องครักษ์เสื้อแพร 805

ตอนที่ 805
 เอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ท่าทางเหยียนชิงยามนี้หากแพร่ออกไป ย่อมสร้างความเดือดแค้นให้กับบัณฑิตกับขุนนางหนุ่มทั้งหลายได้ไม่น้อย ย่อมอยากจะใช้ความตายเพื่อผดุงคุณธรรมแผ่นดินนี้เสียให้ได้

ทว่าในพระที่นั่งตอนนี้ ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ฟังจากลืมตัว แม้แต่ขุนนางหรือขันทีก็พากันมองอย่างตกในภวังค์เช่นกัน

ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงอึ้งไป  หันไปทางหวังทงทันที ท่าทางเช่นนี้หวังทงย่อมรู้ หวังทงหันไปถามขึ้น

“ใต้เท้าเหยียน  กองกำลังสังกัดวังหลวง กองกำลังเมืองจี้โจว กองกำลังเมืองต้าถงยกทัพขึ้นเหนือ ล้วนมีภัยถึงชีวิตได้ตลอดเวลา พวกเขาทำเช่นนี้ เป็นเพราะคิดการไม่ซื่อ หรือว่าคิดต้องการล้มล้างแผ่นดินหรือ?”

เหยียนชิงแค่นเสียงเย็น กล่าวว่า

“มารน้อยเช่นเจ้าทำเพื่อชื่อเสียงวาสนาตนเอง ไม่สนใจความวิกฤตแผ่นดินหมิง หากขุนพลทหารกล้าพวกนั้นตายไป ก็ล้วนสละชีพเพราะความมักใหญ่ของเจ้า  เจ้าเสี่ยงตายสร้างความชอบเกรงว่าก็คงเพื่อต้องการซื้อใจทหารทั้งหลาย ให้กลายเป็นสุนัขรับใช้เจ้า กลายเป็นผู้สมคบคิดกับเจ้า”

วาจาเช่นนี้ทำให้หวังทงโมโหเลือดขึ้นหน้าในทันที หากไม่ได้อยู่หน้าพระที่นั่ง หวังทงคงเข้าไปลงมือแล้วก็เป็นได้ เขาสูดลมหายใจเข้า กล่าวน้ำเสียงเอาเรื่องว่า

“ข้านำทหารออกชายแดนสามครา เมืองเซวียนฝู่จางเจียโข่วที่ด่านกู่เป่ยโข่ว และเมืองต้าถงที่ช่องเขาสังหารพยัคฆ์ สองครั้งตัดหัวศัตรูมาได้สองพัน ชัยชนะใหญ่เห็นได้ชัด ราชสำนักมีราชโองการพระราชทานรางวัล ครั้งนี้ขึ้นเหนือตีเมืองกุยฮว่าเฉิงทำลายเผ่าอันต๋า ตัดหัวมาได้เกือบห้าหมื่น ทัพข้าตายไปแค่สามพัน  ออกรบหลายครั้งล้วนได้ชัยชนะใหญ่ สูญเสียน้อยแต่ได้มากกว่า แม้ข้าไม่พูด ผู้รู้การทหารก็ย่อมมองออกถึงสิ่งที่ข้าทำลงไปทั้งหมดด้วยความมั่นใจ เหตุใดเรียกว่าเสี่ยงภัยไปสู่วิกฤต เหตุใดจึงกล่าวว่านำพาแผ่นดินหมิงสู่วิกฤตกัน”

ชัยชนะใหญ่หลายครั้ง เห็นชัดถึงความสามารถในการนำชัยของหวังทง  การล้มตายน้อยมากแลกมาซึ่งผลการรบอันยิ่งใหญ่ เห็นชัดว่าการรบนี้ไม่ใช่การเสี่ยงภัยหรือวิกฤต หากเป็นการวางแผนล่วงหน้า

เหยียนชิงเหยียดตามองหวังทง กล่าวเพียงว่า

“วาจาปลิ้นปล้อน เจ้ามารน้อย!”

หวังทงส่ายหน้า กล่าวว่า

“ใต้เท้าเหยียน ท่านว่าเป็นภัยต่อแผ่นดิน ข้านำทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายเภทภัยหลายร้อยปีชายแดนเหนือของแผ่นดินหมิงลง ชายแดนแผ่นดินหมิงสงบสุขไปครึ่งหนึ่ง ที่นารอบเมืองกุยฮว่าเฉิงอีกจะคิดอย่างไร ผลประโยชน์มากมายจะว่าอย่างไร ออกช่องเขาสังหารพยัคฆ์ไปถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปถึงที่ราบลุ่มน้ำ ศึกนี้ก็เพื่อบุกเบิกแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท หรือว่าเป็นภัยต่อแผ่นดินกัน?”

หวังทงเสียงค่อยๆ ดังขึ้น ตวาดถามขึ้น

“ทหารภักดีของฝ่าบาทหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดิน รบเป็นตายกับพวกนอกด่าน เพื่ออันใด หากไม่ใช่เพื่อความสงบสุขชายแดนแผ่นดินหมิงนี้ ไม่ใช่เพื่อความยั่งยืนแผ่นดินหมิงนี้หรือ เสนาบดีเหยียน ท่านอาศัยอย่างสงบสุขได้ นั่งอยู่ในห้อง ไม่ต้องออกต่อสู้ ไม่ต้องหลั่งเลือด อาศัยเพียงพูดวาจาสวยหรู  ก็สามารถลบล้างความชอบทหารกล้าได้หรือ!!?”

“ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอันใดกับเจ้า ที่ข้าทำไป ก็เพื่อผดุงธรรม!”

“ท่านว่าผดุงธรรม!! ทัพใหญ่ระเบียบวินัยเข้มงวด ได้ชัยกลับมา ในเมืองคนของท่านไปกุเรื่อง ว่าทัพไร้วินัย สังหารประชาชน หากทัพใหญ่ถูกท่านให้ร้ายเหลวไหลสร้างความโกรธแค้นไปทั่ว หากเหตุนี้ทำให้เกิดภัยใหญ่ขึ้นจริง ความรับผิดชอบนี้คิดอย่างไร หรือว่าท่านเสนาบดีเหยียนจะกล่าวว่าจิตใจพวกเขาคิดการไม่ซื่ออยู่แล้วงั้นหรือ?”

หวังทงไล่รุกตำหนิไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งใจฟังอย่างมาก ไม่ทันรอให้เหยียนชิงกล่าว หวังทงก็กล่าวอีกว่า

“สร้างข่าวลือให้ร้ายทหารมีความชอบ และยังยั่วยุปลุกระดมให้บัณฑิตล้อมสำนักองครักษ์เสื้อแพร ฝ่าบาท ที่เหยียนชิงทำนั้นคิดการใดกันแน่  ย่อมต้องคิดการร้าย  เขาปากบอกว่าเพื่อแผ่นดินหมิง กระหม่อมว่า เพื่อทำร้ายแผ่นดินหมิงเสียมากกว่า ฝ่าบาท เสนาบดีกรมปกครองกุมอำนาจเลื่อนขั้นขุนนาง ตำแหน่งสำคัญเช่นนี้จะมอบให้คนเช่นนี้ดูแลได้อย่างไร ย่อมต้องเกิดภัย กระหม่อมขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!!”

“เหลวไหล!! ที่ข้าทำไปเพื่อชาติเพื่อประชา ไม่มีความรู้สึกผิดอันใด! เจ้าเด็กน้อยกล้ากลับดำเป็นขาว สาดเลือดใส่ร้ายผู้อื่น !! เจ้าไม่รู้ว่าหรือว่าใต้หล้านี้ยังมีความเป็นธรรมและกฎหมาย?”

“ทหารกล้าภักดีสละเลือดเนื้อเพื่อบุกเบิกแผ่นดินให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงขัดกับความเป็นธรรมและกฎหมาย!!?”

“…….เจ้าเป็นขุนนางตัวน้อยๆ  ระบบแผ่นดินหมิงตอนนี้เป็นขุนนางบัณฑิตดูแลใต้หล้า เจ้าเป็นขุนนางบู๊ ใช้เพียงวาจาล่อลวงฝ่าบาท  และยังใช้วิธีการสร้างความชอบทางการทหารมาทำลายระบบบรรพชนที่วางไว้…….”

ที่หวังทงกล่าวมาล้วนอาศัยความจริง แต่ที่เหยียนชิงว่ามากลับอ้างคุณธรรมที่ว่างเปล่า เรื่องนี้แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้ในพระทัย ขุนนางบุ๋นบู๊สู้กันเพื่อครองอำนาจ หวังทงสร้างความชอบใหญ่ทำให้พวกเขาระแวง

ตามความเป็นไปในวงการขุนนาง หวังทงสร้างความชอบใหญ่แล้วย่อมระวังตัว ยิ่งต้องทำตัวให้เงียบที่สุด  พบกับการใส่ร้ายเช่นนี้ ก็ควรจะบ่นในที่ลับ  ยิ้มแย้มรับหน้าต่อ  คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับตีโต้กลับตรงไปตรงมา หรือเรียกได้ว่าปะทุอารมณ์ใส่อย่างไม่คิดอันใดมากเช่นนี้

ไม่คุยเรื่องหลักการขุนนางอันใดกับเจ้า ไม่คุยเรื่องธรรมเนียมอันใดกับเจ้า หากเจ้าให้คนกุเรื่อง ข้าก็จับคนกุเรื่อง เจ้าให้คนล้อมที่ทำการ ข้าก็จับคนล้อม จากนั้นก็ยังมาหาความกระจ่างในที่ประชุมเช่นนี้นี้อีก

เหยียนชิงก็ไม่ลดราวาศอก แต่ฟังแล้วไร้เหตุผลจูงใจ  เขาพูดไปแล้วก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้นเสียงเย็นว่า

“เหยียนชิง แผ่นดินเราขยายอาณาเขต เรามีความชอบ เจ้าไม่พอใจหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ในพระที่นั่งก็เงียบกริบทันที เหยียนชิงเป็นหัวหน้ากลุ่มขุนนางจางซื่อเหวย เพิ่งมีคนออกมาช่วยเหยียนชิงพูด แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ตำหนิเช่นนี้ ทำให้ทั้งพระที่นั่งได้แต่รีบรู้ทิศทางลมกันทันที

ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะเอกสารหวังทงไปมา ตรัสว่า

“เรื่องกุข่าวป้ายสี ปลุกระดมประชาล้อมที่ทำการ เหยียนชิง เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ราชสำนัก นี่เป็นการกระทำเพื่อแผ่นดินเพื่อราษฎรหรือ?”

เหยียนชิงอึ้งไป ตามด้วยส่ายหน้า สองมือถอดหมวกขุนนางออก วางลงบนพื้น จากนั้นทูลน้ำเสียงจริงจังว่า

“กระหม่อมมีความผิด ขอทรงลงพระอาญาด้วย!”

เมื่อครู่โต้เถียงดุเดือด พอฮ่องเต้ว่านลี่สรุป เหยียนชิงเห็นว่ายังสามารถโต้แย้งได้ต่อ แต่กลับยอมจำนนในทันที ทำให้ทุกคนแปลกใจมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรตรัสว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ……”

“ฝ่าบาท  ขอทรงเห็นแก่เหยียนชิงเป็นขุนนางดี โปรดลงอาญาสถานเบาด้วย เหยียนชิงทำไป ก็เพราะจงรักภักดี”

ในตอนนั้นเอง มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ออกหน้าทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบ มหาอำมาตย์เซินสือหังกับพวกจางซื่อเหวยเหมือนน้ำกับน้ำมัน ในราชสำนักขัดแย้งกันมา ยามนี้เซินสือหังออกหน้าพูดช่วยเหยียนชิง ทำให้ทุกคนอึ้งไป จากนั้นหวังหลิน หยางเหว่ย เฉินจิงปัง ก็ได้สติ พากันออกมาคุกเข่า ล้วนทูลขอให้เหยียนชิง

ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดสายพระเนตรมองไป เห็นหวังทงคุกเข่าสีหน้าไม่เปลี่ยน ก็หันกลับไปมองจางเฉิงพยักหน้าเบาๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงเย็นว่า

“กลับบ้านไปปิดประตูสำนึกผิดสองสามวัน คิดว่าที่ทำมานั้นแล้วผิดหรือถูก!”

ที่เหยียนชิงทำนั้นตามหลักกฎหมายแล้ว ก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอันใด และเซินสือหังกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักออกหน้าขอร้อง ย่อมต้องไว้หน้า ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้

ตามทั่วไปยามเกิดการโต้แย้งในราชสำนัก หวังทงควักคำให้การออกมา การลงโทษให้ปิดประตูสำนึกผิดนี้แท้จริงแล้วเรียกได้ว่าสถานเบามาก คนในราชสำนักตอนนี้ล้วนรู้ว่าต่อไปจะเช่นไร ก็แค่เหยียนชิงอำนาจจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดอ้างว่าชราภาพหรือล้มป่วย ในวังย่อมอนุญาต จากนั้นก็จบเรื่องไป

สีหน้าเหยียนชิงไม่มีความยินดียินร้ายอันใด เพียงแต่คุกเข่าขอบพระทัยฮ่องเต้ คุกเข่ากวาดตามองขุนนางรอบๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองหวังทง

ยามนี้สีหน้าหวังทงมีแต่ความโกรธด้วยคุณธรรมจากใจ  ในสายตาเหยียนชิง  หวังทงอายุยังน้อยมาก ความโกรธนี้ใช่ว่าเสแสร้ง  เป็นความโกรธด้วยคุณธรรมที่มาจากใจ จากนั้นหันไปมองคนอื่นๆ ในราชสำนัก แต่ละคนท่าทีเก็บงำความคิดสามส่วน เหยียนชิงถอนหายใจ โขกศีรษะก่อนจะลุกขึ้นทูลว่า

“ฝ่าบาท ทุกท่าน ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ละอายใจยิ่ง”

ทูลจบก็ค่อยๆ ก้าวออกจากที่ประชุมไปด้วยอาการโงนเงน บรรยากาศแปลกยิ่ง แม้แต่หวังทงก็รู้สึกได้ เหยียนชิงพยายามอ้างเหตุผล สร้างข่าวลือให้ร้าย แต่กลับส่องประกายคุณธรรมเช่นนี้ออกมาได้ การกระทำนี้หวังทงเองก็เข้าใจ เหยียนชิงต้องแสดงท่าที ไม่อาจให้หวังทงผู้เป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน ขุนนางคนสนิทฮ่องเต้ได้ปืนขึ้นตำแหน่งสูงได้ ไม่อาจให้หวังทงส่งผลกระทบต่อระบบยกย่องขุนนางบุ๋นและกดหัวขุนนางบู๊ที่เป็นมาในแผ่นดินหมิงได้

เหยียนชิงเห็นๆ ว่ากระทำผิด แต่เขากลับไม่คิดว่าตนเองผิด  ยังคิดว่าตนเองผดุงคุณธรรมใหญ่ นี่จึงเป็นความน่าเศร้าสลดแท้จริง

หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามที เหยียนชิงคิดเช่นไรไม่สำคัญ เขาทำผิดไป เขาทำเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง คิดให้ร้ายหวังทง ให้ร้ายแผ่นดินหมิง หวังทงไม่รับ  ต้องโต้ตอบคืนไม่อาจลดรา การลงมือกับเหยียนชิงเป็นเพียงก้าวแรก

หวังทงเข้าประชุมวันแรก ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม  ขุนนางใหญ่ในราชสำนักลำดับสามอย่างเสนาบดีกรมปกครอง เหยียนชิง ก็ถูกให้กลับไปปิดประตูสำนึกผิด แม้ว่าเหยียนชิงกำลังจะอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกเศร้าไปด้วย ทุกคนมองไปยังหวังทงที่คุกเข่า ในใจกระจ่างทันที มุมปากหวังซีเจวี๋ยกระตุกยิ้มเยียบเย็น

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในราชสำนักก็เหมือนไปต่อไม่ได้ ทุกคนมองซ้ายมองขวา ไม่คิดหารือราชกิจต่อ รอให้เลิกประชุมขุนนางตรงนี้ ทุกคนค่อยไปที่คณะเสนาบดีใหญ่ ไปที่หกกรมกองหารือกัน

ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่คิดให้บรรยากาศเช่นนี้ดำรงต่อไป จึงทรงกระแอมไอตรัสว่า

“ทัพใหญ่อีกสองวันจะมาถึงเมืองหลวงฉลองชัย เมืองหลวงเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?”

“ทูลฝ่าบาท เมืองหลวงแต่ละหน่วยงานตั้งใจเตรียมงาน กระหม่อมเมื่อวานตอนบ่ายไปตรวจแต่ละแห่ง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอทรงวางพระทัยได้พะยะค่ะ!”

เซินสือหังถวายคำนับกราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้าเคาะโต๊ะ กำลังจะตรัส ก็ได้ยินหวังทงทูลดังว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีอีกเรื่อง!!”

ในห้องคนไม่มาก แต่ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดัง ทุกคนพากันจับตามองไปยังหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไป ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“เรื่องใด?”

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอฝ่าบาทมีพระบัญชาลงอาญาแก่ผู้ที่ยื่นฎีกาให้ร้ายว่ากองทัพพ่ายแพ้ ใส่ร้ายว่าสมคบคิดพวกนอกด่าน หาว่าคิดการไม่ซื่อพะยะค่ะ!!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset