เมียพรหมจรรย์ ชุด ภรรยาของมหาเศรษฐีซาตาน 51

ตอนที่ 51

แม้จะตัดพ้อไปแบบนี้แต่คนตัวโตก็ยังไม่หยุดเดิน และนั่นก็ทำให้จันทร์เจ้าขาต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างหนานั้นทางด้านหลังแทน

“อย่าไปเลยนะคะ อย่าไปจากฉันเลย อาจารย์ขา… เจ้าขารักอาจารย์นะ”

ร่างใหญ่เกร็งเครียด หัวใจเหมือนถูกสูบลมใส่จนเต็ม

“เธอ… เธอว่าอะไรนะเจ้าขา…”

เขาหมุนตัวกลับมา และเป็นฝ่ายกอดรัดร่างอรชรเอาไว้เสียเอง สายตาที่ทอดมองมานั้นเต็มไปด้วยความหวังเต็มปรี่

“ได้โปรดบอกฉัน… ได้โปรดบอกฉันอีกครั้งเจ้าขา… บอกให้ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป”

หญิงสาวระบายยิ้มทั้งน้ำตา ยกสองมือนุ่มขึ้นโอบประคองแก้มสากเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ฉันรักอาจารย์ไทเลอร์ค่ะ”

“จริงหรือ”

สีหน้าของไทเลอร์เปลี่ยนจากเจ็บปวดเป็นเปี่ยมสุขทันที

หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นไปจูบปากเซ็กซี่ของผู้ชายตรงหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง

“ฉันรักอาจารย์ค่ะ”

“ขอบใจ… ขอบใจมากเจ้าขา ขอบใจที่ยังอุตส่าห์รักผู้ชายใจร้ายแบบฉันได้”

ไทเลอร์กอดรัดร่างอรชรแน่นหนา พลางซบหน้าลงกับกลุ่มเส้นผมหอมกรุ่นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอม สุขสมเพราะความรักมันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

“ใครจะไปเกลียดอาจารย์หนุ่มสุดหล่ออย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟได้ลงกันล่ะคะ”

“แต่ฉันบีบบังคับให้เธอมายอมขึ้นเตียงด้วยอย่างไร้มนุษยธรรม ฉัน… รู้สึกละอายใจ”

จันทร์เจ้าขาดันตัวช่วงบนออกห่างจากคนตัวโต ขณะที่ส่วนร่างยังคงแนบแน่นชิดสนิทกันอยู่เช่นเดิม

“ใครว่าอาจารย์บังคับฉันล่ะคะ ฉันเต็มใจต่างหาก”

ไทเลอร์เบิกตากว้างจ้องหน้านวลแดงก่ำของภรรยาอย่างเหลือเชื่อ

“จริงหรือ?”

จันทร์เจ้าขาพยักหน้ารับอย่างเอียงอาย

“จริงค่ะ ฉันน่ะหลงรักอาจารย์มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันยังสวมใส่แว่นตาหนาเตอะอยู่เลยค่ะ แต่อาจารย์คงไม่มองฉันหรอก ฉันรู้ตัวดี จนในที่สุดทั้งโชคร้ายและโชคดีก็เข้าข้างฉัน อาจารย์มาเที่ยวที่ผับและขอซื้อฉันไปนอนด้วย ฉันปฏิเสธทั้งๆ ที่รักอาจารย์…”

“ตอนนั้นฉันตั้งใจจะไปจับผิดเธอนั่นแหละ แต่ถูกเธอสาดน้ำใส่หน้า”

เขาอมยิ้มและตั้งหน้าตั้งตาฟังหล่อนเล่าต่อไป

“ตอนแรกฉันไม่คิดว่าอาจารย์จะจำฉันได้ แต่สุดท้ายแล้วอาจารย์ก็จำฉันได้จริงๆ”

“ทำไมฉันจะจำเธอไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเธอคือนักศึกษาสาวที่ฉันแอบมองตั้งแต่เธอเข้ามาเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยของฉัน”

จันทร์เจ้าขาอ้าปากค้างเพราะไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริงเหรอคะ”

ไทเลอร์พยักหน้ารับ ตอนนี้เขาไม่ต้องการจะปิดบังอะไรกับจันทร์เจ้าขาอีกต่อไปแล้ว

“จริงสิ ฉันเฝ้ามองเธอทุกวัน”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ เห็นทำเย็นชาตลอด”

คนตัวโตหัวเราะก่อนจะประคองร่างอรชรให้เดินไปนั่งบนโต๊ะไม้ตัวยาวใต้ร่มไม้

“ถ้าไม่ทำแบบนั้นเธอก็รู้น่ะสิว่าฉันสนใจเธอ”

หญิงสาวหัวเราะบ้าง ก่อนจะพูดออกมาอีก

“แล้วอาจารย์รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงกลับไปทำงานที่ผับนั่นอีกครั้ง ทั้งๆ ที่สัญญากับอาจารย์เอาไว้แล้ว”

“นั่นสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน เห็นเธอบอกว่าฟิลิเซีย แต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าฟิลิเซียทำไม”

จันทร์เจ้าขายิ้มอายๆ ให้กับความซื่อบื้อของตัวเอง

“หลังจากอาจารย์ทำเย็นชากับฉันสองสามวัน ฉันก็เจอฟิลิเซียที่มหา’ลัย ฟิลิเซียบอกฉันว่าเธอได้กลับมาเรียนที่นี่อีก เพราะเธอคืนคู่หมั้นของอาจารย์”

“แล้วเธอก็เชื่อ…”

“ค่ะ ฉันมันโง่มาก ฉันรู้… ฉันขอโทษนะคะอาจารย์ไทเลอร์”

คนตัวโตทำตาดุใส่ จากนั้นก็เค้นเสียงเหี้ยมเกรียมออกมา

“คงต้องขอโทษกันอีกหลายชั่วโมงแหละกว่าฉันจะยกโทษให้น่ะ”

คนฟังแก้มแดงก่ำ รู้ดีว่าคนตัวโตหมายความว่าอะไร

“ที่นี่ไม่ได้นะอาจารย์… แม่อยู่… พ่อก็อยู่…”

“พ่อของเธอนอนหลับ ส่วนแม่ของเธอนั่นไงมาแล้ว…”

จันทร์เจ้าขาหันไปตามสายตาของไทเลอร์ก็เห็นมารดาเดินตรงเข้ามาพอดี หญิงสาวแก้มแดงก่ำเพราะขัดเขิน

“คุณไทเลอร์ เจ้าขา… แม่จะไปตลาดนะ คงจะกลับค่ำๆ นั่นแหละค่ะ”

“ครับ ผมจะดูแลเจ้าขาให้เองครับ”

“เอ่อ แม่คะ… คือว่า…”

จันทร์เจ้าขาเรียกแม่ของตัวเอง ดวงหน้างามแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย

“อย่าดื้อกับคุณไทเลอร์นะเจ้าขา”

“แม่น่ะ…”

หญิงสาวตัดพ้อมารดา เพราะท่าทางท่านจะเอ็นดูไทเลอร์มากกว่าหล่อนเสียแล้ว

จันทราระบายยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากรั้วบ้าน คราวนี้ตรงนี้ก็เหลือแค่หล่อนกับพ่อจอมหื่นตามลำพังอีกแล้ว

“ปละ ปล่อยก่อนค่ะ”

“อย่าขัดคำสั่งของคุณแม่สิจ๊ะเมียจ๋า จำไม่ได้หรือว่าท่านบอกให้เธอเชื่อฟังฉัน”

ปลายจมูกของคนตัวโตระดมเข้าใส่ซอกคอของหล่อนอย่างหิวกระหาย หล่อนดิ้นรนอยู่พักใหญ่ก็ต้องยอมจำนน

“อ๊า… อื้อ… อาจารย์ ตรงนี้เดี๋ยว… คนผ่านมาเห็น”

“งั้นไปห้องของเธอ… ฉันทนไม่ไหวแล้ว อยากกินเธอใจแทบขาดแล้วทูนหัว”

คนฟังหน้าแดงก่ำ แล้วก็อดที่จะตีต้นแขนกำยำของคนที่กำลังอุ้มหล่อนเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไม่ได้

“คนลามก”

“เดี๋ยวจะลามกแบบสุดๆ ในห้องนอน คอยดูสิ…”

หญิงสาวหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข และเมื่อประตูห้องปิดสนิทลง ทั้งหล่อนและเขาก็กระชากเสื้อผ้าออกจากตัวด้วยความรีบร้อน จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่กันอย่างบ้าคลั่ง ไทเลอร์ทั้งดูดทั้งเลียไปทั่วทั้งกายสาว ในขณะที่จันทร์เจ้าขานอนดิ้นพลาดๆ ด้วยความเสียวซ่านปานจะขาดใจ

“อาจารย์ขา…”

“ไทล์… เรียกฉันว่าพี่ไทล์ เมียจ๋า…”

เขาสั่งและเลียไม่หยุด ทั้งปาดทั้งดูดจนบั้นท้ายงามยกร่อนตลอดเวลา

“พี่ไทล์ อย่าหยุดนะคะ อย่าหยุด อ๊า…”

ไทเลอร์หัวเราะอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เดินหน้าปรนนิบัติเมียรักให้เสียวซ่านต่อไปตลอดหลายชั่วโมง

“พี่ไทล์… อ๊า… พี่ไทล์ขา…”

 

ไม่อยากจะเชื่อว่าอาหารเย็นธรรมดาๆ จากฝีมือของหล่อนกับมารดาจะทำให้ไทเลอร์เจริญอาหารได้มากมายขนาดนี้ ดูสิ… พุงยื่นเลยทีเดียว

“เข้าไปในห้องเถอะค่ะ ยุงเยอะนะนั่งตรงนี้”

ไทเลอร์ระบายยิ้มและดึงภรรยาร่างเล็กเข้ามาสวมกอด จับให้หล่อนนั่งซ้อนอยู่บนตัก แนบใบหน้ากับต้นคอด้านหลังของหล่อน ขณะช้อนตาขึ้นมองดวงจันทร์ดวงกลมโตตรงหน้า

“นั่นคือความหมายชื่อของเธอใช่ไหม เจ้าขา…”

คนถูกกอดหัวเราะคิกคัก ก่อนจะตอบรับ

“แม่บอกว่าตอนคลอดฉันออกมา เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงค่ะ แม่กับพ่อก็เลยตั้งชื่อว่าจันทร์เจ้าขาค่ะ ซึ่งก็คล้องกับชื่อของแม่ของฉันด้วย”

“ฉันดีใจจังเลย ที่ได้เป็นเจ้าของพระจันทร์ เธอเป็นของฉันนะเจ้าขา”

น้ำเสียงของไทเลอร์นุ่มนวล อ้อมกอดของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น หล่อนไม่เคยรู้สึกมีความสุขได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย

“ฉันรักคุณจังค่ะ ไทเลอร์”

“บอกให้เรียกพี่ไทล์ไงครับ”

เขาหัวเราะ ดันร่างของหล่อนให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะจับให้หล่อนหันมาเผชิญหน้า

“หัวใจของฉัน เป็นของเธอแล้วนะเจ้าขา อย่าทิ้งขว้างมันเด็ดขาด เพราะถ้าเธอทำแบบนั้น ฉันคงตายทั้งเป็น”

หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา มองเขาด้วยหัวใจทั้งดวง

“เจ้าขาไม่มีทางทำร้ายพี่ไทล์แบบนั้นหรอกค่ะ เจ้าขารักพี่ไทล์มากนะคะ รักสุดหัวใจ ถ้าไม่มีพี่ไทล์เจ้าขาก็เหมือนไม่มีหัวใจค่ะ”

เขาก้มลงจูบให้รางวัลคนปากหวานอย่างดูดดื่มเลยทีเดียว

“หวานจัง…”

คนถูกตะโบมจูบยิ้มอย่างเอียงอาย และรีบร้องขัดขึ้นเมื่อไทเลอร์ทำท่าจะทำมากกว่าจูบ

“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวแม่ออกมาเห็นเข้า”

ไทเลอร์หัวเราะและยอมรับคำทัดทานของหล่อนแต่โดยดี

“งั้นเราไปอาบน้ำกันนะ ฉันอยากอาบน้ำพร้อมๆ กับเมียของตัวเอง”

จันทร์เจ้าขาแก้มแดงขึ้นอีก เพราะยังจำเรื่องราวภายในห้องน้ำที่รัสเซียได้เป็นอย่างดี หล่อนถูกดื่มถูกกินจนแทบสลบคาห้องน้ำเลยทีเดียว

“ห้องน้ำที่นี่ไม่กว้างพอ… เอ่อ จะทำแบบนั้นหรอกค่ะ”

คนตัวโตยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่นัยน์ตาของหล่อน

“เมื่อตอนกลางวันฉันเห็นท่าน้ำอยู่ด้านหลังบ้านของเธอ งั้นเรา…”

“ไม่นะคะ… มันมืดแล้วเจ้าขากลัว”

แม้หล่อนจะส่ายหน้าดิก แต่ไทเลอร์ก็ช้อนตัวหล่อนขึ้นอุ้มและเดินดุ่มๆ ตรงไปยังจุดหมายที่เขาต้องการจนได้

“ความมืดไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเมียจ๋า แต่ความหิวกระหายของฉันต่างหากที่เธอต้องหวาดกลัว”

เขาพูดขึ้นเมื่อวางร่างของหล่อนให้ยืนกับพื้นไม้ที่เป็นท่าน้ำ

“มาอาบน้ำกันนะ”

“ไม่ดีกว่าค่ะ และอีกอย่างเราก็ไม่ได้เตรียมผ้าขนหนูกับสบู่มาด้วยนะคะ”

หล่อนคิดว่าจะรอด แต่คนตัวโตเจ้าเล่ห์กว่าอย่างเห็นได้ชัด

“นู่นไง ฉันเตรียมเอามาวางรอไว้ตั้งแต่ตอนที่เธอเข้าไปทำมื้อเย็นกับแม่ของเธอแล้วล่ะ”

หล่อนมองตามนิ้วแกร่งไป แล้วก็ต้องเป่าลมออกจากปากอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แพ้อีกแล้วนี่เหรอเรา

“คนเจ้าเล่ห์”

ไทเลอร์หัวเราะ และเริ่มลงมือปฏิบัติการ

“มาเร็วๆเลย ฉันจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

“พี่ไทล์หื่นจัง ทำไมไม่อิ่มสักทีล่ะคะ”

เขากระชากหล่อนเข้าไปปลอกเปลือกเสียจนเปลือยเปล่า ร่างกายอวบอัดขาวเนียนหยอกล้อกับแสงจันทร์ทำให้เขาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย

“ไม่มีวันอิ่ม ตลอดชีวิต”

แล้วไม่นานเขาก็ล่อนจ้อนไม่แพ้หล่อน ดีนะที่แถวนี้เป็นที่ดินของหล่อนจึงไม่ค่อยมีใครผ่านนัก ไม่อย่างนั้นหล่อนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“มานี่… หิวจนตาลายแล้ว”

“แต่ว่า…”

คนตัวโตไม่สนใจท่าทางอิดออดอ่อนแรงของเมียสาว เขาดึงร่างอวบอิ่มของเจ้าหล่อนเข้าไปฟัดอย่างเมามัน จูบไซ้ บีบเคล้นด้วยความหิวกระหาย จากนั้นก็ประคองให้ร่างอรชรเดินเคียงคู่กับเขาลงไปในสายน้ำอันเย็นย่ำ

แต่น้ำมันเย็นจริงๆ เหรอ ทำไมหล่อนยังคงร้อนเป็นไฟอย่างนี้ล่ะ

“ฉันรักเธอนะ รักมากที่สุดจันทร์เจ้าขา เธอน่ารัก น่าทะนุถนอม หัวใจของฉันจะเป็นทาสของเธอไปชั่วนิรันดร์”

คำสารภาพรักดังขึ้นซ้ำๆ อีกครั้ง พร้อมๆ กับจูบร้อนๆ ที่ระดมใส่ไปทั่วทั้งซอกคอ หญิงสาวกัดฟันครางแผ่วเบา เสียวสยิวไปทั่วทั้งร่าง ฝ่ามือของไทเลอร์ยังคงสร้างความร้อนระอุให้กับหล่อนได้อย่างมหาศาลเช่นเดิมแม้จะมีสายน้ำเย็นเฉียบโอบล้อมเอาไว้รอบกายก็ตาม

“ขอบคุณมากนะคะ พี่ไทล์… ขอบคุณจริงๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นจากซอกคอของหล่อน จ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมโตที่ระยิบระยับงดงามยิ่งกว่าดวงนภาบนฟากฟ้านิ่งนาน ประกาศให้หล่อนรู้ว่าเขานั้นรักหล่อนมากแค่ไหน

“ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เมียของตัวเองมีความสุข”

“ขอบคุณมากค่ะ… ขอบคุณจริงๆ”

ไทเลอร์ระบายยิ้ม และก้มหน้าต่ำลงมาหาคนที่เกาะเกี่ยวร่างเปลือยแข็งชันของเขาเอาไว้แน่นด้วยนัยน์ตาหิวกระหายแรงกล้า

“ฉันจะพาพ่อของเธอไปรักษาที่รัสเซีย เราจะกลับไปที่นั่น อยู่ที่นั่นด้วยกัน”

“ขอบคุณมากค่ะพี่ไทล์ แต่แม่กับพ่อของเจ้าขาคงไม่ชอบอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตอย่าง Demon’s Palace เท่าไหร่นักหรอกค่ะ พวกท่านชอบความสงบ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาเมียจ๋า ฉันจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ให้กับพวกท่าน ส่วนเธอจะอยู่กับฉันที่ Demon’s Palaceหากคิดถึงอยากไปเยี่ยมเมื่อไหร่ ฉันยินดีจะพาไปทุกเมื่อ ความคิดของฉันยอดเยี่ยมไหมที่รัก”

“วิเศษที่สุดเลยค่ะพี่ไทล์…”

หญิงสาวตอบกลับด้วยความซาบซึ้ง น้ำตาซึม รักผู้ชายตรงหน้าเหลือเกิน

“งั้นคืนนี้ตบรางวัลหนักๆ หน่อยนะครับที่รัก เอาแบบโต้รุ่งจนเช้าเลย”

“แหม… ทุกคืนก็ไม่เห็นเจ้าขาจะได้นอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเลยนี่คะ”

“งั้นยาวถึงเที่ยงวันเลยนะที่รัก”

“โห คนตะกละ”

จันทร์เจ้าขาหัวเราะคิกคักให้กับความหื่นความหิวของสามีตัวโต จากนั้นก็ปล่อยให้เขาระดมจูบ ลูบไล้ และกระแทกกระทั้นเข้าใส่อย่างไม่มีเกี่ยงงอน แถมยังตอบสนองอย่างสุดเหวี่ยงอีกต่างหาก

“โอ้ว… เจ้าขา ทำไมถึงได้ร้อนแรงแบบนี้…”

เสียงร้องคำรามที่เต็มไปด้วยความเสียวกระสัน กลิ่นไอของรักแท้ฟุ้งขจรขจายไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ หัวใจของไทเลอร์ถูกมัดตรึงเสียแล้วด้วยฝีมือของจันทร์เจ้าขาเมียรักนั่นเอง

“ฉันรักเธอ จันทร์เจ้าขา…”

อวสาน

เวลาผ่านไปนานเกือบสามชั่วโมง จันทร์เจ้าขาจึงเปิดประตูออกมา และนั่นก็ทำให้หล่อนรู้ว่าผู้ชายคนนั้นได้เดินจากหล่อนไปแล้วจริงๆ เขาจากไปตามความประสงค์ของหล่อน แต่ทำไมนะ ทำไมหัวใจถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ น้ำตาก็ยังไหลทะลักออกมาอีก

‘ทำไมไม่จำสักทีนะ หัดจำเสียบ้างสิว่าเขาไม่ได้รัก ไทเลอร์ไม่ได้รักเธอ เขามาเพื่อแก้แค้นที่หล่อนทอดทิ้งเขามาโดยไม่ยอมเอ่ยคำลา และเมื่อสมใจแล้วก็เดินจากไป’

แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้อยู่ดี มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง และเดินตามหามารดาของตัวเองไปทั่วทั้งบ้าน ในห้องที่พ่อนอนหลับพักฟื้นอยู่ก็ไม่มี งั้นก็คงอยู่ในห้องครัวนั่นแหละ หญิงสาวก้าวเท้าตรงไปหา และก็พบว่าท่านอยู่ที่นี่จริงๆ

“แม่…”

จันทราที่กำลังนั่งปลอกยอดฟักทองอยู่หันมายิ้มให้กับหล่อน ไม่เหลือร่องรอยความเศร้าเสียใจอะไรให้หล่อนเห็นอีกเลย คนมองอย่างหล่อนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็คิดไปว่าท่านคงจะเก็บซ่อนมันเอาไว้เพราะไม่อยากซ้ำเติมหล่อนนั่นเอง

“แม่… หนูขอโทษ…”

จันทร์เจ้าขาคุกเข่าและคลานเข้าไปหามารดา พร้อมๆ กับยกมือไหว้ น้ำตาไหลพรากออกมาอาบแก้มไม่ยอมหยุด

“หนู… หนูรู้ว่าตัวเองทำตัวไม่ดี หนูขอโทษ…”

จันทราดึงร่างของบุตรสาวเข้ามากอด จากนั้นก็ลูบศีรษะทุยสวยด้วยความเอ็นดู

“แม่ไม่เห็นว่าหนูจะทำอะไรผิดเลยนี่จ๊ะ หนูทำถูกต้องทุกอย่าง”

ผู้เป็นบุตรสาวส่ายหน้า น้ำตาทะลักแล้วทะลักอีก รู้ดีว่าแม่พยายามปลอบใจ

“แม่อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ หนูรู้ตัวดีว่าทำผิดทำเลว หนูมันไม่รักดี ใจง่ายยอมทอดกายให้กับผู้ชายคนนั้นง่ายๆ หนูจะไม่ทำอีกแล้วค่ะแม่”

จันทราดันร่างสั่นเทาของบุตรสาวให้ออกห่างจากตัว และจ้องดวงหน้างดงามของจันทร์เจ้าขาผู้เป็นธิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ

“แม่เข้าใจดีว่าความรักมีอานุภาพยิ่งใหญ่แค่ไหน หนูไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดนะเจ้าขา เชื่อแม่เถอะ”

แม้จะกำลังร้องห่มร้องไห้แต่ก็อดที่จะสะดุดหูกับคำว่า ‘อานุภาพแห่งความรัก’ จนต้องเอ่ยถามซ้ำออกไปด้วยความประหลาดใจ

“แม่คะ แม่หมายถึงอะไรคะ ความรัก ความรักอะไรกันคะ”

ผู้เป็นแม่ระบายยิ้มบางๆ จากนั้นควักมือเรียกใครบางคนให้เดินออกมา และเมื่อร่างของเขาปรากฏคนที่ตกใจสุดขีดก็คือหล่อนนั่นเอง

“อาจารย์ไทเลอร์?!”

เรือนร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทรุดลงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ข้างๆ มารดาของหล่อน ใบหน้าโคตรหล่อของเขาเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ บอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังประหม่าขัดเขินแค่ไหน

“ผู้ชายคนนี้… บอกว่าลูกกับเขาเป็นคู่รักกัน และเขาก็รักลูกมาก”

“รัก?!”

จันทร์เจ้าขาพูดอะไรไม่ออกอีก อึ้ง และจ้องหน้าไทเลอร์ด้วยสายตาตื่นตระหนก

“ใช่… เขาบอกว่ารักลูกสาวของแม่มาก”

“ไม่จริง… มันจะเป็นไปได้ยังไง หนูไม่มีทางเชื่อ”

จันทร์เจ้าขาผุดลุกขึ้น และวิ่งหนีลงเรือนไปทันที

“รีบตามไปสิจ๊ะพ่อลูกเขย เจ้าขางอนไม่เก่งหรอก ง้อนิดหน่อยก็หายแล้ว”

จันทรารีบหันไปบอกไทเลอร์ที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างกาย

“ครับ ผม… จะไปเดี๋ยวนี้ครับ”

ไทเลอร์ลุกขึ้นและรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เขาตัวสูงกว่า ขายาวกว่าจึงไปตามกระชากแขนของจันทร์เจ้าขาได้ทันก่อนที่เจ้าหล่อนจะก้าวออกไปพ้นรั้วบ้าน

“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”

“ไม่ปล่อย จะไม่มีทางปล่อยอีกตลอดชีวิต”

ไทเลอร์ดึงร่างอรชรเข้ามากอดรัดแน่น พลางระดมจูบอย่างต้องการปราบพยศ และมันก็ได้ผลไม่นานสาวน้อยก็ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนนั่นเอง

“อย่า… อย่ามาทำรุ่มร่ามแบบนี้นะ คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้อีกแล้ว”

“ฉันจะทำให้ตัวเองมีสิทธิ์ไปตลอดชีวิตจันทร์เจ้าขา เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จดทะเบียนสมรส”

น้ำเสียงของเขาจริงจังมาก แค่จันทร์เจ้าขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

“นี่คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีก ยังทำให้ฉันเสียใจไม่พออีกหรือไง”

“ฉันต้องการเธอไง ต้องการทั้งตัวและหัวใจของเธอ”

จันทร์เจ้าขาน้ำตาไหลพราก มองเขาด้วยหัวใจที่เจ็บปวดทรมาน

“ได้โปรดอย่าหลอก อย่าทำร้ายกันอีกเลย แค่นี้ฉัน… ฉันก็เจ็บจนไม่อยากจะหายใจต่อไปอีกแล้ว นะคะ ปล่อยให้ฉันเจ็บอยู่เงียบๆ คนเดียวเถอะ”

หล่อนมองเขา วิงวอนเขาอย่างขอความเมตตา หล่อนไม่มีทางเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะรักหล่อน ไม่มีทางเป็นไปได้

“สำหรับเธอ… คำพูดของฉันมันเชื่อไม่ได้เลยหรือไง”

“ฉันเชื่อทุกคำพูดของคุณ โดยเฉพาะคำว่าเกลียดที่คุณพูดมันออกมา”

หล่อนร้องไห้คร่ำครวญและเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง ในขณะที่เขานั้นหมดความอดทนลงเสียแล้ว เขาเขย่าตัวหล่อนแรงๆ จนร่างอรชรโยกไปมา พร้อมกับตวาดลั่น

“แล้วไอ้คำที่ฉันบอกว่ารักเธอล่ะ ทำไม?! ทำไมเธอไม่เชื่อ ไม่ฟังฉันบ้าง ทำไมถึงเอาแต่คิดว่าฉันเกลียดเธอนัก…”

“อาจารย์…”

เขาหน้าแดงก่ำ ดวงตาสีเขียวมรกตเองก็อัดแน่นไปด้วยความทุกข์ทรมาน

“ฉันบอกว่ารักเธอ… ก็อยากให้เธอเข้าใจว่าฉันรักเธอจริงๆ ฉันไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิต แต่คำเดียวที่มันตรงกันข้ามกับความคิดของฉัน และฉันได้พูดมันออกไป นั่นก็คือ… ฉันเกลียดเธอ”

หลังจากเขย่าหล่อนจนหัวโยกหัวคลอน แล้วเขาก็ปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระ ท่าทางของเขายังคงอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อถอยหลังห่างออกไปจากหล่อน

“ฉันห้ามตัวเองเสมอว่าอย่ารักเธอ ห้ามว่าอย่าคิดอะไรกับเธอเกินว่าคู่นอนทั่วไป”

น้ำเสียงของเขานั้นแสนขมขื่นจนหล่อนสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

“แต่ฉันทำได้ที่ไหนกันล่ะ ฉันติดใจเธอ ลุ่มหลงรักเธอจนเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่เห็นหรือไงว่าฉันปล้ำเธอทุกที่ที่มีโอกาส แม้แต่ในห้องเรียน ห้องเก็บของฉันก็ทำ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยมีเซ็กซ์นอกห้องนอนมาก่อนเลยสักครั้ง แต่กับเธอฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามมือไม่ได้ ฉันมีอารมณ์ทุกครั้งที่เห็นเธอ…”

ไทเลอร์ยอมรับอย่างเจ็บปวด

“อาจารย์…”

“ตอนแรกฉันคิดว่าเพราะเธอยังใหม่ ฉันจึงติดใจเธอมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ดังนั้นฉันจึงพยายามนอนกับเธอให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำให้เวลาเบื่อหน่ายมันใกล้เข้ามา แต่เธอรู้ไหม… ยิ่งได้จูบเธอ ยิ่งได้สัมผัสเนื้อตัวของเธอ ฉันก็ยิ่งเต็มไปด้วยความหวงแหน ความเบื่อหน่ายที่ฉันแสนจะต้องการมันไม่โผล่หัวมาให้เห็นสักนิด และนั่นมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกดึงให้ตกลงไปในหลุมแห่งหายนะ…”

เขาหัวเราะแต่นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้ามเป็นที่สุด

“แม้จะอยู่ในเฮือกสุดท้าย แต่ฉันก็ยังไม่ยอมรับความจริงว่าฉันรักเธอเข้าให้แล้ว ฉันยังปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอย่างรุนแรง บ้าคลั่ง ฉันบอกทุกคนรอบตัวว่าเธอไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับฉัน แต่ทุกคนรอบข้างกลับลงความเห็นว่าเธอเป็นยิ่งกว่าสิ่งสำคัญของฉันเสียอีก…”

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมคะ… อาจารย์ถึงได้บอกกับคุณนิคว่าฉันมีค่าแค่นางบำเรอของคุณเท่านั้น”

คิ้วเข้มของไทเลอร์เลิกขึ้นสูง และถามออกมา

“เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ได้ยินหรือ”

จันทร์เจ้าขาพยักหน้ารับ พลางตอบออกมา

“ฉันแอบได้ยินอาจารย์คุยกับคุณนิคในห้องรับแขก และนั่น… ก็ทำให้ฉันทำเย็นชาใส่อาจารย์”

ไทเลอร์แค่นยิ้มเมื่อได้รู้ความจริง

“มันไม่แปลกหรอกที่เธอจะไม่พอใจฉัน”

ไหล่กว้างที่เคยสง่าผ่าเผยตอนนี้ห่อลู่จนผิดหูผิดตา กระนั้นเขาก็ยังฝืนระบายยิ้มให้กับหล่อน

“เอาล่ะ ในเมื่อฉันก็ได้บอกความจริงทุกอย่างไปหมดแล้ว ฉันก็คงต้องกลับไปเสียที”

จันทร์เจ้าขายืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าไทเลอร์ผู้ชายที่พึ่งจะบอกว่ารักหล่อนเมื่อครู่ที่ผ่านมาจะถอดใจกลับไปง่ายๆ แบบนี้

“ขอให้เธอโชคดีนะ”

“อาจารย์…”

ร่างสูงใหญ่หมุนตัวและก้าวเดินจากไปทีละน้อย

“บ้านหลังนี้ฉันซื้อเอาไว้แล้ว และฉันยกมันให้เธอ”

เขายังคงเดินต่อไปอีก ห่างออกไปทุกขณะ น้ำตาของจันทร์เจ้าขาร่วงหล่น หัวใจเหมือนถูกบีบเค้นด้วยอุ้งมือของซาตานเต็มแรง

“อาจารย์…”

“ลาก่อน ฉันจะกลับรัสเซียในคืนนี้”

“ไหนบอกว่ารักฉันไง ถ้ารักฉันทำไมถึงจะจากไปง่ายๆ แบบนี้ล่ะ”

หลังจากตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่แสนอัปยศในตอนเช้าตรู่ จันทร์เจ้าขาก็รีบหนีออกมาจากห้องพักสุดหรูของไทเลอร์กลับมาที่บ้านของตัวเองทันที ตลอดทางที่นั่งรถโดยสารกลับมาบ้าน น้ำตาก็ยังคงนองท่วมใบหน้าเช่นเดิม หล่อนหยุดร้องไม่ได้ หยุดเสียใจกับความจริงทุกอย่างที่ต้องเผชิญหน้าไม่ได้ ไทเลอร์ใจร้ายกับหล่อนมาก เขาใช้ความช่ำชองบีบบังคับให้หล่อนยอมปรนเปรอให้กับเขา และหล่อนก็แสนจะน่ารังเกียจที่ยินยอมพร้อมใจไปกับเขาได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ถูกเขาปล้นจูบเอาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หล่อนมันทั้งแพศยา ทั้งร่านร้อนอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวรีบเงินทอนจากโชเฟอร์รถโดยสาร ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว หล่อนมองไปรอบๆ บ้านอย่างหวาดระแวง หล่อนไม่ต้องการให้มารดามาเห็นสภาพของหล่อนในยามนี้ สภาพของผู้หญิงที่แสนบอบช้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนถูกรุมโทรมมาสาหัสสากรรจ์แค่ไหน จากผู้ชายเพียงคนเดียวนั่นก็คือไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

เขาผู้ทำให้หล่อนร้อนเป็นไฟเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น เขาผู้ที่ทำให้หล่อนยอมอ้าขาให้เสพสมอย่างเต็มใจเพียงแค่เขาตวัดปลายลิ้นลงกับกลีบสาวเท่านั้น น้ำตาแห่งความอดสูประดังประเดไหลลงมาไม่ขาดสาย และหล่อนก็พลาดอย่างแรงที่ร้องไห้จนไม่ทันเห็นร่างของมารดาที่ยืนรออยู่ที่หัวบันได

“ลูกหายไปไหนมาทั้งคืน เจ้าขา”

เสียงเศร้าหมองของมารดาทำให้จันทร์เจ้าขาต้องรีบป้ายน้ำตาทิ้ง และฝืนยิ้ม แต่หล่อนพอจะมองออกว่ามารดาคิดอะไรอยู่ แต่ท่านไม่พูดออกมาเท่านั้นแม่ที่ไม่เคยคิดจะซ้ำเติมลูกไม่ว่าลูกจะทำผิดมากแค่ไหนก็ตาม

“แม่…”

จันทรายิ้มบางๆ และดึงร่างสั่นระริกของบุตรสาวเข้าไปกอดปลอบประโลม

“แม่กับพ่อเป็นห่วงลูกมากนะ”

“หนู… คือว่าหนู…”

หล่อนพูดไม่ออก มองหน้ามารดาทั้งน้ำตา หล่อนไม่อยากโกหกท่าน แต่ก็ไม่อาจจะบอกความจริงออกไปได้เช่นกัน สิ่งที่ทำได้ก็คือนิ่งเงียบเพียงเท่านั้น และดูเหมือนแม่ก็จะเข้าใจหล่อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะไม่ใช่แค่ท่านจะไม่คาดคั้นหาคำตอบจากหล่อนเท่านั้น แต่ท่านยังช่วยแก้ตัวให้กับหล่อนอีกต่างหาก ทุกสิ่งที่แม่ทำลงไป ทำให้หล่อนร้องไห้ไม่หยุด

“คราวหน้าถ้าจะไปค้างบ้านเพื่อนอีก โทรบอกแม่มั่งนะเจ้าขา”

“แม่…”

หล่อนร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด รู้ดีว่าแม่คิดอะไรอยู่

“หนูขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ”

จันทรายกมือขึ้นลูบศีรษะของบุตรสาวเบาๆ และพูดออกมาเสียงนุ่มนวล

“อย่าร้องไห้นะคนดี ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ แล้วจะได้มากินข้าวกินปลากัน แม่ทำกับข้าวที่เจ้าขาชอบรอเอาไว้ด้วยนะ”

หญิงสาวยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ขณะช้อนตาขึ้นมองหน้ามารดาอย่างขอบคุณ

“หนูรักแม่กับพ่อมากนะคะ”

“แม่รู้จ้ะ แม่กับพ่อก็รักหนูมากด้วยเช่นกัน ไปอาบน้ำเถอะ แล้วมากินข้าวกัน แม่รออยู่”

จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ภายในอกเต็มไปด้วยความขมขื่น หล่อนรู้ดีว่าแม่รู้ทุกอย่าง มองออกทุกอย่าง แต่ท่านไม่พูดมันออกมาเท่านั้น

“งั้น… เดี๋ยวหนูมานะคะ”

จันทรายิ้มให้บุตรสาว มองบุตรสาวที่กำลังจะเดินหายเข้าไปในห้องพัก แต่เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านทำให้ต้องหันไปมอง แต่ไม่ใช่แค่จันทราคนเดียวหรอกที่หันไปมอง เพราะจันทร์เจ้าขาที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องอยู่แล้วก็หยุดและหันกลับมามองเช่นกัน

“ใครมากันนะแต่เช้าเลย”

แม่ของหล่อนมองรถสีดำคันงามนั้นด้วยความสงสัย ในขณะที่หล่อนมองมันด้วยความหวาดกลัวและปวดหัวใจ

“อาจารย์ไทเลอร์!”

“อาจารย์… ใครหรือเจ้าขา”

จันทราได้ยินเสียงอุทานของบุตรสาวจึงหันกลับมาถาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดจากลูกสาวเลย เพราะเจ้าหล่อนมัวแต่ยืนนิ่งอ้าปากค้างเติ่งราวกับเห็นมัจจุราช

“เจ้าขา… หนูเป็นอะไรไปน่ะลูก เจ้าขา”

“ปละ เปล่าแม่… เปล่าค่ะ”

หญิงสาวได้สติเมื่อถูกมารดาเขย่าตัว และความหวาดกลัวก็แล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจ เขาก้าวลงมาจากรถแล้วด้วยท่าทางเหี้ยมโหดอำมหิต จันทร์เจ้าขาตัวสั่น และละล่ำละลักบอกมารดาของตัวเองด้วยความตื่นตกใจ

“แม่… อย่าบอกนะว่าหนูกลับมาแล้ว อย่าบอกนะแม่…”

“เจ้าขา… นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าขา…”

จันทราร้องเรียกบุตรสาวแต่ก็ไม่ทันการแล้วเมื่อเจ้าหล่อนรีบกระโจนหายเข้าไปในห้องนอน เสียงลั่นกลอนประตูทำให้ผู้เป็นแม่อย่างหล่อนแสนจะประหลาดใจ ทำไมจันทร์เจ้าขาจะต้องแสดงท่าทางหวาดกลัวผู้ชายที่กำลังเดินขึ้นบันไดมากมายขนาดนี้นะ เพราะอะไร

“สวัสดีครับ ผมมาหาจันทร์เจ้าขา”

ไทเลอร์กล่าวทักทายสตรีตรงหน้าที่เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร

แม้จะแปลกใจที่ฝรั่งตัวโตสามารถพูดภาษาไทยได้ถึงมันจะแปร่งๆ เพี้ยนๆ ก็ตาม แต่กระนั้นก็ยังอดประหม่าไม่ได้

“เอ่อ คือว่าเจ้าขา… ยังไม่กลับมาเลยจ้ะพ่อหนุ่ม”

ไทเลอร์ระบายยิ้มอย่างรู้ทัน ขณะปรายตาไปยังประตูห้องนอนที่จันทร์เจ้าขาวิ่งหายเข้าไป เขามั่นใจว่าตอนนี้เจ้าหล่อนจะต้องยืนแนบหูอยู่กับบานประตูระยำนั่นแหละ คงคิดสินะว่าเขาจะกลับไปเพียงเพราะว่าเขาสื่อสารกับแม่ของหล่อนไม่ได้ แต่เสียใจอย่างสุดซึ้งเพราะภาษาที่ห้าที่เขาสามารถฟังและพูดได้แม้ว่าจะเล็กน้อยที่สุดในสี่ภาษาก่อนหน้านี้ก็คือภาษาไทยนั่นเอง

“หรือครับ”

“เอ่อ ใช่จ้ะ”

“งั้น… ผมก็ฝากบอกลูกสาวของคุณน้าด้วยนะครับ ฝากบอกเธอว่าเมื่อคืน… เธอลืมกางเกงชั้นในเอาไว้ที่ห้องของผม ตอนนี้ผมให้แม่บ้านนำไปซักให้แล้ว อย่าลืมให้เธอไปเอาคืนด้วยนะครับ”

ไม่ใช่แค่จันทราคนเดียวหรอกที่แทบล้มลมจับ แต่จันทร์เจ้าขาที่แอบตะแคงหูฟังการสนทนาอยู่ภายในห้องก็หน้าแดงซ่านแทบมุดดินหนีเช่นกัน หล่อนอุตส่าห์คิดว่าเขาจะกลับไปหลังจากที่แม่ของหล่อนฟังภาษาของเขาไม่เข้าใจ แต่ผิดคาด… ไทเลอร์พูดภาษาไทยได้ นี่เขาจะทำทุกอย่างในโลกได้เพียงแค่นึกเลยใช่ไหม หญิงสาวคิดอย่างเจ็บใจ และก็กัดปากแน่นยืนตัวเกร็งอยู่ภายในห้องนอน

“เอ่อ… พ่อหนุ่ม… คงพูดเล่นใช่ไหมจ๊ะ”

ไทเลอร์หัวเราะและจงใจพูดเสียงดังให้คนในห้องได้ยิน

“เมื่อคืนลูกสาวของคุณน้าอยู่กับผมทั้งคืน เราสนุกกันจน… ลูกสาวของคุณน้าลืมใส่กางเกงในกลับบ้านน่ะครับ”

จันทราอึ้งไปพูดไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอ้าปากค้าง

“นี่พ่อหนุ่มพูดจริงเหรอ”

“ไม่จริงค่ะ หนู… หนูไม่ได้เป็นอะไรกับผู้ชายคนนี้!”

ในที่สุดก็ต้องเปิดประตูออกมา เพราะถ้ายังคงหลบอยู่ด้านใน ไทเลอร์ก็คงประจานหล่อนกับแม่ของหล่อนจนหมดเปลือกแน่ เขามันไอ้ตัวร้าย ที่หล่อนไม่ควรตกหลุมรักเลยแม้แต่นิดเดียว

“อ้าว… ออกมาแล้วเหรอจ๊ะเมียจ๋า”

“ฉันไม่ใช่เมียใคร”

ไทเลอร์หัวเราะ ขณะกวาดตามองร่างอรชรที่สั่นเทิ้มไปด้วยความขุ่นเคืองด้วยสายตาหิวกระหายมากเช่นเดิม

“แล้วสิ่งที่เราทำกันเมื่อคืน และที่รัสเซียล่ะ เรียกว่าอะไร”

“หยุดพูดนะคนบ้า ไปให้พ้นหน้าฉันนะ!”

ด้วยความโกรธทำให้จันทร์เจ้าขากระโจนมาหยุดตรงหน้าเขาอย่างลืมตัว มองเขาด้วยความเจ็บใจเป็นที่สุด

“อย่ามายุ่งกับครอบครัวฉันอีก”

“กล้าไล่ฉันหรือ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อคืนเราแลกเปลี่ยนอะไรกัน”

จันทร์เจ้าขาหน้าซีดเผือด หันไปมองมารดาด้วยสายตาตื่นตระหนก แม่จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแม่คงเสียใจมากแน่ๆ กับพฤติกรรมสิ้นคิดของหล่อน

“อย่า… อย่าพูดนะ”

ไทเลอร์แค่นยิ้ม ก้มลงจนปลายจมูกแทบชิดกับแก้มนวล

จันทร์เจ้าขารีบผลักไส แต่เขาก็กอดรัดเอวหล่อนเอาไว้แน่น

“อย่าสะดีดสะดิ้งไปหน่อยเลย มันอาชีพของเธอไม่ใช่หรือ ขายตัวแลกกับสิ่งที่ต้องการน่ะ”

“เจ้าขา… นี่ลูก…”

จันทราอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง มองบุตรสาวทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งจากไปทันที

“แม่… แม่คะ ฟังหนูก่อน”

จันทร์เจ้าขาร้องเรียกมารดา แต่ท่านก็วิ่งหายไปแล้ว เพราะไทเลอร์เลยคนเดียว

“คนสารเลว!”

มือเล็กตวัดลงบนใบหน้าหล่อลากไส้ของไทเลอร์เต็มแรง ก่อนจะตวาดไล่เขาลั่น ให้หล่อนขาดใจตายคาความอัปยศยังดีเสียกว่าให้แม่ของหล่อนต้องมาเจ็บช้ำแบบนี้

“ออกไปจากชีวิตของฉันนะ ไปให้พ้น!”

ไทเลอร์อึ้งไปพักใหญ่ หน้าก็ยังชาดิกเพราะมือเล็กๆ ไม่จาง ขณะจ้องน้ำตาของสองแม่ลูกด้วยความคาดไม่ถึง เขาไม่คิดว่าคำพูดของตัวเองจะสร้างความเสียใจให้กับทั้งสองคนถึงขนาดนี้ จันทร์เจ้าขาเคยร้องไห้ให้เขาเห็นหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยเห็นครั้งไหนที่หล่อนมีท่าทางเจ็บเจียนตายแบบนี้เลย หรือว่าเขาทำผิดไปจริงๆ

“เจ้าขา คือว่าฉัน…”

“ไสหัวไปเลยนะ กลับรัสเซียไปเลย ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณอีกต่อไปแล้ว!”

สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกเขาเปลี่ยนเป็นห่างเหินเหมือนคนไม่รู้จักกันจนคนฟังอย่างเขาแสนจะหวาดหวั่นใจ แต่กระนั้นเขาก็ยังคิดว่าเงินจะสามารถบีบบังคับจันทร์เจ้าขาให้กับมาอยู่กับตัวเองได้อีก ซึ่งมันก็ผิดคาดระเนระนาดมากมายเหลือเกิน

“ถ้าเธอไล่ฉันกลับไป เธอก็จะไม่มีสิทธิ์อยู่ที่บ้านหลังนี้อีก”

คิดว่าหล่อนจะวิงวอนเหมือนเมื่อคืน แต่ก็ผิดคาดไปถนัดตา เพราะเจ้าหล่อนหันขวับมามองเขาด้วยสายตาที่ทั้งเจ็บแค้นและเจ็บปวด

“ครอบครัวของฉันจะไปจากที่นี่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณบังคับฉันไม่ได้อีกแล้ว”

และก็เหมือนว่าฟางอารมณ์เส้นสุดท้ายของจันทร์เจ้าขาจะขาดสะบั้นลงเสียแล้ว หล่อนเม้มปากแน่น จากนั้นก็จ้องหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่าจนคนถูกจ้องมองหัวใจกระตุก ใจคอไม่ดี กลัวว่าหล่อนจะจากไปอีกครั้งจริงๆ

“เจ้าขา… คือว่าฉัน… ฉันอธิบายได้… ฉัน…”

“เราจะไม่รู้จักกันอีก นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”

“อย่าพูดบ้าๆ น่า เธอจะต้องกลับไปรัสเซียกับฉันต่างหาก ไม่มีทางเดินจากฉันไปได้อีกแล้ว”

จันทร์เจ้าขาเจ็บจนหัวใจสะท้าน น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มนวลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ฉันจะไม่มีวันกลับไปอยู่ในนรกกับคุณอีก จำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ ฉันเกลียดคุณ! เกลียดคุณที่สุดในโลก ถ้าจะลากฉันกลับไปรัสเซีย คุณก็จะได้แค่ร่างกายที่ไร้วิญญาณของฉันเท่านั้น”

แล้วเจ้าของคำพูดเย็นชาและสายตาว่างเปล่านั้นก็วิ่งหายเข้าไปในห้องนอนที่หล่อนพึ่งก้าวออกมาทันที เสียงปิดประตูลงกลอนดังขึ้น เขย่าหัวใจกระด้างของเขาให้เต้นสะท้านรุนแรง เขากระโจนไปหยุดที่หน้าห้องนั้น และเคาะเรียกเจ้าของห้องอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้าขา ออกมานะ ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ฉันไม่มีทางกลับไปรัสเซีย ถ้าเธอไม่กลับไปกับฉัน ออกมาสิ อย่าให้ฉันต้องพังไอ้ประตูระยำนี้เข้าไปนะ”

“ถ้าคุณพังประตูเข้ามา ฉันจะฆ่าตัวตาย”

“จันทร์เจ้าขา…”

เป็นครั้งแรกที่ไทเลอร์สามารถให้ความหวาดกลัวสามารถเข้ามาทำร้ายหัวใจของเขาได้ นี่เขาจะต้องสูญเสียจันทร์เจ้าขาไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ หล่อนเกลียดเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ ความเจ็บปวดสาดซัดเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ปรานี สุดท้ายก็ไม่สามารถทนฝืนยืนต่อไปได้อีก ร่างสูงใหญ่ทรุดฮวบคุกเข่าลงกับพื้น ความเจ็บปวดบีบคั้นจนร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะต้องมาพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่คิดว่าไร้พิษสงอย่างจันทร์เจ้าขา ทั้งๆ ที่คิดว่าจะมาล้างแค้น แต่สุดท้ายกลับถูกหล่อนต่อยกลับจนหน้าหงาย ตอนนี้รู้ซึ้งแล้วว่าขาดหล่อนไม่ได้ ขาดจันทร์เจ้าขาไม่ได้แล้วจริงๆ

‘นี่ฉันคงรักเธอเข้าแล้วจริงๆ สินะจันทร์เจ้าขา’

และก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหลือความอดทนใดๆ อีกแล้ว เพราะสิ้นประโยคนั้นแล้วพ่อเจ้าประคุณก็สอดใส่เข้าหาอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง ถอนถอยออกไปจนหมดทั้งตัว และสอดเสียบเข้ามาหาใหม่อย่างสุดกำลัง เติมเต็มเข้าไปในช่องทางรักอย่างลึกซึ้ง ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลีบสาวอ่อนนุ่มบอบช้ำ แต่หล่อนก็หาได้รู้สึกเจ็บปวดไม่ เพราะตอนนี้หล่อนกำลังร้องครางให้กับความเสียวซ่านที่เกิดจากการสอดใส่ที่ไม่บันยะบันยังของเขาต่างหาก หล่อนกรีดร้องด้วยเสียงแหบพร่า สุขสมเป็นครั้งที่สามในเวลาต่อมาอย่างง่ายดาย

“อาจารย์… โอ้ว…”

ร่างบางเกร็งกระตุกซ้ำอีกครั้ง กล้ามเนื้อสาวที่คับแน่นบีบรัดอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น จังหวะการตอดรัดถี่ระรัวจนในที่สุดเขาก็ไม่อาจจะทานทนต่อความเสียวซ่านจากการรัดตัวของกลีบสาวได้อีก ในที่สุด… ในที่สุดเขาก็แตกระเบิด ระส่ำระสายออกมาอย่างรุนแรง รุนแรงที่สุดในชีวิต

“โอ้ว… อ๊า… วิเศษเหลือเกิน”

คนตัวโตร้องคำรามลั่นพร้อมๆ กับแรงกระแทกสุดแรงเกิดครั้งสุดท้าย เนื้อตัวหนุ่มเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง หล่อนเห็นเขาแหงนเงยใบหน้าไปด้านหลัง เส้นเอ็นตามลำคอ ต้นแขนปูดเบ่งจนแทบปริ แล้วเขาก็ซบลงมาหาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเมื่อฉีดพ่นสายพันธุ์สวาทเข้าใส่กายสาวของหล่อนจนหมดทุกหยาดหยด

ความอ่อนหวานของอารมณ์ในยามนี้ทำให้หล่อนเลือกที่จะลืมความจริงทุกอย่าง โอบรัดร่างเปลือยชื้นเหงื่อที่ทาบทับอยู่บนกายสาวเอาไว้แน่น พลางจูบเส้นผมนุ่มยุ่งเหยิงของเขาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหา

“อาจารย์…”

คนโตตัวใช้แขนกำยำข้างหนึ่งยันกับที่นอนนุ่มเอาไว้ จากนั้นก็ชะโงกอยู่เหนือกายสาวของหล่อนในลักษณะที่ยังไม่ถอนถอยห่างไปไหน ความแข็งชันของเขายังคงเต้นตุบตับอยู่ในช่องรักคับแน่นของหล่อนเหมือนเดิม

เขายังคงเงียบ ขณะใช้สายตาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของหล่อน ก่อนจะละเรื่อยลงไปตามลำคอ บ่าเนียน ก่อนจะมาหยุดที่นิ่งที่ก้อนเนื้อคู่แฝดเนิ่นนาน ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าของร่างอย่างหล่อนสะเทิ้นสะท้านด้วยความเขินอาย

“เอ่อ…”

“จากเซ็กซ์เมื่อกี้นี้ ทำให้ฉันรู้ว่าเธอเองก็หิวกระหายฉันมากเช่นกัน”

คนฟังหน้าแดงก่ำ และเริ่มรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้น ความจริงที่อยากจะลืมเลือนไปสักพักก็ดันวิ่งกลับมาหาเร็วกว่าเวลาที่ต้องการซะงั้น

“คือ…”

“ดังนั้นเราจะสนุกกันยันเช้า จากนั้นเธอจึงจะสามารถกลับไปได้”

ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว เพราะคำพูดของคนตัวโตที่ยังฝังแก่นกายใหญ่โตอยู่ในร่างของหล่อนนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความพึงพอใจอะไรให้รู้เลย มีแค่หล่อนคนเดียวเท่านั้นและที่ทั้งตื่นเต้น ต้องการ และโหยหาผู้ชายคนนี้ เขาก็แค่… ต้องการเอาชนะหล่อนเท่านั้น จากความสุขก็แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ระบมขึ้นมาในทันที

“ฉัน… จะกลับแล้ว”

ตอบกลับอย่างน้อยใจ และใช้สองมือดันแผงอกเอาไว้แน่น จากนั้นก็พยายามจะผลักไสให้เขาหลุดออกจากกาย แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นรน สะโพกงามก็ยิ่งถูกมัดตรึงเอาไว้มากเท่านั้น เพราะไม่ใช่แค่เขาไม่ยอมถอนถอยออกไปไหนเท่านั้น แต่เขายังขยับ… ขยับเข้าใส่หล่อนอย่างต่อเนื่องเสียอีก

“อ๊า… ออกไป… อู๊ย… ออกไปนะ”

อยากจะผลักไสแต่ไอ้ความเสียวซ่านก็ไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ แค่เขาขยับความแข็งชันใหญ่โตเท่านั้น หล่อนก็ร้อนเป็นไฟขึ้นมาอีก เสียวกระสันจนไม่สามารถกักเก็บเสียงครางเอาไว้ได้ เขาระบายยิ้มอย่างผู้ชนะรดหน้าของหล่อนทันที

“ยังอยากจะกลับอีกหรือเปล่า”

เหมือนเขาจะจงใจกระแทกกระทั้นใส่เร็วขึ้นแรงขึ้น สลับกับการใช้นิ้วแกร่งบี้ขยี้ปลายถันอย่างต้องการปลุกเร้าให้หล่อนร้อนเป็นไฟ นี่เขาจะรู้ไหมว่าเขาไม่ต้องทำแบบนี้ หล่อนก็ร้อนเป็นไฟจนอะไรก็ดับไม่ได้อยู่แล้ว นอกจาก… นอกจากความเดือดพล่านของเขาเท่านั้น

“อ๊ะ… อาจารย์…”

“ตอบมาสิ…”

เขากระแทกกระแทกแล้วก็กระแทกเข้าใส่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหญิงสาวครางไม่เป็นเสียงคนเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็ก้มลงดูดอมเม็ดทรวงและโรมรันมันด้วยปลายลิ้นในอุ้งปาก หล่อนกรีดร้องลั่นเพราะใกล้จะขาดใจตายคาปาก คามือของเขาอยู่แล้ว

“อาจารย์… อาจารย์ขา… อย่าหยุด อย่าหยุดค่ะ ฉัน… ฉันต้องการ…”

คนตัวโตหัวเราะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็จัดการส่งแม่สาวน้อยคนสวยขึ้นสวรรค์เป็นคนแรกในยกที่สองอย่างสวยงาม เจ้าหล่อนกรีดร้อง เกร็งกระตุก และจิกทึ้งแผ่นหลังของเขาจนเป็นเลือดซิบตามแรงอารมณ์

“สุดยอด… วิเศษมาก”

ไทเลอร์คำรามลั่น บุกเบิกร่องรักด้วยความใหญ่โตยาวนานและหนักหน่วง เขาพยายามจะยื้อทุกอย่างให้ยาวนานมากกว่าครั้งแรก ต้องการจะทำให้จันทร์เจ้าขาติดใจในรสรักของเขาและไม่สามารถเดินจากไปไหนได้อีก แต่เจ้าหล่อนก็คับแน่นเกินไป กลีบสาวรัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก และสุดท้ายเขาก็แตกระส่ำออกมาอย่างรุนแรง ซ้ำๆ กันหลายต่อหลายครั้งในร่องสวาทคับแน่น

“โอ้ว… เธอทำให้ฉันได้ขึ้นสวรรค์อีกแล้ว เจ้าขา…”

เขากระตุกเกร็งอยู่เหนือกายสาวซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งก่อนจะซบลงมาหา แต่ก็ยังไม่ถอนถอยออกไปเช่นเดิม นี่หล่อนอยากจะรู้นักว่าทำไมเขาถึงได้แรงดีแบบนี้ แต่ละครั้งเขาก็ซัดใส่หล่อนอย่างสุดแรง แต่พ่อเจ้าประคุณก็แค่หอบหายใจกระชั้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เห็นแสดงท่าทางเหน็ดเหนื่อยอะไรออกมา หรือว่าเขากินยาปลุกเซ็กซ์มานะ ถึงได้มีความต้องการมากมายแบบนี้

“ฉันยังไม่อิ่ม…”

สาวน้อยที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงหน้าแดงซ่านด้วยความขัดเขิน ตอนนี้ไร้แรงต้านทานที่จะไปขัดขืนหรือทัดทานอะไรเขาได้อีก ได้แต่ปล่อย… ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามอำเภอใจต่อไปจนกว่าเขาจะอิ่ม จะหนำใจเท่านั้นเอง

“ฉัน… จะกินเธอทั้งคืน เพื่อชดเชยวันเวลาที่เธอจากฉันมา”

“อาจารย์…”

เขาจับร่างของหล่อนให้พลิกคว่ำหน้าลงกับที่นอน และดึงบั้นท้ายอวบให้ลอยสูงขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปตวัดลิ้นเสียกลีบสาวอวบอย่างห้ามใจไม่ไหว ปาดเลียด้วยความกระหายที่ไม่เคยอิ่ม จนเจ้าของร่างต้องกรีดร้องและส่ายบั้นท้ายระริก

“อ๊า… อาจารย์…”

ไทเลอร์ดื่มกินจนสาแก่ใจ ก่อนจะผลักดันความเป็นชายที่ไม่เคยหยุดตื่นตัวเข้าไปในร่องรักทางด้านหลัง เจ้าหล่อนหยัดบั้นท้ายรับอย่างกระตือรือร้น

“โอ้ว… สุดยอดเมียจ๋า”

แล้วพ่อเจ้าประคุณก็กระแทกแล้วก็กระแทกเข้าใส่อย่างเมามัน ป่าเถื่อน บ้าคลั่งที่สุดในชีวิต ปากก็คำรามลั่นด้วยความเสียวซ่านที่สาดซัดเข้าใส่แก่นกาย

“ฉันรู้ว่าเธอจะวิเศษแบบนี้… เจ้าขา… วิเศษมาก”

ไทเลอร์ระเบิดความต้องการมากล้นเข้าใส่บั้นท้ายงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาต้องคำรามลั่นเพราะความเสียวกระสัน แต่เขาจะไม่หยุด จะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะหมดแรงนั่นแหละ เขาต้องการจันทร์เจ้าขา ต้องการหล่อนเหลือเกิน และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้เดินหายไปจากชีวิตของเขาได้อีก

เขาทุกข์ทรมานมานานเกินพอแล้ว!

“อู๊ย… อาจารย์… อาจารย์ขา…”

และนี่ก็คือคำพูดประโยคเดียวที่หล่อนพูดมันซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งค่ำคืน

หล่อนบอกเขาเสียงสั่น และค่อยๆ ยกมือขึ้นปลดกระดุมพยายามถ่วงเวลาอย่างสุดความสามารถ แต่เขาก็รู้ทันซะงั้น

“ถ้าภายในหนึ่งนาทีเธอยังปลดกระดุมเสื้อไม่หมดล่ะก็ ฉันจะเป็นคนฉีกไอ้เสื้อสวยๆ ของเธอทิ้งด้วยมือของฉันเอง”

น้ำเสียงจริงจัง ทำให้มือของจันทร์เจ้าขาทำงานได้ว่องไวขึ้น จนสุดท้ายสาบเสื้อก็แยกออกจากกัน เต้างามอวบเนียนที่มีบราเซียตัวน้อยห่อหุ้มเอาไว้วับแวมแก่สายตา

ร่างกายของไทเลอร์มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ความเป็นชายแข็งชันขึ้นอย่างรุนแรง ความหิวกระหายผุดพรายขึ้นมาทดแทนความคลั่งแค้นอย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจันทร์เจ้าขาจะยังมีอิทธิพลต่อร่างกายของเขาได้มากมายเพียงนี้ ดูสิ… แค่เห็นเพียงร่องอกอวบเท่านั้น เขาก็แข็งเป็นท่อนเหล็กลนไฟเสียแล้ว

“ถอดเสื้อและบราเซียร์ออก”

“ถะ ถอดเลยเหรอคะ”

“อย่าโอ้เอ้ หรือว่าอยากให้ฉันเปลี่ยนใจ”

แก้มนวลแดงก่ำจนแทบไหม้ด้วยความอับอาย แต่สุดท้ายก็จำต้องทำตามคำสั่งแสนเอาแต่ใจของคนตัวโตที่ตอนนี้นอนผิวปากมองหล่อนเปลื้องผ้าอยู่บนเตียงอย่างอารมณ์ดีจนได้ ไม่นานทั้งเสื้อและบราเซียก็หลุดไปจากกาย เต้างามของหล่อนสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศชั้นดีได้อย่างชัดเจน มันสะท้านและเหน็บหนาวจนต้องยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้ แต่พอได้เห็นสายตาคมกริบสีเขียววาบวับที่จ้องมองมาเท่านั้น ความหนาวยะเยือกก็จางหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เพียงความร้อนฉ่า เดือดพล่านที่เต้นตอดตุบตับอยู่ในซอกขาเพียงเท่านั้น

หล่อนยังคงต้านทานไทเลอร์ไม่ได้เช่นเดิม…

จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเพลียหัวใจ ก้มหน้าหลบสายตาของเขาด้วยความอดสูเป็นที่สุด

“พอใจแล้วใช่ไหมคะ”

“ยัง… ถอดกางเกงด้วย พร้อมด้วยแพนตี้”

คราวนี้ดวงหน้างามถอดสีมากยิ่งขึ้น มันขาวราวกับกระดาษดีๆ นี่เอง

“คนบ้า… ถ้าจะทำอะไรฉันก็ทำเลยนะ อย่าทำลายศักดิ์ศรีกันแบบนี้เลย”

“จะถอดหรือไม่ถอด ถ้าไม่ถอดก็กลับไปซะ”

จันทร์เจ้าขากัดปากแน่น น้ำตาที่เช็ดแห้งไปแล้วไหลซึมขอบตา

“ฉันจะไม่มีทางให้อภัยอาจารย์อีก”

“นั่นมันก็เรื่องของเธอ เพราะฉันไม่เคยต้องการความรู้สึกอะไรจากเธอเลย”

เขาแสยะยิ้ม ไหวไหล่อย่างไม่แยแสต่อความอัปยศอดสูของหล่อนอีกเช่นเคย จันทร์เจ้าขาน้ำตาไหลออกมาอีกอย่างสุดจะกลั้น ค่อยๆ บรรจงถอดกางเกงของตัวเองออกไปจากตัว หัวใจแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่หล่อนเฝ้ารักเฝ้าบูชาจะทำให้หล่อนเจ็บปวดทุกข์ระบมได้มากล้นถึงขนาดนี้ เขาเหยียบย่ำหล่อนด้วยฝ่าเท้า ก่อนจะเตะหล่อนโด่งให้ออกไปนอกโลกอย่างใจดำ อำมหิต เมื่อไหร่นะหล่อนถึงจะหยุดรักผู้ชายคนนี้ได้สักที

“แพนตี้ด้วย”

หญิงสาวจำใจต้องเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดตัวจ้อยให้ร่วงลงไปตามเรียวขาสลักเสลา จากนั้นก็เปิดเปลือยความเปราะบางให้ผู้ชายตรงหน้าได้โจมตีอย่างไร้ทางต่อสู้

“พอใจแล้วใช่ไหมคะ”

ความอัปยศอดสูทำให้หล่อนเสียงสั่นเครือ

คนตัวโตระบายยิ้มบางๆ ขณะจ้องมองหล่อนไม่ละสายตา

“เดินมาใกล้ๆ ฉัน มาเร็วสิ”

ไทเลอร์ขยับลุกขึ้นนั่ง พร้อมเอื้อมมือมาดึงร่างอรชรเข้าไปกอดรัดแน่น ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบลงกับซอกอกอวบที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าของอย่างโหยหา มือหนาลูบไล้บีบขยำเต้างามแรงๆ ก่อนที่ปากร้อนผ่าวจะดูดอมยอดทรวงสีสดอย่างหิวกระหาย

“อ๊า…”

อยากจะต่อต้าน แต่ร่างกายกลับให้ความร่วมมือกับคนเถื่อนอย่างน่าละอาย ทำไมหล่อนถึงได้สมยอมง่ายๆ แบบนี้ ทำไมหล่อนถึง… ยอมให้เขาได้ดูดกลืน ลูบไล้ บี้ขยำโดยไม่ขัดขืน หล่อนถูกบังคับไม่ใช่เหรอ ถูกบังคับให้ต้องใช้ตัวแลกกับบ้านของพ่อแม่ แล้วทำไม… ทำไมถึงได้…

“อ๊า… อาจารย์ขา…”

คนตัวโตกระชากเสื้อคลุมของตัวเองออกไปอย่างร้อนรน ขณะยกร่างอรชรให้นอนหงายลงกับเตียงและตัวเองก็ระดมจูบอย่างหิวกระหายไปทั่วทั้งตัว ปากของเขาดูดเม้ม ลิ้นแตะเลีย ขณะที่ฝ่ามือตะโบมบีบอย่างเมามัน ร่างงามดิ้นพล่าน บิดเร่าๆ ด้วยความเสียวกระสัน เสียงครวญครางจากกลีบปากอิ่มช่างไพเราะไม่ผิดจากเสียงเพลงจากสวรรค์สักนิด

“ฉันหิว… หิวกระหายมาตลอดสองอาทิตย์เต็มๆ”

มือหนากระชากต้นขาอวบให้แยกออกจากกัน และเขาก็ซบหน้าลงไปหา ปาดเลีย ดูดดึง และสอดใส่ด้วยปลายนิ้วอย่างต้องการปลุกปั่นให้สาวน้อยคลั่งซึ่งจันทร์เจ้าขาก็กำลังเป็นอย่างที่เขาต้องการจริงๆ หล่อนกำลังบ้า กำลังคลั่ง และกำลังลุกเป็นไฟ

“อาจารย์ อู้ย… อาจารย์ขา…”

ยิ่งเขาปาดด้วยลิ้น และเลียถี่ๆ หล่อนก็ยิ่งเสียวซ่านหยาดเยิ้ม มือบางจิกทึ้งเส้นผมหนานุ่มของคนที่กำลังดื่มกินหยาดหยดรักเอาไว้แน่น กดรั้งให้ไม่เงยหน้าจากไปไหน ทั้งปากและจมูกสนิทนาบเคล้าคลึงกับกลีบสาวราวกลับเนื้อเดียวกัน ก่อนที่หล่อนจะ…

“อ๊า… อาจารย์… ไม่ไหวแล้ว…”

โลกทั้งใบของหล่อนแตกซ่านออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมๆ กับร่างอรชรที่กระตุกเกร็งอย่างสุดแรง บั้นท้ายอวบยกลอยขึ้นจากพื้นสูงมากยิ่งขึ้น เล็บคมกริบจิกลึกลงไปบนหนังศีรษะของไทเลอร์เต็มแรง พร้อมๆ กับเสียงร้องคร่ำครวญครางที่ดังออกมาลั่นห้อง

“อู๊ย… อ๊า… อาจารย์ไทเลอร์… โอ้ว…”

ไม่นานความสุขลูกแรกก็ค่อยๆ จางหายไป และเริ่มต้นความเสียวซ่านใหม่อีกครั้งด้วยความใหญ่โตที่แทรกลึกลงมาแทนปลายลิ้นและนิ้วมือ

“โอ้ว… ยังแน่นเหมือนเดิม”

คนตัวโตที่คุกเข่าอยู่บนเตียงคำราม หน้าแดงก่ำ เขาจดจ่อความใหญ่โตเข้ากับกลีบสาวอย่างมุ่งมั่น จากนั้นก็ขยับบั้นเอว…

“อ๊า…”

หญิงสาวดิ้นพล่านและแอ่นหยัดเนินนางขึ้นรับแรงปะทะ สามครั้งของความพยายามทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลงพร้อมๆ กับความยาวใหญ่แข็งชันที่พุ่งทะยานเข้ามาภายในกล้ามเนื้อคับแน่นแสนหวานจนหมดทั้งตัวตน

“พระเจ้า… รัดแน่นเหลือเกินเจ้าขา”

ใบหน้าของคนตัวโตบิดเบี้ยว ขณะเขาก้มต่ำลงมาหา ปากร้อนผ่าวประกบลงมาหาอย่างแนบแน่น จูบหนักหน่วง หิวกระหาย ขณะที่สะโพกเพรียวก็ยังส่ายไหวด้วยจังหวะที่หนักหน่วงเร่งเร้า

“อาจารย์ขา… อาจารย์…”

หล่อนดิ้นพล่าน บิดกายเร่าๆ ด้วยความเสียดเสียวที่สุดในชีวิต ยิ่งเขาเดินหน้าด้วยแรงกระแทกหนักหน่วง และถอยออกห่างไปจนสุดตัวตน จากนั้นก็พุ่งทะยานเข้ามาในช่องรักคับแน่นอีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนหล่อนครางระโหย และสุขสมในเวลาต่อมาอย่างง่ายดาย

“อ๊า… อู๊ย… อาจารย์ขา…”

ร่างบางกระตุกเกร็งสุขสมเป็นรอบที่สองกับความใหญ่โตที่ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด มันแรงขึ้น เร็วขึ้นและสร้างความเสียวซ่านให้มากยิ่งขึ้น โอ้… ไม่ไหวแล้ว หล่อนจะไปครั้งที่สามอีกแล้ว ทำไมไทเลอร์ถึงได้วิเศษอย่างนี้นะ ทำไมเขาถึงปลุกปั่นให้หล่อนร่านร้อนได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ดูสิ… ดูสภาพของหล่อนในตอนนี้สิ อีตัวที่ทำงานในซ่องมาสิบกว่าปียังต้องอายกับลีลาร่านร้อนของหล่อนเลย ทั้งดีด ทั้งเด้งรับแรงปะทะอย่างกระตือรือร้น ตอบสนองเขาอย่างสุดเหวี่ยง นี่ก็คงไม่แปลกหรอกที่พ่อเจ้าประคุณจะติดใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อนอนกับหล่อน

“อ๊า… อาจารย์…”

“ตอบสนองดีเหลือเกิน คนสวย… โอ้ว… แบบนั้น เด้งแบบนั้นแหละ”

เขาหัวเราะในขณะที่หล่อนร้องไห้ระงม

“อาจารย์… อาจารย์หมายถึง…”

ไทเลอร์แค่นยิ้ม ผลักร่างอรชรออกห่างจากกาย จากนั้นเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง สายตาสีเขียวมรกตยังไม่ละไปจากร่างกายของหล่อนแม้แต่วินาทีเดียว

“ถ้าเธอก้าวออกไปจากห้องนี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว พรุ่งนี้บ้านหลังนั้นกับที่ดินทั้งหมดจะต้องตกเป็นของฉัน และแน่นอนว่าฉันไม่มีทางใจดีให้เธอกับครอบครัวอยู่ต่อไปแน่”

คนฟังเข่าแทบทรุด น้ำตาทะลักออกมาอาบแก้มอย่างไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีก หล่อนมองเขาอย่างเจ็บปวดทุกข์ระบม

“อาจารย์… จะบีบให้ฉันตายคามือเลยหรือไงคะ”

“ฉันไม่ได้อยากเห็นเธอตายหรอกจันทร์เจ้าขา แต่สิ่งที่ฉันต้องการเห็นก็คือ…”

คนตัวโตลุกขึ้นยืน และเดินมาหยุดตรงหน้าร่างสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นของหล่อน

“ความเจ็บปวดทรมานของเธอต่างหาก”

หล่อนจะต้องเจ็บกว่าเขาร้อยเท่าพันเท่า ในเมื่อหล่อนเลือกที่จะทรยศเขาด้วยการหนีจากมา หล่อนก็จะต้องรับกรรมอย่างแสนสาหัส ไทเลอร์คิดอย่างคลั่งแค้นแม้จะสุดแสนโหยหาแค่ไหน แต่ความเจ็บปวดที่ถูกหล่อนหักหลังด้วยการบินหนีมาโดยไร้คำลาก็ทำให้เขาเลือกที่จะร้ายให้ถึงที่สุด

“ยิ่งเธอตายทั้งเป็นได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี…”

“อาจารย์…”

หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ มองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นี่หล่อนไปทำอะไรให้เขาโกรธแค้นนักหนานะ เขาถึงได้มาตามราวีแบบนี้

“ทำไม… อาจารย์ถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้คะ ทำไมถึง…”

“ฉันไม่ได้เกลียดเธอ ฉันก็แค่ต้องการล้างแค้นเธอ”

“ล้างแค้น?”

จันทร์เจ้าขาแสนจะสับสนกับสิ่งที่ได้ยิน

“ใช่ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยถูกผู้หญิงทอดทิ้งมาก่อน แต่เธอ… เธอทำให้ฉันกลายเป็นไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ต้องนั่งรอเธอจนถึงร้านปิด ก่อนจะมารู้ว่าเธอบินหนีไปแล้ว”

เขาหัวเราะ หัวเราะด้วยน้ำเสียงกระด้างน่ากลัว

จันทร์เจ้าขาน้ำตาไหลพรากซ้ำแล้วซ้ำอีก มองเขาอย่างขอความเมตตา

“ฉัน… ฉันขอโทษ… ฉันรู้ตัวดีว่าผิด แต่ฉัน ฉันสามารถอธิบายเรื่องทุกอย่างได้ สามารถบอกได้ว่าทำไมฉันถึงต้องทำแบบนั้น ทำไมฉันถึงได้ผิดนัดอาจารย์”

“หุบปาก! ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ ของเธออีกแล้ว ตอนนี้หน้าที่ของเธอก็คือเป็นทาสของฉัน ฉันจะสั่ง จะบงการให้เธอทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่ใจฉันปรารถนา”

เขาแสยะยิ้มร้ายกาจ น่ากลัว

จันทร์เจ้าขามองด้วยความหวาดหวั่น และพยายามจะถอยออกห่าง แต่ก็ช้าไปกว่ามือหนาของเขาเสียทุกทีไป

“ปล่อย… ปล่อยค่ะ”

“ถ้ายังอยากอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกล่ะก็…”

ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นน่ากลัวเหลือเกิน

“อยู่กับฉันที่นี่คืนนี้”

แม้ว่าหล่อนกับเขาจะเคยสนิทสนมกันมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ได้ยินมันกดขี่ข่มเหงให้ศักดิ์ศรีของหล่อนต่ำเตี้ยจนไม่เหลือชิ้นดี

“อาจารย์หมายถึง…”

“นอนกับฉัน และเธอจะมีสิทธิ์อยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไปอีกหนึ่งเดือน หนึ่งคืนต่อหนึ่งเดือน ก็แล้วแต่ว่าเธอจะอึดจะถึกสักแค่ไหน”

ไทเลอร์หัวเราะอย่างเลือดเย็น แต่หล่อนกลับรู้สึกเหมือนถูกกระทืบจนจมพื้นดิน

“ไม่… คนใจร้าย อย่ามาดูถูกกันแบบนี้นะ”

“ฉันนี่นะดูถูกเธอ… อย่ามาแถดีกว่า เราน่ะเห็นไส้เห็นพุงกันมาจนละเอียดลออแล้ว และเธอก็น่าจะกราบฉันงามๆ ด้วยนะที่เสนองานง่ายๆ เงินดีๆ แถมได้เสียวฟรีๆ อีกต่างหากให้น่ะ”

“คนหยาบคาย คนเลว!”

มือบางยกขึ้นสูงหมายจะฟาดลงบนใบหน้าหล่อเหลา แต่ชายหนุ่มหยุดเอาไว้ด้วยเสียงกระด้างน่าสะพรึงกลัวเสียก่อน

“ถ้าตบหน้าฉันเมื่อไหร่ แม้แต่คืนนี้พวกเธอก็จะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน จันทร์เจ้าขา”

มือเล็กๆ ที่ค้างอยู่กลางอากาศค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอยู่ข้างลำตัวเช่นเดิม ขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตเนื้อดี

“ได้โปรดเถอะค่ะอาจารย์… อย่าทำกับฉันแบบนี้เลย…”

แทนที่ไทเลอร์จะเมตตา แต่เขากลับยิ่งสะใจมากขึ้น หล่อนจะต้องทรมานมากกว่าเขา หล่อนจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเขา

“งานสบายๆ น่า เอาล่ะ… ฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงจะรับข้อเสนอของฉันหรือเปล่า”

เขาผลักหล่อนออกห่างและเดินไปใช้สะโพกเพรียวที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวพิงกับขอบหน้าต่างกระจกเอาไว้ กอดอกจ้องมองหล่อนไปทั้งตัวราวกับกำลังเลือกอีตัวจากตู้กระจกก็ไม่ปาน หล่อนแสนจะอัปยศอดสู อับอายและอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่หล่อนมีทางเลือกหรือ มีทางเลือกอื่นอีกไหมที่จะทำให้หล่อนไม่ต้องเสียบ้านไป และไม่ต้องเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง คำตอบคือไม่มี ไม่มีเลย ทุกอย่างมืดมน หนทางไม่มีให้ได้ก้าวเดินอีก

“ถือ… ว่าฉันขอร้อง… อาจารย์อย่าบังคับฉันแบบนี้ได้ไหมคะ”

ไหล่กว้างบึกบึนไหวน้อยๆ อย่างไม่แยแสคำพูดของหล่อนสักนิด

“ใครว่าฉันบังคับเธอจันทร์เจ้าขา ฉันให้ทางเลือกเธอเดินต่างหาก เธอจะเลือก หรือจะเดินจากไปฉันไม่ได้ว่าอะไรสักนิด ฉันตามใจเธอเสมอ เธอมีสิทธิ์เดินหนีไปเหมือนๆ กับคราวที่เธอบินหนีฉันมาจากรัสเซียนั่นแหละ”

เขาประชดประชันเพราะเจ็บแค้น ในขณะที่หล่อนเจ็บปวดเพราะถูกเหยียบย่ำ น้ำตายังคงไหลนองแก้มไม่ขาดสาย

“อาจารย์ก็รู้… ว่าฉันไม่มีทางเลือก”

“นั่นมันก็แล้วแต่เธอ… ฉันไม่บังคับ จะอยู่ที่นี่จนถึงเช้า หรือจะเดินจากไปก็แล้วแต่เธอ ฉันไม่ห้าม ไม่ว่าและไม่ทัดทาน แต่เธอต้องรับผลลัพธ์ที่ตามมาทีหลังให้ได้เท่านั้นเอง”

คนพูดเดินกลับไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กระเถิบร่างใหญ่โตขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียง และทอดสายตาไร้ความรู้สึกมายังหล่อน

“ฉันให้เวลาเธอตัดสินใจหนึ่งนาที”

คนฟังยืนนิ่ง ยืนนิ่งเพราะคิดอะไรไม่ออก หล่อนจะทำยังไงดี ในเมื่อไทเลอร์ปิดประตูทางหนีของหล่อนไปเสียทุกทางแล้ว หากไม่ยอมขายศักดิ์ศรี พ่อกับแม่ก็ต้องลำบาก พวกท่านจะต้องเสียใจมากหากต้องสูญเสียบ้านหลังนั้นไป

“เหลืออีกสิบวินาที ถ้าเธอไม่ให้คำตอบ ฉันจะถือว่าเธอไม่ได้มาที่นี่ และเธอก็ต้องเดินออกจากห้องนี้ไปทันที ซึ่งผลก็คือพรุ่งนี้ตอนเช้าพวกเธอทั้งครอบครัวก็จะต้องระเห็จออกจากบ้านหลังนั้นทันทีที่ฉันเหยียบย่างไปถึงที่นั่น”

“คนใจร้าย ใจดำที่สุด!”

“ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเธอสอนให้ฉันเป็นแบบนี้เอง หมดเวลาแล้วจันทร์เจ้าขา ตอบฉันมาว่าเธอตัดสินใจยังไง”

เขามองมาด้วยสายตาดูแคลนเต็มขั้น ในขณะที่หล่อนหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความอดสู หล่อนไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ หล่อนทนเห็นพ่อกับแม่ลำบากไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านควรจะสบายสักที น้ำตาของจันทร์เจ้าขาไหลซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนจะกัดฟันก้มหน้าตอบออกไป

“ค่ะ ฉัน… ฉันจะอยู่”

ทั้งๆ ที่คิดว่าความสะใจจะเพิ่มทวีขึ้นเมื่อสามารถบีบให้หญิงสาวตรงหน้าจนตรอกได้แบบนี้ แต่ทำไมนะ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ พอถึงเวลาที่หล่อนจนตรอกเข้าจริงๆ เขาถึงกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย ไม่ได้สะใจทั้งๆ ที่พยายามบังคับตัวเองแล้ว น้ำตาของจันทร์เจ้าขามันเหมือนน้ำกรดที่ราดรดลงมาบนหัวใจของเขา ยิ่งเห็นหล่อนเจ็บปวด หล่อนร้องไห้ เขาก็ยิ่งทรมาน นี่เขาเป็นอะไรไปนะ ตั้งใจมาแก้แค้นไม่ใช่หรือ ตั้งใจมาทำลายหล่อนไม่ใช่หรือ แล้วทำไม…? ทำไมถึงได้รู้สึกแย่แบบนี้ อยากจะเดินไปดึงหล่อนเข้ามากอด จูบเบาๆ ที่หน้าผากและบอกว่าเขาคิดถึงนักหนา ตามหาหล่อนทุกวันด้วยความยากลำบาก แล้วก็ถามเหตุผลของหล่อนว่าทำไมจะต้องหนีเขามาโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาเช่นนี้ทำไมถึงได้ใจดำทอดทิ้งเขามา แต่สุดท้ายแล้วก็จำต้องกล้ำกลืนทุกความสงสารลงในอกทั้งหมด และฟาดฟันหล่อนด้วยวาจาและการกระทำอันแสนจะโหดเหี้ยมแทน

“ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิด ผู้หญิงอย่างเธอยอมเสียวเพื่อแลกกับทุกสิ่งที่เธอต้องการ”

เขาดูถูกอย่างร้ายกาจ แต่หล่อนก็จำต้องอดทนเอาไว้ ต่อสู้เพื่อต่อลมหายใจของพ่อและแม่ นี่แหละคือสิ่งที่ลูกกตัญญูควรจะทำ

“เชิญอาจารย์บัญชามาเถอะค่ะ ว่าอยากให้ฉันทำอะไรให้”

ทั้งเจ็บทั้งปวดแต่ก็ต้องกล้ำกลืนมันลงไปในอก หล่อนต้องเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด อย่าร้องไห้ออกไปให้เขาเห็นอีก เขาไม่คู่ควรจะเห็นน้ำตาของหล่อนอีกต่อไปแล้ว

“หรือว่าจะให้ฉันถอดเสื้อผ้าเลยก็ได้นะคะ”

นึกว่าเขาจะปฏิเสธ แต่กลับบอกว่าต้องการซะงั้น ทำเอาคนยื่นข้อเสนอถึงกับหน้าซีดเผือดเลยทีเดียว

“ใช่… ฉันต้องการให้เธอถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด”

เขาแสยะยิ้มและตวัดสายตาคมกริบมองมานิ่งนาน ก่อนจะออกคำสั่งออกมาอีกเหมือนเขาเห็นหล่อนเอาแต่ยืนนิ่งเป็นก้อนหิน

“ถอดเร็วเข้าสิ ฉันไม่อยากให้เวลามันผ่านไปโดยที่เราไม่ได้สนุกกัน”

“ฉัน… จะถอด… เดี๋ยวนี้”

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหล่อนจึงจำต้องเดินทางมายังตามที่อยู่ในกระดาษที่เจ๊สีเศรษฐีนีประจำหมู่บ้านยื่นให้ แม้มารดาจะทัดทานเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่หล่อนก็ไม่อาจจะทนรอให้ถึงเช้าวันต่อไปได้ หล่อนจะต้องจัดการทุกอย่างให้จบสิ้นลง จะต้องทำทุกทางเพื่อรักษาบ้านที่พ่อกับแม่รักให้ไว้จงได้

โรงแรมระดับห้าดาวหรูสุดในตัวจังหวัด หล่อนแจ้งความประสงค์กับประชาสัมพันธ์ว่ามาขอพบเจ้าของห้องหมายเลข 999 และตั้งใจจะนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ แต่ประชาสัมพันธ์สาวกลับบอกให้หล่อนขึ้นไปหาเจ้าของห้องได้เลย หล่อนอยากจะปฏิเสธแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด ด้วยไม่อยากขัดใจเจ้าของห้องที่เป็นผู้ที่หล่อนต้องมาขอความเมตตาตั้งแต่ยังไม่ได้พบหน้า ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากเดินหายเข้าไปในลิฟต์ ปล่อยให้เจ้าลิฟต์แก้วพาร่างของหล่อนขึ้นไปยังชั้นเป้าหมายด้วยหัวใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่นานก็มาถึงหน้าห้องดังกล่าว

“ห้อง 999 ห้องนี้แน่นอน”

ยืนหยุดอยู่หน้าห้องพักใหญ่ สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจยกมือบางขึ้นเคาะเบาๆ ลงกับประตูบานใหญ่ ไม่มีเสียงตอบอนุญาตตอบกลับมา แต่ประตูตรงหน้ากลับค่อยๆ เปิดกว้างออกโดยอัตโนมัติ หญิงสาวยืนงงอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปหยุดภายในห้องกว้าง ที่ทุกตารางนิ้วถูกปูเต็มด้วยพรมหนาสีขาวจนเต็ม จากนั้นก็ต้องรีบหันหลังกลับไปมองบานประตูเมื่อได้ยินเสียงมันปิดเข้าหากันแผ่วเบาด้วยความทึ่งจัด โรงแรมแห่งนี้เต็มไปด้วยความสะดวกสบายสมคำร่ำลือจริงๆ

หญิงสาวเอ่ยชมในใจ ก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ ห้องเพื่อมองหาเจ้าของห้องที่หล่อนไม่รู้จักแม้แต่ชื่ออายุและก็เพศด้วยความประหลาดใจ

“ไม่เห็นมีใครสักคน”

จันทร์เจ้าขาบ่นพึมพำ และค่อยๆ ก้าวเท้าตรงไปยังทางเดินที่ทอดตัวยาวไปด้านใน ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างลืมตัว จนในที่สุดก็มาหยุดภายในห้องๆ หนึ่งที่แยกย่อยมาจากห้องใหญ่ ห้องนี้ประกอบไปด้วยเตียงนอนกว้าง ปูทับด้วยผ้าสีขาวสะอาด ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาอย่างประณีตและลงตัวแบบสุดๆ

และเมื่อรู้ว่าเดินหลงเข้ามาภายในห้องนอนของคนที่หล่อนไม่แม้จะรู้จักชื่อ จันทร์เจ้าขาก็คิดจะรีบเดินออกไป เพราะถ้าเจ้าของห้องเห็นเข้าหล่อนอาจจะถูกตำหนิว่าเสียมารยาทได้ เท้าบอบบางกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูได้แล้วเชียว แต่เสียงห้าวลึกที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำทุกสรรพสิ่งภายในกายสาวหยุดทำงาน มีแต่ก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจเท่านั้นที่ยังคงเต้นอยู่

เสียง… เสียงนี้…

ไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่ไทเลอร์ไม่มีทางเป็นเขาไปได้ เมื่อความขัดแย้งระเบิดขึ้นภายในอกหญิงสาวก็ไม่อาจจะทัดทานต่อความสงสัยได้อีก หล่อนตัดสินใจหมุนตัวกลับไปมองเจ้าของเสียงห้าวกระด้างคุ้นหูนั้น และสิ่งที่หล่อนได้เห็นมันก็ทำให้หล่อนเหมือนตกลงไปในขุมนรก

“อาจารย์ไทเลอร์…?!”

ร่างสูงใหญ่ที่หล่อนแสนจะคุ้นเคยขณะนี้อยู่ในชุดเสื้อคลุมผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตัดกับผิวสีแทนอร่ามของเขาชนิดสุดกู่เลยทีเดียว เส้นผมของเขายังคงเปียกลู่ด้วยหยาดน้ำ ขณะที่ริมฝีปากหยักสวยคลี่ออกน้อยๆ เป็นรอยยิ้มหยัน ดวงตาคมกริบสีเขียวมรกตแทบจะเผาหล่อนให้กลายเป็นเถ้าธุลี เขาไม่ได้มองหล่อนอย่างเป็นมิตรเลยสักนิดเดียว

“ฉัน… ฉันคงเข้าห้องผิด”

หัวใจที่เต้นแรงเพราะความหวาดหวั่นทำให้หญิงสาวคิดจะวิ่งหนี แต่ก็ช้าไปกว่าคนที่ว่องไวอย่างไทเลอร์เสียทุกครั้งไป เพราะในที่สุดข้อมือก็ถูกพันธนาการเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“ปล่อยนะ ปล่อยสิ”

หล่อนดิ้นรน และขัดขืนสุดกำลังแต่เขาไม่ปล่อย แถมยังรั้งร่างที่ดิ้นเร่าๆ ให้เข้าไปปะทะอกกว้างเปลือยอย่างแนบแน่นเสียอีก

“ปล่อย…”

“จะรีบไปไหนล่ะ อยู่คุยกันก่อนสิ”

“ไม่ ฉัน… ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าห้องผิด ขอตัวนะคะ… ฉันมีธุระที่ต้องรีบไปทำ”

หล่อนยังดิ้นรนเช่นเดิม และเขาก็ยังกอดรัดแน่นเช่นเดิมเหมือนกัน

“ถ้าคนที่เธอจะทำธุระด้วยคือเจ้าของห้อง 999 ล่ะก็ ไม่ต้องไปที่ไหนหรอก…”

ดวงตาสีเขียวของไทเลอร์น่ากลัวเหลือเกิน

“เพราะนั่นคือฉันเอง ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ”

คนฟังอ้าปากค้างเติ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ

“ไม่จริง… ฉันไม่เชื่อ”

“ฉันเป็นคนจะซื้อที่ดินพร้อมทั้งบ้านของเธอต่อจากเจ๊สีเอง”

เหมือนถูกทุบหัวแรงๆ จนดิ้นพล่าน ความมึนงง สับสนและอัปยศต่างเดินพาเหรดเข้าใส่หัวใจของหล่อนอย่างไม่ปรานี ไม่จริง ต้องไม่ใช่ไทเลอร์ ผู้คนในโลกนี้มีตั้งมากมาย ไม่มีทางเป็นเขาไปได้ ไม่มีทางเป็นเขาไปได้ หากเขาไม่ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น หรือว่า…

“มันคือ… แผนของอาจารย์ใช่ไหมคะ”

ไหล่กว้างไหวน้อยๆ อย่างไม่แยแสต่อคำพูดของหล่อน

“ทำไมฉันจะต้องมีแผนการอะไรด้วย เธอมีค่าพอที่จะทำให้ฉันต้องลงทุนเสียเงินหลายล้านเพื่อให้ได้ที่ดินเท่ากระหยิบมือนั่นเชียวหรือ”

เขาหัวเราะสะใจ และมองหล่อนอย่างชิงชัง

“ตอนนี้สำหรับฉัน เธอมันก็แค่อีตัวที่ฉันเคยใช้แล้วเท่านั้น ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองมีค่ามีราคาจนฉันต้องติดตามมาบีบคั้นบังคับให้เธอกลับมาหา เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้”

แต่มันใช่ทุกอย่าง

เสียงนี้ระเบิดขึ้นในสมองของไทเลอร์ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจมัน เลือกที่จะไม่สนใจมัน ผู้หญิงคนนี้ทอดทิ้งเขามาอย่างไม่ใยดี หล่อนจะต้องเจ็บปวดเพราะน้ำมือของเขาอย่างแสนสาหัส

“จำใส่หัวเอาไว้นะ ที่ฉันตัดสินใจซื้อที่ดินของเธอ ก็เพราะฉันต้องการมันจริงๆ ไม่มีนัยอะไรแอบแฝง”

คนฟังน้ำตาร่วงกราว คำดูถูกดูแคลนของผู้ชายตัวโตตรงหน้านั้นเป็นยิ่งกว่าเข็มกว่ามีดที่ทิ่มแทงหัวใจของหล่อนเสียอีก หล่อนทรมาน ขมขื่น และตายทั้งเป็น

“ฉัน… ฉันรู้ว่าตัวเองมีค่าแค่ไหน”

“ถ้ารู้ แล้วเสนอหน้ามาที่นี่ทำไม มาเสนอตัวให้ฉันทำไม”

“ไม่… ฉันไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น”

หญิงสาวดิ้นรนแต่ก็ไม่หลุดแม้เขาจะใช้แค่แขนข้างเดียวรัดเอวของหล่อนเอาไว้ก็ตาม

“นี่ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับ ปล่อยสิ!”

“มาแล้วก็อย่าให้เสียเปล่าสิ อยากได้ที่ดินคืนไม่ใช่หรือ”

คนที่กำลังดิ้นรนอยู่หยุดเคลื่อนไหวลงทันที พลางช้อนตาขึ้นมองเจ้าของคำพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“นี่อาจารย์กำลังจะยื่นข้อเสนออะไรให้กับฉันหรือคะ”

ไทเลอร์แสยะยิ้ม มือกระด้างลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียน และแม้จะมีเสื้อเชิ้ตขวางกั้นอยู่ แต่ความร้อนผ่าวจากมือของเขาก็ทำให้หล่อนสะท้านราวกับจับไข้สูง

“แล้วเธอคิดว่าข้อเสนออะไรจะเหมาะกับผู้หญิง…”

เขาหยุดพูดและกวาดตามองร่างอรชรตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยาบคาย จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชิงชัง

“ร่านๆ แบบเธอล่ะ”

จันทร์เจ้าขากัดปากแน่น ดิ้นรน และต่อต้านสุดกำลัง

“ฉันรู้ดีค่ะว่าตัวเองเลวแค่ไหนในสายตาอาจารย์ ปล่อยค่ะ ฉันจะกลับบ้าน และจะลืมเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นให้หมด”

“จะกลับไปบ้าน… บ้านที่เธอจะต้องขนข้าวขนของออกไปตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าน่ะหรือ”

หลังจากออกไปตระเวนหาสมัครงานจนทั่วทุกบริษัทมาตลอดทั้งวัน จันทร์เจ้าขาก็เดินคอตกกลับบ้านมาด้วยความผิดหวัง เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่โตจนถึงห้างร้านเล็กๆ ก็ไม่มีที่ไหนสนใจจะรับหล่อนเข้าทำงานเลยสักแห่ง แม้ว่าหล่อนจะใช้ภาษาทั้งอังกฤษและรัสเซียได้อย่างคล่องแคล่วก็ตาม หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ขณะก้าวเท้าเข้าไปในอาณาเขตของบ้านตัวเอง

“รถของใครมาจอดตรงนี้นะ เหมือนรถของเจ๊สีเศรษฐีประจำตำบลเลย”

แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่คิดจะใส่ใจมากนัก เพราะตอนนี้สมองของหล่อนกำลังหนักอึ้งเหตุเพราะหางานทำยังไม่ได้นั่นเอง

“เจ้าขา… มานี่หน่อยลูก”

เสียงสั่นเครือที่แทบปิดไม่มิดของมารดาทำให้จันทร์เจ้าขาต้องรีบก้าวขึ้นบันไดและเดินเข้าไปหา แม่ของหล่อนที่นั่งอยู่บนโซฟา ขณะที่เจ๊สีนั่งอยู่บนโซฟาตัวถัดไป หญิงสาวคุกเข่าคลานเข้าไปหา และมองมารดาสลับกับหน้าของเจ๊สีด้วยความเป็นกังวล

“มีอะไรเหรอคะแม่”

“คือ…” จันทราอึกอักพูดไม่ออก เจ๊สีจึงชิงพูดขึ้นแทน

“ก็อย่างที่หนูรู้นั่นแหละ พ่อของหนูเอาบ้านและที่ดินทั้งหมดไปจำนองเอาไว้กับเจ๊ แต่ก็ขาดส่งดอกมาเกือบปี เจ๊ก็อุตส่าห์เมตตาให้ผัดผ่อนมาตลอด แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมีลูกค้าคนหนึ่งเขาต้องการบ้านหลังนี้มาก และให้ราคาสูงจนเจ๊ต้องตอบตกลงไป”

คราวนี้จันทร์เจ้าขาเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมแม่ของหล่อนถึงทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้เช่นนั้น

“เจ๊สีคะ หนูขอความเห็นใจ… ขอผลัดไปอีกสักพักได้ไหมคะ แล้วหนูจะรีบนำเงินมาคืนทั้งต้นทั้งดอก นะคะเจ๊สี ถือว่าเมตตาหนูกับแม่อีกครั้งหนึ่งเถอะค่ะ”

หญิงวัยกลางคนร่างอ้วนถอนใจออกมา

“ฉันก็อยากจะช่วยหรอกน่ะ แต่… เงินจากลูกค้ารายนี้มันก้อนโตจริงๆ เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวฉันขายบ้านหลังนี้ให้กับลูกค้ารายนี้แล้ว จะนำมาแบ่งให้สักห้าเปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะให้หนูเอาไปทำทุนต่อในชีวิต เอาไหมแม่จันทรา”

เมื่อจันทร์เจ้าขาไม่ตอบ เจ๊สีจึงหันไปถามจันทราแทน

“ฉัน… ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วล่ะเจ๊สี”

แล้วจันทราก็ร้องไห้ออกมา จันทร์เจ้าขาปวดหัวใจเหลือเกินเมื่อเห็นมารดามีน้ำตา หล่อนรู้ดีว่าแม่กับพ่อรักที่ดินและบ้านหลังนี้มาก ทุกอย่างที่นี่คือความรักความผูกพันของทั้งสองคน แต่หล่อนก็อกตัญญูเหลือเกิน ที่ไม่สามารถรักษามันเอาไว้ได้

“แม่… อย่าร้องไห้เลยนะ แม่จ๋า…”

สองแม่ลูกกอดกันกลมร้องไห้ เจ๊สีเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันให้ทางเลือกกับพวกเธอนะ ถ้าลูกค้ารายนี้เปลี่ยนใจไม่ซื้อที่ดินของพวกเธอ ฉันก็จะไม่ขาย โอเคไหม”

จันทร์เจ้าขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำพูด

“เจ๊สีหมายความว่า…”

“บ้านหลังนี้จะไม่ถูกขายและรอพวกเธอมีเงินมาซื้อคืน ถ้าไม่มีคนต้องการจะซื้อมัน”

เจ๊สีลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นกระดาษใบเล็กๆ ให้กับจันทร์เจ้าขา

“ลูกค้าคนนั้นอยู่ที่โรงแรมนี้แหละ ถ้าเธอรักที่นี่มาก เธอก็ควรจะไปขอร้องให้เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะซื้อบ้านของเธอ”

จันทร์เจ้าขารับกระดาษสีขาวนั้นมามองอย่างมึนงง

“แล้ว… ถ้าลูกค้าคนนั้นเปลี่ยนใจ แล้วเจ๊สี… ไม่เสียดายเงินก้อนโตเหรอคะ”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบออกมา

“ฉันแค่ให้โอกาสเธอต่างหาก หนูเจ้าขา”

แล้วเจ๊สีก็ก้าวลงบันได ขึ้นรถออกไปทันที ทิ้งให้จันทร์เจ้าขากับจันทรามองตามไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง

“เจ้าขา… แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนะ ช่างมันเถอะ เราไปหาที่อยู่ใหม่ก็ได้”

“แม่จ๋า หนูรู้นะว่าแม่กับพ่อรักบ้านหลังนี้มาก หากมีวิธีใดที่หนูจะทำได้ หนูจะไม่ยอมนิ่งดูดายเลยค่ะ หนูจะไปขอร้องให้คนๆ นี้เห็นใจ ขอร้องให้เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะพรากบ้านหลังนี้ไปจากพวกเรา แม่อย่าห้ามหนูเลยนะ”

“แต่แม่เป็นห่วงลูกนะ”

จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้ม พลางพูดออกมา

“ลูกสาวของแม่คนนี้เอาตัวรอดได้ค่ะ แม่อย่าลืมสิว่าหนูอยู่รัสเซียมาตั้งเกือบสี่ปี…”

คำพูดนี้สะกิดใจให้จันทราร้องไห้ออกมาอีก

“เพราะแม่ อนาคตของลูกถึงต้องดับวูบลงแบบนี้ แค่อีกไม่ถึงเดือนลูกก็จะเรียนจบแล้ว”

แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่จันทร์เจ้าขาก็ฝืนยิ้มเพราะไม่ต้องการให้มารดาต้องทุกข์ทรมานใจมากไปกว่านี้

“อย่าคิดถึงมันเลยจ้ะแม่ เดี๋ยวหางานทำได้ หนูจะไปหาสมัครเรียนวิชาชีพเพิ่มเติมค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ”

สองแม่ลูกกอดกันอีกครั้ง ต่างคนต่างร่ำไห้ออกมาเงียบๆ เหมือนกัน

“ไมค์เป็นยังไงบ้าง”

คิริลเอ่ยถามผู้หญิงที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่ในอกและร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย เขาคาดหวังว่าไมเคิลจะไม่เป็นอะไร

“ยังอยู่ในห้องผ่าตัดเลยค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ขณะกัดฟันฝืนทนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด มองประตูห้องนั้นด้วยความคาดหวัง

“แล้วรู้สาเหตุไหมว่าทำไมไมค์ถึงขับรถไปชนกับต้นไม้แบบนั้น”

“ฉัน… ฉันไม่รู้ค่ะ ไม่มีใครบอกอะไรฉันเลย”

คิริลถอนใจออกมาเบาๆ มองสตรีตรงหน้าอย่างเวทนา

“ฉันว่าเธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะจัดการให้ทุกอย่าง”

เนื้อนวลยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง พลางส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทนได้ ฉันไม่อยากให้พี่ไมค์ตาย”

“เขาไม่เป็นอะไรหรอกน่าเชื่อฉันเถอะ อีกอย่างก็อยู่ในมือของหมอแล้วด้วย กลับไปพักผ่อนเถอะ อย่างน้อยๆ ลูกสาวของเธอก็จะต้องพักผ่อน”

จริงสิ… หนูเอวาต้องการพักผ่อน

เนื้อนวลน้ำตาไหลออกมาอีก พลางเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของผู้ชายที่หล่อคับโรงพยาบาลอย่างคิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

“ฉันต้องขอขอบคุณคุณมากนะคะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ”

“ไมค์เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของฉัน ดังนั้นเธอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันจะดูแลสามีของเธอให้เอง”

แม้เขาจะเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนคือเนื้อนางภรรยาของไมเคิล แต่ตอนนี้เนื้อนวลก็ไม่มีกระจิตกระใจอะไรที่จะปฏิเสธเขาหรอก เขาจะคิดยังไงก็ช่าง แต่หล่อนคงทนเห็นหนูเอวาหลานสาวต้องกำพร้าพ่ออีกคนไม่ได้ พี่สาวของหล่อนใจดำทิ้งลูกทิ้งผัวจากไปแล้ว หล่อนไม่อยากให้เอวาต้องขาดพ่อไปอีกคน เอวาจะต้องไม่เป็นเด็กกำพร้าเหมือนหล่อน

“ค่ะ ฉันจะพาหนูเอวาไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าพี่ไมค์ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ฉันรบกวนคุณช่วยแจ้งข่าวให้ฉันรู้ด้วยได้ไหมค่ะ”

คิริลพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหรี่ตามองร่างน้อยๆ ที่หลับอยู่บนบ่าบอบบางของเนื้อนวลด้วยความเอ็นดู

“ไมค์ไม่มีทางทอดทิ้งลูกสาวที่น่ารักแบบนี้ไปได้หรอก เชื่อฉันเถอะ”

เนื้อนวลยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินคอตกจากไป ขณะที่คิริลมองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนา สงสารบ่าบอบบางนั้นจังเลย เขาไม่อาจรู้ได้ว่าหล่อนอุ้มเด็กน้อยพาดบ่ามานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูจากท่าทางของหล่อนคงจะอ่อนล้าน่าดูเลยทีเดียว

ความจริงผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เห็นมีท่าทางระริกระรี้จ้องจะจับผู้ชายเหมือนกับข่าวคราวที่เขาได้ยินผ่านหูมาเลยสักนิด คิริลคิดอย่างสับสน และในขณะนั้นเองประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก ก่อนที่แพทย์กับพยาบาลจะเดินหน้าเครียดออกมา ชายหนุ่มรีบเดินไปหาทันที

“ไมเคิลเป็นยังไงบ้างครับ”

สีหน้าของคุณหมอเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ

“คุณเป็นญาติของคนไข้หรือเปล่าครับ”

“เอ่อ ภรรยากับลูกของไมเคิลพึ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เองครับ ผมเป็นเพื่อนของเขาครับ ผมจะตัดสินใจทุกอย่างแทนภรรยากับลูกของเขาเอง”

คุณหมอหันไปมองหน้ากับพยาบาลผู้ช่วยของตัวเอง ก่อนจะพูดออกมา

“ตอนนี้คนไข้อาการไม่ดีเลย เพ้อพูดอะไรก็ไม่รู้ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาเลย ผมคิดว่าคุณควรจะเข้าไปดูใจเขาเป็นครั้งสุดท้าย…”

คิริลอึ้งไปเหมือนถูกชกหน้าเต็มแรง

“ว่ายังไงนะครับ นี่คุณหมอกำลังบอกผมว่า ไมเคิล… จะไม่รอด”

คุณหมอไม่ตอบ แต่รีบบอกให้เขาเดินตามเข้าไปภายในห้องผ่าตัด และสิ่งที่เขาเห็นเมื่อเดินเข้ามาก็คือร่างที่โชกเลือดของไมเคิล สภาพบอกให้รู้ว่าย่ำแย่แค่ไหน

“นาง… นาง… อย่าทิ้งพี่ไป… อย่าทิ้งพี่กับลูกไป…”

“ไมค์ ฉันอยู่นี่แล้วนะ คิริล ฉันเป็นเพื่อนนาย นายต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ ต้องเข้มแข็ง…”

คิริลกระซิบที่ข้างหูของไมเคิล แต่ดูเหมือนว่าไมเคิลจะไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว

“นาง… ทำไมนางจะต้องทิ้งพี่ไปกับผู้ชายคนอื่น… ทำไมถึงทิ้งพี่กับลูกไป นาง…”

“ไมค์… ลืมตาสิ ลืมตาขึ้นมามอง นี่ฉันนะ คิริล ไมค์!”

ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากไมเคิลอีก เมื่อสัญญาณชีพค่อยๆ ลดต่ำลง หมอและพยาบาลวิ่งกันวุ่นเพื่อช่วยยื้อชีวิตของไมเคิลเอาไว้ แต่สุดท้าย… สุดท้ายเขาก็ต้องสูญเสียเพื่อนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมาจริงๆ

“ไมค์!!!”

ดวงตาของคิริลแดงก่ำ เป็นครั้งแรกที่น้ำตาลูกผู้ชายของเขาไหลซึมออกมา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้

“ไมค์… ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะ… ดูแลลูกสาวของนายให้ดีที่สุด จะดูแลเอวาเอง”

เป็นคำสัญญาสุดท้ายที่คิริลมอบให้กับเพื่อนรักที่เคยช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ขณะใช้มือใหญ่ค่อยๆ ปิดเปลือกตาของไมเคิลให้หลับสนิทลง

“ไม่ต้องห่วง หลับให้สบายนะเพื่อนยาก”

“ผมเสียใจด้วยครับ”

คิริลไม่อาจจะฝืนยิ้มใดๆ ออกมาได้อีก เขาค่อยๆ เดินออกจากห้องผ่าตัดไปราวกับคนไร้วิญญาณ ความสูญเสียแรกในชีวิตมันเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

เขาเดินมาทรุดนั่งลงกับเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดอย่างหมดแรง ใบหน้าหล่อเหลาซบลงกับฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างด้วยความเสียใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าไมเคิลจะจากไปเร็วแบบนี้ ไมเคิลยังหนุ่มยังแน่น ยังสามารถมีชีวิตที่สดใสต่อไปได้อีกนาน แต่แล้วก็ต้องมาจบชีวิตลงเพียงเพราะ…

ดวงตาของคิริลแดงก่ำ ใบหน้าสวยหวานไร้ยางอายของแม่นั่นผุดขึ้นมาในสมอง ตอแหล หลอกลวงที่สุด แสร้งทำเป็นบีบน้ำตา แท้จริงแล้วหล่อนน่าจะกำลังหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจที่ตัวเองจะได้ออกไปร่านสนุกกับผู้ชายคนอื่นโดยที่ไม่ถูกครหาเสียมากกว่า

“แพศยา”

สงสารก็เพียงแต่เด็กน้อยลูกสาวของไมเคิลเพียงเท่านั้นที่จู่ๆ ก็ต้องมากำพร้าพ่อไป และแม้จะยังเหลือแม่ แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางเป็นแม่ที่ดีได้อย่างแน่นอน เขาจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กคนนั้น ช่วยลูกสาวของไมเคิลให้พ้นจากนรกให้จงได้

ขณะที่ไทเลอร์กำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ที่เมืองไทยนั้น ที่ Demon’s Palace ก็กำลังวุ่นวายเช่นกันเพราะนิโคไลกำลังอาละวาดใส่อิงบุญอย่างเกรี้ยวกราด

“อย่ามาบังอาจคิดจะบังคับฉันเด็ดขาด!”

“ฉันไม่ได้บังคับคุณนิคค่ะ แต่มันคือเรื่องที่คุณนิคปฏิเสธไม่ได้”

แม้จะรู้สึกหน้าชาดิกกับทุกคำพูดของพ่อตัวร้าย แต่อิงบุญก็ยังคงต้องเข้มแข็งต่อไป หล่อนจะต้องมีความหวังต่อไป

“แพศยา!”

“จะด่าฉันยังไงก็ตามสบายเถอะค่ะ แต่อาทิตย์นี้เราจะต้องไปบ้านสวนของคุณท่านด้วยกัน”

ท่าทางไม่สะทกสะท้านของอิงบุญยิ่งทำให้นิโคไลร้อนเป็นไฟ เขาอยากจะหักคอแม่นี่นัก ถ้าทำได้นะแม่ผู้หญิงหน้าด้านหน้าทนเป็นที่สุด

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ความคิดในหัวเน่าๆ ของเธอนะยายแม่มด”

คนฟังเจ็บลึก แต่ก็ยังเชิดหน้าต่อไป

“ความคิด… แล้วคุณนิคคิดว่าฉันคิดอะไรอยู่ในหัวล่ะคะ ไหนลองบอกมาสิคะ”

แล้วเจ้าหล่อนก็ขยับร่างอรชรเข้าไปหาคนตัวโตที่ยืนสั่นเทิ้มด้วยโทสะอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยจริตมารยา จริตมารยาของโสเภณีที่หล่อนเติบโตมากับมัน

“ถอยออกไปนังแพศยาอย่าเอามือสกปรกของเธอมาแตะต้องตัวฉัน”

นิโคไลผลักร่างอรชรให้ออกห่างอย่างไม่ปรานี จากนั้นก็ชี้หน้าด่าทอด้วยโทสะร้ายกาจ

อิงบุญอยากร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าหากไม่สู้หล่อนก็จะไม่มีทางได้เห็นหน้าน้องชายอย่างอินทัชอีกตลอดชีวิต

“ยิ่งคุณนิคแสดงท่าทางรังเกียจฉันแค่ไหน ฉันก็ยิ่งต้องการจะแต่งงานกับคุณนิคมากแค่นั้น เพราะฉันมั่นใจว่าลีลาบนเตียงของฉันที่ฝึกปรือมาตั้งแต่อยู่ในซ่องจะทำให้คุณนิคติดใจ และร้องเรียกหาฉันในทุกๆ ค่ำคืน”

“ร่าน ไปให้พ้นหน้าฉันไป”

“ฉันไปแน่ค่ะ แต่คุณนิคจะต้องรับปากก่อนว่าจะไปบ้านสวนกับฉันในวันอาทิตย์นี้”

“ฉันไม่ไป”

นิโคไลยังยืนกรานคำเดิม และท้าวสะเอวมองหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาดุดัน

“เธออยากไปก็ไปคนเดียวเลย และถ้าคันมากก็ให้พ่อของฉันช่วยเกาให้ก่อน”

อิงบุญตกใจกับคำพูดของนิโคไลไม่น้อย แต่หล่อนก็ไม่คิดจะแสดงมันออกไป

“ไม่ยักกะทราบนะคะว่าคุณนิครู้เรื่องนี้ด้วย นี่ฉันคิดว่าจะรวบหัวรวบหางพวกคุณให้หมดทั้งตระกูลเลยถ้ามีโอกาส”

“นังแพศยา ออกไปให้พ้นหน้าฉันนะ”

“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ไป จนกว่าคุณนิคจะรับปาก”

นิโคโลกัดฟันแน่น ทุกอณูเนื้อเต้นระริกไปด้วยความเดือดดาล

“ต่อให้เธอยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ฉันก็ไม่รับปาก”

“งั้นก็แสดงว่าคุณนิคกลัวอะไรสักอย่าง ถึงไม่ยอมไปที่นั่น”

คนที่กำลังจะหมุนตัวหนีขึ้นห้องนอนชะงักเท้า และหมุนตัวกลับมา

“เธอว่าใครกลัว”

อิงบุญไหวไหล่บอบบางของตัวเองน้อยๆ

“ก็คุณนิคยังไงล่ะคะที่กลัวฉันจนไม่กล้าที่จะไปบ้านสวน”

“นรกน่ะสิ ฉันไม่เคยกลัวอะไรในโลก โดยเฉพาะผู้หญิงต่ำๆ สกปรกแบบเธอ”

แต่ละคำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีสดของนิโคไลช่างไม่ผิดไปจากคมมีดเลยแม้แต่นิดเดียว มันบาดลึกเข้ามาในหัวใจจนหล่อนเจ็บระบม และอยากจะร้องไห้

“ถ้าไม่กลัวแล้วทำไมถึงไม่กล้าไปกับฉันล่ะ หรือว่ากลัวจะต้านทานเสน่ห์ของฉันไม่ได้”

“ทุเรศ ที่ฉันไม่ไปก็เพราะว่าฉันขยะแขยงเธอเกินกว่าจะอยู่ใกล้ด้วยได้ต่างหากล่ะ จำใส่กะโหลกหนาๆ เน่าๆ ของเธอเอาไว้ด้วย แม่อีตัวชั้นต่ำ!”

น้ำตาซึมคลอเบ้าแทบทะลักออกมา ดีนะที่กะพริบไล่มันเอาไว้ได้ทัน

“ฉันรู้ว่าคุณเกลียดฉันมาก”

“ไม่ใช่แค่เกลียด เธอมันน่าขยะแขยงที่สุดด้วย”

เขาย้ำอย่างไม่รักษาน้ำใจ

อิงบุญกัดปากแน่น น้ำตาเจียนจะไหลออกมาเสียให้ได้

“แต่ฉันไม่สนใจหรอกนะ ยังไงซะเราก็ต้องแต่งงานกัน ฉันจะต้องท้องลูกของคุณให้ได้”

“ฝันไปเถอะ!”

เขาเชิดหน้าตอบออกมาเสียงจริงจัง ไม่ยอมแพ้

“เอาล่ะค่ะ ฉันไม่อยากโต้เถียงอะไรกับคุณอีกแล้ว เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้กลัวฉันอย่างที่ฉันเข้าใจจริงๆ อาทิตย์นี้ไปเจอกันที่บ้านสวนค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ยอมไป ฉันจะถือว่าคุณกลัวฉัน เข้าใจตรงกันนะคะคุณนิโคไล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ”

หญิงสาวหมุนตัวหันหลังให้เขาทันที พร้อมๆ กับหยาดน้ำตาที่ร่วงรินลงมาอาบแก้มในวินาทีนั้น หล่อนกัดปากแน่น หัวใจทรมานจนแทบจะขาดใจ นิโคไลทั้งเกลียดชัง ทั้งขยะแขยง ทั้งๆ ที่หล่อนแสนจะรักเขามากมายถึงเพียงนี้

แต่ช่างมันเถอะ เพราะยังไงซะเรื่องของหัวใจมันคือเรื่องท้ายสุดที่หล่อนจะคิดถึง การตามหาน้องชายต่างหากที่สำคัญต่อหล่อนที่สุดในยามนี้ และถ้าไม่มีเกรกอรี่ช่วยเหลือ ชาตินี้ไม่มีทางที่หล่อนจะได้พบกับอินทัชอย่างแน่นอน

“อินทัช… พี่หวังว่านายคงจะมีชีวิตอยู่นะ”

หญิงสาววิงวอนและเดินหายเข้าไปในห้องพัก ในขณะที่นิโคไลยังยืนกำหมัดแน่นด้วยความคลั่งแค้นอยู่ที่ลานหน้าบันได

“ยายผู้หญิงบ้า นี่เธอกล้ามาสบประมาทฉันอย่างนั้นหรือ”

ดวงตาของคนพูดลุกเป็นไฟ กรามกระด้างขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง

“ฉันจะไปบ้านสวนกับเธอ ฉันจะพิสูจน์ให้ผู้หญิงไร้ค่าอย่างเธอเห็นว่าฉันน่ะไม่เคยมีคำว่ากลัวอยู่ในสมอง และเสน่ห์ของหล่อนก็ร้อนแรงพอๆ กับป้าแก่ๆ ที่หมดประจำเดือนแล้วนั่นแหละ”

นิโคไลเค้นเสียงออกมาอย่างเดือดดาล และกำลังจะก้าวขึ้นบันได แต่ก็พบว่าคิริลเดินแกมวิ่งสวนผ่านมาเสียก่อน ท่าทางรีบร้อนของพี่ชายทำให้อดถามออกไปไม่ได้

“พี่คิลล์จะไปไหนหรือครับ ดูท่าทางรีบร้อนจัง”

เจ้าของชื่อชะงักเท้า สีหน้ายังเต็มไปด้วยความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ไมค์ประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด พี่ต้องรีบไปโรงพยาบาล”

“ไมค์ คนสนิทของพี่คิลล์ที่หายหน้าไปไม่ยอมมาทำงานเกือบสองอาทิตย์น่ะเหรอครับ”

คิริลพยักหน้ารับอย่างรีบร้อน

“ใช่ เอาล่ะนิค พี่ต้องไปโรงพยาบาลก่อน ราตรีสวัสดิ์เจ้าน้องชาย”

คิริลเดินแกมวิ่งผ่านหน้าน้องชายไปอย่างเร่งรีบ ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตคันโปรดของคิริลก็กระหึ่ม ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

นิโคไลอดรู้สึกแย่ไปด้วยไม่ได้ แม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมกับไมเคิลมากนัก แต่เขาก็เคยเห็นผู้ชายคนนี้อยู่บ่อยๆ คาดหวังว่าไมเคิลจะปลอดภัย ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมา ขณะที่เท้าใหญ่ก้าวเดินขึ้นตรงไปยังห้องพักของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า แม่อิงบุญทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังงานไปมาก หลังจากที่ปะทะคารมกับหล่อนมานานเกือบสิบห้านาที เห็นทีจะต้องนอนหลับและชาร์ตพลังให้กับตัวเองโดยเร็วเสียแล้ว

เป็นเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย เช้าวันนี้จันทร์เจ้าขาจึงได้สมองเบลอๆ มึนงงไปหมด หล่อนพาแม่กับพ่อมาหาคุณหมอตามใบนัดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด คนไข้เยอะมากต้องรีบต่อแถวและรับบัตรคิวเพื่อรอคุณหมอออกตรวจ ซึ่งกว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงเลยทีเดียว หญิงสาวเดินออกมาเรียกรถสองแถวที่หน้าโรงพยาบาลเพื่อจะพาพ่อกับแม่กลับไปยังบ้านพักหลังกะทัดรัดของตัวเอง แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมก็มองเลยไปยังรถยนต์ราคาแพงระยับคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลจากจุดที่หล่อนกับครอบครัวยืนอยู่นัก ร่างของผู้ชายสูงใหญ่ สีผมและความใหญ่โตของเรือนร่างบอกให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนไทยอย่างแน่นอน แต่หากมันแค่นั้นหัวใจของหล่อนก็คงไม่สั่นสะท้านมากเท่านี้

หล่อนปากสั่น ตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้างทำท่าทางราวกับพบเจอผีร้ายในตอนกลางวันยังไงยังงั้น ผู้ชายคนนั้นหมุนตัวหันมาทางหล่อน ก่อนจะยกมือหนาถอดแว่นกันแดดสีดำออกจากใบหน้า แค่นั้นทุกสรรพสิ่งภายในกายล้วนแต่ตายดับ มีแค่หัวใจดวงเดียวเท่านั้นที่เต้นแรงระรัวอยู่

“อาจารย์ไทเลอร์!”

คำพึมพำที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจของหล่อนทำให้ผู้เป็นมารดาอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ และนั่นก็ทำให้จันทร์เจ้าขาได้สติ

“เป็นอะไรเหรอเจ้าขา อาจารย์… อาจารย์อะไรนะ แม่ได้ยินไม่ถนัด”

หญิงสาวหันมามองมารดาของตัวเอง ก่อนจะรีบปฏิเสธ

“ไม่… ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่…”

หล่อนตอบมารดาและรีบหันกลับไปมองที่เดิม แต่แล้วก็ต้องพบกับความว่างเปล่า รถยนต์คันนั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว และร่างของผู้ชายที่หล่อนคิดว่าคือไทเลอร์ก็หายไปเช่นกัน หล่อนรีบวิ่งตรงไปยังจุดที่ว่างเปล่าตรงนั้น หมุนตัวมองไปรอบๆ และตะโกนหาอย่างบ้าคลั่ง

“อาจารย์… อาจารย์ไทเลอร์… อาจารย์อยู่ที่ไหนคะ อาจารย์”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมามีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้นที่หล่อนได้สัมผัส

“เจ้าขา… ลูกเป็นอะไรไปน่ะ”

“แม่… แม่ก็เห็นใช่ไหมคะ”

ผู้เป็นลูกสาวหันไปถามมารดาอย่างไม่อาจจะสะกดกลั้นอารมณ์ได้อีก

“เห็นอะไรลูก”

“ผู้ชายตัวใหญ่ๆ เป็นฝรั่งน่ะแม่ สวมแว่นตาสีดำ เมื่อกี้ยืนอยู่ข้างๆ รถคันยาวๆ น่ะแม่ แม่เห็นไหมคะ เห็นหรือเปล่า”

จันทราสับสนกับอาการของบุตรสาวยิ่งนัก

“ไม่… แม่ไม่เห็นอะไรเลย ลูกตาฝาดไปหรือเปล่า”

“ไม่… หนูไม่ได้ตาฝาด แต่หนูเห็นเขาจริงๆ อาจารย์ไทเลอร์… หนูเห็นเขาจริงๆ”

จันทร์เจ้าขาร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้ หัวใจเจ็บปวดอย่างรุนแรง นี่หล่อนเห็นเขาจริงๆ หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตากันนะ

“กลับบ้านกันเถอะลูก พ่อเค้าเพลียมากแล้ว”

พอได้ยินว่าพ่ออ่อนเพลียมากแล้ว จันทร์เจ้าขาก็ได้สติ เช็ดน้ำตาออกจนเกลี้ยงใบหน้าอย่างรวดเร็ว และเดินกลับไปหาบิดา

“พ่อ… หนูขอโทษนะคะ หนูมัวแต่ทำเรื่องไร้สาระ ไปเรากลับบ้านกันเถอะจ้ะ”

ใช่… หล่อนไม่ควรคิดถึงเรื่องของตัวเองอีกแล้ว ตอนนี้หล่อนมีพ่อมีแม่ที่ต้องดูแล หล่อนจะต้องเลี้ยงดูพวกท่านให้สุขสบายด้วยแรงกายทั้งหมดที่ตัวเองมี แม้ว่าจะไม่ได้ปริญญาอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แต่หล่อนก็จะสู้ให้ถึงที่สุด

ไทเลอร์จ้องมองร่างอรชรที่ประคองผู้ชายคนหนึ่งและมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินประคองกันขึ้นรถโดยสารประจำทางไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอำมหิต สองมือกำเข้าหากันแน่น กรามแกร่งขบกันอย่างแรงจนขึ้นสันปูดเป่ง ในที่สุดเขาก็หาหล่อนจนพบ หลังจากที่พลิกทั้งประเทศไทยเพื่อตามหาหล่อนมาเกือบสิบกว่าวัน

“ถึงเวลาที่เธอจะต้องได้รับบทเรียนแล้วล่ะ จันทร์เจ้าขา”

รถสปอร์ตสีดำก็แล่นตามรถประจำทางไปจนในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าบ้านของจันทร์เจ้าขาอยู่ที่ไหน

“พรุ่งนี้ฉันจะทำให้เธอต้องคลานเข้ามาหาฉัน จันทร์เจ้าขา!”

มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนของตัวเอง จากนั้นทุกความต้องการของเขาก็พรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น คนปลายสายรับคำและยืนยันว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่เขาต้องการอย่างแน่นอน

“ดีมาก แล้วฉันจะเพิ่มเงินค่าจ้างให้กับคุณ”

ไทเลอร์กดวางสาย ดวงตาเป็นประกายไฟน่าสะพรึงกลัว หัวใจของเขายังคงทุกข์ทรมาน ตลอดสองสัปดาห์เต็มๆ ที่ผ่านมา ไม่มีคืนไหนที่เขานอนหลับสนิทได้เลย ในหัวของเขามีแต่แม่นั่น มีแต่ผู้หญิงใจร้ายใจดำคนนั้น ทั้งๆ ที่พยายามอย่างที่สุดที่จะลืมหล่อน แต่เขาก็ทำไม่ได้ ความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นฝังแน่นจนยากจะลืมมันลงได้

“ในเมื่อเธอร้ายกับฉัน ฉันก็จะไม่มีทางปรานีเธอ พรุ่งนี้เธอจะต้องเป็นยิ่งกว่าขอทาน ที่คลานเข้ามาวิงวอนขอให้ฉันเมตตา”

ไทเลอร์มองบ้านหลังกะทัดรัดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะขับรถผ่านหน้าบ้านนั้นไปด้วยความเร็วสูง และเสียงของความเร็วนั้นก็ทำให้เจ้าของบ้านที่กำลังพยุงบิดาขึ้นบันไดต้องหันหลังมามอง แต่ก็ไม่ทันได้เห็นแม้แต่ท้ายรถหรูแม้แต่น้อย

ขับรถออกมาได้ไม่นานไทเลอร์ก็ไม่สามารถขับมันต่อไปได้อีก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในหัวใจบีบคั้นอย่างรุนแรง ก้อนเนื้อนั้นมันเจ็บ มันทรมาน อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าจันทร์เจ้าขาไม่ใช่แค่นางบำเรอของตัวเองเพียงเท่านั้น แต่หล่อนเป็น… เป็นมากกว่านั้น หล่อนเป็น… ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำไปด้วยโทสะร้าย สองมือกำเป็นหมัดและทุบลงกับพวงมาลัยรถของตัวเองหลายครั้งติดเพื่อบรรเทาอาการคลั่งภายในหัวใจ

แต่มันไม่ลดลงเลย!

“ยายเด็กบ้า ยายผู้หญิงจอมหลอกลวง ทำไมจะต้องทิ้งกันไปแบบนี้ ทำไมไม่บอกลากันสักคำ ใจร้าย เธอใจร้ายที่สุดเลยรู้ไหมจันทร์เจ้าขา!”

เสียงตะโกนก้องของคนที่กำลังถูกความเจ็บปวดห้อมล้อมรอบกายเอาไว้อย่างแน่นหนาดังกึกก้อง หัวใจเกิดรอยแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เขาไม่เคยรู้สึกทุกข์ทรมานแบบนี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยลิ้มรสชาติของการสูญเสียมาก่อน แต่จันทร์เจ้าขากำลังทำให้หัวใจของเขาร้าวราน หล่อนทรยศความไว้ใจของเขาอย่างน่ารังเกียจ

ความเจ็บปวด ขมขื่นค่อยๆ กลายร่างเป็นความคลั่งแค้นและต้องการเอาชนะ

“ฉันจะต้องลากเธอกลับมารับโทษให้ได้ จันทร์เจ้าขา และรับรองได้เลยว่า เธอจะเจ็บ… เจ็บกว่าที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่เป็นร้อยเป็นพันเท่า!”

รถสปอร์ตกลับมาแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง มุ่งหน้ากลับสู่ คฤหาสน์ Demon’s Palace ด้วยความเร็วสูงเช่นเดิม

ศัตรูของเขาเคยย่อยยับคามือมาแล้วยังไง จันทร์เจ้าขาก็จะมีสภาพไม่แตกต่างจากพวกมันเลยแม้แต่นิดเดียว

“เธอจะต้องได้รับผลกรรมที่ทำเอาไว้กับฉัน จันทร์เจ้าขา!”

ขณะที่คนๆ หนึ่งกำลังจมอยู่กับความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้น คนอีกคนหนึ่งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลออกมาแสนไกลก็กำลังคร่ำครวญหาเจ้าของดวงใจเช่นกัน

“ฉันขอโทษ… อาจารย์ไทเลอร์ ฉันขอโทษ…”

ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วสินะที่หล่อนกลับมาอยู่ที่นี่ บ้านเกิดเมืองนอนของหล่อน ประเทศไทย พ่อของหล่อนรอดตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ หลังจากที่หล่อนกับแม่กอดคอกันร้องไห้มานานเกือบสิบวัน สุดท้ายพ่อก็ฟื้นขึ้นมา พ่อโชคดีมากที่จำเรื่องราวทุกอย่างได้หลังจากผ่านการผ่าตัดสมองถึงสองครั้ง และตอนนี้คุณหมอเจ้าของไข้ก็ได้ให้พ่อของหล่อนกลับมาพักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่บ้าน พอถึงวันที่คุณหมอนัดก็ต้องไปที่โรงพยาบาลอีกเพื่อติดตามอาการ

แม่ของหล่อนมีความสุขมาก หล่อนเองก็เช่นกัน หล่อนยิ้มได้ หัวเราะได้ แม้ว่าลึกๆ แล้วภายในหัวใจจะยังคงเต็มไปด้วยบาดแผลร้ายก็ตาม

หล่อนคิดถึงมหาวิทยาลัย และที่สำคัญหล่อนกำลังคิดถึงเขา ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ ผู้ชายที่หล่อนเดินจากมากะทันหันจนไม่มีโอกาสได้เอ่ยแม้แต่คำลาสักคำ ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ป่านนี้เขาจะยังคงคิดถึงหล่อนอยู่ไหม เหมือนๆ กับที่หล่อนคิดถึงเขาในทุกๆ ลมหายใจ

หญิงสาวยิ้มเศร้าหมองให้กับดวงจันทร์ดวงกลมโตเบื้องหน้า เพราะรู้ดีว่าไทเลอร์จะไม่คิดถึงหล่อน ในชีวิตของเขามีผู้หญิงมากมายให้เลือกสรร ขาดหล่อนไปสักคนหนึ่งก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับผู้ชายหล่อเลือกได้อย่างเขาหรอก

น้ำตาไหลซึมออกมาและก็ต้องปาดเช็ดออกไปทันที เมื่อมีมือของใครบางคนมาแตะที่บ่าบอบบางด้านหลัง

“ยังไม่นอนอีกเหรอเจ้าขา”

จันทร์เจ้าขาหันกลับมายิ้มให้กับมารดา แต่รอยยิ้มนั้นช่างเศร้าหมองจนผู้ให้กำเนิดอดสงสารไม่ได้

“เดี๋ยวจะไปนอนแล้วจ้ะแม่ ว่าแต่พ่อหลับไปแล้วเหรอคะ”

จันทราพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง

“หนูแน่ใจนะว่าสบายดีเจ้าขา แม่เห็นหนูทำหน้าเศร้าๆ แบบนี้ทุกครั้งที่ลืมตัว มีอะไรก็บอกแม่ได้นะ”

“เอ่อ… หนูไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะแม่ หนูสบายดี”

ฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมองอยู่ดี

“ลูกของแม่เหมือนกับคนที่ไม่มีหัวใจ หนูไม่ได้ลืมหัวใจเอาไว้กับใครบางคนที่รัสเซียหรอกนะ”

คนฟังหน้าซีดเผือด อึ้งไปพักใหญ่กับคำพูดแทงใจดำของมารดา ใช่… หล่อนลืมหัวใจเอาไว้กับไทเลอร์ที่รัสเซีย แต่หล่อนก็คงบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้ แม้แต่แม่ของตัวเอง

“ไม่… ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คือหนูแค่…”

“อย่าโกหกแม่เลยเจ้าขา แม่เลี้ยงหนูมากับมือนะ ทำไมแม่จะมองไม่ออกว่าลูกสาวของแม่คนนี้กำลังรู้สึกยังไง”

คนที่พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ปล่อยโฮออกมาทันที จากนั้นก็โผเข้ากอดและซบหน้าลงกับอกมารดาของตัวเองอย่างต้องการที่พึ่ง

“แม่จ๋า… แม่อย่าโกรธหนูเลยนะ หนู… หนูพยายามแล้วที่จะตั้งใจเรียนอย่างเดียว แต่ว่า… แต่หนูต้านทานเขาไม่ได้เลย หัวใจของหนูเต้นแรงทุกครั้งที่เจอเขา”

“แม่จะไปโกรธลูกได้อย่างไรกันล่ะเจ้าขา ผู้หญิงเราจะมีความรักมันก็เป็นเรื่องปกติ”

“แต่เขาไม่ได้รักหนูค่ะแม่”

“อะไรทำให้หนูคิดแบบนั้นล่ะเจ้าขา…”

จันทราดันร่างสั่นเทิ้มของบุตรสาวออกห่างตัวเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“บางทีหนูอาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะ ความรักน่ะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก”

“แต่หนูรู้ดีค่ะแม่ รู้ดีว่าเขาไม่ได้รักหนู หนูก็เป็นแค่ทางผ่านของเขาเท่านั้นแหละ แต่หัวใจของหนูมันก็ยังไม่รักดี มันเจ็บไม่เคยจำ ยังเอาแต่คิดถึงเขาเสมอ ทุกค่ำคืน ทุกลมหายใจ”

ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของบุตรสาว และเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะยิ้มให้กำลังใจ

“เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่บุพเพสันนิวาส ถ้าลูกกับเขาคือคู่แท้ของกันและกัน ไม่นานก็ต้องได้เจอกันอีก และไม่นานก็จะต้องได้อยู่ด้วยกัน”

บุพเพสันนิวาสเหรอ จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางได้เป็นคู่แท้ของไทเลอร์ได้ ผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องการแต่อิสรภาพเท่านั้น

“อย่าคิดมากนะเจ้าขา… เข้านอนซะ แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”

จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้มให้กับมารดาทั้งๆ ที่น้ำตายังคงนองหน้า

“ค่ะแม่ หนูจะไปนอนเดี๋ยวนี้ แม่ก็ไปพักผ่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลแต่เช้า”

แล้วสองแม่ลูกก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก คนเป็นแม่หลับปุ๋ยไปอย่างง่ายดายเพราะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ตรงกันข้ามกับผู้เป็นบุตรสาวที่นอนไม่หลับพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่ตลอดทั้งคืน กว่าจะข่มตาให้หลับลงได้เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบรุ่งสาง

“อย่าลืมนัดฉันเย็นนี้ล่ะคนสวย ดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียน”

เสียงนุ่มทุ้มที่กรอกมาตามสาย ทำให้คนที่กำลังนั่งรอเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้อยู่อดที่จะอมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เจ้าค่ะ เจ้านาย”

“อย่าสักแต่รับปากแล้วลืมล่ะ เพราะฉันเกลียดคนผิดสัญญาที่สุด”

จันทร์เจ้าขาหัวเราะเสียงใสไปตามสาย ก่อนจะต้องเอามือป้องปากเอาไว้เพราะเพื่อนๆ รอบตัวเริ่มหันมามองกันหลายคนแล้ว

“รับรองไม่ลืมหรอกค่ะ ถ้าลืมให้ทำโทษ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเธอลืม หรือปล่อยให้ฉันคอยแม้แต่นาทีเดียว ฉันฟัดเธอตายคาเตียงคืนนี้แน่ จำเอาไว้คนสวย”

แม้น้ำเสียงของเขาจะดุดันและทรงอำนาจ หางเสียงข่มขู่นิดหน่อย แต่หล่อนก็ยังคงยิ้มออกมาได้เพราะรู้ว่าไทเลอร์ทำเสียงดุให้หล่อนกลัวเท่านั้นเอง

“รับทราบค่ะ ถ้าไปช้า ให้ทำโทษตลอดทั้งชีวิตเลยค่ะ”

“ฉันจะจำคำนี้เอาไว้”

แล้วพ่อเจ้าประคุณจอมเอาแต่ใจก็วางสายไป หญิงสาวกำลังจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายแต่มันก็ดังขึ้นมาอีกรอบจนต้องรีบกดรับโดยไม่ทันได้มองเบอร์ที่หน้าจอ

“ว่าไงคะ อาจารย์ขา…”

จันทร์เจ้าขาคิดว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากพ่อคนแสนโอหังอย่างไทเลอร์ที่พึ่งวางสายไปเมื่อครู่นี้แต่ก็ผิดคาดไปถนัดตาเลยทีเดียว

“ใช่คุณจันทร์เจ้าขา โชติฐากรหรือเปล่าครับ”

สุ้มเสียงที่ได้ยินประกอบกับภาษาที่ดังออกมาจากปลายสายทำให้หญิงสาวรู้ว่าต้นทางคือประเทศไทยนั่นเอง แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน

“เอ่อ ใช่ค่ะ ว่าแต่คุณเป็น…”

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงของคนปลายสายก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความความเป็นกังวลใจจนหล่อนรู้สึกได้อย่างชัดเจน

“คุณพ่อของคุณชื่อคุณจาตุรงค์ โชติฐากรใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

พอผู้ชายคนนั้นเอ่ยถึงชื่อบิดา ลางสังหรณ์รุนแรงก็วิ่งเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ปรานี

“พ่อของฉันเป็นอะไรไปคะ”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ผมเป็นคุณหมอเจ้าของไข้ของคุณจาตุรงค์”

“เจ้าของไข้?!”

หัวใจของคนฟังอย่างหล่อนแทบหยุดเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาไหลซึมออกมา ก่อนจะทะลักออกมาอาบแก้มนวลมหาศาล

“คุณหมอ… พ่อ… พ่อของฉันเป็นอะไรไปคะ พ่อ…”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ตอนนี้พ่อของคุณอยู่ในห้อง ICU คุณแม่ของคุณขอร้องให้ผมโทรติดต่อคุณให้กับท่าน เดี๋ยวคุณคุยกับคุณแม่ของคุณนะครับ”

“ฮัลโหล… เจ้าขาใช่ไหม… พ่อ… พ่อ… เขาเจ็บหนักมากเลยลูก”

“แม่… พ่อ… พ่อเป็นอะไรไปแม่ แล้วทำไมพ่อถึงเจ็บหนัก แม่… แม่บอกฉันสิ แม่บอกฉันสิแม่”

จันทร์เจ้าขาไม่สนใจอีกแล้วว่าเพื่อนในห้องจะจับจ้องมองดูมายังไง ตอนนี้หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวต่อการพลัดพราก

“พ่อถูกรถชน ตอนนี้เลือดคลั่งในสมอง อาการห้าสิบห้าสิบน่ะเจ้าขา”

“พ่อ…”

“ถ้าลูกกลับมาได้ ก็กลับมานะเจ้าขา มาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย”

ไม่รู้ว่าหล่อนเดินออกมาจากห้องเรียนมาหยุดที่หน้ารั้วมหาวิทยาลัยได้ยังไง รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้หล่อนต้องไปสนามบินให้เร็วที่สุด ต้องรีบบินกลับเมืองไทยไปหาพ่อ ไปช่วยพ่อให้รอดชีวิตให้ได้ แม้จะรู้ดีว่าการเดินจากไปแบบนี้จะทำให้การศึกษาที่กำลังจะจบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าต้องดับวูบลง แต่หล่อนก็จำเป็นต้องเลือกชีวิตของบิดามาก่อน

“หนูกำลังจะกลับไปหาพ่อ… รอหนูด้วยนะ…”

หญิงสาวก้าวขึ้นรถแท็กซี่ไปทั้งน้ำตาหัวใจเจ็บปวดอย่างรุนแรง

“ไป… สนามบินค่ะ”

หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน และเรื่องความเจ็บป่วยของบิดาทำให้หล่อนลืมนัดสำคัญของไทเลอร์ไปสนิทใจเลยทีเดียว

บรรยากาศรอบตัวถูกความมืดสลัวปกคลุมเสียทั้งหมดแล้ว แต่แม่สาวน้อยคนสวยที่เขากำลังนั่งรอการมาเยือนของหล่อนอยู่ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวเสียที ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือราคาแพงระยับขึ้นมอง ก็พบว่าตอนนี้เลยเวลานัดหมายมานานเกือบชั่วโมงแล้ว

“มาเมื่อไหร่เธอถูกทำโทษหนักแน่”

ชายหนุ่มคาดโทษและนั่งรอต่อไป เขานั่งรินบรั่นดีมาจิบอย่างใจเย็น แต่ก็ผ่านมาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นวี่แววของจันทร์เจ้าขาสักที ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยต้องมาเสียเวลานั่งคอยใครนานเป็นชั่วโมงแบบนี้เลย แค่นาทีเดียวเขาก็ไม่เคยรอ บ้าชะมัดทำไมเขาจะต้องมานั่งรอแม่นั่นด้วยนะ แม้จะก่นด่าความผิดปกติของตัวเอง แต่สุดท้ายไทเลอร์ก็ยังคงนั่งรอต่อไป

มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือมากดต่อสายหาจันทร์เจ้าขาอีกครั้ง แต่ก็พบว่าไม่มีสัญญาณตอบรับเหมือนสามครั้งแรกที่ผ่านมาเช่นเดิม

ชายหนุ่มกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องทนนั่งรอต่อไป รอไปจนกว่าจันทร์เจ้าขาจะมาเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าเจ้าหล่อนสำคัญต่อตัวเองมากแค่ไหน

“ฉันจะให้โอกาสเธออีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าเธอยังไม่มาอีกฉันจะกลับ”

ไทเลอร์พูดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงนั่งรอต่อไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าหล่อนจะมา ลูกค้าค่อยๆ ทยอยออกไปจากร้านทีละคนสองคน จนตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่เขาคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ในนี้

“รับอาหารเลยไหมครับ”

เสียงบริกรที่มาโค้งคำนับอยู่ข้างกายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลย ไทเลอร์เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาด้วยสายตาที่ไม่อาจจะซ่อนความร้าวรานเอาไว้ได้

“ไม่ต้องแล้วล่ะ อาหารพวกนั้นฉันยกให้พวกนายทั้งหมด”

“เอ่อ…”

บริกรอึ้งขณะไทเลอร์ผุดลุกขึ้นยืนอย่างสิ้นหวัง แต่เขาก็เข้มแข็งพอที่จะไม่แสดงอาการใดๆ ออกไปเพื่อประจานตัวเอง

“ส่วนเค้กวันเกิด… พวกนายก็กินกันไปได้เลย ฉันอนุญาต”

ไทเลอร์วางเงินค่าอาหารและเค้กวันเกิดลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปทันที เขามันบ้าไปเอง เวอร์ไปเองที่ลงทุนทำถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด จันทร์เจ้าขาลืมเขา หล่อนลืมนัดสำคัญของเขาได้อย่างน่าเจ็บใจ ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์วันเกิดของเขา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังพินาศลงพร้อมๆ ดื่นๆ แบบนี้ อาจารย์มารอใครหรือเปล่าคะเนี่ย”

คนพูดอมยิ้ม ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างรู้ทันเมื่อเห็นอีกฝ่ายอึ้งไม่ยอมตอบ

“หรือว่าไม่รอ… แม่จันทร์เจ้าขา…”

“อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันอีก ฉันจะกลับล่ะ”

“เดี๋ยวสิคะอาจารย์ไทเลอร์… จะรีบไปไหนล่ะคะ”

ไทเลอร์หรี่ตาแคบมองคนที่ถือวิสาสะจับต้นแขนของเขาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดออกอย่างไม่ใยดี

“เธอกลับไปหลับไปนอนซะฟิลิเซีย และเธอควรจะรีบหาที่เรียนใหม่ให้จบ ก่อนที่จะแก่เกินเรียน”

“ขอบคุณค่ะที่สั่งสอน แต่ช่วยตอบหน่อยได้ไหมคะว่าอาจารย์มารอใครที่นี่”

“มันเรื่องของฉัน ไสหัวไปให้พ้นเลยไป”

ไทเลอร์กระชากประตูให้เปิดออกและก้าวขึ้นไปนั่งทันที

“อย่าพึ่งไปสิคะ บางทีสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกอาจารย์ อาจจะทำให้อาจารย์หูตาสว่างขึ้นมาได้บ้างนะคะ”

ฟิลิเซียรีบจับประตูรถสปอร์ตคันงามเอาไว้ และไม่ยอมให้คนตัวโตกระชากมันปิดลงง่ายๆ

“ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”

“แล้วถ้าเป็นเรื่องของจันทร์เจ้าขาล่ะคะ อาจารย์ยังอยากจะฟังหรือเปล่า”

ได้ผล คนที่หน้าตาบูดบึ้งและแสดงท่าทางไม่สนใจหล่อน อ่อนลงในทันที และนั่นก็ทำให้หล่อนรู้ทันทีเลยว่าไทเลอร์กำลังรอจันทร์เจ้าขาจริงๆ

“จันทร์เจ้าขาทำไม”

“แหม… อาจารย์คะ พอได้ยินชื่อของแม่นี่ อาจารย์ก็สนใจขึ้นมาในทันทีเลยนะคะ ว่าแต่อาจารย์ต้องตอบฉันมาก่อนว่าอาจารย์มารอแม่จันทร์เจ้าขาที่นี่ และแม่นั่นไม่มาใช่ไหมคะ”

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเธอ”

ไทเลอร์กระชากเสียงตอบอย่างหงุดหงิด

“งั้นฉันก็คงไม่มีอะไรจะบอกอาจารย์เหมือนกันล่ะค่ะ ไปก่อนนะคะ”

คราวนี้เป็นไทเลอร์บ้างที่กระชากมือของหล่อนเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะที่ไม่สามารถจะเปิดมันออกมาได้

“เดี๋ยวก่อน… ก็ได้ฉันมารอจันทร์เจ้าขาที่นี่ แต่จันทร์เจ้าขาผิดนัด”

ฟิลิเซียหัวเราะสะใจ สมน้ำหน้าผู้ชายตรงหน้าเป็นที่สุด คนที่จงรักภักดีแบบหล่อนไม่ยอมเหลียวแล แต่ดันไปสนใจอีตัวสกปรกอย่างนังจันทร์เจ้าขา

“น่าสงสารจังเลยนะคะ ไม่คิดว่าผู้ชายเพอร์เฟคอย่างอาจารย์ไทเลอร์จะต้องมานั่งรอผู้หญิงเก้อแบบนี้ด้วย”

เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันของฟิลิเซียยิ่งทำให้เนื้อตัวของไทเลอร์เกร็งเครียด ใช่… สิ่งที่ฟิลิเซียพูดมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง เขาไม่เคยต้องเสียศักดิ์ศรีมานั่งรอใครแบบนี้ มีแต่คนอื่นต่างหากที่ต้องยอมมานั่งรอเขา แต่จันทร์เจ้าขากลับทำให้เขาต้องยอมทำทุกอย่างที่น่าละอาย ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูน

“หยุดพล่ามเรื่องอื่นได้แล้ว และบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์เจ้าขา”

ฟิลิเซียยิ้มเยาะ และช้อนตาขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความสะใจ

“เพื่อนของฉันเห็นแม่นั่นที่สนามบิน”

“สนามบิน?”

“ใช่ค่ะ แม่จันทร์เจ้าขาไปที่สนามบิน และตอนนี้ก็บินไปจากรัสเซียแล้ว”

เสมือนพื้นดินใต้ฝ่าเท้าแยกออกจากกันแล้วสูบร่างของเขาให้ตกลงไปในขุมนรก

“ไม่จริง จันทร์เจ้าขาไม่มีทางทำแบบนั้นได้ จันทร์เจ้าขาจะไม่ละทิ้งปริญญาที่กำลังจะได้มันมาครอบครองในอีกไม่กี่อาทิตย์แน่นอน”

“แต่มันคือเรื่องจริงค่ะ ฉันไม่ได้โกหกอาจารย์ไทเลอร์ ไม่เชื่อก็ลองโทรไปเช็คกับทางสนามบินได้เลย และอาจารย์ก็จะรู้ว่าแม่นังขมิ้นเหลืองอ่อนของอาจารย์ตีปีกหนีออกไปจากกรงทองของตัวเองแล้ว”

ไม่… เขาไม่มีทางเชื่อ ไม่มีทางเชื่อ ไทเลอร์คำรามลั่นอยู่ภายในอก ก่อนจะจัดการทำตามคำแนะนำของฟิลิเซียเพื่อพิสูจน์ความจริงทันที เขาวิงวอน วิงวอนต่อพระเจ้าให้ทุกอย่างที่ฟิลิเซียพูดคือเรื่องโกหก ขอร้องให้จันทร์เจ้าขาอย่าจากเขาไปไหนเลย เขาสัญญาเลยว่าจะไม่ทำโทษหล่อน เรื่องที่หล่อนผิดนัดในวันนี้ เขาสาบาน

“เราตรวจพบรายชื่อผู้โดยสารชื่อคุณจันทร์เจ้าขา โชติฐากรในเที่ยวบิน RC 3075ครับ”

“ปลายทาง… อยู่ที่ไหน”

ไทเลอร์แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเสียงแปร่งๆ ที่เปล่งออกไปตามสายเมื่อครู่นี้จะเป็นเสียงของตัวเอง

“ประเทศไทยครับ”

“ขอบใจมาก”

ชายหนุ่มกดตัดสายการสนทนา ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยไร้ความรู้สึกก็จริง แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความคลั่งแค้นและผิดหวังอย่างรุนแรง

“ฉันไม่ได้โกหกอาจารย์ เห็นไหมล่ะคะ”

ฟิลิเซียระบายยิ้ม และก้มหน้าลงมาหาคนตัวโต มองอย่างเชิญชวน

“ไม่มีใครจงรักภักดีต่ออาจารย์ไทเลอร์ได้เท่ากับฉันอีกแล้ว ฟิลิเซียคนนี้สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งอาจารย์ไปไหน จะอยู่กับอาจารย์ไปชั่วชีวิต”

ปากของฟิลิเซียลดต่ำลงมาใกล้ ในขณะที่ไทเลอร์ยังคงนั่งนิ่งงันอยู่ภายในรถ สมองของเขากำลังพังพินาศ มันก็พังยับเยินพอๆ กับหัวใจของเขาในตอนนี้นั่นแหละ ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจันทร์เจ้าขาจะกล้าทำแบบนี้กับเขา หล่อนจะกล้าหนีไปแบบนี้

“ออกไปให้พ้น!”

“โอ๊ย… อาจารย์มาผลักฉันทำไมเนี่ย”

คนที่ถูกผลักอย่างไม่ปรานีจนแทบล้มไปกองกับพื้นตวาดกลับอย่างโมโห

“ไปให้พ้นหน้าฉัน ไปสิ”

ฟิลิเซียกัดฟันแน่น แค้นใจนักที่ไทเลอร์ไม่ยอมเห็นความดีความชอบของหล่อน ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่านังจันทร์เจ้าขามันหลอกลวงเอา

“นังนั่นมันสารเลว ทิ้งอาจารย์ไปแบบนี้ อาจารย์จะยังไปอาลัยอาวรณ์มันอีกเหรอคะ จะไปสนใจมันทำไม ฉันนี่ไง… ฉันรออาจารย์อยู่รอมาตั้งหลายปีแล้วนะ ทำไมอาจารย์ไม่มองฉันเลย ทำไมมองข้ามผู้หญิงสวยๆ ฉลาดๆ อย่างฉันไปคว้าเอานังอีตัวชั้นต่ำอย่างนังจันทร์เจ้าขามันได้ หรือว่าอาจารย์ชอบกินอาจมกันคะ!”

“หุบปากเน่าๆ ของเธอซะฟิลิเซีย และอย่าเรียกจันทร์เจ้าขาว่าอีตัวต่ำๆ อีก เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง”

ฟิลิเซียฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาให้ดังก้องโลกนัก มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาสมเพชเป็นที่สุด

“มันหลอกมันสวมเขาให้แบบนี้ อาจารย์ก็ยังแสนดีกางปีกปกป้องมันอีกเหรอคะ นี่ถามจริงๆ เถอะค่ะอาจารย์ไทเลอร์ เสือร้ายในตัวของอาจารย์มันเผ่นหายไปไหนกัน ทำไมตอนนี้ฉันเห็นแต่ผู้ชายอ่อนแอที่กำลังจมอยู่ในกองทุกข์เท่านั้นล่ะคะ”

“บอกให้หุบปากไง!”

แล้วไทเลอร์ก็กระชากประตูรถให้ปิดสนิทลง ก่อนจะพุ่งทะยานรถสปอร์ตคู่ใจของตัวเองจากไปด้วยความเร่งปานจรวด

ฟิลิเซียมองตามไปด้วยความเจ็บแค้น ไม่อยากจะเชื่อเลยไทเลอร์จะไม่มองหล่อน ทั้งๆ ที่นังมารหัวใจอย่างจันทร์เจ้าขาก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว หรือว่าชาตินี้หล่อนจะไม่มีทางได้ครอบครองผู้ชายคนนี้จริงๆ แม้จะเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะสู้รบตบมือกับใครได้อีกแล้ว หญิงสาวคิดอย่างท้อแท้ก่อนจะเดินคอตกกลับขึ้นรถของตัวเองไปในที่สุด

วันนี้หล่อนได้นั่งรถชูคอมามหาวิทยาลัยกับไทเลอร์อีกครั้งหลังจากถูกเขาทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีไปสามวันสามคืน

“อย่าพึ่งลง…”

ข้อมือบางถูกคว้าหมับเอาไว้ด้วยมือหนาที่แข็งยังกับคีมเหล็ก

“อยู่คุยกันก่อน”

“แต่ถึงมหา’ลัยแล้วนะคะ และฉันมีเรียนตอนเช้าด้วย”

“อย่ามาเฉไฉเธอมีเรียนตั้งเก้าโมง และนี่ก็พึ่งจะแปดโมงครึ่งเอง อยู่คุยกับผัวตัวเองซะดีๆ”

คนฟังหน้าแดงก่ำ มองคนตัวโตเจ้าของคำพูดด้วยสายตาขัดเขิน

“แต่ว่า… เดี๋ยวนักศึกษาคนอื่นจะผ่านมาเห็น”

“จะผ่านมาเห็นก็ช่างประไร ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอในรถเสียหน่อย ก็แค่อยากจะคุยถึงเรื่องราวเมื่อคืนเท่านั้น”

ท้ายประโยคน้ำเสียงของเขาแสนจะจริงจัง ขณะที่ดวงตาคมกริบสีเขียวมรกตจ้องหน้าหล่อนเขม็งคล้ายกับกำลังคาดคั้น

“ไหนบอกมาสิ บอกความจริงมาว่าทำไมถึงกลับไปทำงานที่ผับนรกนั่นอีก”

จันทร์เจ้าขาส่ายหน้าและกำลังจะโกหกออกมา แต่ก็ถูกคู่สนทนาโคตรหล่อรู้ทันเอาจนได้

“อย่ามาบอกว่าต้องการเงิน เพราะฉันไม่เชื่อ”

“แต่ฉัน… ต้องการเงินจริงๆ นะคะ”

“จันทร์เจ้าขา… เธอน่ะโกหกไม่เก่งหรอกนะ ดังนั้นพูดความจริงกับฉันมา บอกฉันมาว่าทำไมเธอถึงกลับไปทำงานแบบนั้นอีกครั้ง บอกฉันสิ”

ดวงตาของหล่อนสบประสานกับนัยน์ตาสีมรกตในระยะกระชั้นชิด ลำคอของหล่อนแห้งผาก ขณะที่สมองของหล่อนมึนงงและขาดสติ

“ไม่ต้องมาทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ตอบฉันมา เธอไปทำงานที่นั่นอีกทำไม”

“คือฉัน… คือว่า…”

‘อาจารย์ไทเลอร์กับพ่อของฉันน่ะสนิทสนมกันมาก และเราสองคนก็มีแพลนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย…’

‘เธออย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันไม่ใช่คนสำคัญของอาจารย์ไทเลอร์ ฉันจะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ได้ยังไงกัน คิดดูสิ…’

‘มันคือเรื่องจริง ฉันจะโกหกเธอไปทำไม เพราะถึงยังไงซะเธอก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรของอาจารย์ไทเลอร์อยู่ดี อีกไม่นานเธอก็จะถูกเขี่ยทิ้ง เหมือนๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาผ่านมานั่นแหละ’

คำพูดของฟิลิเซียกลับมาดังกึกก้องในสมอง และมันก็ปลุกปั่นให้หล่อนเต็มไปด้วยความน้อยใจเป็นที่สุด หล่อนเม้มปากแน่น ก่อนจะเชิดหน้าสูง

“อาจารย์อยากรู้จริงๆ เหรอคะ”

“แน่นอนฉันอยากรู้ทุกเรื่องของเธอนั่นแหละ และหากฉันทำได้ ฉันต้องการจะรู้ทุกความคิดในหัวสวยๆ ของเธอด้วยจันทร์เจ้าขา”

ดวงตาของเขามั่นคง น้ำเสียงไม่มีร่องรอยผ่อนปรนแม้แต่นิดเดียว

“ก็คู่หมั้นของอาจารย์ยังไงล่ะคะ”

“คู่หมั้น?”

คิ้วเข้มหน้าเป็นปื้นที่พาดโค้งผ่านนัยน์ตาคมกริบสีมรกตเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ขณะหรี่ตามองคู่สนทนาสาวสวยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ฉันเนี่ยนะมีคู่หมั้น…”

“ค่ะ”

หญิงสาวกระแทกเสียงตอบ ก่อนจะพูดประชดประชันออกมา

“อย่าบอกนะคะว่าลืมผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของตัวเองลงได้ ไม่น่าเชื่อ”

เสียงของคนตัวโตสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตรึงบ่าทั้งสองข้างของหล่อนด้วยฝ่ามือหนาแกร่ง

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปเอาเรื่องบ้าๆ พวกนี้ใส่หัวมาได้ยังไง แต่ฉันไม่เคยมีคู่หมั้นมาก่อน”

“แม้แต่คู่หมั้นที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเลือกเอาไว้ให้เหรอคะ”

“ใช่ ฉันไม่เคยมีคู่หมั้น แม้แต่คิดก็ยังไม่เคย รู้เอาไว้ซะด้วย แม่สาวสมองกลวง”

คราวนี้กลับไปเป็นจันทร์เจ้าขาบ้างที่นั่งอึ้ง และเมื่อทุกอย่างคลี่คลายความไม่ชอบมาพากลของฟิลิเซียก็แจ่มชัดในสมอง นี่หล่อนโง่มากขนาดนี้เชียวหรือ

“งั้นฟิลิเซียก็ไม่ใช่คู่หมั้นของอาจารย์น่ะสิคะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่มีคู่หมั้น แต่ว่าฟิลิเซียมาเกี่ยวอะไรด้วย”

ไทเลอร์หรี่ตามองสาวน้อยตรงหน้าอย่างคาดคั้น

“อย่าบอกนะว่าเพราะฟิลิเซีย เธอถึงได้ประชดฉันด้วยการกลับไปทำงานที่ผับระยำนั้นอีกครั้ง ใช่หรือเปล่าจันทร์เจ้าขา…”

แม้จะไม่อยากยอมรับเพราะแสนจะอับอาย แต่สุดท้ายก็จำใจต้องพยักหน้าและก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของเขา หล่อนได้ยินเสียงไทเลอร์สบถคำหยาบคายในลำคอ ก่อนที่เขาจะบังคับให้หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยอย่างเผด็จการ

“งั้นก็แสดงว่าหึงฉันสินะ”

“เอ่อ… ไม่ใช่นะ”

จันทร์เจ้าขาหน้าแดงก่ำ รีบส่ายหน้าปฎิเสธโดยไม่หยุดคิดทันที และนั่นก็ทำให้ไทเลอร์หัวเราะออกมาลั่นรถ พลางยีเส้นผมสีดำขลับของเจ้าหล่อนจนยุ่งอย่างหมั่นเขี้ยว

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฟิลิเซียพูดอะไรกับเธอบ้าง แต่คราวหน้าอย่าหูเบาอีก ไม่เข้าใจอะไร ข้องใจตรงไหนมาหาเอาคำตอบจากฉันได้เลย”

คนตัวโตโน้มหน้าลงมาหาและฉวยโอกาสจูบแก้มนวลหนักหน่วง

“ฉันเต็มใจตอบคำถามเธอเสมอคนสวย”

“อาจารย์น่ะ ทำแบบนี้เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านะ”

หญิงสาวรีบยกมือขึ้นแตะแก้มนวลที่ยังร้อนระอุเพราะปลายจมูกของเขาอยู่ด้วยความเขินอาย ดวงหน้างามแดงระเรื่อสุกปลั่ง

ไทเลอร์อมยิ้ม และทำท่าจะก้มต่ำลงมารุกรานอีกครั้ง แต่คราวนี้หล่อนรู้ทันความคิดของเขาจึงเบี่ยงหน้าหลบ ใบหน้าหล่อเหลาจึงซุกซบลงมาที่ซอกคอระหงแทน

“อุ๊ย… อาจารย์ อย่านะ… อย่าดูดคอฉันนะ เดี๋ยวเป็นรอย…”

รู้ตัวว่าพลาดท่าเขาก็ตอนที่ถูกริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มเนื้อนุ่มที่ซอกคอระหงนั่นแหละ

“ใครใช้ให้เจ้าเล่ห์กับฉันก่อนล่ะ”

“ใครเจ้าเล่ห์ อาจารย์นั่นแหละ ไม่เอาแล้วไม่คุยด้วยแล้ว ไปเรียนดีกว่า”

แล้วจันทร์เจ้าขาที่ยกมือขึ้นลูบลำคอที่เป็นรอยแดงเพราะถูกปากร้อนผ่าวดูดดึงก็รีบกระโดดลงไปจากรถสปอร์ตคันงามอย่างรวดเร็ว ไทเลอร์ไม่ได้ตามลงไป เขานั่งหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ภายในรถ มองร่างอรชรจนหายไปลับตา

“ยายเด็กบ้า… น่ารักชะมัด”

คนตัวโตพึมพำด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดับเครื่องยนต์และเดินตามหญิงสาวเข้าไปในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัสเซียเช่นกัน

หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ของอีกวันต่อมา…

จันทร์เจ้าขาผุดลุกขึ้นนั่ง และก็ต้องนิ่วหน้าอย่างเจ็บระบมในบางส่วนของร่างกายที่ถูกลงทัณฑ์อย่างหนักจนสลบคาอกของเขาเป็นที่สุด ผู้ชายอะไรตะกละตะกลามเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวเอาแรงจากไหนมาทำนัก

เมื่อคิดถึงเขาก็อดกวาดสายตามองหาไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่พบเขาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ พอเต็มคราบเขาก็ไม่คิดจะอยู่ใกล้หล่อนหรอก หญิงสาวเต็มไปด้วยความน้อยใจ น้ำตากำลังจะไหลลงมาบนแก้มนวล แต่ประตูห้องก็เปิดผัวะเข้ามาเสียก่อน พร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของคนที่เธอกำลังคิดถึงอยู่นั่นแหละ

ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

“อาจารย์…”

เขาไม่สนใจคำเรียกของหล่อน เดินมาหยุดตรงหน้า และโยนหนังสือพิมพ์ในมือลงบนเตียงตรงหน้าของหล่อนนั่นเอง

“อะไรคะ”

“อ่านสิ จะได้รู้ว่าอะไร”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบและห่างเหิน

จันทร์เจ้าขาไม่มีทางเลือกจึงต้องหยิบหนังสือพิมพ์ชื่อดังของรัสเซียขึ้นมามอง และอ่านพาดหัวตัวใหญ่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในมือก็ทำให้หล่อนอ้าปากค้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่กำลังแสยะยิ้มอย่างสะใจอยู่อย่างกังขา

“ฉันรู้ว่าเธอจะถามอะไร ฉันสั่งปิดไอ้ผับนรกนี่เองนั่นแหละ”

“อาจารย์… ทำอย่างนี้ทำไมคะ”

เขาระบายยิ้ม ในขณะที่หล่อนเต็มไปด้วยความละอายใจเป็นที่สุด

“ก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการให้เธอไปทำงานที่นั่นอีก”

น้ำตาของคนฟังร่วงหล่นอาบแก้ม

“แต่อาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องพลอยต้องเดือดร้อนกันไปหมด เพราะความเอาแต่ใจของอาจารย์เพียงคนเดียว”

หล่อนตัดพ้อ ต่อว่า อย่างแสนจะเจ็บช้ำ เพราะเห็นว่าที่นี่คือบ่อข้าวบ่อน้ำของหล่อน เขาถึงขนาดต้องกระทำการเหี้ยมโหดแบบนี้เชียวหรือ

“มันเป็นเพราะเธอต่างหากล่ะ ถ้าเธอไม่ขัดคำสั่งฉัน ทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนี้”

“ฉันก็แค่อยากทำงาน…”

“แล้วเธอคิดหรือว่าฉันจะทนเห็นผู้หญิงของตัวเองไปเดินเฉิดฉายอยู่ในผับนรกนั่นให้ผู้ชายเป็นร้อยเป็นพันโลมเลียด้วยสายตาน่ะ ฉันไม่มีทางยอม”

เขาหวง เขาหวงหล่อนมาก นี่หล่อนไม่เข้าใจเลยหรือไง

“แต่ถึงอาจารย์จะทำแบบนี้ ฉันก็สามารถไปทำงานที่อื่นได้อีก”

ไทเลอร์หัวเราะเยาะ และขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะสั่งปิดทุกสถานบันเทิงในรัสเซียซะ”

จันทร์เจ้าขากัดปากแน่น เงยหน้าสบตากับคนตัวโตอย่างเจ็บปวด

“อาจารย์คงต้องการให้ฉันหมดทางเลือกใช่ไหมคะ ต้องการให้ฉันคุกเข่าและรับเงินจากอาจารย์ใช่ไหมคะ”

ไหล่กว้างไหวน้อยๆ และเขาก็ทรุดกายลงนั่งข้างๆ ตัวของหล่อน จันทร์เจ้าขาคิดจะขยับหนีแต่เขารู้ทันจึงคว้าเอวคอดเอาไว้แน่น

“ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอคุกเข่าให้ฉัน แต่สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ…”

นัยน์ตาสีเขียวมรกตสะกดให้หล่อนหยุดหายใจเพื่อเขา

“ให้เธอรับความช่วยเหลือจากฉัน”

“เพราะอะไรคะ”

เขาไม่ได้ยิ้มให้กับหล่อน แต่ยังคงจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาอ่านไม่ออกเช่นเคย

“เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉันยังไงล่ะ”

แล้วเขาก็ดันร่างของหล่อนให้ล้มลงนอนราบกับเตียง จากนั้นก็ปลดเปลื้องชุดนอนสีชมพูหวานออกไปจากกายสาวอย่างง่ายดาย และช่ำชอง

“ฉันหิวอีกแล้ว…”

เขาก้มลงมาจูบปากของหล่อนด้วยความหิวกระหายเหมือนเคย จากนั้นก็จูบต่ำลงไปคลุกเคล้าอยู่กับเจ้าก้อนปทุมถันอวบใหญ่อย่างหลงใหล

“ทั้งๆ ที่เธอทำให้ฉันไม่พอใจตั้งหลายเรื่อง แต่ฉันก็ยังหิว…”

ไทเลอร์เงยหน้าขึ้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตหวานฉ่ำ

“อยากกินเธอทุกวินาที”

“อาจารย์…”

“มันคือเรื่องจริง เธออยู่ในหัวของฉันแม้แต่ตอนที่ฉันทำงาน จันทร์เจ้าขา ฉันไม่ได้โกหก ฉันคิดถึงแต่เธอจริงๆ”

น้ำเสียงนุ่มนวลและกิริยาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายของคนตัวโตผลักดันให้ความน้อยใจจางหายจากไปอย่างง่ายดาย ความร้อนผ่าวในบางส่วนของร่างกายแผดเผาขึ้นมาแทนที่อย่างรุนแรง มันรุนแรงจนหล่อนต้องบิดตัวไปมาด้วยความรู้สึกวาบหวามปั่นป่วน

“ฉันเกลียดที่สุด ยามที่เธอบอกว่าไม่ต้องการเงินของฉัน และต้องการเงินของผู้ชายคนอื่น”

เขายังคงพล่ามต่อไป ในขณะที่มือหนาบีบเคล้นฟอนเฟ้นไปทั่วทั้งเรือนร่างสาวสะพรั่งด้วยความสนิทเสน่หาเจียนคลั่ง

“เธอเป็นสมบัติของฉันนะจันทร์เจ้าขา ดังนั้นเธอต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน… เข้าใจหรือเปล่า”

เมื่อหญิงสาวไม่ยอม ไทเลอร์จึงก้มลงดูดอมปลายถันงามและตวัดลิ้นโรมรันเม็ดเต่งตึงนั้นจนมันแข็งชูชันมากยิ่งขึ้น

“อ๊า… อาจารย์ขา…”

“ตอบมาสิว่าจะไม่ขัดใจฉันอีก จันทร์เจ้าขา”

“ค่ะ ค่ะอาจารย์ ฉันจะไม่ขัดใจอาจารย์อีกแล้ว อู๊ย… อย่าหยุดนะคะ”

มือบางกดศีรษะทุยให้แนบแน่นกับเต้างามมากยิ่งขึ้น ขณะที่กายสาวก็แอ่นหยัด ดิ้นเร่าๆ ด้วยความรุนแรงเสน่หาปานจะขาดใจ

“อาจารย์…”

ไทเลอร์ค่อยๆ พรมจูบต่ำลงมายังหน้าท้องแบนเรียบ และต่ำลงไปซุกไซ้ที่หน้าขาอวบ เขาตวัดเลีย ดูดดื่มจนเจ้าของร่างสั่นเทิ้มราวกับเจ้าเข้าทรง

“อู๊ย… อาจารย์ขา…”

“เธอชอบมัน…”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโอหังและมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ แต่กระนั้นหล่อนก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องจริง

“ค่ะ ฉันชอบ… อาจารย์ อ๊า…”

ไทเลอร์หัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็สาดซัดเพลิงร้อนๆ ที่คุกรุ่นไปด้วยแรงปรารถนาเข้าใส่ร่างแน่งน้อยอย่างเมามัน ดุเดือด จนสุดท้ายก็ขึ้นสวรรค์ด้วยกันทั้งคู่

“อาจารย์… ยกเลิกคำสั่งปิดผับนะคะ”

จันทร์เจ้าขาเอ่ยวิงวอนคนตัวโตที่นอนนิ่งอยู่บนร่างด้วยน้ำเสียงหวานฉ่ำ เขาเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์

“ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่หนีไปทำงานที่นั่นอีก ฉันจะรับพิจารณา”

“ฉันสัญญาค่ะ สัญญา อู๊ย… อาจารย์ขา ฉันทนไม่ไหวแล้ว…”

แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นอีก ความเร่าร้อน เดือดพล่านและเสียวกระสัน เกือบเลยมื้อเที่ยงเลยนั่นแหละกว่าหล่อนจะได้มีโอกาสก้าวลงจากเตียงนอน

หลังจากระเบิดอารมณ์ใส่บอดี้การ์ดของตัวเองจนสาแก่ใจแล้ว ไทเลอร์ก็เดินกลับไปกลับมาด้วยความกังวลใจเป็นที่สุด

“หายไปไหนของเธอนะเจ้าขา…”

“พี่ไทล์ดูอาการหนักนะครับ”

นิโคไลที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน เขาเกลียดผู้หญิงที่ใช้ตัวแลกเงินที่สุด และเขาก็คิดว่าจันทร์เจ้าขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าอิงบุญผู้หญิงที่บิดาบังคับให้เขาแต่งงานด้วยเลยแม้แต่น้อย พวกผู้หญิงหิวเงิน

“ถ้านายคิดจะยั่วโทสะพี่ล่ะก็ ได้โปรดหยุดซะ เพราะพี่ไม่เหลือการควบคุมตัวเองอีกแล้ว นายอาจจะปากแตกเอาง่ายๆ”

ท่าทางของไทเลอร์เอาจริง โกรธจริงและก็คงต่อยจริงแน่ นิโคไลเห็นแล้วก็ไม่อยากจะเสี่ยงเจ็บตัว เขาเลยขอตัวเดินกลับไปห้องนอนของตัวเองแทน ทิ้งให้พี่ชายเดินวุ่นเป็นหนูติดจั่นแต่เพียงผู้เดียว

“เจอตัวเถอะจะจับมัดเสียให้เข็ด”

“คุณไทล์ครับ เจอแล้วครับ”

เหมือนเสียงสวรรค์เลยที่เขาได้ยิน ไทเลอร์ไม่เคยรู้สึกดีใจแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“เจอเมียของฉันแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ครับ เอ่อ…”

“เอ่ออะไร บอกฉันมาว่าตอนนี้เจ้าขาอยู่ที่ไหน บอกมาสิ”

ไทเลอร์เต็มไปด้วยความร้อนรน และห่วงใย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับจันทร์เจ้าขามันดูเชื่องช้าจนน่ารำคาญเป็นที่สุด

“เอ่อ… คุณเจ้าขาอยู่…”

“บอกมาสักทีว่าอยู่ที่ไหน!”

“อยู่ที่ผับเดิมที่คุณเจ้าขาเคยทำงานอยู่ครับ”

“ว่าไงนะ…”

ความหวังเปลี่ยนเป็นความเดือดดาลและโกรธแค้นสุดขีด สองมือกำเป็นหมัด ขณะที่กรามแกร่งขบกันแน่นจนเป็นสันนูน

“แม่นั่นกลับไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในผับระยำนั้นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ครับคุณไทล์ คนของผมรายงานมา ไม่ผิดแน่ครับ”

ดวงตาของไทเลอร์ลุกเป็นไฟ ขณะหันไปสั่งคนของตัวเอง

“ขับรถตามฉันไปที่ผับ เดี๋ยวนี้”

“ครับ คุณไทล์”

ร่างสูงใหญ่ของไทเลอร์แทบจะกระโดดออกไปจากตึก ไม่นานรถสปอร์ตคันงามก็แล่นทะยานออกไปจาก Demon’s Palace ด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘เธอกล้ามากที่ขัดคำสั่งของฉัน และเธอได้ยับคามือฉันแน่ จันทร์เจ้าขา!’

ไม่เคยรู้สึกอยากจมหายลงไปในแผ่นธรณีอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต สายตาคมกริบท่ามกลางความสลัวของแสงสีจ้องเขม็งมาที่ร่างของหล่อน เนื้อตัวชาดิก ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ ขนทั่วร่างกายลุกชันด้วยความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว

เป็นเขาจริงๆ ด้วย… ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ…

เขาเดินฝ่าฝูงชนตรงเข้ามาหาหล่อน ท่าทางของเขาไม่ผิดแผกไปจากราชสีห์ผู้หิวโซที่กำลังจะขย้ำคอหนูสกปรกอย่างหล่อนเลยสักนิด หล่อนจ้องมองเขาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา อากาศรอบตัวที่ว่าเย็นฉ่ำกลับไม่อาจดับความร้อนผ่าวที่อยู่ภายในกายสาวให้ลดลงได้เลย ตรงกันข้ามหล่อนกำลังจะละลายสลายไปพร้อมๆ กับกับสายตาคมๆ ของไทเลอร์อยู่แล้ว

“อาจารย์…”

เขาก้าวมาหยุดตรงหน้าของหล่อน ระยะห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตร และนั่นก็ทำให้หล่อนได้สังเกตเห็นความสมบูรณ์แบบไม่เคยเปลี่ยนของเขาได้เช่นเดิม เส้นผมหนานุ่มที่หล่อนมักจะสอดแทรกปลายนิ้วเข้าไปจิกทึ้งยามถึงฝั่งฝันคาปากของเขาสะท้อนกับแสงระยิบระยับของดวงไฟสวยงามภายในผับ สายตาดุดันเหมือนกับโกรธแค้นใครมาเป็นร้อยชาติตวัดจ้องมองมาที่หล่อนเขม็ง และบอกให้รู้ว่าเขากำลังโกรธจัดแค่ไหน

“เธอกล้ามากนะที่ทำแบบนี้”

หญิงสาวหันรีหันขวางไปมองรอบๆ กายอย่างต้องการขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็เห็นเพียงแค่คนของไทเลอร์เท่านั้นที่เดินพล่านอยู่ในผับ

“ฉัน… ฉันต้องทำงาน”

“เธอก็ทำอยู่ทุกคืนแล้วนี่ ยังจะต้องการอะไรอีก”

“แต่ฉันต้องการเงิน… เงินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของฉัน”

ไทเลอร์แสยะยิ้มให้กับปัญหาโลกแตก ก่อนจะคว้าข้อมือบางเอาไว้แน่น

“กลับไปกับฉัน ไปรับโทษของเธอซะดีๆ”

“ไม่ค่ะ ฉันจะไม่กลับ เวลางานของฉันยังเหลืออีกสามชั่วโมง”

สิ่งที่ฟิลิเซียกรอกหูมาเมื่อตอนเช้าทำให้จันทร์เจ้าขาขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด และนั่นก็ทำให้หล่อนต่อต้านอย่างสุดๆ เช่นกัน

“กรุณาปล่อยมือฉันด้วยค่ะ”

“ปล่อยหรือ…”

เขาแค่นยิ้มน่าสะพรึงกลัว

“นอนหลับแล้วฝันเฟื่องเอาเถอะ มานี่ตามฉันไปที่รถ”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ไป ปล่อยฉันนะ”

หล่อนหรือจะสู้แรงช้างสารของไทเลอร์ได้ และสุดท้ายหล่อนก็ถูกหิ้วปีกมายัดใส่รถสปอร์ตอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“คนเผด็จการ คนบ้า!”

เขาขึ้นมานั่งข้างๆ และหันมาแสยะยิ้มน่ากลัว มันเหมือนรอยยิ้มของซาตานไม่มีผิด

“ฉันยังบ้าได้มากกว่านี้อีก เธอคอยดูสิ”

แล้วรถสปอร์ตคันงามก็กระชากให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานจรวด หญิงสาวนั่งตัวสั่นระหว่างทางก็อดต่อว่าในความใจร้ายของไทเลอร์ไม่ได้

“คุณมันเอาแต่ใจ ไม่ใช่คน ฉันต้องการทำงานนะ”

“เราตกลงกันแล้วนี่จันทร์เจ้าขา เธอทำงานที่ห้องครัวของDemon’s Palace และฉันก็จะจ่ายเงินให้เธอเป็นค่าจ้าง”

“แต่ฉันไม่ต้องการเงินของอาจารย์ แม้แต่เหรียญเดียว!”

คำพูดของหล่อนทำให้รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเบรกและหักเลี้ยวเข้าจอดริมฟุตบาทกะทันหันจน หล่อนแทบหัวทิ่มดีนะที่ขืนตัวเอาไว้ได้ทัน

“คนบ้า!”

เขาไม่สนใจคำด่าทอของหล่อน แต่กลับปลดเข็มขัดนิรภัยออก และชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หล่อนด้วยท่าทางอำมหิต หล่อนเอนกายหนีอย่างหวาดกลัว แต่ในรถมันแคบเกินกว่าจะหนีไปไหนได้

“ทำไมถึงรับเงินของฉันไม่ได้ เพราะอะไร”

คนฟังเชิดหน้าสูง ความน้อยใจมีมากกว่าความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

“ไม่มีเหตุผล ฉันก็แค่ไม่อยากได้เงินของอาจารย์เท่านั้นเอง โอ๊ย… ปล่อยมือฉันนะ”

ร้องลั่นเมื่อข้อมือถูกเขาคว้าหมับและบีบอย่างไม่ปรานี

“เธอไม่อยากได้เงินของฉัน แต่เธอยอมรับเศษเงินจากไอ้ผู้ชายพวกนั้น”

“ค่ะ ฉันยินดีรับเงินจากผู้ชายคนอื่น…”

น้ำตาในดวงตาของหล่อนมันล้นทะลักออกมาอาบแก้มจนได้ แต่เขากลับไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ของหล่อนเลยสักนิดเดียว

“แต่ไม่มีทางรับเงินจากอาจารย์”

หล่อนรับรู้ได้ว่าไทเลอร์เนื้อตัวเกร็งเครียด แม้ใบหน้าของเขาจะยังแสดงความรู้สึกเดิม แต่สายตาของเขาบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังเปี่ยมไปด้วยโทสะแค่ไหน

“ก็ดี… จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลือง”

“ปล่อยมือฉันค่ะ”

“เสียใจด้วยคนสวย เลยเวลาทำงานของเธอมานานแล้ว ดังนั้นสมควรที่เธอจะเริ่มงานสักที”

คนฟังหน้าแดงก่ำก่อนจะเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ขณะมองใบหน้าหล่อกระด้างสลับกับรถคันงามด้วยความตกใจ

“อย่าบอกนะว่า…”

“เธอคิดไม่ผิดหรอก ฉันจะเอาเธอให้ยับในรถคันนี้แหละ รับรองได้เลยว่าเธอจะมาเป็นสาวเสิร์ฟที่ผับนี่ไม่ได้ไปหลายวันเลยทีเดียวแหละ”

ไทเลอร์ใช้แรงที่มีมากกว่ากระชากร่างของหล่อนให้เข้าไปนั่งคร่อมตักแกร่ง จากนั้นก็จัดการตลบชายกระโปรงของหล่อนให้ขึ้นไปอยู่บนเอวคอด

“อย่านะ อย่าทำแบบนี้นะ ฉันไม่ยอม…”

“เธอไม่ยอม ฉันก็จะปล้ำ จะปล้ำให้สลบคาปาก คามือเชียว”

นิ้วแกร่งรูดขอบกางเกงชั้นในตัวน้อยให้ไปรวมกันในฝั่งหนึ่ง เปิดทางให้ปลายนิ้วของเขาได้ถูไถแตะต้องกลีบสาวอย่างถนัดถนี่ เขาเขี่ย บี้คลึงอย่างหนักหน่วง ไร้ความอ่อนโยน

“อย่านะ อย่า… อ๊ะ…”

แม้จะพยายามขัดขืนยังไงแต่เมื่อถูกพ่อเจ้าประคุณถูไถกลีบสาวเมื่อไหร่ หล่อนก็เป็นอันละลายกลายเป็นหยดน้ำในทันที

“อู๊ย… อาจารย์…”

“ชอบใช่ไหมล่ะ ชอบใช่ไหม”

เขากัดฟันถามและใช้นิ้วสอดใส่เข้าไป ดึงเข้าดึงออกเป็นจังหวะทำให้ร่างอรชรส่ายระริกด้วยความเสียวกระสันที่ไม่อาจจะห้ามได้อีก

“อาจารย์ขา… อ๊า…”

ไทเลอร์ระบายยิ้มพึงพอใจ ต่อจากนั้นก็จัดการปลดปล่อยความใหญ่โตของตนเองออกมาจากกางเกง มันแข็งชูชัน และพร้อมใช้งาน

“โยกมัน เจ้าขา… เธอต้องโยกมันให้สุดเหวี่ยง”

และก็ไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำสอง เพราะแค่เสี้ยววินาทีต่อมาเท่านั้น สะโพกงามก็สวมทับลงไปบนแก่นกายยาวใหญ่ทันที เสียงคำรามผสมกับเสียงครางดังลั่นรถ

“โอ้ว… โยกเก่งมาก… โยกอีก เอาอีก…”

รถสปอร์ตคันงามภายในเย็นฉ่ำด้วยแอร์ชั้นดี แต่กระนั้นก็ไม่สามารถดับเพลิงปรารถนาที่กำลังเผาไหม้สองหนุ่มสาวให้มอดลงได้ ทั้งคู่โยกคลึงเข้าใส่กันอย่างดุเดือด เมามัน และหนักหน่วง รุนแรงจนรถทั้งคันสั่นไหว ก่อนที่เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเสียวกระสันจะดังเล็ดลอดออกมาจากรถยนต์ราคาแพงระยับคันนั้น

“อ๊า… อาจารย์ขา… ไม่ไหวแล้ว อาจารย์…”

ไทเลอร์เองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน เขาจับบั้นเอวคอดให้กระแทกลงมาและยกสะโพกเพรียวของตนเองเด้งขึ้นรับอย่างเหมาะเจาะแรงเร็ว และสุดท้ายก็…

“สุดยอด… ยังสุดยอดเหมือนเดิม เจ้าขา…”

เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ความจริงที่แสนอดสูก็แล่นมาใส่ร่าง จันทร์เจ้าขาน้ำตาไหล แม้จะสุขสม แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรเลยต่อผู้ชายคนนี้ อีตัว เขาอยากเอาที่ไหนก็ได้ ได้ทุกที่

“สะใจแล้วใช่ไหมคะ”

ไทเลอร์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับความเสียวกระสันหรี่ตาแคบมองทันควัน

“ปากดีอย่างนี้ คงต้องสั่งสอนอีกรอบ”

“ไม่นะ… อย่านะ…”

เขาแสยะยิ้ม และก็ไม่คิดจะฟังคำทัดทานใดๆ อีก เขาซัดเพลิงเสน่หาเข้าใส่กายสาวอีกครั้งและอีกครั้งจนรถทั้งคันแทบพังไปกับแรงขับเคลื่อนทรงพลัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายเจ้าหล่อนก็สลบไสลคาอกไปเพราะความอ่อนเพลีย

ไทเลอร์มองท่าทางห่างเหินของจันทร์เจ้าขาด้วยความไม่เข้าใจ เขาเห็นหล่อนแสดงท่าทางหมางเมินใส่เขาแบบนี้ตั้งแต่มื้อค่ำแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าหล่อนจะทำมันยาวนานมาจนถึงในห้องนอนด้วยแบบนี้ นี่หล่อนเป็นอะไรไปนะ

นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเลอร์สนใจความรู้สึกของคนอื่น…

“ปวดท้องประจำเดือนหรือเจ้าขา”

เขาจะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอด แต่เจ้าตัวสะบัดแรงๆ จนหลุด และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ใช่หรอกค่ะ”

“อ้าว… ไม่ใช่แล้วทำไมทำหน้าบูดแบบนี้ล่ะ ยิ้มให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะได้หายคิดถึง”

จันทร์เจ้าขาฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาให้เป็นคราบน้ำตายิ่งนัก เขาจะต้องมาคิดถึงหล่อนทำไมกัน ในเมื่อหล่อนไม่ได้มีค่าในสายตาของเขาเลยสักนิด

“ฉันเพลียค่ะ เหนื่อยมาก ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

“จริงสิ วันนี้เธอเริ่มงานในครัววันแรกนี่ ฉันลืมถามเธอเลยว่าเป็นยังไงบ้าง งานหนักไปหรือเปล่า”

เขาพยายามที่จะชวนหล่อนคุย เพื่อทำให้เจ้าหล่อนอารณ์ดี แต่แม่คุณก็ยังฟาดงวงฟาดงาใส่เช่นเดิมจนเขาแสนจะอ่อนใจ

“อย่ามาสนใจฉันเลยค่ะ”

แล้วแม่เจ้าประคุณก็เดินลิ่วๆ หายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ไทเลอร์มองตามไปด้วยความสับสนมึนงงตามอารมณ์ของเจ้าหล่อนไม่ทัน

“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากชะมัด”

แล้วไทเลอร์ก็ล้มตัวลงนอน รอคอยจนหญิงสาวก้าวออกมาจากห้องน้ำ เขาแกล้งหลับตาเมื่อหล่อนสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน จากนั้นก็รีบคว้าร่างแน่งน้อยเข้ามากอดแน่น พร้อมระดมจูบอย่างไม่ให้เจ้าหล่อนได้หายใจหายคอ

“อย่าค่ะ…”

“จะทำ… พยศนัก จะต้องปราบให้เชื่องให้ได้”

คนพูดจูบไม่หยุดด้วยความโหยหาและคิดถึง แต่ไม่นานก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากเนื้อตัวหอมกรุ่นอย่างประหลาดใจกับท่าทางของเจ้าหล่อน

“ทำไมถึงทำตัวแข็งแบบนี้ล่ะ โกรธอะไรฉันอีก”

“ไม่มีค่ะ อาจารย์อยากจะทำอะไรก็เชิญ รีบทำให้เสร็จๆ ฉันจะได้พักผ่อน”

คนตัวโตอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นนั่ง ท่าทางที่มีความสุขจางหายไปจนหมดสิ้น

“ฉันไม่อาจจะตรัสรู้ได้หรอกนะว่าเธอกำลังเป็นบ้าอะไร แต่ขอร้องล่ะอย่าแสดงท่าทางรังเกียจรังงอนใส่ฉันแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้ฉันกอดก็บอกกันดีๆ”

เขาโกรธจัดเลยทีเดียวหล่อนรู้ เพราะตอนนี้เขากระโดดลงไปจากเตียงนอนแล้ว

“และฉันสาบานเลยว่าจะไม่แตะต้องเธออีกแม้แต่ปลายก้อย หากเธอไม่อนุญาต”

ไทเลอร์เดินดุ่มๆ ตรงไปยังประตูห้อง รอบกายกำยำนั้นทอรัศมีอำมหิตออกมาจนคนมองอย่างหล่อนแสบตา

“นั่น… อาจารย์จะไปไหนเหรอคะ”

เขาหยุดเดินและตอบแต่ไม่แม้แต่จะหันกลับมาชายตามอง

“ก็ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้ฉันแตะต้อง ฉันก็จะไปนอนที่อื่น”

“แต่มันไม่จำเป็น…”

หล่อนยังพูดไม่ทันจบเขาก็สวนกลับในทันที อย่างเลือดเย็นสุดๆ ด้วย

“มันจำเป็นสิ เพราะถ้านอนที่นี่ ฉันได้กลายเป็นไอ้บ้ากามข่มขืนเมียตัวเองอย่างแน่นอน”

ปัง!

เสียงบานประตูไม้ถูกกระแทกเข้าใส่กับวงกบเต็มแรง จนคนที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงสะดุ้งด้วยความตื่นตระหนก น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม หัวใจกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เขาไปแล้ว เขาไม่ใยดีหล่อนเลยสักนิด

สามวันแล้วที่หล่อนไม่ได้เห็นหน้าไทเลอร์เลย ถึงแม้ว่าหล่อนกับเขาจะอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยย่างกายออกมาให้หล่อนได้เห็นเลยสักนิด แถมในยามเช้าที่หล่อนเคยนั่งรถไปกับเขา ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นรถอีกคันที่มีคนขับรถแทน

เขาเกลียดหล่อนแล้ว… หญิงสาวร้องไห้

หรือไม่ก็คงถึงวาระที่หล่อนจะถูกเขี่ยทิ้งแล้วนั่นแหละ… ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจรุนแรงเหลือเกิน มันบีบคั้นให้หล่อนร่ำไห้ออกมาปานจะขาดใจ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบ สุดท้ายความฝันลมๆ แล้งๆ ของหล่อนก็พังทลายลง เหลือไว้แต่ความสิ้นหวังแล้วสินะ

หญิงสาวรีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะกอดหนังสือแนบอกและเดินไปตามทางเดินเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องเรียนในวิชาแรกของเช้าวันนี้ แต่ยังไม่ทันถึงห้องเรียนเลย ศัตรูตัวฉกาจที่คิดว่าหายไปจากโลกใบนี้แล้วก็โผล่พรวดมาขวางหน้าซะงั้น

“สวัสดีจันทร์เจ้าขา…”

“ฟิลิเซีย…”

หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความกังขาเป็นที่สุด

“เธอ… เธอถูกไล่ออกไปแล้วนี่”

ฟิลิเซียระบายยิ้มหยัน พลางไหวไหล่กว้างของตัวเองน้อยๆ

“เธอจะไปรู้อะไรแม่จันทร์เจ้าขา อาจารย์ไทเลอร์กับพ่อของฉันน่ะสนิทสนมกันมาก และเราสองคนก็มีแผนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย อุ๊บ…”

คนพูดแกล้งยกมือขึ้นปิดปากคล้ายกับลืมตัว

“ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย แต่ช่างเถอะ ไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว ฉันก็จะบอกเธอให้หมดเลยก็แล้วกัน ฉันกับอาจารย์ไทเลอร์น่ะเป็นคู่หมั้นกันมาก่อน ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งต้องการดองสองตระกูลเข้าด้วยกัน”

“ไม่จริง…”

“มันยิ่งกว่าจริงเสียอีกจันทร์เจ้าขา เธออย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันไม่ใช่คนสำคัญของอาจารย์ไทเลอร์ ฉันจะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ได้ยังไงกัน คิดดูสิ…”

คนฟังหน้าซีดเผือดแต่ก็ไม่คิดจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินง่ายๆ

“ฉันไม่เชื่อ… เธอโกหก ถ้าเธอเป็นคู่หมั้นของอาจารย์ไทเลอร์จริงๆ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษอะไรกับเธอล่ะ”

ฟิลิเซียระบายยิ้มกว้าง ก่อนจะปั้นเรื่องขึ้นอย่างไร้ยางอาย

“เราตกลงกันเอาไว้น่ะ ว่าฉันจะไม่แสดงท่าทางหึงหวงอาจารย์กับผู้หญิงคนอื่น แต่บางครั้งฉันก็ทำไม่ค่อยได้ เลยทำกับเธอแบบนั้นไง…”

“ไม่จริง…”

“มันคือเรื่องจริง ฉันจะโกหกเธอไปทำไม เพราะถึงยังไงซะเธอก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรของอาจารย์ไทเลอร์อยู่ดี อีกไม่นานเธอก็จะถูกเขี่ยทิ้ง เหมือนๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาผ่านมานั่นแหละ”

ฟิลิเซียยัดระเบิดลูกใหญ่ใส่มือของหล่อนเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะสะใจที่ดังลั่น

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณเจ้าขา ผู้หญิงคนนั้น… ใครหรือครับ”

ผู้ชายที่ทำหน้าที่คุ้มกันหล่อนรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาถาม หลังจากไปเข้าห้องน้ำมานานหลายนาที ในขณะที่อีกคนลาหยุดไปเพราะลูกชายป่วย

“ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนฉันเอง”

แม้จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติยังไง แต่จันทร์เจ้าขาก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความเจ็บปวดเอาไว้แต่ในอกได้ เพราะคู่สนทนามองเห็นมันอย่างชัดเจน

“ทะเลาะกับเพื่อนหรือครับ”

“เปล่าหรอก ฉันก็แค่… รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”

พูดจบก็หมุนตัวเดินออกกลับไปในทิศทางที่จากมา นั่นก็คือมุ่งหน้าออกไปนอกรั้วมหาวิทยาลัย

“นั่นคุณเจ้าขาจะไปไหนครับ”

หล่อนหยุดเดินและหันกลับไปตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนน่าเวทนา

“ฉันลืมของเอาไว้ที่ Demon’s Palace จะกลับไปเอา”

“งั้นผมจะไปส่งนะครับ”

“อย่าเลย เดี๋ยวฉันก็มาแล้ว คุณอยู่รอฉันที่นี่แหละ”

“แต่ว่าคุณไทล์จะไม่พอใจ…”

ชื่อของเขาทำให้หล่อนน้ำตาแทบร่วงเลยทีเดียว หัวใจคล้ายกับถูกบีบคั้นด้วยอุ้งมือปีศาจนรก หล่อนเจ็บปวด ทรมานเหลือเกิน

“ฉันรับผิดชอบเรื่องนี้เอง คุณไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเถอะ ท้องเสียไม่ใช่เหรอ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้มให้กับผู้ชายตรงหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากมหาวิทยาลัย โบกรถแท็กซี่ที่ขับมาพอดีและขึ้นไปอย่างรวดเร็ว บอดี้การ์ดที่ไทเลอร์จ้างเอาไว้ให้ติดตามจันทร์เจ้าขามองตามไปอย่างไม่ไว้ใจนัก แต่เพราะท้องเสียอย่างหนักจึงต้องรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

ฟิลิเซียที่ยืนหลบอยู่ไม่ไกลนัก เห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากมหาวิทยาลัยก่อนที่ไทเลอร์หรือว่าคนอื่นๆ จะตามมาและจำหล่อนได้

วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดเรียนของหล่อน แต่ไทเลอร์มีธุระสำคัญต้องออกไปข้างนอกและไม่สามารถนำหล่อนติดตามไปด้วยได้ ดังนั้นหล่อนจึงได้เริ่มต้นช่วยงานในห้องครัวตามคำบัญชาของพ่อเทพบุตรสุดหล่ออย่างที่หวังเอาไว้

“เอ่อ ฉันเข้ามาช่วยงานจ้ะ”

จันทร์เจ้าขารายงานตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และหล่อนก็ได้รอยยิ้มที่เป็นมิตรตอบกลับมาจากแม่ครัวและลูกครัวทุกคนอย่างง่ายดาย

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมจ๊ะ”

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ น่าจะช่วงเย็นๆ น่ะค่ะถึงจะยุ่งนิดหน่อย”

เสียงแม่ครัวร่างท้วมนิดๆ ตอบกลับมา

“งั้นฉันล้างผักให้นะคะ”

“เชิญตามสบายค่ะ”

เสียงของแม่ครัวตอบกลับมาอีกครั้ง จันทร์เจ้าขาจึงยิ้มกว้างและเดินไปหยิบกระจาดใส่ผักเดินไปที่อ่างน้ำ ซึ่งตรงนี้มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากๆ คนหนึ่งยืนล้างผลไม้อยู่ก่อนหน้าแล้ว

“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อจันทร์เจ้าขา”

อิงบุญเงยหน้าจากผลแอปเปิ้ลและยิ้มให้กับคู่สนทนา

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันอิงบุญค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

จันทร์เจ้าขายิ้มตอบ ล้างผักไปด้วยก็ชวนคุยไปด้วยอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะมีคำพูดบางคำของคู่สนทนาที่ทำให้หัวใจของหล่อนพองฟูคับอก

“คุณไทล์ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านมาก่อนเลยนะคะ คุณเจ้าขาเป็นคนแรก”

“เอ่อ…”

หน้าแดงก่ำ และก็ดีใจจนเนื้อเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน

“จริง… จริงเหรอจ๊ะ”

อิงบุญพยักหน้ารับ และยืนยันเสียงหนักแน่น

“จริงที่สุดเลยค่ะ ถ้าคุณเจ้าขาไม่เชื่อลองถามป้าแม่ครัวกับคนอื่นๆ ดูก็ได้ คุณไทล์น่ะคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาก็จริง แต่คุณไทล์จะให้สิทธิ์แค่อยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ในเมืองเท่านั้น ไม่เคยพามาที่นี่สักคน คุณเจ้าขาต้องเป็นคนสำคัญมากๆ แน่คุณไทล์ถึงได้พามาที่นี่”

อยากจะดีใจให้มากกว่านี้ แต่เสียงหนึ่งในสมองก็ร้องค้านเสียก่อน และนั่นก็ทำให้หัวใจของหล่อนห่อเหี่ยวลงทันควัน

“ก็แค่ผู้หญิงที่เจ้านายของอิงบุญยังไม่เบื่อเท่านั้นแหละ”

“บางที… คุณเจ้าขาอาจจะเป็นมากกว่านั้นก็ได้นะคะ”

“เธอหมายถึงอะไรเหรออิงบุญ ฉันไม่เข้าใจเลย”

อิงบุญระบายยิ้มน้อยๆ และพูดในสิ่งที่ตัวเองมองเห็นออกไป

“สายตาที่คุณไทล์มอง และความห่วงใยที่คุณไทล์มีให้กับคุณเจ้าขา มันมีความหมายนะคะ”

แม้จะคิดว่ามันเหลือเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้ แต่จันทร์เจ้าขาก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง

“บางที… เจ้านายของอิงบุญอาจจะซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจก็ได้นะ”

อิงบุญอมยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา แม้จะมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นมันคือความเป็นจริงที่ไทเลอร์พยายามซ่อนเร้นเอาไว้ก็ตาม

จันทร์เจ้าขายืนเงียบๆ ครุ่นคิดคำพูดของอิงบุญอยู่จนล้างผักเสร็จก็ขอตัวออกไปนอกห้องครัว ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ไทเลอร์กลับเข้ามาในบ้านพอดี หล่อนเห็นรถของเขาจอดอยู่ ก็จะรีบเดินไปหา แต่ก็พบว่าคนที่หล่อนคิดถึงทุกลมหายใจกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก และสนทนาอยู่กับนิโคไลน้องชายคนสุดท้องอยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด

“ทำไมนายถึงถามพี่แบบนั้นนิค”

สุ้มเสียงของไทเลอร์กระด้างจนหล่อนไม่อาจจะตัดใจเดินจากไปได้ หล่อนหยุดยืนเงียบและแอบฟังอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความห่วงใย บางทีไทเลอร์อาจจะกำลังไม่สบายใจอยู่ก็เป็นได้ หล่อนควรจะรู้หัวข้อการสนทนานี้เพื่อคอยช่วยเขาแก้ปัญหาและปลอบใจเขา

“ก็เพราะสองตาของผมเห็นยังไงล่ะครับ”

“นายเห็นอะไร นิโคไล”

ผู้เป็นน้องชายไม่สะทกสะท้านกับความเดือดดาลของพี่ชายเลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็ผมเห็นว่าพี่ไทล์กำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อย่างหัวปรักหัวปรำน่ะสิครับ”

“ไม่ใช่”

“แต่ผมเห็นว่ามันใช่ พี่ไทล์ไม่เคยพาคู่นอนคนไหนเข้ามาที่นี่มาก่อน แต่พี่พาผู้หญิงคนนี้เข้ามา งั้นก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญกับพี่ไทล์มาก”

ไทเลอร์ผุดลุกขึ้นยืน หน้าตาแดงก่ำไปด้วยโทสะร้าย ให้ตายเถอะ แค่เรื่องปัญหาของพ่อฟิลิเซียก็มากเกินพอแล้ว นี่เขายังต้องมานั่งตอบคำถามน้องชายกับปัญหาโลกแตกแบบนี้อีกหรือ บัดซบที่สุด เขาไม่เคยสมเพชตัวเองมากเท่านี้มาก่อนเลย

“ไม่ใช่… เจ้าขาก็แค่คู่นอนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”

นิโคไลหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ความจริงเขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของพี่ชายหรอก แต่ประวัติของจันทร์เจ้าขามันน่าขยะแขยงไม่ต่างจากอิงบุญแม้แต่นิดเดียว เขาไม่ต้องการให้พี่ชายของเขาถูกหลอก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว

“แต่ผมคิดว่าเธอเป็นมากกว่านั้น”

“นั่นก็แล้วแต่นายจะคิดนิโคไล เพราะยังไงซะในสายตาของพี่จันทร์เจ้าขาก็เป็นเพียงแค่คู่นอนเหมือนผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ไม่ได้มีค่า ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับพี่เลย”

“ถ้าพี่ไทล์ยืนกรานแบบนั้น งั้นก็เขี่ยเธอทิ้งไปสิ”

“พี่ยังไม่เบื่อ”

นิโคไลเหยียดยิ้มมองอย่างรู้ทัน

“งั้นผมก็คิดว่าพี่ไทล์จะไม่มีวันเบื่อผู้หญิงคนนี้ลงได้อีกเลยชั่วชีวิต”

คำพูดของน้องชายเขย่าหัวใจของเขาอย่างรุนแรง ใช่… นิโคไลพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะไม่ยอมรับมันต่อไป

“ในอีกไม่ช้า เจ้านิค นายคอยดูก็แล้วกัน”

“แล้วผมจะคอยดูครับ”

นิโคไลก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องรับแขก ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของจันทร์เจ้าขาที่ฉากตัวหลบที่มุมเสาได้ทันเวลา นิโคไลไม่ทันเห็นหล่อน ก็เหมือนๆ กับไทเลอร์ที่ก้าวตามออกมาแล้วมองไม่เห็นหล่อนนั่นแหละ ทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว ในขณะที่หล่อนยังยืนยกมือขึ้นอุดปากของตัวเองเอาไว้เพื่อสะกดกั้นเสียงสะอื้นไห้ มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่ไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย

สิ่งที่อิงบุญพูดมันผิดทั้งเพ เพราะในสายตาของไทเลอร์ หล่อนก็เป็นได้แค่เพียงคู่นอนธรรมดาคนหนึ่งของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อเขาเลย หญิงสาวคิดอย่างเจ็บปวด และทั้งๆ ที่เตรียมตัวเตรียมใจต่อความชอกช้ำนี้เอาไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ หล่อนกลับทนมันไม่ได้ หัวใจแทบจะแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

นับตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นจนถึงวันนี้ก็รวมๆ กันแล้วเป็นหนึ่งอาทิตย์พอดิบพอดี และไทเลอร์ก็ทำตามคำประกาศิตของตัวเองจริงๆ นั่นก็คือให้คนของเขาเฝ้าหล่อนทุกฝีก้าว ไม่ว่าหล่อนจะไปที่ไหนก็จะมีผู้ชายแต่งชุดสูทดำ สวมแว่นตาสีเดียวกับชุดสองคนเดินตามตลอดเวลา ตอนแรกก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่หลังจากผ่านมาได้สามสี่วันหล่อนก็เริ่มชินกับมัน

และชินกับความใส่ใจของไทเลอร์ที่มีต่อหล่อนมากขึ้นด้วย

คิดถึงตรงนี้แล้วหัวใจก็อดที่จะพองฟูคับอกไม่ได้ ไทเลอร์อ่อนโยนกับหล่อนมากขึ้น เอาใจใส่ความรู้สึกของหล่อนมากขึ้น และก็ไม่เคยแสดงท่าทางหงุดหงิดหรือเบื่อหน่ายเลยยามที่มีสายตาของคนอื่นจ้องมองมา เขาทำตัวเป็นปกติดีทุกอย่าง หล่อนเสียอีกทั้งประหม่าและรู้สึกไม่คู่ควรอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ดีว่าสักวันทุกอย่างที่มีในตอนนี้จะเปลี่ยนไป ไทเลอร์ก็แค่ยังไม่เบื่อหล่อนเท่านั้นเอง

หัวใจที่พองฟูก่อนหน้านี้เหี่ยวแฟบลงอย่างสิ้นเชิง แม้จะฝืนยิ้มและบอกตัวเองว่าได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ตักตวงช่วงเวลามีค่ากับเขาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด จดจำมันให้ลึกสุดใจที่สุด และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่หล่อนต้องเดินจากไป จะได้หยิบความสุขเหล่านั้นขึ้นมาหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเอง แต่หัวใจไม่รักดีก็ยังอดคาดหวังไม่ได้ หล่อนอยากอยู่กับไทเลอร์ไปชั่วชีวิต อยากอยู่ข้างกายของเขา อยากอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปตลอดชั่วนิรันดร์ แต่ไม่ว่าจะหวังมากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเป็นจริง

“คิดอะไรอยู่หรือทูนหัว…”

คนตัวโตก้าวเข้ามาในห้องนอนในค่ำคืนหนึ่งภายในคฤหาสน์ Demon’s Palace สถานที่ที่เขาพาหล่อนเข้ามาพักอาศัยนับตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้น เขาให้เหตุผลว่าตัวเองไม่สะดวกที่จะไปที่เพนท์เฮ้าส์ทุกวัน และก็ไม่ไว้ใจที่จะให้หล่อนอยู่หอพักเดิม เพราะไม่แน่ใจว่าฟิลิเซียจะเลิกอาฆาตหล่อนหรือยัง แม้จะไม่เห็นด้วยแต่หล่อนก็ยอมตามใจเขาอย่างง่ายดายซึ่งก็ทำให้หล่อนได้ทำความรู้จักกับคิริลและนิโคไลน้องชายที่มีใบหน้าโคตรหล่อไม่แพ้ไทเลอร์เลยสักนิดพวกเขาทั้งสองคนแซวไทเลอร์ผู้เป็นพี่ชายว่ากำลังจะสละโสด แต่ไทเลอร์กับตอบกลับไปด้วยหน้าตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกว่าเขายังคงความคิดที่จะยังไม่แต่งงานอยู่เช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง หล่อนจำได้ว่าตัวเองฝืนยิ้มให้กับคำตอบของคนข้างกายคล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งๆ ที่ภายในอกแสนจะเจ็บช้ำและน้อยใจ

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ”

เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของหล่อน และหรี่ตาแคบมองอย่างคาดคั้น

“ถึงจะไม่สำคัญ ฉันก็อยากรู้ว่าผู้หญิงของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่”

ผู้หญิงของตัวเองหรือ หล่อนคงเป็นได้แค่นี้สินะ ผู้หญิงของไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ ที่สักวันก็ต้องถูกโยนลงถังไม่ต่างจากเศษขยะ

“แต่มันไม่สำคัญจริงๆ ค่ะ”

“บอกฉันมาเจ้าขา บอกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว”

มันไม่ใช่คำขอร้องแต่มันคือคำสั่งที่แสนเผด็จการเช่นเดิม หญิงสาวถอนใจออกมาอย่างยอมแพ้ก่อนจะช้อนตาขึ้นสบประสานกับนัยน์ตาสีเขียวมรกต และพูดออกไป

“ฉันก็แค่… คิดถึงงานที่ผับน่ะค่ะ ลามาหลายอาทิตย์แล้วกลัวผู้จัดการจะไล่ออก”

“ไม่ต้องรอให้พวกนั้นไล่เธอออกหรอก เพราะฉันโทรไปจัดการลาออกให้เธอแล้ว”

เขาพูดพร้อมไหวไหล่กว้างน้อยๆ ในขณะที่จันทร์เจ้าขาอุทานด้วยความตกใจ

“อาจารย์… ทำไมทำแบบนี้คะ”

ไทเลอร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ขณะทรุดกายลงนั่งบนขอบเตียง จ้องหน้าหล่อน

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเธอตกลงเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว ฉันก็ไม่ปรารถนาจะให้ผู้หญิงของตัวเองไปทำงานในที่ล่อแหลมแบบนั้นอีก”

“แต่ฉันต้องใช้เงินนะคะ”

เขาจับหล่อนให้มองสบตา ดวงตาสีเขียวของเขามืดลึกและอ่านไม่ออก

“ฉันจะจ่ายเงินให้เธอเอง โดยที่เธอไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อย”

หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงกรีดร้องดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว แต่ไม่ใช่หล่อนแน่ จันทร์เจ้าขาก้าวลงจากเตียงและยืนท้าวสะเอวจ้องหน้าเจ้าของข้อเสนอน่าสะอิดสะเอียนนั้นตาเขียวปั๊ด

“ฉันไม่ต้องการเงินของอาจารย์ค่ะ”

“แต่ฉันยินดีจะจ่ายมันให้กับเธอ”

ไทเลอร์ยังยืนยันเช่นเดิม และไม่สะทกสะท้านกับท่าทางขุ่นเคืองของสาวตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว เขามักจะโปรยเศษเงินให้กับผู้หญิงของตัวเองเสมอ เขายินดีจ่ายไม่อั้นถ้าสิ่งนั้นคือสิ่งที่เขาต้องการ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่จันทร์เจ้าขากลับไม่อยากได้เงินของเขา ทั้งๆ ที่หล่อนบอกเองว่ากำลังต้องการใช้เงินหรือมันคือมารยาเพื่อทำให้เขายอมจ่ายสูงขึ้นกันนะ

“แต่ฉันไม่ต้องการเศษเงินของอาจารย์ค่ะ ฉันยินดีใช้แรงงานแลกกับเงิน ไม่ต้องการเงินของผู้ชายคนไหนฟรีๆ”

ไทเลอร์ไหวไหล่กว้างอย่างไม่เข้าใจกับท่าทางของผู้หญิงตรงหน้า แต่เขาก็เลือกที่จะดึงร่างแน่งน้อยนั้นเข้ามากอด และซุกหน้ากับร่องอกอวบเพื่อยุติปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แต่จันทร์เจ้าขาไม่ยอมง่ายๆ หล่อนดิ้นรนและต่อว่าเขา

“ฉันต้องการทำงานค่ะ”

คนตัวโตเงยหน้าขึ้นจากร่องอก สบตากับสาวน้อยที่กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดง

“เธอก็ทำมันอยู่ทุกคืนแล้วนี่ เหนื่อยว่าการทำงานอย่างอื่นด้วยซ้ำ รับไปเถอะน่า อย่าคิดมาก ฉันยินดีจ่ายให้เธอไม่อั้นเจ้าขา”

คนฟังรู้สึกไม่ต่างจากถูกตบหน้าแรงๆ

“ถ้าอาจารย์พูดแบบนั้น ก็แสดงว่าในสายตาของอาจารย์ ฉันเป็นแค่อีตัว ที่นอนอ้าขาเพื่อให้ได้เงินอย่างนั้นใช่ไหมคะ”

“ไม่เอาน่า เจ้าขา ฉันว่าเธอคิดเยอะไปหรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้คิดเยอะ แต่คำพูดของอาจารย์ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น”

ชายหนุ่มถอนใจออกมา และใช้กำลังที่เหนือกว่าดึงร่างอรชรให้ลงมานั่งบนตักแกร่ง แม้เจ้าหล่อนจะขัดขืนแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้

“เอาเป็นว่าเรายุติเรื่องนี้กันสักพักเถอะ ฉันเหนื่อยที่จะพูดถึงมันแล้ว”

“ไม่ได้ค่ะ เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ฉันต้องการทำงาน เพราะต้องการส่งเงินกลับไปให้พ่อกับแม่ที่เมืองไทย”

ไทเลอร์หรี่ตามองอย่างหงุดหงิด

“ฉันก็ยินดีจะจ่ายให้เธอแล้วไง จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา แต่ห้ามกลับไปทำงานที่ผับนั่นอีก แค่นี้ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนเลยเจ้าขา เธอจะคิดมากคิดเยอะไปทำงานทำไม ฉันจ่ายเงินให้กับผู้หญิงของตัวเองเสมอ ก็ไม่เห็นใครเคยมีปัญหาแบบเธอ”

ความน้อยใจแล่นพล่านเข้ามาในอกอย่างรุนแรง และก็ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหนนักถึงทำให้หล่อนสามารถดิ้นรนจากปลอกแขนของไทเลอร์ได้สำเร็จ หรือว่าเขาเป็นคนปลดปล่อยเองหล่อนก็ไม่อาจจะรู้ได้ รู้เพียงว่าตอนนี้หล่อนกำลังจ้องหน้าเขาด้วยความขุ่นเคืองสุดขีดเลยทีเดียว

“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าอาจารย์จะเคยทำยังไงกับผู้หญิงของตัวเอง แต่ฉันจะไม่ยอมรับเงินจากอาจารย์แม้แต่เหรียญเดียว หากไม่ได้ทำงานแลกเงิน”

คนฟังทั้งโมโหแต่ก็อดขบขันไม่ได้

“ก็ทำอยู่ทุกคืนแล้วไง บอกไปแล้วนี่”

จันทร์เจ้าขาแก้มแดงปลั่งเพราะอับอาย แต่ก็ยังคงโต้ตอบไม่หยุด

“อย่าเอาเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวข้องสิคะ การใช้แรงงานคือการทำงานแลกเงิน”

ไทเลอร์ระบายลมหายใจจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย และก็เป็นครั้งแรกที่เขายอมลงให้กับผู้หญิงคนหนึ่งแบบนี้

“ก็ได้ ก็ได้… ฉันจะไม่ให้เงินเธอฟรีๆ โอเคไหม จะให้เธอทำงานแลกกับเงิน”

หล่อนหรี่ตามองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก

“คงไม่รวมถึงเซ็กซ์นะคะ”

ศีรษะทุยสวยได้รูปของไทเลอร์ส่ายน้อยๆ

“ไม่ใช่หรอก ในเมื่อเธอยืนกรานว่าจะทำงานและยืนยันเจตนารมณ์ว่าไม่รวมเรื่องบนเตียง ฉันก็ตกลงตามที่เธอต้องการ”

คนที่หน้าบูดบึ้งอยู่ ตอนนี้ค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา และเดินเข้ามาหา

“จริงเหรอคะ งั้นก็แสดงว่าอาจารย์จะให้ฉันทำงานแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่ แต่มันจะไม่ใช่ที่ผับระยำนั่นแล้วหล่ะ”

“อ้าว… แล้วอาจารย์จะให้ฉันทำงานอะไรล่ะคะ ฉันยังเรียนไม่จบ คงไม่มีงานดีๆ ที่ไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัวรับหรอกค่ะ”

มือหนาตวัดรวบเอวคอดเข้ามาสวมกอด จากนั้นก็จับเจ้าหล่อนขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าขาของตัวเองในลักษณะล่อแหลมอันตราย คนถูกกระทำใบหน้าแดงสุกปลั่งแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย

“ทำงานที่นี่ไง Demon’s Palaceช่วยงานในครัวก็ได้ หากเธอต้องการ”

“จริงเหรอคะ”

ไทเลอร์พยักหน้ารับ รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มของจันทร์เจ้าขา มันอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่ตั้งแต่มีหล่อน เขาก็รู้สึกมีความสุขแบบนี้มาตลอด

“จริงสิ แล้วเงินเดือนก็เรียกได้เลยตามต้องการนะ”

รอยยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ อย่างเกรงใจ

“ความจริงฉันก็อยากได้เงินเดือนสูงๆ หรอกนะคะ แต่ฉันไม่อยากเอาเปรียบอาจารย์ เอาแค่เงินเดือนเท่าที่เคยได้รับจากผับก็แล้วกันค่ะ”

“โธ่ เจ้าขา ฉันรวยล้นฟ้า แค่เงินเดือนๆ ละไม่กี่เหรียญทำไมฉันจ่ายให้เธอไม่ได้ อย่าคิดมาก ฉันเต็มใจให้นะ อย่าลืมสิว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน”

หล่อนไม่ชอบฟังคำนี้จากปากของเขาเลย ‘ผู้หญิงของฉัน’ มันไม่จีรังยั่งยืนเลยสักนิด อีกหน่อยผู้หญิงของฉันก็จะกลายเป็นขยะที่น่ารังเกียจ

“แต่ฉันยังยืนยันคำเดิมค่ะ ว่าต้องการเท่ากับเงินเดือนที่ผับ”

เป็นอีกครั้งที่ไทเลอร์ต้องยอมทำตามความต้องการของคนอื่น และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแม่จันทร์เจ้าขาแสนสวยตรงหน้านี่ไง

“ก็ได้ ก็ได้… เธอต้องการเท่าไหร่ ฉันจะจัดให้ก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณค่ะ”

“แล้วยังมีอะไรที่ยังไม่พอใจอีกไหมทูนหัว”

หล่อนรู้ดีว่าคนตัวโตกำลังประชดประชัน

“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่เมตตาฉัน”

คนตัวโตหรี่ตามองด้วยสายตาหิวกระหายไม่คิดปิดบัง

“หากอยากขอบคุณ… เป็นการกระทำดีกว่ามั้งคนสวย… มามะ มาทำให้ฉันร้องครางเหมือนเมื่อคืนดีกว่า ทำให้ฉันขึ้นสวรรค์ในปากของเธอ…”

“อาจารย์น่ะ… เอาอีกแล้วเหรอคะ”

หญิงสาวพ้อเสียงขัดเขิน แต่กระนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเขาจับให้หล่อนลงไปคุกเข่าที่พื้น จากนั้นเขาก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นของตัวเองออกจากไปจากตัวอย่างรีบร้อน

“ไม่ชอบหรือ”

จันทร์เจ้าขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวโต พร้อมๆ กับใช้สองมือโอบประคองท่อนกายแข็งแกร่งของพ่อเทพบุตรสุดหล่อเอาไว้อย่างนุ่มนวล

“ใครว่าล่ะคะ ฉันชอบมากต่างหาก”

แล้วจันทร์เจ้าขาก็ก้มลงดูดกลืนตัวตนแข็งแกร่งเข้าไปในอุ้งปากของตัวเองจนหมด จากนั้นก็ดลบันดาลทำให้คนตัวโตสั่นเทิ้มไปทั้งร่างราวกับจับไข้สูง

“โอ้ว… เจ้าขา… ยอดมาก วิเศษเหลือเกิน วิเศษที่สุด”

มือหนาจับศีรษะของหล่อนให้โยกขึ้นลงไปเลียนแบบการร่วมรักอย่างเร่าร้อน บ้าคลั่ง และไม่นานเลยพ่อเจ้าประคุณก็แตกระส่ำใส่ปากและลำคอของหล่อนอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงครวญครางที่เต็มไปด้วยความสุขสม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักก็ผุดพรายขึ้นเต็มดวงหน้างาม หล่อนอยากทำให้เขามีความสุขอย่างนี้ไปชั่วชีวิตจังเลย…

จันทร์เจ้าขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับฝันร้าย หล่อนกรีดร้องและดิ้นรนเพราะในฝันมีผู้ชายหลายคนกำลังรุมทำร้ายหล่อนอย่างป่าเถื่อน

“ไม่… อย่านะ ไม่…”

“ไม่เป็นไรแล้ว… ไม่มีอะไรแล้วเจ้าขา…”

เสียงปลอบประโลมและฝ่ามือที่ลูบไปทั่วใบหน้าอย่างอ่อนโยนทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้น และสิ่งแรกที่หล่อนได้เห็นก็คือสายตาห่วงใยของผู้ชายตัวโตอย่างไทเลอร์ เขากำลังจ้องมองหล่อนอยู่ และยิ้มให้หล่อนอย่างปลอบประโลม

“เธอปลอดภัยแล้ว”

หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา หล่อนยันกายลุกขึ้นนั่งและโผเข้าสวมกอดร่างหนาของไทเลอร์เอาไว้และร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทิ้มจนน่าเวทนา

“ฟิลิเซียกับพวกมาดักหน้าฉันเอาไว้… ก่อนจะเอาผ้าเย็นๆ มาปิดที่จมูกของฉัน จากนั้นฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย”

“ฉันขอโทษนะที่ไม่สามารถปกป้องเธอเอาไว้ได้ แต่ฉันสัญญาว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป เธอจะปลอดภัยจากคนพวกนั้น”

หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างขอบคุณ

“อาจารย์ช่วยฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว… ฉันไม่รู้จะขอบคุณอาจารย์ยังไงดี ฉัน…”

ไทเลอร์ระบายยิ้มพลางก้มลงจูบแก้มนวลหนักหน่วง

“ถ้าเธอกังวลเรื่องขอบคุณน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ เพราะฉันเอาคืนเกินคุ้มอยู่แล้ว และอีกอย่างเธอก็ขอบคุณฉันทุกคืนอยู่แล้วด้วย”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหิวกระหายอีกแล้ว และนั่นก็ทำให้แก้มนวลแดงระเรื่อน่ามอง หล่อนก้มหน้าหลบตาแต่ก็ได้ประเดี๋ยวเดียว เมื่ออึดใจต่อมานิ้วแกร่งเลื่อนขึ้นมาตรึงปลายคางมนเอาไว้ จากนั้นก็บังคับให้หล่อนเงยหน้าสบประสานสายตา

“ฉันจะไม่มีทางชะล่าใจอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว ต่อไปเธอจะต้องมีคนคุ้มกันทุกฝีก้าว”

จันทร์เจ้าขาฟังแล้วก็รีบส่ายหน้า เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นอะไร

“อย่าลำบากเลยค่ะอาจารย์ ต่อไปฉันจะระวังตัวให้มากขึ้น คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วล่ะค่ะ”

แต่ถึงแม้ว่าหล่อนจะคัดค้านยังไง พ่อคนตัวโตก็ยังยืนกรานคำเดิมอยู่ดี

“ฉันเคยคิดแบบเธอเหมือนกันตอนที่เธอเกือบถูกฟิลิเซียกรีดหน้า แต่ฉันกลับได้บทเรียนแสนแพงคืนกลับมา ดังนั้นฉันจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ใครได้ทำร้ายเธออีก… เธอเป็นผู้หญิงของฉันแล้วนะจันทร์เจ้าขา เธอจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวเพื่อฉัน เข้าใจไหม…”

น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ซึ่งแตกต่างจากจุมพิตในลำดับถัดมาของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะจูบของเขาไม่เคยไม่ป่าเถื่อนเลยสักครั้ง รุนแรง ดุดัน เหมือนจะกลืนกินหล่อนเข้าไปเสียทั้งตัว หญิงสาวครางเบาๆ และคล้อยตามเขาได้อย่างง่ายดาย

“อาจารย์…”

เขาหัวเราะเบาๆ ชิดปากของหล่อน และถอนจุมพิต

“เรียกเสียงหวานแบบนี้ แสดงว่าหายตกใจกลัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรา…”

หล่อนรู้ดีว่าเขากำลังหมายความว่าอะไร จึงรีบปฏิเสธด้วยความขัดเขิน แม้ว่าภายในอกจะต้องการมันเช่นกันเหมือนกับเขาก็ตาม

“อย่า… อย่าทำแบบนี้สิคะ ตอนบ่ายฉันมีเรียนนะ”

“แต่นี่ยังไม่บ่ายนี่ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมง น่าจะได้สักสองสามรอบ”

“อาจารย์ลามกจัง นี่ปล่อยก่อนค่ะ ลืมไปแล้วหรือไงคะว่าเรายังตกลงกันไม่ได้เลย”

คนตัวโตผลักร่างแน่งน้อยแต่อวบไปทั้งตัวให้นอนราบลงกับเตียงและเปลื้องผ้าออกอย่างแสนชำนาญ ทำได้อย่างคล่องแคล่วจนคนต่อต้านอ่อนอกอ่อนใจ

“ใครว่าฉันต้องการให้เธอตกลงด้วยล่ะ ฉันแค่บอกให้เธอรู้เท่านั้นว่าฉันกำลังจะทำอะไร”

“แต่… ฉันไม่เห็นด้วย… อื้อ…”

ครางด้วยความเสียดเสียวเมื่อปากร้อนผ่าวดูดกลืนปลายถันอย่างหิวกระหาย

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องใส่ใจ ฉันบอกว่าต้องมีคนคอยดูแลเธอยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ต้องเป็นไปตามที่ฉันพูด เพราะฉันจะไม่ยอมให้เธอถูกใครทำร้ายได้อีกแล้ว”

“คนเผด็จการ…”

“ที่ฉันทำทุกอย่าง ก็เพราะไม่ต้องการให้เธอจากฉันไปไหน เข้าใจเอาไว้นะทูนหัว”

คนฟังทั้งซึ้งใจทั้งเสียวกระสันไปพร้อมๆ กัน ก็พ่อเจ้าประคุณพูดไป ดูดไป แถมนิ้วมือก็ยังทำงานได้ประสานกับปากและลิ้นอีกต่างหาก ลูบไปทั่วทั้งตัว จากนั้นก็วกมาโจมตีกลีบอ่อนของความเป็นหญิง หล่อนร้องครวญคราง และหยัดสะโพกขึ้นหานิ้วมืออย่างสุดจะห้ามใจ

“อ๊า… อาจารย์… อย่าทำแบบนี้สิคะ อื้อ…”

“จะทำมากกว่านี้…”

ทำมากกว่านี้… หญิงสาวคิดอย่างปั่นป่วน ความร้อนฉ่านาบแนบอยู่กับแก่นกลางลำตัวอย่างมหาศาล หล่อนดิ้นพล่าน ส่ายระริก สะโพกงามบิดไปมาด้วยความกระสันเสียว ขณะที่บั้นท้ายก็ยกลอยวางไม่ติดที่นอนแม้แต่นิดเดียว

“อ๊า… อาจารย์ขา… อู๊ย…”

ไทเลอร์ไม่สนใจท่าทางเสียวซ่านปานจะขาดใจของสาวน้อยสักนิด เพราะเขายังคงเดินหน้ารุกรานด้วยปากนิ้วและลิ้นต่อไปอย่างดุดัน ปลุกเร้าให้เจ้าหล่อนร้อนเป็นไฟ และตอบสนองเขาอย่างทัดเทียมกัน ซึ่งก็ไม่นานเลย แค่ลิ้นของเขาตวัดเลียโรมรันกับยอดทรวงสีสวย แค่นั้นร่างแน่งน้อยก็ดิ้นเร่าๆ ด้วยความเสียวกระสันแล้ว

“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน เจ้าขา… ของฉันคนเดียว”

ปากร้อนผ่าวคลายยอดอกชุ่มชื้นและพรมจูบต่ำลงมายังหน้าท้องแบนเรียบ ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งขยำเต้างามบีบเคล้นทั้งก้อนเนื้ออวบสลับกับบี้ขยี้ปลายถันแข็งชัน ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ถูไถกลีบสาวอ่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

“ฉันจะต้องเป็นผู้ชายคนเดียวในหัวของเธอ”

แล้วพ่อเจ้าประคุณก็แทนที่นิ้วมือด้วยปลายลิ้นชุ่มฉ่ำ เขาตวัดเลีย ปาดละเลง กลืนทุกหยาดหยดความหวานฉ่ำลงในลำคออย่างหิวกระหาย

“หวานเหลือทูนหัว…”

หญิงสาวกรีดร้อง แอ่นหยัดไปกับปลายนิ้วที่โจมตีอย่างไม่ลืมหูลืมตาซ้ำๆ กันหลายครั้ง ก่อนจะเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อคลื่นแห่งความสุขสมถล่มอาบไล้มาบนเรือนร่าง หล่อนสั่นระริกดึงทึ้งเส้นผมของเขาเอาไว้เต็มแรง

“อาจารย์ขา…”

เขาระบายยิ้มเมื่อถอนปากออกจากร่องสาวขึ้นมาจูบปิดปากของหล่อนแนบแน่น เต็มอารมณ์หวาน นิ้วมือก็ยังคงเขี่ยเกสรรักอย่างต่อเนื่อง

“อ๊า… อาจารย์…”

จันทร์เจ้าขาบิดเร่าๆ อีกครั้ง แต่เพราะอยากเห็นคนตัวโตมีความสุขบ้าง หล่อนจึงแข็งใจดันร่างของเขาให้ล้มลงนอนหงายบนเตียงแทน จากนั้นก็รีบตามขึ้นไปนั่งคร่อมเอาไว้ หล่อนขยับสะโพกถูไถความเป็นหญิงฉ่ำแฉะกับท่อนกายแข็งชันอย่างยั่วยวน แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้สอดใส่

“ไม่ไหวแล้ว… เจ้าขา… ควบฉันเถอะ”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มกว้าง พลางโน้มตัวต่ำลงไปหา ใช้เต้างามอวบอัดถูไถกับแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยไรขนอย่างจงใจ

“โอ้ว… พระเจ้า…”

ไทเลอร์ครางลั่น และจะจับหญิงสาวให้ไปนอนกับเตียงเพื่อที่เขาจะได้ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือเหมือนทุกครั้ง แต่เจ้าหล่อนไม่ยอม

“ให้ฉัน… ได้ทำแบบที่อาจารย์ทำกับ… ร่างกายของฉันเถอะนะคะ”

สายตาของหล่อนสะกดให้เขานอนนิ่งงัน จากนั้นหล่อนก็ประกบปากลงมาหา จูบดูดปากของเขาเลียนแบบลีลาเผ็ดร้อนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่สุด ไทเลอร์ครางลั่น ดิ้นพล่านปานจะขาดใจ เขาตะโบมจูบตอบ ดูดกลืนกันจนสองปากแทบจะฉีกขาดแต่ก็เหมือนจะยังไม่พอ แต่จันทร์เจ้าขายุติมันเสียก่อน จากนั้นก็ก้มลงซุกไซ้ที่ลำคอแกร่ง

“โอ้ว… เจ้าขา… เธอจะฆ่าฉันหรือไง”

หญิงสาวไม่ตอบแต่พรมจูบไปเรื่อยๆ ลำคอ ใบหู บ่าบึกบน ก่อนจะมาหยุดที่หัวนมเม็ดเล็กๆ ของเขาที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มขนสีเข้ม

“โอ้ว… เจ้าขา… อย่าเลีย”

เขาผลักหล่อนออก เพราะมั่นใจว่าตัวเองคงทนไม่ไหวแน่ แต่จันทร์เจ้าขาก็ยังดื้อดึงจะทำมันต่อไป หล่อนดูดเลียขบเม้มเหมือนกับที่เขาทำกับยอดทรวงของหล่อน ในขณะที่ฝ่ามือข้างหนึ่งถูไถหัวนมอีกข้างที่แข็งเป็นไตรออยู่

ไทเลอร์กำลังจะตาย เขารู้สึกแบบนั้น ทำไม… ร่างกายของเขาถึงได้ลอยสูงแบบนี้นะ ปาก ลิ้นและฝ่ามือนุ่มๆ ของจันทร์เจ้าขาเหมือนเครื่องทรมานไม่มีผิด ไม่ว่าหล่อนจะแตะจะแต้มลงไปบนส่วนไหนของผิวกาย ความร้อนผ่าวก็บังเกิดขึ้นทันที

“ได้โปรด… เจ้าขา ได้โปรดควบฉัน…”

เป็นครั้งแรกที่เขาหลุดคำพูดนี้ออกไป ‘ได้โปรด’นี่เขาพูดมันออกไปได้ยังไงกันนะ เขาไม่เคยรู้จักความหมายของคำๆ นี้เลยด้วยซ้ำตั้งแต่ลืมตัวขึ้นมาดูโลก แต่จันทร์เจ้าขาแม่ผู้หญิงที่กำลังเลียต่ำลงไปยังหน้าท้องแข็งปั๋งกลับทำให้เขาพูดมันออกมาได้

จันทร์เจ้าขาคือหายนะดีๆ นี่เอง

ไทเลอร์คิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลย ตอนนี้เขานอนแผ่หลาหมดสภาพอยู่บนเตียง ปล่อยให้แม่คนสวยแสนเร่าร้อนเลียได้ตามอำเภอใจ ให้ตายเถอะ เมื่อไหร่หล่อนจะหยุดสักทีนะ เมื่อไหร่กัน เขาจะขาดใจอยู่แล้ว

“เจ้าขา… ได้โปรด… ควบฉัน ให้ฉันอยู่ในตัวของเธอ เจ้าขา…”

หญิงสาวระบายยิ้มบางๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสน่หามากล้น

“ยังค่ะ ฉันยังไม่ได้… เลียอาจารย์ทั่วทั้งตัวเลยนะคะ”

โอ้ พระเจ้า แค่คำพูดของหล่อนเพียงเท่านั้น เขาก็แทบจะแตกระส่ำออกมาอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ ทำไมเขาถึงอ่อนไหวง่ายดายแบบนี้ แค่… แค่…

แล้วสมองของไทเลอร์ก็ไม่สามารถคิดอะไรได้อีก เพราะมันหยุดชะงัก ตอนนี้มีแต่ความต้องการทางร่างกายเท่านั้นที่บงการทุกอย่างอยู่

“เจ้าขา… โอ้ว…”

เจ้าของชื่อไม่สนใจท่าทางร้อนเป็นไฟของคนตัวโต หล่อนพรมจูบลงมาพบเจอกับท่อนเนื้อที่แข็งราวกับท่อนเหล็ก หล่อนกอบกุมมันเอาไว้ด้วยสองมือ รูดขึ้นลงด้วยจังหวะนุ่มนวลและสม่ำเสมอ ซ้ำไปซ้ำมาแค่สี่ห้าครั้ง พ่อเจ้าประคุณก็คำรามลั่นคล้ายกับทนไม่ไหวอีก จากนั้นเขาก็ใช้ความแข็งแรงที่มีมากกว่าจับร่างของหล่อนให้ล้มลงไปนอน ก่อนที่เขาจะจับสองขาของหล่อนให้แยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็…

“อ๊ะ… อ๊า… อาจารย์ขา…”

คนตัวโตกระแทกแล้วก็กระแทกเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง ไม่ลืมหูลืมตา เขาซัดเข้าใส่อย่างรุนแรง ทุกจังหวะเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ยิ่งแม่สาวคนสวยร้องลั่นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งซัดเข้าใส่แรงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่นานเลย แค่ไม่กี่ครั้งทั้งเขาและหล่อนก็กระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมๆ กัน

“เธอทำให้ฉันเกือบขายหน้า ดังนั้นบ่ายนี้งดเรียน…”

“ไม่ได้นะคะอาจารย์ ฉันจะเรียนไม่รู้เรื่อง… อู้ย…”

จันทร์เจ้าขาเผลอหลุดเสียงครางออกมา เมื่อพ่อเจ้าประคุณเคลื่อนท่อนเหล็กแข็งที่ยังคงอยู่ภายในกายของหล่อนเป็นวงกลม ก่อนจะย้ำลงไปหาอย่างหนักหน่วง

“ฉันจะติวให้เธอเอง รับรองว่าเธอจะได้เกียรตินิยมเลยแน่นอน โอ้ว… เจ้าขา ทำไมรัดแน่นเหลือเกินล่ะ ทำไมรัดแน่นแบบนี้…”

แล้วสองหนุ่มสาวต่างก็สาดซัดความเร่าร้อนเข้าใส่กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนั่นแหละพวกเขาถึงได้นอนกอดก่ายกันหลับใหลไปอย่างหมดเรี่ยวแรง

ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ฟิลิเซียกับพวกก็ลากร่างไร้สติของจันทร์เจ้าขามาถึงสนามหลังโรงเรียนได้สำเร็จ

“ฟิลิเซีย เมื่อกี้ฉันได้ยินสัญญาณคล้ายๆ กับเสียงเรียกรวมพลรปภ. เลยนะ”

เจนี่กระซิบบอกหลังจากจับร่างไร้สติของจันทร์เจ้าขาให้นอนราบลงไปกับพื้นหญ้า แต่ฟิลิเซียหาได้สนใจไม่

“เธออาจจะหูแว่วไปเองก็ได้เจนี่”

“ฉันก็ได้ยิน”

เอเน่รีบยืนยันด้วยอีกคน แต่ฟิลิเซียก็ยังไม่สนใจเช่นเคย ตอนนี้สายตาของหล่อนกำลังจับจ้องไปที่ร่างไร้สติของจันทร์เจ้าขา ความโกรธแค้นทำให้หล่อนทรุดกายลงนั่งบนส้นเท้าของตัวเองจากนั้นก็ใช้มือบีบปลายคางมนได้รูปของคนไร้สติแรงๆ มองอย่างเหยียดหยาม

“หน้าจืดๆ แบบนี้ ไม่รู้อาจารย์ไทเลอร์หลงเข้าไปได้ยังไง”

ฟิลิเซียลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดขึ้นอีก

“แต่นับจากนี้ไป แกจะเป็นแค่ขยะเน่าๆ สำหรับอาจารย์ไทเลอร์เท่านั้น เพราะฉันไม่เชื่อหรอกว่าอาจารย์ไทเลอร์ของฉันจะหันกลับมาสนใจแกอีก เมื่อเห็นแกถูกผู้ชายเอาสดๆ เป็นสิบๆ คนแบบที่กำลังจะเกิดขึ้น”

ฟิลิเซียหัวเราะดังลั่น สุ้มเสียงไม่ผิดจากนางมารร้ายเลยสักนิดเดียว

“เอเน่ ไปเรียกไอ้หื่นสิบกว่าคนนั้นออกมา ให้มันถอดเสื้อ ถอดกางเกงรอได้เลยนะ บอกมันว่าผู้หญิงพร้อมแล้ว”

“ได้เลยฟิลิเซีย”

เอเน่รีบทำตามคำสั่งของฟิลิเซีย ไม่นานนักศึกษาชายร่างใหญ่บ้างผอมบ้างอ้วนบ้างก็เดินออกมาจากด้านหลังสนาม เดินมาหยุดตรงหน้าฟิลิเซีย

“นี่ไงของหวานของพวกแก กินมันซะ จะกินยังไง จะเวียนเทียนกันกี่รอบก็เอาตามสบายเลย ฉันจะยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้ แต่ขอย้ำนะว่า เอาให้มันหนักๆ ให้มันพังให้มันยับเยินไปทั้งตัว หรือทำให้มันไม่สามารถใช้การได้อีกเลยยิ่งดี”

ฟิลิเซียพูดอย่างเหี้ยมโหด อำมหิต ไอ้ผู้ชายพวกนั้นยกมือขึ้นปาดปากเช็ดน้ำลายอาการหื่นจัด ในขณะที่จ้องมองร่างไร้สติของจันทร์เจ้าขาด้วยความหิวกระหาย

“ไม่ต้องห่วงคุณฟิลิเซีย แค่เงินถึง พวกเราจัดหนักให้นังนี่แน่ รับรองรับแขกไม่ได้อีกตลอดชั่วชีวิตเชื่อพวกผมสิ”

เจ้าของชื่อเบ้ปาก เพราะรู้ดีว่ากำลังถูกทวงค่าจ้าง

“นี่เงิน รับไปแล้วก็ทำงานให้สำเร็จด้วย เอามันให้เดินขาถ่างหุบไม่ได้เลยนะ”

ไอ้คนหัวหน้าตัวใหญ่ที่สุดรับเงินปึกใหญ่เอาไว้ในมือและยกขึ้นจูบ

“ขอบคุณครับ งั้นผมลงมือเลยแล้วกันนะครับ”

“เอาเลย รีบๆ เข้าก่อนที่จะมีใครมาเห็น เจนี่ส่งกล้องมาให้ฉันสิ เร็วเข้า”

เจนี่รีบส่งกล้องถ่ายรูปที่ตัวเองคล้องคอเอาไว้ให้กับเจ้าของน้ำเสียงเลือดเย็นทันที จากนั้นหล่อนกับเอเน่ถอยออกมาดูห่างๆ

“เร็วเข้าสิ เริ่มสักทีเถอะ”

“ได้ครับเดี๋ยวนี้แหละ”

ไอ้ตัวหัวหน้าถอดกางเกงออกไปจากตัว เหลือแต่กางเกงชั้นใน จากนั้นก็เดินไปหยุดที่เหนือร่างของจันทร์เจ้าขา กำลังจะลูบไล้ขยำเนื้อนวล แต่เสียงกระด้างที่ฟังยังไงก็เป็นเสียงของมัจจุราชดังขึ้นเสียก่อน มันชะงักและหันกลับไปมองทันที

“อาจารย์ไทเลอร์…?! ซวยแล้วพวกมึง ตัวใครตัวมันนะโว๊ย”

แล้วพวกมันก็เผ่นแนบกันไปคนละทิศละทาง แต่ไอ้ตัวหัวหน้ามัวแต่ก้มลงเก็บกางเกงที่ถอดเอาไว้เลยถูกไทเลอร์อัดซะเละคาเท้า

“พอ… ได้โปรดพอเถอะครับอาจารย์… ผม… ผมไม่รู้เรื่อง”

“ไอ้ระยำ! มึงจะไม่รู้เรื่องได้ยังไง กูเห็นมึงกำลังจะปล้ำเมียกูชัดๆ”

ไทเลอร์จะซัดหมัดเข้าใส่อีกแต่มันวิงวอน

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ ผมยังไม่ได้แตะผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่ปลายก้อย ผม…”

“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย!”

ไทเลอร์ตะบันหน้าของมันด้วยหมัดหนักๆ ซ้ำอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปเรียกรปภ. ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านหลัง

“ลากมันไปส่งตำรวจ ให้มันติดคุกไปตลอดชีวิต”

“อาจารย์ไทเลอร์เมตตาผมด้วย… ผมถูกว่าจ้างมา ความจริงผมไม่อยากทำเลย ช่วยผมด้วย นะครับ อย่าทำกับผมแบบนี้เลย…”

ไทเลอร์ไม่สนคำวิงวอนของมันแม้แต่นิดเดียว และเมื่อไอ้เดนนรกถูกลากไปพ้นหูพ้นตาแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปสั่งรปภ.ที่เหลืออีกสิบกว่าชีวิตด้วยน้ำเสียงกระด้างน่าสะพรึงกลัว

“ไปตามลากคอไอ้พวกนรกพวกนั้นมาให้ครบ และพาพวกมันไปส่งตำรวจ ฉันจะเอาเรื่องพวกมันทุกคนให้ถึงที่สุด”

“ครับ คุณไทเลอร์”

รปภ. ก้มหน้าน้อมรับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินจากไป และนั่นก็คือจังหวะเดียวกันกับที่ไทเลอร์หันมาจ้องหน้าผู้หญิงสามคนที่ยืนตัวสั่นอยู่

“ครั้งที่สามแล้วนะที่ฉันได้เห็นความชั่วของพวกเธอ”

“คือว่าพวกเรา…”

เจนี่ปากสั่นเทาระริกด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เอเน่เองก็เช่นกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับฟิลิเซียยิ่งนักเพราะตอนนี้หล่อนยืนนิ่ง กำมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น

“ฉันไม่กลัวหรอกนะอาจารย์ไทเลอร์…”

“มาถึงบัดนี้แล้วเธอยังกล้าพูดแบบนี้อีกนะ ฟิลิเซีย”

ไม่มีความเมตตาใดๆ เจือปนอยู่ในน้ำเสียงของไทเลอร์เลย ทุกอณูเนื้อหนุ่มยิ่งเดือดดาลเมื่อสายตามองเห็นว่าจันทร์เจ้าขาถูกทำร้ายยังไง

“ฉันกล้าพูดสิ ในเมื่ออาจารย์ไม่เคยมองฉันเลย ฉันอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์ แต่อาจารย์กลับตาต่ำไปคว้านังกระหรี่ชั้นต่ำอย่างนังจันทร์เจ้าขาขึ้นมากก มันทั้งสกปรกและต่ำต้อย แต่อาจารย์ก็แสดงท่าทางหลงใหลมัน ฉันทนไม่ได้หรอกนะที่ผู้ชายของตัวเองถูกแย่งชิงไปหน้าด้านๆ แบบนี้ ฉันทนไม่ได้อาจารย์ได้ยินไหม ได้ยินหรือเปล่า?!”

ฟิลิเซียระเบิดอารมณ์แค้นออกมา มองผู้ชายที่ตัวเองหมายปองด้วยความผิดหวัง ก่อนที่ความผิดหวังจะแปรเปลี่ยนเป็นความคลั่งแค้นเดือดดาล แต่ไทเลอร์ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามเขากลับอยากจะขยี้แม่จอมร้ายกาจคนนี้ให้แหลกเหลวคามือต่างหาก

“เข้าใจเสียใหม่ฟิลิเซีย ฉันไม่ใช่ผู้ชายของเธอ”

“แต่ฉันจะทำให้มันใช่ อาจารย์จะต้องเป็นของฉันคนเดียว”

ไทเลอร์หัวเราะเย้ยหยัน พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขยะแขยงชิงชัง

“ต่อให้ในโลกนี้ไม่เหลือผู้หญิงสักคน ฉันก็ไม่มีทางชายตาแลผู้หญิงจิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาแบบเธอ ฟิลิเซีย”

“อาจารย์ไทเลอร์!”

“หุบปากซะ และก็เลือกเอาว่าจะเข้าไปนอนในคุกหรือจะยอมเดินออกไปจากมหาวิทยาลัยของฉันด้วยตัวเอง”

ฟิลิเซียอึ้งพูดไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างที่เฝ้าวางแผนเอาไว้จะพังพินาศลงแบบนี้ นังจันทร์เจ้าขามันมีอะไรดี ทุกครั้งที่หล่อนจ้องจะทำลายมัน ไทเลอร์จะต้องโผล่มาช่วยทันเวลาซะทุกครั้ง นี่มันเป็นแม่มดหรือเปล่านะ

“ฉันไม่มีทางยอมติดคุก”

“งั้นเธอก็ต้องออกไปจากที่นี่ ฉันเห็นแก่พ่อของเธอหรอกนะถึงได้เสนอทางเลือกให้ เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะพิพากษาเธอตามกฏของอิสไมนอส มาร์คิเดฟเชียวล่ะ”

ไม่ใช่แค่ฟิลิเซียที่หน้าซีดเผือดแต่เจนี่กับเอเน่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจจนแทบช็อกไปเช่นกัน ในรัสเซียตระกูลที่คุมทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดก็คืออิสไมนอส มาร์คิเดฟ แม้พวกเขาจะไม่ใช่ประธานาธิบดี แต่พวกเขาเปรียบเสมือนพระเจ้าของรัสเซียเลยทีเดียว ทุกคนเกรงกลัวและไม่กล้าต่อกร ข้าราชการระดับสูงทั้งทบวงทุกกองกรมต่างเกรงใจพวกเขาทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่ยากเลยหากไทเลอร์จะสั่งฆ่าพวกหล่อนแล้วทำให้เรื่องมันเงียบหายไปกับกาลเวลา

“อาจารย์… อาจารย์ไทเลอร์… ฉัน… ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ แต่… ฉันขัดคำสั่งของฟิลิเซียไม่ได้ ฉัน…”

เจนี่รีบวิ่งเข้ามาก้มหน้าวิงวอนกับไทเลอร์

“นังเจนี่ นี่แกกล้าทรยศฉันหรือไง”

“ฉันทนทำเรื่องเลวร้ายตามคำสั่งเธอไม่ได้อีกแล้วฟิลิเซีย เธอร้ายเกินไป และขอให้รู้ไว้ว่าฉันน่ะไม่เคยจริงใจกับเธอเลย ที่ฉันทำไปทุกอย่างก็เพราะความจำเป็น แท้จริงแล้วฉันเกลียดคุณหนูเอาแต่ใจอย่างเธอที่สุด ฉันเกลียดเธอที่เอาแต่กดขี่ฉัน และตบหัวฉันด้วยเงินตลอดเวลา”

เจนี่สุดจะทนต่อไปได้อีก หล่อนพรั่งพรูความอึดอัดที่อยู่ภายในอกออกมายาวเหยียด และนั่นก็ทำให้ฟิลิเซียยืนอึ้ง

“นังเพื่อนทรยศ!”

“ฉันก็ไม่เอาด้วยคนนะฟิลิเซีย ฉันไม่น่าหลวมตัวเข้ามาร่วมแก๊งกับเธอเลย อาจารย์ไทเลอร์ ให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะค่ะ อย่าไล่พวกเราออกเลย นะคะฉันขอร้อง”

เอเน่เป็นอีกคนที่ตีตัวออกห่างฟิลิเซียทันควัน และนั่นก็ทำให้ฟิลิเซียมองเห็นเลยว่าเพื่อนแท้นั้นหายากมากแค่ไหนในชีวิต

“นังพวกเพื่อนทรยศ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”

ไทเลอร์ยืนมองเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันอยู่นานเกือบนาทีก็เลือกที่จะจัดการทุกอย่างให้จบลงโดยไม่คิดจะรั้งรอใดๆ อีก

“พวกเธอทั้งสามคนถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยของฉัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

“อาจารย์ไทเลอร์…”

แม่สามสาวที่ถูกไล่ออกอุทานออกมาเสียงเบาหวิวด้วยความตื่นตระหนกและผิดหวัง แต่ไทเลอร์ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาเดินไปช้อนร่างไร้สติของจันทร์เจ้าขาขึ้นมาอุ้มแนบอก ก่อนจะก้าวเดินจากไปด้วยอาการไม่ใยดีผู้หญิงใจร้ายพวกนั้นอีกเลย

“ได้โปรด… อาจารย์ไทเลอร์ ได้โปรดเห็นใจฉันด้วย อาจารย์”

ทั้งเอเน่และเจนี่ต่างวิงวอน แต่ก็ไม่ได้รับความหวังตอบกลับมาเลยสักนิด ในที่สุดก็ทำได้แต่ร่ำไห้อย่างเจ็บใจ

“เพราะเธอฟิลิเซีย ถ้าไม่ใช่เธอฉันก็คงไม่ต้องถูกไล่ออกกลางคันแบบนี้”

เจนี่หันไปชี้หน้าตัวต้นเหตุอย่างเจ็บแค้น และเดินตรงเข้าหาอย่างหมายจะทำร้าย ฟิลิเซียตกใจจนหน้าซีดเผือด

“อย่าทำอะไรฉันนะนังเจนี่ ลืมไปแล้วหรือไงว่าแกกับพ่อของแกเป็นขี้ข้าฉันอยู่น่ะ ฉันจะไล่พ่อแกออกถ้าแกบังอาจแตะต้องเนื้อตัวของฉัน… ว๊าย…!”

แล้วเสียงตุบตับก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งมือทั้งเท้าของเจนี่และก็มีเอเน่อีกคนที่เข้ามาร่วมวงเอาคืนฟิลิเซียด้วย จนในที่สุดฟิลิเซียก็มีสภาพยับเยินน่าเวทนา

“ฉันจะให้พ่อเอาเรื่อง… พวกแก…”

“เชิญตามสบาย ไปเอเน่ เราหมดเวรหมดกรรมกันแล้ว”

แล้วเจนี่กับเอเน่ก็เดินจากไปทิ้งให้ฟิลิเซียที่ถูกรุมตบตีคลานไปกับพื้นเพราะเดินไม่ไหวอย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด

“เรื่องมันไม่จบแน่ ฉันจะไม่ยอมจบแน่…!”

น้ำตาแห่งความคลั่งแค้น อาฆาตไหลออกมาอาบแก้มเป็นทางยาว

เช้าวันต่อมาจันทร์เจ้าขามาเรียนด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความแจ่มใสมากกว่าในทุกๆ วัน เพราะเมื่อคืนนี้ทุกอย่างที่กำลังตึงเครียดอยู่ระหว่างหล่อนกับไทเลอร์ได้จบสิ้นลงแล้ว หล่อนกับเขาปรับความเข้าใจกันได้ในบางส่วน แม้ว่าในอีกหลายส่วนจะยังคงต้องซ่อนเร้นความรู้สึกกันอีกต่อไปก็ตาม แต่แค่นี้ก็ถือว่าเกินคาดสำหรับหล่อนแล้ว

“เอ่อ… ปล่อยมือเถอะค่ะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า”

หญิงสาวพยายามจะดึงมือออกมาจากการเกาะกุมของพ่อเทพบุตรตัวโตที่เดินเคียงข้างกายเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยกัน แต่พ่อเจ้าประคุณไม่ยอมปล่อยซะงั้น แถมยังกระชับแน่นขึ้นอีก

“ไม่ปล่อย มีอะไรหรือเปล่า”

“อย่าเกเรสิคะ ฉันตามใจอาจารย์มาทั้งคืนแล้วนะ ตอนนี้…”

จันทร์เจ้าขาหยุดและช้อนสายตาขึ้นมองผู้ชายโคตรหล่อตรงหน้า

“อาจารย์ไทเลอร์ก็ควรจะตามใจฉันบ้าง เราจะได้อยู่กับอย่างสงบยังไงล่ะคะ เหมือนที่เราตกลงกันไว้เมื่อคืนไง เราอยู่ด้วย และก็จะเดินจากกันไปเมื่อใครคนหนึ่งต้องการยุติความสัมพันธ์ลง”

คนตัวโตตีหน้ายักษ์ก่อนจะก้มต่ำลงมาหา พร้อมกับคาดโทษด้วยน้ำเสียงต่ำลึกฟังแล้วน่าขนลุก

“ความจำแม่นนักนะเราน่ะ เอาไว้คืนนี้ก่อนเถอะ เธอได้กลายเป็นทาสบำเรอของฉันทั้งคืนแน่”

เขาทำท่าเหมือนจะหอมแก้ม แต่หล่อนบิดข้อมือและเบี่ยงตัวหลบได้ทันเวลา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกห่างไปมากโข

“จะหนีไปไหนแม่คุณ”

“อย่าวิ่งตามเชียวนะคะอาจารย์ไทเลอร์…”

เสียงสั่งห้ามจากแม่สาวที่หวานไปทั้งตัวยิ่งทำให้ไทเลอร์อยากจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ยังไม่ทันจะขยับเท้าคำพูดต่อมาของเจ้าหล่อนก็ดังขึ้นอีก และมันก็ทำให้เขาหยุดนิ่ง

“ถ้าใครเห็นอาจารย์ไทเลอร์ผู้เลอโฉมวิ่งไล่จับหนูสกปรกอย่างฉัน ข้อหัวนี้คงเป็นที่โจษจันกันภายในมหา’ลัยไปอีกหลายชั่วอายุคนเลยค่ะ ไปก่อนนะคะ ฉันมีเรียนตอนเช้า”

“ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวจะได้รู้ว่าคนอย่างไทเลอร์ต้องการอะไรแล้วต้องได้”

ชายหนุ่มยืนกัดฟันกรอดๆ มองตามร่างอรชรที่วิ่งหายไปจากสายตาด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินตามเข้าไปอย่างหงุดหงิด

“จะรีบไปไหนจ๊ะเจ้าขา”

คนที่กำลังจ้ำอ้าวอยู่ชะงักเท้ากึก และมองคนที่กระโดดมาขวางหน้าอย่างไม่ไว้ใจ และแสนจะเบื่อหน่าย

“ฉันจะรีบไปเรียน พวกเธอก็ต้องเรียนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

ฟิลิเซียแค่นยิ้มหยัน พลางเดินวนไปมารอบๆ ร่างของจันทร์เจ้าขาช้าๆ สายตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน

“ฉันอยากรู้นักว่าแกมีอะไรดี อาจารย์ไทเลอร์ถึงได้กลับไปหาแกอีกครั้ง”

“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ ฉันไม่ขอตอบ ขอตัวล่ะ”

“อย่าพึ่งไปสิ”

เจนี่รู้หน้าที่รีบคว้าแขนของจันทร์เจ้าขาเอาไว้ จากนั้นก็รวบทั้งสองแขนเล็กๆ เอาไปไว้ด้านหลัง จันทร์เจ้าขาสู้แรงไม่ได้เลยเพราะว่าหล่อนเป็นคนเอเชีย ตัวเล็กกว่าสองสาวนี้มากโขเลยทีเดียว

“นี่พวกเธอจะทำอะไรกันน่ะ ปล่อยฉันนะ ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้คนช่วย”

“แกจะมีโอกาสได้ร้องที่ไหนกันล่ะ”

ฟิลิเซียส่งสัญญาณให้กับเอเน่เพื่อนอีกคนที่อยู่ในกลุ่ม จากนั้นผ้าเย็นๆ ที่มีกลิ่นฉุนจัดก็มาปิดทับทั้งปากและจมูกของหล่อน ก่อนที่โลกทั้งใบจะดับวูบลง

‘ไทเลอร์… ช่วยด้วย…’

มันเป็นคำวิงวอนสุดท้ายของจันทร์เจ้าขาก่อนที่สติของหล่อนจะถูกลิดรอนให้ออกไปจากร่างด้วยฝีมือของพวกขี้อิจฉาริษยา

“ลากมันไปที่หลังมหา’ลัย ไอ้พวกนั้นกำลังรออยู่”

ฟิลิเซียสั่งเจนี่กับเอเน่ ก่อนที่ตัวเองจะเดินนำหน้าไปเพื่อดูต้นทาง แต่มันก็แค่เรื่องง่ายๆ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้เป็นพวกของหล่อนเกือบทั้งหมด เงินของหล่อนซื้อความภักดีได้จากคนทุกคน แม้แต่ศัตรูยังยอมผันแปรมาเป็นมิตรเพียงแค่ได้เศษเงินจากหล่อนโปรยปรายรดหัวไปเท่านั้น

เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องได้ในทุกสิ่งที่ต้องการทำให้ไทเลอร์ก้าวเข้ามาภายในคาบเรียนของจันทร์เจ้าขาเพื่อลากตัวหล่อนออกไปทำโทษ แต่สุดท้ายความต้องการของเขากลับถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ กังขา และกังวลใจ เมื่อภายในห้องเรียนไร้เงาผู้หญิงของตัวเอง

“โจชัว จันทร์เจ้าขาไม่ได้เข้าเรียนหรือ”

ชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดตำราเพื่อเริ่มต้นการสอน รีบเงยหน้าขึ้นตอบทันควัน เพราะน้ำเสียงของไทเลอร์นั้นคาดคั้นอยู่ในที

“ผมไม่เห็นเลยครับ… ฟิลิเซียกับพวกก็เหมือนกัน หายไปเยอะเลยชั่วโมงนี้ จะสอบอยู่แล้วก็ยังไม่สนใจเรียน นี่ถ้าสอบตกจะไม่ให้ซ่อมเลยคอยดู”

“ขอบใจ ฉันไปล่ะ”

ไทเลอร์ไม่ได้สนใจคำพูดของโจชัวเลย แต่สมองของเขากลับกำลังเป็นห่วงผู้หญิงของตัวเองเป็นที่สุด จันทร์เจ้าขาบอกว่าจะมาเรียน และด้วยนิสัยของหล่อนเขารู้ดีว่าหล่อนไม่โกหกแน่ แล้วหล่อนหายไปไหนกัน แถมพวกของฟิลิเซียคู่อริก็ยังหายไปพร้อมๆ กันอีก มันชักไม่น่าไหวใจเสียแล้ว

“ฉันหวังว่าเธอคงกำลังปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำนะเจ้าขา… อย่าเป็นอย่างที่ฉันกำลังกลัวเลย”

เป็นครั้งแรกที่ไทเลอร์วิงวอนร้องขอให้สวรรค์เมตตา จันทร์เจ้าขาทำให้เขาอ่อนแอลงอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็ผิดเอง ผิดอย่างมหันต์ที่ไม่ส่งคนคอยปกป้องคุมกันหล่อน ชะล่าใจว่าหล่อนอยู่ใกล้ตัวคงไม่มีอันตราย โดยลืมคิดไปว่าศัตรูที่จ้องจะเล่นงานจันทร์เจ้าขาก็อยู่ใกล้ตัวเช่นกัน

ไทเลอร์คิดอย่างเป็นกังวลและส่งสัญญาณเรียกรปภ. ของมหาวิทยาลัยทุกคนมาพบอย่างเร่งด่วนแค่ไม่ถึงนาทีทุกคนก็มายืนตรงหน้า

“ไปแยกย้ายกันค้นให้ทั่วมหาวิทยาลัย ค้นหานักศึกษาที่ชื่อจันทร์เจ้าขาให้พบ”

“ครับ คุณไทเลอร์”

รปภ. ร่วมห้าสิบชีวิตวิ่งไปทำตามคำสั่งกันคนละทิศละทาง ในขณะที่ไทเลอร์เดินไปทางด้านหลังมหาวิทยาลัยคล้ายกับมีอะไรดลใจ

“อุ้ย…!”

จันทร์เจ้าขาอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ ก็มีมือใหญ่ของใครบางคนมาคว้าข้อมือของหล่อนเอาไว้และกระชากหล่อนเข้าไปหา

“อา… อาจารย์ไทเลอร์!”

“ใช่ ฉันเอง…”

ไทเลอร์ไม่เสียเวลายิ้มให้กับหล่อนแม้แต่วินาทีเดียว เพราะตอนนี้สมองของเขาจดจ่ออยู่ที่ความเร่าร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้น มือหนาอีกข้างกระชากประตูห้องเก็บของให้เปิดออก จากนั้นร่างของจันทร์เจ้าขาก็ถูกฉุดกระชากเข้าไปภายในอย่างง่ายดาย

“อาจารย์จะทำอะไรคะ…”

คนตัวโตไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาหันไปลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามาหาหล่อน จ้องหน้าหล่อนเขม็ง ไม่… ไม่ใช่แค่หน้าหรอกที่เขามองแต่เป็นทั้งตัว ทั้งตัวเลยจริงๆ

“แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ หากอยู่ในนี้กับเธอสองต่อสอง”

เขาเดินต้อนเข้ามาหา ดันร่างของหล่อนให้ชิดกับผนังห้อง ดวงตาของเขากลับมาเต็มไปด้วยความหิวกระหายอีกครั้ง แต่จันทร์เจ้าขาก็น้อยใจเกินกว่าจะดีใจกับสิ่งที่ได้เห็น

“ถ้าอยากมีเซ็กซ์…”

หล่อนมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง

“ก็ไปหาจากแม่นักศึกษาคนที่อาจารย์ลากไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วสิ มาวุ่นวายกับของเน่าๆ ที่อาจารย์เบื่อแล้วคายทิ้งทำไมกัน”

“ไม่มีผู้หญิงคนไหนตอบสนองฉันได้ร้อนแรงเท่ากับเธอ”

คนบ้า พูดแบบนี้ออกมา หล่อนดีใจไม่ออกหรอกนะ

“แต่ฉันไม่ยอม ฉันจะออกไปจากห้องนรกห้องนี้”

จันทร์เจ้าขาผลักไสแผงอกกว้างเต็มแรง แต่มันก็เหมือนแผ่นหินเพราะไม่ว่าหล่อนจะพยายามผลักพยายามดันแค่ไหน มันก็ไม่ขยับ

“หลีกไปนะ”

“ไม่มีทาง…”

เขาคว้ามือบางให้ไปกุมที่เป้ากางเกงอย่างเผด็จการ หญิงสาวหน้าแดงก่ำ จะดึงมือหนีแต่พ่อคนเอาแต่ใจก็ไม่เปิดโอกาสให้เช่นเคย

“มันต้องการเธอ”

“ผู้หญิงคนไหนก็ทำให้อาจารย์ได้เหมือนกันล่ะค่ะ”

เพราะยังน้อยใจกับท่าทางห่างเหินของเขา หล่อนจึงยังโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน พยายามชักมือออกแต่ก็ไม่สำเร็จจนในที่สุดก็จำต้องกอบกุมมันเอาไว้เต็มมือ

“ก็อย่างที่บอก… ไม่มีใครร้อนแรงเท่าเธอ”

“ไม่… อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ”

หล่อนร้องและขัดขืนพัลวันเมื่อถูกคนตัวโตจับเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อน ตอนนี้แม้แต่กางเกงชั้นในตัวน้อยก็ลงไปกองอยู่กับพื้นจนได้

“อย่าทำแบบนี้”

“ฉันจะทำ… ฉันจะทำมากกว่านี้ และฉันก็มั่นใจว่าเธอเองก็ต้องการมันพอๆ กับฉัน”

คนตัวโตใช้มือข้างที่ว่างอยู่เพียงข้างเดียวถอดกางเกงขายาวออกไป จากนั้นก็ตามด้วยบ๊อกเซอร์สีเข้มพอๆ กับสีของห้องในขณะนี้

“ไม่ ฉันไม่ต้องการ… ปล่อยฉันนะ”

“เดี๋ยวก็ได้รู้ เราจะพิสูจน์กัน”

แล้วพ่อเจ้าประคุณจอมเผด็จการก็ก้มลงประกบปากจูบหล่อนอย่างดูดดื่มหิวกระหายราวกับตายอดตายอยากมาแรมปี มือหนาก็ไม่อยู่สุขข้างหนึ่งขยำเต้างามและบี้บดเม็ดทรวงจนมันแข็งเป็นไต ในขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนต่ำลงไปชอนไชเข้าไปในร่องกลีบสาว

“อ๊ะ…”

“นี่ไง… เธอชุ่มฉ่ำอย่างที่ฉันคิดจริงๆ”

จันทร์เจ้าขาแสนจะอับอายเมื่อความเป็นจริงถูกประจาน แต่กระนั้นก็ไม่สามารถที่จะขัดขืนอะไรคนตัวโตได้ เพราะหล่อนเองก็กำลังร้อนเป็นไฟ ต้องการเขาแทบบ้าเหมือนอย่างที่เขากล่าวเอาไว้อย่างโอหังจริงๆ

“สี่วันมันนานเหลือเกิน มันนานเกินไปที่ฉันต้องอดทนกับมัน”

คนตัวโตถอนจูบดุเดือด และก้มต่ำลงไปดูดดื่มปลายถันอย่างหิวกระหาย ดูดอมกลืนกินด้วยท่าทางไม่ต่างจากทารกน้อยในขณะนิ้วมือก็ทำงานไม่หยุด ยังคงโจมตีรุกรานกลีบสาวจนหยาดรักราดรดนิ้วมือชุ่มฉ่ำ

“ฉัน… แทบบ้าที่ต้องทนเก็บความต้องการนี้เอาไว้ เธอต้องชดใช้ให้ฉันจนกว่าฉันจะอิ่ม”

“อ๊า… อาจารย์ขา…”

หญิงสาวครางลั่น เมื่อพ่อเทพบุตรสุดหล่อคุกเข่าลงกับพื้นห้อง จากนั้นก็จับต้นขาอวบข้างหนึ่งให้ขึ้นไปพาดบนบ่าบึกบึน และซบหน้าลงไปโลมเลียกลีบสาวอย่างหิวกระหาย หล่อนกรีดร้อง ตัวเกร็งระริก สะโพกส่ายไหวราวกับใบไม้ต้องลมพายุ

“อาจารย์ขา… อาจารย์ อู๊ย… อ๊า…”

ยิ่งเขาตวัดลิ้นแกร่ง ยิ่งปากของเขาดูดดึงกลีบเนื้อมากเท่าไหร่ ร่างกายของหล่อนก็ลอยสูงขึ้นทุกขณะ นิ้วมือที่สอดแทรกอยู่ในเส้นผมหนานุ่มจิกทึ้งและกดรั้งให้เขาซบหน้าลงมาหาแนบแน่น จนสุดท้าย… สุดท้ายความสุขลูกแรกก็ระเบิดใส่หน้าอย่างรุนแรง บ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยความหวานฉ่ำแทบขาดใจ หล่อนหายใจระรัวกับสิ่งที่ได้พานพบ

มันวิเศษเหลือเกิน ปากกับลิ้นของไทเลอร์เป็นยิ่งกว่าเครื่องทรมานทางเพศเสียอีก เขาทำให้หล่อนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เขาเลีย เขาดูด และขบเม้ม

“ยังกล้าบอกอีกไหม…”

คนตัวโตลุกขึ้นยืน และก้มหน้าลงจ้องลึกเข้ามาในดวงตาไหวระริกของหล่อนนิ่ง

“กล้าพูดไหมว่าไม่ต้องการฉัน… อยากให้ฉันหยุด”

หล่อนอยากพูดแบบนั้น อยากบอกว่าไม่ต้องการเขา อยากบอกว่าเขาคือตัวอันตราย และหล่อนอยากหนีไปให้พ้น แต่สุดท้ายสิ่งที่หล่อนทำออกไปมันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่หล่อนคิดทุกอย่าง หล่อนส่ายหน้าน้อยๆ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสน่หา

“อย่าหยุดค่ะ ได้โปรดอย่าหยุด”

ไทเลอร์คำรามออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็จับร่างของหล่อนให้ไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต้นขากำยำของตัวเอง ยามที่ปากของเธอกำลังกลืนกินฉัน”

คำพูดของเขาสร้างความเสียดเสียวให้กับเนินนางเป็นที่สุด หล่อนยิ้มหวานให้กับเขา มองเขาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟเสน่หาเช่นกัน

“ค่ะ ฉันจะกลืน… จะกินอาจารย์ ทั้งตัว”

มือบางยกขึ้นจับความแข็งชันที่ทั้งยาวทั้งใหญ่เอาไว้มั่น จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มศีรษะเข้าไปหา ปากของหล่อนห่อน้อยๆ ยามกลืนกินความอลังการเข้าไปภายใน เขาใหญ่โตจนหล่อนรู้สึกคับแน่นไปทั้งปาก แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถหยุดความหิวกระหายที่หล่อนมีต่อไทเลอร์ได้

หล่อนต้องการเขา… อยากกินเขาทั้งตัว อยากโลมเลียเขาไปทั้งเรือนกาย ถ้าเขาเปิดโอกาสให้ หล่อนสัญญาว่าจะทำ จะทำมันจริงๆ

“โอ้ว… ว้าว… ทูนหัว เธอใช้ปากเก่งมาก ฉัน…”

สะโพกเพรียวเกร็งเครียดขึ้น และมือหนาของเขาก็เลื่อนมาจับที่ศีรษะของหล่อน จับหล่อนกดเข้าหาและถอนถอยออกห่างเป็นจังหวะ เป็นการเลียนแบบการร่วมรักทางร่างกายได้อย่างแนบเนียน ซึ่งหล่อนก็ตั้งใจทำมันอย่างดี เพราะต้องการให้เขามีความสุขที่สุด

ไม่นานหลังจากที่หล่อนทั้งกลืนกินเขาด้วยปาก ตวัดเลียด้วยลิ้น และรูดไปมาด้วยฝ่ามือนุ่ม พ่อเทพบุตรสุดหล่อก็แตกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ในปากของหล่อนนั่นเอง มันเป็นอีกครั้งที่หล่อนรู้สึกว่าเขาคือของหล่อน และหล่อนก็ชอบความรู้สึกนี้เหลือเกิน

“เจ้าขา… เธอทำให้ฉันไปก่อนเวลาอันควรอีกแล้วนะ”

เขาดึงหล่อนขึ้นไปบดจูบอย่างเร่าร้อน ดุดัน จากนั้นก็เริ่มบทรักใหม่อีกครั้ง ด้วยการลูบไล้ โลมเลียไปทั่วทั้งกายสาว ก่อนจะเดินมาถึงสุดทางแห่งความสัมพันธ์เมื่อเขายกขาเรียวของหล่อนให้รัดรอบเอวสอบเอาไว้ จากนั้นก็ดุนดันสอดใส่เข้ามาหาอย่างเชื่องช้า

“ฉันอยากจะไปช้าๆ และอยู่ในตัวของเธอให้นานที่สุด โอ้ว…”

แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ช้า ให้เนิบนาบแค่ไหน แต่ความคับแน่นจากกล้ามเนื้อนุ่มลื่นที่โอบกระชับอยู่รอบความแข็งขืนก็ผลักดันให้เขาเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากที่เคยเชื่องช้า และควบคุมทุกจังหวะด้วยสมอง ตอนนี้มันหลุดหลง และมีแต่ไฟเสน่หาเท่านั้นที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ เขาจัดหนักด้วยการกระแทกกระทั้นเข้าใส่

“อ๊า… อ๊า… อาจารย์ขา”

เสียงครวญครางที่เต็มไปด้วยความเสียวกระสันของหล่อนผลักดันให้เขาเดินหน้าไปไกลจนไม่สามารถควบคุมอะไรเอาไว้ได้เลย เขากระแทก จ้วงโจนเข้าใส่อย่างดุเดือด ถอนถอยออกมาจนหมดความยาวและเสียบสอดลงไปหาใหม่ ซ้ำๆ อย่างเร่งเร้า ดุดัน ทุกสัมผัสอัดแน่นไปด้วยความป่าเถื่อนและบ้าคลั่ง ไม่นานทุกอย่างก็ระเบิดพร่างพราวออกมาอย่างรุนแรง รุนแรงที่สุดในชีวิต

“เจ้าขา… เธอ… เธอทำให้ฉันทนไม่ได้อีกแล้ว โอ้ว…”

เป็นอีกครั้งที่ทั้งเขาและหล่อนต่างสุขสมอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงหอบหายใจกระชั้นของเขาที่อยู่ชิดกับใบหน้าของหล่อนมันช่างไพเราะไม่ต่างจากเสียงดนตรีที่ขับขานด้วยเหล่านางฟ้านางสวรรค์แม้แต่นิดเดียว

ไทเลอร์ทำให้หล่อนเสียวซ่าน เสียดสยิว อย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน เขาทำให้หล่อนร้อนเป็นไฟเพียงแค่จูบ… จูบเดียวจากปากเซ็กซี่คู่นี้เท่านั้น

คนตัวโตเงยหน้าขึ้นมองหล่อน จากนั้นก็ถอนตัวออกห่าง

“เธอยังร้อนเหมือนเดิม ทำให้ฉันเป็นบ้าได้เหมือนเดิม”

จันทร์เจ้าขาอับอายเกินกว่าจะเค้นคำใดออกไปได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือก้มหน้าลงเก็บเสื้อผ้าของตัวเองมาสวมใส่เท่านั้น แต่ก็ไม่สำเร็จ

“จะรีบใส่ไปไหน ฉันขี้เกียจถอดอีก”

“ว่าไงนะคะ อย่าบอกว่าอาจารย์จะ…”

ไทเลอร์ระบายยิ้มจากนั้นก็หมุนร่างอรชรเปลือยเปล่าขาวเนียนให้หันหน้าเข้าไปกับผนังห้องเก็บของ ก่อนจะดึงให้บั้นท้ายอวบยื่นออกมาด้านหลัง

“สี่วันเชียวนะ คิดหรือว่าฉันจะอิ่มง่ายๆ”

“แต่ว่า… อาจจะมีใครมาได้ยิน อ๊ะ…”

สาวน้อยค้านก่อนจะครางออกมาอย่างสุดเสียวเมื่อถูกพ่อคนตัวโตที่ยืนจดจ่ออยู่ด้านหลังล้วงลึกเข้ามาหาด้วยปลายนิ้ว

“แม้ว่าห้องนี้จะไม่ใช่ห้องเก็บเสียง แต่มันก็อยู่ห่างไกลผู้คนมาก ฉันสร้างมันเอาไว้เพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ ทูนหัว… อู๊ย…”

พ่อคนตัวโตครางลั่นเมื่อผลักดันความใหญ่โตเข้ามาหาทางด้านหลังและถูกกล้ามเนื้อสาวบีบรัดอย่างรุนแรง แต่กระนั้นก็ยังฝืนพูดต่อไปอีก

“และสิ่งเดียวที่ฉันไม่พอใจกับห้องนี้ก็คือ… มันขาดเตียง”

แล้วเขาก็กระแทกแล้วก็กระแทก กระแทกเข้าใส่อย่างดุเดือดบ้าคลั่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียงเนื้อดังพรึ่บพรั่บ

“อาจารย์ขา อ๊า…”

“ทูนหัว ทำไมรัดแน่นแบบนี้นะ ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว”

แล้วห้องเก็บของที่แสนมืดมิดก็เจิดจ้าไปด้วยแสงไฟแห่งความปรารถนา ไทเลอร์ตักตวงความสุขจากร่างกายอวบอิ่มแสนหวานของจันทร์เจ้าขาต่อไปอย่างตะกละตะกลาม ไม่ยอมหยุดพัก ครั้งแล้วครั้งเล่าจนสาวน้อยหมดแรงพับไปคาอกในขณะที่ไทเลอร์ยังแรงดีไม่มีตก

“ทูนหัว… เราไปต่อกันที่เพนท์เฮ้าส์ของฉันกันเถอะ ฉันยังไม่อิ่ม”

ไม่มีแรงพอที่จะพูดคำใดได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยกายปล่อยใจให้คนตัวโตชักจูงไปในทิศทางที่ต้องการ

ขณะที่จันทร์เจ้าขากำลังร้อนเป็นไฟอยู่กับไทเลอร์ เจนี่กับฟิลิเซียก็กำลังเดินพล่านเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่สนามหลังมหาวิทยาลัยเพราะเหยื่อไม่ยอมมาตามเวลานัดหมาย

“ทำไมมันยังไม่มานะ รอเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วเนี่ย”

ฟิลิเซียบ่นอุบและเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“สงสัยมันกลัวเลยไม่กล้ามามั้งฟิลิเซีย”

เจนี่รีบตอบทันควันก่อนจะพูดออกมา

“แต่เดี๋ยวก็รู้ว่ามันหายหัวไปไหน เอเน่ไปตามแล้วนี่ นั่นไงมาแล้ว”

คนที่เจนี่เอ่ยถึงวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้า ฟิลิเซียรีบถามอย่างร้อนรนทันที

“เป็นยังไง เจอนังเจ้าขาไหม”

“เห็นมันขึ้นรถไปกับอาจารย์ไทเลอร์เมื่อกี้นี้เอง”

คนถูกถามตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ในขณะที่คนฟังอย่างฟิลิเซียตาลุกเป็นกองไฟบัลลัยกัลป์

“ว่าไงนะ?! นังนั่นมันออกไปกับอาจารย์ไทเลอร์ของฉันอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ ฉันเห็นเต็มสองตาเลย”

จบคำยืนยันของเอเน่เพื่อนในกลุ่มดวงตาของฟิลิเซียก็ลุกเป็นไฟ ทุกอณูเนื้อเต็มไปด้วยความคลั่งแค้นและอาฆาตมาดร้าย

“ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้ นังเจ้าขา นังกระหรี่ชั้นต่ำ!”

“ใจเย็นๆ น่าฟิลิเซีย อย่าคิดมาก วันพระยังมีอีกหลายวัน”

ทั้งๆ ที่ไม่ได้จริงใจเลยแต่เจนี่ก็อดที่จะเตือนสติหญิงข้างกายไม่ได้

“แกจะให้ฉันเย็นลงได้ยังไง เจนี่ ไม่เห็นหรือไงว่านังนั่นมาคาบผู้ชายของฉันไปกินอีกแล้ว ไหนเธอว่ามันห่างจากอาจารย์ไทเลอร์แล้วไง”

“ฉัน… ฉันก็เห็นมาเหมือนกับที่เธอเห็นนั่นแหละ อาจารย์ไม่มองมันเลยเมื่อตอนเที่ยงน่ะ เธอก็เห็นด้วยตาไม่ใช่เหรอ”

ฟิลิเซียยืนนิ่ง กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บแค้น

“งั้นมันก็คงเป็นแม่มดที่มีคาถาวิเศษทำให้ผู้ชายลุ่มหลงสินะ”

“ต่อให้มันเป็นผีร้ายหรือแม่มด ก็ไม่สามารถต่อกรกับคนฉลาดๆ อย่างเธอได้หรอกฟิลิเซียเชื่อฉันเถอะ ใจเย็นๆ แล้วค่อยเริ่มแผนการนี้ใหม่”

ฟิลิเซียหันไปจ้องหน้าเจนี่ก่อนจะข่มจิตใจให้เยือกเย็นลง จากนั้นก็สั่งให้เอเน่ไปบอกไอ้พวกผู้ชายที่ตัวเองเป็นคนจ้างวานมาให้มารุมโทรมจันทร์เจ้าขากลับไปและมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนตัวเองกับเจนี่ก็รีบเดินกลับไปยังรถยนต์ด้วยความเจ็บใจเป็นที่สุด

นี่ก็เกือบจะสี่วันแล้วสินะที่ไทเลอร์ไม่เคยแตะต้องตัวหล่อนเลย ไม่สิ… ถ้าจะพูดให้ถูกต้องที่สุดก็คือนับตั้งแต่วันนั้นวันที่หล่อนหนีเขาออกมาจากเพนท์เฮ้าส์รอบที่สอง เขาก็ไม่เคยโทรมาหาหล่อน ไม่เคยพูดกับหล่อน แม้แต่ชายตามองก็ยังไม่ทำเลย

เขาคงโกรธหล่อน…

หรือบางทีอาจจะหมดความลุ่มหลงในตัวของหล่อนแล้วก็เป็นไปได้…

ไม่เคยรู้สึกเหมือนตัวกำลังจะขาดใจตายแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าดีแล้ว ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ไทเลอร์คือตัวปัญหาของหล่อน เขาคือหายนะที่หล่อนไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่หัวใจ… หัวใจเจ้ากรรมมันกลับไม่ยอมรับฟัง มันกรีดร้อง มันโหยหาถึงคนใจดำคนนี้ทุกลมหายใจ ทุกค่ำคืนหล่อนต้องตื่นขึ้นมาร้องไห้เสมอเมื่อข้างกายนั้นเต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและไม่มีเขา

รู้เพราะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าไม่มีสิทธิ์ อย่าคิดไปริคาดหวังว่าจะได้ครอบครองผู้ชายสูงส่งคนนี้ไปตลอดชีวิต… แต่หล่อนขอแค่… แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นที่จะได้อยู่กับเขา แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะจบสิ้นลงแล้วจริงๆ

“กรี๊ด… อาจารย์ไทเลอร์เดินมาทางนี้”

เสียงของนักศึกษาคนหนึ่งดังขึ้น และนั่นก็ทำให้คนที่ได้ยินอย่างจันทร์เจ้าขาตัวแข็งเป็นหิน หัวใจเต้นแรงด้วยความคาดหวัง หล่อนกัดฟันค่อยๆ หมุนตัวกลับมามอง ซึ่งก็ได้เห็นว่าผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในรัสเซียกำลังก้าวเดินผ่านมาทางนี้

เขาจะยิ้มให้หล่อนไหม?

จะทักจะทายและถามสารทุกข์สุขดิบของหล่อนไหม?

และในแววตาของเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความหิวกระหายยามมองมาที่หล่อนอยู่อีกหรือเปล่า?

ทุกคำถามในหัวใจ รอเพียงคำตอบเดียวจากคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เพียงเท่านั้น

จันทร์เจ้าขาจ้องมองผู้ชายที่กำลังก้าวเดินตรงเข้ามาหาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง รอคอยด้วยความหวังล้นปรี่ แต่แล้วรอยยิ้ม และทุกความหวังของหล่อนก็ต้องพังพินาศย่อยยับลงแทบเท้าของเขา เมื่อไทเลอร์เดินผ่านหล่อนไปทำราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน รอยยิ้มที่หล่อนอุตส่าห์ปั้นรออย่างดีค่อยๆ จืดจางลง พร้อมๆ กับความเจ็บปวด อดสูที่แล่นเข้ามาภายในหัวใจมากยิ่งขึ้น

“อาจารย์ไทเลอร์…”

หล่อนพึมพำแผ่วเบาอยู่ภายในลำคอ หัวใจเจ็บร้าวจนแทบจะขาดใจ หล่อนหันตามไปมองแผ่นหลังกว้าง ก่อนจะทำใจกล้าเดินไปหยุดด้านข้างลำตัวของเขา และนั่นก็ทำให้หล่อนได้เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่เขาตั้งใจโปรยให้กับนักศึกษาสาวๆ ที่มายืนห้อมล้อมอยู่

ไทเลอร์ไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับนักศึกษามาก่อน เพราะสาเหตุใดกันเขาถึงได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ต้องการประชดประชันหล่อน แต่คงไม่ใช่หรอก เพราะหล่อนไม่ได้มีค่ามีราคาและมีความสำคัญต่อเขาขนาดนั้น นี่อาจจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของเขาก็เป็นได้

แต่ถึงเขาจะเป็นคนแบบไหน หล่อนก็ยังคงตัดใจจากผู้ชายโคตรหล่อคนนี้ไม่ได้อยู่ดี

“เอ่อ อาจารย์ไทเลอร์คะ คือว่าฉันมี…”

รอยยิ้มที่เกลื่อนใบหน้าของไทเลอร์จางหายไปในพริบตาเมื่อสายตาของเขาเลื่อนมายังใบหน้าของหล่อน ท่าทางถือเนื้อถือตัวของเขา และกระแสความห่างเหินที่พ่อเจ้าประคุณจงใจสาดซัดเข้าใส่นั้นทำให้หัวใจสาวแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

“ฉันไม่มีธุระอะไรจะคุยกับเธอ”

คนฟังน้ำตาเล็ด แต่ก็ยังฝืนพูดต่อไป

“แต่ฉัน… เอ่อมีบางเรื่องที่ต้องพูดกับอาจารย์”

เขาแค่นยิ้มมองหล่อนด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ทำเอาหล่อนแสนจะเจ็บปวด เวลาแค่ไม่กี่วันทำให้ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ ไม่มีความหิวกระหายอยู่ในสายตาของเขายามที่ทอดมองหล่อนอีกแล้ว ไม่เหลืออยู่เลย…

“ถ้ามีปัญหา หรือข้อสงสัยอะไรไปคุยกับทอมสัน ฉันไม่อยากฟังเรื่องของเธอ”

“เอ่อ…”

หล่อนอึ้งพูดไม่ออก ก่อนที่ไทเลอร์จะคว้าแขนของนักศึกษาสาวคนหนึ่งให้เดินเคียงคู่กับตัวเองไป ท่ามกลางเสียงแซ่เซ็งที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของนักศึกษาหญิงคนอื่นๆ ดังลั่น แต่หูของหล่อนเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะสมองของหล่อนดับวูบไปเสียแล้ว หัวใจเจ็บปวดจนมันแทบจะขาดรอนๆ

ไทเลอร์คงจะเบื่อหล่อนแล้วจริงๆ

จันทร์เจ้าขาจำต้องหมุนตัวและเดินหนีเพื่อไม่ให้สายตาของนักศึกษารอบกายได้เห็นความอ่อนแอจากหยาดน้ำตาของหล่อน แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เมื่อจู่ๆ ร่างของฟิลิเซียกับเจนี่ก็โผล่พรวดออกมาขวางทางเดิน

“จะรีบไปไหนล่ะ”

ฟิลิเซียมองอย่างเหยียดหยาม และพูดอย่างสะใจ

“หลีกทาง ฉันจะรีบไปเรียน”

แม้พยายามจะสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้แค่ไหน แต่มันก็ไม่รักดีอีกแล้ว ไหลออกมาอาบแก้มโชว์สายตาของฟิลิเซียกับเจนี่จนได้ มือบางต้องรีบปาดเช็ดทิ้งทันที

“ฟิลิเซียดูสิ มันร้องไห้…”

เจนี่หัวเราะเยาะ เห็นความเจ็บปวดของหล่อนเป็นเรื่องขบขัน

“ก็จะไม่ให้ร้องไห้ได้ยังไงล่ะเจนี่ ถูกอาจารย์ไทเลอร์เขี่ยทิ้งแล้วนี่”

ฟิลิเซียหัวเราะสะใจออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็จับข้อมือของจันทร์เจ้าขาเอาไว้เมื่อหญิงสาวคิดจะวิ่งหนีจากไป

“แกยังไปไหนไม่ได้นังเจ้าขา”

“ปล่อยฉันนะ อย่ามายุ่งกับฉัน”

จันทร์เจ้าขาพยายามดิ้นรนเพื่อช่วยเหลือตัวเอง แต่ใบหน้าของหล่อนก็ถูกฟิลิเซียฟาดเข้าอย่างแรงจนสะบัดไปตามแรงนั้น รอยนิ้วมือขึ้นบนซีกแก้มของหล่อนครบทั้งห้านิ้วเลยทีเดียว หญิงสาวถูกจิกผมและกระชากให้หันหน้ากลับมาหา

“จำเอาไว้ แกหรือแม้แต่ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็เป็นได้แค่ทางผ่านของอาจารย์ไทเลอร์เท่านั้น ฉันต่างหาก ฉันฟิลิเซียต่างหากที่เป็นตัวจริงของอาจารย์ จำเอาไว้…!”

จันทร์เจ้าขาน้ำตาไหล เจ็บทั้งตัวและหัวใจ

“ฉันก็ไม่ใช่คู่แข่งของเธอแล้วนี่ จะมายุ่งกับฉันอีกทำไม ปล่อยฉันไปซะ แล้วเธอก็เอาเวลาไปตามผู้ชายของเธอนู่น”

“ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันนังเจ้าขา ฉันทำแน่”

ฟิลิเซียผลักร่างของจันทร์เจ้าขาออกห่าง จนร่างของหญิงสาวผู้ถูกกระทำเซถลาไปชนกับผนังกำแพงเต็มแรง

“เย็นนี้ไปพบฉันที่หลังมหา’ลัย แล้วศึกระหว่างเราจะจบลง”

“ฉันไม่ไป เธอก็รู้นี่ว่าฉันต้องทำงาน”

ฟิลิเซียแค่นยิ้มน่ากลัว ในขณะที่เจนี่เองก็ระบายยิ้มแบบเดียวกัน

“ถ้าแกไม่ยอมมา ฉันจะตามราวีแกอย่างนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส และเชื่อเถอะว่าแกไม่ได้จบในปีการศึกษานี้แน่นอน”

“มันคงกลัวมั้งฟิลิเซีย ดูหน้าของมันสิซีดเผือดเชียว”

เจนี่ได้ทีสนับสนุน ในขณะที่ฟิลิเซียหัวเราะร่วน

“ไม่ต้องกลัวน่า ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายแก แม้แต่ปลายก้อย”

จันทร์เจ้าขายืนนิ่ง น้ำตาร่วง แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะเดินจากไปแล้วแต่หล่อนก็ยังคงยืนพิงอยู่กับผนังกำแพงนั้นอย่างอ่อนแรงและอ่อนล้า

ก็ได้… หล่อนจะไปและคาดหวังว่าทุกอย่างมันจะจบลงสักที

หญิงสาวยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งจนแห้งเหือด จากนั้นจึงกัดฟันเดินจากไป โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาของใครบางคนแอบมองไปจนร่างของหล่อนลับสายตา

ไทเลอร์กัดฟันแน่น พยายามข่มทุกความโหยหาเอาไว้สุดความสามารถและเขาก็ทำได้ดีเกินคาดยามที่อยู่ตรงหน้าของจันทร์เจ้าขา แต่เขากลับทำไม่ได้เลยยามที่แอบมองหล่อนอยู่แบบนี้ เมื่อกี้นี้เขาทำเป็นหมางเมินใส่หล่อน และแสร้งทำเป็นสนใจนักศึกษาคนอื่น ทั้งๆ ที่มีแค่หล่อนคนเดียวเท่านั้นที่วิ่งอยู่ในหัวสมองของเขาในขณะนี้ ทุกเวลา ทุกลมหายใจ มีแต่แม่จันทร์เจ้าขาหน้าหวาน แต่หล่อนสิ ใจจืดใจดำ ทำเป็นไม่สนใจเขา แทบยังหนีออกมาจากเพนท์เฮ้าส์โดยไม่เอ่ยแม้แต่คำลา เขาโกรธ เขาโมโหและต้องการจะเอาชนะด้วยการลืมหล่อน

แล้วเขาทำได้หรือ? คำตอบคือไม่ได้ ไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว จันทร์เจ้าขาฝังอยู่ในทุกอณูความรู้สึกของเขา หล่อนเป็นเจ้าของเขาทั้งจิตวิญญาณ แล้วตอนนี้เขาก็ต้องการหล่อนเหลือเกิน ต้องการหล่อนแทบจะบ้าอยู่แล้ว

แค่คิดถึงยามที่มือนุ่มๆ ปากอุ่นๆ และปลายลิ้นชุ่มชื้นแตะแต้มไปตามความยาวใหญ่ของตัวเอง แค่นั้นเขาก็แทบจะขาดใจตายเพราะความกระหายแล้ว บ้าชะมัด ทำไมจะต้องรู้สึกเป็นบ้าเป็นหลังเพราะผู้หญิงคนนี้ด้วย ทำไมจะต้องหิว… แล้วก็หิวจนตาลายแบบนี้ด้วย สุดท้ายไทเลอร์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตอนนี้ช้างทั้งโขลงก็หยุดเขาไม่อยู่ เขาก้าวยาวๆ ทั้งเดินทั้งวิ่งตามร่างอรชรไปอย่างรวดเร็ว และก็มาตามทันเอาตอนที่เจ้าหล่อนเดินผ่านห้องเก็บของพอดี

สวรรค์… ทำไมสถานที่นี้มันถึงเอื้ออำนวยต่อความต้องการแบบนี้นะ

ชายหนุ่มพรมจูบต่ำลงมายังซอกคอนุ่ม ดูดเม้มเนื้อนวลจนเป็นรอยแดงจนทั่วทั้งลำคอ ขณะที่ฝ่ามือก็รีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรีบร้อนไร้ความอดทน เขาจะลนลานแบบนี้ทุกครั้งกับจันทร์เจ้าขา ไม่รู้ว่าหล่อนมีอะไรดีเหมือนกัน แต่เขาก็ติดแหง็กอยู่กับหล่อนจนไปไหนไม่รอด

“และทั้งคืนเช่นกัน”

“อาจารย์… โอ้ว… ว้าว…”

หญิงสาวครางพร้อมส่ายระริกเมื่อเขาเลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากอีกครั้ง ขณะที่เขาใช้นิ้วแกร่งบี้คลึงปลายถันจนมันชูชันแข็งเป็นไต จากนั้นเขาก็ใช้มือที่ว่างอยู่เลื่อนไปกุมมือบางที่กำลังแตะต้องแผงอกกว้างอยู่ บังคับนำทางให้หล่อนไปกอบกุมความอลังการที่ทั้งแข็งทั้งร้อนไม่ผิดจากท่อนเหล็กลนไฟเอาไว้

“มันเป็นของเธอ…”

“อ๊ะ อาจารย์…”

หญิงสาวสะดุ้งด้วยความขัดเขินจะดึงมือออกแต่ชายหนุ่มบังคับเอาไว้

“ลูบมันสิ… เธอเป็นเจ้าของมันนะ เจ้าขา”

น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า และหางเสียงก็กระเส่าจนน่าตกใจยามที่หล่อนยอมทำตามความต้องการนั้นด้วยการลูบไล้เจ้าความใหญ่ยักษ์ที่ต้องใช้ถึงสองมือเลยทีเดียวกว่าจะกุมมันเอาไว้มิด

“ลูบมัน… ขึ้นลง เจ้าขา”

น้ำเสียงของเขากระท่อนกระแท่นยามที่สั่งออกมา แถมยังหลุดครางออกมาเสียงเปี่ยมสุขยามที่หล่อนรูดมือไปตามเจ้าความยาวใหญ่แข็งชันนั้นตามคำสั่ง

“แบบนั้น… เจ้าขา… เร็วขึ้น”

เขาครางกระหึ่มกับความสุขจากมือนุ่มของสาวน้อย ยิ่งเจ้าหล่อนเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ไทเลอร์ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเสียวกระสัน

“เจ็บ… หรือคะอาจารย์”

หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อพอลืมตาขึ้นจ้องหน้าเขาแล้วเห็นคนตัวโตทำหน้าเบ้คล้ายกับกำลังเจ็บปวดทรมาน

“ไม่เจ็บ… มัน… เธอทำมันดีมากต่างหาก”

ไทเลอร์ส่ายหน้าปฏิเสธ ขณะพลิกกายลงไปนั่งบนโซฟา มือหนาจับให้หล่อนลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่ระหว่างต้นขากำยำของตัวเองและก็ไม่ต้องมีใครบอกใครสั่ง เพราะธรรมชาติได้สร้างมันมาในตัวของผู้หญิงทุกคน

“โอ้ว… เจ้าขา… นั่นเธอจะทำ…”

ชายหนุ่มครางได้เท่านั้นก็ต้องเอนกายพิงกับพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ เมื่อความเป็นเจ้าโลกผู้ยิ่งใหญ่ของเขาถูกกลืนกินเข้าไปในอุ้งปากสาว เขาไม่เคยคิดจะให้จันทร์เจ้าขาทำแบบนี้มาก่อน เพราะเขารู้ว่าหล่อนจะต้องไม่เต็มใจ แต่ในตอนนี้ หน้าตาของเจ้าหล่อนยามที่เขาได้มองยามนี้ มันยิ่งกว่าเต็มอกเต็มใจเสียอีก

“โอ้ว… พระเจ้า… ทำไมเธอเก่งแบบนี้เจ้าขา”

ก็จะไม่ให้เขาบ้าเขาคลั่งได้ยังไงกัน ในเมื่อแม่เจ้าประคุณเล่นรูดมือทั้งสองไปตามความยาวใหญ่ของเขาเป็นจังหวะต่อเนื่องถี่ระรัว ขณะที่ทั้งปากทั้งลิ้นของเจ้าหล่อนก็แตะเลียไปจนทั่ว ตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย ก่อนจะดูดกลืนเข้าไปจนหมด จากนั้นก็ขยับศีรษะไปมา

“โอ้ว… เจ้าขา… ฉัน… ฉันไม่ไหวแล้ว”

หญิงสาวไม่หยุด ยิ่งเห็นว่าสิ่งแปลกใหม่ที่ตัวเองได้ลองทำเป็นครั้งแรกถูกใจพ่อเทพบุตรเถื่อน หล่อนก็ยิ่งเพิ่มจังหวะการดูดกลืนให้เร็วยิ่งขึ้น กระชั้นยิ่งขึ้น และลึกล้ำยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็เป็นไทเลอร์เองที่ทนไม่ไหวแตกระเบิดออกมาในปากของหล่อนอย่างรุนแรง

“วิเศษเหลือเกิน เจ้าขา… วิเศษที่สุด”

เขาตัวสั่นเทิ่มอยู่บนโซฟาตัวยาว ในขณะที่หญิงสาวกลืนกินทุกอย่างของเขาจนหมดสิ้น เขาผงกศีรษะมองร่างอรชรก่อนจะดึงร่างบางขึ้นไปกอดรัดแน่น จากนั้นก็ประกบปากลงมาหาอย่างดูดดื่ม กลิ่นของเขายังติดอยู่ที่ลิ้นของหล่อน รสชาติของเขาก็ยังอยู่ จันทร์เจ้าขาทำให้เขาสูญสิ้นความภาคภูมิใจทุกอย่างที่เคยมีมาเกี่ยวกับผู้ชนะบนเตียง เพราะตอนนี้เขาแสนจะหมดสภาพ ต้องเป็นทาสสวาทของเจ้าหล่อนอย่างง่ายดาย

ยอมจำนน…

นี่แหละคือความรู้สึกของเขาในยามนี้ที่มีต่อแม่สาวน้อยที่อวบอัดไปทั้งตัว หล่อนร้อนแรงทั้งๆ ที่แสนจะไร้เดียงสา หล่อนกระตือรือร้น ตอบสนองความต้องการของเขาด้วยความรู้สึกเดียวกันไม่ใช่เสแสร้งพยายามเหมือนๆ กับคู่นอนที่เขาเคยผ่านมา สัมผัสนุ่มนวลจากปากจากลิ้นของหล่อนยังติดตรึงอยู่ในสมอง ภาพที่หล่อนกลืนกินเขาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความกระหายปลุกปั่นให้ไฟสวาทในกายหนุ่มยิ่งกระพืออย่างรุนแรง

เขาต้องการจันทร์เจ้าขา ต้องการหล่อน… ต้องการจะมีหล่อนอยู่บนเตียงแบบนี้… แบบนี้ไปอีกยาวนาน เขาไม่สัญญาหรอกว่าจะนานแค่ไหน แต่ด้วยความสัตย์จริงตอนนี้เขายังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของความเบื่อหน่ายเลยสักนิดเดียว

“ฉันหลงเธอจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เจ้าขา…”

ชายหนุ่มถอนปากออกมา ก่อนจะพรมจูบเรื่อยต่ำลงมายังซอกคอระหง ต่ำลงมายังเนินอกที่มีมือหนารุกรานอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาก้มลงดูดอมเม็ดทรวงและใช้ลิ้นแกร่งโรมรันอย่างหิวกระหาย มันชูชันเด้งอยู่ในปากของเขาอย่างง่ายดาย

“อ๊า…  หรือในปากของเธออีก เจ้าขา…”

เขาพรมจูบเรื่อยต่ำลงมายังหน้าท้อง ขณะที่ฝ่ามือยังคงบีบเค้นตะโบมเคล้าคลึงก้อนเนื้อนุ่มอวบใหญ่อย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

“ฉันต้องการร้องครางในความคับแน่นของเธอ ในนี้…”

ต้นขาอวบถูกจับให้แยกออกจากกันอย่างง่ายดาย จากนั้นลมหายใจอุ่นๆ ก็ราดรดรินลงบนเนินนางสวยสะพรั่งในระยะกระชั้นชิด

จันทร์เจ้าขาร้องคราง สะโพกงามส่ายระริก บั้นท้ายลอยขึ้นไม่ติดที่นอน

“อาจารย์…ได้โปรด… อ๊า”

นิ้วแกร่งแหวกม่านเนียนนุ่มเข้าไปสัมผัสกับความงดงามอ่อนใสสีแดงสดภายในอย่างแผ่วเบา และก็เป็นนิ้วที่ตวัดลงไปหยอกเย้าเป็นส่วนแรก

“อ๊ะ… อาจารย์ ได้โปรด…”

บั้นท้ายงามลอยสูงขึ้นอีก เมื่อถูกโลมเลียด้วยลิ้นชุ่มชื่น เขาทั้งปาดเลีย ทั้งดูดเม้มด้วยริมฝีปาก ขณะที่นิ้วแกร่งสอดใส่เข้าไปด้านใน ขยับด้วยจังหวะที่สามารถระเบิดโลกของจันทร์เจ้าขาให้พังพินาศลงได้อย่างง่ายดาย

“อ๊า… อาจารย์ ได้โปรด… ได้โปรด ทนไม่ไหวแล้วค่ะ”

ไม่ว่าหล่อนจะดิ้นจะส่ายจะสะบัดเพราะความเสียดเสียวภายในแก่นกลางกายแค่ไหน แต่เขาก็ยังไม่หยุด ลิ้นยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ปากและนิ้วแกร่งของเขาก็เช่นกัน มันยังคงขยับ ขยับ และดูดเม้ม ปาดละเลงเลียอย่างหิวกระหายเช่นเดิม ไม่… ไม่ใช่… มันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

“หวาน… เธอหวานเหลือเกิน เจ้าขา… หวานจนฉัน… ต้องการจะเลียแบบนี้ทั้งคืน”

ไม่ใช่แค่การเลีย การดูด และการสอดใส่ด้วยปลายนิ้วแกร่งหรอกที่ทำให้จันทร์เจ้าขาสุขสมอย่างรุนแรงอย่างเฉียบพลันแต่เป็นเพราะคำพูดชวนเสียวซ่านของเขาด้วย หล่อนกรีดร้องด้วยความเสียดสยิว ทุกอณูเบ่งบานจนในที่สุดก็ปริแตกออกมาเป็นละอองหยาดรัก

“เธอ… เสร็จแล้ว”

คนตัวโตดูดเลียน้ำหวานจากกลีบกุหลาบงามจนแห้งเหือด จากนั้นก็จับร่างงดงามให้พลิกคว่ำลงกับโซฟา ดึงสะโพกงามขึ้นสูง และเขาก็เดินไปหยุดยืนอยู่ที่บั้นท้ายงามที่กำลังเชิดโด่งท้าทาย จากนั้นก็สอดใส่ความแข็งชันที่พร้อมพรักมานานเข้าไปจนหมดทั้งตัว

“อ๊ะ… อ๊า…”

หญิงสาวอุทานด้วยความเสียวกระสัน พลางส่ายบั้นท้ายรับแรงกระแทกจากคนตัวโตที่ตอนนี้จ้วงใส่เข้ามาหาอย่างบ้าคลั่งด้วยความเต็มอกเต็มใจ ปากอิ่มชอกช้ำส่งเสียงร้องครางไม่หยุด ไม่ใช่ไม่อยากหยุดนะ แต่หล่อนหยุดมันไม่ได้ต่างหาก ก็ทุกแรงกระแทก ทุกแรงสัมผัสของพ่อเทพบุตรสุดหล่อ และเซ็กซ์จัดสุดๆ อย่างไทเลอร์นั้นเป็นยิ่งกว่าไฟร้อนๆ เสียอีก ยิ่งกระแทกยิ่งจ้วงเข้าใส่แรงเร็วเท่าไหร่ ร่างของหล่อนก็ยิ่งสั่นระริกด้วยความเสียวซ่านมากขึ้นเท่านั้น

เสียว… เสียวกระสันจนแทบขาดใจ

“อาจารย์ขา… อาจารย์… โอ้ว…”

“ทั้งร้อน ทั้งรัดแน่น เธอยอดมากเจ้าขา”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นซู้ดปากด้วยความเสียวซ่านไม่แพ้แม่สาวน้อยที่กำลังส่ายสะบัดบั้นท้ายรับแรงปะทะเลยสักนิด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความรู้สึกสุขซ่านแบบนี้จะมีอยู่ในโลก เขาไม่เคยได้รับ ไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อน จันทร์เจ้าขาทำให้เขารู้จักมัน และทำให้เขาลุ่มหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น เขา… เขากำลังจะขาดใจตายกับความแน่น ความร้อนผ่าวของซอกเนื้อนุ่ม

“โอ้ว… อ๊า เจ้าขา… ฉันไม่ไหวแล้ว”

หล่อนก็เหมือนกัน ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว มันสุดทางแล้วจริงๆ หญิงสาวคร่ำครวญอยู่ภายในอก ร่างกายเดือดพล่านราวกับถูกแผดเผาด้วยเพลิงกัลป์ ไม่นาน… วินาทีถัดมาเท่านั้นทั้งเขาและหล่อนต่างก็ครางระงมออกมา พร้อมๆ กับกระตุกเกร็งอย่างพร้อมเพียงกัน

“ทำไมถึงวิเศษแบบนี้ ทำไมถึงทำให้ฉันเป็นบ้าได้แบบนี้”

พ่อเจ้าประคุณคำรามทั้งๆ ที่ยังคงสั่นอยู่ด้านหลังของหล่อน เขาสั่นอยู่จนหยาดรักทุกหยดหายเข้ามาในกายของหล่อนจนหมดสิ้น นั่นแหละเขาถึงถอนตัวออกห่าง และดึงร่างแน่งน้อยอ่อนปวกเปียกของหล่อนเข้าไปกอด

“ฉัน… ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีเซ็กซ์ดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก”

หล่อนกำลังเคลิบเคลิ้ม ลุ่มหลงอยู่กับความรัญจวนอยู่ดีๆ คำว่า ‘เซ็กซ์ดีๆ ‘ของพ่อสุดเถื่อนก็ทำให้หล่อนได้สติขึ้นมาในทันที

ก็แค่เซ็กซ์ใช่ไหม เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่เซ็กซ์ในสายตาของผู้ชายคนนี้เท่านั้นใช่ไหม หญิงสาวกัดปากแน่น น้ำตาซึม และผลักเขาให้ออกห่างตัวอย่างแรง

“ฉันเหนื่อย และอยากพักผ่อน”

“แต่ฉันยังต้องการเธออีก เจ้าขา”

หล่อนมีค่าแค่ที่ระบายความใคร่ สายตาของเขาบอกแบบนี้ จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด หล่อนมองเขาทั้งน้ำตา จากนั้นก็กัดฟันโต้ตอบออกไป

“ถ้ายังไม่จุใจก็ใช้มือของตัวเองไปก่อนเถอะค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่พร้อม”

ไทเลอร์ยืนนิ่งมองหล่อนอยู่พักใหญ่ ใบหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ สายตาสีเขียวมรกตของเขาก็เช่นกันมันอ่านไม่ออกเลยสักนิด

“งั้นก็ตามใจ นอนพักให้สบาย และมั่นใจได้เลยว่าตลอดวันนี้ทั้งวัน และรวมทั้งคืนนี้ด้วย ฉันจะไม่แตะต้องเธออีก จันทร์เจ้าขา”

แล้วพ่อคนตัวโตก็กระแทกเท้าเดินแก้ผ้าโทงๆ หายเข้าไปในห้องน้ำ เสียงประตูไม้กระทบกับวงกบดังลั่นบอกให้รู้ว่าคนปิดกำลังรู้สึกยังไง

ก็ช่างเขาสิจะโกรธ จะโมโหก็ช่าง ในเมื่อเขาสมควรจะได้รับมันแล้ว

แม้จะคิดแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วน้ำตาก็ยังอดไหลออกมาไม่ได้ ร่างอรชรเปลือยเปล่าทรุดฮวบลงกองกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นถล่มยับอยู่ภายในอก

ทำไมเขาถึงมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่เซ็กซ์ดีๆ ทำไมไม่มองว่ามันคือความสุขที่หล่อนกับเขาทำร่วมกันนะ ทำไม?

จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด ก่อนจะรีบจัดการกับเนื้อตัวของตนเองจนเรียบร้อย และเดินโซซัดโซเซออกไปจากเพนท์เฮ้าส์ของไทเลอร์ด้วยความขมขื่นเป็นที่สุด

หลังจากอุ้มร่างแน่งน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนไปวางไว้ในรถ และขับกลับมายังเพนท์เฮ้าส์สุดหรูชั้นบนสุดของตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่งในรัสเซีย ไทเลอร์ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“เธอเป็นยังบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง พลางมองเขาอย่างขอบคุณ เพราะนี่คือครั้งที่สามแล้วที่ไทเลอร์ยื่นมือเข้ามาช่วยหล่อนเอาไว้ได้ทันเวลา

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ตกใจ และหวาดกลัวเท่านั้น ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ไทเลอร์ที่ช่วยเหลือฉันอีกครั้ง”

คนที่กำลังจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูกับกะละมังในห้องน้ำหันกลับมายิ้มบางๆฟังคำตอบเสร็จแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมๆ กับกะละมังและผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กๆ

“ก็เพราะฉันไม่ใช่หรือ เธอถึงถูกประณามแบบนี้”

จันทร์เจ้าขามองคนที่มาทรุดกายลงนั่งข้างๆ และกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการบิดผ้าขนหนูที่เปียกน้ำให้ชุ่มพอหมาดด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ

“ยังไงซะฉันก็ต้องขอบคุณอาจารย์อยู่ดี ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มที่บิดน้ำออกจากผ้าจนเหลือแค่ความชุ่มน้อยๆ แล้วเงยหน้าขึ้นและระบายยิ้มให้ แค่นั้นหัวใจของหล่อนก็หกคะเมนตีลังกาทันที

โอ้… ทำไมไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟถึงได้หล่อขั้นเทพได้ขนาดนี้นะ ยิ่งมองยิ่งหล่อ ยิ่งยิ้มก็ยิ่งเขย่าหัวใจจนแทบละลาย

“โอเค ฉันจะรับคำขอบคุณจากเธอเอาไว้ และสัญญาว่าครั้งหน้าจะพยายามไม่ปล้ำเธอในมหา’ลัยอีก วงเล็บนะถ้าอดใจไหว”

“อาจารย์…”

หล่อนพ้ออย่างขัดใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้พ่อเทพบุตรตรงหน้าที่กำลังเอาผ้าขนหนูซับหน้าให้หล่อนอยู่หัวเราะออกมา

“ฉันจะพยายาม… โอเคไหม”

“ขอบคุณค่ะ”

คนเอ่ยขอบคุณแดงแก้มก่ำเมื่อเห็นสายตาหิวกระหายของคนตัวโตที่ทอดมองมา หล่อนขยับตัวอย่างอึดอัด ร้อนผ่าวในช่องท้องขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าเธอทำให้ฉันอิ่มในตอนกลางคืน ฉันจะพยายามไม่กินเธอในมหา’ลัยโอเค”

“อาจารย์… อย่าพูดแบบนี้สิคะ”

หล่อนผลักไสเขาเมื่อพ่อเจ้าประคุณเลิกสนใจการเช็ดใบหน้าให้หล่อน และขยับเข้ามากอดรัดแทนอย่างจงใจและเจตนาปลุกปั่นให้หล่อนละลาย

“ปละ… ปล่อยนะคะ ฉันจะไปมหา’ลัย”

“อย่ามาโกหกเลย คราบเรียนสุดท้ายของเธอจบตั้งแต่สิบเม็ดโมงและบ่ายเธอก็ไม่มีเรียน”

“นี่อาจารย์… รู้ตารางเรียนของฉันด้วยเหรอคะ”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่ทอดมองมานั้นก็ยังเต็มไปด้วยความหิวกระหายคงเดิม แต่ไม่สิ… มันมากกว่าเดิมอีก

“ฉันเป็นถึงเจ้าของมหา’ลัย เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมจะไม่รู้”

“คนเจ้าเล่ห์”

“เหรอ….”

เขาทำหน้าตายไม่สะทกสะท้านกับคำประณามที่หล่อนสาดใส่หน้า จากนั้นก็ก้มหน้าต่ำลงมาหา จูบแก้มนวลฟอดใหญ่ จนคนถูกจูบสะท้านไปซะทั้งตัว

“อาจารย์น่ะ อย่าทำแบบนี้สิคะ ถอยออกไปค่ะ…”

“จะทำมากกว่านี้อีก จะกินเสียให้หมดทั้งตัว”

วูบวาบ ร้อนผ่าว และเดือดพล่าน

ทำไมนะ ทำไมแค่คำพูด… คำพูดไม่กี่คำของผู้ชายหล่อลากไส้ลากตับคนนี้ถึงทำให้หล่อนรู้สึกไม่ต่างจากการถูกเอาไฟมาสุมไว้ที่ซอกขาแบบนี้นะ มันร้อนผ่าว หยาดเยิ้มและชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างน่าละอาย แถมความหิวกระหายที่พยายามซ่อนเร้นเอาไว้ในส่วนลึกก็ทำท่าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้

“อย่าค่ะ…”

“เธอเองก็อยากกินฉันเหมือนกัน… อย่าคิดว่าฉันมองไม่ออกสิ”

“ไม่ใช่… ไม่ใช่สักหน่อย ฉันไม่ได้อยาก… เอ่อ… แบบนั้น อ๊ะ…”

แล้วจันทร์เจ้าขาก็ร้องอุทาน เมื่อจู่ๆ ชายกระโปรงตัวสวยของหล่อนก็ถูกตลบให้ขึ้นไปกองรวมกันอยู่ที่เอวคอด จากนั้นเขาก็ชอนไชนิ้วแกร่งเข้าไปในกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดของหล่อน ถูไถสะกิดกลีบสาวอย่างหยอกเย้าก่อนจะดึงออกมาชูตรงหน้าหล่อน

“นี่ไง… เธอชุ่มชื้นเพื่อฉัน”

หญิงสาวอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี หน้าตาแดงก่ำด้วยความขัดเขินและไฟพิศวาสที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่นะ… คือว่าฉัน…”

“อย่าปฏิเสธความรู้สึกที่เราทั้งคู่ต่างมีต่อกันเลย…”

แล้วนิ้วแกร่งที่เปื้อนคราบรักของหล่อนก็ถูกลิ้นสีแดงสดของพ่อเทพบุตรหลุดหล่อตวัดเลีย ก่อนที่เขาจะกลืนกินมันเข้าไปทั้งนิ้ว ภาพที่เห็นสร้างความเสียวกระสันไปทั่วทั้งกายสาวได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

หล่อนอยากต่อต้าน อยากขัดขืน แต่ก็ทำไม่ได้เลย ทำไม่ได้เลยจริงๆ แค่เขาแตะ แค่เขามองตาด้วยสายตาปานจะกลืนกินแบบนี้ หล่อนก็ทุกข์ทรมาน ดิ้นเร่าๆ ด้วยความต้องการอันร้อนแรงเสียแล้ว ใช่… หล่อนต้องการไทเลอร์อย่างรุนแรง เหมือนกับที่เขาต้องการหล่อนนั่นแหละ

“รู้ไหม… เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ฉันใช้ปากทำรักให้”

คนฟังหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นเทิ้ม ยิ่งยามเขาเปลื้องผ้าของหล่อนออกไปจากตัว ร่างกายสาวก็ยิ่งร้อนราวกับถูกสุมด้วยไฟกัลป์

“อาจารย์…”

“ตอนแรกฉันคิดว่าเราจะจบกันแค่คืนแรกเหมือนๆ กับที่ฉันเคยปฏิบัติมาตลอดชีวิต แต่ก็ผิดคาด เธอหวาน… และทำให้ฉันติดใจจนไม่สามารถเขี่ยทิ้งได้ง่ายๆ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้”

นี่หล่อนควรจะดีใจกับสิ่งที่ได้ยินไหมนะ เขาติดใจหล่อนเลยยังไม่เขี่ยทิ้ง บ้าชะมัด แม้จะขุ่นเคืองแต่สัมผัสร้อนผ่าวของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนผิวสาวก็ทำให้หล่อนหยุดความคิดนั้นไปชั่วขณะ ร้อนผ่าว เดือดพล่าน และสุขสม นี่แหละคือสิ่งที่หล่อนกำลังได้รับอยู่จากสัมผัสของไทเลอร์

“แต่เอาเถอะ… ในเมื่อฉันติดใจเธอ และใช้เธอซ้ำหลายครั้งแบบนี้แล้ว ฉันก็จะรักษาสัญญาที่ฉันเคยให้เอาไว้กับเธอ…”

ปากของเขาค่อยๆ จูบเบาๆ ที่หน้าผากมน พรหมจูบไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ควานหาปากอิ่มที่เผยอรับอย่างรอคอยจนพบ เขาตะโบมจูบ ขยี้กลีบเนื้อนุ่มที่ตอบสนองอย่างเร่าร้อนอย่างหนักหน่วงดุดัน ลิ้นใหญ่จ้วงจุ่มเข้าไปในอุ้งปากสาว ก่อนที่จะเป็นเขาที่ดูดกลืนปลายลิ้นเล็กเข้ามาในอุ้งปากของตัวเองบ้าง เสียงเจ้าหล่อนร้องครางอู้อี้อยู่ในปากของเขาด้วยความเสียดเสียว ยิ่งผลักดันให้เขาหยุดเกมรักเกมสวาทในครั้งนี้ไมได้อีก

“เราจะจดทะเบียนกัน…”

อยากจะปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องทำมันลงไปเพราะเผลอสัญญาเอาไว้กับหล่อน แต่ความมหัศจรรย์ของฝ่ามือ ริมฝีปากร้อนๆ และลิ้นชุ่มชื่นของเขาก็ทำให้หล่อนหลุดหลงและลืมตัว หล่อนครางครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอ่นหยัดสะโพกขึ้นถูไถกับท่อนเนื้อแข็งแกร่งอย่างยั่วยวน

“ใจเย็นคนสวย… เธอได้กินฉันทั้งตัวแน่”

หลังจากวันนั้นวันที่หล่อนถูกไทเลอร์สาดซัดความเสียวกระสันเข้าใส่ในห้องเรียนโดยที่ด้านนอกนั้นมีฟิลิเซียเขย่าประตูร้องเรียกอยู่ เรื่องของหล่อนกับไทเลอร์ก็กลายเป็นที่โจษจันกันภายในมหาวิทยาลัยอย่างกว้างขวาง โดยมีต้นข่าวคือฟิลิเซียและเจนี่

หล่อนทั้งอับอาย ทั้งอดสูกับความจริงพวกนั้น เพราะไม่ว่าจะย่างกรายไปยังมุมไหนของมหาวิทยาลัยสายตาทุกคู่ก็จะเหลือบแลมองมาอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาเสียงดังเพื่อให้หล่อนได้ยินคำพูดน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้น

แม้ว่าไทเลอร์จะปกป้องหล่อนด้วยการคาดโทษกับนักศึกษาและบุคคลากรภายในมหาวิทยาลัยเอาไว้สูงสุด แต่ทุกคนก็ทำแบบผักชีโรยหน้าเท่านั้น เพราะพอลับหลังไทเลอร์ หล่อนก็กลายเป็นประเด็นร้อนภายในกลุ่มของพวกนักศึกษาและเหล่าอาจารย์ทันที

“นี่ๆ เธอ ในมหาวิทยาลัยของเราน่ะมีอีตัวด้วยนะ”

ทันทีที่หล่อนเดินผ่านเสียงนี้ก็ดังผ่านเข้ามาในหูอย่างชัดเจน จันทร์เจ้าขากัดปากแน่นและพยายามจะไม่สนใจกับคำพูดพวกนั้น แต่หูไม่รักดีก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

“ใช่แม่คนนั้นหรือเปล่า ที่มีเซ็กซ์กับอาจารย์ไทเลอร์ในห้องเรียนน่ะ”

แล้วนักศึกษากลุ่มนั้นก็พร้อมใจกันตวัดสายตาจ้องมองมาที่หล่อน ทำเอาหล่อนหน้าชาดิก ร้อนผ่าวราวถูกลวกด้วยเพลิงไฟ

“ใช่… ทำไมเธอรู้ล่ะ”

“ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ เขาปิดกันให้แซดทั้งมหาลัย นี่ไม่รู้ว่าอาจารย์ในมหาลัยถูกแม่นี่เขมือบไปหมดทุกคนหรือยัง”

“แหม เธอถามให้มันถูกๆ หน่อยสิ เธอต้องถามว่านักศึกษาชายในมหา’ลัยถูกแม่นี่จับกินตับไปครบทุกคนหรือยัง เพราะอาจารย์น่ะไม่น่าจะเหลือแล้ว”

“เฮ้ย… เหลือฉันคนหนึ่งยังไม่ได้ลอง…”

นักศึกษาชายในกลุ่มยกมือขึ้นและพูดเสียงดังก่อนจะตามด้วยผู้ชายอีกคน

“ฉันก็ยัง แต่ให้ก็ไม่เอาหรอกกลัวติดโรค”

“แต่ฉันอยากลองว่ะ อยากรู้ว่าจะลีลาเด็ดแค่ไหน อาจารย์ไทเลอร์ถึงได้ตบะแตกกินในห้องเรียนน่ะ ปกติอาจารย์ไทเลอร์ไม่ใช่คนรุ่มร่ามแบบนี้นี่”

ไอ้นักศึกษาชายคนเดิมพูดขึ้น และกระโดดมายืนตรงหน้าของกลุ่ม

“ถ้าอยากก็เข้าไปหาสิ เงินไม่น่าจะต้องจ่าย เพราะแค่คุยถูกคอแม่นี่ก็อ้าขาให้เสียแล้วล่ะ”

ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถึงได้จงเกลียดจงชังหล่อนกันนัก ทุกคนกระทืบหล่อนซ้ำทันทีโดยไม่คิดจะให้โอกาสเลยสักนิด จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด กัดฟันบังคับเท้าให้เดินผ่านกลุ่มนั้นไป แต่ก็ไม่พ้น เพราะแขนถูกมือของนักศึกษาชายกระชากเอาไว้ก่อน

“นี่ปล่อยนะ”

“เฮ้ย… แม่นี่ทำตัวสะดีดสะดิ้งว่ะ นึกว่าจะรีบวิ่งเข้าใส่ซะอีก”

จันทร์เจ้าขาดิ้นรนขัดขืนพัลวัน เพราะถูกดึงเข้าไปกอดโดยไอ้นักศึกษาชายคนนั้น ในขณะที่นักศึกษาทั้งชายและหญิงในกลุ่มข้างๆ ต่างหัวเราะสะใจกับความทุกข์ของหล่อน แถมยังกระทืบซ้ำอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“คงแสดงท่าทางแบบนี้ซะจนเคยตัวน่ะ แกไม่ต้องคิดมากไอ้โจ ไหนว่าอยากลองไง จัดไปเลยตรงนี้แหละ ให้ทุกๆ คนดูว่าแม่นี่มันร่านแค่ไหน”

นักศึกษาผู้หญิงให้ท้ายด้วยความริษยา

“ปล่อยนะ อย่าทำบ้าๆ แบบนี้นะ ที่นี่มันมหา’ลัยนะ”

“ในห้องเรียนเธอก็ซั่มกับอาจารย์ไทเลอร์ไปแล้วนี่ ยังจะมาอายอะไรอีก โดนตรงนี้สักรอบไม่น่าจะมีปัญหาเลยพวกเรามาช่วยกันจับหน่อยสิ แม่นี่มันดิ้นแรงชะมัด”

“อย่าทำแบบนี้ อย่าทำฉันนะ…”

จันทร์เจ้าขาวิงวอน รับรู้ได้ถึงความป่าเถื่อนของผู้ชายหลายคนที่กรูกันเข้ามาล้อมรอบกาย เสียงผู้หญิงร้องเชียร์อยู่ด้านนอก ในขณะที่หล่อนไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง

“อย่าทำอะไรฉันนะ… ได้โปรดเถอะ”

“ตอนโดนฉันกระแทกเธอจะไม่ร้องแบบนี้ แม่กระหรี่ประจำมหา’ลัย”

แล้วร่างของหล่อนก็ถูกพวกมันทั้งหลายกระชากเข้าไปผลัดกันกอดรัด หญิงสาวดิ้นรน ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ร้องไห้ด้วยความอัปยศอดสู ในสมองร่ำร้องหาไทเลอร์ ให้เขามาช่วยเหลือหล่อน แม้ว่าเขาจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ก็มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่หล่อนไว้ใจที่สุด

“พวกแกกำลังทำบ้าอะไรกัน?!”

เสียงของไทเลอร์ที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้วงล้อมที่กำลังรุมจันทร์เจ้าขาอยู่ของนักศึกษาชายแตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง

“อา… อาจารย์ไทเลอร์”

เจ้าของชื่อหน้าแดงก่ำด้วยโทสะร้าย ยิ่งเห็นสภาพของจันทร์เจ้าขาที่เสื้อผ้ายับเยิน น้ำตาไหลเป็นทางก็ยิ่งแค้นสุดขีด

“ใครทำผู้หญิงของฉัน”

ชายหนุ่มเค้นเสียงถาม ดวงตาลุกเป็นไฟ ขณะก้าวไปดึงร่างของจันทร์เจ้าขาเข้ามากอดแนบอก และก็ยิ่งแทบจะพังโลกทั้งใบให้แตกกระจุยเมื่อรับรู้ถึงความสั่นสะท้านจากกายสาวของผู้หญิงที่ตัวเองคิดถึงทุกลมหายใจ

“ฉันถามว่าใครทำจันทร์เจ้าขา…?!”

“คือพวกเรา…”

“ถ้าไม่บอก พวกเธอไปหาที่เรียนใหม่นอกรัสเชียได้เลย ฉันจะตามล้างตามผลาญพวกเธอทุกคนจนไม่สามารถอยู่ในรัสเซียได้ จำใส่กะโหลกเอาไว้!”

ทุกๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์หน้าซีดเผือดเพราะเป็นคนสมรู้ร่วมคิดทั้งหมด ยิ่งเห็นท่าทางของไทเลอร์โกรธราวกับมัจจุราชด้วยแล้ว ความหวาดกลัวก็ยิ่งกระซ่านกระเซ็น

“พวกเรา… พวกเราไม่ได้ทำอะไร…”

“ไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมจันทร์เจ้าขาถึงร้องไห้แบบนี้”

“คือพวกเรา… แค่กำลังจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำ”

นักศึกษาชายหัวโจ๊กแก้ตัว

ไทเลอร์ตวัดสายตาคมกริบดุจใบมีดโกนจ้องหน้าคนพูด

“แล้วนายทำอะไรจันทร์เจ้าขาบ้าง”

“คือผม…”

“ฉันถามว่าทำอะไรผู้หญิงของฉันไปบ้าง”

เสียงคำรามที่ดังสนั่นและน่ากลัวยิ่งกว่าฟ้าพิโรธของไทเลอร์ทำให้ทุกๆ คนที่ต้องโทษเต็มไปด้วยความขลาดกลัว ตัวสั่นเทา

“คือผม… ผมแค่กอด”

“กอดหรือ…”

ไทเลอร์ทวนคำ ปล่อยร่างของจันทร์เจ้าขาจนเป็นอิสระ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าของนักศึกษาชายคนที่พูด และตะบั้นกำปั้นเข้าใส่จนใบหน้าของมันหงายไปด้านหลัง จากนั้นก็ตามซัดลงไปอีก มันล้มลงแต่ไทเลอร์ก็ยังไม่สะใจ เขาตามไปกระทืบและก็กระทืบจนเด็กหนุ่มกระอักออกมาเป็นเลือด

“ใครกอด ใครแตะต้องจันทร์เจ้าขาอีก”

“มะ ไม่มีครับ ไม่มีแล้ว”

เหล่านักศึกษากลัวลนลานตัวสั่น เพราะตั้งแต่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดในรัสเซียแห่งนี้หลายปีก็ไม่เคยเห็นเจ้าของหนุ่มที่พ่วงตำแหน่งอาจารย์อย่างไทเลอร์ฟิวขาดตบะแตกอย่างนี้มาก่อนเลย เพราะผู้หญิงที่ชื่อจันทร์เจ้าขาจริงๆ เหรอ

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครกล้ามาแตะต้องจันทร์เจ้าขาอีก เพราะถ้าใครกล้าทำ…”

ไทเลอร์ตวัดสายตามองหน้าทุกคนอย่างเลือดเย็น

“ฉันจะทำมากกว่ากระทืบแน่”

“ค่ะ… ค่ะอาจารย์ไทเลอร์ พวกเรา… ไม่กล้าทำอีกแล้ว”

นักศึกษาทั้งชายหญิงต่างก้มหน้ารับคำอย่างขลาดกลัว กำลังจะแยกย้ายไปกันคนละทิศละทาง แต่ไทเลอร์ไม่เปิดโอกาสให้

“ไปห้องฝ่ายปกครอง และรับหนังสือพักการเรียน พวกเธอจะต้องหยุดเรียนไปหนึ่งเทอม”

“อาจารย์ไทเลอร์… พวกเราไม่ยอม…”

“ที่นี่ฉันใหญ่ที่สุด รวมถึงในรัสเซียด้วย ดังนั้นไม่ต้องคิดจะไปแจ้งความ เพราะฉันชนะใสๆ อยู่แล้ว ไสหัวไปซะ และลากไอ้เพื่อนระยำของพวกเธอไปด้วย”

นักศึกษาต่างพากันเดินคอตกจากไป ในขณะที่มุมหนึ่งฟิลิเซียกับเจนี่ก็ยืนกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจที่แผนของตัวเองล้มเหลวลงอีกครั้ง

“อาจารย์ไทเลอร์มาช่วยมันได้อีกแล้ว นังนี่มันดวงแข็งจริงๆ”

“ใช่ฟิลิเซียมันต้องเป็นแมวเก้าชีวิตแน่ๆ รอดได้ทุกทีสิน่า”

เจนี่เองก็ผิดหวังไม่แพ้กัน ทั้งๆ ที่หล่อนอุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้จันทร์เจ้าขาจะต้องถูกรุมโทรมกลางมหาวิทยาลัยแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วก็รอดไปได้อย่างหวุดหวิด

“ฉันเกลียดมันนัก ฉันจะให้พ่อหาคนมายิงมันทิ้งซะ”

“ไม่เอาน่าฟิลิเซียเดี๋ยวติดคุกกันพอดี ฉันว่าเดี๋ยวเราวางแผนกันใหม่ดีกว่า และให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งฉันคิดว่านังเจ้าขามันไม่มีทางโชคดีไปได้ทุกครั้งหรอก เชื่อฉันเถอะ ใจเย็นๆ”

“ฉันจะเย็นลงได้ยังไง ไม่เห็นหรือไงว่าอาจารย์ไทเลอร์กำลังหลงมันแค่ไหน ขนาดในห้องเรียนยังฟาดนังนั่นตั้งหลายชั่วโมง ฉันสมควรจะเป็นคนครางอยู่ในห้องนั้น ไม่ใช่ผู้หญิงสกปรกอย่างนังเจ้าขา ฉันจะต้องเอาชนะมันให้ได้”

“เธอทำได้แน่ฟิลิเซีย เชื่อฉัน”

เจนี่พูดด้วยน้ำเสียงมีไมตรี แต่สายตาของหล่อนกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเลย ซึ่งฟิลิเซียไม่มีทางได้เห็นมันเลยสักนิด

หญิงสาวเดินไปวางโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวเล็ก จากนั้นก็เดินไปที่เปลชะโงกดูหนูเอวาด้วยความรักความเอ็นดู มือบางค่อยๆ ดึงขวดนมออกจากปากของหนูน้อยด้วยกิริยาแสนแผ่วเบาเพราะเกรงว่าหนูเอวาจะตกใจตื่นขึ้นมา พอสำเร็จก็ตั้งใจจะนำขวดนมไปล้าง แต่ประตูบ้านที่คิริลแค่ปิดเอาไว้แต่ไม่ได้ล็อคให้ก็ถูกเปิดผัวะเข้ามาเสียก่อน ด้วยฝีมือของ…

“พี่นาง…?!”

“ใช่ ฉันเอง แต่แกเบาๆ หน่อยได้ไหม”

ท่าทางลนลานลุกลี้ลุกลนของพี่สาวทำให้เนื้อนวลประหลาดใจและแสนจะกังขา หญิงสาวรีบวางขวดนมเอาไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหล่อนราวกับฝาแฝดทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วไม่ใช่ฝาแฝดสักนิด

“พี่นางทำท่าทางราวกลับหนีใครมาอย่างนั้น”

“ฉันไม่ได้หนีใครมาหรอก แต่ฉันกลัวพี่ไมค์มาเจอ ว่าแต่พี่ไมค์กลับมาหรือยัง”

“ฉันไม่เห็นพี่ไมค์กลับมาเลย ไม่รู้ไปไหน มือถือก็ติดต่อไม่ได้”

เนื้อนวลแสดงท่าทางกังวลใจ แต่เนื้อนางผู้เป็นภรรยาแท้ๆ กลับไม่ได้แสดงท่าทางอาลัยอาวรณ์ใดๆ ออกมาเลยสักนิด

“ดีแล้วล่ะที่ยังไม่กลับมา ฉันจะได้ไปอย่างสะดวก”

เนื้อนางเดินผ่านเปลของเอวาลูกสาวไปโดยไม่ชายตาแลเลยสักนิด จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาหยิบเสื้อผ้าของตัวเองใส่ลงไปด้วยความร้อนรน

“พี่นางจะไปไหนอีกล่ะ”

“มันเรื่องฉัน แกเป็นแค่น้องอย่ามายุ่งได้ไหม”

เนื้อนางตวาดน้องสาว และยังลงมือเก็บเสื้อผ้าต่อไป เลือกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เนื้อนวลผู้เป็นน้องสาวมองพี่สาวของตัวเองด้วยความเสียใจ ก่อนจะหันไปมองหนูน้อยเอวาที่ยังหลับใหลอยู่ภายในเปลโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองกำลังจะถูกแม่แท้ๆ ทอดทิ้งไปตลอดกาล

“แล้วพี่ไม่รักไม่เวทนาหนูเอวาบ้างเลยเหรอ”

“ก็มีแกเลี้ยงดูอยู่ทั้งคนนี่ ฉันจะต้องไปห่วงอะไร”

เนื้อนางตอบออกมาอย่างไม่แยแส

“แต่หนูเอวาไม่ใช่ลูกของฉันนะพี่นาง หนูเอวาเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพี่กับพี่ไมค์ ทำไมพี่ถึงใจดำกับลูกของตัวเองแบบนี้ พี่ไม่สงสารแกบ้างเลยหรือไง”

เนื้อนางหันมามองน้องสาว พลางท้าวสะเอวตวาดกลับอย่างหงุดหงิดใจ

“แกจะมาเทศน์อะไรฉันตอนนี้นังนวล แกมีหน้าที่เลี้ยงเด็กนี่ ก็เลี้ยงไป แล้วฉันจะคอยส่งเงินมาให้ทุกเดือนก็แล้วกัน ค่านมของเอวาน่ะ”

คนพูดเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วจากนั้นก็ลากมันผ่านเปลไปโดยไม่มองเอวาที่หลับปุ๋ยอยู่ในเปลเช่นเคย สายใยแห่งความเป็นมารดาไม่เคยมีสักนิด

“ฉันรู้ว่าพี่นางคงจะไปสบาย เพราะถ้าไม่สบายพี่นางคงไม่ตีจากพี่ไมค์ไปแบบนี้หรอก แต่ฉันอยากให้พี่นางคิดทบทวนดูให้ดีๆ นะ พี่ไมค์รักพี่นางมาก แม้พี่ไมค์จะไม่รวย แต่ก็ไม่เคยให้พี่นางต้องลำบาก พี่นางควรจะคิดถึงข้อนี้บ้าง คิดถึงใจของพี่ไมค์บ้าง ตอนนี้พี่ไมค์แกก็เสียใจที่พี่นางจากไป ไม่รู้ไปเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหนเลย”

แทนที่เนื้อนางจะละอายใจบ้าง ตรงกันข้ามเจ้าหล่อนกลับหัวเราะขบขันซะงั้น

“ถ้าแกสงสารพี่ไมค์มาก ก็เอาเป็นผัวไปเลย ฉันยกให้ ส่วนเอวา ถ้าแกรักแกสงสารฉันยกให้เหมือนกัน ฉันไปล่ะ”

“พี่นาง… ทำไมพี่ใจดำแบบนี้ล่ะ นี่ลูกแท้ๆ ของพี่นางนะที่นอนอยู่ในเปลน่ะ พี่ไม่คิดจะจูบ จะบอกลาแกเลยหรือไง”

คนที่กำลังลากกระเป๋าจะถึงปากประตูอยู่แล้วชะงักสีหน้ามีแววลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานมันก็จางหายไป

“ฉันไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก ฉันยกให้แกนวล”

เนื้อนางเปิดประตูและเดินลงบันไดไป เนื้อนวลผู้เป็นน้องสาวรีบวิ่งตามไปฉุดกระชากแขนของพี่สาวร่วมสายเลือดเอาไว้

“พี่นาง… ฉันขอร้องล่ะ ฉันขอร้องอย่าไปเลยนะ กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเถอะ”

แต่ไม่ว่าจะวิงวอนเช่นใดเนื้อนางก็ยังยืนกรานคำเดิม

“ฉันไม่ต้องการอยู่แบบจนตรอกอีกแล้ว แม้จะมีกินทุกมื้อ มีเงินเก็บบ้าง แต่ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย ให้ฉันไปตามความฝันของฉันเถอะ”

“พี่นางอยากได้อะไรล่ะ อยากได้เงินเดือนของฉันใช่ไหม ฉันยกให้พี่หมดเลย ฉันสัญญา ขอแค่พี่ไม่ไปจากพี่ไมค์ ไม่ไปจากหนูเอวา… นะพี่นาง… อย่าไปเลย”

คนพูดน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม ลำพังตัวหล่อนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่หนูเอวาหลานสาวของหล่อนน่ะสิ เอวาคงจะเสียใจมากถ้าชีวิตนี้ต้องขาดแม่ไป

“เงินเดือนแค่หยิบมือของแกจะทำให้ฉันซื้อกระเป๋าแพงๆ ได้นอนเล่นนั่งเล่นในโรงแรมหรูๆ ได้ยังไงกัน แกอย่ามารั้งฉันเลยนวล เพราะฉันตัดสินใจแล้ว…”

“พี่นาง…”

“ฉันยกเอวาให้กับแก เลี้ยงให้ดีก็แล้วกัน”

เนื้อนางหมุนตัวจะเดินออกไปยังรั้วที่มีรถคันงามเงาวับจอดรออยู่ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อผู้ชายหนวดเครายาวรกรุงรังก้าวมาขวางหน้าเอาไว้

“พี่ไมค์…”

เนื้อนางอุทานออกมาด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะพบกับไมเคิลสามีของตัวเอง

“นาง… อย่าไปเลยนะ อย่าจากพี่ไปอีกเลย แค่นี่พี่ก็แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว”

ไมเคิลคว้าข้อมือของเนื้อนางเอาไว้และจะดึงร่างเมียรักเข้ามากอด แต่สาวเจ้าขืนตัวเอาไว้ และผลักเต็มแรง ไมเคิลเซถลาไปล้มลงกับพื้นด้านหลัง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มมาตลอดหลายวันทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ หลงเหลืออยู่อีก แถมสภาพก็ยังกับโจรบ้าห้าร้อย

“ไปให้พ้นฉันเลยนะพี่ไมค์ ดูสภาพตัวเองก่อนสิ กลิ่นเหล้าหึ่งจนฉันแทบอ้วก หนวดเคราก็ยาวน่ารังเกียจ อย่ามาแตะต้องฉันเลย”

เนื้อนางจะเดินจากไป แต่ไมเคิลคลานเข้ามาคว้าขาเอาไว้เสียก่อน และวิงวอนอย่างคนไร้ศักดิ์ศรี เนื้อนวลเห็นสภาพของพี่เขยก็สงสารจับใจ และก็โกรธพี่สาวของตัวเองมากมายเช่นกัน ทำไมเนื้อนางถึงใจร้ายใจดำแบบนี้นะ

“ปล่อยฉันนะพี่ไมค์ ปล่อยสิ เอามือสกปรกของพี่ออกไปจากขาฉันนะ”

เนื้อนางสะบัดแรงๆ แต่ไมเคิลไม่ยอมปล่อย

“นาง… นางจ๋า อย่าไปจากพี่เลยนะ อยู่กับพี่อยู่กับลูกเถอะ”

“ฉันไม่อยู่ ฉันจะไม่อยู่กับคนจนๆ อย่างพี่อีกแล้ว ปล่อยขาฉันนะพี่ไมค์ ปล่อยสิ!”

ด้วยความมึนเมาทำให้ไมเคิลถูกเท้าของเนื้อนางถีบเข้าให้ที่ยอดอก ร่างของชายหนุ่มหงายหลังอย่างหมดสภาพ ก่อนที่เนื้อนางจะยืนมองอย่างสมเพช

“ฉันผิดพลาดก็ตั้งแต่ยอมอยู่กินกับพี่แล้ว ต่อไปนี้ชีวิตฉันจะต้องสุขสบายมีทุกอย่างที่ฝัน อดีตฉันจะลืมมันให้หมด”

“พี่นาง ทำไมพี่ใจร้ายแบบนี้ ถ้าพี่ก้าวเท้าออกไปจากบ้านนี้เมื่อไหร่ เราสองคนพี่น้องจบกัน ขาดกันทันที”

คำพูดของเนื้อนวลไม่ได้ทำให้คนที่กำลังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างเนื้อนางสะทกสะท้านสักนิด

“ฉันจะไป… และถ้าเจอกันอีกครั้ง แกไม่จำเป็นต้องเรียกฉันว่าพี่ หรือถ้าจะให้ดี อย่าบอกว่ารู้จักฉันจะดีที่สุด”

จบคำพูดเห็นแก่ตัวแสนโหดร้ายแล้วเนื้อนางก็ลากกระเป๋าเดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดีอะไรอีก ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญร้องเรียกของไมเคิล

“นาง… อย่าทิ้งพี่ไปเลย ได้โปรด… นาง..”

ไมเคิลจะคลานตามเมียรักไป แต่เนื้อนวลห้ามเอาไว้

“ปล่อยเขาไปเถอะพี่ไมค์ พี่นางไม่ใช่เนื้อนางคนเดิมอีกแล้ว เรารั้งเขาไม่ได้หรอก พี่ไมค์ต้องทำใจนะ ต้องทำใจให้ได้”

เหมือนๆ กับหล่อนที่กำลังทำใจให้เข้มแข็งอยู่ในขณะนี้ไง แต่ไม่ว่าจะปลอบยังไงไมเคิลก็ยังเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวดเช่นเดิม ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซกลับไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล แม้เนื้อนวลจะห้ามแต่เขาก็ไม่ฟัง

“พี่ไมค์อย่าขับรถเลยนะ พี่ยังเมาอยู่ให้สร่างเมาก่อน เชื่อฉันเถอะ”

“ขอบใจนวล แต่พี่จะต้องตามนางไป พี่คงอยู่ไม่ได้หากไม่มีนาง”

ไมเคิลก้าวขึ้นไปนั่งบนรถติดเครื่อง และกำลังจะดึงประตูรถปิด แต่เนื้อนวลสวนกลับไปอย่างเจ็บปวดเสียก่อน

“แล้วพี่ไมค์ไม่ห่วงหนูเอวาเลยเหรอ หนูเอวาขาดแม่ไปคนหนึ่งแล้วนะ พี่ไมค์ควรจะ…”

หล่อนพูดได้แค่นั้นไมเคิลก็กระชากประตูให้ปิดลง และขับออกไปด้วยความเร็วสูง เนื้อนวลพยายามจะวิ่งตามแต่เสียงร้องไห้จ้าของหนูน้อยเอวาก็ดังขึ้น ทำให้หล่อนต้องเปลี่ยนใจกลับขึ้นไปดูหลานสาวแทน

“โอ้ๆๆ หลานของน้า… ไม่ร้องนะจ๊ะไม่ร้อง”

แม้จะทั้งอุ้ม ทั้งกล่อม ทั้งป้อนนม แต่หนูเอวาก็ยังไม่หยุดร้องไห้ เด็กน้อยเหมือนกลับกำลังรับรู้ว่าตัวเองจะไม่เหลือใครเลยทั้งพ่อและแม่

ทันทีที่ก้าวผ่านรั้วบ้านเข้ามา เสียงร้องไห้จ้าของหนูเอวาหลานสาววัยขวบเศษก็ดังเข้ามาในโสตประสาท เนื้อนวลแทบจะกระโจนผ่านประตูเข้าไปโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะต้องตกใจอ้าปากค้างเมื่อเห็นหนูน้อยเอวากำลังอยู่ในอ้อมแขนกำยำของคิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

นี่เขามาได้ยังไงกัน…? หล่อนไม่เห็นรถของเขาเลย หรือว่าหล่อนมัวแต่ตกใจกับเสียงร้องของหนูเอวาจนไม่ทันได้สังเกต อาจจะใช่… หล่อนคงไม่ทันได้สังเกตละมั้ง

“ส่ง… ส่งแกมาให้ฉันเถอะค่ะ แกคงจะหิวนม”

คนตัวโตที่กำลังปลอบเด็กน้อยด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ตวัดตามองหล่อนอย่างไม่พอใจ ก่อนจะรีบส่งหนูน้อยเอวาให้กับหล่อน

“เป็นแม่ประสาอะไรฮะ ทำไมถึงทิ้งลูกให้อยู่คนเดียวแบบนี้ เด็กวัยกำลังซน อันตรายจะตายไป มัวแต่ไปเที่ยว แบบนี้ล่ะมั้งไมค์ถึงได้หนีเธอไป”

คนที่กำลังอุ้มหนูน้อยเอวาเอาไว้บนบ่า และก้มหน้าชงนมขวดอยู่ชะงัก และหันมามองเขา กำลังจะอธิบายแต่เขาก็ยังเข้าใจผิดไปเรื่อย จนอ่อนใจที่จะพูดถึงมัน

“ฉันไปทำงานค่ะไม่ได้ไปหาผู้ชาย และอีกอย่างหนึ่งฉันก็จ้างพี่เลี้ยงเอาไว้ แล้วนี่… พี่ไมรา พี่ไมราอยู่ไหนจ๊ะ ทำไมปล่อยหนูเอวาเอาไว้แบบนี้จ๊ะ พี่ไมรา…”

หญิงสาวร้องตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับ จนคนตัวโตที่ยืนหน้าบูดหน้าบึ้งจ้องจะกินเลือดกินเนื้อหล่อนอยู่ตอบออกมาเสียงกระด้างจัด

“ถ้าเธอหมายถึงผู้หญิงผมสีแดง ผมหยิกๆ แต่งตัวเปรี้ยวๆ ล่ะก็ ขึ้นรถไปกับผู้ชายร่างยักษ์ตั้งนานแล้วล่ะ”

“ไปกับผู้ชาย?!”

“ใช่ ก็คงเหมือนกับเธอไง ที่มัวแต่ไปมั่วอยู่กับผู้ชายจนลืมลูกลืมผัว แล้วนั่นเธอจะทำอะไรน่ะ”

หล่อนมองตามสายตาของเขามา ก็เห็นว่าเขาจ้องที่มือของหล่อนที่ถือขวดนมอยู่

“ก็ชงนมยังไงล่ะคะ”

เขาแค่นยิ้มหยันมองอย่างไม่พอใจ

“ทำไมไม่ให้ลูกกินนมตัวเอง หรือว่ากลัวเสียทรง”

นี่เขาคงจะบ้าไปแล้ว ถ้าหล่อนมีน้ำนมคงให้ไปแล้วล่ะ

“ฉันให้ไม่ได้หรอกค่ะ ไม่มีน้ำนมจะให้”

เนื้อนวลแก้มแดงก่ำเมื่อตอบออกไป แต่คนตัวโตหาได้สังเกตเห็นไม่

“ผู้หญิงก็อย่างนี้นั่นแหละ มีลูกแล้วก็ยังอยากสวย รู้ไหมว่านมจากแม่มีประโยชน์กับเด็กมากแค่ไหน มันมีคุณค่าทางอาหารยังไง แม่สมองกลวงแบบเธอคงไม่เข้าใจหรอกสินะ”

หญิงสาวถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิด แม้เขาจะหล่อลากไส้ หล่อจนน่าลากไปเข้าถ้ำไปปล้ำให้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่หล่อนก็อดเคืองเขาไม่ได้

“ฉันว่าคุณกลับไปซะเถอะค่ะ พี่ไมค์ยังไม่กลับมาหรอก”

เมื่อถูกไล่เอาซึ่งๆ หน้าจากผู้หญิงที่มีอำนาจต่อระบบการหายใจของตัวเองอย่างมหาศาลตรงหน้า คิริลก็ถึงกับขบกรามแน่น จ้องมองกลับไปด้วยสายตาแข็งกระด้าง

“ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้”

“ดีแล้วค่ะ แล้วคราวหน้าคราวหลังก็อย่าเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยพละการอีกนะคะ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าของพี่ไมค์ แต่ฉันก็ไม่ไว้ใจคุณ”

คนที่กำลังจะหมุนตัวและเดินออกมาหยุดชะงัก และหันกลับมาตวัดสายตาเย็นชาใส่

“ถ้าฉันไม่พละการเข้ามา เด็กคนนี้ก็คงร้องไห้จนคอแตกตาย หรือถ้าร้ายไปกว่านั้นก็อาจจะตกบันได หรืออะไรก็ได้ที่น่าอันตรายสำหรับเด็กตัวเท่านี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่แท้ๆ อย่างเธอก็คงจะยิ้มด้วยความดีใจใช่ไหมล่ะ ที่หมดห่วงคล้องคอไปสักที”

นี่พ่อเทพบุตรตรงหน้ามองหล่อนเลวร้ายขนาดนี้เชียวหรือ เนื้อนวลคิดอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธความเข้าใจผิดอันใดของเขาออกไปอีก มันเสียเวลาเปล่าๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเข้าใจว่าหล่อนเป็นเนื้อนวลหรือเนื้อนางผู้เป็นพี่สาว หล่อนกับเขาก็เหมือนอยู่กันคนละโลกอยู่ดี

“ฉันรับรองได้เลยว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

คนฟังแค่นยิ้ม หรี่ตามองอย่างดูแคลน

“ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่ทิ้งลูกชายออกไปหาชู้รักอีกเช่นกัน”

เนื้อนวลกัดปากแน่น กำมืออย่างเจ็บใจที่เขามองหล่อนต่ำต้อยเช่นนี้ กำลังจะประณามเขาออกไปแต่พ่อเจ้าประคุณก็สวนกลับมาเสียก่อน

“ถ้าไมค์กลับมา หรือติดต่อมาเมื่อไหร่ บอกให้ไมค์โทรหาฉันด้วย คิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ”

“ค่ะ ฉันรู้แล้วค่ะว่าคุณคือใคร เชิญกลับไปเถอะค่ะ”

เนื้อนวลเชิดหน้าใส่ผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้าอย่างสิ้นสุดความอดทน ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาแล้วจับหนูเอวาให้ดูดดื่มนมจากขวด

“และรบกวนปิดประตูให้ด้วยนะคะ ฉันกลัวโรคจิตจะแอบเข้ามาในบ้านอีกน่ะค่ะ กลัวถูกข่มขืน”

คิริลอึ้งไปนาน เนื้อตัวเกร็งเครียดเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขารู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจิกกำลังกัดตัวเองอยู่

“โอเคฉันจะไปเดี๋ยวนี้ แต่ขอบอกอะไรเอาไว้สักอย่างหนึ่งนะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิต และก็ไม่ได้พิศวาสอะไรผู้หญิงอย่างเธอ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะต้องการพบไมค์ ดังนั้นอย่าสำคัญตัวผิดไป ฉันไปล่ะ”

แล้วพ่อเจ้าประคุณก็เดินดุ่มๆ จากไปโดยไม่เลี้ยวหลังกลับมามองอีกเลย เสียงปิดประตูดังๆ ทำให้เนื้อนวลอดสะดุ้งโหยงไม่ได้

“อีตาบ้า ปิดให้มันเบาๆ ไม่ได้หรือไง เดี๋ยวหนูเอวาตกใจช็อกกันพอดี”

หล่อนบ่นใส่เขาอย่างโมโห จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองใบหน้าเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของตัวเองด้วยความเวทนา แล้วก็อดนึกเคืองไปถึงไมราไม่ได้ เราอุตส่าห์จ้างเงินล่วงหน้าค่าเลี้ยงดูหนูเอวาให้ไมราไปล่วงหน้าตั้งหนึ่งเดือน แต่ไมรากับทำแบบนี้กับหล่อน ทิ้งหนูเอวาให้อยู่คนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่ถ้าหล่อนไม่เลิกทำโอทีกะทันหันเพราะปวดท้อง หรือถ้าคิริลไม่แวะมาหาไมเคิลที่บ้าน หล่อนก็ไม่อยากจะคิดถึงชะตากรรมของหนูเอวาเลยว่าจะเป็นยังไง

หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ไมราทิ้งหนูเอวาให้อยู่เพียงลำพังนะ

เนื้อนวลคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจและก็คงไม่สบายใจเป็นอย่างมากหากจะต้องใช้บริการไมราต่อไป ชีวิตของหนูน้อยเอวาสำคัญที่สุดสำหรับหล่อน ดังนั้นหล่อนจะต้องรีบหาพี่เลี้ยงเด็กที่ไว้ใจได้ให้ได้เร็วที่สุด แม้ว่าจะต้องแลกกับเม็ดเงินจำนวนที่สูงมากกว่าก็ตาม

หล่อนจะทำโอที จะทำงานให้มากขึ้น เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าจ้างพี่เลี้ยงให้กับหนูเอวาหลานสาวตัวน้อยที่แสนอาภัพของหล่อนคนนี้

“ใครไม่รักหนู แต่น้ารักหนูนะจ๊ะ หนูเอวา”

เนื้อนวลระบายยิ้มบางๆ ให้กับเด็กน้อยที่กำลังดูดนมจากขวดด้วยความหิวกระหาย โถ… คงหิวมานานแล้วสินะ หล่อนโกรธไมราเป็นที่สุดเลยหญิงสาวรอจนหนูเอวาหลับไปพร้อมๆ กับขวดนมแล้วจึงช้อนร่างเล็กๆ ไปใส่ในเปลเด็ก จากนั้นก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาไมราทันที

“พี่ไมรา ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนคะ”

“เอ่อ พี่… พี่ก็กำลังเลี้ยงหนูเอวาอยู่ไง นี่กำลังชงนมอยู่เลย”

คนฟังอย่างเนื้อนวลแค่นยิ้มหยัน นับว่าเป็นโชคดีเหลือเกินที่หล่อนรู้ทันเสียในวันนี้ เพราะไม่อย่างนั้นหลานสาวของหล่อนอาจจะต้องตายคามือของไมราพี่เลี้ยงใจร้ายคนนี้ก็ได้ นี่หล่อนทำร้ายหลานของตัวเองหรือเปล่านะ

“อ้าวเหรอ แต่ฉันกลับมาบ้าน… ไม่เห็นพี่ไมราเลย พี่อยู่ตรงไหนคะ”

คราวนี้เสียงของไมราเงียบหายไป ก่อนจะอึกอักตอบออกมา

“เอ่อ… นี่นวลกลับบ้านแล้วเหรอ”

“ใช่จ้ะ”

เนื้อนวลกัดฟันตอบออกไป ทั้งๆ ที่ความจริงอยากจะด่าให้เสียคนเลยด้วยซ้ำ

“เอ่อ แล้วทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะจ๊ะ ทุกวันเห็นสามสี่ทุ่ม”

ไมรายังคงอิดออดและไม่ตอบคำถามชวนคุยให้หลงประเด็นอยู่ร่ำไป แต่เนื้อนวลไม่หลงกล หล่อนตวาดกลับอย่างเหลืออดทันที

“พรุ่งนี้พี่ไมราไม่ต้องมาเลี้ยงหนูเอวาแล้วนะ ส่วนเงินค่าจ้างที่เหลือเอาไปเลย ถือว่าฉันทำบุญก็แล้วกัน ฉันไม่โกรธไม่แค้นเพราะหลานของฉันยังปลอดภัยดี แต่อย่าให้ฉันเจอพี่ก็แล้วกัน เพราะฉันจะตบพี่สั่งสอนพี่โทษฐานที่ทำให้หลานของฉันร้องไห้หิวนม จำเอาไว้!”

“เอ่อ นวล… นวลฟังพี่ก่อน…”

เนื้อนวลตัดสายทันทีไม่สนใจจะฟังคำแก้ตัวใดๆ ของไมราอีก นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ หล่อนคงตบคนไร้ความรับผิดชอบอย่างไมราจนหน้าหันไปแล้วล่ะ

“อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย พี่ไมรา”

นิโคไลเดินผิวปากเข้ามาภายในบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วอารมณ์ดีของเขาก็ต้องชะงักดับสูญไปในทันทีเมื่อร่างอรชรของอิงบุญพรวดพราดเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ เขาแทบหยุดเท้าไม่ทันเลยทีเดียว ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชัง

“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมายืนล่อเสือล่อตะเข้อยู่ได้ ทุเรศสิ้นดี!”

แม้จะสะทกสะท้านจนอกสาวระบมแต่อิงบุญก็จำต้องฝืนยิ้มและพูดออกไป

“ไม่ได้มายืนล่อเสือล่อตะเข้หรอกค่ะ”

หญิงสาวแสร้งยิ้มหวานแต่ก้าวเท้าเข้าไปหา ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดคือเขาถอยหลังออกห่างอย่างรังเกียจ หล่อนคงน่าขยะแขยงยิ่งกว่ากิ้งกือในสายตาของผู้ชายคนนี้สินะ

“งั้นเธอมายืนตรงนี้ทำพระแสงอะไร หรือว่านัดผู้ชายเอาไว้ คนไหนล่ะ คนสวน ลูกคนขับรถ หรือว่าลูกชายคนงานที่พึ่งเข้ามาอยู่ใหม่”

เขาชายตามองอย่างรังเกียจชิงชัง ดวงตาสีเขียวมรกตเต็มไปด้วยความเป็นอริร้าย แม้อิงบุญจะเจ็บปวดแต่ก็จำต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ เพราะหลงรักเขาจนหัวปรักหัวปรำแล้วนี่

“ไม่ได้มารอใครทั้งนั้นแหละค่ะ แต่ฉันมารอคุณ”

“มารอฉัน?!”

สีหน้าและแววตาของนิโคไลเต็มไปด้วยความประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยามจนคนถูกมองอย่างหล่อนหน้าชาดิกแต่กระนั้นก็ต้องจำทนเอาไว้ ฝืนยิ้มเข้าไว้ทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

“ก็ใช่น่ะสิคะ ในเมื่อเรา… ก็ใกล้จะแต่งงานด้วยกันแล้ว คุณกับฉันก็ควรจะใกล้ชิดกันบ้าง”

อิงบุญแสร้งเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม จากนั้นก็วางมือบางเอาไว้บนแผงอกแผ่วเบา ดวงหน้างดงามไร้การแต่งแต้มเต็มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“ทุเรศ! แพศยา ถอยออกไปให้พ้นนะ”

นิโคไลผลักร่างอรชรเต็มแรง จากนั้นก้าวยาวๆ เดินหนี แต่อิงบุญไม่ลดละความพยายามหล่อนรีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่นั้นเข้าไปในตัวตึกติดๆ ก่อนจะไปตามทันที่หน้าโถงบันไดกว้าง

“จะรีบไปไหนล่ะคะ ไม่อยู่คุยกับว่าที่ภรรยาก่อนหรือคะ”

คนตัวโตหันมา ตวัดสายตาชิงชังมองหญิงสาวเจ้าของคำพูด

“แพศยา! ตั้งแต่ฉันเกิดมายังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนแพศยา หน้าด้านได้แบบเธอเลยอิงบุญ อีตัวที่ฉันเคยลากขึ้นไปขย่มบนเตียงยังหน้ามียางมากกว่าเธอเลย แต่คงเป็นเพราะว่าเธอมันมีเลือดอีตัวอยู่เต็มตัวล่ะมั้งถึงได้ร่านได้แรดอยากมีผัวถึงขนาดนี้”

เจ็บลึกจนพูดไม่ออกแต่ก็จำต้องอดทนเอาไว้ ความหวังของหล่อนจะต้องคงอยู่ และหล่อนก็จะต้องพยายามให้ถึงที่สุด

“ก็ถ้าคุณนิคยอมเป็นผัวให้กับฉันง่ายๆ ฉันก็คงไม่ต้องมาวิ่งตามให้เหนื่อยแบบนี้หรอกค่ะ”

“นังแพศยา ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป”

นิโคไลตวาดลั่น ก่อนจะก้าวยาวๆ วิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว

เมื่อสิ้นเงาของเขาแล้ว น้ำตาแห่งความอัปยศอดสูที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ก็ทะลักลงมาอาบแก้ม ความเจ็บปวดทำให้หล่อนแทบอยากจะยอมถอดใจ แต่หล่อนก็ทำไม่ได้ หล่อนต้องอดทน จะต้องสู้ และจะต้องเดินตามเกม เกรกอรี่และยูริ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟให้สุดทาง เพื่อสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของหล่อนจะหวนคืนกลับมา

หญิงสาวเดินคอตกกลับไปยังห้องพักของตัวเอง ทรุดกายลงบนเตียงขนาดห้าฟุตด้วยหัวใจที่อ่อนล้า น้ำตาไหลพรากอาบแก้มตลอดเวลา ตั้งแต่จำความได้ชีวิตของหล่อนไม่เคยได้ลิ้มรสกับคำว่าสุขสบายมาก่อนเลย แม้ว่าจะเกิดในตระกูลผู้ดีมีอันจะกินของเมืองไทย แต่เพราะแม่ของหล่อนเลือกที่จะหนีตามคนรักแทนที่จะสมรสกับผู้ชายที่บิดามารดาหาให้ ทำให้ชีวิตที่แสนสะดวกสบายของแม่ต้องจบสิ้นลง แม่หนีมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับพ่อในประเทศรัสเซีย ตอนนั้นหล่อนอายุได้แค่ 5 ขวบส่วนน้องชายอีกคนพึ่งคลอดตามออกมา พ่อของหล่อนก็มาจบชีวิตลงด้วยการถูกรถสิบล้อทับตายกลางถนน แม่ของหล่อนเสียใจจนแทบบ้า กัดฟันทนเลี้ยงหล่อนกับน้องด้วยการรับจ้างทำความสะอาดบ้านอยู่นานก็ถูกหลอกให้ไปขายตัวในซ่อง หล่อนกับน้องถูกนำไปเลี้ยงในซ่อง แม้ว่าจะยังเด็กแต่หล่อนก็เห็นแม่ร้องไห้ทุกครั้งที่ไอ้ผู้ชายมักมากพวกนั้นมันออกไปจากห้องของแม่ หล่อนปวดใจ สงสารแม่เหลือเกิน แต่ด้วยความยังเด็กทำให้หล่อนช่วยได้แค่เพียงการทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซึ่งแม่ของหล่อนก็กัดฟันทนทำงานแบบนั้นต่อมาอีกแปดปีก่อนจะเสียชีวิตไปด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ก่อนแม่จะสิ้นใจแม่ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ให้หล่อน ให้หล่อนเดินทางไปหาคนๆ หนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งคนๆ นั้นคือเกรกอรี่ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟนั่นเอง

ผู้ชายคนนี้ช่วยเหลือด้วยการซื้อหล่อนกับน้องออกมาจากซ่อง แต่ระหว่างทางน้องของหล่อนถูกจับตัวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย หล่อนเฝ้าตามหาแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เกรกอรี่ซึ่งหล่อนมารู้ทีหลังว่าแท้จริงแล้วเขาก็คืออดีตคู่หมั้นของแม่หล่อนนั่นเองรับปากว่าจะอุปการะหล่อน และจะตามหาน้องชายให้กับหล่อนให้พบจนได้ หากหล่อนรับปากว่าจะอยู่กับเขาที่ Demon’s  หล่อนคิดว่าเกรกอรี่แสนดีมาตลอด จนเมื่อหล่อนอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์หล่อนก็ถูกเกรกอรี่เรียกเข้าไปพบ เขาบังคับให้หล่อนยอมรับปากแต่งงานกับนิโคไลลูกชายคนเล็กของเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าหล่อนกับนิโคไลคือไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แม้ว่าแท้จริงแล้วหล่อนจะแอบหลงรักนิโคไลก็ตาม

“ลุงต้องการให้หนูอิงแต่งงานกับนิโคไล”

“แต่… คุณนิคไม่มีทางยอมหรอกค่ะ”

“แล้วหนูยอมหรือเปล่าล่ะ อย่าคิดว่าฉันมองไม่ออกนะว่าหนูอิงคิดยังไงกับเจ้านิค”

“เอ่อ แต่ว่าหนู…”

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เพราะฉันไม่ได้ต้องการจะให้หนูแต่งงานกับเจ้านิคนานนักหรอก ปีเดียวแค่คลอดสายเลือดของราชวรกุลมาให้ฉันก็พอแล้ว”

ตอนนั้นหล่อนตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นที่สุด เพราะใบหน้าของเกรกอรี่ที่หล่อนเห็นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บแค้น

“คุณลุง… ทำไมคุณลุง…”

“เมื่อก่อนฉันพลาดกับแม่ของเธอครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้หลานของฉันจะต้องมีสายเลือดของราชวรกุลอยู่ในตัว ถึงแม้ว่ามันจะได้แค่เสี้ยวหนึ่งก็ตาม”

“คุณลุง…”

หล่อนอุทานด้วยความผิดหวัง

“ถ้าหนูอิงรับปากกับฉันว่าจะทำให้ทุกอย่างให้ตัวเองท้อง ไม่ว่าจะก่อนแต่งงานหรือหลังแต่งงานก็ได้ ฉันจะรีบตามหาน้องชายของหนูอิงให้พบโดยเร็วที่สุด”

“แต่หนู…”

“ไม่อยากเจอน้องชายแล้วหรือไง”

ไม่มีทางเลือก หล่อนไม่มีทางเลือก จึงต้องเดินหน้าตามอ่อยตามให้ท่านิโคไลเพื่อให้ความต้องการของเกรกอรี่สำเร็จ ถ้าหล่อนท้องและคลอดลูกออกมา ทุกอย่างก็จะจบลง จากนั้นหล่อนก็เดินจากไปพร้อมๆ กับน้องชาย ส่วนลูกก็คงไม่ต้องห่วงอะไรเพราะมั่นใจว่านิโคไลจะอุปการะเขาอย่างดี

หญิงสาวหวนกลับโลกปัจจุบันอันแสนระบมอีกครั้ง เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังกรีดร้องขึ้น มือบางยกป้ายน้ำตาทิ้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปควานมันมากดรับสาย

“สวัสดีค่ะ อิงบุญค่ะ”

“เป็นยังไงบ้างหนูอิง ฉันหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะ”

เกรกอรี่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาตามสาย เขาถูกแม่ของอิงบุญหักหน้าจนแหกยับเยิน และเขาก็เก็บความเจ็บแค้นนี้ไว้ภายในอกมานานหลายสิบปี จนสุดท้ายก็ถึงเวลาได้เอาคืนเล็กๆ น้อยๆ แล้ว เขาบอกยูริว่าที่ต้องการให้นิโคไลแต่งงานกับอิงบุญเพราะอิงบุญเป็นลูกสาวของเพื่อนรักของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูริไม่คัดค้านอะไร เพราะยูริเองก็เอ็นดูอิงบุญอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“เจ้านิคมันคงไม่ได้ทำอะไรให้หนูโกรธใช่ไหม”

“เอ่อ ไม่ค่ะ คุณนิค… คุณนิคใจดีกับอิงมากขึ้นแล้วค่ะคุณลุง”

หล่อนจำเป็นต้องโกหกออกไป เพราะไม่อยากให้เกรกอรี่ต้องเข้ามาวุ่นวายมากไปกว่านี้

“จริงหรือ”

“เอ่อ จริงค่ะคุณลุง… คุณนิคอ่อนลงเยอะแล้วค่ะ ยังไงซะงานแต่งงานก็ต้องเกิดขึ้นแน่ คุณลุงกับคุณป้าเตรียมงานเอาไว้ให้พร้อมเลยค่ะ ตามวันเวลาเดิม”

แม้จะไม่มั่นใจกับสิ่งที่พูดออกไปเลย แต่หล่อนก็ต้องพยายามทำมันให้ถึงที่สุด ต่อให้ต้องวางยาแล้วลากนิโคไลมาเข้าพิธีที่โบสถ์หล่อนก็ต้องทำเพื่ออินทัช

“ดีมาก หนูอิงทำได้ดีทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายหัวแข็งอย่างเจ้านิคจะยอมง่ายๆ แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อหนูอิงบอกว่าดีแล้ว ฉันก็ว่าดีตามนั้น”

“ค่ะคุณลุง คุณลุงวางใจได้เลยค่ะ”

อิงบุญคิดว่าเกรกอรี่จะวางสายไปแค่นั้น แต่ชายวัยกลางคนก็ยังพูดต่อ แถมพูดในสิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวเป็นที่สุด

“งั้นอาทิตย์หน้าฉันจะเรียกเจ้านิคมาหาที่บ้านสวน หนูอิงตามมาด้วยนะ เผื่อบางทีธรรมชาติสวยๆ ที่นี่จะทำให้หนูกับเจ้านิคให้กำเนิดทายาทขึ้นมาก่อนก็ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นหนูก็จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับเจ้านิคแล้วก็หย่าเหมือนแผนแรกที่ฉันเคยพูดเอาไว้”

น้ำตาแห่งความอัปยศอดสูไหลพรากลงมาอาบแก้ม แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องหรือทัดทานใดๆ ได้จำต้องก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความขมขื่นใจเพียงเท่านั้น

“หนู… จะพยายามค่ะคุณลุง”

“งั้นอาทิตย์หน้าเจอกันหนูอิง ราตรีสวัสดิ์”

เกรกอรี่จะตัดสายแต่อิงบุญเรียกเอาไว้เสียก่อน

“ดะ เดี๋ยวค่ะ คุณลุง…”

“มีอะไรหรือหนูอิง”

“เอ่อ… คือว่าหนูอยากรู้ความคืบหน้าของอินทัชน่ะค่ะ อยากจะรู้ว่าคุณลุงได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับน้องชายของหนูหรือยังคะ เพราะนี่… เอ่อ ก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว”

คล้ายกับได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเกรกอรี่แต่พอตั้งใจฟังกับไม่ได้ยินมันอีกซะงั้น หล่อนคงหูแว่วไปเองนั่นแหละ

“เมื่อไหร่ที่ฉันรู้ว่าหนูอิงตั้งครรภ์ เชื่อเถอะว่าเมื่อนั้นหนูอิงจะได้พบกับน้องชายอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณค่ะ คุณลุง”

เกรกอรี่ไม่ได้ตอบอะไรมาตามสายโทรศัพท์อีก ก่อนจะตัดสายไปในวินาทีถัดมา

อิงบุญนั่งปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากลงมาอาบแก้มนวล หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกบีบถูกเค้นด้วยอุ้งมือของมัจจุราช

ห้าปีแล้วกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของอินทัชน้องชายของหล่อน น้องชายที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่หล่อนเหลืออยู่ในขณะนี้ ญาติที่หล่อนจะพึ่งพาและปรับทุกข์ได้ ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ที่ผลักไสไล่ส่งเหมือนคุณตากับคุณยายที่ทำกับแม่ของหล่อนแบบนั้น

“อินทัช… ตอนนี้น้องไปอยู่ที่ไหนกันนะ ทำไมไม่กลับมาหาพี่ อินทัช…”

ลุกขึ้นไปเกาะขอบหน้าต่าง ดวงจันทร์กลมโตเบื้องหน้าห่างไกลเพียงใด ความหวังที่จะได้เจอน้องชายก็ห่างไกลมากขึ้นเท่านั้น หล่อนก็ได้แต่หวัง ได้แต่ภาวนาให้น้องชายของหล่อนยังมีชีวิตอยู่ และภาวนาให้ได้เจอกันอีกสักครั้งในชีวิตที่เหลืออยู่

พ่อเทพบุตรสุดหล่อพยักหน้ารับอย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะรั้งร่างกายของหล่อนเข้าไปกอดรัดแน่น แม้ว่าหล่อนจะพยายามขืนตัวแค่ไหน แต่เขาก็ยังทำได้สำเร็จ ก็เขามันคนเผด็จการนี่ เอาแต่ใจก็สุดๆ และยัง… ตะกละแบบสุดๆ อีกต่างหาก หญิงสาวหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงเรื่องร้อนๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ใช่… ลงโทษเธอ”

“อย่าทำแบบนี้นะคะ อาจารย์ไม่มีสิทธิ์มาลงโทษอะไรฉันทั้งนั้น เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ปล่อยค่ะ กรุณาปล่อยฉันเถอะค่ะ”

จันทร์เจ้าขาดิ้นรนสุดความสามารถ แต่พ่อคนตัวโตก็ไม่ปล่อย ไม่ยอมปล่อยแถมยังรัดร่างของหล่อนให้แนบชิดเบียดบดเข้ากับร่างแกร่งแข็งของตัวเองมากขึ้นอีก มากขึ้นจนหล่อนสัมผัสได้ถึงความแข็งชันใหญ่โตที่เป้ากางเกงของเขา

“ปละ ปล่อยนะ…”

“อย่ามาวิงวอนเสียให้อยาก เมื่อเช้าฉันสั่งให้เธอกินอาหารเช้าที่ฉันอุตส่าห์ทำด้วยมือตัวเองให้หมด แต่เธอก็ไม่แตะสักคำ ทั้งๆ ที่ฉันอุตส่าห์ทุ่มเทเวลากับมันไปตั้งสองชั่วโมงเต็มๆ แถมยังหนีออกมาโดยไม่ล่ำลาอีก…”

ทุกคำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากไรฟันขาวสะอาดของไทเลอร์ล้วนแต่ทำให้หล่อนอึ้งและพูดไม่ออกทั้งนั้น นี่เขายอมสละเวลาทำอาหารเช้าให้หล่อนด้วยตัวเองเชียวหรือ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใส่ใจกับนางบำเรอเช่นหล่อนแบบนี้

จันทร์เจ้าขาคิดอย่างปลื้มใจ แต่ก็รู้สึกเช่นนั้นได้ไม่นาน เพราะอึดใจต่อมาคำพูดร้ายกาจของไทเลอร์ก็ทำลายทุกอย่างลงจนหมดสิ้น

“อย่าคิดนะว่าฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอ ฉันก็แค่ไม่มีทางเลือก แม่บ้านไม่อยู่ และโรงแรมก็ยังไม่เปิดให้สั่งอาหาร ฉันเกรงว่าเธอจะหมดแรงตายคาเตียง ดังนั้นฉันจึงต้องลงมือทำเอง”

“อย่างนั้นคุณก็หวังจะให้ฉันตายไปซะให้พ้นๆ”

หญิงสาวประชดประชันอย่างน้อยใจ ดิ้นรนอีกรอบอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากอ้อมแขนปลอกเหล็กได้อยู่ดี

“ความจริงฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันไม่อยากเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งโดยไม่ใช่เหตุน่ะ เลยต้องจำใจฝืนทำอาหารเช้าให้เธอ แต่เธอก็ไม่สนใจแม้แต่จะกินมันสักคำ”

“ก็เพราะฉันเกลียดอาจารย์ยังไงล่ะคะ ได้ยินแล้วก็ปล่อยฉันสักทีเถอะ”

“เสียใจด้วยแม่นักศึกษาคนสวย เธอต้องบำเรอให้ฉันเต็มคราบเสียก่อน”

เขาดึงแว่นสายตาของหล่อนโยนลงไปกับพื้นจนมันแตก หญิงสาวตกใจมองเขาด้วยความขุ่นเคือง พลางกัดปากแน่น

“กล้าดียังไง มาทำกับฉันแบบนี้”

“อย่าโวยวายน่า อยากให้คนอื่นได้ยินหรือไง”

แล้วเขาก็ดันร่างของหล่อนให้แผ่นหลังชนกับผนังห้องที่เย็นเยียบ จากนั้นก็ประกบติดเข้ามาหาอย่างแนบแน่น เขาก้มลงต่ำ จ้องหน้าหล่อน

“อย่าทำแบบนี้นะ”

“มันคือโทษของเธอ ที่เธอหนีมันไม่พ้น”

“อย่านะ…”

“เอาน่า… ถือซะว่าเธอฝึกฝนในระหว่างคาบเรียนก็แล้วกัน เวลาใช้งานจริงจะได้คล่องๆ ไม่ประหม่า”

เขาแสยะยิ้มหิวกระหาย และสอดนิ้วเข้าไปภายใต้กระโปรงลูบไปตามต้นขาอวบไปหยุดอยู่ที่เนินนางอวบอูม

“อยะ… อย่า…”

คนตัวโตไม่สนใจท่าทางขัดขืนอ่อนแรงนั้นเลย เขาใช้ปลายนิ้วแกร่งถูไถกับกลีบสาวอย่างดุดัน หนักหน่วง ปลุกให้สาวน้อยร้อนราวกับถูกเผาด้วยไฟ

“ไม่น่าเชื่อว่าเธอ… จะปลุกง่ายแบบนี้ ดูสิ…”

เขาดึงปลายนิ้วของตัวเองออกมา จากนั้นก็ยื่นให้หล่อนดู

“ชุ่มชื้นรอคอย น่าดูดน่าเลียเหลือเกิน”

“อา… อาจารย์…”

และหล่อนก็ไม่สามารถขัดแย้ง หรือพูดจาใดๆ ออกมาอีก นอกเสียจากร้องครางด้วยความเสียวกระสันเพียงเท่านั้น

ไทเลอร์ร้อนแรงเหลือเกิน หลังจากเขาจูบขยี้ปากหล่อนจนบวมช้ำ และซุกไซ้ต่ำลงมายังซอกคอระหง เนินอกสาว จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นห้อง กระชากกระโปรงของหล่อนออกจากตัว ก่อนจะตามด้วยกางเกงชั้นในสีขาวที่เปียกชื้นอย่างที่เขาว่าจริงๆ

เขาอมยิ้มจ้องมองเนินสาวของหล่อนอยู่นาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับดวงตากลมโตที่กำลังเบิกกว้างของหล่อน

“เธอน่ะ… ต้านทานฉันไม่ได้หรอกเจ้าขา…”

พ่อเทพบุตรเถื่อนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแหวกม่านผ่านเข้าไปถึงกลีบเนื้อด้านในสีแดงสด

“อ๊ะ… อ๊า…”

หญิงสาวสะท้านไปทั้งตัว ขนทั้งกายลุกซู่แสนทรมาน

“อาจารย์…”

เขาอมยิ้มอีกครั้งด้วยความพึงพอใจต่อการยอมจำนนของแม่สาวแสนหวาน มือหนาจับต้นขาอวบให้ยกขึ้นพาดที่บ่าบึกบึนของตัวเองทันที จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาลงไปดื่มกินน้ำผึ้งเดือนห้าจากร่องสาวด้วยปลายลิ้นที่แสนช่ำชอง

“อาจารย์… โอ้ว… อาจารย์”

จันทร์เจ้าขาดิ้นพล่าน สะโพกงามแอ่นร่อนยกขึ้นถูไถใบหน้าหล่อลากดินของพ่อคนที่กำลังดื่มลิ้มชิมรสความอ่อนนุ่มหยาดเยิ้มอยู่ด้วยความเสียดเสียว สองมือจิกทึ้งลงกับผนังด้านหลัง ครูดมันด้วยเล็บแหลมคมเต็มแรง

“อ๊า… โอ้ว… อาจารย์ขา ได้โปรด…”

ไม่ไหวแล้ว หล่อนทนปากทนลิ้นและนิ้วมือที่สอดใส่เข้าไปหาเป็นจังหวะไม่ไหวอีกแล้ว หล่อนกำลังจะระเบิดออกมา กำลังจะ…

“อาจารย์… ไทเลอร์”

เมื่อเห็นว่าสาวน้อยใกล้ถึงฝั่งฝันแล้ว ชายหนุ่มผู้ช่ำชองในเกมรักก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็รูดซิปกางเกงของตัวเองลงจนสุด จับขาเรียวให้ตวัดรัดรอบเอวสอบ จากนั้นก็… สอดใส่กระแทกกระทั้นเข้าใส่ร่องรักที่คับแน่นมากขึ้นทุกครั้งอย่างเร่าร้อนดุดัน

“โอ้ว… เจ้าขา… เธอแน่นยิ่งกว่าเดิมอีก”

ชายหนุ่มคำรามขณะโยกคลึงสะโพกเพรียวลงกับเนินสาวอย่างหิวกระหาย ทุกจังหวะเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ดุดัน ทุกอย่างรุนแรง แต่กระนั้นก็ซาบซ่านแสนรัญจวน

“ไม่ไหวแล้ว… ไม่ไหวแล้ว… อ๊า… อาจารย์ขา”

ร่างบางโก่งขึ้นเป็นคันศรเมื่อความเสียวสุขสมถล่มเข้าใส่ร่างกายอย่างไม่ปรานี หล่อนกำลังจะกรีดร้องออกไปด้วยความสุขสมแต่คนที่กำลังโยกกำลังชำแรกแทรกเข้าใส่กายสาวของหล่อนอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็ก้มลงมาดูดกลืนเสียงนั้นให้หายลงไปในลำคอแกร่งซะก่อน

“สุดยอด… วิเศษมาก เจ้าขา เธอทำให้ฉันไปเร็วอีกแล้ว”

แล้วพ่อเทพบุตรก็ระเบิดความสุขสมเข้าใส่ร่างของหล่อนสุดแรง เขาอัดเขากระแทกสอดใส่อย่างเมามัน บ้าคลั่ง เสียงเนื้อดังประสานกันพรึ่บพรั่บก่อนที่เขาจะหยุดนิ่งเมื่อสายพันธุ์รักของเขาฉีดพุ่งเข้ามาใส่ซอกรักของหล่อนอย่างรุนแรง

“สุดยอด… สุดยอด คนสวย”

เขาจูบปิดปากของหล่อนอีกครั้งด้วยแรงอารมณ์พิศวาส ดวงตาของเขายังไม่คลายความหิวกระหายเลยแม้แต่น้อย

“ไม่นะ… พอ… พอแล้วค่ะ”

ไทเลอร์อมยิ้มเมื่อสาวน้อยที่ยังถูกเขาตรึงเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งบุรุษเพศส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรู้ทันความคิดของเขา

“อีกรอบ… แล้วฉันจะอดใจจนถึงค่ำคืนนี้ของเรา”

“ไม่… เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า… พอเถอะค่ะอาจารย์ไทเลอร์”

แม้หล่อนจะวิงวอนได้น่ารักน่าใคร่แค่ไหน แต่ความหิวกระหายก็ผลักดันให้เขามองข้ามมันไป แค่ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวมันไม่พอหรอก สำหรับจันทร์เจ้าขาทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พอเลย

“ไม่มีใครได้ยินหรอก ถ้าเธอไม่ร้องเสียงดัง…”

“อ๊ะ… อย่า…”

เขาขยับเดินหน้าถอยหลังอีกครั้ง และหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หล่อนพยายามต้านทานแต่ก็ไม่สามารถทำสำเร็จ สุดท้ายเขาก็ปลุกให้หล่อนร้อนเป็นไฟได้เช่นเดิม

“อาจารย์ขา…”

หญิงสาวยกขาขึ้นสูงต่อกรกับแรงปะทะเผ็ดร้อนอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้ต่อให้ช้างมาฉุดก็หยุดความหิวกระหายของทั้งเขาและหล่อนไม่ได้หรอก

“อ๊า…”

“นังจันทร์เจ้าขา… แกอยู่ในนั้นหรือเปล่า แกอยู่หรือเปล่า แล้วทำไมจะต้องล็อคห้องด้วย นี่เปิดนะ”

เสียงบิดลูกบิดประตูหลายครั้งติด ตามด้วยการเขย่าแรงๆ ทำให้จันทร์เจ้าขาที่กำลังถูกไทเลอร์กระแทกกระทั้นอยู่สะดุ้งและสติวิ่งกลับมา

“ฟิลิเซีย…”

“ช่างหล่อนเถอะ”

ไทเลอร์ไม่สนใจยังกระแทกกระทั้นเข้าใส่เหมือนเดิมเพราะเขามั่นใจว่าไม่มีทางที่ฟิลิเซียจะเปิดประตูเข้ามาได้แน่

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่คนสวย… เรากำลังสนุกกันนะ อย่าให้ขาดตอนสิ”

แล้วพ่อเจ้าประคุณแสนเอาแต่ใจก็ยกร่างของหล่อนให้ลอยขึ้นสูง ไปอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์ จากนั้นก็ขยับบั้นเอวซ้ำๆ ต่อเนื่องด้วยความหนักหน่วง บ้าคลั่ง ความเสียวซ่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถต้านทานได้อีก มือบางยกขึ้นปิดปากเอาไว้เพื่อกั้นเสียงร้องคราง ในขณะที่ด้านนอกก็มีฟิลิเซียกับเจนี่เขย่าประตูตะโกนเสียงชื่อหล่อนอยู่ตลอดเวลา

หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ขณะซบหน้าร้องไห้กับแผ่นหลังกว้างของคนตัวโตอย่างหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทาจนไทเลอร์รู้สึกได้และนั่นก็ทำให้เขาต้องบีบมือเย็นเยียบของหล่อนเอาไว้แน่นหนา เพื่อปลอบประโลม ขณะสายตาก็จับจ้องนักศึกษาจอมวายร้ายอย่างเอาเรื่อง

“ยังไม่ตอบอีก ฉันถามว่าพวกเธอกำลังจะทำบ้าอะไรกันห๊า?!”

“เอ่อ คือพวกเรา…”

พวกของฟิลิเซียคนหนึ่งพยายามจะแก้ตัวแต่ดูเหมือนจะคิดคำพูดไม่ออก เพราะหลักฐานมันชัดเจนเสียเหลือเกิน

“ทำไมอาจารย์จะต้องปกป้องนังอีตัวชั้นต่ำคนนี้ด้วยคะ มันสำส่อน ไร้ค่า ไม่คู่ควรจะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในรัสเซียแบบพวกเรา”

พวกของฟิลิเซียอีกคนหนึ่งพูดขึ้น และนั่นก็ทำให้ดวงตาของไทเลอร์ลุกเป็นไฟ เขาบีบมือของจันทร์เจ้าขาแน่นขึ้นด้วยความเวทนาจับหัวใจ

“เธอชื่ออะไร อยู่ปีไหน”

“ทำไมคะอาจารย์…”

เจ้าของคำพูดประโยคที่แล้วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหน้าถอดสีซีดเผือดเมื่อได้ยินคำประกาศิตของไทเลอร์

“นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เธอไม่ใช่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยของฉันอีก ไสหัวออกไปซะ”

เสียงฮือฮาราวกับผึ้งแตกรังของพวกพ้องของฟิลิเซียดังลั่นขึ้น ในขณะที่ฟิลิเซียยังยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา

“อาจารย์ครับ คือพวกเรา… พวกเราไม่รู้เรื่องครับ พวกเราแค่…”

“หุบปากซะ ฉันจะให้โอกาสพวกเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าฉันเห็นพวกเธอทำร้ายจันทร์เจ้าขาอีกล่ะก็ ฉันจะไล่พวกเธอออก จำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วย!”

“ครับ/ค่ะอาจารย์ไทเลอร์”

แล้วพวกพ้องของฟิลิเซียก็แตกฮือกันไปคนละทิศละทาง เจนี่กับฟิลิเซียจะอาศัยจังหวะนั้นหนีไปด้วยแต่เสียงกระด้างของไทเลอร์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เธอสองคนอย่าพึ่งไป กลับมานี่ก่อน”

ฟิลิเซียค่อยๆ หมุนตัวและเดินกลับมาหยุดตรงหน้าของไทเลอร์ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งเจนี่เองก็เช่นกัน

“ฉันว่าเธอสองคนน่ะ น่าจะหยุดเรียนสักพักหนึ่งนะ”

“ไม่นะคะอาจารย์ ฉันไม่ยอม”

ฟิลิเซียร้องค้านขึ้น พลางจิกตามองจันทร์เจ้าขาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของไทเลอร์ด้วยความคับแค้นข้องใจเป็นที่สุด นังนี่มันมีอะไรดีทำไมไทเลอร์จะต้องไปปกป้องมันด้วย ต่ำแสนต่ำ เน่าแสนเน่า แต่ผู้ชายก็ยังวิ่งเข้าใส่มันมากยิ่งกว่าดาวมหาวิทยาลัยอย่างหล่อนเสียอีก

“เธอมีสิทธิ์หรือฟิลิเซีย”

“ฉันไม่มีสิทธิ์ฉันรู้ แต่อาจารย์ไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย อาจารย์เข้าข้างนังอีตัวเน่าๆ คนนี้ได้ยังไงกัน มันทั้งสกปรกทั้งน่าขยะแขยง”

“หุบปาก!”

ไทเลอร์ตวาดลั่น จ้องหน้าฟิลิเซียด้วยสายตาดุดัน

“ฉันไม่หยุด อาจารย์ทำให้นักศึกษาคนอื่นเห็นความลำเอียง หรือว่าอาจารย์เองก็อยากจะชิมนังกระหรี่คนนี้เหมือนกันคะ”

“ฉันบอกให้หุบปากไง ฟิลิเซีย!”

ไทเลอร์แผดเสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่า และนั่นก็ทำให้ฟิลิเซียได้สติ แต่หล่อนก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ

“หรือว่าเพราะอาจารย์กินนังนี่ไปแล้วคะ”

ไทเลอร์ขบกราม กัดฟันแน่น ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้มาก่อนเลย แต่จันทร์เจ้าขากำลังทำให้เขาถูกต้อนจนเข้ามุมมืด คอยดูเถอะ เขาจะเอาคืนทันทีหลังจากทำสงครามกับแม่ฟิลิเซียปากร้ายนี่จบ

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เธอมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ หน้าที่ของเธอคือออกไปจากห้องนี้ซะ ก่อนที่ฉันจะพักการเรียนของเธอแล้วก็เพื่อนของเธอ”

“ไม่นะคะ อาจารย์”

เจนี่ส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว เพราะถ้าถูกพักการเรียนหล่อนถูกบิดาฆ่าตายแน่

“ฟิลิเซียเรารีบไปกันเถอะ ไปสิ”

เจนี่ออกแรงดึงแขนเพื่อน แต่ฟิลิเซียไม่ยอมขยับ

“ฉันจะฟ้องพ่อ จะให้พ่อฟ้องมหาวิทยาลัยของอาจารย์”

แทนที่ไทเลอร์จะสะทกสะท้านกลับไหวไหล่อย่างไม่แยแสซะงั้น

“เอาสิ แต่ถ้าไม่ชนะ ครอบครัวของเธอล้มละลายแน่ ซึ่งฉันไม่ได้ขู่ ไม่เชื่อไปถามพ่อของเธอดูสิ ว่ากล้าพอที่จะลองดีกับไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ หรือเปล่า”

ความโอหัง อวดดีของไทเลอร์ทอประกายรัศมีไปทั่วทั้งห้องเรียน และนั่นก็ทำให้ฟิลิเซียอึ้งจนพูดไม่ออก ยืนเงียบตัวสั่นด้วยความโกรธ

“ไปกันเถอะฟิลิเซีย ไปก่อนเถอะ”

เจนี่กระซิบข้างหูเพื่อน และออกแรงดึงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ฟิลิเซียไม่ได้ขืนตัวเอาไว้แต่อย่างใด แต่ก่อนจากมาหญิงสาวก็อดฝากความอาฆาตแค้นเอาไว้กับศัตรูหัวใจอย่างจันทร์เจ้าขาไม่ได้

“แกกับฉันจะต้องตายกันไปข้าง นังอีตัวชั้นต่ำ!”

แล้วสองคนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งหายออกไปจากห้อง

ไทเลอร์แกะมือบางที่กอดเอวของตัวเองอยู่ออกจากตัว ก่อนจะก้าวยาวๆ ไปล็อคประตูห้องเรียน จากนั้นก็หันมามองหน้าหญิงสาวที่ยังยืนตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้วยสายตาต่างไปจากเดิม

“เธอสร้างปัญหาให้ฉันไม่เว้นวันเลยนะจันทร์เจ้าขา”

“ฉัน…”

หญิงสาวพูดไม่ออกเพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย มันไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่หล่อนถูกทำร้ายแต่มันหลายครั้งหลายคราจนบางครั้งหล่อนก็อดกลัวไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะตายก่อนที่จะได้กลับไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ที่เมืองไทย

“ฉันจะไม่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะฉันคิดว่าฉันรู้”

จันทร์เจ้าขารีบขยับตัวออกห่าง เมื่อคนตัวโตเดินมาหยุดตรงหน้า กลิ่นกายที่ทั้งเซ็กซี่ทั้งอำมหิตของเขาขับไล่ความรู้สึกตื่นตกใจให้หายไปอย่างเฉียบพลัน เหลือไว้แค่ความรู้สึก… ร้อน… ร้อนราวกับไฟที่ช่องท้องและหน้าขา

“ขะ ขอบคุณ… ที่ช่วยฉันอีกครั้ง”

หล่อนเบี่ยงตัวหนีออกไปด้านข้าง เพื่อจะหนีออกไปจากห้องที่ถูกปิดตายนี้ แต่ข้อมือบางก็ถูกรวบเอาไว้เสียก่อน ด้วยฝ่ามือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคีมเหล็ก

“จะรีบไปไหนล่ะ”

“ฉัน… จะรีบไปเรียน”

“วิชาต่อไปของเธออีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าไม่ใช่หรือ”

ดวงตาของเขาทั้งเจ้าเล่ห์และอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายจนหล่อนสะเทิ้นสะท้านไปทั้งเรือนกาย เขาทำให้หล่อนร้อนเป็นไฟได้เพียงแค่สบตา ผู้ชายอะไรมีเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ เสน่ห์ที่ทำให้ผู้หญิงทั้งโลกคลั่งไคล้เขาจนโงหัวไม่ขึ้น

“ใช่ แต่ฉัน… จะรีบไป”

“อย่าพึ่งเลย… อยู่ให้ฉันคิดบัญชีกับเธอก่อนดีกว่า”

หัวใจสาวสะท้านไปทั้งดวง

“คิด… คิดบัญชีอะไรคะ ฉัน… ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย หรือว่าคุณอยากได้ยินคำว่าขอบคุณอีก ก็ได้ ฉันขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่คุณช่วยเหลือฉันจากพวกฟิลิเซียอีกครั้ง ฉันจะไม่ลืมพระคุณท่วมหัวของคุณในครั้งนี้เลย…”

“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอบคุณ”

เขาตอบหน้าตาย ดวงตาที่จ้องมายังหล่อนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความหิวกระหายไม่เปลี่ยนแปลง บ้าชะมัดทำไมหล่อนจะต้องรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัวเพียงแค่ถูกเขามองเรือนร่างแบบนี้ด้วย ทำไมจะต้องอ่อนไหว หญิงสาวถามตัวเองแต่ก็หาคำตอบไม่ได้

“แล้ว… คุณ… เอ่อ อาจารย์ต้องการอะไรจากฉันกันล่ะคะ”

หล่อนถามออกไปอย่างหมดความอดทน ขณะพยายามซ่อนความรู้สึกกระหายอยากเอาไว้สุดกำลัง

พ่อสุดหล่อระบายยิ้ม มองไปทั่วใบหน้าของหล่อน จากนั้นก็มาหยุดอิ่งอ้อยที่กลีบปากชอกช้ำอยู่นานหลายอึดใจ ก่อนจะลดต่ำลงมาจ้องมองอกอวบคู่งามที่พุ่งดันเสื้อออกมาจนเป็นรูปเป็นรอยชวนน้ำลายสอ

“ลงโทษเธอยังไงล่ะ”

“ลงโทษฉันเหรอคะ?”

แม้ว่าสภาพของหล่อนในยามนี้จะไม่เอื้ออำนวยให้ก้าวออกจากห้องเลยก็ตาม แต่จันทร์เจ้าขาก็ลากสังขารอันบอบช้ำของตัวเองมาเรียนจนได้ แม้ว่าจะต้องเข้าเรียนสายไปเกือบชั่วโมง และต้องทนต่อสายตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยามประณามของบรรดาเพื่อนในชั้นเรียนก็ตาม แต่หล่อนก็ต้องทน ทนจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาในชั้นปริญญาตรีนี้อย่างที่พ่อกับแม่ตั้งความหวังเอาไว้

จันทร์เจ้าขากัดฟันแน่นเมื่อการทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ส่งผลต่อบางส่วนของร่างกายที่ถูกย่ำยีอย่างป่าเถื่อนมาตลอดทั้งคืนให้เจ็บร้าวทรมานและครางประท้วงออกมา แต่หล่อนก็แสดงท่าทางใดๆ ออกไปไม่ได้เพราะเท่าที่ทุกๆ คนเห็นสภาพยับเยินของหล่อนในตอนนี้ก็ถือว่าอัปยศที่สุดแล้ว

“เมื่อคืนคงรับแขกไม่ได้พักเลยสินะ”

ฟิลิเซียคู่ปรับหน้าเดิมของหล่อนพูดขึ้นลอยๆ และแน่นอนว่าตั้งใจจะให้หล่อนได้ยินมัน แต่ถึงแม้จะได้ยินหล่อนก็จำเป็นต้องนั่งนิ่งเงียบ หยิบหนังสือขึ้นมากางออกและแสดงท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังอาจารย์เจ้าของวิชา ทั้งๆ ที่ภายในใจแล้วนั้นไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว สมองกระหวัดไปถึงคนใจร้ายอย่างไทเลอร์ตลอดเวลา

เขาทำกับหล่อนเต็มไปด้วยความอดสู แล้วทำไมหล่อนถึงยังอดคิดถึงเขาไม่ได้นะ คิดถึงฝ่ามือ ริมฝีปาก ปลายลิ้นชุ่มชื้นนั้น และ… ตรงนั้นที่แข็งชันราวกับท่อนเหล็ก บ้าชะมัดทำไมหล่อนถึงไร้ยางอายแบบนี้นะ ทำไมจะต้องไปคิดถึงเขาด้วย มันก็แค่ฝันร้าย ท่องเอาไว้จันทร์เจ้าขา มันก็แค่ฝันร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เท่านั้น และตอนนี้หล่อนก็ตื่นแล้วด้วย ฝันนั้นไม่สามารถมาหลอกหลอนหล่อนได้อีกแล้ว แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้นแต่ไทเลอร์ก็ยังฝังลึกอยู่ในสมองของหล่อนเช่นเดิม

“ทำเป็นนิ่งเงียบ ไม่ตอบ สงสัยจะหมดแรงจนไม่มีแม้แต่แรงพูดจริงไหมเจนี่”

ยังเป็นฟิลิเซียแม่ดาวมหาวิทยาลัยคนเดิมที่ยังคงซัดหล่อนด้วยวาจาเหยียดหยามดูแคลนไม่ยอมหยุด ซึ่งไม่นานลูกคู่ของหล่อนก็ตามขึ้นมาสนับสนุน

“จริงจ้ะ ดูปากสิบวมเบ่งเลย คงจะทั้งอมทั้งดูดมาทั้งคืน”

สองสาวหัวเราะคิกคักและนั่นก็ส่งผลให้เพื่อนนักศึกษาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ และได้ยินคำพูดของสองคนนี้หัวเราะและมองหล่อนอย่างสมเพชเวทนาไปด้วย

จันทร์เจ้าขาพยายามบอกตัวเองให้อดทน อดทนต่อความโหดร้ายของจิตใจมนุษย์ จากนั้นก็เลือกที่จะเปลี่ยนที่นั่ง แต่แม่สองสาวก็ยังราวีหล่อนไม่หยุดหย่อน

“เห็นไหม ต้องหนีไปนั่งที่อื่น เพราะทนรับความจริงไม่ได้”

ฟิลิเซียหัวเราะสะใจ ขณะที่เจนี่ก็หัวเราะตามเสียงดังจนอาจารย์ประจำวิชาต้องหันมาทำตาดุใส่ และพูดเตือน

“เงียบๆ กันหน่อยนักศึกษา อีกไม่กี่วันก็สอบแล้วนะ ถ้าทำไม่ได้อย่ามาโอดครวญก็แล้วกัน”

“ค่ะ อาจารย์”

ฟิลิเซียกับเจนี่ก้มหน้ารับคำ แต่กระนั้นก็ยังไม่หยุดจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาเหยียดหยามไปตลอดคาบเรียน และเมื่อหมดชั่วโมงการเรียนการสอน อาจารย์ประจำวิชาเดินออกไปจากห้องแล้ว สงครามที่มีฟิลิเซียและเจนี่เป็นผู้นำทัพก็เกิดขึ้นทันควัน มันเร็วจนจันทร์เจ้าขาหนีไม่ทันเลยทีเดียว

“จะรีบไปไหนล่ะแม่สาวแว่น”

ฟิลิเซียรีบเดินมาขวางหน้าเอาไว้ โดยด้านหลังของหล่อนมีเพื่อนๆ อีกนับสิบคนทั้งชายและหญิงยืนคอยให้การสนับสนุนอยู่ ในขณะที่หล่อนโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

“หลีกไป ฉันจะไปเรียน”

“ไปเรียน?”

ฟิลิเซียหันไปมองพวกพ้องของตัวเอง ก่อนที่คนพวกนั้นจะหัวเราะเยาะออกมา

“นังอีตัวชั้นต่ำ”

“เธอไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้นะฟิลิเซีย”

แม้จะพยายามระงับอารมณ์เอาไว้แค่ไหน แต่ก็อดที่จะโต้ตอบออกไปไม่ได้ เมื่อศักดิ์ศรีถูกเหยียดหยามด้วยฝ่าเท้าของคู่อริ

“ทำไมฉันจะว่าเธอไม่ได้ นังอีตัวชั้นต่ำ! อีผู้หญิงขายตัวแลกเงิ.. โอ๊ย!”

ฟิลิเซียร้องลั่นเมื่อใบหน้าของตัวเองถูกฝ่ามือของจันทร์เจ้าขาฟาดเต็มแรง หล่อนร้องกรี๊ดๆ และร้องด่าทอเพื่อนที่ไม่ช่วยตัวเอง

“พวกเธอยืนเป็นสากกะเบืออยู่ทำไมยะ ไม่เห็นหรือไงว่ามันตบหน้าฉันน่ะ ไปจัดการมันสิ”

เจนี่ตั้งสติได้ก่อนรีบรับคำเอาหน้าทันที

“ได้ ฉันจะจับมันเอาไว้ และให้เธอซัดมันให้หายแค้นเลย ฟิลิเซีย”

“ดีมาก เจนี่ เธอนี่เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริงๆ”

เจนี่ลอบกัดฟันอย่างเจ็บแค้น แต่ก็แสดงออกมาไม่ได้

“เอา เร็วเข้าพวกเรา มาช่วยกันจับนังอีตัวชั้นต่ำคนนี้กันเร็ว ฟิลิเซียของพวกเราจะได้ตบมันให้หน้าหงายไปเลย”

เจนี่เดินเข้าไปหา พร้อมๆ กับเพื่อนๆ อีกกลุ่มใหญ่ และไม่นานจันทร์เจ้าขาก็ถูกตรึงข้อมือเอาไว้ด้านหลัง ในขณะที่ฟิลิเซียเดินยิ้มร้ายกาจเข้ามาหา

“ปล่อยฉันนะ!”

จันทร์เจ้าขาดิ้นรนสุดแรง แต่ก็สู้แรงพวกของฟิลิเซียไม่ได้ สุดท้ายก็จะต้องมายืนให้คู่อริจิกทึ้งศีรษะจากนั้นก็ฟาดหน้าของหล่อนด้วยฝ่ามือเต็มแรง จนแก้มนวลของหล่อนชาดิกไปทั้งแถบ

“พอใจหรือยัง… พอใจแล้วก็ปล่อยฉัน”

“พอใจเหรอ ยังหรอกนังอีตัว ฉันยังมีวิธีทรมานแกอีกเยอะ ไหนส่งคัตเตอร์มาให้ฉันสิ”

จันทร์เจ้าขาหน้าซีดเผือด พยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำได้

“อย่าทำแบบนี้นะ ฉัน… ฉันขอร้องล่ะ”

ฟิลิเซียไม่สนใจ หัวเราะร่วน ขณะถือมีดคัตเตอร์ที่ดันใบมีดขึ้นสุดเงาของใบมีดสะท้อนกับแสงไฟบอกความคมกริบของมันเข้ามาหาหล่อนช้าๆ ด้วยรอยยิ้มเลือดเย็น

“ครั้งที่แล้วแกรอด เพราะอาจารย์ไทเลอร์ผ่านมาเห็นซะก่อน แต่ครั้งนี้ต่อให้เทวดาก็ช่วยอะไรแกไม่ได้ แกจะต้องเสียโฉม”

ฟิลิเซียหัวเราะอย่างสะใจ จ่อปลายมีดคัตเตอร์เข้าหาช้าๆ ทุกจังหวะการขยับเขยื้อนของคนตรงหน้าแทบจะหยุดลมหายใจของหล่อนได้เลย

ใช่… ครั้งที่แล้วไทเลอร์ผ่านมาช่วยหล่อนเอาไว้ แต่ครั้งนี้… หล่อนคงไม่รอดแน่แท้

จันทร์เจ้าขาคิดอย่างหวาดกลัว ก่อนจะพยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่พ้นเพราะศีรษะถูกจิกทึ้งเอาไว้ด้วยมือปีศาจของเจนี่และพวก

“อย่า… อย่าทำแบบนี้นะ ได้โปรดเถอะ…”

หญิงสาวหลับตาและพยายามวิงวอน แต่ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินกลับมานั้นจะมีแต่เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสะใจของทุกคนรอบๆ ตัวเท่านั้น ไม่มีใครคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยหล่อนเลยสักคน ทุกคนใจดำ ใจคออำมหิตกันเหลือเกิน

ไทเลอร์… ใช่… ตอนนี้อาจารย์ไทเลอร์อยู่ที่ไหนกันนะ ขอให้เขาผ่านมา ผ่านมาช่วยหล่อนอีกสักครั้ง ได้โปรด…

“หยุดนะ พวกเธอทำบ้าอะไรกันน่ะ!”

เสียงของเขา เสียงของไทเลอร์จริงๆ จันทร์เจ้าขาลืมตาขึ้น พร้อมๆ กับอิสรภาพที่ถูกโยนใส่หน้าทันควัน ฟิลิเซียรีบส่งมีดให้กับเจนี่ และถอยห่างจากหล่อนอย่างรวดเร็ว

“อาจารย์ไทเลอร์…”

“ฉันถามว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกัน?!”

เขาตวาดเสียงดังลั่น ขณะก้าวยาวๆ มาดึงหล่อนไปซ่อนไว้ที่ด้านหลัง

“เธอไม่เป็นอะไรนะ จันทร์เจ้าขา”

ครั้งนี้หล่อนตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าจริงๆ จันทร์เจ้าขาทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งแต่แล้วก็ต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บลึกในบางส่วนของร่างกายที่ถูกคนตัวโตพร่าผลาญอย่างป่าเถื่อน เขาดื่มกิน ดูดเม้ม บี้คลึงถูไถ กระแทกกระทั้นอย่างไร้ซึ่งความปรานี แต่หล่อนก็ยินยอม ยินยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อนไม่กล้านับ… ไม่กล้านับจำนวนครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จริงๆ ว่าตัวเองยอมใจง่ายให้ไทเลอร์ดื่มกินอย่างบ้าคลั่งไปแล้วกี่ครั้ง แต่ที่แน่ๆ คือมันมหาศาลสำหรับอดีตสาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนทีเดียว

แก้มนวลแดงระเรื่อก่อนจะซีดเผือดเมื่อความร่านร้อนของตัวเองระเบิดขึ้นในสมอง ภาพที่หล่อนร้องครวญคราง ภาพที่หล่อนวิงวอนขอให้เขาฝากฝังกายเข้ามาหา ภาพที่หล่อนเป็นฝ่ายขึ้นไปควบขี่เขาอย่างลืมตัวราวกับตัวเองกำลังขี่ม้าออกศึก ทุกสิ่งทุกอย่างตอกย้ำให้หล่อนน้ำตาทะลักทลาย มันน่าสมเพชยิ่งนัก เพราะอย่างนี้ไง เพราะอย่างนี้ไงทุกคนถึงได้มองว่าหล่อนเป็นอีตัว เพราะความร่านร้อนที่มันติดตราอยู่บนหน้าผากของหล่อนนี่ไง

แค่เขาจับ เขาจูบ เขาดูดอม แค่นั้นหล่อนก็กลายร่างเป็นของเหลวได้อย่างง่ายดาย ไม่ขัดเคือง และแสนจะเต็มอกเต็มใจให้เขาย่ำยี และเป็นไง เป็นไงล่ะ เขาหายหัวไปตั้งแต่ยังไม่เช้าหลังจากจบเซ็กซ์ร้อนๆ เมื่อตอนตีสาม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาน่ะรู้สึกรู้สากับเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยแค่ไหน

หล่อนไม่มีค่าในสายตาของไทเลอร์เลย เขาก็แค่ต้องการเซ็กซ์และหล่อนก็ตอบสนองเขาได้ตามที่เขาต้องการเท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้แน่ใจเลยว่าผู้ชายบ้าอำนาจคนนั้นอิ่มเอมร่างกายของหล่อนจนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาไม่หายไปอย่างนี้หรอก

มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง กัดปากแน่นเพื่อข่มความรู้สึกทรมานเอาไว้ แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำไม่ได้ หล่อนเจ็บปวด ชอกช้ำและไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด ขณะกัดฟันก้าวลงจากเตียงใหญ่ เพื่อมุ่งตรงไปยังเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง เสื้อผ้าที่พ่อคนใจร้อยฉีกทึ้งมันออกอย่างเอาแต่ใจ

“คนใจร้าย… คนใจร้าย…”

หล่อนคร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน ปลายเท้าบอบบางขาวสะอาดแตะลงบนพื้นเย็นเฉียบแต่กระนั้นหัวใจสาวของหล่อนกลับเย็นยิ่งกว่า มันทุกข์ทรมาน ปานถูกเชือดถูกเฉือนหัวใจออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วทาด้วยเกลือ ทั้งเจ็บทั้งแสบ เมื่อทั้งแลกความหวังทั้งหมดกับเรือนร่างที่ตัวเองทะนุถนอมมาตลอดทั้งชีวิตกับมัจจุราชไม่มีหัวใจ

หญิงสาวสะอื้นไห้ สุดท้ายก็เดินไปทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หยิบเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมากอดแนบอก เสื้อกระโปรงอยู่ตรงนี้ บราเซียอยู่ไกลออกไปไม่มาก หล่อนเอื้อมไปหยิบในนาทีต่อมา แต่กางเกงในของหล่อนนี้สิ หล่อนจำได้ดีว่ามันถูกเขาฉีกจนขาดวิ่น แล้วมันไปตกอยู่ที่ไหนกันนะ จันทร์เจ้าขาพยายามมองหา สุดท้ายก็เจอมันอยู่ที่ปลายเตียง ซึ่งไม่ห่างจากประตูห้องนอนเลย หล่อนไม่สามารถยืนได้เพราะขาสั่นเทา ทำได้แค่เพียงคลานไปเท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะถึงเจ้าเศษผ้าชิ้นน้อยนั้น ประตูห้องนอนก็เปิดออกมาเสียก่อนด้วยฝีมือของ…

“อาจารย์ไทเลอร์”

เรือนร่างของเขายังอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ในขณะที่มือหนามีถาดอาหารอยู่ในนั้น เขาหรี่ตาสีเขียวมรกตมายังหล่อน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ผ่านหน้าหล่อนเดินตรงไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง วางถาดที่มีอาหารกลิ่นหอมกรุ่นลง และหันมาท้าวสะเอวจ้องหน้าหล่อนเขม็ง

“ลงไปคลานกับพื้นทำบ้าอะไร”

คนถูกถามกัดปากแน่น น้ำตายังไหลไม่หยุด แต่เพราะไม่ต้องการให้เขาเห็นความอ่อนแอของตัวเอง จึงทำให้หล่อนต้องรีบเช็ดมันออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เชิดหน้าสูงมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว แม้ภายในอกจะสั่นไหวจนแทบจะเป็นลมก็ตาม

“ฉันก็กำลังหาเสื้อผ้าของตัวเองที่คนบ้าเลือดอย่างคุณขว้างมันทิ้งเมื่อคืนน่ะสิ”

เขาแสยะยิ้มหยัน เดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน และนั่นสายตาของเขาก็ทำให้ร่างของหล่อนร้อนผ่าวราวกับถูกสุมด้วยไฟ มือบางรีบเอาเสื้อผ้าในมือปิดสัดส่วนอวบอัดของตัวเองเท่าที่จะทำได้ด้วยมือไม้อันสั่นระริกลนลาน

“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ”

“ทำไมจะมองไม่ได้ เมื่อคืนทำมากกว่ามองเสียอีก หรือลืมไปแล้ว”

“ว๊าย… นี่ปล่อยฉันนะ”

หล่อนตวาดแว๊ดแล้วก็ทุบตีอกกว้างของคนตัวโตพัลวันเมื่อถูกเขากระชากเข้ามากอดรัด ปลายจมูกโด่งเป็นสันของเขากดลงบนแก้มนวลฟอดใหญ่ จากนั้นก็ตามด้วยจุมพิตเดือดที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน หิวกระหายและต้องการไปต่อ

“ยะ อย่า…”

“ตอนนี้น่ะไม่หรอก…”

เขาถอนปากออกอย่างเสียดาย จากนั้นก็อมยิ้มเมื่อลดสายตาลงไปเจอก้อนเนื้อนวลอวบอัดที่ปลายถันชูชันหน้าดูดดึง

“แม้ว่าฉันจะอยาก… ดูดมันอีกครั้ง…”

และก็เหมือนเขาจะอดใจไม่ไหว ก้มลงดูดอมปลายถันนั้นจนสาวน้อยเจ้าของร่างดิ้นเร่าๆ ด้วยความเสียวกระสันรุนแรง ซอกขาเต็มไปด้วยหยาดรักที่ทะลักออกมา มันน่าละอาย แต่หล่อนก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้เลย จันทร์เจ้าขาคิดอย่างท้อแท้และสิ้นหวัง

“คน… คนบ้ากาม”

ไทเลอร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ดันร่างอรชรเปลือยเปล่าให้เดินไปนั่งลงบนโซฟาตรงหน้าถาดอาหารที่ตัวเองเป็นคนลงมือทำ

“กินซะ จะได้มีแรงดีดแรงดิ้นยามที่ฉันเข้าไปในตัวของเธอ”

“คนลามก”

หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ตอนนี้ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าความรู้สึกใดมีมากกว่ากันระหว่างขุ่นเคืองกับขัดเขิน

เขามองหล่อนด้วยสายตาหิวกระหายเช่นเดิม ก่อนจะหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดไม่นานก็ออกมาพร้อมๆ กับเสื้อคลุมสีขาวสะอาด

“ใส่ซะ เพราะขืนเธอนั่งแก้ผ้าล่อตาล่อใจฉันอยู่แบบนี้ ฉันคงตบะแตกเอาง่ายๆ แน่”

หญิงสาวรีบรับเสื้อคลุมมาสวมใส่มือไม้สั่น และเมื่อตัวเองมีเกาะห่อหุ้มความอ่อนแอแล้ว ความขุ่นเคืองก็ระเบิดตูมตามในอก

“ฉันไม่หิว เชิญคุณทานไปคนเดียวเถอะ”

“จะไม่หิวได้ยังไง เมื่อคืนเธอออกศึกทั้งคืน”

คนฟังหน้าแดงก่ำ ด้วยความอับอาย

“ฉัน… จะกลับที่พัก”

หล่อนผุดลุกขึ้นยืน แต่คนตัวโตหาได้ยอมให้หล่อนขัดใจเขาได้ไม่

“กินให้หมดก่อน ส่วนเรื่องกลับห้องน่ะ เธอได้กลับแน่ ฉันไม่คิดจะเอานางบำเรอของตัวเองมาเก็บไว้ในสถานที่ส่วนตัวแบบนี้หรอก”

แม้จะเจ็บไปทั้งใจกับคำพูดที่ได้ยิน แต่จันทร์เจ้าขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา หล่อนไม่มีสิทธิ์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็แค่การแลกเปลี่ยน ไม่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง จันทร์เจ้าขาพยายามบอกตัวเองเช่นนั้น บอกตัวเองซ้ำๆ อยู่ภายในอก แต่หัวใจเจ้ากรรมมันไม่ฟังเลย มันยังคงคาดหวัง เฝ้าหวังว่าผู้ชายสูงส่งอย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ จะชายตามอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

“ฉันไม่กิน และจะกลับเดี๋ยวนี้”

หล่อนผลักอกกว้าง แต่เขากลับไม่กระเด็นอย่างที่หล่อนต้องการเลยสักทีเดียว ยังยืนจังก้าเป็นก้อนหินขวางหน้าหล่อนเช่นเดิมไม่สะทกสะท้าน

“หลีกไปนะ”

“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันจันทร์เจ้าขา หน้าที่ของเธอตอนนี้คือยอมรับฟังคำสั่งของฉันให้ได้โดยดี ไม่อย่างนั้นเธอจะเรียนไม่จบ จำเอาไว้”

หญิงสาวกัดฟันแน่น

แก้มนวลแดงก่ำ ความร้อนบาดลึกถูกส่งขึ้นมาจากลำคอจนมากระจุกรวมตัวกันอยู่ที่ใบหน้า หล่อนกำมือแน่นมองเขาตาเขม็ง

“คุณก็ได้… สิ่งแลกเปลี่ยนไปแล้ว”

นั่นก็คือพรหมจารีที่หล่อนหวงแหนนั่นเอง จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด ความอัปยศอดสูวิ่งเข้าใส่ร่างอย่างไม่ปรานี เขาไม่เห็นค่ามันเลย ไทเลอร์แสดงออกให้หล่อนเห็นเช่นนั้น

“พรหมจารีของเธอน่ะหรือ”

ไหล่กว้างบึกบึนที่หล่อนกอดเกี่ยวอยู่เมื่อคืนไหวน้อยๆ จากนั้นรอยยิ้มหยันเยาะก็แต้มที่ใบหน้าของเขามหาศาล

“ใช่…”

จันทร์เจ้าขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นระริก

ไทเลอร์ระบายยิ้มหยัน ตีสีหน้าไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วภายในหัวใจกระด้างนั้นหลงใหลกับความสาวสดของหล่อนอยู่อย่างมากล้นเลยทีเดียว และจันทร์เจ้าขาไม่มีสิทธิ์จะได้รู้ เพราะสิ่งที่เขาจะบอกให้หล่อนรู้มีเพียงแค่ความเย็นชา และไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่านั้น

“เธอคิดว่าไอ้เยื่อบางๆ มันมีค่าขนาดนั้นเชียวหรือ”

“แต่คุณ… คุณบอกว่า… คุณบอกว่าถ้าฉันยกมันให้กับคุณ ฉันจะได้เรียนต่อจนจบ”

กระแสเสียงของจันทร์เจ้าขาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและผิดหวังเป็นที่สุด ทำไมไทเลอร์ถึงได้อำมหิตโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้นะ

“ใช่… ฉันพูดแบบนั้นเมื่อคืน แต่นั่นฉันคิดว่าเธอจะเก่งฉกาจกว่านี้ แต่นี่อะไร…”

สายตาของเขาที่ตวัดมองมาตลอดทั้งตัวนั้นทำให้หล่อนอับอายและอัปยศอดสูที่สุดในชีวิต

“จืดชืดยิ่งกว่าแกงจืดค้างคืนเสียอีก”

“คุณ…”

หญิงสาวพูดไม่ออก น้ำตาเอ่อล้น มันคงจะไหลออกมาอาบแก้มแล้วถ้าหล่อนไม่บังคับมันเอาไว้ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ภายในกาย

“ฉันให้โอกาสเธอหลายครั้ง โดยคิดว่าเธอจะลีลาดีขึ้น แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเธอก็ยังจืด… จืดเหมือนแกงจืดเช่นเดิม”

“คนเลว!”

หล่อนยกมือจะฟาดหน้าเขา แต่เขาห้ามเอาไว้ด้วยน้ำเสียงดุดันเสียก่อน

“อย่าคิดจะตบหน้าฉันเชียวนะ เพราะโทษของเธอจะรุนแรง จนเธอรับไม่ไหวเลยทีเดียว”

ไทเลอร์กัดฟัน ขืนตัวเอง ผลักร่างนุ่มนิ่ม หอมกรุ่นให้ออกห่างจากกาย จากนั้นก็บังคับด้วยมือหนาให้หล่อนนั่งลงบนโซฟาหน้าถาดอาหารเช่นเดิม

“กินซะ”

จันทร์เจ้าขาเชิดหน้า มองเขาอย่างเจ็บแค้น

“คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณมันไม่รักษาคำพูด”

ไทเลอร์หัวเราะเบาๆ ด้วยความเยาะหยัน

“ฉันน่ะลูกผู้ชายทั้งแท่ง เธอได้ชิมแท่งฉันมาทั้งคืนแล้วยังจะกล้าพูดคำนี้อีกหรือจันทร์เจ้าขา และที่บอกว่าฉันไม่รักษาคำพูด มันก็ต้องโทษเธอล่ะนะที่ไม่ร้อนแรงอย่างที่ฉันต้องการ ดังนั้นถ้าไม่อยากถูกไล่ออกไปจากมหาวิทยาลัยทั้งๆ ที่จะจบในเดือนหน้านี่แล้ว เธอก็ต้องหัดพัฒนาฝีมือบนเตียงของตัวเองบ้าง”

หล่อนอยากจะฆ่าเขาให้ตายนัก จันทร์เจ้าขาคิดอย่างขุ่นเคือง

“ก็ได้… ฉันจะฝึกฝนตัวเองให้ฝีมือดีขึ้น กับผู้ชายสักคนในมหาวิทยาลัย”

คนตัวโตที่ยืนยิ้มกริ่มราวกับผู้ชนะอยู่เปลี่ยนท่าทีเป็นเดือดดาลทันควัน เขาแทบจะกระโจนมาหยุดตรงหน้าของหล่อน จากนั้นก็ตะปบบ่าบอบบางเต็มแรง

“ก็ลองสิ ลองไปร่านกับผู้ชายคนอื่นดูสิ ฉันได้ฆ่าทั้งเธอและทั้งมันแน่”

แม้จะเจ็บร้าวที่หัวไหล่มากแค่ไหน แต่จันทร์เจ้าขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบคนตัวโตจอมอำมหิตออกไป

“คุณบอกเองนี่ว่าต้องการให้ฉันพัฒนาฝีมือ… เรื่องเซ็กซ์”

หล่อนจงใจเน้นคำท้ายสุดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ประชดประชันเขาด้วยการเชิดหน้าสูง มองอย่างไม่หวั่นเกรง

“หรือว่าเปลี่ยนใจแล้วล่ะคะ”

“ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอก แต่คนที่เธอจะซ้อมด้วยคือฉัน… ไม่ใช่ไอ้อีคนไหนทั้งนั้นจำเอาไว้ด้วยจันทร์เจ้าขา”

เขาผลักหล่อนแรงๆ ด้วยโทสะจนร่างอรชรกระแทกกับพนักโซฟา จากนั้นก็ท้าวสะเอวจ้องหน้าหล่อนเขม็งด้วยสายตาลุกเป็นไฟ

“และถ้าเธอขัดคำสั่งของฉันเมื่อไหร่ เธอได้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาแน่ จันทร์เจ้าขา”

“คนเผด็จการ!”

เขายิ้มเยาะ ไม่สะทกสะท้านต่อคำต่อว่าของหล่อนแม้แต่นิดเดียว

“นั่นแหละคือฉัน กินซะ และถ้าฉันออกมาจากห้องน้ำแล้วเธอยังกินไม่หมดล่ะก็ ฉันจะให้เธอกินอย่างอื่นแทน จำเอาไว้!”

แล้วพ่อคนตัวโตก็ก้าวยาวๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างหัวเสียสุดขีด ในขณะที่หล่อนมองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน

“คนใจร้าย ฉันไม่ฟังคำสั่งของคุณหรอก”

หญิงสาวกัดฟันแน่น ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน เดินตามเก็บเสื้อผ้าของตัวเองจนครบจากนั้นก็รีบสวมใส่และเผ่นแนบออกไปจากเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ อย่างไม่คิดชีวิต เขาจะรู้สึกยังไงก็ช่าง จะโกรธก็ช่างหากไม่เห็นหล่อน แต่เขาก็คงไม่เก็บมันมาเป็นอารมณ์นานนักหรอก เพราะหล่อนไม่ใช่คนสำคัญที่ผู้ชายสูงส่งอย่างเขาจะมอง

มันไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกซึ่งมักจะดังเตือนในทุกๆ เช้าที่ทำให้หล่อนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่มันเป็นลมหายใจและฝ่ามือร้อนๆ ของใครบางคนต่างหากดวงตากลมโตหนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นช้าๆ รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อย่างชัดเจน ผิวสาวร้อนระอุ ความรู้สึกแสนวิเศษที่คนตัวโตร่ายใส่ผิวเนื้อนั้นทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั่วทุกอณูผิว เขาค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากขึ้นมาประกบดูดซับเสียงครวญครางปานจะขาดใจของหล่อนให้หายลงไปในลำคอแกร่ง ในขณะที่นิ้วมือก็ยังคงรุกรานเต้างามกับกลีบเนื้อนวลที่ซอกขาอวบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุดพัก

“อ๊ะ…”

ลิ้นของหล่อนถูกเขาดูดเข้าไปในอุ้งปากใหญ่ จากนั้นก็ใช้ฟันคมๆ ขบเบาๆ อย่างหิวกระหาย ก่อนจะถอนจูบดุดันเลื่อนหน้าต่ำลงไปดูดอมปลายถันสีสดให้หายเข้าไปในอุ้งปาก เขาตวัดเลียยอดอกชูชันด้วยปลายลิ้น ก่อนจะขบเม้มด้วยริมฝีปากอย่างเร่าร้อน หล่อนครวญคราง ดิ้นพล่าน สะโพกส่ายระริกบั้นท้ายลอยสูงขึ้นจากที่นอนด้วยความต้องการมากล้น

“อาจารย์ขา… อาจารย์ได้โปรด…”

สองนิ้วแกร่งจิกลงกับแผ่นหลังกว้างสีแทนชื้นเหงื่อ จากนั้นริมฝีปากหยักสวยก็เคลื่อนต่ำลงไปยังหน้าท้องเนียนเรียบ ก่อนจะไปหยุดที่ซอกขาอวบที่เจ้าของแยกสยายให้มันห่างออกจากกันอย่างรอคอยปากและลิ้นของเขา

แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้ากลีบปากนุ่มละมุนสีแดงสดเบื้องหน้า แต่ทุกครั้งที่เห็นมันก็ทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนได้อย่างรุนแรง ทุกความยับยั้งชั่งใจขาดสะบั้นลง อยากจะยืดเวลาเล้าโลมให้มากขึ้น นานขึ้นเหมือนๆ กับที่เขาเคยทำได้อย่างง่ายดายยามขึ้นเตียงกับผู้หญิงคนอื่น แต่กับแม่สาวไทยร่างเล็กที่อะไรต่อมิอะไรไม่ได้เล็กไปตามตัวเลยอย่างจันทร์เจ้าขากลับทำให้เขาหลุดหลง สมองมึนงงและถูกครอบงำด้วยไฟพิศวาสได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกอยากจะดื่มกินผู้หญิงคนไหนมากมายล้นอกแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นโดยไม่ทันระวังตัว ไม่… ไม่ใช่ไม่ทันระวังตัวเอง แต่เขาไม่สามารถระวังตัวเองได้เลยต่างหาก แม่สาวสวยร่างเล็กที่สวมใส่แว่นสายตาตลอดเวลา ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ความต้องการภายในลุกโชนขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตา ทั้งๆ ที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ และพร่ำบอกว่าหล่อนไม่คู่ควรแม้แต่ตำแหน่งเมียชั่วคราวสำหรับเขาด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอด กินแล้วกินอีก ชิมแล้วชิมอีกอย่างไร้ซึ่งความเบื่อหน่ายแม้แต่เศษเสี้ยวสักนิดก็ไม่มี

ไทเลอร์จ้องกลีบสาวสลับกับดวงหน้างดงามที่ตอนนี้แดงก่ำไปด้วยไฟเสน่หาด้วยความพิศวง ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะทำให้เขาติดใจ ลุ่มหลง ยอมแม้กระทั่งที่จะจดทะเบียนสมรสด้วย นี่เขาบ้าไปแล้ว หรือว่าถูกผีสิงกันแน่นะ

กฎของเขา… กฎของปีศาจอย่าง อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ คือไม่แต่งงาน ความโสดคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของพวกเขา แต่ตอนนี้… ตอนที่กำลังอยู่บนร่างของจันทร์เจ้าขาเช่นนี้ ความคิดที่จะไม่แต่งงานมันเลือนหายไปจากสมองอย่างง่ายดาย ความคิดเดียวที่อยู่ในใจก็คือ…

ต้องการจะครอบครองแม่สาวน้อยแสนหวานคนนี้ไปชั่วชีวิต

ใช่… ไทเลอร์รู้ดีว่ามันเป็นความคิดที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับผู้ชายที่หวงความโสดเช่นเขา แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อตัดใจจากผู้หญิงคนนี้ไม่ลงจริงๆ แม้จะรังเกียจตัวเองที่ยอมให้ผู้หญิงมามีอำนาจเหนือสมองและหัวใจเช่นนี้ แต่จันทร์เจ้าขาก็มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาเหลือเกิน แค่คิดว่าถ้าอยู่ในโลกใบนี้แล้วไม่มีหล่อนอยู่ข้างกาย เนื้อตัวของเขาก็บีบคั้นด้วยความเจ็บปวดรุนแรงซะแล้ว

หายนะกำลังวิ่งเข้าใส่ชีวิตหนุ่มของเขาแล้วสินะ

แม้จะอยากต้านทานยังไง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างไม่มีทางเลือก เขาติดใจหล่อนอย่างมากเลยทีเดียว ดังนั้นก็คงไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้เขามีหล่อนอยู่ข้างกายไปตลอดจนกว่าเขาจะเบื่อก็คือการจดทะเบียนสมรสนั่นเอง

ชายหนุ่มยอมแพ้อย่างดุษณี ก่อนจะก้มลงตวัดปลายลิ้นกับกลีบสาวด้วยความหิวกระหาย ดุดันเล้าโลมสลับการสอดใส่นิ้วแกร่งที่ยาวใหญ่เข้าไปในช่องแคบหยาดเยิ้ม เจ้าหล่อนครางออกมา พร้อมๆ กับยกสะโพกขึ้นรับการขยับนิ้วแกร่งด้วยความเต็มอกเต็มใจ

ก็หล่อนร้อนราวกับไฟแบบนี้… ไม่… ร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีก

ไทเลอร์คิดอย่างลุ่มหลง จากนั้นก็ดื่มด่ำกับหยาดรักที่หวานฉ่ำด้วยความตะกละตะกลาม ไม่นานก็ส่งสาวน้อยขึ้นสวรรค์ไปพร้อมๆ กับลิ้นแกร่งที่ยังตวัดปาดเลียไม่หยุด

“อาจารย์ขา… อาจารย์ไทเลอร์ขา ได้โปรด…”

สาวน้อยจิกทึ้งเส้นผมของเขา กดให้เขาแนบหน้าฝังแน่นลงไปกับกลีบสาวมากยิ่งขึ้น ซ้ำๆ สุดความสามารถ เพราะยิ่งเข้าเลีย ยิ่งเข้าสอดใส่ด้วยนิ้วเท่าไหร่ ร่างกายของหล่อนก็ยิ่งลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ใกล้อีกแล้ว… ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว

“อาจารย์… อ๊า…”

ใช่… หล่อนขึ้นสวรรค์อีกแล้วก็เพราะปากลิ้นและนิ้วมือของเขานั่นแหละ

“ทูนหัว…”

คนตัวโตยุติการโลมเลีย และขยับตัวไปนั่งคุกเข่าที่ตรงระหว่างต้นขาของหล่อน

จันทร์เจ้าขาแยกต้นขาของตัวเองให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเปิดทางให้กับพ่อนักรักตัวโตทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

เขาช้อนมือหน้าเข้าไปเกาะกุมบั้นท้ายของหล่อน จากนั้นก็ดึงรั้งให้หล่อนลดตัวลงมาหา ใบหน้าหล่อลากดินเต็มไปด้วยไฟสวาทยามที่เขาจับท่อนกายของเขาถูไถกับกลีบสาวโดยที่ยังไม่สอดใส่เข้าไปภายใน

“อาจารย์… ได้โปรด…”

หล่อนวิงวอน มองเขาอย่างขอความเห็นใจ หล่อนต้องการจะบ้าอยู่แล้ว ต้องการให้เขาเข้ามา… เข้ามาเต้นตุบๆ อยู่ภายในกล้ามเนื้อแน่นของหล่อน หล่อนต้องการ ต้องการจะรู้สึกยามที่เขาเคลื่อนไหวอยู่ภายในอีกครั้ง… ต้องการจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาภายในกายของหล่อน

“ได้โปรด… อาจารย์ไทเลอร์ขา…”

เจ้าของชื่อก็ไม่ได้ร้อนน้อยไปกว่าหญิงสาวเลยสักนิด เขาซู้ดปากของตัวเองแรงๆ จากนั้นก็จดจ่อส่วนปลายเข้าไปยังร่องรัก แต่ก็เชื่องช้าไม่ทันใจของจันทร์เจ้าขาสักนิด เพราะสุดท้ายก็เป็นหล่อนที่ยกสะโพกขึ้นและผลักดันให้เจ้าความใหญ่โตนั้นผุดเข้ามาในลำตัว แม้มันจะแค่นิดเดียว แต่มันก็ทำให้หล่อนร้องครางได้ลั่นห้อง

“โอ้ว… อาจารย์… อาจารย์ขา”

ไทเลอร์พยายามอย่างที่สุดที่จะฉุดรั้งทุกความรู้สึกเอาไว้ เขาอยากยืดเวลาให้นาน ให้นานมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ดูเหมือน…

“โอ้ว… แน่นมาก รัดฉันแน่นอีกแล้วเจ้าขา”

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะแค่ได้จ้วงใส่เข้าไปจนหมดตัวตนเท่านั้น ความร้อนผ่าว นุ่มลื่นและสุดแสนจะแน่นหนั่น ก็บีบรัดท่อนกายแข็งชันของเขาอย่างรุนแรง ไม่ปรานีเลย ทุกทิศทางถูกกล้ามเนื้อนุ่มโอบกระชับ

“สุดยอด…”

ชายหนุ่มชำแรกแทรกเข้าใส่อย่างดุดัน มือหนึ่งจับเอวคอดเอาไว้และดึงลงมาหาตัวเอง อีกมือหนึ่งก็บีบเคล้นฟอนเฟ้นเต้างามที่กระเพื่อมตามแรงอัดกระแทก หล่อนดิ้นส่ายระริก ปากอิ่มบวมช้ำร้องคราง สองมือกำจิกทึ้งผ้าปูเตียงจนมันแทบจะฉีกขาดติดฝ่ามือมา

“อาจารย์… อ๊า… ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว”

ก็หล่อนจะทนไหวได้ยังไงล่ะก็พ่อเจ้าประคุณทั้งกระหน่ำทั้งกระแทกจ้วงโจนเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา เสียงครางของเขากับหล่อนดังแข่งกับเสียงครางประท้วงของเตียงใหญ่ ทั้งๆ ที่เตียงนี้แข็งแรงมาก แต่มันก็ยังสั่นไหวเพราะความรุนแรงของคนตัวโต

“แน่นมาก… เจ้าขา… เธอรัดฉันแน่นเหลือเกิน”

ไม่เหลืออะไรให้ยับยั้งชั่งใจได้อีกแล้ว เพราะเขาซัดสะโพกเพรียวเข้าใส่ร่างอรชรที่เด้งขึ้นรับการสอดใส่ด้วยจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะด้วยความรุนแรงบ้าคลั่งที่สุดในชีวิต ไม่เคยมาก่อนเลยที่จะรู้สึกต้องการผู้หญิงคนไหนมากมายเท่านี้

บ้าคลั่ง… ไม่มันมากกว่านั้นเสียอีก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งหนักหน่วง และป่าเถื่อน เขาย้ำเน้นๆ กับแรงกระแทกเข้าใส่อีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทั้งเขาและหล่อนจะร้องครางสะอื้นออกมาด้วยความสุขสมราวกับได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์จริงๆ

ไม่เคยมีเซ็กซ์ครั้งไหนสุดยอดได้เท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว ทุกครั้งกับจันทร์เจ้าขามันจะยอดเยี่ยมและวิเศษขึ้นเรื่อยๆ

ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากมนชื้นเหงื่ออย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พึมพำข้างใบหูหอมกรุ่นด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่สิ้นความกระหาย

“เซ็กซ์กับเธอวิเศษจริงๆ”

จากนั้นเขาก็ขยับใหม่อีกครั้ง ผลักดันให้หล่อนเดินถอยหลังลงไปสู่หุบเหวแห่งความร้อนผ่าวแต่หวานฉ่ำด้วยความจงใจ มือหนาบีบเต้างาม ขณะที่ปากร้อนผ่าวก้มลงมาดูดอมปลายถัน โรมรันมันด้วยปลายลิ้นแกร่งชุ่มชื้น

หญิงสาวครางลั่น ดิ้นพล่าน และก็เป็นคนปีนป่ายขึ้นไปควบขี่เขาเสียเอง หล่อนบ้าไปแล้ว เสียสติไปแล้วที่ทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ แต่หล่อนต้านทานผู้ชายคนนี้ไม่ได้ เขาทำให้หล่อนร้อน ร้อนจนทนไม่ไหว ร้อนไปทั้งตัวโดยเฉพาะตรงนั้น…

ทั้งๆ ที่มันหยาดเยิ้มแต่มันก็ยังคงร้อนเป็นไฟ แค่เขาเลีย แค่เขาขบ เม้ม ดูดอมไปตามผิวกาย แค่นั้นหล่อนก็สั่นระริกปานจับไข้สูง และตอนนี้ก็ร้อนผ่าวจนไม่สามารถทนนอนนิ่งเฉยๆ อยู่ได้อีก หล่อนกลายร่างเป็นจ๊อกกี้สาวได้สมบูรณ์แบบ ทั้งโยก คลึง บดสะโพกกับบั้นท้ายอวบไปมากับแก่นกายยาวใหญ่ เขาคราง ร้องคำรามและนอนนิ่งให้หล่อนเป็นฝ่ายปรนเปรออย่างเต็มอกเต็มใจ

เสียงห้าวคำรามลั่นไม่ผิดจากเสียงของสัตว์ป่า เส้นเอ็นตามต้นแขนและลำคอของเขาปูดเป่งแทบปริแตก ใบหน้าหล่อลากดินที่ตอนนี้แดงก่ำแหงนเงยไปด้านหลัง พร้อมๆ กับร่างกำยำแข็งแกร่งชื้นเหงื่อที่กระตุกเกร็งอยู่อย่างยาวนาน สายพันธุ์รักร้อนระอุพุ่งเข้าใส่ภายในกายสาวอย่างไร้ขีดจำกัด ในที่สุด… ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นจริงๆ สวรรค์ที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่เป็นนรกเพราะหล่อนกำลังจะถูกเขาขับไล่ลงจากเตียงในเวลาต่อจากนี้

น้ำตาแห่งความชอกช้ำไหลทะลักออกมาอาบแก้ม สิ่งมีค่าที่มอบให้เขาไป มันไม่มีทางทำให้ผู้ชายใจร้ายอย่างไทเลอร์มองกลับมายังหล่อนหรอก ทุกอย่างมันจบลงแล้ว จบลงพร้อมๆ กับหัวใจที่แตกสลายของหล่อน

“หน้า… หน้าที่… ของฉันเสร็จแล้ว…”

เสียงสะอื้นตะกุกตะกักแผ่วเบาจนฟังแทบไม่ได้ยินดังขึ้นทันทีเมื่อคนตัวโตก้มลงมาจ้องหน้า เขามองหล่อนนิ่งด้วยสายตามืดดำอ่านไม่ออก ซึ่งมันก็เหมือนเช่นทุกครั้งนั่นแหละที่หล่อนไม่เคยอ่านความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ออกเลย

“ใครว่าล่ะ… มันแค่พึ่งเริ่มต้นต่างหากล่ะ”

ปากร้อนผ่าวของเขาก้มลงแตะเบาๆ ที่หน้าผากมนชื้นเหงื่อของหล่อน ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยจะคลี่รอยยิ้มพึงพอใจออกมาให้ได้เห็น เขายิ้มทำไม ยิ้มแบบนี้ทำไมกัน หรือว่าสาแก่ใจที่ได้ทำลายศักดิ์ศรีของหล่อนจนย่อยยับแบบนี้

“เราตกลงกันแค่… ครั้งเดียว”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

“คนหลอกลวง…”

ไทเลอร์ระบายยิ้มหรี่ตาแคบกวาดมองไปทั่วกายสาวที่ตอนนี้กลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แล้วด้วยความหวงแหนปิดไม่มิด

“เอาน่า… อย่าโวยวายสิเมียจ๋า… เรามาต่อกันอีกรอบเถอะ ฉันยังไม่อิ่มเลย”

“คนบ้า… ไหนคุณบอกว่าจะไม่มีครั้งที่สองยังไงล่ะ นี่ปล่อยฉันนะ เอาไอ้ส่วนนั้นของคุณออกไปจากร่างกายฉันซะด้วย”

สะโพกงามดิ้นส่ายแต่หารู้ไม่ว่ายิ่งดิ้นยิ่งส่ายหนี เขาก็ยิ่งตื่นตัว และยิ่งเต็มไปด้วยความต้องการมากล้น

“นี่ถ้าเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์นะ ฉันคงคิดว่าเธอกำลังเชิญชวนฉันอยู่”

คำพูดของพ่อคนใจร้ายยิ่งทำให้จันทร์เจ้าขาเต็มไปด้วยความน้อยใจ มือน้อยๆ กำเป็นหมัดและทุบลงกับแผงอกกว้างเต็มแรงหลายครั้งติด แต่เขาก็ไม่อุทธรณ์ใดๆ ออกมาเลย จนหล่อนเจ็บมือและหยุดไปเองในที่สุด

“พอใจหรือยังล่ะ”

“คนใจร้าย ออกไปจากตัวของฉันได้แล้ว”

ไทเลอร์ก้มลงจูบปากอิ่มหนักหน่วง ดูดกลืนทุกความต้านทานขัดขืนของหล่อนให้หายไปจากกายจนหมดเกลี้ยง นานหลายนาทีว่าเขาจะปลดปล่อยให้ปากช้ำๆ ของหล่อนเป็นอิสระ หล่อนจ้องหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาน้อยใจ

“จำไม่ได้หรือไงคะ ถ้าคุณ…”

หล่อนใช้สรรพนามห่างเหินกับเขาอย่างจงใจ

“มีเซ็กซ์กับฉันอีกเป็นครั้งที่สอง คุณจะต้องจดทะเบียนกับฉัน”

สีหน้าของเขากระด้างขึ้นทันตาเห็น นัยน์ตาสีเขียวจัดของเขาก็ยังคงอ่านความรู้สึกไม่ออกเช่นเดิม อ่านไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่ยังคงฝากฝังความแข็งแกร่งกำยำอยู่ในร่างของหล่อนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ กำลังมีความคิดอะไรอยู่ในหัวสมองฉลาดๆ ของเขาบ้าง

“ฉันถูกเลี้ยงมาให้ซื่อสัตย์กับคำสัญญาของตัวเอง เธอไม่ต้องกังวลหรอก”

ความประหลาดใจอัดแน่นเต็มนัยน์ตากลมโต

“งั้นก็แสดงว่าคุณจะ…”

“แน่นอน ถ้าฉันจะนอนกับเธอซ้ำอีกครั้ง ฉันก็จะจดทะเบียนกับเธออย่างที่เคยพูดเอาไว้ ศักดิ์ศรีกับคำพูดของฉันคือสิ่งเดียวกัน”

หล่อนควรจะดีใจสิ ควรจะดีใจที่จู่ๆ เทพบุตรอย่างไทเลอร์ก็จะตกมาอยู่ในอุ้งมือของหล่อน ดีใจสิที่เขาจะจดทะเบียนสมรสด้วยหากเขาเดินหน้าสานต่อความเร่าร้อนเหมือนอย่างครั้งที่แล้วซ้ำขึ้นอีก แต่ทำไม…? ทำไมหล่อนกลับรู้สึกแย่แบบนี้ แย่จนน้ำตาไหลพรากออกมา

ก็เพราะหล่อนรู้ยังไงล่ะ รู้อยู่เต็มอกว่าเพราะอะไร เพราะอะไรเขาถึงยอมรับปากกับหล่อน เพราะเซ็กซ์ยังไงล่ะ เซ็กซ์ที่เขายังไม่อิ่ม เซ็กซ์ที่เขายังต้องการจะสานต่อมันอีกครั้ง

มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาของตัวเองทิ้ง จากนั้นก็ปั้นสีหน้าของตัวเองให้เรียบเฉย มองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถจะทำได้

“คุณไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนกับฉันหรอกค่ะ…”

แทนที่ไทเลอร์จะรู้สึกดีใจ โล่งใจกับสิ่งที่ได้ยิน ตรงกันข้าม… มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขากำลังค่อยๆ เดือดดาลมากขึ้นแทนต่างหาก นี่เจ้าหล่อนกล้าผลักไสผู้ชายสมบูรณ์แบบเช่นเขาเลยอย่างนั้นหรือ กล้าทำแบบนี้ได้ยังไง

“ทำไม”

“อีกไม่ถึงเดือนฉันก็จะเรียนจบ จากนั้นฉันก็จะกลับบ้านเมืองของฉันทันที เราคงไม่ต้องพบกันอีก เพราะฉันคงไม่สนใจที่จะอยู่ที่มอสโกต่อ ฉันมีภาระที่ต้องกลับไปรับผิดชอบ”

“คนรักหรือ”

“แล้วแต่คุณจะคิด ฉันไม่อยากจะอธิบาย เพราะถึงพูดไป ในสายตาของคุณฉันก็เลวอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ”

คนฟังขบกรามแน่นจนขึ้นสัน มือหนาข้างหนึ่งตะปบลงบนเต้างามอย่างดุดัน

“แต่เธอเป็นเมียของฉัน ถ้าเธอพูดฉันจะฟัง”

เมียเหรอ? เมียบำเรอ เมียเก็บเท่านั้นแหละ หล่อนไม่มีสิทธิ์ในตัวของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ได้รักหล่อน ไม่ได้ต้องการหัวใจของหล่อน ร่างกายของหล่อนเท่านั้นที่เขากำลังต้องการในตอนนี้ แต่อีกไม่นาน อีกไม่นานหล่อนก็จะต้องถูกเขี่ยทิ้งเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ของเขา

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดหรอกค่ะ คุณอยากจะทำอะไรกับฉันต่อก็เชิญ…”

“แน่ใจนะว่าจะไม่เรียกร้องสิทธิ์”

คนพูดเค้นเสียงเดือดดาลออกมา ให้ตายเถอะ เขาไม่ได้ต้องการเห็นท่าทางเย็นชาแบบนี้ของหล่อน เขาต้องการให้หล่อนวิงวอนให้เขารับผิดชอบหล่อน วิงวอนให้เขาทำให้หล่อนหลอมละลายอีกครั้ง

“ค่ะ ฉันจะไม่ใช้สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น คุณมีเวลาต่อจากนี้อีกห้าชั่วโมงในการร่วมรักกับฉัน เพราะเมื่ออาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่ ฉันจะเดินจากคุณไป และเราจะไม่รู้จักกันอีกเลย”

“เธอทำได้จริงๆ หรือ”

แม้หัวใจจะชอกช้ำทรมาน และต้องการจะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต แต่เพราะศักดิ์ศรีก็ทำให้หล่อนก้มหน้าตอบรับมันออกไป

“ฉันทำมันได้ค่ะ มันง่ายมากสำหรับฉัน”

แต่มันยากยิ่งสำหรับเขา ให้ตายเถอะ… นี่หล่อนต้องการจะให้เขาลืมมันจริงๆ หรือ แล้วเขาจะลืมมันได้ยังไงกัน ในเมื่อ… ความคับแน่นของหล่อนยังคงบีบรัดท่อนเนื้อแข็งชันของเขาอยู่แบบนี้ หล่อนรัดเขาแน่น ความคับแคบแสนหวานของหล่อนกำลังทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก เขาต้องการหล่อน และระบุระยะเวลาที่จะเบื่อหน่ายไม่ได้เลยสักนิด เขาอยากมีหล่อนบนเตียงทุกค่ำคืน ตั้งแต่แรกเห็นหน้าจนถึงบัดนี้ เขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้อีกแล้ว จันทร์เจ้าขาคือสมบัติของเขา หล่อนเป็นผู้หญิงของเขา ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยหล่อนไปแน่

หล่อนไม่มีทางได้เดินจากไปเอง นอกจากจะถูกเขาเขี่ยทิ้งเท่านั้น

“แต่ฉันมีปัญหา มีปัญหามากด้วย”

สะโพกเพรียวขยับส่ายวน และกระแทกเข้าใส่อย่างหนักหน่วง รุนแรง ดุดัน และป่าเถื่อน สาวน้อยกัดฟันแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงครางจากความเสียวกระสันเอาไว้ แต่แล้วความพยายามก็จบสิ้นลงเมื่อปากร้อนผ่าวของพ่อเจ้าประคุณก้มลงดูดปลายถันที่ยังแข็งเป็นไตรอคอยด้วยความร้อนแรง

“อ๊ะ… อื้อ…”

“เธอจะต้องอยู่กับฉัน… จนกว่าฉันจะบอกให้เธอเดินจากไป”

“ไม่… อื้อ… อ๊ะ…”

“ไม่หรือ…”

ชายหนุ่มขบเน้นๆ กับปลายถัน พร้อมกับกระแทกกระทั้นเข้าใส่อย่างไม่ปรานี ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสาวน้อยไม่สามารถต้านทานอะไรได้อีก

“ไทเลอร์… โอ้ว…”

“จำเอาไว้นะเมียจ๋า ในเมื่อฉันเป็นคนแรกของเธอ…”

เขาหยุดเคลื่อนไหวและจ้องหน้าหล่อน มองด้วยสายตาดุดันและเต็มไปด้วยไฟเสน่หา ขณะที่มือหนาก็ขยำเต้างามทั้งสองข้างอย่างไม่ปรานีปราศรัย หล่อนร้องกรี๊ดๆ ดิ้นเร่าๆ ส่ายระริกปานใบไม้ต้องลมพายุอยู่บนเตียง มองเขาอย่างวิงวอน

“ฉันก็ต้องเป็นคนสุดท้ายด้วยเช่นกัน… ฉันเป็นคนหวงของจำใส่กะโหลกสวยๆ ของเธอเอาไว้ซะด้วย”

“ไทเลอร์… อย่าหยุด… ได้โปรดอย่าหยุด…”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างผู้ชนะ ก่อนจะระเบิดโลกทั้งใบของหญิงสาวใต้ร่างให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หล่อนกรีดร้อง ครวญคราง และส่ายระริก สะโพกงามหยัดร่อนขึ้นรับแรงปะทะดุดัน ป่าเถื่อนของผู้ชายที่หล่อลากไส้ลากดิน หล่อสุดๆ ในสามโลกอย่างไทเลอร์อย่างบ้าคลั่ง

ใช่… หล่อนกำลังบ้า… ไทเลอร์กำลังทำให้หล่อนกลายเป็นคนบ้า เป็นผู้หญิงที่ติดเซ็กซ์ แค่เขากระแทก แล้วก็กระแทกเข้าใส่อย่างล้ำลึก หล่อนก็แทบขาดใจกับกายหนุ่มกำยำโซมเหงื่อซะแล้ว หล่อนกอดรัดเขาเอาไว้แน่น มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนา เมื่อยามที่สวรรค์ถล่มลงมาใส่หน้า

“ไทเลอร์… ไทเลอร์ขา… อ๊า…”

หล่อนสั่นสะท้านเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง บอกให้คู่รักที่กำลังสอดเสียบความใหญ่ยักษ์เข้าใส่เป็นจังหวะเร่าร้อนรู้ว่าตัวเองนั้นผ่านการสุขสมแล้ว

“วิเศษสุดๆ คนสวย… แม่เมียไร้เดียงสาของฉัน”

สะโพกเพรียวกำยำของไทเลอร์ยังคงชำแรกแทรกลึกเข้าใส่เนินสาวแน่นหนั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดุดัน ถี่ระรัวขึ้นเรื่อยๆ เขาเองก็ทานทนต่อความคับแน่น ตอดระรัวของกล้ามเนื้อสาวไม่ได้แล้วเช่นกัน หล่อนสมบูรณ์แบบ และร้อนเป็นไฟเพียงแค่อยู่ใต้ร่างเขาเท่านั้น

“ไม่ไหวแล้ว… ฉัน… อ๊า… โอ้ว…”

ชายหนุ่มสุขสมอย่างรุนแรง มันรุนแรงที่สุดในชีวิตหนุ่มด้วยเช่นกัน มันทำไมนะ… ทำไมแค่ผู้หญิงไร้เดียงสาธรรมดาๆ คนหนึ่งจะปลุกเร้าความต้องการบ้าคลั่งของเขาให้ตื่นตัวขึ้นมาได้อย่างรุนแรงเช่นนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำได้ แต่แม่ผู้หญิงที่สวยไปทั้งตัว ปากหวานราวกับน้ำผึ้ง ผิวเนียนนุ่มหอมกรุ่นยิ่งกว่าดอกไม้ และคับแน่นที่สุดเท่าที่เคยพานพบมาก่อนอย่างจันทร์เจ้าขาทำได้ หล่อนทำให้เขาบ้าคลั่ง… บ้าคลั่งยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก

เขาไม่เคยตะกละตะกลามแบบนี้ แต่เขาก็ทำกับหล่อน… ผู้หญิงที่ทำให้เขาร้อนเป็นไฟได้แค่เพียงสบตา

“เจ้าขา… ฉันยังไม่อิ่ม…”

ดวงตาหวานฉ่ำที่ปรือปิดไปแล้วนั้นค่อยๆ เผยอลืมขึ้น รอยยิ้มหวานฉ่ำแต่งแต้มดวงหน้างดงาม ก่อนที่สองมือน้อยๆ จะตวัดรอบลำคอของเขาเอาไว้ และดึงรั้งให้ลงไปจุมพิตกับกลีบปากช้ำที่เผยอรอคอยอยู่

ช่างหวานเหลือเกินกับการกระทำของเจ้าหล่อน ไทเลอร์คิดอย่างหลงใหล บ้าคลั่ง และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางรั้งรอใดๆ ได้อีก เขาดำเนินบทรักแสนร้อนกับกายสาวงดงามซ้ำอีกครั้ง และมั่นใจเหลือเกินว่าเขาไม่มีทางหยุดแค่ครั้งที่สามแน่นอน หล่อนน่ากิน น่าฟัด และน่าครอบครองเป็นที่สุด

“เมียจ๋า… โอ้ว… เมียจ๋า…”

“ฉันสั่งเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องใส่อะไรออกมา”

ร่างอรชรที่มีผ้าขนหนูพันอยู่รอบกายชะงักกึก เมื่อก้าวออกมาจากห้องน้ำแล้วเผชิญหน้ากับไทเลอร์ที่ยืนเท้าสะเอวรออยู่ที่กลางห้องกว้าง

“แล้วเข้าไปทำซากอะไรเป็นชั่วโมง ไอ้กลิ่นสาปผู้ชายบนเนื้อตัวของเธอมันล้างยากนักหรือไง หรือว่ามันหลายคนถึงต้องขัดนานแบบนี้น่ะ!”

เขากระชากร่างของหล่อนเข้าไปหา หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สิ… มันมากว่าเดิมเสียอีก

“ฉัน… ฉัน… ฉันขอเวลา… ว๊าย!”

หญิงสาวกรีดร้องลั่นเมื่อมือหนายื่นมากระชากผ้าขนหนูเพียงสิ่งเดียวที่พันอยู่รอบกายสาวไปเหวี่ยงทิ้งกับพื้น กายสาวอวบอิ่มเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที หล่อนพยายามจะวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องน้ำ แต่ก็ถูกพ่อเจ้าประคุณกระชากเข้าไปกอดรัดเสียก่อน

“ปล่อยนะ อย่าทำแบบนี้นะ”

“ทำไมฉันจะทำอะไรเธอไม่ได้ อย่าลืมข้อตกลงของเราสิ”

ได้ผลคำเตือนจากริมฝีปากหยักสวยทำให้ร่างอรชรที่อวบอัดไปทั้งร่างชะงักงันและแข็งทื่อขึ้นมาในบัดดล

“นอนกับฉัน แล้วเธอจะยังคงอยู่ในสภาพนักศึกษาจนกว่าจะจบ”

“ฉัน…”

ทั้งๆ ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะยอมสละศักดิ์ศรีของตัวเองให้จอมมารอย่างไทเลอร์ย่ำยี แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ หล่อนกลับหวาดกลัวและประหม่าเป็นที่สุด หล่อนไม่เคย… ไม่เคยตกอยู่ในสภาพล่อแหลมแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน ที่ผ่านมาก็มีกับไทเลอร์เพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ ผู้ชายที่ปากว่ามือถึง ต้องการอะไรก็ต้องคว้า ต้องขย้ำให้จมเขี้ยวให้ได้

“ถ้าเปลี่ยนใจ… พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาที่มหาวิทยาลัยของฉันอีก”

แม้น้ำเสียงของไทเลอร์จะเลือดเย็นแค่ไหน แต่ร่างกายของเขากลับกำลังร้อนระอุไปด้วยไฟปรารถนา ร่างกายของจันทร์เจ้าขางดงามเหลือเกิน อ้อนแอ้นอรชร สลักเสลางดงามเป็นที่สุด หน้าอกกลมกลึงเต่งตึงประดับด้วยปลายถันงามสีแดงสด เอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายอวบอิ่ม และขาของหล่อนก็ถูกสร้างขึ้นมาให้ตวัดรัดรอบเอวของผู้ชายโชคดีพวกนั้น

กรามแกร่งบดกันแน่น ความหึงหวงที่เจ้าตัวยังไม่เคยรู้จักมันมาก่อนกระพืออย่างรุนแรงอยู่ภายในอก แค่สมองระยำจินตนาการไปว่าสองขาเรียวคู่นี้เคยตวัดรัดรอบเอวของผู้ชายมาจนนับไม่ถ้วน เขา… เขาก็แทบคลั่ง คลั่งด้วยความหวงแหนแล้ว

“ทำไมต้องบังคับฉันด้วยวิธีนี้ด้วย…”

คู่สนทนาของหล่อนแสยะยิ้มหยัน มองร่างกายเปลือยเปล่าที่หล่อนพยายามจะปกปิดมันด้วยฝ่ามือน้อยๆ ของตัวเองด้วยความดูแคลน

“ผู้หญิงเน่าๆ แบบเธอ ไม่เห็นจะต้องใส่ใจเลยนี่ แค่อ้าขา ให้ฉันเข้าไปข้างใน ครั้งเดียว… ฉันสาบานว่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เธอก็จะถูกเขี่ยทิ้งจากเตียงของฉันทันที”

แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

“ฉันตกลง! เชิญคุณตักตวงความสุขจากร่างกายของฉันตามสบายเลย เชิญเลย…”

สองมือที่เคยปกปิดเต้างามอยู่ตอนนี้ตกอยู่ข้างลำตัว จากนั้นหญิงสาวก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขา ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจของพ่อเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตขาดห้วง จากนั้นเขาก็กระชากหล่อนเข้าไปกอดรัดแน่น

“แบบนี้สิ… ถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ”

แล้วเขาก็ประกบปากลงมาบดขยี้กลีบปากอิ่มของหล่อนอย่างอำมหิต ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เขาต้องการจะระเบิดโทสะกับเนื้อตัวของหล่อน หล่อนรู้ดี รู้ดีว่าเขากำลังเกรี้ยวกราดแค่ไหน ฟันคมๆ ของเขาขบลงกับกลีบปากนุ่มสองสามครั้ง จากนั้นนิ้วแกร่งก็บีบคางมนอย่างไม่ปรานีเพื่อบังคับให้หล่อนเปิดปากรับความเลือดเย็นของเขาอย่างเผด็จการ

หล่อนไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของเขาได้ ไม่สามารถต่อกรกับผู้ชายที่เชี่ยวชาญในเชิงรักอย่างไทเลอร์ได้เลย สติสตังแตกซ่าน สมองหยุดทำงาน ตอนนี้ในหัวของหล่อนมีแต่เขา เขาและก็เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น สัมผัสของเขาแม้จะรุนแรง แต่ก็สร้างความเสียวกระสันให้กับหล่อนมากล้น

“อ๊ะ…”

โดยเฉพาะยามที่เขาตะโบมจูบปากของหล่อน และสอดนิ้วแกร่งเข้าไปบดคลึงเกสรรักที่เนินสาวอย่างแรงร้อนไปพร้อมๆ กัน โลกของหล่อนแตกกระจาย กำลังใจที่จะขัดขืนหลุดล่วงหายวับไปกับตา ตอนนี้หล่อนทำได้แค่เพียงร้องคราง และจูบตอบพ่อผู้ชายป่าเถื่อนอย่างไทเลอร์เพียงเท่านั้น

“อาจารย์… อาจารย์ขา”

กายสาวส่ายสะบัดเป็นจังหวะกับนิ้วแกร่งที่บี้คลึงเกสรรักอยู่ ขณะที่ปากก็ร้องครางไม่หยุด เขาบดเบียดเนื้อตัวที่มีเพียงเสื้อคลุมเพียงตัวเดียวลงมาหา ปลุกเร้าด้วยลิ้น ด้วยปาก และด้วยนิ้วมือกับกายสาวของหล่อนอย่างเชี่ยวชาญ และไม่นานเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มบนกายหนุ่มสีแทนก็ถูกกระชากออกไป ตอนนี้ความแข็งแกร่งและร่างกายที่แข็งดุจหินผาก็เบียดบดเข้ากับความนุ่มนิ่มของกายสาวอย่างไร้สิ่งใดขวางกั้น

“ร้อนแรง… สุดยอด จันทร์เจ้าขา…”

ไทเลอร์เงยหน้าขึ้นจ้องมองแม่ผู้หญิงที่กำลังร้องครางเป็นชื่อของตัวเองด้วยสายตาทึ่งจัด ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือคือคนเดียวกันกับผู้หญิงที่พยายามจะวิ่งหนีเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา คำตอบคือใช่ แต่ทำไมเจ้าหล่อนถึงได้แตกต่างกันมากมายนักนะ ยามปกติหล่อนใส่แว่น ทำตัวเหมือนสาวเฉิ่มเชย แต่ตอนนี้ ตอนที่หล่อนกำลังถูกนิ้ว ถูกลิ้นของเขาโรมรัน หล่อนกลับแปลงร่างเป็นสาวไฟแรงสูงได้อย่างง่ายดาย แค่พริบตาเดียวเท่านั้น

“อาจารย์ขา…”

ศีรษะของไทเลอร์ถูกกึ่งดึงกึ่งกระชากให้ลงไปประกบปากกับกลีบปากอิ่มที่เผยอรอคอยซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนจูบตอบเขา จูบเขา  คล้ายกับไร้ประสบการณ์ แต่กระนั้นกลับปลุกไฟปรารถนาลูกใหญ่ในกายของเขาให้ลุกโชนมากขึ้นจนถึงขีดสุด

“เธอร้อนแรงได้เหลือเชื่อ…”

ชายหนุ่มร้องครางลั่นด้วยความพึงพอใจกับความร้อนแรงของสาวน้อยใต้ร่าง เจ้าหล่อนดิ้นเจ้าหล่อนร่าน และเจ้าหล่อนก็ให้ความร่วมมือได้อย่างสุดเหวี่ยง เขาไม่เคยพบพานผู้หญิงคนไหนที่ตอบสนองได้ร้อนแรงได้เท่ากับจันทร์เจ้าขามาก่อนเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผู้หญิงบนเตียงนั้นมีเป็นร้อย และถึงแม้พวกหล่อนจะร้อง จะคราง จะตอบสนองเขามากแค่ไหน แต่เขาก็มองออกว่ามันคือจริต มันคือมารยา และมันคือการแสดง แต่กับผู้หญิงคนนี้… เขารู้… รู้ได้โดยสัญชาตญาณ หล่อนรู้สึก… หล่อนกำลังรู้สึกอย่างที่กำลังแสดงออกมาจริงๆ

“อาจารย์ขา… ได้โปรด…”

สะโพกงามแอ่นหยัดขึ้นถูไถกับความแข็งแกร่งพร้อมพรักของเขาอย่างเชิญชวน

“ไทเลอร์… เรียกฉันว่าไทเลอร์…”

มือหนาข้างที่ว่างจากการบี้คลึงเนินสาวเลื่อนขึ้นมากอบกุมเต้างามเอาไว้ บีบขยำแรงๆ จนเจ้าของร่างแอ่นเกร็งราวกับคันธนู

“ไทเลอร์… ได้โปรด… ได้โปรด…”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มพึงพอใจออกมา ขณะก้มต่ำลงไปดูดกลืนปลายถันเข้ามาไว้ในอุ้งปาก เสียงร้องครางของหล่อนดังขึ้นพร้อมๆ กับจังหวะที่ลิ้นและฟันคมๆ ของเขาขบลงกับยอดถัน หล่อนดิ้นพล่าน ปากร้องครวญคราง

“บอกฉันสิ… บอกว่าเธอต้องการให้ฉันทำอะไร”

“ฉัน… ฉันไม่รู้… ฉัน… อ๊ะ…”

นิ้วแกร่งที่ถูไถกับกลีบสาวดำดิ่งลงไปในช่องทางรักที่หยาดเยิ้มทันควัน จากนั้นก็พรมจูบต่ำลงไปยังหน้าท้องขาวเนียนไร้ไขมัน ขณะยังไม่หยุดตะโบมบี้คลึงเต้างามอวบอิ่ม

“เธอต้องรู้สิ… เธอต้องรู้… ว่ากำลังต้องการอะไร…”

“ไทเลอร์… ไทเลอร์ขา ได้โปรด…”

แม้จะวิงวอนออกไปมากมายแค่ไหน แต่ไทเลอร์คนใจร้ายก็ยังไม่หยุดก่อการร้ายกับร่างกายของหล่อนสักที ตอนนี้เขาดันต้นขาอวบของหล่อนให้กว้างมากขึ้น และเขาก็ใช้ลิ้นแกร่งปาดเลียร่องรักของหล่อนอย่างหิวกระหาย หล่อนกรีดร้อง ร่างกายเกร็งเครียด สองมือจิกทึ้งศีรษะทุยสวยเพื่อให้เขาแนบแน่นเข้ากับเนินสาวอย่างสุดความสามารถ

ยิ่งเขาปาดด้วยลิ้น ดูดกลืนด้วยริมฝีปาก และสอดแทรกด้วยนิ้วแกร่งอันเร้าใจ หล่อนก็ยิ่งร้อนเป็นไฟ หล่อนทนไม่ได้แล้ว ทนต่อความช่ำชองแสนมหัศจรรย์ของไทเลอร์ไม่ได้อีกแล้ว

“ไทเลอร์… ได้โปรด… ฉัน… ฉันไม่ไหวแล้ว…”

เขาไม่สนใจหล่อน ยิ่งหล่อนครางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตวัดลิ้นโลมเลีย จนสุดท้ายกายสาวก็กระตุกเกร็ง โก่งโค้งไม่ผิดจากคันธนู ไทเลอร์รู้ทันทีว่าเจ้าหล่อนถึงฝั่งฝันแล้ว เขาดูดซับน้ำผึ้งแสนหวานจากร่องสาวลงไปในลำคอด้วยความหิวกระหาย จากนั้นก็เลื่อนกายขึ้นไปจูบปากอิ่มซ้ำอีกครั้ง บดเคล้าอย่างแนบแน่น ร้อนแรง และบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน

ชายหนุ่มเลื่อนตัวไปคุกเข่าที่ระหว่างต้นขาอวบ มองความหยาดเยิ้มแสนหวานที่เขาได้ลิ้มลองมาแล้วด้วยริมฝีปากด้วยความหิวกระหาย จากนั้นก็สอดสองมือหนาเข้าไปใต้บั้นท้ายอวบที่ส่ายระริกอยู่และดึงเข้ามาหา จดจ่อความใหญ่โตมหึมากับความเป็นหญิงตรงหน้า

“ฉันกำลังจะทำให้เธอ… ลืมวันนี้ไม่ลง… จันทร์เจ้าขา…”

นิ้วของเขาลดลงมาบี้คลึงเกสรรักอีกครั้ง จากนั้นก็สอดลึกเข้าไปในช่องทางรักที่เปียกชื้น

“ต่อไปมันจะไม่ใช่นิ้ว… แต่มันจะเป็นตัวตนของฉัน…”

และมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาบอก เมื่อนิ้วของเขาถูกชักออกไป ก่อนจะแทนที่ด้วยความใหญ่โตแสนมหึมา เขากดส่วนหัวของมันเข้ากับความเป็นหญิงของหล่อน แต่ความเจ็บแปล๊บที่เกิดขึ้นทำให้ความเสียวซ่านภายในกายสาวจางหายไปโดยสิ้นเชิง หล่อนเบี่ยงตัวหนีด้วยความตกใจ

“อ๊ะ อย่า…”

“อย่ามาพูดคำนี้ตอนนี้”

ขาเค้นเสียงแปร่งพร่าใส่หน้าหล่อน จากนั้นก็กดกระแทกเข้ามาอีก

หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บร้าวไปทั้งร่าง เจ็บเหมือนกับร่างกายกำลังถูกฉีกทึ้งด้วยจอมมารร้ายอย่างเขา ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

“เจ็บ ฉันเจ็บ…”

ความเจ็บปวดของหล่อนทำให้เขาประหลาดใจ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถบังคับให้เขาหยุดครอบครองหล่อนได้ การควบคุมตัวเองของเขาล้มเหลวตั้งแต่เห็นกายสาวเปลือยเปล่าของหล่อนแล้วนั่นแหละ เขาขยับ กดลึก และส่ายวน แต่การดิ้นรนทั้งน้ำตาของเจ้าหล่อนก็ทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น พยายามที่จะบอกตัวเองให้หยุด ให้หยุดเคลื่อนไหว แต่เขาทำไม่ได้…

“ฉัน… หยุดไม่ได้… เธอแน่นเหลือเกิน”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้ชายที่มีอำนาจล้นฟ้าเช่นเขาต้องพบจุดจบแบบนี้ จุดจบกับร่างกายสวยสดของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เขาพึ่งจะรู้ชัดในตอนนี้เองว่าแสนจะบริสุทธิ์แค่ไหน หล่อนสะอาดและไร้เดียงสา เพราะอย่างนี้นี่เองหล่อนถึงได้จูบไม่เป็น ถึงตอบคำถามของเขาไม่ได้ว่าตัวเองกำลังต้องการอะไร หล่อนเป็นพรหมจารี จันทร์เจ้าขาเป็นสาวพรหมจรรย์

สะโพกเพรียวส่ายระรัว เขากระแทกแล้วก็กระแทกเข้าใส่ร่างกายอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย หล่อนคับแน่น ร้อนฉ่า กล้ามเนื้อเนียนนุ่มแสนหวานที่โอบกระชับรอบความแข็งแกร่งของเขานั้นมันเป็นยิ่งกว่าแพรต่วนเนื้อดีที่สุดในโลกเสียอีก

“พระเจ้า… ทำไมเธอถึงได้วิเศษขนาดนี้…”

ชายหนุ่มยังคงตรอกย้ำความเป็นเจ้าของเข้าใส่สะโพกงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนก็คงหายเจ็บปวดแล้วเพราะเริ่มร่อนสะโพกขึ้นรับแรงปะทะของเขาด้วยเช่นกัน เสียงครางของหล่อนดังขึ้นแผ่วเบา สองแขนของหล่อนกอดรัดเขาแน่น

ไทเลอร์กัดฟันแน่นต้องการจะยืดระยะเวลาแห่งความสุขให้เนิ่นนานเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต แต่กลับผู้หญิงคนนี้… กับกล้ามเนื้อที่ตอดระรัวอยู่ในตอนนี้ มันยากยิ่งที่เขาจะฝืนตัวเองเอาไว้จากความสุขสม เขาทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ได้อีก

ครั้งหน้า… ครั้งหน้าเขาจะต้องนานกว่านี้ ครั้งหน้า… เขาจะทำให้หล่อนคลั่งเพราะเขา ไม่ใช่อย่างที่เขาคลั่งเพราะหล่อนเช่นนี้

“ไม่ไหวแล้ว… ฉันไม่ไหวแล้ว… โอ้ว…”

“จำไม่ได้หรือไงคะ ถ้าคุณ…”

ร่างที่มีสภาพไม่ต่างจากนักโทษเพราะถูกมัดแขนทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ด้วยเนคไทสีดำสนิทดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ เมื่อรถสปอร์ตคันงามที่มีเจ้าของเป็นจอมมารผู้เหี้ยมโหดจอดสนิท หล่อนจ้องหน้าเขา มองเขาด้วยความหวาดกลัว พยายามวิงวอนให้เขาเมตตา

“อาจารย์… จะทำอะไรฉันคะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

ไทเลอร์ดับเครื่องยนต์รถคันงาม พร้อมๆ กับหันมาจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาที่น่าสะพรึงกลัว ริมฝีปากหยักสวยสีแดงระเรื่อของเขาคลี่ยิ้มหยันน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาเลือดเย็นออกมา

“เมื่อคืนฉันเกือบเชื่ออยู่แล้วนะว่าเธอไม่ได้ขายตัว…”

“ก็ฉันไม่ได้ขายตัวจริงๆ นี่คะ ฉันไม่ได้ขายตัวให้กับผู้ชายพวกนั้นด้วย ฉันไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของพวกนั้นด้วยซ้ำไป อาจารย์ไทเลอร์เชื่อฉันเถอะนะคะ ได้โปรด…”

หล่อนวิงวอนแต่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะเข้าใจในคำอธิบายของหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เขาแสยะยิ้ม มองหล่อนด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ

“เธอไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรให้ฉันฟัง…”

เขาก้มหน้าต่ำลงมาหา ลมหายใจของเขาเป่ารดพวงแก้มนวลของหล่อนในระยะกระชั้นชิด หัวใจของหล่อนเต้นแรงขานรับเสน่ห์แรงกล้าของเขาในทันที ผู้ชายคนนี้… ไม่ว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์ไหน เขาก็ยังคงมีอิทธิพลกับหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง หล่อนต่อกรกับเขาไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว แพ้ตลอด ไม่ว่าจะร่างกายหรือหัวใจก็ตาม

“เพราะต่อให้เธอผ่านผู้ชายมาเป็นร้อย… ฉันก็ไม่สนใจ”

“งั้นอาจารย์ลากฉันมาที่นี่ทำไมคะ ปล่อยดิฉันไปสิ…”

คนถูกถามแค่นยิ้มหยัน ไล้นิ้วมือไปตามแก้มนวล ก่อนจะไปหยุดที่กลีบปากอิ่ม

“นี่เธอยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าเธอน่ะกำลังจะถูกไล่ออก”

“ไม่นะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

“แต่ฉันเห็นความผิดของเธออย่างชัดเจน เต็มสองตาเหมือนๆ กับที่ทอมสันเห็น เธอเตรียมตัวออกไปจากมหาวิทยาลัยของฉันได้เลย”

เขายุติการไล้แก้มนวลของหล่อน และก้าวลงจากรถไป จันทร์เจ้าขาหน้าตาตื่น รู้สึกเหมือนถูกไม้ท่อนใหญ่ตีเข้าที่ศีรษะเต็มแรงจนมึนงง

“ไม่นะคะอาจารย์ไทเลอร์… อย่าทำแบบนี้กับฉันนะคะ…”

“ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นกฎของทางมหาวิทยาลัย”

เขาโต้ตอบอย่างดุเดือดทันที เมื่อกระชากประตูฝั่งที่หล่อนนั่งให้เปิดออก พร้อมๆ กับกระชากหล่อนให้ลุกขึ้นไปยืนเผชิญหน้า สายตาสีเขียวจัดเต็มไปด้วยความชิงชังเป็นที่สุด

“อีตัว… ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษา”

“แต่ฉันถูกใส่ร้ายนะคะ ฉัน…”

“หุบปาก…”

เขากระชากหล่อนให้เดินตาม หญิงสาวดิ้นรนแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เขาลากหล่อนไปยังลิฟต์ขนาดใหญ่ เดินผ่านผู้คนมากมายแต่ไม่มีใครสนใจจะช่วยหล่อนแม้แต่คนเดียว ทุกคนทำเหมือนกับมองไม่เห็นว่าหล่อนกำลังถูกผู้ชายตัวโตมัดมือและลากเข้าไปในลิฟต์ จันทร์เจ้าน้ำตาซึม มองเห็นจุดจบของตัวเองได้อย่างชัดเจน

“เมื่อคืนฉันยื่นข้อเสนอให้กับเธอ… ตั้งห้าแสนเหรียญเพื่อให้เธอมาดิ้นอยู่ใต้ร่างของฉัน แต่เธอก็ปฏิเสธ… ทำเป็นไร้เดียงสา ทั้งๆ ที่เนื้อตัวแสนจะสกปรก…”

คนถูกกล่าวหาน้ำตาร่วงเต็มแก้มนวล หล่อนกัดปากจนเจ็บพยายามต่อสู้เพื่อตัวเองอีกครั้ง

“ฉันรู้ว่าอาจารย์ไม่เคยเชื่อคำพูดของฉัน แต่ฉันสาบานได้เลย… ฉันไม่ได้ขายตัว ฉันไปทำงานที่ผับ ก็เพื่อหาเงินเรียน หาเงินส่งไปให้พ่อกับแม่ที่เมืองไทย”

“ตอแหล! แล้วไอ้ผู้ชายสามคนที่อยู่ในห้องฝ่ายปกครองเมื่อเช้านี้มันคือใครกันล่ะ มันเป็นบรรดาผัวเก่าๆ ของเธอไม่ใช่เหรอ ซึ่งฉันมั่นใจว่ามันไม่ได้มีแค่ไอ้ระยำสามคนนี้แน่”

ร่างของหล่อนถูกคนตัวโตผลักแรงๆ ให้เข้าไปในห้องกว้างขวางที่กินพื้นที่หมดทั้งชั้นบนแห่งนี้อย่างไม่ปรานี จากนั้นเขาก็ล็อคประตูห้อง และย่างสามขุมเข้ามาหาหล่อน ท่าทางเขาเต็มไปด้วยโทสะ ความเกรี้ยวกราดกระจ่างชัดบนใบหน้าหล่อลากไส้นั้น

เขาโกรธอะไร เกลียดอะไร ทำไมจะต้องแสดงท่าทางบ้าคลั่งแบบนี้ด้วย หล่อนมีค่าพอจะทำให้เขาโกรธ ทำให้โมโหได้ขนาดนี้เชียวหรือ

“ผู้หญิงอย่างเธอคงผ่านมาเป็นร้อยเป็นพันคนแล้วสินะ ใช่ไหมจันทร์เจ้าขา ใช่หรือเปล่า”

“ถึงจะใช่มันก็เรื่องของฉัน อาจารย์ไม่มีสิทธิ์มาทำรุนแรงกับฉันแบบนี้”

“ไม่มีสิทธิ์หรือ…”

เขากระชากร่างอรชรที่ยังถูกพันธนาการสองมือเอาไว้ด้านหลังเข้ามาปะทะอก จากนั้นสองมือหนาที่ไม่ผิดจากคีมเหล็กกล้าก็ขยุ้มหัวไหล่มนทั้งสองข้างเต็มแรง

“ฉันเจ็บนะ…”

หญิงสาวเบ้หน้าด้วยความเจ็บร้าว จนกระดูกแทบแตกหัก

“ต้องโปรยเงินใส่หน้าเธอก่อนถึงจะมีสิทธิ์ใช่หรือเปล่า ผู้หญิงแพศยา ผู้หญิงสกปรก เธอมันต่ำยิ่งกว่าอีตัวตามซ่องโสมมเสียอีก จันทร์เจ้าขา”

วาจาร้ายกาจของเขายิ่งทำให้หญิงสาวน้ำตาทะลัก หัวใจเจ็บร้าวทรมาน มองคนตัวโตด้วยความเสียใจและผิดหวัง ทำไมเขาจะต้องประณามหล่อนถึงขนาดนี้ด้วย หล่อนไม่ได้ฆ่าคนตายสักหน่อย

“ถ้าฉันสกปรก อาจารย์ก็ปล่อยฉันสิคะ อย่ามายุ่งกับฉัน”

เพราะความน้อยใจ ความเสียใจที่ปนเปกันจนแยกไม่ออกเลือกที่จะท้าทายพญามารอย่างไทเลอร์ออกไป โดยไม่ทันคาดคิดถึงผลตอบแทนแสนอำมหิตที่เขาจะโต้ตอบกลับมา

“หลังจากที่ฉันเข้าไปในตัวของเธอสักครั้ง… ฉันสาบานได้เลยว่าจะไม่มองเธออีกแม้แต่หางตา”

“นี่อาจารย์… หมายความว่ายังไงคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก

ไทเลอร์แสยะยิ้มร้ายกาจ เอื้อมมือไปกระชากเนคไทออกจากข้อมือบางก่อนจะผลักร่างอรชรให้ออกห่างจากตัวอย่างไม่ปรานีจนหญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็หยิบกระเป๋าสตางค์สีดำของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง และไม่นานธนบัตรจำนวนมากก็ถูกปาใส่หน้าหล่อน กลิ่นของเงินโชยฟุ้งเข้ามาในจมูก ซึ่งมันรุนแรงพอๆ กับกลิ่นไอของความอำมหิตจากไทเลอร์นั่นเอง

“ที่เธอทำทุกอย่างก็เพราะเงินพวกนี้ไม่ใช่หรือ คลานไปเก็บมันสิ”

จันทร์เจ้าขากัดฟันลุกขึ้นยืน ในมือกำธนบัตรสองสามใบเอาไว้แน่น ขณะเดินโซซัดโซเซเข้าไปหยุดตรงหน้าของไทเลอร์ หล่อนจ้องเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจและผิดหวังเป็นที่สุด

“คุณมันก็เหมือนๆ กับผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง ที่คิดว่าเงินซื้อทุกอย่างบนโลกนี้ได้”

“แล้วมันก็ซื้อได้จริงๆ ไม่ใช่หรือ แม้แต่ศักดิ์ศรีของผู้หญิงอย่างเธอ จันทร์เจ้าขา…”

“ฉันไม่ขาย ต่อให้คุณเอาเงินมาฟาดหัวฉันมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า ฉันก็ไม่ต้องการเงินของผู้ชายใจร้ายแบบคุณ”

ธนบัติที่กำเอาไว้ในอุ้งมือถูกปาคืนใส่หน้าหล่อลากดินของไทเลอร์ จากนั้นก็จะวิ่งหนี แต่ร่างทั้งร่างของหล่อนก็ถูกอุ้งมือจอมมารกระชากเอาไว้เสียก่อน

“เธอไม่มีสิทธิ์ออกไปจากที่นี่ ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำให้ฉันสนุกบนเตียง”

“ปล่อยนะ อย่าทำกับฉันแบบนี้ อาจารย์ไม่มีสิทธิ์”

หล่อนดิ้นรน พยายามที่จะรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็ริบหรี่เต็มที

“ผิดแล้วล่ะสาวน้อย… ฉันมีสิทธิ์ตั้งแต่โปรยเงินใส่หน้าของเธอแล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ต้องการเงินของอาจารย์ ฉันจะไม่ขายตัวให้อาจารย์”

ไทเลอร์หัวเราะหยัน มองสตรีที่ดิ้นรนพยายามจะหนีด้วยสายตาขยะแขยง ใช่… เขาขยะแขยงจันทร์เจ้าขา… ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ยังต้องการร่างกายสวยงามของหล่อนบนเตียงของเขา

รู้… รู้อยู่เต็มอกว่าแม่นี่แสนจะสกปรก ต่ำช้าโสมม แต่เขาก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ห้ามไม่ให้แตะต้องหล่อนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

“ในเมื่อเธอยอมขายตัวให้ผู้ชายทุกคนในรัสเซียได้ ฉัน… ก็ต้องซื้อเธอมานอนด้วยได้เช่นกัน”

“ไม่… ฉันไม่ยอม… อย่าทำกับฉันแบบนี้นะ”

“ฉันจะทำทุกอย่าง… ที่ฉันอยากจะทำ กับร่างกายเน่าๆ ของเธอ”

สายตาของเขาลุกโชนไปด้วยไฟปรารถนา และหล่อนก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถต้านทานมันได้ หากปล่อยให้เขาได้แตะต้องกายสาว หล่อนจะแพ้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้… หล่อนจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหล่อนได้อีก ไม่มีทางยอมอีกแล้ว

“ถ้าอาจารย์แตะต้องฉัน… อาจารย์ก็ต้องจดทะเบียนสมรสกับฉัน…”

คำว่า “ทะเบียนสมรส” เคยทำให้ไทเลอร์ถอยกรูดหนีจากหล่อนไปครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้หล่อนก็คาดว่ามันจะได้ผล เขาจะต้องปล่อยหล่อน แต่ผิดคาด… ผิดคาดที่สุด เมื่อพ่อคนโตตัวกลับหัวเราะเยาะหยัน และตอกกลับหล่อนจนหน้าชาดิก

“ถ้าเธอทำให้ฉันนอนกับเธอซ้ำเป็นครั้งที่สองได้… ฉันจะจดทะเบียนสมรสกับเธอ”

คนฟังหน้าแดงก่ำและพยายามดิ้นรน เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางทำได้ ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาข่าวคาวๆ ของไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟกระเด็นมาเข้าหูของหล่อนทุกๆ เวลา และส่วนใหญ่ข่าวต่างๆ ก็จะเน้นหนักไปด้วยเรื่องบนเตียงของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ใช้ผู้หญิงเปลืองเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เขาเขี่ยทุกหญิงทิ้งทุกเช้าไม่เคยใช้ซ้ำสอง แม้ว่าพวกผู้หญิงเหล่านั้นจะสวย จะงดงาม และเร่าร้อนแค่ไหนก็ตาม เคยมีนักข่าวเอ่ยถามไทเลอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ คำตอบที่ได้ก็คือ…

‘ผู้หญิงก็เหมือนถุงยางอนามัย ถ้าใช้ซ้ำก็มีแต่จะนำเชื้อโรคมาให้’

เขาเย่อหยิ่งจองหองและสุดแสนจะอันตรายต่อผู้หญิงเช่นหล่อน ผู้หญิงที่ต่ำต้อยไม่ได้อยู่ในระดับที่เขาจะคว้าไปขึ้นเตียงด้วยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันคงทำมันไม่ได้…”

“งั้นก็อย่าพูดถึงทะเบียนสมรสอีก”

แววตาของเขามืดดำ ร่างกายของเขาบึกบึนและแข็งแกร่งยามที่กอดกระชับรอบกายสาวของหล่อน

“ปล่อยฉันนะ… อย่าทำอะไรฉันเลย…”

“เสียใจด้วยแม่สาวร่านร้อน ทางเลือกของเธอถูกปิดตายทั้งหมดแล้วล่ะ”

“แต่ฉัน… ฉัน… ไม่ต้องการนอนกับคุณ”

คนฟังหัวเราะเสียงเลือดเย็น อ้อมกอดของเขายังเต็มไปด้วยความเดือดดาลจนหล่อนสัมผัสมันได้

“จากประสบการณ์ทั้งสองครั้งของเรา… ฉันว่าสิ่งที่เธอต้องการทำอย่างแรกในชีวิตก็คือการขึ้นเตียงกับฉันนะ…”

“ไม่… ฉันไม่ได้…”

“โกหกไม่เก่งเลยสาวน้อย เอาน่า… แค่ดิ้นๆ ส่ายๆ ทำให้ฉันผ่อนคลายในตัวของเธอเท่านั้นแหละ ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ออกไปใช้เงินกว่าห้าแสนเหรียญแล้ว ข้อเสนอนี้มันเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดในโลกเลยนะ ฉันรับรองได้”

“ไม่…”

“ใช่ ต่างหากล่ะ มันจะใช่… เธอจะต้องร้องว่าใช่… ทุกวินาทีที่อยู่บนเตียงของฉัน”

เขาแค่นยิ้ม และผลักหล่อนออกห่างทันที แต่ก่อนที่หล่อนจะได้สติและชิงวิ่งหนี น้ำเสียงกระด้างของเขาก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวของหล่อนลงอย่างชะงักงัน

“ถ้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว… ชีวิตของเธอในมหาวิทยาลัยของฉันจะจบลงในทันที”

คนฟังหน้าซีดและหันกลับมามองทั้งน้ำตา หัวใจอัดแน่นไปด้วยความอัปยศอดสู ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้

“นี่… อาจารย์หมายความว่า…”

ไทเลอร์ไหวไหล่กว้างของตัวเองน้อยๆ ขณะเดินมาหยุดตรงหน้าแม่สาวน้อยแสนสกปรก แต่กระนั้นเขาก็ยังหักห้ามใจให้อยู่ห่างๆ หล่อนไม่ได้เลยสักนิด เขายังต้องการหล่อน ต้องการจนแทบบ้า และก็แทบคลั่งจนพังโลกได้ทั้งใบ เมื่อจู่ๆ ก็มีไอ้ระยำสามคนมาแสดงตัวตนว่าเคยลิ้มลองเจ้าหล่อนมาแล้ว เขาแทบบ้า แทบอยากจะบีบคอหล่อนให้หักตายคามือ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาลากหล่อนมาที่นี่ มาที่เพนท์เฮ้าส์ที่จะขยี้แม่สาวน้อยคนสวยให้ตายคาเตียง

อีตัวแบบหล่อน ต้องตายบนเตียงเท่านั้น

“นอนกับฉัน… เพื่อแลกกับการไม่ถูกไล่ออก”

เสมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาใส่ศีรษะ น้ำตาที่ไหลเต็มหน้าค่อยๆ เหือดแห้งไปจากแก้มนวล แต่กลับไหลบ่าเข้าท่วมท้นหัวใจสาวแทน หล่อนเจ็บปวดทรมาน ที่ถูกจอมมารตรงหน้าเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แต่หล่อนไม่มีทางเลือก… ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว

อีกไม่ถึงเดือนหล่อนก็จะเรียนจบแล้ว จะได้ใบปริญญาไปให้พ่อกับแม่ที่รออยู่ที่เมืองไทย พวกท่านตั้งความหวังเอาไว้กับหล่อนมาก หวังให้หล่อนเรียนจบและกลับไปหางานดีๆ ทำและอยู่กับพวกท่านที่บ้านในชนบท แต่นี่… หล่อนกลับจะถูกไล่ออก กำลังจะทำให้ฝันของพวกท่านพังทลาย

หล่อนทำร้ายพ่อกับแม่ไม่ได้ ทำไม่ได้…

“ตกลงค่ะ ฉันจะนอนกับอาจารย์”

ไทเลอร์แสยะยิ้มร้ายกาจมองสตรีตรงหน้าด้วยความชิงชัง อีตัวยังไงก็คืออีตัววันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนสันดานได้หรอก

“ไปอาบน้ำให้สะอาด ล้างกลิ่นสำส่อนให้หมดจดเสียด้วย เพราะถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยต้องการสาวบริสุทธิ์บนเตียง แต่ฉันก็ไม่ต้องการอีตัวบนเตียงเช่นกัน เธอคืออีตัวคนแรกที่ฉันอยากลิ้มรส ไปได้แล้ว ฉันให้เวลาครึ่งชั่วโมง…”

คนฟังเจ็บลึกไปถึงขั้วหัวใจ แต่เพราะไม่มีทางเลือกจึงจำต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง หล่อนก้มหน้าจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่ก็ถูกเรียกเอาไว้ก่อน

“เธอคุมกำเนิดยังไง”

น้ำเสียงห้วนกระด้างของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวยิ่งนัก หล่อนมองเขาด้วยความมึนงง และตอบไม่ถูก

ไทเลอร์มองอย่างรำคาญใจ

“ทำไมไม่ตอบล่ะ กิน ฉีด หรือว่าใส่ห่วง…”

จันทร์เจ้าขาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะตอบยังไง สุดท้ายก็จำต้องพูดความจริงออกไป

“คือฉัน… ฉันไม่ได้กินยาคุม…”

“งั้นก็คงฉีดยาใช่ไหม… ดีปลอดภัยดี”

หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ

“เอ่อ ฉันไม่ได้ฉีดยาคุมด้วยค่ะ”

ไทเลอร์กระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อผู้หญิงตรงหน้าพยายามแสดงท่าทางไร้เดียงสาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“งั้นก็ใส่ห่วง…”

ชายหนุ่มคิดว่าคำตอบของตัวเองในตอนนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แต่สุดท้ายก็ผิดคาดเมื่อแม่เจ้าประคุณส่ายหน้าซ้ำอีกครั้ง

“แล้วตกลงเธอคุมกำเนิดยังไง”

เสียงกระด้างที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งทำให้จันทร์เจ้าขาตัวสั่น

“ฉัน… ฉันไม่ได้คุมกำเนิด”

“พระเจ้า! แล้วเธอรอดพ้นจากการตั้งครรภ์ได้ยังไง หรือว่าเธอเป็นหมัน”

“ฉันไม่รู้… ฉัน…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว น่ารำคาญ รีบไปอาบน้ำเร็วๆ เข้า และก็ออกมาทำหน้าที่แสนถนัดของเธอซะ ส่วนเรื่องคุมกำเนิดฉันจะจัดการเอง”

หญิงสาวเม้มปากเป็นเส้นตรง น้ำตาซึมคลอขอบตา ขณะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ หัวใจของหล่อนมีแต่รอยแผลกับการกระทำของผู้ชายใจร้ายอย่างไทเลอร์

“แล้วไม่ต้องใส่เสื้อผ้าออกมานะ ฉันไม่ต้องการเสียเวลาถอดมันออก”

แม้จะปิดประตูห้องน้ำแล้วแต่เสียงอำมหิต เลือดเย็นของผู้ชายที่หล่อสุดๆ ในสามโลกก็ยังคงตามเข้ามารังควาน หญิงสาวทรุดฮวบลงกองกับพื้นห้องน้ำ นั่งร้องไห้ด้วยความปวดใจอยู่เนิ่นนาน

เมื่อคืนหล่อนโทรไปลางานที่ผับเพราะไปทำไม่ไหวจริงๆ ร่างกายและหัวใจของหล่อนไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับใครในตอนนั้นเลย ไทเลอร์ทำร้ายหล่อนอย่างเหี้ยมโหด และเขาก็ทำให้หล่อนนอนร้องไห้ตลอดทั้งคืนได้อย่างเลือดเย็น

“อุ๊ย… ขะ ขอโทษค่ะ…”

เพราะความใจลอยแท้ๆ ทำให้หล่อนเดินชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งเข้าและเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นทันทีว่าเป็นใคร

“อาจารย์โจชัว”

“เดินใจลอยแต่เช้าเลยนะจันทร์เจ้าขา”

หญิงสาวฝืนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกครั้ง

“ฉันขอโทษค่ะอาจารย์…”

“ไม่เป็นไรหรอก แล้วเจอกันในชั่วโมงเรียนก็แล้วกันนะ”

ชายหนุ่มจะเดินจากไป แต่จันทร์เจ้าขาร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน

“เอ่อ อาจารย์คะ เมื่อวานอาจารย์ไม่ได้มาสอน อาจารย์ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

คำถามของหล่อนทำให้คนถูกถามแสดงสีหน้าเซ็งเป็ดขึ้นมาในทันที

“ผมสบายดี ร่างกายแข็งแรงมาก และไม่ได้ป่วยอะไรทั้งนั้น”

“อ้าว… แล้วเมื่อวานอาจารย์ทำไมไม่มาสอนล่ะคะ ทำไมให้… เอ่อ อาจารย์ไทเลอร์มาสอนแทน”

“ผมถูกขังเอาไว้ในห้องน้ำน่ะ โดนขังอยู่เกือบสองชั่วโมง ดีนะที่คุณไทเลอร์ผ่านไปเจอแล้วช่วยผมออกมา ไม่อย่างนั้นคงได้นอนตายอยู่ในนั้นแหละ เอ่อ ว่าแต่คุณไทเลอร์ไปสอนแทนผมหรือ”

“ค่ะ อาจารย์ไทเลอร์มาสอนแทน”

โจชัวแสดงสีหน้าแปลกใจน้อยๆ ก่อนจะคิดไปในแง่ดี

“คุณไทเลอร์คงไม่อยากให้พวกคุณเสียเวลาไปเปล่าๆ มั้ง เลยไปสอนแทนผม เอาล่ะ ผมไปสอนก่อนนะ ไว้เจอกัน”

“ค่ะ อาจารย์โจชัว”

อาจารย์โจชัวเดินจากไป จันทร์เจ้าขาเองก็จะมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของตัวเองเช่นกัน แต่เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของฟิลิเซียและพวกก็ดังขึ้นด้านหลังเสียก่อน

“จะรีบไปไหนล่ะ แม่คนมีแบล็คใหญ่”

จันทร์เจ้าขาถอนใจออกมา ก่อนจะพูดออกไปเพราะไม่อยากมีเรื่อง

“ฉันจะไปเรียน พวกเธอช่วยหลีกทางให้ฉันเถอะ”

ฟิลิเซียกับเจนี่หันไปหัวเราะให้กัน ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมาจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาร้ายกาจและน่ากลัว

“วันนี้… หรืออาจจะเป็นทุกๆ วันต่อจากนี้ด้วยก็เป็นได้ จริงไหมเจนี่”

ฟิลิเซียยิ้มเหยาะหล่อน ก่อนจะหันไปหาเสียงสนับสนุนจากพวกของตัวเอง ซึ่งเจ้าหล่อนก็ไม่ได้ผิดหวังแม้แต่นิดเดียว เพราะแม่เจนี่ใส่เต็มแม็กซ์เลยทีเดียว

“จริงสิจ๊ะฟิลิเซีย ฉันว่าแม่เจ้าขาคงจะมีโอกาสได้เหยียบในมหาลัยเป็นวันสุดท้ายแล้วล่ะ”

“นี่พวกเธอหมายความว่ายังไง”

“งงเหรอจ๊ะ แม่จันทร์เจ้าขา…”

ฟิลิเซียเดินหมุนรอบตัวของหล่อน ก่อนจะมาหยุดตรงหน้า และใช้สายตามองอย่างเหยียดหยามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

“ใช่ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเธอกำลังพูด”

“งั้นเธอคงต้องไปถามจากอาจารย์ทอมสันเองแล้วล่ะ”

“อาจารย์ทอมสัน…”

จันทร์เจ้าขาทวนคำ

“ใช่ เชิญไปห้องฝ่ายปกครองด่วนจ้ะ จันทร์เจ้าขา อาจารย์ทอมสันกำลังรอจัดการกับเธออยู่”

ฟิลิเซียพูดจบก็หัวเราะร่วนก่อนจะเดินจากไปพร้อมๆ กับเจนี่คู่หูของตัวเอง ทิ้งให้หล่อนมองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังขาเป็นที่สุด

เข้าห้องฝ่ายปกครองอีกแล้วหรือ… สัปดาห์นี้หล่อนเข้าไปถึงสามครั้งแล้ว นี่จะเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งหล่อนมั่นใจว่าคงเป็นเรื่องเดิมๆ อีกนั่นแหละ จันทร์เจ้าขาถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็จำต้องเดินตรงไปยังห้องฝ่ายปกครองอย่างไม่มีทางเลือก

ไม่นานห้องฝ่ายปกครองที่ติดกระจกมืดดำจนมองทะลุเข้าไปด้านในไม่เห็นก็อยู่ตรงหน้า หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจดึงประตูให้เปิดออก และก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปหยุดอยู่ภายในห้องนั้น

ความเย็นเหยียบจากเครื่องปรับอากาศชั้นดีภายในห้องยังไม่สามารถทำให้หล่อนสั่นสะท้านไปทั้งตัวและหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจได้เท่ากับการได้ประสานสายตากับนัยน์ตาสีเขียวจัดของผู้ชายที่อยู่ในความนึกคิดตลอดเวลาอย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

เนื้อตัวของหล่อนเย็นเฉียบ หัวใจของหล่อนเต้นแรง แค่สบตากับไทเลอร์เท่านั้นโลกทั้งใบของหล่อนก็ตีลังกากลับหัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด ผู้ชายเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นี้ช่างมีอิทธิพลกับทุกสรรพสิ่งในร่างกายของหล่อนเสียเหลือเกิน จนหล่อนคิดว่ามันมากเกินไปซะด้วยซ้ำ

“เอ่อ… อาจารย์ทอมสันมีอะไรกับฉันหรือคะ”

กัดฟันละสายตามาจากไทเลอร์ที่ยืนจ้องหล่อนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างห้องได้สำเร็จก็หันมาเอ่ยถามทอมสันด้วยน้ำเสียงที่พยายามฝืนให้ราบเรียบ

“เธอรู้จักผู้ชายสามคนนี้หรือเปล่า”

น้ำเสียงและสายตาของทอมสันที่มองมายังหล่อนนั้นเต็มไปด้วยความขยะแขยง และเกลียดชัง ลางสังหรณ์ร้องเตือนอย่างบ้าคลั่งว่าหล่อนกำลังจะพบกับจุดจบที่น่าสะพรึงกลัว

“เอ่อ…”

หญิงสาวหันไปจ้องผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก หล่อนไม่ทันได้มองพวกเขายามที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ เพราะสายตาของหล่อนถูกตรึงอยู่กับไทเลอร์เพียงคนเดียว แต่ตอนนี้หล่อนมองเห็นพวกเขาแล้ว และก็เห็นรอยยิ้มหยันของพวกเขาด้วยเช่นกัน

“ฉันไม่รู้จักค่ะ”

หล่อนตอบตามความจริง แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้ชายทั้งสามคนตรงหน้า รวมถึงทอมสันด้วย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย นั่นก็คือไทเลอร์ เขายังคงมองหล่อนนิ่ง มองด้วยสายตามืดดำอ่านไม่ออก

“เธอมีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมรับ แต่ผู้ชายทั้งสามคนนี้บอกว่ารู้จักเธอ…”

ทอมสันลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินอ้อมโต๊ะออกมาเผชิญหน้ากับหล่อน

“และรู้จักดีด้วย”

จันทร์เจ้าขาเลิกคิ้วสูง และพยายามอธิบาย ตอนนี้หล่อนกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนัก นี่มันอะไรกัน และผู้ชายสามคนนี้นี่เป็นใคร ทำไมถึงบอกว่ารู้จักกับหล่อนล่ะ

“แต่ฉันไม่รู้จักพวกเขานะคะ ฉันไม่รู้จักจริงๆ ค่ะ”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะสาวน้อย…”

หนึ่งในสามชายโฉดยื่นมือมาแตะที่ต้นแขนของหล่อนอย่างหยอกเย้า หญิงสาวรีบเบี่ยงตัวหนีอย่างรังเกียจ หล่อนชิงชังขยะแขยงสัมผัสของผู้ชายทุกคนในโลกใบนี้ ยกเว้นสัมผัสทมิฬของผู้ชายที่ชื่อไทเลอร์เพียงคนเดียวเท่านั้น

“เรารู้จักกันดีมาก รู้จักทุกซอกทุกมุม”

“นี่พวกคุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ และอย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันแบบนี้นะ”

ชายทั้งสามคนหัวเราะร่วน

“พวกเราเคยทำกับเธอมากกว่าแค่แตะแขนเสียอีกนะ บนเตียงน่ะเราสนุกกันมาก จำไม่ได้หรือไง ที่เราไปสวิงกิ้งกันในบ้านของฉันน่ะ เราสนุกกันโต้รุ่ง และก็เป็นเธอนะสาวน้อยที่เป็นฝ่ายนัดพวกเราให้มาสนุกกันหลังจากนั้นอีกตั้งหลายครั้ง”

“ไอ้พวกบ้า ฉันไม่รู้จักพวกคุณ อย่ามาพูดแบบนี้นะ”

จันทร์เจ้าขาปฏิเสธลั่น และมองไปยังไทเลอร์อย่างพยายามวิงวอนให้เขาเชื่อ หล่อนไม่อยากให้เขามองหล่อนแย่มากไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เพราะสายตาของเขาที่มองมายังหล่อนตอนนี้เต็มไปด้วยความชิงชังเป็นที่สุด หล่อนเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด

“ฉันไม่รู้จักพวกคุณ… และถ้าพวกคุณยังใส่ร้ายป้ายสีฉันอยู่แบบนี้ ฉันจะไปแจ้งความ”

“พวกเราไม่กลัวหรอกจันทร์เจ้าขา น้องเจ้าขาคนสวย…”

หนึ่งในนั้นเรียกชื่อของหล่อนอย่างสนิทสนม จันทร์เจ้าขาหน้าซีดเผือด

“นี่พวกคุณรู้จักชื่อของฉันได้ยังไง”

“อย่าทำเป็นไร้เดียงสาน่า เธอขายตัวอยู่ในผับ พวกเราและเพื่อนๆ ของพวกเราอีกตั้งหลายคนเคยซื้อเธอไปสนุกด้วย อย่ามาทำเป็นใสซื่อเลย มันไม่เนียนหรอก”

“พวกคนเลว…!”

จันทร์เจ้าขาเค้นเสียงโกรธแค้นออกมา ก่อนจะกระโจนเข้าไปฟาดปากของคนพวกนั้นด้วยกำปั้นเล็กๆ ของตัวเอง แต่ก็ยังทำได้ไม่สาแก่ใจเลยทอมสันก็เข้ามากระชากหล่อนออกไปซะก่อน จากนั้นทอมสันก็แสดงท่าทางขยะแขยงหล่อนออกมา

“ฉันไม่น่าเอามือไปแตะเนื้อตัวสกปรกของเธอเลย จันทร์เจ้าขา”

“อาจารย์ทอมสันคะ แต่ฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะคะ ไม่ได้ทำ…”

“แต่พวกผมยืนยันได้ครับว่าผู้หญิงคนนี้ทำงานอย่างว่าจริงๆ พวกผมเคยซื้อเธอไปนอนด้วยตั้งหลายครั้ง และก็เคยติดโรคจากเธอด้วย”

“ไอ้บ้า! ฉันไม่ได้นอนกับพวกแกสักหน่อย”

จันทร์เจ้าขาปฎิเสธอย่างบ้าคลั่ง และหันกลับไปมองไทเลอร์อย่างวิงวอนอีกครั้ง

“อาจารย์ไทเลอร์คะ ฉัน… ฉันไม่เคยนอนกับคนพวกนี้จริงๆ ไม่เคย…”

ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจว่าเขาจะคิดยังไง แต่หล่อนก็ยังอยากให้เขามองหล่อนในแง่ดีบ้าง แม้จะสักนิดก็ยังดี

“หุบปากซะ หลักฐานทุกอย่างมัดตัวเธอแน่น เธอไม่สามารถดิ้นหลุดแล้วล่ะจันทร์เจ้าขา”

น้ำตาแห่งความขมขื่นหลั่งรินออกมา หญิงสาวมองผู้ชายตรงหน้าอย่างผิดหวัง แม้แต่เขาก็ยังไม่เชื่อใจหล่อน แต่จะไปหวังอะไรจากไทเลอร์กันล่ะ ในเมื่อหล่อนเองก็ต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของเขามากมายอยู่แล้ว ที่เขาไม่เชื่อก็ไม่ใช่ว่าเขาจะผิดสักนิด

“ทอมสัน ผมให้สิทธิ์คุณจัดการกับเรื่องนี้เต็มที่”

“ส่วนเธอ…” เขาหันมาจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาลุกเป็นไฟ

“ไปกับฉัน…”

แล้วข้อมือของหล่อนก็ถูกคว้าหมับด้วยครีมเหล็กที่ร้อนระอุ

“ไม่นะคะ อาจารย์จะพาฉันไปไหนคะ”

คนที่ฉุดกระชากลากถูหล่อนไม่หยุดเดินและลากหล่อนตรงไปที่รถอย่างเผด็จการ ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของทอมสัน

“ทำไมคุณไทเลอร์จะต้องลากแม่จันทร์เจ้าขาไปด้วยแบบนี้นะ”

และไม่ใช่แค่ทอมสันคนเดียวหรอกที่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฟิลิเซียและเจนี่ที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ก็รู้สึกไม่แตกต่างกันเลย

“นั่น… อาจารย์ไทเลอร์จะพานังเจ้าขามันไปไหนน่ะ”

ฟิลิเซียอุทานด้วยความกังขา

“นั่นสิ ลากไปที่รถ หรือว่า…”

“หรือว่าอะไรยายเจนี่…”

คำถามของฟิลิเซียทำให้เจนี่ต้องรีบอธิบายออกมา

“หรือว่าอาจารย์ไทเลอร์จะหึง และลากนังเจ้าขามันไปปล้ำ…”

“ไม่มีทาง ยายเจนี่ ห้ามพูดแบบนี้เด็ดขาด อาจารย์ไทเลอร์ไม่มีทางตาต่ำแบบนั้นหรอก ยิ่งอาจารย์รู้เรื่องที่เราสร้างขึ้นมาด้วยแล้ว ไม่มีทางที่อาจารย์ไทเลอร์ที่รักของฉันจะยอมลดตัวไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกอย่างนังเจ้าขาแน่ ไม่มีทาง…”

แม้เจนี่จะไม่ได้คิดไปในทิศทางเดียวกับฟิลิเซีย แต่หล่อนก็จำต้องเออออตามน้ำไป เพราะไม่อยากถูกยายฟิลิเซียเจ้าอารมณ์ตะกุยเล็บใส่หน้า

“เธอว่ายังไงฉันก็ว่างั้นแหละ ไปเถอะ เราไปฉลองกับความสำเร็จของแผนการของเราเถอะ”

“ใครว่าแผนการของเรา แผนของฉันคนเดียวต่างหาก”

ฟิลิเซียตอกกลับจนเจนี่หน้าหงาย

“แต่ฉันเป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้นมานะ และไอ้สามคนนั้นมันก็คนรู้จักของฉันทั้งนั้น”

เจนี่อดแย้งไม่ได้ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถเอาชนะฟิลิเซียคุณหนูเอาแต่ใจได้อยู่ดี

“ลืมไปแล้วหรือไงเจนี่ ฉันจ่ายเงินค่าหัวสมองของเธอไปแล้ว ดังนั้นแผนการนี้มันคือแผนการของฉัน เธอก็แค่เบ๊รับใช้ฉันเท่านั้น”

พูดจบแล้วฟิลิเซียก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที จึงไม่ทันได้เห็นแววตาคลั่งแค้นในสายตาของเจนี่แม้แต่นิดเดียว

“ไม่ค่ะ… ขอร้องเถอะนะคะอย่ามาดูถูกฉันแบบนี้”

ท่าทางที่แข็งกร้าวของจันทร์เจ้าขาทำให้ไทเลอร์ต้องหรี่ตามองด้วยความประหลาดใจ เขาแค่นยิ้มขณะเอ่ยถามออกไป

“เธอนี่ก็แปลกคนนะ เมื่อกี้ยังร่อนสะโพกส่ายคลึงบนไอ้นี่ของฉันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนกับเป็นคนละคนกับผู้หญิงคนนั้น”

หล่อนอับอาย หน้าร้อนผ่าว ที่ถูกเขาเอาความจริงมาสาดซัดใส่หน้า แต่หล่อนก็จำต้องอดทน จำต้องกล้ำกลืนความรู้สึกอดสูนั้นเอาไว้ และต่อสู้เพื่อตัวเองต่อไป

“ฉันก็แค่ต่อสู้กับสัมผัสเชี่ยวชาญของคุณไม่ได้เท่านั้น ขอโทษนะคะ ฉันคงรับข้อเสนอของคุณไม่ได้”

ไทเลอร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามนิ่ง ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“เงินน้อยไปล่ะสิ คืนนั้นฉันเสนอให้เธอเท่าไหร่นะ หมื่นเหรียญหรือสองหมื่นเหรียญ แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคืนนี้ถ้าเธอยอมไปนอนกับฉัน ทำให้ฉันครางด้วยความคับแน่นของเธอล่ะก็ฉันจะจ่ายให้เธอหนึ่งแสนเหรียญ”

แม้จะรักเขามากมายแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันเป็นยิ่งกว่ามีดที่กรีดลงบนกลางหัวใจของหล่อนเสียอีก เขาดูถูกหล่อน เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหล่อนอย่างไม่น่าให้อภัย และหล่อนจะไม่มีวันยอมให้สิ่งที่เขาต้องการเกิดขึ้นอีกแน่นอน

“ฉันไม่ต้องการ…”

หล่อนสะบัดตัวหนี เมื่อคนตัวโตจะก้มต่ำลงมาจูบปากอีกครั้ง จากนั้นก็จะถลันออกจากรถ แต่มือหนาก็เร็วเหลือเกิน คว้าหล่อนเอาไว้ได้ทันอีกแล้ว

“ห้าแสนเหรียญ… นี่มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับผู้หญิงแบบเธอเลยนะ จันทร์เจ้าขา”

หญิงสาวมองเขาด้วยความเจ็บช้ำ มองทั้งน้ำตา ชอกช้ำไปทั้งหัวใจ

“ถ้าจะนอนกับฉัน คุณก็ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดของคุณ”

ไทเลอร์หัวเราะเยาะ มองหล่อนอย่างดูแคลน

“นี่แม่คุณ เธอมีค่าขนาดจะมาต่อรองกับฉันเลยหรือ เนื้อตัวของเธอไม่ได้สะอาด ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องจ่ายให้เธอมากกว่าอีตัวคนอื่นๆ ที่ฉันลากขึ้นไปขย่มบนเตียง”

“งั้นเราก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก ลาก่อนค่ะอาจารย์ไทเลอร์”

เมื่อเห็นหญิงสาวจะไปจริงๆ ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะรั้งเอาไว้ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องรู้สึกโหยหาแม่นี่ ทำไมจะต้องอยากได้แม่นี่จนตัวสั่น หล่อนก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ ไม่ได้มีอะไรดีมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาผ่านมาเลย หนำซ้ำดูว่าจะต่ำต้อยไร้ราคากว่าเสียอีก สวยกว่าเหรอ ไม่ใช่หรอก หุ่นดีกว่าเหรอ ก็ไม่ใช่ แล้วเพราะอะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้เขาต้องการหล่อนมากมายเพียงนี้ ต้องการจนแทบคลั่ง ต้องการจนต้องยอมลงทุนทุกอย่างเพื่อให้ได้หล่อนมาอยู่บนเตียง เพราะอะไร?!

“เดี๋ยวก่อนสิ…”

“ฉันต้องรีบไปทำงานค่ะ”

“สิ่งที่มีค่าที่เธอต้องการ คืออะไร”

จันทร์เจ้าขาหันไปจ้องตากับนัยน์ตาสีเขียวจัดของชายหนุ่ม หล่อนรู้ดีว่าสิ่งที่หล่อนต้องการ เขาไม่มีทางหยิบยื่นมันให้กับหล่อนได้ แต่หล่อนก็ยังอยากจะให้เขาเข้าใจ และทำให้เขารู้ว่าศักดิ์ศรีของหล่อนนั้นต้องแลกด้วยอะไรถึงจะคู่ควร

“ถ้าอาจารย์ต้องการฉันบนเตียง อาจารย์ก็จะต้องจดทะเบียนสมรสกับฉัน”

เนื้อตัวของไทเลอร์เกร็งเครียด ก่อนที่เขาจะหัวเราะเยาะออกมา

“หัวหมอนี่ อยากเป็นเมียฉันไปตลอดชีวิตสินะ”

“ค่ะ ถ้าอาจารย์ต้องการได้ฉันเป็นเมีย อาจารย์ก็ต้องจดทะเบียนสมรสกับฉัน”

“ฝันไปเถอะแม่คนหัวหมอ ฉันไม่มีทางยอมให้อิสรภาพของตัวเองไปอยู่ในกำมือของอีตัวแบบเธอหรอก ไม่มีทาง!”

แล้วเขาก็ปล่อยมือจากหล่อนทันที ราวกับมือของหล่อนนั้นคือกองไฟ สายตาสีเขียวจัดของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามชิงชัง หล่อนเจ็บปวดกับสายตาของเขา เจ็บปวดกับคำพูดของเขา และเจ็บปวดเป็นที่สุดกับการกระทำของเขา

“งั้นอาจารย์ก็ไม่ควรจะเข้าใกล้ฉันอีก หวังว่าอาจารย์จะทำได้นะคะ”

จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้มคล้ายกับไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ภายในอกเจ็บเจียนตาย จากนั้นก็ก้าวลงไปจากรถสปอร์ต ปิดประตูเบาๆ และยืนนิ่ง ไม่นานเจ้ารถราคาแพงระยับคันนั้นก็แล่นจากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับร่างของหล่อนที่ทรุดฮวบลงกองกับพื้น น้ำตาไม่รู้มาจากไหนนักหลั่งรินท่วมท้นใบหน้า หัวใจทุกข์ทรมานและแสนจะขมขื่น ถ้าผู้ชายคนอื่นพูดแบบนี้หล่อนคงจะแค่รู้สึกอับอาย แต่นี่คือไทเลอร์… ไทเลอร์ผู้ชายที่หล่อนเฝ้าแอบรักแอบมองอยู่เงียบๆ มากว่าสี่ปี ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาไม่ผิดไปจากคมมีดเลยแม้แต่นิดเดียว มันทั้งเชือดทั้งเฉือนหัวใจขอหล่อนอย่างไร้ความปรานี หล่อนเจ็บปวด ทรมาน แต่ก็ทำได้แค่เพียงร้องไห้ปลอบตัวเองอยู่เงียบๆ เท่านั้น

หล่อนไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องไทเลอร์ นี่คือสิ่งเดียวที่หล่อนจำเป็นต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ เขาสูงประดุจดั่งแผ่นฟ้ากว้าง ในขณะที่หล่อนต่ำต้อยราวกับก้นเหวลึก ไม่มีทางที่จะได้คู่กัน ไม่มีทางแม้จะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม

หญิงสาวซบหน้าร้องไห้กับหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเองด้วยความเจ็บปวด ซึ่งในขณะที่ผู้ชายที่หล่อนกำลังตัดพ้อกับความใจร้ายของเขานั้นก็กำลังหงุดหงิดงุ่นง่านไม่ต่างกัน ไทเลอร์หักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าจอดข้างทางอีกครั้ง ก่อนจะซัดกำปั้นหนาลงกับพวงมาลัยรถจนเสียงแตรดังลั่น

“ระยำ! เธอคิดว่าเธอเป็นใคร คิดว่าเธอเป็นใคร ถึงกล้ามาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้กับฉัน ยายผู้หญิงชั้นต่ำ ผู้หญิงอย่างเธอ แค่ฉันยอมมีเซ็กซ์ด้วยมันก็มากเกินพอแล้ว”

กำปั้นหนาหนักสีแทนระดมทุบลงบนพวงมาลัยรถซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหว แต่ผู้ชายที่เหยียบโลกเอาไว้ทั้งใบอย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟไม่สนใจ เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังสนใจที่สุดก็คือความบ้าคลั่งในร่างกายของตัวเองมากกว่า ร่างกายที่ไม่ยอมสงบ ร่างกายที่ยังคงหิวกระหายไม่จางลง

“มันก็แค่เซ็กซ์ ผู้หญิงคนไหนก็ทำให้ฉันสนุกได้”

แล้วรถสปอร์ตคันงามก็แล่นออกไปจากข้างทาง มุ่งหน้าไปยังเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของตัวเองที่กินพื้นที่ทั้งชั้นของโรงแรมที่ดีที่สุดในมอสโกทันที เขาจะโทรเรียกนางเอกเบอร์หนึ่งของรัสเซียมาขย่มบนเตียง แค่นี้ไอ้ความรู้สึกหิวกระหายของเขาก็จะหายไป ใช่… มันจะต้องหายไปจนหมด แม่จันทร์เจ้าขาไม่มีทางมาครอบงำสมองฉลาดๆ ระดับบิลเกตส์ของเขาได้ ไม่มีทางเป็นไปได้

ตลอดทางเต็มไปด้วยความเงียบ ทั่วทั้งรถสปอร์ตคันงามก็เช่นกัน ทุกอย่างเงียบกริบ มีแต่เสียงหัวใจของหล่อนเท่านั้นล่ะมั้งที่ดังระส่ำอยู่ตลอดเวลา หล่อนรู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางเป็นที่สุด และในที่สุดหล่อนก็ทนต่อความเงียบงันไม่ได้อีกต่อไป

“กรุณาจอดรถเถอะค่ะ ฉันจะลงตรงนี้…”

ได้ผล รถสปอร์ตคันงามสีดำเงาวับเลี้ยวเข้าจอดที่ข้างทางทันที พร้อมๆ กับคนขับที่หันมาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง

“สภาพแบบนี้ยังจะมาอวดเก่งอีก”

หญิงสาวเชิดหน้าสูง พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่อ่อนแอต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทุกอณูเนื้ออัดแน่นไปด้วยอันตราย เขาคือสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดสำหรับผู้หญิงอย่างหล่อน

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่ช่วยฉัน”

หล่อนควานหาที่เปิดประตูและก็เจอมัน กำลังจะดันให้มันเปิดออก แต่ข้อมืออีกข้างก็ถูกอุ้งมือร้อนผ่าวกระชากเอาไว้เสียก่อน

“ขอบคุณ…? ฉันไม่ต้องการการขอบคุณแบบนี้สักหน่อย”

คนฟังหันขวับกลับมาจ้องหน้า ก่อนที่จะหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นความหมายในสายตาคมกริบสีเขียวมรกตคู่นั้น

“เอ่อ… ฉันคิดว่าแค่ขอบคุณก็น่าจะพอ”

“ฉันเป็นนักธุรกิจ ลงทุนทำอะไรไปก็ต้องการดอกต้องการผล ซึ่งมันจะต้องคุ้มค่าเสียด้วย”

“นี่อาจารย์ไม่ได้ช่วยฉันเพราะมนุษยธรรมหรอกเหรอ”

ร้องถามออกไปด้วยความผิดหวัง มองเขาด้วยสายตาน้อยใจ

คนถูกถามไหวไหล่บึกบึนน้อยๆ อย่างไม่แยแสอะไร ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน่าตบให้ปากแตกเป็นที่สุด

“มนุษยธรรมหรือ? ฉันไม่เห็นเคยรู้จักมันมาก่อนเลย ไม่คิดว่าคำนี้จะมีอยู่ในโลกด้วยซ้ำ”

“คนร้ายกาจ คนไม่มีหัวใจ คนเห็นแก่ตัว”

หญิงสาวเค้นเสียงเกรี้ยวกราดออกมา มองผู้ชายตรงหน้าด้วยความขุ่นเคือง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไทเลอร์จะเป็นผู้ชายโอหังได้ขนาดนี้ และไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่เขายื่นมือเข้าไปช่วยหล่อนจากฟิลิเซียกับพวกนั้นเพราะต้องการสิ่งตอบแทน ไม่ใช่เพราะมนุษยธรรม

“นั่นแหละฉัน… ทุกอย่างคือฉันทั้งหมด”

“คนบ้า… คนบ้า…!”

คนถูกว่ากล่าวไหวไหล่ซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ยกร่างอรชรของหล่อนให้ขึ้นไปนั่งซ้อนตักแกร่ง แผ่นหลังของหล่อนชนเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างจังเลยทีเดียว ในขณะที่ด้านหน้าก็คือแผงอกกว้างที่แน่นหนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อซิกแพค

ไม่มีทางหนีสำหรับหล่อนเลย…

“คราวนี้ก็ตอบแทนฉันได้แล้ว เธอจะได้รีบๆ ไปทำงานยังไงล่ะ”

นิ้วแกร่งของเขาไล้ไปตามกลีบปากของหล่อน ก่อนจะมาเช็ดเลือดแห้งๆ ที่มุมปากของหล่อนให้อย่างนุ่มนวล

“ปากของเธอควรจะแตกเพราะรสจูบของฉัน ไม่ควรแตกเพราะฝีมือของคนพวกนั้น”

โอ้… ทำไมพ่อเจ้าประคุณถึงได้พูดอะไรได้วาบหวามถึงเพียงนี้ นี่เขาจะรู้ไหมนะว่าทำให้ร่างทั้งร่างของหล่อนลุกเป็นไฟ เขากำลังทำให้บางส่วนของกายสาวหยาดเยิ้ม และแน่นอนว่าความโหยหา หิวกระหายกำลังทะลักทลายเข้าท่วมท้นจิตสำนึกของหล่อน

บ้าจริงๆ เลย… หล่อนควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว…

“อย่าทำบ้าๆ แบบนี้นะคะ อาจารย์ไทเลอร์…”

มือหนาจับเอวคอดแน่น จากนั้นก็บังคับให้มันหมุนเป็นวงกลมกับหน้าขากำยำของตัวเองเป็นจังหวะเย้ายวน สาวน้อยกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายก็ต้องเผลอครางออกมา

“อ๊ะ…”

“เห็นไหม… มันไม่ใช่เรื่องบ้าสักนิด เธอชอบมัน… และฉันก็ชอบมันเช่นกัน”

“แต่อาจารย์คะ… เรา… เราไม่ควร…”

หญิงสาวใช้สองมือดันแผงอกกว้างเอาไว้ แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืนก็อ่อนล้าลงทุกที ตอนนี้มีแต่ไฟ มีแต่ความร้อนผ่าวเท่านั้นที่ครอบงำจิตใจ ยิ่งเขาจับสะโพกของหล่อนถูไถกับท่อนเนื้อแข็งแกร่งที่หล่อนจำขนาดของมันได้ดีว่าใหญ่และยาวแค่ไหน ทุกอณูเนื้อสาวก็ยิ่งกรีดร้องด้วยความโหยหา อยากจะ… อยากจะให้เขาบุกรุกเข้ามาภายใน อยากจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์…

หล่อนไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน ไทเลอร์เป็นผู้ชายคนแรกที่ได้จูบหล่อน ได้กอดหล่อน และเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้หล่อนร่านร้อนได้ถึงเพียงนี้

“อย่าค่ะ…”

“อย่าหยุดใช่ไหม เด็กน้อย…”

“อย่า… ทำแบบนี้ อ๊ะ อาจารย์ อย่า…”

หญิงสาวเกร็งสยิวไปทั้งกาย เมื่อนิ้วแกร่งยาวสีแทนสอดลึกเข้าไปภายในกางเกงชั้นใน ก่อนจะบดคลึงเกสรรักของหล่อนอย่างเร่าร้อน หล่อนกรีดร้องออกมา ดิ้นพล่านอยู่บนตักแกร่งอย่างไม่สามารถต่อต้านอะไรได้อีก

“ร้อนเป็นไฟเลยสาวน้อย… ร้อนจริงๆ”

“อาจารย์ขา…”

คนถูกเรียกระบายยิ้มพึงพอใจ เขายังใช้นิ้วกับกลีบสาวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ก้มหน้าลงไปซุกไซ้กับซอกอกอวบด้วยความหิวกระหายเช่นกัน แม้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้น แต่กระนั้นไฟสวาทในกายหนุ่มก็ยังคงลุกโชนจนยากจะดับอยู่ดี

“ไม่เคยมีใครทำให้ฉันร้อนได้แบบนี้เลย เธอมหัศจรรย์จริงๆ จันทร์เจ้าขา…”

แล้วไทเลอร์ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้อีก เขาตะโบมจูบปากอิ่มที่เผยอรอคอยอยู่แล้วด้วยความกระหายจัด เขาจูบ เขาดูด และบดเคล้าอย่างตะกละตะกลาม ทำราวกับอดอยากปากแห้งมาเป็นแรมปี ทั้งๆ ที่ผู้ชายอย่างเขาไม่เคยขาดแคลนเซ็กซ์เลยแม้แต่คืนเดียว แต่จันทร์เจ้าขาปลุกความบ้าคลั่ง ปลุกปีศาจแห่งความโหยหาในกายของเขาให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แค่จูบ แค่แตะต้องเพียงภายนอก เขาก็แทบจะหลั่งรินความสุขออกมาเสียให้ได้ แล้วถ้าเขาได้เข้าไปในนั้นล่ะ… ได้เข้าไปในซอกหลืบปรารถนาของเจ้าหล่อนล่ะ เขาจะรู้สึกยังไง

เขาเชื่อแน่… เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องรู้สึกวิเศษที่สุดในชีวิต

เขาจะต้องได้หล่อน จะต้องครอบครองกายสาวแสนงดงามของเจ้าหล่อนให้ได้ จากนั้นเขาก็จะเบื่อหน่าย และฟาดหัวหล่อนด้วยเงินสักก้อนเมื่อยามที่ต้องการให้หล่อนเดินจากไป มันง่าย มันง่ายสุดๆ กับผู้ชายที่มีอำนาจเงินล้นฟ้าแบบเขา อยากได้ก็ต้องได้ อยากเขี่ยทิ้ง หล่อนก็ต้องเดินจากไปโดยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

ไทเลอร์ยิ้มให้กับความคิดแสนวิเศษของตัวเอง ขณะสอดแทรกนิ้วเข้าไปในช่องรักที่หยาดเยิ้มรอคอยอย่างเชื่องช้า มันคับแน่น รัดนิ้วแกร่งของเขาแน่นในทุกๆ ทิศทาง

“พระเจ้า… เธอรัดนิ้วฉันแน่นเหลือเกิน จันทร์เจ้าขา… เธอคับแน่นมาก”

“อาจารย์ขา… ได้โปรด…”

เพราะอ่อนหัดจึงทำให้ร่างกายและความรู้สึกถูกไฟปรารถนาครอบงำได้อย่างง่ายดาย แค่เขาจูบ แค่เขาสัมผัสในจุดที่ไวต่อความรู้สึกเท่านั้น หล่อนก็อ่อนระทวย พ่ายแพ้ยอมศิโรราบยอมเป็นทาสรักทาสสวาทของเขาอย่างง่ายดายเสียแล้ว

“เธอจะได้ฉันทั้งตัว… แต่ไม่ใช่ในรถ”

เขาก้มลงดูดปากอิ่มที่ร้องครางตลอดเวลาหนักๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจับร่างอ่อนระทดระทวยให้กลับไปอยู่ในที่เดิม เบาะเดิมที่หล่อนเคยนั่งอยู่ จากนั้นก็จ้องหน้าด้วยสายตาหิวกระหาย

“ในรถมันแคบเกินไป ฉันชอบบนเตียง… ฉันชอบมองผู้หญิงของฉันดิ้นพล่านบนเตียง”

ร่างอรชรยังคงสั่นสะท้าน สมองยังคงเลือนราง ความควบคุมตัวเองยังไม่หวนคืนกลับมา ร่างกายยังคงโหยหาสัมผัสเร้าใจจากผู้ชายที่กำลังจ้องมองมาไม่เปลี่ยนแปลง

“ไปโรงแรมกับฉันนะ”

มองสาวน้อยตรงหน้าด้วยความหิวกระหาย ไทเลอร์หลงลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองไม่เคยต้องรอการยินยอมจากผู้หญิงคนไหน เขาต้องการ เขาก็จะทำ และเขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกครั้งที่ผ่านมาด้วย แต่กับจันทร์เจ้าขา กับแม่ผู้หญิงที่ร้องครางระโหยปานจะขาดใจเพียงแค่ถูกนิ้วแกร่งของเขาบี้คลึงเกสรรักเท่านั้น เขากลับต้องการให้หล่อนพึงพอใจ พึงพอใจกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ

“เราจะอยู่ด้วยกันบนเตียงทั้งคืน”

“แต่ฉันต้องทำงาน…”

สติสตังค่อยๆ กลับมา สามัญสำนึกเริ่มทำงาน ความอดสูอับอายค่อยๆ ปรากฏในหัวใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันตอกย้ำให้หล่อนรู้อย่างชัดเจนเลยว่าตัวเองนั้นร่านร้อนแพศยาและชั้นต่ำแค่ไหน หล่อนยอม… ยินดียอมเขาทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ได้รัก เขาทำมันเพราะความใคร่เท่านั้น แต่หล่อนก็ยังยอม

นังโง่! นังจันทร์เจ้าขา คนโง่!

หญิงสาวตะโกนด่าตัวเองก้องอก อดสูอัปยศเป็นที่สุดกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

“ฉันจะจ่ายเงินให้เธอก้อนใหญ่ เพื่อแลกกับเซ็กซ์ร้อนๆ ในค่ำคืนนี้”

เวลาต่อจากนั้น… หลังจากถูกไทเลอร์ปล้นจูบเอาอย่างดุเดือด บ้าคลั่ง สติสตังของหล่อนก็มักจะหลุดลอยไปจากร่างตลอดเวลา คิดถึงแต่เขา คิดถึงแต่ผู้ชายที่ใช้ปากได้อย่างเชี่ยวชาญอย่างไทเลอร์สุดหัวใจเพราะมันไม่ใช่แค่ที่ปากเท่านั้นที่เขาจูบ ที่เขาตวัดปลายลิ้นลิ้มลอง แต่ทุกส่วนของร่างกายของหล่อน โดยเฉพาะตรงนั้น…

กายสาวร้อนวาบขึ้นมาในทันที ทรวงอกใต้บราเซียสีขาวสะอาดเบ่งบานและหนักอึ้ง ปลายถันชูชันแข็งเป็นไตขึ้นมาอย่างน่าละอายเพียงแค่คิดถึงความรู้สึกยามที่ถูกปลายลิ้นสีแดงสดของไทเลอร์ลิ้มเลียที่กลีบสาวเพียงเท่านั้น

นี่หล่อนเป็นบ้าอะไรไปนะ เป็นอะไรไป? ทำไมถึงได้ร่านร้อนขึ้นมาง่ายดายเพียงนี้ เพียงแค่คิดถึงเขาเท่านั้น ผู้ชายจอมเผด็จการ ผู้ชายเอาแต่ใจ และก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ได้แตะต้องร่างกายของหล่อน เขาทำให้หล่อนกลายเป็นสาวร้อนรัก เขาปลุกความร่านร้อนในกายสาวให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล และเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะตอนนี้หล่อนร้อนเป็นไฟ ร้อนฉ่า ร้อนไปทั้งตัว เพียงแค่คิดถึงผู้ชายหล่อลากไส้อย่างไทเลอร์เพียงเท่านั้น

แก้มนวลแดงระเรื่อด้วยความอับอายแกมอดสู พยายามบอกตัวเองให้หยุดคิด บอกตัวเองให้หยุดรู้สึกแบบนั้นกับไทเลอร์ได้แล้ว เขาอยู่สูงเกินไป และก็อันตรายเกินไปสำหรับหล่อน แต่หัวใจไม่ชอบฟัง ร่างกายก็เช่นกัน มันยังคงโหยหา หิวกระหายสัมผัสทมิฬ จากผู้ชายปีศาจอย่างไทเลอร์ไม่เสื่อมคลาย

หญิงสาวถอนใจออกมาอย่างท้อแท้ ขณะก้าวเดินผ่านสนามหญ้าหน้ามหาวิทยาลัย มุ่งหน้าจะไปทำงานในช่วงเย็นตามปกติทุกวัน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ ก็มีกลุ่มนักศึกษาทั้งผู้ชายผู้หญิงรวมสิบกว่าคนกระโจนออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มาขวางหน้าของหล่อนเอาไว้

จันทร์เจ้าขาชะงักเท้าทันที มองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความไม่ไว้ใจ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังร้องเตือนให้หล่อนวิ่งหนี ใช่… และหล่อนก็กำลังจะทำมัน แต่คู่ปรับตัวฉกาจของหล่อนก็โผล่มาดักเอาไว้เสียก่อน พวกนั้นล้อมวงรอบกายของหล่อนเป็นวงกลม ปิดทางหนีทุกทางของหล่อนให้มืดมิดลงอย่างสิ้นเชิง

“พวกเธอจะทำอะไรน่ะ”

น้ำเสียงของจันทร์เจ้าขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก คนพวกนี้ชิงชังหล่อน เพียงแค่เพราะเชื่อคำใส่ร้ายจากฟิลิเซียดาวมหาวิทยาลัยเท่านั้น

“หน้าซีดเชียวนะแม่เจ้าขา…”

ฟิลิเซียหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ ก้าวออกมาจากวงกลม เดินมาหยุดตรงหน้าหล่อนด้วยท่าทางมาดร้ายชัดเจน

จันทร์เจ้าขาข่มความหวาดหวั่นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง ในเมื่อการทำร้ายที่เกิดจากคนของฟิลิเซียนั้นไม่ได้เกิดขึ้นครั้งนี้ครั้งแรก แต่หล่อนโดนมาหลายครั้งแรก และทุกครั้งหล่อนก็จะเป็นคนเดียวที่เจ็บปวดและอับอาย

“ฉันต้องรีบไปทำงาน บอกให้พวกของเธอหลีกไปฟิลิเซีย”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มหยัน จ้องหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาริษยาเต็มเปี่ยม

“คิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอลอยนวลเหรอแม่เจ้าขา… คิดว่าฉันจะปล่อยเธอได้อาจารย์ไทเลอร์ไปครอบครองคนเดียวหรือไง”

ท้ายประโยคฟิลิเซียตวาดลั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเลวร้าย จากนั้นก็ตวัดมือตบใบหน้านวลของจันทร์เจ้าขาเต็มแรงจนใบหน้าของหญิงสาวสะบัดไปตามแรงนั้น แว่นตากระเด็นหล่นไปอยู่กับพื้นเต็มแรงจนเลนส์แตกละเอียด เลือดหยดเล็กๆ ไหลมาคลอที่มุมปาก ท่ามกลางเสียงเฮที่เต็มไปด้วยความยินดีและพึงพอใจของพวกนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีใครคิดจะช่วยหล่อนสักคน ไม่มีใครที่จะกล้าก้าวมาขัดขวางความเลวร้ายของฟิลิเซียเลย จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวดและทดท้อเป็นที่สุด รับรู้ได้ถึงความลำเอียงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างเต็มหัวใจ เงินคือพระเจ้า มีเงิน มีอำนาจก็ทำได้ทุกอย่าง ผิดกับคนจน คนหาเช้ากินค่ำที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะขนาดทำงานสุจริต แต่ก็ยังถูกตราหน้าว่าเลววันยังค่ำ

“ฉันกับอาจารย์ไม่ได้มีอะไรกัน”

“ตอแหล! คิดว่าฉันตาบอดหรือไงนังเจ้าขา!”

ฟิลิเซียตวาดลั่น และตบซ้ำลงบนใบหน้างามอีกเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของจันทร์เจ้าขาสะบัดตามแรงนั้นเช่นเคย หยดเลือดไหลออกมาจากปากอีก

“นั่นสิอย่ามาตอแหลหน่อยเลย สภาพของแกตอนนั้นใครก็มองออกว่าพึ่งทำอะไรมา” เจนี่รีบเสริมด้วยความริษยาไม่ต่างกัน

“เอาเลยฟิลิเซีย ตบนังนี่ให้หน้าเขียวช้ำไปเลย โทษฐานที่มันบังอาจแตะต้องของรักของหวงของเธอ”

คำยุยงของเจนี่ยิ่งทำให้ฟิลิเซียเลือดขึ้นหน้า หล่อนจิกทึ้งเส้นผมของจันทร์เจ้าขาทันที แต่จันทร์เจ้าขาต่อสู้ และสะบัดตัวออกได้ทัน

“เจนี่จับมันเอาไว้ ฉันจะตบมันให้ตายคามือไปเลย”

เจนี่รีบเข้ามาจับข้อมือทั้งสองข้างของจันทร์เจ้าขาไพล่หลังเอาไว้ด้วยกัน และนั่นก็ทำให้จันทร์เจ้าขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้อีก

“แก… วันนี้ต่อให้แกมีปีก แกก็หนีเงื้อมมือของฉันไม่พ้นหรอก”

ฟิลิเซียเค้นเสียงเหี้ยมโหดออกมา ขณะขยุ้มเส้นผมสีดำขลับแสนสวยของจันทร์เจ้าขาเต็มแรง

“นี่ปล่อยฉันนะ ปล่อยสิ…”

จันทร์เจ้าขาเจ็บจนน้ำตาไหล พยายามช่วยตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้

“ปล่อยเหรอ ฝันไปเถอะนังอีตัวชั้นต่ำ ฉันจะตบแกให้คว่ำ จะตบให้ช้ำไปทั้งหน้าเลย”

ฟิลิเซียพูดด้วยน้ำเสียงริษยา กำลังจะเงื้อมือขึ้นฟาดหน้าของจันทร์เจ้าขาซ้ำอีกรอบ แต่เสียงของเจนี่ก็หยุดเอาไว้เสียก่อน

“ฉันว่าแค่รอยเขียวรอยช้ำไม่นานมันก็หาย…”

“เธอหมายความว่ายังไงยายเจนี่”

ฟิลิเซียหันไปหาเพื่อนสนิทที่มีหน้าที่รับใช้ตัวเองด้วยความข้องใจ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นคัตเตอร์ในมือของเจนี่

“กรีดหน้ามันให้ยับ แค่นี้อาจารย์ไทเลอร์ก็ไม่มีทางมองมันอีกแล้ว”

เจนี่พูดอย่างชั่วร้าย และฟิลิเซียก็เห็นดีเห็นงามด้วยเป็นที่สุด แต่ไม่ใช่แค่ฟิลิเซียหรอก แม้แต่นักศึกษาที่ยืนห้อมล้อมรอบตัวของหล่อนนั้นต่างเห็นดีเห็นงามด้วยทุกคน เพราะทุกคนเกลียดหล่อน เกลียดทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับหล่อนเลยสักนิด เกลียดเพราะฟังคำใส่ร้ายจากปากของฟิลิเซีย จันทร์เจ้าขาคิดอย่างเจ็บปวด และก็รีบดิ้นรนเพื่อช่วยเหลือตัวเองเมื่อมีดคัตเตอร์ในมือของเจนี่มาอยู่ในมือของฟิลิเซียเสียแล้ว

“อย่านะ… อย่าทำอะไรแบบนี้นะ”

ใบมีดคัตเตอร์ถูกดันให้ขึ้นมาจนสุด แสงแดดที่สะท้อนลงมาทำให้หล่อนสามารถมองเห็นความคมกริบของมันได้อย่างชัดเจน หล่อนหวาดกลัว กลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่สุด

“อย่าทำอะไรฉันนะ… ฉันขอร้อง… อย่าทำแบบนี้…”

ฟิลิเซียแสยะยิ้มและไม่มีทีท่าว่าจะเห็นใจหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ใบมีดคัตเตอร์ขยับเข้ามาใกล้กับใบหน้าของหล่อนมากขึ้นทุกขณะ

“ฉันจะกรีดหน้าแกให้ยับ โทษฐานที่มายุ่งกับอาจารย์ไทเลอร์ของฉัน นังเจ้าขา!”

“ไม่นะ อย่า… ฉัน… ฉันจะไม่ยุ่งกับอาจารย์ไทเลอร์อีก… ฉันจะ…”

จันทร์เจ้าขาพูดได้แค่นั้นก็ถูกเจนี่แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงริษยา

“อย่าไปเชื่อมันฟิลิเซีย มันก็แค่พูดให้เธอปล่อยมันไปเท่านั้นแหละ พอมันรอดพ้นครั้งนี้ไป มันก็จะไปยุ่งกับอาจารย์ไทเลอร์อีก อีตัวอย่างมันร่านร้อนจะตายไป ไม่แปลกหรอกที่อาจารย์ไทเลอร์จะหลงกลมัน เชื่อฉัน กรีดหน้ามันซะ เอาให้ยับไปเลย”

“เจนี่ฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอ ทำไมเธอจะต้องทำร้ายฉันด้วย”

เจ้าของชื่อหัวเราะร่วน มองหล่อนอย่างมาดร้าย

“เธอไม่เคยทำฉัน แต่เธอแตะต้องอาจารย์ไทเลอร์ของพวกเรา…”

“ไม่ใช่ของพวกเรา แต่เป็นของฉันคนเดียวต่างหาก เจนี่ พูดให้มันดีๆ นะ”

ฟิลิเซียแย้งเสียงกระด้าง ไม่พอใจ  จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาจารย์ไทเลอร์อีก ฉันสัญญา…”

ฟิลิเซียแค่นยิ้ม ดวงตาเป็นประกายริษยา

“ฉันไม่มีทางเชื่อแกหรอกนังอีตัวชั้นต่ำ”

คมมีดจ่อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จันทร์เจ้าขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับพวกของฟิลิเซียได้ ทำได้แค่เพียงหลับตาและภาวนาให้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้เพียงเท่านั้น

“นั่นพวกคุณกำลังทำบ้าอะไรกัน?!”

เสียงทุ้มที่ดังกังวานขึ้น เป็นเสียงของไทเลอร์ผู้ชายที่เป็นต้นเหตุทำให้หล่อนกำลังจะถูกฆ่าในตอนนี้ หล่อนลืมตาขึ้นมองและก็ได้เห็นเขาแหวกฝูงชนเข้ามาหา เขามองหล่อนด้วยสายตาสีเขียวจัด ก่อนจะกระชากหล่อนไปไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ซัดฟิลิเซียด้วยถ้อยคำอำมหิต

“ผมจะแจ้งตำรวจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและแน่นอนว่าพวกคุณจะหมดสภาพการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของผมทันที”

“ไม่นะคะอาจารย์พวกเรา… คือพวกเรา…”

ฟิลิเซียพยายามแก้ตัว แต่ไทเลอร์เดือดดาลเกินว่าจะรับฟังเขากระชากมีดคัตเตอร์ไปจากมือของฟิลิเซียทันที

“เตรียมตัวหาที่เรียนใหม่กันได้เลย”

“เอ่อ อาจารย์คะ พวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลยนะคะ พวกเราแค่เดินตามฟิลิเซียมา”

นักศึกษาผู้หญิงคนนั้นรีบแก้ตัว

“ใช่ครับ ผมแค่อยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเท่านั้น พวกเราไม่เกี่ยวข้องครับ”

“ครับ พวกเราไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้เลย”

นักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างแย่งกันแก้ตัวพัลวัน

ไทเลอร์แค่นยิ้มหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล

“ถ้าพวกคุณยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องผมก็จะเชื่อ แต่ถ้าครั้งต่อไปผมเห็นพวกคุณรังแกจันทร์เจ้าขาอีกเมื่อไหร่ ผมจะไล่พวกคุณออกจากมหาวิทยาลัยของผมทันที โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น”

เหล่านักศึกษาต่างพากันมองหน้ากันอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็รีบตอบรับขึ้นพร้อมๆ กัน

“พวกเราจะไม่รังแกจันทร์เจ้าขาอีก พวกเราสัญญาครับ”

“ดีมาก งั้นพวกคุณไปได้แล้ว…”

นักศึกษาพากันเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เจนี่กับฟิลิเซียจะเดินตามแต่ไทเลอร์เรียกเอาไว้เสียก่อน

“คุณสองคนยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

ทั้งฟิลิเซียและเจนี่หน้าซีดเผือด ค่อยๆ หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับไทเลอร์ และก็อดแค้นใจไม่ได้เมื่อเห็นไทเลอร์แสดงท่าทางห่วงใยจันทร์เจ้าขามากมายถึงเพียงนี้

“อาจารย์จะพูดอะไรกับพวกเราหรือคะ”

ไทเลอร์แสยะยิ้ม ปล่อยมือจากจันทร์เจ้าขา เดินมาหยุดตรงหน้าฟิลิเซียและเจนี่

“เอาของพวกคุณคืนไปด้วย…”

มีดคัตเตอร์ถูกส่งมาตรงหน้าของฟิลิเซีย ซึ่งหญิงสาวก็ต้องจำใจรับมันมาจากมือหนาของไทเลอร์อย่างไม่มีทางเลือก

“และถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ตำรวจจะต้องเข้ามาวุ่นวายในมหาวิทยาลัยแน่นอน ผมเชื่อแบบนั้น”

ฟิลิเซียกัดปากแน่น จ้องหน้าไทเลอร์ด้วยความผิดหวัง

“ฉันสวยสู้นังอีตัวชั้นต่ำไม่ได้ตรงไหนคะอาจารย์ไทเลอร์ ฉันรักคุณ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับคุณ แม้กระทั่งยอมเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกในมหาวิทยาลัยของคุณ แต่คุณก็ไม่เคยมองฉัน…”

ไทเลอร์แค่นยิ้มเหยียดหยาม ก้มหน้าเข้าไปใกล้ฟิลิเซียมากยิ่งขึ้น

“ก็เพราะคุณไม่ใช่สาวในสเป็กของผมน่ะสิ”

“แต่ฉันรักอาจารย์”

“ผมไม่สนใจความรู้สึกของใคร สิ่งที่ผมสนก็คือ… ผมต้องการอะไรเท่านั้น”

คนพูดคำรามออกมาด้วยความโอหังเต็มเปี่ยม

ฟิลิเซียฟังแล้วก็เหยียดหยามออกมาเสียงดังลั่น

“ซึ่งตอนนี้อาจารย์ก็กำลังอยากลิ้มลองผู้หญิงสำส่อนที่ทำหน้าที่บริการผู้ชายอย่างนังเจ้าขามันใช่ไหมคะ”

นัยน์ตาสีเขียวจัดของไทเลอร์เปลี่ยนเป็นสีเพลิงทันที ขณะเค้นเสียงคำรามออกมา

“ตำรวจเวลาจะจับผู้ร้ายยังต้องมีหลักฐาน ดังนั้นถ้าไม่มีหลักฐาน อย่าใส่ร้ายคนอื่น”

“แต่นังนี่มันทำจริงๆ มันขายตัว…!”

“ไปหาหลักฐานมาให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดแบบนี้”

ไทเลอร์พูดจบก็เดินกลับไปหาจันทร์เจ้าขา จากนั้นก็โอบกระชับเอวคอดให้ตามตัวเองไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุนัก ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา ริษยาของทั้งฟิลิเซียและเจนี่

“ฉันจะฆ่ามัน จะต้องฆ่ามันให้ได้!”

ฟิลิเซียคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด

“ถ้าเราฆ่ามัน เราก็ต้องติดคุกนะฟิลิเซีย มันไม่คุ้มกัน”

เจนี่เตือนสติเพื่อน

“แล้วเธอจะให้ฉันปล่อยมันลอยหน้าลอยตาอยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์ไทเลอร์แบบนี้นะเหรอเจนี่ ฉันไม่ยอมหรอกนะ ฉันทนไม่ได้หรอก”

ฟิลิเซียเต็มไปด้วยความริษยา ตอนนี้ในหัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยกองไฟ ไฟที่พร้อมจะเผาศัตรูให้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี

“ใครว่าล่ะ ฉันไม่ได้จะให้เธอปล่อยมันไว้สักหน่อย”

ฟิลิเซียหันขวับมาจ้องหน้าเจนี่ด้วยความกังขา

“เธอหมายความว่ายังไงเจนี่ เธอมีแผนอะไร บอกฉันมาซิ บอกมาเลย ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้นังเจ้าขามันย่อยยับ”

คนถูกถามระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ร้าย ดวงตาร้ายกาจยิ่งนัก

“เอาหูมาสิ แล้วฉันจะบอกแผนการให้เธอฟัง และเชื่อเถอะว่าแผนของฉันจะทำให้นังเจ้าขามันต้องระเห็จออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอน”

ฟิลิเซียรีบเอียงหูให้กับเจนี่ด้วยความอยากรู้เป็นที่สุด และเมื่อได้ฟังแผนการแล้วทั้งสองคนก็พากันหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ

“เธอนี่ฉลาดจริงๆ ไม่เสียแรงที่ฉันเลี้ยงเธอเอาไว้”

แล้วฟิลิเซียก็ล้วงเงินในกระเป๋าให้กับเจนี่ปึกใหญ่

“รับไปสิ”

“ขอบใจมาก”

เจนี่รับเงินมาใส่กระเป๋าของตัวเอง ในขณะที่ภายในอกเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่มีต่อฟิลิเซียเป็นที่สุด ถ้าแม่นี่ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มของหล่อนล่ะก็ หล่อนคงตบคว่ำไปนานแล้ว

หล่อนตะกุกตะกักและพูดไม่ออก

“เอาล่ะ ถ้าคืนนี้รู้สึกแบบเมื่อกี้นี้อีกล่ะก็ โทรหาฉันได้…”

แล้วนามบัตรของไทเลอร์ก็ถูกยัดใส่มือของหล่อนเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

“ฉันจะรอคอยเธอ รอคอยที่จะได้เลียเธออีก…”

สายตาของเขาลดต่ำลงไปจับจ้องที่ระหว่างขาของหล่อน กลีบสาวที่กำลังหยาดเยิ้มขานรับคำพูดหวามใจของเขาอย่างรุนแรง จนหล่อนต้องพยายามหนีบขาของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

“ฉันจะคอยก็แล้วกัน”

แล้วคนตัวโตก็เดินผ่านหน้าของหล่อนไป ไม่ช้าประตูห้องเรียนที่เมื่อกี้เกือบจะได้เป็นสวรรค์สำหรับหล่อนอยู่แล้วก็เปิดออก พร้อมๆ กับเสียงเซ็งแซ่ของนักศึกษาสาวเกือบสิบคนโดยมีฟิลิเซียเป็นหัวโจกก็ดังลั่นขึ้น

“อาจารย์… อาจารย์กับแม่เจ้าขาทำอะไรกันคะ…”

“เวลานี้พวกเธอต้องอยู่ในห้องเรียนไม่ใช่หรือ”

“ถ้าป่านนี้ฉันอยู่ในห้องเรียน อาจารย์กับนังนั่นก็คง…”

ฟิลิเซียพูดอย่างโมโหเป็นที่สุด แต่ไทเลอร์ไม่สนใจ เขาเดินผ่านไปด้วยท่าทางทรงอำนาจเช่นเคย

“ดูสิอาจารย์ไม่แก้ตัว งั้นก็แสดงว่าที่พวกเราคิดกัน…”

“นั่นสิ ถ้าไม่มีอะไรกันคงไม่ล็อคห้องหรอก”

เจนี่เอ่ยขึ้นด้วยความชิงชัง และนั่นก็ทำให้ฟิลิเซียปรี่ตรงเข้าไปหาจันทร์เจ้าขาอย่างมาดร้ายทันที

“นังอีตัวจอมร่าน แกทำอะไรอาจารย์ไทเลอร์ของฉัน”

แม้จะอับอายต่อสายตาของคู่สนทนาหลายคนตรงหน้า แต่จันทร์เจ้าขาก็พยายามจะเอาตัวรอด

“ไม่มีอะไร ขอตัวนะ…”

จันทร์เจ้าขาพยายามจะเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่ก็ถูกฟิลิเซียกระชากแขนเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็ถูกผลักแรงๆ จนล้มลงไปกองกับพื้น

“จะไม่มีอะไรได้ยังไง ดูสภาพของแกสิ ปากบวม หัวยุ่งแบบนี้ นังผู้หญิงร่านร้อน”

ฟิลิเซียตวาดลั่นอย่างแค้นจัด

“นั่นสิ ดูสภาพแบบนี้ก็รู้แล้วว่าแกทำอะไรกับอาจารย์ไทเลอร์ในห้องนี้”

เจนี่ช่วยเสริม ขณะที่พวกนักศึกษาสาวๆ ที่เป็นพวกเดียวกันของฟิลิเซีย และต่างหมายปองไทเลอร์เหมือนกันก็พากันยืนห้อมล้อมร่างของหล่อนที่ยังนั่งอยู่กับพื้นเอาไว้อย่างมิดชิด

“พวกเธอกำลังเข้าใจผิด… มันไม่ได้เกิดอะไรขึ้น…”

“นังตอแหล!”

ฟิลิเซียกระชากร่างของจันทร์เจ้าขาขึ้นมา และกำลังจะตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหญิงสาว แต่สุดท้ายก็ต้องค้างเติ่งอยู่ในอากาศเมื่อถูกมือหนาที่แข็งยิ่งกว่าคีมเหล็กรั้งเอาไว้

“ที่นี่มหาลัย ไม่ใช่สนามมวย”

“อาจารย์ไทเลอร์…”

ทุกๆ คนอุทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะวงแตกแยกย้ายกันออกไปจะเหลือก็แค่เพียงฟิลิเซียเพียงคนเดียวเท่านั้น

“อาจารย์ทำอย่างนี้ได้ยังไงกันคะ”

“ฉันทำอะไร”

ฟิลิเซียกัดปากแน่น มองชายหนุ่มที่ตัวเองเฝ้ารักทั้งน้ำตา

“ก็อาจารย์กับมันมีเซ็กซ์กันในนี้ อาจารย์ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน”

“ฟิลิเซีย เธอไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายชีวิตของฉันแม้แต่น้อย บารมีพ่อของเธอไม่ได้ช่วยให้เธอสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้หรอกนะ ถ้าฉันเอ่ยปากไล่เธอออกน่ะ”

เจ้าของชื่อหน้าซีดเผือด สมองสั่งให้ยอมอ่อนข้อไปก่อน เพราะสู้ไปตอนนี้ก็มีแต่จะแพ้

“เอ่อ อย่านะคะอาจารย์… ฉัน… ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ จะไปแล้ว”

ฟิลิเซียหันมาจ้องหน้าจันทร์เจ้าขาอย่างอาฆาต ก่อนจะรีบวิ่งออกไป

จันทร์เจ้าขาถอนใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณผู้ชายตัวโตที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา

“เอ่อ… ขอบคุณ… นะคะที่ช่วยฉัน”

ไทเลอร์ที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องเรียนชะงักเท้า ก่อนจะหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง

“ฉันไม่ได้ช่วยเธอ แต่ฉันกลัวเธอจะช้ำจนคืนนี้ดิ้นบนเตียงของฉันไม่ได้ต่างหากล่ะ”

คำเหยียดหยามของเขาทำให้หล่อนมีโทสะขึ้นทันควัน

“ฉันจะไม่มีวันนอนกับคุณ จำเอาไว้ อาจารย์ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ..”

คนตัวโตไหวไหล่กว้างน้อยๆ ขณะค่อยๆ เดินเข้ามาหา จนสุดท้ายก็มาหยุดตรงหน้า

“แม้ว่าฉันจะใช้ลิ้นได้เก่งฉกาจน่ะหรือ”

คนฟังหน้าแดงก่ำ ร้อนฉ่าไปทั้งตัว คนบ้า นี่ทำไมเขาถึงได้หยาบคายแบบนี้นะ

“ฉันเกลียดคุณ… คนหยาบคาย คนต่ำช้า…”

แล้วหญิงสาวก็ผลักไหล่กว้างเต็มแรง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินหนีออกมา แต่ยังไม่ทันจะก้าวครบสองก้าวก็ถูกดึงกลับไปเหมือนเดิม

“จะรีบไปไหนล่ะ”

“ฉันจะไปเรียน…”

หล่อนดิ้น แต่เขาก็ลากเข้ามากอดรัดแน่นเสียก่อน

“อย่าพึ่งไปสิ จูบกับฉันก่อน”

คนฟังเบิกตากว้าง หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“อย่านะ อย่าบ้านะ…”

แม้จะขัดขืนยังไงแต่คนจอมเผด็จการก็ปล้นจูบหล่อนอีกครั้งจนได้ เขาขยี้ เคล้าคลึง บดเคล้าอย่างหนักหน่วง สอดแทรกปลายลิ้นแกร่งเข้าไปรัดรึงลิ้นเล็กอย่างหิวกระหาย นานเท่านานเลยทีเดียวกว่าเขาจะปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระ

“ฉันชอบ…”

เขาระบายยิ้มหิวกระหาย ขณะดันร่างของหล่อนให้ออกห่าง

“บนเตียง… ฉันจะจูบเธอทั้งคืน”

ดวงตาสีเขียวจัดของเขาเป็นประกายชวนวาบหวาม

“และทั้งตัว จันทร์เจ้าขา…”

หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ในมนต์สะกดของพ่อเทพบุตรมัจจุราชอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว เพราะแม้เขาจะเดินจากไปแล้ว แต่ปากของหล่อนก็ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสดุดันแต่หวานล้ำของเขาได้อย่างชัดเจน มันตราตรึง และวาบหวามเป็นที่สุด

หล่อนต้านทานผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย… ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ…

หญิงสาวร้องอุทานเมื่อรับรู้ว่าบราเซียถูกดันให้ขึ้นไปอยู่เหนือทรวงอก ขณะที่ปลายถันถูกนิ้วแกร่งบี้ขยี้อย่างเอาแต่ใจ หล่อนคราง หล่อนร้อง และหล่อนก็ส่ายระริก สัมผัสของไทเลอร์เต็มไปด้วยมนต์ขลัง เขาปลุกอารมณ์บางอย่างที่หล่อนเองไม่เคยรู้จักขึ้นมาอย่างง่ายดาย แค่เขาจูบ แค่เขาบี้บดเบียดร่างกายเข้ามาหาเท่านั้น โลกทั้งใบของหล่อนก็เหลือเพียงแค่เขา เขากับหล่อนเท่านั้น

“อาจารย์ขา…”

คนถูกเรียกหัวเราะหึหึพึงพอใจ เมื่อสาวน้อยในอ้อมแขนร้อนเป็นไฟเพราะสัมผัสของตัวเอง เขาขยี้ปลายถันด้วยนิ้วแกร่งอยู่ไม่นานก็แทนที่มันด้วยปากร้อนผ่าวที่ดูดกลืนปลายถันผ่านเสื้อตัวสวย เขาขบเข้ม ดูดแรงๆ แม้มันจะมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่ แต่สัมผัสวาบหวามที่ได้ค้นพบนั้นมันช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน หล่อนกำลังร้อน… ร้อนเป็นไฟ ร้อนราวกับถูกก้อนถ่านติดไฟแดงๆ มาจี้นาบที่หน้าท้องก็ไม่ผิด กลีบสาวที่ไม่เคยมีสิ่งใดสอดผ่านเข้าไปตอนนี้หยาดเยิ้มจนกางเกงชั้นในเปียกชื้น

“เธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า…”

คนตัวโตคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมๆ กับกระชากกระโปรงบานเอวยืดที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ให้ร่วงหล่นไปที่ข้อเท้า

“และฉันก็กำลังอยากจะกินเธอจนแทบคลั่ง”

แล้วก็ไม่คาดคิดว่าไทเลอร์จะทำมัน เมื่อจู่ๆ เขาก็คว้าเรียวขางามของหล่อนให้ขึ้นไปพาดบนบ่าบึกบึนแข็งแรง จากนั้นมือใหญ่ก็ประทับลงกับเนินสาวที่อวบอูมดันกางเกงในผ้าฝ้ายออกมาอย่างหนักหน่วงทันที เขากอบกุม เคล้าคลึง ในขณะที่หล่อนทำได้แค่เพียงร้องคราง ยืนพิงกับผนังห้องอย่างหมดเรี่ยวแรงต้านทานเท่านั้น

“อาจารย์ขา… อาจารย์…”

“เธอถูกสร้างมาเพื่อทำให้ผู้ชายคลั่งจริงๆ จันทร์เจ้าขา…”

คนตัวโตพึมพำ ก่อนจะซบหน้าลงมาหาหล่อนที่ระหว่างขา ตอนนี้ทั้งปากทั้งจมูกและทั้งฝ่ามือของไทเลอร์กำลังละเลงอยู่กับเนินสาวอวบอูมของหล่อนอย่างเร่าร้อน เขาซุกไซ้อยู่นานหลายอึดใจก็กระชากรูดกางเกงชั้นในของหล่อนให้ไปรวมกันอยู่ด้านหนึ่ง เปิดเปลือยความอวบอูมแท้จริงแก่สายตาคมกริบของเขา หล่อนเห็นเขาชะงัก เขามองหล่อนราวกับจะกินเข้าไปทั้งตัว

“สวย… สวยมาก อวบอูมที่สุด…”

เขาไม่เคยเห็น… ไม่เคยเห็นของผู้หญิงคนไหนสวยงามเท่านี้มาก่อน อวบอูม เต็มมือของเขาเลยทีเดียว แถมเจ้าเนื้อนวลตรงหน้ายังไร้เส้นขนไม่ผิดจากของเด็กน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ เขาอยากจะกิน อยากจะชิม… ลิ้มลองรสชาติตรงนั้นของหล่อน ตรงนั้นที่มีสีแดงระเรื่อไม่ผิดจากสีของกลีบปากอิ่มสักนิด

เขาอยากกิน… ไทเลอร์ไล้ปลายนิ้วแกร่งไปตามร่องสาวแผ่วเบา เท่านั้นเองจันทร์เจ้าขาก็สะดุ้งสะท้านไปทั้งตัว หล่อนกรีดร้องด้วยความรู้สึกเสียวซ่านจับใจ

“อาจารย์ขา… อาจารย์… ช่วยเจ้าขาด้วย…”

สะโพกกลมกลึงเปลือยเปล่าส่ายระริกอยู่ตรงหน้า และนั่นก็ทำให้ไทเลอร์หมดความอดทนลงอย่างสิ้นเชิง เขาก้มหน้าลงไปหา สองมือตรึงบั้นท้ายอวบงอนให้อยู่นิ่งเฉย จากนั้นลิ้นของเขา ปากของเขา จมูกของเขาก็ทำหน้าดีได้อย่างดีเยี่ยม

เขาเลีย… เขาปาด และละเลงลิ้นไปกับทุกส่วนของกลีบสาว ดื่มกินน้ำสวรรค์ที่หลั่งรินลงมาไม่ขาดสายด้วยความหิวกระหาย รสชาติของหล่อนแสนหวาน หวานละมุนเหลือเกิน เขากินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ต่อให้กินทั้งคืนก็ตาม

“หวานลิ้นเหลือเกิน สาวน้อย… หวานมาก…”

“อาจารย์… อาจารย์ขา… ได้โปรด… ได้โปรดเถอะค่ะ”

สะโพกงามส่ายสะบัด ขณะที่สองมือบางกดรั้งให้ศีรษะทุยสวยของไทเลอร์แนบแน่นกับความหยาดเยิ้มของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ครางก็ครวญด้วยความเสียวกระสันที่สุดในชีวิต หล่อนไม่เคยรู้เลยว่า… ไม่เคยรู้เลยว่าแค่ลิ้น… แค่ลิ้นของไทเลอร์ที่ตวัดปาดละเลงลงมาเท่านั้นจะทำให้หล่อนแทบขาดใจตายได้แบบนี้

“โอ้ว… ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ขา…”

หล่อนร้องเรียกเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งร้อง ยิ่งส่าย ยิ่งสะบัด คนตัวโตก็ยิ่งเลีย ยิ่งเลียหนักหน่วงขึ้น แถมตอนนี้นิ้วแกร่งของเขาก็เข้ามาปั่นป่วนในกายสาวของหล่อนด้วยเช่นกัน หล่อนสะดุ้งด้วยความสยิวไปทั้งตัวกับสิ่งแปลกปลอมนั้น

“อ๊ะ… อาจารย์ไทเลอร์…”

“แน่น… แน่นมากคนสวย… รัดนิ้วฉันแน่นเหลือเกิน”

คนตัวโตครางเสียงกระเส่า พร้อมๆ กับขยับปลายนิ้วแกร่งของตัวเองเข้าออกในหลืบรักคับแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ลิ้นก็ยังตวัดเลียอย่างต่อเนื่อง

“อาจารย์… เจ้าขาไม่ไหวแล้ว… อ๊ะ… โอ้ว…”

จันทร์เจ้าขายกสองมือขึ้นปิดปากของตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกเสียงเสียวซ่านเอาไว้สุดกำลัง ขณะที่กายสาวเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง สวรรค์ที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อนระเบิดใส่เต็มหน้า หล่อนหอบหายใจระรัวขณะพยายามปีนป่ายลงสู่พื้นดิน

“แค่นิ้วยังรัดแน่นแบบนี้ แล้วถ้าเป็นส่วนนั้นของฉันล่ะ…”

ไทเลอร์ครางด้วยความหิวกระหาย เงยหน้าขึ้นจากเนินสาว ดึงนิ้วแกร่งออกมา จากนั้นก็ปล่อยขาเรียวให้แตะพื้น ส่วนตัวเองก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว คนสวย…”

นิ้วแกร่งถูกริมฝีปากร้อนผ่าวดูดอมเอาไว้ จากนั้นพ่อคนตัวโตที่ตอนนี้ดวงตามีแต่ความหิวกระหายก็ปลดตะขอ รูดซิปกางเกงลง นิ้วแกร่งเกี่ยวขอบกางเกงในแบบบ็อกเซอร์ให้ลงไปอยู่ที่ต้นขา ท่อนเนื้ออวบใหญ่ที่โตเต็มที่ปรากฏแก่สายตา

จันทร์เจ้าขาหอบหายใจสะท้าน ตื่นตระหนกกับขนาดของผู้ชายตรงหน้า คำว่ามโหฬารยังใช้ไม่ได้กับสิ่งที่หล่อนเห็นในตอนนี้

“อาจารย์…”

“ฉันจะเข้าไปในตัวของเธอ จะกระแทกกระแทกให้เธอเป็นของฉัน”

น้ำเสียงของเขาดุดัน เหี้ยมโหด และร้อนแรง มือหนากระชากต้นขาของหล่อนให้ตวัดรัดรอบเอวสอบเอาไว้ ท่อนเนื้อหนาใหญ่ร้อนผ่าวจดจ่อและรอคอยที่จะผลักดันเข้ามา

“ฉันต้องได้เธอ… ต้องได้เธอ…”

แล้วเขาก็กดก็ดันพยายามที่จะแทรกเข้ามาหา ในขณะที่หล่อนซึ่งถูกครอบงำด้วยไฟปรารถนาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ หล่อนแอ่นหยัดด้วยความเต็มใจ รอคอยความรู้สึกยามที่มีเขาเต้นระริกอยู่ภายในกาย รอคอยวันที่จะได้ครอบครองผู้ชายที่หล่อสุดๆ ในสามโลกอย่างไทเลอร์ด้วยหัวใจเต้นระส่ำ ต้องการเขา ต้องการไทเลอร์ ต้องการอย่างบ้าคลั่ง เขาปลุกความแพศยา ความร่านร้อนในกายของหล่อนให้ตื่นจากการหลับใหล และแน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางบังคับให้มันหลับได้อีกแล้ว

“อาจารย์ขา…”

จันทร์เจ้าขาแอ่นหยัดด้วยความเต็มใจเป็นที่สุด และไทเลอร์ก็กำลังจะกดซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองผ่านความคับแคบแสนหวานนั้นเข้าไปดื่มด่ำกับความสุขภายในช่องสวรรค์ฉ่ำเยิ้มนั้น แต่แล้วเสียงเขย่าประตูห้องเรียนแรงๆ ก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงเรียกของฟิลิเซียและพวก

ทุกอย่างชะงัก โลกทั้งใบหยุดหมุน ความจริง ความน่าละอายตีแสกหน้าอย่างไม่ปรานี หญิงสาวกัดปากแน่น มองสภาพของตัวเองในตอนนี้ ตอนที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกับไทเลอร์ด้วยความตกใจ นี่หล่อนปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน

“ปล่อยนะ!”

หล่อนกำลังจะผลักเขาให้ออกจากตัว แต่พ่อเจ้าประคุณชิงถอยหนีออกไปเสียก่อน เขาตวัดตามองหล่อนด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ทุกอย่างในสายตาของเขามืดดำและอ่านไม่ออก หล่อนเห็นเขารูดซิปและติดตะขอกางเกงจนเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทางสง่างาม ช่างไม่เหมือนกับผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ที่ดื่มกินกลีบสาวของหล่อนอย่างบ้าคลั่งเลยสักนิด ในขณะที่หล่อนยังคงเป็นแม่สาวร่านร้อนคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จันทร์เจ้าขาคิดอย่างอดสู น้ำตาแห่งความอับอายไหลซึมออกมา หล่อนกัดปากแน่นขณะค่อยๆ ดึงกางเกงชั้นในของตัวเองที่พ่อเจ้าประคุณรูดไปกองรวมกันไว้ด้านข้างให้กลับมาอยู่ที่เดิม จากนั้นก็กระชากบราเซียให้ลงมาปิดทรวงอกอวบด้วยมือไม้ที่สั่นเทา

“คนเลว…”

“ฉันว่าเธอออกจะชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำนะ จันทร์เจ้าขา… ดังนั้นอย่ามายัดเยียดความผิดใส่มือของฉัน เพราะเราต่างก็ต้องการเซ็กซ์พอๆ กัน”

เขายิ้มเยาะ ท่าทางเยือกเย็นเป็นที่สุด มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นแหละที่พอจะบอกได้ว่าเขากำลังร้อนเป็นไฟ นั่นก็คือเจ้าท่อนเนื้อที่เป้ากางเกงนั่นเอง เพราะมันยังคงปูดเป่งอยู่เช่นเดิม หล่อนเผลอมองมัน และเลียปาก ซึ่งนั่นก็ทำให้ไทเลอร์แทบอยากจะกระชากเจ้าหล่อนเข้ามาจูบให้ปากบวมเป่งอีกสักรอบ แต่ตอนนี้คงไม่สะดวกแล้ว เพราะมีแม่นักศึกษาสาวๆ หลายคนมาเขย่าประตูอยู่หน้าห้องเรียน

“แต่งตัวให้เรียบร้อยเร็วๆ เข้า ฉันจะไปเปิดประตูห้องในไม่ช้านี้”

จันทร์เจ้าขากัดปากบวมช้ำของตัวเองจนเจ็บ ขณะรีบจัดการกับเนื้อตัวของตนเองด้วยความรีบร้อน ไม่นานก็เรียบร้อย

“ผมของเธอด้วย”

หญิงสาวรีบยกมือขึ้นสางผมของตัวเองให้เข้าที่ทันที ก่อนจะตวัดสายตามองคนตัวโตด้วยความขุ่นเคือง และอดไม่ได้ที่จะเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ

“ผมของอาจารย์ก็ยุ่งเหมือนกันค่ะ”

ไทเลอร์ยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองลวกๆ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าของจันทร์เจ้าขา

“ที่มันยุ่งแบบนี้ก็เพราะฝีมือของเธอไม่ใช่หรือ จันทร์เจ้าขา…”

สายตาของเขาร้อนแรงเหลือเกิน และมันก็ทำให้หญิงสาวร้อนฉ่าไปทั้งตัว ความรู้สึกตอนที่ถูกปลายลิ้นอุ่นชื้นตวัดเลียยังเต้นระริกอยู่ในความทรงจำ มันวิเศษเหลือเกิน วิเศษจนปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ต้องการมันอีก ใช่… หล่อนยังต้องการลิ้มลองรสชาติปลายลิ้นของไทเลอร์อีกครั้ง และอีกครั้ง หญิงสาวขยับต้นขาของตัวเองเบียดเข้าหากันเพื่อข่มความต้องการมากล้นเอาไว้

“ฉัน…”

นิ้วแกร่งไล้ไปตามกลีบปากล่างอิ่มเต็มที่ตอนนี้บวมช้ำเพราะฤทธิ์จูบดุดันของเขาเมื่อครู่นี้ ไทเลอร์รู้สึกตื่นเร้าไปทั้งตัว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่จูบปากอิ่มๆ เท่านั้น ร่างกายของเขาจะไร้แรงต้านทานต่อเสน่ห์ของแม่ผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ได้มากมายนัก

“อย่าลืมสิ กลิ่นสาปของอีตัวน่ะมันแรง”

หญิงสาวหน้าชาดิก ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดจากรสจูบดุดันของเขาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ความอดสูอับอายแล่นขึ้นมาแทนที่ หล่อนผลักไสคนตัวโตให้ถอยห่างออกไป จากนั้นก็รีบเบี่ยงตัวออกมาจากจุดอันตราย

“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับฉันแบบนี้”

หล่อนมองคนใจร้ายตาเขียวปั๊ดยกมือขึ้นแตะปากบวมช้ำของตัวเอง จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“แม้คุณจะเป็นเจ้าของที่นี่ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาจูบปากฉัน!”

ไทเลอร์แค่นยิ้ม มองสตรีตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาหยาบโลน

“ปกติอีตัวแบบเธอ ให้ทำมากกว่าจูบไม่ใช่หรือ”

“คนเลว!”

“อย่ามาปากดี เธอก็รู้นี่ว่าฉันเป็นใคร”

เขาเดินเข้ามาหา ไล่ต้อนจนหล่อนต้องถอยหนีไปยังหลังห้องเรียน เท้าของหล่อนสั่นเทา หัวใจของหล่อนก็สั่นระริกไม่ต่างกัน การพยายามที่จะควบคุมตัวเองมันยากนักยามที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่หล่อสุดๆ ในสามโลกเช่นไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ

“ฉันรู้ว่าคุณใหญ่ ใหญ่มาก…”

หล่อนลากเสียงหยัน พยายามซ่อนความโหยหาที่มีต่อเขาเอาไว้สุดกำลัง เก็บมันให้ลึกลงไปสุดใจด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี แต่กว่าจะทำได้สำเร็จหล่อนหมดกำลังไปมหาศาลเลยทีเดียว

“บางทีฉันอาจจะใหญ่กว่าที่เธอคิดเอาไว้ซะอีก จันทร์เจ้าขา”

เขาจำชื่อหล่อนได้ เรียกชื่อหล่อนได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ขณะเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน

“และถ้าเธออยากจะพิสูจน์ คืนนี้ขึ้นเตียงกับฉัน”

“คุณจะดูถูกฉันมากไปแล้วนะ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ขายตัว”

หล่อนโวยวายเสียงดังแต่คนตัวโตไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อแม้แต่น้อย เขาแค่นยิ้ม กวาดตามองหล่อนไปทั้งตัวราวกับกำลังประเมินราคา

“เวลาเธออยู่ในชุดนักศึกษา เธอเหมือนยายเฉิ่มไม่มีผิด แต่ฉันยังจำภาพของเธอเมื่อคืนได้เป็นอย่างดี เธอจะร้อนแรงมากเวลาอยู่ใต้ร่างของฉัน ฉันต้องการฟังเสียงครางของเธอ ยามที่ฉันฝังลึกอยู่ในตัวของเธอ…”

น้ำเสียงของเขาแปร่งพร่าเล็กน้อย และเขาก็กระชากหล่อนเข้าไปกอด หญิงสาวร้อนผ่าวราวกับไฟไปทั้งร่าง แม้จะรักเขา แต่สายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกของเขาก็ทำให้หล่อนต่อต้านสุดกำลัง หล่อนผลักไสเขาเต็มแรงจนเป็นอิสระ จากนั้นก็ตวัดมือนุ่มๆ ของตัวเองลงบนซีกแก้มสากเต็มแรง ไม่คิดยั้งมือ หล่อนตบเต็มแรง แต่ใบหน้าของเขากลับไม่สะบัดไปตามแรงแม้แต่นิดเดียว มีแค่เนื้อแก้มเท่านั้นที่ไหวไม่มาตามแรงปะทะ

“ผู้ชายต่ำช้าอย่างคุณ ไม่ควรมีที่ยื่นอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำ”

หญิงสาวเค้นเสียงแหลมเล็กใส่ผู้ชายตรงหน้า กำลังจะวิ่งหนีออกไปจากห้อง แต่ข้อมือกลมกลึงก็ถูกกระชากเอาไว้ด้วยอุ้งมือหนาร้อนผ่าวราวกับไฟเสียก่อน เขากระชากหล่อนเข้ามาเผชิญหน้า นัยน์ตาสีเขียวจัดของเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเพลิงอย่างเห็นได้ชัด เขาโกรธจัด และแน่นอนว่าเขาอาจจะฆ่าหล่อนหมกห้องเรียนนี้ก็เป็นได้ คนคิดสั่นไปทั้งตัวและหัวใจ

“ตั้งแต่ฉันลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้…”

เขาก้มหน้าเค้นเสียงเดือดดาลออกมาแผ่วเบา

“ไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าฉันสักคน ไม่มีสักคนแม้แต่พ่อแม่ของฉัน”

หญิงสาวตัวสั่นระริก กระแสความเหี้ยมเกรียมของไทเลอร์ทำให้หล่อนแทบหยุดหายใจ หล่อนหวาดกลัว กลัวเหลือเกิน

“อย่า… อย่าทำอะไรฉันนะ”

หล่อนวิงวอน แต่เขาไม่สนใจ เขายังคงพล่ามต่อไปด้วยกระแสโทสะร้าย

“แต่เธอ… ทั้งสาดน้ำใส่หน้าฉัน ทั้งตบหน้า…” มือหนาสีแทนเลื่อนจากต้นแขนอวบมากอบกุมอยู่ที่ลำคอขาวเนียนของหล่อน เขาออกแรงบีบเบาๆ ก่อนจะเพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าของลำคอขาวๆ หน้าตาตื่นหวาดกลัว

“อย่านะ… อย่า… อย่าฆ่าฉัน…”

ไทเลอร์แสยะยิ้มหยัน พลางผลักร่างอรชรให้ไปชนเข้ากับผนังห้องเรียนอย่างไร้ความปรานี ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อหนาแน่นจะตามเข้าไปประกบ แน่นหนาไร้ทางออก ร่างกายของเขาที่บดเบียดเข้ามาใส่นั้นช่างแข็งแกร่งไม่ต่างจากหินศิลา

“คุณ… จะทำอะไร…”

ถามออกไปปากคอสั่น

เขาไม่ตอบ แต่แสยะยิ้มร้ายกาจ ขณะก้มหน้าต่ำลงมาหา นิ้วแกร่งราวกับคีมเหล็กตรึงปลายคางมนเอาไว้แน่น บังคับให้หล่อนต้องเงยหน้ามองเขาอย่างไร้ทางเลือก

“ฉันจะจูบเธอ”

“ไม่นะ อย่าจูบอีกนะ”

เพราะถ้าเขาทำอีก หล่อน… หล่อนจะไม่สามารถหยุดทุกอย่างเอาไว้ได้อีก หล่อนจะต้องเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสแสนดุดันของเขา และแน่นอนว่าความอับอายจะต้องวิ่งเข้าใส่เมื่อเขายุติการกระทำแสนเย้ายวนนั้นลง

เขาไม่สนใจการต้านทานของหล่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะสุดท้ายจูบที่แสนเร้าใจก็ระเบิดพร่างพรายขึ้นอีกครั้ง เขาจูบหล่อนด้วยสัมผัสแบบเดิม นั่นก็คือดุดัน ดิบเถื่อน ไร้ความปรานี เขาขยี้ปากของหล่อนอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะบังคับให้หล่อนเปิดปากรับลิ้นแกร่งร้อนชื่นอย่างเผด็จการ หล่อนพยายามหันหน้าหนี แต่เขาตรึงเอาไว้แน่นหนา

“ยะ อย่า…”

ไทเลอร์ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังดิ้นเร่าๆ อยู่นั้นกำลังรู้สึกยังไง เพราะผู้ชายอย่างเขาต้องการอะไรก็ต้องได้ และในเมื่อเขาต้องการแม่สาวแสนพยศคนนี้จนแทบคลั่ง หล่อนก็มีหน้าที่ตอบสนองให้เขาหยุดคลั่งเท่านั้น

“ดิ้น… ส่ายแบบนั้นแหละ…”

ชายหนุ่มครางเบาๆ อย่างพึงพอใจ เมื่อร่างอรชรที่แสดงท่าทางขัดขืนในตอนแรกยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เขาประกบ บดเคล้าเข้าหาหล่อนอย่างแนบแน่น ไม่ใช่แค่ที่ปาก แต่เป็นทั้งตัว เขาแนบชิด จงใจถูไถเนื้อตัวกำยำของตัวเองกับความนุ่มนิ่มของกายสาว เสียงหล่อนร้องครางเบาๆ เมื่อปากของเขานาบลงกับต้นคอขาวสะอาด กลิ่นสาปสาวช่างมีอำนาจต่อระบบการควบคุมตัวของเขาเสียเหลือเกิน ไทเลอร์คิดอย่างลุ่มหลง ขณะซุกไซ้ใบหน้ากับซอกคอระหงอย่างเร่าร้อน มือหนาข้างหนึ่งรัดรอบเอวคอดเอาไว้ อีกข้างหนึ่งสอดแทรกเข้าไปในใต้เสื้อ กอบกุมเต้างามอวบอัดที่อยู่ใต้บราเซียเอาไว้ทันที จากนั้นก็เริ่มออกแรงบีบเคล้นแผ่วเบา แต่ไม่นานสัมผัสนุ่มนวลก็เปลี่ยนแปลงเป็นหนักหน่วง ดุดัน

“อ๊ะ…”

เพราะเมื่อคืนเอาแต่คิดถึงคนไร้หัวใจอย่างไทเลอร์หามรุ่งหามค่ำ เช้าวันนี้หล่อนถึงได้ตื่นสายแบบนี้ หญิงสาวคิดอย่างโมโหตัวเอง ขณะวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดที่หน้าห้องเรียน

“เอ่อ ขออนุญาตค่ะ…”

นี่คือคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหล่อน คำแรกและดูเหมือนว่ามันจะเป็นคำสุดท้ายด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ประจำวิชา โลกทั้งใบของหล่อนก็พังพินาศลงในพริบตาร่างกายแข็งราวกับหิน ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้แค่เพียงสบประสานสายตากับคนตัวโตที่จ้องมองมาเพียงเท่านั้น แม้สายตาของเขาจะว่างเปล่า แต่หัวใจของหล่อนมันก็กลับไม่ยอมหยุดเต้น

ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ!

เป็นเขาได้ยังไงกัน เขามาอยู่ในห้องเรียน มาสอนวิชานี้ราวกับเป็นเจ้าของวิชาได้ยังไงกัน อาจารย์ประจำวิชานี้คืออาจารย์โจชัว เรนดอฟ ไม่ใช่หรือ

“เชิญ…”

โลกที่หมุนติ้วๆ อยู่รอบตัวหยุดชะงึกเมื่อเสียงกระด้างไร้ความรู้สึกดังขึ้น จากนั้นคนพูดก็ไม่สนใจอะไรหล่อนอีกเลย เขาหันไปให้ความสนใจกับการสอนตรงหน้าต่อ ในขณะที่หล่อนเดินตัวสั่นเทาตรงไปยังโต๊ะเรียนของตัวเอง ซึ่งมันก็พอดีแบบสุดๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับฟิลิเซียคู่ปรับตัวร้ายนั่นเอง

“เมื่อคืนคงดึกสิท่า เช้าถึงไม่มีแรงลุกน่ะ”

“มันเรื่องของฉัน เธอไม่เกี่ยว”

จันทร์เจ้าขาเค้นเสียงตอบกลับอย่างโมโห จากนั้นก็หยิบตำราเรียนของตัวเองขึ้นมาเปิดกางไว้บนโต๊ะ และตั้งหน้าตั้งตาเหมือนกับตั้งใจเรียนกับสิ่งที่คนสอนกำลังพรั่งพรูออกมาเป็นที่สุด แต่ใครจะรู้เล่าว่าแท้จริงแล้วสองหูของหล่อนไม่ได้ยินอะไรจากริมฝีปากสุดเซ็กซี่ของไทเลอร์เลย หูของหล่อนมีแต่ชื่อของเขาดังก้องไปหมด ไทเลอร์หล่อลากไส้ ยิ่งมองใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งหล่อเหลือเกิน หล่อชนิดที่เรียกได้ว่าสุดๆ ในสามโลก

เพราะอย่างนี้สินะในห้องเรียนคาบนี้ถึงอัดแน่นไปด้วยนักศึกษาสาวๆ จนล้นห้อง ทั้งๆ ที่ปกติยามที่อาจารย์โจชัว เรนดอฟสอน ในห้องเรียนแทบจะร้างนักศึกษาเลยก็ว่าได้ ผิดกับตอนนี้ลิบลับนัก หญิงสาวลอบถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อค้นพบว่าคู่แข่งในสนามแย่งชิงหัวใจของไทเลอร์นั้นช่างมีมากมายเกือบค่อนโลกเลยทีเดียว ไม่สิ… ทั้งโลกเลยก็ว่าได้ นี่หากนางฟ้า นางสวรรค์มีอยู่จริงๆ พวกหล่อนก็คงจะไม่รั้งรอที่จะกระโดดเข้ามาร่วมวงแย่งชิงไทเลอร์อย่างแน่นอน หล่อนเชื่อแบบนั้น

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวสัปดาห์หน้าอาจารย์โจชัวจะมาสอนพวกคุณเหมือนเดิม”

“แต่ฉันอยากให้อาจารย์ไทเลอร์สอนแทนไปตลอดเลยนี่คะ”

ฟิลิเซียลุกขึ้นยืน พลางส่งสายตายั่วยวนไปยังหนุ่มหล่อลากไส้ตรงหน้า

ไทเลอร์ระบายยิ้มหยันน้อยๆ

“ความหวังนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้ เอาล่ะไปเรียนวิชาต่อไปกันได้แล้ว”

“ทำเป็นหยิ่งไปเถอะพ่อรูปหล่อ เดี๋ยวจะทำให้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น”

ฟิลิเซียบ่นอุบอย่างผิดหวัง ก่อนจะลุกขึ้น และเดินตามกลุ่มนักศึกษาออกไปจากห้อง ซึ่งจันทร์เจ้าขาก็กำลังจะออกไปเช่นกัน แต่เสียงกระด้างน่าสะพรึงกลัวของไทเลอร์หยุดหล่อนเอาไว้เสียก่อน

“ส่วนเธอที่มาสายรอพบฉันก่อน”

ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวที่ชะงักเท้า แต่ฟิลิเซีย เจนนี่และนักศึกษาสาวๆ อีกหลายๆ คนต่างหยุดเดิน และหันกลับมาจ้องหน้าหล่อนสลับกับหน้าของไทเลอร์

“ฉัน… ฉันหรือคะอาจารย์”

“ใช่…”

น้ำเสียงของเขาฟังดูแสนอันตราย

“ทำไมต้องให้นัง… เอ่อ แม่จันทร์เจ้าขาอยู่พบอาจารย์ด้วยล่ะคะ ให้ฉันอยู่แทนดีกว่า ฉัน…”

ฟิลิเซียรีบเสนอหน้าทันควัน และอีกหลายคนก็กำลังจะเสนอตัว แต่ก็ถูกไทเลอร์ตัดบทอย่างอำมหิตเสียก่อน

“ผมว่าพวกคุณรีบไปเรียนดีกว่า เพราะถ้าคะแนนของพวกคุณออกมาไม่ถึงเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด พวกคุณถูกรีไทร์แน่”

หลายคนหน้าซีดเผือด และรีบทยอยออกไป สุดท้ายก็เหลือแค่ฟิลิเซียกับเจนี่เท่านั้น

“แต่อาจารย์ก็ไม่ควรอยู่ในห้องนี้ตามลำพังกับแม่จันทร์เจ้าขานะคะ ก็อย่างที่อาจารย์รู้ว่าแม่นี่เป็นอีตัว…”

จันทร์เจ้าขาสะอึกกำลังจะตอบโต้ แต่ไทเลอร์แก้หน้าให้หล่อนเสียก่อน

“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าปรักปรำคนอื่น ออกไปซะ อย่าทำให้ผมอารมณ์เสียมากไปกว่านี้”

ฟิลิเซียกัดปากแน่น หันมาจ้องหน้าจันทร์เจ้าขาด้วยความริษยาแน่นอก จากนั้นก็เดินมาหยุดตรงหน้าและเค้นเสียงแผ่วเบาเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน

“อย่าบังอาจแตะต้องของที่ฉันหมายตาเอาไว้เด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นแกชะตาขาด”

แม่นี่ข่มขู่หล่อนเสร็จก็หันไปตวาดเรียกเพื่อนทันที

“ไปเจนี่ ยืนเซ่ออยู่ได้”

ฟิลิเซียกับเจนี่ออกไปห้องเรียนแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ไทเลอร์ผู้ชายที่หล่อลากดินกับหนูสกปรกเช่นหล่อนเพียงลำพัง เขาจ้องมองหน้าหล่อน ขณะเดินผ่านร่างของหล่อนไปหยุดที่ปากประตู หล่อนคิดว่าเขาจะก้าวข้ามธรณีประตูไปเสียอีก แต่ก็ผิดคาดเพราะเขากลับกระชากประตูให้ปิดสนิทลงและล็อคอย่างแน่นหนา จากนั้นก็เดินมาหยุดตรงหน้าคนที่กำลังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้าเช่นหล่อนอีกครั้ง

สมองของหล่อนมโนสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดขึ้นมาในทันที สายตาของเขาน่ากลัว ท่าทางของเขาไม่ผิดจากเทพบุตรมารแม้แต่น้อย เขาหยุดอยู่ตรงหน้าของหล่อน ห่างแค่คืบเดียวเท่านั้น และจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาสีเขียวจัด

หล่อนลนลานจะถอยหนี แต่บั้นท้ายก็ไปชนเข้ากับโต๊ะเรียนเสียก่อน หมดทางหนี ทำได้แค่เพียงเผชิญหน้ากับจอมมารร้ายเท่านั้น

“เอ่อ อาจารย์ มีอะไร… กับ…”

“ว๊าย… อุ๊บ…!”

มันคือเสียงสุดท้ายที่สามารถเล็ดลอดออกมาจากปากอิ่มของหล่อน

หญิงสาวตัวชาดิก ชาไปทั้งตัว ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า เมื่อจู่ๆ ปากของหล่อนก็ถูกไทเลอร์ผู้ชายในฝันประกบปากลงมาหา เขาจูบ เขาขยี้ เขาดูดจนปากของหล่อนชอกช้ำ จูบด้วยแรงโทสะ จูบด้วยรสชาติป่าเถื่อน ดิบถ่อย ราวกับต้องการลงทัณฑ์กับกลีบปากอิ่มของหล่อนให้สาสม จูบขยี้ บดคลึง ปานกลีบปากสาวจะฉีกขาดแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่เป็นที่พึงพอใจของเขา เพราะเขาเพิ่มความเร่าร้อนลงไปอีก หนักหน่วง ดุดัน และต้องการเอาชนะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองหล่อนด้วยสายตากร้าวกระด้าง

“นี่คือสิ่งตอบแทนสำหรับน้ำแก้วนั้น”

เขาจำหล่อนได้…?!

หัวใจสาวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สมองของหล่อนในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนและไร้ความควบคุม ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจนัก เมื่อคืนเขาแสดงท่าทางว่าจดจำหล่อนไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วเขาจำหล่อนได้ จำหล่อนได้จริงๆ

“อาจารย์… จำได้…”

“คิดว่าฉันโง่นักหรือไง”

เขาต้องการ… ต้องการจะฝังลึกเข้าไปในกลีบเนื้อสาวของหล่อน แรงๆ อย่างรุนแรง บ้าคลั่งและป่าเถื่อน เขาจะกระแทก ส่ายคลึง และทำให้หล่อนครวญครางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเขาเชื่อแน่ว่าผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามปานนางฟ้าตรงหน้าจะต้องเป็นแมวสาวยั่วสวาทยามอยู่บนเตียงได้ยอดเยี่ยมแน่นอน หล่อนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้กับผู้ชาย เขามั่นใจ… มั่นใจเหลือเกินซึ่งผู้ชายคนนั้นก็คือไมเคิล คนสนิทของเขานั่นเอง

ความผิดหวังอย่างรุนแรงแล่นพล่านอยู่ในอก แต่มันก็ทำให้คิริลมองเห็นความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าเขาไม่มีทางแตะต้องผู้หญิงตรงหน้าได้ เพราะหล่อนคือภรรยาสาวของไมเคิล หล่อนมีเจ้าของแล้ว ไม่ว่าหล่อนจะน่าฟัดน่ากินสักแค่ไหนก็ตาม

“สวัสดี… ฉันมาหาไมค์”

คำพูดไร้ความรู้สึก เย็นชา และไม่มีอารมณ์อะไรให้เห็นเลยของพ่อจอมมารเหี้ยมโหดตรงหน้า ช่วยเรียกสติสตังของเนื้อนวลให้กลับมาสู่ร่างได้ทันควัน หลังจากยืนจ้องตากับผู้ชายที่หล่อที่สุดในสามโลกอย่างคิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ อยู่นานหลายอึดใจ

ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่หล่อ กำยำ และบึกบึนไปทั้งเนื้อทั้งตัว คือผู้ชายที่หล่อนเฝ้าคะนึงหามาตลอดหลายปีตั้งแต่หล่อนมาขออาศัยอยู่กับเนื้อนางผู้เป็นพี่สาวที่นี่ หล่อนแอบมองเขาทุกครั้งที่พี่เขยอย่างไมเคิลลืมของและกลับมาเอา แต่เขาไม่เคยเห็นหล่อนเลย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่ได้ชายตาแลหล่อนเลยแม้แต่น้อย มีแต่หล่อนนั่นแหละที่แอบมองเขาอยู่ข้างเดียว

แอบมองแอบรัก และตอนนี้ก็แทบจะพลีกายให้กับพ่อเจ้าประคุณอยู่รอมร่อ ผู้ชายอะไรยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งมองแนบชิดแบบนี้ก็ยิ่งหล่อเหลา นี่เขาเป็นคนจริงๆ หรือว่าเป็นภาพวาดที่จิตกรวาดขึ้นมากันแน่นะ เขาเหมือนไม่มีอยู่จริง เพราะเขาเป็นผู้ชายที่คนต่ำต้อยเช่นหล่อนไม่มีทางแตะต้องได้เลย ทำได้แค่เพียงในฝัน ในฝันเท่านั้นที่หล่อนจะแตะต้องเขาได้

“เอ่อ… พี่ไมค์ ไม่อยู่… ค่ะ…”

หญิงสาวตอบเสียงตะกุกตะกักมนต์ขลังของเขายังไม่คลายหายไปไหนมันยังคงครอบงำหล่อนอยู่มากมายเช่นเดิม ไม่สิ… มากมายกว่าเดิมอีก หล่อนอยากจะกอดผู้ชายตรงหน้า อยากจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบริมฝีปากกระด้างที่มักจะแต้มด้วยรอยยิ้มหยันตลอดเวลานั้นเหลือเกิน อยากจะสัมผัสรสชาติของเขา อยากจะรู้ว่าริมฝีปากของผู้ชายร้อนแรงเช่นเขาจะให้ความรู้สึกยังไง จะหวานฉ่ำ หรือว่าจะร้อนแรงเหมือนไฟกันแน่

บ้า… บ้าชะมัด ทำไมหล่อนถึงได้คิดอะไรน่าละอายแบบนี้ เขาสูงเกินเอื้อมถึง และแน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางได้แตะต้องเขาเหมือนกับที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนก็ตาม เนื้อนวลพยายามที่จะควบคุมตัวเองให้รอดพ้นจากมนต์เสน่ห์ของคิริล แต่หล่อนก็ทำได้ยากเหลือเกิน เพราะแค่กลิ่นกายหอมเซ็กซี่ของเขาโชยมาเข้าจมูก เนื้อตัวของหล่อนก็ปวดร้าวแทบตายแล้ว แถมช่องท้องยังร้อนราวกับถูกสุมด้วยไฟ มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่หล่อนไม่เคยรู้จักมันมาก่อนเลยในชีวิต

ความรู้สึกยอมจำนน…

“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าไมค์ไปไหน”

“เอ่อ คือฉัน… ฉันไม่รู้ค่ะ…”

หญิงสาวตอบเสียงตะกุกตะกัก ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นเดิม

“เขาไม่ได้บอกอะไรเธอเลยหรือ ว่าจะไปที่ไหน เขาไม่ได้ไปทำงานหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ แล้ว”

เนื้อนวลส่ายหน้าน้อยๆ ตอนนี้สมองของหล่อนว่างเปล่าจนน่าตระหนก หล่อนคิดอะไรไม่ออก สิ่งที่อยู่ในหัวของหล่อนตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือ… เขา… ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ คิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ เขายังฝังแน่นอยู่ในหัวสมอง หล่อนคลั่งไคล้เขาจนควบคุมตัวเองไม่ได้

“พี่ไมค์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยค่ะ”

“ทั้งๆ ที่เธอเป็นเมียของเขาเนี่ยนะ”

คำถามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของผู้ชายตรงหน้า ทำให้เนื้อนวลเริ่มเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวแสนทระนงของเขาทีละน้อย นี่เขาคิดว่าหล่อนเป็นภรรยาของไมเคิลอย่างนั้นหรือ บ้าจริงๆ หล่อนเป็นแค่น้องเมียต่างหาก

“คือฉัน…”

หล่อนกำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่ก็ถูกผู้ชายหล่อลากไส้ตรงหน้าหยุดเอาไว้เสียก่อน

“เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่รู้ ฉันก็จะไม่คาดคั้น ถ้าไมเคิลกลับมา บอกให้เขารับโทรศัพท์ของฉันด้วย หรือไม่ก็ติดต่อกลับฉัน คิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเผด็จการ แต่ไม่ใช่แค่น้ำเสียงหรอกเพราะท่าทางของเขาก็เต็มไปด้วยความเผด็จการ แสนโอหังเช่นกัน

“เอ่อ ค่ะ ฉันจะบอกพี่ไมค์ให้…”

“ขอบใจ…”

เขาระบายยิ้มส่งให้ แต่หล่อนไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้ของเขาเลย เขายิ้มเหมือนกับดูแคลนหล่อนยังไงก็ไม่รู้ ยิ้มพร้อมๆ กับกวาดมองไปทั่วทั้งกายสาว นี่เขาจะรู้ไหมนะว่าสายตาคมๆ สีเขียวจัดของเขาน่ะมันคมยิ่งกว่ามีดโกนเสียอีก มันทำให้หล่อนสั่นสะท้านระริกไหวไปทั้งตัว แถมที่ใจกลางสาวก็รู้สึกวูบวาบซาบซ่านขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ…”

เขายิ้มแบบเดิมให้อีกครั้ง หมุนตัวก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะหยุดเดิน และหันกลับมาจ้องหน้าหล่อนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาของเขาไม่ได้สบตากับหล่อนอีกแล้วแต่มองต่ำลงไปยังบริเวณทรวงอกของหล่อนแทน หญิงสาวร้อนไปทั้งตัว รีบมองตามสายตาคมๆ นั้นไป และก็ทำให้ได้เห็น… ทำให้ได้เห็นความงี่เง่าของตัวเอง

“เก็บเนื้อตัวของเธอ เอาไว้ยั่วไมค์ดีกว่า”

“คือฉัน…”

อยากจะอธิบาย แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง

“ต่อให้เธอแก้ผ้าตรงหน้า ฉันก็กินไม่ลง…”

พ่อเจ้าประคุณยิ้มเยาะ มองอย่างเหยียดหยาม

“เพราะเธอคือเมียของเพื่อนรักของฉัน”

แล้วพ่อคุณพ่อทูนหัวที่เอาแต่คิดเองเออเองก็ก้าวดุ่มๆ เดินจากไป ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับท้ายรถคันงามที่แล่นห่างไกลออกไป

เนื้อนวลหน้าแดงก่ำ ความอับอายแล่นพล่านไปทั้งตัว ขณะก้มลงมองสภาพน่าเวทนาของตัวเอง นี่หล่อนบ้า หรือประสาทไปแล้วเนี่ย ทำไม… ทำไมหล่อนถึงได้แต่งชุดนี้ออกมาเปิดประตูรับเขา ทำไมหล่อนถึงได้นุ่งกระโจมอกน่าทุเรศนี้ออกมาเปิดประตูรับผู้ชาย

คำตอบคือหล่อนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นเขา และที่สำคัญตอนที่กริ่งหน้าประตูดังอย่างต่อเนื่องนั้นหล่อนกำลังอาบน้ำอยู่ ด้วยความรีบร้อนกลัวแขกยามวิกาลจะรอนานทำให้หล่อนวิ่งไปเปิดประตูทันที โดยไม่ทันได้หยิบเสื้อคลุมมาสวม

“บ้า… บ้าจริงๆ เลย”

หญิงสาวรีบกระชากประตูบ้านให้ปิดสนิทลงและใส่กลอนอย่างแน่นหนา จากนั้นก็หันหลังพิงกับประตูไม้และยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอับอายเต็มเปี่ยม สายตาดูแคลนของเขายังติดอยู่ในสมอง เขาคงคิดว่าหล่อนยั่วเขา แต่หล่อนไม่ได้คิดทำอะไรบ้าๆ แบบนั่นสักหน่อย เนื้อนวลถอนใจออกมาอย่างทุกข์ทน คาดหวังว่าคิริลจะไม่มองหล่อนแย่มากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเท่าที่เป็นอยู่มันก็มากมายเกินจะรับไหวอยู่แล้ว

หญิงสาวถอนใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงร้องไห้จ้าของหนูน้อยวัยขวบเศษซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเนื้อนางผู้เป็นพี่สาวกับไมเคิลดังลั่นขึ้น หล่อนรีบถลันตรงไปยังที่นอนที่เด็กน้อยนอนอยู่ทันที

“โอ๋ โอ๋ น้ามาแล้วหนูเอวา”

มือขาวสะอาดช้อนใต้ลำตัวอ้วนกลมของเด็กน้อยขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก จากนั้นก็โยกตัวไปมาอย่างเชื่องช้า อีกมือที่ว่างอยู่ก็ยกขึ้นลูบศีรษะทุยสวยของเด็กตัวน้อยแผ่วเบา ความรักที่มีให้นั้นมากมายนัก

“น้าเชื่อว่าอีกไม่นานแม่ของหนูจะคิดได้และกลับมาหาหนูกับคุณพ่อ เชื่อน้านะจ๊ะ”

เด็กน้อยหลับคาอกไปแล้วแต่สมองของเนื้อนวลยังไม่ยอมสงบ เหตุการณ์เลวร้ายระหว่างเนื้อนางกับไมเคิลเมื่ออาทิตย์ก่อนยังฝังแน่นอยู่ในสมอง พี่สาวของหล่อนแอบคบชู้ และสุดท้ายก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามชู้รักไป ไมเคิลรู้เข้าก็พยายามอ้อนวอนเมียรักให้อยู่กับเขา อยู่กับลูก แต่พี่สาวของหล่อนก็ใจร้ายเหลือเกิน เพราะไม่ว่าไมเคิลจะคุกเข่า น้องเอวาจะร้องไห้จ้าสักเพียงใด แต่ก็เปลี่ยนใจเนื้อนางไม่ได้ เพราะสุดท้ายเนื้อนางก็จากไป ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน โดยเฉพาะไมเคิล ซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้พี่เขยของหล่อนไปหลบเลียแผลใจอยู่ที่ไหน หล่อนหวัง หล่อนภาวนาให้เขากลับมา กลับมาอยู่กับหนูเอวาเหมือนเดิม

รถสปอร์ตสีดำขลับถูกจอดสนิทไว้หน้าคฤหาสน์ Demon’s Palace ร่างสูงใหญ่ของไทเลอร์ก้าวลงมาจากรถ จากนั้นก็เดินตัวตรงมุ่งหน้าเข้าไปในตึกใหญ่สีขาวสะอาด ใบหน้าหล่อลากดินเยือกเย็นไร้ความรู้สึก เหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่อ่านความรู้สึกไม่ออก แต่ใครจะรู้บ้างเล่าว่าแท้จริงแล้วภายในอกของหนุ่มหล่อลากไส้อย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟกำลังเป็นอย่างไร ไฟ… ไฟบรรลัยกัลป์กำลังลุกโชนอยู่ในอกแกร่งไร้หัวใจของผู้ชายทรงอำนาจคนนี้

กรามกระด้างที่มีไรหนวดขบกันแน่นจนขึ้นสันนูน ดวงตาสีมรกตเนื้อดีกำลังเรืองรองไปด้วยเพลิงไฟแห่งโทสะ มือใหญ่สีแทนกำเข้าหากันแน่น ขณะย่ำเท้าลงบนพรมหนาสีเรียบหนักๆ

ให้ตายเถอะ บ้าชะมัด ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ตั้งแต่ลืมตาดูโลกไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำแบบนี้กับเขาสักคน แต่แม่นี่… แม่ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างแม่นี่ทำ หล่อนกล้ามากที่สาดน้ำใส่หน้าของเขา หล่อนกล้าลูบคมกับเสือร้ายอย่างเขาโดยไร้ความยำเกรง และแน่นอนว่าเขาจะเอาคืน… เขาจะเอาคืนหล่อนให้สาสมกับสิ่งที่หล่อนกระทำในค่ำคืนนี้เลยทีเดียว

“ฉันจะขยี้เธอให้แหลกคามือ แม่อีตัวคนสวย”

น้ำเสียงกระด้างเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยแผ่วเบา ชายหนุ่มกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง แต่ก็สวนเข้ากับน้องชายคนรองของตัวเองเข้าเสียก่อน

“หน้าดุแบบนี้ ใครทำให้พี่ใหญ่ของผมโกรธหรือครับ”

คำทักทายจากเจ้าน้องชายหน้าหล่อ คิริล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ เจ้าหมาป่าผู้แสนเจ้าเล่ห์และโหดร้ายดังขึ้นพอได้ยิน และนั่นก็ทำให้พี่ชายอย่างเขาต้องฝืนยิ้มออกมา

“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย”

คนฟังหัวเราะเบาๆ ขณะมองสภาพของพี่ชาย เส้นผมยุ่งๆ กับเสื้อเชิ้ตเปียกน้ำ

“ผมว่าไม่ใช่แค่หงุดหงิดนิดหน่อยมั้งครับพี่ไทล์ พี่ดูโกรธจนเหมือนจะขยี้โลกทั้งใบได้อยู่แล้วนะครับ”

“อย่าคาดคั้นพี่คิลล์ เพราะพี่จะไม่ตอบหากพี่ไม่ต้องการที่จะตอบ”

ความโอหังของพี่ชายทำให้คิริลยิ้มออกมาอีกครั้ง ในบรรดาพี่น้องสามคนของตระกูล ไทเลอร์โอหังที่สุด ทั้งโอหังทั้งเผด็จการเลยนั่นแหละ

“โอเคครับ งั้นผมก็จะไม่ถามอะไรแล้วครับ เชิญพี่ไทล์ตามสบาย”

น้องชายจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ไทเลอร์เรียกเอาไว้เสียก่อน

“แล้วนั่นนายจะไปไหนล่ะ หรือว่านัดสาวเอาไว้”

คนถูกถามหันกลับมาระบายยิ้ม

“ความจริงก็นัดสาวไว้นั่นแหละครับ แต่ตอนนี้คงไปไม่ได้แล้วล่ะ เพราะผมมีธุระสำคัญที่จะต้องไปจัดการ”

“งั้นก็ตามสบาย พี่ขอตัวไปพักผ่อนก่อนล่ะ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ไทล์”

เจ้าของชื่อหันมาฝืนยิ้มให้ ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป คิริลมองตามร่างสูงใหญ่ของพี่ชายคนโตไปจนลับสายตา จากนั้นจึงรีบก้าวออกมาจากตึกใหญ่ที่มีรถลีมูซีนสีดำสนิทจอดติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว เขาก้าวขึ้นไปทันทีเมื่อคนขับรถเปิดประตูรถให้

“คุณคิลล์จะไปที่บ้านของไมเคิลเลยใช่ไหมครับ”

“ใช่ รีบออกรถเลยอีริค”

คนขับรถวัยกลางคนรีบก้มหน้ารับคำสั่ง จากนั้นรถลีมูซีนคันงามก็แล่นออกจาก Demon’s Palace คฤหาสน์แสนตระการตาด้วยความเร็วสูง มุ่งสู่ถนนหลักในกรุงมอสโก

ดวงตาคมกริบสีเขียวมรกตที่คิริลได้รับเป็นมรกตตกทอดมาจากบรรพบุรุษตวัดมองออกไปยังวิวนอกหน้าต่าง ความรู้สึกประหลาดอัดแน่นอยู่ภายในอก คนสนิทของเขา ไมเคิล อาร์ไมคอฟ จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มาทำงาน ไม่โทรแจ้ง เขารอคอยอย่างใจเย็นอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ จนในที่สุดก็จำต้องออกค้นหาความจริงด้วยตัวเอง

ความจริงผู้ชายระดับอย่างเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนทำถึงเพียงนี้ เขาสามารถหาคนเก่งๆ มาทำงานด้วยได้อย่างง่ายดาย ผู้คนมากมายจำนวนกว่าครึ่งโลกต้องการร่วมงานกับนักธุรกิจมือทองคำอย่างเขา ต้องการจะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับธุรกิจยิ่งใหญ่ของเขา แต่เขาทอดทิ้งไมเคิลไม่ได้ เพราะไมเคิลไม่ใช่แค่เพียงคนสนิทธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ไมเคิลคือเพื่อนรักที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อครั้งที่เขาเกือบจะถูกคลื่นยักษ์กลางทะเลกลืนหายไป ความกล้าหาญในครั้งนั้นของไมเคิลทำให้เขาซาบซึ้งใจ และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งไมเคิลเช่นกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

“ถึงแล้วครับคุณคิลล์”

รถลีมูซีนคันหรูจอดสนิทลงที่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัดน่ารัก ดวงตาสีเขียวจัดมองผ่านความมืดสลัวตรงไปยังบ้านหลังน้อยตรงหน้าอยู่นานหลายอึดใจเลยทีเดียว ก่อนที่คิริลจะตัดสินใจก้าวลงไปจากรถคันงาม

“รอฉันอยู่ตรงนี้แหละอีริค เดี๋ยวฉันมา”

“ครับ คุณคิลล์”

คิริลไม่พูดอะไรออกมาอีก ชายหนุ่มพาร่างอันสง่างามเดินผ่าความมืดตรงไปยังบ้านหลังเล็กตรงหน้าทันที ไม่นานเขาก็มาหยุดที่หน้าประตูบ้าน มือหนากดกริ่งสองครั้งติด จากนั้นก็ยืนรอให้คนภายในบ้านออกมาเปิดประตู ซึ่งเขาคาดหวังว่าจะเป็นไมเคิลแต่ยืนรออยู่หลายนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าบานประตูตรงหน้าจะเปิดออกสักที ชายหนุ่มจึงกดกริ่งเรียกอีกครั้ง คราวนี้ย้ำหนักๆ หลายครั้งติด ได้ผล ไม่นานประตูตรงหน้าก็ถูกเปิดออก พร้อมๆ กับภาพสาวงามในชุดกระโจมอกด้วยผ้าขนหนูสีชมพูเพียงผืนเดียวยืนเผชิญหน้ากับเขาอยู่ที่ปากประตู

แล้วก็เหมือนกับถูกสะกด ถูกดูดเข้าไปในหุ้มอากาศ หรืออาจจะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งเขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองสามารถยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่กระชากแม่สาวน้อยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยตรงหน้าเข้ามาจูบได้ยังไงกัน ในเมื่อเจ้าหล่อนสวย สวย… สวยไปทั้งเนื้อทั้งตัว อวบอิ่ม ล้นหลามจนร่างกายของเขาเกร็งเครียดขึ้นมาทันควัน เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกรุนแรงแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกอยากจะจับผู้หญิงคนไหนเข้ามาดูดให้ปากบวมช้ำแบบแม่สาวตรงหน้ามาก่อน

คิริลกัดฟัน ขบกราม และข่มใจตัวเองสุดกำลง แต่ให้ตายเถอะ เจ้าตัวยุ่งที่อยู่ในกางเกงชั้นในมันกลับไม่ยอมเชื่อฟังเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้มันตื่น… คึกคัก และพร้อมใช้งานอย่างในทัน เขาอยาก… อยากจะกระชากผ้าขนหนูสีหวานผืนนั้นออก อยากจะมอง อยากจะกินไปทั่วทั้งกายสาว และจากนั้นก็ผลักแรงๆ ให้เจ้าหล่อนไปพิงกับผนังห้อง และกระแทกแล้วก็กระแทกเข้าใส่ความเย้ายวนของแม่สาวน้อยตรงหน้าให้สาสมกับอารมณ์บ้าคลั่งในตอนนี้

บรรยากาศเดิมๆ แบบนี้เวียนกลับมาในช่วงหัวค่ำของทุกๆ วัน แสงไฟหลากสีสัน เสียงเพลงที่เคล้าคลอแผ่วเบา จันทร์เจ้าขาถอนใจออกมาเบาๆ ด้วยความเบื่อหน่าย แต่ถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายยังไงกระนั้นหล่อนก็ท้อไม่ได้ หล่อนต้องสู้ ไม่ใช่แค่สู้เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ต้องสู้เพื่อพ่อกับแม่ที่รอคอยการกลับไปของหล่อนที่เมืองไทยด้วย

จากเสียงถอดถอนใจแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ทันที หญิงสาวฝืนยิ้มขณะก้มลงมองกระโปรงรัดรูปสีดำสั้นแค่คืบบนขานวลของตนเอง กระโปรงสีดำทั้งสั้นทั้งรัดรูปมันโชว์สัดส่วนที่หล่อนพยายามซ่อนเร้นเอาไว้จากสายตาของทุกคนเสมอออกมาอย่างชัดเจน ในขณะที่เสื้อเกาะอกสีเดียวกับกระโปรงก็แนบเนื้อไม่ต่างกัน หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแก้ผ้า แต่ก็ไม่มีทางเลือก งานตรงหน้าได้เงินดี แม้จะต้องแลกกับสายตาหยาบคายของนักท่องราตรีเพศผู้ก็ตาม

“เจ้าขาเร็วเข้าสิ แขกมาเยอะแล้วนะ” เสียงเพื่อนร่วมงานที่ดังขึ้นช่วยฉุดให้หญิงสาวรู้สึกตัว

“เอ่อ… จ้ะ ฉันจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”

“ดี… งั้นก็มาเร็วๆ เข้าเลย…”

จันทร์เจ้าขาตัดสินใจเดินตามร่างของเพื่อนร่วมงานออกไปยังหน้าร้านที่ตอนนี้พลุ่งพล่านไปด้วยกลุ่มนักท่องราตรีจำนวนมหาศาล แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่ร้านแห่งนี้คนจะเยอะทุกวัน ก็มันเป็นร้านอันดับหนึ่งของมอสโกเลยนี่ แถมที่นี่ยังมีสาวๆ สวยๆ ให้หนุ่มๆ นักล่าทั้งหลายหิ้วออกไปเสพสุขมากมายครึ่งร้อยกว่าคน

“โต๊ะสิบแปด ยกเหล้าไปเสิร์ฟเลย”

“ได้ค่ะ…”

จันทร์เจ้าขารับถาดใส่แก้วใสใบสวยสองใบ พร้อมกับเหยือกใส่น้ำแข็ง และเหล้าราคาแพงมาไว้ในมือ จากนั้นก็รีบเดินตรงไปยังโต๊ะหมายเลขสิบแปด ซึ่งไม่นานหล่อนก็เจอมัน เพราะโต๊ะหมายเลขนี้เป็นหนึ่งในโต๊ะวีไอพีของร้านเลยทีเดียว โต๊ะหมายเลขนี้จะถูกจัดเอาไว้ในส่วนที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวที่สุดในร้าน หล่อนรีบมาหยุด พร้อมกับรีบยกทุกอย่างบนถาดวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าอย่างสุภาพเรียบร้อย

“ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ…”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าแขกทั้งสองคนตรงหน้าคือไทเลอร์กับทอมสันนั่นเอง หล่อนหน้าซีดตัวสั่นและเต็มไปด้วยความประหม่า

“คุณ…”

“เธอทำเหมือนรู้จักพวกฉันอย่างนั้นแหละ สาวน้อย”

ไทเลอร์แค่นยิ้มหยัน พลางกวาดสายตามองไปทั่วเรือนร่างอวบอิ่มของสตรีตรงหน้าด้วยสายตาหิวกระหายไม่คิดปิดบัง

จันทร์เจ้าขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่กระนั้นก็อดดีใจไม่ได้ที่ไทเลอร์กับทอมสันจำหล่อนไม่ได้ แต่มันก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อตอนนี้หล่อนแต่งหน้าเข้มจัด แถมยังไม่ได้ใส่แว่นสายตาอันใหญ่เฉิ่มเชยเหมือนตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเสียด้วย

“ถ้าพวกคุณไม่ได้ต้องการอะไรเพิ่มแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ”

กำลังจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อบั้นท้ายถูกมือหนาใหญ่ของไทเลอร์ขยำเอาเต็มแรงด้วยกิริยาหยาบคายสุดๆ

“คุณ… ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ!”

“กล้าหือกับลูกค้าวีไอพีอย่างพวกฉันอย่างนั้นหรือ” ทอมสันตวาดใส่หน้า มองหล่อนไปทั่วทั้งร่างอย่างดูถูกเหยียดหยาม

“ฉันจะจัดการกับแม่นี่เองทอมสัน” ไทเลอร์ผุดลุกขึ้นยืน รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของเขายังคงชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง

“ค่าตัวเธอทั้งคืนเท่าไหร่ ฉันสนใจอยากจะมีเซ็กซ์กับเธอ”

คนฟังรู้สึกไม่ต่างจากมีไฟลุกท่วมใบหน้า สองมือบางกำเข้าหากันแน่น พยายามอย่างที่สุดที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

“ขอโทษนะคะ… ดิฉันไม่ขายตัวค่ะ”

หล่อนสะบัดหน้าหนี และตั้งใจจะเดินหนีเช่นกัน แต่ข้อมือบางก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน “อย่าปฏิเสธฉันเลยน่า หรือว่าต้องการให้ฉันตั้งราคาเอง”

เขากระชากหล่อนให้มาหยุดตรงหน้าด้วยกิริยาหยาบคาย มองหล่อนไปทั้งตัวด้วยความหิวกระหายไม่คิดปิดบัง

“หมื่นเหรียญเป็นไง”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่กัดปากแน่น ไทเลอร์จึงพูดขึ้นอีก “น้อยไปหรือ งั้นสองหมื่นเหรียญล่ะเป็นไง แค่ดิ้นๆ ส่ายๆ ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จงานแล้ว”

“ฉันไม่ตกลง…”

หญิงสาวเค้นเสียงเจ็บปวดออกไปใส่หน้าเขา หัวใจเต็มไปด้วยความเจ็บร้าวทรมาน หากเป็นผู้ชายคนอื่นพูดหล่อนคงไม่ขมขื่นมากเท่านี้ ไทเลอร์ใจร้าย ใจร้ายที่สุดเลย ในสายตาของเขาผู้หญิงคงเป็นแค่เพียงขยะไร้ประโยชน์เพียงเท่านั้นมั้ง

“กรุณาปล่อยมือดิฉันด้วยค่ะ ดิฉันมีงานอื่นที่ต้องไปทำอีกมากมาย”

“ตอบมาก่อนสิว่าตกลง แล้วคืนนี้เราจะได้สนุกกัน”

ไทเลอร์เปลี่ยนจากการแตะเอวคอดแผ่วเบามาเป็นโอบกระชับแทน และนั่นก็ทำให้เขาได้สัมผัสกับความนุ่มนิ่มไม่ผิดจากกำมะหยี่ ร่างกายของเขาเกร็งเครียด เลือดหนุ่มในสายเดือดพล่านขึ้นมาอย่างสุดควบคุม แถมไอ้เจ้าท่อนเนื้อที่เป้ากางเกงก็ผุดผงาดขึ้นอย่างน่าตกใจ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แค่กอดเอง แค่กอดหลวมๆ เท่านั้น ทำไม… ทำไมกายหนุ่มของเขาถึงได้ขานรับเสน่ห์นางของแม่สาวน้อยคนนี้นักหนานะ

“ดิฉันยังยืนยันคำเดิมค่ะ ดิฉันไม่ตกลง”

มือบางผลักแผ่นอกกว้างเต็มแรง จนเป็นอิสระ จากนั้นหล่อนก็เอื้อมไปคว้าแก้วน้ำเปล่ามาสาดใส่หน้าของไทเลอร์ทันที

“และอยากจะให้รู้เอาไว้ว่าผู้หญิงอย่างพวกดิฉันก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ไม่ใช่อีตัวแบบที่คุณกับพวกของคุณเฝ้ามโนกันไปเอง”

จันทร์เจ้าขาพูดจบก็ก้าวยาวๆ เดินจากไปทันที

ทอมสันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รีบส่งกระดาษทิชชูให้กับไทเลอร์อย่างรวดเร็ว พลางรีบผุดลุกขึ้นจะถลาตามร่างของจันทร์เจ้าขาออกไป แต่ไทเลอร์ห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ปล่อยหล่อนไปเถอะ”

“แต่ว่า…”

“ฉันบอกให้ปล่อยหล่อนไปยังไงล่ะ”

มือหนาของไทเลอร์ยกขึ้นปาดหยาดน้ำออกจากใบหน้าของตัวเองอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบสีเขียวจัดเต็มไปด้วยความเดือดดาล กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันปูดเป่ง

“ผมจะจัดการกับแม่ผู้หญิงคนนี้ด้วยมือของผมเอง คุณไม่ต้องยุ่ง”

“คุณไทเลอร์รู้หรือครับว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”

ทอมสันถามด้วยความประหลาดใจเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดจากปากของไทเลอร์เลยแม้แต่นิดเดียว

“เรากลับกันได้แล้ว”

“เอ่อ แต่ว่าเรายังไม่เจอนักศึกษาคนนั้นเลยนะครับ เรายังไม่ได้หลักฐาน…”

ไทเลอร์ระบายยิ้มหยัน

“มันไม่จำเป็นอีกแล้วล่ะ กลับกันได้แล้ว ผมต้องการกลับไปพักผ่อน”

“เอ่อ ครับๆ คุณไทเลอร์”

ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสง่างามของไทเลอร์เดินนำหน้าออกไปไกลแล้ว ทอมสันจึงต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบตามไปอย่างรวดเร็ว แม้จะผิดหวังที่ยังไม่มีหลักฐานมามัดตัวจันทร์เจ้าขา แต่พรุ่งนี้ยังมีไง ทอมสันคิดแบบนั้น

จันทร์เจ้าขาแอบมองจนร่างของไทเลอร์ก้าวพ้นออกไปจากร้านแล้ว หล่อนจึงกล้าออกมาจากที่หลบซ่อนตัว ด้วยหัวใจที่เต้นแรงระรัว ตอนแรกนึกว่าหล่อนจะต้องถูกไล่ออกจากงานเสียแล้ว แต่ก็แปลกที่ไทเลอร์กลับไม่เอะอะโวยวายอะไรเลย แถมยังยอมกลับไปเฉยๆ แบบนั้น

“ฉันหวังว่าคุณจะจำฉันไม่ได้ อย่างที่คุณแสดงออกมานะคุณไทเลอร์”

หญิงสาวสวดภาวนาให้พระเจ้าคุ้มครอง แต่กระนั้นความหวาดหวั่น ความหวาดกลัวก็ยังคงเกาะติดอยู่ภายในหัวใจไปตลอดราตรี

รถสปอร์ตราคาแพงระยับแล่นมาจอดในลานจอดรถช่องสำหรับผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัสเซีย เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดานักศึกษาสาวสวยจำนวนมากดังสนั่นขึ้นทันทีเมื่อร่างสูงใหญ่แสนสมบูรณ์แบบของไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟก้าวลงมาจากรถ ดวงตาคมกริบกราดมองไปยังกลุ่มของนักศึกษาสาวเจ้าของเสียงกรี๊ดร้องไม่ต่างจากนางชะนีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชเป็นที่สุด ผู้หญิงก็เป็นได้แค่นี้แหละ ชะนีที่จ้องแต่จะร้องเรียกหาผัว

รอยยิ้มหยันยังคงแต้มแต่งอยู่บนใบหน้าหล่อลากดินของไทเลอร์ไม่จางแม้แต่ในขณะที่เขาก้าวดุ่มๆ เดินหายเข้าไปในสถานที่อันเป็นส่วนตัวของตนเองแล้วก็ตาม เมื่อสิบปีก่อนห้องทำงานของเขาไม่ต้องถูกแบ่งแยกออกมาจากคนอื่นแบบนี้ แต่เพราะแม่นักศึกษาสาวๆ ที่คอยมาเกาะมาแกะมารุมล้อมรอบกายเขาตลอดเวลานั่นแหละ จึงทำให้เขาต้องสร้างสถานที่อันเป็นส่วนตัวขึ้นภายในมหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่อตัดความน่าสะอิดสะเอียนนั้นออกไป แต่กระนั้นแม่นักศึกษาสาวๆ ก็ยังไม่วายตามมอง ตามจ้อง และตามร้องกรี๊ดๆ ใส่เขาเหมือนเดิม มันน่าเบื่อ น่ารำคาญ จนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเปลี่ยนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยชายล้วนคงจะเป็นผลดีกับโสตประสาทของเขาไม่น้อย

“นี่ฟิลิเซียเห็นหรือเปล่า อาจารย์ไทเลอร์ยิ้มให้ฉันด้วย”

“ฉันไม่เห็นอาจารย์ไทเลอร์จะยิ้มเธอให้ตอนไหนเลย อย่ามามั่วยายเจนี่ และก็จำเอาไว้ให้ขึ้นใจด้วยนะว่า…”

ดาวมหาวิทยาลัยที่ทั้งสวย ทั้งรวย และฉลาดที่สุดในมหาวิทยาลัยอย่างฟิลิเซีย แอมร์เบิร์ดหันมายิ้มดุดันใส่เพื่อนสนิท

“อาจารย์ไทเลอร์เป็นของฉัน เธอไม่มีสิทธิ์”

เจนี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เพราะหล่อนเป็นเพียงแค่ลูกสาวของคนขับรถของบิดาฟิลิเซียเพียงเท่านั้น ทำให้หล่อนได้แต่เก็บความขุ่นเคือง เจ็บแค้นเอาไว้แต่ภายในใจ ภายนอกที่ทำได้ก็คือการยิ้ม และก็ประจบสอพลอเพียงเท่านั้น

“ฉัน… ขอโทษฟิลิเซีย ต่อไปฉันจะไม่คิดแบบนั้นกับอาจารย์ไทเลอร์อีกแล้ว”

“ดีมาก เพราะอาจารย์ไทเลอร์เป็นของฉัน มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่มีสิทธิ์ครอบครอง”

ฟิลิเซียยิ้มอย่างมาดมั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง มั่นใจว่าความสวย และฐานะที่สูงส่งทางสังคมจะทำให้ไทเลอร์หันกลับมามองที่หล่อน อย่างที่หล่อนต้องการให้เป็น แม้ว่าจะรอคอยเวลานั้นมาเนิ่นนานถึงหกปีแล้วก็ตาม หกปีที่หล่อนยอมซ้ำชั้นไม่ยอมจบออกไปจากที่นี่สักทีก็เพราะเหตุผลนี้นี่แหละ

“ฉันรู้แล้วล่ะน่า และฉันก็จะช่วยเธอทุกอย่างฟิลิเซีย”

“ขอบใจ”

ฟิลิเซียเปิดกระเป๋าถือของตัวเองออกมาและโยนเศษเงินใส่หน้าของเจนี่

“ค่าขนม เอาไปใช้ซะ”

เจนี่หน้าชาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนยิ้มออกไป

“ขอบใจมากจ้ะฟิลิเซีย”

เจ้าของชื่อแค่นยิ้ม มองเพื่อนของตัวเองอย่างดูแคลน ก่อนจะเชิดหน้าและเดินจากไป เจนี่มองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกันยายคุณหนูฟิลิเซีย”

เจนี่เค้นเสียงเจ็บแค้นออกมา ก่อนจะรีบปรับสีหน้าและวิ่งตามร่างเล็กกะทัดรัดของฟิลิเซียไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาพบว่าฟิลิเซียกำลังหาเรื่องคู่กรณีอยู่

“เกิดอะไรขึ้นหรือฟิลิเซีย”

เจนี่เอ่ยถาม

“นังเจ้าขามันทำรองเท้าฉันเลอะ เธอดูสิเจนี่…”

เจนี่ก้มลงมองเท้าของฟิลิเซียแต่ก็ไม่เห็นอะไรอย่างที่ได้ยินมาเลยสักนิด

“ไม่เห็นมีเลยฟิลิเซีย”

“เจนี่?!”

เสียงตวาดแว๊ดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของฟิลิเซียดาวมหาวิทยาลัยคนสวยทำให้เจนี่ต้องรีบเออออห่อหมกออกไปทันที

“ใช่ ใช่… นั่นไงฝุ่น นี่แกทำฝุ่นปื้นรองเท้าฟิลิเซียอย่างนั้นหรือนังเจ้าขา”

จันทร์เจ้าขา โชติฐากร นักศึกษาที่เรียนดีจนได้ทุนเรียนฟรีจากประเทศไทยให้มาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งของรัสเซียถอนใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนต้องเจอะเจอกับฤทธิ์เดชของฟิลิเซียและพ้องเพื่อน แต่มันเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนไปเหยียบหางอะไรของแม่พวกนี้เข้า แม่พวกนี้ถึงได้ตามระรานหล่อนได้ตลอดเวลาแบบนี้ ทำราวกับว่าแค้นเคืองกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างนั้นแหละ

“เลิกหาเรื่องฉันสักทีเถอะฟิลิเซีย ฉันเบื่อเต็มที่แล้ว”

“กรี๊ด! นี่คนต่ำๆ อย่างแกกล้าพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง แกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร ฉันใหญ่แค่ไหนในโรงเรียนนี้”

ฟิลิเซียเต้นเร่าๆ ด้วยความเดือดดาล จ้องมองจันทร์เจ้าขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเป็นที่สุด

“ฉันรู้ว่าเธอสวย เธอรวย และพ่อเธอก็ใหญ่มาก เอาะ… แล้วที่สำคัญ เธอก็เป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเธอเรียนมาตั้งหกปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบสักที”

ทุกคนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดของจันทร์เจ้าขาต่างพากันหัวเราะร่วน ไม่เว้นแม้แต่เจนี่ มีแต่ฟิลิเซียคนเดียวเท่านั้นที่เต้นเป็นเจ้าเข้า

“นี่… พวกแกหยุดหัวเราะกันเลยนะ นังเจนี่!”

เจนี่รีบหยุดหัวเราะทันควัน ก่อนจะรีบโต้ตอบจันทร์เจ้าขา

“นี่แกหาว่าฟิลิเซียโง่อย่างนั้นเหรอ ใช่ไหมนังเจ้าขา”

เจ้าของชื่อส่ายหน้า อมยิ้มยียวน

“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย เธอพูดเองนะเจนี่”

ฟิลิเซียที่ยืนนิ่งอยู่ กรี๊ดร้องขึ้นมาอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบโต้ตอบออกมา

“ฉันไม่ได้โง่ แต่ที่ฉันยอมอยู่ที่นี่นานกว่าทุกคนก็เพราะฉันมีจุดหมายต่างหาก ซึ่งคนโง่ๆ อย่างแกไม่มีทางรู้หรอกว่าในหัวอันแสนฉลาดอย่างฉันกำลังคิดอะไรอยู่”

จันทร์เจ้าขาระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความเบื่อหน่ายเช่นเดิม

“โอเค ฉันคงตามคนฉลาดแบบเธอไม่ทันหรอกฟิลิเซีย หมดเรื่องกับฉันแล้วใช่ไหม ฉันขอตัวล่ะ”

จันทร์เจ้าขาจะเดินผ่านไป แต่ก็ถูกฟิลิเซียก้าวเข้ามาขวางหน้าเสียก่อน

“ยัง… ฉันยังไม่หมดธุระกับผู้หญิงต่ำๆ อย่างแก”

คนฟังเลือดขึ้นหน้า

“ครั้งนี้ฉันจะยอมให้ แต่ครั้งหน้าถ้าเธอขืนมาเรียกฉันว่าผู้หญิงต่ำๆ อีกล่ะก็ ฉันจะอัดเธอให้ฟันร่วงเลยคอยดู ฟิลิเซีย”

ฟิลิเซียหน้าถอดสี แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ หล่อนดันร่างของเจนี่ให้มาขวางหน้าเอาไว้ ส่วนตัวเองหลบอยู่ด้านหลัง และก็พูดยั่วยวนไม่หยุด

“ฉันพูดความจริงทำไมต้องกลัวด้วย แกมันต่ำ แกมันผู้หญิงขายตัว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าตอนกลางคืนแกไปประกอบอาชีพอะไรมา”

จันทร์เจ้าขาเม้มปากแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้

ฟิลิเซียยิ้มเยาะ ขณะที่เจนี่เองก็ยิ้มเยาะเช่นกัน รวมถึงบรรดานักศึกษาที่ต่างพากันยืนอยู่รอบๆ บริเวณแถวนี้ด้วย

ที่นี่ไม่มีใครสักคนที่ชอบหล่อน ผู้หญิงถูกเม็ดเงินจากฟิลิเซียซื้อไปเป็นพวกแล้วทั้งหมด ในขณะที่ผู้ชายก็หลงใหลได้ปลื้มกับรอยยิ้มและเสน่ห์ของฟิลิเซีย หล่อนมักจะถูกบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้กลั่นแกล้งเสมอ อันเนื่องมาจากคำสั่งของฟิลิเซียนั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นักศึกษาหรอกที่ไม่ชอบขี้หน้าเด็กสาวต่างเชื้อชาติแถมยังยากแค้นเช่นหล่อน เพราะบรรดาบุคลากรของที่นี่ก็ไม่ชอบหล่อนเช่นกัน ทุกคนต่างตราหน้าว่าหล่อนเป็นคนไม่ดีตั้งแต่ได้ยินเรื่องปั้นแต่งจากปากของฟิลิเซียและพวกพ้องแล้วนั่นแหละ แต่ก็ช่างเถอะอีกไม่กี่เดือนหล่อนก็จะจบการศึกษาแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง หล่อนก็คงจะยิ้มได้อีกครั้ง

“ขายตัวแลกกับเศษเงินสิไม่ว่า”

เสียงโห่ร้องจากผู้คนรอบๆ กายทำให้หน้าของจันทร์เจ้าขาชาดิก แต่หล่อนก็ฝืนใจอดทนมันเอาไว้ ท่องเอาไว้ว่าต้องอดทน

“พวกเธอจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ขอตัว”

จันทร์เจ้าขารีบเดินจากมาอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นสองหูของหล่อนก็ยังได้ยินคำพูดใส่ร้ายจากปากของฟิลิเซียอย่างชัดเจน

“นี่พวกเธอรู้ไหม พ่อของฉันน่ะซั่มแม่นี่เรียบร้อยแล้ว”

“จริงเหรอฟิลิเซียคนสวย” หนุ่มนายหนึ่งเอ่ยถามอย่างเอาใจ

“จริงสิ แถมพ่อฉันยังบอกอีกว่าแม่นี่ผ่านศึกมาโชกโชนแล้ว เครื่องเคราหลวมไปหมด”

เสียงหัวเราะของผู้คนที่อยู่ด้านหลังไม่ผิดจากคมมีดที่พุ่งเข้าแทงกลางหัวใจ หญิงสาวน้ำตาหลั่งรินด้วยความขมขื่นใจ จนแว่นสายตามัวพร่ากำลังจะถอดออกมาเช็ดให้ใสดังเดิม แต่จังหวะนั้นหล่อนก็เกิดเดินชนกับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินสวนมาพอดี

“ขะ ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไร…”

มือหนาที่จับต้นแขนของหล่อนเอาไว้มันร้อนราวกับไฟ น้ำเสียงทุ้มลึกราบเรียบค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปเช่นกัน

แค่เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างหล่อนก็จดจำได้ดีว่าผู้ชายเจ้าของมือหนาร้อนผ่าวคนนี้เป็นใคร จันทร์เจ้าขายืนมองร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปจนลับสายตา หัวใจสาวเต้นแรงระรัว แค่สัมผัสผิวเผินจากเขา แค่เสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกของเขา และแค่กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกายยำกำของเขาเท่านั้น ทุกอย่างมีผลต่อทุกอณูความรู้สึกของหล่อนอย่างรุนแรงยิ่งนัก

“อาจารย์ไทเลอร์…”

หญิงสาวระบายยิ้มบางๆ หรี่ตามองต้นแขนที่ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสร้อนผ่าวจากฝ่ามือหนากระด้างด้วยความปลาบปลื้มใจ หล่อนก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั่นแหละ ตกหลุมรักอาจารย์หนุ่มสุดหล่ออย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

มันน่าสมเพช! แต่หล่อนก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้จริงๆ

จันทร์เจ้าขายิ้มเศร้าๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องของฝ่ายปกครอง ห้องที่หล่อนเดินเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลาเกือบสี่ปีที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

“นั่งลงก่อนสิ จันทร์เจ้าขา”

หญิงสาวทรุดกายลงนั่งตามคำเชื้อเชิญของอาจารย์หนุ่มใหญ่ สีหน้าของหล่อนไม่ได้แสดงความรู้สึกรู้สาอะไรออกไปเลย ก็จะให้รู้สึกอะไรได้ล่ะ ในเมื่อหล่อนรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะถูกตำหนิในเรื่องอาชีพที่ตัวเองทำหลังเลิกเรียนอีกครั้ง

“รู้ใช่ไหมว่าผมเรียกคุณเข้ามาพบเรื่องอะไร”

“ทราบค่ะ”

“ทราบ… แต่เธอก็ยังไม่สะทกสะท้าน เธอยังคงขัดคำสั่งของมหาวิทยาลัยตลอดเวลา”

อาจารย์ฝ่ายปกครองตวาดลั่น หน้าตาแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ

“แต่ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ”

“ไม่ผิดได้ยังไง ในเมื่อคุณขายตัว!”

คนฟังหน้าแดงก่ำ กัดฟันข่มความอดสูเอาไว้สุดกำลัง

“ดิฉันยังขอยืนยันคำเดิมค่ะว่าดิฉันไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกับกฎของมหาวิทยาลัยแม้แต่ขอเดียว”

“ยังจะมาปากแข็งอีกอย่างนั้นหรือ ฉันจะทำเรื่องรีไทร์เธอออกจากมหาวิทยาลัย”

“เชิญอาจารย์ทำอะไรก็ได้ตามที่พอใจค่ะ เพราะหากดิฉันถูกรีไทร์เมื่อไหร่ ดิฉันจะร้องเรียน”

นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองขู่ด้วยเหตุผลนี้ แต่มันหลายสิบครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งหล่อนก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ตลอดเวลา

“นี่คุณกล้าลองดีกับผมอย่างนั้นหรือ”

“ดิฉันไม่ได้ลองดีค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าอาจารย์สามารถหาหลักฐานว่าดิฉันขายตัวมายืนยันได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นดิฉันจะเป็นฝ่ายลาออกจากที่นี่เองค่ะ”

แล้วจันทร์เจ้าขาก็ผุดลุกขึ้นยืน

“ขอตัวนะคะ ดิฉันต้องรีบไปทำงานค่ะ”

หญิงสาวหมุนตัวกำลังจะเดินออกไปจากห้องพักอาจารย์ฝ่ายปกครอง แต่ก็ต้องชะงักงันเมื่อพบว่าที่ปากประตูมีร่างสูงใหญ่ของไทเลอร์ปรากฎอยู่ นี่เขายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วนะ จันทร์เจ้าขาหัวใจเต้นแรง มือบางสั่นเทายกขึ้นขยับแว่นสายตาแก้ความประหม่า แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด เพราะยิ่งหล่อนเดินเข้ามาใกล้เขามากเท่าไหร่ หัวใจของหล่อนก็ยิ่งเต้นแรง มันเต้นแรงระรัวจนหล่อนคิดว่าผู้ชายตรงหน้าคงจะต้องได้ยินเสียงของมันแน่นอน

“เอ่อ สวัสดีค่ะอาจารย์ไทเลอร์”

ไทเลอร์ไม่เอ่ยทักทายตอบนักศึกษาสาวเชื้อชาติเอเชียตรงหน้า และเลือกที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะของอาจารย์ฝ่ายปกครองแทน นั่นทำให้หญิงสาวหน้าชาดิก จำต้องรีบเดินออกไปจากห้องของฝ่ายปกครองอย่างเงียบกริบ

“เกิดอะไรขึ้นหรือคุณทอมสัน”

“เอ่อ ผมไม่แน่ใจว่าคุณไทเลอร์จะยังจำได้หรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องที่นักศึกษาของเราไปทำงานพิเศษตอนหลังเลิกเรียนน่ะครับ”

ไทเลอร์หรี่ตามองคู่สนทนา ขณะทรุดกายลงนั่งตรงหน้า

“เรื่องขายตัวน่ะหรือ”

“ครับ”

“แล้วคุณมีหลักฐานหรือเปล่าล่ะ”

คำถามย้อนกลับของไทเลอร์ทำให้ทอมสันถึงกับหน้าเจื่อนลง เขาไม่มีหลักฐาน แต่ได้รับการบอกเล่ามาจากฟิลิเซียและเพื่อนๆ ของหล่อนเท่านั้นเอง

“คือผม…”

ไทเลอร์แค่นยิ้มหยัน หรี่ตาแคบมองคู่สนทนา

“จำเอาไว้ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าคิดปรักปรำคนอื่น เพราะบางทีคนที่คุณกำลังคิดปรักปรำอยู่อาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ไม่มีทางหรอกครับคุณไทเลอร์ ผู้หญิงที่ทำงานในผับในบาร์ ไม่มีทางไม่ขายตัว”

สีหน้าของไทเลอร์เยือกเย็นลงเล็กน้อย ก่อนที่น้ำเสียงกระด้างจะถูกเค้นออกมาจากริมฝีปากหยักสวยสีแดงสด

“แล้วคุณรู้ไหมว่ายายแว่นคนเมื่อกี้ทำงานอยู่ที่ไหน”

“ผมรู้ครับ…”

คำตอบของทอมสันทำให้ไทเลอร์ระบายยิ้มหยันออกมา

“โอเค งั้นเย็นนี้เราไปพิสูจน์กัน ดูสิว่าสิ่งที่คุณกำลังสงสัยอยู่นั้นจะเป็นความจริงหรือเปล่า”

“ได้ครับ คุณไทเลอร์”

“งั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่ลานจอดรถ”

คนพูดที่มีใบหน้าหล่อลากดินผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน สองขาทรงพลังก้าวเดินออกไปจากห้องของอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยท่วงท่าสง่างาม และระหว่างทางก็ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาคู่ขาเพื่อยกเลิกนัดบนเตียงในค่ำคืนนี้ด้วย

Demon’s Palace คฤหาสน์หรูอลังการสไตล์เฟรนซ์ ฟอร์มัล (French Formal) ตั้งอยู่ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ปัจจุบันผู้ครอบครองคฤหาสน์หรูหลังนี้ก็คือสามพี่น้องปีศาจจากตระกูล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ นั่นเอง พวกเขาสืบสายเลือดทมิฬ แข็งกระด้างมาจาก เกรกอรี่ และ ยูริ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ ผู้เป็นบิดามารดา ซึ่งตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนได้ถอนตัวออกจากธุรกิจทั้งหมดของวงศ์ตระกูลกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติในบ้านย่านชนบทของรัสเซีย โดยมอบหมายให้ลูกชายจอมเผด็จการของพวกเขาทั้งสามคนขึ้นรับสืบทอดหน้าที่ทุกอย่างแทนทั้งหมด

“จะรีบไปมหาวิทยาลัยหรือครับพี่ไทล์”

ผู้ชายที่มีใบหน้าถอดแบบมาจากเทพบุตรชะงักเท้า ก่อนจะค่อยๆ หมุนเรือนกายที่ตอนนี้สมบูรณ์แบบอยู่ในชุดสูทสีดำกลับมาด้านหลังเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของคำถาม

“ใช่ เช้านี้พี่มีสอน”

ไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟระบายยิ้มบางๆ ให้กับน้องชายคนสุดท้องของตัวเอง ขณะเดินพาเรือนกายสูงสง่ากว่าหกฟุตสี่นิ้วมาหยุดตรงหน้าน้องชาย

“ว่าแต่นายเถอะ ยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย ไม่ไปทำงานหรือไง”

ริมฝีปากหยักสวยสีแดงระเรื่อของนิโคไล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟคลี่ออกจากกันเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวประดุจมรกตเนื้อดีเป็นประกาย ก่อนจะพูดออกไป

“วันนี้ผมหยุดพักครับ เมื่อคืนใช้แรงกายมากไปหน่อย เช้ามาเลยเพลียๆ”

ไทเลอร์ฟังคำตอบน้องชายแล้วก็แค่นยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“จะอยู่คอยหาเรื่องน้องอิงอีกล่ะสิ พี่ว่านายเลิกอคติกับน้องอิงซะทีเถอะ พ่อกับแม่อยากให้นายแต่งงานกับน้องอิงก็แต่งๆ ไปซะ น้องอิงก็สวย เซ็กซี่ดีออก หรือว่านายไม่คิดอย่างพี่…”

นิโคไลเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เหยียบทุกความรู้สึกมากมายเอาไว้แต่ภายในอก ก่อนจะโต้ตอบพี่ชายใหญ่ของตัวเองไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ดวงตาสีเขียวมรกตค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเพลิง

“น่าขยะแขยงสิไม่ว่า พี่ไทล์ก็รู้ว่าผมเกลียดแม่นี่มาก”

“ใช่ พี่รู้ ทุกๆ คนรู้หมด เพราะนายพยายามแสดงออกแบบนั้น นิค…”

ไทเลอร์พยักหน้ารับ ขณะเดินอ้อมร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากตนของน้องชายไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟากลางห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย

“นายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดน้องอิง”

นิโคไลที่ตอนนี้หน้าตาแดงก่ำเพราะโทสะเดินมาทรุดกายใหญ่โตลงนั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับพี่ชายใหญ่ของตัวเอง

“แต่พ่อกับแม่ก็ยังบังคับให้ผมแต่งงานกับแม่นี่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมเกลียด…”

น้ำเสียงกระด้างของนิโคไลแม้จะไม่ดัง แต่ก็อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังอย่างใหญ่หลวง จนเจ้าของชื่ออย่างอิงบุญที่เป็นเพียงแค่เด็กเก็บมาเลี้ยงน้ำตาทะลัก หล่อนจำต้องเม้มปากแน่น และถอยห่างออกไปด้วยความเงียบเชียบเหมือนเช่นดังตอนที่เดินเข้ามา

“พี่เชื่อว่าพ่อกับแม่มีเหตุผลที่ดี ท่านถึงได้ทำแบบนี้”

“แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ ผมคิดว่าแม่อิงบุญจะต้องไปกรอกหูพวกท่าน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องมารับหน้าที่อันหน้าสะอิดสะเอียนนี้หรอก พี่ไทล์ก็รู้ว่าแม่นี่เป็นอดีตอีตัวมาก่อน หล่อนอยู่ในซ่องมาตั้งแต่เด็ก ขายตัวให้กับผู้ชายมากมาย…”

คนพูดเต็มไปด้วยโทสะ สองมือหนาสีแทนที่วางอยู่บนต้นขากำยำกำเข้าหากันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยกองเพลิงมากมาย เพลิงร้ายที่พร้อมจะแผดเผาศัตรูให้มอดไหม้กลายเป็นผงธุลี

“งั้นก็แสดงว่าที่นายแสดงท่าทางจงเกลียดจงชังน้องอิงก็เพราะสาเหตุที่น้องอิงเคยอยู่ในซ่องมาก่อนอย่างนั้นใช่ไหม”

นิโคไลนิ่งอึ้งไปไม่นานก็ตอบกลับมาด้วยสายตาที่ยังคงลุกเป็นไฟ

“พี่ไทล์ก็รู้ว่าผมไม่ใช่ผู้ชายหัวโบราณ ผมไม่เคยคาดหวังพรหมจารีของผู้หญิงคนไหน แม้แต่คนที่จะมาเป็นเมียของตัวเอง”

“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่ทำให้นายเกลียดชังน้องอิงล่ะคืออะไร…”

ไทเลอร์ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยถามอย่างข้องใจ มองหน้าน้องชายอย่างคาดคั้น แต่นิโคไลหาได้ยอมบอกความจริงไม่ เขายังคงปกปิดความรู้สึกเอาไว้เช่นเดิม

“ผมมีเหตุผลส่วนตัวของผมเองครับ ซึ่งผมยังไม่ต้องการบอกใครในตอนนี้”

คำตอบของน้องชายทำให้ไทเลอร์ไหวไหล่กว้างของตัวเองน้อยๆ อย่างไม่ยี่หระอะไร จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ถ้านายไม่อยากบอก งั้นพี่ก็จะไม่ถามต่อ พี่จะไปมหาลัยล่ะ”

นิโคไลตีหน้าเยือกเย็นดังเดิม

“ตามสบายครับ ผมก็จะกลับขึ้นไปห้องนอนเหมือนกัน เจอกันตอนเย็นครับ ถ้าพี่ไทล์ไม่มีนัดกับสาวคนไหน”

ไทเลอร์ไหวไหล่กว้างบึกบึนของตัวเองอีกครั้ง

“งั้นพี่บอกเอาไว้เลยก็ได้ คืนนี้พี่มีนัด เอาไว้โอกาสหน้านะน้องชายที่รัก”

ผู้เป็นพี่ชายพูดจบก็ก้าวยาวๆ พาร่างอันแสนสง่างามของตัวเองเดินจากไป ทิ้งให้นิโคไลมองตามไปด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นหนุ่มผู้เป็นน้องชายก็มุ่งหน้าจะเดินขึ้นชั้นบนเพื่อกลับห้องพักของตัวเอง แต่ระหว่างทางก็พบกับผู้หญิงที่เขาแสนจะเกลียดเสียก่อน

“อ่อยแต่เช้าเลยนะแม่คุณ”

คำทักทายที่เต็มไปด้วยคมมีดของผู้ชายที่อิงบุญจำได้ดีว่าคือใครดังขึ้นด้านหลัง และนั่นก็ทำให้หล่อนที่กำลังร่ำไห้ด้วยความขมขื่นใจอยู่ต้องรีบป้ายน้ำตาทิ้ง และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า

“คุณก็มีความคิดสกปรกในหัวแต่เช้าเลยเหมือนเดิมนะคะ”

อิงบุญปั้นหน้าเรียบเฉย ขณะที่ภายในอกเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ แต่หล่อนจะให้เขารู้ไม่ได้หรอก จะปล่อยให้เขารู้ใจของหล่อนไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเขารู้ รู้ว่าหล่อนรู้สึกยังไงกับเขา นิโคไลจะต้องหัวเราะเยาะและจงเกลียดจงชังหล่อนมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน ทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ หัวใจของหล่อนจะต้องเป็นความลับตลอดกาล

“อย่ามาตีฝีปากกับฉันนะแม่ผู้หญิงสำส่อน”

เจ็บลึกเข้าไปในอกไม่ต่างจากถูกปักด้วยคมมีด แต่หญิงสาวก็ยังคงต้องปั้นหน้าเรียบเฉยต่อไป ยังคงต้องฝืนยิ้มออกไปคล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเช่นเดิม

“ถึงฉันจะสำส่อนแค่ไหน อดีตฉันจะเคยเป็นอะไรมา แต่คุณก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในชีวิตของฉัน ลืมไปแล้วหรือคะคุณว่าที่สามี…”

เพราะอยากเอาชนะเขาบ้างทำให้หล่อนเลือกที่จะเดินยิ้มเล็กยิ้มน้อยเข้าไปหยุดตรงหน้าเขา วางมือนุ่มสีขาวสะอาดลงกับต้นแขนกำยำแน่นหนั่น พลางทำตาเชื่อมใส่ดวงตาสีเขียวจัดอย่างมีจริตจะก้าน

“ว่าเราจะต้องแต่งงานกับในเร็ววันนี้…”

“ระยำ!”

นิโคไลปัดมือบางของอิงบุญออกจากต้นแขนของตัวเอง พร้อมกับก้าวถอยหลังหนีอย่างสุดแสนรังเกียจ

“พ่อกับแม่ฉันเอาเธอมาชุบเลี้ยงอย่างดีตั้งหลายปี แต่เชื้ออีตัวต่ำๆ คงฝังลึกอยู่ในสันดานของเธอแล้วสินะ ถึงได้เช็ดถึงได้ล้างไม่ออกแบบนี้”

น้ำตาของอิงบุญแทบทะลักออกมาประจานความเจ็บปวด แต่โชคดีที่หล่อนซ่อนมันเอาไว้ได้ทันเวลา หล่อนเจ็บปวดกับความคิดของผู้ชายคนนี้นัก ในสายตาของเขาหล่อนต่ำต้อย ไร้ค่าและน่าขยะแขยง แต่หล่อนก็ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ ห้ามใจให้หยุดรักเขาไม่ได้ หล่อนรักนิโคไล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟ รักเขาจนหมดหัวใจ

“ก็คงอย่างนั้นมั้งคะ”

“แพศยา! จำเอาไว้นะ ฉันเกลียดผู้หญิงอย่างเธอเข้าไส้เข้ากระดูกดำ ฉันจะขยี้เธอให้แหลกคามือจำเอาไว้ อิงบุญ!”

ชายหนุ่มเค้นคำรามความเดือดดาลออกมาจากลำคอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจ้องมองหล่อนราวกับอยากจะฆ่าให้ตายคามือ

“และถ้ายังไม่อยากเจ็บจนตาย เลิกยุ่งกับฉันเสียที”

อิงบุญกล้ำกลืนน้ำตาลงไปในอก ฝืนยิ้มและโต้ตอบผู้ชายใจร้ายตรงหน้าออกไป

“อีตัวอย่างฉัน เจ็บจนชินแล้วล่ะค่ะ ถ้าจะเจ็บอีกสักหน่อยด้วยฝีมือของมหาเศรษฐีหนุ่มอย่างนิโคไล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟอีกสักคน คงไม่เป็นไรหรอกมั้งคะ”

หล่อนจ้องหน้าเขานิ่ง มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ทุกความรู้สึกถูกเก็บถูกซ่อนเอาไว้ใต้ใบหน้างดงามอย่างมิดชิด

“ยังไงซะ ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมค่ะ เราจะต้องแต่งงานกัน”

“ทุเรศ! ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนหน้าด้านเท่ากับเธอมาก่อนเลย…!”

เขาตวาดลั่น และด้วยความลืมตัวก็ทำให้นิโคไลก้าวสามขุมกลับเข้ามาหยุดตรงหน้าของหล่อนอีกครั้ง เขามองหล่อนด้วยสายตาลุกเป็นไฟ และไม่นานสองมือหนาแกร่งก็ตะปบลงบนบ่าบอบบางของหล่อนอย่างไม่ปรานี เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะเค้นเสียงน่าสะพรึงกลัวออกมา

“คงคันมากสินะ คันคะเยอจนต้องหาผัวให้เป็นตัวเป็นตน”

เขาเขย่าร่างอรชรของหล่อนเสียจนหัวสั่นหัวคลอน เขย่าด้วยแรงอารมณ์อย่างไม่ปรานีปราศรัย

“อีตัวแบบเธอ มันช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน”

ในที่สุดก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาเอาไว้ได้อีก มันไหลออกมาอาบแก้มในที่สุด

“ค่ะ ฉันคันมาก อยากอ้าขาให้คุณช่วยเกาให้”

“ร่าน!”

นิโคไลผลักร่างอรชรให้ออกห่างจากตัวด้วยความรังเกียจ ร่างของอิงบุญเซถลาลงไปล้มคว่ำอยู่กับพื้นพรม หล่อนเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา กลีบปากอิ่มสั่นระริกด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด ทำไมเขาถึงได้จงเกลียดจงชังหล่อนนักหนานะ ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้

“ขอบคุณที่ชมค่ะว่าที่สามี”

ชายหนุ่มขบกรามจนขึ้นสันนูนเป่ง สองมือหนากำเข้าหากันแน่น อยากจะฆ่า อยากจะฆ่าแม่ผู้หญิงที่นั่งเชิดหน้าอวดดีอยู่ที่พื้นตรงหน้านัก หล่อนกล้าดียังไง กล้าดียังไงมาต่อปากต่อคำกับผู้ชายอย่างเขา

“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมแต่งงานกับอีตัวร่านร้อนแบบเธอ ไม่มีทาง!”

นิโคไลกระแทกเท้าเดินจากไปแล้ว แต่อิงบุญก็ยังน้ำตาทะลักด้วยความเสียใจเช่นเดิม ไม่… มากกว่าเดิมเสียอีก หล่อนร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ เจ็บปวดนักที่ถูกผู้ชายที่ตัวเองทั้งรักทั้งบูชามองว่าต่ำมองว่าไร้ค่าถึงเพียงนี้ อยากจะตัดใจ อยากจะเลิกรักผู้ชายใจร้ายอย่างนิโคไล แต่ไม่ว่าจะพยายามทำสักกี่ครั้ง พยายามสักเท่าไหร่ หัวใจของหล่อนก็ยังเป็นของผู้ชายสายเลือดทมิฬอย่างนิโคไล อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

“ถึงคุณจะร้ายสักแค่ไหน แต่ฉันก็ยังรักคุณ… คุณนิค…”

มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง แต่ยิ่งป้าย ยิ่งปาด ยิ่งเช็ดมันเท่าไหร่ ธาราแห่งความชอกช้ำทรมานก็ยิ่งหลั่งรินออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้างมากขึ้นเท่านั้น มันก็เหมือนกับหัวใจของหล่อนในตอนนี้นั่นแหละ เพราะเจ้าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกกำลังถูกหยาดน้ำแห่งความเสียใจไหล่บ่าเข้าท่วมอย่างไร้สิ้นซึ่งความปรานี หล่อนอาจจะตาย อาจจะตายเพราะความชิงชังของนิโคไลในเวลาไม่ช้านี้ก็เป็นได้ หญิงสาวคิดอย่างเจ็บปวด ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นและเดินจากไป

เมียพรหมจรรย์ ชุด ภรรยาของมหาเศรษฐีซาตาน

เมียพรหมจรรย์ ชุด ภรรยาของมหาเศรษฐีซาตาน

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset