงอย่างมาก…”

ฟางหนิง “เลือกเสร็จแล้วบอกนะ…”

พักใหญ่ๆ หลังจากนั้น ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ตัดสินใจเลือกได้ “ตัวนี้แหละ ตัวไม่ใหญ่ ไม่สว่างมากเกินไป แต่เหลืองออกแดงๆ แดงปนม่วง ต้องเคยทำความชั่วมาแล้วแน่นอน ค่าประสบการณ์ไม่สูง แต่ก็จะได้รับค่าชื่อเสียงไม่น้อย ดีเหมือนกัน จะได้เปิดโมดูลอัศวิน ถึงเวลาความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอีก”

ฟางหนิง “แค่เทพแห่งระบบมีความสุขก็พอ…”

ณ อาคารที่พักที่ทรุดโทรมทางตะวันออกของเมืองฉี ในห้องคนธรรมดาคนหนึ่ง

พื้นห้องถูกย้อมด้วยคราบเลือด มีรูปเจ็ดเหลี่ยมแปลกประหลาดร่างอยู่บนพื้น มีเจ็ดมุม แต่ละมุมจะแสดงใบหน้ามนุษย์หนึ่งคน บ้างสุขบ้างโกรธ บ้างทุกข์บ้างเศร้า ทำให้ผู้เห็นรู้สึกประหลาดใจ

ในเวลานี้ ตรงกลางมุมทั้งเจ็ดนี้ มีชายในชุดคลุมสีดำคุกเข่าอยู่ ถือกริชในมือ มีเลือดหยดลงจากกริช และปากของเขากำลังขมุบขมิบอะไรบางอย่าง…

จู่ๆ อัศวิน A ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังชายคนนั้นอย่างไร้สุ้มไร้เสียง

อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นตั้งใจมาก ยังคงพึมพำต่อไป “เจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด อัญเชิญจอมมาร…”

ส่วนฟางหนิงนั้นไม่แม้แต่จะโผล่หัวออกมา เขาปล่อยให้เทพแห่งระบบเป็นคนจัดการทั้งหมด

เมื่อเทพแห่งระบบควบคุมร่างกายของเขา หลังจากอัศวิน A เข้าไปบ้านของอีกฝ่ายจากทางหน้าต่างแล้ว เขาก็ต้องตกใจกับบรรยากาศประหลาดภายในห้องอย่างมาก เขาวางนิยายลง และเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กในมิติระบบอีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นพิธีกรรมประหลาดแน่นอน และต้องเป็นอะไรที่เหนือธรรมชาติด้วยแน่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขากลัว

กล่าวคือ เขาเริ่มตระหนักรู้แล้วว่า โลกในปัจจุบันน่ากลัวกว่าเดิมมาก ถ้าระบบไม่มาครองร่างของเขาล่ะก็ …ฟางหนิงคงไม่มีทางออกมาข้างนอกตอนฟ้ามืดอีกเลย

แต่เทพแห่งระบบกลับไม่มีความรู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาควบคุมร่างกายของฟางหนิงโดยไม่มองดูรอบๆ จากนั้นก็ลอยไปอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร และตบไปที่หัวของชายคนนั้นโดยตรง

ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมเสียง ‘บู้ม’ สมองกระจัดกระจาย และตายในทันที

ฟางหนิงทั้งกลัวทั้งงุนงง “เฮ้ แกสามารถฆ่าปีศาจชื่อเหลืองโดยไม่ต้องพึ่งฉันแล้วเหรอ?”

ระบบตอบกลับ “อืม เราเพิ่งมาถึง แต่โฮสต์ก็กลัวจนเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กแล้ว สีของหมอนั่นเลยแดงจนออกม่วง… ดูเหมือนว่าโฮสต์จะกลัวหมอนี่มากนะ แต่ระบบกลับแปลกใจ ก่อนหน้านี้ที่เจอปีศาจงูนั้น โฮสต์ดูกลัวมากกว่าเมื่อครู่อีก แต่ทำไมปีศาจงูถึงไม่เปลี่ยนเป็นสีแดงล่ะ?”

เมื่อฟางหนิงได้พูดคุยกับเทพแห่งระบบ ความกลัวก็ลดลงมาก “ไร้สาระ เพราะเธอแค่ต้องการหาลูกเขยเท่านั้น ตราบใดที่ฉันไม่ทำให้เธอโกรธ ก็จะไม่มีภัยคุกคามใดๆ น่ะสิ แต่หมอนี่ดูก็รู้แล้วว่ากำลังวางแผนทำบางอย่างที่ไม่ดีอยู่แน่นอน เพราะฉะนั้นฉันเลยอดกังวลไม่ได้…”

ระบบตอบกลับ “เอาเถอะ ได้รับประสบการณ์น้อย แต่ชื่อเสียงอัศวินกลับเพิ่มขึ้นมาก น่าแปลกจริงๆ”

ณ ฐานทัพหน่วยกิจการพิเศษ อาจารย์ใหญ่จางที่เดิมทีกำลังรอการกลับมาของทีมโจมตี ตอนนี้กำลังยืนทื่ออยู่บนสนาม

ผู้โจมตีทั้งหมดได้กลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง นอกจากหยาดเหงื่อบนหน้าผากแล้ว ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

“พวกคุณทำภารกิจเสร็จเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? สัตว์ประหลาดจะจุติตอนเที่ยงคืนไม่ใช่เหรอ หรือเป็นเพราะว่ามันปรากฏตัวก่อนและถูกพวกคุณจัดการไปแล้ว?”

โม่ซิ่ง “…”

รองผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษ “อาจารย์ใหญ่จาง เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังจากออกเดินทางไปถึงตำแหน่งที่หน่วยกิจการพิเศษระบุ และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ หลังจากรอไปพักหนึ่ง สำนักสัจธรรมส่งประกาศฉุกเฉินมาอีกฉบับว่า ปีศาจทรงพลังเจ้าเล่ห์และดุร้ายตัวนั้นหาพิกัดจุติไม่เจอ และภายในสัปดาห์นี้น่าจะไม่ปรากฏขึ้นอีก”

อาจารย์ใหญ่จาง “ซึ่งก็หมายความว่า สัตว์ประหลาดตัวนั้นหลงทาง…”

โม่ซิ่ง “แยกย้าย และปิดเรื่องวันนี้ไว้เป็นความลับ!”

…………………………………………………..

ประธานจ้าว “เสี่ยวฟาง ทำไมคุณถึงชะงักไปล่ะ? ยังพูดไม่จบใช่ไหม?”

ฟางหนิงกำลังจะตัดสินใจ แต่กลับได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้ง

ระบบแจ้งเตือน: ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นตอนการเลือกช่วงต้นที่สำคัญ โปรดทำการเลือก

ตัวเลือกที่หนึ่ง: คุณโค้งคำนับ พร้อมพูดว่า “พ่อตาครับ โปรดรับไหว้จากลูกเขยคนนี้ด้วยเถอะครับ” จากนั้นคุณจึงเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวปีศาจงู และนับแต่นั้นมา คุณก็กลายเป็นพ่อครัวที่ทำงานเต็มเวลา และมีที่สำหรับหลบภัย ระบบยุติภารกิจครองร่าง แกนกลางระบบหยุดทำงาน แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็รู้ว่าคุณเป็นคนหลอกลวง แท้จริงแล้วคุณทำอาหารไม่เป็น ภายใต้การโน้มน้าวของประธานจ้าวและลูกสาว ในที่สุดคุณก็หนีออกจากตระกูลจ้าวด้วยความอับอาย ส่วนปีศาจงูที่คิดว่าตัวเองถูกหลอกนั้น ก็ส่งคนไปตามล่าคุณ…’

ตัวเลือกที่สอง: คุณตัดสินใจที่จะทำตามความปรารถนาของตนเองต่อไป คุณต้องการเก็บตัวอยู่บ้านไปตลอดชีวิต จึงตัดสินใจพึ่งพาตัวเอง ใช้ชีวิตคนเดียวอย่างอิสระ ดังนั้นจึงปฏิเสธความเมตตาของประธานจ้าว ส่วนปีศาจงูที่คิดว่าความเมตตาของพวกเขาถูกเหยียดหยามนั้น ก็ได้ไล่ฆ่าคุณแบบลับๆ อีกครั้ง ฝีมือของคุณอาจสูสีกับเธอ แต่ไม่สามารถตั้งหลักในเมืองฉีต่อไปได้ คุณทำได้เพียงละทิ้งอาชีพ และหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า…’

ตัวเลือกที่สาม: อาการผัดวันประกันพรุ่งที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ของคุณกำเริบกะทันหัน การตัดสินใจที่สำคัญแบบนี้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้จะดีกว่า วันนี้ไปสนุกกันต่อเถอะ… ดังนั้น คุณจึงหาเหตุผลในการเลื่อนเรื่องนี้ออกไปก่อน คุณตัดสินใจที่จะคิดเรื่องนี้อีกครั้งหลังจากระบบถึงเลเวล 100… หมายเหตุ ‘เหตุผลคือ เด็กสาวไม่ควรแต่งงานก่อนที่พลังแห่งสายเลือดจะถูกปลุกให้ตื่น ไม่เช่นนั้นจะทำให้สายเลือดของเธอไม่บริสุทธิ์’

ฟางหนิงน้ำตาไหลอาบแก้ม ‘ขอบคุณนิสัยผัดวันประกันพรุ่งที่อยู่ในขั้นรุนแรง! โอตาคุอย่างเราไม่เหมาะกับการที่จะต้องตัดสินใจฉับพลันแบบนี้จริงๆ’

ประธานจ้าวเอ่ยเรียกอีกรอบ “เสี่ยวฟาง ทำไมคุณชะงักไปอีกแล้วล่ะ? อาการของคุณยังไม่ดีขึ้นใช่ไหม?”

ฟางหนิง “เปล่าครับ ผมรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่และความหวังดีของประธานจ้าวที่มีต่อผมอย่างมาก เพียงแต่ผมได้ยินมา ว่ากันว่าไม่ควรแต่งงานก่อนที่พลังแห่งสายเลือดจะถูกปลุกขึ้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้ความบริสุทธิ์ของสายเลือดลดลง หลังจากนั้นความแข็งแกร่งก็จะลดลงตามไปด้วย ผมไม่สามารถเก็บซ่อนข้อมูลนี้เอาไว้ได้ เพราะมันไม่ยุติธรรมกับครอบครัวของท่าน”

ประธานจ้าวตะลึง “โอ้ ผมเข้าใจแล้วล่ะ คุณเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับผม ผมจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับภรรยาในภายหลัง”

อาหารมื้อเดียวใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดเย็น

ณ ห้องรับแขกพิเศษ ประธานจ้าวได้คุยเรื่องนี้กับภรรยาซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่บนโซฟาชั่วคราวหลังจากที่เธอกินอิ่ม

หลังจากคุณนายจ้าวได้ยินก็ผุดยิ้มมุมปากทันที “ฮ่าๆ ที่รัก ดูเหมือนว่าเขาจะผ่านด่านสุดท้ายแล้ว ถ้าอย่างนั้นค่อยคุยเรื่องนี้กันตอนเหยาเหยาปลุกพลังแห่งสายเลือดขึ้นมากันเถอะ”

ประธานจ้าวพยักหน้า แต่เมื่อนึกถึงมารยาทบนโต๊ะอาหารของภรรยาตัวเองเมื่อครู่ ก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย จึงถามขึ้นว่า “ที่รัก ถึงแม้ว่าเสี่ยวฟางจะเป็นเด็กดี แต่เขาทั้งขี้เกียจและเห็นแก่เล่น มีแค่พลังพิเศษที่สามารถเพิ่มทักษะในการทำอาหารเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ดูมีค่าอะไรมากมาย อีกอย่างผู้ชายมากความสามารถก็มีอีกเยอะ แต่ทำไมคุณถึงเลือกเขาล่ะ? คุณไม่ได้เห็นแก่กินจนจะขายลูกสาวของเราใช่ไหม?”

“บัดซบ กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน” คุณนายจ้าวกระโดดขึ้นและดึงหูของประธานจ้าว

“โอ๊ยเจ็บ ที่รัก ผมไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว” ประธานจ้าวรีบอ้อนวอนขอความเมตตา

“หึ ถ้าพูดไม่ชัดเจน กลัวว่าคุณจะไม่พอใจ และทำลายแผนการของฉัน ฉันจะบอกให้นะ ความทรงจำในพลังแห่งสายเลือดที่ฉันปลุกขึ้นมาบอกฉันว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีการสืบทอดสายเลือดเกิดขึ้น ในบรรดาผู้ได้รับเลือกนั้น เฉพาะผู้ที่มีทักษะการทำอาหารขั้นสูงเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ ซึ่งระดับที่จะได้รับการสืบทอดนั้นไม่สูง และไม่มีอาวุธเทพล้ำค่าใดๆ แต่มีบางสิ่งที่จะมีประโยชน์กับคนธรรมดามากที่สุด นั่นก็คือจะได้รับยาอายุวัฒนะที่ยืดอายุได้มากกว่าร้อยปี ซึ่งสามารถใช้กับมนุษย์ได้โดยตรง

“หลายสิบปีมานี้ฉันหลิ่วหรูจือกินอาหารมาทั่วเฉินโจว มีรสชาติอะไรที่ฉันยังไม่เคยลิ้มลองอีก และอาหารในร้านอาหารที่คุณเปิดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ กลับอร่อยกว่าอาหารทั้งหมดที่ฉันเคยกิน ฉันถึงได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของฟางหนิง แถมวันนี้ฉันได้ลองชิมอาหารที่เขาทำด้วยตัวเอง ในที่สุดฉันก็มั่นใจว่า มีความเป็นไปได้ที่ฟางหนิงจะได้รับการสืบทอดสายเลือดนี้มากที่สุด

“ทั้งฉันและเสี่ยวเหยาต่างสามารถปลุกพลังแห่งสายเลือดให้ตื่นได้ อย่างน้อยๆ เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้สองร้อยปีโดยไม่ต้องกินยา คุณเป็นแค่ตาแก่คนหนึ่งที่ไร้คุณสมบัติ ไม่สามารถฝึกฝนได้ และไม่มีความสามารถในการปลุกพลังพิเศษ คุณจะปล่อยให้เราแม่ลูกต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนแก่หรือ?”

ประธานจ้าวซาบซึ้งใจอย่างมาก เขาตื้นตันที่ภรรยามองการณ์ไกล แต่เขากลับไม่รับความหวังดีของภรรยา เขาส่ายหน้าและพูดว่า

“แต่ก็ไม่ควรแลกกับความสุขของลูกหรือไม่? ก่อนหน้านี้คุณได้บอกข้อดีหลายข้อของเสี่ยวฟางและให้ผมช่วยเกลี้ยกล่อมลูก ผมเห็นด้วย เพราะอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าลูกชายคนรวยพวกนั้นหลายร้อยเท่า และกลัวว่าลูกจะไร้เดียงสาเกินไปจนถูกใครหลอกเข้า จึงช่วยคุณเกลี้ยกล่อมลูกเสมอมา แต่ฟังจากที่คุณพูดตอนนี้ คุณกลับต้องการขายลูกสาวสุดที่รักของเราเพื่อยาเม็ดเดียว ผมไม่ยอมหรอก ผมจะไม่บังคับลูกเด็ดขาด เพราะมันขึ้นอยู่กับการเข้ากันได้ของทั้งสอง ถ้าลูกไม่เต็มใจ ผมก็จะไม่เกลี้ยกล่อมลูกอีก”

“ไร้สาระ ดูตอนที่เธอแย่งอาหารกับฉันสิ จะไม่เต็มใจได้อย่างไร?” คุณนายจ้าวรู้จักลูกสาวของเธอดีที่สุด

ทว่าตาแก่จ้าวกลับส่ายหน้า “มันคนละเรื่องกัน เรื่องของความรู้สึกไม่ง่ายขนาดนั้น อีกเรื่องที่รัก ผมรู้สึกว่า ถึงแม้คุณจะอายุน้อยกว่าผมสิบกว่าปี แต่ทำไมถึงมีแนวคิดในระบบศักดินาที่พ่อแม่เป็นคนกำหนดแบบนั้นเสมอ ไม่คิดถึงความรู้สึกของเหยาเหยาเลย และคิดว่าตัวเองตัดสินใจแทนเธอได้ทุกเรื่อง”

คุณนายจ้าวตะลึง เธอบิดหูสามีอีกครั้ง “เก่งจริงๆ นะ จ้าวเสียงเหวิน คุณพูดเหมือนว่าฉันเป็นยายแก่ในสังคมศักดินาเลยนะ คุณจะเห็นด้วยกับฉันใช่ไหม?”

“ที่รัก ถึงคุณจะบิดหูผมอีกสักกี่ครั้ง เรื่องนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยกับคุณเด็ดขาด เราแลกความสุขของลูกไม่ได้นะ ก็ดีถ้าผมมีชีวิตอยู่ได้อีกร้อยปี แต่ถ้าลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปอีก 200 ปีล่ะก็ ผมยอมตายก่อน” ตาแก่จ้าวส่ายหัว

สีหน้าของคุณนายจ้าวเริ่มซับซ้อนมากขึ้น เธอมองสามีของตัวเอง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะกลัวเธอ แต่แววตาของเขากลับหนักแน่นเป็นที่สุด

นั่นมันอายุร้อยปีเชียวนะ เมื่อเธอหวนนึกถึงความทรงจำในสถานที่ที่สายเลือดของเธอได้ถือกำเนิดขึ้น นับประสาอะไรกับการบังคับลูกสาวให้แต่งงาน การขายลูกสาวก็เป็นเรื่องธรรมดา การฆ่าลูกสาวก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่……

หลังจากหวนนึกถึงภาพเหล่านั้น ดวงตาของคุณนายจ้าวก็เย็นชาลง ‘ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครมาจากไหน ต้องการมาทำอะไรที่นี่ ถ้ากล้าทำลายความสุขของครอบครัวของฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยพวกคุณไปแน่ๆ จะตามล่าพวกคุณจนสุดปลายโลก…’

ประธานจ้าวรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันที ในใจพลันเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป“เอ๊ะ ทำไมจู่ๆ ผมก็รู้สึกหนาวขึ้นมาล่ะ ลืมตั้งสวิตช์เครื่องปรับอากาศหรือเปล่านะ”

คุณนายจ้าวสูดลมหายใจเข้าลึก และนวดหูที่ถูกบิดจนแดงไปมา พร้อมกับเป่าลมอุ่นออกจากปาก แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร นายจ้าววันนี้คุณทำได้ดีมาก ถือว่าเราสองแม่ลูกมองคนไม่ผิดจริงๆ เอาเถอะ ให้เหยาเหยาเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเองแล้วกัน อย่างมากสุด ฉันก็แค่ถ่ายทอดวิธีฝึกฝนคนเดียวให้เจ้าเด็กนั่น ถึงเวลานั้น เขาจะสามารถมีอายุยืนด้วยการฝึกฝนได้ เขาก็จะไม่เสียดายยาอายุวัฒนะที่สามารถยืดอายุได้ร้อยปี

“ฉันเองก็มองออกว่า ถึงแม้เขาจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนกตัญญู แต่เด็กคนนี้ขี้เกียจมากจริงๆ รวยขนาดนี้แล้ว ยังเอาแต่นอนแช่อยู่ที่บ้าน เล่นแต่เกม ถึงเวลาคงต้องพึ่งพาคุณคอยกระตุ้นให้เด็กคนนี้ฝึกฝน”

ตาแก่จ้าวประทับใจมาก และกำลังจะตอบตกลง แต่กลับได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของภรรยาพร้อมกับเสียงพูดต่อว่า “แน่นอนว่า ถ้าคุณบังเอิญเจอตอนที่เขากำลังทำอาหารพอดี ก็อย่าลืมโทรบอกฉันก่อนล่ะ จริงด้วย แต่คุณไม่ต้องบอกลูกสาวสุดที่รักของคุณนะ ดูปริมาณที่เธอกินในวันนี้สิ เขาไม่กล้าเก็บเงินเธอแน่ๆ ครั้งเดียวยังพอทน แต่ถ้าบ่อยเกินไปก็คงไม่ดีเท่าไรใช่ไหม?”

เมื่อตาแก่จ้าวได้ยินก็พลันคิดในใจว่า ‘ที่รัก คุณคิดว่าตัวเองกินน้อยหรือ ดูเหมือนคุณจะคิดว่าอาหารในงานเลี้ยงวันนี้ถูกลูกสาวเราแย่งกินหมดสินะ’

แต่เขาไม่กล้าพูดออกไป เพราะเขาไม่อยากหูแดงแล้วจริงๆ อีกอย่างเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาต่อต้านความคิดของภรรยา นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ขณะนี้ ฟางหนิงและหลิ่วเหยานั่งอยู่ด้วยกันเพียงสองคนบนระเบียงร้านอาหาร กำลังชมดาวข้างนอก

ฟางหนิงนั่งห่างจากเธอสามเมตร เขานั่งตัวตรง สายตามองตรง คราวนี้เขาไม่ได้เหลือบมองจริงๆ

ไม่จำเป็นต้องเปิดมุมมอง ไร้สาระ เขารู้ดีว่าแม่ของหลิ่วเหยาคือปีศาจงูที่ทรงพลัง นอกเสียจากเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ไม่อย่างนั้น เธอก็ต้องเป็นปีศาจงูในอนาคตแน่นอน เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่ข้าราชการระดับสูงสวี่เซียน หญิงงามเพียงใด เขาก็ไม่มีความกล้า…

ในบรรดาสัตว์ทั้งหมด เขากลัวงูมากที่สุด แค่เห็นภาพก็ขนลุกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนได้เห็นร่างจริงเมื่อครู่เลย

ทั้งสองเงียบกันมาพักใหญ่แล้ว

สาวน้อยหลิ่วเหยาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน “ขอโทษนะคะ คุณดูประหม่านิดหน่อย มารยาทบนโต๊ะอาหารของแม่ฉันในวันนี้ทำให้คุณกลัวใช่ไหม”

ฟางหนิงคิดในใจ ‘ก็ใช่น่ะสิ แม่เธอจะไล่ฆ่าฉันในตัวเลือกระบบถึงสี่ข้อ ฉันจะไม่รู้สึกกลัวได้ยังไงล่ะ?’

หลิ่วเหยากล่าวต่อ “ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้เห็นอาหารเหล่านั้น ก็เหมือนตัวเองเปลี่ยนไป”

ฟางหนิงคิดในใจ ‘ไม่ ไม่ เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด นั่นเพราะเธอกำลังจะกลายร่างต่างหาก…’

หลิ่วเหยายังคงพูดต่อ “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อกับแม่ของฉันด้วยค่ะ หลายวันมานี้สร้างปัญหาให้คุณไม่น้อยเลย พ่อแม่ของฉันมักจะหวังดีกับฉันเสมอ พวกท่านกลัวว่าฉันจะถูกคนไม่ดีหลอก จึงคิดอยากจะให้ฉันแต่งงานกับใครสักคน”

ฟางหนิงคิด ‘ไม่ ไม่ เธอควรกังวลกับคนเลวที่หลอกเธอต่างหาก…’

หลิ่วเหยากล่าวว่า “วันนี้แม่ฉันกินเยอะไปหน่อย ทำให้คุณต้องปิดร้านนานเลย และต้องขาดทุนไม่น้อย พ่อบอกว่าผู้หญิงไม่ควรเอาเปรียบคนอื่น ฉันจะโอนเงินเหล่านั้นคืนให้คุณเอง”

ตอนนั้นเองระบบก็สวนกลับทันที “โอ้ รอประโยคนี้มาหนึ่งวันแล้ว บัญชีวีแชทของฉันคือ XXXXXXXXXXX รวมยอดบริการและค่าวัตถุดิบอยู่ที่ 1,233,244 หยวน 7 เจี่ยว 6 เฟิน ปัดเศษส่วนออก คุณโอนแค่ 1,233,244 หยวนก็พอ”

ฟางหนิง “…”

หลิ่วเหยา “ได้ค่ะ ฉันจะโอนให้คุณเดี๋ยวนี้เลย”

ในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิงโอดครวญ “เฮ้ ไอระบบ แกจะทำเกินไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ก็มาครองร่างฉันและพูดออกไปแบบนั้นล่ะ เรากำลังตอบแทนบุญคุณอยู่นะ แต่แกกลับมาเรียกร้องเงินจากเธอ ทำฉันขายหน้าจริงๆ!”

ระบบตอบกลับ “ใบหน้าของโฮสต์ไม่มีค่าอะไร แต่ที่กินไปวันนี้ทั้งหมดคือวัตถุดิบหลักแสน และต้องตระเตรียมล่วงหน้าด้วย ไม่ต้องพูดถึงที่ระบบต้องทำงานหนักทั้งวัน เดิมทีระบบคิดว่าจะตอบแทนแค่มื้อเดียว แต่พวกเธอกลับกินลากยาวตั้งแต่เช้ายันเย็น กินซะเป็นบุฟเฟ่ต์เลย ยังจะไม่คิดเงินอีกเหรอ เป็นเงินของระบบทั้งนั้น และโฮสต์ก็ไม่มีเงินมาคืนระบบหรอก อย่าใช้เงินระบบทำใจใหญ่ใจโตสิ”

ฟางหนิงอ้าปากค้าง โต้กลับทันที “ท่านเทพแห่งระบบ ภายใต้การยึดครองร่างของท่าน ผมไม่ต้องรอจนระบบถึงเลเวล 100 แล้วล่ะ จากนี้ไปผมจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน…”

แจ้งเตือนระบบ ‘หมายเลขบัญชีวีแชท XXXXXXXXXX บนโทรศัพท์มือถือของท่านได้รับเงินเข้าเป็นจำนวน 1,233,244 หยวนจากผู้ใช้พิเศษ XX

ระบบ “โอ้ เป็นเด็กที่ไร้เดียงสาจริงๆ ไม่เกินแม้แต่หยวนเดียว…”

ฟางหนิงเบะปาก “หุบปากของแกไปเถอะ แกไม่อาย แต่ฉันไม่มีหน้าจะพูดอะไรต่อแล้ว”

ระบบตอบกลับอีกรอบ “โฮสต์ก็ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ได้แต่คิดในใจ มนุษย์อย่างโฮสต์ล้วนปากไม่ตรงกับใจทั้งนั้น ให้ระบบช่วยบอกเธอตอนนี้ให้ไหม? ความคิดของโฮสต์เมื่อครู่ดังเกินไป ระบบได้ยินหมดแล้ว”

ฟางหนิงแยกเขี้ยว “แกไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นอย่ามาพูดแทนไปหน่อยเลย…”

ทั้งสองนั่งดูดาวกันเงียบๆ อีกพักหนึ่ง สุดท้ายครอบครัวของประธานจ้าวก็ขอลากลับ คราวนี้ฟางหนิงเพียงแต่โบกมือลาหน้าประตูร้าน แล้วเฝ้าดูพวกเขาขึ้นรถและขับออกไป

……………………………………………………………..

ภายใต้มุมมองที่แท้จริงของบัฟ ทำให้รูปร่างผอมเพรียวและใบหน้าอันงดงามของคุณนายจ้าวหายไป จากนั้นจึงแทนที่ด้วยงูหลามสีขาวหิมะ หางของมันยาวมาก และบนหัวของมันก็มีตุ่มยื่นออกมาสองตุ่ม

ดูเหมือนว่างูขนาดใหญ่ตัวนั้นกำลังยิ้มและพยักหน้าให้ฟางหนิงเบาๆ ซึ่งทำให้ฟางหนิงขนพองสยองเกล้าและหนาวสะท้านไปทั้งตัว

ฟางหนิง “ขอบคุณเทพแห่งระบบ คุณพูดถูก นี่เป็นแพ็กเกจทูอินวันที่ฉันกลัวมากจริงๆ – ปีศาจงู…”

เทพแห่งระบบไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด มันตอบกลับ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เมื่อตัวเลือกระบบปรากฏขึ้น โฮสต์แค่ช่วยเลือกให้ทันเวลาก็พอ”

ฟางหนิงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังอาวุธเทพในร้านตีเหล็ก เขาได้แต่พยักหน้าเพราะไม่กล้าพูดอะไร ภาพนี้น่ากลัวจริงๆ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจขึ้นก็คือ โชคดีที่ประธานจ้าวและลูกสาวของเขายังคงเป็นคนธรรมดา

แจ้งเตือนของระบบดังขึ้น:เมื่อคุณเห็นประธานจ้าวและภรรยากับลูกสาวของเขามาเยือน แต่พบว่าร่างที่แท้จริงของคุณนายจ้าวคือปีศาจงู คุณในเวลานี้จะ…

ตัวเลือกที่หนึ่ง: เดินหน้าไปแล้วเปิดโปงว่าเธอคือปีศาจ พร้อมเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณ แล้วใช้ทักษะเทพมังกรไร้เทียมทานของคุณต่อสู้กับมันเป็นเวลาสี่ชั่วโมง ไร้ผลแพ้ชนะ แต่ศัตรูมีพรสวรรค์มาก มีเกล็ดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ระดับของคุณในตอนนี้ต่ำเกินไป แม้แต่ป้องกันตัวก็ยังทำไม่ได้ และไม่สามารถทำให้เธอเหนื่อยล้าได้เลย แต่โชคดีที่คุณได้รับพลังปราณมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงสามารถเปิดใช้งานวิชาตัวเบาได้ แต่ต้องใช้ทั้งพลังปราณและรีบหนีออกจากเมืองไป ไปให้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ปีศาจงูที่โกรธเนื่องจากความอับอายที่ถูกคุณเปิดเผยตัวตนก็จะตามล่าคุณอย่างไม่สิ้นสุด…’

ตัวเลือกที่สอง: ‘คุณแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม หลังจากนั้น คุณไม่ได้ทำอาหาร แต่แอบหนีออกจากประตูหลังของห้องครัว ไปให้ไกลสุดขอบฟ้า และปีศาจงูที่ได้รับความอับอายต่อหน้าคนในครอบครัวก็จะเริ่มตามล่าคุณแบบลับๆ…’

ตัวเลือกที่สาม: ‘คุณเข้าใกล้พวกเขาอย่างใจเย็น และถอนออร่าทั้งหมดออกโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจงูรับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของคุณ จากนั้นจึงมองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของคุณนายจ้าว แต่ประกาศให้พนักงานทุกคนหยุดงานในวันนี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น คุณต้อนรับพวกเขาและปรุงอาหารด้วยตัวเอง ในเวลานี้ คุณก็นึกถึงเรื่องราวในโลกของสัตว์ที่ว่า โดยพื้นฐานแล้วงูเหลือมจะไม่โจมตีผู้คนหลังจากที่พวกมันอิ่มแล้ว ดังนั้น คุณจึงใช้ค่าประสบการณ์ที่เหลือ อัปเกรดทักษะการทำอาหารให้ถึงระดับสูงสุด และพยายามอย่างสุดความสามารถในการทำอาหารอร่อยระดับเทพจำนวนมาก และเพิ่มอาหารทุกชนิดที่งูชอบกินอีกมากมายลงไป นอกจากนี้ยังใส่เครื่องปรุงรสที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ และนำอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมดออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้คุณนายจ้าวเผยร่างที่แท้จรและเกิดการปะทะกัน…’

“ฉันเลือกข้อสาม!” ฟางหนิงรีบคลิกที่ตัวเลือก ถ้ามีโอกาสที่สามารถอยู่บ้านต่อก็อย่าวิ่งหนีไปไหนเลย ข้างนอกก็คงมีปีศาจไม่น้อยเหมือนกัน แต่เทพแห่งระบบยังคงเก่งเหมือนเดิม ตอนนี้เขาเพิ่งระดับ 11 แต่สามารถสูสีกับปีศาจร้ายตัวนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกลัวแล้ว…

“นี่… นี่มัน เกรงใจจริงๆ เสี่ยวฟางไม่จำเป็นต้องให้เกียรติเรามากขนาดนี้ก็ได้ มันช่าง… ขอโทษที่ทำให้ทางร้านต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ลำพังแค่วัตถุดิบ เท่าที่ดู ก็ต้องใช้วัตถุดิบที่ทางร้านตระเตรียมไว้ใช้สำหรับทำอาหารหนึ่งวันเลยใช่หรือไม่”

ประธานจ้าวมองอาหารที่นำมาเสิร์ฟในรอบที่หก อาหารโอชาหลากหลาย มีครบทุกอย่าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ ซึ่งเขาตื่นตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง และพยายามบอกฟางหนิงให้หยุดเสิร์ฟอาหารได้แล้ว

ขณะที่พูด เขากลับเมินเฉยต่อภรรยาที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับแกะย่างทั้งตัวอยู่ และลูกสาวของเขาที่ได้โยนความเป็นกุลสตรีทิ้งไปและกำลังจัดการกับหมูหันย่างตรงหน้า…

ในขณะนี้ ฟางหนิงเพิ่งนำไก่ย่างสีทองอร่ามวางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น ก็มีมือขวาสองข้างปรากฏขึ้น…

คุณนายจ้าวตาลุกวาว หลิ่วเหยาเองก็ไม่ยอมแพ้ แต่สุดท้ายทั้งสองก็บรรลุข้อตกลง คนละครึ่ง…

ขณะที่ประธานจ้าวกำลังจะเอ่ยปากห้ามให้ฟางหนิงหยุดเสิร์ฟอาหาร ก็เห็นสายตาดุดันของภรรยาและลูกสาวที่เพิ่งแบ่งไก่ย่างกันเสร็จ ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในปากของสัตว์ร้ายสองตัว จึงยิ้มอย่างลำบากใจและพูดว่า “ไม่มีปัญหาอะไร กินกันต่อเลย เดี๋ยวฉันให้เสี่ยวฟางทำอาหารจานโปรดของพวกคุณมาให้อีก…”

สายตาดุดันนั้นพลันสลายหายไป…

“ทุกคนกินให้อิ่ม ไม่ต้องเกรงใจ ผมต้องขอบคุณประธานจ้าวที่ช่วยชีวิตผมไว้ก่อนหน้านี้ อาหารพวกนี้เรื่องเล็กน้อย”

ฟางหนิงยิ้มพลางวางผัดกบยักษ์จานหนึ่งบนโต๊ะ…

ประธานจ้าวยังไม่ทันได้เห็นว่ากบยักษ์มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ก็กลายเป็นจานเปล่าไปแล้ว…

“เหอะๆ เหอะๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวภรรยาและลูกสาวของผมก็เอาแต่ใจแบบนี้ล่ะ เสี่ยวฟางอย่าถือสาเลยนะ” ประธานจ้าวหัวเราะและไม่มีท่าทีแปลกใจสักนิด

“ดีๆ ดีแล้วครับที่มองว่าเป็นคนในครอบครัว” ฟางหนิงพูดจบ ก็กลับไปทำงานในห้องครัวต่อทันที

ณ ครัวด้านหลังร้าน

“เสี่ยวฟาง คุณรู้สึกแปลกใจสักนิดหรือไม่?”

ขณะที่ ‘ฟางหนิง’ กำลังทอดไก่อยู่ เสียงอันอ่อนโยนของประธานจ้าวก็แว่วเข้าหู

ในเวลานี้ ระบบได้ลากตัวฟางหนิงออกมาจากร้านตีเหล็กของระบบ เพื่อรับมือกับประธานจ้าว ไม่ว่าฟางหนิงจะกลัวแค่ไหน ก็มาขี้ขลาดในเวลานี้ไม่ได้

“โอ้ แปลกใจเล็กน้อยเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่มีอะไร เป็นเพราะภรรยาและลูกสาวของท่านก็ได้รับพลังพิเศษบางอย่างเหมือนผม แต่เป็นพลังพิเศษที่สามารถกินอาหารในปริมาณที่มากใช่ไหมครับ?”

“โอ้ ผมคิดว่าคงจะไม่ทำให้ประธานฟางกลัว จึงไม่ได้หักห้ามพวกเธอ แม่ลูกคู่นั้นเบื่ออาหารที่ผมทำแล้ว หลายปีมานี้ก็ถือว่าได้พาพวกเธอตระเวนกินอาหารอร่อยไปทั่วเฉินโจวแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเธอตะกละตะกลาม ไม่สิ มีความอยากอาหารมากมายขนาดนี้ต่างหากล่ะ ดูเหมือนว่าทักษะการทำอาหารของคุณฟางจะดีเกินจินตนาการของผมนะ คิดว่าน่าจะใกล้เคียงระดับเทพเลย…”

ฟางหนิงปฏิเสธคำชม “ท่านพูดเกินไปแล้วครับ ยังอีกไกลเลย”

ฟางหนิงไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตน ตามที่ระบบกล่าวไว้ ถ้าทักษะการทำอาหารถึงระดับสูงสุดแล้ว ก็จะสามารถเข้าใจทักษะเฉพาะตัวได้

จู่ๆ ประธานจ้าวก็ทำตัวลึกลับและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังโอ้อวดว่า “หลายวันก่อนผมเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ และผมกลัวไอ้สารเลวนั่นมาก แต่ภรรยาของผมเห็นผมนอนไม่ค่อยหลับ จึงบอกผมว่าความจริงแล้วพวกเธอเองก็มีพลังพิเศษเหมือนกัน เสี่ยวฟางรู้หรือไม่ว่าพวกเธอมีพลังพิเศษอะไร?”

ฟางหนิง “บอกผมได้หรือเปล่าครับ?”

ประธานจ้าว “ในเมื่อเสี่ยวฟางมองว่าเราเป็นคนในครอบครัว ก็ไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้”

จากนั้นประธานจ้าวก็มองไปรอบๆ หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ภูมิใจและโอ้อวดว่า “อันที่จริง พวกเธอไม่ได้มีพลังพิเศษหรอก แต่เป็นเพราะสายเลือด ภรรยาบอกผมว่าเธอมีสายเลือดของนารีมังกร ดังนั้นการที่มีความอยากอาหารมากจึงเป็นเรื่องปกติ ลูกสาวของผมก็มีสายเลือดของนารีมังกรเช่นกัน แต่เธอยังเด็ก และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาได้ เพียงแต่เธอต้องสะสมพลังงานไว้ก่อน ดังนั้นเธอเองก็มีความอยากอาหารไม่น้อยเหมือนกัน”

ฟางหนิงรู้สึกมึนตึ้บ ราวกับว่ามีอีกาสองตัวบินอยู่บนหัวพร้อมส่งเสียง ‘กา กา’ “เหอะๆ”

งูหลามสีขาวตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่คุณกลับบอกว่ามันคือนารีมังกรอย่างนั้นหรือ? เพราะเหตุนี้ประธานจ้าวก็เลยภูมิใจมาก แถมยังโอ้อวดว่าตัวเองได้แต่งงานกับนารีมังกร?

ประธานจ้าวเอ่ยถาม “คุณไม่เชื่อเหรอเสี่ยวฟาง?”

ฟางหนิงโบกมือและพูดว่า “เปล่า เปล่า ไม่ใช่ครับ ผมเพียงแต่รู้สึกอิจฉาประธานจ้าวต่างหาก! คิดไม่ถึงว่าท่านจะได้แต่งงานกับนารีมังกร นั่นก็หมายความว่าท่านเป็นลูกเขยของราชามังกรน่ะสิครับ! เมื่อเห็นความรักที่คุณนายจ้าวมีต่อท่านแล้ว คนธรรมดาคงไม่มีบุญวาสนาเท่ากับท่านหรอก!”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ ประธานจ้าวเองก็ยิ้มอย่างพอใจ “ฮ่าๆ ปากหวานจริงๆ เลยเสี่ยวฟาง ผมเองก็ไม่ง่ายหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะพอมีฐานะ คงเลี้ยงพวกเธอไม่ไหวจริงๆ จากสถานการณ์ในวันนี้ เสี่ยวฟางก็เกือบจะมีบุญวาสนานี้แล้วล่ะ แต่ต่อไปคุณต้องไม่เย่อหยิ่งอย่างผมนะ”

ฟางหนิงอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ‘ท่านภูมิใจกับบุญวาสนานี้ไปคนเดียวเถอะ อย่าลากฉันไปข้องเกี่ยวเลย! ตอนนี้ฉันมีระบบคอยคุมแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล ฉันภูมิใจในตัวเองมากพอแล้ว’

ฟางหนิงส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมเป็นโอตาคุ และมีความสามารถในการทำอาหารเพียงเล็กน้อย ฐานะของผมไม่เท่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประธานจ้าวเลย ผมไม่มีค่าพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวท่านหรอก…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก ทำให้ประธานจ้าวประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง

“ช้าก่อน มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น” ระบบตะโกน

“เหตุการณ์อะไรกัน?”

“ประธานจ้าวและคนในครอบครัวของเขาต่างกลายเป็นสีเขียว!”

ฟางหนิงมึนงง

ระบบ “ดูแผนที่สิ”

บนแผนที่ระบบ ภายในระยะรัศมีของร้านอาหารแห่งนี้ เนื่องจากฟางหนิงปิดร้าน และให้พนักงานทุกคนหยุดพัก ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้น

ตัวสีน้ำเงินบนสุดคือตัวฟางหนิงเอง แต่อีกสามคนล้วนแต่เป็นจุดสีเขียว และในตำแหน่งที่ประธานจ้าวยืนอยู่นั้น เป็นแค่จุดสีเขียวเล็กๆ ที่มืดมากและไม่โดดเด่นอะไร แต่อีกสองคนกลับต่างออกไป จุดเขียวทั้งใหญ่และกลม และสีสดเป็นพิเศษ ตำแหน่งที่หลิ่วเหยาอยู่นั้น เป็นแค่วงกลมที่มีขนาดเท่ากับแก้วใบหนึ่ง แต่คุณนายจ้าวกลับแตกต่างออกไป

อย่างน้อยก็ต้องมีขนาดเท่ากับกะละมังล้างหน้าทั่วไป ที่เต็มไปด้วยสีเขียวสดใส

ฟางหนิง “หมายความว่า พวกเขากลายเป็นพันธมิตรแล้วหรือ…”

ระบบ “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอปีศาจสีเขียว ไม่สิ พันธมิตรต่างหากล่ะ ว่าแต่พันธมิตรคืออะไร?”

ฟางหนิงอธิบาย “หมายความว่าตราบใดที่เราไม่ฆ่าตัวตาย พวกเขาจะคอยช่วยเหลือเราที่ตกอยู่ในอันตราย และพวกเขาจะไม่โจมตีเรา แถมยังสามารถจัดหาที่หลบภัยให้เราได้”

ระบบ “โอ้ ก็ดีนะ ถ้าเกิดวันไหนเหนื่อยจากการฟาร์มเลเวลแล้ว ก็ไปพักผ่อนที่บ้านพวกเขาได้”

ฟางหนิงว่าต่อ “ใช่น่ะสิ เพราะแกไม่กลัวปีศาจงูและไม่กลัวการต้องไปไกลสุดขอบฟ้าอยู่แล้ว”

……………………………………………………..

ณ ห้องหนังสือหัวหน้าตระกูลฉี

“ท่านประธานฉี งานที่ท่านมอบหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลและวิดีโอที่เกี่ยวข้องได้เข้ารหัสและส่งให้ท่านแล้ว หลังจากตรวจสอบและยืนยันข้อมูลแล้ว โปรดชำระเงินส่วนที่เหลือให้เราด้วย”

ฉีเย่ว์เอ่ย “ทำได้ดีมาก สมแล้วที่เป็นเฟิงเหนี่ยว เป็นข้อมูลที่ไร้ที่ติจริงๆ กลยุทธ์ยืมดาบฆ่าของพวกคุณนี่มันยอดเยี่ยมนัก ไม่มีคนตาย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และไม่ต้องใช้กำลังคนแม้แต่คนเดียว อาศัยแค่เรื่องราวในอดีต แต่ฉันต้องเสียเงินถึงห้าสิบล้านหยวนเลยทีเดียว”

เฟิงเหนี่ยวส่งเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ คำพูดของประธานฉีไม่รื่นหูเอาซะเลย จะเป็นเรื่องราวในอดีตได้ยังไงกัน เห็นได้ชัดว่าเลือดยังคงสดใหม่อยู่ อัศวิน A จัดการเขาได้ถึงอกถึงใจจริงๆ”

ฉีเย่ว์ตอบรับ “หืม ฉันจะเพิ่มค่าตอบแทนส่วนที่เหลือให้พวกคุณอีกเท่าตัว พวกคุณควรรักษากฎที่ตัวเองตั้งขึ้นด้วยนะ ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่ออกไป”

เฟิงเหนี่ยวพยักหน้า “หึๆ ในเมื่อท่านจ่ายเงินมาแล้ว เรื่องเหล่านั้นก็จะหายไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าประธานฉีต้องการขายข้อมูลบางอย่างให้เราไหม? ราคาต่อรองกันได้ และสามารถหักออกจากค่าตอบแทนส่วนที่เหลือที่ท่านต้องจ่ายได้โดยตรง”

ฉีเย่ว์ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “พวกคุณต้องการข้อมูลอะไร”

เฟิงเหนี่ยวกล่าว “การที่อัศวิน A ฆ่าฉีเทา ไม่รู้ว่าญาติเพียงคนเดียวของเขาซึ่งก็คือปู่ของเขาฉีหยุนเซิงหมอเทวดามากฝีมือจะจัดการกับอัศวิน A อย่างไร? ผมได้ยินมาว่าฉีหยุนเซิงพะเน้าพะนอฉีเทามากจนยอมให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ และจัดการทุกเรื่องที่ฉีเทาก่อ ชายชราคนนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับระดับบนค่อนข้างมาก และว่ากันว่าเขามีความสามารถมากด้วย”

ฉีเย่ว์ตอบกลับ “ถ้าหมอเทวดาไม่รักษาตัวเอง ปู่กับหลานก็จะได้พบกันในอีกไม่ช้า…”

เฟิงเหนี่ยวหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ คุณชายฉีเย่ว์ ท่านสมควรได้รับสมญานามว่า ‘ผู้มีความเมตตากรุณา’ ผมชอบข้อมูลนี้ ผมจะช่วยสนองความสัมพันธ์ปู่หลานของพวกเขาเอง ดีล่ะ สำหรับข้อมูลของท่าน เงินส่วนที่เหลือนั้นท่านจ่ายเพียงครึ่งหนึ่งก็พอ”

ฉีเย่ว์เลิกคิ้ว “หืม คุณต้องการใช้ข้อมูลนี้เพื่อดึงอัศวิน A มาเป็นพวกใช่ไหม”

เฟิงเหนี่ยวผุดยิ้ม “ฉลาดมาก แต่ไม่สามารถบอกได้หรอกว่าจะนำไปใช้อย่างไร”

ฉีเย่ว์ถามต่อไป “หลังจากเรื่องนี้ พวกคุณควรอัปเดตข้อมูลของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ บอกได้หรือเปล่า?”

เฟิงเหนี่ยวท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็กล่าวออกมา “ผมจะแบ่งปันสิ่งนี้ให้ท่านฟรีๆ ก็แล้วกัน คนของสำนักสัจธรรมความจริงแล้วก็คือกลุ่มคนหน่วยพิเศษตัวจริง แรกเริ่มพวกเขาจัดอัศวิน A อยู่ในระดับพลัง F และมีศักยภาพในการพัฒนาที่จำกัด เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นทำให้เราต้องขาดทุนจากลูกค้าหลายราย การขาดทุนเป็นเรื่องเล็ก แต่ชื่อเสียงเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่มีใครเชื่อเราอีก เราจะหาลูกค้ารายใหญ่อย่างคุณชายฉีเย่ว์ได้ยังไง?”

ฉีเย่ว์เอ่ยต่อ “ตราบใดที่คุณรักษาสัญญา ลูกค้ารายใหญ่จะต้องมาหาถึงที่เอง”

เฟิงเหนี่ยวพยักหน้าเห็นด้วย “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของท่าน สำหรับข้อมูลของเขานั้น เราได้อัปเดตแล้ว ‘ระดับพลัง B+ บุคลิกเปิดเผยและโปร่งใส ไม่เคยรังแกผู้อ่อนแอ ข้อเสียอย่างเดียวคือเขาชอบความมืดและชอบล่อลวง นอกจากนี้ มีศิลปะการต่อสู้ดีเยี่ยม จิตใจแน่วแน่อย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในการจัดการกับสิ่งเหนือธรรมชาติ และมีทักษะเฉพาะในการปราบวิญญาณ การตั้งฉายาให้เขาเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเขาไร้ชื่อเสียงเรียงนาม จึงหารากเหง้าของเขาไม่ได้ อัศวิน A นั้นราคาตกเกินไป เพราะฉะนั้นเรียกเขาว่า ‘วีรบุรุษแห่งเมืองฉี’ ไปก่อนแล้วกัน”

ฉีเย่ว์แย้มยิ้ม “วีรบุรุษแห่งเมืองฉี ฉายานี้ดี และพวกคุณก็จะมีดาบดีๆ เพิ่มขึ้นด้วย แถมยังไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นแผนที่ดีทีเดียว”

“เหอะๆ คุณชายฉีเย่ว์ฉลาดจริงๆ ผมได้ยินมาว่ามีสาวงามตระกูลฉีของคุณสนิทกับเขามาก และได้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้แปลกประหลาดจากเขาด้วย คนของเราเห็นแล้วต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ทราบถึงที่มา ด้วยความสัมพันธ์นี้ คุณชายฉีเย่ว์อยากจะลองดึงเขาเข้ามาเป็นพวกดูไหม?”

“ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะมีเจตนาดีขนาดนั้น ถึงขนาดให้ดาบดีๆ แบบนี้กับฉันเลยเหรอ?”

“หึ ฉลาดจริงๆ ด้วย ผมแนะนำให้คุณชายฉีเย่ว์อยู่ห่างจากดาบเล่มนี้จะดีกว่า ผมขอแบ่งปันข้อมูลให้ฟรีๆ อีกหนึ่งอย่าง แววตาของเขาดุร้ายมาก คนของเราแค่ส่งบางสิ่งที่เกี่ยวกับฉีเทาให้เขา เขาก็ยืนยันว่าคนคนนี้มีโทษมหันต์ และเข้าไปจัดการเขาโดยไม่ลังเล”

“คุณไม่จำเป็นต้องหนักใจในเรื่องนั้นกับผมหรอก ผมเป็นคนโปร่งใสและเที่ยงธรรมมาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องกลัววีรบุรุษแห่งเมืองฉีคนนี้” ฉีเย่ว์รับรอง

เฟิงเหนี่ยวพยักหน้า “เป็นเรื่องดีที่ประธานฉีมีความมั่นใจแบบนี้ เอาเถอะ ไม่พูดมากแล้ว ตอนนี้สภาวการณ์ความเป็นไปของตลาดกำลังเป็นไปในทางที่ดี ธุรกิจทุกหนแห่งกำลังเฟื่องฟู เราต่างดูแลตัวเองให้ดี และอวยพรให้มีโชคมีลาภกันและกันเถอะ!”

‘ไปตายซะ…’ ฉีเย่ว์คิดในใจ

สองวันหลังจากการเสียชีวิตของฉีเทา ในที่สุดฟางหนิงก็ฟื้นตัวและพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ประธานจ้าวเปลี่ยนมาใช้รถโรลส์-รอยซ์และขับมันมารับเขาพร้อมกับลูกสาว

ฟางหนิงนั่งเบาะข้างคนขับ เบาะหลังคือหลิ่วเหยาที่นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ

ก่อนหน้านี้เพื่อจัดการกับฉีเทาผู้ซึ่งทำเหมือนต้องการคู่นัดบอดของตนแต่ความจริงแฝงไปด้วยเจตนาร้าย เพื่อให้ระบบสามารถจัดการปีศาจอย่างมันได้ ฟางหนิงจึงต้องแกล้งทำเป็นสลบเพื่อกระตุ้นความโหยหา

แต่จากมุมมองของคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ความจริง ก็คือการโกรธจนเป็นลมหมดสติไป ซึ่งนั่นทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย

แต่สำหรับโอตาคุที่ไม่ออกไปไหนเป็นเดือนๆ อย่างเขา เขาไม่ใช่ชายแข็งกร้าวพวกนั้น ภาพลักษณ์จึงไม่จำเป็นเท่าชีวิต

ถึงแม้เขาจะเสียหน้าไปบ้าง แต่ฉีเทาผู้ต้องการล่อลวงเขาโดยการทำให้เขาอับอาย เจ้าหมอนั่นที่ลุ่มลึก ทรงพลังไร้เทียมทาน และในอนาคตข้างหน้าอาจมีศักยภาพที่น่าสะพรึงกลัวนั้น กลับถึงขั้นต้องเสียชีวิต

ด้วยสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจนี้ เดิมทีฟางหนิงคิดว่าประธานจ้าวอาจไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่า ในช่วงที่เขาแกล้งป่วยนี้ ประธานจ้าวกลับพาลูกสาวหลิ่วเหยามาเยี่ยมไข้เขาทุกวัน โดยไม่มีความเย่อหยิ่งของนักธุรกิจแม้แต่น้อย และยังนำซุปที่ทำเองกับมือมาให้เขาเพื่อฟื้นกำลังวังชา ถึงแม้ว่ารสชาติสู้เทพแห่งระบบไม่ได้ แต่ก็ยังเทียบชั้นกับพ่อครัวยอดฝีมือได้เลยทีเดียว ที่สำคัญคือมีส่วนผสมของน้ำใจในนั้น ซึ่งข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่เทพแห่งระบบสามารถสู้ได้

เมื่อพิจารณาจากท่าทีของเขา ดูเหมือนว่าเขาต้องการลูกเขยแต่งเข้าบ้านเช่นเดิม และยังรู้สึกอับอายกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

แต่น่าเสียดาย เพราะว่าระบบจะปลดล็อกโมดูลแต่งงานได้ที่ระดับ 100 เท่านั้น ฟางหนิงคิดพลางใช้มุมมองของระบบแกล้งทำเป็นยืดตัวตรงและจัดเสื้อผ้า อันที่จริงเขากำลังเหลือบมองหลิ่วเหยาผู้ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง หญิงสาวนั่งนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าอันสะสวยของเธอทำให้คนมองเห็นรู้สึกสบายใจ

“เสี่ยวฟาง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ประธานจ้าวยังคงอบอุ่นและเป็นกันเอง ไม่ได้ดูถูกฟางหนิงเพราะเขาเป็นลมก่อนหน้านี้ แต่ยังใส่ใจเขามากขึ้นกว่าเดิม

ฟางหนิงรีบถอนมุมมองของระบบออก และตอบอย่างจริงจังว่า “ผมไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของท่าน ผมก็แค่จัดการกับความโกรธไม่ได้จึงได้หมดสติไป ในอนาคตข้างหน้าน่าจะไม่เป็นแบบนี้อีก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว หมอเองก็บอกว่าร่างกายของคุณไม่มีปัญหาอะไร เพราะได้รับการบำรุงอย่างดี ทำให้ร่างกายแข็งแรงมาก ไว้วันไหนคุณช่วยสอนวิธีบำรุงให้ผมบ้างนะ” ประธานจ้าวใบหน้าเปี่ยมยิ้ม เขาขับรถไปพูดไป

แน่นอนว่าในเวลานี้ฟางหนิงรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธประธานจ้าวได้ ถ้าไม่เห็นแก่ที่ประธานจ้าวไปเยี่ยมไข้เขาทุกวัน ก็ต้องเห็นแก่เรื่องที่เขาช่วยเรียกรถพยาบาลก่อนหน้านี้ และยังพาเขาไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเองด้วย เขาควรจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เพื่อเป็นการตอบแทน อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับประธานจ้าวเลย

ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง “ผมยังไม่ทันได้ตอบแทนท่านเรื่องก่อนหน้านี้เลยครับ ผมขอเวลาเตรียมตัวสักหน่อย แล้วผมจะเชิญครอบครัวของท่านมางานเลี้ยงโดยการลงมือทำอาหารเอง และผมจะไม่กั๊กอะไรในงานเลี้ยงเลย”

เมื่อประธานจ้าวได้ยินดังนั้น เขาดูดีใจและเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้นก็ขับรถด้วยความสบายใจและไม่พูดอะไรอีก

ฟางหนิงจึงตอบตกลงอย่างไม่รีรอ แต่ไม่นานก็มีคนไม่เห็นด้วย

ระบบ “โฮสต์เป็นคนตอบตกลง แต่ระบบเป็นคนทำอาหารมาโดยตลอด”

ฟางหนิงเอ่ยตอบ “เห็นแก่การร่วมงานกันอย่างมีความสุขในหลายเดือนที่ผ่านมานี้ แกช่วยฉันหน่อยเถอะ บุญคุณต้องทดแทน แค่ทำอาหารสำหรับสองคน พวกเขากินกันไม่เยอะหรอก”

ระบบตอบกลับ “ไม่ใช่แค่สองคน แต่เป็นสามคนต่างหากล่ะ ประธานจ้าวมีภรรยาด้วย หล่อนต้องมาด้วยแน่นอน หล่อนมีรูปร่างผอมเพรียว แต่กินเยอะกว่าสองพ่อลูกซะอีก…”

‘เทพแห่งระบบก็รักเราเหมือนกันนะ’ ไม่ทันไรเขาก็รวบรวมข้อมูลทั้งหมดของแม่ยายในอนาคตมาให้…

ฟางหนิงเอ่ยปาก “ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยแกจัดการปีศาจใหญ่อีกสักตัวไหม? ถ้าหนึ่งตัวไม่พอ สองตัวก็ได้”

ระบบกลับปฏิเสธ “ยังไม่ต้องหรอก แต่ถ้าโฮสต์มีวิธีแก้ปัญหาสล็อตความโกรธไม่เพียงพอ ระบบจะตกลงช่วยโฮสต์หนึ่งครั้ง”

ได้ยินแบบนั้น ฟางหนิงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าระบบไม่ช่วยทำอาหารเพิ่ม เขาเองก็อยากแก้ปัญหานี้เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ก็เคยเจอผี แต่โชคดีที่เจอแค่ตนเดียว แต่ครั้งนี้โชคดี ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน คิดไม่ถึงว่าปีศาจที่เขาเจอจะเป็นถึงผู้คุมวิญญาณที่มาพร้อมวิญญาณน้อยกลุ่มหนึ่ง อนาคตช่างน่ากลัวจริงๆ อย่าว่าแต่แต่งเมียสร้างครอบครัวเลย แม้แต่อยากจะนั่งเล่นอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจก็ยังกังวล เขาที่มีเทพแห่งระบบคอยให้ความช่วยเหลือยังกลัวขนาดนี้ ลองจินตนาการได้ว่าคนธรรมดาในอนาคตจะมีชีวิตอยู่อย่างไร อันที่จริงมีคนธรรมดาหลายคนถูกฆ่าอย่างลับๆ…

หากสล็อตความโกรธมีมากเกินไป ระบบก็จะใช้ทักษะลับในการจัดการวิญญาณได้ง่ายขึ้น เขาก็จะสบายใจมากขึ้น แต่สำหรับสล็อตพลังปราณที่เต็มไปแล้วในตอนนี้ ถึงจะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่สามารถปกป้องชีวิตของเขา แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้เหมือนอาวุธธรรมดาได้

ฟางหนิง “มันเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว ผีเยอะขนาดนี้ น่ากลัวจริงๆ ต้องสะสมสล็อตความโกรธให้เยอะเข้าไว้เพื่อจัดการกับพวกมัน”

ระบบตอบกลับ “ผีไม่มีอะไรให้ต้องกลัว และส่วนใหญ่พวกมันก็ไม่มีตัวตน ทำได้แค่โจมตีทางจิตใจเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลกับระบบ แต่ถ้าครั้งนี้สิ่งที่ฉีเทานำมาด้วยไม่ใช่ผี แต่เป็นคนที่มีความแข็งแกร่งพอๆ กับเขา ค่าความโกรธของเราจะหมดลงอย่างแน่นอน ไม่สามารถจัดการด้วยทักษะเดียวแน่ และเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กันถึงสี่ชั่วโมง ไม่งั้นพวกเขาได้เหนื่อยตายก่อนพอดี?”

เทพแห่งระบบน่าจะกำลังระลึกถึงเหตุการณ์ที่กินเวลายาวนานถึงสี่ชั่วโมงอีกเป็นแน่ ซึ่งมันเกลียดชังสิ่งที่อาจทำให้มันลดประสิทธิภาพในการจัดการปีศาจเข้ากระดูกดำ แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญในด้านอื่นๆ แต่กับอาชีพของเขาเองนั้น ระบบถือว่าช่ำชองกันเลยทีเดียว

ฟางหนิงหมดคำพูด ‘เทพแห่งระบบไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันกับเราเลย มันไม่สนว่าผีจะน่ากลัวไหม มันกังวลแค่ว่าปีศาจจะฟาร์มง่ายหรือเปล่า’

ฟางหนิงเอ่ยปาก “เอาล่ะ แกพูดถูก ในอนาคตต้องมีการจัดการกลุ่มปีศาจเกิดขึ้นแน่นอน จะต้องเตรียมสล็อตความโกรธไว้ให้พร้อม แต่กฎเกณฑ์กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า จะได้รับหนึ่งสล็อตเมื่อเพิ่มขึ้นทุกๆ ห้าระดับ ตอนนี้ระดับ 11 แล้ว ก็มีแค่สามสล็อตเหมือนเดิม”

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ระบบเรียกหาโฮสต์ โฮสต์เคยกระตุ้นการตั้งค่าลับมาแล้วสองครั้ง หาวิธีกระตุ้นอีกสักครั้งสิ…”

ฟางหนิงแทบกระอักเลือด เมื่อคุณเจ๋ง ปัญหาก็จะเข้าหาคุณ ‘ฉันเป็นคนคิดก็ได้’

……………………………………………………..

“ในที่สุดแกก็มาสินะ”

คืนหนึ่ง ณ ลานกว้างในเมืองอันไร้ซึ่งผู้คนแห่งหนึ่ง มีเพียงไฟถนนที่อยู่รอบๆ เท่านั้นที่ยังส่องแสงสลัวให้พอมองเห็นได้บ้าง

ฉีเทากล่าวขึ้น เขายืนอยู่กลางลานกว้าง ก่อนจะโยนผู้หญิงคนหนึ่งในอ้อมแขนของเขาลงแปลงดอกไม้ที่อยู่ไกลออกไป แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

อัศวิน A ยืนอยู่ตรงข้ามเขา

“ให้ฉันเดาก่อนว่าใครเป็นคนจ้างแกมาแก้แค้นฉัน เศรษฐีขี้ขลาดหน้าใหม่ที่สลบไปจากการโจมตีของฉันเพียงไม่กี่ครั้งคนนั้นเหรอ? หรือเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉี ฉีเย่ว์ที่คิดว่าฉันจะแย่งชิงตำแหน่งของเขา หรือคนใหญ่คนโตสักคนที่ฉันแผลงฤทธิ์เอาแต่ใจแล้วไปแหย่เข้า? หรือว่าอัศวิน A อย่างนายได้รับข้อมูลว่าเมื่อก่อนฉันดูถูกชายรังแกหญิง กระทั่งนำคนเป็นๆ ให้ปู่ของฉันทำการทดลองฝังเข็มเพื่อเพิ่มกำลังภายใน จึงมาที่นี่เพื่อผดุงคุณธรรม?”

ฉีเทาหน้านิ่งและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองและสุขุมอย่างในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

ภายในพื้นที่ระบบ

ฟางหนิง “เจ้านกโง่ตัวนี้ดูเหมือนจะตั้งใจตกปลาเลยนะ? ก่อนหน้านี้ยังจงใจเยาะเย้ยฉันอยู่เลย แล้วจุดประสงค์แท้จริงของเขาคืออะไรล่ะ?”

ระบบตอบกลับ “ไม่รู้”

ฟางหนิงเอ่ย “เป็นไปได้ไหมที่จะคล้ายฉัน ที่ได้รับพลังจากการฆ่าผู้แข็งแกร่ง หรืออย่างอื่น?”

ระบบตอบ “ดูเหมือนว่าใช่”

ฟางหนิงพูด “แล้วแกยังมั่นใจอยู่ไหม?”

ระบบตอบกลับ “จะใช้ทักษะเดียวเหมือนเดิม”

ฟางหนิงว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเล่นต่อนะ…”

ระบบรับคำ “ขอให้สนุก แต่ถ้าระบบเรียกหา โฮสต์ต้องปรากฏตัวทันที”

ฉีเทาเห็นว่าหลังจากอัศวิน A ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ และมีสีหน้าเหมือนเดิม

เขาส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่ดีเลย ฉันไม่ชอบเหยื่อที่ตายโดยไม่แสดงสีหน้า มันไม่สนุก จริงๆ นะ ฉันจะบอกให้ มันไม่สนุกเลย แกต้องเป็นเหมือนพวกเขาสิ…”

ทันทีที่เขาพูดจบ จู่ๆ ก็ทำการแยกร่าง เพียงพริบตาก็มีร่างแยกอีกสองร่างปรากฏออกมาจากร่างของฉีเทา!

จากนั้นคนสองคนก็กระโดดออกมาจากแปลงดอกไม้ที่อยู่ไกลออกไป พร้อมดึงชายสองคนในชุดสูทออกมาด้วย แล้วเหวี่ยงพวกเขากระแทกกับพื้นอย่างแรง ‘ตู้ม’

ชายทั้งสองกุมปากพร้อมส่งเสียงไอ ‘แค่กๆ ‘ อยู่หลายครั้ง และเมื่อมองไปที่มืออีกรอบ ก็พบว่ามันเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าจึงถอดสีทันที

“ดูสิ ต้องสีหน้าหวาดกลัวแบบนี้ของพวกเขาต่างหากถึงจะสนุก เฮ้อ เห็นไหม มนุษย์เป็นของเล่นที่น่าสนใจมากแค่ไหน ความดีใจ ความโกรธ ความเศร้าโศก และความสุข เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าได้ในชั่วพริบตาเดียว มันช่างน่าสนุกจริงๆ!”

ฉีเทาแหงนหน้ามองฟ้า ราวกับว่าเขากำลังดูดบางอย่าง แล้วแสดงสีหน้าเพลิดเพลิน

“เฮ้ พวกแกสองคน พวกแกคงเป็นคนของเฟิงเหนี่ยวสินะ ใครเป็นคนจ้างพวกแกมา?”

“เราไม่ได้เป็นศัตรูกับคุณ เราเป็นแค่สายลับ ไม่ได้รับภารกิจใดๆ แค่มาเพื่อรวบรวมข้อมูลนิดหน่อยเท่านั้น” หนึ่งในชายสองคนนั้นเอ่ยปากขึ้น เขารู้สึกถึงความน่ากลัวของชายผู้นี้แล้ว

“เหอะๆ ถ้าพวกแกเป็นศัตรูล่ะก็ จะยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?” ฉีเทาพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมองพวกเขา

“การแสดงของฉันต้องการผู้ชม ดังนั้นพวกแกโชคดีมาก ที่จะยังไม่ตายในตอนนี้…” เขาพูดพลางมองไปยังอัศวิน A

“โอ้ แข็งแรงจริงๆ เลยนา…แต่น่าเสียดาย ทำไมแกถึงไม่กลัวเลย เพราะแกคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอล่ะสิ? จริงด้วย ฉันเคยฆ่าคนมาไม่น้อย และฉันถือว่าแกเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่มนุษย์ แต่ฉันชอบที่จะเห็นความโกรธของคนแข็งแกร่งเสียด้วยสิ คนแข็งแกร่งหลายคนที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งนั้นก็ไม่รู้สึกกลัวในตอนแรกเหมือนกัน พวกเขาจะโมโหก่อน จากนั้นเมื่อพบว่าตัวเองไร้พลังต่อสู้แล้ว ความหวาดหวั่นก็จะก่อตัวขึ้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น และอ้อนวอนให้ฉันปล่อยพวกเขาไป แกไม่กลัวใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกคนออกมามากกว่านี้ แกจะได้รู้จักกลัวบ้าง…”

ฉีเทาพูดด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ ก็มีผู้คนหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขาเป็นจำนวนมาก ในหมู่พวกเขามีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กทารก… แต่ทุกคนล้วนดูเฉื่อยชา ซึมกะทื่อไร้ความรู้สึก และลอยอยู่กลางอากาศ โดยล้อมรอบฟางหนิงและสายลับเฟิงเหนี่ยวทั้งสองไว้ตรงกลาง…

สายลับทั้งสองของเฟิงเหนี่ยวต่างกลัวจนตัวแข็งทื่อไปหมดแล้ว พวกเขารู้ว่าตัวเองได้พบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในองค์กรที่มีระดับแรงค์ D ขึ้นไป หรือเหตุการณ์ผิดปกติธรรมดา เหตุการณ์ระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพลังทางกายภาพเช่นปืนและกังฟูได้ แต่จำเป็นต้องจัดการด้วยพลังลี้ลับ

“ซวยแล้ว A32 พวกเราจะตายในภารกิจแรกเลยเหรอ?” สายลับ A กอดคู่หูของตัวเอง

“อย่ากลัวไปเลย อย่างน้อยก็มีคนที่ต้องตายก่อนเรา” สายลับ B กอดคู่หูกลับ

“นายทำให้ฉันกลัวกว่าเดิม…” สายลับ A เกือบจะร้องไห้

อัศวิน A ยังคงสีหน้านิ่งเฉยและเงียบสงบซึ่งนั่น ‘ดูเสแสร้งมาก’

“ไม่สนุกเลย แกยังไม่กลัวอีกเหรอ?” ฉีเทาส่ายหัว และดูเหลือเชื่อเล็กน้อย

ความจริงแล้ว ฟางหนิงผู้ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของอัศวิน A ก็รู้สึกหวาดกลัวไม่ต่างไปจากสายลับทั้งสอง สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ เขามีที่ซ่อนที่ปลอดภัย แต่สายลับทั้งสองทำได้แค่ยืนกอดกัน

ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้เขากำลังเล่นเกมอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ แต่สภาพแวดล้อมภายนอกยังคงส่งเสียงน่ากลัวตลอดเวลาและใบหน้าผีที่คลุมเครือก็ปรากฏขึ้นมาในสมองของเขา

เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ฟางหนิงหวาดกลัวจนยอมวางเกมลง และวิ่งเข้าไปหลบในร้านตีเหล็กใกล้ๆ “ฉันแทบจะร้องไห้แล้ว เทพแห่งระบบ ที่นี่น่าจะมีคนเป็นๆ แค่สี่คน และมีนายคนเดียวที่ไม่รู้จักคำว่ากลัว เพราะฉะนั้นอย่ามัวยืนทื่ออยู่เลย รีบแสดงพลังสิ แล้วจัดการปีศาจตัวนี้สักทีเถอะ!”

ระบบตอบกลับ “คอยอีกสักนิดเถอะ ดูว่ามันจะแสดงพลังอะไรออกมาอีก ระบบจะได้ประเมินความแรงโดยประมาณของศัตรูเหล่านี้ได้ถูก ยังไงซะก็ใช้แค่ทักษะเดียวอยู่แล้ว”

ฟางหนิงพูด “ถ้าอย่างนั้นแกอย่าตายกลางคันแล้วกัน ฉันไม่มีวิธีรับมือกับผีพวกนี้หรอกนะ”

ระบบ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นระบบจะลงมือเลย”

หลังจากที่ระบบพูดจบ อัศวิน A ก็เคลื่อนไหวทันที เขาลอยตัวขึ้น และใช้ฝ่ามือตบไปที่ร่างของฉีเทา!

ฉีเทานั้นดูเหมือนจะประเมินความเร็วของอัศวิน A ต่ำไป จึงไม่ได้ทำการหลบหนี แต่ร่างของเขาสลายตัวแตกเป็นฟองพร้อมกับเสียงดัง “ปัง”

“ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ !” เสียงของเขาดังมาจากทุกสารทิศ

“ฉันซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางวิญญาณเหล่านี้ แกหาฉันสิ ถ้าแกหาร่างจริงของฉันไม่เจอ ต่อให้แกมีทักษะล้ำลึกแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์!”

ฉีเทายิ้ม เขาอดหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งมากเท่าไรที่ตายกับทักษะเรียบง่ายแต่ยากที่จะอ่านออกของเขา!

อัศวิน A คนนี้แข็งแกร่งจริงๆ เขาเพิ่งจะเคยเห็นความเร็วในการโจมตีระยะประชิดเมื่อครู่ เกรงว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เขาพบเจอมาทั้งหมด จะไม่มีใครสามารถหลบหลีกการโจมตีนั้นได้

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายต้องเสียแรงเปล่าแล้ว!

อัศวิน A ถูกกำหนดให้ไม่สามารถค้นร่างจริงของเขาเจอ เพราะฉะนั้นแล้วเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายกจะถดถอยลงเรื่อยๆ จนหมดแรงไปในที่สุด และถูกฉีเทาสังหาร!

ถึงเวลานั้นเขาก็จะได้รับวิญญาณที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกตน

ฟางหนิง “ไอ้ระบบ แกพ่ายแพ้กลางคันแล้ว แกบอกว่าจะใช้แค่ทักษะเดียว…”

จากนั้นเขาก็มองร่างกายของตัวเองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบ เขาไม่ได้ชักฝ่ามือกลับ แต่ยังคงวาดวงกลมในอากาศแล้วผลักออกไปในทิศทางเดียวกัน หลังจากนั้นฟางหนิงก็ได้ยินเสียงมังกรคำราม…

ทันใดนั้น มังกรเพลิงลำตัวเพรียวบางและทรงพลังก็ปรากฏออกมาจากวงกลมที่เขาวาด แล้วกระแทกเข้าที่อกของวิญญาณร้ายตัวหนึ่งท่ามกลางกลุ่มวิญญาณเหล่านั้น! จากนั้นมังกรก็หมุนวนและพุ่งเข้าไปทั้งตัว!

กลุ่มวิญญาณพลันสลายไป แววตาของวิญญาณร้ายตัวนั้นก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ตามด้วยความหวาดกลัว สิ้นหวัง และความเหลือเชื่อ…

ร่างของฉีเทาค่อยๆ ปรากฏให้เห็น “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ทำไมแกถึงหาร่างจริงของฉันได้ง่ายดายแบบนี้! ทำไมการสับเปลี่ยนร่างของฉันถึงไม่ทำงาน! ฉันจะไม่ตายที่นี่ มันเคยบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครฆ่าฉันได้!”

เขาฝืนพูดจนจบ จากนั้นร่างกายของเขาก็พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ระเบิดกระจัดกระจาย ‘ตู้ม!’ เลือดที่ไหลไม่รู้จบ เศษกระดูก และเศษผ้ากระจัดกระจายไปทั่วลานกว้าง

ลานกว้างคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ฟางหนิงคิดในใจ ‘แกเปลี่ยนสีจากแดงเป็นม่วงซะขนาดนั้น แม้แต่คืนที่มืดมิดก็ไม่สามารถซ่อนตัวตนของแกจากแผนที่ระบบได้ มันแปลกตรงไหนที่ระบบจะค้นเจอร่างจริงของแก?’

ระบบแจ้งเตือน: ระบบได้ทำการโจมตีผู้คุมวิญญาณฉีเทาอัตโนมัติ

ระบบได้ใช้ทักษะลับ ‘เสียงคำรามมังกรเพลิงสวรรค์’ ซึ่งได้ใช้สล็อตความโกรธระดับสาม

ระบบโจมตีร่างจริงของฉีเทา ฉีเทาถูกโจมตีโดยพลังหยางและถูกปราบด้วยพลังมังกร ทักษะติดตัว ‘สับเปลี่ยนร่าง’ ของฉีเทาดำเนินการล้มเหลว

ระเบิดพลังโจมตี! ละเว้นการป้องกัน! บดขยี้โจมตี!

ผู้คุมวิญญาณฉีเทาได้รับความเสียหาย 1,800 หน่วย

ผู้คุมวิญญาณฉีเทาเสียชีวิต

ระบบได้รับค่าประสบการณ์ 75,000 คะแนน ระบบได้รับการอัปเกรด และตอนนี้อยู่ที่ระดับ 11…

ระบบได้รับค่าพลังปราณจำนวนมาก สล็อตพลังปราณระดับแรกเต็ม

ระบบว่าต่อ “ใช้แค่ทักษะเดียว”

ฟางหนิงพูด “แกไม่จำเป็นต้องอธิบายความเจ๋งของตัวเอง…แย่แล้ว!”

ระบบ “เขายังไม่ตายเหรอ?!”

ฟางหนิง “ไม่ ฉันหมายถึง แกทุบเขาเละซะไม่เป็นชิ้นดีแบบนี้ กรงเล็บเมฆามังกรบินที่เราใช้จัดการปีศาจไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว เราสูญเสียรายได้ไป…”

ฟางหนิงเพิ่งพูดจบ ก็เห็นระบบกำลังควบคุมร่างกายของเขา และเดินไปหาสายลับของเฟิงเหนี่ยวทั้งสองที่รอดชีวิตมาได้

“ท่านจอมยุทธ์ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเรา” สายลับ A และสายลับ B คำนับคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นไม่หยุด

ซึ่งต่างจากการเผชิญหน้ากับฉีเทา พวกเขาไม่รู้สึกกลัวอัศวิน A ที่จัดการฉีเทาจนเละไม่เป็นชิ้นเลย เพราะคนของเฟิงเหนี่ยวทุกคนต่างรู้ดีว่า อัศวิน A ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์เลยสักครั้ง

พวกเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในแวดวงนี้ และมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยกระทำความผิดใดมาก่อน ทั้งสองกำลังคิดว่า ‘ที่อัศวิน A คนนี้เดินเข้ามาหานั้น แค่ต้องการมาปลอบทั้งสองคนแล้วปล่อยพวกเขาไปสินะ?

อัศวิน A “ไปหาดูรอบๆ แล้วเก็บของที่หล่นจากคนคนนั้นมาให้ฉัน…”

สายลับทั้งสองตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็ยืนขึ้นและมองไปรอบๆ ‘ลานกว้างขนาดนี้ ชิ้นส่วนของฉีเทาก็กระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งแล้วน่ะสิ จะเจออะไรได้ล่ะ?’

ทั้งสองมองหน้ากัน หยิบไฟฉายที่พกติดตัวออกมาแล้วก้มหน้าค้นหาอย่างระมัดระวัง แรกเริ่มพวกเขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่หลังจากหาไปครู่หนึ่ง ก็แทนที่ด้วยความซาบซึ้ง อัศวิน A ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าฉีเทาร้อยเท่า โชคดีที่เขาเป็นคนดี…

แต่เมื่อเห็นท่าทีหนักแน่นของจอมยุทธ์ พวกเขาก็หน้าถอดสี เห็นทีว่าถ้าคืนนี้ไม่เจออะไรดีๆ ล่ะก็ คงไม่ได้ไปไหนแน่นอน…

……………………………………………………..

‘ต้องใช้เวลากว่าสองเดือนในการอัปเกรดระบบเป็นเลเวล 10 หากต้องการอัปเกรดให้ถึงเลเวล 100 จะต้องใช้เวลาขนาดไหนกัน เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้นอีก และเปิดให้ใช้งานโมดูลแต่งงานก่อนเวลา ทว่า ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา แม้กระทั่งระบบเองก็ไม่รู้เงื่อนไขการเปิดใช้งาน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ตะลึงกับความสำเร็จอัน ‘ทบเท่าพันทวี’ นั่น…’ ฟางหนิงคิดแบบนี้ และหลังจากที่เขาล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานไปชั่วคราว จึงมีใจหันมามองชายที่พูดจาดูถูกคนอื่นคนนั้น

เมื่อเขาหันไปก็พบว่า ที่แท้ชายคนนั้นเป็นวัยรุ่นอายุราวยี่สิบปี หนุ่มกว่าเขา รูปร่างค่อนข้างสูง สัดส่วนดี หน้าตาหล่อเหลา แต่แววตาแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง

ฟางหนิงมองลงไปที่พุงน้อยๆ ของตนเองก็พลันรู้สึกถูกโจมตี แต่หลังจากคิดดูแล้ว ‘จะกลัวทำไม ในเมื่อเรามีระบบ!’

“ฉีเทา วัยรุ่นควรรู้จักควบคุมตัวเองซะบ้าง แม้สินค้าของตระกูลฉีจะดี ก็ไม่ควรขับไล่แขกออกไปแบบนี้…” ประธานจ้าวเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขายังคงข่มอารมณ์ไว้ได้และเอ่ยอย่างสุภาพ

ฉีเทาเดินเข้ามาทีละก้าวพร้อมแก้วที่เต็มไปด้วยไวน์แดง เขาก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วมองไปทางฟางหนิงและประธานจ้าวอย่างรังเกียจ

“ผมจะกล้าทำแบบนั้นได้อย่างไร? ขืนผมไล่ประธานจ้าวผู้มั่งคั่งออกไป พี่ชายเย่ว์รู้เข้าได้เอาผมตายแน่ ผมเพียงแต่เตือนท่านด้วยความหวังดี แทนที่จะยกลูกสาวสุดที่รักให้กับคนมีพลังพิเศษไร้ประโยชน์แบบนี้ สู้ยกให้ผมดีกว่า และผมจะช่วยรับช่วงดูแลกิจการของท่านต่อเอง โชคดีที่ประธานจ้าวมีลูกสาวคนสวยที่พอเข้าตาผมบ้าง ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ผมไม่สนใจหรอก ว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

ฟางหนิงฟังแล้วถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ความคิดบ้าคลั่งผุดขึ้นมา ‘อะไรกัน? ไม่เคยมีใครว่าฉันแบบนี้มาก่อน ฉันผู้ซึ่งเป็นแบบอย่างในการใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างสันติจนกลายเป็นเศรษฐี และถึงขนาดที่ระบบเรียนซ้ำนั่นนำไปถ่ายทอดสด แต่หมอนี่กลับเรียกฉันว่าผู้มีพลังพิเศษไร้ประโยชน์อย่างนั้นเหรอ? ฉันไปทำอะไรให้หมอนี่ขุ่นเคืองกัน?’

เขาเพ่งมองอีกครั้ง และตั้งใจนึกย้อนความทรงจำเก่าๆ จากนั้นก็มั่นใจว่าตนไม่ได้รู้จักกับคนที่ชื่อฉีเทาเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองด้วย

ในเวลานี้ สีหน้าของประธานจ้าวก็พลันเคร่งขรึมขึ้น “คุณชายฉีไม่ต้องห่วง ตอนนี้มีหน่วยกิจการพิเศษรักษาความสงบสุขอยู่ทุกหนแห่ง จึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องให้เผ่าพื้นบ้านอย่างตระกูลฉีเข้ามาจุ้นจ้าน”

เมื่อฉีเทาได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าเสียดาย เขาส่ายหัวไปมาและชี้ไปที่ประธานจ้าวพร้อมกับพูดว่า

“ประธานจ้าวก็เลยคิดว่า การได้พ่อครัวฝีมือดีกลับไปเป็นลูกเขยย่อมมีประโยชน์กว่าสินะ ไม่เพียงจะได้รับผู้มีพลังพิเศษมาสืบทอดเชื้อสาย นักชิมอาวุโสอย่างท่านเองก็จะได้เพลิดเพลินกับอาหารอร่อยๆ ในทุกๆ วันอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว วางแผนได้ดีทีเดียว ท่านยังคงฉลาดเหมือนเดิมนะครับ แต่น่าเสียดาย ประธานจ้าว แม้พ่อครัวจะมีฝีมือดีแค่ไหนก็เป็นได้แค่พ่อครัวอยู่วันยังค่ำ ในอนาคตก็เป็นได้แค่คนที่คอยรับใช้ใครสักคนเท่านั้น มีเพียงตอนนี้ที่ยังพอมีคนยอมชื่นชมเยินยอ แต่ก็เป็นแบบนี้ได้ไม่นานหรอก หึๆ…”

เมื่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของประธานจ้าวถูกเปิดเผย และดูเหมือนคำพูดของอีกฝ่ายใช่ว่าจะไม่มีเป้าหมาย สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในทางกลับกัน ลูกสาวของเขาหลิ่วเหยายังคงนั่งนิ่งเงียบไม่พูดจา ราวกับว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงไม่ใช่เธอ

ขณะที่ทั้งคู่กำลังโต้เถียงกัน กลับเป็นฟางหนิงที่เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา

เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับจุดประสงค์ของประธานจ้าว แถมแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เมื่อครู่เขาได้ใช้มุมมองระบบแอบมองหลิ่วเหยาลูกสาวของประธานจ้าวแล้ว คิดไม่ถึงว่าเธอจะเผยหน้าสด หน้าตาสวยหวานละมุนราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ทำให้คนมองรู้สึกทนไม่ได้ที่อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส

ฉีเทาเป็นใครกัน คิดอยากจะสอดมือเข้ามาจุ้นจ้าน แถมด่าว่าเขาเป็นพ่อครัวไร้ประโยชน์ไม่หยุด เขาทนไม่ไหวจริงๆ

‘เมื่อก่อนฉันเป็นแค่โอตาคุที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ว่าจะถูกโจมตีอย่างไรก็จำต้องอดทนเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉันเป็นชายผู้ถูกระบบครองร่างเชียวนะ จะอดทนต่อไปทำไมกัน?’

ฟางหนิงคิดแบบนี้ และขณะที่เขากำลังจะเรียกเทพแห่งระบบออกมาช่วยจัดการ ระบบกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้ว

“น่าเสียดายจริงๆ ความโกรธของโฮสต์เพิ่งระเบิดเป็นครั้งแรก สามารถเติมสล็อตความโกรธได้ถึงสองอันเชียวนะ แต่มันกลับสูญเปล่า ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ระบบใช้มันไปกับการฟาร์มปีศาจไม่ดีกว่าเหรอ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ระบบพูด ฟางหนิงก็แทบกระอักเลือด “นั่นไม่ใช่ประเด็นสิ ฉันโดนดูถูกขนาดนี้ แกไม่รู้สึกเห็นใจบ้างเหรอ?”

ระบบ “เห็นใจโฮสต์เรื่องอะไรล่ะ? การถูกเยาะเย้ยไม่ได้ทำให้โฮสต์เสียค่าประสบการณ์สักหน่อย ถ้าสล็อตความโกรธยังไม่เต็ม ก็ยังสามารถสะสมความโกรธได้”

ให้ตายเถอะ ฟางหนิงรู้สึกยอมแพ้กับระบบงี่เง่าไร้หัวใจนี้จริงๆ แต่เมื่อเขาลองคิดมุมกลับ ‘ต้องหลอกระบบนี้สักหน่อยแล้วล่ะ’

“เฮ้ ระบบ แกอยากจัดการเจ้าหมอนี่คืนนี้เลยไหม ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว จะต้องเป็นผู้มีพลังพิเศษ มีค่าประสบการณ์ไม่น้อยแน่นอน”

ตามคาด เมื่อพูดถึงเรื่องฟาร์มปีศาจเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เทพแห่งระบบก็ไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป “แน่นอนอยู่แล้ว ความจริงแล้วค่าประสบการณ์ของหมอนี่สูงจนน่าสยดสยอง แค่ดูบนแผนที่ระบบโฮสต์ก็จะรู้ว่า เขาเหลืองจนเปล่งประกาย แถมประกายสีแดงด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง มีศักยภาพสูง และเป็นอภิมหาชั่วร้ายเชียวล่ะ แต่มันไม่ใช่สีแดง จะฟาร์มยังไง? เขาอาจมีความผิดมหันต์ แต่กฎมีข้อจำกัด ผู้ผดุงคุณธรรมจะฟาร์มได้เฉพาะเหล่าปีศาจที่กำลังก่ออาชญากรรมเท่านั้น ไม่สามารถลงมือกับผู้บริสุทธิ์ได้”

ฟางหนิงถูกเทพแห่งระบบสกัดกั้นด้วยกฎเกณฑ์ แต่เมื่อเขามองไปที่ฉีเทาซึ่งยังคงมีท่าทีได้ใจ จึงไม่อยากยอมแพ้

การปะทะกันในวันนี้ ทำให้เขารู้ว่า หากในอนาคตตนต้องการเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านอย่างสบายใจล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ตนจะไม่แส่หาเรื่อง ปัญหาก็ต้องวิ่งเข้ามาหาเอง และแม้เขาจะขี้เล่นแค่ไหน ก็แยกแยะได้ว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อนถึงจะทำทุกอย่างได้อย่างสบายใจ ยิ่งไปกว่านั้น คู่นัดบอดของตัวเองยังเป็นที่หมายปองของคนอื่นด้วย จะให้เขาทนต่อไปได้อย่างไร…

เขานึกถึงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นก็มีความคิดพิสดารผุดขึ้นมา

“แกบอกว่าถ้ามีคนพยายามโจมตีฉัน และเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อฉัน คนคนนั้นจะยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่อีกไหม?”

ในฐานะผู้เล่นมากประสบการณ์ ฟางหนิงคุ้นเคยกับการตั้งค่าเกมอย่างยิ่ง การจู่โจมผู้เล่นชื่อขาวอย่างไร้เหตุผลจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ในบางเกมชื่อจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก่อน และเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากฆ่าคน และบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลย แต่ตัวระบบเป็นสายคุณธรรมอยู่แล้ว การโจมตี ‘คนชอบธรรม’ อย่างมันอาจเปลี่ยนเป็นสีแดงไปเลย

“แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ถ้ากล้าคุกคามร่างสถิตของระบบ ก็นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจอันดับหนึ่ง! ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาคนนั้นจะมีความชอบธรรมและสูงส่งแค่ไหน ล้วนถือเป็นความผิดมหันต์ ความผิดร้ายแรง มหันตโทษ…ระบบจะต้องกำจัดมัน!” ครั้งนี้ระบบตอบกลับโดยไม่รีรอ ไม่มีความลังเลใจเลยสักนิด

ซึ่งนี่คือการตั้งค่าที่ลึกที่สุดในระบบ

หลังจากฟางหนิงพูดจบ ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา เขาจึงบอกกับระบบว่า “จับตาดูแผนที่ระบบให้ดี และดูวิธีการโจมตีทางจิตวิญญาณของเรา…”

ขณะที่เทพแห่งระบบกำลังงุนงงกับศัพท์ใหม่ ก็เห็นฟางหนิงกำลังขมวดคิ้วให้กับฉีเทาที่กำลังดูถูกเขา จากนั้นก็ยกมือกุมหน้าอก กลอกตา และล้มลงอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งพยายามยื่นไปจับอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ชุดเครื่องจานชามบนโต๊ะก็ไถลลงทั้งหมด

“เกิดอะไรขึ้น ประธานฟาง คุณฟาง? คุณเป็นอะไรไหม?” ประธานจ้าวรีบเข้าไปประคองฟางหนิงเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าฟางหนิงมีปัญหาสุขภาพอะไรไหม หรือตอนนี้เขาจะโกรธมากจนโรคหัวใจกำเริบ?

“ผม… ถ้าผมถูกกล่าวหาโดยไม่มีเหตุผล ผมก็จะรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก เร็วเข้า ช่วยพาผมไปโรงพยาบาลทีครับ ผมต้องการการรักษา…” ฟางหนิงพูดอย่างยากลำบาก ท่าทางดูเจ็บปวดมากทีเดียว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หมดสติและล้มไปที่ประธานจ้าว

จู่ๆ ผู้คนในงานก็ตื่นตะหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หลิ่วเหยาซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นด้วยความกังวล และเข้ามาช่วยประคองฟางหนิงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประธานจ้าวผ่านโลกมามาก เขารีบโทรเรียกรถพยาบาล ร่วมด้วยช่วยกันกับลูกสาววางฟางหนิงราบกับพื้น และเรียกหาใครสักคนมาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ฟางหนิง

มีเพียงฉีเทาเท่านั้นที่แสดงสีหน้าเฉยเมย จากท่าทีไม่แยแสของเขา ดูเหมือนอยากให้ฟางหนิงตายๆ ไปกับความโกรธเลยดีที่สุด…

รถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นทุกคนก็ช่วยกันยกฟางหนิงขึ้นไปบนรถ ประธานจ้าวและหลิ่วเหยาก็ขึ้นรถไปด้วยในฐานะคนในครอบครัว

บนรถพยาบาลนั้น กลุ่มหมอและพยาบาลต่างกำลังยุ่งกับการวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และเปิดเส้นให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ…

หลังจากนั้นไม่นาน หมอคนหนึ่งก็จ้องไปที่ค่าต่างๆ ด้วยความสับสนเล็กน้อย “ร่างกายของผู้ป่วยแข็งแรงเกินมาตรฐาน แล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงได้สลบไป?”

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ป่วยจะมีภาวะอื่น และจะกำเริบเมื่อถูกกระตุ้น?” หมออีกคนสันนิษฐาน

‘จู่ๆ ก็กำเริบอะไรกัน’ ขณะนี้เทพแห่งระบบรู้สึกงงงวย มันรู้ดีว่าร่างกายของฟางหนิงไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย หัวใจเขาเต้นแรงกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเสียอีก…

แต่บนแผนที่ระบบ ทำไมจู่ๆ ฉีเทาถึงได้เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น จากแดงเป็นม่วง จากม่วงเป็นดำ ทั้งๆ ที่ห่างกันไกลมากแล้ว แต่ไม่มีวี่แววที่จะคืนค่ากลับไปเหมือนเก่าเลย…

แน่นอนว่ามันเข้าใจความหมายของสีนี้ดี อย่างที่มันพูดกับฟางหนิงเมื่อครู่ ปีศาจตัวนี้ไม่เพียงแต่มีค่าประสบการณ์ที่สูง ยังมีระดับความผิดบาปที่สูงมากด้วย ซึ่งหมายความว่า การจัดการปีศาจตัวนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยอัพเกรดระดับ แต่สล็อตพลังปราณที่เพิ่งปลดล็อกไม่นานมานี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อาจถึงเต็มเลยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเจอปีศาจแบบนี้ในยามสงบ…

“ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? โฮสต์ทำได้ยังไงกัน?” เทพแห่งระบบอดถามออกไปไม่ได้ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบสิ่งใหม่อีกแล้ว…

หากมันมีตัวตนและดวงตา ฟางหนิงคงได้เห็นแววตาของมันกำลังเป็นประกาย…

“คิดไม่ถึงล่ะสิ ถ้าพูดถึงการเข้าใจกฎของระบบ ฉันอาจไม่รอบรู้เท่าแก แต่รู้ลึกกว่าแกแน่นอน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง จริงด้วย อย่าเพิ่งควบคุมร่างกายของฉันล่ะ”

เวลานี้ สติของฟางหนิงกลับไปซ่อนตัวอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบอีกครั้ง ด้านระบบที่รีบร้อนอยากรู้คำตอบ ในเวลานี้ได้กลายเป็นเด็กประถมที่ว่านอนสอนง่าย เลิกควบคุมร่างกายของเขาทันที ‘อย่างไรเสียก็มีหมอคอยดูอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก’

ในสายตาของคนอื่น ฟางหนิงโกรธจนเป็นลมหมดสติไป

ผู้คนในนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะ หมอฉุกเฉินก็มาจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมือง มีสถานการณ์ไหนที่พวกเขายังไม่เคยเจอบ้าง มีผู้ป่วยจำนวนมากที่แกล้งตายแต่ความจริงไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไรเลย

การเล่นละครตบตาไม่ใช่เรื่องง่าย ปฏิกิริยาทางสรีระวิทยาต่างๆ ของคนมีสติกับคนหมดสตินั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้จากการวินิจฉัยของพวกเขา แม้ว่าฟางหนิงจะไม่มีปัญหาทางร่างกาย แต่เขาหมดสติไปจริงๆ นี่ไม่ใช่การแสร้งทำแน่นอน

ประธานจ้าวที่ขึ้นไปกับรถพยาบาล ถามไถ่อาการจากหมอ เขารู้ว่าตอนนี้ฟางหนิงหมดสติไปแล้ว เขาไม่สงสัยเลยว่าหมอกำลังโกหก เพราะฟางหนิงไม่มีทางติดต่อกับหมอฉุกเฉินเหล่านี้มาก่อนแน่นอน

เขารู้สึกเห็นใจเล็กน้อย ‘เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก็เลยไม่สามารถทนปากพล่อยๆ ของคนแบบนั้นได้ น่าสงสารจริงๆ’

หลิ่วเหยาเองก็เฝ้ามอง ‘ฟางหนิง’ ที่หมดสติไปด้วยความเป็นห่วง เธอไม่คิดว่าจะมีคน ‘โกรธจนเป็นลมหมดสติไป’ เพราะเธอ…

……………………………………………………..

บทที่ 25 คิดมากเกินไป
หลังจากภารกิจตอบแทนบุญคุณสำเร็จลุล่วงแล้ว ฟางหนิงก็รู้สึกราวกับกันตนเองได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกไป ร่างกายและจิตใจของเขาสงบลงมาก ความรู้สึกที่เคยห่อเหี่ยวก็เบาบางลง

ระบบเห็นแบบนั้นก็เข้าใจว่านับจากนี้ฟางหนิงจะเลิกเล่นเกมและอ่านนิยายแล้วจะกระตุ้นตัวเองให้ฮึกเหิม แต่คาดไม่ถึงว่าฟางหนิงจะเล่นอย่างมั่นใจมากขึ้น…

ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกละอายเวลาเล่นไม่มากก็น้อย ตอนเล่นก็ค่อนข้างเกรงใจ ถ้าระบบเรียกตัวเมื่อไรก็มา…

แต่ตอนนี้น่ะสิ ถึงวันงานเปิดตัวยาของตระกูลฉีแล้ว หมอนี่ยังคงต่อสู้ในเกมออนไลน์จนลืมวันลืมคืน ขณะเดียวกันยังไม่ลืมเปิดคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งเพื่อรอการแจ้งเตือนของนิยายตอนใหม่ …

ฟางหนิงลืมวันลืมคืนจนระบบแทบไร้ตัวตน

“โฮสต์ คุณบอกว่าจะไปงานเลี้ยงเปิดตัวยาของตระกูลฉีเพื่อประมูลยาวิเศษนั้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอาการบาดเจ็บในอนาคตไม่ใช่หรือ ทำไมโฮสต์ถึงลืมมันไปได้ล่ะ” ระบบที่กำลังฝึกฝนกำลังภายในอดเอ่ยเตือนชายหนุ่มคนหนึ่งที่ติดเกมงอมแงมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้…

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ ตอนนี้ไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก” ฟางหนิงกำลังเล่นเกมต่อสู้ล้อมเมืองอยู่ เขาใช้อาวุธใหม่ที่แอบใช้เงินหมื่นหยวนซื้อมาฟันศัตรูของสมาคมตายพลางพูดขึ้นอย่างไม่แยแส

ในเมื่อเหตุผลที่เขาอยากไปในตอนนั้นคือดูว่ายานั่นจะมีความสามารถมหัศจรรย์งอกแขนขาที่ขาดไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ผู้มีพระคุณได้ใส่ขาเทียมที่ระบบผลิตให้แล้ว เท่ากับได้ขาแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นคู่หนึ่ง ดีกว่าขามนุษย์อย่างเดิมมากทีเดียว

ระบบแจ้งเตือน: คุณถูกตัดการเชื่อมต่อ

“ชิบหาย…” ฟางหนิงสบถ กำลังจะแย่งเมืองสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่แล้วอินเทอร์เฟซเกมออนไลน์บนหน้าจอของเขาก็กลายเป็นสีเทา ฟางหนิงใบหน้าตะลึงงัน

ฟางหนิงพลันตระหนักได้ทันทีว่าราคาของการล้อเล่นระบบนั้นไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้านี้เขาประกาศตัวว่าจะไปประมูลยาวิเศษของตระกูลฉีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอาการบาดเจ็บ

“ก็ได้ๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้…” ฟางหนิงรู้ดีว่าทำไมระบบถึงอยากให้ตัวเองไปร่วมงานนั่น

ถ้าให้ระบบออกหน้าเองคงจะวุ่นวายเละเทะ แม้แต่การสนทนาในงานเลี้ยงมันก็ยังไม่คล่อง มีหวังต้องทำให้คนอื่นไม่พอใจแน่ ความตั้งใจแรกของฟางหนิงแค่อยากจะซื้อของเท่านั้น แต่ขืนไปล่วงเกินใครเข้า แค่ไม่ถูกเฉดหัวออกไปจากงานก็ดีเท่าไหร่แล้ว

นอกจากนี้อัศวิน A ยังมีสถานะลึกลับไม่เปิดเผยตัวตนอีกด้วย นั่นสามารถช่วยให้ระบบทำตามอำเภอใจได้มากทีเดียวและยังเยาะเย้ยคนอื่นได้อย่างสบาย

ระบบแจ้งเตือน: การเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณใช้งานได้แล้ว

แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ฟางหนิงมองแอนิเมชั่น PK ที่กลับมาอีกครั้งแล้วก็รู้สึกอึ้ง ตัวละครในชุดนักรบหรูหราหมื่นหยวน ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเพราะถูกตัดการเชื่อมต่อ จึงถูกศัตรูสมาชิกสมาคมสองสามคนฉวยโอกาสล้อมไว้ ทักษะที่ปล่อยออกมาต่อเนื่องทั้งมึนงงทั้งลดเป็นผลกให้ถูกล้อมฆ่าตาย หลังจากดูแอนิเมชั่นแล้ว ฟางหนิงก็อยากจะร้องไห้ออกมา

นอกจากนี้ยังมีสมาชิกสมาคมในเกมที่ล้อเลียนเขาไม่หยุดหย่อน

“เกิดอะไรขึ้น ประธานใหญ่ของเราเมื่อกี้ยังไร้พ่าย ฟันไปหลายคนติดๆ เมืองหลักนั่นใกล้จะกลับมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว ทำไมถึงยืนเฉยไม่ขยับล่ะ แต่ถูกไอ้พวกนี้ล้อมฆ่าตาย หมายความว่ายังไง”

“ไม่ต้องบอกก็รู้ถูกแฟนดึงสายไฟแน่ๆ”

“XX ถูกประธานสั่งห้ามพูดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“ฮ่าฮ่า พูดแทงใจแล้วล่ะสิ!”

“XXX ถูกประธานสั่งห้ามพูดสามสิบวัน”

พวกแกกล้าดียังไงมาล้อเลียนคนโสดอย่างฉัน ไม่เตะโด่งพวกแกออกจากสมาคมอันดับหนึ่งเพราะใจอ่อนเห็นแก่เพื่อนเก่าต่างหากล่ะ

อีกอย่างระบบไม่ใช่มนุษย์ ผู้หญิงเทียบความร้ายกาจของมันไม่ได้เลยสักนิด แกอย่าทำร้ายฉัน ฟางหนิงพึมพำแล้วกลับมาครองร่างตัวเอง

ระบบพอใจแล้วจึงกลับไปฝึกฝนต่อ

ฟางหนิงเข้าร่วมงานเปิดตัวที่จัดขึ้นโดยตระกูลฉีเพียงลำพัง เดิมทีเขาคิดว่าจะเรียกจ้าวอิ๋งมาช่วยให้บรรยากาศไม่กระอักกระอ่วนดีไหม

เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบงานแบบนี้มากๆ เพราะผู้ชายฐานะดีล้วนมารวมตัวกันที่นี่

แต่คิดไม่ถึงว่าพอโทรไปหาจ้าวอิ๋งแล้ว เธอจะบอกว่ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ พร้อมทั้งเอ่ยปฏิเสธไม่อยากมาร่วมงาน และเมื่อถามถึงจุดประสงค์ที่เธอไปเรียนภาษาอังกฤษ จ้าวอิ๋งก็บอกว่าเธอมีแผนที่จะพัฒนาร้านเก่า ‘รสชาติของฟางซื่อ’ ให้เป็นร้านอาหารใหญ่ระดับนานาชาติ สร้างรายได้จากต่างชาติ แต่เธอหารู้ไม่ว่าปัญหาเรื่องปริมาณเครื่องปรุงรสอยู่เหนือการควบคุมของเถ้าแก่ฟางหนิงคนนี้…

ฟางหนิงนับถือความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายมาก ช่วงไม่กี่เดือนนี้เมื่อธุรกิจขยับขยายไปถึงระดับหนึ่ง เขาก็แบ่งเงินปันผลของร้านให้สาวสวยที่เป็นพนักงานเก่าแก่ อีกฝ่ายย่อมมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาร้านเก่า แน่นอนว่ามันใหญ่โตแล้ว คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือเจ้านายอย่างเขาที่ถือหุ้นทั้งหมด

เขาอยากรู้ว่าการเรียนของอีกฝ่ายรุดหน้าไปถึงไหนแล้ว จึงลองพูดภาษาอังกฤษกับเธอ กลับพบว่าจ้าวอิ๋งใช้เวลาเรียนไปไม่น้อยเลย แต่ยังได้แค่ระดับน้ำครึ่งขวด ถ้าพูดช้าๆ ชัดๆ เธอพอจะฟังออกบ้าง แต่ถ้าพูดเร็วหน่อยก็ไม่ไหว

เรื่องนี้ทำให้ฟางหนิงรู้สึกภูมิใจขึ้นมาบ้าง หลังจากเปิดอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบได้สองเดือน เขาก็เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียนไม่มีปัญหา เล่นเกมของต่างชาติที่คิดขึ้นใหม่ได้โดยไม่ต้องไปเที่ยวหาเวอร์ชันภาษาจีน ใช้ภาษาอังกฤษกับพวกนักเล่นเกมต่างชาติได้คล่องแคล่วและได้รับคำชมมากมาย

ฟางหนิงนอกจากจะมีความสุขแล้ว เขายังคาดเดาว่าความสามารถการเรียนรู้ของตัวเองที่เพิ่มขึ้นน่าจะมาจากอิทธิพลของระบบที่ใช้พลังงานภายในทุกวันและยังกินอาหารบำรุงด้วย นั่นช่วยให้เขาที่มีความจำพอใช้ได้อยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปอีก ความสามารถในการทำความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สติปัญญาและจินตนาการก็ดีขึ้นทุกวัน

เมื่อรู้แล้วว่าจ้าวอิ๋งปฏิเสธที่จะมาร่วมงาน ฟางหนิงจึงเป็นเพียงเจ้านายในนามแต่ไม่มีมาดของเจ้านายและไม่มีทางฝืนใจคนอื่นได้เลย ยิ่งจ้าวอิ๋งออกปากด้วยว่าจะพัฒนาร้านของเขาให้ดีขึ้น เขายิ่งไม่มีสิทธิ์คัดค้าน

ฟางหนิงสุ่มหาร้านแบรนด์หนึ่ง และขอให้พนักงานจับคู่ชุดปาร์ตี้ระดับไฮเอนด์แล้วเหมาซื้อมันมาทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งชุดราคาเจ็ดแปดหมื่นหยวน พนักงานสาวสวยมีความสุขมากจนเรียกเขาว่าเถ้าแก่สุดหล่อ

หลังจากนั้นเขาก็นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานที่หรูหราตามที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ… ถึงแม้ว่าเขาจะนั่งรถแท็กซี่ ก็ไม่เห็นว่าคนเฝ้าประตูคนใดส่งสายตาดูแคลนให้

เพราะเขาถือบัตรเชิญในมือจึงเข้าไปได้ราบรื่น โดยมีเจ้าหน้าที่ต้อนรับนำทางไปหาที่นั่งของตนเอง

สถานที่จัดงานเป็นห้องจัดเลี้ยงที่วิจิตรบรรจง โต๊ะจัดเลี้ยงพร้อมโต๊ะอาหารระดับไฮเอนด์วางเรียงเป็นระเบียบ ด้านบนมีโต๊ะยาววางสินค้า

บนโต๊ะจัดเลี้ยงแต่ละโต๊ะจะมีป้ายทองหนึ่งป้ายหรือสองสามป้ายที่มีชื่อต่างกัน

ฟางหนิงเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปที่นั่งของเขา แต่แล้วก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อ

“ประธานฟาง ทางนี้ ทางนี้” ไม่ไกลนัก ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนกำลังโบกมือให้เขา ข้างกายของอีกฝ่ายคือหญิงสาวในชุดราตรีสีขาว

“ประธานจ้าว มาถึงเร็วจัง สวัสดี สวัสดี ท่านนี้…” ฟางหนิงเดินเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ

“ลูกสาวของผมเอง หลิ่วเหยา เหยาที่หมายถึงพลิ้วไหวตามสายลม ใช้นามสกุลตามแม่ ปีนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบ เหยาเหยา มารู้จักกับประธานฟางสิ ประธานฟางยังหนุ่มแน่นมีอนาคตดี (มีทรัพย์สมบัติมากมาย) และนิสัยดีมาก (อยู่บ้านทุกวัน) แตกต่างกับพวกเสเพลเที่ยวเตร่ทั้งวันลิบลับ”

ประธานจ้าวเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมจิตใจดี เขาแนะนำหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ให้ฟางหนิงรู้จัก แต่เขาเป็นกันเองเกินไปหน่อย อย่างน้อยก็มากเกินไปหน่อยในความรู้สึกของฟางหนิง

ฟางหนิงเหลือบมองหญิงสาวที่ดูบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบและดูขี้อายเล็กน้อย

ตอนที่เธอมองฟางหนิง ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความหมายที่พ่อของเธอต้องการจะสื่ออย่างกระจ่างชัด แก้มของเธอแดงเรื่อราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต้มสีชาด เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วทักทายฟางหนิง “สวัสดีค่ะ คุณฟาง”

“สวัสดีครับ คุณหลิ่ว” นับเป็นครั้งแรกที่ฟางหนิงเห็นว่าผู้หญิงดูบอบบางได้ขนาดนี้ ความจริงแล้วเขาอยากจะมองให้นานหน่อยว่าเธอไปทำศัลยกรรมมาหรือเปล่า แต่เพราะพ่อของเธออยู่ด้วย จึงได้แต่มองแวบเดียว

“นั่งก่อนครับๆ ผมขอให้พวกเขาจัดโต๊ะให้เราแล้ว พวกเรามานั่งคุยกันก่อนเถอะ อีกสักพักทุกคนถึงจะมาพร้อมกัน ตอนนี้เพิ่งทุ่มนิดๆ เอง กว่างานจะเริ่มก็สองทุ่ม” ประธานจ้าวทักทายฟางหนิงอย่างสนิทสนมแล้วทั้งสามก็นั่งลงที่โต๊ะจัดเลี้ยงของพวกเขา

หลิ่วเหยาเงียบมาก หลังจากนั่งลงแล้วเธอก็ไม่พูดอะไรและไม่ชำเลืองมองเขาเลย เพียงนั่งเงียบๆ อย่างนั้นราวกับต้นหลิ่วลู่ลมและกล้วยไม้หลบเร้นกลางหุบเขาร้าง ทุกวันนี้หายากนักที่จะเห็นผู้หญิงอ่อนโยนที่เงียบขรึมงามสง่าเช่นนี้

ฟางหนิงนั่งตัวตรงอยู่อีกด้านของประธานจ้าว แสร้งทำเป็นไม่ชำเลืองมอง…

ประธานจ้าวเป็นคนที่ถนัดเข้าสังคม มีประสบการณ์เต็มเปี่ยมและเข้าใจทักษะการสนทนาเป็นอย่างดี

ส่วนโอตาคุเช่นฟางหนิงเมื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายก็พบว่าเขาไม่ได้อึดอัดมากและมีหัวข้อเรื่องที่จะสนทนา

ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศช่วงนี้และสถานการณ์ปัจจุบัน ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างถูกคอ

เวลาผ่านไปได้สักพัก ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา หลังจากนั้นน้ำเสียงบาดหูก็ดังขึ้น “โอ้ ดูท่าทางประธานจ้าว จะเป็นกันเองมากเลย สงสัยจะเหมือนกับเขาลือกันว่าอยากจะหาผู้มีพลังพิเศษขยะมาเป็นเขยสินะ”

ฟางหนิงฟังแล้วก็ตะลึง เขาไม่ได้หันมองประธานจ้าว แต่กลับมองไปทางหลิ่วเหยาอย่างระมัดระวังจากมุมมองของระบบ ก็เห็นเพียงใบหน้าอีกฝ่ายแดงเรื่อ แต่ไม่มีวี่แววว่าเธอจะปฏิเสธหรือรังเกียจ

เขาแอบดีใจเล็กๆ ผู้หญิงเงียบๆ แบบนี้เป็นผู้หญิงแบบที่เขาชอบ แม้ว่าคนนั้นจะพูดจาไม่เข้าหู แต่ตอนนี้ในหัวของเขากลับนึกถึงเรื่องอื่นไปแล้ว เอ๊ะ ถ้าตกลงจะแต่งงานกัน ก็จะอยู่แต่บ้านเล่นเกมต่อไปไม่ได้แล้วน่ะสิ ถ้าแต่งงานแล้วเอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมล่ะก็…จะดูเหมือนเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหนหรือเปล่านะ

ตอนนั้นเองก็มีข้อความแจ้งเตือนจากระบบเด้งขึ้นมา: ระบบต้องอัปเกรดเป็นเลเวล 100 ก่อน ถึงตอนนั้นโมดูลการแต่งงานจะเปิด

‘อ๋อ ที่แท้ฉันก็คิดมากไป…’ ฟางหนิงรำพึงในใจ

……………………………………………………..

บทที่ 24 ยังมีใครอีกที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ทำให้เสร็จทีเดียวเถอะ
“ที่รัก ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้อีกแล้วล่ะคะ วางลงเถอะ มาให้ฉันทำเอง” ผู้หญิงร่างบางเดินออกมาจากในบ้าน ใบหน้าของเธอกรำแดด ผิวพรรณหยาบกร้านขาดการบำรุง ดูแล้วค่อนข้างมีอายุ แต่เค้าโครงใบหน้าอ่อนโยนของเธอพอจะบอกได้ว่าเมื่อก่อนเป็นผู้หญิงงามสง่าคนหนึ่ง ตอนนี้อายุน่าจะยังไม่มากนัก

“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่อยากอยู่ว่างๆ หลายปีมานี้คุณก็ลำบากมากแล้ว ”

“พูดอะไรอย่างนั้น เมื่อก่อนฉันไม่ได้มีความสุขหรอกเหรอคะ ฉันพอใจมากแล้ว แต่ว่าคนดีมักไม่ได้รับการตอบแทน สวรรค์ก็เลยให้คุณต้องมาพิการแบบนี้…” หญิงสาวพูดพลางน้ำตานองหน้า

ฟางหนิงที่ยืนอยู่ที่ลานบ้านมองภาพนี้อย่างเงียบงัน

“ลงมือตอนนี้ไหม” ระบบถามเขา

“เดี๋ยวก่อน”

“เมื่อกี้โฮสต์เป็นคนบอกให้รีบลงมือ ตอนนี้ก็ให้รออีก พวกมนุษย์ช่างน่าปวดหัวจริงๆ” ระบบเริ่มหงุดหงิดแล้ว

“หยุดพล่ามก่อน” โอตาคุตัวพ่ออย่างฟางหนิงที่น้อยครั้งจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เวลานี้มีน้ำตาเอ่อคลอ

“พวกเขาคือพ่อแม่ที่พลัดพรากกันหลายปีใช่ไหม” ระบบเอ่ยถาม

“พูดมั่วๆ ปีนี้ฉันเพิ่งจะยี่สิบแปด ผู้หญิงคนนั้นอายุไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ” ฟางหนิงโต้กลับ

ตอนนั้น สองสามีภรรยาที่ลานบ้านก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ชายคนนั้นเอ่ย “ทำไมทำดีไม่ได้ดีนะ สวรรค์ให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทรมานคุณเหรอ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เราเก็บเงินได้มากพอแล้ว รอหลังปีใหม่เราจะไปที่โรงพยาบาลใหญ่แล้วใส่ขาเทียมนำเข้าที่ดีที่สุดให้คุณ ถึงตอนนั้นคุณจะกลับมายืนได้อีกครั้งค่ะ”

ตอนแรกชายคนนั้นดีใจมาก ต่อมาสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอีก “คุณได้เงินมาจากไหนตั้งมากมาย เงินที่หามาได้หลายปีนี้ก็ทยอยชดใช้ให้คนพวกนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าไม่ตอบกลับ

“ทำไมคุณไม่พูดล่ะ คุณแอบทำเรื่องนั้นลับหลังผมหรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ ผมขอโขกหัวตายดีกว่า!” ชายคนนั้นเลื่อนรถเข็นทำท่าจะออกไปข้างนอก

“คุณคิดฟุ้งซ่านอะไรคะ” ผู้หญิงคนนั้นจับรถเข็นเอาไว้ “ฉันไม่ได้บอกเพราะกลัวว่าคุณจะคืนเงินอีก หลายปีมานี้มีคนส่งเงินมาทุกเดือน ตอนแรกน้อย ตอนหลังก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาก ฉันใช้คืนเงินทั้งต้นและดอกเบี้ยครบแล้ว เงินที่เหลือยังพอช่วยคุณใส่ขาเทียมได้ค่ะ”

“คนนั้นเป็นใคร ผมไม่เห็นจำได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นจะยังมีเพื่อนหรือญาติคนไหนจำผมได้” ชายคนนั้นไม่ยอมเชื่อ

“เขาเคยฝากข้อความไว้ บอกว่าเป็นนักเรียนที่คุณเคยช่วยเหลือค่ะ”

“นักเรียนงั้นเหรอ” ใบหน้าของชายผู้นี้ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำเนิ่นนาน จากนั้นเขาก็ส่ายหัวพลางเยาะเย้ยตนเอง “ผมจำได้ว่าสมัยนั้นเป็นคนใจดีมาก เงินทองหามาได้ง่ายดาย ผมเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือนักเรียนและช่วยอุปถัมภ์พวกเขาห้าคน แต่ตลอดช่วงเวลาอุปถัมภ์ ทั้งห้าคนไม่เคยโทรหรือส่งข้อความหาผมสักครั้ง จนกระทั่งผมเกิดเรื่องถึงได้หยุดอุปถัมภ์ มีแค่คนเดียวที่โทรมาหา คุณรู้ไหมว่าเขาพูดอะไร”

หญิงสาวร่างเล็กเพียงแต่ส่ายหน้า

“เขาแค่ถามประโยคเดียว ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะอุปถัมภ์จนกว่าเขาจะเรียนจบมหาวิทยาลัยหรอกเหรอ”

“ตอนนี้คุณจะบอกว่านักเรียนที่ผมเคยอุปถัมภ์ส่งเงินมาให้ตลอดหลายปี ผมจะเชื่อไหมล่ะ”

ชายคนนั้นส่ายหน้า เมื่อครู่ที่เขาพูดว่าคนทำดีย่อมได้ดีก็แค่ปลอบใจภรรยาเท่านั้น หลังเกิดเรื่องตลอดหลายปีมานี้ ยามมีอำนาจก็มีคนประจบ ยามสูญเสียอำนาจก็ไม่มีใครแยแส ทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีจิตใจเมตตา ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ปลงได้ทุกอย่าง

หญิงสาวรีบกลับเข้าไปในห้องเพื่อค้นหาโปสการ์ดเก่าใบหนึ่งทันที บนโปสการ์ดปรากฏใบหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งและข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียว “ผมทำงานแล้ว”

ชายคนนั้นรับโปสการ์ดมา ใบหน้าของเขาฉายแววสงสัย จากนั้นดวงตาก็ทอประกาย หวนนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นนานมากมาแล้ว “เป็นเขาได้ยังไง เป็นเขาได้ยังไงกัน ก็แค่เสื้อคลุมทหารตัวเดียวและฉันก็ใส่มันจนเก่ากึกแล้วด้วย”

ความทรงจำของเขาย้อนกลับไปในอดีตแสนไกล เมื่อตอนที่เขายังหนุ่มแน่น ในช่วงเวลาอันเหนื่อยล้าและหิวโหย ตอนนั้นเขากำลังขับรถบรรทุกคันใหญ่แวะจอดบนถนนเส้นหนึ่งที่ไม่รู้จัก พยายามหาโรงแรมราคาถูกใกล้ๆ เพื่อพักผ่อน อากาศคืบคลานเข้าฤดูหนาวแล้ว ตอนนั้นเองเขาเห็นนักเรียนมัธยมข้างถนนที่กำลังรีบไปโรงเรียน เขาเรียกเด็กคนนั้นเพื่อถามทาง และอีกฝ่ายก็ใจเย็นแนะนำโรงแรมราคาประหยัดใกล้ๆ มาให้

เขาเห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมบางๆ ตัวเดียว จึงถามสั้นๆ ว่าหนาวไหม จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมทหารในรถให้อีกฝ่าย เด็กคนนั้นดูท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงรับไปแล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามชื่อเขาอีกครั้งแล้วจากไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหันมาดูเลขทะเบียนรถของเขานานหน่อย

เมื่อมองรูปภาพใบนี้ นอกจากเค้าหน้าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วก็แทบจะเหมือนกับเค้าหน้าของนักเรียนในตอนนั้นทุกประการ

แน่นอนว่าชายคนนั้นไม่รู้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฟางหนิงผ่านฤดูหนาวโดยที่ไม่ต้องทนหนาวจนตัวแข็ง

“เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเจริญก้าวหน้าแล้วสินะ ดูท่าคงจะไม่เลวเลย ทำดีย่อมได้ดีจริงๆ…” ชายคนนั้นยังรำพึงไม่ทันจบ ทั้งตัวก็หงายไปข้างหลังทันที

“ที่รักคะ” หญิงสาวเพิ่งจะเอ่ยเรียกเขาเท่านั้น แต่แล้วก็ทรุดลงไปพร้อมกัน

“บ้าเอ๊ย ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” ขณะที่ฟางหนิงกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ระบบก็ลงมือแล้ว…

“ขืนปล่อยให้พวกเขาพล่ามไร้สาระต่อไป ทนรอจนถึงเช้าก็ยังไม่ได้ลงมือ รีบทำให้เสร็จๆ เถอะ ยังต้องไปจับปีศาจอีก!”

เอาล่ะ ละครดราม่าสะเทือนอารมณ์เมื่อครู่ถูกระบบที่ไม่ใช่มนุษย์ขัดจังหวะดื้อๆ เสียแล้ว

อารมณ์ของฟางหนิงที่เมื่อครู่ไม่ง่ายกว่าจะกลั่นออกมาหายวับไปทันที ตอนนี้เขากลอกตามองบน ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพเอยเวลาเอย ระบบไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยจริงๆ แต่เพราะมันไม่ใช่คน จึงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้

เขาได้แต่มองระบบเอาเลือดจากชายคนนั้นมา ทำขาเทียม จากนั้นก็ประกอบเข้าไป…

“แค่นี้เองเหรอ” ฟางหนิงตกตะลึง ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ มันเร็วเกินไป เร็วจนเหลือเชื่อ

“รับรองว่าไม่มีปัญหา ระบบใช้ปราณแท้และค่าประสบการณ์มากทีเดียว ปราณแท้ยังพอว่า แต่ค่าประสบการณ์สิใช้ไปไม่น้อย นี่เท่ากับทำงานฟรีๆ เลยนะ ไม่รู้ว่าต้องจับปีศาจกี่วันถึงจะชดเชยได้…”

ระบบยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ มันก็ต้องชะงัก

หลังจากนั้นฟางหนิงก็รู้แล้วว่าทำไมระบบถึงนิ่งเงียบไป

ระบบแจ้งเตือน: โฮสต์ตอบแทน ‘บุญคุณเสื้อหนึ่งตัว’ และกระตุ้นความสำเร็จของอัศวินที่กำหนดเฉพาะหนึ่งเดียว ‘บุญคุณเพียงหยดน้ำ ตอบแทนดั่งน้ำพุ’ : ระบบเปิดโมดูลพลังปราณล่วงหน้า ปัจจุบันได้รับสล็อตพลังปราณเริ่มต้น ทุกๆ ห้าสิบระดับจะได้รับหนึ่งสล็อต ระบบได้รับผลเพิ่มขึ้นถาวร: หากคุณเลือกใช้สล็อตพลังปราณพร้อมกันเมื่อเริ่มการเคลื่อนไหว พลังจะเพิ่มขึ้น 100% และใช้ร่วมกับสล็อตความโกรธได้

ก่อนฟางหนิงจะทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกเจ้าระบบงี่เง่าถามทันที

“โฮสต์ ลองคิดดูให้ดีสิว่ามีใครอีกไหมที่ต้องตอบแทนบุญคุณ พวกเราทำคืนนี้ให้เสร็จเลยทีเดียวเถอะ!”

“พูดบ้าๆ จะมีที่ไหนอีกล่ะ ที่เหลือก็แค่รู้จักกันตามปกติเท่านั้น” ฟางหนิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อก่อนเขาจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของคนทั่วไป แบ่งเงินเดือนจำนวนมากส่งให้คนที่เคยมีบุญคุณแต่ต้องเผชิญกับหายนะจนสิ้นหวัง เขามีสารพัดข้อบกพร่องมากมาย แต่จากประสบการณ์ในวัยเด็ก ทำให้ฟางหนิงรู้เหตุผลของการรู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ในวัยที่เขาขาดความรัก การมีคนเข้ามาช่วยเหลือได้มอบประสบการณ์ชีวิตให้เขามากขึ้น ทำให้ฟางหนิงอยากจะตอบแทนคุณให้มากเป็นเท่าตัว

“จริงสิ เห็นแกตกใจขนาดนี้ ความสำเร็จครั้งนี้เจ๋งมากเลยเหรอ”

“ในสถานการณ์ปกติ เงื่อนไขการเปิดโมดูลพลังปราณต้องสะสมชื่อเสียงก่อนและเปิดโมดูลอัศวิน กลายเป็นอัศวินที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากนั้นอัปเกรดระบบเป็นเลเวล 50 ขึ้นไป ถ้าใช้ค่าพลังปราณจะทรงพลังมาก… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลทวีคูณ แต่ค่าพลังปราณต่างกับค่าความโกรธ ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ มีแต่ผดุงคุณธรรมถึงจะได้รับและได้มาน้อยมาก ต่างจากค่าประสบการณ์ ค่าพลังปราณจะได้รับเท่าไรก็ต้องดูระดับความผิดของอีกฝ่าย ไม่ใช่ระดับความแข็งแกร่ง”

ฟางหนิงเข้าใจชัดเจนแล้ว ค่าพลังปราณเป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย แม้แต่ระบบเองก็ยังตกตะลึง ดูท่าผู้มีพระคุณจะพูดถูกแล้ว คนทำดีย่อมได้ดี ถ้าหากตัวเองเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่มีทางที่จะเปิดโมดูลที่มีข้อกำหนดสูงอย่างนี้ได้ล่วงหน้าแน่นอน ใครก็ตามที่เล่นเกมมานานจะรู้ว่าเลเวล 10 ที่มีความสามารถเทียบเท่าเลเวล 50 หมายความว่าอย่างไร

เขาอยากจะเข้าใจรายละเอียดจึงซักถามเพิ่มเติม “ถ้าแกใช้ทักษะขั้นสูงตามคำเตือน โดยใช้ทั้งค่าพลังปราณและค่าความโกรธจะเพิ่มอานุภาพถึงระดับไหน”

“นั่นไม่ใช่การคำนวณเพิ่มพลังง่ายๆ เอาอย่างนี้ละกัน ตราบใดที่ถูกโจมตีด้วยศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ความชอบธรรม หากอีกฝ่ายมีความคิดชั่วร้ายแม้แต่น้อย ก็จะถูกทำร้ายต่อเนื่องจนกระทั่งพลังปราณหมดลง หากสิ่งชั่วร้ายตามธรรมชาติอย่างภูตผีปีศาจมีพลังอ่อนแอก็จะจุดชนวนให้สังหารทันที! ไม่ต้องตัดสินว่ายังมีค่าอันตรายอะไรบ้าง

ภูตผีที่มีพลังแข็งแกร่งก็จะตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอถาวร ตอนนี้มีผลเพิ่มเติมของการโจมตีเป็นเท่าตัว หากผีปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าไม่มีวิธีป้องกันพิเศษ ก็จะถูกสังหารทันที” คำตอบของระบบสุดยอดมาก

ฟางหนิงกลัวพวกภูตผีเป็นที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกมันเพิ่งปรากฏตัวขึ้นมา โชคดีที่ระบบมีความสามารถกำหนดเป้าหมายพวกมันได้โดยเฉพาะ จึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นไม่น้อย และรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น…

เขานึกถึงคำถามของระบบเมื่อครู่นี้จึงถามอีก “แกได้รับความรู้จากความทรงจำของฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ”

“ไม่รู้หรอก แต่ละวันโฮสต์มีความคิดนับร้อยนับพัน และความทรงจำก็ซับซ้อนยิ่งกว่าอะไร ระบบอ่านแต่เรื่องสามัญสำนึกพื้นฐานเท่านั้น กลัวว่าอ่านมากไปจะทำให้โฮสต์เป็นบ้า” ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ฟางหนิงแอบสบายใจขึ้นหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าเรื่องน่าอายของตนเองจะถูกหมอนี่ขุดออกมา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว

……………………………………………………..

ฟางหนิงไม่ได้ตอบคำถามของระบบ แต่กลับย้อนถาม “ให้ฉันถามก่อน แกย้ายอวัยวะในร่างกายฉันไปยังพื้นที่รักษาความสดของระบบนั่นได้ในพริบตาเลยไหม หรือว่าต้องใช้เวลานาน”

ระบบยังเป็นไอ้ทึ่มจริงๆ ฟางหนิงพูดชัดเจนขนาดนี้ มันยังไม่เข้าใจทักษะนี้มีประโยชน์ยังไง ได้แต่ตอบกลับไปตรงๆ

“จะบอกว่าพริบตาก็ใกล้เคียง เพราะแทบไม่ต้องใช้เวลาเลย พื้นที่ระบบผูกติดกับโฮสต์ ใกล้กับอวัยวะ เนื้อเยื่อและเซลล์ของโฮสต์อยู่ใกล้แค่คืบจึงไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้หน่วยเวลาของมนุษย์อย่างพวกคุณวัดเกรงว่าจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที”

“สุดยอด! ข้อดีก็คือถ้าจู่ๆ มีผู้แข็งแกร่งโผล่มาแล้วเราหลบหรือสู้ไม่ได้ แกก็แค่เก็บน้องชายของฉันไปซ่อน…”

“ระบบเข้าใจแล้ว!”

จากนั้นฟางหนิงก็ได้ยินข้อความแจ้งเตือนจากระบบ

‘ระบบได้รับแรงบันดาลใจจากโฮสต์และเข้าใจทักษะพิเศษ – การป้องกันทั้งหมด (ระดับต่ำ): เมื่อพบการโจมตีที่ไม่มีหนทางสกัดกั้น สามารถถ่ายโอนบางส่วนของร่างกายไปยังพื้นที่ระบบเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ข้อจำกัด: ในระดับปัจจุบันทักษะนี้ไม่สามารถต้านทานการโจมตีประเภทครอบคลุม ขณะเดียวกันไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่มุ่งเน้นบริเวณสมอง’

ฟางหนิงเข้าใจข้อจำกัดนี้ดี เพราะตอนนี้เป็นเพียงระบบระดับต่ำ หากเป็นระดับกลางและระดับสูงล่ะก็….

“เอ๊ะ ทักษะนี้อัปเกรดจนถึงจุดที่สามารถซ่อนร่างกายทั้งหมดไว้ในพื้นที่ระบบได้ไหม”

ฟางหนิงจินตนาการ นี่สิถึงจะเป็นวิธีอาศัยพื้นที่ระบบเพื่อรักษาชีวิตขั้นสูงตามที่เล่ากันมา

“ไม่รู้สิ เพราะสิ่งเดียวที่ตอนนี้ระบบไม่กล้าแตะต้องคือสมองของโฮสต์ นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ระบบกล้าใส่หัวใจของโฮสต์ลงในพื้นที่ระบบไม่กี่วินาทีแล้วนำกลับมาใส่คืนให้ แต่ไม่กล้าใส่สมองลงไป ถ้าตอนนั้นโฮสต์ตายเพราะสติสัมปชัญญะหยุดทำกิจกรรมทั้งหมด ระบบก็จะตายด้วย อีกอย่างทักษะนี้มีข้อจำกัด ก็คือไม่ทราบวิธีการอัปเกรด และไม่อาจใช้ค่าประสบการณ์หรือการปิดเพื่ออัปเกรดต่อไปได้” ระบบอธิบายตรงไปตรงมา

“ช่างเถอะ เป็นมนุษย์ต้องรู้จักพอเพียง อย่างน้อยการโจมตีจุดที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ ขอแค่ไม่ใช่โจมตีหัว พวกเราก็จะมีไพ่ตายใหม่ในการรับมือ” ฟางหนิงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว

ไม่ง่ายที่จะใช้โอกาสนี้สอนบทเรียนระบบ และสร้างสถานะของตนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง และยังให้ระบบเรียนรู้ทักษะการช่วยชีวิต ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สูญเสียความมุ่งมั่นเพราะมัวแต่เล่นเกมใช่ไหม

ฟางหนิงคิดได้อย่างนี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาลืมความซึมเศร้าและความสิ้นหวังก่อนหน้านี้ไปปลิดทิ้ง จากนั้นก็คิดว่าจะเล่นอะไรต่อดี…

ด้านระบบกลับพอใจยิ่งกว่าฟางหนิงเสียอีก ในเมื่อมันไม่ใช่มนุษย์ ความท้อแท้จึงจางหายไปอย่างรวดเร็ว และ ‘การป้องกันทั้งหมด’ ก็เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราการมีชีวิตรอดได้โดยตรง

กระบวนการได้มานั้นก็แค่อาศัยคำเตือนจากโฮสต์ไม่กี่คำโดยไม่ต้องเสียเวลาปิดระบบเพื่อทำความเข้าใจ แถมไม่ใช้ค่าประสบการณ์เลย แค่ใช้ทักษะชีวิตที่เรียนมาก็เรียนรู้ได้ง่ายๆ เหมือนกับตกลงมาจากท้องฟ้า

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฟังก์ชันนี้แทบจะสร้างขึ้นมาเพื่อระบบโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นฟังก์ชันที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่นนั้นถึงจะได้ผลดีที่สุด แม้ว่าคนอื่นจะได้เรียนรู้มันด้วยก็ตาม แต่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดและผันผวนก็มักจะใช้ไม่ทัน มีเพียงแต่ระบบที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถเปิดเธรดติดตามการโจมตีที่เสี่ยงตายได้ทุกเมื่อเท่านั้น และสามารถทำงานอัตโนมัติไปถึงขั้นขยับเขยื้อนร่างกายของฟางหนิงได้…

ทักษะที่มีประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ ระบบที่ยึดถือการมีชีวิตรอดเป็นหลักการแรกย่อมไม่สนใจพฤติกรรมหยาบคายของฟางหนิงก่อนหน้านี้แน่นอน

กลับกันมันเคยคิดว่าถ้าฟางหนิงขอรางวัล คราวนี้ต้องใจกว้างหน่อยแล้วเพื่อกระตุ้นให้เขาเสนอความเห็นแบบนี้มากขึ้น…

แต่คาดไม่ถึงว่าหมอนี่จะแก้แค้น และหลังจากดีใจลิงโลดออกนอกหน้า ก็ไม่เอ่ยถึงรางวัลเลย…

ดูท่าอยู่กับโฮสต์ที่เป็นโอตาคุก็มีข้อดีเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลและพอใจง่าย ระบบถอนหายใจก่อนจะปล่อยมนุษย์กลไกที่อัปเกรดเป็นระดับกลางแล้วให้แทนที่ตัวตนแท้จริงของฟางหนิงต่อไป

จากนั้นมันก็ตรวจสอบแผนที่ระบบและวางแผนการจับปีศาจคืนนี้ต่อ ทหารเทพใกล้จะสำเร็จแล้ว ต้องรีบทำเวลาอัปเกรด…

ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ระบบคิดมากเกินไปอีกแล้ว ฟางหนิงที่เป็นนักเล่นเกมมือเก๋าจะลืมเรื่องสำคัญที่สุดอย่างรางวัลได้ยังไงกัน

เพียงแต่ว่าตอนนี้ความสนใจของฟางหนิงรวมอยู่ที่มนุษย์กลไกระดับกลางที่ระบบเพิ่งปล่อยออกมา เขาจึงเอาแต่คิดว่าฟังก์ชันของมันอาจจะยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก…

หลังจากระบบปล่อยมนุษย์กลไกระดับกลางออกมาแล้ว มันก็ย้อนนึกถึงสถานการณ์ที่ฟางหนิงพูดก่อนหน้านี้ มันยอมรับแล้วว่าไอคิวของโฮสต์สูงกว่ามันมากจริงๆ มันจึงเอ่ยถาม

“จริงสิ โฮสต์เพิ่งบอกว่าอาจมีคนที่มีความสามารถเก่งกาจมองทะลุร่างได้ในอนาคต แต่ตอนนี้แม้มนุษย์กลไกอัปเดตเป็นระดับกลางแล้ว แต่รับมือได้แค่คนธรรมดาเท่านั้น หากมีผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถมองทะลุได้ ก็คงดูออกทันทีว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงอะไหล่ ไม้ และเหล็กกล้า ถึงตอนนั้นมนุษย์กลไกก็คงใช้การไม่ได้อีก…”

ฟางหนิงกำลังจดจ่อกับฟังก์ชันมนุษย์กลไกระดับกลาง ทันทีที่ได้ยินก็ตื่นตะลึงกับคำพูดของระบบ แต่พอฟังชัดแล้วก็ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ

“แกกังวลเรื่องขี้ประติ๋วแบบนี้หรอกเหรอ ตราบใดที่แกไม่ทำอะไรพลการทำให้ร่างกายของฉันเสียหายก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

ฟางหนิงไม่เคยอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก่อน ตอนนี้เขาจึงอธิบายให้ระบบงี่เง่าเข้าใจในครั้งเดียว มันจะได้ไม่เอาแต่คิดว่าไอคิวของมันไล่ตามโฮสต์ของตัวเองทัน และจัดการทำอะไรเองโดยไม่ปรึกษาเขาก่อนอีก

“พวกเขารู้ว่ามนุษย์กลไกเป็นของปลอมแล้วมันสำคัญยังไงล่ะ ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลปัญหานี้ อย่างมากถึงตอนนั้นฉันจะประกาศให้ทุกคนรู้ฉันมีพลังพิเศษสร้างมนุษย์กลไก สร้างมนุษย์กลไกวางในที่แจ้งทำงานแทนมาตลอด ส่วนตัวตนของฉันจะหลบซ่อนอยู่ในหลืบ ใครจะกล้าว่าอะไรได้ล่ะ ตอนนี้ข้างนอกก็ไม่ปลอดภัยเลยสักนิด โอตาคุอย่างฉันจะเก็บตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ขอแค่ไม่พบความเกี่ยวข้องที่ชัดเจน พวกเขาจะคิดเชื่อมโยงอัศวิน A ที่ไล่จับปีศาจไปทั่วกับฉันที่เป็นโอตาคุตัวพ่อได้ยังไงกัน ขอแค่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกัน พวกปีศาจและศัตรูตัวฉกาจที่แกจับก็จะมุ่งเป้าหมายแก้แค้นไปที่อัศวิน A ที่ไร้ร่องรอยเท่านั้น ไม่มีทางกระทบธุรกิจสร้างรายได้ของเราแน่นอน…”

ระบบคิดแล้วก็คล้อยตาม มีเพียงโอตาคุตัวพ่อเช่นโฮสต์เท่านั้นที่จะหาเหตุผลที่ไม่ถูกคนสงสัยได้

ระบบไม่พูดอะไรอีก แต่คำพูดเมื่อครู่ของมันก็เตือนสติฟางหนิงอีกครั้ง ทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่งแจ่มแจ้ง และเริ่มร้องขอรางวัลที่ไม่เคยเอ่ยถึงทันที

“เฮ้ ฉันเพิ่งช่วยให้แกได้ทักษะเจ๋งสุดๆ มานะ คิดว่าควรจะให้รางวัลอะไรฉันดีล่ะ”

ระบบได้ยินก็เซ็งทันที ถ้ารู้แต่แรกไม่ถามตอนนี้ดีกว่า ปล่อยให้โฮสต์ลืมขอรางวัลก่อน…

“โฮสต์อยากได้อะไรล่ะ” แต่สุดท้ายมันก็ตัดสินใจที่จะให้โฮสต์เสนอมา

“อ้อ ฉันคิดว่าแกใช้ไม้ เหล็ก และเลือดสร้างมนุษย์กลไกได้เจ๋งขนาดนี้ แล้วก็ยังมีความสามารถควบคุมจากระยะไกล แถมแกยังเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์และการปลูกถ่ายอวัยวะได้ งั้นช่วยทำขาเทียมสองข้างที่เดินไปไหนมาไหนได้อิสระให้หน่อยสิ”

“โฮสต์จะทำอะไร กำลังเตรียมการล่วงหน้าเผื่อพิการเหรอ” ระบบย้อนถาม

“หึๆ ขอแค่แกไม่แอบทำอะไรวุ่นวาย ฉันก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองแขนขาขาดหรอก บอกมาก่อนสิว่าทำได้ไหม…”

“แน่นอน แต่ถ้าต้องใส่กับคนอื่น อาจต้องใช้ค่าประสบการณ์มากขึ้น”

ฉันรู้อยู่แล้วว่าราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีความดีความชอบบ้าง อย่าคิดว่าระบบจะยอมช่วย แต่เก็บเรื่องนั้นไว้ในใจมานานแล้ว ไม่ใช่แค่ต้องทำให้สำเร็จ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ฟางหนิงคิดกับตัวเอง

“ฉันต้องการรางวัลอันนี้แหละ ช่วยทำให้ใครคนหนึ่งหน่อย แต่ต้องแอบทำเงียบๆ ล่ะ อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”

ระบบจนปัญญา ใครใช้ให้อีกฝ่ายทำให้มันเรียนทักษะสุดแจ่มนั่นได้ล่ะ คิดๆ ดูแล้วยังคงยอมตกปากรับคำ

ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับยามราตรี ณ ลานบ้านแสนจะธรรมดาในหมู่บ้านชนบทเขตชานเมืองฉี หลอดไฟที่แขวนเอียงกะเท่เร่บนเสาไม้ส่องแสงนวลสลัวๆ พืชผักมากมายทั้งมะเขือเทศ มันฝรั่ง ขึ้นฉ่ายวางเรียงรายบนแผ่นพลาสติกผืนใหญ่ที่ชื้นด้วยน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง…

ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่านั่งบนรถเข็น ขากางเกงของเขาว่างเปล่า เขากำลังออกแรงก้มลงไปหยิบผักที่เน่าเสียแล้ววางมันกองไว้ทางหนึ่ง คัดออกมาให้เหลือไว้แต่ผักที่ยังคุณภาพดี

แสงไฟริบหรี่ให้ความสว่างได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ณ ลานนอกบ้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองไปที่กลางลานบ้าน

คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฟางหนิงนั่นเอง

“โฮสต์คิดจะใส่ขาเทียมให้กับชายคนนี้เหรอ” แม้ว่าไอคิวของระบบจะต่ำมาก แต่มันก็พอคาดเดาเป้าหมายได้

“ถูกต้อง แกต้องใช้เลือดของเขาไปทำไหม”

“นั่นเป็นเรื่องปกติ ถ้าต้องการให้เขาควบคุมขาเทียมได้คล่องตัวก็ต้องทำอย่างนั้น”

“งั้นก็รีบเถอะ ด้วยความสามารถของแก ทำให้คนธรรมดาๆ สักคนสลบคงไม่ใช่เรื่องยาก”

“เดี๋ยวก่อน มีผู้หญิงอีกคนกำลังจะออกมาจากบ้าน”

……………………………………………………..

ข้อดีอย่างหนึ่งของฟางหนิงคือเขามีจินตนาการโลดแล่น คิดมากพอ (แต่ทำน้อย) อีกทั้งยังไม่เคยสิ้นหวัง เขาฟื้นตัวจากความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากได้รวดเร็วและยังปลอบใจตัวเองได้อีก พร้อมทั้งตระหนักได้ว่า ระบบของตนเองอาจไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคนอื่นๆ มันไม่มีร้านค้าและไม่ได้ขายฟังก์ชันฟื้นคืนชีพ เพราะฉะนั้นหากระบบทำเช่นนี้ก็เข้าใจได้

เพราะนิสัยขี้เกียจสันหลังยาวของฟางหนิง แม้จะได้ยินระบบอธิบายถึงขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังปล่อยมันไปได้ เพราะยังไงก็ยังมีนิยายและเกมใหม่ให้เล่น ไม่มีเวลามากพอที่จะจู้จี้เรื่องนี้หรอก…

ทว่า เมื่อฟางหนิงกลับไปที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบเพื่อเล่นต่อ จู่ๆ สมองก็พลันได้สติขึ้นมา และตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเจ้าระบบงี่เง่าไปง่ายๆ…

เขานึกถึงปัญหาร้ายแรงได้อย่างหนึ่ง ระบบถอดส่วนต่างๆ ของร่างกายออกเพื่อสำรองการป้องกันการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ก็ไม่ควรให้มันแตะต้องอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ตามอำเภอใจ อย่าลืมว่าเมื่อครู่มันยังคิดจะแตะต้องน้องชายของเขาอยู่เลย ถ้าเกิดวันหนึ่งมันไปยุ่งกับสมองขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น…

ปัญหาร้ายแรงขนาดนี้ ฟางหนิงพยายามคิดหนัก ในที่สุดก็นึกถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจึงเอ่ยถามทันที

“ระบบ แกย้ายนั่นย้ายนี่ ไม่กลัวจะกระทบการทำงานภายในร่างกายจนความแข็งแกร่งของพวกเราลดลงเหรอ”

“ไม่มีปัญหา เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดนั้นไม่ได้เติบโตในผิวหนังและเนื้อ แต่อยู่ในชั้นที่ลึกลงไป และไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างแขนขาขาด มันจะไม่ส่งผลอะไรต่อความแข็งแกร่งของร่างกาย ร่างกายนี้ต่างไปจากคนอื่น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นขาดอวัยวะภายในย่อมมีปัญหาตอนฝึกฝนกำลังภายในแน่นอน และเป็นไปได้ว่ากำลังภายในอาจพังทลาย เรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้อธิบายไปโฮสต์ก็ไม่เข้าใจหรอก” ระบบมั่นใจในความรู้ทางเทคนิคของตนเองจึงวิจารณ์ออกไป

แม้ระบบจะพูดจาแบบนี้ ฟางหนิงก็ยังเข้าใจได้ ระบบก็คือระบบ นี่คือจุดแตกต่างจากอัศวินทั่วไป ตราบใดที่การทำงานของพลังภายในและปราณแท้สอดคล้องกับกฎของตัวระบบก็จะไม่มีอันตราย

แต่เขาจะยอมเลิกราแค่นี้ไม่ได้ ต้องยิงคำถามอีก

“ยังมีอีกเรื่อง แกเป็นระบบด้านการต่อสู้ไม่ใช่เหรอ แล้วไปเรียนรู้เทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัยอย่างการปลูกถ่ายอวัยวะตั้งแต่ตอนไหนกัน ไม่กลัวว่าถอดออกแล้วจะประกอบกลับไม่ได้หรือไง”

“อ๋อ ไม่กี่วันก่อนปิดระบบ ระบบได้เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะชีวิตและทักษะการแพทย์ ถ้าเป็นขั้นตอนตัดศีรษะควักหัวใจอันนั้นยังไม่กล้าทำหรอก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะถอดอะไหล่ของโฮสต์สองสามชิ้นแล้วประกอบกลับเข้าไป แน่นอนว่าถ้าระบบทำให้คนอื่นก็จะต้องใช้พลังมากหน่อย แต่ทำให้โฮสต์นั้นง่ายพอๆ กับหยิบฟืนจากพื้น ปราณแท้พลังภายในทำงานมานานและมันเชื่อมต่อกันทุกส่วนของร่างกายแล้ว มันง่ายมากที่จะควบคุมการรวมกลุ่มหรือกระจายตัวของเซลล์ร่างกาย นอกจากไม่เสียเลือดมาก ยังไม่มีทางประกอบกลับไม่ได้…”

‘อ้อ เกือบลืมไป ร่างกายของเราถูกระบบครองร่างมาได้สักพักแล้ว ทุกเซลล์คงถูกสัมผัสหมดแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันอยากเอาอะไรไปก็ได้ อยากจะใส่อะไรก็ได้…’

เอาเถอะ คำถามนี้คงยังไม่พอ มันง่ายเกินไปจนเจ้างี่เง่านี้ตอบได้ งั้นต้องตั้งคำถามใหม่

“จริงสิ อวัยวะที่แกถอดออกมาก็อยู่ในพื้นที่ของระบบด้วยเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเลย ที่นั่นปลอดภัยไหม มีโอกาสเสื่อมสภาพหรือเปล่า”

“เพราะระบบหวังดีกลัวโฮสต์จะตกใจก็เลยซ่อนไว้ ระบบเปิดพื้นที่เก็บรักษาความสดโดยเฉพาะ ที่นั่นเวลาหยุดนิ่ง รับประกันว่าสภาพอวัยวะที่ถอดออกมาเทียบกับตอนใส่กลับเข้าไปจะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน” ระบบตอบคำถามได้สบายๆ

แต่แล้วระบบก็พบว่าฟางหนิงเอาแต่ถามไม่หยุดหย่อน ท่าทางแปลกไปจากเดิม เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่อยากให้ตนเตรียมการให้พร้อม ชักจะไม่ได้การ มันต้องหาทางชิงพูดขึ้นก่อนที่ฟางหนิงจะยิงคำถามต่อไป

“อย่าเพิ่งถามนู่นถามนี่ไม่หยุดสิ เรื่องเมื่อกี้ที่บอกว่าจะเก็บอัณฑะออกอันหนึ่ง โฮสต์ตกลงไหม”

“ไม่มีทางเด็ดขาด” ฟางหนิงปฏิเสธทันควัน เขารู้สึกพ่ายแพ้ ปกติระบบโง่อย่างกับอะไรดี แต่วันนี้คำถามสามข้อกลับตอบได้สบายมาก หรือว่าเขาจะเล่นมากเกินไปจนทำให้ความฉลาดลดลง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้

“ดี ถ้าอย่างนั้นระบบจะเริ่มย้ายแล้ว” ระบบเพิ่งจะพูดจบ ฟางหนิงก็รู้สึกว่าตัวเขาเบาหวิวราวกับมีบางอย่างหายออกไปจากตัว

ยังมีความรู้สึก แสดงว่าอวัยวะส่วนอื่นที่หายไปก่อนหน้านี้ ระบบคงฉวยโอกาสลงมือตอนที่เขาหลับ…

“ฉันบอกว่าไม่เห็นด้วยไง” ฟางหนิงโกรธหน้าดำหน้าแดง

“อ้อ เมื่อกี้ระบบบอกแล้วไง ก็แค่บอกก่อนเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าโฮสต์ไม่เห็นด้วยแล้วจะไม่ลงมือซะหน่อย” สุดท้ายระบบก็เก็บอวัยวะสุดที่รักของฟางหนิงลงในพื้นที่เก็บความสดแห่งหนึ่งในพื้นที่ระบบพลางพูดกับเขา

ฟางหนิงที่อัณฑะหายไปข้างหนึ่งโมโหแล้ว เขาด่าอีกฝ่าย

“เฮ้ย ฉันว่าแกทำเกินไปหน่อยแล้ว ครองร่างฉันยังพอว่า ถอดอวัยวะที่ไม่กระทบต่อรางกายก็ยอมแล้ว ตอนนี้แม้แต่สัญลักษณ์ของลูกผู้ชายก็ยังกล้าลงมือ ไม่ห่วงว่าฉันจะกลายเป็นกระเทยหรือไง”

“วางใจเถอะ ระบบตรวจสอบมาแล้ว ขาดอัณฑะไปอันหนึ่งจะไม่ส่งผลต่อคุณสมบัติทางเพศของผู้ชายหรอก ไม่อย่างนั้นระบบจะทำได้ไง โฮสต์เคยได้ยินไหมล่ะขันทีกับกระเทยคนไหนได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ…” ระบบไม่แยแสสักนิด

แม้ว่าฟางหนิงจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่เขายังคิดหนัก อันตรายบางอย่างที่แฝงอาจปรากฏขึ้นมา

ในที่สุด ตอนที่เขาเห็นมนุษย์กลไกระดับกลางที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่ระบบหมาดๆ ฟางหนิงก็เข้าใจทันที เขาร้องเสียงหลง

“ไอ้งั่ง ระบบเห็นแก่ตัว!”

ระบบงงเล็กน้อย ตอนไหนที่ไอ้คนขี้ขลาดนี้กล้าด่าตนเองแบบนี้กัน เขาไม่กลัวว่าตัวเองจะตัดเวลาพักผ่อนเป็นศูนย์และเรียกคาเฟ่อินเทอร์เน็ตของระบบคืนหรือไง

แน่นอนว่าฟางหนิงกลัวการลงโทษทั้งสองแบบจากระบบเป็นที่สุด แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว เพราะระบบงี่เง่ามองข้ามปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งไป

“แกเก็บสำรองไว้ย่อมดีแน่นอน แต่แกอย่าลืมสิ เราทำมนุษย์กลไกระดับกลางไปเพื่ออะไร!”

ระบบยังคงไม่เข้าใจ ตอบกลับอย่างสับสน

“แน่นอนว่าเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง คนที่เก่งกาจในโลกนี้มากมายเหลือเกิน ไม่พัฒนาเงียบๆ จะตายเร็ว”

“ถูกต้อง แกคิดแต่ว่าจะไม่ยุ่งกับอวัยวะภายนอก แต่แกไม่รู้เลยในโลกนี้ยังมีความสามารถอย่างหนึ่งที่เรียกว่ามองทะลุ แกไม่เคยไปโรงพยาบาล ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ตรวจสอบพวกนั้นหรอก แต่น่าจะรู้จักของพวกนี้จากความทรงจำของฉัน เครื่องมือพวกนั้นมองเห็นได้ง่ายกว่าอวัยวะภายในครึ่งหนึ่งในร่างกายขาดหายไป ตับอาจจะเกิดใหม่ได้ แต่อวัยวะอื่นทำไม่ได้ ถ้าถูกอุปกรณ์อื่นค้นพบว่าฉันกับอัศวิน A มีอวัยวะอย่างเดียวกันหายไป จะมีใครสงสัยไหม”

ระบบคิดว่าฟางหนิงคิดแค่นั้นก็เริ่มโมโหทันที

“อัศวิน A ไม่มีทางไปสถานที่แบบนั้นและไม่มีทางเปิดเผยว่าภายในร่างกายขาดอวัยวะอะไรบ้าง ถ้าถูกจับไปตรวจสอบแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดตัวตน ตราบใดที่อัศวิน A ไม่ถูกเปิดเผย ไม่สำคัญว่าตัวตนที่แท้จริงของโฮสต์จะถูกตรวจสอบหรือไม่”

แน่นอนว่าฟางหนิงไม่มีทางคิดตื้นๆ แค่นี้เด็ดขาด เขายิ้มเย็น รู้สึกว่าในที่สุดเขาก็เหนือกว่าเจ้าระบบงี่เง่าอีกครั้ง

“เจ้าทึ่ม แกไม่รู้ว่าพลังพิเศษมีเป็นพันเป็นหมื่น ทำไมถึงจะไม่มีคนที่มีความสามารถมองทะลุได้ล่ะ อย่าบอกว่าปราณแท้คุ้มกายของแกมองทะลุไม่ได้ ในโลกนี้ย่อมมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ…”

“แล้วไงล่ะ” ระบบเพิ่งตอบไปก็นึกเสียใจทันที มันนึกถึงเรื่องหนึ่ง…

ฟางหนิงไม่รอให้มันพูดจบก็เอ่ยต่อ

“หึๆ อย่าลืมสิ ศัตรูมีโอกาสเยอะแยะที่จะมองออกว่าฉันกับอันวิน A คือคนเดียวกัน…”

“หยุดพูดเถอะ ระบบเข้าใจแล้ว ถ้ามีคนบังเอิญเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเราและพบว่ามีอวัยวะบางส่วนขาดหายไป และอวัยวะพวกนั้นยังเป็นตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด ก็เป็นไปได้ที่จะสังเกตเห็นว่าทั้งสองขาดอวัยวะตำแหน่งและประเภทเดียวกัน อย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยอีก ทั้งสองน่าจะเป็นคนคนเดียวกันแน่นอน”

ท้ายประโยคที่ระบบพูดออกมานั้น น้ำเสียงของมันห่อเหี่ยวใจมากทีเดียว

ฟางหนิงสังเกตเห็นปัญหาที่ระบบมองข้ามไป เพราะระบบไม่ใช่มนุษย์ และไม่มีอารมณ์ความปรารถนาเหมือนมนุษย์ มันจะท้อใจได้ยังไงล่ะ ดูท่าคงเป็นเพราะครองร่างตนเองนานเกินไป จึงอาจได้รับอิทธิพลบางอย่าง

แต่ได้ยินน้ำเสียงท้อใจของมันแบบนั้น เขาก็ต้องปลอบใจเจ้างี่เง่านี่สินะ ขืนมันคิดว่าชีวิตไม่มีความหมายแล้วจะต้องแย่แน่นอน…

ความจริงแล้วฟางหนิงคิดมากเกินไป ระบบคือหลักการแรกของการเอาชีวิตรอด ชีวิตไร้ความหมายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมันสักนิด

“เอาล่ะ ตอนนี้ระบบจะคืนให้ก่อน เฮ้อ เสียเวลาเปล่าไปตั้งมากมาย คราวนี้คิดว่ารอบคอบแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังต้องรับฟังคำแนะนำจากโฮสต์ วันหน้าวันหลังมีเรื่องอะไรอีกระบบจะขอความยินยอมจากโฮสต์ก่อน” น้ำเสียงของระบบผิดหวังมากทีเดียว

“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว” ฟางหนิงดีใจลิงโลด ภายในพริบตาก็รู้สึกว่าน้องชายของเขากลับมาครบแล้ว

ความรู้สึกตอนนี้ประกอบกับความรู้สึกก่อนหน้านี้ที่อัณฑะถูกเคลื่อนย้าย ทำให้ฟางหนิงที่กำลังดีใจเกิดหัวแล่นอีกครั้ง พอคิดถึงเรื่องสำคัญได้ก็พูดขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อน ที่แกบอกเมื่อกี้ไม่ถูก มันไม่ใช่เรื่องเสียเวลาหรอก แกเชี่ยวชาญทักษะนี้แล้ว ดูเหมือนว่าต่อไปจะมีประโยชน์มากทีเดียวเลยล่ะ”

“มีประโยชน์ยังไงเหรอโฮสต์” ระบบย้อนถาม

……………………………………………………..

ฟางหนิงตกปากรับคำเข้าร่วมงานเลี้ยงโปรโมทยาของตระกูลฉีทันที

“ตกลง ประธานจ้าวอุตส่าห์ให้เกียรติเชิญ ก็ต้องไปแล้ว”

“ประธานฟางให้เกียรติขนาดนี้ต้องขอบคุณมาก” ประธานจ้าวยินดีอย่างยิ่ง เขารู้ว่าฟางหนิงคนนี้ค่อนข้างมีนิสัยประหลาด

เศรษฐีใหม่หน้าใหม่ พร้อมด้วยรถยนต์หรู นางแบบสาวสวย วิลล่าโอ่อ่าในต่างประเทศ เครื่องบิน และเรือยอช์ตครบครัน แทบรอไม่ไหวที่จะได้ประกาศก้องให้โลกรู้ถึงความร่ำรวยของตน แต่คนคนนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้เกือบสามร้อยล้านต่อปี กลับไม่ลืมความตั้งใจเดิมของตนเลยสักนิด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมและอ่านนิยายทุกวันเช่นเดิม แม้แต่บ้านก็ราวกับเช่าอยู่ อย่างมากที่สุดก็แค่เช่าห้องชุด เพราะจะสะดวกกว่าเวลาเขาเล่นเกม…

เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในหมู่เศรษฐีและหอการค้าเมืองฉีมานานแล้ว นอกเหนือจากกินและนอน หากฟางหนิงไม่ได้นอนอ่านนิยายอยู่บนโซฟา ก็ต้องกำลังนั่งเล่นเกมในห้องหนังสือแน่นอน ชีวิตของเขาซ้ำซากจำเจจนน่าตกใจ…

และถ้าคุณขอให้เขาไปออกงานสังสรรค์ เชิญเขาประชุม หรือแม้แต่ยื่นโอกาสหาความร่วมมือเพื่อได้ผลประโยชน์ก้อนโตร่วมกัน ก็ไม่มีทางเลยที่จะเชิญเขาสำเร็จ ไม่ว่าใครจะชักจูงก็ไม่ได้ผล อย่างมากที่สุดก็เชิญได้แต่ตัวแทน ซึ่งก็คือผู้จัดการร้านอาหารคนสวยนั่นเอง…

ประธานจ้าวไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาแค่ใช้ประโยชน์จากความพยายามในตอนกลางคืน ลองทักไปใน QQ อีกฝ่ายจะไว้หน้ามาร่วมงาน

เรื่องนี้ทำให้ประธานจ้าวรู้สึกว่าตนมีหน้ามีตามาก ใครกันบอกว่าอิทธิพลของเขาในเมืองฉีลดลง ไม่มีทางซะหรอก แม้แต่เจ้าอ้วนหลิวที่มาใหม่ในสมาคมก็คงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมแบบนี้ได้แน่

ฟางหนิง “ขอบใจอะไรกัน ใครให้ร้านของประธานจ้าวอยู่ในย่านการค้าดีที่สุดในเมืองของเราล่ะ แถมให้ส่วนแบ่งสูงสุดด้วย”

ฟางหนิงไม่ใช่ระบบที่ชอบทำให้คนอึดอัด จึงตอบกลับไปแบบนั้น แต่เขาไม่มีทางบอกอีกฝ่ายว่าแน่ว่าความจริงแล้วตนตัดสินใจไปร่วมงานเพราะยาของตระกูลฉี

ประธานจ้าว “ฮ่าฮ่า ประธานฟางอย่าคิดมากเลย ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งนั้น ผมเปิดร้านไม่ได้หวังเงินทองเหมือนพวกเขา เพียงแค่อยากจะมีอาหารอร่อยๆ ตลอดเวลา พูดจริงๆ แล้วก็เพราะเครื่องปรุงสูตรลับเฉพาะของประธานฟาง ตอนนี้ยอดขายของร้านจึงดีกว่าที่ผมคาดไว้มากทีเดียว”

โชคดีที่นักธุรกิจร้านอาหารคนนี้ไม่เคยดูไลฟ์อาหารมื้อใหญ่ของฟางหนิงเลย ดูท่าแล้วคงจะเหมือนกับจ้าวอิ๋งที่วันๆ เอาแต่มาขอข้าวกินที่นี่ ฟางหนิงเจอคนประจบแบบนี้ก็รู้สึกยินดีเล็กน้อย ใครๆ ก็ชอบฟังคำชมกันทั้งนั้นนี่นา

หลังจากคุยกับประธานจ้าวเสร็จแล้ว ฟางหนิงก็เอ่ยกับระบบที่กำลังง่วนกับการตระเวนค้นหาปีศาจ

“คราวนี้ตระกูลฉีมีเรื่องอีกแล้ว พวกเขาอยากจะเชิญพวกเศรษฐีไปร่วมงานเปิดตัวยาวที่พวกเราแย่งมาได้เมื่อครั้งก่อน ฉันดูยาตัวนั้นแล้ว น่าจะมีผลต่อการรักษาระดับหนึ่ง แต่มันเป็นแค่สูตรทดลอง ฉันว่าจะซื้อมาลองดู ถ้ามันได้ผลจริงๆ ก็เก็บไว้เผื่อตอนบาดเจ็บ แกเคยบอกว่าต่อไปอาจจะมีผีที่ระดับร้ายกาจกว่านี้โผล่มาได้ไม่ใช่เหรอ”

“ตอนนี้โฮสต์คิดถึงอนาคตบ้างแล้ว ระบบยินดีมาก ถึงเวลาก็ไปงานเถอะ”

ฟางหนิงได้คำตอบยืนยันก็รู้สึกมั่นใจ ไม่สนใจเสียงของระบบอีกแล้วพูดต่อ “เรื่องเดียวที่ฉันกังวลคือตัวตนที่แท้จริงของฉันต้องปรากฏในงานเลี้ยงเพื่อที่จะประมูลยานั่นได้สะดวก แต่ยานั้นล้ำค่ามาก ไม่แน่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจจะต้องใช้สถานะของอัศวิน A มาช่วยป้องกันอันตราย เมื่อถึงเวลานั้นถ้าต้องการอัศวิน A มนุษย์กลไกระดับต่ำที่ปลอมสถานะที่แท้จริงของฉันจะต้องปรากฏขึ้นด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ใครรู้ว่าจู่ๆ ฉันหายตัวไป…แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มนุษย์กลไกระดับต่ำนั่นจะรับมือกับสถานการณ์ซับซ้อนข้างนอกได้ไหม…”

“โฮสต์รอบคอบมาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ค่าประสบการณ์ที่เหลือเก็บไว้เพื่อสร้างทหารเทพและจะเก็บไว้อัปเกรด ก็เอามาอัปเกรดมนุษย์กลไกก่อน ค่าของมันสูงกว่า”

ระบบจัดการอัปเกรดมนุษย์กลไกลทันที ผ่านไปพักหนึ่ง ฟางหนิงก็เห็นการแจ้งเตือนของระบบ

“ระบบได้อัปเกรดมนุษย์กลไกระดับต่ำแล้ว โดยใช้วัสดุหนังคุณภาพสูงจำนวนหนึ่ง ใช้วัสดุเหล็กคุณภาพสูงจำนวนหนึ่ง เลือดสำรองหนึ่งพันมิลลิลิตร ผมและเล็บจำนวนหนึ่ง เนื้อเยื่อบางส่วน สารเหลวบางชนิดในร่างกายจำนวนหนึ่ง ของแข็งบางอย่างจำนวนหนึ่ง… ขณะเดียวกันก็ใช้ค่าประสบการณ์ 10,000 คะแนน

มนุษย์กลไกระดับต่ำพัฒนาเป็นมนุษย์กลไกระดับกลางได้สำเร็จ

ตอนนี้มีฟังก์ชันดังนี้ ปลอมตัวสมบูรณ์แบบ (เหมือนกับตัวจริงทั้งกลิ่น เลือด ลายนิ้วมือ และเส้นผม) การควบคุมระยะไกล ความสามารถการสนทนาระดับกลาง ความสามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวระดับกลาง”

“เยี่ยม นี่สุดยอดไปเลย ไม่รู้ว่าระบบมีเลือดสำรองตั้งแต่เมื่อไร” ไม่นานฟางหนิงก็เห็นการแจ้งเตือนระบบสว่างขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สนใจเรื่องผมและเล็บมากเท่าไร แต่ว่าเลือดสำรองนี่สิมันมาได้ยังไงกัน

“อืม ยังไงก็ตาม ตอนนี้โฮสต์กินอาหารที่ดี ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแข็งแรง จึงสามารถเก็บเลือดไว้ในพื้นที่ระบบได้ เผื่อต่อไปบาดเจ็บสาหัสหรือสูญเสียเลือดมาก ตอนนี้ก็จะมีเลือดสำรองไว้แล้วสามพันมิลลิลิตร”

ได้ยินเช่นนี้ ฟางหนิงก็หายสงสัยทันทีแล้วพยักหน้าชมเชยระบบ

“ทำดีมาก แกมักจะมองการณ์ไกลเสมอ ฉันคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ คนที่มีกรุ๊ปเลือดหายากบางคนต้องพึ่งพาการบริจาคเลือดของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่ามีเลือดอยู่ในธนาคารเลือดเมื่ออยู่ในภาวะวิกฤต”

ระบบพูดขึ้นอีกครั้ง

“แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้ระบบรอบคอบยิ่งกว่าโฮสต์มาก ไม่ใช่แค่เลือด ผม เล็บ เพราะที่สำคัญกว่านั้น ระบบยังเก็บตับ ลำไส้ เนื้อเยื่อปอดของโฮสต์ครึ่งหนึ่ง และไตข้างหนึ่งไว้ด้วย…”

ฟางหนิงมึนงง เขาไม่ควรยกย่องไอ้ระบบบ้าบอนี่เลยสักนิดเดียว…

ได้ยินว่าไตหายไปข้างหนึ่ง ฟางหนิงก็เริ่มน้ำตาไหลอาบแก้ม…

เขาคิดในใจ ‘มิน่า…ก็เลยให้กินอาหารบำรุงร่างกายทุกวัน ไตหายไปข้างหนึ่งเชียวนะ ไม่เป็นไตพร่องก็ดีเท่าไรแล้ว…’

ระบบเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ซับซ้อนของมนุษย์ และยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“สรุปแล้วอวัยวะใดๆ ในร่างกายย่อมมีเป็นคู่ ขาดไปอันหนึ่งก็ไม่เป็นไร ระบบเก็บอวัยวะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกไปครึ่งหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่หัวใจซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดไม่มีคู่ จึงเก็บรักษาได้เพียงเซลล์บางส่วนเท่านั้น สิ่งเดียวที่ไม่ได้แตะต้องก็คือสมองของโฮสต์ มันสำคัญเกินกว่าที่จะเอามาทำอะไรตามใจชอบ”

โอเค ขอบคุณมากระบบ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่กลายเป็นไอ้ปัญญาอ่อนเพราะสาเหตุนี้ โชคดีที่เคยแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสมองที่ขาดไม่ได้มาก่อน ระบบจึงไม่เข้ามายุ่งในส่วนนี้

ฟางหนิงคิดว่าคงจะจบเท่านี้แล้ว แต่ระบบกลับเด้งเตือนข้อความขึ้นมาอีก

“อ้อ ความจริงแล้วระบบคิดว่าจะเก็บอัณฑะของโฮสต์ด้วย นั่นก็สำคัญมากเช่นกัน ไม่มีใครมองตรงนั้นของโฮสต์หรอก แต่เมื่อพิจารณาว่ามนุษย์อย่างโฮสต์ให้ความสำคัญกับมันมาก เพื่อเห็นแก่อารมณ์และการกระทำในอนาคตก็เลยคิดว่าจะคุยกับโฮสต์ก่อนแล้วค่อยลงมือ…”

ฟางหนิงเมื่อได้ยินว่าระบบไม่คิดจะปล่อยแม้แต่น้องชายของเขา ก็แทบจะทรุดลงไปทันที…

“ทำไมตอนแกเก็บอวัยวะอื่น ไม่ถามฉันก่อนสักคำ…” ฟางหนิงถามอย่างอ่อนแรง

‘ไม่ได้การ ต้องรีบค้นหาในอินเทอร์เน็ตแล้วว่า ถ้าน้องชายหายไปข้างหนึ่งจะมีผลอะไรไหม…’

ระบบได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“อ้อ ระบบเห็นว่าโฮสต์อยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เกือบทั้งวัน และมีเวลาน้อยมากที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ อีกอย่างโดยพื้นฐานแล้วโฮสต์ไม่ได้ใช้ฟังก์ชันซ้ำซ้อนของอวัยวะเหล่านั้น ระบบจึงสำรองข้อมูลล่วงหน้าตามความต้องการในปัจจุบัน

“ข้อหนึ่ง หลังจากการกำเนิดของทหารเทพจะมีศัตรูที่เก่งกาจปรากฏขึ้น และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมกรณีที่บาดเจ็บสาหัส ข้อสอง โฮสต์อายุมากขึ้นเช่นกัน อีกสองปีจะอายุสามสิบ เกรงว่าร่างกายของโฮสต์จะเสื่อมก่อนวัยอันควร ไม่ทันฝึกฝนจนถึงขอบเขตอายุยืน ถึงตอนนั้นยังช่วยโฮสต์ปลูกถ่ายอวัยวะที่เก็บรักษาไว้ได้ เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ต่อไปในการยื้อเวลาฝึกฝน”

“เอาเถอะ ในฐานะที่เป็นอดีตโปรแกรมเมอร์ ฉันบอกได้แค่ว่า การสำรองข้อมูลของแกดีมาก ดีมากเหลือเกิน ฉันซาบซึ้งใจมากที่แกรอบคอบขนาดนี้!” ฟางหนิงแทบกรีดร้อง

ระบบมีเหตุผลมาก และนั่นทำให้ฟางหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสมอว่าต้องมีอันตรายซ่อนเร้นบางอย่างที่ระบบคาดไม่ถึง แต่เขาก็ยังคิดไม่ออก ได้แต่ยอมมันไปก่อน รอคิดได้ค่อยจัดการอีกที

“ใช่ไหม ระบบก็คิดว่าดีมาก โฮสต์กินอาหารดีๆ ทุกวัน อวัยวะย่อมได้รับการหล่อเลี้ยงเต็มที่ หนึ่งเทียบเท่ากับสองได้ เพราะฉะนั้นเก็บสำรองไว้สักหนึ่งไม่ดีกว่าเหรอ” หลังจากระบบได้ยินคำชมจากฟางหนิงก็พอใจมาก โฮสต์คนนี้เกียจคร้านก็ส่วนเกียจคร้าน แต่ความเข้าใจในการเอาชีวิตรอดของเขายังคงอยู่ในระดับดี ยังสามารถพึ่งพาได้บ้าง

ที่แท้ระบบก็วางแผนไว้ก่อนแล้วนี่เอง ฟางหนิงตระหนักได้แล้วว่าระบบแบ่งเวลามาทำอาหารให้เขาทุกวัน ไม่ใช่เพื่อจะคอยบริการให้เขาได้กินดีอยู่ดี แต่เพื่อจุดประสงค์นี้นี่เอง…

……………………………………………………..

“เอาล่ะ ได้เวลาพักแล้ว ไม่สิ ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว ทุกคนในชั้นเรียนเข้าใจชัดแจ้งแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นหลังเลิกเรียนให้ทุกคนเขียนการบ้าน หัวข้อก็คือ ‘ความสุขที่แท้จริงคืออะไร’” อาจารย์ใหญ่จางสั่งเลิกคาบเรียนแรกที่เป็นวิชาล้างสมองในช่วงเช้า ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ ช่วงเวลายากลำบากที่สุดของวันนี้ได้ผ่านไปแล้ว

การหวนนึกถึงประวัติดำมืดของตัวเองต่อหน้าทุกคน แล้วยังต้องพูดออกมาว่าตนผิดตรงไหนและอนาคตจะทำอย่างไร มันไม่ง่ายเลย

“จริงสิ คนที่ทำได้ดีในชั้นเรียนครั้งนี้ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับญาติได้ พวกเขาจะได้สบายใจ พวกนายได้โอกาสพูดคุยครั้งแรกมาง่ายๆ ครั้งต่อไปถ้าอยากจะมีโอกาสอีกก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำผลงานได้ดีหรือเปล่า” ผู้อาวุโสจางแสดงความเห็นอกเห็นใจ

เพราะเขาอารมณ์ดี และเห็นว่าผู้ถูกปลุกพลังพิเศษส่วนใหญ่ในชั้นเรียนสำนึกผิดแล้ว ดูท่าการใช้สหายฟางหนิงเป็นแบบอย่างคงจะได้ผลชัดเจนมากทีเดียว แน่นอนว่าชุดโปรแกรมสอนซ้ำย่อมมีประโยชน์อยู่บ้าง

“หลี่ว์เอ้อร์ เฝิงซานไฉ…” ผู้อาวุโสจางขานชื่อหลายคนและให้เวลาพวกเขาได้พูดคุยอิสระยี่สิบนาที แน่นอนว่าต้องมีการดักฟังด้วยว่าพวกเขาพูดอะไร

หลี่ว์เอ้อร์ดีใจมากตอนที่ถูกเรียกชื่อ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจางจะใจดีอยู่บ้าง ไม่เสียแรงเปล่าที่เขาท่องจำคำพูดมาสองวัน

ในที่สุดก็มีโอกาสได้ระบายความแค้นกับไอ้เวรสองคนนั่นแล้ว!

การติดต่อกันครั้งนี้เขาจะต้องด่าไอ้เพื่อนชั่วสองคนนั้นให้ได้ และบอกพวกมันว่าต่อจากนี้ตัดขาดกัน!

พี่น้องถูกวิ่งไล่ล่าตั้งหลายชั่วโมง แต่พวกแกสองคนกลับกินดื่มอย่างเพลิดเพลิน พวกแกรู้ไหมว่ารสชาติการอบรมไร้สาระนี่สุดจะทนแค่ไหน ฉันได้กินแต่หมั่นโถวทั้งสามมื้อ ส่วนพวกแกอยู่ด้านนอกกลับได้กินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญ ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเลิกคบให้หมด!

“ฮัลโหล หนิวซื่อพูดสาย ใครนะ ฮ้า พี่รองเหรอ พี่โทรมาได้ไง หรือว่าหนีออกมาได้แล้ว” หนิวซื่อที่กำลังหลับอุตุคลานออกจากใต้ผ้าห่มแล้วรับสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก หลังจากได้ยินเสียง เขาก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ พี่ใหญ่หม่า พี่รองโทรมา” หนิวซื่อรีบวิ่งไปอีกห้องหนึ่งเคาะประตูรัวๆ

“เคาะหาพระแสงอะไรกัน! เพิ่งจะแปดโมงเองนะ มีเรื่องอะไร ไม่ง่ายกว่าจะได้นอนเต็มอิ่มทุกวัน แกอยู่เงียบๆ ไม่ได้เหรอ เรายังเหลือเงินที่ขายคลิปข่าวกรองครั้งก่อนนะ” หม่าต้าอ้าปากหาวหวอด แต่หลังจากได้ยินเสียงหนิวซื่อ ก็หยิบเอาเสื้อมาใส่ลวกๆ แล้วผละออกมาจากหญิงสาวแต่งหน้าจัดคนหนึ่งที่นอนอยู่ข้างกัน

“ไม่ใช่ พี่ใหญ่ พี่รองโทรมา!” หนิวซื่อตะโกนดังลั่น

หม่าต้าที่สะลึมสะลือพอได้ยินเสียงจากข้างนอกชัดเจนก็ส่ายหัวสะบัดความง่วงงุน ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูทันที ก็เห็นว่าหนิวซื่อกำลังถือโทรศัพท์ยืนโหวกเหวกโวยวาย

“ส่งมือถือมา!” เขาคว้าโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไปทันที “เฮ้ น้องรอง หนีออกมาได้แล้วเหรอ พี่ชายยังไม่ทันลงมือเลย…”

“หนีออกมาแม่แกสิ! หม่าต้า หนิวเอ้อร์ พวกแกสองคนมันบ้า ไร้คุณธรรม ไม่ใช่คน ฉันเพิ่งจะเห็นธาตุแท้ของพวกแก ตอนลำบากไม่สนใจพี่น้อง นับจากนี้พวกเราตัดขาด…”

หม่าต้าไม่รอหลี่ว์เอ้อร์พูดจบก็ด่าชุดใหญ่ “ตัดขาดบ้าบออะไรกัน แกจะตัดขาดกับฉันมากี่รอบแล้ว ฉันรู้ว่าแกไม่มีสมอง ชอบคิดเพ้อเจ้อ เมื่อวานฉันกับหนิวซื่อทำไมไม่คิดจะช่วยแก ยังดีที่ฉันให้หนิวซื่อบันทึกคลิปไว้แต่แรกแล้ว ดูซิว่านี่จะอุดปากแกได้ไหม แกเปิด QQ ฉันจะส่งคลิปให้ดู! ”

หลังจากคุยกับหม่าต้าเมื่อครู่และปรับความเข้าใจกันแล้ว รวมทั้งกำชับอีกฝ่ายให้ส่งเงินมาเพิ่ม หลี่ว์เอ้อร์ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง แม้แต่อาหารกลางวันที่เป็นหมั่นโถวใส่น้ำแกงแจกฟรีก็ยังรู้สึกเอร็ดอร่อย

ขณะที่เขาพยายามสูดกลิ่นหอมของอาหารและดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของหมั่นโถวชิ้นที่สี่ จอภาพขนาดใหญ่ในโรงอาหารก็พลันปรากฏภาพห้องส่วนตัวขึ้น

ในตอนแรกหลี่ว์เอ้อร์ไม่สนใจ แต่แล้วเสียงกินอาหารรอบๆ ตัวเขาก็เงียบลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ต้องกัดฟันกรอดทันที ผู้อาวุโสจางใจดีเสียที่ไหนล่ะ ขนาดตอนกินข้าวก็ยังไม่ปล่อยวาง เที่ยวสั่งสอนอยู่ได้!

ในห้องส่วนตัวกว้างใหญ่บนหน้าจอมีแขกนั่งอยู่คนหนึ่ง สองสามวันมานี้เขาคุ้นเคยแขกคนนั้นดี เขาคือสหายฟางหนิงที่เป็นตัวอย่างผู้ถูกปลุกพลังพิเศษที่ผู้อาวุโสจางเอ่ยถึงหลายครั้ง แต่กลับถูกเขามองว่าเป็นคนขี้ขลาดอันดับหนึ่งในบรรดาคนถูกปลุกพลังพิเศษ

ดูจากข้อความบนหน้าจอแล้วนี่เป็นการถ่ายทอดสดเพื่อสั่งสอนตัวเอง แม้แต่คนกินข้าวก็ยังจะถ่ายให้ดู ชักจะทนไม่ไหวแล้ว!

หลี่ว์เอ้อร์เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ากล้องค่อยๆ ฉายภาพโต๊ะอาหารขนาดใหญ่แบบหมุนอัตโนมัติ ส่วนคนที่อยู่ข้างโต๊ะอาหารก็ปรากฏตัวแวบๆ โต๊ะอาหารใหญ่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ เนื้อสัตว์ และอาหารทะเล น้ำแกงที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน อาหารที่แกะสลักเป็นพิเศษ อาหารแต่ละจานวิจิตรบรรจงสวยงาม ไอร้อนออกมาจากด้านในอาหาร แค่ดูก็รู้ว่ารสชาติอร่อยล้ำ อีกทั้งหน้าตาท่าทางของคนนั้นก็มีความสุข เพราะฉะนั้นมันต้องอร่อยแน่นอน…

หลี่ว์เอ้อร์มองอาหารโอชะแล้วมองหมั่นโถวแข็งๆ ในมือ ฉับพลันก็รู้สึกว่ากลืนไม่ลง ความโมโหปะทุขึ้นมา…

ถ้าหลี่ว์เอ้อร์รู้ว่าผู้ชายที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยมื้อใหญ่เป็นต้นเหตุความหายนะที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เขาคงจะโมโหกว่าเดิมแน่นอน…

‘คุณได้ค่าความโกรธจากหลี่ว์เอ้อร์ คุณได้ค่าความโกรธจากเฝิงซานไฉ คุณได้ค่าความโกรธจาก XXX…’

‘ขณะนี้ความก้าวหน้าสล็อตความโกรธระดับสามคือ 100%’

การแจ้งเตือนของระบบทำให้ฟางหนิงที่กำลังเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารในห้องส่วนตัวระดับวีไอพีของร้านอาหารตนเองรู้ว่ากลุ่มคนของหน่วยกิจการพิเศษกำลังแอบถ่ายทอดสดตอนเขากินข้าวอีกแล้ว

การปรากฏค่าความโกรธน่าจะเป็นผลตอบรับจากพวกนักเรียนโปรแกรมเรียนซ้ำที่กำลังทนทุกข์ลำบาก

ฟางหนิงรู้จากระบบว่าหน่วยกิจการพิเศษได้วางจอภาพไว้ในร้านอาหารของเขาหลายจุดเพื่อติดตามกิจกรรมของเขา แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวและปล่อยไปไม่สนใจ

เพื่อให้คนเหล่านี้รู้สึกสบายใจ และเพื่อให้ตัวเองแยกตัวจากอัศวิน A โดยสิ้นเชิง ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการเห็นกิจกรรมของเขา ฟางหนิงก็จะแสดงให้ดู

ฟางหนิงเปลี่ยนสถานที่กินข้าวเป็นร้านอาหารของตนเอง ประจวบเหมาะที่ครัวด้านหลังร้านอาหารใหญ่กว่าบ้านและมีเครื่องมือพรั่งพร้อมกว่ามาก จึงสะดวกในการขนย้ายวัตถุดิบใหม่จากภายนอก ระบบทำอาหารได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังพาตัวลูกมือมาด้วย

โชคดีที่คนของสำนักงานหน่วยกิจการพิเศษไม่รู้ และยังไว้หน้าฟางหนิงบ้างจึงไม่ได้ติดจอมอนิเตอร์ไว้ในบ้านของเขา ไม่อย่างนั้นฟางหนิงต้องทุ่มเงินจ้างบอดี้การ์ดมืออาชีพแน่นอน เพราะจะเอาแต่พึ่งพาความสามารถของระบบตรวจสอบจอภาพไม่ได้ ช่วงพักผ่อนเขาไม่อยากให้ภาพบ้าๆ บอๆ ที่บ้านตัวเองต้องถูกฉายออกไป…

ฟางหนิงไม่ได้กังวลที่ถูกถ่ายทอดสด เพราะบทสนทนาทั้งหมดของเขากับระบบเกิดขึ้นในพื้นที่ของระบบ คนอื่นไม่มีทางได้ยิน

เวลานี้เขาจึงสามารถเพลิดเพลินกับอาหารมื้อใหญ่ที่ระบบเตรียมให้ได้อย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ถูกกลุ่มคนจ้องมอง

ทำอย่างนี้ยังมีข้อดีอีกอย่าง ทุกครั้งที่กินข้าว หากถูกคนของหน่วยกิจการพิเศษถ่ายทอดสด จะทำให้คนอื่นโกรธตัวเองไม่มากก็น้อย สล็อตความโกรธระดับสามที่ใช้หมดไปก็กลับมาเต็มอย่างรวดเร็ว ค่าความโกรธได้มาง่ายมาก มิน่าตอนนี้จึงใช้ระบบได้ตามต้องการ

การถ่ายทอดสดบนหน้าจอจะเห็นแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มองไม่เห็นภายใน หากพวกคนที่ดูถ่ายทอดสดรู้ล่ะก็….ต้องอิจฉาตาร้อนตายแน่นอน

อาหารมื้อนี้ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศราคาแพงหูฉี่ และมีส่วนผสมของยาสมุนไพรล้ำค่าหลายชนิดที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน

อาหารมื้อนี้น่าจะราคาเท่าไรกันล่ะ

สามพันหรือห้าพันเหรอ

ไม่นับค่าแรงของระบบ เพียงแค่วัตถุดิบหรือก็คือราคาอาหารบนโต๊ะ อาหารทั้งชุดก็จะมีราคาเจ็ดหมื่นถึงหนึ่งแสนแล้ว เมื่อรวมอาหารเช้า วันหนึ่งสามมื้อต้องใช้เงินถึงสองสามแสน หรือพูดได้ว่ารายได้เดือนละยี่สิบล้านของฟางหนิงนั้นส่วนใหญ่หมดไปกับการกิน

การทุ่มเงินมากขนาดนี้ย่อมไม่เปล่าประโยชน์ ระบบแจ้งว่าการกินอาหารที่ปรุงด้วยยาสมุนไพรนานๆ ประโยชน์ข้อแรกจะช่วยส่งเสริมร่างกาย ปรับปรุงคุณสมบัติของกระดูกช้าๆ ประหยัดคะแนนคุณสมบัติอัปเกรดอิสระที่ล้ำค่า ในเมื่อการอัปเกรดหนึ่งเลเวลมีเพียงหนึ่งคะแนน ส่วนประโยชน์อีกข้อคือเสริมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และชะลอการทรุดโทรมของอวัยวะ…

น่าเสียดายที่ฟางหนิงไม่รู้สึกถึงประโยชน์ของข้อแรก ส่วนข้อหลังทำให้เขานึกถึงข้อดีที่อธิบายไม่ได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ระบบไม่เคยโกหกเขา นี่อาจเป็นเพราะว่าต้องกินเป็นเวลานานถึงจะเห็นผล…

ยังดีที่ได้รับประโยชน์สำคัญที่สุดมาแล้วเรียบร้อย

คำแนะนำก่อนหน้านี้ของฟางหนิงคือ “ในเมื่อระบบไม่สนใจรสชาติเปรี้ยวเผ็ดเค็มหวาน งั้นฉันจะทำหน้าที่เอง แกจะได้มีเวลาฝึกฝนกำลังภายใน รับประกันว่าขณะที่คนอื่นกำลังกินอิ่มนอนหลับ ส่วนพวกเราก็ยังฝึกฝนอยู่”

ฟางหนิงพูดจามีเหตุมีผล ระบบจึงไม่โต้แย้งและยังไม่เรียกใช้ฟางหนิงไปทำอาหาร เพราะเขาบอกว่าไม่มีทักษะชีวิตและฝีมือทำอาหารเหมือนระบบ ต่อให้ใช้วัตถุดิบดีแค่ไหน พอทำออกมาสุดท้ายแล้วเกรงว่าจะได้ผลปรับปรุงร่างกายไม่ถึงหนึ่งในสิบ…

หลังจากที่ฟางหนิงกินอาหารมื้อใหญ่แล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าตนสามารถกินได้อีกสักสองจาน

ส่วนพวกที่ดูเขากินข้าวผ่านการถ่ายทอดสดต่างโมโหเดือดดาลจนแทบทนไม่ไหวแล้ว แม้ว่าบางคนจะเคยเห็นแล้วสองสามครั้งก็ตาม แต่ก็ยังโมโหทุกครั้งที่ได้ดู

ครั้งแรกที่ได้เห็นว่าคนอื่นกินอะไรบ้าง หลี่ว์เอ้อร์ที่ตอนนี้มีเพียงหมั่นโถวคอยประทังความหิวโหยก็ยิ่งโกรธจนจุกอก เขารู้วิธีทำการบ้านของผู้อาวุโสจางแล้ว ความสุขที่แท้จริงนั้นง่ายมาก ฉันกินหมั่นโถวแกกินเนื้อ แกสุขฉันทุกข์

เขาขอสาบาน วันไหนที่ออกไปได้ เขาจะเป็นนักกีฬากรีฑาที่โด่งดังที่สุด จุดประสงค์มีเพียงอย่างเดียว เพื่อไลฟ์กินอาหารมื้อใหญ่ทุกวัน…

แน่นอนว่าหลี่ว์เอ้อร์ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ว่าต่อให้เขาจะทำตามเป้าหมายสำเร็จ และอยากจะทำอย่างนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะมันคือผลของการมีระบบเป็นของตนเอง ซึ่งมีแต่ฟางหนิงเท่านั้นที่จะทำได้…

……………………………………………………..

ชายผู้ร้ายกาจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมาที่ห้องลับใต้ดิน ที่แห่งนี้ตั้งแผ่นป้ายสลักอักษรเลือนรางเอาไว้

เขาหยิบธูปก้านหนึ่งขึ้นมาจากด้านหน้าโต๊ะบูชาท่าทางเคารพนบนอบ ก่อนจะจุดธูปแล้วปักลงในกระถางธูปเบื้องหน้าแผ่นป้าย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ควันธูปก็จางลง จากนั้นศีรษะของชายหนุ่มพลันปรากฏขึ้นเลือนราง

“กุ่ยชี เจ้ามีความคืบหน้าเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

ชายท่าทางร้ายกาจเมื่อเห็นศีรษะของชายหนุ่มคนนั้นก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับทันที

“นายท่าน ข้าน้อยเริ่มต้นที่เมืองฉีไม่ราบรื่นนัก ตอนที่กำลังหาลูกน้อง ไม่ทันระวังผีรับใช้ตนเดียวของข้าถูกคนทำร้ายบาดเจ็บหนัก เกรงว่าจะกระทบงานใหญ่ของนายท่าน นายท่านโปรดลงโทษข้าเถิด”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ใบหน้าไม่ได้บูดบึ้งแม้แต่น้อย แต่กลับมีสีหน้าสนอกสนใจ

“อ้อ ผีรับใช้ของเจ้ามีคุณสมบัติสูงมากและยังมีร่างแยกรักษาชีวิต คนที่ถูกปลุกพลังพิเศษทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน หรือว่าเจ้าไปยั่วโมโหคนของสำนักงานสัจธรรมเข้าแล้ว”

ชายท่าทางร้ายกาจรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าน้อยจะกล้าขัดคำสั่งของท่านได้อย่างไร ผีรับใช้นั่นสะเออะตัดสินใจเองจนปะทะเข้ากับคนที่ข้าอยากใช้งาน ถึงได้เกิดปัญหาขอรับ”

“เล่ามาให้ละเอียดสิ”

ชายท่าทางร้ายกาจรีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทันที

เมื่อชายหนุ่มได้ฟังเรื่องราว แทนที่จะตำหนิเขากลับดีใจมาก “นึกไม่ถึงว่าเมืองธรรมดาๆ อย่างเมืองฉีจะมีคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นผดุงคุณธรรมแบบนี้ด้วย ควรจะให้เข้าร่วมสำนักของข้าและสืบทอดต่อไป”

“นายท่านความคิดหลักแหลม ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้ แต่พอเลือกที่พักเรียบร้อยเตรียมจะไปรับลูกน้อง นึกไม่ถึงว่าผีรับใช้จะมีเจตนาอื่น เพื่อบุญคุณความแค้นของพี่น้องทั้งสามคนในโลกมนุษย์ ถึงได้ปะทะกับคนผู้นั้น ทำให้ข้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว”

“อืม มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ผีพวกนี้แต่ละตนนิสัยเจ้าเล่ห์ ยึดมั่นถือมั่น ทำอะไรไม่เชื่อฟัง การควบคุมพวกมันไม่ง่ายเลย ข้าถึงได้อยากจะรวบรวมโลกปีศาจใต้ดินให้เป็นปึกแผ่นและควบคุมพวกมันให้ได้ พอสถานการณ์ในอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกมันจะได้ไม่ออกมาตระเวนทำร้ายผู้คนไปทั่ว ทำให้ชาวบ้านใช้ชีวิตลำบาก”

ชายผู้มีท่าทางร้ายกาจได้ยินแบบนั้นก็คำนับให้เขาอีกครั้ง “นายท่านมีจิตใจเป็นห่วงชาวบ้าน ความสำเร็จใหญ่ยิ่งนัก พระโพธิสัตว์มาจุติ พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์กลับชาติมาเกิด ข้าน้อยได้แต่ตั้งตารอ”

“เหอะๆ เจ้ากุ่ยชีปากหวานเป็นที่สุด” ชายหนุ่มพึงพอใจ หลังจากนั้นยาเม็ดหนึ่งก็ตกลงมาท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน ชายท่าทางร้ายกาจดีใจมาก เพียงแต่ยังนิ่งอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มยิ่งพึงพอใจ “เอาโอสถราชาผีเม็ดนี้ให้ผีรับใช้ของเจ้า คนผู้นั้นเจ้าต้องจริงใจกับเขา จงจำสี่คำนี้ไว้ให้ดี เที่ยงตรงเป็นธรรม ในฐานะคนขับไล่ผี เราต้องยึดถือคุณธรรมก่อน เช่นนั้นแล้วทุกอย่างจะราบรื่น ได้รับความช่วยเหลือมากมาย”

“ข้าน้อยจะจดจำคำสั่งสอนของนายท่านให้ขึ้นใจ” ชายท่าทางร้ายกาจรับคำ

“เอาล่ะ พวกเราอย่าคุยกันนานเกินไปเลย คนของสำนักงานสัจธรรมกำลังเริ่มล้อมเข้ามาแล้ว หากนานเกินไปพวกมันจะรู้ตัว เจ้าต้องระวังทุกเรื่องให้มากขึ้น อย่าโลภหวังผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจนลืมงานใหญ่ของข้า!” หลังจากสิ้นเสียงนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็เลือนหายไป หมอกควันจางหายไปช้าๆ

กุ่ยชีรอกระทั่งหมอกควันหายไปหมดแล้วก็หยิบโอสถราชาผีขึ้นมาทันทีแล้วค่อยลุกขึ้นยืน

เขายิ้มเจ้าเล่ห์พลางพึมพำกับตนเอง “เที่ยงตรงเป็นธรรม ห่วงใยชาวบ้านรึ ช่างน่าขัน คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินจะพินาศ ช่างเถอะ ตอนนี้เอาใจพระโพธิสัตว์ไปก่อน รอวันหน้ายังไม่แน่ว่าใครกันจะเป็นนาย…”

“แต่ประโยชน์ของพระโพธิสัตว์นี่ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าคิดว่าครั้งนี้จะต้องสละเลือดหัวใจรักษาเจ้าผีรับใช้ซะแล้ว เอาเถอะ ในเมื่ออัศวิน A ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ก็ทำแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ห้องใต้ดินคับแคบชื้นแฉะแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง ข้ามีพลังเช่นนี้แล้ว ทำไมวันๆ ต้องหดหัวอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งคฤหาสน์รถหรูและหญิงงามศัพย์สฤงคารนั่น ทำไมข้าจะใช้อย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้ล่ะ หึ!

ฟางหนิงอยู่ในพื้นที่ของระบบ เขาเฝ้ามองค้อนตีเหล็กในร้านตีเหล็กเคลื่อนไหวโดยไม่มีคนตี ค้อนกำลังทุบทหารเทพที่รูปร่างแปลกประหลาดตุ้บๆ แต่เขาไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่การเจอผีเหมือนเมื่อครู่ ตอนนี้ระบบกำลังทำงานหนัก และเพราะระบบไม่มีรูปร่างมันจึงปรากฏตัวไม่ได้ แต่สิ่งของในพื้นที่ระบบนี้จะใช้อย่างไรก็ได้ตามต้องการ

ฟางหนิงมองอยู่แบบนั้นสักพักก็รู้สึกเบื่อ แต่ต่อหน้าระบบ เขาจะกลับไปเล่นเกมอ่านนิยายก็ไม่ดี จึงหาข่าวออนไลน์ล่าสุดไล่ตั้งแต่ข่าวในประเทศไปถึงข่าวต่างประเทศมาอ่าน

เอาล่ะ สองเดือนมานี้เขาเล่นมากเกินไปหน่อย ขณะที่โลกภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“กลางวันแสกๆ เจอผี เพราะแสงทำให้มองเป็นผีหรือว่าเป็นเรื่องจริง”

ดูจากชื่อหัวข้อแล้วเหมือนการสนทนาประหลาดสมัยก่อน ลองเข้าไปอ่านดูหน่อยดีกว่า ที่แท้มีเหตุการณ์ผีทำร้ายคนที่ไหนสักแห่งในภาคใต้ติดต่อกันเป็นเวลานาน วุ่นวายมาเรื่อยกระทั่งไม่นานมานี้ดูเหมือนจะมีคนได้ยินเสียงฟ้าร้องดังตอนกลางวัน ภายหลังเหตุการณ์ถึงค่อยๆ สงบลง

สถานการณ์ในประเทศไม่ได้ดีมาก ขณะเดียวกันที่ต่างประเทศก็ยิ่งวุ่นวายโกลาหลอย่างหนัก

“ฝูซางมีหมอกหนาแผ่ปกคลุมทั่วประเทศ ถึงตอนนี้ก็สามวันแล้ว ท่าเรือปิดและสนามบินหยุดให้บริการ ความเสียหายประเมินค่าไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันออกคำเตือนระดับสีแดงแล้ว โดยเตือนประชาชนช่วงนี้อย่ารีบเร่งเดินทางไปยังฝูซาง”

“อาณาจักรลู่ทางเหนือปรากฏองค์กรแม่มด หัวหน้าองค์กรมีความผิดปกติในการพูดและถูกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของประเทศจับกุมแล้ว…”

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ฟางหนิงรู้สึกรำคาญ เขาเกลียดโลกที่โกลาหลเป็นที่สุดเพราะมันจะส่งผลต่อเขาผู้เป็นโอตาคุอยู่แต่บ้าน

โชคดีที่เมืองฉีค่อนข้างสงบเงียบมั่นคง ไม่มีสถานการณ์ร้ายแรงอะไร แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่ระบบครองร่างเขา พวกผู้มีพลังพิเศษที่มีศักยภาพแต่มีอาการคลุ้มคลั่งก็ถูกระบบจัดการเรียบร้อยไปนานแล้ว โดยให้คนของหน่วยกิจการพิเศษพาตัวไปเข้าโปรแกรมเรียนซ้ำ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟางหนิงก็รู้สึกว่าการเป็นโอตาคุมานานก็มีข้อดีทีเดียว นั่งกินนอนกินไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ และไม่โดดเด่นสะดุดตาคนอื่น นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีใครมาตามหาตัวเอง

แต่เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังถูกใช้เป็นแบบอย่างในหมู่ผู้ถูกปลุกพลังพิเศษมานานแล้ว ผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษในเมืองฉีแทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา…

ฐานการเรียนซ้ำของสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี

“พวกนายต้องเรียนรู้จากสหายฟางหนิงคนนี้ อย่าคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ถูกปลุกพลังพิเศษ หน่วยกิจการพิเศษของเราอยากจะพาเขามาหน่อยสอน คนที่เชื่อฟังฉันรอด คนที่ไม่เชื่อฟังฉันตาย” ผู้อาวุโสจางเริ่มสอนกลุ่มคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษตั้งแต่เช้าตรู่

หลี่ว์เอ้อร์มองคนที่อยู่ข้างบนแล้วเบะปาก พวกขี้ขลาดนอนอยู่บ้านทั้งวัน ถ้าพวกแกไม่ล้างสมองเขา เขาก็อาจจะอยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิต แต่หลังจากล้างสมองแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะค้นพบความสามารถใหม่…

“ผู้คนใช้พลังพิเศษอย่างสันติเพื่อความร่ำรวย เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษของเราไปตัดขนแกะงั้นหรือ ก็เปล่า คนเราทำตัวเรียบร้อยอยู่บ้าน ไม่สิ พวกเขาทำงานควบคุมระยะไกลที่บ้านอย่างสบายใจ เราบังคับพวกเขาเรียนซ้ำอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ พวกนายทุกคนมาที่นี่จะต้องสำนึกในการกระทำทุกอย่างของตัวเอง! บ้างถูกจับขณะทำผิด บ้างถูกจับได้ขณะเตรียมก่ออาชญากรรม และยังมีบางคนถึงกับทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วจนไม่มีใครตามทัน เดินเชิดหน้าไม่ชอบ คิดแต่จะลักเล็กขโมยน้อย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่ว์เอ้อร์ก็เริ่มรู้สึกถึงลางร้าย และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อผู้อาวุโสจางเรียกเขาขึ้นมา

“สหายหลี่ว์เอ้อร์ ลุกขึ้นแล้วบอกทุกคนถึงความผิดและความเข้าใจของนายสิ…”

“ผมผิดไปแล้ว ผมมีพลังพิเศษเพิ่มความเร็ว แต่กลับไม่ใช้มันอย่างถูกวิธี ผมควรเข้าร่วมทีมกีฬาจังหวัด ช่วยประเทศพัฒนากรีฑาลู่และลาน และคว้าเหรียญทองโอลิมปิก แต่ผมไม่อยากก้าวหน้า กลับใช้ความสามารถขโมยของไปทั่ว ยินยอมใช้ชีวิตตกต่ำ หลังจากถูกอาจารย์ใหญ่จางสั่งสอนก็สำนึกได้และกลับตัวกลับใจ ไม่ ไม่ มันคือการปรับปรุงตัว ต่อไปต้องเป็นคนดีและตั้งใจทำงานทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่สิ ต้องต่อสู้ตลอดชีวิตเพื่อปกป้องโลกมนุษย์”

สหายหลี่ว์เอ้อร์เช็ดขอบตา ยืนขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดัง

ต่อหน้าทุกคนในลานนี้ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง แต่กลับคิดในใจว่า คนโง่เท่านั้นถึงจะเป็นนักกีฬา ต้องซ้อมหนักและถูกคนอื่นควบคุมทุกวัน ฉันไม่ได้อยากมีชื่อเสียงซะหน่อย ส่วนเรื่องเงิน ถ้าไม่ใช่เพราะอัศวิน A ใช้วิธีสกปรกล่อหลอก พวกฮัมมิ่งเบิร์ดคงเสนอราคารับซื้อยาเม็ดนั้นสักสามสิบล้านไปแล้ว รายได้ต่อปีของนักวิ่งที่เคยมีชื่อเสียงระดับประเทศมากสุดก็แค่ไม่กี่ร้อยล้านหยวน แต่ฉันกลับลงมือทำงานแค่คืนเดียว

“อืม ดีแล้วที่นายเข้าใจเรื่องนี้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้องค์กรกีฬาระดับนานาชาติกำลังปฏิรูป แม้นายจะพลาดโอกาสครั้งก่อน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังตั้งโครงการกีฬาใหม่ โครงการที่คนถูกปลุกพลังพิเศษเท่านั้นจะเข้าร่วมได้ เตรียมแยกคนธรรมดากับผู้ถูกปลุกพลังพิเศษร่วมรายการแข่งขันกีฬา นายต้องฝึกฝนให้เต็มที่ พยายามสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเราในการแข่งขันกีฬาของผู้ถูกปลุกพลังพิเศษ ทำลายประวัติศาสตร์ที่คนผิวเหลืองอย่างเราไม่เคยชนะพวกผีดำ เมื่อกี้ฉันพูดผิด นักเรียนลืมประโยคนี้ไปซะ ควรจะบอกว่าเป็นคนผิวดำ”

“ใช่ๆ อาจารย์ใหญ่จางสอนให้เราขยันฝึกฝน เพื่อเกียรติของชาติในอนาคต” หลี่ว์เอ้อร์รับคำ เขาเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่วันก็รู้อารมณ์ของผู้อาวุโสจางดี การสอนซ้ำสามชุดแบ่งเป็น ห้องมืด + ไฟฟ้าบำบัด + การล้างสมองรุนแรง อย่างนี้ใครจะกล้างัดข้อกับเขากันล่ะ ขืนทำก็จะถูกลงโทษชุดใหญ่ ถ้าเชื่อฟังโทษจะลดลงครึ่งหนึ่ง และหากมีผลงานดีก็จะพ้นจากการถูกลงโทษ

รสชาติของการบำบัดด้วยไฟฟ้านั้นเจ็บปวดเจียนขาดใจมาก หลี่ว์เอ้อร์ลูบก้นของตนเบาๆ ในใจยังหลงเหลือความหวาดกลัวบ้าง ‘เกือบจะถูกย่างจนเกรียมซะแล้วสิ ผู้อาวุโสจางเวลาโหดขึ้นมาช่างไม่เหมือนมนุษย์มนาเลยสักนิดเดียว’

……………………………………………………..

สำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีตั้งอยู่ในหุบเขาลึกแถบภูเขาทางใต้ของเมือง สถานที่แห่งนี้มีเทือกเขาป่าไม้เขียวขจีและสายน้ำลำธารชุ่มฉ่ำ ภูมิทัศน์เหมาะกับการใช้ชีวิต แต่กลับมีน้อยคนนักที่เคยมาเยือน เพราะบริเวณนี้มีฐานทัพทหารตั้งอยู่ จึงจัดเป็นเขตหวงห้ามทางทหาร

รถที่มาส่งหลี่ว์เอ้อร์เคลื่อนผ่านไปบนถนน หลังจากผ่านด่านตรวจหลายขั้นจึงจะผ่านเข้าไปในสำนักงานใหญ่ได้

ทว่า ถึงตรงนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายขั้นตอน เจ้าหน้าที่ของหน่วยกิจการพิเศษเอ่ยอะไรบางอย่างที่ทำให้หลี่ว์เอ้อร์ได้สติขึ้นมา จากนั้นก็พาเขาเข้าไปทางปีกตะวันออกใกล้ภูเขาที่มีกำแพงสูงล้อมรอบสามด้าน

เจ้าหน้าที่พาเขาเดินมาถึงหน้าประตูที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ตรงนั้นมีใครบางคนรออยู่ก่อนแล้ว

ตอนนั้นเอง หลี่ว์เอ้อร์ก็พลันได้ยินเสียงวิ่งจากด้านในกำแพงสูงและเสียงคำขวัญอันคุ้นหู “หนึ่ง สอง หนึ่ง หนึ่ง สอง หนึ่ง หนึ่ง สอง สาม…สี่”

ไม่นานนักก็มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนนำ จากนั้นเสียงตะโกนคำขวัญก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“ปราบให้สิ้นซาก…ภูตผีปีศาจ!!”

“ปกป้องมนุษยชาติ…ใต้หล้ารุ่งโรจน์!!”

“รักษาสังคม…สงบเรียบร้อย!!”

“สนุกกับชีวิต…ชีวิตอิสระ!!”

หลังจากได้ยินเนื้อหาในคำขวัญชัดเจน หลี่ว์เอ้อร์พลันตัวสั่นสะท้าน ในใจคิดว่าไอ้อัศวิน A สมควรตายจริงๆ ที่ทำให้เขาต้องเข้ารับโปรแกรมเรียนซ้ำ รอฉันออกไปได้ก่อนเถอะ แกตายแน่

“อาจารย์ใหญ่จาง นักเรียนเข้าใหม่ หลี่ว์เอ้อร์ ตอนนี้ดำเนินการส่งตัว!”

เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษที่นำตัวหลี่ว์เอ้อร์มาส่งทำความเคารพเสียงหนักแน่นต่อชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู

เวลานี้ มือและเท้าของหลี่ว์เอ้อร์ยังคงถูกสวมกุญแจมือและล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ รอบด้านยังมีพลซุ่มยิงประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เขารู้กฎของที่นี่ดี เมื่อครู่ชื่อของเขาถูกประกาศออกไปอย่างเป็นทางการแล้ว ถ้าหากคิดจะหลบหนีล่ะก็…ให้โอกาสเตือนแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สามเด็ดหัวทันที

เขาชั่งน้ำหนักแล้วว่าพลังพิเศษยังไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นว่องไวกว่าความเร็วของกระสุนปืน เพราะฉะนั้นแล้วการให้ความร่วมมือย่อมเป็นความคิดที่ดีกว่า ได้แต่หวังว่าโปรแกรมเรียนซ้ำครั้งนี้จะไม่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่พวกฮัมมิ่งเบิร์ดเคยเล่าให้ฟัง

พวกฮัมมิ่งเบิร์ดเล่าว่าประสิทธิภาพของโปรแกรมเรียนซ้ำไม่ธรรมดา ห้องมืด + ไฟฟ้าบำบัด + การล้างสมองเข้มข้น ซึ่งรับประกันได้ว่าคนถูกปลุกพลังพิเศษส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับยุคใหม่ได้ดีเยี่ยมหลังจากที่พวกเขาออกมา นั่นคือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมและใช้พลังพิเศษของตนเองที่ถูกปลุกขึ้นอย่างสันติ…

หลี่ว์เอ้อร์รู้ว่าเขาทนไหว เขาไม่อยากใช้พลังพิเศษอย่างสันติเพราะธรรมชาติของเขาไม่ใช่คนที่ชอบทำตามกฎ

ขณะที่หลี่ว์เอ้อร์กำลังคิดเรื่อยเปื่อยนั่นเอง อาจารย์ใหญ่จางก็กวาดตามองเขาแล้วเหยียดยิ้มให้ ก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่พวกนั้นแล้วเอ่ย “ทำไมใบหน้าหมอนี่ถึงได้ยับเยินขนาดนี้ อัศวิน A อัดจนน่วมแล้วพวกนายก็ไปเก็บกลับมาอีกแล้วงั้นเหรอ”

“ฮ่าๆ คอยติดตามอัศวิน A แล้วย่อมได้ประโยชน์เสมอ อาจารย์ใหญ่จาง สายตาของท่านเฉียบแหลมยิ่ง แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้ว เกรงว่าสายตาคนของสำนักงานสัจธรรมจะไม่ดีเท่ากับท่าน” เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษเยินยอ

“ฮ่าๆ แค่พอใช้ได้เท่านั้นแหละ น่าเสียดายที่ฉันแก่เกินเกณฑ์รับสมัครของพวกเขา แต่ว่าเมื่อไหร่พวกนายจะพาอัศวิน A มาเรียนด้วยล่ะ ปล่อยให้เขาตระเวนอยู่ข้างนอกแบบนั้นไม่น่าจะดี”

เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษอึกอักแล้วอธิบายว่า “มันค่อนข้างยากน่ะครับ เขาไม่มีที่มาที่ไป จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขายังยึดถือหลักการมาก ไม่เหมือนกับคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษทั่วไป เขาไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสังคม”

หลังจากนั้นเขาก็เล่าถึงตอนที่เพิ่งจับหลี่ว์เอ้อร์ได้ รวมถึงรายละเอียดที่อีกฝ่ายชดเชยเงินบางส่วนให้ร้านค้าด้วย

อาจารย์ใหญ่จางได้ฟังแล้วก็พยักหน้า “ดูท่าเขาคงไม่ใช่คนหนุ่มที่ทำไปเพื่อชื่อเสียง ฉันอ่านสถานการณ์ของเขาในรายงานสถิติแล้ว ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาจับอาชญากรทุกประเภททั้งหมดเจ็ดร้อยยี่สิบสามคน และใช้กำลังรุนแรงเกินไปถึงแปดครั้ง แต่ได้รับการยืนยันภายหลังว่าไม่มีผู้บริสุทธิ์ได้รับอันตราย ฉันพูดถูกใช่ไหม”

“ครับ ความจำของท่านดีจริงๆ ไม่ขาดตกเลยสักนิด”

“งั้นคนแบบนี้เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษก็ควรจะชักชวนและแต่งตั้งเขาสิถึงจะถูก” อาจารย์ใหญ่จางไม่เข้าใจนัก

เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษค่อนข้างอึดอัด ผู้อาวุโสจางเป็นคนซื่อตรงและดื้อรั้น ไม่รู้จักเทคนิคยืดหยุ่นอะไรทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ได้ยินว่าคนของสำนักสัจธรรมเคยตัดสินศักยภาพของเขาในขั้นต้น เขาเป็นเพียงยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ ระดับพลังของเขาคือ F เท่านั้น และอนาคตของเขามีขีดจำกัด เบื้องบนอาจจะพิจารณาเรื่องนี้แล้วกระมัง”

อาจารย์ใหญ่จางกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ศักยภาพของคนที่ไหนจะดูออกง่ายๆ ขนาดนั้นล่ะ ฉันคิดว่าหัวหน้าพวกนายคิดมากเกินไปแล้ว เพราะคิดว่าสถานะไม่ชัดเจน การตรวจสอบใบหน้าด่านแรกไม่ผ่าน ไม่คิดอยากจะรับผิดชอบใช่ไหม”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงหัวหน้าของตัวเอง เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษก็ไม่กล้าจะเออออตามอีก เขาเริ่มโต้แย้ง

“ผู้อาวุโสจาง ไม่แปลกที่ผู้อำนวยการโม่จะไม่รับผิดชอบเขา เขาไม่ใช่อัจฉริยะที่ไหน ควรค่าหรือที่จะใช้ข้อกำหนดอัจฉริยะ อย่าคิดว่าตอนนี้เขาน่าเกรงขามไร้เทียมทาน ไม่มีคู่แข่งในเมืองฉีเลย รอกระทั่งพลังพิเศษของผู้ที่ถูกปลุกเติบโตขึ้นในวันหน้า เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไปแล้ว มาพูดถึงเจ้าหนูเหาะตัวนี้กันดีกว่า ตอนที่เราจับได้ เขาวิ่งแข่งกับอัศวิน A มาสี่ชั่วโมงแล้วก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายไล่ทัน แค่หนูตัวเล็กๆ ต้องออกแรงจับขนาดนี้เลยเหรอ

“นี่ใช้เวลาแค่เพียงสองเดือนเท่านั้น เกรงว่าวันที่ยิ่งใหญ่ของเขาอย่างมากสุดก็อีกไม่เกินสองเดือน เมื่อพวกที่ปลุกพลังพิเศษแปลกประหลาดเติบโต ก็เหมือนกับพลังพิเศษทางจิตในบันทึกของพวกเรา บ้างก็ฆ่าคนในความฝันได้ บ้างก็ขับไล่ผีและทำร้ายผู้คนได้ เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรล่ะ”

“หืม พวกนายต้องการให้เขาจัดการกับอะไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกนายควรทำหรอกหรือ ทุกอย่างเปิดเผยหมดแล้ว พวกนายประจบแต่คนมีอำนาจ ก็แค่ต้องการเอาเปรียบคนอื่น ไม่จริงใจต่อกัน วันหน้าพวกนายจะต้องเสียใจแน่นอน หลี่ว์เอ้อร์คนนี้ ฉันจะพาตัวเขาออกไปก่อน อีกสามเดือน ฉันจะคืนกำลังสำคัญให้พวกนาย” อาจารย์ใหญ่จางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วทำท่าให้หลี่ว์เอ้อร์ตามเขาไป

เจ้าหน้าที่คนนั้นเพียงรับคำ ไม่โต้แย้งอะไรทั้งสิ้น เขาไม่คิดจะยั่วโมโหอาจารย์ใหญ่จาง เพราะเขาไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนกับหลี่ว์เอ้อร์ที่ถูกจัดชุดโปรแกรมสอนซ้ำให้

หลี่ว์เอ้อร์ลากโซ่ตรวนและกุญแจมือออกเดินไปพลางก็ก้มหน้าก้มตา เพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว อาจารย์ใหญ่จางที่เห็นเขาเดินด้วยความเชื่องช้ายากลำบากแบบนั้นก็ยื่นมือออกมาแล้วสะบัดมาทางเขา

หลี่ว์เอ้อร์สัมผัสได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่พัดเข้ามา จากนั้นเขาก็พบว่ากุญแจมือและโซ่ตรวนซึ่งทำจากเหล็กพิเศษได้แตกละเอียดทันที ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลาย เพราะได้ลิ้มรสของอิสรภาพอีกครั้ง

นอกจากจะผ่อนคลายแล้วก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอีกด้วย หลี่ว์เอ้อร์คิดในใจ มิน่าชายชราที่ดูแสนจะธรรมดาคนนี้ถึงได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโปรแกรมเรียนซ้ำทั้งหมด ดูจากพลังปราณเมื่อครู่แล้ว เกรงว่าอัศวิน A ที่ไล่ตามเขาเกือบตายก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เช่นกันกระมัง

ผู้อาวุโสจางมองหลี่ว์เอ้อร์ที่หน้าเปลี่ยนสี ขณะเดินนำหน้าไป ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มลึกล้ำอีกครั้ง ในใจคิดว่าข่มขู่ได้อยู่หมัดอีกคนแล้ว การฝึกบำเพ็ญของสำนักงานสัจธรรมเมื่อหลายปีก่อนเยี่ยมจริงๆ น่าเสียดายที่ตัวเขาแก่ชราแล้ว คิดจะต่อสู้กับคนอื่นคงไม่ไหวแน่นอน แต่หากแค่ข่มขู่เด็กพวกนี้ก็ยังพอทำได้

มีคนเอ่ยถึงอัศวิน A ที่เป็นอีกสถานะหนึ่งของระบบขึ้นมา แต่ตัวฟางหนิงเองกลับอยู่ในพื้นที่ของระบบ แอบพลิกดูของรางวัลที่ระบบเพิ่งจะได้กลับมาจากการผดุงคุณธรรม

ยาเม็ดนั้นมาจากตระกูลฉี เขากวาดตามองมัน ก่อนจะใช้ความคิดอย่างหนัก

ตั้งแต่เขามีระบบเข้ามาในชีวิตก็มีเรื่องหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด แน่นอนว่าระบบไม่ใช่ผู้ช่วยของเขา เรื่องนั้นก็ยุ่งยากมากด้วย แต่เขาก็เพิ่งจะรู้สึกว่าสถานะของตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากได้รับการยอมรับจากระบบว่าเป็นคุณค่าที่ขาดไม่ได้ ถึงค่อยกล้าคิดที่จะใช้ระบบแก้ไขปัญหา

หลังจากพิจารณามาได้สักพักแล้ว ฟางหนิงก็พอจะมองออกแล้วว่าในยาเม็ดนี้มีพลังภายในถูกผนึกอยู่จริงๆ แต่มันอ่อนแอมากเมื่อเทียบกับพลังภายในร่างกายของเขาเอง

แม้ว่าทุกวันเขาจะหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่น แต่ระบบก็ควบคุมร่างกายของเขาให้นั่งสมาธิฝึกพลังภายใน ฟางหนิงรู้สึกได้ว่าตัวเขาคุ้นเคยกับพลังภายในและปราณแท้มากแล้ว อีกอย่างระบบมักจะฝึกฝนในรูปแบบต่างๆ นั่นทำให้เขาคุ้นเคยกับพลังภายในมากทีเดียว

น่าเสียดายที่แม้จะเห็นวิธีการในตัวยาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก เว้นแต่จะมอบให้ใครสักคนกินมันเข้าไปถึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่รู้ว่าที่แท้แล้วมันจะมีประโยชน์กับเรื่องนั้นหรือไม่ โชคดีที่เขาไม่รีบร้อน เพราะวันนั้นก็ได้ยินพ่อของฉีเยียนพูดเองว่าธุรกิจครอบครัวของพวกเขาจะนำออกจำหน่ายในตลาดเร็วๆ นี้

อย่างเขาที่ตอนนี้มีรายได้ปีละหลายร้อยล้าน ถ้ามันแพงจนเขาซื้อไม่ไหวจริงๆ ที่บอกว่าการจำหน่ายในตลาดก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว…

แต่ปัญหาก็คือ เมื่อถึงเวลานั้นจะหลอกล่อระบบงี่เง่าให้ยอมจ่ายเงินได้อย่างไร

ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู

“คิๆ…”

“ฮิๆ…”

“ข้าตายอย่างทรมาน…”

ชิบหาย! บทสนทนาคลาสสิคขนาดนี้ มันคือจังหวะเจอผีหรือไง ฟางหนิงได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น ความกลัวก็ก่อตัวทันที เขาขนลุกซู่ เขาเหลือบมองพื้นที่ระบบแล้ววิ่งตรงไปที่ร้านขายเหล็กสีแดงฉาน ที่นั่นมีระบบที่กำลังสร้างทหารเทพอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ นั่นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง

สวรรค์รู้ว่าเขากลัวผีพวกนี้มากที่สุด ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายที่ดูซาดาโกะ[1] ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อจนนอนไม่หลับเป็นเดือน ไม่กล้ารับสายโทรศัพท์จนกลายเป็นตัวตลกของใครบางคนตั้งปีกว่า

หลังจากซ่อนตัวเรียบร้อย ฟางหนิงก็คอยจับตามองสถานการณ์ภายนอกผ่านมุมมองของระบบ

เขากวาดสายตามองรอบด้านที่มืดไปแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เดิมทีฟ้ากำลังจะสว่าง แต่เวลานี้ไร้แสงยามเช้า และมีแสงดวงไฟสีเขียวปรากฏขึ้นแทน ราวกับดวงตาของหมาป่า แต่มันก็ดูคล้ายกับดวงไฟลึกลับกำลังล่องลอยไปมา

“ระบบ เป็นไปได้ไหมที่พวกเราน่าจะเจอผี” ฟางหนิงเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ใช่” ระบบตอบกลับสบายๆ

“งั้นก็ดี” ฟางหนิงถอนหายใจโล่งอก

“ไม่ใช่น่าจะ แต่ใช่ผีแน่นอน” ระบบแก้ไขความเข้าใจผิดของฟางหนิง

“หา! เฮ้ย!!!” ฟางหนิงได้ยินคำตอบก็ขวัญหนีดีฝ่อ รีบเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กของระบบทันทีไม่ยอมโผล่หน้าออกมา

“โฮสต์กลัวอะไร ภูตผีตนนี้น่ากลัวตรงไหน ผีเร่ร่อนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลตอนนี้ความสามารถของมันมีเพียงทำให้จิตใจคนสับสนเท่านั้น มันเข้าใกล้เราไม่ได้สักนิด หลอกเราก็ไม่ได้ด้วย” ระบบไม่เข้าใจพฤติกรรมน่าขันของโฮสต์ตอนนี้เลย จะกลัวผีไปทำไม เห็นชัดๆ ว่าผีตัวนี้รับมือง่ายกว่ากระต่ายเมื่อครู่ตั้งเยอะ…

……………………………………………………..

[1] ผีในภาพยนตร์เรื่องเดอะริง

“พี่ใหญ่หม่า หนิวซื่อ ตอนนี้พวกแกสองคนไปมุดหัวอยู่ที่ไหน รีบออกมาจัดการศัตรูสิ ช่วยพี่น้องหน่อย…” ในที่สุดหัวขโมยหลี่ว์เอ้อร์ก็วางศักดิ์ศรีลง เขาคำรามใส่หูฟังข้างคอเสื้อด้วยต้องการเรียกกำลังเสริม

“เรากำลังดื่มเบียร์กินกับแกล้มกันที่ตลาดกลางคืนชานเมืองตะวันออก หลี่ว์เอ้อร์แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพลังพิเศษของแกพัฒนาเป็นขั้นสองแล้ว อัศวินกระจอกนั่นไม่มีทางวิ่งทันแกได้ อย่ายอมแพ้สิ วิ่งต่อไป ถ้าคืนนี้แกสลัดมันหลุด ต่อไปนี้ฉันจะเรียกแกพี่ใหญ่หลี่ว์เลย แล้วฉันจะเป็นหม่าเอ้อร์แทน ฉันกับหนิวซื่อสองคนจะนับถือแกเป็นหัวหน้า ต่อไปจะเชื่อฟังทุกอย่าง!” เสียงของพี่ใหญ่หม่าดังลอดออกมาจากหูฟัง

“ไม่ไหวแล้ว พี่ใหญ่มาช่วยฉันหน่อยเถอะ รีบมาช่วยเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นฉันต้องถูกคนของหน่วยกิจการพิเศษเก็บเป็นศพแน่นอน!” หลี่ว์เอ้อร์กระหืดกระหอบ น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว และหวังว่าพวกพี่น้องจะเห็นใจ

ทว่าบทสนทนาระหว่างพรรคพวกที่ดังจากหูฟังทำเอาเขาหมดอาลัยตายอยาก

“หนิวซื่อ ดูท่าหลี่ว์เอ้อร์จะไม่ไหวแล้วจริงๆ พวกเรากินเสร็จแล้วลองไปถามหน่อยเถอะว่ามีใครรู้จักคนในหน่วยกิจการพิเศษบ้าง แล้วอีกสักพักค่อยหาวิธีช่วยเขา หวังว่าจะยังทันนะ” นอกจากพวกเขาจะไม่ออกมาช่วยเหลือแล้ว น้ำเสียงยังไม่ใส่ใจว่าหลี่ว์เอ้อร์จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรอีกด้วย

หลี่ว์เอ้อร์รู้สึกสลดใจขึ้นมาทันที คบเพื่อนผิดจนตัวตาย ดูเหมือนเขาจะเห็นหลักสูตรทั้งหมดในห้องมืดของหน่วยกิจการพิเศษกำลังกวักมือเรียกตนเอง ไม่คิดเงินสักเหรียญ มาเร็วๆ มีคนสอนให้รับรองเรียนจนเป็นและยังช่วยหางานให้ด้วย

“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้แล้วกัน พี่ใหญ่คิดรอบคอบ น้องชายขอคารวะอีกแก้ว พวกเราชนแก้ว”

“โอเค ชนแก้ว!”

บทสนทนาอันไร้น้ำใจระหว่างเพื่อนตายทั้งสองทำให้หลี่ว์เอ้อร์รู้ว่าเขาถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี และเมื่อหันไปมองอัศวิน A ที่ไล่ตามหลังมาสองชั่วโมงอย่างไม่ยอมลดละ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอะไรเรียกว่าไม่ละทิ้งและยอมแพ้…

หลี่ว์เอ้อร์หวนนึกถึงตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นประถมสามและแอบหนีออกไปเล่นอินเทอร์เน็ต แต่กลับถูกอาจารย์ใหญ่ไล่ตามหลังมา อาจารย์ไล่ตามได้แค่สองร้อยเมตรเท่านั้นก็เลิกรา แล้วสุดท้ายจึงโทรเรียกพ่อของเขามาแทน

พ่อไล่ตามเขาไปอยู่สามร้าน แต่ท้ายที่สุดก็ยอมแพ้และขอให้แม่เป็นคนไปตามแทน

แต่แม่กลับไม่สนใจเขาเลย หลี่ว์เอ้อร์รู้สึกหิวจนสุดท้ายก็ยอมกลับบ้านเอง เป็นไปดังคาดว่าตนถูกพ่อกับแม่ฟาดไม่ยั้ง แต่หลังจากผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียวทั้งคู่ก็หมดแรงจนยอมวางมือไปเอง และเขาก็ไม่ร้องเพราะความเจ็บปวดออกมาสักแอะ

ประสบการณ์ตอนนั้นบอกว่าความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด และหากขีดจำกัดของเขามีมากกว่า ขอแค่เขาอดทนไหวเท่านั้นก็พอแล้ว…

ความจริงแล้วหลี่ว์เอ้อร์คิดไม่ผิดหรอก เพียงแต่ว่าคนที่เขาเจอครั้งนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นระบบที่ครองร่างของฟางหนิงเอาไว้ หากเปลี่ยนเป็นตัวฟางหนิงมาวิ่งเองล่ะก็…เกรงว่าแค่สิบนาทีก็คงยอมแพ้แล้ว การเผชิญหน้ากับอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่จะหลี่ว์เอ้อร์จะรับมือได้…

หลังจากจับตัวได้แล้ว ค่าประสบการณ์อาวุธเทพที่ระบบกำลังสร้างก็สมบูรณ์ทันที แม้จะอัปเกรดไม่ได้แต่ก็ดีกว่าเดิม ตอนนี้ปีศาจหายากมาก ระบบจับมันไม่ได้มาสองวันติดแล้ว แต่คิดว่ามันจะยอมแพ้หรือ ไม่มีทางหรอก! ด้านฟางหนิงกำลังอ่านนิยายด้วยความเพลิดเพลินอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ เฝ้าดูว่าการไล่ล่าจะยืดเยื้อไปถึงตอนไหน เขาอดเห็นใจหัวขโมยคนนั้นไม่ได้

ในที่สุดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานก็สิ้นสุดลงในตอนรุ่งสาง

ราวตีสี่หลี่ว์เอ้อร์ก็กระตุ้นพลังพิเศษของเขาหลายครั้ง หลังจากรีดพลังหยดสุดท้ายออกมาจากร่างกาย หลี่ว์เอ้อร์ก็หมดแรงฟุบลงกับพื้น

ตอนนี้ทั้งสองวิ่งไล่ล่ากันมาสี่ชั่วโมงเต็ม ระยะทางเทียบเท่ากับการวิ่งมาราธอนไม่รู้กี่รอบ รู้แต่ว่าถ้าวิ่งเป็นเส้นตรงล่ะก็ คงวิ่งจากเมืองฉีไปถึงเมืองถาน[1]ตั้งนานแล้ว

หลี่ว์เอ้อร์หมดแรงจนต้องทรุดร่างลงไปกองกับพื้น แต่ยังโชคดีหน่อยที่อัศวิน A ไม่ตบเขาเพิ่มอีกฉาดหนึ่ง เพราะเดิมเขาเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวได้…

ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาช่างไร้เดียงสา ไม่นานหลังจากที่นอนอยู่บนพื้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขา คนคนนั้นก็คืออัศวิน A หลี่ว์เอ้อร์พยายามฝืนยิ้มเอาใจออกมา…

ระบบที่ไล่ตามหลังหลี่ว์เอ้อร์ เวลานี้ใบหน้าปราศจากอารมณ์สุดๆ มันหิ้วเขาขึ้นมาแล้วจากนั้นก็ฟาดหลี่ว์เอ้อร์แล้วเหวี่ยงหมุนกลางอากาศเจ็ดร้อยยี่สิบองศา ตัวหลี่ว์เอ้อร์ยังอยู่กลางอากาศก็หมดสติไปแล้ว ศีรษะกระแทกเข้ากับแผงขายผลไม้ข้างทาง ตัวเลอะเทอะแตงโม แอปเปิล และกล้วยหอม สภาพดูไม่จืดเลยสักนิด…

ฟางหนิงเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บแทนอีกฝ่ายไม่น้อย เมื่อก่อนระบบไม่เคยตบหน้าใครเลย แม้ว่าจะสังหารใครก็แค่หมัดเดียวเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าระบบเกลียดหลี่ว์เอ้อร์ที่ทำให้มันลดประสิทธิภาพการจับปีศาจคืนนี้มากเพียงใด ปีศาจสามตัวใหญ่แต่ท้ายที่สุดกลับเหลือแค่ตัวเดียว แถมยังใช้เวลาตั้งสี่ชั่วโมงถึงจะจับได้…

ระบบทำเหมือนอย่างเคยค้นตัวหลี่ว์เอ้อร์อย่างละเอียดทันที ก่อนผละไปหยิบเงินที่ค้นได้จากตัวหลี่ว์เอ้อร์แล้วโยนเงินหนึ่งพันหยวนให้แผงขายผลไม้ที่เละเทะถือเป็นค่าชดเชย

หลังจากระบบตรวจสอบผลงานแล้วก็พอใจทีเดียว จึงจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

ผ่านไปพักใหญ่ ก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นเล็กน้อย

ตอนนั้นเอง ชายสองคนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาจากตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ คนหนึ่งโผล่มาได้แค่ครึ่งก้าวก็กวาดตามองไปรอบๆ และขณะที่กำลังจะเดินตรงไปยังหลี่ว์เอ้อร์ที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ใครอีกคนก็กระชากตัวเขากลับไป

ไม่นานนักก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ

จากนั้นรถเก๋งสีดำสามคันก็เคลื่อนเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีดำปักลายดาบและโล่ก้าวลงมาจากรถ

พวกเขาไม่พูดอะไร ต่างพากันกระจายตัวออกไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบและหลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งแล้ว ใครบางคนก็ดึงร่างชายคนหนึ่งออกมาจากกองผลไม้ ใบหน้าของชายคนนี้บวมเป่ง ใบหน้าด้านหนึ่งคล้ายกำลังยิ้ม ส่วนอีกด้านบิดเบี้ยวชัดเจน…

คนพวกนี้รีบใส่กุญแจมือและโซ่ตรวนให้หลี่ว์เอ้อร์อย่างรวดเร็ว…

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดกับวิทยุสื่อสารว่า “ยืนยันเป้าหมาย หลี่ว์เอ้อร์ รหัสแฟ้มคือ ‘หนูเหาะ’ สถานะปัจจุบันสลบ คาดว่าเกิดจากการวิ่งมากเกินไปและการโจมตีจากแรงภายนอก”

พวกเขาลากร่างหลี่ว์เอ้อร์ที่สภาพเหมือนศพออกไปวางที่เบาะหลังของรถแล้วขับออกไปทันที

หลังจากคนกลุ่มนั้นขับรถออกไปแล้ว ตอนนี้ชายสองคนที่เมื่อกี้โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของตรอกก็โผล่หน้าออกมาอีกครั้ง พวกเขากวาดสายตามองรอบตัวอย่างระแวดระวังถึงค่อยก้าวออกมา

ทั้งสองมองไปทางรถที่วิ่งห่างออกไปแล้ว ก่อนจะหันมองไปยังจุดที่หลี่ว์เอ้อร์นอนสลบอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครอยู่ที่นั่นอีก พวกเขาสบตากันด้วยความจนใจ จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“พี่ใหญ่หม่า อย่างที่พี่คิดจริงๆ คนของหน่วยกิจการพิเศษจับตาดูเราตลอดเวลา ถ้าพี่ไม่หลอกหลี่ว์เอ้อร์แบบนั้น ตอนนี้เราสองคนคงซวยไปด้วยแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไปกันดีล่ะ”

“จะทำอะไรได้ล่ะ เจ้าทึ่มหลี่ว์เอ้อร์ อยากจะแย่งอำนาจแย่งสิทธิ์ของฉัน แต่คราวนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ดีแล้วมันจะได้เจียมตัวบ้าง จริงสิ หนิวซื่อ เมื่อกี้อัดคลิปไว้แล้วใช่ไหม” พี่ใหญ่หม่าเอ่ยน้ำเสียงชิงชัง

“อัดเก็บไว้หมดแล้ว สองคนนี้วิ่งเก่งจริงๆ พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา วิ่งมาถึงตรงนี้น้ำมันแทบจะหมด แถมยังไม่กล้าเข้าใกล้มากอีก เพราะกลัวว่าจะถูกอัศวิน A นั่นตบตาย”

“ดีๆ ขายคลิปนี้ให้พวก ‘ฮัมมิ่งเบิร์ด’ ยังพอแลกเงินค่าน้ำมันได้นิดหน่อย แล้วค่อยบอกหลี่ว์เอ้อร์ว่าพวกเราทำเต็มที่แล้ว แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก อดทนวิ่งได้ไกลถึงสองร้อยห้าสิบกิโลเมตร ทำให้รถฮาร์เลย์พังๆ คันนี้ของเราน้ำมันแทบหมด แล้วกลุ่มคนของหน่วยกิจการพิเศษยังไล่ตามมาอีก พวกเราจนปัญญาจริงๆ”

แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ถ้าระบบอยากจะวิ่งขึ้นมา การวิ่งทั้งวันก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด

ตอนนั้นเอง เจ้าหน้าประสานงานหน่วยกิจการพิเศษก็เอ่ยถึงอัศวินคนนี้ในรถเช่นกัน

“อัศวิน A นี่มีความแค้นอะไรกับคนนี้นัก ไล่ตามเขาตั้งสี่ชั่วโมง ฉันดูจากกล้องจนเหนื่อยเลย นับถือความอดทนของเขาจริงๆ!”

“เหอะๆ แต่ฉันไม่แปลกใจหรอก พวกนายไม่รู้หรือไงว่าความอดทนของอัศวิน A สูงแค่ไหน ครั้งหนึ่งเขาอยู่ที่ตลาดชานเมืองตะวันออก ดักซุ่มตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จับนักล้วงกระเป๋าได้ยี่สิบเอ็ดคนติดต่อกันโดยไม่เหน็ดเหนื่อย”

“ฮ่าฮ่า งั้นวันนี้เจ้าหลี่ว์เอ้อร์ก็ดวงกุดแล้วล่ะ ดันเจอเข้ากับคนที่ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้จนได้”

“ยังมีโชคร้ายกว่านี้รอเขาอยู่ หลี่ว์เอ้อร์ปฏิเสธโปรแกรมเรียนซ้ำหลายครั้ง และยังหลบหนีพวกเราอีกหลายต่อหลายครั้งด้วย ต้องเสียแรงไปไม่น้อยเลย เขามักจะเตร็ดเตร่ไปทั่วในเมือง ไม่ก่อเรื่องใหญ่โต แต่ก็สร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน ในที่สุดวันนี้ก็จับตัวได้สำเร็จเสียที หัวหน้าจางของโปรแกรมเรียนซ้ำมีบทเรียนใหม่อีกแล้ว เจ้าหลี่ว์เอ้อร์ลื่นเป็นปลาไหลมาก แต่วันนี้มันจะได้ลิ้มรสแล้วว่าอะไรคือการไม่ละทิ้งและไม่ยอมแพ้ที่แท้จริง…”

……………………………………………………..

[1] เมืองถานคือเมืองระดับอำเภอค่อนข้างไกลที่อยู่ใต้การปกครองของเมืองฉี

แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทเสียจนยื่นมือออกไปแล้วไม่เห็นนิ้วตัวเอง แต่ฟางหนิงยังมองเห็นได้ชัดเจนผ่านมุมมองของระบบ คุณหนูตระกูลฉีท่าทางสับสนอยู่นานสองนาน ในที่สุดเธอก็หยุดเคลื่อนไหว

และจู่ๆ อีกฝ่ายก็กระโดดขึ้นที่กลางลานกว้าง ขยับขึ้นๆ ลงๆ เหมือนผีดิบกำลังออกเดิน และเหมือนหุ่นยนต์กำลังเต้นรำด้วย สาวสวยคนนี้ต้องกลายเป็นนักเต้นตลกไปแล้ว ฟางหนิงเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

น่าเสียดายที่บันทึกภาพไว้ไม่ได้ด้วย จึงได้แต่มองเงียบๆ แบบนี้

ผ่านไปไม่นาน ฟางหนิงเพิ่งดูไปได้พักหนึ่งเท่านั้น ก็รู้สึกเสียดายเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามา ด้านฉีเยียนเมื่อได้ยินก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที

จากนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เยียนเอ๋อร์ ลูกมาออกกำลังกายอะไรในสนามกัน ดูเหมือนว่าไฟในลานบ้านจะเสียแล้วล่ะ มืดขนาดนี้ระวังอุบัติเหตุนะ” เสียงอ่อนโยนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ หนูแค่อ่านหนังสือแล้วเหนื่อย เลยมาเดินเล่นที่นี่ ก็เลยถือโอกาสออกกำลังนิดหน่อยค่ะ” เสียงของฉีเยียนฟังดูประหม่าและลนลานเล็กน้อย

“เอาล่ะ พรุ่งนี้พ่อจะเรียกป้าหวังให้หาคนมาซ่อม อย่าอ่านหนังสือหักโหมมากนักล่ะ”

“รู้แล้วค่ะ” ฉีเยียนปาดเหงื่อของเธอออก โชคดีที่ก่อนฝึก เธอฉลาดพอที่จะทำให้ไฟที่ลานบ้านเสีย ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์ของเธอต่อหน้าพ่อคงไม่เหลือแน่

“พรุ่งนี้ตระกูลเราจะจัดประชุม ได้ยินว่าฉีเย่ว์ ลูกชายของหัวหน้าตระกูลได้ร่วมมือกับผู้อาวุโสคนนั้นแล้ว และจะแนะนำยาชนิดหนึ่งในการประชุมพรุ่งนี้ มีคนบอกว่าคราวนี้เขาใช้ตัวยาหายากหลายอย่าง ผนึกกำลังภายในข้างในตัวยา ใช้รักษาโรคที่รักษาได้ยากได้ผลดีทีเดียว และยังผลิตออกมาแค่สิบเม็ดเท่านั้น ตอนนี้กำลังระดมทุนในตระกูล ด้านหนึ่งคือหาคนมาซื้อหุ้น และอีกด้านหนึ่งคือสรรหาสมาชิกในตระกูลที่ฝึกกำลังภายในได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ผลิตยาจำนวนมากและนำออกสู่ตลาด เมื่อถึงเวลาลูกก็ไปร่วมงานด้วยเถอะ ที่พ่อนี่ยังมีเงินก้อนหนึ่งให้ลงทุน มันเป็นเจตนาดีของหัวหน้าตระกูลกับคนในครอบครัว”

“ก็ได้ค่ะ พ่อ”

ฉีเยียนเชื่อฟัง รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนที่หัวไวที่สุดในตระกูล และเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากมาย เธอเคยแต่มองพวกเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่เคยสนใจคำเชื้อเชิญ แต่ตอนนี้ไม่พ่อไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เพราะเธอจะใช้ความสามารถแท้จริงเข้าร่วมให้ได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้การที่ต้องทำท่าทางประหลาดเพื่อฝึกฝนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีก

“อืม…โลกกำลังเปลี่ยนไปช้าๆ พวกเราอย่าวิตกมากเกินไปเลย บางครั้งช้าลงหน่อยก็ดีกว่า” คุณพ่อฉีเข้าใจความคิดของลูกสาวเป็นอย่างดีและค่อยๆ อธิบาย

ตอนนี้ฟางหนิงไม่มีอารมณ์จะฟังการสนทนาระหว่างสองพ่อลูกมากนัก เขารีบถามระบบ

“ระบบ เรื่องที่คนนั้นเพิ่งพูดจริงหรือ”

“ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า” ระบบตอบกลับ

“พูดให้เข้าใจหน่อยสิ”

“กำลังภายในที่แต่ละคนฝึกออกมาได้มีลักษณะเฉพาะส่วนบุคคล เว้นแต่จะควบคุมอย่างระมัดระวัง ถึงจะวิ่งเข้าไปในร่างกายของผู้อื่นได้โดยไม่ทำร้ายเนื้อเยื่อปกติของผู้อื่น ไม่อย่างนั้นมันจะวิ่งไปทั่วทำลายเส้นลมปราณของร่างกายทั้งหมด แต่สมองมนุษย์อย่างพวกคุณใหญ่เกินไป บางทีพวกเขาอาจใช้ตัวยาบางอย่างรวมกับคุณสมบัติส่วนบุคคลของพลังภายในแล้วทำให้เป็นกลาง แบบนั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อปกติ แต่ว่าหากไม่มีใครชี้นำ ก็ยิ่งไม่แน่ชัดกำลังภายในที่ไม่มีเจ้าของในยาเม็ดนี้จะแยกแยะบริเวณที่เกิดโรคในร่างกายได้อย่างไร”

ฟางหนิงรู้ว่าไอคิวของระบบไม่สูงมาก แต่มันไม่มีทางโกหก หลังจากเขาได้ฟังแล้วก็คิดถึงเรื่องหนึ่ง ในใจเกิดไอเดียขึ้นมา

“เอ๊ะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะ” อยู่ๆ ระบบก็ฉลาดขึ้นมา

“อ้าว เห็นว่าคุณระบบรอโอกาสมาหลายวัน ของดีขนาดนี้น่าจะดึงดูดเหยื่อดีๆ ได้นะ ก็แน่ล่ะ เรื่องนี้แกเป็นคนตัดสินใจ” ฟางหนิงหลอกเจ้างี่เง่านี่จนชำนาญ จึงพูดจาหลอกล่อมันได้สบายๆ

“ก็จริง ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เราควรจะรอโอกาสที่นี่ต่อไป”

ทั้งสองพูดคุยกันได้ไม่นาน ระบบก็ควบคุมร่างของฟางหนิงให้วิ่งไปทางที่ไม่ไกลนัก

ฟางหนิงมองแผนที่ระบบก็เห็นจุดสีแดงเล็กๆ กะพริบรางๆ อยู่ไม่ไกล เมื่อมองแสงดีๆ ก็เห็นว่าเป็นเพียงปีศาจตัวเล็กเท่านั้น ไม่คุ้มแรงให้วิ่งไปเลยสักนิด ดูท่าระบบคงจะเบื่อจริงๆ

…………

วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า ระบบก็พาร่างของฟางหนิงมาดักซุ่มอยู่นอกบ้านตระกูลฉีแล้ว พวกเขาหลบซ่อนอย่างมิดชิด คนตระกูลฉีที่เข้าๆ ออกๆ ต่างไม่มีใครเห็นเขา คนพวกนั้นต่างทักทายกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางตั้งตารอคอยเรื่องคืนนี้อย่างยิ่ง

ระบบเองก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน ฟางหนิงก็ยิ่งตั้งตารอ ทว่า ทั้งสองกลับมีจุดประสงค์แตกต่างกัน

ระบบไม่สนใจว่าตระกูลฉีจะประชุมหรือโอ้อวดสมบัติอะไร มันสนใจแค่ว่าสมบัตินี้สามารถดึงดูดปีศาจตัวใหญ่ได้หรือไม่ ส่วนฟางหนิงไม่เหมือนกับระบบ เขาตั้งตารอของขวัญจากการต่อสู้ของระบบ…

สวรรค์ย่อมเห็นใจคนอุตสาหะ เวลาใกล้จะเที่ยงคืน ปีศาจตัวใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นสมการรอคอยจริงๆ แถมไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสามในคราวเดียว แต่ละตัวต่างส่องแสงสีแดงสว่างวาบบนแผนที่ระบบ แสดงให้เห็นถึงค่าประสบการณ์ในตัวพวกมันที่สูงมาก

เป็นอย่างที่ฟางหนิงคาดไว้ ระบบแย่งผลประโยชน์จากพวกนั้นทันที แต่ผลลัพธ์ครั้งนี้กลับไม่สวยงามเหมือนครั้งก่อนๆ

ฟางหนิงดูเวลาแล้วก็รู้สึกจนใจเหลือเกิน ตอนนี้ตีสองแล้วแต่ระบบยังจับปีศาจสามตัวนั้นไม่ได้สักตัว

มันควบคุมร่างกายของฟางหนิงและกำลังไล่ตามปีศาจตัวหนึ่ง ปีศาจตัวนั้นเป็นหัวขโมยที่วิ่งเร็วมาก สูสีกับวิชาตัวเบาขั้นเทพของระบบได้เลย

หมอนี่อาศัยช่วงเวลากลางคืนวิ่งออกจากบ้านเก่าของตระกูลฉีพร้อมกับอีกสองคน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของของระบบที่กำลังรอคอยโอกาสอยู่ใกล้ๆ

ทั้งสามคนเป็นผู้มีพลังพิเศษ อีกอย่างพวกเขาได้ปลุกพลังพิเศษมาพักใหญ่แล้ว และยังรู้จักชื่อเสียงอันน่าตกตะลึงของ ‘อัศวิน A’ ด้วย

ขณะที่หัวหน้าระบบดำเนินการตามขั้นตอนการปรากฏตัวตามมาตรฐานต่อไป (ในช่วงเวลานี้ ระบบละเลยคำแนะนำหลายครั้งที่ฟางหนิงคอยพร่ำบอก โดยคิดว่ามันจะลดทอนคุณลักษณะของอัศวินที่ซ่อนอยู่) ผลที่ได้ก็คือยังไม่ทันเอ่ย ‘สันติภาพจงเจริญ’ พวกโจรทั้งสามก็โกยแนบออกไปพร้อมกันแล้ว ทิ้งให้ระบบที่ยังพูดไม่จบยืนทื่ออยู่ด้านหลัง

วิ่งเร็วขนาดนี้หมายความว่าค่าประสบการณ์ของพวกนั้นสูงมาก และแผนที่ระบบก็ไม่ได้แสดงข้อผิดพลาดเลยสักนิด ดังนั้นระบบที่ถูกหลอกเป็นครั้งแรกจึงรีบไล่กวดตามพวกนั้นไปทันที

ฟางหนิงไม่คิดว่าจะมีความหวังหลงเหลืออีกแล้ว แต่คาดไม่ถึงจะมีคนหนึ่งในพวกนั้นแกล้งโง่ เดิมทีเขาวิ่งเร็วที่สุดและวิ่งนำไปไกลก่อนคนอื่น แต่เขากลับชะลอฝีเท้าและจงใจปล่อยให้คนอื่นๆ แยกย้ายหนีไปก่อน แล้วเหลือตัวเองไว้ดักอัศวิน A เพียงลำพัง …

ดูท่าผู้ชายคนนี้จะซวยแล้ว

คนหนึ่งวิ่งหนี คนหนึ่งวิ่งตาม วิ่งไม่หยุดตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง…

“ไอ้ห่า แกยังจะไล่ตามมาอีก ฉันโยนของให้แกหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” หัวขโมยคนที่อยู่ข้างหน้าวิ่งทะลุตรอกซอกซอยหันหน้ามาสาปแช่งเสียงดัง เสียงนั้นดังไกลออกไปท่ามกลางคืนมืดมิด

ระบบยังคงนิ่งเงียบแต่ยังออกแรงวิ่งต่อไป ขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

หัวขโมยโกรธจนพูดไม่ออก เขารู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอัศวิน A และตนไม่มีทางชนะ จึงทำได้แต่ระเบิดพลังออกมาแล้วแล้วทิ้งห่างออกไปอีกครั้ง

เขาหันกลับมามอง อัศวิน A ที่อยู่ข้างหลังยังคงวิ่งต่อไปอย่างมั่นคง ติดตามมาด้านหลังโดยไม่มีท่าทีจะยอมแพ้แม้แต่น้อย

“บัดซบเอ้ย อัศวินอย่างแกมันดื้อด้านจริงๆ แกมาจากไหนกันแน่วะ! อยากไล่ตามไปถึงเช้าเลยหรือไง!” หัวขโมยหลี่ว์เอ้อร์สบถด้วยความเดือดดาล เขาช่างโชคร้ายเสียจริง คืนนี้เขากับเพื่อนสนิทอีกสองคนวางแผนมาเป็นดิบดีแล้วแท้ๆ กะจะขโมยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตระกูลฉีเปิดตัวในงานประชุมตระกูลให้ได้ หวังจะได้เงินมหาศาลจากการขายมันให้กับคู่แข่งของพวกเขา

คนหนึ่งแกล้งปล่อยข่าว คนหนึ่งลงมือ ส่วนอีกคนสนับสนุน

ตัวเขาเองก็คือคนที่ลงมือและเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน เขาเพิ่งจะวิ่งออกมาอย่างราบรื่น ขณะที่มั่นอกมั่นใจว่าตนเองจะทำเงินได้เต็มกระเป๋าก็ตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายแล้ว

เขาคิดว่าในบรรดาสามคน ตนเองเป็นคนที่ปลุกพลังพิเศษได้ก่อนใครและพัฒนารวดเร็วที่สุด อีกทั้งพลังพิเศษประเภทการเพิ่มความเร็วจะต้องทำให้อัศวินผู้โด่งดังในเมืองฉีช่วงนี้ต้องตกตะลึงแน่นอน สุดท้ายก็จะทำได้แค่มองดูตัวเองจากไปอย่างสง่าผ่าเผย…

ด้วยวิธีนี้ เขาจึงโอ้อวดต่อหน้าเพื่อนตายทั้งสองเล็กน้อยด้วยการวิ่งหนีออกไปในระยะที่ปลอดภัยแล้วจึงจงใจชะลอฝีเท้า ให้อีกสองคนวิ่งไปก่อน ส่วนเขาจะช่วยดึงความสนใจของอัศวิน A…

แต่แล้วเขาก็พบว่าความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่เร็วและไม่ช้ากว่าเขาเลย อีกอย่างยังมีความอดทนสูงเหลือเกิน โดยเฉพาะอัศวิน A ไม่เคยสับสนในเส้นทาง

ไม่ว่าเขาจะเลี้ยวอ้อมไปทางไหน อีกฝ่ายก็จะใช้ทางลัดได้โดยเร็วที่สุด ถ้าเขาไม่มีความสามารถระเบิดพลังกะทันหัน ป่านนี้คงถูกไล่ตามทันไปนานแล้ว

หลังจากถูกหมอนี่ตามล่าจนเหลือตัวคนเดียว เขาก็เข้าใจกระจ่างแล้วว่าเรื่องที่พวกผู้ถูกปลุกพลังพิเศษเล่านั้นเป็นยังไง ราวกับการฉายภาพกล้องวงจรปิด เขาถูกอัศวิน A ฟาดลงกองกับพื้น จากนั้นก็ถูกคนของหน่วยกิจการพิเศษที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาเก็บร่างและรายงานเหตุการณ์ มันกลายเป็นมาตรฐานกระบวนการรักษาความสงบของหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีในช่วงนี้

หลังจากยอมรับว่าไม่อาจสลัดอีกฝ่ายหลุดได้ หัวขโมยจึงคิดหาวิธีที่จะแกล้งโยนของที่ขโมยมาอย่างยากลำบากทิ้ง อันที่จริงแล้วของพวกนั้นมันเป็นของปลอม เขาคิดว่าบางทีนั่นอาจจะพอหลอกอีกฝ่ายเพื่อซื้อเวลาได้บ้าง…

ทว่า อัศวิน A ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง และอาศัยจังหวะที่เขาพยายามทิ้งของ ขยับใกล้เข้ามาอีกหลายก้าว…

สุดท้ายเขาจึงต้องควักของแท้ออกมา ในใจคิดว่าตอนนี้แกควรพอใจแล้ว ได้ของแท้แล้วไม่น่าจะยุ่งกับฉันอีก อย่างนี้มีประโยชน์อะไรกับแกบ้างล่ะ

ผลก็คืออัศวิน A เสียเวลาพักหนึ่งมองหาของแท้ที่เขาโยนทิ้งจริงๆ

แต่คาดไม่ถึงเขาเพิ่งจะหอบหายใจได้แค่ครู่เดียว ขณะกำลังคิดว่ากำลังจะหลบหนีได้สำเร็จ อีกฝ่ายก็ไล่ตามกระชั้นมาจากด้านหลังอีกแล้ว…

ไม่เพียงแค่นั้น ยังไล่ล่ากว่าสองชั่วโมงราวกับขาทั้งสองแข็งเหมือนตะกั่ว หัวขโมยยังคงวิ่งหนีต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่อัศวิน A ก็ยังวิ่งได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกับตอนแรก ทำให้หัวขโมยจนปัญญา…

……………………………………………………..

ปาฏิหาริย์ที่เหนือกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ปรากฏชัดต่อหน้าต่อตา ฉีเยียนที่ฉลาดหลักแหลมย่อมมองเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

คนที่ไม่เชี่ยวชาญในพลังพิเศษจะต้องเป็นเหมือนชนชั้นทางสังคมที่ถูกกำจัดในการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งก่อนๆ วันหน้าจะต้องดิ้นรนอย่างยากลำบาก และมันจะส่งต่อแรงกดดันที่เกิดขึ้นใหม่ไปยังคนรุ่นต่อไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงคราวนี้ ถ้าหากคนรุ่นแรกพ่ายแพ้ ฉีเยียนคิดว่ามันคงจะไม่เหมือนการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พึ่งพาคนรุ่นต่อไปกลับมาได้ คนหนึ่งทำไม่ดี บางทีอาจไม่สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีก

เพราะพลังพิเศษไม่ใช่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เผยแพร่ได้อย่างอิสระ แต่ไม่อาจสืบทอดได้

ขอเพียงมีลูกหลานที่ขยันขันแข็งและมีความสามารถ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าสู่ชนชั้นสูงโดยอาศัยการสะสมความรู้เพียงอย่างเดียว

การเรียนรู้นั้น ไม่ว่าครอบครัวจะมั่งคั่งเพียงใด หากเด็กที่เกิดมาไม่มีคุณสมบัติมากพอก็ไม่อาจถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้เขาได้

ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไป เธอรู้สึกว่าพลังพิเศษนี้สืบทอดได้ทางสายเลือด เพราะนี่คือเรื่องที่ชายหนุ่มผู้มากความสามารถมากในงานรวมญาติคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

เธอต้องการที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลจากผู้อาวุโส แต่เพราะเธอเป็นเด็กสาว ในสายตาของคนแก่หัวรั้น เธอจะต้องแต่งงานออกไปไม่ช้าก็เร็ว ไม่เหมาะที่จะได้รับการสืบทอด ต่อให้หาคนแต่งงานเข้าตระกูลได้ก็ไม่น่าเชื่อถือ

พ่อแม่ของเธอรักลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจคนนี้มาก พวกเขาส่งของขวัญไปวิงวอนแต่ก็ไม่มีใครยินยอมถ่ายทอดให้ ทั้งยังถูกผู้อาวุโสเอาแต่เร่งรัดให้แต่งงาน เพราะพวกเขาเสาะหาคนหนุ่มที่มีอนาคตในยุคใหม่ไว้ให้เธอแล้วสองสามคน…

ยุคใหม่กำลังจะมาถึง ลูกหลานผู้ชายในครอบครัวที่มีคุณสมบัติธรรมดาๆ ต่างพากันได้รับการถ่ายทอดจากผู้อาวุโส แถมยังได้ฝึกฝนจริงจัง ช่วยยกระดับสถานะและอนาคตของพวกเขาก็สดใส

เพราะฉะนั้นฉีเยียนจะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว เพราะเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้ชายคนไหนเลย

ไม่ง่ายที่จะฉวยโอกาสนี้บังคับอัศวิน A ที่วันนั้นทั้งวันสมองไม่ปกติให้ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้ เมื่อเขาเริ่มถ่ายทอดให้จริงๆ เธอสัมผัสได้ว่ามันเป็นพลังภายในที่ไม่เลว

แต่หลังจากอ่านหนังสือกำลังภายในที่เขาให้มา เธอก็ต้องโกรธควันแทบออกหู เรื่องที่ทำให้หญิงงามหน้าตาสะสวยควบคุมอารมณ์ไม่ได้ขนาดนี้ เห็นได้ว่าไม่ใช่กำลังภายในทั่วไปแน่นอน เธอได้รับมันมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้ฝึกฝนสักครั้ง กระแสปราณกำลังภายในที่ไหลเวียนจากอัศวิน A ยังฝังแน่นอยู่ในอกของเธอโดยไม่ขยับเขยื้อน

จนกระทั่งคืนนี้มาถึง

“อ้อ ฉีเยียน ครั้งก่อนที่อาแนะนำเสี่ยวเจิ้งให้แล้ว ทำไมไม่ติดต่อเขาเลยล่ะ เธอก็รู้นี่ เสี่ยวเจิ้งไม่ใช่ลูกชายของฉันกับอารองของเธอ พวกเธอถึงจะสกุลฉีเหมือนกัน แต่พ้นชั่วห้าอายุคนตั้งนานแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก”

“อีกอย่าง เด็กคนนั้นบอกฉันว่าเขาไม่สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงด้วยนะ และเขายินดีที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลให้เธอหลังแต่งงาน ลองคิดดูสิว่ามันดีแค่ไหน แถมพ่อแม่เธอยังไม่ต้องเที่ยวบากหน้าขอความช่วยเหลือด้วย เฮ้อ ดูสิ ปล่อยให้พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ อาสะใภ้รองบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเป็นผู้หญิง อย่าห้าวหาญให้มันมากนักเลย เรียนศิลปะป้องกันตัวได้แล้วยังไงล่ะ จะเที่ยวไปต่อสู้เข่นฆ่าเหมือนผู้ชายพวกนั้นได้เหรอ”

‘ไม่ได้ขอบนหัวอาสักหน่อย จะกังวลอะไรหนักหนา’ ฉีเยียนเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ กลับไปให้ ชายหนุ่มที่มีนามสกุลฉีคนนี้เป็นหลานชายห่างๆ ของอารอง แต่เขาถูกเลี้ยงดูมาในฐานะลูกชายของพวกเขาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งเกียจคร้าน ขี้เหร่ หยาบคาย และน่าเบื่อ

เมื่อเทียบกับอัศวิน A ต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ว่าอัศวิน A จะพูดจาน่าหมั่นไส้ไปบ้าง แต่เขามีความแข็งแกร่งด้านศิลปะการต่อสู้และรูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลา อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจกว่า ที่สำคัญคือไม่เรื่องมาก ไม่เหมือนพวกผู้ชายที่พอเจอเธอแล้วก็เอาแต่พูดจานั่นนี่ไร้สาระ เหมือนนกยูงตัวผู้เอาแต่คุยโวโอ้อวดต่างๆ

อาสะใภ้รองคนนี้เป็นแบบฉบับของคนยึดติด เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงศิลปะการต่อสู้จะนึกถึงมือสังหารเอย จอมยุทธ์เอยแบบสมัยโบราณ หารู้ไม่ว่าการใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดคือการใช้กับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสมัยใหม่

ในที่สุดฉีเยียนก็ตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างมากเธอก็จะเลือกคืนเดือนมืดที่สุดเพื่อฝึกฝน วันนี้แหละเหมาะที่สุด ฟ้าไร้ดวงดาว มืดจนยื่นมือออกไปแล้วก็มองไม่เห็นนิ้วตนเอง รอกระทั่งฝึกฝนกำลังภายในจนใช้งานได้ ทำเงินก้อนใหญ่ด้วยสองมือของตัวเองแล้ว การซื้อวิลล่าเดี่ยวก็ไม่ใช่เรื่องยากตรงไหน

หลังจากแข็งใจแล้ว คุณหนูตระกูลฉีก็กัดฟันอีกครั้ง อัศวิน A สมควรตาย อย่าให้ฉันรู้ว่านายจงใจถ่ายทอดวิชาแบบนี้ให้ฉัน!

‘คุณได้รับค่าความโกรธจากฉีเยียน ขณะนี้สล็อตความโกรธระดับสามถึงร้อยละ 80 แล้ว’

ขณะที่ฟางหนิงกำลังอ่านนิยายฆ่าเวลา เขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้งจึงหยุดอ่านนิยาย

เขามองดูสถานที่ภายนอกผ่านมุมมองของระบบ อ้อ ระบบไปจับปีศาจแถวบ้านตระกูลฉีอีกแล้ว ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่คุณหนูตระกูลฉีจะยังโมโหไม่เลิก เนื้อหาที่ระบบให้เธอน่าอายจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายจะฝึกไปด่าระบบไปพลางแน่นอน

เขาเคยอ่านบทนำ กำลังภายในล้มครึ่งก้าวมีข้อกำหนดแปลกประหลาด แตกต่างจากวิธีฝึกกำลังภายในทั่วไปที่ใช้จุดตันเถียนเป็นพื้นฐานนั่งสมาธิขับเคลื่อนกำลังภายใน มันทำงานตามจุดฝังเข็มบริเวณหน้าอก เวลาฝึกต้องกระโดดขึ้นลงทั้งตัว ยิ่งเร็วยิ่งดี เพื่อให้ปราณแท้ไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย ผู้ชายไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงทำท่าทางแบบนี้เวลาฝึกฝนคงไม่น่าดูเท่าไรนัก

ในสายตาของฉีเยียนย่อมมองว่าอัศวิน A มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงแน่นอน เขาจงใจทำให้เธออับอายจนไม่กล้าเชิดหน้าในตระกูล

ตระกูลฉีเป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลในเมืองฉีที่สามารถสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันได้ ทั้งองค์ความรู้ลึกซึ้ง แผ่ขยายออกไปกว้าง สั่งสมความมั่งคั่งสูง หลังจากสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป พวกเขาติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และทำให้ความสัมพันธ์การติดต่อระหว่างคนในตระกูลแน่นแฟ้นขึ้น เทียบกับอดีตที่รวมตัวกันเพียงปีละครั้งหรือหลายปีถึงจะรวมตัวกันสักครั้งแล้ว ช่วงไม่กี่ปีมานี้พวกเขาจัดงานรวมญาติประจำปีบ่อยครั้งขึ้นทีเดียว

ในงานเลี้ยงมักมีคนคอยโอ้อวดความสามารถพิเศษศิลปะการต่อสู้ของตัวเอง บ้างก็อวดของใหม่ล่าสุด ทุกครั้งที่ฉีเยียนเห็น ภายนอกของเธอแม้สีหน้าจะดูสงบนิ่ง แต่ความอิจฉาริษยาก็ก่อตัวอยู่ในใจ

เธอไม่รู้ว่าอย่างแรกจะดึงดูดความสนใจของทางการ ขณะที่อย่างหลังเป็นการง่ายที่จะดึงดูดพวกผิดกฎหมายที่ปลุกพลังที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ระบบมักจะมารอคอยโอกาส แต่เมื่อสถานะอัศวิน A นี้บังเอิญถูกเธอพบเข้า ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน

ตอนนี้ระบบแปลงโฉมเป็นอัศวิน A ปรากฏตัวใกล้บ้านของเธออีกครั้ง แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย

หัวหน้าระบบย่อมไม่ได้มาตามจีบหญิงแน่นอน มันแค่มาจับปีศาจตามปกติ

ช่วงนี้ข่าวลือหนักขึ้นเรื่อยๆ หลายหน่วยงานทางการต่างก็เพิ่มการลาดตระเวนเข้มข้นขึ้น อาชญากรธรรมดาที่ออกอาละวาดตอนกลางคืนก็เริ่มลดลงมาก

แน่นอน เมื่อจำนวนคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษค่อยๆ เพิ่มขึ้น บางคนก็มีจิตใจที่กระตือรือร้น พวกคนที่กล้าออกมาก่ออาชญากรรมมักเป็นคนที่คิดว่าตนเองมาเหนือเมฆ เดิมทีกองกำลังรักษาความสงบธรรมดาไม่มีทางรับมือพวกนี้ได้ ขณะที่กำลังของหน่วยกิจการพิเศษในเมืองฉีไม่อาจครอบคลุมประชากรเกือบสิบล้านคนได้หมด

มันไม่อาจหยุดยั้งระบบที่ขยันจับปีศาจได้เพราะวิธีการของมันสะอาดเรียบร้อย ไม่เคยเสียเวลาสอบสวน ยกเว้นเสียแต่จะพูดพล่ามไร้สาระก่อนลงมือทุกครั้ง จัดการทีเดียวอยู่หมัดไม่ต้องมีซ้ำสอง ช่วงหนึ่งในเมืองฉีมีช่วงเวลาที่เป็นช่องว่างสั้นๆ การรักษาความสงบจึงไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษหลายคนละทิ้งความคิดอันมืดมนและแสดงความเต็มใจที่จะรับหลักสูตรการเรียนซ้ำในยุคใหม่ ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่ยังมีสมุดทะเบียนบ้าน

ขณะที่เมืองหลายแห่งที่มีประชากรและสถานะคล้ายกัน แม้ช่วงนี้หน่วยกิจการพิเศษของพวกเขาส่งคนออกไปแล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ สถานการณ์ล่าสุดของพวกเขาค่อนข้างวุ่นวาย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองฉี เพราะเหตุนี้ช่วงนี้เมืองฉีจึงได้รับการยกย่องไม่น้อย และได้รับเลือกเป็นเมืองตัวอย่างการจัดการรักษาความสงบในสถานการณ์รูปแบบใหม่

แต่ผลที่ตามมาคือสองสามวันนี้ระบบเดินทางไกลขึ้น แต่ก็ยังจับปีศาจได้ไม่กี่ตัว เรื่องนี้ไม่อาจทำให้ฟางหนิงนั่งเล่นเกมอย่างสบายใจได้อีก

เขาทำได้แค่ปลอบใจมัน รอทำอาวุธเทพออกมาแล้วเป็นฝ่ายรุกงานใหญ่ดึงดูดปีศาจ ต่อไปจะไม่มีช่วงที่หยุดชะงักแบบนี้แน่นอน เมื่อจับปีศาจได้ หลังจากนี้ประสิทธิภาพก็จะสูงขึ้น

แต่ว่าค่าประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการสร้างอาวุธเทพยังไม่เพียงพอ

เพื่อสะสมค่าประสบการณ์ให้เพียงพอ หลังจากระบบถึงระดับสิบก็จงใจเลื่อนการอัปเกรดออกไปแล้ว ไม่เช่นนั้น มันอาจจะอัปเกรดไปนานแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่หัวหน้าระบบจะร้อนใจ

เพราะทุกวันนี้พบเจอปีศาจไม่บ่อยนัก ระบบจึงต้องรอคอยให้อาชญากรปรากฏตัว เฝ้ารอให้ปีศาจเป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน

บ้านตระกูลฉีเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ระบบมารอคอย วันนี้ระบบมารออยู่ที่นี่อีกครั้ง แน่นอน ในขณะรอคอยโอกาส ระบบก็คอยฝึกฝนตลอดเวลา ไม่ยอมเสียเวลาเล่นมือถือเหมือนคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อน

ด้านฟางหนิงกลับถูกด่าไม่มีชิ้นดีเพราะเบี้ยวนัดเซียนคนหนึ่งในเกม ทำให้เซียนคนนั้นถูกไล่ล่า ตอนนี้เขาไม่กล้าเล่นเกมนั้นอีกแล้ว และไม่มีอารมณ์จะเล่นอะไรอีกสักพักจึงอ่านนิยายฆ่าเวลา ตอนนั้นเองระบบก็แจ้งเตือนขึ้นอีกรอบว่าจะออกไปสูดอากาศ เผื่อจะได้มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ

ระบบยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นสาม ซึ่งเป็นอาคารที่ใกล้กับบ้านของตระกูลฉีที่สุด ตรอกซอยแถบนี้ล้วนเป็นพื้นที่บ้านเก่าของตระกูลฉีทั้งสิ้นและคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่แถบนี้ต่างใช้สกุลฉีในสมุดทะเบียนบ้าน

บ้านค่อนข้างเก่าและไม่สะดุดตา แต่ทุกคนรู้ดีว่าในเมืองที่ประชากรหนาแน่น บ้านชั้นเดียวที่มีลานกลางบ้านในเขตเมืองที่เจริญแล้ว แต่กลับยังไม่ถูกรื้อถอนนั่นหมายความว่าอย่างไร

ฟางหนิงมองจากมุมมองของระบบ ไม่นานก็เห็นตำแหน่งของฉีเยียน ตอนนี้เธอกำลังยืนท่าทางสับสนที่ลานบ้านแห่งหนึ่ง

……………………………………………………..

‘ตอนนี้ถึงเวลาสำคัญแล้ว แต่ว่านั่นมันอะไรกัน ไอ้เจ้าบ้านี่มาจากไหน ตัวคนเดียวแต่ใช้แค่ดาบปลายปืนก็สังหารได้ถึงเจ็ดคน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้บัญชาการของอีกฝั่งหนึ่งด้วย’ ฟางหนิงช่วยระบบทำงานใหญ่สำเร็จแล้วก็กลับมาเล่นเกม เขามาถึงอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบอย่างมีความสุข และสลับกลับไปเล่นเกมออนไลน์ที่เขาเล่นเมื่อครู่ พอมองเห็นชัยชนะเกมนี้ก็รู้สึกพึงพอใจมากๆ

เขาเปิดรายงานการต่อสู้ ตั้งใจที่จะดูกระบวนท่าของเทพเจ้าแห่งดาบปลายปืนให้ละเอียด เมื่อเห็นว่าชื่อเทพผู้ยิ่งใหญ่คือ ‘Long Live Ulala’ ก็เปิดกล่องสนทนากับอีกฝ่ายทันที ผ่านไปสักพักฟางหนิงก็ถูกเทพดึงไปเล่นเกมต่อสู้ด้วยอีกเกมหนึ่ง จิตใจหวาดกลัวเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ระบบยังกังวลอยู่ ตัวมันก็เป็นแค่กุนซือที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้น

“เดี๋ยวก่อนสิท่านเทพ รับมือคนเดียวก่อน ไม่ต้องกลัว สู้ต่อไป ข้าปวดฉี่ เดี๋ยวกลับมา!” ฟางหนิงเล่นต่อไปไม่นานก็รีบออกจากเกมใหม่และตัวเลือกของระบบก็ปรากฏขึ้นอีกรอบ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเล่นเกมต่อไป

ในเวลานี้ร่างกายของเขาที่ถูกระบบครองร่างได้มาถึงสวนป่าอันเงียบสงบแล้ว ที่นี่ค่อนข้างลับสายตาผู้คนเพราะฉะนั้นจึงเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับคู่รัก

ตอนนี้ตัวเขาอยู่ในป่ากับสาวสวยคนหนึ่ง ทั้งสองเผชิญหน้ากันโดยต่างฝ่ายไม่ได้พูดอะไร

‘ฉีเยียนกำลังขอค่าตอบแทนการแสดงเมื่อครู่ ทางเลือกของคุณคือ

ตัวเลือกแรก: มอบตำรา “เป้าผูจื่อ[1]” ของลัทธิเต๋าให้ หลังจากฝึกฝนแล้วรับรองว่าคุณจะได้เรียนรู้กำลังภายในของลัทธิเต๋าแท้ๆ

ตัวเลือกสอง: ให้เธอเลือกหนึ่งในสามศิลปะการต่อสู้เพื่อฝึกฝนเอง ได้แก่ วิชาดาบสะบัดวายุขั้นต้น วิชาตัวเบาขั้นต้นลากลิ้ง วิชากำลังภายในพื้นฐานล้มครึ่งก้าว

ตัวเลือกสาม: ให้ค่าจ้างการแสดงกับเธอสักหนึ่งหมื่น ซึ่งอีกฝ่ายจะต้องปฏิเสธแน่นอน’

“ตัวเลือกที่ต้องถูกปฏิเสธแน่ๆ ยังจะเอาออกมาให้เลือกอีก” ฟางหนิงที่ถูกรบกวนขณะกำลังสนุกอยู่กับการเล่นเกมมองดูอย่างเกียจคร้านแล้วเลือกข้อสองโดยไม่ลังเล

ข้อแรกเป็นลัทธิเต๋าแท้ก็จริง แต่สิ่งที่บันทึกไว้ในตำราเป็นศิลปะบนเตียง เขาไม่หน้าหนาพอ

“เฮ้ อัศวิน A คุณจะไม่เบี้ยวใช่ไหม ฉันยอมเสียสละชื่อเสียงอุตส่าห์ลดตัวลงเพื่อมาเล่นละครกับคุณเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณสัญญาจะสอนศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานให้ ฉันจะไม่รีบนั่งรถไปช่วยคุณทั้งๆ ที่ไม่แต่งหน้าหรอก เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่สอนเฉยๆ แต่ยังต้องสอนให้ฉันทำได้ด้วย”

ฉีเยียนเมื่อเห็นการตอบสนองของฟางหนิงเชื่องช้าขนาดนั้น เธอก็เงียบไปครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกกังวล แล้วชี้นิ้วเรียวพลางพูดจาเร่งเขาเสียงสั่น

เธอคิดในใจว่าคงไม่ใช่เพราะทักษะศิลปะการต่อสู้นั้นล้ำค่าหรอก แต่อัศวิน A คนนี้อาจเหมือนกับคนเฒ่าคนแก่ในตระกูล หวงวิชาจึงไม่ยอมเผยแพร่มันให้คนภายนอก

เธอรู้จักกับอัศวิน A ในคืนหนึ่ง ตอนนั้นอีกฝ่ายกำลังจับขโมยใกล้บ้านของเธอ ทำให้เธอได้เห็นวิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศของอีกฝ่าย

แต่การที่สามารถรู้รหัสแฟ้มของอีกฝ่ายได้เป็นเพราะพวกคนแก่ในตระกูลที่รู้จักกับคนในหน่วยกิจการพิเศษ

ขณะที่คุณหนูตระกูลฉีคิดว่าอัศวิน A จะเปลี่ยนใจ ฟางหนิงก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว โดยห่างจากเธอไปเพียงศอกเดียวเท่านั้น

“นี่ คุณจะทำอะไรน่ะ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ…” ฉีเยียนกำลังจะกรีดร้องแต่ก็ต้องปิดปากทันที ทำไมเดี๋ยวเดียวก็เกือบจะพูดคำพูดติดปากของผู้ชายคนนี้ออกมา เรื่องนี้ต้องโทษหมอนี่คนเดียว

“ในเมื่อเธอเลือกแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยให้เธอเข้าใจกระจ่างถึงความลับของมัน ในฐานะอัศวินผู้กล้า ฉันถือสัญญาเป็นสัญญาเสมอมา!”

“ฟางหนิง” หน้าไม่เปลี่ยนสีขณะขานชื่อของศิลปะการต่อสู้ทั้งสามออกมาตามลำดับ

คุณหนูตระกูลฉีได้ฟังแล้วก็ยิ่งหน้าดำหน้าแดง ผู้ชายคนนี้จงใจล้อเลียนเธอแน่นอน แต่เห็นใบหน้าหล่อเหลาทำหน้าตาเฉยเมย มองยังไงก็ไม่เหมือนตั้งใจล้อเลียน เพียงแต่คำพูดเกรียนขนาดนั้น ทำไมถึงได้พูดเรื่องจริงจังได้หน้าตาเฉยอยู่เรื่อยกันนะ

“ฉันเลือกข้อสาม” คุณหนูตระกูลฉีกัดฟันเลือก ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อใจ เธอคิดถึงธุรกิจของตระกูลว่าอาจได้ความช่วยเหลือจากกำลังภายในเพื่อที่จะออกผลิตภัณฑ์อัศจรรย์ต่างๆ เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้ว เธอเลือกข้อสามคงจะดีกว่า

อีกอย่างสองข้อแรกก็น่าอายเกินไปด้วย เรียนไปก็คงไม่กล้าใช้มัน เว้นแต่ทุกครั้งที่ใช้งานจะปิดปากทุกคนที่อยู่ในที่นั้น แต่เธอไม่ใช่ฆาตกรและแน่นอนว่าไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นด้วย

หลังจากฟางหนิงที่อยู่ในพื้นที่ระบบได้ฟังก็พูดไม่ออก ระบบไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ถึงได้ขุดหลุมฝังสาวสวยหน้าตาดีอย่างนี้ได้ลงคอ

ถ้าเป็นเขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามฉวยโอกาสซ้ำเติมศัตรูยามเสียเปรียบ แต่โชคดีที่นับได้ว่าเธอเพิ่งจะช่วยระบบทำงาน

แต่ระบบหักหลังเธอเร็วเกินไปแล้ว ไม่รู้สึกว่าจะทำร้ายคนดีหรือไง ใช่สิ เจ็บก็เจ็บที่ใจของฉัน เจ้าระบบงี่เง่าไม่มีหัวใจย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องแบบนี้หรอก!

ระบบไม่แยแสคำบ่นของฟางหนิง หลังจากที่คุณหนูตระกูลฉีเลือกเสร็จแล้วมันก็ตบหน้าผากของอีกฝ่าย ท่าทางแบบเดียวกับตอนที่จับปีศาจเป๊ะ ไม่ทะนุถนอมหญิงสาวแม้แต่น้อย

โชคดีที่ไม่ใช่กิจวัตรประจำวันอย่างการจับปีศาจและคุณหนูตระกูลฉีก็ไม่ได้ถูกตบจนล้มลง ตอนนั้นเอง กระแสปราณสายหนึ่งที่อธิบายไม่ได้ก็ไหลออกมาจากหน้าผากของเธอ

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกดีใจ อัศวิน A ก็น่าเชื่อถือในระดับหนึ่งเลยทีเดียว…

กระแสปราณไหลผ่านร่างทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น แต่ในที่สุดมันก็หยุดอยู่ที่หน้าอกแล้วตรึงอยู่ตรงนั้น

คุณหนูตระกูลฉีรู้สึกผิดปกติ แต่เธอบอกไม่ถูก อย่างไรก็ตาม ความรู้ศิลปะการต่อสู้ของเธอก่อนหน้านี้ก็ได้แต่ฟังเอาจากคนเก่าคนแก่ในตระกูลเท่านั้น

พวกคนแก่นั่นแค่พูดคร่าวๆ ไม่มีใครเคยจับมือสอนเลยสักนิด เพียงเพราะเอาแต่คิดว่าสักวันเธอจะต้องแต่งงานออกไป

หลังจากที่กระแสปราณหยุดไหล อัศวิน A ก็บินหนีไปอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือของฉีเยียน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน แต่หน้าปกนั่นเขียนไว้ว่า ‘วิชาภายในพื้นฐานล้มครึ่งก้าว’

เธอก้มหน้าด้วยความดีใจและเปิดอ่านมันทันที หลังจากอ่านได้แค่หน้าแรกก็ตกตะลึง ใบหน้าของเธอค่อยๆ แดงเรื่อด้วยความอาย จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนไปทางที่อัศวิน A จากไป

“อัศวิน A ไปตายซะ! อย่าให้ฉันเจอแกอีก!”

ระบบแจ้งเตือน: ความโกรธของฉีเยียนที่มีต่อคุณทะลุปรอทแล้ว ดูดซับทันที สถานะปัจจุบันของสล็อตความโกรธทั้งสามระดับมีดังนี้ สล็อตความโกรธระดับแรกเต็มแล้ว และส่วนที่เกินจะถูกโอนไปจัดเก็บยังสล็อตความโกรธระดับถัดไปโดยอัตโนมัติ ความคืบหน้าขณะนี้ของสล็อตความโกรธระดับสอง: ร้อยละ 20

เอาล่ะ เพียงแค่สะสมความโกรธของผู้หญิงสองคน เดิมทีสล็อตความโกรธระดับแรกความโกรธร้อยละ 70 เต็มแล้ว และไปถึงสล็อตความโกรธระดับสองได้เยอะทีเดียว ถึงได้พูดกันอย่ายั่วโมโหผู้หญิงเด็ดขาด

แต่เพราะระบบไม่ใช่มนุษย์มันจึงไม่หวาดกลัว และกล้าท้าทายความโกรธของพวกผู้หญิงทุกคน…

ในใจฟางหนิงเริ่มสั่นไหว หนุ่มโสดอายุยี่สิบแปดเริ่มเป็นกังวลแล้ว

ในช่วงเวลานั้น เขาจึงตัดสินใจได้ว่าควรจะเป็นโสดไปก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

ดังนั้นเขาจึงอ่านนิยายและเล่นเกมต่อไปในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบทุกวัน นอกเหนือจากเวลาที่ระบบไปทำงานแล้ว มันก็ใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า จับปีศาจ ปิดระบบ จับปีศาจ ปิดระบบ และบางครั้งก็เรียกฟางหนิงไปช่วยสะสมสล็อตความโกรธด้วย

คุณหนูตระกูลฉีที่ถูกหัวหน้าระบบหลอกกลับไม่ได้ใช้ชีวิตสวยงามขนาดนั้น

เธอมาจากตระกูลผู้ดี แน่นอนว่าตอนนี้เหมือนกับตระกูลใหญ่อื่น ๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปทั่วทุกสารทิศ ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติหลวมๆ ไม่สนิทสนมกันมากนัก ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตระกูลเศรษฐีที่มีอำนาจสมัยโบราณ

ตระกูลใหญ่อย่างพวกเขาจะรวมตัวกันครั้งหนึ่งก็เฉพาะช่วงวันขึ้นปีใหม่เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ขณะเดียวกันก็โอ้อวดสารพัด เมื่อก่อนเคยอวดความมั่งมีและตำแหน่งขุนนางใหญ่ แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือศิลปะการต่อสู้พลังพิเศษ

พลังพิเศษจำเป็นต้องถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และยังไม่มีใครค้นพบกฎเกณฑ์วิธีการปลุกพลังพิเศษนี้ แต่ศิลปะการต่อสู้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่การฝึกฝนชั่วชีวิตเทียบไม่ได้กับยิงปืนหนึ่งนัด โชคดีที่การฝึกฝนเพื่อสุขภาพอย่างน้อยก็มีประโยชน์ทำให้อายุยืน แต่การฝึกยิงปืนไม่มีประโยชน์อย่างนี้

ตระกูลฉีเป็นตระกูลใหญ่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ มีศิลปะการต่อสู้หลายอย่าง แต่ก็มีคนรุ่นต่อๆ มาอีกหลายคนที่ไม่สามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้เลย

มีแต่ผู้สูงอายุในตระกูลเท่านั้นที่ฝึกฝนบ่อยๆ เพื่อรักษาสุขภาพ และผลที่ได้ก็แข็งแกร่งกว่าการออกกำลังกายที่สอนกันทั่วไปเป็นอย่างมาก

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่รู้เพราะสาเหตุใด ผู้สูงอายุบางคนในกลุ่มที่อาศัยการฝึกศิลปะการต่อสู้ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษเพื่อรักษาสุขภาพกลับเริ่มฝึกกำลังภายในที่ไม่เคยมีใครฝึกฝนมาเป็นเวลานานได้ ทายาทตระกูลบางคนที่หัวไวก็ใช้กำลังภายในผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยยกระดับธุรกิจครอบครัวบางส่วนไปอีกขั้น ทำให้เหล่าคนในตระกูลเข้าใจว่ายุคใหม่กำลังจะมาถึง

เช่นคลินิกแพทย์แผนจีนที่สืบทอดกันในครอบครัว ในอดีตมีการใช้วิธีการรักษาและตำรับยาโบราณ กับบางคนและบางโรคถึงจะได้ผลอัศจรรย์ แต่ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยแพทย์แผนปัจจุบันที่ครอบคลุมและเป็นระบบ

จนกระทั่งแพทย์แผนจีนสูงอายุในตระกูลคนนั้นฝึกฝนกำลังภายในและสามารถมองเห็นเส้นลมปราณในหนังสือโบราณได้จริง ทุกอย่างก็แตกต่างไป…

ข้าราชการระดับสูงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรครักษาไม่ได้ระยะสุดท้ายได้รับการรักษา โดยเขาใช้กำลังภายในประกอบกับวิธีการนำทางด้วยเข็มทองควบคุมการลุกลามของโรคได้สำเร็จ จนกระทั่งค่อยๆ ฟื้นตัวได้ ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดกันในวงแคบๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้วหลานชายของเขาเป็นผู้คิดค้นวิธีการนี้

……………………………………………………..

[1] เป้าผูจื่อ คือ ตำราของลัทธิเต๋าเรียบเรียงโดยเก๋อหง ว่าด้วยแนวคิดของเก๋อหงต่อลัทธิเต๋า วิธีการบรรลุเซียนและยาอายุวัฒนะ

“มันง่ายมาก เพราะต้องใช้ค่าความโกรธ”

ฟางหนิงได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึง แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับค่าความโกรธดี เพราะเขาเล่นเกมมาเยอะมาก ก่อนจะปล่อยท่าไม้ตายออกมาได้ ค่าความโกรธต้องเต็มก่อน นี่เป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไป

หรือพูดได้ว่าระบบด้านการต่อสู้ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน

“อ้อ งั้นก็หมายความว่าหลังจากที่แกสะสมค่าความโกรธได้เต็มขีดจำกัดแล้ว ก็จะปล่อยท่าไม้ตายออกมาได้เหมือนในเกมสินะ” ฟางหนิงเข้าใจแล้ว

“ถูกต้อง” ระบบให้คำตอบยืนยัน

“แต่ว่าตอนนี้จำเป็นด้วยเหรอ ดูเหมือนว่าจะยังไม่เจอศัตรูตัวฉกาจนะ” ไม่บ่อยนักที่ฟางหนิงจะสนใจความคืบหน้าของระบบ ถึงเขาจะเล่นมาเกือบสองเดือนแล้วก็ตาม แต่พูดตามตรงแล้ว บ่อยครั้งที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจนัก อีกด้านหนึ่งก็หมายความว่าคู่ต่อสู้มีเวลาที่จะพัฒนาถึงสองเดือนแล้ว สวรรค์รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด มีพวกเก่งกาจที่อยากจะออกมาดูอีกตั้งเท่าไหร่

“ตอนนี้ระบบอัปเกรดถึงเลเวลสิบแล้ว อาวุธเทพที่จำเป็นทั้งหมดในแผนจับปีศาจที่เคยเสนอก็กำลังสร้าง ยังต้องสะสมค่าประสบการณ์จำนวนหนึ่งถึงจะทำสำเร็จ แต่ว่าพอสร้างเสร็จแล้วก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ดึงดูดศัตรูตัวฉกาจเข้ามาได้ อีกอย่างเมื่อดูจากทักษะของระบบตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้…” บางสิ่งเมื่อยิ่งหวาดกลัวก็ยิ่งจะได้เจอ คำอธิบายของระบบตอนนี้ ทำให้ฟางหนิงรู้สึกทั้งกังวลและยินดี

เรื่องที่น่ายินดีก็คือเขาไม่ต้องกังวลมาก ระบบผู้ขยันขันแข็งใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนก็โหดขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเลื่อนไปถึงเลเวลสิบได้ เขารู้ว่าการจะอัปเกรดเลเวลได้ถึงขนาดนี้ยากแค่ไหนและการใช้เวลาเพียงแค่นี้ก็รวดเร็วมากๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว ประวัติการเก็บเลเวลที่เป็นตำนานของเขาในอดีตก็กลายเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องตะลอนไปทั่วเพื่อค้นหาและจับปีศาจ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่ทั้งเกียจคร้านและไร้ซึ่งความอดทนล่ะก็…ให้วิ่งไปทั่วคอยกำจัดปีศาจเพื่อเก็บเลเวลแบบนั้น ในตอนแรกบางทีอาจจะเป็นเพราะเสแสร้งได้ถึงมีแรงจูงใจบ้าง แต่พอเสแสร้งไปได้สักพักก็คงจะเบื่อ เพราะฉะนั้นจับได้ถึงเลเวลสามหรือสี่ก็ดีเท่าไรแล้ว

ต่อให้เป็นคนขยันจริงๆ อย่างมากที่สุดก็ได้แค่เลเวลห้าหรือหกเท่านั้น ไม่มีใครจับปีศาจโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดวันตลอดคืนเหมือนเจ้าระบบบ้านี่หรอก…

แต่สิ่งที่ฟางหนิงรู้สึกกลัวก็คือตอนนี้ระบบผู้ขยันขันแข็งในการอัปเกรดเลเวลกำลังหวาดหวั่น เพราะมันเอ่ยปากบอกเองว่าตอนนี้อาจมีศัตรูที่ตนรับมือไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น แกก็ต้องอาศัยค่าความโกรธนี่เพื่อปล่อยท่าไม้ตายแล้วปราบศัตรูที่ทรงพลังพวกนั้นรวดเดียวสินะ” ฟางหนิงเข้าใจกระจ่างแล้ว

“ใช่ ตอนนี้ระบบอยู่ที่เลเวลสิบ โฮสต์สามารถใช้ค่าประสบการณ์จำนวนหนึ่งเพื่อเรียนรู้ทักษะสุดยอด และยังสามารถพัฒนาศิลปะการต่อสู้ธรรมดาที่ใช้ประจำเป็นศิลปะการต่อสู้สุดยอดได้ แต่การปลดปล่อยทักษะสุดยอดต้องการค่าความโกรธ การเผชิญหน้าศัตรูที่ทรงพลังกว่า มีแต่ต้องอาศัยทักษะสุดยอดเท่านั้นถึงจะมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ยังหนีทัน”

“ค่าความโกรธจะได้รับจากร่างกายคนเท่านั้น โฮสต์สร้างค่าความโกรธได้เอง คนที่โกรธเพราะโฮสต์เป็นปัจจัยก็จะสร้างค่าความโกรธได้ด้วย ระบบสามารถรวบรวมค่าความโกรธที่เกี่ยวข้องกับโฮสต์ได้ ซึ่งสามารถใช้สะสมล่วงหน้าเพื่อเปิดใช้งานสล็อตความโกรธ ในตอนเริ่มต้นจะมีหนึ่งสล็อต จากนั้นสล็อตความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นทุกห้าเลเวลและทุกครั้งที่ปลดปล่อยทักษะสุดยอดก็จะใช้อย่างน้อยหนึ่งสล็อต ปัจจุบันมีสล็อตความโกรธสามสล็อต โดยความก้าวหน้าของสล็อตความโกรธเลเวลหนึ่งตอนนี้ถึงร้อยละ 70 แล้ว”

เอาเถอะ ฉันรู้ดีว่าถึงเจ้าระบบนี้จะงี่เง่า แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องน่าเบื่อ ฟางหนิงรับรู้ถึงคุณค่าสำคัญของค่าความโกรธแล้ว ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจมันก็เหมือนกับไพ่ตายเลยทีเดียว หากค่าความโกรธถึงขีดสุดเมื่อไหร่ก็จะสามารถใช้ทักษะสุดยอดทำลายการป้องกัน และถึงตอนนั้นก็จะเอาชนะได้ หรือไม่ก็วิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งสองมีแต่ตายสถานเดียวแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่…

หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว ฟางหนิงก็หันมองจ้าวอิ๋งที่ดูจะถูกตาถูกใจในสถานะอัศวินของตนเอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกดีกับสาวสวยที่เคยหยอกล้อเขาอยู่บ้าง ในเมื่อมองเธอแล้วรู้สึกสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะคบหากับอีกฝ่าย

ประการแรกคือเขารู้ว่าจ้าวอิ๋งมีประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอมักจะชอบจับผู้ชายรวยๆ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือตอนนี้เขาพึ่งพาระบบจนมีความก้าวหน้าแล้ว ความคิดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จึงหวนกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง

แต่วันนี้ก็ยังต้องจัดการยัยตัวร้ายนี่ซะหน่อย อันดับแรกเลยเธอจะได้เลิกมองร่างจริงของเขาเป็นของเล่น เพราะนั่นทำให้เขาอึดอัดจนทนแทบไม่ไหวทุกครั้ง และอีกอย่างนี่ยังช่วยระบบสะสมทุนเอาชีวิตรอดได้ ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแล้วกัน

ฟางหนิงไม่ใช่ระบบงี่เง่านั่นซะหน่อย ทำเป็นแต่สร้างความเกลียดชังกันซึ่งๆ หน้า เขามีวิธีที่ดีกว่านั้นตั้งเยอะ

“ระบบ ให้ฉันดูคอนเนกชั่นอัศวินของพวกเราหลังแปลงโฉมหน่อยสิ” ฟางหนิงถาม

ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับความแข็งแกร่งแล้ว ระบบจะตอบกลับรวดเร็วเสมอ และไม่นานนัก แผนผังคอนเนกชั่นของอัศวิน A ก็ส่งมายังคอมพิวเตอร์ที่ฟางหนิงกำลังเล่น

ฟางหนิงเหลือบมอง หลังจากกวาดสายตาดูความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เขาหาวิธีที่จะทำให้ระบบได้ค่าความโกรธจำนวนมากได้แล้ว

“ระบบ สามตัวเลือกที่แกเคยให้ฉันก่อนหน้านี้ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ปล่อยฉันเร็ว!”

จ้าวอิ๋งเข้าใจว่าหลังจากเธอเข้าไปสนทนาด้วยแล้ว เทพบุตรสุดหล่อคนนี้จะมอบรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้เธอ

เขาสุภาพมากจริงๆ การที่หันมาพยักหน้าให้เธอแบบนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาประทับใจเธอเช่นกัน

ตอนที่เธอพูดคุยด้วย ท่าทางของเขาก็ดูเกรงอกเกรงใจไม่น้อย และขณะที่พยายามกระชับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้น ตอนนั้นเองเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“ที่รักคะ คนนี้ใครเหรอ คุณรู้จักเธอด้วยเหรอคะ”

‘ใครกันที่กล้ามาเรียกเทพบุตรของฉันว่าที่รักนะ’ จ้าวอิ๋งหันขวับมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งบุคลิกท่วงท่าสง่างาม ยังแต่งหน้าไม่เสร็จกำลังเดินเข้ามา

หญิงสาวหน้าตาสวยจัดคนนี้อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ หน้าอกหน้าใจโดดเด่นมาก ใบหน้าก็งดงามหมดจด ชุดนั้นอย่างต่ำต้องหลักแสนแน่นอน อีกอย่างท่วงท่าการเดินนั่นก็สง่างามมั่นคง ใบหน้าของเธอยังประดับด้วยรอยยิ้ม ดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลผู้ดี

เรื่องนี้ยิ่งทำให้จ้าวอิ๋งอดไม่ได้ที่จะโมโหยิ่งกว่าเดิม

ระบบแจ้งเตือน: ความโกรธของจ้าวอิ๋งเริ่มสูงขึ้น

“อ๋อ ก็แค่คนที่ผมบังเอิญช่วยชีวิตไว้น่ะ ผมจำเธอไม่ค่อยได้หรอก แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นพนักงานที่นี่ เยียนเอ๋อร์ ผมสั่งอาหารไว้แล้ว อีกเดี๋ยวคงจะมาเสิร์ฟ ร้านนี้ใช้ได้ทีเดียว”

“ที่รักรู้ใจฉันสุดๆ เลยค่ะ จุ๊บๆ” ผู้หญิงคนนั้นแนบกายชิดลงบนตัวเทพบุตรสุดหล่อ ก่อนจะจูบแก้มของเขาอย่างสนิทสนม

ขยันโชว์หวานน่าหมั่นไส้จริงๆ จ้าวอิ๋งกลอกตา รู้สึกว่ายิ่งเธอยืนแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนพนักงานเสิร์ฟจริงๆ

“เอ๊ะ นี่เธอ อย่าเอาแต่ยืนเหม่อสิ ไปยกอาหารมาได้แล้ว ให้ตายสิ เพราะเป็นร้านเล็กๆ อาจจะไม่ได้รับการอบรมดีพอ แต่ก็อย่าท้อไปเลยนะคะ ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็แล้วกัน เรียนภาษาอังกฤษให้มากหน่อยจะดีที่สุด เป็นประโยชน์กับอาชีพคุณมากที่สุดเลยล่ะ เพราะต่อไปยังสามารถไปทำงานโรงแรมต่างชาติได้บ้าง ตระกูลของฉันเปิดโรงแรมหลายแห่ง ถึงตอนนั้นฉันจะแนะนำให้นะคะ” สาวสวยกระซิบกับจ้าวอิ๋ง ใบหน้าแสดงถึงความหวังดี

‘ขอบใจที่แนะนำย่ะ’ จ้าวอิ๋งฝืนฉีกยิ้มให้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียมารยาทต่อหน้าเทพบุตรของเธอ

ระบบแจ้งเตือน: ความโกรธของจ้าวอิ๋งถึงเกณฑ์และสามารถดูดซับได้

ตอนนั้นเอง พนักงานชายอีกคนก็ยกอาหารเข้ามา

“ดูแล้วก็หน้าตางั้นๆ นะ ไม่ได้ดูดีเท่าป้าหวังทำ แต่ก็หอมมากทีเดียว” หญิงสาวขมวดคิ้วนิดๆ หลังจากนั้นใบหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อยแล้วกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“ทำไมถึงสั่งเยอะนักล่ะ ปกติฉันกินไม่เยอะ ที่รักกินเยอะๆ นะคะ”

“จ้ะ”

สองคนกินอาหารกระหนุงกระหนิง เพลิดเพลินกับอาหารรสอร่อยที่จ้าวอิ๋งสั่งพ่อครัวปรุงเป็นพิเศษ

ระบบแจ้งเตือน: ความโกรธของจ้าวอิ๋งเต็มขีดจำกัดแล้ว ดำเนินการดูดซับได้ ความคืบหน้าสล็อตความโกรธระดับหนึ่งขณะนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 80

จ้าวอิ๋งใช้พลังมากที่สุดในชีวิตเพื่อควบคุมไม่ให้ตัวเองระเบิดอารมณ์ตรงนั้น แล้วเดินกลับไปที่แผนกต้อนรับในห้องโถงก่อนจะนั่งลงจ้องทั้งสองตาไม่กะพริบ

ฮ่าๆ ยัยตัวร้ายเริ่มทนไม่ไหวแล้วสิ… ฟางหนิงเห็นท่าทางนั้นของจ้าวอิ๋งก็รู้สึกสะใจมาก

ระบบก็พอใจมากเช่นกัน ทำไมมันถึงคิดลูกไม้แบบนี้ไม่ได้นะ คงเป็นความจริงที่มนุษย์เท่านั้นจะเข้าใจมนุษย์ด้วยกันดีที่สุด

หลังอาหารมื้อนั้น เทพบุตรสุดหล่อก็พาสาวงามเดินเชิดหน้าออกไป เหลือแต่จ้าวอิ๋งที่อกหักและเจ็บใจ วันนี้ทุกคนรู้ว่า ‘สาวงามไซซี’ อารมณ์บูดสุดๆ แต่ละคนจึงเลี่ยงที่จะเดินผ่านจนเธอไม่รู้จะระบายอารมณ์กับใคร

……………………………………………………..

“ทุกคนฟังให้ดี ฉันจะพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันและปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ นับตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ดาวตกเพลิงวันเทศกาลซีซี’ ก็ผ่านมากว่าสองเดือนแล้ว ตอนนี้ ในเมืองฉีของเรามีกลุ่มคนที่ถูกปลุกพลังขึ้นมา พวกเขามีความสามารถหลากหลายและวิธีการปลุกพลังที่แตกต่างกัน หลังจากการทำงานหนักเกือบสองเดือน เราเข้าใจกลุ่มผู้ถูกปลุกพลังพิเศษเหล่านี้คร่าวๆ แล้ว และเราสามารถปิดเครือข่ายได้ครอบคลุมทุกด้าน”

ณ หน่วยประสานงานกิจการพิเศษเมืองฉี ในห้องใต้ดินลับ ตอนนี้กำลังจัดการประชุมลับสุดยอด

โม่ซิ่งผู้อำนวยการสำนักงาน ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางกำลังทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบการประชุม และวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันพร้อมกับถ่ายทอดจิตวิญญาณจากเบื้องบนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟัง

“ตอนนี้ฉันจะแนะนำสถานการณ์ของผู้มีพลังพิเศษสั้นๆ เรื่องการแยกประเภทยังไม่แน่ชัดนัก แต่ตอนนี้สามารถแบ่งพวกเขาออกได้ตามอุดมการณ์ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่องานส่วนต่อไปของเรา นั่นคือศึกษาการพัฒนาโปรเจกต์ โดยทั่วไปเราแบ่งอุดมการณ์ของพวกเขาออกเป็น 4 ประเภท หนึ่งคือประเภทที่ใช้พลังเหนือธรรมชาติเพื่อให้ตนเองร่ำรวย ประเภทที่สองคืออาศัยพลังเหนือธรรมชาติผดุงคุณธรรม สามประเภทเกียจคร้าน สี่ประเภทที่อาศัยพลังเหนือธรรมชาติกดขี่และสังหารคนบริสุทธิ์ ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำคือสนับสนุนประเภทแรก จำกัดประเภทที่สอง ปลุกระดมประเภทที่สาม และโจมตีประเภทที่สี่อย่างเฉียบขาด!”

เขาพูดจบก็รูดปากกาอิเล็กทรอนิกส์ในมือเล็กน้อย ตอนนั้นเองก็ปรากฏจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ฉายชัดบนผนัง

สิ่งที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์ก็คือสิ่งที่เขาอยากพูด

เมื่อพลิกหน้าแรกของจอก็ปรากฏหน้าใหม่ที่มีข้อความ ‘หนึ่ง: ใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างถูกกฎหมายเพื่อความร่ำรวย’

ใต้ชื่อเรื่องมีรูปเต็มตัวของคนคนหนึ่งปรากฏอยู่ หน้าตาค่อนข้างดูดี รูปร่างไม่สูง อ้วนเล็กน้อย และดวงตาเลื่อนลอย

ถัดจากนั้นคือประโยคแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย

‘ไฟล์ Q432 ความลับสุดยอด ชื่อฟางหนิง เกิดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เพศชาย ชอบกิจกรรมออนไลน์ เช่น เล่นเกม อ่านนวนิยาย นิสัยขี้เกียจและเข้ากับผู้อื่นง่าย เอฟเฟกต์พลัง: รสชาติอาหารแกร่งขึ้น ลิงค์บันทึกชีวิต XXXX, รหัสลายนิ้วมือลิงค์ XXXX, ลิงค์รหัส DNA XXXXXXX, ลิงค์รหัสประจำตัวใบหน้า XXXXX, รหัสระบุม่านตา…’

ผู้อำนวยการโม่ชี้ไปที่รูปเหมือนของฟางหนิงและเปิดประวัติของอีกฝ่าย

ในประวัติโดยย่อ รายชื่อร้านแฟรนไชส์รายใหญ่ที่รุ่งเรืองและเงินที่ไหลเข้าบัญชีในแต่ละวันนั้นน่าตกใจมาก สิ่งนี้ทำได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนหลังจากอีกฝ่ายได้พลังพิเศษ เขากลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่โดยไร้ข้อกังขา

“สหายท่านนี้คือตัวแทนของประเภทการใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างถูกกฎหมายเพื่อความร่ำรวย เขาใช้ความสามารถในการปรุงรสชาติอาหารทำเครื่องปรุงรสที่เป็นเอกลักษณ์ หลังจากเราตรวจสอบอย่างลับๆ แล้ว พบว่าไม่มีพิษภัยและไม่เป็นอันตราย เพียงแค่เพิ่มความสดและรสชาติขึ้นสิบเท่า ใช้โอกาสนี้เข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วและคว้าโอกาสทางธุรกิจไว้ได้

“และที่หาได้ยากคือถึงแม้เขาจะร่ำรวยด้วยการใช้พลังพิเศษ แต่สหายฟางหนิงคนนี้ก็ยังไม่ลืมความตั้งใจเดิม ตอนนี้เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน เล่นเกม และอ่านนิยายออนไลน์ ไม่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนันหรือซื้อบริการเพียงเพราะทำเงินได้มหาศาล ทำให้เราที่ติดตามและสังเกตพฤติกรรมของเขาไร้กังวลมาก

“เรามองจากพฤติกรรมของอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าบุคคลนี้สนับสนุนระเบียบทางสังคมในปัจจุบันของเราอย่างแข็งขันและเต็มใจรักษาความสงบเรียบร้อยในตอนนี้ไว้”

โม่ซิ่งยกย่องฟางหนิง แน่นอนเขาไม่รู้ว่าไม่ใช่ว่าฟางหนิงไม่ต้องการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แม้งานอดิเรกจะเป็นการอ่านนิยายและเล่นเกม แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานความสวยความงามได้ เพียงแต่เขาไม่สามารถปิดบังเส้นทางที่เงินถูกใช้ไปจากระบบได้ก็เท่านั้น เวลาที่เขาควบคุมร่างกายตัวเองได้ก็มีจำกัด เวลาปล่อยตัวในตอนนี้เพียงพอให้เขาลงบันไดไปรับพัสดุ และถ้าอยากทำมากกว่านี้ก็ต้องรอระบบก่อน

แน่นอนเขาพูดถูกในจุดหนึ่ง ฟางหนิงซึ่งเป็นโอตาคุตัวพ่อและขี้เกียจตัวเป็นขนไม่เคยต้องการให้โลกวุ่นวาย ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่ต้องการ ไม่อย่างนั้นจะยังมีคนพัฒนาเกม อัพเดทนิยาย ให้เขาเล่น ให้เขาอ่านได้อย่างไร

โม่ซิ่งพูดไปพลางก็นึกถึงความยากลำบากในระยะนี้ เพียงเท่านั้นเขาก็ต้องถอนหายใจออกมา “เหล่าสหาย ถ้าคนทั่วไปถูกปลุกพลังพิเศษขึ้นมาทั้งหมด เราจะประหยัดได้มากแค่ไหนกันนะ ไม่ใช่แค่สามารถเพิ่มจีดีพีของเมืองเราได้ แต่ยังเพิ่มดัชนีความสุขของผู้คนด้วย สำหรับคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษประเภทนี้ จิตวิญญาณด้านบนนี้ชัดเจนมาก เราจำเป็นต้องปกป้อง สนับสนุน และแอบส่งเสริมให้เป็นแบบอย่างสำหรับคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษคนอื่นๆ”

เหล่าคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้ชมต่างพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จิตวิญญาณที่ผู้อำนวยการโม่ส่งออกมาชัดเจนแจ่มแจ้ง ข้างต้นไม่ได้ถือว่าผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษทุกคนจะเป็นปัจจัยที่ไม่เสถียร ขอเพียงพวกเขาสนับสนุนกฎระเบียบปัจจุบันอย่างแข็งขันและเต็มใจปฏิบัติตาม ทุกอย่างที่กล่าวมาก็ล้วนได้รับอนุญาตและสนับสนุน ตอนนี้ไม่ใช่ยุคปิดหูปิดตาอีกแล้ว แต่เป็นสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย

แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ได้โง่ คนอย่างฟางหนิงไร้พิษภัย ชายที่ถูกลิขิตให้เป็นคนที่สร้างปัญหาใหญ่ไม่ได้เป็นผู้มีพลังพิเศษที่พวกคนด้านบนชอบมากที่สุด จึงใช้ชีวิตอิสระในสังคมต่อไปได้ในฐานะต้นแบบ…

ส่วนพวกผู้ชายที่มีความสามารถและศักยภาพเหมือนเดอะฮัคส์ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟัง แต่ก็ไม่ควรเดินเตร่ในสังคมจะดีกว่า รวมกลุ่มกันอยู่ในองค์กรนั้นอบอุ่นที่สุดแล้ว…

การประชุมดำเนินต่อไป ผู้อำนวยการโม่ยังคงเอ่ยต่อ สิ่งที่เขาพูดจะสร้างคลื่นลูกใหม่ให้นเมืองฉีในอนาคตอันใกล้…

………………

วันนี้จ้าวอิ๋งจมอยู่กับความสุขเพราะเธอเห็นชายผู้ช่วยชีวิตเธออีกครั้ง เขาปรากฏตัวในร้านของเธอ เข้ามาสั่งอาหาร และดูเหมือนว่าจะอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง

เดิมทีเธอคิดว่าจะไม่มีวันเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว เมืองฉีมีประชากรหลายล้านคน ความเป็นไปได้ที่คนแปลกหน้าสองคนจะพบกันอีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ แทบไม่มี

แต่วันนี้เธอกลับดีใจมากที่ตอนนั้นตอบรับคำชวนมาทำงานที่ร้านอาหารเช้าของฟางหนิง เธอคิดว่าเหตุผลที่ชายในฝันคนนี้มาปรากฏตัวที่นี่คงเป็นเพราะชื่อเสียงของร้านแน่นอน

ร้านอาหารในเครือ ‘รสชาติของฟางซื่อ’ เพิ่งมีชื่อเสียงในเมืองฉี นักชิมท้องถิ่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเกือบทุกคนต่างมาลิ้มลอง ร้านอาหารเช้าร้านแรกที่ฟางหนิงเปิด ตอนนี้ได้ขยายเป็นร้านอาหารที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวันจึงกลายเป็นสถานที่หลักในบรรดาสาขาทั้งหมดและดึงดูดผู้คนได้มากที่สุด

จ้าวอิ๋งบิดเอวเรียวเล็กไปมา ก่อนจะหาที่นั่งให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง จากนั้นจึงกำชับพ่อครัวเป็นพิเศษให้เพิ่มปริมาณและใส่เครื่องปรุงที่เถ้าแก่เตรียมไว้เพิ่มเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะพึงพอใจ

เธอคิดว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ลืมบุญคุณคน อีกฝ่ายช่วยชีวิตเธอไว้ เธอจะทำเป็นไม่เห็นได้อย่างไรเล่า แน่นอนว่าต้องบริการเขาดีๆ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์สาวงามผู้กตัญญูรู้คุณของตัวเอง

อีกฝ่ายปรากฏตัวอีกครั้งกลางวันแสกๆ โดยไร้อันตราย เห็นได้ชัดว่าคดีก่อนหน้านี้คงจะยุติลงแล้ว ดูจากเรื่องนี้พี่ชายสุดหล่อตรงหน้าคงจะมีภูมิหลังไม่ธรรมดา

มีความรับผิดชอบ หน้าตาดี แล้วยังมีฐานะดีอีก ช่างตรงมาตรฐานชายในฝันจริงๆ จะไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ดีได้อย่างไรล่ะ เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจของเธอก็วุ่นวายเล็กน้อย

“เฮ้ พี่ชายสุดหล่อ ยังจำฉันได้ไหม” เธอเอนตัวพิงโต๊ะที่อีกฝ่ายกำลังกินอยู่และถามเบาๆ

ตอนนี้เธอสับสนมากทีเดียว ด้านหนึ่งด้วยการทำงานหนักมากกว่าหนึ่งเดือน หุ้นที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่าของเถ้าแก่ฟางหนิงได้กลายเป็นหุ้นกลุ่มบลูชิพ (หุ้นชั้นดี มีความมั่นคง) ไปแล้ว เธอเริ่มทำงานแต่เช้า และเห็นบ่อยๆ ว่าอีกฝ่ายไม่หลับไม่นอน เธอก็รู้แล้วว่าใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดความอดทน

ก็แค่ผู้ชายที่ไม่รู้วิธีก้าวหน้า ก่อนหน้านี้ยังขยายสาขาไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่อยู่ดีๆ ก็หยุดกึกซึ่งนั่นทำให้เธอไม่พอใจเล็กน้อย เธอยังอยากเป็นประธานกลุ่มเครือแฟรนไชส์ ไม่ใช่ผู้จัดการร้านคนหนึ่งเหมือนในตอนนี้

แต่ในเวลานี้เทพบุตรสุดหล่อกลับปรากฏตัวอีกครั้ง อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร เพียงนั่งรออาหารด้วยท่าทีเย็นชา แค่เท่านั้นก็ดึงหัวใจเธอกลับคืนไปมากกว่าครึ่งได้แล้ว

ต้องบอกว่านี่คือยุคสมัยที่ดูกันที่รูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ ผู้ชายก็ทำ ผู้หญิงก็ทำเหมือนกัน ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งตามจีบหญิงสาวในใจตัวเองมาหลายปีก็เทียบไม่ได้กับผู้ชายในใจของหญิงสาวตอบกลับมาว่า ‘ฉันมาช้า’

ด้านฟางหนิง ตอนนี้เขากำลังเล่นเกมเข้าคิวยิงในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ในพื้นที่ระบบอย่างเมามัน ทันใดนั้นระบบก็ปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นตรงหน้าเขา

ให้ตายเถอะ ฉันเล่นจะจบอยู่แล้ว! ฟางหนิงรีบใช้บทบาทผู้บัญชาการของเขาสั่งการทหารชาวฝรั่งเศสที่เล่นด้วยผู้เล่นจริงๆ เขากำลังจะสั่งยิงแท้ๆ แต่ก็ไม่สามารถทนเสียงบ่นนั่นได้ จึงรีบไปที่หน้าตัวเลือกของระบบทันที

‘หญิงสาวอ่อนแอที่คุณช่วยไว้ก่อนหน้านี้พบคุณที่ร้านอาหารและเธอกำลังคุยกับคุณอยู่ คุณยืนยันแล้วว่าเธอถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสอบปากคำและทำให้ข้อมูลบางส่วนของคุณรั่วไหล

ตัวเลือกที่หนึ่ง: คุณเป็นใคร เรารู้จักกันหรือ

ตัวเลือกที่สอง: โอ้ คราวก่อนฉันช่วยเธอ แต่เธอกลับขายฉัน ไปไกลๆ ให้ถึงดวงจันทร์เลยนะ ไสหัวไปไกลๆ ซะ!

ตัวเลือกที่สาม: คุณมองเธออย่างเย็นชาและรออาหารของคุณต่อไปราวกับเธอไม่มีตัวตน’

หลังจากให้คำแนะนำไปหลายครั้ง เขาก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มจะมีตำแหน่งในระดับหนึ่งในสายตาของระบบบ้างแล้ว ไม่เหมือนตอนแรกที่ต้องเข้าไปเลือกทันที แต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงตัวเลือกที่ระบบให้มา ในไม่ช้าเขาก็พบจุดเชื่อมโยง

ดังนั้นเขาจึงปักสามตัวเลือกนี้ไปข้างๆ และเอ่ยถาม

“ระบบ ฉันว่าพฤติกรรมต่อต้านสังคมของแกดูจะมากเกินไปหน่อยแล้วนะ ตัวเลือกที่ให้มาดูไม่เป็นมิตรเลยสักข้อ เราคุยกับคนอื่นดีๆ ไม่ได้เหรอ”

ฟางหนิงเข้าใจดีว่าระบบไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ สิ่งที่มันทำจะไม่มีวันน่าเบื่อเพราะมันไม่มีความรู้สึก ทุกสิ่งต้องทำอย่างมีความหมาย และสิ่งนี้แหละที่ทำให้ฟางหนิงงุนงง ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ทำไมระบบถึงดูเหมือนจะโกรธเคืองอีกฝ่ายที่กำลังพูดคุยด้วยตลอดเวลา หรือว่ามันอยากเก็บกวาดปีศาจให้ได้มากกว่านี้ คงไม่ใช่หรอกมั้ง

……………………………………………………..

ฟางหนิงกำลังจะเค้นความคิดอีกครั้งเพื่อจัดการกับเจ้าระบบนั่น

เขาไตร่ตรองอย่างละเอียด รสชาติของอาหารที่ระบบทำยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่แปลกเลยที่จะดึงดูดผู้คนได้มากมายในช่วงเวลาสั้นๆ

แต่ขั้นตอนการทำไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย ส่วนผสมก็ไม่ได้เลิศหรูด้วย แม้ว่าทักษะการทำอาหารจะยอดเยี่ยม ควบคุมความร้อนได้แม่นยำ แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะเชฟชั้นนำบางคนก็ทำได้เหมือนกัน

ปัจจัยสำคัญที่สุดคือมันมีทักษะกำหนดค่าเครื่องปรุงรสต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมมาก การผสมผสานของซอสถั่วเหลือง ผงชูรส น้ำส้มสายชู เกลือ ไวน์สำหรับทำอาหารรวมถึงเครื่องเทศต่างๆ เข้าด้วยกันยอดเยี่ยมขั้นเทพ เค็มขึ้นหนึ่งส่วน จืดลงหนึ่งส่วน ไม่มากไป ไม่น้อยไป

นี่สิคือสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ คุณไม่สามารถสั่งให้มาสเตอร์เชฟคำนวณได้แม่นยำเท่ากับระบบแน่นอน และแม้เจ้าระบบนั่นจะเป็นระบบด้านศิลปะการต่อสู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นระบบ ความแม่นยำจึงไม่ธรรมดา

ตอนนั้นเอง ฟางหนิงก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมา

“นายท่านระบบขอรับ กระผมเข้าใจแล้ว ที่อาหารของท่านอร่อย ก็เพราะส่วนใหญ่อยู่ที่เครื่องปรุง ถึงในช่วงสำคัญจำเป็นจะต้องใช้หลายอย่าง แต่เรื่องความร้อนก็ไม่ได้มีผลมาก แกทำเครื่องปรุงตั้งไว้หลายๆ อย่างได้ไหม ถ้าเป็นแบบนี้เราก็จะสามารถจ้างเชฟสองสามคนได้ แล้วสอนวิธีทำให้พวกเขา แน่ล่ะว่าผลที่ได้ต้องไม่ดีเท่าเดิม แต่เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตนี่ ตราบใดที่เรายังดีกว่าร้านอื่น ลูกค้าก็จะยังกลับมากินร้านเรา”

หลังจากฟางหนิงพูดจบ ระบบก็ใช้เวลาอยู่นานถึงจะพูดออกมา

“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ สองสัปดาห์ที่เสียไปจะถูกหักจากเวลาปล่อยตัวของโฮสต์ในอนาคต”

“ได้ขอรับนายท่าน ได้เลย”

ฟางหนิงพูดพลางคิด ‘ถ้าฉันไม่สังเกตอาหารที่แกทำ ฉันจะรู้ได้ไงเล่า เจ้าระบบคร่ำครึนี่ไม่มีทางคิดได้เองหรอก

จะหักเวลาปล่อยตัวก็หักไปเถอะ ยังไงตอนนี้เราก็มีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ให้เล่นแล้ว ถึงจะทำได้แค่แอบโหลดนิยายไว้ตอนช่วงปล่อยตัวหรือโหลดเกมมาเล่น แต่ก็ยังดีกว่าตอนแรกๆ’

‘อีกอย่างจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องทำในเวลาปล่อยตัวอยู่ดี แม้ว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่เราพลาดไปนานแล้วตั้งแต่ระบบปรากฏขึ้น แต่ดูๆ แล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา’

ด้วยแผนของฟางหนิง ระบบจึงทำเครื่องปรุงต่างๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจ้างพ่อครัวมาลองทำอาหาร ปรากฏว่า ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด แม้จะเทียบกับสูตรดั้งเดิมไม่ได้ แต่ก็แซงหน้าคู่แข่งรายอื่นได้แล้ว

ตั้งแต่นั้นมามีเพียงฟางหนิงเท่านั้นที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสที่ระบบทำ ในขณะที่คนอื่นๆ ได้กินเฉพาะของเลียนแบบ ฟางหนิงพอใจกับสิ่งนี้ ระบบก็เช่นกัน พวกเขาต่างได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

ด้านหนึ่งลูกค้าขาประจำที่เคยกินอาหารรสฝีมือดั้งเดิมก็เริ่มเกิดความไม่พอใจเช่นกัน บางคนโมโหจนไม่มาเหยียบที่ร้านอีก พร้อมทั้งสาดคำพูดลงบนโลกออนไลน์ว่าร้านของฟางหนิงคุณภาพตกต่ำเร็วมาก

แต่กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลยก็ยังชื่นชอบ…

มีเพียงสาวสวยจ้าวอิ๋งเท่านั้นที่ฟางหนิงคาดไม่ถึง

หลังจากทั้งสองแบ่งเงินในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วก็ร่ำรวยขึ้นมากทีเดียว อนาคตไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแน่นอน ตอนนี้ทั้งคู่จึงย้ายออกจากบ้านเช่าแออัดหลังเดิม และเช่าบ้านหรูตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครันใกล้ร้านอาหารเช้าแทน ใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่ถูกใครรบกวนอีก

แต่ทันทีที่อาหารในร้านรสชาติเปลี่ยนไป และจ้าวอิ๋งไม่ได้กินอาหารเลิศรสฉบับดั้งเดิมอีก เธอก็ทิ้งบ้านเช่าสุดหรูของตนเองแล้ววิ่งไปกินข้าวที่บ้านฟางหนิงอย่างหน้าไม่อาย

หากระบบไม่ยืนยันว่าชายหญิงควรอยู่ห่างกันและไม่อนุญาตให้เธอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว (ซึ่งฟางหนิงเองก็คัดค้าน) ทั้งสองคงจะยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันต่อไปแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อปากท้องและเป้าหมายบางอย่าง สุดท้ายจ้าวอิ๋งจึงออกจากบ้านหลังนั้นแล้วมาเช่าบ้านอีกหลังตรงข้ามบ้านใหม่ของฟางหนิงแทน

คนขี้เกียจที่เอาแต่เล่นอย่างฟางหนิงมีพลังต่อต้านของสวยๆ งามๆ ต่ำเตี้ยนัก

แต่เขาก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือรู้จักรักษามิตรภาพ ถึงอย่างไรจ้าวอิ๋งก็เป็นคนคุ้นเคย แม้จะชอบตกเหยื่อไปบ้าง แต่เธอก็นิสัยดีมาก จรรยาบรรณในการทำงานยอดเยี่ยม แล้วยังเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถไล่ตะเพิดเธอออกไปได้

ส่วนเรื่องที่อาจถูกจับได้ ฟางหนิงหัวเราะ ถ้าแม้แต่หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ยังซ่อนไม่ได้ แล้วพวกยอดฝีมือที่ต้องเผชิญในอนาคตจะทำอย่างไรล่ะ

………………

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ฟางหนิงก็ปรับเปลี่ยนจากร้านอาหารเช้าเป็นร้านอาหารที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวันและขยายสาขาแฟรนไชส์ถึงแปดแห่งอย่างรวดเร็ว ทุกร้านตั้งอยู่ในเขตที่เจริญที่สุดของเมือง เถ้าแก่แต่ละร้านล้วนมีเส้นสาย แต่กลับเป็นฝ่ายมาขอร่วมมือถึงหน้าประตู อีกทั้งแผนการที่เสนอให้ยังใจกว้างมาก ไม่มีการบังคับร่วมมือใดๆ…

ฟางหนิงเองก็ไม่ได้แสร้งทำตัวสูงส่งปฏิเสธแผนการร่วมมือของอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนป้ายโฆษณาร้านที่มีชื่อว่า ‘รสชาติของฟางซื่อ’

ส่วนฟางหนิงก็ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องจัดการอะไร แค่จัดหาเครื่องปรุงที่ทำโดยระบบส่งให้ เท่านั้นเขาก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว แน่นอนว่าหลังจากใช้เครื่องปรุงนี้ ผลประกอบการย่อมเพิ่มขึ้น ผลประกอบการที่ร้านพวกเขาทำได้ตั้งแต่แรกยังคงต้องเก็บไว้ ไม่สามารถแบ่งให้เขาได้

แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว บัญชีเดือนแรก ทั้งแปดสาขายุ่งมาก รวมกันทั้งหมด 16 ล้านหุ้น… แฟรนไชส์รุ่งเรือง พนักงานมีความสุข ลูกค้ามีความสุข ระบบก็มีความสุข ทุกคนต่างมีความสุข…

แต่มูลค่าของที่ระบบได้จากการผดุงคุณธรรมทุกวันมีเพียง 50,000 หยวนเท่านั้น หากคำนวณเวลาการลงทุนของทั้งสองฝ่าย ที่ฟางหนิงเคยบอกว่าประสิทธิภาพในการหาเงินจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่านั้นไม่ผิดเลยสักนิด

ฟางหนิงไม่แปลกใจเลย ประวัติศาสตร์พิสูจน์มานานแล้วว่าการขโมยเงินไม่ใช่วิธีที่เข้าท่า การผูกขาดการค้าต่างหากที่เร็วกว่า

ตอนนี้ระบบมีส่วนร่วมในการค้าแบบผูกขาดซึ่งทำกำไรได้มากกว่าแล้ว แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไร้กะจิตกะใจในการขยายธุรกิจ

ก่อนหน้านี้ระบบถูกฟางหนิงหลอกให้ทำงานหนักสองชั่วโมงในตอนเช้า แต่ตอนนี้ในเวลาพักผ่อนมันทำเครื่องปรุงแค่ครึ่งชั่วโมงและเวลาที่เหลือจึงอยากเก็บตัวฝึกพลังมากกว่าออกไปใช้ชีวิต…

และด้วยปริมาณเครื่องปรุงที่ระบบทำเป็นข้อจำกัดในการรักษาอุปทานของร้านแฟรนไชส์แปดแห่ง

โชคดีที่ฟางหนิงมีนิสัยพอเพียงเป็นทุนเดิม เงินมากมายที่ได้มาทุกเดือนจึงเพียงพอต่อความต้องการของเขาแล้ว

อีกอย่างระบบเองก็ไม่อยากทำมากไปกว่านี้แล้ว กล่าวคือ สำหรับระบบแหล่งทำเงินเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของมันแล้วเช่นกัน

ส่วนระบบจะเอาเงินไปทำอะไร เห็นได้จากวัตถุดิบในพื้นที่ระบบที่เพิ่มขึ้น ไม้คุณภาพสูง หนังคุณภาพสูง เหล็กคุณภาพสูง ยาสมุนไพรจีนล้ำค่าต่างๆ… ทั้งหมดนี้ก็บอกทิศทางที่เงินไหลไปได้อย่างชัดเจนแล้ว แต่ว่าทั้งหมดก็ซื้อมาอย่างถูกกฎหมาย หากถูกใครพบเจอเข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไป ในฐานะเศรษฐีหน้าใหม่ การจะตระเตรียมของไว้ล่วงหน้าก็เป็นเรื่องที่ทำได้นี่

อีกอย่าง ข่าวดีพวกนี้ก็ทำให้ฟางหนิงไม่เรียกร้องอะไรจากระบบอีก

เนื่องจากความกังวลเรื่องการปิดบังตัวตนจริงได้รับการแก้ไขแล้ว รวมทั้งตัวเลขในบัญชีก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ระบบที่ครองร่างฟางหนิงจึงไม่ได้พูดอะไร มันอยู่ในพื้นที่ระบบเงียบๆ โดยใช้ค่าประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงหลายวันนี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในโลกความจริงให้ฟางหนิง

แต่ระบบก็ยังบอกเขาด้วยว่าฟังก์ชันนี้ต้องใช้ค่าประสบการณ์แลกทุกวัน แถมราคาก็มหาศาลเช่นกัน…

ฟางหนิงพยักหน้าขณะท่องอินเทอร์เน็ต เขารู้ว่าระบบกระจายงานได้ดีมาก และเขาจะเสนอแนวคิดที่ดีเพื่อช่วยระบบแก้ปัญหาต่อไป

หลังจากสลัดระบบออกไปได้ ฟางหนิงก็แอบเปิดเกมออนไลน์ เขามองหน้าจออันคุ้นเคยแล้วถอนหายใจด้วยความ โล่งอก

“ในที่สุดฉันก็ได้เล่นอย่างมีความสุขสักที ไม่ ไม่สิ คิดแผนให้ระบบน่าจะดีกว่า เฮ้อ ทำไมหาข้อมูลยากจังนะ ต้องไปหาเว็บต่างประเทศดู แล้วก็ดูสถานการณ์ที่ต่างประเทศไปด้วยเลย ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษใหม่น่ะสิ (แถมยังไม่ต้องรอเวอร์ชั่นภาษาจีนเวลามีเกมออกใหม่ด้วย)” ฟางหนิงหลุดปาก เขาแทบตะครุบปากตนเองเอาไว้ไม่ทัน

เขาเตือนตัวเองไม่ให้พูดตามอำเภอใจอีก แม้ว่าระบบกากๆ นี่จะหลอกง่าย แต่ก็ไม่สามารถหลอกมันอย่างโจ่งแจ้งได้

โชคดีที่ระบบยังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดปีศาจจึงไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ไม่อย่างนั้นฟางหนิงคงต้องใช้ชีวิตแบบออฟไลน์ไปตลอดชีวิตแน่นอน ความโหดเหี้ยมของระบบใช่ย่อยที่ไหนล่ะ เจ้านั่นทุ่มเทให้การใช้ชีวิตเป็นอันดับหนึ่งและไม่เสียเวลาพัฒนาตัวเองเลยแม้แต่นาทีเดียว ใครประเมินมันต่ำไปก็โง่แล้ว

……………………………………………………..

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ก็มีร้านอาหารเช้าพื้นที่สิบตารางเมตรเกิดขึ้น และเมื่อเอกสารทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ร้านก็เปิดกิจการได้อย่างราบรื่น

ดังนั้นฟางหนิงจึงลาออกจากงาน เพื่อมาทำงานกับจ้าวอิ๋งในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนก็ใช้เวลาดีๆ ด้วยกัน…

ซะที่ไหนกันล่ะ เพราะเป็นไปไม่ได้หรอก ตอนกลางคืนเขาต้องออกไปไล่ฆ่าปีศาจกับเจ้าบ้าระบบนั่นทั้งคืน…

ส่วนเรื่องการเก็บกวาดปีศาจอย่างปลอดภัยที่ฟางหนิงเคยพูดถึง ตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้เจ้าระบบนั่นก็เริ่มพูดคุยกับเขาอย่างเป็นมิตรขึ้นแล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงให้เห็นว่าหลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างลึกซึ้ง (เปิดสมอง) ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นน่าทึ่งมาก มันบรรลุผลลัพธ์ได้ดีที่สุดและเป็นธรรมสำหรับทั้งสองฝ่ายซึ่งบ่งบอกได้ว่าการสื่อสารย่อมดีกว่าความขัดแย้ง และการสื่อสารนั้นก็ยังดีกว่าการต่อต้าน

ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายรักษาทัศนคติในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างในตอนนี้ต่อไปได้ พวกเขาก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

แต่ปัญหาหลักๆ ตอนนี้ก็คือเรื่องลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ และความเกี่ยวข้องระหว่างตัวตนที่แท้จริงของฟางหนิงกับตัวตนของพี่ชายสุดหล่อหลังการปลอมตัว การถูกเปิดเผยหนึ่งในสามข้อนี้จะนำไปสู่การค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพี่ชายสุดหล่อซึ่งจริงๆ แล้วคือฟางหนิงนั่นเอง

เรื่องลายนิ้วมือ เจ้าระบบนั่นบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล ตอนที่มันครองร่างเขาแล้วออกไปกำจัดปีศาจ มันจะรักษาปราณแท้ของร่างกายให้อยู่ในสภาวะป้องกันร่างกายโดยอัตโนมัติ ช่วงเวลานั้นหากสัมผัสสิ่งใดก็จะเหมือนมีฟิล์มเคลือบอยู่ที่มือเพื่อเป็นการป้องกัน

ความจริงแล้วนี่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ระบบถูกลอบโจมตีจากศัตรูบางตัวที่มีพิษด้วย

ถึงอย่างไรในอดีตก็เคยมีคนถูกพิษเพียงแค่สัมผัสผ่านผิวหนังไม่น้อย นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่สถานการณ์ค่อยๆ เปลี่ยนไปล่ะ

แต่ปัญหาเรื่องดีเอ็นเอ ระบบเองก็ไร้หนทาง ถ้าเปลี่ยนดีเอ็นเอของฟางหนิงหลังจากปลอมตัวแล้ว ตัวฟางหนิงก็คงจะตายเพราะเซลล์ภายในตีกันแน่นอน

สุดท้ายระบบจึงทำได้เพียงดูแลร่างกายของฟางหนิงให้ดีที่สุด ห้ามบาดเจ็บ มีเลือดออก ถ่มน้ำลาย หรือผมร่วง (ซึ่งค่อนข้างจะยากสักหน่อย เว้นแต่จะเป็นพระ)…

ฟางหนิงไม่ได้คาดหวังในเรื่องนี้มากนัก เพราะช่วงเวลาของการต่อสู้ ไม่มีอะไรมารับประกันได้หรอก

สุดท้ายฟางหนิงก็พยายามเค้นความคิดให้มากที่สุด และหลังจากสอบถามอย่างละเอียดยิบว่าระบบมีทักษะอะไรอีกบ้าง เขาก็เกิดความคิดหนึ่งที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดีเอ็นเอได้

วิชากำลังภายในของระบบมีอยู่ไม่น้อย และประเภทใหญ่ๆ คือวิชายั่วโทสะ วิชายั่วโทสะพวกนี้เวลาใช้จะทำให้เกิดปราณแท้โทสะ ซึ่งเป็นปราณแท้ที่ร้ายกาจมาก เอามาใช้ทำปืนไฟจากเหล็กกล้าอาจยังมีความร้อนต่ำ แต่ถ้าจะใช้เผาคนล่ะก็…ไม่มีปัญหา

ระบบสามารถใช้ปราณแท้โทสะนี้เปลี่ยนเป็นปราณแท้ปกป้องร่างกายได้ และเมื่อใดที่ร่างกายฟางหนิงกำลังจะปริแตก ด้วยความเร็วในการคิดของระบบและมุมมองรอบด้านจะทำให้มันสามารถรับรู้ล่วงหน้าได้ทันที ปราณแท้โทสะรอบร่างกายก็จะถูกระบบกระตุ้นและเผาผิวเนื้อส่วนนั้นที่กำลังจะหลุดจากร่างกายออกไป

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องยากที่ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้คนใดจะทำได้ และมักจะกลายเป็นช่องโหว่เสมอ แต่สำหรับระบบ มันเป็นเพียงการเปิดเธรดที่มีทักษะมอนิเตอร์รอบตัวแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฟังก์ชันเท่านั้น แน่นอนว่าสำหรับระบบด้านศิลปะการต่อสู้จะเรียกมันว่ามัลติทาสก์

ในกรณีนี้ต่อให้ผมจะร่วงก็ไม่ต้องกังวล เพราะหลังจากผมร่วงจากหนังศีรษะแล้วก็จะถูกเผาเป็นขี้เถ้าไปอย่างเงียบๆ และเมื่อทั้งหมดกลายเป็นขี้เถ้า ก็จะไม่มีทางตรวจพบดีเอ็นเอไปโดยปริยาย

ส่วนเลือดหรือเสมหะอื่นๆ ก็เช่นกัน กล่าวโดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอของฟางหนิงจะไม่ตกหล่นไปที่ไหนสักแห่งระหว่างช่วงเวลาที่เขาเป็นอัศวินแน่นอน

หลังจากฟังความคิดของโฮสต์แล้ว ระบบก็ต้องยอมรับช่องว่างไอคิวระหว่างทั้งสองฝ่าย ยอมรับว่าสมองของโฮสต์เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว

แม้ความคิดนี้จะจำกัดระบบให้ใช้วิชายั่วโทสะเพื่อป้องกันตัวเองเป็นเวลานาน แต่อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเผยตัวตนลงได้จึงนับว่ายอมรับได้อย่างสมบูรณ์

หากเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้วิชาอื่นเพื่อให้ระบบสามารถหลบหนีได้ทันเวลา…เพราะยังไงมันก็ยังยืนกรานจะเก็บกวาดปีศาจพวกนั้นให้ได้ เจ้าระบบนี่ไม่มีทางลบภารกิจที่ทำไม่สำเร็จให้ตัวเองหรอก…

หลังจากพบทางออกเรื่องลายนิ้วมือและดีเอ็นเอแล้ว การจะยืนยันตัวตนของฮีโร่สุดหล่อผู้ลึกลับคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่มีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดมาใช้ยืนยันอยู่ดี

แต่ยังมีปัญหาสุดท้ายคือความเกี่ยวข้องของตัวตนฟางหนิงและตัวตนของฮีโร่สุดหล่อหลังปลอมตัว ฟางหนิงคิดว่ามันแก้ไขไม่ได้จึงโบกสองมือบอกตาลุงระบบ เว้นแต่มันจะเปลี่ยนเป็นใครอีกคนได้อีก…

พูดจบ ระบบก็แปลงร่างเป็นอีกคนจริงๆ…

“นี่ นี่ เจ้านี่เชื่อถือได้เหรอ” ฟางหนิงมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ของระบบ

การปรากฏตัวของชายคนนี้ทำเขาตกใจมาก เพราะรูปร่างหน้าตาและความสูงของอีกฝ่ายเหมือนกับเขาไม่มีผิด นั่นเกือบทำให้ฟางหนิงคิดว่าเขามีร่างโคลนนิ่งแล้ว แต่ระบบที่เป็นประเภทต่อสู้มาตลอดสร้างร่างโคลนนิ่งที่เป็นประเภทเทคโนโลยีได้ด้วยหรือ เป็นไปได้ยังไงกัน

จนกระทั่งระบบเด้งข้อความแจ้งเตือน ความสงสัยของเขาจึงได้รับการแก้ไข

หุ่นยนต์ระดับต่ำ: มีทักษะช่างไม้ ค่าประสบการณ์ 700 แต้ม ไม้และหนังบางส่วนที่รวบรวมจากโลกภายนอกสามารถสร้างได้ ความสามารถปัจจุบัน: สนทนาอย่างง่าย เลียนแบบการกระทำระดับเริ่มต้น

ฟางหนิงดูความสามารถของหุ่นยนต์ จากนั้นก็ประเมินรูปลักษณ์และความสูงของมัน สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ยังไงก็เถอะ ฉันเป็นโอตาคุมาตลอด ทำกิจกรรมน้อยอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาอยู่บ้านตลอดเวลาก็ไม่มีใครจับผิดอะไรได้หรอก เว้นแต่จะมีใครมาโจมตีฉันโดยตรงถึงจะมองออก แต่ถึงตอนนั้นฉันก็มีข้ออ้างมาจัดการได้ ไม่มีทางสาวตัวถึงพี่ชายสุดหล่อแน่นอน”

…………

เมื่อปัญหาหลักสามข้อได้รับการแก้ไขแล้ว ระบบจึงเริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งการเก็บกวาดปีศาจได้อย่างสบายใจ

ส่วนธุรกิจร้านอาหารของฟางหนิงก็เป็นไปได้ดีเช่นกัน

ธุรกิจร้านอาหารเช้าได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรอาหารก็ต้องอาศัยคำพูดปากต่อปากและลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ

มีร้านที่สามารถฮิตติดลมบนได้จริงๆ โดยไม่ต้องโฆษณาอะไรเลย ตราบใดที่พึ่งเว่ยป๋อและโมเมนต์ต่างๆ ไม่นานก็สามารถทำให้ผู้คนละแวกนั้นรู้จักมันได้ การกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และอย่าได้ประมาทจิตวิญญาณของการแบ่งปันและการตามรอยของนักชิมทั้งหลายเด็ดขาด

เพิ่งจะเปิดได้สัปดาห์เดียว คนต่อคิวที่หน้าร้านก็ใกล้จะไปถึงถนนแล้ว

แม้แต่คนขับรถหรูบางคนก็ซื้ออาหารเช้าจากร้านเขา นอกจากนี้ผู้คนมักจะขอให้พนักงานจัดเตรียมอาหารกลางวันและอาหารเย็นไปด้วยเลย ฟางหนิงจึงตัดสินใจเปิดบริการแบบเดลิเวอร์รี่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฟางหนิงต้องเพิ่มกำลังคน แน่นอนว่า เขาขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการกับคนจำนวนมากจึงโยนทุกอย่างให้จ้าวอิ๋งจัดการ ส่วนจ้าวอิ๋งก็ได้ขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านและเริ่มเดินไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต ก้าวแรกสู่การเป็นเศรษฐินีแสนสวย

ผลที่ได้คือฟางหนิงที่ซึ่งถูกค้นพบศักยภาพแล้วเริ่มมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น และเรื่องพวกนี้เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมันเลยเมื่อครั้งยังเป็นโอตาคุ

“เถ้าแก่ คุณดูสิวันนี้ฉันแต่งตัวสวยไหม ดูดีหรือยัง”

เช้านี้ ‘ไซซีมื้อเช้า’ ที่เริ่มมีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียงหรือก็คือจ้าวอิ๋งเปลี่ยนเป็นชุดกะลาสีเรือสีฟ้าสลับขาว แต่งหน้าบางๆ เจ้าหล่อนแต่งตัวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและอาศัยช่วงเวลาว่างวิ่งเข้าไปอ่อย ‘ฟางหนิง’ ที่ยุ่งอยู่ในครัว

‘ฟางหนิง’ มองจ้าวอิ๋งด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบกลับ “สวย สวยมาก”

จ้าวอิ๋งฉีกยิ้มน่ารัก เอวคอดบิดไปมา ก่อนจะเอนตัวพิงไหล่ฟางหนิง มือเล็กๆ แสร้งหยอกล้อโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอหลุบตาลงและพูดพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ ฉันสวยไม่พอ ดูดีไม่พอเหรอ”

“เธออยากได้ท่าทีตอบสนองยังไง” ฟางหนิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เหมือนตระหนักได้จึงพยักหน้าและพูดว่า “อ้อ เข้าใจแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็วางช้อนลงในหม้อ เหยียดสองมือออกแล้วพูดว่า “ดี!” พร้อมปรบมือ ‘แปะๆ’ แสดงความชื่นชม

จ้าวอิ๋งตกตะลึง จากนั้นก็กลอกตา ก่อนจะเดินหันหลังออกจากในครัวมาก็ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง “เหอะ ซื่อบื้อ น่าเบื่อจริงๆ!”

‘ฮ่าฮ่า ถูกแล้ว เมื่อครู่เป็นเจ้าระบบซื่อบื้อครองร่างอยู่ ในจำนวนตัวเลือกที่มันมีให้ฉัน มีตัวเลือกนี้ที่ยังจะพอถูไถได้ ถ้าฉันเลือกอันอื่น เธอต้องน้ำลายฟูมปากตายแน่ เธอต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำนา’ ฟางหนิงที่อยู่ในพื้นที่ระบบยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขากำลังเล่นเกมอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ แล้วจู่ๆ ระบบก็ขอให้เขาออกมาเลือกบทสนทนา

ตัวเลือกอื่นๆ มีดังนี้ ตัวเลือกที่สอง: อย่าทำฉันเสียเวลาสิ ถ้าเธออยู่ระดับเดียวกับสี่สาวงามยุคโบราณ ฉันยังพอรับเป็นสนมได้ หรือไม่ก็อาจจะให้เป็นอย่างอื่น

ตัวเลือกสาม: ให้ฉันดูก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ถ้าเขาเลือกสองข้อนี้ต้องสร้างปัญหาใหญ่แน่ ถึงแม้ทุกวันนี้จะหาคนที่อยากมาทำงานด้วยกันง่ายก็เถอะ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักจ้าวอิ๋งดี ไม่อยากไปเสียเวลาหาผู้จัดการร้านคนใหม่ สำหรับคนที่อยู่ในช่วงปลายของโรคผัดวันประกันพรุ่ง การทำสิ่งฟุ่มเฟือยจะทำให้พวกเขายุ่งยาก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้าวอิ๋งที่นอกจากคิดหาต้นขาทองคำไว้พึ่งพิงตลอดเวลาแล้ว เรื่องรับลูกค้า บัญชี แคชเชียร์ การจัดซื้อวัตถุดิบ ทั้งหมดนั้นเธอจัดการมันได้อย่างเป็นระเบียบ และไม่เคยมุบมิบเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเลย

ไม่อย่างนั้นร้านที่ขยายขนาดขึ้น และมีเถ้าแก่ที่วันๆ ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากทำอาหารเช้าสองชั่วโมงคงไม่มีทางดำเนินไปอย่างราบรื่น การดูแลลูกค้าจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

นอกเหนือจากสิ่งที่ต้องเจอเป็นกิจวัตรแล้ว เรื่องอื่นก็สงบสุขดี

ฟางหนิงมองเงินจำนวนมากไหลเข้าบัญชีอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถเก็บได้มากขนาดนี้ และขณะที่เขากำลังจะยอมรับคำแนะนำของลูกค้าทั้งหลาย เปลี่ยนร้านอาหารเช้ามาเป็นร้านอาหารอย่างเป็นทางการ และเปิดบริการเดลิเวอร์รี่

เจ้าระบบก็คัดค้านขึ้นมาก่อนแล้ว…

“ไม่ได้ ในแต่ละวันแบ่งเวลามาทำอาหารเช้าสองชั่วโมงก็มากพอแล้ว มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไปเก็บตัวฝึกพลังดีกว่า”

ฟางหนิงปวดหัวมาก เขารู้ว่าชื่อเสียงของร้านอาหารเช้านี้ต้องพึ่งพาระบบ และแม้จะใช้ร่างกายของเขา ใช้กำลังกายของเขา แต่เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวล

จะหลอกล่อเจ้าระบบนี้ต่อไปดูท่าจะต้องคิดแผนใหม่แล้ว

……………………………………………………..

คำถามของฟางหนิงถูกกลั่นกรองมาอย่างดี และยังเป็นกุญแจสำคัญมาก เพราะมันเกี่ยวพันถึงการที่เขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน

แต่หลังจากระบบได้ยินคำถามของเขา มันกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักนิด หรือจะตกใจตายไปแล้ว

นั่นทำให้ฟางหนิงเสียความมั่นใจเล็กน้อย ถ้าเขาทำให้เจ้าไอคิวขัดข้อง ตัวเขาที่ถูกมันครองร่างอยู่จะเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตไหมนะ…

โชคดีที่ระบบนี้ไม่ใช่แอปพลิเคชันเกรดสามที่ฟางหนิงพัฒนาขึ้นซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง อัปเกรด และบำรุงรักษาอยู่บ่อยครั้ง หลังจากผ่านไปหลายอึดใจมันก็ตอบกลับมา

“ไม่ง่ายแบบนั้น ส่วนเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้นระบบก็ไม่รู้เหมือนกัน ระบบรู้แค่ว่ากฎที่มอบให้ระบบเป็นแบบนี้ มีเพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎเท่านั้นถึงจะได้รับความแข็งแกร่งทีละขั้นๆ ไม่มีพลังใดที่ได้มาฟรีๆ บอกตามตรง ในสายตาระบบ อนาคตมืดมนมาก อยากมีชีวิตต่อไปก็ต้องทำงานหนักตลอดเวลา ต่อไปนี้เวลาปล่อยตัวที่ให้โฮสต์ก็ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะเสียเวลาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ไม่อย่างนั้นหากระบบถูกจับได้ ระบบก็จะถูกเก็บกลับไป”

คำพูดของระบบทำให้ฟางหนิงหนักอกหนักใจไม่น้อย อนาคตมืดมนขนาดนั้นจริงเหรอ สิ่งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในห้วงความคิดดำดิ่ง

เขากำลังคิด อนาคตจะมืดมิดขนาดนั้นได้อย่างไร

ในอนาคตฉันจะนอนดึก เล่นเกม และอ่านนิยายไม่ได้แล้วจริงๆ เหรอ

อนาคตที่อ่านนิยายไม่ได้ เล่นเกมไม่ได้มันก็มืดมนจริงๆ นั่นแหละ!

ฟางหนิงนิ่งเงียบ จ้องมองร้านตีเหล็กที่เตากำลังเผาไหม้ในพื้นที่ของระบบ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ เปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเตาก็จุดประกายแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่ฟางหนิงทันที

ฟางหนิงมีชีวิตชีวา ใครบอกว่าร่างกายถูกระบบครองร่างแล้วจะเล่นสนุกไม่ได้กัน

ในฐานะผู้ป่วยโรคผัดวันประกันพรุ่งอย่างรุนแรง + มะเร็งขี้เกียจ เวลาว่างของเขาจึงใช้ไปกับเกมและนิยาย

วันชาติเป็นวันที่เขาโปรดปรานที่สุดหลังเลิกงาน เขาสามารถอยู่บ้านตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อเล่นเกมและอ่านนิยายโดยไม่ต้องออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวได้ หรือถ้าเขาต้องออกไปจริงๆ นั่นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือออกไปเอาอาหารเดลิเวอรี่ที่สั่งมา

“เฮ้ นายท่านระบบ ดูสิ กระผมเพิ่งพยายามช่วยนายท่านวางแผนทั้งสองอย่าง ทั้งทำเงินเพื่อเลี้ยงปากท้อง ทั้งรับค่าประสบการณ์โดยการดึงดูดปีศาจเลยนะ ขอแค่นายท่านใช้มัน มันจะต้องมีประสิทธิภาพกว่าวิธีเก๋ากึ๊กของนายท่านเป็นสิบเท่าเชียวล่ะ ดูจากคำแนะนำทั้งสองด้านแล้ว นายท่านให้รางวัลล่วงหน้าได้ไหมขอรับ”

ระบบเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ

“อยากได้อะไร”

“ในเมื่อพื้นที่ระบบของแกสามารถสร้างร้านตีเหล็กได้ งั้นก็สร้างร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ได้ไหม ไม่ต้องใหญ่มาก แค่ยัดคอมพิวเตอร์เข้าไปได้สักสองเครื่องก็พอ” ฟางหนิงพูดทันที

“ไปให้พ้น!”

ช่างเป็นคำสามคำที่กระชับ หนักแน่น และแสดงความหมายของระบบได้ชัดเจนมาก

“ไม่ ไม่ ฟังให้จบก่อนสิ ฉันไม่ได้จะเอามาเล่น (ซะเมื่อไหร่ล่ะ) ถึงตอนนั้นเราทำงานคู่กันก็ได้ ฉันจะอยู่ข้างในคอยประเมินการต่อสู้ให้แก (เล่นเกม) สรุปประสบการณ์ของอีกฝ่าย (อ่านข่าวนวนิยายออนไลน์) และสุดท้ายก็ออกแบบแผนการ (แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ทำหรอก) แกอยู่ข้างนอกสามารถใช้ร่างกายของฉันเก็บกวาดปีศาจหาเงิน (วิ่งไปทั่วแบบฟูลไทม์) ส่วนเวลาปล่อยตัวฉันลดให้ครึ่งหนึ่งเลย เทียบกับคนอื่นๆ ที่ทำงานคนเดียว ประสิทธิภาพของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าใช่ไหมล่ะ”

ขณะที่ระบบไอคิวค้างไปแล้ว ฟางหนิงก็เสนอตัวช่วยมันเพิ่มความแข็งแกร่ง และสุดท้ายระบบก็ติดกับ

‘ระบบกำลังพิจารณา…’

ฟางหนิงมั่นใจมากว่าไอคิวของระบบนี้ถูกเขาจับทางได้หมดแล้ว หลังจากรอไม่นาน เขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนของระบบตามที่เขาต้องการ

‘ระบบเห็นด้วยกับคำแนะนำของโฮสต์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพ และตัดสินใจเปิดอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ในพื้นที่ของระบบให้โฮสต์ คอมพิวเตอร์และพาวเวอร์ซัพพลาย โฮสต์สามารถหาซื้อจากข้างนอกเข้ามาใช้งานได้ อย่างไรก็ตาม ค่าประสบการณ์ปัจจุบันไม่เพียงพอจึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายเรียลไทม์ภายนอกได้’

“งั้นยังจะรออะไรอยู่ล่ะ ไปกันเถอะ คุณลุงระบบ เราไปผดุงคุณธรรมกัน เอาแผนที่เก็บกวาดปีศาจของแกให้ฉันดูก่อน ฉันจะวางแผนเส้นทาง ยังไงก็อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าอีกสองสามชุด เก็บกวาดได้มาก แต่ก็ตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายและตกเป็นเป้าได้ง่ายด้วย ยังมีปัญหาเรื่องลายนิ้วมือ เรื่องดีเอ็นเออีก ปัญหาเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเราและตัวตนของอัศวิน

“เฮ้ ดูสิ ดูสิ แกละเลยข้อควรระวังไปกี่ข้อแล้ว ฉันยังไม่ได้แนะนำแกเลย ถ้ายังเก็บกวาดต่อ อีกไม่เกินสัปดาห์ แกต้องได้เข้าไปหายใจในห้องขังแน่ ยังคิดจะเพิ่มพลังอีกเหรอ แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้น่ะ ฉันเห็นจากอินเทอร์เน็ตแล้ว ดูสิว่าการเปิดร้านอินเทอร์เน็ตให้ฉันมันจำเป็นแค่ไหน…”

เที่ยงคืนแล้ว เวลานี้ของเมื่อวานฟางหนิงยังคงหลับอุตุ ตลอดช่วงกลางวันผู้ชายคนนี้ก็ยืนดูกระบวนการทั้งหมดโดยไม่พูดอะไรเลย

แต่ตอนนี้เขากลับคิดจะเปิดร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ กลับกลายเป็นฝ่ายกระตือรือร้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เขากล่าวถึงดูเหมือนจะถูกต้อง

ระบบครุ่นคิดก็เข้าใจกระจ่าง ชั่วขณะหนึ่งตนรู้สึกเหมือนถูกโฮสต์จอมขี้เกียจล่อหลอก แต่อีกเดี๋ยวก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดสมเหตุสมผลมาก

ท่ามกลางความสงสัยของระบบ ฟางหนิงผู้เล่นผู้ช่ำชองก็ได้แผนที่กระจายปีศาจ (อาชญากร) มาอย่างรวดเร็ว และวางแผนวิธีที่ดีที่สุดที่จะเก็บกวาดปีศาจในคืนนี้ นั่นทำให้คุณลุงระบบสลัดความสงสัยทิ้งไปทันที กลับกันมันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร หรือต้องฆ่าๆๆ ทิ้ง…

………………

จ้าวอิ๋งกลับถึงบ้านเช่าตอนกลางดึกพร้อมท้องร้องโครกคราก แต่เธอไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด ตอนกลางวันถูกเรียกตัวไปสถานที่มืดมนแห่งนั้นมา แล้วยังต้องเก็บบันทึกต่างๆ ลายเซ็นต่างๆ ปั๊มลายนิ้วมือ เจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ ทำเอาเธอหมดแรงสุดๆ

โชคดีที่ทุกอย่างจบลงแล้ว แต่ทันทีที่เธอหลับตา ภาพศพตายตาไม่หลับนั่น รวมถึงภาพชายที่ช่วยเธอก็พลันปรากฏขึ้นในหัว ร่างทั้งคู่แกว่งไปมา และบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวของที่เกิดเหตุ ก็ทำเอาเธอรู้สึกว่าจะมีฆาตกรอีกคนโผล่ออกมาอย่างไรอย่างนั้น

อีกอย่างตอนนี้ภายในบ้านเช่าก็เงียบสนิท ก่อนหน้านี้เวลากลางดึกเธอมักจะได้ยินเสียงวิดีโอเบาๆ ดังมาจากห้องข้างๆ ตลอด ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นคงคิดว่าเธอหลับอยู่จึงไม่คิดจะใส่หูฟัง แต่ตอนนี้ภายในห้องนั้นกลับเงียบสนิท ไม่มีแสงลอดออกมาจากใต้ประตู

ส่วนคู่รักที่อาศัยอยู่อีกห้องก็ดูเหมือนจะไม่อยู่ด้วย ทั้งบ้านเช่าแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยนอกจากเธอ

เวลานี้เธอคิดถึงผู้ชายคนนั้นจริงๆ อย่างน้อยถ้าเขาอยู่ที่นี่ เธอก็ยังรู้สึกปลอดภัยในบ้านหลังนี้ เธอรู้จักผู้ชายคนนั้นดี เขาเป็นคนซื่อตรงมาก และแทบไม่เคยคุยกับเธอเลย เช่าบ้านด้วยกันมามากกว่าสองปีแล้วยังไม่เคยเห็นเขาพูดอะไรสักคำ

ช่างเถอะ ก็แค่ลุกขึ้นไปหาของว่างยามดึก ท่องอินเทอร์เน็ตทั้งคืน กินไปดูไอรอนแมนไปก็น่าจะผ่านมันไปได้สิน่า เธอคิดอย่างนั้น จากนั้นจึงเปิดไฟทั้งหมดที่สามารถเปิดได้เพื่อทำให้ห้องสว่างขึ้น นั่นทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย

จ้าวอิ๋งมาที่ห้องครัวและคิดจะทำมื้อดึก แต่เธอกลับได้กลิ่นหอมจางๆ ซึ่งทำให้เธออยากอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว

…………

‘ฟางหนิง’ กลับมาที่ห้องเช่าพร้อมความง่วงงุน เขาต่อสู้กับปีศาจมาทั้งคืน ตอนนี้เวลาก็ล่วงเข้าตีสี่แล้ว เขาไขกุญแจเปิดประตู แต่กลับพบว่าห้องนั่งเล่นสว่างไสวและยังมีเสียงระเบิดดังมาจากห้องข้างๆ ด้วย

“กลับมาแล้วเหรอ” จู่ๆ ประตูห้องถัดไปก็เปิดออก สาวสวยที่อาศัยอยู่ร่วมกันยื่นหน้าออกมา พอเห็นว่าเป็นเขา เธอก็ดูโล่งใจ

‘ฟางหนิง’ แค่มองเธอแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร สุดท้ายก็ออกเดินตรงกลับห้องไป

“เฮ้ อาหารนั่นคุณเป็นคนทำมันเองเหรอ ฉันกินหมดแล้ว ของอร่อยขนาดนั้น ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะใช้ไข่ หัวหอมหรือกระเทียมของฉันน่ะ” หญิงสาวดูเหมือนกำลังอธิบายบางอย่างให้เขาฟัง แต่ดูเหมือนกำลังหาบทสนทนามาพูดกันมากกว่า

ฟางหนิงหยุดเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ถ้าอร่อยขนาดนั้นจริงๆ ผมจะเปิดร้านอาหารเช้า คุณสนใจเข้าร่วมไหม”

จ้าวอิ๋งกำลังจะปฏิเสธกลับไป แต่เมื่อเธอนึกถึงรสชาติสุดโต่งของอาหารเมื่อครู่นี้ น้ำลายก็สออีกครั้ง เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันสนใจ ขอแค่ให้ฉันได้กินอาหารแบบนั้นทุกวันก็พอ”

เธอไม่ใช่คนโง่ เธอเข้าใจถึงคุณค่าของกลิ่นนั้นอย่างถ่องแท้ในเมืองสมัยใหม่แห่งนี้

“งั้นก็เข้านอนเร็วๆ ล่ะ นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพ”

จ้าวอิ๋งได้ยินแบบนั้นก็ซาบซึ้งเล็กน้อย เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณ แต่อีกฝ่ายก็พูดต่อ “ถ้าหน้าตาคุณแย่ลง ผมจะพิจารณาเปลี่ยนผู้ร่วมงาน”

ให้ตายเถอะ ที่แท้ก็คิดจะขายหน้าตาฉันเพื่อดึงดูดลูกค้า!

แต่ก็นับว่าตามีแวว มีอาหารดีๆ พร้อมกับสาวสวย ฉันนึกไม่ออกเลยว่าร้านจะเจ๊งได้ยังไง

จ้าวอิ๋งมองฟางหนิง ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านดูหล่อจริงๆ

เมื่อคืนวานก่อนจะออกไปตกลูกเศรษฐีนั่น ทั้งสองได้พบหน้ากัน เธอก็รู้สึกแบบนี้ และตอนนี้ยิ่งเธอรู้ว่าอีกฝ่ายมีพรสวรรค์ในการทำอาหารก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวแก้ขัดที่ไม่เลวเลยทีเดียว

เธอกลอกตา ไล่ความหวาดกลัวในหัวออกไป จากนั้นจึงกลับไปนอนอย่างมีความสุขทันที

………………………………………………………

“พี่ไห่เฉิง เรื่องนี้คงต้องให้สำนักสัจธรรมช่วยตรวจสอบหาความจริงให้หน่อยแล้ว” ชายหนุ่มร่างผอมสวมแว่นตาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น

เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มท่าทางหยิ่งผยองอีกคน

“เหอะ โม่ซิ่ง คราวนี้นายเจียมตัวบ้างแล้วสินะ ถึงพวกนายจะเป็นคนหน่วยกิจการพิเศษแต่ก็ต้องรู้จักประมาณตนบ้าง” ชายหนุ่มท่าทางหยิ่งผยองคนนั้นแค่นเสียง ก่อนจะก้าวเท้าไปเบื้องหน้าทุกคนทันที ทอดสายตามองศพในตู้แช่

ใบหน้าของคนอื่นๆ ฉายชัดถึงความลังเล แต่เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของโม่ซิ่ง พวกเขาก็ข่มใจไว้ได้

ทันใดนั้นเอง กลางหว่างคิ้วของไห่เฉิงก็แยกออก ดวงตาสีเลือดน่าสยดสยองพลันปรากฏขึ้น

หลังจากดวงตานั้นปรากฏขึ้นแล้ว มันก็กะพริบไปมาสองสามครั้ง จากนั้นลำแสงสีฟ้าเจิดจรัสก็เปล่งออกมาสาดแสงไปทางศพ แสงสีฟ้ากวาดผ่านศพตั้งแต่หัวจรดเท้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง ลำแสงสีฟ้านั่นก็หายไป

เมื่อมองไปที่ไห่เฉิงอีกครั้ง ดวงตาสีเลือดของเขาก็หายวับไปแล้ว หว่างคิ้วปิดสนิทราวกับไม่เคยแยกออกจากกันมาก่อน

ฉากนี้อาจดูน่าประหลาดสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนกลุ่มนี้กลับไม่มีใครเปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิดเดียว

พวกเขาเพียงแค่มองไปทางไห่เฉิงด้วยแววตาคาดหวังและรอคอยคำตอบเท่านั้น

“ก็แค่ทักษะกระจอกๆ ทะลวงภูเขาทุบตีโคถึกเท่านั้น ไม่ทิ้งร่องรอยนิ้วมือและรอยฝ่ามือใดไว้ ตบะปราณแท้ดูท่าจะไม่เลวเลย น่าจะถึงขั้นสำแดงกำลังภายในได้ ความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดซึ่งหาได้ยากมาก คาดว่าคงเป็นเด็กดวงดีสักคนที่หลังจากเกิดดาวตกเพลิงเมื่อวานแล้วได้ความรู้ด้านวิทยายุทธ์ของผู้อาวุโสสักคนมา จนอดใจไม่ไหวต้องออกมาทำตัวเป็นฮีโร่”

“ไร้เดียงสาจริงๆ ต่อให้วรยุทธ์ปราณแท้ของเขาอยู่ระดับสูงแล้วจะทำอะไรได้ เพิ่งจะห่างจากก้าวแรกแค่ระดับเดียว การพัฒนาในอนาคตก็ยังมีข้อจำกัดอีกมาก หวังว่าเขาจะไม่เจอเรื่องยุ่งยากในช่วงนี้ก็แล้วกัน ดีที่นิสัยยังโอเค แต่ถ้าพวกนายสนใจก็ตามหาเขาเถอะ การเก็บเขาเป็นการทำความสะอาดระดับ F พวกฉันสำนักสัจธรรมก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้แล้ว”

ไห่เฉิงละสายตาจากศพในช่องแช่แข็ง ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว เขาเพียงแค่อธิบายออกมาเบาๆ

ได้ยินไห่เฉิงพูดเช่นนั้น กลุ่มคนที่รอคอยคำตอบอยู่ก็ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้

โมซิ่งชายใส่แว่นเมื่อครู่ได้แต่ส่ายหัวหลังจากฟังคำพูดของไห่เฉิง เขาผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากสั่งการลูกน้อง”ฮ่าๆ สมกับเป็นคนของสำนักสัจธรรมจริงๆ ความสามารถเรื่องการย้อนรอยหาต้นตอนี่น่าอิจฉานัก แค่เวลาสั้นๆ ก็ตรวจสอบความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เอาล่ะ พวกนายก็ทำตามคำแนะนำของไห่เฉิงเถอะ สร้างไฟล์ประวัติของคนคนนี้เก็บไว้ แล้วใช้โค้ดเนมว่า ‘อัศวิน A’ ระดับพลัง F ระดับภัยคุกคามต่ำ ส่วนระดับความลับก็จัดให้เป็นประเภทความลับทั่วไป อย่าเพิ่งเสียเวลากับเขาดีกว่า”

“ครับ ผู้อำนวยการโม่” ใครบางคนก้าวออกมารับคำสั่ง

“เอาล่ะทุกคน แยกย้ายเถอะ ทำภารกิจของตัวเองต่อไป ให้ความสนใจกับพลังประเภทใหม่ก่อน พบเมื่อไรรายงานทันที แล้วก็อิงตามกฎเดิม คำนวณคะแนนประสิทธิภาพตามมูลค่าของประเภทพลัง…” โม่ซิ่งสั่งการคนอื่นๆ

ไห่เฉิงเดินออกจากห้องใต้ดินไปนานแล้ว และไม่สนใจการเคลื่อนไหวด้านล่างอีก เดิมทีคิดว่าจะได้พบพลังรูปแบบใหม่ หรือจะได้ลองใช้พลังที่แท้จริงของตนหลังจากเริ่มยุคสมัยใหม่ แต่กลับพบว่าครั้งแรกที่ได้ใช้นั้นกลับเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง เสียเวลาเขาจริงๆ

ดูท่าจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะพบคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับเขาได้

เขาหันกลับไปมองก็เห็นเพียงป้ายแขวนประตูหน้าห้องใต้ดิน ด้านล่างตัวอักษรจีนคือตัวพินอิน ‘เท่อซูซื่อเจี้ยนเหลียนลั่วปั้นกงซื่อ’ แทนที่จะเป็นคำว่า ‘หน่วยประสานงานกิจการพิเศษ:’

คนของหน่วยกิจการพิเศษกระตือรือร้นกันมาก คงคิดจะควบคุมพลังพิเศษที่เป็นของพวกเขา แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะรับคนเข้ามาใหม่สักเท่าไรก็เทียบกับคนที่ฝึกฝนกับพวกเขามานานไม่ได้

หลังจากปล่อยตัวฟางหนิงสามสิบนาที ระบบก็เริ่มทบทวนกิจวัตรประจำวันของ ‘การผดุงคุณธรรม’

จากการรับชมอย่างใกล้ชิดของฟางหนิง วันนี้ระบบตรวจพบโจรทั้งหมดสามคน โจรวิ่งราวสองคน…วิ่งตามตรอกเล็กตรอกน้อยมากมายนับไม่ถ้วน เส้นทางที่วิ่งในหนึ่งวันมากกว่าที่ฟางหนิงวิ่งในหนึ่งเดือนเสียอีก

ถึงแม้ความเร็วของระบบจะไม่ได้ช้า แต่ขอบเขตของกิจกรรมก็ยังจำกัดมาก ในหนึ่งวันสามารถค้นหาเจ้าพวกนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวเลย อีกอย่างเมืองฉีที่ฟางหนิงอาศัยอยู่ ผู้คนต่างใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้จะเป็นเมืองหลวงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ในทุกๆ วัน แต่กลับมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนับครั้งได้

หลังจากอ่านระบบอยู่นาน ฟางหนิงก็เอาแต่ครุ่นคิด ไม่นานก็เข้าใจว่าทำไมระบบถึงไม่รับงานเชฟตามที่เขาคาดหวังไว้

แม้ว่าเขาจะขี้เกียจในระดับหนึ่ง แต่สมองของเขาไม่ได้เกียจคร้าน ตรงกันข้าม เขาเป็นพวกคิดมาก แต่ลงมือทำน้อย

ฟางหนิงใช้ประโยชน์จากตอนที่ระบบหยุดพักเสนอความคิดออกมา “คุณระบบ แกไม่คิดว่าประสิทธิภาพของแกต่ำเกินไปเหรอ แกผดุงคุณธรรมไปทั่ว ฉันดูออกนะ หนึ่งคือเพื่อค่าประสบการณ์ สองคือเพื่อสะสมเงิน ดูเหมือนแกจะมีแผนที่นำทางและเป้าหมายก็ชัดเจนทุกครั้ง แต่นี่มันก็เหมือนการเล่นเกม ต้องประมวลผลอย่างมืออาชีพlbถึงจะมีประสิทธิภาพสูง ระบบหลังบ้านก็คือระบบหลังบ้าน การต่อสู้คือการต่อสู้”

“โฮสต์หมายถึงอะไร” ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวฟางหนิง ทำให้เขารู้ว่าตนมาถูกทางแล้ว

“ง่ายมาก แกแค่ต้องแยกภารกิจในการหาเงินและรับค่าประสบการณ์ออกจากกัน การหาเงินก็อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อเช้า เราไปทำอาหาร ประสิทธิภาพสูงกว่าที่แกพาไปทำงานใต้ดินแบบนั้นเป็นแสนเท่า ส่วนภารกิจอัปเกรดค่าประสบการณ์ ฉันขอถามแกหน่อย แกต้องสู้กับอาชญากรเพื่อรับค่าประสบการณ์อย่างเดียวเลยเหรอ เป็นคนอื่นไม่ได้เลยเหรอ”

ระบบที่ครองร่างฟางหนิงไว้ดูเหมือนกำลังทบทวนบางอย่าง และขณะที่ฟางหนิงกำลังจะหมดความอดทนมันถึงให้คำตอบ

“ระบบถูกจำกัดด้วยคุณลักษณะกล้าหาญ ไม่สามารถโจมตีผู้บริสุทธิ์ได้ และไม่สามารถฉกทรัพย์สินจากผู้บริสุทธิ์ได้”

ได้ยินแบบนั้น ฟางหนิงก็ผุดยิ้มเล็กน้อย เขาเดาไว้แล้วว่าคำตอบน่าจะประมาณนี้ เพราะตั้งแต่วันนี้มาเขาได้เห็นกระบวนการผดุงคุณธรรมอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าระบบมีโอกาสชิงทรัพย์เพื่อให้มีเงินมากขึ้น แต่มันกลับเมินเฉยราวกับมองไม่เห็น

“ฉันจะออกแบบฉากแสดงให้แกเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าการบดขยี้ไอคิว” หลังจากฟางหนิงแน่ใจเรื่องข้อจำกัดของระบบแล้ว เขาก็เริ่มมั่นใจทันที พลังเครื่องมือของเขาย่ำแย่เกินไป แต่หากพูดถึงสติปัญญาและพลังการจินตนาการ เขายังคิดว่าสามารถชนะใครหลายคนได้

“รีบพูดสิ!” เป็นครั้งแรกที่ระบบเป็นฝ่ายกระตุ้น เห็นได้ชัดว่าระบบมีแรงจูงใจที่ต้องการจะปรับปรุงความสามารถตัวเองมากทีเดียว

“เราสามารถหาของมีค่าบริจาคให้องค์กรสักองค์กรหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยมันกระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก จะต้องมีอาชญากรจำนวนมากออกตัวมาขโมยมันอย่างแน่นอน แค่นี้เราก็สามารถนั่งรอเก็บกวาดพวกสัตว์ประหลาด ส่วนพวกสัตว์ประหลาดจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูมูลค่าสมบัติที่เราจะปล่อยออกไป ถ้ามันธรรมดาก็คงมีมาแค่ไม่กี่คน แต่ถ้ามีจุดพิเศษอย่างพวกที่สามารถชุบตัวให้กลับเป็นหนุ่มสาวได้ หรือไม่ก็ทำให้พลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอะไรพวกนั้น ผู้คนย่อมหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายแน่

“แกต้องรู้ก่อนว่าความโลภของผู้คนไม่มีที่สิ้นสุด ในประวัติศาสตร์มีคนตายเพราะมันไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ส่วนคนที่มาแย่งชิงของพวกนั้น ถึงแม้ตอนแรกเขาจะบริสุทธิ์ แต่นับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะแย่งสมบัติและวิ่งมาหาเรา แกก็น่าจะเก็บกวาดเขาได้เหมือนกัน”

ฟางหนิงอธิบายแผนการที่เขาวางไว้ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการที่ง่ายที่สุด แม้เขาจะมีแผนการที่ซับซ้อนกว่านี้อีกมาก แต่แผนพวกนั้นก็เสี่ยงเกินไป เขากลัวที่จะขุดหลุมลึกเกินไปจนขาใหญ่ของระบบจมลงไป

‘ระบบกำลังพิจารณา…’

ฟางหนิงเห็นการแจ้งเตือนดังกล่าวก็ไม่กังวลอีก

ไม่นานหลังจากนั้น ข้อความใหม่ก็แจ้งมาจากระบบ

“ความคิดของโฮสต์ดีมาก แต่ด้วยระดับและความสามารถของระบบในปัจจุบัน ไม่เพียงพอที่จะสร้างสมบัติดังกล่าว”

ฟางหนิงแอบดูถูก “แกน่าจะมีพวกร้านค้าระบบอะไรเทือกนั้นสิ แกเป็นระบบ น่าจะหยิบอะไรจากในนั้นมาใช้ได้ฟรีใช่ไหม”

“ไม่มีร้านค้าระบบ”

“ถ้าอย่างนั้นแพ็คเกจของขวัญสำหรับผู้เล่นใหม่ล่ะ”

“ไม่มีเหมือนกัน”

“แล้ววงล้อสุ่มของล่ะ”

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”

“แล้วตอนนี้แกมีอะไรบ้าง”

ระบบแสดงผลลัพธ์ของการ ‘ผดุงคุณธรรม’ อย่างหนักตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนให้ฟางหนิงดูเงียบๆ เงินสดบ้าง แหวนบ้าง นาฬิกาบ้าง…

ฟางหนิงเห็นแล้วก็นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ได้แต่ถามกลับไปว่า “แกต้องมีความสามารถแบบไหน แล้วต้องถึงเลเวลไหนถึงจะสร้างสมบัติพวกนั้นได้”

“ความแข็งแกร่งทางกายภาพถึงสิบแต้มขึ้นไป และต้องอยู่เลเวลห้าขึ้นไป รวมถึงต้องเก็บตัวฝึกพลังทักษะตีเหล็กให้ถึงระดับสามก็จะสร้างอาวุธเทพได้ อาวุธเทพบางอย่างน่าจะตอบสนองความต้องการของแผนที่โฮสต์วางไว้ ตราบใดที่โฮสต์ใช้ค่าประสบการณ์ที่เหมาะสมรวมกับวัสดุบางอย่าง โฮสต์ก็สามารถสร้างอาวุธเทพที่มีความสามารถพิเศษได้”

ฟางหนิงคำนวณเงียบๆ ระบบทำงานมาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันแล้ว ต้องใช้เวลาอีกหน่อยกว่าจะถึงเลเวลสอง งั้นการจะถึงเลเวลห้าคงใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนหน้านี้ที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้น ระบบแจ้งเตือนว่า ‘ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้นหนึ่งแต้ม ตอนนี้มีหกแต้ม’ เขายังจำได้

กว่าจะถึงสิบแต้มยังต้องการอีกสี่แต้ม นั่นคือต้องอัปเกรดอีกสี่ระดับซึ่งอันที่จริงต้องอัปเกรดอีกหกระดับ แต่ยังต้องเก็บตัวฝึกพลังทักษะตีเหล็กให้ถึงระดับสามอีก อันนี้ต้องใช้เวลาอีกเท่าไรกัน

เขาถามระบบทันที

ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “การตีเหล็กต้องเก็บตัวฝึกพลัง และการเก็บตัวฝึกพลังเพื่อทักษะการใช้ชีวิตต้องใช้ทั้งเวลาและอุปกรณ์ สถานที่เก็บตัวฝึกพลังอยู่ในพื้นที่ของระบบหรือก็คือกระเป๋าระบบที่โฮสต์เห็นก่อนหน้านี้ นั่นไม่ได้เรียกว่ากระเป๋าของระบบ แต่เป็นพื้นที่ของระบบ”

“ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีสถานที่เก็บตัวฝึกพลังที่สามารถอัปเกรดทักษะการสร้างสิ่งของได้เลย”

“ก่อนหน้านี้คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงให้โฮสต์เห็นจึงบล็อกมันไว้” ระบบตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“งั้นตอนนั้นฉันก็ดูได้แล้วใช่ไหม” ฟางหนิงดูถูกประโยชน์ของระบบ แต่ก็จนปัญญากับตาแก่นี่

ทันใดนั้นพื้นที่ใหม่ของระบบก็ปรากฏขึ้นในหัวฟางหนิง นอกจากของที่ยึดมาได้ มันก็ไม่ว่างเปล่าอีก มีร้านตีเหล็กที่เตากำลังเผาไหม้ร้านหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

ฟางหนิงเพ่งมองก็พบว่า แม้ร้านตีเหล็กนี้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย เช่น เตาสูบลม ค้อนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ที่คีบเหล็ก ทั่งตีเหล็ก ถังเก็บน้ำ รางน้ำ อุปกรณ์จำเป็นสำหรับตีเหล็กล้วนมีครบครัน สิ่งเดียวที่ขาดหายไปคือเหล็กและถ่านหิน ดูเป็นร้านตีเหล็กโบราณที่สมบูรณ์แบบร้านหนึ่ง

ทว่า สถานที่เรียบง่ายเช่นนี้จะสร้างอาวุธเทพได้อย่างไร ฟางหนิงคิดได้แค่ว่าคงใช้ได้เฉพาะกับพลังของตาแก่ระบบเท่านั้น ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาสร้างมันได้

หลังจากฟางหนิงดูร้านตีเหล็กเสร็จแล้ว เขาก็ถามขึ้นทันที “คุณระบบ ในเมื่อสิ่งนี้เป็นของแก ระบบก็คือตัวแกเอง ทำไมแกไม่ตั้งค่าตัวเองให้เป็นนักตีเหล็กระดับเต็มเล่า ระดับเต็ม พลังเต็ม ทำไมถึงต้องฝึกทีละขั้นด้วย นี่มันไม่ใช่เกมนะ และแกก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่จำเป็นต้องสนุกกับการเก็บเลเวลสักหน่อย”

……………………………………………………………

“หัวขโมยเหอหมิงหลี่ได้ยั่วยุระบบ เปลวไฟปะทุทั่วร่าง

ระบบเปลี่ยนไปใช้วิชาจิตหนาวเหน็บ โดยใช้ฝ่ามือน้ำแข็งหนาว เป็นกระบวนท่าที่เรียกว่า ‘ผนึกน้ำแข็งเฉือนหิมะ’ ที่ราวกับลมพัดสายฟ้าฟาดมาทำลายการป้องกันจากเปลวไฟของคู่ต่อสู้ และกระแทกเข้าที่หลังศีรษะของอีกฝ่าย

ระบบสร้างความเสียหาย 75 หน่วยให้กับเหอหมิงหลี่ เหอหมิงหลี่สลบไป

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 500 คะแนน ระบบได้รับการอัปเกรด

ขณะนี้ระบบอยู่ที่ระดับ 2 ค่าเลือดเพิ่มขึ้น 10 หน่วย ปราณแท้เพิ่มขึ้น 5 หน่วย ค่าสถานะอิสระเพิ่มขึ้นหนึ่งจุด

การจัดสรรอัตโนมัติของระบบเสร็จสิ้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ตอนนี้มีเท่ากับ 6 หน่วย

ระบบใช้กรงเล็บเมฆามังกรบินตรวจดูร่างกายของเหอหมิงลี่ และได้รับเงินสด 34,522 หยวน และแหวนเพชรห้ากะรัต…”

โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต และเงินสดที่ได้รับก็มั่งคั่งยิ่งกว่าเมื่อวานมาก ฟางหนิงมองคนที่ล้มลงกับพื้นอย่างเห็นใจ เมื่อครู่เขาเห็นขั้นตอนการขโมยกระเป๋าเงินจากรถทั้งหมด โจรคนนี้ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดของตนเพื่อให้ได้กระเป๋าเงินนั่นมาอยู่กับมือ

ตลอดกระบวนการ คุณระบบไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากที่อีกฝ่ายทำแผนร้ายสำเร็จแล้ว เขาก็ปล่อยเสียงระบบออกไปทำให้อีกฝ่ายตกใจ จากนั้นก็ล้มอีกฝ่ายลงอย่างรวดเร็ว ผลก็คือทำให้หัวขโมยคนนี้ต้องลำบากแล้ว เพราะสุดท้ายดันเสียรู้ให้กับระบบผดุงคุณธรรมจนได้

ฟางหนิงไม่สนใจที่ระบบทำตัวเป็นอันธพาล คราวนี้เขามีข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เห็นแผงหน้าปัดของระบบ แต่ดูจากข้อความแจ้งเตือนเหล่านี้ เขาก็รู้ได้ว่าระบบนี้คงจะเป็นระบบด้านศิลปะการต่อสู้ มีลมปราณ มีปราณแท้ และความแข็งแกร่งทางกายภาพ ซึ่งก็คือพลังนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นก็เดาได้ว่าต่อไปอาจจะมีพร รากกระดูก และค่าสถานะด้านสติปัญญาต่างๆ

คิดแล้วก็สุดยอดมากเลยจริงๆ มันทำให้ฟางหนิงเริ่มโลภ ตัดเรื่องที่เป็นโรคผัดวันประกันพรุ่งระยะสุดท้ายออกไปก่อน เพราะยังไงซะเขาก็ยังคงเป็นตัวคุมเกมที่แท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถควบคุมระบบได้ด้วยตัวเอง ทำได้แค่มองดูระบบทำเก๊กไปทั่วทุกที่

เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ตัวเขาจะได้ใช้ระบบไปทำเก๊กได้บ้างนะ

ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ตอนนี้เองเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น

“ระบบเลื่อนขั้นถึงระดับ 2 ความสามารถในการอยู่รอดเพิ่มขึ้น เริ่มคำนวณผลงานของโฮสต์…การคำนวณผลงานเสร็จสิ้นแล้ว ผลงานของโฮสต์น้อยมาก หลังจากกลับสู่พื้นที่ปลอดภัย จะมอบเวลาปล่อยตัวให้กับโฮสต์สามสิบนาที โปรดทราบว่าในช่วงเวลาปล่อยตัว โฮสต์สามารถใช้เพื่อการผ่อนคลายและพักผ่อนได้เท่านั้น ไม่สามารถทำเรื่องฟุ่มเฟือยได้”

“บ้าเอ๊ย นี่แกใช้คำว่าปล่อยตัวเลยเหรอ เห็นฉันเป็นคนร้ายไปแล้วจริงๆ สินะ อีกอย่าง อะไรคือเรื่องฟุ่มเฟือยกัน ดูเหมือนว่าแผนการเก๊กท่าจะเป็นหมันเสียแล้ว” ฟางหนิงบ่น ถึงแม้ความคิดที่จะใช้ระบบมาทำเก๊กจะล้มเหลว แต่เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอให้เวลาปล่อยตัวมาถึง

เขาจดจ้องระบบตาไม่กะพริบ และเห็นว่าอีกฝ่ายรีบออกจากลานจอดรถใต้ดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตีวงเดินไปหลายที่แล้วจึงถอดรูปลักษณ์นี้ออกในห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามทางกลับไปที่บ้านเช่าช้าๆ

พอกลับถึงห้องแล้ว ฟางหนิงก็เช็กดูเวลา ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง วันนี้คงไม่ต้องไปทำงานแล้ว น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืน และจากนั้นตนก็จะค่อยๆ ห่างไกลจากคำว่า ‘ทำงาน’ ไปเรื่อยๆ

เมื่อฟางหนิงทอดถอนใจว่าเขากำลังจะเสียงานที่ไม่ดีไม่แย่นั่นไป จู่ๆ เขาก็ประหลาดใจที่พบว่าตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้แล้วจริงๆ

เขาเคลื่อนไหวได้จริงๆ ฟางหนิงขยับแขนขยับขาในห้อง แล้วพบว่าการที่ระบบนั่งสมาธิโคจรลมปราณตลอดทั้งคืนไม่เพียงทำให้เท้าของเขาชาเท่านั้น แต่ยังยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

หลังจากทอดถอนใจเรื่องผลกระทบอันทรงพลังจากกำลังภายในของระบบ ฟางหนิงก็รีบเรียกหาระบบในใจของเขา

“ระบบ ระบบ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“โฮสต์มีเวลาเหลือยี่สิบเก้านาทีสามสิบวินาทีในช่วงเวลาปล่อยตัว”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฟางหนิง ระบบไม่ตอบสนอง แต่กลับเตือนเขาอย่างเย็นชา

“บ้านแกสิ มาให้ฉันดูหน่อยว่าแกหน้าตาเป็นยังไง มีแผงค่าสถานะอะไรบ้าง มีระบบเควส แผงหมุนวงล้อ…อ้อ แล้วก็ร้านระบบ กระเป๋าเก็บของระบบ เอามาให้ฉันดูให้หมดเลย” หลังจากที่ฟางหนิงสามารถควบคุมร่างกายได้ เขาก็เย่อหยิ่งขึ้นมา เขาคิดว่าระบบนี้ไม่มีทางแยกจากเขาได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เวลาพักผ่อนเล็กๆ น้อยๆ กับเขาหรอก

“เวลาปล่อยตัวของโฮสต์เหลือยี่สิบแปดนาทีห้าสิบวินาที”

“แกมันใจร้าย ขอฉันดูกระเป๋าเก็บของระบบก็ได้ แกจะต้องมีแน่ ไม่อย่างนั้นทำไมฉันหาที่ซ่อนของที่แกชิงมาได้ไม่เจอล่ะ ของที่แกเอามาต้องไปแลกเป็นเงิน ถ้าไม่แลกเป็นเงินแล้วจะแลกทรัพยากรที่ใช้เพิ่มความสามารถในการอยู่รอดได้ยังไง? แกรู้วิธีการแลกเป็นเงินใช่ไหม?” จากการแจ้งเตือนของระบบทำให้ฟางหนิงรู้ได้ทันที เขาไม่สามารถถามคำถามสุ่มๆ ได้ คุณระบบไม่คุ้นเคยกับวิถีเราๆ เขาจึงรีบเอ่ยถามให้ตรงจุด

ครั้งนี้ระบบตอบกลับ

พื้นที่ขนาดใหญ่มากจนฟางหนิงมองไม่เห็นปลายสุดก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขาทันทีที่หลับตา ฟางหนิงรู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าไปในพื้นที่นั้น

พื้นที่แห่งนี้ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับสว่างจ้า น่าเสียดายที่เมื่อเขามองเข้าไปแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่กลับว่างเปล่า มีเพียงมุมเล็กๆ ที่วางรางวัลจากการผดุงคุณธรรมเอาไว้

เงินสดมีอยู่หลายหมื่น เครื่องประดับ ทอง แหวนเพชร และมือถือ…

เฮ้อ สุดยอดมากจริงๆ ฟางหนิงประเมินอย่างเร่งด่วน ปริมาณงานทั้งจากเมื่อคืนและเช้านี้ของระบบรวมกัน น่าจะได้มากกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา

น่าเสียดายที่เคยเป็นโอตาคุมาก่อน จะไปหากลุ่มคนที่ยินดีรับของโจรแบบนี้ได้จากไหนล่ะ? ที่พูดไปเมื่อครู่ ก็แค่พูดเพื่อหลอกให้ระบบน่ารังเกียจนี้พูดออกมาก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฟางหนิงผู้มากจินตนาการได้แนะนำระบบแบบสุ่มๆ เกี่ยวกับการขายของออกไปว่า “จริงสิ รู้ไหมระบบ ความจริงแล้วแค่เข้าไปในเว็บมืด ก็อาจจะมี…”

“เหลือเวลาอีกยี่สิบเอ็ดนาทีในการปล่อยตัวโฮสต์”

ฟางหนิงรู้ดีว่าที่ระบบรีบเปลี่ยนเรื่องเร็วขนาดนี้ เพราะมันไม่มีความชำนาญเรื่องเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเลย ระบบที่ไม่ใช่ด้านเทคโนโลยีตอนนี้คงจะรู้สึกผิดในใจอยู่สินะ ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตเล็กๆ น้อยๆ ที่มันรู้ น่าจะมาจากความทรงจำของเขา

ตอนนี้ฟางหนิงมั่นใจมากว่าระบบน่าจะติดตั้งโมดูลด้านศิลปะการต่อสู้เอาไว้ แต่ไม่ได้ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีในอนาคตอะไรพวกนั้น อยากเข้าใจอะไร ก็ต้องเอามาจากความทรงจำของเขาอย่างเดียว

หลังจากยืนยันสิ่งนี้ได้แล้ว ฟางหนิงก็ปวดหัว ของกองใหญ่อย่างนี้คงต้องวางเอาไว้ก่อน ส่วนเงินสดนั่นพอจะเอามาใช้ได้บ้าง

ต้องขอบคุณการหล่อหลอมจากนิยายประเภทต่างๆ จึงทำให้โอตาคุอย่างเขามีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจตราและตามรอย

เวลาผ่านไปทีละน้อย และสุดท้ายฟางหนิงก็เห็นว่าเหลือเวลาปล่อยตัวเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ทำเรื่องหนึ่งคือรีบกระโดดไปที่แล็ปท็อป เปิดเครื่อง เพิ่มแรงขับเคลื่อน ไม่สิ เริ่มท่องอินเทอร์เน็ต…

แม้ว่าเขาจะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งอย่างรุนแรงและเป็นวัยรุ่นที่ติดอินเทอร์เน็ตอย่างหนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ และไอคิวของเขาก็ไม่เคยขาดๆ หายๆ

การไม่ออนไลน์หนึ่งคืนเป็นเรื่องที่รับได้ยากสำหรับฟางหนิง แต่เขาก็ยังรีบออนไลน์เพื่อดูเว่ยป๋อในละแวกเมืองเดียวกัน แล้วค้นหาข่าวในเมืองเดียวกัน เพราะต้องการทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน

ใช้เวลาไม่นาน เขาก็เห็นโพสต์บนบล็อกที่ดึงดูดความสนใจขึ้นมา มันได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นหัวข้อข่าวอันดับสูงทันที

‘จอมยุทธ์ต่อสู้กับยอดมนุษย์! ยอดมนุษย์ล้มไม่เป็นท่าในฝ่ามือเดียว!’

ด้านบนนี้เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของระบบที่มีต่อหัวขโมย ทั้งยังแนบวิดีโอฉบับเต็มมาด้วย ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตลอดทั้งกระบวนการ ฟางหนิงไม่รู้เลยว่าเขา (ระบบ) หล่อเหลาขนาดนี้

คาดว่าคงเป็นกล้องติดรถยนต์ของรถบางคันที่ถ่ายฉากนี้ได้ และถูกเจ้าของที่มาขับรถในตอนเช้าพบเข้า จึงโพสต์มันลงบนเว่ยป๋อ

มีความคิดเห็นมากมายด้านล่าง และบางคนยังแสดงความคิดว่าพวกเขาก็เห็นสถานการณ์ที่คล้ายๆ กัน

ฟางหนิงนั่งดูมันอยู่เป็นเวลานาน ตอนนั้นเองเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าเว็บ ‘หน้าเว็บไซต์ที่คุณกำลังดูอยู่ ถูกลบไปแล้ว’

หลังจากอ่านความคิดเห็น ฟางหนิงก็เริ่มตระหนักได้ว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป และคืนวันสบายๆ กับการกินและรอความตายในอดีต อาจจะไม่มีอีกแล้ว

ดาวตกเพลิงดวงนั้นได้นำระบบมาให้กับตัวเขา แล้วทำไมคนอื่นจะไม่ได้บ้างล่ะ? หลายครั้งที่เขาโชคไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก และตอนที่เจอโชคดีก็ไม่ได้มีบ่อยนัก

ตอนนี้เขาอาจเริ่มมีโชคขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีขาทองคำอย่างระบบหนาพอให้กอด และเมื่อพิจารณาจากการต่อสู้ของเมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ ระบบนี่ยังคงน่าเชื่อถือมาก ส่วนเรื่องไอคิวกลับพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จนอดกังวลเกี่ยวกับอนาคตไม่ได้เลย

“คุณจ้าวอิ๋ง ช่วยดูศพนี้อีกครั้งและยืนยันว่าเขาคือผู้เสียชีวิตที่คุณโพสต์บนเว่ยป๋อด้วย?” ณ ห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง ในตู้แช่เย็นมีร่างของชายอ้วนที่ตายตาไม่หลับคนหนึ่งนอนอยู่

จ้าวอิ๋งเหลือบมองอย่างขลาดกลัวอีกรอบ แล้วหันหน้าหนีทันที ก่อนพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาเอง”

“เอาล่ะ ตอนนี้คุณไปกับพวกเขาได้แล้ว แต่จำไว้ว่าคุณได้ลงชื่อในข้อตกลงปกปิดความลับกับเราแล้ว หากคุณฝ่าฝืน คุณจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ทางที่ดีคุณควรลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้หมด!” เสียงเคร่งขรึมดังขึ้นข้างหูของเธอ

“รู้น่าๆ ฉันจะลืมมันทันทีเลย” เธอรีบพูด ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เธอจะโชคร้ายเกินไปแล้ว ทายาทเศรษฐีที่อุตส่าห์ตกมาได้ดันกลายเป็นอาชญากรติดประกาศจับ และเทพบุตรที่ช่วยเหลือเธอไว้ก็มากลายเป็นฆาตกรไปเสียอีก

แต่เธอก็โชคดีมากที่ตอนนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการโพสต์เว่ยป๋อ และกำลังทำทีสงวนตัวอยู่เพื่อรอให้พี่ชายสุดหล่อเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน สุดท้ายจึงไม่ได้สื่อสารกับอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะเธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจึงผ่านมันมาได้ง่ายๆ

แต่น่าเสียดายที่จะไม่ได้เจอหน้าพี่ชายสุดหล่อคนนั้นอีกแล้ว เธอยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย

ไม่นานหลังจากที่จ้าวอิ๋งเดินตามคนสองคนไป ด้านหน้าห้องเย็นก็มีคนกลุ่มใหม่มารวมตัวกัน

พวกเขาทั้งหมดอยู่ในชุดสูทและรองเท้าหนัง บางคนสวมแว่นกันแดด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาแข็งแกร่งมาก ดูจากท่าทางแล้วไม่ใช่พวกลูกน้องชั้นล่างของใครบางคนแน่นอน พวกเขามองไปที่ศพ ทุกสายตาลุกเป็นไฟ ราวกับว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ภายในนั้น

……………………………………………………..

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตแสนสงบของฟางหนิงที่เขารู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างมาก เขาเดาว่านี่น่าจะเป็นพลังภายในที่ใช้ยามทำสมาธิของระบบ

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าระบบจะฆ่าอาชญากรที่ถูกประกาศจับหรือว่าค้นศพ วิทยายุทธ์ที่มันใช้นั้นน่าทึ่งมาก แต่กลับแสดงออกมาเร็วเกินไปจนเขาแทบไม่รู้สึกอะไรเลย และการฝึกปราณกำลังภายในตอนนี้ก็คือการโคจรลมปราณสินะ ในที่สุดเขาก็มีเวลาสัมผัสความมหัศจรรย์ของระบบอย่างละเอียดแล้ว

ฟางหนิงค่อยๆ ค้นพบว่ากระแสปราณในร่างกายของเขากำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกาย มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ไม่ข้องเกี่ยว อาจเป็นเพราะระบบไม่ได้ควบคุมสมองของเขา ก็เลยไม่กล้าเข้ามายุ่ง?

จะว่าไป กระแสปราณเหล่านี้กำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ร่างกายรู้สึกอุ่นสบายไปทุกส่วน แม้แต่หมอนวดชั้นสูงก็อย่าคิดว่าจะทำอย่างนี้ได้ ความรู้สึกของมันคล้ายกับการได้แช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน แต่ก็สบายกว่านั้นมาก เพราะถึงยังไงมันก็แค่ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังเท่านั้น ไม่ได้เข้าสู่กระดูกและอวัยวะภายใน

ทว่า ความรู้สึกแปลกใหม่ของฟางหนิงคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังเที่ยงคืนไป เขาที่นอนดึกไม่ได้ก็เริ่มง่วงงุน เขาต้องการนอนบนเตียงและหลับให้สบาย

เพราะปริมาณการออกกำลังกายของเขาในคืนนี้แทบจะเท่ากับครึ่งเดือนก่อนอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ควบคุมร่างกายตัวเอง แต่ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากร่างกายก็ยังส่งตรงมาสู่สมองอยู่ดี

แต่ระบบก็ไม่สนใจคำบ่นของเขาเลยสักนิด มันยังคงนั่งขัดสมาธิบนเตียงราวกับไม้สลัก และดูท่าทางแล้วคงจะนั่งสมาธิแบบนั้นจนถึงเช้า

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าระบบนี่ไม่มีวันเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากมันครองร่างของเขาแล้ว ทุกเรื่องที่ระบบทำล้วนมีเป้าหมายและมีความหมาย มันไม่ยอมให้มีเวลาพักเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการเสียเวลาไปเล่นล่ะ

ถ้ากลายเป็นเขาที่ควบคุมระบบเอง คิดว่าคงจะใช้เวลาแบบนี้ได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นเวลานี้เขาคงผล็อยหลับไปนานแล้ว การเก็บตนฝึกตนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่มันสำคัญกว่าการนอนตรงไหน?

ฟางหนิงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าระบบนี่ดี แม้ว่าเขาจะไม่ชอบที่อีกฝ่ายเข้าครอบครองร่างของตนโดยไม่ปรึกษากันก่อน แต่พอเทียบกันแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองน่าอับอายมาก

แต่ถึงจะอายแค่ไหน สุดท้ายฟางหนิงก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับความละอาย…

สำหรับฟางหนิงแล้ว การนั่งหลับไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเวลาโดนลงโทษให้ยืนสมัยเรียน เขาก็ยังหลับได้…

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เพิ่งจะตีห้าเท่านั้น ฟ้าเพิ่งจะสาง ‘ฟางหนิง’ ก็ลืมตาและลุกขึ้นจากเตียงแล้ว

เขาเห็นตัวเองเดินเข้ามาที่ห้องครัว มองหาวัตถุดิบและเครื่องปรุง จากนั้นก็เปิดเตาแก๊สและเริ่มทำอาหาร ใช้เวลาไม่นานอาหารเช้าน่าอร่อยที่เต็มไปด้วยสีสัน รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการก็ออกมาจากเตาร้อนๆ

ฟางหนิงที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่น เขาจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

“อร่อยมากจริงๆ รสชาติแบบนี้แม้แต่ซูเปอร์เชฟที่ได้รับเชิญให้มาทำอาหารในงานแต่งครั้งที่สองของบอสของฉันก็ยังทำไม่ได้เลย ฉันว่านะคุณระบบ ถ้าคุณมีความสามารถแบบนี้ ทำไมไม่ไปเป็นเชฟชื่อดังเสียล่ะ ในเมืองนี้ ขอแค่แสดงทักษะนี้ออกมา เงินเดือนเริ่มต้นไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นหยวนแน่นอน แถมยังได้เป็นหุ้นส่วนร้านอาหารอีก ทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ เลย หรือจะเปิดแผงขายอาหารเองก็ได้เหมือนกัน ฉันรับรองได้ว่าไม่ถึงปีครึ่งก็เก็บเงินซื้อหน้าร้านได้แล้ว” ฟางหนิงยอมรับรสชาติอันสุดยอดที่แพร่มาสู่ลิ้นและจมูกของเขา เขาประหลาดใจมาก จึงรีบเสนอคำแนะนำทันที

แต่ระบบกลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด เพียงแค่ค่อยๆ เพลิดเพลินกับอาหารเช้า

สุดท้ายแล้วเหมือนจะทำอาหารเยอะไปหน่อย ระบบจึงนำกับข้าวบางส่วนใส่ลงไปอุ่นในหม้อหุงข้าว จากนั้นเมื่อล้างจานเสร็จก็ลงไปชั้นล่างและเริ่มการออกกำลังกายช้าๆ

เห็นภาพนี้เข้า ฟางหนิงก็รู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม แต่ก่อนเขาเคยทำอาหารเป็นประจำ แต่หลังจากที่เดลิเวอรี่เริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมา เขาก็ไม่เคยทำอาหารเองอีกเลย เพราะคิดว่าการเก็บกวาดทำความสะอาดมันวุ่นวาย

เดี๋ยวสิ วัตถุดิบในครัวนี่น่าจะเป็นของผู้หญิงบ้านเดียวกันคนเมื่อวานหรือเปล่านะ?

การออกกำลังกายตอนเช้าสิ้นสุดลงภายในสองชั่วโมง พอรวมกับเวลากินอาหาร นี่ก็เพิ่งจะแปดโมงเช้าเท่านั้น หลังจากที่ระบบไปอาบน้ำ สิ่งที่ทำให้ฟางหนิงกลัวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้านี่ไม่ได้พิจารณาถึงการเป็นเชฟเลยสักนิด

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบตัดสินใจจะไปผดุงคุณธรรม…”

‘ไม่ใช่สิ คุณระบบ ยังไม่ทันข้ามคืนก็จะเอาอีกแล้วเหรอ นี่คิดจะเล่นบทศาลเตี้ยหรือไง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีความสามารถในการหาเงินสุจริตได้ตั้งเยอะแต่ดันไม่ใช้ กลับชอบใช้วิถีอันธพาล’ ฟางหนิงคิดอย่างขมขื่น ระดับการต่อสู้ของระบบน่าจะเทียบได้กับจอมยุทธ์กัวในตำนาน แต่ไอคิวของมันอาจไม่ดีเท่ากับจอมยุทธ์กัว

เขาอ่านนิยายมาหลากหลายประเภท และรู้ดีที่สุดว่าภายใต้การโจมตีบ่อยครั้งเช่นนี้ การที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกมาก็เป็นแค่เรื่องของเวลา เรื่องแบบนี้หลอกลวงได้แค่คนธรรมดาเท่านั้น และมันก็ไม่ปลอดภัยนัก

“เดี๋ยวนะ ฉันยังต้องไปทำงาน ถ้าไม่ไปจะโดนหักเงินนะ!” ฟางหนิงตะโกนอย่างไร้ผล

แต่ระบบก็ไม่ได้สนใจคำบ่นและเสียงตะโกนของฟางหนิงเลย ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานมา มันก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผดุงคุณธรรมไปแล้ว (วิถีอันธพาล) และคิดว่าตัวเองไม่ต้องการคำแนะนำ (จู้จี้จุกจิก) จากโฮสต์อีกต่อไป…

สุดท้ายมันก็ไปที่ห้องน้ำสาธารณะ เปลี่ยนร่างเป็นพี่ชายสุดหล่อแบบก่อนหน้านี้ ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้ววิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง

มีพลังเหนือธรรมชาติแล้วจะทำอะไรดี? แน่นอนว่าต้องหาเงินไงล่ะ! หรืออยากจะเป็นกบฏในโลกที่เจริญแบบนี้?

แต่จะทำเงินได้อย่างไรในสภาพมีไฟลุกทั่วตัว ไปขายศิลปะข้างถนนเหรอ?

เหอหมิงหลี่ผู้มีความคิดเรียบง่ายนอนงงอยู่ทั้งคืน เขาเลี้ยงชีพด้วยการขนอิฐในไซต์ก่อสร้างและขโมยของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทุกวี่วัน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะสร้างรายได้จากพลังเหนือธรรมชาติอย่างการเผากายได้อย่างไร

มอบพลังให้คนอื่น สุดท้ายได้มา ห้าร้อยหยวนพร้อมใบรับรองสีแดงขนาดใหญ่อย่างนั้นเหรอ?

ประเด็นคือมันมอบให้ไม่ได้นี่สิ

แต่จะให้เขาขนย้ายอิฐอยู่ในไซต์ก่อสร้างอย่างแข็งขันต่อไปก็เป็นไปไม่ได้หรอก พวกยอดมนุษย์ในหนังเขาหาเงินกันยังไงนะ

เขาทั้งหงุดหงิดและเจ็บใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ต่อไป

เขามาที่ลานจอดรถใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ ที่แห่งนี้เงียบเชียบ นอกจากจะไม่สะดุดตาแล้ว การรักษาความปลอดภัยก็หละหลวมมาก เพราะตอนนี้ที่จอดรถในเมืองใหญ่นั้นแออัด ในเวลาเข้างานแบบนี้จึงยังมีรถหรูจำนวนมากจอดอยู่

รถหรูมักมีสิ่งดีๆ มากมาย โทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อประดับสูงนั้นถือว่าเป็นของธรรมดา เพราะของมีค่าที่แท้จริงก็คือนาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมที่บางคนมักจะลืมทิ้งไว้ เมื่อเจอนาฬิกาแบรนด์หรูระดับท็อป ราคาก็แพงกว่ารถทั่วไปแล้ว

ครั้งที่แล้วเหอหมิงหลี่เห็นนาฬิกา ‘ลองจีนส์’ เรือนหนึ่งวางอยู่บนที่นั่งคนขับในรถเบนซ์ ทั้งเรือนหุ้มด้วยเพชร ดูก็รู้ว่ามันเป็นของสั่งทำ หลังจากเขาถ่ายรูปแล้วถามราคากับผู้เชี่ยวชาญขายของโจรดูแล้ว ผู้เชี่ยวชาญก็รับที่ราคาสามแสนแปดหมื่นหยวน

เขาอยากได้มันมาก แต่น่าเสียดายที่ไร้วิธีการ ระบบล็อกของรถหรูเปิดออกยาก เขาในสมัยก่อนจึงทำได้เพียงถอนหายใจ

แต่ตอนนี้ เขามองไปที่เปลวไฟสีแดงเข้มที่พุ่งออกมาจากมือของตน มันสามารถเผากระจกจนเป็นรูได้อย่างง่ายดาย เขาอดยิ้มไม่ได้

เป้าหมายแรกคือรถออดี้ A8 เขาเผาหน้าต่างกระจกได้อย่างราบรื่นจนเกิดรูขนาดเท่าแขนของเขาหนึ่งรู จากนั้นเขาก็ยื่นแขนทั้งข้างเข้าไปข้างในรถ

โทรศัพท์ไอโฟนหนึ่งเครื่องและกระเป๋าตังค์หนึ่งใบถูกหยิบไปอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วย เขามองโทรศัพท์แล้วยิ้มเหยียดให้มันทีหนึ่งก่อนโยนมันทิ้งไป

จากนั้นก็หยิบธนบัตรไม่กี่ร้อยหยวนออกจากกระเป๋าเงิน ที่เหลือนั้นเป็นบัตร นั่นทำให้เขาหงุดหงิดมาก คิดว่าจะมีอะไรดีๆ อยู่ในกระเป๋าเงินเสียอีก เพราะแบบนั้นเขาจึงโยนมันทิ้งไปเช่นกัน

เขาไม่รู้เลยสักนิดว่ากระเป๋าเงินที่ถูกทิ้งใบนี้จะมีราคาถึงหกหมื่นแปดพันหยวนหากซื้อจากร้านค้าเฉพาะ

เป้าหมายที่สองคือปอร์เช่คาเยนน์ ซึ่งได้แหวนเพชรที่วางไว้บนเบาะผู้โดยสารวงหนึ่ง เป็นเพชรเม็ดใหญ่ทีเดียว เหอหมิงหลี่ไม่รู้ว่ามันกี่กะรัต แต่คาดว่าน่าจะราคาหลายหมื่น หัวใจจึงเต้นรัวด้วยความยินดี

ส่วนเป้าหมายที่สามเป็นรถคาดิแลค รถคันนี้ไม่ได้โดดเด่นมาก แต่กลับมีกระเป๋าหนังที่มีเงินสดอยู่ล้นทะลัก เงินสดมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองหมื่นหยวน เป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด มันไม่มีความเสี่ยง สามารถใช้ได้ทันที และไม่จำเป็นต้องขายของโจรให้ถูกเอาเปรียบอีกด้วย

เขายื่นแขนเข้าไปและใช้ความพยายามอย่างมากจนก้นกระดกสูง ท่าทางนั้นน่าอายมาก แต่สุดท้ายเหอหมิงหลี่ก็สามารถหยิบกระเป๋าหนังมาไว้ในมือได้

ความจริงแล้วเขายังคิดจะเผาประตูรถให้วอดวายจนหมดไปด้วย แต่ก็จนใจกับพลังที่เพิ่งจะได้รับมา ยังไม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้น กระจกอาจเผาได้ง่าย แต่หากคิดจะเผาโลหะก็ยังยากเกินไป

เหอหมิงหลี่ลูบกระเป๋าเงินที่หนาตุงแล้วเปิดมันออกก็พบว่าในนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรร้อยหยวน เขาดีใจสุดๆ คิดว่าช่วงนี้ชีวิตคงจะสบายขึ้นมาก

เขามองรถเหล่านั้นอีกครั้ง ในสายตาของเหอหมิงหลี่ พวกมันคือกระเป๋าเงินเคลื่อนที่ดีๆ นี่เอง แม้ว่าเขาจะยังไม่พอใจนัก แต่เขาก็รู้สึกว่าพลังในร่างกายเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าเก็บไว้ก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาใหม่คราวหลัง จึงเตรียมตัวจากไป

แต่เมื่อก้าวเท้าออกไปได้ไม่กี่ก้าวและขณะที่กำลังจะออกจากลานจอดรถ ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้มๆ และเปี่ยมด้วยความชอบธรรมของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู นั่นทำให้เขาตกใจจนล้มลงกับพื้น

“กลางวันแสกๆ กลางจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มือเท้ามีครบ แต่กลับทำเรื่องโจรกรรมเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจต่อพ่อแม่ตัวเองบ้างหรือไง!”

เมื่อหันกลับไปมอง ในใจก็เกิดความอิจฉาขึ้นมา พี่ชายสุดหล่อคนนี้โผล่มาจากไหนกัน? อ๋อ คงจะเป็นเจ้าของรถหรูสักคันล่ะมั้ง แบบนี้ยิ่งทำให้ไฟอิจฉาของเขาลุกโหมกว่าเดิม ทั้งมีตังค์และหน้าตาหล่อเหลา จะไม่ให้ทางรอดกับคนอย่างเขาหน่อยเหรอ?

เขากำลังจะหันหลังหนีตามความเคยชิน แต่แล้วก็หยุดและส่ายหัว บัดซบ ฉันในตอนนี้เป็นผู้ใช้พลังเหนือมนุษย์ คิดว่าฉันจะเผาแกให้ตายไม่ได้หรือไง!

เขาพยายามให้กำลังใจตัวเองสุดๆ จากนั้นเปลวไฟก็ลุกท่วมร่าง มันปกคลุมตัวเขาจนเหมือนกับมนุษย์เพลิง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาฟางหนิงอย่างดุดัน พร้อมตะโกนคำรามออกมา “ไสหัวไป!! กล้ามาแส่เรื่องของฉัน คอยดูแล้วกันว่าฉันจะเผาแกให้เป็นเศษขี้เถ้ายังไง!”

ในความคิดของเขา สิ่งนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงอย่างแน่นอน

ถูกต้อง ฟางหนิงเองก็ตกตะลึงจริงๆ

อาชญากรก่อนหน้านี้เป็นคนธรรมดา แต่ครั้งที่สองกลับได้พบกับคนที่สามารถเล่นกับไฟได้ อยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความร้อนของเปลวไฟที่แผดเผาได้เลย รับมือไม่ง่ายแน่ๆ ความเสี่ยงจากการผดุงคุณธรรมก็มีไม่น้อยเลย

ฟางหนิงคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าหลังจากดาวตกเพลิงเมื่อวาน เขาคงจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับนิ้วทองคำสินะ ตอนนี้เรามาดูกันว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ ขาใหญ่ของใครจะหนากว่ากัน

แต่ก่อนที่ฟางหนิงจะได้เริ่มกระบวนการเปรียบเทียบ ระบบที่ควบคุมร่างกายของเขาอยู่ก็มีฝีเท้าเปลี่ยนไปทันที มันลอยไปอยู่ด้านหลังมนุษย์เพลิงด้วยพลังอันรวดเร็วราวสายฟ้าฟาดดังลั่นจนต้องอุดหู จากนั้นก็ตบเข้าที่ท้ายทอยไปหนึ่งฝ่ามือ

‘เพียะ!’ มนุษย์เพลิงท่าทางดุดันล้มลงกับพื้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

เอาล่ะ ไม่ต้องเปรียบเทียบหรอก เพราะตอนนี้ได้ผู้ชนะแล้ว! ฟางหนิงเฝ้าดูระบบใส่ถุงมือพลาสติกอย่างชำนาญและเริ่มตรวจสอบศพ เขากลอกตาอยู่ในใจ

ตอนนี้เอง การแจ้งเตือนของระบบที่ห่างหายไปนานก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละรายการ

……………………………………………

“ระบบได้พบกับหวังหงเต๋อ อาชญากรที่ถูกประกาศจับ

ฝ่ายตรงข้ามพร้อมจะโจมตีด้วยมีดสั้น ระบบจึงใช้กลอุบาย ‘ไร้ทิศทาง’ เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

ระบบใช้การเคลื่อนไหวของ ‘ทะลวงภูเขาทุบตีโคศึก’ หวังหงเต๋อไม่มีพลังปราณป้องกัน จึงระเบิดการโจมตี! ละเว้นการป้องกัน!

ระบบสร้างความเสียหาย 225 หน่วยแก่หวังหงเต๋อ

หวังหงเต๋อถูกตีจนตาย!

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 100 คะแนน ห่างจากคะแนนอัปเกรด 400 คะแนน”

ชายอ้วนคนนั้นตายแล้วจริงๆ ด้วย หลังจากที่ฟางหนิงเห็นการแจ้งเตือนแล้ว เขาก็สงบลงมาก เขาประหลาดใจที่พบว่าตนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร อย่างน้อยความรู้สึกหลังจากการฆ่าคนครั้งแรกก็ไม่ได้ปรากฏ ทั้งไม่มีอาการคลื่นไส้และเขาก็ไม่อยากอาเจียน

คิดไปแล้ว เขาก็ต้องโทษที่ตัวเองทำได้แค่ดูอยู่ข้างๆ ตลอดเหตุการณ์ ไม่ได้ต่างจากเห็นรถชนคนเลยสักนิด แต่อย่างหลังจะมีเลือดนองมากกว่า พวกคนที่มามุงดูส่วนใหญ่ก็ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษอะไรอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนมารุมล้อมที่เกิดเหตุกันตั้งเยอะแยะหรอก

พอคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าความจริงแล้วแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าปล่อยให้เขาลงมือฆ่าคนจริงๆ ล่ะก็…เขาในตอนนี้จะต้องยั้งมือยั้งเท้าไม่ได้แน่ และคงจัดการอย่างง่ายดายแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน ถึงจะมีความแข็งแกร่ง แต่คงแสดงพลังการต่อสู้ได้ไม่ถึงสามส่วนของระบบหรอก พอเจอเรื่องอันตรายที่แท้จริงก็จะสาหัสอย่างยิ่ง

เขาคิดว่าอารมณ์สงบนิ่งของตัวเองเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือท่าทางของหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อหนึ่งเดียวของเหตุการณ์นี้และอยู่บ้านเดียวกันซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากระบบ เมื่อเธอเห็นเจ้าอ้วนล้มลงกับพื้น เธอกลับสงบนิ่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก

เห็นเพียงแต่ผู้หญิงคนนี้กำลังจ่อโทรศัพท์ไปที่ชายอ้วนที่ล้มลงกับพื้นอย่างว่องไว หลังจากแสงแฟลชสาดสองสามครั้ง เธอก็หันโทรศัพท์มาหาเขา

ทันทีที่แสงแฟลชสว่างวาบ ฟางหนิงก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้กำลังถ่ายรูป

จากนั้นเขาเห็นเธอก้มศีรษะลง ไม่แม้แต่จะมองที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่ปัดนิ้วไปมาบนโทรศัพท์

ตอนนี้ฟางหนิงตาดีพอ อีกทั้งตัวก็สูง เขาจึงเห็นข้อความที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังโพสต์เว่ยป๋ออยู่ข้างๆ ศพเหรอเนี่ย?

จากนั้น สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น

เขาเห็นเพียงระบบกำลังควบคุมร่างกายของเขาอยู่ แล้วก้าวไปข้างหน้าราวกับว่าข้างๆ ไม่มีคน จากนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสร่างของชายอ้วน

“ใส่ถุงมือสิ อย่าทิ้งรอยนิ้วมือไว้เด็ดขาดนะ” ฟางหนิงเอ่ยเตือนประโยคนี้ในใจได้ทันเวลา

ตอนนี้เอง ระบบก็ทำตามคำแนะนำของเขาอีกครั้ง ฟางหนิงเห็นเพียงข้างหน้ากลายเป็นภาพพร่าเบลอ จากนั้นมือของเขาก็สวมถุงมือพลาสติกเอาไว้แล้ว คิดดูแล้วมันคงจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงตอนที่ทำความสะอาดก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็เห็นระบบควบคุมร่างกายของเขาเข้าไปสัมผัสเจ้าอ้วนอย่างรวดเร็ว

หลังจากอ่านแจ้งเตือนของระบบที่ปรากฏขึ้นต่อจากนั้น ฟางหนิงก็ร้องไห้อยู่ในใจและรู้สึกซาบซึ้งทันที

เขารู้แล้ว

ทำไมระบบที่มีหลักการอันดับหนึ่งคือ ‘เอาชีวิตรอด’ ถึงต้องมาวิ่งออกกำลังกายให้เหนื่อยในตอนกลางคืนด้วย ทำไมไม่นอนหลับพักผ่อน แต่กลับวิ่งมาเสียไกลเพื่อ ‘ผดุงคุณธรรม’

“ระบบได้ใช้กรงเล็บเมฆามังกรบิน และตรวจค้นศพของหวังหงเต๋อ ผู้เป็นอาชญากรที่ถูกประกาศจับแล้ว ระบบพบเงินสดสี่พันสองร้อยห้าสิบหยวน โทรศัพท์ไอโฟน 7 หนึ่งเครื่อง บัตรธนาคารสองใบ สร้อยคอทองคำหนึ่งเส้น และแหวนทองคำหนึ่งวง…”

ระบบ แกจะต้องรู้มาจากความทรงจำของฉันแน่ว่าฉันเหลือเงินในบัตรธนาคารอยู่แค่แปดร้อยห้าสิบหยวน และแกคงรู้ด้วยว่ามะรืนนี้เป็นวันที่ฉันต้องจ่ายค่าเช่า ซึ่งเงินเดือนของฉันจะจ่ายในวันมะรืนของมะรืนนู่น!

ฟางหนิงซาบซึ้งใจมาก ร่างกายที่ถูกระบบควบคุมไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยตอนนี้ก็มีประโยชน์มาก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสนใจว่าเขาจะมีเงินใช้ไหม เป็นครั้งแรกที่มีคนอยากเอาเงินให้เขาใช้!

แม้ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขาคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เขาเลยต้องเริ่มทำงานเร็ว จนถึงปีนี้ก็ทำงานมาสิบปีแล้ว เงินเดือนของเขาก็ไม่เลวเลย แต่เขาเก็บเงินไม่เก่ง ในหนึ่งเดือนต้องมีสองสามวันที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

หลังจากที่ระบบสัมผัสศพแล้ว ฟางหนิงก็พบว่าตัวเองกำลังจะได้ถูกใช้งาน เนื่องจากตัวเลือกของระบบได้ปรากฏขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง

“ระบบได้ช่วยเหลือหญิงสาวบอบบางจากหวังหงเต๋อ อาชญากรที่ติดหมายจับ ตอนนี้อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังงุนงงเพราะความตกใจ คุณจึงก้าวไปข้างหน้าและพยายามปลอบอีกฝ่าย ตัวเลือกที่หนึ่ง…”

เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ลูกพี่ระบบไม่ได้ต้องการจะปลอบอีกฝ่ายหรอก แต่คิดจะขอค่าตอบแทนจากการช่วยชีวิตล่ะสิ แต่แกมองผิดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นตกใจที่ไหนกันล่ะ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังมีช่วงเวลาดีๆ อยู่บนโลกออนไลน์ ฟางหนิงเดาได้ถึงตัวเลือกที่จะปรากฏขึ้นจากระบบ

ฟางหนิงมองร่างกายของเขาก้าวไปข้างหน้า เข้าใกล้กับผู้หญิงคนนั้น ขณะที่ในหัวก็ปรากฏตัวเลือกจากระบบขึ้นมา

ตัวเลือกที่หนึ่ง: คุณปลอบอีกฝ่ายเบาๆ ว่า ‘สาวน้อย ไม่เป็นอะไรแล้ว อยากให้ฉันไปส่งที่บ้านหรือไม่? ไม่ทราบว่าทรัพย์สินของเธอมีมากแค่ไหนเหรอ?

ตัวเลือกที่สอง: คุณตบอีกฝ่ายที่ยังงุนงงอยู่ แล้วหัวเราะเบาๆ ว่า ‘ช่วยชีวิตคนได้ มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง แล้วเธอคิดว่าชีวิตของเธอควรแลกด้วยทองคำเท่าไหร่ล่ะ?

ตัวเลือกที่สาม: คุณเดินเข้าไปมองผู้หญิงคนนั้นสักพัก และพบว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ แต่เธอไม่แยแสต่อผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต คุณผิดหวังมากจึงหันหลังกลับและเดินจากไป

‘เอาล่ะ เป็นอย่างที่คิดเลย ในสามตัวเลือกมีสองตัวเลือกที่ต้องการค่าตอบแทน แม้ว่าฉันจะไม่กล้าให้ไอ้คุณระบบทำงานเสียแรงเปล่า แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน เพิ่งจะฆ่าคนตายแท้ๆ แต่พอค้นศพเสร็จดันไม่รีบหนี ระบบน่ารังเกียจนี่กลับคิดจะเอาตังค์อีก ไอคิวของมันคงติดลบจริงๆ สินะ’ ฟางหนิงคิดอยู่ในใจ สุดท้ายเขาจึงเลือกตัวเลือกที่สาม

จ้าวอิ๋งผู้ซึ่งใช้มือถือโพสต์เว่ยป๋ออย่างแข็งขัน ตอนนี้กลับไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฟางหนิงเลยสักนิด เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่าตนอาจจะได้ขึ้นอันดับโพสต์ยอดนิยมในเว่ยป๋อก็ได้

‘ถ่ายแบบเรียลไทม์ มีรูปเป็นหลักฐาน เพิ่งจะมาเจอเพื่อนในเน็ตครั้งแรก นายนั่นก็คิดจะลวนลามฉันแล้ว แต่เขาดันถูกเทพบุตรที่เดินผ่านมาต่อยจนสลบเหมือดอยู่บนพื้น’

มีทั้งรูปภาพและหลักฐานยืนยัน แถมยังมีรูปหนุ่มหล่อด้วย แม้ว่าวีรบุรุษช่วยสาวงามจะเป็นเรื่องเชยๆ แต่เรื่องเชยๆ กลับดึงดูดผู้คนได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรก็ยังยากที่จะเห็นได้ในความเป็นจริง

หลังจากโพสต์ได้ไม่นาน เว่ยป๋อของเธอก็มีความคิดเห็นมากกว่าร้อยความเห็นและมียอดไลก์เป็นพัน นี่เป็นประสบการณ์ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันทำให้เธอตื่นเต้นมาก

‘นี่มันเทพบุตรชัดๆ หล่อมาก! หาได้ยากที่เจ้าของโพสต์จะไม่ใช่พวกล่อคลิก @[email protected]@XXXX …รีบมาดูหนุ่มหล่อเร็ว’

‘จริงด้วย นี่คงไม่ใช่ดาราหรอกนะ ดูสิ เขาผอมจังเลย’

‘นั่นเรียกว่าแต่งตัวให้ผอม พอถอดเสื้อผ้าออกก็มีเนื้อมีหนังแล้ว’

ฟางหนิงรอให้ระบบควบคุมร่างกายของเขาให้เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ด้วยสายตาที่เฉียบคมของระบบ เขาจึงสามารถเห็นเนื้อหาเว่ยป๋อที่แสดงอยู่บนโทรศัพท์ของอีกฝ่าย ตอนนี้เองเขาถึงตระหนักได้ในทันที

ไม่แปลกเลยที่ผู้หญิงคนนี้ยังใจกล้า เป็นเพราะเธอคิดว่าเพื่อนชาวเน็ตตัวอ้วนที่มาวอแวตัวเองถูกต่อยจนหมดสติ

แต่นี่ก็โทษเธอไม่ได้ เธอไม่ได้เป็นหมอหรือตำรวจ เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะบอกได้ว่าคนคนนั้นตายหรือสลบ โดยเฉพาะเมื่อครู่ คนคนนั้นยังมีชีวิตชีวาดี

อย่างไรก็ตาม ฟางหนิงจึงรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็น ‘คนธรรมดา’ ในไม่ช้าก็มีใครบางคนค้นพบ ‘ความจริง’ โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ตที่มีเทพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทุกประเภท

โชคดีที่ตอนนี้ ระบบกำลังทำตามตัวเลือกที่สามของฟางหนิงอยู่ หลังจากดูหญิงสาวเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างศพ เขาก็หันหลังกลับด้วยความผิดหวัง

ไม่นานหลังจากที่ฟางหนิงจากไป จ้าวอิ๋งก็เห็นเนื้อหาสยองขวัญเริ่มปรากฏบนเว่ยป๋อแล้ว หัวข้อสนทนาเริ่มเปลี่ยนไป

‘เจ้าของโพสต์รีบหนีเร็ว! อย่าหันไปมองนะ!’

‘ไม่คิดว่าชายอ้วนที่นอนอยู่บนพื้นนั่นดูผิดปกติเหรอ @หมอตรวจกลางป่า’

‘ผิดปกติจริงๆ ฉันดูแล้วไม่เหมือนกำลังสลบไปเลย เจ้าของโพสต์หนีเร็วเข้า เราจะช่วยแจ้งความแทนนะ ชายคนนั้นไม่ได้ถูกต่อยจนหมดสติ แต่ถูกฆ่าตาย ในรูปภาพที่เจ้าของโพสต์อัปโหลด ดวงตาของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ปิด และรูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของดวงตาของคนที่ตายแล้ว @XXความสงบของสังคม’

เมื่อจ้าวอิ๋งเห็นความคิดเห็นเหล่านี้ ร่างกายของเธอก็สั่นเทาทันที เธอออกจากเว่ยป๋อแล้วกลับสู่โลกความเป็นจริง

เธอค่อยๆ ก้มหน้ามองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และเห็นร่างของชายอ้วนนอนอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก

ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงดุร้ายน่ากลัวเช่นเดิม ประกอบกับดวงตาเบิกโพลงและนอนราบอยู่บนพื้น ดูน่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีก ร่างกายของเขาไม่ขยับเลยสักนิด ดูแล้วเหมือนร่างไร้วิญญาณ

เธอตกใจกลัวและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แต่ ‘เทพบุตร’ ที่ผดุงคุณธรรมเมื่อครู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มีเพียงเธอเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับศพ บวกกับสายลมพัดแผ่ว กิ่งก้านใบไม้ก็แกว่งไกว แสงไฟสลัว เงาพลิ้วไหว เป็นฉากฆาตกรรมที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร

“กรี๊ดด!!! คนตาย!” เธอกรีดร้องพลางสับขาวิ่งไปหาแสงไฟ

ฟางหนิงหนีไปไกลแล้ว แต่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นดังมาจากข้างหลัง ตัวเขาวิ่งมาไกลถึงสองร้อยเมตรผู้หญิงคนนั้นถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คาดว่าคงได้รับการเตือนสติจากท่านเทพทั้งหลายบนอินเทอร์เน็ตแล้วสินะ ไอคิวแบบนี้เทียบกับระบบได้เลยนะเนี่ย

ฟางหนิงไม่สนใจเธอ ภายใต้การสั่งการของระบบที่เกิดจากการเตือนของเขา เขาได้แต่มองร่างกายของตนมองหาสถานที่เงียบๆ เพื่อเปลี่ยนหน้าตากลับสู่รูปลักษณ์เดิม จากนั้นก็เดินอ้อมเป็นวงกลม แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องเช่า

จะว่าไป ฝีเท้านี่วิ่งเร็วชะมัด ฟางหนิงรู้สึกว่าเขาขี่สกูตเตอร์ยังไม่เร็วเท่านี้เลย เป็นไปได้ไหมว่าระบบจะใช้วิชาตัวเบา?

น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นแจ้งเตือนที่เกี่ยวข้องจากระบบ

หลังจากพักผ่อนอย่างเหนื่อยหอบอยู่ในห้องเช่าเป็นเวลานาน ฟางหนิงก็ยังคงไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้

แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีของเขาก็ทำให้รู้ถึงหนทางในอนาคตของประสบการณ์คืนนี้แล้ว นั่นก็คือ ตราบใดที่คำเตือนของเขาเป็นประโยชน์ต่ออัตราการอยู่รอดของระบบ มันก็จะฟังคำแนะนำ

เมื่อเป็นอย่างนี้ สักวันหนึ่งเมื่อระบบพังๆ นี่คิดว่าถ้าเขาควบคุมร่างกายแล้วอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น ก็อาจมอบอำนาจควบคุมให้พักหนึ่งก็ได้

ฟางหนิงคิดว่าจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือ การไม่เคยสิ้นหวัง ตอนนี้เขาได้แสดงข้อดีในจุดนี้ของตนเองออกมา แล้วมองหาความหวังในอนาคตต่อไป

ผ่านไปไม่นาน ระบบก็ควบคุมร่างกายของฟางหนิงให้ไปอาบน้ำ ฟางหนิงคิดว่าคราวนี้ระบบคงจะปล่อยให้เขาได้นอนหลับพักผ่อนแล้ว บางทีในตอนนั้นระบบอาจคืนร่างให้เขาก็ได้

แต่แล้วแจ้งเตือนก็โผล่ขึ้นมาอีกรอบ “ระบบตัดสินใจจะเก็บตัวฝึกพลัง”

ฟางหนิงรู้สึกทะแม่งๆ ในใจ ตอนนั้นเองก็เห็นว่าระบบเริ่มนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในท่า ‘ห้าจิตสู่ฟ้า’

ฟางหนิงได้แต่บ่นอยู่ในใจว่า “ช่างโหดร้าย” จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีลมปราณอุ่นพุ่งจากท้องน้อย แล้วแบ่งออกเป็นสี่สาย สองสายแพร่ไปยังขาล่างข้างซ้ายและขวา

อีกสองสายแพร่ผ่านหน้าอกและช่องท้อง แล้วพุ่งไปที่แขนซ้ายและขวาตามลำดับ หลังจากแพร่ไปถึงมือและเท้าแล้ว ในที่สุดปราณทั้งสี่สายก็วกมาบรรจบกันที่ท้องน้อยเช่นเดิม ทำแบบนี้อยู่ซ้ำๆ

…………………………………………………….

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วกลับมาถึงห้อง ระบบก็ยังไม่ยอมหยุด

“สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตได้รับการปรับให้เหมาะสมในขั้นต้นแล้ว ดัชนีสุขภาพการอยู่รอดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ระบบเริ่มพิจารณาถึงการดำเนินการต่อไป

ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบตัดสินใจจะไปวิ่งตอนกลางคืน”

‘บัดซบ ฉันยอมแล้ว’ ฟางหนิงยังคิดอยู่เลยว่า ในเมื่อสามารถเลือกบทสนทนาได้ ก็คงจะเหมือนกับเกม พอเล่นไปถึงฉากหนึ่งเดี๋ยวร่างกายก็กลับมา แต่ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

เขาทำได้เพียงจำใจมองร่างกายตัวเองเปลี่ยนเป็นชุดกีฬาท่าทางชำนาญ จากนั้นก็สวมรองเท้าไนกี้ของปลอมคุณภาพสูงและราคาถูกที่เขาซื้อจากเว็บไซต์ออนไลน์ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

พอออกมาก็เจอกับผู้หญิงที่อาศัยใต้ชายคาเดียวกันอีกครั้ง อีกฝ่ายแต่งหน้า ดูแล้วสวยกว่าปกติ แต่ไม่รู้ทำไม ตอนกลางคืนก็ร้อนนะ แต่เสื้อผ้าที่เธอใส่เหมือนจะหนานิดหน่อย ไม่ได้สวมถุงน่อง กระโปรงสั้น หรือเสื้อปาดไหล่ตามปกติ แต่เป็นกางเกงยีนหนาๆ กับเสื้อคลุมสีชมพู

จ้าวอิ๋งก็ประหลาดใจเช่นกัน ผู้ชายที่เมื่อตอนนั้นยังมีสายตาเย็นชา ออกมาตอนเย็นอย่างนี้ทำไม?

เธอแต่งตัวสวยเพราะกำลังจะไปพบกับเพื่อนชาวเน็ตที่เป็นทายาทเศรษฐีที่พูดคุย (จีบ) กันมานาน วันนี้เป็นวันเทศกาลชีซีนี่นา แล้วคนโสดอย่างเขากำลังจะทำอะไรล่ะ?

หลังจากลงมาข้างล่าง เธอก็เข้าใจว่าเจ้าคนโสดคนนี้กำลังจะออกไปวิ่ง

“น่าสงสารจัง ทำได้แค่ระบายด้วยการวิ่ง พอทำตัวสะอาดๆ แล้วเขาก็ดูเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งอยู่นะ แต่ก่อนไม่เห็นรู้เลย ทำไมถึงไม่มีแฟนสักทีนา?” จ้าวอิ๋งยกมุมปากขึ้น เอ่ยเสียดายอยู่สองสามประโยคแล้วเรียกแท็กซี่

ฟางหนิงมองระบบออกกำลังกายอย่างเบื่อหน่าย จนกระทั่งหลังจากจ็อกกิ้งไปครึ่งชั่วโมงเขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนใหม่ของระบบ

“สมรรถภาพร่างกายลดลง เมื่อถึงขีดจำกัดความเหนื่อยล้าจะพักผ่อน ระบบตัดสินใจจะพักผ่อน”

จากนั้นร่างของเขาก็เริ่มเดินช้าลง ฟางหนิงคิดว่า ‘เอาล่ะ แกเริ่มพักแล้ว แบบนี้ก็ควรคืนร่างให้เจ้าของใช่ไหม’

ถึงอย่างนั้นเขากลับต้องผิดหวัง เมื่อพบว่ายังขยับนิ้วก้อยไม่ได้

สิบนาทีต่อมา แจ้งเตือนใหม่ของระบบก็ปรากฏขึ้น “กู้คืนสมรรถภาพ สุขภาพร่างกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ระบบเริ่มพิจารณาถึงการดำเนินการต่อไป…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบตัดสินใจจะไปผดุงคุณธรรม…”

เดี๋ยวนะ ไอ้คุณระบบ นี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ฟางหนิงตะลึงไปพักหนึ่ง ระบบแย่งร่างของเขาไปโดยไม่มีการแนะนำตัวใดๆ ทั้งนั้น

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ระบบที่ครอบครองร่างของเขาอาจเป็นระบบประเภทการต่อสู้ ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ๆ ถึงมีรายการผดุงคุณธรรมนี่ขึ้นมาได้ล่ะ?

ข้อดีคือเมื่อพิจารณาจากการแจ้งเตือนของระบบ ต่อไปตนอาจจะไม่ต้องถูกบังคับให้ทำสิ่งเลวร้ายในอนาคต จนต้องทนทรมานทางศีลธรรมทุกวัน ส่วนข้อเสียคือนอกจากตัวเอก จอมยุทธ์ทุกคนก็เหมือนจะตายเร็วมาก!

อย่างไรก็ตาม ระบบไม่ได้ให้คำอธิบายแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว เขาเดินตรงไปยังที่แห่งหนึ่ง ทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวนั่นทำเอาฟางหนิงเวียนหัว

ระหว่างที่ระบบกำลังเดินทาง ฟางหนิงที่เคยอ่านวิธีการตายของจอมยุทธ์ในนวนิยายต่างๆ ก็กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว ในหัวฉุกคิดบางอย่างได้ทันที

“เดี๋ยวก่อน ระบบ คุณระบบ ถ้าอยากจะผดุงคุณธรรม ฉันก็ขวางคุณไม่ได้ แต่โปรดเปลี่ยนร่างก่อนเถอะ นี่ไม่ใช่สมัยโบราณนะ ที่นี่มีการตรวจสอบเฝ้าระวังอยู่ทุกแห่ง ฉันไม่อยากดังขนาดนั้น ถ้ามีนิ้วทองคำก็ต้องเก็บซ่อนไว้ก่อน นี่คือมาตรฐานข้อแรกของนิยาย ถ้าแสดงตัวมันจะตายเร็วนะ!” ฟางหนิงตะโกนอยู่ในหัว

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีเรื่องให้บ่นอยู่หลายครั้ง แต่ระบบก็ไม่สนใจ แต่ข้อเสนอแนะที่ฟางหนิงเสนอให้ ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

ถึงอย่างไรเมื่อครู่ที่เป็นการสนทนาพูดคุยกับคนอย่างง่ายๆ ระบบก็ขอให้เขาเลือกบทสนทนาเอง เป็นไปได้ว่าเรื่องบางเรื่อง ไอคิวของระบบนี้ก็ยังค่อนข้างต่ำ จำเป็นต้องให้โฮสต์เป็นคนจัดการ

และสิ่งที่ทำให้ฟางหนิงดีใจก็คือ ความคิดของเขาถูกต้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบตอบรับข้อเสนอของเขา

“โฮสต์แนะนำได้ถูกต้อง ระบบกำลังพิจารณา…”

อืม ดูเหมือนว่าระบบยังพอจะฟังรู้เรื่องสินะ ในที่สุดฟางหนิงก็ค้นพบความลับของระบบ นั่นก็คืออีกฝ่ายดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดเป็นอันดับหนึ่ง แต่เขารู้สึกว่าหลักการของ ‘เอาชีวิตรอดเป็นอันดับหนึ่ง’ กับ ‘ผดุงคุณธรรม’ เหมือนจะไปกันคนละทางและขัดแย้งกันอยู่

โชคดีที่เรื่องนี้ไม่อยู่ในขอบเขตความกังวลของเขา ตอนนี้ฟางหนิงรู้แค่ว่าชีวิตที่มืดมิดยังมีแสงสว่างอยู่เล็กน้อยในอนาคต เนื่องจากระบบยินดีรับฟังคำแนะนำ ถ้าอย่างนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่ตนจะได้กลับมาครองร่าง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ความจริงก็ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เขาคิดมากเกินไปแล้ว

“ระบบตัดสินใจแปลงโฉม ระดับการแปลงโฉมปัจจุบันคือ 1” แจ้งเตือนข้อมูลดังเข้ามาในหัวทันที

ตอนนี้ไม่มีกระจกอยู่รอบๆ ฟางหนิงไม่รู้เลยว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร แต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าส่วนสูงกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถรับรู้ได้จากการเปรียบเทียบกับทิวทัศน์โดยรอบ

ระบบทรงพลังมาก บอกจะแปลงโฉมก็แปลงโฉม แม้แต่ส่วนสูงก็ยังเพิ่มได้? ฟางหนิงมองตัวเองเปลี่ยนจากการเป็นเจ้าคนพิการระดับสามที่สูง 168 ซม. ไปเป็นความสูงมาตรฐานของเทพบุตรที่ 180 ซม.

นี่ทำให้เขาอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ ถ้าเขาชิงร่างของตัวเองกลับมาได้ในอนาคต เรื่องแบบนี้จะคงอยู่หรือเปล่านะ?

“การแปลงโฉมเสร็จสิ้น ระบบตัดสินใจผดุงคุณธรรมต่อไป”

ฟางหนิงตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตาของตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยระบบน่ารังเกียจนี้ คิดเสียว่าตนกำลังดูเรื่องสนุกแล้วกัน ดูว่ามันจะผดุงคุณธรรมอย่างไร ขอแค่อย่าทำร้ายร่างกายของตนก็เป็นพอ

อย่างไรก็ตาม ไม่นานระบบก็ทำให้เขาตกตะลึง

หลังจากระบบเปลี่ยนแปลงร่างกายเสร็จสิ้นแล้ว มันก็ควบคุมร่างของเขาแล้วเดินไปยังถนนเส้นเล็กๆ

ทางเดินนี้ไม่มีแม้แต่ไฟถนน ตอนกลางคืนมีเพียงแสงจากที่ไกลๆ เล็กน้อยเท่านั้น มืดสลัวอย่างยิ่ง แต่ฟางหนิงกลับพบว่าสายตาของเขาดีมาก

ดีจนเขาเห็นผู้หญิงรูปร่างผอมเพรียวอยู่ห่างออกไปราวๆ สิบก้าวกำลังตบชายอ้วนข้างหลังเธอด้วยกระเป๋าถือ

“นี่! จะทำอะไรน่ะ? พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก อย่ามือไม้รุ่มร่ามสิ”

“ต้องไปเปิดห้องสิ ได้เจอหน้าเพื่อนในเน็ตทั้งทีนา ถ้าไม่เปิดห้องแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ? ฉันตั้งใจนั่งรถไฟฟ้ามาที่นี่เลยนะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็คืนค่าตั๋วรถไฟฟ้ามาให้ฉันสิ” ชายอ้วนยิ้มกระหยิ่มท่าทางลามก พร้อมกับพยายามกกกอดผู้หญิงคนนั้น

ฟางหนิงเพ่งมองดีๆ ก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนร่วมบ้านคนสวยของเขานี่นา เพิ่งเจอหน้ากันสองครั้ง ความประทับใจก็สลักลึกแล้ว

ส่วนเจ้าอ้วนก็ชวนน่ารังเกียจมาก ผู้หญิงสวยขนาดนี้เป็นดั่งน้ำตาลใกล้มดสำหรับเขา แต่เขายังไม่กล้าพูดอะไรเลย อยู่มานานขนาดนี้กลับยังไม่เคยถามชื่อแซ่ แต่ตอนนี้กลับโดนเจ้าอ้วนจากไหนก็ไม่รู้จีบจนถึงขั้นนัดเจอตัวจริงกันซะแล้ว

คิดดูแล้ว ถ้าเจ้าอ้วนนี่ไม่ใช่พวกหน้าเจอแสงแล้วไปไม่รอด แต่แทนที่ด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเขา ตอนนี้ก็คงจะได้เปิดห้องสำเร็จแล้วใช่ไหมนะ?

ขณะที่ฟางหนิงนึกถึงเรื่องลามกตามความเคยชิน เขาก็พบว่าปากของเขากำลังขยับ

“หยุดนะ กลางวันแสกๆ กลางจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล คุณกลับกล้าฉุดหญิงสาวเช่นนี้ คุณสมควรได้รับโทษ”

ฟางหนิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาสามารถสร้างเสียงของผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดและน่าเกรงขามขนาดนี้ได้

จากนั้นเขาก็ได้สติ ‘บัดซบเอ๊ย นี่มันเสียงระบบชัดๆ! ทำไมคราวนี้ไม่ให้ตัวเลือกจากระบบเล่า?’

ไม่อย่างนั้นละก็ เขาไม่มีทางพูดประโยคนี้เด็ดขาด ตอนนี้เป็นเมืองยามค่ำคืนที่ยากจะมองเห็นแสงจันทร์นะ พูดไปแล้วก็อายชะมัด

เจ้าอ้วนตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีคนทำตัวเบียวขนาดนี้อยู่จริงๆ

พอเขามองดูอีกครั้ง เขาก็ต้องหัวเราะ ดูหน้าตาของฟางหนิงสิ แล้วลองเปรียบเทียบกับเขา เอาแค่รูปร่างก็ด้อยกว่ามากแล้ว เจ้านั่นผอมกว่าเขามาก เหมือนกับผ้าป่านที่โดนลมพัดก็ปลิว

เขาย่อมไม่รู้ว่า นี่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนร่างของฟางหนิง หลังจากความสูงเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันสิบกว่าเซนติเมตรแต่ยังมีน้ำหนักตัวเท่าเดิม เขาย่อมผ่ายผอมลงเป็นธรรมดา

แต่ระบบก็ยังคงพิจารณาถึงกฎวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ทำตัวเหมือนเทพแห่งความตายหรือเด็กนักเรียนตัวน้อยที่จะไม่สนใจกฎการสมดุล แล้วเปลี่ยนขนาดเอาตามใจชอบ เมื่อคุณสูงขึ้นแต่น้ำหนักเท่าเดิม คุณจะยิ่งผอมลง จึงต้องเพิ่มน้ำหนักอีกมากถึงจะพอดี

“ไอ้ผ้าป่าน แกอยากหาเรื่องเหรอ นี่แฟนฉัน เกี่ยวอะไรกับแกไม่ทราบ! กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไปที่ชอบๆ เถอะไป! ฉันน่ะเคยฆ่าคนนะโว้ย!” ในขณะที่พูด เขาก็หยิบมีดผลไม้ออกมาด้วยท่าทางดุร้าย แล้วพุ่งเข้าใส่ฟางหนิงโดยหวังจะแทง

ฟางหนิงหน้าซีด จู่ๆ หัวก็ว่างโล่ง เขาอยากหนี เขาต้องการหันหลังวิ่ง แต่กลับพบว่าตนยังคงควบคุมร่างกายไม่ได้ หรือว่าเขาจะถูกระบบนิ้วทองคำหลอกมาให้ตาย?

แต่วินาทีต่อมา เขาก็รู้ว่าความหวาดกลัวของตนน่าหัวเราะขนาดไหน รวมถึงรู้แล้วว่าต้นขาของระบบหนาแค่ไหน

เขาเห็นเพียงร่างกายของตนอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบ ด้วยความเร็วที่คนทั่วไปแทบจะมองไม่เห็น เขาหลบซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว แล้วตบเข้าไปทางชายอ้วนที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย

จากนั้นฟางหนิงก็เห็นใบหน้าดุร้ายหยุดนิ่ง เจ้าอ้วนยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าอกแล้วล้มลงอย่างช้าๆ แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังเปิดอยู่ ท่าทางนั้นบอกชัดถึงความไม่อยากเชื่อ ตายตาไม่หลับก็คือเขานี่แหละ

ฟางหนิงอึ้งไปพักหนึ่ง ระบบจะโหดเกินไปแล้ว นี่มันลีลาของจอมยุทธ์โบราณเมื่อเห็นความอยุติธรรมจริงๆ ขนาดตอนหลู่ถีเสียออกหมัดต่อยกวานซีก็ยังไม่ง่ายดายขนาดนี้เลย เขาใช้ถึงสามหมัด แต่ระบบนี่ใช้หนึ่งหมัดในเวลาเพียงเสี้ยววิ นิ้วทองคำนี่มันสุดยอด!

จากนั้นเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนจากระบบปรากฏขึ้นในใจ

………………………………………………………

คืนหนึ่งในฤดูร้อน ดาวตกสีแดงจ้าพุ่งผ่านท้องฟ้าทิศตะวันตกในช่วงเทศกาลชีซี

คู่รักหลายคู่มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพากันอธิษฐานอย่างตื่นเต้น แต่เวลานี้ ฟางหนิง หนุ่มโสดตัวคนเดียวที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องเช่าเล็กๆ กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ที่มุมขวาล่างของหน้าจอก็มีหน้าต่างเว็บไซต์น่ารำคาญเด้งขึ้นมาบอกเขาเรื่องนี้ จนทำให้เขาหมดสนุก

‘ตะลึง! ดาวตกเพลิงร่วงลงจากฟ้า คาดไม่ถึงเลยว่าสาเหตุของมันจะเป็นเช่นนี้ ผู้ชายฟังแล้วต้องเงียบ ผู้หญิงได้ยินต้องหลั่งน้ำตา…’

เขาเปิดข่าวดูอย่างไม่ใส่ใจนักพลางเบะปาก ปรากฏการณ์ดาวตกธรรมดาๆ ก็สามารถทำให้เกิดพาดหัวข่าวชุ่ยๆ แบบนี้ได้ด้วย แต่การไล่อ่านความคิดเห็นก็ยังน่าสนใจเช่นเคย

‘ดูสิ ดาวตกเพลิงมาแล้ว’

‘ว้าว นิ้วทองคำของสหายเต๋าคนไหนสักคนใกล้จะมาถึงแล้วเนี่ย รีบออกไปรับเร็ว’

‘เชิญสหายเต๋าทุกท่าน ฉันเพิ่งจะทะลวงระดับล้มเหลว ก็เลยอยากมาพักผ่อนที่โลกก่อน’

ฟางหนิงรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงพิมพ์ความเห็นลงไปบ้าง ‘อย่าเพิ่งตีกันสิ เห็นอยู่ว่านี่เป็นสัญญาณบอกว่าระบบของฉันที่พักผ่อนมายี่สิบแปดปีกำลังจะได้เปิดใช้งานแล้ว’

ทันทีที่เขาพิมพ์ข้อความส่งไป ใต้เท้าก็พลันรู้สึกสะเทือน ฟางหนิงที่ทรงตัวไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว หน้าผากจึงชนเข้ากับโต๊ะคอมพิวเตอร์อย่างจัง

หลังจากนั้น เลือดหยดหนึ่งก็หยดลงบนโน้ตบุ๊กราคาสามพันหยวนของเขา

“บ้าเอ๊ย” ฟางหนิงเห็นควันลอยออกมาจากโน้ตบุ๊ก และหลังจากสบถออกไปตามสัญชาตญาณ เขาก็หมดสติไปในทันที

ฟางหนิงหมดสติไปแล้ว ไม่นานบนหน้าเว็บไซต์ก็มีความคิดเห็นพิเศษหลายข้อความโผล่ขึ้นมา

‘จู่ๆ ฉันก็คายน้ำได้ จะทำยังไงดี แบบนี้จะแสร้งทำเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?’

‘พอดีเลย บนอาคารนั่น จู่ๆ ฉันก็พ่นไฟออกมา ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราไปช่วยเถอะ’

‘ได้ ไปกันเลย’

‘ได้ ไปกันเลย’

‘แม่จ๋า ที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่มันผีรึเปล่า? ขอบอกข่าวร้ายกับทุกคนนะ ฉันเห็นผีด้วยล่ะ จริงๆ นะ ถ้าโกหกขอให้ฉันเห็นผีเลย!’

แต่ในไม่ช้า ข้อความเหล่านี้กลับถูกปิดกั้น ราวกับว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่จริง

ฟางหนิงรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน ในความฝันนั้น เขาได้รับนิ้วทองคำของระบบ จากนั้นก็ออกล่าสังหารไปทั่วทุกที่ และเดินทางไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต

เมื่อเขาตื่นและลืมตาขึ้นมา ก็พบว่ารอยเลือดที่คอมพิวเตอร์จางหายไปแล้ว อาการปวดตรงหน้าผากก็ไม่มีเช่นกัน

“เฮ้อ น่าเสียดายที่เป็นแค่ความฝัน ต้องดูหน่อยว่าคอมพิวเตอร์เสียไหม” เขาคิดพลางยื่นมือไปหาคอมพิวเตอร์

แต่ทันใดนั้นเองฟางหนิงก็ต้องตกใจ ดวงตาเบิกโพลง

ผีหลอก?!

จู่ๆ เขาก็พบว่ามือของตนขยับไม่ได้ พูดให้ถูกคือ เขาขยับไม่ได้เลยทั้งร่าง

‘ฉันกำลังฝัน ฉันต้องยังไม่ตื่นจากฝันแน่ๆ’ ฟางหนิงพยายามสงบสติอารมณ์ เขามีประสบการณ์แบบนี้ และคิดว่าตนกำลังอยู่ในฝันเสมือนจริง จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน

ตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ทันที

“ระบบกำลังเปิดใช้งาน…”

‘ว่าไงนะ ฉันก็มีระบบด้วยเหรอ?!’ ฟางหนิงรู้สึกเบิกบานใจ นี่ต้องไม่ใช่ความฝันแน่ เขาคิดอย่างมีความสุข แต่ครู่ต่อมา เขาก็ต้องหน้าดำคร่ำเครียด

“พบว่าโฮสต์มีอาการป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หาย กำลังวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหา…”

‘อะไรนะ รักษาไม่หาย แต่ฉันตรวจร่างกายทุกปีนะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?’ ฟางหนิงตกใจกับการแจ้งเตือนของระบบ ภาพข่าวหน้าเว็บที่มีชื่อเรียกอาการป่วยระยะสุดท้ายต่างๆ ผุดขึ้นในใจของเขาเป็นชุดๆ

“การวิเคราะห์อาการป่วยระยะสุดท้ายเสร็จสิ้นลง มะเร็งสันหลังยาวกำลังลุกลามขั้นรุนแรง พบว่าไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพื่อความอยู่รอดของระบบ ขณะนี้กำลังดำเนินการครองร่าง…”

‘อะไรนะ ฉันกำลังจะถูกระบบครองร่างเหรอ?’ ฟางหนิงนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเองขี้เกียจไปหน่อย ถ้าผมไม่ยาวจนถึงคาง เขาก็ไม่คิดจะตัดผม ถ้าไม่ถึงขั้นหาชุดสะอาดไม่เจอ เขาก็ไม่คิดจะโยนเสื้อผ้าลงเครื่องซักผ้า รวมถึงถุงเท้า กางเกงใน แจ็กเกตก็เช่นกัน…

“นี่ไม่เรียกว่าขี้เกียจนิดหน่อยแล้ว มันคือขี้เกียจถึงขีดสุดต่างหาก” ฟางหนิงได้ยินระบบพูดกับเขาเบาๆ

เขาโต้กลับสุดชีวิตอยู่ในใจ ‘ถึงจะขีดสุดยังไง ก็ยังไม่เคยออกข่าวในเน็ตเลยนะโว้ย!’

“ปกติก็หล่อดูดีอยู่นะ แต่พอตอนนี้โสด ก็เลยสมองทึบเหรอ?”

“ตะ แต่ว่าคงไม่แย่งชิงร่างกายที่ใช้มายี่สิบกว่าปีของคนอื่นไปจริงๆ หรอกใช่ไหม?”

ฟางหนิงถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากระบบ จนสมองเริ่มสับสน

หลังจบการสนทนา เขาก็พยายามยกมือขึ้นมา แต่พบว่าตนกลับควบคุมมันไม่ได้แล้ว

ไม่นานฟางหนิงก็ค้นพบอีกว่า นอกจากความคิดของเขาในตอนนี้ การได้ยินการเคลื่อนไหว และมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าสมองของเขายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองแล้ว บางที…บางทีอาจจะไม่มีอวัยวะใดที่เขาควบคุมได้อีกแล้ว

ตอนนั้นเอง เสียงใหม่ก็ดังขึ้นในหัวเพื่อประกาศการพิพากษาครั้งสุดท้าย

“ครองร่างเต็มรูปแบบและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ระบบเริ่มพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

‘พิจารณาบ้านแกสิ รีบคืนร่างฉันมาซะ และจงเป็นนิ้วทองคำที่ดี ทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างมีเกียรติก็พอแล้ว อย่าคิดจะมาแย่งร่างฉันไปเด็ดขาด!’ ฟางหนิงสาปแช่งในใจอย่างหนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากด่าออกมา แต่เพราะเขาไม่สามารถควบคุมเส้นเสียงของตัวเองได้ต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ระบบไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เพราะหนึ่งนาทีต่อมา ฟางหนิงก็เห็นร่างกายตัวเองที่ถูกระบบควบคุมอยู่หยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเปลือกผลไม้บนโต๊ะขึ้นมา…อย่างรวดเร็ว

‘แม่เจ้า นี่คือช่วงเก็บกวาดขยะของระบบอย่างนั้นเหรอ’ ฟางหนิงคิดกับตัวเอง

เป็นอย่างที่ฟางหนิงคิดจริงๆ การแจ้งเตือนของระบบเริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา

“ระบบทำความสะอาดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย…”

เมื่อได้รับการแจ้งเตือนเช่นนี้ เขาจึงเฝ้าดูระบบควบคุมร่างกายตนจัดการขยะทั้งหมดในห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งขยะจากอาหารเดลิเวอรี่ พัสดุส่งด่วน และถุงเท้าที่ไม่ได้ซักมาเกือบเดือน…

หลังจากคัดแยกขยะแล้ว ระบบก็บีบจมูกด้วยมือของเขาพลางเปิดกองถุงพลาสติกที่อยู่ใต้เตียงอย่างคุ้นเคย

‘เดี๋ยวนะ ขนาดฉันยังลืมไปแล้วว่าตรงนี้มีถุงพลาสติกอยู่ ระบบนี่มีตามองทะลุหรือยังไง?’ แต่ฟางหนิงกลับไม่เห็นภาพมองทะลุสิ่งของอะไรสักอย่าง มันทำให้เขานึกถึงข้อเท็จจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่า ‘เป็นไปได้ไหมว่าระบบตรวจสอบความทรงจำทั้งหมดของฉันแล้ว?’

ขณะที่ฟางหนิงครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ระบบก็คัดแยกขยะทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกอย่างชำนาญ

สิ่งที่ทำให้ฟางหนิงรู้สึกละอายคือ ปกติขยะของเขาก็ไม่ได้สะดุดตาอะไรนัก กองอยู่ทางนั้นบ้าง กองอยู่ทางนี้บ้าง แต่เมื่อสะสมรวมกันแล้ว กลับมีถุงขยะถึงหกเจ็ดใบ

จากนั้นเขาก็เห็นร่างของตัวเองเปิดประตู เดินลงไปข้างล่างอย่างชำนาญทาง ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ แล้วทิ้งขยะทั้งหมดลงถัง

ไม่เพียงเท่านั้น ระบบยังควบคุมร่างกายของเขาให้ทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ระเบียง และทุกซอกทุกมุมของบ้านเช่าอย่างทั่วถึงด้วย

“หายากนะเนี่ย!” เมื่อระบบควบคุมร่างกายที่ชุ่มเหงื่อของเขาให้ไปอาบน้ำ ห้องข้างๆ เขาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมา

หลังจากได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก สาวสวยคนนี้ก็ออกมาดูเพื่อพบว่าพื้นที่นั้นสะอาดสะอ้าน และฟางหนิงที่มีเหงื่อออกเต็มตัว เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงเอ่ยคำนั้นกับเขาด้วยความตะลึง

ฟางหนิงได้ยินเสียงผู้หญิงน่าฟังคล้ายกำลังพูดถึงเขา พออยากจะหันหน้าไปดู เขาก็พบว่าศีรษะของเขาไม่ยอมขยับ จึงนึกขึ้นได้ว่าร่างกายตนถูกระบบครอบครองไปแล้ว

การไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตามต้องการเป็นความรู้สึกแบบไหน ตอนนี้ฟางหนิงรู้ซึ้งแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกรู้สึกอึดอัดและน่าเห็นใจแค่ไหน

ก่อนหน้านี้เขายังเป็นคนธรรมดาอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็มีระบบตกลงมาจากฟ้า เขายังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของชีวิตและเห็นแสงตะวันเลยนะ แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่างกายของตนเองแล้ว?!

‘นี่มันบ้าอะไรกัน! เวรเอ๊ย!’

ฟางหนิงได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนชีวิตตกอยู่ในความมืดมน ไม่ว่านิ้วทองคำจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายของเขาไม่เป็นของเขาอีก เขาไม่สามารถเพลิดเพลินกับประโยชน์ของนิ้วทองคำได้แล้ว นี่มันต่างกับหินตรงไหนกัน?

ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตยืนยาวไม่เจ็บไม่แก่ทั้งนั้น แต่ราคาที่แลกกลับต้องกลายเป็นหินที่ไม่เน่าไม่เปื่อยเป็นหมื่นปี คิดๆ ดูแล้วคงมีไม่กี่คนหรอกที่จะเลือก และถึงเลือกแล้ว ก็คงไม่มีใครอยู่ได้เป็นร้อยปีโดยไม่เสียใจหรอก

โชคดีที่ฟางหนิงค้นพบในไม่ช้าว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดูเหมือนจะดีกว่าการเป็นหินนิดหน่อย

เพราะเสียงระบบดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

“พบว่ามี NPC กำลังพูดคุยกับโฮสต์ โปรดเลือกบทสนทนา”

“NPC จ้าวอิ๋งพูดกับคุณด้วยความประหลาดใจว่า ‘หายากนะเนี่ย’

“คำตอบของคุณ หนึ่ง: คุณยิ้มชั่วร้าย ‘หายากแค่ไหนเหรอ?’

“สอง: คุณพูดอย่างดูถูก ‘ไม่ใช่เรื่องของเธอ!’

“สาม: คุณแค่หันหน้าไปมองประเมินอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเย็นชา แล้วจากไป ไม่พูดสักคำ”

อยากจะบ้า ข้อแรกเป็นบทขี้เล่นที่มีแต่ตัวเอกของนิยายเท่านั้นที่ทำได้ ข้อสองคือด่าคนแบบไม่มีเหตุผล และข้อที่สามปกติอยู่หน่อย แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าสายตาเย็นชานั่นจะแสดงออกมาอย่างไร? ฟางหนิงพร่ำบ่นไป พร้อมพูดเสียงดังในใจ “ฉันเลือกข้อสาม”

เขากลัวว่าถ้าช้ากว่านี้ ระบบจะคิดว่าเขาขี้เกียจจนกู่ไม่กลับ แล้วไม่ยอมให้ตัวเลือกแบบนี้อีก

จ้าวอิ๋งไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่อยู่ในนิยายจะเป็นความจริง มีคนที่มีแววตาเย็นชาอยู่จริงๆ ผู้ชายใต้ชายคาเดียวกันและแทบจะไม่เคยพูดคุยด้วยคนนั้นหันมามองเธอช้าๆ จากบนลงล่าง เยือกเย็นจนทำเอาเธอรู้สึกหนาวเสียดกระดูก นี่คือฤดูร้อน แต่เธอกลับรู้สึกว่าตอนเย็นไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วล่ะ

แต่การตอบสนองตามสัญชาตญาณของเธอก็คือ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจับภาพนี้

หลังจากทำเสร็จเรียบร้อย เธอก็โพสต์ภาพบนเว่ยป๋อราวกับข้างๆ ไม่มีใครอยู่

‘พวกเธอดูหน่อยสิว่าสายตาเย็นชาเป็นยังไง!’

ฟางหนิงไม่รู้เลยว่า หญิงสาวแสนสวยที่อยู่บ้านเดียวกันคนนี้ทำอะไรต่อหลังจากที่จู่ๆ เธอก็ถ่ายรูปเขาด้วยมือถือของตัวเอง เพราะตามตัวเลือกของระบบ หลังจากที่เขามองไปยังอีกฝ่าย เขาก็หันศีรษะแล้วจากไป ระบบไม่ได้ให้มุมมอง 360 องศากับเขา ก็เลยมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่

แถมระบบก็ไม่ได้โต้ตอบกับ ‘NPC’ คนนี้ต่อด้วย แต่ควบคุมให้เขาไปอาบน้ำแทน

……………………………………………………..

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

Score 10
Status: Completed
จู่ๆ ชีวิตของหนุ่มโอตาคุก็พลิกผัน เมื่อเขาโดนระบบเข้ายึดครองร่างเพื่อออกตามล่าเหล่าปีศาจร้ายที่สร้างความวุ่นวายในเมือง หลังจากนั้นชีวิตที่น่าเบื่อของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Options

not work with dark mode
Reset