เพียงหนึ่งใจ 380

ตอนที่ 380
 ให้อภัย

 

 

 

           นางเข้าใจว่าตนเองปฏิบัติต่อสะใภ้ทั้งสองเป็นอย่างดี ไม่ได้ทำเหมือนครอบครัวอื่นที่ให้สะใภ้ต้องมาตื่นแต่เช้าตรู่คอยรอปรนนิบัติ และไม่เคยหาภรรยาน้อยให้ลูกชายทำให้พวกนางต้องอึดอัดใจ สมัยนั้นการที่นางดูแลฉินอวิ๋นซินมากกว่าซูซื่อ นั่นเป็นเพราะมู่หรงไป๋ไปอยู่ชายแดน ในบ้านมีเพียงพวกนางสองคนแม่หม้ายและลูกสาว

 

 

           เชียนเย่เข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเอ่ยเสียดสีซูซื่ออยู่ แม้แต่นางก็ยังไม่ยากจะเชื่อ เพียงเพราะเห็นแก่ชื่อเสียงจอมปลอมเล็กน้อยเหล่านั้น ถึงกับบีบให้อีกคนต้องจากไปอย่างไม่ลังเลได้ พวกนางเป็นพี่สะใภ้และน้องสะใภ้กันแท้ๆ หากที่จวนมีลูกชายมากกว่านี้ ครอบครัวจะไปหาความสงบสุขที่ไหนได้ เชียนเย่รู้สึกเดาทางไม่ถูก ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เพราะอย่างไรแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงซูซื่อคนเดียว แต่ยังมีครอบครัวของมู่หรงไป๋ด้วย หากว่าจัดการได้ไม่ดี บางทีจิตใจของพวกลูกๆ อย่างมู่หรงมู่อาจคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำรุนแรงกับมารดาของพวกเขาได้

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เรียกมู่เอ๋อร์มาพบข้าที”

 

 

           อย่างไรเสียนางก็คือภรรยาของเขา แม้ปกติพวกเขาทั้งสองจะดูไม่ค่อยถูกกันเสียเท่าไร ทว่าผู้ใดจะรู้พวกเขาอาจจะมีความรักระหว่างกันอยู่ก็เป็นได้ หากตนทำอะไรลงไปโดยพลการ จะเป็นการทำร้ายจิตใจของลูกชายตนเองเสียเปล่า ไม่ว่าจะคนนอกหรือคนในล้วนก็เป็นคนของนาง สู้ให้เขาไปจัดการเรื่องนี้เองเสียดีกว่า ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเขาเอง

 

 

           มู่หรงอิงเข้ามายังที่พักของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อได้เห็นสีหน้าของนางและฟังเรื่องราวแล้ว หัวใจของเขาเหมือนกับถูกกระเทาะ จิตใจว้าวุ่นไม่สงบสุข ยามราตรีดวงจันทร์เพิ่งจะลอยเด่นเหนือท้องนภา เหล่าทหารเดินลาดตระเวนเมื่อได้เห็นสีหน้าซีดขาวอย่างที่สุดของมู่หรงอิง ต่างพากันเดินหลบห่างออกไปไกล

 

 

           ฝีเท้าสาวเดินรวดเร็วราวกับเหาะมุ่งหน้าไปยังห้องพัก เมื่อกลับถึงห้องพักมู่หรงอิงไม่เห็นเงาร่างของซูซื่อ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “ฮูหยินล่ะ?”

 

 

           สาวใช้ที่คอยรับใช้ซูซื่อรีบเอ่ยตอบ “วันนี้ฮูหยินอยู่ที่ห้องของคุณชายรองตลอดทั้งวันเจ้าค่ะ” ซูซื่อเป็นกังวลว่ามู่หรงมู่จะไม่สะดวกสบาย มีเรื่องสนทนาตลอดกระทั่งถึงยามนี้ก็ยังพูดไม่หมด

 

 

           มู่หรงอิงได้คำตอบที่ตนเองต้องการแล้ว เดินพรวดพราดไปยังกระโจมค่ายของมู่หรงมู่ ผลักประตูเปิดออก ทำคนด้านในสะดุ้งตกใจ

 

 

           มู่หรงมู่เห็นมู่หรงอิงทำหน้าบูดบึ้ง พลันรู้สึกขนลุกในหัวใจ “ท่านพ่อมาได้อย่างไรขอรับ?” มู่หรงอิงเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยกับทุกอย่าง แม้แต่คำพูดจารุนแรงยังเห็นได้น้อยครั้ง ทว่าสีหน้าเช่นตอนนี้เห็นทีคงจะมีเรื่องอะไรเป็นแน่ ตามหลักการแล้วพวกเขาเพิ่งจะมาถึงชายแดน จึงไม่น่าใช่เรื่องที่นี่ เว้นเสียแต่เป็นเรื่องราวก่อนหน้า

 

 

           มู่หรงอิงไม่เห็นหัวของมู่หรงมู่เลยสักนิด พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”

 

 

           ซูซื่อเดิมทีอารมณ์ดีอยู่ พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง เม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “มู่หรงอิง ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใดอีก?” วันนี้ทั้งวันนางก็อยู่ที่นี่กับมู่หรงมู่มาตลอด เหตุใดจึงถูกใส่ร้ายอะไรอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้อีก

 

 

           “ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดก็ค่อยๆ พูดจากันเถิดขอรับ…”

 

 

           มู่หรงอิงชี้หน้าซูซื่อพลางพูดออกไปอย่างเดือดดาล “เจ้าคงไม่รู้ว่านางทำเรื่องอันใด ยิ่งเสียกว่าเลวทรามไร้ซึ่่งมโนธรรม”

 

 

           มู่หรงมู่ตกตะลึง เลวทรามไร้ซึ่่งมโนธรรม เว้นเสียแต่ฆ่าคนวางเพลิงแล้ว ไหนเลยจะใช้คำพูดเช่นนี้ได้

 

 

           “ครึ่งชีวิตนี้ของข้าพยายามตั้งใจเป็นสะใภ้ที่ดีของสกุลมู่หรงมาตลอด ท่านกลับใช้คำพูดเช่นนี้มาทำให้ข้าเกิดความอัปยศ” น้ำเสียงของนางแหลมเสียดแทงขึ้นหลายส่วนอย่างอดไม่ได้

 

 

           “อัปยศหรือ น้องสะใภ้รองในปีนั้นจากไปด้วยเหตุใดเจ้าจะอธิบายได้หรือไม่?”

 

 

           ซูซื่อแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา​ “ข้ายังคิดว่าเหตุใดท่านจึงไม่พอใจเครียดแค้นถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เพราะผู้หญิงคนนั้น นางตายไปสิบปีแล้ว ท่านยังจะคิดถึงไม่เคยลืม น้องชายแสนดีของท่านจะคิดอย่างไรหากได้รู้ว่าพี่ชายแท้ๆ ที่ตนเคารพรัก แท้จริงแล้วในใจคิดถึงผู้หญิงของเขาอยู่ อีกอย่างนางก็ตายไปแล้ว อยากจะรู้ว่านางตายเช่นไร เหตุใดไม่ไปถามนางเอง?”

 

 

           “เจ้า!” มู่หรงอิงอ้าฝ่ามือขึ้นมาด้วยความโกรธจัด

 

 

           “ท่านตบเลย” ซูซื่อยื่นหน้าไปท้าทายฝ่ามือของมู่หรงอิง “ละอายจนโกรธเคืองเลยสินะ ถูกข้าเปิดเผยจิตใจสกปรกที่เก็บซ่อนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจมานานหลายปี”

 

 

           “หลายปีที่ผ่านมานี้ในสายตาของท่านมีเพียงผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนนั้น ข้าทำเพื่อสกุลมู่หรงของพวกท่านมากมายเพียงนั้น พวกท่านกลับเห็นความตั้งใจดีเป็นเจตนาร้าย เพียงเพราะเรื่องทะเลาะกันของพวกเด็กๆ อย่างมู่หรงชูอวิ๋น พวกท่านก็ตำหนิโทษตระกูลของข้าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ เพื่อคล้อยตามพวกท่านแล้ว ข้าไม่กล้ากลับไปเยี่ยมบ้านแม่ตัวเองอยู่หลายปี เพราะกลัวว่าพวกท่านจะคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้น ยามที่มู่เอ๋อร์และสิงเอ๋อร์ป่วย พวกท่านก็ไม่มีใครทำอันใดสักอย่าง แต่พอคนขี้โรคอย่างมู่หรงชูอวิ๋นป่วย พวกท่านล้วนรู้สึกเหมือนฟ้าจะทลายลงมา หยิบป้ายคำสั่งเข้าวังไปกราบทูลเพื่อขอพระราชทานหมอหลวง ทุกคนต่างห้อมล้อมรอบตัวนาง ข้าต่างหากที่ให้กำเนิดลูกชายได้สืบสกุลถึงสองคน ผู้หญิงตระกูลของข้าอภิเษกสมรสกับองค์ชายรอง พวกท่านต่างก็สั่งห้ามไม่ให้ข้าเข้าใกล้สนิทสนมกับพวกเขา ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นกลับอภิเษกกับเฟิงหลีเลี่ย ท่านว่าพวกท่านน่าขันมากเพียงใด? คิดเอาเองว่าสูงส่ง” น้ำตาซูซื่อร่วงรินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา ไหลเข้าปากลิ้มรสความขมขื่นยิ่งกว่ายาขมใดๆ หลายส่วน

 

 

           มองดูชายตรงหน้าแม้ขาดความเยาว์แห่งชายหนุ่มที่ทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น ทว่ายังคงความหล่อเหลาเช่นเดิม

 

 

           พลางเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยตัวเอง “ดั่งคนไม่รู้จักกัน” หากนางไม่ติดตามพี่ชายไปที่งานเลี้ยงวันนั้น เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นเช่นนี้

 

 

           มู่หรงมู่รู้สึกคอแหบแห้ง มองดูคนทั้งสองที่รักกันเหมือนแรกเริ่มทว่าต่างคนต่างไม่พอใจกัน เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

 

 

           “หากไม่ใช่ข้า เกรงแต่ว่าพี่ชายฉลาดมากประสบการณ์ของเจ้าคงจะ…ไปนานแล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นข้าก็ขอยอมรับ”

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่าเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินถ้อยคำประโยคนี้พอดี ที่แท้คนเรามิควรละโมบจริงๆ บางทีนางอาจไม่เคยได้รับน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมู่หรงอิงตั้งแต่วัยหนุ่มเลยก็ว่าได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เศร้าโศกเหมือนตอนนี้ นางย่อมเข้าใจลูกชายของตัวเองมากกว่าผู้ใด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมีใจให้น้องสะใภ้ของตัวเอง

 

 

           เดิมทีนางไม่ได้คิดจะเดินมาที่นี่ เพียงแต่พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังเกินไปจริงๆ หากว่าที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหาร เกรงว่าตอนนี้คงมีชาวบ้านมาล้อมวงดูสามชั้นนอกสามชั้นในไปแล้ว

 

 

           “ในเมื่อไปกันต่อไม่ได้แล้ว ก็แยกทางกันเสียเถิด”

 

 

           ซูซื่อตกตะลึง น้ำในตาที่ไหลรินยิ่งทะลักหนักขึ้นอีก การที่นางพูดประโยคนี้ออกไปเพียงเพราะเห็นชายเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าโผล่มาก็เท่านั้น

 

 

           ต่อให้นางจะต่อว่ามู่หรงอิง ทว่าก็ไม่เคยมีความคิดจะแยกทางกับเขาเลย อายุถึงขั้นนี้ให้แยกทางกันไปจะมีประโยชน์อันใด

 

 

           มู่หรงอิงตกตะลึงเช่นกัน ทว่าไม่นานก็ดึงสติกลับมาได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังในตัวซูซื่อมาก แต่ก็ไม่เคยคิดจะเลิกกับซูซื่อ อย่างไรแล้วคนที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกขอแยกทาง กลับไปอยู่บ้านมารดาไหนเลยจะหนีพ้นคำดูถูก

เพียงหนึ่งใจ

เพียงหนึ่งใจ

Score 10
Status: Completed

เล่มที่ 1-2 อ่านนิยาย

( จบ )


นางคือ ‘เมิงซังอวี๋’ผู้มีฐานะเป็นเต๋อเฟย หนึ่งในสี่ราชชายาที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากที่สุด ทว่าหาได้มีใครล่วงรู้ไม่ว่าทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวง นางเพียงถูกใช้เป็นโล่กันธนูให้สตรีที่ฮ่องเต้ทรงรักและทะนุถนอมอย่างแท้จริง เขาคือ ‘กู่เซ่าเจ๋อ’ฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ รูปโฉมสง่างาม หลักแหลมฉลาดเฉลียว แม้ภายนอกเขาจะแสดงท่าทีว่าโปรดปรานเต๋อเฟยอย่างยิ่งยวด แต่แท้จริงแล้วนางกลับเป็นสตรีที่เขาเกลียดชังไม่อยากข้องเกี่ยว ด้วยเพราะนางหยิ่งผยอง วางอำนาจและโหดเหี้ยมเย็นชา ทว่านางและเขาไม่เคยรู้เลยว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองกลับต้องมาพบกันในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันนาง…จากสตรีเย่อหยิ่งไร้ความสามารถกลายเป็นหญิงสาวที่เฉียบแหลม เปี่ยมความรู้ สดใสและน่ารักเขา…จากฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์กลายเป็นสุนัขที่แสนจะน่าเกลียดและอ่อนแอตัวหนึ่ง!

Options

not work with dark mode
Reset