บทที่ 301 สงสัยอาจารย์?
หลังจากเข้าห้องทดลองเพื่อปรุงยา นักเรียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะปรุงยา
เมื่อเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว โจ่ฉินจึงเริ่มพูด “เมื่อวานนี้เราได้เรียนทฤษฎีไปแล้ว วันนี้เรามาเริ่มลงมือปฏิบัติจริง ฉันจะทำการสาธิตครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นพวกคุณก็ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ฉันสอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น นักเรียนทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้น ยาสำหรับนักฝึกปรุงยาแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอาการเจ็บป่วยหรือยกระดับทางการแพทย์ ยาทุกชนิดมีบทบาทสำคัญ
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง นักปรุงยาจึงเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญมาก
สามารถพูดได้ว่า ในเส้นทางการต่อสู้นี้ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ แต่ขาดแคลนนักปรุงยาที่เป็นปรมาจารย์
เมื่อวานนี้ตอนที่โจ่ฉินได้เริ่มสอนบทที่หนึ่ง เขาก็ได้บอกแก่ทุกคนแล้วว่า ในบรรดานักฝึกปรุงยาเป็นพันคน จะมีแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้นที่สามารถเป็นนักปรุงยาได้
แน่นอนคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคนล้วนก็อยากเป็นนักปรุงยา ภายภาคหน้าจะได้มีตำแหน่งที่ใหญ่โต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเคารพนับถือ
หลังจากที่โจ่ฉินพูดจบ เธอก็เริ่มลงมือปฏิบัติ
ในขณะปฏิบัติ ก็ได้อธิบายไปด้วย
เริ่มแรกเธอได้เลือกส่วนผสมของยาจู้หลิงออกมา
จากนั้นกดเปิดสวิตช์บนโต๊ะปรุงยา เตาหลอมบนโต๊ะทดลองเริ่มร้อน รอให้ความร้อนเต็มที่แล้ว จึงเริ่มนำส่วนผสมของยาลงไป
เมื่อถึงขั้นตอนนี้ โจ่ฉินได้พูดกำชับ “นักเรียนทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจว่า การปรุงยาจู้หลิงนั้น ขั้นตอนการนำส่วนผสมของยาลงไปนั้นสำคัญมาก”
“ครับ/ค่ะ อาจารย์” นักเรียนผงกศีรษะเป็นการตอบรับ
หลังจากนั้น ตามความชำนาญของโจ่ฉิน ตอนนี้ส่วนผสมทุกอย่างที่ใช้ปรุงยาจู้หลิงก็ได้ถูกนำลงไปในเตาหลอมแล้ว
ขณะนั้น โจ่ฉินก็ยังพูดต่อเนื่องว่า “จากนี้ เราก็ต้องสังเกตลักษณะส่วนผสมที่ถูกหลอม เมื่อส่วนผสมทุกอย่างถูกหลอมเหลวแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการแข็งตัวต่อไป”
การแข็งตัวก็คือ การที่ส่วนผสมถูกหลอมจนกลายเป็นยาเหลว แล้วเปลี่ยนเป็นยาเม็ด
ฟังแล้วเหมือนง่ายๆ การปรุงยาอุณหภูมิของไฟถือเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างสำคัญ
ถ้าไฟมีอุณหภูมิต่ำไป ยาไม่สามารถขึ้นเป็นรูปร่างได้ แต่ถ้าไฟมีอุณหภูมิสูงเกินไป ก็จะทำให้ยาไหม้ ทำให้สรรพคุณของยาสูญเสียไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป การควบคุมอุณหภูมิของไฟเป็นนามธรรม ไม่มีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน ก็เหมือนกับเชฟเวลาทำอาหาร ล้วนแต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และพรสวรรค์
ซึ่งหมายความว่า การปรุงยาต้องอาศัยพรสวรรค์และประสบการณ์นั่นเอง
แต่พรสวรรค์นั้นจะมีส่วนสำคัญกว่า
ผ่านไปสิบนาที
ส่วนผสมยาที่โจ่ฉินใส่ลงไปในเตาหลอมนั้น ถูกหลอมเหลวหมดแล้ว
โจ่ฉินให้ทุกคนเข้าแถวขึ้นไปดูว่า ส่วนผสมยาที่ถูกหลอมเหลวนั้นมีลักษณะอย่างไร
หลังจากที่ลู่เสี้ยงหยางได้ดูแล้ว แอบส่ายหัว
ลักษณะของน้ำยาที่อยู่ในเตาหลอมเป็นวุ้น สีดำเข้ม
ตามหลักการ ควรจะเป็นสีแดงสดถึงจะถูก
นี่เป็นการยืนยันสิ่งที่ลู่เสี้ยงหยางพูดกับโจ่ฉินเมื่อวันนี้ การปรุงยาจู้หลิง ควรเปลี่ยนส่วนผสมยาที่ชื่อว่าหญ้าส่วยหลันเป็นผลไม้ส่วยจิง
ขณะนี้ กงหยู่หนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็ได้สังเกตเห็น สีมีความผิดปกติ
ไม่นาน นักเรียนทั้งหมดก็ได้ดูจนครบแล้ว โจ่ฉินเริ่มขั้นตอนที่จะทำให้ยาแข็งตัว ให้มันขึ้นเป็นรูปร่าง
ขั้นตอนควบคุมอุณหภูมิความร้อนของไฟ โจ่ฉินไม่สามารถถ่ายทอดได้ ต้องอาศัยประสบการณ์และพรสวรรค์ ต้องทำความเข้าใจเองไม่สามารถบรรยายได้
เวลาผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมง
เพลี้ยง!
ได้มีเสียงดังออกมาจากเตาหลอม โจฉินใช้มือเปิดฝาของเตาหลอม มีเม็ดยาสีดำหนึ่งเม็ดพุ่งออก
โจ่ฉินยื่นมืออันเรียวยาว คว้ายาเม็ดนั้นเอาไว้ในมือ
ยาจู้หลิงปรุงสำเร็จแล้ว!
แปะ ๆๆ
ฉินหยุนเฟยปรบมือก่อน จากนั้นนักเรียนต่างก็ปรบมือตาม
“อาจารย์เก่งมากเลยครับ ใช้เวลาอันสั้นนี้ก็สามารถปรุงยาจู้หลิงเม็ดนี้ออกมาได้ ว่ากันว่า หากนำยาจู้หลิงเม็ดนี้ออกไปประมูล สามารถประมูลขายได้อย่างต่ำหนึ่งหมื่น”
โห้!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักเรียนไม่น้อยได้หายใจเข้าลึกๆ ยาจู้หลิงเม็ดล่ะหนึ่งหมื่น ช่างมีมูลค่าเสียจริง
โจ่ฉิน ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ยาจู้หลิงนี้ไม่ถือว่าเป็นยามีค่าอะไร เป็นเพียงแค่ยาพื้น ๆ ยังมียาระดับสูง ที่ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้”
คำพูดนี้ยิ่งกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการปรุงยามากยิ่งขึ้น
และในขณะนั้น สายตาของโจ่ฉินได้มองไปที่ลู่เสี้ยงหยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อยๆจาง แล้วพูดด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ตอนนี้ ฉันขอพูดเรื่องหนึ่ง ”
เธอหยุดนิ่งชั่วขณะ “เมื่อวานฉันพูดถึงการปรุงยาจู้หลิง นักเรียนลู่เสี้ยงหยางมีความสงสัยในสูตรยาของฉัน ซึ่งเขาได้พูดว่า ให้เปลี่ยนส่วนผสมของยาจู้หลิงจากหญ้าส่วยหลันเป็นผลไม้ส่วยจิง วันนี้ฉันจะให้โอกาสเขา ให้เขาปรุงยาจู้หลิงตามสูตรของเขาเอง”
อะไรน่ะ?
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ นักเรียนไม่น้อยที่ตกตะลึง ลู่เสี้ยงหยางที่เป็นแค่เขยแต่งเข้า กล้าสงสัยความสามารถที่เป็นมืออาชีพของอาจารย์
ฉินหยุนเฟย หัวเราะฮ่าๆ แล้วเป็นคนแรกที่ยืนขึ้น มองไปที่ลู่เสี้ยงหยางแล้วพูดว่า “ ไอ้หนู แม่ง นายมันแค่คนโง่เง่าเต่าตุ่น คิดว่าตัวเองเป็นใคร นายมันเป็นได้แค่เขยแต่งเข้าที่ไร้ค่า เกาะผู้หญิงกิน รู้ว่าอะไรคือปรุงยาไหม? ยังกล้าสงสัยสูตรของอาจารย์”
“ฮ่า ๆ ๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากรอบ ๆ ทิศ มีนักเรียนไม่น้อยมองไปที่ลู่เสี้ยงหยางด้วยสายตาเย้ยหยัน
เขยแต่งเข้าคนนี้ช่างน่าขำสิ้นดี ปรุงยาเป็นเหรอ? ถึงได้สงสัยอาจารย์ที่สอนวิชาปรุงยาได้
ไป๋หมิ่นหมิ่นก็ยิ้มเยือกเย็น แล้วพูดว่า “อาจารย์ อย่าฟังคำพูดไร้สาระของไอ้คนโง่เง่าเต่าตุ่น ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เขยแต่งเข้าจึงทำให้สภาวะจิตใจไม่ปกติ เพราะอยู่ที่บ้านไม่มีใครเห็นหัว พอมาสถาบันก็แสร้งทำเป็นโม้ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้รู้สึกตัวเองมีตัวตน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนไม่น้อยได้ผงกศีรษะเห็นด้วย รู้สึกว่าลู่เสี้ยงหยางมีชีวิตที่ต่ำต้อย เพราะฉะนั้นจึงต้องแสร้งทำ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองมีตัวตน
อืม?
เมื่อเทียบกับคำพูดที่ถากถางของทุกคน กงหยู่หนิงมองไปที่ลู่เสี้ยงหยางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เธอรู้สึกว่า การปรุงยาจู้หลิงควรจะเปลี่ยนหญ้าส่วยหลันออกก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นผลไม้ส่วยจิงอย่างที่ลู่เสี้ยงหยางว่าเธอรู้สึกว่าควรจะเปลี่ยนเป็นหญ้าโยวหลันหัวแทนต่างหาก จึงจะทำให้ยาจู้หลิงมีประสิทธิภาพสูงสุด
“ฮ่า ๆ ดูไม่ออกเลยว่า ไอ้เจ้าเขยแต่งเข้ายังมีความรู้ในด้านการปรุงยาด้วย แต่นายมันก็รู้แค่งูๆ ปลาๆ รู้แค่ต้นไม่รู้ปลาย ดูแล้ว เขาคงจะปรุงยาจู้หลิงตามสูตรของเขาเอง มันก็จะล้มเหลวทำให้เขาได้รับความอับอายอย่างแน่นอน” กงหยู่หนิงคิดเช่นนี้ในใจ
ส่วนลู่เสี้ยงหยาง ไม่ใส่ใจคำเยาะเย้ยของทุกคน ยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่น ถ้าหากเห็นตัวเองปรุงยาจู้หลิงสำเร็จ แล้วยามีสรรพคุณดีกว่ายาจู้หลิงของโจ่ฉิน ดูสิว่าพวกเขาจะว่ายังไง
“เอาล่ะ ทุกคนเริ่มปรุงยาจู้หลิงตามวิธีที่ฉันสอน” โจ่ฉินโบกมือเบาๆ
แปะ ๆๆ!
หลังจากพูดจบ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เริ่มเปิดสวิตช์บนโต๊ะทดลอง เพื่อเตรียมปรุงยาต่อไป
และมีคนจำนวนไม่น้อยมองไปที่ลู่เสี้ยงหยาง ด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
ฮ่า ๆๆ ในไม่ช้าไอ้เขยแต่งเข้าคนนี้จะต้องอับอายขายหน้าแล้ว