หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ! 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6)

ตอนที่ 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6)

** เปลี่ยนคำเรียกองค์ชาย เป็นฝ่าบาท เพื่อให้ดูลื่นไหลขึ้นครับ **

 

“อั๊ก!”

วาเซ่ปลิ้วกระเด็นไปไกลจากหมัดตรงของผม เเต่ทันใดนั้นก็มีสายลมปริศนามาห่อหุ้มตัวเขาไว้ ทำให้เขาไม่กระเด็นไปชยขอบสนามเหมือนคนก่อนหน้าที่โดนผมต่อย

 

“นายนี่ไม่คิดก่อนจะบุกเข้าหาอีกฝ่ายเลย”

วิลเลี่ยมใช้เวทย์ลมรับวาเซ่ที่ปลิ้วมาได้อย่างทันที วาเซ่ที่ถูกสายต้านการลอยกระเด็นไว้ก็ถูกพาส่งลงพื้นอย่างช้าๆ วาเซ่จับบริเวณที่โดนผมต่อยอย่างเบามือภายใต้สีหน้าอันเจ็บปวด เเละส่องสายตาเครียดเเค้นผม

 

“เจ็บๆๆๆๆ เเม่งเอ้ย! หมัดหนักชิบหายเลย!”

“ก็เห็นอยู่ว่าหมอนั่น มันไม่ธรรมดา นายก็ไม่คิดจะวางเเผนก่อนเลย”

“หนวกหูน่า ใครจะไม่นึกวะ ไอ้นั่น มันจะเก่งปานนี้”

วาเซ่ปัดมือของวิลเลี่ยมที่ยืนมาด้วยความหงุดหงิด เเละจ้องมาทางผมด้วยความโกรธเเค้น สักพักเขาก็เดินไปหาผู้เข้าเเข่งคนอื่น

 

“ขอดาบหน่อยละกัน!”

“อะไ-!”

“เเกก็ด้วยอีกคน ดาบเดียวมันไม่พอ”

“เดี๋ย-!”

วาเซ่ซัดเข้าที่หน้าของผู้เข้าเเข่งขันที่ไม่ได้มีส่วนร่วมจนสลบ เเละเเย่งดาบของเขามา เเน่นอนว่าเขาต้องใช้สองดาบจึงจัดการอีกคนที่อยู่ข้างๆ โดยการฟันใส่เขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

 

“เป็นวิธีที่ป่าเถื่อนไม่สมกับเป็นขุนนางเลย”

“ยังไงพวกมันก็ตกรอบอยู่เเล้ว จะไม่เห็นใจทำไม!”

“นั่นสินะ ยังไงพวกเราก็ต้องจัดการพวกนี้ เพื่อไม่ให้ไปถึงมือฝ่าบาทอยู่เเล้ว”

“สายลมเอ่ยจงกว้างล้างทุกสิ่งด้วยความเกรี้ยวกราดด้วยเถิด Extreme wind (ลมกระโชก) ”

“อ๊าก!!!”

วิลเลี่ยมถอนหายใจกับวิธีเเก้ปัญหาที่ไม่สง่างามของวาเซ่ เเต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะห้าม เเละยิ้มสนุกออกมาเเทน เขาเรียกวงเวทย์สีเขียวขนาดกว่าหนึ่งเมตรออกมาจากมือ เเละสร้างพายุลมอันรุนเเรงโจมตีใส่ผู้เข้าเเข่งขันอื่นจนตกรอบไปอีก 5 คน

 

“ดูนั่นสิคะ ท่านผู้ชม องครักษ์ของฝ่าบาทได้ร่วมมือกัน จัดการผู้เข้าเเข่นขันไปกว่า 7 รายเเล้ว เเบบนี้เอลเดล นอล ต้องพบกับวิกฤติครั้งใหญ่เเล้วคะ! จากที่จะได้สู้ตัวเเต่ตัวกับลอส วาเซ่ ตอนนี้กรีนลิเวอร์ วิลเลี่ยมได้เข้ามาร่วมมือกลายเป็นการต่อสู้เเบบสองต่อหนึ่งเเล้วค่า!”

เสียงผู้ชมในสนามคึกครื้นขึ้นกว่าเดิม วาเซ่ เเละวิลเลี่ยมที่ได้ยินก็ต่างยิ้มออกมา วาเซ่ร่ายเวทย์ลงดาบใหม่เหมือนเดิม ในขณะที่วิลเลี่ยมก็ร่ายเวทมนตร์สร้างหอกลมนับสิบข้างตัวเขา

 

“รอบนี้เเกไม่รอดเเน่!”

“สายลมเอ่ยจงกลายเป็นหอกทิ่มเเทงศัตรูด้วยเถิด wind lance (หอกเเห่งสายลม) !”

วาเซ่กระโจนเข้าหาโนวมอลเช่นเคย โดยที่มีหอกลมนับสิบตามหลังเข้าพุ่งเข้าจู่โจมโนวมอลพร้อมกัน ซึ่งเเทนที่โนวมอลตั้งท่าตอบโต้ เขากลับยืนนิ่งเเทน

 

“เห้อ คงต้องเลิกเล่นเเล้วสินะ”

“เลิกเล่นอะไรของเเก!”

ทันที่ที่โนวมอลถอนหายใจ วาเซ่ก็มาอยู่ตรงหน้าโนวมอลพร้อมกับหอกเเห่งสายลมสิบเล่มเรียบร้อยเเล้ว ในขณะที่เขากำลังจะใช้ดาบคู่ฟันโนวมอลที่ไร้ท่าทางป้องกัน

 

(เพราะพวกเเกกำลังจะทำเเผนฉันพังหมดเเล้วสิ)

“เปิดประตูขั้นที่ 1”

ผมสูดลมหายใจเพื่อใช้สมาธิ ภายในเสี้ยววินาทีร่างกายของผมก็ดูดซับเวทมนตร์รอบตัวจนเต็มที่ ร่างกายของผมขยาย เเละเปล่งปลั่งมากขึ้น หลังจากที่ผมหายใจออก ผมก็เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าช้าลงกว่าเดิม

 

(คงต้องรีบจบการสอบเเล้ว)

ผมกระโดดถอยออกไปไกลจากการฟันวาเซ่ เเละหอกลมของวิลเลี่ยมทำให้กลายเป็นการโจมตีทั้งหมดไร้ผล วาเซ่ได้ฟันลม เเละหอกของวิลเลี่ยมก็โจมตีลงพื้นดินจนเเตกกระจายเป็นสิบหลุม

 

“ลาขาดล่ะ!”

ผมตั้งหลักใหม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้สองเท้าถีบตัวพุ่งหาวาเซ่ด้วยความเร็วสูง ผมตั้งหมัดขึ้นมาเพื่อเตรียมโจมตีในระยะทำการ นี่คือการโจมตีอันไร้เสียงที่อาศัยจังหวะประมาทของศัตรู

 

(เทคนิคลอบเร้น หมัดไร้เสียง)

“เเค่ก..!”

(เทคนิคลอบเร้น กรงเล็บบดขยี้)

หมัดของผมชกเข้าที่ท้องของวาเซ่จนเขาสำลักออกมา เเต่ผมไม่ให้โอกาสที่หลุดลอย ผมจึงใช้เอิ้อมมือไปจับที่มือทั้งสองของวาเซ่ เเละบีบมันจะใช้งานไม่ได้

 

“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!”

วาเซ่ที่เสียมือไปก็ร้องครวญรางก้มตัวลงอยู่ตรงพื้นพร้อมกับดาบทั้งสองที่นอนบนพื้นข้างเขา ทุกคนต่างที่เห็นวาเซ่ร้องออกมาอย่างทรมาณก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์ร่วมกึงวิลเลี่ยม ซึ่งผมก็ใช้โอกาสนั้นในการไปด้านหลังเขาภายในพริบตา

 

“ต่อไปก็ตาเเก”

“สายลม-”

(เทคนิคผนึก ไร้เสียง)

“!!!”

นิ้วชี้ เเละนิ้วกลางของผมกดลงไปที่บริเวณที่ต่ำลงมาจากท้ายทอยเล็กน้อย ผมส่งพลังเวทย์เข้าไปเเทรกเเซงจนทำให้วิลเลี่ยมไม่สามารถพูดออกมาได้

 

“อยู่ตรงนี้ไปก่อนเเล้วกัน”

“!!!!!!”

ผมชกเขาที่ท้องของวิลเลี่ยม 3 ครั้งจนเขาสำลักน้ำลายออกมา เเละลงไปนอนบนพื้นอย่างน่าเวทนา จากนั้นผมจึงเดินไปหาผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองผมด้วยความหวาดกลัว

 

“ขอขวานนายหน่อยสิ”

“อ-อ่า ได้ครับ!”

เขายื่นขวานให้ผมอย่างง่ายดาย ผมหยิบมันสะพายบนไหล่ขวา เเละเดินตรงไปยังมัสเเตงอย่างช้าๆ มัสเเตงที่เห็นผมจึงลุกขึ้นมา เเละยิ้มเเย้มใส่ผม

 

“นึกไม่ถึงเลยนะว่านายจะผ่านองครักษ์ของฉันได้ คงไม่ได้มีดีเเค่คำพูดสินะ”

มัสเเตงจ้องมายังผมด้วยท่าทีสบาย จากนั้นไฟบนมือขวาของเขาก็ประทุขึ้นกลายเป็นวิหคเพลิงสีทองตนหนึ่ง เขายิ้มให้ผมสักเล็กน้อยก่อนจะปล่อยจิตสังหารออกมา

 

“ไหม้ไปซะ”

วิหคเพลิงจิ๋วโบยบินเป็นตัวที่สองเข้าโจมตีผม มันบินทะลุผ่านม่านเพลิงศักดิ์สิทธิอย่างรวดเร็ว เพ็งเล็งมาที่หัวใจของผมเพื่อที่จะเผด็จศึก

 

“เอ็งอ่ะ ตายไป”

มันต่อยเข้าที่ตัวนกอย่างจริงจังจนมันสลายหายไปในอากาศ มัสเเตงที่เห็นดังนั้นจึงทำสีหน้าตกใจออกมา เเต่ผมก็ไม่รีรอ เเล้วจับขวานสองมือเอนไปด้านซ้ายของลำตัว

 

“ตัด!”

ผมเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ขาตั้งมั่นกับพื้นให้มั่นคง เอวกับสะโพกที่บิดอย่างรวดเร็ว เเละลำตัวช่วงบนที่เทน้ำหนักไปให้เเขนทั้งสองอย่างเต็มที่ขนเกิดเป็นเเรงกระเเทกอันทรงพลังที่ทำลายขวานไปพร้อมกับม่านเพลิงศักดิ์สิทธิ

 

(เทคนิคลอบเร้น หมัดไร้เสียง)

ผมตั้งใจจะอาศัยจังหวะที่มัสเเตงเสียความภาคภูมิใจในการป้องกันของตัวเอง เข้าโจมตีเขาทีเพลอเหมือนวาเซ่ เเต่ทันใดที่หมัดของผมกำลังจะเอื้อมถึงหน้าท้องของเขา ดาบของเขาก็กันไว้ได้ทัน

 

“การโจมตีเเบบเดิมกับวาเซ่น่ะ อย่าคิดว่าจะได้ผลกับฉัน!”

มัสเเตงถอยออกไปเล็กน้อย เเละตั้งใจที่จะใช้ระยะการโจมตีของดาบที่ไกลกว่าหมักจัดการผม เเต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้เร็วมากเกินที่สายตาจะจับไม่ทัน ผมจึงเอนตัวหลบได้อย่างสบาย

 

“คิดเหรอว่าจะหลบพ้นตลอดไป! จงสยายปีกมอดไหม้ทุกสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน! Pheonix wings! (วิหคเพลิงสยายปีก) ”

มัสเเตงถือดาบชี้ขึ้นรวบรวมเปลวเพลิงสีทองหุ้มตัวดาบ จากนั้นปีกนกเพลิงสีทองหนึ่งข้างปรากฏออกมาจากเเผ่นหลังขวาของมัสเเตง เขาฟาดดาบลงด้านหน้า ปีกนั้นก็กระพือปีก สร้างพายุเพลิงสีทองเป็นเเนวตรงโถมเผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าตรงมายังผม

 

“ไม่ได้กินหรอก!”

ผมกระโดดสูงขึ้นฟ้าหลบการโจมตีด้านหน้าได้อย่างไร้บาดเเผล เเต่เเน่นอนว่าผมไม่เพียงเเค่หลบ เพราะผมกระโดดสูงตรงไปข้างหน้าเพื่อที่จะเข้าใกล้มัสเเตงมากขึ้น

 

(ปรับสมดุล)

“เทคนิคทลายเกราะ ฝ่ามือสยบภูผา”

เเสงสีเหลืองจากในมือสว่างขึ้นสั่งใช้งานพร ร่างกายที่มีช่องโหว่ในอากาศกลับมาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม ผมตั้งศอกขึ้น เเละเเบบมือออก เเล้วดิ่งตัวลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้ถึงเป้าหมายผมก็ฟาดฝ่ามือลงทันที

 

เปร้ง!

ดาบที่มัสเเตงถือเเตกสลายไม่เหลือชิ้นดี เเต่เขาก็ยังตั้งสติเตรียมที่จะถอยไปรักษาระยะ ในระหว่างที่ฝ่ามือของผมกำลังจะกระเเทกลงพื้นตามเเรงโน้มถ่วง

 

“เสร็จฉันล่ะ!”

มัสเเตงยิ้มเมื่อเขาสามารถอยู่ห่างจากระยะที่เเขนของผมจะโจมตีเขาได้ มือทั้งสองของเขาห่อหุ้มไปด้วยเพลิงสีทองเตรียมที่จะตอบโต้ผม เเต่ผมก็ไม่นอมให้เขาทำอย่างเเน่นอน

 

“คิดตื้นไปนะ”

ผมพลิกมือลงพื้นเป็นฐานเเทนที่จะปล่อยให้มันสับจนเเตกละเอียด ผมใช้พละกำลังจากฝ่ามือขวาหมุนตัวเอง เเละพุ่งตัวดีดออกไป ใช้ขาที่มีระยะการโจมตีที่ไกลกว่าล็อคคอของมัสเเตงไว้โดยที่เขาไม่คาดคิด

 

(เทคนิคลอบเร้น คมเขี้ยวบดขยี้!)

ตู้ม!

ผมหมุนตัวด้วยความเร็วสูง ลากหัวของที่เชื่อมอยู่ดับคอพลิกตัวทุ่มลงพื้นอย่างรุนเเรง เเม้ว่าท่านี้จะไม่ได้รุนเเรงมาก เเต่ก็พอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้ระดับหนึ่ง

 

“อ-อึก เเก…”

มัสเเตงลุกขึ้นมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะ ฝ่ามือของเขาห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

 

“ไอ้เว-!”

“ใครใช้ให้เเกลุกขึ้นมา!”

ผมชกเข้าที่ท้องของมัสเเตงจนเขาสำลัก ไฟเเห่งความโกรธก็หายไปทันทีที่เขาคุมสติไม่ได้ เพียงเสี้ยววินาทีผมก็ยกเท้าเหนือศีรษะของผมเรียบร้อย มัสเเตงที่ได้เห็นเท้าของผมที่อยู่เหนือเขาก็ทำสีหน้าหวาดกลัว

 

“เทคนิคสังหาร สงบนิ่ง”

ตู้ม!!!

ส้นเท้ากระเเทกลงหน้าของมัสเเตงจนดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินเกิดรอยเเตกร้าวเเตกกระจายไปทั่วทิศ ภายในรอยเเตกนั้นมีมัสเเตงที่ใบหน้าบิดเบี้ยวนอนจมอยู่ใต้เท้าของผม

 

“ค-เเค-เเค่.ก…”

สติของมัสเเตงเริ่มเลือนลานจนพูดออกมาไม่เป็นคำ ผมที่ได้ยินดังนั้นจึงนำเท้าออกจากใบหน้าของเขา เเละนั่งลงก้มไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม

 

“ต๊ายตาย จะบดขยี้ปากฉัน เเต่กลายเป็นเเกเองนะ ที่โดนฉันกระทืบก่อนเเทน สมเเล้วเป็นฉัน เป็นคนรักษาสัญญาเก่งจริงๆ ยอดเยี่ยมๆ”

ผมยิ้มสะใจกับมัสเเตงที่ใบหน้าเละไม่เหลือเค้าโครงความหล่อ มัสเเตงที่ได้ยินจึงกัดฟัน เเละใช้โอกาสที่ผมสบประมาทสร้างเพลิงสีทองในมือขวาเพื่อที่จะโจมตีใส่ผม

 

“สงสัยคงต้องทำให้เเกดื้อลงสักหน่อย”

ผมที่เห็นท่าทีขัดขืนของเขาจึงลงมือใช้ขาของผมกระทืบลงบนเเขนทัั้งสองของเขาจนเเตกหัก เเละเพื่อเป็นการปลอดภัยผมเลยใช้มือหักขาสองข้างไปด้วยเลย

 

“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”

“เรียบร้อย”

มัสเเตงส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาณ คงเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการหักเเขนหักขวา สติของเขาจึงกลับมาทำให้ร้องครางออกมาฟังชัดเจน คนที่อยู่รอบข้างมองผมด้วยสายตาหวาดกลัว เเละค่อยๆ เดินถอยห่างออกจากผม

 

(จะทำให้ตกรอบเเบบนี้ ก็ได้อยู่หรอก เเต่มันจะทำให้คนอื่นมองเราให้ภาพลบเเทน)

ผมลุกขึ้นมองไปรอบตัว เเละพบกับผู้คนที่ต่างจ้องมองผมด้วยความรังเกียจ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะคงไม่มีใครสรรเสริญคนที่ทำร้ายเชื้อพระวงศ์อันทรงเกียรติต่อหน้าประชาชน คนที่กล้าทำเเบบนี้คงมีเเต่คนไร้หัวคิด กับพวกป่าเถื่อนเท่านั้น

 

(ก็จริงอยู่ที่ทำไปด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว เเต่จะให้ภาพลักษณ์เราติดลบต่อไป คงจะไม่ดี เเต่มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราดันสร้างฝันร้ายให้ใครหลายคนเห็นเนี่ยสิ)

ผมยิ้มออกมาอย่างชอบใจ พอมองเราไปที่ใบหน้าของมัสเเตงเเล้ว ผมก็อดใจไม่ไหวที่จะดึึงตัวตนที่เเท้จริงของเขาอออกมา ผมจะใช้เเผนการของผมทำให้ผมกลายเป็นผู้ชนะอย่างไร้ที่ติเอง

 

(ถ้างั้นก็ลากมันเข้ามาร่วมวงดีกว่า)

“ก็นึกว่าเก่ง เเต่ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่า ไอ้คนที่มีทุกอย่างตั้งเเต่เกิด มักจะตกม้าตายเมื่อเจอคนที่ไคว่คว้าทุกอย่างมาด้วยตัวเอง”

 

ผมเดินไปตรงกลางสนาม เเละตั้งใจตะโกนเสียงดังเพื่อให้คนทั้งสนามได้ยิน สายตาของผู้คนจับจ้องมาที่ท่าทีโอ้อวดของผม ซึ่งเป็นความต้องการของผมเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจเอง

 

“ทุกคนรู้ไหม เห็นผมเป็นคนหน้าไม่อายเเบบนี้ เเต่ชีวิตก็ตกอับมาเยอะเหมือนกัน ไม่เกิดมาหน้าตาดี เป็นยาจก พรสวรรค์ก็ยังห่วยอีก เเต่ผมก็ใจสู้ชีวิตมาตลอดเลยนะ”

ผมเเสร้งยิ้ม เเละพยายามใช้น้ำเสียงน่าสงสารเพื่อเรียกคะเเนนเห็น เเต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบผม ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเพราะผมเเค่อยากสร้างบรรยากาศให้ตัวเองดูดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

 

“เห้ พวกนายทุกคนน่ะ รวมถึงพวกขุนนางด้วย พวกนายไม่อยากได้โอกาสในการสอบผ่านเหรอ?”

“…”

“เงียบเเบบนี้ คงงงสินะ งั้นมองขึ้นไปบนนั้นสิ”

ผมชี้นิ้วไปยังภาพที่ฉายอยู่ข้างบนหัว ในนั้นมีรายชื่อของผู้เข้าสอบกลุ่ม A ทั้งหมด มันเเสดงทั้งชื่อ จำนวน เเละผู้ตกรอบด้วย

 

“จากการต่อสู้ไม่เเบ่งฝ่าย ก็ตกรอบไปเเล้ว 40 คน อีกทั้ง…”

(ต้านเวทย์)

“จะมีคนตกรอบเพิ่มขึ้นอีก”

ผมหยิบเศษกินที่เเตกกระจายบนพื้นโยนขึ้นไปบนอากาศโจมตีใส่วิหคเพลิงจิ๋วที่เหลือรอดจากการอัญเชิญครั้งเเรกของมัสเเตงจนร่างกายของมันสลาย ผมหันมามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

 

“ฉันจะให้โอกาสพวกนาย เลือกสิจะปกป้องคุณชายเหนือหัว หรืออยากผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องสู้กับฉัน”

“หยุดพล่ามเรื่องสาระซะ ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำ!”

ในขณะที่ผมกำลังพูดเพื่อโน้มน้าว ก็มีใครที่ผมจำหน้าไม่ได้ถือดาบยาววิ่งเข้ามาประชิดผม เขาตั้งใจจะใช้โอกาสที่ผมประมาทเล่นงานผมทีเผลอ

 

“เอ้า คนที่ 41”

ผมฟังจากที่มาของเสียงก็คาดการณ์ได้อยู่เเล้วว่าเขาจะลอบโจมตีผม ไม่ต้องหันไปมอง หมัดของผมก็เหวี่ยงเขาหน้าของเขาจนกระเด็นไปชนขอบสนาม ทิ้งดาบยาวไว้บนพื้นเป็นของต่างหน้าก่อนตกรอบ

 

“ตอนนี้เหลือ 9 คนเเล้วนะ พวกนายยังอยากจะเสียโอกาสอีกเหรอ นี่พวกนายจะได้โควตาเพิ่มอีก 3 คนเลยนะ ถ้าพวกนายเเค่นั่งอยู่นิ่งๆ เเละปล่อยให้ฉันลงมือจัดการ เเต่ถึงอยากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นนายกล้าตายเพื่อองค์ชาย เเต่พวกนายคงไม่ได้อยากลิ้มรสหมัดสยบมังกรของฉันหรอก ใช่ไหม?”

“ขอเตือนไว้เลยนะ ว่าไอ้เมื่อกี้อ่ะ สาธิต เอาจริงฉันอาจจะทำต่อยเข้าที่ซี่โครงจนหักเลยก็ได้ พอคิดว่าเป็นเเบบนั้นเเล้ว น่าจะเจ็บมากน่าดู”

ผมปล่อยจิตสังหารบางเบาให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความจริงใจ บรรยากาศรอบตัวกดดันจนไม่มีใครกล้าเดินออกจากที่ สักพักทุกคนก็นั่งลง เเละพยายามคุมร่างกายให้หายสั่นกลัว

 

เเปะๆ

“ยอดเยี่ยม เเบบนี้สิ ถึงจะฉลาดสมกับเป็นคนที่จะได้ผ่านเข้าเรียนที่สถาบันเเอสทาเรีย”

ผมสบมือ เเละยิ้มกว้างสะใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นผมจึงหันหลังก้มลงไปหยิบดาบยาวที่ถูกทิ้ง เเล้วเดินตรงเข้ามาหามัสเเตงที่นอนนิ่งอย่างน่าสมเพช ก่อนที่ก้มลงไปมองใบหน้าที่ดูไม่ได้ของเขาใกล้ๆ

 

(สุดท้ายเเล้ว มันก็ไม่มีอะไรเป็นของนายได้หมดหรอกนะ ไอ้เจ้าชายขยะ)

ผมยิ้มให้เขาเห็นถึงความอัปยศที่เขาได้รับจากผม จากนั้นจึงลุกขึ้นโยนดาบขึ้นไปเหนืออารีน่า จนผู้ชมต่างมองดาบยาวที่ล่องลายอยู่บนอากาศอย่างไม่ละสายตา หลังจากที่มันลอยขุ้นไปสูงระดับหนึ่ง ตัวดาบก็ค่อยๆ หมุนตกลงมา

 

“ไว้มาสอบซ้ำนะ ฝ่าบาท”

ผมหันเดินเดินจากมัสเเตงโดยไม่หันกลับมองเขา ผมจะรอฟังเสียงประกาศความพ่ายเเพ้ของเขาจากพิธีกรเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่รอดเนื่องจากผมได้หักเเขน เเละขาจนใช้งานไม่ได้เเล้ว บวกกับสภาพร่างกายที่อ่อนเเอจากการต่อสู้กับผม ขอเพียงเเค่คมดาบได้สัมผัสตัวเขาละก็ยังไงเเหวนระบุตัวตนก็จะทำงาน เเละทำให้เขาตกรอบอย่างเเน่นอน ยกเว้นอย่างเดียวคือ เขาจะไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้เเผนการของผมเสร็จสมบูรณ์

 

ดาบยาวค่อยๆ ดิ่งลงมา มันกำลังจะตกลงทิ่มเเทงกลางอกของเขา อีกไม่เกินหนึ่งเมตรเขาก็จะตกรอบเเล้ว มัสเเตงที่เห็นดังนั้นจึงเร่งพลังเวทย์ในร่างกายจนถึงขีดสุด ซิกม่าที่อยู่ในมือของเขาก็สว่างขึ้นจนเกิดเป็นลวดลายชัดเจน เสียงกู่ร้องเเห่งความโกรธของเขาได้ส่งเสียงเรียกเส้นเพลิงสีทองจากท้องฟ้าเข้าทำลายดาบยาวจนมอดไม้เป็นธุลีในอากาศ เเละพุ่งเข้าใส่มัสเเตงที่นอนอยู่

 

“ฉันจะไม่อภัยให้เเกที่ดูถูกฉันเด็ดขาด! ไอ้สามัญชนชั้นต่ำ!!!”

มัสเเตงลุกขึ้นยืนดด้วยร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีทองอันลุกโชก ร่างกายของเขากำลังถูกรักษาจนกลับมาเป็นปรกติ ทันทีที่มัสเเตงได้ยื่นมือทั้งดาบตั้งท่าที่ดาบ เปลวเพลิงสีทองก็ร่วมตัวกันปรากฏขึ้นมาเป็นดาบสีทองบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยลวดลายของนกอมตะที่มีดวงตาสีเเดงหย่อหยิ่งมองมาทางผมด้วยความสง่าราศี

 

(มาเเล้วสินะ ดาบเพลิงสวรรค์ เซเบอร์ (Saber) )

ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนผิดปรกติจึงหันหลังมาดู เเละพบกับมัสเเตงที่กำลังถือเซเบอร์อันลุกโชก เเต่ผมกลับไม่มีท่าทีที่จะเกรงกลัวต่อมันเลย ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ขั้นตอนสุดท้ายของเเผนการอันไร้ที่ติของผมสำเร็จเรียบร้อย

 

“ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”

“หัวเราะอะไรของเเก!”

“กฎข้อที่ 1 ห้ามใช้อาวุธอื่นนอกจากของที่จัดเตรียมมา…”

ผมชูนิ้วชี้เเสดงให้เห็นถึงเลข 1 ต่อหน้ามัสเเตงที่หลงกล เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกมา ม่านตาของเขาก็กดลง เเววตาที่มองผมด้วยความเกลียดชังก็ถูกเเทนที่ด้วยความสิ้นหวังเเทน เมื่อผมได้เห็นถึงความน่าสมเพชนั้น จากเลขหนึ่งของผมที่นิ้วชี้ก็ได้สลับมานิ้วกลางเเทน

 

“ไอ้งั่งเอ้ย!”

** นี่สรุปตัวร้าย หรือพระเอกนิ -.-

ยังไงขอให้มีความสุขกับปีใหม่นะครับ**

 

 

 

 

 

 

“องค์ชายครับ จะให้กระผมทำยังไงดี ให้จัดการเขาเลยดีไหมครับ”

วาเซ่จับที่ถือดาบคู่ เเละมองไปยังชายคนหนึ่งที่เขาเกลียด เพียงเเค่องค์ชายให้คำสั่งเขา เขาก็พร้อมที่จะเข้าพุ่งตรงไปเด็กหัวชายคนนั้นทันที

 

“ชั้นอนุญาติให้นายไปจัดการเขาได้ เเต่วิลเลี่ยมต้องไปสนับสนุนนายด้วย”

“ถ้าทำอย่างงั้น ใครจะคอยปกป้องท่านล่ะครับ กระผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้!”

“ขอถามเหตุผล”

“ถึงเเม้ไอ้คนไร้สมองนั้นจะเล็งท่าน เเต่การที่คนที่ต้องการหมายหัวท่าน ไม่ได้มีเเค่เขาคนเดียวเเน่นอนครับ”

วิลเลี่ยมชายหลุ่มรูปหล่อที่มีมักผมทรงหางม้าสีเขียวอ่อน ยืนกรานปฎิเสธความคิดเห็นขององค์ชาย องค์ชายที่เห็นว่าวิลเลี่ยมไม่ยอมละทิ้งความภักดี จึงยิ้มอ่อน เเละตบไหล่เขาเบาๆ

 

“ไม่ต้องห่วงชั้น พกวนายคิดว่าฉันไม่มีเเผนรับมือเหรอ?”

“Secred flame barrier (ม่านเพลิงศักดิ์สิทธิ์) ”

มือขวาของมัสเเตงเกิดเเสงสว่างสีทองอันทรงพลังขึ้นมา เขาปัดดาบลงพื้นจากนั้นก็ถ่ายพลังเวทย์อันมหาศาลลงไปในพื้นดิน เปลวเพลิงสีทองประทุออกมาจากพื้นดินไกลตัวเขา 5 เมตร กลายเป็นม่านวงกลมใสที่ห่อล้อมเขาไว้เป็นอาณาเขตหนึ่ง

 

“ใครก็ตามที่ก้าวผ่านม่านเพลิงศักด์สิทธิ์นี้ โดยที่ฉันไม่อนุญาติ จะถูกเพลิงศักด์ศิทธิเผาไหม้จนมรณะ ดังนั้นไม่ต้องไม่ห่วงฉัน เเละไปสั่งสอนคนโง่นั่นให้รู้จักความต่างชั้นเถอะ”

“ตามประสงค์องค์ชาย ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”

วาเซ่ เเละวิลเลี่ยมคุกเข่าน้อมรับคำสั่งองค์ชาย เเละกระโจนออกไปนอกม่านเพลิงศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน ในระหว่างนั้นมัสเเตงก็รวมรวบพลังเวทย์ไว้ในมือขวาสร้างอสูรวิหคเพลิงสีทองจิ๋วขึ้นมา

“ส่วนเเกไปจัดการพวกอ่อนเเอให้ตกรอบก่อน ไอ้คนอวดดีนั่นจะมาถึงตัวชั้นที”

กิ้ว!

วิหคเพลิงตอบสนองต่อเจ้านาย เเละโบยบินขึ้นฟ้า มันเฝ้ามองหาเหยื่อที่กำลังอ่อนเเอ เเละฉวยโอกาสโจมตีที่เผลอ เก็บพวกเขาไปทีละคน

 

“4 5 ไม่ใช่ 10 คนเเล้ว องค์ชายมิลมิเลี่ยน กำลังใช้สัตว์รับใช้ วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์กวาดล้างผู้เข้าสอบตกรอบอย่างไม่หยุดเลยค่า เเบบนี้ไม่นานการสอบกลุ่ม A ต้องจบลงในไม่ช้าเเน่นอน!”

“ถึงเจ้านั่นจะไม่อ่อนเเอ เเต่ก็ใช่ว่าจะมีปัญญาผ่านการสอบทฤษฎี คงจะมีเเต่พละกำลังเเบบคริสโตเฟอร์ ถ้าเราไม่ถูกทำให้ตกรอบก่อน 50 คน ยังไงเเผนของเจ้านั้นก็ไม่สำเร็จ”

มัสเเตงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาจะถอดเสสื้อคลุมวางบนพื้นสนามที่เต็มไปด้วยฝุ่น เเละนั่งลงไปเชยชมภาพการต่อสู้อันอลเวงของหลายฝ่าย

 

(ตอนนี้เจ้าโง่นั่นก็ถูกเป็นเป้าสายตาจากพวกขุนนางที่ต้องการประจบเราอยู่เเล้ว ดังนั้นรอให้มันเหนื่อย เเล้วค่อยเด็ดหัวทีหลังก็ไม่สาย)

“พวกเเกจะเข้ามาอะไรนักหนา! หาเรื่องตกรอบหรือไงฟะ!”

เเรกๆ ผมก็ประกาศไปเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาหลีกทางไป เะเต่มันกลายเป็นการใส่น้ำมันให้พวกบ้าเร่งเครื่องมาโจมตีผมรอบทุกทิศทางซะงั้น

 

“เเค่การกที่เเกไม่ให้เกียรติพวกเรา มันก็เป็นความผิดเเล้ว ไอ้สามั–!”

“หนวกหูโว้ย! ไอ้เอ็งก็ตกรอบไปเลยละกัน!”

ผมที่เห็นขุนนางคนหนึ่งกำลังง้างดาบเตรียมฟันผม ผมก็เขาไปซัดหน้าด้วยกำหมัดซ้ายเต็มคางจนลอยขึ้นฟ้า ซึ่งครั้งนี้ก็เผลอชกไปตามอารมณ์อีกเเล้ว

 

“พวกเอ็งหลีกทางไปสิวะ เเม่งเอ้ย! มันจะน็อกเอาท์ครบ 20 คนเเล้วนี่!”

“พูดมากอะไรของเเกวะ ตายซะเถอะ!”

ผมรับรู้ได้ถึงใครบางคนที่กำลังโจมตีผมจากด้านหลัง ผมจึงรีบเปลี่ยหมุนเปลี่ยนดาบไปด้านหลัง เเละเเทงเข้าที่ท้องของเขาก่อนที่คมดาบจะถึงตัวผม

 

“อ๊าก!!!”

ความเป็นจริงท้องของเขาคงจะต้องเป็นรูไปเเล้ว เเต่ด้วยพลังคุ้มครองของเเพวนระบุตัวตน เหมือนรับรู้ถึงอันตรายที่จะส่งทบกระทบต่อการเสียชีวิตของผู้สวมใส่ จึงได้สร้างเวทย์ป้องกันคลุมร่างกายรับการโจมตีของผมได้ เเต่มันก็ได้เเตกสลายไปทันทีที่ใช้งานจนถึงขีดสุด

 

“เทคนิคการหมุนดาบที่รวดเร็วนั่น น่าทึ่งมากเลยค่ะ คุณมีความเห็นอะไรบ้างไหมคะ ศาตราจารย์ โรจิค”

“จากที่ชั้นสังเกตการเคลื่อนไหว เเละทักษะการต่อสู้ของเอลเดล ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นพแสมควร ไม่ว่าจะเป็นวิชาดาบ เเละศิลปะการต่อสู้ ล้วนมีการฝึกมาอย่างดี เพียงเเต่มันอาจจะยังไม่ดีพอ”

“ทำไมศาตราจารย์ถึงพูดอย่างงั้นคะ จากที่ชั้นดูมา ก็ยังไม่มีใครสร้างบาดเเผลให้เขาได้เลย อีกทั้งยังโดนครั้งเดียวจอดอีก”

“นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่จบจากสำนักใหญ่ต่างหาก”

ฮารเต้ยืนฟังศาตราจารย์โรจิคที่กำลังมองไปยังสนามด้วยความตรึงเครียด ไม่นานก็มีชายผมสีเเดงคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาไปหาโนวมอลด้วยความเร็วสูง

 

“ยะหู้ว ได้เจอกันสักทีนะ ไอ้สามัญชน!”

วาเซ่กระโดดขึ้นเหนือหัวโนวมอล เเละกำลังจะใช้สองดาบฟาดฟันจากบนอากาศ โนวมอลไหวตัวทันจึงยกดาบฟันสวนเขาจนกระเด็นกลับไป เเต่มันก็ต้องเเลกกับดาบของเขาที่พังอีกเล่ม

 

“อะไรกันที่เเท้ก็เเมลงเม่านี่เอง”

“ใครเป็นเเมลงเม่ากันกันหะ! ไอ้สามัญชน!”

วาเซ่จ้องผมด้วยสายตาที่เคียดเเค้นยิ่งกว่าเดิม เขาพุ่งเข้าโจมตีผมอีกครั้งโดยไม่ให้พัก ผมที่ไร้อาวุธจึงต้องหลบการโจมตีของเขาอย่างช่วยไม่ได้

 

“หลบเก่งจริงนะเเก! เเต่จะทำได้อีกสักเเค่ไหนเชียว!”

ดาบของวาเซ่รวดเร็วขึ้นจนยากที่จะหลบ ผมพลาดท่า เเละโดนคมดาบเฉียดหน้าจนเกิดบาดเเผลขึ้นมา ซึ่งถ้าทำต่อไปคงจะเกิดบาดเเผลเพิ่มผมจึงตั้งหลักที่จะสวนกลับ

 

“พูดมาก!”

(ต้องทำลายอาวุธก่อน)

“เทคนิคทลายเกราะ ศรไร้คม!”

พรนักรบจะเก่งกาจเมื่อได้จับอาวุธไม่ต่างจากนักดาบที่ไม่ได้ถือดาบ ถ้าเราทำลายอาวุธได้ละก็พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก ผมเเบมือตั้งศอกให้มั่นคงในเเนวนอน โจมตีใส่วาเซ่ที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่ให้ตั้งตัว

 

“อะไรกัน คิดว่าชั้นจะยอมให้เเกทำลายอาวุธอย่างงั้นเหรอ!”

(บ้าเอ้ย เวทย์เสริมความคงทน!)

วาเซ่ตั้งดาบไคว้กันเป็นกากบาทป้องกันการโจมตีของผมได้ เเต่ที่สำคัญผมพลาดที่จะทำลายอาวุธของเขา ไม่นึกเลยว่าเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ในการเพิ่มความทนทานของอาวุธได้

 

“ก็ฉลาดเหมือนกันนิ ที่ไปเรียนเวทย์เสริมความทนทานกลบจุดอ่อนตัวเอง”

“มีเเต่พวกโง่เท่านั้นเเหละ ที่มัวเเต่เมาละเลอไม่พัฒนาตัวเอง!”

วาเซ่เพิ่มเเรงลงไป เเละผลักการโจมตีของผมออก ผมกระเด็นไปสักเล็กน้อย เมื่อมองตรงไปก็พบวาเซ่ที่กำลังบรรจุพลังถ่ายทอดลงดาบคู่

“เพิ่มความคงทน ลดน้ำหนักวัตถุ เพิ่มความคม เเละจิตศาตราวุธ!”

ดาบคู่ของวาเซ่ได้รับพลังเวทย์ของเขาจนเปลี่ยนสีเป็นสีเเดง ออร่าของดขาเปลี่ยนเป็นคนละคน ผมสัมผัสได้ถึงความดุร้ายเหมือนสัตว์ป่าที่ออกมาจากตัวของเขา

 

“ชั้นจะบดขี้เเกเอง!”

วาเซ่พุ่งเข้าโจมตีผมอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้กลับเร็วกว่าเดิม มันว่องไว เเละไม่มีช่องพักจนผมต้องตั้งสมาธิพยายามหลบอย่างต่อเนื่อง เพียงรอยสะกิดนิดเดียวก็ทำให้เสื้อของผมเกิดรอยขาด

 

“ว่าไง! ว่าไง! ว่าไง! มีดีเเค่นี้เองเหรอวะ! ไอ้ปากพล่อยๆ นั่นเงียบหายไปไหนเเล้ววะ!”

(ถึงจะเร็วเเต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลบไม่ได้ เเต่ไอ้การโจมตีนี่สิปัญหา)

ถึงเเม้ว่าเขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเเต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าวัดเรื่องความเร็วผมมั่นใจว่าต่อให้ผมไม่เอาจริง ก็ไม่มีทางเเพ้เขา เเต่ปัญหาคือผมโจมตีเขาไม่ได้เลย

 

(ขอทดลองหน่อยสิ)

“อะไร อะไร ไม่มีทางโจมตีเข้าหรอกโว้ย!”

“เเน่ใจเหรอ!”

ผมหยิบมีดสั้นในเอวซ้ายด้วยมือซ้าย เเละฟาดฟันเเนวนอนใส่เขาจากด้านข้าง วาเซ่ที่รับรู้จึงยกดาบซ้ายขึ้นมากัน ผมไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวจึงหยิบมีดในเอวขวาตั้งใจจะเเทงอกของเขา เเต่เขาก็ยกดาบมากันไว้ได้อีกเเล้ว

 

“เปล่าประโยชน์!”

วาเซ่ใช้เเรงกายของเขาผลักผมให้ออกไป มีดทั้งสองของผมหลุดออกจากมือทันที วาเซ่ฉวยโอกาสนั้นพุ่งเข้ามาหวังที่จะฟันผม เเต่ผมก็สวนเขากลับไปด้วย ศรไร้คม

 

“นึกว่าจะฆ่าเเกได้เเล้วเชียว ตายยากใช่เล่นนะเเก”

(ก็เห็นว่าในเกมไอ้หมอนี่มันเคารพเจ้าชายมากก็เหอะ เเต่ไม่นึกว่ามันจะเป็นคนบ้าเเบบนี้ด้วยนะนี่)

“จะทนได้สักกี่น้ำกัน ไอ้สามัญชน!”

“ก็จนกว่าเเกจะเหนื่อยเเหละ!”

(เเต่เพราะบ้าเเบบเเกเเหละ ถึงได้คาดเดาง่าย)

วาเซ่พุ่งโจมตีใส่ผมโดยไม่เว้นช่วงพักอีกเช่นเดิม ผมที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องหลบต่อไป เเต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เเย่ เพราะผมยังมีเเรงเหลือเฟือในการสู้กับเขา

 

“สมกับเป็นศิษย์เอกจากสำนักใหญ่ระบำผีเสื้อ มีการโจมตีที่พริ้วไหว ทั้งการรุก เเละรับ ทำให้ศัตรูยากที่จะต่อกร เเต่มีเงื่อนไขคือผู้ที่จะถูกรับเลือกจะต้องมีทักษะการใช้งานดาบคู่เสียก่อน ซึ่งบนโลกใบนี้มีเพียง 3 พรเท่านั้นจะบรรลุเงื่อนไขนี้ได้คือ พรอาวุธสองมือ พรนักรบ เเละพรเซียนดาบ”

“เเต่ว่าเท่าที่ชั้นเคยดูการต่อสู้ของสำนักระบำผีเสื้อ ชั้นยังไม่เคยเห็นใครที่โจมตีได้คล่องเเคล่ว เเละไร้ที่ติเหมือนลอส วาเซ่เลย”

“ต้องขอบคุณพรนักรบที่ช่วยความเข้าใจในการใช้อาวุธทุกประเภท ทำให้วาเซ่สามารถเรียนรู้ได้ไว จนสามารถได้รับการรับรองว่าเป็นมือหนึ่งของสำนักระบำผีเสื้อโดยไม่มีข้อกังหาตั้งเเต่อายุ 16 ปี”

“เเต่ชั้นเคยได้ยินว่านักรบก็มีจุดอ่อนเดียวกับนักดาบคือ ถ้าไร้ซึ่งอาวุธก็ไร้ความหมาย เเต่ดูเหมือนเขาจะเเตกต่างจากนักรบคนอื่นนะคะ เเต่เท่าที่ฟังมาดูเหมือนคุณจะสนิทกับเขาเป็นพิเศษนะคะ”

“เเน่นอนว่าเป็นฉันเองที่สอนเขาเกี่ยวกับเวทย์เสริมพลัง วาเซ่น่ะสามารถใช้ได้ทั้งการเพิ่มความคงทน ลดเพิ่มน้ำหนักวัตถุเพิ่มความคม เเละจิตศาตราวุธอีก ทำให้เมื่อใดที่เขาได้จับอาวุธก็คือ ยอดศึกเเห่งสงครามนั่นเอง”

“ถ้างั้น เอลเดล นอล ม้ามืดของเราคงจะงานหนักเเล้วคะ! นอกจากเป็นศิษย์เอกเเห่งสำนักระบำผีเสื้อ ยังใช้เวทมนตร์สเริเสริมพลังได้อีก เเบบนี้ก็ไร้ทางต่อกรสิคะ!”

ผู้คนรอบๆ ที่เห็นความเก่งกาจของวาเซ่ต่างก็ตะโกนเท่ใจไปให้เขา โดยไม่เห็นโนวมอลที่กำลังตั้งใจหลบ ราวกับว่าพวกเขาคาดการณ์เเล้ว่า ยังไงเขาก็ไม่มีวันชนะ

 

“คงต้องพอเเค่นี้เเล้วล่ะ”

โนวมอลเลิกที่จะหลบ เเละใช้ ศรไร้คม สวนวาเซ่ไปอีกครั้ง เเต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม วาเซ่ยังรับการโจมตีที่เผลอของโนวมอลได้อย่างสบายๆ

 

“นั่นสิ ชั้นชักเบื่อหน้าเเกเเล้ว คงต้องจากลากันตรงนี้ล่ะ ไอ้สามัญชน!”

วาเซ่กระโดดห่างออกจากโนวมอล จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปหาเขาด้วยความเร็วสูง เเขนของเขาตวัดดาบด้วยความเร็วสูงในชนิดที่ว่าเเม้เเต่กรรมการก็ไม่อาจมองทัน

 

“ระบำผีเสื้อส่งวิญญาณ!”

วาเซ่ถีบเท้า เเละตวัดดาบต่อเนื่องโจมตีใส่โนวมอล การโจมตีของเขามาจากรอบทิศทาง เพราะมีการเคลื่อนย้ายตัวเองรอบตัวศัตรู เสมือนผีเสื้อพริ้วไหวที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะบินเข้าหาตอนไหน

 

“เเกจะหลบเก่งไปไหนวะ!”

อย่างไรก็ตามโนวมอลก็ยังนิ่งเฉย เเละหลบการโจมตีของวาเซ่ได้ตามปรกติ อีกครั้งเขาก็เเบมือเตรียมที่จะสวนการโจมตีกลับวาเซ่อีกครั้ง โนวมอลก้าวเท้าเข้ามาย่นระยะห่างกับเขาเพื่อที่จะให้เขาหลบไม่พ้น

 

“เเต่ถึงยังไงเเกก็ยังโจมตีเเบบเดิมอยู่ดี ไอ้โง่เอ้ย!”

วาเซ่คาดเดาการโจมตีของโนวมอลได้ เขายกดาบขึ้นมาป้องกันเหมือนเดิม ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คิด ศรไร้คม ของเขากำลังพุ่งตรงมายังดาบคู่ของเขาเหมือนทุกๆ ครั้ง

 

“เทคนิคทลายเกราะ ศร-”

วาเซ่ประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะการโจมตีที่เปลี่ยนไปของโนวมอล เเต่ไม่รู้ทำไมเขากลับยิ้มออกมาในสถานการณ์ที่วาเซ่กำลังได้เปรียบ ไม่นานเขาก็เห็นถึงความผิดปรกติ จากที่มันจะต้องเป็นฝ่ามือเเต่กลับห่อตัวดลายเป็นกำปั้นก่อนที่จะสัมผัสตัวดาบ

 

“ลวงตา”

เปร้ง!

ทุกคนต่างไม่เชื่อสายตา ดาบที่เสริมด้วยเวทมนตร์มากมาย ถูกหมัดของโนวมอลชกจนเเตกสลาย ไม่เพียงเท่านั้นหน้าของวาเซ๋ยังโดนกำปั้นของเขาซัดเต็มหน้าอย่างรุนเเรง

 

“ก่อนจะด่าคนอื่น ควรดูตัวเองก่อนนะ ไอ้โง่!”

Namgoz: ว่าจะเขียนให้จบ เเต่เอาเป็นค่อยมาต่อพรุ่งนี้ละกัน

 

 

**

เงินในโลก ulofan (ฺ1 ยูเร = 1 บาท)

ทองเเดงเงา 1

ทองเเดง 10

เงิน 100

เงินวาว 1,000

ทอง 10,000

ทองวาว 100,000

ทองคำขาว 1,000,000

ทองคำขาวบริสุทธิ์์ 100,000,000

**

หลังจากที่ผ่านไป 5 นาที ผมที่นั่งดีดเหรียญทองคำขาวอย่างมีความสุข ก็ได้เห็นคนจำนวนมากเข้ามาในโรงอาหาร เพื่อให้ไม่เป็นเห็นของมีค่าของผม ผมจึงรีบเก็บเหรียญทองคำขาวลงในถุงเงินอย่างรวดเร็ว ไม่นานผมก็พบลิเลียที่กำลังเดินมายังโต๊ะที่ผมจอง

 

“เจอกันอีกเเล้วนะคะ คุณโนวมอล”

“ไง คุณลิเลีย นั่งลงสิครับ”

“ขอรบกวนหน่อยนะคะ”

ลิเลียยิ้มอ่อนให้ผมเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงอย่างช้าๆ บนเก้าอี้ตรงกันข้ามผม เธอมีท่าทางสบายไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันจากเธอ เเสดงว่าการสอบน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี

 

“ว่าเเต่การสอบเป็นยังไงบ้างครับ”

“ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ เพราะว่าเนื้อหาข้อสอบตรงกับที่ฉันอ่านมาพอดี”

“เห้~ พูดเเบบนี้ เเสดงว่าต้องได้ท็อปเเน่เลย ใช่ไหมครับ”

“ก็ไม่มั่นใจมาก เเต่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ค่ะ!”

ลิเลียกำหมัดสองมือ เเละยิ้มด้วยความมั่นใจออกมา ถึงเเม้จะเป็นนางเอกที่ควรหลีกเลี่ยง เเต่ในเมื่อเป็นเพื่อนกันเเล้วก็ช่วยไม่ได้ ผมควรรู้สึกยินดีกับการสอบของเธอมากกว่า

 

“เเล้วคุณโนวมอลล่ะคะ?”

“ฉันเหรอ คิดว่าน่าจะได้คะเเนนเต็มนะ”

“อย่าล้อเล่นสิคะ”

“ไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันมั่นใจว่ายังไงก็ได้คะเเนนเต็มเเน่นอน ถ้าไม่เชื่อเธอลองถามฉันมาสักข้อก็ได้นะ”

ลิเลียไม่เชื่อคำพูดของผม ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปได้ยินพวกเขาก็คงคิดว่าผมโกหกเพื่อให้ตัวเองดูดี ผมเลยท้าเธอให้ถามผม เเน่นอนว่าผมจะตอบตามความจริงอย่างละเอียด

 

“ถ้างั้นเอาเป็น เราจะต้องมีทักษะใดในการใช้งานเวทมนตร์”

“เเน่ใจนะว่าเป็นคำถามนี้ ฉันคิดว่าทุกคนก็ตอบได้นะ”

“เป็นการทดสอบขั้นพื้นฐานก่อนที่จะถามเเบบจริงจัง ไงคะ~”

(ใช้ได้เลยนิที่เลือกคำถามนี้)

ลิเลียถามเลือกที่จะถามคำถามข้อเเรกที่ง่ายที่สุดของข้อสอบ ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากสำหรับคนที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์ เเต่ภายใต้คำถามที่ดูเรียบง่าย มันกลับเป็นข้อดักทีทำให้ผู้เขาสอบต้องเสียคะเเนนเเบบไม่ทันระวัง

 

“การใช้เวทมนตร์เเบ่งออกเป็น 2 เเบบก็คือ การควบคุม เเละการกระตุ้น เเต่ที่คุณต้องการคือคำตอบที่สามสินะ คุณลิเลีย นั่นคือ การดูดซับ”

“ถูกต้องเเล้วค่ะ ไม่นึกเลยว่า คุณจะรู้ถึงการดูดซับด้วย”

“ก็นะ การดูดซับมันเป็นวิธีต้องห้ามตั้งเเต่สมัยสงครามเดียโบส เมื่อ 1000 ปีก่อนนี่นา”

ประเภทการใช้งานเวทมนตร์จะสามารถจำเเนกลักษณะการต่อสู้ได้ นักเสริมพลัง จะใช้เวทมนตร์เเบบการกระตุ้นดึงพลังจากเเก่นเวทย์ภายในร่างกายออกมาเพื่อใช้งาน ส่วนนักเวทย์ จะเน้นไปที่การใช้เวทมนตร์เเบบควบคุมโดยการดึงพลังเวทย์จากรอบตัวมาใช้งาน

 

“การดูดซับ เป็นวิธีการใช้เวทมนตร์ที่ดูดกลืนพลังเวทย์มายกระดับร่างกายของผู้ใช้ให้ไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้มีพลังกายที่เเข็งเเกร่งไม่เเพ้ผู้ใช้เวทคนอื่น เเต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม การดูดซับนั้นถูกจัดอยู่ใน วิถีเดรัชฉาน”

“หรือก็คือเป็นวิธีต้องห้ามที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้ความคิด…”

“ดูเหมือนคุณลิเลียจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีนะ”

“ก็มันเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้านี่คะ”

เเม้ว่าจะมองไม่เห็นว่าลิเลียเศร้าจริงไหม เเต่พอฟังจากน้ำเสียงที่ต่ำลงของเธอ ผมก็รับรู้ถึงความจริงใจจากน้ำเสียงของเธอได้

 

“ในอดีตเมื่อ 1000 ปีก่อน ได้มีราชาองค์หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา นามของเขาคือ เดียโบส เดียโบสได้จุติลงมาบนพื้นโลกอย่างมิทราบสาเหตุ สิ่งที่เรารับรู้ได้จากเขาคือ เจตจำนงของเขาที่ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทุกสิ่งมีชีวิตให้หมดสิ้น เขาจึงเลือกที่จะใช้พลังในการคืนชีพ เเละสร้างบริวารขึ้นมา ซึ่งการโจมตีที่ไม่เเบ่งเเยกของเขาทำให้หลายขั้วอำนาจที่ซ่อนอยู่ต้องขึ้นมาต่อกรกับเขาเพื่อมีชีวิตรอด ซึ่งมีอยู่สองขั้วอำนาจที่ประทุขึ้น เเละต่อสู้กับเดียโบสจนเกิดเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ ลอร์ดเอเวอร์เรส เเละเจ้าสำนักพิภพกังวาน มาสเตอร์ ชิซู บุคคลเเรกที่สร้างเเนวคิดการใช้เวทมนตร์เเบบดูดซับขึ้นมา”

“ซึ่งจุดประสงค์ของมาสเตอร์ ชิซู คือการสอนให้คนธรรมดาที่ไม่ถูกรับเลือกเลยโดยเวทมนตร์ให้สามารถใช้งานเวทมนตร์ได้ เเต่ก็มีผู้ประสงค์ไม่ดีที่คิดจะใช้การดูดซับในทางที่ผิด ลูกศิษย์ของสำนักพิภพกังวานได้ทรยศอาจารย์ เเละหลบหนีไปตั้งสำนักมารขึ้นมา ถ่ายทอดวิชาให้ผู้คนที่หิวกระหายในเวทมนตร์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้สติ จนสร้างความเสียหายทั่วทุกอาณาจักร จนต้องดำเนินการกวาดล้างอย่างลับๆ ภายใต้สงครามที่มีเดียโบสเป็นฉนวน”

“ใช่เเล้วค่ะ ถึงเเม้ว่าการดูดซับจะไม่ใช่วีธีที่ผิด เเต่ก็ถูกลงความเห็นจากหลายอาณาจักรให้ปิดเป็นความลับ เเละห้ามเผยเเพร่ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อใดๆ ก็ตาม เเต่ยังไงก็ตามก็ยังมีหนังสือที่เก่าเเก่ยังคงหลงเหลือ เเละเล่าถึงประวัติศาสตร์นั้นอยู่ ซึ่งเเน่นอนว่าหลังจากสำนักมารถือกำเนิดขึ้น มาสเตอร์ ชิซูก็ได้ละทิ้งสำนัก เเละหายตัวไป จนทำให้ลูกศิษย์คนต่างๆ ต้องเเยกย้าย เเละไปตั้งสำนักของตนในที่ลับตาผู้คน เเละหาผู้สือทอดวิชาเรื่อยมา”

“วิชาที่ถูกปกปิด เพียงเเค่ดูดกลืนเวทมนตร์โดยรอบมาสร้างเป็นพลังที่เเข็งเเกร่ง เเต่ก็เเลกมากับการที่ผู้ใช้มีโอกาสเสียการควบคุม เเละโดนเวทมนตร์กลืนกินเเทน กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่โหยหาเเต่ความเเข็งเเกร่ง หรือก็คือวิถีเดรัชฉานนั่นเอง”

ลิเลียมองผมโดยไม่พูดอะไร ปากของเธอไม่ขยับสักพัก ก่อนที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เเละเปล่งเสียงถามผมด้วยความสงสัย

 

“น่าตกใจอยู่นะคะ ที่คุณโนวมอลรู้เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดเลย”

“ฉันก็เเค่อ่านหนังสือผ่านตามาเยอะน่ะ”

(ถึงความจริง จะเป็นข้อมูลภายในเกมก็เถอะ)

สำหรับผมข้อมูลที่มีประโยชน์ไว้ใช้สำหรับการจบเกมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องจดจำ ในการเดินทางของตัวเอกจะต้องพกพาสหายที่เเข็งเเกร่งเพื่อให้ผ่านภารกิจอยู่เเล้ว ตัวละครที่มีความสามารถดูดซับพลังเวทย์มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการยืนเเนวหน้าของปาร์ตี้

 

“ว่าเเต่เธอคุณลิเลียล่ะ น่าเเปลกใจเหมือนกันที่คุณรู้เรื่องนี้เท่าผม”

“ฉันก็เเค่มีอาจารย์ที่ดีเองค่ะ”

“สุดยอดไปเลยนะครับ ผมนี่อิจฉาเลย”

“ทำไมเหรอคะ?”

“ก็เเบบต้องไปศึกษาในที่ต่างๆ มันลำบากมากเลยครับ”

“ต้องเป็นการผจญภัยที่เเสนวิเศษมากเลยสินะคะ”

“ถึงจะเหนื่อย เเต่ก็คุ้มค่ากับการเสียเวลาครับ”

(หึ ชักไม่เหมือนอย่างที่คิดเเล้วสิ ผู้หญิงคนนี้พยายามปกปิดตัวตนเหมือนเราสินะ)

เเม้ว่าภายนอกจะดูไร้เดียงสา เเต่จากที่ผมคุยกับเธอได้สักพัก นางเอกคนนี้ไม่ธรรมดาเลย นอกจากจะเลือกคำถามดัก ยังมีชั้นเชิงในการรักษาความลับด้วย ลิเลียมองมาที่ผมสักพักก่อนเธอจะยิ้มอ่อนด้วยความน่าขนลุก

 

“ไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้ค่ะ ถึงฉัันจะไม่รู้ว่าคุณซ่อนอะไรอยู่ เเต่คุณคงรู้ความลับของฉันสินะคะ”

(!)

“พูดอะไรน่ะครับ คุณลิเลีย”

“ฉันสังเกตคุณมานานเเล้ว ทั้งร่างกายที่เเข็งทื่อ น้ำเสียงที่ฝืนธรรมชาติเป็นบางครั้งคราว เเละที่สำคัญรอยยิ้มนั้นเช่นกัน เวลาคุณกำลังคิดว่าอีกฝ่ายเดินตามเกมของคุณ คุณมักจะยิ้มเเบบเข้าเล่ห์ออกมาเสมอ”

(นึกว่าเป็นเเค่นางเอกที่จับทางง่าย เเต่เหมือนจะมีเขี้ยวเเอบเเฝงอยู่สินะ)

“วิเคราะห์ได้ละเอียดเเบบนี้ ฉันก็ไม่มีข้อเเก้ตัวสิ”

“เป็นเเค่การสังเกตคร่าวๆ เองค่ะ”

ผมพอรู้ตัวว่าตัวเองมักมีนิสัยชอบยิ้มเวลาตัวเองได้ชนะใครสักคนจนหลายคนไม่ชอบขี้หน้า เเต่การที่โดนมองออก เเละประกาศออกมารชัดเจนเเบบนี้ เธอต้องการอะไรกันเเน่ ทั้งที่ถ้าเงียบไว้ เเละหลอกใช้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย เธอสามารถหาผลประโยชน์ในอนาคตได้อย่างง่ายดาย

 

“เเล้วต้องการอะไรล่ะ ถ้ามองออกเเล้วว่าฉันไม่คนที่น่าเชื่อใจ เธอควรที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าหาฉันสิ”

“คือว่า…พอมีคนขอเป็นเพื่อนคนเเรกในเมืองหลวงเเล้ว มันก็เเบบ…คิดว่าถ้าปฎิเสธไป คงเป็นการเสียมารยาทค่ะ อีกอย่าง…”

“อะไร?”

ลิเลียก้มหน้าลม เเละกุมมือทั้งสองวางบนหน้าตัก น้ำเสียงของเธอค่อนข้างสั่นเเสดงถึงความลังเลเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเว้นช่วง เเล้วสูดลมหายใจเรียกสติ

 

“ฉันคิดว่า คุณโนวมอลไม่ใช่คนไม่ดีหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นน่าจะเชื่อใจได้ระดับหนึ่งค่ะ!”

“ระดับหนึ่งเเต่ก็ไม่ได้เต็มที่ สรุปเธอจะเอายังไงกันเเน่นะ”

“เอ…เออ…เเบบว่า…”

“ช่างมันเถอะ เธอจะไม่เชื่อใจฉันก็ได้นะ เพราะฉันเองก็ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น”

“เเต่ที่บอกว่าจะรับผิดชอบนี่ คงไม่ผิดสัญญาใช่ไหมคะ”

“ถึงจะเป็นคนดูไม่น่าเชืิ่อถือ เเต่ฉันพูดจริงทำจริงนะ”

“คิก บอกว่าไม่ใช่คนดี เเต่ยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำเนี่ย ย้อนเเย้งในตัวเองจังนะคะ”

“นั่นสิ เเค่คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเท่านั้นเอง”

ลิเลียเอามือปิดปาก เเละเเอบขำเล็กน้อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมปล่อยมุกตลกอะไรออกมา หรือว่าเธอเป็นคนที่บอบบางต่อมุกฝืดของผม

 

“ถ้างั้นเราลองมาพูดกันเเบบไม่เป็นทางการดีไหมคะ”

“ทำไมล่ะ?”

“ฉันก็เเค่อยากจะคุยกับเพื่อนเเบบไม่ใส่หน้ากากเข้าหากันเองค่ะ”

“ถ้าเธอว่าเเบบนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก เเต่ไอ้ที่ใส่หน้ากากนี่ เธอเจอเเต่คนประเภทนั้นเหรอ?”

“จะว่าถูกก็ไม่ผิด เพียงเเต่ฉันเเค่รู้สึกอึดอัดเท่านั้นเอง”

(หรือว่าที่เธอใส่เเว่นตา คงเป็นเพราะคนเหล่านั้น)

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าหน้าตาตัวเอกในโลกนี้เป็นยังไง เพราะในเกมเราสามารถเลือกที่จะเเต่งตัวละครของเราได้ เเว่นตาสีขาวทึกนั้นทำให้ผมไม่รู้เลยว่าเธอมีหน้าตาที่งดงามหรือเปล่า

 

“จะไม่ถามหรอกนะว่าเธออยากปิดบังตัวตนเพราะอะไร เเต่ถ้าอยากได้เพื่อนที่ยุ่งยากนิดหน่อย เป็นฉันก็ได้นะ”

“ได้เหรอคะ?”

“จะถามซ้ำทำไมล่ะ เอ้า นี่มาทำความรู้จักใหม่เถอะ”

ผมที่ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงยื่นมือออกไปอีกครั้ง ลิเลียที่เห็นดังนั้นจึงประหลาดใจ ผมที่่เห็นดังนั้นจึงต้องเป็นคนเริ่มทำการรู้จักใหม่เเทน

 

“เธอบอกไม่ต้องถ่อมตัวสินะ ฉันชื่อเอลเดล นอล หรือชื่อเล่น โนวมอล ยินดีที่ได้เป็นเพื่อนกันนะ ลิเลีย”

“ค-ค่ะ ฉัน มิธ ลิเลีย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณนอล”

“บอกให้ฉันไม่ถ่อมตัว เเต่เธอดันขึ้นต้นชื่อฉันด้วยสรรพนามซะงั้น เรียกเเค่โนวมอลก็พอ”

“เเต่ชื่อจริงของคุณคือ นอล ไม่ใช่เหรอคะ?”

“ในฐานะเพื่อนกัน เธอต้องเรียกฉันว่า โนวมอลสิ ฉันชอบให้คนเรียกชื่อเล่นมากกว่านะ”

“อืม ถึงไม่ค่อยเข้าใจ เเต่จะพยายามดูนะคะ คุณโนวมอล”

“…”

“อ่า ขอโทษค่ะ ฉันยังไม่ชินกับการพูดไม่เป็นทางการเท่าไหร่นัก”

“อยากเรียกว่าอะไรก็ตามสบายเลย ฉันไม่ได้ใส่ใจหรอก”

เเม้ลิเลียจะยังไม่ค้นชินกับการเรียกชื่อจริง (โลกก่อน) ของผม เเต่ผมก็ไม่ได้ที่จะบังคับเธอ เเต่ในใจลึกๆ ผมก็อยากให้คนอื่นเรียกผมว่าโนวมอลมากกว่าชื่อจริงในโลกใบนี้

 

{อีก 10 นาที จะเริ่มการสอบขอให้นักเรียนทุกคนไปเคลื่อนตัวไปที่สนามสอบอย่างรวดเร็ว}

“จะเริ่มสอบเเล้ว รีบไปกันเถอะ”

“นั่นสิคะ รีบไปกันเถอะค่ะ”

ผม เเละลิเลียต่างลุกกันออกจากที่นั่ง เเล้วเดินไปพร้อมกันต่อเเถวฝูงชนมากมายที่เคลื่อนตัว มันค่อนข้างเเออัด เพราะมีผู้คนหลายร้อยในโรงอาหารกำลังเดินออกพร้อมกัน

 

“คนเยอะจังเลยนะคะ”

“ก็สมกับเป็นสถาบันเเอสทาเรียดี ยังไงก็เป็นที่หมายตาของคนที่ต้องการประสบความสำเร็จอยู่เเล้ว”

“ถ้าอย่างงั้นคุณโนวมอล อยากจะทำอะไรหลังจบการศึกษางั้นเหรอคะ?”

“ไม่รู้สิ ตอนนี้เเค่คิดว่า จะใช้เงินทุนจากนักเรียนยศเพชร กินอาหารเเพงๆ เเละนอนเล่นไปวันๆ อย่างราชาน่ะ”

“นักเรียนยศเพชรไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ นี่คะ อย่างน้อยก็ต้องสร้างผลงานเป็นท็อปสิบของการสอบเข้า ถึงจะพิจารณาไม่ใช่เหรอคะ”

“ก็อันดับหนึ่งมันล็อคให้ฉันเเล้วนี่นา ทำไมฉันจะต้องไปคิดมากล่ะ”

“มั่นใจจังเลยนะคะ ถ้าเป็นฉันขอให้สอบผ่านได้คะเเนนดีๆ ก็พอเเล้ว”

“อย่าประเมินตัวเองต่ำสิ จากสายตาฉันเเล้ว ยังไงเธอก็ไม่ด้อยไปกว่าใครหรอก เพลอๆ เธอนี่เเหละ ผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งตัวเต็งในการสอบนี้ ตอนนี้ฉันกำลังคิดอยู่เลยนะว่า จะรับมือกับเธอยังไงดี”

“ไม่ไหวหรอกค่ะ ฉันไม่ได้มีความสามารถมากมายที่จะคว้าที่หนึ่งได้เลย”

(ถึงเธอจะบอกไม่มี เเต่ไอ้พรที่เธอมีมันโคตรโกงจนฉันยังกลัว)

ทุกคนที่เล่น ulofan ต่างรู้ดีว่าผู้พัฒนาให้พลังผู้เล่นมากเเค่ไหน ตัวละครเอกนั่นมีสกิลสุดขี้โกงที่ให้มานั่นคือ เจตจำนงเเห่งผู้กล้าเวเรีย ซึ่งจะคอยชี้นำตัวเองให้มีความสามารถทัดเทียมกับอดีตผู้กล้าที่เเข็งเเกร่งที่สุด อัสลาน เวเรีย ผู้ที่ทำให้จอมมารต้องพ่ายเเพ้ เเละถูกจำศีล

 

“เธอนี่ก็ล้อเล่นเป็นเหมือนกันนะ”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะคะ!”

“เเต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงฉันก็ได้ที่หนึ่งอยู่เเล้ว”

“ทำไมฉันเริ่มมีความคิดที่ว่าตัวเองชักอยากเป็นที่หนึ่งเเล้ว”

ลิเลียโกรธที่ผมไม่เชื่อเธอ เเต่จะให้ผมบอกว่าเธอจะไม่ได้ที่หนึ่งได้ไงล่ะ เพราะตามเนื้อเรื่องเกม เธอก็ถูกบังคับให้ได้ที่หนึ่ง เเถมยังมีความสามารของผู้กล้าที่ไร้เทียมทานอีก คิดดยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะไม่ได้ที่หนึ่ง ถ้าไม่นับว่ามีผมที่เเข็งเเกร่งกว่ามากอ่ะนะ

 

หลังจากที่เดินมาได้สักพัก ผม เเละลิเลียก็มาถึงสนามสอบที่คล้ายโคลอสเซียมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ตึกสอบ มันทำมาจากวัสดุที่ทนทาน เเละเสริมความเเข็งเเกร่งด้วยเวทมนตร์ พวกเราเข้าไปข้างในกับกลุ่มผู้เข้าสอบ เเล้วพบกับผู้คุมที่ยืนอยู่กลางสนาม เมื่อมองออกไปรอบๆ ก็พบกับผู้คนมากมายที่ชำเลืองสายตามองลงมาพร้อมเสียงร้องก้องกังวานจนเเยกไม่ออกว่ามีเสียงใครบ้าง

 

“ขอต้อนรับผู้เข้าสอบทุกท่านเข้าสู่สนามประลองอันมีเกียรติของสถาบันเเอสทาเรีย เดอะ อารีน่า!”

“อารีน่า อารีน่า อารีน่า!”

“เห็นผู้ชมที่น่ารัก เเละผู้เข้าสอบอันมีเกียรติมาเยือนเเล้ว ถ้าดิฉันไม่เเนะนำตัวก็คงจะเสียมารยาทเเน่เลย”

มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือถือไมค์นั่งอยู่ตรงบริเวณผู้ชมกำลังส่งเสียงหนักเเน่น เเละชูนิ้วชี้ขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับเสียงประสานของผู้ชม นี่มันไม่ต่างกับการเเข่งขันฟุตบอลในลีคชื่อดังเลย

 

“ดิฉัน ตัวเเทนจากสภานักเรียนรุ่นที่ 68 ฝ่ายเลขานุการ ฮาล ดีฟ ฮารเต้ จะทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายการสอบภาคปฎิบัติ ครั้งที่ 69 เองค่ะ!”

ผู้หญิงคนนั้นมีผมยาวสีดำเงา ดวงตาของเธอมีสีเหลืองเปล่งประกาย รูปร่างหน้าตาจัดอยู่ในมาตรฐานของไอดอลที่ใครต่างชื่นชอบ น้ำเสียงของเธอนั้นสดใส เเละร่าเริง ไม่ว่าใครฟังต่างก็ต้องเคลิ้มตาม เธอชูไมค์ตรงไปข้างหน้า สักพักก็ปรากฏเเสงสว่างผ่านไมค์ฉายภาพหนึ่งขึ้นมา

“เรามาเริ่มตั้งเเต่อธิบายกฎกันดีกว่าค่ะ สำหรับธรรมเนียมการสอบภาคปฎิบัติของสถาบันเเอสทาเรียนั้น เราจะมีชื่อทางการคือ King of survivor (ราชาเเห่งผู้อยู่รอด) สำหรับเงื่อนไขในการได้คะเเนนก็ง่ายๆ ใครที่สามารถยืนอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายได้ คนนั้นก็จะได้คะเเนนสูงสุดนั่นเอง”

(เป็นการสอบที่ไม่ปราณีใครเลยจริงๆ)

เป็นไปตามที่คิดไว้ สมกับเป็นสถาบันที่เป็นหน้าตาของอาณาจักร การสอบต้องยากเค้นในระดับหฤโหดอยู่เเล้ว การสอบนี้คือการเฟ้นหาคนที่เเข็งเเกร่งที่สุดเพียงเท่านั้น

 

“เเต่เพื่อให้เป็นกลาง เเละเกิดความเท่าเทียมเเก่ผู้เข้าสอบอื่น เราจะมีข้อบังคับอยู่ว่า หนึ่ง ผู้เข้าเเข่งขันทุกคนต้องใช้อุปกรณ์ตามที่ทางเราจัดเตรียมให้เท่านั้น เพื่อเเสดงให้เห็นถึงศักยภาพสูงสุดของผู้เข้าสอบ”

“สอง ในมือของพวกท่านจะมีเเหวนระบุตัวตนอยู่ สิ่งที่จะมีความสามารถในการตรวจจับสถานะของผู้ถือครอง ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บจนเกิดหมดสติ เเหวนจะระเบิดออกเพื่อรักษาผู้ใส่อัตโนมัติ เเต่ถึงกระนั้นผู้เข้าสอบก็ถือว่าพ่ายเเพ้เป็นที่เรียบร้อย”

“เเละสาม ข้อสุดท้าย ในกรณีที่ผ่าฝืนกฎข้อใด ข้อหนึ่ง กรรมการผู้คุมสอบที่อยู่ในสนามทั้งสองท่านจะเป็นคนลงมือจัดการทันที ดังนั้นขอรบกวนผู้เข้าสอบทุกท่านให้ความร่วมมือด้วย”

จากที่ผมฟังข้อบังคับมาก็ดูเหมือนที่นี่จะให้ความใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของผู้เข้าสอบระดับหนึ่ง เเต่ที่น่าเเปลกใจคือไม่นึกว่าเเหวนระบุตัวตนที่กินเงินไปหมื่อนยูเร จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้

“สิ้นสุดการอธิบายข้อบังคับเเล้ว ต่อไปคือ การเเบ่งกลุ่มผู้เข้าสอบ การสอบนั้นจะเเบ่งออกเป็นสี่รอบ รอบละ 100 คน โดยจะมีสี่กลุ่มคือ A B C D รวมทั้ง 400 คน ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับคะเเนนสอบจะต้องเป็นคนที่เหลือรอด 40 คนเเรกเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นการสอบนี้เราจะคัดเเค่ 160 คนสำหรับคนสำหรับการผ่านการสอบภาคปฎิบัติ”

“สิ้นสุดการชี้เเจงเเล้ว โปรดตัวดูกลุ่มเข้าสอบของท่านได้เลย!”

ผมรับรู้ได้ถึงเเหวนระบุตัวตนในมือขวาที่ร้อนขึ้น พอหันลงไปมองก็พบกับตัวอักษรปรากฎขึ้นมา ผมนั้นได้กลุ่ม A ซึ่งเป็นกลุ่มเเรกนั่นเอง

 

“ฉันได้ A เธอล่ะ”

“ฉันได้ D ค่ะ เป็นกลุ่มสุดท้ายเลย”

“ดีเเล้วที่ฉันไม่ได้เจอเธอ ฉันไม่ค่อยอยากที่จะปะมือกับเพื่อนสักเท่าไหร่ด้วยสิ”

“เหมือนกันค่ะ”

ผมกับลิเลียมองดูเเหวนของต่างฝ่าย เห็นได้ชัดเลยว่าผม เเละเธอนั้นอยู่คนละกลุ่ม หมายความว่าเราจะไม่ได้สู้กันนั่นเอง นับเป็นเรื่องโชคดีเพราะถ้าผมสู้กับเธอคงจะเหนื่อยนิดหน่อยเเน่นอน

 

“ต่อไปนี้จะเป็นรายชื่อของผู้เข้าสอบในเเต่ละคุณให้ผู้ชมได้ดูค่ะ”

(โอ้ นั่นมัน…)

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองภาพฉายซึ่งมีรายชื่อนับร้อยเรียงอยู่ ภายในนั้นมีชื่อของผมที่อยู่กล่มเเรก เเต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะสิ่งที่ผมสนใจคือ คนหนึ่งที่ผมเล็งมองมานานเเล้วต่างหาก

 

“สำหรับกลุ่ม A เราก็มีสิ่งเร้าใจให้ผู้ชมได้ดูเสียเเล้ว ดาวเด่นของกลุ่มก็คือเจ้าชายมิลมิเลี่ยนของพวกเรานั่นเอง!”

(ยอดเยี่ยม!)

ผมไม่อาจหุบยิ้มเมื่อได้เห็นหน้าของเจ้าชายบนภาพฉายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับผม มือทั้งสองกำเเน่นด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ทำไมผมชักอยากที่จะเริ่มสอบเร็วๆ เเล้วสิ

 

“เเต่ทว่า กล่ม B ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน เพราะมีลูกสาวของสองดยุคอันเลื่องชื่อไม่ว่าจะเป็น คุณหนูเเคสโตเวีย หรือคุณหนูโรซาเรส”

“กลุ่ม C ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะมีถึงตัวเต็งอย่าง คริสโตเฟอร์ เซอร์ไฮด์ บุตรชายของหัวหน้าอัศวิน”

“เเละสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือ กล่ม D บุตรสาวของจอมปราญช์เมอร์ลิน ฮาเรอร่า วี วาเร็ตจิต้า ผู้ได้นับการขนานนามว่า เพชรเเห่งมนตรา…”

ผมยืนฟังที่เลขานุการนักเรียนสาธยายไปทั่วถึงความน่าทึ่งของพวกชนชั้นสูง ซึ่งก็อยากที่จะตอบโต้กลับไปเหมือนกัน เพราะคนที่ควรจับตามองไม่ใช่ ลูกสาวของเมอร์ลินขี้เหล้านั่นหรอก เเต่ควรเป็นลิเลียต่างหาก เพราะเธอคือผู้สืบทอดผู้กล้าเเห่งความหวัง อัสลาน เรเวีย

 

“ถ้าผู้เข้าสอบตรวจเช็กเรียบร้อยเเล้ว ขอความกรุณากลุ่มที่เหลือนอกจากลุ่ม A ไปยังทางประตูตะวันออกด้วยค่ะ ส่วนกลุ่ม A จะมียุทธาอุปกรณ์อยู่ทางประตูตะวันออก กรุณาไปเตรียมตัว เเละหยิบอาวุธให้เรียบร้อยด้วยค่ะ”

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

“โชคดีนะคะ คุณโนวมอล”

ผมโบกมือจากลาลิเลียก่อนที่จะหันหลังไปประตูตะวันออก เมื่อเดินเข้าไปก็พกกับอาวุธมากมายที่ใส่ตะกร้า หรือเเขวนไว้บนผนังให้เลือกใช้ เรียกได้ว่าเป็นคลังสมบัติของเเท้

 

“เยอะเป็นบ้าเลยเเหะ เอาชิ้นไหนดีนะ นี่ก็ดี อันนั้นก็ว้าว…”

ผมไล่จับอาวุธทุกชิ้นไป เเละตรวจสอบคุณภาพของมันไปอย่างช้าๆ เริ่มจากดาบยาว มีดสั้น ขวาน หอก เเละอื่นๆ จนคนที่อยู่รอบตัว เขาถยอยออกกันไปหมดเเล้ว

 

“ช่างมันขนไปหมดเลยละกัน!”

ผมที่อยากจะใช้ทุกชิ้นก็เลยไม่สนว่ามันจะเกะกะหรือไม่ก็เลยหยิบทั้งตะกร้าด้วยสองมือ เเละเดินตรงออกไปยังสนาม เพราะในเมื่อมีของฟรีมาให้ใช้เเล้ว จะเลือกถนอมสักชิ้นก็เสียดาย

 

“โอ้ดูนั่นสิคะ คุณผู้ชม ชายไร้ชื่อ เอลเดล นอลได้ออกมาเเล้วค่ะ ว่าเเต่ทำไมเขาถึงขนอาวุธมามากมายนะ ฉันหาคำตอบไม่ได้จริงๆ ค่ะ!”

(รู้กระทั่งชื่อด้วยเหรอนี่ ไอ้เเหวนนี่มันจะอเนกประสงค์ไปเเล้ว)

ชื่อ เเละหน้าของผมปรากฏบนหน้าจออย่างไม่เต็มใจ ผมที่เห็นดังนั้นจึงวางตระกร้าอาวุธบนสนาม เเล้วมองไปยังเเหวน ที่ส่องเเสงสว่าง ผมเริ่มคิดเเล้ว่า เเหวนนี้มันน่าพิศวงเกินไปเเล้ว

 

“เเต่ไม่ว่ายังไงก็ตามผู้เข้ากลุ่ม A ก็ครบเรียบร้อยเเล้ว ถ้างั้นเรามาเริ่มการสอบภาคปฎิบัติกลุ่่ม A กันเถอะค่ะ ถ้าทุกท่านพร้อมเเล้ว มานับถอยหลังพร้อมกันเถอะ เอ้า!

” “1! 2! 3!”

“เริ่มการสอบได้!!!!”

เสียงของพิธีกรดังลั่นเป็นการเริ่มสัญญาณการต่อสู้บนสังเวียนของผู้อยู่รอด ผมที่ได้ยินกังนั้นจึงหยิบดาบยาวในตระกร้าขึ้นมาเตรียมพร้อม

 

“หึ นายเองสินะ ที่ขัดอารมณ์องค์ชาย ไอ้สามัญชน”

(ก็รู้ตัวหรอกนะ ออร่าอยากระทืบคน มันเซ้นท์ดี เเต่ก็ไม่นึกว่ามันจะมาเร็วเเบบนี้เเหะ)

ผมหันข้างไปก็พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลากว่าผมกำลังจ้องมองผมด้วยท่าทีเหยียดหยาม เขาสะพายดาบไว้บนบ่าด้วยท่าทีสบาย ผมสีดำยาวผิดตาของเขาไปข้างหนึ่ง เเสดงให้เห็นความเป็นหนุ่มฮอตที่ใครต่างชื่นชอบ

 

“ไม่รู้หรอกนะว่า นายมีสมองรึเปล่า เเต่คนที่กล้าสามห้าวต่อเชื้อพระวงศ์ เป็นฉันก็ทนอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน ถ้ากำจัดนายออกจากสนาม องค์ชายคงจะตบรางวัลให้อย่างดี”

“ดูนั่นสิคะ คุณผู้ชม บุตรชายเเห่งขุนนางที่ดิน อัลเบริก เอริก เริ่มเคลื่อนไหวเเล้ว เป้าหมายของเขาคือ เอลเดล นอลด้วย เขาจะรอดไหมนะ หรือจะจบการสอบเพียงเท่านี้!”

“สำหรับนาย ฉันคงให้ตัวเลือกเเค่ ตกรอบ ล่ะนะ”

ผมถอนหายใจเล็กน้อย ในเวลานี้เเม้เเต่พิธีกรก็ไม่ให้ความเป็นกลางเลย เธอตัดสินผมจากข้อมูล เเละชื่อเสียง จนไอ้คนที่อยู่ตรงหน้ามันก็ยิ่งได้ใจไปใหญ่

 

“พูดมากน่า อยากสู้มาก ก็รีบเข้ามาเหอะ”

“นายจะพูดเเบบนี้ได้เเค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะ ลาก่อน ทะลวงชีพ!”

เอริกนำดาบออกจากไหล่ เเละบิดตัวอย่างรวดเร็ว มือขวาที่จับด้ามดาบได้ใช้เเรงอันมหาศาลพุ่งเเทงตรงมาทางผมด้วยความเร็วสูง ซึ่งผมก็ใช้เเรงที่มีฟาดดาบลงมาในเเนวตรงเเทน

 

เปร้ง!!!!!!!!

“ท-ทุกท่าน!”

ผมเห็นภาพช้าของดาบที่ปะทะกัน สิ่งที่เห็นไม่ใช่ดาบของใครที่กำลังเอื้ิอมไปถึงอีกฝ่าย เเต่มันเป็นเศษดาบที่เเตกกระจัดกระจายล่องลอยอยู่บนอากาศต่างหาก

 

“ไม่น่าเชื่อ! ดาบของทั้งสองเเตกพังไปเเล้ว!”

“เสียดายจัง อุส่าห์คิดว่าจะใช้ได้นานกว่านี้เเท้ๆ”

หลังจากที่ดาบของผมพังทลายไปด้วยน้ำมือของผม หมัดซ้ายของผมก็ชูขึ้นกำเเน่นจนได้ยินเสียง ภายในพริบตามันก็ถูกปลดปล่อยซัดเข้าที่หน้าของเขาจนเละไม่เหลือเค้าโครงความหล่อ

 

“เเต่เอาเป็นว่าฉันยังมีสำรองใช้เเล้วกัน”

หมัดของผมชกร่างของคนที่เหม็นขี้หน้าซัดปลิวพาคนที่อยู่ระหว่างทาง ลอยกระเเทกไปตามเขาจนสุดผนังอารีน่า ผมได้เห็นชายสามคนนอนสงบข้างกายเอริก

 

“บ้าไปเเล้ว! เอลเดล นอล ชายปริศนาไร้ชื่อได้ทำการเปิดสนาม ทำการน็อคเอาท์ ผู้เข้าสอบไป 4 คนเรียบร้อยค่า! หรือว่าเขาจะเป็นม้ามืดเเห่งกลุ่ม A กันเเน่!”

“ให้ตายสิ เป้าหมายฉันคือ เจ้าชายคนเดียว ถ้าพวกเเกไม่อยากตกรอบ ก็อย่ามาขวางทางสิวะ!”

ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะหยิบดาบเล่มใหม่ขึ้นมาใช้ ผมมองไปที่เจ้าชายที่ยืนมองผมด้วยสายตาเย็นชา ซึ่งก็มีคนระหว่างทางไปอยู่บ้าง ผมจึงต้องออกเเรงจัดการขวากหนามเสียก่อน

 

(ยัยนี่ คิดจะล่อลวงเรา ด้วยข้อเสนอตื้นๆ สินะ)

สิ่งที่เชอร์เบชพูดออกมานั้นไม่มีความลังเลเลย คงไม่เเปลกเพราะครอบครัวของเธอเป็นถึงตระกูลเเคสโตเวียที่มีโดดเด่นเรื่องเวทมนตร์ชั้นเเนวหน้าของอาณาจักร ดังนั้นชื่อเสียง เเละเงินทองจึงมีอยู่ล้นเหลือ ใครที่เชอร์เบชสนใจเธอก็ใช้สิ่งที่เธอมีดึงดูดพวกเขา

 

(คำตอบมันเเน่นอนอยู่เเล้ว)

“ชื่อเสียง ฉันไม่ค่อยเเคร์ด้วยสิ อำนาจก็งั้นๆ มีไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรในตอนนี้ ส่วนเงินทอง เธอคิดว่ามีมากพอเหรอ ฉันน่ะค่อนข้างเเพงนะ”

ยังไงข้อเสนอของเชอร์เบชก็ไม่ได้น่าดึงดูดอะไรมาก ชื่อเสียง เเละอำนาจ สำหรับผมที่เเข็งเเกร่งจนยากจะต่อกร สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้สาระ

“ถามว่ามากพอไหมเหรอ ตอนนี้ฉันพกมาเเค่ค่าขนมด้วยสิ สกิล คลังสมบัติลี้ลับ”

เชอร์เบชถอนหายใจเล็กน้อย ซิกม่าของเธอส่องเเสงสีทองในมือขวา ไม่นานก็มีกระเป๋าสีดำตกเเต่งด้วยลายดอกไม้ปรากฎออกมาบนมือของเธอ เชอร์เบชเปิดกระเป๋า เเละหยิบเหรียญจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะหน้าผม

 

“ช่วงนี้ฉันโดนพ่อคุมเรื่องการใช้เงินด้วยสิ ตอนนี้อาจจะมีเเค่นี้ เเต่ถือเป็นค่ามัดจำก่อนได้ไหม”

เชอร์เบชทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ซึ่งผิดกลับผมที่ตาโต เเละตกใจเเเบบสุดขีด สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าไม่ใช่เหรียญเงินวาว เเต่มันคือเหรียญทองนับ 10 เหรียญที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ

 

(เชี้x 10 เหรียญทองค่ามัดจำเนี่ยนะ!)

เชอร์เบชอาจจะไม่รู้ตัวเพราะผมพยายามเก็บรักษาหน้าไว้ เเต่ตอนนี้มือผมสั่นไม่เป็นจังหวะเเล้ว ทอง 10 เหรียญมันตั้ง 100,000 ยูเรเลยนะโว้ย! ถ้าได้เงินก้อนนี้มานี่คือได้กินเเบบราชาไปหลายเดือนเเน่นอน

 

(เเต่เราจะร้อนรนไม่ได้! ถ้าเเค่ 1 เเสนยูเร ค่อยๆ เก็บสะสมจากเงินสมทบตอนได้เเรงค์เพชรก็ไม่เสียหาย)

“โทษทีนะ เเต่ฉันต้องข-”

“เอ๊ะ ดูเหมือนฉันจะหยิบผิดเหรียญนะ”

“ว่าไงนะ?”

“เหรียญทองนั้นใช้จ่ายค่าอาหารสัตว์เลี้ยง ถ้าเงินใช้จ่ายอิสระ โดยไม่รวมเงินสำรอง คงมีเเค่นี้…”

เชอร์เบชวางเหรียญหนึ่งข้างกองเหรียญทอง มันคือเหรียญทองคำขาวซึ่งผมเเทบไม่เชื่อสายตา ออร่าความรวยของมันสะท้อนเขาตาผมเต็มสองตา

 

(บ-บ้าหน่า! ทองคำขาวอย่างงั้นเรอะ!!!!!!!!!!!!!!!!)

เหรียญทองคำขาวนั้นเปรียบได้เท่ากับเหรียญทอง 100 เหรียญกองอยู่ตรงหน้าผม ความเย้ายวนของมันทำให้สติของผมกระเจิง บ้าไปเเล้ว! 1 ล้านยูเรนี่ สามารถกินนอนอยู่ในห้องพักหรูหราได้เป็นหลายปีเชียวนะโว้ย! ผมอยากจะเข้าไปสัมผัส เเละกอดมันในอ้อมอกเหลือเกิน เเต่ถ้าทำเเบบนั้นมันจะดูไม่เท่ ผมจึงยังคงทำหน้านิ่ง เเละจิกมือตัวเองให้อยู่นิ่งๆ

 

“ดูจากท่าทีที่ไม่กระติ่นรือร้นของนาย คงจะไม่สนใจข้อเสนอสินะ”

เชอร์เบชทำหน้าผิดหวัง เเละค่อยๆ หยิบเหรียญทองเก็บลงคลังสมบัติลี้ลับ จนในที่สุดก็เหลือเหรียญทองคำขาว ในขณะที่นิ้วของเธอกำลังจะหยิบกลับ มือของผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปเเล้ว!

 

“อ-อย่าพึ่งสิครับ เรามาคุยข้อตกลงก่อนดีกว่า!”

“เห้~ ตอนเเรกก็นึกว่านายจะเล่นตัวมากกว่านี้อีก”

“ทำไงได้นะครับ คุณหนูอุส่าห์ให้ความเมตตาให้ข้อเสนอดีๆ ผมก็ไม่อยากที่จะรีบปฏิเสธน่ะครับ”

“เเต่ฉันคิดว่า ถ้าไปหาคนอื่น น่าจะประหยัด เเละจงรักภักดีกว่านายนะ”

เชอร์เบชยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เเละกดเเรงลงบนเรียญทองคำขาวมากขึ้นเพื่อที่จะลากกลับมาหาตัวเอง ซึ่งเเน่นอนถ้าวัดกันที่พลังผมจะไม่มีทางมอบคืนให้เธออย่างเเน่นอน

 

(ขอเถอะ! ขอเถอะ! ถ้าบอกว่าเป็นค่าขนม เเทนที่จะเอาไปซื้อของ จ้างฉันดีกว่า จะทำงานเป็นเบ๊มืออาชีพให้เลย!)

“อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจสิครับคุณหนู! เอาเป็นว่าทำไมเราไม่มาคุยเรื่องสัญญากันก่อนล่ะครับ!”

“เอายังไงดีนะ ปีนี้การเข้าสอบปีนี้ มีผู้เข้าสอบที่น่าสนใจเยอะด้วยสิ”

“เเต่ก็เเค่คนที่น่าสนใจไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเทียบกับข้ารับใช้ที่มีการการันตรี เรื่องความเเข็งเเกร่ง เเละความฉลาดล่ะก็ ผมต้องเบอร์หนึ่งเลยนะครับ!”

“เเต่หน้าตาดันเห่ย จนดูไม่เหมาะกับฉันสักเท่าไหร่ เวลาต้องให้ติดตามมาด้วยน่ะสิ”

(ยัยนี้!)

“เเหมๆ การเลือกซื้อ ผลไม้ที่อร่อยเขาไม่ดูกันที่ภายนอกนะครับ เราจะต้องเข้าใจถึงภายใน เเละกระบวณการผลิตที่ประณีต หน้าตาก็เเค่สิ่งดึงดูดลูกค้าจอมปลอมเเหละครับ”

“นายจะบอกว่า ผลไม้ที่อร่อยนั่นคือ นายงั้นเหรอ?”

“ถ้าจะให้เปรียบถึง รูปโฉมจะธรรมดาทรงขี้เหล่ เเต่ภายในเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเเน่นอนครับ!”

ผมหันมาสำรวม เเละพยายามพูดโน้มน้าวเชอร์เบช ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอคิดจริงหรือกำลังเล่นกับความรู้สึกที่มีต่อเงินของผมกันเเน่ เเต่ผมชักไม่ชอบที่เธอทำหน้าใสซื่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ที่่สุด

 

“ก็ได้ เห็นเเก่ความจริงใจของนาย ฉันจะไม่ปฎิเสธนายเเล้วกัน”

“ขอบพระคุณอย่างสูงครับ คุณหนู”

ผมเอามือค้ำโต๊ะ เเละก้มหัวอย่างสุดใจ ถึงเเม้จะเจ็บใจที่ตัวเองต้องมาศิโรราบต่อพลังเงินตรา เเต่ถ้าได้งานสบายๆ เเละมีที่อยู่ เเละรายได้สูงไปตลอดชีวิตละก็ ใครมันจะไม่เอา!

 

“เลิกก้มหัวเถอะ เรามารีบทำสัญญากันดีกว่า กรีดเลือดบนนิ้วโป้งขวา เเละนำกำปั้นมาชนกัน”

“เข้าใจเเล้วครับ”

เชอร์เบชเรียกมดที่สลักด้วยดอกกุหลาบกดลงบนนิ้วโป้งของเธออย่างประณีต ตรงกันข้ามกับผมที่คิดว่ามันช้าไป จึงเลือกที่กัดนิ้วโป้งจนเกิดรอยเเผลเเทน หลังจากที่เสร็จสิ้นขั้นตอน กำปั้นขวาของผม เเละเธอก็ชนเข้าหากัน โดยมีนิ้วโป้งที่ชูขึ้นประกบรอยเเผลเข้าหากัน ให้เลือดของสองฝ่ายได้เเลกเปลี่ยนกัน

 

“ในระหว่างกำลังกำเนินสัญญาห้ามมือนาย เเละฉันออกกันเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“รับทราบครับ คุณหนู”

“สกิล สัญญาเเห่งความเท่าเทียม”

ผมรับรู้ได้ถึงพลังเวทย์อันมหาศาลไหลผ่านเส้นเลือดเข้ามาในตัวผม กับเชอร์เบช เลือดของพถวกเรากลายเป็นเส้นฝยเวทมนตร์ที่กำลังท่อตัวเป็นกระดาษสัญญาฉบับหนึ่งเหนือมือของพวกเรา

 

“การดำเนินสัญญาเป็นไปได้ด้วยดี ต่อไปจะเป็นการร่างกฎ”

“ตามใจคุณหนูเลยครับ”

ผมพยายามลดอคติกับเธอเพื่อให้สัญญานี้ลุล่วง สกิล สัญญาเเห่งความเท่าเทียม เป็นสกิลที่ใช้ในการทำสัญญาเพื่อเฟ้นหาข้ารับใช้ของเพอร์เฟค คิงดอม ซึ่งมันไม่ใช่สัญญาธรรมดา เพราะมันคือการคัดสรรข้ารับใช้ที่จะเป็นมือขวา เเละมือซ้ายของกษัตริย์ผู้นั่งอยู่บนบังลังค์เเห่งชัยชนะ เเต่มีข้อเเม้สองข้อคือ ข้อเเรกต้องได้รับการยิมยอมทั้งสองฝ่าย ไม่งั้นสัญญาเเห่งความเท่าเทียมจะไม่สำเเดงผล เเละข้อสอง…

 

“ข้อเเรก นายจะต้องทำตามคำสั่งของฉันโดยห้ามขัดขืน”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ อำนาจในการครอบครองต่ำเกินไป]

“ถึงจะดูโอ้อวด เเต่ที่พูดมาจริงสินะ”

พลังของผู้คัดสรรบริวารคู่กายจะต้องมีอิทธิพลมากกว่าบุคคลนั้น ในกรณีนี้ผมมีพลังมากกว่าเชอร์เบชอย่างเทียบไม่ติด ดังนั้นเธอจะไม่สิทธิในการบังคับให้ผมทำตามเธอได้ทุกอย่างตามที่เธอตั้งเป้าหมายไว้

 

“นายจะต้องทำตามคำสั่งของฉันอย่างเด็ดขาด ยกเว้นจะเป็นสิ่งที่นายเห็นว่าไม่ถูกต้อง จะสามารถยื่นความโต้เเย้งได้”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ เพราะอำนาจในการครอบครองต่ำเกินไป]

“อืม เป็นข้ารับใช้ที่เอาเปรียบเจ้านายจริงนะ”

“เเฮะๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ”

“ถ้าทำตามคำสั่งไม่ได้ ต้องลดความเคร่งขัดลงมาอีกสินะ ถ้างั้นเอาเป็น นายจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน เเละทำตามคำสั่งตามความเหมาะสม โดยที่ห้ามหักหลังฉันเด็ดขาด”

[กฎข้อเเรก ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“เสียดายจัง ที่ควบคุมนายไม่ได้ดั่งใจ ตอนนี้ฉันคงมีพลังเเค่ทำให้นายเชื่อฟังได้สักเล็กน้อยสินะ”

เชอร์เบชถอนหายใจ เเละทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ส่วนผมก็ทำหน้านิ่งๆ โดยที่ในใจกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจที่ตัวเองไม่ต้องถูกลากโซ่ทำตามคำสั่งของเธอเเบบไร้หนทางขัดขืน

 

“ห้ามนายสร้างความเดือดร้อนต่อคนรอบตัวฉันเด็ดขาด”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ เพราะผู้ทำสัญญาไม่พึงประสงค์เห็นชอบ]

“นี่นายคิดจะทำอะไร ถึงได้ไม่เห็นด้วย”

“ก็เเบบถ้าผมหมั่นไส้ส่วนตัว ก็อยากที่จะส่งหมัดเเห่งความเเค้นซัดหน้าให้หมอบสักทีน่ะครับ”

“ถ้างั้น ห้ามทำร้ายครอบครัวของฉัน เเละต้องปกป้องพวกเขาเมื่อตกอยู่ในอันตราย”

[กฎข้อสอง ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“เห้อ คิดถูกไหมนะที่เลือกนาย”

“อย่าพูดเเบบนั้นสิครับ คุณหนู”

เชอร์เบชถอนหายใจ เเละทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างชัดเจน ผมทำได้เเค่น้อมหัว ในขณะที่ในใจกำลังเล่นเซิรฟ์ในทะเลเเห่งอิสระภาพ เเละร้อง ไชโย ออกมาอย่างสุดรูดหูรูดตา

 

“อยากให้มีข้อมากกว่านี้อยู่หรอก เเต่คงมีเเต่เงื่อนไขตามมารำคาญสินะ”

“ถ้าคุณหนูไม่ตั้งเงื่อนไขที่มันออกจะเห็นเเก่ตัวไปบ้าง ผมว่ายังไงก็ผ่านเงื่อนไขนะครับ ไม่ก็ลองลดอะไรที่มันยากๆ ลงหน่อยก็ดีครับ”

“ได้ ถ้างั้นข้อสุดท้ายคือ ในยามที่ฉันตกอยู่ในอันตราย นายจะต้องเข้ามาช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”

[กฎข้อสาม ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“อย่างน้อยก็มีข้อหนึ่งที่ไม่เเย่ล่ะนะ งั้นมาทำมันจบดีกว่า ข้าในนามของ เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช ผู้ครอบครอง เพอร์เฟค คิงดอม ลำดับที่ 12 ขอลงนามในสัญญาเเห่งความเท่าเทียม ขอยอมรับ เอลเดล นอล ในฐานะผู้รับใช้มือซ้าย โล่อันไร้ซึ่งจุดอ่อนเเห่งอาณาเขตเเห่งชัยชนะของข้า เจ้าพร้อมที่จะถวายกายให้ข้ารึไม่”

“ข้าพร้อมที่จะเป็นโล่ที่ไม่มีผู้ใดสร้างรอยเเผลกับท่านได้ กษัตริย์ลำดับที่ 12 เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช”

“ถ้าเช่นนั้นจงเเสดง ประทับตราเเห่งความภักดีลงบนมือของข้าซะ”

มือของเชอร์เบชเเยกออกจากผม เธอคว่ำมือลง เเละมองผมอย่างเย่อหยิ่ง สัญญาที่ล่องลอยอยู่บนอากาศลงดิ้งเข้าไปในมือขวาของเธอ เเละกลายเป็นเต้นใต้ให้ผมประทับรอยจูบลงไป

 

“Yes, my queen. (รับทราบครับ ราชินีของผม)”

ผมจับมือสีขาวนวลอันบอบบางของเธออย่างเบสมือ เเละลุกขึ้นก้มลงไปจูบบนมือขวาของเธอ ทันใดนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงพลังเวทย์เเทรกเเซงเข้าไปในร่างกาย ผมรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตที่ไหล่ซ้ายอย่างผิดปรกติ

 

“ตอนนี้ไหล่ซ้ายน่าจะมีตราประทับสัญญาของเพอร์เฟค คิงดอมอยู่หลังทำสัญญาเสร็จ เพียงเท่านี้นายก็เป็นข้ารับใช้มือซ้ายของฉันเเล้ว เพราะฉะนั้นจะพูดเเบบไม่ต้องเป็นทางการก็ได้นะ เพราะยังไงฉันก็บังคับนายทั้งหมดไม่ได้อยู่เเล้ว”

“ก็นึกว่าจะต้องฝืนพูดสุภาพกับคุณหนูไปเรื่อยๆ เสียอีก เเบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย ความจริงก็เเอบน่าเสียดายนะ นึกว่าตัวเองจะเป็นมือขวาเสียอีก”

“ข้ารับใช้มือขวาเป็น ตัวเเทนของดาบ ผู้มีหน้าที่ทะลวงฝ่าศัตรู เเละสร้างช่องว่างในการพิชิตศัตรูให้กับกษัตริย์ ซึ่งฉันได้เเต่งตั้งให้มิเกลรับหน้าที่นั้นไปเเล้ว ที่สำคัญถ้าฉันเลือกนายเป็นมือขวาละก็ ฉันที่ไม่มีอำนาจห้ามนาย กลัวนายจะไปสร้างเรื่องมากกว่าเดิมมากกว่า เป็นโล่นี่เเหละดีเเล้ว เพราะมันทำให้ฉันมั่นใจว่านายต้องปกป้องฉัน เเละครอบครัวเเน่นอน”

“เเล้วตอนนี้มิเกลหายไปไหนล่ะ ปรกติเขาต้องตามคุณหนูไม่ใช่เหรอ?”

“มิเกลต้องไปทำภารกิจปราบปรามกับหัวหน้าอัศวินเเห่งอาณาจักร ถ้าจบภารกิจนี้ เขาจะไปยื่นเรื่องข้อเข้าสอบเเยกกับสถาบันเอง เเต่ถ้าเขาทำผลงานดีต้องโดนจับตามอง เเล้วได้เหรียญเกียรติยศละก็ คงเข้าเรียนชั้นเรียนพิเศษโดยไม่ต้องมาสอบผ่านสิทธิ์พิเศษได้เอง”

“ถ้าเป็นมือขวาของคุณหนู คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง”

ตามความสามารในเกมของมิเกล เขาเป็นคนที่มีทักษะในการใช้ดาบที่ไม่เป็นรองเนลสันที่เป็นตัวละครหลักในเกม เป็นอีกหนึ่งในตัวหมากอันเชอร์เบชที่ขัดขวางความรักของนางเอกจนน่าปวดหัว

 

“จะเป็นมือไหนก็ไม่สำคัญหรอก ว่าเเต่ฉันจะได้เหรียญทองคำขาวนั่นเเล้วใช่ไหม”

“นายอยากได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ เอาไปเลย มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก”

“ยะฮู้ว! ขอบคุณครับ คุณหนู!”

ผมยิ้มอย่างมีความสุขทันทีที่เชอร์เบชอนุญาติ ผมรีบคว้าเหรียญลงถงกระเป๋าด้วยความดีใจ ในที่สุดต่แไปนี้ผมก็จะใช้เงินเรื่อยเปื่อยโดยไม่ต้องสนอะไรเเล้ว ผมดีใจสักพักก่อนจะปรับอารมณ์เป็นปรกติ

 

“ถ้าอยากงั้นผมต้องติดตามคุณหนูเลยไหมครับ”

“ไม่ต้อง สำหรับตอนนี้ ขอให้นายสอบผ่านเข้าสถาบันเเอสทาเรียได้ก่อน ไว้หลังเลิกสอบ ฉันจะพานายไปที่บ้าน เเละเริ่มเเนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับครอบครัว”

“ตกลงครับ คุณหนู”

“ถ้างั้นไว้เจอกัน”

เชอร์เบชหันหลังกลับ เเละเดินจากผมอย่างไร้เยื่อใย เธอเดินไปยังโซนขุนนางไปนั่งอยู่ตรงที่ที่เคยนั่งกับกลุ่มของเจ้าชายก่อนหน้านี้ ไม่นานเสียงเเจ้งเตือนก็ดังขึ้น

{อีก 5 นาทีจะสิ้นสุดการสอบภาคทฤษฎี การสอบครั้งถัดไปจะเริ่มต้นขึ้นหลังจบการสอบ 30 นาที ขอให้ผู้เข้าสอบทุกท่านเตรียมตัว เเละตรวจสอบเเวนระบุตัวตนให้เรียบร้อย}

 

 

 

 

(จะมีเรื่องอะไรกันนะ)

ผมลืมตาตื่นออกมาจากปาร์ตี้น้ำชา หันหน้าฉีกซ้ายไปก็พบกับเชอร์เบชที่กำลังเดินตรงมา เธอมองมายังที่ใบหน้าของผมอย่างไร้อารมณ์ ไม่นานเธอก็เริ่มทักทายขึ้นมา

 

“ตื่นเร็วจังนะ ดิฉันกำลังจะปลุกคุณเลย”

“ผมเป็นคนหลับง่ายตื่นง่ายน่ะครับ คุณเเคสโตเวีย ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”

ผมลุกขึ้น เเละดีดตัวออกจากโต๊ะที่นอนอยู่ ผมบิดขี้เกียจสักเล็กน้อยก่อนที่จะโน้มหัวให้เธอ เชอร์เบชไม่ได้เเสดงสีหน้าอะไรต่อท่าทีของผม ซึ่งทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ไม่นานเธอก็เริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน

 

“ถ้าไม่ว่าอะไร คุณสะดวกที่จะคุยกับดิฉันไหมคะ”

“หืม ไม่นึกเลยว่า ลูกสาวดยุคตระกูลเเคสโตเวียอันเลื่องชื่อ จะจดจำสามัญชนชั้นล่างเเบบผมได้ด้วย ผมคงไม่ริอาจปฎิเสธความต้องการของคุณหนูหรอกครับ เเต่ที่นี่อาจจะไม่เหมาะสมกับคุณสักเท่าไหร่ ทำไมพวกเราไม่หาเวลาคุยนอกรอบกันล่ะครับ”

“ไม่ต้องถ่อมน้อมถ่อมตนมากหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้ต้องการพูดคุยเเบบเป็นทางการ เเค่อยากพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อีกอย่างดิฉันมีงานที่จะต้องจัดการภายหลังอีก ถ้าไม่ใช่เวลานี้ คงไม่สะดวกอีกค่ะ”

ผมเเสร้งยิ้มเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย จากที่สังเกตจากลักษณะการพูดของเธอ เห็นได้ชัดว่า เธออยากจะให้บทสนทนานี้เป็นความลับระหว่างเรา จึงเลือกที่จะไม่ออกตัวเเรงมาก

 

“ได้สิครับ ถ้าอย่างงั้น เธออยากจะรู้ความลับอะไรฉันล่ะ ลูกสาวคนโตเเห่งตระกูลเเคสโตเวีย? ”

“!”

ผมลงมือเปลี่ยนบทสนทนากับเธอโดยไม่ตั้งตัว เชอร์เบชที่ได้ยินน้ำเสียง เเละเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกระหันของผม สายตาของเธอขยับเล็กน้อย เเล้วจ้องเขม่นมาทางผม ผมที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

“ถึงกับยอมรีบทำข้อสอบเพื่อหาเวลามาคุยกับฉันเเบบลับๆ เธอคงอยากจะไต่สวนฉันมากสินะ”

“ถ้าบอกว่าใช่ เเล้วคุณจะยอมหรือไม่”

“ก็บอกเเล้วไง ว่าฉันไม่ปฎิเสธ ถ้าเธออยากถาม ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะตอบหรอก ถ้าอย่างงั้น ทำไมเราไม่มานั่งพูดคุยกันเเเทนล่ะ ยืนไปคุยไปคงจะเหนื่อยเปล่าว่าไหม?”

“เป็นความคิดที่ดี ดิฉันเห็นด้วยค่ะ”

เชอร์เบชบอกที่นั่งสักพักก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงตามคำเเนะนำของผม เชอร์เบชมองมาที่ผมด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม ผมที่เห็นจนชินเเล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เเล้วเริ่มบทสนทนาต่อ

 

“จะใช้เวลาไม่นานมาก เเต่รบกวนตอบตามความจริงด้วยนะคะ”

“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ฉันจะตอบตามความสัตย์จริงอย่างเเน่นอน”

“ถ้างั้นคุณเป็นใคร งั้นเหรอคะ?”

(จำฉันไม่ได้เหรอนิ เเย่จังนะ)

เชอร์เบชยิงคำถามสุดคลาสสิกมา ผมก็ได้ยินดังนั้นจึงเเสะยิ้มเล็กน้อย ตอนเเรกก็นึกว่าเชอร์เบชจะยังจำผมได้เสียอีก เเต่ถึงเธอจะจำผมได้หรือไม่ได้ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก

 

“เอลเดล นอลเป็นชื่อของฉัน ส่วนฐานะก็เเค่ ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวชาวนา สิ่งที่อยากทำก็เเค่ การเข้าโรงเรียนเเอสทาเรียในฐานะนักเรียนยศเพชร เเละใช้ชีวิตชิลๆ ไปวันๆ เท่านั้น”

“นักเรียนยศเพชร คุณดูมั่นใจจังนะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะได้รับมาได้ง่ายๆ นะ”

“ฉันประเมินมาเเล้วว่า ตัวเองทำได้ ดังนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก”

ผมยิ้มเล็กน้อย เเละเท้าคางจ้องมองเชอร์เบชด้วยท่าทีไม่ร้อนตัว ผมเเอบสังเกตมือของเธอที่อยู่ใส่โตะ ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดคำถามต่อไป ถึงเเม้ว่าเธอจะใส่ถุงมือสีดำ เเต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะดำเนินเเผนการของผม

 

“ดิฉันเข้าใจเเล้ว ถ้าอย่างงั้น ขอถามหน่อยได้ไหม ในเมื่อคุณดูมีความมั่นใจ การสอบทฤษฎัครั้งนี้ คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณใช่ไหม?”

“จากที่ใช้เวลาทำประมาณ 2 นาที ตวรจคำตอบอีก 1 นาที ฉันก็คิดว่าไม่คะเเนนเต็ม ก็ท็อบหนึ่งเเน่นอน”

“เเสดงว่าคุณต้องอัจฉริยะสินะคะ”

“ไม่ใช่หรอก ฉันก็เเค่ขยัน เเละเตรียมตัวมาดีน่ะ อีกอย่างเพราะมีร่างกายที่เเข็งเเกร่ง การลงมือเขียน เเละอ่านจึงใช้เวลาคิดเเปปเดียวน่ะ”

“เเบบนั้นคงต้องเรียกพรสวรรค์สินะคะ”

“ต้องเรียกว่าพรเเสวงมากกว่า ฉันน่ะไม่มีพรสวรรค์หรอก ก็เเค่ฝึก ฝึกไปเรื่อยๆ จนสามารถยืนหยัดได้น่ะ เพราะเป็นชาวบ้านธรรมดาล่ะนะ เลยช่วยไม่ได้”

ผมมองมาที่มือที่เต็มไปด้วยบาดเเผลไร้ซึ่งความสัมผัสอันอ่อนโยน การฝึก เเละพยายามจนสิ้นหวังไปไม่รู้กี่่ครั้ง มันเป็นผลลัพธ์ที่ทำให้ผมมาอยู่ ณ จุดนี้ได้

 

“ใช้ความพยายามในการครอบครองความเเข็งเเกร่งงั้นเหรอคะ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากเลยนะคะ”

“ขอบใจ”

“ถ้าอย่างงั้น กรุณาช่วยบอกพรของคุณมาได้ไหมคะ”

“ก็ไม่คิดจะปิดบังหรอกนะ เพราะยังไงก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อยู่เเล้ว พรของฉันคือ ผู้เเบกรับ (The holder) พรที่ช่วยเสริมความเเข็งเเกร่งทางจิตใจน่ะ คงเรียกได้ว่า เป็นพรต้นกำเนิดละมั้ง เพราะยังไม่เคยมีใครมีมาก่อน”

“เป็นพรที่ธรรมดาจังนะคะ เเสดงว่าพรเเสวงคือที่มาของพลังของคุณสินะ”

“ใช่เเล้ว”

ผมยกหลังมือขวาชูให้เธอดู ไม่นานเเสงสีเหลืองก็ปรากฎออกเป็นลวดลายของพรผู้เเบกรับ สำหรับคนที่มีซิกม่าเเบบเธอเพียงได้มองก็คงรับรู้ถึงความเเตกต่างเเล้ว

 

“ต่อไป คุณมาจากไหนงั้นเหรอคะ”

“ฉันเป็นสามัญชนที่มาจากหมู่บ้านนอรทน่ะ”

“หมู่บ้านนอรท…สินะ”

เสียงของเชอร์เบชต่ำลง เธอก้มหน้าเล็กน้อยจนเส้นผมสีขาวบดบังดวงตาสีฟ้าของเธอทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัด ไม่นานสายตาที่เธอจ้องผมก็กดดันมากขึ้น

 

“เป็นคุณเองสินะ เด็กผู้ชายอวดดีในวันนั้น คุณเอลเดล”

สายตาของเชอร์เบชมองผมทะลุปรุโปร่ง สีหน้าที่ไร้อารมณ์กำลังจ้องมองผมด้วยความกดดัน ผมที่เห็นดันนั้นจึงหุบยิ้มไม่ได้ เเละเผยรอยยิ้มอันน่ารังเกียจออกมา

 

“ฮ่าๆๆ เธอจำฉันได้อยู่เเล้วสินะ คุณหนูเเคสโตเวีย ก็คิดอยู่หรอกว่าคนฉลาดอย่างเธอ คงไม่ลืมไอ้บ้าที่ทำให้เธอต้องยอมลดตัวมาจับมือหรอก”

“ดิฉันไม่ได้รังเกียจที่จะต้องจับมือกับสามัญชนหรอกค่ะ เเต่สิ่งที่ฉันไม่ชอบคือ ภาพลักษณ์จอมปลอมของคุณมากกว่า”

“ต๊ายตาย เกลียดกันเเบบนี้ ฉันก็รู้สึกดีล่ะสิ เพราะฉันก็เกลียดเธอเหมือนกัน คนเเบบเธอน่ะ”

ผม เเละเชอร์เบชจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา ถึงเธอจะไม่ได้เเสดงสีหน้ารังเกียจออกมาชัดเจน ตรงกันข้ามกับผมที่เกลียดเธอจากใจจริง

 

“ดิฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีจุดประสงค์ที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่สบายๆ รึเปล่า เเต่สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดในตัวคุณก็คือ การที่คุณไม่ควรมาอยู่ที่นี่ได้ต่างหาก”

“อะไะรกัน เธอจะบอกว่าฉันไร้ความสามารถ ก็ประเมินต่ำเกินไปนะ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ความจริงเเล้วหมู่บ้านนอรท ทั้งเมือง เเละผู้คนควรจะสาบสูญไปตั้งเเต่ 2 ปีที่เเล้วต่างหาก”

“Silent anihalation (ขจัดจรไร้เสียง) เหตุการณ์ปริศนาที่ทำให้หมู่บ้านนอรทต้องล้มสะลาย เเละถูกปิดเป็นความลับ จนต้องลบบันทึกทั้งหมดของหมู่บ้านนอรทออกจากประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างอาณาจักรเเอสทาเรีย กับลามัตสินะ”

“สมเเล้วที่เป็นคุณ เเม้กระทั่งเรื่องหมู่บ้านที่น้อยคนจะรู้ คุณกลับพูดมาอย่างกับรู้ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์นั้น กรุณาบอกมาด้วยค่ะ ว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์นี้กันเเน่”

เชอร์เบชวางมือซ้ายไว้บนโต๊ะ เเละมองลงมาที่ผมด้วยสายตากดัน บรรยากาศรอบตัวนั้นหนาวเย็น เธอกำลังพยายามที่จะรีดเค้นข้อมูลจากผม ซึ่งผมก็ชักขี้เกียจตอบเเล้วสิ

 

“ไม่บอก”

“ว-ว่าไงนะ”

“หูฝาดเหรอเธอ ก็บอกว่า ฉันไม่บอกไง”

ตาของเชอร์เบชขยับด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมกำลังนั่งเท้าคางสบาย เเละเเสะยิ้มให้เธออย่างปลื้มอกปลื้มใจ เชอร์เบชที่ได้ยินดังนั้น มุมปากของเธอก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

 

“คุณจะไม่ให้ความร่วมมือสินะคะ”

“เปล่าหรอก เเค่เธอนี่โง่จังเนอะ เชื่อคำโกหกของฉันมาตั้งนาน ยังไม่สงสัยอีก”

“อย่าล้อเล้น เเล้วเข้าประเด็นเถอะค่ะ”

“เเล้วเธอรู้ได้ไงว่าการโกหกของฉันเป็นเรื่องล้อเล่นน่ะ เธอไม่คิดเหรอ ไอ้สิ่งที่ฉันพูดมามันเพ้อเจ้อทั้งหมด ไม่คิดเลยเหรอว่าฉันอาจจะเป็นเซียนโกงข้อสอบก็ได้ ดูยังไงฉันก็เป็นไอ้โง่ที่ทำตัวอวดดีหาข้ออ้างให้ตัวดูหล่อๆ เท่านั้น”

“ดิฉันเชื่อว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาเป็นความจริงค่ะ”

(ทำเป็นเนียนเลยนะเธอ)

ผมที่เห็นเชอร์เบชที่มีท่าทีการตอบสนองที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงคิดว่ามันคงได้เวลาที่จะจบบทสนทนางี่เง่าพรรคนี้ได้เเล้ว ผมคิดว่าผมเล่นสนุกกับเธอมามากเกินพอเเล้ว

 

“ก็ใช่สิเธอจะชื่อฉันก็ไม่เเปลก ก็เธอกำลังใช้สกิล สรรหาผู้คู่ควร อยู่ไงล่ะ”

“คุณพูดถึงอะไรกัน ดิฉันว่าตอนนี้เรากำลังคุยกันนอกประเด็นนะคะ”

“หยุดตอเเหลได้เเล้ว คิดว่าฮันจะไม่รู้เหรอว่า เพอร์เฟค คิงดอม ทำอะไรได้บ้าง สกิล สรรหาผู้คู่ควร คือสกิลจับเท็จที่มีไว้หาคนที่เชื่อใจยังไงล่ะ”

“…”

“เงียบเเบบนี้กำลังหาข้ออ้างอยู่สินะ ฮ่าๆ เธอจะหาต่อไปจนหมดเวลาสอบก็ได้นะ เเต่เธอคงซ่อนพลังของซิกม่าที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะไม่ได้หรอกนะ”

(เธอจะเเก้ตัวยังไงล่ะ เชอร์เบช ในเมื่อไพ่เด็ดอ่อนๆ ของเธอโดนเผยไต๋เเล้ว)

ผมเลิกเท้าคาง เเละกอดอกอย่างผู้ชนะ กลิ้นอันโอชะของผู้ที่ทำลายเเผนของเธอ ทำให้ผมรู้สึกสะใจอย่างหยุดไม่อยู่ รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดยิ่งเบิกบานเมื่อได้อิ่มเอมกับวินาทีนี้

 

“เห้อ สมเเล้วที่เป็นนาย คงไม่ต้องปปกปิดอะไรอีกเเล้วสินะ”

(ในที่สุดยัยนี้ก็ยิ้มเเล้วสินะ)

ริมสีปากอมชมพูที่นิ่งเหมือนภาพวาดเริ่มขยับกว้างเป็นรอยยิ้มอันเเสนชั่วร้าย ดวงตาสีฟ้าใสของเธอจ้องมองมาที่ผมด้วยท่าทีสนุกสนาน ไม่นานมือขวาของเธอก็จับไปที่คอเสื้อของผมดึงเข้ามาใกล้เธอ โดยที่ผมไม่ได้ขัดขืน เเละปล่อยตัวให้ไหลไปตามเเรงของเธอ

 

“นายนี่มันช่างน่าสนใจจริง ถึงหน้าตาจะทุเรศดูไม่สบอารมณ์ เเต่สติปัญญานี่ ฉันขอยอมรับเลยว่า เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งดูเหมือนจะซ่อนรูป เเละพลังไว้ด้วยสินะ ฮุฮุ~ ชักถูกใจเเล้วสิ เป็นอย่างที่คิดไว้ตั้งเเต่เด็กจริงๆ”

เชอร์เบชมองลงไปใส่ช่องว่างของเสื้อที่เปิดเผย เธอคงเห็นสิ่งที่ผมพยายามปกปิดเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้เรียบร้อย สักพักเธอก็ยิ้มด้วยความชอบใจราวกับถูกใจของเล่นใหม่

 

“เธอนี่มันโรคจิตจังนะ มองของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาติเลย”

“อย่าทะนงตนไปหน่อยเลย”

เชอร์เบชปล่ยอมือจากคอเสื้อของผม ผมจึงลงกลับไปนั่งลงประจำที่เดิม ไม่นานเธอก็ใช้มือซ้ายถอดถุงมืดสีดำข้างขวา เเละโยนลงพื้นข้างตัวผม

 

“ไม่ต้องบอก นายคงรู้สินะว่า มันหมายถึงอะไร”

“คิดว่าฉันจะหยิบมันขึ้นมาเหรอ?”

“ไม่รู้สิ เเต่ถ้านายต้องการ ไม่ว่า ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ หรือกระทั่งผู้หญิง ฉันจะสรรหามาให้นายทั้งหมดเอง ว่าไงโอกาสเเบบนี้ไม่ได้มีครั้งที่สองนะ เอลเดล นอล”

การโยนถุงมือข้างขวาของฝ่ายหญิงชนชั้นขุนนางขึ้นไปในเกมยูโลฟานโดยเฉพาะ ถ้าผู้ชายโยนถุงมือใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม คือ การท้ารบ เเต่ถ้าขุนนางหญิงในเกมนี้โยนถุงมือเเล้วต้องการให้ผู้ชายเก็บละก็ นั่นหมายถึง เธอต้องการให้คุณเป็น สนัขรับใช้ของเธอนั่นเอง

 

** ไรท์มึนหัว เอาเป็นเดวหายเเล้ว จะมาต่อให้นะ เขียนยังไม่จบบทนี้จริง เเต่ตัดจบเเบบละครไทยไปละกัน*

“เห้อ คิดว่าจะไม่รอดเเล้วเรา…”

ลิเลียกำมือเเนบหน้าอก เเละถอนหายใจยาวออกมา เเม้ว่าเเว่นของเธอจะทึบจนไม่เห็นสีหน้าที่ชัดเจนของเธอ เเต่เธอฟังจากดทนเสียงสิ้นหวังของเธอก็พอเข้าใจได้

 

“ฮ่าๆๆ คุณลิเลียจะขี้กลัวไปเเล้ว”

“คุณโนวมอลไม่กลัวสิถึงจะน่าเเปลก อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายเลยนะคะ ถ้าเราพูดจาเกินเลยไป มีหวังโดนตัดคอเเน่เลยค่ะ…”

(เป็นตัวเอกที่ดูอ่อนเเอจังนะ)

เเม้ว่าลิเลียจะตั้งใจตอบโต้ผมโดยปั้นหน้าสบาย เเต่มือของเธอก็สั่นอยู่เล็กน้อย ผมเริ่มมีความคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นนางเอกของเรื่องจริงเหรอ

 

(ทั้งๆ ที่ในเกมออกจะมุดทะลุเเท้ๆ)

คาเเรคเตอร์ของลิเลียในตัวเกมค่อนข้างดุดันซึ่งเเตกต่างจากคนที่อยู่ตรงหน้าผม ในเกมเมื่อผู้เล่นสวมบทเป็นลิเลียจะมีการตอบโต้ตัวละครเอกที่หลากหลายขึ้นอยู่กับตัวเลือกของผู้เล่น เเต่ทางเลือกที่ตัวเกมให้มาส่วนใหญ่มักจะเเสดงให้ถึงความคิดบริสุทธิ์ในการเเสดงออกของตัวเองมากกว่า

 

(หรือว่าเราจะเผลอไปเปลี่ยนเส้นทางของเรื่อง เพราะถ้าจำไม่ผิด เหตุการณ์ที่เจอองค์ชาย จะมีสองทางเลือกคือ ตอบโต้ กับอยู่นิ่งเฉย)

ถ้าเราเลือกที่จะตอบโต้ก็จะมีตัวละครเอกอีกคนมาช่วยสนับสนุนเรา เเต่ถ้าเราเลือกที่จะอยู่นิ่ง เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มของเจ้าชาย เเละนำไปสู่ความขัดเเย้งกับนางร้าย

 

(เเต่ในกรณีนี้มันผิดไป เพราะมีตัวเเปรที่ไม่คาดคิดอย่างเราเข้ามาเเทรกเเซงเนื้อเรื่อง ทำให้การตัดสินใจของตัวเอกมาถูกปิดลง เเละกลายเป็นตัวเราที่ดำเนินเนื้อเรื่องเเทน)

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของลิเลียกับพระเอกมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ริเริ่ม จากที่ตัวเอกต้องเป็นคนปฎิวัติระบอบขุนนางทำให้หน้าที่นั้นถูกส่งต่อให้เราเเทน

 

(สรุปคือตอนนี้เราไม่ต่างจากเเพะรับบาปสินะ…)

“คุณโนวมอล ไหวไหมคะ? สีหน้าดูเคร่งเครียดจัง”

ลิเลียทักผมในขณะที่กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ เเม้จะมองไม่เห็นดวงตา เเต่ก็ขยับของคิ้ว เเละเสียงที่ต่ำลงเเสดงให้เห็นถึงความเป็นหวงจากใจจริง

 

“ไม่มีอะไรหรอก เเค่กำลังคิดว่าเย็นนี้กินอะไรดี?”

“คิกๆ ถ้าอยากกินอะไร บอกได้นะคะ”

ผมใช้ประโยชน์จากสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเปลี่ยนหัวข้อเป็นอาหารเย็นเเทน ลิเลียที่ได้ยินดังนั้นจึงหลุดขำเล็กน้อย ผมที่ได้ยินเสียงขำของเธอก็เเอบดีใจเล็กน้อย

 

(ไร้เดียงสาจังนะ)

ลิเลียเป็นตัวละครหลักที่มีความมุ่งมั่นในการเรียนอย่างเเรงกล้า ถึงเเม้ภายนอกเธอจะดูเป็นซุ่มซ่ามไปหน่อยในเกม เเต่ความตั้งใจ เเละไม่ยอมเเพ้ของเธอ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชื่นชอบในตัวละครนี้เมื่อกัน ตอนนี้ผมควรจะให้เธอเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตไปทีละน้อยดีกว่า

 

“ฉันน่ะไม่กลัวหรอก ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือเธอเป็นผู้เสียหาย ฉันก็จะรับผิดชอบเอง”

“พูดเท่เชียว เเล้วคุณโนวมอลจะรับผิดชอบยังไงเหรอคะ?”

“นั่นสิ เอาไว้ถึงเวลานั้น คงต้องทุ่มสุดตัวเเหละ”

ถึงเเม้จะไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจน เเต่รอยยิ้มกรุบกริบของเธอก็เเสดงออกให้เห็นถึงความโล่งใจของเธอ ถึงเเม้ว่าคำพูดของผมจะเป็นคำพูดลอยๆ เเต่ผมก็ตั้งใจจะทำจริง

 

{ประกาศ อีก 5 นาที การสอบภาคทฤษฎีจะเริ่มต้นขึ้น รบกวนผู้เข้าสอบทุกท่าน ตรวจสอบหมายเลขที่นั่ง เเละหมายเลขห้องสอบผ่านทางผ่านเเหวนระบุตัวตนด้วยค่ะ}

หลังจากที่เสียงประกาศจบลง เเหวนที่สวมอยู่บนนิ้วชี้ของผมก็ส่งเเสง หมายเลขห้องสอบ เเละที่นั่งถูกฉายผ่านเเหวนจนเห็นเป็นตัวเลขสีชมพูที่เห็นได้ชัด

 

“หมายเลข 40 ห้องสอบ A1”

“ของฉันหมายเลข 1 ห้องสอบ A2”

“เเสดงว่าสอบคงละห้องสินะ”

“คงต้องเเยกกันเเล้วสินะคะ”

วงเเหวนระบุตัวตนไม่ได้ปกปิดว่าใครได้หมายเลขอะไร ลิเลียเเสดงหมายเลขของเธอให้เห็นผ่านนิ้วชี้ ห้องสอบเลขไม่เหมือนกัน บ่งบอกว่าพวกเราต้องเเยกกันในไม่ช้า

“คงเป็นอย่างนั้น ถ้างั้นไว้เจอกันที่สอบภาคปฎิบัตินะ”

“โชคดีนะคะ เเล้วเจอกัน~~”

“อ่า”

ลิเลียลุกออกจากเก้าอี้ เเละยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะโค้งตัวเเล้วเกินจากไป ผมโบกมือให้เธอ เเล้วบิดขี้เกียจสักเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไปจากโรงอาหาร

 

[หืม เหล่าหนุ่มสาวในวัยเล่าเรียนนี่กระตื่นรือร้นเสียจริง ทั้งที่โรงอาหารข้าว่ามีคนเเออัดเเลว ระหว่างเดินเข้าห้องสอบนี่ยิ่งกว่าอีก]

(หายไปนานเลยนะเเก)

[อะไรกันพออยู่คนเดียว เเล้วไม่มีข้าเลยเหงาเหรอ โอ๋ๆ ไม่ร้องน้า~]

(เเค่อยากจะบอกว่า พอไม่มีเเกเเล้ว รู้สึกลดความน่ารำคาญในชีวิตออกไปครึ่งหนึ่งเลย)

[เห้ย! ข้าเเค่อยากให้เเกได้คุยกับเพื่อนใหม่บ้าง เลยไม่เข้าเเทรกเเซงเท่านั้น อีกอย่างการประชันฝีปากระหว่างเเก กับเจ้าชาย นี่ทำเอาข้าสนุกจนไม่อยากขัดเลย]

(ถ้าเเกตอบดีๆ ไม่กวนประสาท ฉันก็ไม่ปากพล่อยใส่เเกหรอก)

[ชิ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ทั้งที่ผ่านอะไรมาเยอะเเท้ๆ]

(ได้ยินนะ)

[ด-ดุ ดะ ดู เหมือนข้าจะใช้โทรจิตมากไปจนควบคุมความเสถียรไม่ได้ ขอตัวไปพักจิบชาก่อนนะ ไอ้หนู!]

(ด่าเสร็จ หนีเร็วเชียวนะเเก!)

การเชื่อมต่อจากกริมตัดขาดทันที ผมเกาหัวด้วยความหงุดหงิด เเละเดินตรงไปตามทางเพื่อไปยังห้องสอบ ตอนนี้เขาคงหนีไปพักดื่มชาสบายๆ เเล้ว

 

“เห้อ ใครกันเเน่ที่เป็นเด็ก”

“หืม คนสอบก็เยอะใช่เล่นเเหะ?”

ผมเดินเข้าห้องสอบ A1 เเละชำเลืองมองบรรยากาศโดยรอบ มีผู้เข้าสอบมากกว่า 40 คนในห้องจากการประมาณผ่านสายตาคร่าวๆ สนามสอบภาคทฤษฎีจะใช้โต๊ะยาวร่วมกัน เเละมีช่องเว้นว่างไม่ห่างกันมาก มันเเทบจะสามารถเหลือบมองคำตอบของคนข้างๆ ได้สบายเลย

 

“ผู้เข้าสอบทุกท่านกรุณารีบเข้าประจำที่นั่งสอบด้วย 1 – 10 เเถวเเรก 11 – 20 เเถวสอง 21 – 30 เเถวสาม เเละ 31 – 40 เเถวสี่ ถ้าไปไม่ถูก ให้เดินตามรูปศรที่ปรากฎบนเเหวนระบุตัวตน จะพบที่นั่งสอบเอง”

(เราอยู่เเถวสุดท้ายสินะ)

ผมเดินผ่านช่องกลางตรงไปยังที่นั่งเเถวสุดท้าย เเหวนระบุตัวตนนั้นเอื้ออำนวยต่อการหาหมายเลขที่นั่งสอบมาก ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมรู้ว่าที่นั่งหมายเลข 40 อยู่ตรงซ้ายสุดของห้องสอบ

 

(อยากรู้จังเเหะ ว่าเขามีวิธีเเก้การโกงข้อสอบยังไง)

ผมนั่งประจำที่นั่งหมายเลข 40 เเล้วพลางสังเกตมองกระดาษข้อสอบหลายสิบหน้า ปากกาด้ามหนึ่ง เเละเก้าอี้หมายเลขที่ 39 ซึ่งห่างกันไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ ผมชักอยากรู้จริงในโลกที่ใช้เวทมนตร์จะมีการรับมือการโกงข้อสอบยังไง

 

“ขออนุญาตินะคะ รบกวนช่วยขยับไปด้านข้างอีกได้ไหม”

“อ่า ได้ครับ”

ผมหันไปตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นผมก็ได้เจอกับหญิงสาวผมสีขาวผู้มีนัยตาสีฟ้า เธอมาในชุดไปรเวทสีดำอันหรูหรา ที่คาดผมดอกกุหลาบสีดำของเธอเป็นสิ่งที่ทำให้ผมละสายตาไม่ได้ ดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลอันสงบนิ่งจ้องมองผมด้วยความเยือกเย็น โดยที่ใบหน้าไม่ได้เเสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ

 

(สอบห้องเดียวกันกับเชอร์เบชเฉย)

“รอสักเเปป เดวผมจะขยับให้”

“ขอบใจ”

ผมลุกขึ้น เเละขยับเก้าอี้ไปด้านข้างทันที เชอร์เบชพูดด้วยเสียงโทนเดียว เเละนั่งลงบนเก้าอี้ข้างผมโดยไม่เเสดงอาการใดๆ บรรยากาศนั้นเงียบสงบไม่มีฝ่ายใดทักกัน

 

(อึดอัดจังเเหะ)

ผมเหล่ตาไปมองเชอร์เบชโดยไม่ให้เธอจับสังเกต เธอนั้นไม่ได้เเสดงอาการอะไรออกมาหลังจากที่เหตุการณ์ทะเลาะกับเจ้าชาย เธอใช้นิ้วสีขาวนวลของเธอบรรจงเปิดข้อสอบทีละเเผ่นตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อสอบ

 

{ขณะนี้ถึงเวลาสอบเเล้ว รบกวนผู้ควบคุมการสอบ ชี้เเจงรายละเอียด เเละเริ่มการสอบด้วย ขอบคุณค่ะ}

“ผู้เข้าสอบทุกท่าน ขณะนี้กำลังจะเริ่มอธิกายกฎการสอบ รบกวนตั้งใจฟัง เเละปฎิบัติตามกฎด้วยครับ”

ผู้เข้าสอบสอบชายหนุ่มรูปหล่อทำสีหน้าเคร่งครึง เขาวางมือลงบนคริสตัลสีฟ้าบนโต๊ะ เเละฉายภาพออกมาตรงกระดานสีดำ

“สำหรับการเข้าสอบนั้น ทุกท่านสามารถไว้วางใจได้ว่า จะไม่มีการโกงเกิดขึ้นอย่างเเน่นอน กระดาษข้อสอบที่ทุกท่านได้นั้นเเบ่งออกเป็น 3 ชุดซึ่งมีการเรียบเรียงข้อที่เเตกต่างกัน”

“ปากกาที่ทุกท่านใช้จะต้องเป็นของทางที่สถาบันเเอสทาเรียจับเตรียมเท่านั้น หากใครที่ทำการโกงการสอบ เเหวนระบุตัวตนจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเเดงโดยทันที เมื่อนั้นผู้ผฝ่าฝืนจะต้องได้รับบทลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น”

(ใช้เวทมนตร์ในการตรวจจับงั้นเหรอ น่าสนใจดีเเหะ)

“ผู้เข้าสอบทุกท่านจะต้องทำข้อสอบให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ระยะเวลาในการสอบคือ 1 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจาก 1 ชั่วโมงเป็นต้นไป ถ้าเห็นผู้ใดยังไม่หยุดวางปากกาจะทำการถอนชื่อทันที”

ก็ยังดีกว่าใช้สายตาจับสังเกต การที่มีเเหวนระบุตัวตน เเละเวทมนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเเทรกเเซง คงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับพวกที่พยายามจะโกงเเน่นอน

 

“อธิบายข้อบังคับเรียบร้อยเเล้ว ถ้าพร้อมเเล้ว เริ่มลงมือทำข้อสอบได้!”

หลังจากที่สิ้นสุดการชี้เเจง ผมก็ลงมือเปิดกระดาษ เเละทำข้อสอบโดยทันที ผมไม่ได้เริ่มจากการไล่ทำทะข้อ เนื่องจากที่เจอเชอร์เบชโดยที่ไม่ทันตั้งตัว จึงเสียเวลาตรวจดูเนื้อหาในข้อสอบก่อน

 

(มีวิชาคำนวณ ประวัติศาสตร์ เเละทฤษฏีเวทมนต์ ตามที่คาดการณ์ไม่ผิด)

เป็นไปตามที่คาดเดา ในโลกของดาบ เเละเวทมนตร์ที่ยังไม่มีการศึกษาในเเขนงต่างๆ มากมาย สิ่งที่สำคัญก็ต้องเป็นความรู้ในการเอาชีวิตรอด ความรู้จากบรรพบุรุษ เเละเวทมนตร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้

 

(เเต่ก็ไม่ได้ยากมากสำหรับเรา น่าจะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเเล้ว)

สำหรับผมการสอบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเเปลกใจหรืออะไร วิชาคำนวณคือการเเค่บวกลบคูณหารหาจำนวน ประวัติศาสตร์ เเละทฤษฎีเวทมนตร์ก็สามารถอ่านได้จากหนังสือได้ ตั้งเเต่ที่มาโลกนี้ผมก็อ่านหนังสือเตรียมสอบตั้งใจที่จะเพิ่มคะเเนนชดเชยเเทนสอบปฏิบัติอยู่เเล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรกับการสอบครั้งนี้เลย

 

“ห้าว~”

(ง่วงจังเเหะ สงสัยกินข้าวเทียงเยอะไปมั้ง ชักอยากหาที่นอนเเล้วสิ)

หลังจากลงมือเขียนคำสอบลงไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มรู้สึกอยากนอนอยากบอกไม่ถูก บางที่อาจจะเป็นข้อสอบที่น่าเบื่อบวกกับอาหารเทียงที่กินเต็มอิ่มกระมัง

 

(โต๊ะก็เป็นที่นอนคลาสสิกอยู่หรอก เเต่จะในงอหลังนอนมันก็ไม่สบายเเหะ ถ้างั้นไปนอนในโรงอาหารดีกว่า)

ผมวางปากกา เเละบิดขี้เกียจเล็กน้อย ถึงจะยังง่วงนอนเเต่ผมก็ต้องเเน่ใจกับคำตอบจึงทำการตรวจสักพัก ก่อนที่จะยกมือขึ้นสูง

 

“มีอะไรหมายเลข 40”

“ผมทำข้อสอบเสร็จเเล้ว ขอตัวนะครับ”

“ได้ ห้ะ! ว่าไงนะ!”

กรรมการคุมสอบมองผมด้วยสีหน้าตกใจ ผมไม่ได้เเสดงการตอบโต้อะไร ผมเดินลุกขึ้น เเละเดินลงผ่านช่องกลาง โดยมีสายตาที่ล้อมรอบมองผมด้วยความประหลาดใจ

 

“นายพึ่งสอบเเค่ 3 นาที เเน่ใจกับคำสอบเเล้วหรือ!?”

“ถ้าทำถูกหมดทุกข้อเเล้ว ผมก็ไม่อยากเสียเวลานั่งรอหรอกครับ”

“อะ-อ่า เข้าใจเเล้ว ขอให้โชคดี…”

ผมโค้งหัวทำความเคารพต่อกรรมการคุมสอบก่อนที่จะเดินออกจากห้องสอบ A1 อย่างรวดเร็ว ผมได้ยินเสียงนินทาของคนอื่นในห้องมากมาย เเต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนี้ผมอยากจะหาที่นอนสบายๆ ในโรงอาหารมากกว่า

 

(ไปนอนรอลิเลียที่โต๊ะเดิมดีกว่า)

ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารของสถาบันเเอสทาเรีย ตอนนี้มันเงียบมากไร้ซึ่งวี่เเววของคน เป็นบรรยากาศอันเหมาะเจาะสำหรับการนอนกลางวัน

 

“มีเวลาเหลืออีก 50 นาที นอนสัก 30 นาทีหน่อยเเล้วกัน”

ผมนอนบนโต๊ะด้วยไม่สนใจอะไร เนื่องจากที่มันมีความกว้าง เเละยาวเหมาะสมที่จะเป็นเตียงสอบ ถึงเเม้จะไม่นิ่มสบายเหมือนเตียง เเต่ก็ยังดีกว่านอนบนพื้นหรือต้นไม้

 

(ถึงเเม้ภายนอกจะดูไม่ดี เเต่ยังไงซะ ก็คงไม่มีใครบ้าออกจากห้องสอบเเบบเราหรอก)

ตามมารยาทคงไม่มีใครออกห้องสอบมาดื้อๆ เเบบผม ซึ่งปรกติเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เเต่เพราะในกฎไม่การระบุว่า ห้ามออกห้องสอบก่อนกำหนด ผมจึงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิด อีกอย่างข้อที่ผมทำไปมันก็ไม่ใช่ว่า จะทำเสร็จได้เร็วเเบบผม เนื่องจากผมสามารถอ่านโจทย์ เเละเขียนได้รวดเร็วด้วยเเหละ ที่ทำให้ผมใช้เวลาข้อสอบเร็วกว่าคนอื่นอย่างมาก

 

สักพักสายตาของผมก็อ่อนล้า เเละลงสู่ภวังค์ ผมรับรู้ถึงความมืดที่กำลังกลืนกินผม เเต่ทว่ามันก็เป็นเเค่สีดำจอมปลอม ไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมาบนโตีะสีขาวที่มีจาน เเละถ้วยที่เต็มไปด้วยน้ำชาสีใสตรงหน้า

 

“เห้อ อยากนอนกลางวันก็ไม่ได้สินะ”

“เเกยังดิ้นรนหาทางนอนอีกเหรอ ทั้งทีข้าก็เคยบอกเเล้วว่าเเกน่ะ นอนเเบบปรกติไม่ได้หรอก”

“อย่าพูดกับโนวมอลเเบบนั้นสิกริม เขาก็พยายามอยู่นะ ถึงจะไม่ประสบผลสำเร็จก็เถอะ”

ผมนั่งอยู่บนโต๊ะน้ำชาเเห่งหนึ่ง รอบตัวเต็มไปด้วยสวนดอกไม้นานาพันธ์ที่ตกกเเต่งอย่างสวยงาม ตรงหน้าผมมีเเขกสองคนที่คุ้นเคย คนหนึ่งคือ กริมที่อยู่ในรูปก่อนสไลม์สีเเดงมีดวงตาสีเหลืองเชิงเยาะเย้ย กับอีกคนคือหญิงสาวที่ใส่หมวกสีขาว เเละชุดหรูหรา ผมสีฟ้าใสของเธอพริ้วไหวไปตามอากาศ ริมฝีปากอมชมพูดื่มชาอย่างนุมนวล มีเพียงสิ่งเดียวที่ขัดการภาพลักษณ์อันสวยงามของเธอ นั้นคือผ้าสีขาวดำที่ปกปิดดวงตาของเธอไว้

 

“วิตตอเรีย เธอช่วยให้กำลังใจเเบบดีๆ ได้ไหม เพราะเเบบนี้ไง ถึงบอกว่าอยู่กับกริมบ่อย”

“เห้ย เเกเห็นข้าเป็นคนยังไงฟะ!”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าเเกสักหน่อย เเค่ปากหมาของเเก มันเเฟร่เชื้อได้อ่ะดิ”

“หึ ทำเป็นพูด เเกก็ปากหมาพอๆ กับข้านั่นเเหละ ไอ้หนู”

“พี่กริมพูดว่าอะไรนะครับ กระผมยังก้อยปัญญาไปจนไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่เป็นเด็กไม่ดีของพี่กริม”

“อี๋! ทุเรศวะ อย่าพูดให้ข้าได้ยินอีกนะ เห็นหน้าน่าเกลียดของเเกเเล้ว ข้าอยากอ้วก!”

“คิกๆ ทั้งสองยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“วิตตอเรีย ถ้าอย่าไปชมกริมสิ เเล้วมันจะเหลิง!”

“ข้าไม่อยากโดนเรียกว่าน่ารัก สำหรับนักรบ คำว่าเท่ยังดีกว่าเยอะ”

วิตตอเรียยิ้มสนุก เเละมองกริม น่าตลกที่ถึงเเม้ทั้งสองจะดูเหมือนจะลุกขึ้นมาสู้กัน เเต่พวกเขาก็กลับยืนตรงจิบชา เเละปะทะคารมกันผ่านสายตาเเทน

 

“เเต่กริมไม่ได้พูดผิดเลยนะ โนวมอล ถึงเเม้ว่านายอยากจะพักผ่อน เเต่ร่างกายของนาย มันต้องการเเบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“นั่นสินะ”

ผมจ้องไปที่มือของผม ฝ่ามือที่อยากกระด้างไม่มีร่องรอยของการทะลุทนอม เเละภายใต้เสื้อเเขนยาวนี้มันก็คือ บาดเเผลอันน่ารังเกียจ เเละน่ากลัว

 

“ตราบใดที่ฉันยังไม่รูสึกว่าปลอดภัย การที่จะนอนเเบบคนปรกติคงเป็นไปไม่ได้สินะ…”

“เเกก็ควรปรับตัวได้เเล้วนะ ถึงเเม้ว่าเเกจะพยายามนอนเเบบคนทั่วไป ร่างกายของเเกก็จะอยู่ในสภาพตื่นตระหนกอยู่เสมอ การที่เเกฝันเเบบเดิมอยู่ตลอด มันก็คือกลไลที่คอยบังคับเเกไม่ให้หลุดออกจากสภาวะไร้การป้องกัน”

“เมื่อไหร่ที่ฉันจะได้นอนเเบบไม่ฝันถึงอะไรเลยบ้างนะ…”

โนวมอลจ้องมือของเขากำจนเเน่น เเละถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง กริมที่ไม่รู้จะพูดอะไรจึงดื่มชาต่อ วิตตอเรียที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะวางถ้วยชาลงบนจานรองอย่างนุ่ลนวล

“ไม่รู้สิ บางทีนายอาจจะต้องหาคนที่เชื่อใจสักคนละมั้ง อย่างเช่น ลองหาเพื่อนหน่อยเป็นยังไง?”

“เพื่อนเหรอ? เเบบนั้นมันจะช่วยได้เรอะ อยู่กับพวกเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม…”

“พวกเราไม่ใช่เพื่อนนายอย่างสมบูรณ์หรอก นายเเค่ต้องการช่วยคนสำคัญ เเละจะต้องมาเเบกรับความเห็นเเก่ตัวของพวเราต่างหาก ลองหาเพื่อนดูสิ โนวมอล คนที่พร้อมที่จะเปิดใจรับฟังนาย เเละอยากที่จะให้กำลังใจนาย”

วิตตอเรียยิ้มให้กับโนวมอลอย่างอ่อนโยน โนวมอลนั้นไม่ได้เเสดงสีหน้าดีใจกับเธอ เขานั่งจ้องมองชาในถ้วย เเละพึมพำอย่างไร้จุดหมาย

“โนวมอลอาจจะขัดเวลาพักผ่อนของเเก เเต่ดูเหมือนคู่อริเเกจะมาเเล้วนะ”

ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของใครสักคนที่จ้องมองมายังผม เสียงของรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้น มันดังเข้ามาในสวนดอกไม้จนได้ยินเสียงชัดเจน

 

“เสียงเดินเเบบนี้ คงเป็นสาวผมสีขาวที่นายรู้จักสินะ โนวมอล”

“เจ้าจะตัดหน้าข้าไม่ได้นะ วิตติเรีย ข้ากำลังจะฉายภาพให้ไอ้หนูดูเลย!”

“ขอโทษนะ พอได้ยินเป็นเสียงของผู้หญิง ฉันก็ไม่อยากที่จะปล่อยเฉยน่ะ”

วิตตอเรียดื่มชาต่อไปเลยไม่สนใจกริมที่โมโหเพราะโดนตัดหน้า ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเย็นหลังเเปลกๆ เเต่ถ้าเป็นไปตามที่วิตตอเรียบอก คนที่มีผมขาว เเละน่าจะมีความเเค้นกับผมคงเป็นเชอร์เบชไม่ผิดเเน่

 

“ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอจะมาคุยเรื่องอะไร เเต่ฉันชักได้กลิ่นความสนุกเเล้วสิ”

เมื่อรับรู้ว่าเป็นเชอร์เบชเเทนที่ผมจะหวาดกลัว ผมกลับตื่นเต้นจนหุบยิ้มไม่ได้ รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดปรากฏออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันจะต้องมีอะไรสนุกๆ เกิดขึ้นอย่างเเน่นอน

 

“ยิ้มเเบบนี้ไง ไอ้หนูนี่ ถึงไม่มีคนอยากเป็นเพื่อน เห็นด้วยไหม วิตตอเรีย”

“ไม่อยากที่จะซ้ำเติม เเต่ฉันเห็นด้วยกับนายนะ กริม”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่นึกเลยว่าอาหารจากตามเมนูธรรมดาจะอร่อยจนน่าตกใจเลยค่ะ”

“เเน่นอน ไม่เคยได้ยินเหรอว่า อาหารจะอร่อยขึ้นต้องมาจากมือเชฟที่ดีเท่านั้น ถึงฉันจะจัดมันมายำกัน เเล้วปรุงนิดหน่อยก็เถอะ”

“ฮิๆ งั้นเหรอคะ”

เธอหัวเราะขบขันเล็กน้อยจนผมรู้สึกทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่เธอกินข้าวเที่ยงเงียบๆ กับผมมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เธอเริ่มที่จะเปิดใจคุยกับผม

 

[ถ้าเป็นเด็กสาวน่ารัก เเกคงตัวบิดไปเเล้วมั้ง ไอ้หนู]

(ให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ อีกอย่างการที่ฉันละลายพฤติกรรมเธอได้ มันช่วยให้ฉันสนิทกับเธอเร็วขึ้นด้วยสิ)

กุสก็ยังคงจิกกัดไม่เคยเปลี่ยน เเต่ถ้าผู้หญิงตรงหน้าเป็นสาวงามสุดน่ารักจริงๆ ผมคงต้องมีอาการเเอบเขินบางเเหละ อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นด้วยสิ

 

“ไหนๆ เราก็เเลกเปลี่ยนมื้ออาหารกันเเล้ว เรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีไหม”

“เหรอคะ?”

“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามสิ เอาเป็นว่า ฉันเอลเดล นอล หรือจะเรียกว่า โนวมอลก็ได้นะ ฉันอนุญาต”

ผมยื่นมือเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ เด็กสาวผมชมพูมีความประหม่าเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจับมือของผมด้วยสองมือของเธอ

 

“ฉัน มิธ ลิเลีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

รอยยิ้มที่เเสดงถึงความจริงใจของเธอเเอบทำให้ผมประหม่า บางทีผมอาจจะไม่ได้พบปะกับผู้หญิงมาเป็นเวลานานก็ได้ พอโดนมือที่อ่อนนุ่มสัมผัสมือที่หยาบด้างของผม มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปสักพักหนึ่ง

 

(นุ่มจังเเหะ)

“อ้อ ขอโทษนะคะ พอดีตื่นเต้นไปหน่อย เเหะๆ”

ลิเลียปล่อยมือของผมทันทีที่เธอรู้ว่าผมจ้องมันสักพัก เธอทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะโค้งหัวขอโทษ สงสัยเธอคงคิดว่าการกระทำของเธอเป็นสิ่งที่หยาบคายสินะ

 

“ไม่เป็นไรหรอก รู้จักกันครั้งเเรก จะตื่นเต้นก็ไม่เเปลก ฉันก็เหมือนกัน”

“’งั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ฉันไม่ได้ตื่นเต้นคนเดียว”

ผมยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ คงเป็นเพราะการได้หาเพื่อนที่เป็นตัวเป็นตน หลังจากการผ่านอะไรมามากมาย มันทำให้ผมย้อนนึกถึงชีวิตวัยเรียนอีกครั้ง

 

“งั้นฉันต้องเรียกเธอว่า คุณมิธสินะ”

“อืม…ไหนๆ คุณก็เป็นเพื่อนคนเเรกของฉันในโรงเรียนเเล้ว จะเรียกฉันว่า ลิเลีย ก็ได้นะคะ”

“หืม สิทธิพิเศษสำหรับคนเเรกสินะ งั้นเรียกฉันว่า โนวมอล ละกัน”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณโนวมอล”

“เช่นกัน คุณลิเลีย”

เเม้ว่าตอนนี้พวกเราจะยังเรียกชื่อจริงกันทางกรอยู่บ้าง เเต่ผมคิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะเพื่อน ไม่นานหลังจากที่เราสนิทกันมากขึ้น ผมกับเธอคงจะไม่ประหม่าเหมือนเดิมอีก

 

(เเต่ว่าไปชื่อมันฟังดูคุ้นๆ นะ…)

เพียงเสี้ยววินาทีชื่อที่เเสนคุ้นเคยก็เด้งขึ้นมาในหัวผม ผมย้อนภาพนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมา วันนั้นเป็นวันเเรกที่เริ่มต้นเล่นเกมนี้…

 

“ออกตัวเอกโคตรจะหน่อมเเน้มเลย บทโดนปูให้มาอยู่ขอบห้องอีก เเถมบทพูดไร้เดียงสานี่อะไรกันวะ ลืมข้าวกล่องเฉยเเบบนี้ มันบังคับให้เราเสียเงินฟรีสิ”

หลังจากที่ผมเริ่มเล่นบทปูพื้นฐานตัวละคร ผมก็โคตรจะไม่สบอารมณ์กับเกมเลย ตัวเอกเปิดมาก็ไร้เพื่อน เป้าหมายคือ หาเพื่อนใหม่ๆ เเละใช้ชีวิตอันร่าเริงในรั้วโรงเรียนที่ผสมความรัก เเละตลกปนกันไป

 

“ก็รู้อยู่หรอกว่า เป็นบทเเนะนำการใช้เงินซื้อของ เเละคุยกับ NPC เเต่ไม่ต้องบังคับซื้อก็ได้ป่ะ ถ้าเอาเงินที่เหลือจากตรงนี้ไปซื้อของอัปเกรดตัวเองคงดีกว่าเยอะ”

เเน่นอนว่าด้วยความหงุดหงิดผมเลยจัดมื้ออาหารเเบบชุดใหญ่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เเย่มาก สุดท้ายผมก็ต้องไปฟารมกว่าชั่วโมงเพื่อหาเงินคืน เเละต้องคิดก่อนลงมือทำอะไรที่ไม่จำเป็น

 

“สวัสดี ถ้าไม่เป็นการรบกวน ถ้าผมขอใช้ที่ตรงนี้ได้ไหม”

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน การเริ่มต้นก็ต้องมากับการเเนะนำตัวละครเอกฝ่ายชายตัวเเรก เสียงพากย์อันเเสนหนุ่มนวลที่ฟังจนเเทบจะเอียน ผมเหล่ตาไปมองที่มาของเสียงโดยฉับไว ใบหน้าของตัวละครชายที่ผมเกลียดที่จะเล่นรูทของมันมากที่สุด จนต้องละทิ้งไว้เล่นเป็นตัวละครสุดท้าย

 

(มาเเบบไม่อยากเจอหน้ามันเลย ไอ้เจ้าชายขยะนี่!)

ชายหนุ่มผมทองสุดยอดนิยม ผู้มาพร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลา ไม่ต่างจากเจ้าชายขี้ม้าขาวที่หญิงใดต่างใฝ่ฝัน กล้ามเนื้อที่สมส่วนอย่างกับดารา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่พิฆาตใจเหล่าเเม่ยก เจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งของอาณาจักรเเอสทาเรีย มิลมิเลี่ยน เม มัสเเตง

 

“ทางผมมากับเพื่อนของผม ซึ่งจากทีมองดูเเล้ว พื้นที่น่าจะไม่เพียงพอ จะไม่การรบกวนไหมครับ ถ้าพวกคุณช่วยสละที่นั่งให้พวกผม”

เจ้าชายเเสร้งยิ้มมองที่ผม เเละลิเลีย ข้างหลังเขาคือเพื่อนขุนนาง เเละผู้ติดตามจากทางราชวงศ์ เเบ่งออกเป็นชาย 3 คน เเละหญิง 2 คน รวมเป็น 5 คน ซึ่งเเน่นอนว่าผมนั้นจำพวกเขาได้หมด โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ประกบด้านข้างทั้งสองด้าน เเละผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังพวกเธอ

 

(เชอร์เบช วาเซ่ เเละเฟอร์เรีย หึ หน้าตาตามต้นฉบับไม่เปลี่ยนเเปลง)

การพบปะครั้งนี้คือ การเเนะนำตัวละครหลักในอาณาจักรเเอสทาเรียเกือบทั้งหมด เชอร์เบชหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน เธอก็เติบโตเป็นสาวสวยผู้มาพร้อมกับผมสีเงิน เเละดวงตาสีฟ้าใส ที่คาดผมสีดำของเธอเป็นสิ่งที่ตัดกับสีเงินจนเด่นได้ชัด เธอจะมีรูปร่างที่สมส่วนสมกับเป็นกุลสตรีต่างจากเฟอร์เรีย เฟอร์เรียเป็นนางร้ายที่เรียบได้ว่าเซ็กซี่เเบบปกปิด รูปร่างของเธอมีความดึงดูดต่อเพสตรงข้ามที่ค่อนข้างสูง หน้าอก สะโพก เเละเอวของเธอใหญ่กว่าเชอร์เบชเเบบเทียบไม่ติด ผมสีทองกับที่คาดผมดอกกุหลาบสีเเดง เมื่อรวมกับดวงตาสีเเดงอำมหิตทำให้คาเเรกเตอร์ของเธอเป็นที่น่าจดจำมากกว่าเชอร์เบช ส่วนวาเซ่ก็ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก หน้าตาก็หล่อบาดใจ ดวงตาคมกริบไม่อ่อนละมุนเหมือนเจ้าชาย ผมสีเเดงของเขาเป็นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมจำเขาได้ ทุกคนที่ผมจำได้เเม่นยำ ดีไซน์ของพวกเขาเเทบไม่ต่างจากต้นฉบับเลย

 

“เออ…คือ…”

ลิเลียตัวสั่น เเละพยายามก้มลงเลี่ยงสายตาจากเจ้าชาย ความหวาดกลัวของเธอผมสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน พอผมเห็นเจ้าชายที่เสะยิ้มเล็กน้อย ผมจึงกัดฟันไม่สบอารมณ์

 

(คิดว่าจะทำอะไรก็ได้เรอะ)

“เกรงว่าคงจะไม่ได้นะครับ องค์ชาย”

ผมลุกขึ้นจ้องมององค์ชาย เเละปั้นหน้ายิ้มเเจ่มใสเเสดงอัธยาศัยดี เจ้าชายที่เห็นท่าทีผมดังนั้นไม่ได้ดต้ตอบอะไร เขามองผมด้วยความเย็นชาก่อนจะเริ่มพูด

 

“ทำไมล่ะ การที่เราเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นเรื่องที่ดีมิใช่เหรอ”

“ก็เป็นอย่างที่องค์ชายคิดเเหละครับว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่ดี เเต่องค์ชายก็อย่าลืมสิครับว่า การที่เราจะเสียสละให้คนอื่น เราก็ต้องคำนึกถึงเราจะไม่เดือดร้อนก่อนสิครับ”

“เเต่ผมว่าการที่คุณยกที่นั่งให้เราหลังรับประทานอาหารเสร็จ มันก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรมิใช่หรือ พวกผมก็เเค่ต้องการที่พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาสอบเท่านั้นเอง”

“ในมุมมองขององค์ชายอาจจะคิดว่ามันเป็นเเค่เรื่องเล็กน้อย เเต่ผม กับเพื่อนก็กำลังจะคุยเกี่ยวกับเนื้อหาสอบเหมือนกันนะครับ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรอกครับ อีกอย่างไม่ใช่ว่าในโรงอาหารมีการเเบ่งโซน ระหว่างเชื้อพระวงศ์ เเละสามัญชนที่ชัดเจนเเล้วเหรอครับ”

ผมยิ้มอย่างมีเลศนัยอย่างเปิดเผย ผงค์ชายที่เห็นดังนั้นจากสีหน้าที่เเสร้งเเจ่มใส ใบหน้าของเขาก็เริ่มเเสดงความกดดัน เเละความรู้สึกไม่สบอารมณ์จากใจจริงของเขา เสียงของเขาเริ่มมีโทนต่ำ เเละดังฟังชัดยิ่งขึ้น

 

“ผมก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เเต่เพราะการเดินทางล่าช้า ที่ฝั่งนั้นเลยเต็มหมด ผมไม่อยากใช้อำนาจในการบังคับพวกเขาเลยมาขอร้องพวกคุณที่ดูเหมือนจะเสร็จธุระเเทน เพราะไม่ว่ายังไงขุนนางก็เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศที่เราต้องให้ความสำคัญ”

“ผมว่าเหตุผลขององค์ชาย มันดูเหมือนข้อเเก้ตัวมากกว่านะครับ คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกผมเสร็จธุระเเล้ว การกินข้าวไม่ใช่กิจกรรมเดียวที่เราต้องทำหรอกนะครับ การทำความรู้จักเพื่อนใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าอีก อีกอย่างท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับขุนนางนะครับ”

“คุณหมายความว่ายังไงงั้นเหรอครับ ”

รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผมหลุดออกมา เลือดในร่างกายพลุ่งพล่านจนเก็บอาการไม่อยู่ พอผมนึกถึงใบหน้าของเจ้าชายที่กำลังเจ็บใจให้กับความพ่ายเเพ้ ฝีปากของผมมันก็เปล่งประกายไปตามสัญชาจญาณ

 

“กับอีเเค่พวกขุนนาง ถ้าเอามาเปรียบกับคนที่จะเป็นอับดับ 1 อย่างผมละก็ มันดูจะเป็นการให้ความสำคัญที่ไม่คุ้มค่าเลยนะครับ”

“สามหาว!”

หลังจากที่ผมปลดปล่อยรอยยิ้มอันเเสนน่ารังเกียจ หมัดจากผู้ติดตามผมเเดงของเจ้าชายก็พุ่งตรงซัดเข้าเต็มเเก้มซ้ายของผม เเต่ผมก็ไม่เลือกที่จะโต้ตอบอะไร เเต่เลือกที่จะพูดต่อเเทน

 

“เเหมๆ คุณลอส ดูเหมือนจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่นะครับ ผมก็เข้าใจได้อยู่นะครับ ว่าเกียรติที่โดนย่ำยีมันรู้สึกเป็นอย่างไร เเต่ว่านะ การที่คุณใช้ความรุนเเรงในสนามสอบ มันอาจจะผิดกฎได้นะ เเล้วก็อีกอย่าง หมัดของคุณดูท่าจะเบาไปหน่อยนะ ไม่บอกผมนึกว่าเเมลงเกาะหน้าผมอยู่นะนี่”

“ไอ้สามัญชนนี่!”

(ใช้เวทมนตร์มาสิ เเล้วชีวิตเเกจะจบเห่ตรงนี้เเหละ!)

วาเซ่จับจ้องที่ผมด้วยความโกรธ เข้าจับคอเสื้อผมไม่ให้ไปไหน หมัดขวาของเขาเสริมพลังด้วยเวทมนตร์อย่างเต็มกำลัง ถ้าผมโดนหมัดนี้อาจจะเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมดกัดก็ได้

 

“หยุดเดี่ยวนี้! วาเซ่ นายกำลังจะละเมิดกฎการใช้เวทมนตร์ในสนามสอบนะ!”

“ท-ท่านเฟอร์เรีย…”

(ชิ เซ้นส์ความยุติธรรมของยัยนี้ จะมาออกอาการตอนนี้ทำไมวะ!)

ผมเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิด เฟอร์เรียสั่งห้ามวาเซ่อย่างฉับพลัน ถ้าเกิดเธอพูกช้ากว่านี้ละก็ ไอ้หมอนี้คงโดนไล่ออกจากสนามสอบไปเเล้ว เเผนที่วางมาเสียซะงั้น เเต่ไม่เป็นไรยังมีเเผนสอง

 

(ยังมีอีกตัว)

“องค์ชายนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะครับ สั่งสอนผู้ติดตามมายังไงให้ทำพฤติกรรมก้าวร้าวเเบบนี้ ความออกมารับผิดชอบด้วยการขอโทษผมทีนะครับ”

“เเกรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา ไอ้สามัญช-!”

“หยุดเลยพวกนาย! อย่าไปตกหลุมพลาง ชายคนนี้กำลังวางเเผนปั่นประสาทพวกนายให้โดนไล่ออกอยู่”

(ยัยเชอร์เบชนี่ก้างขวางคอไม่เเพ้กันเลย! ยัยสองตัวนี้มันไม่ใจร้อนเหมือนพวกของเจ้าชายด้วยสิ!)

เจ้าชายที่กำหมัด เเละจ้องผมด้วยเเววตาสังสาร บวกกับพวกลิ่วล้อที่กำลังจะเข้ามาต่อยผม ถูกเชอร์เบชที่มองสถานการณ์ออกขัดไว้จนเเผนสองก็พังอีก

 

“ดูสิ องค์ชายกำลังทะเลาะ–”

“พวกคนของเชื้อพระวงศ์บ้าเถื่อนเเบบนี้เหรอ–”

“พวกเราจะอยู่กับขุนนางได้–”

เสียงซุบซิบนินทาของสามัยชนที่อยู่รอบๆ กำลังสร้างบรรยากาศกดดันเเก่เจ้าชาย ถึงเเม้ว่าเเผนจะไม่สำเร็จ เเต่ถ้าสภาพเเวดล้อมเข้าข้างผม ตอนนี้ผมก็ได้เปรียบอย่างชัดเจน

 

“เฟอร์เรีย ฉันควรทำยังไงดี?”

“ฉันว่าองค์ชายต้องขอโทษค่ะ เพราะตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะถูกชักนำไปตามการล่อลวงของผู้ชายคนนั้น”

“ชิ!”

เจ้าชายหันไปกระซิบกับเฟอร์เรียที่อยู่ด้านข้าง ผมที่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะไม่ว่ายังไงความเห็นของผู้คนส่วนใหญ่ก็อยู่ข้างผมหมดเเล้ว

 

“ผมต้องขอโทษกับการกระทำอันหยาบคายของผู้ติดตามของผม ต้องขอโทษด้วย วาเซ่นายก็เช่นกัน”

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับที่กระทำการทำร้ายร่างกายโดยไม่ยั้งคิด”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสาหรอก เเค่หวังว่าพวกคุณจะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นครั้งหน้านะ เเล้วก็อีกอย่าง…”

เจ้าชายก้มหน้าขอโทษ ในขณะที่วาเซ่โค้งตัวสุดความสามารถขอโทษผม ถึงผมจะไม่ได้รับรู้ถึงความจริงใจ เเต่เเค่ความสะใจก็คุ้มค่ากับการได้เห็นภาพนี้ เเต่ผมไม่ให้มันจบเเค่นี้หรอก

 

“องค์ชาย ขอโทษผิดคนนะครับ ผมเเค่มีความผิดใจกับผู้ติดตามของคุณ เเต่เพื่อนของผมต้องหวาดกลัว เเละทำอะไรไม่ถูก เพราะเเรงกดดันจากคำพูดของคุณนะครับ”

ผมชี้ไปทางลิเลียที่มองเห็นการณ์อยู่บนเก้าอี้ เธอที่เห็นผมชี้มาก็ส่ายหน้าปฎิเสธ เเต่ผมอยากคลายความกังวลของเธอ ดังนั้นต้องสอนเธอว่า ใครทำผิดก็ควรยอมรับผิด

 

“เข้าใจเเล้ว”

(ลิเลียสู้ๆ นะ)

องค์ชายพยักหน้า เเละเดินตรงไปทางลิเลีย ลิเลียทำสีหน้าเเตกตื่น เเละขอความช่วยเหลือกับผม เนื่องจากเธอต้องได้รับคำขอโทษในฐานะผู้ถูกกระทำ ผมจึงชูนิ้วโป้งเป็นกำลังใจให้เธอ

 

“ผมขอโทษด้วยนะ”

“ม-ม-ม-ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! ฉันไม่คิดอะไร! พวกเราก็ผิดเองที่พูดจาไม่ไม่ดีใส่องค์ชาย! ดังนั้นถือว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นนะคะ!”

“ขอบคุณจริงๆ”

ลิเลียทำหน้าตกใจขั้นสุดจนลุกลี้ลุกลน เธอพยายามปั้นยิ้มสุดความสามารถเมื่อลดความกดดัน หลังจากเจ้าชายขอโทษเสร็จ เขาก็เดินมาใกล้ผมอย่างเเนบชิด

 

“ดูเหมือนนายจะมีเศษข้าวติดนะ”

(วาจาที่เเกดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์ เเละทำให้ฉันต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ในสอบภาคปฏิบัติ ฉันจะบดขยี้เเกให้ปากพล่อยๆ นั่นพิการไปตลอดชีวิต ไอ้สามัญชนไม่รู้จักที่ยืน!)

เจ้าชายจับไหล่ซ้ายของผมด้วยมือขวา เสียงอันเกรี้ยวกราดของเขาส่งผ่านมายังหูของผมอย่างเเนบชิด มือขวาของเขากดไหล่ผมอย่างเต็มเเรงด้วยความตั้งใจที่จะให้มันหักจนใช้การไม่ได้อีกตลอดไป

 

“ขอบคุณนะครับ องค์ชาย”

(ทำให้ได้ก่อนเหอะ เพราะภาพที่เเกจะได้เห็นคือ ถูกฉันกระทืบจนไม่เหลือชิ้นกียังไงล่ะ ไอ้เจ้าชายขยะ!)

เจ้าชายเดาะลิ้นเล็กน้อยก่อนที่จะละมืออกจากไหล่ของผม เขาเดินกลับไปหาผู้ติดตาม เเละไม่เหลียวมามองหลังอีก เเต่ก็ไม่อาจปิดจิตสังหารที่มีต่อผมได้หรอก

 

“ขุนนางคนอื่นน่าจะเสร็จธุระเเล้ว เรากับไปหาที่นั่งพูดคุยที่โซนขุนนางกันเถอะ”

“ครับ/ค่ะ องค์ชาย”

เจ้าชายเดินไปพร้อมกับผู้ติดตาม คนทั่วไปที่อยู่รอบๆ จากที่มุงกันดูเหตุการณ์ก็พากันกลับนั่งประจำที่เดิม เพื่อหลีกทางให้เจ้าชายเดินกลับอย่างสะดวก

 

 

 

 

 

 

 

[ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากหลับใหลไปนาน มนุษย์จะหันไปขี่เศษเหล็กไร้อารมณ์กันหมดเเล้ว]

(ก็นะ หลับไปเป็น 1000 ปี เขาก็คงไม่ยึดติดกับพวกของเดิมๆ เเล้ว)

[ไอ้หนู ข้าว่าเราไปสายสักนิดนึงก็ไม่เป็นไรมั้ง? อย่างเช่นไปลองขี่ไอ้ม้าขากลมนั่นดีกว่า!]

(จะบ้าเหรอ ไอรถนั่นเเพงหูฉี่ชิบหายเลย ถ้าไม่มีเงินล้นกระเป๋า เเบบพวกขุนนางยศสูงๆ ไม่ได้มีมีขี่กันหรอก!)

ผมสื่อสารกับกุสผ่านโทรจิต คนรุ่นทวดของทวดเเบบเขาคงไม่รู้หรอก ไอ้รถยนต์ที่เห็นเเล่นในถนนของเมืองนี่ ราคาเเพงกว่าบ้านหนึ่งหลังในเมืองหลวงเสียอีก!

 

ผมหยุดเเวะเข้าไปในร้านอาหารเเห่งหนึ่ง ร้านมีชื่อว่า พกสะดวกอิ่มท้อง เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารเป็นกล่องที่สามารถนำติดตัวไปรับประทานที่ไหนก็ได้ ในเกมร้านนี้จะใช้เพื่อซื้ออาหารในการไปปิกนิกกับตัวละครหลัก

 

กริ้ง~

“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าอยากได้ข้าวกล่องเเบบไหนครับ”

“ขอโปรโมชั่น ตามใจเชฟ ราคาสบายกระเป๋าเงินครับ”

“รับทราบเเล้วครับ ตามใจเชฟ 1 ที่!”

ผมไม่ได้มีเงินติดตัวมาก จึงเลือกเซตที่ราคาสบายตัว เพราะผมยังต้องไปจ่ายค่าสมัครสอบเข้าอีก ระหว่างที่ผมกำลังยืนรออาหารอยู่หน้าเคาเตอร์สายตาของผู้คนก็จ้องมองผมด้วยสีหน้าประหลาด

 

[ไอ้หนู ดูสิ คนต่างก็มองเเกด้วยสีหน้ารังเกียจ ข้าบอกเเล้วไงว่า ให้เเกไปหาชุดดีๆ ใส่ได้เเล้ว สภาพเหมือนกับหนูท่อไม่มีผิด อี๋!]

(ในเวลานี้เเกควรให้กำลังใจฉันสิฟะ! เห้อ ถึงชุดขาดรุ่ยไปหน่อย เเต่ฉันมั่นอาบน้ำนะโว้ย!)

[ก็ว่าทำไม ถึงได้กลิ้นตุๆ จากเสื้อผ้าเเก]

(เสื้อก็ซักโว้ย! ถึงจะมีเเค่ตัวเดียวก็เถอะ…)

ถึงผมจะพยายามหาข้ออ้าง เเต่สิ่งที่กุสคิดก็ไม่ได้ผิด ผมนั้นเลือกที่จะใส่เสื้อเดิมมาโดยตลอด เเน่นอนว่าพวกมันก็เสียความคงทนตามการใช้งานที่ไม่ทะนุทะนอมจากผม เเต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเงินเก็บที่ได้มา มันก็น้อยเสียจนจะไม่มีค้างคืนต่อเเล้ว

 

“ข้าวกล่องตามใจเชฟราคาประหยัดได้เเล้วครับ ทั้งหมด 60 ยูเรครับ”

“นี่ครับ”

“ขอบคุณสำหรับการอุดหนุนนะครับ!”

ผมวางเหรียญทองเเดง 3 เหรียญไว้บนโต๊ะเคาเตอร์ เเละรับกล่องอาหารที่ห่อด้วยผ้าเเล้วเดินจากไป ผมถือข้าวกล่องด้วยมือขวาเเล้วเดินต่อไปบนถนน

 

[ไอ้หนู เเกว่าจะมีอะไรบ้างในข้าวกล่อง ข้าชักอยากรู้เเล้วสิ]

(ขนมปังคลาสสิกหั่น 3 ชิ้น เนื้อรมควันหมักเกลือประมาณหนึ่ง ผักชุด เเละอกไก่ชุดเเป้งทอง)

[อย่าสปอยดิเห้ย!]

(โทษที พอดีลืมตัดโทรจิตน่ะ)

[เเกจงใจนี่หว่า โนวมอล!]

“ครับๆ”

ในเกมผมสั่งเมนูนี้ค่อนข้างบ่อย ผมจึงจำได้ว่า อาหารในกล่องมีอะไรบ้าง ทันทีที่มีโอกาสผมก็เลยขอเอาคืนเขาสักหน่อย กริมกรีดร้องหาความเป็นธรรม ในขณะที่ผมพยายามทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจความฉุนเฉียวของเขา

 

ผ่านไปสักพัก ผม เเละกริมก็มาอยู่ตรงหน้าตรงหน้าปรตูทางเข้าขนาดใหญ่ บริเวณจุดตรวจมีคนมากมายเดินเข้าออก รอบข้างตกเเต่งด้วยดอกไม้สีขาว เเละธงที่มีรูปของดอกไม้ไวท์เพียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของราชอาณาจักรเเอสทาเรีย

 

จุดเตรียมมีอยู่ 4 ช่องทางในการเข้าไปในสถาบันศึกษาเเอสทาเรีย 2 ช่องเเรกจะมีป้ายกำชับไว้ว่าเป็นบุคคลทั่วไป ช่องที่ 3 จะไว้เพื่อเฉพาะพวกขุนนาง หรือยศสูงกว่านั้น เเละช่องสุดท้ายจะมีป้ายบอกว่าจุดลงทะเบียนที่เป็นช่องสำหรับการสมัครสอบ ทันทีที่เห็นจุดหมายผมก็รีบเดินตรงไปทันที

 

“สวัสดีครับ ต้องการลงทะเบียนสอบใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ”

“รบกวน กรอกเอกสารด้วยนะครับ”

ผมรับกระดาษด้วยมือซ้ายอข้าวกล่องอยู่จากพนักงานหนุ่มรูปหล่อ เพราะอีกมือมีข้าวกล่องอยู่ คงเป็นเพราะเกมจีบหนุ่ม จากพนักงานสาวสุดน่ารักที่จะต้องมาเซอร์วิสผู้เล่น กลับกลายเป็นหนุ่มหน้าหวานเเทน

 

[หืม ไอ้หมอนี่ หล่อใช้ได้เลย นี่มัน อาหารตาชั้นเลิศ สำหรับเหล่านักเรียนหญิงเลยนะนิ]

(เเล้วเเกจะไปชมเขาเพื่อไรฟะ)

[ทำไมล่ะ ข้าเห็นหน้าเเกจนเอียนเเล้ว ขอชมสิ่งสวยงามหน่อยจะเป็นไรไป?]

(ช่างหัวเเกละกัน ฉันขอกรอกข้อมูลดีกว่า)

ผมชักอยากเอากริมลงเตาหลอมเหลือเกิน เเต่ก็ห้ามใจตัวเองไว้ นับวันยิ่งพวกเราสนิทกัน ฝีปากเขาก็จิกกัดผมเเทบทุกกริยา

 

ชื่อ เอลเดล นอล

ตระกูล เอลเดล

ชนชั้น สามัญชน

สถานที่กำเนิด หมู่บ้านนอรท

พร ผู้เเบกรับ (The holder)

 

 

ผมรับปากกาเวทมนต์ที่ใช้เวทของผู้ใช้เป็นน้ำหมึกจากเขา จากนั้นจึงลงมือกรอกข้อมูลตามที่เอกสารต้องการเเบบไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากที่ผมเขียนเสร็จเรียบร้อย ผมจึงส่งให้พนักงานลงทะเบียน

 

 

“ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล สถาบันการศึกษาเเอสทาเรีย เป็นสถานที่ที่มอบความหวัง เเละความเท่าเทียมให้เเก่ บุคคลที่มีความสามารถ ดังนั้นหวังว่าคุณจะสามารถเเสดงศักยภาพ เละผ่านการทดสอบนะครับ เพื่อเป็นการพัฒนาสถาบัน รบกวนชำระค่าสอบด้วยนะครับ ทั้งหมด 10000 ยูเร ครับ”

(เท่าเทียมพี่เอ็งสิ! นี่มันค่าสอบ หรือ รีดไถ่เงินกันฟะ!)

ผมอยากสบถด่าสถาบันการศึกษาที่เขาพูดมาอย่างโอ้อวดว่า ให้ความสำคัญทางเสมอภาพ ซึ่งมันโคตรผิดนิยามของความเสมอภาพเลย ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะมีเงิน 10000 ยูเร นะเห้ย!

 

[เอาไง ไอ้หนู ข้าว่าถ้าเเกจ่ายเงินก้อนนี้ไป พรุ่งนี้ได้กินข้าวคลุกเกลือเเน่]

(เห้อ เอาไว้ค่อยไปตกปลาหากินนอกเมืองเเล้วกัน)

[ก็บอกเเล้วไง ว่าก่อนจะมาถึง ให้ประหยัดเงินไว้บ้าง ไม่ใช่มาทำตัวน่าสมเพชตอนท้าย]

(อย่าพูดถึงมันเถอะ จะให้ฉันทำไงได้ล่ะ ในเมื่อพอเห็นเงินก้อนโตเเล้วที่ได้มาจากอาจารย์เเล้ว มันก็อดใจไม่ไหว ถ้าจะกินเเบบหรูๆ สักครั้ง…)

สิ่งที่กุสพูดมาล้วนเป็นความจริง ก่อนที่ผมจะมาถึงอาณาจักรเเอสทาเรีย ผมก็เเวะเที่ยวเล่นที่ต่างๆ เเละใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟื่อย ชดเชยชีวิตที่ทนทุกข์มาตลอด เเต่เพราะประมาทไป กระเป็าที่เต็มไปด้วยกองเงินก็เหลือเเค่ก้นถุงที่เหลือไว้ประคองชีวิตอันน่าเวทนาของตัวเอง

 

“นี่ครับ เงิน 10000 ยูเร”

“ขอบคุณมากครับ นี่คือเเหวนสำหรับการระบุตัวตนผู้เข้าสอบ รบกวนสวมมันจนกระทั่งการสอบสิ้นสุดด้วยนะครับ ถ้างั้นขอให้โชคดีกับสอบครับ”

(เเม่งเอ้ย!)

“ค..ครับ”

ผมพยายามเเสร้งยิ้ม เเละยื่นถุงเงินที่บรรจุค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้พนักงาน มันช่างน่าเศร้าสิ่งที่หลงเหลือจากค่าสอบ เหรียญสีเหล็กหนึ่งเหรียญมูลค่า 1 ยูเร เป็นกำลังใจอันน้อยนิดในการใช้ชีวิตต่อ ไม่นานผมก็เคลื่อนตัวออกจากจุดลงทะเบียนอย่างสิ้นหวัง

 

[เหลือเเค่ 1 ยูเร เเล้วเเกจะทำยังไงล่ะ เย็นนี้ เงินจ่ายค่าข่าว เเละที่พักก็ไม่มี]

(ยังน่ามันน่าจะมีทางรอดอยู่…)

ผมรีบใช้สมองอันฉาดฉลากของผมหาหนทางในการเอาตัวรอดหลังจบการสอบ การสอบน่ะจะยังไงก็ได้ เเต่เย็นนี้ผมจะไม่กินอากาศ เเละนอนบนต้นไม้เด็ดขาด!

 

(จริงสิ!)

(เราก็เเค่หาเพื่อนฉุกเฉิน เเละใช้ขอเนียนเกาะไปด้วยกันสักคืนก็สบายเเล้ว!)

[เเกนี่มัน…ความคิดต่ำทรามชะมัด]

(เห้ย อย่าเหมารวมฉันเเบบนั้นสิ ฉันไม่ขอกินขออยู่ฟรีๆ หรอก อย่างน้อยถ้าฉันสร้างบุญคุณกับใครได้สักคนละก็ เขาจะต้องซาบซึ้ง เเละอยากตอบเเทนฉันอย่างเเน่นอน!)

(เเกนี่มันสวะชัดๆ)

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกุสถึงเเม้เขาจะด่าผมด้วยถ้อยคำรุนเเรงก็ตาม ผมพยายามสื่อสารกับกุสโดยโทรจิตเพื่อให้มีใครรู้ถึงเเผนการเอาตัวรอดเฉาะกิจของผม

 

(อย่าพูดเเบบนั่นสิ ฉันยังมีเเบบ b อยู่นะ)

[เเผน b อะไร?]

(ขายเเก่ให้กับพระราชาไง เเค่นี้ฉันก็มีเงินใช้ตลอดชีพเเล้ว)

[ไอเด็กเหี้x! @#$%^*!!!]

กุสสบถด่าผมด้วยถ้อยคำที่หยาบคายจนผมต้องทำหูทวนลม ผมสนุกกับการสวนคืนกุส เเละเดินตรงไปยังสถานที่สอบอย่างสบายใจ เเต่เเผนที่จะเกาะเพื่อนกินยามฉุกเฉินน่ะ ผมจริงจังเเน่นอน

 

ผมเดินไปเรื่อย ๆ ข้างในอาคารเรียนหลักของสถาบันเเอสทาเรีย การสอบภาคทฤษฎีจะเริ่มค้นในช่วงบ่าย ดังนั้นผู้เข้าร่วมการทดสอบจึงจะมีเวลารับประทานอาหารก่อน ผมมองป้ายลูกศรที่ระบุชื่อห้องจนในที่สุดก็มาถึงโรงอาหาร

 

โรงอาหารของสถาบันเเอสทาเรียเต็มไปด้วยผู้เข้าสอบมากมาย ต่างคนต่างมาจากคนละฐานรันดร มีทั้งสามัญชน ขุนนาง เเละเชื้อพระวงศ์ ข้างในนี้จะมีทั้งการบริหารอาหาร เเละเครื่องดื่มชั้นยอดสำหรับนักเรียนของสถาบัน

 

“ข้างในจะมีที่ว่างเหลือไหมนะ”

[จากที่ข้าประเมิน ดูเหมือนจะมีโต๊ะว่างอยู่ริมสุดของห้องตรงหน้าเเก ที่เหลือดูเหมือนจะมีคนจับจองหมดเเล้ว]

“โอ้ ขอบใจคู่หู”

กุสนั้นถึงเเม้จะอยู่ในรูปดาบ เขาก็ยังใช้จิตสังเกตในการตรวขสอบสถานที่ได้ ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลาตามหาเอง

 

(เอาล่ะ ได้เวลาหาเหยื่อเเล้ว)

ผมทำตามคำเเนะนำของกุส เเละมาถึงโต๊ะที่เขาบอก ผมนั่งจองที่อย่างรวดเร็ว เเละวางข้าวกล่องเตรียมรับประทาน ที่สำคัญในระหว่างที่ผมรับประทานอาหารกลางวัน ผมจะต้องไม่ลืมหาเป้าหมาย

(ยังไงก็ต้องมีสักคนที่หาที่เหมือนเราอย่างเเน่นอน เพราะยังไงโซนนี้ก็เป็นสาธารณะ ซึ่งเเยกกับโซนพวกขุนนาง ดังนั้นมาดูสิว่า ใครจะมาเป็นเหยื่อให้เรา!)

สถาบันเเอสทาเรียมีการเเบ่งเเยกโซนของสามัญชน เเละขุนนางเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดเเย้งกันไว้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารกันในโรงอาหารเเห่งนี้ จึงมักจะร่มรื่นอยู่เสมอ

 

ผ่านไป 30 นาที

(จะไม่มีมาเลยเหรอ…)

ผมนอนเเนบหน้าบนโต๊ะ เเละถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ผ่านมานานเเล้วยังไม่มีใครมาโตะผมสักที ถึงเเม้คนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ เเต่พวกเขาก็ต่างมีเพื่อน เเละพากันไปกินด้วยกัน เเทนที่จะเลือกมากินกับคนเเปลกหน้าอย่างผม

 

[น่าเสียดายนะ เเต่ไหนเเต่ไร เเกก็มีเเต่สร้างศัตรูกับคนอื่นนี่นะ จะไร้เพื่อนก็ไม่เเปลกนะ ข้าเข้าใจได้]

(ช่วยพูดให้กำลังใจฉันหน่อยเถอะ ถึงเเม้จะมีเเต่คนไม่ชอบหน้า เเต่ฉันก็เคยมีเพื่อนนะ!)

ผมอยากจะตะโกนร้องหาเพื่อน เเต่ทำไปคนอื่นก็คงคิดว่า ผมเป็นไอ้บ้ามากกว่า มันเป็นเวลานานหลังจากที่ผมผ่านการฝึกสุดนรกมา ไม่เคยได้ติดต่อใคร เเละจมปักอยู่กับปัญหามากมายที่ถาโถมเข้ามา

 

[เเกอย่ามาเหมารวมเพื่อนในโลกเดิมเชียว]

(อย่างน้อยเเกได้ให้ฉันมีคนที่เรียกว่าเพื่อนได้บ้างเถอะ!)

เพื่อนที่ผมมีคงมีเเต่เขาเพียงคนเดียว มิก ถึงเเม้ว่าเราทั้งสองจะเเยกจากกัน เเต่ความทรงจำที่มีรวมกัน ผมก็ไม่เคยลืม มีเพียงเเค่เขาละมั้ง ที่ผมกล้าเรียกว่าเพื่อนสนิท

 

[หืม ไอหนู เเจ็คพอตเเตกวะ]

(อะไรนะ!)

ผมรีบลุกขึ้นมานั่งท่าตรงทันที เมื่อเพ็งเล็งสายตาไปด้านหน้า ผมก็พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาอย่างหวาดระเเวง เธอมีรูปร่างที่สมส่วนจนน่าอิจฉา หน้าอกของเธอก็ค่อนใหย่เหมือนเทียบกับมาตรฐาน จุดเด่นของเธอคือ ผมสีชมพูที่หาดูได้ยาก

 

[จากการคาดเดาการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย เธอต้องมาหาเราอย่างเเน่นอน เเถมยังเป็นผู้หญิงด้วย]

(งั้นเหรอ เเต่เเกไม่คิดบ้างเหรอ กุส)

[หืม ดูเหมือนเเกจะมีความเห็นเดียวเช่นช้านะ]

(ยัยนี้เฉิ่มชะมัด)

[เเม่หนูนี่เฉิ่มชะมัด]

ผมไม่ได้มีความรู้สึกเขินอายที่จะต้องมานั่งร่วมรับประทานอาหารกับผู้หญิงหรอก เพียงเเต่ว่าผู้หญิงคนตรงหน้านี่ออกจะธรรมดาจนเถียงไม่ออก ถึงจะมีโครงร่างที่ดูเเลมาดี เเต่การเเต่งตัวของเธอนั่นโคตรเชยเลย เสื้อผ้าเเถบสีโทนเดียวไม่ต่างจากผม เส้นผมก็ยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย บวกกับเเว่นสุดเฉยที่ปกปิดใบหน้าไม่ต่างจากสาวบ้านๆ นี่มันนิยามของคำว่า เฉิ่ม ของเเท้

 

“อ-เออ ฉันขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”

“เชิญตามสบาย”

“ข-ขอบคุณค่ะ…”

เธอพูดด้วยเสียงเบาเเทบจะไม่ได้ยิน เป็นเรื่องดีที่ผมสามารถได้ยินเสียงโดยรอบได้อย่างดีจึงฟังสิ่งที่เธอพูดออก เธอนั่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผมด้วยท่าทีประหม่า ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรจึงเปิดข้าวกล่องเพื่อเริ่มกินข้าวกลางวัน

 

“ขอบคุณสำหรับอาหาร”

ผมเริ่มต้นด้วยการหยิบขนมปังคลาสสิกขึ้นมาด้วยมืออซ้าย เเละหยิบกุสจากฝักด้วยมือขวา ผมหั่นครึ่งขนามปังสามก้องจนกลายเป็น 6 ชิ้นด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยชุดผักที่ประกอบด้วยผัดกาด เเละมะเขือ ผมหั่นพวกมันเป็นชิ้นสวยงาม สุดท้ายก็หั่นอกไก่เป็นชิ้นๆ เพื่อความสะดวกในการรับประทาน

 

[เเกจะทำเเซนวิชเรอะ?]

(ขนมปังมันข้างค่อนจะกลม เรียกว่า เบอร์เกอร์ น่าจะเหมาะกว่ามั้ง?)

ผมนำผัก เนื้อ เเละอกไก่มาเรียงวางเป็นชั้น จากนั้นผมก็หยิบเครื่องปุ่มในกระเป๋าใส่ของที่อยู่ข้างเอวออกมา มีอยู่ 3 ขวด คือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศ เเละซอสมายองเนส ทั้งสามเป็นเครื่องปรุงที่ผมชื่นชอบ ในระหว่างเดินทาง ผมจึงซื้อพวกมันเก็บไว้ใข้ในการเพิ่มรสชาติเเก่อาหาร เเต่พวกมันจะขายเฉพาะที่เท่านั้น ผมจึงใช้เครื่องปรุงเหล่านี้ในเวลาจำเป็นเท่านั้น

 

“ดูดีใช้ได้เเหะ”

ผมเก็บกุสเข้าฝัง เเละดีใจกับเบอร์เกอร์ดัดเเปลงของตัวเอง ถึงเเม้ว่าคุณภาพจะไม่เหมือนต้นฉบับ เเต่ก็ทำให้อาหารของผมมีสีสีนน่ารับประทานมากขึ้น

 

จร๊อก…

(เสียงอะไรน่ะ?)

ผมได้ยินเสียงเเปลกๆ ใกล้ผม เนื่องจากผมสามารถได้ยินเสียงดีอยู่เเล้ว ผมจึงสามารถระบุพิกัดของเสียงได้ ตรงหน้าผมมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่จ้องเบอร์เกอร์ผมอย่างใจจดใจจ่อ โดยที่บนโต๊ะนั้นมีเพียงข้าวกล่องของผม

 

“อย่าบอกนะ เธอลืมพกข้าวเที่ยงติดตัวมา?”

“อ-อา… ฉันตื่นเต้นกับการสอบมากไปหน่อย จึงลืมไปว่า เราสอบตอนบ่าย…เเละ อีกอย่างอาหารที่นี่เเพงมากเลย ก็เลย…”

เธอบิดตัว เเละก้มลงมองพื้นด้วยความอาย ผมสังเกตเธอจากการเเต่งตัวก็เข้าใจได้อยู่ว่า เธอเป็นสามัญชนเช่นเดียวกับผม เเต่ไม่นึกว่าเธอจะตื่นเต้นจนลืมพกอาหารมากิน ผมที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย เเละยื่นเบอร์เกอร์พริกไทยให้เธอ

 

“อ่ะนี่ ฉันให้เธอ”

“จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”

“เอาไว้ เธอค่อยเลี้ยงข่าวฉันคืนตอนเย็นเเล้วกัน”

เธอรับเบอร์เกอร์ของผมไปโดยไม่มีทีท่าปฏิเสธ ซึ่งผมก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรกับข้อเสนอนี้ อีกอย่างมันก็ตรงตามเป้าหมายที่ผมจะหาคนมาเลี้ยงข้าวเย็นได้

 

“เออ คือ…”

“มีอะไรเหรอ?”

“ไหนๆ ฉันก็จะเลี้ยงข้าวเย็นคืนเเล้ว ฉันขอเพิ่มเป็นสองชิ้นได้ไหมคะ?”

เธอกัดเบอร์เกอร์อย่างบางเบา เเละชี้ลงมาที่เบอร์เกอร์อีกชิ้นในกล่อง ดูเหมือนเธอจะชื่นชอบมันพอสมควร ผมที่เห็นดังนั้นจึงกุมขมับขึ้นมา

 

(เห้อ ท่องไว้ ท่องไว้ ข้าวเย็นรออยู่)

“อ่า ฉันกินชิ้นเดียวก็ได้”

“งั้นอีกชิ้นขอเป็นซอสมายองเนสได้ไหมคะ”

“ตามใจเธอเลย”

(ตะกละใช้ได้เลยนะ ยัยนี่)

สุดท้ายพวกเราสองคนก็ลงเอยด้วยการกินเมนูที่ผมทำ ถึงเเม้จะน่าเสียดายที่ผมอดกินเบอรฺ์เกอร์มายองเนส เเต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเธอคิดว่าอะไรอยู่ภายใต้เเว่นสุดเฉิ่มที่ปกปิดสีหน้าของเธอไว้

 

“หืม ลูกของดยุคเเคสโตเวียงั้นรึ? โฮะๆ เป็นเกียรติที่ได้พบกับคุณหนูมากครับ ระผมพอเห็นตัวจริงเเล้ว ไม่มีคำจะกล่าวอันใด นอกจากสวยงดงามดั่งเทพธิดาดั่งคำร่ำลือเลย”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านอาเธอร์”
“ฮ่าๆ ว่าเเต่ท่านมีธุระอะไร ที่นี่งั้นเหรอครับ?”
“ดิฉันเเค่ต้องการดูพรช่วงครบรอบเพียงเท่านั้น ดิฉันอยากจะดูพรในที่ไร้ผู้คนเพื่อเลี่ยงความโกลาหล จึงเดินทางมายังหมู่บ้านนอรทที่ห่างไกลเเทน ต้องขออภัยที่ดิฉันไม่ได้จัดเเจ้งให้ท่านทราบก่อน เพราะความเห็นเเก่ตัวของฉันจึงได้สร้างความเดือดร้อน ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
อาเธอร์ตกใจ เเละชื่นชมความงดงามของเธอ เชอร์เบชน้อมตัวลงอีกครั้งพร้อมยิ้มอ่อนให้เขา เเต่คงจะไม่มีใครนอกจากผมที่รู้หรอกว่า รอยยิ้มนั้นมันเต็มไปด้วยการเเสร้งทำ เธอก็เเค่หาเหตุผลรองรับการกระทำอันเห้นเเก่ตัวของเธอเพียงเท่านั้น

“อืม เห็นเเก่การที่คุณหนูอุส่าห์เดินทางมาไกล ฉันจะดูพรทั้ง 3 คนพร้อมกันเลยละกัน เเต่ก่อนอื่น เธอต้องไปขอโทษสองพี่น้อง เเละพ่อของพวกเขาก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่เธอได้รับการให้อภัย เธอก็เดินมาหาครอบครัวของผมพร้อมกับคนคุ้มกันของเธอ เธอส่งยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง เเละน้อมตัวลง
 

“ต้องขอโทษ ที่ดิฉันทำตัวไม่สมกับชนชั้นสูงด้วยนะคะ”
“ม-ไม่เป็นไร! ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ! ใช่ไหม เนฟ นอล!”
“ใช่ครับ คุณหนูไม่ผิดเลย พี่ชายผม นอล เขาพูดไม่ดีเอง ต้องขอโทษด้วยครับ!”
(เห้ย เนฟ เเกต้องเข้าข้างฉันสิฟะ!)
ผมกลับกลายเป็นผู้รับผิดเเทนเฉย พ่อ เเละน้องชายของผมสั่นกลัว เเละมองน่าผมด้วยความวินวอน ผมไม่ผิดด้วยซ้ำ อาจจะเเค่พูดเเรงไปนิดนึง เเต่มันความจริงทั้งนั้น! 

“ถ้าอย่างงั้น เรามาคืนดีกันนะคะ คุณนอล”
(หยุดยิ้มเเบบนั้นนะเห้ย โคตรเกลียดเลย!)
เชอร์เบชยื่นมือมาทางผม เเละยิ้มกว้างให้ผม ผมรู้ดีว่าเธอไม่ได้ยิ้มอย่างจริงใจหรอก ผมน่ะรู้ดีเพราะไอการหลอกลวงด้วยสีหน้าน่ะ เป็นทักษะที่ผมเชี่ยวชาญตั้งเเต่โลกก่อน ในฐานะอดีตของคนในชมรมเเสดงละคร

(ซวยชิบเป้ง ไม่อยากจะรีบยุ่งกลับนางร้ายเลย ตามจริวอยากอ้อนวอนขอโทษอยู่หรอก เเต่ในเมื่อเราดันไปกล้าท้าทายเธอ ยังไงก็ต้องไปให้สุดทาง!)
“ทางผมก็อาจพูดอะไรไม่คิดบ้าง ขอโทษด้วยนะครับ คุณหนูเเคสโต..อึก..เวีย!”
ผมปั้นหน้าเเสร้งยิ้มกลับให้กับรอยยิ้มจอมปลอมของเธอ ทันใดที่ผมจับมือเธอ ผมก็รู้สึกได้ถึงเเรงอันมหาศาลจากฝ่ามือของเธอ ใช่เเล้วเธอกำลังระบายความโกรธของเธอด้วยการบีบมือของผมอย่างรุนเเรง

(เจ็บเป็นบ้าเลยวุ้ย! ยัยนี้! ลอบกัดกันนี่หว่า!)
“คุณหนูครับ ผมว่าเราคืนดีกันเเล้ว เรารีบไปดูพรกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ขอบคุณนะที่เข้าใจฉัน”
(เออ เข้าใจเเล้ว ปล่อยสักทีสิโว้ย!)
เชอร์เบชปล่อยมือของผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มครั้งนี้เป็นของจริงอย่างเเน่นอน เธอกำลังสะใจที่ได้ระบายความเเค้น ผมที่เห็นดังนั้นจึงได้กัดฟัน เเละเเสร้งทำตัวสบาย ผมล่ะโคตรเกลียดยัยรองนางร้ายนี่เลย!

หลังจากที่พวกเราจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายจบ พวกเราก็ยืนอยู่ตรงหน้าอาเธอร์เพื่อเตรียมดูพร ผมเลือกที่จะอยู่ด้านขวาสุด เพราะไม่อยากเข้าไปมีปัญหากับเชอร์เบชที่อยู่ด้านซ้ายสุด ต้องขอบคุณเนฟที่เป็นคนกั้นระหว่างผม กับเชอเบช

“เอาล่ะ ถ้าทั้งสามคนพร้อมเเล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
ในขณะอาเธอร์กำลังท่องบทสวด ผมที่กำลังหลับตาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนหลังมือ ไม่เพียงเท่านั้นผมได้เห็นภาพอะไรบางอย่าง

ผมเห็นภาพของผมที่กำลังยืนอยู่ในทะเลทรายยามวิกาล ข้างหน้าคือดวงอาทิตย์ที่ไม่ผิดปรกติ เเทนที่เราจะเห็นมันในช่วงช้า ผมกลับเห็นมันกำลังส่องเเสงสาดส่องเส้นทางในห้วงราตรี ทันทีที่ผมหันหลังกลับก็พบกับมือที่หลงเหลือเเต่กระดูก เเละดาบมากมายที่ปักตามพื้นทราย

“ลืมตาได้เเล้ว พวกเธอ”
ผมลืมตาขึ้นตามเสียงของอาเธอร์ ผมพบกับมือขวาของตัวเองที่ส่องเเสงสว่างสีขาว ผมพลิกมันดูหลายครั้งด้วยความประหลากใจ เเม้ว่าภาพสลักบนมือจะไม่ละเอียดชัดเจน เเต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับมัน

“เเสงสีทองนั่น!”
ผมตกใจ เเละหันหลังกลับมาดูที่มาของเสียง มิเกลออกสีหน้าตกใจเหมือนคนเเตกเตื่น ไม่ใช่เพียงเเค่เขา ครอบครัวเลวิล องครักษ์ เเละครอบครัวของผม พวกเขากำลังมองไปที่ใครคนหนึ่ง

“สุดยอด สมเเล้วที่เป็นบุตรสาวของดยุคเเคสโตเวีย ไม่คาดคิดว่า จะได้รับ ซิกม่า ในยุคของเธอ”
“ซิกม่า! นั้นมัน ซิกม่าของจริง!”
คุณหมอตะโกนออกนอกหน้า เเต่ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงดังของเขา พวกเขามุ่งเป้าไปยังเเสงสีทองที่ปรากฏออกมาจากมือของเชอร์เบช เส้นผมสีเงินของเธอลอยพริ้วไหว ร่างของเธอกำลังเรือนเเสงสีทอง ตราสัญลักษณ์ของเธอกำลังถูกบรรจงวาดขึ้นมาด้วยเส้นใยของเเสง

 (ก็รู้อยู่เเล้วนะว่ามี ซิกม่า เเต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันในพิธีดูพร)
ผมเป็นคนเดียวที่มันได้ทำสีหน้าทึ่งกับเหตุการณ์ ผมน่ะรู้อยู่เเล้วว่าตัวละครใดมี ซิกม่า เเละจำความสามารถของมันได้ทุกชนิดด้วย นับว่าเป็นโชคดี เเละเรื่องใหม่ที่ผมได้เห็นคนที่ดูพรเเล้วได้ซิกม่าต่อหน้า เพราะปรกติเราจะต้องเป็นคนปลดล็อคเนื้อเรื่อง เเละเพิ่มค่าความสนิทของตัวละครเพื่อหาคนที่มีซิกม่าเข้าปาร์ตี้ร่วมเดินทาง

“พ่อ คุณหนูเขาได้อะไรอ่ะ อะไรคือ ซิกม่าครับ?”
“อ-เออ”
“ซิกม่า คือ การมอบเจตจำนงค์จากเทพธิดา หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้ถูกเลือกโดยเทพธิดา…”
ผมที่เห็นสีหน้าที่ไม่รู้อะไรของพ่อ ผมจึงอาสาเป็นคนตอบให้เนฟเเทน อย่างน้อยผมอยากให้เนฟเข้าใจถึงความเเตกต่างของพร กับซิกม่า ถึงเเม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม

“กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนที่ได้ซิกม่าน่ะ จะมีพลัง เเละความสามารถเฉพาะที่เหนือกว่าพรที่เรามีอยู่ ถ้าเกิดเราได้พรเป็นนักดาบ ซิกม่าจะให้พรที่เเข็งเเกร่งยิ่งกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ซิกม่า อำนาจเเห่งกษัตริย์ ของราชวงศ์เเอสทาเรีย สามารถอัญเชิญดาบสุริยะลงทัณฑ์ ที่สามารถเเผดเผากองทหารกว่าหมื่นนายให้เป็นขี้เถ้าได้เพียงคนเดียว”
“เเบบนี้ซิกม่าก็สุดยอดไปเลยสิ!”
“โคตรโกงเลยล่ะ”
ผมอมยิ้มให้กับสายตาลุกวาวของเนฟ เเละลูบหัวเขาด้วยความชอบใจ พรที่ดีคือสื่งที่คนคาดหวัง เเต่ซิกม่าคือสิ่งที่ใครต่างก็ภาวนาว่าสักครั้งในชีวิตอยากที่จะครอบครองมัน ผู้ใช้ซิกม่าเพียงคนเดียวสามารถทดเเทนได้กว่ากำลังรบจำนวนมากในสงคราม

“เนล บอกมาเลยนะ! นายเเอบส่งนอลไปเรียนพิเศษใช่ไหม! ขนาดฉันที่อ่านเกี่ยวกับซิกม่าทุกวัน ยังไม่รู้เยอะขนาดนั้นเลย!”
“นอลนี่นะ ฉลาด เอ้! ลูกฉันไปฉลาดตอนไหนเนี้ย!”
พ่อของมิรินเขามาสวมคอพ่อผมด้วยความตื่นเต้น พอผมที่ไม่รู้อะไร เเละปรับตัวไม่ถูก ก็มองซ้ายขวาไปมาเหมือนคนขี้กลัว

(เเย่ล่ะ ติดเป็นนิสัยเสียอีกล่ะ)
กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็เมื่อได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของพ่อ ในโลกเก่าผมมักจะเป็นคนชอบทำไกด์สอนผู้เล่นใหม่เสมอ เลยเพลอลืมตัวพูดออกไปเพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่สงสัย ผมดันลืมไปว่า ข้อมูลที่ผมพูดไปมันไม่น่าใช่สิ่งที่คนยากจน ไร้ซึ่งการศึกษาระดับสูงอย่างผมจะรู้ได้

“ผมเเค่เคยอ่านจากหนังสือผ่านๆ เอง ไม่เเน่สิ่งที่ผมพูดไปอาจะจะไม่ถูกก็ได้นะครับ”
“เป็นไปไม่ได้อย่างเเน่นอน สิ่งที่นายพูดมาน่ะ ถูกต้องทั้งหมดเเล้ว”
เชอร์เบชมองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ผมที่ถูกมองโดยคนรอบตัวมากขึ้น ทหาร องครักษ์ เเละคนผื่นๆ ก็เริ่มกระซิบพูดคุยเกี่ยวกับผม ร่างกายของผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลผล่านทั่วร่างกาย ใครก็ได้ช่วยผมที!

“อะเเห่ม เห็นหัวฉันบ้างเถอะ ตอนนี้กำลังอยู่ในพิธีดูพรนะ ขอให้อยู่ในความสงบด้วย”
“ค-ครับ!”
คุณหมอก้มหัว เเละรีบกลับไปนั่งที่เดิม เขาโดนภรรยาดุเกี่ยวกับพฤติกรรมเเสดงออกอันไม่เหมาะสมของเขา พวกองครักษ์ เเละอัศวินก็ต่างมากันปิดปากยืนนิ่งด้วยความสงบ อาเธอร์เหลือบตามาทางผม เเละกระพริบตาให้เล็กน้อย

(ขอบคุณครับหลวงพ่อ มันจะไม่มีวันลืมบุญคุณเลย!)
ผมเเทบอยากคุกเข้า เเละกราบไหว้การช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ เเต่ก็ทำได้เเต่เเอบส่งนิ้วโป้ง ขอบคุณเขาทางอ้อมเเทน

“รูปของผู้นั่งบนบังลังค์เเห่งความองอาจ สั่งการข้ารับใช้ไร้โลหิตเพื่อปฎิบัติตามเจตจำนงเเห่งตน สายตาเเห่งความเลือดเย็นจ้องมองเเต่ภาพเเห่งชัยชนะ ยินดีด้วยบุคสาวเเห่งเเคสโตเวีย ซิกม่าของเธอ คือ อาณาเขตเเห่งชัยชนะ เพอร์เฟค คิงดอม (Perfect Kingdom)”
 (มาเเล้วสินะ ซิกม่าที่โคตรจะโกง)
ทุกคนที่อยู่รอบตัวผมต่างมองเชอร์เบชด้วยความอึ้งทึ่ง ยกเว้นผมที่ไม่ได้เเสดงออกกับซิกม่าของเธอ เพราะรู้อยู่เเล้วว่าเธอมีซิกม่าอะไรในตัวเกม

Perfect Kingdom คือ การสร้างอัศวินข้ารับใช้อันสื่อสัตย์ต่อสู้เคียงรบไปกับผู้ใช้ จุดเด่นของพลังนี้คือ อัศวินจะเเข็งเเกร่งขึ้น เเละมีจำนวนมากขึ้นตามพลังเวทของผู้ใช้ ถ้ายิ่งครอบครองพลังเวทอันมหาศาลมากเท่าไหร่ อัศวินพิทักษ์ก็จะยากที่จะต่อกรมากขึ้น การที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเธอ เเทบจะไม่ต่างจากการที่เราบุกฝ่าทั้งกองทัพเลย
 

(ใช้ตัวหมากเพื่อที่จะชนะอย่างสมบูรณ์เเบบ นี่เเหละ เพอร์เฟค คิงดอม)
“คุณนอล ดูนิ่งสงบ ไม่มีท่าทางตื่นตระหนกกับซิกม่าเลย จากที่คุณได้อธิบายมา คุณคงเชี่ยวชาญซิกม่าพอสมควรสินะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมเเค่อึ้งจนพูดไม่ออกเลย ไม่รู้เลยนะครับว่า คุณหนูจะได้เป็นผู้สืบทอด เพอร์เฟค คิงดอมอีกครั้ง หลังจากวีรบุรุษของตระกูลเเคสโตเวียได้จากไปเมื่อ 1000 ปีก่อน”
“รู้จักเเม้กระทั่งประวัติศาสตร์เเห่งชาติในเพียงวัยเท่านี้ คุณนี่ช่างน่าสนใจจริงค่ะ”
(ไอปากเฮ็งซวย เอ้ย!)
ผมอยากจะเอามือตบปากตัวเองให้สำนึกผิดซะเหลือเกิน นิสัยที่ชอบพูดไปเรื่อยของผมมันเเก้ยากจริงๆ เเม้ว่าเชอร์เบชจะมองผมด้วยไม่เเสดงสีหน้าอะไร เเต่นั่นมันจะยิ่งทำให้คนรอบข้างเธอหันมาสนใจในตัวผมอีกครั้ง ผมไม่มีทางเลือกจึงหันไปมองอาเธอร์ด้วยสายตาเหลือหมาน้อย ที่ต้องการความช่วยเหลือ

“อะเเห่ม เรามาต่อกับพรของสองพี่น้องดีกว่า เริ่มจากคนน้องก่อนนะ”
“ครับ!”
(ขอบคุณครับ หลวงพ่อ!)
ผมซาบซึ้งจนเเทบจะก้มหน้าลงไปกรอบเท้าอาเธอร์เเล้ว เเต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ เพราะผมจะทำเเบบโจ่งเเจ้งในที่สาธารณะเเบบนี้ไม่ได้

“รูปของผู้เเสวงหาในเส้นทางเเห่งดาบ เเละใช้มันเป็นอาวุธคู่กายต่อกรกับทุกศัตรูที่เผชิญหน้า พรของเธอคือ นักดาบ ยินดีด้วย”
“น-น-นักดาบ! พ่อ ผมได้เป็นนักดาบเเล้ว!!!”
เนฟยิ้มจนปากของเขาเเทบฉีกให้กับความดีใจ เขาวิ่งกลับไปหาพ่อที่นั่งเฝ้ามอง เเละกระโจนกอดพวกเขาด้วยความสุข

“สมเเล้วที่เป็นลูกพ่อ พ่อมั่นใจอยู่เเล้วว่า ลูกจะได้เป็นนักดาบ!”
พ่อกอดเนฟด้วยความดีใจ เเละหลั่งน้ำตาออกมา นักดาบเป็นพรที่เเข็งเเกร่ง เเละมั่นคง การที่เนฟได้พรเป็นนักดาบก็เรียกได้ว่า เขาสามารถพลิกชีวิตของครอบครัวให้กลับมาเฟื้องฟูอีกครั้ง 

“อย่าพึ่งดีใจไป ยังเหลือลูกชายคนโตของพวกคุณอีกคนนะ”
“ขอโทษด้วยครับ ท่านอาเธอร์…!”
พ่อของผมที่กำลังร้องห่มร้องไห้ดีใจก็รีบเช็ดน้ำตา เเละโค้งตัวเเสดงความขอโทษที่ขัดขวางการดำเนินพิธี ไม่นานหลวงพ่อก็หันมามองที่มือของผมก่อนที่เขาก็เอ่ยปากออกมา

“รูปของผู้ที่เดินผ่านสนามรบอันเเห้งเหือดด้วยความโหยหา เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอาวุธนับพัน เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั่วสารทิศ เเละโครงกระดูกที่จ้องมองเเผ่นหลังของเขาด้วยความอาวรณ์ ภายในจุดจบเเห่งความสิ้นหวัง เหตุใดหัวใจของเขาถึงยังกล้าเเกร่งยากจะพังทลาย พรของเธอคือ ผู้เเบกรับ ยินดีด้วย”
(จิตใจอันกล้าเเกร่ง? พรอะไรวะเนี้ย!?)
เมื่อผมได้ยินผลลัพธ์ ผมก็พูดอะไรเเทบไม่ออก จิตใจอันกล้าเเกร่งเป็นพรที่ผมยังไม่เคยได้พบมาก่อนตั้งเเต่เล่นเกมมา ไม่มีทางที่ผมจะจำพรไหรในเกมไม่ได้ เพราะผมเคลียร์ทุกอย่างในเกมนี้หมดเเล้ว 

“นี่มัน พรเกิดใหม่เหรอครับ?”
“ดูเหมือนจะเป็นเเบบนั้น นั่นเป็นพรที่เกิดจากความสามารถของเธอเอง เเต่เท่าที่ข้าตรวจสอบความสามารถ ดูเหมือนมันจะส่งผลให้พ่อมี จิตใจที่กล้าเเกร่ง เเทนที่จะเสริมพลังในการต่อสู้มากกว่า”
“จิตใจที่กล้าเเกร่ง งั้นเหรอครับ?”
(เป็นพรประเภทเสริมความต้านทางจิตใจสินะ…)
“ขอบคุณครับ”
ผมน้อมตัวขอบคุณหลวงพ่อก่อนจะเดินเงียบไปหาพ่อเเม่ ผู้คนรอบตัวต่างมองผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้เเสดงความตกใจ ก็นะสำหรับโลกนี้ พรเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกปีจะมีตลอด เเต่คงมีเเค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าพร ผู้เเบกรับ นั่นมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในเกมมาก่อน

“อะไรกันนึกว่าพรพิเศษ…”
“ผู้เเบกรับ อย่างกับลอกเลียนเเบบ พรผู้กล้า…”
“ไม่ใช่ว่าพรนี้ มันจะกระจอ…”
เสียงซุบซิบนินทาดังทั่งโถงโบสถ์ ผมไม่สามารถได้ยินพวกเขาได้ชัดเจน เพราะมันมาจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนจากวิหาร หรือบริวารของเชอร์เบช เเต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคำวิจารณ์ของพวกเขา ผมนั่งจับคางอยู่บนเก้าอี้ คิดทบทวนถึงพรที่ได้รับมา

(ตอนเเรกคิดว่าจะได้พร พ่อค้าซะอีก ดังผิดเเผนเเหะ)
ผมมั่นใจว่าโดยนิสัยที่รักเงินของตัวเอง คงจะได้ความสามารถในการเจรจาของพ่อค้ามา เเต่กับผิดคาดที่ได้พรที่ไม่เคยมีมาในเกมเเทน

(ผู้เเบกรับ จากที่ฟังคำอธิบายจากหลวงพ่อ คือมีความสามารถในการเพิ่มความต้านทานทางจิตใจ เเต่มันก็น่าเเปลกที่ ถ้าเป็นพรที่มีความสามารถเสริมพลังจิตใจ ควรเป็น นักควบคุมจิต มากกว่า…)
ผมรวบรวมความคิดมองหา ความเป็นไปได้ในการใช้ประโสชน์จากพรนี้ เเต่คำอธิบายที่อาเธอร์ให้ผมนั้น ค่อนข้างกำกวมไม่ชัดเจน อีกทั้งมันยังมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีก

(เเต่ไม่รู้สึกถึงว่า ตัวเองจะมีพลังเวทเลย ทั้งที่มันควรมีตั้งเเต่ได้รับพรมาเเล้ว)
เเม้ว่านักควบคุมจิต จะไม่มีได้สนับสนุนกำลังในการต่อสู้ เเต่ก็มีสกิลเช่น จิตยึดเหนี่ยว ที่ทำให้ตัวเองสามารถคงสติในภาวะวิกฤตได้ ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลเกม เมื่อคนที่พรตื่นขึ้น ถ้าเป็นพรที่สามารถเข้าถึงเเก่นพลังเวทในตัวเองได้ พวกเขาก็จะรู้สึกได้ถึงพลังเวทได้ตั้งเเต่รับพรมา

(ถ้าคิดถึง จิตใจที่กล้าเเข็ง ก็จะสามารถตีความในความหมายว่า จิตใจที่ไม่ท้อถอย หรือสั่นคลอนได้ เเละเมื่อมารวมกับศัพท์เฉพาะในเกมเช่น ความต้านทานต่อสถานะผิดปรกติ ละก็…)
ความเป็นไปได้ที่ผสมระหว่างคำบอกใบ้จากอาเธอร์ เเละข้อมูลของเกมที่มีอยู่ในความทรงจำ ทำให้ผมเริ่มค้นพบเบื้องหลังของพรนี้

(ต้านทานสถานะทางจิตใจสมบูรณ์…อย่างงั้นเหรอ?)
(ถ้าเป็นเเบบนี้ พรนี้่จะนำไปใช้ประโยชน์ยังไงล่ะ?)
ความคิดไหลผ่านหัวของผมดั่งสายน้ำ ความผิดปรกติที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเริ่มสงสัยถึงศักยภาพของพรนี้มากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะดึงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด

(ถ้าอ้างอิงจากความสามารถที่เราจะต้านทานได้คงมี มนต์เสห่ห์ จิตสลาย คลุ้มคลั่ง ตัณหาวิบัติ เเละควบคุมจิต…)
ผมที่ไล่เรียงความคิดไปทีละน้อย ก็เริ่มเห็นถึงความสามารถที่น่าสะพรึงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพรนี้มันจะวิธีการที่นอกรีดไปหน่อยเหรอ

(ถ้าเราสามารถต้านทานการควบคุมจิตได้ละก็ ไอ้นั้นก็ทำได้สินะ)
รอยยิ้มของผมผุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่สามารถยิ้มชมเชยให้กับความฉลาดอันล้ำเลิศของผมได้ มันคือการเเย่งชิงอำนาจในการควบคุมยังไงล่ะ

“ดูคุณจะมีความสุขกับพรมากเลยนะคะ คุณนอล”
เชอร์เบชอยู่ห่างผมประมาณ 1 เมตร เธอจ้องมองมาที่รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผม มิเกลที่เห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่เธอทักผม ครอบครัวของผมที่นั่งอยู่ใกล้กันเมื่อครู่ ก็หายเงียบไปซะเเล้ว

“นั่นสิครับ ได้พรเกิดใหม่ที่ยังไม่มีใครมี ผมรู้สึกได้ว่า มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินกว่าสามัญชนยศต่ำอย่างผม จะคาดหวังเสียอีก”
“งั้นเหรอ เเต่สีหน้านายดูเหมือน คนที่มีเเผนอะไรซ่อนอยู่เลย”
“ไม่หรอกครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากความดีใจที่ได้พร”
(ไปสักทีสิ ชอบมาขัดอารมณ์สุนทรีย์ของฉันจริง)
ผมเเสร้งทำหน้าไร้เดียงสา เเละโค้งคำนับเธอเหมือนคนไม่เอาไหน ผมหวังว่าพวกเธอจะไปได้สักที รู้สึกรำคาญที่จะต้องมายุ่งกับพวกเธอเเล้ว

“นายนี่มันเเปลกชะมัด เเต่ก็ช่างเถอะขอให้มีความสุขกับพรละกัน กลับได้”
“ครับ คุณหนู!”
พวกองครักษ์ของเธอ เเละเชอร์เบชเดินตรงออกไปยังประตูโบสถ์ ผมหันไปรอบๆ ก็พบพ่อเเม่ เนฟ เเละครอบครัวของมิรินที่เดินออกมาจากมุมขอบผนัง

“ลูกนี่จิตใจกล้าเเกร่งสมกับพรตัวเองเลยนะ พ่อคงไม่กล้าคุยต่อหน้ากับทายาทของตระกูลเเคสโตเวียเเน่นอน”
“เบลลูกนายนี่เกือบทำพวกฉันหัวใจวายเลย ถ้าไม่มีท่านอาเธอร์อยู่ เราคงศพไม่สวยเเน่นอน”
คุณหมอปาดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ในขณะที่เนลก็ถอนหายใจยาวออกมา สภาพของพวกเขาต่างหวาดระเเวงกับการกระทำของผม

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมน่ะคิดไว้เเล้ว ว่ายังไงพวกคุณนางคงไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิหรอก อีกอย่างการที่เราเเสดงออกถึงจุดยืน เเละความเท่าเทียม นั่นจะทำให้พวกเขาเริ่มเห็นคุณค่าในตัวพวกเราสักนิดก็ยังดี”
(ถึงจะเเค่ริบหรี่ก็เถอะ)
ความคิดที่จะทำให้พวกขุนนางยอมรับคนที่มีฐารันดรต่ำเรี่ยดินเเบบผม มันไม่ต่างจากการหาเข็มในมหาสมุทรหรอก สิ่งที่ผมพูดไปก็เเค่คำพูดช่างฝันที่คาดหวังอะไรไม่ได้ต่างหาก

“เนล ฉันว่าลูกนายนี่ ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาดูเป็นคนละคนเลยนะ คือเเบบว่า…ฉลาดมากไปจนไม่คิดว่าเป็นลูกนายเลย”
“เห้ย เเกหาว่าฉันโง่เหรอ เเจ็ค! ลูกฉันต้องฉลาดได้ฉัน มันผิดปรกติตรงไหนฟะ!”
“อะเเห่ม ถ้าพวกเธอ จะทะเลาะกันละก็ เชิญไปด้านนอกได้ไหม ตอนนี้โบสถ์จะปิดเเล้ว”
“ข-ขอโทษครับ ท่านอาเธอร์”
พ่อ เเละคุณหมอที่เห็นว่าหลวงพ่อกำลังตำหนิใส่ จึงรีบน้อมตัวขอโทษ เเละจูงมือผม พาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

อาเธอร์ยิ้มมุมปากให้กับเด็กหนุ่มผมสีครามคนหนึ่งที่ได้เดินจากไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาล่วงมือไปจับกางเกนที่สลักรูปของเทพธิดา เเละมองมันอย่างอ่อนโยน

“เด็กชายผู้มาพร้อมกับเส้นทางเเห่งขวากหนามอย่างงั้นรึ…”

“หืม ลูกของดยุคเเคสโตเวียงั้นรึ? โฮะๆ เป็นเกียรติที่ได้พบกับคุณหนูมากครับ ระผมพอเห็นตัวจริงเเล้ว ไม่มีคำจะกล่าวอันใด นอกจากสวยงดงามดั่งเทพธิดาดั่งคำร่ำลือเลย”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านอาเธอร์”
“ฮ่าๆ ว่าเเต่ท่านมีธุระอะไร ที่นี่งั้นเหรอครับ?”
“ดิฉันเเค่ต้องการดูพรช่วงครบรอบเพียงเท่านั้น ดิฉันอยากจะดูพรในที่ไร้ผู้คนเพื่อเลี่ยงความโกลาหล จึงเดินทางมายังหมู่บ้านนอรทที่ห่างไกลเเทน ต้องขออภัยที่ดิฉันไม่ได้จัดเเจ้งให้ท่านทราบก่อน เพราะความเห็นเเก่ตัวของฉันจึงได้สร้างความเดือดร้อน ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
อาเธอร์ตกใจ เเละชื่นชมความงดงามของเธอ เชอร์เบชน้อมตัวลงอีกครั้งพร้อมยิ้มอ่อนให้เขา เเต่คงจะไม่มีใครนอกจากผมที่รู้หรอกว่า รอยยิ้มนั้นมันเต็มไปด้วยการเเสร้งทำ เธอก็เเค่หาเหตุผลรองรับการกระทำอันเห้นเเก่ตัวของเธอเพียงเท่านั้น

“อืม เห็นเเก่การที่คุณหนูอุส่าห์เดินทางมาไกล ฉันจะดูพรทั้ง 3 คนพร้อมกันเลยละกัน เเต่ก่อนอื่น เธอต้องไปขอโทษสองพี่น้อง เเละพ่อของพวกเขาก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่เธอได้รับการให้อภัย เธอก็เดินมาหาครอบครัวของผมพร้อมกับคนคุ้มกันของเธอ เธอส่งยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง เเละน้อมตัวลง

“ต้องขอโทษ ที่ดิฉันทำตัวไม่สมกับชนชั้นสูงด้วยนะคะ”
“ม-ไม่เป็นไร! ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ! ใช่ไหม เนฟ นอล!”
“ใช่ครับ คุณหนูไม่ผิดเลย พี่ชายผม นอล เขาพูดไม่ดีเอง ต้องขอโทษด้วยครับ!”
(เห้ย เนฟ เเกต้องเข้าข้างฉันสิฟะ!)
ผมกลับกลายเป็นผู้รับผิดเเทนเฉย พ่อ เเละน้องชายของผมสั่นกลัว เเละมองน่าผมด้วยความวินวอน ผมไม่ผิดด้วยซ้ำ อาจจะเเค่พูดเเรงไปนิดนึง เเต่มันความจริงทั้งนั้น! 

“ถ้าอย่างงั้น เรามาคืนดีกันนะคะ คุณนอล”
(หยุดยิ้มเเบบนั้นนะเห้ย โคตรเกลียดเลย!)
เชอร์เบชยื่นมือมาทางผม เเละยิ้มกว้างให้ผม ผมรู้ดีว่าเธอไม่ได้ยิ้มอย่างจริงใจหรอก ผมน่ะรู้ดีเพราะไอการหลอกลวงด้วยสีหน้าน่ะ เป็นทักษะที่ผมเชี่ยวชาญตั้งเเต่โลกก่อน ในฐานะอดีตของคนในชมรมเเสดงละคร

(ซวยชิบเป้ง ไม่อยากจะรีบยุ่งกลับนางร้ายเลย ตามจริวอยากอ้อนวอนขอโทษอยู่หรอก เเต่ในเมื่อเราดันไปกล้าท้าทายเธอ ยังไงก็ต้องไปให้สุดทาง!)
“ทางผมก็อาจพูดอะไรไม่คิดบ้าง ขอโทษด้วยนะครับ คุณหนูเเคสโต..อึก..เวีย!”
ผมปั้นหน้าเเสร้งยิ้มกลับให้กับรอยยิ้มจอมปลอมของเธอ ทันใดที่ผมจับมือเธอ ผมก็รู้สึกได้ถึงเเรงอันมหาศาลจากฝ่ามือของเธอ ใช่เเล้วเธอกำลังระบายความโกรธของเธอด้วยการบีบมือของผมอย่างรุนเเรง

(เจ็บเป็นบ้าเลยวุ้ย! ยัยนี้! ลอบกัดกันนี่หว่า!)
“คุณหนูครับ ผมว่าเราคืนดีกันเเล้ว เรารีบไปดูพรกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ขอบคุณนะที่เข้าใจฉัน”
(เออ เข้าใจเเล้ว ปล่อยสักทีสิโว้ย!)
เชอร์เบชปล่อยมือของผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มครั้งนี้เป็นของจริงอย่างเเน่นอน เธอกำลังสะใจที่ได้ระบายความเเค้น ผมที่เห็นดังนั้นจึงได้กัดฟัน เเละเเสร้งทำตัวสบาย ผมล่ะโคตรเกลียดยัยรองนางร้ายนี่เลย!

หลังจากที่พวกเราจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายจบ พวกเราก็ยืนอยู่ตรงหน้าอาเธอร์เพื่อเตรียมดูพร ผมเลือกที่จะอยู่ด้านขวาสุด เพราะไม่อยากเข้าไปมีปัญหากับเชอร์เบชที่อยู่ด้านซ้ายสุด ต้องขอบคุณเนฟที่เป็นคนกั้นระหว่างผม กับเชอเบช

“เอาล่ะ ถ้าทั้งสามคนพร้อมเเล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
ในขณะอาเธอร์กำลังท่องบทสวด ผมที่กำลังหลับตาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนหลังมือ ไม่เพียงเท่านั้นผมได้เห็นภาพอะไรบางอย่าง

ผมเห็นภาพของผมที่กำลังยืนอยู่ในทะเลทรายยามวิกาล ข้างหน้าคือดวงอาทิตย์ที่ไม่ผิดปรกติ เเทนที่เราจะเห็นมันในช่วงช้า ผมกลับเห็นมันกำลังส่องเเสงสาดส่องเส้นทางในห้วงราตรี ทันทีที่ผมหันหลังกลับก็พบกับมือที่หลงเหลือเเต่กระดูก เเละดาบมากมายที่ปักตามพื้นทราย

“ลืมตาได้เเล้ว พวกเธอ”
ผมลืมตาขึ้นตามเสียงของอาเธอร์ ผมพบกับมือขวาของตัวเองที่ส่องเเสงสว่างสีขาว ผมพลิกมันดูหลายครั้งด้วยความประหลากใจ เเม้ว่าภาพสลักบนมือจะไม่ละเอียดชัดเจน เเต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับมัน

“เเสงสีทองนั่น!”
ผมตกใจ เเละหันหลังกลับมาดูที่มาของเสียง มิเกลออกสีหน้าตกใจเหมือนคนเเตกเตื่น ไม่ใช่เพียงเเค่เขา ครอบครัวเลวิล องครักษ์ เเละครอบครัวของผม พวกเขากำลังมองไปที่ใครคนหนึ่ง

“สุดยอด สมเเล้วที่เป็นบุตรสาวของดยุคเเคสโตเวีย ไม่คาดคิดว่า จะได้รับ ซิกม่า ในยุคของเธอ”
“ซิกม่า! นั้นมัน ซิกม่าของจริง!”
คุณหมอตะโกนออกนอกหน้า เเต่ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงดังของเขา พวกเขามุ่งเป้าไปยังเเสงสีทองที่ปรากฏออกมาจากมือของเชอร์เบช เส้นผมสีเงินของเธอลอยพริ้วไหว ร่างของเธอกำลังเรือนเเสงสีทอง ตราสัญลักษณ์ของเธอกำลังถูกบรรจงวาดขึ้นมาด้วยเส้นใยของเเสง

 (ก็รู้อยู่เเล้วนะว่ามี ซิกม่า เเต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันในพิธีดูพร)
ผมเป็นคนเดียวที่มันได้ทำสีหน้าทึ่งกับเหตุการณ์ ผมน่ะรู้อยู่เเล้วว่าตัวละครใดมี ซิกม่า เเละจำความสามารถของมันได้ทุกชนิดด้วย นับว่าเป็นโชคดี เเละเรื่องใหม่ที่ผมได้เห็นคนที่ดูพรเเล้วได้ซิกม่าต่อหน้า เพราะปรกติเราจะต้องเป็นคนปลดล็อคเนื้อเรื่อง เเละเพิ่มค่าความสนิทของตัวละครเพื่อหาคนที่มีซิกม่าเข้าปาร์ตี้ร่วมเดินทาง

“พ่อ คุณหนูเขาได้อะไรอ่ะ อะไรคือ ซิกม่าครับ?”
“อ-เออ”
“ซิกม่า คือ การมอบเจตจำนงค์จากเทพธิดา หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้ถูกเลือกโดยเทพธิดา…”
ผมที่เห็นสีหน้าที่ไม่รู้อะไรของพ่อ ผมจึงอาสาเป็นคนตอบให้เนฟเเทน อย่างน้อยผมอยากให้เนฟเข้าใจถึงความเเตกต่างของพร กับซิกม่า ถึงเเม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม

“กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนที่ได้ซิกม่าน่ะ จะมีพลัง เเละความสามารถเฉพาะที่เหนือกว่าพรที่เรามีอยู่ ถ้าเกิดเราได้พรเป็นนักดาบ ซิกม่าจะให้พรที่เเข็งเเกร่งยิ่งกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ซิกม่า อำนาจเเห่งกษัตริย์ ของราชวงศ์เเอสทาเรีย สามารถอัญเชิญดาบสุริยะลงทัณฑ์ ที่สามารถเเผดเผากองทหารกว่าหมื่นนายให้เป็นขี้เถ้าได้เพียงคนเดียว”
“เเบบนี้ซิกม่าก็สุดยอดไปเลยสิ!”
“โคตรโกงเลยล่ะ”
ผมอมยิ้มให้กับสายตาลุกวาวของเนฟ เเละลูบหัวเขาด้วยความชอบใจ พรที่ดีคือสื่งที่คนคาดหวัง เเต่ซิกม่าคือสิ่งที่ใครต่างก็ภาวนาว่าสักครั้งในชีวิตอยากที่จะครอบครองมัน ผู้ใช้ซิกม่าเพียงคนเดียวสามารถทดเเทนได้กว่ากำลังรบจำนวนมากในสงคราม

“เนล บอกมาเลยนะ! นายเเอบส่งนอลไปเรียนพิเศษใช่ไหม! ขนาดฉันที่อ่านเกี่ยวกับซิกม่าทุกวัน ยังไม่รู้เยอะขนาดนั้นเลย!”
“นอลนี่นะ ฉลาด เอ้! ลูกฉันไปฉลาดตอนไหนเนี้ย!”
พ่อของมิรินเขามาสวมคอพ่อผมด้วยความตื่นเต้น พอผมที่ไม่รู้อะไร เเละปรับตัวไม่ถูก ก็มองซ้ายขวาไปมาเหมือนคนขี้กลัว

(เเย่ล่ะ ติดเป็นนิสัยเสียอีกล่ะ)
กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็เมื่อได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของพ่อ ในโลกเก่าผมมักจะเป็นคนชอบทำไกด์สอนผู้เล่นใหม่เสมอ เลยเพลอลืมตัวพูดออกไปเพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่สงสัย ผมดันลืมไปว่า ข้อมูลที่ผมพูดไปมันไม่น่าใช่สิ่งที่คนยากจน ไร้ซึ่งการศึกษาระดับสูงอย่างผมจะรู้ได้

“ผมเเค่เคยอ่านจากหนังสือผ่านๆ เอง ไม่เเน่สิ่งที่ผมพูดไปอาจะจะไม่ถูกก็ได้นะครับ”
“เป็นไปไม่ได้อย่างเเน่นอน สิ่งที่นายพูดมาน่ะ ถูกต้องทั้งหมดเเล้ว”
เชอร์เบชมองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ผมที่ถูกมองโดยคนรอบตัวมากขึ้น ทหาร องครักษ์ เเละคนผื่นๆ ก็เริ่มกระซิบพูดคุยเกี่ยวกับผม ร่างกายของผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลผล่านทั่วร่างกาย ใครก็ได้ช่วยผมที!

“อะเเห่ม เห็นหัวฉันบ้างเถอะ ตอนนี้กำลังอยู่ในพิธีดูพรนะ ขอให้อยู่ในความสงบด้วย”
“ค-ครับ!”
คุณหมอก้มหัว เเละรีบกลับไปนั่งที่เดิม เขาโดนภรรยาดุเกี่ยวกับพฤติกรรมเเสดงออกอันไม่เหมาะสมของเขา พวกองครักษ์ เเละอัศวินก็ต่างมากันปิดปากยืนนิ่งด้วยความสงบ อาเธอร์เหลือบตามาทางผม เเละกระพริบตาให้เล็กน้อย

(ขอบคุณครับหลวงพ่อ มันจะไม่มีวันลืมบุญคุณเลย!)
ผมเเทบอยากคุกเข้า เเละกราบไหว้การช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ เเต่ก็ทำได้เเต่เเอบส่งนิ้วโป้ง ขอบคุณเขาทางอ้อมเเทน

“รูปของผู้นั่งบนบังลังค์เเห่งความองอาจ สั่งการข้ารับใช้ไร้โลหิตเพื่อปฎิบัติตามเจตจำนงเเห่งตน สายตาเเห่งความเลือดเย็นจ้องมองเเต่ภาพเเห่งชัยชนะ ยินดีด้วยบุคสาวเเห่งเเคสโตเวีย ซิกม่าของเธอ คือ อาณาเขตเเห่งชัยชนะ เพอร์เฟค คิงดอม (Perfect Kingdom)”
 (มาเเล้วสินะ ซิกม่าที่โคตรจะโกง)
ทุกคนที่อยู่รอบตัวผมต่างมองเชอร์เบชด้วยความอึ้งทึ่ง ยกเว้นผมที่ไม่ได้เเสดงออกกับซิกม่าของเธอ เพราะรู้อยู่เเล้วว่าเธอมีซิกม่าอะไรในตัวเกม

Perfect Kingdom คือ การสร้างอัศวินข้ารับใช้อันสื่อสัตย์ต่อสู้เคียงรบไปกับผู้ใช้ จุดเด่นของพลังนี้คือ อัศวินจะเเข็งเเกร่งขึ้น เเละมีจำนวนมากขึ้นตามพลังเวทของผู้ใช้ ถ้ายิ่งครอบครองพลังเวทอันมหาศาลมากเท่าไหร่ อัศวินพิทักษ์ก็จะยากที่จะต่อกรมากขึ้น การที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเธอ เเทบจะไม่ต่างจากการที่เราบุกฝ่าทั้งกองทัพเลย
 

(ใช้ตัวหมากเพื่อที่จะชนะอย่างสมบูรณ์เเบบ นี่เเหละ เพอร์เฟค คิงดอม)
“คุณนอล ดูนิ่งสงบ ไม่มีท่าทางตื่นตระหนกกับซิกม่าเลย จากที่คุณได้อธิบายมา คุณคงเชี่ยวชาญซิกม่าพอสมควรสินะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมเเค่อึ้งจนพูดไม่ออกเลย ไม่รู้เลยนะครับว่า คุณหนูจะได้เป็นผู้สืบทอด เพอร์เฟค คิงดอมอีกครั้ง หลังจากวีรบุรุษของตระกูลเเคสโตเวียได้จากไปเมื่อ 1000 ปีก่อน”
“รู้จักเเม้กระทั่งประวัติศาสตร์เเห่งชาติในเพียงวัยเท่านี้ คุณนี่ช่างน่าสนใจจริงค่ะ”
(ไอปากเฮ็งซวย เอ้ย!)
ผมอยากจะเอามือตบปากตัวเองให้สำนึกผิดซะเหลือเกิน นิสัยที่ชอบพูดไปเรื่อยของผมมันเเก้ยากจริงๆ เเม้ว่าเชอร์เบชจะมองผมด้วยไม่เเสดงสีหน้าอะไร เเต่นั่นมันจะยิ่งทำให้คนรอบข้างเธอหันมาสนใจในตัวผมอีกครั้ง ผมไม่มีทางเลือกจึงหันไปมองอาเธอร์ด้วยสายตาเหลือหมาน้อย ที่ต้องการความช่วยเหลือ

“อะเเห่ม เรามาต่อกับพรของสองพี่น้องดีกว่า เริ่มจากคนน้องก่อนนะ”
“ครับ!”
(ขอบคุณครับ หลวงพ่อ!)
ผมซาบซึ้งจนเเทบจะก้มหน้าลงไปกรอบเท้าอาเธอร์เเล้ว เเต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ เพราะผมจะทำเเบบโจ่งเเจ้งในที่สาธารณะเเบบนี้ไม่ได้

“รูปของผู้เเสวงหาในเส้นทางเเห่งดาบ เเละใช้มันเป็นอาวุธคู่กายต่อกรกับทุกศัตรูที่เผชิญหน้า พรของเธอคือ นักดาบ ยินดีด้วย”
“น-น-นักดาบ! พ่อเเม่ ผมได้เป็นนักดาบเเล้ว!!!”
เนฟยิ้มจนปากของเขาเเทบฉีกให้กับความดีใจ เขาวิ่งกลับไปหาพ่อเเม่ที่นั่งเฝ้ามอง เเละกระโจนกอดพวกเขาด้วยความสุข

“สมเเล้วที่เป็นลูกพ่อ พ่อมั่นใจอยู่เเล้วว่า ลูกจะได้เป็นนักดาบ!”
“คุณคะ ฉันดีใจจนน้ำตาไหลไม่หยุดเลย!”
พ่อ เเละเเม่กอดเนฟด้วยความดีใจ เเละหลั่งน้ำตาออกมา นักดาบเป็นพรที่เเข็งเเกร่ง เเละมั่นคง การที่เนฟได้พรเป็นนักดาบก็เรียกได้ว่า เขาสามารถพลิกชีวิตของครอบครัวให้กลับมาเฟื้องฟูอีกครั้ง 

“อย่าพึ่งดีใจไป ยังเหลือลูกชายคนโตของพวกคุณอีกคนนะ”
“ขอโทษด้วยครับ ท่านอาเธอร์…!”
พ่อ เเละเเม่ของผมที่กำลังร้องห่มร้องไห้ดีใจก็รีบเช็ดน้ำตา เเละโค้งตัวเเสดงความขอโทษที่ขัดขวางการดำเนินพิธี ไม่นานหลวงพ่อก็หันมามองที่มือของผมก่อนที่เขาก็เอ่ยปากออกมา

“รูปของผู้ที่เดินผ่านสนามรบอันเเห้งเหือดด้วยความโหยหา เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอาวุธนับพัน เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั่วสารทิศ เเละโครงกระดูกที่จ้องมองเเผ่นหลังของเขาด้วยความอาวรณ์ ภายในจุดจบเเห่งความสิ้นหวัง เหตุใดหัวใจของเขาถึงยังกล้าเเกร่งยากจะพังทลาย พรของเธอคือ ผู้เเบกรับ ยินดีด้วย”
(จิตใจอันกล้าเเกร่ง? พรอะไรวะเนี้ย!?)
เมื่อผมได้ยินผลลัพธ์ ผมก็พูดอะไรเเทบไม่ออก จิตใจอันกล้าเเกร่งเป็นพรที่ผมยังไม่เคยได้พบมาก่อนตั้งเเต่เล่นเกมมา ไม่มีทางที่ผมจะจำพรไหรในเกมไม่ได้ เพราะผมเคลียร์ทุกอย่างในเกมนี้หมดเเล้ว 

“นี่มัน พรเกิดใหม่เหรอครับ?”
“ดูเหมือนจะเป็นเเบบนั้น นั่นเป็นพรที่เกิดจากความสามารถของเธอเอง เเต่เท่าที่ข้าตรวจสอบความสามารถ ดูเหมือนมันจะส่งผลให้พ่อมี จิตใจที่กล้าเเกร่ง เเทนที่จะเสริมพลังในการต่อสู้มากกว่า”
“จิตใจที่กล้าเเกร่ง งั้นเหรอครับ?”
(เป็นพรประเภทเสริมความต้านทางจิตใจสินะ…)
“ขอบคุณครับ”
ผมน้อมตัวขอบคุณหลวงพ่อก่อนจะเดินเงียบไปหาพ่อเเม่ ผู้คนรอบตัวต่างมองผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้เเสดงความตกใจ ก็นะสำหรับโลกนี้ พรเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกปีจะมีตลอด เเต่คงมีเเค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าพร ผู้เเบกรับ นั่นมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในเกมมาก่อน

“อะไรกันนึกว่าพรพิเศษ…”
“ผู้เเบกรับ อย่างกับลอกเลียนเเบบ พรผู้กล้า…”
“ไม่ใช่ว่าพรนี้ มันจะกระจอ…”
เสียงซุบซิบนินทาดังทั่งโถงโบสถ์ ผมไม่สามารถได้ยินพวกเขาได้ชัดเจน เพราะมันมาจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนจากวิหาร หรือบริวารของเชอร์เบช เเต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคำวิจารณ์ของพวกเขา ผมนั่งจับคางอยู่บนเก้าอี้ คิดทบทวนถึงพรที่ได้รับมา

(ตอนเเรกคิดว่าจะได้พร พ่อค้าซะอีก ดังผิดเเผนเเหะ)
ผมมั่นใจว่าโดยนิสัยที่รักเงินของตัวเอง คงจะได้ความสามารถในการเจรจาของพ่อค้ามา เเต่กับผิดคาดที่ได้พรที่ไม่เคยมีมาในเกมเเทน

(ผู้เเบกรับ จากที่ฟังคำอธิบายจากหลวงพ่อ คือมีความสามารถในการเพิ่มความต้านทานทางจิตใจ เเต่มันก็น่าเเปลกที่ ถ้าเป็นพรที่มีความสามารถเสริมพลังจิตใจ ควรเป็น นักควบคุมจิต มากกว่า…)
ผมรวบรวมความคิดมองหา ความเป็นไปได้ในการใช้ประโสชน์จากพรนี้ เเต่คำอธิบายที่อาเธอร์ให้ผมนั้น ค่อนข้างกำกวมไม่ชัดเจน อีกทั้งมันยังมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีก

(เเต่ไม่รู้สึกถึงว่า ตัวเองจะมีพลังเวทเลย ทั้งที่มันควรมีตั้งเเต่ได้รับพรมาเเล้ว)
เเม้ว่านักควบคุมจิต จะไม่มีได้สนับสนุนกำลังในการต่อสู้ เเต่ก็มีสกิลเช่น จิตยึดเหนี่ยว ที่ทำให้ตัวเองสามารถคงสติในภาวะวิกฤตได้ ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลเกม เมื่อคนที่พรตื่นขึ้น ถ้าเป็นพรที่สามารถเข้าถึงเเก่นพลังเวทในตัวเองได้ พวกเขาก็จะรู้สึกได้ถึงพลังเวทได้ตั้งเเต่รับพรมา

(ถ้าคิดถึง จิตใจที่กล้าเเข็ง ก็จะสามารถตีความในความหมายว่า จิตใจที่ไม่ท้อถอย หรือสั่นคลอนได้ เเละเมื่อมารวมกับศัพท์เฉพาะในเกมเช่น ความต้านทานต่อสถานะผิดปรกติ ละก็…)
ความเป็นไปได้ที่ผสมระหว่างคำบอกใบ้จากอาเธอร์ เเละข้อมูลของเกมที่มีอยู่ในความทรงจำ ทำให้ผมเริ่มค้นพบเบื้องหลังของพรนี้

(ต้านทานสถานะทางจิตใจสมบูรณ์…อย่างงั้นเหรอ?)
(ถ้าเป็นเเบบนี้ พรนี้่จะนำไปใช้ประโยชน์ยังไงล่ะ?)
ความคิดไหลผ่านหัวของผมดั่งสายน้ำ ความผิดปรกติที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเริ่มสงสัยถึงศักยภาพของพรนี้มากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะดึงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด

(ถ้าอ้างอิงจากความสามารถที่เราจะต้านทานได้คงมี มนต์เสห่ห์ จิตสลาย คลุ้มคลั่ง ตัณหาวิบัติ เเละควบคุมจิต…)
ผมที่ไล่เรียงความคิดไปทีละน้อย ก็เริ่มเห็นถึงความสามารถที่น่าสะพรึงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพรนี้มันจะวิธีการที่นอกรีดไปหน่อยเหรอ

(ถ้าเราสามารถต้านทานการควบคุมจิตได้ละก็ ไอ้นั้นก็ทำได้สินะ)
รอยยิ้มของผมผุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่สามารถยิ้มชมเชยให้กับความฉลาดอันล้ำเลิศของผมได้ มันคือการเเย่งชิงอำนาจในการควบคุมยังไงล่ะ

“ดูคุณจะมีความสุขกับพรมากเลยนะคะ คุณนอล”
เชอร์เบชอยู่ห่างผมประมาณ 1 เมตร เธอจ้องมองมาที่รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผม มิเกลที่เห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่เธอทักผม ครอบครัวของผมที่นั่งอยู่ใกล้กันเมื่อครู่ ก็หายเงียบไปซะเเล้ว

“นั่นสิครับ ได้พรเกิดใหม่ที่ยังไม่มีใครมี ผมรู้สึกได้ว่า มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินกว่าสามัญชนยศต่ำอย่างผม จะคาดหวังเสียอีก”
“งั้นเหรอ เเต่สีหน้านายดูเหมือน คนที่มีเเผนอะไรซ่อนอยู่เลย”
“ไม่หรอกครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากความดีใจที่ได้พร”
(ไปสักทีสิ ชอบมาขัดอารมณ์สุนทรีย์ของฉันจริง)
ผมเเสร้งทำหน้าไร้เดียงสา เเละโค้งคำนับเธอเหมือนคนไม่เอาไหน ผมหวังว่าพวกเธอจะไปได้สักที รู้สึกรำคาญที่จะต้องมายุ่งกับพวกเธอเเล้ว

“นายนี่มันเเปลกชะมัด เเต่ก็ช่างเถอะขอให้มีความสุขกับพรละกัน กลับได้”
“ครับ คุณหนู!”
พวกองครักษ์ของเธอ เเละเชอร์เบชเดินตรงออกไปยังประตูโบสถ์ ผมหันไปรอบๆ ก็พบพ่อเเม่ เนฟ เเละครอบครัวของมิรินที่เดินออกมาจากมุมขอบผนัง

“ลูกนี่จิตใจกล้าเเกร่งสมกับพรตัวเองเลยนะ พ่อคงไม่กล้าคุยต่อหน้ากับทายาทของตระกูลเเคสโตเวียเเน่นอน”
“เบลลูกนายนี่เกือบทำพวกฉันหัวใจวายเลย ถ้าไม่มีท่านอาเธอร์อยู่ เราคงศพไม่สวยเเน่นอน”
คุณหมอปาดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ในขณะที่เนลก็ถอนหายใจยาวออกมา สภาพของพวกเขาต่างหวาดระเเวงกับการกระทำของผม

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมน่ะคิดไว้เเล้ว ว่ายังไงพวกคุณนางคงไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิหรอก อีกอย่างการที่เราเเสดงออกถึงจุดยืน เเละความเท่าเทียม นั่นจะทำให้พวกเขาเริ่มเห็นคุณค่าในตัวพวกเราสักนิดก็ยังดี”
(ถึงจะเเค่ริบหรี่ก็เถอะ)
ความคิดที่จะทำให้พวกขุนนางยอมรับคนที่มีฐารันดรต่ำเรี่ยดินเเบบผม มันไม่ต่างจากการหาเข็มในมหาสมุทรหรอก สิ่งที่ผมพูดไปก็เเค่คำพูดช่างฝันที่คาดหวังอะไรไม่ได้ต่างหาก

“เนล ฉันว่าลูกนายนี่ ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาดูเป็นคนละคนเลยนะ คือเเบบว่า…ฉลาดมากไปจนไม่คิดว่าเป็นลูกนายเลย”
“เห้ย เเกหาว่าฉันโง่เหรอ เเจ็ค! ลูกฉันต้องฉลาดได้ฉัน มันผิดปรกติตรงไหนฟะ!”
“อะเเห่ม ถ้าพวกเธอ จะทะเลาะกันละก็ เชิญไปด้านนอกได้ไหม ตอนนี้โบสถ์จะปิดเเล้ว”
“ข-ขอโทษครับ ท่านอาเธอร์”
พ่อ เเละคุณหมอที่เห็นว่าหลวงพ่อกำลังตำหนิใส่ จึงรีบน้อมตัวขอโทษ เเละจูงมือผม พาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

อาเธอร์ยิ้มมุมปากให้กับเด็กหนุ่มผมสีครามคนหนึ่งที่ได้เดินจากไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาล่วงมือไปจับกางเกนที่สลักรูปของเทพธิดา เเละมองมันอย่างอ่อนโยน

“เด็กชายผู้มาพร้อมกับเส้นทางเเห่งขวากหนามอย่างงั้นรึ…”

ชายเเก่คนหนึ่งสวมใส่ชุดนักบวชสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับอัศวินสองคนที่สวมเกราะเงินอันระยิบระยับ หมวกสูงของนักบวช เเละเสื้อเกราะของอัศวินถูกสลักลวดลายของเทพธิดาองค์หนึ่งที่กำลังยืนภาวนาอยู่ นั่นคือตราสัญลักษณ์ของเหล่าผู้ศรัทธาที่นับถือในเทพธิดา ไอริส

“ข้า เพนกาเรีย อาเธอร์จะเป็นคน เเสดงพรของพวกเจ้าเอง เริ่มจากคนเเรก ลอส วาเซ่ ขานนาม!”
“มาครับ!”
เด็กหนุ่มผมสีเเดง อายุเฉลี่ยประมาณผม มีหน้าตาที่ค่อนข้างหล่อ เดินออกมาพร้อมกับผู้ชายอ้วนคนหนึ่งที่ใส่ชุดคุณภาพดีต่างกับเสื้อผ้าเก่าๆ ของผมอย่างสิ้นเชิง

“สวัสดีครับ ผม ลอส อารอน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนอรท เเละพ่อของวาเซ่ ขอความกรุณา ท่านอาเธอร์ ช่วยดูพรลูกชายผมทีนะครับ”
“ขอความกรุณาด้วยครับ!”
อารอน ทำหน้าตาสดใสคาดหวังกับการดูพร ในขณะที่คนเป็นพ่อกำลังทำสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ อาเธอร์ที่ได้เห็นดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีของสองพ่อลูก เขาวางมือลงบนหัวของอารอน เเละกำมืออีกข้างเเนบอก หลับตาท่องบทสวด

“เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
(ไอพวกพลังที่ต้องหยิบยืมจากเทพธิดา คงไม่พ้นต้องท่องบทสวดเเบบยาวเยียดสินะ)
ผมจ้องมองชายเเก่ที่ท่องบทสวดด้วยความเบื่อหนาย ผมมั่นใจว่าบทสวดเพื่อดูพร มันจะต้องยาวเป็นพิเศษเเน่นอน พอคิดว่าคิวผมอยู่ที่ 399….

(เห้อ กว่าจะถึงคิวเรา สงสัยคงต้องกลับบ้านดึกเเน่เลย)
จากที่ผมประเมินโดยสายตาเเบบไม่ได้ละเอียด ผมคาดการณ์ว่าน่าจะมีคนในโถงประมาณ 3 – 4 ร้อยคน ซึ่งคิวผม กับเนฟจะเป็นคนปิดการดูพรในวันนี้

“พ่อดูสิคะ ท่านอาเธอร์กำลังท่องบทสวด สุดยอดไปเลย!”
“สมเเล้วที่เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกทั้งสิบของโบสถ์ ช่างเป็นการสวดที่ทรงพลังจริงๆ”
(หา?)
ผมเมื่อได้ยินที่มิริน เเละคุณหมอกำลังชื่นชมนักบวชอย่างเชิดชู ผมที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมกับบทสวดไร้สาระ จึงทำสีหน้าประหลาดใจไม่อยากจะเชื่อคำพูดของพวกเขา

(ถ้าอยากจะให้ผมดีกว่านี้ ควรพูดเเค่ประโยคเดียว เเล้วใช้งานได้สิถึงจะดีกว่า)
ผมอยากจะพูดออกไป เเต่ก็ต้องเก็บมันไว้ในปาก ถึงเเม้ว่าจะต้องดึงพลังจากเทพธิดามาจากบทสวด เราก็ควรที่จะทำให้มันสั้น เเละกระชับกว่านี้สิ เเต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่เลือกที่จะเเย้ง เพราะต่างคนต่างมีทัศนคติที่ต่างกัน ทางที่ดีผมควรนั่งฟัง เเละออกความคิดเห็นอย่างเงียบๆ ดีกว่า

“ด้วยความศรัทธา เเละความปธิญาณอันเเรงกล้าของข้า ได้โปรดบัลดาลเเสงศักดิ์ศิทธิ์ที่จะกระจ่างศักยภาพที่เเท้จริงของ ลอส วาเซ่ ด้วยเถิด”
(มาเเล้ว!)
หลังจากที่อาเธอร์ท่องบทสวดเสร็จ เขาก็ลืมตาจากนั้นมือด้านขวาของวาเซ่ก็เเสงสว่างสีขาวปรากฎขึ้น มันเเสดงเป็นรูปอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจรวมถึงผมด้วย

“วาเซ่ เธอปราถนาพรของเธอเป็นเช่นไร?”
“ผมอยากเป็นอัศวินครับ!”
“รูปของชายผู้จะต่อกรกับผู้ต่อสู้ด้วยทักษะมากฝีมือ พรของเธอคือ นักรบ ยินดีด้วย”
“เย้!!!!!! สุดยอดไปเลย ลูกพ่อ!”
“เยี่ยมไปเลย เท่านี้ผมจะได้เป็นอัศวินเเล้ว!”
พ่อของวาเซ่อุ้มลูกชายของเขาด้วยความดีใจ วาเซ่ที่ได้ยินคำตอบจากอาเธอร์ก็ยิ้มดีใจออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่ผมกำลังจิกฟันด้วยความอิจฉา

(นักรบเลยเหรอวะ จะโชคดีเกินไปเเล้ว)
พรของนักรบ มีความสามารถในการใช้อาวุธได้ทุกรูปเเบบ เป็นพรที่ยืดหยุ่นในการต่อสู้ทำให้อีกฝ่ายต้องคอยรับมือกับการโจมตีที่หลากหลาย เรียกได้ว่า เป็นพรหายากที่ทุกคนต้องการในเเนวหน้า

(ชิ เเต่ทำไงได้ ไอนั้นมันอยู่ในกลุ่มเดียวกับเจ้าชายด้วยนี่นา)
เเม้ว่าภาพตรงหน้าจะค่อยเหมือนกับในเกมเพราะเป็นภาพจริงซึ่งต่างจาก 3D เเต่ผมพอจำลักษณะของตัวละครได้ เขามีผมเเดง เเละใบหน้าที่ดูดีในกลุ่มของเจ้าชาย เป็นตัวตัวละครมือซ้ายในการสู้รบกับเจ้าชายในอีเว้นท์ต่างๆ

“นักรบ ฟังดูเเล้วเป็นพรที่สุดยอดนะครับ พ่อ!”
“ใช่เเล้วเนฟ นักรบน่ะสามารถเข้าใจได้ถึงการใช้อาวุธทุกรูปเเบบ เรียกได้ว่า ยากที่จะต่อกรเลยทีเดียว เเต่ลูกน่ะ จะเป็นนักดาบดังนั้น เราไม่ต้องคิดถึงมันหรอก”
“ใช่เเล้ว ความฝันของผมคือ การเป็นนักดาบ!”
เนฟดูตื่นเต้นกับพิธีดูพรมาก พ่อของผมก็เช่นกัน พ่อ เเละเนฟไม่ได้คาดหวังที่จะได้พรหายาก ขอเพียงสมหวังกับที่พวกเขาหวังไว้ก็เพียงพอ

“เเล้ว นอลล่ะ ลูกอยากได้พรเป็นอะไรล่ะ?”
“ใช่เเล้ว พี่อยากเป็นอะไรล่ะ?”
ผมโดนพ่อถามเป็นครั้งที่สอง เเต่ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิม เพราะนอกจากพ่อ เเละเนฟที่ให้ความสนใจผมกับคำตอบผม ครอบครัวของคุณหมอก็มองตรงมาที่ผมด้วย ทำเอาผมรู้สึกกดดันเลย

(ยังไงก็ไม่ได้คาดหวังอยู่เเล้ว ตอบไปเท่าที่จะเป็นไปได้ละกัน)
“ถ้าได้เป็นพ่อค้าก็ดีสิครับ ผมยิ่งชอบเงินด้วยสิ”
พ่อค้าเป็นพรที่สามารถหาได้ทั่วไป เเน่นอนว่าความสามารถคือ คำนวณ เเละเจรจาเก่ง ความจริงผมก็อยากได้พร เจ้าเเห่งศิลปะการต่อสู้ เซียนศาตรา หรือปราชญ์ เเต่ตัวประกอบอย่างผมคงเป็นไปไม่ได้หรอก

“หืม พ่อค้ามันดีเหรอพ่อ?”
“ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรอก เเต่พ่อไม่นึกว่า นอลจะชอบเงินน่ะสิ ปรกติเห็นชอบออกไปล่าสัตว์จะตาย”
“เเฮะๆ คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ตลอดนะครับ อีกอย่างผมก็เเค่คิดว่า ถ้าเรามีเงิน เราจะได้มีเนื้อกินทุกวันเลย~”
“นั่นสินะ…”
พ่อผมครุนคิดกับคำตอบของผมด้วยความสงสัย ผมที่กลัวความเเตก จึงเเสร้งหัวเราะ เเละพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อน

“นายน่ะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยนะ นอล ทำไมนายไม่หวังว่าจะได้พรของหมอเเบบฉันบ้างล่ะ มันดูดีกว่าพ่อค้าตั้งเยอะ”
“ลูกผู้ชายหรือหมอน่ะ ถ้าหาเงินได้เยอะ ฉันยอมเป็นก็ได้นะ”
“เห้อ ไม่ได้หมายถึงเเบบนั้น ช่างเถอะ นายคงจะรักเงินมากสินะ”
“เเน่นอน”
ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับคำตอบของผม มิรินที่เห็นดังนั้นจึงกุบขมับ เเละถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ผมไม่ได้โกหกเธอว่าผมเกลียดเงิน ผมน่ะรักเงินจะตาย ต้องมีเงินสิเราถึงจะอยู่สบาย!

(ยังไงก็ตาม โลกที่เต็มไปด้วยกฏของพลังเเบบนี้น่ะ เราก็จำเป็นต้องเป็นผู้เเข็งเเกร่งอยู่ดี)
ถึงผมจะตอบเธอไปตามสิ่งที่ชอบ เเต่ผมไม่สามารถอยู่อันสงบสุขได้ ถ้าไร้ซึ่งพลังในโลกใบนี้ ในโลกที่ล้าหลัง ไม่เป็นระเบียบ เเละเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ยังไงผู้เเข็งเเกร่งก็คือ ผู้ชนะ

“อะไรกัน ทำหน้าเครียดเชียว?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เเค่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดมา มันก็ถูกอยู่นะ”
“อะไรของนาย อย่ายิ้มได้ไหม ขยะเเขยง”
(ไอเด็กนี้ มันน่าซัดสักหมัดเหลือเกิน)
 ผมที่ยิ้มด้วยความขอบคุณกลับถูกมิรินโต้กลับมาด้วยสีหน้าที่รังเกียจเเทน ความรู้สึกที่ขอบคุณเธอหายไปหมด หลงเหลือเเต่ความเเค้นในใจที่ทวีคูณขึ้นเเทน ถ้าผมต่อยเธอตรงนี้คงได้เป็นปัญญาระหว่างครอบครัวเเน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องกัดฟันยิ้มต่อไปเเทน

พิธีดูพรผ่านไปได้อย่างราบรื่น มีทั้งความผิดหวัง เเละความสุข คนที่ได้พรที่หวังไว้ก็กลับบ้านไปด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ส่วนคนที่ไม่สมหวังก็เสียใจ บางคนก็ร้องไห้ หรือไม่ก็โทษฟ้าฝนกับความโชคร้ายของตัวเอง จำนวนคนดูพรเสร็จ เเละออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผม เเละครอบครัวเป็นคิวสุดท้ายในการปิดการดูพรในวันนี้ ตอนนี้ผม เเละครอบครัวของคุณหมอนั่งอยู่ในที่นั่งพักมองมิริลที่กำลังดูพรพร้อมกับเเม่ของเธอ

“ด้วยความศรัทธา เเละความปธิญาณอันเเรงกล้าของข้า ได้โปรดบัลดาลเเสงศักดิ์ศิทธิ์ที่จะกระจ่างศักยภาพที่เเท้จริงของ เลวิล มิริน ด้วยเถิด”
“นี่มัน…”
“เป็นไงบ้างคะ ท่านอาเธอร์?”
เจนกุมมือภาวนาพรดีๆ ให้กับมิรินลูกของพ่อ อาเธอร์ที่ได้เห็นตราสัญลักษณ์ของมิริน เขาก็ประหลาดใจ ก่อนจะทำหน้าตึงเครียด

“รูปของผู้วินวอนต่อเเสงอันอ่อนโยน ภาวนาถึงความชอบธรรมต่อหน้าผู้คนที่สิ้นหวัง…คุณนาย ไม่ทราบว่ามิรินอยากจะเป็นอะไรเหรอครับ?”
“หมอค่ะ!”
“เสียใจด้วยนะครับ…”
อาเธอร์ก้มหน้าขอโทษ เจนทำหน้าเศร้าเเทบจะร้องไห้ออกมา ในขณะที่มิรินกำหมัดด้วยความผิดหวัง ผมที่มองอยู่ก็พลอยหดหู่ไปด้วย

“ผู้เลื่อมใสในความเมตตาที่ปราศจากความเกลียดชัง จงหวนหาเเสงอันเที่ยงธรรมเพื่อชี้นำผู้หลงผิดด้วยกันเถิด…”
“ม…ไม่จริง…มิริน!”
“เเม่..!”
“มิริน!!!”
อาเธอร์ท่องบทสวดซึ่งเป็นบทต้อนรับสู่การบำเพ็ญศรัทธาต่อเทพธิดาของสาวก คุณหมอที่ได้ยินบทสวดรีบลุกออกจากที่นั่งเข้าไปกอดมิริน เเละเจนที่ร้องไห้ดีใจ

“ขอเเสดงความยินดี เเละต้อนรับสาวกผู้เดินทางเเห่งความเมตตาคนใหม่ เลวิล มิริน พรของเธอคือ นักบวช ยินดีด้วย”
(บ้าไปเเล้ว!)
นักบวชคือ พรที่สามารถหยิบยืมพลังของเทพธิดามาใช้ในการร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์ได้ เอกลักษณ์อันเป็นจุดเด่นของนักบวชคือ สามารถใช้เวทเเสงซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนตร์หายากได้ เวทเเสงสามารถนำมาประยุกต์ในการต่อสู้ได้หลายเเบบ ไม่ว่าจะเป็น ฮิล (รักษา) โจมตี เเละป้องกัน เรียกได้ว่า เป็นเวทมนตร์สุดเเกร่งที่ใครต่างก็อยากครอบครอง

หลังจากที่พวกเขาดีใจได้สักพัก มิริน เเละครอบครัวก็กลับมานั่งใกล้พวกผมด้วยสีหน้าอันยิ้มเเย้ม มิรินเชิดหน้า เเละยืนอก เธอยิ้มเหมือนเด็กที่กำลังโอ้อวดความสุดยอดของตัวเอง

“เป็นไง นอล เนฟ ฉันน่ะ ได้พรของนักบวชเชียวนะ”
“สุดยอดไปเลย มิริน!”
“ใช่มั้ยล้า~”
เนฟเข้าไปกอดดีใจกับมิรินที่ยิ้มด้วยความสดใส ผมที่เห็นดังนั้นก็เเอบดีใจที่เธอได้เป็นนักบวช ถึงจะไม่ค่อยเธอเท่าไหร่ เเต่ยังไงเราก็ควรเเสดงความดีใจ

“ดีใจด้วยนะ ที่เธอได้เป็นนักบวช ฉันละอิจฉาเธอจริงๆ”
“เพราะฉันเป็นคนเก่งยังไงล่ะ!”
มิรินชูสองนิ้วเเสดงความภูมิใจในตัวเอง ผมที่เห็นดังนั้นก็กระตุกยิ้มเล็กน้อย ยังไงก็ถือได้เป็นโชคดีของผมที่จะได้มีเพื่อนเป็นนักบวชในอนาคต

“ต่อไปคิวที่ 399 ขานชื่อ”
“ไปกันเถอะ นอล เนฟ!”
“ครับ!”
มือของผมส่องเเสงเป็นเลข 399 เตือนผมเมื่อถึงคิวของตัวเอง ผมลุกออกจากที่นั่งเดินไปด้านหน้าพร้อมกับเนฟ เเละพ่อที่มีสีหน้าตื่นเต้น

“ส-สวัสดีครับ ท่านอาเธอร์!”
“ใจเย็นๆ ค่อยพูด ฉันฟังอยู่”
“อ้อ ครับ! จะเป็นการเสียมารยาทไหมครับ ถ้าท่านจะดูเนฟ กับนอล ลูกของผมพร้อมกัน เพราะว่าทั้งสองเป็นพี่น้องคิว 399 เเละ 400 ครับ อีกอย่างผมสัญญาว่าจะให้ทั้งสองได้รู้พรพร้อมกันครับ”
“399 เเละ 400 งั้นเรอะ เเสดงว่าพวกเธอเป็นคิวสุดท้ายเเล้วสินะ อืม ไม่มีปัญหา ฉันจะดูพรให้พร้อมกันสองคนเลย”
อาเธอร์ไม่ได้ทำสีหน้าลำบาก เขาจับหัวพวกเราทั้งสอง เเละเริ่มท่องบทสวด ผม เเละเนฟช่วยกันอยู่นิ่งเพื่อให้พิธีผ่านไปได้อย่างราบรื่น

ตึง!
(อะไรน่ะ!)
“!?”
อาเธอร์ลืมตา เเละหยุดท่องบทสวดฉับพลัน เนฟตกใจเล็กน้อย ส่วนผมหันหลังกลับไปดูที่มาของเสียง ประตูของโบสถ์เปิดออก ผมเห็นเงาชองคนกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา

“ยังมีคนหลงเหลืออยู่? นายคำนวณผิดพลาดนะ ดันเต้”
“ขออภัยครับ คุณหนู!”
ตรงประตูของโบสถ์ มีเด็กสาวผมเงินคนหนึ่ง ผู้มีผมสีเงินเเวววาว ดวงตาสีฟ้าใสเหมือนท้องฟ้า หน้าตาสละสลวยอย่างกับหลุดมาจาดภาพปาติมากรรมอันละเอียดละอ่อน เธอใส่ชุดเดสสีดำยืนอยู่ข้างหน้า ผู้ใหญ่สองคนที่ใส่ชุดสูท เเละคาดดาบยาวไว้ที่เอว กับเด็กชายผมดำที่ใส่ชุดสูทเหมือนกัน เขาสูงไล่เลี่ยผม เเต่ใบหน้าของเขากลับหล่อเหลากว่าผมมาก ดวงตาสีทองอันเเหลมคมของเขาสามารถทิ่มทะลวงหัวใจของหญิงสาวได้เพียงชั่วพริบตา

“ไม่เป็นไร มิเกล ถ้าคนประมาณนี้ ฉันรับพอรับได้”
“กระผมจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้ครับ!”
“ช่างเถอะ รีบทำให้มันเสร็จดีกว่า”
“รอด้วยครับคุณหนู!”
เธอผู้มีใบหน้า เเละผมสีเงินอันงดงาม เดินตรงเข้ามายังโบสถ์ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม เธอเดินมาเเบบไร้เสียงจนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้าผม

“นายสามคนน่ะ ช่วยถอยไปได้ไหม”
เธอมองผมผม เนฟ เเละพ่อด้วยความเยือกเย็น ผมรับรู้ได้เลยว่า เธอคนนี้ไม่ใช่เด็กทั่วไป เธอต้องมียศสูงกว่าสามัญชนเเน่นอน ขนผมลุกตั้งให้กับบรรยากาศกดดันของเธอ

“ด-ได้ครับ นอล เนฟ พวกเรา…หลีกทางให้เถอะ”
พ่อของผมปั้นหน้ายิ้มสดใส เหงื่อของเขาไหลรินบนลำคอ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกลัวจากเเรงกดดันอันมหาศาลของเธอ พ่อพยายามจัลไหล่ของผม เเละเนฟลากออกมาจากสถานการณ์

ชูด…
“ถ้าเธอจะขอร้องพวกเราให้หลีกทาง ช่วยบอกเหตุผลได้ไหม เพราะอะไร?”
ผมปักมือของพ่อออกอย่างนิ่มนวล ผมหายใจเข้าเพื่อรอบรวมสติ เเละเผชิญหน้ากลับเธอโดยไร้ซึ่งความกลัว เธอที่เห็นดังนั้นจึงทำสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดของผม ภายใต้บรรยากาศอันกดดัน ผมเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดโต้กลับ

“หืม? นายนี่จะเรียกว่า ใจกล้าหรือโอ้อวดดี นายไม่รู้เหรอ ฉันคือใคร?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เเต่ว่าเธอกำลังขัดพิธีดูพรของฉัน เเละน้องชาย คนที่ควรถามคือฉันต่างหากว่า เธอน่ะรู้จักมารยาททางสังคมบ้างไหม”
“เห้ย เเกจะสามห้าวไปเเล้ว!”
ผมถูกกระชากคอเสื้ออย่างรุนเเรงโดยเด็กชายผมดำ ใบหน้าของเขาประชิดผม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือใส่ผม

(เเรงเยอะเป็นบ้า เเต่เเค่นี้ฉันไม่กลัวหรอก!)
“เเทงใจดำเรอะ? ฉันรู้หรอกนะว่า จุดประสงค์พวกนายคือ พาคุณหนูของพวกนายมาดูพร เเต่ว่า…”
ผมใช้เเรงทั้งหมดสลัดมือที่เขาออกจากคอเสื้อ ถึงเเม้ว่า ผมจะด้อยเรื่องกำลังในการต่อกร เเต่ผมจะใช้สมองของผมทำให้พวกเขาจนมุมให้ได้ เเม้ว่าจะเป็นวิธีที่สกปรกก็ตาม

“การที่คิวปิดเเล้ว ยัดเยียดภาระให้ท่านอาเธอร์เพิ่ม เเถมยังสร้างความน่ารำคาญในคนอื่นน่ะ เป็นพวกชนชั้นสูงที่เห็นเเก่ตัวจังนะ”
“เเกพูดว่าอะไรนะ!”
“ใจเย็นๆ สิ ฉันเเค่สงสัยว่า พวกนายน่ะ ได้เรียนมารยาทในสังคมบ้างหรือเปล่านะ?”
“เเกนะ เเก!”
(เอาเเล้วไง)
ผมใช้คำพูดประชดประชันยั่วยุความเด็กของเขา ผมยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับหมัดของเขาที่พุ่งตรงมาทางผม เอาสิ ต่อยมาเลย ถ้านายต่อยฉันได้อ่ะนะ

“หยุด เดี๋ยวนี้มิเกล!”
“!”
เสียงอันเกรี้ยวกราดของอาเธอร์ทำให้หมัดของมิเกลหยุดก่อนที่จะถึงใบหน้าของผม ผมยืนนิ่ง เเละยิ้มให้กับโง่เขาของเขา

(ไอ้โง่เอ้ย ต่อหน้าคนที่ได้รับเลือกโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์น่ะ ต้องมี วาจาศักดิ์สิทธิ์ อยู่เเล้ว การที่เเกจะระบายความโกรธใส่ฉันน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก ไอโง่!)
ผมยิ้มอย่างชั่วร้ายเพราะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอยู่เเล้ว ตามเกมคนจากวิหารศัักดิ์สิทธิ์จะสามารถใช้ วาจาศักดิ์สิทธิ์ในการหยุดการเคลื่อนไหว ของศัตรูที่อ่อนเเอกว่าตนได้ อีกอย่างนโยบายของคนในวิหารคือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยังไงอาเธอร์ก็ต้องไม่ปล่อยให้ผมโดนทำร้ายอย่างเเน่นอน

“พอได้เเล้ว พวกเธอ ฉันไม่รู้หรอกนะ พวกคุณหนูมาที่นี่ เวลานี้เพราะอะไร เเต่มันเป็นการขัดขวางพิธีดูพรของฉัน!”
อาเธอร์ส่งเสียงดังตักเตือนเธอ คนที่อยู่ด้านหลังเธอเมื่อได้เห็นดังนั้น พวกเขาจึงเตรียมชักดาบเพื่อปกป้องคุณหนู เเต่เธอก็ได้ยกมือห้ามพวกเขาไว้

“อย่าตอบโต้ พวกเขาเป็นถึงคนของวิหาร อีกอย่างพวกนายรับมือกับอัศวินจากวิหารไม่ไหวหรอก”
“ครับ คุณหนู!”
องครักษ์ของเธอก้มหน้าคุกเข่าลงพื้น เธอที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านผม ยกชายกระโปรง เเละน้อมตัวต่อหน้าอาเธอร์

“ดิฉัน เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช ต้องขออภัยกับการกระทำอันเสียมารยาทด้วยค่ะ ท่านอาเธอร์”
(นามสกุลคั่น…เชอร์เบช ชิบหายเเล้ว เธอคือ!)
นามสกุลคั่นในเกมนั้น คือตัวบ่งบอกว่า คนเหล่านั้นเป็นชนชั้นสูงของอาณาจักร เมื่อผมได้ยินชื่อเธอ พอผมสังเกตอย่างละเอียด ความทรงจำของผมก็รื้อฟื้น ผมสีเงินที่มาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าอันเยือกเย็น ไม่ผิดเเน่ เธอคือตัวละครสำคัญของเกมอีกคนหนึ่งที่มีต่อหลายรูทในเกม

(เพื่อนนางร้ายนี่หว่า!)
ผมเเทบอยากวิ่งหนีจากที่เเห่งนี้เลย ผมไม่นึกเลยว่า ผมจะได้เจอเพื่อนนางร้ายเร็วขนาดนี้ ทำไมผมถึงกลัวน่ะเหรอ เพราะว่าเธอคือ รองนางร้ายขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ นิสัยในเกมของเธอนับว่าสุดมาก ใครก็ตามที่อ่อนเเอเธอจะเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความหมาย ใครก็ตามที่ขวางทางเธอ เธอจะกำจัดมันไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม ผู้เล่นจึงตั้งฉายาเธอว่า ทรราชผู้ไม่เเยเเส
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใจกลางสวนพืชผักเขียวขจีที่มีเเสงอาทิตย์สาดส่อง ผมกำลังใช้บัวรดน้ำพืชผักที่ปลูกอยู่บนเเปลง อากาศตอนนี้ร้อนไม่ต่างจากประเทศไทยในช่วงฤดูร้อน 

 

“นอล เสร็จเเล้ว ช่วยให้ไปให้อาหารวัวหน่อยได้ไหม”

“ครับ เเม่”

ผมปาดเหงื่อที่ไหลเต็มหน้า เเล้วหันกลับไปตอบเเม่ที่กำลังรดน้ำด้วยกัน ผมชักอยากได้ฝนตกฉ่ำๆ มาช่วยเเบ่งภาระงานผมเหลือเกิน

 

(ร้อนเป็นบ้า ถ้าถอดหมวกนี่หัวคงไหม้ไปเเล้วมั้ง)

หลังจากที่ผมรดน้ำฝั่งตัวเองเสร็จ ผมก็ยืนพักสักพัก เเม้ว่าใจของผมอยากที่จะกระโจนเข้าที่ร่ม เเต่ผมก็ต้องข่มมันไว้ 

 

(ชีวิตเกษตรกรนี่มันช่างลำบากจังน้า)

 ผมหยิบบัวรดน้ำนำไปเก็บในโกดังเล็กๆ ข้างบ้าน ขนฟางเเห้งที่มัดได้รูปในถังไม้ออกไปด้านนอก เเละพลางคิดเรื่อยเปื่อยกับชีวิตที่ไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่หวังไว้

ครอบครัวของผมมีฐานะที่ค่อนข้างยากจน รายหลักมาจากการขายพืชผัก นมวัว อาวุธ เเละเครื่องมือ เเม่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องสวน ส่วนพ่อจะมีหน้าที่ตีอาวุธ เเละเครื่องมือ สิ้นสุดสัปดาห์พ่อจะเป็นคนขนของไปขายที่หมู่บ้านเพียงคนเดียว ถ้าขายไม่ออกก็ต้องนำมากิน หรือปล่อยในราคาที่ถูกกว่าตลาด

นับว่าเป็นช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผมได้เกิดใหม่ ผมไม่ได้มีชีวิตที่ราบรื่นเท่าไหร่เมื่อชาติก่อน ผมต้องช่วยเเม่ดูเเลสวนท่ามกลางเเสงเเดดร้อนระอุ คอยตรวจสอบสภาพกรงวัว เเละไปล่าสัตว์กับพ่อเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะราคาเนื้อค่อนข้างเเพง ถ้าไม่ได้จากการล่าสัตว์ มื้อนั้นครอบครัวเราก็ต้องกินอาหารมังสวิรัติเเทน

 

มอน~

“ฟังกี่รอบ ก็ไม่ชินเสียงเเกจริงๆ”

ผมเเกะเชือกที่มักฟาง เเละใส่ลงบนถาดอาหาร ผมมองดูวัวจากต่างโลกกำลังเคี้ยวฟางอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความสนใจ

“ท่าจะอร่อยนะ”

มอน~

“หึๆ ไม่เอาหรอก เดวฉันก็ท้องเสียหรอก”

มันยืดฟางที่เคี้ยวอยู่ในปากให้ผม ผมขำเล็กน้อย เเละปฏิเสธมันอย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าผมเผลอคล้อยตามมัน พ่อผมคงต้องติดหนี้คุณหมอเพิ่มขึ้นอย่างเเน่นอน

 

“หัวเราะดังเชียว ลูกคุยกับวัว รู้เรื่องด้วยเหรอจ้ะ?”

“เปล่าหรอกครับ ผมก็เเค่เดาว่ามันต้องการสื่ออะไรเเค่นั้นเอง”

เเม่ของผมเขามาชื่นชมผมที่สามารถคุยกับวัวได้ เเต่เธอไม่รู้เลยว่า ผมก็เดาความคิดมันไปเรื่อยเปื่อย เธอลูบหัวผมเบาๆ เเละยิ้มออกมา

 

“ไม่เเน่ นี่อาจเป็นลางบอกว่า ลูกได้พรเทมเมอร์ก็ได้นะ”

“ถ้าได้เป็นเทมเมอร์ ผมยอมเเก้ผ้าวิ่งรอบหมู่บ้านเลย”

“เเม่ว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่นะ”

(ก็เพราะมันไม่มีทางอยู่เเล้ว)

วันนี้เป็นวันที่พ่อจะพาผม เเละน้องชายเข้าเมืองเพื่อค้นพบพร พรเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับผ่ามนุษย์ตั้งเเต่เกิด เมื่อครบรอบอายุ 8 ปี เราจะสามารถตรวจดูพรของตัวเองได้ พ่อเเม่ตัดสินใจที่จะพาผมไปดูพรพร้อมกับน้องเมื่อายุครบ 10 ปี ทั้งคู่ทุกเดือน 7 ของปีจะมีการส่งตัวเเทนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาเยือนทุกหมู่บ้านเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบพรของเเต่ละคน

“เรย์ นอล กลับมาเเล้ว!”

ผม เเละเเม่หันไปยีงทิศทางของเสียง ผมเห็นพ่อที่หิ้วกระต่ายเขาเเดงมา พร้อมกับเนฟที่ทำหน้าไม่ค่อยสนุก

“เป็นไงบ้างคะ? การล่าสัตว์ครั้งนี้”

“อย่างที่เห็นเลย วันนี้ได้ เรดฮอรน มาตัวหนึ่ง!”

“ยอดเยี่ยมไปเลย~”

คุณพ่อชูมือขวาที่หิ้วศพของกระต่ายเขาเเดงด้วยความภูมิใจ เเม่ที่ได้เห็นผลงานของพ่อก็ตบมือยิ้มดีใจให้กับความสำเร็จของเขา

“เนฟเป็นไรอ่ะ ทำหน้าตาไม่รับประทานเลยนะ”

“อุตส่าห์ได้ดาบมาทั้งที พ่อไม่ให้โอกาสผมได้ล่าสัตว์เลย ทั้งๆ ที่ผมเจอเรดฮอรนก่อนเเท้ๆ”

เนฟทำหน้าไม่สบอารมณ์ เขาได้ดาบสั้นที่พ่อตีให้เป็นของขวัญวันเกิด 10 ปี เเต่ที่เขาจะได้ใช้ดาบ กลับโดนพ่อตัดหน้าสินะ

“ฮ่าๆๆ เอาน่าเนฟ ไว้ถ้าลูกได้พรเป็นนักดาบ พ่อจะอิสระลูกในการออกไปล่าสัตว์เลย”

“อะเเห่ม เนล…”

ในขณะที่เขาที่เขาให้ข้อเสนอกับเนฟโดยไม่คิดอะไร เเม่ก็ส่งสายตาเตือนเขา จนใบหน้ายิ้มเเย้มเปลี่ยนเป็นสีซีด

“ไม่..สิ ต้องบอกว่า ออกล่าอย่างอิสระโดยมีพ่อจับตามองอยู่ต่างหาก…”

“สัญญานะครับ!”

“อ่า”

พ่อลูบหัวเนฟที่กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ผมเเอบขำเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าน้องชายผมจะใสซื่อขนาดนี้ ถ้าพรสามารถเลือกได้ ทุกคนคงเลือกเเต่พรโกงๆ กันหมดเเล้ว

“เเล้วลูกล่ะ นอล คิดยังว่าตัวเองอยากได้พรอะไร”

“ผมเหรอครับ อืม…คงไม่ผมชาวนาหรอกมั้งครับ”

“ฮ่าๆ อย่าถ่อมตัวสิ คนเก่งๆ ขยันทำงานเเบบลูก ต้องได้เป็นนักรบอย่างเเน่นอน”

“ฮ่าๆ นั่นสินะครับ”

(ถ้ามันออกอ่ะนะ)

เเม้คุณพ่อจะตบหลังผมให้กำลังใจ เเต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันจะช่วยอะไรด้วยซ้ำ ผมกลับคิดว่า การที่ผมทำงานในสวนได้อย่างราบรื่น ผมน่าจะได้เป็นเกษตกรชั้นเลิศเสียอีก

“ถ้างั้นเราไปกันเถอะ ตามมา”

“ครับ!”

ผม กับเนฟเดินตามคุณพ่อไปที่หน้าโกดัง เขาเข้าไปลากรถเข็นที่มีหลังคาออกมา เเล้วกวักมือเรียกเนฟ กับผม

“ขึ้นรถม้าพลังคุณพ่อเลย!”

“ครับบบ!”

ผม เเละเนฟขึ้นไปนั่งบนรถเข็นไม้โดยที่มีหลังคาที่ตกเเต่งเพิ่มคอยบังเเดด คุณพ่อรับหมวกฟางจากคุณเเม่ เเล้วโบกมือจากลา

“ไปก่อนนะ”

“โชคดีนะ ทุกคน”

“โชคดีครับ เเม่”

พ่อเคลื่อนตัวลากรถเข็นออกไปด้านหน้า ผม เเละน้องชายโบกมือลาคุณเเม่ที่ยิ้มจากลา นี่เป็นครั้งเเรกที่ผมจะได้เข้าหมู่บ้านสักที

“นอล เนฟ ถึงเเล้วนะ”

ผมค่อยๆ ลืมตาเมื่อได้ยินเสียงของพ่อ ผมลุกขึ้นมาฉะเงยหน้ามองดูรอบๆ บ้านหินที่มีโครงสร้างเเข็งเเรง สลับปนบ้านไม้ที่เนื้อบ้านมีความใหม่ ร้านค้าขายของต่างๆ เเละผู้คนพลุกพล่านเดินสวนกันบนถนนเส้นใหญ่ บรรยากาศของที่นี่ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองหลวงเลย

 

“นี่ใช่หมู่บ้านจริงๆ เหรอครับ”

“ลูกพึ่งเคยเข้ามาครั้งเเรกคงตกใจไม่เเปลก หมู่บ้านนอรทน่ะทำหน้าที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรต้นๆ ของราชอาณาจักรเเอสทาเรีย จึงมีสภาพตัวหมู่บ้านที่ค่อนข้างเจริญ ภายในไม่ช้าหมู่บ้านนี้ก็จะถูกบรรจุเป็นเมือง…อืม ถึงพ่ออธิบายไปลูกก็คงไม่เข้าใจหรอก”

คุณพ่อบรรยายความน่าทึ่งของหมู่บ้านนอรท จนเขาลืมตัวไปว่าผมที่เป็นเด็ก 9 ขวบ นั้นคงไม่สามารถเข้าใจได้

“เเหะๆ ผมไม่เข้าใจเลย”

“ไว้ลูกโตขึ้น ลูกก็เข้าใจเองเเหละ”

“นั่นสิครับ”

(ถึงผมจะเข้าใจปรื้อเเล้วก็เถอะ)

ถ้าผมเข้าใจได้ เขาคงจะคิดว่าผมเป็นเด็กอัจฉริยะเเน่นอน ผมเเสร้งที่จะทำเป็นไม่รู้ เพราะผมไม่อยากให้เขาตั้งความหวังผมมากเกินไป

 

“ห้าว พี่ครับ…ถึงเเล้วเหยอ”

“ตื่นได้เเล้ว ไอตัวดื้อ”

“รู้เเล้วน่า!”

ผมที่เห็นใบหน้าของเนฟที่กำลังสะลึมสะลือ ผมเลยอมยิ้ม เเละลูบหัวเเกล้งเขาซะหน่อย เนฟที่โมโหจึงเอามือผมออก เเละลุกขึ้นมาดูตัวหมู่บ้าน

“ว้าว~ พี่! พ่อ! ดูนั้นสิ! ทั้งดาบ ทั้งของกิน มีเเต่อะไรน่าสนใจไปหมด!”

เนฟตาลุกวาว เเละชี้ไปรอบๆ เหมือนเด็กที่พบของเล่นใหม่ พ่อที่เห็นก็เเอบอมยิ้ม ในขณะที่ผมก็มองดูรอบๆ เก็บข้อมูลไปตลาดทาง

“อีกนิดเดียว เราใกล้จะถึงโบสถ์เเล้ว”

“ครับ”

ผม เเละเนฟพยักหน้าให้พ่อ จากนั้นเขาก็เริ่มเข็นรถเข็นเร็วขึ้น ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยกำเเพง พ่อหาที่ว่างสำหรับจอดรถเข็นสักพัก ผม กับเนฟก็ได้ลงมาสักที

“ที่คือกฎที่ลูกต้องทำตามพ่อนะ ข้อเเรกห้ามอยู่ห่างพ่อ ข้อสองลูกห้ามพูดกับคนเเปลกหน้าจนกว่าจะขอคำอนุญาตกับพ่อ เเละข้อสุดท้ายถ้าพวกเราโดนดูหมิ่นจากใครก็ตาม โดยเฉพาะพวกชั้นสูง พ่อขอให้อย่าตอบโต้นะ สัญญานะ”

“สัญญาครับ!”

คุณพ่อนั่งย่อลง เเละชูนิ้วก้อยให้พวกเรา สายตาของเขาจริงจังมากเมื่อพูดถึงกฎเเต่ละข้อ หลังจากที่ผม เเละเนฟพยักหัวเกี่ยวข้องให้สัญญา เขาก็กลับมายิ้มสดใสอีกครั้ง เเละลูบหัวพวกเราด้วยความห่วงใย

“งั้นพวกเรา ไปกันเถอะ!”

“ครับ!”

พ่อจูงมือผมกับเนฟ เเละเข้าไปในลานกว้างของโบสถ์ พวกเราเดินตรงหน้าโบสถ์ มีซิสเตอร์จำนวนหนึ่งนั่งรอต้อนรับพวกเรา

“ยินดีต้อนรับค่ะ มารับคิว ทั้งหมดกี่ท่านคะ”

“เด็กสองคนนี้ครับ”

“2 คน คนละ 2000 ยูเรนะคะ”

(คิดเงินด้วยหรือนี่!)

ผมตกใจที่การดูพรต้องการเสียเงินด้วย ผมนึกว่าดูฟรีเสียอีก ผมหันหน้าไปมองที่พ่อ เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะหยิบเหรียญเงิน 2 เหรียญในถุงผ้าเก่าๆ ยื่นให้ซิสเตอร์

“นี่ครับ ทั้งหมด 4000 ยูเร” 

“ขอบคุณค่ะ งั้นให้คิวเเล้วนะคะ รบกวนหนูทั้งสอง ยืนนิ่งๆ นะคะ”

ผม เเละเนฟยืนข้างกัน ซิสเตอร์จับมือข้างขวาของพวกเรา ไม่นานมันก็มีตัวเลขผุดขึ้นมา ของผมเป็นเลข 399 ส่วนเนฟเป็นเลข 400

“คิวที่ 399 เเละ 400  นะคะ รบกวนเข้าไปรอในโบสถ์เลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ ป่ะ นอล เนฟ”

“ครับ พ่อ”

ซิสเตอร์เปิดประตูให้พวกเรา พ่อจูงมือผม เเละเนฟเข้าไปในโบสถ์ พวกเราพบกับคนมากมายที่ยืนชุมนุมกัน พ่อพยายามจูงเราออกไปด้านข้าง ผมพบกับคุณหมอที่ยืนอยู่กับครอบครัวของเขา

 

“ไง เนลมาช้าจังนะ”

“โทษที เเจ็ค พอดีฉันเสร็จงานช้าน่ะ”

คุณหมอมาในชุดสีขาว เเละสะพายเป้เหมือนเดิม ด้านข้างเขามีผู้หญิงผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตางดงามใส่ไปรเวท เเละเด็กผู้หยิงหน้าตาน่ารัก ซี่งมีสีผมเดียวกับเธอ

 

“สวัสดีค่ะ คุณเนล วันนี้มากับลูกทั้งสองคนเลยนะคะ”

“สวัสดีครับ คุณเจน วันนี้ก็มากับเจ้าตัวเล็กน่ารักเหมือนกันนะครับ”

ดูเหมือนพ่อ เเละครอบครัวของคุณหมอจะค่อนข้างสนิทกัน เด็กหญิงที่ได้เห็นพ่อผม เธอก้าวเดินออกมา เเละยืนเเขนให้พ่อผม 

“คุณลุง เล่นต่อตัวกัน!”

“ได้เลย มิรินจัง~”

พ่อปล่อยมือผม เเละเนฟ เขายกมิรินมาไว้บนท้ายคอ เเละหมุนตัวไปมา ทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

 

“เย้ หนูสูงกว่าพ่อเเล้ว เห็นมะ เห็นม๋า!”

“จ้าๆ พ่อยอมเเพ้เเล้ว”

มิรินยิ้มกอดเอว เเละยิ้มอย่างผู้ชนะบนท้ายคอของพ่อผม เนฟทำหน้าบึ้งหวงพ่อ ในขณะที่ผมมองดูเธอด้วยความเอ็นดู

 

“ไม่ยุติธรรมเลย เธอขี้โกง! ผมควรขึ้นพ่อคนเเรกสิ! ลงมานะ!”

“พ่อก็อุ้มเเบบนี้ตั้งเเต่เด็กเเล้วนะ เนฟ”

“เด็กน้อยจังนะ นายน่ะ”

“หน็อยเเน่ ลงมานี่เลย ยัยบ้า!”

เนฟโดนมิรินเเลบยิ้มเยาะเย้ย เขาที่โกรธมากจึงเขาไปทุบขาพ่อด้วยเเรงอันน้อยนิดโดยหวังให้พ่อปล่อยเธอ ผมที่เห็นภาพนั้นก็เเอบขำเล็กน้อย

(เด็กน้อยไม่เเพ้กันเลยสองคนนี้)

ผมที่เป็นผูใหญ่ในร่างเด็กจะไม่มีทางทำเรื่องน่าอายเเบบนี้เด็ดขาด เมื่อพวกเขาโตไปคงไม่พ้นโดนล้อเรื่องนี้เเน่นอน 

 

“เนล พอได้เเล้วมั้ง ไม่ให้ลูกของเราทำความรู้จักกันหน่อยล่ะ”

“นั่นสินะ มิรินจัง ไว้มาเล่นกันใหม่นะ”

“ค่า”

พ่อของผมยกมิรินปล่อยลงพื้นอย่างนิ่มนวล มิรินเดินเข้ามาหาเนฟที่ทำหน้าข่มใส่ เเละผมที่ตัวนิ่งสงบ ไม่นานเธอก็ยื่นมือมาทางพวกเรา

 

“ฉันชื่อ เลวิล มิริน ฝากตัวด้วยนะ”

“ชิ ฉันชื่อ เอลเดล เนฟ”

เนฟทำหน้าไม่ค่อยชอบใจ เเละจับมือเธอเเต่โดยดี หลังจากเธอทำความรู้จักกับเนฟเสร็จ เธอก็ยื่นมือมาที่ผม

“เเล้วนายล่ะ?”

“ฉันชื่อ เอลเดล นอล เป็นพี่ชายเนฟน่ะ”

ผมจับมือเธอตามมารยาท ทันใดนั้นเธอก็ดึงมือผมจนผมกับเธออยู่ใกล้กันมาก เธอจ้องมาที่ดวงตา เเละสีผมของผมอย่างรวดเร็ว

(ใกล้!)

“นายมีสีผม เเละดวงตาเหมือนคุณลุงเลยนะ”

“อ่า เพราะว่าฉัน…เป็นลูกพ่อไง!”

“นั่นสินะ~”

(ยัยเด็กนี่! ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นเด็กนะ…!)

เธอทำหน้าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เธอทำลงไป เเละยิ้มโดยไม่รู้สึกผิด เธอไม่รู้เลยว่าเธอเกือบทำให้ผมช็อกตาย ผมเริ่มรู้สึกโกรธเเบบเดียวกับเนฟ ในใจผมคือ อยากเอากำปั้นเขกหัวให้เธอรู้สำนึกผิด เเต่ก็ต้องกลั้นใจไว้ เพราะผมเป็นผู้ใหญ่ที่ดีจะไม่ใช้ความรุนเเรงกับเด็ก…

“เเต่ขี้ก้าง เเบบนี้ก็ไม่ไหวนะ~”

“เห้ย ขอสักหมัดดิ!”

“พี่ใจเย็นๆ ก่อน!”

ในขณะที่ลิมิตความเป็นผู้ใหญ่ของผมระเบิดออก เนฟก็เข้ามาล็อกเเขนหยุดผมไว้ โธ่เอ้ย! ทำไมเขาถึงเเรงเยอะจังนะ อีกนิดเดียวหมัดเเห่งความเเค้นของผมกำลังจะได้เขกหัวเธอเเล้ว

“หืม เป็นครั้งเเรกนะเนี่ย ที่เห็นนอลก้าวร้าว เนล”

“อืม นี่ก็ครั้งเเรกเหมือนกัน ไม่นึกว่า นอล จะเป็นคนไม่ยอมคนนะเนี่ย ปรกติชอบตัวไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวตลอด”

เนล เเละเเจ็ค มองดูนอลด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เชื่อเลยว่านอลจะด้านที่รุนเเรงเหมือนคนอื่น เพราะปรกตินอลมักจะไม่เเสดงสีหน้าโกรธให้เห็น

[ประกาศ การดูพรกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ]

หลังจากการประกาศจบลง ชายคนหนึ่งก็ได้ปรากฏออกมา เขาใส่ชุดนักบวชสีขาวผสมเเดง หมวกที่มีตราสลักเป็นรูปทรงของเทพธิดาองค์หนึ่ง เขาเดินขึ้นมาบนเวทีด้านหน้าเเถวที่นั่งพร้อมกับคนคุ้มกันที่ใส่ชุดเกราะสีเงินที่มีผ้าคลุมลายเทพธิดาเหมือนกับหมวดของนักบวช

“การดูพรกำลังจะเริ่ม ณ บัดนี้ ขอให้ทุกท่านมาตามคิวอย่างเคร่งครัด ถ้าเช่นนั้นคิวที่ 1 เชิญก้าวออกมา”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

(ยัยนี่ คิดจะล่อลวงเรา ด้วยข้อเสนอตื้นๆ สินะ)

สิ่งที่เชอร์เบชพูดออกมานั้นไม่มีความลังเลเลย คงไม่เเปลกเพราะครอบครัวของเธอเป็นถึงตระกูลเเคสโตเวียที่มีโดดเด่นเรื่องเวทมนตร์ชั้นเเนวหน้าของอาณาจักร ดังนั้นชื่อเสียง เเละเงินทองจึงมีอยู่ล้นเหลือ ใครที่เชอร์เบชสนใจเธอก็ใช้สิ่งที่เธอมีดึงดูดพวกเขา

 

(คำตอบมันเเน่นอนอยู่เเล้ว)

“ชื่อเสียง ฉันไม่ค่อยเเคร์ด้วยสิ อำนาจก็งั้นๆ มีไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรในตอนนี้ ส่วนเงินทอง เธอคิดว่ามีมากพอเหรอ ฉันน่ะค่อนข้างเเพงนะ”

ยังไงข้อเสนอของเชอร์เบชก็ไม่ได้น่าดึงดูดอะไรมาก ชื่อเสียง เเละอำนาจ สำหรับผมที่เเข็งเเกร่งจนยากจะต่อกร สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้สาระ

“ถามว่ามากพอไหมเหรอ ตอนนี้ฉันพกมาเเค่ค่าขนมด้วยสิ สกิล คลังสมบัติลี้ลับ”

เชอร์เบชถอนหายใจเล็กน้อย ซิกม่าของเธอส่องเเสงสีทองในมือขวา ไม่นานก็มีกระเป๋าสีดำตกเเต่งด้วยลายดอกไม้ปรากฎออกมาบนมือของเธอ เชอร์เบชเปิดกระเป๋า เเละหยิบเหรียญจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะหน้าผม

 

“ช่วงนี้ฉันโดนพ่อคุมเรื่องการใช้เงินด้วยสิ ตอนนี้อาจจะมีเเค่นี้ เเต่ถือเป็นค่ามัดจำก่อนได้ไหม”

เชอร์เบชทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ซึ่งผิดกลับผมที่ตาโต เเละตกใจเเเบบสุดขีด สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าไม่ใช่เหรียญเงินวาว เเต่มันคือเหรียญทองนับ 10 เหรียญที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ

 

(เชี้x 10 เหรียญทองค่ามัดจำเนี่ยนะ!)

เชอร์เบชอาจจะไม่รู้ตัวเพราะผมพยายามเก็บรักษาหน้าไว้ เเต่ตอนนี้มือผมสั่นไม่เป็นจังหวะเเล้ว ทอง 10 เหรียญมันตั้ง 100,000 ยูเรเลยนะโว้ย! ถ้าได้เงินก้อนนี้มานี่คือได้กินเเบบราชาไปหลายเดือนเเน่นอน

 

(เเต่เราจะร้อนรนไม่ได้! ถ้าเเค่ 1 เเสนยูเร ค่อยๆ เก็บสะสมจากเงินสมทบตอนได้เเรงค์เพชรก็ไม่เสียหาย)

“โทษทีนะ เเต่ฉันต้องข-”

“เอ๊ะ ดูเหมือนฉันจะหยิบผิดเหรียญนะ”

“ว่าไงนะ?”

“เหรียญทองนั้นใช้จ่ายค่าอาหารสัตว์เลี้ยง ถ้าเงินใช้จ่ายอิสระ โดยไม่รวมเงินสำรอง คงมีเเค่นี้…”

เชอร์เบชวางเหรียญหนึ่งข้างกองเหรียญทอง มันคือเหรียญทองคำขาวซึ่งผมเเทบไม่เชื่อสายตา ออร่าความรวยของมันสะท้อนเขาตาผมเต็มสองตา

 

(บ-บ้าหน่า! ทองคำขาวอย่างงั้นเรอะ!!!!!!!!!!!!!!!!)

เหรียญทองคำขาวนั้นเปรียบได้เท่ากับเหรียญทอง 100 เหรียญกองอยู่ตรงหน้าผม ความเย้ายวนของมันทำให้สติของผมกระเจิง บ้าไปเเล้ว! 1 ล้านยูเรนี่ สามารถกินนอนอยู่ในห้องพักหรูหราได้เป็นหลายปีเชียวนะโว้ย! ผมอยากจะเข้าไปสัมผัส เเละกอดมันในอ้อมอกเหลือเกิน เเต่ถ้าทำเเบบนั้นมันจะดูไม่เท่ ผมจึงยังคงทำหน้านิ่ง เเละจิกมือตัวเองให้อยู่นิ่งๆ

 

“ดูจากท่าทีที่ไม่กระติ่นรือร้นของนาย คงจะไม่สนใจข้อเสนอสินะ”

เชอร์เบชทำหน้าผิดหวัง เเละค่อยๆ หยิบเหรียญทองเก็บลงคลังสมบัติลี้ลับ จนในที่สุดก็เหลือเหรียญทองคำขาว ในขณะที่นิ้วของเธอกำลังจะหยิบกลับ มือของผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปเเล้ว!

 

“อ-อย่าพึ่งสิครับ เรามาคุยข้อตกลงก่อนดีกว่า!”

“เห้~ ตอนเเรกก็นึกว่านายจะเล่นตัวมากกว่านี้อีก”

“ทำไงได้นะครับ คุณหนูอุส่าห์ให้ความเมตตาให้ข้อเสนอดีๆ ผมก็ไม่อยากที่จะรีบปฏิเสธน่ะครับ”

“เเต่ฉันคิดว่า ถ้าไปหาคนอื่น น่าจะประหยัด เเละจงรักภักดีกว่านายนะ”

เชอร์เบชยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เเละกดเเรงลงบนเรียญทองคำขาวมากขึ้นเพื่อที่จะลากกลับมาหาตัวเอง ซึ่งเเน่นอนถ้าวัดกันที่พลังผมจะไม่มีทางมอบคืนให้เธออย่างเเน่นอน

 

(ขอเถอะ! ขอเถอะ! ถ้าบอกว่าเป็นค่าขนม เเทนที่จะเอาไปซื้อของ จ้างฉันดีกว่า จะทำงานเป็นเบ๊มืออาชีพให้เลย!)

“อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจสิครับคุณหนู! เอาเป็นว่าทำไมเราไม่มาคุยเรื่องสัญญากันก่อนล่ะครับ!”

“เอายังไงดีนะ ปีนี้การเข้าสอบปีนี้ มีผู้เข้าสอบที่น่าสนใจเยอะด้วยสิ”

“เเต่ก็เเค่คนที่น่าสนใจไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเทียบกับข้ารับใช้ที่มีการการันตรี เรื่องความเเข็งเเกร่ง เเละความฉลาดล่ะก็ ผมต้องเบอร์หนึ่งเลยนะครับ!”

“เเต่หน้าตาดันเห่ย จนดูไม่เหมาะกับฉันสักเท่าไหร่ เวลาต้องให้ติดตามมาด้วยน่ะสิ”

(ยัยนี้!)

“เเหมๆ การเลือกซื้อ ผลไม้ที่อร่อยเขาไม่ดูกันที่ภายนอกนะครับ เราจะต้องเข้าใจถึงภายใน เเละกระบวณการผลิตที่ประณีต หน้าตาก็เเค่สิ่งดึงดูดลูกค้าจอมปลอมเเหละครับ”

“นายจะบอกว่า ผลไม้ที่อร่อยนั่นคือ นายงั้นเหรอ?”

“ถ้าจะให้เปรียบถึง รูปโฉมจะธรรมดาทรงขี้เหล่ เเต่ภายในเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเเน่นอนครับ!”

ผมหันมาสำรวม เเละพยายามพูดโน้มน้าวเชอร์เบช ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอคิดจริงหรือกำลังเล่นกับความรู้สึกที่มีต่อเงินของผมกันเเน่ เเต่ผมชักไม่ชอบที่เธอทำหน้าใสซื่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ที่่สุด

 

“ก็ได้ เห็นเเก่ความจริงใจของนาย ฉันจะไม่ปฎิเสธนายเเล้วกัน”

“ขอบพระคุณอย่างสูงครับ คุณหนู”

ผมเอามือค้ำโต๊ะ เเละก้มหัวอย่างสุดใจ ถึงเเม้จะเจ็บใจที่ตัวเองต้องมาศิโรราบต่อพลังเงินตรา เเต่ถ้าได้งานสบายๆ เเละมีที่อยู่ เเละรายได้สูงไปตลอดชีวิตละก็ ใครมันจะไม่เอา!

 

“เลิกก้มหัวเถอะ เรามารีบทำสัญญากันดีกว่า กรีดเลือดบนนิ้วโป้งขวา เเละนำกำปั้นมาชนกัน”

“เข้าใจเเล้วครับ”

เชอร์เบชเรียกมดที่สลักด้วยดอกกุหลาบกดลงบนนิ้วโป้งของเธออย่างประณีต ตรงกันข้ามกับผมที่คิดว่ามันช้าไป จึงเลือกที่กัดนิ้วโป้งจนเกิดรอยเเผลเเทน หลังจากที่เสร็จสิ้นขั้นตอน กำปั้นขวาของผม เเละเธอก็ชนเข้าหากัน โดยมีนิ้วโป้งที่ชูขึ้นประกบรอยเเผลเข้าหากัน ให้เลือดของสองฝ่ายได้เเลกเปลี่ยนกัน

 

“ในระหว่างกำลังกำเนินสัญญาห้ามมือนาย เเละฉันออกกันเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“รับทราบครับ คุณหนู”

“สกิล สัญญาเเห่งความเท่าเทียม”

ผมรับรู้ได้ถึงพลังเวทย์อันมหาศาลไหลผ่านเส้นเลือดเข้ามาในตัวผม กับเชอร์เบช เลือดของพถวกเรากลายเป็นเส้นฝยเวทมนตร์ที่กำลังท่อตัวเป็นกระดาษสัญญาฉบับหนึ่งเหนือมือของพวกเรา

 

“การดำเนินสัญญาเป็นไปได้ด้วยดี ต่อไปจะเป็นการร่างกฎ”

“ตามใจคุณหนูเลยครับ”

ผมพยายามลดอคติกับเธอเพื่อให้สัญญานี้ลุล่วง สกิล สัญญาเเห่งความเท่าเทียม เป็นสกิลที่ใช้ในการทำสัญญาเพื่อเฟ้นหาข้ารับใช้ของเพอร์เฟค คิงดอม ซึ่งมันไม่ใช่สัญญาธรรมดา เพราะมันคือการคัดสรรข้ารับใช้ที่จะเป็นมือขวา เเละมือซ้ายของกษัตริย์ผู้นั่งอยู่บนบังลังค์เเห่งชัยชนะ เเต่มีข้อเเม้สองข้อคือ ข้อเเรกต้องได้รับการยิมยอมทั้งสองฝ่าย ไม่งั้นสัญญาเเห่งความเท่าเทียมจะไม่สำเเดงผล เเละข้อสอง…

 

“ข้อเเรก นายจะต้องทำตามคำสั่งของฉันโดยห้ามขัดขืน”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ อำนาจในการครอบครองต่ำเกินไป]

“ถึงจะดูโอ้อวด เเต่ที่พูดมาจริงสินะ”

พลังของผู้คัดสรรบริวารคู่กายจะต้องมีอิทธิพลมากกว่าบุคคลนั้น ในกรณีนี้ผมมีพลังมากกว่าเชอร์เบชอย่างเทียบไม่ติด ดังนั้นเธอจะไม่สิทธิในการบังคับให้ผมทำตามเธอได้ทุกอย่างตามที่เธอตั้งเป้าหมายไว้

 

“นายจะต้องทำตามคำสั่งของฉันอย่างเด็ดขาด ยกเว้นจะเป็นสิ่งที่นายเห็นว่าไม่ถูกต้อง จะสามารถยื่นความโต้เเย้งได้”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ เพราะอำนาจในการครอบครองต่ำเกินไป]

“อืม เป็นข้ารับใช้ที่เอาเปรียบเจ้านายจริงนะ”

“เเฮะๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ”

“ถ้าทำตามคำสั่งไม่ได้ ต้องลดความเคร่งขัดลงมาอีกสินะ ถ้างั้นเอาเป็น นายจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน เเละทำตามคำสั่งตามความเหมาะสม โดยที่ห้ามหักหลังฉันเด็ดขาด”

[กฎข้อเเรก ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“เสียดายจัง ที่ควบคุมนายไม่ได้ดั่งใจ ตอนนี้ฉันคงมีพลังเเค่ทำให้นายเชื่อฟังได้สักเล็กน้อยสินะ”

เชอร์เบชถอนหายใจ เเละทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ส่วนผมก็ทำหน้านิ่งๆ โดยที่ในใจกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจที่ตัวเองไม่ต้องถูกลากโซ่ทำตามคำสั่งของเธอเเบบไร้หนทางขัดขืน

 

“ห้ามนายสร้างความเดือดร้อนต่อคนรอบตัวฉันเด็ดขาด”

[ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ เพราะผู้ทำสัญญาไม่พึงประสงค์เห็นชอบ]

“นี่นายคิดจะทำอะไร ถึงได้ไม่เห็นด้วย”

“ก็เเบบถ้าผมหมั่นไส้ส่วนตัว ก็อยากที่จะส่งหมัดเเห่งความเเค้นซัดหน้าให้หมอบสักทีน่ะครับ”

“ถ้างั้น ห้ามทำร้ายครอบครัวของฉัน เเละต้องปกป้องพวกเขาเมื่อตกอยู่ในอันตราย”

[กฎข้อสอง ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“เห้อ คิดถูกไหมนะที่เลือกนาย”

“อย่าพูดเเบบนั้นสิครับ คุณหนู”

เชอร์เบชถอนหายใจ เเละทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างชัดเจน ผมทำได้เเค่น้อมหัว ในขณะที่ในใจกำลังเล่นเซิรฟ์ในทะเลเเห่งอิสระภาพ เเละร้อง ไชโย ออกมาอย่างสุดรูดหูรูดตา

 

“อยากให้มีข้อมากกว่านี้อยู่หรอก เเต่คงมีเเต่เงื่อนไขตามมารำคาญสินะ”

“ถ้าคุณหนูไม่ตั้งเงื่อนไขที่มันออกจะเห็นเเก่ตัวไปบ้าง ผมว่ายังไงก็ผ่านเงื่อนไขนะครับ ไม่ก็ลองลดอะไรที่มันยากๆ ลงหน่อยก็ดีครับ”

“ได้ ถ้างั้นข้อสุดท้ายคือ ในยามที่ฉันตกอยู่ในอันตราย นายจะต้องเข้ามาช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”

[กฎข้อสาม ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ดำเนินการสร้างกฎเรียบร้อย]

“อย่างน้อยก็มีข้อหนึ่งที่ไม่เเย่ล่ะนะ งั้นมาทำมันจบดีกว่า ข้าในนามของ เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช ผู้ครอบครอง เพอร์เฟค คิงดอม ลำดับที่ 12 ขอลงนามในสัญญาเเห่งความเท่าเทียม ขอยอมรับ เอลเดล นอล ในฐานะผู้รับใช้มือซ้าย โล่อันไร้ซึ่งจุดอ่อนเเห่งอาณาเขตเเห่งชัยชนะของข้า เจ้าพร้อมที่จะถวายกายให้ข้ารึไม่”

“ข้าพร้อมที่จะเป็นโล่ที่ไม่มีผู้ใดสร้างรอยเเผลกับท่านได้ กษัตริย์ลำดับที่ 12 เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช”

“ถ้าเช่นนั้นจงเเสดง ประทับตราเเห่งความภักดีลงบนมือของข้าซะ”

มือของเชอร์เบชเเยกออกจากผม เธอคว่ำมือลง เเละมองผมอย่างเย่อหยิ่ง สัญญาที่ล่องลอยอยู่บนอากาศลงดิ้งเข้าไปในมือขวาของเธอ เเละกลายเป็นเต้นใต้ให้ผมประทับรอยจูบลงไป

 

“Yes, my queen. (รับทราบครับ ราชินีของผม)”

ผมจับมือสีขาวนวลอันบอบบางของเธออย่างเบสมือ เเละลุกขึ้นก้มลงไปจูบบนมือขวาของเธอ ทันใดนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงพลังเวทย์เเทรกเเซงเข้าไปในร่างกาย ผมรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตที่ไหล่ซ้ายอย่างผิดปรกติ

 

“ตอนนี้ไหล่ซ้ายน่าจะมีตราประทับสัญญาของเพอร์เฟค คิงดอมอยู่หลังทำสัญญาเสร็จ เพียงเท่านี้นายก็เป็นข้ารับใช้มือซ้ายของฉันเเล้ว เพราะฉะนั้นจะพูดเเบบไม่ต้องเป็นทางการก็ได้นะ เพราะยังไงฉันก็บังคับนายทั้งหมดไม่ได้อยู่เเล้ว”

“ก็นึกว่าจะต้องฝืนพูดสุภาพกับคุณหนูไปเรื่อยๆ เสียอีก เเบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย ความจริงก็เเอบน่าเสียดายนะ นึกว่าตัวเองจะเป็นมือขวาเสียอีก”

“ข้ารับใช้มือขวาเป็น ตัวเเทนของดาบ ผู้มีหน้าที่ทะลวงฝ่าศัตรู เเละสร้างช่องว่างในการพิชิตศัตรูให้กับกษัตริย์ ซึ่งฉันได้เเต่งตั้งให้มิเกลรับหน้าที่นั้นไปเเล้ว ที่สำคัญถ้าฉันเลือกนายเป็นมือขวาละก็ ฉันที่ไม่มีอำนาจห้ามนาย กลัวนายจะไปสร้างเรื่องมากกว่าเดิมมากกว่า เป็นโล่นี่เเหละดีเเล้ว เพราะมันทำให้ฉันมั่นใจว่านายต้องปกป้องฉัน เเละครอบครัวเเน่นอน”

“เเล้วตอนนี้มิเกลหายไปไหนล่ะ ปรกติเขาต้องตามคุณหนูไม่ใช่เหรอ?”

“มิเกลต้องไปทำภารกิจปราบปรามกับหัวหน้าอัศวินเเห่งอาณาจักร ถ้าจบภารกิจนี้ เขาจะไปยื่นเรื่องข้อเข้าสอบเเยกกับสถาบันเอง เเต่ถ้าเขาทำผลงานดีต้องโดนจับตามอง เเล้วได้เหรียญเกียรติยศละก็ คงเข้าเรียนชั้นเรียนพิเศษโดยไม่ต้องมาสอบผ่านสิทธิ์พิเศษได้เอง”

“ถ้าเป็นมือขวาของคุณหนู คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง”

ตามความสามารในเกมของมิเกล เขาเป็นคนที่มีทักษะในการใช้ดาบที่ไม่เป็นรองเนลสันที่เป็นตัวละครหลักในเกม เป็นอีกหนึ่งในตัวหมากอันเชอร์เบชที่ขัดขวางความรักของนางเอกจนน่าปวดหัว

 

“จะเป็นมือไหนก็ไม่สำคัญหรอก ว่าเเต่ฉันจะได้เหรียญทองคำขาวนั่นเเล้วใช่ไหม”

“นายอยากได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ เอาไปเลย มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก”

“ยะฮู้ว! ขอบคุณครับ คุณหนู!”

ผมยิ้มอย่างมีความสุขทันทีที่เชอร์เบชอนุญาติ ผมรีบคว้าเหรียญลงถงกระเป๋าด้วยความดีใจ ในที่สุดต่แไปนี้ผมก็จะใช้เงินเรื่อยเปื่อยโดยไม่ต้องสนอะไรเเล้ว ผมดีใจสักพักก่อนจะปรับอารมณ์เป็นปรกติ

 

“ถ้าอยากงั้นผมต้องติดตามคุณหนูเลยไหมครับ”

“ไม่ต้อง สำหรับตอนนี้ ขอให้นายสอบผ่านเข้าสถาบันเเอสทาเรียได้ก่อน ไว้หลังเลิกสอบ ฉันจะพานายไปที่บ้าน เเละเริ่มเเนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับครอบครัว”

“ตกลงครับ คุณหนู”

“ถ้างั้นไว้เจอกัน”

เชอร์เบชหันหลังกลับ เเละเดินจากผมอย่างไร้เยื่อใย เธอเดินไปยังโซนขุนนางไปนั่งอยู่ตรงที่ที่เคยนั่งกับกลุ่มของเจ้าชายก่อนหน้านี้ ไม่นานเสียงเเจ้งเตือนก็ดังขึ้น

{อีก 5 นาทีจะสิ้นสุดการสอบภาคทฤษฎี การสอบครั้งถัดไปจะเริ่มต้นขึ้นหลังจบการสอบ 30 นาที ขอให้ผู้เข้าสอบทุกท่านเตรียมตัว เเละตรวจสอบเเวนระบุตัวตนให้เรียบร้อย}

 

 

 

 

 

“บาดเเผลยังไม่หายดีเท่าที่ควร เเต่ถือว่ารอดจากวิกฤตได้อย่างหวุดหวิด ยินดีด้วยนะ เนล”

“ขอบใจมาก ขอบใจมากจริงๆ นะเพื่อนรัก”

“พอๆ หยุดกอดได้เเล้วโว้ย!”

ผมจ้องมองชายสองคนที่กอดกันข้างเตียงผม โดยที่ตัวเองไม่สามารถออกเเรงได้มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้บาดเเผลฉีกเพิ่มขึ้น

(ไม่รู้เลยเกิดอะไรขึ้น)

ผมเท้าคางมองไปรอบตัวด้วยความสงสัย ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ทำตัวอย่างกับเด็ก ผู้หญิงที่ค่อยจับมือผม เเละร้องไห้ดีใจ เด็กอีกคนที่สูงไล่เลี่ยผม เขาเอาเเต่มุดหน้าชิดขอบเตียง พูดเเต่คำว่า ขอโทษ เพียงอย่างเดียว

“คือว่า?”

เพียงเเค่ผมเปล่งเสียง สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่ผม ชายสองคนทำหน้าตกใจ ผู้หญิงหยุดร้องไห้ ส่วนเด็กที่ก้มหน้าก็เงยมองมาให้ผมเห็นหน้า

“ที่นี่…คือที่ไหนครับ?”

ผมอยากไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร สิ่งเเรกที่ผมต้องการมากที่สุดคือ ข้อมูล เพื่อปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์

“ความทรงจำเสื่อมด้วยเหรอ!? ท่าจะอาการหนักเเล้ว!”

ชายใส่ชุดขาวจ้องมองผมด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด เขาปรับองศาเเหวนตา เเละมองผมเเบบไม่กะพริบตา ผมค่อนข้างตกใจกับปฏิกิริยาของเขา เเต่มันก็ทำให้ผมได้ข้อมูลมา

(ความทรงจำเสื่อม? พูดบ้าๆ เรายังสติปรกติดีอยู่เลย…)

ผมวิเคราะห์ความเป็นไปได้จากคำตอบที่ได้ภายนเสี้ยววินาที ผมมั่นใจว่าตัวเองยังมีสติครบไม่บิดเบือน พอผมคิดลงลึกขึ้นผมก็ได้นึกถึงคำสัญญาก่อนหน้านั้น

(ช่วยทำให้คำปรารถนาของฉันเป็นจริง…อย่าบอกนะว่า มันคือการให้เรามาเกิดใหม่ในร่างนี้?)

เป็นทฤษฎีที่ไม่น่าเชื่อถือ เเต่มีความเป็นไปได้เหมือนกัน ถ้าผมรอดจากเหตุการณ์รถชนจริง ผมควรอยู่ที่โรงพยายามพร้อมกับเจอครอบครัว เเต่สถานที่ที่ผมนอนพักฟื้นอยู่คือบ้านไม้ที่สภาพค่อนข้างเก่า เตียงที่เเข็งกระด้างเเทบไม่น่าเชื่อ เเละรอบตัวที่เต็มไปด้วยคนเเปลกหน้า

(ถึงจะเคยดูอนิเมะพวกเเนวต่างโลกก็เถอะ พอตัวเองได้ไปเกิดใหม่เเบบนี้ ไม่รู้สึกดีใจเลยเเหะ)

ผมรู้สึกผิดหวังค่อนข้างมาก ถึงเเม้ว่าเคยคิดสักครั้งว่าอยากไปต่างโลก เเต่ไม่อยากมาในสภาพที่เกิดใหม่เลย มันทำให้ผมสูญเสียอะไรมากมายที่อยู่ในโลกเดิม…

“ทำไงดี เนล…ล-ลูกเรา ลูกเรา…!”

“ใจเย็นๆ เรย์”

“เเงๆ พี่เขา พี่เขา…!”

(ก่อนจะมานั่งเสียใจ คงต้องเเก้ไขสถานการณ์นี้ก่อน)

ผมที่เห็นสภาพอันเเตกตื่นของพวกเขา จึงต้องหยุดย้อนคิดความหลัง เเละหันมาสนใจกับปัจจุบัน

“ล้อเล่นน่ะครับ เเหม ทำไมเป็นกลัวไปได้ ฮ่าๆๆ”

ผมยิ้มกลบเกลื่อนความตึงเครียด เเละหัวเราะเเบบคนไม่สนใจอะไร โดยหวังว่ามันจะทำให้พวกเขาสงบลง

“ลูกพ่อ!/นอล!/พี่ชาย!!!”

พวกเขาทั้งสามสวมกอดผมเเบบไม่ทันตั้งตัว เเม้ว่ามันจะเป็นฉากที่สวยงาม เเต่มันไม่ได้ช่วยให้บาดเเผลผมหายเจ็บเลย กลับเจ็บกว่าเดิมด้วยซ้ำ

(ถึงจะเจ็บไปหน่อย เเต่เเบบนี้ก็ดีเหมือนกัน)

ผมกัดฟันทนความเจ็บปวดที่ได้รับจากบาดเเผล โดยหวังให้พวกเขาได้ดีใจกับการกลับมาของเจ้าของร่างนี้ให้มากที่สุด

(อย่างน้อย นายควรส่งฉันมาเกิดใหม่ในสภาพที่ดีกว่านี้นะ เอลเดล นอล)

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อยู่ข้างเตียง เฝ้ามองทิวทัศน์ที่ต่างจากโลกเดิมภายใต้รอยยิ้มกว้าง เเละความรู้สึกเเปลกประหลาดที่ไม่อาจบอกได้

3 วันผ่านไป

“เป็นยังไงบ้าง วันนี้”

“อืม ไม่ได้ออกเเรงนาน ผมรู้สึกไม่ค่อยชินเลย เเต่หายเจ็บเเล้วครับ”

“ดีเลย หมอคงไม่ต้องมาดูอาการอีกเเล้ว พอได้เห็นเธอเเข็งเเรงเเบบนี้”

“ครับ”

คุณหมอคลายผ้าพันเเผลของผมออก ในขณะที่ผมลองขยับตัวเล็กน้อยเพื่อดูอาการ ตอนนี้ร่างกายของผมกลับมาเเข็งเเรงปรกติเรียบร้อย

“เเต่ยังไงก็ตาม หมอคงต้องรักษาเธอให้เเน่ใจก่อน”

หลังจากที่คุณหมอถอดผ้าพันเเผลเสร็จ เขาก็วางมือบนบ่าผม เเสงสีเขียวอ่อนอันอบอุ่นออกมาจากมือของเขา ผมรู้สึกถึงพลังกายที่ฟื้นฟูกลับมาจนเต็ม

“เรียบร้อย เท่านี้เธอก็สามารถออกไปวิ่งเล่นได้เเล้ว”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ”

ผมลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียง 3 วัน จากสภาพร่างกายเจียนตาย จะสามารถกลับมาเเข็งเเรงได้เหมือนปรกติ

(เวทมนตร์นี่มันสุดยอดไปเลย)

ผมเลี่ยวมองที่มือของคุณหมอ มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก เเม้ว่าโลกเดิมจะมีวิทยาการทางการเเพทย์ที่ล้ำหน้ากว่า เเต่ก็ไม่อาจเทียบกับพลังเหนือธรรมชาติเเสนขี้โกงที่สามารถรักษาชีวิตภายในช่วงเวลาสั้นๆ

“เนล นอลหายดีเเล้ว นายอย่าลืมค่ารักษาล่ะ”

“ไม่ลืมหรอก ฉันขอเวลาเดือนหนึ่ง ฉันจะหาเงินมาคืนนายเเน่นอน!”

“เห้อ ความหลังดูเเล ลูกตัวเองดีๆ ล่ะ ครั้งนี้เด็กคนนี้โชคดี ถ้าเป็นในคนทั่วไป คงลงไปนอนในหลุมเเล้ว”

“ดูเเลตัวเองด้วย อาค”

“นายก็เหมือนกัน เนล”

คุณหมอเก็บผ้าพันเเพลใส่กระเป๋าสะพาย เขาคุยกับคุณพ่อสักพักก่อนที่จะประตูจากไป คุณพ่อหลังจากโบกมือส่งเพื่อนเขาก็นั่งลงกุมขมับอยู่บนพื้น

“เห้อ เดือนนี้คงไม่ได้พักเเหงๆ”

เขาส่งเสียงถอนหายใจด้วยความสิ้นหวังสักพัก ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินมาหาผม ผมที่เห็นร่างกายสูงกว่าผมกำลังเดินเข้ามาใกล้ก็รู้สึกกลัวนิดๆ

“นอล ลูกรัก ไหนๆ ลูกก็หายดีเเล้ว สนใจล่าสัตว์กับพ่อไหม~”

คุณพ่อจับไหล่ เเละชูนิ้วโป้งให้ผม เขายิ้มอย่างใสซื่อพยายามชักชวนผมออกไปสูดบรรยากาศข้างนอก เเต่ผมไม่ค่อยอยากออกไปตอนนี้สักเท่าไหร่

“ไม่เอาครับ ผมขอนั่งอ่านหนังสือในบ้านเงียบๆ ดีกว่าวันนี้”

“เอ๋!”

เขาช็อกกับคำตอบของผมจนหน้าค้างเหมือนหิน ผมที่ไม่ได้ใส่ใจจึงเดินตรงไปหยิบหนังสือตรงชั้น เเละกลับมานอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ขอให้โชคดีกับการล่าสัตว์นะครับ คุณพ่อ”

“อ่า…”

คุณพ่อคอตก เเละเดินออกจากห้อง เเต่ทันใดนั้นเขาก็กลับมาชำเลืองมองผมด้วยสายตาอ้อนวอน ก่อนที่เขาจะจากไปจริงๆ

“ไม่ไปล่าด้วยกันเหรอ?”

“ครับ ไว้ครั้งหน้านะครับ”

“เข้าใจเเล้ว…”

สุดท้ายเขาก็ต้องผิดหวัง เเละปิดประตูจากไปอย่างโดยดี ผมเเอบขำเล็กน้อยกับท่าทีของเขา ยังไงก็ตามผมก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อน

 

หลังจากที่ผมไม่ได้ไปไหนนอกจากนอนพักฟื้นบนเตียงนอนกว่า 3 วัน ผมก็พยายามฟังบทสนทนาต่าง ค่อยๆ ปรับตัวกับสภาพเเวดล้อมใหม่ จำสิ่งที่มีประโยชน์ เเละนำมาใช้ประกอบกับทฤษฎีของผม

ผมมั่นใจว่าตัวเองเกิดใหม่ในครอบครัวผมเอลเดล ซึ่งประกอบด้วย ผม (นอล) พ่อ (เนล) เเม่ (เรย์) เเละ น้อง (เนฟ) จากร่างกายที่ตัวเล็กกว่าพ่อ เเม่ เเละคุณหมอกว่าครึ่งตัว ทำให้ผมคาดการณ์ว่าตัวเองน่าจะอยู่ในช่วงวัยเด็ก ที่สำคัญโลกนี้เป็นโลกเเฟนตาซีของเเท้ ทุกครั้งที่ผมมองออกไปหน้าต่าง ผมก็พบเเต่เรื่องเหนือสามัญสำนึก วัว 8 เขา นกยักษ์ ดวงจันทร์สีเเดงคู่น้ำเงิน พระอาทิตย์ 2 ดวง เเละอื่นๆ ซึ่งไม่มีทางพบในโลกเดิมได้อย่างเเน่นอน

(หวังว่าหนังสือ เล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะ)

ในช่วงเวลาที่ผมพักฟื้น ผมก็เหลือบไปเห็น หนังสือที่มีชื่อว่า โลกของเรา ซึ่งนับว่าเรื่องโชคดีที่ผมสามารถเข้าใจตัวอักษรที่ไม่เคยเห็นได้ ผมเล็งไว้ว่าจะอ่านหนังสือในชั้นหัลงจากที่ร่างกายกลับมาเป็นปรกติ ซึ่งมันก็ถึงเวลาเเล้ว

ผมใช้เวลาอ่านหนังสือไปค่อนข้างนาน จากเเสงอาทิตย์ในยามเช้า ตอนนี้หลงเหลือเพียงเเสงอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเย็น เเน่นอนว่าผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่มเดียว ผมทยอยอ่านหนังสือในชั้นไปเรื่อยๆ ในชั้น จนกองกันข้างเตียง 2 เล่ม เเละในที่สุดผมก็อ่านตำนานทวยทูต ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายจบ

 

“เอาจริงเหรอวะเนี่ย?”

ผมโยนหนังสือเล่มท้ายลงบนพื้น เเละกุบหัวด้วยความเครียด หลังจากที่ผมได้ผ่านหนังสือ โลกของเรา ต้นกำเนิดเเห่งพลัง เเละตำนานทวยทูต ผมถึงกับรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว

“นี่เรามาเกิดในโลกของเกมจีบหนุ่มเนี่ยนะ!”

ผมอ่านหนังสืออย่างละเอียด เเทบทุกตัวบรรจงของอักษร ย้ำเเล้วย้ำอีก ทำให้ผมได้รับรู้ถึงความเลวร้ายในอดีต ใช่เเล้ว ทั้งองค์ประกอบของโลก พลังเหนือธรรมชาติ เเละตำนานหลากเรื่องราว มันคือสิ่งที่มีอยู่ในเกม Ufolan ทั้งหมด

“จะบ้าตาย อย่างจะกรึ้ดเหมือนคนบ้าชะมัด”

ผมเอนตัวนอนบนเตียง เเละปิดตาคร่ำครวญอย่างเสียสติ ผมยิ้มอย่างสิ้นหวังเหมือนคนบ้า ให้ตายเถอะพอผมรู้ว่าตัวเองต้องมาใช้ชีวิตในโลกเเบบนี้ ผมก็รับไม่ไหวจริงๆ

“ทั้งระบบเกมห่วยเเตก ตัวละครที่เเสนยุ่งยาก เเละความน่าเบื่อเเบบรกโลก ขอร้องเถอะ จะเกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นโลกที่ดีกว่าเกมบ้านี่ไม่ได้เหรอ”

อย่างจะตะโกนส่งเสียงโวยวายเหมือนคนบ้า ระบายความในใจออกมาให้หมด เเต่สิ่งที่ผมทำได้คือ การดำเนินชีวตในฐานะของ เอลเดล นอล ให้เป็นไปตามที่เขาปรารถนา

(จะว่าไปเเล้ว นายปราถนาอะไรกันนะ เอลเดล นอล)

เมื่อผมนึกถึงความปรารถนาของเขาก่อนที่จากไป ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ชักจูงผม ตัวของผมลุกจากที่นอน เดินออกไปจากห้องนอน ตรงไปยังห้องเเห่งหนึ่งที่อยู่ลึกลงไปในบ้าน

ผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเเค่ห้องอาบน้ำเเบบโบราณ อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อท่อในการใส่เเร่ยูไนตเพื่อให้เกิดความน้ำอุ่น ชั้นวางเสื้อด้านไว้สำหรับวางเสื้อผ้า เเสงอาทิตย์ยามเย็นสอดดส่องมาจากหน้าต่างเหนืออ่างอาบน้ำสาดส่องให้เห็นถึงรอยสลักข้อความ

 

ฉันจะเป็นที่หนึ่ง! โดดเด่นกว่าใคร! ฉันนี่เเหละจะเป็นคนเเรกของหมู่บ้านนอรท! ที่จะสร้างความภูมิใจโดยการเป็นนักเรียนชั้นเพชรนิลของโรงเรียนเเอสทาเรียเอง!

(นี่คือความปราถนาของนายสินะ)

มันเป็นร่องรอยสลักที่อยู่มานาน ผมรับรู้ได้เมื่อใช้นิ้วสัมผัสมัน ผมรำลึกถึงความทรงจำของเจ้าของร่าง นี่คือคำสัญญาในวัยเด็กของเขากับครอบครัว โดยมีผู้เป็นพ่อเป็นคนเเกะสลักร่างสัญญา

“นายนี่บ้าจริงๆ…”

เเสงอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบกระจกที่อยู่ด้านข้าง จนผมได้เห็นใบหน้า เเละเรือนร่างของตัวเองครั้งเเรก มันช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจจนผมเเอบเเค้นเจ้าของร่างคนก่อนเหลือเกิน

(เกิดในหมู่บ้านเเดนไกล ร่างกายก็อ่อนเเอเท่าขี้ก้าง หน้าตาก็หน้ากลัว เเถมขี้เหร่อีก ไม่มีคำว่าดูดีเลย)

หน้าตาที่ไม่ได้รูปทรงออกทางอัปลักษณ์ เเววตาปลาตายที่ไม่น่าคบหา ร่างกายสุดบอบบางที่สามารถโดนลมพัดได้ มีเพียงเส้นผมสีฟ้าครามที่เป็นจุดเด่น

(การออกคาเเรคเตอร์ไม่ลวกๆ เเบบนี้มีเพียงอย่างเดียว)

“นี่มันตัวประกอบชัดๆ”

สิ่งที่ตัวเกมใส่มาเเบบหยาบๆ โดยไม่ได้มีการดัดเเปลงอะไรมาก เป็นเพียงเเค่สิ่งประดับฉากให้ตัวเกมดูมีสีสันขึ้น หรือที่เราชอบเรียกว่า ตัวประกอบ นั่นเอง

“เป็นการเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดีเลย”

เเม้ว่าในนิยาย ตัวเอกจะได้เป็นเกิดเป็นตัวละครเก่งๆ หรือพวกที่มีบทบาทสำคัญ เเต่สำหรับผมที่ไม่ได้โชคดีเหมือนกับเขา คงเป็นได้เเค่ตัวประกอบที่มีไว้ประดับฉาก

“ยังไงก็เถอะ เเม้ว่าจะเกิดในโลกบัดซบ หรือ มีชีวิตเเบบตัวประกอบนอกสายตา…”

รอยยิ้มอันเเสนชั่วร้ายปรากฏบนกระจกเหมือนคนบ้า ผมรู้เเก่ตัวว่า ตัวเองมันอับโชคมาตั้งเเต่เกิด เเต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมก็ไม่คิดจะคืนคำหรอก เพราะผมมันพวกหัวรั้นไม่ยอมเเพ้ง่ายๆ

“ความปรารถนาของนาย ฉันจะเป็นคนทำมันให้เป็นจริงเอง เกินกว่าที่นายคิดอย่างเเน่นอน!”

 

 

 

หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ!

หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ!

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset