เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 27 หลักการของสวีจั้ง (rewrite)

ตอนที่ 27 หลักการของสวีจั้ง (rewrite)

ตอนที่ 27 หลักการของสวีจั้ง (rewrite)

“อย่างเจ้าน่ะหรือคู่ควรกับอันดับหนึ่งรายนามดารา”

คำพูดนี้ดังเสียดสีข้างหูหนิงอี้อย่างยิ่ง

ตอนที่ก่วนชิงผิงเพิ่งเดินเข้าร้านอาหารมา หนิงอี้วางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดสองมือเงียบๆ

หนิงอี้กำลังคำนวณบางอย่างเงียบๆ

ห้ามต่อสู้ในเมืองหลวง…

นี่เป็นกฎที่ทุกคนรู้กันจริงๆ

หากลงมือจะเป็นอย่างไร กฎเกณฑ์และกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนมาก การใช้กำลังรังแกผู้อื่นจะต้องได้รับโทษที่สมควร ผู้ฝ่าฝืนจะรับการลงโทษไม่เบา…ไม่มีใครอ่านกฎต้าสุยข้อนี้จบ พวกเขาแค่รู้ว่ามีกฎอยู่เหนือหัว จะต้องอยู่อย่างสงบในเมืองหลวง ดังนั้นจึงลงมือไม่ได้ มีบุญคุณความแค้นใดต้องออกเมืองไปจัดการ นี่ก็พอแล้ว

แต่น่าเสียดายมากที่หนิงอี้คาดเดาได้คร่าวๆ แล้ว

เขาคำนวณระยะห่างระหว่างตนเองกับก่วนชิงผิง ส่วนสิ่งที่ชายผู้นี้จะพูดอะไรนั้น ตั้งแต่ที่วินาทีที่เลิกผ้าม่านขึ้น หนิงอี้ก็คาดเดาได้ประมาณหนึ่งแล้ว

ปากสุนัขพ่นฟันช้างออกมาไม่ได้

หนิงอี้ไม่นึกเลยว่าก่วนชิงผิงจะเอาหน้าแนบเข้ามา เลือกวิธีการยั่วยุตนเช่นนี้ พูดเหมือนกระซิบข้างหู มาพูดประโยคนี้

นี่ทำให้การคำนวณของหนิงอี้เสียเปล่าทั้งหมด

เพราะระหว่างสองคนเข้าใกล้กันมากจริงๆ

หนิงอี้ไม่ต้องเข้าไปใกล้ใดๆ เลย ไม่ต้องใช้วิธีการเข้าประชิดตัวแม้แต่น้อย เขาแค่ยื่นมือออกไปก็จะสัมผัสได้ทุกจุดทั้งตัวก่วนชิงผิง

ก่วนชิงผิงเพิ่งเอ่ยจบ เขาได้ยินเสียงเย้ยเยาะมาจากในลำคอหนิงอี้ รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนี้ฟังดูซึมซาบถึงใจคนนิดๆ แต่วินาทีนั้นฟ้าดินหมุนไปทั้งตัว มีเสียงดังสนั่นมาข้างหู

หนิงอี้พลันลุกขึ้น หัวเข่ากระแทกกับท้องน้อยของก่วนชิงผิง กระแทกแสงดาราคุ้มกันที่ศิษย์จวนขานฟ้าคนนี้ภูมิใจแตก การโจมตีนี้ไม่มียั้งแรงไว้ ใช้กำลังทั้งหมดกระแทกหัวสัตว์เหล็กที่ผูกไว้ตรงเข็มขัดใต้ชุดคลุมแดงใหญ่จนแตก

เกิดเสียงหนักอึ้งปานฟ้าผ่า ก่วนชิงผิงก้มตัวลงหน้าซีดขาว หนิงอี้เอาสองมือกดหัวอีกฝ่ายไว้ กดลงอย่างนุ่มนวล จากนั้นเป็นอีกเข่ากระแทกที่ใบหน้า กระแทกจนก่วนชิงผิงหน้าเต็มไปด้วยเลือด เขาร้องด้วยความเจ็บปวดทีหนึ่ง เมื่อหน้าออกจากหัวเข่า ฟันปนคราบเลือดได้หลุดออกมาหลายซี่

ทุกเสียงในร้านอาหารเงียบลง

เงียบกริบ

หนิงอี้มองภาพนี้เงียบๆ ก่วนชิงผิงที่ถูกเขาลากเส้นผมหมดสติไปแล้ว หายใจรวยริน มีการหอบหายใจหนักๆ ขึ้น ที่เหนือความคาดหมายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นการใช้เพียงหัวเข่าแค่สองครั้ง

เขาขมวดคิ้ว หยุดอารมณ์ชั่ววูบที่จะกดหัวในมือลงหม้อไฟ จากนั้นหยุดการกระทำที่เหลือทั้งหมด

เดิมทีหนิงอี้คิดว่าแสงดาราคุ้มกายของก่วนชิงผิงจะต้านการโจมตีสองครั้งนี้ได้ จากนั้นสู้กันอย่างดุเดือด…บุรุษชุดคลุมแดงคนนี้ ตอนนั้นในเทือกเขาประจิม ตนมองอย่างไรก็เป็นคนโหด กล้ามาลอบโจมตีสวีจั้ง เหตุใดลงมือวันนี้ถึงอ่อนแอขนาดนี้

เพิ่งโจมตีไปสองที หนิงอี้ไม่ได้ใช้แสงดาราของตนเลย เขาไม่อยากเผยขอบเขตพลังแท้จริงของตน ดังนั้นเลยใช้แค่พละกำลังของกายและจิตบริสุทธิ์ บนเขาสู่ซาน ศิษย์พี่หญิงพันกรไม่ได้สอนแค่คนยักษ์ดารา แต่ยังมีวิชากายต่อสู้มือเปล่า วิชากายพวกนี้หนิงอี้ชำนาญมาก ตอนนั้นฝึกมือกับเสาไม้คนทองแดง[1] หากโต้ตอบช้าก็จะถูกทุบตีเขียวบวมไปทั้งตัว ฝึกถึงช่วงสุดท้าย หนิงอี้ก็ฝึกจนเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง

ขอแค่เข้าประชิดตัวและสร้างความรู้สึกคุกคามถึงตน ลมหายใจรดลงมา หนิงอี้จะรู้สึกได้ถึงทุกการกระทำที่จะมาถึงของอีกฝ่าย ทั้งยังทำการโต้ตอบได้

ส่วนก่วนชิงผิงที่เอาหน้าเข้ามาใกล้ให้ตนตบตีเองนี้ หนิงอี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก มีจุดอ่อนทั้งตัว ผู้บำเพ็ญเช่นนี้แห่งจวนขานฟ้า ไม่ให้ความสำคัญกับกายและจิต เข้าใกล้หนิงอี้ขนาดนี้ แสงดาราคุ้มกันถูกทำลายแล้วก็เป็นได้เพียงกระสอบทราย

ศิษย์จวนขานฟ้าที่เหม่อลอยอยู่ข้างนอก เหม่อมองคนโหดนั้นในร้าน มือข้างหนึ่งจับศีรษะก่วนชิงผิง ศิษย์จวนขานฟ้าที่วินาทีก่อนยังหยิ่งผยอง ตอนนี้เหมือนคนตายหลับใหล เลือดบนหน้ายังไหลลงหม้อไฟดังติ๋งๆ ค่อนข้างน่าเวทนา

หนิงอี้นำเงินออกมาหนึ่งตำลึงเงิน ถามเถ้าแก่ “พอหรือไม่”

เถ้าแก่พูดเสียงสั่น “พอแล้ว พอแล้ว”

ศิษย์จวนขานฟ้าถูกทุบตีในสภาพนี้ ใต้เท้าบุตรสวรรค์ ต่อให้เป็นแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักศึกษา เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนโหดจริงๆ เป็นคนโหดที่ไม่ขาดตกแม้แต่นิด

คนโหดเช่นนี้ทานข้าว ใครจะกล้าเอาเงินจากเขา

หนิงอี้ลากก่วนชิงผิงจากไป พื้นร้านเกิดรอยเลือดสายหนึ่ง เถ้าแก่พลันตกใจตื่น เหมือนตื่นขึ้นจากฝัน

ได้ยินบุรุษน่าเวทนาคนนั้นตะโกนนามหนึ่งตอนเข้ามา…หนิงอี้รึ

อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานหนิงอี้คนนั้นที่เมื่อไม่นานมานี้ถูกหัวเราะเยาะว่าไม่กล้าแม้แต่จะออกมาหรือ

“ซี้ด…” เถ้าแก่สูดลมหายใจเย็นๆ หยิบเงินหนึ่งตำลึงมาเช็ดๆ แขนเสื้อ มองเงาแผ่นหลังหนิงอี้ลากคนออกจากร้าน รู้สึกว่าสูงใหญ่มาก องอาจห้าวหาญมาก

หนิงอี้ลากก่วนชิงผิงมาถึงถนน

เกิดเสียงดังปัง ชุดคลุมแดงตัวใหญ่ถูกหนิงอี้โยนออกไป เมืองหลวงในยามราตรี บนถนนยังมีผู้คนมากมาย หนิงอี้ที่มุดออกมาจากร้านอาหารเล็กโยนร่างหนึ่งออกไปดังตุบ ไม่นานก็เป็นที่สนใจ

ก่วนชิงผิงมีฐานะไม่ธรรมดาในจวนขานฟ้า มีศิษย์สวมอาภรณ์ระดับต่ำกว่าขั้นหนึ่งติดตามหลายคน

หนิงอี้มองศิษย์จวนขานฟ้าที่ยังอยู่ในความสับสนเจ็ดแปดคนนั้นพลางถามอย่างจริงจัง “พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันหรือจะเข้ามาทีละคน”

คนนั้นที่นอนบนพื้น ดวงตาขุ่นมัว ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ฟันร่วงหมดปาก มองอาภรณ์ดูก็รู้ว่าเป็นของจวนขานฟ้า บนถนนเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มคนนั้นที่ทุบตีศิษย์จวนขานฟ้าบาดเจ็บยืนอยู่กลางตลาดคึกคัก เสียงราบเรียบ ไม่เกรงกลัวสายตาคนนอกแม้แต่น้อย

พินิจเหมันต์ตรงเอวหนิงอี้พันด้วยผ้าดำหลายชั้น

เขานึกถึงคำพูดของสวีจั้ง

‘หากคนรังแกข้า ไฉนต้องอดทน’

‘ด่ามัน หยามมัน ออกห่างจากมันให้ไกล ไม่สู้ทุบตีมัน’

หลักการที่ใหญ่ในโลกที่สุดคือกำปั้น

ตนปิดด่านบำเพ็ญนานขนาดนี้ ข่าวภายนอกแพร่งพรายไปเป็นแบบใดแล้ว อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานหดหัวเพราะกลัว ไม่กล้าออกมาข้างนอกหรือ

เจอก่วนชิงผิงที่ตอนนั้นคิดจะสังหารสวีจั้งในร้านอาหาร อีกฝ่ายกลับกล้าหยามตนเช่นนี้รึ

ข้างหลังหนิงอี้คือเขาสู่ซาน คือสวีจั้งที่สิ้นชีพไป คือราชันดาราพันกร และมีคุณชายเจ้าหรุย

หนิงอี้ขายหน้าคนนี้ไม่ได้

เขามองศิษย์จวนขานฟ้าพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ธรรมดาขอบเขตที่สี่และห้า

บนถนนคึกคักขึ้นทีละนิด ล้อมรอบมุงดูกันเป็นวงกลม ชอบมุงดูไม่กลัวเรื่องใหญ่ มีเสียงเอะอะโวยวายตลอด แต่ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของคนที่นอนบนพื้น ห่วงแค่ว่าจะวิวาทกันหรือไม่

หนิงอี้มองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยนิ่งๆ “ถ้าพวกเจ้ากลัวกฎนั่น ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าท้าสู้ ตัดสินอย่างยุติธรรมในเมืองหลวง ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ”

ก็ยังเงียบ

“อย่าไปกลัว พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันได้” เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนพูด “ข้ารับรองว่าจะไม่ทุบตีพวกเจ้าจนตาย”

…..

“ท่านเจ้าลัทธิ ยินดีที่ได้พบกับท่าน เวลาผ่านไปไม่รู้ตัวเลย เหลียนชิงสนุกมาก”

นักพรตชุดคลุมหยาบสามสี่คนขยับขึ้นลงไปตามสายลม ตามหลังเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว

เจ้าลัทธิแห่งเทือกเขาประจิมเดินทางมาถึงเมืองหลวง ตามธรรมเนียมแล้วจะไปเยี่ยมเยือนขุมอำนาจที่มีอาณาเขตติดกันมากมาย วันนี้ไปจวนขานฟ้าที่ไม่ไกลจากเมืองหลวง

ข้างกายเจ้าลัทธิเป็นบุรุษหนุ่มอาภรณ์ครามคนหนึ่ง กลุ่มคนเดินไม่ช้าไม่เร็ว เดินไปช้าๆ บนถนนเมืองหลวง

บุรุษอาภรณ์ครามพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าลัทธิ ถนนนิมิตชาดมีร้านอาหารใช้ได้อยู่ร้านหนึ่ง เหล้าขาวของที่นั่นและยังมีหม้อไฟเนื้อวัวเลื่องชื่อมาก ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ข้าขอเลี้ยงอาหารเลิศรสของเมืองหลวงท่านได้หรือไม่”

เฉินอี้มองบุรุษที่สูงกว่าตนหนึ่งช่วงข้างกาย ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “ตามแต่คุณชายครามเลย”

คุณชายครามพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ร้านนั่นปกติมีเยอะคน ข้าส่งคนไปจับจองที่แล้ว ตอนนี้เราไปกันเลย”

พูดคุยยิ้มแย้ม

นักพรตชุดคลุมหยาบหลายคนมีสีหน้าเฉยชา เงยหน้าขึ้นสบตากัน ก่อนจะก้มหน้าลงอีก อยากจะพูดแต่ก็เงียบไปหลายครั้ง

พวกเขาอ่านใบหน้าของเฉินอี้ออกว่ามีความเหนื่อยล้าเล็กๆ ท่านเจ้าลัทธิมีภารกิจเยอะ มาถึงเมืองหลวงก็หาเส้นสาย ทำความรู้จักกับสหายทุกคนเพื่อสำนักเต๋า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

แต่ต่อให้เป็นเจ้าลัทธิก็ปฏิเสธคำเชิญของบุรุษคนนี้ได้ยาก

สี่สำนักศึกษา จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ต่างมีผู้บำเพ็ญหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์สูงยิ่ง เป็นตัวแทนคนรุ่นเยาว์ของทั้งสำนักศึกษา แม้แต่ละคนจะไม่เคยลงมือในความหมายแท้จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นหน้าตาของสำนักศึกษา

ก็เหมือนโจวโหยวแห่งสำนักเต๋า ฝูเหยาของเขาลั่วเจียและสวีจั้งของเขาสู่ซานในรุ่นก่อน

สี่คุณชายสำนักศึกษา

คุณชายคราม เหลียนชิงตรงหน้า เป็นหน้าตาของจวนขานฟ้า

เล่าลือว่าพลังบำเพ็ญของเขาอยู่จุดสูงสุดขอบเขตที่เก้า เพื่อเลี่ยงการสัมผัสคมของลั่วฉางเซิง จึงยอมอยู่เงียบๆ มาตลอด รองานราชวงศ์ใหญ่มาถึง

ภายภาคหน้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด คุณชายครามจะเป็นตัวแทนของจวนขานฟ้า

เฉินอี้คลึงระหว่างคิ้ว ทานอาหารมื้อหนึ่งเป็นเรื่องปกติ เขาศักดิ์สิทธิ์ที่เขาไปก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะเหมาทั้งโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงไว้ เป็นสถานรับรองเจ้าลัทธิ ใช้แสดงความจริงใจ

คุณชายครามท่านนี้ มีรูปแบบการดำเนินการค่อนข้างไม่ธรรมดา เชิญเจ้าลัทธิทานในร้านอาหาร

ถนนนิมิตชาดเป็นย่านของกินที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจริงๆ ถึงช่วงเย็นจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนแออัด เดินไม่สะดวกเล็กน้อย

ศิษย์จวนขานฟ้าหลายคนข้างหลังคุณชายครามขมวดคิ้ว นักพรตชุดคลุมหยาบเปิดทางให้ท่านเจ้าลัทธิ กลุ่มคนมาถึงหน้าประตูร้านอาหารนั้นอย่างยากลำบาก

ทุกคนล้อมนอกประตูไว้

สายน้ำยังไหลไม่ผ่าน

“หลบหน่อยๆ…”

ผู้ติดตามคุณชายครามหลายคนแห่งจวนขานฟ้าได้รับสายตาจากเหลียนชิงแล้วก็ดันกลุ่มคนออก เบียดเข้าไปในนั้นก่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะอาภรณ์…กลุ่มคนจึงหลีกทางให้ง่ายมาก

“เกิดอะไรขึ้น”

ผู้ติดตามคุณชายครามแห่งจวนขานฟ้าคนหนึ่งเหม่อมองภาพตรงหน้า เขาไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

ก่วนชิงผิงนอนกับพื้น ศิษย์ระดับชุดคลุมแดงคนนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด จมูกเขียวหน้าบวม

ระเกะระกะพื้นไปหมด

บนพื้นยังมีนอนอีกหกคน?

คนพวกนี้เป็นคนที่จวนขานฟ้าส่งมา แต่ถูกทุบตีอยู่ในสภาพนี้รึ

กลุ่มคนหลีกทางให้ คุณชายครามจ้องศิษย์หลายคนที่นอนเกลื่อนพื้น ใบหน้ามืดทะมึน เขาเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้ารอยยิ้มที่ไม่มีพิษมีภัยใดๆ

“พวกเจ้าเป็นคนจวนขานฟ้ารึ”

หนิงอี้ชะงักไปก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เหมือนเดิม…จะเข้ามาทีละคน หรือเข้ามาพร้อมกันล่ะ”

………………………

[1] เสาไม้คนทองแดง (铜人木桩) คืออุปกรณ์หรือผู้ช่วยที่สนับสนุนเวลาฝึกศิลปะการต่อสู้

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Score 10
Status: Completed
ขลุ่ยกระดูกธรรมดาที่เด็กหนุ่มครอบครอง กลับเป็นยอดสมบัติที่จะทำให้เขากลายเป็นเชียนกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า หนิงอี้' เด็กหนุ่มยากจนจากเทือกเขาประจิมลอบเข้าไปปลันสุสานใต้ดินกับน้องสาว 'เผยฝาน' โชคดีเก็บ 'ไข่มุกตะวันคร้าน' สมบัติที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใหญ่ตามหาได้ แต่เขาดันทำมันแตก! ซ้ำยังสลบไปจนน้องสาวต้องลากออกมา แม้จะรอดชีวิตจากสุสานใต้ดินมาได้ แต่กลับต้องมาถูกปีศาจแมงมุมตามล่า เพราะมันเข้าใจว่าไข่มุกตะวันคร้านอยู่ที่เขา หนิงอี้ไม่กลัว ถ้ำเกิดอะไรขึ้นเขายังมี 'ขลุ่ยกระดูก' ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนขลุ่ยใบไม้ธรรมดา ทว่าคมจนตัดเหล็กกล้ำได้ แต่หนิงอี้ไม่ทันได้ควักขลุ่ยกระดูกออกมาใช้ก็มีคนมาช่วยพวกเขาไว้เสียก่อน ผู้ใหม่คือ 'สวีจิ้ง ผู้บำเพ็ญอันดับ 3 แห่งต้สุยที่ถูกหลายสำนักหมายหัว และการได้พบกับสวีจั้งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของหนิงอี้เปลี่ยนไป ประตูสู่โลกของผู้บำเพ็ญที่เขาไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปได้เปิดออก ขลุ่ยกระดูกธรรมดาๆ ที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดกลับกลายเป็นยอดสมบัติ! ทั้งยังมีความลับเบื้องหลังชาติกำเนิดที่รอวันเปิดเผย เส้นทางสู่การอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset