เจาะเวลาสู่ต้าถัง 24

ตอนที่ 24
ชาวอาหรับ

 

 

 

หลังจากกองกำลังออกเดินทางไปได้สามวัน ก็พ้นเขตการเฝ้าระวังของเมืองซั่วฟาง หลังจากเลือกภูเขาที่เว้าเข้าหันหลังรับลมเพื่อตั้งค่ายพักแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เรียกหัวหน้ากองทั้งหมดมานั่งประชุมกันในกระโจมใหญ่ เมื่อทุกคนนั่งลงหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบป้ายคำสั่งทางทหารออกมาจากอกเสื้อและพูดกับทุกคนว่า “คราวนี้ป้ายคำสั่งของผู้บัญชาการหลี่ที่สั่งย้ายพวกเราไปยังค่ายใหญ่ของกองกำลังส่วนกลางเป็นของปลอม”

 

 

เฉิงฉู่มั่วยังคงนั่งเบื่อหน่ายด้วยท่าทีที่ไม่ระแวดระวังอะไร ซุนซือเหมี่ยวสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเป็นผู้สูงส่ง ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะอารมณ์มานานแล้ว มีเพียงสวี่จิ้งจงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก นำหนังสือแจ้งมาอ่านอย่างละเอียด อ่านอยู่เป็นนานจึงเงยหน้าขึ้นถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หนังสือนี้ไม่ใช่ของปลอม เป็นลายมือและตราประทับของท่านผู้บัญชาการไม่ผิดแน่ หากมีปัญหา ผู้บัญชาการไฉไม่มีทางที่จะดูไม่ออก”

 

 

ในฐานะที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น สวี่จิ้งจงมีคุณสมบัติเพียงพออย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยเห็นลายมือของหลี่จิ้ง  เขาคลุกคลีอยู่ในวงราชการเป็นเวลาหลายปี ความสามารถในการวิเคราะห์ตราประทับนั้นเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญสุดหยั่งมานานแล้ว เขากล่าวว่าหนังสือแจ้งนี้เป็นของจริง ย่อมต้องไม่ใช่ของปลอมแน่ แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินค่าวิธีการร้อยแปดพันเก้าในใต้หล้านี้ต่ำเกินไป

 

 

“เหลาสวี่ เจ้าไม่ได้พูดผิด ลายมือนั้นเป็นของหลี่จิ้งไม่ผิดแน่ ตราประทับของผู้บัญชาการก็เป็นของหลี่จิ้งไม่ผิดแน่ เพียงแต่มีบางคนนำหนังสือคำสั่งฉบับนี้ที่สั่งให้ข้ากลับเมืองหลวงมาตัดต่อ จึงกลายเป็นหนังสือคำสั่งให้ข้าไปกองกำลังส่วนกลาง” เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

สวี่จิ้งจงหยิบหนังสือคำสั่งขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเวลานาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจ เขาย่อมต้องมองไม่ออกเป็นธรรมดา อวิ๋นเยี่ยหยิบแว่นขยายที่ทำจากหินคริสตัลออกจากอกเสื้อส่งให้กับเขา แสดงท่าทีให้เขาลองอ่านอีกครั้ง

 

 

สวี่จิ้งจงที่ไม่รู้อะไรจึงหยิบแว่นขยายขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร ขณะที่เลื่อนผ่านไปโดยไม่ตั้งใจ ก็ตกตะลึงขึ้นในทันที วางแว่นขยายไว้หน้าดวงตาเขา ดวงตาขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทำให้ทุกคนหัวเราะขบขันเสียงดัง

 

 

สวี่จิ้งจงรู้สึกอายเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกหลังเขา หลังจากเข้าใจการใช้งานแว่นขยายแล้ว จึงใช้แว่นขยายเพื่อดูหนังสือคำสั่งอย่างละเอียด ตอนนี้กระดาษข้างต้นนั้นสามารถวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หนังสือนี้เป็นของปลอมจริงๆ สามารถปลอมแปลงเอกสารได้ถึงขั้นนี้นับว่าฝีมือเลิศล้ำจริงๆ” พูดจบก็ส่งหนังสือคำสั่งคืนให้อวิ๋นเยี่ย และเก็บแว่นขยายเข้าอกเสื้อตนเองอย่างแนบเนียน

 

 

ซุนซือเหมี่ยวที่ยังอารมณ์ไม่ดีนักแย่งแว่นขยายออกมาจากอกเสื้อของเขา วางมันลงในกล่องไม้ที่ปูด้วยผ้าไหมอย่างระมัดระวัง สุดท้ายจึงค่อยเก็บไว้ในอกเสื้อ สวี่จิ้งจงเอามือถูจมูก รู้สึกค่อนข้างละอายใจ เป็นครั้งแรกที่หยิบโดยไม่บอก ทั้งยังถูกจับได้เสียอีก เริ่มไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

 

 

“เหลาสวี่ รอกลับไปเมืองหลวงแล้วข้าจะให้เจ้าอันหนึ่ง อันนี้เป็นของรักของหวงของนักพรตซุน ข้าเองก็ขอร้องมาค่อนวัน จึงยอมให้ข้ายืมใช้ครู่หนึ่ง” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยปลงตกแล้วว่าสำนักศึกษาไม่สามารถมีเพียงสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมเท่านั้น จำเป็นต้องมีพวกหน้าไหว้หลังหลอกอยู่บ้างเช่นกัน อย่างเช่นสวี่จิ้งจงเป็นต้น เพียงแต่การรับสมัครบุคคลเช่นนี้ควรต้องมีการเจรจาเงื่อนไขกันก่อน นั่นก็คือต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักศึกษา หากไม่มีเงื่อนไขนี้และรับเข้ามาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังรังแต่จะเป็นภัย

 

 

ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้วสีหน้าสวี่จิ้งจงนั้นดีขึ้นมาก มีเพียงไม่กี่คนในใต้หล้านี้ที่สามารถทำให้ซุนซือเหมี่ยวไว้หน้าได้ การถูกเขาเหยียดหยามยังไม่ถึงกับเรียกว่าเสียหน้า

 

 

“โหวเหยีย ในเมื่อเจ้าพบว่าหนังสือนี้เป็นของปลอม ทำไมจึงยังเสี่ยงออกจากเมือง ผู้ที่มีฐานะสูงส่งมั่งคั่งไม่ควรเข้ามาเสี่ยงอันตราย โหวเหยียท่านวางแผนผิดพลาดแล้ว”

 

 

“ที่จริงแล้วข้าไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบว่าหนังสือเป็นของปลอม แต่เป็นนักพรตซุน ข้าก็แค่ประหลาดใจว่าผู้บัญชาการหลี่ต้องไม่ทรมานข้าเช่นนี้แน่ แม้ว่าข้าจะทำผิดก็ตามที อย่างมากที่สุดเขาก็มีคำสั่งให้ข้ากลับฉางอัน มีอย่างที่ไหนที่จะให้ข้าเสี่ยงอันตรายเดินทางระหกระเหินนับพันลี้ ขอพูดอวดอ้างสักหน่อย หากข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา หลี่จิ้งเขารับไม่ไหวแน่ ดังนั้นจึงหยิบหนังสือคำสั่งมาปรึกษากับนักพรตซุน ใครจะรู้ว่านักพรตซุนกลับได้กลิ่นของยาน้ำอย่างหนึ่งบนหนังสือคำสั่ง เมื่อใช้แว่นขยายส่องดูจึงได้เข้าใจอย่างแจ่มชัด จะว่าไปแล้วข้าต้องขอบคุณบุญคุณที่ท่านนักพรตช่วยชีวิตไว้ มิฉะนั้นพวกเราก้าวเข้าประตูผีแล้วยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดจบก็หันไปคารวะนักพรตซุน

 

 

“ฮึ! ข้าเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าให้หลีกเลี่ยงอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยว ให้เก็บตัวอยู่ที่สำนักศึกษาอย่างสงบเสงี่ยมอย่าได้ทำตัวโดดเด่น เจ้าเคยเชื่อสักครั้งหรือไม่ คราวนี้ถูกคนอื่นคิดลอบกัดก็ดี จะได้ช่วยให้รู้จักจดจำขึ้นบ้าง” ใบหน้าที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกของซุนซือเหมี่ยวในที่สุดก็แสดงออกถึงความโกรธแล้ว เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว

 

 

 “ข้าไปหาผู้บัญชาการไฉและตรวจสอบเอกสารที่เขาได้รับ ซึ่งของเขาไม่มีปัญหา ดูเหมือนว่าคราวนี้มีคนจ้องเล่นงานข้า อาจารย์กงซูดูจากวิธีการปลอมแปลงที่ใช้แล้วพอจะเห็นเงาของตระกูลที่อยู่เบื้องหลัง พวกไม่รู้จักที่ตาย ยังคงพร่ำเพ้อถึงเรื่องชีวิตอมตะ เป็นพวกถึงตายก็ไม่แก้นิสัยจริงๆ” อวิ๋นเยี่ยดูแคลนพวกขี้ขลาดอ่อนแอที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตายเป็นอย่างมาก

 

 

“ผู้บัญชาการไฉไม่ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ด้วยหรือ กำลังของพวกเรานั้นค่อนข้างเปราะบาง” สวี่จิ้งจงเริ่มกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขาแล้ว

 

 

“ด้านหลังพวกเราห่างไปสามสิบลี้ยังมีทหารม้าฝีมือดีห้าร้อยนาย หากเราส่งสัญญาณและยืนหยัดให้ได้ครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็จะมาสมทบทัน ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสามารถฆ่ากองกำลังของพวกเราได้ภายในครึ่งชั่วยาม” เฉิงฉู่มั่วเหวี่ยงกำปั้นของเขา พูดอย่างมาดมั่น

 

 

“พวกเขาล่อข้าออกมา คิดว่าคงไม่ได้คิดฆ่าข้าแน่ ไม่เช่นนั้นไม่ว่าที่ซั่วฟางหรือฉางอันล้วนแล้วแต่มีโอกาส ภายใต้สภาพอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ลงทุนลงแรงมากถึงเพียงนี้ คาดว่าน่าจะมีอะไรอยากพูดกับข้า แต่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ดังนั้นจึงทำตัวลับๆ ล่อๆ มาหลอกคน พวกเราแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ ใช้ความนิ่งรับมือความเปลี่ยนแปลงร้อยแปด ดูว่าพวกเขามีลูกเล่นอะไร ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครกันที่สนใจในตัวข้ามากเช่นนี้”

 

 

หลังการประชุม หัวหน้าองครักษ์ของเหล่าจวงและเหล่าหนิวไปถ่ายทอดให้ทหารเสริมฟังทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาเตรียมใจให้พร้อม กงซูเจี่ยนั้นได้วางลูกศรไว้บนรถหน้าไม้โดยเตรียมขึงเอ็นไว้สามเส้น เตรียมพร้อมยิงตลอดเวลา เมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กลับไปนอนพักที่ถ้ำเล็กๆ ทหารเสริมขุดถ้ำหนึ่งแถวไปตามไหล่เขา ต่างก็ไม่ใช่ถ้ำขนาดใหญ่เพียงแต่พอจะเบียดนอนได้สองคน

 

 

ตกดึกแล้ว เมื่อหินที่ถูกเผาไหม้ค่อยๆ เย็นลงในถ้ำก็เย็นลงเรื่อยๆ เฉิงฉู่มั่วนอนไม่หลับ คลุมผ้าคลุมหนังแกะมือถือดาบ นั่งขัดสมาธิบนหนังแกะ ตะเกียงน้ำมันในถ้ำส่องแสงสลัวๆ ชุดเกราะสีดำเข้มส่องประกายความเย็นวาบที่ชวนสยอง

 

 

ความตึงเครียดตลอดคืนนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่มีใครมารบกวนเลย แม้แต่หมาป่าตัวเดียวก็ไม่มี ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสลัวกองกำลังก็ออกเดินทางอีกครั้ง ในเมื่อจะแสร้งทำเป็นไปรวมตัวกับหลี่จิ้ง ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องทำให้สมจริงสมจังที่สุด แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกว่าเสแสร้งแล้วจะหลอกคนอื่นได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไปพบหลี่จิ้ง ถึงตอนนั้นค่อยเอาเอกสารปลอมมาหลอกให้เขาตกใจดู เพื่อดูว่าจะหาผลประโยชน์เพิ่มเติมจากเขาได้หรือไม่ เหอเซ่ายังมีเหรียญทองแดงจำนวนมากอยู่ เขาไม่คิดที่จะส่งเหรียญทองแดงกลับฉางอัน การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ต้นทุนต่ำลงเลย

 

 

เฉิงฉู่มั่วตลอดทั้งคืนนอนหลับไม่เต็มที่แต่ก็ยังมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้นั่งบนรถลากเลื่อน แต่ขี่ม้าสองมือสวมถุงมือหนัง ถือหอกหม่าซั่วของเขาไม่ออกห่างจากอวิ๋นเยี่ย สวี่จิ้งจงเอนนอนอยู่ในเพิงอ่านหนังสือ ซึ่งเสียงนั้นค่อนข้างดังก็รู้ว่าเขาเป็นกังวล แต่โชคดีที่เขายังไม่ถึงจุดที่สูญเสียการควบคุมตัวเอง จอมวายร้ายผู้โด่งดังนับพันปีช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้ที่คิดการใหญ่ก่อเรื่องชั่วก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีสติปัญญาและความกล้าหาญ คำพูดโบราณประโยคนี้ไม่ได้หลอกกันจริงๆ

 

 

ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ปลายทางของถนนยังคงมีหมอกมืดมน จู่ๆ ก็มีกองคาราวานอูฐปรากฏอยู่ข้างหน้า กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยรีบหยุดทันที ทหารเสริมทั้งหมดต่างก็เตรียมขึ้นลูกธนู การเดินทางครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมหน้าไม้ไว้มากมาย อย่างน้อยที่สุดทุกคนจะมีสองคัน หากเป็นการจู่โจมขนาดย่อมจะมีใครสามารถฝ่าการยิงที่ถี่ยิบเช่นนี้ได้

 

 

มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากกองคาราวานที่อยู่ตรงข้าม ยกมือวางราบที่หน้าอกคารวะเสียงดังว่า “เราเป็นลูกหลานของอัลเลาะห์ เป็นพ่อค้าที่ทำการค้าอยู่บนทุ่งหญ้า ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ โปรดอนุญาตให้ข้าได้มอบของขวัญของพวกเราให้ท่านด้วย หวังว่าท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์จะยินยอมให้พวกเราได้ทำการค้าบนดินแดนที่สวยงามแห่งนี้ต่อไป” เมื่อพูดจบก็มีคนมานำถาดเงินที่ประณีตสวยงามซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเงินฝีมือประณีตต่างๆ นานา

 

 

ม้าศึกของอวิ๋นเยี่ยหยุดอยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตรโดยมีเฉิงฉู่มั่วอยู่ข้างๆ ชุดเกราะเหล็กทั้งร่างเสมือนเทพมารจุติบนโลก กองกำลังก็ห้อมล้อมเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเตรียมพร้อมแล้ว อวิ๋นเยี่ยมองดูดวงอาทิตย์สีแดงครึ่งวงกลมที่เพิ่งโผล่ขึ้นมา จึงถามพ่อค้าคนนั้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นลูกหลานของอัลเลาะห์”

 

 

“ใช่ ท่านแม่ทัพ พวกเรามาถึงดินแดนที่อัลเลาะห์ประทานพรแห่งนี้จากเมดินาอันไกลโพ้น เพียงเพื่อเผยแพร่คำสอนของอัลเลาะห์ให้เป็นที่รับรู้ไปทั่ว การทำการค้าเป็นเพียงสิ่งที่ถือโอกาสทำไปด้วยเท่านั้นเอง ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ ในกองคาราวานอูฐข้ามีเหล้าที่ดีที่สุด ทั้งยังมีสาวสวยบริสุทธิ์ชาวเปอร์เซีย ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของพวกเรา”

 

 

อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ มองไปยังผู้คนเลือนรางซึ่งอยู่ด้านหลังกองคาราวานอูฐ จึงพูดกับคนที่เรียกว่าชาวอาหรับว่า “เจ้าพูดได้ดีมาก แต่ตอนนี้ได้เวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้น เหล้าเป็นข้อห้ามหลักของมุสลิม พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง จะมาโทษข้าไม่ได้” หลังจากพูดเรื่องพวกนี้จบ เขาจึงพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “จับเป็นคนคนนี้ไว้ “

 

 

อวิ๋นเยี่ยหันศีรษะม้าวิ่งกลับมาที่กองกำลัง เฉิงฉู่มั่วกระแทกท้องม้าเบาๆ ม้าที่งามสง่าก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน มุ่งเข้าหาชาวอาหรับคนนั้น ด้านหลังกองคาราวานอูฐมีทหารม้าจำนวนมากโผล่ออกมา พุ่งฆ่าเข้าหากองกำลัง อาวุธของพวกเขาแปลกมาก ล้วนแล้วแต่เป็นดาบเสี้ยวจันทร์ ที่แปลกกว่านั้นคือพวกเขาไม่มีธนู

 

 

ชาวอาหรับที่หลบหนีวิ่งได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกเฉิงฉู่มั่วตามทัน หอกหม่าซั่วแทงลงไปบนหลังของเขา ชาวอาหรับคนนั้นกระอักเลือดแล้วก็ลอยขึ้น เฉิงฉู่มั่วควบม้าผ่านเข้าด้านข้าง โน้มตัวคว้าสายคาดเอวเขาไว้ แล้วจับพาดไว้บนหลังม้าขี่กลับไปหากองกำลัง

 

 

กองคาราวานอูฐของชาวอาหรับแตกกระจาย ม้าตัวใหญ่นับร้อยตัวเหมือนเหล็กไหลส่งเสียงร้องฮี้ๆ วิ่งพุ่งลงจากเนินเขาเล็กๆ

 

 

กงซูเจี่ยดึงผ้าฝ้ายบนรถหน้าไม้ออกและหันไปยังที่ที่ผู้คนเยอะที่สุด หลังจากหมุนขยับกลไกของรถหน้าไม้ เสียงเหมือนผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้น พริบตาเดียวหน้าอกของชาวอาหรับที่พุ่งมาด้านหน้าสุดก็เกิดรูขนาดใหญ่ ร่างก็ถูกรถหน้าไม้เกี่ยวขึ้นมาจนสูงและเหวี่ยงตกลงไปทางด้านหลัง เมื่อรถยิงหน้าไม้หยุดยิงแล้ว มีชาวอาหรับสูงห้าฟุตสามคนถูกเสียบติดอยู่บนลูกดอกของรถหน้าไม้ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกม้าศึกของกองหน้าเหยียบจนกลายเป็นเนื้อบด

 

 

ชาวอาหรับดูเหมือนจะไม่กลัวความตาย ยังคงตีม้าอย่างบ้าคลั่ง ต้องการเร่งให้ม้าเพิ่มความเร็วให้มากที่สุด ลูกดอกยักษ์สองดอกลอยออกไปอีกแล้ว แต่ละดอกก็โจมตีไปที่แนวบุกชาวอาหรับที่พุ่งนำหน้าขึ้นมาเหมือนปลายลูกศรอย่างแม่นยำ ลูกดอกยักษ์แต่ละดอกทำให้เกิดแนวเลือดในฝูงชน

 

 

ความโกลาหลของม้าศึกที่ไม่มีเจ้านายได้ช่วยขัดขวางความเร็วในการหนีของชาวอาหรับอยู่บ้าง ในเวลานี้เหล่าจวงได้มีคำสั่งให้มือหน้าไม้แถวหน้าเหนี่ยวไกหน้าไม้ เมื่อเกิดเสียงเสียดสีดังปึงลูกดอกสีดำนับร้อยก็พุ่งออกไป มันเป็นลูกศรไม่มีหางแบบพิเศษที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์ ซึ่งเร็วกว่าลูกดอกแบบมีหางทั่วไปมากนัก โล่หนังสัตว์ของชาวอาหรับนั้นไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้เลย ลูกดอกปลายสามแฉกนั้นฉีกโล่หนังได้อย่างง่ายดายและฝังลึกลงไปในร่างกายของพวกเขา

 

 

ในสนามรบที่วุ่นวายอวิ๋นเยี่ยพบว่าตัวเองมีสติอย่างที่สุด ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งใต้ลม เมื่อลมพัดพากลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นผ่านมา เขากลับสูดลมหายใจเข้าอย่างดื่มด่ำ ดูเหมือนเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายกำลังรอต้อนรับอยู่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 – 5 อ่านนิยาย

ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!

เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก

ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

Options

not work with dark mode
Reset