องครักษ์เสื้อแพร 901 ไร้ศักดิ์ศรี เสียพระกิริยา

ตอนที่ 901 ไร้ศักดิ์ศรี เสียพระกิริยา
ตอนที่ 901 ไร้ศักดิ์ศรี เสียพระกิริยา

“ใต้เท้าเสิ่น ฝ่าบาทมีพระราชโองการแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ปฏิบัติตาม!”

หวังทงเสียงดังขึ้น เค้นถาม เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีเหงื่อชุ่มแผ่นหลังทันที เขาเงยหน้ามองไปยังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนจะหันหน้ามามองพวกหยางเหว่ยข้าง ๆ ลังเลกล่าวอันใดไม่ออก

“เจ้าคนชั่ว เจ้าข่มขู่พวกเรา คุกคามขุนนาง วันนี้ข้าแม้ต้องเสียสละชีวิตก็จะต้องตายไปพร้อมกับเจ้าให้ได้!!”

สถานการณ์เงียบอยู่ในที่สุดก็มีคนระเบิดดังออกมา อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนโดดออกมาจากแถว หมวกหลุดลงพื้น สีหน้าเขียวคล้ำ พุ่งออกมามุ่งมายังหน้าแท่นประทับราวกับกางปีกเขี้ยวเล็บ

พวกที่คุกเข่าอยู่รอบๆ เขา ทำให้อู๋จั้วไหลปรี่ออกมาได้ไม่สะดวกนัก ทว่าขุนนางอื่นที่คุกเข่าอยู่กลับคลานหลีกทางให้เขาได้ออกไป

เห็นอู๋จั้วไหลปรี่ออกมาจากกลุ่มคน ท่ามกลางความเงียบก็เริ่มมีเสียงดังจอกแจก มีคนเงยหน้าขึ้น มีคนก้มหน้าลงซุบซิบกัน มีคนลุกขึ้นยืน

พวกเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยกับเสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีไม่สนใจธรรมเนียมนายบ่าวอีกแล้ว พากันลุกขึ้นยืนตรงหันไปมองรอบๆ ขอเพียงมีเรื่องขึ้น สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนทิศ ไม่เชื่อว่าหวังทงจะทำอะไรขุนนางได้ เขาไม่กลัวเกิดจลาจลงั้นหรือ?

ขณะทุกคนกำลังออกมาเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นว่า

“พร้อม!!”

เสียงยังไม่ทันเงียบ รอบทิศในพื้นที่ว่างทหารที่ถือทวนอยู่ก็ก้าวออกมาพร้อมกัน เสียงคำสั่ง ‘สังหาร!’ เสียงเกราะกระทบกัน เสียงตะโกนพร้อมกัน พริบตาเสียงเอะอะก็ถูกกลบมิด

ทหารองครักษ์เสื้อแพรบนแท่นสองแถวก็ชักดาบออกจากฝัก ยกขึ้นด้านหน้ากระทบแสงใส่ตาฝ่ายตรงข้าม แค่สองการเคลื่อนไหวนี้ ทั่วลานก็เงียบกริบทันที เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะรีบก้มหน้าลง ที่สุมหัวกันก็รีบเงียบทันที พวกลุกขึ้นยืนก็คุกเข่าลงอีก ล้วนท่าทีเรียบร้อยขึ้นมาก

อู๋จั้วไหลที่พุ่งออกมาด้านหน้า ตอนเสียงตะโกน ‘สังหาร’ ดังขึ้นก็ยืนไม่ติด มองไปยังแสงวิบวับของอาวุธเบื้องหน้า ฝีเท้าก็เริ่มช้าลงอย่างไม่รู้ตัว

คนทั่วลานพากันยืนเรียบร้อยทันที ผู้ใดก็ไม่สนใจ รีบคลานเข่าเปิดทางให้ อู๋จั้วไหลวิ่งออกไปได้ก้าวหนึ่ง ก็สะดุดล้มลงกับพื้น ทั่วลานเงียบกริบอีกครา

อู๋จั้วไหลวิ่งมาได้ระยะหนึ่งก่อนล้ม ยามเข้าใกล้แท่นประทับมากยิ่งขึ้น เขาค่อยๆ ตะกายลุกขึ้นมา มองไปยังปืนไฟในมือหวังทงอีกกระบอก

“ยอมตายเพื่อศักดิ์ศรีงั้นหรือ เจ้าก้าวเข้ามาอีก ก็จะได้มีชื่อดังไปทั่วหล้าแล้ว มาสิ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวัง!”

สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้มเยียบเย็น กล่าววาจาเสียดสีขึ้น วาจานี้ทำเอาอู๋จั้วไหลหน้าแดงก่ำ เขาหันไปมองรอบด้านมีแต่คนคุกเข่า ไม่มีใครลุกขึ้นช่วยประสานเสียงกับเขาสักคน อู๋จั้วไหลรู้สึกสองขาหนักอึ้งราวกับทองแดงถูกไฟหลอม ไม่อาจขยับได้อีก

แต่ก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่อาจขยับ เหมือนว่าข้างหลังมีคนดึงเขาไว้ ทำให้เขาคิดหันหลังกลับ  หวังทงส่ายหน้ากล่าวไม่พอใจว่า

“เจ้าคนขี้ขลาดราวกับหนู มาคำรามต่อหน้าฝ่าบาท คิดการกบฏ ลากออกไปตัดหัว!!”

ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองแถวบนแท่นประทับ รีบเข้ามากันหลายคน ลากตัวอู๋จั้วไหลออกไปทันที

ทั่วลานยังคงเงียบ ขุนนางใหญ่ด้านหน้าไปจนถึงหัวหน้ากรมกองต่างๆ ด้านหลังพวกเขาก็พากันคุกเข่าเงียบสงบ อู๋จั้วไหลใกล้ถูกลากออกจากประตู อู๋จั้วไหลกลับดิ้นรนตะโกนขึ้นว่า

“ฝ่าบาท ทรงไว้ชีวิตด้วย!!! ใต้เท้าหวังไว้ชีวิตด้วย!! หยางเหว่ยข่มขู่ข้าน้อย ให้ข้าน้อยร่วมหัวกันก่อกระแส ให้ข้าน้อยไปจัดการเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เขายัง เขายังให้สัญญากับข้าน้อยว่าจะให้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมฝ่ายขวาในกรมพิธีการ ข้าน้อยเองก็ถูกบังคับ ข้าน้อยถูกบังคับ เหยาฟู่ เหยาฟู่ก็เช่นกัน…….”

แต่องครักษ์เสื้อแพรที่ลากเขาออกไปกลับไม่หยุด ลากตัวออกไปทันที ทั่วลานเงียบกริบ ไม่นาน ก็ได้ยินเสียง ‘ฉับ’ ดังขึ้น ก่อนเสียงร้องโวยวายจะเงียบไป

นี่มันตัดหัวทิ้ง ทุกคนในลานเริ่มมีปฏิกิริยา หากยืนบนแท่นสูงตอนนี้ย่อมมองเห็นคนด้านล่างที่คุกเข่าทุกคนเริ่มตัวสั่นพร้อมกัน แถวเสนาบดีด้านหลังมีคนยืนออกมา ชี้ไปที่พวกหยางเหว่ยด่าว่า

“พวกเจ้าสมคบคิดในวังนอกวัง คิดก่อการไม่สงบ ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ ไม่ใช่ของพวกเจ้า หยางเหว่ย เสิ่นหลี พวกเจ้ารวมหัวกัน ฝ่าบาท..ฝ่าบาท คนพวกนี้เป็นศูนย์กลางในราชสำนัก นับเป็นภัยแผ่นดิน ขอฝ่าบาทลงอาญาด้วยพะยะค่ะ กระหม่อมวันนี้เพิ่งได้รู้ว่าถูกพวกคนชั่วพวกนี้ล่อลวง จึงได้ทำเรื่องเลวร้ายใหญ่เช่นนี้ตามไปด้วย กระหม่อมขอยอมรับพระอาญา ยอมรับการลงโทษพะยะค่ะ!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์นิ่งเฉย ตรัสเบาๆ กับหวังทงว่า

“ตำแหน่งขุนนางนี่สำคัญนะ  เจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมพิธีการโดดออกมาละ!”

หวังทงมองไปยังขุนนางที่แสดงทีท่าโกรธแค้นกล่าวอ้างคุณธรรมพลางส่ายหน้า  เจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมพิธีการคิดว่าน่าจะยื่นฎีกาตามกระแส คาดว่าน่าจะเป็นคนร่วมวงหลักด้วย แต่พอพบว่าหยางเหว่ยรับปากมอบตำแหน่งตนให้ลูกศิษย์ตนเองไป ก็พลิกท่าทีทันที

“ฝ่าบาท หยางเหว่ยเคยใช้ตำแหน่งข่มขู่ข้าน้อย ข้าน้อยถูกบังคับ ข้าน้อยขอเปิดโปง!!”

คนด้านหลังเริ่มมีคนก้าวออกมาชี้ไปด้านหน้าด่าทอ คนที่โดดออกมายิ่งมากขึ้นเรื่อย ทั่วลานเริ่มอลหม่านไปหมด

“ฝ่าบาท !!ฝ่าบาท !! โอรสพระสนมเอกทรงพระปรีชา กระหม่อมจะออกราชโองการประกาศใต้หล้า ประกาศใต้หล้า องค์ชายจูฉางสวินเป็นรัชทายาท!!”

เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีที่อึ้งไปนานก็ออกมาตะโกนเสียงดัง พอเขาเสียงดังขึ้น รอบๆ เงียบไปก่อนจะได้สติกันทันที เรื่องใหญ่แล้ว ก่อกวนจนฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรับสั่งเรียกตัวหวังทงกลับมาอย่างลับๆ นำทหารมาล้อมที่นี่ไว้ เพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อแต่งตั้งรัชทายาท

เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือแสดงท่าทีตนเอง อย่างไปยืนอีกข้าง แสดงจุดยืนให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน หลังจากเงียบไปไม่นาน จากนั้นทุกคนก็ออกมาส่งเสียงดังกันไม่หยุดว่า

“พระสนมเอกมีคุณธรรม สามารถเป็นมารดาใต้หล้า เป็นฮองเฮา โอรสพระสนมเอกย่อมเป็นรัชทายาท!!”

“องค์ชายจูฉางสวินทรงปรีชาสามารถ ควรเป็นรัชทายาท เป็นวาสนาแผ่นดินหมิง วาสนาใต้หล้า วาสนาบรรพชน!!”

“ฝ่าบาท  วันนี้หากไม่ทรงแต่งตั้งรัชทายาท พวกกระหม่อมย่อมไม่อาจยอมรับได้!!”

……

พริบตาเดียวก็เริ่มชุลมุน ทุกคนล้วนตะโกนโอรสพระสนมเอกเจิ้ง องค์ชายจูฉางสวินควรได้เป็นรัชทายาท มีแต่พวกหยางเหว่ยที่คุกเข่าหน้าสุดเท่านั้นที่เหมือนตัวจะแข็งทื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เสนาบดีกรมโยธาข้างๆ ตัวอ่อนยวบเอนล้มลงกับพื้น ยามนี้ผู้ใดจะไปสนใจเขากัน

เสียงเอะอะยิ่งดังขึ้น ทหารองครักษ์เสื้อแพรบนแท่นประทับสองข้างก็พากันมีสีหน้างงงวย เหตุใดขุนนางบุ๋นทั้งหลายจึงเปลี่ยนท่าทีกันง่ายๆ เช่นนี้กัน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องจารีตคุณธรรมใหญ่หรอกหรือ?

เสียงที่เริ่มเอะอะทีเพิ่งดังขึ้น อยู่ๆ ก็ค่อยๆ เงียบลง เพราะพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะ ลานที่ประทับนี้มีเสียงหัวเราะได้อย่างไร และยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่เกรงกลัวอาญา

เสียงหัวเราะดังมาจากแท่นประทับด้านบน เป็นเสียงหัวเราะดังลั่นของฮ่องเต้ว่านลี่ หัวเราะบ้าคลั่ง พอเห็นฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะจนทรงพระวรกายแทบไม่อยู่  ฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะจนน้ำตาร่วง  เอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุด เหมือนว่าหัวเราะมากไป หวังทงต้องเขาประคองไว้จึงจะประทับยืนอยู่ได้

ทั่วลานเงียบกริบ ถึงกับแม้แต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรเองก็มองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่เสียพระจริต หวังทงเอียงหน้าทูลเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาทถนอมพระวรกายด้วย ขอทรงระงับด้วย!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ หยุดหัวเราะดัง น้ำตาที่หัวเราะออกมากลับไหลไม่หยุด ยกแขนฉลองพระองค์ขึ้นเช็ดไปหลายรอบ  สุดท้ายก็เลิกจะสนใจ ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์โอบหวังทงไว้ ก้าวไปด้านหน้า ยกพระหัตถ์ชี้ไปยังขุนนางตรัสว่า

“นี่คือศักดิ์ศรีพวกเจ้าหรือ? นี่คือพวกที่เรียกว่าบัณฑิตหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแหบพร่า สุรเสียงยิ่งดัง ย่อมไม่มีคนตอบ ไม่ว่าขุนนางระดับสูงหรือต่ำ ทุกคนพากันคุกเข่า พยายามก้มหัวให้ต่ำที่สุด

“เราเป็นฮ่องเต้ พวกเจ้าเคยเห็นเราเป็นฮ่องเต้!!!? เราแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท เราอยากให้ลูกเราคนใดเป็นรัชทายาท เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้าด้วย จะทำให้แผ่นดินเสียหาย จะทำให้แผ่นดินล่มสลาย หรือจะทำให้เงินทองสูญสิ้น พวกเจ้าว่ามาซิ!!”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล  พระดำรัสเรียกได้ว่าแทบจะคำรามดัง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงน้ำตาไหลไม่หยุด

“พวกเจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคิดอันใด พวกเจ้าอยากเป็นจางจวีเจิ้ง พวกเจ้าสมคบเสด็จแม่เรา พวกเจ้าคิดว่าจะให้เราเป็นฮ่องเต้แค่ในนามแต่ไร้ซึ่งอำนาจหรือ!!”

“ฝ่าบาท……”

จางเฉิงคุกเข่าอยู่รีบยืนขึ้นทูลเรียก ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ จากนั้นตรัสต่อ ลูบพระพักตร์ไปมาก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า สีพระพักตร์เริ่มปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ชี้หน้าทุกคนตรัสว่า

“ดูสภาพพวกเจ้าสิ ช่างน่าขัน!! ช่างน่าขัน!! ในฎีกาบอกว่าแม้ตายก็ไม่กลัวไม่ใช่หรือ!!?  ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้ก็ไม่เสียดายงั้นหรือ!!? ดูพวกเจ้าตอนนี้ แผ่นดินกว้างใหญ่ของเรา หรือว่าจะอาศัยพวกเจ้าที่หาเรื่องไปวันๆ แย่งชิงอำนาจการเมืองไปวันๆ  แย่งชิงประโยชน์กันไปวันๆ มาปกครองกัน?”

“หวังทง ไปเตือนฝ่าบาท วาจาเหล่านี้ไม่ควรตรัส!!”

จางเฉิงร้อนใจ เรียกสั่งหวังทงอย่างเฉียบขาด ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับคลั่งไปแล้ว หวังทงจะก้าวเข้าไปก็ถูกผลักออก ทรงชี้ไปด้านหน้าคำรามดังว่า

“ฮ่องเต้กับขุนนางบัณฑิตปกครองใต้หล้า หากร่วมกับพวกเจ้าที่ขี้ขลาดไร้สมอง โลภมากราวกับพวกหนูเช่นนี้ ใต้หล้านี้ช้าเร็วคงต้องพังทลาย พวกคนชั่ว!!! ขุนนางชั่ว!!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังจะตรัสต่อ กลับถูกหวังทงรั้งไว้ หวังทงไม่สนใจธรรมเนียม เอ็ดใส่เบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท !! สถานการณ์ใหญ่จัดการได้แล้ว ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์แล้ว เรื่องใหญ่สำคัญ! ฝ่าบาท !!”

เสียงตอนท้ายดังยิ่งขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับได้สติ อึ้งไปก่อนจะได้สติ ยามนี้สองพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่แดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆ คืนสู่ปกติ

ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองหวังทงครู่หนึ่งก็กุมมือหวังทงตรัสว่า

“หากไม่ใช่เจ้าๆ เราไม่รู้ว่าจะถูกคนพวกนี้กดดันไปถึงขั้นไหน  ในวังนอกวังไม่มีคนฟังคำสั่งเรา ทุกแห่งล้วนเป็นปรปักษ์กับเรา หวังทง เจ้าเป็นขุนนางภักดี เจ้าจึงจะเป็นขุนนางภักดีแท้จริง!!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset