บทที่ 257 เลียแข้งออดอ้อน
เมื่อเห็นเฉินเหลยก้มหน้ายอมจำนนต่อลู่เสี้ยงหยาง หวังไสว่และสมาชิกคนอื่นๆ ในทีมอาชญากรรมต่างก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ
เพราะพวกเขาไม่พอใจเฉินเหลยมานานแล้ว แต่เนื่องจากเขามีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ทุกคนจึงไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าเขา
แต่ในตอนนี้ สามารถบอกได้ว่าลู่เสี้ยงหยางช่วยระบายความในใจของพวกเขาแล้ว
“ฮ่าๆ สุดยอดเลยครับคุณลู่ เราทุกคนเชื่ออยู่แล้วว่าคุณจะพาเราจับกุมฆาตกรในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้อย่างแน่นอน”
“ยอดเยี่ยมมากเลยครับคุณลู่ จากนี้ไปคุณกับหัวหน้าทีมจะเป็นไอดอลของพวกเราครับ”
“คุณลู่รับเด็กฝึกงานไหมครับ? อย่างผมคุณลู่จะรับไหมครับ?”
เป็นเวลาหนึ่งที่สมาชิกของทีมอาชญากรรมต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นต่อลู่เสี้ยงหยาง
ในทางตรงกันข้าม เฉินเหลยที่เคยถูกขนานนามมาก่อนกลับไม่มีใครสนใจเขาเลย เขายืนอยู่คนเดียวและค่อยๆ ถูกเบียดออกไป
ดวงตาของลู่เสี้ยงหยางเริ่มฝืด เขาไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับสมาชิกของทีมอาชญากรรมเหล่านี้ จากนั้นเขาหาวและพูดกับหวังไสว่ว่า “นี่มันก็ดึกมากแล้ว ผมว่าผมควรกลับไปก่อนดีกว่า”
หวังไสว่ตอบด้วยความเกรงใจ “ฉันยังมีแฟ้มงานอีกแฟ้มอยากให้คุณช่วยวิเคราะห์หน่อย ถ้าดูเสร็จแล้วฉันจะส่งคุณกลับไปเองนะ”
นอกเหนือจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองไท่ผิง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปินเหอก็มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอีกคดีหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน
การฆ่าต่อเนื่องที่เป็นสัญลักษณ์นั้นชัดเจนมาก เพราะเหยื่อทุกรายถูกตัดศีรษะ
“ได้ครับ” ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้าตอบด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นว่าลู่เสี้ยงหยางตอบตกลง หวังไสว่ก็รู้สึกดีใจมาก “งั้นช่วยเข้าไปในออฟฟิศกับฉันหน่อยนะ”
จากนั้นเธอก็เดินนำไปก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เสี้ยงหยางและหวังไสว่ก็เข้าไปในออฟฟิศ
โดยที่ยังไม่ทันได้นั่งลง หวังไสว่ก็รีบหยิบแฟ้มจากโต๊ะแล้วยื่นให้ลู่เสี้ยงหยาง
ลู่เสี้ยงหยางอ่านจบอย่างรวดเร็ว จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อนำคดีฆาตกรรมต่อเนื่องมารวมกันก็สามารถสรุปได้ง่ายๆ เพราะเหยื่อทุกคนเป็นลูกเศรษฐี และถูกตัดศีรษะเหมือนกันหมด ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วสรุปได้ว่าฆาตกรก็คือคนเดียวกัน
สิ่งที่ลู่เสี้ยงหยางไม่คาดคิดคือ หลินเสี่ยวโปที่ถูกเขาส่งตัวไปเรือนจำก่อนหน้านี้ก็เสียชีวิตในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ด้วย
“เป็นยังไงบ้าง? พบเบาะแสอะไรไหมคะ?” เมื่อเห็นว่าลู่เสี้ยงหยางดูแฟ้มคดีเสร็จ หวังไสว่ก็ถามเขาด้วยความสงสัย เธอทำคดีฆาตกรรมนี้มาสักพักแล้ว แต่ยังไม่มีเงื่อนงำใดๆ ซึ่งคดีนี้ก็ทำให้เธอปวดหัวมาก
ลู่เสี้ยงหยางถอนหายใจแล้วพูด “ตามข้อมูลที่มียังไม่เพียงพอที่จะระบุตัวผู้ร้ายได้ แต่ฆาตกรไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับลูกเศรษฐีที่เขาฆ่า ฆาตกรฆ่าคนโดยไม่เอาทรัพย์สินเลย นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน ซึ่งอาจหมายถึงมันเป็นการล้างแค้นหรือการแจ้งเตือนถึงเรื่องบางเรื่องก็ได้”
“เท่าที่ผมวิเคราะห์แล้ว มันน่าจะเป็นคำเตือนมากกว่า เพราะเหยื่อทุกรายถูกสังหารโหดโดยการฆ่าตัดคอ นั้นก็หมายความว่าเขาต้องการใช้วิธีนองเลือดนี้เพื่อบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง”
หลังจากฟังคำวิเคราะห์ของลู่เสี้ยงหยางแล้วหวังไสว่ก็พยักหน้า ดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรบางอย่างได้
“นอกจากนี้” ทันใดนั้น ดวงตาของลู่เสี้ยงหยางเปล่งประกายแสงและพูดต่อ “ถ้าสัญชาตญาณของผมไม่ผิด ผมว่าฆาตกรน่าจะเป็นผู้หญิงนะ”
ว่าไงนะ?
เพศหญิง?
หวังไสว่รู้สึกประหลาดใจ “ต้องเป็นผู้หญิงแบบไหนถึงฆ่าคนด้วยการตัดหัวได้?”
ลู่เสี้ยงหยางส่ายหัว สำหรับเรื่องนี้แล้วเขาก็สับสนเช่นกัน
แม้แต่นักฆ่าหญิงมืออาชีพก็มีไม่กี่คนที่สามารถทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้ได้
ทันใดนั้น หวังไสว่ก็นึกถึงจุดที่น่าสงสัยบางอย่างและมองไปที่ลู่เสี้ยงหยางแล้วพูดว่า “บางส่วนของการวิเคราะห์ของคุณฉันไม่ค่อยเข้าใจ คุณบอกว่าฆาตกรกับเหยื่อเหล่านี้ไม่รู้จักกัน แล้วเธอตัดศีรษะของเหยื่ออย่างเงียบๆ ได้ยังไง ฉันเคยลงพื้นที่เกิดเหตุนะ แต่มันไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เลย อีกอย่าง ทีมชันสูตรให้ข้อสรุปว่าผู้ตายถูกตัดศีรษะออกจากด้านหน้าทุกคน”
ลู่เสี้ยงหยางยิ้มตอบ “มันง่ายมาก ฝีมือของฆาตกรนั้นเหนือกว่าเหยื่อมาก ดังนั้นเหยื่อจึงไม่มีเวลาแม้แต่ตอบสนองเลย คงไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้หรอก”
หวังไสว่สูดหายใจเข้าลึกๆ ต่อให้เธอเป็นลูกศิษย์ของหลิวหลีกง และเรียนศิลปะการต่อสู้ถึงระดับเจ็ดก็ตาม เธอก็คงฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยหลักฐานแบบนี้ไม่ได้หรอก
“เอาล่ะ ผมวิเคราะห์ในส่วนของผมแล้วนะ ส่วนเรื่องตามหาผู้ร้ายนั้นเป็นงานอดิเรกของคุณ ถ้าไม่มีธุระอื่นผมขอตัวก่อนนะ” ลู่เสี้ยงหยางโบกมือกล่าวลา
หวังไสว่รีบพยักหน้าตอบ “ได้ค่ะคุณลู่ งั้นฉันไปส่งคุณตอนนี้เลยนะ”
ลู่เสี้ยงหยางส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ผมขับรถมา เดี๋ยวผมขับกลับไปเองได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณขับรถดีๆ นะคะ แล้วก็สำหรับเรื่องการช่วยเหลือทีมอาชญากรรมของคุณในครั้งนี้ ฉันจะทำเรื่องถึงสถานีตำรวจเพื่อส่งมอบรางวัลตอบแทนให้กับคุณนะ” หวังไสว่พูดอย่างจริงจัง
ลู่เสี้ยงหยางไม่ได้สนใจรางวัลตอบแทนเหล่านี้ เขาได้แต่หาวแล้วเดินออกจากสถานีตำรวจ
เมื่อกลับไปถึงบ้าน เย่สวนกับหลิวจิ้งก็หลับไปแล้ว เพื่อจะไม่เป็นการรบกวนเย่สวน คืนนี้ลู่เสี้ยงหยางจึงนอนบนโซฟา
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เสี้ยงหยางตื่นไปทำอาหารเช้าให้เย่สวนกับหลินจิ้งเช่นเคย
ในระหว่างอาหารเช้า ลู่เสี้ยงหยางสังเกตสีหน้าของหลิวจิ้ง ใบหน้าของเธอค่อนข้างซีดเซียวเหมือนแก่ขึ้นหลายปีในช่วงเวลาสั้นๆ
ลู่เสี้ยงหยางรู้ว่าบริษัทของหลิวจิ้งล้มละลาย จึงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอมาก
แต่เช้าวันนี้เย่สวนได้เข้ามาบอกกับลู่เสี้ยงหยางไว้ว่า อย่าพูดเรื่องบริษัทต่อหน้าแม่และให้เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ก่อนที่ทั้งสามจะทานอาหารเช้ากันเสร็จ เสียงออดก็ได้ดังขึ้น ลู่เสี้ยงหยางจึงลุกไปเปิดประตู
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเป็นเย่หยุนเทาที่น่ารังเกียจ
ทันทีที่เห็นเย่หยุนเทา สีหน้าของเย่สวนกับหลิวจิ้งก็เปลี่ยนไปราวกับว่าเห็นแมลงวันที่น่ารำคาญ
เย่หยุนเทาเดินเข้ามานั่งบนโซฟาอย่างหน้าด้าน จากนั้นมองไปที่เย่สวนอย่างเย้ยหยันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเชิงออกคำสั่ง “เย่สวน คุณย่าบอกว่าให้เธอกลับไปเป็นประธานบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ป”
วันนี้บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปกำลังจะล้มละลาย ท่าย่าจึงรู้ว่าเย่สวนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซุนเซียงเซียงของหยูเม่ยหยินกรุ๊ป ดังนั้นเธอจึงให้ความสำคัญกับเย่สวนและอยากให้เย่สวนกลับไปทำงานให้กับตระกูลเย่กรุ๊ปอีกครั้ง เพื่อความสัมพันธ์ของตระกูลเย่กรุ๊ปกับหยูเม่ยหยินกรุ๊ปจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ท่านย่าหวังว่าด้วยวิธีนี้จะสามารถกอบกู้ตระกูลเย่กรุ๊ปได้
เย่สวนหัวเราะเยาะแล้วตอบเขา “คิดว่าเย่สวนเป็นเด็กสามขวบเหรอ? ขอโทษทีนะ ตอนนี้ฉันกับตระกูลเย่กรุ๊ปไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว สำหรับตำแหน่งประธานบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปนั้น ฉันไม่สนใจหรอก”
ว่าไงนะ?
ไม่สนใจ?
เย่หยุนเทาถึงกับอึ้งจนแข็งทื่อไปทั้งตัว เขาคิดว่าถ้าเย่สวนได้ยินคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ เธอจะยอมรับและกลับไปเป็นประธานบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปทันที แต่ที่ไหนได้ เย่สวนกลับปฏิเสธ
บ้าเอ๊ย! หรือว่าเราต้องคุกเข่าขอร้องมันจริงๆ?
สีหน้าของเย่หยุนเทาดูน่าเกลียดราวกับอมขี้หมาอยู่ในปาก
ครั้งนี้ท่านย่าออกคำสั่งให้เขาอย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เขาต้องเชิญเย่สวนกลับไปให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ชีวิตตระกูลเย่ของเขาในอนาคตต้องลำบากแน่นอน