องครักษ์เสื้อแพร 977 ศึกนี้ข้าคิดรบ

ตอนที่ 977 ศึกนี้ข้าคิดรบ

หวังทงจริงใจยอมนำทัพออกศึกนี้เช่นนี้ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองหวังทงอยู่นาน ไม่ตรัสอันใด ในห้องทรงอักษร เถียนอี้กับโจวอี้ล้วนหยุดงานในมือตน ก้มหน้าทิ้งมือแนบตัว ไม่กล้ากล่าวอันใด

เงียบไปนาน ฮ่องเต้ว่านลี่ปิดฎีกาเบื้องหน้าลง ตรัสว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เสนอมา ให้เจ้านำทัพไปเมืองเหลียวโจว!”

หวังทงรับคำสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศในห้องทรงอักษรแปลกมาก ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป พอทูลจบ หวังทงก็ถวายบังคมลา

พอถึงหน้าประตู กำลังจะหันกายจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เรียกไว้ ตรัสถามขึ้น

“หวังทง เจ้าจริงใจคิดจะนำทัพไปเมืองเหลียวโจวจริงหรือ?”

“ฝ่าบาท กระหม่อมจริงใจ”

ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ ไม่ตรัสอันใดอีก

*************

เมืองหลวงมีคนกล่าวกันว่า เทียนจินกับแดนใต้ คหบดีร่ำรวยล้วนมีภรรยางดงาม ผู้ใดภรรยาน้อยกว่าสิบ ล้วนไม่กล้าออกมาคุยโวข้างนอก แต่ฮ่องเต้ว่านลี่มีเพียงภรรยาหลวงหนึ่งน้อยหนึ่ง วันเวลายากลำบากยิ่ง

วาจาแม้ฟังหดหู่ แต่ก็เป็นความจริง ฮ่องเต้ว่านลี่กับฮองเฮาเจิ้งเหมือนเป็นคู่สามีภรรยาทั่วไป ทั้งวันอยู่ด้วยกัน บางทีพระสนมหลี่เต๋อเฟยก็อาจมาสักครั้ง พระสนมที่เหลือไม่ได้เป็นที่สนพระทัย

พอฮ่องเต้ว่านลี่กลับตำหนักบรรทม สีพระพัตกร์เหน็ดเหนื่อย ฮองเฮาเจิ้งปรนนิบัติฮ่องเต้ว่านลี่ล้างพระพักตร์เปลี่ยนฉลองพระองค์เรียบร้อย ก็ตรัสถามขึ้นเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดในพระทัยหรือเพคะ?”

“เถียนอี้กล่าวว่าหวังทงคิดการเหิมเหริม ไม่อยากอยู่สถานะแค่นี้ คิดสร้างผลงานยิ่งใหญ่อีกครั้ง คิดจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงได้ทูลขอไปเมืองเหลียวโจว กุมกำลังหาร สร้างความชอบใหญ่!”

ฮองเฮาเจิ้งขมวดพระขนง แต่ทว่าก็ลงประทับข้างฮ่องเต้ว่านลี่ ตรัสสุรเสียงอ่อนโยนว่า

“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจ ด้วยความสามารถและความคิดหวังทง หากคิดการใหญ่จริง เกรงว่าคงไม่เสนอกับฝ่าบาทเช่นนี้ ที่ทำเช่นนี้ ใช่ว่าเป็นการหาภัยสู่ตนเองหรือ เถียนอี้คิดเช่นนี้ได้ หวังทงเหตุใดคิดไม่ได้?”

ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยสุราผลไม้ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“โจวอี้ก็กล่าวเช่นนี้ เขาว่าหวังทงรู้ว่าตนเองกล่าวออกไปเช่นนี้ย่อมนำภัยสู่ตัว แต่เพราะจงรักภักดีเรา เพราะจงรักภักดีแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงเสนอออกมาอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัว”

ฮองเฮาเจิ้งยิ้มอ่อนโยน ตรัสอ่อนโยนถามขึ้น

“ฝ่าบาทคิดเช่นไรเพคะ?”

“เมืองเหลียวโจวเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า ทหารกล้าเมืองชายแดนอันใด ล้วนเหลวไหลทั้งเพ เหมือนกับเล่นละคร เปลือกนอกแสดงกำลังให้ดูว่าดี แต่พอหวังทงปรากฏ พวกเขาล้วนเป็นเท็จ ครั้งนี้สถานการณ์เมืองเหลียวโจวพ่ายแพ้หมดท่า จะต้องส่งคนไปจัดการ ที่เราไว้ใจที่สุดก็คือหวังทง เขาไป ดีไม่ดีอาจเหมือนที่เขาว่าไว้ จัดการภัยสิ้นซาก สังหารพวกนอกด่านหมดสิ้น”

ตรัสถึงตรงนี้ นิ่งไปพักหนึ่ง ฮองเฮาเจิ้งเทสุราผลไม้ให้อย่างรู้พระทัย ก่อนจะยกน้ำชามาอีกถ้วย ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า

“แต่เราไม่วางใจที่สุดก็คือหวังทงกุมกำลังทหาร แม้ว่าหลายครั้งไม่เกิดเรื่องใด แต่หากเกิดเรื่องเพียงครั้งเดียว เช่นนั้นก็ทำให้เกิดภัยใหญ่ล่มแผ่นดินได้”

ฮองเฮาเจิ้งลังเลครู่หนึ่ง ก็เสนอความเห็นอ่อนโยนว่า

“ฝ่าบาท หวังทงนำทหารไปหลายครั้ง ล้วนสร้างผลงานได้ดี แต่ไรมาไม่ทำตามธรรมเนียม หากแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่าบาทสามารถจัดการตามธรรมเนียมบรรพชน ให้ขุนนางบุ๋นนำทัพ ขุนนางบู๊นำทหารออกรบ และมีขันทีคุมกำลังในวังไปด้วย สามฝ่ายประสานงาน ฝ่าบาทเลือกขุนนางบุ๋นที่ทรงวางพระทัยนำทัพ  ให้ขันทีในวังที่ทรงวางพระทัยไปด้วย เช่นนี้ก็วางพระทัยได้ไหมเพคะ?”

*************

“กล่าวโดยรวมก็คือ กลุ่มที่ฝึกกำลังในเมืองกุยฮว่าเฉิงสามารถจัดการเป็นสองหน่วย ผู้คุ้มกันเทียนจินสามารถจัดการแบ่งเป็นสามหน่วย รวมกับสองหน่วยเดิมของกองกำลังหู่เวยที่จะเพิ่มแยกหน่วยเป็นเจ็ดหน่วย นอกจากนี้กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธกับชนเผ่ารอบนอกเมืองเมืองกุยฮว่าเฉิงก็นำมาใช้การได้ ทหารม้าสี่พันไม่มีปัญหา เมืองจี้โจวส่งทหารมาได้ 15,000 เมืองเซวียนฝู่อย่างไรก็คงได้อีกห้าพัน ทางต้าถงทหารม้าสองพันก็คงส่งมาได้….”

ตอนฟ้ามืด หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วน และหยางซือเฉินอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองความตื่นเต้นหวังทงออก

“เมืองเหลียวโจวแม้ว่าพ่ายศึกใหญ่ แต่เมืองยังอยู่ พื้นที่ใจกลางยังคงอยู่ในมือตน ทหารเพียงแค่มีหน้าที่คุมเสบียงไปเมืองเหลียวโจว หากเมืองเหลียวโจวยังมีเสบียงเหลือพออยู่…ศึกครั้งนี้ แน่นอนไม่ให้พวกเขาเสียเปล่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าหนี่ว์เจินย่อมนำมาเป็นสินทรัพย์หลังสงคราม ทหารเก่าแก่ก็สามารถปลดระวางได้ตามธรรมเนียมเมืองกุยฮว่าเฉิง แบ่งที่นาและทาส มีสิ่งล่อใจเหล่านี้ ขุนพลทหารทุกคนย่อมอยากไปกัน…ท่านหยาง ท่านร่างเทียบตอนนี้ พรุ่งนี้ส่งไปเทียนจิน ให้โรงช่างสามธารา กับจางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่ตรวจนับโกดัง ดูก่อนว่าปืนกับรถใหญ่ รวมทั้งกระสุนและเครื่องรบอื่นๆ ว่าพอไหม อย่างไรก็ครั้งนี้ก็คงต้องมีหน่วยกำลังใหม่ ต้องเตรียมใหม่”

หยางซือเฉินกับหลี่ว์วั่นไฉสบตากันลุกขึ้นพยักหน้ารับคำ กางกระดาษออกเขียนในตอนนั้นทันที พัดจีบในหลี่ว์วั่นไฉหุบลง ตีกับฝ่ามือสองสามทีก่อนจะกล่าวว่า

“ทุกท่านที่นี่ไม่ใช่คนนอก ข้าขอกล่าวตรงๆ การศึกอันตรายไม่พูดถึง น้องหวังเป็นขุนพลมีชื่อในยุคนี้  ไปครั้งนี้ย่อมได้ชัยกลับมา แต่น้องหวังเคยคิดบ้างไหมว่า ไปครานี้หากได้ชัยมา เรื่องที่วางแผนไว้ทั้งหมดก็สูญสิ้น หากได้ชัยมา ความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ น้องหวังจะอยู่ในราชสำนักต่อได้อย่าง จะวางตนในตำแหน่งใด?”

หวังทงวางร่างแผนการรบลงบนโต๊ะ ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉว่ามา สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง หลี่ว์วั่นไฉกล่าวอีกว่า

“น้องหวังยกทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง โดนกระทำเช่นไร ลืมแล้วหรือ? ครั้งนี้หากได้ชัยอีก ความดีความชอบไม่เป็นรองเมืองกุยฮว่าเฉิง สองความดีรวมกัน ยังมีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ใดให้อีก หรือว่าต้องแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว?”

หวังทงยิ้มส่ายหน้าเอ่ยขึ้นว่า

“คิดไม่ถึงพี่หลี่ว์จะประเมินข้าสูงเช่นนี้ ทหารยังไม่ทันเคลื่อน ท่านก็คิดว่าข้าย่อมได้ชัยชนะใหญ่แล้ว”

“ไอยา!…น้องหวัง ยามนี้ไม่ใช่เวลาล้อเล่น เจ้าคิดว่าตอนนี้ฝ่าบาทกับเจ้ายังเหมือนอยู่ลานฝึกหู่เวยหรือ ไม่ใช่นานแล้ว ตอนนี้ทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาด ข้างพระวรกายไม่อาจมีที่ยืนให้คนระดับเจ้าแล้ว หรือว่าข้ายังพูดไม่กระจ่างพอ เจ้าความดีเหนือนาย ไม่อาจเป็นเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว!”

หลี่ว์วั่นไฉยิ่งพูดก็ยิ่งตรง เขาร้อนใจ หยางซือเฉินข้างๆ ก็วางพู่กันลง คำนับกล่าวว่า

“ท่านโหว ใต้เท้าหลี่ว์กล่าวได้ถูกต้อง ท่านโหวครั้งนี้หากนำทัพใหญ่ออกศึก ได้รับชัยอีกไม่เพียงแต่ไม่มีผลดี กลับยังมีอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย ขอท่านโหวคิดให้รอบคอบ!”

“ใต้เท้าหวัง ท่านตอนนี้ก็มีลูกเมียแล้ว”

หยางซือเฉินกล่าวจบ หลี่เหวินหย่วนที่เอาแต่เงียบก็กล่าวขึ้นอย่างอึดอัด หวังทงส่ายหน้าเอ่ยถามขึ้น

“ข้าได้ทูลขอพระอนุญาตแล้ว ตอนนี้พวกท่านกล่าวเช่นนี้ หรือว่ายังปฏิเสธได้อีกกัน?”

“มีอันใดไม่อาจปฏิเสธ ท่านโหวก็แกล้งป่วย  คิดหาทางว่าอยู่ๆ ป่วยหนักกะทันหัน ก็มีหนทางมากมาย ถึงตอนนั้น ฝ่าบาทก็ไม่อาจทรงตำหนิได้ ก็คงต้องตามน้ำ!”

หลี่ว์วั่นไฉกล่าวตรงไปตรงมา หวังทงก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้าถามขึ้น

“หากไม่ใช่ข้าไป คนอื่นนำทัพไปเมืองเหลียวโจว จะเป็นเช่นไร จะปราบพวกนอกด่านได้หรือ? จะขับไล่พวกนอกด่านออกจากเมืองเหลียวโจวได้หรือ?”

คิดไม่ถึงหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ ทุกคนได้แต่เงียบไป กองกำลังหู่เวยเข้มแข็งจริง  แต่หลี่หู่โถว ถานปิงและคนอื่นๆ นำทัพออกรบ สามารถสร้างผลงานได้เหมือนหวังทงทำได้หรือไม่ ผู้ใดก็ไม่อาจมั่นใจ หลี่ว์วั่นไฉกับหยางซือเฉินที่ทำได้ตอนนี้ก็ล้วนวิเคราะห์เช่นนี้ หลี่เหวินหย่วนมิได้คิดเข้าข้างบุตรชายตน เขากล่าวว่า

“ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงแพ้มาหมดรูป ไม่มีกำลังใจนำทัพอีกแล้ว เมืองที่เหลืออย่างมากก็รักษาเต็มกำลัง คนที่เหลือนำทหารออกศึกได้ แต่ไม่อาจนำทัพได้ ครั้งสองครั้งอาจชนะได้ แต่ศึกใหญ่นั้น พวกเขาทำไม่ได้”

หวังทงยิ้มพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา

“เมืองเหลียวโจวพ่ายครานี้ หากเอาต้นเรื่อง ก็คงเป็นแผนจากข้าเอง สถานการณ์ตอนนี้ที่พ่ายหมดรูปก็คือหลี่เฉิงเหลียงกับตระกูลหลี่ หากข้ายังไม่ออกไปจัดการให้เรียบร้อย คิดถึงแต่เรื่องตนเอง ก็เป็นความผิดของข้าแล้ว ผิดต่อฝ่าบาท ผิดต่อแผ่นดินหมิง และผิดต่อตนเอง”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้  หลี่ว์วั่นไฉถอนหายใจยาว ไม่กล่าวอันใด หวังทงกล่าวอีกว่า

“ครั้งนี้ออกศึก ข้ามีเหตุผลของตน ไม่เกี่ยวกับอำนาจสถานะ ข้าตอนนี้มีอำนาจเงินทองมาก มีตำแหน่งโหว มีภรรยางดงาม ไม่ขาดสักอย่าง ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่มีคิดเป็นอื่น จึงต้องนำทัพออกศึกเหลียวโจวครานี้”

หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้า หลี่เหวินหย่วนถอนหายใจกล่าวว่า

“เหล่าหลี่ เจ้ากับข้าคิดหาทาง นำวาจา ‘ไม่คิดเป็นอื่น’ นี้แพร่ออกไป อย่างน้อยก็นับว่าปลอดภัยส่วนหนึ่ง”

หลี่เหวินหย่วนพยักหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ดูท่าปีใหม่นี้ไม่อาจอยู่เมืองหลวงฉลองอีกแล้ว ข้าออกนอกด่าน ข่าวเมืองหลวง พวกท่านยังต้องช่วยข้าสืบต่อ จัดการสถานการณ์เมืองหลวงให้นิ่ง อย่าให้เกิดผู้ใดก่อความวุ่นวายคาดไม่ถึงได้”

หลี่ว์วั่นไฉยิ้มเฝื่อนประสานมือกล่าวว่า

“เรื่องนี้แน่นอน ทุกคนมีวันนี้ได้ก็ล้วนเป็นน้องหวังส่งเสริม ทุกคนรวมกำลังเป็นหนึ่ง”

หวังทงยกมือชี้ไปทางเขากล่าวว่า

“พี่หลี่นี่ คิดมากเกินไปแล้ว ข้ารับประกันกับทุกท่านได้เลยว่า ไม่มีเรื่องอันใดแน่ วางใจได้!”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้  ในห้องหลายคนล้วนอึ้งไป หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้ากล่าวว่า

“เมื่อก่อนได้ยินน้องหวังกล่าวเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกสงบใจได้ แต่ครั้งนี้เหมือนไม่แน่ใจ อย่างไรก็ไม่แน่ใจ”

หวังทงไม่กล่าวปลอบต่อ ไปนอกด่านตีเผ่าหนี่ว์เจิน ปราบพวกเขาให้สิ้นซาก กลืนกินพวกเขาให้สิ้นซาก คิดถึงตรงนี้ ทำให้เลือดในกายหวังทงเดือดพล่าน  แม้ประวัติศาสตร์ที่เขารู้มาจะน้อยนิดนัก  แต่หวังทงก็รู้ว่าชาวแมนจูเผ่าหนี่ว์เจินทำอะไรบนแผ่นดินจีนบ้าง ทำให้แผ่นดินจีนมืดมิดไปกี่ปี ทำให้วัฒนธรรมฮั่นล้าหลังวัฒนธรรมอื่นไปเท่าไร ไล่ตามคนอื่นมาอย่างยากลำบาก ยังต้องเสียโอกาสไปมากมายเท่าไร ตอนนี้โอกาสเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ตนจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์!!!!

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset