อยากกินไหมล่ะ 812 ผลงานแกะสลักน้ำแข็งกลายเป็นที่นิยม

ตอนที่ 812 ผลงานแกะสลักน้ำแข็งกลายเป็นที่นิยม

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 812 ผลงานแกะสลักน้ำแข็งกลายเป็นที่นิยม

ใช่แล้วล่ะ คนแรกที่ได้กลิ่นก็คือเฉินเว่ยนั่นเอง ถึงอย่างไรในเรื่องของการดมกลิ่นเหล้าแล้ว เฉินเว่ยที่มีจมูกสุนัขก็นับว่าเก่งกว่าอู๋ไห่ทีเดียว

“อืม กลิ่นหอมจัง” นักเขียนนิยายพยักหน้าเห็นด้วย

ฟองยังคงอยู่และกลิ่นของเบียร์ก็ชัดจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว การผสมผสานของกลิ่นและอุณหภูมิเย็นเฉียบให้ความรู้สึกมึนเมา

อึก นักเขียนนิยายกระดกเบียร์เข้าไปอึกใหญ่

เมื่อเบียร์เข้าปากยังคงเย็นเฉียบอยู่เลยแต่ทันทีที่เบียร์ไหลลงคอไปแล้วก็อุ่นขึ้นก่อนที่ทั้งคอจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวสาลีสีทอง

“ฟู่ ไม่เลวเลยทีเดียว” นักเขียนนิยายกล่าวพลางยิ้มบาง

จากนั้น นักเขียนนิยายก็กระดกเข้าไปอีกอึกหนึ่ง

คราวนี้รู้สึกเหมือนเบียร์จะกลมกล่อมขึ้นราวกับว่ามีสวิตช์บางอย่างกดเปิดอยู่ในร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้นแหละ ทันทีที่เบียร์เข้าปาก กลิ่นหอมอันน่าพึงพอใจก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากปากของเขา

เบียร์เย็นเฉียบในขณะที่ร่างของเขาอบอุ่น เพียงไม่นานใบหน้าของนักเขียนนิยายก็พลันแดงก่ำและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในกะโหลกศีรษะอันเป็นความอบอุ่นที่กระจายไปทั่วร่างของเขา

นี่ก็คือความอบอุ่นที่แสนนุ่มละมุนอันเป็นความอบอุ่นที่กระจายจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง

“อร่อยดีนะ แถมยังต่างไปจากเบียร์หมักยีสต์นอนก้นที่มีรสชาติร้อนแรงลอยอวลอยู่ไม่ขาดสาย” เฉินเว่ยพยักหน้าแล้วกล่าวไปพลางดื่มไปพลาง เพียงแค่สูดหายใจไปเฮิอกเดียวเขาดื่มเบียร์หมดไปครึ่งแก้วแล้ว

สำหรับเฉินเว่ยแล้ว เมื่อเบียร์เข้าปาก รสชาติที่ขมนิดๆจะเริ่มกระจายออกมาจากปลายลิ้น แต่ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงรสขมอันท่วมท้น กลิ่นแอลกอฮอล์ปรากฏขึ้นไปทั่วปาก และเมื่อเขากลืนเบียร์ลงไปก็รู้สึกได้ถึงความกลมกล่อมและความสดชื่นเลยเชียวล่ะ

“สมกับเป็นเหล้าของเถ้าแก่หยวนจริงๆ รสชาติดีมากเลยล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวก่อนที่จะกระดกเข้าไปอีกอึกหนึ่ง คราวนี้เขาก็ดื่มเข้าไปอีกเกือบครึ่งแก้วโดยหลงเหลือเบียร์ไว้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น

“อา…” เฉินเว่ยระงับตัวเองไว้ไม่อยู่ได้แต่ครางออกมาด้วยความพึงพอใจ

“เบียร์สดชื่นมากเลยแถมยังไม่รู้สึกขมเลยสักนิดเดียว กลิ่นเบียร์เข้มข้นและกลิ่นหอมของข้าวสาลีก็น่าพึงพอใจมากทีเดียวเลยล่ะ นี่คือเบียร์สดที่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวพลางวางแก้วลง

“อร่อยดีจริงๆ เมื่อก่อนฉันมักจะนึกว่าเบียร์ทั้งขมและเผ็ดร้อนเสียอีกนะ ถึงแม้ว่าเบียร์แก้วนี้จะขมอยู่เหมือนกันแต่กลับไม่เผ็ดร้อนเลยแถมรสขมยังให้ความรู้สึกดีอีกต่างหาก” ญินยากล่าวไปพลางดื่มไปพลาง

“ใช่เลยล่ะ เบียร์รสชาติดีมากเลยทีเดียว” แม้แต่เจียงฉางซี่ที่ชื่นชอบในการดื่มเหล้าก็ยังพยักหน้ายอมรับ

“เฮ้อ แพ้อีกแล้ว” ฟางเหิงรำพึงพลางขมวดคิ้วไปพลางดื่มไปพลางไม่หยุดหย่อน

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ยังไงนายก็ไม่สามารถเหนือล้ำกว่าเถ้าแก่หยวนได้หรอก” เฉินเว่ยกล่าวไปพลางหัวเราะไปพลาง

“ทำไมนายถึงได้ซื่อขนาดนี้นะ?” ฟางเหิงเหลือบมองเฉินเว่ย

“ฉันไม่สนใจนายแล้ว เซินหมิน ขออีกแก้วนะ ในภายภาคหน้าเจ้าสิ่งนี้จะเป็นแก้วส่วนตัวของฉันล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวไปพลางยกแก้วขึ้นโดยไม่ทำให้เบียร์ที่อยู่ในนั้นหกออกมาแม้แต่หยดเดียว

“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่หยวนบอกว่าแก้วจะสลักชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของเอาไว้บนนั้นด้วยนี่นา” เซินหมินพยักหน้า

ก่อนหน้านี้เธอลืมบอกเรื่องนี้กับพวกเขาไปเลย

“ฟังดูเข้าท่าดีนี่ รู้สึกว่ามีแก้วส่วนตัวอยู่ที่นี่ยังไงก็ดีกว่าแหละน่า” เจียงฉางซี่กล่าวด้วยความรู้สึกอิจฉา

“ฟังดูเข้าท่าจริงๆด้วย” ญินยาหน้าแดงเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแก้วที่มีชื่อเธอสลักเอาไว้อยู่ภายในร้านหยวนโจว

“นี่เป็นความคิดที่ดีเชียวล่ะ ฉันอยากเรียนรู้จากมันแล้วเอาไปทำให้ลูกค้าได้ลองดื่มดูบ้างจัง” ฟางเหิงกล่าวออกมาตรงๆ

“จึ๊ จึ๊ เจ้าพ่อค้าหน้าเลือดเอ้ย” นักเขียนนิยายกล่าวขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันจะขออนุญาตจากเถ้าแก่หยวนก่อนที่จะทำเช่นนั้นแน่ ถึงยังไงฉันก็กำลังเรียนรู้จากเถ้าแก่หยวนอยู่นะ” ฟางเหิงกล่าว

“เอาล่ะ มาดื่มกันต่อเถอะ ขอฉันอีกแก้วนะ” เจียงฉางซี่ชี้ไปที่แก้วแล้วกล่าวขึ้นมา

ใช่แล้วล่ะ ฟางเหิงไม่ได้ดื่มตรงๆจากแก้ว แต่เขาดื่มจากแก้วที่ได้มาจากนักเขียนนิยาย แบบนั้นเบีย์ในแก้วก็จะสามารถแบ่งกับผู้อื่นได้

“มาเลย มาดื่มเบียร์กัน!” เฉินเว่ยยกแก้วขึ้นแล้วกล่าวด้วยความร่าเริง

“เชียร์ส” พวกเขากล่าวแล้วเริ่มดื่ม

ด้วยการเพิ่มเบียร์เข้ามา ผับของหยวนโจวกลับครึกครื้นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อก่อนทุกคนมักจะต่อสู้แย่งชิงเหล้ากัน แต่มาตอนนี้ทุกคนกำลังแข่งกันว่าใครจะดื่มได้มากกว่ากันแทนเสียนี่

นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของเบียร์ มันช่วยให้ผู้คนได้ผ่อนคลายตัวเองเพื่อช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ยามค่ำคืนผ่านพ้นไป ย้อนกลับไปที่อู๋ไห่กันบ้างดีกว่า เขาเริ่มเรื่องมากเรื่องอาหารการกินขึ้นมาอีกแล้ว

“ไม่เอา ฉันไม่กินอันนี้ ยังไงก็ไม่กิน” อู๋ไห่กล่าว

“ไห่น้อย นายต้องกินอะไรบ้างนะ” เจิ้งเจียเว่ยแนะนำ “นับตั้งแต่นายกินอะไรสักอย่างเข้าไปเมื่อคราวล่าสุดนี้นายก็ไม่ได้มากินอะไรมาทั้งวันเลยนะ”

ก่อนหน้านี้อู๋ไห่ก็กินเนื้ออบแห้งกับลูกอมรสผลไม้รวมเข้าไปแล้ว ทว่านับตั้งแต่วาดภาพนี่แหละชีวิตเสร็จ เขาก็เลิกกินทั้งสองอย่างไปเลย

เมื่อต้องเผชิญกับการเกลี้ยกล่อมของเจิ้งเจียเว่ย อู๋ไห่ถึงกับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปแล้ว ผู้คนมักจะทำตามอารมณ์ของตัวเองและอารมณ์อาจจะเป็นผลมาจากภาพเขียนด้วย บ่อยครั้งที่ภาพเขียนมักจะส่งผลเป็นอย่างยิ่งต่ออารมณ์ของจิตรกร

แน่นอนว่าเรื่องนั้นสามารถใช้ได้ผลกับจิตรกรคนอื่นๆเท่านั้น แต่หาใช่กับอู๋ไห่ เขาเพียงแค่ไม่กินเพราะเรื่องมากและรู้สึกไม่อยากกินอาหารที่นี่ก็เท่านั้นเอง

“มาเถอะ ไห่น้อย” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวอย่างไม่ย่อท้อต่อไป

อันที่จริงแล้วเจิ้งเจียเว่ยมีความสามารถในการทำงานของตัวเองมากทีเดียว เมื่อเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้อู๋ไห่กินอาหาร อู๋ไห่ก็จะโมโหก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา และสุดท้ายตอนนี้เขาก็รู้สึกจนปัญญากับเจิ้งเจียเว่ยแล้ว

“นอกจากอาหารของเจ้าเข็มทิศแล้ว ฉันจะไม่กินอะไรทั้งนั้นแหละ” อู๋ไห่กล่าวพลางนั่งลงข้างต้นไม้แล้วแสร้งทำตัวราวกับปลาตาย

“’งั้นก็กลับกันเถอะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว “ฉันจะเก็บข้าวของให้แล้วพวกเราค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ได้”

เขานึกว่าอู๋ไห่จะดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นเสียอีก น่าแปลกที่อู๋ไห่กลับลูบท้องแฟบๆของตัวเองแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก การออกเดินทางมาเขียนภาพของฉันยังไม่จบ”

“ทีแรกแผนของนายคือพักอยู่ที่นี่สักอาทิตย์ แต่พวกเราอยู่ที่นี่กันมาครึ่งเดือนแล้วนะ” เจิ้งเจียเว่ยเริ่มนับเลขด้วยความหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมอู๋ไห่ได้สำเร็จ “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรวมนั้แหละชีวิตเข้าไปแล้ว นายเขียนภาพที่นี่เสร็จไปเจ็ดชิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ใช้หรือผลลัพธ์ของภาพเขียน การออกเดินทางมาเขียนภาพควรจะจบลงได้เสียที”

“นี่เป็นการออกเดินทางมาเขียนภาพของนายหรือของฉันกันแน่?” อู๋ไห่ขึ้นเสียง “ถ้าฉันบอกว่ายังไม่จบก็คือยังไม่จบสิ”

“นายคิดจะอยู่ไปอีกนานสักแค่ไหนกัน?” เจิ้งเจียเว่ยถาม

อู๋ไห่จับผมมันเยิ้มเอาไว้ เขารู้สึกว้าวุ่นใจมากทีเดียวเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขารู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่างจากหุบเขาแห่งนี้

เขามีความรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่เขายังไม่ได้วาดลงไป นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หิวโหยอย่างเขายืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ต่อ

ในขณะเดียวกัน ทุกอย่างข้างหยวนโจวกำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น หลังจากวิดีโอผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาถูกอัพโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต เขาก็โด่งดังเป็นพลุแตกทีเดียว

วิดีโอมากมายถูกอัพโหลดขึ้นเว่ยป๋อด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้: [เชฟในตำนานของรายการโฟล์คทาเลนต์], [เถ้าแก่หยวนแสดงความเท่ห์อีกครั้ง], [เชฟที่ฉันถ่ายวิดีโอเอาไว้ได้เมื่อบ่ายนี้]…

ถึงอย่างไรก็มีคนไม่มากนักหรอกที่จะสามารถแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกได้ โดยเฉพาะหยวนโจวที่ใช้มีดทำครัวในการแกะสลักอีกต่างหาก

ดังนั้นแม้แต่คนที่ไม่ใคร่จะเชี่ยวชาญในผลงานแกะสลักน้ำแข็งนักก็สามารถดูออกว่าหยวนโจวมีฝีมือในการแกะสลักขั้นเทพเลยเชียวล่ะ

“การแกะสลักด้วยมีดทำครัว ฉันกำลังตาฝาดอยู่ใช่ไหม?”, “ถ้าไม่ใช่เพราะวิดีโอนี้สั่นเกินไปแถมยังขาดตอน ฉันก็คงเชื่อไม่ลงหรอก”, “ในฐานที่เป็นลูกมือฝึกหัดที่เรียนรู้การแกะสลักน้ำแข็งมาสองปี ฉันรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งนี้จริงๆ ขอถามยอดฝีมือแห่งการแกะสลักน้ำแข็งหน่อยได้ไหมว่าเจ้าสิ่งนั้นได้แสดงอยู่ในวิดีโอด้วยหรือเปล่า?”…

คำถามสุดท้ายเป็นคำถามที่ถูกคนที่มีชื่อผู้ใช้งานว่าขอยืมหนังสือหน่อยสิถามขึ้นมา แน่นอนว่าเลขที่อยู่ไอพีของคนผู้นี้ย่อมมาจากที่ใดที่หนึ่งนอกเมืองเฉิงตู

อยากกินไหมล่ะ

อยากกินไหมล่ะ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 896 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

Options

not work with dark mode
Reset