บทที่ 119 ให้โอกาสลอง
ไม่นานลู่เสี้ยงหยางก็มาถึงทางเข้าประตูใหญ่ของตึกชิงสุย
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันจะก้าวขาหน้าเข้าประตูเลย ก็กลับถูกยามสองคนขวางไว้
“หยุด อย่าขยับ ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล บุคคลภายนอกห้ามเข้า”ยามคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา จ้องมองลู่เสี้ยงหยางด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าหากลู่เสี้ยงหยางกล้าบุกรุกเข้ามา พวกเขาก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน
ลู่เสี้ยงหยางยิ้มพลางพูดว่า “อย่าเพิ่งเอะอะไป ผมก็แค่มาสมัครเป็นบอดี้การ์ดของคุณช่างกวนก็เท่านั้นครับ”
จากข้อมูลของลู่กั๋วตงแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ช่างกวนหวั่นหวั่นมาอาศัยอยู่ที่เหอปินได้สามวันนั้น สิ่งแรกที่หล่อนทำคือประกาศรับสมัครบอดี้การ์ดที่มีรูปร่างแข็งแรง
อะไรนะ?
เมื่อฟังจบ สายตาของยามทั้งสองก็มองลู่เสี้ยงหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยกวาดสายตามองเขาหลายต่อหลายครั้ง
ไม่นานสายตาของพวกเขาก็แสดงความเหยียดหยามออกมา
ในสายตาของพวกเขา ลู่เสี้ยงหยางก็เหมือนเศษขยะ ดูไม่ลึกลับซับซ้อน อีกทั้งแขนขาก็เล็ก คนรูปร่างเล็กขนาดนี้จะมาเป็นยาม ก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น
“ฮึ ผู้ชายในเหอปินมีแต่พวกขยะทั้งนั้น” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้นพลางยิ้ม
บอดี้การ์ดอีกคนก็พูดตามขึ้นมาว่า “นายกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้านเถอะ”
ลู่เสี้ยงหยางขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินทั้งสองคนนั้นพูด พวกเขาทั้งสองไม่ใช่คนเหอปิน
“ผมว่าพวกคุณทั้งสองกีดกันเรื่องถิ่นกำเนิดเกินไป แบบนี้ก็คงจะไม่ถูก”ลู่เสี้ยงหยางพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
บอดี้การ์ดคนหนึ่งมองบนพลางยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นชี้ไปที่จมูกของลู่เสี้ยงหยางพลางพูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม นายฟังไว้นะ พวกเรามาจากเมืองหลวง ไม่นอนว่าจะต้องดูถูกนายที่อยู่ในเมืองยากจน อีกอย่างหนึ่งเหล่านักยุทธ์ของปินเหอล้วนขี้ขลาดตาขาวนักยุทธ์ของปินเหอที่มาสมัครเป็นบอดี้การ์ดของคุณหนูพวกเราไม่มีใครสอบผ่านเลยสักคน”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ลู่เสี้ยงหยางเหงื่อออกเต็มตัว นี่มันก็เว่อร์ไปหน่อย ปินเหอกว้างใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีนักยุทธ์ที่สอบผ่านและได้เข้ามาเป็นบอดี้การ์ดของช่างกวนหวั่นหวั่นเลยเหรอ
“พอแล้ว พอแล้ว อย่ามายืนเกะกะประตู รีบไสหัวไปซะ ”บอดี้การ์ดสองคนนั้นสะบัดมืออย่างรำคาญ เพราะพวกเขาต่างคิดว่ายังไงลู่เสี้ยงหยางก็คงไม่ผ่านการทดสอบของคุณหนูพวกเขาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าลู่เสี้ยงหยางไม่สามารถถอดใจจากไปได้ พูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า“ฉันต้องการพบคุณช่างกวน”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งจ้องตาเขม็ง“นี่นาย เมื่อกี้ที่พูดไม่เข้าใจเหรอ?ไสหัวไป อย่ามาเกะกะแถวนี้ คนมีฝีมือในปินเหอขยะทั้งนั้น คุณหนูของพวกเราไม่รับสมัครแล้ว การรับสมัครได้จบสิ้นลงแล้ว เข้าใจไหม?”
สายตาของลู่เสี้ยงหยางเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ดูเหมือนว่าคงทำได้แค่ดันทุรังเท่านั้น
ในขณะที่เขาตัดสินใจทำเช่นนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากคฤหาสน์
ผู้หญิงคนนี้สวยสง่าร่ำลือไปทั่วเมือง รูปหน้าไข่ ประสาทสัมผัสทั้งห้าครบถ้วนสมบูรณ์ สวมใส่กระโปรงยาวสีขาว เซ็กซี่เล็กน้อย
ถือเป็นดาวจรัสที่ไม่มีใครเปรียบได้
“คุณหนู”
“คุณหนู” เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ บอดี้การ์ดทั้งสองก็รีบก้มหน้าลง แสดงให้เห็นถึงท่าทางเคารพนับถือเธอเป็นอย่างมาก
ลู่เสี้ยงหยางเคยเห็นรูปของช่างกวนหวั่นหวั่น ในเวลานี้เขาพอจะดูออกแล้วว่าหล่อนก็คือช่างกวนหวั่นหวั่น
“อืม”ช่างกวนหวั่นหวั่นพยักหน้าเบาๆเพื่อเป็นการตอบรับบอดี้การ์ดทั้งสองคนเท่านั้น จากนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วเดินต่อไป
มีชายวัยกลางคนตามเธออยู่ข้างหลังอย่างใกล้ชิด แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะธรรมดา หากอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากก็คง ไม่มีใครสนใจ แต่ว่าดวงตาคู่นั้นแหลมคมราวกับตาเหยี่ยว ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง
ในเวลานี้เองช่างกวนหวั่นหวั่นไม่เหลือบมองลู่เสี้ยงหยางเลยไม่แต่น้อย พร้อมกับเดินผ่านเขาไปโดยไม่ได้สนใจ
หลินยงชายวัยกลางคนกลับระแวดระวังลู่เสี้ยงหยาง มันแสดงให้เห็นว่าหากเขากระทำการใดลงไป เขาจะต้องถูกจัดการเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าช่างกวนหวั่นหวั่นเดินออกไปสองสามก้าวแล้ว ลู่เสี้ยงหยางจึงเอ่ยปากขึ้นว่า“คุณช่างกวน ผมมาสมัครเป็นบอดี้การ์ดครับ”
ช่างกวนหวั่นหวั่นไม่แม้แต่จะหันมา พลางพูดขึ้นว่า“นายไม่ต้องมาสมัครแล้ว กลับไปเถอะ”
แม้ว่าเมื่อสักครู่นี้หล่อนจะไม่ได้ใส่ใจในตัวของลู่เสี้ยงหยาง แต่เมื่อเหลือบสายตาดูเล็กน้อยก็พบว่า ชายผู้นี้รูปร่างเล็กดูไม่แข็งแรงกำยำ ไม่เหมาะที่จะเป็นบอดี้การ์ด อีกทั้งภารกิจที่จะต้องไปเอาของสำคัญที่วัดชิงหลงจะต้องเจอกับอันตรายมากมาย หากพอลู่เสี้ยงหยางบอดี้การ์ดรูปร่างเช่นนี้ไปก็คงเหมือนว่าจะไปหาที่ตายเป็นแน่?
ลู่เสี้ยงหยางฝืนยิ้ม แม้ว่ารู้ร่างของเขาจะไม่ใช่ข้อดี แต่ว่า ช่างกวนหวั่นหวั่นก็มองคนตื้นไปหน่อย
“คุณช่างกวน แม้แต่โอกาสคุณก็ไม่ยอมให้ผมเลยเหรอ ผมจะเป็นไม่ได้เลยเหรอ ?”ลู่เสี้ยงหยางถามขึ้น
ครั้งนี้ ช่างกวนหวั่นหวั่นไม่มีกระจิตกระใจจะมาสนใจลู่เสี้ยงหยาง หลินยงชายที่อยู่เบื้องหลังช่างกวนหวั่นหวั่นพูดขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า:“พวกขยะ”
ในขณะเดียวกัน บอดี้การ์ดก็หัวเราะเยาะตามมา
“ก็แค่ขยะคนหนึ่ง ยังจะหน้าด้านอยู่ตรงนี้อีก ไล่ก็ไม่ไป ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เศษสวะ”
ลู่เสี้ยงหยางยิ้ม ส่ายหัวแล้วพูดว่า“คุณช่างกวน ไม่ใช่ว่าผมโอ้อวดนะ ลูกน้องที่อยู่รอบกายคุณหนูนี้ สวยแต่รูป หากผมต้องการชีวิตของคุณหนูจริงๆ ต่อให้คุณหนูหลบอยู่ในตึกชิงสุยก็ไม่ยากที่ผมจะเข้าถึงตัวคุณหนู”
ช่างกวนหวั่นหวั่นที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปมองลู่เสี้ยงหยาง
คำพูดที่หลงระเริงเช่นนี้ ออกมาจากปากของเจ้าหนุ่มที่ผอมกะหร่องกะแหร่งงั้นเหรอ?
“ฮึ คุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย ขยะอย่างนาย ฉันใช้มือเดียวจับนายมัดห้อยและเฆี่ยนตีสักสิบทียังได้เลย” หลินยงชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าเหยียดหยาม ในขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีหม่นหมอง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกสิ้นดี ” บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกทั้งสองคนหัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับว่าได้ยินเสียงเรื่องที่ตลกที่สุดบนโลกใบนี้
สีหน้าของลู่เสี้ยงหยางเต็มไปด้วยแววตาจริงจังจ้องมองไปที่หลินยงพลางพูดขึ้นว่า:“คุณคิดว่าผมกำลังล้อเล่นอยู่เหรอ?”
หลินยงชายวัยกลางคนตกใจ ในเวลานี้เขาสังเกตเห็นรังสีอันตรายรอบกายลู่เสี้ยงหยาง ราวกับว่าลู่เสี้ยงหยางเป็นสัตว์ป่าที่กำลังออกมาจากป่า พอเข้าจู่โจมก็จะไล่ล่าศัตรูอย่างกดไม่ปล่อย
สัญชาตญาณของเขาทำให้เขารีบคุ้มครองช่างกวนหวั่นหวั่นโดยให้เธออยู่ข้างหลังเขา
ช่างกวนหวั่นหวั่นขมวดคิ้วเป็นเส้นตรง วินาทีต่อมา ความรู้สึกที่เธอมีต่อลู่เสี้ยงหยางก็ไม่เหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าลู่เสี้ยงหยางนั้นไม่เหมือนบุคคลธรรมดา แต่ส่วนไหนที่ไม่เหมือนนั้นเธอก็ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
เธอรับรู้ได้ถึงพลังของลู่เสี้ยงหยาง ซึ่งราวกับพลังนักรบ
หล่อนตัดสินใจให้โอกาสลู่เสี้ยงหยางสักครั้ง
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”ช่างกวนหวั่นหวั่นจ้องมองลู่เสี้ยงหยางพลางพูดขึ้น
“คุณช่างกวนฉลาดไม่น้อย”ลู่เสี้ยงหยางยิ้ม
“ในเมื่อนายมาสมัครเป็นบอดี้การ์ดของฉัน งั้นฉันจะให้โอกาสนายสักครั้ง”ช่างกวนหวั่นหวั่นพูดขึ้น
ชายวัยกลางคนหลินยงรู้สึกแปลกใจ แต่ในเมื่อคุณหนูของพวกเขาตัดสินใจแล้ว เขาก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของเธอ ดังนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า:“กฎกติกานั้นง่ายมาก เดี๋ยวสักพักคุณหนูจะเข้าไปในตึกชิงสุย ขอแค่นายสามารถไปอยู่ข้างกายคุณช่างกวนได้ภายในสิบนาที นั้นก็หมายความว่านายผ่านการทดสอบ”