เจาะเวลาสู่ต้าถัง 19

ตอนที่ 19

หญิงเลี้ยงแกะ

 

เหล่าจวงนำก้อนหินก้อนใหญ่หลายๆ ก้อนที่ใช้รองหม้อมาวางไว้ในถ้ำ หินนั้นถูกเผาด้วยเปลวไฟจนร้อน ถ้ำดินเล็กๆ จึงอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิขึ้นทันที อวิ๋นเยี่ยและกงซูเจี่ยเข้าไปในถ้ำ นอนลงบนผ้าปูที่ปูไว้ซึ่งด้านบนปูด้วยชั้นหนังแกะหนาๆ อีกชั้นหนึ่ง เมื่อคนนอนลงไปก็จะจมลงไปในขนแกะ แม้ไม่ห่มผ้าห่มก็ไม่รู้สึกหนาวเย็น

 

กงซูเจี่ยท่องกลอนอย่างสบายใจอยู่หลายคำ ซึ่งฟังดูแย่สุดๆ จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปีหน้าข้าไปที่สำนักศึกษาจะได้รับการดูแลเช่นนี้ไหม”

 

กบในกะลา อวิ๋นเยี่ยดูถูกจากก้นบึ้งของหัวใจ ขุดหาอาหารจากที่นามาตลอดชีวิต ทั้งไม่เคยได้เสพสุขชีวิตที่มีความสุขของคนบางกลุ่มเลย

 

“ถ้าหากเจ้าพอใจกับสิ่งนี้ล่ะก็ ไม่มีปัญหา สำนักศึกษาจะส่งหนังแกะร้อยผืนให้เจ้า เจ้าสามารถให้ใช้ทั้งครอบครัวได้โดยไม่มีปัญหา”

 

กงซูเจี่ยเองก็อาจจะรู้สึกว่าตนถามคำถามที่ฟังดูเด็กๆ ออกไป จึงรู้สึกอายอยู่บ้าง

 

“ปีนี้เจ้าก็อายุเกินห้าสิบปีแล้ว ดังนั้นตามกฎของสำนักศึกษา เจ้าจะได้พักในเรือนที่มีอาคารสามชั้นพร้อมที่ดินกว้างหนึ่งหมู่ ได้รับเงินเดือนเดือนละแปดก้วน ต้องบอกไว้ก่อนว่าเงินเดือนของเสนาบดีก็ได้ประมาณนี้ นอกจากนี้ยังมีรถม้าหนึ่งคันและม้าสี่ตัว ในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปียังมีค่าตอบแทนพิเศษอย่างอื่นอีก เครื่องเรือนในอาคารเป็นของพร้อมใช้ เจ้าเตรียมสัมภาระมาเท่านั้นก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย หากต้องการคนรับใช้เจ้าต้องจ้างเอง โดยทั่วไปสำนักศึกษาไม่เห็นด้วยกับการใช้คนรับใช้ของที่บ้าน การทรมานคนรับใช้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในสำนักศึกษา การทำเช่นนี้เป็นการสอนนักเรียนในทางที่ผิด หากละเมิดกฎข้อนี้ต้องถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาทันที เจ้าต้องจำให้ดี”

 

อวิ๋นเยี่ยบอกค่าตอบแทนของสำนักศึกษาให้กงซูเจี่ยฟังหนึ่งรอบ หวังว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาด หลี่กังอาจจะยอมอะลุ่มอล่วยให้คนที่ไม่รู้ แต่จะไม่ยอมให้อะลุ่มอล่วยให้คนที่ไร้ศีลธรรมอย่างแน่นอน บางทีการเรียนหนังสือมากอาจจะเปลี่ยนบุคลิกของบุคคลคนหนึ่งได้ อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่เคยเจอคนเลวทรามไร้ศีลธรรมอย่างที่สุดเลย แม้แต่สวี่จิ้งจงที่ปฏิบัติต่อคนรับใช้ชราที่ติดตามเขา ก็ไม่เคยใช้คำพูดที่รุนแรงมาก่อน หลี่กังและอาจารย์อวี้ซันก็รักเมตตาเด็กที่ปรนนิบัติรับใช้เขาเรื่องชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบรรยากาศในสำนักศึกษาจึงสงบสุขมาก

 

สองมือของกงซูเจี่ยรองอยู่ใต้ศีรษะ เหม่อมองเพดานถ้ำ ก็รู้ว่าเขากำลังจมอยู่ในชีวิตที่มีความสุขที่กำลังจะมาถึง อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รบกวนเขา พลิกตัวกลับมาแล้วห่มผ้าห่ม เลือกนอนท่าที่สบาย ไม่นานก็ผลอยหลับไป

 

อวิ๋นเยี่ยถูกปลุกตั้งแต่เช้า ค่ายทั้งค่ายเละเทะไม่เป็นระเบียบ ที่ทำหน้าจุดไฟก็ทำไป ที่ดูแลม้าทำไป มีหน่วยสืบข่าวอยู่ในแดนไกลคอยผลัดเวรกันอยู่ ลมหยุดแล้ว แต่เริ่มหิมะตกอีกครั้งซึ่งก็ไม่หนักมาก ไม่มีปัญหาในการเร่งเดินทัพ แต่ความขาวโพลนที่ปรากฏระหว่างท้องฟ้าและผืนดินทำให้ผู้คนรู้สึกว้าวุ่นจนหดหู่ใจ

 

อาหารเช้าเป็นโจ๊กข้นคลั่กชนิดที่เสียบตะเกียบลงไปแล้วไม่ล้ม ตั๊กแตนป่นเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตอนนี้หากในอาหารไม่ใส่สิ่งนั้นทุกคนต่างก็ไม่อยากจะหยิบตะเกียบ หมาน้อยคำก็ท่านอาเหล่าจวง สองคำก็ท่านอาเหล่าจวง เรียกอย่างสนิทปาก ก็เพราะอยากได้ตั๊กแตนป่นผสมข้าวกินเพิ่มอีกหน่อย เห็นว่าเขายังเป็นเด็ก เหล่าจวงก็กำขึ้นมากำมือใหญ่โรยใส่ชามเขา หมาน้อยที่มีความสุขยกชามข้าววิ่งโอ้อวดไปทั่ว

 

กงซูเจี่ยเดินออกมาจากถ้ำพร้อมกับขอบตาดำๆ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ประเดี๋ยวคิดถึงจุ้ยหยางชุนที่พ่อของเขาชอบดื่ม ตัวเองก็ซื้อให้เพียงไม่กี่ครั้ง ประเดี๋ยวคิดถึงภรรยาที่อยู่กับเขามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่มีเครื่องประดับชิ้นไหนที่เหมือนเครื่องประดับสักชิ้น สร้อยเงินที่ห้อยอยู่ที่คอของหลานตัวน้อยก็เป็นของที่ตัวเองเคยใส่เมื่อในอดีต ด้วยความรู้สึกผิดเหล่านี้ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน พูดแล้วก็น่าสนใจ ใครจะรู้ว่าตระกูลใหญ่นับพันปีได้เก็บตัวซ่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อยู่ในสภาพที่ลำบากยากแค้นขาดแคลนเสื้อผ้าอาหารการกิน ที่กล่าวกันว่า แม้ยากจนข้นแค้นแต่ปณิธานยังคงเดิม พูดเสียน่าฟัง แม้แต่ความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา ความสงสารที่มีต่อภรรยา ความรักที่มีต่อลูกล้วนแล้วแต่ทำไม่ได้ ยังจะพูดถึงเรื่องแม้ยากจนข้นแค้นแต่ปณิธานยังคงเดิมอะไรนั่นอีกหรือ

 

เมื่อกลับไปฉางอันจะต้องเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ของทั้งครอบครัวแน่นอน หากคนรุ่นหลังอยู่ไม่เป็นสุข ความรู้ของตระกูลที่จะถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ลูกหลานไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องที่ว่ามีความรู้ท่วมหัวแต่ไม่อาจใช้ได้อย่าเพิ่งพูดถึง ตอนนี้ยังเข้าขั้นวิกฤตด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้นำออกมาแลกเงินอย่างปลอดภัยก็ดีเหมือนกัน

 

หลังทานอาหารเช้า กองกำลังก็ออกเดินทางต่อ เพียงแต่ทุกคนจะคลุมผ้าป่านสีขาว แม้กระทั่งม้าก็เช่นกัน มีชายอ้วนเงอะงะคนหนึ่งเดินบนหิมะอย่างยากลำบาก เอาผ้าป่านมัดผูกปมไว้กับรถลากเลื่อนทีละเส้นๆ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากกว้างๆ ของเขา เหล่าเหอ เหอเซ่า เขามาได้อย่างไร

 

“เจ้าจะมาร่วมวุ่นวายอะไร ไม่รู้หรือว่าตอนนี้ตรงนี้เต็มไปด้วยพวกเคราดก ถ้าถูกจับย่างกินจะทำอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก ชายอ้วนผู้มีความคิดในการทำศึกเป็นศูนย์จะมาทำบ้าบออะไรอยู่บนทุ่งหญ้านี้

 

“ชีวิตของพี่ชายคุ้มค่ามานานแล้ว รู้หรือไม่ว่าของที่ถูกส่งกลับไปฉางอันก่อนฤดูหนาวมีค่าเท่าไรกัน หกพันก้วน! หากข้าต้องตายบนทุ่งหญ้านี้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว แม้ฝันข้าก็ไม่เคยคิดว่าคนที่มีไขมันทั้งตัวจะขายได้เงินมากถึงเพียงนี้ เมื่อมีเงินจำนวนนี้ ครอบครัวก็ดำรงอยู่ได้อีกหลายสิบปีอย่างไม่เป็นปัญหา ข้ารู้ว่ารากของความมั่งคั่งของข้าก็คือเจ้า ไม่อย่างนั้นแม้ข้าอยากจะขายร่างอ้วนๆ นี้ก็ไม่มีที่ที่จะให้ขายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหกพันก้วน เจ้าเองก็มาที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ ข้าตามมาสักครั้งจะเป็นอะไรไป ชีวิตข้าจะมีค่าเท่าชีวิตเจ้าหรือ จะว่าไปแล้ว หากมีข้าอยู่ ไม่แน่ว่าเราสองพี่น้องยังพอจะหาช่องทางร่ำรวยได้อีกหน่อย”

 

ช่างเป็นพวกดื้อด้านเสียจริง อยากร่ำรวยจนหน้ามืดตามัว ตอนนี้แม้ชีวิตก็ไม่สนใจแล้ว ไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ในหนังสือการเมืองกล่าวว่าหากนักธุรกิจมีกำไรสามร้อยเปอร์เซ็นต์ก็กล้าที่จะฆ่าคน เพื่อกำไรสิบเท่าแม้ชีวิตของพวกเขาเองไม่ต้องการ เหอเซ่า! ก็คือตัวอย่างที่มีชีวิต

 

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว บอกเจ้าเพียงคำเดียว ดูแลชีวิตน้อยๆ ให้ดี อย่าให้เสียไป ไม่เช่นนั้นไม่รู้จะอธิบายให้ครอบครัวเจ้าฟังได้อย่างไร”

 

หลังจากพูดจบ อวิ๋นเยี่ยก็นั่งลงบนรถลากเลื่อนของกงซูเจี่ย เตรียมที่จะเร่งเดินทัพต่อ เหล่าเหอใช้ผ้าฝ้ายผูกปมอย่างแน่นหนา พาองครักษ์คนหนึ่งและก็นั่งลงบนรถลากเลื่อน

 

จากเสียงฟาดแส้ของเลื่อนตัวแรก กองกำลังก็เริ่มบิดตัวแล้วค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น ด้านหน้ามีองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นคอยสำรวจเส้นทางข้างหน้า หัวหน้าทหารคนสนิทของเหล่าหนิวรั้งท้ายขบวน รถลากเลื่อนของกองกำลังก็เคลื่อนที่อย่างดูดีมีสง่า

 

ครั้นออกจากเขตการควบคุมของซั่วฟาง ทุกคนต่างก็มีสติตั้งมั่นเพราะกลัวว่าอาจถูกกองกำลังเคราดกบุกจู่โจมจากมุมใดมุมหนึ่ง    

 

กลุ่มเคราดกที่อวิ๋นเยี่ยรอคอยไม่ปรากฏตัว พวกเขาตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในรังเฝ้าแกะเลียนแบบกระรอกจำศีลอยู่ นอกจากชนชั้นสูงที่อยู่บนทุ่งหญ้า ในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวไม่ออกมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงฤดูหนาวทุกครั้ง พวกเขาก็ต้องหาสถานที่ที่ค่อนข้างอบอุ่นให้วัวและแกะอาศัยช่วงฤดูหนาว สถานที่นี้ไม่เพียงแต่ต้องการความอบอุ่น แต่ยังต้องการหญ้าที่เขียวชอุ่มด้วย พวกเขาจะเหลือพื้นที่ทุ่งหญ้าในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงไว้ส่วนหนึ่งที่จะไม่พาวัวและแกะไปเลี้ยงในบริเวณนั้น เมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาก็จะต้อนวัวและแกะไปอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว วัวและแกะคือรากฐานของชีวิต

 

หากไม่มีการเรียกรวมตัวจากชนชั้นสูง พวกเขาจะอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย โดยอิงครอบครัวเป็นหลัก เพราะอย่างไรเสียทุ่งหญ้าหนึ่งที่ก็ไม่สามารถรองรับวัวและแกะจำนวนมากเกินไปได้

 

ด้านหน้ามีเสียงค่อนข้างวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองดูด้านหน้า ครู่หนึ่งเหล่าจวงก็มารายงานว่าถูกล้อมรอบด้วยแกะฝูงหนึ่งและมีคนเลี้ยงแกะหนึ่งคน ไม่ทราบว่าจะหลบหลีกหรือไม่

 

ครั้นขี่ม้าไปดูข้างหน้า เห็นเพียงผู้หญิงเลี้ยงแกะอ้วนเตี้ยคนหนึ่งมือถือไม้ง่ามกำลังต่อต้านกับองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นอยู่ ทั้งยังเหลือบมองฝูงแกะที่วิ่งกระจัดกระจายไปทั่วเป็นครั้งคราว ผ้าคลุมหนังแกะที่สวมอยู่มันวาวส่องประกาย เส้นผมก็เกาะกันเป็นก้อนๆ ดวงตาสีดำเข้มกลับมีแต่ความดื้อรั้น แยกเขี้ยวยิงฟันส่งเสียงร้องเหมือนหมาป่า ข่มขวัญเหล่ามือดีที่มาจากสนามรบของตระกูลอวิ๋น

 

องครักษ์หลายคนหัวเราะตาหยีแล้วขี่ม้าวนไปมารอบตัวนาง นางก็วนตามเพียงไม่กี่รอบก็ล้มลงกับพื้น หิมะเปรอะเต็มใบหน้ายิ่งดูหมดรูปกว่าเดิม องครักษ์คนหนึ่งหยิบธนูออกมาแล้วน้าวลูกธนูหนึ่งดอก ยิงแกะล้มลงไปที่พื้นตามใจชอบ หญิงเลี้ยงแกะกรีดร้อง ก่อนจะกระโจนไปที่แกะตัวที่ล้มลงกับพื้น ยกหัวแกะขึ้นและเป่าลมเข้าปากแกะหวังว่าจะช่วยแกะที่น่าสงสารตัวนั้นให้รอดได้

 

“โหวเหยีย หรือว่าเราจะชิงนางกับแกะไปด้วยกันเลย พวกทหารจะได้กินแกะ ตอนกลางคืนท่านก็จะได้มีคนช่วยทำให้อบอุ่น” ไม่รู้ว่าหมาน้อยมุดออกมาจากที่ไหน แหงนหน้ามองพลางให้คำแนะนำอวิ๋นเยี่ยเหมือนหมาน้อยขี้ประจบจริงๆ

 

อวิ๋นเยี่ยดูผมที่เกาะกันเป็นก้อนๆ แล้วมองไปยังมือเปื้อนเลือดของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้นางกำลังจูบแกะอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็หน้าเขียวแล้ว คนคนนี้ต้องรู้สึกหิวมากเพียงไหนถึงได้รู้สึกสนใจผู้หญิงเช่นนี้

 

 เขาเตะหมาน้อยกระเด็นออกไป เจ้าเด็กนี้อยู่ในกองทัพไม่ได้เรียนรู้อะไรที่ดีเลย อายุยังน้อยเพียงเท่านี้ก็หัดเป็นหมาขี้ประจบมือดีเสียแล้ว

 

แกะในอ้อมแขนของหญิงเลี้ยงแกะในที่สุดก็ไม่ขยับขาอีกต่อไป หัวก็ห้อยตกลงมา หญิงเลี้ยงแกะเขย่าไปมาสักพัก เมื่อรู้ว่าแกะตายแล้วนางก็กระโดดขึ้น พุ่งเข้าใส่อวิ๋นเยี่ย นางเห็นว่าในฝูงชนนี้ชุดเกราะอวิ๋นเยี่ยนั้นสวยที่สุด ดังนั้นสถานะของอวิ๋นเยี่ยย่อมสูงสุดเช่นกัน เพื่อแกะของนางจึงขอแลกชีวิตกับอวิ๋นเยี่ย ยังไม่ทันมาถึงด้านหน้า ทหารองครักษ์ก็ล้อมรอบตัวอวิ๋นเยี่ยไว้หมด ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว

 

หมาน้อยกระโดดออกมาอย่างตื่นเต้น โยนดาบในมือทิ้ง กางแขนออกเพื่อประลองกำลังกับหญิงเลี้ยงแกะ กลุ่มองครักษ์ก็ส่งเสียดังอยู่ข้างๆ หมาน้อยประสานมือคารวะรอบด้านอย่างดูดี ใครจะรู้ว่าหญิงคนนั้นจะพุ่งเข้าใส่อย่างดุดัน จับขาของหมาน้อยไว้แล้วเหวี่ยงลอยขึ้นฟ้า ทั้งยังนั่งทับบนหน้าของหมาน้อยเต็มๆ กระแทกอยู่หลายครั้ง ทั้งอวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์มองดูจนเสียวฟันไปกันหมด

 

เหล่าจวงขมวดคิ้วและลงจากหลังม้า จับหญิงเลี้ยงแกะโยนออกไปในคราวเดียว แล้วลากหมาน้อยขึ้นมา หมาน้อยหน้ามืดตาลายฝืนยืนให้นิ่ง ตะโกนเอะอะมองหาหญิงเลี้ยงแกะเตรียมจะแก้แค้น จึงถูกเหล่าจวงจับโยนลงบนรถลากเลื่อนในคราวเดียวกัน

 

ไม่รู้ว่าหญิงชาวเผ่าหูสมองมีปัญหาหรือเปล่า เมื่อเหล่าจวงโยนนางออกไปก็แสดงว่าปล่อยนางไป ใครจะรู้ว่านางลุกขึ้นเช็ดหิมะบนใบหน้าเสร็จ ก็พุ่งเข้าใส่เหล่าจวงอย่างไม่ยอมเลิกรา คว้าแขนของเหล่าจวงได้แล้วกัดลงไป ด้วยสภาพอากาศติดลบสิบกว่าองศา เหล่าจวงที่สวมเกราะเหล็กทั้งตัว แผ่นเหล็กของเกราะเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง เมื่อกัดเข้าไปแล้วก็ถอนออกไม่ได้ เกาะติดอยู่บนนั้น หญิงเลี้ยงแกะก็ไม่กล้าดิ้นรนเพราะกลัวลิ้นจะถูกบาดขาด จึงได้แต่ร้อนรนจนน้ำตาไหล

 

อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าในที่สุดหญิงเลี้ยงแกะก็ยอมหยุดแล้ว จึงมองไปรอบๆ เป็นที่ตั้งค่ายที่ดี หลังจากขอคำแนะนำจากเหล่าจวงแล้วก็ตัดสินใจตั้งค่ายพักแรมที่นี่ เหล่าจวงไปที่ไหน หญิงเลี้ยงแกะก็จะตามไปที่นั่น ช่วยไม่ได้ ก็ปากยังติดอยู่กับเกราะอยู่นี่นา

 

เหล่าองครักษ์ไล่ต้อนฝูงแกะที่กระจัดกระจายกลับมา แกะผอมมาก ดูเหมือนว่าการกินอาหารบำรุงต้นฤดูใบไม้ร่วงจะไม่ดีพอ ฝูงแกะเช่นนี้ไม่สามารถผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ได้ ฤดูหนาวปีนี้มาถึงเร็วซึ่งสิ่งนี้สำหรับคนเลี้ยงแกะแล้วถึงกับเอาชีวิตพวกเขาได้ หากไม่มีฝูงแกะ ทั้งครอบครัวต้องอดตายทั้งเป็น ในท้องทุ่งนั้นไม่มีความเมตตาและปาฏิหาริย์

 

เหล่าจวงถอดแผ่นเหล็กเสื้อเกราะออกแล้วราดด้วยน้ำอุ่น ในที่สุดก็ช่วยเอาปากของหญิงเลี้ยงแกะออกจากแผ่นเหล็กได้ นางก็ไม่ก่อความวุ่นวายแล้ว มองดูฝูงแกะของตัวเองแล้วก็ร้องไห้สุดชีวิต กลัวว่าคนเหล่านี้จะกินแกะนางจนหมด

 

อวิ๋นเยี่ยยังคงออกคำสั่งให้ฆ่าแกะทั้งหมดทิ้ง ตอนนี้เสบียงอาหารมีค่ามากที่สุด ทหารเสริมเริ่มลงมือแล้ว พวกเขาหัวเราะพลางตั้งชั้นวางหลายแห่ง ใช้มีดสั้นฆ่าแกะทีละตัวๆ แล้วแขวนพวกมันไว้บนชั้นวาง มีแกะไม่มาก เพียงยี่สิบเอ็ดตัวเท่านั้น ซึ่งรวมแกะที่ถูกยิงตายด้วย ไม่นานนักก็ถลกหนังแกะแล้วเอาอวัยวะภายในออก ลงมือว่องไวจนเริ่มนำชั้นวางเหล่านั้นไปย่างไฟได้แล้ว

 

หญิงเลี้ยงแกะรู้ว่าห้ามไม่สำเร็จ จึงนอนแหงนหน้ามองฟ้าบนพื้นหิมะ ดวงตากลมโตนั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวาอีกต่อไป

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 – 5 อ่านนิยาย

ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!

เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก

ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

Options

not work with dark mode
Reset