บทที่ 285 จุดสูงสุดของความไร้ยางอาย
เซียวมู่ไป๋และจางเหมิงที่คุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นว่าลู่เสี้ยงหยางกับกู้ชิวส่วยนั่งเงียบไม่พูดไม่จากัน ทั้งคู่จึงรู้สึกเย็นชาแล้วยิ้มพูด “คุณทั้งสองสมเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ เลยนะ ไม่ชอบพูดกันทั้งสองคนเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้ชิวส่วยขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่องรอยแห่งความรังเกียจกระจายไปทั่วใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอหันมองไปที่ลู่เสี้ยงหยางอีกครั้ง
เพราะเธอรู้สึกว่าไอ้หมอนี่แต่งตัวธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้ดูดีเป็นพิเศษอะไร เธอจึงไม่อยากคุยให้เสียเวลา
จากนั้นกู้ชิวส่วยก็ตอบอย่างเย็นชา “ถ้าพวกคุณจะล้อเล่นกันอีก ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
เมื่อเห็นเธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เซียวมู่ไป๋กับจางเหมิงได้แต่เงียบไปทันที
จากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ของเซียวมู่ไป๋ดังขึ้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วรับสายอย่างสุภาพ “คุณพ่อมีธุระอะไรเหรอครับ?”
ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเขาพูดอะไรกับเขาบ้าง แต่หลังจากวางสายลงเขาก็ดูตื่นเต้นมาก
จางเหมิงถามเบาๆ ว่า “พี่มู่ไป๋คะ มีข่าวดีเหรอคะ?”
ตอนนี้เธอถึงขั้นเรียกพี่แล้ว แสดงว่าเธอให้ความสนใจกับเซียวมู่ไป๋เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเธอกับเซียวมู่ไป๋เพิ่งรู้จักผ่านการค้นหาเพื่อนใกล้เคียงในวันนี้เท่านั้น
จากโพสต์สตอรี่ของเซียวมู่ไป๋ เธอเห็นเขาไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยครั้ง และเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มีแต่แบรนด์เนมเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าครอบครัวของเขาไม่ขาดแคลนเงินอย่างแน่นอน
เซียวมู่ไป๋ยิ้มพูด “พอดีกว่าคุณพ่อของผมมาทำธุระที่ปินเหอนี้เหมือนกัน เดี๋ยวแกจะแวะเข้ามาหาผมที่นี่ ถึงเวลาผมจะแนะนำทุกคนให้แกรู้จักนะ”
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีชายวัยกลางคนเข้าไปในห้องอาหาร
เขาคือพ่อของเซียวมู่ไป๋ ชื่อว่าเซียวกวางฮุย
เซียวมู่ไป๋รีบลุกขึ้นแล้วให้เด็กเสิร์ฟเสริมเก้าอี้ให้พ่อของเขา
หลังจากเซียวกวางฮุยนั่งลง บรรยากาศในห้องอาหารก็สงบลง เซียวกวางฮุยออร่าแรงมาก แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นคนประสบความสำเร็จด้านการงาน
เซียวกวางฮุยรินไวน์มาแก้วหนึ่ง จากนั้นพูดจาสุภาพกับทุกคนในห้องและร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
หลังจากนั้น เซียวกวางฮุยก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะวุฒิภาวะที่แตกต่างกัน เขาจึงมอบหน้าที่ตัวเอกคืนให้กับลูกชายของเขา
แต่ในขณะเดียวกัน สายตาของเซียวกวางฮุยก็ได้กวาดมองไปที่ ฟ้านเจา จางสู้ และลู่เสี้ยงหยางสามคนนี้
เขาอยากรู้ว่าคนแบบไหนที่อยู่ในหอพักเดียวกับลูกชายของเขา
และในไม่ช้า เขาก็มีวิจารณญาณคร่าวๆ ในใจ
ฟ้านเจานั้นถึงแม้จะดูเงียบๆ ไม่ค่อยเปิดเผยตัวตน แต่ดูจากการวางตัวแล้วเขาต้องเป็นคนกลุ่มชนชั้นสูงและมีครอบครัวที่ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
คนประเภทนี้สามารถสร้างมิตรภาพเชิงลึกกับเซียวมู่ไป๋ได้ในอนาคต
ส่วนจางสู้นั้นไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือบุคลิกภาพ เขาก็ดูเหมือนคนที่มาจากครอบครัวเล็กๆ มากสุดก็แค่ครอบครัวชนชั้นกลาง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
แต่ส่วนลู่เสี้ยงหยางแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามีออร่าของชนชั้นสูงอยู่ในตัว แต่ก็มีความไร้รสนิยมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ที่สำคัญคือสายตาเย่อหยิ่งในตัวเขานั้นชัดเจนมาก พูดได้คำเดียวว่ายโสโอหังมาก
โดยปกติแล้ว คนประเภทนี้จะเป็นเฉพาะผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของสังคมเท่านั้นถึงจะมีออร่าเช่นนี้
แต่เด็กยากจนอย่างลู่เสี้ยงหยางน่ะหรือ?
“แปลกจริงๆ หรือว่าออร่าของคนชนชั้นสูงในตัวเขาก็แค่แสร้งทำเป็นเท่านั้น?” เซียวกวางฮุยคิดในใจ และแนวโน้มที่เขาจะตัดสินว่าลู่เสี้ยงหยางก็แค่เด็กยากจนที่เสแสร้งนั้นมีสูงกว่า
“เฮ่อ คนแบบนี้ล้วนแต่จะกลายเป็นภาระให้กับลูกชายของเราในอนาคตเท่านั้น ดูเหมือนว่าเราต้องเตือนลูกชายให้ตีตนออกหากจากมันจะดีกว่า”
เซียวกวางฮุยได้ตัดสินใจแล้ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เวลาของอาหารเย็นก็ได้สิ้นสุดลง เดิมทีเซียวกวางฮุยคิดว่าจะเชิญชวนทุกคนไปร้องเพลงต่อ แต่เขายังมีธุระจึงให้ทุกคนกลับไปก่อน เพราะเขาต้องคุยกับลูกชายตามลำพัง ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไปและค่อยนัดเจอกันวันหลัง
……
เมื่อจางเหมิงและสาวสวยทั้งสี่กลับไปถึงที่พักก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องของเซียวมู่ไป๋และลู่เสี้ยงหยางพวกเขาสี่คนทันที
หวีจี้งทำหน้ามุ่ยแล้วพูดอย่างหัวเสีย “เป็นเมื่อเย็นอะไรกันเนี่ย? ฉันคิดว่าจะได้เจอหนุ่มหล่อหรือไม่ก็หนุ่มรวย แต่ที่ไหนได้ พวกเขาทั้งสี่มีแค่เซียวมู่ไป๋คนเดียวเท่านั้นที่ทั้งหล่อทั้งรวย ส่วนคนอื่นๆ ก็แค่คนกระจอกหรือไม่ก็เป็นเหมือนคนใบ้ ไม่ใช่สเปคของพวกเราเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางเหมิงก็พูดอย่างได้ใจ “เซียวมู่ไป๋เป็นของฉันแล้วนะ พวกเธอห้ามมาแย่งเชียวล่ะ”
หวังชิงชิงไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงดื่มด่ำกับจินตนาการของเธอ เธอรู้สึกว่า แม้ฟ้านเจาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเขานั้นมีความหมายมาก บุคคลเช่นนี้ดึงดูดใจเธอเหลือเกิน และตอนนี้เธอรู้สึกตกหลุมรักเขาไปแล้ว
ส่วนกู้ชิวส่วยที่เป็นสาวสวยเย็นชาคนนี้ไม่มีส่วนร่วมในการสนทนาของพวกเธอเลย เธอเอาแต่ถือโทรศัพท์แล้วตอบแชทอย่างไม่หยุด
แต่ตอนนี้เธอเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าแล้วพูดว่า “เดี๋ยวฉันออกไปก่อนนะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกไปทันที
หวีจี้งเบะปากแล้วพูดต่อ “ฉันว่าชิวส่วยกำลังมีความรักอยู่นะ”
หวังชิงชิงพูดต่อ “วันนี้ฉันก็เห็นเธอลงจากรถแลมโบกินี่เหมือนกันนะ เจ้าของรถเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ฉันว่าต้องเป็นแฟนเธอแน่เลย”
เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกคนต่างก็เงียบไป คนที่สามารถขับแลมโบกินี่ได้นั้นถึงจะเรียกว่าคนรวยที่แท้จริง
ร่องรอยของความอิจฉาปรากฏขึ้นในดวงตาของจางเหมิง ไม่แปลกเลยที่กู้ชิวส่วยหาแฟนที่รวยกว่าเซียวมู่ไป๋ได้ เพราะเธอสวยที่สุดในหอพักนี้
คืนวันนั้น หลังจากลู่เสี้ยงหยางทำธุระเสร็จก็กลับบ้านไปพร้อมกับเย่สวน
ทางสถาบันไม่มีกฎระเบียบบังคับให้นักศึกษาต้องพักอยู่ในหอพัก แต่ในทางกลับกัน หอพักของสถาบันนั้นมีไว้สำหรับนักศึกษาที่มาจากต่างถิ่นหรือนักศึกษาที่มีฐานะยากจนเท่านั้น
เมื่อทั้งสองกลับไปถึงบ้านก็เห็นหลิวจิ้งและครอบครัวของหลิวต้าจู้นั่งอยู่ในบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
สีหน้าของหลิวจิ้งดูหงุดหงิดเช่นเคย เย่สวนจึงรู้ทันทีว่าแม่ของเธอต้องแพ้ไพ่นกกระจอกมาอีกแล้ว
ตั้งแต่บริษัทของแม่ปิดตัวลง สภาพจิตใจของเธอก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องเล่นไพ่เพื่อฆ่าเวลา
ในขณะนี้ จางกุ้ยจู๋ส่งสายตาให้กับหลิวต้าจู้เพื่อทำอะไรบางอย่าง
หลิวต้าจู้จึงพยักหน้าแล้วพูดอย่างไร้ยางอาย “น้องสาว น้องก็รู้อยู่ว่าที่บ้านในชนบทของเราลำบากมาก ตอนนี้บ้านหลังเก่าของเราเกือบพังหมดแล้ว น้องยืมเงินให้พี่ไปปรับปรุงบ้านใหม่ได้ไหม?”
ให้ตายสิ! จะขอยืมเงินอีกแล้ว
เย่สวนเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ หลายปีที่ผ่านมา หลิวต้าจู้กับจางกุ้ยจู๋ทั้งครอบครัวยืมเงินกับบ้านเธอทุกปี และเงินที่ยืมไปไม่เคยได้คืนเลยสักครั้ง
“คุณลุง คุณป้า ต้องขอโทษจริงๆ นะ บริษัทของแม่เพิ่งล้มละลาย และตอนนี้หนูก็ตกงานด้วย บ้านหนูไม่มีเงินให้ครอบครัวคุณลุงคุณป้ายืมแล้วจริงๆ” เย่สวนพูดขึ้นทันที
จางกุ้ยจู๋ยิ้มพูดอย่างเย้ยหยันทันที “เย่สวน เธอพูดอะไร เธอคิดว่าป้าจะเชื่อเหรอ? บ้านของเธอมีรถยนต์ตั้งสามคัน แล้วใครจะเชื่อว่าไม่มีเงิน”
เป็นคำพูดที่ฟังดูแปลกประหลาดมาก เหมือนการยืมเงินให้ครอบครัวเขานั้นเป็นหน้าที่ของครอบครัวเย่สวน
หลิวต้าจู้เงียบไปสักพัก จากนั้นลุกขึ้นมาทุบโต๊ะแล้วพูดต่อ “น้องสาว ถ้าเธอไม่มีเงินจริงๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่เธอช่วยหายืมกับเพื่อนเธอให้หน่อย ถ้าพี่หาเงินได้แล้วพี่จะเอามาคืนให้เธอทันที……”
ก่อนที่เขาจะพูดจบจางกุ้ยจู๋ก็ได้พูดแทรกขึ้นมา “ยืมเงิน? ยืมบ้านอะไร บ้านเขาต้องไปยืมเงินด้วยเหรอ? คุณไม่เห็นรถสปอร์ตมูลค่ากว่าสองล้านที่ไอ้กระจอกลู่เสี้ยงหยางคนนี้ขับอยู่เหรอ? แค่ขายรถคันนั้นก็ได้เงินมาเป็นล้านแล้ว ยืมให้บ้านเราห้าแสนก็พอ อีกห้าแสนเขายังเก็บไว้ใช้เองได้ แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?”