หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 71 : ท้าทายพวกสํานักเสี่ย เพื่อดับสิ้นความโกรธาในใจเขา

ตอนที่ 71 : ท้าทายพวกสํานักเสี่ย เพื่อดับสิ้นความโกรธาในใจเขา

นิยาย หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ THave Countless L… ตอนที่ 71 : ท้าทายพวกสํานักเสียเพื่อดับสินความโกรธาในใจเ…

ตอนที่ 71 : ท้าทายพวกสํานักเสี่ย เพื่อดับสิ้นความโกรธาในใจเขา

หลังจากที่ได้เรียนรู้วิชาดาบหยาดพิรุณกังวานแล้ว โจวฉวนจีเลยใช้โอกาสนี้เรียนวิชาดาบระดับปฐพี่ขั้นต่าต่อพายุหะฟาดฟัน!

เขาไม่ว่าอะไรถ้าจางเถียนเขียนและเหล่าลูกชายของเขาจะคอยเฝ้ามองเขาอยู่ข้าง ๆ เพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางเรียนรู้วิชาดาบระดับนี้ได้จากการดูแค่อย่างเดียวอยู่แล้ว

ยังไงซะก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก่งกาจเหมือนเขา

พอเห็นว่าโจวฉวนจีเริ่มฝึกต่อ ทุกคนจึงหันกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง

นี่เขาคิดจะบรรลุจิตดาบอีกรอบงั้นหรอ?

จางเถียนเจียนรู้สึกสับสนไปหมดจริง ๆ เขาก็อยากจะเป็นทาสกระบี่ของโจวฉวนจีแต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะขอยังไงดี

วิชาพายุหะฟาดฟันนั้นมีเพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น แต่เทคนิคในการร่าย พลังงานนั้นช่างร้ายกาจ

ในตอนที่เขาฝึกครบ 6 รอบ โจวเฉิงซินก็มาพอดี

จางเถียนเจียนชี้บอกให้เขาเงียบเอาไว้และคอยดู

โจวเฉิงซินตกตะลึงนี่เทพกระบี่โจวกาลังฝึกวิชาดาบอยู่งั้นหรอ?

หลังจากที่เขาเห็นยอดกระจาวฉง จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และคนอื่น ๆ เขาก็เรียกให้เหล่าอารักขามาข้าง ๆ และให้มาคอยเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ด้วย

ในตอนแรกที่เขาได้ยินมาว่าเทพกระบี่โจวชักชวนให้ยอดกระบี่จาวฉงมาเป็นลูกศิษย์ของเขา มันก็ทําให้เขารู้สึกตกใจมากพออยู่แล้ว

แต่ความความสงสัยของเขาที่มีต่อเทพกระบี่โจวในตอนนี้มันมากซะยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นอีก

โจวฉวนจีสังเกตเห็นว่าโจวเฉิงซินมา แต่ก็ไม่ได้หยุดอะไร
เพราะมันเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ประโยชน์จากโจวเฉิงซินยังไงล่ะ!

หลังจากที่ฝึกเสร็จที่ละรอบ ๆ ความเร็วของเขาก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ

จนเมื่อครบ 50 รอบ เขาก็ได้บรรลุวิชาดาบพายุหะฟาดฟันไปได้ประมาณนึงแล้ว!

จิตใจของทุกคนต่างสั่นไหว

หลังจากที่ครบ 100 ครั้ง เขาก็บรรลุวิชาดาบพายุหะฟาดฟันได้สําเร็จ

โจวเฉิงซินและเหล่าอารักขาต่างก็อ้าปากตาค้าง ราวกับคนเห็นผี

ส่วนยอดกระบี่จาวฉงยังคงพยายามทําเป็นนิ่งไว้อยู่

ขณะที่เขาเฝ้ามองโจวฉวนจี ทิฐิภายในใจของเขาก็ค่อย ๆ มลายหายไป

ข้อได้เปรียบที่เขามีมากที่สุดนะคือพรสวรรค์!

แต่พอมาเทียบกับโจวฉวนจีแล้ว เขากลับดูธรรมดาไปเลย
อีกด้านหนึ่งเจียงฉือน้อยก็กําลังยิ้มอย่างมีความสุด เธอน่ะชอบช่วงเวลาที่ได้เฝ้ามองดูโจวฉวนจีฝึกดาบมากที่สุดแล้ว

ส่วนบนโต๊ะหินนั้น เจ้างูสีด่านอนอยู่บนหลังเจ้าหนูทรายสามตา และบ่นพึมพําเบา ๆ ออกมาพลางแลบลิ้นแฉกของมัน “น่ากลัว… จะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ… ใครมันจะไปกล้าสู้กับไอปีศาจแบบนี้เนี่ย?”

ยามพลบค่ามาถึง

หลังจากฝึกครบ 500 รอบ ก็บรรลุจิตดาบพายุหะฟาดฟันได้สําเร็จ!

รอบตัวโจวฉวนล้อมรอบไปด้วยพายุ ก่อนที่เขาจะฟันมันขึ้นไปยังบนท้องฟ้า

สายลมพัดโหมกระหน่ําระเบิดคารามขึ้นไปยังบนท้องนภาพร้อมกันกับปราณกระบี่จนทําให้ต้นไม้รอบข้างต่างสั่นไหว แม้แต่กระเบื้องหลังคาของอาคารใกล้ ๆ ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ทุก ๆ คนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันที

โจวฉวนเก็บดาบกลับไปและมองไปยังยอดกระจาวฉง ก่อนจะพูดว่า “นี่คือวิชาดาบพายุหะฟาดฟัน เป็นอีกหนึ่งวิชาระดับปฐพีขั้นต่ํา และเป็นหนึ่งในวิชาดาบที่ทรงพลังที่สุดในหอสมุดกระบี่ เจ้าอยากจะเรียนรู้มันมั้ยล่ะ?”

ยอดกระบี่จาวฉงยอดจํานนต่อเขาหมดหัวใจ

เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงโดยมีโจวเฉิงซินเป็นประจักษ์พยานเต็มตา “นายท่าน ข้าอยากจะเรียนมันครับ!” เขากําหมัดเคารพพลางพูด

ในตอนนี้นั่นเองที่เขาได้ตระหนักแล้วว่าช่างโชคดีแค่ไหนที่จะได้ติดตามโจวจวนจีไป

พรสวรรค์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพวกที่จดจําได้ภายในพริบตาเดียวซะอีก เขาสามารถที่จะเรียนรู้สุดยอดวิชาต่าง ๆ ในโลกได้ผ่านเจ้านายของเขาไงล่ะ

โจวฉวนจีพยักหน้าและพูด “ข้าจะสอนเจ้าให้เองในอนาคต เก็บข้าวเก็บของของเจ้าซะและเตรียมตัวออกเดินทางได้!”

เจียงจือน้อยจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และฮวงเหลี่ยนชิ้นรีบไปเก็บของกันทัน

จางเถียนเจียนเดินตรงไปหาอย่างรวดเร็วแล้วถามขึ้นว่า “นี่ท่านก่าลังจะไปที่ใดกัน? ท่านจะไม่อยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกสักหน่อยหรือ?”

โจวฉวนจีพูด “เทียบกับเมืองหรูหราไฮโซเช่นนี้แล้ว ข้าชอบอยู่ตามเขาตามแม่น้ํามากกว่านะ แต่ก็ขอบคุณเจ้ามากสําหรับการต้อนรับที่ดีนะ ยังไงก็ให้ข้าได้มอบวิชาดาบระดับทมิฬขั้นต่าให้เจ้าด้วยเถอะ หวังว่ามันจะไม่น้อยเกินไปนะ?”

เขาหยิบต่าราที่มีปกสีน้ําเงินออกมาแล้วโยนให้จางเถียนเจียน

เขาได้มันมาหลังจากที่โค้นศัตรูลงได้

จางเถียนเจียนรับตําราวิชาดาบนั้นเอาไว้ และคุกเข่าลงทันทีพร้อมกําหมัดค่านับ ให้ “ท่านขาปรารถนาจะเป็นทาสกระบี่ของท่านยิ่งนัก โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยได้หรือไม่?” เขาถาม
เมื่อเห็นแบบนั้นจางหรูถานและจางหรูหูต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ในที่สุดท่านพ่อก็ยอมพูดออกมาตรง ๆ จนได้!

โจวฉวนจีเหลือมองไปยังเขาและพูดว่า “การจะมาเป็นทาสกระปของข้านั้น หมายความว่า เจ้าต้องยอมละทิ้งซึ่งทุกสิ่งอย่างไว้ ณ ตรงนี้ พวกข้าน่ะสูญเสียกันมามากมายและจบลงด้วยการเดินทางไปรอบโลกเพื่อใฝ่หาการล้างแค้นของพวกข้าเองการเข้าร่วมกับพวกข้านั้นเจ้าจะได้เรียนรู้วิชาดาบ แต่เจ้าก็อาจจะตายได้เช่นกัน”

จางเถียนเจียนรู้สึกตกใจและไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี

โจวเฉิงซินเดินเข้าไปและถามว่า “ท่านครับ นี่ท่านกําลังจะไปที่ไหนกัน?”

ฟังจากน้ําเสียงของโจวเฉิงซินแล้ว เขาฟังออกเลยว่าสถานะของโจวจวนจีภายในใจโจวเฉิงซินนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

เขาพูดออกมาอย่างหนักแน่นว่า “ไว้เจอกันที่งานการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว!”

ตอนแรกเขาก็วางแผนที่จะไปเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวโดยให้โจวเฉิงซินเป็นคนเสนอชื่อให้

แต่การต่อสู้ระหว่างองค์ชายนั้นก็ดูจะดุเดือดเกินไป เขาเลยไม่อยากจะถูกดึงเข้าไปมีเอี่ยวด้วย

เพราะงั้นข้าจะไปหาเหมิงเทียนหลางแทน!

“การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวหรอ?”

โจวเฉิงซินรู้สึกตกใจ เป็นไปได้มั้ยว่าโจวฉวนจอยากจะเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์น่ะ?

ในไม่ช้า เจียงฉือน้อยและอีก 3 คนที่เหลือก็ค่อย ๆ เดินออกมาทีละคน

เจ้าหนูทราบสามตาลากเจ้างสีดาตัวจ้อยมาด้วยก่อนจะกระโดขึ้นไหล่โจวฉวนจี หลังจากนั้น โจวฉวนจีก็พาทุกคนออกไปยังทางออกของลานกว้าง

โจวเฉิงซินเดินตามไปด้วยและเตรียมที่จะพาเขาออกไป

จางเถียนเขียนก็ตามไปด้วยเช่นกันพร้อมกับเหล่าลูกชาย

สีหน้าของเขาดูสับสนมากทีเดียว เขาลังเลใจอยู่ว่าจะไปกับโจวฉวนจีดีรึเปล่า

แต่จริง ๆ แล้วโจวฉวนจไม่ได้อยากจะเอาเขาไปด้วย

เขาน่ะมีแผนเตรียมไว้อยู่แล้ว

ทาสกระปในอนาคตทั้งหมดที่เขาจะรับมาอยู่ด้วยนั้น อย่างน้อยก็ต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ําในด้านพรสวรรค์ซะก่อน

คนที่ดีที่สุดนั้นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งมากพอจะล้มทั้งกองทัพด้วยตัวเองได้ เพื่อที่ว่าต่อให้เขาจะไปที่ไหนก็ตาม เขาจะได้ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังยังไงล่ะ

หลังจากที่เขาแก้แค้นได้แล้ว เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปผจญภัยในเขตรกร้างแดนเหนือ

โลกใบนี้มันทั้งงดงามและมีสิ่งต่าง ๆ ตั้งมากมาย ทําไมข้าจะไม่ก้าวออกไปดูล่ะ?

หลังจากที่เดินออกมาจากคฤหาสต์ตระกูลจางแล้ว จางเถียนเขียนก็ยังคงตัดสินใจไม่ได้สักที

บางทีนี่คงเป็นสาเหตุที่ว่าทําไมจักรพรรดิกระบี่ถึงไม่รับเขาเป็นศิษย์

เขาไม่อาจจะละทิ้งความร่ํารวยและความมั่งคั่งของตนเองไปได้ เพราะงั้นแล้วจิตใจของเขาจึงไม่ใช่จิตใจที่ใฝ่หาในกระบอย่างแท้จริง

ทุกคนต่างถอนหายใจขณะที่มองส่งโจวฉวนจี เจียงฉือน้อย ยอดกระบี่จาวฉง จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และฮวงเหลี่ยนชินจากไป

โจวเฉิงซินพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะเป็นคนที่ทําให้มหาจักรวรรดิโจวต้องพลิกกลับตาลปัตรแน่”

เหล่าอารักขาต่างก็พยักหน้าตาม

แต่มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จักรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

พวกเขาต่างก็ไม่เคยคิดกันมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่สามารถบรรลุจิตดาบได้ง่ายหยั่งกับปลอกกล้วยแบบนี้

ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้แล้ว บางทีแม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวและ โจวหยาหลงก็คงไม่อาจจะสู้เขาหรือบางที่อาจจะเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ํา

จางเถียนเจียนรู้สึกเศร้านิดหน่อย และแอบรู้สึกเสียใจค้างอยู่ภายในใจ

“นายท่าน ท่านกําลังจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวร?”

ยอดกระจาวฉงทนไม่ไหวก่อนจะถามออกมา เขาไม่ชอบความคิดอย่างการกลายเป็นข้าราชการ เพราะงั้นเขาเลยหวังว่าโจวฉวนจจะไม่ไปเป็นทหารหรือข้าราชการ

โจวฉวนจีพยักหน้าและพูดขึ้นว่า “หลังจากจบการคัดเลือกแห่งสวรรค์แล้ว ข้าอยากจะฆ่าใครบางคนน่ะ และหลังจากที่ข้าทําได้สําเร็จแล้ว พวกเราถึงจะออกจาก มหาจักรวรรดิโจวกัน”

ยอดกระบี่จาวฉงยักไหล่ตอบ ใครกันนะ ที่เขาอยากจะฆ่าหลังจากเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวแล้วน่ะ?

เทียบกับการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวแล้ว งานประชุมกระบี่นั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิด เพราะองค์จักรพรรดิเป็นผู้จัดเองเลยยังไงล่ะ

เขาเหลือบมองไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและคนอื่น ๆ ก่อนจะรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจอะไรกันออกมาเลย

ดังนั้นเขาเลยเก็บความสงสัยของเขาเอาไว้ และตามโจวฉวนจไปยังประตูเมืองจ้าวกระบี่

หลังจากนั้นชั่วโมงนึ่ง ทั้งกลุ่มก็เดินทางออกจากเมืองจ้าวกระบี่มาและมาถึงยังถิ่นทุรกันดาร

โจวฉวนจีปล่อยอาใหญ่และน้องสองออกมา วิหคมังกรทั้งสองกางปีกออกมาพร้อมกับส่งเสียงคารามยาวออกมาจนดึงดูดความสนใจเหล่าทหารมากมายเข้า

ดวงตาของยอดกระบี่จาวฉงเปล่งประกายขึ้นมา ช่างเป็นสัตว์ที่เท่อะไรขนาดนี้เนี่ย!

โจวฉวนจีหยุดเดินกระทันหัน “ไม่สิ!” เขากัดฟันแน่นและพูดว่า “ข้าจะปล่อยพวกมันไว้แบบนี้ไม่ได้”

ทั้งกลุ่มต่างตกใจ

โจวฉวนจมองไปยังยอดกระบี่จาวฉงและถามว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าล้มเสี่ยหรูโหยวไหวมั้ย?”

“ไม่ไหวครับ” ยอดกระบี่จาวฉงพูดพิมพ์ออกมา “แต่เขาก็ไม่อาจหยุดข้าได้เช่นกัน”

“งั้นไปซะ ช่วยข้าเผาหอสมุดกระบี่นั่น!”

โจวฉวนจถอนหายใจอย่างไม่พอใจออกมา “แค่ไปจุดไฟเผาก็พอ ไม่ต้องเผามันทุกอย่างหรอก เอาแค่บางส่วนพอ ใครมันใช่ให้มาหลอกข้ากันล่ะ!”

“นี่เจ้าคิดจะไปมีเรื่องกับเขางั้นหรอ?” เจียงฉือน้อยถามขณะที่จ้องไปทางเขา

โจวฉวนจตะหวัดสายตาจ้องกลับไป “เขามาหาเรื่องข้าก่อนตั้งหากละ!” เขาตอบกลับ

“งั้นได้เลย!”

ยอดกระบี่จาวฉงหันกลับไปทันทีและพุ่งตรงไปยังเมืองจ้าวกระบี่

ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา การท้าทายสานักเสี่ยนเป็นบททดสอบที่โหดหินสําหรับเขาโคตร ๆ เลยล่ะ

ตอนที่ 70 : วิชาดาบหยาดพิรุณกังวาน

ในหอสมุดนั้น ตู้หนังสือแต่ละตู้ล้วนสูงกว่าหลายสิบเมตร และมีอย่างน้อย 50 ตู้ที่สูงถึง 15 เมตร มีทั้งหนังสือโบราณอยู่จํานวนนับไม่ถ้วนรวมถึงแผ่นหยกจารึก พวกมันดูราวกับอัญมณีแวววาวที่ไม่ว่าใครก็ต้องตาเป็นประกาย

มันยากที่จะประเมินเลยล่ะว่ามีวิชามากมายแค่ไหนที่เก็บไว้อยู่ที่นี่

ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมงานประชุมกระบี่ถึงมีคนสนใจมากขนาดนั้นน่ะ

“ช่างน่าขันยิ่งนัก ท่านอยากจะเรียนรู้วิชาทั้งหมดที่นี่อย่างงั้นรึ?”

เสียงของชายแก่ดังขึ้นมาจากด้านข้าง โจวฉวนจีเหลือบมองไป ก่อนจะเห็นชายแก่ที่มีเรือนผมสีขาวยืนอยู่ด้านหลังเสาหินและกาลังกวาดพื้นอยู่

โจวฉวนจีหัวเราะออกมาอย่างดูถูก มดมันจะไปรู้ความสามารถของอินทรีย์ได้ยังไงกันล่ะ?

เขาก้าวออกไปข้างหน้า รีบหยิบวิชากระบี่ขึ้นมาและเริ่มเปิดอ่านทันที

“จิตวิญญาณแห่งดาบ จ่าทุกอย่างให้ข้าที่”

“รับทราบครับ ท่านเจ้าของดาบ”

ด้วยความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณแห่งดาบ โจวฉวนเลยอ่านหนังสือที่ละเล่ม ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ชายแก่ผมขาวเริ่มหัวเราะเยาะเย้ย

ดท่าแล้วท่านเทพกระบี่โจวในต่านานนั่นจะไม่ได้พิเศษพิโสไปกว่าคนอื่นเลยสักนิด

โจวฉวนจียังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทําอยู่ต่อ และไม่สนใจฟังค่าเยาะเย้ยของชายแก่

ด้วยพรสวรรค์ในวิถีกระบี่อันสุดแสนจะพิเศษของเขา รวมถึงความช่วยเหลือของจิตวิญญาณแห่งดาบ เขาเลยสามารถเรียนรู้วิชากระบี่ได้เกือบจบทั้งเล่มภายในนาทีเดียวเลยทีเดียว

เขาจดจําได้ทุกการเคลื่อนไหวทุกกระบวนท่า

และเขาก็ตระหนักได้ว่าวิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นวิชาดาบระดับอ่าไพและวิชาปราณ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาขยะทั้งหมดสําหรับเขา

มากสุดเขาเจอแต่วิชาดาบระดับทมิฬขั้นต่าเท่านั้นหลังจากที่ค้นหมดแล้ว

สีหน้าของเขาก็เริ่มตั้งขึ้นมาทันที

แม่งเอ้ย ไอสานักเสี่ย!

ถ้าเจ้าคิดจะหลอกข้าจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าได้โดนดีแน่!

โจวฉวนจีพยายามอดกลั้นความโกรธเอาไว้และเปิดอ่านต่อไป

ที่ด้านนอกหอสมุดกระบี่นั้น เสี่ยหวโหยวก็ยืนอยู่นานสองนานและไม่ยอมไปเสียที

เขาหันกลับมาและถามเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “นี่ข้าท่าเกินไปรึเปล่านะ?”

ผู้อาวุโสตอบกลับว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ทิ้งวิชาดาบระดับปฐพี่ขั้นต่าเอาไว้ให้เขาตั้ง 2 เล่มล่ะนะ”

เสี่ยหรูโหยวพยักหน้าและพูดว่า “ถึงจะดูใจแคบไปหน่อยก็เถอะ แต่หอสมุดกระบี่ก็สมคําล่าลือ ข้าเองก็คิดว่าเทพกระบี่โจวเองก็คงไม่ได้ว่าอะไรหรอก”

ถึงเขาจะทําผิดต่อเทพกระบี่โจว แต่เขาก็ไม่กลัวอยู่ดี

เพราะสุดยอดอาจารย์ของเขาน่ะคือจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวยังไงล่ะ!

ยิ่งกว่านั้น วิชาดาบระดับปฐพีขั้นต่ําทั้ง 2 ตํารานั่นก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติระดับสูงสุดของสํานักเสี่ยแล้ว

นอกจากนั้นแล้ว วิชาดาบระดับทมิฬและระดับอําไพ รวมถึงวิชาปราณก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย เพราะงั้นแล้วก็ไม่ถือว่าเทพกระบี่โจวเสียผลประโยชน์หรอกนะ

เข้าส่ายหัวก่อนจะเดินจากไป เพราะเขาไม่อยากจะรอนานกว่านี้อีกแล้ว

และแล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว

3 วันต่อมา เสี่ยหรูโหยวและเหล่าผู้อาวุโสจากสํานักเสี่ยก็มารออยู่ที่ทางออกของหอสมุดกระบี่ เมื่อประตูเปิดออกมา พวกเขาก็สวมรอบยิ้มเอาไว้บนใบหน้าทันที และพยายามทําให้ดูจริงใจมากที่สุด

โจวฉวนจเดินออกมาโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทางสีหน้าทั้งสิ้น

โจวเฉิงซินเดินขึ้นมาจากทางเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหอสมุด เขากํามือโค้งคํานับพลางยิ้มให้ และพูดขึ้น “ยินดีด้วยครับท่านโจว ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าท่านเรียนรู้วิชาไปได้มากเท่าใดกัน?”

“ทั้งหมด” โจวฉวนจีตอบ

เปลือกตาของเสี่ยหรูโหยวและคนอื่น ๆ ต่างกระตุกกันเป็นแถบ ๆ แต่พวกเขาก็ยังคงเก็บอาการเอาไว้และสวมรอยยิ้มสุภาพอยู่บนใบหน้า

โจวฉวนจีเดินไปหาเสี่ยหวโหยวและพูดว่า “เจ้านี่ช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริง ๆ”

หลังจากนั้น เขาก็เดินผ่านเสี่ยหูโหยวไป

ระหว่างที่เขาเข้าไปอยู่ในหอสมุดกระบี่ เขาก็ได้เรียนรู้วิชาดาบระดับปฐพีขั้นต่ํา 2 เล่ม ระดับทมิฬขั้นสูง 2 เล่ม และระดับทมิฬขั้นสูงสุด 3 เล่ม ส่วนวิชาดาบระดับต้นกับขั้นอื่น เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไหร่ แต่ก็ให้จิตวิญญาณแห่งดาบจ่าและ เก็บข้อมูลเอาไว้ให้แล้ว

สําหรับหอสมุดกระบี่ที่ทั้งมีเกียรติและดังไปทั่วทั้งมหาจักรวรรดิโจวแล้ว มันแทบจะไม่น่าพอใจเลยสักนิดเดียว

เสี่ยหวโหยวไม่รู้เลยว่าเขาพูดถึงอะไร แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ทั้งอย่างนั้น

หลังจากนั้น โจวฉวนจีก็บินหนีไปด้วยดาบของเขาออกจากสํานักเสี่ยทันที

ระหว่างที่มองไปยังทางที่เขาจากไปนั้น เสี่ยหวูโหยวก็ถอนหายใจออกมา
ไอเด็กเวรนี่มันโลภมากซะจริง!

วิชาดาบระดับปฐพี่ตั้ง 2 เล่มนี่ยังไม่มากพออีกรึไง?

อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะในงานประชุมกระบี่รอบก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้วิชาดาบถึงระดับปฐพีขั้นกลาง เพราะงั้นหลังจากนั้นพวกเขาเลยได้รับการยกย่องอย่างยกใหญ่ เพราะเรื่องนั้น แต่พอมาตอนนี้ หอสมุดกระบี่ดูใจแคบมากกว่ารอบที่แล้ว

โจวเฉิงซินเดินเข้ามาหาและถามว่า “ทําไมข้าถึงรู้สึกเหมือนว่าท่านโจวดูจะไม่มี ความสุขเอาซะเลยล่ะ?”

เสียหวูโหยวยิ้มให้และพูดตอบ “บางทีเขาอาจจะคาดหวังสูงเกินไปหน่อยน่ะนะ ยังไงซะก็คงเป็นเพราะเขาเคยบรรลุวิชาดาบระดับสูงมาบ้างแล้วล่ะมั้ง”

วิชาจิตดาบคู่และวิชาสิบกระบี่นั้น แม้แต่จักพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ยังไม่รู้จักวิชาพวกนั้นเลย!

โจวเฉิงซินพยักหน้ารับ และกล่าวบอกลากับเสี่ยหวโหยวก่อนจะไล่ตามโจวฉวนจี

กลับมาที่คฤหาสต์ตระกูลจาง โจวฉวนจีก็เรียกรวมตัวทุกคนมาและบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจทุบโต๊ะอย่างแรงและพูดด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “นี่มันรังแกกันชัด ๆ! หรือนี้มันเป็นเพราะนายท่านปฏิเสธข้อเสนอของจักรพรรดิกระบี่กันน่ะครับ?”

เจียงจือน้อยและฮวงเหลี่ยนชิ้นก็ดูจะโกรธด้วยเหมือนกัน

ยอดกระบี่จาวฉงถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจและพูดว่า “หอสมุดสํานักเสียไม่ ได้ดีเด่อะไรเลยนี่หว่า ยังดีนะที่ข้าไม่ได้ตอบรับเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่ไปน่ะ”

หลังจากที่แบบนั้นไป เพียงฉือน้อยและอีกสองคนต่างก็มองไปทางเขาด้วยความประหลาดใจ

*จักรพรรดิกระบี่ก็พยายามชวนให้ยอดกระบี่จาวฉงมาเป็นศิษย์ด้วยเหมือนกันงั้นหรอ?*

แล้วเขาก็เลือกเอาเทพกระบโจวมาเป็นอาจารย์ของตัวเอง แต่กลับปฏิเสธจักรพรรดิกระบี่เนี่ยนะ?

ถึงแม้พรสวรรค์ในวิถีกระบี่ของโจวฉวนจีนั้นจะร้ายกาจเอามาก ๆ และเขาก็ยังรู้วิชาที่แม้แต่ตัวจักรพรรดิกระบี่เองก็ยังไม่รู้ ถึงอย่างนั้นระดับพลังของเขาก็ยังห่างไกลจากจักพรรดิกระบี่มากโขอยู่ดี

เมื่อรู้สึกได้ถึงความสงสัยที่คนอื่น ๆ มี ยอดกระบี่จาวฉงเลยพูดตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าไม่ได้ชอบจักรพรรดิกระบี่หรอกนะ เขาน่ะเป็นพวกแสวงหาแต่พลัง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งทางการเมืองกับมหาจักรวรรดิโจว แล้วคอยยังพยายามดึงคนให้ไปอยู่ข้างตัวเองอีก คนแบบเขาน่ะไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิกระบหรอกนะ”

น้ําเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยามจักรพรรดิกระบี่

ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปล่ะก็ คงจะเจอความปั่นป่วนโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่

โจวฉวนจีดื่มชาอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์

เขามองเห็นได้ถึงทิฐิที่มีอยู่ภายในใจของยอดกระบี่จาวฉง ถึงแม้ตอนนี้ยอดกระบี่จาวฉงจะเป็นลูกน้องของเขา แต่ถ้าเขาไม่สอนวิชากระบี่ที่เหมาะสมอะไรให้เขาเลยล่ะก็ เขาจะจากไปอย่างแน่นอน

จู่ๆ โจวฉวนจีก็ลุกขึ้นมาทันที และหยิบเอาดาบเด็ดสุกรออกมาก่อนจะเริ่มฝึก

วิชาดาบที่เขากําลังฝึกอยู่นั้นคือวิชาดาบระดับปฐพีขั้นต่ที่เรียกว่า วิชาดาบหยาดพิรุณกังวาน!

แม้แต่วิชาดาบสะบั้นสามชีพจรก็ยังเป็นแค่วิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงเท่านั้น แล้ววิชาดาบหยาดพิรุณกังวลจะทรงพลังขนาดไหนกัน

ทุกคนต่างก็เริ่มหันมาสนใจโจวฉวนจีทันทีเมื่อรู้ว่าเขากําลังฝึกวิชาดาบอยู่

เป็นเพราะร่างกายของโจวฉวนจีที่เติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงระดับพลังวรยุทธของเขาเอง เขาจึงฝึกกระบวนท่าดาบรอบแรกเสร็จได้อย่างรวดเร็ว

ยอดกระบี่จาวฉงขมวดคิ้ว “เป็นไปได้มั้ยว่าวิชาดาบนั้นจะเป็นวิชาที่เขาเรียนรู้มา จากหอสมุดกระบีน่ะ?” เขาถาม

ในตอนนี้ เขายังไม่อาจเรียกโจวฉวนจีว่านายท่านได้อย่างเต็มปาก

ไม่มีใครตอบเขากลับ

ส่วนโจวฉวนจีก็เริ่มฝึกที่ละรอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ

และหลังจากครบ 50 รอบ เขาก็บรรลุวิชาดาบหยาดพิรุณกังวานได้ในระดับนึงแล้ว

ยอดกระบี่จาวฉงเริ่มรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

ในตอนนั้นเอง จางเถียนเขียนก็มาเยี่ยมพร้อมกับเหล่าลูกชายของเขา แต่พอพวกเขาเห็นว่าโจวฉวนจีกาลังฝึกกันอยู่ ก็ชะงักไปและไม่กล้าที่จะรบกวนเขา

ในตอนแรกพวกเขาก็กะว่าจะออกไป แต่กลับโดนวิชาดาบของโจวฉวนจีดึงดูดสายตาเข้าอย่างจัง ดังนั้นพวกเขาเลยยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความที่งพลางเฝ้ามองดู

หลังจากครบ 100 รอบ เขาก็บรรลุวิชาได้แล้ว

ยอดกระบี่จาวฉงตะลึง

แม้แต่จางเถียนเขียนและเหล่าลูกชายก็ยังอ้าปากค้าง
จากนั้น โจวฉวนจีก็กวัดแกว่งด้วยความเร็วขั้นสูงสุดและสามารถฝึกจบรอบนึ่งได้ภายใน 2 ลมหายใจเท่านั้น
เมื่อเขาฝึกครบ 500 รอบ เขาก็บรรลุจิตดาบหยาดพิรุณกังวานได้ในที่สุด

เงียบสงัด!

ทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบ จนแม้แต่เสียงหมุดหล่นก็ยังได้ยินได้

โจวฉวนจีเก็บดาบกลับ ก่อนจะหันไปมองยังยอดกระบี่จาวฉง “นี่คือวิชาดาบที่เรียกว่า วิชาดาบหยาดพิรุณกังวานน่ะ เจ้าคิดว่าไงบ้างล่ะ?” เขาถาม

ความปั่นป่วนก่อตัวเป็นคลื่นหมุนวนอยู่ภายในใจยอดกระบี่จาวฉง เขาพยายามที่จะเก็บความรู้สึกทิ้งของเขาเอาไว้และพยักหน้าให้ ก่อนจะพูดว่า “ก็ไม่เลวนี่”

วิชาดาบหยาดพิรุณกังวานนั้นเป็นวิชาดาบที่เน้นทางด้านความเร็ว หยาดพิรุณคือภาพลวงตาที่เกิดจากความเร็วขั้นสูงสุดของดาบจนราวกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าอยากจะเรียนมั้ยล่ะ?”

โจวฉวนถามอย่างสงบนิ่ง และยอดกระบี่จาวฉงก็พยักหน้าตอบกลับไปทันทีตามสัญชาตญาณ

ถึงเขาจะมีวิชาดาบระดับปฐพีอยู่แล้ว แต่ใครจะไม่อยากได้เพิ่มบ้างล่ะ?

วิชาดาบหยาดพิรุณนั้นเหมาะกับเขาเอามาก ๆ เพราะวิถีกระบี่ของเขานั้นเน้นไปที่ความเร็วยังไงล่ะ!

โจวฉวนจียิ้มให้และพูดว่า “ถ้าเจ้าท่าภารกิจแรกที่ข้ามอบหมายให้สําเร็จได้ล่ะก็ ข้าก็จะสอนวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรให้เจ้าด้วย”

โดยไม่มีระบบยอดดาบในตํานานช่วย ยอดกระจาวฉงก็คงต้องใช้เวลาอยู่หลายปี ที่เดียวกว่าจะบรรลุ 2 วิชาดาบนี่ได้น่ะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นได้จิตดาบล่ะนะ

กว่าเขาจะบรรลได้ โจวฉวนจีก็คงจะกลายเป็นสัตว์ร้ายคนละชั้นไปแล้ว แถมยังจะได้วิชาดาบใหม่ ๆ ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมอีก เพราะงั้นแล้วโจวฉวนจเลยไม่กังวลว่าทาสกระบี่คนใหม่นี่จะแซงเหนือเขาหรืออะไรมากนัก

ตอนที่ 65 : เทวาจุติเพื่อเหยียดหยามโลกใบนี้!

เมื่อฝุ่นควันจางลง ดาบอุดรวายุแห่งโจวนอนสิ้นสติอยู่ในหลุมแล้วร่างของเขานั้นดําเมี่ยมและดูน่าสงสาร

โจวฉวนจีเรียกดาบอัสนีคารามกลับมาไว้ในมือ

กระบวนท่าที่เขาใช้เมื่อกี้นี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าของวิชาขลุ่ยหยก 36 วิถี ชื่อกระบวนท่าว่า ขลุ่ยร่วงโรย!

เมื่อผสานเข้ากับอัสนีแห่งสรวงสวรรค์แล้ว มันทําให้พลังของขลุ่ยร่วงโรยนั้นรุนแรงมากขึ้นไปอีก เพียงพอที่จะโค่นล้มดาบอุดรวายุแห่งโจวผู้ซึ่งเป็นจอมยุทธระดับบัวภายในลงได้ในทันที

เดิมที่ในระดับบัวภายในด้วยกันนั้น ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงกับดาบอุดรวายุแห่งโจวได้เลย

แต่ช่างน่าเสียดายที่ทั้งดาบและวิชาดาบของเขานั้น ไม่ได้ดีเหนือไปกว่าโจวฉวนจีเลย

ยอดกระบี่จาวฉงเงยหน้าขึ้นไปมองจากชั้น 8 แล้วยืนดูโจวฉวนจีเงียบ ๆ ขณะที่คิดอะไรบางอย่างในใจ

เบื้องล่างของพวกเขา การต่อสู้ก็ยังคงดุเดือดในทุกชั้นไป

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับโจวฉวนจี แต่พวกเขาก็ยังต้องพยายามเต็มที่ต่อไป

เพราะว่านี่เป็นโอกาสชั้นยอดที่จะได้เพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเองถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับชัยชนะแต่อย่างน้อยหากพวกเขาได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ล่ะก็บางที มันก็อาจจะไปเตะตาพวกคนรวยหรือผู้มีอานาจบางคนเข้าให้ก็ได้

โจวฉวนจีมมองลงไปยังยอดกระบี่จาวฉงแล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “กล้าขึ้นมาสู้กับข้าร์เปล่าละ?”

ถ้าข้าจะสู้ ข้าก็อยากจะสู้กับคนที่แกร่งที่สุด!

หลังจากจัดการดาบอดรวายุแห่งโจวไปได้แล้ว ตาต่อไปก็คือยอดกระบี่จาวฉง

แล้วถ้าเขาสามารถล้มยอดกระบี่จาวฉงลงได้ละก็ ชัยชนะในงานประชุมกระบี่ก็อยู่ในมือเขาอย่างแน่นอน

โอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับโจวฉวนจีเข้ามาทั้งที มีรีที่ยอดกระบี่จาวฉงจะปฏิเสธนะ?

เขาล่ะอยากจะลองดีมานานแล้ว!

เขาเก็บดาบของเขาเข้าฝึกก่อนจะหงายมือขึ้นมา และดาบยาวที่ทําหยกขาวปรากฏขึ้นมาในมือเขา

จากนั้นเขาก็กระโดดสูงขึ้นไปยังชั้นบนสุด แล้วฟันเข้าใส่โจวฉวนจีทันที

ปราณดาบของเขาทะลวงเข้าใส่จอมยุทธเด็กดั่งพายุใหญ่ที่โหมกระหน่ํา

โจวฉวนจีตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาใช้วิชาดาบสะบั้นสามชีพจรพร้อมกันกับดาบคู่ในมือปลดปล่อยคลื่นปราณดาบเข้าปะทะกับปราณดาบของยอดกระบี่จาวฉง

ตู้มมมม

ปราณดาบที่ทรงพลังทั้งคู่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงเสียจนหอคอยสั่นไหว

เหล่าจอมยุทธที่อยู่เบื้องล่างของพวกเขาต่างมองขึ้นไป ทันทีที่พวกเขาเห็นโจวนวนจีกับยอดกระบี่จาวฉงกําลังต่อสู้กันอยู่ พวกเขาก็หยุดการปะทะกันเองแล้วเฝ้ามองการต่อสู้ที่อยู่ด้านบนแทน

พวกเขาเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า ยอดกระบี่จาวฉง หรือ โจวฉวนจีใครแข็งแกร่งกว่ากันในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็หวังว่าจะได้เรียนรู้บางอย่างจากการประลองของพวกเขาด้วย

และแน่นอนว่ามันจะดีที่สุดถ้าพวกเขาสู้กันเองจนบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่

จางเถียนเขียนเองก็รู้สึกกังวลแทนโจวฉวนจี เพราะตัวเขาเองรู้ดีว่ายังไงเขาไม่มีโอกาสจะชนะได้อยู่แล้วเขาเลยหวังว่าโจวฉวนจําจะชนะแทน

ผมยาวสลวยของยอดกระบี่จาวฉงเต้นสะบัดไปมาจนยุ่งเหยิงบนอากาศเขายืนอยู่บนขอบของหลังคาเหล็กด้วยเท้าเดียวแล้วฟาดฟันดาบของเขาลงมาบนโจวฉวนความรุนแรงของการฟันนั้นมันเพียงพอที่จะทําให้โจวฉวนจีถอยหลังไปครึ่งก้าว

ทั้ง 2 ยืนอยู่บนแผ่นเหล็กที่กว้างเพียงเมตรเดียวจนทําให้ต้องยืนขาเดียวเท่านั้นล่าตัวโน้มถอยหลังและดาบของพวกเขาก็ฟาดฟันกันด้วยความเร็วสูงซะจนเกิดเป็นประกายไฟนับไม่ถ้วน

แม้ว่าโจวจวนจีจะใช้ 2 ดาบแต่เขาก็ไม่ยังไม่อาจล้มดาบเดียวของยอดกระบี่จาวฉงได้เลย

“สมแล้วที่เป็นยอดกระบี่จาวฉง แข็งแกร่งกว่าดาบอุดรวายุแห่งโจวอีกนะเนี่ย”

โจวจวนจีถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ถอดใจ กลับกัน เขามีกําลังใจที่จะสู้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

แค่คิดว่าจะได้ล้มยอดฝีมือระดับนี้ มันก็ทําให้เขารู้สึกสะใจในชัยชนะแล้ว!

ดาบไร้ลักษณ์กับดาบมังกรสีชาดปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา แล้วโรมรันเข้ากระทันหันจนทําให้ยอดกระบี่จาวฉงไม่ทันตั้งตัว

แม้ว่ายอดกระบี่จาวฉงจะไม่ได้เป็นจอมยุทธที่ฝึกฝนด้านร่างกายมา ทําให้ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าโจวฉวนจี แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ระดับวรยุทธของเขาสูงกว่าอีกทั้งวิชาดาบที่แพรวพราวทําให้เขาไม่ดีดตัวออกจากยอดหอคอยทันที่ที่เห็นดาบในตํานานทั้ง 4 เล่มของศัตรู

“ดาบ 3 เล่มเหรอ… ไม่ซิ! ยังมีอีกเล่มนึ่ง… เล่มที่ข้ามองไม่เห็น…”

สีหน้าของยอดกระจาวฉงยังคงสงบนิ่ง แต่เขาก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน

เขาเองก็รู้จักวิชา 2 ดาบเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ดีเท่าใช้ดาบเดียว

แต่โจวจวนจีนั้นกลับควบคุมอีก 2 ดาบได้ในขณะที่ตัวเองถืออยู่แล้ว 2 ดาบ…

เขานึกขึ้นมาได้ถึงข่าวลือเรื่องเทพกระบี่โจวขึ้นมาทันที…

9 ดาบ!

จอมกระบี่ทุกคนต่างหันมองขึ้นมาที่พวกเขาด้วยความตกตะลึง ถึงพวกเขาจะมองไม่เห็นดาบไร้ลักษณ์แต่แค่ 3 ดาบมันก็ทําให้พวกเขาตกใจได้แล้ว

ผู้ชมนับล้านตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่!

“เทพกระบโจวแข็งแกร่งจริง! สามารถใช้ 3 ดาบพร้อมกันได้ด้วย”

“ทําไมข้ายังรู้สึกเหมือนว่ายอดกระบี่จาวฉงยังเก่งกว่าอยู่ละ? เขาสู้ 3 ดาบด้วยดาบเดียวเชียวนะ?”

“ไอ้โง่เอ้ย เจ้าใช้ดาบ 3 เล่มพร้อมกันได้มั้ยล่ะ? ที่ยอดกระบี่จาวฉงใช้ดาบแค่เล่มเดียวก็เพราะเขาควบคุม 3 เล่มพร้อมกันไม่ได้ยังไงล่ะ!”

“นี่พวกเจ้าเห็นรึเปล่า? ดาบทั้ง 3 เล่มนั้นฟันในวิถีที่ต่างกันด้วยนะเทพกระบโจวเหมือนกับว่าใช้วิชาดาบกับดาบแต่ละเล่มของเขาเลย”

“นั่นล่ะคือความแข็งแกร่งของเทพกระบโจวล่ะ! นี่ยังเหลืออีกตั้ง 6 เล่มนะที่ยังไม่ได้เอาออกมาอีกนะ!”

ทั้งเสียงตกใจ, เสียงเชียร์, เสียงคนสงสัยดังปนกันไปมา เสียจนดังมากพอที่จะสนั่นไปยันโลกและสวรรค์ได้

เสี่ยหวโหยวขมวดคิ้วแน่น ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

ถ้าเกิดเทพกระบี่โจวเติบโตขึ้นแล้วละก็…

ท่านอาจารย์ของเขาประเมินพลังของเทพกระบี่โจวไว้ถูกต้องจริงๆ

ทางจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเองก็ตื่นเต้นมากยอดกระบี่จาวฉงนั้นเป็นเหมือนดาราดาวรุ่งพุ่งแรงในหมู่จอมยุทธด้วยกัน ตลอดหลายปีมานี้เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับยอดกระบี่จาวฉงมากมายซะจนหูชาหมดแล้วแต่ดูเหมือนกับว่าคนระดับยอดกระบีจาวฉงเองก็ไม่ได้ได้เปรียบอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับโจวฉวนจี

ฮา! นายท่านของข้านะยังเหนือกว่าซะอีก!

เฉียโหวจนนั่งหลังตรง เขามองโจวฉวนจีด้วยสายตาที่เร้าร้อนพร้อมพื้มพัม “เขา ต้องเป็นของข้า… ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม…”

ในตอนนั้นเอง ยอดกระบี่จาวฉงก็เริ่มเข้าสู่โหมดจิตกระบี่ทันที สายตาของเขานิ่งสงบในขณะที่ร่างกายของเขาเหมือนกับว่าถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินประกายจางๆ

มนุษย์และดาบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!

ดาบของเขานั้นดุดันและคาดเดาไม่ได้ขึ้นมากระทันหัน การโจมตีของเขารวดเร็วมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า

เขาสามารถต้านทานการโจมตีของดาบในตํานานทั้ง 4 ในทันที

ดาบอัสนครามโจมตีด้วยสายฟ้านับไม่ถ้วน ส่องสว่างท้องฟ้าให้เจิดจ้าแต่ยอดกระบี่จาวฉงนั้นกลับไม่สะทกสะท้านต่อไฟฟ้าร่างกายของเขาเหมือนกับเป็นฉนวนไฟฟ้าไม่รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย

โจวฉวนจีเองเริ่มใช้วิชาจิตดาบคู่ทันที

ด้วยดาบอัสนีคารามในมือซ้ํายนี้ เขาใช้จิตดาบสั้นสามชีพจร!

ส่วนในมือขวานั้น เขาถือดาบเด็ดสุกรและเปิดใช้จิตดาบของเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถี!

ตอนที่ดาบทั้งปะทะเข้าหากัน ประกายแสงสีรุ้งเจิดจ้าออกมาจากตัวของพวกเขาดาบทั้ง 3 นั้นรวดเร็วดั่งสายลมเงาสะท้อนจากใบดาบเปล่งแสงแวววับสว่างไสวภาพที่ออกมานั้นมันช่างน่าตะลึงโดยแท้จริง

ในตอนนั้นเอง โจวจวนจีดูไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในระดับบรรลุปราณเลยแม้แต่น้อย!

ตู้มมมม

หอคอยสูง 10 ชั้นสันสะท้านอย่างรุนแรง โครงสร้างโลหะของหอคอยเหมือนกับว่าจะแตกหักออกมาได้ทุกเวลา

สีหน้าของยอดกระบี่จาวฉงเองก็ดุดันจนดูเหมือนเคียดแค้นเข้าไปทุกที

พลังของโจวฉวนจีนั้นทําให้เลือดในกายเขาเดือดพล่าน!

เขาไม่เคยเจอกับคู่ปรับแบบนี้มาก่อน นั้นทําให้เขาตนเต้นจนถึงขีดสุด

แต่ถึงอย่างนั้นการโจมตีของโจวฉวนจีก็พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ดาบราชาโลกันตร์, ดาบเสียงสวรรค์, ดาบผ่าวายุ, ดาบคลื่นเหมันต์,ดาบเงามายาและดาบพยัคฆ์คําราม ปรากฏขึ้นมารอบตัวของเขาจากที่ไหนก็ไม่รู้

ร่วมกับดาบอัสนีคราม, ดาบไร้ลักษณ์, ดาบเด็ดสกร, และดาบมังกรสีชาดตอนนี้เขาใช้ดาบทั้งหมด 10 เล่มพร้อมกัน

“ถ้าเป็นเรื่องวิถีแห่งดาบ ข้านะไร้เทียมทาน!”

โจวฉวนจีพูดขึ้นมาอย่างเยือกเย็น มือของเขาฟาดฟันไม่หยุดแต่เขาก็ควบคุมดาบในตํานานทั้งหมดให้ปลดปล่อยปราณดาบซึ่งก่อตัวขึ้นมาในรูปแบบของมังกรขึ้นมาเคลือบรอบตัวดาบ

อาคมหมื่นกระบี่มังกร!

หากมองขึ้นมาจากด้านบนจะเห็นโจวจวนจีมีมังกรสีทอง 8 ตัวอยู่รอบตัวของเขาและทุกตัวกาลังค่ารามเข้าใส่ยอดกระบี่จาวฉวง

ยอดกระบี่จาวฉงเองก็เบิกตากว้าง ประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของเขา

ดาบ 10 เล่มงั้นเหรอ!

ปราณดาบในรูปแบบมังกรงั้นเหรอ?

โจวฉวนจีใช้ดาบในตํานานทั้ง 8 เล่มที่มีปราณดาบรูปมังกรห่อหุ้มอยู่เข้าล้อมยอดกระบี่จาวฉง จากนั้นพวกมันก็ฟาดฟันโจมตียอดกระบี่จาวฉงสร้างบาดแผลในทันที

หลังของเขา, เอวของเขา, ขาของเขา, ท้องของเขาบาดเจ็บทั้งหมด

เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของเขา

จากการต่อสู้กลายไปเป็นการฆาตกรรมอย่างไร้ความปราณีแทน

จากมุมมองของคนดู ยอดกระบโจวฉงในตอนนี้ ไม่อาจเทียบเทียบเทพกระบี่โจวได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ทั้งคู่นั้นห่างชั้นกันเกินไป

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”

หยางเฉอมองขึ้นไปแล้วพึมพัมกับตัวเอง ขาของเขาสั่นเครือ

แม้แต่เสี่ยหวโหยวเองก็มองเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เหล่าเจ้าครองเมืองที่อยู่ด้านหลังฝูงชนต่างก็ยืนขึ้น และมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ

นั้นมันวิชาดาบอะไรกันเนี่ย?

ภายในเวลาแค่สามลมหายใจ ยอดกระบี่จาวฉงก็ตัวท่วมไปด้วยเลือด เขาหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง

โจวฉวนจีหยุดมือของตัวเองลง และดาบทั้ง 8 เองก็หยุดด้วย

หลังจากที่การโจมตีของเขาหยดลง ยอดกระบี่จาวฉงที่หมดสภาพก็ทิ้งตัวลงกันพื้นเขาพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในสายตาของเขานั้นมีเพียงแค่ท้องฟ้าที่ โชกเลือดเท่านั้น

โจวฉวนจียืนตัวตรงใช้เท้าซ้ายเหยียบหลังคาหอคอย ก่อนที่เขาจะยกขาขวาขึ้นมาเหยียบกลางอกของยอดกระบีจาวฉง

และภาพทั้งหมดก็เหมือนจะหยุดนิ่ง!

โจวฉวนจียืนอยู่บนยอดหอคอยเหล็ก พร้อมดาบในมือทั้ง 2 ข้าง และดาบในตำนานอีก 8 เล่มที่เคลือบไปด้วยปราณดาบรูปมังกรลอยอยู่รอบตัวของเขา

ขาขวาของเขาเหยียบย่าลงบนหน้าอกของยอดกระบี่จาวฉง ถึงแม้ว่าตัวของเขาจะเล็กแต่ภาพที่ออกมาทําให้เขาดูยิ่งใหญ่ขึ้นทันตา

ภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้า ช่างดูราวกับเทวาลงมาจุติเพื่อดูหมิ่นเหยียบหยามโลกใบนี้!

ตอนที่ 66 : ความสําเร็จครั้งยิ่งใหญ่

โจวฉวนจเหยียบบนกลางอกของยอดกระบี่จาวฉง เขามองลงต่าก่อนจะพูด “การพ่ายแพ้ต่อข้าถือว่าเจ้าคู่ควรแล้วละ
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เตะยอดกระบี่จาวฉงด้วยเท้าขวาให้ร่วงตกลงไปจากหอคอย

ภาพที่เขาเห็นในตอนนี้นั้นเหมือนกับดาบอุดรวายุแห่งโจวก่อนหน้านี้ โจวฉวนจีเห็นเขาค่อย ๆ ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ

เมื่อเทียบกับดาบอุดรวายุแห่งโจวแล้ว ตอนนี้เขาหมดสภาพที่จะต่อสู้แล้ว

การโจมตีไม่ยั้งของโจวฉวนจีก่อนหน้านี้ตัดเส้นชีพจรทั่วร่างกายของเขาจนขาดหมดแล้ว ด้วยพลังวิญญาณที่ขาดสะบั้นของเขา ทําให้เขาไม่อาจจะทรงตัวกลางอากาศได้

เหล่าจอมกระบี่แต่ละคนเฝ้ามองยอดกระจาวฉงร่วงหล่นลงมา

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อลังการณ์เหมือนตอนที่ดาบอุดรวายุแห่งโจวแพ้ แต่พวกเขาก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อเห็นว่ายอดกระบี่จาวฉงแพ้

ราวกับได้เห็นเทวาร่วงหล่นลงมายังพื้นโลก

3 กระบวนท่าไร้เทียมทาน ยอดกระบี่จาวฉง คู่ปรับแห่งองค์รัชทายาท!

แต่เขาก็ยังไม่อาจเทียบเคียงกับเทพกระบี่โจวที่ไร้ซึ่งผู้ใดเทียมได้

ยอดกระบี่จาวฉงกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็กราวกับลูกบอลกระเด้งร่วงลงมาที่ละชั้น ๆ เรื่อย ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาเสียงดังบนเวทีหิน

เลือดไหลออกมาท่วมร่างกายของเขา ตอนที่เขานอนจมกองเลือดอยู่นั้นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมอง สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงดาบในต่านานของโจวจวนจีเท่านั้น

“ข้าแพ้แล้ว… แพ้อย่างหมดรูปเลย…”
ยอดกระบี่จาวฉงพ่ายแพ้แล้ว เปลือกตาของเขารู้สึกหนักอึ้ง ความง่วงเริ่มซัดสาดเข้ามาเหมือนคลื่นที่ถาโถม

แต่ก่อนที่เขาจะหมดสติไป ความทรงจําของเขาก็ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง

มันเป็นเหตุการณ์ตอนที่พ่อของเขาพูดกับตัวเขาเมื่อวัยเยาว์ที่บาดเจ็บและนอนซมอยู่บนเตียง

“จาวฉง ในโลกใบนี้น่ะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า มันจะมีคนที่แกร่งกว่าเจ้าอยู่เสมอ และมี โลกที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะหายากมากขนาดไหน เจ้าก็อย่าฝืนตัวเองจนเกินไปล่ะ เอาแต่พอควรก็พอ”

“ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าข้าจะฝึกฝนวิชาจนแกร่งกล้า ข้าก็ยังไม่สามารถเป็น 1 ในใต้หล้า ได้อีกเหรอฮะ?”

“ก็อาจจะนะ แต่เจ้าต้องเป็นคนค้นหาคําตอบนั้นด้วยตนเอง หลังจากที่เจ้าสําเร็จ เป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่ และกลายเป็นเทพกระบี่ได้แล้วล่ะนะ”

“มันมีเทพกระบี่อยู่บนโลกนี้จริง ๆ เหรอฮะ?”

“เจ้าจะได้พบกับเขาเอง และบางที เจ้าเองก็จะได้กลายเป็นหนึ่งในพวกเขาด้วย เช่นกัน”

ยอดกระจาวฉงยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่จะสิ้นสติร่วงตกลงมาท่ามกลางเสียงกู่ร้อง ของคนดูนับล้าน

หลังจากดาบอุดรเทวะแห่งโจว 3 กระบวนท่าไร้เทียมทาน ยอดกระบี่จาวฉงก็พ่ายแพ้ตามมาด้วยเช่นกัน

แถมยังแพ้แบบหมดรูปอีกด้วย!

ไม่มีใครคิดจะหาข้ออ้างให้ยอดกระบี่จาวฉงซักนิด เขาพ่ายแพ้ยับเยินจริงๆ

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! แกร่งเกินไปจริง ๆ! ในโลกเราตอนนี้ ยังจะมีใครที่ทัดเทียมกับเทพกระบี่โจวในด้านของวิถีกระบี่ได้นอกจากจักรพรรดิกระบี่อีกเหรอ?”

“เขาทําเช่นนั้นได้ยังไงกัน?”

“ถึงแม้ว่าดาบพวกนั้นจะถูกใช้เป็นเหมือนวัตถุวิเศษ แต่เขาก็ไม่น่าที่จะสามารถใช้หลายวิชาดาบได้พร้อม ๆ กันนะ… หรือว่าดาบพวกนั้นจะมีวิญญาณเป็นของตัวเองกัน?”

“สมแล้วที่เป็นท่านเทพกระบี่!”

“แม้แต่จักรพรรดิกระบี่เองยังไม่สามารถควบคุมดาบได้มากมายขนาดนั้นเลย อย่างมากสุดเขาก็ทําได้แค่ควบคุมดาบไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้นแหละ”

“นับแต่นี้เป็นต้นไป เทพกระบี่โจวเนี่ยละคือเป้าหมายของข้าล่ะ!”

ผู้ชมต่างร้องระงมกันออกมาอย่างตื่นเต้น งานประชุมกระบี่พึ่งเริ่มมาได้ไม่นาน แต่ตัวเต็งที่โด่งดัง 2 คนกลับพ่ายแพ้หมดสภาพนอนหมดสติกันแล้ว ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ําว่าพวกเขาตายรึยัง นี่ถือเป็นเรื่องที่เกินคาดจริงๆ

โจวฉวนจียังคงยืนอยู่ด้านบนสุด ก่อนจะมองลงมาแล้วถามอย่างหยิ่งผยอง “ยังจะมีใครกล้าขึ้นมาอีกมั้ย?”

เขาพึ่งชนะยอดกระบี่จาวฉงมาแบบขาดลอย ใครที่ไหนละจะมากล้าท้าทายเขา

ตอนนี้กัน?

จอมกระบี่แต่ละคนนั้นดึงสติของตนเองกลับมาก่อนที่จะเริ่มสู้กับคู่ต่อสู้ของตัวเองกันต่อ

ส่วนโจวฉวรจีก็ถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ

การปะทะกับยอดกระบี่จาวฉงทําให้พลังวิญญาณของเขาแทบหมดเกลี้ยง

ถึงแม้ว่าเขาจะยังดูดีมีพลังอยู่ก็ตาม แต่เอาจริง ๆ แล้วตอนนี้เขาอ่อนแรงมาก

เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ล้อมรอบไปด้วยดาบในตํานาน แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณของตัวเอง

เขาไม่กล้าที่จะใช้ยาเสริมปราณใด เพราะว่าตามกฏของงานประชุมกระบี ผู้ใดก็ตามที่ใช้ยาชูกาลังใด ๆ จะถูกตัดสิทธิ์ทันที

เขาไม่ได้ทําการบารุงปราณภายในด้วย เพราะว่าเขาไม่อยากป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองพลังวิญญาณจะหมด

*ขอละ พวกเจ้าช่วยสู้กันช้าๆทีเถอะ*

โจวฉวนจีคิดกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองรอบๆแล้ว มองไปที่เจียงฉือน้อยที่ยืนอยู่ ข้างๆกับเวทีหินพอดี

ก่อนที่เขาจะกระพริบตาให้กับเจียงจือน้อย

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลกันเกือบหลายร้อยเมตร แต่ด้วยระดับสร้างรากฐานของเจียงฉือน้อย ทําให้นางมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพียงพอที่จะมองเห็น

เธอยิ้มหวานแล้วดูมีความสุขมาก

จางหรูหยที่ยืนอยู่ข้างๆ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นถอนหายใจขึ้นมา “สมแล้วที่เป็นท่านเทพกระบี่โจวจริงๆ เขาไม่พลาดโอกาสที่จะหยอดสายตาถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางทุกคนก็ตาม เขาเนี่ยละคือต้นแบบที่เราควรทําตาม! ข้าละนับถือเขาจริง
ๆ !”

ทั้งกลุ่มพอได้ยินเขาพูดก็หัวเราะลั่นออกมา

เจียงฉือน้อยเองก็แก้มแดงก่า แต่เธอก็ไม่ละสายตาจากโจวจวนจีไปไหน

ทันใดนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ว่าโจวฉวนจีนั้นโตขึ้นแล้ว

ถึงแม้ว่าเธอจะต้องพึ่งพาโจวฉวนตีมาตลอด แต่โจวฉวนจีในตอนนี้ กลับมอบความรู้สึกที่บอกไม่ถูกให้กับเธอ

ตอนที่เธอมองเจ้าเด็กชายตัวน้อยเติบโตมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนกลายมาเป็นหนุ่มน้อยที่น่าประทับใจ มันทําให้เธอทั้งดีใจและภูมิใจไปพร้อมๆกัน

ตั้งแต่แรก ก็เป็นเธอเองที่อุ้มโจวฉวนจีขึ้นจากแม่น้ํา

เป็นเธอที่คอยหุงหาอาหารทํากับข้าวให้เขากินทุกวัน

สาว ๆ หลายคนรอบตัวของเธอกรีดกราดเพราะว่าพวกนางคิดว่าโจวฉวนจีส่งสายตามาหาพวกนาง

เจียงฉือน้อยแค่เม้มปากแล้วถอนหายใจเบา ๆ พลางคิดกับตัวเอง เขาเป็นของข้าตั้งหากล่ะยะ พวกเจ้าน่ะฝันไปเถอะ!

ศิษย์สํานักเสี่ยลากตัวยอดกระบี่จาวฉงออกจากสนามประลองเพื่อปฐมพยาบาลให้กับเขา แต่ก็แน่นอนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับการรักษา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหล่าจอมกระบี่ทั้งหลายต่างก็ถูกคัดออกกันไปเรื่อยๆ

มีเพียงโจวฉวนที่ยืนอยู่ด้านบนหอคอยคนเดียว มองลงมาเบื้องล่างอย่างสงบนิ่ง เหมือนกับองค์ราชาที่เพลิดเพลินกับการสู้รบ

พลังวิญญาณของเขาเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาอย่างช้า ๆ

พลังในการฟื้นฟูตัวเองของอาคมปราณกระบี่กายทองคํานั้นยอดเยี่ยมมาก อย่างน้อยก็ในช่วงที่อยู่ในงานประชุมกระบี่ ก็ไม่มีใครฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เร็วเท่าเขาแล้ว

เขาเดาว่าอาคมปราณกระบี่กายทองคําของเขานั้น น่าจะอยู่ในวิชาปราณระดับปฐพี หรือไม่ก็ถึงขั้นอยู่ในระดับนภาด้วยมั้ง?

เขาเองก็ไม่มั่นใจเลยถามกับจิตวิญญาณแห่งดาบ แต่จิตวิญญาณแห่งดาบเองก็ตอบกลับมาว่า ไม่สามารถระบุได้

ส่วนใหญ่แล้ว จิตวิญญาณแห่งดาบเองก็ถือว่าพึ่งพาได้อยู่หรอก แต่ก็มีบางช่วงเหมือนกันที่พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย

แน่นอนว่าเขาเองก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าจิตวิญญาณแห่งดาบนั้นจะจงใจปิดบังจากเขา

มันก็เหมือนกับเวลาเล่นเกมที่เราจะปลดล็อกข้อมูลหรือฟังค์ชั่นต่างๆมากขึ้นเมื่อถึงเลเวลที่กําหนด

ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่นิ่ง ๆ แต่เขาก็ยังดึงดูดสายตาของคนส่วนมากอยู่ดี

การประลองของเขากับดาบอุดรวายุแห่งโจวและยอดกระบี่จาวฉงนั้นยอดเยี่ยมเกิน ไปมากเกินไปซะจนทําให้การต่อสู้คู่อื่นนั้นดูแห้งจืดชืดไปเลย

“เทพกระบี่โจว! ไปเลย! โค่นพวกมันเลย!”

ในตอนนั้นเองที่มีใครบางคนตะโกนดังลั่นเหมือนไก่ขัน เสียงนั้นดังแทรกเสียงทุกคนออกมาชัดเจน จนทําให้ฝูงชนต่างลุกฮือกันขึ้นมาด้วยความวุ่นวาย

หลังจากนั้น…

ผู้คนก็เริ่มตะโกนใส่โจวฉวนจีมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่เอาชนะยอดกระบี่จาวฉงแล้ว ผลของงานประชุมมันก็รู้ผลกันแล้ว จะไปเสียเวลาต่อทําไมกันละ?

สีหน้าของโจวฉวนจียังคงนิ่งสงบ แต่ในใจของเขาตอนนี้รู้สึกขมขื่นไปหมด มีอะไรให้ดูเยอะ ๆ ไม่ดีรึไงกัน?

ยิ่งมีคนเรียกร้องมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันรอไม่ได้มากเท่านั้น

ไม่งั้นชื่อเสียงของเทพกระบี่โจวจะถูกครหาเอาได้

เขาจึงหยิบเอาดาบชโลมโลหิตที่พัฒนาขึ้นในระดับทองแล้วออกมา และพุ่งลงไปยังเบื้องล่างทันที

ในสถานการณ์แบบนี้ เขาคงพึ่งได้แค่ดาบชโลมโลหิตอย่างเดียวแล้ว

ยิ่งมันดื่มเลือดมามากเท่าไร ผู้ที่ใช้มันก็ยิ่งเก่งขึ้นมากเท่านั้น

แถมดาบชโลมโลหิตของเขาก็พัฒนาเป็นระดับทองแล้วด้วย มันจึงบินไปด้วยความเร็วสูงมาก

จอมกระบี่คนแล้วคนเล่าถูกแทงซะก่อนที่จะรู้สึกตัวซะด้วยซ้ํา เลือดของพวกเขาโดนดาบดูดซับเข้าไปหมด

โจวฉวนจีพยายามบังคับตัวเองไม่ให้โจมตีในจุดตายของเหล่าจอมกระบี่ เขาแค่ต้องการทําให้บาดเจ็บเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอาชนะจอมกระบี่ไปทั้งหมด 8 คน ฝูงชนต่างตื่นเต้นกันไปหมด บรรยากาศโดยรอบเริ่มกลับมาดุเดือดอีกครั้ง

โจวฉวนจีเองก็รู้สึกได้ว่าปราณโลหิต, เรี่ยวแรง, และพลังวิญญาณของเขาเองก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ด้วยความเร็วระดับนี้…

มันรู้สึกดีสุด ๆ ไปเลย!

สมแล้วที่เป็นดาบในตํานานที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา!

ในขณะเดียวกัน ณ บนเวทีหินนั่นเอง

ผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเดินเข้าไปหาเสี่ยหรูโหยวแล้วพึมพัมเบาๆ “ท่านเจ้าสํานักด้วย พรสวรรค์ระดับเขาแล้ว ถ้าเขาเข้าไปในหอสมุดกระบี่ได้ 3 วันละก็…”

ตอนที่เสี่ยหรูโหยวได้ยินแบบนั้น เขาก็สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

สีหน้าของผู้อาวุโสคนอื่นก็เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ โจวฉวนที่ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงในการเรียนรู้วิชาเพลงดาบหยก 36 วิถี ซึ่งเป็นวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุด

ถ้าเกิดเขาได้เวลาไปทั้งหมด 3 วันเต็ม ๆ ละก็…

เขาไม่เรียนรู้วิชาดาบจนหมดหอสมุดเลยเหรอ?

นิยาย หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ | Have Countless L…

ตอนที่ 67 : เขาสมควรได้รับฉายานี้

ตอนที่ 67 : เขาสมควรได้รับฉายานี้

ขณะที่เสี่ยหรูโหยวกําลังรู้สึกกังวลเรื่องหอสมุดกระบี่ โจวฉวนจีก็ใช้ดาบชโลมโลหิตจนฟื้นฟูพลังวิญญาณจนกลับมาเต็มแล้ว เขารู้สึกได้เลยว่าพลังวิญญาณทั่วร่างของเขากําลังพลุ่งพล่าน

เรื่องที่สําคัญที่สุดเลยก็คือ เหล่าผู้เข้าร่วมงานประชุมกระบี่ทุกคนต่างก็อยู่ระดับบัวภายในกันทั้งนั้น เว้นแต่โจวฉวน

เพราะงั้นเลือดที่ดูดซับมาและแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณนั้นเลยทําให้จอมยุทธที่อยู่แค่ระดับบรรลุญาณเติมเต็มพลังงานได้อย่างรวดเร็ว

เหล่าจอมกระบี่ที่ถูกดาบชโลมโลหิตฟันเข้านั้นไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองถูกดูดเลือดออกไป เพราะดาบนั้นรวดเร็วเกินไปและเลือดที่ดูดซับออกมาก็ไม่ได้เยอะมากนัก

ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็ยังอยู่ในช่วงระหว่างการต่อสู้อีกด้วย ใครมันจะไปสนใจมาก ขนาดนั้นกันล่ะ?

จนถึงตอนนี้ จอมกระบี่ที่เหลือรอดอยู่บนหอคอยเหล็กนั้นเหลือเพียง 13 คนเท่านั้น

จางเถียนเจียนและหยางเฉอยังคงรอดอยู่ด้วยวิธีการที่หน้าไม่อาย

จางเถียนเรียนรู้สึกตื่นเต้นมาก เขารู้สึกเหมือนว่าโจวฉวนจีกําลังปกป้องเขา

แต่อีกฝ่ายนึ่งในตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะแก้แค้นดีรึเปล่า

โจวฉวนเก็บดาบทั้งหมดกลับไป เหลือไว้เพียงดาบเด็ดสุกรที่ยังอยู่ในมือเท่านั้น

ถ้าใช้ดาบชโลมโลหิตมากไป มันอาจจะไปล่อตาล่อใจอะไรบางอย่างที่เขาไม่ต้องการเข้าก็ได้

เขาสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดที่จ้องมองมาจากหลายๆคน ซึ่งมันทําให้เขาคิดว่าหลังจากจบงานประชุมกระบี่นี่ เขาอาจจะเจอกับปัญหาถาโถมเข้าใส่แน่

เขากระโดดขึ้นและหมุนตัวหันหน้าลง ก่อนจะพุ่งลงไปยังด้านล่าง ณ ชั้นที่ 6 ของ หอคอยทันที

ที่นั่นมีจอมกระบี่อยู่ 3 คนที่กําลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่

เมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจีก็เริ่มหวาดกลัวขวัญผวา

โจวฉวนจีพุ่งเปิดใส่ด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

ถึงเขาจะไม่ได้ใช้วิชาสิบกระบี่ เขาก็ยังทัดเทียมได้กับดาบอุดรวายุแห่งโจวและยอดกระบี่จาวฉงเลย แล้วจอมกระบี่พวกนี้จะไปเหลืออะไรล่ะ?

ภายใน 4 ลมหายใจ จอมกระบี่ทั้ง 3 ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาร่วงลงจากหอคอยและถูกคัดออกออกจากงานประชุม

โจวฉวนจีว่องไว้ราวกับสุนัขจิ้งจอก เขาสไลด์ลงไปตามเสาเหล็กเพื่อลงมายังชั้นที่

ที่ชั้นนี้มีเพียง 2 คนเท่านั้น และเมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจี ก็พยายามวิ่งหนีหางจุกตูดก้นทันที

โจวฉวนจียังคงไล่ตามพวกเขาต่อเรื่อย ๆ ราวกับนักล่าที่กาลังไล่ล่าเหยื่อ

“เรามาโจมตีเขาพร้อม ๆ กันเถอะ! ไม่งั้นมีหวังพวกเราได้โดนเทพกระบี่โจวก่าจัดก่อนแน่!”

หยางเฉอร้องตะโกนเสียงดังออกมาทันที สีหน้าของจอมกระบอีก 7 คนก็เปลี่ยนไปในทันทีขณะที่กระโจนขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

จางเถียนเจียนไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย เพราะยังไงซะเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับโจวฉวนจอยู่ ฉะนั้นเขาเลยไม่คิดจะสู้กับโจวฉวน

เขาทําใจไปแล้วว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะชนะในงานประชุมกระบี่นี้อยู่แล้ว

แค่ได้สร้างความประทับใจให้คนอื่นเห็นก็ดีพอแล้ว

บนชั้นที่ 8 นั้น จอมกระบี่ทั้ง 8 คน รวมทั้งหยางเฉอ กำลังเผชิญหน้ากับโจวฉวนจี ความลําบากใจปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าของพวกเขา และดูกังวลกันมากทีเดียว
จางเถียนเจียนเข้ามาด้านข้างของโจวฉวนจีพร้อมกับดาบในมือ “พวกเจ้าคิดจะล้ม ท่านโจวอย่างงั้นน่ะหรอ? เหอะ ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!” เขาตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงที่ทุ่มต่า

ถึงแม้เขาจะยืนเชิดหน้าชูคออยู่ ราวกับนักรบผู้ผดุงความยุติธรรม แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักนิด กลับกันทุก ๆ คนต่างก็เริ่มพูดคุยกันว่าจะต้องใช้กี่กระบวนท่าถึงจะล้มเทพกระบี่โจวได้

โจวฉวนจีจ้องไปยังหยางเฉอ และหรี่ตาลงขณะที่พูดขึ้นมา “ไอเวรเหลี่ยมจัดเอ้ย”

สายตาที่ส่งมานั้นทําให้หยางเฉอกลัวสุด ๆ แต่เขาก็ยังพยายามตะโกนออกไปอย่างกล้าหาญว่า “ยังไงในงานประชุมกระบี่นี้ก็ต้องใช้ทุกวิถีทางในการต่อสู้กันอยู่แล้วนี่ พวกข้าไม่ได้มีพลังแบบเจ้าซะหน่อย เล่นพรรคเล่นพวกบ้างจะเป็นไรไปล่ะ?”

จอมกระบี่คนอื่นต่างก็เห็นด้วยกันกับเขา

พวกเขาต่างก็ใช้เวลาเตรียมตัวกันอยู่หลายปีเพื่องานประชุมกระบี่นี่ เพราะงั้นพวกเขาก็ไม่อยากจะให้มันจบลงไปง่าย ๆ แบบนี้หรอกนะ

“ห์!”

โจวฉวนจตะคอกออกมาด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา “งั้นก็เข้ามาเลย!”

เขาหยิบดาบมังกรสีชาด, ดาบคลื่นเหมันต์, ดาบพยัคฆ์คําราม, ดาบผ่าวายุ, ดาบเด็ดสุกร, ดาบเสียงสวรรค์, ดาบเงามายา, ดาบอัสนคราม และดาบไร้ลักษณ์ออกมา

อาคมหมื่นกระบี่มังกร วิชาสิบกระ!!

เขาควบคุมดาบพวกนั้นผ่านความคิดและเริ่มโจมตี

จากนั้น เขาก็พุ่งมายังเบื้องหน้าของหยางเฉอด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

สีหน้าของหยางเฉอซีดเซียวและหวาดกลัว และโดยสัญชาตญาณเขาก็อยากจะกระโดดถอยหลังหนี

โจวฉวนจีจึงใช้วิชาดาบสะบั้นสามชีพจรทันที

ปราณกระบี่ที่น่าพรั่นพรึงพัดตรงเข้าใส่เขาราวกับพายุหมุน และทําลายเส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของหยางเฉอในทันที หยางเฉอตัวท่วมไปด้วยเลือดและสูญเสียกําลังใจฉับพลัน

โจวฉวนจฟาดฟันเข้าใส่เขาอีกครั้งและตัดเข้าที่หัวเขา

โว้วววว

ผู้ชมนับล้านต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าโจวฉวนจีจะ โหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขานึกถึงตอนที่ดาบอดรวายุแห่งโจวถูกสายฟ้าฟาดจนตัวไหม้เกรียมก็เริ่มรู้สึกโล่งใจแทน

งานประชุมกระบี่ไม่ได้มีข้อห้ามในการฆ่ากันอยู่แล้ว

ปกติการฝึกศิลปะป้องกันตัวมันก็ต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการฝึกซ้อมนั้นมีการใช้ดาบจริงด้วยน่ะ

แต่เหล่าข้ารับใช้ของตระกูลหยางกลับรู้สึกราวกับโลกพังทลายแทน

ถ้าหยางเฉอตายแล้วงี้ พวกเขาจะกล้าแบกหน้าตัวเองไปรายงานกับหัวหน้าตระกูลหยางได้ยังไงกัน?

โจวเฉิงซินส่ายหัว หยางเฉอนี่แม่งโง่เหลือทนจริง ๆ

ถ้าโจวฉวนจีฆ่าเขาซะตั้งแต่ก่อนหน้านี้ นั่นอาจจะทําให้เขามีปัญหาตามมาเอาได้ แต่การฆ่าเขาในจังหวะแบบนี้ ก็มีแต่คนจะหัวเราะเยาะเย้ยตระกูลหยางแทน

โจวจวนจีก็เผยพลังที่แท้จริงของเขาแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ เขายังกล้าจะมายั่วโมโหอีก มันก็เหมือนกับพวกอ้อนตีนขอให้ฆ่าเลยไม่ใช่รึไง?

เหล่าจอมกระบี่คนอื่น ๆ ต่างก็ค่อย ๆ แพ้พ่ายให้กับดาบในตํานานที่ละเล่ม ๆ

ในไม่ช้า ก็เหลือเพียงแต่จางเถียนเจียนและโจวฉวนจีเท่านั้นที่ยืนอยู่บนหอคอยเหล็ก

โจวฉวนจีหันกลับไปมองผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย

สายตาของพวกเขาสบกัน เปลือกตาของจางเถียนเจียนสันอย่างรุนแรง เมื่อเขาเห็นความสงบนิ่งที่ส่งผ่านมาทางสายตาของโจวฉวนจี

เขาเก็บดาบลงทันที ก่อนจะกําหมัดพลางโค้งคํานับให้โจวฉวนจี

หลังจากโค้งคํานับเสร็จ เขาก็หันไปหาเหล่าผู้ชมนับล้าน ปรับพลังวิญญาณของเขาให้เพิ่มขึ้นมากที่สุดและตะโกนออกไปว่า “เทพกระบี่โจวไร้พ่าย! เขาสมควรที่จะได้รับฉายานี้!”

หลังจากนั้น โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาก็กระโดดลงมาอย่างสง่างามและลงสู่พื้นเวที

ตู้มมมม!

เหล่าผู้ชมนับล้านต่างก็ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่อีกครั้ง และนํามาซึ่งบรรยากาศที่ระ อนอไปจนถึงขีดสุด

ในคราวนี้ พวกเขาต่างก็ตะโกนกันออกมาเป็นเสียงเดียว

“เทพกระบี่โจวไร้พ่าย”

“เทพกระบโจวไร้พ่าย!”

“เทพกระบโจวไร้พ่าย!”

เมื่อเสียงนับล้านดังก้องผสานกันเป็นหนึ่งเดียว จิตใจของคนเราจะไม่โดนปลุกเร้าได้เช่นไรกัน?

โจวฉวนจีบินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของหอคอยด้วยดาบของเขา ดาบในตํานานทั้ง 8 เล่มล่องลอยอยู่เบื้องหลังของเขาพร้อมกับดาบล่องหนอีกเล่มนึ่ง

เขายืนสูงสง่าราวกับเป็นเซียนกระบี่ผู้ลงมายังโลกเบื้องล่าง เสื้อผ้าสีดพลิ้วไหว และร่ายราไปตามสายลมทั้งดูสูงส่งและทรงพลัง!

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ชนะแห่งงานประชุมกระบี่จึงได้ถูกตัดสินแล้ว!

เจียงฉือน้อย ฮวงเหลี่ยนชิน จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และคนอื่น ๆ ต่างก็กระโดดโลดเต้นกันด้วยความตื่นเต้น

แม้แต่จางหรูหยูและจางหรูถานต่างก็กอดกันกลม

โจวเฉิงซินมองขึ้นไปยังเขาก่อนจะถอนหายใจ “เขาช่างไม่เหมือนใครในโลกนี้ซะ
จริง”

จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวเขย่าโลกด้วยดาบในตํานานทั้ง 7 เล่ม

แต่ตอนนี้ เทพกระบี่โจวยืนตระหง่านอยู่บนฟากฟ้าด้วยดาบในต่านานทั้ง 9 เล่ม

ขณะที่เขามองไปยังโจวจวนจี มันก็เหมือนกับว่าเขากําลังจะได้เห็นต่านานบทใหม่ที่กําลังจะเริ่มต้นขึ้น

หลังจากนี้ไป ฉายาเทพกระบี่โจวจะต้องถูกกล่าวถึงมากขึ้นอย่างแน่นอน

แต่อีกด้านหนึ่ง เสี่ยหรูโหยวและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกแย่กันเอามาก ๆ

โอ้ ไม่นะ…

แล้วจะให้พวกเขาเผชิญหน้ารับความจริงที่เทพกระบี่โจวจะได้เข้าไปยังหอสมุดกระบี่ได้ยังไงกัน?

โจวฉวนจีรู้สึกมีความสุขกับเสียงเชียร์จากผู้ชมนับล้าน เขานั้นดูไร้ซึ่งความกังวล ใด ๆ มีเพียงความสง่างามและความยิ่งใหญ่ที่เผยออกมาเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็คิดถึงกั่วไปหลี่ขึ้นมา

จากวันนี้เป็นต้นไป หากเจ้าได้ยินเรื่องเทพกระบโจวเข้า เจ้าจะคิดถึงข้ารึเปล่านะ?

เจ้าหวังว่าข้าจะมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนก้องโลก ตอนนี้ข้าทําได้แล้วไงล่ะ!

เขาเก็บดาบกลับเข้าไปก่อนจะร่อนลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ

เหล่าฝูงชนที่อยู่รอยเวทีหินก็ยังคงส่งเสียงเชียร์ให้เทพกระบี่โจว

เสี่ยหรูโหยวเดินตรงมายังโจวฉวนจีและพูดด้วยน้ําเสียงที่เกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าพรากชีวิตคนไปได้ยังไงกัน?”

โจวฉวนจตอบอย่างใจเย็น “การต่อสู้มันดุเดือด ข้าเลยเผลอจมอยู่กับการต่อสู้มากไปหน่อยน่ะ”

เสี่ยหรูโหยวยิ้มแห้ง ๆ ไอเจ้าหมอนี่ช่างสรรหาข้อแก้ตัวซะจริงนะ

โจวเฉิงซินเดินตรงมาหาโจวฉวนจีขณะที่หัวเราะร่าเสียงดัง เขาตบไหล่โจวฉวน และพูดขึ้นมาว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั่วทั้งมหาจักรวรรดิโจวจะเรียกขานแต่นามของเจ้า เทพกระบี่โจวไงล่ะ!”

โจวฉวนจียักไหล่ตอบและไม่ได้แสดงท่าทางดีใจให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

มันดูราวกับว่าเขาได้รับชัยชนะนี้มาอย่างง่ายดายเลยทีเดียว

โจวฉวนจึมองไปยังเสี่ยหรูโหยวและถามขึ้นมา “แล้วข้าจะได้เข้าไปยังหอสมุดกระบี่เมื่อไหร่ล่ะ?”

พอได้ยินแบบนั้น เสี่ยหรูโหยวก็รู้สึกอึดอัดใจทันที

เขารู้สึกราวกับว่าโลกกําลังจะพังทลายลง เขาคร่ครวญอยู่ภายในใจ… นี่มันจุดจบของข้าแล้ว…

นิยาย หมื่นกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless L…

ตอนที่ 68 : ข้าขอคารวะท่านอาจารย์

ตอนที่ 68 : ข้าขอคารวะท่านอาจารย์

“10 วันนับจากนี้ไป เราจะเปิดประตูหอสมุดกระบี่ให้กับเจ้า โปรดสบายใจได้ ทางตระกูลเสียจะดูแลความสะดวกของท่านอย่างแน่นอน”

เสี่ยหรูโหยวยิ้มแล้วพูดขึ้นมา แสดงแกล้งทําเป็นเหมือนกับเต็มไปด้วยความยินดี

โจวฉวนขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเขาด้วยความสงสัย จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “10 วัน เลยงั้นเหรอ? นี่ท่านคิดจะหาบของออกให้หมดจากหอสมุดกระบี่เลยรึไงกัน?”

เสี่ยหวโหยวรู้สึกตกใจ ผู้อาวุโสจากตระกูลเสียทั้งหลายต่างก็เริ่มรู้สึกลนลานกันไปหมดเขารู้ได้ไงเนี่ย?

โจวเฉิงซินเองก็ทําสีหน้าแปลกๆ จากนั้นเขาก็นึกถึงความสามารถในการเรียนรู้ของโจวฉวนจีขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เขายิ้มแปลก ๆ ให้กับเสี่ยหรูโหยวด้วยความสงสาร

ตอนที่โจวเฉิงซินกับโจวฉวนจีมองหน้าเสี่ยหรูโหยวอยู่นั้นเอง เขาก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมาทันที “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง?” เขาตอบอย่างรวดเร็ว “สํานักเสี่ยจะไปทําเรื่องเช่นนั้นได้ยังไงกันล่ะ?”

“ถ้างั้นก็ดี ด้วยชื่อเสียงภูมิหลังของตระกูลเสีย ถ้าข้าไม่เห็นวิชาดาบระดับปฐพี่แม้แต่วิชาเดียวละก็ ถ้างั้นก็คงต้องประเมินคุณค่าของงานประชุมกระบี่กันใหม่แล้วละ”

โจวฉวนจําพูดอย่างเคร่งขรึม ทําให้เสียหวโหยวแทบจะกระอักเลือดออกมา

จะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!

ต่อหน้าโจวเฉิงซิน เสี่ยหวโหยวก็ทําได้แค่ต้องก้มหน้ารับกรรมไป

ต่อจากนั้น โจวฉวนจีและเหล่าจอมกระบี่คนอื่น ๆ ที่บาดเจ็บอยู่ต่างก็ถูกพากันกลับมายังสํานักเสียภายใต้การคุ้มกันของศิษย์สํานักเสี่ย เจียงฉือน้ออย ฮวงเหลียนในจอมกระบีแดนเหนือผู้องอาจ และคนอื่น ๆ ก็ได้กลับมาหาเขา

พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและพากันพูดกันไม่หยุดเลย

ตลอดทาง พวกเขาโดนขวางโดยเหล่าคนดูผู้คลั่งไคล้ จนพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากขี่ดาบบินขึ้นฟ้าไป

หลังจากที่เทพกระบี่โจวจากไปแล้ว เหล่าคนดูถึงจะเริ่มแยกย้ายกันไป

เฉียโหวจนเดินออกมาจากที่พักของเขา และมองไปยังทิศทางที่โจวฉวนจีมุ่งหน้าไป “ถ้าข้าอยากจะได้ตัวของโจวฉวนจีมาอยู่กับข้า เจ้าคิดว่าข้าต้องนําของขวัญแบบไหนไปให้เขาถึงจะดี?” เขาถาม

รองแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังพูดกับเขาอย่างลังเล “ข้าเดาว่าน่าจะต้องเป็นวิชาดาบที่หายากมากๆ หรือไม่ก็ดาบในตํานานครับ”

เฉียโหวจินพยักหน้าก่อนจะตกอยู่ในความคิด

ในเมื่อเขาต้องการจะดึงตัวเทพกระบี่โจวมา เขาจะกลับมามือเปล่าไม่ได้

อีกด้านหนึ่ง โจวฉวนจีก็แยกกับเสี่ยหวโหยวและตั้งใจจะพักอยู่ที่คฤหาสต์ตระกูลจางต่อ

เขาจงใจพูดขึ้นมา “10 วันหลังจากนี้ ข้าจะไปที่ตระกูลเสี่ย ข้าหวังว่าท่านจะไม่ ทําให้ข้าผิดหวังนะ”

เสี่ยหวโหยวพยักหน้าแล้วยิ้มอ่อน ๆ ให้ แต่ในใจกลับถุนด่าไม่ยั้ง

หลังจากกลับมาที่คฤหาสต์ตระกูลจางแล้ว โจวฉวนจีก็พาเจียงฉือน้อยกลับมาที่ห้องเพื่อพักผ่อน

จางเถียนเขียนเองก็กลับมาเช่นกัน ระหว่างงานประชุมกระบี่ เขาได้รับบาดเจ็บพอสมควร และต้องใช้เวลาในการรักษา
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยังคงตื่นเต้นคุยจ้อไม่หยุดอยู่ในลานกว้าง

พอเข้าห้องแล้วโจวฉวนจีก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะสบถ “อันตรายโครต ๆ เลย โชคยังดีนะเนี่ยที่ข้ายังมีดาบชโลมโลหิตคอยดูดซับพลังวิญญาณให้น่ะ”

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเจียงฉือน้อยฟัง

เรื่องแบบนี้เขาไม่สามารถเล่าให้กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหรือฮวงเหลียนชิ้นได้ เพราะว่ามันอาจจะไปกระทบกับชื่อเสียงของเขา

แต่เขาสามารถเล่าให้เจียงฉือน้อยฟังได้ เพราะเธอน่ะใส่ใจภาพลักษณ์ของเขาซะยิ่งกว่าตัวเขาเองซะอีก

เจียงฉือน้อยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนจะทําท่าล้อเลียนเขา “แล้วใครใช้ให้เจ้าไปท่าตัวอวดดี ขึ้นไปชั้นบนสุดตั้งแต่แรกกันล่ะ!”

เธอรินน้ําชาให้เขาขณะที่พูด

โจวฉวนจีนั่งอยู่บนเตียงแล้วจ้องไปยังเธอ “ไหน ๆ ข้าก็จะชนะอยู่แล้ว ข้าก็ต้องชนะให้มันดูยิ่งใหญ่หน่อยซิ!”

“จ้า จํา ได้เลย พ่อเทพกระบี่ตัวน้อยของข้า เจ้าเก่งที่สุดในโลกเลยจ้า”

เจียงฉือน้อยยกถ้วยน้ําชาของเขาขึ้นมา แล้วเป่าชาในนั้นให้เย็นลงก่อนจะส่งให้ถึงมือเขา

โจวฉวนจียกชาซดรวดเดียวหมดก่อนจะถามขึ้นมา “แล้วหนูทรายสามตากับเจ้างูดำตัวเล็กนั่นมันหายไปไหนซะล่ะ?”

เธอส่ายหน้าและพูด “บางที่อาจจะไปเล่นกันอยู่ในลานกว้างล่ะมั้ง”

ถึงแม้ว่าเจ้างดานั่นมันจะอยากหนซักแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่มีพลังมากพอจะทําแบบนั้น

ส่วนหนูทรายสามตาเองก็ไม่ได้คิดจะหนี้โจวฉวนจไปไหนอยู่แล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่ ได้ไปไหนหรอก

เจ้าหนทรายสามตาลากเจ้างที่สภาพสะบักสะบอมกลับมาหลังจากนั้นชั่วโมงนึ่ง มันคลานเข้ามาจากทางหน้าต่าง

“ข้า… เกลียด…”

เจ้างูดําบนพื้น ๆ ของมันไปมา เห็นได้ชัดเลยว่า มันพึ่งผ่านการทรมารมามากมาย

ในอีกหลายวันต่อมา โจวฉวนจีก็ไม่ได้ออกจากคฤหาสต์ตระกูลจางเลย เพราะว่าทั่วทั้งเมืองจ้าวกระบี่นั้นกาลังปั่นป่วนไปหมด เขาไม่อยากจะโดนคนมามงล้อมเขาขนาดนั้น
การประลองในงานประชุมกระบี่ทําให้มหาจักรวรรดิโจวปั่นป่วนราวกับพายุเข้าพัดผ่านทั้งจักรวรรดิ

คนนับไม่ถ้วนตกตะลึง

นี่เป็นงานที่ทําให้เทพกระบี่โจวก้าวขึ้นสู่ชื่อเสียงโดยเหยียบร่างของดาบอดรวายุแห่งโจว และยอดกระบี่จาวฉงขึ้นไปยังไงล่ะ!

ข่าวเริ่มแพร่กระจายไปยังอาณาจักรต่าง ๆ ในจักรวรรดิโจว ตอนที่ข่าวสะพัดไปไกล ตําแหน่งของเทพกระบี่โจวในใจของเหล่าปวงชนก็จะเริ่มขยับขึ้นสูงมากขึ้นเรื่อย

ในวันที่ 8 หลังจากงานประชุมกระบี่จบลง ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียนคฤหาสต์ตระกูลจาง

“ยอดกระจาวฉงงั้นเหรอ?”

โจวฉวนขมวดคิ้ว “เขาต้องการอะไรกันนะ?”

“ท่านอยากจะลงไปพบเขาไหมครับ?” จางหรูหยูถามอย่างกังวล

ถึงแม้ว่ายอดกระบี่จาวฉงจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับโจวฉวนจี แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นคนที่ต้องให้ความเคารพอยู่ดี แม้แต่จางเถียนเขียนเองก็ยังต้องมารับหน้าจาวกระบี่จาวฉงด้วยความระมัดระวัง

โจวฉวนจีพยักหน้าก่อนที่เขาจะพาเจียงจือน้อยออกมาจากห้องรับรองแขก หลังจากนั้นเขาก็ตรงไปยังโถงหลัก

จางเถียงเจียนกําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวแรก เขาสวมยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าขณะพูดคุยกับยอดกระบี่จาวฉงที่สีหน้าเย็นชาเป็นน้ําแข็ง

จางหรูหยูนั่งตรงข้ามกับเขา มองยอดกระบี่จาวฉงด้วยความร้อนรน

และเมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจีมา ทั้ง 3 คนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

โจวฉวนก็ไม่ได้สนใจพวกเขามาก แต่เขาไปหาที่นั่งให้ตัวเองแทน “เจ้าต้องการอะไรจากข้ากัน ?” เขาถาม

หรือว่าหมอนี้จะเป็นเหมือนจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกัน? เขาอยากที่จะฝากตัวเองเป็นศิษย์ของข้ารึเปล่านะ

ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เลย

พรสวรรค์ของยอดกระบี่จาวฉงนั้น ทัดเทียมได้กับโจวหยาหลง หรือแม้แต่เสียวจึงหงเองก็อาจจะพอสู้ได้ด้วย

ยอดกระบี่จาวฉงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกําหมัดคารวะตอนที่พูด “ข้าอยากจะรู้ชื่อของวิชากระบี่ที่เจ้าใช้ในการเอาชนะข้า”

เขาพูดออกไปจนได้

โจวฉวนจีตอบ “อาคมหมื่นกระบี่มังกรน่ะ”

ยอดกระบี่จาวฉงขมวดคิ้วเป็นปม แล้วทวนชื่ออีกครั้งกับตัวเอง

อาคมหมื่นกระบี่มังกรงั้นเหรอ…

หรือว่ามันจะสามารถใช้ดาบได้ถึง 10,000 เล่มเลยเหรอ?
ใจของเขาสั่นเครือ แค่ดาบ 10 เล่มก็เพียงพอที่จะล้มเขาได้แล้ว แล้วจะเป็นยังไงกันถ้าเขาใช้ดาบถึงหมื่นน่ะ…

เขาขนลุกชูชันขึ้นมา

ในตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าตนเองนั้นอวดดีเพียงใด

เขาส่ายหน้าแล้วเตรียมจะจากออกไป

“ช้ก่อน!”

โจวฉวนจีเรียกเขาขึ้นมาทันที เขาหันไปหาโจวฉวนจีแล้วขมวดคิ้ว

โจวฉวนจีถาม “เจ้ามีอาจารย์หรือไม่? อยู่ในสํานักใดรึเปล่า?”

ยอดกระบี่จาวฉงส่ายหัวแล้วตอบ “ข้าอยู่เคียงข้างคุณธรรมอย่างเดียวดายบนโลกใบนี้”

“แล้วมีคนที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นห่วงหรือเปล่า?”

“ก็มี… แต่มันไม่ได้สําคัญอีกต่อไปแล้ว”

“ถ้างั้นก็มาติดตามข้าซิ!”

“หืมม?” ยอดกระบี่จาวฉงมองโจวฉวนจอย่างหวาดระแวง ส่วนจางเถียนเจียนกับลูกชายต่างก็ตะลึงไปตามๆกัน
เขาคิดถึงจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจขึ้นมาแล้วสีหน้าของเขาก็เริ่มแปลก ๆ

แม้แต่เพียงฉือน้อยเองก็เช่นกัน เธออดไม่ได้ที่จะกรอกตามองบนใส่

โจวฉวนจียืนขึ้นและพูดขึ้นมาว่า “มาติดตามข้าซิ แล้วข้าจะสอนวิชาดาบที่สุดยอดที่สุดให้กับเจ้าเอง และในท้ายที่สุด ข้าจะปั้นเจ้าให้กลายเป็นจอมกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในมหาจักรวรรดิโจวเอง!”

ยอดกระจาวฉงขมวดคิ้วก่อนจะคิดกับตัวเองว่า ไอหมอนี่มันบ้ารึเปล่านะ?

เขาพูด “แล้วถ้าข้าเป็นจอมกระบี่ที่เก่งที่สุดในมหาจักรวรรดิโจว แล้วเจ้าละ?”

“ข้าก็เก่งที่สุดในโลกไง”โจวฉวนจีตอบแบบมั่นหน้า

ชี้โม้ชิบหาย!

ทุกคนต่างตกตะลึง

เจียงฉือน้อยกุมหน้าของตัวเอง ทําไมเขาถึงชอบมั่นหน้ามั่นโหนกได้ขนาดนั้นกันเนี่ย?

ยอดกระบี่จาวฉงมองหน้าโจวฉวนจีลึกลงไปป ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเดินจาก

ด้วยนิสัยใจคอที่ถือที่ฐไม่ยอมใครและรักสันโดษ จะให้เขาคุกเข่าต่อหน้าโจวฉวนจีได้ยังไงกัน

แกร็ง! แกร็ง! แกร็ง…

ดาบในต่านานเล่มแล้วเล่มเล่าปักลงบนพื้นต่อหน้าของยอดกระจาวฉง ดาบนั้นปักแน่นลงบนพื้นเหมือนกับปิดกั้นเส้นทางของเขาเอาไว้

เขาหันกลับมามองหน้าโจวฉวนจี “นี่เจ้าคิดจะบังคับข้างั้นรึ?” เขาถาม

โจวฉวนจีส่ายหน้าแล้วพูด “เจ้ามีพรสวรรค์และพลังที่ลาเลิศ แต่เจ้ากลับอยู่อย่างสันโดษ เจ้าไม่มีความแค้นใดบ้างงั้นเรอะ? เจ้ารักในวิถีแห่งกระบี่ แต่หลังจากที่เห็นวิชาดาบของข้าแล้ว เจ้าไม่หวั่นไหวบ้างเลยหรือไง?”

“ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้ซิ ให้ข้าได้สอนวิชาดาบให้กับเจ้า แล้วเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปโดยไร้ข้อผูกมัดให้เลย ว่ายังไงละ?”

ยอดกระบี่จาวฉงเงียบ เหมือนกับว่าค่าพูดของโจวฉวนกระแทกเข้าไปตรงจุด

โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่โจวฉวนจีพูด

เอาชนะเขา แล้วเขาจะไปไหนก็ได้โดยไร้ข้อผูกมัด…

ใจของยอดกระบี่จาวฉงเริ่มสั่นคลอน

จางเถียงเจียนมองแบบอ้าปากค้าง ถ้ายอดกระบี่จาวฉงรับเทพกระบี่โจวเป็นอาจา รย์ของเขาแล้วละก็ ทั้งคู่จะน่าหวาดกลัวขนาดไหนกันนะหลังจากที่พวกเขาบรรลุ ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่แล้วน่ะ?

โจวฉวนจีเดินตรงไปหายอดกระบี่จาวฉง ก่อนจะมองขึ้นไปยังเขาและพูดว่า “คนส่วนมากมีโอกาสในชีวิตแค่ครั้งเดียวนะ อย่าทําให้ตัวเจ้าเองต้องผิดหวังเลย ขนาดจอมยุทธโบราณมากฝีมือยังต้องยอมสยบคุกเข่าคารวะแด่คนอายุ 49 ปี เพียงเพื่อเรียนรู้วิชาปราณเฉพาะตัวเลยนะ แล้วข้าที่เอาชนะเจ้าได้น่ะ ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสอนเจ้างั้นรึ?”

ยอดกระบี่จาวฉงหายใจเข้าลึกๆ

เขายอมรับว่าตัวเขาเองนั้นชื่นชมวิชาดาบของโจวจวนจี และก็อยากจะเรียนรู้จริง

แต่เขานั้นถือทิฐิกับตัวเองมากเกินไป

ในตอนนั้นเขาติดอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

โจวฉวนจมองไปที่เขาด้วยความหงุดหงิดร้อนรุ่มใจ แค่รับข้าเป็นอาจารย์มันยากนักรึไงห้ะ?

เขาพูดต่อ “บนโลกนี้มีคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ และมีโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แล้วเจ้าล่ะ รักในดาบจริง ๆ รึเปล่า?”

สีหน้าของยอดกระบี่จาวฉงเปลี่ยนไปทันที มันเหมือนกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และสีหน้าอารมณ์ของเขาก็เริ่มผสมปนเปกันไปหมด

ในที่สุดเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างนึ่ง และพูดขึ้นมา “ข้า ยอดกระบี่จาวฉง ขอคารวะท่านอาจารย์!”

ตอนที่ 69 : การล้างแค้น ณ มหาจักรวรรดิเฉิน

“บนโลกนี้มีคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ และมีโลกที่เจ้าาไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน!”

นี่เป็นคําพูดที่ยอดกระจาวฉงชอบมาก ซึ่งพ่อที่ล่วงลับไปแล้วของเขาเคยพูดเอาไว้

ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินโจวฉวนจีพูดออกมา มันเลยทําให้เขารู้สึกหวั่นไหวเอามาก

โจวฉวนจีตบไหล่ของเขาและยิ้มให้อย่างพึงพอใจ “งั้นตอนนี้เจ้าก็เป็นทาสกระบี่ของข้าแล้วสินะ แต่ข้าจะดูแลเจ้าดั่งศิษย์ของข้าแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ข้าไม่อาจสอนเจ้าได้อีก หรือเจ้าสามารถก้าวข้ามข้าไปได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปเอง ข้ามองออกนะว่าจิตใจของเจ้านะใฝ่หาพลังอานาจสูงสุด เพราะงั้นแล้วก็เอาข้าเป็นเป้าหมายของเจ้าซะสิ!”

เขาโบกมือและดาบในตํานานทั้งหมดก็ถูกเก็บเข้าสุดยอดช่องเก็บของ

เมื่อยอดกระบี่จาวฉงได้ยินคําว่า “ทาสกระบี่” แล้ว เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

แต่พอมาคิดดูอีกที มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องไปเป็นทาสรับใช้โจวฉวนจีสักหน่อยหนิ?

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงครึ่งหลังที่โจวฉวนจีพูดมันก็ทําให้ใจของเขาเต้นระรัวสุด ๆ

จิตใจที่ใฝ่หาพลังอําานาจสูงสุด!

เขาไม่คิดเลยว่าโจวฉวนจีจะเข้าใจเขามากขนาดนี้

แต่ในตอนที่เขากําลังตกอยู่ในความคิดนั่นเอง โจวจวนจีก็พยุงตัวเขาขึ้นมา “มาอยู่ที่ซะนะ” โจวฉวนจีพูดพลางยิ้มให้

หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปมองจางเถียนเจียนและถามขึ้นว่า “ได้รึเปล่า?”

จางเถียนเขียนที่ดูจะอึ้ง ๆ อยู่ ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะพยักหน้าตอบทันที

จางหรูหยูและจางหรูถานยังคงทําหน้าสิ่งงงวยใส่

*ยอดกระบี่จาวฉงรับข้อเสนอของท่านโจวฉวนจึง่าย ๆ แบบนี้เลยอ่ะนะ?

พวกเขาต่างก็รู้สึกเหมือนว่ากําลังฝันอยู่ และไม่สามารถแยกออกได้ว่านี่มันความจริงหรือฝันไปกันแน่

เจียงฉือน้อยก็แอบรู้สึกตกใจนิดหน่อยด้วย

โจวฉวนจีพูดกับยอดกระบี่จาวจงว่า “มากับข้า”

หลังจากนั้น โจวจวนจีก็เดินตรงไปยังสวนลานกว้างของห้องตัวเอง

ทาสกระบี่คนใหม่ก็เดินตามหลังเขามาติด ๆ

โจวฉวนจีดึงตัวเจียงจือน้อยที่ยังตะลึงไม่หายให้ตามมาด้วย และเดินออกจากโถงหลักไป
จางหรถานกลืนน้ําลายเสียงดัง ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ข้าก็อยากจะเป็นทาสกระบี่ของท่านโจวฉวนด้วยอ่ะ ท่านคิดว่าข้าจะพอมีหวังบ้างมั้ย?”

ปัก!

จางหรูหยุตบเข้าดังป้าบและถาม “ละเจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

จางหรูถานปิดหน้าก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงละห้อย “สิ้นหวังฮะ…”

จางเถียนเขียนก็เริ่มคิดถึงคําถามแบบเดียวกัน

แม้แต่ยอดกระบี่จาวฉงก็ยังต้องยอมจํานนต่อเทพกระบี่โจว แล้วถ้ําเขาได้เป็นทาสกระบี่ของเทพกระบี่โจวด้วยเหมือนกันล่ะก็ มันอาจจะไม่ดูน่าขายขี้หน้าเลยสักนิด กลับกันจะดูมีเกียรติยิ่งกว่าซะอีก

ข่าวลือเกี่ยวกับความหาญกล้าของเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วโลกภายนอกแล้ว ไหน ๆ เขาสนิทกับเทพกระบี่โจวมากขนาดนี้ ทําไมเขาไม่ใช่โอกาสนี้เอาซะเลยล่ะ?

อีกด้านหนึ่ง โจวฉวนจีและคนอื่น ๆ ก็ได้มายังกลางลานกว้าง เขาเรียกจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชิ้นให้ออกมา

และทั้งคู่ต่างก็ตกตะลึงทันทีเมื่อได้เห็นยอดกระบี่จาวฉง

โจวฉวนจีพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาก็จะมาเป็นทาสกระบี่ของข้า รวมถึงมาเป็นพวกของพวกเราด้วย เพราะงั้นก็ใช้เวลาทําความคุ้นเคยกันด้วยล่ะ”

ครึ่งหลังที่โจวฉวนจีพูดหมายถึง ยอดกระบี่จาวฉงยังไม่รู้แผนล้างแค้นของพวกเขานั้นเอง

ก่อนหน้านี้เขาได้สร้างสัญญาณลับเอาไว้บอกเป็นนัย ๆ กับพวกเขา

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชิ้นต่างก็มองกันและกันด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

แต่พอมาคิดดูอีกที่แล้ว ก็รู้สึกได้ว่าสมเหตุสมผลอยู่

สําหรับจอมกระบี่แล้วเนี่ย ใครมันจะไม่อยากได้วิชาดาบของโจวฉวนกันล่ะ?
โจวฉวนจีเดินไปที่ศาลาหิน และบอกให้พวกเขานั่งลง

หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว เขาก็ขอให้ฮวงเหลี่ยนชินช่วยเสิร์ฟชาให้เขา

“พูดสิ่งที่เจ้าต้องการมา แล้วข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง”

โจวฉวนจําพูด การคุยกันเมื่อครู่นี้ทําให้พวกเขาเข้าใจได้ว่า ยอดกระบี่จาวฉงกําลังปิดบังปัญหาบางอย่างที่หนักหนาเกินกว่าจะพูดได้ไว้อยู่

ด้วยความสามารถเช่นนี้ เขากลับเดินทางด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีแม้แต่นักอยู่หรืออาจารย์ เพราะงั้นมันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่

ยอดกระบี่จาวฉงรู้สึกลังเลใจ แต่พอเขานึกถึงความแข็งแกร่งของโจวฉวนจีแล้ว เขาก็ตอบออกมา “ข้ามีคนที่ต้องการล้างแค้นอยู่ ในมหาจักรวรรดิเฉิน”

มหาจักรวรรดิเฉินเป็นเพื่อนบ้านกับมหาจักรวรรดิโจว

ความกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นเทียบได้กับมหาจักรวรรดิโจวเลยทีเดียว ทั้ง 2 จักรวรรดินั้นทํามาค้าขายด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีเพียงน้อยคนนักในมหาจักรวรรดิโจวที่จะรู้ถึงข้อมูลเกี่ยวกับมหาจักรวรรดิเฉิน

“ข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้นเอง” โจวฉวนจําพูดขณะพยักหน้าให้

“ท่านจะไม่ถามหน่อยว่าเป็นใครน่ะ?” ยอดกระบี่จาวฉงถามด้วยความประหลาดใจ “จะเป็นยังไงถ้าศัตรของข้าคือจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉินล่ะ?”

โจวฉวนจีชายตาไปยังเขาและพูดขึ้นว่า “ให้เวลาข้าสัก 100 ปี ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉิน ข้าก็จะตัดหัวแล้วนํามาให้เจ้าเอง”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและเลี้ยงฉือน้อยไม่รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะศัตรูของโจวฉวนจีก็เป็นองค์ราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวอยู่แล้ว

ถึงแม้การลอบสังหารนางจะยากน้อยกว่าการฆ่าจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉินอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่อยู่ดี

ยอดกระบี่จาวฉงรู้สึกหวั่นเกรงในความกล้าบ้าบินของโจวฉวนจี เขากลืนน้ําลายเสียงดัง และไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

ในตอนนั้นเอง ฮวงเหลี่ยนชินก็เดินมา ก่อนจะรินน้ําชาให้พวกเขา

เจ้าหนทรายสามตากระโดดขึ้นมาบนโต๊ะหิน พร้อมทั้งลากเจ้างสีดาตัวจ้อยมาด้วย

“ขะ… ข้า… ข้าเกือบได้ตายจริงแล้ว…”

เจ้างูสีดตัวจอยครวญครางออกมา และดึงดูดความสนใจของยอดกระบี่จาวฉงเข้า

เขาถามด้วยความสงสัย “หนูทรายสามตาที่สามารถระบุตําแหน่งของสมบัติได้ทั่วทั้งโลกหรอ… ส่วนเจ้างูนี่คือ…”

“มันชื่อจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬน่ะ เคยได้ยินชื่อมันมาบ้างรึเปล่าล่ะ?” โจวฉวนจีตอบอย่างสงบนิ่ง

ยอดกระบี่จาวฉงเบิกตากว้างและถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่ามันเป็นถึงราชาปีศาจระดับ 5 หรอ? แล้วไม่ใช่ว่ามันกับหลี่จือเหมยโดนจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ฆ่าตายไปแล้วหรอ?”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถอนหายใจอย่างเนือย ๆ “เสี่ยวจึงหงเป็นศิษย์ของอาจารย์ข้านะ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

ยอดกระบี่จาวฉงตะลึงค้าง

เสี่ยวจึงหงเป็นศิษย์ของเทพกระบี่โจวเนี่ยนะ?

ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ที่มากกว่าเสี่ยวจึงหงก็เถอะ แต่ตอนนี้เขาก็ยังอ่อนแอกว่าเสี่ยวจึงหงมากเลยนะ

ถ้าที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพูดเป็นความจริงล่ะก็ ถ้างั้นเป็นไปได้มั้ยว่าจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬนี่จะเป็นของขวัญที่โจวฉวนจได้มาจากจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นะ?

ในขณะที่เขากําลังจมอยู่ในความคิดมากขึ้น ภาพโจวจวนจีที่อยู่ภายในใจของเขาก็เริ่มยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เจ้าต้องสอนวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุดให้เขา แล้วเจ้าต้องสอนจนกว่าเขาจะบรรลด้วย”

จู่ๆ โจวฉวนจีก็ชี้ไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและออกคําสั่งกับยอดกระบี่จาวฉง

เมื่อได้ยินอะไรแบบนั้นแล้ว ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกตกใจ

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้สึกประหลาดใจมาก ขณะที่ยอดกระบี่จาวฉงขมวดคิ้วใส่

แต่ในตอนที่เขากําลังจะพูดนั่นเอง โจวฉวนจีก็พูดว่า “หลังจากที่เจ้าเริ่มสอนเขาจนบรรลุไปได้ระดับนึ่งแล้ว ข้าถึงจะเริ่มสอนวิชาดาบขั้นที่สูงยิ่งขึ้นให้เจ้า”

“จะว่าไปแล้วเจ้าเคยสอนวิชาดาบให้ใครเป็นการส่วนตัวมาก่อนรึเปล่าล่ะ?”

ยอดกระบี่จาวฉงไม่สามารถตอบกลับไปได้ เขามันเป็นพวกหมกมุ่นในวิชาดาบมากอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจะไปมีเวลาสอนให้คนอื่นได้ไงกันล่ะ?

ฮวงเหลี่ยนชินยิ้มให้และพูดขึ้นมา “เมื่อก่อนตอนที่จอมกระบี่ผู้องอาจเข้ามาอยู่กับพวกเราน่ะ นายท่านก็บอกให้เขาสอนวิชาดาบให้ข้าเหมือนกันล่ะ”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพยักหน้าและพูด “การสอนวิชาดาบให้ผู้อื่นจะช่วยให้เจ้ามองเห็นปัญหาที่เขาไม่เคยเห็นระหว่างฝึกได้ด้วยนะ นายท่านไม่ปล่อยให้พวกเราทํางานเสียเปล่าหรอกน่า”
เมื่อยอดกระบี่จาวฉงได้ยินก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา

มันก็อาจจะเป็นแนวทางให้ข้าจริง ๆ ก็ได้

ในทางกลับกัน โจวจวนจีที่กําลังดื่มชาอยู่ด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง และดูราวกับบุคคลที่ไม่อาจจะหยั่งถึงได้

แต่ในใจก่าลังขาลั่นเชียวล่ะ

จริง ๆ แล้วข้าก็แค่อยากให้พวกเจ้าสอนวิชาดาบให้กันเองเท่านั้นแหละ

ในที่สุดยอดกระบี่จาวฉงก็ตอบตกลง เพราะดูยังไงเขาก็น่าจะมีวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุดอยู่แล้ว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขารวบรวมวิชาดาบเอาไว้มากมายมายจากการเอาชนะศัตรูของเขา

และดังนั้นแล้ว จางฉงเจียนจึงได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับพวกเขาที่ห้องข้าง ๆ ของจอมกระบี่ผู้องอาจ

2 วันหลังจากนั้น โจวจวนจีก็มายังหอสมุดกระบี่ภายใต้การนําทางของศิษย์จากสํานักเสี่ย

หอสมุดกระบี่นั้นตั้งอยู่ภายในสํานักเสี่ย เป็นตึกที่สูงถึง 15 เมตร และกินพื้นที่กว่าครึ่งของที่ดินคฤหาสต์ตระกูลจาง ศิษย์สํานักเสี่ยหลายสิบคนกําลังเฝ้ายามปกป้องสถานที่อยู่ ขณะที่มีผู้อาวุโส 2 คนนั่งอยู่หน้าประตูและฝึกฝนวรยุทธอยู่เงียบ ๆ

เสี่ยหวโหยวและเหล่าผู้อาวุโสคอยเดินตามหลังโจวฉวนจี

“เข้าไปสิ 3 วันนับจากนี้ไป จะมีคนไปแจ้งให้ท่านออกมาเอง”
เสี่ยหรูโหยวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่กลับเห็นเหงื่อที่กําลังไหลหยดลงจากหน้าผากเขาได้อย่างชัดเจน

โจวจวนจีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปยังหอสมุดกระบี่ทันที

ปิ้ง!

ประตูหอสมุดกระบี่ถูกปิดลง และรอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยหวูโหยวหายไปวับไปโดยพ
ลัน

เขากัดฟันและถามขึ้นมา “เจ้าคิดว่าเขาจะเรียนไปได้มากเท่าไหร่กัน?”

เหล่าผู้อาวุโสต่างมองกันและกันด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า และไร้ซึ่งใครตอบกลับ

หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึงผลลัพธ์ในการทดสอบขั้นที่ 3 ของงานประชุมกระบี่

ในเวลาเดียวกัน โจวจวนจีที่ยืนอยู่หน้าประตูหอสมุดกระบี่ก็มองไปยังชั้นหนังสือมากมายมหาศาลที่อยู่ ณ เบื้องหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาดบนใบหน้า “ถ้าข้าเรียนหมดนี่ไม่ได้ ข้าก็มีชีวิตอยู่ในนามของเทพกระบี่โจวไม่ได้หรอกนะ!” เขาหัวเราะลั่น

เขาตั้งใจตะโกนเสียงดังลั่นออกมา และให้มากพอจะดังลั่นออกไปยังนอกหอสมดกระบี่

เสี่ยหวุโหยวและเหล่าผู้อาวุโสแห่งสํานักเสี่ยต่างก็เริ่มทําหน้าตึงกันขึ้นมา

นิยาย หมุนกระบี่ทะลวงสวรรค์ | Have Countless L…

ตอนที่ 64 : ปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่

[แก้ไขชื่อแม่ทัพ เฉียงโหวจิน เป็น เฉียโหวจิน นะคะเนื่องจากต้นฉบับแปลมาผิด]

แต่เมื่อดาบอุดรวายุแห่งโจวเกือบจะตกลงบนเวทีหิน เขาก็หมุนตัวและหันฝ่ามือตัวเองลงพื้นคลื่นสายลมพัดโหมกระหนาออกมาจากฝ่ามือของเขาปะทะกับพื้นและผลักดันตัวของเขากลับขึ้นไป

เขาใช้เท้าถีบตัวขึ้นจนสร้างเสียงระเบิดขึ้นมากลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งกระโจนขึ้นไปอีกครั้งและตรงไปยังด้านบนสุด

ในเวลาเดียวกัน เหล่าจอมยุทธที่อยู่ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 นั้นก็กาลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

เหล่าผู้เข้าแข่งขันในงานประชุมกระบี่ต่อก็เข้าปะทะกันที่ละคู่ ๆ และการต่อสู้นั้นก็ทําให้งานประชุมกระบี่นี้เร่าร้อนจนถึงขั้นสุด

ประกายแสงจากดาบที่ส่องประกาย และปราณกระบี่ถูกยิงไปมาทั่วทุกหนแห่ง จนท่าให้โครงสร้างของทั้งหอคอยเหล็กส่ายไปมาอยู่เรื่อย ๆ

โจวฉวนจียืนอยู่ ณ ชั้นบนสุดพร้อมกับดาบอัสนีคํารามและดาบเด็ดสุกรที่อยู่ในมือต้านทานไม่ให้ดาบอดรวายแห่งโจวขึ้นมาด้านบนได้

ดาบอดรวายุแห่งโจวพุ่งไปมาอยู่ระหว่างชั้นที่ 9 และชั้นที่ 10
พร้อมกับดาบที่อยู่ในมือขวาของเขาและแท่งเหล็กที่อยู่ในมือซ้าย เขาช่างว่องไวราวกับวานร

เขาพุ่งตัวไปมาระหว่างชั้นล่างและชั้นบนสุดของพื้นเหล็ก เพื่อที่จะได้กระโดดขึ้นจากมุมที่ต่างกัน แต่การโจมตีของเขาก็ยังถูกโจวจวนจีปัดป้องเอาไว้อยู่ดี

ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับล้าน โจวฉวนจีนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากที่สุด

ด้วยดาบที่อยู่ในมือทั้งสองข้างนี้ เขาดูราวกับนักแสดงเดี่ยวผู้กวัดแกว่งดาบอยู่บนเวที ท่วงท่าของเขานั้นสง่างามราวกับนกกระเรียนที่ร่ายรําพร้อมทั้งท่วงทํานองที่ดัง ก้องมาจากขลุ่ย

เทียบกับเขาแล้ว ดาบอุดรวายุแห่งโจวนั้นเสียเปรียบสุด ๆ แม้แต่ในด้านความงดงามของวิชาดาบ เขาก็ยังไม่อาจเทียบกับโจวฉวน จีได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เสี่ยหรูโหยวขมวดคิ้วขณะที่ผู้อาวุโสท่านอื่น ๆ ที่เป็นผู้คุมกฎแห่งสํานักเสี่ยต่างก็เบิกตากว้างราวกับว่าพวกเขาพึ่งเห็นผี

“จิตดาบ… นั้นมันวิชาเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีของพวกเรางั้นหรอ?”

เสี่ยหวโหยวถามผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเขาด้วยเสียงค่อย

เป็นธรรมดาที่เขาจะประทับใจในวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุด

แต่เขาไม่แน่ใจว่านั้นใช่วิชาเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีจริงรึเปล่า

ผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างเหม่อลอยก่อนจะพูด “ใช่แล้ว…นั่นคือวิชาเพลงดาบขลุ่ย หยก 36 วิถี…แล้วจิตดาบนั่น…นั่นคือจิตดาบของวิชานั้นจริง ๆ…”

วิชาเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีเป็นวิชาที่เขาชอบมาก

แต่มาตอนนี้ จู่ๆก็มีคนบรรลจิตดาบวิชานั้นไปได้แล้ว

ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกเคารพที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นค่าพูดได้ก็ท่วมท้นอยู่ภายในใจเขา

วิชาเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีเป็นวิชาดาบที่สามารถประยุกต์ได้หลากหลายมากมันมีทั้งหมด 36 รูปแบบ ซึ่งสามารถทําให้ศัตรูไม่ทันตั้งตัวได้เลยทีเดียว

โจวฉวนจีสลับไปมาระหว่างจิตดาบกระเรียนขาวและเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีโดยที่ยังคงจิตดาบไว้ได้อยู่

เทียบกับคู่แข่งคนอื่น ๆ เขานั้นแตกต่างกว่าใคร

ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณเท่านั้น แค่ท่วงท่าอย่างเดียว เขาก็ยังเก่งกว่ายอดกระบี่จาวฉงหลายขุมนัก

ดวงตาของเจียงจือน้อยเปล่งประกายขณะที่คอยเฝ้ามองอยู่ท่ามกลางฝูงชน และ ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว ฮวงเหลี่ยนชินก็เช่นกัน

ถึงแม่โจวฉวนจีจะตัวเล็ก แต่เขาก็ดูยิ่งใหญ่มากเมื่อเริ่มใช้ดาบประลองยุทธ จนทําให้เล่าผู้ชมต่างก็ต้องอุทานออกมา

ปรมาจารย์แห่งวิถีกระ!!

นี่มันท่วงท่าระดับปรมาจารย์ชัด ๆ

ไม่จําเป็นต้องมีคําอธิบายใด ๆ ทั้งนั้น เพราะทุกอย่างมันแสดงให้เห็นในการต่อสู้หมดแล้ว

โจวฉวนจได้แสดงออกมาให้เห็นหมดแล้ว

“เทพกระบี่โจว…ช่างสมกับฉายาจริง ๆ…”

“สลับไปมาระหว่าง 2 จิตดาบได้สบาย ๆ แถมติดขัดเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย… เขาจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

“ไม่แปลกใจเลยที่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวจะมองเขาเป็นคู่แข่งน่ะ ถ้ามองข้ามเรื่องระดับวรยุทธไป นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าได้เห็นคนที่บรรลุในวิถีกระบี่แบบนี้น่ะ”

“เขานี่แหละปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่ของจริงล่ะ!”

“ดาบอุดรวายุแห่งโจวโครตกระจอกเลยว่ะ! ดูเทพกระบี่โจวสิ! นี่แหละความยิ่งใหญ่ของจอมกระบี่ล่ะ!”

ผู้ชมนับล้นต่างแสดงความเห็นกันอย่างตื่นเต้น เสียงของพวกเขาดังสุด ๆ แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงดาบที่กระทบกระทั่งกันได้

เมื่อได้เห็นการฉายเดี่ยวของโจวฉวนจีแบบนี้แล้ว ยังจะมีใครกล้าพูดอีกว่าโจวฉวนจีนั้นไม่สมกับฉายาของเขาเองน่ะ?

แม้แต่แม่ทัพระดับที่ 3 ของมหาจักรวรรดิโจวอย่างเฉียโหวจินยังถึงกับถอนหายใจ

“ช่างสมเป็นเทพกระบโจวซะจริง เขาจะต้องได้เข้าตารางจัดอันดับยอดฝีมือของมหาจักรวรรดิโจวหลังจากจบงานประชุมกระบี่นี้แน่”

ไม่มีใครปฏิเสธความคิดของเขา

นั่นก็เพราะพวกเขาต่างก็ชื่นชมในตัวโจวฉวนจี

ในขณะเดียวกันชายหนุ่มในชุดสีเหลืองก็พยายามเขย่งเท้ายืนมองอยู่ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของเขานั้นดูดีมากทีเดียว และดูเหมือนผู้หญิงนิดหน่อย

นั่นก็คือองค์หญิงฉวนหยา ผู้มีพรสวรรค์รวมวิถีนั้นเอง!

ก่อนหน้านี้ที่เมืองกลืนเมฆา นางโดนฉวงฮัยเฉิงจับตัวเอาไว้ ถ้าไม่ได้โจวฉวนจีช่วยเอาไว้ได้ทันเวลาล่ะก็นางคงจะโดนพวกเผ่าปีศาจจับตัวไปแล้ว

แต่นางก็ยังไม่ให้อภัยโจวฉวนที่ปล่อยให้นางร่วงลงไปแบบนั้นอยู่ดี

นางเกือบตายเพราะตกจากที่สูงแล้ว

พอนางได้ยินว่าเทพกระบี่โจวตั้งใจจะเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ด้วย นางก็แอบหนีออกมาจากพระราชวังก่อนจะแต่งตัวเป็นผู้ชายเพื่อมาดูการต่อสู้

ก่อนหน้าที่นางจะได้เห็นโจวฉวนจีที่อยู่บนยอดสุดของหอคอย นางยังเกลียดเขาอยู่เลยแต่มาตอนนี้ นางกลับชื่นชมในตัวเขาสุด ๆ

แถมนางยังตะโกนร้องให้เขาอีกว่า “เทพกระบี่โจว! ล้มเจ้านั้นให้ได้นะ!”

เมื่อทุกคนเอาแต่สนใจและร้องเชียร์ให้กับโจวฉวนจี ดาบอดรวายุแห่งโจวก็เริ่มรู้สึกแย่สุด ๆ

เขาครามขึ้นมาในใจโว้ย! ไอหมอนี่มันใช่จิตดาบต่อเนื่องได้ยังไงกันวะเนี่ย? แถมยังเปลี่ยนจิตดาบเป็นว่าเล่นอีก…แม่งเอ้ย!

“งั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยพลังทั้งมีที่มีแล้วกัน!”

ทันใดนั้นเอง ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาจากตัวเขา เขากระโดดขึ้นจากด้านหลังของโจวฉวน

ราวกับว่าโจวฉวนจีมีตาหลัง เขาฟันเข้าหาศัตรูด้วยดาบทั้งสองเล่มพร้อมกันท่วงท่าการเคลื่อนไว้ของเขานั้นรวดเร็วและไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ แถมยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม

ในทางกลับกัน จิตสังหารแผ่กระจายออกมาผ่านแววตาของดาบอุดรวายุแห่งโจวมือทั้งสองข้างของเขาถือดาบเอาไว้ และลมกรรโชกแรงก็ปรากฎหมุนวนออกมารอบดาบของเขาในตอนที่จะฟัน

ในคราวนี้ เขารวมเอาพลังวิญญาณทั้งหมดออกมา แม้แต่กล้ามแขนของเขาก็ยังใหญ่ขึ้น

แสงสะท้อนจากดาบที่เย็นเฉียบราวกับตะวันที่ฉายแสงกระจายไปทั่วฟากฟ้ามาก เสียจนทําให้ผู้คนต่างต้องหรี่ตาลงรวมทั้งตัวโจวฉวนจีเอง

แกร๊ง

เมื่อดาบทั้งสองเล่มเข้าปะทะกัน ดาบอัสนีคารามก็ปลิวลอยออกไปเพราะแรงปะทะ โจวจวนจีรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่มือของเขา จนต้องถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ

มันเป็นฉากที่ทําให้ทุกคนต่างก็รู้สึกกังวลใจไปตาม ๆ กัน

แม้แต่เพียงฉือน้อยยังต้องเอามือมาปิดปากตัวเองเอาไว้ เธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอแทบจะกระเด้งออกมาจากปากเลยทีเดียว

ดาบอุดรวายุแห่งโจวยิ้มกว้างไม่ว่าวิชาดาบของเจ้าจะร้ายกาจสักแค่ไหน แต่พลังวิญญาณของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!

ตอนโจวฉวนกําลังจะร่วงลงจากชั้นบนสุดนั้นเอง เขาก็ใช้นิ้วเท้าเกี่ยวแท่งเหล็กที่อยู่ข้างใต้หลังคาเอาไว้ ดาบมังกรสีชาดปรากฏออกมาด้านหลังของเขา ก่อนจะผลักเขากลับขึ้นไป

ผู้ชมนับล้านต่างเบิกตากว้าง

นั่นมันวิชาดาบอะไรกัน?

ดาบนั่นมีชีวิตหรอ?

โจวฉวนกลับขึ้นไปยังชั้นบนสุด ในขณะที่ดาบอดรวายุแห่งโจวก้าวเท้าข้างนึงลงไปบนพื้นของชั้นบนสุดแล้ว

ทันใดนั้น ดาบไร้ลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นข้างโจวฉวนจี

มีเพียงเขาที่เห็นเท่านั้น

จากนั้น เขาก็ร่ายวิชาขยายวิถีกระบี่ขึ้นมาภายในใจและใช้มันกับดาบไร้ลักษณ์

ฟืบบบบ!

หน้าอกของดาบอุดรวายุแห่งโจวโดนแทงจนทะลุเลือดพุ่งกระจายออกมาจากบาดแผล

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อในสายตาพร้อมทั้งเบิกตากว้าง

เกิดอะไรขึ้น?

ร่างกายของเขาล้มลง โจวฉวนจมองเขาที่ค่อย ๆ ร่วงหล่นไกลออกไป

โจวฉวนจียืนอยู่ ณ ชั้นบนสุดและมองลงมายังคู่ต่อสู้ของเขา แววตาของเขาดูสงบนิ่ง ราวกับว่าเขากําลังมองเจ้าสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขาเลย

ดวงตาของดาบอดรวายุแห่งโจวเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ความโกรธาสุมอยู่ภายในใจเขา

ไม่! ข้าจะมาแพ้แบบนี้ไม่ได้

เขาครามขึ้นมาในใจ แม้เขาจะเจ็บหนักขนาดไหน แต่เขาก็เปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายของเขาและเตรียมพร้อมที่จะพุ่งกลับขึ้นไปอีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง โจวฉวนจีก็เขวี่ยงดาบอัสนีคารามตรงมายังดาบอดรวายุแห่งโจว ดาบเล่มนั้นบินหมุนวนและพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วประสานกับสายฟ้า

ตู้มมมมม!

ดาบอัสนครามแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าฟาดที่รุนแรงเสียจนสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์

ฟ้าผ่าด้วยความเร็วแสง !

ดาบอุดรวายุแห่งโจวที่กาลังร่วงลงไปอยู่นั้น ก็ไม่อาจจะหลบได้ทันเวลา

ขณะที่ฝูงชนเฝ้ามองอยู่ สายฟ้าก็ฟาดลงมายังดาบอุดรวายุแห่งโจวและทําให้เขาร่วงลงไป และเพราะฐานของหอคอยนั้นมีความกว้างที่มาก สายฟ้าจึงฟาดลงมาโดนเสาเหล็กพอดี ซึ่งมันทําให้เหล่าคู่แข่งที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้นต่างก็รู้สึกหวาดผวากันไปหมด

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า

ฟ้าผ่าลงมายังบนผืนดิน!

ดาบอดรวายุแห่งโจวกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจังจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบนเวทีนั้น เต็มไปด้วยฝุ่นควันจนตอนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง

ณ ตอนนี้ ดาบอุดรวายุแห่งโจวได้ถูกกําจัดแล้ว!

ผู้ชมนับล้านต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด

พร้อมกับดาบเด็ดสุกรที่อยู่ในมือ โจวฉวนจียืนอยู่ ณ ชั้นบนสุดของหอคอย เขาดูน่าเกรงขามสุด ๆ พร้อมทั้งชุดสีดําสนิทที่กําลังพลิ้วไหวไปตามสายลมสะกดให้เหล่า ผู้ที่อยู่ใต้สรวงสวรรค์นั้นต้องตกอยู่ในความตะลึงงัน!

ตอนที่ 63 : ทั้งสูงส่งและทะนงตัว!

โจวฉวนจีขมวดคิ้ว สมกับเป็นจักรพรรดิกระบี่ซะจริง เขาอุทานขึ้นมาในใจ

คําพูดพวกนั้นมันก็แค่กับดักเท่านั้นยังไงล่ะ!

สําหรับใครบางคนที่ทั้งสูงส่งและทะนงตัวอย่างจักรพรรดิกระบี่มาแสดงความเคารพอย่างสูงกับโจวฉวนมันเหมือนกับการผลักให้โจวฉวนจีตกลงไปในหลุมเพลิงนรกยังไงอย่างงั้น

แต่โจวฉวนจีสัมผัสได้เลยว่าเหล่าฝูงชนนั้นมองต่างออกไป

พวกเขากลับเริ่มรู้สึกอิจฉามากขึ้นกว่าเดิมแทน

โดยเฉพาะศิษย์จากสํานักเสี่ย พวกเขาต่างก็มองไปทางเขาด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับอยากจะตะครุบเขาเลยที่เดียว

โจวฉวนจไม่ได้ตอบสนองอะไร ในเวลาแบบนี้เงียบเอาไว้จะดีกว่า

ในเมื่อจักพรรดิกระบี่ตั้งใจจะถีบเขาให้ตกลงไปในบ่อหายนะด้วยค่าสรรเสริญที่เกิดเหตุนั้นอยู่แล้วทําไมเขาจะไม่ใช่โอกาสนั้นในการประสบความสําเร็จไปด้วยเลยล่ะ?

ยิ่งกว่านั้น ถ้าเขาเถียงกลับไปล่ะก็ มันจะไม่ดูเหมือนว่าเขาไม่ให้เกียรติจักรพรรดิกระบี่แทนหรอกหรอ?

ถ้าเป็นงั้นจริง มีหวังจักรพรรดิกระบี่คงจะได้ใช้ข้ออ้างนั่นในการพรากชีวิตเขาไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการแหง

สําหรับคนที่มีทั้งบารมีและความโด่งดังอย่างจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวแล้วเขาไม่มีทางจะฆ่าใครโดยไม่มีเหตุผลดี ๆ ได้หรอก

ผู้คนนับล้านที่รายล้อมอยู่รอบเวทีหินเริ่มตกอยู่ในความโกลาหลต่างก็เริ่มร้องออกมาด้วย ความประหลาดใจ ดังมากเสียจนเสียงแทบจะทะลุฟ้าไปเลยทีเดียว

“พระเจ้าช่วย! เทพกระบี่โจวดึงความสนใจจักรพรรดิกระบี่ได้งั้นหรอเนี่ย?”

“สุดยอดไปเลย เทพกระบี่โจวนเจ๋งจริง ๆ ว่ะ!”

“แหงอยู่แล้ว เขากล้าเรียกตัวเองว่าเทพกระบี่เลยนะ เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรอว่าเขาจะไร้ความสามารถน่ะ?”

“จักรพรรดิกระบี่พยายามจะขยี้เขาด้วยค่ายกย่องเว่อร์ ๆ นั่นแหงเลย!”

“จะเป็นงั้นไปได้ไงเล่า! จักรพรรดิกระบีน่ะทั้งซื่อตรงและซื่อสัตย์เชียวนะเขาไม่มีทางทําอะไรแบบนั้นหรอก!”

ณ ที่ขอบเวทีหิน เจียงฉือน้อย จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และคนที่เหลืออยู่ต่างก็ปั่นป่วนกันหมด

จางหรูถานพูดขึ้นมาด้วยความชื่นชม “ท่านเทพกระบโจวช่างสุดยอดจริง ๆ”

แต่ฮวงเหลี่ยนชินกลับขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาเบา ๆ “จักรพรรดิกระบี่ต้องไม่ได้ทําด้วยเจตนาดีแน่เลย”

“เจ้าหมายความว่าไงกันน่ะ?” เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยินก็ถามด้วยความแปลกใจไม่ใช่ว่าเขามองเทพกระบี่โจวของพวกเราในทางที่ดีหรอกหรอ?

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็เริ่มตระหนักได้เหมือนกันและสีหน้าที่ตื่นเต้นของเขาก็พลันหายไปในทันที ก่อนที่เขาจะเริ่มพิมพ์ออกมา“ดูบรรยากาศรอบ ๆ นั่นสินี่มันคือการบดขยนายน้อยของข้าด้วยคําสรรเสริญที่เว่อร์วังชัด ๆ”

เจียงฉือน้อยหันมองไปยังฝูงชนรอบ ๆ ทันที และเริ่มตระหนักได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่พูดเชียร์เทพกระบี่โจว

คนส่วนใหญ่ต่างมองไปยังโจวฉวนจีด้วยความสงสัย บ้างก็มองด้วยความอิจฉา

ในขณะเดียวกัน บนเวทีหินนั้น เสี่ยหรูโหยวก็ยังคงยิ้มอยู่พลางมองไปยังโจวฉวนจี เขาพยักหน้าอยู่หลายต่อหลายครั้ง ราวกับว่าเขากําลังสรรเสริญโจวฉวนจีอยู่เรื่อย ๆ

โจวฉวนจีสบถอยู่ภายในใจ แสดงเก่งซะจริงนะ!

เข้าถามขึ้นมาทันที “แล้วเมื่อไหร่งานประชุมกระบี่จะเริ่มกันล่ะ? แล้วเราจะมีเวลากินข้าวเที่ยงรึเปล่า?

เสี่ยหวโหยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “เจ้านี้ช่างตลกซะจริง เราจะเริ่มงานทันทีที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่น่ะ” เขาพูดพลางยิ้มให้ขณะที่ส่ายหัวไปด้วย

โจวฉวนจีหันกลับไปมอง มันง่ายที่เดียวที่จะระบุว่าใครเป็นผู้เข้าร่วมงานประชุมกระบีบ้างเพราะทุกคนจะมีเหรียญหยกขาวห้อยเอาไว้อยู่ที่เอว

รวมเขาด้วยแล้ว ก็มีอยู่ทั้งหมด 41 คน

อีก 9 คนที่เหลือดจะทําให้ทุกอย่างต้องเชื่องช้ากันไปหมดเลย

แล้วจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นใครบางคนมองมาทางเขาด้วยสายตาแปลก ๆ

มันไม่ใช่ทั้งความอิจฉา ดูถูก หรือสงสัยเหมือนกับคนรอบข้างของเขาแต่สายตาของคน ๆ นั้นกลับลุกโชนไปด้วยความปรารถนาที่จะสู้ด้วย

เขามองไปยังยอดกระบี่จาวฉง และรู้สึกสงสัยว่าเขาเป็นใครกัน

จางเถียนเขียนพูดพิมพ์ขึ้นมาข้าง ๆ เขา “เขาคือยอดกระบี่จาวฉงน่ะครับ”

ยอดกระบี่จาวฉง คนที่มีความสามารถเทียบได้กับโจวหยาหลงนั่นน่ะหรอ?

โจวฉวนจีชําเลืองมอง ก่อนจะเริ่มประเมินยอดกระปจาวฉง

สายตาของพวกเขาบรรจบกันพอดี มุมปากของยอดกระบี่จาวฉงยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกาย ราวกับว่าเขาเจอเหยื่อแล้ว

“ฮ่าๆๆ! ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะเป็นเทพกระบโจวหรือยอดกระปจาวฉงน่ะ! แต่ในวันนี้ในงานประชุมกระบี่นี่ ข้าจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน!”

เสียงระเบิดหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งนั้นดังลอยมาจากเส้นขอบฟ้าชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมศึกสีขาวยืนอยู่บนดาบที่กําลังบินตรงมาเขาทั้งสง่าผ่าเผยและงดงามพร้อมทั้งเปล่งประกายออร่าที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและทรงอานาจ

“ดาบอดรวายุแห่งโจว” จางเถียนเจียนพึมพําออกมา

โจวฉวนจีเหลือบมองไปยังดาบอดรวายุแห่งโจว เจ้าหมอนี่กล้าดูถูกเขาเลยอย่างงั้นเรอะ?

รอก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะแทงเจ้าด้วยดาบของข้าจนกว่าแม่เจ้าจะจําหน้าเจ้าไม่ได้เลยคอยดู!

เขาค่ารามออกมา ก่อนจะเล็กสนใจดาบอดรวายุแห่งโจวทันที

หลังจากที่ดาบอดรวายุแห่งโจวร่อนลงสู่เทวี เขาก็เริ่มพูดคุยกับเสี่ยหรูโหยวอย่างสนุกสนามและเมินจอมยุทธคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง

ที่ด้านหลังของเหล่าฝูงชนมีอาคารชั่วคราวตั้งอยู่นับร้อยหลัง ด้วยความที่ไม่มีประตูปิดกั้นพวกเขาเลยสามารถมองผ่านฝูงชนเพื่อดูงานประชุมกระบี่ได้

และผู้ที่นั่งอยู่ในอาคารชั่วคราวนั้นก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา หากแต่เป็นเหล่าข้าราชการเจ้าครองเมือง ขาใหญ่ประจําเขตแดน รวมไปถึงเหล่าจอมยุทธผู้มากฝีมือจากสํานักชื่อดัง

อาคารหนึ่งที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าทหารในชุดเกราะหนักนับสิบนายมีชายรูปร่างกํายาพร้อมหนวดเคราบนใบหน้ากําลังนั่งอยู่บนอาคารหลังนั้น

เขามองตรงไปข้างหน้าและยิ้มกว้างพลางดื่มเหล้าไปด้วย “ถ้าข้าได้ 1 ใน 3 คนนั้นมาล่ะก็ข้าต้องล้มเจ้าเหมิงเทียนหลางได้แน่!”

นามของเขาก็คือ เฉียโหวจิน แม่ทัพระดับที่ 3 ของมหาจักรวรรดิโจว เขานั้นทั้งทรงพลังและมีทหารอยู่ใต้บัญชานับล้านนายเขาและเหมิงเทียนหลางไม่ชอบขี้หน้ากันจนตอนนี้กลายเป็นคู่แข่ง กัน

รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมากก่อนจะถามว่า “ท่านคิดว่าคนไหนดีกว่ากันครับ?”

เฉียโหวจิน ลูบเคราและตอบว่า “ถึงจักรพรรดิกระดูจะโปรดปรานในเทพกระบโจวก็เถอะแต่เห็นได้ชัดเลยล่ะว่าความจริงแล้วมันคือแผนของจักพรรดิกระบี่ที่ตั้งใจจะฆ่าเจ้านั่นน่ะส่วนดาบอดรวายุแห่งโจวก็ดูจะหยิ่งไปหน่อยล่ะนะเพราะงั้นข้าคิดว่าผู้ชนะน่าจะเป็นยอดกระจาวฉงมากกว่า”

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่เหล่าเจ้าเมืองนับร้อยต่างก็คิดเหมือนกันว่ายอดกระบี่จาวฉงจะชนะแน่นอน

นั่นก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของยอดกระปจาวฉงยังไงล่ะ!

เขาน่ะเทียบได้กับโจวหยาหลงเชียวนะ!

แล้วใครคือโจวหยาหลงน่ะหรอ?

เขาคือจอมยุทธผู้ชั่วร้ายที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ในรุ่นเดียวกัน และยังเป็นผู้ที่หวังว่าจะเหนือกว่าจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวให้ได้ด้วย ส่วนยอดกระบี่จาวฉงนั้นก็พึ่งจะเผยพลังของเขาออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองแต่ทันทีที่เขาเผยพลังออกมาชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนไม่มีใครจะมาหยุดยั้งเขาได้

ในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันแล้ว ยอดกระบี่จาวฉงไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

เขาเอาศัตรูทั้งหมดได้ภายใน 3 กระบวนท่าเท่านั้น!

เพราะงั้นแล้วเขาเลยติดอยู่ในตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจว

ไร้ซึ่งผู้ใดเทียม ภายใน 3 กระบวนท่า ยอดกระจาวฉง คู่ปรับของบุตรชายขององค์จักรพรรค

บุตรชายขององค์จักรพรรดิที่ว่านั้นก็คือโจวหยาหลงนั้นเอง ผู้ถูกกําหนดให้เป็นถึงผู้สืบทอดราชบัลลังก์

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันของงานประชุมกระบี่ทั้ง 50 คนก็ได้มารวมตัวกันแล้ว

เสี่ยหรูโหยวชี้ไปยังหอคอยเหล็กและพูดขึ้นว่า “กฎมีเพียงข้อเดียว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าร่วงลงสู่พื้นถือว่าเจ้าแพ้คนสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ภายในหอคอยเหล็กได้ก็คือผู้ชนะ

“ภายใน 3 ลมหายใจ หากใครยังไม่เข้าไปในหอคอยจะถูกปรับว่าแพ้ทันที!”

สีหน้าของเหล่าจอมยุทธเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างก่นด่าความหน้าด้านของเสียหรูโหยวอยู่ภายในใจ ก่อนหน้านี้ก็ล่าช้ามาตั้งนานแล้วจู่ ๆ ก็มาปุปปับแบบนี้อ่ะนะนี่เขาตั้งใจจะทําอะไรกันแน่?

โจวฉวนจีและจางเถียนเขียนกระโจนขึ้นไปพร้อมกัน

หอคอยเหล็กนั้นมีอยู่ 10 ชั้น และสามารถจุคนจํานวน 50 คนได้ แต่การจะสู้ในหอคอยเหล็กมันไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว

หากก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียว อาจสูญเสียการทรงตัวและโดนเผยจุดอ่อน จนทําให้ศัตรูโจมตีเข้ามาได้ง่าย ๆ ได้

จางเถียนเจียนร่อนลงบนชั้นที่ 2 และเตรียมตัวที่จะอยู่ที่ชั้นนี้ไปจนถึงท้ายที่สุดให้ได้ด้วยกลยุทธที่แสนจะไร้ยางอาย

แต่ก็มีคนกว่า 20 คนที่คิดแบบเดียวกันและเบียดกันอยู่ในชั้นที่ 2-3

ส่วนโจวฉวนจีก็กระโดดขึ้นไปยังชั้นที่ 9

เขาชอบที่จะอยู่ด้านบนมากกว่าที่จะมองขึ้นมาจากด้านล่าง

ยอดกระจาวฉงร่อนลงที่ชั้นที่ 8 ขณะที่ดาบอุดรวายุแห่งโจวนั้นอยากจะขึ้นไปยังชั้นที่ 10 โจวฉวนจีจึงเริ่มเพ่งสมาธิ ก่อนจะขว้างดาบเด็ดสุกรไปทางเขาด้วยวิชาขยายวิถีกระบี

ขณะที่ดาบอุดรวายุแห่งโจวกําลังจะร่อนลงสู่พื้นของชั้นที่ 10 เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลพุ่งตรงมายังเขาทันที ก่อนจะกระโดดหลบตามสัญชาตญาณ

ดาบเด็ดสุกรบินพุ่งตรงมายังข้างหน้าเขา และเขาก็เริ่มสบถขึ้นมาในใจ “คนขายหมูมาร่วมงานประชุมกระบี่ได้ด้วยเหรอวะ?”

ต้องกล้าขนาดไหนกันถึงมาแข่งกับเขาในงานประชุมกระปได้ด้วยดาบหน้าตาอัปลักษณ์แบบนี้เนี่ยนะ?

ทันทีที่เขากําลังจะย่างเท้าลงบนชั้นที่ 10 ก็พบว่ามีใครบางคนชิงตัดหน้าเขาไปก่อนซะแล้ว

นั่นก็คือ โจวจวนจี นั่นเอง!

ชั้นบนสุดนั้นเป็นกระดานเหล็กที่ยาวและกว้างเพียง 1 เมตร และมีที่ว่างพอจะให้ยืนได้แค่คนเดียวเท่านั้น

เพราะนี่คืองานประชุมกระบี่ยังไงล่ะ!

เมื่อดาบอดรวายุแห่งโจวเห็นโจวฉวนจี แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยจิตสังหารเขาชักดาบออกมาทันทีและฟันตรงไปยังโจวจวนจี

โจวฉวนจีพลิกมือขวาขึ้นมา และดาบอัสนีคํารามก็ปรากฎ เขายกดาบในตํานานขึ้นมาเพื่อกันการโจมตี

แกริง!

เมื่อดาบทั้ง 2 เล่มปะทะกัน โจวฉวนจีก็รู้สึกถึงคลื่นพลังที่รุนแรงจนน่าหวั่นเกรง ดาบอดรวายุแห่งโจวนั้นดูเหมือนจะพลังเหนือกว่าเขานิดหน่อยซะด้วยซ้ํา!

ในตอนที่ร่างกายของเขากําลังแกว่งไปมานั่นเอง ดาบอัสนี้คํารามก็สร้างอัสนีแห่งสรวงสวรรค์ขึ้นมาโดยกระแสไฟฟ้านั้นไหลไปตามใบดาบก่อนจะพุ่งเข้าใส่ดาบอดรวายุแห่งโจว

ดาบอดรวายุแห่งโจวไม่อาจหลบได้ทัน เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่ถูกไฟฟ้าช็อตมือทั้งสองข้างและเขาก็ปล่อยมือออกมาจากตามดาบสัญชาตญาณก่อนจะร่วงลงไป

โว้วววว

เหล่าผู้ชมนับล้านต่างระเบิดความโกลาหลครั้งใหญ่ออกมา!

พึ่งจะเริ่มงานประชุมกระบี่ แต่ดาบอุดรวายุแห่งโจวผู้โด่งดังคนนั้นกลับถูกเทพกระบโจวกําจัดแบบนี้อ่ะนะ?

ตอนที่ 62 : เส้นทางที่ไม่มีผู้ใดเลือกเดินมาก่อน

โจวฉวนจีเลิกคิ้ว และพูดขึ้นว่า “เจ้าแข็งแกร่งมากพอแล้วงั้นเรอะ?”

เขารู้ดีถึงพลังของฮวงเหลี่ยนชิ้นด้วยความที่นางมีใจใฝ่จะล้างแค้น นางเลยฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักมาตลอดจนตอนนี้แทบจะบอกได้เลยว่าพลังของนางนั้นอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นกลางเกือบสูงเลยทีเดียว

แต่ด้วยความที่นางเป็นจอมกระบี่นาง จึงยังไม่ชินนักในการรับมือกับผู้ใช้อาคมเท่าไร

และก็แน่นอนว่า เป็นไปได้ที่นางจะจงใจอ่อนข้อให้เจียงฉือน้อยอีกด้วย

เจียงฉือน้อยรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองมาก เธอเชิดหน้าขึ้น เสียจนปลายจมูกแทบจะแตะขอบฟ้าเลยทีเดียว

พอเห็นแบบนั้นแล้ว โจวฉวนจีก็รู้สึกหมันไส้อยากจะล้มเธอเอาซะเดี๋ยวนี้เลย

ยัยเด็กสาวคนนี้ชอบทําเป็นอวดเรื่องความสูงของตัวเองต่อหน้าเขาซะจริงรอก่อนเถอะ!

อย่างมากก็สัก 2 ปี ข้าจะทําให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายให้ได้เลยคอยดู!

โจวฉวนจีถอนหายใจอย่างไม่พอใจก่อนที่เขาจะเดินผ่านเธอไปและกลับมาเริ่มฝึกวรยุทธอยู่บนเตียงต่อ

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า งานประชุมกระบี่ที่โจวฉวนจีตั้งตารอก็กําลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

เขาได้ยินมาว่า ตอนนี้เริ่มสร้างเวทีของงานประชุมกระบี่อยู่แถวด้านนอกเมืองจ้าวกระบี่แล้วในหลายวันมานี้ผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามายังเมืองจ้าวกระบี่กันมากขึ้นถนนด้านนอกต่างเต็มไปด้วยผู้ คนแออัด

เขาอยากจะเข้าร่วมงานประชุมกระี่บจนตัวสั่นแล้ว

ส่วนจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ไม่ได้เข้าร่วมงานประชุมกระบี่ด้วยก็ใช้เวลานี้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว

เขาได้ยินมาว่า องค์ชายทั้งหลายจากแต่ละจักรวรรดิก็จะเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวด้วยซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งหายากและยิ่งใหญ่ที่สุดจนถือได้ว่าในรอบ 100 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นจะเกิดขึ้นสักครั้งเลยเชียวล่ะ

เหล่าองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ด้วยพวกเขาจะเข้าร่วมงานนี้พร้อมกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละสํานักทั้งในและนอกมหาจักรวรรดิโจว

เหตุผลที่มีการจัดให้ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้นั่นก็เป็นเพราะองค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวตั้งใจจะใช้งานนี้เพื่อเลือกมงกุฎราชกุมารยังไงล่ะ

โดยจักรพรรดิองค์ใหม่ที่จะขึ้นครองนั้นจะต้องนําเหล่าบริวารที่ตนโปรดปรานเข้ามาด้วย

การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวถือเป็นโอกาสสําหรับองค์ชายแต่ละคนพวกเขาจะชักชวนใครเข้ามาทํางานให้ได้บ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสา
มารถของพวกเขาเอง

เหล่าผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวทุกคนต่างก็เข้าใจเรื่องนี้กันดี

แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านหรืออะไรแต่กลับคาดหวังมากขึ้นแทน

เพราะแทนที่จะไปเป็นทหารหรือเป็นข้าราชการของจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวสู้ช่วยให้องค์ชายสักองค์นึงได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้วให้ตัวเองได้อํานาจตามมาด้วยยังจะดีซะกว่า

และแล้วในวันนี้

ในที่สุดวันเริ่มงานประชุมกระบี่ก็มาถึง

ในเช้าวันนั้น ศิษย์จากสํานักเสี่ยก็มารับโจวฉวนจีพร้อมกับโจวเฉิงซิน

จุดประสงค์ที่โจวเฉิงซินมาเข้าดูงานประชุมกระบี่นี้ด้วยก็เพื่อที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์มาปั้นต่อนั่นเองถ้าเขาเข้าร่วมงานประชุมเองมีหวังเขาได้แพ้ราบคาบแน่พอรู้แบบนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะไปหาความอัปยศอดสูมาเข้าตัวเองแน่า

โจวฉวนจีเก็บข้าวของและพาเจียงจือน้อยจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินไปด้วย

จางเถียนเจียนและเหล่าลูกชายของเขาก็ตามมาด้วยในครั้งนี้จางเถียนเจียนก็เข้าร่วมงานประชุมกระบี่เหมือนกันด้วยความที่วรยุทธของเขานั้นอยู่ถึงระดับบัวภายในแล้วเขาเลยถูกจัดให้อยู่ใน 50 อันดับแรกทันที

ยังไงซะ เขาก็เป็นถึงจอมกระบี่ชั้นยอดจากอาณาจักรเหมันต์แดนใต้อยู่ แล้ว

ตลอดทางบนถนนนั้นต่างเต็มไปด้วยฝูงชนแต่พวกเขาก็หลีกทางให้ทันทีเมื่อเห็นศิษย์จากสํานักเสี่ย

ผู้คนเริ่มชี้ไปทางโจวฉวนจีและพูดคุยเรื่องเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ไม่นานนัก บางคนก็เริ่มจําเทพกระบี่โจวได้

“นั่นมันเทพกระบี่โจวนี่! เจ้าไม่เห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ตามหลังเขาอยู่เรอะ?”

“เป็นเขาจริง ๆ ด้วย ข้าเห็นเขาในการทดสอบของงานประชุมกระบี่ด้วยล่ะ”

“นั่นต้องเทพกระบี่โจวแน่ๆเลยในงานประชุมกระบี่นี่จะมีใครมีรูปร่างเหมือนเขาได้อีกล่ะ?”

“นึกภาพตอนที่เขาจะสู้กับจอมกระบี่อย่างดาบอุดรวายุแห่งโจวไม่ออกเลย”

“ข้าล่ะอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าวิชาจิตดาบคู่มันจะเจ๋งขนาดไหน”

โจวฉวนจีรู้สึกเซ็ง ๆ พอได้ยินที่คนแถวนั้นพูดถึงเรื่องเขา

เฮ้อ!

*ข้ายังเตี้ยเกินไปจริง ๆ น่ะแหละ!*

ถ้าไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วนล่ะก็เขาก็อยากจะรออีกสัก 10 ปีจากนั้นค่อยเดินทางไปทั่วโลกพร้อมกับรูปลักษณ์อันแสนจะหล่อเหลาและสง่างามซะจริง

หลังจากที่เดินทางออกจากคฤหาสต์ต ระกูลจางมาแล้วพวกเขาก็เดินต่อไปอีกราว ๆ 2 ชั่วโมง

ศิษย์จากสํานักเสี่ยเลือกที่จะเดินไปอย่างช้า ๆ แทนที่จะบินออกจากเมืองทันทีโดยจุดประสงค์นั่นก็คือเพื่อที่จะได้โชว์ตัวเหล่าผู้เข้าร่วมงานประชุมกระนี่นั่นเอง

ยังไงชื่อเสียงและผลประโยชน์ก็แยกออกจากกันได้หรอกนะ

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากประตูเมืองเจียงฉือน้อยก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจและรู้สึกตะลึงกับภาพผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบเธอ

ฝูงชนมากมายอยู่ ณ เบื้องหน้าของเธอหัวผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนเยอะไปหมดยันสุดเส้นขอบฟ้าเลยทีเดียวช่างเป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่เกินจริงสุด ๆ

อย่างน้อยก็มีคนอยู่สักล้านคนเห็นจะได้

และตรงกลางฝูงชนนั้น ก็มีหอคอยที่สูงถึง 10 ชั้น หอคอยนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยโลหะเพียวๆโดยพื้นที่ตรงกลางนั้นกลวงเปล่าเพื่อทําให้คนร่วงลงไปได้ง่าย

หอคอยเหล็กนั่นสูงยิ่งกว่าตึก 30 ชั้นซะอีก

ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ ตัวตึกก็ยิ่งแคบลงเท่านั้น

และที่ตรงนั้นก็มีเวทีหินขนาดใหญ่ที่ยาวและกว้างกว่า 100 หลา บนเวทีนั้นไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปได้นอกจากศิษย์จากสํานักเสี่ย

ในตอนนั้นเอง กลุ่มผู้อาวุโสตระกูลและผู้คุมกฎทั้งหลายยืนล้อมรอบเหล่าชายรูปหล่ออยู่ตรงปลายขอบของเวทีหิน

เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดําปักด้วยลวดลายเสือสีทองดาบแต่ละเล่มเหน็บห้อย อยู่ที่เอวแต่ละข้างของเขาผมสีดําเงาถูกมัดรวบไว้ด้านหลังมีเพียงผมตรงกรอบหน้าทั้งสองฝั่งเท่านั้นที่ถูกปล่อยยาวสลวยเอาไว้ รอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแสดงให้เห็นถึงความสง่างามขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความผ่าเผยและดูองอาจ

เขาก็คือ เสี่ยหวูโหยวนั่นเอง!

ศิษย์เอกแห่งจักรพรรดิกระบี่ยังไงล่ะ!

พลังของเขานั้นเทียบได้กับจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์เสี่ยวจิงหงเลยทีเดียว

“ทุก ๆ ท่านได้โปรดอดใจรอ งานประชุมกระบี่จะเริ่มขึ้นทันทีที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ครบแล้ว”

เสี่ยหรูโหยวพูดกับจอมกระบี่ที่อยู่รอบๆเขาด้วยรอยยิ้มและยอดกระบี่จาวฉงและหยางเฉอก็ยืนอยู่บนเวทีด้วยเช่นกัน

ทั้งสองพยายามกวาดสายตามองไปยังฝูงชนด้านล่างเพื่อหาคน ๆ เดียวกัน

นั่นก็คือ เทพกระบี่โจว!

“ในงานประชุมกระบี่นี้ ข้าจะเป็นคนพรากชีวิตเจ้าไปเอง!”

หยางเฉอคิดขึ้นมาในใจอย่างโหดเหี้ยมความอัปยศอดสูในวันนั้นได้แพร่กระจายไปยังเมืองลั่วหยางเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขารู้สึกอายจนไม่กล้าจะกลับไปเดินในเมืองลั่วหยางอีกแล้ว

เขาเลยเตรียมกลอุบายเพื่อที่จะได้ล้างแค้นให้กับความอัปยศของเขาเอาไว้!

หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้การนําทางของศิษย์จากสํานักเสี่ย โจวฉวนจีและจางเถียนเจียนก็กระโดดขึ้นไปยังบนเวทีหิน

ส่วนโจวเฉิงซินก็เดินไปหาเสี่ยหรูโหยวแทนทั้งสองต่างเริ่มพูดคุยกันก่อนที่องค์ชายลําดับที่ 7 จะชี้นิ้วไปยังโจวฉวนจีและเสี่ยหรูโหยวก็หันไปมองตาม

โจวฉวนจีแกล้งทําเป็นไม่เห็นว่าเสียหวูโหยวมองเขาอยู่

แต่แล้วเสี่ยหวโหยวก็เดินตรงมาหาเขาแทน

เมื่อเห็นว่าเสี่ยหรูโหยวเดินตรงไปหาเทพกระบี่โจวผู้คนทั้งหมดที่อยู่บนเวทีหินต่างก็หันไปมองเขาตาม

“ท่านอาจารย์ที่เคารพของข้ารู้สึกสนใจในตัวเจ้าน่ะไม่ทราบว่าเจ้าสนใจอยากจะเข้ามาเป็นศิษย์ของเขามั้ย?”

เสี่ยวหรูโหยวถามพลางหัวเราะเบาๆทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตกใจกันเป็นแถบ ๆ

สีหน้าของจางเถียนเจียนเปลี่ยนไปอย่างมาก

ในปีนั้น เขาอุตส่าห์ร่ําร้องขอให้จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวรับเขาเป็นศิษย์แต่ก็ถูกปฏิเสธมาแต่มาตอนนี้เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิกระบี่จะเป็นคนออกตัวเชิญโจวฉวนจีด้วยตัวเอง

สีหน้าของหยางเฉอเริ่มตั้งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเขาพึ่งกินแมลงวันมาเลยทีเดียว

ถ้าโจวฉวนจีได้กลายเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวจริงล่ะก็ต่อให้เขาจะกล้าบ้าบินสักแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าจะทําอะไรกับโจวฉวนจีแน่กลับกันเขาอาจจะหันกลับไปคุกเข่าและเลี่ยรองเท้าโจวฉวนจีแทน

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้รับความสนใจจากนักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวน่ะ

จักพรรดิกระบี่นั้นเป็นถึงจอมยุทธที่ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในมหาจักรวรรดิโจว

แม้แต่จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวก็อาจจะล้มจักรพรรดิกระบี่ไม่ได้ด้วยซ้ํา

ถ้าเขาได้จักรพรรดิกระบี่มาเป็นคนหนุนหลังล่ะก็…

โจวฉวนจีเริ่มรู้สึกอ่อนไหว แต่ทันใดนั้นเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว

ถ้าเขากลายเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่ล่ะก็งั้นจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวจะมองเขายังไงล่ะ?

พอถึงตอนนั้นจริง จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวมีหวังออกตัวปกป้องราชินีด้วย พลังทั้งหมดที่มีและหนุนหลังโจวหยาหลงให้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นแน่

หลายปีมานี้ มีข่าวลือมากมายเกี่ยวเรื่องที่ว่า จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวพยายามที่จะควบคุมจักรพรรดิกระบี่ให้ได้

เพราะด้วยชื่อเสียงของจักรพรรดิกระบี่ที่มีมากจนเกินไป รวมถึงมีพวกที่เริ่มตั้งฉายาให้เขาว่าเป็นจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาจักรวรรดิโจวอีก

จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวนั้นเป็นคนที่ทั้งสูงส่งและทะนงตัวเขามักจะเน้นย้ำเสมอว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลว่าหลังจากที่เขาได้กลายเป็นเซียนไปแล้วจะมีองค์ชายองค์ไหนในมหาจักรวรรดิโจวกันที่จะสามารถควบคุมอํานาจของจักรพรรดิกระบี่ได้น่ะ?

จู่ๆ ความคิดที่ราวกับสายฟ้าฟาดก็แล่นเข้ามาในหัวโจวฉวนจี “ไม่เป็นไร ข้าขอรับไว้แค่เจตนาดีของจักรพรรดิกระบี่แล้วกัน”เขาพูดตอบอย่างใจเย็น

ผู้คนรอบข้างต่างรู้สึกอึ้งกันไปตาม ๆ กันสายตาที่พวกเขามองไปทางโจวฉวนจีราวกับว่ามองคนโง่อยู่

เขาอยากจะเข้าร่วมงานประชุมกระบีแต่ไม่อยากจะเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่เนี่ยนะ?

โง่เง่าอะไรขนาดนี้วะเนี่ย!

ถ้าหากได้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระนี่ล่ะก็จะได้เรียนรู้วิชาในตํานานทุกแขนงทุกประเภทเลยเชียวนะ!

เสี่ยหรูโหยวมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใยก่อนจะถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม“ทําไมกันล่ะ?”

“ดาบของข้าจะก้าวไปในเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดเลือกเดินมาก่อนยังไงล่ะ”โจวฉวนจีผู้ตอบอย่างห้วน ๆ

สิ่งที่เขาหมายถึงนั่นก็คือเขาไม่อยากจะให้ดาบของเขาได้รับอิทธิพลมาจากจักรพรรดิกระบี่ยังไงล่ะ

ช่างโอหังยิ่งนัก!

เหล่าจอมกระบี่ต่างกลอกตาใส่เขาแต่คนอื่น ๆ กลับรู้สึกชื่นชมในโจวฉวนจี

“ฮ่าๆๆๆ

เสี่ยหรูโหยวระเบิดหัวเราะออกมาดังซะจนกลบเสียงพูดคุยของผู้คนนับล้านจนฝูงชนเหล่านั้นต่างต้องหยุดพูดคุยกันและหันกลับมามองเขา

เมื่อทุกหูกลับมาสนใจฟังเขาเสี่ยหรูโหยวก็มองไปยังโจวฉวนจีด้วยความชื่นชมและยกย่องเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า“อาจารย์ของข้าก็บอกมาเหมือนกันว่าเจ้าต้องปฏิเสธแน่ ๆเพราะถ้าเจ้าตอบตกลง ล่ะก็เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีค่าพอจะเป็นคู่แข่งของเขาหรอกนะ!”

เงียบสงัด!

ผู้คนนับล้านต่างตกอยู่ในความเงียบงันจอมกระบี่ที่เข้าร่วมงานประชุมกระบี่ต่างก็รู้สึกตกใจ

จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวมองเทพกระบี่โจวเป็นคู่แข่งงั้นหรอ?

ตอนที่ 61 : ดาบในตํานานที่ทรงพลังที่สุด

“จริงด้วยครับ ท่านเทพกระบี่จะต้องชนะในงานประชุมกระบี่นี้อย่างแน่นอน”

จางหรูหยูพยักหน้าพลางพูดตอบและมองไปทางโจวฉวนจีด้วยความชื่นชมนับถือ

หลังจากที่เขาได้ยินมาว่าในหมู่พวกที่เมาทั้งหมดในวันนั้นโจวฉวนจีคือคนที่ตื่นเร็วที่สุดเขาก็นับถือในตัวโจวฉวนจีมากขึ้นไปอีก

แม้แต่ในวงเหล้าพวกเขาก็ยังเอาชนะเทพกระบี่โจวไม่ได้เลยด้วยซ้ํา

ฉะนั้นเขาจะต้องเก่งกว่าทุก ๆ คนในทุก ๆ ด้านแน่

“จะว่าไปงานประชุมกระบี่จะเริ่มเมื่อไหร่? แล้วกติกาเป็นยังไง?” โจวฉวนจี ถามขึ้นมา

โจวเฉิงซินมองไปทางเขาก่อนจะตอบพลางยิ้มให้ “ในทุก ๆ 5 ปี งานประชุมกระบี่ที่จัดขึ้นในเมืองจ้าวกระบี่จะได้รับความสนใจมากที่สุดในมหาจักรวรรดิโจวทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมหาเศรษฐีตลอดจนจอมยุทธผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านต่างก็มารวมตัวกันที่งานนี้ เพราะการเตรียมงานเลยต้องใช้เวลานานหน่อยอย่างน้อยก็สัก 3 เดือนล่ะนะ”

“ส่วนเรื่องกฎ มีแค่เสี่ยหรูโหยวเท่านั้นที่รู้ครับ”

ตั้ง 3 เดือนเลยหรอ?

โจวฉวนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าต้องรอนานเกินไป

การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวก็ใกล้เข้ามาเต็มที่แล้วมีเวลาไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ํา

เขารู้สึกลังเลขึ้นมาทันที หรือเขาควรจะรอไปอีกสัก 10 ปีดีนะ?
แต่ถ้าเขารอไปอีก 10 ปี ผู้คนก็คงจะลืมเรื่องแม่นางจาวฉวนไปแล้วแถมพอถึงตอนนี้โจวหยาหลงก็คงจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้วด้วย

หากโจวหยาหลงได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิล่ะก็ ถ้าเขาลอบสังหารราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวเมื่อไหร่ตอนนั้นเขาคงได้กลายเป็นศัตรูกับคนทั้งมหาจักรวรรดิโจวแน่

แต่ตอนนี้…

องค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวยังครองบัลลังก์อยู่และโจวหยาหลงก็เป็นแค่องค์ชายที่เขาห่วงมากที่สุดก็เท่านั้นเพราะงั้นถ้าโจวฉวนจีเผยพลังของเขาออกไปล่ะก็องค์จักรพรรดิอาจจะหันมาสนใจและปกป้องเขาแทนก็ได้

เหตุผลที่ว่าทําไมองค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวถึงจะส่งมอบบัลลังก์ให้พวกลูก ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวรยุทธแล้วและกําลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นเซียน

แต่มหาจักรวรรดิโจวนั้นไม่สามารถอยู่ ได้หากไร้ซึ่งผู้นํา

พอเห็นโจวฉวนจีขมวดคิ้วโจวเฉิงซินก็ถามขึ้นมา“หรือว่าท่านมีธุระสําคัญอะไรที่ต้องไปทํารึเปล่า?”

“เปล่า ไม่มีอะไร ข้ารอได้” โจวฉวนจuส่ายหัวขณะที่พูด
เมื่อโจวเฉิงซินได้ยินก็ยิ้มให้ “พอดีข้าคิดแผนบางอย่างที่จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของท่านได้น่ะท่านสนใจรึเปล่าล่ะ?”เขาพูดเสนอ

ชื่อเสียงนั้นไม่อาจสร้างขึ้นได้จากลมปากแค่เพียงอย่างเดียว ในบางครั้งก็ต้องใช้เล่ห์กลบ้าง

ในฐานะคนในราชวงศ์แล้วเขารู้ดีว่าจะต้องทํายังไง

ภาพลักษณ์ของราชวงค์ที่ทั้งมีความเมตตาและความเที่ยงธรรมนั้นล้วนแต่ถูกวางแผนมาทั้งสิ้น

“จําเป็นต้องทําแบบนั้นด้วยเหรอ?” โจวฉวนจีตอบกลับ

แต่ในใจลึก ๆ แล้วเขากลับรู้สึกดีใจสุดๆ พี่ชายคนเล็กของเขานี่เป็นพวกเจ้าแผนการซะจริง

โจวเฉิงซินพยักหน้าและพูดอย่างชื่นชมว่า “สมแล้วจริง ๆ ข้าคงไม่อาจเทียบได้กับบารมีของท่านเทพกระบี่จริง ๆ ล่ะ
ครับ”

เดี๋ยวนะ ฮัลโหล!

*ข้าแค่พูดถ่อมตนไปตามมารยาทเฉย
ๆ *

ถึงแม้โจวฉวนจีจะยิ้มให้เขา แต่เขาก็แอบก่นด่าโจวเฉิงซินในใจว่านี่ EQ (ความฉลาดทางอารมณ์)ของเจ้าหายไปไปไหนหมดเนี่ย?

แล้วเจ้าจะไปแย่งบัลลังก์จากคนอื่นได้ยังไงถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้เนี่ย?

โจวเฉิงซินยังคงพูดคุยต่ออยู่อีกสักพักแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับวิธีสร้างชื่อเสียงให้กับโจวฉวนจีอีกโจวฉวนจีเลยเริ่มรู้สึกหมดความสนใจที่จะคุยด้วยต่อ

เมื่อสังเกตเห็นแบบนั้น โจวเฉิงซิงเลยไม่อยากจะรบกวนพวกเขาต่อก่อนจะจากไปในไม่ช้า

โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยกลับไปที่ห้องของพวกเขา
“เจ้าหมอนั่นมันโงรึเปล่าเนี่ย!”

เจียงฉือน้อยป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก “ใครบอกให้เจ้าแกล้งทําเป็นมีบารมียิ่งใหญ่กันเล่า?”เธอพูด

โจวฉวนจียักไหล่ตอบอย่างทําอะไรไม่ถูกก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธต่อบนเตียง

ในอีก 3 เดือนต่อมา โจวฉวนจีได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับการฝึก เขามีทั้งอาหารบํารุงกําลังมากมายอยู่ภายในสุดยอดช่องเก็บของ แล้วยังมีปราณกระบี่อาคมกายของคําอีกเลยทําให้วรยุทธของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก

ทุก ๆ 10 วัน เขาจะพาเจียงฉือน้อยออกไปเดินเล่นยังไงซะเธอก็เป็นแค่เด็กสาววัย 15 ปีที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในหลายสิ่งหลายอย่างอยู่แล้ว

ในขณะเดียวกัน รายละเอียดเกี่ยวกับผลการทดสอบของเทพกระบี่โจวในงานประชุมกระบีนั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว

เรื่องที่ว่าเขาสามารถเรียนรู้วิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงได้ภายในเวลาอันสั้นยังไงล่ะ!

ข่าวลือมากมายหลายแบบที่เล่าเกินจริงแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

ภายในเดือนเดียวนามเทพกระบโจวก็ดังไปไกลทั่วเขตชายแดนของมหาจักรวรรดิโจวแล้วผู้คนมากมายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่าหวาดกลัวสําหรับยอดกระบี่จาวฉง และดาบอุดรวายุแห่งโจวเลยทีเดียว

หลังจากที่โจวฉวนจีได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจโจวเฉิงซินนี่เจ้าแผนการจริงๆด้วย

พี่ชายคนเล็กของเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่!

จางเถียนเจียนและเหล่าลูกชายของเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกันมากเมื่อได้ยินข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วข้างนอกราวกับไฟลามทุ่ง

พวกเขายังได้ยินกันมาอีกว่า ที่โรงพนันเริ่มเปิดให้ลงเดิมพันแล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

โจวฉวนจีเลยเอาหินวิญญาณจํานวนหนึ่งออกมา และเอาให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเอาไปใช้ลงพนันในขณะ เดียวกันเขาก็ขอให้โจวเฉิงซินช่วยหาโรงพนันที่ไว้ใจได้ให้ด้วย

เพราะเขาจะลงเดิมพันทั้งหมดว่าเขาจะชนะยังไงล่ะ!

มันก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าเขาจะไม่มั่นใจว่าเขาจะชนะแต่มีเพียงผู้ที่เต็มใจจะเสี่ยงเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ!
3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

และแล้วโจวฉวนจีก็เลื่อนขึ้นระดับบรรลุญาณขั้นที่ 3 มาได้ด้วยการช่วยเหลือของอาหารบํารุงกําลังที่กินเข้าไป

เจ้างูสีดําตัวจ้อยมักจะร้องตะโกนออกมาบ่อย ๆ ว่า เขามันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!

เขาต้องเป็นปีศาจโบราณกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน

ในวันนี้นี่เอง…

เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบก็ดังขึ้นมาภายในใจของโจวฉวนจี

“ดาบชโลมโลหิตได้ทําการอัพเกรดเสร็จสิ้นแล้ว เลื่อนขึ้นจาก ระดับเงินเป็นระดับทอง!”

ระดับทองหรอ?

โจวฉวนจีแอบรู้สึกค่อนข้างผิดหวังทําไมไม่อัพขึ้นเป็นระดับอเมทิสต์ไปเลยฟะ?
และข้อมูลของดาบชโลมโลหิตก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบชโลมโลหิต

ระดับ : ทอง

คําอธิบาย : เป็นดาบที่ดื่มเลือดยิ่งได้รับเลือดมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็ยิ่งฉายแววออกมามากเท่านั้นขณะเดียวกันก็จะช่วยเพิ่มจิตสังหารของเจ้าของดาบให้อีกด้วยอีกทั้งพลังของดาบจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตราบเท่าที่การต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไป

หึมม?

*พลังของดาบจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตราบเท่าที่การต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไปหรอ?*

โจวฉวนจีสังเกตเห็นข้อมูลสําคัญนี้ก่อนจะถามขึ้นมาในใจ

“ผลจากการที่ดาบชโลมโลหิตนั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นเป็นระดับทองขั้นสูงทําให้ระหว่างการต่อสู้ยิ่งดาบนั้นได้ดูดซับเลือดมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเพิ่มพลังให้กับท่านเจ้าของดาบมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงพลังของท่านเจ้าของดาบก็จะกลับคืนสู่ดังเดิมอีกครั้ง ถ้าท่านเจ้าของดาบไม่ได้บาดเจ็บอะไรเช่นนั้นก็ไม่มีผลข้างเคียง”

คําตอบของจิตวิญญาณแห่งดาบนั้นถึงกับทําให้แววตาของโจวฉวนจีนั้นเปล่งประกายขึ้นมา

ถ้าเป็นงั้นจริง ดาบชโลมโลหิตก็เป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารในสนามรบเลยน่ะสิ!

ด้วยพลังแบบนี้แล้วดาบชโลมโลหิตก็จะกลายเป็นดาบในตํานานที่ทรงพลังที่สุดของเขา!

เขาหยิบดาบชโลมโลหิตออกมาทันทีความยาวของใบดาบสีเลือดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยลายที่อยู่ตรงกลางใบดาบนั้นเหมือนกับงูสีดํามันดูน่ากลัวสุด ๆ

เมื่อนําดาบชโลมโลหิตออกมาทั่วทั้งห้องก็ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหารจนแม้แต่เจียงฉือน้อยที่กําลังฝึกอยู่ก็ยังรู้สึกตกใจ

เธอมองไปที่ดาบชโลมโลหิตที่อยู่ในมือโจวฉวนจีก่อนจะถามขึ้นมา “นี่มัน… ดาบอาบเลือดหรอ?”

เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงดาบโค้งที่โจวฉวนจีชิงมาจากดาบกระหายโลหิตนั่น

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบขณะที่ลูบดาบชโลมโลหิต “ดาบเล่มนี้ข้าจะเอาไว้ใช้ แก้แค้นยังไงล่ะ”เขาพูด

เจียงฉือน้อยเดินมาหาเขาและถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “มันอันตรายเปล่า?”

สิ่งที่เธอสัมผัสได้จากดาบชโลมโลหิตนั้นมันเหมือนกับดาบสีโลหิตเลย

มันเป็นดาบที่ชั่วร้ายเกินไป!

เธอกังวลว่าโจวฉวนจีจะถูกความชั่วร้ายครอบงําจิตใจเพราะดาบเล่มนั้น

เหมือนกับพวกที่หลงใหลในอํานาจและเริ่มสูญเสียจิตใจไป ตามตํานานที่เธอเคยได้ยินมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ดาบเล่มนี้จะไม่ทําอันตรายใด ๆกับข้าแน่นอน เพราะร่างกายของข้าน่ะไม่เหมือนคนอื่นข้าเชี่ยวชาญในเรื่องการกดออร่าปีศาจยังไงล่ะ!”เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เขาเริ่มพูดโม้ออกมาอย่างไม่อายปาก

“จริงหรอ?”

เจียงฉือน้อยรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ในตอนนั้นเอง เจ้าหนูทรายสามตาก็ลากเจ้างูสีดําตัวจ้อยเข้ามา

เจ้างูมองไปทางดาบชโลมโลหิตเล่มนั้นพลางเบิกตากว้างและพูดขึ้นมา“เป็นดาบสังหารที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้เนี่ย!ไอดาบเล่มนี้มันมาจากไหนกัน?ถ้าไอพวกสํานักมารรู้เรื่องนี้เข้าละก็มีหวังเกิดการฆาตกรรมหมู่แหง”

โจวฉวนจีเหลือบไปมองมันก่อนจะพูดว่า“ดาบของเทพกระบี่ยังไงล่ะเจ้าคิดว่าไง?”

เจ้างตัวจ้อยสบถขึ้นมาในใจนี่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรอะ?

เจ้ามันก็แค่เด็กที่โง่เขลาเท่านั้นแหละ!

*นี่เจ้าทําตัวแบบนั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองรึไงกัน?*

*แล้วนี่เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรอว่าเจ้าเป็นเทพกระบี่น่ะ?*

*รอจนกว่าข้าจะฟื้นตัวกลับมาได้ก่อนเถอะแน่นอนว่าข้าจะ…*

*หนียังไงล่ะโว้ย!*

โจวฉวนจีเก็บดาบชโลมโลหิตเข้าสุดยอดช่องเก็บของและพูดกับเจียงจือน้อยว่า“จะว่าไปคาถาที่พวกเราซื้อมาครั้งที่แล้วเป็นไงบ้างล่ะ? เจ้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกมั้ย?”

เจียงฉือน้อยนั้นมีพรสวรรค์ในการใช้คาถาทั้ง 5 ธาตุโจวฉวนจีเลยซื้อตําราคาถาให้เธอทุกครั้งที่เขาออกไปข้างนอกเอง

ตอนนี้เธอก็ได้บรรลุขั้นพื้นฐานของธาตุไฟลมและแล้ว

รวมถึงคาถารักษาด้วย เธอมักจะฝึกอยู่ตลอด จนตอนนี้เธอได้เข้าสู่เส้นทางแห่งผู้ใช้อาคมและผู้รักษาแล้ว

เจียงฉือน้อยพยักหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ข้าคิดว่าข้าค่อนข้างจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วล่ะอย่างตอนที่ฝึกต่อสู้เนี่ยพี่เหลี่ยนชินก็แทบจะเข้าใกล้ข้าไม่ได้เลยด้วย” เธอพูดขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless… ตอนที่ 59 : ดาบของข้ามันฟันมั่วระวังจะไปปาดคอเจ้าให้ล…

ตอนที่ 59 : ดาบของข้ามันฟันมั่วระวังจะไปปาดคอเจ้าให้ละกัน

“หุบปาก!”

ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบงันทุกคนต่างอึ้งตะลึงงันกันไปหมด

ทําไมจู่ ๆ เทพกระบี่โจวถึงซัดหยางเฉอซะปลิวแบบนั้นละ?

หยางเฉอนั้นมีสถานะทางสังคมที่สูงมากเขาเป็นถึงรองผู้ว่าการของเมืองลั่วหยางแถมพ่อของเขาก็ยังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ในจักรวรรดิอีกด้วย

คนแบบนั้นโดนตบกลางที่สาธารณะนี่มันเป็นการหยามหน้ากันชัด ๆ!

โจวเฉิงซินตะลึงงัน ก่อนจะถามด้วยความร้อนรน“เทพกระบี่โจว ทําไมท่านถึงทําเช่นนี้?”

หยางเฉอเป็นถึงคนในตระกูลขุนนางของมหาจักรวรรดิโจวในฐานะที่เป็นองค์ชายลําดับที่ 7 แล้วเขาจะทําเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้

โจวฉวนจีพูดขึ้นมา “ทาสกระบี่ของข้าเดินทางไปที่เมืองลั่วหยางเพื่อซื้อถุงเก็บสัตว์มาให้แต่เจ้านี่ดันแพ้ประมูลให้กับทาสกระบี่ของข้าเองแล้วมันแค้นทาสข้ามันเลยเลยสั่งให้คนของมันมาลอบโจมตีทาสกระบี่ของข้าที่นอกเมืองน่ะสิ”

เพราะแบบนี้นี่เอง!

ด้วยคําอธิบายนั้นทําให้ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีและเริ่มมองไปยังหยางเฉอด้วยสายตารังเกียจ

และพวกเขาก็จะตัดสินใจขึ้นมากันว่าจะไม่ซื้อของใด ๆ จากเมืองลั่วหยางอีกเพราะว่ามันอันตรายเกินไปยังไงล่ะ!

โจวเฉิงซินหรี่ตาลง ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงงั้นหมายความว่าหยางเฉอฝ่าฝืนกฏหมายบ้านเมืองเอง

ถ้ามหาจักรวรรดิโจวมีแต่คนฉ้อฉลแบบนี้อยู่ล่ะก็ภาพลักษณ์ของมหาจักรวรรดิโจวคงจะพังพินาศไม่มีชิ้นดีจนไม่อาจควบคุมอาณาจักรที่อยู่ภายใต้ได้แน่

จักรวรรดิอื่น ๆ เองก็คงจะหัวเราะเยาะมหาจักรวรรดิโจวด้วย!

หยางเฉอคลานลุกขึ้นมาด้วยความโกรธแค้นพลางกุมหน้าที่บวมเป่ง “ไอหมอนั่นคือทาสกระบี่ของเจ้าเองงั้นรึ?”เขาพูดพร้อมกัดฟันแน่น

โจวเฉิงซินมองหยางเฉอเหมือนกับมองคนโง่

ไอ้โง่เอ้ย!

ถ้าเขาเป็นหยางเฉอล่ะก็ เขาคงจะแกล้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ซะมากกว่า

โจวฉวนจีจ้องหน้าเขาและพูดขึ้น “เจ้าจงภาวนาเอาไว้ซะเถอะว่าขออย่าให้คู่ต่อสู้ของเจ้าระหว่างงานประชุมเป็นบ้าน่ะ พอดีดาบของข้ามันฟันมั่วระวังมันจะไปปาดคอเจ้าให้ละกัน”

จิตสังหารพุ่งตรงเข้าใส่หยางเฉออย่างรุนแรงทําเอาเขาเสียวไปถึงสันหลัง

ขนาดจอมกระหายโลหิตที่ชั่วร้ายขนาดนั้นยังตายไปด้วยน้ํามือของโจวฉวนจีรวมไปถึงกองโจรอีกนับพันที่โจวฉวนจีบุกไปฆ่าตายอีกเพราะแบบนั้นตัวของโจวฉวนจีเลยมีจิตสังหารที่แรงกล้ามา ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นทําให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างวิตกกันไปหมด

“สามหาว! เจ้ากล้าดียังไงมาทําตัวอวดดีในช่วงการประเมินของงานประชุมกระบี่กัน!”

ในตอนนั้นเอง ชายตาเดียวตะโกนดังลั่นเขาเดินตรงเข้ามาอย่างร้ายกาจราวกับว่าพร้อมจะฉีกกระชากโจวฉวนจีเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ

โจวฉวนจีมองเขาหน้านิ่งแล้วรอดูว่าเขาจะทําอะไรต่อไป

โจวเฉิงซินเดินเข้าไปหาชายตาเดียวก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนน้อม “ผู้คุมกฏจางปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่าน ๆ ไปดีกว่านะในเมื่อมันไม่มีการฆ่าแกงกันเกิดขึ้นก็อย่าทําให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะไม่งั้น พวกเราจะกลายเป็นตัวตลกเอา”

ชายตาเดียวหยุดเดินต่อก่อนจะทําหน้าตึงใส่ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับโจวเฉิงซิน

เสี่ยหรูโหยวออกคําสั่งให้เขาดูแลโจวเฉิงซินให้ดีแล้วเขาจะไปกล้าขัดคําแนะนําของโจวเฉิงซินได้ยังไงกัน?
เขาคํารามถอนหายใจก่อนจะหันไป มองโจวฉวนจี“ถ้าเจ้ายังกล้าทําแบบนั้นอีกข้าจะไล่เจ้าออกไปจากเมืองนี้ทันที
แน่”

ผู้คุมกฎปกติเขาทําแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?

โจวฉวนจีหัวเราะออกมาแบบประชดโลกใบนี้มันไม่มีอะไรตามที่หวังไว้เลยแหะ

หลังจากที่ชายตาเดียวจากไป หยางเฉอก็หันกลับมาจ้องเขม็งใส่โจวฉวนจีด้วยความเคียดแค้นก่อนจะถอยกลับไปเช่นกัน

ดูจากพลังของเขาเมื่อกี้นี้แล้ว เขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางเอาชนะโจวฉวนจีได้แน่ๆ เพราะงั้นจะอยู่ให้ขายขี้หน้าต่อไปทําไมล่ะ?

“ท่านตามมาทางนี้เถอะ”

โจวเฉิงซินพูด เขายิ้มเหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

โจวฉวนจีพยักหน้าและตามพี่ชายต่างแม่ของตัวเองไปยังสนามทดสอบต่อไป

หลังจากที่เขาผ่านหินวัดปราณกระบี่มาแล้วขั้นต่อไปคือการตัดเส้นด้ายจากระยะไกล

มีเส้นด้าย 10 เส้น อยู่ห่างออกไปจากตัวเขาประมาณ 30 หลา เขาต้องตัดสิ้นด้ายพวกนั้นให้ได้มากที่สุดโดยใช้ปราณกระบี่ฟันได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

โจวฉวนจีเปิดใช้จิตกระบี่เพลิงกัลป์ปราณกระบี่ติดไฟของเขาสามารถฟันเส้นด้ายขาดได้ถึง 5 เส้น ซึ่งก็ถือว่าไกลกว่าของคนอื่นมากเดียว

ถึงแม้ว่า 5 เส้นจะไม่ใช่คะแนนเต็มแต่ก็ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีเยี่ยมมากแล้วเพราะยังไงแต่ละเส้นมันก็ห่างกันประมาณ 6 – 7 หลาอยู่แล้ว

สนามทดสอบที่ 3 นั้นเป็นเรื่องของ ความเข้าใจในวิชาดาบ

มีวิชาดาบทั้งหมด 7 วิชา โดยแต่ละวิ ชาดาบจะเป็นระดับอําไพและระดับทมิฬ โดนมีทั้งหมด 4 ขั้น คือ ขั้นต่ํา ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด

ผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องจดจํากระบวนท่าวิชาดาบหนึ่งในนั้น และเรียนรู้มันให้ได้ภายในเวลา 1 ก้านธูป (ปกติแล้วจะประมาณครึ่งชั่วโมง)

ยิ่งระดับขั้นของวิชาดาบที่ได้เรียนรู้สูงเท่าไร ก็ยิ่งได้คะแนนดีขึ้นเท่านั้น

ผู้เข้ารับการทดสอบแต่ละคนจะถูกประเมินในห้องปิดตายที่ติดอุปกรณ์ป้องกันพลังวิญญาณรั่วไหลเพื่อป้องกันการโกงเอาไว้ด้วย

โจวฉวนจีเห็นว่าก้านธูปของเขานั้นมันผอมกว่าปรกติ มันหนาน้อยกว่า 4 นิ้วอีกและเขาประมาณไว้ว่ารูปนั้นจะหมดภายในเวลาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นพอเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วปกติคนส่วนมากก็ จะไม่เลือกระดับยากเพื่อเอามั่นใจว่าตัวเองจะประเมินผ่าน

ในสนามนี้ ผู้คุมกฏของสํานักเสี่ยจะเป็นผู้ลงมาคุมเองเพื่อป้องกันไม่ให้วิชาดาบรั่วไหลออกไป

แต่โจวฉวนจีนั้นกลับเลือกวิชาดาบขั้นสูงสุดของระดับทมิฬมาโดยไม่ลังเล

เพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถี!

เขาเปิดดูตําราวิชาดาบแล้วจดจําทุกกระบวนท่าการเคลื่อนไหวด้วยการช่วยเหลือของจิตวิญญาณแห่งดาบแล้วเริ่มฝึกฝนมันทันที

ดาบในมือของเขาตอนนี้คือดาบผ่าวายุมันทั้งรวดเร็วและเฉียบคม เหมาะ สมกับการฝึกเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถีที่สุดแล้ว

หลังจากที่ก้านธูปหมดลง

โจวฉวนจีก็ออกมาจากห้องพร้อมกับหยกสีขาวในมือ ในขณะที่ผู้คุมกฎที่อยู่ข้างหลังเขานั้นกําลังพึมพัมด้วยความสับสนอยู่“สัตว์ประหลาด… สัตว์ประห ลาดชัด ๆ…”

แม้แต่จ้าวสํานักอย่างเสี่ยหรูโหยวยังไม่ร้ายกาจเท่ากับเขาเลย
ภายในเวลาเพียงแค่ก้านธูปน้อย ๆ นี้เจ้าเด็กนั่นกลับเรียนรู้วิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงอย่างเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถี แล้วเอาคะแนนเต็มไปได้ซะงั้น

โจวเฉิงซินพูดพลางยิ้มให้กับเขาตอนที่เห็นโจวฉวนจีเดินออกมา “เอาหยกขาวนั่นมาฝากไว้ที่ข้าเถอะเดี๋ยวข้าจะนําไปจัดการเรื่องต่อให้เอง”

โจวฉวนจีพยักหน้า เขาเองก็กังวลเรื่องที่ชายตาเดียวนั้นจะมายุ่งกับผลการ ทดสอบของเขาเหมือนกัน

โจวเฉิงซินรับหยกขาวมา ก่อนจะมองหยกขาวด้วยรอยยิ้ม

“ความสามารถระดับเทพกระบี่โจวแล้วท่านคงจะเลือกเป็นวิชาดาบระดับอําไพ ขั้นสูงสุดละสินะ?”

เขามองดูชัดๆก่อนจะตกตะลึง

เดี๋ยวก่อน!

เขาเบิกตากว้างราวกับว่าเห็นผี

มือของเขาสันหลังจากที่เห็นชัด ๆ ว่าภายในหยกขาวนั้นเขียนไว้ว่ายังไงจนเกือบทําหยกหล่นพื้นซะด้วยซ้ําแต่ยังโชคดีที่เขาดึงสติกลับมาได้ทันแล้วรับไว้ได้

ระดับทมิฬขั้นสูงสุดงั้นเหรอ!

เป็นไปได้ยังไงกัน!

โจวเฉิงซินเองก็รักในวิถีแห่งกระบี่มากเพราะงั้นเขาถึงรู้อยู่แก่ใจว่าด้วยเวลาแค่นั้นไม่มีวันทําได้แน่นอน
แต่ด้วยเวลาแค่นั้นเนี่ยนะ….

โจวฉวนจีโบกมือ “งั้นเดี๋ยวข้าขอลาก่อนแล้วกันถ้าผลเป็นยังไงก็ฝากบอกข้าด้วยนะข้าเชื่อว่าคนอย่างท่านยังไงก็หาทางหาตัวข้าเจออยู่แล้ว” เขาพูดก่อน จะหันหลังกลับแล้วเดินออกไปทางประ ตูห้องโถง

หลังจากที่โจวเฉิงซินได้สติกลับมาอีกครั้งเขาก็ตะโกนรียกออกไปทันที “ท่า นเทพกระบี่โจวไว้วันหลังเรามาดื่มด้วยกันหน่อยนะ!”

โจวฉวนจีโบกมือลาแบบไม่หันหลังกลับแล้วจากไปอย่างสง่างาม

“ช่างสมกับเป็นเทพกระบี่โจวซะจริง!”เขาอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

ด้วยความเข้าใจในวิถีดาบระดับนั้น แม้แต่ยอดกระบี่จาวฉงเองก็คงเทียบกับเขาไม่ได้

ภายใต้เสียงชื่นชมของเหล่าจอมยุทธกระบี่ทั้งหลาย โจวฉวนจีเดินออกมาจากโถงเพื่อไปหาเจียงฉือน้อยแล้วพักผ่อน

“เจ้าแก้แค้นให้จอมกระบี่ผู้องอาจแล้วงั้นเหรอ?” เจียงฉือน้อยถามอย่างตื่นเต้น

จอมกระบุผ่องอาจเองก็จ้องมองไปทางโจวฉวนจีด้วยความซาบซึ้งใจ

นั่นเป็นเพราะหยางเฉอเดินกลับออกไปพร้อมใบหน้าที่บวมเป่ง ก่อนจะเริ่มตะโกนด่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจทันทีที่เห็น เขาแทบอยากจะไปกระทืบจอมกระบี่ผู้องอาจด้วยซ้ํา

โจวฉวนจีพูดอย่างใจเย็น “มันก็ยังไม่จบหรอกข้าแค่ตักเตือนเขาไปว่าเขามาหาเรื่องกับคนที่ไม่ควรจะมีเรื่องด้วยอีกน่ะ”

จางหรูหยุที่ยืนข้าง ๆ แทบจะทรุดลงคุกเข่า

รองผู้ว่าการเมืองลั่วหยางโดนท่านเทพกระบี่โจวตบหน้าหงายซะแบบนี้ สุดยอดไปเลยจริงๆ!

จางเถียนเจียนกลืนน้ําลายเงียบๆแล้วจับแก้มของเขาแบบไม่ทันตั้งตัว

“ไปหาโรงเตี้ยมอยู่กันเถอะ” โจวฉวนจีพูดและไม่มีใครคัดค้าน

จางหรูหยุคว้าตัวพ่อของเขาไว้ทันทีก่อนจะพูดกับโจวฉวนจี“จะไปพักที่โรงเตี้ยมกันทําไมละท่าน? ในเมื่อเรามีบ้านพักอยู่ในเมืองจ้าวกระบี่แห่งนี้นี่นา!”

โจวฉวนจีเลิกคิ้วขึ้นมาเจ้ารวยขนาดนั้นเลยรึไง?

จางเถียนเจียนยิ้มแล้วพยายามพูดแบบตรงไปตรง“ใช่ครับท่าน ทําไมท่านไม่มากับเราละให้พวกเราได้แสดงความมีน้ําใจกับพวกท่านเถอะ”

ท่านหรอ?

ฉางหรูหยูทําหน้าตาประหลาดทันทีท่านพ่อก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ได้เรียกเขาแบบนั้นไม่ใช่เหรอ!

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี

มีคนทุกประเภทมารวมตัวกันอยู่ในโรงเตี้ยมก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาเอา

ในตอนที่พวกเขากําลังจะจากไปนั่นเองโจวเฉิงซินวิ่งออกมาจากห้องโถง

เขามองซ้ายมองขวาพยายามหาแต่ก็ไม่เจอโจวฉวน

“องค์ชาย 7 กําลังตามหาใครอยู่งั้นรึ?”

เสียงเย็นเฉียบดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขา เขาหันกลับไปมองก่อนจะยิ้มหวานให้ทันที“พี่จาวนี่เองลมอะไรหอบท่านมาที่นี่กันเนี่ย?” โจวเฉิงซินถามขึ้นมา

หนุ่มหล่อมาดเท่ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเป็นชายหนุ่มสวมชุดผ้าคลุมสีแดงลายประดับสีทองและมีดาบห้อยอยู่ที่เอวผมดำขลับม้วนสูงปักไว้ด้วยมงกุฎสีทองใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหยิ่งผยอง
เขาคนนั้นก็คือยอดกระบี่จาวฉงผู้โด่งดังนั่นเอง!

ยอดกระบี่จาวฉงตอบอย่างเฉยเมย “ไม่มีอะไรหรอกข้าก็แค่ได้ยินมาว่าเทพกระบี่โจวมาที่นี่น่ะข้าเลยจะมาดูว่าเขาเก่งพอจะสู้กับข้าได้ไหมเท่านั้นเอง”

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless…

ตอนที่ 60 : อันดับงานประชุมกระบี่

ตอนที่ 60 : อันดับงานประชุมกระบี่

ตามหาเทพกระบี่โจวงั้นเหรอ?

“คน ๆ นั้นเขามีพลังมากเพียงพอจะต่อกรกับเจ้าได้อยู่แล้วเจ้ารู้ผลคะแนนที่เขาทําได้ตอนทดสอบความเข้าใจในวิถีกระบี่รียังล่ะ?” โจวเฉิงซินจงใจยิ้มออกมาขณะที่พูด

ยอดกระบี่จาวฉงถามขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง“ระดับทมิฬขั้นต่ําเรอะ?”

นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกตอนที่เขาเข้ารับการทดสอบเหมือนกัน

เพราะงั้นเขาจึงเดาไปแบบนั้นในสายตาของเขา เขาอาจจะประเมินพลังของเทพกระบี่โจวสูงไปก็ได้

โจวเฉิงซินส่ายหัวก่อนจะยิ้มให้จนทําให้ยอดกระบี่จาวฉงขมวดคิ้ว

“ระดับทมิฬขั้นสูงสุดน่ะ” เขาพูด

ม่านตาของยอดกระบีจาวฉงหดลงทันทีเขาก้าวขึ้นมาข้างหน้า “จริงรึ?”

เขายังแทบจะไม่รอดจากวิชาดาบระดับทมิฬขั้นต่ําเลยด้วยซ้ํา แล้วยิ่งเป็นขั้นสูงเนี่ย…

แค่ต้องจดจํากระบวนท่าการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนแบบนั้นมันก็ยากแล้ว

โจวเฉิงซินพยักหน้าแล้วพูด “ข้าเป็นคนที่ยื่นหยกขาวของเขาให้กับเสี่ยหวูโหยวด้วยตัวเอง”

ยอดกระบี่จาวฉงยังคงเงียบ

โจวเฉิงซินมองหน้าเขาและคิดขึ้นมาในใจข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากันระหว่าง เขากับเทพกระ !โจวน่ะ?

ทันใดนั้นเอง ยอดกระบี่จาวฉงก็หันห ลังกลับแล้วเดินจากไป

โจวเฉิงซินส่ายหัว ก่อนจะยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังจอมกระบี่ผู้โด่งดังกําลังเดินหายไปท่ามกลางฝูงชน

เขาเดินไปยังต้นไม้เก่าแก่ข้าง ๆ กับถนนแล้วจู่ ๆ ชายในชุดสีดําก็ปรากฏตัวออกมาข้างหลังเขาในทันที

ใบหน้าของชายในชุดสีดําคนนั้นถูกปกปิดไว้ครึ่งนึง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ปรากฏออกมาแต่ภายใต้ร่มไม้แบบนี้แม้แต่ดวงตาก็ไม่อาจเห็นได้ชัด

โจวเฉิงซินหันหลังเข้าใส่ชายคนนั้นก่อนจะพูด “ไปตามหามาว่าเทพกระบี่โจวพักอยู่ที่ไหนถ้าตระกูลหยางแห่งเมืองลั่วหยางกล้าจะไปมีเรื่องกับพวกเขาละก็จงส่งคนไปตักเตือนท่านเจ้าหน้าที่หยางซะ”

“รับทราบ!”

ชายในชุดสีดําตอบรับด้วยเสียงค่อย ก่อนจะหายตัวไป

ตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้าโจวฉวนจีและพรรคพวกเข้ามาในคฤหาสต์ของจางเถียนเขียนที่อยู่ในเมืองจ้าวกระบี่

คฤหาสต์นั้นใหญ่โตมโหฬารมากมี 3 ลานกว้างห้องไว้รับรองแขกอีกเป็น 10 แล้วยังมีสวนตั้งอยู่ตรงกลางของคฤหาสต์อีก

จางหรูถาน ลูกชายอีกคนหนึ่งของจางเถียนเจียนอาศัยอยู่ที่นี่พร้อมด้วยบริวารกว่า 30 คน

จางหรูถานรู้สึกตื่นเต้นมากพอได้ยินว่าเทพกระบี่โจวจะมาที่นี่

ตระกูลของจางเถียนเจียนนั้นชื่นชอบในวิถีกระบี่เอามากๆภายในเขตชายแดนของมหาจักรวรรดิโจวเองก็ไม่ค่อยมีจอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่มากนัก

การปรากฏตัวของเทพกระบี่นั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่มากหลังจากที่จางหรูถานได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาผนวกกับจดหมายของจางหรูหยูทําให้เขาชื่นชมเทพกระบี่โจวไปโดยปริยาย

ตลอดทาง จางหรูถานถามจ้อไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น

“ท่านพี่ เรื่องจริงรึเปล่า? ที่ท่านเทพกระบี่โจวตบหน้าของหยางเฉอน่ะแล้วก็เรื่องที่องค์ชายเจ็ดเข้ามาต้อนรับท่านโจวด้วยตัวเองอีกน่ะ?”

จางหรูถานถามจางหรูหยูเพราะเขาไม่กล้าที่จะไปคุยกับโจวฉวนจิตรง ๆ

จางหรูหยูจ้องหน้าเขาก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความหัวเสีย“นี่เจ้าจะถามข้าอีก ซักกี่คําถามกันล่ะห้ะ?ท่านเทพกระบี่โจวอยู่ข้างหลังพวกเรานะช่วยอย่าทําตัวโง่ซักแปปนึ่งจะได้ไหม”

ตอนนั้นเองที่จากหรูถานหันกลับไปมองโจวฉวนจีด้วยความเขินอายก่อนจะนําทางพวกเขาไปต่อ

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังนึ่งขณะที่ฮวงเหลี่ยนชินก็อยู่อีกหลัง

โจวฉวนจีกับเจียงฉือน้อยก็อยู่ในห้องเดียวกันเหมือนเคยยัยเด็กนี่ไม่ได้มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่น้อยแถมทนไม่ได้ถ้าจะไม่ได้อยู่กับเขาอีก

นอกจากที่หมู่บ้านลําธารขจีแล้วเธอก็แทบไม่ได้ไปในที่ ๆ มีคนพลุกพล่านเลยแม้แต่น้อยเพราะการไม่ได้อยู่กับโจวฉวนจีมันทําให้เธอหวาดกลัว

ห้องรับรองแขกทั้ง 3 ห้องนั้นเชื่อมติดกันทําให้พวกเขาสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้

ในคืนนั้น จางเถียนเขียนก็เลี้ยงฉลองให้กับโจวฉวนจีและพรรคพวก

หลังจากดื่มเหล้าไป 3 จอก จางเถียนเจียนก็ถอนหายใจออกมา “เอาตรง ๆ นะ ท่านตอนแรกข้าล่ะสงสัยในตัวท่านสุด ๆ ไปเลยล่ะ เพราะว่าท่านน่ะนะจู่ๆ ก็ โด่งดังกลายเป็นตํานานขึ้นมในชั่วพริบ ตาเดียวแต่มาตอนนี้ ข้านะนับถือท่านจากใจจริงเลยล่ะ! ข้าน่ะเชื่อมั่นใจตัวท่านสุด ๆ !”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกรอกตาใส่

หน้าไม่อายชะมัด!จางเถียงเจียนมันหาโอกาสอวยไปพร้อม ๆ กับขอโทษขอโพยได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

ทําไมเขาจะไม่รู้ละว่าเพื่อนของเขาเป็นคนยังไง?

ต่างกับจางเถียนเจียนจางหรูหยูกับจางหรูถานนั้นก้าวข้ามพ่อของตัวเองได้ในทุกด้านของการอวยไปแล้วพวกเขาโม้เรื่องของโจวฉวนจีใส่สีตีไข่กันไปมาจนเว่อร์วังไปหมด

โจวฉวนจียิ้มแต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดอะไร

แต่ทั้ง 3 คนก็ผลัดกันเอาแต่ยกแก้วดื่มให้กับเขากันยกใหญ่

นี่พวกเขาคิดว่าข้าเด็กนักรึไงหะ?

ในชาติก่อนข้าน่ะเป็นถึงเจ้าชายคอทองแดงเลยนะโว้ย!

แล้วมาชาตินี้ ฉันก็ฝึกจนถึงขั้นบรรลุญาณแล้วด้วยคิดเหรอว่าข้าจะเมาง่าย ๆ น่ะห้ะ?

โจวฉวนจีคิดด้วยความรังเกียจก่อนจะยกจอกเหล้าเข้าปากเรื่อย ๆ ตามพวกเขา

“คืนนี้ จะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เหลือรอดโว้ย!”

กลางดึกคืนนั้นเอง

โจวฉวนกลับห้องของตัวเองโดยมีเจียงฉือน้อยคอยช่วยนิ้วปีกเอาไว้

“ข้ายังไม่มาวว… เอามาอีกจอกนึงเอ๊ะ…. คืนเน้อะนะ… เราจะจ่ายหยุดจนกว่าจะเมาเป็นหมากันไปข้างนึง…”

โจวฉวนจีคอห้อยอย่างหมดสภาพและบ่นพึมพัมพลางเหวี่ยงแขนขวาไปมา

เจียงฉือน้อยค่อย ๆ วางโจวฉวนจีลงบนเตียง หลังจากนั้นเธอก็เอาถังน้ําร้อนออกมาเตรียมไว้ข้าง ๆ และเริ่มลงมือเช็ดตัวให้กับเขา

ขณะที่เธอมองร่างกายอันร้อนผ่าวจนตัวแดงเขาเธอก็รู้สึกตลกขึ้นมาแต่ก็ปวดหัวด้วยเหมือนกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นโจวฉวนจีอยู่ในสภาพเละเทะแบบนี้

และไม่ใช่แค่โจวฉวนจีคนเดียวทั้งจางเถียนเขียนและลูกชายทั้ง 2 ของเขารวมไปถึงจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจทุกคนต่างก็เมาเละเทะกันหมด

จางเถียงแสดงความจริงใจของเขาด้วยการเลือกเหล้าชั้นยอดมาเลยเหล้าทุกขวดทุกจอกที่กินไปเป็นเหล้าวิญญาณที่แรงจัด ๆ แม้แต่จอมยุทธระดับบัวภายในเองก็ใช่ว่าจะดื่มเท่าไรก็ได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับบรรลุญาณ

ลากยาวไปจนถึงเที่ยงของอีกวันนึง…

โจวฉวนจีตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขาปวดร้าวและชาไปหมดเขารู้สึกมึนหัวและรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก

เจียงฉือน้อยอยู่บนโต๊ะกําลังป้อนอาหารหนูทรายสามตาอยู่ขณะที่เจ้างูสีดํา ตัวจ้อยเองก็เอาแต่แหกปากไม่หยุด

“นี่แม่ตัวน้อย ช่วยทําอะไรดี ๆ ให้ข้ากินหน่อยจะได้มั้ย? ได้โปรด หมูย่างปรุงรสที่เจ้ากินเมื่อคืนก่อนช่วยทําแบบนั้นให้ข้ากินด้วยบ้างสิ?”

แต่เจียงฉือน้อยกลับเมินคําขอของมัน

เจ้างูสีดําตัวจ้อยไม่กล้าที่จะโวยวายอาละวาดมากเพราะเขากลัวว่าโจวฉวนจีจะตื่นขึ้นมาแล้วกระทืบเขาซ้ําอีกรอบ

โจวฉวนจีค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแล้วปาดเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผาก เขารู้สึกแย่สุด ๆตอนที่ภาพของเมื่อคือย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา

เหล้านั่นมันแรงสุด ๆ ไปเลย…

พอเห็นว่าเขาตื่นเจียงฉือน้อยก็รีบรินน้ําให้กับเขา

“ครั้งหน้า เจ้าเองก็อย่าอวดเก่งเกินไปอีกละ” เธอดใส่เขาขณะรินน้ําในชาม

โจวฉวนจีมองเธอพร้อมกอดอกแน่นถอนหายใจออกมา“ใครว่าข้าอวดดีกัน? ข้ายังดื่มได้มากกว่านี้อีกนะ!”

เจียงฉือน้อยถือชามไปที่ข้างเตียงแล้วยื่นแตะตัวของเขา “ก็ถ้าครั้งหน้ามีศัตรูเข้ามาโจมตีพวกเราตอนเจ้าเมาละก็ครั้งต่อไปที่เราจะได้เจอกันอีกทีก็คงจะเป็นในนรกแล้วละ”

เธอพูดโจวฉวนจีพอได้ยินแบบนั้นก็เหงื่อแตกพลักขึ้นมาทันที

เขาประมาทเกินไปเอง

ที่นี่คือมหาจักรวรรดิโจวนี่นะ…

เขาตัดสินใจว่าจะไม่เมาอีก

หลังจากที่ดื่มน้ําบ้างแล้ว โจวฉวนจีก็รู้สึกสดชื่นขึ้นก่อนจะใส่เสื้อและออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ แต่จอมกระบี่ผู้องอาจก็ไม่ตอบกลับ บางทีเขาอาจจะยังนอนอยู่ก็ได้

เขาถามเหล่าบริวารคนใช้แล้วรู้มาว่า

จางเถียงเจียนกับลูก ๆ ของเขาก็ยังหลับอยู่เหมือนกัน

จู่ๆ เขาก็รู้สึกพอใจขึ้นมาทันที

อย่างน้อยข้าก็ไม่แพ้ชายหน้าไหนเรื่องซดเหล้าล่ะวะ

ในอีกหลายวันต่อมา เขาก็ไม่ได้ออกไปจากคฤหาสต์ตระกูลจาง เจียงฉือน้อยเองก็เช่นกันเธอเลยฝึกฝนวรยุทธกับเขาแทน

ตอนนี้เธอรู้เป้าหมายของเขาแล้วเพราะงั้นเธอเลยไม่อยากจะเป็นภาระกับเขา

ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างนั้นเอง โจวฉวนจีก็ได้บรรลุจิตกระบีของเพลงดาบขลุ่ยหยก 36 วิถี

หลังผ่านวันที่ 3 ไป เขาก็ได้ก้าวไปถึงระดับบรรลุญาณขั้นที่ 2 แล้ว และโจวเฉิงซินก็ได้มาแวะเวียนหาเขาด้วยตัว เองอีก

เขามาพร้อมกับลูกน้อง 4 คนที่ติดตามมาด้วยแต่ละคนหน้านิ่งเหี้ยมเกรียมกันทั้งนั้นแม้ว่าพวกเขาจะพยายามกดปราณเฉพาะตัวเอาไว้ แต่จิตสังหารของพวกเขาก็ยังเล็ดลอดออกมาอยู่ดี

จางเถียงเจียนเองก็ดูจะเต็มไปด้วยความยินดีกับการมาเยี่ยมเยียนของเขาในครั้งนี้ด้วยเขารีบส่งคนเข้าไปเชิญโจวฉวนจีมาร่วมงานทันที

ทุกคนต่างรวมตัวกันที่โถงหลัก

“ท่านเทพกระบี่โจว ท่านได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประชุมกระบี่นะท่านอยู่ในอันดับที่ 9 ละ” โจวเฉิงซินแสดงความเคารพแล้วพูดกับโจวฉวนจีด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นเขาก็คืนหยกขาวให้กับโจวฉวนจี

หลังจากที่รับหยกขาวมาแล้วโจวฉวนจีก็โล่งใจขึ้นมา

ถ้าเกิดตกตั้งแต่รอบแรกในงานประชุมกระบี่ละก็คงจะน่าอับอายสุด ๆ ไปเลย

“ทําไมเขาถึงได้แค่อันดับ 9 เองละเขาควรจะอยู่อย่างน้อย ๆ ก็ต้องอันดับ 1 ใน 3 ไม่ใช่เหรอ?”

จางหรูถานพูดออกมาด้วยความไม่พอใจจางหรูหยูพยักหน้าตามเพราะรู้ สึกแบบนั้นเหมือนกัน

ใบหน้าของโจวฉวนจีดูใจเย็นก็จริงแต่ในใจเขาหวั่นไหวไปหมด

โจวเฉิงซินหัวเราะเบา ๆ แล้วพูด “ทุกคนต่างพยายามเต็มที่แล้วในการทดสอบปราณกระบี่ยิ่งกว่านั้นยังมีจอมยุทธที่พลังร้ายกาจหลายคนมาเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วยอันดับ 9 ก็ถือว่าเป็นอันดับที่ดีแล้วด้วยความสามารถระดับท่านเทพกระบี่โจวท่านมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะชนะในงานประชุมครั้งนี้ด้วยซ้ําไป”

ยินาน หทุยตระบีมะลวงสวรรค์ THave Countless…

กอยมี่ 58 : ประเทิยปราณตระบี! พลังแห่งจิกดาบ!

“ม่ายคือ?”

โจวฉวยจีแตล้งมําเป็ยไท่รู้จัตโจวเฉิงซิยและถาทอน่างใจเน็ย

โจวเฉิงซิยเคนเจอเขาแค่เทื่อกอยเด็ตเม่ายั้ย เพราะงั้ยไท่ทีมางเลนมี่องค์ชาน ลําดับมี่ 7 จะรู้ถึงกัวกยของเขาได้

“ข้าคือองค์ชานลําดับมี่ 7 แห่งทหาจัตรวรรดิโจว โจวเฉิงซิย ข้าย่ะเลื่อทใสใยกัวของม่ายทายายแล้วล่ะครับ” โจวเฉิงซิยพูดพลางนิ้ทให้ ขณะมี่ใช้พัดไปด้วน

เขาเผนกัวกยของกัวเองเพื่อมี่โจวยวยจีจะได้พูดคุนเปิดเผนตับเขาได้อน่างเก็ทมี่

ส่วยเรื่องมี่เขาชื่ยชทโจวฉวยจีเยี่นเป็ย เพราะทารนามล้วย ๆ

จาตทุททองของเขา ทีจอทนุมธมี่แข็งแตร่งตว่าโจวฉวยจีอนู่ทาตทานราวตับปลาใยแท่ย้ํา
โจวฉวยจีพนัตหย้ากอบ “ทีเรื่องอะไรตับข้ารึเปล่า? พอดีข้านังก้องไปลงมะเบีนยอีตยะ” เขาพูด

เทื่อโจวเฉิงซิยได้นิย ต็นิ้ทให้ต่อยจะพูดขึ้ยทา “งั้ยต็ดีเลน ให้ข้าเป็ยคยยํามางม่ายด้วนเถอะ”

เขาส่งสัญญาณให้ตับพวตศิษน์จาตสํายัตเสี่น และศิษน์คยยั้ยต็รีบจาตไป มัยมี

โจวฉวยจีไท่ได้ปฏิเสธอะไร เขาเข้าใจยิสันของโจวเฉิงซิยดี และไท่ตลัวมี่จะกิดหยี้บุญคุณตับเขา

นังไงซะ หลังจาตมี่เขาสังหารราชิยีแห่งทหาจัตรวรรดิโจวได้แล้ว เขาต็จะออตจาตทหาจัตรวรรดิโจว และม่องไปมั่วโลตพร้อทตับเจีนงฉือย้อนอนู่แล้ว

“งั้ยทาวิเคราะห์ปราณตระบี่ของม่ายตัยต่อย

โจวเฉิงซิยพูด และคําพูดของเขาต็มําให้โจวฉวยจีรู้สึตสงสันทาต

มําไทถึงก้องวิเคราะห์ปราณตระบี่ด้วนล่ะ?

พวตเขาตลัวว่าจะทีจอทตระบี่คยไหย ฉวนโอตาสสร้างสถายตารณ์วุ่ยวานหรือไงตัย?

โจวเฉิงซิยทองไปมางเขามี่มําม่า สงสันต่อยจะอธิบานให้ฟังว่า “งายประชุทตระบี่ทีผู้ก้องตารจะเข้าร่วทอนู่เนอะทาต เพราะงั้ยทัยต็เลนไท่ดีเม่าไหร่ถ้าจะให้ทีผู้เสีนชีวิกเนอะเติยไปจาตควาทก่างของพลังมี่ทาตเติยย่ะครับ ดังยั้ยแล้วระดับควาทสาทารถผู้มี่จะเข้าร่วทได้จะก้องถึงเตณฑ์ซะต่อย และหลังจาตมี่ลงมะเบีนยแล้ว ต็จะทีแค่ 50 อัยดับแรตเม่ายั้ยมี่จะถูตคัดเลือตให้เข้าร่วทงายประชุทตระบี่ได้ครับ”

“งั้ยต็หทานควาทว่าตารลงมะเบีนยต็คือตารคัดเลือตแรตย่ะหรอ?” โจวฉวยจีถาทพลางเลิตคิ้ว

เสี่นหรูโหนวย่ะเป็ยทองโลตใยแง่ร้านสุด ๆ ถ้าโจวฉวยจีเป็ยพระเอตใยยินานจียล่ะต็ คิดหรอว่าเขาไท่แตล้งมําเป็ยโง่ มํากัวตระจอตเพื่อมําให้ศักรูหย้าหงานใยภานหลังยะ?

“ถูตก้องแล้ว เพราะงั้ยจะไท่ทีตารสํารองมี่ยั่งให้ใครมั้งยั้ย ถ้าม่ายโดนคัดออตกั้งแก่รอบลงมะเบีนยละต็ ม่ายคงจะรู้สึตอับอานแย่ ๆ”

โจวเฉิงซิยพูดพลางนิ้ทให้ ด้วนตารยํามางของเขา โจวฉวยจีต็ไปถึงนังตารคัด เลือตปราณตระบอน่างรวดเร็ว

ทีหิยเหล็ตต้อยใหญ่อนู่ต้อยหยึ่งวางกั้งอนู่ ทัยตว้าง 3 เทกรและสูง 6 เทกร ทีร่องรอนตารฟัยอนู่ทาตทานและแก่ละรอนต็ทีควาทลึตมี่ก่างตัย

มี่ห้องโถงยั้ยทีหิยเหล็ตแบบเดีนวตัย อนู่สิบต้อยกั้งเรีนงอนู่ 3 แถว และจอทนุมธแก่ละคยต็ตําลังเรีนงแถวก่อคิวอนู่หย้าหิยแก่ละต้อย

“ยี่คือหิยปราณตระบี่ครับ โดนผลตารประเทิยจะกัดสิยจาตควาทลึตใยตารกัดของปราณตระบี่ของม่ายย่ะครับ”

โจวเฉิงซิยพูด จาตยั้ยเขาต็เดิยกรงไปข้างหย้าเพื่อคุนตับศิษน์สํายัตเสี่นมี่อนู่กรงข้าทเขา

จาตยั้ยศิษน์จาตสํายัตเสี่นต็รีบถาท พวตคยมี่เข้าคิวอนู่เพื่อขอข้าทคิวมัยมี

“มําไทเจ้ายั่ยถึงข้าทคิวได้ล่ะ?”

ชานตล้าทโกกะโตยขึ้ยทาด้วนเสีนงมุ่ทก่ํา เหล่าผู้มี่ทาเข้าร่วทงายประชุท ตระบี่ล้วยแก่ทีควาทสาทารถตัยมั้งยั้ย แย่ยอยว่าต็ก้องไท่ทีใครอนาตจะเข้าคิวอนู่แล้ว

โจวเฉิงซิยเหลือบทองไปมางเขาต่อยจะพูดขึ้ยทา “ยี่คือเมพตระบี่โจวผู้กิดอนู่ใยการางจัดอัยดับผู้ทีชื่อเสีนงแห่งทหาจัตรวรรดิโจวเชีนวยะ ฉะยั้ยหาตเจ้าทีชื่ออนู่ใยการางจัดอัยดับผู้ทีชื่อเสีนงแห่งทหาจัตรวรรดิโจวเหทือยตัยล่ะต็ งั้ยเจ้าต็สาทารถข้าทคิวได้เช่ยตัย!”

โว้วววว!

ควาทปั่ยป่วยครั้งใหญ่เติดขึ้ยม่าทตลางเหล่าผู้มี่ตําลังเข้าคิวตัยอนู่ ชานตล้าทโกคยยั้ยรู้สึตกตใจต่อยจะรีบถอนออตให้มัยมี

โจวฉวยจีทองไปมางเหล่าฝูงชยมี่ทองทานังเขาตัยอน่างประหลาดใจ ต่อยจะเดิยไปมี่หิยปราณตระบี่โดนไท่แสดงสีหย้าใด ๆ

เชือตสีแดงมี่กั้งอนู่ห่างจาตหิยปราณ ตระบี่ 3 หลายั้ย คือระนะมี่ตั้ยไท่ให้เข้าใตล้เติยยั่ยเอง

ศิษน์จาตสํายัตเสี่นหนิบหนตสีขาวต้อยหยึ่งขึ้ยทา ต่อยจะเขีนยคําว่า “เมพตระบี่โจว” ลงไปบยหิยพร้อทตับประมับลานยิ้วทือของโจวฉวยจี จาตยั้ยค่ 3 คํามี่ทีขยาดใหญ่เม่าแทลงวัยต็ปราตฎขึ้ยมี่ทุทซ้านบยของหนต

โจวฉวยจีรู้สึตสงสัน ทัยคือคาถาอะไรตัยยะ?

แก่เขาต็ไท่ได้แสดงควาทสงสันออตทามางสีหย้าแก่อน่างใด

เพราะเมพตระบี่โจวมี่ย่าเคารพยับถือยั้ยจะก้องไท่ดูโง่เขลานังไงล่ะ

“โปรดหนิบดาบของม่ายออตทา ม่ายสาทารถลองได้แค่ครั้งเดีนวเม่ายั้ย และจะไท่ทีตารให้ลองซ้ํายะครับ”

ศิษน์จาตสํายัตเสี่นตล่าวขึ้ยทาด้วนควาทสุภาพ ไท่ทีคําว่าขออีตครั้ง สําหรับจอทตระบี่มี่แม้จริงหรอตยะ

ถ้าจอทตระบี่ไท่สาทารถควบคุทขยาดของปราณตระบี่กัวเองได้ล่ะต็ เช่ยยั้ยคย ๆ ยั้ยต็ไท่ทีคุณสทบักิทาตพอจะเข้าร่วทงายประชุทตระบี่ได้

โจวฉวยจีพลิตดาบราชาโลตัยกร์ต่อยจะถาทขึ้ยทา “ข้าสาทารถฟัยได้แค่ครั้งเดีนว แล้วต็ห้าทใช้วิชาดาบหรือจิกดาบด้วนใช่ทั้น?”

เหล่าฝูงชยมี่อนู่ข้างหลังเขาเริ่ทแกตกื่ยตัยอีตครั้ง

จิกดาบอน่างงั้ยหรอ!

จะทีจอทตระบี่สัตตี่คยใยห้องโถงยี้ตัยมี่สาทารถบรรรลุจิกดาบได้ย่ะ?

เขาคือเมพตระบี่โจวอน่างแย่ยอย เพราะแท้แก่วาจาของเขาต็นังแฝงไปด้วนออร่าของจอทนุมธผู้มรงพลัง

ศิษน์จาตสํายัตเสี่นรู้สึตเสีนศูยน์ “แย่ยอยว่าม่ายใช้ได้ครับ แก่สร้างคลื่ยปราณตระบี่ได้แค่คลื่ยเดีนวเม่ายั้ยยะครับ ถ้าทาตตว่ายั้ย จะถือว่าปรับกตมัยมีครับ” เขากอบ

เทื่อโจวฉวยจได้นิยต็พลิตทือขวาขึ้ยทา ดาบราชาโลตัยกร์มี่พลิตอนู่ใยทือ เขาดึงดูดควาทสยใจของเหล่าจอทตระบี่มี่ก่อแถวอนู่ทาต

เขาถือดาบราชาโลตัยกร์เอาไว้ใยลัตษณะจับตลับด้าย ต่อยจะเริ่ทใช้จิก ดาบสะบั้ยสาทชีพจรมัยมี

เรือยผทสีดําและเสื้อผ้าสีดําของเขาต็ ปลิ้วพลิ้วไสวแท้จะไท่ทีสานลทใด ๆ เลนต็กาท พลังงายแข็งแตร่งบางอน่างมี่ไท่อาจอธิบานได้ ระเบิดออตทาเสีนจยดึงดูดควาทสยใจของคยใยห้องโถงมั้งหทด

ณ ปลานห้องโถง ชานคยหยึ่งมี่อนู่ใยชุดเครื่องแบบของสํายัตเสี่นตําลังนืยอนู่บยแม่ยหิย เขานืยหลังกรงสง่า ผิวสีแมย และทีดวงกาเพีนงข้างเดีนวเม่ายั้ย

“เด็ตคยยั้ยเป็ยใครตัย?” เขาถาทขึ้ย ทาขณะมี่จ้องทองไปนังโจวฉวยจี

ศิษน์คยหยึ่งเดิยกรงไปหาเขาต่อยจะกอบว่า “เขาคือเมพตระบี่โจวครับ เขาได้รับเชิญจาตองค์ชานลําดับมี่ 7 เป็ยตารส่วยกัว องค์ชานม่ายสังเตกเห็ยเมพตระบี่โจวกอยมี่เห็ยเด็ตเข้าทาใยเทืองย่ะครับ”

เมพตระบี่โจวงั้ยหรอ!

ชานกาเดีนวหรี่กาลงต่อยจะถอยหานใจอน่างไท่พอใจ

ทีข่าวลือทาตทานใยหทู่ผู้คยมี่มําให้เขารู้สึตไท่ชอบเมพตระบี่โจว

พวตทัยตล้าพูดออตทาได้นังไงว่าเมพตระบี่โจวเมีนบได้ตับจัตรพรรดิตระบี่ย่ะ?

เหลวไหลสิ้ยดี!

ยี่ทัยเป็ยตารดูถูตจัตรพรรดิตระบี่แห่ง ทหาจัตรวรรดิโจวตัยชัด ๆ !
แก่ด้วนควาทมี่องค์ชานลําดับมี่ 7 อนู่ ข้าง ๆ เจ้าเด็ตยั่ย เขาเลนไท่ตล้ามี่จะสร้างปัญหาอะไร และเขาอนาตจะเห็ยว่าเมพตระบี่โจวจะแข็งแตร่งสัตแค่ไหยตัยเชีนว

ขณะมี่เขาทองเมพตระบี่โจวเปิดใช้จิกดาบ เขาต็หัวเราะออตทาอน่างเหนีนดหนัย “ด้วนจิกดาบแบบยี้ย่ะหรอ ดูม่าเขาจะนังขึ้ยไท่ถึงระดับบัวภานใยเลนด้วนซ้ํา”

แท้เขาจะพูดดูถูตเมพตระบีโจว แก่จอทตระบี่หลานคยใยหทู่พวตเขาต็นังแอบพูดนตน่องชื่ยชทตัยอนู่ดี

โจวฉวยจีเองต็ไท่พูดพล่ามําเพลง เขารวบรวทพลังวิญญาณของกัวเองจยถึงจุดขีดสุดต่อยจะฟัยกรงไปมี่หิยปราณตระบี่มัยมี

ชริ้ง!! –

ลทตรรโชตพัดผ่าย และหิยปราณตระบี่ต็สั่ยสะเมือยอน่างรุยแรง จยสร้างเสีนงแหลทดังเสีนดหูเหล่าผู้คยมี่นืยอนู่ใตล้ ๆ มั้งหทด

โจวเฉิงซิยรู้สึตกตใจ สทตับเป็ยเมพตระบี่โจวจริง ๆ

สานกามั้งหทดจ้องทองไปมี่หิยปราณตระบี่

รอนดาบมี่มั้งนาวและลึตตว่ารอนไหย ๆ ปราตฎขึ้ยทาอน่างเห็ยได้ชัด

แท้แก่ศิษน์จาตสํายัตเสี่นมี่รับผิดชอบ ตารประเทิยต็นังรู้สึตกตใจค้างเสีนจย เปลือตกาของเขาตระกุตไท่หนุด

เขาเดิยกรงไปข้างหย้ามัยมีต่อยจะเริ่ทวัดควาทลึตของรอนมี่โจวฉวยจีได้ มําไป

เทื่อดาบราชาโลตัยกร์ลอนหานไปตลางอาตาศ โจวฉวยต็บิดคลานทือ ต่อยจะทองไปนังข้างหย้าอน่างไท่ได้สยใจอะไร

บ้าเอ้น!

ยี่ข้าใช้พลังแมบจะมั้งหทดเลนยะ!

เขาสบถอนู่ภานใยใจ ถ้าตารฟัยครั้งยี้ ไท่พอจะมําให้เขากิดอนู่ใยม็อป 50 ได้ล่ะต็ เขาจะไปเชือดคอกัวเองมี่หย้าประกูเทืองจ้าวตระบี่แย่!

เขารวบรวทพลังวิญญาณมั้งหทดมี่ที เพื่อตารฟัยเทื่อตี้แล้ว และทัยเป็ยตารฟัยมี่มรงพลังมี่สุดโดนมี่ไท่ได้ใช้งายวิญญาณราชาโลตัยกร์แล้วด้วน

แท้แก่จอทนุมธระดับบัวภานใยมี่มรงพลังต็ไท่อาจมยตารโจทกียั้ยได้ด้วนซ้ํา

“ม่ายเมพตระบี่โจว ผลตารประเทิยปราณตระบี่ของม่ายคือ 1 ยิ้วครึ่งครับ!”

ศิษน์จาตสํายัตเสี่นประตาศออตทาด้วนเสีนงสั่ย

โว้วววว

มั่วมั้งห้องโถงกตลงไปอนู่ใยควาทโตลาหลพร้อทตับเหล่าจอทตระบี่ทาตทาน มี่ร้องเตรีนวตราวด้วนควาทกตใจ

“1 ยิ้วครึ่งยี่อน่างย้อนต็กิดอัยดับ 1 ใย 10 ได้เลนยะ!”

“สทตับเป็ยเมพตระบี่โจวจริง ๆ ข้ารู้สึตได้เลนว่าเขานังซ่อยพลังไว้อนู่อีตย่ะ”

“ทัยแหงอนู่แล้ว! ใครจะไปประเทิยพลังมี่แม้จริงของเมพตระบี่โจวได้ตัย เล่า?”

“โคกรจะแข็งแตร่งสุด ๆ! ยี่สิยะจิกดาบย่ะ”

“งายประชุทตระบี่ครั้งยี้จะก้องย่าสยใจ สุด ๆ แหง!”

จอทตระบี่ก่างเริ่ทพูดคุนตัย แท้แก่ศิษน์จาตสํายัตเสี่นต็เริ่ทคุนตัยว่าเติดอะไรขึ้ยตัยแย่

ชานกาเดีนวมําหย้ากึงขึ้ยทามัยมี เขาคําราทใยลําคอออตทาแก่ต็นังคงเงีนบไว้

ศิษน์จาตสํายัตเสี่นเริ่ทจดบัยมึตข้อทูลของโจวฉวยจีลงบยหนตขาว

จาตยั้ยโจวเฉิงซิยต็เริ่ทยํามางเขาก่อ หลังจาตมี่แสดงควาทนิยดีให้ตับโจวฉวยจีขณะมี่โจวฉวยจีรับหนตขาวทาแล้ว

ผู้คยทาตทานก่างหลีตมางให้เขากลอดมาง

“ม่ายคือเมพตระบี่โจวจริงหรอเยี่น? ม่ายช่างมรงพลังสุด ๆ ข้า หนางเฉอ เป็ยรองผู้ว่าของเทืองลั่วหนางครับ เราทามําควาทรู้จัตตัยสัตหย่อนดีทั้นครับ?

เสีนงดังลอนทาจาตมางด้ายหลังของโจวฉวยจี และเขาต็หนุดลงมัยมีมี่ได้นิย

เขาหัยหลังตลับไปทองหนางเฉอ

หนางเฉอหย้ากาค่อยข้างหล่อมี่เดีนว เขาสวทเสื้อคลุทนาวสีเหลืองราคาแพง และทีหยวดเคราสั้ย ๆ บาง ๆอนู่มี่ข้างปาต ขณะมี่โจวฉวยจีทองไปมางเขา เขาต็นิ้ทให้อน่างใจเน็ยให้ ดูไท่หนิ่งหรือถ่อทกัวเติยไป

โจวฉวยจีเดิยไปหาเขาพลางนิ้ทเน้นใส่และส่งสัญญาณทือให้ “ต้ทลงทา”

หนางเฉอรู้สึตงง เขายึตว่าโจวฉวยจีอนาตจะตระซิบอะไรข้างหู เลนต้ทกัวลง และโย้ทกัวไปข้างหย้าเพื่อฟัง

ปัต!

โจวฉวยจิกบเขาเข้าอน่างจัง ควาท แข็งแตร่งมี่ย่าสะพรึงตลัวตว่า 30000 ปอยด์ของเขา มําให้หนางเฉอกัวหทุยลอนตระเด็ยไปไตลเหยือฝูงชย ต่อยจะตระแมตเข้าตับตําแพงมี่อนู่ไท่ไตลมัยมี

นิยายหมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless…

ตอนที่ 57 : ดาบอุดรวายุแห่งโจว ยอดกระบีจาวฉง!

เมื่องานประชุมกระบี่ใกล้เข้ามาจางเถียนเจียนพอเลิกงานแล้วก็รีบพาลูกชายของเขาไปยังเมืองจ้าวกระบี่อย่างเร่งรีบ

พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยเท้าเหมือนอย่างโจวฉวนจีและพรรคพวกแต่พวกเขาเดินทางผ่านเขตอาคมเคลื่อนย้ายแทน

แต่ละอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาจักรวรรดิโจวนั้นจะมีเขตอาคมเคลื่อนย้ายอยู่มันสามารถใช้เคลื่อนย้ายได้ทีละ10คนเผื่อกรณีที่ศัตรูจะบุกรุกเข้าเมืองมา

ผลที่ได้ก็คือพวกเขาใช้เวลาเพียง 2 วันเท่านั้นในการเดินทางจากเมืองอื่นไปสู่อีกเมืองที่อยู่ภายในมหาจักรวรรดิโจว

จางหรูหยูมุ่ยปากขณะที่ฟังพ่อของเขาพูดโม้เรื่องตัวเองเขาคิดกับตัวเองขึ้นมาว่าถ้าเทพกระบี่โจวมาล่ะก็เขาคงจะไม่ได้มานั่งพูดโม้อะไรแบบนี้แน่

ไม่ไกลจากที่ ๆ พวกเขาอยู่นักโจวฉวนจีและพรรคพวกก็หยุดลง

“ไม่ใช่ว่านั้นจางเถียนเจียนจากอาณาจักรเหมันต์แดนใต้หรอครับ?” จอมกระบี่ผู้องอาจพูดพลางขมวดคิ้ว

เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับจางเถียนเจียนแต่พอเขาได้ยินเพื่อนตัวเองพูดโม้โอ้อวดเรื่องตัวเองแบบนั้นเขาก็เริ่มจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

แต่อีกด้านโจวฉวนจีเจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชินก็จําจางหรูหยุได้

โจวฉวนจีมองไปที่ด้านหลังของจางเถียนเจียนแล้วจู่ ๆ ก็เดินตรงไปทางเขาทันที

จางหรูหยูที่กําลังจะพูดโต้กลับพอเห็นโจวฉวนจีและพรรคพวกเขาเขาก็เบิกตากว้างตกใจขึ้นมาทันที

“มามุขแบบนี้อีกแล้วนะ”จางเถียนเจียนพูดขึ้นพลางหัวเราะอย่างดูถูก“เจ้าคิดหรอว่าข้าจะเชื่อว่าเทพกระบี่โจวจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังข้าจริง ๆ น่ะ?ไอเจ้าลูกตัวดีเจ้าช่วยหยุดเบี่ยงประเด็นด้วยมุขเก่า ๆ แบบนี้ได้มั้ยหะลองหามุกอื่นมาบ้างจะได้ไหม?”

“ท่านนี่ท่านคิดว่าท่านจะล้มข้าได้จริง ๆ หรอ?”

โจวฉวนจีพูดด้วยน้ําเสียงที่ไร้เดียงสาและจางเถียนเขียนก็หน้านิ่งไปในทันที

ชิบหายละ!

เทพกระบี่โจวจริง ๆ หรอเนี่ย?

เหงื่อเย็นไหลพรากออกมาทันทีก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองข้างหลังและแกล้งทําเป็นใจเย็นอยู่

เมื่อเขาเห็นว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอยู่กับโจวฉวนจีใจเขาก็สั่นระรัว

จบสิ้นแล้วชีวิตข้า!

“ท่านแม่ทัพจางดูท่าท่านจะวางท่ามากไปหน่อยนะ”จอมกระบี่ฆ้องอาจถอนหายใจใส่

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้กับจางเถียนเขียนแน่

แต่ตอนนี้โจวฉวนจีได้กลายมาเป็นเสาหลักของเขาแล้วยังไงล่ะ!

ความอับอายขายขี้หน้าถูกแปะหราอยู่กับใบหน้าของท่านแม่ทัพ เขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี

จางหรูหยูเดินออกมาข้างหน้าและจับมือของโจวฉวนจีเอาไว้ “ท่านเทพกระโจวท่านก็จะเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ด้วยหรอครับ?” เขาถามด้วยความตื่นเต้น

เสียงที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นมาของเขาดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายเข้า

ถ้าให้พูดตามจริงแล้ว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองจ้าวกระบี่นั้นรักในดาบ และเหล่าผู้ที่มาที่เมืองส่วนใหญ่ก็เป็นจอมกระบี่เช่นกัน

แน่นอนว่าพวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวที่พึ่งจะมีชื่อเสียงได้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน

ในตอนนั้นเองหลายสายตาก็จับจ้องไปที่โจวฉวนจี

จางหรูหยูเริ่มแสดงความเคารพต่อหน้าเทพกระบี่โจวแล้วจู่ ๆ จางเถียนเจียนก็รู้สึกขึ้นมาว่าลูกชายของเขาก็ถือว่าทําได้ไม่เลวที่เดียว

เพราะการที่ลูกชายของเขายกยอเทพกระบี่โจวซะขนาดนั้นแล้วเทพกระบี่โจว จะกล้ามาทําร้ายเขาได้ยังไงกันล่ะ? เขาถอนหายใจภายในใจครั้งหน้าเขาต้องระวังปากไม่พูดโอ้อวดในที่สาธารณะให้มากกว่านี้ซะแล้วนี่มันน่าขายขี้หน้าจริง ๆ

“นั่นเทพกระบี่โจวหรอ? เขาดูเหมือนเด็กเลยนะนั่นห”

“อย่าไปหลงเชื่อภายนอกสิเขาสามารถฆ่าแม้แต่คนอย่างเยี่ยเอ้อกวานได้อย่างง่ายดายเลยเชียวนะ”

“เขาคือเทพกระบโจวจริง ๆ ด้วยล่ะเจ้าไม่เห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ติดตามเขาอยู่ข้างหลังหรอ?”

“งานประชุมกระบี่ครั้งนี้จะต้องสนุกมากแน่”

“หึ หึ นึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากดาบอุดรวายุแห่งโจวแล้วเนี่ยเทพกระบี่โจวก็ยังมาด้วยอีกน่ะ”

เหล่าผู้คนที่อยู่หน้าประตูเมืองต่างก็พูดคุยแสดงความคิดเห็นกันเกี่ยวกับโจวฉวนจีบ้างก็นับถือในตัวเขาบ้างก็เยาะเย้ยและบ้างก็พูดดูหมิ่น

“เขาเริ่มลงทะเบียนเข้างานกระชุ่มกระนี่กันแล้วหรอ?” โจวฉวนจีถามขัดการพูดยกย่องสรรเสริญที่ไม่ยอมหยุดหย่อนของจางหรูหยูขึ้นมาทันที “ต้องไปที่ ไหนล่ะ?”

เมื่อจางหรูหยได้ยิน เขาก็ตบอกตัวเองขึ้นมาทันทีก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า“ให้ข้าเป็นคนพาท่านไปที่นั่นเอง!”

โจวฉวนจไม่ได้ขัดข้องอะไรที่จะมีคนมานําทางไปให้

ทั้งกลุ่มก็เดินเข้าไปในเมือง

หลังจากที่ลังเลอยู่สักพักจางเถียนเจียนก็เดินตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าทําไมเขาถึงรู้สึกว่าเจ้าวิหคมังกรทั้งสองตัวของโจวฉวนจีนั่นเป็นไข่ของวิหคมังกรที่เขาเจอเมื่อปีนั้น

แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่กล้าถามแม้ว่าจะสงสัยมากก็ตาม

ตลอดทาง จางหรูหยุก็เอาแต่พูดไม่หยุดเขาเล่าเกี่ยวกับข้อมูลของงานประชุมกระบี่ครั้งนี้ให้โจวฉวนจีฟัง

คนที่น่าจับตามองมาที่สุดคือดาบอุดรวายุแห่งโจว กับ ยอดกระบี่จาวฉง

ฉายาดาบอุดรวายุแห่งโจวนั้นก็เหมือนกับจอมกระบีแดนเหนือผู้งอาจแต่ในอดีตเขานั้นทรงพลังมากยิ่งกว่าจอมกระบี่ผู้องอาจนัก
ลอน

นามดาบอุดรวายุแห่งโจวนั้นอ้างอิงมาจากพื้นที่ทางตอนเหนือของมหาจักรวรรดิโจวเขามีชื่อเสียงมากในมหาจักรวรรดิโจวซึ่งก็แน่นอนว่าเขานั้นต่างกับจอมกระบี่แดนเหนือผังอาจที่มักจะท่องไป ทั่วอาณาจักรอยู่แล้ว

มีข่าวลือเกี่ยวกับ ยอดกระบี่จางฉงว่าเขาคือศิษย์คนใหม่ของจักรพรรดิกระบี่เขานั้นมีใจรักในดาบมาแต่กําเนิดและยังสามารถบรรลุในวิถีแห่งกระบี่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เขาขึ้นสู่ระดับบัวภายในได้เมื่อตอนอายุ 18 ปี และในปีนี้เขาก็อายุ 20 ปี ความ สามารถของเขาแทบจะเป็นรองแค่องค์ชายลําดับที่ 2 แห่งมหาจักรวรรดิโจวเท่านั้น

ยอดกระบี่จาวฉงตอนนี้ก็ติดอยู่ 50 อันดับแรกของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว

เป็นเพราะเขานั่นเองเลยทําให้มีเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ร่ํารวย และเหล่าจอมยุทธผู้ทรงพลังมากมายจากแต่ละ สํานักมาเพื่อดูการแข่งขันในครั้งนี้

และบุคคลที่โด่งดังมากที่สุดนั่นก็คือ องค์ชายลําดับที่ 7แห่งมหาจักรวรรดิโจวโจวเฉิงซิน

องค์ชายอายุ 30 ปีผู้มีพรสวรรค์ระดับกลาง ๆและอยู่เพียงระดับบรรลุญาณขั้นที่ 6 เท่านั้น

สําหรับคนธรรมดาทั่วไป ระดับวรยุทธของเขานั้นไปไกลเกินเอื้อมแล้วแต่นั่นก็เพราะเขาสามารถเข้าถึงทรัพยากรสําคัญของมหาจักรวรรดิโจวได้แถมยังอาหารอันโอชะที่เขาได้กินเข้าไปก็ล้วน แล้วแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศเพื่อการฝึกฝนวรยุทธทั้งสิ้น

โจวฉวนจีเคยเจอองค์ชายลําดับที่ 7 มาก่อนเมื่อยังวัยเยาว์ถึงแม้เขาจะดูอ่อนโยนและใจดีแต่โจวฉวนจีก็รู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์สุด ๆ เขาจะมีแผนการบางอย่างแอบแฝงเอาไว้ในทุกการกระทําแถมเป็นพวกกัดไม่ปล่อยอีกตั้งหาก

เมื่อตอนที่แม่นาวจาวฉวนเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ โจวเฉิงซินก็มักจะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาทุกวัน แต่หลังจากที่แม่นางจาวฉวนไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปเขาก็ไม่มาเยี่ยมอีกเลย แต่เมื่อตอนที่นางแอบหนีออกไปพวกองครักษ์ที่อยู่ภายใต้เขาก็แกล้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้

การที่เขาต่อเวลายืดชีวิตให้แม่นางจาวฉวนกับลูกของนางก็บ่งบอกได้ชัดเจนแล้วว่าเขายืนอยู่ข้างไหน

ถ้าโจวฉวนจขึ้นครองอํานาจได้ล่ะก็เขาคงจะติดหนี้บุญคุณองค์ชายลําดับที่ 7 เป็นแน่

โจวฉวนจําไม่ได้รู้สึกดีกับเขาด้วยเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาแทน

มหาจักรวรรดิโจวนั้นไม่เหมือนอาณาจักรทั่วไป

พรสวรรค์ทางวรยุทธนั้นสําคัญยิ่งกว่าความรู้

ไม่ว่าเขาจะมีเส้นสายสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางสู้ขั้ว ตรงข้ามอย่างโจวหยาหลงได้อยู่ดี

ในที่สุดโจวฉวนจีและพรรคพวกก็มาถึงสถานที่สําหรับลงทะเบียนเข้างานประชุมกระบี่หลังจากที่เดินกันมาไกลที่แห่งนี้เป็นวังขนาดใหญ่ที่ถูกปกป้องโดยเหล่าศิษย์ในชุดสีดําจากสํานักเสี่ยหลายสิบคน

สํานักเสี่ยที่ว่าก็คือ สํานักเสี่ยหวูโหยวนั่นเอง

ศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่แต่ละคนก็จะมีสํานักที่เป็นชื่อของพวกเขาเอง

จอมกระบี่จํานวนมากต่อแถวรอเข้าคิวในพื้นที่ลงทะเบียน

โจวฉวนจีรู้สึกหงุดหงิดมากพอได้เห็นแบบนั้นก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “แล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวข้าเนี่ย?”

จางเถียนเจียนพูดขึ้นมาทันที “พวกเราไม่มีทางเลือกอยู่แล้วยังไงซะงานประชุมกระบี่ก็เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครได้ลัดคิวหรอกนะ”

ในตอนนั้นเอง ศิษย์จากสํานักเสี่ยก็เดินตรงเข้ามาก่อนจะคํานับคารวะและพูดขึ้นว่า “ท่านใช่มือปราบมารเทพกระบี่โจวรึเปล่าครับ?”

โจวฉวนจีมองไปทางเขาก่อนจะพยัก
“โปรดตามมาทางนี้ครับ ด้วยชื่อเสียงและความสามารถอย่างท่านแล้วไม่จําเป็นต้องต่อแถวเข้าคิวหรอกครับ” ศิษย์จากสํานักเสี่ยกล่าวด้วยความเคารพ

จางเถียนเจียนเบิกตากว้างตกใจคุณพระ!

จะแหกหน้าข้าเร็วเกินไปแล้ว!

โจวฉวนจีเหลือบมองไปทางจางเถียนเจียน ก่อนจะหันไปพูดกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและคนที่เหลือ “รอข้าอยู่ที่นี่นะ”
งานประชุมกระบี่ในแต่ละครั้งจะมีผู้ชนะแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ยังไงจอมกระบี่แดนเหนือผู้งอาจก็ไม่อาจเอาชนะนายน้อยของเขาได้อยู่แล้วเพราะงั้นเขาเลยไม่เข้าร่วมด้วย

แต่งานนี้ดีตรงที่ว่าผู้ที่เคยชนะแล้วจะไม่อาจเข้าร่วมงานได้อีก
นอกจากนี้ยังมีกฎห้ามเข้าชมงานประชุมกระบี่เกิน 3 ครั้งอีกด้วย

ไม่อย่างนั้นผู้ที่เคยชนะแล้วก็คงจะมาขโมยวิชาจากหอสมุดกระบี่ซ้ําแล้วซ้ําเล่าเรื่อย ๆ แน่

และด้วยเหตุนี้เอง โจวฉวนจีจึงได้ตามลูกศิษย์สํานักเสี่ยและเดินข้ามแถวต่อคิวอันยาวเหยียดไปซึ่งมันก็ดึงดูดความสนใจของจอมกระบี่ที่อยู่แถวนั้นทั้งหมด

“สมกับเป็นเทพกระบี่โจวจริง ๆ!” จางหรูหยูพูดด้วยความนับถืออย่างสุดใจ

ในทางกลับกัน จางเถียนเจียนก็รู้สึกอายสุด ๆ จนแทบจะอยากแทรกแผ่นดินหนี

หลังจากนั้นโจวฉวนจีก็ได้เข้าไปในวังเขาได้เห็นวัตถุวิเศษขนาดมหึมาที่นั่นมีทั้งหินศิลาขนาดใหญ่เขตอาคมมากมายและกองแผ่นเหล็กที่มีรูปร่างเหมือนหินโม่ข้าว

จอมกระบี่ที่ต่อคิวอยู่ต่างมองไปทางเขาการลงทะเบียนในงานประชุมกระบี่จะมีอยู่หลายขั้นตอนที่แตกต่างกันหลังจากที่ผ่านขั้นตอนทั้งหมดมาได้แล้ว เหล่าจอมกระบี่ก็จะออกจากทางด้านหลัง ของห้องโถงใหญ่

“ท่านต้องเป็นเทพกระบี่โจวผู้โด่งดัง แน่ ๆ เลยใช่มั้ย?”

ในตอนนั้นเอง โจวฉวนจีก็ได้ยินเสียง หัวเราะเบา ๆ ดังลอยมา เขาหัวกลับไปมองพลางเลิกคิ้วใส่

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริงเขาก็คือองค์ชายลําดับที่ 7แห่งมหาจักรวรรดิโจวโจวเฉิงซินนั่นเอง!

โจวเฉิงซินนั้นทั้งสง่างามและหล่อ เหลา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดําที่ปักด้วยลวดลายกิเลนและถือพัดที่พับเอาไว้อยู่ในมือ

เขารู้สึกเหมือนตาพร่ามัวเล็กน้อยเมื่อ ได้เห็นโจวฉวนจีกับตา

ทําไมหน้าของเทพกระบี่โจวมันถึงดูคุ้น ๆ จังเลยนะ?

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์THave Countless… ตอนที่ 54 : ลงทัณฑ์ในนามของตัวแทนแห่งสรวงสวรรค์!ด้…

ตอนที่ 54 : ลงทัณฑ์ในนามของตัวแทนแห่งสรวงสวรรค์!ด้วยวิชาสิบกระบี่อันทรงพลัง!

*เทพกระบี่โจวผู้ไร้พ่ายงั้นหรอ?*

สีหน้าของเยี่ยเอ้อกวานเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเขาได้ยินชื่อเทพกระบี่โจว

เขาเคยได้ยินมาว่า เทพกระบี่โจวเป็นผู้สังหารปีศาจระดับ 4 ที่เป็นกายเนื้อ ขององค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลานแล้วยังมีเรื่องที่เขาเอาจอมกระบี่แดน เหนือผู้องอาจมาเป็นทาสกระบี่อีกในช่วง 2 ปีมานี้ เทพกระบี่โจวมีชื่อเสียงมากกว่าเขาซะอีก

จอมยุทธทั้ง 6 คนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกมีความหวังมากขึ้น

“พวกเรารอดแล้ว! เขาคือเทพกระบี่โจวล่ะ!”

“ผ่านฟากฟ้าที่กว้างใหญ่ วิหคมัง กรต่างคํารามก้องไกลเทพกระบโจวทลายรังโจรร่วมกับผู้ติดตามจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ!… เงยหน้าขึ้นดูสิตรงนั้นมีวิหคมังกร 2 ตัวอยู่จริงๆล่ะ!”

“ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมเขาถึง ต้านเยี่ยเอ้อกวานไว้ได้น่ะ”

“เหมือนอย่างที่ตํานานเล่าไว้เลย เขา ดูเหมือนเด็กจริง ๆ”

“เจ้าเห็นดาบในมือเขานั่นมั้ย มันคือ ดาบในตํานานของแท้เลย!”
เหล่าจอมยุทธต่างเริ่มพูดคุยกันอย่าง ดุเดือด แม้แต่คนที่บาดเจ็บสาหัสที่สุดในหมู่พวกเขายังคุกเข่าลงอย่าง ไร้เรี่ยวแรง

เยี่ยเอ้อกวานรู้สึกกลัวนามของเทพก ระบี่โจว และเพราะอาคมซ่อนปราณเขาเลยไม่สามารถมองเห็นระดับวรยุทธที่ แท้จริงของโจวฉวนจีได้

เขาบ่นพึมพําออกมา “ท่านเทพกระ บโจว พวกเราไม่มีความแค้นเคืองใด ๆต่อกันเลยนะ แล้วทําไมท่านถึงมาพรา กดาบที่เป็นสมบัติของข้าไปกันนี่ท่านตั้งใจจะมีเรื่องกับสํานักอสูรโลกันตร์จริง ๆ น่ะหรอ?”

“คืนดาบของข้ามาซะ แล้วข้าจะทํา เป็นว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!”

นี่เขากล้วงั้นหรอ?
โจวฉวนจีเลิกคิ้วพลางรู้สึกผิดหวัง

ดูเหมือนว่าข้าจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว สินะ

“นายท่าน ฆ่าเขาเถอะขอรับ เจ้านั่นมัน เคยสังหารหมู่คนทั้งเมืองมาก่อนเพราะงั้นมันต้องกลับมาแก้แค้นท่านแน่ ถ้า ท่านคืนดาบให้มันไปล่ะก็มันจะต้องลอบกัดใส่ท่านอย่างแน่นอน!

จอมกระบี่ผู้องอาจร้องตะโกนออกมาพ ลางใช้มือกุมอกเอาไว้

เยี่ยเอ้อกวานจ้องเขม็งไปทางเขา ใน แววตานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเหลือล้น

จู่ๆ โจวฉวนจีก็นึกอะไรออก และเริ่ม พูดพึมพํากับตัวเอง

ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ส่งดาบสีโลหิตนี่ คืนไปแน่

ชายคนนี้มันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอ ย่างแท้จริง การฆ่าเขาจะช่วยขจัดเนื้อร้ายขนาดใหญ่ออกไปจากชาวบ้านได้?

เมื่อคิดแบบนั้น โจวฉวนจีก็เดินตรงไป ยังเยี่ยเอ้อกวานพร้อมกับดาบในมือ
“ข้าล่ะเกลียดพวกที่ชอบรังแกคนอ่อน แอซะจริง ไอพวกปีศาจร้ายที่สังหารผู้ บริสุทธ์ โชคร้ายของเจ้านะที่ดันมาเจอข้าน่ะบางที่มันคงเป็นบัญชาจากสวรรค์ล่ะมั้ง ถ้าเช่นนั้นในวันนี้ข้าจะเติมเต็มเจตจํานงของสรวงสวรรค์นั้นด้วยการฆ่าเจ้าเอง!”

โจวฉวนจิกล่าวออกมาด้วยความเที่ยงธรรมเสียงของเขาแม้จะฟังดูอ่อนโยนแต่เนื้อความภายในนั้นช่างสว่างไสวและเต็มไปด้วยบารมีอันสูงส่ง

สีหน้าของเยี่ยเอ้อกวานตึงขึ้นมาทันที และเริ่มพูดก่นด่าสาปแช่ง “ไอเด็กไร้ยางอาย! มาขโมยดาบข้าไป! แล้วยังกล้ามาพูดถึงความยุติธรรมอีก!ข้าจะบดขกระดูกทุกชิ้นในร่างกายของเจ้าคอยดู”

ตู้มมมม!

เขากระทืบเท้าลงบนพื้นดิน และคลื่นเงาโลหิตก็พุ่งตรงไปยังโจวฉวนจี

โจวฉวนจีเปิดใช้งานวิชาสองกระบี่ของอาคมหมื่นกระบี่มังกรทันที

คลื่นปราณกระบี่มังกร 2 ตัวออกมาล้อ มรอบตัวของเขาโจวฉวนจีบิดตัวก่อนจะหมุนตัวและฟาดฟันตรงไปยังจอมยุทธปีศาจทันที

เยี่ยเอ้อกวานพลิกมือขวาและมีดพร้าเหล็กขนาดยักษ์ก็ปรากฎออกมาจากนั้นจอมยุทธปีศาจก็ฟันไปทางโจวฉวนจีด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง

แน่นอนว่าโจวฉวนจีที่เป็นถึงจอมยุทธที่ฝึกฝนด้านกายภาพจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งอยู่แล้วขณะที่ดาบอัสนีคํารามปะทะเข้ากับมีดพร้าเหล็กกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปตามใบดาบตรงเข้าร่างของจอมยุทธปีศาจทันทีและด้วยความตกใจเขาจึงรีบปล่อยมือออกจากมีด

ฟีดดดด

โจวฉวนจีเหวี่ยงมือซ้ายออกไปก่อนจะเฉือนเข้าไปที่เสื้อตรงอกของจอมยุทธปีศาจจนเลือดพุ่งกระจายออกมา

รูม่านตาของเยี่ยเอ้อกวานหดตัวลงทันทีเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา

เขารีบถอยหลังกลับทันทีและถามนมา“นั่นมันดาบอะไรกัน?”

ด้วยระดับวรยุทธที่สูงของเขา เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามีดาบที่มองไม่เห็นอยู่ในมือของจอมยุทธเด็กนั่น

ปราณกระบี่ที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ถึงคมดาบเย็น เฉียบแล้ว

โจวฉวนจีหัวเราะออกมาอย่างเหยียด หยามก่อนจะพูดตอบ“นี่คือดาบไร้ลัก ษณ์ ดาบพิฆาตยังไงล่ะ!”

เขาเข้าประชิดตัวเยี่ยเอ้อกวานด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่พร้อมกับดาบ 2 เล่มใน มือราวกับสายลม ผสานด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาก็ฟาดฟันลงไปยังจอมยุทธปีศาจที่คอยถอยหลัง หลบอยู่ตลอดเวลา

ภาพที่ได้เห็นนี้ทําให้เหล่าคนที่มองดูอยู่ต่างรู้สึกลุ้นระทึกและตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน

จอมกระบี่ฆ้องอาจกําหมัดแน่นพลางพึมพําออกมาด้วยความตื่นเต้น “นี่แหละ นายท่านของข้าล่ะ… วิชาสองกระบี่ที่สุดแสนจะทรงพลังยังไงล่ะ!”

เขารู้ว่าโจวฉวนจียังมีวิชาสิบกระบี่อยู่อีก

ศึกนี้เขาต้องชนะแน่นอน!

ดวงตาของฮวงเหลี่ยนชิ้นเปล่งประกายแวววาวขณะที่มองไปยังโจวฉวนจี ไม่ว่านายท่านของนางจะเผชิญหน้ากับใครเขาก็ไม่เคยเสียเปรียบเลยแม้แต่ ครั้งเดียว

ในอีกด้านหนึ่ง เจียงฉือน้อยมองไปยัง น้องชายตัวน้อยของเธอด้วยความภาคภู มิใจ

และจอมยุทธอีก 6 คนต่างก็ได้แต่อ้า ปากตาค้างขณะที่มองการต่อสู้นั้น

พวกเขาเดากันว่าเทพกระบี่โจวจะแพ้ เยี่ยเอ้อกวานแต่ไม่คิดเลยว่าในภายห ลังเขาจะกลายเป็นคนเสียเปรียบแทน

กรงเล็บของเยี่ยเอ้อกวานนั้นแข็งดุจโลหะพวกมันแข็งมากพอที่จะปัดป้อง ดาบของโจวฉวนจีได้

เขากระโดดถอยหลังออกมาพลางยื่นมือซ้ายไปด้านหลังเอวอย่างรวดเร็ว

น้ําเต้าสีเลือดปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็เปิดมันด้วยนิ้วโป้ง

เขาเหวี่ยงน้ําเต้าสีเลือดไปทางโจวฉวนจีทรายสีโลหิตจํานวนมากถูกสาดกระจายไปยังโจวฉวนจี

โจวฉวนจีกําดาบอัสนีคํารามเอาไว้แน่นก่อนจะปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในดาบทันใดนั้นเองอัสนีบาตถักทอกันเห มือนใยแมงมุมปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาแล้วหยุดทรายที่กําลังจะพุ่งทันที

แต่อย่างไรก็ตาม ทรายขนาดเล็กจํานวนมากก็ยังลอยมาโดนตัวเขาอยู่ดี ทรายพวกนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรงมาก เสียจนเผาเสื้อผ้าทะลุลงไปยันผิวหนังและใบหน้าของเขาก็ท่วมไปด้วยเลือด ในทันที

อาการปวดแสบปวดร้อนนี่อาจจะทําให้เขาเสียโฉมได้ถาวรเลย

“แม่งเอ้ย! งั้นก็ได้ ข้าจะใช้พลังทั้งหมดสู้กับเจ้าเอง!”

เขารู้สึกเดือดดาลสุด ๆ ในฐานะลูกผู้ ชายแล้วสิ่งสําคัญที่สุดไม่ใช่รูปลักษณ์หน้าตาแต่เป็นทัศนคติต่างหาก

แต่ในเมื่อเขามีหน้าตาที่ดูดีขนาดนี้แล้วงั้นเขาจะไปยอมเสียมันไปง่าย ๆได้ยังไงกันล่ะ!

ดาบมังกรสีชาด, ดาบคลื่นเหมันต์, ดาบชโลมโลหิต, ดาบพยัคฆ์คําราม, ดาบผ่าวายุ,ดาบหินกลายทอง, ดาบเสียง สวรรค์ และดาบเงามายาปรากฏขึ้นด้านหลังเขาทันที ทุกเล่มต่างชี้ปลายดาบตรงไปยังเยี่ยเอ้อกวาน

อาคมหมื่นกระบี่มังกร วิชาสิบกระบี่!

ปราณกระบี่ในรูปลักษณ์ของมังกรล้อ มรอบตัวโจวฉวนจีเรือนผมสีเข้มของ เขาพริ้วไสวไปตามกระแสปราณด้วยเลือดที่ท่วมใบหน้าของเขาแบบนี้ มันทําให้เขาดูราวกับพึ่งเดินออกมาจากนรกที เดียว

การที่ต้องมาเห็นน้องชายของตัวเอง บาดเจ็บแบบนี้เจียงฉือน้อยก็กุมมือตัว เองไว้แน่นด้วยความกระวนกระวายใจเธอไม่กล้าละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

เยี่ยเอ้อกวานมองด้วยความตกใจก่อนจะถามขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันสั่นเทา “นี่มันอะไรกัน…”

วีดดดดดด! วีดดดดดด! วีดดดดดด..

ดาบในตํานานทั้ง 8 เล่มต่างเคลื่อนไหวไปในวิถีที่ต่างกันและพุ่งเข้าใส่เยี่ยเอ้อกวานทันที
โจวฉวนจีเหวี่ยงดาบอีก 2 เล่มในมือพร้อมใช้วิชาดาบสะบั้นสามชีพจรและกลืนกินจอมยุทธปีศาจด้วยพลังปราณกระบี่ที่ทั้งรุนแรงและทรงพลัง

เยี่ยเอ้กวานพยายามที่จะกันตาม สัญชาตญาณแต่เขาจะไปปัดป้องดาบ จํานวนมหาศาลขนาดนี้ได้ยังไงกัน

ยิ่งกว่านั้น เขาไม่มีวัตถุวิเศษที่ดี ๆ อยู่ ในมือเลยด้วยซ้ํา
ในพริบตาเดียว เลือดก็พุ่งกระจาย ออกมาจากร่างของเขาดาบในตํานาน ทั้ง 8 เล่มทิ่มแทงทั่วร่างของเขาจนมันทําให้เขาดูราวกับเม่นที่เดียว

เลือดไหลลงไปตามใบดาบในตํา นานทั้ง 8 เล่มเส้นชีพจรทั่วร่างของเขาฉีกขาดเพราะปราณกระบี่จนขาอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงและทรุดลงต่อหน้าโจวฉวนจี

เขาตกอยู่ในความหวาดกลัวสุด ๆและกลัวว่าอวัยวะภายในจะระเบิดออกมาเขาจึงร้องขอออกมาทันที “ข้ายอมแพ้แล้ว! ข้ายอมแพ้!ดาบกระหายโลหิตนั้นเป็นมานานแล้วดังนั้นๆปลาย่าม่า

ข้าเลย…”

“พวกเราไม่มีแค้นเคืองใด ๆ ต่อกันเลย…แล้วทําไมถึงต้องหวังจบชีวิตข้า ด้วย…”

ด้วยดาบในตํานานทั้ง 8 เล่มที่ทิ่มแทงไปทั่วร่างของเขาแบบนี้ เยี่ยเอ้อกวานก็รู้สึกเจ็บสุด ๆในทุกครั้งที่พูดจนในที่สุดเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

เหล่าผู้คนที่คอยดูการต่อสู้นี้อยู่ต่างก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาทันทีเมื่อได้เห็น

เทพกระบี่โจวจัดการเยี่ยเอ้อกวานได้ในทันทีด้วยความบ้าระห่ํา!
พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาดาบแบบนี้มาก่อน

โจวฉวนก้าวออกไปข้างหน้าเขาเงยหน้าขึ้นพลางมองลงไปยังเขา ก่อนจะพูดขึ้นมา “เจ้ารู้จักวิธีกายบริหารตามเสียงเพลงวิทยุมั้ยล่ะ?”

กายบริหารตามเสียงเพลงวิทยุเหรอ?

มันคืออะไรวะนั่น?

เยี่ยเอ้อกวานรู้สึกตกตะลึง แต่จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมา“ข้ารู้! ข้าจะทํา!”

ฟื้ดดดด!

เพียงแค่ตวัดเดียว โจวฉวนจีก็ตัดหัวของเขาขาดเลือดพุ่งกระจายออกมาจน ย้อมสีพื้นที่อยู่เบื้องล่าง

หัวของจอมยุทธปีศาจร่วงลงไป ก่อนจะหยุดกลิ้งลงไกลหลายหลา

โจวฉวนจีพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ในโลกใบนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครก็ตา มที่รู้วิธีกายบริหารตามเสียงเพลงวิทยุมีชีวิตอยู่หรอกนะ”

แล้วไอเจ้าลัทธิมารเวรนี่มันเสือกรู้วิธีกายบริหารตามเสียงเพลงวิทยุของอารยธรรมจีนได้ยังไงกันวะ?

ตามปกติแล้วโจวฉวนจีจะแทงร่าง ของเขาซ้ําอีกหลายรอบเผื่อว่าเขาจะแกลังว่าตาย

หลังจากนั้น เขาก็เริ่มค้นทั่วร่างของเยี่ยเอ้อกวานเพื่อหาแหวนเก็บของและกระเป๋าเก็บของ

เขาโบกมือขวาของเขา และดาบในตํานานทั้งหมดก็บินลอยมาอยู่ตรงหน้าของเขา เขาหยิบขวดน้ําและผ้าแห้ง ๆ ออกมาก่อนจะเริ่มล้างดาบของเขา

เจียงฉือน้อยและคนอื่น ๆ วิ่งออกไปพวกเขาต่างก็รู้สึกเป็นห่วงเรื่องบาดแผลของเขา

เจ้างูสีดําบ่นพึมพําขณะที่ถูกเจ้าหนู ทรายสามตาลากอยู่ “โอ้ไม่นะ… ไม่… กว่าข้าจะฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์ได้ ไอเด็กนี่มันก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีกมั้นหรอ… ข้าจะไม่มีวันเป็นอิสระได้เลยใช่ มั้ยเนี่ย…?”

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ | Have Countless…

ตอนที่ 55 : มือปราบมารเทพกระบี่ โจว

จอมยุทธทั้ง 6 ที่ถูกช่วยเอาไว้ก็มา รวมตัวกันรอบโจวฉวนจีและแสดงความขอบคุณ

โจวฉวนจีโบกมือให้พลางพูดตอบ “เจ้าแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปได้เลยนะว่าไอเจ้าปีศาจนี่ได้ตายไปแล้ว ให้เหล่า ผู้ที่ต้องการล้างแค้นได้สบายอกสบายใจกันซะที

ทั้ง 6 คนพยักหน้าตอบรับทันที พร้อม ด้วยสีหน้าที่ทั้งดูตื่นเต้นและเร้าใจ

ในเมื่อพวกเขาเห็นกับตาตัวเองเลยว่า เทพกระบี่โจวสังหารเยี่ยเอ้อกวาน ดังนั้นพวกเขาเลยมีหลักฐานมากพอว่าพวก เขาไม่ได้พูดโม้เกินจริง

หลังจากนั้น ด้วยการนําของจอมกระบี่ ผู้องอาจ ทั้ง 6 คนจึงได้จากไปพร้อมกับความตื่นเต้น

เจียงฉือน้อยเริ่มทายากับโจวฉวนจี เธอรู้สึกปวดใจมากเมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนเลือดของเขาก่อนจะบ่นพึมพํา ออกมา “โถ ไม่นะ… เจ้ากําลังจะกลาย เป็นคนอัปลักษณ์ซะแล้วหรอเนี่ย…”

ริมฝีปากของโจวฉวนจีกระตุก เขา อยากจะโต้กลับสุด ๆ แต่ก็กลัวเหมือนกัน

เขารู้ดีว่าทักษะที่ดีที่สุดของเขานั้นไม่ ใช่วิชาดาบแต่อย่างใด แต่มันคือหน้าตาอันหล่อเหลาของเขานั่นเองเขาอาจจะ หล่อมากขนาดที่ 1000 ปีจะมีสักคนเลยทีเดียวด้วยซ้ําแล้วหน้าตาที่ดูดีของเขา จะมาพังเอาแบบนี้ได้ยังไงกัน?

ฮวงเหลี่ยนชิ้นย่อตัวลงก่อนจะเริ่มทา ยาให้โจวฉวนจีเบา ๆ เธอไม่อาจทนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้เล ยถามออกมา “จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าพวกเราสามารถอ้อมไปได้หรอเจ้าคะทําไมถึงอยากจะสู้ขนาดนั้นล่ะเจ้าคะ?”

เยี่ยเอ้อกวานนั้นไม่ใช่พวกที่จะหยอก เล่นด้วยได้ นั่นเพราะเขามีพวกหนุนหลังอย่างสํานักอสูรโลกันตร์อยู่

ยิ่งกว่านั้น โจวฉวนจียังได้ขอให้จอม ยุทธทั้ง 6 คนนั้นช่วยแพร่กระจายข่าวออกไปด้วยอีก ถึงมันจะเพื่อชื่อเสียงก็ เถอะ แต่เขาไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับสํานักอสูรโลกันตร์เลยรึไงกัน?

โจวฉวนจีตอบ “ที่จริงแล้วมีอยู่ 2 เห ตุผลน่ะ อย่างแรกคือดาบ ดาบเล่มนี้มัน ถูกย้อมไปด้วยพลังมารมากพอแล้ว เพ ราะงั้นเราถึงต้องกําจัดมันอย่างที่สองคือเยี่ยเอ้อกวานที่นับวันยิ่งแข็งแกร่งมา กกว่าเดิม เพราะงั้นแล้วจะไม่ให้ข้าช่วยเหล่าเหยื่อที่ถูกทําร้ายทั้ง ๆ ที่ข้าช่วยได้ได้ยังไงกันล่ะ?”

เหตุผลที่ว่ามานั้นฟังขึ้นสุด ๆ จนโน มน้าวฮวงเหลี่ยนชินและจอมกระบี่ผู้องอาจให้เชื่ออย่างสุดใจได้

แต่เจียงฉือน้อยกับกลอกตาใส่แทน พูดซะสวยหรู แต่จริง ๆ เขาก็แค่อยากได้ดาบเท่านั้นแหละ

เธออยู่ด้วยกันกับโจวฉวนจีมาตลอด ทั้งวันทั้งคืนตั้ง 9 ปี เพราะงั้นเธอจะไม่รู้จักเขาได้ไงกัน?

เธอไม่ได้บอกความจริงกับคนอื่น แต่ก ลับรู้สึกยินดีแทน

เพราะมีแค่เธอเท่านั้นที่รู้เรื่องเขามาก ที่สุดยังไงล่ะ!

โจวฉวนจีจะเปิดเผยความจริงแค่กับ เธอเท่านั้นยังไงล่ะ!

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

เขาถามจอมกระบี่ต้องอาจที่รับสั่งเขา ให้ไปสู่โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยซึ่งนั่นทําให้เขาพอใจมาก

พวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกันมามากพอที่ โจวฉวนจีจะยอมรับในตัวเขาแล้ว

ในแง่ของตําแหน่ง แม้จอมกระบี่ผู้อง อาจจะเป็นทาสกระบี่ แต่จริง ๆ แล้วโจวฉวนจีนั้นมองว่าเขาคือลูกศิษย์ซะ มากกว่า

จอมกระบี่ฆ้องอาจตอบด้วยความละ อายใจ “ข้ายังอ่อนด้อยนัก ท่านได้รับบาดเจ็บก็เป็นเพราะข้าเอง”

การต่อสู้ในวันนี้ทําให้เขาได้รู้ซึ้งว่า โจวฉวนจีนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด

และอีกอย่างที่ต้องรู้ก็คือ โจวฉวนจียัง ไม่ได้ใช้ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเลยดาบราชาโลกันตร์ยังไงล่ะ!

“จากนี้ไป จงอย่าใช้เวลาทั้งหมดไป กับการฝึกวิชาดาบเพียงอย่างเดียววรยุทธ์ก็สําคัญด้วยเช่นกัน”

โจวฉวนจีเตือนเขาด้วยความจริงใจ และจอมกระบี่น้องอาจก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง

ขณะที่เขากําลังรักษาตัวอยู่ โจวฉวนจี ก็ใช้โอกาสนี้ถามขึ้นข้างในใจว่า “แล้วข้าจะรวมดาบเล่มนั้นได้ยังไงกันนะ?”

“จิตวิญญาณแห่งดาบจะช่วยท่านเจ้า ของดาบในการรวมดาบเองแต่มันต้องใช้เวลาดังนั้นโปรดอดทนรอด้วยครับ”

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบกลับทันที ซึ่งมันทําให้เขานึกอะไรได้ขึ้นมา

ก่อนที่เขาจะถามต่อ “แล้วมันเป็นเรื่อง จริงรึเปล่าที่ว่าตราบใดที่มีคุณสมบัติเหมือนกันก็เอาอาวุธอะไรก็ได้ 2 ชิ้นมารว มกันได้น่ะ?”

“ไม่ใช่อาวุธทุกอย่าง มีเพียงแค่หยิบ มือเท่านั้นที่ทําได้ แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถเผยรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงได้ แต่ถ้าหากท่านเจอสมบัติที่สามารถรวมกันได้เมื่อไหร่จิตวิญญาณแห่งดาบจะ เตือนท่านเองครับ”

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ และมัน ทําให้เขารู้สึกผิดหวัง

เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะรวบรวมอาวุธ และวัตถุวิเศษมาเยอะ ๆ เพื่อจะทําให้ดาบในตํานานของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

แต่ความคิดของเขาก็ถูกจัดขึ้นมาทัน ที่ด้วยเสียงของจอมกระบี่ต้องอาจ “นายท่าน แล้วทําไมท่านถึงต้องเข้าร่วมการ คัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวด้วยล่ะครับ?”

จอมกระบี่ผู้องอาจที่มักเชื่อฟังคําสั่ง และแผนการของนายท่านเสมอและน้อยครั้งนักที่เขาจะถามนายน้อยของตัว เองในเรื่องอื่นนอกเสียจากเรื่องวิชาดาบ

โจวฉวนจีจ้องมองไปทางเขาและพูด ว่า “เจ้าน่ะเชื่อฟังคําสั่งของข้ามาตลอดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันก็ช่วย แสดงให้ข้าได้เห็นแล้วว่าเจ้าน่ะเคารพข้าจริง ๆ ความจริงแล้วข้าอยากจะเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวไม่ใช่เพื่อเสาะหาชื่อเสียงหรือตําแหน่งในวังอะไรหรอกนะแต่เพื่อที่จะได้ฆ่าใครบางคนต่างหากล่ะ!”

แววตาของฮวงเหลี่ยนชิ้นเปล่งประ กายด้วยความตื่นเต้น

และจอมกระบี่ต้องอาจก็รู้สึกตื่นเต้นมา กด้วยเช่นกัน

ทําไมการเข้าร่วมการคัดเลือกแห่ง สวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวถึงจําเป็นมากสําหรับการจะได้ฆ่าใครสักคนกัน นะ?

เขาไม่ได้รู้สึกกังวลเลยสักนิด แต่กลับ รู้สึกขนลุกซู่
ชายคนนี้คงต้องการจะทําการใหญ่อะ ไรสักอย่างแน่เลย!

โจวฉวนจีหรี่ตาลงและพูดขึ้นมา “นั่นก็ คือ ราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวและโจวหยาหลงยังไงล่ะ”

คนแรกน่ะเพื่อแก้แค้นให้กับท่านแม่ ของเขา ส่วนอีกคนน่ะเพื่อนฮวงเหลี่ยนชินยังไงล่ะ!

จอมกระบี่ผู้องอาจพูดพึมพําออกมา “ข้า จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ จะติดตามท่านไปด้วยอย่างแน่นอน”

เขาไม่คิดจะถามเหตุผลอะไรกับ โจวฉวนจีมากกว่านี้ แต่กลับรู้สึกว่าเขากําลังจะได้ทําบางสิ่งที่ทรงพลังมากซะ มากกว่า!

ถ้าหากพวกเขาทําสําเร็จล่ะก็ ทั่วทั้งม หาจักรวรดิโจวจะต้องสั่นคลอนเป็นแน่

หลังจากนั้น ถ้าเขายังรอดอยู่ล่ะก็ เขา ก็จะกลายเป็นนักเพนจรไปจนตายแน่!

ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ล่ะก็ เขาก็เริ่มชิน กับการติดตามโจวฉวนจีและแม่นางทั้งสองคนแล้ว ตลอดการเดินทางนั้นสนุก มากจริง ๆ มันดียิ่งกว่าการเดินทางคนเดียวซะอีก

แม้แต่เจ้างูสีดําตัวจ้อย อาใหญ่ และ น้องสองก็ทําให้เขารู้สึกสนุกด้วย

แถมโจวฉวนจียังคอยเล่าเกี่ยวกับตํา นานและเรื่องเล่าจากอารยธรรมจีนให้กับพวกเขาฟังอีก ซึ่งบางครั้งมันก็ทําให้ เขารู้สึกสนใจมาก

เจ้างูสีดําตัวจ้อยตะโกนออกมา “เจ้า บ้าไปแล้วเรอะ! เจ้าอยากจะสังหารองค์ราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวและโจวหยา หลงเนี่ยนะ? นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกเขาน่ะแข็งแกร่งแค่ไหน?แม้แต่ราชาปีศาจญ่ หลานยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ํา!”

ปีศาจระดับ 5 กลัวอย่างงั้นน่ะหรอ

โจวฉวนจีพูดตอบอย่างดูถูกว่า “มหา จักรวรรดิโจวอะไร? ท้องฟ้าที่ข้าเห็นน่ะยังยิ่งใหญ่มากกว่ามหาจักรวรรดิโจวซะอีก”

“ข้าล่ะไม่เคยเจอใครที่อวดดีเท่าเจ้า เลยจริง ๆ !”

เจ้างูสีดําตัวเล็กจ้องไปที่เขาด้วย ดวงตาที่เล็กเท่าเมล็ดถั่วขณะที่ร้องตะโกนด้วยน้ําเสียงแปลก ๆ

ทันทีที่เจ้างูสีดําตัวเล็กพูดจบ จู่ๆ เจ้า หนูทรายสามตาก็วิ่งไปทั่วด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล เจ้างูสีดําตัวกระ จ้อยร่อยแทบจะเป็นลมจากการที่ต้องมาถูกลากไปมาและถูกกระแทกลงพื้น มัน ถูกลากมากเสียจนบางทีก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของตัวเองแล้ว

ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะระเบิด หัวเราะออกมา
หลังจากที่พักกันได้ครึ่งชั่วโมง ทั้งก ลุ่มก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ

พวกเขาต่างถูกรายล้อมไปด้วย ซากศพ มันน่าขยะแขยงเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้

ภายในครึ่งเดือน ข่าวก็แพร่กระจายไป ทั่วเขตชายแดนของมหาจักรวรดิโจวราวกับไฟป่า

เทพกระบโจวได้สังหารดาบกระหาย โลหิต เยี่ยเอ้อกวาน แล้ว!

ข่าวนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ใน อาณาจักร ผู้คนส่วนมากที่อยู่ในโรงเตี้ยมมักคุยกันถึงเรื่องนี้

จอมกระบี่ผู้ทรงพลังคนหนึ่งได้ปรากฎ ตัวออกมาและทําการโค้นล้มปีศาจระดับ 4 ที่ทรงพลังผู้ซึ่งเป็นถึงองค์ชายแห่ง ราชวงศ์ปีศาจ
อีกหนึ่งคือจอมยุทธผู้ทรงพลังจาก สํานักอสูรโลกันตร์ผู้แสนจะชั่วร้าย

คําพูดเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวที่ดูจะเกิน จริงมากไปก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วบางคนก็ถึงกับคิดว่า เทพกระบี่โจวสามารถ ต่อกรกับจอมกระบี่ผู้สูงเสี่ยวจึงหงและศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่เสี่ยหรูโหยว ได้เลย

ที่อาณาจักรเหมันต์แดนใต้…

ณ บ้านพักของท่านแม่ทัพ ข้างในศา ลาหิน…

“ท่านพ่อเห็นมั้ย? เทพกระบี่โจวน่ะฆ่า ได้แม้แต่ดาบกระหายโลหิต เยี่ยเอ้อกวานเลยนะทั้งที่ท่านเคยแพ้ให้กับเยี่ย

เอ้อกวานมาก่อนน่ะ!”

จางเถียนเจียนจ้องเขม็งตาโต ก่อนจะ ทุบโต๊ะและพูดขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด“มารยาทเจ้าหายไปไหนหมดหัะ!”

ทหารที่อยู่ด้านข้างแอบขําอยู่น้อย ๆ จนต้องหันหน้าหนีออกข้าง

สีหน้าของจางหรูหยูเต็มไปด้วยความ ภาคภูมิใจ ราวกับว่าตัวเองเป็นเทพกระบี่โจวเอง

จางเถียนลูบคางพลางบ่นพึมพํากับตัว เองออกมา “ดูเหมือนว่าข้าคงจะประเมินเขาต่ําไปสินะ”

เขาคิดอยู่ภายในใจว่า โชคดีที่เขาไม่ ได้มีว่างขนาดนั้น
ถ้าข้าเจอเขาเข้าล่ะก็…

มันคงได้เป็นจุดจบของข้าแหง ๆ!

ณ มหาจักรวรรดิโจว ที่ค่ายทหาร…

เหมิงเทียนหลางนั่งอยู่บนที่นั่งสําหรับ แม่ทัพด้วยท่าทางที่ผ่าเผย พลางแอบฟังบทสนทนาของพวกทหาร

“ตอนนี้ในการจัดอันดับผู้มีชื่อเสียง แห่งมหาจักรวรรดิโจวเขาได้ตั้งฉายาให้กับเทพกระบี่โจวโดยเฉพาะด้วยนะ เป็น มือปราบมารเทพกระบี่โจวยังไงละ!”

หลังจากที่คิดขึ้นมาได้ ทหารนายน นก็ยื่นม้วนตําราส่งให้เหมิงเทียนหลาง

แม่ทัพเหมิงมองม้วนตํารานั้นหลังจาก ที่ได้มา

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ปิดม้วนตํารา ลงก่อนจะถอนหายใจออกมา “ช่างเป็นคนสําคัญซะจริงนะ!”

หลังจากนั้นเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียง เยาะเย้ย “ดูเหมือนเสี่ยวจึงหงจะมีคู่แข่งซะแล้วนะตอนนี้”

ทหารนายนั้นเงยหน้าขึ้นก่อนจะถาม ด้วยความสงสัย “มีข่าวลือมากมายในหมู่ประชาชนว่าชายคนนี้จะกลายเป็นภัย คุกคามต่อตําแหน่งจักรพรรดิกระบี่เพราะเขาสามารถใช้สองจิตดาบพร้อมกัน ได้นะครับ แล้วท่านแม่ทัพท่านคิดยังไงบ้างครับ?”

เหมิงเทียนหลางจ้องเขม็งไปทางนาย ทหารก่อนจะตะโกนออกมา “เจ้ายังโชคดีนะที่อยู่ในค่ายของข้าน่ะ เจ้าคิดว่า เจ้าเป็นใครกันถึงกล้ามาดูถูกจักรพรรดิกระบี่ได้น่ะ? เจ้าน่ะรู้รึเปล่าว่ามีแม่ทัพใน กองทัพมหาจักรวรรดิโจวมากมายแค่ไหนที่เคารพนับถือจักรพรรดิกระบี่น่ะห้ะ?”

ทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาพร้อมทั้ง รอยยิ้ม “ใช้สองจิตดาบพร้อมกันแถมยังควบคุมดาบได้ 9 เล่มอีกงั้นหรอนี่ไม่ใช่ อะไรที่จักรพรรดิกระบี่จะทําได้เลยนะ”

“สักวันนึงอาจจะมีคนที่เป็นเทพกระ บี่ในมหาจักรวรรดิโจวจริง ๆ ก็ได้

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless…

ตอนที่ 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่

3 เดือนต่อมา..

โจวฉวนจีและพรรพวกก็ได้มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวหลังจากที่ผ่านการเดินทางมาอย่างยาวนาน

ด้านหน้าของด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น คือพื้นที่รกร้างที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

กําแพงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวที่ตั้งสูงตระหง่านนั้นสูงยิ่งกว่าอาณาจักรไหน ๆ มองจากที่ไกล ๆ จะเห็นได้ว่ามีรถม้าอยู่แถวนั้นจํานวนมาก ภาพเงารถม้ามุ่งตรงไปยังด่านตรวจจากทุกทิศทาง ดูราวกับแม่น้ําหลายสายที่ไหลรวมกันลงทะเล

วิหคมังกรของโจวฉวนจีดึงดูดสายตา ผู้คนเป็นอย่างมากด้วยความตัวใหญ่ของพวกมัน

เขาและพรรคพวกหยุดลงเมื่อพวกเขายืนอยู่ห่างจากด่านตรวจเพียงไม่กี่ไมล์

“ฝากเจ้าด้วยล่ะ”

เขายื่นกระเป๋าเก็บของให้กับจอมกระบี่ ผู้องอาจพร้อมทั้งออกคําสั่ง

ทาสกระบี่พยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งตรงไปยังด่านตรวจทันที

จอมกระบี่ผู้องอาจนําหน้าพวกเขาไป ก่อนเพื่อซื้อถุงเก็บสัตว์ 2 ใบจากมหาจักรวรรดิโจว ส่วนที่เหลือก็รอเขาอย่างอดทนเท่านั้น

หลังจากที่ทาสกระบี่ไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็มีบางคนที่เริ่มเข้าหาพวกเขา เพราะตั้งใจจะซื้อวิหคมังกรพวกนั้น

โจวฉวนจีไม่มีวันจะขายให้อยู่แล้ว และเขาก็ปฏิเสธพวกคนที่เข้ามาอย่างตรงไปตรงมา

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ มวลคลื่นของเหล่าผู้ที่ต้องการซื้อ บ้างก็รู้สึกสงสาร บ้างก็พยายามบังคับให้ขาย แต่โจวฉวนจีมีวิธีที่จะไล่พวกเขากลับไปได้อยู่แล้ว

ยังไงซะพวกเขาก็อยู่ข้าง ๆ มหาจักรวรรดิโจวเลย เพราะงั้นเลยไม่มีใครกล้าที่จะขู่บังคับเขามากไปแน่นอน

หลังจากนั้น ความมืดก็ค่อย ๆ เข้าคืบคลาน

ฮวงเหลี่ยนชินหยิบปืนไฟออกมาเพื่อสร้างแคมป์ไฟ

โจวฉวนจีลูบจับใบหน้าตัวเอง “แผลเป็นบนหน้าข้าหายรึยัง?” เขาถาม

ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีผิวหยกกระดูกทองคําล่ะก็ เขาอาจจะต้องอยู่กั รอยแผลเป็นพวกนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

เด็กน้อยวัย 11 ขวบนั้นมีดวงตาที่เปล่งประกายและคิ้วตรงสวย รับกับใบหน้าที่เป็นดั่งหยกของเขา นั่นเลยทําให้เขาเป็นที่ดึงดูดใจของเหล่าเด็กสาวมาก

ถ้าเขาโตขึ้นมากกว่านี้อีกสัก 2-3 ปี เขาจะต้องกลายเป็นหนุ่มวัยรุ่นผู้หล่อเหลาอย่างแน่นอน

ต้องยอมรับเลยว่าสายเลือดราชวงศ์มหาจักรวรรดิโจวเบี้ยพิเศษจริง ๆ

เจียงฉือน้อยโบกมือให้ก่อนจะพูดตอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงข้าก็ไม่ไป จากเจ้าหรอกต่อให้เจ้าจะอัปลักษณ์แค่ไหนก็ตาม”

ฮวงเหลี่ยนชินปิดปากแอบขํา นางรู้สึกสนุกมากทุกครั้งที่เห็นเจียงฉือน้อยพูด แซะโจวฉวนจี มันทําให้นางรู้สึกได้ว่า นายน้อยของนางนั้นไม่ได้สูงส่งหรือเลอเลิสอะไรขนาดนั้นเลย

โจวฉวนจีกลอกตาใส่เจียงฉือน้อย “ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปหรืออะไรสักหน่อย”

เขามองไปทางฮวงเหลี่ยนชินก่อนจะถอนหายใจ “เมื่อตอนที่พวกข้ายังเด็กอ่ะนะ ยัยสาวน้อยคนนี้ยังน่ารักกว่านี้เยอะเลย นางมักจะอุ้มข้าเอาไว้ในอ้อมแขน อย่างระมัดระวังราวกับว่าข้าจะละลายหายไปได้ทุกเมื่อเลยล่ะ แต่ดูตอนนี้เข้าสิยัยเด็กวัยต่อต้านนี้ข้าล่ะสู้ด้วยไม่ไหวเลยจริง ๆ”

เจียงฉือน้อยจ้องเขม็งไปทางเขาก่อนจะพูดประท้วงขึ้นมาด้วยเสียงแหลม “เจ้ากําลังพูดถึงอะไรน่ะห้ะ!”

เด็กสาววัย 15 ปีคนนี้ช่างดูงดงาม ทั้งขนตาที่ยาวงอนและอ่อนช้อย รับกับดวงตาที่ประกายสดใสทําให้เธอมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจ

แต่โดยรวมแล้ว เธอก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่ดี

หลังจากนั้นอีกสักปี 2 ปี อาจจะมีคน หมายปองในความงดงามของเธอ และ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะต้องเป็นปัญหากับโจวฉวนจีอย่างแน่นอน

ขณะที่นางมองทั้ง 2 คนทะเลาะกัน ฮ งเหลี่ยนชินก็นั่งกอดเข่าเอาไว้และหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าชีวิตแบบนี้มันก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ก่อนที่นางจะได้เจอกับนายน้อย นางเป็นทั้งพวกไร้บ้าน ยากจน และหวาดระแวงทุกสิ่งอย่าง นางไม่เคยได้ใช้ชีวิต ย่างสงบสุขเลย

“ข้าจะตายอยู่แล้ว…” เจ้างูสีดําตัวจ้อยนอนแผ่หราอยู่บนท่อนฟื้นและพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง

ช่างน่าสงสารที่ไม่มีใครสนใจมันสักคน

ในไม่กี่วันต่อมา จอมกระบี่ผู้องอาจก็ไม่กลับมาสักที แต่ยังไงซะการจะหาคนที่ขายถุงเก็บสัตว์ได้มันก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว

แต่โจวฉวนจีตอนนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนแล้ว วิหคมังกร 2 ตัวและคนที่มีร่าง เหมือนเด็กนี่ ไม่ใช่ว่าเขาคือเทพกระบี่โจวในตํานานหรอ?

ในช่วง 2-3 วันนั้น มีผู้คนมากมายเข้ามาถามว่าเขาใช้เทพกระบี่โจวรึเปล่า

และเขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว เขาเลยไม่กลัวพวกสํานักอสูรโลกันตร์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดยอมรับตัวตนจริง ๆ ออกมา เหล่าผู้คนที่เข้ามาถามก็มักจะแสดงความตื่นเต้นกัน

นับตั้งแต่ที่เทพกระบี่โจวได้สังหารเยี่ยเอ้อกวาน ข่าวเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปไกลลามหยั่งกับไฟป่า

วิชาจิตดาบคู่!

ดาบ 9 เล่ม!

ข่าวลือมากมายประเดประดังเข้ามาทําให้ชื่อของเทพกระบี่โจวขึ้นสู่จุดสูงสุด และก็แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่ชนที่จะกล้าค้านถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

ภายในมหาจักรวรรดิโจวนั้น จอมยุทธระดับบัวภายในไม่ถือเป็นว่าระดับสูงสุด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดขวางจินตนาการของเหล่าชนชั้นล่างแต่อย่างใด

ในตอนแรก บางคนก็พูดว่า เทพกระบี่โจวก็จัดการได้แค่พวกจอมยุทธระดับ สร้างรากฐานเท่านั้นแหละ แต่มาตอนนี้ เขากลับเอาชนะจอมยุทธระดับบัวภาย ใน 2 คนติดต่อกันได้ภายในครั้งเดียว

แล้วพอมาครั้งนี้ เขายังจัดการเยี่ยเอ้อกวานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าได้อย่างง่าย ๆ อีก ใครจะรู้ล่ะว่าเขามีพลังมากแค่ไหนกัน

ในที่สุดจอมกระบี่ผู้องอาจก็กลับมาใน วันที่ 9

เขามอบถุงเก็บสัตว์ 2 ใบให้กับโจวฉวนจี

ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยผ้าลินินสีเงิน และถูกทําให้พกพาได้ง่าย เหมือนกันกระเป๋าเก็บของ

มีการร่ายมนต์ลงภายในถุง ซึ่งจําเป็นต้องใช้เลือดเพื่อที่จะได้สร้างพันธะกับเจ้าของเอาไว้

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลือดของโจวฉวนจี แต่เป็นของพวกวิหคมังกร

ในไม่ช้า เขาก็ปล่อยพวกวิหคมังกรให้ เข้าไปในถุงทีละตัว ก่อนจะปล่อยพวกมันออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ถามพวกมันว่ารู้สึกยังไงบ้าง

เจ้าตัวยังทั้งสองดูจะตื่นเต้นกันมาก และรู้สึกว่าข้างในนั้นทั้งสบายและอบอุ่น

กว่าโจวฉวนจีรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น เพราะเขาไม่อยากจะทําให้พวกมันรู้สึกไม่สบายตัว

“ดูพวกมันทําตัวสิ แล้วจี้พวกมันยังจะหวังเป็นขุนนางปีศาจอีกน่ะหรอ? ไปแดกหญ้าต่อไป!”

พรึ่มมม

อาใหญ่กระพือปีกใส่ จนลมพัดเจ้างูสีดํากับหนูทรายสามตาปลิว

หลังจากที่พวกมันร่วงลงก็ ทั้งสองตัวก็กระแทกลงบนพื้น

เจ้าหนูทรายสามตาส่ายหัวก่อนจะจ้อง ไปทางเจ้างูสีดําตัวจ้อย

หลังจากที่เจ้างูมองขึ้น สายตาของพวกมันก็สบกัน

ทั้งสองต่างเงียบใส่กัน

ใจของเขางูตัวเล็กเริ่มเต้นผิดจังหวะ และรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่กําลังจะเข้ามา

ทันใดนั้นเจ้าหนูทรายสามตาก็กระโดดวิ่ง และลากเจ้างูตัวเล็กไปตามทาง ขณะที่มันมองพื้นดินที่ค่อย ๆ ห่างออกไปไกลจากตัวมันทุกที มันก็ถอนหายใจ ออกมาอย่างอเนจอนาถ “ข้า… พูดมากไปจริง ๆ…”

เจียงฉือน้อยน้อยและฮวงเหลี่ยนชิน หัวเราะขณะที่มองเจ้าหนูทรายสามตา ทรมานเจ้างูสีดําตัวจ้อย

แต่โจวฉวนจีไม่ได้ละสายตาไปจากจอมกระบี่ผู้องอาจ “ลมหายใจและปราณของเจ้าดูไม่คงที่เลยนะ นี่เจ้าเจอปัญหาอะไรมารึเปล่า?” เขาถาม

จอมกระบี่ต้องอาจอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็หยุดเอาไว้ “ไม่มีอะไรครับ…”

“บอกข้ามา!”

โจวฉวนจีจ้องไปทางเขาก่อนจะพูด “ใครก็ตามที่กล้ามารังแกทาสกระบี่ของข้า ก็เหมือนมันตบหน้าข้านั่นแหละ”

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกประทับใจมาก เขารู้สึกได้ว่าเขาพร้อมที่จะตายเพื่อใคร สักคนที่รู้จักตัวเขาจริง ๆ ได้เลยทีเดียว

ดังนั้นเขาเลยพูดออกมา ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกซื้อมาจากการประมูล และนั่นเลย ทําให้ผู้มีอิทธิพลบางคนไม่พอใจ

หลังจากที่เขาออกมาจากเมือง เขาก็ถูกดักโจมตี แต่โชคดีที่เขาแข็งแกร่งมากพอที่จะแหวกทางและหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

มันคือตระกูลหยางจากเมืองลั่วหยางนั่นเอง

หัวหน้าตะกูลหยางนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ของมหาจักรวรรดิโจว และลูกชายของเขา หยางเฉอนั้นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการของเมืองลั่วหยาง วรยุทธของหยางเฉออยู่ถึงระดับบัวภายในขั้นที่ 10

แล้วยังมีมีข่าวลืออีกว่าเขามีจอมยุทธทรงพลังระดับผุดวิญญาณอยู่ภายใต้เขา อีกทั้งเมืองลั่วหยางนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเขาโดยสิ้นเชิง

“หากนายท่านต้องการจะล้างแค้นให้ข้า ท่านต้องล้มหยางเฉอในงานประชุมกระบี่ให้ได้ครับ หากท่านเอาชนะเขาได้ล่ะก็ ท่านจะได้รับการคุ้มครองจากเสี่ยหรูโหยว และตระกูลหยางก็จะไม่กล้ามายุ่มย่ามอะไรกับท่านอีกไม่ว่าพวกมันจะเกลียดท่านสักแค่ไหนก็ตาม”

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วในงานประชุมกระบี่นี่สามารถฆ่ากันได้มั้ย?”

เมื่อตอนที่ทาสกระบี่ของเขาถูกดักโจมตี พวกมันก็ต้องใจจะฆ่าทาสกระบี่ของเขาด้วย

ดูท่าแค่สั่งสอนมันอย่างเดียวคงจะไม่พอซะแล้ว

จอมกระบี่ผู้องอาจเข้าใจว่าโจวฉวนจี หมายถึงอะไรก่อนจะตอบกลับว่า “ดาบนั้นเป็นอาวุธที่แหลมคม ถ้ามันจะเกิดอุบัติเหตุในการต่อสู้สักนิดหน่อย… มันก็ไม่ผิดกฎหรอกครับ”

ในโลกนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะขึ้นเป็นใหญ่

ใครที่กล้าจะเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยอยู่แล้ว

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ “พวกเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้เพื่อลงชื่อ เข้าร่วมงานประชุมกระบี่”

ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ทั้งกลุ่มก็เดินทางเข้ามาในเมือง

สถานที่จัดงานประชุมกระบี่นั้นคือ เมืองจ้าวกระบี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยาง

จ้าวกระบี่นั้นเป็นฉายาของเสี่ยหรูโหยวเมื่อยังเยาว์วัย ในปีนั้นที่เขาได้ขึ้นสู่ตารางจัดอันดับยอดฝีมือและตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรดิโจว ชื่อเสียงของเขาก็เทียบได้กับชื่อเสียงของเสี่ยวจิงหงในปัจจุบันเลยทีเดียว

ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ระหว่างการเดินทางของพวกเขาเลย

และภายใน 3 วัน พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองจ้าวกระบี่

ดาบยักษ์ที่ยิ่งใหญ่และงดงาม 2 เล่ม ตั้งตระหง่านอยู่บนประตูเมือง และเหล่าผู้คนต่างก็รู้สึกได้ถึงปราณกระบี่ที่ทรงพลังแม้จะอยู่ไกลมากก็ตาม

โจวฉวนจีก็บังเอิญเจอคนรู้จักเข้าเมื่อเข้ามายังในเมือง

จางเถียนเขียนกําลังอบรมวินัยให้กับลูกชายของเขา จางหรูหยู อยู่พลางทําท่าทางยืนกอดอก “ห้ามพูดจาเหลวไหล เรื่องเทพกระบี่โจวของเจ้าอีกตลอดทั้งวันนี้ ถ้าเขายังกล้ามาเข้าร่วมงานประชุมกระบี่อีกละก็ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูเองว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!” เขาตะโกนใส่

นิยาย หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ | Have Countless…

 

ตอนที่ 53 : ดาบชโลมโลหิตที่ทรงพลังที่สุด

 

ตอนที่ 53 : ดาบชโลมโลหิตที่ทรงพลังที่สุด

 

ที่นี่คือดินแดนรกร้างที่มีประวัติเกี่ยวกับสงครามมามากมายกระดูกและอวัยวะ

 

แขนขาที่กระจัดกระจายไปทั่ว เลือดที่เกาะแข็งตัวอยู่บนหน้าผืนดินทําให้มันดู

 

ราวกับลวดลายโลหิต

 

สายลมโหยหวนโบกพัดคลื่นทรายมา ทั่วพื้นที่ต่างตกอยู่ในความเงียบสงัดและ

 

มีเพียงแต่ความตายที่ยังคงอยู่

 

โจวฉวนจีและคนอื่น ๆ มองไปยังภูเขาตรงหน้าพวกเขา

 

ที่ตรงนั้นมีดาบโค้งที่ชโลมไปด้วยโลหิตปักไว้อยู่ปลายดาบ

 

ที่แหลมคมปักอยู่ที่

 

พื้นดิน สายลมโลหิตที่รุนแรงห่อหุ้มทั่วทั้งใบมีด

 

ใช่แล้ว!

 

มันคือวายโลหิตยังไงล่ะ!

 

วายโลหิตที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

 

เจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชิ้นต่างรู้สึกหวาดกลัวดาบสีโลหิตนั่น มันแผ่ขยาย

 

ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุดออกมา

 

หญิงสาวตัวน้อยถามด้วยความระมัดระวัง “ร…หรือว่าดาบนั่นจะมีผีสิงกันน่ะ?”

 

ถึงแม้เธอจะเป็นจอมยุทธที่อยู่ถึงระดับสร้างรากฐานแล้วแต่เธอก็ยังกลัวผี

 

เหมือนเดิมอยู่ดี

 

“ข้าเกรงว่านั่นน่าจะเป็นดาบผีสิงแหล่ะครับ”จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถอน

 

หายใจอย่างเย็นชา

 

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เขวี่ยงดาบในมือตัวเองออกไปอย่างแรง

 

วิชาขยายวิถีกระบี่!

 

มันอาจจะช้ากว่าวิชาขยายวิถีกระบี่ของโจวฉวนจีแต่ก็ยังเร็วมากอยู่ดี

 

แกลัง!

 

เสียงใบมีดที่ปะทะกัน แต่ดาบสโลหิตนั้นก็ไม่ได้ล้มลงแต่อย่างใด แต่กลับ

 

สะท้อนดาบของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจแทน

 

ในทางกลับกัน โจวฉวนจีก็ถามจิตวิญญาณแห่งดาบขึ้นมา“เจ้าแน่ใจหรอ?” เขา

 

ถามจากใจจริง

 

“ครับ นี่คือดาบปีศาจที่ก่อร่างขึ้นจากปราณโลหิตและความเจ็บแค้นขมขึ้น ท่าน

 

สามารถชําระล้างมันได้โดยการใช้ดาบชโลมโลหิตดูดซับพลังมา และมันจะช่วยเพิ่ม

 

ระดับให้กับดาบชโลมหิตครับ

 

จิตวิญญาณแห่งดาบยังคงตอบด้วยน้ําเสียงที่อ ๆ เช่นเคย

 

โจวฉวนถามเพิ่ม “แล้วมันทําให้เพิ่มขึ้นได้กี่ระดับกันล่ะ?”

 

“การจะให้คําตอบที่ชัดเจนได้จําเป็นต้องทําการวิเคราะห์ใกล้กว่านี้ครับ แต่มัน

 

สามารถเพิ่มขึ้นไปถึงระดับทองได้แน่นอนครับ”

 

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบอีกครั้ง ซึ่งมันทําให้เขาตื่นเต้นสุด ๆ

 

ดาบชโลมโลหิตนั้นแตกต่างกับดาบในตํานานเล่มอื่นยิ่งมันดูดซับเลือดมากเท่า

 

ไหร่ มันก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น

 

และมันดูเหมือนว่าจะต้องเป็นเลือดจากการฆ่าศัตรูอย่างเดียวซะด้วย

 

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาบชโลมโลหิตกลายเป็นดาบที่มีระดับ

 

สูงที่สุดในหมู่ดาบในต่านานทั้งหมดที่เขามี มันก็จะกลายเป็นดาบที่ทรงพลังที่สุดยังไงล่ะ!

 

พอเห็นดาบตัวเองถูกปัดป้องกลับแล้ว สีหน้าของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็จืดในทันที

 

ฮวงเหลี่ยนชิ้นมองไปรอบ ๆ สายลมที่พัดพาเศษทรายไปทั่วผืนอากาศ ซากศพ

 

และเศษหินกระจัดกระจายอยู่ทั่วผืนดิน ช่างเป็นบรรยากาศที่ทําให้รู้สึกราวกับว่า

 

ปีศาจจะปรากฏตัวและพุ่งเข้าใส่พวกเขาได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว

 

“ถ้านั้นเป็นดาบที่มีนายล่ะก็ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดักเจ้าค่ะ”นางพูด

 

โจวฉวนจีก็มองสํารวจรอบ ๆ ด้วยเช่นกัน ก่อนจะเริ่มออกคําสั่งกับวิหคมังกร

 

“คอยเฝ้าสังเกตการณ์จากข้างบนเอาไว้นะ”

 

อาใหญ่และน้องสองก็บินขึ้นไปบนอากาศทันทีจนพัดเศษทรายปลิวกระจายไป

 

เจียงฉือน้อยหยิบเอาพัดอัคคีออกมาและตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ จอมยุทธจํานวน 6 คน ชาย 4 หญิง 2ก็วิ่งตรงมาทางพวกเขา

 

ทันที เสื้อผ้าของพวกทั้งมอมแมมและขาดรุ่งริ่งอีกทั้งทั่วทั้งร่างยังเปื้อนไปด้วย

 

เลือด ความหวาดกลัวแสดงอยู่บนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของพวกเขา

 

เมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจีและพรรคพวกความหวังก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

พวกเขา ก่อนจะเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นมาทันที

 

“ๆ… พวกเจ้าคิดจะหนีไปไหนกันหรอ?”

 

น้ําเสียงที่ทั้งเย็นชาและหน้าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วฟากฟ้า จนทําให้เจียงฉือ

 

น้อยและฮวงเหลี่ยนชิ้นรู้สึกขนลุกซูไปหมด

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง เขารู้สึกได้ถึงปราณเฉพาะที่อันตรายโคตร ๆ เหมือนกับเมื่อ

 

ตอนที่ได้เผชิญหน้ากับฉวงฮัยเฉิง

เหงื่อเย็นไหลพรากออกมาจากหน้าผากของจอมกระบี่ผู้องอาจจู่ๆ เขาก็นึก

 

อะไรบางอย่างออกและพูดพิมพ์ขึ้นมา “หรือว่าเขาจะเป็น…”

 

“เป็นอะไรนะ?” โจวฉวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็ถามขึ้นมา

 

“ดาบกระหายโลหิต เยี่ยเอ้อกวาน จากสํานักอสูรโลกันต์!ครั้งนึ่งเขาเคยติดอยู่

 

ในตารางจัดอันดับยอดฝีมือครับแต่เพราะการกระทําที่ชั่วร้ายของเขา เลยทําให้เขา

 

ไปติดอยู่ในรายชื่อประกาศล่าค่าหัวของมหาจักรวรรดิโจวแทน ก่อนจะถูกเอาออก

 

จากตารางจัดอันดับไปน่ะครับ”

 

จอมกระบี่ผู้องอาจตอบด้วยเสียงค่อย น้ําเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความกังวล

 

สํานักอสูรโลกันต์งั้นหรอ!

สํานักมารนี้อีกแล้วหรอ!

 

โจวฉวนจือดไม่ได้ที่จะนึกถึงจอมยุทธปีศาจเยี่ยเฟยฟานคนนั้นที่เขาเคยฆ่าเมื่อ

 

8 ปีก่อน เพราะงั้นเขาเลยถามขึ้นมา “เยี่ยเอ้อกวานกับเยี่ยเฟยฟานที่เกี่ยวข้องกันยังไงหรอ?”

 

จอมกระบี่ผู้องอาจตอบ “เยี่ยเฟยฟาน? อัจฉริยะแห่งสํานักอสูรโลกันตร์ที่ตาย

 

อย่างปริศนาเมื่อ 8 ปีก่อนน่ะหรอครับ?พวกเขาเป็นพี่น้องกันน่ะครับ”

 

อ้อ?

 

งั้นคงต้องปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ!

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง เขาต้องการเพียงแค่ดาบโลหิตเล่มนั้นเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าอีก

 

ฝ่ายคือพี่ชายของศัตรูเขา งั้นเขาก็ไม่จําเป็นจะต้องไว้ชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้

 

เจียงฉือน้อยก็แสดงสีหน้าแปลก ๆ เช่นกันเธออดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึง

 

ภาพที่ได้เห็นเมื่อปีนั้น

 

ภาพที่เด็กวัย 2 ขวบสังหารจอมยุทธระดับบัวภายในเป็นภาพในตํานานจริงๆ

 

หลังจากที่เธอเริ่มฝึกวรยุทธ เธอก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าจอมยุทธระดับบัวภายในนั้น

 

แข็งแกร่งมากแค่ไหน และในเวลาเดียวกันเธอก็ยิ่งนับถือในตัวโจวฉวนจีมากกว่า เดิม

 

พวกเขาเห็นชายที่มีเรือนผมสีขาวบริสุทธ์และสวมเสื้อคลุมยาวที่อาบไปด้วย

 

เลือดกระโจนมาทางพวกเขา

 

ใบหน้าที่น่าขนลุกนั่นปรากฏแววตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดริมฝีปากของเขา

 

แสยะยิ้มกว้างจรดหู เสียงหัวเราะที่ฟังดูวิกลจริตและบ้าคลั่งนั่น ราวกับว่าเขาคือ

 

ปีศาจในคราบมนุษย์ก็มิปาน

 

“พวกเจ้าคิดจะวิ่งหนึ่งั้นหรอ? ข้าจะสูบเลือดให้หมดร่างของพวกเจ้า ให้พวกเจ้า

 

ได้ลิ้มลองความรู้สึกที่เลือดมันค่อยๆ ไหลออกจากร่างกายและได้ตายอย่างช้า ๆ

 

ด้วยความหวาดกลัวไงล่ะ!”

 

“ฮ่า ๆๆ

 

เยี่ยเอ้อกวานพูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น จิตสังหารที่รุนแรงแพร่กระจายและ

 

กักขังทั้งพื้นที่ในรัศมี 100 หลา

 

โจวฉวนจีพูดด้วยโทนเสียงที่ต่า “ฆ่าเขาซะ”

 

สีหน้าของจขอมกระบี่ผู้องอาจเปลี่ยนไปเล็กน้อยและร่างของเขาก็พุ่งตรงไป

 

ข้างหน้าโดยอัตโนมัติ

 

เมื่อเขาก้าวออกไป เขาก็สบถกับตัวเองว่ารนหาที่ตายชัด ๆ

 

ยังไงซะเยี่ยเอ้อกวานก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับบัวภายในและยังเป็นคนที่

 

แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับบัวภายในอีก

 

การจะสู้กับเขาด้วยวรยุทธแค่ระดับบรรลุญาณขั้นเบาะ ๆ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ

 

แต่ด้วยความที่เขาเคยชินกับการรับคําสั่งของโจวฉวนที่มากจนเกินไป เขาเลย

 

บังคับตัวเองให้พุ่งออกไปข้างหน้าได้

 

โจวฉวนจีวางเจ้าหนูทรายสามตาลงเจ้างูสีดําตัวจ้อยที่ถูกลากเอาไว้กับหนู

 

ทรายก็เบิกตากว้างก่อนจะพูดดขึ้นมา “นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? นี่เจ้ากล้จะสู้กับเขางั้นเรอะ?”

 

เจ้างูเป็นถึงปีศาจระดับ 5 และเคยเจอกับเยี่ยเอ้อกวานมาก่อนถึงแม้ระดับวร ยุทธของเขาจะไม่เท่าเจ้างูเมื่อตอนที่มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด แต่เจ้าจอมยุทธปีศารนั่นก็ยังเป็นศัตรูที่เคี้ยวยากสําหรับพวกโจวฉวนจีอยู่ดี

 

แต่โจวฉวนจีก็ไม่ฟัง กลับกัน เขากลับพุ่งตัวตรงไปยังดาบสโลหิตนั่นอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อจอมยุทธทั้ง 6 คนนั้นเห็นจอมกระบี่ผู้องอาจพุ่งตรงไปยังเยี่ยเอ้อกวานพวก

 

เขาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

 

พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่อาจจะหลบหนีไปไหนพ้น

 

จอมกระบี่ผู้องอาจนั้นไม่ได้ดูอ่อนแอแต่อย่างใดบางทีเขาอาจจะเป็นจอมยุทธ

 

ที่ทรงพลังก็ได้

 

ปิ้งงงง

 

จอมกระบี่ผู้องอาจลอยกระเด็นกลับมาพร้อมกระอักเลือดเขาร่วงลงตรงหน้า

 

จอมยุทธพวกนั้นจนทําให้ฝุ่นทรายกระจายไปทั่วอากาศ

 

ทั้ง 6 คนต่างรู้สึกตะลึง และวินาทีต่อมาสีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือกด้วยความ

 

หวาดกลัวกันสุด ๆ

 

เมื่อโจวฉวนจีเข้าถึงดาบสีโลหิตนั่นได้เขาก็ยื่นมือออกไปจับด้ามดาบ แต่วายุ

 

โลหิตที่ล้อมรอบตัวดาบอยู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดและเชือดเฉือนตัวเขา แต่ใน

 

ตอนนั้นเอง ดาบอัสนีคํารามก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

ดาบอัสนีครามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและสร้างกระแสสายฟ้าที่ทะลายวาย

 

โลหิตจนสิ้น

 

“ไอเด็กเวร! เจ้ากล้าดียังไงมาแตะดาบของข้า!ตายซะเถอะ!”

 

เยี่ยเอ้อกวานคํารามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่พุ่งตรงมายังโจวฉวนจีราวกับลูกศร

 

โจวฉวนจีเก็บดาบสโลหิตเข้าไปในสุดยอดช่องเก็บของทันที

 

พอไม่มีดาบนั่นแลล้ว พลังในการต่อสู้ของเยี่ยเอ้อกวานก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

โจวฉวนจีหันกลับมาและมองตรงไปยังจอมยุทธปีศาจนั่นเขาถือดาบอัสนี

 

คํารามเอาไว้ในมือขวา ขณะที่ดาบไร้ลักษณ์ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันในมือซ้าย

 

โจวฉวนจีเผชิญหน้ากับเยี่ยเอ้อกวานที่น่าหวาดกลัวนั่นก่อนจะฟาดฟันไปยัง

 

เขาด้วยดาบอัสนครามที่อยู่ในมือขวา

 

วิชาดาบสะบั้นสามชีพจร!

 

ปราณกระบี่ของเขาถูกซัดออกไปราวกับพายุและล็อคการเคลื่อนไหวทั้งหมด

 

ของเยี่ยเอ้อกวานเอาไว้

 

เยี่ยเอ้อกวานรู้สึกโกรธที่เห็นดาบอันแสนจะล้ําค่าของเขาถูกขโมยไป มือของ

 

เขากลายเป็นกรงเล็บโลหิตและฉีกกระชากปราณกระบี่ที่กําลังพุ่งตรงเข้ามาเป็นชิ้น

 

เขาหมุนตัวกลับไปก่อนจะร่อนลงสู่พื้นด้วยเท้าขวาและด้วยแรงกระทบของเท้า

อีกข้าง เขาโน้มตัวพุ่งไปข้างหน้าและแทงไปยังโจวฉวนจี

 

กรงเล็บมือขวาของเขาดูราวกับผิวหนังที่เหวอะหวะและปลายเล็บที่แหลมคม

 

นั้นก็ดูราวกับมีดที่จ่อตรงไปที่คอของจอมกระบี่

 

โจวฉวนจตอบสนองอย่างทันท่วงที เขาแทงดาบลงไปที่พื้นและสายฟ้า

 

จํานวนนับไม่ถ้วนก็ฟาดฟันลงยังคมดาบและกระจายลงสู่พื้นพุ่งตรงไปทั่วทุกทิศทาง

 

แผดเผาวัชพืชที่อยู่รอบ ๆ ในฉับพลัน

 

สีหน้าของเยี่ยเอ้อกวานเปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะหลบการโจมตีด้วยการตีลังกาถอยหลัง

 

จอมยุทธทั้ง 6 คนต่างรู้สึกตื่นตกใจเมื่อได้เห็นเด็กคนหนึ่งยืนหยัดอยู่ต่อหน้าเยี่ยเอ้อกวาน

 

จอมกระบี่ผู้องอาจกุมอกเอาไว้พลางหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาในความต่างชั้น

 

ระหว่างเขาและนายน้อยของเขา

 

หลังจากที่ร่อนลงสู่พื้น เยี่ยเอ้อกวานก็ถามขึ้นมา“เจ้าเป็นใคร?”

 

โจวฉวนจีสะบัดมือขวาและยกปลายดาบชี้ตรงไปยังเยี่ยเอ้อกวาน “เทพกระบี่

 

โจวผู้ไร้พ่ายยังไงล่ะ”

หมื่นกระปทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

ตอนที่ 52 : เหรียญตราแม่ทัพเหมิง

“เหมิงเทียนหลางจากมหาจักรวรรดิโจวอย่างงั้นหรอ?”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินต่างรู้สึกตกใจพวกรู้สึกได้ถึงโทษที่อาจจะมาถึง

เหมิงเทียนหลางถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจวเชียวนะ!

ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาอยู่ระดับเดียวกับเสี่ยวจิงหง

 

บางทีเขาอาจจะมีพลังมากกว่าจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ด้วยซ้ํา

 

ยังไงซะเสียวจิงหงก็เป็นแค่คนคนเดียว เทียบไม่ได้กับเหมิงเทียนหลางที่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพอัศวินเหล็กแห่งมหาจักรวรรดิโจว

หรอก

 

เหตุผลที่ว่าทําไมเขาถึงอันดับสูงกว่าเสี่ยวจิงหงหนึ่งขั้นนั่นเป็นเพราะสถานะของเขายังไงล่ะ

 

เหมิงเทียนหลางมองสํารวจอาใหญ่และน้องสองก่อนจะอุทานออกมา “พวกมันได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีเลยนะเนี่ย แถมยังมีออร่าฆ่าฟันซ่อนอยู่ภายในตัวอีก เหมาะแก่การพาเข้าสู่สนามรบเสียจริง

 

เขาไม่สนใจโจวฉวนจีหรือคนอื่น ๆ เลยสักนิด

 

โดยปกติแล้วในมหาจักรวรรดิโจวจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขาตราบเท่าที่เขาปาวประกาศนามของตนออกไป

โจวฉวนจีพูด “ท่านแม่ทัพอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งอยู่ถึงอันดับที่ 2 ของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจวท่านต้องการแย่งชิงสัตว์ขี่ไปจากเด็กอย่างข้าหรือ?”

เมื่อเหมิงเทียนหลางได้ยิน เขาก็หันกลับมามองก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าวิหคมังกรทั้ง 2 ตัวนี้เป็นของเจ้างั้นหรอเนี่ย?”

 

หมม?

 

วรยุทธของเจ้าเด็กนี่อยู่ถึงระดับบรรลุญาณขั้นที่ 1 เลยงั้นหรอ?

 

ความสงสัยก็กระตุ้นเขาให้ถามขึ้นมาทันที “เจ้าหนู เจ้ามีนามว่าอะไร? แล้วเจ้ามาจากตระกูลหรือสํานักไหนกันล่ะ?” เขาถาม

 

โจวฉวนจีก้าวออกไปข้างหน้าก่อนจะตอบ “ข้าจะเป็นใครมันก็ไม่สําคัญทั้งนั้น แต่ท่านแม่ทัพเหมิงผู้ซึ่งมีฐานะอันแสนจะสูงส่ง ขนาดนั้นวิหคอินทรีพวกนี้เป็นอะไรสําหรับท่านกัน? มันก็ไม่เป็น ไรหรอกถ้าท่านเจอกับคนที่โตกว่านี้ท่านก็แค่ขโมยพวกมันไปจาก คน ๆ นั้นซะ แต่กับข้าที่อายุแค่ 11 ขวบเท่านั้นเนี่ยท่านแน่ใจหรอว่าท่านอยากจะทําแบบนี้น่ะ? ท่านไม่กลัวว่าสิ่งที่ท่านทํานี่จะทําให้ท่านกลายเป็นตัวตลกรึไงกัน?”

เขาเคยได้ยินข่าวอื่นเกี่ยวกับเหมิงเทียนหลางในอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

 

ท่านแม่ทัพเหมิงนั้นไม่ได้เป็นทั้งพวกขี้แยหรือปีศาจและไม่ใช่ทั้งพวกรักความถูกต้องชอบธรรมอีกด้วย

สําหรับคนอย่างเหมิงเทียนหลางแล้ว ชื่อเสียงนั้นสําคัญที่สุด

 

เมื่อแม่ทัพอัศวินได้ยินก็ลูบจมูกของเขา และสีหน้าของเขาก็เริ่มรู้อนขึ้นเล็กน้อย

พอเห็นคู่แข่งของเสี่ยวจิงหงแล้ว บุคลิกของท่านแม่ทัพนี่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว เขาต้องคํานึงความภาคภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ข้างในของเสี่ยวจิงหงด้วยว่าจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นั้นเกลียดพวกไร้ซึ่งเกียรติ หยาบคายและไร้เหตุผลเป็นที่สุด

 

เหมิงเทียนหลางจ้องมองไปยังโจวฉวนจี ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าหนูบอกข้ามา เงื่อนไขแบบไหนเจ้าถึงจะยอมให้เจ้าพวกนั้นกับข้าน่ะ?เอาเป็นหินวิญญาณระดับสามประมาณ 10000 ก้อนล่ะเป็นไง?”

 

ฮวงเหลี่ยนชิ้นรู้สึกตกใจกับความใจกว้างของเหมิงเทียนหลาง

แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกลับทําหน้าตึงใส่ เขาก่นด่าสาปแช่งอยู่ภายในใจที่แม่ทัพเหมิงพยายามจะหลอกเด็ก

 

เจ้าวิหคมังกรพวกนี้มีค่ามากกว่านั้นมาก

โจวฉวนจีส่ายหัวและตอบกลับ “ไม่ ข้าจะไม่ให้พวกมันกับใครทั้งนั้นพวกมันคือมรดกที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามอบให้ข้าก่อนตาย”

 

สีหน้าของเหมิงเทียนหลางเริ่มเปลี่ยนไป และตระหนักได้ว่านี่มันกําลังจะกลายเป็นปัญหาซะแล้ว

การรังแกเด็กนั้นมันไม่ได้ดูเก่งเลยสักนิด

 

แล้วยิ่งการขโมยของสําคัญที่พ่อแม่ของใครบางคนมอบให้นั้นก็ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่

 

ดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยความอิจฉา มันใช้เวลานานมากกว่าเขาจะเจอวิหคอินทรี เขาปรารถนาสุด ๆ ว่าจะได้พวกมันเข้าไปเป็นกองกําลังของมหาจักรวรรดิโจว

 

เขากลอกตาไปมาขณะที่คิด ก่อนจะหัวเราะออกมา “เจ้าหนู งั้นเจ้าอยากจะมาเข้าร่วมกองทัพของมหาจักรวรรดิโจวมั้ยล่ะ?”

ถ้าโจวฉวนจีเข้าร่วมกองทัพล่ะก็ วิหคมังกรพวกนั้นก็จะต้องเข้าร่วมกับกองทัพด้วยอยู่แล้ว

 

เมื่อโจวฉวนจีได้ยิน จู่ ๆ เขาก็มีแผนผุดขึ้นมาในใจทันที

 

เขาถาม “งั้นถ้าข้าเข้าร่วมกองทัพแล้ว เจ้าพอจะช่วยยื่นเสนอชื่อข้าให้เข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวได้ไหมล่ะ?”

 

การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว!

 

เหมิงเทียนหลางเบิกตากว้าง ไอเด็กนี่มันใฝ่สูงมากเลยนะเนี่ย!

 

แต่ด้วยความที่เป็นถึงจอมยุทธระดับบรรลุญาณแล้ว เจ้าเด็กนี่ก็มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จริง ๆ

 

แต่ก็แปลกนะ ที่มีจอมยุทธระดับบรรลุญาณในช่วงอายุแค่นี้ด้วย

เป็นไปได้มั้ยว่าเขาจะเป็นถึงอัจฉริยะเทียบได้กับองค์ชายลําดับที่ 2 แห่งมหาจักรวรรดิโจว โจวหยาหลง นะ?

 

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “การจะเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวได้นั้น เจ้าจะต้องมีชื่อเสียงด้วย แต่ข้านะอยู่ในตําแหน่งที่สามารถยื่นเสนอชื่อเจ้าให้ได้ แถมข้ายังสามารถสร้างโอกาสในการมีชื่อเสียงให้เจ้าได้อีกด้วย แต่ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าด้วยล่ะนะ”

 

เขารู้ดีว่าระดับในการแข่งขันของการคัดเลือกแห่งสวรรค์นั้นสูงแค่ไหนเมื่อตอนที่เขาเคยเข้าร่วมเมื่อนานมาแล้ว

อาจพูดได้เลยว่าทั้งกองทัพต่างก็พยายามที่จะข้ามสะพานไม้ที่อนเดียวนั่นไปให้ได้

แววตาของโจวฉวนจีนั้นเปล่งประกาย “เจ้าอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมกองทัพได้ แถมยังเสนอชื่อข้าในการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวอีกแม้ว่าข้าจะไม่ได้มอบวิหคอินทรีให้ท่านก็ตามน่ะหรอ?”

เจียงฉือน้อย จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และฮวงเหลี่ยนชินต่างก็มองไปยังเหมิงเทียนหลางด้วยความประหลาดใจอย่างชายคนนี้จะใจดีได้ขนาดนั้นเชียวหรอ?

แม่ทัพเหมิงหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ข้าน่ะอยากได้วิหคมังกรนะ แต่ไม่ใช่เพราะข้าชอบพวกมันหรืออะไรหรอก แต่เพราะว่าพวกมันจะมีประโยชน์ในการต่อสู้มากน่ะสิ ถ้าเจ้าเข้าร่วมกองทัพแล้วเจ้าก็จะพาวิหคมังกรพวกนั้นไปด้วยใช่มั้ยล่ะ? จะ ปล่อยให้สัตว์ที่ทรงพลังขนาดนั้นถูกเลี้ยงเป็นนกแบบนี้ไปได้ยังไงกันพวกมันน่ะควรจะไปอยู่ในสนามรบต่างหากล่ะ!”

ด้วยน้ําเสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์นั้น คําพูดของเขาก็ฟังดูน่าดึงดูดมากถ้าเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปจะต้องถูกเขาล่อหลอกไปได้แน่นอน

แต่โจวฉวนจํากลับไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยสักนิด ขณะเดียวกันเขาก็แกล้งทําเป็นตื่นเต้นมาก “ข้าว่าจะไปเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ที่จัดโดยศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่ก่อนน่ะ หลังจากที่ข้าชนะแล้ว ข้าจะตามท่านไปและเข้าร่วมกองทัพเอง เอางั้นได้มั้ยล่ะ?”

ไอเด็กนี่มันตัดสินใจได้เร็วขนาดนั้นเลยเรอะ?

 

เหมิงเทียนหลางพูดพลางหัวเราะ “ได้แน่นอน ข้า เหมิงเทียนหลางพูดคําไหนคํานั้นอยู่แล้ว!”

 

เขาหยิบเหรียญตราสัมฤทธิ์ออกมาทันที มันมีขนาดเท่าฝ่ามือและถูกสลักตัวอัษกรไว้ว่า “เหมิง”

 

เขาโยนเหรียญนั่นให้โจวฉวนจี ก่อนจะพูดว่า “นี่คือเหรียญตราแม่ทัพเหมิง ด้วยเหรียญนี่ เจ้าสามารถมาหาข้าที่ค่ายทหารของมหาจักรวรรดิโจวได้และในตอนที่เจ้าผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจงยื่นเหรียญตรานี่ออกไป แล้วเจ้าจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าเอง”

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจ

ชายคนนี้ทําตามที่สัญญาไว้อย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ

 

หรืออาจพูดได้ว่าท่านแม่ทัพเหมิงนี้ไร้สมองสุด ๆ

 

ถ้าเขารู้ว่าโจวฉวนจีคิดอะไรอยู่ล่ะก็ เขาคงจะได้เป็นบ้าแน่ ๆ

โจวฉวนจีพลิกมองดูเหรียญตราแม่ทัพเหมิงไปมา ก่อนจะถาม“แล้วเจ้าไม่คิดที่จะถามเกี่ยวกับตัวข้าหน่อยหรอ?”

“การที่เจ้าขึ้นสู่ระดับบรรลุญาณได้ตั้งแต่ยังอายุเท่านี้ เจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และการที่เจ้ากล้าที่จะปฏิเสธข้าได้ เจ้าก็ไม่ใช่พวกอ่อนแออยู่แล้วล่ะ”

“อีกทั้งเจ้ายังไม่ลืมพระคุณของพ่อแม่เจ้า เพราะงั้นเจ้าต้องไม่ใช่พวกไม่มีหลักการแน่นอน”

 

“ข้า เหมิงเทียนหลาง รู้สึกชอบพอในตัวเจ้ายิ่งนัก เอาล่ะพ่อหนุ่มน้อยเจอกันที่มหาจักรวรรดิโจว!”

 

เหมิงเทียนหลางหัวเราะอย่างไร้กังวลก่อนจะขี่ม้าจากไป

 

เสียงควบม้าดังก้องไปทั่วทั้งฟากฟ้าและผืนดิน เสียงหัวเราะของเขาก็เช่นกัน

 

ไม่นาน เขาก็หายลับขอบฟ้าไป

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอ้าปากค้าง

ฮวงเหลี่ยนชินและเจียงฉือน้อยก็รู้สึกตกตะลึง พวกเขาต่างตกใจในความตรงไปตรงมาของเหมิงเทียนหลาง

 

โจวฉวนจีเหลือบมองไปยังเจียงฉือน้อย ก่อนจะถามอย่างชิว ๆว่า “เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่นะ?”

“เจ้าหมอนั่นมันโง่หรือเปล่าเนี่ย?” เจียงฮือน้อยถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ

 

และโจวฉวนจีก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันที เขามองไปทางเธอก่อนจะพูด “เด็กผู้หญิงจะไปเข้าใจความตรงไปตรงมาของผู้ชายได้ยังไงกันเล่า? ถ้าเขาสามารถเป็นถึงแม่ทัพอัศวินแห่งมหาจักรวรรดิโจวได้งั้นเขาก็ต้องมีดีอะไรสักอย่างบ้างนั่นแหละ”

เจียงฉือน้อยกลอกตาใส่ ก่อนจะส่งสายตาไปทางเขาสื่อโดยนัยว่าเขาน่ะเป็นถึงองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจวเลยนะ

 

ฮวงเหลี่ยนชิ้นพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเห็นว่าเขาดูจะไม่ได้โกหกนะเจ้าคะเพราะงั้นก็ดีเลย”

 

ด้วยการเสนอชื่อของเหมิงเทียนหลางนี้ โจวฉวนจีก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้เข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์

 

“ถ้าท่านเข้าร่วมกองทัพของมหาจักรวรรดิโจวแล้ว ก็ยากที่จะออกได้นะครับ” จอมกระบีแดนเหนือผู้องอาจพูดเตือน

เขาไม่อยากให้โจวฉวนจีเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ

เพราะถ้าโจวฉวนจีเข้าร่วมล่ะก็ เขาก็จะไม่สามารถฝึกวิชาดาบได้อย่างอิสระอีกต่อไป

 

โจวฉวนจีพูดยืนยันกับเขา “อย่าห่วงไปเลย ถ้าข้าชนะการคัดเลือกแห่งสวรรค์ได้ล่ะก็ เขาจะไม่มีทางขัดขวางข้าไม่ให้ออกได้อย่างแน่นอน”

เพราะเป้าหมายของเขาคือ การลอบสังหารราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจว ยังไงล่ะ!

หลังจากนั้นเขาจะรีบหนีไปอย่างแน่นอน

เมื่อจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยินก็ยิ้มออกมาทันที

เขารู้ว่าเทพกระบี่โจวนั้นไม่ใช่พวกธรรมดา แต่เป้าหมายในการเป็นทหารของเขานั้นคืออะไรกัน?

พวกเขาไม่ใช่พลเมืองของมหาจักรวรรดิโจวด้วยซ้ํา!

ทันใดนั้นเจ้างูสีดําตัวจ้อยก็พูดขึ้นมา “สายตาของเจ้าหมอนั่นน่ากลัวโคตร ๆ เลย มันทําให้ข้าน่ะกลัวสุด ๆ แถมเขายังสังเกตุเห็นข้าอีกสมแล้วล่ะที่เขาเป็นคนที่เสี่ยวจิงหงมองว่าเป็นคู่แข่งด้วยน่ะ”

โจวฉวนจํากลอกตาใส่ งั้นก็ไม่แปลกใจว่าทําไมไอเจ้างูนี่ปิดปากเงียบมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านี้นะ

 

และพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางต่อ

 

เป็นเพราะพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเหมิงเทียนหลางมา พวกเขาเลยตื่นตัวกันมากขึ้นตลอดการเดินทางที่เหลือ

อาณาจักรเหมันต์แดนใต้และมหาจักรวรรดิโจวนั้นอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่อาณาจักรเท่านั้น

 

มหาจักรวรรดิโจวนั้นเป็นศูนย์กลางของหลาย ๆ อาณาจักร ถึงแม้ว่ามหาจักรวรรดินั้นจะปกครองหลายอาณาจักร แต่ก็ไม่ได้ควบคุมมากนักมหาจักรวรรดินั้นอนุญาตให้เกิดการแข่งขันกันหรือแม้กระทั่งทําสงครามกันระหว่างอาณาจักรก็ได้

 

2 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวันนี้ โจวฉวนจีได้เดินทางผ่านสนามรบแห่งหนึ่ง

 

พวกเขาหยุดลงทันที จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดึงดาบออกมาก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้าพวกเขา “ทุกคนระวังตัวด้วย”เขาพูดเตือน

แต่ในอีกด้าน โจวฉวนจีกลับมองตรงไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นด้วยแววตาที่เปล่งประกายและดูเหมือนจะตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย

 

หมื่นกระบีทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 51 : 11 ปี กับดาบไร้ลักษณ์

 

ครึ่งปีต่อมา ทั้งกลุ่มก็ได้กล่าวอําลาหมู่บ้านลําธารขจีก่อนจะจาก

 

ในตอนแรกโจวฉวนจีอยากจะรออีกสักหนึ่งเดือนให้เจียงฉือน้อยแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าหมดหวังแล้วจริง ๆ และไม่อยากทําให้เขาช้าไปมากกว่านี้แล้ว

 

ทั้งกลุ่มเดินทางเข้าไปยังถิ่นธุรกันดารและมุ่งหน้าสู่มหาจักรวรรดิโจว

 

โจวฉวนจีไม่อยากจะพาอาใหญ่และน้องสองไปด้วย แต่พอคิดดูอีกที่แล้ว เขาก็ยังพาพวกมันไปด้วยอยู่ดี

 

วิหคมังกรทั้งสองถือเป็นสัตว์หายากที่ดึงดูดสายตาจอมยุทธที่แสนจะโลภมากคนอื่น ๆ ได้ดี ดังนั้นมันจึงอันตรายเกินไปที่จะทิ้งพวกมันไว้ในปากู่หลาน

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจแนะนําให้ซื้อถุงเก็บสัตว์ซึ่งมีขนาดเท่าเมล็ดคัสตาร์ด เพื่อที่โจวฉวนจีจะได้ซ่อนวิหคมังกรไว้ข้างในถุงพร้อมด้วยหินวิญญาณและใส่อาหารเอาไว้เพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ข้างในได้

 

แต่ถุงเก็บสัตว์นั้นมีราคาที่ค่อนข้างจะสูงมากและไม่สามารถหาซื้อได้ในอาณาจักรทั่วไป แต่มันถูกควบคุมการซื้อขายเอาไว้โดยตระกูลใหญ่และรัฐบาล

 

โจวฉวนจีนั้นรวยมากอยู่แล้ว เพราะงั้นการจะซื้อมันจากจักรวรรดิก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วย

 

ณ พื้นที่ภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทั้งกลุ่มได้เดินข้ามทั้งภูเขามากมายและแม่น้ําลําธาร

 

โจวฉวนจีตบอาใหญ่ขณะที่เดินอยู่พลางถอนหายใจ “เจ้านะตัวเล็กกว่านี้เยอะเลยตอนที่เจอกันครั้งแรกนะ แต่ดูตอนนี้สิว่าเจ้าตัวใหญ่ขนาดไหน เห็นมั้ยล่ะว่าข้าน่ะเลี้ยงเจ้าดีสุด ๆ”

 

เจียงฉือน้อยเม้มปากก่อนจะพูดย้อนขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนให้อาหารรีไง?”

 

โจวฉวนจีจ้องเธอเขม็ง ยัยเด็กนี่เริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านแล้วใช่มั้ยเนี่ย?

 

ทําไมเธอต้องมาทําลายความภาคภูมิใจของเขาทุกทีด้วยนะ?

 

ทั้งจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

“ข้าเคยได้ยินมาว่า หากวิหคมังกรมีชีวิตอยู่ถึง 1000 ปีได้ มันจะกลายเป็นขุนนางแห่งเผ่าปีศาจล่ะเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงมั้ย” ฮวงเหลี่ยนชินพูดพลางยิ้ม

 

“แหวะ ข้ามีชีวิตอยู่มาเป็นพันปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นวิหคมังกรที่ทรงพลังเลยสักกะตัว นั้นก็แค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ!”

 

เจ้างูสีดําตัวจ้อยพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะที่มันถูกเจ้าหนูทรายสามตาลากไปกับพื้น

 

ผลจากการที่มันถูกลากไปมา ผิวหนังของมันถลอกปอกเปิดและทั่วทั้งร่างเลยเต็มไปด้วยบาดแผล

 

แต่สิ่งที่มีค่าพอจะพูดถึงก็คือ ถึงแม้มันจะผ่านการทรมาณที่สุดแสนจะสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ แต่ร่างกายของมันก็ยังฟื้นฟูขึ้นมาราวกับว่าร่างกายของมันกําลังปรับตัว

 

โจวฉวนจีพูดตอบกลับ “ข้าจะเลี้ยงดูพวกมันให้เติบใหญ่เป็นขุนนางปีศาจอย่างแน่นอน!”

 

เมื่อวิหคมังกรได้ยิน จู่ ๆ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจพวกมันวิ่งวนรอบตัวเขาพลางกางปีกออก จนสร้างลมกรรโชกแรงและเกือบจะทําให้เจ้าหนูทรายสามตาและเจ้างสีดําตัวจ้อยลอยไปกับลม

 

ตอนนี้พวกมันสูงเกือบเท่าตึก 3 ชั้น จนเรียกได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ตัวขนาดใหญ่ยักษ์เลยทีเดียว

 

“นี่เจ้าอยากให้ข้าตายมากนักรึไงห้ะ?”

 

เจ้างูร้องออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด แม้มันจะฟังดูตลกสําหรับคนอื่นก็ตาม

 

และด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้จ้าวมังกรเกล็ดทมิฬเลยกลายเป็นตัวตลกคาเฟสําหรับทุกคน

 

แต่มันก็น่าแปลกที่ขนาดตัวของมันยังคงเท่าเดิม ราวกับว่ามันจะไม่มีทางโตได้มากกว่านี้

 

ทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าตัวเล็กก็รู้สึกราวกับถูกพูดแทงใจดํา และมักร้องออกมาด้วยเสียงที่ดัง “นั่นมันคือความสามารถของเผ่าข้าต่างหากเล่า อย่างเจ้าจะไปเข้าใจได้ยังไงกัน?”

 

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้างูแสดงท่าทางหยิ่งยโส มันก็มักจะได้รับการตอบแทนเป็นลูกเตะจากโจวฉวนจีกลับไปเสมอ

 

ทั้งกลุ่มไม่ได้เร่งรีบเดินทางกันแต่อย่างใด โดยพวกเขามักจะเดินเล่นเที่ยวไปรอบในช่วงกลางวัน และกลับมาฝึกฝนกันในช่วงกลางคืน

 

ถ้าหากพวกเขาเจอปีศาจเข้า โจวฉวนจีมักจะแนะนําให้เจียงฮือน้อยลองสู้กับพวกมันเพื่อเก็บประสบการณ์

 

ฮวงเหลี่ยนชินก็เช่นกัน ขณะที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดูจะหลงใหลไปกับวิชาขยายวิถีกระบี่อยู่

 

เขาฝึกวิชาดาบนั่น แม้กระทั่งตอนที่เดิน

 

พวกเขาข้ามภูเขาและเนินเขามากมาย รวมถึงแม่น้ําและที่ราบต่าง ๆ

 

พวกเขาทั้งเดินผ่านเข้าไปในปาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีร่วงโรยและร่ายรํา ทั้งยังปีนข้ามผ่านภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ําแข็งหนาวเหน็บ

 

2 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 11 ปีแล้วระบบกาชาเริ่มทํางาน!”

 

“ทิ้ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับเงิน] ดาบไร้ลักษณ์เกราะอ่อนทองคํา ยาสมุทรทมิฬ”

 

โจวฉวนจีได้ยินเสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบขณะที่เดินอยู่บนถนน

 

เขาอายุ 11 แล้วตอนนี้

 

แต่มันก็ทําให้เขารู้สึกเศร้านิดหน่อยที่เวลานั้นเป็นสิ่งที่คอยเตือนคนเราว่ามีอายุที่มากขึ้นแล้ว

 

หลังจากนั้น เขาก็เริ่มเช็คข้อมูลของดาบไร้ลักษณ์ด้วยความดีใจ

 

ชื่อดาบ : ดาบไร้ลักษณ์

 

ระดับ : เงิน

 

คําอธิบาย : ดาบไร้ลักษณ์ มีเพียงเจ้าของดาบเท่านั้นที่เห็นมันดาบนั้นไร้ซึ่งน้ําหนักแต่กลับทรงพลังอย่างเหลือล้น

 

ดาบไร้ลักษณ์หรอ?

 

เขาหยิบดาบไร้ลักษณ์ออกมาทันที มันทั้งเรียวยาวเหมือนกับดาบผ่าวายุ แต่กลับเบายิ่งกว่าราวกับกําลังถืออากาศเอาไว้

 

เขาลองใช้มันกับวิชาดาบกระเรียนขาวทันทีเพื่อทําความคุ้นเคยกับดาบใหม่

 

เจียงฮือน้อย จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และฮวงเหลี่ยนชินต่างก็รู้สึกตกใจเมื่อพวกเห็นเห็นสิ่งที่โจวฉวนจีทําอยู่

 

ในสายตาของพวกเขา มือขวาของโจวฉวนจีทําท่าเหมือนถือดาบเอาไว้อยู่ แต่กลับไม่มีอะไรอยู่บนมือ ซึ่งนั่นมันแปลกมาก

 

ฟู่ววววว

 

ลมพายุหนาวเย็นพัดผ่านไปอย่างรุนแรง และรูม่านตาของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็หดตัวลงในทันที หญิงสาวทั้งสองที่ระดับวรยุทธยังต่ําเกินไป เลยไม่อาจเห็นมันได้ชัด แต่มันกลับชัดเจนมากในสายตาของเขา

 

นั่นมาปราณกระบี่หนิ!

 

เขาสร้างปราณกระบี่ขึ้นมาโดยที่ไม่มีดาบเนี่ยนะ?

 

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาที่ใช้นิ้วเป็นดาบมาก่อน แต่โจวฉวนจีกลับไม่ได้ทําแบบนั้น

 

งั้นเป็นไปได้มั้ยว่านั่นจะเป็นวิชาดาบใหม่น่ะ?

 

แล้วจู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อ 3 เดือนก่อนขึ้นมามันเป็นภาพในตอนที่เขาได้เห็นโจวฉวนจีฝึกใช้วิชาสิบกระบี่

 

นายท่านต้องจู่ ๆ บรรลุขึ้นมาได้แล้วเกิดอยากใช้มันขึ้นมาแหงเลย

 

หลังจากที่จบกระบวนท่าในวิชาดาบกระเรียนขาวแล้ว โจวฉวนจีก็รู้สึกค่อนข้างที่จะพอใจ

ถึงแม้ดาบไร้ลักษณ์นั้นจะไร้น้ําหนัก แต่มันก็ยังทั้งทรงพลังมากและรวดเร็วอยู่ดี มันคือการสังหารสัตรูโดยที่พวกมันไม่มีทางเห็นได้ยังไงล่ะ

 

หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบกลับไปก่อนจะเริ่มเดินหน้าต่อ พลางหยิบเอาเกราะทองคําออกมา

 

เกราะอ่อนทองคํานั้นเป็นชุดเกราะชั้นในสีเหลืองทอง มันทั้งงดงามและเบาหวิว

 

“ชุดเกราะนี้มีพลังป้องกันที่สูงส่ง มันสามารถดูดซับความเสียหายจากจอมยุทธระดับบรรลุญาณได้”

 

จิตวิญญาณแห่งดาบพูดแนะนําขึ้นมาทันที และโจวฉวนจีก็พยักหน้ารับ

 

จู่ ๆ เขาก็เดินไปหาเจียงลือน้อยและพูดขึ้นมา “ชุดเกราะนี่ข้าให้เจ้านะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด”

 

เจียงฉือน้อยไม่รู้วันเกิดจริง ๆ ของตัวเอง เพราะงั้นเธอเลยตัดสินใจเกิดวันเดียวกับเขาซะเลย

 

ในวันเดียวกันของทุก ๆ ปี เจียงฉือน้อยจะเตรียมอาหารหรูๆ และเตรียมเสื้อผ้าที่เธอเป็นคนเย็บเอาไว้ให้เขาด้วย

 

“มันดูจะเป็นชุดเกราะที่ดีมากเลยนะ เจ้าควรจะเป็นคนใส่มันมากกว่า” เธอส่ายหัวพลางพูดตอบ

 

โจวฉวนจียิ้มให้พลางตอบกลับ “ชุดเกราะนี่สามารถป้องกันการ โจมตีของจอมยุทธระดับบรรลุญาณได้ แต่ว่าไม่มีจอมยุทธระดับบร รลุญาณคนไหนที่ทําให้ข้าบาดเจ็บได้หรอกนะ”

 

เขาไม่ได้พูดอวดดีแต่อย่างใด หลังจากที่เขาขึ้นสู่ระดับบรรลุญาณได้แล้ว และด้วยดาบในตํานานกับวิชาดาบที่เขามีอยู่มากมายนี้ เขาจะรู้สึกอายซะมากกว่าถ้าเขายังแพ้ให้กับจอมยุทธระดับเดียวกันได้

 

เขาบังคับให้มันกับเจียงฉือน้อยก่อนจะเดินหน้าต่อไป และตอนนี้เขาก็กลับมาสนใจยาสมุทรทมิฬต่อ

 

“ยาสมุทรทมิฬเป็นยาเสริมปราณวิญญาณ การกินมันจะช่วยเพิ่มพลังกายและวรยุทธของผู้ที่กิน และมันยังช่วยให้ท่านเจ้าของดาบได้รับ ผิวหยกกระดูกทองคํา และ ปราณกระบี่คําราม ของปราณกระบี่อาคมกายทองคําได้ในทันทีอีกด้วย”

 

โจวฉวนจีรู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่ได้ยินคําแนะนําของจิตวิญญาณแห่งดาบ

 

การพัฒนาขึ้นในแต่ละขั้นของปราณกระบี่อาคมกายทองคํา จะช่วยให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

ถึงแม้เขาจะแข็งแรงมากถึงประมาณ 60000 ปอนด์ แต่ตั้งแต่ที่เขาใช้ดาบแทบจะตลอดเวลา ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาจึงยังไม่ถูกเปิดเผย

 

อีกด้านหนึ่ง จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินต่างมองหน้ากันและกัน และทั้งคู่ต่างก็เห็นตัวเองที่กําลังตกใจผ่านดวงตาของอีกฝ่าย

 

ชุดเกราะชั้นในที่สามารถป้องกันการโจมตีของจอมยุทธระดับบรรลุญาณได้งั้นหรอ?

 

นี่เจ้านายของพวกเขามีสมบัติอยู่เท่าไหร่กันแน่เนี่ย?

 

พวกเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันทีและเริ่มแอบคาดหวังอยู่ภายในใจพวกเขาจะธุระให้เจ้านายมากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้รับรางวัลบ้าง

 

“อี๋”

 

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงม้าที่น่าหวาดกลัวร้องดังขึ้นมาจากทางฝั่งตะวันออก

 

ทั้งกลุ่มต่างหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดเกราะสีดําขี่ม้าสีแดงตรงมาหาพวกเขา มันทั้งสูงและดูน่ากลัวมาก ใต้กีบเท้าของมันมีเปลวไฟและบนหัวของมันมีเขาอยู่ มันรวดเร็วมากเสียจนในทุก ๆ การวิ่งของมันนั้นไปไกลได้กว่า 20-30 หลา และยังไปไกลถึง 1000 หลาได้ภายใน 3 ลมหายใจเท่านั้น

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหันกลับไปก่อนจะเข้าไปขวางหน้าทันที “หยุด!” เขาตะโกนขึ้นมา

 

ชายหนุ่มหน้าตาดียังคงมุ่งหน้ามาต่อ ก่อนจะค่อย ๆ หยุดม้าลงเมื่อเขาอยู่ห่างจากโจวฉวนจีและคนอื่น ๆ แค่เพียง 10 หลาเท่านั้น

 

“ข้าคือแม่ทัพอัศวินแห่งมหาจักรวรรดิโจว เหมิงเทียนหลาง ข้ารู้สึกสนใจในวิหคมังกรทั้งสองตัวนั้น จงบอกข้ามาว่าเจ้าสนใจสิ่งใดเพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกมัน”

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีพูดพลางโบกมือให้ ท่าทางของเขานั้นหยิ่งยโสและน้ําเสียงของเขายังทําเหมือนกับว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเขา

 

สีหน้าของโจวฉวนจีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมิงเทียนหลางหรอ?

 

ชายคนที่เสี่ยวจิงหงบอกว่ามีสัญญาว่าจะสู้กันที่เขตชายแดน น่ะหรอ?

 

แม่ทัพอัศวินที่อายุน้อยที่สุดแห่งมหาจักรวรรดิโจวน่ะหรอ!

 

นี่มันเป็นปัญหาใหญ่เลยนะเนี่ย โจวฉวนจีจ้องมองลงไปยังเขา

 

แต่คนที่ทรงพลังอย่างเขาไม่น่าจะมาขี่ม้าเล่นอะไรแถวนี้นะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเล็งวิหคมังกรของข้าไว้อย่างแน่นอน

 

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ THave Countless Lege…

ตอนที่ 50 : เป้าหมายต่อไป : งานประชุมกระบี่

 

“ดาบของข้าก็คือดาบของเจ้า”

หัวใจของเจียงฮือน้อยเริ่มเบ่งบานไปด้วยความสุขและเธอก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เธอชอบทัศนคติของโจวฉวนจีที่ไม่เคยมองว่าเขาและเธอนั้นต่างกันเลย

 

เธอสายหัวพลางจําน้อย ๆ “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดาบเล่มเดียวข้ายังทําได้ไม่ดีเลย นับประสาอะไรกับดาบ 10 เล่มล่ะ? ข้ากลัวว่าข้าจะเป็นบ้าไปซะก่อนน่ะนะ”

 

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็เข้ามาใกล้

ตุบ!

เขาคุกเข่าลงทันที เข่าของเขาทุบหิน 3 ก้อนแตกละเอียด

เขาพยายามระงับความตื่นเต้นของเขาเอาไว้ ก่อนจะพูดขึ้นมา “นายท่านได้โปรดสอนวิชาดาบที่สุดแสนจะทรงพลังนั้นให้ข้าด้วยจะได้หรือไม่?”

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่เขาได้ยินว่าเสี่ยวจิงหงเป็นศิษย์ของโจ ฉวนจีเขาก็ยังรู้สึกลังเลใจและคิดว่าบางที่นายน้อยอาจจะโม้ไปเอง

แต่มาตอนนี้ เขาเชื่อสุดหัวใจแล้ว

 

เทียบกับนายท่านของเขา เทพกระบี่โจว แล้ว เสี่ยวจิงหงยังเปรียบเป็นน้องชายของนายท่านไม่ได้เลยสักนิด

 

นี่แหละคือปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่ที่แท้จริงล่ะ!

 

เขาสามารถบรรลุสุดยอดวิชาดาบที่ทรงพลังได้เพียงแค่ฝึกแบบสุ่ม ๆ เท่านั้น!

ใช่แล้วล่ะ

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคิดว่า อาคมหมื่นกระบี่มังกรเป็นวิชาดาบที่โจวฉวนจีสร้างขึ้นมาเอง นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นมัน มาก่อนและไม่เคยเห็นนายน้อยของเขาไปคุยกับใครมาก่อนด้วย

 

โจวฉวนจีจ้องไปทางเขาก่อนจะพูดตอบ “มีวิชาดาบอยู่เป็นพันบนโลกใบนี้ และวิชาที่ดีที่สุดก็คือวิชาที่เป็นของเจ้าเอง เจ้าหวังที่จะมุ่งสู่วิถีดาบที่ทรงอํานาจแต่ไร้ซึ่งความรอบคอบไม่แลหน้าดูหลังต่อให้จะใช้ดาบ 2 หรือ 3 เล่มก็อาจไม่ได้ดีไปกว่าดาบเดียวห รอกนะ”

แต่ก็แน่อยู่แล้วว่า ดาบ 10 เล่มของข้าต้องดีกว่าดาบเล่มเดียวอยู่แล้วล่ะ!

เมื่อจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยิน ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มราวกับเริ่มบรรลุสัจธรรม

เขามักจะพยายามไล่ตามวิชาจิตดาบคู่ของโจวฉวนจีเสมอแต่เขาก็พบว่าแค่จะใช้ 2 วิชาดาบพร้อมกันได้ก็ยากแล้ว

 

แต่เขาพึ่งมาตระหนักเอาในวันนี้หลังจากที่เขาได้ฟังนายท่านของเขาไป

เส้นทางของเขาคือวิถีดาบเดียวยังไงล่ะ!

 

จู่ ๆ โจวฉวนจีก็เอาดาบเด็ดสุกรออกมาและพูดขึ้นว่า “เปิดตาของเจ้าซะและจงดู”

 

เขาโยนดาบขึ้นด้วยมือขวาและใช้วิชาขยายวิถีกระบี่ดาบเด็ดสุกรบินตรงไปยังปาข้างหน้า และตัดต้นไม้จํานวนนับไม่ถ้วนในระยะหลายร้อยหลาลงก่อนจะเจาะทะลุเนินเขาเล็ก ๆ ไป

 

แม้จะเป็นเวลาพลบค่ํา แต่ทั้งกลุ่มก็สามารถเห็นได้ว่าเนินเขาเล็กๆถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ดาบเด็ดสุกรยังคงบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

 

เร็วมาก!

หัวใจของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเต้นระรัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นวิชาขยายวิถีกระบี่ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเพ ราะพลังอันล้นเหลือของโจวฉวนจีแต่พอได้เห็นมันใกล้ ๆ แล้ว เขาก็ได้รู้ว่ามันเป็นเพราะวิชาดาบนั่นเอง

 

โจวฉวนจียกมือขวาขึ้น และดาบเด็ดสุกรก็บินกลับมาหา เขาพูดขึ้นมา “วิชาขยายวิถีกระบี่ หากเจ้าบรรลุวิชานี้ได้ เจ้าจะสามารถสังหารศัตรูที่อยู่ในระยะ 100 หลาได้ในทันที”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองด้วยความอิจฉา “นายท่านได้โปรดสอนข้าได้หรือไม่?” เขาถาม

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นค่อนข้างจะเก่งทีเดียว และถ้าโจวฉวนจียังคิดเก็บเขาเอาไว้อยู่กับตัวต่อไป เขาก็ต้องให้แรงจูงใจ อะไรกลับไปบ้างโจวฉวนจีลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อนจะตัด สินใจว่าวิชาขยายวิถีกระบี่นี่แหละเหมาะกับเขาที่สุดแล้ว

ยังไงซะเขาก็ไม่มีอนาคตสําหรับวิชาจิตดาบคู่อยู่แล้ว

ด้วยพรสวรรค์แบบนี้ เขาแทบจะไม่มีทางต่อต้านบัญชาสวรรค์ได้เลย

โจวฉวนจีพูด “ได้อยู่แล้ว เพราะเจ้านะภักดีต่อข้า เจ้ามักทําสิ่งที่ข้ามอบหมายให้ได้ดีเสมอ และในเมื่อเจ้าไม่สามารถบรรลุวิชาดาบคู่ได้งั้นก็ให้เจ้าก็บรรลุวิชาขยายวิถีกระบี่แล้วกัน ข้าน่ะมีวิชา ดาบอยู่อีกมากมายและบางทีอาจจะมีสักวิชาที่เหมาะสมกับเจ้าอยู่ในอนาคตก็ได้เพราะงั้นจงพยายามต่อไป”

 

เมื่อจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยิน ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น

 

ฮวงเหลี่ยนชินก็มองไปทางเขาอย่างคาดหวังเช่นกัน

 

โจวฉวนจีเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดขึ้นว่า “ในฐานทาสกระบี่ของข้าเจ้าจะเป็นรองแค่ข้าเท่านั้นแน่นอน”

เป็นรองแค่เขาเท่านั้นงั้นหรอ!

 

เขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดได้แน่เลย!

เลือดในตัวของทาสกระบี่และสาวใช้เดือดพล่านด้วยความอีกเหิมพวกเขาเห็นโจวฉวนจีบรรลุวิชาสิบกระป์ได้จริงจึงเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาพูดอย่างสุดหัวใจ

 

“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!”

 

โจวฉวนจีพูดพลางโบกมือให้ จากนั้นเขาก็นําทั้งกลุ่มกลับไปยังหมู่บ้าน

 

เจ้างูตัวเล็กยังคงรู้สึกช็อคอยู่ ขณะที่เจ้าหนูทรายสามตาเริ่มเดินต่อและวิ่งลากมันไปกับพื้นอย่างบ้าคลั่งจนเกือบจะฆ่ามันตายได้

ในคืนนั้น ชาวบ้านคิดว่ามีอันตรายอยู่ใกล้ ๆ เพราะดาบเด็ดสุกรทําลายเนินเขาเสียงดังสนั่น แต่เมื่อพวกเขาไปตรวจสอบดูก็ไม่เจออะไร

 

โจวฉวนจียังเฝ้ารอ

 

เขาอยากจะย้ายเข้าไปอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวหลังจากที่อายุครบ 11 ขวบ

 

แต่การจะเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวได้นั้นเขาจําเป็นต้องทําอะไรบางอย่างที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกได้เสียก่อน

ในช่วงครึ่งปีมานี้ เขาไม่ได้ทําอะไรมากนักชื่อเสียงของเขาเลย

ลดลง

 

องค์กรที่ทรงพลังจะเข้ามาชักชวนเขาก็ต่อเมื่อเขามีชื่อเสียงที่มากพอเท่านั้นจากนั้นพวกเขาก็จะยื่นเสนอชื่อเขาเข้าสู่การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวได้

โจวฉวนจีเรียกทาสกระบี่และสาวใช้มาเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“มีเรื่องใหญ่อะไรที่มากพอจะเพิ่มชื่อเสียงให้ข้าได้บ้าง?”

 

ฮวงเหลี่ยนชินตกลงไปอยู่ในห้วงความคิด

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพูด “ข้ารู้อยู่เรื่องนึงครับ มันเป็นเรื่องแถวเมืองแถบชายแดนของมหาจักรวรรดิโจวนะครับ ศิษย์เอกของจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว เสี่ยหรูโหยว ได้จัดงานประชุมกระบี่ขึ้นมาครับ ในทุก ๆ 5 ปี ผู้ชนะเลิศจะได้สิทธิ์ในการเข้าหอสมุดกระบี่เป็นเวลา 3 วัน และในขณะเดียวกันผู้ชนะเลิศก็ จะได้โอกาสในการเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่ด้วยครับ”

 

หอสมุดกระบี่นั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับวิชาดาบอยู่จํานวนมหาศาลมันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับจอมยุทธที่อยู่ในวิถีกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจว

มีเพียงศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าไปยังหอสมุดแห่งนั้น

จักรพรรดิกระบี่นั้นเป็นที่นับถือมากในมหาจักรวรดิโจว ถึงแม้เขาจะไม่มีตําแหน่ง แต่เขาก็อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของมหาจักรวรรดิโจว

 

เขาเป็นถึงจ้าวแห่งโลกวรยุทธในมหาจักรวรรดิโจว เขานั้นสามารถปกป้องมหาจักรวรรดิจากภยันอันตรายใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาได้แล้วยังได้รับการสนับสนุนจากมหาจักรวรรดิโจวอีก ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

 

โจวฉวนจีถามขึ้นมา “งานประชุมกระบี่จะจัดขึ้นเมื่อไหร่ล่ะ?แล้วต้องใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะไปถึงที่นั่นได้?”

 

“ครึ่งปีหลังจากนี้ครับ และเราต้องใช้เวลา 4 เดือนหากเดินทางจากที่นี่ไป” จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจตอบ

โจวฉวนจีพูดถาม “ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะย้ายออกจากที่นี่ในหนึ่งเดือน!”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ไม่ได้ค้านอะไร เขาสนใจในงานประชุมกระบี่มากและเดิมทีก็จะไปเข้าร่วมอยู่แล้วด้วยแต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ไปเข้าร่วมในฐานะของผู้ชนะ

 

โจวฉวนจีกลับไปยังกระท่อมและบอกเจียงฮือน้อยเกี่ยวกับเรื่อง

ale

 

“ถ้าเจ้าอยากจะอยู่รอคุณยายของเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ อาใหญ่กับน้องสองจะอยู่กับเจ้าที่นี่เพื่อปกป้องเจ้าเอง”

โจวฉวนจีถามความเห็นของเธอเพราะไม่อยากจะบังคับให้เธอไปกับเขาด้วย

เด็กสาวก็ใกล้จะอายุ 15 ปีแล้ว หนึ่งปีหลังจากนี้เธอก็แต่งงานกับใครสักคนตามธรรมเนียมได้แล้ว

 

เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยินก็หยิกหูของเขา “มันแหงอยู่แล้วสิว่าข้าก็จะตามเข้าไปด้วยนะ ข้าไม่คิดว่าคุณยายของข้าจะกลับมาหรอกนะ แล้วถ้าไม่มีข้าแล้วใครจะเป็นคนดูแลเจ้าละห้ะ?” เธอตะคอกใส่

 

โจวฉวนจีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่เขาก็แกล้งทําเป็นเจ็บแทนก่อนจะพูดว่า “ปล่อยมือเจ้าได้แล้วน่าข้าเจ็บหูจะตายแล้ว”

 

“ไม่! เจ้ายังจะกล้าพูดอะไรแบบนี้อีกมั้ยจ๊ะ?”

 

“ไม่ ไม่ ข้าจะไม่พูดอีกแล้วน่า…”

 

“ฮีม อย่าคิดจะทิ้งข้าไว้อีกเชียวล่ะ!”

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นมาตกลงกันนะว่าเราจะไม่ทิ้งกันน่ะ!”

โจวฉวนจีถือโอกาสนี้พูดออกไป

เจียงฮือน้อยเองก็ตั้งใจจะทําแบบนั้นเหมือนกันเธอเลยยืนนิ้วก้อยออกมาและพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นมาทําสัญญาตามแบบของเจ้ากันเกี่ยวก้อยสัญญากันว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนไปเด็ดขาด ออใช่แล้ว เราต้องทําสัญญากันอีกข้อนึ่งด้วย ต้องไม่แต่งงานมีภรรยากับมี เมียน้อยหลายคนในอนาคต!”

 

พอมีฮวงเหลี่ยนชินอยู่ด้วยแล้วตอนนี้ เธอก็สามารถถามอะไรได้หลายอย่างเพราะงั้นเจียงฉือน้อยก็ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาอย่างที่เคยอีกแล้ว

“แต่ทําไมล่ะนั่น?” โจวฉวนจีถามพลางเบิกตากว้าง

 

เขาขําอยู่ในใจ ยัยเด็กคนนี้โตขึ้นแล้วจริง ๆ แถมยังเริ่มคิดมากอีกตอนนี้เธอแทบจะขุดหลุมฝังเขาด้วยซ้ํา

เจียงฉือน้อยบิดมือพลางจ้องไปทางเขาด้วยสายตาระยิบระยับก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่มีแต่จะสัญญาไม่สัญญา?”

โจวฉวนจีเบ้ปากและพูดตอบอย่างเศร้า ๆ “ถ้าเจ้าทํางี้แล้วเจ้าไม่กลัวรึไงว่าในอนาคตข้าจะหาภรรยาไม่ได้เอาน่ะ?”

 

“ถ้าเจ้าหาไม่ได้ก็ยิ่งดีน่ะซิ!”

 

เธอพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ขณะที่เธอพูด เธอก็คลายมือที่หยิกหูเขาออกก่อนจะยืนกอดอกและมองอย่างภาคภูมิใจ

 

จู่ ๆ โจวฉวนจีก็รู้สึกปวดตับกระทันหัน ในฐานะผู้ชายในโลกนี้แล้วเขาจะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีภรรยาละห้ะ?

 

“อย่างมากสุด… เดี๋ยวข้าก็จะเป็นภรรยาให้เจ้าเองละน่า”เจียงฉือน้อยพูดพลางมุ่ยปาก

 

โจวฉวนจีแกล้งทําเป็นตกใจก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว “โว้วววเจ้าซ่อนเจตนาอะไรแบบนี้ไว้นี่เอง!” เขาพูด

 

เจียงฉือน้อยรู้สึกทั้งเขินทั้งโกรธก่อนจะหยิบหมอนขึ้นมาและวิ่ง

ไล่เขา

คู่หูที่แสนไร้เดียงสาทั้งสองต่างมีเพียงแค่กันและกันเท่านั้น นี่แหละคือความรักที่ฟ้าลิขิตล่ะ

 

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ THave Countless Legendary Swords!

ตอนที่ 49 : ดาบอัสนีคําราม! อาคมหมื่นกระบี่มังกร!

“ติ้ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของได้รับ [ระดับทอง] ดาบอัสนีคําราม อาคมหมื่นกระบี่มังกร และหินวิญญาณระดับสาม 3000 ก้อน”

ในตอนเช้า โจวฉวนจีที่กําลังฝึกอยู่แถวริมแม่น้ําอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา

 

พลังวิญญาณของเขายังไม่คงที่นักหลังจากที่พึ่งเลื่อนระดับขึ้นมาได้ แต่พอได้ยินว่าเขาพึ่งได้รับดาบในตํานานระดับทองอีกเล่ม มันก็ทําให้เขารู้สึกพอใจสุดๆ

 

และข้อมูลเกี่ยวกับดาบอัสนีคํารามก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

ชื่อดาบ : ดาบอัสนีคําราม

ระดับ : ทอง

คําอธิบาย : ดาบในตํานานที่ถือกําเนิดขึ้นท่ามกลามสายฟ้าที่ร้องคํารามทั้งทรงพลังและยิ่งใหญ่ อัดแน่นไปด้วยพลังอัสนีแห่งสรวงสวรรค์ พลังทําลายล้างของมันถือเป็นระดับสูงสุดในหมู่ดาบในตํานานระดับทอง

พลังอัสนีแห่งสรวงสวรรค์งั้นหรอหรอ?

ฟังดูทั้งทรงพลังและยิ่งใหญ่มากเลยนะนั่น

โจวฉวนกระพริบตา เขาได้ยินมาว่าเมื่อเลื่อนขึ้นจากระดับบัวภายในได้แล้วจะต้องเจอกับหายนะแห่งอัสนี(ฟ้าผ่า) และถ้ายิ่งขึ้นไปสู่กว่านั้น ก็จะเจอกับหายนะแห่งอัสนีที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมอีก

แต่ด้วยดาบอัสนีคํารามเล่มนี้แล้ว เขาจะหลีกเลี่ยงหายนะแห่งอัสนีนั่นได้มั้ยนะ?

“ดาบอัสนีคํารามจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ได้ดูดซับพลังอัสนีแห่งสรวงสวรรค์ และมันยังสามารถเพิ่มระดับได้อีกเช่นกัน”

 

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ และดวงตาของโจวฉวนจีก็เปล่งประกาย

 

ยังเพิ่มระดับขึ้นได้อีกงั้นหรอ?

นี่มันของดีเลยนี่หว่า!

เขาหยิบดาบอัสนีคํารามออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นดาบที่ใหญ่มากพอๆ กับดาบราชาโลกันตร์เลย ตัวดาบนั้นเป็นสีเงินเข้มและมีลายสลักสายฟ้าอยู่บนใบดาบ ด้ามจับนั้นช่างงดงาม และส่วนปลายด้ามนั้นดูคล้ายกับจันทร์เสี้ยว

 

ทั้งทรงพลัง!

ทั้งยิ่งใหญ่

โจวฉวนจีรู้สึกได้ถึงพลังของมันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

 

มันเทียบได้กับดาบราชาโลกันตร์เลยล่ะ

สมกับเป็นดาบในตํานานระดับทองจริงๆ !

 

โจวฉวนจีหัวเราะออกมาหยั่งกับคนบ้า หรือบางทีมันจะเป็นผลกระทบทางจิตกันนะ

เขาลองใช้วิชาดาบกระเรียนขาว 1 รอบ และเขาก็สามารถกวัดแกว่งดาบได้อย่างสบายๆเลย!

 

หลังจากนั้นเขาก็ฝึกวิชากระบี่เพลิงกัลป์ แต่มันกลับไม่ใช่เปลวไฟที่ออกมาหลังจากฟันไป กลับกลายเป็นสายฟ้าที่พุ่งออกมาแทน

นี่มันทําให้เขารู้สึกประหลาดใจสุดๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มรับอาคมหมื่นกระบี่มังกรต่อ

ความทรงจําไหลท่วมท้นเข้ามาใส่ในสมองของเขา มากยิ่งกว่าพลังวิญญาณหรือวิชาดาบไหนๆที่เขาเคยรับมาทั้งสิ้น และมันก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจเขา

 

หลังจากนั้นสักพักใหญ่

 

เขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาและอุทานออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ “อาคมหมื่นกระบี่มังกรหรอเนี่ย! โครตแจ่มเลย!”

 

อาคมหมื่นกระบี่มังกรนั้นเป็นวิชาดาบทรงพลังที่สามารถควบคุมดาบนับหมื่นเล่มได้

 

ระดับที่ 1 วิชาสองกระบี่!

ระดับที่ 2 วิชาสิบกระบี่

ระดับที่ 3 วิชาร้อยกระบี่

ระดับที่ 4 วิชาพันกระบี่

ระดับที่ 5 วิชาหมื่นกระบี่

 

ดาบแต่ละเล่มจะได้รับปราณกระบี่รูปแบบมังกรและพลังของมันก็จะทรงพลังสุดๆ!

แถมวิชานี้ยังสามารถใช้พร้อมกับวิชาดาบอื่นได้อีกด้วย

 

ตอนนี้โจวฉวนจีมีดาบทั้งหมด 11 เล่ม คือ ดาบมังกรสีชาด, ดาบคลื่นเหมันต์, ดาบชโลมโลหิต, ดาบพยัคฆ์คําราม, ดาบผ่าวายุ, ดาบเด็ดสุกร, ดาบหินกลายทอง, ดาบเสียงสวรรค์, ดาบราชาโลกันตร์, ดาบเงามายา และดาบอัสนีคําราม

 

เขาหยิบดาบมังกรสีชาดและดาบอัสนีคํารามออกมาเพื่อใช้วิชาสองกระบี่

ท่าพื้นฐานของดาบวิชาสองกระบี่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากทีเดียว มันมีข้อกําหนดที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับความยืดหยุ่นทางด้านร่างกาย คนธรรมดาๆไม่มีทางใช้ท่ากระบี่แบบนี้ได้แน่

 

หลังจากที่ฝึกไปได้ 50 ครั้ง เวลาก็ผ่านไปแล้วถึง 2 ชั่วโมง

หลังจากที่ฝึกครบ 50 ครั้ง เขาก็บรรลุได้ประมาณนึงแล้ว และความเร็วในการใช้วิชาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมง เขาก็ฝึกครบ 100 รอบและสามารถบรรลุวิชาสองกระบีได้สําเร็จ ในที่สุดเขาก็เชียวชาญมันอย่างสมบูรณ์

ดาบทั้งสองเล่มฟาดฟันลงมาบนพื้นผิวแม่น้ํา และคลื่นปราณกระบี่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างมังกรก่อนจะพุ่งตรงไปยังข้างหน้า เสียงมังกรคํารามเบาๆ ได้ยินมาจากปราณกระบี่ ก่อนที่มันจะสร้างคลื่นขนาดใหญ่กวาดเหนือผิวแม่น้ํา

 

เยี่ยมไปเลย!

 

เขายังคงลองต่อไปก่อนจะเริ่มฝึกวิชาสิบกระบี่ต่อ

นอกจากดาบเด็ดสุกร เขาก็เอาดาบในตํานานทุกเล่มที่เขามีทั้งหมดออกมา และควบคุมให้มันลอยรอบๆตัวเขาด้วยพลังจิต

 

อาคมหมื่นกระบี่มังกรนั้นจําเป็นต้องใช้พลังเวทย์ เพื่อควบคุมให้ดาบในตํานานให้คงอยู่ได้

 

ถ้าเขาเปลี่ยนไปใช้พลังเวทย์อื่น ดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มก็จะร่วงลงพื้นทันที

 

เพราะงั้นก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกวิชากระบี่ต่อได้ เขาต้องเอาชนะความท้าทายนี้ให้ได้ก่อน

 

เขายังคงฝึกต่อไปโดยไม่พูดอะไรต่อ

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอยากจะถามเขาเกี่ยวกับวิชาดาบคู่ แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อเห็นว่าโจวฉวนจีกําลังฝึกอยู่

 

เขาแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นโจวฉวนจีฝึกเลยสักครั้ง เพราะปกติแล้วเขาจะเห็นโจวฉวนจีเอาแต่ฝึกปราณภายในอย่างเดียว

 

บางครั้งเขาก็บ่นกับตัวเองในใจ จอมกระบี่มักจะใช้เวลาไปกับดาบ แต่โจวฉวนจีกลับไม่ค่อยฝึกวิชาดาบเลยสักนิด แถมยังดูชิวมากด้วยอีก

แต่หลังจากที่เขาได้เห็นการฝึกของโจวฉวนจีในวันนี้ เขาก็ได้รู้

 

นายน้อยของเขากําลังแอบฝึกวิชาดาบอยู่

เขาเตรียมที่จะออกไป แต่เมื่อโจวฉวนจีหยิบดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มออกมา เขาก็สั่นไปทั้งตัว

ราวกับว่าเขาอยู่ภายใต้มนต์สะกดและขยับตัวไม่ได้เลยสักนิ้ว

 

โจวฉวนจีสังเกตเห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจแต่ก็ไม่ได้ไล่ไปเขาเริ่มฝึกต่อแทน

 

หลังจากพยายามมาหลายครั้ง หลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที เขาก็ควบคุมดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มด้วยพลังเวทย์ได้

 

และเขาก็เริ่มฝึกวิชาสิบกระบี่ต่อ

ดาบมังกรสีชาดในมือขวา ดาบอัสนีคํารามในมือซ้าย และดาบในตํานานเล่มอื่นๆ ที่ลอยอยู่รอบตัวเขา

 

เขาควบคุมการเคลื่อนไหวดาบอย่างช้าๆและระวัง

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้สึกสับสน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็นึกอะไรบางอย่างออกพลางเบิกตากว้าง

 

ฝึกการเคลื่อนไหวดาบทั้ง 10 เล่มงั้นหรอ?

เป็นไปได้ยังไงกัน!

เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

 

จักรพรรดิกระบี่ควบคุมดาบทั้ง 7 เล่มพร้อมกันได้ แต่การโจมตีของเขาก็ยังเรียบง่ายและไปได้แค่ทิศทางเดียวเท่านั้น แต่โจวฉวนจีกลับควบคุมดาบทั้ง 10 เล่มได้ แถมวิถีดาบแต่ละเล่มยังแตกต่างกันไปอีก

 

หลังจากที่ฝึกวิชาสิบกระบี่ไปได้รอบนึง เขาก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว

 

หลังจากนั้นรอบสอง ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นสุดๆ และจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็มองตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี

นี่เขาฝึกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกงั้นเหรอ?

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเริ่มสงสัย

 

รอบที่ 2 ใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวของรอบแรกเท่านั้น

โดยรอบที่ 3 ก็ใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของรอบที่สอง

 

รอบที่ 4

 

รอบที่ 5…

 

ยิ่งจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเฝ้าดูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากจะคุกเข่าลงต่อหน้าโจวฉวนจีมากขึ้นเท่านั้น

ในตอนนี้โจวฉวนจีกําลังเพ่งสมาธิอยู่ในสายตาของเขามีเพียง แค่ดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มท่านั้น

เจ้าหนูทรายสามตาที่ผูกเจ้างูสีดําตัวเล็กเอาไว้เดินมาหาโจวฉวนจี ขณะที่เจ้าตัวจ้อยที่ถูกลากผ่านก้อนหินดินทรายมากมายนั้น มันแทบจะเป็นลม

 

เจ้าหนูทรายสามตายืนอยู่ข้างจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและเฝ้ามองอยู่เงียบๆ ดวงตาของมันเปล่งประกายสดใสและมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

 

“วันที่ข้าผงาดขึ้นมาอีกครั้งข้าจะฆ่าหนูแม่งให้หมดทั้งโลกเลยคอยดู…”

เจ้างูตัวเล็กสาปแช่งอย่างไร้เรี่ยวแรง มันใกล้จะเป็นลมเต็มที

 

หลังจากที่มันเริ่มได้สติ มันก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ

 

ทําไมเจ้าหนูนี่มันหยุดเดินล่ะ?

 

มันหันไปมองรอบๆ ก่อนจะเห็นโจวฉวนจีที่กําลังฝึกวิชาดาบอยู่ริมแม่น้ํา

 

“ดาบ 10 เล่ม? เหอะ มันอยากตายรึไงกัน!”

 

มันพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม ไอเด็กนี่มันเสียสติจากการฝึกไปแล้วรึไงกัน?

ใช่แล้ว!

ต้องเป็นงั้นแน่เลย!

ยิ่งคิดมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นมันก็เลยเฝ้ามองโจวฉวนจีต่อไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เที่ยงวันก็สิ้นสุดลง

 

ค่ําคืนได้มาเยือน

เจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชินก็มาหาโจวฉวนจีเพื่อบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว

แต่เมื่อทั้งคู่เห็นว่าเขากําลังฝึกวิชาดาบแปลกๆอยู่ ทั้งสองก็เริ่มเฝ้ามองการฝึกของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นด้วย

 

จนถึงตอนนี้ โจวฉวนจีก็ฝึกไปได้ถึง 98 รอบแล้ว

 

วีบบบบบบ! วีบบบบบบ! วีบบบบบบ!

ดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มแสดงพลังที่น่าพรั่นพรึงออกมา ดาบ 2 เล่มในมือของโจวฉวนจีนั้นรวดเร็วราวกับสายลม ขณะที่การเคลื่อนไหวของดาบในตํานานอีก 8 เล่มนั้นราวกับมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ดาบพวกนั้นเชือดเฉือนและฟาดฟันไปตามการเคลื่อนไหวของโจวฉวนจี และสร้างแรงลมกรรโชกจนทําให้เกิดคลื่นบนผิวน้ํา

ทั่วตัวของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจท่วมไปด้วยเหงื่อที่ไหลเย็นขณะที่เฝ้ามองโจวฉวนจี เขาลองจินตนาการถึงภาพที่ตนเองต้องเผชิญหน้ากับวิชาสิบกระบี่ของโจวฉวนจี เขาแทบจะไม่มีทางชนะโจวฉวนจีได้เลยหากไม่ใช้จิตดาบ

และต้องยอมรับเลยจริงๆว่า โจวฉวนจีก็ยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เช่นกัน

ไม่อย่างนั้น เขาก็อาจจะดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมู่บ้านเพราะเสียงที่ดังแทน

 

หลังจากที่โจวฉวนจีฝึกครบ 100 รอบ เขาก็บรรลุวิชาสิบกระบี่ได้สําเร็จ!

หลังจากที่เขาบรรลุได้สําเร็จ เขาก็ตั้งสมาธิก่อนจะปล่อยปราณกระบี่ออกมา ดาบในตํานานทั้ง 10 เล่มสั่นสะเทือน ก่อนจะยิงปราณกระบีในรูปแบบมังกรออกมาจากทุกทิศทาง

“โฮกกกก ”

เสียงคํารามของมังกรดังบรรจบกันราวกับเสียงสายฟ้าฟาด เงาสะท้อนของดาบแผ่กระจายออกมาจากทั้งสองฝั่งของแม่น้ํา

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ เจียงฉือน้อย และฮวงเหลี่ยนชินต่างก็อ้าปากค้าง

เจ้างูตัวเล็กก็ลืมตาเล็กๆของมันกว้างพลางบ่นพึมพํา “ข้ากําลังจะเป็นบ้ากําลังจะเป็นบ้า…”

ปราณกระบี่สลายหายไป โจวฉวนจีดึงดาบของเขากลับมา และดาบทั้ง 8 เล่มก็หายวับไปกลางอากาศ

เขาพลิกมือทั้งสองข้างของเขาและถือดาบในตํานานทั้งสองเล่มแบบจับกลับด้าน จากนั้นก็เดินตรงไปหาเจียงฉือน้อย

เจียงฉือน้อยเดินตรงไปหาเขาด้วยความตื่นเต้นก่อนจะถามขึ้นมา “นั่นมันวิชาดาบอะไรหรอ? ทรงพลังสุดๆไปเลย! เจ้าพอจะสอนข้าบ้างได้มั้ย?”

โจวฉวนจียิ้มก่อนจะพูดออกมาอย่างดูดี “ได้แน่นอน ดาบของข้าก็คือดาบของเจ้า”

 

หมื่นกระปทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

ตอนที่ 48 : ขึ้นสู่ระดับบรรลุญาณ

 

เมื่อได้เห็นสภาพที่น่าอนาถใจของจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬเจียงฮือน้อยก็มองไปทางเขาก่อนจะถามขึ้นมา “เจ้าฆ่าเขาทั้งอย่างงั้นเลยอ่ะนะ?”

 

เจ้านี่เป็นถึงปีศาจทรงพลังระดับ 5 เชียวนะ..

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทําลายเมืองพังอาณาจักรได้เชียวนะ!

 

เธอรู้สึกราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ไม่ใช่แค่เธอหรอก แม้แต่ฮวงเหลี่ยนชินก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

 

มีเพียงแต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเท่านั้นที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขานับถือโจวฉวนจีจากใจจริง สมกับเป็นเทพกระบีโจวความเด็ดขาดนี้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวในภัยอันตรายใด ๆ จริง

หนูทรายสามตาเดินไปยังด้านข้างของเจ้างูสีดําตัวจ้อยและดมฟุดฟิดหลังจากนั้นมันก็กัดเข้าไปที่หัวของเจ้างูนั่นและกําลังจะกินมัน

 

โจวฉวนจีรีบเขี่ยมันออกไปทันที จากนั้นเขาก็นั่งลงยอง ๆ ก่อนจะมองไปยังเจ้างูตัวเล็กนั่นด้วยความลังเล

 

เขารู้สึกได้ว่าเจ้านั่นมันยังไม่ตายสนิท

เขาควรจะฆ่ามันดีมั้ยนะ?

 

เขามองกลับไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ก่อนจะถามว่า“ปกติแล้วก่อนที่ปีศาจทรงพลังจะกลับมาเกิดใหม่หลังจากตายไปแล้วนี่นานเท่าไหร่นะ?”

เขาอยากจะถามเจ้างเกี่ยวกับชายในชุดสีดํานั้น

ถ้าไม่ถามเรื่องนี้ไปให้ชัด ๆ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกัน

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพูด “อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีแหละครับ เพราะยังไงการจะพัฒนาวรยุทธได้ก็ต้องฝึกฝนอยู่ดีครับ”

เขารู้สึกราวกับหัวใจของเขากําลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาพึ่งจะชื่นชมเทพกระบีโจวไปได้ไม่นาน แล้วอยู่ๆ นายน้อยก็เกิดเห็นอกเห็นใจเจ้างูนั่นอ่ะนะ?

 

จู่ ๆ โจวฉวนจีก็เอาเชือกเส้นเล็กออกมา จากนั้นเขาก็เรียกให้หนูทรายสามตามาหา ก่อนจะมัดเจ้างูตัวเล็กนั้นไว้กับเท้าของเจ้าหนู

 

หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังวิญญาณเพื่อต่ออายุลมหายใจให้กับเจ้าง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

เจ้างูก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มันรู้สึกทรมานเพราะเจ็บไปทั่วทั้งตัวมันหันไปมองโจวฉวนจีก่อนจะพูดว่า “ข้า…”

“ถุยยย!”

โจวฉวนจีถุยน้ําลายใส่มัน ด้วยความที่ตัวมันเล็ก มันก็เลยเหมีอนกับว่ามีอ่างน้ําเทราดใส่หัวของมัน

 

เจ้าตัวเล็กรู้สึกโกรธมาก ความน่าขยะแขยงสุดแสนจะพรรณาได้นี่ทําให้มันแทบจะเป็นลม

 

“ข้าจะ…”

“ถุยยย!”

 

“เจ้ามาทําให้ข้าขายหน้าแบบนี้ได้ยังไง…”

“ถุยยย!”

“อ้าาาง…”

“ถุยยย!”

เจ้างูตัวเล็กนอนอยู่ในบ่อน้ําลายและไม่กล้าแม้แต่จะขยับ มันตกอยู่ในความสิ้นหวังสุด ๆ

 

ในตอนนี้ เขารู้สึกอยากจะตายซะมากกว่าอีก

เจียงฉือน้อยเดินไปตบไหลโจวฉวนจีก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจ้าช่วยหยุดทําอะไรน่าขยะแขยงแบบนี้สักที่จะได้มั้ย?”

โจวฉวนจียิ้มและพูดตอบว่า “ถ้าข้าไม่สั่งสอนให้มันรู้ซะบ้างมันก็คงจะคิดว่าตัวเองเป็นราชาแห่งสรวงสวรรค์ที่ใคร ๆ ก็แตะต้องไม่ได้เลยน่ะสิ”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็เดินมาหาด้วยแต่เมื่อได้เห็นสภาพอันน่าอับอายของเจ้างูตัวจ้อยนั่น มันก็ทําให้พวกเขาถึงกับไร้คําพูด

“งั้นทําไมเจ้าถึงปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ล่ะ?”

เจียงฉือน้อยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้แม้ว่าโจวฉวนจีจะกระทบอย่างโหดร้ายซะขนาดนั้น เจ้างูนั่นก็ยังโชคดีมากที่รอดมาได้หลังจากที่โดนเหยียบ

โจวฉวนจีตอบกลับ “ข้าก็แค่อยากจะถามมันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันนั้นน่ะเจ้าคงไม่อยากให้มีศัตรูลึกลับที่ไหนตามพวกเรามาด้วยหรอกใช่มั้ยล่ะ?”

ทั้งสามต่างพยักหน้า เมื่อพวกเขาคิดถึงหัวขาด ๆ ของชายแก่คนนั้นแล้วก็ตัวสั่นด้วยความกลัว

 

หลังจากนั้น โจวฉวนจีก็โยนเจ้างูตัวเล็กนั่นลงไปในแม่น้ํา หางของมันถูกมัดเอาไว้กับขาของเจ้าหนูทราย ตราบใดที่เจ้าหนูไม่ถูก โยนลงแม่น้ํามันก็ไม่มีทางจมหรอก

 

หลังจากที่พักกันมาได้ 2 วัน พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ

 

บาดแผลของเจ้าตัวเล็กก็ค่อย ๆ ดีขึ้น แต่เกี่ยวกับเรื่องชายแก่ในชุดสีดํามันกลับปฏิเสธที่จะพูด ดังนั้นโจวฉวนจีเลยตัดสนใจให้มันอดอาหารไปซักพัก

หลังจากผ่านไป 5 วัน

 

พวกเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านลําธารขจี

มันยังคงเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากโลกภายนอกเช่นเดิมชาวบ้านต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน และบ้านเมืองก็ยังคงสงบสุข

เมื่อโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยกลับมาถึง เหล่าชาวบ้านต่างก็ยังดีด้วยเหมือนเดิม และพวกเขาก็ยังจําทั้ง 2 คนได้

 

ในปีนั้นหลังจากที่เฉินฮัวได้ตายไป ตระกูลฝางเองก็ไม่ได้สืบอะไรเพิ่มเติมชาวบ้านก็ไม่ได้กระจายข่าวเกี่ยวกับเรื่องนั้นออกไปเช่นกันเห็นได้ชัดเลยว่าเฉินฮัวไม่ได้เป็นคนสําคัญอะไรเลยสักนิด

เจียงฮือน้อยรู้สึกเศร้านิดหน่อยเมื่อเธอรู้ว่าหลังจากที่เธอจากไปคุณยายของเธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

 

ส่วนทางโจวฉวนจีนั้น เขาตัดสินใจที่จะอยู่ในหมู่บ้านลําธารขจีเป็นเวลาหนึ่งปี จากนั้นพวกเขาก็จะออกเดินทางไปยังมหาจักรวร รดิโจว

ไม่มีใครคัดค้านใด ๆ

ในช่วงหลายวันต่อจากนั้น เขาก็เริ่มสอนวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรให้กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

ยังไงซะวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรก็ไม่ได้เป็นของเสี่ยวจิงหงแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว เขาเลยเอาไปสอนให้กับคนอื่นได้

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้สึกประหลาดใจสุด ๆ เพราะเขารู้ดีว่าวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรนั้นทรงพลังแค่ไหน

ในวันนั้น จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็สร้างกระท่อมไม้ขึ้นมา 3 หลัง พวกเขาอาศัยอยู่กันคนละหลังขณะที่เจียงฮือน้อยและโจวฉวนจีอาศัยอยู่ในกระท่อมเดียวกัน

หลังจากวันที่ 3 พวกเขาก็ลงหลักปักฐานอยู่ในหมู่บ้านลําธารขจีในที่สุด

เจ้างูตัวเล็กนั้นไม่อาจทนได้อีกต่อไป มันนอนแผ่หราอยู่บนพื้นด้วยความอ่อนแรงและพูดขึ้นว่า “ข้ายอมแล้ว…ให้ข้าได้กินอะไรสักอย่างที่เถอะ…แล้วข้าจะบอกเรื่องเกี่ยวกับหลี่ถือเหมยให้กับเจ้า…”

 

โจวฉวนจียิ้มขึ้นมา เขาหยิบเนื้อตากแห้งชิ้นเล็ก ๆ ออกมาก่อน จะวางมันไว้ที่ปากของเจ้างูพร้อมกับแก้วน้ํา

เจ้างูตัวเล็กเริ่มกินด้วยความยากลําบาก

 

กว่ามันจะกินเนื้อตากแห้งเสร็จก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ระหว่างนั้นเจ้าหนูทรายสามตาก็คอยกวนมันอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะมันปวกเปียกอยู่แบบนี้ มันคงจะสาปแช่งและสาปส่งเจ้าหนูเหม็นนั่นไปแล้ว

 

“เอาล่ะ บอกข้ามาตรง ๆ ซะ รวมถึงภูมิหลังของเจ้าด้วย”

 

โจวฉวนจีนอนอยู่บนตักของเจียงฉือน้อยพลางพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย และกําลังมีความสุขกับการนวดไหล่อยู่

 

เจ้างูตัวเล็กเงยหน้าขึ้น “ข้ามีนามว่า จ้าวมังกรเกล็ดทมิฬข้ากับหลี่ถือเหมยเราคือเพื่อนเป็นเพื่อนตาย พวกข้าเคยท่องไปทั่วโลกและยังไปมาทุกซอกทุกมุมของมหาจักรวรรดิโจวแล้ว ข้ายังเคยไปที่มหาจักรวรรดิฉางหรือแม้แต่ 7 ภูผา ตอนนั้นเราต่างก็เป็นสุขกายและสบายใจ…” มันเริ่มร่ายยาว

 

“บอกข้าถึงเรื่องสําคัญที่สุดมาได้แล้ว!” โจวฉวนจีพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน

 

เจ้างูตัวเล็กก็รีบตัดเข้าเรื่องทันที “เมื่อ 8 ปีก่อน แม่นางจาวฉวนหนีออกมาจากมหาจักรวรรดิโจว และหลีถือเหมยก็ได้รับค่าหัวมาจากองค์ราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจว ให้ไปจับลูกชายของแม่นางจาวฉวนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาใช้เวลาค้นหามานานถึง 8 ปีเต็ม

“ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่พบแม่นางจาวฉวนเลยแม้แต่น้อยแต่แล้วพวกข้าก็โดนคําสาปเข้าเมื่อตอนที่เดินทางลึกเข้าไปในปากู่หลานหลี่ถือเหมยก็เริ่มเสียสติแล้วก็กลายเป็นบ้า”

“เมื่อไม่นานมานี้ หลี่จือเหมยก็เผอิญเห็นเจ้าเข้าและตามเจ้ามาตลอดทางแต่พวกข้าก็ดันเจอเข้ากับเสี่ยวจิงหงซะก่อน ถ้าเขาไม่ดันเป็นบ้าไปก่อนล่ะก็อย่างเจ้าเสี่ยวจิงหงจะไปฆ่าเขาได้ยังไงกัน

ล่ะ!”

 

เมื่อมันพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้างูก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจ เจียงฉือน้อยก็เช่นกัน

 

เสี่ยวจิงหงนะหรอ?

เป็นไปได้มั้ยว่าจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์จะแอบปกป้องพวกเขาอย่างลับ ๆ อยู่นะ?

“ช่างเป็นลูกศิษย์ที่ดีจริง ๆ” โจวฉวนจีถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้ม

โลกในชาตินี้มันช่างดีจริง ๆ ไม่เหมือนกับโลกในชาติก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างครู-ศิษย์ก็เป็นได้แค่การเล่นสวมบทบาทนะ

 

สําหรับที่นี่ การเป็นครูเพียงวันเดียวก็เท่ากับเป็นพ่อของตนไปชั่วชีวิต

 

ถึงแม้เสี่ยวจิงหงจะได้เรียนวิชาดาบมาจากหลาย ๆ คน แต่เขาเคยผ่านพิธีรับศิษย์อาจารย์แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และคน ๆ นั้น ก็คือโจวฉวนจีนั่นเอง

 

“ศิษย์อะไรนะ?”

 

เจ้างูตัวเล็กเริ่มสับสน มันไม่เข้าใจเลยสักนิด

“ถ้างั้นการตายของหลี่ถือเหมยและอาการบาดเจ็บสาหัสของเจ้าทั้งหมดมาจากน้ํามือของเสี่ยวจิงหงงั้นหรอ?”

โจวฉวนจีถาม ขณะที่เขาพูด เขาก็เอานิ้วชี้ไปที่เอวของตัวเอง เป็นการบอกให้เจียงฉือน้อยนวดตรงนั้นให้

“ใช่แล้วล่ะ!”

 

เจ้าตัวเล็กพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่ามันอยากจะสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกกับเสี่ยวจิงหงเลยทีเดียว

“เข้าใจแล้ว ที่จะถามก็มีแค่นี้ละ งั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าล่ะเป็นไง?”

โจวฉวนจีถามอย่างเฉื่อยชา ปีศาจทรงพลังระดับ 5 เขาจะปล่อยมันไปง่าย ๆ ได้ไงกันล่ะ?

กว่าเจ้าตัวน้อยนี่จะฟื้นตัวได้เต็มที่ โจวฉวนจีก็น่าจะมีพลังพอสู้กับมันได้พอดี

 

เจ้างูตัวเล็กแลบลิ้นแฉกของมันออกมาก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้ว ถ้าข้ายินยอมล่ะ?”

 

“งูตากแห้งชุบแป้งทอดนี่ เจ้าเคยกินรึเปล่าละ?”

 

เจ้าตัวเล็กสั่นสะท้านไปทั้งตัว มันก่นด่าสาปแช่งอยู่ภายในใจไอเจ้าเด็กนี้มันจะโหดร้ายไปไหนกัน!

 

มันต้องมีปีศาจสิงสู่อยู่แหงเลย!

 

แต่เพื่อความอยู่รอดแล้ว

 

เจ้าตัวน้อยก็ทําได้แต่ยอมจํานนต่อเขา

ในตอนนี้ ปีศาจระดับ 5 ก็ได้เข้าร่วมกลุ่มกับโจวฉวนจีแล้ว

เขายังคงผูกเจ้างูตัวเล็กนั่นไว้กับเจ้าหนูทรายสามตา เผื่อกรณีที่เจ้างูอาจจะหนีไปได้

 

หลายวันต่อมาก็ค่อนข้างที่จะสงบสุขดี

3 เดือนต่อมา โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 10 ได้ แล้ว

หลังจากที่อายุครบ 10 ปี กระดูกของเขาก็แข็งแรงและเติบโตมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น และเขายังสามารถพัฒนาวรยุทธของเขาไปได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วยเช่นเดียวกับเจียงฉือน้อย

อายุ 10 ถึง 12 ปีนั้นเป็นช่วงเวลาทองสําหรับการฝึกวรยุทธมันคือช่วงเวลาสําคัญที่จะสร้างรากฐานให้มั่นคงเลยล่ะ

 

4 เดือนผ่านไป

โจวฉวนจีก็ทะลุขึ้นสู่ระดับบรรลุญาณได้แล้ว!

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบเลื่อนขึ้นสู่ระดับบรรลุญาณได้ ระบบกาชาเริ่มทํางาน!”

“ทิ้ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับทอง] …”

 

“ศัตรูมา!”
ฮวงเหลี่ยนชิ้นร้องเตือนเสียงดัง และอาใหญ่กับน้องสองก็ลุกขึ้นมาทันที

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรีบพุ่งตัวออกมาจากบ้านพร้อมชักดาบออกมา ก่อนจะถามด้วยเสียงต่ําว่า “ไหน?”

นางชี้ไปยังหัวของชายแก่ในชุดสีดํา แม้แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังรู้สึกหวาดกลัว เขามองไปรอบๆตามสัญชาตญาณ และคอยตั้งการ์ดเอาไว้เสมอเพื่อศัตรูจะโจมตีมา

ไม่นานนัก โจวฉวนจีและเลี้ยงฉือน้อยก็เดินออกมาจากหุบเขา

พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นหัวของชายแก่คนนั้น

โดยเฉพาะโจวฉวนจี เขาเป็นคนที่รู้สึกกังวลมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ ชายแก่ในชุดสีดํายังตามหาเขาอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับถูกฆ่าซะแล้ว แถมหัวของเขายังถูกโยนมาแถวพวกเขาอีก
นี่มันทําให้เสียวเข้าไปยันกระดูกสันหลัง

คนที่ถึงขั้นสังหารจอมยุทธระดับผุดวิญญาณได้นี่ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?

ทั้งกลุ่มต่างเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมสําหรับการปะทะ
“องค์ชายฉวนจี มันก็ 8 ปีแล้วนะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกันนะ ตอนนี้ท่านช่างดูน่าประทับใจเสียจริงนะ”

ในขณะนั้นเอง เสียงจอมยุทธแก่ๆคนนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดต่างหันไปมองรอบๆด้วยความหวาดกลัว

หัวของชายแก่ยังอยู่บนหญ้าอยู่เลย แต่ดวงตาของเขากลับเบิกกว้างและจ้องมองมาทางโจวฉวนจี มันโครตจะน่ากลัวสุดๆ
เจียงฮือน้อยถามขึ้นด้วยความหวาดกลัว “นี่เขายังไม่ตายหรอ?”

โจวฉวนจีโบกมือขวา ก่อนจะเจาะหว่างคิ้วของชายแก่ด้วยดาบผ่าวายุ จนเลือดพุ่งกระจายออกมาบนพื้นหญ้า
แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดูจะโหดร้ายซะยิ่งกว่า เขาถึงขั้นระเบิดหัวนั่นด้วยปราณกระบี่ทันที ของเหลวสีแดงและสีขาวไหลทะลักออกมาจากหัวจนน่าสยดสยองชวนอ้วกสุดๆ

“นายท่าน พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีกว่ามั้ยเจ้าคะ?” ฮวงเหลี่ยนหินถามด้วยเสียงค่อยกับโจวฉวนจี
หัวของชายแก่นั่นมันน่ากลัวสุดๆซะจนทําให้นางขนลุกไปทั้ง

โจวฉวนจีหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดตอบ “งั้นเรารีบเก็บของแล้วเตรียมตัวออกจากที่นี่กันเถอะ”
เขากลับเข้าไปในหุบเขาทันที พร้อมกับพาหนูทรายสามตาไปด้วย

สมบัติอย่างอื่นส่วนใหญ่จะอยู่ในสุดยอดช่องเก็บของ เพราะงั้น เขาเลยเก็บของเสร็จเร็ว
อีกด้านหนึ่ง เจียงฉือน้อยก็เริ่มเก็บเสื้อผ้าที่อยู่บนราวตากผ้า
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งหมดก็พร้อมจะออกไปจากที่นี่
เจียงฮือน้อยหันมองกลับไปยังทางเข้าหุบเขา และพูดขึ้นมา “ลาก่อนนะ บ้านของพวกเรา”

โจวฉวนจีดึงเธอเบาๆก่อนจะพูดว่า “อย่าไปคิดมากเลย เราไปกันเถอะ”
เจียงฉือน้อยหยักหน้า ยังไงซะบ้านของเธอก็คือที่ๆโจวฉวนจือยู่ เพราะงั้นเธอเลยไม่รู้สึกเศร้ามาก

ทั้งกลุ่มรีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะบินออกจากป่า แต่เลือกเดินทางไปอย่างลับๆภายในป่าแทน
แต่อาใหญ่และน้องสองนั้นตัวใหญ่เกินไป พวกเขาเลยต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเดินนําหน้า ขณะที่โจวฉวนจี เจียงฉือน้อย และฮวงเหลี่ยนชินอยู่ตรงกลาง
จู่ๆ หนูทรายสามตาก็ทําท่าหวาดกลัว ตัวมันสั่นไปหมดภายในอ้อมแขนของโจวฉวนจี

พอโจวฉวนจีเห็นแบบนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
หนูทรายสามตาต้องรับรู้ได้ถึงอันตรายบางอย่างแน่ ถึงได้ทําตัวแบบนี้ออกมา
หลังจากที่พวกเขาออกจากป่ามาได้ ตลอดทางพวกเขาก็ไม่ได้ถูกโจมตีหรืออะไร
โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยขึ้นขอาใหญ่ ส่วนฮวงเหลี่ยนชิ้นขึ้นขี่น้องสอง ขณะที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจขีดาบของตนเอง ทั้ง 4 บินตรงไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้
สรวงสวรรค์และโลกใบนี้กว้างใหญ่แค่ไหน แม่น้ําและภูเขาเชื่อมถึงกันได้อย่างไร? เมื่อมองไปข้างหน้า ภาพวิวที่เห็นช่างช่วยปลอบประโลมจิตวิญญาณและทําให้จิตใจสงบได้เสียจริง

เจียงฉือน้อยรู้สึกหลงใหลในทิวทัศน์ที่ได้เห็น พวกเขาจะไปที่ไหนกันต่อดีนะ?
ส่วนฮวงเหลี่ยนชิ้นนั้นไม่เคยมีใครให้พึ่งพามาก่อน ก่อนจะตัดสินใจติดตามโจวฉวนจีไปชั่วชีวิต นางเลยไม่เคยนึกคําถามแบบนั้นมาก่อน
ขณะที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นมีเพียงดาบที่เป็นคู่หูมาตลอดชีวิต เขาไม่มีทั้งครอบครัวหรือกระทั่งญาติมิตร ความคิดของเขาจึงค่อนข้างคล้ายนาง

โจวฉวนจีมองย้อนกลับไปยังที่ๆห่างไกล ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “งั้นกลับไปที่หมู่บ้านลําธารขจีกันก่อนเถอะ”
หลังจากที่พาเจียงฉือน้อยกลับไปดูบ้านเกิดของเธอแล้ว เขาก็ว่าจะเตรียมตัวย้ายเข้ามหาจักรวรรดิโจวต่อ

การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวกําลังจะเริ่มขึ้นในอีก 2 ปี ด้วยชื่อในนาม เทพกระบีโจว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วที่เขาจะได้เข้ารับการคัดเลือกแห่งสวรรค์นะ ถ้ายังจะมีปัญหาอะไรอีก งั้นเขาก็จะทําสิ่งที่จะทําให้ทั่วทั้งโลกตกตะลึงมากกว่าเดิมเอง
มหาจักรวรรดิโจวนั้นต้อนรับเฉพาะผู้มีชื่อเสียงและผู้ทรงพลังเท่านั้น

ทุกคนในกลุ่มไม่มีใครค้าน ก่อนจะบินตรงไปยังเขตชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ทันที

ตลอดทาง โจวฉวนจีก็เอาแต่คิดเกี่ยวกับชายในชุดสีดํา
ชายคนนั้นมาจากไหนกัน? แล้วใครเป็นคนฆ่าเขา?
แล้วมังกรทมิฬนั่นอยู่ไหนกัน?
โจวฉวนจีรู้สึกเสียศูนย์ไปหมด และรู้สึกตลอดเวลาว่าเขากําลังเดินตามแผนของใครบางคนอยู่

หลังจากที่พวกเขาบินมาตลอด 3 วัน 3 คืน อาใหญ่และน้องสองก็ดูจะเหนื่อยล้าเต็มที่ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ดูท่าจะไม่ดีด้วย ดังนั้นพวกเขาเลยหยุดพักลงที่ริมแม่น้ํา
ภูมิประเทศรอบตัวพวกเขานั้นเป็นพื้นที่ภูเขาที่ทอดยาวต่อกัน เป็นลูกคลื่นและกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด บนยอดเขาที่อยู่ห่างออกไป มีฝูงหมาปาเทาคอยจ้องมองมายังพวกเขาอยู่ แต่วิหคมังกรทั้งสองก็ดูจะแข็งแกร่งเกินไป ปราณปีศาจของพวกมันแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ จนแม้แต่หมาป่าก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจทําความสะอาดดาบสุดรักสุดหวงของเขาที่ริมแม่น้ํา ขณะที่ฮวงเหลี่ยนชินและเจียงฉือน้อยก็คอยดูแลพวกวิหคมังกรทั้งสอง
โจวฉวนจีนั่งลงกับพื้นพลางลูบคาง เขายังคงเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ชายแก่ถูกตัดหัว
เขาแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับพอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆกันแน่

ในขณะนั้นเอง หนูทรายสามตาก็กระโดดออกมาจากเสื้อของเขาและวิ่งตรงไปยังริมแม่น้ําอย่างรวดเร็ว

เขาจ้องไปทางมันก่อนจะดุว่า “เดี๋ยวก็ได้จมน้ําตายหรอกไอเจ้าตัวเล็ก!”

เมื่อหญิงสาวทั้งสองได้ยินเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะขําพลางป้องปาก
แม้แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังเผลอยิ้มออกมาเหมือน

หนูทรายสามตาไม่สนใจก่อนจะกระโจนลงน้ําไปโดยที่ก้นเล็กๆของมันอยู่พ้นเหนือน้ํา พอโจวฉวนจีเห็นก็แทบอยากจะเอานิ้วดีดตูดมัน

น่าดีดตูดมันซะจริง จะได้หัดเรียนรู้ซะบ้าง
โจวฉวนจีคิดขึ้นมาพลางทําหน้าชั่วร้าย
ไม่ว่าไอเจ้าหนูนี้จะอยู่มานานสักแค่ไหน แต่มันก็ยังเหมือนกับลูกแมวอยู่ดี แถมพลังปีศาจของมันก็ยังน้อยมากอีกด้วย
ถ้ามันหนีไปละก็ เขารู้สึกได้เลยว่ามันคงอยู่รอดได้ไม่เกิน 3 วัน แหงๆ

เจ้าหนูหันหัวกลับมาทันที ก่อนจะวิ่งตรงมาหาเขาพร้อมทั้งมีงูสีดําตัวเล็กๆ ที่คาบอยู่ในปาก

เจ้างูนั่นตัวหนาเท่านิ้วเขา และบนหัวของมันมีเขาเป็นกิ่งเล็กๆ 2 อันยื่นออกมา

พอเห็นเจ้างูนั่น มันก็ทําให้โจวฉวนจีนึกถึงเจ้ามังกรทมิฬที่ตัว ยาวหลายร้อยหลานั่น

ถ้าหากเจ้านั่นไม่ใช่ศัตรูละก็ โจวฉวนจีก็รู้สึกจริงๆ ว่ามังกรทมิฬตัวนั้นมันทั้งเท่และทรงพลัง มันเทียบได้กับวิหคมังกรที่เป็นสัตว์ขี่เลยเชียวล่ะ

เจ้าหนูทรายสามตาวางงูสีดําตัวนั้นลงตรงหน้าโจวฉวนจี
“ปล่อยข้านะไอหนูตัวเหม็น ถ้าข้าไม่ได้บาดเจ็บหนักอยู่ล่ะก็ ข้าคงกลืนเจ้าเข้าไปทั้งตัวแล้ว จากนั้นข้าจะเบ่งเจ้าออกมาให้เป็นเศษขี้เลย!”

จู่ๆ เจ้างูสีดําตัวเล็กก็ด่าออกมาเป็นภาษามนุษย์ซะงั้น
เพราะมันตัวเล็กเอามากๆ เสียงของมันก็เลยเบาสุดๆ

แต่โจวฉวนจีและคนอื่นๆกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
เจียงฮือน้อยดูจะตกใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสับสน “มันพูดได้งั้นหรอ?”
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกระโจนเข้ามาหาและพูดขึ้นว่า “เจ้าตัวเล็กนี่ต้องเป็นปีศาจทรงพลังระดับ 5 แน่เลยครับ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีปีศาจบางตนสามารถที่จะเกิดใหม่จากความตายได้ด้วย โดยถ้าพวกมันเจออันตรายถึงชีวิตเข้า มันจะกลับคืนร่างสู่วัยเยาว์ แต่ยังเก็บรักษาวิญญาณไว้อยู่ที่ระดับ 5 นะครับ”
โจวฉวนจียืนขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจ “ทําไมถึงเป็นระดับ 5 ล่ะ?”
ทาสกระบี่พูดตอบ “ถ้ามันระดับสูงกว่านั้น พวกเราคงได้ตายไปแล้วล่ะครับ”

โจวฉวนจีพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้นมา “งั้นตอนนี้มันยังอันตราย
อยู่มั้ย?”
“ถึงวิญญาณของมันจะแข็งแกร่ง แต่เนื้อหนังมังสาของมันก็ยังเป็นแค่ตัวอ่อนอยู่ แค่เหยียบก็ฆ่ามันได้แล้วล่ะครับ” จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจตอบ

เจ้างูตัวจ้อยพอได้ยินเข้าก็รู้สึกโกรธสุดๆ

มันอ้าปากและร้องออกมาให้ดังที่สุดเท่าที่มันจะทําได้ “ข้าคือจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬเชียวนะ ถ้าเจ้ากล้ากระทืบข้าตายล่ะก็ ข้าจะกินเจ้าเป็นพันๆครั้งในชาติหน้าแน่! ข้าจะ…”
แผละะะะ!

โจวฉวนจีเหยียบเข้าไปเต็มฝ่าเท้า และทั่วรองเท้าของเขาก็เปื้อนไปด้วยร่างของเจ้าตัวเล็ก

เขาบิดๆ ขยี้ซ้ําด้วยเท้าขวาเพื่อทําให้แน่ใจว่าไอจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬจะตายแล้วจริงๆ
เขาหันกลับไปก่อนจะถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าไง คิดว่าเจ้านี้ใช่มังกรดําที่เราเจอกันเมื่อวันก่อนรึเปล่า?”
ฮวงเหลี่ยนชิ้นพูดพึมพําออกมา “ก็เป็นไปได้…”
แต่ถ้ามันเป็นงั้นจริง…

แค่ฆ่ามันแบบนี้น่ะนะ?
นายน้อยจะไม่ดูชิวไปหน่อยหรอ?
โจวฉวนจียกเท้าขึ้นมาและมองลงไป เจ้างูสีดําตัวจ้อยแบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวของมันแตกออกจนไส้ในทะลักออกมา ลิ้นของมันก็หลุดออกมาจากปาก ใครเห็นก็ว่าตายกันทั้งนั้น

ตอนที่ 46 : องค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว

“นายท่าน โปรดระวังด้วย!”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเตือนเขา ขณะที่เจียงฮือน้อยมองไปทางโจวฉวนจีตามสัญชาตญาณ

 

เธอรู้ชื่อจริงของโจวฉวนจี แต่อีกสองคนรู้แค่ในนามของเทพกระบี่โจวเท่านั้น

เธอเหลือบมองไปทางเขาอย่างรดวเร็วและสีหน้าของเธอก็แสดงให้เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

โจวฉวนจีก็พยายามที่จะใจเย็นด้วยเช่นกันเขาจะยังเผยตัวตนตอนนี้ไม่ได้

ถึงแม้เขาจะข้ามขั้นไปฆ่าจอมยุทธระดับบัวภายในได้แต่จอมยุทธระดับบัวภายในก็ยังถือว่าเป็นระดับกลางค่อนข้างสูงของมหาจักรวรรดิโจวอยู่ดี

ถ้าราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวดันเจอตัวเขาเข้าเขาคงจะถูกฆ่าง่าย ๆ เป็นแน่

ทั้ง 4 คนมองไปยังข้างหน้า ก่อนจะเห็นใครบางคนอยู่บนหัวมังกรทมิฬ

เขาเป็นชายแก่ที่สวมเสื้อคลุมยาวหลวม ๆ สีดํา ผมสีขาวของเขาถูกม้วนขึ้นด้วยปิ่นปักผม 2 อันมีทั้งเบ้าตาที่ลึกโหลและสายตาที่แสนจะเย็นชาเขายิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างหยิ่งผยอง

เจียงฉือน้อยถามด้วยเสียงค่อยว่า “พวกเราควรทําไงดี? อ้อมไปดีมั้ย?”

โจวฉวนจีส่ายหัว ฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็งมาทางเขาอย่างชัดเจน แล้ วพวกเขาจะไปเดินบินอ้อมเขาไปได้ยังไงกัน?

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังและพูดขึ้นว่า “ข้าเกรงว่าระดับวรยุทธของเขาอาจจะสูงกว่าระดับบัวภาย ในก็ได้ครับ”

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะเป็นจอมยุทธทรงพลังที่อยู่ระดับผิดวิญญาณก็เป็นได้

 

ระดับผุดวิญญาณจะช่วยให้จอมยุทธมีอายุถึง 1000 ปีได้ แล้วแต่ละคนที่ถึงระดับนั้นได้ก็หยั่งกับปีศาจกันทั้งนั้น

ไม่ใช่แค่ทรงพลังเพียงอย่างเดียว แต่จิตใจของพวกเขาก็เหนือกว่าจะจินตนาการเสียด้วยซ้ํา

 

โจวฉวนจีบ่นพึมพํา “เราต้องแยกกันหนี…”

“ข้าทําไม่ได้!”

เจียงฉือน้อยคัดค้านหัวชนฝา เธอกอดเอวเขาไว้แน่นและพูดว่า“เราจะหนีหรือไม่ก็ตายไปด้วยกันเท่านั้น”

เมื่อฟังจากสิ่งที่ชายแก่ในชุดดําพูดแล้ว เป้าหมายของเขาก็คือโจวฉวนจีเพราะงั้นยังไงพวกเขาก็หนีกันได้อยู่แล้ว

แต่เธอจะปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ?

โจวฉวนจีหันหลังไปและจ้องมองเข้าไปนัยตาของเธอ และเขามองเห็นเพียงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่แสดงออกมาผ่านสายตาเสียจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้

ช่างแม่งแล้ว

ฮวงเหลี่ยนชินพูดขึ้นมาทันที “คนผู้นี้บาดเจ็บสาหัสอยู่เจ้าค่ะ”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาของโจวฉวนจีก็เปล่งประกายขึ้นมาด้วยความหวัง

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้อยู่แล้วว่า นางนั้นมีสายตาที่สามารถมองทะลุเข้าไปยังกระดูกและเส้นเอ็นของผู้อื่นได้ “งั้นก็ไม่แปลกใจที่ว่าทําไมเขาถึงไม่พุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรานะ”เขาพูด

ฮวงเหลี่ยนชินพยักหน้าก่อนจะเริ่มเดาออกมา “เขาเรียกหาองค์ชายฉวนจีแต่องค์ชายไม่ได้อยู่ในหมู่พวกเราเพราะงั้นบางที่พวกเราอาจจะกําลังโดนทดสอบอยู่ก็ได้”

ยังไงซะนางและจอมกระบี่แดนเหนือผู้องค์อาจก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายฉวนจําอยู่แล้ว

 

ถ้าเป็นเรื่องที่ว่าองค์ชายเป็นลูกชายของแม่นางจาวฉวนก็อาจจะพอได้ยินมาบ้าง

โจวฉวนจีขมวดคิ้วพลางบ่นพึมพํากับตนเองชายแก่ในชุดสีดําไม่ได้เข้ามาใกล้พวกเขาเลย เอาแต่มองดูพวกเขาจากบนหัวมังกรทมิฬเท่านั้น นั่นมันแปลกซะจริง

 

และเขาก็ตัดสินใจขึ้นมาทันที “พวกเราจะบินไปอีกทาง!”

 

หลังจากที่พูดจบ ทั้ง 4 ก็เปลี่ยนทิศทางในการบินทันที

 

ชายแก่และมังกรทมิฬไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไปแต่ยังคอยเฝ้ามองพวกเขาอยู่จากระยะไกล

 

โจวฉวนจีถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางสบถอยู่ภายในใจ

แม่งเอ้ย!

เมื่อกี้พูดล่อซื้อหรอกเหรอเนี่ย!

ถ้าเขาได้เจอไอเวรนั่นในอีก 10 ปีต่อมาอีกล่ะก็เขาจะสั่งสอนให้มันได้รู้สํานึกซะเลย!

หลังจากที่ทั้ง 4 คนออกมาประมาณชั่วโมงครึ่งก็มีจอมยุทธกลุ่มอื่นผ่านมาอีก

 

“องค์ชายฉวนจี มันก็ 8 ปีแล้วนะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกันน่ะตอนนี้ท่านช่างดูน่าประทับใจเสียจริงนะ”

ชายแก่ในชุดคลุมยาวสีดําร้องออกมา เหล่าจอมยุทธต่างตกใจกลัวเพราะเสียงร้องดังลั่นของเขา จนพวกเขาเกือบจะตกจากวัตถุวิเศษของตัวเอง

เมื่อพวกเขาหันไปมองก็พบกับมังกรทมิฬ พวกเขากลัวจนแทบจะเป็นลมเลยทีเดียว

กลุ่มคนพวกนี้นั้นก็เหมือนกับกลุ่มของโจวฉวนจี ในตอนแรกพวกเขาต่างก็ตกใจกลัวและไม่กล้าขยับไปไหน แต่หลังจากนั้นพอพวกเขารู้ว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ก็รีบหนีไปทันที

ตลอดเวลา รอยยิ้มที่หยิ่งผยองนั้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดสีดําราวกับว่าเขาสามารถที่จะล้มอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน

เมื่อยามพลบค่ํามาถึง ทั้ง 4 ก็กลับมายังหุบเขา จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่อาศัยอยู่ข้างนอกเหมือนเดิม ในตอนนี้มีอาคารถึง 6 หลังอยู่ข้างหน้าทางเข้าหุบเขาแล้ว โดย 2 หลังใช้เป็นที่พักอาศัยส่วนที่เหลือใช้เป็นที่เก็บวัสดุและอาหารต่าง ๆ

อาใหญ่และน้องสองก็อาศัยอยู่ข้างนอกหุบเขาเช่นกันเพราะข้างในหุบเขานั้นเล็กเกินไปสําหรับพวกมัน

ฮวงเหลี่ยนชินก็ย้ายออกไปเมื่อครึ่งปีก่อน

โจวฉวนจีไม่ค่อยชอบที่จะให้มีผู้หญิงมาคอยเดินตามเขาไปไหนมาไหนทุกที่อยู่แล้ว เพราะมันทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆเขามักจะกังวลเสมอว่านางจะมาแอบดูเขาตอนอาบน้ํามั้ย

“เจ้าทั้ง 2 คอยเฝ้าระวังภัยไว้นะ ถ้ามีอันตรายอะไรขึ้นมาให้รีบผิวปากยาว ๆ ได้เลย”

โจวฉวนจีสั่ง และจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็พยักหน้าตอบ

ขณะที่ทั้งสองมองโจวฉวนจีและเจียงฮือน้อยกลับเข้าไปในหุบเขานางก็เดินไปยังที่โล่งกว้างก่อนจะเริ่มฝึกดาบ

 

ส่วนจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็กลับเข้าไปในห้องของตนและเริ่มฝึกปราณภายใน

ปาไม่ได้หนาทึบมากนัก แต่ก็มากพอจะปกคลุมท้องฟ้าได้ก็ถือว่าปิดได้ดีทีเดียว

ในคืนนั้น โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็รู้สึกกังวลกันมากจนนอนไม่หลับ

 

หลังจากที่ได้เห็นว่าชายแก่ในชุดสีดําไม่ได้ไล่ตามพวกเขามาจนกระทั่งผ่านพ้นค่ําคืนนี้ไป ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกสบายใจได้

เมื่อยามรุ่งสางมาเยือนในวันที่ 2 โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็นอนเอนตัวอยู่บนม้านั่งชิงช้าเธอตั้งใจกอดคอเขาแน่นจนทําให้เขาเจ็บไปทั้งตัว

 

เธอลืมตากลมโตสีดําขึ้นมา ก่อนจะถามด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ฉวนจีเจ้าเป็นองค์ชายรึเปล่า?”

เธอไม่เคยคิดจะถามเกี่ยวกับพื้นเพที่มาของเขามาก่อนเพราะเธอกลัวว่าเขาอาจจะรู้สึกเศร้าได้

แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เธอก็รู้สึกแย่นิดหน่อย

ถ้าเขาเป็นองค์ชายจริง ๆ แล้วคนอย่างเธอจะเหมาะสมกับเขามากพอที่จะแต่งงานด้วยได้หรอ?

 

โจวฉวนจีถอนหายใจและพูดตอบ “ใช่ แม่ของข้าตายเพราะแผนการของราชินีนะ ถ้าข้าเปิดเผยสถานะจริงๆของข้าออกไปองค์ราชินีต้องมาฆ่าข้าแน่ ๆ เพราะงั้นห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

ล่ะ”

ตัวตนที่น่ารังเกียจอย่างเจ้าชายนี่ทําให้เขาต้องซ่อนตัวมาถึง 8

ตั้ง 8 ปี!

ตลอด 8 ปีมานี้!

หัวใจของเขาเต้นแรงมากเมื่อตอนที่เผชิญหน้ากับชายแก่ในชุดสีดําคนนั้นและมันก็ทําให้เขาโกรธสุด ๆ

รออีกสักปีนึงเถอะ จนกว่าเขาจะเลื่อนขึ้นระดับบรรลุญาณได้เขาจะย้ายไปอยู่มหาจักรวรรดิโจวแน่นอน!

“งั้นเจ้าคือองค์ชายของอาณาจักรไหนล่ะ?”

เจียงฉือน้อยถามด้วยความกังวล มีอาณาจักรอยู่ตั้งมากมายที่อยู่ภายใต้มหาจักรวรรดิโจว

 

แต่ไม่ว่าเขาจะมาจากอาณาจักรไหน แต่สถานะของเขาก็ยังเหนีอกว่าเธออยู่ดี

โจวฉวนจํากลิ้งตัวไปมา และเปลี่ยนไปอยู่ในท่าสบาย ๆ โดยหันหลังให้เธอก่อนจะพูดตอบว่า “มหาจักรวรรดิโจวน่ะ”

 

“มหาจักรวรรดิโจว? มหาจักรวรรดิโจวน่ะหรอ? มหาจักรวรรดิโจวเพียงหนึ่งเดียวนั่นอะนะ?”

 

เจียงฮือน้อยรู้สึกตกตะลึง วินาถีถัดมาเธอก็เริ่มเบิกตากว้าง

มหาจักรวรรดิโจวเนี่ยนะ!

 

โจวฉวนจีเป็นองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว?

 

เดี๋ยวนะ..

 

หรือว่าเขาจะเป็น

เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาจากกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคําและคนอื่นๆเมื่อ 8 ปีก่อนเรื่องที่นางสนมแห่งมหาจักรวรรดิโจวแม่นางจาวฉวนหลบหนีออกจากวังหลวงพร้อมกับองค์ชายตัวน้อยแต่ทั้งนางสนมและลูกชายของนางก็ตายกันทั้งคู่เป็นไปได้มั้ยว่าเขาจะ เป็นองค์ชายตัวน้อยคนนั้นน่ะ?

จู่ ๆ เธอก็พลิกตัวเขาก่อนจะจับหน้าของเขาเอาไว้ “งั้นเจ้าก็คือองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมเจ้าถึงได้ร้ายกาจซะขนาดนี้นะ…”

การที่ฆ่าใครสักคนได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบแถมคน ๆ นั้นยังเป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรมที่อยู่ระดับบัวภายในอีก!

แล้วยังดังไปทั่วโลกตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

ครอบครัวธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะให้กําเนิดเจ้าคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้กัน?

โจวฉวนจีกลอกตาและคิดว่า พี่สาวตัวน้อยของข้านี่ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเราควรจะรู้สึกเศร้ารีไงกัน?

เจียงฉือน้อยกอดเขาเอาไว้พลางลูบหัว และพูดปลอบเขาอย่างอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไปเลยนะฉวนจี ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไปไม่ว่าเจ้าจะเป็นองค์ชายหรือไม่ใช่ก็ตาม”

 

คนอย่างข้าเนี่ยนะจะร้องไห้?

 

โจวฉวนจีถึงกับพูดไม่ออก เขาผลักเธอออกทันทีก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปไกล ๆ

 

พวกเราก็อายุมากกว่า 10 ขวบกันแล้วนะ จะให้ไปนอนกอดแบบนั้นได้ยังไง?

 

ไม่เหมาะสมเอาซะเลย

ขณะที่เธอมองเขาวิ่งหนีไป เจียงฉือน้อยก็ไม่ยอมแพ้ก่อนจะวิ่งไล่

ตามเขา

ในตอนนั้น ทั้งสองก็เริ่มเล่นต่อสู้กันอยู่ในหุบเขา

ส่วนด้านนอกหุบเขานั้น

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจฝึกวรยุทธอยู่ในห้องของตนเองอยู่ขณะที่ฮวงเหลี่ยนชิ้นมักตื่นเช้าตรู่เพื่อฝึกวิชาดาบต่อหน้าอาใหญ่ และน้องสอง

 

มันเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดี ปราณวิญญาณจะใสสะอาดและมีมากที่สุดในยามเช้า

ฟื้ววว ตุ๊บ!

ในตอนนั้นเอง ฮวงเหลี่ยนชินก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างร่วงลงมาจากด้านบนเหนือปา และหล่นลงข้างหลังเธอ

 

เธอหันกลับไปและรู้สึกอกสั่นขวัญหายทันที

 

นั่นมันหัวคนนี่!

มันคือหัวของชายแก่ในชุดสีดําที่พวกเขาเจอเมื่อวาน ทั่วทั้งหัวอาบไปด้วยเลือดพร้อมทั้งสีหน้าที่ยังยิ้มอยู่อย่างหยิ่งผยอง

 

 

ตอนที่ 45 : 10 ปี กับดาบเงามายา

“ผ่านฟากฟ้าที่กว้างใหญ่ วิหคมังกรต่างคํารามก้องไกล เทพกระบีโจวทลายรังโจร ร่วมกับผู้ติดตามจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ!”

 

“กวีผู้มากความสามารถที่เป็นคนแต่งบทพูดนี้เป็นใครกันนะ ไม่เลวเลยนะเนี่ย”

 

โจวฉวนจีที่สวมหน้ากากที่เงินอยู่พยักหน้าพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ จอมยุทธที่ถูกจับมาเป็นทาสหลายสิบคนต่างตื่นเต้นกันมากบางคนถึงขั้นคุกเข่าลงต่อหน้าเขาเลยที่เดียว

 

ข้างหลังเขา มีจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่กําลังต่อสู้กับหัวหน้ากองโจรอย่างดุเดือดอยู่ส่วนเจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชินก็กําลังสู้กับพวกลูกน้อง

อาใหญ่และน้องสอนบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า ปีกของพวกมันกว้างกว่า 15 หลาราวกับเครื่องบินรบสมัยใหม่และเสียงกรีดร้องที่ดังก้องไปทั่วยอดเขานั้นราวกับเสียงแห่งความตายที่คอยเตือนว่าพวกมันถึงฆาตแล้ว

 

1 ปีที่ผ่านมานี้ เจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชิ้นแข็งแกร่งกว่าเดิมมากทีเดียว และพวกเขาก็ได้ผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมา

เยอะมาก

 

หญิงสาวทั้งสองมีวรยุทธอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 3 แล้วด้วย

ส่วนเจียงฉือน้อยก็เติบโตสมวัยเป็นเด็กสาวอายุ 14 เธอนั้นไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยอย่างที่เคยแล้ว ตอนนี้เธอนั้นมีหุ่นที่เพรียวบาง และงดงามผมยาวถูกมัดรวบสูง ผิวพรรณทั้งละเอียดละออและ เรียบเนียนอาจจะดูบอบบางกว่าฮวงเหลี่ยนชินซะด้วยซ้ํา อีกสัก 2-3 ปี เธอจะต้องกลายเป็นสาวงามที่โด่งดังอย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน โจวฉวนจีก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 3 ขั้นจนเลื่อนขึ้นระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 9 แล้ว

ในหนึ่งปีเขาก็สูงขึ้นบ้าง แต่ก็น่าเสียดายที่ก็ยังเตี้ยกว่าเจียงฉือน้อยประมาณ 1 ช่วงหัวอยู่ดี มันเลยทําให้เขารู้สึกเหมือนแพ้

 

นักโทษต่างมองดูการต่อสู้และร้องตะโกนออกมา

 

“นั่นคือทาสกระบี่ของเทพกระบี่โจว จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจงั้นหรอ? ช่างทรงพลังยิ่งนัก!”

 

“เทพกระบีโจวทําลายทั้งฐานกองโจรนี้ได้โดยไม่ต้องมือไปช่วยเลยด้วยซ้ํา”

“แถมแม่นางทั้ง 2 คนนั้นก็ยังทรงพลังมากอีก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะ ระดับของพัดที่เธอใช้ต้องสูงมากแหง ๆ เลย”

“ พวกเขาต่างทรงพลังกันสุด ๆ ข้าละหวังจริง ๆ ว่าข้าจะได้เป็นลูกน้องของเทพกระบี่โจวบ้าง”

“นี่เจ้าคิดว่าตัวเองเทียบได้กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรึไง?”

โจวฉวนจีหันไปมองการต่อสู้ ในขณะที่แอบบทสนทนาที่ดังอยู่เรื่อย ๆ ด้านหลังเขานั้น ภายใต้หน้ากาก เขาก็แอบยิ้มออกมาที่มุมปาก

 

พูดชมข้าต่อสิ พูดต่อเรื่อย ๆ เลย!

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 10 ปีแล้วระบบกาชาเริ่มทํางาน!”

“ตึง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับเงิน]ดาบเงามายาและปราณกระบี่อาคมกายทองคํา”

 

เสียงจิตวิญญาณแห่งดาบหยุดลง และดวงตาของโจวฉวนจีก็เปล่งประกาย

ปราณกระบี่อาคมกายทองคํางั้นหรอ!

อาคมกายทองคําของเขาก็ถึงขั้นที่ 3 ระเบิดปราณแล้วซึ่งมันจะช่วยให้เขาสามารถระเบิดพลังวิญญาณออกมาจากร่างกายเพื่อใช้โจมตีศัตรูรอบข้างได้แถมความพละกําลังทางด้านร่างกายของเขา ตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นไปถึง 30,000 ปอนด์แล้ว

 

ถ้าอาคมกายทองคําสามารถอัพเกรดเป็นปราณกระบี่อาคมกายทองคําได้ล่ะก็เขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แถมยังพัฒนาวร ยุทธไปได้เร็วขึ้นอีกด้วย

เขาเริ่มเปิดดูข้อมูลของดาบเงามายาก่อน

 

ชื่อดาบ : ดาบเงามายา

ระดับ : เงิน

คําอธิบาย : เป็นดาบที่ทําขึ้นมาจากวัสดุพิเศษ เมื่อกวัดแกว่งอย่างรวดเร็ว มันจะสร้างภาพซ้อนขึ้นมาสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู ได้อีกทั้งในแต่ละภาพซ้อนที่เกิดขึ้นก็ยังสร้างความเสียหายได้ เช่นกัน

 

หมม ก็ไม่แย่นะ อย่างน้อยทักษะพิเศษของมันก็ไม่ซ้ํากับดาบในตํานานเล่มอื่น

 

โจวฉวนจียิ้มอย่างพออกพอใจ แต่การต่อสู้ยังไม่จบ

 

เขาเริ่มรับปราณกระบี่อาคมกายทองคําทันที

ทันใดนั้น ความทรงจําจํานวนมากก็พุ่งตรงเข้ามาภายในความคิดของเขา

ปราณกระบี่อาคมกายทองคําคือเวอร์ชั่นอัพเกรดของอาคมกายทองคํา

โดยมีทั้งหมด 5 ขั้นด้วยกัน คือ ฟื้นฟูปราณกระบี่ ผิวหยกกระดูกทองคําปราณกระบี่คําราม กายสิทธิ์ทองคํา และร่างกระบี่ในตํา

นาน!

ถึง 4 ขั้นแรกจะเหมือนกับอาคมกายทองคํา แต่เขาก็ต้องเริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่ดี

 

หลังจากที่เขาได้รับความทรงจํามาครบแล้วเขาก็เปิดข้อมูลคุณสมบัติของตัวเองขึ้นมา

เจ้าของดาบ : โจวฉวนจี

เชื้อสาย : สายเลือดราชวงศ์แห่งมหาจักรวรรดิโจว

อายุ : 10 ปี

วรยุทธ์ : ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 9

วิชาปราณ : ปราณกระบอาคมกายทองคํา

วิชาดาบ : วิชาดาบกระเรียนขาว, วิชากระบี่เพลิงกัลป์, วิชา 8ก้าวทะลวงกระบี่, วิชาดาบสะบั้นสามชีพจร, วิชาขยายวิถีกระบี่

ทักษะพิเศษ : ไม่มี

 

พรสวรรค์ : ทักษะการทําหลายอย่างพร้อมกัน

ดาบ : [ระดับเงิน] ดาบมังกรสีชาด, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบคลื่นเหมันต์, [ระดับเงิน] ดาบชโลมโลหิต, ระดับสัมฤทธิ์] ดาบ พยัคฆ์คําราม, ระดับสัมฤทธิ์]ดาบผ่าวายุ, [ระดับเหล็ก] ดาบเด็ดสุ กร, [ระดับเงิน] ดาบหินกลายทอง, ระดับเงิน] ดาบเสียงสวรรค์, [ระดับทอง] ดาบราชาโลกันตร์, [ระดับเงิน]ดาบเงามายา

ดูยิ่งใหญ่พอตัวเลยนะเนี่ย

โจวฉวนจีคิดขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ในเวลาต่อมา เขาก็พลิกมือขวาขึ้นมา และดาบราชาโลกันตร์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

เขาเปิดใช้งานวิชาขยายวิถีกระบี่และเขวี่ยงดาบออกไปทันที

 

หัวหน้าใหญ่ที่กําลังอยู่ระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ก็ได้ยินเสียงลอยตัดผ่านอากาศดังขึ้นมาจากทางข้างหลังเขาเลี้ยวหัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่หน้าอกของเขาก็ยังถูกดาบราชาโลกันตร์แทงทะลุอยู่ดี และเลือดของเขาก็พุ่งกระจายไปทั่วฟากฟ้า

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองด้วยสายตาอันเฉียบคม ก่อนจะใช้โอกาสนี้ใช้ท่าฟันดาบที่รุนแรงที่สุด เขาตวัดปราณกระบืออกไปและตัดหัวของศัตรูออกในทันที

 

โจวฉวนจียกมือขึ้น และดาบราชาโลกันตร์ก็กลับเข้ามาอยู่ในมือ

 

เหล่านักโทษต่างมองเขาด้วยความเคารพบูชา

นี่แหละเทพกระบี่โจวล่ะ!

เขาสามารถจบการต่อสู้นี้ได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น!

เหล่านักโทษต่างลืมไปเสียสนิทว่าโจวฉวนจีก็แค่ลอบโจมตีเท่านั้นพวกเขารับรู้แค่เพียงว่าโจวฉวนจีนั้นแข็งแกร่งสุด ๆ และในทุกท่วงท่าของเขานั้นช่างสง่างาม

เมื่อหัวหน้าใหญ่ตายแล้ว พวกโจรที่ยังเหลือรอดอยู่ก็เริ่มวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่เหลือความกล้าที่จะสู้อีกต่อไป

หลังจากที่การต่อสู้จบลง จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็เริ่มปล้นของในฐานของพวกโจรทันทีโดยไม่ต้องรอคําสั่งของโจวฉวนจี

 

เจียงฮือน้อยวิ่งตรงไปหาโจวฉวนจี ก่อนจะยืนเท้าสะเอวพลางหัวเราะคิกคัก“ข้าดูเป็นไงบ้าง? ข้าดูเก่งขึ้นกว่าเดิมยัง?”

“จ้า ๆ เจ้าแข็งแกร่งที่สุดเลยจ้ะ” เขาพูดพลางพยักหน้าให้

เจียงฉือน้อยกลอกตาใส่ แต่ก็ยังรู้สึกพอใจมากอยู่ดี

 

ในวันนี้ เธอฆ่าพวกโจรไปได้ประมาณโหลนึงด้วยความสามารถของเธอเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยังต้องพึ่งพัดอัคคีเพื่อสังหารศัตรู

อยู่เลย

พอเห็นว่าเธอตื่นเต้นขนาดไหน โจวฉวนจีก็ถอนหายใจ

เขายังจําครั้งแรกที่เจียงฉือน้อยสังหารศัตรูได้อยู่เลย มันก็เหมือนกับการเชือดหมูโดยที่เธอเป็นหมูตัวนั้นซะเอง ท่าทางของเธอที่ดูงอแงไม่เต็มใจที่จะทํา มันก็ทําให้เขาขําขึ้นมาทุกที่ที่นึกถึง

ขณะที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินกําลังปล้นของกันอยู่เขาก็ใช้โอกาสนี้เอาดาบเงามายาออก

มา

 

ตัวดาบนั้นมีสีดําและมันวาวทั่วทั้งใบมือและด้ามจับ ไม่มีงานแกะสลักละเอียดอ่อนตรงไหนเลยสักนิด มีเพียงแค่ออร่าที่น่าหวาดกลัวแพร่กระจายออกมา

 

เขาลองตวัดดาบดู 2-3 ครั้ง และก็พบว่าตัวดาบนั้นเบามากๆหนักกว่าดาบผ่าวายุแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันค่อนข้างที่จะใช้ง่ายที่เดียว

เขาพลิกมือขวาก่อนจะเก็บดาบเงามายาลงในสุดยอดช่อง

เก็บของ

หลังจากนั้นสักพัก จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็เก็บเอาของทุกอย่างออกมาหมดแล้ว

โจวฉวนจีเอาดาบมังกรสีชาดออกมาก่อนจะกระโดดขึ้นไปส่วนเจียงฉือน้อยก็คอยเกาะหลังเขาเอาไว้ และทั้งสองก็บินจากไป

วิหคมังกรทั้งสองคํารามก้องและบินตามพวกเขามา

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินก็หยิบดาบออกมาและบินตามไป

ดาบของฮวงเหลี่ยนชิ้นนั้นเป็นวัตถุวิเศษระดับ 2 โดยวัตถุวิเศษมีทั้งหมด 9 ระดับ และในแต่ละระดับก็จะประกอบไปด้วย 4 ขั้น คือ ขั้นต่ํา ขั้นกลางขั้นสูง และขั้นสุดยอด

ดาบเล่มนี้เป็นของหัวหน้าใหญ่โจรซึ่งก็เพียงพอที่นางจะใช้ได้

 

โจวฉวนจไม่ได้ให้ดาบในตํานานที่เขาได้มาจากระบบยอดดาบใน ตํานานกับใครทั้งสิ้นแม้แต่ดาบระดับเหล็ก

ขณะที่พวกนักโทษกําลังมองพวกเขาจากไป พวกเขาก็เริ่มถอน หายใจออกมา

เทพกระบี่นี่สมกับเป็นเทพกระบี่จริง ๆ เขาเท่สุด ๆ แม้แต่ตอน

จากไป

หลังจากนั้น โจวฉวนจีก็ไม่ได้ไปบุกฐานกองโจรอื่นต่อแต่อย่างใด และเตรียมตัวกลับบ้านแทน

หลังจากที่พวกเขาบินมาได้ชั่วโมงครึ่ง โจวฉวนจีก็หยุดลงทันที

 

พวกวิหคมังกร จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และฮวงเหลี่ ยนชินก็หยุดลงด้วย

พวกเขาจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าก่อนจะเห็นมังกรทมิฬบิ นวนอยู่เหนือพื้นดิน

 

มังกรทมิฬตัวนั้นตัวยาวประมาณ 300 หลา เกล็ดสีดําขอ งมันเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์และเป็นคลื่นราว กับเทือกเขา ถึงพวกมันจะอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ แต่มันก็ยังทําให้รู้สึกเสียวไปยันกระดูกสันหลังอยู่ดี

 

“มังกรตัวใหญ่ขนาดนั้นต้องมีวรยุทธอย่างน้อยระดับ 4 แน่ หรือ บางทีอาจจะระดับ 5 ด้วยซ้ํา”

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ระดับ 4 นั้นเทียบได้กับระดับบัวภายในขณะที่ระดับ 5 นั้นเทียบ ได้กับระดับผุดวิญญาณ

 

โจวฉวนจีขมวดคิ้ว ทําไมพวกเขาถึงไม่เห็นมันระหว่างทางที่ มานี่กัน?

“องค์ชายฉวนจีมันก็ 8 ปีแล้วนะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจ อกันน่ะ ตอนนี้ท่านช่างดูน่าประทับใจเสียจริงนะ”

เสียงแก่ ๆ และฟังดูเย็นชาดังลอยมาจากทางมังกรทมิฬ เมื่อโจ วฉวนจีได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที

 

ตอนที่ 44 : เทพกระบี่โจวทลายรังโจร ร่วมกับผู้ติดตามจอมกระบี่แดนเหนือผู้ องอาจ!

 

“ตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงคืออะไรหรอ?”

 

เจียงฉือน้อยถามด้วยความสงสัย เธอเคยได้ยินแค่ตารางจัดอันดับยอดฝีมือแห่งมหาจักรวรรดิโจวเท่านั้น เพราะเยี่ยเฟยฟาน อัจฉริยะที่ติดอันดับยอดฝีมือถูกโจวฉวนจีสังหารเมื่อ 7 ปีก่อน

 

ฮวงเหลี่ยนชินตอบกลับ “มันเป็นการจัดอันดับโดยมหาจักรวรรดิโจวเจ้าค่ะ จะมีการบันทึกชื่อเหล่าผู้ที่มีชื่อเสียงในแต่ละปีจํานวน 100 คน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้ท่านคือบุคคลที่มีชื่อเสียงมากเจ้าค่ะ”

 

เมื่อโจวฉวนจีได้ยินที่นางพูดก็คิดขึ้นมา นี่ตอนนี้ข้าดังขนาดนั้นเลยหรอ?

 

เขายังประมาทชื่อเสียงของฉวงฮุ้ยเฉิงเกินไป

 

เจ้าชายปีศาจที่ทําลายเมืองจนย่อยยับได้ แต่กลับพ่ายให้กับจอมกระบี่ไร้ชื่อ เรื่องแบบนี้นี่หยั่งกับละครจริง ๆ

 

ในตอนที่โจวฉวนจีกําลังเดินผ่านจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

 

เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงค่อยว่า “ตามพวกข้ามา”

 

จแทบจะปิดอาการประหลาด ใจไม่อยู่ ก่อนจะรีบตามหลังเขาไป

 

ยามเฝ้าประตูต่างเบิกตากว้าง และเริ่มหายใจถี่ขึ้น

 

เด็กคนนี้คือเทพกระบี่โจวอย่างงั้นน่ะหรอ!

 

ฮวงเหลี่ยนชินทิ้งรถม้าไว้ที่นั่น ใครจะเป็นคนเอามันไป ก็ให้มันขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต

 

ขณะที่เหล่ายามเฝ้ามองทั้ง 4 เดินจากไป พวกเขาทั้งหมดต่างก็แทบจะสติหลุด

 

“ท่านเทพกระบี่โจว!”

 

“งั้นนั่นก็เขานี่เอง ข้าเคยเจอเขามาแล้วครั้งนึงด้วย เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ตอนที่เขาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ข้าก็เป็นเวรกะนั้นพอดีด้วย!”

 

“เขายังดูเด็กกว่าลูกชายข้าอีก”

 

“จุ๊ ๆ อย่าคิดแบบนั้นสิ บางทีเขาอาจจะแก่กว่าปูเจ้าก็ได้ นะ”

 

“เจ้าเห็นรึเปล่า? จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจชื่อดังคนนั้นที่ตามหลังเทพกระบี่โจวไป ติดตามเขาหยั่งกับทาสจริง ๆ แหน่ะเนี่ยแหละความสุดยอดของเทพกระบีโจวล่ะ”

 

เหล่าผู้เฝ้าประตูต่างพูดคุยความเห็นกันและดูตื่นเต้นสุด

 

การที่ได้เจอพวกเขาในวันนี้ก็มากพอที่จะให้พวกยามเอาไปเม้าท์มอยกันบนโต๊ะอาหารได้อีกยาวเลยล่ะ

 

หลังจากที่พวกเขาออกจากเขตชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้มาแล้ว ก็ยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเริ่มดูจะกระวนกระวายมากขึ้น แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

 

อีกด้านหนึ่ง เจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชินก็ดูจะคุยกันอย่างมีความสุข

 

“อ่อใช่ จะว่าไปเจ้าชอบดาบมั้ย?”

 

จู่ๆ โจวฉวนจีก็ถามฮวงเหลี่ยนชินขึ้นมา ถึงมันจะดูไม่ใช่คําถามที่จริงจังมากนัก แต่นางก็กลัวจนเสียวสันหลังไปหมด

 

นางตอบทันทีว่า “ข้าชอบเจ้าค่ะ และข้าก็ยังรู้วิชาดาบอีกด้วย แต่มันก็เป็นระดับที่ต่ำเอามาก ๆ นะเจ้าค่ะ แทบจะเทียบกับขั้นที่ต่ำที่สุดของระดับอําไพยังไม่ได้เลย”

 

วิชาปราณ คาถา และศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่มีการจัดระดับและขันของมันเอง

 

โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับนภาระดับปฐพี ระดับทมิฬ และระดับอําไพ นอกจากนี้ ในแต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นสูงสุด ขั้นสูง ขั้นกลาง และขั้นต่ำ

 

วิชาดาบกระเรียนขาวและวิชากระบี่เพลิงกัลป์ของโจวฉวนจีนั้นล้วนแต่อยู่ในระดับอําไพ มีเพียงวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรเท่านั้นที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับทมิฬ

 

ฮวงเหลี่ยนชินมองไปยังโจวฉวนจีด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม หรือว่าเทพกระบี่โจวกําลังจะช่วยสอนวิชาดาบให้กับนางนะ?

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองไปยังฮวงเหลี่ยนชินอย่างแทบไม่เชื่อสายตาพลางชื่นชมนาง

 

ในขณะนั้นเอง โจวฉวนจีก็หันกลับมาและพูดกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจว่า “เจ้าจงสอนวิชาดาบระดับทมิฬให้แก่นาง และจงช่วยให้นางบรรลุวิชาให้สําเร็จให้ได้ซะ”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเบิกตากว้างด้วยความสับสนงุนงง

 

อีกด้านหนึ่ง ฮวงเหลี่ยนชินก็รู้สึกตกใจ วิชาดาบระดับทมิฬนั้นไม่ใช่วิชาคุณภาพต่ำเลยสักนิด ในจักรวรรดิแล้ว วิชาเหล่านี้จะถูกส่งต่อผ่านภายในตระกูลเท่านั้น และถึงแม้จะมีวิชาพวกนี้ขายในหอการค้าของมหาจักรวรรดิโจว แต่ก็ยังแพงเกินกว่าที่นางจะจ่ายไหวอยู่ดี

 

โจวฉวนจี

เชื่อว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะต้องมีวิชาดาบระดับทมิฬอยู่อย่างแน่นอน

 

เพราะถ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจไม่มีแล้วล่ะก็ โจวฉวนจีคงจะดูถูกเขาเอาสุด ๆ

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ได้ครับ นายท่าน!” เขาพูดตอบ

 

ตั้งแต่ที่เขากลายเป็นทาสของเทพกระบี่โจว เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธอะไร

 

โจวฉวนจีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และพูดว่า “เจ้ารู้จักวิชาดาบที่ข้าเคยใช้ล้มเจ้ารึเปล่า?”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจส่ายหัว แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะพูดพึมพําออกมา “นายท่านจะว่าไปวิชาดาบของท่านคล้ายกับวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรของจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์เลยครับ”

 

โจวฉวนจีพูด “เจ้าคิดถูกแล้ว มันคือวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรนั้นแหละ”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเบิกตากว้าง และฮวงเหลี่ยนชินก็รู้สึกตกใจด้วยเช่นกัน

 

ชื่อของจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นั้นดังไปไกลยิ่งกว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเสียอีก เขาอยู่ถึงอันดับที่ 3 ของตารางจัดอันดับยอดฝีมือแห่งมหาจักรวรรดิโจว และยังมีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานอีกด้วย เขานั้นเป็นจอมกระบี่ผู้ทรงพลังพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกได้อย่างแท้จริง

 

“ถึงวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรจะไม่ได้เป็นแค่ของจอมกระผู้สูงศักดิ์แต่เพียงผู้เดียว แต่วิชาดาบนี้ก็เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดและเขาใช้บ่อยที่สุดแล้ว แล้วท่านไปเอาวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรมาได้ยังไงกันครับ?” จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถามด้วยความสงสัย

 

จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ท้าทายจอมกระบี่ไปทั่วโลก และเขาไม่เคยแพ้ให้กับใครเลย เว้นเสียแต่จักรพรรดิกระบี่

 

และเขาก็คือหนึ่งในคนที่พ่ายแพ้ให้กับจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นั่นเอง

 

ความหวังผุดขึ้นภายในใจของเขา เป็นไปได้มั้ยว่าเทพกระบี่โจวจะมีศักยภาพมากพอจะล้มจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ได้นะ?

 

“อุ๊บส์–”

 

เจียงฉือน้อยกลั้นขําไม่ไหวอีกต่อไป

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินมองไปที่เธอด้วยความแปลกใจ มีอะไรน่าขํางั้นหรอ?

 

เธอมองไปทางโจวฉวนจีและขําขณะที่เธอกําลังจะพูด หลังจากนั้นเมื่อโจวฉวนจีพยักหน้าให้เธอก็พูดออกมา “ศิษย์ของเขาน่ะคือจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นั่นแหละ ในตอนนั้น เขาพนันกับเสี่ยวจิงหงเอาไว้…”

 

และเธอก็เริ่มร่ายยาว

 

ทั้งจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชินต่างก็รู้สึกตะลึงเมื่อได้ฟัง

 

โดยใช้แค่วิชาดาบอย่างเดียว เสี่ยวจิงหงก็พ่ายแพ้ให้กับเทพกระบี่โจวเนี่ยนะ?

 

ที่สําคัญที่สุดคือ โจวฉวนจีใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้นในการบรรลุจิตดาบสะบั้นสามชีพจร

 

วิถีกระบี่ของเขามันไปถึงขั้นไหนกันแล้วเนี่ย?

 

ในตอนนั้น ทั้งสองก็แทบจะอยากคุกเข่าลงต่อหน้าโจวฉวนจีเลยทีเดียว

 

“ฟิ้ดด–”

 

จู่ ๆ โจวฉวนจีก็ผิวปากออกมา ด้วยพลังวิญญาณของเขา เสียงผิวปากก็ดังไปได้ไกลมากสุด ๆ

 

อารมณ์ของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจในตอนนี้ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามา ต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้

 

คู่ต่อสู้คนสําคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือลูกศิษย์ของเทพกระบี่โจวงั้นหรอ

 

ตอนนี้เขารู้สึกดีใจสุด ๆ

 

ฮวงเหลี่ยนชินก็เช่นกัน

 

ด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวจิงหงแล้ว เขาสามารถที่จะเหนือกว่าโจวหยาหลงได้แน่นอน และถ้ารวมกับเทพกระบี่โจวที่เป็นสุดยอดของสุดยอดยิ่งกว่าแล้วเนี่ย ความหวังในการแก้แค้นของนางก็ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว!

 

ไม่นานนัก วิหคมังกร 2 ตัวก็บินมา

 

ทั้งคู่ต่างรู้อยู่แล้วว่าเทพกระบี่โจวเลี้ยงวิหคมังกรเอาไว้เลยไม่ได้ตกใจอะไรกัน

 

โจวฉวนจีและจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจขอาใหญ่ ส่วนเจียงฉือน้อยและฮวงเหลี่ยนชินขี่น้องสอง และทั้งหมดก็บินตรงไปยังหุบเขาที่โจวฉวนจีอาศัยอยู่

 

พอพวกเขากลับมาถึงหุบเขา มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนเสียแล้ว

 

ที่ทางเข้าหุบเขานั้น โจวฉวนจีได้ขอให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจสร้างบ้านของตัวเองอาศัยอยู่ข้างนอกแทน

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจไม่ได้ปฏิเสธอะไร และหันกลับไปก่อนจะเริ่มตัดไม้เพื่อสร้างบ้าน

 

ฮวงเหลี่ยนชินก็เริ่มสนิทกับเจียงฉือน้อยแล้ว และด้วยคําอ้อนขอของเด็กสาวตัวน้อย โจวฉวนจีเลยยอมให้นางเข้าไปในหุบเขาได้

 

ตอนนี้ก็มีผู้ร่วมอาศัยอยู่ด้วยกับโจวฉวนจีเพิ่มขึ้นมาอีก 2 คนแล้ว

 

ยามเช้าของวันที่ 2 โจวฉวนจีและอีกสองคนก็ออกมาจากหุบเขา

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นมีทักษะที่ดีเลยทีเดียว และเขาก็สร้างบ้านไม้ที่ใช้เป็นที่พักของตัวเองเสร็จแล้ว

 

เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็ตื่นขึ้นมาจากการฝึกวรยุทธ

 

“งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ วันนี้เจ้าจะต้องสอนวิชาดาบของเจ้ากับฮวงเหลี่ยนชิน ส่วนข้าจะคอยเฝ้าดูเอง”

 

โจวฉวนจีเล่นกับเจ้าหนูทรายสามตาที่อยู่บนมือพลางพูดอย่างลวก ๆ

 

ฮวงเหลี่ยนชินยืนอยู่ข้างหลังเขา ท่าทางนางอาจจะดูนิ่ง ๆ แต่ความตื่นเต้นมันประกายออกมาทางสายตาของนางเลย

 

อีกด้านหนึ่ง เจียงฉือน้อยก็นั่งอยู่บนก้อนหินไกล ๆ อาใหญ่และน้องสองก็นอนอยู่ข้างหลังเธอ วิหคมังกรทั้งสองดูจะง่วงนอน พวกมันผงกหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ

 

“ได้ครับ!”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพยักหน้า เขาค่อนข้างจะตื่นเต้นที่เดียวเพราะรู้ว่าตัวเองกําลังถูกเทพกระบีโจวทดสอบอ

 

ดังนั้นเขาจึงเริ่มสอนวิชาดาบให้ฮวงเหลี่ยนชินทุกวัน ขณะที่โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็คอยฝึกปราณภายในอยู่ข้าง ๆ พวกเขา

 

พอมีโจวฉวนจีอยู่รอบ ๆ ด้วยแล้ว จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ไม่กล้าขี้เกียจเลยแม้แต่นิดเดียว

 

เขาต้องยอมรับเลยว่า ฮวงเหลี่ยนชินนั้นค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ในวิถีแห่งกระบี่ อย่างน้อย มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนักที่จะสอนนาง

 

ในทุก ๆ เดือน โจวฉวนจีจะพาพวกเขาไปทําลายรังโจรด้วยกัน แม้แต่เจียงฉือน้อยและวิหคมังกรทั้งสองเองก็ร่วมต่อสู้และขัดเกลาวิชาการต่อสู้ไปด้วยเหมือนกัน

 

เป้าหมายของโจวฉวนจีนั้นไม่ใช่การทําลายรังโจรที่อยู่ระดับสร้างรากฐานอีกต่อไป แต่เปลี่ยนไปทําลายพวกโจรแข็งแกร่งที่อยู่ระดับบรรลุญาณแทน

 

ในขณะที่พวกเขาช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นและมากยิ่งขึ้นชื่อเสียงของเขาก็กระจายไปไกลราวกับไฟป่า

 

หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ชื่อของเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปไกลทั่วทั้งอาณาจักรที่อยู่ภายในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว

 

“ผ่านฟากฟ้าที่กว้างใหญ่ วิหคมังกรต่างคํารามก้องไกลเทพกระบี่โจวทลายรังโจร ร่วมกับผู้ติดตามจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ!”

 

ตอนที่ 43 : ขึ้นสู่ตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจว

 

*อยากจะเป็นทาสข้าไปชั่วชีวิตเนี่ยนะ?

 

โจวฉวนจีหยุดเดินและหันหลังกลับไป ก่อนจะเห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอยู่ในท่าคุกเข่าแล้วเขาก็ใจอ่อนนิดหน่อย

 

เขาเห็นเลือดที่ไหลซิบลงมาตามหน้าผากของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ราวกับดอกไม้โลหิตที่เบ่งบานอยู่บนดิน

 

เจียงฉือน้อยเบ้ปากพลางพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งสุด ๆ ไปเลยหรอ?”

 

เขารู้สึกลังเลใจ ก็ดูจะไม่อันตรายอะไรนะ ถ้าจะเอาจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมาอยู่ใต้อํานาจเขาน่ะ

 

เพราะยังไงซะ เขาก็ต้องทําตามแผนล้างแค้นที่วางไว้ต่อไปอยู่ดี

 

พอคิดแบบนั้นแล้ว เขาก็พูดกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจว่า “10 วันหลังจากนี้ ถ้าข้าเจอเจ้าที่หน้าประตูทางเข้าหลักของเขตชายแดนอีกข้าจะรับเจ้ามาเป็นทาสของข้า เอง”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับเจียงฉือน้อย

 

เมื่อจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเขารีบเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะร้องออกมาว่า “ขอบคุณท่านจริง ๆ นายท่านของข้า!”

 

แต่เส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของเขานั้นฉีกขาดหมดดังนั้นการจะไปยังเขตชายแดนภายใน 10 วันได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย

 

โจวฉวนจีไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะรีบจากไปพร้อมกับเจียงฉือน้อย

 

เหล่าจอมยุทธและผู้คนทั่วไปไม่ได้ไล่ตามเขาไป เพราะกลัวว่าจะไปมีเรื่องกับเทพกระบี่โจว

หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายมาได้ด้วยดีข่าวเกี่ยวกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้กลายมาเป็นทาสรับใช้ของเทพกระบโจวก็กลายเป็นข่าวดังไปในที่สุด

 

จางหรูหยูมองไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพลางกรอกตาและคิดในใจ

 

การที่ได้มาเห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเทพกระบีโจว มันก็ทําให้เขารู้สึกอิจฉานิดหน่อยเหมือนกัน

 

แต่การที่ต้องมากลายเป็นทาสจอมกระบี่มันก็หมายความว่าเขาจะสูญเสียอิสระเช่นกัน เพราะงั้นเขาจะไม่ทําแบบนั้นแน่นอน

 

เขาควรชื่นชมเทพกระบี่โจวแค่ภายในใจเท่านั้น

 

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยรีบเดินน้ําอ้าวผ่านตรอกแห่งหนึ่งตรงไปยังประตูเมือง

 

“นี่เจ้าคิดจะเอาเขาไปด้วยจริง ๆ หรอ?”

 

เจียงฉือน้อยถามด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ เธอรักช่วงเวลาที่ได้อยู่สองต่อสองกับโจวฉวนจีมาก เลยรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ที่จะมีคนอื่นมาร่วมทางไปด้วย

 

โจวฉวนจีพูด “ไม่ต้องห่วงหรอก พอถึงเวลาจริง ๆ ข้าจะปล่อยให้เขาอยู่ด้านนอกหุบเขาเป็นยามเฝ้าที่ให้พวกเราเอง”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นมีพรสวรรค์และค่อนข้างจะเก่งทีเดียว

 

ถึงแม้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะเป็นภัยต่อราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเขาจะมีคนคอยวิ่งงานให้เขาสักคนล่ะนะ

 

เจียงฉือน้อยเริ่มเข้าใจและรู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผลดี

 

ด้วยความสามารถของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถ้าทั้งสองเจออันตรายเข้าเมื่อไหร่ เขาก็จะกลายเป็นโล่ให้กับพวกเขาได้

 

พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป

 

หลังจากที่เดินผ่านถนนมาได้ 2 เส้น โจวฉวนจีก็หยุดลงกระทันหัน

 

แววตาของเขาลุกโชนไปด้วยความโกรธเคืองเขาหันกลับไปและตะโกนขึ้นว่า “ใครตามข้ามาอีกกันห้ะ?”

 

เจียงฉือน้อยที่ได้ยินเหมือนกัน ก็หันไปมองด้วยความกังวล

 

และเธอก็เห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีดําคนหนึ่งเดินออกมาจากมุม นางดูสวยมาก เรือนผมยาวสลวยถูกม้วนรวบขึ้นไว้ด้านบนศรีษะแม้ใบหน้าของนางจะดูเย็นชา แต่โดย รวมกลับดูมีเสน่ห์เหลือเกิน

 

“เจ้าเป็นใครกัน?” โจวฉวนจีถามด้วยเสียงต่ํา

 

เขามองออกว่าหญิงสาวคนนี้มีวรยุทธอยู่แค่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1 เท่านั้นนางเลยไม่ได้เป็นอันตรายอะไรกับเขา

 

หญิงสาวในชุดสีดํากัดฟันเดินตรงไปหาเขา ก่อนจะคุกเข่า ลงและพูดขึ้นว่า“คารวะท่านพวกเราเคยเจอกันมาก่อนข้าคือคนที่อยากจะเป็นสาวใช้ให้แก่ท่านแต่ท่านก็ปฏิเสธข้าไปเจ้าค่ะ”

 

“เจ้านั่นเอง!”

 

เจียงฉือน้อยเบิกตากว้างตกใจ ในตอนนั้น ใบหน้าของ นางเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมดเธอเลยไม่คิดว่านางจะดูสวยขนาด

 

หญิงสาวในชุดสีดําพยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ข้ามีนามว่า ฮวงเหลี่ยนชิ้นข้าอยากให้ท่านพาข้าไปด้วยจริง ๆ เพราะตอนนี้ข้าไม่มีที่ไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

โจวฉวนจีพูดพลางขมวดคิ้ว “บอกข้ามาตรง ๆ เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”

 

หญิงสาวมุ่งมั่นที่จะมาเป็นสาวใช้ของเขาให้ได้จริง ๆ ดังนั้นมันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่

 

ฮวงเหลี่ยนชินก้มหน้าลงและหายใจเข้าลึก ๆ “ข้าอยากจะล้างแค้นเจ้าค่ะ” นางกล่าว

 

กะไว้แล้วเชียว!

 

โจวฉวนจีสบถภายในใจ ข้ายังไม่ได้ล้างแค้นในส่วนเรื่องข้าเลยสักนิดแล้วมาตอนนี้เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยเนี่ยนะ?

 

“ความจริงก็คือ ข้ามีความแค้นฝังลึกกับคนในราชวงค์ของมหาจักรวรรดิโจวเจ้าค่ะ”

 

ฮวงเหลี่ยนชินยังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าโจวฉวนอีกำลังคิดบางอย่างอยู่

 

กับคนในราชวงศ์ของมหาจักวรรดิโจวงั้นหรอ?

 

“อ้อ?” โจวฉวนจีหรี่ตาลงก่อนจะถามว่า “คนไหนในราชวงศ์ของมหาจักรวรรดิโจวล่ะ”

 

“โจวหยาหลงเจ้าค่ะ!” ฮวงเหลี่ยนชินกัดฟันของนางพลางพูดต่อว่า “เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก โจวหยาหลงได้มายังเมืองที่ข้าอาศัยอยู่แต่เขากลับเสียสติจากการฝึกวรยุทธและ ไล่ฆ่าคนทั้งเมืองพ่อของข้าได้ซ่อนข้าไว้ในห้องใต้ดิน ข้าเลย รอดมาได้เจ้าค่ะ”

 

“ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเพลิงโหมกระหน่ําและซากศพเกลี่อนกลาด… ข้าไม่มีทางลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย…”

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจ โจวหยาหลงเสียสติจากการฝึกวรยุทธเนี่ยนะ?

 

ทําไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลย?

 

แต่หลังจากที่ลองคิด ๆ ดูมันก็ดูมีเหตุผลอยู่ถ้าข่าวแบบนี้แพร่กระจายออกไป มันจะต้องส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโจว หยาหลงแน่นอนเพราะงั้นก็เป็นไปได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่ง ที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะถูกปิดบังเอาไว้

 

มีเมืองอยู่มากมายในมหาจักรวรรดิโจว การทําลายแค่เมีอง ๆ เดียวยังไงก็ไม่ได้มีผลกระทบสําคัญอะไรต่อทั้งจักรวรรดิอยู่แล้ว

 

“แต่นั่นคือ โจวหยาหลง เลยนะ เจ้าอยากให้ข้าไปตายรีไง?”

 

โจวฉวนจีดูจะไม่แยแสนักขณะที่พูดเจียงฮือนน้อยมองไปยังฮวงเหลี่ยนชิ้นด้วยความระแวง

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่เธอถูกพวก 17 อสูรวายุทองคําจับตัวไปเธอก็เคยได้ยินตํานานเกี่ยวกับโจวหยาหลงมาเหมือนกัน

 

โจวหยานั้นมีพลังที่มากกว่าจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ เสี่ยวจิงงนัก

 

ที่สําคัญกว่านั้น เขาก็มีแนวโน้มจะได้สืบทอดเป็นองค์จักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิโจวด้วยและทั่วทั้งมหาจักรวรรดิโจวก็จะตกไปอยู่ในกํามือเขา

 

จักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิโจวนะ ยังมีอํานาจมากกว่าราชวงศ์ปีศาจกู่หลานเสียอีก

 

ฮวงเหลี่ยนชินเงยหน้าขึ้นและพูดตอบ “เพราะว่าท่านนั้นมีพรสวรรค์มากเป็นไหน ๆ ข้าได้เห็นมากับตาตนเองแล้วว่าถึงท่านจะยังอายุไม่ถึง 10 ขวบแต่ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว จริง ๆ และด้วยพรสวรรค์ของท่านแล้วข้าแน่ใจว่าท่านจะต้องต่อกรกับโจวหยาหลงได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

 

โจวฉวนจีขมวดคิ้วและถามขึ้นมา “แล้วเจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าข้าอายุน้อยกว่า 10 ขวบน่ะ?”

 

ฮวงเหลี่ยนชินตอบด้วยความจริงใจว่า “ข้ามีความสามารถพิเศษตั้งแต่จําความได้ ข้าก็สามารถมองทะลุชีพจรสําคัญทั่วร่างและกระดูกของมนุษย์ได้เจ้าค่ะและจากประสบ กาณ์ของข้า ข้าเลยตัดสินอายุของท่านจากกระดูกได้ว่าท่านมีอายุไม่ถึง10 ปีเจ้าค่ะ”

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเจียงฉือน้อย

 

สายตาที่มองทะลุได้งั้นหรอ?

 

โจวฉวนจีมองนางด้วยความชื่นชม นางคนนี้ช่างโชคดีซะจริง

 

ถ้านางมีความสามารถแบบนั้นจริง งั้นนางก็มีค่าพอที่จะเลี้ยงดู

 

เขาก็ได้ทาสจอมกระบี่มาด้วยแล้ว ทําไมเขาจะมีเพิ่มอีกสักคนไม่ได้ล่ะ?

 

ยังไงเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวในอนาคตด้วยอยู่ดี เพราะงั้นมันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องสู้กับโจวหยาหลงด้วย

 

ในเวลานั้น ฮวงเหลี่ยนชินก็มั่นใจว่าเขาจะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอน

 

เขาบ่นพึมพํา “ลุกขึ้น แล้วตามพวกข้ามา”

 

เมื่อนางได้ยินแบบนั้น ฮวงเหลี่ยนชินก็เงยหน้าขึ้นด้วย ความดีใจ

 

เจียงฉือน้อยเบิกตากว้าง และเริ่มมโนถึงเรื่องที่โจวฉวนจีเคยบอกว่าอยากจะมีภรรยาสวย ๆ และนางสนมมารายล้อมเขาเยอะ ๆ ตอนโตเธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีก่อนจะ หยิกเอวของโจวฉวนจี

 

ซี้ดดด

 

โจวฉวนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเพราะฮวงเหลี่ยนซินอยู่แถวนี้เขาเลยไม่กล้าร้องเจ็บออกมาและได้แต่ทนเอา

 

และแล้วฮวงเหลี่ยนชิน จึงได้กลายมาเป็นสาวใช้ของเขา

 

หลังจากออกมาจากเมืองกลืนเมฆา ทั้ง 3 ก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไป

 

ฮวงเหลี่ยนชินซื้อรถม้ามาด้วยเงินของนางเอง เพื่อให้โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยได้รักษาบาดแผลของตนเองกันด้วยท่าทางที่ดูจะเข้าใจกันแบบนี้นางเลยเอาชนะใจเจียงอน้อยได้

 

นางคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะเนี่ย

 

เมื่อโจวฉวนจีมองไปยังทั้งสองที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเขาก็ถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ ช่างเป็นเด็กสาวที่ซี่ อซื้ออะไรขนาดนี้นะดูเหมือนว่าเขาจะต้องคอยจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดซะแล้วไม่งั้นมีหวังเธอคงโดนใครก็ไม่รู้จับ ตัวไปขายแหง

 

2 วันต่อมา พวกเขาก็ได้มาถึงอีกเมืองหนึ่งและตอนนี้ใจวฉวนจีก็ฟื้นตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย

 

ส่วนทางด้านร่างกายของเจียงฉือน้อยอาจจะยังไม่ดีขึ้นเท่าเขาเธอเลยยังมีเดินกะเผลกอยู่บ้าง แต่ก็โชคดีที่ฮวงเหลี่ยนชินคอยอยู่ด้วยดูแลเธอให้

 

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองแล้ว ก็เริ่มซื้อข้าวของที่จําเป็นเช่นอาหารหรือวัสดุต่าง ๆ

 

โจวฉวนจีเองก็เขียนเนื้อย่างจืดๆที่ไม่ใส่เกลือเต็มทนแล้ว

 

8 วันต่อมา

 

พวกเขาก็มาถึงยังขอบชายแดน จากที่ไกล ๆ โจวฉวนจีก็มองเห็นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยืนอยู่ที่ประตู

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็เห็นพวกเขาเหมือนกันและเริ่มรู้สึกตื่นเต้นทันที

 

ในตอนนั้น โจวฉวนจีถอดหน้ากากออกไปแล้วแต่เขายังจําเจียงฉือน้อยได้

 

เขาไม่ได้ตกใจอะไร แต่คอยเฝ้ามองอยู่เงียบๆขณะที่โจวฉวนจีกําลังเดินผ่านไป

 

“จี ๆ เจ้าได้ยินข่าวยัง? เทพกระบี่โจวตอนนี้ขึ้นตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจวแล้วนะ!”

 

“มันแน่อยู่แล้วสิ ฆ่าได้ตาแก่ชิงแถมยังทําลายกายหยาบของเจ้าชายปีศาจได้อีก จะไม่ดังได้ไงล่ะ?”

 

“ใช่ ๆ! แม้แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังก้มหัวให้เขาด้วย”

 

“หลังจากการต่อสู้ที่เมืองกลืนเมฆา เทพกระบี่โจวก็ดังไปทั่วมหาจักรวรรดิโจวแล้ว”

 

“ละข้าได้ยินมาว่าเทพกระบี่โจวมีร่างกายเป็นคนแคระเนี่ยจริงดิ?”

ขณะที่พวกกําลังผ่านประตูเมืองไปโจวฉวนจีก็ได้ยินเสียงยามเฝ้าประตูพูดคุยกันเกี่ยวกับเทพกระบี่โจว

 

เมื่อรู้ว่าตัวเองกําลังเสียเปรียบอยู่ ฉวงฮัยเฉิงก็อยากจะหนีไปในทันที

พร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ในมือ เขาก็รีบหันกลับและหนีไป ทําให้โจวฉวนจีฟันพลาดอีกครั้ง

เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ และเหยียบลงบนกลุ่มก้อนลมสีดําที่ปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา ก่อนที่เขาจะเอาชายหนุ่มหน้าตาดีบินหนีออกจากเมืองไปพร้อมกับเขาด้วย

เมฆาตามบัญชามังกร สายลมตามบัญชาพยัคฆ์

“เทพกระบี่โจว วันนี้เจ้ากล้าสังหารทาสของข้า ซักวันข้าจะกลับมาทําลายทุกสิ่งทุกอย่างข้างกายเจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

ฉวงซุ้ยเฉิงคํารามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเสียจนดัง ก้องไปทั่วฟากฟ้าเมืองกลืนเมฆา และความเงียบก็เข้าปกคลุมเมืองที่พังทลาย

ปีศาจที่ทรงพลังขนาดนั้นยังต้องหนีเทพกระบี่โจวงั้นหรอ?

ตั้งแต่ที่ฉวงฮัยเฉิงเริ่มโจมตีเมืองกลืนเมฆาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ํา

และมีคนอีกเป็นแสนที่ยังหนีออกจากเมืองไม่ได้
ในตอนนี้ ผู้คนต่างรู้สึกเหมือนฝันไปเมื่อได้ยินคําพูดของฉวงซุ้ยเฉิง

“แกจะไม่มีโอกาสแบบนั้นแน่!”

โจวฉวนจีตะโกนกลับไปด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา ก่อนที่เสียงบินตัดผ่าอากาศเหนือท้องฟ้าเมืองกลืนเมฆา

ดาบราชาโลกันตร์พุ่งตรงไปยังเจ้าชายปีศาจราวกับกระสุน มันเร็วมากเสียจนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ฉวก!

ดาบราชาโลกันตร์เสียบทะลุหน้าอกฉวงฮุ้ยเฉิง และลมปีศาจที่อยู่รอบตัวเขาก็สลายไปในทันที

เขาเบิกตากว้างขณะมองไปยังดาบราชาโลกันตร์ที่พุ่งทะลุผ่านตัวเขาไป เขาตกอยู่ในความสับสน

“เมื่อกี้เขาใช้วิชาดาบอะไรกัน…”

ร่างของเขาร่วงตกลงมา มือขวาของเขาคลายออกโดยไม่รู้ตัว และปล่อยให้ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นก็ร่วงตกลงมาพร้อมกัน

ต่างจากฉวงฮุ้ยเฉิง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

นี่เขากําลังจะร่วงตกไปตายอย่างงั้นหรอ?

ในตอนนั้นเอง โจวฉวนจีก็บินขึ้นไปพร้อมกับดาบของเขา

เด็กหนุ่มรู้สึกมีความหวัง เทพกระบี่โจวมาช่วยเขาจริงๆ

เทพกระบี่โจวผู้มีเมตตาและความเที่ยงธรรม เขาเป็นอย่างที่เคยได้ยินจริงๆด้วย

โจวฉวนกระโดดลงมาจากดาบมังกรสีชาดก่อนจะเหยียบลงบนหลังของฉวงฮุ้ยเฉิงก่อนจะบินทิ้งดิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว โดยมีหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ข้างๆ

ตลอดเวลานั้น โจวฉวนจีไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักนิด

ชายหนุ่มคนนั้นรู้สึกตกอยู่ในความสิ้นหวังทันที

ตู้มมมมม!

พร้อมกับฉวงซุ้ยเฉิงที่อยู่ใต้เท้าของเขา โจวฉวนจีก็กระแทกลงกับพื้นถนนและทําลายพื้นข้างล่างจนแตกไม่มีชิ้นดี เลือดกระจายไปทั่วพื้นที่ ด้วยความหวาดกลัว เหล่าฝูงชนและจอมยุทธมากมายก็รีบถอยห่างออกอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ํา

ในพริบตาเดียว โจวฉวนจีก็ตัดหัวของฉวงฮัยเฉิงออกจนเลือดพุ่งออกมาจากคอของเขา

โชคดีของชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น เขาร่วงลงบนต้นไม้ยักษ์ข้างๆ และไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงอะไร

โจวฉวนจีเรียกดาบคลื่นเหมันต์ขึ้นมาในมือขวา ก่อนจะแทงเข้าไปที่หัวใจของเจ้าปีศาจซ้ําหลายสิบครั้ง

เท้าของเจ้าชายปีศาจกระตุกหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็หยุดเคลื่อนไหวไป

โจวฉวนจีหยุดลง และค่อยๆลุกขึ้นหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเจ้าชายปีศาจตายแล้วจริงๆ

ในตอนนี้ เขายังคงสวมวิญญาณราชาโลกันตร์อยู่ และราชาโลกันตร์ก็กําลังสูบปราณพลังชีวิตของฉวงฮัยเฉิงออกมาพลางอ้าแขนกว้างรับ ราวกับปีศาจที่น่าเกรงขาม

ขณะที่ทุกคนกําลังมองไปยังโจวฉวนจีที่ยังคงเหยียบอยู่บนร่างของเจ้าชายปีศาจ ทุกคนที่อยู่บนถนนต่างก็ตกตะลึงและสั่นกลัวในสิ่งที่เห็น

ปีศาจที่ทรงพลังขนาดนั้นตายแล้วจริงๆน่ะหรอ?

ดาบราชาโลกันตร์บินลอยกลับไปข้างโจวฉวนจําอย่างรวด

เขาฉีกเสื้อของเจ้าชายปีศาจออก ก่อนจะเอามันมาเช็ดเลือดที่เปื้อนดาบคลื่นเหมันต์และดาบราชาโลกันตร์

เขามองลงไปยังเจ้าชายปีศาจด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป

ในตอนนั้นเอง คลื่นแสงสีขาวก็ยิงพุ่งออกมาร่างของเจ้าชายปีศาจ และหายวับไปบนท้องฟ้า

แต่โจวฉวนจีไม่ทันสังเกตเห็น

เหล่าจอมยุทธและฝูงชนมากมายที่อยู่รอบๆ ต่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาตื่นเต้นและเริ่มโห่ร้องตะโกนเรียกชื่อเทพกระบี่โจว

“ท่านเทพกระบี่โจว! ท่านเทพกระบโจว!”

“เท่สุดๆไปเลย! ปีศาจที่ทรงพลังขนาดนั้นก็ยังไม่เทียบเท่ากับเทพกระบี่โจวเลย!”

“เขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเลยด้วยซ้ํา!”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมเขาถึงกล้าเรียกตัวเองว่าเทพกระบี่น่ะ”

“เขาคือวีรบุรุษแห่งเมืองกลืนเมฆาของพวกเรา!”
“เขาทรงพลังสุดๆ เมื่อกี้เจ้าเห็นแววตาของเขาเมื่อกี้มั้ย? นั่นแหละจิตวิญญาณที่ข้าตามหาเลยล่ะ!”

ผู้คนต่างตื่นเต้นกันสุดๆ จนบางคนถึงกับหลั่งน้ําตาออกมาด้วยความดีใจ

ในเมื่อฉวงฮัยเฉิงตายแล้ว พวกเขาก็ไม่จําเป็นต้องหนีออกจากเมืองกลืนเมฆาอีกต่อไป ยังไงซะเมืองแห่งนี้ก็เป็นบ้านของพวกเขา

ดูเหมือนโจวฉวนจีจะนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะรีบหันกลับไปและค้นทั่วร่างของเจ้าชายปีศาจ

และแล้ว เขาก็เจอแหวนเก็บของ 2 วง และกระเป๋าเก็บของ 3 ใบ
หลังจากที่เก็บทั้งหมดใส่สุดยอดช่องเก็บของ เขาก็บินกลับไปโดยใช้ดาบของเขาและไปยังที่ๆเจียงฉือน้อยอยู่

ผู้สูงอายุบางคนถึงกับคุกเข่าลงเคารพเขาเมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจีบินจากไป ราวกับว่าพวกเขากําลังเคารพบูชาเทพเจ้า

ชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่บนต้นไม้ จ้องมองไปยังเขาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอยู่ภายในใจ

“เออ พี่ชาย พอจะช่วยข้าหน่อยได้มั้ย?”

ช่างน่าเสียดายที่เขาพูดออกมาไม่ทัน เขาเลยไม่ได้เรียกให้เทพกระบี่มาช่วย

โจวฉวนจีรีบกลับไปหาเจียงฉือน้อย และปลดวิญญาณราชาโลกันตร์ออกจากร่าง เขาทรุดเข่าลงก่อนจะนั่งลงข้างเจียงฉือน้อย

“เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เจียงฉือน้อยถามด้วยความกังวลทั้งดวงตาที่แดงก่ํา

โจวฉวนจีรู้สึกอ่อนแรง และพลังวิญญาณแห้งเหือด อวัยวะภายในของเขาตอนนี้มันปวดร้าวไปหมด

เขาหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “ผลข้างเคียงมันหนักสุดๆเลยล่ะ”

เจียงฉือน้อยรีบหยิบยาออกมาและป้อนให้เขา

บนสนามฝึก จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองไปยังโจวฉวนจีด้วยความตื่นเต้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความร้อนแรง

เทพกระบี่โจวฆ่าฉวงฮุ้ยเฉิงและตาแก่ชิงแล้วจริงๆ!

ไม่อยากจะเชื่อเลย!

จางหรูหยูวิ่งไปหาโจวฉวนจีด้วยความตื่นเต้น

แต่เจียงฮือน้อยก็รีบหยิบพัดอัคคีออกมา เพื่อจะใช้พัดกั้นทางเอาไว้

เขาหยุดลงตรงหน้าเธอก่อนจะโบกมือให้ และพูดว่า “นี่ข้าเอง! พวกเราเคยเจอกับที่ป้อมปราการเงาภูผาแล้วครั้งนึ่งไง! ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก! เทพกระบี่โจวเป็นถึงจอมยุทธทรงพลังที่ข้าเคารพเชียวนะ พอดีข้ามียาบางอย่างที่พอจะช่วยเขาฟื้นพลังวิญญาณได้นะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หยิบขวดหยกเล็กๆออกมา 2 ขวด

เจียงฉือน้อยระแวงสุดๆ และไม่คิดจะรับมันไว้

จางหรูหยูเลยโยนทั้ง 2 ขวดไปให้ใบหน้าของเขา เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจและดีดสุดๆ ราวกับคนที่พึ่งเสพยามา

โจวฉวนจีหยิบขวดเล็กๆขึ้นมา และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “จิตวิญญาณแห่งดาบ นี่เป็นยาพิษรึเปล่า?”

“มันไม่ใช่ยาพิษ นี่คือยาฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างแน่นอน และมันค่อนข้างจะมีประโยชน์กับท่านในสถานการณ์เช่นนี้”

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ และโจวฉวนจีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

โดยไม่พูดอะไรต่อ เขาก็เปิดขวดออกและกินยาทันที

เจียงฮือน้อยเบิกตากว้างและถามขึ้นมา “นี่เจ้าเชื่อใจเขามากขนาดนั้นเลยหรอ?”

กลับกัน จางหรูหยูก็รู้สึกดีใจสุดๆ ราวกับว่าตนเองเลื่อนขึ้นระดับบรรลุญาณได้เลยทีเดียว

โจวฉวนจีพูด “ข้าตรวจสอบได้ว่ามันมีพิษรึเปล่าน่ะ”

จางหรูหยูมั่นใจสุดๆ เทพกระบี่นั้นทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!

หลังจากนั้นไม่นาน โจวฉวนจีก็ขอให้เจียงฉือน้อยกินยาด้วย

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเฉิงเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ก็รู้สึกลังเลว่าจะเดินหน้าต่อไปดีหรือไม่

ในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ถึงเงาที่อยู่เหนือบ้านพักอาศัยของท่านเจ้าเมือง

“นั่นเขานี่”

ด้วยความหวาดกลัว เสียวเฉิงเฟิงก็รีบถอยออกมา

บ้านพักของท่านเจ้าเมืองนั้นหันหน้าเข้าสนามฝึกโดยตรง และบนหลังคามีใครบางคนที่ดูมั่นใจยืนอยู่อย่างสันโดษ

เขาคือ เสี่ยวจิงหง นั่นเอง

จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์มองไปยังอาจารย์ของตนที่กําลังรักษาตัวอยู่ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มใจสุด ๆ

อาจารย์ตัวน้อยที่เคารพของเขานั้นแข็งแกร่งโดยแท้จริง และคงจะเหนือกว่าเขาได้ภายในไม่กี่สิบปี

เสี่ยวจิงหงเหลือบมองไปที่ตรอกแห่งหนึ่ง ก่อนจะเห็นเสี่ยวเฉิงเฟิงอยู่ตรงนั้น ประกายแสงเย็นวาบส่งผ่านมาทางสายตาของเขา และเขาก็หายตัวไปทันทีจากบนหลังคา ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน

หลังจากนั้นสักพัก เหล่าฝูงชนและจอมยุทธมากมายก็เริ่มมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานั้นไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับโจวฉวนจี และเริ่มเข้าไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บแทน

แม้แต่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังได้รับการช่วยเหลือ ยังไงซะก็ยังคงมีคนอีกมามากที่ยังเคารพเขาอยู่

หลังจากที่โจวฉวนจีฟื้นพลังวิญญาณบางส่วนคืนมาได้แม้ร่างกายจะยังบาดเจ็บอยู่ เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและตั้งใจจะจากไปพร้อมเจียงฉือน้อย

ตอนนั้นเอง จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ผลักคนที่กําลังช่วยเหลือเขาอยู่ออกไป ก่อนจะฟาดหน้าผากตัวเองลงพื้นอย่างแรง

เขาตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทําได้ “ท่านเทพกระบี่โจว! ได้โปรดขอให้ข้าได้เป็นทาสของท่านไปชั่วชีวิต! ได้โปรดกรุณาพาข้าไปด้วย! และได้โปรดสอนวิชาดาบให้แก่ข้าด้วยเถิด!”

ในช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างหันมามอง และสายตาจํานวนนับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปยังเขา

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 41 : ดาบปีศาจแผลงฤทธิ์เดช

 

ถึงแม้เงาของราชาโลกันตร์จะค่อนข้างพร่ามัว แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความร้ายกาจที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

 

จู่ ๆ ตาแก่ซิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะราชาโลกันตร์ เขาเลยถามขึ้นมาว่า “ไอหนู นั่นมันอะไรน่ะ?”

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงมองไปยังโจวฉวนจีด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้ แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของโจวฉวนจีได้

 

หนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเบิกตากว้าง และตกอยู่ในความงุนงง

 

จางหรูหยูและเสี่ยวเฉิงเฟิงที่แอบซ่อนตัวอยู่ก็รู้สึกตกใจด้วยเหมือนกัน

 

เหล่าผู้คนที่บาดเจ็บอยู่ต่างจ้องมองไปยังโจวฉวนจี เมื่อพวกเขาเห็นถึงท่าทางที่ผ่าเผยของโจวฉวนจีในตอนนี้ ก็แอบคิดกันว่าบางทีเขาอาจจะเอาชนะวิกฤตในครั้งนี้ได้ก็ได้

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงฉือน้อยเห็นโจวฉวนจีสวมวิญญาณราชาโลกันตร์ แต่เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า เขาที่ตอนนี้สวมวิญญาณราชาโลกันตร์อยู่ จะเอาชนะฉวงฮัยเฉิงและตาแก่ชิงได้หรือเปล่า

 

เธอไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง และพยายามอดทนรักษาบาดแผลของตนเอง

 

หลังจากที่ราชาโลกันตร์เข้าครอบงําแล้ว โจวฉวนจีก็ เริ่มมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม

 

เขายิ้มอย่างพึงพอใจ ภายใต้หน้ากากสีเงินนั้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและหยิ่งผยอง

 

ตาแก่ชิงเริ่มรู้สึกใจสั่นเมื่อได้เห็นแววตาของเขา

 

ไอเด็กนี่มันใช้คาถาลับอะไรกัน?

 

เขาอยากที่จะถามต่อ แต่โจวฉวนจีก็พุ่งตรงไปข้างหน้าทันทีด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

 

ประกายแสงสว่างวาบออกมาจากดาบของเขา!

 

รูม่านตาของตาแก่ชิงขยายกว้างทันที ก่อนที่เขาจะเห็นปราณกระบี่สีดําจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาทางเขา

 

ฟึบบบบ!

 

โจวฉวนจีหยุดลงที่ด้านหลังของตาแก่ชิง ปราณกระบี่ของเขาตัดผ่านลงมาในแนวนอน และกวาดเศษซากบ้านที่อยู่รอบตัวพวกเขาและฝุ่นจํานวนนับไม่ถ้วน

 

เลือดพุ่งกระจายออกมาจากร่างของตาแก่ชิงและ ไหลท่วมนองพื้น

 

ทุกคนถึงกับอ้าปากตาค้างเมื่อได้เห็น

 

แม้แต่ฉวงซุ้ยเฉิงก็ยังพูดขึ้นอย่างตกใจพลางเบิกตากว้าง “เป็นไปได้ยังไง…”

 

โจวฉวนจีอยู่แค่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 6 เท่านั้น แล้วเขาทําให้ตาแก่ชิงที่อยู่ถึงระดับ 4 ขั้นที่ 9 บาดเจ็บได้ยังไงกัน?

 

ระดับวรยุทธของเผ่าปีศาจนั้นไม่หลากหลายเท่าของมนุษย์ โดยจะแบ่งแค่ระดับที่ 1 – 9 เท่านั้น

 

ในแต่ละระดับนั้นเทียบเท่ากับระดับวรยุทธของมนุษย์ในแต่ละขั้น

 

ฉะนั้นระดับ 4 ขั้นที่ 9 จึงเทียบเท่ากับระดับบัวภายในขั้นที่ 9 นั่นเอง

 

สังหารศัตรูที่ระดับสูงกว่าถึง 2 ระดับเนี่ยนะ?

 

เดี๋ยวก่อนนะ!

 

ดาบนั้น!

 

มันต้องเป็นดาบปีศาจแน่ ๆ

 

สายตาของฉวงฮัยเฉิงจ้องมองไปยังดาบราชาโลกันตร์ที่อยู่ในมือของโจวฉวนจี

 

มีอาวุธมากมายนับไม่ถ้วนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ก็มีบางอาวุธที่มีวิญญาณสิงสู่อยู่ โดยวิญญาณเหล่านั้นอาจจะเป็นวิญญาณเทพ วิญญาณเซียน หรือแม้แต่วิญญาณปีศาจก็ได้

 

และวิญญาณปีศาจนั่นกระตุ้นพลังวรยุทธของ โจวฉวนจีออกมาอย่างมหาศาลชั่วคราว เพื่อให้เขากวัดแกว่งพลังขนาดนั้นได้

 

ตาแก่ชิงค่อย ๆ คุกเข่าลงอย่างช้า ๆ พลางตัวสั่นเทา เขากลับคืนสู่ร่างกระรอกตัวใหญ่และตัวท่วมไปด้วยเลือด แขนขาของเขากระตุกขณะที่วางยันพื้น

 

“เป็นไปไม่ได้…นั่นมันดาบแบบไหนกัน…เป็นไปไม่ได้…”

 

ตาแก่ชิงพูดซ้ําแล้วซ้ําเล่าด้วยน้ําเสียงอันสั่นเครือ และค่อย ๆ เบาลง และเบาลง จนในที่สุดเสียงของเขาก็หายไปก่อนจะหยุดหายใจ เขานอนแน่นิ่งไปแล้ว…

 

ณ บนสนามฝึก

 

ดวงตาของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเบิกกว้าง เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับว่าเขาได้เห็นวิชาดาบในตํานาน

 

“วิชาดาบนั่น… นั่นเป็นวิชาดาบที่ข้าแสวงหามาตลอด…ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง…ทั้งโลกามิอาจมีผู้ใดเทียม”

 

เขาลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น และสัมผัสได้ถึงความสุขที่เขาไม่เคยมีมาก่อน

 

เขาจะไม่มีวันลืมท่วงท่าดาบที่เขาพึ่งได้เห็นไปอย่างแน่นอน

 

โจวฉวนจีเดินตรงไปยังฉวงฮัยเฉิงพร้อมกับดาบในมือของเขา ปลายดาบนั้นสร้างเสียงแหลมที่เสียดแทงหูขณะที่ถูกลากไปกับพื้น

 

เขาจ้องมองไปยังฉวงฮัยเฉิง และพูดด้วยน้ําเสียงที่เย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้ากล้าทําร้ายเธอ ข้าจะทําให้เจ้าต้องชดใช้!”

 

เจ้าชายปีศาจไม่ได้เสียศูนย์เพราะการตายของตาแก่ชิงแต่อย่างใด แต่กลับตะโกนกลับพลางขมวดคิ้วแทน “การที่เจ้ากล้าใช้ดาบปีศาจแบบนั้น เจ้าไม่กลัวที่จะสูญเสียจิตใจ และตกลงไปอยู่ในวิถีแห่งปีศาจเลยรึไงกัน?”

 

“ต่อให้ข้าจะกลายเป็นปีศาจ แต่ข้าก็จะฆ่าเจ้าให้ได้!” โจวฉวนจีพูด

 

น้ําเสียงของเขานั้นฟังดูแล้วช่างอ่อนโยน แม้จะเต็มไปด้วยจิตสังหารก็ตาม

 

ตู้มมมมม!

 

เขากระทืบเท้าขวาและทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนพื้น ด้วยดาบราชาโลกันตร์ในมือเขานี้ เขากระโดดขึ้นไป และพุ่งแทงตรงมายังฉวงฮัยเฉิง

 

จิตดาบสะบั้นสามชีพจร!

 

ในตอนนี้ ในสายตาของเขา ช่องโหว่ในการป้องกันของฉวงฮุ้ยเฉิงได้เผย ออกมาให้เห็นแล้ว

 

การเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ตัวน้อยที่กําลังพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าดีเดือดนั้น ไม่ได้ทําให้ฉวงฮัยเฉิงสูญเสียความเยือกเย็น แต่อย่างใด ก่อนจะโต้การโจมตีด้วยฝ่ามือกลับ

 

พลังปีศาจกลับกลายเป็นพยัคฆ์ขาวยักษ์ที่กู่คํารามขณะพุ่งออกมาจากมือของเขา พลังของมันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมือง

 

โจวฉวนจีแทงทะลุพยัคฆ์ขาวนั้นด้วยดาบของเขา และปลายดาบของเขาก็จ่อไปที่หน้าผากของฉวงฮัยเฉิง

 

เจ้าชายปีศาจเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

 

แต่การโจมตีนั้นก็ไม่อาจถึงตัวเจ้าชายปีศาจได้ เขากระโดดถอยกลับมาพร้อมกับหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ในมือ และหลบการโจมตีได้

 

โบ้มมม!

 

พื้นที่อยู่ด้านล่างนั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ จากการระเบิดของปราณกระบี และปัดกวาดเศษหินมากมาย

 

ดวงตาของโจวฉวนจีเปล่งประกาย ราวกับแสงที่สะท้อนมาจากใบดาบ เขากระโดดขึ้นอีกครั้งทันทีที่ลงถึงพื้น และพุ่งไล่ตามตรงไปยังเจ้าชายปีศาจ

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงรู้สึกโกรธมาก ไอเด็กนี่มันตั้งใจจะฆ่าเขาจริง ๆ!

 

มือซ้ายของเขากลายเป็นกรงเล็บเสือในทันที และฟาดไปทางจอมกระบี่ตัวน้อยจากระยะไกล คลื่นพลังปราณที่รุนแรงจํานวนหลายเส้นฟาดตรงไปยังโจวฉวนจี

 

โจวฉวนจีเหวี่ยงดาบราชาโลกันตร์เพื่อปัดป้องปราณปีศาจอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ดาบเด็ดสุกรก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขาทันที

 

เขาเหยียบลงบนดาบเด็ดสุกร ก่อนจะใช้แรงส่งจากดาบใช้ 8 ก้าวทะลวงกระบี่พุ่งไปอย่างรวดเร็ว และโถมเข้าใส่เบื้องหน้าของเจ้าชายปีศาจ

 

แกร๊ง!!

 

ดาบราชาโลกันตร์ปะทะเข้ากับกรงเล็บของฉวงซุ้ยเฉิง ประกายแสงสว่างวาบจากการปะทะ แต่ด้วยแรงส่งที่พุ่งมา ทําให้ดาบฟันเข้าไปในเนื้อของเขาจนเลือดทะลักออกมา ฉวงฮุ้ยเฉิง รู้สึกเจ็บแสบไปหมดจนแสดงสีที่บิดเบี้ยว

 

หนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเบิกตากว้างและมองไปทางจอมกระบี่ตัวน้อยที่เข้ามาใกล้เขามาก

 

แววตานั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่ากลัวและเย็นชา แต่ความมุ่นมั่นอย่างแท้จริงปรากฏออกมาให้เห็นผ่านสายตานั่น ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาไม่อาจตัดมันได้

 

และยังความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะฆ่าฉวงซุ้ยเฉิงให้แหลกเป็นชิ้น ๆ อีก

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นรู้สึกเหมือนถูกต้องมนต์สะกด

 

โจวฉวนจียกมือซ้ายขึ้น และดาบมังกรสีชาดก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาฟันตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงมังกรคําราม ฉวงซุ้ยเฉิงรู้สึกตกใจมากจนต้องกระโดดถอยหลังออกมาในทันที

 

ถึงแม้ดาบมังกรสีชาดจะฟันพลาดเป้า แต่วิญญาณมังกรสีชาดก็ปรากฏออกมาพร้อมเสียงคํารามกู่ก้อง มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เจ้าชายปีศาจเพื่อหวังจะกลืนกินเขา

 

ฉวงซุ้ยเฉิงกลายร่างเป็นพยัคฆ์ขาวทันทีและคํารามกลับ คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และทําให้วิญญาณมังกรสีชาดลดความเร็วลงอย่างมาก

 

ในขณะนั้น โจวฉวนจีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าปีศาจพยัคฆ์ทันที ร่างกายของเขาบิดควงไปพร้อมกับดาบราชาโลกันตร์และดาบมังกรสีชาด สร้างลมกรรโชกแรง และฟาดฟันไปยังฉวงฮัยเฉิงราวกับพายุทอร์นาโด

 

แม่งเอ้ย!

 

นี่จะพ่ายง่าย ๆ งี้เลยหรอ?

 

ฉวงฮัยเฉิงรู้สึกโกรธสุด ๆ ดวงตาของเขากลายเป็นสีน้ำตาลและลําแสงสีขาว 2 เส้นก็ยิ่งออกมาจากตาของเขา ผลักโจวฉวนจีให้ถอยออกไป

 

แต่ก่อนที่โจวฉวนจีจะร่วงกระแทกพื้น ดาบเด็กสุกรกลอยมาและรับเขาไว้ได้ จากนั้น เขาก็ใช้แรงส่งจากดาบพุ่งตรงไปยังฉวงซุ้ยเฉิง

 

เมื่อจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเห็นว่า โจวฉวนจีและฉวงฮุ้ยเฉิงกําลังต่อสู้กันอย่างสูสี ทั่วร่างของเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น

 

เหล่าผู้คนที่บาดเจ็บบนพื้นต่างก็เห็นความหวัง

 

“สู้ให้ถึงที่สุดเลย เทพกระบี่โจว…”

 

“ฆ่าเจ้าปีศาจนั่นให้ได้นะ! ขอร้องล่ะ…”

 

“ช่างทรงพลังยิ่งนัก…เขานี่แหละเทพกระบี่ที่แท้จริง…”

 

“ท่านต้องชนะนะ…”

 

“ทําไมกองทัพถึงยังไม่มาอีกนะ?”

 

พวกเขาต่างพยายามเชียร์โจวฉวนจีอย่างเต็มที่ แต่เขากลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่เจ้าชายปีศาจคนเดียว

 

ยิ่งมองไปที่เจ้าชายปีศาจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น

 

ความโหดเหี้ยมสุดแสนจะพรรณนาได้ท่วมท้นภาย ในจิตใจของเขา เขาต้องฉีกฉวงฮัยเฉิงเป็นชิ้นๆ ให้ได้

 

จากที่ไกล ๆ ขณะที่เจียงฉือน้อยกําลังเชื่อมกระดูกที่หักของตัวเองด้วยพลังวิญญาณ เธอก็มองไปยังโจวฉวนจี

 

การสวมวิญญาณราชาโลกันตร์มันทําให้โจวฉวนจีดูราวกับ เป็นปีศาจ แต่ในสายตาของเธอ เขาก็ยังคงเป็นเสาหลักทางใจของเธอเสมอ

 

“แข็งแกร่งสุดๆ …ฉวงฮัยเฉิงเป็นถึงปีศาจระดับ 4 ขั้นที่ 10 แถมยังมีพรสวรรค์ทางสายเลือดอีกนะ เขาแทบจะไร้คู่ต่อสู้ในระดับ 4 เลยด้วยซ้ําไป…”

 

เสี่ยวเฉิงเฟิงบ่นพึมพํากับตัวเอง ในตอนนี้ เขารูลึกลังเลเล็กน้อย

 

อย่างเทพกระบี่โจวเนี่ย เขาจะชวนมาเข้าพวกด้วยได้จริง ๆ หรอ?

 

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง…

 

ท่วงท่าดาบคู่ของโจวฉวนจีนั้นเร็วขึ้นและเร็วยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ราวกับปีศาจคลั่ง เขาฟันเขาไปยังฉวงฮัยเฉิง

 

ถึงการโจมตีของเขาจะดูมั่วไปหมด แต่เขาก็ยังไม่ได้ปลดจิตดาบสะบันสามชีพจร

 

ดังนั้นถ้าเขาฟันโดนฉวงฮัยเฉิงได้ล่ะก็ มันจะทําลายเส้นชีพจรสําคัญทั่วร้างของเจ้าชายปีศาจอย่างแน่นอน

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน…นี่มันคาถาปีศาจแบบไหนกันแน่…”

 

ฉวงฮัยเฉิงคิดอย่างหวาดกลัวขณะที่ป้องกันการโจมตีที่กําลังจะมาถึง ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาต้องแย่แน่ ๆ

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 40 : ถามดาบในมือข้าก่อนสิ

 

สีหน้าของฉวงฮุ้ยเฉิงเหี้ยมโหดขึ้นมาทันทีที่ยินคําสบถที่เต็มไปด้วยความโกรธของโจวฉวนจี แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

ตาแก่ชิงถึงกับโกรธทันทีเมื่อได้ยิน จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็สูงขึ้น และกล้ามเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้นจนเสื้อผ้าแทบฉีกขาด เขาจ้องมองไปยังโจวฉวนจีและพูดว่า “กล้าดียังไง! เจ้ากล้าดียังไงบังอาจมาดูถูกนายน้อย…นี่เจ้าอยากตายนักใช่มั้ยห้ะ?”

 

ถึงแม้เทพกระบี่โจวจะมีพรสวรรค์มาก แต่อะไรคือเหตุผลที่ทําให้สุนัขตัวนี้มันเลี้ยงไม่เชื่องกันนะ?

 

“ฉวนจี… ระวังตัวด้วยนะ…” เจียงฉือน้อยพูดเตือนเขา

 

เธอได้เห็นมากับตาตัวเองถึงสิ่งที่ฉวงฮุ้ยเฉิงได้ทําลงไป เขาเป็นเหมือนกับปีศาจจริง ๆ

 

ในสายตาของเธอ โจวฉวนจียังอ่อนแอเกินกว่าจะล้มฉวงฮุ้ยเฉิงได้

 

แต่เธอก็เลือกที่จะเชื่อในตัวเขา

 

เพราะน้องชายตัวน้อยของเธอมักสร้างปาฏิหาริย์ให้เห็นเสมอยังไงล่ะ

 

ภายใต้หน้ากากสีเงิน สายตาของโจวฉวนจีแทบลุกเป็นไฟด้วยความโกรธและเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

ในโลกใบนี้เจียงฉือน้อยคือคนสําคัญที่สุดสําหรับเขา เขาไม่เคยใช้กําลังกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว นับประสาอะไรกับตีเธอ

 

เพราะงั้นการที่ต้องมาเห็นเธอบาดเจ็บแบบนี้ เขาเลยรู้สึกแย่สุด ๆ จนถ้าทําได้เขาก็อยากจะเจ็บแทน

 

ในตอนนี้ เขาลืมความกลัวทั้งหมดที่เคยมีต่อราชวงศ์ปีศาจกู่หลาน

 

ถึงเขาจะต่อกรกับฉวงฮุ้ยเฉิงไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องทํา

 

ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม แต่เขาก็พร้อมที่จะสู้สุดชีวิตกับคนที่มันกล้าทําร้ายเจียงฉือน้อย

 

เขาเดินตรงไปยังฉวงฮุ้ยเฉิงพร้อมกับดาบในมือ ใบดาบที่ถูกลากไปตามพื้นสร้างเสียงแหลมที่ดังจนเสียดหู

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่าไอเด็กคนนี้จะโกรธเขาแค่เพียงเพราะเด็กสาวตัวน้อย ๆ คนเดียว

 

เป็นไปได้มั้ยว่านั่นจะเป็นน้องสาวของเทพกระบี่โจวนะ?

 

เขาลองคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี

 

เขาน่ะชอบพวกมีพรสวรรค์ แต่ความโกรธที่เขามีอยู่ตอนนี้ก็ขัดกับความรู้สึกตนเองเสียเหลือเกิน

 

ขณะนั้นเอง ตาแก่ชิงก็เดินตรงไปยังโจวฉวนจี

 

“ไอเด็กเหลือขอ ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะยอมรับโอกาสที่ข้าอุตส่าห์มอบให้ งั้นก็ตายซะเถอะ!”

 

เสียงหัวเราะของตาแก่ชิงเริ่มน่ากลัวและสยดสยองมากขึ้นรูปลักษณ์ปีศาจของเขาเผยออกมาให้เห็นชัดเจน เมื่อจู่ ๆ เขี้ยวแหลมคม 2 ซี่ก็งอกขึ้นมาจากปากของเขา

 

ณ สนามฝึก จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพยายามจะพูดบางอย่างกับโจวฉวนจี แต่ก็ไม่มีแรงมากพอจะทําได้

 

เขารู้ว่าฉวงฮุ้ยเฉิงนั้นทรงพลังแค่ไหน และโจวฉวนจีไม่มีทางจะเอาชนะเขาได้แน่

 

แต่ถ้าเกิดเทพกระบโจวล้มฉวงฮุ้ยเฉิงได้ล่ะ?

 

ถ้าหากเทพกระบี่โจวมีเรื่องเข้ากับราชวงศ์ปีศาจกู่หลานล่ะก็ เขาต้องไม่รอดแน่ ๆ เว้นเสียแต่เขาจะหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงของมหาจักรวรรดิโจวได้

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ด้านข้างของฉวงฮุ้ยเฉิงและถูกทําให้ขยับไม่ได้อยู่นั้น ก็มองไปยังโจวฉวนจี

 

เขายังจําได้ดีถึงความทรงพลังของเทพกระบี่ก่อนหน้านี้ เทพกระบี่โจวเป็นดั่งแสงสว่างแห่งความหวังอันริบหรีในสายตาของเขา

 

ผู้คนที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วสนามฝึกบ้างก็ยังไม่ตายบ้าง ก็ยังมีชีวิตอยู่ บางคนก็ถูกซากอาคารที่ถล่มลงมาทับเอาไว้ และบางคนก็ล้มนอนลงอยู่กลางถนน

 

ในช่วงเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดต่างฝากความหวังไว้กับจอมกระบีหน้าเด็กคนนั้น

 

ตาแก่ชิงและโจวฉวนจีเข้าใกล้กันมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น

 

แต่เด็กน้อยกลับเมินตาแก่ชิง สายตาของเขาจับจ้องแต่เพียงฉวงฮุ้ยเฉิงเท่านั้น

 

“เทพกระบี่โจว…ล้มมันให้ได้นะ…”

 

เสียงอันอ่อนแรงของคนที่อยู่ใต้ซากบ้านถล่มดังลอยออกมา

 

ปั้งงง!

 

โจวฉวนจีพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยขาขวาของเขาทันที่จนพื้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และพุ่งตรงไปยังฉวงฮุ้ยเฉิง

 

ตาแก่ชิงยกมือขวาขึ้นด้วยความหนักอึ้ง มือของเขากลายเป็นกรงเล็บสัตว์ร้าย และขยายใหญ่ขึ้นจนผิดกับขนาดร่างกาย

 

มันดูราวกับพัดขนาดใหญ่ที่ทุบตรงไปยังโจวฉวนจี การโจมตีด้วยฝ่ามือนั้นรุนแรงมากเสียจนทําให้ภูเขาแตกเป็นเสียงๆ ได้

 

ในตอนที่โจวฉวนจีเกือบจะโดนทุบเข้าใส่ เขาก็พุ่งตรงไปยังด้านหลังของตาแก่ชิงทันทีด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

 

ตู้มมมมม

 

การโจมตีด้วยฝ่ามือของตาแก่ชิงพลาดเป้าและตีเข้ากับพื้น พื้นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และรอยแตกนั้นก็แผ่ขยายเป็นระลอกคลื่นกว้างออกไปราวกับใยแมงมุม

 

ก่อนที่เขาจะทันได้หันกลับไป โจวฉวนจีก็พุ่งตรงกลับไปยัง ฉวงฮุ้ยเฉิงอีกครั้งด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

 

ด้วยดาบราชาโลกันตร์ที่อยู่ในมือ เขาก็เปิดใช้งานจิตดาบสะบั้นสามชีพจรทันที

 

จิตใจของเขาหลอมรวมเข้ากับดาบ!

 

เขาและดาบราชาโลกันตร์ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

ถึงอย่างนั้น ในสายตาของเขา เจ้าชายปีศาจนั้นก็ไร้ซึ่งช่องโหว่อยู่ดี

 

โจวฉวนจีพุ่งแทงตรงไปยังอีกฝ่าย และประกายแสงเย็นวาบก็สว่างจ้าขึ้นมา มากเสียจนชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นต้องหลับตาลง

 

“หึ!”

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงถอนหายใจอย่างเหยียดหยาม ฝ่ามือซ้ายของเขานั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า และคลื่นพลังปีศาจก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา

 

ตู้มมมมม!

 

โจวฉวนจีรู้สึกได้เพียงลมกรรโชกแรงที่พัดออกมาจากอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า การไหลเวียนปราณและเลือดของเขายุ่งเหยิงไปหมดจากการโจมตีนั้น เลือดพ่นออกมาจากปากของเขา และร่างของเขาก็ปลิวลอยออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาด

 

เขาลอยออกไปเหนือหัวตาแก่ชิงไกลหลายสิบหลา และตกลงข้าง ๆ ตัวเจียงฮือน้อย

 

“ฉวนจี!”

 

เจียงฉือน้อยร้องออกมา เธอรีบดันร่างตัวเองขึ้นจากพื้นและพยายามที่จะลุกขึ้น

 

ในตอนนั้นเอง เขาก็กระโดดขึ้นมาทันทีราวกับปลาดีดตัว

 

เขาไม่ได้คายเลือดที่ติดอยู่ในลําคอออกมา แต่กลับกลืนมันลงไปแทน และยังคงมองตรงไปยังเจ้าชายปีศาจด้วยความเดือดดาล

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงมองเขาด้วยความเฉยเมย และพูดว่า “เทพกระบี่โจว ถึงเจ้าจะมีพรสวรรค์ในวิถีแห่งกระบี่มากก็จริง แถมยังมีวัตถุวิเศษขั้นสูงคอยช่วยเจ้าอยู่ด้วย แต่เจ้าก็ยังเป็นแค่จอมยุทธระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 6 อยู่ดี ยังไงเจ้าก็ล้มข้าไม่ได้หรอกนะ”

 

“จงคุกเข่าและหมอบกราบยอมรับความผิดของเจ้าตั้งแต่ตอนนี้เสียเถอะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งสอง”

 

ถ้าพวกเขาเป็นคนอื่นล่ะก็ ฉวงฮุ้ยเฉิงคงจะฆ่าทิ้งไปแล้ว

 

แต่ด้วยพรสวรรค์ในวิถีแห่งกระบี่ของโจวฉวนจีที่มีมากเป็นพิเศษ เขาเลยฆ่าโจวฉวนจีไม่ลง

 

โจวฉวนจีส่งสัญญาณมือบอกเจียงฉือน้อยให้ถอยออกไปห่าง ๆ

 

เขามองลงไปและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “รักษาบาดแผลของเจ้าเสียเถอะ ส่วนเจ้าพวกนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

 

ตาแก่ชิงที่ได้ยินแบบนั้น ก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ เขาพูดกับฉวงฮุ้ยเฉิงว่า “นายน้อย ไอเด็กเวรนี่มันบ้าไปแล้วชัด ๆ ! เขาอยากจะฆ่าท่านด้วยซ้ํา เพราะงั้นปล่อยให้ข้าได้กินมันด้วยเถอะ!”

 

ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยหลา ที่ทางเข้าของตรอกแห่งหนึ่ง

 

เสี่ยวเฉิงเฟิงเอียงหัวแอบสังเกตการณ์การต่อสู้พลางขมวดคิ้วหนัก เขาไม่คิดเลยว่าฉวงฮุ้ยเฟิงจะมาปรากฏตัวเอาในเมืองกลืนเมฆาแบบนี้

 

ดูเหมือนเมืองกลืนเมฆาจะเจอภัยพิบัติใหญ่เข้านะ

 

การที่ได้เห็นเทพกระบี่โจวตั้งใจจะท้าทายอํานาจฉวงฮุ้ยเฟิง แบบนี้ เขาก็สบถออกมาเงียบ ๆ ในใจ ช่างบ้าบินอะไรขนาดนี้

 

เขาอยากจะชวนเจ้าเด็กนั่นให้เข้ากลุ่มด้วย เพราะงั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นตายที่นี่แน่

 

อีกด้านหนึ่งของสนามฝึก จางหรูหยุที่หลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต้นไม้ที่ล้มลงมา ก็มองไปข้างหน้าด้วยความกังวลใจ เขาบ่นพึมพํากับตนเองว่า “ทําไมท่านพ่อถึงใช้เวลานานขนาดนี้นะ…?”

 

การที่เมืองกลืนเมฆาถูกเจ้าชายปีศาจบุกรุกเข้ามาได้แบบนี้ มันเป็นความอับอายอันใหญ่หลวงของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้เชียวล่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้จางเถียนเจียนก็กําลังเตรียมตัวป้องกันการรุกรานของราชวงศ์ปีศาจกู่หลานอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาก็ควรจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่นาน

 

ก็ได้แต่หวังว่า เทพกระบี่โจวจะรับมือกับเขาได้นานพอจนกว่าพ่อของเขาจะมาถึง

 

ในตอนนี้ พวกเขาไม่ใช่แค่พวกเดียวที่มองไปยังโจวฉวนจี

 

เหล่าสามัญชนและจอมยุทธที่บาดเจ็บอยู่ต่างก็มองตรงไปยังเขาเช่นกัน เกือบทุกคนที่อยู่รอบ ๆ นั้นต่างบาดเจ็บสาหัสและเคลื่อนไหวไม่ได้

 

เมื่อพวกเขาเห็นว่าโจวฉวนจีดูจะล้มฉวงฮุ้ยเฉิงไม่ได้ พวกเขาก็เริ่มตกอยู่ในความสิ้นหวัง

 

“แม่งเอ้ย…เจ็บโคตรเลย…”

 

โจวฉวนจียืดคอและยืนขึ้นมา พลางอดทนกับความเจ็บปวดทั่วร่างกาย

 

การโจมตีด้วยฝ่ามือเมื่อกี้นี้ทําให้เขารู้สึกเหมือนว่ากระดูกซี่โครงจะหักไปหลายซี แถมอวัยวะภายในของเขายังรู้สึกเหมือนกับว่ากลายเป็นคลื่นแม่น้ําและคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำ

 

จางหรูหยูพูดพลางขมวดคิ้วว่า “งั้นก็ช่างเถอะ ฆ่ามันซะ”

 

เมืองกลืนเมฆานั้นพังยับเยินไปหมด และในไม่ช้าข่าวนี้ก็คงจะไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เพราะงั้นเขาต้องรีบพาองค์หญิงฉวนหยากลับไปให้ได้เร็วที่สุด

 

ในเมื่ออัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ไม่ยอมจํานนต่อเขา ก็คงจะต้องฆ่าอีกฝ่ายทิ้งซะตั้งแต่ตรงนี้

 

“รับทราบ!”

 

ตาแก่ชิงยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางหัวเราะออกมาอย่างสยดสยอง ใบหน้าปีศาจนั้นทําให้เหล่าผู้คนต่างรู้สึกสั่นกลัวเข้าไปยันกระดูก

 

เขาเดินตรงไปยังโจวฉวนจี พลางเลียริมฝีปากและพูดอย่างเย็นชาว่า “มีพรสวรรค์มากขนาดนี้ เนื้อสด ๆ ของเจ้าต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย”

 

โจวฉวนจีหายใจเข้าลึก ๆ พลางกําดาบราชาโลกันตร์ในมือขวาเอาไว้ในลักษณะหันไปด้านหลัง ใบมือนั้นตั้งอยู่ในแนวราบเสมอกับใบหน้าของเขา

 

ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากภายในกายของเขา และควันสีดําก็แผ่กระจายออกมาทั่วตัวของเขา ควันสีดํานั้น ค่อย ๆ กลายเป็นเงาจาง ๆ ของราชาโลกันตร์และห่อหุ้มทั่วร่างของเขา

 

ตาแก่ชิงหยุดเดิน และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ไอแก่เวร เจ้าอยากจะกินข้างั้นหรอ? ขออนุญาตดาบในมือข้าก่อนสิ”

 

โจวฉวนจีพูดด้วยน้ําเสียงที่เย็นชาพลางหรี่ตาลง ตรงข้ามกับแสงเย็นวาบที่สว่างสะท้อนออกมาจากใบดาบ ในตอนนี้แววตาของเขาดูน่ากลัวเป็นที่สุด

 

หมื่นกระทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ

 

(แก้ไขเปลี่ยนจาก พรสวรรค์ประจักษ์หยินหยาง เป็นพร สวรรค์รวมวิถี นะคะ)

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง… มนุษย์นั้นคือดาบ และดาบนั้นคือมนุษย์…”

 

“เมื่อมนุษย์และดาบรวมเป็นหนึ่ง… ทั้งโลกาก็มิอาจมีผู้ใดเทียม”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดูเหมือนจะตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดกับประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

 

ถึงโจวฉวนจีจะมโนคําพูดขึ้นมาเฉย ๆ แต่ดูท่ามันจะหลอกจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้

 

ทั้งหมดเป็นเพราะท่วงท่าดาบก่อนหน้านี้ของโจวฉวนจีนั้น ทรงพลังสุด ๆ ไปเลยน่ะสิ!

 

มันเลยยิ่งทําให้ความประทับใจของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่มีต่อจอมกระบี่ตัวน้อยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

ในตอนที่โจวฉวนจีกําลังจะเดินจากไป คู่ต่อสู้ของเขาก็ตื่นจากภวังค์ออกมาด้วยความตกใจ

 

และตะโกนออกมาทันทีว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ!”

 

โวววว้

 

เหล่าผู้ชมทั้งหมดต่างตกอยู่ในความตกใจ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถือเทพกระบี่โจวเป็นอาจารย์แล้วนั้นหรอ?

 

โจวฉวนจีหยุดเดินก่อนจะพูดว่า “ข้ามีศิษย์อยู่แล้ว” ”

 

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจนักถ้าเขาจะมีศิษย์อยู่แล้ว

 

แต่การที่เทพกระบี่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเนี่ย เป็นไปได้มั้ยว่าศิษย์ของเทพกระบี่จะทรงพลังยิ่งกว่าเขาอีกน่ะ?

 

เขาถามโดยอัตโนมัติ “เขาคือใครสั้นหรือ?”

 

โจวฉวนจีตอบโดยไม่หันหลังกลับ “อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบพร้อมกันได้ คนผู้นั้นแหละคือศิษย์ของข้า”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็กระโดดและบินลับขอบฟ้าไปพร้อมกับดาบราชาโลกันตร์

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคุกเข่าลงกับพื้นสนามฝึก พลางรู้สึกเสียศูนย์

 

อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบได้

 

ผู้คนที่อยู่รอบสนามฝึกต่างเริ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นโดยไม่มีใครสนเลยสักนิดว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน พวกเขาทั้งหมดต่างพูดกันถึงความทรงพลังของเทพกระบี่โจว

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง ช่างเป็นคําพูดที่วิเศษจริง ๆ! เทพกระบี่โจวเนี่ยแหละเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่จริง ๆ แล้วบางทีในอนาคตเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ได้”

 

“จะเป็นไปได้ไง? จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเทียบจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวไม่ได้อยู่แล้วสิ! เขาฆ่าได้ด้วยการโจมตีเดียวด้วยซ้ำ!”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าเทพกระบี่โจวพึ่งล้มจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจด้วยการโจมตีเดียวไปหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเทพกระบี่โจวเป็นทั้งผู้ที่มีความเมตตาและความเที่ยงธรรมที่จะไม่ฆ่าใครไม่เลือกหน้าแล้วล่ะก็ เทพกระบี่โจวคงจะฆ่าเขาตายคาที่ไปแล้ว!”

 

“พูดอะไรไร้สาระ งั้นระหว่างเทพกระบี่กับจักรพรรดิกระบี่ เจ้าคิดว่าใครแกร่งกว่ากันล่ะ?”

 

“ข้าล่ะอยากซะจริง ถ้าเจ้าไม่รู้ถึงความยอดเยี่ยมของจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจว ก็หุบปากไปเถอะ”

 

ขณะที่ผู้คนกําลังพูดความเห็นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเทพกระบี่โจว พวกเขาก็เริ่มหยิบยกแม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวขึ้นมาเปรียบเทียบเหมือนกัน

 

เหล่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่านั้นทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเทพกระบี่โจวเทียบไม่ได้กับจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อาจสู้กับเสียงข้างมากของเหล่าผู้อ่อนแอได้อยู่ดี

 

ชายในชุดสีม่วงที่คอยมองตามแผ่นหลังของโจวฉวนจีที่กําลังจากไป ก็พูดขึ้นว่า “ไล่ตามเขาไป แล้วบอกเขาถึงจุดมุ่งหมายของข้าซะ”

 

“ครับ!”

 

ตาแก่ชิงพยักหน้ารับ เขาเปลี่ยนร่างกลายเป็นหมอกสีเขียวทันที และหายออกไปจากห้อง

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูกระชากคอเสื้อของใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเห็นมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าเทพกระบี่โจวนะแข็งแกร่งกว่า! เจ้าอยากไม่เชื่อข้าไงล่ะ!”

 

สีหน้าของคน ๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะหายใจไม่ออก และเกือบจะเป็นลมเพราะขาดอากาศ

 

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเฉิงเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และพูดกับคุณนายจือฉุยว่า “ข้ามีธุระต้องรีบไป ตอนเที่ยงในอีก 7 วันค่อยมาเจอกันที่ประตูทางเหนือของเมืองกลืนเมฆานะ แล้วพวกเราจะกลับมหาจักรวรรดิโจวพร้อมกัน”

 

หลังจากที่เขาพูดจบก็แทรกตัวผ่านฝูงชนและจากไป

 

คุณนายจือฉุยมองตามแผ่นหลังของเขา และบ่นพึมพําว่า “นี่เจ้าคิดจะชวนเทพกระบี่โจวเข้ามางั้นหรอ? เสี่ยวเฉิงเฟิง นี่เจ้ายังพักดีต่อองค์ราชินีอยู่รึเปล่า? หรือเจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

 

ไกลออกไปหลายสิบหลา ชายหนุ่มหน้าตาดีก็เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

 

แต่เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกําลังมองเขาอยู่

 

ชายในชุดสีม่วงยืนมองเขาอยู่บนหลังคา

 

เมื่อตาแก่ชิงออกไป เขาก็ขึ้นมาบนหลังคาเพื่อมองหาองค์หญิงฉวนหยา

 

และไม่นานนัก เขาก็เจอเธอ

 

ขณะที่เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มแสดงถึงความโลภออกมา ก่อนจะบ่นพึมพําว่า “ปราณเฉพาะตัวของพรสวรรค์รวมวิถีนี่มันน่าอร่อยซะจริง”

 

ณ ที่สนามฝึก

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ยังคงเสียศูนย์อยู่จนถึงตอนนี้ ก็เริ่มเต็มไปด้วยปณิธาน เขาพูดกับตัวเองว่า “ท่านเทพกระบี่โจว ข้าจะต้องเป็นศิษย์ของท่านให้ได้เลย!”

 

เขาเริ่มเห็นความหวังในตัวเทพกระบี่โจว

 

เขาอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างจากเทพกระบี่โจวที่พอจะใช้ล้มจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ได้ก็ได้

 

ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เทพกระบี่โจวก็หยุดลงทันที 

 

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

หมอกสีเขียวที่ลอยเข้ามาในตรอกนั้น กลับคืนร่างเป็นตาแก่ชิง

 

ตาแกชิงหัวเราะเบา ๆ “เทพกระบี่โจวจริง ๆ ด้วย ท่วงท่าดาบเมื่อสักครู่ของท่านนี้เป็นอะไรที่เยี่ยมจริง ๆ แต่ท่านดูจะพึ่งพาดาบในมือของท่านมากกว่านะ จริงมั้ย?”

 

โจวฉวนจีหันกลับไปและมองไปทางเขา “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เขาพูด

 

เขารู้สึกได้เลยว่าตาแก่ชิงเป็นตัวอันตรายสุด ๆ แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจซะอีก

 

ตาแก่ชิงลูบเครายาวพลางยิ้ม และพูดว่า “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาปีศาจแห่งภู่หลานมาก่อนรึเปล่า? นายน้อยของข้านะคือเจ้าชายราชันย์ปีศาจแห่งภู่หลาน และพอดีว่าเขาอยากจะเชิญชวนให้ท่านมาอยู่ใต้อาณัติบัญชานะ”

 

ราชวงศ์ปีศาจกู่หลานน่ะหรอ!

 

รูม่านของโจวฉวนจีหดตัวทันที

 

เขาจะไม่รู้จักราชวงศ์ปีศาจแห่งภู่หลานได้ยังไงกัน? นั่นคือพวกที่มีอํานาจมากซะจนแม้แต่จักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิโจวยังต้องปวดหัวเลยนะ

 

แม้แต่องค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลานก็ยังทรงพลังยิ่งกว่าจอมยุทธระดับบัวภายในซะอีก เป็นคนที่ทรงพลังมากเกินกว่าเขาจะรับมือด้วยได้

 

แต่ในฐานะมนุษย์ จะให้เขาไปเข้าร่วมกับพวกเผ่าปีศาจได้ไงกัน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”

อ๊าาากก

 

ในตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมและน่าสังเวชดังมาจากที่ไกล ๆ แม้จะอยู่ภายใต้แสงแดดจ้าเช่นนี้ มันก็ยังทําให้เขาเสียวสันหลังวาบ

 

จู่ ๆ เสียงกรีดร้องแบบเดียวกันก็ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทาง 

 

โจวฉวนจีขมวดคิ้วภายใต้หน้ากาก เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเผ่าปีศาจจะมาบุกเมืองกลืนเมฆาล่ะ?

 

เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง แต่เขาเป็นห่วงตัวเจียงฮือน้อยตั้งหาก

 

ตาแกชิงยิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าปฏิเสธพวกข้าล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ออกจากเมืองกลืนเมฆานี้ทั้งยังมีลมหายใจอยู่เลย ยังไงซะอีกไม่นาน เมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองแห่งซากศพอยู่แล้ว เจ้าอยากจะเป็นหนึ่งในนั้นรึเปล่าล่ะ?”

 

โจวฉวนจีพูด “ก็ได้ ๆ ข้าเข้าก็ได้ แต่ขอข้าพาคนอื่นไปด้วยได้มั้ย?”

 

ตาแก้ชิงพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน! เจ้าจะพาไปสัก 1 คนก็ได้ 2 คนก็ยังได้ แต่ 3 คนไม่ได้แล้วนะ”

 

อะไรของเขาล่ะนั่น?

 

โจวฉวนจีได้แต่ขําอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตามตาแก่ชิงไป เพื่อไปพบองค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลาน

 

“นายน้อยของข้ามีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ตั้งแต่นี้ไปเจ้าเองก็ต้องเรียกท่านว่านายน้อยด้วยเหมือนกัน”

 

ตาแก่ชิงย้ำเตือนเขาขณะที่กําลังนําทางไป

 

โจวฉวนจีพยักหน้า เขาไม่ได้สนเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

ตอนนี้เขากังวลแค่เรื่องเจียงฮือน้อยอย่างเดียว

 

เขาสวดภาวนาอยู่ภายในใจ และหวังว่าเจียงฉือน้อยจะยังคงรอเขาอยู่ในโรงเตียมแทนที่จะออกตามหาเขา

 

ไม่นานนักเขาก็ผ่านมาถึงสนามฝึก แต่ในตอนนี้ มีซากศพอยู่เกลื่อนกลาดไปทั่วสนามฝึก เลือดของพวกเขาถูกละเลงไปทั่วพื้นถนน และจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นสนามฝึก เพราะเส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของเขานั้นฉีกขาด เลยขยับไปไหนไม่ได้

 

เขาจ้องมองไปยังโจวฉวนจี เมื่อเขาเห็นว่าจอมกระบี่ตัวน้อยนั้นอยู่กับตาแก่ชิง เขาก็แทบไม่เชื่อสายตา

 

ชายในชุดสีม่วงที่มีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี้ยมที่เขาเองพักอยู่ โดยอุ้มชายหนุ่มหน้าตาดีเอาไว้ในอ้อมแขน

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้คาถาและไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เจ้าอยู่นั่นเอง ตรงเวลาพอดีเลยนะ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทําร้ายเจ้าแน่นอน”

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงพูดขึ้นอย่างพอใจพลางยิ้มอย่างมีความสุข

 

เทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่แข็งแกร่งมากในตอนนี้ แต่ด้วยพรสวรรค์อันมากล้นเหลือ หากเลี้ยงดูดีๆ เทพกระบี่โจวจะต้องกลายเป็นมือขวาของเขาอย่างแน่นอน

 

โจวฉวนจําไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะมองซ้ายมองขวา ตึกรามบ้านช่องหลายหลังพังลง แต่โรงเตี้ยมที่เขาพักอยู่กับเจียงฉือน้อยนั้นอยู่อีกด้านนึงของสนามฝึก เขาเลยมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

ช่างแม่งแล้ว เขากระโดดขึ้นไปเหนืออาคารและมองหาโรงเตี๊ยม ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปในทันที

 

โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่ก็พังลงเช่นกัน

 

เขาบินตรงไปยังซากพัง ๆ ทันที และพยายามสัมผัสให้ได้ถึงปราณเฉพาะตัวของเจียงฮือน้อย

 

“ฉวนจี..”

 

เขาได้ยินเสียงที่อ่อนแรงและแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างใต้ซากอาคาร เขาเลยรีบหยิบเอาซากไม้ของอาคารที่พังออกมา

 

ไม่นานนัก เขาก็เจอกับเจียงฉือน้อยที่ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ เธอโดนเสาอาคารทับเอาไว้อยู่ อวัยวะแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่นั้น มันช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองสุด ๆ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงฉือน้อยอยู่ระดับสร้างรากฐานแล้วล่ะก็เธอคงได้ทับตายไปแล้วแน่ๆ

 

เขากําหมัดแน่นข้างในแขนเสื้อ ก่อนจะรีบช่วยเธอออกมาทันที

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงเดินไปยังขอบสนามฝึกพร้อมกับหนุ่มหน้าตาดีและตาแก่ชิง พวกเขาอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มและเด็กสาวไกลหลายสิบหลา

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “นางก็แค่เด็กสาวคนนึงเท่านั้นแล้วนางเกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงนะ?”

 

โจวฉวนจีวางเจียงฉือน้อยลงบนเศษซากอาคารโดยไม่ตอบอะไรฉวงฮุ้ยเฉิง ก่อนจะเริ่มตรวจดูบาดแผลของเธอ และเขาก็พบว่าขาขวาของเธอนั้นหักและบวมสุด ๆ

 

เขาหยิบขวดยาออกมาทันที ก่อนจะวางลงในมือของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะท่านพี่ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา พร้อมดาบราชาโลกันตร์ก็ปรากฏขึ้นในมือเขาทันที

 

เขากําดาบราชาโลกันตร์เอาไว้ในมือแน่นพลางสั่นเบา ๆ

 

เขาหันกลับไป และจ้องมองตรงไปยังชายในชุดสีม่วง “ฉวงฮุ้ยเฉิง แม่มึง***สิวะ!”

ตอนที่ 38 : เมื่อมนุษย์และดาบรวมเป็นหนึ่ง ทั้งโลกาก็มิอาจมีผู้ใดเทียม

 

ผู้คนนับพันต่างตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าคนแรกที่ได้รับ บาดแผลจะกลายเป็นจอมกระบีแดนเหนือผู้องอาจ 

 

หรือเทพกระบี่โจวจะแข็งแกร่งจริง ๆ กัน?

 

“ไอลูกกะ*** เจ้ากล้าแทงข้าจากด้านหลังงั้นหรอ?! เดี๋ยวเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเริ่มเกรี้ยวกราดและตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงที่ทุ่มต่ํา เขาเตือนเหล่าผู้ที่ได้ชมการต่อสู้ถึงสิ่งที่พวกเขาอาจจะยังไม่รู้

 

ใช่แล้ว!

 

มันก็แค่การแทงจากข้างหลังเท่านั้นแหละ!

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยกดาบขึ้นและพุ่งเข้าใส่โจวฉวนจีในคราวนี้เขาจะเอาจริงแล้ว

 

โจวฉวนจีถือดาบราชาโลกันตร์ไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างถือดาบผ่าวายุเอาไว้ การพุ่งเข้าใส่ของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจไม่ได้ทําให้เขาถอยร่นแต่อย่างใด แต่กลับพุ่งเข้าใส่สวนแทน

โจวฉวนจไม่คิดจะประมาทแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธทรงพลังที่อยู่ระดับบรรลุญาณ

 

เขาเริ่มใช้จิตดาบกระเรียนขาวในมือขวาและใช้จิตกระบี่เพ ลิงกัลป์ในมือซ้าย

 

ด้วยสองจิตดาบที่ห่อหุ้มไปทั่วกายของเขา ปราณทั่วร่างของเขาก็เริ่มพุ่งพล่าน

 

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าต่างของโรงเตี้ยมที่อยู่ไกลออกไปชายในชุดสีม่วงก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง

 

เสี่ยวเฉิงเฟิงและคุณนายจือฉุยก็ตกใจไม่แพ้กัน

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่รู้สึกตกใจกับการใช้จิตดาบคู่ของฝ่ายตรงข้าม ก็เผลอถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ

 

เขาเองก็มีจิตดาบเหมือนกัน และภูมิใจในจิตดาบของตัวเองมากด้วย

 

“ใช้สองจิตดาบพร้อมกันเนี่ยนะ?”

 

“เป็นไปได้ยังไง? แม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวหรือจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ยังทําไม่ได้เลยนะ!”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจตกอยู่ในความสับสน เขาเริ่มใช้จิตดาบทันที รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเปลี่ยนไปโดยพลันจนเกิดลมกรรโชกแรงล้อมรอบทั่วร่างของเขา

 

โจวฉวนจีพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ และฟันเขาด้วยดาบทั้งสอง

 

ความเร็วในการโจมตีของเขานั้นเหนือยิ่งกว่าระดับสร้างรากฐานเสียอีก สายตาของผู้ชมการต่อสู้ส่วนใหญ่ก็ไม่อาจจะมองตามความเร็วของเขาทันได้

 

แกรั้ง! แกรั้ง! อึ้ง! แกรง

 

ดาบของโจวฉวนจีนั้นราวกับสายลม แต่ดาบของคู่ต่อสู้ก็รวดเร็วไม่ต่างกัน ดาบทั้ง 3 ปะทะกันด้วยความเร็วสูง จนเงาดาบที่กําลังร่ายรําอยู่นั้นราวกับแสงอันเย็นยะเยือกที่สะท้อนออกมาจากดาบ

 

ทั้งคู่ต่างฟาดฟันใส่กันครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่มีใครได้เปรี ยบ

ครึ่งร่างของโจวฉวนจีนั้นลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ตัวของเขานั้นราวกับกระเรียนขาวที่ทั้งรวดเร็วและว่องไว

 

การกวัดแกว่งดาบของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั้นทั้ง แข็งแกร่งและหนักหน่วง ดาบที่อยู่ในมือของเขานั้นดูราวกับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงไฟสีแดง ลมกรรโชกรุนแรงเกิดขึ้นในรัศมี100 หลารอบตัวทั้ง 2 ฝ่าย

 

ผู้ชมนับพันต่างอ้าปากค้าง และเบิกตากว้างตกใจ

 

เทพกระบโจวสุดยอดพอ ๆ กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเลย!

 

ทั่วพื้นที่ต่างตกอยู่ในความเงียบ จนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหมุดหล่น!

 

เจียงฉือน้อยที่อยู่ตรงหน้าต่างในห้องพัก ก็คอยเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความกังวลใจ เธอกุมมือไว้ที่หน้าอกหน้าอกพลางขยับปากสวดมนต์ “ฉวนจี. เจ้าต้องชนะเจ้าต้องชนะ…”

 

ณ อีกโรงเตี้ยม

 

.

ชายในชุดสีม่วงลูบคางพลางบ่นพึมพํา “เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยากในวิถีแห่งกระบี่จริง ๆ ข้าคิดว่าข้าใช้เขาได้นะ”

 

ตาแก่ชิงจ้องมองไปยังจอมกระบี่ตัวน้อยและพยักหน้าให้ “ใช้สองจิตดาบพร้อมกันงั้นหรอ เจ้าเด็กนี่มันมีของเหมือนกัน นะ”

 

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเฉิงเฟิงกําหมัดแน่น สายตาของเขาจับจ้องไปยังเด็กที่ถือดาบคู่ พลางคิดว่าเขากําลังเห็นบางสิ่งที่ไม่อาจจะหยั่งถึงได้

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นถึงกับอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

 

มีเพียงเสียงดาบกระทบกระทั่งกันที่ดังไปทั่ว

 

จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นขึ้นมา “ท่านเทพกระบี่โจวแข็งแกร่งที่สุด! กระทับมันให้ยับเลย!”

 

และเจ้าของเสียงนั้นก็คือ จางหรูหยู นั่นเอง!

 

เสียงของเขาแตกพล่านไปด้วยความตื่นเต้น

 

โจวฉวนจีรู้สึกได้ว่า จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกําลังค่อยๆชินกับจิตดาบคู่ของเขา และรู้สึกได้ว่ามันกําลังจะแย่ลงเรื่อย

 

มันต่างกับตอนที่เขาประลองดาบกับเสี่ยวจิงหง เพราะจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจใช้วรยุทธของเขาด้วย มันเลยช่วยให้ใช้จิตดาบที่มีเพียงจิตเดียวได้อย่างเต็มที่

 

“ดูเหมือนว่าข้าต้องรีบจบการต่อสู้นี้ให้ไวแล้วสินะ!” เขาเริ่มตัดสินใจภายในใจ เขาเคลื่อนตัวไปยังด้านหลังของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจอีกครั้งด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ 

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหัวเราะอย่างดูถูก และฟันไปยังด้านหน้าของเขา แต่ก็พลาด

 

โจวฉวนจีถอยห่างออกจากเขาไปไกล 10 หลา และไม่โจมที่สวน

“ทําไมล่ะ? หรือเจ้ากลัวแล้วอย่างงั้นน่ะหรอ?”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถามอย่างเย้ยหยัน ขณะที่เขาพูด เขาก็สะบัดมือขวาและดาบของเขาก็ฟาดเข้าที่พื้นข้างๆเท้าของเขาจนเป็นหลุมเล็ก ๆ

 

โจวฉวนจีเก็บดาบผ่าวายุเข้าสุดยอดช่องเก็บของและหยุดใช้จิตดาบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าเล่นมามากพอแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะล้มเจ้าด้วยดาบเดียวเอง”

 

ด้วยคําพูดที่อาจหาญสุด ๆ นั่น สร้างความโกลาหลใหญ่ขึ้น

มา

 

ด้วยดาบเดียวเนี่ยนะ?

 

มันทําให้ผู้คนนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเทพกระบี่โจว เรื่องที่เขามักจะสังหารศัตรูด้วยดาบเดียวเสมอ

 

หากเป็นก่อนที่จะเริ่มสู้ พวกเขาก็คงจะคิดว่าเทพกระบี่โจวก็คงโกหกไปเท่านั้น แต่มาตอนนี้ เหล่าผู้คนต่างได้เป็นสักขีพยานถึงการต่อสู้ระหว่างทั้งสอง จึงเริ่มเชื่อจริง ๆ แล้วว่าเทพกระบีโจวนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับเขากําลังได้ยินเรื่องที่น่าตลกที่สุดในโลก

เขายกดาบที่อยู่ในมือเขาขึ้นมา และชี้ตรงไปยังโจวฉวนจีก่อนจะพูดว่า “เจ้าคิดจะล้มข้าด้วยดาบเดียวอย่างงั้นน่ะหรอ?เจ้าไม่…”

 

ฉีกกก!

 

มือขวาของโจวฉวนจีก็ยื่นตรงไปยังข้างหน้าของเขาด้วยการก้าวเพียงครั้งเดียว และแทงดาบออกไปนับครั้งไม่ถ้วนด้วยดาบราชาโลกันตร์ ตอนนั้นเองที่เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดอันมหาศาลที่กดตัวเขาเอาไว้ เมื่อรวมเข้ากับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากของอีกฝ่าย มันก็ทําให้ตอบสนองกลับไม่ทัน 

 

จิตดาบสะบั้นสามชีพจร!

 

จิตดาบสั้นหรอ!

 

ดาบในตํานานระดับทองกับพลังทําลายล้างมหาศาลที่น่าพรั่นพรึง!

 

ฟื้ดดดด

 

เลือดพุ่งออกมาจากทั่วร่างของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความสับสน

 

เขาจ้องมองไปยังจอมกระบี่ตัวน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับว่าเขากําลังเห็นปีศาจ

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน…”

 

“ไม่ใช่ว่านี่เป็นวิชาดาบของจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์หรอ…. แถมยังเป็นจิตดาบอีก…”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจเส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของเขาถูกสะบั้นออก พลังวิญญาณของเขาแตกซ่าน และแขนขาของเขาก็เริ่มอ่อนแรง

 

ตุบ!

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่โด่งดังคนนั้นกําลังคุกเข่าลงต่อหน้าโจวฉวนจี

 

เสียงใบมีดที่สั่นสะเทือนด้วยคลื่นต่ําดังก้องอยู่ข้างหูของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

 

ดาบราชาโลกันตร์จออยู่ที่คอของเขา

 

โจวฉวนจีเชิดปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นพลางมองลงไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ และพูดว่า “เจ้าแพ้แล้ว”

 

เขารู้สึกพอใจอยู่ในภายใจ

 

ดาบในตํานานระดับทองนี่มันเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย!

เมื่อเขาใช้วิชาดาบสะบั้นสามชีพจร เขารู้สึกได้เลยว่าปราณกระบี่ของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า เขารู้สึกราวกับไร้ผู้ใดเทียมในโลกนี้ทุกครั้งที่ฟาดฟัน

 

เงียบสงัด!

 

ทั่วพื้นที่ต่างตกอยู่ในความเงียบ จนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหมุดหล่น!

 

ผู้คนทั้งหมดจ้องมองไปยังโจวฉวนจี และไร้ซึ่งคําพูดใด ๆ

 

เขาชนะได้ด้วยดาบเดียว

 

เขาทําให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังยังต้องคุกเข่าลงด้วยดาบเดียวเท่านั้น

 

พ.พลังอะไรกันเนี่ย..

 

จางหรูหยุรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ จนใบหน้ากลายเป็นสีแดงเขาร้องตะโกนด้วยน้ําเสียงที่ดังก้องว่า “ท่านเทพกระบี่ โจวแข็งแกร่งที่สุด!นี่แหละเทพกระบี่!”

 

ถึงจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะเป็นจอมกระบี่ที่ ทรงพลัง และบรรลุจิตดาบแล้วก็ตาม

 

แต่เขากลับพ่ายแพ้อย่างไว ก่อนที่เขาจะได้แสดงพลังของตัวเองออกมาเสียอีก

 

ในตอนนี้จางหรูหยูแทบจะอยากออกไปคุกเข่าเพื่อเคารพสรรเสริญโจวฉวนจี ถ้าไม่ติดที่ฝูงชนจํานวนมากที่รายล้อมรอบเขาอยู่ เขาก็คงจะออกไปคุกเข่าแล้ว

 

ทั่วทั้งพื้นที่ตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนนับพันต่างตะโกนชื่อเทพกระบี่โจวออกมา

 

“ท่านเทพกระบี่โจว! ท่านเทพกระบโจว!”

 

“ท่านช่างทรงพลัง! สมกับที่เป็นเทพกระบี่จริง ๆ !”

 

“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้าเห็นรึเปล่า?”

 

“ช่างเป็นท่วงท่าดาบที่สง่างามซะเหลือเกิน ต่อให้เป็นจางเถียนเขียนของอาณาจักรเราก็คงทําไม่ได้หรอกมั้ง?”

 

“ในตอนที่เขากวัดแกว่งดาบนะ ข้ารู้สึกได้ถึงออร่าแห่งความตายกระจายมาถึงตรงนี้เลย…”

 

ความสงสัยและคําถากถางที่มีแต่ก่อนก็หายไป

 

คนแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้ครองทุกอย่าง!

 

“การเคลื่อนไหวเมื่อกี้นี้มัน…”

 

เสี่ยวเฉิงเฟิงหรี่ตาลง พลางพึมพํากับตนเอง

 

เขาลองจินตนาการว่าเขาจะหลบมันได้ไหม

 

แม้วรยุทธของเขาจะสูงกว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจแต่แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่โจวฉวนจีพึ่งได้ทําลงไป 

 

ถึงความสามารถในการสังเกตสิ่งต่าง ๆ ของเขาจะดีกว่าแต่เขาก็รู้สึกได้แค่ว่า ดาบราชาโลกันตร์ของเทพกระบี่โจวนั้นไม่ใช่อะไรที่รับมือด้วยได้ง่ายเลย

 

เพียงแค่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 6 ของเทพกระบี่ ยังปลดปล่อยปราณกระบี่ที่ทรงพลังได้ขนาดนี้เชียว?

“เป็นดาบที่เยี่ยมจริง ๆ”

 

ชายในชุดสีม่วงจ้องมองดาบราชาโลกันตร์ที่อยู่ในมือของจอมกระบี่ตัวน้อย ก่อนจะตกลงไปอยู่ในภวังค์

 

อีกด้านหนึ่ง เจียงฉือน้อยก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเธอรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ

 

โจวฉวนจีเก็บดาบลงช้า ๆ และเตรียมตัวจากไป

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกัดฟันและถามออกมาอย่างยากลําบาก “เจ้าเป็นใครกันแน่ วิชาดาบของเจ้าเมื่อกี้นี้ มันเป็นไปได้ยังไงกัน…”

 

โจวฉวนจีหันไปหาเขาและพูดพลางยิ้มให้ “ดาบนั้นสร้างได้ 1 สิ่ง หรือดาบนั้นสร้าง 3 สิ่ง แต่จริง ๆ แล้วดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง มนุษย์นั้นคือดาบ และดาบนั้นคือมนุษย์ เมื่อมนุษย์และดาบรวมเป็นหนึ่ง ทั้งโลกาก็มิอาจมีผู้ใดเทียม”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจตัวสันพลางเบิกตากว้าง เขาค่อย ๆ อ้าปากออกมา แต่ก็ไร้ซึ่งคําพูดใด ๆ ราวกับว่าเขาถูกสายฟ้าฟาดก็มิปาน

 

ตอนที่ 37 : ผู้แข็งแกร่งไม่จําเป็นต้องเข้าใจผู้อ่อนแอ

 

2 วันต่อมา

 

ณ เมืองกลืนเมฆา จัตุรัสสนามฝึกซ้อม

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยังคนยืนอยู่บนดาบเช่นเดิม แต่คราวนี้เขากลับลืมตาอยู่

 

รอบสนามฝึกนั้นรายล้อมไปด้วยผู้คนไม่ต่ํากว่าพันคน

 

“ข้าได้ยินมาว่าเทพกระบี่โจวจะตอบรับคําท้าวันนี้ใช่มั้ย?”

 

“ใช่แล้ว ข่าวมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองแล้ว”

 

“ชิ แล้วเจ้าคิดว่าใครจะแกร่งกว่ากันล่ะ? ระหว่างเทพกระบี่โจว กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจน่ะ?”

 

“จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจน่าจะแกร่งกว่านะ ยังไงเขาก็ดังมาได้สักพักแล้วหนิ”

 

“แถมพวกโจรที่พ่ายแพ้ให้กับเทพกระบี่โจวทั้งหมดก็ยังเป็นแค่ระดับสร้างรากฐานอยู่เลย พวกมันไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นซักหน่อย”

 

ผู้คนต่างเริ่มพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการของแต่ละฝ่าย ถึงแม้ส่วนใหญ่จะไม่เข้าข้างเทพกระบี่โจวแต่พวกเขาก็ยังรอและหวังว่าเขาจะปรากฏตัวออกมา

 

เสี่ยวเฉิงเฟิง คุณจายจือฉุย และจางหรูหยูก็อยู่ในหมู่ฝูงชนด้วยเช่นกัน

 

นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว ตาแก่ชิงและชายในชุดสีม่วงจากเผ่าปีศาจก็มองสนามฝึกผ่านหน้าต่างบนห้องอยู่

 

“นายน้อย เจอเจ้าหญิงฉวนหยายัง?”

 

ตาแก่ชิงถามด้วยความสงสัย การต่อสู้ในวันนี้นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อเมืองกลืนเมฆามากที่สุดแล้ว เพราะงั้นเจ้าหญิงฉวนหยาที่ค่อนข้างจะแก่นแก้วและร่าเริงก็ควรจะมาอยู่ที่นี่ด้วย

 

ชายในชุดสีม่วงส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “ยังไม่เจอ”

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ท่ามกลางฝูงชน มีชายหนุ่มร่างผอมบางที่สวมเสื้อสีเทาขาดๆคนหนึ่งกําลังพยายามเบียดตัวไปข้างหน้า

 

“ขอโทษที! ขอทางหน่อย!”

 

ชายหนุ่มคนนั้นพยายามเบียดตัวไปข้างหน้าพลางตะโกนบอก ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะสกปรกไปบ้าง แต่เขาหล่อใช้ได้ทีเดียว ดวงตาของเขาทั้งสดใสและเปล่งประกายเผยออร่าความหล่อเหลาออกมา

 

ไม่นานนัก เขาก็เบียดตัวขึ้นไปข้างหน้าได้ และมองตรงไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ยืนอยู่บนสนามฝึก ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

เขามองซ้ายขวาเพื่อดูว่าเทพกระบี่โจวมารียัง

 

ทันใดนั้น เขาก็เห็นเสี่ยวฉิงเฟิงและคุณนายจือฉุย ก่อนจะหันกลับมาด้วยความหวาดกลัว และรีบหันหลังกลับทันที

 

“ทําไมทั้งสองคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” เขาบ่นพึมพํา พลางเม้มริมฝีปาก

 

คนนึงเป็นถึงลูกสมุนขององค์ราชินี ส่วนอีกคนนั้นเป็นสาวใช้ของนางสนมเฉิน

 

หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นกันนะ?

 

พอคิดแบบนั้น เขาก็กลอกตามองด้วยความตื่นเต้น

 

และเขาก็เริ่มแอบมองเสี่ยวเฉิงเฟิงและคุณนายจือฉุยบ่อย

 

ที่สนามฝึกซ้อม จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยืนพลางขมวดคิ้ว ตอนนี้ก็เที่ยงตรงแล้ว แต่ทําไมเทพกระบี่โจวถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?

 

เขาไม่ได้ท้าทายเทพกระบี่โจวเพื่อชื่อเสียงหรือเพื่อแก้แค้นอะไร

 

แต่เขาทําเพียงเพราะได้ยินมาว่าเทพกระบี่โจวนั้นเป็นถึงสุดยอดผู้ที่สามารถบรรลุได้หลายจิตดาบ อีกทั้งเขายังสังหารศัตรูทั้งหมดของเขาได้ในดาบเดียวเท่านั้น เขาเลยอยากจะท้าประลองเทพกระบี่โจวสุดๆ

 

วิถีแห่งกระบี่ที่เขาไล่ตามอยู่มีเพียงหนทางแห่งการต่อสู้เท่านั้น!

 

ทางเดียวที่เขาจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่ได้ก็คือ การเอาชนะจอมกระบี่ผู้ทรงพลังทีละคนๆ

 

แต่เขาก็ไม่ได้นับว่าเทพกระบี่โจวเป็นคู่ต่อสู้ด้วยหรืออะไร เลยเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงไม่ค่อยกังวลนัก

 

ยังไงซะก็ดูเหมือนว่าเทพกระบี่โจวจะเทียบเขาไม่ได้เลยสักนิด

 

ถึงเขาจะไม่มา ก็พอจะเข้าใจได้ล่ะนะ

 

แต่เมื่อ 2 วันก่อน ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วว่าเทพกระบี่โจวกําลังมา ซึ่งมันก็กระตุ้นให้เขาเริ่มสนใจในตัวเทพกระบี่โจวมากขึ้น

 

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นเทพกระบี่โจวหรือเทพกระบี่ไหน ภายใต้ดาบราชันย์ของข้า ข้าจะทําให้เจ้าหวาดกลัวเสียจนไม่กล้าจะถือดาบอีกต่อไปเลย”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคิดอย่างมั่นใจ และภาพเงาก็สะท้อนผ่านขึ้นมาในใจเขา

 

ชายผู้เป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา

 

จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ เสี่ยวจิงหงยังไงล่ะ!

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขาได้พ่ายแพ้ให้กับเสี่ยวจิงหง เขาก็อดที่จะกัดฟันแน่นไม่ได้

 

ฝูงชนที่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา ก็คิดว่าเขาเริ่มจะหมดความอดทน

 

“นี่เทพกระบี่โจวจะมาหรือไม่มาเนี่ย?!”

 

เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน แต่เพราะคนที่พลุกพล่านอยู่มาก เลยไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดกันแน่

 

จางหรูหยูที่ได้ยินก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ถ้าเทพกระบี่โจวบอกว่าเขาจะมา เขาก็ต้องมาแน่ๆ! เขาน่ะคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!”

 

ผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเขา ทั้งหมดต่างหันมามองเขาด้วยสีหน้าที่แปลกใจ

 

นี่มันลูกชายของจางเถียนเจียนไม่ใช่หรอ?

 

ไม่ใช่ว่าจางเถียนเจียนอคติกับเทพกระบี่โจวสุดๆหรอ?

 

หรือว่าคนทรยศนั่นจะมาจากตระกูลจางกัน?

 

จางหรูหยูไม่ได้สนใจความเห็นของผู้คนสักเท่าไหร่ เขาเคารพในตัวเทพกระบี่โจวจริง และกล้าที่จะแสดงออกมาด้วยเสียงที่ดังสนั่น!

 

ฟิ้ววววว

 

ในตอนนั้นเอง เสียงที่บินลอยตัดผ่านลมก็ดังขึ้นแทรกเสียงโหวกเหวกที่อยู่รอบๆสนามฝึก

 

ดาบเล่มบางลอยข้ามอาคารและร่อนลงห่างออกไป 5 หลา ต่อหน้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ใบมีดปักลงสู่พื้น และสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุด

 

ดาบผ่าวายุ!

 

เมื่อได้เห็นดาบนี้ จอมกระบี่แดนเหนือถึงกับหรี่ตาลงและอุทานออกมาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ดาบดีนี่!”

 

ทั้งสถานที่ตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนเริ่มหันไปมองราวกับคลื่น และมองดูว่าดาบนั้นมาจากไหน

 

พวกเขาเห็นเพียงเงาเล็กๆ ที่กําลังลอยอยู่บนดาบ

 

เขาสูงประมาณ 4 ฟุตและสวมเสื้อคลุมยาวสีดําปักลูกไม้ลิ่มทอง หน้ากากสีเงินสวมอยู่บนใบหน้า ขณะที่เขาไพลมือไว้ข้างหลัง และยืนอยู่บนดาบยาวสีเงินดําที่แสนจะงดงาม

 

เขานั้นคือโจวฉวนจีนั่นเอง!

 

ด้วยดาบราชาโลกันตร์แล้ว เขาก็สามารถไปถึงสนามฝึกได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองลงไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

 

“เทพกระบี่โจวอยู่ที่นี่แล้ว!”

 

จางหรูหยูตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้โจวฉวนจีจะสวมหน้ากากอยู่ แต่เขาก็ยังรู้ได้ในทันที

 

จอมกระบี่เพียงผู้เดียวที่มีรูปลักษณ์และออร่าที่พิเศษยิ่งกว่าใคร จะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่เทพกระบี่โจว?

 

ความตื่นเต้นของเขาได้ปลุกระดมคนอื่นๆขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

 

แม้ว่าคนอื่นจะไม่อยากให้เทพกระบี่โจวดูน่าประทับใจสักเท่าไหร่

แต่พวกเขาก็อยู่ที่นั่นเพียงเพื่อสนุกกับโชว์ที่กําลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น

 

“งั้นนี่ก็คือเทพกระบี่โจวหรอ? เขาดูเหมือนกับเด็กเลยนะนั่น”

 

“เจ้าพูดอะไรนะ? เขาย้อนคืนวัยต่างหากล่ะ!”

 

“เขาสวมหน้ากากอยู่นี้ ดูเหมือนเขากลัวจะขายขี้หน้ามากเลยนะนั้น”

 

“ดาบของเขาดูทรงพลังมากเลย ถึงข้าจะไม่แน่ใจว่าระดับอะไรก็เถอะ”

 

“ฮ่า ๆ มันก็แค่การแสดงเปิดตัวเท่านั้นแหละ ถ้าเกิดเขาคุกเข่าขอขมาขึ้นมา มันจะน่าอับอายสักแค่ไหนกันนะ?”

 

เหล่าผู้ชมเริ่มพูดคุยกันทีละคนๆ และสายตาทั้งหมดก็จับจ้องไปยังโจวฉวนจี

 

ชายในชุดสีม่วงส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “ระดับสร้างรากฐาน ขั้นที่ 6 ท้าทายระดับบรรลุญาณขั้นที่ 3 งั้นหรอ เขากําลังรนหาที่ตายอยู่ชัดๆ”

 

ถึงโจวฉวนจีจะใช้อาคมซ่อนปราณอยู่ แต่ชายคนนั้นก็ยังมองเห็นระดับวรยุทธของเขาได้อยู่ดี

 

ตาแก่หัวเราะเบาๆ “พวกเด็กวัยรุ่นบ้าบิ่นมันก็มีอยู่ทั่วโลกนั่นแหละ”

 

นอกจากพวกเขาแล้ว เสียวเฉิงเฟิงและคุณนายจือฉุยก็ส่ายหัวเช่นกัน

 

เสี่ยวเฉิงเพิ่งหัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าข้าจะคาดหวังมากเกินไปสินะ”

 

เขาคิดว่ามันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแน่

 

แต่ดูจะเสียเวลาเปล่าซะแล้ว

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมองเห็นระดับวรยุทธของโจวฉวนจีได้ทันที ก่อนจะพูดพลางขมวดคิ้วว่า “นี่เจ้าไม่รู้หรอว่า ข้าขึ้นระดับบรรลุญาณแล้วน่ะ?”

 

ระดับรักษาปราณ ระดับสร้างรากฐาน ระดับบรรลุญาณ ระดับบัวภายใน ระดับผุดวิญญาณ ระดับราศีกําเนิด ระดับราศีคาดการณ์ ระดับขัดเกลาวิญญาณ และระดับนิพพาน!

 

ความต่างในแต่ละระดับนั้นมีมากเสียจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหนือกว่าอีกฝ่ายนึ่งได้

 

โจวฉวนจีจ้องมองไปยังเขาและพูดว่า “ผู้แข็งแกร่งนั้นไม่จําเป็นต้องเข้าใจผู้อ่อนแอหรอก”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจทํานิ่ว นี่หัวของเจ้านี่มัน ผิดปกติไปแล้วรึไงกัน?

 

เหล่าผู้ชมรอบๆสนามฝึกต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นกระพริบตาปริบๆ มองไปยังโจวฉวนจีด้วยความสงสัย

 

ชายคนนี้นี่หยิ่งซะจริง!

 

ขณะเดียวกัน แววตาของจางหรูหยูก็เปล่งประกาย นี่มันเทพกระบี่โจวแน่นอน เขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดในยุคของพวกเราเลยล่ะ

 

ชายในชุดสีม่วงหัวเราะพลางส่ายหัวและพูดว่า “ไอเด็กนี่ มันพิเศษซะจริง”

 

คําว่า “พิเศษ” ของเขานั้นแฝงความหมายเชิงดูถูกเอาไว้

 

“หึ!”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถอนหายใจ เขาหยิ่งพอที่จะทนต่อคําดูถูกของผู้อื่นได้ยังไงกัน?

 

เขากระโดดลงมาทันที และดาบที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็ดึงขึ้นมาจากพื้นและร่อนลงสู่มือเขา ด้วยการเคลื่อนไหวนั้น เขาก็ฟาดฟันเข้าใส่โจวฉวนจีทันที

 

เขาว่องไวมาก การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขานั้นใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวิเลยด้วยซ้ํา

 

โจวฉวนจีพุ่งไปยังด้านหลังของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ เขายกมือขวาขึ้น และดาบราชาโลกันตร์ก็ลอยมาอยู่ในมือเขา

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจร่อนลงขณะที่หันไปไปถามด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าใช้วิชาเคลื่อนไหวอะไรกัน?”

 

ฟิ้ววววว

 

พืบบบบ!

 

ประกายแสงที่เย็นเฉียบสว่างวาบขึ้นมา จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจึงเอี้ยวหัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่แก้มของเขาก็ยังโดนดาบผ่าวายุเฉือนเข้าจนเลือดไหลออกมาอยู่ดี

 

ก่อนหน้านี้ดาบผ่าวายุยังปักอยู่ที่พื้นอยู่ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเลยไม่ได้สนใจมัน เพราะงั้นเขาเลยเสียเปรียบยังไง

 

สีหน้าของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเริ่มซีดหยั่งกับเป็นศพในทันที และแววตาของเขาก็เริ่มปล่อยจิตสังหารออกมา

ตอนที่ 36 : พรสวรรค์ประจักษ์หยินหยาง

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยืนในท่าหลังตรง ผมสีขาวบางส่วนถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้เรือนผมสีดํา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดําและเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่าทางของเขาที่ยืนกอดอกพลางหลับตานั้นทั้งดูเคร่งขรึมและดุดันราวกับจอมกระบี่ผู้เย็นชา

 

คนนับร้อยต่างรวมตัวกันอยู่รอบสนามฝึก และพูดคุยความเห็นเกี่ยวกับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

 

“นี่เขาต้องรออีกนานแค่ไหนกันนะ?”

 

“เขาคือจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจใช่มั้ย? ดูเก่งจังเลย

แหะ

 

“ได้ยินมาว่าเขาสามารถผ่าภูเขาได้ภายในดาบเดียวด้วยนะข้าคิดว่าบางทีเทพกระบี่โจวคงจะไม่กล้ามาละมั้ง”

 

“ใช่ ๆ เทพกระบี่โจวก็เป็นแค่พวกโลภที่แสนจะขี้ขลาดเท่านั้นแหละ ฐานกองโจรมีอยู่ตั้งมากมายในป่ากู่หลาน เขากลับเลือกจัดการแค่กับพวกที่มีหัวหน้าที่อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานเท่านั้น นั่นหมายความว่าเขามีพลังแค่ระดับสร้างรากฐานเท่านั้นเองยังไงล่ะ”

“แล้วจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจยังบรรลุจิตดาบแล้วด้วยนะ ในอนาคตเขาอาจจะเก่งเทียบเท่าท่านแม่ทัพจางเลยก็ได้”

 

คนส่วนใหญ่ต่างยกย่องจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกันทั้งนั้น เว้นเสียแต่พวกที่ถูกเทพกระบี่โจวช่วยเอาไว้ และผู้คนมากมายที่ได้ยินเรื่องที่เทพกระบี่โจวได้ทําต่างก็เอาแต่พูดดูถูก

 

มาคราวนี้ เทพกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ประกาศท้าดวลกับเทพกระบี่โจว แต่เขาก็ยังไม่โผล่หน้าออกมาเสียที นั่นเลยยิ่งทําให้ผู้คนต่างดูหมิ่นเทพกระบี่โจวมากกว่าเดิม

 

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็นับถือและชื่นชมเทพกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกันมาก

 

เขานั้นเป็นคนที่ทรงพลังอย่างแท้จริง และความเก่งกาจของเขานั้นก็มากพอจะทําให้ศัตรูไม่กล้าแม้แต่จะตอบรับคําท้าเสียด้วยซ้ํา!

 

และอีก 2 คนที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน

 

พวกเขาก็คือ เสี่ยวเฉิงเฟิง และคุณนายจือฉุยที่ยังคงตามหาลูกชายของแม่นางจาวฉวนอยู่นั่นเอง

 

พวกเขาตามหาโจวฉวนจีมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด

 

“เมื่อไหร่พวกเราจะได้กลับเนี่ย?”

 

คุณนายจือฉุยถาม ภายในใจนาง นางรู้สึกว่าองค์ชายฉวนจีนั้นได้ตายไปแล้ว มันคงจะไร้จุดหมายมากถ้าหากยังคงหาเขา

ต่อไป

 

เสี่ยวเฉิงเพิ่งจ้องมองไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและพูดขึ้นว่า “แค่เดือนเดียวเท่านั้น ข้าอยากจะเห็นว่าเทพกระบโจวมันคือใครกันแน่ ข้าได้ยินมาว่าเขามีรูปร่างเป็นแค่เด็ก 10 ขวบเท่านั้นด้วย”

 

“เจ้าคิดว่าเขาอาจจะเป็นองค์ชายฉวนจีงั้นหรอ?” คุณนายจือฉุยถาม

 

เสี่ยวเฉิงเพิ่งยิ้มพลางส่ายหัว “ จะเป็นไปได้ไงเล่า? เทพกระบโจวน่ะไร้ผู้ใดทัดเทียบในระดับสร้างรากฐานเชียวนะ แม้แต่องค์ชาย 2 ที่ขึ้นระดับสร้างรากฐานได้ตั้งแต่ 9 ขวบ ยังไม่สามารถล้มจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐานได้ทุกคนเลย แล้วจะมีใครที่จะร้ายกาจไปมากกว่าองค์ชาย 2 ได้อีกกันล่ะ?” 

 

เมื่อคุณนายจือฉุยได้ยิน ก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้

 

นานน

 

ไมโครบก

 

พวกเขาก็ออกเดินทางกันมานานหลายปีแล้ว เลยไม่ได้รีบกลับไปอะไรนัก

 

ผู้คนจํานวนมากต่างเดินผ่านไปมารอบสนามฝึก แต่ก็น้อยนักที่จะยืนรอดู แม้แต่จางหรูหยูก็ยังนาน ๆ ที่มาครั้ง

 

ทางฝั่งตะวันตกของสนามฝึก มีชายคนหนึ่งกําลังยืนและคอยเฝ้ามองจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจากบนห้องพักชั้นสามของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง เขาแต่งกายด้วยชุดสีม่วงและสวมหมวกไม้ไผ่

 

ภายในห้องนั้น มีชายสูงอายุอีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วย 

 

ชายแก่ที่ดูท่าทางง่อนแง่นและมีรูปร่างอวบนิด ๆ นั้นเขากําลังเพลิดเพลินกับขาหมูย่างที่อยู่ในมือ

 

แต่หากสังเกตดูดี ๆ จะเห็นได้ว่า ชายคนนั้นมีหางที่เหมือนกับกระรอก

 

เขาเป็นปีศาจ!

 

ปีศาจที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้นั้น เทียบได้กับจอมยุทธ์ระดับบัวภายในของเผ่ามนุษย์เลยทีเดียว

 

“นายน้อย หยุดจ้องเจ้านั่นได้แล้วน่า มันก็แค่คนที่อยู่ระดับบรรลุญาณเอง เจ้านั่นมีค่าพอให้นายน้อยสนใจด้วยหรอ?” 

 

ชายแก่ที่มีหางกระรอกบ่นพึมพําพลางเดี๋ยวขาหมูย่าง 

 

ชายในชุดสีม่วงนั้นไม่ได้ตอบแต่อย่างใด

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับเข้ามา ก่อนจะนั่งลงบนเตียง

 

เขาจ้องไปทางชายแก่และพูดขึ้นว่า “ตาแก่ชิง เจ้าช่วยหยุด ตะกละตะกลามเหมือนหมูสักที่ไม่ได้รีไง?”

 

ชายแก่ที่มีชื่อว่า ตาแก่ชิง เกือบจะสําลักขาหมูย่างออกมา

 

เขารู้สึกผิด และพูดตอบ “นายน้อย ท่านจะดข้าทําไมเนี่ย?”

 

ชายในชุดสีม่วงถอนหายใจ “จําไว้ด้วย ว่าภารกิจของเราคือการจับเจ้าหญิงฉวนหยา เพราะพ่อของข้า ท่านราชาน่ะกําลังจะประกาศสงครามกับอาณาจักรเหมันต์แดนใต้รวมถึง อาณาจักรรอบ ๆ นี้ในอีกไม่ช้า ยังไงพวกเราก็ต้องการอํานาจ ในการต่อรองกับมหาจักรวรรดิโจวให้ได้”

 

ตาแก่ชิงเลียน้ํามันที่ติดอยู่บนมือพลางรู้สึกสับสน “เจ้าหญิงฉวนหยายังอายุไม่ถึง 15 เลยนะ แล้วจะเอานางไปใช้ทําอะไรได้?” เขาพูด

 

ชายในชุดสีม่วงตอบ “งั้นข้าจะบอกให้ เจ้าหญิงฉวนหยาแห่งมหาจักรวรรดิโจวน่ะมีพรสวรรค์พรสวรรค์ประจักษ์หยินหยางที่ในพันปีจะปรากฏแค่ครั้งเดียวเท่านั้นอยู่ไงล่ะ”

 

ตาแก่ชิงอ้าปากค้าง ก่อนจะสูดอากาศเย็น ๆ เข้าไป

 

ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออก ก่อนจะถามด้วยความแปลกใจว่า “ถ้านางมีพรสวรรค์มากมากซะขนาดนั้น งั้นทําไมนางจะต้องมาที่เมืองกลืนเมฆาด้วยล่ะ?”

 

ชายในชุดสีม่วงไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพราะแม้แต่เขาก็ยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน

 

“เจ้าของร้าน ขอห้องพักให้ข้าสักห้องหน่อย!”

 

ฉวนจีตะโกนขณะที่เดินไปทางเคาน์เตอร์ ก่อนจะโยนแท่งเงินลงบนโต๊ะ

 

เจียงฉือน้อยเดินตามเขาไป แต่เธอมองออกไปนอกโรงเตี้ยมแทน

 

หากมองออกไปนอกประตูไปทางปากซอยถนน ก็จะเห็นสนามฝึกซ้อมได้อย่างชัดเจน ทําให้นางเห็นร่างของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจแล้ว

 

เขารู้วิธีเรียกแขกดีซะจริง

 

เธอเบ้ปากพลางรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย

 

“โปรดตามข้ามาทางนี้เลย คุณหนู”

 

บริกรคนหนึ่งวิ่งมาและยิ้มให้อย่างพราวเสน่ห์

 

พอเขาเห็นถึงการแต่งตัวแล้วเขาก็พอจะรู้ได้เลยว่าพวกเขานั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

 

ตามการนําทางของบริกร ทั้งสองก็ขึ้นมายังชั้น 2 และเข้าไปยังห้องพักซึ่งหันหน้าเข้าสนามฝึก

 

โจวฉวนจีเป็นคนใจกว้างเลยให้ทิปกับบริกรไปด้วยบริกรพยักหน้าก่อนจะโค้งคํานับให้ด้วยความดีใจ

 

หลังจากที่บริกรพามาถึงห้องแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังโต๊ะก่อนจะรินน้ําชา และพูดขึ้นว่า “พอข้าไปตอบรับคําท้าแล้วเจ้าต้องรออยู่ที่นี่นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกมา เด็ดขาด”

 

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที “เจ้าจะเป็นอันตรายอะไรรึเปล่า?” เธอถาม

 

โจวฉวนจียกถ้วยชาให้เธอและพูดพลางยิ้มให้ “เปล่าหรอกข้าแค่ไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนของพวกเราน่ะ เลยว่าจะไปที่นั่นด้วยทางอื่นแทน”

 

เธอรู้สึกโล่งใจพอได้ยินแบบนั้น

 

เธอไม่ได้รู้สึกกังวลเลยสักนิด จนกระทั่งได้เห็น จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

เมื่อตอนที่พวกเขาเดินผ่านสนามฝึก ออร่าที่แผ่ขยายออกมาจากตัวเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะงั้นเธอเลยรู้สึกกังวลขึ้นอีกครั้งภายในใจ

 

“แล้วเจ้าจะไปเมื่อไหร่ล่ะ?” เธอถาม

 

“ภายใน 1-2 วันนี้ ข้าว่าจะไปจัดการอะไรบางอย่างก่อน”โจวฉวนจีบ่นพึมพํา

 

“อะไรที่ว่านั่นคือ?” เธอถามด้วยความสงสัย

 

เขาไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขากําลังเตรียมจะแพร่กระจายข่าวว่า เทพกระบี่โจวจะรับคําท้าในอีก 2 วัน 

 

ตั้งแต่ที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกดดันให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็จะใช้โอกาสนี้เพื่อกระจายชื่อเสียงของเขาเช่นกัน!

 

เมื่อเธอได้ยินก็ถอนหายใจ “ฉวนจี นี่เจ้าหัดเป็นพวกเจ้าเล่ห์ตั้งแต่อายุแค่นี้ได้ยังไงเนี่ย?”

 

พวกเจ้าเล่ห์งั้นหรอ? เขากลอกตาใส่

มันก็แค่การวางแผนและการเตรียมตัวต่างหากล่ะ!

 

หลังจากที่พักได้สักพัก เขาก็ออกจากโรงเตี้ยมมา

 

และเขาก็เจอเข้ากับขอทานและเด็กบางคนเข้าเขาเลยล่อเจ้าพวกนั้นด้วยเงินเพื่อให้กระจายข่าวให้

 

ก่อนจะถึงย่างค่ํา ขาวเกี่ยวกับการรับคําท้าของเทพกระบีโจวก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว

 

หลังจากที่โจวฉวนจีกลับไปยังโรงเตี้ยม เขาก็ไม่ได้ฝึกวรยุทธเหมือนตามปกติ แต่เริ่มกินอาหารหรู ๆ กับเจียงฉือน้อย แทน

 

ต้องยอมรับเลยว่า หม้อไฟเนื้อแกะนั้นอร่อยสุด ๆ เนื้อที่ถูกเดี๋ยวแม้จะมีมัน แต่ก็ไม่เลี่ยนเลยสักนิด พอกัดลงไป รสชาติของความอร่อยก็กระจายไปทั่วปาก เทียบกับสัตว์ที่ถูกล่าแล้วเอามาย่างเนี่ย แบบนี้เป็นอะไรที่ยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบซะอีก

 

หลังจากที่พวกเขาอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารเสร็จแล้ว ทั้งสองก็นอนลงบนเตียงก่อนจะเริ่มคุยกัน

 

พวกเขาเริ่มคุยเกี่ยวกับอนาคต

 

เมื่อเจียงฉือน้อยโตขึ้น ความคิดของเธอก็โตมากขึ้นด้วย

 

โจวฉวนจีถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้มกับความจริงที่ว่าเด็กสาวคนนี้เริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่นแล้วจริง ๆ

 

เมื่อตอนที่โจวฉวนจีเกือบจะหลับ จู่ ๆ เธอก็สะกิดเอวเขาก่อนจะพูดพึมพําออกมา “คือ.ฉวนจี ข้าคิดว่าข้าไม่สบายข้าคิดว่าข้าบาดเจ็บข้างในจากการฝึกวิชาปราณ”

 

เมื่อเขาได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกกังวลทันที เขาพลิกตัวกลับไปและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเจ็บตรงไหนหรอ?”

 

เธอหน้าแดงก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อกี้นี้ตอนที่ข้าไปนี่มาข้ามีเลือดออกมาด้วยเยอะเลย…”

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจ สีหน้าของเขาดูจะอึดอัดเอามาก ๆ 

 

นี่มันอาการบาดเจ็บภายในประเภทไหนเนี่ย?

 

เขาเริ่มคิด เธออยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่เธอ 6 ขวบ ไม่มีผู้หญิงที่เป็นใหญ่คนไหนเคยสอนเธอเกี่ยวกับร่างกายมาก่อนมันเลยเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่รู้เกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง

 

เขารู้สึกว่ามันทั้งปวดใจและทั้งตลก เขาเลยเริ่มสอนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับร่างกายผู้หญิงให้เธอ

 

ตอนที่ 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

“จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหรอ?”

 

โจวฉวนจีรู้สึกงง ๆ เขาคือใครล่ะนั่น?

 

เจียงฮือน้อยขมวดคิวด้วยความไม่พอใจเพราะความหยิ่งผยองของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคนนั้น

 

ชายคนนั้นก็รีบอธิบายให้ทันที “ชายคนที่ว่าไม่ได้เป็นคนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้หรอกครับ แต่เขาพึ่งขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน แถมวิชาดาบของเขาเองยังทั้งสง่างามและทรงพลังอีกด้วยครับ แต่เสียที่ค่อนข้างจะหยิ่งพอตัวนี่ล่ะครับเพราะครั้งนึงเขาเคยติดอยู่ในตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจวนะครับ ถึงจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เถอะ”

 

เขาขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง เขาอยากจะท้าทายจอมยุทธเก่งๆที่อยู่ระดับบรรลุญาณพอดีเลย

 

เขาถาม “แล้วชายคนที่ว่านี่ยังอยู่ในเมืองกลืนเมฆาอยู่มั้ย?”

 

ชายหนุ่มพยักหน้า และพูดว่า “เขาบอกว่า เขาจะรอท่านอีกเดือนนึง และถ้าท่านไม่ยอมรับคําท้าล่ะก็ เช่นนั้นฉาย าเทพกระบี่โจวของท่านก็เป็นแค่ของเก๊เท่านั้นครับ…” 

 

ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ชายหนุ่มดูจะพูดแบบไม่พอใจนัก

 

ไอจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นกล้ามาเทียบตนกับเทพกระบี่โจวได้ยังไงกัน?

 

ผู้คนน่ะไม่ได้ชื่นชมเทพกระบี่โจวเพราะพลังหรืออะไรหรอกนะ แต่พวกเขาชื่นชมในความเที่ยงธรรมและมีเมตตาต่างหากล่ะ!

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็มองไปยังโจวฉวนจี ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะเอาชนะเจ้าคนหยิ่งผยองแบบนั้นได้

 

โจวฉวนจีพยักหัวตอบ “ขอบคุณเจ้ามาก” เขาพูด

 

หลังจากนั้น เขาก็เดินตรงไปหาเจียงฉือน้อย

 

ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามเขาไป แต่ตะโกนไล่หลังมาว่า “ท่านต้องยอมรับคําท้านะ! สอนบทเรียนให้มันได้รู้ซะบ้าง!”

 

โจวฉวนจีโบกมือตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมอง และสายตาของเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจงั้นหรอ?

 

เดี๋ยวข้าจะสอนให้มันรู้เองว่าใครเป็นใคร

 

หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่หลา เจียงฉือน้อยก็พึมพําถามขึ้นมาว่า “ฉวนจี เจ้ามั่นใจรึเปล่า?”

 

อยู่กับเขามาตั้ง 7 ปี ทําไมเธอถึงมองไม่ออกเนี่ยว่าเขาคิดอะไรอยู่?

 

เขากลอกตา ก่อนจะพูดว่า “ข้าเคยสังหารจอมยุทธระดับบัวภายในตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบมาแล้ว เจ้าคิดจริง ๆ หรอว่าข้าจะกลัวใครก็ไม่รู้ที่อยู่แค่ระดับบรรลุญาณน่ะ?”

 

เจียงฉือน้อยคิดและก็รู้สึกว่าจริงอย่างที่เขาบอก ฉายาเทพกระบี่โจวของเขาไม่ได้มาเล่น ๆ พวกโจรที่ถูกฆ่าด้วยดาบของเขามีตั้งมากมายจนแทบจะตั้งเป็นกองทัพได้เลยเชียวล่ะ

 

“ถ้างั้นเจ้าต้องสอนเขารู้จักบทเรียนซะบ้างนะ ข้าล่ะเกลียดพวกชอบหยิ่งจริง ๆ”

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าทําแน่!”

 

ทั้งสองยังคงคุยกันระหว่างเดินตรงไปยังเมืองที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา

 

หลังจากที่เข้าเมืองมาได้ ทั้งสองก็เริ่มวิ่งไปทั่วถนน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวฉวนจีได้ลองเข้าเมืองของโลกในชาตินี้มันเลยค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจสําหรับเขา

 

ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาทั้งซื้อขนมระหว่างทางและเดินเข้าไปดูร้านต่าง ๆ

 

เป็นเวลา 3 วัน ที่ทั้งสองเดินสํารวจทั่วทั้งเมือง

 

โจวฉวนจีนั้นทั้งรวยและมีสมบัติอยู่มหาศาลในสุดยอดช่องเก็บของ พวกเขาจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งค์เลยสักนิด

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มตกเป็นเป้าของพวกโจรเช่นกันแต่พวกมันกลับถูกโจวฉวนจีจับได้ในตรอกด้านหลังแทน

 

ในวันที่ 4 ทั้งสองขึ้นรถม้าและตรงไปยังเมืองกลืนเมฆา 

 

มันไม่ไกลจากเมืองที่พวกเขาอยู่ตอนนี้นัก

 

ฉายา เทพกระบี่โจว นั้นดังสุด ๆ ทั่วเขตชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เพราะงั้นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ควรจะอยู่แถวชายแดนของอาณาจักรเช่นกัน

 

รถม้า 7 คันขับตามหลังมา โดยแต่ละคันมีคนขับ 2 คน คนนึงแก่อีกคนยังวัยรุ่น ซึ่งชายหนุ่มวัยรุ่นนั้นอยู่ในฐานะเด็กฝึกงาน

 

“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเทพกระบี่โจวจะตอบรับคําท้าเปล่า?”

 

“ข้าคิดว่าบางทีเทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ําไม่งั้น เจ้าคิดว่าทําไมไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันถึงเลือกท้าสู้ที่เมืองกลืนเมฆาล่ะ?”

 

“อ่าา? งั้นท่านหมายความว่าไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันแค่ตั้งใจจะพูดขู่ไปงั้นน่ะหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ถึงมันจะแข็งแกร่งจริง ๆ ก็เถอะ แต่เทพกระบี่โจวก็ถล่มแต่พวกโจรที่อยู่ระดับสร้างรากฐานอย่างเดียว คงพูดยากนะว่าใครจะชนะ”

 

“แล้วก็ข้าได้ยินมาว่า เทพกระบี่โจวเป็นแค่เด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ํานี้ เป็นเรื่องจริงหรอ?”

 

ในรถม้านั้น โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ได้ยินบทสนทนานั้นด้วย พวกต่างมองกันและยิ้มออกมา

 

เจียงฉือน้อยพึมพําออกมา “ฉวนจี ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะดังมากขนาดนี้แล้วนะ”

 

เธอรู้สึกภูมิใจอยู่ข้างใน เพราะเทพกระบี่โจวที่ดัง ๆ นั่นก็คือน้องชายของเธอนั้นเอง

 

โจวฉวนจีว่าจะลองใช้หน้ากากเคลือบเงินที่ปิดทั่วหน้าและมีรูแค่ช่วงตาดู เพรามันจะทําให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและดุดันมากขึ้น

 

เขาซื้อหน้ากากนี้มาด้วยราคาถึง 2 เหรียญเงิน เพราะคนขายอ้างว่ามันถูกสร้างผ่านการตีเหล็กและการหล่อหลอมขึ้นมาอย่างดี

 

เขาหัวเราะ “ข้าไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นหรอก”

 

เขานั้นเป็นถึงองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว เพราะงั้นเขาเคยไม่สนใจพวกอาณาจักรเล็ก ๆ สักเท่าไหร่

 

โจวฉวนจีใส่หน้ากากเงินก่อนจะถามพลางยิ้มให้ว่า “ข้าดูหล่อมั้ย?”

 

เขาพูด พลางโพสต์ท่าที่เขาคิดว่าดูเท่ที่สุด

 

“ตุ๊บส์”

 

เจียงฉือน้อยแทบจะกลั้นขําไม่อยู่ เธอปิดปากพลางชี้นิ้วไปทางเขา และพูดว่า “เจ้าดูที่มสุด ๆ!”

 

เมื่อเขาได้ยินก็รู้สึกน้อยใจนิด ๆ ทันที

 

เขายังเด็กเกินกว่าจะหล่อได้สินะ

 

ถ้าเขาโตขึ้นเมื่อไหร่ เขาจะต้องกลายเป็นสุภาพบุรุษอันแสนจะหล่อเหลาและสง่างามอย่างแน่นอน!

 

เจียงฉือน้อยหยิบเซ็ทชุดสีดําออกมาจะแหวนเก็บของและพูดว่า “ลองนี่ดูสิ”

 

ตอนนี้เขายังใส่เสื้อที่เจียงฮือน้อยเย็บให้ เขาเลยดูจืดและธรรมดามาก

 

หลายวันมานี้ พวกเขาซื้อเสื้อผ้าจากในเมืองมาเยอะ เพื่อให้พวกเขามีชุดสับเปลี่ยนกันได้

 

ยังไงรูปลักษณ์ของเขาก็ต้องตรงกับฉายาเทพกระบี่โจว 

 

ดังคํากล่าวที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” 

 

หลังจากที่โจวฉวนจีเปลี่ยนเป็นชุดสีดําที่ถูกตัดออกมาอย่าง ประณีตนั่น เขาก็ดูดุดันและเฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม

 

มีลายลิ่มทองจํานวนมากที่ถูกทออยู่บนเสื้อเขา เขามัดผมส่วนใหญ่ไปด้านหลัง และปล่อยผมสองข้างตรงกรอบ หน้าซึ่งยาวถึงไหปลาร้า

 

จากนั้นเขาก็ใส่หน้ากากเงินอีกครั้ง และในครั้งนี้ แววตาของเจียงฮือน้อยก็เปล่งประกาย ก่อนจะพูดชมเขา “ตอนนี้เจ้าดูสมกับเป็นเทพกระบี่โจวมาก ๆ เลย ถึงตัวจะยังเล็กไปหน่อยก็เถอะ”

 

ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูไม่ธรรมดาเลยสักนิดแต่ก็ยังขาดเรื่องส่วนสูงอยู่ดี

 

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เทพกระบี่โจวนั้นมีรูปร่างเป็นแค่เด็กมันเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

เขาเอาหน้ากากออก หลังจากที่ได้รับคําชมจากเธอ เขาก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

ทั้งสองเริ่มคุยกันอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มคุยเกี่ยวกับเสี่ยวจิงหงโดยที่ทั้งสองนั้นไม่รู้เลยว่าลูกศิษย์กระจอก ๆ ของเขาทรงพลังมากแค่ไหน

 

ต่อหน้าเสี่ยวจิงหง เจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นยังไม่กล้าแม้แต่จะตดออกมาเลยด้วยซ้ํา

 

การเดินทางยังคงดําเนินต่อไป

 

ตลอดเส้นทาง พวกเขาไม่เจอโจรเลยสักนิด

 

หลังจากผ่านมา 2 วัน 2 คืน ในที่สุดพวกเขาก็ถึงเมืองกลืน

เมฆา

 

เมืองกลืนเมฆา คือ 1 ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ มีประชากรหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ และยังมีหลายสํานักมากมายถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่ อีกทั้งการค้าขายยังรุ่งเรื่องสุด ๆ

 

ขณะที่เขาเดินไปตามถนน โจวฉวนจีก็รู้สึกได้ถึงปราณเฉพาะตัวของจอมยุทธระดับระดับสร้างรากฐานจํานวนมาก 

 

อาณาจักรนั้นไม่ได้เหมือนกับเขตอื่นๆ เพราะว่าคนส่วนมากในนั้นเป็นจอมยุทธ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังเป็นจอมยุทธระดับต่ํากันอยู่ก็เถอะ

 

ส่วนพวกเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรจําพวกเขตทั่วไปที่อยู่แถวชายแดนระหว่างอาณาจักรนั้น จะไม่ค่อยมีจอมยุทธ์อยู่สักเท่าไหร่

 

ระหว่างทาง ทั้งสองก็ได้ยินผู้คนเอาแต่พูดถึงเรื่องเทพกระบี่กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกัน

 

หนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่มีจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ประกาศท้าประลองออกไป ผู้คนมากมายก็เริ่มมารวมตัวกันที่เมืองกลืนเมฆา

 

จอมกระบี่ฆ้องอาจก็เป็นถึงจอมยุทธผู้ใช้ดาบที่ทรงพลังและเทพกระบี่โจวก็เกิดมาเพรียบพร้อมพรสวรรค์ ถ้าทั้งสองประชันหน้ากันล่ะก็ จะต้องเป็นการต่อสู้ที่สุดยอดอย่างแน่อน!

 

โจวฉวนจีไม่ได้รีบจะไปรับคําท้า แต่พาเจียงฉือน้อยเที่ยวทั่วเมืองก่อน

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ จตุรัสกลางเมืองกลืนเมฆา ที่ซึ่งมีสนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยู่

 

สนามฝึกนั้นสูงเกือบ 2 หลา และกว้างหลายร้อยหลา ส่วนพื้นที่ด้านหลังนั้นเป็นที่พักอาศัยของท่านเจ้าเมือง ขณะที่อีก 3 ด้านที่เหลือนั้นนําไปสู่เส้นถนนที่ต่างกัน

 

บนสนามฝึกมีชายคนหนึ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนระแวกนั้นมาก

 

เขาคือ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ นั่นเอง

 

ดาบของเขาตั้งตรงอยู่กับพื้น ขณะที่เขายืนอยู่ บนด้ามดาบโดยใช้แค่ปลายนิ้วเท้า เขายืนอยู่ตรงนั้นและไม่ ขยับไปไหนซึ่งมันทําให้คนเดินถนนต่างรู้สึกประหลาดใจมาก

 

ท่าแบบนี้ใช่ว่าจะทําได้ง่าย ๆ เพราะแม้แต่จอมยุทธระดับรักษาปราณแค่ยืนยังยากเลย

 

แต่เขากลับอยู่ในท่านี้มาได้เป็นเดือนแล้ว

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูเบ้ปากก่อนจะสบถออกมาเบาๆ“ช่างเป็นคนที่โง่เขลาอะไรปานนี้นะ!”

 

เหล่าข้ารับใช้ที่ติดตามเขาอยู่ต่างหัวเราะอย่างอดไม่ได้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและจางเถียนเจียนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะงั้นสิ่งที่เขาพูดนั้นต้องไม่ให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยินเป็นอันขาด

ตอนที่ 34 : จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ

 

หลังจากที่ฝึกเขวี่ยงดาบราชาโลกันตร์กว่า 500 ครั้ง ในที่สุด โจวฉวนจีก็บรรลุจิตดาบขยายวิถีกระบี่ได้

 

ด้วยการควบคุมดาบผ่านความคิด จิตของเขา ก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับดาบราชาโลกันตร์แล้วพุ่งทะลุภูเขาได้ ภายในดาบเดียว ดาบที่เขวี่ยงออกไปนั้นทะลวงทั้งผืนป่า แสดงให้เห็นพลานุภาพอันทรงพลัง

 

เจียงฉือน้อยเดินไปดูรูที่อยู่บนกําแพงภูเขา และเธอก็เห็นป่าที่อ ยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาผ่านรูนั้นมันทําให้เธอถึงกับสะอึกเลยที เดียว

!

 

ทรงพลังอะไรขนาดนี้ ถ้ามันถูกเขวี่ยงไปใส่ใครสักคนละก็ มันจะ น่าสยดสยองขนาดไหนกันนะ?

 

เธอหันไปมองโจวฉวนจี ราวกับว่าเธอกําลังมองสัตว์ประหลาด ตัวน้อยอยู่

 

เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากพลางมองท้องฟ้า และหัวเราะอย่าง ภาคภูมิใจ “ข้านี่เจ๋งใช้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ?”

ปัก!

 

ดาบราชาโลกันตร์ร่วงลงมาจากท้องฟ้าด้านบน และร่อนลงบน มือเขา

 

เขายืดตัวตั้งตรง ยืดอกรับความหล่อเท่ของตัวเอง!

 

เขาทํากระทั่งยักคิ้วให้เธอ รอให้เธอชม

 

แต่เธอกลับกลอกตาใส่และพูดว่า “เจ้าก็เป็นได้แค่เด็กตัวจ้อย ที่ พึ่งรู้วิธีเก๊กหล่อเท่านั้นแหละ”

 

เด็กตัวจ้อย…

 

โจวฉวนจีรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าฟาดหัว และอยากจะตอกกลับ ตามสัญชาตญาณ

 

แต่พอมาคิดดี ๆ แล้วเธอก็พูดถูก เขามันก็เป็นแค่เด็ก 9 ขวบ เท่านั้น เป็นแค่เด็กตัวจ้อยจริง ๆ

 

โจวฉวนจีรู้สึกท้อเล็กน้อย มันต้องใช้เวลานานมากกว่าเขาจะโตกว่านี้

 

เมื่อมองไปที่ใบหน้าอมทุกข์ของเขาแล้ว เจียงฉือน้อยก็เดินไปหา ก่อนจะปลอบด้วยการตบหัวเบา ๆ พลางพูดว่า “ไม่เป็นไรนะ มัน ไม่แย่เลยสักนิดเดียว เจ้าออกจะน่ารักจะตาย อีกอย่างจะเป็นยังไง ถ้าเกิดเจ้าโตขึ้นมาแล้วน่าเกลียดแทนนะ?”

 

นั่นเป็นคําพูดที่เขาเคยใช้เพื่อหยอกเธอมาก่อน โดยบอกว่า ถึงต อนนี้เธอจะยังดูน่ารัก แต่ในอนาคตเธออาจจะดูน่าเกลียดแทนก็ได้

 

โจวฉวนจีเบะปากพลางถอนหายใจ “ทํายังไงข้าถึงจะโตได้เร็วก ว่านี้นะ!”

 

“ทําไมล่ะ? เจ้าอยากทําอะไรหลังจากที่เจ้าโตแล้วล่ะ?” เจียงลือ น้อยถาม

 

“ไว้ค่อยคิดหลังจากที่ข้าได้เมียกับเมียน้อยเป็นสิบคนก่อนละ กัน” โจวฉวนจีตอบ

 

เขาเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น เขาไม่ได้อยากได้ผู้หญิงเยอะขนาด นั้นหรอก

 

แต่เมื่อเจียงฮือน้อยได้ยิน เธอก็หยิกแก้มน้อย ๆ ของเขา และ พูดตะคอกใส่ “เป็นเด็กเป็นเล็ก เอาแต่คิดเรื่องไม่ดีอยู่เรื่อยเลย

นะ!”

 

เธอเคยคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน เธอเลยรู้ว่าเมียและ เมียน้อยนั้นคืออะไร

 

แต่เธอก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น เพราะเธอยังไม่เข้าใจความหมา ยของการแต่งงานสักเท่าไหร่

 

คู่รักที่อยู่ในหมู่บ้านลําธารขจีเคยบอกว่า การแต่งงานนั้นคือกา รอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต และจะไม่มีวันทิ้งกันหรือจากคู่ของตนไป ไหน

 

คู่รักที่มีชีวิตอยู่ด้วยกันหรอ

 

โจวฉวนจีใช้เวลา 1 สัปดาห์เต็มเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับดาบรา ชาโลกันตร์

 

เมื่อเขาอัญเชิญวิญญาณราชาโลกันตร์ที่อยู่ในดาบออกมา ทั่วทั้ง ร่างของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดําเงาจาง ๆ ที่ซ้อนทับทั่ว ร่างของเขานั้นคือ ราชาโลกันตร์ นั่นเอง

 

หลังจากที่สวมวิญญาณราชาโลกันตร์แล้ว ทั้งพลังวิญญาณ ควา มแข็งแกร่ง ความเร็ว กระทั่งประสาทสัมผัสของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่าง มหาศาล

 

แต่มันก็ทําให้เจียงฉือน้อยรู้สึกกลัวมาก เพราะเธอคิดว่าเขาถูกสาป

 

ในวันนี้ โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยขอาใหญ่และน้องสองออก จากหุบเขา

 

พวกเขาเตรียมตัวที่จะเข้าสู่อาณาจักรเหมันต์แดนใต้ โดยเริ่มจา กการสํารวจเส้นทางถนนก่อน

ตอนนี้โจวฉวนจีก็รวยมากพอแล้ว เขาเลยไม่อยากจะใช้ชีวิตอย่า งคนป่าเถื่อนอีกต่อไป

 

ตราบใดที่เขาไม่ได้เปิดเผยตัวตน พวกลูกสมุนของราชินีแห่งมหา จักรวรรดิโจวก็จะไม่มีทางหาเขาเจอได้ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ซี่ งจะใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

หลังจากที่บินมาเกือบครึ่งวัน พวกเขาก็เกือบถึงด่านตรวจขอ งอาณาจักรเหมันต์แดนใต้แล้ว โจวฉวนจีหยุดอาใหญ่และน้องสอ งก่อน เพราะพวกมันตัวใหญ่เกินกว่าที่จะพาเข้าไปในเมืองได้

 

“กลับไปยังหุบเขาทันทีเลยนะ อย่าให้โดนจับได้อีกละ เข้า ใจมั้ย?”

 

เขาสั่งพวกวิหคมังกร แค่เจ้า 2 ตัวนี่ก็ตัวใหญ่เท่าตึก 2 ชั้นแล้ว แถมยังดูยิ่งใหญ่เกินไปอีก

 

อาใหญ่และน้องสองผงกหัวของพวกมัน ก่อนจะกางปีกและบิ นจากไป

 

เจียงฉือน้อยจับมือเขาเอาไว้และถามว่า “ฉวนจี พวกเราจะได้ก ลับไปดูหมู่บ้านลําธารขจีเมื่อไหร่หรอ?”

 

หมู่บ้านลําธารขจีนั้นตั้งอยู่นอกชายแดนของอาณาจักรเหมันต์ แดนใต้และอยู่ยังในถิ่นทุรกันดารมาก หนทางที่จะกลับไปได้เร็วที่ สุด คือการเดินทางตัดผ่านอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ไป เพราะว่ากา รอ้อมไปมันเสียเวลามากยังไงล่ะ

 

เขาเอียงหัวและถามเธอ “เจ้าคิดถึงคุณยายหรอ?”

 

ถ้าให้พูดจริง ๆ เขาก็ไม่อยากจะกลับไปหรอก เขากลัวว่าเธอจะ ถูกคุณยายฉุดตัวไป

แต่นั่นมันก็จะเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าเธออยากกลับไป เขาก็พร้อ มจะไปกับเธอด้วย

 

เด็กสาวจ้องมองไปยังดวงตาของเขา ราวกับว่าเธอเข้าใจว่าเขา กําลังคิดอะไรอยู่ เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าตัวน้อย ข้า แค่อยากรู้ว่าตอนนี้คุณยายท่านเป็นยังไงแล้วบ้างเฉย ๆ แต่ก็ช่างเถอะ มันก็ไกลเกินไปด้วยแหละ”

 

เมื่อไม่มีกั่วไปหลี่เป็นคนนําทางให้แล้ว มันก็ยากสําหรับพวกเขา ที่จะตามหาหมู่บ้านลําธารขจีเจอในเวลาสั้น ๆ ได้

 

“รอจนกว่าข้าจะขึ้นระดับบรรลุญาณได้แล้วพวกเราค่อยกลับไป เอางั้นมั้ยล่ะ?”

 

โจวฉวนจีพึมพําออกมา ถ้าหากเขาเลื่อนขึ้นระดับบรรลุญาณได้ แล้วล่ะก็ มันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้เริ่มแผนของเขาสักที

 

ก่อนอื่น เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับที่อยู่ของแม่นางจาวฉวนซะก่อน

 

ไม่ว่านางจะเป็นหรือตาย เขาก็จะไปหานางให้ได้

 

เพราะนางคือแม่ของเขาในชาตินี้ อย่างน้อยเขาก็ต้องได้ฝังเธอ อย่างเหมาะสม

 

ขั้นต่อไปก็คือ เข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิ

โจว

 

เขาอยากจะปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวด้วยตัว

ตนอื่น

 

และใช้ความสามารถของเขาดึงความสนใจของจักรพรรดิมาให้

ตราบเท่าที่โจวฉวนจียังมีความสามารถมากกว่าโจวหยาหลง เขา ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปยังวังหลวงของมหาจักรวรรดิโจวได้ จากนั้น เขาก็จะหาโอกาสลอบสังหารราชินีซะ

 

พอถึงตอนนั้น ไม่ว่าจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวจะโกรธสักแค่ไหน เขาก็ต้องลังเลแน่ว่ามันคุ้มพอที่จะฆ่าเขามั้ย

 

ถ้าให้พูดจริง ๆ เดิมที่จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวออกจะเอ็นดูเขา ซะด้วยซ้ํา

 

ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะต้องดูเข้มงวดและเย็นชาอยู่เสมอ แต่รอย ยิ้มกว้าง ๆ ก็มักจะปรากฏบนใบหน้าของเขาทุกครั้งที่เจอแม่นาง จาวฉวนและโจวฉวนจี

 

เขาจําได้ว่า ครั้งนึงองค์จักรพรรดิเคยตรัสกับแม่นางจาวฉวนไว้ ว่า ถ้าเขามีพรสวรรค์ที่พิเศษเกินกว่าใครจริง ก็เป็นไปได้ที่จะแต่งตั้ง เขาเป็นรัชทายาทได้

 

และบางทีคําพูดนั่นก็อาจจะเป็นตัวนําพาหายนะมาสู่แม่นา งจาวฉวนก็ได้

 

ทั้งโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ขณะที่เดินตรงไปยังประตูทางเข้า

 

ระหว่างทาง เจียงฉือน้อยก็แอบมองเขาบ้างเป็นครั้งคราว

 

แต่โจวฉวนจีมัวแต่กําลังคิดเรื่องแผนการล้างแค้น เขาเลยไม่ทัน สังเกตว่าเธอมองเขาอยู่

 

“ข้าต้องไปกับโจวฉวนจไม่ว่ายังไงการตาม ถ้าไม่มีข้า ก็ไม่มีใคร เย็บเสื้อให้เขาน่ะสิ”

 

การแสดงออกผ่านสายตาของเธอนั้นช่างอ่อนโยน ถ้าไม่ใช่เพร าะเขาล่ะก็ เธอคงจะตกอยู่ในชะตากรรมอันสุดแสนจะเลวร้ายเพร าะคุณยายของเธอไปแล้ว

 

พอคิดถึงวันเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงที่เขาสู้ถวายชีวิตเพื่อปกป้องเธอด้วยแล้วมันก็ยิ่งทําให้เธอรู้ สึกว่าจะทําให้เขาผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด

 

โจวฉวนจีนั้นสําคัญยิ่งกว่าคุณยายของเธอซะอีก

 

หลังจากที่เดินได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ถึงหน้าป ระตูทางเข้า

 

การที่จะเข้าไปได้ พวกเขาจะต้องจ่ายหินวิญญาณระดับหนึ่ง 2 ก้อน และลงทะเบียนยืนยันตัวตนก่อน

 

ประตูทางผ่านนี้มีไว้ก็เพื่อกันไม่ให้พวกผู้ลี้ภัยจากอาณาจักรอื่น เข้ามาได้

 

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยนั้นดูไม่เหมือนคนไม่ดีเลยซักนิด แถมด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งคู่ที่ดูจะเป็นเด็กที่สุดแสนจะน่า รักแล้ว ก็ทําให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขามาจากตระกูลไหนสักตระกุล พวกทหารเลยปล่อยให้ทั้งสองผ่านเข้ามาได้หลังจากที่เก็บหินวิญญาณแล้ว

 

หลังจากที่ผ่านเข้าประตูมาได้แล้ว ทั้งสองก็มองไปยังข้างหน้า และเห็นภาพเงาจาง ๆ ของเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์

 

ใกล้ ๆ พวกเขานั้นมีค่ายทหารอยู่ โดยทหารทุกคนต่างกําลังฝึก ใช้หอกและเปลือยเปล่าท่อนบนอยู่ทั้งดูแข็งแกร่งและทรงพลัง

 

มีผู้คนจํานวนมากอยู่รอบ ๆ พวกเขา บ้างก็เดินทางเข้าเมือง บ้า งก็เดินทางออกเมือง

 

หลังจากที่เดินไปได้ 500 หลา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กําลังจะเดิ นทางออกจากเมืองก็ตกใจตาค้างเมื่อได้เห็นโจวฉวนจี เขาขยี้ตา ก่อนจะมองด้วยความประหลาดใจ

 

จู่ ๆ ชายคนนั้นก็วิ่งตรงไปหาโจวฉวนจีและพูดขึ้นอย่างตื่นเต้ นว่า “ท่านเทพกระบี่โจว อะไรทําให้ท่านมาที่นี่กันครับ?”

 

หลังจากที่ผ่านมาปีครึ่ง โจวฉวนจีก็ได้ทําลายฐานกองโจรไปถึง 38 แห่ง และได้ช่วยผู้คนมาเกือบ 2000 คน

และชายหนุ่มคนนั้นก็คือ 1 ในนั้น

 

แต่โจวฉวนจีกลับจําเขาไม่ได้

 

เมื่อชายคนนั้นเห็นโจวฉวนจีขมวดคิ้ว ก็คิดว่าเขาดันทําตัวไม่เคา รพต่อผู้ช่วยชีวิตเขา ก่อนจะพูดพึมพําออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้ อาวุโส ท่านมาที่อาณาจักรเหมันต์แดนใต้เพื่อประลองยุทธ์หรือ?” 

 

ถึงโจวฉวนจีจะดูยังเด็ก แต่เขาก็ไม่คิดจะปฏิบัติตัวกับโจวฉวนจี เหมือนเด็กเลยสักนิด

 

จอมยุทธอาวุโสคนนี้จะต้องบรรลุในวิชาบางอย่างและย้อนคืน ความหนุ่มสาวของตัวเองอย่างแน่นอน

 

เขาเคยเห็นวิชาดาบของเทพกระบี่มาก่อน และยังคงจดจําฝังลึก เข้าไปในใจได้ดี ถึงท่วงท่าความสง่างามในการฟันดาบนั้น

 

โจวฉวนจีรู้สึกตกใจ และถามว่า “ประลองยุทธ์อะไรนะ?” 

 

ชายหนุ่มตอบ “เมื่อหนึ่งเดือนก่อน จอมกระบี่แดนเหนือผู้อ งอาจได้เดินทางผ่านมายังอาณาจักรเหมันต์แดนใต้และบังเอิญได้ ยินเรื่องเกี่ยวกับท่านเข้า เขาเลยท้าทายให้ท่านมาประลองยุทธ์ด้วยที่เมืองกลืนเมฆา และประกาศกร้าวอีกว่า ถ้าหากเขาแพ้ท่านล่ะก็ เขาจะยอมเป็นศิษย์ท่าน แต่ถ้าท่านแพ้เขาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นฉายา เทพกระบีโจวก็คงเป็นแค่ของเก๊เท่านั้น”

 

ตอนที่ 33 : 9 ปี กับดาบในตํานานระดับทอง

 

ปั้ง!

 

จางเถียนเจียนทุบโต๊ะและพูดตะคอกขึ้นมา “ถ้ามันเจอข้าล่ะก็ ภายใน 3 กระบวนท่าเท่านั้น ข้าจะทําให้มั่นใช้ดาบไม่ได้อีกเลยคอยดู!”

 

จางหรูหยูหัวเราะอย่างเหยียดหยาม

 

เขาพบว่านับวันพ่อของเขายิ่งหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อย ๆ พ่อของเขาลืมไปแล้ว หรือ ถึงความอับอายที่เกิดขึ้นต่อหน้าจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจวน่ะ?

 

มันเป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าจะหยิบขึ้นมาพูดซะด้วยซ้ำ สําหรับเขาแล้ว มันคือความอัปยศอดสู

 

เมื่อตอนที่เขาไปที่มหาจักวรรดิโจวเพื่อเข้ารับการทดสอบ เขาก็มักจะโดน จอมยุทธรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิล้ออยู่บ่อย ๆ

 

เพราะงั้นแล้ว เขาเลยโทษพ่อของตัวเองตั้งแต่นั้นมา

 

แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของเขาก็ยังเป็นจอมกระบี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งอาณาจักเหมันต์แดนใต้ เขาเลยตั้งเป้าที่จะเหนือกว่าพ่อของเขาให้ได้

 

แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับเทพกระบี่โจว

 

เลือดของเขาเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น ทุกครั้งที่เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวทําลายรังโจรได้

 

และทีละเล็กทีละน้อย ภายในใจของเขา เทพกระบีโจวก็เริ่มที่จะอยู่เหนือกว่าพ่อของเขา

 

ในสายตาของเขา เทพกระบี่โจวก็เหมือนกับเขา ที่มีทั้งใจรักและมีจิตที่เมตตา

 

กลับกันพ่อของเขา แทนที่จะไปกําจัดพวกโจรด้วยตัวเอง กลับเอาแต่ถากถางเทพกระบี่โจว เพราะงั้นถ้าเทียบกันแล้ว มันก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่านิสัยของพ่อเขาเป็นยังไง

 

“ถ้างั้นก็เอาเลยสิ!”

 

เขาพูดพลางกลอกตา ยังไงไอดอลของเขาก็ไปทําลายฐานที่มั่นของ พวกโจรทุกที่อยู่แล้ว จะหาตัวเขาให้เจอมันก็ง่ายนิดเดียว ถ้าพ่อของเขาต้องการ จริง ๆ เขาก็จะต้องไปหาแน่

 

จากการประเมินของเขา เทพกระบีโจวน่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับพ่อของเขา เขาเลยไม่กังวลว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจถึงตายได้

 

“หืม แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกปีศาจดูเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวนะ แล้วจะ ให้ข้าไปได้ยังไง?”

 

พ่อของเขาถอนหายใจอย่างเคร่งขรึม

 

จางหรูหยูกลอกตา และเดินตรงไปหาทหารนายนั้น “เทพกระบี่โจวตอนนี้ เข้าจัดอันดับชื่อเสียงรึยัง?”

 

ตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจว คือ ตารางจัดอันดับบุคคล ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาก ไม่ได้จัดอันดับตามพลังที่มีแต่จัดอันดับตามชื่อเสียงแทน

 

“ยังครับ” นายทหารส่ายหัว

 

จางหรูหยูรู้สึกเสียดาย

 

เมื่อพ่อของเขาเห็นสีของเขาเป็นแบบนั้นก็รู้สึกโกรธมาก

 

เขากําลังรอเวลาที่จะได้จัดการปัญหากับเทพกระบี่โจว เพื่อให้ลูกชายของ เขาได้เห็นว่า พ่อของเขานั้นทรงพลังแค่ไหน!

 

 

บนทางเดินแคบ ๆ ในหุบเขา โจวฉวนจีเดินด้วยกันกับอาใหญ่อยู่ ตัวของเขานั้นเปื้อนเลือด และมีจิตสังหารก็กระจายออกมาบาง ๆ จากตัวเขา

 

เขาพึ่งไปกําจัดฐานที่มั่นของพวกโจรอีกที่นึ่งมา และเลือกทั้งหมดที่เปื้อนอยู่บนตัวเขา ก็คือเลือดของศัตรูนั่นเอง

 

ครึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่วันเกิดอายุครบ 8 ปี

 

หลังจากที่เขาได้ทําลายฐานกองโจรมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาก็ชักอยากจะท้าทายกับจอมยุทธทรงพลังที่อยู่ระดับบรรลุญาณบ้างแล้ว

 

ถึงเขาจะอยู่เพียงระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 5 แต่ก็ไม่มีใครในระดับสร้างรากฐานที่เก่งกาจเทียบเท่ากับเขาอีกแล้ว

 

เขาไม่ใช่เด็ก 2 ขวบแบบที่เคยเป็นอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นถึงคนที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมาเยอะมาก

เขาเปิดใช้งานกลไก และหมอกก็เริ่มกลับมาปกคลุมทางเดินแคบ ๆ นั้น ในตอนที่เขากําลังจะอาบน้ำ เขาก็เห็นเจียงฉือน้อยกําลังฝึกอยู่ ขณะที่น้องสองกําลังเล่นวิ่งไล่จับหนูทรายสามตา

 

เขายิ้มก่อนจะเดินลงไปยังทะเลสาบ

 

ทะเลสาบนั้นเชื่อมต่อกับท่อระบายน้ํา น้ําเลยยังคงใสสะอาดเพราะมีการไหลเวียนตลอดเวลาอย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็ไม่ได้ดื่มน้ําจากทะเลสาบ แต่เลือกที่จะดื่มน้ําจากน้ําพุที่ไหลลงมาจากกําแพงภูเขาที่อยู่ข้างทะเลสาบแทน

 

หลังจากที่เขาอาบน้ําและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดแล้ว เขาก็โยนพวกเสื้อ ผ้าที่สกปรกไปไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาเจียงฉือน้อย

 

เขาถามเธอ “เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้เจ้าเลื่อนระดับได้รึยัง?”

 

เธอลืมตาขึ้นก่อนจะมองอย่างหงุดหงิด “ข้าทําไม่ได้ ข้าแค่รู้สึกว่า ข้าหาหนทางที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปไม่ได้เลย” เธอพูด

 

เด็กสาวอายุ 12 ปีคนนี้ยังคงสูงขึ้นและน่ารักกว่าเดิม เธอรวบผมเป็นทรงหางม้า และท่าทางเอียงหัวน้อย ๆ ของเธอนั้นก็ดูน่ารักเอามาก ๆ

 

โจวฉวนจียืนเท้าสะเอว ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ “ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆไป เจ้านะไม่เหมือนอัจฉริยะอย่างข้าซะหน่อย!” เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นก็กระโดดตะครุบโจวฉวนจีพื้นที่

 

นางเล่นทีเผลอโจวฉวนจี และก็ผลักเขาล้มลงไปกับพื้น

 

เธอนั่งทับลงบนเอวของเขาเพื่อกดเขาเอาไว้ “ลองพูดอวดดีดูอีกครั้งสิ!” เธอเปล่งเสียงด้วยความภาคภูมิใจ

 

โจวฉวนจีนั้นแข็งแรงพอจะผลักเธอออกได้ง่าย ๆ แต่เขาก็ไม่ทํา และปล่อยให้เธอทํากับเขาเท่าที่เธอพอใจ

 

เขาทําหน้ามุ่ย “เจ้านี่เป็นพี่สาวแบบไหนเนี่ย โฮ่ เจ้าน่ะรักข้าตอนเด็กจะตาย แต่พอมาตอนนี้ซิ เอาแต่หาวิธีมาแกล้งข้า!”

 

เจียงฉือน้อยตีก้นของเขาเหมือนกําลังขี่ม้าอยู่ พลางพูดอย่างไม่พอใจใส่ “แล้วใครให้เจ้ามาล้อข้าแบบนี้ ฮะ?”

 

และทั้งสองก็เริ่มเล่นต่อสู้กัน

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปเธอก็รู้สึกพึงพอใจ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดิน ไปยังริมทะเลสาบ

 

เสื้อผ้าทั้งหมดของโจวฉวนจี เธอก็เป็นคนซักเอง และเธอยังเย็บเสื้อผ้าให้กับ เขาอีกด้วย แถมยังใช้ความพยายามในการเย็บให้มากกว่าเสื้อของตัวเองซะอีก

 

เขารู้สึกเบื่อนิดหน่อย เขาปัดผมยุ่ง ๆ ของเขาและวิ่งไปหาน้องสองเพื่อเล่นกับมัน

 

และนี่คือชีวิตประจําวันของทั้งสอง ถึงแม้วันเวลาจะซ้ําซาก แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย

 

วันเวลาผ่านไป

 

ครึ่งปีต่อมา

 

โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 6 และเจียงฉือน้อยก็เลื่อนขึ้นระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1 ได้สําเร็จเช่นกัน

 

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 9 ปีแล้ว ระบบกาชา เริ่มทํางาน!”

 

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับทอง] ดาบราชาโลกันตร์ วิชาขยายวิถีกระบี่ และพัดอัคคี”

 

เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังก้องขึ้นมา โจวฉวนจีที่กําลังนั่งชิงช้าอยู่ก็กระโดดลงมาทันที

 

อะไรนะ?

 

ดาบในตํานานระดับทองงั้นหรอ!

 

โจวฉวนจีตัวสั่นด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็ได้ดาบในตํานานระดับทองสักที!

 

ทันใดนั้น รายละเอียดเกี่ยวกับดาบราชาโลกันตร์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

ชื่อดาบ : ดาบราชาโลกันตร์

 

ระดับ : ทอง

 

คําอธิบาย : ดาบราชาโลกันตร์ เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งก้นบึงขุมนรก มันสามารถใช้อัญเชิญวิญญาณของราชาโลกันตร์เข้ามาสิงร่างผู้ใช้ได้

 

 

ราชาโลกันตร์งั้นหรอ?

 

ฟังดูเจ๋งดีนี่!

 

เขาเอาดาบราชาโลกันตร์ออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ดาบนั้นมีความยาวถึง 5 ฟุต ตัวด้ามจับเป็นสีดําและมีรอยแกะสลักเล็ก ๆ คล้ายเกล็ดอยู่ทั่วด้าม ใบดาบกว้าง 3 นิ้วและค่อย ๆ กว้างขึ้นจรดปลายดาบ โดยรวมแล้ว มันทั้งดูยิ่งใหญ่และมีออร่าที่น่าประทับใจเสียจนไม่อาจพรรณนาออกมาได้

 

มันเป็นดาบในตํานานระดับทองอย่างแน่นอน เพราะมันแตกต่างกับดาบ ในตํานานเล่มอื่นสุด ๆ

 

เขารู้สึกมีความสุขเอามาก ๆ เขาลองถือและเหวี่ยงดาบไปรอบ ๆ แต่มันกลับ ดูแปลกด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าตัวเขา เพราะใบดาบนั้นยาวสุด ๆ เขาเลยไม่สามารถชินกับมันได้อย่างสมบูรณ์

 

ขณะที่เขาเหวี่ยงดาบราชาโลกันตร์ โวฉวนจีก็ดูจะยิ่งสง่างามมากกว่าเดิม

 

แม้แต่เจียงฉือน้อยที่กําลังนั่งเย็บเสื้อผ้าอยู่ก็ยังหันมามองเขา

 

“ดาบใหม่อีกเล่มหรอ?”

 

เธอบ่นพึมพําก่อนจะกลับมาเย็บต่อ

 

เธอไม่ได้สนใจในดาบสักเท่าไหร่ เพราะเธอไม่มีพรสวรรค์ในวิถีแห่งดาบ เธอเลยไม่ได้ชอบดาบขนาดนั้น

 

หลังจากที่ฝึกด้วยวิชาดาบกระเรียนขาวไป 1 รอบ เขาก็หยุดลง เขาอยากจะดูวิชาขยายวิถีกระบี่กับพัดอัคคีซะก่อน แล้วค่อยลองใช้ผลของการสิงร่างของราชาโลกันตร์

 

วิชาขยายวิถีกระบี่นั้นเป็นวิชาดาบ เมื่อขว้างดาบออกไปแล้วครั้งหนึ่ง มันจะสังหารศัตรูที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายสิบไมล์ได้

 

ส่วนพัดอัคคีนั้นเป็นวัตถุวิเศษ มันมีรูปทรงเป็นน้ําเต้าและเป็นสีแดงทั่วทั้งพัด

 

จิตวิญญาณแห่งดาบไม่อนุญาตให้เขาใช้วัตถุวิเศษอย่างอื่นนอกจากดาบ เพื่อที่จะไม่ให้เขาพึ่งพาของพวกนั้นมากเกินไป

 

แต่ยังไงเขาก็ไม่ได้อยากจะใช้พัดอัคคีอยู่แล้ว เขาเลยเอามัน ให้กับเจียงฮือน้อยแทน

 

เธอถ่ายพลังวิญญาณลงไปในพัด ก่อนจะพัดมันตรงไปข้างหน้ายังพื้นดินที่ ว่างเปล่า และเกิดระเบิดเปลวไฟขึ้นมา ซึ่งขนาดของมันก็มากพอที่ครอบคลุมอาใหญ่และน้องสองได้

 

มันมีพลังทําลายล้างที่สูงจริง ๆ!

 

“เยี่ยมไปเลย! ด้วยพัดอัคคีนี่ ข้าก็ช่วยเจ้าได้แล้วต่อจากนี้!”

 

เธอพูดอย่างมีความสุขพลางกอดพัดอัคคีอย่างหวงแหน

 

โจวฉวนจีรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีพรสวรรค์ในการเป็นนักร่ายคาถา

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มฝึกวิชาขยายวิถีกระบี่

 

วิชาดาบนี้มีเพียง 1 กระบวนท่าเท่านั้น นั่นคือการเขวี่ยงดาบออกไป

 

แต่มันมีความแตกต่างทางด้านเทคนิคนิดหน่อยเมื่อเขาเคลื่อนไหวมือและ ถ่ายโอนพลังวิญญาณ แต่สําหรับเขายังไงมันก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยอยู่แล้ว

 

และภายในครึ่งชั่วโมง เขาก็สําเร็จวิชาขยายวิถีกระบี่ได้

อ่านโดจิน doujinza.com

ตอนที่ 32 : 8 ปี กับดาบเสียงสวรรค์

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับเงิน] ดาบเสียงสวรรค์ และบัวเขียวแก่นทมิฬ”

เมื่อโจวฉวนจีอายุครบ 8 ปี เขาก็ได้รับดาบในตำนานเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง

แถมยังเป็นดาบในตำนานระดับเงินอีก!

และข้อความสามบรรทัดก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบเสียงสวรรค์

ระดับ : เงิน

คำอธิบาย : เป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาจากแร่เสียงสวรรค์ การสั่นสะเทือนของใบดาบจะสร้างเสียงสวรรค์ขึ้นมา และส่งผลลวงจิตใจของอีกฝ่ายได้

ดาบเสียงสวรรค์ปรากฎขึ้นบนมือเขา ตัวดาบนั้นมีสีเงินและดูงดงามมาก งูสีเงิน 2 ตัวพันรอบด้ามดาบโดยส่วนหัวของมันหันลงด้านล่าง

เขาลองกวัดแกว่งดาบดู และมันก็สร้างคลื่นเสียงต่ำออกมา ช่างวิเศษจริง ๆ

หลังจากนั้นเขาก็ตรวจสอบข้อมูลคุณสมบัติของตัวเขา

เจ้าของดาบ : โจวฉวนจี

เชื้อสาย : สายเลือดราชวงศ์แห่งมหาจักรวรรดิโจว

อายุ : 8 ปี

วรยุทธ : ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 4

วิชาปราณ : อาคมกายทองคำ

วิชาดาบ : วิชาดาบกระเรียนขาว, วิชากระบี่เพลิงกัลป์, วิชา 8 ก้าวทะลวงกระบี่, วิชาดาบสะบั้นสามชีพจร

ทักษะพิเศษ : ไม่มี

พรสวรรค์ : ทักษะการทำหลายอย่างพร้อมกัน

ดาบ : [ระดับเงิน] ดาบมังกรสีชาด, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบคลื่นเหมันต์, [ระดับเงิน] ดาบชโลมโลหิต, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบพยัคฆ์คำราม, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบผ่าวายุ, [ระดับเหล็ก] ดาบเด็ดสุกร, [ระดับเงิน] ดาบหินกลายทอง, [ระดับเงิน] ดาบเสียงสวรรค์

ในครึ่งปี เขาก็ขึ้นไปถึงระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 4 ได้สำเร็จ ขณะที่เจียงฉือน้อยก็ขึ้นระดับรักษาปราณขั้นที่ 8 ได้เช่นกัน พวกเขาต่างฝึกกันหนักมากทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วยังมีหินวิญญาณคอยช่วยอีก เลยทำให้พัฒนาการของพวกเขาเลยไปเร็วกันมาก

ตอนนี้เขาก็อายุ 8 ปีแล้ว และมีอีกรายการที่เพิ่มขึ้นมาในข้อมูลคุณสมบัติของตัวเขา นั่นก็คือ อายุ

ดูเหมือนว่า ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ ข้อมูลคุณสมบัติของตัวเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

“น่าเสียดาย เมื่อไหร่ข้าจะได้ดาบในตำนานระดับทองหรือระดับอเมทิสต์บ้างนะ?”

โจวฉวนจีเบ้ปากพลางรู้สึกเซ็ง

ดาบในตำนานระดับเงินนั้นล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัว นั่นเลยทำให้มันทรงพลังพอที่จะใช้ได้สำหรับเขา

แต่อย่างไรก็ตาม จิตใจมนุษย์นั้นมีความโลภเสมอ

“จิตวิญญาณแห่งดาบ แล้วบัวเขียวแก่นทมิฬนี่ใช้งานยังไงหรอ?”

เขาถามด้วยความสงสัย ยังไงดาบในตำนานที่ได้ในแต่ละปีก็เป็นของขั้นต่ำที่ต้องได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีของพิเศษอย่างอื่นด้วยล่ะก็ มันก็คงเป็นวันเกิดที่น่าเบื่อแย่เลยล่ะ

“มันคือสมบัติที่ใช้เพื่อทำให้ร่างกายสงบและชำระล้างจิตใจให้บริสุทธ์ โดยจะได้ผลดีที่สุดเมื่อนำเข้าผ่านปาก”

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบทันที และบัวเขียวแก่นทมิฬก็ปรากฎขึ้นบนมือเขา

มันเป็นพืชสีเขียวไร้ใบ ที่มีเมล็ดขนาดเท่านิ้วโป้ง และสีเขียวจำนวน 6 เมล็ด

จู่ ๆ โจวฉวนจีก็ตะโกนเรียนขึ้นมา “ท่านพี่! มานี่เร็ว!”

เขานั่งลงข้างทะเลสาป ขณะที่เจียงฉือน้อยยุ่งอยู่กับการซ่อมชิงช้า

เมื่อวานตอนกลางคืน น้องสองทำชิงช้าพังในตอนที่มันพยายามจะนั่งลงบนชิงช้า การนั่งชิงช้ากับโจวฉวนจีนั้นเป็นกิจกรรมโปรดของเจียงฉือน้อยเลย และในบางคืนเธอก็ทำกับเขาเหมือนของเล่น ด้วยการเล่นเป็นคนผลักชิงช้าและให้เขานั่งแกว่งนานเป็นชั่วโมง เธอรู้สึกเศร้าที่ชิงช้าพังสุด ๆ

ส่วนโจวฉวนจีเองก็ไม่อยากจะ ‘ทดสอบ’ ว่ามันยังใช้งานได้อยู่รึเปล่า เขาเลยไม่คิดจะช่วย

“ทำไมหรอ?”

เจียงฉือน้อยตะโกนพร้อมทั้งเดินมาทางเขาด้วยท่าทางที่โกรธ เธอยืนเท้าสะเอวพลางทำแก้มป่อง ความไม่พอใจแสดงอยู่บนใบหน้าเธออย่างชัดเจน

โจวฉวนจีเมินสีหน้าของเธอก่อนจะพูดว่า “นี่คือบัวเขียวแก่นทมิฬ ลองกินดูสิ มันดีต่อร่างกายนะ มากินกันคนละ 3 เมล็ดนะ”

เจียงฉือน้อยย่อตัวลง และถามด้วยความสงสัย “เจ้าไปเอามันมาจากไหนน่ะ?”

โจวฉวนจีหยิบออกมาเมล็ดนึง ก่อนจะยัดใส่ปากตัวเองและเคี้ยวทันที

ในเวลาถัดมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปสุด ๆ

เหี้ยไรเนี่ย!

มีขี้อยู่ข้างในรึไง?

หยะแหยงอ่ะ!

โจวฉวนจีแทบจะพ่นมันออกมา เจียงฉือน้อยที่เห็นเขาทำสีหน้าแบบนั้นก็หันกลับวิ่งหนีทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

โจวฉวนจีลุกขึ้นทันที ก่อนจะเริ่มวิ่งไล่ตามเจียงฉือน้อยด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ เขาอุ้มเจียงฉือน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะยัดเมล็ดบัวเขียวแก่นทมิฬเข้าปากเธออย่างรวดเร็ว

เจียงฉือน้อยเผลอเคี้ยวมันไปตามสัญชาตญาณ และสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปในทันทีเหมือนโจวฉวนจี

เธออยากจะคายมันออกมา แต่โจวฉวนจีก็ปิดปากเธอเอาไว้

“มันคือยาอายุวัฒนะ อย่าทำให้มันเสียเปล่าสิ ดูข้านี่” เขาพูด ก่อนจะกลืนบัวเขียวแก่นทมิฬลงไป

จากนั้นเขาก็เอาบัวเขียวแก่นทมิฬอีก 2 เมล็ดยัดเข้าปากก่อนจะเคี้ยวมัน

เจียงฉือน้อยดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก่อนที่เธอจะได้ถาม เธอก็รู้สึกได้ว่าบัวเขียวแก่นทมิฬเริ่มให้ความรู้สึกที่เย็นสบายและไหลเข้าสู่ช่องทวารทั่วร่างของเธอ

โจวฉวนจีก็รู้สึกเช่นกัน

เขานั่งลงขัดสมาธิทันที และเริ่มใช้วิชาปราณ

เมื่อเห็นแบบนั้น เจียงฉือน้อยก็นั่งลงตาม

ถึงเมล็ดมันจะเล็ก แต่ข้างในกลับแฝงไปด้วยพลังอันมหาศาล

เขาตื่นเต้นสุด ๆ และยังรู้สึกได้เลย ว่าเขาสามารถบรรลุขั้นที่ 2 ของอาคมกายทองคำ กายาโลหะ ได้!

ปราณวิญญาณรวมตัวกันก่อนจะไหลไปทั่วร่างของพวกเขา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 5 ได้สำเร็จ และในเวลาเดียวกัน เขาก็บรรลุกายาโลหะได้เหมือนกัน บนผิวหนังของเขาปรากฎให้เห็นถึงเงาสีทองจาง ๆ ที่ฉาบบนผิวไว้

เจียงฉือน้อยก็กินเมล็ดบัวไป 3 เมล็ดเช่นกัน และวรยุทธของเธอก็เลื่อนไปยังระดับรักษาปราณขั้นที่ 10 ทันที

หลังจากที่เลื่อนระดับขึ้นมาได้ เด็กน้อยวัย 8 ขวบก็รู้สึกเหมือนกับว่า ทั่วทั้งตัวของเขาเคลือบไปด้วยโคลน เขาเลยลุกไปอาบน้ำที่ทะเลสาบ

เด็กสาวก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน ก่อนจะวิ่งตรงไปหาเขา เธอกอดรอบคอของเขาเอาไว้พลางหัวเราะคิกคัก “ฉวนจี เจ้าช่างดีต่อข้าจริง ๆ”

“ตัวเจ้าทั้งเหนียวทั้งเหม็นสุด ๆ ออกไปห่าง ๆ ข้าเลยนะ!” เขาพูดอย่างรังเกียจ

“ไม่มีทางซะหรอก ข้าจะถูโคลนให้ทั่วตัวเจ้าเลย!”

“พระเจ้า… เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนะ เจ้าไม่ควรทำอะไรแบบนี้สิ!”

“มาตอนนี้เจ้ากลัวแล้วหรอ เจ้าน้องชาย? มานี่มา ข้าจะถูโคลนให้ทั่วตัวเจ้ามากกว่านี้อีก!”

“ไปไกล ๆ เลยไป!”

พวกเขาทั้งสองเล่นกันขณะที่เดินลงไปในทะเลสาบ มันทำให้เขาปวดหัวมากทีเดียว

นี่เธอเริ่มจะเข้าสู่วัยแรกรุ่นละรึไง?

เธอนี่ชอบแหย่กับแกล้งเขาเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ!

ณ คฤหาสน์ตระกูลจาง ในเมืองหลวงอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

ที่ลานหน้าบ้าน จางหรูหยูกำลังฝึกวิชาดาบ ในขณะที่พ่อของเขานั่งอยู่ในศาลา เขาดื่นไวน์พลางเฝ้าสังเกตลูกชายของเขา

เขาพยักหน้าให้อยู่หลายครั้ง และส่ายหัวให้คนอื่น

ในตอนนั้นเอง ทหารสวมชุดเกราะเหล็กเดินเข้าไปยังศาลา เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ มีข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวครับ”

“บอกข้ามา” จางเถียนเจียนพูดพลางวางแก้วไวน์ลง

ลูกชายของเขาหยุดฝึก และเริ่มเข้ามาฟังใกล้ ๆ

“เมื่อ 3 วันก่อน บนยอดเขาเนินโลหิต เฉิงเฟิงหลงที่อยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 10 ถูกเทพกระบี่โจวตัดหัว ส่วนเหล่าโจรเกินครึ่งของคนกว่า 1200 ไม่ตายก็บาดเจ็บครับ”

นายทหารพึมพำออกมา น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความประหลายใจมาก

ถึงแม้เฉิงเฟิงหลงจะอยู่แค่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 10 แต่เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงได้เพราะสังหารจอมยุทธ์ทรงพลังที่อยู่ระดับบรรลุญาณได้

จางเถียนเจียนหรี่ตาลงพลางถาม “แล้วเทพกระบี่โจวใช้กี่กระบวนท่ากัน?”

“ตามรายงานของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ เทพกระบี่โจวใช้เพียง 2 กระบวนท่า หนึ่งสำหรับการฆ่า และอีกหนึ่งสำหรับการตัดหัวครับ”

ทหารนายนั้นตอบ และใบหน้าของจางเถียนเจียนก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาถาม “แล้วเทพกระบี่โจวได้ปล้นสมบัติที่อยู่บนยอดเขาเนินโลหิตเหมือนปกติมั้ย?”

“ครับ ไม่เหลือแม้แต่หินวิญญาณสักก้อนเดียวเลย” ทหารนายนั้นพยักหน้า

จางเถียนเจียนเริ่มหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “แหม เทพกระบี่โจวผู้มีเมตตาและเที่ยงธรรมงั้นหรอ เขาดูไม่สมกับฉายาแบบนั้นเลยสักนิด ที่เขาทำก็แค่ไปที่นั่นเพื่อสมบัติเท่านั้นเอง”

เทพกระบี่โจวผู้มีเมตตาและเที่ยงธรรม!

คนที่ถูกช่วยมาเรียกโจวฉวนจีแบบนั้น

หลังจากที่โจวฉวนจีเอาชนะศัตรูได้ เขาจะช่วยเหลือเหยื่อก่อนจะทำการปล้น นั่นเลยทำให้เหยื่อที่ถูกช่วยเอาไว้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี

“ท่านพ่อ เทพกระบี่โจวเขาเป็นคนที่มีเมตตาและเที่ยงธรรมจริง ๆ นะ!”

จางหรูหยูพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ เทพกระบี่โจวนั้นเป็นถึงไอดอลของเขา เขาเลยทนไม่ได้ที่ท่านพ่อเกิดความสงสัยในตัวไอดอลของเขา

พ่อของเขาจ้องกลับไปยังเขาและพูดว่า “จงอย่าถูกภายนอกหลอกเอาได้ ปรมาจารย์แห่งวิถีดาบที่แท้จริงนั้นจะไม่ทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนั้น”

“ท่านพ่อ แต่เทพกระบี่โจวเขาสมควรกับฉายาเทพกระบี่จริง ๆ นะ แม้แต่ท่านก็อาจจะล้มเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ!” เขาตอบอย่างฉุนเฉียว

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของจางเถียนเจียนก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชาในทันที

เขาเป็นถึงจอมกระบี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งอาณาจักเหมันต์แดนใต้เชียวนะ!

เขาจะมาแพ้ให้กับคนอย่างเทพกระบี่โจว ที่รู้เพียงวิธีสู้กับจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐานได้ยังไงกัน?

อ่านโดจิน doujinza.com

ตอนที่ 31 : เริ่มต้นตำนาน

(แก้ไขเทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว เป็น เทพกระบี่โจวแทนนะคะ)

เหล่านักโทษไม่ได้มาหยุดยั้งหรือร่วมวงปล้นสะดมแต่ละอาคารในบริเวณใกล้เคียงกับโจวฉวนจีแต่อย่างใด

เป็นเพราะโจวฉวนจีช่วยพวกเขาไว้ พวกเขาเลยไม่คิดที่จะไปแย่งสมบัติที่อยู่ในป้อมปราการเงาภูผากับเขา

ยังไงซะ ทุกคนที่สามารถผจญภัยในป่ากู่หลานได้ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นคนรวยอยู่แล้ว

ขณะที่พวกเขามองดูโจวฉวนจีปล้นของอยู่ พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกัน และถามเกี่ยวกับเทพกระบี่โจว รวมถึงภูมิหลังของเขากัน

ส่วนจางหรูหยูไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย แต่ลงเขาเพื่อไปเก็บกวาดพวกโจรที่ยังเหลืออยู่แทน

พวกกองโจรมันเป็นแค่พวกเศษเดนสำหรับเขา

พวกมันอาจจะมีเหตุผลสำหรับการกระทำที่โหดร้ายทารุณนั่น แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ตาม พวกมันก็หลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้อยู่ดี

และอีกด้านหนึ่ง

โจวฉวนจีก็เจอกรงเล็ก ๆ ที่อยู่ในบ้านของหัวหน้าใหญ่เข้า หนูตัวเล็ก ๆ ถูกขังเอาไว้อยู่ข้างในกรง มันมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองและดวงตาที่ใหญ่โต ลานขนสีทอง 2 เส้นทอดยาวตลอดแนวหลังของมัน

ดวงตาของเจียงฉือน้อยเปล่งประกาย ก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปหาเขาทันทีที่เห็น

“หรือว่านี่จะเป็นหนูทรายสามตาที่พวกเขาพูดถึงกันน่ะ? มันสามารถระบุตำแหน่งของสมบัติทั่วทั้งโลกได้เลยนะ”

เจียงฉือน้อยบอกกับโจวฉวนจี เมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเช่นกัน

พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับสัตว์ในตำนานที่มีอยู่ในโลกนี้จากกั๋วไป่หลี่มาก่อน และในหมู่พวกมันก็มีหนูทรายสามตาด้วยเหมือนกัน

โจวฉวนจีเก็บดาบ ก่อนจะปล่อยหนูทรายสามตาออกมา

เจ้าหนูทรายสามตาดูท่าทางจะกลัวมาก มันทั้งสั่นและขดตัวเป็นลูกบอล

เจียงฉือน้อยพยายามที่จะจับมัน แต่โจวฉวนจีก็ห้ามเอาไว้ก่อน

เขาอุ้มมันเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพูดขึ้นว่า “แล้วถ้าเจ้าตัวเล็กนี่มันเป็นตัวอันตรายล่ะ?”

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ดึงมือกลับทันที คงจะดีกว่าถ้าให้โจวฉวนจีทำให้มันเชื่องซะก่อน

หลังจากนั้น พวกเขาก็กลับมาปล้นค้นของกันต่อ

ต้องยอมรับเลยว่า พวกป้อมปราการเงาภูผานี่รวยจริง ๆ โจวฉวนจีเจอหินวิญญาณมากกว่า 2 แสนก้อน โดยระดับสูงที่สุดคือระดับสาม

และนอกเหนือจากพวกหินแล้ว ยังมีสมบัติและยาอายุวัฒนะอีกจำนวนมาก เขาเอาพวกมันทั้งหมดเก็บลงในสุดยอดช่องเก็บของ

เมื่อพวกเขากลับมายังพื้นที่โล่ง ก็พบว่าพวกนักโทษยังอยู่กัน

พวกเขาต่างมองไปยังโจวฉวนจีอย่างอยากรู้อยากเห็น

โจวฉวนจีเลิกคิ้วสงสัย นี่พวกนั้นต้องการจะขโมยของจากเขางั้นหรอ?

ตุบ!

ชายคนหนึ่งคุกเข่าลงและพูดขึ้นว่า “ข้าขอขอบคุณ ท่านเทพกระบี่โจว”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เริ่มหมอบกราบ

นักโทษคนอื่น ๆ ก็คุกเข่าลงและเริ่มขอบคุณเขาเช่นกัน

โจวฉวนจีนั้นทรงพลังมาก มันไม่น่าขายหน้าเลยสักนิดแม้พวกเขาจะเคารพโจวฉวนจีในฐานะผู้ที่อาวุโสกว่า

เขารู้สึกตื้นตันใจเมื่อได้เห็นว่าพวกเขาต่างรู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน

จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรได้ขึ้นมาทันที

นั่นคือการกำจัดเหล่ากองโจรที่อยู่ในป่ากู่หลานทั้งหมด เพราะถ้าเขาทำแบบนั้น เขาก็จะสามารถเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกมันมาได้ แถมยังช่วยคนธรรมดาได้อีกด้วย

ใช่แล้ว!

และใช้พวกมันเพื่อฝึกฝนทักษะของข้ายังไงล่ะ!    อ่านโดจิน doujinza.com

โจวฉวนจีตะโกนขึ้น ณ ตรงนั้นว่า “ทุกท่าน โปรดเงยหน้าขึ้นเถิด ข้า เทพกระบี่โจว ขอสาบานว่าจะกำจัดพวกโจรทั้งหลายที่อยู่บริเวณขอบชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ให้สิ้นซากเอง!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับเจียงฉือน้อยและน้องสอง

เหล่านักโทษเริ่มลุกขึ้นมาทีละคน และกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ในอนาคต การมาฝึกฝนของพวกเขาที่นี่จะมีความอันตรายน้อยลงมาก

หญิงสาวในชุดเดรสสีเหลืองที่อยู่ด้วยกันกับเจียงฉือน้อยตอนแรกขบฟันเล็กน้อย ก่อนจะตามหลังโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไป

ระหว่างทางที่ลงเขา มีเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชดังมาจากเบื้องล่าง จางหรูหยูกำลังไล่สังหารพวกโจรที่เหลือ พวกเขาต่างซ่อนตัวด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่บางคนถึงขั้นกระโดดลงจากหน้าผาและตกลงไปตายทันที

โจวฉวนจีพูดขณะที่เดินไป “ท่านพี่ ครั้งหน้าอย่าไปไหนไกลอีกนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ท่านต้องฝึกให้มากกว่าเดิม เดี๋ยวข้าจะเป็นคนสอนท่านเอง”

“ได้เลย!”

เจียงฉือน้อยจับมือเล็ก ๆ ของเขาไว้พลางยิ้มตอบรับ

เมื่อเธอแข็งแกร่งมากพอ เธอก็จะปกป้องตัวเองและช่วยเหลือโจวฉวนจีได้ เธอเลยเต็มใจที่จะฝึก

ส่วนเจ้าหนูทรายสามตาที่อยู่ในอ้อมแขนโจวฉวนจีก็โผล่หัวเล็ก ๆ ของมันออกมา และสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างด้วยความหวาดกลัว แต่มันก็ไม่ได้พยายามหนี

เจ้าหนูทรายสามตานั้นเป็นสัตว์ในตำนานที่มีจิตวิญญาณเป็นของตน มันรู้สึกได้ว่าโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อมัน มันเลยไม่ได้หนีไปไหน

เหล่านักโทษต่างเดินตามมาข้างหลัง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้มากนัก

หลังจากที่โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยลงจากเขา อาใหญ่ก็บินมาหาจากที่ไกล ๆ และมาหยุดลงตรงหน้าน้องสอง ก่อนจะเอาหัวถูกับเจ้าน้องสาวตัวน้อยของมัน

โจวฉวนจีตรวจเช็คบาดแผลของน้องสอง และพบว่ามันยังบินได้อยู่

แต่ก่อนที่พวกเขาจะเตรียมตัวออกไป จางหรูหยูก็เดินเข้ามาหา

เขาถือดาบไว้ในมือพลางกำหมัด ก่อนจะพูดว่า “ท่านเทพกระบี่อาวุโสโจว ข้าขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”

เขาไม่ได้มองที่รูปลักษณ์ของโจวฉวนจีว่าเป็นเด็ก เเต่เขาตะลึงและทึ่งในจิตดาบของโจวฉวนจีเเทน

เขาคิดว่าโจวฉวนจีเป็นจอมยุทธที่อยู่สูงกว่าระดับสร้างรากฐาน เขาเลยนับถือโจวฉวนจีในฐานะผู้อาวุโส

โจวฉวนจีเหลือบมองและพูดขึ้นว่า “ข้าสิ ควรจะเป็นคนขอบคุณเจ้า”

“ไม่หรอก ไม่หรอก ท่านยกยอข้าเกินไปแล้ว”

จางหรูหยูพูดขึ้นด้วยความตกใจที่ได้รับคำชมจากเขา ด้วยความเหนือกว่าของโจวฉวนจีทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับพ่อของตัวเอง

เขาสังหารทั้งหัวหน้าที่สองและหัวหน้าที่สามด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ช่างเป็นพลังที่น่าทึ่งเสียจริง

แม้ในยามค่ำคืน ท่วงท่าที่ฟาดฟันนั่นก็ยังทำให้เขาทึ่งได้

เขารู้สึกว่า วิชาดาบของโจวฉวนจีนั้นยังน่าหลงใหลมากกว่าวิชาดาบของจางเถียนเจียนซะอีก

มันเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เขาใฝ่ฝัน

ทั้งรวดเร็วและดุดัน

ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ โจวฉวนจีก็กระโดดขึ้นหลังอาใหญ่ และดึงเจียงฉือน้อยขึ้นมาด้วย

หญิงสาวในชุดเดรสสีเหลืองที่เดินตามหลังพวกเข้ามาติด ๆ ก็เดินมาคุกเข่าต่อหน้าอาใหญ่พลางกัดฟัน และพูดขึ้นว่า “ท่านเทพกระบี่โจว ได้โปรดพาข้าไปด้วย และให้ข้าได้รับใช้ท่านด้วยเถิด!”

โจวฉวนจีสังเกตเห็นอยู่แล้วว่านางเดินตามหลังมา แต่ก็ไม่คิดว่านางอยากจะมาเป็นสาวใช้ของเขา

ผู้หญิงคนนี้มีวรยุทธ์อยู่ที่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 8 ไม่ถือว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนเกินไป

อย่างไรก็ตาม ทำไมโจวฉวนจีจะต้องพานางไปด้วยล่ะ?

เขาส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “ข้าไม่ต้องการสาวใช้หรอกนะ”

หญิงสาวในชุดสีเหลืองเริ่มรู้สึกกังวล “ข้าจะทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่งเลย!”

จางหรูหยูทำสีหน้าขำขันขึ้นมา ถึงใบหน้าของนางผู้หญิงคนนี้จะเปรอะเปื้อน แต่นางก็มีรูปร่างที่ดี ผู้ชายทั่วไปที่ไหนจะปฏิเสธนางได้?

โจวฉวนจีส่ายหัวก่อนจะเกร็งขา และอาใหญ่ก็เริ่มบินออกไป

โดยมีน้องสองบินตามหลังมา

หญิงสาวในชุดสีเหลืองรู้สึกตกใจ นางลุกขึ้นทันทีก่อนจะรีบวิ่งไล่ตามอาใหญ่และน้องสอง

จางหรูหยูมองตามหลังโจวฉวนจี ก่อนจะถอนหายใจด้วยความชื่นชม “ด้วยวิหคมังกรที่เป็นสัตว์ขี่แล้ว สมแล้วที่เป็นเทพกระบี่โจวจริงๆ!”

เหล่านักโทษต่างถอนหายใจด้วยความชื่นชมเช่นกัน

ถ้าไม่ได้เทพกระบี่โจวแล้ว พวกเขาไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง

กลางดึก โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็กลับไปยังหุบเขา

เจียงฉือน้อยตรวจบาดแผลของน้องสอง ขณะที่โจวฉวนจีเอาหนูทรายสามตาออกมา

“จากนี้ไป เจ้ามากับข้า เป็นไง?”

เขาใช้นิ้วชี้แตะไปที่ปลายจมูกของหนูทรายสามตาพลางถาม

หนูทรายสามตาพยักหน้าอย่างเด๋อด๋า ก่อนจะเอาหัวตัวเองถูมือของเขาเพื่อแสดงถึงความเป็นมิตร

โจวฉวนจียิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปล่อยมันไว้ตัวเดียว

เขาเอาของที่ปล้นมาทั้งหมดวันนี้ออกมาแล้วเริ่มนับ

นอกเหนือจากหินวิญญาณและยาอายุวัฒนะแล้ว ยังมีวัตถุวิเศษ คำภีร์วิชาปราณ และอาคมอีกมากมาย

เขาเรียกเจียงฉือน้อยมา และปล่อยให้เธอเลือกตามที่เธอต้องการ

ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ และพวกเขาไม่จำเป็นต้องออกจากหุบเขาเลยสักนิด

พวกเขาแค่ปล่อยให้อาใหญ่และน้องสองได้ออกไปล่าทุกวันก็พอ

ขณะที่พวกเขามุ่งอยู่กับการฝึกวรยุทธ ตำนานเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเหมันต์แดนใต้แล้ว

โจวฉวนจีออกไปทำลายรังโจร เดือนละครั้ง

เขาจะเลือกเฉพาะกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด และต้องเป็นพวกที่มีระดับวรยุทธ์ไม่เกินระดับสร้างรากฐานด้วย เขาเลยสามารถทำลายพวกมันได้อย่างง่ายดาย และริบเอารางวัลมาได้อย่างมหาศาล

ครึ่งปีผ่านไป

เขาทำลายฐานที่มั่นของพวกโจรไปได้ 4 ฐาน และช่วยนักโทษรวมถึงทาสมาได้หลายพันคน ชื่อเทพกระบี่โจวเลยค่อย ๆ กลายเป็นที่ยกย่องบูชา

นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสังหารพวกหัวหน้าใหญ่ของกองโจรได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวยังไงล่ะ

เหล่านักโทษและทาสที่ได้เป็นพยานเห็นกับตา ก็เริ่มยกย่องชื่นชมเขา เมื่อพวกเขาได้กลับไปยังอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 8 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

ตอนที่ 30 : เทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว

ดวงจันทร์สีขาวนวลล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสลัว

เหนือป้อมปราการเงาภูผา จางหรูหยูและหัวหน้าทั้งสาม กำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือด

ประกายดาบเปล่งประกายปลดปล่อยคลื่นลมกรรโชกแรง เหล่ากองโจรที่อยู่รอบ ๆ ดูจะกังวลมากและไม่กล้าที่จะเข้าใกล้

ไม่มีใครสักคนที่สังเกตเห็นโจวฉวนจีที่กำลังทำตามแผนของเขาเลยสักนิด

เขาเดินตรงไปยังเกวียนคุกของน้องสองก่อน และตัดแผ่นไม้ออกราวกับตัดเต้าหู้ ไม่นานนัก เขาก็ปล่อยตัวน้องสองออกมาได้

เด็กน้อยและเจ้าอินทรีไปซ่อนตัวอยู่หลังเจียงฉือน้อย

นักโทษทั้งหมดที่อยู่ในเกวียนคุกเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของโจวฉวนจี พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมา

มันเป็นช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย ไม่มีใครในหมู่พวกเขาโง่พอจะส่งเสียงออกมาได้หรอกนะ

เขาเหวี่ยงดาบเบา ๆ และเปิดช่องทางออก จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่ออุ้มเจียงฉือน้อยออกมา ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน

“พวกเจ้าทั้งหมดต้องไปซ่อนตัวก่อน เจ้าห้ามประมาทเด็ดขาดถ้าจะหนีออกไปจากภูเขาลูกนี้” เขาออกคำสั่ง และไม่มีใครคัดค้านแต่อย่างใด

เขานำดาบหินกลายทองออกมา และส่งมันให้เจียงฉือน้อย ก่อนจะพูดว่า “ใช้นี่ในการป้องกันตัวเองนะ”

เธอรู้สึกตกใจก่อนจะถาม “เจ้าตั้งใจจะทำอะไรน่ะ?”

แค่มีเขาอยู่ข้าง ๆ ก็พอแล้ว ทำไมจะต้องมีของป้องกันตัวเองด้วยล่ะ?

จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก และรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที

เขาพูดเบา ๆ ว่า “ไอเดรัจฉานพวกนี้มันต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก!”

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอเลยเลิกคิดที่จะพยายามเกลี้ยกล่อมเขา

ในขณะเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างจางหรูหยูและหัวหน้าทั้งสามก็เริ่มเข้าสู่ไคลแม็กซ์ ทั้งหัวหน้าที่สองและหัวหน้าที่สามต่างได้รับบาดเจ็บ

ในฐานะที่เป็นลูกชายของจางเถียนเจียน จางหรูหยูก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ด้วยดาบที่อยู่ในมือเขานี้ เขามีชัยเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามมาก แม้ว่ามันจะยากลำบากก็ตาม

อย่างไรก็ตาม โจวฉวนจีก็มองออกว่า มันยากสำหรับจางหรูหยูที่จะล้มหัวหน้าทั้งสามลงได้

ดาบมังกรสีชาดและดาบคลื่นเหมันต์ปรากฎออกมา

วูบบบบบ! วูบบบบบ!

ดาบในตำนานสองเล่มบินไปในทิศทางตรงข้ามกับการต่อสู้ ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เหล่าดาบต่างส่องแสงที่เย็นยะเยือก และตัดหัวเหล่ากองโจรทีละคน ๆ ให้ตายตรงนั้นทันที

ภายใน 3 ลมหายใจ กองโจรกว่าร้อยคนที่อยู่บนยอดเขาก็ถูกสังหารทั้งหมด

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหล่านักโทษที่อยู่ข้างหลังโจวฉวนจีต่างเบิกตากว้างและอ้าปากค้างออกมา

“ใครกัน?”

หัวหน้าใหญ่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวระหว่างที่อยู่ในการต่อสู้ เขาได้เป็นพยานถึงการตายอย่างน่าอนาถของเหล่ากองโจรของเขา และนั่นทำให้เขาถูกครอบงำด้วยความโกรธ มากเสียจนเขาแทบจะเป็นลม

พวกเขาต่างเป็นเสาหลักของป้อมปราการเงาภูผา

โดยมีหัวหน้าใหญ่เป็นดั่งหัวใจหลักที่สูบฉีดเลือด

ดาบมังกรสีชาดและดาบคลื่นเหมันต์บินลงมาจากภูเขา และเริ่มสังหารโจรคนอื่น ๆ

หลังจากที่ขึ้นมาถึงระดับสร้างรากฐานมาได้ ประสาทสัมผัสของโจวฉวนจีก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า เขาสามารถสัมผัสถึงปราณเฉพาะของโจรแต่ละคนได้ นอกจากนี้ระหว่างทางที่มาเขายังรับรู้สถานการณ์ภายในป้อมปราการเงาภูผาได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นภายในภูเขา และนั่นทำให้ป้อมปราการเงาภูผาราวกับกลายเป็นนรกเลยทีเดียว

หัวหน้าที่สามกระโดดขึ้นมาดูด้วยความกังวลใจ มีศัตรูมากกว่าหนึ่งงั้นหรอ?

หัวหน้าที่สองโกรธและคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดใส่จางหรูหยูว่า “ไอสารเลว! เจ้าหลอกพวกข้า! นี่เจ้าพากำลังเสริมมาล้มพวกข้างั้นหรอ!”

จางเถียนเจียนนั่นเป็นถึงแม้ทัพแห่งอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เขามีทหารชั้นยอดอยู่ภายใต้บัญชาหลายแสนคน  ดังนั้นการถล่มป้อมปราการเงาภูผาถึงเป็นอะไรที่ง่ายมาก ๆ

จางหรูหยูเริ่มสับสน

ทหารพวกนี้เป็นของพ่อข้าจริง ๆ งั้นหรอ?

โจวฉวนจียังคงลอบเปิดทางให้เกวียนคุกคันอื่นอยู่ และนักโทษก็เริ่มหนีออกมามากขึ้นและมากยิ่งขึ้น เสียงเริ่มดังมากขึ้น และมากกว่าเดิมเมื่อพวกเขาหนีออกมาได้

ถึงหัวหน้าทั้งสามจะอยู่ระหว่างต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ

หัวหน้าที่สองเหลือไปเห็นอะไรบางอย่างที่เด็กคนนึงกำลังทำ และดวงตาของเขาก้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที ก่อนที่เขาจะใช้ดาบคู่พุ่งตรงไปยังเขา

ยามค่ำคืน เขารวดเร็วมากราวกับผี

โจวฉวนจีไม่ได้กลัวเขาแต่อย่างใจ ด้วยดาบผ่าวายุที่อยู่ในมือ เขาก้าวไปข้างหน้าด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ และภาพเงาของเขาก็เริ่มเบลอ

ฟึดดดด —

หัวหน้าที่สามหยุดชะงักทันที เลือดพุ่งกระจายออกมาจากลำคอของเขาราวกับลูกศร

โจวฉวนจีปรากฎตัวอยู่หลังหัวหน้าที่สาม

“เป็นไป… ได้ยังไง…?”

ดวงตาของหัวหน้าที่สามเบิกโพล่ง และเขาถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเคลื่อน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค เส้นเอ็นและกระดูกทั่วทั้งร่างของเขาก็ถูกตัดออก สายเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายออกมาจากร่างของเขา

จิตดาบสะบั้นสามชีพจร!

เชือดเฉือนทุกช่องทวารที่สำคัญของอีกฝ่ายในดาบเดียว!

วรยุทธของโจวฉวนจีนั้นไม่ได้สูงไปกว่าหัวหน้าที่สามนัก แต่ด้วยการรวมกันระหว่าง 8 ก้าวทะลวงกระบี่ และวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรแล้ว เขาก็สามารถฆ่าหัวหน้าที่สามได้ด้วยดาบเดียวเท่านั้น

เหล่านักโทษต่างตกอยู่ในความมึนงง

เด็กคนนี้ช่างทรงพลังยิ่งนัก!

เจียงฉือน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เธอรู้สึกตื่นเต้นมากจนปรบมือไม่หยุด

ฉวนจีของเธอช่างแข็งแกร่งจริง ๆ!

หัวหน้าที่สามอาจจะดูดุร้ายและไร้พ่าย แต่ก็ยังไม่เหมาะกับโจวฉวนจีอยู่ดี

จางหรูหยูที่อยู่กับหัวหน้าใหญ่และหัวหน้าที่สอง ก็สังเกตเห็นการตายที่น่าสยดสยองของหัวหน้าที่สาม ทั้งสามเริ่มหยุดสู้ก่อนจะถอยห่างออกจากกัน

“เจ้าจะเอายังไง?”

หัวหน้าใหญ่ถามพลางกัดฟัน แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะฆ่าหัวหน้าที่สามได้เพียงดาบเดียวได้ เขาทั้งรู้สึกโกรธและตกใจ

มันอาจจะเป็นใครสักคนที่อยู่ระดับบรรลุญาณก็ได้?

หรือพวกมันอาจจะอยู่ถึงระดับบัวภายในซะด้วยซ้ำ…

โจวฉวนจีเดินตรงไปยังพวกเขาพร้อมกับดาบของตนเอง และแอบรู้สึกโล่งอกอยู่ภายในใจ

เขาอาจจะไม่สามารถล้ม 3 หัวหน้าได้ถ้าพวกเขาสู้กันแบบตัวต่อตัว แต่ด้วยการที่เขาสามารถฆ่าหน้าที่สามด้วยดาบเดียวได้ เลยทำให้หัวหน้าอีกสองคนตกอยู่ในอาการตกใจสุด ๆ

และนั่น เลยทำให้หัวหน้าทั้งสองประเมินพลังของโจวฉวนจีไว้สูงสุด ๆ

“ข้า เทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว มาที่นี่เพื่อความยุติธรรมในนามแห่งตัวแทนของสรวงสวรรค์!”

เขาคำรามออกมาด้วยความเยือกเย็น น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของเขาดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา

เขาพุ่งตรงไปยังหัวหน้าที่สองด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่

หัวหน้าใหญ่อยากที่จะช่วย แต่ก็ถูกจางหรูหยูขวางเอาไว้เสียก่อน

ขณะที่โจวฉวนจีพุ่งเข้าใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราด หัวหน้าที่สองก็เหงื่อแตกด้วยความกลัว เขาเหวี่ยงง้าวจีนออกมาและกระแทกลงพื้นทันที

บู้ม!

พื้นผิวดินแตกระแหง ปราณที่ออกมาจากง้าวจีนของเขากระเพื่อมออกไปในรูปลักษณ์ของใยแมงมุม

เมื่อโจวฉวนจีร่อนลงสู่พื้น เขาก็รู้สึกได้ถึงปราณเข็มมีดนับไม่ถ้วนกวาดเข้าหาตัวเขา ซึ่งมันมากพอที่จะทำให้เขาแหลกเป็นชิ้น ๆ ได้ โจวฉวนจีจึงใช้งาน 8 ก้าวทะลวงกระบี่อีกครั้งด้วยความกลัว และพุ่งตรงไปยังด้านข้างของหัวหน้าที่สอง

ถึงแม้หัวหน้าที่สองจะมองไม่เห็นเขาในตอนกลางคืน แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานมา

เขาเลยฟันไปทางด้านข้างของเขาพลางร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

อย่างไรก็ตาม ดาบผ่าวายุของโจวฉวนจีนั้นก็เร็วเอามาก ๆ!

ดาบของเขาประกายแสงก่อนจะมีเลือดพุ่งออกมา ทุกช่องทวารที่สำคัญทั่วร่างของหัวหน้าที่สองถูกสะบั้นออก และสัญญาณชีวิตของเขาก็หายไปในทันที

ตุบ

เขาล้มลงกับพื้น และตายโดยสมบูรณ์

เมื่อเห็นแบบนั้น หัวหน้าใหญ่ก็เริ่มสั้นด้วยความกลัว

เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “เทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว… พวกข้าไม่เคยมีความขุ่นเคืองหรือเป็นศัตรูใด ๆ กับท่านมาก่อนเลยนะ…”

จางหรูหยูก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ข้างใน เทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวนี่มันใครกัน?

คนที่ทรงพลังขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาก่อนเลยนะ?

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…

คน ๆ นี้ดูจะยังเป็นแค่เด็กเท่านั้นเอง…

โจวฉวนจีเดินตรงไปยังหัวหน้าใหญ่ก่อนจะถอนหายใจด้วยความรำคาญออกมา “ข้า เทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อกำจัดพวกชั่วช้า ตราบเท่าที่เจ้ายังทำชั่วอยู่ นั่นก็มากพอจะนับว่าเจ้าและข้าเป็นศัตรูกันแล้ว!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พุ่งตรงไปยังหัวหน้าใหญ่

เขาไม่มีปัญหากับการฆ่าพวกชั่วแบบนี้เลยสักนิด

หัวหน้าใหญ่รีบหันหนีทันที เขาวิ่งไปยังริมผาก่อนจะกระโดดลงไป พัดเหล็กปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขาก่อนจะบินหนีไป

ชายคนนี้หนีเร็วมากเสียจนโจวฉวนจีก็ยังตามไม่ทัน

โจวฉวนจีถอนหายใจ เขาหัวไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ทุกคน ถึงเวลาหนีแล้ว!”

หัวหน้าทั้งสามและเหล่าโจรชั้นยอดของพวกป้อมปราการเงาภูผาก็ตายหมดแล้ว พวกที่เหลือรอดและพวกหัวหลักหัวตอจึงต้านทานความโกรธเกรี้ยวของเหล่านักโทษไม่ได้อีกต่อไป

เหล่านักโทษต่างรู้สึกตกใจกับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติกลับมาได้

“พวกเรารอดแล้ว!”

“ท่านเทพกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวสุดยอด!”

“เขาช่างสมกับเป็นเทพกระบี่จริง ๆ! พวกชั่วทั้ง 3 นั่นถูกเขาล้มได้ด้วยการโจมตีเดียวเท่านั้น!”

“เร็วเข้า วิ่งกันเถอะ!”

“จะวิ่งหนีจากอะไรล่ะ? ยังไงพวกป้อมปราการเงาภูผาก็ไม่มีอีกแล้วตั้งแต่นี้ไปหนิ!”

เหล่านักโทษต่างโห่ร้อง พวกเขารู้สึกประทับใจมากเสียจนร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

โจวฉวนจีรีบหยิบเอากระเป๋าเก็บของและแหวนของหัวหน้าที่สองและหัวหน้าที่สามไปทันที

ส่วนเจียงฉือน้อยและน้องสองก็ตามหลังเขาอยู่ใกล้ๆ

เขาไม่ได้รีบออกไปทันที และเริ่มปล้นของภายในป้อมปราการเงาภูผา

ตอนที่ 29 : จอมกระบี่สารทฤดู

ป้อมปราการเงาภูผานั้นตั้งอยู่บนยอดสุดของไหล่เขา และเกวียนคุกทั้ง 3 คันก็กำลังถูกพาขึ้นไปบนนั้น

อาคารหลายสิบหลังตั้งอยู่บนยอดเขา และถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ว่างเปล่า มีเกวียนคุกหลายคันที่ถูกลากออกทางด้านข้าง โดยภายในนั้นมีนักโทษจำนวนมากถูกกุมขังไว้ข้างในอยู่ พวกเขาต่างดูโทรมและสวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง แต่ละคนต่างมีคราบเลือดเลอะทั่วร่าง ซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกเฆี่ยนตีนับครั้งไม่ถ้วน

เจียงฉือน้อยมองไปที่พวกนักโทษที่น่าสงสารและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ถึงเธอจะเชื่อว่า โจวฉวนจีจะมาช่วยเธอแน่ ๆ แต่ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี

เธอสังเกตเห็นว่ามีทั้งเด็กที่อายุรุ่นราวเดียวกัน หรือแม้แต่เด็กที่อายุน้อยกว่าเธอ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า และมีเลือดติดอยู่ที่มุมปาก มันดูน่าเศร้าเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

นี่มันทำให้เธอกลัวยิ่งกว่าเดิมซะอีก

“วิหคมังกร? ของดีเลยนี่หว่า!”

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราบาง ๆ เดินตรงไปยังเกวียนคุกที่ขังน้องสองเอาไว้ เขาลูบคางพลางทำสีหน้าที่ดูพึงพอใจ

ชายคนนี้ทั้งสูง บึกบึน และสวมชุดเกราะ กล้ามแขนที่เป็นสีแทนช่วยให้รูปร่างของกล้ามที่มีชัดมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาดูมีออร่าที่ป่าเถื่อนเอามาก ๆ

หัวหน้าที่สองเดินมาทางเขาพลางหัวเราะเบา ๆ “ท่านหัวหน้า ตอนนี้ท่านน่าพอใจแล้วนะ ใช่มั้ย? ถึงข้าจะจับเจ้าหนูทรายสามตานั่นมาไม่ได้ก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่ได้กลับมามือเปล่าหรอกนะ”

หัวหน้าใหญ่พยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลวเลย ยังไงก็ตาม เจ้าได้ถามถึงพื้นเพของเจ้าพวกที่จับมารึยัง? ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เจ้าจะจับได้น่ะ”

ป้อมปราการเงาภูผาทั้งสูงและยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับภายในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว มันแทบจะไม่มีอะไรเลย

หัวหน้าที่สองยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับ เจ้าคนพวกนี้ไม่มีภูมิหลังที่จะสร้างปัญหาให้เราได้แน่นอน”

เขาได้ถามพวกนักโทษแล้ว แต่ก็ไม่มีภูมิหลังของใครที่มีอำนาจเลยสักคน

หัวหน้าใหญ่รับทราบก่อนจะหันกลับไป

ส่วนหัวหน้าที่สองก็กลับไปพักเช่นกัน

หลังจากนั้นชั่วโมงนึง หัวหน้าที่สามก็กลับมา

“พี่ข้า! น้องข้า! ดูนี่สิ! ข้าจับหนูทรายสามตากลับมาได้ล่ะ!”

เสียงหัวเราะหยาบๆดังลั่นไปทั่ว จนทำให้นักโทษทั้งหมดหันไปมองทางเขา

พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบนรีบแจ้นเดินขึ้นไปยังยอดเขา พร้อมกับกองโจรหลายสิบคนที่กำลังเดินตามหลังเขาไป พวกเขาลากรถม้า 2 คันที่บรรทุกฟืนและสมุนไพรหลากหลายชนิดมาด้วย

หัวหน้าใหญ่และหัวหน้าที่สองก็เดินออกมา เช่นเดียวกับเหล่าโจรคนอื่น ๆ

“นี่มันหนูทรายสามตานี่!”

“ด้วยเจ้าหนูนี่ พวกข้าก็สามารถหาสมบัติหายากทุกประเภทได้อย่างง่ายดายแล้ว!”

“หัวหน้าที่สามเจอมันจริง ๆ ด้วย! เขานี่สุดยอดจริง ๆ!”

“ฮ่า ๆ พวกข้า ป้อมปราการเงาภูผา จะผงาดเกรียงไกรแน่นอน!”

“ข้อมูลนี้จะต้องไม่รั่วไหลเป็นอันขาด ไม่งั้นพวกฐานที่มั่นอื่นมันจะมาแย่งไปจากพวกเราแน่”

เหล่าโจรต่างพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นถึงอนาคตที่เป็นไปได้ของพวกเขา ราวกับฝูงปีศาจที่กำลังกู่ร้องลั่นไปทั่วฟากฟ้า

“หนูทรายสามตา… หนูทรายสามตาในตำนานที่สามารถระบุตำแหน่งสมบัติทั่วโลกได้!”

หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เจียงฉือน้อยบ่นพึมพำ เธอจึงหันไปมองผู้หญิงคนนั้น

และเจียงฉือน้อยก็เห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อเบล้าส์สีเหลือง(เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้หญิง) เธอเห็นหน้านางได้ไม่ชัดนักเพราะหน้าของนางเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด แต่นางก็มีหุ่นที่สวยมากพอที่จะทำให้คนที่เห็นความคิดตะเลิดไปไกลได้

เมื่อนางสังเกตเห็นว่าเจียงฉือน้อยมอง นางก็มองกลับก่อนจะถอนหายใจ “ช่างน่าสงสารเหลือเกินที่เจ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ทั้งที่ยังอายุเท่านี้ ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละ”

เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรตอบ

หญิงสาวในชุดสีเหลือคิดว่าเธอรู้สึกกลัว เลยไม่ได้พุดคุยอะไรต่อ

ในช่วงกลางดึก

โจรคนหนึ่งก็เปิดประตูไม้ของเกวียนออกมา ก่อนจะดึงหญิงสาวหน้าตาสะสวยและลากเธออกไป

หญิงสาวกรีดร้องพลางดิ้นทุรนทุราย และมันทำให้โจนคนนั้นรำคาญเอามาก ๆ เขาเลยตบหน้าเธอเข้าอย่างจัง จนเสียงดังสนั่นลั่นไปทั่วภูเขา

หลังจากที่โดนตบ เธอก็หมดสติไปในทันที ทันใดนั้น โจรคนนั้นก็ลากเธอตรงไปยังอาคารของหัวหน้าที่สอง

หญิงสาวนักโทษคนอื่น ๆ ก็เริ่มสิ้นหวังมากขึ้นเมื่อเห็นอะไรแบบนั้น

เทียบกับต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูแบบนั้น สู้ตามซะยังจะดีกว่า

เจียงฉือน้อยกอดเข่าเถอะพลางจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของเธอเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

เวลายังคงผ่านไป

เมื่อตกดึกเข้า เธอก็ทนไม่ไหวและผลอยหลับไป แม้แต่เหล่ากองโจรที่เฝ้ายามอยู่ก็ยังง่วงเหงาหาวนอน

ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาเล็ก ๆ ที่กำลังแอบขึ้นมาบนภูเขาเลยสักนิด

มันคือ โจวฉวนจี นั่นเอง เขาไม่ได้เดินทางบนฟ้า แต่เลือกที่จะปีนเขาขึ้นมาด้วยตัวเองแทน และด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ พวกกองโจรก็ไม่ทันสังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่ข้างหลังตึกหลังหนึ่งและมองตรงไปข้างหน้า ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมัวเสียจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ชัด แต่ด้วยวรยุทธระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 4 แล้ว ทำให้สายตาของเขาดีกว่าคนทั่วไปนัก

ภายใต้อาคมซ่อนปราณ เขาเลยปกปิดปราณเฉพาะตัวของเขาไว้ได้

ไม่นาน เขาก็เห็นเจียงฉือน้อย

แต่เขาไม่ได้ลงมือทันที เพราะสัมผัสได้ถึงปราณเฉพาะของใครบางอยู่ในระยะแถวนั้น

มีจอมยุทธระดับสร้างรากฐานอยู่ประมาณ 10 คน และในหมู่คนพวกนั้นมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ 3 คน

แต่พวกเขาก็ยังอยู่ระดับสร้างรากฐานเหมือนกัน

ดวงตาของเขาเริ่มเปล่งประกายทันทีที่เขาตัดสินใจได้ จากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปยังเจียงฉือน้อยทันที

ด้วยความเร็วในการก้าวเท้าของ 8 ก้าวทะลวงกระบี่และร่างกายที่เล็กจิ๋ว เลยไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลย

เขาเดินวนไปรอบ ๆ เกวียนคุก ก่อนจะเดินมายังข้างหลังเจียงฉือน้อย

เด็กน้อยดูจะหลับสนิท และไม่สังเกตเลยสักนิดว่ามีใครอยู่ข้างหลังเธอ

“ฉวนจี… ข้ากลัว…”

จู่ ๆ เธอก็ละเมอออกมา และมันทำให้เขาปวดไปทั้งหัวใจ

เขาไม่ปลุกเธอขึ้นทันที แต่กำลังคิดว่าจะช่วยเธอออกมายังไงโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้

เขาหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะเห็นน้องสองที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนาภายในเกวียนคุกอีกคันหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ มันยังตื่นอยู่ และจ้องมองไปทางเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ทำเอาดูน่าสงสารมาก ๆ ราวกับเด็กที่กำลังมองไปยังพ่อของตัวเองหลังจากที่พึ่งทำผิดมา

เขาให้สัญญาณมือบอกให้มันเงียบ ๆ เอาไว้

“ไอเจ้าพวกหนอนน่ารังเกียจแห่งป้อมปราการเงาภูผา คืนนี้ ข้าจะถอนรากถอนโคนพวกเจ้าทั้งหมดในนามแห่งความยุติธรรมเอง!”

ในตอนนี้ เสียงโห่ร้องที่ดังลั่นไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล ช่างเต็มไปด้วยความซื่อตรงและโหดเหี้ยม

ดาบที่เปล่งประกายแวววับอยู่ ณ บนยอดเขา ชายสวมชุดสีขาวบินลงมาพร้อมกับดาบของเขา ผมสีดำพัดปลิ้วไสวไปตามลม ราวกับเทพที่กำลังก้าวลงมาสู่ผืนโลก

เจียงฉือน้อยตื่นขึ้นด้วยความกลัว เธอไม่ทันสังเกตเห็นโจวฉวนจีที่อยู่ข้างหลังเธอ แต่หันกลับไปมองชายในชุดสีขาวแทน

โจวฉวนจีย่อตัวลงเพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกโจรเห็นตัวเอง

หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าที่สอง และหัวหน้าที่สามเดินออกมาทีละคน พวกเขาต่างอาวุธครบมือ

“ข้าก็สงสัยว่าใครซะอีก ที่แท้ ก็จอมกระบี่สารทฤดู(ฤดูใบไม้ผลิ) จางหรูหยู นี่เอง ถ้าเป็นพ่อของเจ้า จางเถียนเจียน อยู่ที่นี่เองละก็ พวกข้า ป้อมปราการเงาภูผา คงโดยทำลายย่อยยับไปแล้ว แต่เป็นเจ้าเนี่ยนะ? เหอะ เจ้ายังกระจอกเกินไป!”

หัวหน้าใหญ่พูดเหยียดหยาม เขาพลิกมือของเขา ก่อนที่ค้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือจะทุบลงพื้น และทิ้งรอยร้าวขนาดใหญ่เอาไว้

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

หัวหน้าที่สองถือง้าวจีนเอาไว้ ก่อนจะกระโดดขึ้นกลางอากาศและฟาดฟันจางหรูหยู

จางหรูหยูไม่แสดงสีหน้าอะไร เข้าเล็งเป้าด้วยนิ้วของเขา ราวกับมันเป็นดาบ และคลื่นกระบี่ 2 เส้นก็พุ่งออกมาจากนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา ปราณกระบี่ปะทะเข้าที่ใบดาบง้าวจีนของหัวหน้าที่สอง และผลักเขากลับไป

ทันใดนั้น จางหรูหยูก็พุ่งลงไป และดาบที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็ร่อนลงสู่มือของเขา

การต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น!

โจวฉวนจีที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกรงขัง ก็แอบรู้สึกดีใจ จอมกระบี่สารทฤดูมาได้เหมาะเจาะพอดี

เขาสะกิดที่หลังเอวเจียงฉือน้อย ก่อนที่เธอจะหันมาและตกใจ

ไม่กี่วิถัด ใบหน้าของเธอก็เต้มไปด้วยความประหลาดใจ เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้เห็นโจวฉวนจีที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่

“ชู่วววว”

เขาเตือนให้เธอเงียบเอาไว้ และหญิงสาวในชุดสีเหลืองที่อยู่ข้าง ๆ เจียงฉือน้อยก็สังเกตเห็นเขาเหมือนกัน

หญิงสาวในชุดสีเหลืองทำสีหน้างงงวย เด็กน้อยคนนี้เข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?

เขาสังเกตเห็นสายตาของเธอก่อนจะยิ่มให้ จากนั้นเขาก็มองไปยังเจียงฉือน้อยและพูดด้วยเสียงค่อยว่า “รอจนกว่าพวกมันจะเริ่มวุ่นวายกัน แล้วข้าจะช่วยเจ้าเอง”

แววตาของเขาเริ่มเปล่งประกายไปด้วยจิตสังหาร

ถึงเขาจะไม่ใช่พวกรักความถูกต้องเท่าไหร่ แต่เขาก็มีหลักการเป็นของตัวเอง

ระหว่างทางที่มาที่นี่ เขาได้เห็นพวกนักโทษและศพที่น่าสังเวชมากมาย และนั่นทำให้เขาอยากที่จะกำจัดพวกป้อมปราการเงาภูผาให้สิ้นซากซะ

นิยาย อ่านนิยาย

ตอนที่ 28 : ป้อมปราการเงาภูผา

ในวันที่ 2 โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยมาตามนัดด้วย

เสี่ยวจิงหงไม่ได้จากไปไหน และยังคงนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม

โจวฉวนจีเริ่มสอนเสี่ยวจิงหงถึงวิธีใช้ 2 จิตดาบทันที โดยเงื่อนไขของวิชาคือ การใช้ให้ได้พร้อมกัน

ถึงเขาจะค้นพบวิชาและบรรลุมันได้ด้วยตนเอง แต่เพราะเขาเชี่ยวชาญแล้ว เลยสามารถอธิบายหลักการได้ค่อนข้างดีทีเดียว

โดยขั้นแรก คือ ให้เสี่ยวจิงหงใช้ 1 วิชาดาบต่อ 1 มือ

“2 วิชาดาบ? นี่มันยากมากเลยนะ ข้าจะไม่เสียสติไปก่อนใช่มั้ยเนี่ย?”

เสี่ยวจิงหงถามพลางขมวดคิ้ว โจวฉวนจีเลยสาธิตให้เขาดูก่อน

หลังจากที่เสี่ยวจิงหงดูการสาธิตของโจวฉวนจี เขาก็เงียบลง ก่อนจะเริ่มฝึกโดยไม่พูดอะไรอีก

ส่วนเจียงฉือน้อยก็พาอาใหญ่และน้องสองไปล่าและเก็บฟืน

โจวฉวนจีนอนไขว้ขาอยู่บนพื้น พลางเคี้ยวเศษหญ้าในปาก และมองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันช่างรู้สึกดีซะจริง

ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างใหญ่และก้อนเมฆสีขาว ช่วยทำให้อารมณ์ดีได้จริง ๆ

และตอนนี้ เขามีภารกิจเสริมในทุก ๆ วันแล้ว นั่นคือ การสอนเสี่ยวจิงหง

เขาสอนเสี่ยวจิงหงในช่วงกลางวัน และกลับมาฝึกวรยุทธในช่วงกลางคืน

เสี่ยวจิงหงนั้นมีความอดทนมาก เขาอยู่ที่เดิมตลอดและเอาแต่ฝึกไม่หยุด

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับม้าที่ควบไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับ

ครึ่งปีผ่านไป

โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ ขณะที่เจียงฉือน้อยก็ขึ้นสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 6 ได้เช่นกัน

ที่พวกเขาเลื่อนระดับได้เร็วขนาดนี้ เป็นเพราะได้หินวิญญาณช่วยไว้นั่นเอง

ส่วนเสี่ยวจิงหงก็บรรลุการใช้วิชาดาบ 2 เล่มพร้อมกันได้สำเร็จ และนั่นทำให้เขามีความสุขสุด ๆ

แค่ได้เรียนวิชาดาบคู่ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นสุด ๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาจิตดาบคู่เลย

การใช้ 2 วิชาดาบพร้อมกันจะทำให้ศัตรูไม่ทันระวังตั้งตัวได้

ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามใช้จิตดาบมือนึง ขณะที่ใช้วิชาดาบอีกมือ แต่ถึงอย่างนั้นการไหลเวียนปราณของเขาก็ดูจะยุ่งเหยิงไปหมด และปราณดาบยังไหลกลับเข้าข้างในอีก เขาแทบจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ขอบคุณ ท่านอาจารย์สำหรับคำแนะนำของท่านมาก!”

เสี่ยวจิงหงดูจะตื่นเต้นมาก เขาถือดาบไว้พลางโค้งคำนับให้กับโจวฉวนจีที่กำลังนอนอยู่บนเนินเขา

หากไม่มีคำสอนของโจวฉวนจีล่ะก็ เขาก็คงไม่มีทางที่จะบรรลุวิชาที่น่าทึ่งขนาดนี้ได้ภายในครึ่งปีหรอก

โจวฉวนจีโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพูดว่า “ด้วยความสามารถอย่างเจ้าแล้ว ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ ว่าเจ้าจะใช้จิตดาบคู่ได้เมื่อไหร่”

เสี่ยวจิงหงดูจะมีความสุขมากขึ้น หลังจากได้รับคำยืนยันแบบนั้น

โจวฉวนจีกระโดดลุกขึ้น ก่อนจะกวักมือเรียกเสี่ยวจิงหง

เสี่ยวจิงหงเดินไปหาทันที และหยุดลงอยู่ต่อหน้าเขา ก่อนจะถามว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ มีอะไรหรือ?”

โจวฉวนจีเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมาที่ป่ากู่หลานแห่งนี้ล่ะ?”

ด้วยความสามารถของเสี่ยวจิงหงแล้ว ป่ากู่หลานก็ไม่ใช่ที่ ๆ ยากในการสำรวจสำหรับเขาเลยสักนิด หรือเขาจะแค่บังเอิญผ่านมานะ?

เสี่ยวจิงหงนั่งลงข้างเขา ก่อนจะหรี่ตาลงพลางมองขึ้นไปบนฟ้า และพูดว่า “ข้ามีสัญญาที่ต้องไปสู้น่ะ เพื่อที่ข้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น ข้าเลยตั้งเป้าว่าจะไปท้าทายมหาราชาปีศาจที่อยู่ในส่วนลึกสุดของป่ากู่หลาน”

“สัญญาต่อสู้อะไรน่ะ?” โจวฉวนจีถามด้วยความสงสัย

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาปีศาจที่อยู่ในป่ากู่หลานมาก่อน ตำนานเล่าว่า มันทั้งมีความสามารถที่ล้นเหลือ และยังมีปีศาจกว่าล้านตนที่อยู่ภายใต้บัญชา ครั้งหนึ่งพวกมันเคยเกือบจะทำลายอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ได้สำเร็จ แต่โชคดีที่มหาจักรวรรดิโจวมาช่วยได้ทันเวลาพอดี

“ข้าเคยสู้กับเหมิงเทียนหลางแห่งมหาจักรวรรดิโจว แต่ผลที่ได้กลับเสมอกัน เพราะงั้น เราเลยสัญญากันเอาไว้ว่า จะกลับมาสู้กันอีกครั้งในอีกหนึ่งทศวรรษต่อมา ที่เขตชายแดนของมหาจักรวรรดิโจว และตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีก 7 ปี”

เสี่ยวจิงหงตอบ เมื่อเขาพูดเกี่ยวกับเหมิงเทียนหลาง แววตาของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะสู้อย่างสุดใจ

โจวฉวนจีรู้เกี่ยวกับเหมิงเทียนหลางอยู่บ้าง

เขาคือแม่ทัพอัศวินที่อายุน้อยที่สุดแห่งมหาจักรวรรดิโจว และเก่งในด้านกลยุทธ์มาก ในช่วงสงครามจักรวรรดิเขาสามารถเอาชนะด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าหลายเท่าได้ นั่นเลยทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวเองก็ดูจะโปรดเขามาก เลยแต่งตั้งเขาให้เป็นแม่ทัพอัศวินทันที

แน่นอนว่ามันส่งผลดีต่อตระกูลเหมิงด้วยเช่นกัน ตระกูลเหมิงเลยกลายเป็น 1 ใน 5 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของมหาจักรวรรดิโจวไปโดยปริยาย

“อ่อใช่ ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลย ท่านอาจารย์ที่เคารพ”

เสี่ยวจิงหงเอียงคอและถาม เขาจ้องมองไปยังเด็ก 7 ขวบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

แม้แต่องค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจวอย่าง โจวหยาหลง ก็ยังไม่ร้ายกาจเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ

เพราะงั้นเจ้าเด็กนี่ต้องส่งผลต่อโลกใบนี้ในอนาคตอย่างมหาศาลแน่นอน

โจวฉวนจีตอบอย่างตรงไปตรงมา “โจวฉวนจี”

“โจวฉวนจีรึ? เป็นชื่อที่ดีนี่”

เสี่ยวจิงหงพยักหน้าและพูดด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อว่าโจวฉวนจีจะเป็นองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว

เหตุการณ์ของแม่นางจาวฉวนเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ทุกคนกลับเรียกโจวฉวนจีว่า ลูกชายของจาวฉวน เท่านั้น นั่นเป็นเพราะมีเพียงผู้คนในวังหลวงเท่านั้นที่รู้จักชื่อของโจวฉวนจี

เสี่ยวจิงหงลุกขึ้นก่อนจะพูดว่า “มันถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว มีเพียงการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะช่วยขัดเกลาทักษะที่ข้ามีได้เร็วที่สุด และเพื่อที่ข้าจะได้บรรลุวิชาจิตดาบคู่ได้เร็วยิ่งขึ้น”

โจวฉวนจีก็ลุกขึ้นและพูด “ขอให้เจ้าทำสำเร็จนะ”

เสี่ยวจิงหงยิ้มให้เขาก่อนจะพูด “หลังจากที่ข้าเอาชนะเหมิงเทียนหลางได้ ข้าจะกลับมาหาท่านแน่นอน”

จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้า สูงเหนือพื้นกว่า 100 หลา และบินตรงไปยังเส้นขอบฟ้า ท่ามกลางลำแสงที่เย็นวาบและรวดเร็วดั่งสายฟ้า

นี่สินะจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์

เขามาอย่างไร้เงา และจากไปโดยไร้ร่องรอย

โจวฉวนจียิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูด “แต่กว่าจะถึงตอนนั้น พวกข้าก็คงจะอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวแล้วล่ะ”

หลังจากที่เสี่ยวจิงหงจากไป โจวฉวนจีก็กลับลงมานอนเหมือนเดิม และรอให้เจียงฉือน้อยกลับมา

หลังจากนั้นสักพัก

จนย่างค่ำ เจียงฉือน้อยก็ยังไม่กลับมา

โจวฉวนจีกระโดดลุกขึ้น เขาขมวดคิ้วและเริ่มรู้สึกกังวล

ถ้าเป็นปกติเจียงฉือน้อยต้องกลับมาแล้วสิตอนนี้

“กรู้วววว–”

เสียงวิหคมังกรร้องลั่นมาจากเส้นขอบฟ้า พร้อมอาใหญ่ที่บินตรงมา

มันร่อนลงตรงหน้าโจวฉวนจีทันที เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่า ปีกของอาใหญ่นั้นเปื้อนไปด้วยเลือด มันบาดเจ็บอยู่

มันร้องเป็นภาษานก แต่เพราะโจวฉวนจีอยู่กับวิหคมังกรมานาน เขาเลยเข้าในความหมายที่มันสื่อได้จากประสบการณ์

เจียงฉือน้อยและน้องสองถูกจับไปงั้นหรอ!

เขาหยิบยาออกมาก่อนจะใช้กับอาใหญ่ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นขี่หลังก่อนจะพูดว่า “พาข้าไปที่นั่น”

ฮู่ววววว!

อาใหญ่กระพือปีก และรีบบินตรงดิ่งไปยังทางที่มันจากมา

โจวฉวนจีดูเหมือนจะใจเย็น แต่ภายในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยความร้อนรน

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจียงฉือน้อยล่ะก็ เขาคงได้เป็นบ้าแน่

พวกเขาทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่า 5 ปี และโจวฉวนจียังนับว่าเธอเป็นคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุดอีก ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอแน่

ณ ป้อมปราการเงาภูผา

ป้อมปราการนี้ คือ หนึ่งในฐานที่มั่นของกลุ่มโจรที่อยู่นอกพรมแดนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ พวกโจรมักทำเรื่องเลวร้ายทุกรูปแบบ

ส่วนป้อมปราการเงาภูผานั้นตั้งอยู่บนภูผาเดียวดาย และในตอนนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังที่แห่งนั้น พร้อมทั้งลากเกวียนคุกมาด้วย 3 คัน

น้องสองถูกขังอยู่ในเกวียนคุกคันท้ายสุด และถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กหลายเส้น มันนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นเกวียน

ส่วนอีก 2 คันใช้เพื่อขังมนุษย์เอาไว้ คันหนึ่งสำหรับผู้ชาย และอีกคันสำหรับผู้หญิง ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมี 15 คน

และเจียงฉือน้อยคือ 1 ในนั้น เธอนั่งพิงอยู่ที่มุมหนึ่งของเกวียนคุกพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“โอ้ ไม่นะ… พวกป้อมปราการเงาภูผาจับพวกเรามางั้นเหรอ นี่พวกเราจะถึงฆาตแล้วสินะ…”

สาวสวยในชุดกระโปรงสีเขียวพูดด้วยความสิ้นหวัง ดวงตาสีน้ำเงินดำและใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน และบนใบหน้าของเธอยังมีร่องรอยของการถูกซ้อมมาอีกด้วย

ผู้หญิงอีก 3 คนที่อยู่บนเกวียนก็สภาพไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งหมดต่างยังเยาว์วัยและค่อนข้างสวย ถ้าพวกเขาได้เข้าไปยังป้อมปราการนั่นแล้วก็ เป็นใครก็คงจะจินตนาการออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

เหล่าชายหนุ่มที่อยู่อีกเกวียนก็ดูจะสิ้นหวังเหมือนกัน

พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นจอมยุทธวัยเยาว์ที่มาจากต่างสำนักต่างตระกูล จอมยุทธที่ระดับสูงที่สุดในพวกเขาก็อยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1 เท่านั้น พวกเขาต่างมาที่ป่ากู่หลานเพื่อฝึกฝน แต่ใครจะไปคิดว่าจะได้เจอกับกองโจรป้อมปราการเงาภูผาแห่งนี้แทนกันล่ะ

ชายกล้ามโตเดินตรงมาข้างหน้า เขาสวมชุดเกราะสีดำ และขี่ม้าที่ทั้งสูงและดูดุดัน ขณะที่ในมือของเขามีง้าวจีนที่เปื้อนเลือดอยู่

“หัวหน้าที่สอง ถึงพวกข้าจะไม่เจอหนูทรายสามตา แต่พวกข้าก็จับของที่มีค่ามากกว่า อย่างวิหคมังกรมาได้แทนครับ”

ชายร่างผอมเดินเข้ามาพลางยิ้มกริ่ม รอยยิ้มนั้นเผยให้เห็นฟันสีเหลือน่าขยะแขยง

หัวหน้าที่สองเบ้ปากก่อนจะพูดขึ้น “ก็หวังว่าหัวหน้าที่สามจะจับหนูทรายสามตามาได้นะ พวกฐานที่มั่นอื่นกับพวกทหารของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ก็เล็งเจ้าหนูนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นพวกเราต้องหามันให้เจอเร็วที่สุด”

นิยาย อ่านนิยาย

ตอนที่ 27 : วิชาดาบสะบั้นสามชีพจร

“งั้นถ้าข้าทำไม่ได้ ข้าจะสอนวิชาจิตดาบคู่ โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นอาจารย์ด้วย เอามั้ยล่ะ?”

โจวฉวนจีถอนหายใจ ศิษย์คนนี้ของเขาสมควรได้รับบทเรียนจากการที่ไม่เชื่อในตัวเขาซะบ้าง

ดวงตาของเสี่ยวจิงหงเปล่งประกาย และเขาก็พยักหน้ารับทันที

โดยไม่ต้องพูดอะไร เขาก็ดึงดาบออกมา และเริ่มสาธิตวิชาดาบให้ดู

มุมปากของโจวฉวนจีกระตุกเล็กน้อย ไอหมอนี่มันไม่ได้อยากเป็นศิษย์ด้วยใจจริงนี่หว่า

เขาเลิกคิดอะไรต่อ ก่อนจะเริ่มมุ่งสังเกตเสี่ยวจิงหงอย่างเต็มที่แทน

เจียงฉือน้อยเดินไปหาน้องสอง และอาใหญ่ก็ร่อนลงมาอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้นด้วย

ทั้งสองคน และ 2 วิหคมังกรมองไปยังเสี่ยวจิงหงโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ต้องยอมรับเลยว่า สมกับที่ได้ฉายา จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ จริง ท่วงท่าในวิชาดาบของเขาทั้งสง่างามและทรงพลัง ซึ่งมันช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการฝีกให้กับผู้คนจริง ๆ

เจ้าต้องไม่ต่อสู้กับศัตรูด้วยความป่าเถื่อน!

การเคลื่อนไหวดาบของเสี่ยวจิงหงไม่ได้เร็วมากนัก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความคิดเช่นนั้นให้โจวฉวนจีรู้สึกภายในใจได้

วิชาดาบนี้ประกอบไปด้วย 49 กระบวนท่า โดยแต่ละกระบวนท่านั้นทั้งต่อเนื่องและสร้างการโจมตีที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา และยังสามารถโจมตีศัตรูได้ทุกทิศทางโดยไร้ซึ่งช่องโหว่ด้วย

เผื่อกรณีที่โจวฉวนจีจะจำไม่ได้ เสี่ยวจิงหงเลยตั้งใจว่าจะสาธิตวิชานี้ 2 ครั้ง เขาทำให้ช้าพอทั้ง 2 ครั้งเพื่อให้โจวฉวนจีจำได้

แต่เมื่อเสี่ยวจิงหงกำลังจะเตรียมสาธิตวิชาอีกครั้ง โจวฉวนจีก็พลิกมือขวาของเขา และเอาดาบเด็ดสุกรออกมา

การฝึกด้วยดาบเด็ดสุกรทำให้ตัวเขาดูน่าทึ่งมา

โจวฉวนจีที่ตอนนี้อายุ 7 ขวบ และอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 2 แล้ว โดยปกติ การฝึกดาบจะไม่ยากเท่าเมื่อก่อน

เสี่ยวจิงหงรู้สึกตกใจ ก่อนจะดึงดาบลงช้า ๆ

“ใช่แล้ว คนตรงหน้าข้าเป็นถึงคนที่สามารถใช้ 2 จิตดาบได้พร้อมกัน ยังไงก็ต้องมีพรสวรรค์และจำทุกสิ่งที่ผ่านตาได้อยู่แล้วสิ”

เสี่ยวจิงหงส่ายหัวพลางยิ้มแห้ง ต้องไม่เอาเจ้าเด็กนี่ไปเทียบกับเด็ก 7 ขวบธรรมดาทั่วไปสิ

ระหว่างความพยายามในรอบแรก การเคลื่อนไหวดาบของเขายังช้ากว่าเสี่ยวจิงหงนัก

เสี่ยวจิงหงไม่ได้พูดหยอกอะไร แต่เริ่มพูดแนะนำถึงวิชาดาบให้ฟัง “นี่คือวิชาดาบสะบั้นสามชีพจร เมื่อเจ้าฝึกฝนจนสำเร็จลุล่วง เจ้าจะสามารถสะบั้นทุกช่องทางทวารที่สำคัญของร่างอีกฝ่ายอย่างรดวเร็วได้”

หลังจากที่ฝึกรอบแรกเสร็จ โจวฉวนจีก็เริ่มฝึกรอบที่สองต่อ โดยทำได้เร็วกว่ารอบแรกมาก

เสี่ยวจิงหงมองไปยังเจียงฉือน้อยและพูดว่า “แล้วนี่เจ้าทั้งสองมาจากตระกูลหรือสำนักไหนกันล่ะ?”

ด้วยพรสวรรค์แบบนี้ของโจวฉวนจี พวกเขาต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดามากแน่นอน

เจียงฉือน้อยเบ้ปากก่อนจะตอบว่า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก”

นี่เป็นอะไรที่โจวฉวนจีเคยสอนเธอไว้ ต้องเก็บความลับไว้จากคนอื่นเสมอ

เสี่ยวจิงหงยิ้มพลางส่ายหัว และไม่ได้พูดอะไรต่อ

สายตาของเขากลับไปจดจ่ออยู่กับโจวฉวนจีอีกครั้ง

ถึงท่วงท่าของโจวฉวนจีจะถูกต้อง เเต่การจะบรรลุจิตดาบได้นั้นก็ยังคงเป็นเรื่องเพ้อฝันอยู่ดี

การจะบรรลุจิตดาบจำเป็นต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ ดังนั้นการฝึกเพียงอย่างเดียวจึงไม่อาจทำได้

รอบที่ 3

รอบที่ 4

รอบที่ 5

ความเร็วของเขาเริ่มมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น ภายในครึ่งชั่วโมง เขาก็ฝึกไปได้ถึง 10 รอบแล้ว

และเสี่ยวจิงหงก็เริ่มแสดงสีหน้าเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่า โจวฉวนจีใกล้จะสำเร็จวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรได้แล้วเลยล่ะ?

รอบที่ 15

รอบที่ 20

รอบที่ 30

รอบที่ 40

รอบที่ 50

สำเร็จวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรได้ระดับนึงแล้ว!

เสี่ยวจิงหงเบิกตากว้าง เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

กลับกัน เจียงฉือน้อยที่เห็นจนชินแล้ว ก็นอนพิงหลังสองพลางหาวออกมา

จู่ ๆ ความเร็วดาบของเขาก็เพิ่มมากขึ้น จนสามารถฝึกหนึ่งรอบจบได้ภายใน 10 ลมหายใจเท่านั้น

หลักพื้นฐานของวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรคือ ความเร็ว และ ความแม่นยำ เพื่อที่จะสะบั้นทุกช่องทางทวารที่สำคัญของร่างอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วที่สุด หากใช้ร่วมกับปราณกระบี่ด้วยแล้ว ก็สามารถตัดได้แม้กระทั่งภูเขาหรือแหวกแม่น้ำเลยทีเดียว

หลังจากครบ 100 รอบ โจวฉวนจีก็สำเร็จวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรได้อีกขั้นหนึ่ง

เสี่ยวจิงหงแทบจะอ้าปากค้างจนคางลากถึงพื้น

ไอเด็กบ้านี่มันเป็นใครกันแน่?

นี่เขาเป็นจักรพรรดิดาบสมัยโบราณกลับชาติมาเกิดรึไง?

หรือจริง ๆ แล้วเขาสำเร็จวิชาดาบสะบั้นสามชีพจรด้วยตัวเองมาก่อนแล้วกันแน่?

โจวฉวนจียังคงฝึกต่อไป และสามารถฝึกครบ 49 กระบวนท่าได้ภายใน 10 ลมหายใจเท่านั้น

ยิ่งเขาฝึกมากเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

เมื่อเขาฝึกไปได้ครบ 120 รอบ เขาก็สามารถฝึกเสร็จได้ภายใน 7 ลมหายใจเท่านั้น

เขาเคลื่อนไหวดาบด้วยแรงที่มากพอจะสร้างลมแรงและพัดฝุ่นบนหน้าดินได้ อาใหญ่และน้องสองก็ถูกกดดันให้ถอยออกเช่นกัน

เมื่อครบ 150 รอบ โจวฉวนจีก็ใช้เวลาเพียง 3 ลมหายใจเท่านั้น

และเมื่อครบถึง 199 รอบ โจวฉวนจีก็ใช้เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น

200 รอบ!

เมื่อหลับตาลงทั้งสองข้าง เขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วทั้ง 49 กระบวนท่าภายในพริบตา

นี่มันจิตดาบ!

จิตดาบสะบั้นสามชีพจร!

ดาบเด็ดสุกรที่อยู่ในมือของเขากลายเป็นลำแสงสีดำ และสร้างภาพซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วน ปราณกระบี่ที่ออกมาในรูปร่างกรงเล็บ 3 เส้นถูกฟาดตรงไปข้างหน้า และสลายหายไปหลังจากที่ไปไกลกว่า 100 หลา

เจียงฉือน้อยเบิกตากว้างและรู้สึกชื่นชม เขาเท่สุด ๆ ไปเลย!

เสี่ยวจิงหงตกอยู่ในความสับสน

เขาบรรลุจิตดาบได้จริง ๆ…

แถมยังในเวลาสั้น ๆ อีก…

จริง ๆ แล้วเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ?

ห๊ะ 4 ชั่วโมง?

นี่ยังไม่ถึงค่ำด้วยซ้ำ…

โจวฉวนจีเก็บดาบกลับไป ก่อนจะเดินไปหาเสี่ยวจิงหง และพูดว่า “ข้าดูเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

ใบหน้าของเขาดูนิ่งมาก แต่ในใจกำลังดีใจโลดเต้นอยู่

ช่างเป็นวิชาดาบที่สุดยอดอะไรขนาดนี้!

มันทรงพลังยิ่งกว่าวิชาดาบกระเรียนขาวหรือวิชากระบี่เพลิงกัลป์ซะอีก!

แค่วิชานี้ก็มากพอที่จะเพิ่มพลังการต่อสู้ให้เขาได้พอตัวเลย

เสี่ยวจิงหงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางกำหมัดแน่น ก่อนจะพูดว่า “ท่านอาจารย์ผู้น่านับถือ นั่นช่างน่าประทับใจจริง ๆ”

จากอาจารย์ธรรมดา ๆ กลายเป็นอาจารย์ที่น่านับถือ แค่ท่าทีของเขาก็ชัดเจนพอแล้ว

เขายอมรับโจวฉวนจีจากใจจริง

หลังจากที่มีชีวิตมาหลายทศวรรษ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้พบกับคนที่มีความสามารถมากกว่าเขาในวิถีกระบี่

และคน ๆ นี้ไม่ได้เพียงแค่แข็งแกร่งเท่านั้น

เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโจวฉวนจีเป็นแค่เด็กอายุ 7 ขวบเท่านั้น

เด็กคนนี้ต้องเป็นคนที่ทรงพลังอำนาจจากสมัยโบราณกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน

เขาเคยได้ยินตำนานมากมาย และรู้ว่าเมื่อผู้ทรงอำนาจทั้งหลายได้สิ้นอายุขัยไป วิญญาณของพวกเขาจะกลับชาติมาเกิด ซึ่งโจวฉวนจีต้องเป็น 1 ในนั้นแน่

ในชาติก่อนของเด็กคนนี้ ต้องเป็นจ้าวกระบี่ที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

โจวฉวนจีหันกลับไป และเห็นว่าตอนนี้ยังค่ำอยู่ เลยพูดขึ้นว่า “พวกเราจะมาเจอกันที่นี่อีกทีตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้นะ”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันกลับไปและเดินตรงไปหาอาใหญ่

เสี่ยวจิงหงไม่ได้เรียกร้องให้โจวฉวนจีอยู่ต่อหรืออะไร เพราะเขาเชื่อใจโจวฉวนจี

เขาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้พิจารณาแล้วว่า ถึงแม้โจวฉวนจีจะยังเด็ก แต่เขาจะทำตามสัญญาณแน่นอน

เสี่ยวจิงหงนั่งลงกับพื้น ก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธต่อ

โจวฉวนจีกระโดดขึ้นคร่อมหลังอาใหญ่ และเจียงฉือน้อยก็กระโดดขึ้นตามด้วย ก่อนจะโอบแขนไว้รอบเอวโจวฉวนจี

วิหคมังกรทั้ง 2 ตัวเริ่มกระพือปีกและบินตรงไปยังบ้าน

โจวฉวนจีมองลงไป ก่อนจะเห็นเสี่ยวจิงหงนั่งลงกับพื้น และไม่ขยับเขยื้อนตัวเลยแม้แต่นิ้วเดียวราวกับรูปปั้น

“จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ ท่านสมควรกับฉายานี้จริง ๆ”

โจวฉวนจีบ่นพึมพำกับตนเอง หลังจากที่ผ่านการต่อสู้กับเขามา เขาช่างน่านับถือจริง ๆ

ตลอดทาง โจวฉวนจียังคงเฝ้าระวัง เผื่อเสี่ยวจิงหงจะคิดไล่ตามพวกเขามา

และเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งหลังจากที่กลับเข้ามาในหุบเขาแล้ว และหมอกพิษก็เริ่มกลับมาปกคลุมข้างหลังพวกเขา

เจียงฉือน้อยกระโดดกระเด้งขณะที่เดินตามโจวฉวนจี และถามขึ้นว่า “ฉวนจี นี่เจ้าได้ท่านจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์มาเป็นศิษย์จริง ๆ หรอ?”

หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้น เพราะแม้แต่กั๋วไป่หลี่ก็ยังเคารพบุคคลคนนี้

โจวฉวนจีพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “ก็เขาทำพิธีฝากตัวเป็นศิษย์กับข้าแล้ว เพราะงั้น ทำไมจะไม่ล่ะ?”

“แต่ยังไงเจ้าก็ต้องระวังตัวไว้เสมอล่ะ”

“ไม่มีใครในโลกนี้ที่เป็นคนดีจริง ๆ หรอกนะ”

เธอพยักหน้าตอบ ถึงเเม้ว่าโจฉวนจีจะยังเด็ก เเต่ที่เขาพูดออกมามันเป็นหลักการใช้ชีวิตที่จำเป็นหลายอย่าง เธอจึงนับว่าเขาเป็นคนที่พึ่งพาได้

เธอรีบเดินไปกอดคอเขาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว พลางหัวเราะคิกคัก “ฉวนจี เจ้าอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็นล่ะ?”

วันนี้โจวฉวนจีเป็นจุดสนใจมาก และเธอรู้สึกนับถือสุด ๆ

ในสายตาของเธอเเล้ว เเค่เขามีความสุข เธอเองก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน

ดูท่าทั้งสองจะแยกจากกันไม่ได้แล้วจริง ๆ

เขาเอียงหัวก่อนจะพูดพึมพำ “ซุปปลาได้รึเปล่านะ”

“ได้เลย งั้นข้าจะไปล่าปลากับน้องสองนะ”

เธอพูดพลางยิ้ม ก่อนจะจูบที่แก้มของเขาและวิ่งหนีไป

โจวฉวนจีขมวดคิ้ว ก่อนจะเช็ดน้ำลายออกจากใบหน้า

ยัยเด็กนี่เริ่มมีนิสัยไม่ดีตั้งแต่เด็กเลยหรอ

แล้วอย่างงี้ใครจะไปแต่งงานกับเธอล่ะเนี่ย?

เฮ้อ แต่ก็ดีถ้าเธอจะแต่งไม่ได้ เพราะเธออาจจะต้องตามเขาไปชั่วชีวิตยังไงล่ะ!

ตอนที่ 26 : ต้อนรับจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์เป็นศิษย์

“มันมีคนที่ใช้ 2 จิตดาบพร้อมกันได้ด้วยอย่างงั้นเหรอ?”

“เป็นไปไม่ได้น่า! แม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวยังใช้ไม่ได้เลย!”

เสี่ยวจิงหงตกใจค้าง เขาจ้องมองไปยังโจวฉวนจีราวกับว่ากำลังมองไปยังสัตว์ประหลาด

แค่เด็ก 7 ขวบที่บรรลุ 2 จิตดาบได้ ก็มากพอจะทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงแล้ว

แต่เจ้าเด็ก 7 ขวบนี่ยังจะใช้ 2 จิตดาบพร้อมกันได้อีก!

นี่มันท้าทายกฎธรรมชาติชัด ๆ!

จะเกินสามัญสำนึกของคนปกติไปแล้ว!

สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!

เสี่ยวจิงหงเริ่มสูญเสียความเยือกเย็น เขารู้สึกตกใจมากซะจนทำให้มือของเขาพันกันยุ่งเหยิง เขาสูญเสียการทรงตัว ขณะที่ถูกแทงด้วยดาบพยัคฆ์คำรามและดาบผ่าวายุ

วืบบบบบบ!

เสียงใบมืดที่ตัดผ่านอากาศหยุดลงทันที โจวฉวนจีหยุดดาบไว้

เสี่ยวจิงหงเองก็ชะงักไปเช่นกัน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เหงื่อที่เย็นเฉียบไหลลงตามแก้มของเขา

เขาเห็นดาบพยัคฆ์คำรามปักลงที่โคลน ขณะที่โจวฉวนจียืนอยู่บนด้ามดาบ โจวฉวนจีโน้มตัวลงมาข้างหน้าพร้อมทั้งชี้ดาบไปทางเสี่ยวจิงหง และปลายดาบนั้นอยู่ห่างจากคอของเสี่ยวจิงหงเพียงไม่ถึงนิ้วเท่านั้น

กระบวนท่ากระเรียน!

ชัยชนะได้ถูกตัดสินแล้ว

ใบหน้าของโจวฉวนจีดูสงบนิ่ง และพูดว่า “เจ้าแพ้แล้ว”

ในการแข่งขันโดยใช้เทคนิคดาบเพียงอย่างเดียวนี้ โจวฉวนจีไม่ได้รู้สึกสนุกเลยสักนิด ที่เขาเอาชนะเสี่ยงจิงหงได้ ก็เพราะเสี่ยวจิงหงเผลอลดการป้องกันลง จากการที่เขาใช้ 2 จิตดาบพร้อมกัน เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้ามันเป็นการสู้แบบฆ่ากันล่ะก็ เสี่ยวจิงหงคงฆ่าเขาได้ด้วยดาบเดียวไปแล้ว

ในเวลาเดียวกัน เขาก็นับถือเสี่ยวจิงหงด้วยเหมือนกัน

ชายคนนี้รักษาสัญญาจริง ๆ เมื่อกี้นี้ถ้าโจวฉวนจีไม่หยุดการโจมตีไว้ล่ะก็ เขาคงจะเชือดคอเสี่ยวจิงหงไปแล้ว แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เสี่ยวจิงหงก็ยังไม่ผิดสัญญาเลยสักนิด เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นอย่างที่บอกจริง ๆ

แต่ก็เป็นไปได้ว่าเพราะระดับวรยุทธ์เสี่ยวจิงหง แค่การตัดคอมันอาจจะไม่ทำให้เขาถึงตายก็ได้

โจวฉวนจีคิดพลางเก็บดาบกลับไป จากนั้นเขาก็โดดลงพื้น และดึงดาบพยัคฆ์คำรามขึ้นมาจากพื้น

เจียงฉือน้อยกระโดดลงจากหลังของน้องสองลงสู่พื้น ก่อนจะรีบวิ่งไปหาโจวฉวนจีทันที และจับไหล่เขาไว้พร้อมถามด้วยความกังวล “ฉวนจี เจ้าบาดเจ็บตรงไหนมั้ย?”

โจวฉวนจีส่ายหัวพลางยิ้มให้ ก่อนจะพูดตอบ “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลนะ”

เสี่ยวจิงหงไม่ได้สนใจพวกเขานัก แต่กลับจ้องมองไปอย่างว่างเปล่าพลางพึมพำว่า “นี่ข้าแพ้หรอ?”

เขาไม่เคยแพ้มาก่อน แต่มาตอนนี้เขากลับแพ้เด็ก 7 ขวบเนี่ยนะ…

ในช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้รู้สึกอับอายเลยแม้แต่น้อย

เขากลับนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป

2 จิตดาบ…

เขาทำได้ยังไงกัน?

เขารู้จักการใช้ดาบคู่ แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะใช้ 2 จิตดาบพร้อมกันนะ

เขาเหลือบมองไปยังโจวฉวนจีด้วยความงุนงง

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ โจวฉวนจีก็โบกมือให้ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าน่ะเป็นพวกใจกว้าง ฉะนั้นข้าจะไม่บังคับให้เจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าหรอกนะ”

สำหรับคนที่มีทั้งชื่อเสียงและทรงพลังอย่างจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์แล้ว ศักดิ์ศรีของเขาย่อมสำคัญกว่าชีวิตอยู่แล้ว

ถ้าข่าวแพร่กระจายออกไปว่าเขากลายเป็นศิษย์ของเด็ก 7 ขวบล่ะก็ เขาต้องกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น ๆ แน่

เสี่ยวจิงหงไม่ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับกันดวงตาของเขากลับเปล่งประกายขณะที่มองไปยังโจวฉวนจี สายตานั่นทำให้โจวฉวนจีรู้สึกกังวลมาก

เจียงฉือน้อยรีบดึงโจวฉวนจีและวิ่งไปหาน้องสองทันที

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เสี่ยวจิงหงก็ร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “อาจารย์!”

โจวฉวนจีสะดุดจนเกือบล้มหน้าคะมำ

เขาหยุดและมองไปยังเสี่ยวจิงหงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เจ้าแน่ใจหรอ? ข้าอายุแค่ 7 ขวบเองนะ ถ้าข่าวแพร่ออกไปล่ะก็ มันจะต้องกระทบชื่อเสียงเจ้าแน่นอน แต่เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้เลยแล้วกันนะ็นกหด” เขาพูด

เสี่ยวจิงหงส่ายหัวก่อนจะมองไปทางเขาจากที่ยืนอยู่ไกล ๆ และพูดขึ้น “ได้โปรดเป็นรับข้าเป็นศิษย์ แล้วสอนวิธีการใช้ 2 จิตดาบพร้อมกันให้ข้าด้วยเถอะ”

เขามันเป็นพวกคลั่งในวิถีดาบ มีเหรอที่เขาจะปล่อยให้อัจฉริยะอย่างโจวฉวนจีไปได้ยังไงกันล่ะ?

ถ้าเขาบรรลุวิชาจิตดาบคู่นี้ได้ล่ะก็ จะไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้อีก

อาจถึงขั้นท้าทายตำแหน่งจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวได้เลยก็ได้!

แค่คิดแบบนั้น ก็ทำให้สายตาของเขาลุกโชนไปด้วยแรงผลักดันแล้ว

โจวฉวนจีขมวดคิ้ว ก่อนจะตกลงไปในห้วงความคิด

เสี่ยวจิงหงเป็นคนที่ทั้งแข็งแกร่งและนิสัยดีมาก ถ้าเขารับเสี่ยวจิงหงมาเป็นศิษย์ล่ะก็ ตอนที่เขามีตำแหน่งเป็นเทพแห่งกระบี่ในอนาคตก็คงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน

“ฉวนจี ระวังตัวไว้ด้วยนะ จิตใจมนุษย์น่ะยากแท้จะหยั่งถึงนะ”

เจียงฉือน้อยพูดเตือน ตั้งแต่ที่เธอได้เผชิญหน้ากับกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำ เธอก็ระวังตัวมากกว่าเดิมในทุกครั้งที่โจวฉวนจีเจอกับคนแปลกหน้า

เมื่อได้ยินแบบนั้น เสี่ยวจิงหงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังและฟังชัดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าสามารถสอนท่านถึงวิชาดาบของข้าได้ และเมื่อใดที่ข้าสั่นคลอนโลกด้วยการใช้ 2 จิตดาบได้แล้วล่ะก็ ข้าจะไม่มีวันลืมท่านอย่างแน่นอน ท่านจะกลายเป็นผู้ก่อตั้งวิชานี้ไปตลอดกาล”

สำหรับจอมยุทธ์กระบี่แล้ว เกียรติของผู้ที่สร้างวิชาดาบจะต้องไม่ถูกขโมยไป

และทุกวิชาดาบที่เสี่ยวจิงหงได้รับมาจากจอมกระบี่หลายสิบคนนั้น เขาก็ไม่เคยที่จะลืมให้เกียรติในวิชาดาบของพวกเขาเลยสักครั้ง

โจวฉวนจีดึงมือของเจียงฉือน้อยออก และเดินตรงไปยังเสี่ยวจิงหง

เขาหยุดยืนอยู่ห่าง 3 หลาจากตรงหน้าของเสี่ยวจิงหง และพูดขึ้นว่า “เจ้าบ้าพอที่จะเอาข้าเป็นอาจารย์จริง ๆ หรอ?”

เสี่ยวจิงหงรู้สึกตกใจ เขาไม่เข้าใจว่าโจวฉวนจีหมายความว่าอะไร

“เจ้าจะไม่ทำพิธีฝากตัวเป็นศิษย์หรอ?”

โจวฉวนจีถามอย่างจริงจัง ถ้าเสี่ยวจิงหงตั้งใจจะเป็นศิษย์ของเขาจริง เขาก็ต้องไม่ใช่แค่ยอมรับผ่านคำพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

โจวฉวนจีมั่นใจว่าเขาจะต้องแซงหน้าเสี่ยวจิงหงได้แน่ในอนาคต มันเลยเป็นความบังเอิญที่โชคดีมากที่เสี่ยวจิงหงจะกลายเป็นศิษย์ของเขา

เสี่ยวจิงหงหันไปมอง

ถึงแม้เขาจะให้เด็ก 7 ขวบมาเป็นอาจารย์เองก็เถอะ แต่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอ ถึงขั้นให้ทำพิธีมอบตัวเป็นศิษย์เลยน่ะ?

เขาเป็นถึงจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์เลยนะ!

บุคคลซึ่งอยู่อันดับที่สามของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจวเลยเชียวนะ!

โจวฉวนจีหยุดพูด ถ้าไม่มีพิธีล่ะก็ เขาก็ไม่ยอมเป็นอาจารย์ให้เสี่ยวจิงหงหรอกนะ

โจวฉวนจีเชื่อว่า ตามพื้นเพลักษณะนิสัยของเสี่ยวจิงหงแล้ว เขาจะไม่มีทางฆ่าตนอย่างแน่นอน

ไม่งั้น เสี่ยวจิงหงก็คงจะฆ่าเขาไปนานแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือ แม้แต่กั๋วไป่หลี่ก็ยังยกย่องในความซื่อตรงและสัตย์จริงของจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์

เสี่ยวจิงหงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขากำหมัดแน่นและพูดขึ้น “ศิษย์ของท่าน เสี่ยวจิงหงผู้นี้ ขอมอบความเคารพแด่ท่าน อาจารย์ของข้า”

เพื่อวิชาจิตดาบคู่ เขาต้องทนไว้!

ดวงตาของเจียงฉือน้อยเบิกกว้าง เธอแทบจะไม่เชื่อสายตา

จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์กำลังคุกเข่าให้โจวฉวนจีเนี่ยนะ?

โจวฉวนจียิ้ม ก่อนจะยกมือขวาขึ้น

ดาบคลื่นเหมันต์ ดาบหินกลายทอง ดาบผ่าวายุ และดาบพยัคฆ์คำรามปรากฎขึ้นเหนือศรีษะของเขา และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

เสี่ยวจิงหงรู้สึกตกใจกับภาพที่เห็น

โจวฉวนจีโบกมือ และดาบในตำนานทั้ง 4 เล่มก็ลอยผ่านเหนือหัวของเสี่ยวจิงหงด้วยความเร็วสูงสุด

วูบบบบบ! วูบบบบบ! วูบบบบบ! วูบบบบบ!

ตู้มมมมม!

ดาบทั้ง 4 เล่มแทงทะลุเนินเขา และปัดกวาดเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วน ดาบทั้งหมดลอยขึ้นจากด้านหลังภูเขา ก่อนจะแบ่งออกเป็น 4 วิถี พวกมันบินเป็นวงกลมเหนืออากาศ และทิ้งร่องรอยที่ราวกับสายรุ้งเอาไว้ เหมือนดาบพวกนั้นมีชีวิตอยู่และบินทะยานขึ้นไปได้ด้วยตัวเอง

เสี่ยวจิงหงมองกลับไปทางโจวฉวนจีด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนจะถามขึ้น “ควบคุมดาบด้วยจิตงั้นหรอ?”

วิชาแบบนั้นเขาก็มีเช่นกัน แต่ดาบทั้งหมดของเขาจะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น เขายังทำแบบที่โจวฉวนจีไม่ได้ นั่นก็คือ การควบคุมดาบได้ดั่งใจนึก

ตำนานเคยกล่าวไว้ว่า จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวสามารถควบคุมดาบทั้ง 7 เล่มได้ดั่งใจนึก และสร้างวิชาดาบที่ไม่เหมือนใครได้

ถึงแม้โจวฉวนจีจะควบคุมได้เพียงแค่ 4 เล่ม แต่นั่นก็เกินความคาดหมายเขาไปเยอะพอแล้ว

โจวฉวนจียืนเก๊กและพูดว่า “อยากจะเรียนวิชานี้มั้ยล่ะ? ถ้าอยากล่ะก็ ข้าจะสอนเจ้าเอง!”

เสี่ยวจิงหงยอมจำนน

เขาจะไม่มีวันลืมภาพและช่วงเวลานี้ไปอย่างแน่นอน

ในอีกหลายปีข้างหน้า เขาจะยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดีว่า เขาบ้าขนาดไหนถึงเอาเด็ก 7 ขวบมาเป็นอาจารย์ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาตัดสินใจถูกยังไงล่ะ!

และ ณ ตอนนี้เอง ที่โจวฉวนจีได้ศิษย์คนแรกมา

ยิ่งกว่านั้น ศิษย์ของเขายังเป็นถึงจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจวด้วย

เพื่อทำให้เสี่ยวจิงหงยอมจำนนด้วยความเต็มใจมากขึ้น โจวฉวนจีเลยรู้สึกว่าเขาต้องให้ยาแรง ๆ ไปก่อน

หลังจากที่โจวฉวนจีเก็บดาบกลับไป เขาก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามว่า “นอกเหนือจากวิชาดาบที่เจ้าคิดว่าจะไม่มีทางสอนให้คนอื่นแล้ว สอนวิชาดาบที่เจ้าคิดว่ายากที่สุดให้ข้าด้วย และข้าจะบรรลุจิตดาบให้ได้ภายใน 2 วันเอง”

เสี่ยวจิงหงเบิกตาโพล่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ตัวน้อย ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ”

วิชาดาบทุกวิชาของเขานั้นยากสุด ๆ ท่ามกลางวิชาดาบด้วยกันทั้งหมด เขายังบรรลุจิตดาบได้เพียงไม่กี่วิชาเท่านั้น แถมยังต้องใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะบรรลุได้อีก

แล้วแค่ 2 วันเนี่ยนะ?

เป็นไปไม่ได้หรอก!

โจวฉวนจียิ้มมุมปาก และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว งั้นข้าก็คงต้องแสดงอะไรบางอย่างเพื่อปลอบขวัญของเจ้าด้วยสินะ ยิ่งข้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดน้อยลงเท่านั้นด้วย ถูกมั้ย?”

เสี่ยวจิงหงพูด “ถ้าท่านพูดแบบนั้นจะกลับคำไม่ได้แล้วนะ”

ตอนที่ 25 : จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ อันดับที่สามของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจว

ยังไงสียเสี่ยวจิงหงก็เป็นถึงผู้บรรลุในวิถีดาบ แม้โจวฉวนจีจะเข้ามาใกล้มาก แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดยเอนตัวไปข้างหลังพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้น

วูบบบบบบ —

ดาบผ่าวายุแทงไปที่ศีรษะของเขา และทำให้ผมสีดำของเขาขาด

เสี่ยวจิงหงยกเข่าขวาขึ้นตามสัญชาตญาณ และเตะเพื่อผลักโจวฉวนจี

โจวฉวนจีก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาลดมือลง และทุบเข่าของเสี่ยวจิงหงด้วยด้ามดาบผ่าวายุ

ปึก!

ทั้งสองต่างก้าวถอยหลังสองก้าวพร้อมกัน

เสี่ยวจิงหงไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่ได้ใช้กำลังมากกว่าที่โจวฉวนจีมีเลยสักนิด

“ความแข็งแกร่งของเจ้าหมอนี่มันไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะ นี่เแค่ 7 ขวบจริง ๆ หรอ?”

เสี่ยวจิงหงรู้สึกประหลาดใจ มันทำให้เขานึกถึง ไอเจ้าคนประหลาดที่มีพลังแข็งแกร่งมหาศาลตั้งแต่อายุยังน้อยที่อยู่ในมหาจักรวรรดิโจวเลย

อย่างไรเสีย ไอผู้ชายคนนั้นก็ยังมีร่างกายที่ใหญ่โตซะจนดูไม่เหมือนกับมนุษย์เลย กลับกัน โจวฉวนจีนั้นดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปเลยสักนิด

แต่ก่อนที่เขาจะคิดไปไกลกว่านั้น โจวฉวนจีก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง

ถึงโจวฉวนจีจะเป็นจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐาน และมีปราณกระบี่แล้ว แต่ในเมื่อเสี่ยวจิงหงไม่ได้ใช้ปราณกระบี่หรือพลังวิญญาณเลย เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้เหมือนกัน

เพราะเขาอยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งด้วยวิชาดาบเท่านั้นยังไงล่ะ

ตุบบบ!

โจวฉวนจีก้าวลงบนพื้นพร้อมทั้งหมุนตัว พร้อมทั้งเหวี่ยงดาบก่อนจจะแทงออกไป

เขาเอนตัวไปข้างหน้า เพื่อนจะให้ดาบผ่าวายุไปถึงอกของเสี่ยวจิงหงได้ในระยะที่พอดี

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง…

เสี่ยวจิงหงไขว้มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลังเอว ขณะที่จับฝักดาบไว้ที่มืออีกข้าง มือของเขาเคลื่อนไหวเร็วซะจนเกิดภาพซ้อน และป้องกันการโจมตีของโจวฉวนจีได้ทั้งหมด

โจวฉวนจีก็ไม่ย่อท้อแต่อย่างใด และเพิ่มความเร็วขึ้นอีก

“ดาบของเจ้าเร็วจริง ๆ! กว่าข้าจะเร็วได้ขนาดนั้นอายุก็ปาเข้าไป 16 ปีเชียวนะ…”

เสี่ยวจิงหงคิดกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้เจอกับอัจฉริยะ

ซึ่งมันทำให้จิตวิญญาณแห่งการเอาชนะของเขาลุกโชน

เขากำฝักดาบของเขาแน่น ก่อนจะใช้แรงต้านเพื่อหยุดดาบผ่าวายุ

และโดยฉับพลัน เขาก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมทั้งผลักออก และด้วยความได้เปรียบด้านความสูง เขาจึงสามารถกดดันโจวฉวนจี จนทำให้เขาต้องถอยหลังกลับไปได้

แต่ทันใดนั้น โจวฉวนจีก็ยืดตัว และพลิกตัวเพื่อออกห่างจากเสี่ยวจิงหงได้

เสี่ยวจิงหงตั้งสมาธิ และเหวี่ยงดาบออกไปอย่างรวดเร็ว ตัวดาบเปล่งแสงประกายแวววับ ราวกับมีดาบนับสิบเล่มพุ่งเข้าหาโจวฉวนจี

ลมพัดรุนแรง แสงที่สะท้อนจากดาบของเสี่ยวจิงหงสะท้อนลงบนหน้าโจวฉวนจี แต่เขาก็ไม่ได้สูเสียความเยือกเย็น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ก่อนที่เขาจะสงบจิตตนเอง

ขณะที่โจวฉวนจีร่อนลงพื้น ดาบของเสี่ยวจิงหงก็อยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึง 10 นิ้วแล้ว

ตาของพวกเขาสบกัน และเสี่ยวจิงหงก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

การแสดงออกทางสีหน้าของเด็กคนนี้ช่างราวกับปรมาจารย์แห่งวิถีดาบจริง ๆ

และ ณ ตอนนั้นเอง โจวฉวนจีก็หายไปจากสายตาของเสี่ยวจิงหง

เสี่ยวจิงหงเอียงศีรษะโดยสัญชาตญาณ แต่แก้มของเขาก็ยังถูกบาดจนมีเลือดไหลเล็กน้อย

เขาหันกลับมา และมองโจวฉวนจีที่ปรากฎตัวอยู่ห่างออกไปถึง 10 หลา

“กระบวนท่านั้นมันอะไรกัน?”

เสี่ยวจิงหงถามพร้อมทั้งดวงตาที่เปล่งประกายลุกโชน มันไม่ใช่ความโกรธแต่อย่างใด เขากลับรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมแทน

โจวฉวนจีเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองไปยังเขา และตอบว่า “วิชาดาบกระเรียนขาว กระบวนท่าที่ 3 กระเรียนวาดสวรรค์ยังไงล่ะ”

“ช่างเป็นวิชาดาบที่วิเศษอะไรอย่างนี้!”

เสี่ยวจิงหงอ้าปากค้างด้วยความยกย่อง จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ด้วยความไกลในแต่ละก้าว เขาก็เคลื่อนตัวมายังเบื้องหน้าของคู่ต่อสู้ และฟันเข้าไปทันที

วิธีก้าวเท้านั่นเต็มไปด้วยความเฉียบคมซะจนสายตาของโจวฉวนจีตามไม่ทัน

เขาป้องกันการโจมตีด้วยดาบตามสัญชาตญาณ

ตุบ!

ฝักดาบของเสี่ยวจิงหงกระแทกเข้าที่อกของโจวฉวนจีอย่างจัง จนกระแทกให้โจวฉวนจีลอยถอยหลังกลับไปในทันที

โจวฉวนจีลอยและร่วงลงมายังไหล่เขา ขณะที่กำลังจะกระแทกกับพื้น เขาก็ตีลังกา และใช้ดาบปักลงไปที่โคลน ก่อนจะไถลลงไปข้างล่าง

“แม่งเอ้ย! อึก!”

โจวฉวนจีสบถภายในใจ ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดจิตดาบกระเรียนขาวทันที

เสี่ยวจิงหงที่อยู่สูงกว่าโจวฉวนจี เขาก็มองลงมายังโจวฉวนจีก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กน้อย เจ้ายังอ่อนหัดเกินไปนะ”

เมื่อเขาพูดจบ โจวฉวนจีก็มาอยู่เบื้องหน้าเขาและ และกำลังจะสวนกลับ

ดาบผ่าวายุนั้นว่องไวราวกับสายฟ้า เสียงตวัดดาบที่ผ่าลม และดาบที่เปล่งประกาย เสี่ยวจิงหงจับฝักดาบของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีของโจวฉวนจี พร้อมทั้งก้าวถอยหลังออกมา

“นี่มัน…”

“จิตแห่งดาบ!”

เสี่ยวจิงหงรู้สึกตกใจ เด็ก 7 ขวบเนี่ยนะบรรลุจิตดาบ?

จากที่ไกล ๆ เจียงฉือน้อยที่กำลังล่ากระต่ายอยู่ ก็สังเกตเห็นสถานการณ์ฝั่งโจวฉวนจีเข้า เธอหันกลับไปมอง และสิ่งที่เธอเห็นจากที่ไกล ๆ ก็คือ ดาบที่กำลังประกายแสงระยิบระยับ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

เจียงฉือน้อยขึ้นขี่น้องสองทันที ก่อนจะบินตรงไปหาโจวฉวนจี

โจวฉวนจีกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบขณะที่ใช้จิตดาบกระเรียนขาว แต่ในสายตาเขา เสี่ยวจิงหงก็ยังไร้ช่องโหว่ในการป้องกันอยู่ดี

เมื่อตอนที่เขาซ้อมกับกั๋วไป่หลี่ เขาก็ยังเห็นช่องโหว่ในการป้องกันของกั๋วไป่หลี่อยู่บ้าง ถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตาม

ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่ากั๋วไป่หลี่ซะอีก!

ทันใดนั้น เสี่ยวจิงหงก็ถูกโจวฉวนจีกดดันจนถอยไปถึงยอดเขา เขาต้องร่วงลงเขาไปแน่ ๆ ถ้าถอยหลังไปมากกว่านี้

เป็นเพราะเขาไม่สามารถใช้พลังวิญญาณและปราณกระบี่ได้ เสี่ยวจิงหงเลยบินไม่ได้

เขาหมุนตัวไปรอบ ๆ พร้อมกับฝักดาบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสร้างกระแสลม และขัดการเคลื่อนไหวของโจวฉวนจีไว้ได้

เสี่ยวจิงหงหมุนมือออกไป และตั้งใจจะดึงโจวฉวนจีให้ตกหน้าผา

หน้าผานั้นสูงเพียง 10 หลา เขาเลยเชื่อว่าโจวฉวนจีจะไม่ตกลงไปตายแน่นอน

ความปรารถนาของเขาก็คือการชนะด้วยพลังที่ทัดเทียมกัน ไม่ว่าจะสู้กับใครก็ตาม

จะต้องไม่แพ้เด็ดขาด!

แต่ก่อนที่โจวฉวนจีจะตกลงจากหน้าผา เขาก็คว้ามือออกไปจับรองเท้าของเสี่ยวจิงหง จนตกจากหน้าผาด้วยกันทั้งคู่

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง…

ถึงจะลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งคู่ก็ยังไม่หยุดสู้กัน

โจวฉวนจีได้เปรียบเพราะจิตดาบกระเรียนขาว

และทันทีที่ลงถึงพื้น เสี่ยวจิงหงก็หันกลับมา และออร่าของเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน

“จงดูจิตแห่งดาบของข้าซะ!”

เสี่ยวจิงหงหัวเราะอย่างเยือกเย็น ขณะที่เขากลายเป็นลำแสงสีขาวและเข้าโจมตี

ร่างกายของโจวฉวนจีเป็นดั่งกระเรียนขาว เขาพุ่งกระโจนด้วยขาที่ก้าวยาวราวกับปีก เเละฟันตรงไปด้านหน้าด้วยดาบของเขา

ใบมีดที่และฝักดาบที่กระทบกัน สร้างเสียงที่ดังสนั่นลั่นเสียดหู

โจวฉวนจีลอยถอยกลับมาเพราะแรงกระแทก ขณะที่ที่เสี่ยวจิงหงฉวยโอกาสนี้ไล่ตามเขาไป ความเร็วในการตวัดดาบของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า

ณ บนท้องฟ้านั้น เจียงฉือน้อยมองลงมาด้วยความกังวล อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกไป เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของโจวฉวนจี

ตอนนี้เธอก็อายุ 11 ปี และมีวรยุทธ์ในระดับนึงแล้ว เธอจึงมองออกว่าการต่อสู้ระหว่างเสี่ยวจิงหงและโจวฉวนจีนั้นไม่ได้เป็นสู้เพื่อฆ่ากันแต่อย่างใด

การต่อสู้ระหว่างทั้ง 2 ก็เหมือนกับการฝึกซ้อมระหว่างโจวฉวนจีและกั๋วไป่หลี่

แต่เพราะว่าเธอไม่รู้จักเสี่ยวจิงหง มันเลยช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกกังวล

เสี่ยวจิงหงเตะอย่างรวดเร็ว และตวัดฝักดาบอย่างรุนแรง โจวฉวนจีที่ถูกกดดันก็ถอยกลับครั้งแล้วครั้งเล่า

ความเร็วในการเคลื่อนไหวของทั้งคู่นั้นเร็วยิ่งกว่าคนธรรมดามาก และพัดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

“เจ้าน่ะเป็นอัจฉริยะในวิถีแห่งดาบของแท้เลย ข้าพูดได้เลยว่า เจ้ามีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นแล้ว แต่ช่างน่าเสียดายซะจริง ที่เจ้ายังไม่เทียบชั้นข้านัก”

“ฉะนั้นจงจำชื่อข้าไว้ซะ ข้า จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ เสี่ยวจิงหง!”

เสี่ยวจิงหงพูดพลางหัวเราะเบา ๆ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ราวกับเขาไม่ได้อยู่ในการต่อสู้เลยสักนิด

จอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์งั้นหรอ!

ม่านตาของโจวฉวนจีหดตัวลงกระทันหัน แม้แต่เจียงฉือน้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ยังตกใจจนเผลอปิดปากตัวเอง

ทั้งสองเคยได้ยินเรื่องนี้จากกั๋วไป่หลี่มาก่อน

ชายผู้อยู่อันดับที่สามของตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจว เขาขึ้นสู่ระดับบัวภายในตั้งแต่อายุเพียง 30 ปี พรสวรรค์ในวิถีแห่งดาบของเขานั้นไม่มีใครเทียบเทียม และยังพูดกันว่า แม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ยังต้องการให้เขาเป็นศิษย์

ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีพลังมหาศาลขนาดนี้!

แต่โจวฉวนจีก็ไม่ย่อท้อแต่อย่างใด เขากลับมีไฟที่จะสู้มากยิ่งกว่าเดิม

เขายกมือขึ้น และดาบพยัคฆ์คำรามก็ปรากฎขึ้นในมือเขาทันที

ดาบคู่งั้นหรอ!

เสี่ยวจิงหงมองไปยังโจวฉวนจีพร้อมเบิกตากว้าง เจ้าเด็กนี่มันใช้ดาบอีกมือได้ด้วยหรอ?

“โฮกกกกกก–”

เสียงคำรามของเสือสั่นสะเทือนไปทั้งภูเขา เปลวไฟห่อหุ้มทั่วทั้งดาบพยัคฆ์คำราม

วิชาดาบกระบี่เพลิงกัลป์!

โจวฉวนจีฟาดดาบด้วยมือซ้ายอย่างรุนแรง และเปลวไฟที่แผดเผาทำให้เสี่ยวจิงหงตกใจเสียจนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

โจวฉวนจีใช้ 2 จิตดาบพร้อมกัน จิตดาบเพลิงกัลป์ในมือซ้าย และจิตดาบกระเรียนขาวในมือขวา เมื่อรวม 2 ดาบนี้เข้าด้วยกัน โจวฉวนจีก็ดูสง่างามอย่างน่าเหลือเชื่อ ซะจนกดดันเสี่ยวจิงหงในทันที การโจมตีของเขากดดันให้เสี่ยวจิงหงต้องถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า

ตอนที่ 24 : ดาบหินกลายทอง

หลังจากที่กั๋วไป่หลี่ได้จากไป โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็เริ่มเข้าสู่ชีวิตใหม่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

โจวฉวนจีเอาดาบมังกรสีชาด ดาบคลื่นเหมันต์ ดาบชโลมโลหิต ดาบพยัคฆ์คำราม ดาบผ่าวายุ และดาบเด็ดสุกรออกมาเพื่อฝึกใช้งานพร้อมกัน

เขาอยากจะควบคุมดาบ 6 เล่มพร้อมกันให้ได้ยังไงล่ะ!

ไม่ใช่แค่นั้น แต่เขาก็ยังคงต้องฝึกอาคมกายทองคำ และปราณภายในด้วยเช่นกัน

ทุกวันนี้ตารางชีวิตประจำวันของเขาแน่นมาก เลยไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด

ส่วนเจียงฉือน้อยค่อนข้างที่จะมีพรสวรรค์ในวิชาวสันตเหมันต์มาก เธอสามารถร่ายคาถาได้ทุกประเภทซึ่งงดงามอย่างเหลือเชื่อ จนในบางครั้งโจวฉวนจีก็แอบอิจฉาความสามารถของเธอ

มีเพียงวิหคมังกรทั้ง 2 ที่ไม่มีอะไรทำ เพราะงั้นโจวฉวนจีเลยออกแบบการฝึกให้พวกมันด้วย

ในฐานะปีศาจ พวกมันจำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง

โจวฉวนจีจำภาพที่น่าสะพรึงกลัวของวิหคมังกรโตเต็มวัยตัวนั้นที่ถูกโจมตีจากทุกทิศทางได้ ฉะนั้นโจวฉวนจีเลยฝึกให้พวกมันสู้กันเองทุกวัน ทำไมน่ะหรอ?

ก็เพื่อให้พวกมันป้องกันตัวได้ยังไงล่ะ!

แล้วทำไมถึงไม่ให้สู้กับต้นไม้เอาน่ะหรอ?

นั่นก็เพราะ ตั้งแต่ที่พวกมันสูงเกือบ 2 หลา และปีกยังกว้างถึง 7 หลาแล้ว ต้นไม้ส่วนใหญ่ในป่าเลยสู้พลังของพวกมันไม่ได้น่ะสิ

และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ครึ่งปีต่อมา

โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 2 ได้สำเร็จ

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 7 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับเงิน] ดาบหินกลายทอง และหินวิญญาณระดับสาม จำนวน 10000 ชิ้น”

หินวิญญาณระดับสาม 10000 ชิ้นงั้นหรอ!

เยี่ยมไปเลย!

นี่ข้ากลายเป็นคนรวยเพียงชั่วข้ามคืนงั้นหรอเนี่ย?

อดรีนาลีนพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของโจวฉวนจี และเขาก็กระโดดขึ้นจากพื้น

ในตอนนี้ เขานอนอยู่บนไหล่เขา และด้านล่างของเขาเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขาที่ทอดยาวราวกับคลื่นทะเล โดยมีป่าขนาบสองด้าน และมีเทือกเขาอยู่ข้างหลังพวกเขา มันช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่น่าพอใจจริง ๆ

ส่วนเจียงฉือน้อยก็กำลังล่ากระต่ายกับอาใหญ่และน้องสอง

หินวิญญาณระดับสาม จำนวน 10000 ชิ้นมันเยอะมาก ๆ แล้วยิ่งถ้ารวมกับสมบัติของนายหญิง 7 ราตรีด้วยแล้ว ก็พูดได้เลยว่าโจวฉวนจีได้กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว

ถึงแม้เขาจะใช้หินวิญญาณในการฝึกวรยุทธ์ทุกวัน แต่มันก็ยังมากพอจนใช้ได้ไปอีกหลายทศวรรษเลยทีเดียว

โจวฉวนจีรู้สึกมีความสุข เขารีบเอาดาบหินกลายทองออกมาทันที และข้อความ 3 บรรทัดก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบหินกลายทอง

ระดับ : เงิน

คำอธิบาย : ทำมาจากหินกลายทองซึ่งมีความแข็งเอามาก ๆ วัตถุที่ถูกตัดด้วยใบดาบนี้อาจได้รับผลให้กลายเป็นหินได้ แต่เจ้าของดาบจะไม่ได้รับผลแต่อย่างใด

เอออ๋?

กลายเป็นหินงั้นหรอ?

ฟังดูเจ๋งดีนะ

โจวฉวนจีถือดาบหินกลายทองขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงมันลงไปที่พื้นหญ้า ใบมีดที่เชื่อเฉือนและตัดเศษหญ้าออกมา จู่ ๆ หญ้าส่วนที่เหลือก็กลายเป็นหินสีทอง มองเพียงแวบแรก มันดูเหมือนกับทองคำมาก

สุดยอดไปเลย!

โจวฉวนจีไม่ได้เดินจากไปทันที เเต่เขาเฝ้าสังเกตพุ่มหญ้านั้น

เขาอยากจะรู้ว่าผลของการกลายเป็นหินจะอยู่ได้นานเท่าไหร่

“ผลของการกลายเป็นหินจะอยู่ราว ๆ ครึ่งถึง 1 ชั่วโมง”

เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นทันที ราวกับมันทนไม่ได้ที่จะต้องมาเห็นโจวฉวนจีเฝ้ารอผล

โจวฉวนจีดูท่าทางพอใจ

ในตอนที่ต้องเผชิญอันตรายถึงชีวิต ดาบหินกลายทองอาจจะช่วยชีวิตเขาได้!

เขาเริ่มใช้วิชาดาบกระเรียนขาวพร้อมกับดาบหินกลายทองทันที ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวราวกับนกกระเรียน ทั้งว่องไวและสง่างาม ณ บนไหล่เขานั้น เขาช่างดูราวกับเทพตกสวรรค์ เสียงดาบที่ตัดผ่านอากาศดังก้องไปทั่วอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาเริ่มชินกับดาบหินกลายทองหลังจากที่ใช้พร้อมกับวิชาดาบกระเรียนขาวไปเพียง 10 ครั้ง

เมื่อเทียบกับดาบในตำนานเล่มอื่น ดาบหินกลายทองดูจะหนักกว่านิดหน่อย แต่โชคดีที่เขาแข็งแรงพอที่จะเหวี่ยงมันได้อย่างง่ายดาย

โจวฉวนจีหยุดฝึก ก่อนจะเก็บดาบเข้าช่องเก็บของ

“เฮ้ เจ้าหนูน้อย เจ้ากำลังฝึกวิชาดาบอะไรอยู่น่ะ?”

เสียงที่ฟังดูหยิ่งยโสเล็กน้อยทำให้โจวฉวนจีตกใจ เขาเลยหันไปมอง ก่อนจะเห็นชายสวมชุดสีดำยืนอยู่ที่ชายป่าเชิงเขา

เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ผมสีดำตรงปล่อยยาวพาดบ่า ที่เอวของเขาคาดดาบที่ฝังด้วยอัญมณีเอาไว้ และปล่อยมือตามธรรมชาติ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ออร่าที่ดูสง่าผ่าเผยของเขาก็แสดงออกมาจาง ๆ แล้ว

โจวฉวนจีหันไปมองเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้ามองดูอยู่มานานแค่ไหนแล้ว?”

ชายในชุดสีดำถอนหายใจอย่างเย็นชา “ก็ไม่นานหรอก แค่เห็นเจ้าใช้วิชานั้นอยู่ 3 ครั้งเท่านั้นเอง”

ภายในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยการเยาะเย้ย และโจวฉวนจีก็รู้สึกได้

ความหมายก็คือ เจ้าเด็กตัวน้อย ข้าเฝ้ามองเจ้าแสดงวิชาถึง 3 ครั้ง โดยที่เจ้าไม่ทันสังเกตข้าเลยยังไงล่ะ

โจวฉวนจีไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่รู้สึกโล่งใจแทน

โชคดีที่ชายในชุดสีดำคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องโง่ ๆ ที่เขาเผลอทำไปก่อนหน้านี้เลย

“เฮ้ย ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ ไอวิชาดาบของเจ้าน่ะคืออะไร?”

ชายในชุดสีดำเริ่มถามขึ้นอีกครั้ง เขาขมวดคิ้ว และดูจะหงุดหงิดอยู่

โจวฉวนจีรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย แต่ยังไงซะ เขาก็ยังมีอาคมซ่อนปราณที่ใช้อยู่ตลอดเวลา เพื่อปกปิดลักษณะของปราณเฉพาะตัวไว้อยู่ ด้วยเหตุนี้ เขาเลยไม่ได้เผยระดับวรยุทธ์ที่แท้จริงของเขาออกมา ซึ่งนั่นอาจทำให้ศัตรูสับสนได้

“วิชาดาบกระเรียนขาว”

โจวฉวนจีตอบ ยังไงเขาก็ไม่ได้เอาวิชานี้มาจากใครอยู่แล้ว และเขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนอื่นที่มีระบบยอดดาบในตำนานด้วยเหมือนกัน

“โฮ่? ถ้างั้นช่วยมาประลองกับข้าซักหน่อยเป็นไง? ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ใช้ปราณกระบี่หรอก เเถมข้าจะไม่ใช้ดาบของข้าด้วย ข้าจะใช้เเค่ฝักดาบของข้าอย่างเดียว”

ชายในชุดสีดำเดินขึ้นมาบนภูเขา และคำพูดของเขาทำให้โจวฉวนจีต้องเบิกตาโพล่ง

โจวฉวนจีพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าอายุแค่ 7 ขวบเองนะ นี่เจ้าอยากรังแกเด็กเล็กรึไง?”

ชายในชุดสีดำดูจะไม่ใช่พวกอธรรม ไม่งั้นเขาก็คงโจมตีใส่โจวฉวนจีไปแล้ว เพราะงั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะแค่ตื่นเต้นร้อนวิชาของเขาเอง

ชายคนนั้นเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดว่า “นี่เจ้ารู้มั้ยว่าข้าคือใคร? ข้าคือ เสี่ยวจิงหง เลยนะ ถ้าเจ้าลองไปถามคนอื่นดู เจ้าจะรู้ว่าข้าแข็งแกร่งขนาดไหน อีกอย่าง ข้าน่ะซื่อสัตย์สุจริตมาทั้งชีวิต ฉะนั้นข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน และถ้าเจ้าช่วยมาเป็นคู่ซ้อมกับข้าแล้วละก็ ข้าจะสอนวิชาดาบคืนให้เจ้าด้วย พรสวรรค์อย่างเจ้าเนี่ย ถ้าบรรลุวิชานี้ได้ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องได้ขึ้นอันดับในตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจวอย่างแน่นอน”

โจวฉวนจีรู้สึกตะลึง ไอหมอนี่มันจะขี้โม้ไปไหนเนี่ย!

เขารู้เกี่ยวกับตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจว แต่เยี่ยเฟยฟานที่อยู่ระดับบัวภายใน ยังอันดับแค่ 92 เอง

นั่นหมายความว่า เสี่ยวจิงหงจะต้องมั่นใจว่าโจวฉวนจีจะขึ้นไปถึงระดับบรรลุญาณ หรือสูงกว่านั้นได้งั้นสิ?

แต่ก็นะ เด็กอายุ 7 ขวบที่บรรลุในวิชาดาบได้แล้วก็ต้องเป็นถึงอัจฉริยะอยู่แล้วแหละ

โจวฉวนจีเลิกคิ้วและถามขึ้น “แล้วถ้าข้าเอาชนะเจ้าได้ล่ะ? เจ้าจะโกรธแล้วหันมาทำร้ายข้ารึเปล่า?”

เสี่ยวจิงหงส่ายหัว ขณะที่เดินไปและพูดว่า “ข้าไม่มีทางแพ้หรอกนะ”

ในบรรดาจอมกระบี่ที่มีระดับวรยุทธ์เท่ากันแล้ว เขาไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง

ยิ่งไม่ต้องคิดเลย เมื่ออีกฝ่ายของเขาเป็นแค่เด็ก 7 ขวบเท่านั้น

เขาเป็นพวกที่หลงใหลในดาบมาก เขาจะรู้สึกสนใจวิชาดาบใด ๆ ก็ตามที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

เขาเคยแม้กระทั่งลองสู้กับชายแก่ธรรมดา ๆ เลยด้วยซ้ำ

“แล้วถ้าเจ้าแพ้ขึ้นมาล่ะ?”

โจวฉวนจีมองลงไปที่เขาและถาม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้เสี่ยวจิงหงถึงกับขำออกมา

มันแน่อยู่แล้วที่ ผู้ขลาดเขลามักจะไร้ซึ่งความกลัวน่ะ

“ถ้าเจ้าล้มข้าได้ งั้นให้ข้ากลายเป็นศิษย์เจ้ามั้ยล่ะ?”

เสี่ยวจิงหงหยุดอยู่เบื้องหน้าโจวฉวนจี ก่อนจะก้มมองไปยังเขา

โจวฉวนจีอายุเพียง 7 ขวบ เขาเลยสูงแค่เอวของเสี่ยวจิงหงเท่านั้น

เมื่อได้ยินแบบนั้น โจวฉวนจีจึงเก็บดาบหินกลายทองเข้าไป และเอาดาบผ่าวายุออกมาแทน

เขาใช้กระเป๋าเก็บของที่คาดอยู่ที่เอว เพื่อทำให้คู่ต่อสู้สับสน

ดาบผ่าวายุนั้นมีระดับที่ต่ำกว่าดาบหินกลายทอง แต่ก็ดูไม่เหมือนดาบธรรมดา

โจวฉวนจีไม่อยากเผยความสามารถที่ทำให้กลายเป็นหินของดาบหินกลายทอง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสี่ยวจิงหงเกิดรู้สึกโลภและอยากได้มัน

“เล่มที่อ่อนกว่างั้นหรอ?”

เสี่ยวจิงหงหัวเราะพลางส่ายหัว เด็กคนนี้มีลักษณะสมเป็นจอมกระบี่จริง ๆ

เขาใช้ฝักดาบ โจวฉวนจีเลยเลือกดาบที่มีระดับต่ำกว่าคืน ใช่เลย ไอเด็กนี่มันจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน

ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นน้อยกว่าหนึ่งหลา และในระยะห่างเท่านี้ เสี่ยวจิงหงก็มีเป็นพันวิธีที่จะสังหารโจวฉวนจีได้

“เริ่มก่อนเลย”

เสี่ยวจิงหงตัดบทสนทนา และสั่งขึ้นมาทันที

โจวฉวนจีถอนหายใจ มีตั้งหลายอย่างให้เลือก แต่เขาดันเลือกสู้ด้วยวิชาดาบเนี่ยนะ นี่เขาอยากโดนดีรึไง?

เสี่ยวจิงหงคิดว่าโจวฉวนจีรู้สึกกลัว เขาเลยพูดปลอบขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะไม่ใช้พลังที่มากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน”

หุบปากไปเลย!

เตรียมตัวให้ดีเหอะ!

โจวฉวนจียกดาบขึ้นและแทงไปที่คางของเสี่ยวจิงหง โดยไร้ซึ่งแรงต้านลม ดาบผ่าวายุนั้นรวดเร็วสุด ๆ

ม่านตาของเสี่ยวจิงหงหดตัวลงกระทันหัน แล้วสบถกับตัวเอง

ดาบของเขาเร็วโคตร!

ไอเด็ก 7 ขวบนี่มันจะเกินคนไปแล้วนะ!

ตอนที่ 23 : การออกเดินทางของกั๋วไป่หลี่

พวกเขาสามารถเดินทางได้เร็วขึ้นเพราะวิหคมังกร และภายในครึ่งวัน พวกเขาก็เดินทางไปได้หลายพันไมล์เลยทีเดียว

กั๋วไป่หลี่ไม่ได้วางแผนที่จะหยุดพัก และยังคงมุ่งหน้าต่อไป

เขาอยากจะกลับไปยังสำนักกระบี่เร้นลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเขาต้องพาโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยซะก่อน

นั่นเป็นทั้งหมดที่เขาพอจะทำให้ได้ ส่วนอนาคตก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง

พวกเขายังคงเดินทางต่อเนื่อง 7 วัน 7 คืน

พวกเขาเดินทางวนรอบป่ากู่หลานที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

โดยป่ากู่หลานเป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแถบชายแดนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีปีศาจอยู่จำนวนมาก จอมยุทธ์ส่วนใหญ่เลยมักใช้ที่นี่ในการฝึก

พวกเขาร่อนลงในหุบเขาที่ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาจาก 3 ทิศทาง และข้างบนยังถูกปกคลุมอย่างหนาทึบ จึงไม่มีใครจะสามารถสอดแนมพวกเขาจากด้านบนได้ อีกทั้งทางเข้าหุบเขายังค่อนข้างแคบและปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จึงไม่มีใครที่จะสอดส่องพวกเขาจากภายในหุบเขาได้เช่นกัน

ณ ที่ทางเข้ามีแผ่นศิลาจารึกอยู่ ซึ่งบนแผ่นศิลานั้นมีหินทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่ 9 ก้อน

กั๋วไป่หลี่ที่คอยนำทางโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย ก็หยุดยืนอยู่หน้าศิลา ก่อนจะสั่งทั้ง 2 คนว่า “ข้าได้กางเขตแดนป้องกันภายในหุบเขาเอาไว้ หากมีผู้บุกรุกเข้ามา พวกมันจะถูกหมอกพิษทำร้าย และร่างจะกายจะเป็นอัมพาต สำหรับจอมยุทธ์ที่อ่อนแอก็อาจจะตายตรงนั้นเลยก็ได้ ดังนั้นแล้วพวกเจ้าต้องจำลำดับปุ่มพวกนี้ให้ดีล่ะ”

โจวฉวนจีพยักหน้าก่อนจะพูดตอบ “งั้นเริ่มกันเลย ข้าจำทุกอย่างที่ข้าเห็นได้อยู่แล้ว”

กั๋วไป่หลี่ก็เริ่มทันที เขาขยับปุ่มหินทั้ง 9 ก้อน แม้ว่าทิศทางและการโค้งจะแตกต่างกันทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่เขาขยับปุ่ม เขาจะหยุดสักครู่เพื่อให้โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยได้จำ

เมื่อกลไกพลังงานถูกเปิดออก หมอกพิษที่ทางเข้าหุบเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

โจวฉวนจีขยับไปข้างหน้าและลองใช้กลไกดูบ้าง ก่อนจะเห็นหมอกพิษกลับมาและหายไปอีกครั้ง

ทันใดนั้นเขาก็นึกคำถามออก ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญมาก ๆ

“แล้วงี้หมอกพิษมันจะมีวันหมดมั้ย?”

กั๋วไป่หลี่ลูบหัวเขาก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง หมอกพิษพวกนี้มาจากข้างในภูเขา ข้าได้ปลูกสมุนไพรพิเศษเอาไว้มากมาย จนพอใช้งานไปได้หลายร้อยปีเลยทีเดียว และถ้าดูตามนิสัยเจ้าแล้ว ข้าแน่ใจว่าเดี๋ยวภายใน 20 ปี เจ้าก็จะออกไปจากที่นี่อยู่ดี”

เมื่อโจวฉวนจีได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ

เขาเปิดใช้งานกลไกอีกครั้ง และจับมือของเจียงฉือน้อยเอาไว้ก่อนจะพาเธอเข้าไปข้างใน

หลังจากที่พวกเขาเดินวนไปตามทางเข้า พวกเขาก็เริ่มเห็นกลไกใหม่

จากการคำนวณ ผลกระทบของกลไกนั้นไปได้ไกลกว่า 30 เมตร สังเกตจากซากปีศาจที่ตายเกลื่อนอยู่ระหว่างทางเต็มไปหมด

พื้นที่ด้านในของหุบเขาเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ข้างในนั้นมีสิ่งก่อสร้าง และข้างหน้าอาคารพวกนั้นก็มีทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบนั้นใสสะอาดมากจนมองเห็นลงไปยันก้นบ่อ และมีปลาเล็กปลาน้อยมากมายแหวกว่ายอยู่ในนั้น ส่วนกำแพงภูเขานั้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ และพืชพันธุ์มากมาย ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับสรวงสวรรค์

“ว้าวว!”

เจียงฉือน้อยร้องอย่างตกใจ ก่อนที่เธอจะดึงโจวฉวนจีและวิ่งไปทั่วทันที

อาใหญ่และน้องสองก็เริ่มวิ่งเล่นไล่จับเหมือนกัน

กั๋วไป่หลี่ลูบเครายาวพลางหัวเราะด้วยความภาคภูมิ “ก่อนหน้านี้ข้าใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการเก็บกวาดที่นี่เชียวนะ”

อย่างไรก็ตาม โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยดูจะไม่ได้ฟังเขาเลย และเอาแต่วิ่งเล่นไปทั่ว

กั๋วไป่หลี่เริ่มตรวจสอบทั่วทั้งหุบเขา เผื่อจะมีปีศาจทรงพลังหรือแมลงมีพิษซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้

แต่โชคดีที่ไม่มีอันตรายใด ๆ ซ่อนตัวอยู่ภายในหุบเขานี้

ในที่สุดพวกเขาก็หาที่ลงหลักปักฐานได้เสียที

ยามดึก พวกเขาสามารถมองเห็นพระจันทร์และดวงดาวผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีตะเกียงน้ำมัน แต่แสงจันทร์ก็ช่วยสาดส่องไปทั่วหุบเขา

โจวฉวนจีสร้างชิงช้าขึ้นมา เพื่อที่เขาและเจียงฉือน้อยจะได้นั่งเล่นแกว่งไปมา พลางมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนได้

“ที่นี่ดีจังเลย ข้าหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้วนะ”

เจียงฉือน้อยกอดโจวฉวนจีพลางหัวเราะเบา ๆ แต่โจวฉวนจีรู้สึกอึดอัด ราวกับเขาจะถูกกอดรัดจนตายให้ได้ แต่เจียงฉือน้อยก็ไม่ยอมปล่อยเขา และเขาก็ไม่ได้อยากจะใช้แรงให้เจียงฉือน้อยปล่อยสักเท่าไหร่

โจวฉวนจีนั้นแข็งแกร่งเกินไป และไม่มีทางที่เจียงฉือน้อยจะสู้แรงของเขาได้แน่นอน

บางทีสาวน้อยคนนี้ก็ติดเขามากเกินไปแล้ว

นี่เธอคิดว่าเขาเป็นของเล่นของเธอรึไงเนี่ย!

โจวฉวนจีขยับช่วงตัวด้านบนและเปลี่ยนเป็นท่าทางที่สบายมากขึ้น ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “รอจนกว่าข้าจะโตกว่านี้ แล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปยังเมืองมนุษย์ และพวกเราจะไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กันนะ”

ตอนนี้โจวฉวนจีก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐานแล้ว เขาจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายที่อาณาจักรไหนก็ได้

อย่างไรก็ตาม เขาต้องรอเวลาอีกสัก 2-3 ปี ให้แน่ใจก่อนว่าองค์ราชินีจะเชื่อว่าเขาตายแล้วจริง ๆ

เพราะเวลาเพียง 4 ปีเป็นแค่เวลาสั้น ๆ สำหรับมหาจักรวรรดิโจวเท่านั้นยังไงล่ะ

“แต่ที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

เจียงฉือน้อยพึบพำด้วยเสียงค่อย

ตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับเฉินฮัวและกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำ เธอก็รู้สึกว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก

โจวฉวนจีปลอบเธอก่อนจะพูดขึ้น “อย่าห่วงไปเลย ต่อให้พวกเราจะกลับมาที่นี่ในอนาคต ก็คงไม่มีใครกล้าที่จะรังแกพวกเราได้อีกแน่นอน!”

ห่างออกไปไม่ไกลนัก กั๋วไป่หลี่ที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ข้างทะเลสาบและฝึกวรยุทธอยู่ เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารผ่านน้ำเสียงของโจวฉวนจีอยู่แวบนึง

ไอเจ้าเด็กนั่นมันอยากฆ่าใครกันนะ?

เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นพรสวรรค์หรือคำสาปกันแน่ ที่ทำให้เขาเก็บงำความปรารถนาที่จะแก้แค้นเอาไว้ภายในใจตั้งแต่อายุยังน้อย

กั๋วไป่หลี่รู้สึกกังวลเล็กน้อย เขามีลางสังหรณ์ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเพราะโจวฉวนจี

ในช่วง 2 เดือนหลังจากนั้น โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยไปออกผจญภัยทุกวัน เพื่อให้เจียงฉือน้อยได้ลองฝึกต่อสู้ดูบ้าง

ส่วนตอนกลางคืน กั๋วไป่หลี่จะสอนคาถาง่าย ๆ ให้กับเจียงฉือน้อย เช่น ลูกไฟ กระสุนวารี อัญเชิญวายุ หรือคาถาอื่น ๆ

จากนั้นไม่นาน เจียงฉือน้อยก็ขึ้นสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 ได้สำเร็จ

โจวฉวนจีอาจจะไม่มีความก้าวหน้ามากนัก แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมากทีเดียว ตามที่กั๋วไป่หลี่คาดไว้ แรงของเจ้าปีศาจน้อยตัวนี้ในที่สุดก็ขึ้นไปถึง 1700 ปอนด์แล้ว และยิ่งถ้าเขาใช้อาคากายทองคำด้วย ความแข็งแกร่งของเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

จนในที่สุด วันที่กั๋วไป่หลี่เตรียมออกเดินทางก็มาถึง

ณ ทางเข้าหุบเขา โจวฉวนจีถามเขาว่า “ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงไปเร็วกว่าที่บอกล่ะ?”

กั๋วไป่หลี่ลูบเครายาวพลางยิ้มให้ เขาสวมชุดคลุมสีขาว ราวกับเขาเป็นเซียนที่บรรลุในวิถีแห่งวรยุทธแล้ว กั๋วไป่หลี่มองไปยังโจวฉวนจีก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าข้าไม่ไป แล้วเจ้าจะมุ่งฝึกวรยุทธของตัวเองอย่างเต็มที่ได้ยังไงล่ะ?”

โจวฉวนจียิ้มให้และไม่ตอบกลับอะไร

เมื่อกั๋วไป่หลี่อยู่รอบ ๆ มันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ถ้าโจวฉวนจีจะเอาดาบในตำนานทุกเล่มออกมา

คนเรามักต้องซ่อนไพ่ตายเอาไว้เสมอ

“ข้าได้สอนทุกอย่างที่ข้าอยากสอนเจ้าแล้ว และข้าจะไม่มาบ่นจู้จี้กับเจ้าอีก แต่ขอเพียงอย่างเดียว”

กั๋วไป่หลี่ลูบหัวเจียงฉือน้อย แสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใจดี ก่อนจะหันไปมองโจวฉวนจีและพูดว่า “เจ้าต้องระวังตัวไว้เสมอนะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ ก็หันหลังกลับและจากไป

ดาบเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา และหมุนรอบตัวจนกระทั่งหยุดอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นดาบได้อย่างง่ายดาย

“โจวฉวนจี ข้าหวังว่าคราวหน้าที่เราพบกัน ชื่อของเจ้าจะสั่นคลอนไปทั่วทั้งโลก และจงอย่าได้บอกใครเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นอันขาดล่ะ”

ฟิ้วววววววว —

กั๋วไป่หลี่บินจากไปพร้อมกับดาบของเขาอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปยังส่วนลึกของป่า

ดวงตาของเจียงฉือน้อยเป็นสีแดงก่ำ และเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมา

โจวฉวนจีก็รู้สึกคันตาเล็ก ๆ อยู่เหมือนกัน ชายแก่คนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างใจดีเลยล่ะ

เขาเข้าใจสิ่งที่กั๋วไป่หลี่สื่อในตอนท้าย เขาไม่ได้พูดแบบนั้นเพราะเขาไม่ชอบโจวฉวนจีหรืออะไรหรอก

แต่เขาแค่กังวลว่า ตัวเขาเองจะกลายเป็นภาระสำหรับโจวฉวนจี

โจวฉวนจีไม่มีพ่อแม่ และมีแค่เจียงฉือน้อยเท่านั้น กั๋วไป่หลี่ที่รู้ว่าในอนาคตโจวฉวนจีจะต้องกลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่ เขาถึงไม่อยากจะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับโจวฉวนจี

โจวฉวนจีถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดกลไก และหมอกพิษก็กลับมาอีกครั้ง

“กรู้วววว–”

จากที่ไกล ๆ อาใหญ่ก็กางปีกและร้องออกมา พร้อมทั้งน้องสองที่อยู่ข้างหลัง

โจวฉวนจีสะกิดเจียงฉือน้อยด้วยไหล่ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ ไปกันเถอะ คืนนี้ข้าอยากกินกระต่ายย่าง!”

เจียงฉือน้อยจากที่ร้องไห้อยุ่ก็หัวเราะออกมา เธอกลอกตาใส่โจวฉวนจีก่อนจะตอบกลับ “กระต่ายมันน่ารักเกินไป เอามันไปย่างก็ไม่อร่อยหรอกนะ เพราะงั้นเราจะทำซุปกระต่ายกันแทน!”

“ไม่เอา ก็ข้าอยากกินนี่!”

โจวฉวนจีพูดพร้อมรอยยิ้มที่กว้าง เขาขยับมือ และดาบคลื่นเหมันต์ก็ปรากฎขึ้นต่อหน้า เขากระโดดขึ้นบนดาบคลื่นเหมันต์ก่อนจะเอื้อมมือไปหาเจียงฉือน้อย

เจียงฉือน้อยเบ้ปากและดูจะไม่พอใจ แต่เธอก็ยังเอื้อมมือออกไปอยู่ดี

ยื่นมือของเจ้าออกมา และตามข้าไปยังปลายสุดขอบโลกกัน!

ตอนที่ 22 : 9 มหาจักรพรรดิกระบี่

เจียงฉือน้อยเขย่าแขนกั๋วไป่หลี่ และดึงสติเขากลับมาทันที

“ท่านปู่ ท่านหมายความว่ายังไงที่เขามีศักยภาพระดับปรมาจารย์น่ะ แล้วยังที่บอกอีกว่าเขาจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิกระบี่แน่นอนนั่นด้วย?”

เจียงฉือน้อยถามด้วยความสงสัย มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นกั๋วไป่หลี่ตกใจตาค้างเกี่ยวกับเรื่องของโจวฉวนจีแบบนี้ เพราะในใจเธอ โจวฉวนจีเป็นถึงยอดอัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อน และในอนาคต เขาจะต้องกลายเป็นเซียนเทพได้อย่างแน่นอน

กั๋วไป่หลี่มองไปยังโจวฉวนจีอย่างงุนงง ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “วิธีฝึกวรยุทธเพื่อกลายเป็นเซียนเทพน่ะมีเป็นล้านวิธี และถึงแม้ว่าดาบจะเป็นอาวุธที่พบได้บ่อยที่สุด และมักถูกสร้างเป็นวัตถุวิเศษ แต่ก็แทบจะไม่มีใครที่มุ่งฝึกแต่วิถีกระบี่จริง ๆ เลยสักคน แต่ผู้ที่บรรลุในวิถีแห่งกระบี่ได้อย่างแท้จริงน่ะ จะสามารถผจญภัยไปทั่วโลกได้อย่างอิสระเลยเชียวล่ะ”

“และถ้าเทียบในระดับเดียวกัน จอมกระบี่ที่บรรลุจิตดาบได้น่ะ แข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธทั่ว ๆ ไปซะอีก”

“เมื่อสมัยโบราณ มี 9 มหาจักรพรรดิกระบี่อยู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีอำนาจล้นหลาม และเป็นผู้ปกครองในยุคสมัยนั้น”

“แล้วโวฉวนจีที่บรรลุได้ถึง 2 จิตดาบทั้งที่ยังอายุแค่ 6 ขวบน่ะ พรสวรรค์ระดับนี้ข้าไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนด้วยซ้ำ”

“เพราะงั้นแล้วในตอนนี้ เขาอาจจะกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิกระบี่รุ่นปัจจุบันไปแล้วก็ได้ และชื่อเสียงของเขาก็จะกลายเป็นตำนานและเป็นที่จดจำไปตลอดกาลอย่างแน่นอน”

เจียงฉือน้อยร้องด้วยความตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเจ๋งอยู่ดี

ถ้าโจวฉวนจีกลายเป็นคนที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในโลกแล้วล่ะก็ งั้นเธอก็คงไม่จำเป็นจะต้องซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว

เกี่ยวกับ 9 มหาจักรพรรดิกระบี่ กั๋วไป่หลี่เคยอ่านเรื่องพวกนี้มาก่อนในสุสานโบราณของสำนักเขา แต่เพราะเขาอยู่แค่ระดับบัวภายในเท่านั้น จึงเข้าใจได้ที่เขาจะไม่ค่อยรู้อะไรมากเกี่ยวกับเขตรกร้างเเดนเหนือ นับประสาอะไรกับโลกทั้งใบ

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ได้อย่างโจวฉวนจี

แต่ถึงจะมี คน ๆ นั้นก็คงไม่ใช่ระดับที่พบได้ทั่วไปอยู่ดี

ไม่นานหลังจากนั้น

โจวฉวนจีก็เก็บดาบ ก่อนจะมองลงไปที่มือ และเห็นว่าบนผิวหนังของเขาเหมือนมีผิวโลหะปรากฎให้เห็นอยู่ราง ๆ

ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นที่ 2 ของอาคมกายทองคำ กายาโลหะ ได้สำเร็จ

และข้อมูลก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

เจ้าของดาบ : โจวฉวนจี

เชื้อสาย : สายเลือดราชวงศ์แห่งมหาจักรวรรดิโจว

วรยุทธ : ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1

วิชาปราณ : อาคมกายทองคำ

วิชาดาบ : วิชาดาบกระเรียนขาว, วิชากระบี่เพลิงกัลป์, วิชา 8 ก้าวทะลวงกระบี่

ทักษะพิเศษ : ไม่มี

พรสวรรค์ : ทักษะการทำหลายอย่างพร้อมกัน

ดาบ : [ระดับเงิน] ดาบมังกรสีชาด, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบคลื่นเหมันต์, [ระดับเงิน] ดาบชโลมโลหิต, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบพยัคฆ์คำราม, [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบผ่าวายุ, [ระดับเหล็ก] ดาบเด็ดสุกร

ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของตัวเขาก็เริ่มมีมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

แล้วยังมีพรสวรรค์ใหม่ในข้อมูลพวกนั้นอีก ทักษะการทำหลายอย่างพร้อมกัน หรอ?

ฟังดูน่าสงสัยมาเลยนะ

เดี๋ยวก่อนะ!

ดาบเด็ดสุกร?

โจวฉวนจีถูกชื่อของดาบเล่มสุดท้ายดึงดูดใจ เป็นชื่อที่เท่อะไรขนาดนี้!

ดาบเด็ดสุกรปรากฎขึ้นบนมือเขา

เมื่อมองแวบแรก มันดูหยั่งกับมีดปังตอที่ยาวกว่าปกติ ขอบทั้งสองด้านนั้นคม และทั่วทั้งใบมีดมีสีดำสนิท ถ้าเทียบกับดาบในตำนานเล่มอื่น ดาบนี่ดูน่าเกลียดโครต ๆ เลย

และข้อมูลจำนวนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบเด็ดสุกร

ระดับ : เหล็ก

คำอธิบาย : หลังจากที่สังหารหมูมากว่าหนึ่งล้านตัว ก็เกิดเป็นดาบเด็ดสุกร มันสามารถตัดกระดูกได้ราวกับตัดโคลน ภายใต้รูปลักษณ์ที่แสนจะธรรมดานั้น กลับแฝงไปด้วยพลังที่แสนจะร้ายกาจ

ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากการฆ่าหมูกว่าล้านตัวอ่ะนะ?

ต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงมีเวลาว่างมากขนาดนั้น?

โจวฉวนจีถึงกับไร้คำพูด ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบเด็ดสุกรกลับเข้าสุดยอดช่องเก็บของ ก่อนจะเริ่มรับอาคมซ่อนปราณต่อ

“เขาเอามีดปังตอนั่นออกมายังไงน่ะ?”

กั๋วไป่หลี่สังเกตเห็นดาบเด็กสุกร เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เขาส่ายหัวก่อนจะหันเดินออกไป

นับตั้งแต่ที่โจวฉวนจีได้รับลูกแก้วอัสนีเหมันต์มา กั๋วไป่หลี่ก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย เขารู้สึกตลอดว่าจะต้องมีปัญหาบางอย่างที่ใหญ่มากเกิดขึ้นแน่นอน

เจียงฉือน้อยเขยิบเข้ามาข้าง ๆ โจวฉวนจี ก่อนจะพบว่าเนื้อหัวของเขาสกปรกมอมแมมขนาดไหน

หลังจากที่เขาขึ้นมาถึงระดับสร้างรากฐานได้แล้ว ปราณวิญญาณของเขาก็ได้ชะล้างสิ่งสกปรกออกมาจากเส้นทางที่ปราณไหลเวียน และขับมันออกมาทางผิวหนัง มันเลยดูเหมือนมีชั้นเหงื่อสกปรกปกคลุมไปทั่วร่างกายเขา

“อี๋ สกปรกจัง”

เจียงฉือน้อยบีบจมูกด้วยมือข้างหนึ่ง พลางใช้มืออีกข้างพัดกลิ่นออก

เธอไม่ได้ขยับหนีไปไหน เพราะตั้งใจว่าจะช่วยโจวฉวนจีล้างตัวหลังจากที่เขาตื่น

หลังจากนั้นสักพัก

โจวฉวนจีก็ลืมตาขึ้น และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยความสุข

อาคมซ่อนปราณเป็นแค่คาถาธรรมดา ที่ใช้เพื่อยับยั้งการปล่อยลักษณะของปราณเฉพาะตัวออกมา และซ่อนระดับวรยุทธที่แท้จริงเอาไว้

คาถานี้มีประโยชน์กับเขามากในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเขาซ่อนพลังวิญญาณได้สำเร็จละก็ คนอื่น ๆ ก็จะรับรู้ได้แค่ว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาเท่านั้น

การฝึกอาคมซ่อนปราณนั้นง่ายมาก ๆ แถมเขายังเอามันไปสอนเจียงฉือน้อยได้ด้วย

“ไปอาบน้ำกัน!”

เมื่อเจียงฉือน้อยเห็นโจวฉวนจีลืมตาตื่น เธอก็อุ้มเขาขึ้นมาก่อนจะเดินตรงไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ

โจวฉวนจีพยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมแขนของเธอทันที เขาหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะเตือนเธอด้วยความเขินอาย “ต่อจากนี้ไปห้ามอุ้มข้าแบบนี้อีกนะ”

มันก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าไม่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ แต่กั๋วไป่หลี่กำลังมองจากที่ไกล ๆ อยู่น่ะสิ

เจียงฉือน้อยหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมล่ะ? เจ้าน้องชายตัวน้องของข้าโตขึ้นแล้วหรอเนี่ย? เจ้าไม่อยากให้ข้าเป็นพี่สาวของเจ้าแล้วสิ? ทีตอนเล็ก ๆ ยังเอาแต่โวยวายอยู่เลยถ้าข้าไม่อุ้มเจ้าน่ะ็ก็”

โจวฉวนจีกลอกตาก่อนจะพูดตอบ “เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้อีกแล้ว ข้าจะ 7 ขวบแล้วนะ”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันกลับไปและกระโดดลงไปในแม่น้ำ

เขารู้สึกไม่สบายตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าหลังจากที่เลื่อนระดับวรยุทธมาได้

เจียงฉือน้อยป้องปากขำเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังกระท่อมไม้เพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้เขา

ในวันนั้น โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยได้เรียนรู้วิธีใช้อาคมซ่อนปราณ

ส่วนกั๋วไป่หลี่นั่งอยู่ริมแม่น้ำตัวคนเดียวและคิดอะไรบางอย่าง และเขายังคงนั่งอยู่แบบนั้นตลอดทั้งคืน

ยามรุ่งสาง กั๋วไป่หลี่ก็มาปลุกโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย

โจวฉวนจีผลักเท้าเล็ก ๆ ที่อยู่บนหน้าเขาออก ก่อนจะขยี้ตาและพึมพำว่า “เจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามากวนข้าแต่เช้าอย่างงี้…?”

ตั้งแต่ที่พวกเขาได้เจอกับอาใหญ่และน้องสอง เหล่าเด็ก ๆ ต่างก็สามารถหลับกันได้อย่างสงบสุข เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีอันตรายเข้ามาใกล้ วิหคมังกรทั้ง 2 ตัวก็จะส่งเสียงดังขึ้นมาทันที

มุมปากของกั๋วไป่หลี่กระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวก 17 อสูรวายุทองคำมันอยู่ที่นี่แล้ว!”

ตัวของโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยถึงกับสั่นสะท้าน และพวกเขาก็กระโดดลงจากเตียงไม้ตามสัญชาตญาณทันที

เด็กทั้งสองหันมองซ้ายขวา แต่ก็ไม่เจอร่องรอยของ 17 อสูรวายุทองคำแต่อย่างใด

“ท่านปู่!”

เจียงฉือน้อยร้องด้วยความโกรธ ขณะที่แววตาของโจวฉวนจีเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ

กั๋วไป่หลี่พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พวกเราต้องไปแล้ว ไม่งั้นจะเจอปัญหาแน่ ลูกแก้วอัสนีเหมันต์เป็นของที่สำคัญมาก แต่มันกลับถูกขโมยไปโดยเด็ก 6 ขวบ เพราะงั้นแล้วมันจะต้องดึงดูความสนใจของทุกสำนักทั่วอาณาจักรเหมันต์แดนใต้อย่างแน่นอน”

เมื่อโจวฉวนจีได้ยิน เขาก็ตื่นเต็มตาทันที

เขาไม่ได้กลัวสำนักไหนในอาณาจักรเหมันต์แดนใต้หรอก แต่เขากลัวว่ามันจะไปดึงดูดความสนใจของพวกจักรวรรดิเข้าซะมากกว่า

จนกว่าเขาจะแข็งแกร่งมากพอ เขาต้องโตเติบมากกว่านี้ ไม่ว่าจะต้องทนต่อความอับอายสักแค่ไหนก็ตาม

“ไปกันเถอะ!”

โดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไร โจวฉวนจีก็สั่งให้เจียงฉือน้อยเริ่มเก็บข้าวของทันที

กั๋วไป่หลี่มองพวกเขาและรู้สึกอยากจะขำ ก่อนหน้านี้เขาก็อุตส่าห์คิดคำพูดเพื่อโน้มน้าวใจโจวฉวนจีตั้งนาน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะกลัวความตายมากขนาดนี้

จากนั้นไม่นาน หลังจากที่พวกเขาเก็บของเสร็จ โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ขี่อาใหญ่ และบินขึ้นไปในอากาศ ขณะที่น้องสองบินตามหลังมาติด ๆ

กั๋วไป่หลี่เป็นคนนำทางพวกเขา และพาไปยังทิศตรงข้ามกับสันเขาสวรรค์พ่าย

“ท่านพี่ จับข้าเอาไว้แน่น ๆ ล่ะ ถ้ายังไม่อยากร่วงลงไปตายอนาถน่ะนะ”

โจวฉวนจีหัวเราะเสียงดัง เจียงฉือน้อยจึงรีบกอดรอบเอวเขาไว้แน่นทันทีด้วยความกลัว

แม้ว่าพวกเขาจะกำลังหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่โจวฉวนจีก็ยังหาทางสร้างความสนุกสนานท่ามกลางความยากลำบากที่เกิดขึ้นได้

ยังไงซะเขาก็มีชีวิตมาแล้วถึง 2 ครั้งนี่นะ

“นี่เจ้าอยากตายนักหรือไง? อาใหญ่ช้าลงหน่อย!”

เจียงฉือน้อยซุกหัวของเธอไว้ที่หลังศรีษะของโจวฉวนจี และร้องโวยวายออกมาเรื่อย ๆ

กั๋วไป่หลี่เมื่อเห็นพวกเขามีอารมณ์ขัน ก็หัวเราะออกมาพลางลูบเคราะยาว

และเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เขาค่อนข้างจะมีความสุขมากเลยเมื่อได้อยู่กับโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย

3 วันหลังจากที่พวกเขาเดินทางออกมา ก็มีคน 2 คนเดินทางมายังที่ราบแห่งนั้น

พวกเขาคือ เสี่ยวเฉิงเฟิง และคุณนายจือฉุยนั่นเอง

ทั้ง 2 หยุดลงที่ข้างแม่น้ำ

เสี่ยวเฉิงเฟิงนำกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากกระเป๋าเก็บของ และเทแมลงเต่าทองสีม่วงดำออกมา จากนั้นเขาก็หยิบผ้าสีเทาออกมาวางไว้ใกล้กับแมลงเต่าทองสีม่วงดำ

“มันคืออะไรน่ะ?” คุณนายจือฉุยถามอย่างสงสัย

“ผ้าอ้อมขององค์ชายฉวนจีไงล่ะ”

เสี่ยวเฉิงเฟิงพูดพลางหัวเราะเบา ๆ และคุณนายจือฉุยก็เงียบลงทันทีที่ได้ยิน

ตอนที่ 21 : ศักยภาพระดับปรมาจารย์

ณ อาณาจักรเหมันต์แดนใต้

กลิ่นหอมไวน์คละคลุ้งไปทั่วอากาศภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

“วันนั้น เป็นวันที่หิมะตกหนักมากบนภูเขาอัสนีเหมันต์ หิมะโปรยปรายไม่หยุดหย่อน จนบดบังทัศนวิสัยของทุกคนที่อยู่ที่นั่น เหล่าผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละสำนักได้มารวมตัวกันเพื่อแย่งชิงสมบัติในตำนาน ลูกแก้วอัสนีเหมันต์ แม้แต่จอมกระบี่เหมันต์เยือกแข็งอย่างเฉิงเยว่เฝยก็อยู่ที่นั่นอยู่ด้วยเช่นกัน”

นักเล่าเรื่องกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางใช้พัดที่อยู่ในมือ ลูกค้าแถวแล้วแถวเล่ายืนรายล้อมรอบนักเล่าเรื่อง เพื่อฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบโลกใบนี้

“เหล่าจอมยุทธได้แต่ทนรอการปรากฎตัวของลูกแก้วอัสนีย์เหมันต์ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเด็ก 6 ขวบคนหนึ่งแอบเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาอย่างเงียบงัน และศิษย์คนหนึ่งจากสำนักหมัดเหล็กก็สังเกตเห็นเด็กคนนั้นเข้า เขาเลยขว้างมีดบินใส่เด็ก 6 ขวบคนนั้น จนเด็กคนนั้นไม่มีทางเลือกเลยต้องเผยตัวออกมา”

“เมื่อเหล่าศิษย์หันไปมอง ก็พบว่าผู้บุกรุกที่ว่านั้นเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยที่มีใบหน้าที่หล่อเหล่าเท่านั้น ดูจากแค่รูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว เขาคนนั้นดูไม่มีพิษมีภัยเอาซะเลย”

เหล่าลูกค้าต่างฟังกันอย่างตั้งใจ ขณะที่กินเมล็ดทานตะวันไปด้วย

ที่มุมห้องบริเวณชั้นแรกของโรงเตี๊ยมนั้น มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่ ทั้งสองต่างมองกันและกัน บนโต๊ะนั้นมีเพียงจานที่มีเนื้อวัวหั่นบาง ๆ วางอยู่

ฝ่ายชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ที่ทั้งสง่างามและหล่อเหลา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าที่แสนจะประณีต เห็นได้ชัดเลยว่าเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย

ส่วนฝ่ายหญิงสวมกระโปรงและผ้าคลุมหน้าสีขาว รับกับผิวพรรณที่ขาวผ่องและเนียนใส ดวงตาของเธอช่างงดงามและตรึงใจ แค่รูปลักษณ์ของเธอเพียงอย่างเดียวก็มากพอจะกระตุ้นให้ความคิดตะเลิดได้

“หืม ดูเหมือนลูกชายของจาวฉวนที่ควรจะตายไปแล้วเลยนะ” ชายคนนั้นพูดพลางทำใบหน้าสงสาร

หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขา ก่อนจะถามขึ้น “เสี่ยวเฉิงเฟิง นี่เจ้าไม่อยากให้เขาตายงั้นหรอ?”

เสี่ยวเฉิงเฟิงยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้น “องค์ราชินีเป็นคนออกคำสั่งมา ความคิดของข้ามันไม่สำคัญอะไรอยู่แล้ว ข้าเป็นเพียงแค่อาวุธเท่านั้น”

หญิงสาวในชุดสีขาวไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองยังคงอยู่ในความเงียบงัน และตกลงไปอยู่ในห้วงความคิด

นักเล่าเรื่องยังคงพูดต่อไป เมื่อเขาพูดถึงฉากการต่อสู้บนภูเขาอัสนีเหมันต์ น้ำเสียงของเขาบ้างก็ฟังดูหดหู่ บ้างก็ดูตื่นเต้น จนเหล่าลูกค้าต่างก็เริ่มรู้สึกอินไปกับเรื่องราว

หลังจากที่เขาเล่าจบ เหล่าลูกค้าต่างก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเล่านั้น

ชาววัยกลางคนที่ผิวมันเลื่อมถอนหายใจแรง “เจ้าก็แค่เล่าเรื่องขี้โม้ไปงั้นแหล่ะ เด็ก 6 ขวบที่ไหนมันจะไปเก่งขนาดนั้นได้ไงกันล่ะ?”

หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น คนอื่น ๆ ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงส่งเสียงเอะอะด้วย

“ใช่! ตอนข้า 6 ขวบ ข้ายังไม่รู้ภาษาเลยด้วยซ้ำ”

“ไอแก่หลี่ คนเล่าเรื่องเดี๋ยวนี้มันก็ใส่สีตีไข่ไปจนเกินจินตนาการงี้แหล่ะ นี่เจ้าเริ่มหยิ่งหรือค่าไวน์มันถูกเกินไปกันแน่?”

“จอมกระบี่เหมันต์เยือกแข็งเป็นถึงจอมยุทธระดับสร้างรากฐานเลยนะ เด็ก 6 ขวบไม่มีทางจะไปล้มเขาได้หรอก ต่อให้จะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนก็ตาม”

“จริงด้วย! นี่เจ้าเข้าใจจริง ๆ รึเปล่าว่าจอมยุทธระดับสร้างรากฐานน่ะเป็นยังไง? แค่แรงกายอย่างเดียวก็ยังสามารถออกแรงยกมหาศาลได้มากกว่าหมื่นปอนด์เชียวนะ”

สีหน้าของนักเล่าเรื่องเริ่มแดงก่ำขึ้นเพราะคำบ่นของเหล่าฝูงชน เขาถอนหายใจก่อนจะพับพัดในมือของเขา

เขาให้เหตุผลอย่างจริงจังว่า “ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อไหร่กัน? เจ้าลองไปถามรอบ ๆ เอาเองสิ ข่าวเกี่ยวกับเด็กปีศาจที่ภูเขาอัสนีเหมันต์กระจายไปทั่วโลกแล้ว หลายสำนักเองก็เริ่มส่งคนออกไปตามหาเขาโดยเฉพาะแล้วด้วย”

เมื่อเสี่ยวเฉิงเฟิงได้ยิน เขาก็เริ่มครุ่นคิดก่อนจะบ่นพึมพำ “ถ้าลูกชายจาวฉวนยังมีชีวิตอยู่จริง ตอนนี้เขาก็น่าจะอายุ 6 ขวบพอดีนะ”

ขนตาของหญิงสาวในชุดสีขาวเริ่มสั่นไหว เธอถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรอ?”

เสี่ยวเฉิงเฟิงหัวเราะ “ถึงเรื่องนี้มันจะดูเว่อร์ แต่ถ้าเด็กนั้นอายุ 6 ขวบจริง เขาก็ไม่น่าใช่คนในจากจักรวรรดิอยู่ดี”

“คุณนายจือฉุย เจ้าต้องเข้าใจด้วย ลูกชายของแม่นางจาวฉวนควรจะตายไปนั่นล่ะดีแล้ว ไม่งั้นแม่นางสนมเฉินกับองค์หญิงหลิงหลิงคงจะเผชิญปัญหาแน่นอน”

เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่นางจาวฉวนทำให้จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวโกรธมาก และไม่นานนักมันก็กลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งไปเลย ไม่เพียงแต่องค์ราชินีจะตรวจสอบปัญหานี้ด้วยตนเอง แต่ผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ ในมหาจักรวรรดิโจวก็ร่วมสืบค้นด้วยเช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดล้วนเข้าใจดีถึงพลังแห่งความแค้น

องค์ชายฉวนจีต้องตาย!

คุณนายจือฉุยหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “งั้นไปที่สันเขาสวรรค์พ่ายกันเถอะ” นางพูด

10 วันผ่านไปหลังจากการต่อสู้ที่ภูเขาอัสนีเหมันต์

โจวฉวนจีไม่ได้ออกไปผจญภัยอีก แต่หาที่ปลอดภัยในพื้นที่ราบนี้แทน

เมื่อกั๋วไป่หลี่รู้ว่า โจวฉวนจีไปแย่งลูกแก้วอัสนีเหมันต์มาจากจอมยุทธระดับสร้างรากฐาน 2 คน ตาของเขาแทบถลนออกมา

มันไม่ใช่ทั้งการลอบโจมตี หรือการใช้ประโยชน์ในตอนที่คนอื่นบาดเจ็บ

แต่มันคือการสู้กันซึ่ง ๆ หน้าเนี่ยแหละ!

ไอเด็กนี่มันแข็งแกร่งขนาดนี้แล้วหรอ?

ในวันนั้น กั๋วไป่หลี่ก็ต้องตกใจเกี่ยวกับโจวฉวนจีอีกครั้ง

เมื่อโจวฉวนจีดูดซับลูกแก้วอัสนีเหมันต์ และขึ้นไปยังระดับสร้างรากฐานได้สำเร็จ

ลูกแก้วอัสนีเหมันต์ใช้งานคล้ายกับหินวิญญาณ เขาแค่ต้องวางมันลงบนฝ่ามือแล้วใช้วิชาปราณในการกระตุ้นเอา และพลังงานที่อยู่ในลูกแก้วก็จะถูกดูดซึมเข้ามาโดยอัตโนมัติ

วู้วววว วู้วววว—

ปราณวิญญาณหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของโจวฉวนจีจากทั่วทิศทาง และก่อตัวเป็นวังวนเหนือศรีษะ

เจียงฉือน้อยที่ยืนอยู่ห่างจากเขา 10 เมตร ก็ประสานมือไว้ที่อก และคอยภาวนาให้โจวฉวนจีอยู่

ตามที่กั๋วไป่หลี่บอก เส้นทางแห่งวรยุทธ์นั้นมีทั้งโชคดีและโชคร้าย จอมยุทธจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากมากมายระหว่างการพัฒนาขึ้นไปสู่อีกระดับ และหลายคนก็ต้องตายเพราะความโชคร้ายที่พวกเขาเผชิญระหว่างก้าวข้ามระดับ

“อย่าห่วงไปเลย เจ้าเด็กนั่นมันโชคดีจะตาย”

กั๋วไป่หลี่หัวเราะพลางลูบเครายาว ทุกครั้งที่เขาเฝ้ามองโจวฉวนจีที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ๆ เขาก็รู้สึกทั้งประหลาดใจและโล่งอกในเวลาเดียวกัน

เมื่อเขาจากไป โจวฉวนจีก็คงจะได้มีชีวิตที่ดี

บางทีครั้งหน้าที่พวกเขาเจอกัน เด็ก 6 ขวบคนนี้อาจจะดังไปทั่วโลกแล้วก็ได้

ปุกปักๆๆๆๆ —

จู่ ๆ ร่างกายของโจวฉวนจีก็มีเสียงระเบิดที่ดังชัดเจนขึ้นมา ทำให้เจียงฉือน้อยเริ่มรู้สึกกังวล

โจวฉวนจีหรี่ตาลงและบ่นพึมพำ “กายาโลหะหรอ…”

เด็กคนนี้กำลังฝึกพลังปราณและร่างกายไปพร้อม ๆ กัน

การฝึกพลังปราณของเขาดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว แม้จะฝึกร่างกายไปด้วยก็ตาม มันคงจะจริงสินะที่บางคนเกิดมาเพื่อเป็นที่สุดน่ะ

พลังวิญญาณของโจวฉวนจีเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากร่างของเขา จนทำให้หญ้ารอบตัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง

ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1!

ในที่สุดโจวฉวนจีก็ผ่านมาได้ เขาสังเกตเห็นพลังวิญญาณที่ไหลเวียนภายในร่างของเขา จากลำธารแคบ ๆ กลายเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยพลัง

เขาทนไม่ได้กับความอยากที่จะกรีดร้องสุดเสียงเพราะความรู้สึกที่ท่วมท้น

อายุแค่ 6 ปี แล้วยังบรรลุระดับสร้างรากฐานอีก!

ในที่สุดเขาก็ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ!

เขาไม่ต้องขายหน้าแล้ว!

ด้วยความตื่นเต้น โจวฉวนจีก็กระโดดขึ้นมาทันที และดาบคลื่นเหมันต์ก็ปรากฎขึ้นบนมือซ้าย ขณะที่ดาบมังกรสีชาดปรากฎขึ้นบนมือขวา

เขาก้าวออกไปด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ และใช้วิชาดาบกระเรียนขาวพร้อมกับวิชากระบี่เพลิงกัลป์ เขาพุ่งตัวไปรอบ ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดาบของเขาส่องประกายทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบ

วู่มมมม! วู่มมมม! วู่มมมม…!

การฟันดาบของโจวฉวนจีทั้งดุร้ายและทรงพลัง ไม่มีทางที่จอมยุทธระดับรักษาปราณคนไหนจะตามความเร็วของเขาทันได้

เขาดูราวกับนกกระเรียนที่กำลังสยายปีก และมีประกายไฟจาง ๆ อยู่รอบตัว

“ดาบคู่?”

“แล้วยัง 2 วิชาดาบที่แตกต่างกันอีก?”

กั๋วไป่หลี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจราวกับเห็นผี

เขาเตือนตัวเองหลายครั้งก่อนหน้านี้ว่าต้องไม่ตกใจกับอะไรก็ตามที่เด็กคนนี้ทำ แต่มาตอนนี้…

เจียงฉือน้อยอ้าปากค้างเล็กน้อยพร้อมทั้งเบิกตากว้าง ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ว่าโจวฉวนจีแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

ก็เหมือนกับคนธรรมดาที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังเลื่อนระดับนั้นแสดงให้เห็นกับตา และทำให้ถึงกับต้องตะลึง

ในเวลาเดียวกัน โจวฉวนจีก็จมลงสู่สภาวะปริศนาที่เขาไม่อาจอธิบายได้

“ติ๊ง! ยินดีด้วย! ท่านเจ้าของดาบได้บรรลุทักษะการทำหลายอย่างพร้อมกัน!”

“เนื่องจากท่านเจ้าของดาบเลื่อนขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานได้ ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับเหล็ก] ดาบเด็ดสุกร อาคมซ่อนปราณ และหินวิญญาณระดับสาม 100 ก้อน!”

เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในใจของโจวฉวนจี แต่เป็นเพราะสติของเขากำลังอยู่ในช่วงของการบรรลุ เลยไม่ทันสังเกต

ดาบของเขากวัดแกว่งได้เร็วมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น ท่วงท่าของเขาช่างหล่อเหลาและสง่างาม ราวกับท่าทางของคนที่เป็นปรมาจารย์

สายตาของกั๋วไป่หลี่ถูกสะกดไว้เมื่อได้เห็นเขา ราวกับโดนต้องมนต์เสน่ห์บางอย่าง

ขณะที่โจวฉวนจีตวัดดาบด้วยความเร็วที่ทำให้เสียงของดาบตัดผ่านอากาศได้ ก็กลบเสียงของกั๋วไป่หลี่ จนทำให้เจียงฉือน้อยไม่ได้ยินเลยว่าเขาพูดอะไร

เธอขยับตัวเข้าไปใกล้กั๋วไป่หลี่ก่อนจะฟังอย่างตั้งใจ

และทั้งหมดที่เธอได้ยินคือกั๋วไป่หลี่ที่เอาแต่พูดซ้ำ ๆ ว่า “ศักยภาพระดับปรมาจารย์ เขาต้องกลายเป็นจักรพรรดิกระบี่ได้แน่นอน!”

ตอนที่ 20 : ได้รับลูกแก้วอัสนีเหมันต์

ข้าทำอะไรอยู่ตอนที่ข้า 6 ขวบวะเนี่ย?

ภาพในอดีตผุดขึ้นในใจของเฉิงเยว่เฝย ตอนนั้นเค้ายังเล่นว่าวอย่างมีความสุขอยู่เลย

หลูหลี่ก็เริ่มนึกย้อนกลับไปเมื่อตอน 6 ขวบเช่นกัน เขายังแอบดูแม่ชีอาบน้ำอยู่เลย

ถึงโจวฉวนจีจะทำให้ทั้งคู่รู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาชะลอความเร็วลงเลยสักนิด

ทั้งคู่ใกล้ถึงยอดเขาเต็มที

ระยะห่างระหว่างทั้ง 2 นั้นน้อยกว่า 3 ช่วงตัวคน เเละเฉิงเยว่เฟยเองก็เป็นคนที่อยู่ใกล้กับยอดเขามากที่สุด

แต่เพียงพริบตาเดียว คนที่นำหน้าโจวฉวนจีอยู่ก็เหลือเพียงเฉิงเยว่เฝยและหลูหลี่เท่านั้น

จอมยุทธ์ทั้งหมดที่โจวฉวนจีแซงหน้าไปต่างรู้สึกผวา

เป็นไปได้ยังไงกัน…

เหล่าจอมยุทธ์ต่างตกใจมากจนไม่มีใครพูดออกสักคำ ก่อนที่พวกเขาจะใช้แรงฮึดทั้งหมดที่มีและพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ในที่สุดโจวฉวนจีก็เริ่มมองเห็นยอดเขา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงมาอย่างรุนแรงและน่าหวาดกลัว

เขาใจสั่นด้วยความกลัวขึ้นมาทันที นี่เขาจะโดนสายฟ้าฟาดและถูกเผาจนกรอบมั้ยเนี่ย?

อย่างไรก็ตาม เฉิงเยว่เฝยและหลูหลี่ก็ไม่ชะลอความเร็วลงเลยสักนิด ทำไมพวกเขาถึงได้ดูไม่กลัวกันเลยล่ะ?

“สายฟ้าพวกนั้นไม่เป็นอันตราย แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่ตายแน่นอนแม้จะสัมผัสมัน” เสียงของวิญญาณแห่งดาบดังก้องขึ้นในใจโจวฉวนจี เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

และเขาก็เร่งความเร็วขึ้นทันที!

ดาบคลื่นเหมันต์ดูดกลืนปราณเยือกแข็งจากพายุหิมะ และความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนแซงหน้าหลูหลี่ไปในทันที

สายตาของหลูหลี่ชะงักอยู่ที่โจวฉวนจี เขาดูตัวแข็งไปเลย

และถัดมาคือเฉิงเยว่เฝย

ความเร็วของเขานั้นใกล้เคียงกับหลูหลี่ และเขาเป็นคนที่อยู่หน้าสุดเพราะออกตัวเป็นคนแรก แต่เขาก็ไม่อาจตามโจวฉวนจีทัน

“นี่มันปีศาจชัด ๆ …”

เฉิงเยว่เฝยกัดฟันจนเลือดขึ้นตา

เมื่อดาบคลื่นเหมันต์บินขึ้นมาถึงยอดเขา เขาก็กระโดดลงจากดาบจนหน้าล้มกลิ้งก่อนจะได้ถึงพื้นอย่างสง่างาม

โจวฉวนจีหันไป และสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือลูกแก้วอัสนีเหมันต์

บนยอดเขาเป็นพื้นที่ราบเรียบที่มีขนาดใหญ่เท่าสนามบาสเก็ตบอลและมีหินกองระเกะระกะอยู่แถวขอบภูเขา ลูกแก้วอัสนีเหมันต์นั้นตั้งอยู่ใจกลางเขา หน้าตาของมันเหมือนแซฟไฟร์ 3 ก้อนที่แต่ละก้อนมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นผู้ใหญ่ กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ส่องแสงสีฟ้าพิสุทธิ์ และมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวสีฟ้าสว่างไสว

โดยไร้ซึ่งความลังเล โจวฉวนจีใช้ 8 ก้าวทะลวงกระบี่พุ่งไปยังลูกแก้วอัสนีเหมันต์ทันที เขาหยิบอัญมณีขึ้นมาด้วยมือขวาก่อนจะเก็บลูกแก้วอัสนีเหมันต์ทั้ง 3 ก้อนลงในสุดยอดช่องเก็บของ

ตุบ! ตุบ!

เฉิงเยว่เฝยและหลูหลี่ขึ้นมาถึงยอดเขาพร้อมกัน หลูหลี่วิ่งไปอีกด้าน ขณะที่เฉิงเยว่เฝยใช้โอกาสนี้วิ่งไปยืนล้อมอีกฝั่ง สร้างรูปแบบการโอบล้อมโจมตี

เมื่อลูกแก้วอัสนีเหมันต์หายไป ประกายสายฟ้าสีฟ้าก็หายไปด้วย สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงลมหนาวและหิมะที่ร่ายรำไปมา

“ส่งลูกแก้วอัสนีเหมันต์มา ไม่งั้นเจ้าจะได้ลงไปนอนตายใต้กองหิมะและน้ำแข็ง!” เฉิงเยว่เฝยสบถพร้อมส่งสายตาอย่างเกรี้ยวกราด

การที่โจวฉวนจีแกล้งทำเป็นเด็กใสซื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เฉิงเยว่เฝยเกลียดเขาเข้าไส้

หลูหลี่ถือดาบยาวไว้ในมือ เขาหรี่ตาลงและพูดข่มขู่ว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าต้องเลวขนาดไหนกันถึงเข้าสิงร่างของเด็ก 6 ขวบได้? งั้นวันนี้ ข้าจะเป็นคนพิพากษาเจ้าในนามของตัวแทนแห่งสรวงสวรรค์เอง!”

โจวฉวนจียกมือขึ้น และดาบคลื่นเหมันต์ก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าสู่มือของเขา

เขาพูดพลางยิ้ม “ข้าไม่ได้ถูกเข้าสิงหรอก ข้าก็แค่มีพรสวรรค์มากไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่คนธรรมดาอย่างเจ้าก็คงไม่เข้าใจหรอกมั้ง?”

ใบหน้าของหลูหลี่เริ่มกระตุก เขาเป็นถึงอัจฉริยะแห่งสำนักฉวนวายุ แต่มาตอนนี้กลับถูกเรียกว่าคนธรรมดา เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เฉิงเยว่เฝยชักดาบของเขาออกมา แสงจากดาบที่กระทบลงบนใบหน้าของเขายิ่งทำให้เขาดูดุร้ายและดุดันมากขึ้น และเขาก็พูดท้าทายออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่ส่งมาแต่โดยดี งั้นพวกเราก็ต้องตัดสินกันผ่านดาบแล้วล่ะ”

อย่างงี้สิข้าชอบ!!

โจวฉวนจีแอบรู้สึกตื่นเต้น เพราะวรยุทธ์ของเขาที่อยู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 10 และกำลังจะขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานแล้ว อีกทั้งเขายังบรรลุถึง 2 จิตดาบด้วย การต่อสู้ครั้งนี้จึงน่าตื่นเต้นมาก และถือเป็นการทดสอบความสามารถของเขากับจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐานทั้ง 2 คนนี้

โจวฉวนจีเริ่มเคลื่อนไหวก่อนด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ ในแต่ละก้าวนั้นไปไกลกว่า 10 หลา และเขาก็เหวี่ยงดาบขึ้นเหนือหัว ปราณเยือกแข็งนั้นราวกับมีดที่ตัดลงบนใบหน้าของเฉิงเยว่เฝย

เฉิงเยว่เฝยยกดาบขึ้นมากันตามสัญชาตญาณ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกระเรียนขาวพุ่งเข้าใส่

ด้วยการตอบสนองอย่างทันท่วงที เขาก็กันการโจมตีไว้ได้

โจวฉวนจีโยกไปมาก่อนจะอ้อมไปข้างหลังเฉิงเยว่เฝย และฟันเข้าใส่แนวขวาง

แต่เป็นเพราะเขาตัวเตี้ยเกินไปเลยโจมตีถึงแค่ช่วงเอวเฉิงเยว่เฝยเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เฉิงเยว่เฝยทำอะไรได้ลำบากกว่าเดิม เพราะต้องคอยรับแรงกระแทกและต้องก้มตัวลงไปพร้อมกัน

หลูหลี่พุ่งเข้าสู่การต่อสู้พร้อมกับดาบของเขา

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

การโจมตีถูกหลบได้อย่างว่องไว ไม่ก็ถูกกันในทันที เสียงคมดาบที่ปะทะกันแม้แต่สายลมและหิมะก็ไม่อาจบดบังได้

โจวฉวนจีนั้นว่องไว้มากเพราะร่างกายที่เล็ก เขาสามารถสู้กับทั้งสองได้อย่างนุ่มนวลและสง่างามราวกับนกกระเรียนขาว

แต่เฉิงเยว่เฝยและหลูหลี่กลับแอบรู้สึกรำคาญอยู่ในใจ

ด้ามดาบของพวกเขาเย็นสุด ๆ การที่พวกเขายังทนต่อออร่าที่หนาวเย็นไปยันกระดูกได้นั้นเป็นเพราะพลังวิญญาณ และถึงพวกเขาจะยังกวัดแกว่งดาบได้ แต่ความเร็วก็ยังลดลงมากอยู่ดี

นี่คือพลังของดาบคลื่นเหมันต์ยังไงล่ะ

อีกด้านหนึ่ง โจวฉวนจีกำลังมีความสุขเอามาก ๆ ความรู้สึกของการที่ทุ่มเททุกสิ่งให้กับอะไรบางอย่างมันช่างอิ่มอกอิ่มใจซะจริง

ด้วยวิชาดาบกระเรียนขาวและดาบคลื่นเหมันต์ เขาจึงสามารถยืนหยัดสู้กับจอมยุทธ์ระดับสร้างรากฐานทั้ง 2 ได้

“เดี๋ยวนะ…หรือว่านี่จะเป็น…?” และเฉิงเยว่เฝยก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ทันที จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความระส่ำระส่าย

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่หลูหลี่ก็เริ่มรู้สึกตัวเช่นกัน

ระหว่างที่ทั้ง 2 โอบล้อมโจมตีโจวฉวนจี พวกเขาก็สบตากันทันที

แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่พวกเขาก็เข้าใจกันและกันได้

ได้ยังไงกัน?!

เป็นไปไม่ได้!

ข้าชักจะกลัวแล้วนะ!

เด็ก 6 ขวบบรรลุจิตดาบได้ยังไงกัน?!

ทั้งสองกระโดดถอยหลังเกือบจะพร้อมกัน และออกห่างจากโจวฉวนจีทันที

เมื่อโจวฉวนจีรู้ว่าโจมตีพลาดก็รู้สึกไม่พอใจทันที เขาหยุดลงก่อนจะทำหน้ามุ่ย

“นั่นมันวิชาดาบอะไรน่ะ” เฉิงเยว่เฝยถามพลางทำหน้าบึ้ง

ถึงจะเป็นได้แค่ฝัน แต่เขาก็ปรารถนาจะบรรลุจิตดาบบ้าง

โจวฉวนจีชี้ปลายดาบไปยังเฉิงเยว่เฝยก่อนจะหัวเราะคิกคัก “วิชาดาบกระเรียนขาวยังไงล่ะ”

ทั้งที่การโจมตีที่ผ่านมาของทั้งสองนั้นไร้ซึ่งความเมตตา และเล็งแต่จุดถึงตายทั้งหมดแท้ ๆ

“แล้วนั่นมันดาบอะไร?”

“ดาบคลื่นเหมันต์”

“แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“…”

เฉิงเยว่เฝยถอนหายใจและพยายามสงบสติอารมณ์สุด ๆ

หลูหลี่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาจ้องไปยังโจวฉวนจีและพูดขึ้น “ข้า หลูหลี่ แห่งสำนักฉวนวายุ ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า และมอบลูกแก้วอัสนีเหมันต์ให้ซักลูกเถอะ แล้วข้าจะถือว่าติดหนี้เจ้าครั้งนึงนับจากนี้ไป”

โจวฉวนจีเหลือบมองไปหาเขาและตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”

“การที่เจ้าไร้ซึ่งความกลัวขนาดนี้เป็นเพราะมีคนหนุนหลังใช่มั้ยล่ะ แล้วเจ้ามาจากสำนักไหนกัน?”

“สำนัก โครตเหง้า ของเจ้าไงล่ะ”

“นี่เจ้า…”

“หุบปาก!”

หลูหลี่แทบอยากจะอ้วนเป็นเลือด ไอเด็กนี่มันไม่มีความฉลาดทางสังคมเลยรึไงกัน? นี่เขาไม่กลัวที่ตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับสำนักฉวนวายุเลยหรอ?

โจวฉวนจีกระโดดพร้อมกับโยนดาบคลื่นเหมันต์ขึ้นต่อหน้าเขา

ดาบคลื่นเหมันต์หมุนอยู่กลางอากาศก่อนจะร่อนลงใต้เท้าของเขา และพาเขาบินไปยังเส้นขอบฟ้า ท่วงท่าทั้งหมดนั้นช่างรวดเร็วและสง่างาม

หลูหลี่ฟันดาบไปข้างหน้า แต่ปราณกระบี่ของเขาก็ไม่แม้แต่จะแตะถึงดาบคลื่นเหมันต์ได้

เฉิงเยว่เฝยไล่ตามเขาจนถึงขอบผา เขาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของโจวฉวนจี และคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ามันเป็นใครกันแน่วะ?”

“ข้าคือ พ่อของเจ้า” โจวฉวนจีพูดเยาะเย้ยจากเส้นขอบฟ้า ก่อนจะค่อย ๆ ห่างออกไป

ใบหน้าของเฉิงเยว่เฝยบิดเบี้ยวไปตามอารมณ์ที่แปรปรวน เขาฟาดมือลงบนพื้นและทุบหินที่กองอยู่จำนวนมากจากระยะไกลแตกละเอียด

จอมยุทธ์ที่อยู่อีกด้านของภูเขาต่างมองกันด้วยความตกใจ

พวกเขาต่างรู้ดีว่าเฉิงเยว่เฝยและหลูหลี่แข็งแกร่งแค่ไหน

หนึ่งในนั้นเป็นถึงจอมกระบี่เหมันต์เยือกแข็ง และอีกหนึ่งก็เป็นถึงศิษย์คนโตแห่งสำนักวายุเหมันต์

แต่พวกเขากลับสู้เด็กไม่ได้เลยเนี่ยนะ?

ไม่!

มนุษย์นั่นไม่ใช่แค่เด็ก 6 ขวบแล้ว นั่นมันปีศาจชัด ๆ!

ลมหนาวพัดโหยหวน โจวฉวนจีนั่งลงบนดาบคลื่นเหมันต์ และเล่นกับลูกแก้วอัสนีเหมันต์บนมือเขา

เขารู้สึกได้ถึงพลังรุนแรงที่ซ่อนอยู่ภายในลูกแก้วอัสนีเหมันต์ ถ้าเขาดูดซับมันละก็ มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานได้แน่นอน รวมถึงอาคมกายทองคำระดับ 2 กายาโลหะด้วย

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็เกินหนึ่งหมื่นปอนด์ไปแล้ว และก็คงจะไม่มีใครในระดับรักษาปราณที่จะสู้กับเขาได้อีก

เรื่องหนึ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับคนที่มีระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 และ 6 ก็คือ พวกเขาจะเก่งกว่าพวกที่มีศิลปะการต่อสู้ในโลกเดิมมากแบบเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

“การผจญภัยครั้งนี้คุ้มค่าสุด ๆ” โจวฉวนจีคิดอย่างมีความสุข

เมื่อเขาขึ้นสู่ระดับรักษาปราณเมื่อไหร่ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน

เขายังเป็นแค่เด็ก 6 ขวบ และชีวิตข้างหน้าของเขายังอีกยาวไกลนัก

 

ตอนที่ 19 : การแสดงพลังของเด็ก 6 ขวบปีศาจ

“ภูเขาอัสนีเหมันต์งั้นหรอ นานแล้วนะที่ข้าไม่ได้มาที่นี่น่ะ” ชายชุดดำเงยหน้ามองพลางบ่นพึมพำกับตนเอง ขณะที่เกล็ดหิมะกำลังร่วงหล่นลงบนใบหน้าของเขา

เมื่อ 22 ปีก่อน ชายคนนี้เคยติดตามอาจารย์ของเขามายังภูเขาอัสนีเหมันต์ แต่อาจารย์กลับถูกปีศาจกิน เหลือทิ้งไว้เพียงดาบของอาจารย์เท่านั้น เขาจึงต้องใช้ดาบเล่มนั้นในการเอาชีวิตรอดและคอยซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ

จากนั้น 10 ปีถัดมา เขาหมั่นฝึกฝนวิชาดาบด้วยตนเอง จนสามารถบรรลุได้ในที่สุด

หลังจากที่เขาออกจากถ้ำ เขาก็ไล่สังหารปีศาจบนภูเขาอัสนีเหมันต์จนหมดสิ้น ก่อนจะจากไปพร้อมกับความแค้นที่ได้รับการเติมเต็ม

12 ปีผ่านไปเพียงพริบตา ชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

ชื่อของเขาก็คือ จอมกระบี่เหมันต์เยือกแข็ง เฉิงเยว่เฝย!

เกล็ดหิมะเยือกแข็งจะปรากฎออกมาและห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ทุกครั้งที่เขาชักดาบ

“คราวนี้ ลูกแก้วอัสนีเหมันต์จะต้องเป็นของข้า” เฉิงเยว่เฝยพูดก่อนจะเริ่มปีนขึ้นภูเขาไป

2 ชั่วโมงต่อมา

จอมยุทธกว่า 300 คนรวมตัวกันอยู่ที่ไหล่เขาอัสนีเหมันต์ หลูหลี่และเหล่าศิษย์จากสำนักฉวนวายุยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ ขณะที่เฉิงเยว่เฝยแยกตัวออกมายืนอยู่คนเดียวเช่นเดียวกับศิษย์จากสำนักอื่น และระหว่างนั้นไม่มีการสนทนาใด ๆ มีเพียงบรรยากาศตึงเครียดและความกดดันเท่านั้น

พวกเขาเงยหน้าขึ้นเหมือนกำลังมองอะไรบางอย่าง

ศิษย์หญิงจากสำนักฉวนวายุถามหลูหลี่ด้วยเสียงค่อยว่า “ศิษย์พี่ ท่านแน่ใจหรอว่าลูกแก้วอัสนีเหมันต์จะปรากฎออกมาจริง ๆ น่ะ? แล้วถ้าพวกเรามาผิดเวลาล่ะ เราต้องรอแบบนี้ต่อไปหรอคะ?”

นี่เป็นภารกิจแรกของนาง เลยทำให้รู้สึกค่อนข้างกังวล

แต่ไม่ใช่แค่นางคนเดียว นี่ก็เป็นภารกิจแรกในโลกกว้างของศิษย์คนอื่นเช่นกัน และหลูหลี่ก็มีหน้าที่ในการปกป้องพวกเขา

หลูหลี่พูดพลางยิ้มให้ “ความอดทนเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรือไม่ หรือต้องต่อสู้กับอะไร สุดท้ายสิ่งที่เจ้าต้องมีก็คือ ความอดทน”

“แต่คนพวกนี้ดูไม่เป็นมิตรเอามาก ๆ เลยนะครับ แถมบางคนก็ไม่ใช่ศิษย์รุ่นเยาว์จากสำนักอื่นเลยด้วยซ้ำ”

ศิษย์หนุ่มจากสำนักฉวนวายุพยายามพูดด้วยเสียงค่อยเพราะกลัวว่าคนอื่นอาจได้ยินเข้า

จู่ ๆ หลูหลี่ก็หัวเราะลั่นออกมา ทำให้จอมยุทธ์คนอื่น ๆ รวมถึงเฉิงเยว่เฝยที่อยู่ใกล้ ๆ หันมามองเขา

จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินหลูหลี่พูดขึ้นมาอย่างสบายใจ “แค่มีข้าอยู่ ก็ไม่มีใครสู้กับพวกเราสำนักฉวนวายุได้แล้ว”

ปากดีซะจริง!

สีหน้าของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ เริ่มตึงขึ้นมาทันที

เหล่าศิษย์จากสำนักฉวนวายุต่างเทิดทูนหลูหลี่ในความใจกล้านี้ เขาช่างเป็นศิษย์พี่ที่สุดยอดซะจริง!

“หึ” เฉิงเยว่เฝยถอนหายใจอย่างเย้ยหยัน

ขณะนั้นเอง เงาเล็ก ๆ เงาหนึ่งก็กำลังปีนขึ้นบนไหล่เขาอย่างช้า ๆ

และเป็น โจวฉวนจี นั่นเอง

โจวฉวนจีทิ้งอาใหญ่เอาไว้ที่ทางเข้าเขตหิมะ เขาเข้ามาที่นี่เพราะรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่ล่อตาล่อใจเขาเป็นอย่างมาก

ตามที่จิตวิญญาณแห่งดาบบอก พลังปราณที่ว่านั้นมันมาจากวัตถุประเภทหนึ่งที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาคมกายทองคำของเขาได้

นี่คือจุดที่อาคมกายทองคำทำได้ดี เพราะมันช่วยให้เขาสามารถตรวจจับพลังงานของสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้ได้

โจวฉวนจีซ่อนตัวอยู่หลังน้ำแข็งก้อนใหญ่ก่อนจะแอบมองและรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“มีจอมยุทธ์อยู่เยอะขนาดนี้เลย? นี่พวกเขามาที่นี่เพราะวัตถุพิเศษนั่นเหมือนกันหรอ?”

โจวฉวนจีสังเกตเห็นว่าจอมยุทธ์พวกนี้ครึ่งนึงอยู่ระดับรักษาปราณ และพวกที่อ่อนที่สุดอยู่แค่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 7

และตอนนี้ เขาที่มีทั้งดาบในตำนานอยู่ถึง 4 เล่ม และ 2 จิตดาบ รวมถึงมีร่างกายที่แข็งแรง จึงมั่นใจว่าอย่างน้อยตนก็พอจะมีโอกาสสู้กับพวกเขาได้

ฟิ้วววววววว!

จู่ ๆ ก็มีมีดลอยมาปักเข้าที่ก้อนน้ำแข็งต่อหน้าโจวฉวนจี จนน้ำแข็งทั้งก้อนสั่นสะเทือน

“ใครอยู่ตรงนั้น? หยุดซ่อนตัวแล้วจงออกมาซะ!”

ชายชุดสีฟ้าตะโกนขึ้นด้วยเสียงต่ำ ทำให้คนแถวนั้นทั้งหมดหันมามอง

โจวฉวนจีถอนหายใจแรงก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เขายกแขนขึ้นและเดินออกมาจากหลังก้อนน้ำแข็ง

เขาทำเป็นหวาดกลัวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายังแค่ 6 ขวบ… ข้ายังไม่อยากตาย…”

โจวฉวนจีดูไร้พิษสงด้วยความเป็นเด็ก 6 ขวบ อีกทั้งแก้มเล็ก ๆ ที่เป็นสีแดงระเรื่อเพราะหิมะและความหนาวเย็นของเขา ยังทำให้เหล่าจอมยุทธ์หญิงต่างใจระทวยไปตาม ๆ กัน

“หนูน้อยคนนี้น่ารักจัง!”

“เขาช่างดูบอบบางซะเหลือเกิน แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

“บางทีเขาอาจจะหลงทางกับพ่อแม่ก็ได้ ว้าาา ข้าล่ะอยากจะหยิกแก้มนั่นซะจริง”

“ใจเย็นก่อน เขาอาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมาก็ได้!”

เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เริ่มพูดถึงรูปลักษณ์ของโจวฉวนจีกันอย่างดุเดือด ในขณะที่เหล่าผู้นำของแต่ละสำนักต่างจ้องมองเขาด้วยความระแวง

ที่นี่คือ สันเขาสวรรค์พ่าย นะ

มันไกลจากเมืองหรือหมู่บ้านของมนุษย์มากนะ เด็ก 6 ขวบทั่วไปไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้หรอก

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้สึกถึงปราณปีศาจจากตัวของโจวฉวนจีแต่อย่างใด เลยไม่คิดว่าเขาจะเป็นปีศาจแปลงกายมา

ชายชุดสีฟ้าที่ขว้างมีดใส่เขาก่อนหน้านี้ถามต่อ “เจ้าหนู แล้วพ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”

โจวฉวนจีกลืนน้ำลายก่อนที่น้ำตาจะไหลลงบนใบหน้าของเขาทันที เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะยกมือขวาชี้ขึ้นไปยังแร้งกระดูกที่บินวนอยู่เหนือภูเขาอัสนีเหมันต์และร้องไห้ “พวก…มันกินพ่อแม่ข้าไปแล้ว…”

เมื่อพวกเขาเห็นโจวฉวนจีร้องไห้ เหล่าจอมยุทธ์หลายคนก็ลืมสิ้นทุกข้อข้องใจและความสงสัยไปในทันที

นั่นเป็นเพราะยังไม่มีใครในพวกเขาที่บรรลุจิตวิญญาณซึ่งจำเป็นต้องถึงระดับสร้างรากฐานเสียก่อน จึงยังไม่มีใครสามารถระบุระดับวรยุทธของโจวฉวนจีได้ อีกทั้งด้วยพายุหิมะที่รุนแรงและระยะห่างระหว่างพวกเขา จึงทำให้ไม่มีใครตรวจจับพลังวิญญาณที่โจวฉวนจีมีได้

“เจ้าหนู มานี่มา เดี๋ยวข้าพาเจ้ากลับสำนักฉวนวายุเอง”

หลูหลี่กวักมือเรียกพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของเขาสร้างความหวั่นไหวให้กับจิตใจของเหล่าศิษย์สาวในสำนักฉวนวายุมาก และความประทับใจของทุกคนที่มีต่อหลูหลี่ก็เพิ่มมากขึ้น

แต่ก่อนที่โจวฉวนจีจะได้ตอบ เสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นลั่นมาจากยอดเขา และเสียงในคราวนี้ก็ดังกว่าคราวไหน ๆ ขนาดที่ทำให้คนหูหนวกได้ยินได้

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดเขาอัสนีเหมันต์ ก่อนจะเห็นแสงสีน้ำเงินเข้มปรากฏ โดยมีประกายสายฟ้าสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบแสงสีฟ้านั้น

ระยะห่างระหว่างไหล่เขากับยอดเขานั้นห่างแค่เพียงไมล์เดียวเท่านั้น

เฉิงเยว่เฝยเริ่มเคลื่อนไหวเป็นคนแรก เขาว่องไวราวกับกระต่ายขณะกระโดดขึ้นภูเขา

“ลูกแก้วอัสนีเหมันต์ออกมาแล้ว! รีบปีนขึ้นไปบนเขาเร็ว!” จอมยุทธ์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ก่อนที่คนอื่น ๆ จะเริ่มออกตัวและรีบปีนขึ้นภูเขาอย่างรวดเร็ว

หลูหลี่และเหล่าศิษย์หนุ่มจากสำนักฉวนวายุก็เริ่มวิ่งขึ้นภูเขาเช่นกัน โดยทิ้งเหล่าศิษย์สาวไว้ข้างหลัง

โจวฉวนจีวิ่งออกไปดู

ลูกแก้วอัสนีเหมันต์?

ฟังดูทรงพลังมากเลยแฮะ

จู่ ๆ ศิษย์สาวตัวเล็ก ๆ น่ารักคนหนึ่งก็เดินมาขวาง เธอนั่งยอง ๆ ลงต่อหน้าโจวฉวนจีและกอดเขา “เจ้าน้องชายตัวน้อย ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะปกป้องเจ้าเอง แล้วเจ้าหนาวรึเปล่า?” เธอพูดปลอบโยนเขา

โจวฉวนจีเกือบหายใจไม่ออกเพราะหน้าที่ถูกฝังอยู่บนร่องนมที่แสนนุ่มนิ่ม เขารีบสะบัดตัวออกทันที

และศิษย์สาวคนอื่น ๆ ก็เริ่มเข้ามาห้อมล้อมเด็กหนุ่ม

โจวฉวนจีรีบกระโจนหนีทันที และดาบคลื่นเหมันต์ก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าเขา ก่อนที่จะเขาขี่ดาบมุ่งหน้าไปยังยอดเขาทันที

เหล่าศิษย์สาวต่างตกอยู่ในความงุนงง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“หึ คิดว่าข้าจะหลงกลอย่างงั้นหรอ?”

โจวฉวนจีลูบใบหน้าที่ยังอุ่น ๆ อยู่ของเขา

เขาเร่งความเร็วขึ้นและรีบมุ่งหน้าไปยังยอดเขา

ดาบคลื่นเหมันต์พุ่งเข้าหาจอมยุทธ์ทีละคน ๆ ทำเอาเหล่าจอมยุทธ์ที่เห็นกลัวแทบตาย

“ไอเด็กนั่น! มันบินได้หรอ!”

“เป็นไปได้ไงเนี่ย?!”

“แม่งเอ้ยยยย – – ไอเด็กผีนั่น”

“มันไปเอาดาบแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย?”

“นี่เขาขี่ดาบท่ามกลางอากาศที่หนาวขนาดนี้ แต่ยังคงสภาพร่างกายตัวเองเอาไว้ได้เนี่ยนะ?”

เหล่าจอมยุทธ์ต่างตกอยู่ในความตกใจ พายุหิมะบนภูเขาอัสนีเหมันต์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกที พวกเขาคงไม่รอดแน่ ๆ ถ้าบินโดยใช้วัตถุวิเศษ เพราะระดับวรยุทธ์ที่ยังต่ำเกินไป

คนที่อยู่หน้าสุด คือ เฉิงเยว่เฝย ในขณะที่ หลูหลี่ ตามมาติด ๆ

ทั้งสองที่ได้ยินเสียงตะโกนอย่างประหลาดใจก็หันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ

สิ่งที่พวกเขาเห็น คือ เด็ก 6 ขวบที่กำลังขี่อยู่บนดาบเงิน และกำลังพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง

ตอนนี้โจวฉวนก็ชินกับดาบในตำนานทั้ง 4 เล่มแล้ว

และคุณสมบัติของดาบคลื่นเหมันต์ก็คือ ปราณเยือกแข็ง ดังนั้นยิ่งพายุหิมะรุนแรงมากเท่าไหร่ ดาบคลื่นเหมันต์ก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น

“นั่นมันปีศาจรึไง?”

สายตาของเฉิงเยว่เฝยกระตุก และนั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจเขา

ตอนที่ 18 : สงคราม 2 อาณาจักร

ด้วยความที่อาใหญ่นั้นเป็นวิหคมังกรที่มีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงไหลเวียนอยู่ ทำให้อาใหญ่ค่อนข้างที่จะฉลาดกว่าปีศาจทั่วไป และสามารถเข้าใจสัญลักษณ์มือที่โจวฉวนจีทำได้

อีกทั้งวิหคมังกรยังเชี่ยวชาญในการบินมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าปีศาจบินได้ตนอื่น ๆ ที่มีระดับวรยุทธเท่ากันแล้ว วิหคมังกรถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ถึงแม้อาใหญ่จะยังเล็ก แต่ก็ยังบินได้เร็วกว่าที่โจวฉวนจีจะวิ่งไล่ตามทัน

หลังจากที่พวกเขาบินวนไปมาอยู่หลายไมล์ สุดท้ายโจวฉวนจีก็เจอแต่ปีศาจที่อยู่ระดับต้น ๆ ที่ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าสัตว์ป่าทั่วไปนัก

ปีศาจนั้นมีการแบ่งระดับวรยุทธด้วยเช่นกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 10 ระดับ ระดับแรกจะเทียบเท่ากับระดับรักษาปราณของมนุษย์ ในขณะที่ระดับที่ 2 เทียบเท่ากับระดับสร้างรากฐาน และระดับที่ 3 เทียบเท่ากับระดับบรรลุญาณ

และหลังจากที่เสียเวลาไปร่วมวัน โจวฉวนจีก็ไม่เจอศัตรูอะไรที่เหมาะสมกับตนเองเลย

เมื่อพลบค่ำมาถึง โจวฉวนจีก็ขี่อาใหญ่กลับไปยังกระท่อมไม้

และเมื่อกั๋วไป่หลี่ได้ยินเกี่ยวกับความพยายามในการหาคู่ต่อสู้มาตลอดทั้งวันของโจวฉวนจี เขาก็ลูบเครายาวพลางหัวเราะ “นี่เจ้ายังต้องการจะเผชิญหน้ากับปีศาจที่แกร่งกว่านี้อีกงั้นหรอ? เจ้าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ งั้นพรุ่งนี้ เจ้าลองไปตามลำธารเพื่อไปยังแม่น้ำดู ที่สุดปลายทางจะมีเทือกเขาที่เรียกว่า สันเขาสวรรค์พ่าย ที่นั่นมีร่องรอยของปีศาจระดับ 2-3 อยู่จำนวนมาก คิดว่ามันน่าจะเป็นศัตรูที่เหมาะสมกับเจ้านะ”

กั๋วไป่หลี่ไม่ค่อยกังวลที่โจวฉวนจีอยากจะสู้กับปีศาจที่แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก

นั่นก็เพราะเด็กน้อยคนนี้เก่งพอที่จะสังหารเยี่ยเฟยฟานและนายหญิง 7 ราตรีได้เลยยังไงล่ะ

แล้วปีศาจหน้าโง่ที่ไหนไม่รู้เรื่องจะไปสู้อะไรกับเขาได้?

นอกจากนี้กั๋วไป่หลี่ยังสังเกตเห็นอีกว่า ระดับวรยุทธของโจวฉวนจีได้มาถึงขั้นสูงสุดของระดับรักษาปราณแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของโจวฉวนจีที่ยังอยู่ในวัยกำลังโตอยู่ เขาก็คงขึ้นสู่ระดับต่อไปได้นานแล้ว

ดังนั้นนี่ถึงเป็นเรื่องดีที่โจวฉวนจีจะได้ออกไปเรียนรู้และหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ ก่อนจะเริ่มรู้สึกคาดหวังกับสันเขาสวรรค์พ่ายขึ้นมา

“ฉวนจี ท่านปู่กั๋วจะสอนวิชาเวทให้ข้าพรุ่งนี้ และข้าว่าจะเรียนคาถารักษาก่อน ครั้งหน้าข้าจะได้ใช้มันรักษาเจ้าได้น่ะ”

จู่ ๆ เจียงฉือน้อยก็กอดรอบคอโจวฉวนจีพลางหัวเราะคิกคัก เธอดูจะตื่นเต้นมากเลย

“ได้เลย ท่านพี่เลี้ยงตัวน้อยของข้า” โจวฉวนจีตอบพลางหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดภายในใจ จู่ ๆ เธอก็กอดเขาเฉยเลยเนี่ยนะ?

นี่นางไม่รู้เลยหรอว่าข้ากำลังใช้ความคิดอยู่น่ะ?

กั๋วไป่หลี่จ้องไปทางโจวฉวนจีก่อนจะพูดขึ้น “ธุระครั้งก่อนที่ข้าไปทำมันค่อนข้างจะมีผลกระทบกับสำนักกระบี่เร้นลับพอควรเลย ดังนั้นแล้วครั้งนี้ข้าคงจะอยู่กับพวกเจ้าได้มากสุดแค่ครึ่งปีเท่านั้น จากนั้นข้าจะกลับสำนักทันที แต่พอข้ากลับไปแล้วคงยากที่จะกลับมาเจอพวกเจ้าได้อีก เพราะงั้นพวกเจ้าแน่ใจนะว่าไม่สนใจจะกลับไปกับข้าจริง ๆ น่ะ?”

นอกจากความเป็นเด็กและความเจ้าเล่ห์ของโจวฉวนจีแล้ว กั๋วไป่หลี่ก็ชอบและเอ็นดูทั้งสองมาก และเขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องทิ้งทั้งสองไว้ให้เร่ร่อนตามลำพัง

โจวฉวนจีมองไปทางเจียงฉือน้อยและพูดว่า “ท่านพี่อยากไปรึเปล่า? ข้าว่าข้าจะไปสำนักกระบี่เร้นลับหลังจากที่ข้าโตกว่านี้”

โจวฉวนจีอยากจะไปสำนักกระบี่เร้นลับเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าอาจจะมีคนหาเขาเจอ

มหาจักรวรรดิโจวมีคนที่เก่งกาจอยู่มากมาย ฉะนั้นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้องค์ราชินีรู้ถึงตัวตนของเขาได้

ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่จีนโบราณ แต่ก็ยังเป็นสถานที่ ๆ คล้ายกับเรื่องราวของวีรบุรุษและตำนานจากโลกเดิม

โจวฉวนจีถึงต้องระวังตัวสุด ๆ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพลังอย่างตัวเอกในหนังหรือเปล่า ดังนั้นกันไว้ก่อนดีกว่าแก้เสมอ

เจียงฉือน้อยส่ายหัวทันทีเมื่อได้ยินที่โจวฉวนจีพูดก่อนจะตอบกลับ “’ถ้าข้าไป งั้นใครจะเป็นคนซักผ้า ซ่อมเสื้อ หรือแม้แต่ทำอาหารให้เจ้ากันล่ะ? ถ้าเจ้าบาดเจ็บจนมือของเจ้าขยับไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีข้าที่ช่วยรักษาเจ้าได้นะ!”

โจวฉวนจีลูบหัวของเธอพลางยิ้มให้

กั๋วไป่หลี่ที่เห็นเด็ก 6 ขวบกำลังลูบหัวเด็ก 10 ขวบ ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา

“เจ้าปีศาจตัวน้อย ข้าไม่รู้หรอกนะว่าภูมิหลังของเจ้าเป็นยังไง แต่ดูจากนิสัยของเจ้าแล้ว มันไม่ดีเอาซะเลย เพราะงั้นข้าจะสอนอะไรเจ้าสักอย่างแล้วกันนะ”

กั๋วไป่หลี่พูดและหัวเราะพลางลูบเครายาว ทำท่าราวกับเป็นตาเฒ่าผู้ปราชญ์เปรื่อง

เขารู้ชื่อของโจวฉวนจี แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นชื่อเดียวกับองค์ชายเล็กแห่งมหาจักรวรรดิโจว เพราะเขาไม่รู้ชื่อจริงขององค์ชาย และทั้งสองคนดูจะมีความแตกต่างทางสังคมมากเกินไป

“อดทนเพียงชั่วครู่ จะอยู่ยืนได้กว่า 1000 ปี จงยอมถอยร่นเสียบ้าง เจ้าจึงเห็นท้องนภาและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เจ้ารู้มั้ย เจ้าน่ะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่เจ้าต้องหัดเรียนรู้ที่จะปกปิดมันเอาไว้บ้างนะ” กั๋วไป่หลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น

กั๋วไป่หลี่สัมผัสได้ถึงความดุร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในตัวโจวฉวนจี เขากังวลว่าโจวฉวนจีจะมั่นใจเกินไป แค่เพราะสังหารนายหญิง 7 ราตรีได้ และนั่นอาจจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตที่คาดไม่ถึง

โจวฉวนจีเบ้ปากก่อนจะพูดขึ้น “แต่ข้ากลับรู้สึกว่า ยิ่งอดทนมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งโกรธมากเท่านั้น และยิ่งข้ายอมถอยมากเท่าไหร่ ข้าก็จะยิ่งแพ้มากเท่านั้น หลักในการใช้ชีวิตของข้าน่ะคือ การหาทางแก้แค้นให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะข้าไม่ใช่พวกขุนนางขี้ขลาดยังไงล่ะ”

เมื่อกั๋วไป่หลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งกังวลมากกว่าเดิม “หลักในการใช้ชีวิตบ้า ๆ แบบไหนที่เจ้าพูดถึงอยู่น่ะ?” กั๋วไป่หลี่ถามด้วยความโกรธ

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเผลอขำออกมาจนต้องเอามือปิดปากเอาไว้

แล้วโจวฉวนจีก็เปลี่ยนหัวข้อทันที และถามว่า “จะว่าไปที่สำนักกระบี่เร้นลับเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอ?”

กั๋วไป่หลี่ถอนหายใจ “เป็นเพราะอาณาจักรเหมันต์แดนใต้กับอาณาจักรสมุทรไพศาลกำลังจะเริ่มสงครามกันน่ะสิ แล้วเยี่ยเฟยฟานที่ตอนแรกมาอาณาจักรเหมันต์แดนใต้เพื่อสืบข้อมูล ก็ดันมาตายด้วยน้ำมือของเจ้าเสียก่อน”

“แล้วมหาจักรวรรดิโจวไม่คิดจะสนใจอะไรเลยหรอ?” โจวฉวนจีรู้สึกสงสัยและถามต่อ

ในเมื่อสองพี่น้องกำลังจะสู้กัน ก็ไม่มีทางที่มหาจักรวรรดิโจวจะเพิกเฉยกับปัญหานี้ได้สิ

“ทางจักรวรรดิส่วนมากจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามระหว่างอาณาจักรอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่เกิดความเสียหายมากเกินไป จักรวรรดิก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะมากกว่า เพราะมีเพียงเเค่สงครามเเละการเเข่งขันเท่านั้นที่ทำให้อาณาจักรพวกนี้เเข็งเเกร่งขึ้นได้” กั๋วไป่หลี่ตอบ และเขารู้สึกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาก

ถ้าสำนักกระบี่เร้นลับต้องมีส่วนร่วมในสงครามนี้ด้วยล่ะก็ จะมีศิษย์สักกี่คนที่ต้องตายกันล่ะ และกั๋วไป่หลี่ที่เป็นถึงผู้อาวุโส ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าร่วมสงครามด้วย

โจวฉวนจีไม่ได้ถามต่อ เพราะสงครามระหว่างอาณาจักรไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว

ทั้ง 3 ยังคงพูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน

เช้าวันถัดมา โจวฉวนจีก็ขี่อาใหญ่มุ่งตรงไปยังสันเขาวรรค์พ่าย

แม่น้ำที่ไหลผ่านที่ราบนั้นไม่ได้กว้างหรือลึกสักเท่าไหร่ แต่กลับยาวเอามาก ๆ เขาเลยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3 ชั่วโมงเต็มกว่าจะเริ่มมองเห็นป่า

สันเขาสวรรค์พ่ายนั้นมีขนาดใหญ่และตั้งตัวเป็นกำแพงล้อมรอบที่ราบ หากเข้าสู่ฤดูหนาว ก็จะกลายเป็นภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง

แต่ก่อนที่โจวฉวนจีจะได้เข้าไปยังสันเขาสวรรค์พ่าย เขาก็ได้กลิ่นปราณปีศาจลอยมาแต่ไกล

ด้วยความที่วรยุทธของเขาอยู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 10 แล้ว ประสาทสัมผัสของเขาจึงค่อนข้างที่จะเฉียบคมมาก เลยทำให้รับรู้ถึงปราณปีศาจได้เร็ว

และหลังจากที่เข้ามายังสันเขาสวรรค์พ่าย เขาก็สั่งให้อาใหญ่ร่อนลงสู่พื้น

โจวฉวนจีดึงดาบคลื่นเหมันต์ออกมาก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

ในบรรดาดาบทั้ง 5 เล่ม เขาถนัดดาบคลื่นเหมันต์มากที่สุด ดังนั้นเขาเลยเก็บดาบที่เหลืออีก 4 เล่มเอาไว้เป็นไพ่ตาย

ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เจอกับเป้าหมายแรก

มันคือหมูป่าที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับควาย และเขี้ยวทั้งสองของมันทั้งยาวและคมเหมือนกับช้าง

“เยี่ยม งั้นแกคือปีศาจป่าตัวแรกที่ข้าจะสู้ด้วย!”

โจวฉวนจียิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับดาบในมือ

ลึกเข้าไปในสันเขาสวรรค์พ่าย มีภูเขาอีก 5 ลูกที่ยาวเชื่อมต่อกัน และ ณ เนินเขาแห่งหนึ่งที่ถูกย้อมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน มีจอมยุทธวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางตรงมา

ชายหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่ข้างหน้าสุดสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมถือพัดเอาไว้ในมือ ท่าทางเขายังคงสง่างามราวกับไม่รู้สึกหนาวเลย แม้อยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่รุนแรง

ด้านหลังของเขา มีเหล่าศิษย์อีก 16 คนที่มาจากสำนักเดียวกันคอยเดินตามหลัง พวกเขาล้วนสวมเสื้อคลุมสีขาว และข้างหลังเสื้อคลุมเขียนด้วยตัวอักษรว่า “ลม”

“ศิษย์พี่หลูหลี่ อีกไกลแค่ไหนกันคะ?” ศิษย์หญิงถามปากสั่นด้วยความหนาวพลางกอดตัวเองเอาไว้

หนุ่มหล่อผู้มีนามว่าศิษย์พี่หลูหลี่หันกลับมาก่อนจะยิ้มให้ “อีกไม่ไกลแล้ว อดทนเอาไว้ศิษย์น้องของข้า เมื่อพวกเราไปถึงภูเขาอัสนีเหมันต์จะต้องเจอกับศิษย์จากสำนักอื่นแน่ และข้าต้องเอาลูกแก้วอัสนีเหมันต์กลับไปให้ได้ เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสำนักฉวนวายุต้องมัวหมอง”

ภูเขาอัสนีเหมันต์! ลูกแก้วอัสนีเหมันต์!

เหล่าศิษย์จากสำนักฉวนวายุพยายามฮึดสู้ พวกเขาตบหน้าตัวเองเรียกขวัญก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป

และในเวลาเดียว บนเทือกเขาอื่นที่อยู่ไม่ไกล ก็มีศิษย์จากสำนักอื่นอีกมากมายกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกัน

ท้องฟ้าสั่นสะเทือน —

จู่ ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาท่ามกลางหมู่เมฆ ถึงแม้พายุหิมะจะรุนแรงมากเสียจนบดบังทัศนียภาพ แต่ก็ไม่อาจจะบดบังสายฟ้าที่ฟาดลงมาได้

ณ เบื้องล่างนั้น มีภูเขาที่สูงกว่า 1 ไมล์ และสายฟ้าคอยสาดแสงสว่างวาบอยู่บนยอดเขา เหล่าแร้งกระดูกจำนวนมากคอยบินวนไปมา ร่างกายของพวกมันเป็นไปตามเรียกชื่อ มีเพียงกระดูกสีขาวโพลน และขนาดตัวของมันก็ใหญ่พอ ๆ กับห่านที่โตเต็มวัย

ที่นี่คือ ภูเขาอัสนีเหมันต์

ที่เชิงเขา มีชายชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมดาบเล่มหนึ่งในมือ เขามองขึ้นไปยังยอดเขาด้วยในหน้าที่เคร่งขรึมและสายตาที่ดุดัน ราวกับเขาสามารถมองทะลุพายุหิมะและเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ บนยอดเขานั้นได้

ตอนที่ 17 : การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว

โจวฉวนจียืนกอดอกอย่างใจเย็นและถามขึ้นว่า “มันหายากนักรึไง?”

เขาแอบรู้สึกดีใจที่ได้เห็นสีหน้าของเพื่อนเก่าทำท่าอย่างกับเห็นผี

พอใจที่ได้เป็นอัจฉริยะมั้ยน่ะหรอ?

สุด ๆ ไปเลยน่ะสิ!

กั๋วไป่หลี่จับไหล่ของเขาก่อนจะสังเกตตัวของโจวฉวนจีราวกับกำลังมองสมบัติ

“ท่านปู่กั๋ว!” เสียงของเจียงฉือน้อยดังก้องมาแต่ไกล เธอวิ่งมาพร้อมกับวิหคมังกรทั้ง 2 ตัว

กั๋วไป่หลี่หันไปมอง แต่เมื่อเห็นวิหคมังกรก็ถึงกับตกใจค้าง

“ปีศาจทั้ง 2 ตัวนี้ดูไม่ธรรมดาเลยนะ ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นตัวแบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ” กั๋วไป่หลี่พูด

เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เขาจากไป เด็กทั้ง 2 จะไปฝึกปีศาจให้เชื่องมาได้

และเมื่อเจียงฉือน้อยเอาวิหคมังกรทั้ง 2 ตัวเข้ามาใกล้ ๆ กั๋วไป่หลี่ เขาก็ต้องตกตะลึง

“วิหคมังกร? พวกเจ้าไปได้อินทรีปีศาจพวกนี้มายังไงกัน?”

กั๋วไป่หลี่มีประสบการณ์และความรู้มากพอที่จะระบุได้ว่าปีศาจทั้ง 2 ตัวนี้คืออะไร

เจียงฉือน้อยชี้ไปทางวิหคมังกรก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่ชื่อ อาใหญ่ ส่วนเจ้านี่ชื่อ น้องสอง เป็นพี่ชายกับน้องสาวกัน”

อาใหญ่ กับ อาเล็ก…

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวก่อนจะหัวเราะขึ้น ยังไงซะพวกเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก ชื่อที่ตั้งให้นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาได้ยินก็คงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องให้ดีแน่ ๆ

แล้วจู่ ๆ กั๋วไป่หลี่ก็เหมือนจะนึกอะไรออกก่อนจะพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าห้ามประมาทเด็ดขาด ยิ่งเป็นปีศาจหายากแบบนี้ มันจะยิ่งดึงดูดให้คนอยากได้มัน เมื่อปีก่อนก็มีจอมยุทธมากมายพยายามต่อสู้กับวิหคมังกรที่โตเต็มวัย บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตาย แม้แต่กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำที่โด่งดังก็ยังถูกฆ่าซะเหี้ยนระหว่างการต่อสู้เลย”

โจวฉวนจีเลิกคิ้วขึ้นและถาม “พวกกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำตายหมดแล้วหรอ? เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นพวกชั่วช้าที่แข็งแกร่งพอจะเทียบเจ้าได้?”

กั๋วไป่หลี่ลูบหัวเขา และหัวเราะพลางลูบเครายาว “ทั้งหมดมันเป็นเพราะความโลภน่ะสิ มีอีกคนที่โดดเด่นในการต่อสู้นั้นมาก ก็คือ แม่ทัพจางเถียนเจียนผู้ทรงพลังแห่งอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ยังไงล่ะ เขาอ้างว่าวิหคมังกรถูกเซียนแห่งวิถีกระบี่ขโมยไปได้ แล้วเซียนคนนั้นยังเป็นคนฆ่านายหญิง 7 ราตรีแห่งกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำได้ในพริบตาด้วย เลยคาดกันว่าเซียนคนนั้นน่าจะมีพลังมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะ”

“และนั่นคือความแข็งแกร่งของจอมยุทธแห่งวิถีกระบี่ยังไงล่ะ จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวครั้งหนึ่งยังเคยทำลายอาณาจักรทั้ง 7 ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ ดังนั้นแล้ว ฉวนจี เจ้าต้องฝึกฝนให้หนัก และอย่าปล่อยให้พรสวรรค์ในเส้นทางแห่งกระบี่ของเจ้าต้องสูญเปล่าล่ะ” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หยุดคิดขึ้นมา

โจวฉวนจีสามารถขึ้นมาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 10 ได้เพียงอายุ 6 ปี เพราะงั้นเขาไม่ใช่พวกเกียจคร้านและเอื่อยเฉื่อยหรอก

จะว่าไปแล้ว เซียนคนนั้นเป็นคนทิ้งวิหคมังกรทั้ง 2 ตัวไว้ให้หรอ?

เดี๋ยวก่อนนะ!

แล้วจู่ ๆ กั๋วไป่หลี่ก็นึกถึงช่วงเวลาอันโหดร้ายเมื่อตอนที่โจวฉวนจีแทงเยี่ยเฟยฟานได้จากการลอบโจมตี

แล้วตอนนั้น โจวฉวนจียังอายุแค่ 2 ขวบเท่านั้น…

หึก —

กั๋วไป่หลี่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะเผลอดึงมือกลับมาโดยไม่รู้ตัว และไม่กล้าแม้แต่จะแตะหัวโจวฉวนจีอีกต่อไป

เจียงฉือน้อยกระพริบตาปริบ ๆ เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

โจวฉวนจีลูบคางของเขาพลางครุ่นคิด ก่อนจะถามขึ้นว่า “ท่านปู่กั๋ว แล้วข่าวลือนั่นแพร่กระจายไปทั่วรึยัง?”

“ก็พอสมควรเลย เพราะเดิมกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำเองก็มีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว และพวกมันยังถูกจัดอยู่ใน 200 อันดับแรกของการจัดอันดับฝั่งมารในมหาจักรวรรดิโจวอีก”

กั๋วไป่หลี่พยักหน้าและจ้องมองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะถามขึ้น “ฉวนจี บอกปู่มาซะ เจ้ามีดวงวิญญาณอื่นซ่อนอยู่ในตัวของเจ้า แถมยังอายุมากกว่าข้าด้วยใช่มั้ย…?”

ฉวนจีกลอกตาก่อนจะพูดตอบ “ท่านพูดถูก ข้ามีสุดยอดมหาปีศาจผู้ชั่วร้ายที่คอยกินคนอยู่ภายในตัวข้ายังไงล่ะ”

เขาทำหน้าตลกใส่กั๋วไป่หลี่

เจียงฉือน้อยเดินไปขึ้นขวางหน้าโจวฉวนจี ก่อนจะตะโกนใส่กั๋วไป่หลี่ “โจวฉวนจีไม่ใช่ปีศาจโบราณอะไรนั่นสักหน่อย!”

ถ้าโจวฉวนจีเป็นปีศาจโบราณจริง ๆ แล้วทำไมเขาต้องทำตัวให้ดูน่าสงสารต่อหน้านายหญิง 7 ราตรีด้วยล่ะ?

กั๋วไป่หลี่มองไปยังสาวน้อย และส่ายหัวให้พลางหัวเราะอย่างขมขื่น ช่างเป็นเด็กสาวที่โง่อะไรเช่นนี้

อาใหญ่และอาเล็กก็เดินเข้ามาใกล้ด้วยเช่นกัน ก่อนจะเตรียมตั้งท่าพร้อมที่จะจู่โจมกั๋วไป่หลี่

กั๋วไป่หลี่ยักไหล่ก่อนจะถอนหายใจ “ต่อให้ข้าจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับเจ้ายังไง ก็คงไม่มีใครเชื่อข้าหรอก แล้วด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้ามั่นใจว่า อย่างเจ้าคงจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวได้อยู่แล้ว”

เจ้าเด็กนี่มันเก่งหยั่งกับปีศาจจริง ๆ …

โจวฉวนจีที่ได้ยินอะไรแปลก ๆ ก็ถามขึ้น “ไอการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวนี่มันคืออะไรหรอ?”

แม้ว่าเขาจะเกิดในราชวังของมหาจักรวรรดิโจว แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพราะเขาไม่ค่อยมีอิสระในการไปไหนมาไหน และมีแค่บางคนที่สามารถเข้าหาเขาได้เท่านั้น

“งานคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวจะถูกจัดขึ้นในทุก ๆ 10 ปี จะมีสุดยอดอัจฉริยะมากมายจากมหาจักรวรรดิโจวและอาณาอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย มันไม่เหมือนกับการสอบเข้าโรงเรียนของจักรวรรดิหรอกนะ เพราะนอกจากจะมีการทดสอบทักษะการเขียนแล้ว ยังมีการทดสอบความสามารถในการต่อสู้ด้วย”

“ผู้ชนะในแต่ละปีของการคัดเลือกแห่งสวรรค์มักจะได้ตำแหน่งนายพล ไม่ก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในมหาจักรวรรดิโจวทั้งนั้น และชื่อเสียงของเขาก็จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”

“และเพราะความหฤโหดในการแข่งขันคัดเลือกแห่งสวรรค์นี่แหละ ที่ทำให้มหาจักรวรรดิโจวยังรุ่งโรจน์มาได้จนถึงทุกวันนี้”

ในทุก ๆ 10 ปี จะเกิดการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวขึ้นงั้นเหรอ!

โจวฉวนจีหรี่ตาลงและเริ่มคิดแผนในใจ

องค์ราชินีอาศัยอยู่ในวังหลวง และแทบจะไม่ออกมาเลย ดังนั้นถ้าเขาต้องการที่จะแก้แค้นจริง ๆ ก็ต้องเข้าไปในวังหลวงของมหาจักรวรรดิโจวให้ได้

ซึ่งการจะโถมบุกเข้าไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่จะเป็นไปได้มั้ย ถ้าเขาเข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว แล้วแอบเข้าไปลอบสังหารนางน่ะ?

โจวฉวนจีเริ่มรู้สึกมีความหวัง ตั้งแต่ที่เขาสามารถควบคุมดาบผ่านพลังจิตได้ เมื่อเวลามาถึง เขาจะซ่อนดาบในตำนานเอาไว้ และจะลอบสังหารองค์ราชินีด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากระยะไกลให้ได้ภายในคืนเดียว

“แต่เจ้าเลิกคิดจะดีกว่านะ มันยากมากที่จะได้เข้าร่วมการคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจว ไม่ว่าเจ้าจะได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรที่ทรงพลัง หรือแม้แต่จากสำนักกระบี่เร้นลับก็ตาม มันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ทั้งโลกรู้จักเจ้าได้หรอกนะ ชื่อเสียงของเจ้าจะต้องมากพอที่จะทำให้ทั่วโลกสนใจ ถึงจะได้รับคำเชิญจากราชสำนักได้ หรือไม่ เจ้าก็ต้องติดอยู่ในตารางจัดอันดับยอดฝีมือของมหาจักรวรรดิโจวให้ได้”

กั๋วไป่หลี่มองไปยังท่าทางของเขาและพอจะเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงตั้งใจพูดแบบนี้เพื่อขัดขวางเขาไว้

โจวฉวนจีนั้นมีพรสวรรค์มากก็จริง แต่เขาก็ไม่ควรรีบเปิดเผยความสามารถ ก่อนจะโตพอแล้วจริง ๆ

มันไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปที่เป็นคนมีพรสวรรค์

โจวฉวนจีพยักหน้าก่อนจะเดินไปทางอื่น เขาหยิบดาบคลื่นเหมันต์ออกมา ก่อนจะเริ่มฝึกวิชากระบี่เพลิงกัลป์ต่อ

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวเมื่อเห็นว่าโจวฉวนจีเริ่มหลงเข้าไปในความคิดตนเอง

ไม่นานหลังจากนั้น กั๋วไป่หลี่ก็พาเจียงฉือน้อยกลับมาที่หน้ากระท่อมไม้ และถามเธอว่าโจวฉวนจีสังหารนายหญิง 7 ราตรีได้ยังไง

เจียงฉือน้อยอธิบายอย่างร่าเริงและกล่าวถึงความสุดยอดในสิ่งที่เธอได้เห็น ด้วยความตกใจและประหลาดใจ มันก็ไม่ได้ทำให้กั๋วไป่หลี่กลัวสักเท่าไหร่ เว้นเสียแต่เจ้าอาใหญ่กับอาเล็กที่ทำให้เขากลัวบ้างในบางครั้ง

ในช่วงเย็นของวันถัดมา

โจวฉวนจีก็บรรลุจิตกระบี่เพลิงกัลป์ได้สำเร็จ ตัวเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟราวกับว่าเขาถูกสร้างขึ้นมาจากไฟ เขาฟันดาบของเขาด้วยปราณกระบี่ และทำให้แม่น้ำถูกแบ่งออกด้วยคลื่นไฟที่รุนแรง กั๋วไป่หลี่ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจเท่านั้น

ไอเจ้าเด็กเหลือขอนี่มันพึ่งฝึกมั่ว ๆ มาแท้ ๆ แต่มาตอนนี้เขากลับบรรลุวิชาดาบอื่นได้งั้นหรอ?

สวรรค์ช่างลำเอียงเสียจริง!

ในตอนที่กั๋วไป่หลี่อยู่ใกล้ ๆ โจวฉวนจีจะไม่หยิบดาบในตำนานเล่มอื่นออกมา แต่จะมุ่งฝึกไปที่ปราณภายใน และพยายามไปให้ถึงระดับสร้างรากฐานให้ได้เร็วที่สุดแทน

3 เดือนผ่านไป

โจวฉวนจีที่กำลังขี่อาใหญ่อยู่กำลังหาสถานที่ ๆ ปีศาจมักปรากฎขึ้นบ่อย เพื่อที่จะได้ลองใช้ความสามารถของเขาในการต่อสู้จริง

โจวฉวนจีที่ได้ลองขี่วิหคมังกรเมื่อ 3 วันก่อนก็เกือบตกลงมา แต่โชคดีที่มีกั๋วไป่หลี่คอยอยู่รอบ ๆ และช่วยเขาเอาไว้ โจวฉวนจีจึงสามารถควบคุมตัวเองได้หลังจากฝึกขี่อยู่ 3 วัน และเริ่มสนิทกับอาใหญ่

เจียงฉือน้อยที่คอยมองเงาของอาใหญ่และโจวฉวนจีบินไกลออกไปจากข้างหลัง ก็รู้สึกชื่นชมพลางมองอาเล็กไปด้วย

กั๋วไป่หลี่ลูบหัวเธอและยิ้มอย่างพอใจ “ฉือเอ๋อ(เติมเอ๋อเวลาเรียกเด็กสาวน่ารัก) เจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอจนกว่าเจ้าจะพัฒนาวรยุทธของเจ้าไปได้มากกว่านี้ เจ้าค่อยลองอีกครั้งก็ได้”

โจวฉวนจีนั้นบรรลุได้ถึง 2 จิตดาบ กั๋วไป่หลี่เลยไม่กังวลว่าเขาจะเจอกับอันตรายอะไรนัก

แต่เจียงฉือน้อยนั้นต่างออกไป เธอพึ่งจะบรรลุได้แค่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 เท่านั้น หนทางนั้นยังอีกยาวไกลนัก และไม่ใช่แค่กั๋วไป่หลี่ที่กังวลเกี่ยวกับเธอ แต่รวมถึงโจวฉวนจีด้วย

“ก็ได้”

เจียงฉือน้อยหยักหน้าอย่างหนักแน่น และหันกลับไปก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธต่อ

ที่ปลายสุดพื้นที่ราบ โจวฉวนจียังคงมีความสุขกับการได้ขี่หลังของอาใหญ่ และรู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะเข้าหน้า

เขาก้มศรีษะลงและมองลงไป ตอนนี้เขาอยู่สูงจากพื้นอย่างน้อย 1 ไมล์

โจวฉวนจีเงยหน้ามองขึ้นไป เทือกเขาที่ดูกว้างไร้ที่สิ้นสุด และทิศทัศน์อันแสนงดงามเบื้องหน้าเขานั้น ราวกับภาพวาด เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา “ราวกับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ราวกับฝูงนกที่โผบินบนท้องนภาได้อย่างตามใจ!”

ตอนที่ 16 : 6 ปี กับดาบผ่าวายุ

หลังจากที่โจวฉวนจีฝึกวิชาดาบกระเรียนขาวครบ 10 ครั้ง เขาก็เก็บดาบและรู้สึกพึงพอใจ

ดาบพยัคฆ์คำรามไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะเสียงเสือคำรามนั่นดีสุด ๆ ตรงที่มันช่วยส่งเสริมท่วงท่าที่สง่างามของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอารองเท้าทะยานเมฆาออกมา

รองเท้าบูทที่ปรากฎขึ้นตรงหน้านั้นมีสีเขียวอมฟ้า ลวดลายที่มีรายละเอียดยิบย่อยจำนวนมากถูกถักทออยู่บนพื้นผิวรองเท้าดูราวกับเมฆที่กำลังล่องลอยอยู่ โดยรวมแล้วมันค่อนข้างที่จะมีเอกลักษณ์และงดงามมากเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม…

รองเท้ามันใหญ่เกินไป นี่เขาต้องรออีกกี่ปีถึงจะใส่มันได้เนี่ย?

“ท่านเจ้าของดาบสามารถลองสวมใส่มันได้” จิตวิญญาณแห่งดาบแนะนำ เมื่อโจวฉวนจีได้ยินเช่นนั้น ก็เอาเท้าเล็ก ๆ ของเขาใส่เข้าไปในรองเท้าทันที

และทันทีที่สอดเท้าข้างหนึ่งเข้าไป รองเท้าทะยานเมฆาก็หดลงเท่ากับขนาดเท้าของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

เยี่ยมไปเลย! ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ

เขารีบสวมรองเท้าอีกข้างทันที และรองเท้าทะยานเมฆาก็หดลงอีกครั้ง

เขารู้สึกชอบใจมาก ก่อนจะกระโดดโลดเต้นอยู่หลายครั้ง และไม่รู้สึกว่ารองเท้าจะหลุดเลยสักนิด

หลังจากที่โจวฉวนจีสวมใส่รองเท้าทะยานเมฆา เขาก็รู้สึกว่าร่างกายนั้นเบากขึ้นมาก

เขาเริ่มวิ่งไปตามแม่น้ำและรู้สึกได้ถึงความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น

เขาสามารถก้าวเท้าได้เร็วมากขึ้นและมากยิ่งขึ้นไปอีก จนสามารถวิ่งได้เร็วกว่าผู้ใหญ่คนไหน ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเลยแม้แต่นิด!

อีกทั้งหนึ่งสิ่งที่ต้องรู้เอาไว้ก็คือ โจวฉวนจียังแค่ 5 ขวบเท่านั้น

เจียงฉือน้อยขยี้ตาตัวเอง เพื่อทำให้แน่ใจว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริง

ถึงแม้เธอจะสังเกตเห็นรองเท้าทะยานเมฆาของโจวฉวนจี แต่ก็ไม่ได้คิดเลยว่าความเร็วนั่นได้มาจากรองเท้า

“ฉวนจีพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว งั้นข้าจะมาช้าไม่ได้แล้วตอนนี้”

เจียงฉือน้อยกำหมัดแน่น เธอหลับตาลงก่อนจะเริ่มเพ่งสมาธิจดจ่อกับการฝึกวิชาวสันตเหมันต์ต่อ

ณ พื้นที่ราบแห่งนี้แทบจะไม่มีร่องรอยการมีอยู่ของมนุษย์เลย มีเพียงแต่ฝูงหมาป่าและเหล่าสุนัขล่าเนื้อที่วิ่งผ่านไปมาในบางครั้ง แต่ยังไงซะ พวกมันก็เป็นได้แค่อาหารเท่านั้น

ตอนนี้โจวฉวนจีไม่ได้ฝึกแค่ปราณภายในอย่างเดียวเท่านั้น

เขายังเริ่มฝึกใช้ดาบในตำนานทั้ง 4 เล่มอีกด้วย เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดของดาบออกมาได้อย่างเต็มที่

เขาอยากจะควบคุมดาบทั้ง 4 เล่มพร้อมกันให้ได้!

โจวฉวนจีถือดาบในมือข้างละหนึ่งเล่ม และใช้จิตในการควบคุมดาบอีก 2 เล่ม

มันดูจะยากเอามาก ๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าจะต้องทำได้แน่

เขาเริ่มฝึกดาบช่วงกลางวัน และฝึกปราณภายในช่วงกลางคืน

และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

1 ปีผ่านไป

โจวฉวนจีก็ก้าวขึ้นสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 10 ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเจียงฉือน้อยก็ขึ้นถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 4 ได้ด้วย

หลังจากสะสมพลังมากว่า 1 ปี พลังจิตของโจวฉวนจีก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และสามารถควบคุมดาบในตำนานทั้ง 4 เล่มพร้อมกันได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขาควบคุมได้ภายใน 10 ลมหายใจเท่านั้น จากนั้นเขาก็จะหมดสติในทันที

วิหคมังกรก็โตขึ้นตัวเท่าควาย และเมื่อครึ่งปีก่อนก็เริ่มบินได้ด้วย เจียงฉือน้อยอยากจะขี่พวกมัน แต่โจวฉวนจีก็ห้ามเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดเธอตกลงมาตายล่ะ?

เจียงฉือน้อยนั้นเป็นยอดกุ๊ก เขาจะขาดเธอไปไม่ได้!

อาคมกายทองคำของโจวฉวนจีก็ยังไม่บรรลุถึงระดับที่ 2 กายาโลหะ แต่ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายก็ทะลุไปกว่าหมื่นปอนด์แล้ว นี่มันอย่างกับเขากลายเป็นหลี่หยวนป้ากลับช้ามาเกิดในเรื่องสุยถังยังไงอย่างงั้น (หลี่หยวนป้าเป็นตัวละครในตำนานที่เเข็งเเรงเเบบโคตรโกง)

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 6 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบผ่าวายุ ปิ่นหงส์หยกทลายมาร และวิชากระบี่เพลิงกัลป์”

ดวงสุ่มของปีที่ 6 ก็ไม่เลวเลยแฮะ ดาบในตำนานเล่มใหม่ แล้วยังได้วัตถุวิเศษกับวิชาดาบอีก

โจวฉวนจีนั้นรอวิชาดาบมานานแล้ว

แค่วิชาดาบกระเรียนขาวอย่างเดียว มันยังไม่ทำให้เขาพอใจได้

จากนั้นไม่นาน ข้อมูลของดาบผ่าวายุก็ปรากฎขึ้นมาต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบผ่าวายุ

ระดับ : สัมฤทธิ์

คำอธิบาย : เป็นดาบที่สามารถตัดลมได้ โดยผู้ใช้จะไม่รู้สึกถึงแรงต้านลมเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้สึกถึงแรงต้านลมเลยเหรอ?

นี่มันเยี่ยมไปเลย!

โจวฉวนจีนำดาบผ่าวายุออกมา ใบดาบนั้นทั้งเรียวบาง และยังยืดหยุ่นมากพอจนเอามาใช้เป็นเข็มขัดได้เลย

หืมม?

เข็มขัด?

จู่ ๆ เขาเอาดาบผ่าวายุมาพันรอบเอวเอาไว้ ซึ่งมันพอดีมาก แล้วเขาก็เริ่มล่องลอยไปตามความคิดของตัวเอง

พรืด!

เลือดพุ่งกระจายออกมาจากเอวของโจวฉวนจี และมันทำให้เขาเจ็บมากเสียจนหน้ายู่ปากสั่น

แม่งเอ้ย!

ดาบนี่มันจะคมไปไหนเนี่ย!

เห็นได้ชัดจากการที่ดาบนั่นโดนเสื้อของเขาแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น

โคตรเจ็บเลย!

เขาเก็บดาบผ่าวายุเข้าสุดยอดช่องเก็บของ ก่อนจะเดินไปยังกระท่อมไม้ พลางเอามือกดปิดปากแผลที่เลือดไหลออกมาเอาไว้

นี่มันไม่ใช่จุดที่เขาอยากจะมีแผลเลยสักนิด

“ท่านพี่! ข้าเลือดออก” โจวฉวนจีร้องเสียงหลง เจียงฉือน้อยที่กำลังเล่นกับวิหคมังกรอยู่ เมื่อได้ยินก็รีบวิ่งมาทันที

เจียงฉือน้อยที่ตอนนี้อายุได้ 10 ปีก็ยังคงสูงกว่าศรีษะของโจวฉวนจี ผมของเธอเป็นสีดำเงางามและมัดรวบไว้เป็นผมหางม้า ช่วยเผยให้เห็นถึงผิวพรรณและใบหน้าอันอ่อนโยนหมดจด แล้วยังผมหน้าม้าที่พลิ้วไสวไปตามสายลม ทำให้เธอทั้งดูเยาว์วัยและมีชีวิตชีวามาก

เพียงแค่หน้าตาของเธอ ก็เพียงพอที่จะพลิกแผ่นดินได้

เธอวิ่งไปหาโจวฉวนจีและถามด้วยความกังวล “เลือดออกหรอ ตรงไหน? ที่เอวเจ้าน่ะหรอ?”

โจวฉวนจีกัดฟันแน่นก่อนจะดึงเสื้อขึ้นมา ทั้งเอวของเขาอาบไปด้วยเลือด และมันยังไหลออกมาไม่หยุด

เจียงฉือน้อยรีบพาไปยังกระท่อมไม้ทันที ก่อนจะนำเศษผ้าสีขาวและยามาใช้ห้ามเลือดเอาไว้

ขณะที่เจียงฉือน้อยใส่ยาให้โจวฉวนจี ก็คอยดุเขาไปด้วย “นี่เจ้าช่วยระวังกว่านี้จะได้มั้ย? ครั้งต่อไปถ้าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรู มีหวังเจ้าได้ตายด้วยดาบเจ้าเองแน่”

โจวฉวนจีมองไปยังเธอก่อนจะพูด “จะเป็นยังงั้นไปได้ไง? นี่มันก็แค่อุบัติเหตุเองน่า”

“ชิ”

เจียงฉือน้อยทำเบะปาก ถึงแม้เธอจะตำหนิโจวฉวนจี แต่ก็ยังรักษาให้อย่างระมัดระวัง เพราะกังวลว่าเขาจะเจ็บ

หลังจากที่เธอช่วยพันแผลให้แล้ว โจวฉวนจีก็หยิบปิ่นหงส์หยกทลายมารออกมา

ผู้ชายอย่างเขาจะไปใช้ปิ่นได้ยังไงกัน?

ดังนั้นแล้ว เขาจึงอยากจะให้มันกับเจียงฉือน้อย

ปิ่นหงส์หยกทลายมารนั้นเป็นหยกสีขาว และมีรูปร่างเหมือนรูปหงส์ มันแทบจะไม่รู้สึกหนักเลยสักนิดเมื่อโจวฉวนจีถือมันไว้

“นี่สำหรับเจ้านะ มันเป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาในครอบครัวของข้า สามารถขับไล่วิญญาณและสิ่งชั่วร้ายได้ ฉะนั้นอย่าทำมันหายล่ะ” โจวฉวนจีพูดอย่างห้วน ๆ ก่อนจะส่งปิ่นปักผมให้กับเจียงฉือน้อย

เขาเคยบอกกับเจียงฉือน้อยเมื่อนานมาแล้วว่า พ่อกับแม่ของเขาได้ทิ้งสมบัติเอาไว้ให้มากมาย แต่มันถูกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา เมื่อเขาเติบโตและมีวรยุทธมากพอ เขาถึงจะดึงเอาสมบัติเหล่านั้นออกมาได้

เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยินว่ามันเป็นสมบัติของครอบครัว ก็เบิกตากว้างจ้องไปทางโจวฉวนจีด้วยความตกใจ เธอหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เจ้าใช้สิ่งนี้ในการตามหาตระกูลเจ้าในอนาคตได้นะ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็เป็นคนในครอบครัวของข้าเหมือนกัน ต่อให้ในอนาคตข้างหน้าข้าจะตามหาครอบครัวของข้าเจอ แต่ข้าก็จะพาเจ้าไปด้วยแน่นอน”

จากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังริมแม่น้ำ

ทิ้งให้เจียงฉือน้อยรู้สึกตกใจและยิ้มหวานอย่างมีความสุข จากนั้นเธอก็นำปิ่นหงส์หยกทลายมารมาปักผมเอาไว้

เธอสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาและเอาแต่ยิ้มไม่หยุด

หลังจากที่พักได้ 2 วัน บาดแผลของโจวฉวนจีก็หายเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงกลับมาฝึกวิชากระบี่เพลิงกัลป์ต่อ

เมื่อเขาบรรลุวิชากระบี่เพลิงกัลป์ได้สำเร็จ ปราณกระบี่ของเขาก็สามารถหลอมรวมเข้ากับไฟได้ พลังทำลายล้างของมันมหาศาลมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นวิชาที่ทรงพลังกว่าดาบกระเรียนขาวเสียอีก

แต่หลังจากที่เขาฝึกเสร็จได้เพียงครั้งเดียว ก็ได้ยินเสียงลอยผ่านลมอย่างรวดเร็วมาจากเส้นขอบฟ้า

หืมม?

มีศัตรูมาโจมตีหรอ?

โจวฉวนจีตัวสั่นด้วยความกังวล

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดข้าก็หาพวกเจ้าสองคนเจอ!”

เสียงหัวเราะของกั๋วไป่หลี่ดังก้องไปทั่วฟ้า เมื่อโจวฉวนได้ยินว่าเป็นเสียงกั๋วไป่หลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที

กลายเป็นว่าเขาคือสหายเก่านั่นเอง ฟังจากที่กั๋วไป่หลี่พูด ดูเหมือนเขาจะตามหาโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยมานานมากจริง ๆ

กั๋วไป่หลี่ที่ขี่ดาบลอยมา เขาหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “ไอเจ้าเด็กเหลือขอ โตขึ้นมากเลยนะเนี่ย วรยุทธของเจ้าก็ก้าวหน้าไปได้ไม่เลวเลย แล้วเจ้ายังไปถึง…”

“ระดับรักษาปราณขั้นที่ 10! อะไรวะเนี่ย–”

เมื่อเขาพูดไปได้ครึ่งประโยค สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจในทันที

เด็ก 6 ขวบเนี่ยนะจะมาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 10?

ยิ่งขั้นสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะพัฒนามากขึ้นเท่านั้น แล้วไอเด็กเหลือขอนี่มันผ่านช่วงคอขวดมาได้ยังไงกัน?

ตอนที่ 15 : 5 ปี กับดาบพยัคฆ์คำราม

เป็นเพราะความกลัวของจางเถียนเจียน จึงทำให้โจวฉวนจีหนีรอดมาได้ และยังโชคดีที่ทั้งคู่ไม่เจอใครไล่ตามมาเลยตลอดทาง

ไม่ช้าก็พลบค่ำ

ทั้งคู่เลือกซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ด้วยความที่ถ้ำนั้นไม่ใหญ่มาก พวกเขาจึงสามารถจุดไฟให้สว่างได้อย่างทั่วถึง

โจวฉวนจีนั่งลงบนพื้น ขณะที่เจียงฉือน้อยคอยทายาตามตัวเขาให้

ข้าง ๆ พวกเขามีศพของหมีซึ่งเคยเป็นเจ้าของถ้ำอยู่

ในขณะที่โรยผงยาลงบนแขน มันก็ทำให้โจวฉวนจีถึงกับสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกนับถือเจียงฉือน้อยจากใจจริง เมื่อนึกถึงตอนที่เขาทายาให้เธอแต่กลับไม่มีเสียงร้องโอดครวญเลยสักนิด

“ฉวนจี บางทีพวกเราน่าจะหาหมู่บ้านสักที่แล้วอาศัยอยู่ดีมั้ย? มันอันตรายเกินไปที่จะอยู่ในที่กันดารแบบนี้นะ” เจียงฉือน้อยพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ผลจากการเผชิญหน้ากับ 17 อสูรวายุทองคำทำให้เธอได้รับบาดแผลทางจิตใจมาก

และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจนัก

โจวฉวนจีครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “งั้นรอข้าอีกสัก 2 ปี ในตอนนี้พวกเรายังไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวเองได้ ต่อให้จะไปอยู่ตามเมืองเล็ก ๆ หรือหมู่บ้านก็ตาม เด็กกำพร้าอย่างพวกเราคงถูกคนอื่น ๆ รังแกแน่ ยังไงก็ไม่มีทางได้อยู่สุขหรอก”

เขตรกร้างแดนเหนือไม่เหมือนกับโลกก่อน มันไม่มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรอกนะ

เจียงฉือน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะพันแขนโจวฉวนจีด้วยผ้าลำนิน

เมื่อโจวฉวนจีเห็นเธอทำหน้าเศร้าก็ถอนหายใจอยู่ในใจ

ถึงเขาจะปกป้องเจียงฉือน้อยได้ แต่ก็ยังทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิมด้วย

โจวฉวนจีมองเจียงฉือน้อยเหมือนกับคนในครอบครัว เพราะงั้นแล้วเขาจะทิ้งเธอไปไม่ได้

ต้องยอมรับว่าถ้าโจวฉวนจีไม่มีเจียงฉือน้อย เขาคงจะใช้ชีวิตอย่างคนป่าเถื่อนแน่

ถึงแม้เด็กสาวตัวน้อยคนนี้จะยังเด็ก แต่เธอก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแดนป่าเถื่อนแบบนี้ได้

ไม่นาน ยาก็เริ่มออกฤทธิ์

แขนของเขาเริ่มรู้สึกดีและเย็นขึ้นในทันที มันช่างรู้สึกดีจริง ๆ

เขาหยิบกระเป๋าเก็บของและแหวนเก็บของของนายหญิง 7 ราตรีออกมาทันที

ตอนนี้เจ้าของก็ตายไปแล้ว วัตถุวิเศษทั้ง 2 ชิ้นจึงไร้ซึ่งนายในทันที โจวฉวนจีเลยสามารถใช้พลังจิตของเขาในการตรวจสอบของข้างในได้

และมันก็ทำให้เขาถึงกับน้ำลายไหล

มียา หินวิญญาณ และวัตถุวิเศษมากมายอยู่ในนั้น…

นี่มันโจรที่รวยที่สุดเลยนี่หว่า!

เดี๋ยวก่อนนะ!

แล้วนี่มันคืออะไรน่ะ?

ไข่ใบยักษ์2 ใบสีขาวนวลที่มีขนาดเท่าหัวโจวฉวนจีปรากฎขึ้นมาบนแขนของเขา

ดวงตาของเจียงฉือน้อยเปล่งประกายพร้อมทั้งเขยิบตัวเข้ามาใกล้ “ไข่พวกนี้ใหญ่สุด ๆ เลย มันน่าจะอร่อยมากนะถ้าพวกเราเอามันไปย่างน่ะ” เจียงฉือน้อยพูด

โจวฉวนจีถึงกับพูดไม่ออก “ไม่ว่าไข่ทั้ง 2 ใบนี้จะเป็นไข่ของตัวอะไรก็ตาม แต่มันต้องไม่ใช่ไข่ธรรมดาแน่นอน แล้วพวกเราจะเอามันไปย่างอย่างงั้นได้ไง?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

เขานึกออกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งทันที และใจของเขาก็เริ่มสั่นระรัว

เขาจำได้ว่ากลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำพูดว่า วิหคมังกรอยู่ในช่วงที่อ่อนแอที่สุดก็ตอนวางไข่ หรือว่านี่จะเป็น…?

เขาหยิบไข่สีขาวขึ้นมา 1 ใบก่อนจะเริ่มสำรวจอย่างระมัดระวัง

เจียงฉือน้อยดูดนิ้วเธอก่อนจะพูด “งั้นทำไมเราไม่ย่างสักใบนึงแล้วเก็บอีกใบไว้ล่ะ?”

“นี่เจ้าอยากจะกินขนาดนั้นเลย?” โจวฉวนจีพูดอย่างเหนื่อยใจก่อนจะดีดหน้าผากเธอ

ราวกับไข่ใบนั้นรู้ว่ามันกำลังตกอยู่ในอันตราย จู่ ๆ ไข่วิหคมังกรที่อยู่ในอ้อมแขนเขา ก็เริ่มสั่น

“มันขยับได้ด้วย!” เจียงฉือน้อยตะโกนลั่น

เธอรีบดึงโจวฉวนจีออกห่างจากไข่

ด้วยความที่เธอยังจำได้ว่าวิหคมังกรนั้นน่ากลัวขนาดไหน

ถึงมันจะเป็นแค่วิหคมังกรที่พึ่งเกิด แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี

แกร๊กกก!

ไข่วิหคมังกรเริ่มแตกออก และเขามังกรสีชมพูใส ๆ เปล่งประกายก็ค่อย ๆ โผล่ออกมา

เขามังกรยังคงกระแทกเข้ากับเปลือกเพื่อสร้างรอยร้าวเพิ่ม จากนั้นไข่ก็เริ่มกลิ้งไปมาบนพื้น และทันใดนั้นอินทรีไร้ขนก็โผล่ออกมา

ร่างกายนั้นเป็นอินทรี เขาเป็นมังกรเช่นเดียวกับหาง และมันคือ วิหคมังกร นั่นเอง

เขามองไปที่มันก่อนจะถาม “ตอนนี้เจ้ายังอยากจะย่างมันอีกมั้ย?”

เจียงฉือน้อยพยักหน้า แล้วก็ส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “มันดูน่ารักมากเลย งั้นอย่ากินมันดีกว่าเนอะ”

หลังจากที่พูดจบ เธอก็เดินไปหาวิหคมังกร

วิหคมังกรที่พึ่งเกิดใหม่นั้นดูไม่อันตรายเลยสักนิด ทำให้เธอลืมความกลัวที่มีไปชั่วขณะ

อีกด้านหนึ่ง โจวฉวนจีกำลังจ้องมองไปยังไข่วิหคมังกรอีกใบ

อย่างที่คาดเอาไว้ ไข่อีกใบก็เริ่มสั่นเหมือนกัน วิหคมังกรอีกตัวกำลังจะถือกำเนิด

เขาคิดถึงภาพความสุดยอดที่เขาจะสามารถยืนอยู่บนหลังวิหคมังกรได้

อย่างไรก็ตาม แล้วนายหญิง 7 ราตรีนั่นไปได้ไข่ทั้ง 2 ใบมาได้ยังไง?

โจวฉวนจีรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะนำเขาไปสู่ปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในอนาคตแน่

หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินวนรอบ ๆ วิหคมังกรน้อยทั้ง 2 ตัว

วิหคมังกรนั้นน่าทึ่งมากมาก พวกมันสามารถกินเนื้อได้ทันทีที่เกิด โดยที่โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไม่ต้องสอนเลยสักนิด และพวกมันก็เริ่มอ้าปากเขมือบศพหมี ทั้งสองเมื่อได้เห็นก็เริ่มรู้สึกขยะแขยง

หลังจากที่ลูกอินทรีทั้งสองกินจนอิ่ม จงอยปากของมันก็เต็มไปด้วยสีแดงจากเลือด และยังเลอะยาวไปทั่วตัว เจ้าพวกนกน้อยที่อยากจะกระโดดเข้าสู่อ้อมอกอ้อมใจของโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย ก็ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวจนต้องโดดหนีเจ้าพวกลูกอินทรีน้อยไปมาภายในถ้ำ

และตอนนี้ พวกเขาก็ได้มีสหายใหม่เพิ่มขึ้นมาถึง 2 ตัว

ในวันที่ 2 พวกเขาเริ่มออกเดินทางต่อทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น

เพื่อกันไม่ให้ใครเห็นวิหคมังกร โจวฉวนจีจึงนำเสื้อผ้าขาด ๆ 2 ตัวมาพันพวกมันเอาไว้

หลังจากผ่านไป 1 คืน บาดแผลของเขาก็หายไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บที่แขนบ้าง น่าจะใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะหายดี

นี่ไม่ใช่แค่ผลจากยาเท่านั้นที่ช่วย แต่ยังเป็นเพราะระบบยอดตามในตำนานที่ช่วยรักษาเขาด้วยเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นก็คงต้องใช้ถึง 1 เดือนกว่าบาดแผนของเขาจะหายดีจนสามารถขยับแขนได้

ใน 8 วันถัดมา พวกเขาไม่ได้เจอกับใครในกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำหรือจอมยุทธคนอื่น ๆ เลย

จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ราบ

ที่ราบแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสั้นที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีแม่น้ำไหลผ่านทั่วพื้นที่

พวกเขาตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ข้างแม่น้ำ

วิหคมังกรทั้ง 2 ตัวก็โตวันโตคืน พวกมันมองโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยเป็นเหมือนพ่อแม่ พวกนกน้อยจึงมักวิ่งเล่นส่งเสียงจิ๊บ ๆ อยู่รอบ ๆ พวกโจวฉวนจีทั้งวัน

โจวฉวนจีนั่งลงข้างแม่น้ำก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธต่อ

การต่อสู้กับนายหญิง 7 ราตรีมันอันตรายสุด ๆ นั่นเลยทำให้เขารู้ว่า ตนเองยังอ่อนแอเกินไป

การต่อสู้ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนช่วยในการพัฒนาวรยุทธ์ของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เขามีประสบการณ์ในการสู้จริงด้วย

เขาวางแผนว่าหลังจากที่เขาเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานได้แล้ว เขาจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในหุบเขา เพื่อสะสมประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจ

ในตอนนี้ กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็ถูกกำจัดไปแล้ว และจางเถียนเจียนก็กลับไปยังอาณาจักรเหมันต์แดนใต้แล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครจะมารบกวนพวกเขาได้อีก

และแล้วเวลาก็ไหลผ่านไป 100 วัน

โจวฉวนจีได้ก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 9 ได้สำเร็จ และมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขาอายุครบ 5 ปีพอดี

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 5 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบพยัคฆ์คำราม และรองเท้าทะยานเมฆา”

โจวฉวนจีถอนหายใจ เวลา 3 ปีมันช่างผ่านไปไวเสียจริง

เขาเริ่มตรวจสอบข้อมูลของดาบพยัคฆ์คำรามทันที

ชื่อดาบ : ดาบพยัคฆ์คำราม

ระดับ : สัมฤทธิ์

คำอธิบาย : เป็นดาบที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสือ เมื่อกวัดแกว่งดาบ มันจะส่งเสียงคำรามของเสือออกมาเพื่อข่มขู่ศัตรู!

ช่างน่าเสียดายที่ไม่ใช่ดาบระดับเงิน

อย่างไรก็ตาม ดาบระดับสัมฤทธิ์อย่างดาบคลื่นเหมันต์ก็มากพอที่จะใช้สู้กับนายหญิง 7 ราตรีได้แล้ว ดังนั้นแล้วดาบในตำนานเล่มอื่นที่มีระดับสัมฤทธิ์เหมือนกันก็คงจะไม่แย่สักเท่าไหร่

เขานำดาบพยัคฆ์คำรามออกมาทันทีเพื่อจะได้ลองใช้

ใบดาบของดาบพยัคฆ์คำรามนั้นมีลายเสืออยู่ตรงกลาง และจุดเชื่อมต่อระหว่างด้ามจับและใบดาบนั้นดูเหมือนปากของเสือ ซึ่งค่อนข้างจะโดดเด่นทีเดียว

เขาเริ่มกวัดแกว่งดาบพยัคฆ์คำรามพร้อมกับใช้วิชาดาบกระเรียนขาวอยู่แถวริมแม่น้ำ

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

โฮกกกกกก!

ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม และเขายังสามารถกวัดแกว่งดาบได้เร็วกว่าที่เคย เสียงของดาบที่ตัดผ่านอากาศผสานเข้ากับเสียงคำรามอย่างลงตัว และเมื่อรวมเข้ากับที่ราบอันแสนงดงามรอบตัวเขา มันก็กลายเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ณ สถานที่ที่ไม่ไกลนัก เจียงฉือน้อยที่กำลังนั่งลงและฝึกฝนปราณภายในอยู่ก็ลืมตาขึ้น

“หืมม? ดาบเล่มให้อีกเล่มหรอ? ดูทรงพลังมากเลย” เจียงฉือน้อยบ่นพึมพำกับตนเอง โดยมีลูกวิหคมังกรน้อยทั้งสองนอนอยู่ข้าง ๆ เธอเหมือนหมาน้อย

ลูกอินทรีทั้ง 2 เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันวัน ๆ ก็เอาแต่นอน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมตื่นเสียที

ตอนที่ 14 : เซียนแห่งวิถีกระบี่

โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยไปยังส่วนลึกของหุบเขา เธอรู้สึกหวาดกลัวขณะที่จับมือเขาไว้แน่น

ในเวลาเดียวกัน นายหญิง 7 ราตรีก็ลงถึงพื้น

นางถอนหายใจยาว ๆ พลางใช้มือขวากุมหน้าท้องเอาไว้ เลือดยังคงไหลออกมาผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และดูเหมือนว่านางจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

โจวฉวนจีหันไปมองเจียงฉือน้อย ก่อนที่เขาจะกลอกตาไปทางซ้ายและขวา

ซึ่งหมายความว่า “ข้ากำลังจะไปสู้ เจ้าไปหาที่ซ่อนซะ”

เจียงฉือน้อยขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย และถามเป็นนัย ๆ ว่าเขาแน่ใจหรือว่าจะชนะ

เขาพยักหน้าให้ก่อนจะหันกลับไปหานายหญิง 7 ราตรี

นายหญิง 7 ราตรีตั้งใจว่าจะรักษาตัวเองก่อนที่จะจับทั้ง 2 แต่เมื่อนางเห็นท่าทางของโจวฉวนจี นางก็หัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร พร้อม ๆ กับเยาะเย้ยศัตรู

“นี่เจ้าหนู เจ้าคิดว่าจะจัดการข้าได้แค่เพราะข้าบาดเจ็บอย่างงั้นน่ะหรอ?” นายหญิง 7 ราตรีกล่าว และหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แสนเย็นชา นางไม่เคยทำกับโจวฉวนจีเหมือนเด็กธรรมดาเลยสักครั้ง

เพราะเด็กธรรมดาที่ไหนจะมีวรยุทธระดับรักษาปราณขั้นที่ 8 ได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบล่ะ?

อย่างไรเสีย ไม่ว่าภูมิหลังของเขาจะเป็นปริศนาสักแค่ไหน เขาก็ต้องตายที่นี่ในวันนี้อย่างแน่นอน!

นางหยิบแส้สีดำยาวซึ่งปกคลุมไปด้วยหนามอันแหลมคมราวกับเหล็กไนของหางแมงป่องจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา

โจวฉวนจีรู้สึกกังวลอยู่ภายในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

นอกเหนือจากปีศาจระดับต่ำกับพวกสัตว์ป่าแล้ว นี่นับว่าเป็นการต่อสู้แบบจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกของเขา

ดาบคลื่นเหมันต์ปรากฎขึ้นบนมือขวาของเขา ออร่าเย็นยะเยือกหลั่งไหลออกมาตามใบดาบ และมันดึงดูดความสนใจของนายหญิง 7 ราตรีเป็นอย่างมาก

“ช่างเป็นดาบที่งดงามอะไรอย่างนี้!”

“นี่เจ้าหนู ข้าไม่เคยคิดเลย ว่าคนอย่างเจ้าจะมีวัตถุวิเศษที่ทั้งน่าหลงใหล และมีความสามารถสูงขนาดนี้ แต่อีกไม่นาน เดี๋ยวมันก็จะเป็นของข้าแล้ว” นายหญิง 7 ราตรีพูดพลางหัวเราะคิกคักอย่างน่าสยดสยอง

นางคิดว่า โจวฉวนจีต้องเป็นบุตรจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่มีทางที่จะมีพรสวรรค์มากขนาดนี้ และเป็นเจ้าของดาบแบบนั้นได้หรอก

ฆ่าแล้วชิงสมบัติมา!

นั่นเป็นสิ่งที่กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำทำมาโดยตลอด!

โจวฉวนจีเดินไปหานางและถามว่า “แล้วพรรคพวกของเจ้าหายไปไหนหมดล่ะ?”

“เดี๋ยวพวกเขาก็มาแล้ว” นายหญิง 7 ราตรีพูดพลางยิ้ม

นางยิ้มให้ขณะที่คิดอยู่ภายในใจ ไอเด็กเวรนี่ต้องการหลอกให้นางเปิดเผยความจริงงั้นหรอ?

และโจวฉวนจีก็โจมตีทันทีที่นางพูดจบ

8 ก้าวทะลวงกระบี่!

โจวฉวนจีเคลื่อนไหวในพริบไปไกลกว่า 10 เมตรในแต่ละก้าว แค่เพียง 3 ก้าวเขาก็มาถึงเบื้องหน้านายหญิง 7 ราตรีแล้ว

ด้วยดาบในมือขวาของเขา เขาเตะนางด้วยขาซ้าย และแทงไปที่นายหญิง 7 ราตรีราวกับนกกระเรียนขาวที่กำลังล่าปลา

สีหน้าของนายหญิง 7 ราตรีซีดลง ก่อนที่นางจะใช้แซ่ฟาดไปทางเขาทันที

โจวฉวนจีเคลื่อนไหวร่างกายเล็ก ๆ ของเขาด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่และหลบการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย เขาพุ่งไปยังด้านหลังของนายหญิง 7 ราตรีก่อนจะแทงดาบใส่นาง

ถึงแม้ว่านางจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธระดับบัวภายในอยู่ดี และแม้ว่านางจะตกใจในความสามารถที่แท้จริงของเขา แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเยือกเย็น

นางกระโดดหลบการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะฟาดแส้ใส่เขาทันทีจนเสียงลั่นราวกับฟ้าผ่า

การตอบสนองของโจวฉวนจียังช้ากว่านางนัก เขาโดนแส้ฟาดเข้าที่แขนขวาและเริ่มรู้สึกเจ็บจนชา หนามพิษฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขารวมถึงชิ้นเนื้อออกมาด้วย เขาแทบจะเป็นลมจากความเจ็บปวดที่เจ็บจี๊ดถึงหัวใจ

ดาบคลื่นเหมันต์หลุดออกจากมือ และตกลงสู่พื้นส่งเสียงดังแกร๊ง

โจวฉวนจีกลิ้งถอยหลังออกห่างนายหญิง 7 ราตรีทันที

นายหญิง 7 ราตรียิ้มเยาะก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าหนูน้อย จอมกระบี่เขาไม่ปล่อยดาบตัวเองออกจากมือกันหรอกนะ เอาละ ทีนี้…”

โจวฉวนจียกมือซ้ายขึ้นมาและดาบมังกรสีชาดก็ปรากฏ

รอยยิ้มของนายหญิง 7 ราตรีก็หายไปโดยพลัน

เจียงฉือน้อยที่คอยมองอยู่ห่าง ๆ ก็รู้สึกกังวลมากเมื่อเห็นว่าโจวฉวนจีบาดเจ็บ

เธอรู้สึกผิดมาก ถ้าเธอแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงจะช่วยเขาได้บ้าง

ด้วยดาบมังกรสีชาดในมือ โจวฉวนจีก็พุ่งเข้าไปอีกครั้ง

“ระดับของดาบเล่มนี้สูงกว่าดาบเล่มเมื่อกี้นี่…”

สายตาของนายหญิง 7 ราตรีจ้องมองไปยังดาบมังกรสีชาด

โจวฉวนจีใช้จิตดาบกระเรียนขาว และร่างกายของเขาก็ราวกับกลายเป็นนกกระเรียนขาว ด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ที่ช่วยพยุงในแต่ละก้าวของเขา เขาก็เริ่มโจมตีและหลบหลีกไปมา ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่มีที่สิ้นสุดไปรอบ ๆ นายหญิง 7 ราตรี

นายหญิง 7 ราตรีรู้สึกประหลาดใจสุด “ช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งซะจริง! ถ้าข้าได้เรียนรู้วิชานี้ล่ะก็…”

ภายในใจของนางลุกเป็นไฟ และนางก็ตระหนักได้ในทันทีว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นมันเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย

ข้ากำลังจะรวยแน่ ๆ แล้วคราวนี้!

นางหลบการโจมตีของเขาอีกครั้ง และหันกลับมาฟาดแส้ใส่แขนซ้ายของเขาอย่างจัง โจวฉวนจีร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเสียการควบคุมดาบมังกรสีชาดออกจากมือ

เขาถอยกลับมาทันที แขนทั้งสองข้างของเขาห้อยต่องแต่งและโชกไปด้วยเลือด ท่าทางจะทรมาณเป็นอย่างมาก

“เจ้าหนูน้อย เจ้าเผลอทิ้งดาบอีกแล้วนะ”

นายหญิง 7 ราตรีค่อย ๆ เดินส่ายสะโพกมาหาโจวฉวนจี พร้อมทั้งรอยยิ้มขี้เล่นที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้า

ด้วยมือทั้งสองข้างที่บาดเจ็บหนักแบบนั้น เจ้ายังจะใช้ดาบได้อีกรึเปล่านะ?

แค่ดาบ 2 เล่มก็มากพอแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังจะมีเล่มที่ 3 อีก?

และทันใดนั้นเอง!

ดาบชโลมโลหิตก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขาทันที และชี้ปลายดาบไปทางนายหญิง 7 ราตรี

นายหญิง 7 ราตรีหยุดลง และสายตาของนางก็จับจ้องไปที่ดาบทันที ดาบชโลมโลหิตที่เล็งไปยังนางทำให้นางเสียวสันหลังวาบ

“นี่มันดาบอะไรกัน?” นายหญิง 7 ราตรีเผลอร้องออกมา ไอเด็กเวรนี่มันมีดาบกี่เล่มกันแน่?

ฟึบ!

ดาบชโลมโลหิตพุ่งทะยานไปยังนายหญิง 7 ราตรี เสียงบินผ่านอากาศสนั่นลั่นก่อนจะพุ่งมาตรงมาข้างหน้านางทันที

นางจะเอียงหัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่แก้มของนางก็ยังโดนบาดจนเลือดไหลออกมาอยู่ดี

นางตกใจมาก ดาบนี่มันเร็วสุด ๆ!

ข้าจะช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!

จิตสังหารของนางปะทุขึ้นมาทันที นางกำแส้สีดำในมือไว้แน่น และตัดสินใจว่าจะไม่เล่นกับเขาอีกต่อไป

ฟึบ! ฟึบ!

เสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้นถึง 2 ครั้ง ก่อนที่คอและอกของนางจะถูกแทงจนทะลุ

นางสิ้นชีพลงในทันที

ตอนที่นางตายก็ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าที่น่าขนลุก

ดาบมังกรสีชาดและดาบคลื่นเหมันต์บินกลับมาหาเขา และลอยอยู่เหนือหัว

โจวฉวนจีหายใจหอบ เขาตั้งใจทิ้งดาบลงเพื่อหาช่องว่างที่จะฆ่านางอย่างในตอนนี้ยังไงล่ะ!

ผลจากการที่ดาบชโลมโลหิตทำให้นายหญิง 7 ราตรีตกใจ จึงทำให้เขาหาช่องโหว่ในการใช้ดาบมังกรสีชาดและดาบคลื่นเหมันต์โจมตีไปที่นางได้อย่างเด็ดขาด และการสวนกลับอย่างฉับพลันของเขาก็สำเร็จ !

โชคดีที่นายหญิง 7 ราตรีบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่าทันที

ในกรณีที่นายหญิง 7 ราตรียังไม่ตายจริง ๆ โจวฉวนจีก็จะใช้ดาบชโลมโลหิตแทงนางซ้ำอีกครั้ง และหลังจากที่เขาแน่ใจว่านางตายแล้วก็เดินจากไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดาบชโลมโลหิตได้ดูดซับเลือดของนายหญิง 7 ราตรี อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นขึ้นมาเล็กน้อย

สุดยอดไปเลย!

เขารีบเอาแหวนเก็บของและถุงเก็บของของนายหญิง 7 ราตรีมา จากนั้นเขาก็เก็บดาบในตำนานก่อนจะเดินไปหาเจียงฉือน้อย

เจียงฉือน้อยรีบวิ่งไปหาและช่วยพยุงเขาทันที

“ให้ข้ารักษาบาดแผลเจ้าก่อนนะ อย่าพึ่งขยับตัวมากเลย”

เจียงฉือน้อยร้องออกมาด้วยความกังวล เธอโทษตัวเองเมื่อเห็นสภาพที่น่าสงสารของโจวฉวนจี

ถ้ามันไม่ใช่เพราะหนี้ของคุณยายเธอ เขาก็คงจะไม่ต้องออกมาเร่ร่อนกับเธอแบบนี้แน่

โจวฉวนจีส่ายหัวก่อนจะพูดขึ้น “ก่อนอื่นเราต้องรีบออกจากที่นี่ก่อน เผื่อพรรคพวกของนางจะไล่ตามทัน”

เจียงฉือน้อยไม่เถียงและยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

1 ชั่วโมงต่อ

เงาหนึ่งกำลังยืนอยู่บนดาบบินเข้ามาในหุบเขา คน ๆ นั้นคือ จางเถียนเจียน แม่ทัพแห่งอาณาจักรเหมันต์แดนใต้นั่นเอง

บนตัวของจางเถียนเจียนมีคราบเลือดที่เกิดจากการต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นร่างไร้วิญญาณของนายหญิง 7 ราตรี เขาก็ขมวดคิ้ว

เขาร่อนลงข้างนายหญิง 7 ราตรีก่อนจะพบว่ากระเป๋าเก็บของนั้นได้หายไป และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“ไข่ของวิหคมังกรทั้ง 2 ใบหายไปแล้ว”

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำถูกกำจัดจนหมดสิ้นด้วยน้ำมือของเขาเพียงคนเดียว แต่ก่อนหน้านั้นนายหญิง 7 ราตรีก็ขโมยไข่ของวิหคมังกรมาจากพรรคพวกก่อนจะหนีออกมา

แล้วใครจะไปคิดว่าพอนางคนนี้หนีออกมาได้แล้วจะถูกคนอื่นฆ่าต่อน่ะ?

จางเถียนเจียนเริ่มสำรวจบาดแผลของนายหญิง 7 ราตรี และสีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“บาดแผลที่คอและอกของนางมันประณีตมาก แล้วยังมีบาดแผลรอยดาบบนร่างกายของนางอีก… คู่ต่อสู้ของนางต้องเป็นเซียนแห่งวิถีกระบี่แน่นอน!”

“ไม่มีร่องรอยการใช้ปราณกระบี่หลงเหลือเลย เป็นไปได้มั้ยว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้จิตแห่งดาบน่ะ?็น”

“การสังหารจอมยุทธระดับบัวภายในโดยไม่ใช่ปราณกระบี่เลยเนี่ยนะ ต่อให้นางจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังเป็นถึงจอมยุทธระดับบัวภายในเลยนะ… บางทีระดับความเชี่ยวชาญในวิถีแห่งดาบของเขาอาจจะมากกว่าข้าอีกก็ได้ …” จางเถียนเจียนบ่นพึมพำกับตนเองก่อนจะทำสีหน้าบูดบึ้ง

หากเป็นเซียนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นเอาไข่วิหคมังกรไป แล้วเขาจะไปชิงกลับมาได้อย่างไร?

ยังไงซะเขาก็บาดเจ็บสาหัสอยู่เช่นกัน

ตอนที่ 13 : นายหญิง 7 ราตรี         

จางเถียนเจียน แม่ทัพแห่งอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ วรยุทธของเขาอยู่ระดับบัวภายในขั้นที่ 5 มีความเชี่ยวชาญในวิถีแห่งกระบี่ระดับสูง และมีทหารภายใต้อำนาจอยู่กว่า 3 แสนนาย

จางเถียนเจียนแต่งกายด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน มีผ้าไหมสีขาวคาดหน้าผาก และปล่อยสยายผมยาวสีดำไว้ ท่าทางการยืนของเขาช่างสง่างามพร้อมด้วยใบหน้าอันแสนเย็นชาและหยิ่งยโส เขายืนกอดอกไว้ในขณะที่มือซ้ายจับฝักดาบ

เมื่อเขาเหลือบไปมองกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำแล้วก็ถอนหายใจอย่างรำคาญเบา ๆ

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำเป็นพวกชั่วร้ายที่อาณาจักรยิ่งใหญ่มากมายพยายามที่จะกำจัด แต่น่าเสียดายที่คราวนี้จางเถียนเจียนมาเพื่อชิงวิหคมังกรเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไล่ตามล่าพวกมันไปแล้ว

เมื่อนึกถึงวิหคมังกร เขาก็เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มใจทันที

หากวิหคมังกรถูกฝึกให้เชื่องได้ อาณาจักรเหมันต์แดนใต้ก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ถ้าเอาปีศาจแบบนี้เข้าสู่สนามรบด้วยล่ะก็ มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแน่นอน

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็สังเกตเห็นจางเถียนเจียนเช่นกัน

พวกมันเริ่มหัวเราะเยาะก่อนจะตั้งใจพูดเสียงดังเพื่อเยาะเย้ยจางเถียนเจียน

“ใครจะไปคิดว่าท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิจะมาแข่งกับพวกเราแบบนี้เนี่ย”

“ชู่! อย่าพูดดังสิ เจ้านั่นมันจางเถียนเจียน จอมยุทธผู้ทรงพลังในวิถีแห่งกระบี่เชียวนะ ถึงเเม้ว่าเขาจะโดนจักรพรรดิกระบี่ปฎิเสธรับเป็นศิษย์ก็เถอะ เเต่เจ้านั่นก็ยังเก่งอยู่ดีแหละ”

“ฮ่า ๆ มันคงคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในวิถีแห่งกระบี่มากสินะ แต่สุดท้าย เจ้านั่นก็โดนจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวดูถูกซะเละเลยหนิ ว่ามันน่ะ ไม่มีพรสวรรค์ในวิถีแห่งกระบี่เลยสักนิด”

“นี่เจ้าอยากตายรึไง? เจ้านั่นก็สู้คนได้นเ แต่ไม่ใช่สู้ซึ่ง ๆ หน้าอยู่ดี ฮ่า ๆ!”

“ข้าชักไม่แน่ใจซะแล้วว่าเนื้อของจอมยุทธกระบี่เนี่ยมันจะอร่อยรึเปล่านะ”

จางเถียนเจียนรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น และเขาทำท่าเหมือนกำลังจะชักดาบออกมา

สิ่งที่น่าอับอายมากที่สุดในชีวิตคือการที่เขาถูกจักรพรรดิกระบี่ปฎิเสธ

เมื่อ 15 ปีก่อน เขาได้บรรลุจิตแห่งดาบ และเคยกวาดล้างประเทศศัตรูจนได้รับชัยชนะมาแล้วมากมาย ชื่อเสียงของเขาดังกระฉ่อนไปทั่วทวีป ซึ่งนั่นทำให้เขามั่นใจในความสามารถของตนมาก จึงได้ไปขอเป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว

แต่ช่างน่าเสียดายที่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวปฎิเสธเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย เเล้วกล่าวว่าเขาไม่มีพรสวรรค์มากพอที่จะก้าวเดินในวิถีเเห่งดาบ เเละยังบอกอีกว่าเขาหวังสูงมากเกินไป

หลังจากนั้นเขาก็กลับอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ไปพร้อมกับความอับอาย ก่อนจะกลายมาเป็นแม่ทัพในที่สุด

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เขากลายเป็นตัวตลกสำหรับหลาย ๆ คน ถึงแม้จะผ่านมานานกว่า 15 ปี ก็ยังมีคนพูดถึงบ้างในบางครั้ง

จางเถียนเจียนไม่กล้าเกลียดจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจว เพราะจักรพรรดิกระบี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่านัก

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กลัวกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำเลยสักนิด

กลับกัน ในสายตาของเขา 17 อสูรวายุทองคำก็เป็นได้แค่กลุ่มคนที่ตายไปแล้ว

ในขณะที่พวกเขาเห็นว่าจางเถียนเจียนใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็เริ่มเปลี่ยนเรื่อง

อย่างที่เห็น พวกเขาก็ยังคงกลัวจางเถียนเจียนอยู่ดี และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมาใช้ความขัดแย้งระหว่างพวกเขานี้ให้เกิดประโยชน์ในการล่าวิหคมังกร

และแล้วเวลาก็ผ่านไป

เสียงคำรามของวิหคมังกรเริ่มอ่อนแรงลง แม้แต่ออร่าปีศาจที่ห่อหุ้มป่าเอาไว้ก็เริ่มอ่อนแอลงเช่นกัน

ในที่สุด ใครบางคนก็ไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป

ชายคนนั้นว่องไวราวกับนกนางแอ่น เขาพุ่งตัวขึ้นมาเหนือป่า และเหยียบหน้าผาขึ้นไปราวกับมันเป็นเพียงพื้นราบเรียบ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปยังยอดเขา

คนอื่น ๆ ที่เห็นแบบนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหวทันที เช่นเดียวกับจางเถียนเจียนและกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำ พวกเขาทั้งหมดรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน

ในการแข่งขันแย่งชิงวิหคมังกรนี้ กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำได้ยกพวกไปทั้งหมด จึงทำให้ไม่เหลือใครสักคนเฝ้าโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไว้เลย

ภายในป่า

โจวฉวนจีมองขึ้นไปผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ เขาเห็นเหล่าจอมยุทธวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาคนแล้วคนเล่า บ้างก็ขี่ดาบลอยขึ้นไป บ้างก็วิ่งขึ้นผาไป แต่ละคนค่อย ๆ แสดงความสามารถที่แท้จริงของตนออกมา มันช่างเป็นฉากที่อลังการยิ่งนักเมื่อได้เห็น

“เจ้าพวก 17 อสูรวายุทองคำขึ้นไปหมดรึยัง?” เขาถามในใจ

ความสามารถของจิตวิญญาณแห่งดาบไม่ได้จำกัดอยู่แค่การอธิบายวิธีใช้ระบบยอดดาบในตำนานเท่านั้น แต่มันยังช่วยเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรอบให้เขา และยังคอยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางอารมณ์ของคนอื่น ๆ ให้ด้วยเช่นกัน

“ไม่พบร่องรอยของพวกเขาในรัศมี 500 เมตร” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบอย่างรวดเร็ว โจวฉวนจีจึงหยิบดาบมังกรสีชาดออกมาทันที

ดาบในตำนานของระบบยอดดาบในตำนานสามารถใช้งานได้ดั่งใจนึก มันช่างสมบูรณ์แบบในสถานการณ์แบบนี้ซะจริง

เขาสั่งให้ดาบมังกรสีชาดตัดเชือกสีแดงที่มัดเขาไว้ราวกับตัดเส้นผม

เจียงฉือน้อยถอนหายใจอย่างโล่งอกและตบหน้าอกของเธอ เธอพยายามใจเย็นลง และบ่นพึมพำ “เรารีบวิ่งกันเถอะ”

โจวฉวนจีพยักหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นดาบมังกรสีชาด จากนั้นเขาก็เอื้อมมือดึงเจียงฉือน้อยขึ้นมา

เขาควบคุมดาบและเตรียมบิน!

ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้วิชาดาบบิน แต่การบินด้วยดาบในตำนานนั้น เขาสามารถสั่งผ่านจิตใจได้อย่างง่ายดาย

2 ปีก่อน เขาไม่เพียงแต่ฝึกวรยุทธ์ด้วยปราณภายในเท่านั้น

เขายังฝึกการย้ายพลังวิญญาณไปยังพื้นรองเท้าเขา เพื่อใช้เป็นสื่อกลางยึดตัวเขาไว้กับดาบมังกรสีชาด และยังใช้ยึดตัวเจียงฉือน้อยไว้ได้ด้วยเช่นกัน และเขาก็เริ่มบินร่อนผ่านป่าไป

แต่ดาบมังกรสีชาดไม่ได้บินด้วยความเร็วสูงนัก แค่จอมยุทธระดับสร้างรากฐานธรรมดา ๆ ก็สามารถไล่จับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นับประสาอะไรกับจอมยุทธทรงพลังระดับบัวภายใน

“อ๊าาา—”

แต่ก่อนที่โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยจะได้ออกจากป่า ก็มีเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชดังลอยมาจากท้องฟ้าเหนือป่า

และลมพายุรุนแรงก็พัดตามมา ต้นไม้เอนซ้ายขวาด้วยแรงลม และฝุ่นมากมายก็พัดวนขึ้นไปบนท้องฟ้า

โจวฉวนจีรีบบินขึ้นทันทีด้วยดาบมังกรสีชาด เพราะเขาไม่อยากโดนต้นไม้ทับตายเสียก่อน

ใบไม้กลายเป็นเหมือนใบมีดที่บาดไปทั่วร่างของโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย

ยังดีที่โจวฉวนจีมีวิชากายทองคำ ทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เจียงฉือน้อยจะสามารถรับได้ กว่าพวกเขาจะออกจากป่าได้ ทั่วทั้งตัวของเจียงฉือน้อยก็เต็มไปด้วยบาดแผล แม้แต่ใบหน้าของเธอก็มีรอยแผลถูกเฉือนเล็ก ๆ น้อย ๆ จนเกือบเสียโฉม

แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้โจวฉวนจียังไม่สามารถจะปลอบเธอได้ เขารีบขี่ดาบต่อเพื่อหนีทันที

และเมื่อเขาหันกลับไปมอง เขาก็เห็นอินทรีย์ขนาดมหึมากางปีกกว้างลอยอยู่ภายใต้หมู่เมฆ

นั่นมันวิหคมังกร!

ขนทั่วร่างของมันมีสีน้ำตาล และมีปีกที่กว้างกว่า 35 หลา บนหัวของอินทรีย์มีเขาคู่ของมังกร เช่นเดียวกับหางของมังกร และเกล็ดมังกรสีนิลของมันเปล่งประกายแวววาวอยู่เหนือท้องฟ้า

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำนั่งอยู่บนภูเขาและร่ายคาถาใส่วิหคมังกร

จางเถียนเจียนและจอมยุทธคนอื่น ๆ ก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน พวกเขาพยายามโจมตีวิหคมังกรจากทั่วทิศทาง

เมื่อวิหคมังกรต้องเผชิญกับการโจมตีจากทุกทิศทางเช่นนี้ ทำให้มันบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว และเลือดของมันกระจายไปทั่วฟากฟ้า

โจวฉวนจีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้หลังจากนั้น เขาพยายามแต่จะบินหนีไปจากที่นี่ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ลมที่หนาวเหน็บเข้ากระดูกดำซัดกระแทกพวกเขา เจียงฉือน้อยจึงกอดเขาไว้แน่น แม้ว่าเธอจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง แต่ก็ไม่ได้ร้องครวญครางแต่อย่างใด

โจวฉวนจีเริ่มบินช้าลงหลังจากที่พวกเขาบินข้ามยอดเขา และคิดว่าหนีมาได้ไกลพอสมควรจากวิหคมังกรแล้ว

เขาหันกลับไปมองเจียงฉือน้อย และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ช่วยอดทนอีกหน่อยนะ ข้าจะรักษาเจ้าทันทีที่หาที่ปลอดภัยได้”

เจียงฉือน้อยพยักหน้าและยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไรหรอก”

โจวฉวนจีถอนหายใจและไม่พูดอะไร ก่อนจะบินหนีต่อไป

พวกเขาบินท่ามกลางความเงียบงันกว่า 4 ชั่วโมง

ก่อนที่ดาบมังกรสีชาดจะร่อนลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขา มีต้นไม้และพืชพันธุ์มากมายที่ด้านล่างหุบเขา ซึ่งง่ายมากต่อการซ่อนตัว

หลังจากที่พวกเขาร่อนลง โจวฉวนจีก็เก็บดาบมังกรสีชาดเข้าสุดยอดช่องเก็บของ จากนั้นเขาก็หยิบยาออกมาเพื่อใช้รักษาแผลให้กับเจียงฉือน้อย

ยาพวกนี้ได้มากจากสำนักอสูรโลกันต์ของเยี่ยเฟยฟาน ซึ่งโจวฉวนจีได้ถามกั๋วไก่หลี่เกี่ยวกับชื่อยาและสรรพคุณของยาพวกนี้แล้ว เพราะเขาไม่อยากจะเผลอกินยาพิษเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในขณะที่เขาใช้ยา ใบหน้าของเจียงฉือน้อยก็กระตุกอย่างต่อเนื่องและอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างผิดปกติ ซึ่งมันก็ทำให้เขากลัวและกังวลเมื่อคิดว่าต้องใช้ยาพวกนี้กับตัวเองด้วย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง บาดแผลของเจียงฉือน้อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง และหลังจากที่เช็ดสะเก็ดเลือดออก ผิวอันบอบบางของเธอก็กลับมาดังเดิมอีกครั้ง เหลือไว้เพียงรอยแผลแดง ๆ เล็ก ๆ ทิ้งไว้เท่านั้น

“เป็นยาที่สุดยอดไปเลยนะเนี่ย!” โจวฉวนจีพูดขึ้นอย่างประทับใจ

“เดี๋ยวเจ้ายาที่สุดยอดนั่นก็เป็นของข้าแล้ว”

เสียงของนายหญิง 7 ราตรีดังขึ้นมาเหนือหัวพวกเขา โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยสะดุ้งด้วยความตกใจ

พวกเขาเงยหน้าขึ้นไปและเห็นนายหญิง 7 ราตรียืนอยู่บนกำแพงภูเขาใกล้กับก้นหุบเขาประมาณ 30 เมตร ร่างของนางอาบไปด้วยเลือด เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง

ใบหน้าของโจวฉวนจีเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง เขาประมาทความเร็วในการบินของจอมยุทธระดับบัวภายในมากเกินไป

แต่จะว่าไป สัตว์ขี่ของนายหญิง 7 ราตรีอยู่ที่ไหน

แล้วทำไมอสูรอีก 16 คนถึงไม่อยู่แถวนี้? พวกมันตายไปแล้วหรอ?

นายหญิง 7 ราตรีค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาตามกำแพงภูเขา การหายใจของนางไม่ค่อยสเถียรนัก และดูท่าทางนางจะบินบนอากาศไม่ไหวด้วยซ้ำ เมื่อเห็นแบบนั้น ดวงตาของโจวฉวนจีก็เริ่มเปล่งประกาย

นังตัวร้ายนี้มันบาดเจ็บสาหัสอยู่เหรอ ?

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง

ถึงเวลาเอาคืนแล้ว!

โจวฉวนจีหรี่ตาลงและความตั้งใจที่จะฆ่าก็ท่วมท้นจิตใจของเขา

ตอนที่ 12 : วิหคมังกร

            โจวฉวนหลง องค์ชายลำดับที่ 2 แห่งมหาจักรวรรดิโจว เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก และเริ่มฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุ 6 ปี ก้าวขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานตอนอายุ 9 ปี และบรรลุระดับบัวภายในตอนอายุ 20 ปี

            และก่อนที่เขาจะอายุครบ 50 ปี เขาก็กลายเป็นอันดับหนึ่งในตารางจัดอันดับยอดฝีมือ แต่พออายุของเขาเกินเกณฑ์ในการจัดอันดับ ชื่อของเขาก็ได้หายไปจากตารางจัดอันดับยอดฝีมือ

            โจวฉวนจีเปล่งเสียงทางจมูกอย่างไม่พอใจ สักวันหนึ่ง เขาจะต้องเหนือกว่าโจวฉวนหลงให้ได้!

            เขาไม่เคยเจอพี่ชายของเขามาก่อน แต่ต้องเป็นเพราะการปรากฎตัวของโจวฉวนหลงแน่ ที่ทำให้ราชินีเริ่มทำตัวหยิ่งผยองมากขึ้น

            ราชินีพูดถึงโจวฉวนหลงบ่อยมากขนาดที่ 10 ประโยคจะพูดครั้ง เพื่ออวดให้คนอื่น ๆ รู้ว่าลูกของเธอน่ะ สวรรค์เป็นคนส่งมา

            “โหห? ไอเด็กเวรคนนี้มันกำลังฟังอย่างตั้งใจใหญ่เลยว่ะ นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกข้าพูดเรื่องอะไรกัน? อยากได้นมสักหน่อยมั้ยล่ะ หื้มมม?”

            ชายอ้วนที่เปลือยท่อนบนชี้มาทางเขาก่อนจะหัวเราะ ใบหน้าของเขาทั้งมันวาวและมีรูปร่างเหมือนภูเขาก้อนเนื้อ เนื้อหลายร้อยกรัมบนหน้าอกเขาก็สั่นกระเพื่อมไปด้วยขณะที่เขาพูด

ขอบปากของโจวฉวนจีกระตุกเล็กน้อย เขาแทบอยากจะฆ่าเจ้านั่นทิ้งเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

ไอ้หมูอ้วนนี่มันคงอยากโดนตบมากมั้ง!

เจียงฉือน้อยยืนขึ้นต่อหน้าโจวฉวนจีและกอดเขาไว้ราวกับแม่ไก่ที่พยายามปกป้องลูก

นายหญิง 7 ราตรีเปล่งเสียงทางจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้าพยัคฆ์ร้าย เด็กนั่นเป็นของข้า อย่าแม้แต่จะคิดเอาเขาไปเด็ดขาด”

พยัคฆ์ร้ายงั้นเหรอ?

ไอ้หมอนั้นมันตือโป๊ยก่ายชัดๆ! (หมายเหตุ : เป็นตัวละครที่อ้วนมาก มีหัวเป็นหมู และตัวเป็นคน จากเรื่องไซอิ๋ว ชื่อไม่เหมาะกับตัวอย่างแรง)

โจวฉวนจีกลอกตามองไปรอบ ๆ และเริ่มคิดหาทางหนีจากกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำ

ก่อนอื่น เขาต้องลดการป้องกันของกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำลงเสียก่อน

ด้วยภายนอกที่เป็นเด็ก 4 ขวบ ก็น่าจะหลอกได้ง่ายอยู่

แถมเขายังไม่เคยแสดงพลังออกมาเลยสักนิด

และแน่นอน โจวฉวนจีอยู่แล้วรู้ว่าเจียงฉือน้อยไม่มีทางที่จะเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขาให้กับพวกมันอย่างแน่นอน เพราะถ้าเธอบอก มีหวังจะถูกจับมัดทั้งคู่แน่

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำยังคงพูดคุยกันต่อ

โจวฉวนจีดึงเจียงฉือน้อยมาข้าง ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างก้อนหินขนาดใหญ่

เจียงฉือน้อยเบิกตากว้างมองเขา และถามเป็นนัย ๆ ผ่านสายตานั้นว่า พวกเขาควรจะทำยังไงดี

โจวฉวนจีเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับสถานการณ์อันตรายแบบนี้ เพราะเขาเองก็เคยเกือบตายมาแล้วครั้งนึง

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โจวฉวนจีได้ฝึกจำลองสถานการณ์อันตรายกับเจียงฉือน้อยทุกคืน นั่นจึงทำให้ทั้งสองค่อนข้างที่จะรู้ใจกัน และมีสัญญาณลับไว้เผื่อสื่อสารกันอยู่จำนวนมาก

โจวฉวนจีกลอกตาและทำตาขวาง

ใช่แล้ว นี่คือสัญญาณลับที่เรียกว่า ทำตาขวาง ยังไงล่ะ

ซึ่งมันหมายความว่า ใจเย็น ๆ คอยสังเกตการณ์ และรอโอกาสก่อน

เจียงฉือน้อยกระพริบตา ซึ่งหมายความว่า ได้

นายหญิง 7 ราตรีสังเกตเห็นพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขา แม้ว่านางจะไม่ได้หันไปมองพวกเขาเลยก็ตาม และนางก็แอบครุ่นคิด

“เจ้าเด็ก 2 คนนี้มันมีพลังวิญญาณอยู่ข้างในตัว แถมพวกมันก็ไม่ได้เดินทางอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีก เพราะงั้นก็เป็นไปได้ที่ภูมิหลังของพวกมันจะไม่ธรรมดาเหมือนกัน” นายหญิง 7 ราตรีคิดอยู่ภายในหัว และถูกต้อง ยิ่งมีวุฒิภาวะมากเท่าไร ความฉลาดก็จะมากขึ้นเท่านั้น

แต่ถึงแม้เขาจะมีชีวิตมาแล้ว 2 ครั้ง เขาก็ยังเด็กกว่านายหญิง 7 ราตรีอยู่ดี ต่อให้จะนำเลขอายุของทั้ง 2 ชีวิตมารวมกันก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า เขาเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่านายหญิง 7 ราตรีกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่

ไม่ใช่แค่นายหญิง 7 ราตรี แต่อสูรทั้ง 16 ตัวเองก็สงสัยภูมิหลังของโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยเหมือนกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมทั้ง 2 คนถึงยังมีชีวิตรอดอยู่

พวกเขาไม่ได้คอยเฝ้ามองโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยอยู่ใกล้ ๆ เพราะมั่นใจในความต่างของพลังที่มี

ในขณะที่พวกเขายังคงพูดคุยกันต่อ ในที่สุดโจวฉวนจีก็รู้เป้าหมายการเดินทางของพวกมัน

วิหคมังกร!

มันคือปีศาจอินทรีชนิดหนึ่งที่มีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงไหลเวียนอยู่ มันทั้งทรงพลังและยังบรรลุถึงระดับบงกชอสูร ซึ่งเทียบเท่ากับระดับบัวภายในของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีระดับเทียบเท่า แต่ปีศาจก็ยังทรงพลังกว่าอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับวิหคมังกรที่มีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงอยู่ล่ะ

วิหคมังกรเป็นสัตว์ลึกลับและหายากมาก ๆ ทั้งร่างกายตั้งแต่หัวจรดเข้าของมัน นับเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล

และเมื่อไม่นานมานี้ วิหคมังกรก็ปรากฎตัวขึ้นแถวชายแดนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ และสร้างความปั่นป่วนเป็นอย่างมาก คนมากมายต้องการที่จะครอบครองมัน และกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็คือ 1 ใน นั้น

โจวฉวนจีคิดกับตัวเอง “ดูท่าว่าถ้าเราจะหนีกันจริง ๆ ก็คงต้องรอจนกว่าพวกมันจะไปไล่ล่าวิหคมังกรก่อน”

แต่เขาก็กังวลว่าก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น เขาจะโดนต้มเป็นซุปซะก่อน

แค่คิดมันก็ทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัว

หลังจากคุยกันอยู่ 2 ชั่วโมง กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น บ้างก็ไปนอน บ้างก็เริ่มฝึก และนั่นทำให้บริเวณหน้าผานั้นตกอยู่ในความเงียบงัน

โจวฉวนจีแกล้งหลับอยู่ในอ้อมแขนเจียงฉือน้อย และเขาก็รู้สึกได้เลยว่าเจียงฉือน้อยดูจะกังวลเอามาก ๆ จากการที่เธอตัวแข็งและสั่นเทา

สำหรับเธอแล้ว 17 อสูรวายุทองคำนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าพวกปีศาจซะอีก

ก่อนหน้านี้ 17 อสูรวายุทองคำพูดถึงวิธีทรมาณคนของพวกเขา นั่นทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเธอซีดลงด้วยความหวาดกลัว

โจวฉวนจีไม่ได้ปลอบเธอแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ต้องการแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่มากเกินไปให้คนอื่นเห็น

และตลอดทั้งคืน ก็ไม่มีการพูดคุยใด ๆ กันเลย

จนกระทั่งรุ่งสาง ในยามที่แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องลอยขึ้นมาเหนือเส้นขอบฟ้า กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำก็เริ่มออกเดินทาง

นายหญิง 7 ราตรีอุ้มโจวฉวนจีไว้ราวกับอุ้มลูกเจี๊ยบ นางโยนเขาขึ้นม้าก่อนจะโยนเจียงฉือน้อยขึ้นตาม

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำดูจะไม่สามัคคีกันเท่าที่ควร และนายหญิง 7 ราตรีก็ดูค่อนข้างจะกังวลว่าพรรคพวกของนางจะแอบขโมยเด็กทั้งสองไป

นางนั่งอยู่ข้างหลังเจียงฉือน้อย ในขณะที่โจวฉวนจีนั่งอยู่ข้างหน้าเจียงฉือน้อยอีกที

เจียงฉือน้อยโอบแขนข้างหนึ่งรอบเอวโจวฉวนจี ในขณะที่อีกข้างจับต้นขาของนายหญิง 7 ราตรีเอาไว้ เพราะเธอกลัวว่าโจวฉวนจีจะตกจากหลังม้าได้

โจวฉวนจีสังเกตเห็นทิศทางที่กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำกำลังมุ่งหน้าไป และช่างน่าตกใจ ที่มันคือเนินเขาจักรพรรดิกระบี่ หรือที่ ๆ พวกเขาเคยอาศัยอยู่นั่นเอง

เป็นไปได้มั้ยว่าเสียงคำรามที่น่าหวาดกลัวจนทำให้พวกเขาต้องวิ่งหนีมา คือ เสียงของวิหคมังกรน่ะ?

เขาเริ่มรู้สึกสับสน

หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่มานาน สุดท้ายพวกเขาก็วนกลับมาที่เดิมน่ะหรอ?

เมื่อใกล้เที่ยง พวกเขาก็มาถึงรังของวิหคมังกรในที่สุด

เบื้องหน้าของพวกเขาคือภูเขาที่สูงเสียดฟ้า และที่ตีนภูเขานั้นเป็นผืนป่าที่กว้างใหญ่ราวกับไร้พรมแดน มีจอมยุทธจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ภายในป่า บางคนฝึกอยู่ใต้ต้นไม้ ในขณะที่บางคนยืนอยู่บนกิ่งไม้และมองไปยังภูเขา

แค่โจวฉวนจีคนเดียวก็นับได้มากกว่า 10 คนที่อยู่แถวนั้น พวกเขาทั้งหมดถูกดึงดูดโดยวิหคมังกร

กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำเริ่มเข้ามาในป่า

นายหญิง 7 ราตรีอุ้มโจวฉวนจีไว้ที่มือซ้าย และอุ้มเจียงฉือน้อยไว้ที่มือขวา ก่อนจะนำพวกเขาไปยังข้างหน้าต้นไม้ใหญ่

นางหยิบเชือกสีแดงที่หนาเท่ากับแขนเด็กทารกออกมา ก่อนจะมัดโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยไว้กับต้นไม้

หลังจากที่พวกเขาถูกมัดด้วยเชือกนั่น ก็รู้สึกได้เลยว่าเขาไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณของเขาได้เลย!

นี่มันวัตถุวิเศษหนิ!

โจวฉวนจีมองไปยังนายหญิง 7 ราตรีด้วยสายตาน่าสงสาร และหวังว่านางจะสงสารกันบ้าง

“พี่สาว ข้าเจ็บเหลือเกิน ช่วยคลายมันให้ข้าสักนิดได้มั้ย?” เขาถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยิน ก็ทำท่าจะร้องไห้เช่นกัน

นายหญิง 7 ราตรีหยิกแก้มเขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดพลางหัวเราะหยอกเย้าใส่ “แหม เจ้าหนูน้อย อย่าร้องไห้สิจ๊ะ เดี๋ยวก็เจ็บกว่าเดิมหรอก”

และเชือกสีแดงก็เริ่มรัดแน่นขึ้นและแน่นยิ่งขึ้น

โจวฉวนจีคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

นายหญิง 7 ราตรีสำรวจรอบ ๆ ก่อนจะเลี้ยวกลับไปทางซ้ายยังที่ ๆ กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำพักอยู่

พวกเขากระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือป่าก่อนจะจ้องมองไปยังยอดเขา

“โฮกกกกกก —”

เสียงคำรามของวิหคมังกรดังมาจากเหนือเมฆ เสียงสนั่นลั่นราวกับเสียงคำรามของมังกร

โจวฉวนจีเมื่อได้ยินก็แน่ใจทันที ว่านั่นเป็นเสียงเดียวกับเสียงที่ทำให้พวกเขากลัว เสียงของวิหคมังกร

เจียงฉือน้อยแตะฝ่ามือของโจวฉวนจีด้วยนิ้วหัวแม่มือ และถามทางสายตาว่า จะทำยังไงต่อดี

ถึงแม้เธอจะกลัวมาก แต่ก็ยังสงบสติอารมณ์เอาไว้ จะได้ไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขา

โจวฉวนจีส่งสัญญาณตาขวางอีกครั้ง

ใจเย็น และดูสถานการณ์ไปก่อน!

ด้วยความคมของดาบมังกรสีชาด การตัดเชือกสีแดงนี่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากนัก

แต่ตอนนี้พวกเขาต้องรอจนกว่ากลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำจะเริ่มสู้กับวิหคมังกรก่อน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะขัดขวางการหลบหนีของพวกเขาได้

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า

เสียงคำรามของวิหคมังกรเริ่มดังถี่ขึ้น และจำนวนจอมยุทธที่อยู่เหนือป่าก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 30 คนแล้ว

เหล่าจอมยุทธจับกลุ่ม 2-3 คนพูดคุยกัน

“มันกำลังจะวางไข่หรอ?”

“มังกรที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เส้นเอ็นและเนื้อของมันต้องมีสรรพคุณมากแน่ ๆ!”

“ระวังหน่อย ไอพวก 17 อสูรวายุทองคำมันก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

“ไอกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ที่น่ากลัวที่สุดมันคือไอหมอนั่นต่างหาก เจ้าจางเถียนเจียนน่ะ”

ตอนที่ 11 : ใส่ความคนอื่น

“เอาล่ะ” โจวฉวนจีบ่นพึมพำ

เสียงคำรามนั่นช่างน่ากลัวยิ่งนัก สำหรับเด็กทั้งสอง มันคงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติและพยายามอยู่ห่างมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

พวกเขาเลิกคิดเรื่องที่ว่ากั๋วไป่หลี่จะกลับมาหาและช่วยพวกเขา

ต่อให้กั๋วไป่หลี่จะเป็นจอมยุทธระดับบัวภายในก็ตาม

ทั้งสองเริ่มเก็บอาหารและเสื้อผ้าที่มีทันที

หลังจากที่เก็บเสร็จ โจวฉวนจีก็เก็บกระท่อมไม้ลงในสุดยอดช่องเก็บ แต่กระท่อมไม้ของกั๋วไป่หลี่มันดูน่าเกลียดเกินไป เขาเลยทิ้งมันไว้ทั้งอย่างนั้น

และเพราะทั้งสองกลายเป็นจอมยุทธแล้ว จึงทำให้สามารถเดินทางได้เร็วกว่าที่เคย อีกทั้งยังมีพลังล้นเหลือและแข็งแกร่งมากกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปเช่นกัน

พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง

ทั้งสองเดินทางต่อเนื่องกัน 9 วัน 9 คืน ไม่มีหยุด ด้วยความกลัวว่าปีศาจนั่นจะตามมา มันคงจะดีกว่าถ้าจะออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในที่สุด พวกเขาก็กำลังเดินทางผ่านป่า

รอบข้างนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน แต่ก็ไม่ได้หนาทึบนัก และระหว่างต้นไม้ก็มีพุ่มไม้อยู่มาก เด็กทั้งสองพยายามเดินลัดเลาะผ่านพุ่มไม้เหล่านั้นเพื่อที่ใช้ซ่อนตัวได้ตลอดเวลา

ฟู่วววววววว —

เสียงบินผ่านอากาศดังขึ้นมาจากฟากฟ้าไกลข้างหน้าพวกเขา โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยย่อตัวลงทันทีด้วยความกลัวและคอยหลบอยู่หลังพุ่มไม้

ถ้าหากพบจอมยุทธในถิ่นธุรกันดารแบบนี้เมื่อไหร่ ให้ซ่อนตัวในทันที

นั่นคือสิ่งที่กั๋วไป่หลี่บอก

พื้นที่บริเวณชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ค่อนข้างที่จะโหดร้ายพอสมควร แม้แต่ทหารของรัฐบาลก็ไม่สามารถเข้ามาได้ ดังนั้นถ้าหากเจอใครสักคนแถวนี้ล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าพวกนั้นไม่ใช่พวกที่มาดีอย่างแน่นอน

โจวฉวนจีเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะเห็นจอมยุทธคนหนึ่งกำลังขี่ปีศาจบินผ่านท้องฟ้าเหนือป่าไป

ปีศาจตนนั้นมีรูปร่างเหมือนกวาง หัวเหมือนสิงโต และมี 2 ปีก ท่าทางของมันช่างดูสง่าผ่าเผยมากเสียจนทำให้พวกเขาขวัญเสีย

หลังจากที่เห็นว่าจอมยุทธคนนั้นเริ่มห่างไปไกลแล้ว โจวฉวนจีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาจึงลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกเดินทางต่อพร้อมกับเจียงฉือน้อย แต่แล้วเขาก็พบว่าเธอหายไป

โจวฉวนจีรีบหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าไกลจากเขาไม่กี่เมตร มีหญิงประหลาดสวมชุดสีดำกำลังอุ้มเจียงฉือน้อยเอาไว้ ในขณะที่มือซ้ายของนางปิดปากเธออยู่

หญิงสาวนั้นมีใบหน้าที่เย็นชาแต่ก็สง่างาม ดวงตาเรียวยาวและคมสวย ผมทรงมัดจุกสูง 2 ข้าง และพลังปราณของนางก็็็Hมีความเป็นหยินมาก (พลังด้านลบขั้วตรงข้ามของหยาง) แค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกก็บอกได้เลยว่านางต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

โจวฉวนจีที่กำลังจะเปิดปากพูด จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่หลังคอก่อนจะสลบไปทันที

ฟิ้วววววว ––

ลมหนาวเย็นลอยปะทะโจวฉวนจีก่อนที่เขาจะเริ่มได้สติ

เขารู้สึกว่ามีมือ ๆ หนึ่งกำลังสัมผัสและบีบใบหน้าของเขาอยู่

“เจ้าหนูน้อยคนนี้มันช่างน่ารักซะจริง ข้าแทบจะรอฆ่าเขาไม่ไหวแล้วเนี่ย” จู่ ๆ เสียงที่เต็มไปด้วยมารยาแต่แฝงไปด้วยจิตสังหารที่อยากจะฆ่าก็ดังขึ้นมา

โจวฉวนจีลืมตาตื่นขึ้นมาทันที เขารู้สึกตกใจมากที่ตัวของเขาขยับไม่ได้ เป็นเพราะมีมือหนึ่งกำลังกดลงบนหน้าอกเล็ก ๆ ของเขาเอาไว้

“โอ้? เจ้าหนูน้อยนี่ตื่นแล้วแฮะ” หญิงสาวในชุดสีดำพูดขึ้นพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แสนเย็นชา นางคือคนที่ลักพาตัวเจียงฉือน้อยไปก่อนหน้านี้ และตอนนี้กำลังอุ้มโจวฉวนจีเอาไว้อยู่

โจวฉวนจีพยายามมองหาเจียงฉือน้อย ก่อนจะพบว่าเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ท่าทางเศร้าเป็นอย่างมาก

ที่ ๆ ทั้งสองคนอยู่ตอนนี้คือบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มีแสงจันทร์ที่สาดส่อง และลมที่หนาวเย็นไปยันขั้วกระดูกพัดลอยมา

มีจอมยุทธ 17 คนนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ ด้านหลังของพวกเขาคือสัตว์อสูรที่เอาไว้ใช้ขี่กำลังหลับไหลพักผ่อนกันอยู่

“นายหญิง 7 ราตรี ทำไมท่านถึงไม่เอาเขามาเป็นลูกชายแทนที่จะฆ่าเขาล่ะ” ชายร่างแกร่งกล่าวพลางยิ้มกริ่ม เขานั่งอยู่ข้าง ๆ โจวฉวนจี สวมเสื้อคลุมที่ทำมาจากหนังสัตว์ มีใบหน้าที่ทั้งใหญ่และหยาบกระด้าง และท่าทางของเขาก็ดูราวกับสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์

และจอมยุทธคนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดหยอกล้อนายหญิง 7 ราตรีเช่นกัน

“เด็กคนไหนที่นายหญิง 7 ราตรีชอบก็ถูกเลี้ยงให้เป็นทาสทั้งนั้นแหละ แถมนางยังเบื่อไวอีก แล้วยิ่งทาสคนไหนไม่เชื่อฟังก็ถูกฆ่าทันทีด้วย”

“แต่เด็กผู้ชายคนนี้หน้าตาดูดีมากเลยนะ เขาอาจจะเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่ ๆ สักที่ก็ได้็กก”

“เดี๋ยวก่อน ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เลวนะ ยกนางให้ข้าเถอะ”

“ไปให้พ้นเลย เดี๋ยวอีกไม่นานเจ้าก็ได้ตายสมใจอยากแล้ว”

“ฮ่า ๆ เอาน่า พวกเรากลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำต้องไม่ตีกันเองนะจ๊ะ”

เมื่อโจวฉวนจีได้ยินนายหญิง 7 ราตรีและคนอื่น ๆ กำลังโต้เถียงกัน เขาก็นั่งตัวสั่นงก ๆ

นังผู้หญิงคนนี้มันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้วนะ!

โจวฉวนจีได้แต่รู้สึกหวาดกลัวในขณะที่เขาถูกนางอุ้มไว้ในอ้อมแขน

เขาสาปแช่งภายในใจ “จิตวิญญาณแห่งดาบ ทำไมถึงไม่เตือนข้าว่ามีใครอยู่ข้างหลังข้า?”

“ถ้าท่านขัดขืน ท่านอาจจะตายทันที ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าท่านจะหมดสติไปก่อน แล้วค่อยหาทางสู้กลับ” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ภายในนำเสียงนั้น

โจวฉวนจียังคงนิ่งเงียบ

เจียงฉือน้อยขยับเข้าไปใกล้เขาก่อนจะพูดปลอบว่า “ไม่ต้องกลัวนะฉวนจี ข้าที่เป็นพี่สาวของเจ้าจะอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง…” ดวงตาของเธอแดงก่ำไปด้วยน้ำตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น เธอคงจะรู้สึกกลัวมาก

นายหญิง 7 ราตรีหัวเราะกรุ้มกริ่มพร้อมเอามือป้องปากตนเองและพูดขึ้น “แม่สาวตัวน้อย เจ้านี่ช่างเป็นพี่ที่แสนดีจริง ๆ”

โจวฉวนจีพยายามดิ้นและร้องออกมา “ปล่อยข้าได้แล้ว เจ้ากดข้าแรงเกินจนข้าเจ็บจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

เมื่อนายหญิง 7 ราตรีได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยโจวฉวนจีทันที เขารีบลุกขึ้นทันทีก่อนจะดึงเจียงฉือน้อยเข้ามาใกล้ ๆ

ทั้งสองไม่อาจหนีได้ เพราะเส้นทางทั้งหมดถูกกันเอาไว้ เว้นเสียแต่พวกเขาจะกระโดดลงจากหน้าผาเอา

ถึงพวกเขาจะไม่ตาย แต่ก็ไม่มีทางที่จะหนีไปได้เลย

โจวฉวนจีเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำมาก่อน

กั๋วไป่หลี่มักจะเล่าเกี่ยวกับตำนานน่ากลัว ๆ ให้เจียงฉือน้อยฟังบ่อยๆ เพื่อให้เธอกลัว จะได้ไม่ออกไปเดินเล่นที่ไหนคนเดียว

และหนึ่งในเรื่องเล่านั้นก็คือ กลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำ

พวกมันเป็นฝ่ายอธรรมที่มักจะสร้างความเดือดร้อนไปทั่วชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

กั๋วไป่หลี่บอกว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถต่อกรกับกลุ่ม 17 อสูรวายุทองคำได้

ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้ง 17 คนในกลุ่มต้องมีวรยุทธอย่างน้อยระดับบัวภายในแน่นอน

นายหญิง 7 ราตรีหรี่ตาลงในขณะที่มองโจวฉวนจีพลางเลียริมฝีปาก ราวกับนางกำลังจินตนาการถึงการปรุงรสชาติเขาในน้ำซุป

เมื่อโจวฉวนจีเห็นสีหน้าของนางก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“จะว่าไป เจ้าเคยได้ยินเรื่องการจัดงานแต่งงานของจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวมั้ย?” ชายร่างผอมพูด สหายทั้งหลายจึงหันไป-มองเขา

เขากระแอ้มกระไอก่อนจะพูดต่อ “2 ปีก่อน แม่นางจาวฉวนหลบหนีออกจากพระราชวังพร้อมกับลูกชายของนางน่ะ ว่ากันว่าองค์ราชินีส่งม้าเร็วไปไล่ล่าพวกนางจนพินาศทั้งคู่เลยนะ แต่พอจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวกลับมาแล้วได้ยินเรื่องนั้น เขาก็โกรธมากจนถึงขั้นสั่งให้องค์หญิงหลิงหลิงตัวน้อยที่อายุแค่ 5 ขวบต้องแต่งงานกับองค์ชายน้อยทันทีที่บรรลุนิติภาวะเลยล่ะ”

“แต่องค์ชายตายไปแล้วนี่ แล้วจะไปแต่งได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น?”

โจวฉวนจีได้ยินที่พวกนั้นพูด

เขาจำได้ว่าองค์หญิงหลิงหลิงอายุมากกว่าเขาปีนึง และทั้งสองเคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งเท่านั้นตอนที่แม่นมพานางมา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กสาวตัวน้อยเห็นหน้าเขาก็จะร้องไห้ออกมาทันที นั่นเลยทำให้โจวฉวนจีรู้สึกไม่ชอบนางสักเท่าไหร่

แต่จู่ ๆ เขาก็นิ่งไป

ก่อนจะรู้สึกสงสัย

องค์หญิงหลิงหลิงได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงและกลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่นางเฉิน ซึ่งนางเป็นเพื่อนสนิทกับแม่นางจาวฉวน

แล้วแม่นางเฉินชอบองค์หญิงหลิงหลิงมาก ถ้างั้นแล้วทำไมนางถึงต้องการให้องค์หญิงแต่งกับเขาล่ะ?

เป็นไปได้มั้ยว่าจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวจะรังเกียจแม่นางจาวฉวน เขาเลยใส่ความแม่นางเฉินกับลูกของนาง ทั้งที่พวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์น่ะ?

ภายในหัวของโจวฉวนจีเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นไปได้ว่าราชินีจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

นายหญิง 7 ราตรีส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “แม่นางจาวฉวนเคยเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิมาก แต่ยังไงก็ไม่มีทางสู้องค์ราชินีที่โตมาด้วยกันกับองค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวได้หรอก”

ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วมหาจักรวรรดิ์โจวและอาณาจักรทั้งหมดที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิ์ว่า ราชินีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของแม่นางจาวฉวนและลูกของนาง

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวก็ไม่กล่าวโทษราชินีแต่อย่างใด

ชายที่ดูหยาบกระด้างยิ้มกริ่มก่อนจะพูดขึ้น “ความสัมพันธ์ของพวกเขามันไม่ใช่แค่โตมาด้วยกันน่ะสิ เป็นเพราะองค์ชายคนที่ 2 ของราชินีแห่งมหาจักรวรรดิ์โจวน่ะ บรรลุถึงระดับขัดเกลาวิญญาณแล้วน่ะสิ ก็มีพรสวรรค์ซะขนาดนั้น แล้วจักพรรดิเหยียนแห่งโจวจะไปกล้าทำอะไรราชินีได้ยังไงกัน?”

ตอนที่ 10 : 4 ปี กับดาบชโลมโลหิต

ขณะที่กั๋วไป่หลี่กำลังทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้า เสียงของเจียงฉือน้อยก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ท่านปู่ มาหาข้าหน่อย ข้ามีปัญหาเกี่ยวกับการฝึกนิดหน่อย”

เมื่อได้ยินดังนั้นกั๋วไป่หลี่ก็หยุดความคิดของตนก่อนจะเดินไปหาเธอแทน

ตอนนี้เจียงฉือน้อยนับถือกั๋วไป่หลี่เป็นคุณปู่ของเธอแล้ว ส่วนโจวฉวนจีก็เริ่มยอมรับและรู้สึกสนิทกับเขามากขึ้นแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม โจวฉวนจียังคงยุ่งอยู่กับการพัฒนาปราณของเขาอยู่แถวไหล่เขาเเละเขาต้องการรักษาระยะห่างกับกั๋วไป่หลี่

นั่นเพราะว่ากั๋วไป่หลี่มีวรยุทธอยู่ในระดับสูงเกินไป เขาจึงไม่สามารถรวบรวมปราณสู้กั๋วไป่หลี่ที่มีพลังมากกว่าได้

“อีกไม่นานข้าก็จะอายุ 4 ปีแล้ว”

โจวฉวนจีตั้งตารอเป็นอย่างมาก เป็นเพราะในวันหนึ่งที่เขาเคยเอาดาบคลื่นเหมันต์ออกมาเพื่อใช้ฝึก กั๋วไป่หลี่ที่คอยเฝ้ามองอยู่ จู่ ๆ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที เขาดึงโจวฉวนจีมาและเตือนด้วยความจริงใจว่า “ฉวนจี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากชีวิตเจ้าไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามนำดาบทั้งสองเล่มของเจ้าออกมาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับปัญหาไม่รู้จบแน่!”

ทั้งที่ดาบคลื่นเหมันต์อยู่แค่ระดับสัมฤทธิ์ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้กั๋วไปหลี่กังวลได้มากถึงขนาดนั้น

โจวฉวนจีจึงคาดหวังเป็นอย่างมากกับดาบในตำนานระดับทอง ระดับอเมทิสต์ และระดับทองรุ่งโรจน์

และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวก็ผ่านไปถึง 3 เดือนแล้ว

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 4 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านได้รับ [ระดับเงิน] ดาบชโลมโลหิต 8 ก้าวทะลวงกระบี่ และหินวิญญาณระดับ 3 จำนวน 100 ชิ้น”

เมื่อเขาได้ยินเสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

นี่มันดาบในตำนานระดับเงินเล่มที่ 2 หนิ!

และข้อมูลเกี่ยวกับดาบชโลมโลหิตก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา

ชื่อดาบ : ดาบชโลมโลหิต

ระดับ : เงิน

คำอธิบาย : เป็นดาบที่ดื่มเลือด ยิ่งได้รับเลือดมากเท่าไหร่ ความเเข็งเเกร่งก็ยิ่งฉายเเววออกมามากเท่านั้น

ดาบที่ดื่มเลือดเนี่ยนะ?

นี่มันดาบปีศาจรึไงกัน?

โจวฉวนจีรู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม นอกจากจะเป็นดาบที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากเล่มอื่นแล้ว ยังเป็นดาบที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นถ้ายิ่งเผชิญหน้ากับศัตรูด้วย

แล้วยังหินวิญญาณระดับ 3 ที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไรอีก

หินวิญญาณเป็นสกุลเงินที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในโลกแห่งจอมยุทธนี้ และในขณะเดียวกัน มันก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาวรยุทธได้เช่นกัน โดยจะมีทั้งหมด 9 ระดับไล่จากระดับต่ำสุดไปสูงสุด หินแต่ละระดับมีค่าเป็น 10 เท่าของหินก้อนที่ต่ำกว่า 1 ระดับ เช่น ถ้าเป็นหินวิญญาณระดับ 2 ก็จะมีค่าเทียบเท่ากับหินวิญญาณระดับแรก 10 ก้อน

และนั่นหมายความว่าเขาได้รับหินวิญญาณระดับแรกจำนวน 10000 ก้อนเลยทีเดียว

นอกจากนี้เขายังมีหินวิญญาณที่ได้มาจากเยี่ยเฟยฟาน เฉินฮัวที่มาจากตระกูลฝาง และเหล่าลูกสมุนอยู่ประมาณนึงเก็บไว้ในสุดยอดช่องเก็บของอีกด้วย

“แล้ว 8 ก้าวทะลวงกระบี่มันคืออะไร? วิชาดาบหรอ หรือเป็นอุปกรณ์อะไรสักอย่างน่ะ?” โจวฉวนจีถามอย่างสงสัย และความทรงจำส่วนหนึ่งก็หลั่งไหลเข้ามายังจิตใจเขา

8 ก้าวทะลวงกระบี่คือกระบวนท่าการเคลื่อนไหวที่ใช้ปราณกระบี่ แต่ละก้าว จะสามารถก้าวไปไกลได้ถึง 100 เมตร และทำให้สามารถสังหารศัตรูทั้งหมดได้ภายใน 8 ก้าว

แต่ก็แน่อยู่แล้วว่ามันอาจจะเกินจริงไปสักหน่อย

โจวฉวนจีเริ่มฝึก 8 ก้าวทะลวงกระบี่ทันทีที่เขาได้รับความทรงจำมา

แต่กระบวนท่าการเคลื่อนไหวของ 8 ก้าวทะลวงกระบี่ค่อนข้างจะแปลกไปสักหน่อย เพียงการเคลื่อนไหวเดียวก็แทบจะทำให้เขาล้มลงได้

กั๋วไป่หลี่ที่แอบดูอยู่ก็ตาโตแปลกใจ รู้สึกอยากรู้อยากเห็นในการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ของเขา

ไอเจ้าเด็กนั่นมันทำอะไรอยู่เนี่ย?

และโจวฉวนจีก็สามารถเคลื่อนไหวครบท่วงท่าของวิชาดาบ 8 ก้าวทะลวงกระบี่ได้หลังจากที่ฝึกไปราวครึ่งชั่วโมง

แต่เขายังคงฝึกฝนต่อไป แม้จะมีโซเซและล้มลงบ้างในบางครั้ง แต่ก็ยังคงลุกขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังจากจบวัน เขาก็สามารถฝึกไปได้ถึง 18 ครั้ง แต่เขายังคงฝึกอย่างต่อเนื่องจนถึงค่ำ

และยังคงฝึกจนถึงเช้า จนในที่สุดเขาก็ฝึกครบ 50 รอบ และมันก็ค่อย ๆ ง่ายขึ้นตามลำดับ

หลังจากนั้นเขาก็ฝึกต่อจนครบ 100 รอบ แต่นั่นยังเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ในการบรรลุ 8 ก้าวทะลวงกระบี่เท่านั้น

เพราะวิชานี้ค่อนข้างที่จะฝึกยากกว่าวิชาดาบกระเรียนขาวมาก

ในวันที่ 2 เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะฝึกต่อไป

จนในวันนั้น ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกจนครบ 500 ครั้งได้สำเร็จ และสามารถบรรลุ 8 ก้าวทะลวงกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์

ในขณะที่กั๋วไป่หลี่เฝ้ามองโจวฉวนจีที่ก้าวอย่างรวดเร็วบนไหล่เขาราวกับการเคลื่อนย้ายภายในพริบตา กั๋วไป่หลี่ก็อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง

ในตอนแรกเขาคิดว่า เด็กคนนี้มันทำบ้าอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าโจวฉวนจีจะสามารถบรรลุวิชานั่นได้จริง ๆ!

กั๋วไป่หลี่จับตัวโจวฉวนจีไว้ทันทีและถาม “กระบวนท่าการเคลื่อนไหวนั่นมันคืออะไรน่ะ?”

“8 ก้าวทะลวงกระบี่” โจวฉวนจีพูดอย่างใจเย็น

การที่เด็กอายุ 4 ขวบอย่างเขาจะโกหกผู้ใหญ่ได้มันก็คงจะน่าตลกเกินไป

“8 ก้าวทะลวงกระบี่หรอ…” กั๋วไป่หลี่บ่นพึมพำกับตัวเองราวกับตกอยู่ในภวังค์

โจวฉวนจีสะบัดมือเขาออกก่อนจะฝึก 8 ก้าวทะลวงกระบี่ต่อ

ด้วยระดับวรยุทธในปัจจุบันของโจวฉวนจี มันทำให้เขาสามารถก้าวไปได้ไกลกว่า 10 เมตรในแต่ละก้าว และหลังจากครบ 8 ก้าว เขาก็ใช้พลังวิญญาณไปจนเกือบหมด

แต่ถ้าหากไม่มีพลังวิญญาณล่ะก็ 8 ก้าวทะลวงกระบี่ก็เป็นได้แค่กระบวนท่าการเคลื่อนไหวธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้เร็วอะไรนัก

กั๋วไป่หลี่มองไปยังเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนมีบางอย่างภายในใจ ตอนนี้เขารู้สึกสับสนจนปวดตับไปหมด

ไอเด็กนี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!

นี่เขาเป็นร่างเทพจำแลงมารึไงกัน?

“ด้วยความสามารถแบบนี้ เขาอาจจะสามารถท้าทายตำแหน่งบังลังก์สูงสุดแห่ง 9 มหาจักรพรรดิกระบี่ได้เลยนะ…”

แม้ว่ากั๋วไป่หลี่จะอยากรู้สักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้โลภขนาดนั้น กลับกัน มันยิ่งทำให้เขาต้องการให้เด็กประหลาดคนนี้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขามากกว่าเดิม

หลังจากที่บรรลุ 8 ก้าวทะลวงกระบี่ได้แล้ว พลังของโจวฉวนจีก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

และเพื่อที่จะลองวิชาของเขาในการต่อสู้ เขาจึงเริ่มฝึกซ้อมการต่อสู้กับกั๋วไป่หลี่ และเมื่อกั๋วไป่หลี่ได้เห็นจิตดาบกระเรียนขาว มันก็ทำให้เขาต้องตกตะลึง

มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นโจวฉวนจีใช้จิตดาบกระเรียนขาว

เด็ก 4 ขวบที่สามารถบรรลุจิตดาบได้ จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสำนักกระบี่เร้นลับยังไม่เคยมีใครทำได้เลยสักคน

กั๋วไป่หลี่ไม่เคยพบไม่เคยเจอและไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรเเบบนี้แม้จากทั่วทั้งมหาจักรวรรดิ์โจวมาก่อน

หลังจากนั้นกั๋วไป่หลี่ก็คาดหวังในตัวของเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และในแต่ละวัน กั๋วไป่หลี่จะค่อย ๆ ปลูกฝังการมีเมตตาต่อผู้อื่นให้กับโจวฉวนจี เหมือนอย่างที่เขาเคยช่วยเหลือผู้อื่นยามที่ผู้อื่นต้องการ และคอยสังหารพวกฝ่ายอธรรมหรือเหล่าปีศาจ และเขาก็เอาแต่พูดจนหูของโจวฉวนจีแทบจะหนวกเลยทีเดียว

ครึ่งปีต่อมา

โจวฉวนจีมีความก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อยจากการก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 8 และเขาสามารถเลื่อนขั้นได้ถึง 2 ระดับติดต่อกันจากการใช้หินวิญญาณระดับ 3 ทั้งหมด

ซึ่งนั่นทำให้กั๋วไป่หลี่ยอมรับข้อสันนิษฐานที่เขาเคยตั้งเอาไว้กับโจวฉวนจีในที่สุด

ในอีกด้าน เจียงฉือน้อยก็ได้เข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ ต้องขอบคุณคำแนะนำของกั๋วไป่หลี่

แต่โจวฉวนจีไม่ได้แบ่งหินวิญญาณให้เจียงฉือน้อย เพราะกั๋วไป่หลี่สั่งห้ามเอาไว้

เขาบอกว่าร่างกายของเจียงฉือน้อยนั้นยังไม่สามารถทนต่อหินวิญญาณระดับ 3 ได้

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง

กั๋วไป่หลี่เรียกโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยมารวมตัว ก่อนจะพูดขึ้นพลางถอนหายใจ “ข้าต้องจากที่นี่ไปสักพัก จริง ๆ ข้าก็อยากจะอยู่ต่ออีกสักปีนะ แต่ศิษย์บางคนในสำนักของข้ากำลังเผชิญกับปัญหา และข้าจะต้องรีบกลับไปช่วยน่ะ”

โจวฉวนจีจำได้ว่าเคยเห็นนกอินทรีบินมาตอนกลางคืน บางทีนั่นคงจะเป็นสารจากสำนักกระบี่เร้นลับล่ะมั้ง?

เจียงฉือน้อยพยักหน้าและพูด “ท่านปู่ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกข้าบ้างนะ”

กั๋วไป่หลี่ลูบหัวเธอก่อนจะพูดอย่างใจดีว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาแน่นอนทันทีที่ข้าจัดการธุระเสร็จนะ”

แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเศร้าและความกังวล เขาหันกลับมามองที่โจวฉวนจีและพูดต่อ “ฉวนจี ดูแลพี่สาวของเจ้าด้วยนะ เข้าใจมั้ย? พวกเจ้ามีแค่กันและกัน เพราะงั้นห้ามทิ้งใครไว้ข้างหลังเด็ดขาด”

ก่อนที่โจวฉวนจีจะได้พูดอะไร เจียงฉือน้อยก็ใช้แขนของเธอโอบรอบคอของโจวฉวนจีเอาไว้และหัวเราะเบา ๆ “ฉวนจีเป็นครอบครัวของข้า เพราะงั้นเขาจะไม่ทิ้งข้าแน่นอน”

เธอเชื่อมั่นในตัวเขามาก และในตอนนี้ถ้าให้เธอเลือกระหว่างคุณยายและโจวฉวนจีล่ะก็ เธอก็จะเลือกเขาอย่างไม่ลังเลเลย

กั๋วไป่หลี่ยิ้มให้ก่อนจะหันหลังกลับและขึ้นขี่ดาบจากไป จากนั้นตัวเขาก็กลายเป็นลำแสงที่หายไปอย่างรวดเร็วสุดเส้นขอบฟ้า

แต่โจวฉวนจีมีลางสังหรณ์ว่ากั๋วไป่หลี่อาจจะไม่ได้กลับมาอีก

เพราะสายตานั่น มันเหมือนกับสายตาของแม่นางจาวฉวนในตอนที่นางโยนเขาลงไป

เขาไม่สามารถที่จะอยู่กับแม่ได้ เเละเขายังไม่สามารถหาทางแก้แค้นได้เช่นกัน

แม้จะรู้สึกแย่ แต่เขาก็ยังคงฝึกกับเจียงฉือน้อยต่อไป

เป้าหมายของเขาคือการขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานให้ได้เมื่ออายุ 6 ปี

และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปตามปกติ พื้นที่ในการฝึกของโจวฉวนจียังคงอยู่ห่างจากบ้านไกลกว่า 50 ไมล์ และที่ด้านหลังของเนินเขาจักรพรรดิกระบี่นั้นเป็นป่าที่พวกเขาใช้เพื่อล่ากระต่ายและหมูป่า

ในส่วนของด้านหน้าเนินเขาจักรพรรดิกระบี่เป็นแม่น้ำที่พวกเขาสามารถจับปลาได้

และ 2 เดือนต่อมา

จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามลั่นสั่นสะเทือนแผ่นดินดังขึ้นมาจากทางเหนือ โจวฉวนจีเบิกตากว้างด้วยความกลัว และเจียงฉือน้อยที่ฝึกอยู่ข้าง ๆ เขาก็ลุกขึ้นทันทีก่อนจะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลัง เธอคิดว่าจะมีปีศาจมาโจมตีพวกเขา

โจวฉวนจีขมวดคิ้ว เขานั่งลงบนยอดเขาที่ ๆ จะสามารถมองไปไกลถึงทางเหนือได้ และที่สันเขาที่ทอดยาวเป็นคลื่นนั้น เสียงคำรามก็ดังมาไกลจากทางเส้นขอบฟ้าและนั่นทำให้เขาใจสั่นระรัว บางทีอาจจะเป็นปีศาจทรงพลังสักตัวกำลังเข้ามาใกล้ก็ได้?

และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงคำรามที่ทั้งอึกทึกและดุร้ายขนาดนี้

“ฉวนจี ข้าว่าพวกเราย้ายไปอยู่ที่อื่นดีมั้ย?” เจียงฉือน้อยถามอย่างระแวง

เธอนั้นเป็นแค่เด็กอายุ 8 ขวบที่สูงกว่าโจวฉวนจี และนับตั้งแต่เธอเริ่มฝึกวรยุทธมา ผิวพรรณของเธอก็ดูขาวสวยและอ่อนนุ่มขึ้นมา รับกับใบหน้าที่สวยงามราวกับนางฟ้าตัวน้อย

ตอนที่ 9 : เยี่ยเฟยฟาน

“เจ้าต้องการอะไร? พวกข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้นะ!” โจวฉวนจีถามเสียงดังในที่ขณะที่จับมือเจียงฉือเอาไว้

เสียงที่ดังลั่นไปทั่วผืนฟ้า ช่วยดึงให้กั๋วไป่หลี่ที่กำลังอยู่ในความภวังค์กลับมาสู่ความเป็นจริง

กั๋วไป่หลี่พยายามยิ้มออกมาและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่จอมยุทธฝ่ายมารอะไรหรอก ฝ่ายมารน่ะมันอีกคนนึงเมื่อก่อนหน้านี้ต่างหาก ข้ามาจากสำนักฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียง ชื่อสำนักกระบี่เร้นลับ พวกเจ้าเคยได้ยินมาก่อนมั้ย?”

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยมองไปที่เขาและรู้สึกงุนงง

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวพลางหัวเราะ มันแน่อยู่แล้ว เด็กสองคนจะไปรู้จักสำนักกระบี่เร้นลับได้ยังไงกัน?

กั๋วไป่หลี่ค่อยๆลงจอดช้า ๆ และถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วพวกเจ้ามาจากตระกูลหรือสำนักไหนล่ะ เจ้าอยากให้ข้าพาพวกเจ้ากลับไปมั้ย?”

กั๋วไป่หลี่คาดว่าเด็กคนนี้น่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เขาเลยอยากที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้

โจวฉวนจีกำดาบคลื่นเหมันต์ไว้แน่นและตอบอย่างเด็ดขาด “ไม่!”

“เขาไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมาแต่อย่างใด” จิตวิญญาณแห่งดาบแจ้ง จากนั้นโจวฉวนจีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

การเผชิญหน้าตรง ๆ กับจอมยุทธระดับบัวภายใน เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถชนะได้เลยสักนิด

กั๋วไป่หลี่หยุดลอยอยู่กลางอากาศและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่ข้าดูเหมือนคนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ถ้าข้าเป็นคนไม่ดีจริง ข้าคงจะลอบโจมตีเจ้าโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว แต่ข้าไม่คิดจะทำหรอกนะ”

เขาเก็บดาบคลื่นเหมันต์ก่อนจะพูดขึ้น “ก็ได้ งั้นข้าจะเชื่อเจ้า แต่เจ้าห้ามแตะต้องพวกข้าเด็ดขาด!”

ยังไงโจวฉวนจีก็สู้ไม่ได้อยู่เเล้ว ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะปฏิบัติกับกั๋วไป่หลี่เหมือนกับคนที่มาดีแทน

กั๋วไป่หลี่มองไปยังพวกเขาและหัวเราะ เขาร่อนลงบนหน้าผาก่อนจะโบกมือเรียกพวกเขาและพูดขึ้น “มาทางนี้สิ แล้วก็ระวังอย่าร่วงลงไปล่ะ”

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็เป็นเด็กที่น่ารักน่าชังทั้งคู่ กั๋วไป่หลี่จึงมองพวกเขาด้วยความเอ็นดู

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้วเด็กคนที่อายุน้อยคนนั้นนั่นสามารถโจมตีได้อย่างโหดเหี้ยม เขาจึงต้องระวังตัวเอาไว้เสมอ

เพราะเขายังไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเด็ก 3 ขวบ

โจวฉวนจีก็คอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เขากุมมือเจียงฉือน้อยเอาไว้และเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง มันเลยดูเป็นฉากที่น่าตลกสำหรับกั๋วไป่หลี่

และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันหลังจากที่มาถึงไหล่เขา

เพื่อที่จะทำให้เด็กทั้งสองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น กั๋วไป่หลี่จึงเริ่มเล่าจากที่ ๆ เขามา

แล้วโจวฉวนจีก็ได้รู้ว่าจอมยุทธปีศาจที่เขาได้สังหารไปเป็นอัจฉริยะจากสำนักอสูรโลกันต์ ที่มีชื่อว่า เยี่ยเฟยฟาน

เยี่ยเฟยฟานนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 92 จากตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจว

ตารางจัดอันดับยอดฝีมือนั้นเป็นการจัดอันดับอัจฉริยะที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งภายในมหาจักรวรรดิโจวนั้นมีจอมยุทธอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และการที่สามารถอยู่อันดับที่ 92 ท่ามกลางเหล่าจอมยุทธที่อายุต่ำกว่า 100 ปีทั้งหมดได้นั้น เขาต้องเป็นคนที่น่าเกรมขามอย่างแน่นอน

กั๋วไป่หลี่กลายเป็นศัตรูกับเยี่ยเฟยฟานเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นตอนที่เยี่ยเฟยฟานกำลังไล่สังหารคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และกั๋วไป่หลี่ที่เดินผ่านไปเห็นการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของเยี่ยเฟยฟานเข้า จึงได้เข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านไว้ ซึ่งนั่นเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ต่อมา กั๋วไป่หลี่ก็ได้ออกจากสำนักกระบี่เร้นลับ และกำลังเปิดรับสมัครลูกศิษย์จากในเมืองภายใต้นามของสำนักกระบี่เร้นลับ อย่างไรก็ตาม เขาก็เผอิญเจอกับเยี่ยเฟยฟานเข้า จึงต้องเข้าห้ำหั่นกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้กั๋วไป่หลี่จะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าเยี่ยเฟยฟาน แต่เขาก็ยังสามารถทำให้เยี่ยเฟยฟานบาดเจ็บได้ นั่นจึงทำให้โจวฉวนจีสามารถสังหารเขาลงได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าอีกสาเหตุที่โจวฉวนจีสามารถจัดการเยี่ยเฟยฟานได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นเด็ก 2 ขวบนั่นเอง

อัจฉริยะที่สำนักอสูรแสนจะภาคภูมิใจนั่นก็ดันตายด้วยน้ำมือเด็ก 2 ขวบ ใครจะไปเชื่อกันล่ะ?

กั๋วไป่หลี่ถอนหายใจ “เหตุผลที่ข้าตามหาพวกเจ้าก็เพื่อที่จะกล่าวขอบคุณที่เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ และเท่าที่ดูเจ้าทั้งสองก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่ได้รับการดูแลที่ดี อีกทั้งการเดินออกไปข้างนอกก็ยังอันตรายมากๆ ทำไมพวกเจ้าไม่ให้ข้าพากลับไปล่ะ ข้าไม่ได้อยากให้พวกเจ้าทำอะไรเพื่อตอบแทนข้าหรอกนะ”

เขามองไปยังโจวฉวนจีด้วยสายตาที่จริงใจ

เด็กน้อยวัย 3 ขวบที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นช่างแสนวิเศษ ดังนั้นแล้วเขาจะทำกับโจวฉวนจีเป็นเหมือนเด็กธรรมดาไม่ได้

แถมเขายังสงสัยอีกว่าร่างกายของเด็กน้อยคนนี้นั้น โดนวิญญาณของจอมยุทธรุ่นเก๋าสิงอยู่หรือเปล่า นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวิญญาณของเขาถึงเป็นผู้ใหญ่นัก

ถึงกั๋วไป่หลี่จะรู้เพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ถูกครึ่งหนึ่ง

อีกอย่าง กั๋วไป่หลี่ยังเคยได้ยินบางตำนานเกี่ยวกับตระกูลที่มีสายเลือดทรงพลังที่คอยให้กำเนิดเหล่าอัจฉริยะที่คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางเทียบเทียมได้มาก่อนด้วย

แต่โจวฉวนจีโบกมือปัดแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งพวกข้ากลับบ้านหรอก แต่ถ้าเจ้ามีวิชาปราณ ยา หรือวัตถุวิเศษล่ะก็ เอามาให้ได้มากเท่าที่ต้องการเลย”

โจวฉวนจีไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่เขาและเจียงฉือน้อยนั้นไม่มีใครดูแล เพื่อป้องกันการที่กั๋วไป่หลี่อาจจะมีเจตนาร้ายได้

เมื่อกั๋วไป่หลี่ได้ยินคำขอเช่นนั้นก็รีบนำของจากกระเป๋าเก็บของที่อยู่ที่เอวของเขาออกมาทันที ซึ่งมีทั้งตำรา 2 เล่ม มีดสั้น และขวดเล็ก ๆ 3 ขวดที่ทำมาจากหยกขาวนำมาวางไว้ข้างโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย

“พวกเจ้าจะเลือกตำราวิชาปราณเล่มไหนก็ได้จาก 2 เล่มนี้ ข้าจะเป็นคนสอนให้เอง และเพราะว่าข้ายังไม่หายบาดเจ็บดี ดังนั้นข้าจะอยู่ที่นี่สัก 2 ปี หลังจากนั้นข้าจะไปทันที”

“และเจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าข้ามีเจตนาร้ายจริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็มีเป็นพันวิธีที่จะใช้จับตัวพวกเจ้าได้แน่นอน” กั๋วไป่หลี่อธิบายพลางถอนหายใจในใจ เด็ก 3 ขวบจะระวังตัวอะไรขนาดนี้?

นี่เขาไม่เคยได้รับความรักความใส่ใจตั้งแต่เกิดเลยหรือไง?

เจียงฉือน้อยดูดนิ้วและถามอย่างเขินอาย “คุณปู่ ท่านพูดจริงหรอ? พวกข้านั้นต้อยต่ำมาก ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด มาตอนนี้ท่านยายก็ไม่ต้องการข้าอีกแล้ว ส่วนครอบครัวของฉวนจีก็โดนปีศาจกินไปอีก เพราะงั้นแล้วอย่าโกหกพวกข้าเลยนะ…”

โจวฉวนจีแทบจะเป็นลม นี่เขาเล่าอดีตไปแบบนั้นหรอ?

แต่โชคดีที่นั่นไม่ใช่อดีตที่แท้จริงของเขา

และหลังจากที่กั๋วไป่หลี่ได้ยินประวัติเช่นนั้น เขาก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาทันที ก่อนที่เขาจะแนะนำว่า “งั้นถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ ข้าจะเป็นปู่ให้กับพวกเจ้า และข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปยังสำนักกระบี่เร้นลับด้วยกัน จากนั้นพวกเจ้าก็จะกลายเป็นหลานสาวและหลานชายของข้ายังไงล่ะ”

ถ้าทิ้งความเห็นอกเห็นใจนั่นไป ความสามารถที่เด็กชายมีก็ดึงดูดเขามากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์นั่นก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาได้

เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “จริงหรอ?”

โจวฉวนจีกลอกตามองเธอก่อนจะพูดว่า “พวกข้าจะไม่ไปสำนักกระบี่เร้นลับ พวกข้าจะอยู่ที่นี่”

ถ้าพวกเขาไปยังสำนักกระบี่เร้นลับล่ะก็ โจวฉวนจีอาจจะถูกจับได้เพราะที่นั่นมีคนอยู่มาก

อีกทั้งสำนักกระบี่เร้นลับก็ยังอยู่ที่มหาจักรวรรดิโจวด้วย

เจียงฉือน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ฉวนจีไปที่ไหนข้าก็จะไปที่นั่น”

หลังจากวันที่มีพายุฝนกระหน่ำนั่น เธอจะไม่เรียกเขาว่าน้องชายอีกเลย

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวและหัวเราะให้กับเด็กน้อยเหล่านี้

“ก็ได้ งั้นข้าจะอยู่กับพวกเจ้าด้วยในสองปีแรกเอง แล้วพวกเจ้าทั้งสองอยากฝึกวิชาปราณอะไรกันล่ะ?” กั๋วไป่หลี่ถาม

เจียงฉือน้อยมองไปยังโจวฉวนจี เธอรอจนกระทั่งเขาพยักหน้าให้ก่อน จึงจะหยิบหนังสือทั้งสองเล่มนั้นมา

ต้องยอมรับว่าถึงแม้คุณยายของเจียงฉือน้อยจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่อย่างน้อยนางก็ยังสอนให้เธออ่านหนังสือเป็นเมื่อตอน 3 ขวบ

และจำนวนคนในหมู่บ้านที่รู้หนังสือนั้นก็มีเพียงแค่หยิบมือ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจียงฉือน้อยนั่นเอง

ถ้าเจียงฉือน้อยอยู่ในโลกก่อนล่ะก็ เธอคงจะเป็นอัจฉริยะที่รอบรู้ตั้งแต่ 3 ขวบ

กั๋วไปหลี่เห็นเจียงฉือน้อยดูลังเลเล็กน้อยจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิง ถ้างั้นไม่ลองวิชาวสันตเหมันต์ดูล่ะ? หากเจ้าบรรลุวิชานี้สำเร็จ เจ้าจะสามารถรวมปราณของเจ้าและก้าวขึ้นสู่ระดับบัวภายในได้ รูปลักษณ์ของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนไปและยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 500 ปีเลยทีเดียว”

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบทันที “แล้วระดับบัวภายในนี่คืออะไรหรอ?” เธอถามพลางกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความอยากรู้

กั๋วไป่หลี่อธิบายให้เจียงฉือน้อยฟังอย่างอดทน และสอนให้เธอรู้เกี่ยวกับวรยุทธอย่างง่ายที่สุดเพื่อให้เธอเข้าใจได้

โจวฉวนจีไม่เคยบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเ เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เข้าใจ และมันก็ดูไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ และจะดีกว่าถ้าให้เธอฝึกดาบแทน

หลังจากที่เจียงฉือน้อยเข้าใจ กั๋วไป่หลี่ก็หันกลับมาทางโจวฉวนจีและถาม “แล้วเจ้าต้องการตำราอีกเล่มมั้ย?”

เขาดูตำราวิชาปราณอีกเล่มแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะกับวิชากระบี่ที่เขาฝึกอยู่นัก เขาจึงส่ายหัวก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ข้ามีวิชาปราณที่ส่งต่อมาในครอบครัวของข้าอยู่แล้ว”

กั๋วไป่หลี่พยักหน้า ยังไงเสียเด็กน้อยคนนี้ก็มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 อยู่แล้ว

และแล้วกั๋วไป่หลี่ก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ด้วย

แต่โจวฉวนจีไม่อนุญาตให้กั๋วไป่หลี่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับพวกเขา อีกทั้งยังไม่มีที่อื่นให้อยู่อาศัยได้อีก กั๋วไป่หลี่จึงสร้างกระท่อนไม้ของเขาขึ้นมาแทน

และตลอดเดือนถัดมา โจวฉวนจีก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

ส่วนกั๋วไป่หลี่นั้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับการพักฟื้น และออกมาสอนเจียงฉือน้อยบ้างเป็นบางครั้ง

ในตอนแรกเขาสนใจในวิชาดาบกระเรียนขาวที่เจียงฉือน้อยกำลังฝึกอยู่ แต่หลังจากที่เฝ้าสังเกตอยู่นาน เขาก็ไม่พบอะไรมากนัก เพราะเจียงฉือน้อยยังอ่อนด้อยในวิชาอยู่

และแล้วเวลาก็ผ่านไปตามปกติ

3 เดือนต่อมา

มันเป็นวันที่มีหิมะตกครั้งใหญ่ โจวฉวนจีได้ทลายกำแพงก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 6 ส่วนเจียงฉือน้อยก็เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นแรกแล้วด้วยเช่นกัน

ในขณะที่กั๋วไป่หลี่กำลังนั่งอยู่บนยอดเขาและมองไปยังเส้นขอบฟ้า ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเต็มท้องนภา ภาพของภูเขาก็เรือนลางอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นมันอะไรน่ะ?”

เขาบ่นพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้วด้วยความตื่นตูม

ตอนที่ 8 : ระดับรักษาปราณ ขั้นที่ 5

“แม้ว่าอาคมกายทองคำจะเป็นวิชาที่ฝึกทางด้านร่างกาย แต่มันยังสามารถพัฒนาต่อจนกลายเป็นอาคมปราณกระบี่กายทองคำได้เช่นกัน ท่านเจ้าของดาบจึงสามารถใช้ฝึกฝนวรยุทธได้ นอกจากนี้ยังมีจอมกระบี่ผู้ทรงพลังบางคนที่ใช้ร่างกายของตนเองในการสร้างดาบในตำนานด้วย” จิตวิญญาณแห่งดาบอธิบาย ซึ่งมันทำให้ความโกรธของเขาหายไปทันทีและเต็มไปด้วยความหวังแทน

งั้นตอนนี้ก็ได้วิธีฝึกแล้ว!

และไม่นานหลังจากนั้น วิชาในการฝึกวรยุทธที่เรียกว่า อาคมกายทองคำ ก็หลั่งไหลเข้ามาภายในจิตใจและหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในความจำของโจวฉวนจี

อาคมกายทองคำมีทั้งหมด 4 ระดับ คือ ปราณภายใน กายาโลหะ ระเบิดปราณ และกายสิทธิ์ทองคำ

แม้ว่ามันจะเป็นวิชาที่เอาไว้ฝึกฝนทางด้านร่างกาย แต่ก็สามารถใช้ฝึกปราณภายในได้เช่นกัน

โจวฉวนจีรู้สึกพอใจก่อนจะกลับมาสนใจที่ดาบคลื่นเหมันต์ต่อ

และตามปรารถนา ดาบคลื่นเหมันต์ก็ปรากฎขึ้นบนมือโจวฉวนจี ความรู้สึกเย็นยะเยือกเจาะลึกไปทั่วฝ่ามือและทำให้เขาหนาวสั่น

แม้แต่เจียงฉือน้อยที่กำลังฝึกดาบอยู่ก็ยังรู้สึกเย็นวาบด้วย

โจวฉวนจีพยายามบังดาบด้วยตัวของเขา และเจียงฉือน้อยที่เห็นเพียงใบดาบจึงคิดว่ามันเป็นดาบมังกรสีชาดและไม่ได้สนใจอะไร

ใบดาบของดาบคลื่นเหมันต์นั้นมีขนาดใกล้เคียงกับดาบมังกรสีชาด เพียงแต่เป็นสีเงิน และปรากฎออร่าความเย็นรอบ ๆ แผ่กระจายไปทั่วใบดาบ ส่วนด้ามจับนั้นราวกับทำด้วยคริสตัลน้ำแข็งซึ่งมันงดงามมาก ๆ

และข้อความ 3 บรรทัดที่มีแค่เขาเท่านั้นที่เห็นก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าทันที

ชื่อดาบ : ดาบคลื่นเหมันต์

ระดับ : สัมฤทธิ์

คำอธิบาย : ถูกสร้างขึ้นในดินแดนที่หนาวสุดขั้ว และภายในดาบนั้นมีออร่าเยือกแข็งพันปีสถิตย์อยู่

ข้อมูลกลับมีน้อยมาก แต่ออร่าเยือกแข็งพันปีที่ว่านั่นทำให้โจวฉวนจีตกลงไปอยู่ในความคิด

ดาบคลื่นเหมันต์ที่มีระดับสัมฤทธิ์อาจจะไม่ได้ทรงพลังเทียบเท่ากับดาบมังกรสีชาดที่มีระดับเงิน แต่ด้วยคุณสมบัติที่ต่างกัน บางทีอาจจะมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อในการต่อสู้ก็ได้

และเขาก็หยิบยาเสริมพลังวัวป่าออกมา โดยตัวยานั้นถูกบรรจุอยู่ในขวดไม้ และมีทั้งหมด 3 เม็ด

“ยาเสริมพลังวัวป่าเป็นยาที่ทรงพลังมาก หลังจากที่กินเข้าไปท่านจะได้รับความแข็งแกร่งของวัวป่า แต่ผลข้างเคียงก็รุนแรงเช่นกัน ในตอนนี้แล้วท่านเจ้าของดาบยังไม่ควรใช้ มิฉะนั้นท่านจะต้องนอนติดเตียงกว่าหนึ่งเดือนเป็นแน่” จิตวิญญาณแห่งดาบแนะนำเกี่ยวกับยาให้เขาฟัง

“ท่านมีพรสวรรค์มากจากสายเลือดที่มี และมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ยิ่งกว่านั้นด้วยความช่วยเหลือจากระบบยอดดาบในตำนาน มันก็ไม่แปลกเลยที่จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างมันง่ายสำหรับท่าน” จิตวิญญาณแห่งดาบอธิบาย

โจวฉวนจีกระพริบตาปริบ ๆ และถาม “แล้วการฝึกวิชาปราณนี่เหมือนกับการฝึกวิชาดาบมั้ย?”

“โดยรวมแล้วเหมือนกัน เพียงแต่วิชาปราณนั้นมีเงื่อนไขจำเป็นในการฝึกเกี่ยวกับระดับวรยุทธด้วย เช่น การที่จะฝึกระดับที่ 2 ของอาคมกายทองคำ หรือกายาโลหะได้นั้น ท่านจะต้องไปให้ถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 เสียก่อนจึงจะฝึกได้”

โจวฉวนจีรู้สึกพอใจกับคำตอบของจิตวิญญาณแห่งดาบ

ด้วยพรสวรรค์ของเขา มันก็ไม่ยากเลยที่จะไปให้ถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 5

นอกจากนี้แหวนเก็บของที่เขาเอามาจากทั้ง 3 คนที่เขาได้ฆ่าไปก่อนหน้านี้ ยังเก็บหินวิญญาณไว้จำนวนมาก รวมถึงยาที่ใช้ช่วยในการฝึกฝนด้วย

โจวฉวนจีไม่ได้บอกเจียงฉือน้อยเกี่ยวกับอาคมกายทองคำ แต่นั่นไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ตัว

แต่มันเป็นเพราะอาคมกายทองคำนั้นมีเพียง 2 หนทางในการฝึก อย่างแรกคือฝึกผ่านร่างกาย และอย่างที่สองคือฝึกผ่านดาบ

ซึ่งการฝึกผ่านร่างกายนั้นดูจะหนักหนาเกินไป และโจวฉวนจีก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเจียงฉือน้อยต้องมีแผลเป็นฟกช้ำไปทั้งตัว นอกจากนี้เธอยังไม่มีพรสวรรค์ทางด้านดาบอีก

แต่มันก็อาจจะมีวิชาปราณแบบอื่นในอนาคตอีกก็ได้

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจที่จะถามความเห็นของเจียงฉือน้อย

หลังจากที่เจียงฉือน้อยรู้เกี่ยวกับการเป็นจอมยุทธ ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเธอเองก็เคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับจอมยุทธในหมู่บ้านลำธารขจีเหมือนกัน

ยังไงก็ตาม หลังจากที่รู้ว่าอาคมกายทองคำนั้นจำเป็นต้องใช้การปรับสมดุลร่างกาย เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที

มีอยู่เป็นหมื่นวิธีในการปรับสมดุลร่างกาย ถ้าให้พูดสั้น ๆ มันก็คือการใช้พลังจากภายนอกเพื่อปรับสมดุลร่างกาย เช่น สายฟ้า คลื่นคลั่ง ภูเขา และอื่น ๆ ซึ่งวิธีการมันก็ค่อนข้างที่จะสาหัสสากรรจ์สุด ๆ

ยิ่งระดับวรยุทธสูงมากเท่าใด คนที่ฝึกทางร่างกายก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

วิชาปราณแรกที่เลือกใช้ในการฝึกนั้นสำคัญอย่างมาก เพราะมันจะกลายมาเป็นรากฐานที่ส่งผลต่อการฝึกในอนาคตด้วย ดังนั้นแล้วมันคงจะดีกว่าถ้าเจียงฉือน้อยไม่ฝึกด้วยวิธีนี้

“ท่านพี่ อย่าเศร้าไปเลย ข้าจะช่วยหาวิชาปราณที่เหมาะสมให้กับท่านเอง” โจวฉวนจีพยายามปลอบใจเธอ แต่ด้วยความที่เขาสูงแค่หน้าท้องของเจียงฉือน้อยเท่านั้น มันจึงดูตลกเล็กน้อย

“ได้ งั้นข้าจะเชื่อเจ้านะ” เจียงฉือน้อยยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกลับมาฝึกด้วยดาบไม้ของเธอต่อ

และในตอนนี้ โจวฉวนจีก็ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนวรยุทธอย่างเป็นทางการแล้ว

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตัวเอง และคอยแนะนำเจียงฉือน้อยเกี่ยวกับวิชาดาบบ้างในบางครั้ง

ส่วนเจียงฉือน้อยก็คอยฝึกฝนอย่างหนักและสม่ำเสมอ โจวฉวนจีที่ไม่อยากจะทำลายความมุ่งมั่นของเธอจึงไม่ได้ห้ามเธอแต่อย่างใด

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

โจวฉวนจีก็ได้มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 2 แล้ว

ระดับรักษาปราณมีทั้งหมด 10 ขั้น ซึ่งระดับดังกล่าวเป็นก้าวแรกในการฝึกฝนวรยุทธสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ และหลังจากระดับรักษาปราณก็ยังมี ระดับสร้างรากฐาน ระดับบรรลุญาณ ระดับบัวภายใน ระดับผุดวิญญาณ ระดับราศีกำเนิด ระดับราศีคาดการณ์ ระดับขัดเกลาวิญญาณ เเละระดับนิพพาน

และราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวนั้นอยู่สูงยิ่งกว่าระดับบัวภายใน ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันช่างเป็นหนทางที่ยาวไกลยิ่งนัก

1 เดือนต่อมา

โจวฉวนจีก็ได้มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 3

3 เดือนต่อมา

โจวฉวนจีก็ได้มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 4

และ 5 เดือนต่อมา

โจวฉวนจีก็ได้มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 แล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกระดับที่สองของอาคมกายทองคำได้เสียที

จอมยุทธวัย 3 ขวบที่สามารถเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 ได้ ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เขาจะต้องถูกตามล่าเป็นแน่

และในเวลาเดียวกัน ความเข็งแรงทางด้านร่างกายของเขาตอนนี้มากถึง 3000 ปอนด์เลยทีเดียว

โจวฉวนจีสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณยาที่มี

และอีกส่วนต้องขอบคุณระบบยอดดาบในตำนานที่ช่วยรักษาเส้นเอ็นและกระดูกให้เขาอยู่เรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้น เด็กอายุ 3 ขวบแบบเขาก็คงจะทนผลกระทบจากปราณวิญญาณไม่ได้แน่ ๆ

แต่ในตอนนี้เขาจะยังไม่ฝึกระดับที่ 2 ของอาคมกายทองคำ เพราะตามที่จิตวิญญาณแห่งดาบได้บอกไว้ว่าเขายังเด็กเกินไป และการฝึกจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้าเขาเริ่มหลังจากที่อายุครบ 5 ปี

โจวฉวนจีก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้ทางลัดแต่อย่างใด จึงค่อย ๆ ปรับสมดุลพลังงานชีวิตของเขาต่อไป

และการใช้วิชาดาบกระเรียนขาวควบคู่กับพลังวิญญาณของเขาตอนนี้นั้นทรงพลังมาก เขาสามารถตัดต้นไม้ที่หนาถึง 20 เซนติเมตรจากระยะที่ไกลกว่า 5 เมตรได้อย่างง่ายดาย และเขายังสามารถฆ่าหมู่ป่าธรรมดาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้เช่นกัน

เขารู้สึกทึ่งที่เขาแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้

ในตอนนี้หน้าผาบนยอดเขาก็ได้กลายเป็นสถานที่ฝึกสำหรับเด็กทั้งสอง

และวันนี้ในตอนเที่ยง

“เป็นไปได้ยังไงกัน? ระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 เนี่ยนะ!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงประหลาดใจดังกระแทกหูโจวฉวนจีเข้ามา เขาจึงลืมตาขึ้นและมองไป ก่อนจะพบกับกั๋วไป่หลี่ที่กำลังขี่ดาบอยู่ ร่างกายของกั๋วไป่หลี่สั่นสะท้านในขณะที่มองไปยังโจวฉวนจีด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ

เจียงฉือน้อยเริ่มกังวลทันทีที่เห็นกั๋วไป่หลี่ เธอจึงรีบวิ่งไปอยู่ข้าง ๆ โจวฉวนจีทันที

โจวฉวนจีขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้า ๆ

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธระดับบัวภายในนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนี

ก่อนหน้านี้ กั๋วไป่หลี่ได้เป็นพยานของการสังหารจอมยุทธปีศาจด้วยการลอบโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นแล้วเขาจะไม่ลดการป้องกันลงอย่างแน่นอน

กั๋วไป่หลี่มองลงไปที่โจวฉวนจี ในขณะที่ใจของเขาก็เต็มไปด้วยความว้าวุ่น

ตั้งแต่ที่เขาหายจากการบาดเจ็บ เขาก็เริ่มตามหาตัวโจวฉวนจีไปทั่วทุกที่

และแล้วความพยายามของเขาก็ได้ผล! ในที่สุดเขาก็เจอ!

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 1 ปีก่อนเด็กคนนี้ยังไม่มีพลังวิญญาณเลยสักนิด…

แต่มาตอนนี้เขากลับเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 ได้ภายในปีเดียวเนี่ยนะ?

แล้วยังดาบนั่นอีก นั่นมันอะไรน่ะ?

นี่เขาเปลี่ยนดาบอย่างงั้นหรอ?

ตอนที่ 7 : 3 ปี กับอาคมกายทองคำ

หลังจากที่พึ่งได้สังหารจอมยุทธระดับบัวภายในไป โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ยังคงวิ่งหนีต่อไป

เพราะกลัวว่าจอมยุทธอีกคนที่เหลือจะมาตามไล่ล่าพวกเขา

และนั่นเป็นครั้งแรกที่โจวฉวนจีใช้ดาบมังกรสีชาดด้วยพลังเกือบทั้งหมด เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง และพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ

ยังไงซะคู่ต่อสู้ของเขาก็คือจอมยุทธระดับบัวภายใน เขาต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อทำให้ดาบของเขาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันส่งผลกระทบต่อภาระทางจิตใจมากเกินไป

หลังจากที่หนีไปได้กว่าครึ่งไมล์ เขาก็เกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่เจียงฉือน้อยจับเขาได้ทัน

“เจ้าน้องชายตัวน้อย ไหวรึเปล่า? อยากให้ข้าแบกเจ้าไว้บนหลังมั้ย?”

เจียงฉือน้อยถามด้วยความกังวล ใจเธอแทบสลายเมื่อต้องเห็นร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งอย่างสะโหลสะเหล

โจวฉวนจีโบกมือปัดก่อนจะพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ายังไหวอยู่”

แม้ว่าภายนอกจะเป็นแค่เด็ก 2 ขวบ แต่จิตวิญญาณภายในนั้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วเขาจะปล่อยให้เด็ก 6 ปีแบกเขาไปได้ยังไงกัน?

อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าขาของเจียงฉือน้อยสั่น เพราะงั้นเธอก็คงจะเหนื่อยมากเช่นกัน

และหลังจากที่พวกเขาเดินหน้าต่อไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร สุดท้ายโจวฉวนจีก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปก่อนจะนั่งลงและพักเหนื่อย

จอมยุทธปีศาจนั่นได้ตายไปแล้ว และกั๋วไป่หลี่ก็บาดเจ็บสาหัส ดังนั้นแล้วพวกเขาก็น่าจะปลอดภัยไปอีกสักพัก

เขาทำได้แค่ปลอบใจตัวเองด้วยการคิดแบบนั้น

และก็โชคดีที่กั๋วไป่หลี่ไม่ได้ไล่ตามพวกเขามา

หลังจากที่พวกเขาพักได้สักพัก ก็เริ่มออกเดินทางต่อไป

หลังจากนั้น 2 เดือนต่อมา

ในที่สุดทั้งคู่ก็หาที่ปักหลักได้เสียที

พวกเขายืนอยู่บนไหล่เขา เหนือขึ้นไปบนภูเขานั้นไร้ซึ่งต้นไม้ปกคลุม มีเพียงก้อนหินและวัชพืชมากมายปกคลุม และที่ตีนเขานั้นมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนงู ไล่ยาวไปตามเนินเขา และมีเพียงป่าไม้ที่ทอดยาวไปไกลถึงเส้นขอบฟ้า

โจวฉวนจีนำกระท่อมไม้ออกมาจากสุดยอดช่องเก็บของและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ พวกเรามาอาศัยอยู่ที่นี่กันเถอะ!”

เจียงฉือน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนเกือบล้ม แต่โชคดีที่เขาจับเธอได้ทัน

เป็นเพราะพวกเขาสามารถพึ่งพาจิตดาบกระเรียนขาวและดาบมังกรสีชาดได้ ทั้งสองจึงไม่ได้เจอกับอันตรายใด ๆ อีกทั้งยังสามารถล่าสัตว์ได้ด้วยในบางครั้ง

อีกทั้งหลังจากที่ผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ ดูเหมือนว่าโจวฉวนจีจะแข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อนนัก

จากนั้นเจียงฉือน้อยก็เริ่มจัดการทำความสะอาดบ้าน ส่วนโจวฉวนจีก็ออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ แต่ก็พยายามให้อยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นเจียงฉือน้อยได้

ภูเขาลูกนี้สูงเพียงไม่กี่ร้อยเมตรและหันหลังให้กับป่า เมื่อมองไปรอบ ๆ จากยอดเขานั้น สามารถเห็นเทือกเขาที่มีความสูงต่างกันมากมายทอดยาวต่อกันได้ และโชคดีที่ไม่พบร่องรอยของมนุษย์แต่อย่างใด

เจียงฉือน้อยรีบทำงานบ้านให้เสร็จ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นมาบนยอดเขาทันที

เธอรู้สึกตื่นเต้นไปหมด ก่อนจะจับมือน้องชายเอาไว้และพูดอย่างเร่งเร้ากับเขาว่า “เจ้าน้องชายตัวน้อย เจ้าสามารถสอนวิชาดาบให้ข้าได้แล้วใช่มั้ย?”

เจียงฉือน้อยมักกล่าวโทษตัวเองเสมอที่ให้โจวฉวนจีเป็นคนที่ปกป้องเธอ ดังนั้นแล้วเธอจึงอยากที่จะเรียนการใช้ดาบด้วย

แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีโอกาสได้เรียนเลยจนถึงตอนนี้

เขายิ้มแห้ง ๆ ให้ก่อนจะหยิบดาบไม้ออกมาจากสุดยอดช่องเก็บของ ระหว่างทางโจวฉวนจีแอบหยิบกิ่งไม้มาด้วย เพื่อที่จะได้เหลากิ่งไม้และเก็บไว้ให้เจียงฉือน้อยได้ใช้

แต่เมื่อจิตวิญญาณแห่งดาบวิเคราะห์ความสามารถในเส้นทางแห่งดาบของเจียงฉือน้อยให้ กลับพบว่าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น และเธอคงไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางแห่งดาบได้มากนัก ต่อให้จะใช้เวลาฝึกทั้งชีวิตก็ตาม

อย่างไรก็ตาม โจวฉวนจีก็วางแผนที่จะสอนวิชาดาบกระเรียนขาวให้เพื่อที่เจียงฉือน้อยจะได้เอาไว้ใช้ปกป้องตัวเอง

ตามพื้นฐานพรสวรรค์ของเจียงฉือน้อย อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีในการเรียนรู้วิชาดาบกระเรียนขาว

แต่โจวฉวนจีก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ในเมื่อเขาก็สามารถปกป้องเธอได้อยู่แล้ว

แม้ว่าเจียงฉือน้อยจะไม่ได้มีพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งดาบ แต่เธอก็เป็นเหมือนผู้ใหญ่ในแง่ของการใช้ชีวิต แค่มีเธออยู่ข้าง ๆ เขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว

เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นเจียงฉือน้อยคอยดูแลเขา ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้ม

โลกนี้มันช่างวิเศษซะจริง!

ถ้าเป็นในโลกก่อน การที่เด็กสาวอายุ 6 ปีจะมาเดินทางคนเดียวคงจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแย่แน่

บางทีอาจจะเป็นเพราะปราณวิญญาณที่เจียงฉือน้อยมีเลยทำให้เธอทำตัวเหมือนเด็กอายุ 10 ปี

และเป็นเวลานานก่อนจะถึงยามค่ำ ทั้งสองคนกินอาหารก่อนจะต่อด้วยการฝึกดาบ

การฝึกยังคงต่อเนื่องยาวถึง 4 ชั่วโมงจนกระทั่งพลบค่ำ

เจียงฉือน้อยเริ่มจำการเคลื่อนไหวได้ 7 ท่า แม้จะไม่ใช่พัฒนาที่มากอะไร แต่เธอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ อยู่ดี

ในขณะที่ยังมีแสงอาทิตย์อยู่บ้าง ทั้งสองก็เข้าไปในป่าเพื่อเก็บฟืนแห้ง

และเมื่อตกค่ำ พวกเขาก็นั่งลงหน้ากองไฟพลางจ้องมองไปยังท้องฟ้า

เจียงฉือน้อยประคองแก้มของเธอด้วยมือทั้งสองข้างและจ้องมองไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าน้องชายตัวน้อย พวกเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปงั้นหรอ?”

โจวฉวนจีตอบขณะที่กำลังกัดต้นขากระตายย่างอยู่ “ไม่ต้องกังวลหรอก ให้เวลาข้า 10 ปี หลังจากนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง พอถึงตอนนั้นจะได้ไม่มีใครกล้ามารังแกพวกเราอีก”

โจวฉวนจีจะได้รับดาบในตำนานทุกปีที่เขาโตขึ้นจากกาชาสุ่มดวง เพราะงั้นแล้ว 10 ปีหลังจากนั้นพลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน

จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่ แต่เพื่อไปยังวังหลวงของมหาจักวรรดิโจวเพื่อที่จะล้างแค้นให้ได้ด้วย!

“10 ปี…จริงหรอ?”

เจียงฉือน้อยถามพลางจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า ค่ำคืนนั้นมักปลุกความเหงาและความคิดข้างในของคนเสมอ เจียงฉือน้อยที่ทั้งต้องอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เด็ก แล้วยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อีก มันก็คงช่วยไม่ได้ที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้

“ใช่ แต่อาจจะน้อยกว่าน้อยด้วยซ้ำ” โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ

ช่างน่าเสียดายที่แม้จะมีสมบัติมากมายถูกเก็บไว้ในแหวนเก็บของและกระเป๋าเก็บของของจอมยุทธปีศาจนั่น แต่วิชาปราณพวกนั้นเป็นแบบปีศาจทั้งหมด และจิตวิญญาณแห่งดาบไม่อนุญาตให้เขาฝึกวิชาเหล่านั้นได้นอกเสียจากวิถีแห่งดาบ

แต่เขาก็ไม่ได้อยากที่จะสูญเสียจิตใจจากการฝึกวิชาเหล่านั้นเช่นกัน แต่เพราะงั้นแล้วเขาถึงยังไม่ได้เริ่มฝึกวรยุทธเลยจนถึงตอนนี้

โจวฉวนจียังคงหวังว่าเขาจะได้รับวิชาปราณ จะได้เริ่มฝึกฝนในเส้นทางแห่งจอมยุทธสักทีเมื่ออายุครบ 3 ปี

และเมื่อโจวฉวนจีเห็นว่าเจียงฉือน้อยเริ่มเศร้า เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง และเธอก็ลืมความเศร้าที่มีไปในทันที เสียงหัวเราะของเธอนั้นราวกับเสียงระฆังสีเงินที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองเริ่มอาศัยอยู่บนเนินเขาแห่งนี้

เพื่อเป็นการระลึกถึงสถานที่แห่งนี้ โจวฉวนจีจึงได้ตั้งชื่อที่แห่งนี้ว่า เนินเขาจักรพรรดิกระบี่

สัตว์ป่าแถวนี้นั้นดุร้าย และอาจกล่าวได้ว่ามันดุร้ายเทียบเท่ากับปีศาจเลยทีเดียว แต่โชคดีที่สัตว์ทั้งหมดนั้นมีระดับต่ำเทียบเท่าจอมยุทธระดับรักษาปราณเท่านั้น จึงเป็นการดีที่จะใช้ฝึกขั้นแรกของเส้นทางแห่งจอมยุทธ

ทั้งสองฝึกฝนดาบทุกวัน และออกล่าไปทั่วภูเขาและทุกพื้นที่ ชีวิตของพวกเขาจึงไม่น่าเบื่อเท่าไหร่นัก

และแล้วเวลาก็ผ่านไป

ในช่วงหนึ่งที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ ฝนตกหนักมากจนกระท่อมไม้นั้นถล่มลงมา เจียงฉือน้อยตกใจกลัวจนน้ำตาไหล โจวฉวนจีจึงใช้ตัวเขาปกป้องเธอไว้จากสายฝน ก่อนที่เขาจะพาเธอไปที่ถ้ำเพื่อใช้เป็นที่พักแทน และคอยปลอบเธออยู่เรื่อย ๆ

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจียงฉือน้อยก็เริ่มมองเขาเปลี่ยนไป จากน้องชายกลายเป็นคนที่พึ่งพาได้คนหนึ่ง

และหลังจากที่กระท่อมไม้ถล่มลงมาเพราะห่าฝน เขาจึงสร้างอีกหลังขึ้นมาใหม่

พายุเเบบนั้นไม่น่าจะได้เห็นอีกในหลายปี อีกอย่าง พวกเขาก็อาศัยอยู่ในที่เปิดโล่งด้วย ถ้าอยู่ในป่า ก็ไม่รู้ว่าจะเจอแมลงมีพิษหรือสัตว์ดุร้ายแบบไหนที่รออยู่ในความมืดและจ้องจะฆ่าพวกเขาด้วย

ครึ่งปีหลังจากนั้น

เมื่อรุ่งสางมาเยือน พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า แสงสาดส่องลงมาพาดผ่านภูเขาและป่าไม้ โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยกำลังฝึกกวัดแกว่งดาบกันอยู่

เจ้าชายที่เหินห่างจากบ้านนั้นส่วนใหญ่มักสอนดาบเจียงฉือน้อย เป็นเพราะเขาได้บรรลุวิชาดาบกระเรียนขาวแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกอีกต่อไป

“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 3 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”

จู่ ๆ เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นมาในใจ

โจวฉวนจีจึงชะงักมือขวาไว้ ก่อนจะหยุดฝึกทันที

ในสุดที่ก็มาแล้ว!

วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ในที่สุดสิ่งที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง

“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงฉือน้อยถามอย่างสับสน เธอคิดว่าเขารู้สึกไม่ดีหรืออะไร

โจวฉวนจีโบกมือและพูดว่า “เจ้าฝึกต่อก่อนเลย เดี๋ยวข้าขอไปคิดเกี่ยวกับวิธีสอนเจ้าในอนาคตก่อนนะ!”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็หมุนตัวไปรอบ ๆ

“อมิตพุทธ พระเจ้าช่วยลูกด้วย ได้โปรดขอให้รอบนี้เป็นวิชาปราณวรยุทธทีเถอะ!”

โจวฉวนจีภาวนาภายในใจ แม้ว่าดาบมังกรสีชาดจะทรงพลังแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่หากไม่มีพลังวิญญาณ

“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบคลื่นเหมันต์ อาคมกายทองคำ และยาเสริมพลังวัวป่า”

เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นอีกครั้ง และเขาก็ตะลึงเล็กน้อย

โจวฉวนจีไม่ได้สนใจดาบคลื่นเหมันต์ที่มีระดับต่ำกว่าดาบมังกรสีชาดสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับยาเสริมพลังวัวป่า

แต่เขากลับสนใจอาคมกายทองคำ

ตามชื่อแล้วมัน…

อะไรเนี่ย!

นี่มันวิชาปราณที่ฝึกผ่านร่างกายไม่ใช่หรอ?

ที่เขาต้องการมันวิชาปราณสำหรับวิถีแห่งดาบนะ!

ตอนที่ 6 : สังหารจอมยุทธระดับบัวภายใน

หลังจากที่พวกเขาเก็บกระท่อมไม้แล้ว โจวฉวนจีก็ไปที่ห้องครัวเพื่อเก็บกระทะ ชาม หม้อ และอาหาร

เจียงฉือน้อยดูตื่นเต้นมากตลอดการเก็บของนั้น

เธอดูสนุกและตื่นเต้นมากจากการที่เห็นน้องชายของเธอใช้คาถาเป็น

เจียงฉือน้อยเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับจอมยุทธถูกเล่าขานภายในหมู่บ้านลำธารขจีเช่นกัน

ดังนั้นแล้วน้องชายของเธอก็น่าจะเป็นจอมยุทธเหมือนกัน!

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงดูน่ารักและแตกต่างกับเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง เขาก็เหมือนกับดอกบัวใต้น้ำที่รอวันเติบใหญ่

หลังจากที่เก็บของทุกอย่างเสร็จ พวกเขาก็เดินอ้อมเลี่ยงศพก่อนจะเดินไปยังด้านหลังภูเขา

หมู่บ้านลำธารขจีนั้นตั้งอยู่บริเวณไหล่เขา และถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีรวมถึงแม่น้ำหลากสาย และเป็นเพียงหมู่บ้านเดียวภายในรัศมี 15 ไมล์นี้

อย่างไรก็ตาม ทิศทางที่โจวฉวนจีกำลังมุ่งหน้าไปนั้นห่างออกไปจากหมู่บ้านและตัวเมือง

ในตอนนี้เขาสามารถอยู่ได้โดยพึ่งพาดาบมังกรสีชาด และไม่ต้องหวาดกลัวตระกูลฝางแต่อย่างใด แต่ก็ยังกังวลอยู่ว่าอาจจะปัญหาใหญ่ตามมา

นั่นเพราะเขารู้ว่านักรบในมหาจักรวรรดิโจวนั้นน่ากลัวแค่ไหน พวกเขาสามารถยกภูเขาแหวกทะเลได้อย่างง่ายดาย

และจะน่ากลัวยิ่งกว่านั้นหากเขาถูกคนของราชินีจักรวรรดิโจวเจอตัวเข้า

ทุกวันนี้โจวฉวนจียังมีชีวิตรอดมาได้แม้จะผ่านอันตรายมามากมาย เพราะงั้นแล้วเขาก็ไม่อยากที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพราะความประมาทเช่นกัน

บางทีถ้ารอจนกว่าจะกลายเป็นผู้ใหญ่…

ไม่สิ!

ขอเวลาสัก 10 ปี อาจจะมากพอให้สามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ หรืออย่างน้อยก็พอที่จะปกป้องตัวเองได้

และหลังจากที่เริ่มเข้าป่า เขาก็นำดาบมังกรสีชาดออกมาเผื่อเอาไว้

มือขวาของเขากำดาบแน่น ในขณะที่มือซ้ายจับมือของเจียงฉือน้อยไว้ เงาเล็ก ๆ ทั้งสองค่อย ๆ เดินลึกหายเข้าไปในภูเขา

ตั้งแต่เกิดมา เจียงฉือน้อยยังไม่เคยออกมาไกลจากหมู่บ้านลำธารขจีเลย เธอรู้สึกกังวลมาก แต่ก็โชคดีที่ยังมีโจวฉวนจีคอยอยู่ข้าง ๆ ทำให้เธออุ่นใจ

และพวกเขายังคงเดินทางต่อเนื่องไปอีก 3 วัน

ในตอนดึก พวกเขาจะผลัดกันนอน และในตอนกลางวันที่เดินทาง โจวฉวนจีจะขอให้จิตวิญญาณแห่งดาบคอยเฝ้าระวังให้เผื่อเจออะไรระหว่างทาง

ทั้งสองได้เจอกับสัตว์นักล่าบ้าง เช่น เสือ หรือหมาป่า แต่ก็ไม่ได้อันตรายพอที่จะทำร้ายพวกเขาได้

เพราะนอกจากดาบมังกรสีชาดที่อยู่ในมือเขาแล้ว โจวฉวนจีก็ยังเป็นจ้าวกระบี่ที่บรรลุจิตแห่งดาบด้วย ถึงแม้เขาจะอายุเพียง 2 ขวบก็ตาม

จนในที่สุด พวกเขาก็พ้นอาณาเขตของหมู่บ้านลำธารขจีได้ภายใน 3 วัน

และในวันหนึ่งพวกเขาก็ได้เดินมาถึงขอบหน้าผา ที่ซึ่งมีน้ำตกไหลลงมาตามหน้าผา และมันดูน่ากลัวมาก ๆ

ในตอนที่ยืนอยู่บนขอบหน้าผานั้น เมื่อมองไปไกลออกไป สิ่งเดียวที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้านั้นคือ ทั้งคู่หลงทาง

หน้าผาที่ยืนอยู่นั้นถูกล้อมรอบไปด้วยป่า และมีเทือกเขาอันกว้างใหญ่ตัดผ่านภูมิประเทศซึ่งอยู่ข้างหน้าพวกเขาไปไกล 1000 เมตร

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มี 2 เงาลอยพาดผ่านพื้นที่เหนือป่า

หนึ่งในนั้นเป็นชายชราสวมผ้าคลุมสีน้ำเงิน ส่วนอีกคนเป็นชายสวมชุดสีดำ

พวกเขาลอยอยู่บนอากาศโดยไม่สนกฎแรงโน้มถ่วงใด ๆ และดูท่าจะอยู่ระหว่างการต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ชายชราในชุดน้ำเงินนั้นมีผมสีเงินและใบหน้าที่อ่อนเยาว์ เขาถือดาบเอาไว้ในมือและมีท่าทางราวกับเป็นปราชญ์เซียนเทพผู้ซึ่งได้บรรลุหนทางแล้ว

ส่วนชายหนุ่มอีกคนผมยาวใส่ชุดสีดำดูกระเซอะกระเซิงมาก ใบหน้าของเขาดูดุร้ายและมีควันสีดำรายล้อมรอบตัว เขาถือดาบโค้งสองเล่ม ท่าทางราวกับปีศาจร้าย

มองจากระยะไกลแล้วราวกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม คาถาทุกประเภทถูกร่ายอย่างต่อเนื่องและถล่มทั่วผืนป่า กวาดล้างสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

นั่นมันจอมยุทธหนิ!

หัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ และเจียงฉือน้อยก็สั่นกลัวเช่นกัน

จอมยุทธที่จะสามารถบินบนอากาศได้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับบัวภายในแล้ว

ในขณะที่โจวฉวนจีนั้นยังไม่แม้แต่จะเข้าสู่ระดับรักษาปราณเลยสักนิด ต่อให้จะมีดาบมังกรสีชาดอยู่ แต่ก็ไม่มากพอจะสู้กับจอมยุทธที่อยู่ในระดับบรรลุญาณได้ นับประสาอะไรกับผู้ที่อยู่ระดับบัวภายในแล้ว

เขาดึงเจียงฉือน้อยหันกลับและวิ่งหนีให้ห่างจากพวกเขาทันทีโดยไม่ลังเลใด ๆ

ทั้งสองไม่พูดอะไรขณะที่วิ่งหนี พวกเขาต้องรีบหายเข้าไปในป่าให้ได้เร็วที่สุด

และพวกเขาก็หยุดลงหลังจากที่วิ่งหนีมาได้ 2 ชั่วโมง

สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ แบบพวกเขาแล้ว การที่วิ่งนานขนาดนี้ก็แทบจะทำให้ขาของพวกเขาหักเลยทีเดียว

“ท่านพี่ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เขาถามขณะที่หายใจเหนื่อยหอบ

ระหว่างที่พวกเขาเดินทาง เจียงฉือน้อยไม่ได้ร้องหรือบ่นเลยสักครั้ง แต่ก็มีหลายครั้งที่เด็กสาวตัวน้อยเกือบจะเป็นลม ถ้าเขาไม่หยุดซะก่อน

“ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว”

เจียงฉือน้อยปาดเหงื่อออก และตอบคำถามในขณะที่หายใจถี่

โจวฉวนจีมองและรู้สึกผิดกับเธอ เขาจึงหยิบขวดน้ำออกมาจากสุดยอดช่องเก็บของก่อนจะเอาให้เธอ

ถึงแม้เขาจะเรียกเธอว่าพี่สาว แต่ภายในใจ เจียงฉือน้อยก็เป็นเหมือนกับน้องสาวของเขา

ทั้งสองคนหยุดพัก และพยายามพูดเสียงเบา เพื่อไม่ให้จอมยุทธทั้งสองเจอพวกเขา

พวกเขากันพักอยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะลุกขึ้น

โจวฉวนจีเก็บดาบมังกรสีชาดเข้าไปในสุดยอดช่องเก็บของ และตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความโซซัดโซเซ แต่ยังคงประคองกันและกันอย่างมั่นคง

แต่จากนั้นไม่นาน

ตู้ม!

ร่าง ๆ หนึ่งร่วงลงมากจากฟากฟ้า และกระแทกลงสู่ผืนดินต่อหน้าพวกเขาอย่างแรง ใบไม้นับไม่ถ้วนถูกกวาดออกและพัดปลิวไปกับสายลม ต้นไม้รอบข้างสั่นไหวจากแรงสะเทือนที่เกิดขึ้น

เจียงฉือน้อยและโจวฉวนจีต่างสั่นกลัว พวกเขามองไปข้างหน้าและรู้สึกหวาดกลัว

คน ๆ นั้นคือชายชราในชุดน้ำเงินที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้!

เขานอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า และทั้งตัวท่วมไปด้วยเลือด ความเจ็บปวดแสนสาหัสแสดงออกมาทางสีหน้าของเขา

ทั้งคู่ยืนตัวแข็งไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นเขา

สถานการณ์เลวร้ายยังไม่จบ!

“แม่งเอ้ย ดวงจะซวยอะไรขนาดนี้เนี่ย!”

โจวฉวนจีทำได้แต่สาปแช่งภายในใจ เขาจับเจียงฉือน้อยไว้และรีบหันหลังกลับทันที

แต่เมื่อเขาหันกลับไป ก็พบกับชายที่ราวกับอสูรเดินเข้ามาพร้อมกับถือดาบสองเล่มที่ชุ่มไปด้วยเลือด

“กั๋วไป่หลี่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เก่งขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมานะ”

ชายชุดดำระเบิดหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนเย็นชา และเดินตรงไปข้างหน้าหาชายชราในชุดน้ำเงิน

โจวฉวนจีตัวสั่นในขณะที่ดึงเจียงฉือไปไว้ข้างหลัง ก่อนจะก้าวถอยอย่างระมัดระวัง

ชายชุดดำเดินผ่านหน้าพวกเขาไป และระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นน้อยกว่า 2 เมตร

“เกิดอะไรขึ้น…ทำไมขาข้ามันไม่ขยับ…ข้าวิ่งไม่ได้…” เขาคิดและรู้สึกกังวล

เขาไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“มันคือจิตสังหารของชายคนนั้น ศัตรูตั้งใจจะฆ่าท่าน เขาจึงกักขังท่านไว้ด้วยจิตสังหาร” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบภายในใจ

โจวฉวนจีกำมือซ้ายแน่นเมื่อได้ยินแบบนั้น

เขาจะฆ่าพวกเรา!

พวกเราเป็นแค่เด็กเองนะ!

“กั๋วไป่หลี่ เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียมั้ย?”

ชายชุดดำกล่าวและหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันน่าพรั่นพรึง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

เขาเมินโจวฉวนจีและเจียงฉือ แต่ตั้งใจจะสังหารพวกเขาทันทีที่กำจัดกั๋วไป่หลี่ได้

กั๋วไป่หลี่พยายามที่จะลุกขึ้นแต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะเส้นเอ็นและกระดูกของเขาหักทั้งหมด

“เด็กพวกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ…” กั๋วไป่หลี่พูดทั้งกัดฟัน

กั๋วไป่หลี่นั้นได้ยอมแพ้ไปแล้ว แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกับชะตากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้

“ฮะฮะฮ่า! ก่อนจะพูดถึงคนอื่น หักดูตัวเจ้าเองก่อน…”

ชายชุดดำพูดเยาะเย้ยเขา แต่ในขณะที่กำลังพูดนั้น ดาบมังกรสีชาดก็แทงเข้าที่หัวเขาทันที เลือดได้สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น

จอมยุทธระดับบัวภายในตายแล้ว!

กั๋วไป่หลี่เบิกตากว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

และเจียงฉือน้อยก็ตกใจมากเช่นกันเมื่อได้เห็นฉากที่น่าสะพรึง

ดาบมังกรสีชาดลอยกลับมาอยู่ในมือของโจวฉวนจี

“จิตวิญญาณแห่งดาบ เขาตายหรือยัง?” โจวฉวนจีถามภายในใจ จอมยุทธระดับบัวภายในอาจจะไม่ตายง่าย ๆ ก็ได้

“เขาได้สิ้นชีวิตแล้ว และไม่อาจจะตายได้มากกว่านี้”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบของจิตวิญญาณแห่งดาบ เขาก็วิ่งเข้าไปหาชายชุดดำและค้นทั่วร่าง

ก่อนจะเจอกับกระเป๋าเก็บของและแหวนเก็บของ

จากนั้นเขาก็ดึงเจียงฉือน้อยไปกับเขาและจากไปทันที

“เดี๋ยวก่อน!”

กั๋วไป่หลี่ตะโกนขึ้นทันที แต่โจวฉวนจีไม่ได้หันกลับไปและหายเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว

จากนั้นไม่นาน กั๋วไป่หลี่ก็รู้สึกสับสนและบ่นพึมพำกับตนเอง “อัจฉริยะที่อยู่อันดับต้น ๆ ของมหาจักรวรรดิโจวมาตายแบบนี้..”

“ด้วยน้ำมือของเด็กที่อายุแค่ 2-3 ขวบน่ะหรอ”

แม้ว่ากั๋วไป่หลี่จะรอบรู้และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมาย แต่เขาก็ยังคงรู้สึกสับสน โลกทัศน์ที่เขาเคยเห็นได้แตกเป็นเสี่ยงๆ

ความเฉียบขาดในการโจมตีนั้นทำให้เขาสั่นสะท้าน

แต่สิ่งที่เขาสงสัยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

โจวฉวนจีไม่ได้โจมตีเขา ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี

ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

ทำไมจู่ ๆ เจ้าเด็กนั่นถึงมาช่วยข้าก่อนที่จะจากไปเเบบนั้นกัน?

กั๋วไป่หลี่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ถ้าหากมีปีศาจปรากฎตัวขึ้นมา มันคงจะเป็นจุดจบของเขาแน่ ๆ

ตอนที่ 5 : 4 เมืองลี้ลับ

“จะเกินไปแล้วนะ เจียงฉือเป็นแค่เด็ก 6 ขวบเองนะ!”

“ใช่! เจ้าต้องการอะไรถึงได้รังแกเด็กแบบนี้?”

“ถ้าเจ้าเก่งจริงก็ไปหายัยแก่บ้านั่นเองสิ!”

“นี่เจ้ามีหน้ามาเก็บหนี้กับเด็กได้ยังไงกัน?”

ชาวบ้านเริ่มโหวกเหวกโวยวายกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าไล่หญิงวัยกลางคนคนนั้นออกไป

หญิงนางนี้มีชื่อว่า เฉินฮัว นางเป็นญาติกับตระกูลที่มีทั้งอำนาจและร่ำรวย ดังนั้นการที่จะทำอะไรกับนางก็จะส่งผลต่อความไม่พอใจของตระกูลนั้นด้วย

เฉินฮัวรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินความเห็นของพวกเขาจึงคำรามกลับไป “การจ่ายหนี้มันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลไม่ใช่รึไง ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดีก็ไปคุยกับตระกูลฝางเองซะไป!”

ตระกูลฝาง!

เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญในวรยุทธเป็นพิเศษจาก 4 เมืองลี้ลับ และคอยควบคุมการค้าประเวณีภายในเมือง แม้แต่ท่านเจ้าเมืองก็ไม่กล้าที่จะแหยมกับพวกมัน

มีหมู่บ้านอย่างน้อย 30 หมู่บ้านเหมือนลำธารขจีที่ต้องคอยพึ่งพา 4 เมืองลี้ลับ ถ้าพวกเขาไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกมัน ตระกูลฝางก็สามารถตัดเส้นทางการค้ากับหมู่บ้านอื่น ๆ ได้ด้วยคำสั่งเดียวเท่านั้น

ถึงแม้เฉินฮัวจะไม่ใช่เชื้อสายโดยตรงและไม่ได้ถูกพูดถึงภายในตระกูลมากนัก แต่ตระกูลฝางก็ยังมีอิทธิพลมากอยู่ดี

ชายร่างโตสองคนยืนอยู่หลังเฉินฮัวก็เป็นจอมยุทธเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะพึ่งเข้าสู่ขั้นระดับรักษาปราณ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่ดี

แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้พวกชาวบ้านรู้สึกกดดันอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว

เจียงฉือน้อยเดินออกมาจากกระท่อม

ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความกลัว แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าซ่องคืออะไร แต่ผู้หญิงทั้งหมู่บ้านบอกว่ามันเหมือนกับนรก เมื่อเข้าไปครั้งหนึ่งแล้วจะไม่มีทางออกมาได้อีก

เธอห้ามไม่ให้โจวฉวนจีออกมาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวพันด้วย

“อีกสักพักคุณยายก็จะกลับมาแล้ว…นางไม่ได้ทิ้งข้าเอาไว้หรอก…ได้โปรด…” เจียงฉือน้อยพูดอย่างระมัดระวังด้วยท่าทางที่เหมือนกระต่ายน้อยกำลังสั่นกลัว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะได้อ้อนวอนจบ เฉินฮัวก็ขัดขึ้นอย่างหยาบคายและตำหนิเธอ “ข้าให้เวลาเจ้าไปตั้ง 3 เดือนแล้ว! เจ้าคิดว่าอ้อนวอนต่อพระโพธิสัตว์แล้วท่านจะช่วยรึไง? พาตัวนางไป! ถ้านางต่อต้านก็หักขานางซะ!”

“ได้ครับ นายหญิง!”

ชายแข็งแรงคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังนางเดินไปหาเจียงฉือน้อย

“อ๊าาา——”

เจียงฉือน้อยกลัวมากเสียจนเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว และเกือบจะสะดุดล้มลงกับพื้น ยังไงเธอเป็นแค่เด็กอายุ 6 ปีเท่านั้น

แต่ก่อนที่เธอจะล้มลง โจวฉวนจีก็เข้ามาพยุงเธอไว้

เขาพยุงเธอขึ้นมาก่อนจะดึงเธอไปข้างหลัง เขาจ้องไปทางเฉินฮัวและเยาะเย้ยนาง “ยัยแก่อ้วน! มันเป็นเรื่องจริงสินะที่รูปลักษณ์ภายนอกมักสะท้อนออกมาจากจิตใจน่ะ เพราะที่เจ้าน่าเกลียดขนาดนี้มันก็มาจากจิตใจที่เลวทรามของเจ้านั่นแหละ!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายร่างแกร่งก็ตกใจก่อนจะหยุดเดินมาข้างหน้า

สีหน้าของเฉินฮัวเปลี่ยนไปอย่างมาก และชาวบ้านก็ตกตะลึงเช่นกัน

คำพูดแบบนี้มาจากเด็ก 2 ขวบจริง ๆ น่ะหรอ?

“ฆ่าไอเด็กนี่ซะ!”

เฉินฮัวกรีดร้องอย่างสุดเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวที่สั่นสะท้านไปทั่วร่างกายของนาง

เมื่อได้ยินคำสั่ง ชายร่างแกร่งก็เดินไปทางเขาทันที

โจวฉวนจีหัวเราะอย่างไม่แยแส ก่อนที่ดาบมังกรสีชาดจะปรากฎขึ้นต่อหน้าโดยที่ปลายดาบชี้ไปยังศัตรู

สวบ!

ฟึบ!

ดาบมังกรสีชาดแทงทะลุอกของชายร่างแกร่งไปจนถึงอกของเฉินฮัว

แค่ดาบเดียว คร่าไปถึง 2 ชีวิต!

ชายร่างแกร่งอีกคนที่เหลือนั้นตกใจกลัวอย่างมาก ก่อนจะรีบวิ่งหนีทันที

โอ้——

ชาวบ้านทุกคนก้าวถอยหลังด้วยความกลัว และใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

ดาบมังกรสีชาดพุ่งตรงไปยังชายร่างแกร่งที่กำลังพยายามหลบหนีอย่างรวดเร็ว และตัดหัวของเขาออกทันที

หลังจากที่เขากลับชาติมาเกิดอีกครั้ง เขาก็โดนราชินีคอยไล่ล่าจะฆ่าเขาให้ตายให้ได้ ทำให้ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีการกำจัดต้นตอปัญหาเสียที เลือดต้องล้างด้วยเลือด!

ถึงแม้เขาจะไม่มีพลังวิญญาณ แต่เขาก็สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดาบมังกรสีชาดได้ และสามารถควบคุมมันให้โจมตีได้ตามที่เขาต้องการ

ความเร็วของดาบในตำนานระดับเงินนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ลูกสมุนที่พึ่งจะเข้าสู่ระดับรักษาปราณจะสามารถต่อก่อนด้วยได้

และนี่เป็นครั้งแรกที่เจียงฉือน้อยเห็นคนตายต่อหน้า เธอจึงปิดตาด้วยความหวาดกลัว

โจวฉวนจีสูดลมหายใจเขาลึก ๆ ก่อนจะพูดบอกกับชาวบ้านว่า “พวกเจ้าทุกคน ถ้าไม่อยากให้หมู่บ้านลำธารขจีต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้โปรดเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เอาไว้เป็นความลับด้วย”

ชาวบ้านมองโจวฉวนจีด้วยความหวาดกลัวพลางก้าวถอยหลัง และไม่มีใครขานตอบเขาแต่อย่างใด

ปีศาจ!

เขาต้องเป็นปีศาจงแน่ ๆ!

เขากล้าที่จะฆ่าใครสักคนได้แม้จะอายุแค่ 2 ขวบ มันช่างแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอก และความน่ารักที่พวกเขาเห็นยิ่งนัก

และยังดาบนั่นอีก มันคือดาบที่ชั่วร้าย ดาบปีศาจ!

เมื่อโจวฉวนจีเห็นท่าทางของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความหน่ายใจ

เขาเดินไปทางศพทั้ง 3 ก่อนจะค้นของในตัวพวกเขา

และเจอกับกระเป๋าที่ใส่เหรียญ 3 เหรียญ โจวฉวนจีจึงเอามันใส่ลงในสุดยอดช่องเก็บของ

หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่บ้านลำธารขจีได้อีกต่อไปแล้ว

แต่คนเราสามารถเดินทางรอบโลกได้ง่าย ๆ ขอเพียงแค่มีเงินเท่านั้น

“เจ้าพอจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้มั้ย?” โจวฉวนจีถาม

ชาวบ้านที่ได้ยินเขาก็เริ่มหนีด้วยความตกใจ

เขาถอนหายใจ ดาบมังกรสีชาดบินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะหายไป และก่อนที่จะเดินจากไป เขาก็หันหลังกลับมาและเดินไปหาเจียงฉือน้อย

เจียงฉือน้อยแง้มนิ้วของเธอออกและมองผ่านระหว่างซอกนิ้วนั้น เมื่อเธอเห็นว่าโจวฉวนจีเดินมาทางเธอ ก็รีบกอดเขาไว้และร้องไห้เสียงดัง

เขาตบหลังเธอเบา ๆ ก่อนจะพูดปลอบเธอว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่ตรงนี้นะ”

โจวฉวนจีนึกว่าหลังจากที่เธอเห็นเขาฆ่าคนไป เธอจะตีตัวออกห่างเขา แต่ช่างน่าแปลกใจที่เธอกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

จิตใจของเขาสั่นไหว

ในใจของเจียงฉือน้อย โจวฉวนจีนั้นถือว่าเป็นน้องชายของเธอแล้ว

เจียงฉือน้อยใจเย็นลงหลังจากที่ถูกปลอบ

เธอถามเขาอย่างประหม่า “เจ้าน้องชาย เจ้าฆ่าพวกเขาไป พวกทหารจากรัฐบาลจะต้องมาตามจับตัวเจ้าแน่”

ทหารจากรัฐบาล?

เขาระเบิดหัวเราะออกมา

ถึงแม้มหาจักรวรรดิโจวจะคอยควบคุมทั้ง 10 อาณาจักร และอาณาจักรเหล่านั้นก็คอยควบคุมเมือง อีกทั้งเมืองและหมู่บ้านจำนวนมากมายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองเหล่านั้น แต่ทหารของรัฐบาลก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรขนาดนั้น

โดยเฉพาะบริเวณเขตชายแดน

ยังไงซะนี่มันก็โลกแห่งจอมยุทธ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะได้ครองอำนาจสูงสุด

ตราบเท่าที่เขายังคงแข็งแกร่ง ก็จะมีองค์กรที่ทรงพลังมากมายต้องการตัวเขาโดยไม่สนว่าเขาจะทำชั่วอะไรมาอยู่ดี

ตรงข้ามกับโลกก่อนโดยสิ้นเชิง โลกนี้มันช่างไร้ความปราณี

“ตอนนี้พวกเราต้องหนีแล้ว เจ้าจะมากับข้ามั้ย?” โจวฉวนจีถามอย่างจริงจัง

สำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการมีชีวิตอยู่ และเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแน่นอน

แต่กว่าเขาจะสามารถผจญภัยไปยังที่ ๆ มีคนมากได้ ก็เมื่อเขาแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้วเท่านั้น

“พวกเรากำลังจะหนีหรอ? แล้วถ้าคุณยายกลับมา…”

เจียงฉือน้อยน้อยเกิดความลังเล ถึงแม้ยัยแก่บ้านั่นจะไม่ได้ดูแลเจียงฉือน้อยอย่างที่ควร แต่นางก็ยังเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวของเธออยู่ดี

ไม่สิ ยังมีคนในครอบครัวอยู่อีกตั้งคนนึงหนิ

โจวฉวนจีพูด “ท่านพี่ ถ้าพวกเราไม่หนี แล้วเกิดถูกจับได้ขึ้นมา ไม่ใช่ว่านั่นจะสร้างปัญหาให้คุณยายมากกว่าเดิมหรอ? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า นางจะเสียใจแค่ไหนกันล่ะ?”

เขายิ้มออกมา แต่ภายในใจกลับรู้สึกโกรธแค้นยัยแก่บ้านั่นมาก

โจวฉวนจีอาจจะมีความสุขกับวัยเด็กของเขาที่ได้อยู่หมู่บ้านลำธารขจี แต่ตอนนี้กลับต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหา ซึ่งก็แน่นอน มันเป็นเพราะปัญหามากมายที่ยัยแก่บ้านั่นทิ้งเอาไว้ให้ยังไงล่ะ!

เมื่อคิดถึงเจียงฉือน้อยที่มักบ่นพึมพำถึงความฝันเกี่ยวกับยัยแก่บ้าของเธอ มันก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากกว่าเดิม

ยัยแก่นี่มันก็น่ารังเกียจพอ ๆ กับจักรพรรดิเหยียนแห่งโจวนั่นแหละ!

เจียงฉือน้อยคิดก่อนจะพยักหน้าตอบ “งั้นขอเวลาข้าแปปนึงนะ ขอไปเก็บข้าวของก่อน”

หลังจากที่เธอพูดจบก็กลับเข้ากระท่อมไป โดยพยายามไม่มองศพทั้ง 3 ร่างนั้น

“จิตวิญญาณแห่งดาบ ข้าสามารถใส่บ้านทั้งหลังลงในสุดยอดช่องเก็บของได้มั้ย?”

โจวฉวนจีจ้องมองไปทางกระท่อมที่เขาเคยอาศัยอยู่และถาม

เขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่า 3 เดือน และเริ่มรู้สึกผูกพันกับกระท่อมหลังนี้

หลังจากนี้ เขาวางแผนจะซ่อนตัวอยู่บนภูเขาสัก 2-3 ปี และจะดีมากถ้าพวกเขามีบ้านให้อยู่อาศัยได้

“ได้แน่นอน”

จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจมาก

“ท่านพี่! หยุดเก็บของก่อน! ออกมาเร็ว!”

โจวฉวนจีตะโกนลั่น เจียงฉือน้อยที่พึ่งเข้ากระท่อมไปจึงเดินออกมาอีกครั้งทันทีที่ได้ยิน

ด้วยความสงสัยเธอจึงถาม “ทำไมหรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเราควรหนีหรอ?”

เขาจับมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้และสั่งภายในใจ “จิตวิญญาณแห่งดาบ เก็บบ้าน!”

กระท่อมไม้หายวับไปกับตาต่อหน้าเจียงฉือน้อย ซึ่งมันทำให้เธอถึงกับตกใจ

“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้คาถาน่ะ ข้าเป็นคนเก็บบ้านไว้เอง”

ตอนที่ 4 : บรรลุจิตดาบกระเรียนขาว!

เด็กสาวที่มีอายุเพียง 6 ปีคนนี้ทั้งต้องอยู่ตัวคนเดียวและทำอาหารด้วยตัวเอง น่าสงสารจริง ๆ

ถ้าโจวฉวนจีไม่มีความทรงจำจากชาติที่แล้วหรือถ้าเขาเกิดเป็นเจียงฉือน้อยละก็ เขาก็อาจจะหิวตายไม่ก็กลัวจนเป็นบ้าตายไปแล้วแน่ ๆ

เมื่อคิดแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเคารพเธอและรู้สึกเสียใจให้กับเธอด้วย

เด็กสาวคนนี้จะต้องกลายเป็นคนที่วิเศษอย่างแน่นอน

หลังจากที่ทำโจ๊กเสร็จ เจียงฉือน้อยก็เป็นคนป้อนโจ๊กให้เขาพร้อมทั้งคอยช่วยเป่าโจ๊กให้เย็นพอที่จะกินได้

ต้องยอมรับเลยว่าโจ๊กที่เจียงฉือน้อยทำนั้นค่อนข้างดีทีเดียว ถึงแม้เขาจะคุ้นเคยกับอาหารจากงานเลี้ยงหรูหราภายในวัง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยอยู่ดี

บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาหิวมากเกินไปก็ได้

ยังไงเธอก็อายุแค่ 6 ปี เธอจะทำอาหารได้เก่งแค่ไหนกันเชียว

หลังจากที่เขากินโจ๊กเสร็จ ก็ยังมีเวลามากพอก่อนที่พระอาทิตย์จะตก เขาจึงกลับมาซ้อมดาบที่ลานหน้าบ้านอีกครั้ง

เขาหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาใช้แทนดาบ เพราะเขาไม่อยากประมาทเปิดเผยตัวตนให้ผู้อื่นมาเห็นดาบมังกรสีชาดที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน

ถึงแม้เขาจะเชื่อใจเจียงฉือน้อย แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีว่าอาจจะมีคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาจะเห็นเขาถือมันได้

เริ่มแรกเขาฝึกที่กระบวนท่าแรกของวิชาดาบกระเรียนขาวก่อน

และทันทีที่เขาเริ่มฝึกก็พบว่าแค่การเคลื่อนไหวก็ยากแล้ว

อีกอย่างคือเขายังอายุแค่ 2 ปีด้วย!

หลังจากที่เขาฝึกรอบแรกเสร็จ เขาก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

เมื่อเจียงฉือน้อยออกมาจากครัวและเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวของเขา เธอจึงถาม “เจ้าน้องชายตัวน้อย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ? กำลังฝึกวิธีแกว่งดาบอยู่หรอ?”

ทำไมเด็กสองขวบถึงต้องฝึกใช้ดาบด้วยล่ะ?

เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“ใช่ เพื่อที่ข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้เมื่อข้าฝึกจบ” โจวฉวนจีตอบตามปกติ นั่นทำให้เจียงฉือน้อยหัวเราะด้วยความดีใจ

เธอตอบ “งั้นก็ค่อย ๆ ฝึกไปละกัน อย่าบาดเจ็บล่ะ”

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็กลับเข้ากระท่อมเพื่อเตรียมเสื้อผ้าสองสามชุดให้เขา

โจวฉวนจียังคงฝึกต่อไป และหลังจากที่เขาฝึกวิชาดาบกระเรียนขาวกระบวนท่าแรกครบ 5 รอบ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาทั้งเบาและแข็งแรงขึ้น นี่มันสุดยอดจริง ๆ

หลังจากที่เขาฝึกครบ 10 รอบ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าเขาได้บรรลุแล้ว

เมื่อเขาใช้กระบวนท่ากระเรียนอีกครั้ง มันก็ง่ายยิ่งกว่าเดิม ราวกับเขาเป็นจ้าวกระบี่ที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี การร่ายร่ำและการตวัดดาบก็เร็วสุด ๆ

เขาเริ่มฝึกกระบวนท่าที่ 2 – กระเรียนสยายปีก

เขาฝึกได้เพียง 50 ครั้งจนถึงพลบค่ำ มันเหนื่อยมาก ๆ แต่เมื่อเขาต้องทำแบบเดิมถึง 50 ครั้ง ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง

เขาลองเหวี่ยงหมัดและรู้สึกว่ามันแรงสุด ๆ

“เมื่อเจ้าของดาบฝึกวิชาดาบสำเร็จ วิญญาณแห่งดาบจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายให้ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของดาบสามารถใช้วิชาดาบได้ง่ายยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของเจ้าของดาบนั้นเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่แล้ว” จิตวิญญาณแห่งดาบกล่าว

โจวฉวนจีรู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เด็กที่มีอายุแค่ 2 ปี แต่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ใหญ่หรอ นี่ฉันกำลังจะกลายเป็นเหมือนนาจางั้นหรอเนี่ย! (หมายเหตุ : เป็นตัวละครในตำนานจีนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษมาตั้งแต่เกิด)

ด้วยระบบยอดดาบในตำนาน เขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการฝึกอย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป

หลังจากนั้นเขาก็หยุดฝึก และไปช่วยเจียงฉือน้อยทำอาหารที่ห้องครัว

หลังจากที่ทานมื้อค่ำเสร็จ เขาก็เริ่มฝึกต่ออีกครั้ง

เขาเริ่มฝึกกระบวนท่าที่ 3 ของวิชาดาบกระเรียนขาวต่อ – กระเรียนวาดสวรรค์

เจียงฉือน้อยนั่งลงบนม้านั่งเล็ก ๆ ไม่ไกลนักและคอยเฝ้าดูเขาอย่างเงียบ ๆ

เธอนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเพราะรู้สึกว่าถ้ามีโจวฉวนจีอยู่รอบ ๆ เธอก็ไม่ต้องกลัวตอนกลางคืนอีกต่อไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เธอเกิดมา

แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์ของเธอแม้แต่น้อยเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการฝึก

จนกระทั่งตกดึก เขาก็ยังคงฝึกท่ากระเรียนวาดสวรรค์ต่อไปจนกว่าจะครบพันครั้ง

และเมื่อเขาฝึกจนครบพันครั้งได้สำเร็จ เขาก็รู้สึกถึงพลังงานประหลาดที่ไหลเวียนภายในร่างกายเขา

เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นอีกครั้ง และมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า

แข็งแรงเทียบเท่าผู้ชาย 2 คนเลย!

โจวฉวนจีไม่ได้แปลกใจอะไร กลับกัน เขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

เขาหลับตาลง กิ่งไม้ที่ถืออยู่บนมือขวานั้นใช้แทนดาบ ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวภายในพริบตาราวกับเป็นนกเรียนขาวที่ล่องลอยอย่างว่องไว กระโดดเพียงก้าวเดียวก็ไปไกลกว่าหลายเมตร และเขาก็ฟันกิ่งไม้เข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ลานหน้าบ้าน

แกร๊ก —

กิ่งไม้นั้นหัก แต่ก็ตัดลำต้นไม้ไปได้ลึกถึง 4 นิ้ว

เขาลืมตาขึ้นและรู้สึกตกใจ

เขาไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่น้อย แต่เขากลับมีพลังทำลายได้มากขนาดนี้แค่ใช้งานวิชาดาบกระเรียนขาวน่ะหรอ?

เขามองไปยังกิ่งไม้ที่หักครึ่งอยู่ในมือเขาและคิดกับตัวเอง

เมื่อเขาใช้ท่ากระเรียนวาดสวรรค์ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกับกิ่งไม้และมีบางอย่างห่อหุ้มตัวของเขาเอาไว้

รู้สึกดีจริง ๆ

จะเป็นไปได้มั้ยถ้า…

เขาลืมตาขึ้นและรู้สึกตะลึง

“ถูกต้อง ท่านได้บรรลุถึงจิตดาบกระเรียนขาว วิชาดาบทั้งหมดนั้นมีเจตจำนงเป็นของตนเอง เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านจะสามารถตัดภูเขาลูกเล็ก ๆ ด้วยดาบได้แม้จะไม่มีพลังวิญญาณเลยก็ตาม” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบทันที และโจวฉวนจีก็ตกอยู่ในความงุนงง

นี่เขาบรรลุจิตดาบได้แล้วงั้นเหรอ?

ตามที่เขาเข้าใจ มีจอมกระบี่จำนวนไม่มากนักที่สามารถบรรลุจิตดาบได้

ที่สำคัญที่สุดคือเขายังอายุแค่ 2 ปีเท่านั้น!

ระบบยอดดาบในตำนานนี่ต้องมีพลังมากกว่านี้แน่นอน!

ความพยายามของฉันตลอดทั้งคืนมันได้ผลจริงๆด้วย!

“เป็นเพราะเจ้าของดาบนั้นมีพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งดาบเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นลิขิตสวรรค์ตั้งแต่ถือกำเนิดโลกก็คงไม่เปลี่ยนเป็นระบบยอดดาบในตำนาน มันเป็นความบังเอิญอย่างมากที่วรยุทธที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุดนั้นคือเส้นทางแห่งดาบ!”

จิตวิญญาณแห่งดาบยังคงอธิบายต่อ และโจวฉวนจีก็เริ่มตระหนัก

เขานึกถึงพ่อในชีวิตนี้ของเขาทันที จักรพรรดิเหยียนแห่งโจว!

จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวนั้นประสบความสำเร็จในเส้นทางแห่งดาบมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายกองทหารนับล้านด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว และพลังนั่นก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักทั่วทั้งโลก

และก็จริงที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

เขาส่ายหัวก่อนจะหันหลังกลับ แล้วจากไป

เขาเห็นเพียงเจียงฉือน้อยที่หลับอยู่ข้างประตู ภายใต้แสงจันทร์นั้นใบหน้าน้อย ๆ กำลังหลับอย่างสงบ

“ยัยเด็กน้อยเอ้ย” เขาบ่นพึมพำ

เขาเดินไปที่ประตูและอุ้มเจียงฉือน้อยเข้าไปในกระท่อม

หลังจากที่ฝึกดาบมากทั้งวัน โจวฉวนจีก็รู้สึกเหนื่อยและผลอยหลับไปทันทีที่ถึงเตียง

ยังไงซะ เขาก็เป็นแค่เด็กอายุ 2 ปี

เช้าวันถัดมา เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของเจียงฉือน้อย เพราะเสื้อผ้าที่มีลูกไม้ลิ่มทองดูจะดึงดูดสายตามากไป

เจียงฉือน้อยพาเขาเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้จัก

หมู่บ้านลำธารขจีนั้นมีประมาณเพียง 20 ครัวเรือน และชายฉกรรจ์มีเพียง 23 คนเท่านั้น โดยปกติจะมีแค่ 5-6 คนที่คอยอยู่หมู่บ้านเพื่อป้องกันการโจมตีของปีศาจหรือกองโจร

ระหว่างที่เดินรอบหมู่บ้าน เขาเดินไปดูเสื้อผ้าใหม่ ๆ และเกือบสะดุดล้ม ซึ่งมันทำให้เขาดูน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ชาวบ้านจึงเริ่มชอบเขาอย่างรวดเร็ว

เจียงฉือน้อยได้บอกชาวบ้านเกี่ยวกับอดีตของเขา และนั่นยิ่งทำให้พวกชาวบ้านเห็นอกเห็นใจเขามากยิ่งขึ้น

ชาวบ้านในหมู่บ้านลำธารขจีนั้นเรียบง่าย ซื่อสัตย์ ใจดี และอัธยาศัยดี ซึ่งการมาของเขาก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธแต่อย่างใด

ภายในเจ็ดวัน ทุก ๆ คนในหมู่บ้านก็รู้จักโจวฉวนจี

ถึงแม้เขาจะสำเร็จวิชาดาบกระเรียนขาวแล้ว เขาก็ยังคงใช้เวลาในการฝึกฝนร่างกายทุกวัน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฝึกวิชาดาบอยู่บนภูเขา

ปีศาจนั้นค่อนข้างหาได้ยากในพื้นที่แถวนี้ ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ปีศาจนั้นแทบจะสูญพันธุ์ไปจากบริเวณนี้ ถึงแม้จะยังคงมีปีศาจบุกรุกทุกคืนพระจันทร์สีน้ำเงิน แต่ปรกติแล้วแถวนี้ก็จะปลอดภัย

ภายในพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึง 3 เดือน

และแล้ววันที่แขกไม่ได้รับเชิญก็มาถึง

หญิงวัยกลางคนที่มีรอยกระเต็มหน้าไปหมดเดินมาที่ลานหน้าบ้านพร้อมกับชายร่างกำยำ 2 คน หญิงคนนี้มีรูปร่างที่อวบ และแค่มองหน้าก็รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมใจดำ

เธอยืนถือพัดด้วยมือขวา ในขณะที่มืออีกข้างยืนเท้าสะเอว และก็ตะโกนขึ้นว่า “นี่ยัยสาวน้อย! ยายแก่ของเจ้ายังไม่กลับมาสักที เพราะงั้นเจ้าต้องมากับข้าเพื่อจ่ายหนี้ซะ!”

ชาวบ้านทั้งชายและหญิงกว่า 20 คนออกมานอกหมู่บ้านเพื่อยืนหยัดปกป้องเจียงฉือน้อย

ยังไงเสียพวกเขาก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน และพวกเขาทนไม่ได้ที่จะเห็นเจียงฉือน้อยโดนรังแก

ตอนที่ 3 : 1 ดาบ 1 ปี

เมื่อเด็กสาวตัวเล็กได้ยินเสียงนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา

โจวฉวนจีนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ ผิวของเขาจึงขาวและเนียนนุ่ม แม้กระทั่งใบหน้านั้นก็ยังงดงาม เมื่ออายุได้ 2 ขวบ เขาได้รับความรักมากมายจากผู้คนรอบข้าง ปกติแล้วเขามักจะทำตัวน่ารักและน่าสงสารกับผู้คนในวัง เหล่านางสนมทุกคนจึงรักและเอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก

เว้นเสียแต่องค์ราชินีเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่นางเห็นเขา นางมักจะแสดงสีหน้าที่รังเกียจอย่างสุดซึ้งออกมาให้เห็นเสมอ

เด็กสาวหยุดร้องไห้ทันทีที่เห็นหน้าเขา

“เจ้าตื่นแล้วหรอ?!” เธอร้องอย่างประหลาดใจ

เธอลืมเรื่องที่กำลังเสียใจในทันทีก่อนจะรินน้ำให้เขา

เธอเดินไปที่เตียงไม้พร้อมกับชามที่ถือในมือข้างหนึ่ง และอุ้มเขาด้วยมืออีกข้างก่อนจะป้อนน้ำให้

โจวฉวนจีดื่มน้ำหมดภายในครั้งเดียว รอบปากของเขาจึงเปียกไปหมด เขาพูดพลางหัวเราะ “พี่สาว เจ้าเก่งมาก”

เด็กสาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถาม “เจ้าชื่ออะไรหรอ?”

“ข้าโจวฉวนจี อายุ 2 ปี แล้วเจ้าล่ะ พี่สาว?” เขาพร้อมพลางยิ้มให้

เขาถามโดยไร้ซึ่งความกังวลว่านางจะสงสัยตั้งแต่ที่นางยังเป็นแค่เด็กสาวเท่านั้น

“โจวฉวนจี? ช่างเป็นชื่อที่แปลกซะจริง ข้าชื่อเจียงฉือ อายุ 6 ปีจ๊ะ” (หมายเหตุ : ตัวอักษรจีน “ฉวนจี” แปลได้ว่า เหตุการณ์ประหลาด)

เด็กสาวดูดนิ้วพลางพึมพำ

เขานั่งลงบนตักเธอ เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะถาม “เจ้าคือคนที่ช่วยข้าไว้ใช่มั้ย?”

“ใช่ ข้าเอง” เจียงฉือพยักหน้า “แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ?” เธอถาม “พวกเขาไม่ต้องการเจ้าแล้วหรอ?”

เขาตอบ “พวกเขาถูกปีศาจกินไปแล้ว”

แม่นางจาวฉวนก็ไม่น่าจะรอดแล้ว และยังจักรพรรดิ์เหยียนแห่งโจวอีก เขาคงตัดสินแล้วว่าโจวฉวนจีได้ตายไปแล้วเป็นแน่

เจียงฉือน้อยรู้สึกเห็นใจที่พ่อแม่ของเขาถูกปีศาจกิน แต่ก็ไม่ประหลาดใจนัก

ชาวบ้านมักจะโดนปีศาจกินระหว่างออกหาอาหารบ่อยครั้ง ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไร

เด็กทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน

โจวฉวนจีพบว่าเขาอยู่ในหมู่บ้านลำธารขจี ซึ่งตั้งอยู่แถวมุมขอบอาณาจักรเหมันต์แดนใต้

อาณาจักรเหมันต์แดนใต้นั้นอยู่ภายใต้การปกครองของมหาจักรวรรดิ์โจว

เจียงฉือไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่มาก่อน และเธออาศัยอยู่กับแค่คุณยายที่ตอนนี้อายุมากกว่า 60 ปีแล้ว

ไม่มีใครรู้ชื่อของคุณยายเธอ แต่ชาวบ้านเรียกนางว่า ยัยแก่บ้า

และเมื่อเธออายุได้ 5 ปี ยัยแก่บ้าก็มักจะออกจากบ้านและทิ้งให้เธออยู่คนเดียวบ่อย ๆ

ในตอนแรกเธอก็กลัวแต่ตอนนี้กลับชินซะแล้ว

แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเด็กในโลกนี้โตเร็วกว่าเด็กในโลกก่อนมาก

นอกจากนี้สิ่งที่ควรจะรู้ไว้คือ ยัยแก่บ้านั่นก็มักจะยืมเงินชาวบ้านไป แต่ไม่มีใครรู้ว่านางยืมไปเพื่ออะไร

และในตอนนี้นางก็ได้ทิ้งหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีทำไมถึงคนมาตามทวงหนี้เธอ

อีกทั้งพวกเขายังบอกว่าจะเอาเจียงฉือไปขายในซ่องราคาถูก

“พี่สาว ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้านับจากนี้ไปเอง”

เจียงฉือได้ช่วยชีวิตเขาไว้

เจียงฉือน้อยกอดเขาไว้พลางหัวเราะ แต่เธอไม่ได้ตอบในสิ่งที่เขาพูด และพึมพัมว่า “คุณยายก็หายไปตั้งครึ่งเดือนเเล้ว นางตั้งใจจะทิ้งข้าไว้ที่นี่จริง ๆ อย่างงั้นเหรอ”

โจวฉวนจีรู้สึกใจสลายเมื่อได้ยิน เขาตบหน้าตัวเองก่อนจะพูดพลางยิ้มว่า “คุณยายเจ้าได้จากไปแล้ว แต่ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่านี่คือเจตจำนงของสวรรค์หรอ ที่ทำให้ข้าได้มาอยู่กับเจ้าน่ะ”

เขานั้นไม่มีที่จะไปแล้ว ถ้าเขาเข้าไปอยู่ในเมืองก็คงจะถูกจับ ดังนั้นแล้วการอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาจึงน่าจะดีกว่า

เจียงฉือน้อยยิ้มกว้างให้กับสิ่งที่เขาพูด ก่อนที่เธอจะหยิกแก้มเขาเบาและหัวเราะอย่างขี้เล่น “ได้เลย! งั้นตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะเป็นน้องชายของข้านะ”

เธอไม่ได้เตรียมใจเรื่องโจวฉวนจีเลยเเม้เเต่น้อย เพราะเธอเองก็ยังเด็ก เเละเขาเองก็ยังเด็กเช่นกัน

“ท่านพี่”

โจวฉวนจีเรียกเธออย่างอ่อนโยน

ตอนที่เขาเห็นคนที่ช่วยเขามีความสุขมาก เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไป

ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักซะจริง

ทันใดนั้นท้องของเขาก็ร้องออกมา

“ท่านพี่ ข้าหิวจัง” เขาพูดพลางทำหน้ามุ่ย

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็เริ่มปิดปากหัวเราะ “งั้นข้าจะทำโจ๊กให้เจ้านะ”

เธอวางเขาลงหลังจากที่พูดจบและลุกออกจากเตียง

โจวฉวนจีก็ลุกออกจากเตียงด้วยเช่นกัน เขาอยากจะลองดูความสามารถของดาบมังกรสีชาด

เขาไปที่ลานหน้าบ้านและมองไปรอบ ๆ มันไม่ได้กว้างนักและมีหมากับไก่คอกหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีกระท่อมไม้อีก 3 หลัง โดยหนึ่งในนั้นใช้เป็นที่พักอาศัย อีกหลังใช้เป็นห้องครัว และสุดท้ายก็ห้องน้ำ

หลังจากที่เขาเห็นเจียงฉือเข้าไปในห้องครัว เขาก็แอบเดินไปข้างหลังกระท่อมไม้

จากข้างหลังกระท่อมไม้นั้นสามารถเห็นส่วนหนึ่งของภูเขาได้ และต้นไม้ที่ล้อมรอบที่นี่ทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นได้แน่นอน

โจวฉวนจีเริ่มคิดถึงสิ่งที่เขาต้องการและดาบมังกรสีชาดก็ปรากฎขึ้นบนมือเขา

ดาบมังกรสีชาดดูใหญ่มากเมื่ออยู่ในมือเขา แต่มันกลับเบาราวกับขนนก

เขาเหวี่ยงดาบไปที่กำแพงภูเขา

แกร๊ง ——

ดาบมังกรสีชาดสามารถตัดผ่านภูเขาได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังหั่นเต้าหู้ เขาสามารถตัดจากบนลงล่างได้โดยไม่ต้องออกแรงใด ๆ

เขากำลังรู้สึกสนุก

คมอะไรขนาดนี้!

พูดได้เลยว่ามันสามารถตัดเหล็กได้ง่ายราวกับตัดโคลนเลยทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้คือเขามีอายุเพียง 2 ปีเท่านั้น และเขาแทบจะไม่มีกำลังเลยสักนิด

เมื่อเขาคิดจบ เขาก็ตวัดดาบออกด้านข้างก่อนจะเก็บมัน

เขากลับไปที่ลานหน้าบ้านและรู้สึกลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังห้องครัว

เขาอยากรู้ว่าเด็กสาวอายุ 6 ขวบจะทำโจ๊กยังไง และเธอจะเผาครัวตัวเองหรือไม่

เขาก้าวข้ามขอบประตูและมองเข้าไป ข้างหน้าเตานั้น เจียงฉือน้อยกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้และถือทัพพีเหล็กอยู่ในมือ แต่ทัพพีนั้นไม่ได้เหมาะกับขนาดตัวเธอเลยสักนิด

ดูจากท่าทางของเธอแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเธอมีประสบการณ์ในการเข้าครัวมากเสียจนทำให้เขารู้สึกผิดเลย

เจียงฉือน้อยรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังมองเธออยู่ เธอหันไปและก็พบกับโจวฉวนจีที่กำลังยืนอยู่ตรงประตู เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ใช้มือซ้ายยืนเท้าสะเอวทำท่าเหมือนผู้ใหญ่ก่อนที่จะดุเขา “เจ้าน้องชายฉวนจีตัวน้อย กลับไปที่เตียงแล้วพักซะ อีกเดี๋ยวโจ๊กก็เสร็จแล้วจ๊ะ”

เขาหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ท่านพี่ ให้ข้าช่วยเจ้าเรื่องฟืนไฟเถอะ”

เขาเดินไปที่เตา

“หยุด! อยู่ให้ห่าง ๆ เลยนะ เดี๋ยวบ้านก็ได้ไหม้พอดี”

เจียงฉือน้อยพยายามห้ามเขาทันที เธอวางทัพพีเหล็กลงก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้ไปห้ามเขา

โจวฉวนจีพูด “ท่านพี่ไม่ต้องห่วง ข้าเคยทำมาก่อนแล้ว”

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรอ? เจ้าอายุแค่ 2 ขวบเองนะ ตอนที่ข้าอายุ 2 ขวบ ข้ายังนอนน้ำลายยืดอยู่เลย!” เจียงฉือน้อยตะคอกใส่พลางยืนเท้าสะเอว

“แต่เจ้าก็อายุแค่ 6 ขวบเหมือนกัน น่าเป็นห่วงจะตายที่เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ทำอาหารน่ะ” เขาพูดอย่างไม่พอใจ

“เจ้าก็รู้ว่าข้าอายุ 6 ขวบ ใช่มั้ย? ข้าไม่ได้อายุ 3 ขวบนะ อีกอย่าง เจ้าน่ะยังไม่ถึง 3 ขวบด้วยซ้ำ!”

เจียงฉือน้อยไม่ยอมถอย เขาไม่รู้ว่าจะตลกหรือร้องไห้กับาสิ่งที่เธอพูดดี

เด็กสาวคนนี้กำลังเข้าสู่การเป็นพี่สาวอย่างเต็มตัว

ยิ่งเด็กมีความเป็นผู้ใหญ่มากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าเขาขาดความรักมากเท่านั้น

เขาถอนหายใจเงียบ ๆ ก็จะหันเดินไปที่ประตู เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กและพูดอย่างเชื่อฟัง “ข้ายอมฟังที่ท่านพี่พูดก็ได้”

เมื่อเจียงฉือน้อยเห็นถึงความน่าเอ็นดูของโจวฉวนจีก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปหยิกแก้มของเขาเบา ๆ เธอพูดและหัวเราะ “เด็กดี เดี๋ยวข้าจะรีบให้นะ”

เธอรู้สึกพอใจอย่างมากก่อนจะลูบหน้าเขาสองสามครั้งแล้วกลับไปที่เตา

เขามองเธอแล้วนึกถึงแม่นางจาวฉวน

เขาต้องตามหาแม่นางจาวฉวน

ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เขาก็ต้องตามหานางให้เจอ!

ไม่ใช่แค่นั้น แต่ราชินีแห่งมหาจักวรรดิ์โจวก็ต้องชดใช้!

แววตาของเขาลุกเป็นไฟด้วยความมุ่งมั่นเมื่อเขานึกถึง

“อ่อใช่ จิตวิญญาณแห่งดาบ แล้วข้าต้องทำยังไงถึงจะเอาดาบในตำนานกับวิชาเพิ่มได้?” โจวฉวนจีถามในใจ

วิชาดาบกระเรียนขาวนั้นเป็นเพียงแค่วิชาดาบ และเขาไม่เคยฝึกวรยุทธหรือวิชาปราณอะไรเลยสักนิด

หากเขาสามารถพัฒนาพลังวิญญาณได้มากกว่านี้ พลังของวิชาดาบกระเรียนขาวจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน!

“ท่านเจ้าของดาบจะได้รับการสุ่มกาชาปีละครั้งตามอายุของท่าน แต่ละครั้งกาชาจะการันตีดาบในตำนาน 1 เล่ม และจะสุ่มเลือกวิชาปราณ ดาบในตำนาน วิชาดาบ ทักษะพิเศษ หรือยาอายุวัฒนะได้ นอกจากนี้เมื่อเจ้าของดาบก้าวข้ามแต่ละขั้นของวรยุทธได้ ท่านก็จะได้รับโอกาสสุ่มกาชาอีกครั้ง แต่จะไม่มีการการันตีดาบในตำนาน” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบ

“ดาบในตำนานปีละเล่ม? ง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”

“เจ้าของดาบ ท่านเป็นคนคิดตอนสร้างระบบนี้ขึ้นมาเองไม่ใช่หรือ?”

ตอนที่ 2 : การตื่นขึ้น!

ไม่แน่ใจนักว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว โจวฉวนจีค่อย ๆ ฟื้นสติกลับมา เมื่อเขาลืมตาขึ้น ความทรงจำมากมายก็ไหลท่วมท้นเข้ามาในจิตใจเขาราวกับคลื่นน้ำจนทำให้เขาปวดหัวเป็นอย่างมาก

เขายันร่างเล็ก ๆ ของเขาขึ้นมาก่อนจะพบว่าตนนั่งอยู่บนเตียงไม้โดยมีกองเสื้อผ้าอยู่ข้างเตียง

จากลักษณะแล้วที่นี่เป็นกระท่อมไม้หลังหนึ่งที่ขนาดพื้นที่เพียงพอแค่สำหรับเตียงไม้และโต๊ะไม้เท่านั้น

และบนโต๊ะไม้มีเพียงแค่เหยือกน้ำและจานกระเบื้องที่บิ่น 2 ใบเท่านั้น

รอบ ๆ กระท่อมนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี และเมื่อมองออกไปก็พบกับภูเขาและป่าที่ทอดยาวออกไป

โจวฉวนจีส่ายหัวก่อนจะถามภายในใจว่า “ระบบยอดดาบในตำนานหรอ?”

เขายังคงจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป หรือนี่อาจจะเป็นโปรแกรมโกงที่สวรรค์ได้มอบให้เขานะ?

ในชีวิตก่อนหน้านั้น เขาได้อ่านนิยายมามากมาย จึงทำให้เขาเข้าใจได้ว่าระบบที่ว่านั้นหมายถึงอะไร

มันก็เหมือนกับเกมที่ต้องเล่นคนเดียว

ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับอะไรบางอย่างที่เรียกว่า “ยอดดาบในตำนาน”

ราวกับว่าเขาเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน

“นายท่าน คำสั่งของท่านคืออะไร?”

เสียงหุ่นยนต์ดังขึ้นภายในจิตใจเขา

“ไอระบบยอดดาบในตำนานนี่มาได้ยังไง? แล้วมันทำอะไรได้บ้าง?” เขาเริ่มถามอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงออกถึงความคาดหวังอย่างควบคุมไม่ได้

“ระบบยอดดาบในตำนานนั้นคือ ลิขิตสวรรค์ ตั้งแต่โลกได้ถือกำเนิดขึ้นมา กฎ 3000 ข้อก็ได้ถูกบัญญัติขึ้น และกฎ 3000 ข้อนั้นจะนำไปสู่วิถีสวรรค์ แต่ที่เหนือยิ่งกว่ากฎเหล่านั้น ก็คือความไม่แน่นอนที่เรียกว่า ลิขิตสวรรค์”

“และในตอนนี้ ลิขิตสวรรค์ตั้งแต่ถือกำเนิดโลกนั้นก็ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเจ้าของดาบ ซึ่งมันได้ไปกระตุ้นโปรแกรมยอดดาบในตำนานที่คุณได้สร้างเอาไว้ในชีวิตก่อนหน้า ดังนั้นแล้วโปรดเรียกผมว่า จิตวิญญาณแห่งดาบ”

“ผมนั้นไม่มีเจตจำนงเป็นของตนเอง ผมเป็นเพียงโปรแกรมสนับสนุนที่ถูกคุณสร้างขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อดูแลเจ้าของดาบเท่านั้น” เสียงหุ่นยนต์ได้ตอบกลับ โจวฉวนจีรู้สึกตกใจในสิ่งที่ได้ยิน

อะไรนะ?!

เพราะงี้นี่เอง!

โจวฉวนจีเริ่มรู้สึกตัวและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ในชีวิตก่อนเขานั้นเคยเป็นโปรแกรมเมอร์ ในตอนที่เขากำลังเล่นเกมแฟนตาซีกำลังภายในที่ต้องเล่นคนเดียวอยู่นั้น เขาก็รู้สึกว่าการที่จะเพิ่มเลเวลและเก่งขึ้นได้นั้นมันยากเกินไป ดังนั้นแล้วเขาถึงได้สร้างโปรแกรมยอดดาบในตำนานขึ้นมา

ใช่แล้ว

มันคือโปรแกรมโกงยังไงล่ะ!

โปรแกรมนี้ทำให้เขาสามารถสุ่มดาบอะไรก็ได้ในเกมขึ้นมาได้ เพราะตัวละครที่เขาเล่นคือจอมกระบี่นั่นเอง

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังสามารถใช้วิชาดาบใด ๆ ก็ได้ และสามารถปั้มเลเวลไปได้จนถึงระดับสูงสุด ตราบเท่าที่เขายังคงฝึกฝนทุก ๆ กระบวนท่าของดาบอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงในระดับที่ลึกหรือใช้ของวิเศษอะไร

และตอนนี้โปรแกรมยอดดาบในตำนานก็กลายมาเป็นของจริงและกลายมาเป็นระบบของเขาไปแล้ว ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าเขาจะสามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างงั้นหรือ?

และจู่ ๆ ก็มีข้อความจำนวนหนึ่งที่มีแต่เขาคนเดียวที่เห็นปรากฎขึ้นต่อหน้า

เจ้าของดาบ : โจวฉวนจี

สายเลือด : สายเลือดแห่งจักรวรรดิโจวที่ยิ่งใหญ่

ระดับจอมยุทธ : ไม่มี

วิชาลมปราณ : ไม่มี

วิชาดาบ : ไม่มี

ทักษะพิเศษ : ไม่มี

ดาบ : [ ระดับเงิน ] ดาบมังกรสีชาด

นี่คือข้อมูลทั้งหมดของฉันงั้นหรอ?

เดี๋ยวก่อนนะ!

แล้วไอระดับเงินที่อยู่ข้างหน้าดาบมังกรสีชาดนี่มันหมายถึงอะไรน่ะ?

เขาหรี่ตามองด้วยความสับสน

“แม้ว่าระบบยอดดาบในตำนานนั้นจะเกิดมาจากโปรแกรมยอดดาบในตำนานที่คุณได้สร้างขึ้น แต่มันก็ได้สร้างดาบในตำนานจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาด้วยตัวของมันเองและได้แบ่งประเภทของดาบในระดับต่าง ๆ ไว้ ซึ่งปัจจุบันสามารถมอบระดับของดาบให้ได้เพียงแค่ระดับแร่ธรรมดา ระดับเหล็ก ระดับสัมฤทธิ์ ระดับเงิน ระดับทอง ระดับอเมทิสต์ และระดับทองรุ่งโรจน์ โดยระดับที่เหนือกว่านั้นยังไม่สามารถมอบให้ได้ เนื่องจากเจ้าของดาบยังอ่อนแอเกินไป” จิตวิญญาณแห่งดาบอธิบาย

โจวฉวนจีกลืนน้ำลายเมื่อได้ยิน

นี่มันเจ๋งไปเลย!

ดาบมังกรสีชาดที่มีระดับเงินเนี่ยมันจะเป็นอุปกรณ์แบบไหนกันนะ?

เดี๋ยวก่อนสิ!

แล้วดาบมังกรสีชาดของฉันอยู่ไหนล่ะ?

ทันทีที่เขาคิด ดาบก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาก่อนจะลอยมาอยู่บนเตียง

นี่มันดาบมังกรสีชาด!

ความยาวของดาบมังกรสีชาดนั้นสูงถึง 4 ฟุต หรือยาวประมาณ 1.3-1.4 เมตรเลยทีเดียว ทั้งตัวของดาบนั้นเป็นสีแดงเข้ม และกลางใบดาบมีลวดลายมังกรถูกแกะสลักไว้อยู่ นอกจากนี้ที่ด้ามจับดาบยังดูเหมือนกับเขี้ยวมังกรที่ดุร้าย

ดวงตาของเขาเปร่งประกายเมื่อได้เห็นดาบที่ปรากฏขึ้น โครตเจ๋ง!

และข้อความที่มีแต่เขาคนเดียวที่เห็นได้ก็ได้ปรากฎขึ้น

ชื่อดาบ : ดาบมังกรสีชาด

ระดับ : เงิน

คำอธิบาย : ดาบระดับเงินในตำนานซึ่งมีจิตวิญญาณมังกรสีชาดสถิตอยู่ เมื่อถูกใช้งาน พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

เขาจำไม่ได้ว่ามีสุดยอดดาบในตำนานในโปรแกรมยอดดาบในตำนานที่เขาเคยสร้างไว้ในชีวิตก่อนหน้านี้หรือไม่เพราะข้อมูลในเกมนั้นมีมากจนเกินไป

แต่ตอนนี้เขาค้นพบว่าตนเองสามารถควบคุมดาบมังกรสีชาดได้ราวกับควบคุมแขนตนเอง ดาบจะลอยไปมาตามที่เขาต้องการ มันช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ

“แล้วฉันจะซ่อนมันยังไง?” โจวฉวนจีสงสัย เพราะเด็กอายุ 2 ขวบคงไม่สามารถเก็บดาบแบบนี้ไว้ได้

แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ดาบมังกรสีชาดก็หายไป

“ระบบนี้ประกอบไปด้วยสุดยอดช่องเก็บของซึ่งสามารถเก็บสิ่งใดก็ได้นอกจากสิ่งมีชีวิต ลักษณะของมันจะคล้ายกับกระเป๋าเก็บของที่สามารถซ่อนสิ่งของไว้ได้ในพื้นที่อิสระ” จิตวิญญาณแห่งดาบตอบกลับ

เขารู้สึกทึ่ง มันช่างสะดวกสบายซะจริง

“แล้วท่านจะรับวิชาดาบกระเรียนขาวหรือไม่?”

“มันแน่อยู่แล้ว!”

เขาตอบทันทีอย่างไม่ลังเล เขาจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะแก้แค้นให้ได้

ในฐานะเจ้าชายแห่งจักรวรรดิ์โจว โจวฉวนจีก็พอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับแต่ละระดับของจอมยุทธมาบ้าง

เรียงลำดับจากต่ำสุดไปสูงสุด ระดับรักษาปราณ ระดับสร้างรากฐาน ระดับบรรลุญาณ ระดับบัวภายใน ระดับผุดวิญญาณ ระดับราศีกำเนิด ระดับราศีคาดการณ์ ระดับขัดเกลาวิญญาณ เเละระดับนิพพาน

และแต่ละขั้นจะมีทั้งหมดสิบระดับ ซึ่งพ่อของเขา จักรพรรดิ์เหยียนแห่งโจว ได้บรรลุจนถึงระดับนิพพาน นั่นจึงทำให้เขาสามารถมีความสุขกับชีวิตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและกล่าวได้ว่าเป็นเซียนเทพ

ดินแดนที่เขาเคยอยู่นั้นมีชื่อเรียกว่า เขตรกร้างเเดนเหนือ มีบ้านและอาณาจักรมากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ และเหนืออาณาจักรเหล่านั้นนั่นคือ จักรวรรดิ์ ในเขตแดนทางตะวันออกนั้นมีจักรวรรดิ์ของมนุษย์อยู่ทั้งหมด 7 แห่ง โดยมหาจักรวรรดิ์โจวนั้นเป็นจักรวรรดิ์อันดับต้น ๆ ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงยุคทอง

ถ้าโจวฉวนจีไม่มีระบบยอดดาบในตำนาน นอกเสียจากเค้าจะบังเอิญโชคดีจริง ๆ ที่สามารถท้าทายอำนาจสวรรค์ได้ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะต่อกรกับจักรพรรดิ์เหยียนแห่งโจว ไม่แม้กระทั่งจะสามารถเข้าถึงตัวได้ด้วยซ้ำ

และไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์ได้ จักพรรดิ์นั้นเปรียบดั่งเทพสวรรค์ที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ คนธรรมดา ๆ ทั่วไปก็ทำได้แค่มองจากที่ไกล ๆ เท่านั้น

ทันใดนั้น ความทรงจำก็ถามโถมเข้ามาในจิตใจเขาจนทำให้เขาต้องหลับตาลง

ภายในจิตใจนั้น เขาเห็นเงาที่กำลังฝึกฝนดาบอยู่ ร่างกายของเขานั้นเหมือนกับกระเรียนขาว ทั้งพลิ้วไหวและสง่างาม

และไม่นานเขาก็เข้าใจได้ว่าความทรงจำนี้คืออะไร

มันคือ กระบวนท่าดาบกระเรียนขาว 3 รูปแบบ

รูปแบบที่หนึ่ง กระบวนท่ากระเกรียน

รูปแบบที่สอง กระเรียนสยายปีก

รูปแบบที่สาม กระเรียนวาดสวรรค์

เขาได้จดจำในทุก ๆ รูปแบบ

ในโลกแห่งนี้นั้น จอมกระบี่มีสถานะทางสังคมที่สูง เพราะดาบนั้นเปรียบเสมือนราชาท่ามกลางศาสตราวุธทั้งหมด!

อย่างไรก็ตาม วิชาดาบนั้นฝึกฝนได้ยากยิ่งนัก ในแต่ละระดับของวิชาดาบต้องใช้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แม้จะเป็นวิชาเดียวกัน แต่พลังทำลายล้างก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ความเข้าใจในวิชาของจอมกระบี่คนนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม!

โจวฉวนจีนั้นมีระบบยอดดาบในตำนานอยู่!

เมื่อตอนที่เขาได้ออกแบบยอดดาบในตำนาน เขาได้สร้างทางลัดในการเรียนรู้วิชาดาบไว้ด้วย

เขาเพียงแค่ต้องฝึกฝนการเคลื่อนไหวของวิชาดาบกระเรียนขาวจำนวน 10 ครั้ง เขาก็จะสามารถเชียวชาญในรูปแบบแรกได้ และรูปแบบที่สองต้องทำทั้งหมด 50 ครั้ง ในขณะที่รูปแบบที่สามนั้นต้องใช้ทั้งหมด 1000 ครั้ง!

แค่วันเดียวเหลือเฟือแล้ว!

โจวฉวนจีครุ่นคิดเกี่ยวกับมันและรู้สึกดีใจ แต่เมื่อนึกถึงแม่นางจาวฉวนเขาก็เริ่มรู้สึกแย่อีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าแม่นางจาวฉวนจะเป็นหรือตาย และต่อให้เธอจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาจะตามหานางเจอท่ามกลางโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้ได้อย่างไรกัน

“คุณย่าของข้าไม่อยู่แถวนี้ เข้ามาก่อนเลยค่ะ”

เสียงอันแสนอ่อนโยนของหญิงสาวลอยดังเข้ามาจากนอกกระท่อมไม้ เขาสั่นด้วยความตกใจ จากนั้นหน้าต่างข้อมูลก็หาย

“อย่าบอกนะว่าย่าเจ้าจะเบี้ยวหนี้น่ะ บอกนางซะนะว่านางต้องจ่ายหนี้ภายใน 3 เดือน เข้าใจมั้ย?”

“ถ้านางไม่ยอมจ่ายหนี้ล่ะก็ ข้าจะเอาเจ้าไปขายให้ซ่องราคาถูกในเมืองซะ!”

พอได้ยินเสียงแหลมของผู้หญิงดังเข้ามา โจวฉวนจีก็จินตนาการออกได้เลยถึงหน้าตาแก่ ๆ หงำเหงือกของนาง

เขากลับมานอนลงทันที ตอนนี้เขาทั้งรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็รู้สึกขอบคุณในเวลาเดียวกัน

คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าหากเขาถูกทิ้งไว้ในที่ทุรกันดารและถูกปีศาจจับกิน

เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่เพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ในดินแดนตะวันออก เผ่าปีศาจเองก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อเขตนี้เช่นกัน พวกมันเข้าเเทรกเเซงเข้าไปในเเต่ละพื้นที่ของเผ่ามนุษย์

หลังจากนั้นไม่นาน หญิงสาวก็เข้ามาในกระท่อม

เธอก้มหน้าเช็ดน้ำตาและร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเธอตกใจกลัวกับสิ่งที่พึ่งเผชิญมา

เธอเดินไปยังม้านั่งโดยไม่สนใจเขาก่อนจะทรุดตัวลงบนโต๊ะและเริ่มร้องไห้เสียงดัง

โจวฉวนจีแกล้งทำเป็นหลับ คอยฟังเธอร้องไห้และได้แต่คิดสงสารเธอ เขาพลิกตัวกลับมาก่อนจะมองไปทางเธอและพูดอย่างดูดีว่า “พี่สาว ข้าหิวน้ำ”

ตอนที่ 1 : ยอดดาบในตำนาน

ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยอาทิตย์อัสดงและก้อนเมฆถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด

ณ พื้นที่หุบเขารกร้าง รถม้าคันหนึ่งที่ถูกลากด้วยเพกาซัสสีดำ 2 ตัวกำลังลอยตัวทอดผ่านภูเขามากมาย ส่งเสียงสายลมโหยหวนในขณะที่แล่นผ่านอากาศ

มีชายชราสวมชุดเกราะรูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ริมรถม้า แม้ว่าเส้นผมนั้นจะสีขาวบริสุทธิ์ แต่ท่าทางของเขาก็ดูดุร้ายราวกับเสือและสง่างาม

ภายในรถม้านั้น มีแม่ลูกคู่หนึ่ง คนแม่นั้นทั้งยังสาวและงดงาม สวมชุดเดรสยาวซึ่งประดับไปด้วยอัญมณี บนเรือนผมสีทองนั้นมีปิ่นปักผมที่ทำจากขนนกฟินิกซ์ เธอนั้นช่างดูราวกับจักรพรรดินี

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาในขณะที่กำลังร่ำไห้สั่นเทาและกอดลูกชายของตนไว้แน่น

ลูกชายที่อายุเพียง 2 ปีนั้นกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลูกไม้ลิ่มทองรับกับใบหน้าที่ดูบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง

เด็กน้อยวัย 2 ขวบจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า ดวงตาของเขาแสดงถึงความหวาดกลัวและความไม่พอใจ เป็นสายตาที่เด็กในวัยนั้นไม่ควรจะมีได้

“นี่ฉันพึ่งจะกลับชาติมาเกิดได้แค่ 2 ปี แต่ตอนนี้กำลังจะตายแล้วหรอ?” เด็กน้อยวัย 2 ขวบร้องโหยหวนอยู่ในใจ

ในชาติก่อนนั้นเขามาจากโลก แต่ก็ดันเสียชีวิตก่อนที่จะได้ใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเต็มที่ สาเหตุนั้นมาจากการที่เขาเล่นเกมคอมพิวเตอร์ติดต่อกัน 4 วัน 4 คืน และเสียชีวิตอย่างกระทันหันในขณะที่ตัวเองยังอยู่หน้าแป้นพิมพ์

และเขาก็ได้กลับชาติมาเกิดยังโลกแห่งนี้ โลกที่ดูเหมือนจะมีทั้งวีรบุรุษและจอมยุทธกำลังภายในจากสมัยโบราณ อีกทั้งยังมีความทรงจำในชาติก่อนหลงเหลืออีกด้วย!

ถ้าเทียบกับชีวิตในชาติก่อน ชีวิตในตอนนี้ก็ดูจะดีกว่ามาก

พ่อของเขาคือ ราชาแห่งจักรวรรดิโจว จักรพรรดิเหยียนแห่งโจว!

จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวนั้นเป็นเซียนเทพ เขาครอบครองกว่า 10 อาณาจักรและมีประชาชนภายใต้เขากว่าหมื่นล้านคน เขาได้นำกองทัพทหารนับหมื่นนายพิชิตทั่วเขตรกร้างเเดนเหนือจนหมดสิ้น

และแม่ของเขาเป็นนางสนมของจักรพรรดิเหยียนแห่งโจว มีนามว่า แม่นางจาวฉวน นางนั้นเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิมาก แม้กระทั่งหลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรชาย องค์จักพรรดิเหยียนแห่งโจวก็ยังคงมาเยี่ยมเยียนที่พำนักของนางอยู่บ่อยครั้ง

และมันยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน พ่อของแม่นางจาวฉวน ถูกรายงานว่าเป็นผู้ก่อกบฎ ซึ่งนั่นทำให้องค์จักรพรรดิทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ถึงแม้แม่นางจาวฉวนจะยืนยันว่าพ่อของตนนั้นบริสุทธิ์ แต่หลักฐานนั้นกลับมีมากเสียเหลือเกิน ด้วยความโกรธเกรี้ยวขององค์จักรพรรดิ นางจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่วังเหมันต์ (สถานที่ซึ่งใช้สำหรับเป็นที่คุมขังหรือกักกันขุนนางฝ่ายใน (สตรี) ของราชสำนักจีนโบราณ)

และ 5 วันหลังจากนั้น แม่นางจาวฉวนก็ได้ยินมาว่าองค์ราชินีต้องการจะลอบสังหารนางด้วยยาพิษ นางจึงขอให้นางสนมที่สนิทด้วยช่วยพานางหลบหนีออกจากพระราชวังจักรพรรดิโจว

ซึ่งในระหว่างนั้น องค์จักพรรดิ์เหยียนแห่งโจวก็ได้เดินทางออกไปเยี่ยมเยือนยังอาณาจักรอื่น และมีแผนที่จะกลับในอีกหลายเดือน

ดังนั้นแล้วถ้าแม่นางจาวฉวนยังคงอยู่ต่อไป เธอและลูกชายของเธอ โจวฉวนจี ก็คงไม่พ้นความตายทั้งคู่แน่ ๆ

จิตใจของเด็กชายนั้นเจ็บปวดเมื่อต้องเห็นแม่ในชาตินี้ของเขาต้องร้องไห้อย่างน่าเวทนา เขาจึงยกมือเล็ก ๆ ของเขาขึ้นมาแตะลงบนใบหน้าของแม่นางจาวฉวนและพูดว่า “ท่านแม่ อย่าร้องเลย…”

ร่างกายของคนในโลกนี้นั้นแข็งเกร่งกว่าคนในโลกก่อนเป็นอย่างมากมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กที่อายุเพียง 2 ปีนั้นถึงสามารถพูดได้

โจวฉวนจีพยายามพูดเป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้คนรอบข้างนั้นตกใจ

ในพระราชวัง ใครที่โดดเด่นมากจนเกินไปมักจะถูกกดขี่ข่มเหง

แม่นางจาวฉวนสะอึกสะอื้นหนักขึ้นหลังจากที่ได้ยินเขาพูด

“นายหญิง ข้างหน้านั่นมีแม่น้ำขนาดใหญ่ที่บรรจบกับแม่น้ำฮวงฉวนอยู่ ถ้าพวกเราวางองค์ชายไว้ที่นั่นก็น่าจะพอมีความหวังสักเล็กน้อยที่องค์ชายจะรอดชีวิตได้” นายพลชรากล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

โยนฉันลงไปเนี่ยนะ?

อะดรีนาลีนพุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา ไอ้แก่นี้มันจะโหดเกินไปแล้วนะ

หลังจากที่นางได้ยินที่ชายชรากล่าว แม่นางจาวฉวนก็ได้ถอดสร้อยคอที่มีจี้ลูกปัดไม้ขนาดเล็กของนางออก

ลูกปัดที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือนั้นดูจะเป็นเพียงลูกปัดธรรมดา

นางสวมสร้อมคอให้กับลูกชายก่อนที่จะจูบลงบนใบหน้าเล็ก ๆ นั้นและกล่าวว่า “ลูกชายของแม่ ลูกปัดไม้นี้เกิดมาพร้อมกับลูก และมันยังเป็นสัญลักษณ์ว่าลูกนั้นเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิโจว เมื่อใดก็ตามที่องค์จักรพรรดิทรงค้นพบความจริง ท่านจะต้องส่งคนมาตามหาลูกอย่างแน่นอน”

หลังจากที่นางพูดจบ มือขวาของนางก็กดลงบนร่างกายของเด็กชายเบาๆ จากนั้นแสงสีทองสว่างโปร่งใส่ก็ได้ปรากฎขึ้นและห่อหุ้มร่างกายของเด็กชายเอาไว้

นางอุ้มเด็กชายออกจากรถม้าและมองลงไป

ข้างล่างพวกเขานั้นเป็นหุบเขาที่กว้างถึงหนึ่งพันฟุต กระแสน้ำในแม่น้ำนั้นไหลลงอย่างเชี่ยวกรากและรุนแรง น้ำที่กระทบหินริมแม่น้ำนั้นกระจายเป็นละอองน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นไปยังอากาศ

ไม่ว่าคนธรรดาคนไหนตกลงไปจะต้องตายอย่างน่าสยดสยองแน่

โจวฉวนจีรู้สึกกลัวอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพเบื้องล่างนั้น

ชาติก่อนฉันก็ตายแบบไม่ทันตั้งตัวมาแล้ว มาชาตินี้ฉันยังต้องตายอนาจศพเละกระดูกป่นทะลุออกมาจากร่างอีกเหรอวะเนี่ย?

“แม่ขอโทษ ถ้าแม่ได้เป็นแม่ของลูกอีกครั้งในชีวิตหน้า แม่จะทำให้ชีวิตของลูกดีกว่านี้” แม่นางจาวฉวนได้กล่าวสัญญาอย่างนุ่มนวล

น้ำตาบนแก้มของนางได้ถูกเช็ดออก ด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น นางได้ปล่อยโจวฉวนจีหลังจากที่พูดจบ

เด็กน้อยหมุนตัวกลางอากาศ และเงยหน้าขึ้นมองไปยังแม่นางจาวฉวน

สายตาของพวกเขาได้บรรจบกัน ในดวงตาของเขาไม่มีวี่แววซึ่งความหวาดกลัวอีกต่อไป มีเพียงแค่ความไม่เต็มใจเท่านั้น

แม่นางจาวฉวนถึงกับตกใจ นั่นไม่ใช่ใบหน้าที่เด็ก 2 ขวบ จะมีได้

นางเอื้อมมือออกไปโดยไม่รู้ตัวและพยายามคว้าเขาเอาไว้

จ๋อม!

โจวฉวนจีซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองได้หล่นลงไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากและหายลับไปจากสายตา ไม่มีใครจะรู้ได้ว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่

แม่นางจาวฉวนดึงมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็วและกดลงบนหัวใจเธอ ในขณะที่น้ำตานั้นหลั่งไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด

นางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!

เกลียดชังที่ตนนั้นไร้ความสามารถ

หากเพียงนางใช้ความรักขององค์จักรพรรดิที่มีต่อนางไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไปสูงกว่านี้ นางก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นในวันนี้

“นายหญิง อย่าได้กังวลไปเลย เมื่อตอนที่องค์ชายน้อยถือกำเนิด สัตว์ลึกลับซึ่งเป็นสัญลักษณ์มงคลจากสวรรค์ กิเลน ได้ลอยมาอยู่เหนือพระราชวัง แม้แต่จ้าวสวรรค์ยังพูดเลยว่าองค์ชายน้อยจะมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นแล้วองค์ชายจะต้องมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจได้” นายพลชราได้กล่าวปลอบใจนาง

และทันทีที่เขาพูดจบ…

ฟุบ!

เสียงของลูกธนูบินผ่าอากาศ หัวของนายพลชราถูกเจาะด้วยหัวลูกศรอันแหลมคม ทำให้เลือดของเขาพุ่งกระจายออกมา เพกาซัสสีนิลทั้ง 2 ตัวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและหักเลี้ยวพยายามหลบหนี

แม่นางจาวฉวนจับเชือกทันทีในตอนที่นางเกือบจะถูกเหวี่ยงตกลงไปในหุบเขา

ในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากโจวฉวนจีซึ่งถูกปกป้องด้วยแสงสีทองนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ในขณะที่เขามองท่อนไม้ผุพัง โคลน และหินลอยผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาก็รู้สึกเศร้าใจ

แม้ว่าแม่นางจาวฉวนจะดูแลเขาแค่เพียง 2 ปี และถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นสาวใช้ในวังที่คอยดูแลเขาก็ตาม แต่เธอก็ยังเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด

เขาถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ และพูดว่า “ถ้าข้ามีความสามารถมากกว่านี้ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านแม่อย่างแน่นอน”

แต่การจะตามหาและแก้แค้นราชินีแห่งโจวนั้นยากยิ่งนัก

ในโลกนี้ซึ่งราวกับโลกแฟนตาซีที่มีกำลังภายในเป็นพลังหลัก มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้ แม้กระทั่งทหารดูแลวังธรรมดาก็สามารถทำลายภูเขาหรือตัดแม่น้ำได้

แล้วเขา เด็กน้อยที่มีอายุเพียง 2 ขวบ ที่ไม่แม้กระทั่งจะรู้จักวิถีแห่งกำลังภายในจะสามารถแก้แค้นได้อย่างไรกัน?

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บภายในอก เขาก้มลงไปมองและพบว่าสร้อยคอที่แม่นางจาวฉวนได้มอบให้แก่เขานั้นหายไป ทันใดนั้นก็มีรอยสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าอกที่ขาวและอ่อนนุ่มของเขา

“ติ๊ง! ระบบยอดดาบในตำนานเริ่มทำงาน!“

“ติ๊ง! ระบบยอดดาบในตำนานได้ผสานเข้ากับจิตวิญญาณของเจ้าของดาบสำเร็จ!”

“ติ๊ง! กาชาสุ่มเจ้าของดาบคนใหม่เริ่มทำงาน!”

“ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับ [ ระดับเงิน ] ดาบมังกรสีชาด วิชาดาบกระเรียนขาว”

เสียงที่เหมือนหุ่นยนต์ดังกังวาลอย่างต่อเนื่องถึงสี่ครั้งติดภายในความคิดของเขา ทำให้เขางงมาก ๆ

ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกเหมือนจิตใจมันระเบิดออกและทำให้เขาหมดสติในทันที

เมฆลอยปกคลุมท้องฟ้าสีคราม น้ำใสสะอาดไหลลงมาตามภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

ท่ามกลามภูเขานั้น แม่น้ำและลำธารได้ไหลตัดผ่านมายังสถานที่หนึ่ง ข้างแม่น้ำนั้น มีหญิงสาวผมหางม้ากำลังนั่งซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ เธอสวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะเต็มไปหมดจากการซ่อมแซมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หญิงสาวมีผิวที่ขาวและอ่อนนุ่ม ใบหน้าของเธอนั้นทั้งสวยและน่ารัก หากพิจารณาแค่เพียงรูปลักษณ์ เธอมีอายุเพียง 6 ถึง 7 ปี เท่านั้น แม้กระทั่งกระดานซักผ้าที่เธอใช้อยู่ยังใหญ่กว่าตัวเธอเสียด้วยซ้ำ

เธอถกแขนเสื้อขึ้นและเช็ดน้ำที่เปื้อนแก้มของเธอออกด้วยหลังมือ

ทันใดนั้นก้อนแสงสีทองก็ลอยลงมาจากลำธารด้านบน ดึงดูดความสนใจของเด็กสาวตัวน้อย

เธอเหม่อมอง ก่อนที่เธอจะวางเสื้อผ้าที่กำลังซักอยู่และเดินไปยังก้อนแสงสีทองนั้นอย่างระมัดระวัง

ในไม่ช้าก้อนแสงสีทองก็ลอยมาถึงริมฝั่ง ในขณะที่เธอชะเง้อมองเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น เธอก็พบกับเด็กตัวเล็กมากคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีอายุเพียง 2 ปี เท่านั้น เด็กคนนั้นกำหมัดแน่นในขณะที่หลับสนิทอยู่

ทันใดนั้น แสงสีทองก็กระจายออกไป และเด็กน้อยวัย 2 ขวบก็จมลงไปในแม่น้ำ เด็กสาวรีบวิ่งไปหาเขาทันทีและอุ้มเขาขึ้นเพราะกลัวว่าเขาจะจมน้ำ

ถึงแม้ว่าเขาจะเกือบจมน้ำแล้วโดนเด็กสาวช่วยเอาไว้ เด็กน้อยวัย 2 ขวบ ก็ยังคงหลับลึกเช่นเดิม เด็กสาวมองไปยังเด็กน้อยที่ยังคงหลับอยู่ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords!

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords!

Score 10
Status: Completed

บทนำ

หลังจากได้กลับชาติมาเกิดในฐานะ โจวฉวนจี องค์ชายแห่งจักวรรดิ เขาก็คิดว่าคงจะใช้ชีวิตอยู่สุขสบายอย่างหรูหราไปได้ชั่วชีวิต แต่เรื่องที่ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เขาต้องเข้าไปพัวพันกับการเมืองและเป็นปฏิปักษ์ราชินีผู้โหดเหี้ยม ทำให้เขาต้องจำใจหลบหนีออกจากราชวัง

แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ โปรแกรมโกงที่เขาเคยสร้างขึ้นในชาติก่อนกลายมาเป็นของจริงในชีวิตนี้

เมื่อเขาอายุได้ 2 ปี เขาก็ได้รับดาบมังกรสีชาดซึ่งมีจิตวิญญาณมังกรสีชาดสถิตอยู่

เมื่ออายุได้ 3 ปี เขาก็ได้รับดาบในตำนานเล่มที่ 2!

นั่นก็คือ เขาจะได้รับดาบในตำนานทุก ๆ ปีที่เขาโตขึ้น!

และหลังจากมีชีวิตมาได้ 100 ปี โจวฉวนจีก็ได้ออกผจญภัยไปทั่วโลกอย่างหาญกล้าพร้อมกับดาบในตำนานนับร้อยเล่ม!

และหมื่นปีต่อมา ดาบในตำนานนับหมื่นเล่มของเขาก็ทำให้สรวงสวรรค์ต้องสั่นสะเทือน จนในที่สุดเขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่บังลังก์แห่งตำนานในฐานะจักรพรรดิกระบี่!

ติดตามการเดินทางจากเด็กน้อยวัยกระเตาะ ขึ้นสู่ตำนานจักรพรรดิกระบี่ได้แล้ว ใน

“หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์” I Have Countless Legendary Swords!

Options

not work with dark mode
Reset