องครักษ์เสื้อแพร 899 ตั้งรัชทายาท

ตอนที่ 899 ตั้งรัชทายาท
ตอนที่ 899 ตั้งรัชทายาท

ในวังไม่ใช่ที่ๆ ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้ ภาพขุนนางหลายพันคนเข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งในวังมากมายเช่นนี้น่าจะเป็นดังภาพวาด ‘ขุนนางเข้าเฝ้า’ สมัยหมิงของจิตรกรใดสักคน

ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนแท่นพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ขันทีกับฝ่ายในร่วมกันจัดแถวยืนอยู่ด้านหน้ากลางพื้นที่ว่างหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินตามลำดับตำแหน่งและหน่วยงานของตนเอง ขุนนางแต่ละหน่วยก็จัดแถวตามลำดับอยู่บนพื้นที่ว่างด้านหน้าเช่นกัน

มีขุนนางกับขันทีคอยขานพิธี มีขุนนางจัดพิธีการ ยังมีคณะดนตรีตีกลอง ทั่วลานเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

ที่จริงแล้วการออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งกลางลานเช่นนี้มีเพียงวันที่ 1 กับ 15 ของแต่ละเดือนเท่านั้น ยามปกติก็มีแต่ฮ่องเต้กับขุนนางผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าในตำหนักข้างพระที่นั่งหรือไม่ก็หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเท่านั้น

ออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งล้วนเป็นเพียงพิธีการ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ขุนนางได้เห็นฮ่องเต้ พิธีเป็นทางการเคร่งขรึมเช่นนี้จะทำให้รู้สึกถึงความภักดีและเป็นเกียรติยศ  ได้เข้าร่วมพิธีพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาตลอดเช้า ตอนบ่ายก็มักจะไม่อาจหารือใดได้อีก ขุนนางส่วนใหญ่ก็มักเห็นว่าเป็นโอกาสพักผ่อนตอนบ่าย

ทว่าวันที่ 15 เดือนเจ็ด การออกว่าราชการท้องพระโรงใหญ่กลับไม่เหมือนกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์มาถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ฮ่องเต้ว่านลี่จะบูชาบรรพชนในวันนี้ และวันนี้ก็เป็นวันเทศกาลเมิ่งหลันเผินหรือวันสารทของชาวบ้าน  ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะเชิญพระสงฆ์มาถวายพรเสด็จแม่พระองค์แสดงความกตัญญู

ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ก็ไม่มีธรรมเนียมนี้แล้ว แสดงให้เห็นอันใดนั้นทุกคนก็ย่อมรู้แก่ใจ วันที่ 15 เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 ฮ่องเต้ว่านลี่จัดการประชุมใหญ่ท้องพระโรงต่างจากปีที่ผ่านมา

การประชุมใหญ่หน้าพระที่นั่งวันที่ 1 และ 15 เป็นพิธีการโดยแท้ ขุนนางระดับหกขึ้นไปในเมืองหลวงล้วนมากันหมด คนมากมายเช่นนี้ คิดจะหารือเรื่องแผ่นดินย่อมไม่อาจทำได้

ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ได้มีราชโองการว่า ออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งวันที่ 15 เดือนเจ็ดจะทรงประกาศแต่งตั้งรัชทายาท นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย

แม้ขุนนางที่ไม่ได้ประโยชน์ใดในเรื่องนี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ พวกที่ก่อหวอดรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ตนก็ยิ่งยินดีแทบคลั่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้การไม่ออกว่าราชการเป็นแสดงการต่อต้านเงียบ การต่อต้านนี้ในที่สุดก็จะสิ้นสุดลงแล้ว พระองค์ต้องให้คำตอบแก่ทุกคนเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทให้เสร็จสิ้น สถานการณ์ก็จะเริ่มเปลี่ยนไป

แม้แต่แต่งตั้งรัชทายาทก็ไม่อาจทำตามพระทัยได้ เช่นนี้วันหน้าเสียงในการตัดสินเรื่องแผ่นดินก็ย่อมอ่อนกำลังลงไปมาก เรื่องนี้คนลงมือหลักก็คือขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมหัวกัน แต่ที่ทำให้การตัดสินใจแบบแทบหักเลี้ยวกลับมาหมดก็คือตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาฉือเซิ่ง วันหน้าสองฝ่ายก็จะเป็นอำนาจหลักใหม่ กุมอำนาจราชสำนักไว้ในมือได้

และฮ่องเต้ว่านลี่จากนี้ก็ต้องขึ้นกับพวกเขา และจะอ่อนอำนาจลงเรื่อยๆ เจ้าหวังทงกับคนของพระองค์ที่ค้ำคอทุกคนอยู่ ที่มีอำนาจวาสนามาก ก็จะค่อยๆ อ่อนกำลังลงและถูกทุกคนจับกินลงท้องในที่สุด

ตั้งแต่เหตุการวิกฤตป้อมถู่มู่มาถึงวันนี้ ราชสำนักล้วนบัณฑิตเป็นใหญ่ บางเวลามีขันทีเรืองอำนาจบ้าง การมีขุนนางบู๊มาคุมอำนาจเช่นนี้ช่างไม่ปกติเสียจริง ทว่ายังดี สถานการณ์ที่ไม่ปกติมาหลายปี กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จะกลับคืนสู่ความปกติแล้ว

การแต่งตั้งรัชทายาทครานี้ยังหมายถึงอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือต้องการบอกกับฮ่องเต้ปัจจุบันและฮ่องเต้องค์ต่อไปว่า แท้จริงแล้วผู้ใดคือผู้คุมอำนาจใต้หล้านี้

ย่อมเป็นบัณฑิต เป็นขุนนางบุ๋นที่สอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ฮ่องเต้อาจสังหารได้คนสองคน แต่ก็ไม่อาจทิ้งขุนนางบุ๋นได้ ใต้หล้านี้เป็นกระแสหลักเช่นนี้ ล้วนต้องดูท่าทีขุนนางบุ๋นเป็นหลัก

เช้าวันที่ 15 เดือนเจ็ด เหมือนกับปกติ ขุนนางระดับยิ่งต่ำก็ยิ่งมากันเช้า ไปยืนรอในตำแหน่งตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แน่นอนว่าเสนาบดีหกกรมกอง เจ้ากรมสำนักตรวจสอบและขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนมาทีหลัง ท่ามกลางหมู่ขุนนางล้วนเปิดทางให้เดิน

เซินสือหังสีหน้านิ่งเรียบมองไปเบื้องหน้า ยังคงฉายบารมีแห่งมหาอำมาตย์ ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว สวีกั๋วก้มหน้า หวังซีเจวี๋ยเห็นชัดว่าลุกลี้ลุกลน  มองซ้ายทีขวาทีตลอดเวลา

แม้ว่าเป็นขุนนางเมืองหลวง แม้ว่าเป็นระดับสี่ห้า ก็ได้พบราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่กับเสนาบดีหกกรมกองและเจ้ากรมตรวจสอบในการประชุมนี้เท่านั้น

ท่าทางรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยทำให้ขุนนางหลายคนอดหัวเราะไม่ได้ หวังซีเจวี๋ยผู้นี้มีความสามารถมาก  เพียงแต่อุปนิสัยเลิกลั่ก อายุ 40 กว่ายังมักมีท่าทางเหมือนเด็ก 10 กว่าขวบ

ทว่าเซินสือหังกับสวีกั๋วแม้ว่าท่าทางเหมือนปกติ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสลดบางอย่าง กอปรกับท่าทางหวังซีเจวี๋ย ก็แสดงให้เห็นอะไรได้บ้างแล้ว

เทียบกับพวกคณะเสนาบดีใหญ่ที่ดูสลดแล้ว บรรดาเสนาบดีด้านหลังกลับดูแล้วอาจใช้คำว่าได้ใจฮึกเหิมมาบรรยายภาพได้ หยางเหว่ยเดินตามคณะเสนาบดีใหญ่เข้ามา จากนั้นก็เป็นเสนาบดีอื่นกับขุนนางกรมตรวจสอบตามหลังหยางเหว่ยมา ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะเขา แสดงให้เห็นว่าเขาโดดเด่นกว่าผู้ใด

ขุนนางสองข้างทางวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ศิษย์หยางเหว่ยเป็นคนสร้างกระแส ผลสำเร็จได้ดังที่เขาวาดหวังไว้ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับไทเฮาฉือเซิ่ง จากนี้ก็ย่อมทำอะไรก็ได้ หยางเหว่ยก็จะเป็นดังจางจวีเจิ้งในตอนนั้น เขาจะมีอำนาจในราชสำนัก

“ได้ยินมาไหมว่า หลังการประชุมนี้ ทุกคนจะร่วมกันยื่นฎีกา?”

“ฟ้องมหาอำมาตย์เซิน…”

“ผุยๆ จากนี้จะผลักหยางเหว่ยให้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ ว่ากันว่าจะให้เป็นมหาอำมาตย์ ตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองก็ยังคงครองอยู่ เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้!”

“ได้ขึ้นถึงตำแหน่งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า ใต้เท้าหยางทำมาถึงขั้นนี้ก็ย่อมรับประกันได้ว่าจะเสวยวาสนาไปอีกสามรุ่น สร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ต้องกังวลในชีวิตนี้แล้ว ฮ่องเต้องค์ต่อไปย่อมไม่ลืมคุณใหญ่เช่นนี้…”

“พวกเจ้าดูอู๋จั้วไหลนั่นสิ ท่าทางได้ใจเหลือเกิน ว่ากันว่าตำแหน่งเขากำหนดไว้แล้ว ไปเป็นผู้ตรวจการนอกเมืองหลวงก่อนจากนั้นก็จะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ!!”

“เรื่องนี้ไม่อาจอิจฉาได้ เจ้าไม่ดูว่าอาจารย์เขาคือใคร!”

เสียงขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ยามนี้ขันทีขานพิธียังไม่มา ทุกคนก็ย่อมสบายๆ วาจาเต็มไปด้วยความอิจฉาและชื่นชมกับพวกหยางเหว่ย พวกหยางเหว่ยโดยเฉพาะอู๋จั้วไหลนั้นแสดงออกอย่างได้ใจที่สุด พวกที่ว่องไวก็ปรี่เข้าไปประจบแล้ว

พวกที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินอู๋จั้วไหลกล่าวว่า

“เหยาฟู่ผดุงธรรมกล้ากราบทูล ออกหน้าก่อน ตอนนี้ยังอยู่ในคุก ได้รับความทรมาน ทุกคนต้องร่วมกันยื่นฎีกา ช่วยเขาออกมาให้ได้!!”

เสียงคนรอบๆ ต่างเห็นด้วย  ขุนนางที่ยืนอยู่ด้านนอกที่สุดล้วนเป็นพวกที่ไม่มีความสำคัญมีตำแหน่งระดับล่าง พวกเขามองอย่างอิจฉามายังพวกวงในใกล้กับอู๋จั้วไหลและหยางเหว่ย พวกที่กำลังประจบสอพลออยู่ ในใจก็คิดเสียดสี หรือไม่ก็แอบด่า จากนั้นก็รู้สึกเบื่อมองไปยังทหารที่ยืนอยู่รอบนอก

ทหารเป็นพวกองครักษ์เสื้อแพร ยืนแถวเป็นระเบียบ ทำหน้าที่ยืนเพื่อเสริมพระเกียรติยศและความน่าเกรงขามของราชวงศ์ เทียบกับสมัยก่อนในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 นั้น ทุกคนรู้ว่าทหารพวกนี้ไม่เหมือนเดิม ตำแหน่งไม่เหมือนเดิม เครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนเดิม สมัยก่อนห่างจากฮ่องเต้ยิ่งไกล ชุดก็ยิ่งเก่า หรือถึงกับเก่าขาดเป็นรู

ตอนนั้นฮ่องเต้หลงชิ่งเคยทรงพบเรื่องนี้ คิดจะตำหนิขุนนางที่เกี่ยวข้อง ต่อมาก็แล้ว ๆ ไป แต่หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 มา เครื่องแต่งกายทหารก็ยิ่งใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอยู่ห่างหรืออยู่ใกล้ฮ่องเต้ ก็ล้วนเหมือนกัน ในวังค่อยๆ มีเงินมีทอง องครักษ์เสื้อแพรก็มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เกราะพวกนี้ว่ากันว่าผลิตใหม่จากโรงช่างหลวงที่เทียนจิน  ชุดหนึ่งก็ต้องร้อยกว่าตำลึงเงิน ในวังจ่ายทีเดียวแสนกว่าตำลึง สิ้นเปลืองสิ้นดี

ไม่เพียงพวกเขา เพราะองครักษ์เสื้อแพรนอกวังก็ไม่ต่างกัน สวมชุดเครื่องแบบใหม่ เดินยืดอกไปตามท้องถนนด้วยความภาคภูมิ ราษฎรนับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาจึงจะเป็นผู้ผดุงคุณธรรม พวกขุนนางบุ๋นนับวันก็ยิ่งไม่มีคนสนใจ ทว่าพวกเขาคงไม่อาจเชิดหน้าต่อไปได้นานแล้ว จากวันนี้ไป ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวคุมอำนาจก็ย่อมค่อยๆ กู้สถานการณ์คืนมา ให้พวกฝ่ายในพวกนี้ได้กลับไปมีชีวิตที่ย่ำแย่ดังเดิม

“เงียบ~~~~”

ไม่รู้ว่าตอนไหน สองข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินบนแท่น ทุกที่ที่มีขุนนางยืน ก็มีขันทียืนอยู่ด้วย บนแทนเคาะไม้ดัง บรรดาขันทีก็ตะโกนพร้อมกัน

ขันทีตะโกนดังล้วนเลือกมาโดนเฉพาะ ฝึกกันมาหลายครั้ง สิบกว่าคนตะโกนพร้อมกัน ไม่นานก็ทำให้เสียงรอบๆ ที่ดังอยู่เงียบลง ขุนนางน้อยใหญ่ยามนี้หยุดสนทนากันหมด เริ่มจัดแต่งชุดขุนนางตนให้เรียบร้อย ยืนให้เรียบร้อย เตรียมรอฮ่องเต้เสด็จ

“บรรเลง~~”

มีคนตะโกนดังอีก ดนตรีก็เริ่มบรรเลง ฮ่องเต้ว่านลี่ในชุดเต็มยศปรากฏพระองค์บนแท่นด้านหน้า มีขันทีตะโกนพิธีเริ่มตะโกนขึ้นว่า

“คำนับ~~~~”

ขุนนางทุกคนเริ่มหมอบลงกับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งตรง ขันทีพิธีการตะโกนขึ้นว่า

“ลุก~~~~”

ทุกคนลุกขึ้น ขุนนางระดับสามขึ้นไปห่างจากที่ประทับใกล้มาก สามารถมองเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ว่ามีรอยยิ้มเยียบเย็น ในใจทุกคนก็ไม่คิดสนใจ พวกคนหนุ่มก็เช่นนี้ ตอนพวกเขาต่อต้านก็ได้แต่ยิ้มเยียบเย็น หรือไม่ก็ทำเป็นว่าไม่สนใจ ทว่าภาพรวมเป็นที่แน่นอนแล้ว  ยิ้มเยียบเย็นก็ยิ้มเยียบเย็นไปก็แล้วกัน!

คุกเข่าลง พิธีก็เริ่มต้น ขุนนางกรมพิธีการก็ตะโกนขึ้นว่า

“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”

พิธีถวายบังคมสามไหว้เก้าโขกศีรษะก็เริ่มต้นขึ้น ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี บรรดาขุนนางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับ ทูลสรรเสริญ พิธีพวกนี้ขุนนางบุ๋นอายุ 50 ขึ้นล้วนทำกันยากลำบาก ทว่าพวกหยางเหว่ยตอนคำนับตามพิธี กลับจิตใจไม่เหมือนคนอื่น แม้ว่าพวกเขาคุกเข่า แต่ในใจกลับเหมือนไปนั่งอยู่บนแท่นด้านบนเอง

“เสร็จพิธี~~”

เสียงขุนนางขานพิธีจบลง ก็ถอยกลับไปเข้าแถว ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์เบาๆ ขุนนางเงียบกริบ ทุกคนรอคอยพระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่

“เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ขุนนางทุกท่านหารือกันมาสองเดือนกว่า เรื่องราชกิจอื่นไม่สนใจกันแล้ว วันนี้เราจะมีราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว เพื่อให้ทุกท่านได้สบายใจ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ สีพระพักตร์ยิ้มเยียบเย็น ตรัสว่า

“โอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน ได้ดังใจเรา เราตัดสินใจแต่งตั้งเป็นรัชทายาท!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset