องครักษ์เสื้อแพร 896 สูญเสียสายข่าว แอบเคลื่อนไหว

ตอนที่ 896 สูญเสียสายข่าว แอบเคลื่อนไหว
ตอนที่ 896 สูญเสียสายข่าว แอบเคลื่อนไหว

ตอนบรรดาขุนนางเมืองหลวงร่วมมือกัน ตอนแต่ละฝ่ายร่วมวางแผนกัน คนศาลซุ่นเทียนไม่ไปจับตาดู รองเจ้ากรมตอนนี้เพิ่งจะมาเน้นย้ำให้รักษาความสงบ มือปราบกับเจ้าหน้าที่ก็ได้แต่มองตาค้างอึ้งไป

แต่เช่นนี้ก็ดี คนในวังและในราชสำนักสู้กันไปมา พวกเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนจะไปยุ่งอันใดด้วย รังเกียจอายุยืนของตัวเองหรืออย่างไรกัน?

บางคนที่สนิทกับองครักษ์เสื้อแพร ไปสอบถามดู พบว่าทางองครักษ์เสื้อแพรก็เหมือนสถานการณ์ไม่แตกต่างกัน ท่านหยางที่ช่วยดูแลสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็วางมือ ตอนนี้ในเมืองหลวงวุ่นวาย หากมีใต้เท้าท่านใดทรัพย์สินเสียหาย หรือได้รับความไม่ปลอดภัยใดขึ้นมา ก็ย่อมไม่ดีเป็นแน่ แต่ละหน่วยงานต้องควบคุมความสงบให้ดี สั่งการเหมือนกันกับทางศาลซุ่นเทียน ทว่าการวางตัวเฉยกับทุกฝ่ายก็ไม่เลว

เมืองหลวงพื้นที่กว้าง แต่งานสืบข่าวลับกลับเหมือนมีแค่สำนักบูรพาทำ สำนักบูรพาคนน้อย เมื่อไม่มีองครักษ์เสื้อแพรคอยช่วย ก็ย่อมไม่ครอบคลุมพื้นที่ หลายเรื่องไม่ทันสังเกตเห็น

ที่เรียกว่ากระแสวิพากษ์ก็คือพวกขุนนางราชสำนักและข้างนอกพากันวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือด แต่เรื่องเช่นนี้ก็แค่กระแสคลื่นลมเท่านั้น คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้ ทุกคนแค่ออกมาร่วมสนุกไปด้วยเท่านั้น ยื่นฎีกาไปครั้งหนึ่ง ก็แสดงถึงว่าตนเองได้ร่วมลงมือไปแล้วเท่านั้น ก็คงมีแต่พวกเดียวกับขุนนางใหญ่ที่เป็นคนวางแผนเท่านั้นที่กระตือรือร้นในเรื่องนี้

แต่อาศัยเพียงพรรคพวกเคลื่อนไหว เหมือนว่าสร้างพลังได้ไม่มากพอ จำเป็นต้องให้คนเช่นหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงร่วมลงมือ ต้องคอยเร่งกระตุ้นผู้คนรอบๆ  เช่นนั้นก็ต้องสาดเงินออกไป จึงจะสามารถรักษากระแสร้อนแรงนี้ให้คงอยู่ได้ สร้างกระแสกดดันให้คงอยู่ต่อไปได้

ที่จริงแล้ว กระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้ แม้แต่คนริเริ่มก่อการก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้ คนที่เข้าร่วมมากเกินไปแล้ว และมาถึงตอนนี้ระดับก็เหมือนเกินเลยที่คาดหมายไว้ไปมากแล้ว

ดั้นด้นมาเป็นขุนนางก็เพื่อเงินทอง คนมากมายไม่ได้ประโยชน์อันใดแต่ก็ยินยอมรวมกำลังกันออกหน้ามา ช่างเป็นเรื่องที่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่าคนวางแผนเริ่มต้นพวกนั้นไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดีอันใด อย่างไรก็เป็นพลังมากส่วนหนึ่ง ในวังก็ต้องให้ความสนใจยิ่งมาก ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดี แสดงให้เห็นว่ายังมีบัณฑิตอีกมากที่เชื่อในหลักการจารีตตามคัมภีร์ปราชญ์โบราณ ยังมีคนคิดต่อสู้เพื่อหลักการ

หลี่ซานไฉเร่งหาแนวร่วมในเมืองหลวงทุกแห่ง ซ่งฉานฉานเองก็โปรยเงินออกไปทั่วเมืองหลวง ที่หอคณิกาแต่ไรมาก็เป็นที่ที่พวกบัณฑิตชอบเข้าออกกัน หอฉินก่วนกับกิจการที่เกี่ยวข้องมีสายสัมพันธ์ไม่เลวกับบรรดาบัณฑิตและขุนนางบุ๋น เพราะสานสายสัมพันธ์พวกเขากับพวกพ่อค้า

เรื่องครั้งนี้ตามผู้ใดเจอตัว หลี่ซานไฉก็ย่อมไม่เข้าไปยุ่ง ตามผู้ใดไม่เจอ เขาก็ย่อมช่วยเหลือติดต่อมาให้ได้  สำหรับบัณฑิตส่วนใหญ่แล้ว เขียนฎีกาตามกระแสส่วนใหญ่ หรือเขียนบทความร่วมกับคนส่วนใหญ่ ไม่มีอันใดต้องกังวล ยังมีเงินทองติดไม้ติดมืออีก ไยไม่ร่วมด้วยเล่า?

มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีคุณสมบัติพอจะยื่นฎีกา แต่ก็กลับนำสิ่งที่เขียนไปคุกเข่าหน้าประตูวัง ตอนเช้าขุนนางมากมายเข้าประชุม คนพวกนี้ก็ย่อมส่งเสียงตะโกนเอะอะ ทำนองว่า ‘ควรแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท’  วาจาพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าประชาเริ่มลุกฮือ

รองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่หวังซีเจวี๋ยก็ต้องมาพลอยโชคร้ายไปด้วย เพราะฎีกาที่แม้ไม่ได้เขียนออกไปฉบับนั้น ถึงกับมีคนมาออแน่นหน้าประตูจวนรองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ กำแพงขาวสองข้างทางมีแต่แผ่นประกาศแปะไว้เต็มไปหมด  ยังมีคนใช้พู่กันจุ่มหมึกแดงเขียนอักษรไว้บนนั้น ล้วนกล่าวหาว่าหวังซีเจวี๋ยเป็นพวกไม่เอาไหน ถึงกับไม่มีความหนักแน่นในหลักการเช่นนี้ได้

เพราะเรื่องนี้ เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยังให้คนไปหาหลี่ซานไฉกล่าวว่า ขุนนางใหญ่ราชสำนักก็มีหน้ามีตา ไยต้องทำเกินเลยไปเช่นนี้ด้วย สำหรับเรื่องนี้หลี่ซานไฉได้แต่งงอ้าปากค้าง

พวกที่ไปล้อมหวังซีเจวี๋ย คุกเข่าหน้าประตูวัง  ไม่ค่อยมีใครสังเกตว่าพวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนรอบๆ เมืองหลวง ไม่ค่อยมีคนได้สังเกตว่าพวกเขาไม่น้อยน่าจะไม่รู้หนังสือ

วันที่ 25 เดือนห้า ขุนนางกรมทหารที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงอันใดยื่นฎีกาว่า เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญของแผ่นดิน ไม่อาจไม่จัดการตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง  ขอให้ราชสำนักจัดส่งขุนนางบุ๋นไปดูแลตามธรรมเนียม

ฎีกานี้ทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะขุนนางผู้นี้เรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดหนุนหลัง และก็ไม่ใช่พวกหยางเหว่ย เป็นพวกขุนนางตัวกระจ้อยที่ไม่มีแม้แต่อนาคต

แต่คนผู้นี้ยื่นฎีกากลับโดนใจทุกคน เทียนจินเป็นพื้นที่แห่งเงินทองก้อนโต ทุกคนจ้องน้ำลายสอมานานแล้ว  หากตอนนี้หวังทงยังไปไกลเพียงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกทุกคนสกัดไว้จนขยับไม่ได้ เหมือนว่าเป็นโอกาสที่จะได้ลองหยั่งเชิงดู

ทว่าติ้งเป่ยโหวหวังทงผู้นั้นไม่อาจล่วงเกิน เมื่อก่อนคิดว่าตอนเขาเริ่มไม่เป็นที่โปรดปราน ทุกคนใช่ว่าไม่เคยลองหยั่งเชิงดู แต่ก็ได้รับการตอบโต้รุนแรงที่สุด ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้ค่อยว่ากันต่อก็แล้วกัน!

มีคนยื่นฎีกากล่าวว่าอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนมีความสามารถ ตอนนี้กองกำลังเมืองหลวงเหลวไหลมาก ตอนนั้นที่อู่ชิงโหวคุมอยู่ ไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้ กองกำลังเมืองหลวงไม่อาจปล่อยปละ ควรให้อู่ชิงโหวออกหน้ามาควบคุมอีกครา

ผู้ที่ยื่นฎีกานี้เป็นขุนนางในกรมอาญา  และเช่นกันที่เป็นคนที่ตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวก คนเช่นนี้เกรงว่าคงต้องอยู่แห้งเหี่ยวบนตำแหน่งไปจนตายแล้ว แต่พอเขายื่นฎีกาก็กลับโดนจุดที่พวกหยางเหว่ยต้องการพอดี ไทเฮาฉือเซิ่งนำองค์ชายใหญ่จูฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกงไป แสดงให้เห็นท่าทีแล้ว เป็นการแสดงท่าทีว่าสนับสนุนการกระทำของพวกนอกวัง

หยางเหว่ยก็ย่อมต้องเล่นข้างตระกูลหลี่ ให้อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนคุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง เรื่องนี้เป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจน จางจวีเจิ้งตอนนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดจะกุมอำนาจขุนนางราชสำนักในมือ ในวังต้องให้การสนับสนุน เป็นเรื่องสำคัญมาก  ไทเฮาฉือเซิ่งกับจางจวีเจิ้งตอนนั้นทำเช่นนี้

พอฎีกานี้เปิดเผยออกมา ก็มีหลายคนเริ่มร่วมยื่นฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ได้เห็นย่อมกริ้วหนัก ขุนนางยื่นฎีกาผู้นี้ถูกปลดตำแหน่งขุนนางทันที คนที่ยื่นฎีกาว่าเทียนจินควรได้รับการจัดการเช่นเดียวกับที่อื่นก็ถูกปลดเช่นกัน

สองคนไม่มีอนาคตในวงการขุนนาง ตอนเก็บทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดนำครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปก็มีรถม้าเพียงคันเดียว พวกเขาจากเมืองหลวงไปอย่างน่าอนาถสิ้นหวัง แต่พอรถม้าไปถึงคลองส่งน้ำที่ทงโจว  ก็มีคนสังเกตเห็นว่า พวกเขานั่งเรือหรูหรายิ่งจากไป มีเพียงพ่อค้าร่ำรวยและขุนนางระดับสูงจึงจะนั่งได้เท่านั้น  และนอกจากเรือแล้ว ด้านหลังยังมีเรือสินค้าที่เหมือนบรรทุกของหนักมากจนจมลงไปในระดับลึกพอควร ด้านในเรือย่อมบรรทุกเงินทองและของมีค่าอื่นๆ ไว้มาก

**************

ต้นเดือนหก ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุดในหนึ่งปี ฤดูนี้ขี่ม้าจากเมืองกุยฮว่าเฉิงออกไปราวหนึ่งชั่วยามก็จะสามารถเห็นทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ไร้ขอบเขต ล้วนเขียวขจี

ทาสแรงงานในนาแสนกว่ากำลังลงมือเพาะปลูกบนผืนที่กว้าง ชาวนาเกือบแสน แบ่งไปสิบกว่าโรงบ้าน ตามการแบ่งโรงบ้าน ทุกโรงบ้านย่อมมีแรงงานราวพันคนร่วมฝึก แรงงานมาฝึกการต่อสู้ไม่ต้องทำนาเพาะปลูก แค่ทุกวันมาฝึกตามระเบียบก็พอ

ทุกโรงบ้านมีแรงงานชาวนากับแรงงานทาส พวกลูกหลานพ่อบ้านและหัวหน้าที่อยากเป็นทหารก็สามารถไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปที่นั่นเพื่อรับการฝึกยิงปืน

เมืองกุยฮว่าเฉิงเดิมอาศัยแค่ทหารชราภาพเป็นหลักไปเป็นผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้า ตอนนี้กลุ่มนี้เติบโตขึ้นมา ก็จะเป็นกำลังหลักทางเหนือของแผ่นดินหมิงอีกกองหนึ่ง ทหารชราจากกองกำลังหู่เวยตอนนี้เป็นครูฝึก ฝึกตามแบบกองกำลังหู่เวย ประสิทธิภาพสูงมาก ไม่นานก็เห็นผลดี

กองกำลังหู่เวยเทียนจินกำลังผลัดใบ ทหารปลดประจำการคิดจะตั้งรกรากสร้างครอบครัวก็จะถูกกล่อมให้มายังเมืองกุยฮว่าเฉิง ปลดประจำการที่เทียนจิน พวกเขายังเป็นแค่ชาวบ้าน มีแค่กองกำลังหู่เวยหนุนหลัง ได้รับประโยชน์เรื่องไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากมาเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็จะเหนือผู้อื่น มีที่นา มีบ่าวรับใช้ แม้อากาศเมืองกุยฮว่าเฉิงสู้เทียนจินไม่ได้ แต่พวกมีอายุพอควรแล้วย่อมคิดผลได้ผลเสียได้อย่างง่ายดาย

ทหารชรามากมายจากเมืองจี้โจวปลดประจำการมา ตามหลักการที่ว่าขุนนางในฮ่องเต้องค์ใดก็องค์นั้น ทหารในสังกัดลี่อวิ๋นไหลเป็นขุนพลใหญ่ผู้บัญชาการเมืองจี้โจว หรือเดิมเป็นทหารที่สนิทกับชีจี้กวงหลังปลดระวางก็มิได้ได้รับค่าตอบแทนที่ดีอันใด  แต่จากที่ตกลงกันไว้ หากมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงที่นามาก สัตว์เลี้ยงมาก ทุกคนมากัน ก็ย่อมเป็นที่ต้อนรับเข้าสู่กลุ่มครูฝึก ไม่อยากเป็นครูฝึกก็สามารถไปเป็นหัวหน้าดูแลโรงบ้านได้

หวังทงมาที่นี่ได้ไม่กี่เดือน เมืองกุยฮว่าเฉิงที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างก็มีระเบียบอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเติมเต็มอย่างรวดเร็ว การมาของหวังทงไม่ได้นำสิ่งที่ดีมาเพียงเท่านี้

ตั้งแต่นำกำลังออกช่วยขบวนพ่อค้า จากนั้นนำกำลังทลายเผ่าที่มีจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมลงได้ ก็มีเรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกสองครั้ง แต่สองครั้งหลัง หวังทงไม่ได้ส่งคนออกไปร่วมด้วย แต่ให้ผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าในเมืองรวมตัวกันไปช่วย ช่วยได้ครั้งหนึ่ง อีกครั้งไปไม่ทัน

แต่ผลก็ไม่แตกต่าง พวกทุ่งหญ้านอกด่านคิดปิดบังร่องรอยก็ไม่ง่าย รังกองโจรม้าพวกนี้ถูกผู้คุ้มกันค้นพบ และจัดการแก้แค้นเอาคืน ทำลายสิ้น จับตัวกลับมาเป็นทาส

หลายครั้งเข้า ทาสเมืองกุยฮว่าเฉิงในตลาดก็ราคาฮวบลงสี่ส่วน โรงนาที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งคนมาซื้อ ไปไม่หยุด

เผ่าอันต๋าถูกทำลายราบ ปีหนึ่งมานี้กวาดล้างปล้นชิงสังหารชาวเผ่าเล็กบนทุ่งหญ้าไม่หยุด ยังมีหลายครั้งช่วงหลังที่สังหารทิ้ง ทำให้เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่านเริ่มกระจัดกระจายหมดสิ้น เมื่อก่อนคิดว่าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หลบให้ไกลก็ได้ แต่ตอนนี้พบว่าไม่อาจหลบพ้น

เริ่มแรกมีบางเผ่าคิดจะมุ่งมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง มีเผ่าเล็กสองสามร้อยคน และยังมีแบบหลายพันคน พวกเขาคิดมาเพื่อถามว่ามีเงื่อนไขอันใด พวกเขารับได้ก็จะรับทั้งหมด ขอเพียงไม่ถูกทำลายสิ้นเผ่าก็พอ

เมืองกุยฮว่าเฉิงเงื่อนไขไม่เลวนัก ให้ค้าขายกับเมืองกุยฮว่าเฉิงก่อน ยามเมืองกุยฮว่าเฉิงต้องการคนก็ต้องส่งคนมา และยังต้องส่งคนนำเงินทองและสัตว์เลี้ยงมาพักอยู่รอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นหลักประกันอีกด้วย หากทำตามเงื่อนไขได้ ก็จะได้รับธง ธงนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้รับการคุ้มครองจากเมืองกุยฮว่าเฉิง

หวังทงแม้อยู่เหนือ ทว่าข่าวก็มาจากเมืองหลวงไม่ขาด ข่าวต่างๆ ส่งมาถึงมืออย่างรวดเร็วที่สุด

น้องชายพระสนมเอกเจิ้ง เจิ้งกั๋วไท่แอบนำของขวัญไปมอบให้ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมีชื่อหลายคน หวังให้พวกเขาออกหน้ายับยั้งสถานการณ์ ทว่าเริ่มแรกสองตระกูลมีคนเชิญเขาเข้าไป จากนั้นก็ไล่ออกมา ของขวัญก็ถูกโยนออกมาด้วย จากนั้นตระกูลอื่นก็ไม่ยอมให้เข้าไปอีก ยังเกือบถูกบัณฑิตที่รู้ข่าวพากันมาล้อมโจมตี คนศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ล้วนทำเฉย ได้รับการยกย่องว่ามีคุณธรรม

หวังทงอ่านข่าวแล้วก็หัวเราะดังลั่น

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset