หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1499 เจ้าของคนใหม่เจดีย์วั้นกู่

ตอนที่ 1499 เจ้าของคนใหม่เจดีย์วั้นกู่

ภายในเจดีย์วั้นกู่

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเคลือบด้วยความตกใจหวาดผวาขณะมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ จากนั้นก็มองไปที่ตำแหน่งที่ร่างสีทองเข้มหายไปอีกครั้ง สีหน้าเขาเหวอไปแล้ว

ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว ภาพเงาลึกลับเบื้องหน้าก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ของแท้!

ร่างสีทองเข้มที่เขาจ่ายราคาออกไปมหาศาลเพื่อควบคุมเป็นเพียงของปลอม!

คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของหมัวเฮอโยวกระตุก ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ ความอิจฉาในแววตาได้ก่อตัวขึ้น

“เป็นไปได้ยังไง?! ร่างมหาเทพนิรันดร์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กนั่นได้ยังไง?!” หมัวเฮอโยวพึมพำพร้อมกับดวงตาแดงฉาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกคว้าไปโดยมู่เฉิน

“ร่างมหาเทพนิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอของข้าเฝ้าพิทักษ์เจ้ามาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ทำไมเจ้าถึงไปเลือกคนนอก?!” หมัวเฮอโยวคำรามส่งไปยังภาพเงาลึกลับด้วยความไม่เต็มใจ

ทว่าร่างมหาเทพนิรันดร์กลับไม่ตอบสนองต่อเสียงคำรามนั่นเลย ร่างเทห์สวรรค์เป็นการดำรงอยู่ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งมีใยแห่งสติปัญญา แต่มันไม่ได้มีจิตใต้สำนึก ในความคิดของมันแม้หมัวเฮอโยวจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน แต่เขาไม่ใช่เจ้าของที่เหมาะสม

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างสงบ จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาแก่นอมตะของเขามา”

หมัวเฮอโยวไม่เพียงแต่วางแผนเล่นตุกติกกับเขาเท่านั้น แต่ยังบีบให้เขาต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะเคลื่อนไหวจัดการเขา นี่เป็นหนี้ที่มู่เฉินจดเอาไว้ในใจ

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยหมัวเฮอโยวไป

“แกบังอาจ!”

หมัวเฮอโยวร้องเสียงสูงพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน

วาบ!

ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหมัวเฮอโยว

ตู้ม!

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเขียวคล้ำ ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย เขาถอยออกไปทันที ในพริบตาก็ไปไกลหลายหมื่นจั้งแล้ว

แต่เมื่อเขาถอยกลับ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าหมัวเฮอโยว

ท่าคว้าจับนั้นทำให้ฟ้าดินเหมือนหยุดชะงัก หมัวเฮอโยวก็คล้ายกับแมลงที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่สามารถขยับร่างได้เลย มีเพียงความกลัวฉายบนใบหน้า

เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ชี้มา รัศมีสีม่วงทองก็รวมตัวกันอยู่ข้างหลังหมัวเฮอโยว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเรียกขึ้นมาโดยไม่มีการควบคุม…

ยามนี้หมัวเฮอโยวรู้สึกกลัวจับใจ

ปัง!

เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์กำมือแน่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของหมัวเฮอโยวก็ถูกปกคลุมด้วยรอยร้าวก่อนที่จะระเบิดออก

พร้อมกับแรงดูดจากปาก ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็กลืนกินแก่นอมตะเข้าไปอย่างสมบูรณ์

อ็อก!

หมัวเฮอโยวได้รับอิสรภาพในเวลานี้ ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา คลื่นหลิงรอบตัวก็อ่อนกำลังลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก!

“มู่เฉิน! แกบังอาจกล้าทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า!”

หมัวเฮอโยวคำรามพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เมื่อแก่นอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเอาไป ร่างเวทสวรรค์ของเขาก็ถูกทำลาย ถ้าเขาไม่ได้เริ่มต้นฝึกฝนใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“แกทำให้ข้าต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเอง ข้าก็เลยทำมั่งไง ก็เจ๊ากันดีนี่” มู่เฉินยิ้มอ่อน

ลูกตาของหมัวเฮอโยวแทบถลนออกมาด้วยความโกรธ ท่าทางน่ากลัวราวกับว่าเขาจะขบหัวมู่เฉินให้ขาดในครั้งเดียว

“ดูเหมือนว่าแกจะไม่พอใจนะ” พอเห็นท่าทางนั่น มู่เฉินก็หรี่ตาลงพลางชี้นิ้วไปที่หมัวเฮอโยวพร้อมกับจิตสังหารในดวงตา

“แล้วไง? แกกล้าฆ่าข้าเหรอ?!” แววตาของหมัวเฮอโยวเย็นเยือกลง ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้ามู่เฉินกล้าที่จะฆ่าเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้าทำอะไร

“ฆ่ามันซะ”

ทว่าเมื่อหมัวเฮอโยวพูดจบ เสียงเฉยเมยของมู่เฉินก็ดังขึ้น

ดวงตาของร่างมหาเทพนิรันดร์เลื่อนไปมองที่หมัวเฮอโยว

ยามนี้หนังหัวของหมัวเฮอโยวชาหนึบไปหมด สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ แต่จากน้ำเสียงแน่วแน่นั่น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่มุกตลก

“แกบ้าไปแล้ว!”

หมัวเฮอโยวกัดฟันไม่กล้าอยู่ต่อไป “ข้าถอนตัว!”

เมื่อร่างสีทองเข้มถูกจัดการไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าสามารถถอนตัวออกไปได้

มิติรอบร่างหมัวเฮอโยวบิดเบี้ยวก่อนที่เขาจะถูกส่งออกไปจากเจดีย์

แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปก็เขม่นมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “มู่เฉินอย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าแกจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่แกก็ต้องเอาออกจากเผ่าหมัวเฮอให้ได้ก่อน!”

เมื่อพูดจบเขาก็หายวับไปจากเจดีย์วั้นกู่

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างไม่แยแสพลางหัวเราะเยาะ “ทีตอนวิ่งหนีนี่เร็วจริงๆ”

ถ้าหมัวเฮอโยวยังคิดอยู่ที่นี่ต่อไป เขาก็ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่ายจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะปล่อยให้หมัวเฮอโยว ออกไป แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่ปล่อยเขาไปหรอก เนื่องจากเขาได้รับการสืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเขาต้องให้หน้าพวกมันด้วยล่ะ?

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ เขาก้มมองเยี่ยฉิงที่นอนอยู่บนพื้นไกลออกไป เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกอยู่ในมือเจ้า”

เยี่ยฉิงถอนหายใจหลับตาลง “แต่ก็ดีกว่ามอบให้กับไอ้หน้าด้านอย่างหมัวเฮอโยว เจ้าระวังตัวด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไป”

พูดเสร็จก็เงยหน้าไปบนฟ้า “ข้าถอนตัว”

มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ข้าจะระวังตัว”

เยี่ยฉิงยิ้มไม่พูดต่อ ร่างถูกปกคลุมไปด้วยความผันผวนมิติหายตัวไป

หลังจากเยี่ยฉิงออกไป มู่เฉินก็อยู่ในเจดีย์วั้นกู่เพียงผู้เดียว

เมื่อทั้งหมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงออกไป กระจกทั้งสองบานก็แตกสลาย การมองเห็นภายในเจดีย์หายไป

กระจกหายไป ทว่าทุกคนนอกเจดีย์กลับเงียบกริบ พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันในบรรยากาศ

ซึ่งมาจากหมัวเฮอเทียนที่หน้าตานิ่งเฉยบนแท่นสูง

หมัวเฮอเทียนมองไปที่หมัวเฮอโยวที่ปรากฏตัวข้างๆ อย่างเย็นชา เขาไม่พูดแค่ไพล่มือไว้ด้านหลังและหลับตาลง

ความเงียบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ นี่ช่างคล้ายกับความสงบก่อนพายุจะมา

ทุกคนรู้ดีว่าหมัวเฮอเทียนไม่มีทางปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปจากเผ่าหมัวเฮอแน่นอน แม้เขาจะเป็นเจ้าของที่ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกก็ตาม!

เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียนที่หลับตา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนรุนแรงในสายตาของอีกฝ่าย

ทว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สายตากลับมองไปที่เจดีย์ด้วยความเฉียบคมและความเด็ดเดี่ยวในดวงตา

ถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าทำอะไรกับลูกชายนางละก็ งานนี้นางไม่ถอยแน่ แม้ว่าจะหมายถึงสงครามเผ่าก็ตาม!

ส่วนฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่นขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพลางถอนหายใจเบาๆ ความคิดของนางทำไมเขาจะไม่รู้ นางไม่ปล่อยให้เรื่องสงบลงแน่นอนถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าแตะต้องบุตรชายนาง

ถึงเวลานั้นนี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เหตุการณ์นี้จะเขย่าไปทั่วมหาพันภพ

แต่ตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นตัวแทนของเผ่าฝูถู ดังนั้นหากหมัวเฮอเทียนไม่ยอมไว้หน้าให้นาง นั่นก็หมายความว่าเขากำลังดูหมิ่นเผ่าฝูถู แม้ว่าเผ่าฝูถูจะด้อยกว่า แต่พวกเขาก็จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี หากอีกฝ่ายทำเกินไป

นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนยังพอใจกับศักยภาพของมู่เฉิน ขณะนี้เขาเห็นควรแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรดำรงตำแหน่งประมุขเผ่าฝูถูสืบต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่เขาจะถอยหลัง…

ภายใต้ความกดดันของทั้งสองเผ่าโบราณ ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินก้าวออกจากเจดีย์วั้นกู่ การต่อสู้สะเทือนปฐพีก็จะระเบิดออก…

นี่จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว

ขณะที่บรรยากาศภายนอกตึงเครียดลอยอวล

ในเจดีย์ มู่เฉินก็มองเห็นแสงรวมตัวกันเป็นร่างพร่ามัว นี่คือจิตวิญญาณของเจดีย์วั้นกู่

“ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าคือเจ้าของคนใหม่ร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่มองไปที่มู่เฉินและยิ้ม

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบก่อนที่จะโค้งคำนับ ร่างเขาสั่นสะท้านซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นในใจ

เขาทำงานหนักวันนี้มานานแสนนาน

จากนั้นคำพูดประโยคถัดมาของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็ทำให้เขาสนใจ

“นอกจากนี้เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังเตรียมของขวัญไว้ให้กับเจ้าด้วย…”

โฮก!

ร่างสีทองเข้มคำราม ลวดลายสีแดงเข้มที่อยู่บนพื้นผิวดิ้นพล่าน ในดวงตาก็มีแสงสีแดงรวมตัวกัน นอกจากนี้ยังมีระลอกคลื่นสีทองเข้มที่น่าสะพรึงโดยรอบซึ่งทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน

นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะประจันหน้าได้

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่เล็ดลอดมาจากร่างสีทองเข้ม แววไร้ความปรานีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหมัวเฮอโยว ในมุมมองของเขาข้อเสียเปรียบก่อนหน้าเป็นเพราะร่างสีทองเข้มไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้เขาเข้าควบคุมอย่างแข็งแกร่งแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของมันจึงน่ากลัวยิ่งขึ้น

“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่วันนี้แกได้ง่อยแน่!”

หมัวเฮอโยวเค้นเสียง จิตเคลื่อนไหว ร่างสีทองเข้มก็ทะยานออกไปทิ้งภาพเงาซ้อนไว้บนท้องฟ้า ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งที่แท้จริงได้

เมื่อทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์เห็นภาพนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว พวกเขารู้ว่าหมัวเฮอโยวปลุกจิตสังหารขึ้นมาแล้ว ร่างสีทองเข้มน่าสะพรึงกลัว อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเท่านั้นที่สามารถยับยั้งได้

“ครั้งนี้มู่เฉินสร้างความโกรธแค้นให้กับหมัวเฮอโยวแล้ว…”

ทว่าเมื่อเทียบกับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินกลับดูสงบนิ่งมาก มีเพียงสายตาที่มองร่างสีทองเข้มฉายความประหลาดใจเท่านั้น เขารู้สึกอึ้งกับความผันผวนที่มาจากร่างสีทองเข้ม

“ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้กาฝากนี่เขมือบแก่นอมตะของร่างมหาเทพนิรันดร์ไปเท่าไรถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้…”

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้กลัวเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ให้ภาพเงาข้างตัวที่ถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีลึกลับ

ภาพเงาลึกลับสั่นไหว ก้าวย่างออกไปยืนเบื้องหน้ามู่เฉิน

โฮก!

ร่างสีทองเข้มคำราม ชกหมัดออกไปพร้อมกับสายธารสีทองเข้มเชี่ยวกรากติดตามมา มันบรรจุไปด้วยพลังของแก่นอมตะ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดอย่างหมัวเฮอโยวก็ถูกฆ่าได้ในทันที

เผชิญหน้ากับหมัดนี้ ภาพเงาลึกลับก็ไม่ขยับเพียงแค่ยื่นมือออกมาเบาๆ ดูดพลังนั้นเข้ามา

ฮา

เมื่อคลื่นผันผวนทำลายล้างสัมผัสกับฝ่ามือก็กลายเป็นเชื่องลงทันที มันห่อหุ้มรอบๆ ภาพเงาลึกลับพลางลดขนาดลงก่อนที่มันจะถูกกลืนกิน

“อะไรน่ะ?!”

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพเงาลึกลับจะสามารถแก้ไขการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย

“เป็นไปได้ยังไง?”

หมัวเฮอโยวกัดฟันเข้าควบคุมร่างสีทองเข้มอีกครั้ง อึดใจร่างสีทองเข้มก็คำราม ปลดปล่อยพลังที่ราวกับมังกรยักษ์ขณะที่พุ่งเข้าใส่ภาพเงาลึกลับ

ทว่าภาพเงาลึกลับไม่ได้เร่งรีบเมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีนั่น เนื่องจากทุกกระแสธารสีทองเข้มที่เข้าใกล้จะกลายเป็นอ่อนโยนมากก่อนที่จะถูกกลืนกิน…

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสถานการณ์ผิดปกติขึ้น ไม่ว่าร่างสีทองเข้มจะโจมตีอย่างไร พลังก็จะอ่อนลงและสลายไปเมื่อเข้าใกล้ภาพเงาลึกลับ

เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้มโดยไม่แปลกใจ ถึงยังไงร่างสีทองเข้มก็เป็นเพียงกาฝากและแหล่งที่มาของพลังงานมันก็คือพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์

ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ของแท้อยู่ที่นี่ การใช้พลังส่วนนี้โจมตีก็เหมือนใช้ซาลาเปาปาใส่สุนัข ไม่มีทางได้กลับคืนมา…

โฮก โฮก!

หลังจากการโจมตีหลายครั้งบวกกับถูกกลืนกินโดยร่างมหาเทพนิรันดร์ รัศมีของร่างสีทองเข้มก็จางลง มันรู้สึกถึงการสูญเสียพลังงาน ส่งเสียงคำรามลั่นออกมา ดวงตาของมันจับจ้องไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วยความโลภ แม้ว่าอีกฝ่ายจะน่ากลัว แต่ถ้าสามารถกลืนกินร่างโบราณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ มากจนหลุดพ้นจากความวุ่นวาย กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกได้จริงๆ

ฟิ้ว!

เมื่อต้องทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่มันก็ไม่กล้าใช้แก่นอมตะอีกต่อไป ร่างกายของมันเริ่มบวมด้วยพลังทำลายล้างในการเคลื่อนไหว

ยักษ์สีทองเข้มกระทืบเท้าลงบนพื้น ปรากฏที่เบื้องหน้าร่างมหาเทพนิรันดร์ในพริบตา จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป

หมัดช่างเรียบง่ายแต่ภายใต้ความแข็งแกร่งแท้จริง แม้แต่มิติก็ยังสั่นสะท้าน

ตู้ม!

แต่เมื่อหมัดกำลังจะกระทบร่างมหาเทพนิรันดร์ มือก็ยื่นออกไปปิดกั้นหมัดเบาๆ

เคร้ง!

เมื่อเกิดการสัมผัสกัน เสียงโลหะปะทะกันก็ดังขึ้น มิติพังทลายลงรุนแรง แต่ที่น่าตกใจคือภาพเงาลึกลับราวกับศิลายืนนิ่งไม่ไหวติง ส่วนร่างสีทองเข้มถูกเหวี่ยงออกจากแรงกระแทก

วาบ!

ร่างสีทองเข้มทรงตัวได้ ยังไม่ทันได้ส่งเสียงคำราม ภาพเงาลึกลับก็ปรากฏตัวขึ้นกระแทกฝ่ามือลงบนหน้าอกของมัน

ปัง!

เสียงกัมปนาทดังขึ้น หน้าอกของร่างสีทองเข้มยุบลงและกระเด็นออกไปอีกครั้ง

ปัง ปัง ปัง!

ในเวลาสิบกว่าลมหายใจต่อมา ร่างสีทองเข้มก็ราวกับลูกบอลแพรบินไปบินมา ภายใต้ฝ่ามือแผ่วเบาทุกครั้งขนาดของร่างสีทองเข้มจะหดเล็กลง…

ซี้ด!

ด้านนอกเจดีย์ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยือกด้วยความกลัว ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าร่างสีทองเข้มจะไร้พลังขนาดนี้ในมือภาพเงาลึกลับ…

นี่ไม่ใช่การต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย!

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็เบิกตากว้างกับภาพนี้ ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายที่ทรงพลังเช่นนี้

“ร่างลึกลับนั่นคืออะไร?”

หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะพวกเขามองผ่านกระจกเท่านั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงทั้งหมด

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอใบหน้าเขียวคล้ำรวมไปถึงหมัวเฮอเทียนที่มือจับเสาหยกขาวตรงหน้า รอยแตกเริ่มกระจายออกไป

“บ้าเอ้ย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? หมัวเฮอโยวได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมอ่อนแอขนาดนี้?! เงาลึกลับนั่นคืออะไร?!”

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชา ตอนนี้ต่อให้เป็นเขาก็อดร้องตะโกนในใจไม่ได้

 

ตู้ม!

การปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างสีทองเข้มก็ถลาไปร่างเต็มไปด้วยบาดแผล รอยฝ่ามือมากมายประทับอยู่บนร่างกาย ซึ่งฝ่ามือเหล่านั้นวูบไหวไปมาพร้อมกับแสงแวววาวราวกับอัญมณีที่กัดกร่อนร่างกายของมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้แสงสีทองเข้มยิ่งสลัวรางลงมากขึ้น

โฮก!

เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์นี้ ร่างสีทองเข้มก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย จากนั้นก็หลุดพ้นจากการควบคุมของลวดลายสีแดงเข้มและฟื้นตัว…

อ็อก

เลือดคำหนึ่งกระอักออกมาจากปากของหมัวเฮอโยว ความตกใจหวาดผวาเผยในดวงตา เพราะชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกได้ว่าเครื่องรางเทวะภายในร่างสีทองเข้มแตกสลาย

โฮก โฮก!

เมื่อปราศจากการควบคุมของหมัวเฮอโยว ร่างสีทองเข้มก็กลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง สายตามองไปที่ร่างโบราณด้วยความกลัว

นี่เป็นความกลัวที่เกิดจากการเผชิญหน้ากับคนที่เหนือกว่า

ดังนั้นมันจึงเปล่งเสียงหวาดกลัวคำรามตั้งท่าจะหนี มันไม่กล้าสู้กับร่างมหาเทพนิรันดร์อีกต่อไป

แต่ขณะที่มันคิดจะหลบหนี รัศมีที่อยู่เบื้องหลังร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ค่อยๆ ลุกโชนจากนั้นก็เคลื่อนลงมาห่อหุ้มร่างสีทองเข้มไว้

พร้อมกับรัศมีที่ครอบคลุมลงมา ร่างสีทองเข้มก็ร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังขณะที่ร่างถูกหลอมอย่างรวดเร็วจากวงรัศมี…

โฮก โฮก โฮก!

มันได้แต่ร้องเสียงโหยหวนแต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ เพียงไม่กี่สิบลมหายใจก็หดตัวเป็นเม็ดสีทองเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ

เม็ดสีทองเข้มปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับ ภายในอัดแน่นด้วยแก่นอมตะที่ไม่อาจจินตนาการได้

ด้วยแรงดูดนุ่มนวล ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็กลืนกินเม็ดสีทองเข้มลงไป

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเม็ดสีทองเข้มถูกกลืนหายไป ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับมังกรสายฟ้าโกรธเกรี้ยวคำรามที่เส้นขอบฟ้า

ยามนี้รัศมีร่างมหาเทพนิรันดร์กระจ่างใสเปล่งแสงส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน

วงแสงเบื้องหลังศีรษะร่างมหาเทพนิรันดร์ปล่อยพลังลึกลับออกมา

ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันลึกลับที่อธิบายไม่ได้ที่ซึมผ่านจากเจดีย์วั้นกู่

นั่นเป็นความผันผวนที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อมองไปที่ภาพเงาลึกลับ ทุกคนก็เกิดความเข้าใจพร้อมกับแววตกตะลึงพล่านในดวงตา

ที่แท้…ร่างลึกลับนี้เองที่เป็นร่างมหาเทพปฐมกาลของแท้—ร่างมหาเทพนิรันดร์!

ร่างสีทองเข้มนั่นเป็นเพียงของปลอมเท่านั้น!

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเมื่อครู่ร่างสีทองเข้มถึงได้ไร้พลัง!

นั่นคือการปราบปรามของแท้ที่มีต่อของปลอมอย่างแท้จริง

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ตกใจ ฝูถูเฉวียนถึงกับหายใจเข้าลึก ภาพเงาลึกลับที่มู่เฉินได้มาครอบครองก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ของจริง?!

เสาตรงหน้าหมัวเฮอเทียนถูกบีบจนแตก เขาจ้องไปที่ภาพเงาลึกลับด้วยดวงตาราวกับใบมีด ครู่ต่อมาเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหารก็ถูกส่งไปยังผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอ ทำให้ทั้งหมดตัวสั่นสะท้าน

“ออกคำสั่ง เผ่าหมัวเฮอเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม…”

ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับสีหน้าน่ากลัว

“ไอ้เด็กเวร แกกล้าเอาของจากเผ่าหมัวเฮอของข้าไปรึ?! ต่อให้แกจะได้รับการคุ้มครองจากเผ่าฝูถู ข้าก็จะทำให้แกคายออกมาจนหมด!”

ภายในเจดีย์วั้นกู่

เมื่อเสียงหัวเราะของหมัวเฮอโยวสะท้อนก้องไปทั่ว ก็ทำให้เกิดความโกลาหลที่ภายนอก เมื่อทุกคนเห็นหมัวเฮอโยวสามารถควบคุมร่างสีทองเข้มได้ก็ฉายความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าฉากนี้เกินความคาดหมายของทุกคน

ไม่มีใครคิดว่าหมัวเฮอโยวจะควบคุมร่างสีทองเข้มที่อยู่ยงคงกระพันนั่นได้…

“หมัวเฮอโยวช่างลึกล้ำยากหยั่งถึง…”

“แต่วิธีเขาก็โหดเหี้ยมเช่นกัน เขารอให้มู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางถูกกำจัดซะก่อนถึงได้ใช้ทักษะนี้…”

“เฮ้ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นหมื่นปี พวกเขาจะยอมให้ใครมาเอาไปง่ายๆ ได้อย่างไร? วิธีการของเขาก็อยู่ในความคาดหมายอยู่นะ”

“ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ในมือเผ่าหมัวเฮอ ความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของพวกเขาก็จะทะยานไปถึงจุดสุดยอดของมหาพันภพแล้ว”

“…”

เสียงกระซิบดังก้อง ส่วนใหญ่เป็นการสรรเสริญ เพราะนี่คือร่างมหาเทพนิรันดร์และเมื่อตกอยู่ในมือของเผ่าหมัวเฮอก็เท่ากับติดปีกให้กับพยัคฆ์

เมื่อมองไปที่ภาพนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เผ่าหมัวเฮอ ทรงพลังอยู่แล้วและเป็นที่รู้กันว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าเผ่าโบราณ ดังนั้นหากหมัวเฮอโยวได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ เขาก็จะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ในเวลานั้นความแข็งแกร่งของเผ่าหมัวเฮอจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ฮ่าๆ!”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุข!”

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอกล่าวขึ้นพร้อมกับความยินดีบนใบหน้า หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนานในที่สุดเผ่าหมัวเฮอก็สามารถกำจัดฐานะผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์ลงได้เสียที

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากวันนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของเผ่าหมัวเฮอแม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์จะมาเกิดใหม่ก็ไม่สามารถนำเอากลับไปได้

ในขณะนี้ภาระในหัวใจของเผ่าหมัวเฮอได้ถูกปลดปล่อยแล้ว

 

ในเจดีย์

หมัวเฮอโยวหัวเราะสมใจอยู่นานก่อนที่จะค่อยๆ หยุดมองไปที่ร่างสีทองเข้มเบื้องหน้าด้วยสายตาลุกโชน

ลวดลายสีแดงเข้มบนร่างสีทองเข้มกะพริบน้อยๆ ราวกับบอกว่ามีพลังต่อต้านจากภายใน

“หึ ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?”

หมัวเฮอโยวเค้นเสียง เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปราบร่างสีทองเข้มนี้ด้วยเครื่องรางเทวะชิ้นนี้แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ เมื่อไรเขานำเจ้าสิ่งนี้ออกไปจากเจดีย์ มันก็จะไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปด้วยความช่วยเหลือของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจกับการต่อต้านพลางกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบ

เขากำลังมองหามู่เฉิน เนื่องจากอีกฝ่ายทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังไม่ตาย ดังนั้นเขาต้องมองหาโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายพิการไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ก็ตาม

ด้วยร่างมหาเทพนิรันดร์ที่อยู่ในมือ พลังของเผ่าหมัวเฮอก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเกรงกลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป

“ก่อนหน้านี้แกกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขไม่ใช่เหรอ? ข้าขอดูหน่อยว่าตอนนี้แกทำอะไรได้บ้างเมื่ออยู่ในมือข้า” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวด้วยแสงเย็น เขารู้สึกอายตัวเองจากการเผชิญหน้ากับมู่เฉินครั้งก่อน ดังนั้นเขาไม่คิดตั้งใจที่จะปล่อยมู่เฉินไป

ร่างของหมัวเฮอโยวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยมีร่างสีทองเข้มตามหลัง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปสำรวจเหวลึกต่างๆ ตั้งใจจะขุดมู่เฉินออกจากที่ซ่อน

เมื่อผู้ชมภายนอกเจดีย์เห็นการกระทำของหมัวเฮอโยว พวกเขาก็รู้ทันทีว่าเขาพยายามที่จะชำระแค้นกับมู่เฉิน ดังนั้นแต่ละคนจึงรู้สึกสงสารมู่เฉินจับใจ

เมื่อมองที่ฉากนี้ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นางมองไปที่หมัวเฮอเทียนด้วยแววตาเย็นชา

ทว่าหมัวเฮอเทียนไม่ได้ใส่ใจฉายสีหน้าเฉยเมย ในสายตาของเขาตราบใดที่หมัวเฮอโยวไม่ได้ฆ่ามู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็โวยวายไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาแล้ว ไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องกังวลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูอีกต่อไป

“ในที่สุดข้าฉันก็พบแก ไอ้หนูน้อย…”

หมัวเฮอโยวใช้เวลาไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ ก่อนที่จะมองไปในหุบเหวหนึ่งด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เขาเหวี่ยงหมัดออกไป กำปั้นขนาดมหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้ากระแทกลงไปในหุบเหวนั้น พลังอำนาจน่ากลัวกระแทกลงไปทำให้เกิดปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่เลยทีเดียว…

ฝุ่นควันลอยฟุ้ง หมัวเฮอโยวหรี่ตามองปากหลุมก่อนที่เขาจะเห็นภาพเงาที่ล้อมรอบด้วยแสงหลิงค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า

ภาพเงานั้นก็คือมู่เฉิน ขณะนี้ร่างเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดช่างดูน่าสงสารนัก ชัดว่าเกิดจากการที่เขาทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง

“ฮ่าๆ ประมุขมู่ทำไมถึงอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้” หมัวเฮอโยวมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย้ยหยัน

มู่เฉินกวาดสายตามองหมัวเฮอโยวจากนั้นก็จ้องมองไปที่ร่างสีทองเข้มพลางหดดวงตา “เจ้าควบคุมมันได้เรอะ?”

หมัวเฮอโยวตอบกลับสบายๆ ว่า “เผ่าหมัวเฮอเตรียมการมาหลายหมื่นปี เราจะไม่มีการเตรียมการใดๆ ได้อย่างไร”

มู่เฉินพยักหน้าเผยรอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียว “ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะ”

หมัวเฮอโยวหรี่ตา “รบกวนข้า?”

‘ไอ้นี่สมองไหลออกหมดหลังจากระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทิ้งแล้วรึไง’

มู่เฉินยิ้มขณะชี้ไปที่ร่างสีทองเข้ม “ส่งมันมาให้ข้า”

ทันใดนั้นดวงตาของหมัวเฮอโยวก็เบิกกว้าง ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ “สมองแกเสียไปแล้วจริงเรอะ?”

ตอนนี้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บหนักไม่มีร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้จะต้องลดลง ส่วนหมัวเฮอโยวยังมีความสามารถในการต่อสู้และควบคุมร่างสีทองเข้มได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินยังกล้าเอ่ยปากจะชิงร่างสีทองเข้มไปจากเขาเรอะ?

‘มู่เฉินเป็นบ้าไปแล้วรึไง?’

“แกอยากได้มันเรอะ?”

หมัวเฮอโยวจ้องไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวก่อนจะพยักหน้าช้า “ได้เลย”

เขายื่นมือออกและโบกมือเบาๆ

วาบ!

ทันใดนั้นร่างสีทองเข้มที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งออกไปคว้าลำคอของมู่เฉิน

มองไปที่ร่างสีทองเข้ม มู่เฉินก็ยังคงความสงบบนใบหน้าไว้โดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ

แต่ในสายตาผู้คนนอกเจดีย์ปฏิกิริยาของเขาดูเหมือนตกใจจนเอ๋อไปแล้ว

ภายใต้สายตาของทุกคน เมื่อมือสีทองเข้มอยู่ห่างจากลำคอของมู่เฉินเพียงหนึ่งชุ่น จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นคว้ามือสีทองเข้มเอาไว้

ทันใดนั้นรอยยิ้มของหมัวเฮอโยวก็หยุดนิ่งพลางมองไปข้างหลังมู่เฉินด้วยความตกใจ โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็มีร่างเงาปรากฏขึ้น

ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ แต่กลับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมา

“โฮก!”

ฉับพลันร่างสีทองเข้มก็คำรามพร้อมกับความกลัวพล่านในดวงตา มันเริ่มดิ้นรนเพื่อพยายามหนีจากภาพเงาลึกลับเบื้องหน้า

ปัง!

อย่างไรก็ตามภาพเงาลึกลับปัดมือออกมาเบาๆ ร่างสีทองเข้มก็ได้รับความเสียหายรุนแรงหนัก มันกระเด็นกลับไปสร้างรอยแตกบนพื้นทำให้เกิดปากปล่องขนาดมหึมา

ซื้ด!

ด้านนอกเจดีย์ทุกคนสูดลมหายใจเย็นขณะที่ตะลึงพรึงเพริดไปหมด พวกเขานึกไม่ถึงว่าร่างสีทองเข้มซึ่งอยู่ยงคงกระพันจะไร้พลังแบบนั้น!

“อะไร…นั่นอะไร?”

“น่ากลัวเสียจริง ต้องรู้ว่าร่างสีทองเข้มอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้วนะ แต่…”

“มู่เฉินยังมีไม้เด็ดอยู่อีกหรือ? แล้วทำไมเขาต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วยล่ะ!”

“…”

ความโกลาหลระเบิดขึ้น ทุกคนต่างประหลาดใจ

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน ทั้งสองไม่รู้ว่ามู่เฉินได้รับภาพเงาลึกลับทรงพลังเช่นนี้มาได้อย่างไร…

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนแข็งทื่อพร้อมกับสายตาน่ากลัว ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่ภาพเงาลึกลับข้างๆ มู่เฉินด้วยความตกใจและสงสัย

“นั่นคืออะไร?”

 

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวปกคลุมไปด้วยความไม่เชื่อ

ขณะมองไปที่ปากหลุมลึกใบหน้าก็กระตุกไม่หยุด ฉากนี้ทำให้ความโกรธในใจของเขาเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นเจตนาฆ่า

“ฆ่ามัน!”

หมัวเฮอโยวคำรามขณะสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว กระบวนท่านี้ทำให้ลวดลายบนร่างสีทองเข้มดิ้นพล่าน

โฮก!

เสียงคำรามสะท้อนออกมาจากหลุมลึก ร่างสีทองเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลวดลายสีแดงเข้มรอบตัวหลั่งไหลเข้ามาในดวงตาย้อมเป็นสีแดงฉาน

ภายใต้การควบคุมด้วยลวดลายสีแดงเข้มได้ระงับความกลัวในใจมัน มันจ้องมองภาพเงาลึกลับข้างๆ มู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินมองไปที่ภาพนี้อย่างใจเย็นพลางหันไปยิ้มให้กับภาพเงาลึกลับข้างๆ “ไปรับแก่นอมตะที่เป็นของเจ้าซะ…”

“เจ้าหลับไปหลายหมื่นปี วันนี้ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องรู้ว่า…ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ปรากฏตัวขึ้นในใต้หล้าอีกครั้งแล้ว”

ตู้ม!

เสียงดังกึกก้อง ดวงอาทิตย์สีม่วงทองลอยขึ้นพร้อมกับการล้างผลาญรุนแรงกวาดออกไป

หมัวเฮอโยวยืนอยู่ในอากาศขณะที่มองฉากนี้อย่างเย็นชาด้วยสายตาเย้ยหยัน นั่นเป็นเพราะพลุงดงามชิ้นนี้เกิดจากเยี่ยฉิง

ด้วยการใช้เข็มทิศแปดกายาสวรรค์ เขาสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้อย่างน่าพิศวง ดังนั้นแม้ว่าร่างสีทองเข้มจะทรงพลัง แต่ก็กลายเป็นอาวุธของเขาได้

เขาเล่นฉากนี้ซ้ำอีกครั้งเปลี่ยนร่างสีทองเข้มไปที่เบื้องหน้าเยี่ยฉิง แม้ว่าอีกฝ่ายจะตั้งระวังไว้แล้ว แต่เขาจะหลบหนีได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรเมื่อร่างสีทองเข้มเข้ามาใกล้ขนาดนั้น?

แม้แต่มู่เฉินก็ถูกบีบให้ต้องระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วยตนเอง แม้ว่าเยี่ยฉิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำแบบเดียวกันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างสีทองเข้ม

ยามนี้ดอกไม้ไฟสีม่วงทองแตกกระจาย เยี่ยฉิงก็ร่วงลงพร้อมกับทั่วสวรรพางค์กายเต็มไปด้วยเลือด ซ้ำตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เนื่องจากระลอกคลื่นหลิงป่าเถื่อนกระเพื่อมอยู่ภายในร่างกาย เจ็บปวดอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขาจึงได้แต่นอนพังพาบอยู่ในหลุม สายตามองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

เผชิญหน้ากับสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังนั่น หมัวเฮอโยวก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ทั้งมู่เฉินและเยี่ยฉิงสิ้นความสามารถแล้ว ดังนั้นไม่มีใครแข่งกับเขาได้อีก

“ตอนนี้ก็เป็นตาข้าล่ะ”

หมัวเฮอโยวมองร่างสีทองเข้มด้วยความโลภฉายในดวงตา

ไม่ว่านี่จะเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์หรือไม่ แต่แก่นอมตะในร่างกายนั้นก็เป็นของแท้ ตราบใดที่เขาได้รับและชำระ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็จะถูกยกระดับขึ้นจนน่ากลัว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ก็ตาม

ซึ่งอาจมากจนมีพลังอำนาจเทียบเคียงกับร่างมหาเทพปฐมกาลก็ได้

โฮก!

ขณะที่สายตาของหมัวเฮอโยวยึดอยู่กับร่างสีทองเข้ม มันก็มองเขาแบบอดรนทนไม่ได้เนื่องจากเหยื่อทั้งสองของมันเลือกที่จะทำลายตัวเอง ดังนั้นมันไม่สามารถปล่อยเหยื่อรายสุดท้ายไปแน่นอน

มันกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าใส่หมัวเฮอโยว

แต่เผชิญหน้ากับร่างสีทองเข้มครั้งนี้ หมัวเฮอโยวไม่ได้หลีกหนี แต่กลับเผยรอยยิ้มน่ากลัวบนใบหน้า

เขายกมือขึ้น เครื่องรางโบราณก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับกำจายความผันผวนที่น่ากลัว

เครื่องรางถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีแดงเข้มที่กลั่นจากเลือดที่มีความผันผวนรุนแรง ดูท่านี่ต้องเป็นเลือดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแน่นอน

“น่าเสียดายสำหรับเครื่องรางนี้…”

หมัวเฮอโยวมองไปที่เครื่องรางด้วยความปวดใจ นี่คือวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้แก่นเลือดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริงโดยใช้เวลาสิบกว่าปี

ในเผ่าหมัวเฮอมีเครื่องรางแบบนี้สามชิ้นเท่านั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่เป็นวัตถุสิ้นเปลือง ดังนั้นมันจึงเป็นสมบัติที่สำคัญมาก

ทว่าตอนนี้เพื่อจัดการกับร่างสีทองเข้มนี้หมัวเฮอโยวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้

หมัวเฮอโยวเงยหน้าขึ้นมองร่างสีทองเข้มก่อนที่จะสะบัดนิ้วโดยไม่ลังเลใดๆ หยดเลือดไหลออกมาและตกลงบนเครื่องรางโบราณนั้น

ฟู่ ฟู่!

เมื่อเลือดสัมผัสกับเครื่องรางก็เกิดการจุดชนวนขึ้นมาทันที กลายเป็นกลุ่มเพลิงสีแดงเข้มม้วนตัวอยู่ตลอดเวลา

“ไป”

หมัวเฮอโยวหายใจเข้าลึกพลางคำราม เพลิงสีแดงเข้มก็ไปปรากฏเบื้องหน้าร่างสีทองเข้มในช่วงเวลากะพริบตา

ร่างสีทองเข้มซึ่งอยู่ยงคงกระพันกลับรู้สึกถูกคุกคามเป็นครั้งแรก ขณะที่เผชิญกับเพลิงสีแดงเข้มเหล่านี้และมันก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

ชี่!

ทว่ากลุ่มเพลิงนี้ก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เนื่องจากมันไล่ตามร่างสีทองเข้มไปก่อนที่จะมุดเข้าไปในหว่างคิ้วของมัน

ร่างสีทองเข้มตัวแข็งทันทีก่อนที่ลวดลายสีแดงเข้มจะเริ่มกระจายออกไป ทว่ามันก็พยายามต่อต้านและตัดลวดลายสีแดงเข้มออกไปเรื่อยๆ…

อย่างไรก็ตามลวดลายสีแดงเข้มไม่ธรรมดา พวกมันค่อยๆ แพร่กระจายออกไปแม้จะมีการต่อต้าน…

ตราบใดที่ลวดลายครอบคลุมร่างสีทองเข้มไว้ทั้งหมด มันก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหมัวเฮอโยว

เมื่อมองฉากนี้หมัวเฮอโยวก็ยิ้ม เขาคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้

และทั้งเยี่ยฉิงและมู่เฉินจะต้องพ่ายแพ้ในน้ำมือเขา

 

มู่เฉินนั่งอยู่เบื้องหน้าร่างที่เอิบอาบความกดดันที่น่ากลัว

ตัวเขาชุ่มโชกด้วยเหงื่อ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงคลื่นจิต แต่ความรู้สึกนั้นก็ถูกส่งไปยังร่างกายเต็มๆ

“ข้าจะปลุกร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ยังไง?”

มู่เฉินเผยสีหน้าแหยเกจากแรงกดดัน เนื่องจากเขาไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย

ร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งจั้ง แต่เขาไม่สามารถก้าวออกไปได้ เพราะแรงกดดันจะฉีกทึ้งเขาออกจากกันทันที

ในเมื่อไม่สามารถเข้าใกล้ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ทันใดนั้นมู่เฉินก็จมลงในความยุ่งยาก เขาใช้ความพยายามอย่างมากและแม้แต่ทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสนี้ แล้วเขาจะจากไปมือเปล่าจริงๆ เหรอ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ เขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้

สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ขณะค้นความคิดของตน ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในสมองของเขา

“เจดีย์วั้นกู่กล่าวว่าต้องส่งผลกระทบทรงพลังเพื่อปลุกร่างมหาเทพนิรันดร์ขึ้นมา…”

“…เล่าลือกันว่าร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าถูกสร้างขึ้นเพื่อภารกิจปกป้องโลก ถ้าเกี่ยวกับผลกระทบก็น่าจะคล้ายกับมหาพันภพที่ประสบกับการรุกราน…”

ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวพลางหายใจเข้าลึกๆ ส่งภาพไปยังร่างมหาเทพนิรันดร์…

ฉากเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาประสบในพิภพเขตล่างบ้านเกิดของจอมยุทธ์มังกรขาว เผ่าเสี่ยเสียกดขี่ข่มเหงสิ่งมีชีวิตในพิภพเขตล่างเพื่อสกัดเลือดของพวกเขาและฆ่าทิ้งอย่างป่าเถื่อน…

ทุกครั้งที่ฉากเหล่านั้นปรากฏขึ้นในความคิดของมู่เฉิน เขาก็จะรู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง

เมื่อข้อมูลเหล่านั้นถูกส่งผ่าน มู่เฉินมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ดวงตาของมันก็ยังคงปิดสนิท

ราวกับว่าชั้นบรรยากาศถูกแช่แข็ง เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป

ยิ่งเวลาผ่านไปหัวใจของมู่เฉินก็ยิ่งจมลง กระทั่งวิธีนี้ก็ยังไม่สามารถปลุกร่างมหาเทพนิรันดร์ได้หรือ?

“หรือต้องใช้กำลังทางเดียว?”

ดวงตาของมู่เฉินสั่นไหวด้วยความผิดหวังพลางยิ้มอย่างขมขื่น

ขณะที่มู่เฉินขบฟันต้องการลองวิธีอื่น จู่ๆ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็สั่นสะท้าน

แม้ว่าการสั่นสะเทือนจะแผ่วเบา แต่ก็ไม่หลุดรอดจากสายตาของมู่เฉิน หัวใจของเขาสั่นไหว

‘ใช้ได้เหรอเนี่ย!’

ร่องรอยความสุขฉายบนใบหน้ามู่เฉิน ขณะที่การสั่นสะเทือนของร่างมหาเทพนิรันดร์ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้แต่วงรัศมีที่กำจายออกมาก็ทั้งลึกซึ้งและโบราณ

วงรัศมีที่เอิบอาบด้วยไอนิรันดร์ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังศีรษะของร่างมหาเทพนิรันดร์ในขณะนี้

 

ชี่ ชี่!

ขณะที่สัญลักษณ์สีแดงเข้มค่อยๆ แพร่กระจายก็เข้าครอบครองร่างสีทองเข้มเกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าขอหมัวเฮอโยวก็ฉายความสุขและความกระหาย

ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดหวัง

แม้ว่าร่างสีทองเข้มจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีจิตใต้สำนึกใด ดังนั้นมันจึงทำอะไรไม่ถูกกับแรงกัดกร่อน

การแพร่กระจายของลวดลายสีแดงเข้มดำเนินต่อไปอีกสิบกว่านาที ในที่สุดก็ครอบคลุมร่างสีทองเข้มอย่างสมบูรณ์ ขณะนี้หมัวเฮอโยวสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงอันเป็นเอกลักษณ์

เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไป ร่างสีทองเข้มก็ลดศีรษะลงปล่อยให้หมัวเฮอโยววางมือบนศีรษะ ตอนนี้มันไม่มีความดุร้ายอีกแล้ว ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุม

“ฮ่าๆๆๆ!”

ขณะนี้หมัวเฮอโยวไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ในใจได้จนต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานก็อยู่ในมือของเขาแล้ว!

ในเจดีย์วั้นกู่นี้เขาหมัวเฮอโยวคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

ไม่ว่าจะมู่เฉินหรือเยี่ยฉิงทั้งสองก็ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาไปชั่วนิรันดร์

 

ทางด้านมู่เฉิน

เวลาเดียวกันกับที่หมัวเฮอโยวกำลังชื่นชมยินดี ภายใต้การจ้องมองปรารถนาของมู่เฉิน ดวงตาที่ปิดสนิทของร่างมหาเทพนิรันดร์ก็สั่นเทิ้มก่อนที่ดวงตาของมันจะค่อยๆ เปิด

ทันใดนั้นมู่เฉินรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นนิรันดร์แท้จริง

ในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ตื่นขึ้นแล้ว!

ขณะที่มู่เฉินหลับตาประสาทสัมผัสก็แพร่กระจายออกไป

เขารับรู้ถึงแก่นอมตะในฟ้าดินที่เกิดจากการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง

แก่นอมตะนี้ถูกสร้างโดยเขา ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมได้ เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงการมีอยู่และตำแหน่งของมัน

พวกมันราวกับประกายแสงแวววาวนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในบริเวณนี้…

“มาแล้ว…”

ทันใดนั้นหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยในมิติที่มาจากแก่นอมตะ เมื่อมันตกลงสู่พื้นดินและค่อยๆ ถูกกลืนกิน…

เพียงไม่กี่สิบลมหายใจแก่นอมตะของมู่เฉินก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตามมู่เฉินรู้ว่าแก่นอมตะไม่ได้หายไปเปล่าๆ แต่ถูกดูดซับโดยเจดีย์วั้นกู่

เหมือนกับที่เขาคาดเดา

เขาสงบจิตใจลง ประสาทสัมผัสเกาะติดแก่นอมตะ เมื่อแก่นอมตะหลอมรวมกับมิติ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป โลกสีม่วงทองเข้ามาแทนที่

จุดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วนลอยอวลอยู่ในโลกนี้ ภาพนี้ทำให้จิตใจมู่เฉินสั่นสะท้าน เนื่องจากแสงสีม่วงทองเหล่านั้นล้วนเป็นแก่นอมตะทั้งสิ้น เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนที่เขาได้รับจากคู่ต่อสู้ก็ช่างน้อยนิดนัก

“แก่นอมตะจำนวนมหาศาลเช่นนี้น่าจะถูกสะสมโดยเจดีย์วั้นกู่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาสินะ?” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่สัมผัสได้ถึงโลกนี้

หากเขาสามารถดูดซับแก่นอมตะได้ทั้งหมด ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่น่ากลัว

ฟู่ ฟู่

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจก็เกิดความผันผวนในโลกสีม่วงทอง ประสาทสัมผัสของเขาที่เกาะติดแก่นอมตะสั่นไหว เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่ามีการสำรวจตรวจผ่านเขาไป

ซึ่งเป็นการสำรวจที่เอิบอาบด้วยกลิ่นอายโบราณ

“ข้าถูกค้นพบรึ?”

มู่เฉินตกใจแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ

ทันใดนั้นแสงสีม่วงทองก็รวมตัวกัน กลายเป็นร่างพร่ามัวที่เบื้องหน้าเขา

“เป็นเวลานานแสนนานแล้ว ในที่สุดก็มีคนมา…” แม้ว่าร่างนั้นจะมีลักษณะพร่ามัว แต่ชัดว่าเสียงโบราณนั่นพุ่งตรงมาที่เขา

คลื่นจิตที่ซ่อนอยู่ของมู่เฉินก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นภาพร่างของเขา เขามองไปที่ร่างพร่ามัวอย่างระมัดระวังพลางประสานมือให้ “ข้าไม่ได้มีเจตนาบุกรุกยกโทษให้ด้วย ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”

ร่างพร่ามัวยิ้มตอบว่า “ข้าคือจิตวิญญาณของเจดีย์วั้นกู่แห่งนี้… ดูเหมือนเจ้าจะเฉลียวฉลาดพอตัวที่เดาวิธีนี้เพื่อเข้ามา ข้าต้องบอกว่าเจ้ากล้าหาญมาก…”

มู่เฉินรู้ว่าความกล้าหาญที่ร่างพร่ามัวพูดถึงคือการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงไม่มีความกล้าพอที่จะทำลายร่างเทห์สวรรค์ที่ฝึกฝนมาอย่างขมขื่นแน่นอน

“ในช่วงเวลาวิกฤตก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” มู่เฉินยิ้มฝืดก่อนจะพูดต่อ “แต่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเตือน”

“เจ้ากาฝากนั้นชั่วร้าย ข้าไม่สามารถจัดการกับมันได้ ทำได้เพียงให้มันสับสนและใบ้บางอย่างตอนกลืนกินแก่นอมตะ” ร่างพร่ามัวถอนหายใจ

“เป็นอย่างนี้จริงด้วย…”

มู่เฉินโล่งใจ เขารู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ร่างสีทองเข้มกลืนกินแก่นอมตะ มันจะเปล่งด้วยเสียงแปลกๆ ซึ่งไม่ใช่บางสิ่งที่มันคิดทำเอง แต่เป็นบางอย่างที่ร่างเบื้องหน้าทำเอาไว้

“ผู้อาวุโส….นี่มันอะไรกันหรือขอรับ? ร่างสีทองเข้มนั้นคืออะไร?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย

ร่างพร่ามัวเคลื่อนไหวม้วนภาพก็ปรากฏเบื้องหน้าจากนั้นก็เปิดขึ้น เมื่อมู่เฉินมองไปก็เห็นชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียว แม้ว่ามู่เฉินจะมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความลึกลับและความกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน

ชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียวคนนั้นพลิ้วลงมาจากขอบฟ้าและสร้างเจดีย์โบราณ

มู่เฉินคุ้นเคยกับเจดีย์นั้น เพราะนี่คือเจดีย์วั้นกู่นั่นเอง!

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าชายที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวในม้วนภาพคงเป็นเทพจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานของมหาพันภพ—เทพจักรพรรดินิรันดร์!

“ย้อนกลับไปตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์สร้างเจดีย์วั้นกู่ เขาได้วางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่และเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะ-ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไปทั่วมหาพันภพ”

“ที่ทำเช่นนี้ หนึ่งเพราะต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ สองเพราะต้องการรวบรวมแก่นอมตะให้เพียงพอเพื่อซ่อมแซมร่างมหาเทพ” เสียงยังคงอธิบายต่อ

“ซ่อมแซม?” สายตาของมู่เฉินถึงกับวูบไหว

“ในตอนนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รับความเสียหายหนักระหว่างการต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิและเข้าสู่ห้วงนิทรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงถูกทิ้งไว้ที่นี่และซ่อมแซม”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” มู่เฉินพยักหน้าก่อนถามต่อ “แล้วร่างสีทองเข้มนั่นล่ะ? ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์ใช่ไหม”

“อย่างมันจะเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ยังไงล่ะ…?” ร่างพร่ามัวยิ้มเหยียดหยามก่อนจะถอนหายใจ “ในช่วงหลายหมื่นปีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เข้ามาที่นี่และมอบแก่นอมตะมหาศาลทำให้เร่งความเร็วในการซ่อมแซมของร่างมหาเทพนิรันดร์…”

“แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีกาฝากเกิดขึ้น”

“กาฝาก?”

“ใช่ เจดีย์วั้นกู่รวบรวมแก่นอมตะมากเกินไป ซึ่งมีต้นกำเนิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่แตกต่างกัน แม้ว่าทั้งหมดจะได้รับการขัดเกลาจากข้า แต่ก็ยังมีการรั่วไหลออกไปบ้าง…”

“โดยที่ข้าไม่ทันสังเกตเห็น เจตจำนงที่เหลืออยู่ก็แทรกซึมอยู่ท่ามกลางแก่นอมตะและกลืนกินแก่นอมตะอื่นลับๆ เมื่อข้าค้นพบมันก็มีพลังมากเกิน ในท้ายที่สุดข้าต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อปราบปรามมัน…”

“แต่เนื่องจากมันกินแก่นอมตะจำนวนมาก ส่งผลให้กระบวนการฟื้นฟูของร่างมหาเทพนิรันดร์หยุดชะงัก”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ร่างสีทองเข้มปรากฏขึ้นจากภูเขาสีแดงเข้ม เมื่อดูจากตอนนี้ แต่เดิมมันน่าจะถูกปราบปรามไว้ใต้ภูเขา

“ที่แท้ร่างสีทองเข้มก็เกิดจากแก่นอมตะที่บริสุทธิ์” มู่เฉินเข้าใจทันทีและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสัมผัสได้ถึงรัศมีอมตะหนาแน่นจากร่างนั้น

“พวกเจ้าทุกคนฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งบรรจุด้วยแก่นอมตะ ดังนั้นมันจึงมีเจตนาฆ่ารุนแรงสำหรับพวกเจ้า”

“มันเป็นเนื้อร้าย หากไม่ถูกกำจัดออกไปมันก็จะยึดแก่นอมตะมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดมันอาจจะกลืนกินร่างมหาเทพนิรันดร์และสร้างสัตว์ประหลาดที่มีสติสัมปชัญญะจนวุ่นวายขึ้น”

“ข้าหนักใจกับเรื่องนี้มาก แต่ไม่สามารถติดต่อพวกเจ้าได้โดยตรงเนื่องจากกฎ ดังนั้นข้าสามารถให้คำแนะนำและดูว่ามีใครสามารถเข้าใจได้หรือไม่และมาที่นี่…”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น มู่เฉินก็หดดวงตา หากไอ้กาฝากนี่กลืนกินร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาตามหามาหลายปี เขาไม่มีแม้กระทั่งที่ร้องไห้เลยจริงๆ

“ข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง?” มู่เฉินถาม เป้าหมายของเขาคือร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นเขาต้องหยุดกาฝากร้ายกาจนี่โดยเร็ว

กาฝากนั้นทรงพลังเกินไปและเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน เมื่อครู่ตัวเขาถูกบีบให้ต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ถ้าเขาสู้กับมันอีกครั้ง เขาอาจต้องทิ้งชีวิตเอาไว้

“กาฝากนั้นเติบโตขึ้นแล้ว หากไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่ในหมู่พวกเจ้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปราบมัน” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่กล่าว

มู่เฉินพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว “มีวิธีอื่นอีกไหม?”

“มี”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ฉายอารมณ์เล็กน้อยขณะที่พูด

“คืออะไรเหรอ?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เอ่ยทีละคำ “ปลุกร่างมหาเทพนิรันดร์!”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นที่ระเบิดขึ้น เพื่อระงับอารมณ์ก็กล่าวว่า “ข้าลองได้ไหม?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ตัวเจ้าได้พิสูจน์ความกล้าหาญแล้วโดยมาที่นี่ เจ้ามีคุณสมบัติ”

พูดจบจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็โบกมือ ก่อนที่มู่เฉินจะสัมผัสได้ถึงแสงสีม่วงทองสั่นไหวและเริ่มหายไป เขาก้มหัวลงก็เห็นแสงลึกลับหรุบหรู่ในส่วนลึกของโลกนี้…

สายตาของเขายึดติดกับรัศมี ภาพนี้สลักลงไปในรูม่านตาของเขา

นี่เป็นร่างที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากอัญมณีพร้อมกับลวดลายโบราณสลักอยู่บนพื้นผิวทุกตารางนิ้ว ลวดลายกำจายด้วยความผันผวนดั้งเดิม ราวกับว่าถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ

รัศมีนิรันดร์ห่อหุ้มมันเอิบอาบไปชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ราวกับว่าแม้แต่เวลาก็ไม่สามารถกัดกร่อนได้…

แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่พลังและรูปลักษณ์โบราณก็ไม่สามารถจินตนาการได้ ถึงจะอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่าทึ่ง ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างนั้น ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้น ในตอนนี้ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปหมดแล้ว

‘ร่างมหาเทพนิรันดร์…’

‘ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว’

มิติเบื้องหน้าพังทลายลง

ร่างสีทองเข้มพุ่งออกมา เมื่อมองไปที่ม่านตาไร้อารมณ์นั่น ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นมืดครื้ม

แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่สิ่งนี้ก็ยังอยู่เหนือความคาดเหมาย ไอ้เจ้านั่นสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของร่างสีทองเข้มและเคลื่อนย้ายมาที่เบื้องหน้าเขาได้…

ด้วยวิธีนี้หมัวเฮอโยวจะหลุดพ้นจากการไล่ล่าของร่างสีทองเข้ม แต่เป็นการส่งเขาไปตายแทน

อารมณ์หลากหลายตีกวนในหัวใจ ปีกหงส์ฟ้าก็กระพือที่เบื้องหลังมู่เฉินขณะร่างกลายเป็นภาพมายาและถอยกลับออกไป…

ฟิ้ว!

ร่างสีทองเข้มเล็งเป้ามาที่มู่เฉิน กลายเป็นแสงสีทองเข้มพุ่งออกไปฉีกภาพมายาอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่ามู่เฉินจะเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด เขาก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการไล่ล่า ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมลงหลายส่วน

เมื่อหมัวเฮอโยวเฝ้ามองตามมู่เฉินที่กำลังถูกไล่ล่า มุมโค้งเยือกเย็นก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก

วาบ!

มู่เฉินหลบหนีอย่างรวดเร็ว แรงกดดันจากเบื้องหลังใกล้เข้าเรื่อยๆ แต่ใบหน้าเขากลับค่อยๆ สงบนิ่ง

ดวงตาทั้งสองของเขากะพริบ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ เป็นครั้งคราวโดยไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

ตามความเร็วของร่างสีทองเข้ม เขาคงจะถูกตามมาทันในเวลาประมาณไม่กี่สิบลมหายใจ พลังที่น่ากลัวนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถต้านทานได้

นั่นเป็นเพราะความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือดอกบัวอมตะ ซึ่งไม่แข็งแกร่งไปกว่าทัวป๋าชางเท่าไร ขณะคนอย่างทัวป๋าชางยังถูกสังหาร เขาก็คงลงเอยในสถานการณ์เดียวกัน

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ เขาตกอยู่ในทางตันเนื่องจากไม่สามารถต่อสู้หรือหนีได้

ถ้าเป็นคนธรรมดาพวกเขาคงจะแตกตื่นไปหมดแล้ว แต่ประสบการณ์ที่มู่เฉินมีทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งและรู้ดีว่าไม่ควรตื่นตระหนกในสถานการณ์เช่นนี้ มิฉะนั้นเขาก็มีแต่เข้าตัวเอง

“ทำยังไงดี?”

กระแสโลหิตของมู่เฉินไหลเวียนเร็วจี๋ ครู่ต่อมาเขามองไปที่สภาพแวดล้อมพร้อมกับแสงบ้าคลั่งวูบไหวในดวงตา

โฮก!

เสียงคำรามดังก้องพร้อมกับคลื่นความกดดันที่น่ากลัวทำให้เขาสั่นสะท้าน เมื่อมองจากปลายหางตาก็เห็นร่างสีทองเข้มอยู่ในระยะเอื้อมมือคว้าเขาได้แล้ว

ขณะนี้หลังเขาชนฝาแล้ว

เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นฉากนี้แสงเย็นก็วาบขึ้นในดวงตา ‘ข้าขอดูว่าแกจะรอดจากสิ่งนี้ได้ยังไง!’

ความตายปกคลุมไปทั่ว ทันใดนั้นมู่เฉินก็ประสานมือ ร่างขนาดใหญ่ปรากฏที่ข้างหลัง ทำให้ร่างสีทองเข้มฉายความโลภในดวงตามากขึ้น

ตอนนี้มู่เฉินหยุดเคลื่อนไหวและหันกลับขณะมองไปที่ร่างสีทองเข้ม อึดใจต่อมามือของเขาก็ประสานเข้าด้วยกัน เสียงคำรามลึกออกมาจากปาก

“ระเบิด!”

เมื่อเสียงดังก้องร่างสีม่วงทองที่อยู่ข้างหลังก็ปกคลุมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะระเบิดออกมาเป็นประกายแสงระยิบระยับ

ตู้ม!

เมื่อเสียงระเบิดดังกึกก้อง รัศมีสีม่วงทองก็อัดแน่นเต็มไปทั่ว คลื่นกระแทกมหึมากวาดออกไปทำให้ทุกอย่างที่ขวางทางกลายเป็นเถ้าถ่าน

แม้แต่ร่างสีทองเข้มที่พุ่งเข้าใส่มู่เฉินก็ยังถลากลับไปขณะที่แผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

“เขาระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเองเรอะ?!”

ใบหน้าของเยี่ยฉิงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ ไม่คิดว่ามู่เฉินจะใจเด็ดยอมทำลายร่างเทห์สวรรค์ ต้องรู้ว่านี่เป็นการทำลายรากฐานแท้จริงของแก่นอมตะแท้จริง นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะไม่สามารถเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้อีกในอนาคต เว้นแต่ว่าเขาจะฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้นอีกครั้ง

“ไอ้นั่น” หมัวเฮอโยวตกใจกับความใจเด็ดของมู่เฉินพร้อมกับหรี่ตาลง ตอนแรกเขาคิดว่าครั้งนี้มู่เฉินต้องตายแน่ แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะหลีกเลี่ยงวิกฤตโดยการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทิ้ง

แต่เขาก็ไม่เอามาใส่ใจอะไรมาก แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถรอดได้ด้วยการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่ก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป

ต่อไปก็รอให้เยี่ยฉิงถูกจัดการ เขาก็จะลงมือได้แล้ว

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงเยาะเย้ยก็เพิ่มขึ้นที่มุมริมฝีปาก เครื่องมือโบราณปรากฏขึ้นในมือซึ่งกำจายความผันผวนที่น่ากลัว

เผ่าหมัวเฮอของพวกเขาเตรียมการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้ว่าสถานการณ์นี้จะเกินการคาดหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมดหนทาง…

แน่นอนว่าเขาต้องกำจัดคนที่เหลือก่อน

 

“เฉินเอ๋อ!”

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของบุตรชายระเบิดออก ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดลง อึดใจพายุคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกมาจากร่างกายของนาง

ใบหน้าของนางเย็นชาลงพร้อมกับสายตาเยือกเย็นเสียดแทง ขณะที่พุ่งไปที่เจดีย์วั้นกู่

“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เจ้าช่างกล้า!”

หมัวเฮอเทียนร้องเสียงหลงขณะที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเจดีย์พร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแผ่ออกมา

“ไสหัวไป!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งวาดตราประทับขึ้นทันใด ค่ายกลขนาดใหญ่ก็บีบดกดลงมาจากขอบฟ้า ราวกับว่ามิติกดทับลงมาห่อหุ้มหมัวเฮอเทียนเอาไว้

นี่เป็นโลกลาวาสีขาวที่มีอุณหภูมิน่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถกำจัดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้เลยทีเดียว ลาวาอยู่ในรูปของมังกรทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งเข้าหาหมัวเฮอเทียน

เมื่อหมัวเฮอเทียนเห็นฉากนี้ใบหน้าก็จมลง รัศมีสีดำขาวพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อล้อมรอบตัว ทุกครั้งที่มังกรลาวาปะทะเข้ามาก็จะถูกทำลายโดยรัศมีสีดำขาว

“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เจ้าบ้าไปแล้วรึ? คิดจะประกาศสงครามกับเผ่าหมัวเฮอที่นี่รึไง!” หมัวเฮอเทียนถามเสียงเย็นชา

“หมัวเฮอโยววางแผนร้ายลูกชายข้า เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยมันไปงั้นหรือ!” เสียงของชิงเหยี่ยนจิ้งสะท้อนไปทั่ว

หมัวเฮอเทียนตอบด้วยความเย็นชา “ในเจดีย์วั้นกู่สามารถพึ่งพาความสามารถของตนเองได้เท่านั้น มู่เฉินประมาทเองดังนั้นไม่สามารถตำหนิใครได้ การกระทำของเจ้าไม่เท่ากับทำให้เผ่าฝูถูต้องอับอายหรือ?”

“ไร้สาระ” ชิงเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียงเย็นก่อนจะควบคุมมังกรลาวานับหมื่นตัวมาเผชิญหน้ากับหมัวเฮอเทียน

หมัวเฮอเทียนสายตาเคร่งขรึมตอบว่า “ตอนนี้มีปัญหาบางอย่างกับเจดีย์วั้นกู่ แน่ใจหรือว่าต้องการต่อสู้ตอนนี้? ลูกชายเจ้าแค่ระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไป ยังไม่ตายซะหน่อย ตราบใดที่หมัวเฮอโยวจัดการกับร่างสีทองเข้มได้ เขาก็จะปลอดภัยดี”

“แต่ถ้าหมัวเฮอโยวไม่สามารถจัดการกับมันได้ ก็ไม่มีใครช่วยลูกชายเจ้าได้!”

คำพูดของหมัวเฮอเทียนทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งชะงักไป สายตาของนางวูบไหวสุดท้ายกลับกลายเป็นเย็นชา นางโบกมือ โลกลาวาก็สลายหายไป

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายข้า ทั้งสองเผ่าเตรียมระเบิดศึกได้เลย” ชิงเหยี่ยนจิ้งบอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะสะบัดหน้ากลับไป

มองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งดวงตาของหมัวเฮอเทียนก็เปล่งไอเย็นชาก่อนที่จะหันกลับ

เมื่อจอมยุทธ์สุดยอดทั้งสองหยุดการต่อสู้ ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ก็รู้สึกโล่งใจ แต่ละคนเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก การเผชิญหน้าอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาตกอกตกใจไปกันหมด

“นังชิงเหยี่ยนจิ้งทำเกินไปแล้ว!”

เมื่อหมัวเฮอเทียนกลับมา ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็วิจารณ์ทันที

หมัวเฮอเทียนหลุบตาตอบอย่างเย็นชา “ไม่ต้องสนใจนาง ร่างมหาเทพนิรันดร์มีความสำคัญกว่า ดังนั้นเราจะจัดการนางในภายหลัง”

 

ในภูมิภาคนี้

พายุทอร์นาโดรุนแรงสร้างความหายนะเป็นเวลานานก่อนจะสลายไป

พื้นทั้งหมดเต็มไปด้วยเหวลึกดูน่ากลัว

บนท้องฟ้าร่างของมู่เฉินหายไป ทว่าหมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขามองเห็นร่างสีทองเข้มพุ่งเข้ามาในทิศทางของตนเองแล้ว

เมื่อมู่เฉินระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทิ้ง ร่างสีทองเข้มก็ไม่ได้รับแก่นอมตะใดๆ เนื่องจากถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นมันจึงโกรธมากก่อนที่จะเหลือบมองไปที่หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิง

โดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสองคนก็หันหลังกลับเผ่นหนีทันที

ขณะนี้กลยุทธ์แมวไล่จับหนูเริ่มต้นอีกคครั้ง

ขณะที่พายุสร้างความหายนะอย่างต่อเนื่องระหว่างฟ้าดิน ร่างมู่เฉินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเลือดนอนจมอยู่ในก้นเหวด้วยสีหน้าซีดเซียว ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวอ่อนแอลง ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก

เขาไม่เคยถูกบีบให้ต้องระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เพราะนั่นหมายถึงการทำลายแก่นอมตะที่มี ซึ่งแปลว่าเขาจะไม่สามารถเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาได้อีกต่อไป…

การทำงานหนักมาตลอดของเขาถูกทำลาย แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกปวดใจกับเรื่องนี้

แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะจมจ่อมอยู่กับความเจ็บปวดเพราะเขาต้องฝ่าฟันสถานการณ์นี้ไปให้ได้

ฮา

ขณะที่หน้าอกของมู่เฉินเริ่มยกสูงขึ้น เขาก็ปล่อยลมหายใจยาว ความเจ็บปวดที่มาจากร่างกายทำให้เขาขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมากเกินไป เขามองไปที่มิตินี้และค่อยๆ หลับตาลง

ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาจะทดสอบการคาดเดาของตัวเอง

ถ้าเขาเดาไม่ผิดการระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ไม่ได้ไร้ผลซะทีเดียว…

ตู้ม!

เมื่อความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงระเบิด ร่างเงาทั้งห้าก็โรมรันพันตู ทุกการปะทะกันทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือนราวกับว่าขอบฟ้ากำลังจะแยกออกจากกัน

แต่คำว่าโรมรันพันตูดูเหมือนจะไม่ใช่คำที่เหมาะสมนัก เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้คือสี่จอมยุทธ์พยายามจะหลบหนีโดยมีร่างสีทองเข้มไล่ตามมา ทุกการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาถูกฉีกขาดยับเยิน…

ทั้งสี่นั้นก็คือมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง

ตอนนี้พวกเขาสู้กับร่างสีทองเข้มลึกลับไปแล้วหนึ่งก้านธูป ซึ่งทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสความเลวร้ายแสนสาหัส พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหลบหนี เมื่อครู่หมัวเฮอโยวที่รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจากการถูกไล่ฆ่ายังปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมา แต่ผลที่ได้คือแขนข้างหนึ่งถูกฟันทิ้งโดยร่างสีทองเข้ม…

หลังจากเหตุการณนี้เกิดขึ้นก็ไม่มีใครกล้าปะทะซึ่งหน้าและทำเพียงหนีได้เท่านั้น แต่โชคดีที่ร่างสีทองเข้มจะฉีกมิติออกเป็นชิ้นๆ เป็นระยะเพื่อดึงแก่นอมตะออกจากเจดีย์วั้นกู่ซึ่งทำให้พวกเขามีเวลาหายใจบ้าง

แต่พวกเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาวที่ดี

นั่นเพราะเมื่อใดก็ตามที่ร่างสีทองเข้มดูดซับแก่นอมตะ ความผันผวนที่เปล่งออกมาก็จะน่ากลัวยิ่งขึ้น…

เห็นได้ชัดว่าร่างสีทองเข้มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ยามนี้ทุกคนจึงมีสีหน้าปูเลี่ยน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลือกออกจากเจดีย์วั้นกู่ได้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าตนเองจะต้องสูญเสียโอกาสในการได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ตลอดกาลหากจากไป ดังนั้นจึงไม่มีใครเลือกจะจากไปก่อน

โฮก!

ร่างสีทองเข้มดูดซับแก่นอมตะอีกชุดหนึ่งจากมิติ รัศมีก็เข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน แม้แต่ความกดดันที่เอิบอาบจากร่างกายก็ทำให้มิติโดยรอบแตกร้าวราวกับแก้ว

มันปล่อยเสียงคำรามออกมา รูม่านตาสั่นระริกด้วยความสับสน เสียงไร้อารมณ์ดังก้อง “จงอยู่ที่นี่เพื่อรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินนี้!”

เมื่อได้ยินเสียงที่อัดแน่นด้วยเจตนาฆ่า พวกหมัวเฮอโยวก็ไม่สนใจ รีบหนีไปอีกครั้ง

ทว่าหัวใจของมู่เฉินกลับสั่นสะท้าน เพราะร่างสีทองเข้มจะเปล่งเสียงคำรามเหมือนเดิมทุกครั้งหลังจากกลืนกินแก่นอมตะไป

แม้ว่าเสียงคำรามจะพุ่งตรงมาที่พวกเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการมู่เฉินรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ร่างสีทองเข้มต้องการจะพูด มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยการต่อต้านในจิตใจของมัน

“รวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน… ฟ้าดินนี่หมายถึงเจดีย์วั้นกู่หรือ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่พึมพำในใจ

ตู้ม!

ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้นข้างหลัง มู่เฉินกวาดสายตาไปมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรังสีสีทองเข้มพาดผ่านขอบฟ้าเข้ามา

“ความเร็วมันเพิ่มขึ้นแล้ว!”

ปีกหงส์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินกระพือก่อนที่ร่างเขาจะหายไป เขาเร้าความเร็วถึงขีดสุด

ทันทีที่มู่เฉินหายตัวไป มือสีทองเข้มก็แทงทะลุตรงหน้าอกของภาพมายาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว

ร่างสีทองเข้มคำรามหลังจากเห็นว่าพลาดเป้าก็ทะยานออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้ไล่ตามมู่เฉิน แต่เป็นทัวป๋าชางที่มีความเร็วช้าที่สุดในกลุ่ม

“ดอกบัวอมตะ!”

เมื่อเห็นร่างสีทองเข้มตามมา ใบหน้าของทัวป๋าชางก็เปลี่ยนไป รหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนแผ่ออกก่อตัวเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ปกป้องเขาไว้ภายใน

ชี่!

แต่คราวนี้ดอกบัวอมตะไม่สามารถขัดขวางร่างสีทองเข้มได้อีกต่อไป มันฉีกดอกบัวออกด้วยพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

ปัง!

เมื่อดอกบัวอมตะระเบิด ทัวป๋าชางก็พยายามที่จะถอยหนี แต่มือสีทองกลับยื่นออกมาจับหัวเขาแน่น

ความกลัวริบหรี่ในดวงตาของทัวป๋าชาง เขาแผดเสียงโดยไม่ลังเล “ข้าถอนตัว!”

ตามกฎของเจดีย์วั้นกู่ ผู้เข้าร่วมสามารถถอนตัวออกไปได้โดยที่เจดีย์จะส่งพวกเขาออกไปทันที ตอนแรกทัวป๋าชางยังรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจมีอารมณ์อื่นได้อีก เพราะชีวิตสำคัญที่สุด

หลังจากตะโกนออกไป ทัวป๋าชางก็ผ่อนคลายร่างกายรอให้มิติบิดเบี้ยว แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยยิ้มน่ากลัวบนริมฝีปากของร่างสีทองเข้ม ซ้ำการบิดเบือนของมิติก็ไม่เกิดขึ้น

ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็พุ่งจากปลายเท้ามาที่ศีรษะ อึดใจเขาก็คิดจะปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างกาย

แกร๊ก!

แต่เมื่อเขากำลังหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกาย พลังงานรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายเขาซึ่งแทบจะระเบิดหัวของเขาในทันที…

ปัง ปัง!

เสียงดังก้อง ร่างทัวป๋าชางก็ระเบิดออกเป็นหมอกเลือด ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ข้างหลังเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้า ก่อนที่จะระเบิดเป็นประกายแสงสีม่วงทอง…

พลังดูดเคลื่อนไหว ร่างสีทองเข้มกลืนกินประกายสีม่วงทองเข้าไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เมื่อมู่เฉิน หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงเห็นฉากนี้ ความหวาดผวาก็พล่านบนใบหน้า

พวกเขาสัมผัสได้ว่าทัวป๋าชางถูกฆ่าตายอย่างแท้จริง!

“ทำไมเขาออกจากเจดีย์วั้นกู่ไม่ได้?!” ใบหน้าของเยี่ยฉิงไม่น่าดู เนื่องจากได้ยินทัวป๋าชางตะโกนขอถอนตัวเต็มสองหู ทว่าเจดีย์วั้นกู่กลับไม่ส่งเขาออกไป

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวก็ดูเคร่งขรึม มองไปที่ร่างสีทองเข้มพร้อมกับความกลัวในดวงตา

“ข้ากลัว…ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นกับเจดีย์วั้นกู่” มู่เฉินกล่าว สถานการณ์เหนือการควบคุมตั้งแต่ร่างสีทองเข้มปรากฏขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะมันทำให้เจดีย์วั้นกู่ไม่สามารถส่งใครออกไปได้แล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงก็หดดวงตา ถ้าพวกเขาไม่สามารถออกจากเจดีย์ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาต้องติดอยู่ที่นี่หรือ?

เมื่อคิดแล้วใบหน้าของทั้งสองก็มืดครึ้มลง

เวลาเดียวกันความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ ทุกคนตกตะลึงไปเมื่อเห็นทัวป๋าชางถูกฆ่า หัวใจผู้คนต่างเย็นเยือกลง

นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายนะ ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยเรอะ?

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง นางบอกได้เลยว่าการถอนตัวของทัวป๋าชาง ล้มเหลว… อึดใจสายตาบาดลึกก็กวาดไปที่หมัวเฮอเทียน “เจดีย์วั้นกู่มีปัญหาเรอะ?”

หมัวเฮอเทียนพยักหน้าด้วยใบหน้าไม่น่าดู “อย่ามามองข้าแบบนั้น เผ่าหมัวเฮอของข้าไม่ได้ควบคุมเจดีย์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำอะไรได้”

ชิงเหยี่ยนจิ้งกำหมัดแน่นพร้อมกับแสงร้ายกาจวูบไหวในนัยน์ตา ร่างสีทองเข้มทรงพลังเกินไป มู่เฉินไม่สามารถต่อสู้ได้แน่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปลูกชายนางตายแน่

“งั้นก็ทำลายเจดีย์วั้นกู่ซะ!” ชิงเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียงเย็นชา

“ไม่ได้!” หมัวเฮอเทียนค้านขณะสวนกลับ “ร่างมหาเทพนิรันดร์ต้องได้รับผลกระทบหากเจดีย์ถูกทำลาย ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้?”

“ถ้าร่างมหาเทพนิรันดร์ทำลายได้ง่ายขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ร่างมหาเทพปฐมกาลแล้ว!” ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะเยาะ

“ไม่ได้! เผ่าหมัวเฮอของข้าปกป้องมันมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเราจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับมัน!” หมัวเฮอเทียนไม่ยอมถอย

“ถ้างั้นข้าจะลงมือเอง!”

“หึ ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอของข้า ไม่ใช่เผ่าฝูถูของเจ้า!”

“งั้นก็มาลองกันสักตั้งสิ!”

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคนยืนประจันหน้ากัน ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ฟ้าดินมืดมิด ทุกคนตัวสั่นกับภาพนี้ หากทั้งสองต่อสู้กันทุกสรรพสิ่งภายในรัศมีล้านลี้ก็คงเหลือเพียงเถ้าถ่าน…

 

หลังจากร่างสีทองเข้มกลืนกินร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของทัวป๋าชาง

รัศมีกระจ่างชัดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทบทวี ก่อนที่มันจะเหลียวมองไปที่มู่เฉิน หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงด้วยความโลภในดวงตา

ตู้ม!

ร่างกายของมันสั่นสะท้านก่อนที่จะทะยานไปหาหมัวเฮอโยวที่แข็งแกร่งที่สุด มันรู้ว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของอีกฝ่าย

เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง รีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว

แต่เวลานี้ความเร็วของร่างสีทองเข้มเพิ่มขึ้นมาก ไม่ว่าหมัวเฮอโยวจะพยายามหลบหนีแค่ไหนระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ลดลงเรื่อยๆ…

ไม่กี่ลมหายใจหมัวเฮอโยวก็รู้สึกถึงพายุรุนแรงอยู่ข้างหลัง

เมื่อเห็นร่างสีทองเข้มเข้ามาใกล้ทางมุมหางตา หมัวเฮอโยวก็กวาดสายตาเย็นชาไปที่มู่เฉิน ก่อนเข็มทิศที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้งจะปรากฏขึ้นในมือ

“เข็มทิศแปดกายาสวรรค์ ทักษะปรวนแปร!”

เข็มทิศเปล่งรัศมีเอิบอาบไปทั่ว ขณะที่ล้อมรอบร่างสีทองเข้ม

ตอนที่หมัวเฮอโยวนำเข็มทิศออกมา มู่เฉินก็ตื่นระวังอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจ เขารีบถอยออกไปทันที

วาบ!

แต่เมื่อเขากำลังจะถอยร่างสีทองเข้มที่กำลังไล่กวดหมัวเฮอโยวก็หายวับ จากนั้นมู่เฉินก็ต้องหดดวงตาเมื่อมองเห็นมิติแยกออกเบื้องหน้าเขา ร่างสีทองเข้มพุ่งออกมาจ้องเขาเขม็ง

เมื่อมองร่างสีทองเข้มที่อยู่ใกล้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีมืดคล้ำ

‘ไอ้ระยำหมัวเฮอโยว มันบังอาจวางแผนลอบกัดข้า!’

วาบ!

ร่างเงาสีทองเข้มพาดผ่านขอบฟ้าพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ มิติใกล้เคียงถึงกับพังทลายลง…

ขณะมองไปที่ร่างสีทองเข้ม สีหน้าของทั้งสามก็เปลี่ยนไป พวกเขารีบถอยออกมาทันที ร่างสีทองเข้มนี้แผกประหลาดเกินไป พวกเขาสามารถบอกได้ถึงพลังของมันเนื่องจากแม้แต่หมัวเฮอโยวก็ยังเจ็บหนักเมื่อถูกโจมตี

แต่ไม่ว่าความเร็วของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ร่างสีทองเข้มก็เร็วยิ่งกว่า

เมื่อมิติสั่นไหว ร่างสีทองเข้มก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าทัวป๋าชางแล้วค่อยๆ ตบมือออกไป

เมื่อทัวป๋าชางเห็นว่าสถานการณ์นี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แผดเสียงคำราม รัศมีสีทองไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย เขาเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา รหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนรวมตัวกันก่อร่างเป็นดอกบัวห่อหุ้มตัวเองไว้

“ดอกบัวอมตะ!”

นั่นคือกระบวนท่าการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เผชิญหน้ากับร่างสีทองเข้ม แม้แต่ทัวป๋าชางก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท

แปะ!

มือตบลงไปที่ดอกบัว เกิดการแข็งตัวช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีรอยแตกกระจายออกมาแล้วระเบิด

อ็อก

ดอกบัวระเบิดออก ทัวป๋าชางก็ถลาออกไปพร้อมกับความหวาดผวาบนใบหน้า การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือสิ่งที่แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่สามารถทำลายได้ด้วยกระบวนท่าเดียว แต่กลับเปราะบางต่อหน้าร่างสีทองเข้ม

หลังจากส่งทัวป๋าชางออกไปด้วยตบเดียว ร่างเงาสีทองเข้มก็พุ่งเข้าไปหาเยี่ยฉิง

“ขอบเขตอสุรา!”

เยี่ยฉิงมองไปที่ร่างสีทองเข้มแล้วขบฟัน ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือเขาจะสั่นสะท้าน ทันใดนั้นรัศมีสังหารรุนแรงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาออกกระบวนท่าโจมตีแทนการป้องกัน หอกกลายเป็นลำแสงฉีกผ่านขอบฟ้าพร้อมกับภาพซ้อนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างสีทองเข้ม

การโจมตีของเยี่ยฉิงเป็นกระบวนท่าสังหารเลยทีเดียว

ภาพซ้อนหลายล้านภาพกระจายออกไป นี่เป็นกระบวนท่าที่แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่กล้ารับ แต่ร่างสีทองเข้มไม่ได้ใส่ใจเลย เมื่อหอกปะทะบนร่างกายก็เกิดประกายไฟแล่นเปรียะ แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางร่างสีทองเข้มเอาไว้ได้…

ร่างสีทองเข้มกำหมัดเหวี่ยงออกไป มิติพังทลายลงจากวงรัศมี ขณะที่ซัดลงบนหอกสีแดงเข้ม

เคร้ง!

เสียงโลหะปะทะกันดังก้อง เยี่ยฉิงตัวสั่นสะท้านรุนแรงก่อนที่จะปลิวไป เส้นเลือดบนแขนของเขาระเบิดพร้อมกับเลือดไหลลงมา แม้แต่หอกสีแดงเข้มในมือเขาหรุบหรู่ ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นร่างสีทองเข้มที่เอาชนะทัวป๋าชางและเยี่ยฉิงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ใบหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป ร่างกายเกร็งเครียดขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากเอาชนะทั้งสองแล้ว สายตาไม่แยแสของร่างสีทองเข้มก็พุ่งตรงมาที่เขา

วาบ!

แค่จ้องตากันก็ทำให้มู่เฉินหดดวงตา เพราะเขาเห็นแสงสีทองที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จังหวะนั้นร่างสีทองเข้มก็พุ่งเข้าหาคว้าลำคอของเขาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

มวลลมคมกริบกวนตัว ร่างของมู่เฉินกระตุก ปีกหงส์ฟ้าพร่างพราวกางออกที่แผ่นหลังขณะกระพือปีกวูบไหวก็ทิ้งภาพเงาเอาไว้ ร่างหลักปรากฏตัวห่างออกไปหมื่นจั้ง

ซี้ด!

มือสีทองที่บดขยี้ลงหยุดชะงักชั่วครู่ ราวกับตกใจที่การโจมตีพลาดเป้า…

มู่เฉินรู้สึกถึงเหงื่อเย็นไหลชุ่มบนแผ่นหลัง ถ้าเขาช้ากว่านั้นอีกก้าวเดียวละก็ เขาคงได้รับบาดเจ็บหนักจากร่างสีทองเข้มไปแล้ว แต่โชคดีที่เขาใช้ประโยชน์จากปีกหงส์ฟ้าแท้จริง ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดและความเร็วเขาก็สูงกว่าทั้งสี่คน เขาจึงสามารถหนีออกมาได้ทันท่วงที

ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อทุกคนเห็นมู่เฉินหลบการโจมตีของร่างสีทองเข้มได้ถึงฟื้นคืนสติ ทันใดนั้นพวกเขาก็ร้องอุทานตอบสนอง ฉากนี้เหนือคาดยิ่งนัก

‘ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครองไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงเริ่มสังหารหมู่ราวกับว่าต้องการฆ่าทั้งสี่คนให้ได้?

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?!” ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเปลี่ยนไป นางจะบอกไม่ได้อย่างไรว่าร่างสีทองเข้มนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง จอมยุทธ์ทั้งสี่คนไม่ได้อยู่ในสายตามันเลย

“หมัวเฮอเทียน เผ่าเจ้าแอบทำอะไร?!” ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่หมัวเฮอเทียนพลางตะโกนถามเสียงเข้ม

ขณะนี้ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนก็บิดเบี้ยวจนไม่น่าดู เขาเหลือบมองชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในอดีตร่างสีทองเข้มนั้นไม่เคยปรากฏตัวเลย!”

เขาก็โมโหเช่นกัน เขาไม่รู้ว่ามีร่างสีทองเข้มอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ ดูจากรูปลักษณ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานหรือไม่

“หรือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ใช้วิธีนี้เพื่อเลือกเจ้านาย?” ผู้อาวุโสที่ด้านหลังหมัวเฮอเทียนคาดเดา

“ร่างสีทองเข้มนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารไม่ได้มีการผ่อนปรน แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ นี่ไม่ใช่การเลือกเจ้านาย มันต้องการสังหารเท่านั้น” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน

ผู้อาวุโสทุกคนแลกเปลี่ยนสายตาไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ เพราะในช่วงเวลาที่เจดีย์วั้นกู่ปิดลงแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่มองดูเท่านั้น

ขณะที่ด้านนอกของเจดีย์กำลังโกลาหล หมัวเฮอโยวก็เริ่มฟื้นตัวจากบาดแผล เขาลอยขึ้นบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ เมื่อมองไปที่ร่างสีทองเข้มก็มีร่องรอยของความกลัวอยู่ในดวงตา ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ตอบสนองเร็วพอละก็ เขาคงถูกฆ่าด้วยร่างสีทองเข้มนั่นไปแล้ว

“ให้ตายสิ นี่มันอะไรกันแน่!”

หมัวเฮอโยวร้อนรนในหัวใจ เขาเข้าสู่ชั้นสุดท้ายด้วยความยากลำบาก ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ สิ่งนี้จะโผล่มาและเริ่มฆ่าโดยไม่มีคำพูดใดๆ ราวกับว่าต้องการสังหารพวกมันทั้งหมดที่นี่

ขณะนี้ร่างสีทองเข้มก็กวาดสายตาไปรอบๆ รัศมีสีทองเข้มเปล่งบนร่างกาย มันคิดจะเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว

เมื่อเห็นภาพนี้เปลือกตาของหมัวเฮอโยวก็กระตุกขณะที่ตะโกนลั่น “พวกเจ้า ไอ้ตัวนี้พิลึกกึกกือมากและพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ข้าว่าเราทุกคนร่วมมือกันดีกว่า!”

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางลังเลก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะการแลกกระบวนท่าสั้นๆ เมื่อครู่ พลังของร่างสีทองเข้มนั้นน่ากลัวเกินไป

ไม่มีใครสักคนที่จะต่อกรได้ด้วยตัวคนเดียว

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก เขารู้สึกว่าแม้พวกเขาจะผนึกกำลังกัน แต่ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ แต่ไม่มีทางเลือกใดที่ดีกว่าในตอนนี้ พวกเขาคงต้องลองดูก่อน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย

ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างเงานั่นก็พุ่งเข้ามาหา

“มหาภัยพิบัติไร้ขอบเขต!”

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเคร่งขรึม เขาเร้าวิชาโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นพายุทอร์นาโดดำขาวก็ปรากฏขึ้น

“วิชาเจดีย์แปดองค์!”

มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะออมมือ

“อสุราสวรรค์!”

“เพลงดาบขอบเขต!”

ทัวป๋าชางและเยี่ยฉิงต่างก็ออกกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อพวกเขาทั้งสี่ใช้กระบวนท่าสูงสุดที่มี ทั้งมิติก็มืดลง การโจมตีที่น่ากลัวทั้งสี่กวาดเข้าหาร่างสีทองเข้ม

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เผชิญหน้ากับการโจมตีสี่สาย ร่างสีทองเข้มก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลบ กลับเหวี่ยงชุดหมัดสี่ครั้งที่แฝงด้วยมีรัศมีอมตะ

หมัดทั้งสี่พุ่งออกไป ราวกับเป็นดวงอาทิตย์สีทองเข้มสี่ดวง ปะทะกับการโจมตีที่น่ากลัวทั้งสี่

ปัง ปัง ปัง ปัง!

เสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าร่างสีทองเข้มทำลายการโจมตีของพวกมู่เฉินได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าพายุทอร์นาโดขาวดำหรือแสงเจดีย์มรณะ ทุกอย่างล้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การกระทบของดวงอาทิตย์สีทองเข้ม…

ทุกคนที่อยู่ด้านนอกเงียบลงด้วยความตกใจ พลังจากพวกเขาทั้งสี่นั้นเกินจินตนาการ แต่ก็ยังถูกทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยร่างสีทองเข้ม…

ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!

อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริงเท่านั้นที่สามารถยับยั้งร่างสีทองเข้มนั้นได้

เมื่อทั้งสี่เห็นภาพนี้ พวกเขาก็มีสีหน้าไม่น่าดู แม้แต่การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาก็ไม่เกิดผลใดๆ ดังนั้นบอกได้เลยว่าร่างสีทองเข้มทรงพลังเพียงใด

“ระยำ!”

หมัวเฮอโยวสาปแช่ง แม้แต่การโจมตีขั้นสุดยอดสี่วิชาก็ไม่สามารถหยุดร่างสีทองเข้มได้ พวกเขาจะสู้ได้ยังไง?

มู่เฉินขมวดคิ้ว ร่างสีทองเข้มทรงพลังเกินไป หรือว่าต้องเอาชนะมันเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์?

แต่หากไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งปรากฏตัว ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้

โฮก!

ทันใดนั้นร่างสีทองเข้มก็เปล่งเสียงคำรามออกมา มือทั้งสองคว้าไปที่อากาศ มิติฉีกออกจากกัน

ภายในมิติเหมือนจะเห็นจุดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วน

ร่างสีทองเข้มอ้าปาก ระเบิดแรงดูดเพื่อดึงจุดแสงม่วงทองออกมา ทว่าจุดแสงก็ต่อต้านชั่วครู่ก่อนที่จะถูกลากไปเขมือบ

เมื่อมองไปที่จุดแสงสีม่วงมู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคย นั่นคือคือแก่นอมตะ!

‘แก่นอมตะนั้นน่าจะถูกรวบรวมไว้โดยเจดีย์วั้นกู่ แต่ทำไมร่างสีทองเข้มถึงต้องใช้วิธีแย่งแบบนี้ในการกลืนกิน?’

มู่เฉินเกิดความสงสัยในใจ หากร่างสีทองเข้มเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนาน เจดีย์ก็ควรส่งแก่นอมตะไปหาและไม่ต่อต้าน

‘หรือว่าร่างสีทองเข้มนี้ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์?’

‘แต่ถ้านี่ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วคือตัวอะไร?’ จากร่างสีทองเข้มมู่เฉินรู้สึกได้ถึงรัศมีอมตะที่หนาแน่น เพียงแค่ไม่ค่อยบริสุทธ์เท่านั้น

ขณะที่มู่เฉินสงสัย หลังจากที่ร่างสีทองเข้มกลืนกินรัศมี แสงบนร่างสีทองเข้มก็ดูหนาแน่นขึ้น ความกดดันที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

ร่างสีทองเข้มเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทั้งสี่ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความโลภในดวงตาของมันพร้อมกับความคิดพร่ามัวกระจายออกมา

“ข้า…จะกินพวกเจ้าทั้งหมด…”

ตู้ม!

ชั้นฟ้าชั้นดินถูกฉีกผ่าน แม่น้ำสีเงินก็พุ่งเข้าปะทะกับพายุทอร์นาโดสีดำขาวในเวลาต่อมาภายใต้สายตาตกตะลึงมากมายที่จ้องมอง

ในช่วงเวลาที่เกิดการปะทะกัน คลื่นกระแทกที่อธิบายไม่ได้ก็กวาดออกมาบนพื้น มีเพียงภูเขาสีแดงเข้มเท่านั้นที่ยืนยงอยู่ได้โดยไม่ขยับเขยื้อน ส่วนสรรพสิ่งรอบด้านทั้งหมดถูกทำลายจากคลื่นกระแทกนี้…

ทุกคนจ้องเขม็งไปที่จุดปะทะ มิติกำลังถล่มลงมา แม่น้ำสีเงินแตกสลายอย่างรวดเร็ว คลื่นกระแทกหลิงอันน่าทึ่งพุ่งออก

ภายใต้คลื่นกระแทกที่น่ากลัว แม้แต่ความเร็วในการหมุนรอบของพายุทอร์นาโดสีดำขาวก็ช้าลง ชัดว่าหมดพลังโดยสายธารสีเงินนี้

แม่น้ำสีเงินลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจพลังรวมหลากหลายของมู่เฉินก็หมดลง…

ชี่ ชี่!

สายธารเชี่ยวกรากแตกออกเป็นประกายไฟ

แต่เมื่อสายธารหายไปพายุทอร์นาโดก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดและค่อยๆ ช้าลง ขณะนี้มันดูเหมือนเป็นลมหมุนสีดำขาวเท่านั้น

แกร็ก

ทันใดนั้นรอยแตกก็ปรากฏขึ้นและกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พายุทอร์นาโดจะแตกสลาย ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน…

“เขา…ต้านไว้ได้…”

เสียงตะลึงใจดังที่ด้านนอกเจดีย์พร้อมกับความไม่เชื่อในฉายบนใบหน้าทุกคน ด้วยพลังของหมัวเฮอโยวบวกกับทักษะเทพ เขาแทบจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานไว้ได้

บนบัลลังก์ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนก็เขียวคล้ำกับฉากนี้พร้อมกับสาดสายตาน่ากลัว ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อกับภาพความจริงอันโหดร้าย

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจเชื่อ แต่ความจริงก็อยู่ตรงหน้า

“ลูกชายเจ้าน่าเกรงขามจริงๆ…” ฝูถูเฉวียนอึ้งไปก่อนจะถอนหายใจ

ชิงเหยี่ยนจิ้งก็มีอาการตกใจบนใบหน้า ชัดว่าบุตรชายทำเกินความคาดหมายไปไกล แต่เมื่อได้ยินเสียงชื่นชมของฝูถูเฉวียน นางก็อดยิ้มกว้างไม่ได้

“เป็นไปได้ยังไง…”

สายตาของหมัวเฮอโยวมืดครึ้ม เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก กระบวนท่าของเขาครั้งนี้สามารถเอาชนะจอมยุทธ์อย่างเยี่ยฉิงได้ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรมู่เฉินได้?!

“ไอ้เวร!” หมัวเฮอโยวกำมือแน่นจนเสียงกระดูกลั่นเปรียะ ย้อนกลับไปที่เผ่าฝูถูมู่เฉินต้องอาศัยค่ายกลเพื่อเอาชนะตระกูลมั่วและเฉวียน แต่ในเวลาเพียงปีสองปีเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนได้แล้ว

ขณะที่แววตาของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนไป ใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ทว่าเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัวเฮอโยวด้วยสีหน้าสงบ “ยังจะสู้ต่ออีกไหม?”

ประกายเย็นเยือกกะพริบในดวงตาของหมัวเฮอโยวพร้อมกับคลื่นหลิงพวยพุ่งขึ้นรอบตัว แม้ว่าเขาจะใช้พลังงานไปอย่างมากกับกระบวนท่าสุดยอดนั่น แต่เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด มีพลังหลิงหนาแน่น ดังนั้นจึงยังมีพลังต่อสู้อยู่

ตู้ม!

ขณะที่หมัวเฮอโยวคิดจะต่อสู้อยู่ๆ เสียงดังแสบแก้วหูก็สะท้อนออกมา จากนั้นเขาก็ต้องหดตาลงมองไปที่ภูเขาสีแดงเข้มที่ยุบลงพร้อมกับเสาแสงขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า…

ในเสาโบราณมีร่างคลุมเครือซึ่งทำให้แววตาของหมัวเฮอโยวกระจายไปด้วยความโลภ

“ร่างมหาเทพนิรันดร์!”

หมัวเฮอโยวรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นแรงจากนั้นก็กวาดตามองมู่เฉินไม่สนใจอีกต่อไป เขาทะยานออกไป มองไปที่เสาโบราณด้วยดวงตาลุกโชน

มู่เฉินมองหมัวเฮอโยวจากไป กำปั้นที่กำแน่นก็คลายออก ใบหน้าที่ดูนิ่งสงบก็แอบโล่งใจนิดๆ เนื่องจากตอนนี้ร่างกายแทบจะหมดพลัง ตัวเขาไม่มีพลังที่จะต่อสู้กับหมัวเฮอโยวอีกแล้ว

ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับมหาภัยพิบัติไร้ขอบเขตของหมัวเฮอโยว เขาได้ใช้พลังงานทุกหยาดหยดในร่างกายเลยทีเดียว

ถ้าเมื่อครู่หมัวเฮอโยวเปิดการโจมตีอีกครั้ง เขาก็ทำได้แค่ถอยหนี แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์ไป

โชคดีที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นพอดี ทำให้หมัวเฮอโยวไม่สนใจเขาอีกต่อไป

“ตัวข้าเองก็ประเมินหมัวเฮอโยวต่ำไป แม้ว่าข้าจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแต่ถ้าสู้กันก็ได้แค่เสมอ ถ้าต้องการเอาชนะคงต้องก้าวเข้าสู่ขั้นเซียน”

มู่เฉินถอนหายใจพลางโยนของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดและกลืนกินเข้าไป เจดีย์พุทธะที่สถิตในร่างก็กำจายรัศมีพร้อมกับความสดใส ขณะที่กลั่นและดูดซึมอย่างรวดเร็ว…

สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่ค่อยๆ ฟื้นตัว มู่เฉินก็เริ่มผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียด เขาพลิ้วตัวลงบนเนินเขาที่ไกลออกไป

เขากวาดสายตามองก็เห็นว่านอกจากหมัวเฮอโยวแล้ว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางที่ยังคงรักษาระยะห่างต่อกันไว้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่มีใครเหนือกว่าใครได้

เมื่อรู้สึกถึงการมาถึงของมู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางก็จ้องมองอย่างอัศจรรย์ใจ เนื่องจากพวกเขาเห็นการต่อสู้ก่อนหน้าอยู่ ดังนั้นในดวงตาพวกเขาจึงมีร่องรอยของความเคร่งเครียดและความครั่นคร้าม

“ในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้นแล้วสินะ?”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสาขนาดมหึมาที่เอิบอาบไปด้วยกลิ่นอายโบราณและลึกลับ ภายในเสาสามารถมองเห็นร่างเงาโบราณได้อย่างคลุมเครือ

เมื่อเห็นร่างเทห์สวรรค์ในตำนาน ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังราวกับว่าถูกดึงดูดโดยสิ่งที่ไม่อาจต้านได้

มีร่องรอยของความตื่นเต้นในดวงตาของมู่เฉิน

แม้แต่อีกสามคนก็พลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น มากจนจุดอากาศได้เลยทีเดียว

ที่ด้านนอกเจดีย์เงียบกริบ ทุกคนจ้องมองไปที่เสาโบราณพร้อมกับดวงตาลุกโชน นั่นคือร่างมหาเทพนิรันดร์ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลแห่งมหาพันภพ ใครก็ตามที่ได้รับไปจะกลายเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย

ครืนๆๆ!

ท่ามกลางสายตาลุกโชนมากมาย เสาขนาดมหึมาคงอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มหดลง โดยมีร่างเงาโบราณนั้นเป็นศูนย์กลาง…

ราวกับว่าร่างโบราณนั้นกำลังดูดซับคลื่นหลิงที่บรรจุอยู่ในเสา

เสาหดตัวลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถูกดูดซับโดยร่างโบราณนั้นทั้งหมด ยามนี้ร่างเงาภายในก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจนภายใต้สายตาของทุกคน

ดวงตาแต่ละคู่เบิกกว้าง เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เห็นร่างมหาเทพนิรันดร์ของจริง

ขณะที่ทุกสายตาจ้องมองไป ภาพเงาที่สูงประมาณสิบจั้งก็ยืนขึ้นระหว่างฟ้าดิน มันมีสีทองเข้มที่มีริ้วรอยด่างดำราวกับว่าผ่านการศึกสงครามมานับล้านครั้ง

บนร่างกายมีลวดลายตามธรรมชาติ ทุกลายมีความลึกซึ้งและพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

แม้จะไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง

“นี่หรือร่างมหาเทพนิรันดร์?” มู่เฉินมองไปที่ร่างเงานั้นพลางพึมพำด้วยความฉงนสนเท่ห์

วาบ!

ขณะที่เขากำลังสงสัย หมัวเฮอโยวก็กลายเป็นริ้วแสงไปปรากฏตัวเบื้องหน้าร่างเงานั่นเอื้อมมือออกไป “ฮ่าๆ ร่างมหาเทพนิรันดร์ มากับข้า ข้าเป็นเจ้าของคนใหม่ของเจ้า!”

เยี่ยฉิง ทัวป๋าชางและมู่เฉินสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนที่จะทะยานออกไปเช่นกัน

แต่เมื่อมือของหมัวเฮอโยวกำลังจะสัมผัส ร่างสีทองเข้มก็ลืมตาโพลงโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ อยู่ภายใน

หลังจากมองไปที่หมัวเฮอโยว มือมันก็ยื่นออกแล้วเหวี่ยงไปที่หมัวเฮอโยว มือช่างดูเหมือนจะไม่มีพลังใดๆ แต่ทำให้มิติในรัศมีหมื่นจั้งพังทลายลง

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนไปรุนแรงก่อนที่จะส่งเสียงคำรามลึก เขาเร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาและเปิดการป้องกันทันที

ปัง!

แต่การป้องกันทั้งหมดก็ถูกทำลายลงในพริบตา ก่อนที่ฝ่ามือนั่นก็ตบลงบนหน้าอกของหมัวเฮอโยว โดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ

อ็อก

เลือดสดกระอักออกมา ร่างหมัวเฮอโยวถูกส่งออกไป วาดรอยยาวบนพื้นเป็นทางยาวหลายหมื่นจั้ง แม้แต่หน้าอกก็ยุบลง

ซี้ด

มู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางหยุดชะงักมองหมัวเฮอโยวที่บาดเจ็บสาหัสก็สูดลมหายใจเย็นเยือก สายตามองไปที่ร่างสีทองเข้มด้วยความตะลึงกลัว

พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเบาบางและเย็นจับจิตที่แทรกซึมมาจากร่างสีทองเข้มนั้น

ขณะที่ทั้งสามตกตะลึง ร่างสีทองเข้มก็เงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่พวกเขาก่อนจะอ้าปาก เสียงเครื่องจักรกลไม่แยแสดังก้อง

“อยู่…และรวมกับสถานที่แห่งนี้เถอะ…”

เมื่อเสียงสะท้อนไปทั่ว ทันใดนั้นมันก็ระเบิดกลายเป็นรังสีสีทองพุ่งเข้าหาทั้งสามคน

“แสงเจดีย์มรณะ!”

รังสีมรณะพุ่งลงมาจากท้องฟ้าฉีกขาดมิติและกาลเวลาออกจากกัน เมื่อสิ้นเสียงมู่เฉิน ลำแสงก็ไปปรากฏเหนือร่างหมัวเฮอโยวแล้ว

ขณะที่รังสีมรณะพุ่งผ่าน แม้แต่คลื่นหลิงยังถูกลบออกไป ความสามารถในการทำลายล้างช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง

ในเวลานี้หมัวเฮอโยวก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้สึกว่าถูกคุกคามจริงจัง ทั่วสรรพางค์กายรู้สึกเจ็บแปลบไปหมด

ฮา

เขาหายใจเข้าลึกมือประสานเข้าด้วยกัน อึดใจกระแสคลื่นหลิงก็กวาดออกมาจากร่างกาย

“ระฆังมหาสวรรค์!”

เสียงดังก้องออกมาจากปากขณะที่รัศมีสีดำขาวรอบตัวเขาหมุนเวียนป่าเถื่อน ก่อนที่จะก่อร่างเป็นระฆังสีดำขาวขนาดใหญ่ล้อมรอบตัว

ระฆังครอบร่างหมัวเฮอโยวไว้ภายใน สร้างเกราะป้องกันที่ทรงพลังที่สุด

“นั่นคือระฆังมหาสวรรค์! หนึ่งในทักษะระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมของเผ่าหมัวเฮอ” เมื่อผู้ชมภายนอกเจดีย์เห็นภาพนี้พวกเขาก็มีแววตาเคร่งขรึม พวกเขาบอกได้ว่าหมัวเฮอโยวถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงใด ถึงกับต้องดึงทักษะนี้ออกมา

หลังจากบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย พลังของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ที่สุดแล้วมู่เฉินมีการขยายคลื่นพลังของวิชาสามพิสุทธิ์ ตราบใดที่มีการเพิ่มพลังเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

หมัวเฮอเทียนมีแววตามืดมน ส่วนผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอมีอาการตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหมัวเฮอโยวจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทั้งที่เมื่อครู่เขาถือไพ่เหนือกว่า

ชี่!

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาทั้งหมด รังสีมรณะก็ยิงเข้าใส่ระฆังสีดำขาว การปะทะกันไม่เกิดเสียงใดๆ ขึ้น แต่ช่างน่าตกใจที่ระฆังค่อยๆ ถูกกัดกร่อนและสลายลงไป…

แม้ว่าคลื่นหลิงบนตัวระฆังจะพยายามสกัดกั้นไว้ แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่ารังสีดำก็ยังคงค่อยๆ กัดกินระฆังทีละน้อย

รังสีสีดำคล้ายกับฝูงมดนับไม่ถ้วนที่กระจายออกไปทุกทิศทาง จากนั้นไม่กี่นาทีระฆังก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท…

ปัง!

เสียงลึกต่ำสะท้อนออกมา ระฆังแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับสีหน้าเขียวคล้ำของหมัวเฮอโยวเผยให้เห็นที่ข้างใต้

ฟิ้ว!

เมื่อขี้เถ้าสีดำปลิ่วว่อน รังสีสีดำที่เหลือก็พุ่งต่อเล็งไปที่กึ่งกลางคิ้วของหมัวเฮอโยว

รังสีดำรวดเร็วมาก แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่ชักช้า เขาเอี้ยวตัวไปข้างหน้า รังสีสีดำก็ปัดผ่านใบหน้าเขาไป…

ชี่!

รอยเลือดสีดำปรากฏบนใบหน้าหมัวเฮอโยว แต่ที่ทำให้ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนไป เนื่องจากรอยเลือดสีดำนั้นราวกับพิษค่อยๆ แพร่กระจายและกัดกร่อนพลังชีวิตไป

วาบ!

หมัวเฮอโยวเหยียดมือเป็นใบมีดปัดเข้ากับใบหน้า เฉือนชิ้นเนื้อบนใบหน้าออกทันทีเพื่อหยุดการแพร่กระจาย

แต่เมื่อไม่มีชิ้นเนื้อบนใบหน้าซีกนี้ เลือดก็ไหลออกมาปกคลุมทำให้เขาดูน่าสะพรึงกลัวนัก

ภายนอกเจดีย์ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหมัวเฮอโยวจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ได้เปรียบมาก่อนหน้า

“ทำได้ดี!”

ฝูถูเฉวียนปรบมือสาสมใจ ดูท่าจะพอใจมากกับการโจมตีของมู่เฉิน

ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้มแป้น นางรู้ว่าในเมื่อมู่เฉินกล้าสู้กับหมัวเฮอโยว เขาก็ต้องมีไพ่ตายเก็บอยู่ ด้วยสายตาของนางก็สามารถบอกได้ว่ามู่เฉินได้เตรียมการสำหรับความก้าวหน้านี้เอาไว้นานแล้ว รอแค่ใช้แรงกดดันจากหมัวเฮอโยวเพื่อย่นกระบวนการนั้น

ทว่านางรู้ดีว่าเร็วเกินไปที่จะดีใจเนื่องจากมู่เฉินได้ใช้วิชาเจดีย์แปดองค์แล้ว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่เขาทำได้ก็คือหมัวเฮอโยวตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ไม่มีการสูญเสียใดๆ กับพลังในการต่อสู้…

เรื่องนี้ยังคงยากเกินไปสำหรับมู่เฉินที่จะเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ด้วยขอบเขตของขั้นหลิงระยะปลาย

บนท้องฟ้าหมัวเฮอโยวหมุนเวียนคลื่นหลิงบนใบหน้าเพื่อหยุดเลือด ดวงตาแดงฉานจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา เสียงแผดดังก้องออกมาจากลำคอ “มู่เฉิน แกกำลังรนหาที่ตาย!”

ยามนี้หมัวเฮอโยวเดือดดาลในใจ เขามีความคิดแค่จะแกล้งเหยื่อ ไม่เคยมองมู่เฉินเป็นศัตรูในระดับเดียวกัน แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์น่าอนาถเช่นนี้

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดมีใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกฉีกออกจากฝีมือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย!

เขาจินตนาการได้เลยว่านี่จะเป็นเรื่องตลกในเผ่าหมัวเฮอไปอีกนานหลังจากเรื่องนี้จบลง

เผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของหมัวเฮอโยว ท่าทางของมู่เฉินก็ยังคงสงบ แต่มีแววเสียดายผุดขึ้นในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเพียงพอ แต่ใครจะคาดคิดว่าหมัวเฮอโยวจะใจเด็ดหั่นใบหน้าออกครึ่งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการกัดกร่อนของรังสีมรณะ

ครืนๆ!

เสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ มู่เฉินเห็นรอยแยกบนภูเขาแพร่ออกเร็วรี่พร้อมกับรัศมีลึกลับและอมตะพวยพุ่งออกมา

ร่างมหาเทพนิรันดร์กำลังจะปรากฏตัวในไม่ช้า

“ไอ้สารเลวอย่าฝันไปเลย ข้าไม่ปล่อยให้แกเสนอหน้าอยู่หรอก!” เสียงเยือกเย็นดังก้อง ดวงตาของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยจิตสังหารเข้มข้น

เมื่อเห็นท่าทางของหมัวเฮอโยว มู่เฉินก็หดดวงตาขณะที่ร่างกายเกร็งขึ้นเตรียมพร้อม

สายตาหมัวเฮอโยวน่าขนพองสยองเกล้าขณะมองมู่เฉินอย่างเลือดเย็น “อย่าคิดว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าไม่มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า!”

ตู้ม!

หมัวเฮอโยวกัดลิ้น พ่นเลือดออกมา จากนั้นคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดก็ระเบิดออกจากร่าง ราวกับเมฆหนาแน่นปกคลุมสวรรค์และโลก

การเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งกลืนกินทั่วบริเวณนี้ ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนเห็นภาพนี้ก็หดดวงตาพร้อมกับฉายการแสดงออกที่ไม่น่าดู “นี่คือ…หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า มหาภัยพิบัติไร้ขอบเขตของเผ่าหมัวเฮอ!”

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ความมืดครึ้มพลุ่งพล่าน หมัวเฮอโยวเจ็บแค้นจนไม่อาจอดกลั้นต่อไปได้อีกแล้ว

ครืนๆ!

กลุ่มเมฆเคลื่อนตัวในบริเวณนี้พร้อมกับความกดดันน่ากลัวที่แผ่ออกไป มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเรียด ตัวเขามีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเผ่าหมัวเฮอและก็รู้ดีว่านี่น่าจะเป็นมหาภัยพิบัติไร้ขอบเขตหนึ่งในวิทยายุทธในตำนาน

“โง่เง่ามากที่ยั่วยุข้า” หมัวเฮอโยวยืนอหังการในมิติ แขนเสื้อกระพือไปในสายลมขณะที่จ้องมองมาที่มู่เฉิน

ตู้ม!

เหนือหมัวเฮอโยว เมฆสีดำสีขาวรวมตัวกันค่อยๆ ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโดสีดำขาวที่สอดประสานเสียงฟ้าร้อง สามารถทำลายทุกสิ่งที่กีดขวาง

“ทำลายมันซะ!”

หมัวเฮอโยวยิ้มเยาะขณะตราประทับเปลี่ยนไป มองเห็นพายุทอร์นาโดสีดำขาวเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกซัดเข้าหามู่เฉิน

พื้นดินเบื้องล่างก็ถูกฉีกออกจากกัน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองพายุทอร์นาโด ใบหน้าก็กลับกลายเป็นมืดครึ้ม อึดใจเขาก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด กระจกกระดูกปรากฏขึ้นในมือ

นี่คืออาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน—กระจกรวมเทพโบราณที่เขาได้มาจากตี้กุ่ย

เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นกระจกก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นอีกหลายส่วน นี่เป็นอาวุธที่เขาให้ตี้กุ่ยยืมเพื่อจัดการกับมู่เฉิน แต่ตอนนี้กลับถูกมู่เฉินนำมาใช้งานกับเขา

มู่เฉินไม่สนใจสายตาเย็นชาของหมัวเฮอโยว เขาโยนกระจกขึ้นไปเบาๆ จากนั้นก็เกิดการขยายขนาดออกไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง เสาพลังงานหลิงไร้ขอบเขตสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เสาแสงทั้งสามพุ่งเข้าไปในกระจก ปลดปล่อยความผันผวนที่น่ากลัว

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ส่ายหัว มู่เฉินซ่อนไพ่ตายไว้มากมายจริงๆ แต่น่าเสียดายที่แม้จะขยายกระจกรวมเทพโบราณได้ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีของหมัวเฮอโยวได้

มู่เฉินก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนจะกระทืบเท้าลงไป

โฮก!

จังหวะที่ฝ่าเท้ากระแทกลงบนพื้น เสียงคำรามสั่นสะเทือนโลกาก็ดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะเห็นมังกรสีทองทะยานออกจากร่างมู่เฉินปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงออกมา นี่เป็นมังกรแท้จริงที่อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!

มังกรอ้าปาก ลมหายใจมังกรทองพุ่งออกมาใส่กระจก

ด้วยพลังของมังกรแท้จริงนี้ พลังบรรจุลงไปภายในกระจกก็ถึงระดับที่น่ากลัว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แขนเสื้อสะบัดวูบไหว

กีด!

เสียงร้องกังวานใสดังก้องพร้อมกับรัศมีสีทอง ทุกคนตกตะลึงอีกครั้งเมื่อหงส์ฟ้าแท้จริงขนาดใหญ่กระพือปีกบินฉวัดเฉวียนรอบร่างมู่เฉิน

นี่คือหงส์ฟ้าแท้จริงที่อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเช่นกัน!

คนที่อยู่นอกเจดีย์โกลาหลไปหมด ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะซ่อนมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงไว้ในร่างกายของตน นอกจากนี้พวกมันก็ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นร่างจริง!

เมื่อหงส์ฟ้าแท้จริงเปล่งเสียงร้องสดใส ปีกก็กระพือขึ้นลงระเบิดรังสีสีทองมากมายออกมาพร้อมกับเพลิงหงส์ฟ้าไร้ขอบเขตยิงเข้าไปในกระจก

ฮึ่ม ฮึ่ม

พร้อมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวรวบรวมอยู่ภายใน กระจกก็สั่นสะเทือนรุนแรงราวกับว่าใกล้จะพังทลาย ทว่าภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน พลังถูกบีบอัดรุนแรงไว้ภายในก็ทำให้มิติยุบลงเป็นหลุมดำ…

เมื่อมองไปที่กระจกมู่เฉินก็ปล่อยลมหายใจยาว นี่เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาโดยมีร่างรองสองร่างบวกกับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง…

ห้าพลังงานที่แตกต่างกันรวมกันขยายในกระจกถึงระดับที่น่ากลัวแล้ว

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดูพายุทอร์นาโดสีดำขาว จากนั้นก็แตะนิ้วเบาๆ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

กระจกกระดูกสั่นรุนแรง แม่น้ำสีเงินไหลออกมาอย่างเชี่ยวกราก ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน…

ยามนี้ฟ้าดินถึงกับเปลี่ยนสี

เหนือขึ้นไปบนขอบฟ้า

มู่เฉินและหมัวเฮอโยวเผชิญหน้ากัน สายตาเย็นชาและจิตสังหารที่ฟาดฟันกันทำให้มิติโดยรอบตกไปในจุดเยือกแข็ง

มู่เฉินกำจายจิตสังหารที่มีต่อหมัวเฮอโยวไม่ไว้หน้า เนื่องจากอีกฝ่ายทำข้อตกลงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนบีบตำหนักมู่ มิหนำซ้ำยังสร้างความเดือดร้อนให้ ซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะจดจำบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจ

นอกจากนี้หมัวเฮอโยวก็มีเจตนาต้องการฆ่ามู่เฉินมากเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแข่งขันร่างมหาเทพนิรันตร์ เพียงแค่เรื่องบาดหมางระหว่างชิงเหยี่ยนจิ้งกับเผ่าหมัวเฮอก็เพียงพอที่หมัวเฮอโยวจะไม่ปล่อยมู่เฉินไป

ทั้งสองคนต่างพล่านด้วยเจตนาฆ่าในใจ ดังนั้นเมื่อพบกันที่นี่ก็เป็นธรรมชาติที่พวกเขาไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไป…

“ถ้าแกฉลาดก็ไสหัวออกจากเจดีย์วั้นกู่เดี๋ยวนี้” เสื้อคลุมสีดำขาวของหมัวเฮอโยวพลิ้วไหวเบาๆ ไปตามสายลมโดยไม่มีความผันผวนบนใบหน้าขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา

“ค่อยพูดหลังได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์เถอะ” มู่เฉินยิ้ม

“ข้ากลัวว่าแกจะไม่มีชีวิตอยู่ได้เห็นแบบนั้นนะสิ…” หมัวเฮอโยวถอนหายใจ อึดใจพายุทอร์นาโดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออกจากร่างกายกลืนกินทั้งสวรรค์และโลก

เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันนี้สายตาของมู่เฉินก็เริ่มเคร่งเครียด หมัวเฮอโยวสมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งของชุมนุมนิรันดร์ครั้งนี้ ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมามากยิ่งกว่าซื่อหลัว

ชายคนนี้น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดและมีคุณสมบัติพอที่จะบรรลุขั้นเซิ่งได้แล้ว

ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงกวาดหายนะ ร่างกายของหมัวเฮอโยวก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในรัศมีก่อนที่ร่างเขาจะกลายเป็นอัญมณีแพรวพราว ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

เวลานี้คลื่นหลิงในร่างกายของหมัวเฮอโยวควบแน่นมาก เพียงแค่กำปั้นเบาๆ ก็บรรจุไปด้วยพลังทำลายล้างที่สามารถเทียบเคียงกับทักษะระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่ดำเนินการโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย

เมื่อมองไปที่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหมัวเฮอโยว ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นร่างรองทั้งสองก็ปรากฏออกมา

“สามรวม!”

ร่างรองทั้งสองพุ่งเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน ทำให้คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เขายังเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน ซึ่งดูเหมือนจะทำจากเพชรไม่สามารถประมาทได้เช่นกัน

“แกคิดว่าสามารถถมช่องว่างนี้ด้วยวิชาสามพิสุทธิ์เรอะ”

หมัวเฮอโยวยิ้มพลางก้าวเท้าออกไป มิติพังทลายลงก่อนที่เขาจะไปปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นออกไป

แม้ว่าจะดูเหมือนการชกธรรมดา แต่มิติก็พังทลายเมื่อเหวี่ยงลงพร้อมกับเศษชิ้นส่วนมิตินับไม่ถ้วนปลิวว่อนอยู่รอบหมัด ซึ่งเป็นความหายนะแท้จริง

มู่เฉินหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายจนถึงขีดสุด จากนั้นก็ซัดกำปั้นออกไปเพื่อตอบโต้

ตู้ม!

เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน เสียงโลหะก็ดังขึ้น พื้นที่รัศมีรอบตัวพวกเขาพังทลายลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับพายุเฮอริเคนพัดออกมา หมัวเฮอโยวไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่มู่เฉินถูกผลักกลับไปหลายพันจั้ง

เมื่อมู่เฉินทรงตัวได้ก็มองไปที่กำปั้นตนเอง สามารถเห็นรอยแตกที่ถูกระงับจากการกระบวนท่าเมื่อครู่

“ตอนนี้แกรู้ซึ้งถึงช่องว่างระหว่างเราแล้วหรือยัง?” หมัวเฮอโยวยิ้มเยาะแต่ก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉินตอบกลับ ภาพเงาเขาวูบไหว กำปั้นกลายเป็นปราการกั้นภาพมายาห่อหุ้มไปทางมู่เฉิน

มู่เฉินฉายท่าทางเคร่งเครียดพลางกระตุ้นคลื่นหลิงแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

ปัง ปัง ปัง!

ในสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ พวกเขาก็ปะทะกันมากกว่าร้อยกระบวนท่า แต่มู่เฉินจะถูกผลักกลับในทุกครั้งของการปะทะกัน

เมื่อคนที่อยู่นอกเจดีย์เห็นภาพนี้ พวกเขาก็เข้าใจถึงช่องว่างพลังระหว่างทั้งสอง

“มู่เฉินโง่มาก รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับหมัวเฮอโยวด้วยกายาหลิงเทียนจุนแล้วยังจะทำอีก…”

“ใช่ แต่ช่องว่างกว้างใหญ่เกินไป ไม่ว่าจะมีทักษะอะไร ก็ว่างเปล่าต่อหน้าหมัวเฮอโยวที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง”

“…”

ตู้ม!

หลังจากการปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง มู่เฉินก็กระเด็นออกไปตกลงบนพื้น ทำให้เกิดปากปล่องขนาดใหญ่ขึ้น…

หมัวเฮอโยวยืนกอดอกนิ่งบนท้องฟ้าขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “ไอ้หยิ่งจอมโง่ แกคิดว่าการเอาชนะซื่อหลัวด้วยโชคจะทำให้สามารถต่อสู้กับข้าได้เรอะ?

“ดูเหมือนว่าแกจะลืมขุมพลังของตัวเองไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรแกก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ส่วนข้าอยู่ในขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้ว!”

ทุกคนที่นอกเจดีย์พยักหน้า หากมู่เฉินใช้วิธีอื่นในการต่อสู้ ต่อให้ยังต้องเสียเปรียบแต่เขาก็จะไม่ถูกปราบจนน่าอนาถเช่นนี้แน่นอน

แต่เมื่อถูกหมัวเฮอโยวซัดขนาดนี้ เขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บแน่ บางทีความสามารถในการต่อสู้ก็อาจลดลง…

คราวนี้มู่เฉินคงต้องหยุดไว้เท่านี้แล้ว

ในปากปล่องรัศมีหลิงบางจางค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่ร่างเงาของมู่เฉินจะปรากฏขึ้น แต่ตอนนี้รัศมีรอบตัวเขาหม่นหมองลง มากจนกายาหลิงเทียนจุนก็แสดงสัญญาณแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

แต่น่าแปลกที่ใบหน้าเขาไม่มีร่องรอยความพ่ายแพ้ใดๆ มีแต่รอยยิ้มจางๆ

“แกถูกตีจนเอ๋อแล้วเรอะ?” หมัวเฮอโยวหรี่ตาลงพลางเย้ยหยัน

มู่เฉินบิดคอสลายความเจ็บปวดรุนแรงที่มาจากร่างกาย จากนั้นก็แสยะยิ้มที่มุมปากขณะมองไปที่หมัวเฮอโยว “แม้ว่าแกจะหนักมือไปหน่อย แต่ข้าก็ยังต้องขอบคุณ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ หมัวเฮอโยวก็ขมวดคิ้ว การตอบสนองของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจ มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นกายาหลิงเทียนจุนที่มืดสลัวก็เปล่งประกายออกมาพร้อมกับพลังงานหลิงหลั่งไหลออกมาจากร่างกายเขา…

ผู้ชมนอกเจดีย์ต่างมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง แม้จะเป็นการดูผ่านกระจกแต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพียงสิบกว่าลมหายใจคลื่นหลิงของมู่เฉินก็เติบโตขึ้นอีกช่วงหนึ่ง!

“ขั้นหลิงระยะปลาย!”

ในที่สุดก็มีบางคนรู้สึกได้และอุทานออกมา “เขาก้าวหน้าได้ในเวลาแบบนี้เหรอเนี่ย!”

หลังจากตกตะลึงชั่วครู่ก็มีคนเริ่มเข้าใจการกระทำก่อนหน้าของมู่เฉินพลางร้องว่า “ที่แท้เขาตั้งใจที่จะปะทะกับหมัวเฮอโยวด้วยกายาหลิงเทียนจุนเพื่อใช้แรงกดดันของอีกฝ่ายบังคับตัวเองให้บรรลุ!”

ทุกคนสูดลมหายใจเย็น มู่เฉินโหดแท้จริง เขากล้าวางตัวเองไว้ช่องแคบแห่งความสิ้นหวังเพื่อให้มีความก้าวหน้า

ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเพิ่มขึ้นก็ฟื้นฟูรอยแตกบนร่างกาย เขาเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจเมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

สมาธิแบบปิดตายทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์ แต่เพราะการชำระดูดซับที่ช้าทำให้เขาไม่ได้บรรลุสักที

แต่เมื่อเขาลงต่อสู้กับหมัวเฮอโยวที่เป็นภัยคุกคามก็ทำให้ร่างกายของเขาถูกกดดันและดูดซับคลื่นหลิงบริสุทธิ์เร็วขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงสามารถบรรลุขุมพลังในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้…

เทียบกับความตกตะลึงภายนอก ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเขียวคล้ำขณะมองไปที่มู่เฉินที่แข็งแกร่งขึ้นด้วยสายตาน่ากลัว ตอนแรกเขารู้สึกว่ามู่เฉินโง่ที่ใช้กายาหลิงเทียนจุนปะทะกับเขา แต่ความจริงกลับมาตบหน้าเขาเสียชา

นั่นเป็นเพราะมู่เฉินปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นแรงดันเพื่อใช้ในการเปิดเผยศักยภาพตนเองและบรรลุขุมพลัง

“ดี ข้าประเมินแกต่ำไป!” สายตาหมัวเฮอโยวที่จ้องมองมู่เฉินเต็มไปด้วยความเย็นชาพร้อมกับหัวเราะ “แต่ข้าจะดูสิว่าแกจะทำอะไรได้ถึงจะบรรลุขั้นหลิงระยะปลายแล้ว!”

มู่เฉินไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ และไม่คิดที่จะพูด รัศมีทรงกลดกำจายออกมาจากศีรษะของเขา เจดีย์ผลึกใสตั้งตระหง่านอยู่บนขอบฟ้าก่อนที่ตัวเจดีย์จะสั่นเทิ้ม ภาพร่างปีศาจทั้งแปดขยับออกมาจากภายใน

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างหมัวเฮอโยว มู่เฉินไม่มีความคิดที่จะออมมือและเร้าวิชาเจดีย์แปดองค์ออกมาทันที

พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของขุมพลัง พลังของเจดีย์แปดองค์ที่เขาสามารถนำออกมาได้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในแง่ของความสามารถไม่ได้อ่อนไปกว่าลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลายเลยทีเดียว

ปีศาจร้ายทั้งแปดยืนอยู่บนขอบฟ้า ความดุร้ายที่เล็ดลอดออกมาจากพวกมันทำให้หมัวเฮอโยวต้องหดเกร็งดวงตา เขารู้สึกว่าถูกคุกคามใหญ่หลวง

มู่เฉินสร้างตราประทับเรียบง่าย คลื่นลูกหนึ่งก็กวาดออก พลังงานหลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่ปีศาจทั้งแปดจะกลืนกินเข้าไป

โฮก โฮก!

เมื่อกินพลังงานเข้าไป ปีศาจทั้งแปดก็ขยายตัวพร้อมกับลวดลายปีศาจพล่านบนร่างเอิบอาบไปด้วยรัศมีรุนแรงพร้อมกับเสียงคำรามที่ทำให้แผ่นดินพิโรธ

บริเวณหว่างคิ้วของปีศาจทั้งแปดเหมือนจะแตกออก ราวกับเป็นดวงตาปีศาจที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างก่อนที่จะยิงออกไป

พร้อมกับความแข็งแกร่งของมู่เฉินที่เพิ่มขึ้น เขาก็ค่อยๆ ควบคุมรูปแบบการโจมตีของวิชาเจดีย์แปดองค์ได้แล้ว

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลำแสงแปดสายพุ่งออกมาจากดวงตาปีศาจตรงหว่างคิ้วของทั้งแปดก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นรังสีมรณะทะลุผ่านมิติ ซึ่งทำให้ดวงตาของหมัวเฮอโยวถึงกับหดเกร็ง

เสียงแผ่วเบาดังออกจากปากของมู่เฉินพร้อมกับกระบวนท่า

“วิชาเจดีย์แปดองค์ แสงเจดีย์มรณะ!”

ในดินแดนโบราณแห่งนี้

พื้นดินแตกระแหงราวกับที่นี่ได้ผ่านการต่อสู้โชกโชน กระทั่งสุดขอบฟ้าก็ขาดรุ่งริ่ง

บนพื้นดินแตกสลายมีภูเขาสีแดงเข้มตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ ซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณและอมตะออกมา ช่างให้ความรู้สึกลึกลับ

บนภูเขาสีแดงเข้มมีร่างเงาสามร่างนั่งบนแท่นขนาดใหญ่ ทั้งสามตั้งระวังซึ่งกันและกันอยู่

พวกเขาก็คือหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านรอบคัดออกมาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าผลจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ที่พวกเจ้าสองคนมาถึงที่นี่” หมัวเฮอโยวมองไปที่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางขณะที่ยิ้ม “ในบรรดาร้อยกว่าคน มีเพียงเจ้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางรู้ว่าบุคคลที่สามที่หมัวเฮอโยวพูดถึงก็คือซื่อหลัว

“ถ้างั้นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้ความคาดหวังสูงกับเรานะ” เยี่ยฉิงกระชับหอกสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะช่างไม่แยแส แต่ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่กลัวหมัวเฮอโยวสักนิด

สำหรับทัวป๋าชางกลับนิ่งเงียบโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า

“แต่ซื่อหลัวยังมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขาต้องเจอกับศัตรูทรงพลังอยู่แน่” เยี่ยฉิงสังเกตว่าจอมยุทธ์คนที่สี่ยังไม่ปรากฏตัว เขาจึงอดจะดูประหลาดใจไม่ได้

“ต้องเป็นมู่เฉินคนนั้นแหละ” ทัวป๋าชางแสดงความคิดเห็น

พวกเขาทราบข้อมูลของมู่เฉินดีและรู้ว่าคนที่มีอันดับจี้ตามหลังพวกเขามีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ก็ยังขาดหลายส่วนที่จะเอาชนะซื่อหลัวได้” หมัวเฮอโยวหัวเราะ เขาเคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่เขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินจะเอาชนะซื่อหลัวได้

แม้ว่าเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางจะระวังตัว แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีถึงความสามารถของซื่อหลัว แม้กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจในการเอาชนะซื่อหลัว

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ด้วยขุมพลังขั้นหลิงระยะกลางก็น่าจะไม่สามารถเอาชนะซื่อหลัวที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้

ฮึ่ม!

เมื่อสิ้นเสียงพูดคุย มิติก็แปรปรวน ทันใดทั้งสามก็มองไปทันที

ภายใต้การจ้องมอง มิติบิดเบี้ยวก็เผยภาพเงาอ่อนเยาว์ขึ้น…

สายตาของทั้งสามจับจ้องมองไปที่ใบหน้าคนมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหมัวเฮอโยวจะแข็งค้าง แม้แต่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางก็หดดวงตาขณะมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ

คนที่มาใหม่ก็คือมู่เฉิน เขามองไปที่หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง สายตาก็วูบไหวเล็กน้อยก่อนที่จะถอยออกไปในระยะที่ปลอดภัย…

“เจ้าเอาชนะซื่อหลัวได้เรอะ?” หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน

“แปลกตรงไหน?” มู่เฉินกวาดสายตามองไปอย่างไม่แยแส

“เฮ้ น่าสนใจดี… ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำอยู่ตลอด” รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอโยวขณะมีแสงเย็นวาบในดวงตา เขาไม่ชอบความรู้สึกของสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่าย แต่มองไปที่ภูเขาสีแดงเข้ม เขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่ไม่อาจบรรยายได้…

รัศมีอมตะที่เปล่งออกมาจากภูเขานั้นเหมือนกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทุกประการ

นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวแรง ‘ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนั้นงั้นหรือ?’

“เจ้าเดาถูก ร่างมหาเทพนิรันดร์น่าจะอยู่ในภูเขานั้น” มู่เฉินมองไปก็พบว่าเยี่ยฉิงเป็นคนพูดนั่นเอง

ตู้ม!

เมื่อเยี่ยฉิงพูดจบ ภูเขาสีแดงเข้มก็สั่นสะท้าน รอยแยกขนาดใหญ่บนภูเขาแตกออกก่อนที่จะค่อยๆ กระจายออกไปราวกับว่าภูเขากำลังจะแยกออกจากกัน

รอยแยกเหล่านั้นเปล่งรัศมีอมตะที่ไม่อาจบรรยายได้ นั่นเป็นความอมตะที่แท้จริง แม้ว่าสวรรค์และโลกจะแตกสลาย มันก็ยังจะคงอยู่ต่อไป

รัศมีสีม่วงทองเปล่งออกมาจากเบื้องหลังมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของพวกเขาถูกเร้าออกมาโดยไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าพวกมันรู้สึกถึงแรงดูดทรงพลัง

สายตาของมู่เฉินเดือดพล่านขณะมองไปที่ภูเขา เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเมื่อภูเขาแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถือกำเนิดขึ้น…

แต่เมื่อหัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่จ้องมองมา เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายทันทีและมองไปที่หมัวเฮอโยว

ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความศัตรูของเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางเช่นกัน เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์กำลังจะปรากฏขึ้น แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับไป…

“ทุกคนน่าจะรู้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป…” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวความเย็นเยือกราวกับอสรพิษร้ายพร้อมกับน้ำเสียงอัดแน่นด้วยไอสังหาร “ดังนั้นเราไม่ควรที่จะลดจำนวนคู่แข่งลงก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏรึ?”

สายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางกะพริบวาบขณะที่ถามขึ้นในเวลาเดียวกัน “เจ้าต้องการอะไร?”

หมัวเฮอโยวเหยียดสองนิ้วออกมา รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก “แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและกำจัดคู่ต่อสู้ของเรา”

ขณะที่พูดสายตาเย็นชาก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ชัดว่าตัวเขากำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว

เยี่ยฉิงขมวดคิ้วพูดว่า “เจดีย์ไม่ได้ต้องการตัดใครออกแล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่นี่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เห็น…”

หมัวเฮอโยวยิ้มตาหยี “แต่ข้าไม่ได้คิดในมุมมองเดียวกัน”

บรรยากาศบนแท่นเย็นเยือกลง เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านไปหมด

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางมองไปที่มู่เฉิน พวกเขารับรู้แล้วว่าหมัวเฮอโยวกำลังจ้องหาเรื่องอีกฝ่าย…

ภายใต้สายตาทั้งสอง มู่เฉินก็ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ บนใบหน้า เขามองไปที่หมัวเฮอโยวพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากในการไล่ข้าออกไปก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเผยออกมา?”

หมัวเฮอโยวตอบกลับด้วยเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะยืนต่อหน้าข้าเพราะเอาชนะซื่อหลัวได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้าอยากเล่นฆ่าเวลา ข้าก็จะเล่นด้วย”

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมหมัวเฮอโยวขณะตอบว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเล่นจนตัวเองตายนะสิ”

มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม ขยับตัวกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หมัวเฮอโยวก็เคลื่อนไหวไล่ตามไปทันที

เยี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือจะชี้ไปที่ทัวป๋าชาง “สิ่งที่เขาพูดถูกต้อง มีเพียงคนเดียวที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีในการกำจัดคู่แข่ง”

ทัวป๋าชางพยักหน้าคว้าดาบปลายหัก เส้นผมปลิวไสวไปในสายลมพร้อมกับรัศมีแหลมคมกวาดออกไป ทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ

“ข้าอยากลองทักษะหอกอสุราของพี่เยี่ยมานานแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ…”

 

“พวกเขาสู้กันอีกแล้ว!”

เมื่อเหล่าผู้ชมเห็นภาพในกระจกสองบานก็มีไฟลุกโชนในดวงตา เนื่องจากทั้งสี่เป็นตัวแทนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมนิรันดร์ครั้งนี้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงแกร่งกร้าว แม้แต่มู่เฉินที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงก็สามารถเอาชนะซื่อหลัวได้

ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ใกล้จะเผยออกมา ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนจะเปิดฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่…

“หมัวเฮอโยวน่ารังเกียจนัก!”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเย็นชาลง นางบอกได้เลยว่าหมัวเฮอโยวเล็งเป้ามาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะมู่เฉินเพิ่งเสร็จศึกกับซื่อหลัว กองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกรบได้ในตอนนี้ มิฉะนั้นแม้แต่หมัวเฮอโยวก็คงไม่กล้าเสี่ยง

“ไม่ต้องกังวล” ฝูถูเฉวียนปลอบใจ เขามองไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์ในกระจก “ลูกชายเจ้ามีกลยุทธ์หลากหลายพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าไม่เชื่อว่ากองทัพมังกรดำเป็นไพ่ตายใบเดียวของเขา…”

“เจ้านั่นแหละเจ้าเล่ห์”

ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบอย่างไม่พอใจ แต่จากนั้นก็สงบใจลงได้ แม้ว่ามู่เฉินจะใช้กองทัพมังกรดำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการต่อสู้ถึงได้กล้ารับคำท้า

หมัวเฮอเทียนมองไปที่กระจกเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอที่เห็นหมัวเฮอโยวและมู่เฉินประจันหน้ากันก็ต่างส่ายหัว

“มู่เฉินช่างยโสโอหัง ไม่ต้องพูดถึงกองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะมีมันในตอนนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับหมัวเฮอโยว”

หมัวเฮอเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หมัวเฮอโยวทำได้ดีมาก”

พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเต็มที่ที่หมัวเฮอโยวจะกำจัดคู่แข่งก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏ ซึ่งจะดีมากถ้าสามารถกำจัดคู่แข่งทั้งสามคนได้ กรณีนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะมีทางเลือกเดียวก็คือหมัวเฮอโยว

“แต่เวลากระชั้นชิดนัก ข้าเกรงว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป” ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองไปที่ภูเขาสีแดงเข้มในกระจก

หมัวเฮอเทียนสวมรอยยิ้มเย็นชาขณะมองการเผชิญหน้าผ่านกระจก

“เวลาเท่านั้นก็เกินพอที่หมัวเฮอโยวจะถีบเจ้าเด็กนั่นออกจากเจดีย์วั้นกู่แล้ว…”

ครืน!

ท้องฟ้าคำรน มหาสมุทรคำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่มังกรตัวมหึมาขดอยู่ ลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลายกำลังเต้นระริกอยู่บนร่างของมัน รัศมีจั้นยี่ตลบอบอวลทำเอามิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น…

ลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลาย!

เมื่อเห็นจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่มีมากมายมหาศาล ผู้คนที่อยู่นอกเจดีย์ก็สูดอากาศเย็นสุดปอดพร้อมกับฉายสีหน้าตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเพียงนี้ได้…

“ไอ้เด็กบ้านั่น…”

หมัวเฮอเทียนฉายความดำมืดในดวงตากับฉากนี้ เผชิญหน้ากับลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลาย กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังต้องล่าถอย

ประจันหน้ากับพลังนี้ไม่ต้องพูดถึงซื่อหลัวเลย แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ยังต้องถอยหนี

ยามนี้มู่เฉินคุกคามหมัวเฮอโยวได้อย่างแท้จริง

“เขายังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีกเหรอเนี่ย?” ฝูถูเฉวียนตกใจกับฉากนี้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินคงจะตกที่นั่งลำบาก ที่ไหนได้ชายหนุ่มกลับพลิกโอกาสกลับมาได้อีกครั้ง

“แต่ว่ารัศมีจั้นยี่ระดับนี้เกินการควบคุมของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าซื่อหลัวจะบีบให้เขาต้องนำไพ่ตายออกมา”

ฝูถูเฉวียนเห็นน้ำตาเลือดไหลจากมุมตาของมู่เฉิน นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่รุนแรงและทรงพลังเกินไป ด้วยเหตุนี้มู่เฉินจึงไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่โชคดีที่เขาประสบความสำเร็จสูงไม่งั้นอาจจะตายจากพลังล้นเหลือนี่ก็ได้

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเบาๆ ทอดถอนหายใจและรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว นางรู้ว่าก่อนที่พวกนางแม่ลูกจะได้พบกัน มู่เฉินบีบตัวเองอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ท้าทายขีดจำกัดตนเองมาตลอด

เพราะต้องใช้ชีวิตสู้เท่านั้นเขาถึงจะประสบความสำเร็จเช่นนี้

 

ขณะที่มหาสมุทรคำราม

ซื่อหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มังกร แรงกดดันที่เอิบอาบทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ผิวหนัง

ความกดดันมหาศาลปกคลุมไปทั่ว

“ไม่คิดว่าเจ้าจะทำถึงระดับนี้ได้…” ซื่อหลัวถอนหายใจ

มู่เฉินเช็ดน้ำตาเลือดบนแก้มแล้วคลี่รอยยิ้ม ใบหน้าเขาดูน่าขนพองสยองเกล้าเล็กน้อย “คู่ต่อสู้ทรงพลังเกินไป ดังนั้นข้าก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งให้เต็มที่”

ตอนแรกทักษะนี้เป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้เพื่อใช้กับหมัวเฮอโยว แต่ดันโชคร้ายมาเจอศัตรูทรงพลังอย่างซื่อหลัวก่อน ดังนั้นจึงต้องงัดไพ่ตายนี้ออกมา

“งั้นข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”

ซื่อหลัวยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แม้จะเผชิญกับแรงกดดันเช่นนี้คนอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ มือประสานเข้าด้วยกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอข้าทดสอบความแข็งแกร่งของลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลายหน่อยเถอะ”

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลับตาลงและประสานมือเข้าด้วยกัน

โฮก!

มังกรคำราม ดวงตาเปล่งประกายราวกับดาวสองดวงจ้องมองไปที่ซื่อหลัว อึดใจต่อมาหางมังกรก็ฟาดลงพร้อมกับการยุบตัวของมิติ ภาพเงาขนาดใหญ่กลายเป็นคลื่นรัศมีจั้นยี่รุนแรงเล็งเป้าไปที่ซื่อหลัว

ขณะที่คลื่นกวาดลงมาก็ทำให้ทุกอย่างที่ขวางหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ก่อตัวในมหาสมุทรเบื้องล่างจนน้ำไม่สามารถเติมเต็ม

โดยที่มีซื่อหลัวยืนอยู่ตรงกลาง

เมื่อมองไปที่มังกรดำดิ่งลงซื่อหลัวก็หายใจเข้าลึกๆ “ทักษะมหาวัชระ!”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ทันใดนั้นเลือดในร่างซื่อหลัวก็เดือดพล่านพร้อมกับรัศมีแวววาว ตัวเขาเริ่มขยายขนาด ในช่วงเวลาสั้น ก็กลายเป็นยักษ์สูงร้อยจั้งที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายสีทองโบราณ เลือดสีทองไหลออกมาจากรูขุมขน

กลิ่นอายดุร้ายระเบิดออกมาจากร่างของเขา

“นั่นคือวิทยายุทธระดับเสินทงที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ มีข่าวลือว่าเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเลยทีเดียว!”

เมื่อมองไปที่ยักษ์สีทอง ความปั่นป่วนก็กวนตัวที่ด้านนอกเจดีย์พร้อมกับผู้คนจำนวนส่งเสียงฮือฮา เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าซื่อหลัวจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนทักษะเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ

เห็นได้ชัดว่านั่นคือไม้ตายของซื่อหลัว ซึ่งถูกมู่เฉินบังคับให้ต้องใช้

โฮก!

ยักษ์สีทองคำราม วงล้อสีทองขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นระหว่างมือ เมื่อเกิดการหมุนก็ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งราวกับโล่ที่แข็งแกร่งที่สุด

ตู้ม!

รัศมีจั้นยี่กวาดข้ามขอบฟ้าก่อนที่จะซัดลงมาที่วงล้อสีทอง

ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์สามารถมองเห็นคลื่นกระแทกน่ากลัวแผ่ออกไปพร้อมกับรัศมีสีทองปกคลุมท้องฟ้า แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกยังสัมผัสได้ถึงการเผชิญหน้าที่น่ากลัว…

กระบวนท่าครั้งนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว

“ใครชนะ?”

แต่ดวงตาทุกคู่ก็เกาะแน่นอยู่ที่กระจกขณะที่แสงสีทองพร่างพราวกินเวลาสิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป ทุกคนจับจ้องไปโดยไม่กะพริบตา

มหาสมุทรยุบตัวลง น้ำไม่สามารถเติมเต็มปากปล่องขนาดใหญ่ได้ น้ำราวกับน้ำตกขณะตกลงมาจากรอบด้าน…

ในปากปล่องสามารถมองเห็นร่างปกคลุมไปด้วยเลือด หัวโล้นเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวบอกว่านั่นคือซื่อหลัว

แต่ขณะนี้คลื่นหลิงรอบตัวเขาลดลง ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก

บนท้องฟ้าไกลออกไป มหาสมุทรจั้นยี่ก็เบาบางลง แต่ร่างเงาอ่อนเยาว์ยังนั่งอยู่ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน…

รอบเจดีย์วั้นกู่เงียบกริบ ทว่าผลลัพธ์นี้ชัดเจนแล้ว

เหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่เบาบางลง มู่เฉินมองไปที่ซื่อหลัวที่หมดสติด้วยสีหน้าซีดเซียว อึดใจเขาก็กระอักเลือดออกมา

“จอมทัพมู่ นักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัว” เสียงของเจียงหลงดังก้อง มู่เฉินหันไปมองก็เห็นใบหน้าอีกฝ่ายซีดขาวเช่นกัน มีรอยเลือดไหลลงจากมุมปากด้วย

ครั้งนี้แม้จะเอาชนะซื่อหลัวได้ แต่กองทัพมังกรดำก็จ่ายราคามหาศาล

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อขวดหยกบินไปหาเจียงหลง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนสามร้อยล้านหยด แจกจ่ายให้ทั่ว ทุกคนต้องฟื้นตัวรวดเร็วที่สุด”

“รับทราบ!”

เจียงหลงฉายท่าทางยินดี กองทัพมังกรดำสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้นด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนทั้งหมดนี้

มู่เฉินโบกมือเรียกกองทัพมังกรดำกลับมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนมองร่างที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร

ซื่อหลัวทรงพลังอย่างแท้จริง แต่โชคดีที่เขาชนะ

มิติบิดเบี้ยวรอบร่างซื่อหลัวห่อหุ้มร่างกายนำออกจากเจดีย์วั้นกู่

พร้อมกับการหายไปของซื่อหลัว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับแสงสีม่วงทองสายใหญ่บินออกมา

โฮก!

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินเปล่งเสียงคำรามด้วยความกระหายก่อนที่ดูดกลืนลำแสงนั้น

ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ บังเกิดรัศมีสีทองบนหน้าผากของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองขึ้นไปบนสวรรค์และโลก

เมื่อมองไปที่ภาพนี้ มู่เฉินก็เหม่อลอยไป ไม่รู้ใช่ความเข้าใจผิดหรือไม่ เขารู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นจากร่างเทพสุริยะรันดร์ที่คิดจะสลายตนและหลอมรวมเข้ากับฟ้าดินนี้…

ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงวูบเดียว มู่เฉินฟื้นสติอย่างรวดเร็วมองไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ลวดลายสีทองราวกับชั้นชุดเกราะสีทองยากทำลายปกคลุมบนร่างของมัน

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกมือเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์กลับคืน

เขารู้สึกได้ว่ามิติโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้ง

นั่นแสดงว่าเขาผ่านชั้นนี้และกำลังจะเข้าสู่ชั้นถัดไป ซึ่งเขาใกล้จะได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว!

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตามู่เฉินก็ลุกโชกด้วยไฟปรารถนา เลือดทั้งกายเหมือนจะเดือดพล่านในเวลานี้ ความโหยหาที่ไม่เคยมีมาผุดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ

ร่างมหาเทพนิรันดร์!

เขารอวันนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?

นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์เขาก็โหยหาถึงวันนี้ แต่ในเวลานั้นเขายังอ่อนแอเกินไป จึงทำได้เพียงซ่อนความปรารถนาไว้ในใจ

หลังจากผ่านไปหลายปีในที่สุดลูกนกก็เติบใหญ่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ระดับสุดยอดของมหาพันภพและมีคุณสมบัติที่จะแสดงความปรารถนาในใจของตนเอง…

มู่เฉินค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้ร่างถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นมิติบิดเบี้ยวแล้วค่อยๆ หายไป

“ร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้ามาแล้ว”

ครืน!

ขณะที่มหาสมุทรครางกระหึ่ม มือขนาดมหึมาก็ทะลุพื้นผิวน้ำแหวกมิติก่อนจะพุ่งไปหามู่เฉิน

ภายใต้เงามิติก็แข็งตัว เส้นทางการหลบหนีทั้งหมดของมู่เฉินถูกปิดผนึกไว้แล้ว

ซื่อหลัวเร้าพลังทั้งหมดออกมาในกระบวนท่านี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังอาจได้รับบาดเจ็บอย่างหนักได้

ฝ่ามือเทพอรหันต์เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทงที่ดีที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ ซึ่งด้อยกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเท่านั้น ชื่อเสียงดังก้องไปทั่วมหาพันภพ คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่พ่ายแพ้ต่อวิชานี้…

ด้านนอกเจดีย์ทุกคนกลั้นหายใจขณะมองกระจกอย่างตกตะลึง พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาเทพของซื่อหลัวในอดีต ดังนั้นจึงรู้ว่าเมื่อใช้วิชานี้หมายความว่าซื่อหลัวไม่คิดออมมือแล้ว

หากมู่เฉินไม่สามารถต้านทานได้ กระบวนท่านี้ก็เอาชนะเขาได้เลย

ภายใต้ความสนใจของทุกคน มู่เฉินมองไปที่มือมหึมาพลางหลับตาลงเบาๆ ก่อนที่ผลึกแสงจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นเจดีย์

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เจดีย์ผลึกแก้วบินฉวัดเฉวียนพลางเปล่งแสงออกมาพร้อมกับปีศาจแปดตัวเคลื่อนออกจากเจดีย์ ดูคล้ายกับเทพปีศาจแปดองค์ที่ยืนอยู่รอบเจดีย์

มู่เฉินมีท่าทางเคร่งเครียดไม่กล้าประมาทเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงนำวิชาเจดีย์แปดองค์ออกมาทันที

“ตู้ม!”

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉินถูกปีศาจทั้งแปดกลืนกินไว้

หลังจากกลืนกินพลังที่ไร้ขอบเขต ก็มองเห็นลวดลายแปลกประหลาดกระจายออกไปบนร่างปีศาจทั้งแปด จากนั้นพวกมันก็สร้างตราประทับพร้อมกัน

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลำแสงพุ่งออกจากร่างเกี่ยวพันกันเป็นค่ายกลน่าสะพรึงกลัว

ในขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันก็ค่อยๆ หดตัวลงเป็นรูปทรงกลมสีแดงเข้มที่มีร่องรอยจุดด่างดำ ทำให้เกิดความผันผวนของการทำลายล้าง

“วิชาเจดีย์แปดองค์ เจดีย์ปีศาจหยก!”

มู่เฉินร้องคำรามในใจ อึดใจค่ายกลก็แตกออก ลูกทรงกลมสีแดงเข้มที่อัดแน่นด้วยพลังของปีศาจทั้งแปดก็พุ่งออกมา มิติถึงกับพังทลายลงในวิถีโคจร

ยามนี้มือมหึมาปะทะกับลูกทรงกลมสีแดงเข้มภายใต้สายตาตกตะลึงมากมาย

ตู้ม ตู้ม!

เสียงสะท้อนที่ไม่อาจพรรณนาดังก้องรุนแรงราวกับว่ากำลังจะทำลายมหาสมุทรไร้ขอบเขต ถึงกับฉีกปากปล่องขนาดใหญ่ เจาะทะลวงลงไปในมหาสมุทร…

ที่ด้านนอกเจดีย์ทุกคนเฝ้าดูการเผชิญหน้าและหายสูดใจเข้าลึกๆ เผชิญหน้าการปะทะครั้งนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ไม่สามารถรับได้

ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดุดันยิ่งกว่าการปะทะกันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแท้จริงสองคนเสียอีก

ขณะที่พวกเขาถอนหายใจสายตาก็ติดแน่นอยู่บนกระจก

คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวกวาดออก ก่อนที่มือมหึมาและลูกทรงกลมจะระเบิดในเวลาเดียวกันพร้อมกับคลื่นกระแทกผลักมู่เฉินและซื่อหลัว ทั้งสองถลากลับไปลากรอยยาวไว้บนมหาสมุทร…

มู่เฉินถอยห่างออกไปหมื่นจั้งก็ทรงตัวได้ คลื่นกระแทกทำให้รัศมีและกระแสเลือดในร่างกายเขาเดือดพล่าน

ซื่อหลัวก็ทรงตัวพร้อมกับสีหน้ารุนแรง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่าตนเองยังไม่สามารถเอาชนะได้แม้จะใช้วิชาฝ่ามือเทพอรหันต์ก็ตาม

“วิชาเจดีย์แปดองค์สมชื่อเสียงแท้จริง” ซื่อหลัวตอบ เขารู้ข้อมูลของมู่เฉินมา ดังนั้นจึงรู้ที่มาของวิชาที่มู่เฉินเพิ่งใช้

หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายธรรมดา คงไม่สามารถรับกระบวนท่าเมื่อครู่ของมู่เฉินได้

“ฝ่ามือเทพอรหันต์ของเจ้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน” มู่เฉินตอบ

ซื่อหลัวถอนหายใจไม่พูดให้มาความ มือประสานเข้าด้วยกัน แสงสีทองรวมตัวกันอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นร่างยักษ์เปล่งรัศมีอมตะ

เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ซื่อหลัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา

เมื่อซื่อหลัวนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา ร่างยักษ์สีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน

ตู้ม!

อึดใจร่างยักษ์ทั้งสองก็กระโจนออกมาพร้อมกับรหัสอมตะหลายร้อยรวมตัวกันที่เบื้องหน้าก่อนที่จะปะทะกัน ทุกกระบวนท่าทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนมากมายบนมหาสมุทร

ตึง ตึง ตึง!

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างยักษ์ทั้งสองก็ปะทะกันหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว หากไม่ใช่มหาสมุทรที่ฟื้นฟูได้ทันท่วงที หากพวกเขาอยู่ที่อื่น สถานที่แห่งนั้นคงจะวินาศสันตะโรไปแล้ว

มู่เฉินยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ราวกับก้อนหินยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อมองไปที่การเผชิญหน้ารุนแรงเขาก็ขมวดคิ้ว ความแข็งแกร่งของซื่อหลัวเกินความคาดหมายของเขานัก

ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขาต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ เขาสามารถใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อยับยั้งอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ได้เพียงเสมอเมื่อสู้กับซื่อหลัว

ดังนั้นเขาต้องใช้วิธีแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเอาชนะ

“เราจะลากสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้” มู่เฉินครุ่นคิด เขายังมีคู่ต่อสู้อีกสามคนที่แข็งแกร่งพอๆ กับซื่อหลัว หากหมัวเฮอโยวไม่ได้ปะทะกับเยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาก็จะจบการดวลได้รวดเร็ว ไม่ยืดเหมือนเขาในตอนนี้

ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นเขาจะหมดแรงและไม่สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ที่เหลือได้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แสงชี้ขาดก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉินขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถอยกลับ แหวนของมู่เฉินก็กะพริบพร้อมกับกองทัพที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีจั้นยี่ที่น่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง นี่ก็คือกองทัพมังกรดำ

การปรากฏของกองทัพกะทันหันทำให้เกิดความปั่นป่วนภายนอกเจดีย์ หลายคนตกตะลึงไป ‘มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยหรือ? เขาตั้งใจจะใช้พลังรัศมีจั้นยี่เรอะ? ’

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลงขณะที่มองไปที่กองทัพ แม้แต่ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็ยังอุทาน มู่เฉินเป็นอัจฉริยะแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะมีพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ แต่ยังมีความสำเร็จสูงในฐานะจั้นเจิ้นซืออีกด้วย

กองทัพนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยรังสีสังหาร

“ว่ากันว่ามู่เฉินได้รับกองทัพมังกรดำของจักรพรรดิมังกรดำ ในสมัยโบราณชื่อเสียงของเขาดังก้องทั่วหล้า เขากับกองทัพมังกรดำไม่รู้ฆ่าจอมปีศาจไปมากเท่าไร” หมัวเฮอเทียนกล่าว

“แต่กองทัพมังกรดำก็ไม่ได้ทรงพลังเหมือนเมื่อก่อน สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้เท่านั้น แต่การจะเอาชนะไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงไร้เดียงสาไปหน่อยสำหรับมู่เฉินที่จะพึ่งพากองทัพนี้เพื่อเอาชนะซื่อหลัว”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าหมัวเฮอก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

บนมหาสมุทร

ซื่อหลัวมองไปที่กองทัพ ไม่มีแรงกระเพื่อมในดวงตา “กองทัพนี้ทรงพลังนัก แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้”

แม่ทัพเจียงหลงมองไปที่ซื่อหลัว จากนั้นก็ยิ้มขมขื่น “จอมทัพมู่ ศัตรูของเจ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้ง นี่ขั้นเซียนระยะปลายเลยนะ หากกองทัพมังกรดำอยู่ในจุดสูงสุดเราก็ไม่กลัว แต่ตอนนี้ยากที่จะเอาชนะได้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็เพียงยิ้ม เขาทราบดีเกี่ยวกับความสามารถของกองทัพมังกรดำและเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะซื่อหลัวโดยอาศัยกองทัพมังกรดำเพียงอย่างเดียว

“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

มู่เฉินพยักหน้าให้เจียงหลง

เจียงหลงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทะยานกลับไปที่กองทัพและโบกธง ทันใดนั้นนักรบหนึ่งหมื่นห้าพันคนก็คำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่รุนแรงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

มู่เฉินสะบัดนิ้วร่างยักษ์สีม่วงทองที่อยู่ใต้เท้าก็พุ่งออกไป เมื่อซื่อหลัวเห็นก็เร้าร่างยักษ์พุ่งเข้ามาปะทะ

ยักษ์ทั้งสองชนกันอีกครั้ง ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้น

มู่เฉินยืนอยู่บนมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว รัศมีจั้นยี่รวมตัวกันเป็นมังกรมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

มังกรมหึมาปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย สามารถทำให้ผู้คนหนังหัวชาหนึบ

นี่เป็นจำนวนที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทั่วไปเลยทีเดียว

ทว่าซื่อหลัวกลับประจันหน้ากับมังกรด้วยสีหน้าสงบ แม้ว่าลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายสามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทั่วไปได้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา

“มู่เฉินกำลังพยายามไร้ประโยชน์จริงๆ พลังของลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายด้อยกว่าวิชาเจดีย์แปดองค์ซะอีก…” ด้านนอกเจดีย์ทุกคนกระซิบกัน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมมู่เฉินถึงทำอะไรเปล่าประโยชน์เช่นนี้

มู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นที่มองมา เขาจับจ้องไปที่ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายบนมังกรด้วยสายตาวูบไหว

ร่างแสงสีดำและสีขาวพวยพุ่งออกจากร่างของเขา กลายเป็นร่างรองยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไปทางทั้งสอง ร่างรองก้าวออกไปก่อตัวเป็นรูปแบบค่ายกลที่ไม่เหมือนใคร

หลังจากวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว เสียงหนึ่งก็เล็ดลอดออกมาจากลำคอเขา

“ค่ายกลรบสามกำลัง”

ตู้ม!

ช่วงเวลานั้นเมื่อค่ายกลรบก่อตัวขึ้น ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้านขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมาราวกับคลื่นโหมกระหน่ำฉีกทำลายมิติจากกัน

รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งขึ้นแล้วเทเข้าสู่ร่างมังกรภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน…

โฮก!

เสียงคำรามแสบแก้วหูดังก้องจากมังกรขณะที่เริ่มขยายตัว มากจนแม้แต่ลวดลายจั้นเหวินบนร่างกายก็เพิ่มขึ้นอย่างดุเดือด

ห้าสิบห้าล้าน…หกสิบล้าน…

“ไม่พอ!”

มู่เฉินรู้สึกว่าหัวกำลังจะแตกออก ขนาดของรัศมีจั้นยี่เกินความสามารถในการควบคุมของเขา เลือดไหลซึมออกมาจากดวงตา

ทว่าเขาไม่ได้หยุด เขาสาดสีหน้าเย็นชาและระงับความเจ็บปวดขณะเทรัศมีจั้นยี่ใส่มังกรตัวมหึมาอย่างป่าเถื่อน…

ดังนั้นรัศมีจั้นยี่จึงขยายตัวออกไปอีก

หกสิบสามล้าน… หกสิบห้าล้าน… ในที่สุดจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็มาถึงหกสิบแปดล้านลาย!

ขณะนี้ร่างมังกรมโหฬารปกคลุมท้องฟ้าราวกับเทพมังกรทำลายล้าง

ซื่อหลัวเงยหน้ามองมังกร ใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์มาตลอด ในที่สุดก็ฉายความตกใจแล้ว…

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันบนมหาสมุทร พวกเขาก็ปลดปล่อยคลื่นพลังที่น่ากลัวซึ่งระเบิดออกจากร่างกายทำให้เกิดการยกคลื่นกระแทกขึ้นบนผิวน้ำ กระทั่งมหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าก็สั่นสะท้าน

โครงร่างเพรียวบางของซื่อหลัวขยายใหญ่ขึ้นราวกับยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยตุ่มสีทองซึ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

มู่เฉินทั้งสามยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ผลึกรัศมีไหลเวียนออกมาจากร่าง

“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานานแล้ว วันนี้ขอลองหน่อยเถอะ!” เสียงของซื่อหลัวหนักแน่นก้องดังราวกับฟ้าร้อง

รัศมีตกผลึกบนร่างมู่เฉินทั้งสามก็หนาแน่นขึ้น ชัดว่าพวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเต็มที่

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ มู่เฉินไม่คิดออมมือ

ตู้ม!

เมื่อทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสายตากัน ทันใดนั้นซื่อหลัวก็เคลื่อนไหวกระทืบฝ่าเท้าลงไป มหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าเขาพังทลายลง ขณะที่ร่างแสงของเขาทะยานออกไปปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน

พร้อมกับความผันผวนทำลายล้าง กำปั้นทองคำก็ซัดลงมา มิติถึงกับพังทลายลงราวกับกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ

เผชิญหน้าการโจมตีที่ดุร้ายของซื่อหลัว มู่เฉินทั้งสามก็ออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน กำปั้นของพวกเขาที่ปกคลุมไปด้วยผลึกคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นทองคำ

ตึง!

เกิดการระเบิดดังขึ้นพร้อมกับปากปล่องขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนมหาสมุทร ก่อนที่น้ำทะเลจะไหลเทไปอย่างรุนแรง ทว่าก็ไม่สามารถเติมปากปล่องได้เป็นเวลานาน

ชี่!

มู่เฉินและร่างรองทั้งสองตัวสั่นขณะที่ถอยกลับ แต่ครั้งนี้ซื่อหลัวต้านไม่ได้เหมือนก่อนหน้า ท้ายที่สุดตัวเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูสามคน ดังนั้นเขาจึงถูกบีบให้ถอยร่นหนึ่งร้อยก้าวจากคลื่นหลิงป่าเถื่อน

“เยี่ยม! สมกับเป็นวิชาสามพิสุทธิ์! พลังที่รวมกันไม่ใช่สิ่งที่คนสามคนจะเปรียบได้!”

ดวงตาของซื่อหลัวเต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน แม้แต่ขั้นเซียนระยะกลางสามคนก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ แต่เขาเสียเปรียบในการแลกกระบวนท่าครั้งก่อน เห็นได้ชัดถึงความลึกซึ้งของวิชาสามพิสุทธิ์ การรวมร่างหลักและร่างรองสองร่างไม่ง่ายอย่างที่คนสามคนรวมจุดแข็งเข้าด้วยกัน

ตู้ม!

ซื่อหลัวพุ่งออกไปอีกครั้ง มู่เฉินทั้งสามก็ทะยานออกไปพร้อมกับภาพซ้อนปะทะกับซื่อหลัว

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินทั้งสาม ซื่อหลัวก็ไม่กลัว ร่างกายเปล่งรัศมีแสงสีทอง ระเบิดพลังออกมา หมัด-เข่า-ศอกวาดกระบวนท่าออกมานับไม่ถ้วนขณะที่ปะทะกัน

ทั้งสี่โรมรันพันตูต่อสู้บนมหาสมุทร เหล่าผู้ชมไม่สามารถมองเห็นกระบวนท่าได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าการเผชิญหน้านั้นน่ากลัวเพียงใดจากคลื่นกระแทกที่เล็ดลอดออกมา

ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการต่อสู้จะรุนแรงขนาดนี้…

หมัวเฮอเทียนมองไปที่การต่อสู้นี้ด้วยความเฉยเมยขณะกล่าวว่า “วิชาสามพิสุทธิ์สมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง”

“ใช่ นี่เป็นทักษะเทพที่จักรพรรดิฟ้าใช้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ด้วยวิชานี้ทำให้จักรพรรดิฟ้ากลายเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามในสมัยโบราณ” ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอถอนหายใจด้วยความอิจฉาเข้มข้น

“แม้ว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างมู่เฉินและซื่อหลัว การต่อสู้ครั้งนี้คงอยู่อีกไม่นาน” สายตาของหมัวเฮอเทียนเฉียบคมนัก บางทีคนอื่นอาจไม่สามารถบอกได้ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวนท่ามากกว่าพันท่าในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทว่าซื่อหลัวยังคงได้เปรียบกับมู่เฉินหลายส่วน

‘ถ้านั่นคือความสามารถที่มู่เฉินมี เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงด่านสุดท้าย’

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอเทียน ขณะที่เขามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ในอดีตเขาตั้งใจจะแต่งให้นาง แต่ใครจะคิดได้ว่านางจะออกจากเผ่าฝูถูไปตกหลุมผู้ชายขี้กะโล้โท้ แม้ว่าเรื่องจะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังสร้างความอับอายให้เขา

เพื่อไม่ให้เสียหน้าจึงไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องในอดีต แต่ถ้าเขาได้เห็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งหน้าแตกที่นี่เขาจะมีความสุขมาก

 

ตึง!

เกิดการปะทะกันอีกครั้ง ร่างจอมยุทธ์ทั้งสี่ก็แยกออกจากกัน แต่คราวนี้มู่เฉินไม่พุ่งกลับมาโต้ตอบ เขารู้ว่าไม่สามารถเอาชนะในการต่อสู้ลักษณะนี้ได้จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่

“พลังกายเจ้าทรงประสิทธิภาพมาก เจ้าถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” คลื่นหลิงสั่นไหวไปรอบๆ ร่างมู่เฉินขณะมองไปที่ซื่อหลัวพลางถอนหายใจ

“นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับข้า การที่ประมุขมู่สามารถบีบให้ข้ามาไกลถึงขนาดนี้ได้ด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง” ซื่อหลัวหัวเราะ เสียงนั้นคำรามก้อง

เขาไม่ได้ถ่อมตน มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างขั้นหลิงระยะกลางและขั้นเซียน แต่มู่เฉินกลับสามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ นี่ทำให้น่าตกใจอย่างแท้จริง

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะมู่เฉินขยายเจดีย์พุทธะและสายสัมพันธ์กับร่างรองทั้งสอง

“แต่ข้ากลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะข้าด้วยวิชาสามพิสุทธิ์เพียงอย่างเดียว” ซื่อหลัวเปล่งรัศมีกระจ่างใสราวกับเทพเซียน

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็ยิ้มไม่ตอบ มือประสานกันก่อร่างเป็นตราประทับที่ลึกซึ้ง

“วิชาสามพิสุทธิ์ สามรวม!”

เมื่อเสียงดังก้องจากหัวใจของมู่เฉิน ร่างรองทั้งสองก็ก้าวเข้ามาสถิตในร่างกายของเขา

เมื่อทั้งสามรวมตัวกัน พายุทอร์นาโดที่ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงบริสุทธิ์ก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน

เมื่อรัศมีวูบไหว คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอัญมณีพร้อมกับร่างกายของมู่เฉิน

สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ซื่อหลัวก็หดตาลงด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เขาสามารถสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินเติบโตขึ้นจนน่ากลัวในขณะนี้!

“ไม่คิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะมีกระบวนท่าเช่นนี้ด้วย…” ซื่อหลัวกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ เขาไม่กล้าออมมืออีกแล้ว

เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้นมา ม่านตาสีดำก็กลายเป็นอัญมณี เขารู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกายตนเอง ขณะนี้ราวกับว่าเขาสามารถทำลายท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว

ขั้นสามรวมของเขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจื่อ นี่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่เขาได้รับหลังจากสี่เดือนของการเข้าสมาธิฝึกฝน

“มาลองกันอีกครั้ง”

มู่เฉินยิ้มให้ซื่อหลัวก่อนที่จะวาบหายไป

ซื่อหลัวหดดวงตาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่ลังเล พลังน่ากลัวก็พุ่งออกมาทำให้มิติตรงหน้าเขาพังทลาย

เมื่อมิติยุบลง ภาพเงาหนึ่งก็วูบไหวเหวี่ยงหมัดออกมาปะทะกับหมัดทองคำของซื่อหลัว

เคร้ง

พลังงานสองสายปะทะกัน ก็คล้ายกับการชนกันระหว่างโลหะเกิดเสียงดังเสียดหู คลื่นกระแทกพัดออกมา แต่คราวนี้มู่เฉินไม่ได้ถูกกดดัน ร่างกายของเขาสั่นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะสลายผลกระทบได้

ในทางกลับกันซื่อหลัวถูกซัดโดยไม่คาดคิด ทุกย่างก้าวที่เขาถอยออกไปจะสร้างหลุมขนาดใหญ่บนมหาสมุทรเบื้องล่าง…

การแลกกระบวนท่ากันครั้งนี้ซื่อหลัวตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ

ด้านนอกรอบเจดีย์วั้นกู่ระเบิดด้วยความโกลาหล ทุกคนตกใจที่มู่เฉินสามารถบังคับซื่อหลัวต้องถอยจากการเผชิญหน้าครั้งนี้

“นี่น่าจะเป็นระยะที่สูงขึ้นของวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมาถึงระดับนั้นแล้ว…” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้ว หลังจากรวมกับร่างรองทั้งสอง ตอนนี้มู่เฉินมีพลังเทียบเคียบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแล้ว

‘มิน่าล่ะไอ้หนูนี่ถึงกล้ามาที่งานชุมนุมนิรันดร์’

“ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะของซื่อหลัว…”

ซื่อหลัวฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองมู่เฉิน หลังจากที่ขยายทักษะหลายวิชา มู่เฉินในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแล้ว

ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะชนะ เขาต้องงัดไม้เด็ดออกมาแล้ว

ซื่อหลัวหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกัน มหาสมุทรใต้เท้าก็คำรามรุนแรงพร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากเท้าครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้

ซ่า!

ทันใดนั้นมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณพร้อมกับรัศมีศักดิ์สิทธิ์ยื่นออกมาจากมหาสมุทร

เมื่อมือนี้ปรากฏขึ้นแม้แต่มิติข้างใต้ก็ถูกแช่แข็ง

ถึงระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังไม่กล้ารับ

ซื่อหลัวเงยหน้ามองมู่เฉินพูดขึ้นช้าๆ ว่า

“ประมุขมู่ นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงหนึ่งในสุดยอดของสำนัก—ฝ่ามือเทพอรหันต์…โปรดชี้แนะด้วย”

ทุกคนที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอต่างตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว…

ฉินตงไห่ไม่ใช่พวกจัดการง่ายๆ สิ่งนี้เห็นได้จากความแข็งแกร่งของเขาที่เอาชนะคู่แข่งขันก่อนหน้า พลังของเขาอยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกมู่เฉินปราบปรามอย่างสมบูรณ์…

ดังนั้นบอกได้ว่าพลังของมู่เฉินดุดันเพียงใด

“สมกับเป็นคนที่เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้…ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเหนือมนุษย์จริงๆ…”

“ดูเหมือนว่าคงจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแท้จริงถึงจะปราบเขาได้”

“ก็ไม่แน่เสมอไป มู่เฉินมีไพ่ตายมากมายและเราไม่รู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้บ้าง…” มีบางคนมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าหนักใจ

“เป็นไง?” ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่ปรายตามองฝูถูเฉวียน

ฝูถูเฉวียนทำท่าทางเข้มงวดเค้นเสียงขึ้นจมูกใส่ “มีอะไรต้องเฉลิมฉลองกับแค่เอาชนะฉินตงไห่? คู่ต่อสู้ที่แท้จริงคือสี่คนนั่นต่างหาก”

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบว่า “ทั้งสี่คนสั่งสมชื่อเสียงมานานแล้วและสามารถติดอันดับต้นๆ ในมหาพันภพ คราวนี้เฉินเอ๋อเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแน่แล้ว”

ทว่าคำพูดของนางก็กลับมาชื่นชมลูกชายเหมือนเดิม “แต่ในเมื่อเฉินเอ๋อมั่นใจที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่ นั่นหมายความว่าเขาต้องมั่นใจมาก”

ฝูถูเฉวียนมองความมั่นใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งมีต่อมู่เฉินก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับนาง อย่างไรก็ตามแม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ทั้งสี่คนนั้นก็ใช่ว่าจัดการง่าย

การต่อสู้ในวันนี้ไม่จบลงง่ายๆ แน่

 

หลังจากเอาชนะฉินตงไห่แล้ว

มู่เฉินก็ไปต่อโดยไม่หยุดพักและค้นหาคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ

เวลาต่อมาเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายและได้รับแก่นอมตะสามชิ้นเพื่อเสริมสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง

ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวอีกครั้ง ชัดว่าคู่แข่งอีกครึ่งหนึ่งถูกกำจัด ดังนั้นคนอยู่ต่อก็เข้าสู่ชั้นถัดไป

มู่เฉินไม่ได้ประหลาดใจ ยังคงหาคู่ต่อสู้ต่อไป

ในเวลาสองก้านธูปต่อมามิติรอบก็เปลี่ยนไปถึงสองครั้ง คู่ต่อสู้ที่พบก็ลดลงแต่คนที่พบกลับมีพลังมากขึ้น มากจนบางคนแข็งแกร่งกว่าฉินตงไห่เสียอีก

นั่นหมายความว่าการจัดอันดับในทำเนียบไม่ได้ถูกต้องเสมอไป

 

ตู้ม!

มิติสั่นสะเทือนคลื่นหลิงป่าเถื่อนล้นเหลือก็กวาดอาละวาด สร้างรูพรุนเอาไว้บนพื้น…

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ค่อยๆ สลายไปพร้อมกับร่างร่างหนึ่งถูกส่งออกจากเจดีย์วั้นกู่ ในเวลาเดียวกันแก่นอมตะหนาแน่นก็พุ่งออกมาแล้วถูกยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินเขมือบเข้าไป

หลังจากกินแก่นอมตะชิ้นนี้ ร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินก็ได้รับการปรับแต่งมากขึ้นพร้อมกับจุดและลวดลายโบราณปรากฏขึ้น

ช่างราวกับว่าสร้างขึ้นก่อนประวัติศาตร์มีทั้งอำนาจเหนือกว่าและลึกลับ

“ร่างเทพสิรุยะนิรันดร์ของข้าตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้ว” มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นเมื่อสัมผัสถึงพลังของร่างเทห์สวรรค์

ในอดีตจักรพรรดิฟ้าน่าจะไม่เคยมาที่เจดีย์วั้นกู่ เนื่องจากเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่

ฮึ่ม ฮึ่ม

ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน มิติก็บิดเบี้ยว เขาหรี่ตาลงพร้อมกับร่างกายเกร็งขึ้น

เหลือจอมยุทธ์แปดคนสุดท้ายในเจดีย์วั้นกู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขามีโอกาสมากที่จะพบกับสี่อันดับแรก

“ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้าย…”

มิติบิดเบี้ยว เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อกวาดสายตาออกก็พบว่าเขาไปปรากฏตัวในมหาสมุทรกว้างใหญ่แล้ว

ฮา

มู่เฉินจ้องมองมหาสมุทรก็หายใจออกอย่างหนัก ฝ่ายตรงข้ามที่เขาพบจะต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถผ่านขั้นตอนการกำจัดได้

“แค่ไม่รู้ว่าจะเจอใคร…” มู่เฉินพึมพำ ถ้าเขาเจอหมัวเฮอโยวที่นี่ ศึกสุดท้ายก็จะเกิดขึ้นล่วงหน้า

ฝ่าเท้าก้าวย่างไปบนมหาสมุทร เมื่อย่างเท้าออกไปร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏภายนอกในระยะหมื่นจั้ง…

หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีเขาก็หยุดฝีเท้า ความเฉียบคมรวมอยู่ในดวงตาขณะมองไปในระยะไกล

เขาเห็นคลื่นพลุ่งพล่านที่เบื้องหน้าพร้อมกับร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีทอง ศีรษะโล้นเตียนสะท้อนแสง โครงร่างผอมบางราวกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัว

“ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว”

เมื่อมองไปที่คนผู้นั้น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

 

“มู่เฉินปะทะซื่อหลัว”

ผู้ชมด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ร้องลั่น ตอนนี้เหลือกระจกเพียงสี่บานและในกระจกทั้งสี่ก็ฉายภาพจอมยุทธ์แปดคน เมื่อทุกคนเห็นมู่เฉินกับซื่อหลัวปรากฏบนบานเดียวกันก็ตะโกนอุทาน

ทุกคนฉายท่าทางเคร่งเครียด ซื่อหลัวอยู่อันดับสามและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็น่ากลัว คู่ต่อสู้ทุกคนที่ผ่านมายังไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เขาใช้พลังกายของตัวเองเผชิญหน้ากับศัตรูมาตลอดทาง

แต่ในทำนองเดียวกันมู่เฉินก็ก้าวเข้ามาอย่างอหังการเช่นกัน ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน

“ซื่อหลัวรึ…” ท่าทางของชิงเหยี่ยนจิ้งเคร่งเครียดลง เนื่องจากนางเคยได้ยินเรื่องของซื่อหลัว

แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาจะหมั่นไส้มู่เฉินอยู่บ้าง แต่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะชนะ แต่การเผชิญหน้าซื่อหลัวเป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย

บางทีเขาอาจจะจบลงที่นี่เลย

“เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทีเดียว… หวังว่าไอ้หนูจะผ่านไปได้…”

 

ซ่า ซ่า ซ่า!

คลื่นหยุดห่างออกไปจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง ซื่อหลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบกับประมุขมู่”

มู่เฉินก็ผงกศีรษะตอบว่า “ชะตาช่างกลั่นแกล้งให้ต้องพบกับราชันทองวัชระ”

เมื่อเผชิญหน้ากับเขา แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่สามารถประมาทได้

ซื่อหลัวยิ้ม “ประมุขมู่มีความสำเร็จที่น่าทึ่ง แต่ข้าก็ไม่ยอมแพ้เพราะร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เป็นรางวัลแน่”

“เช่นเดียวกัน” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อซื่อหลัวยืนขึ้น ร่างเพรียวบางของเขาก็ทำให้มิติสั่น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะนำจากประมุขมู่แล้ว”

เจดีย์ผลึกแก้วสั่นไหวในดวงตาของมู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงไหลไปตามแขนขาแม้แต่ผิวก็กลายเป็นอัญมณี

“ชี้แนะด้วย”

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งเครียดลง เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้ ตัวเขาก็ให้ความเคารพ

ร่างของซื่อหลัวค่อยๆ เปล่งประกายด้วยแสงสีทองพร้อมกับลวดลายบนร่างกาย ยกคลื่นในมหาสมุทรขึ้น

แรงกดดันโอบล้อมออกไปด้านนอก

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคม อึดใจก็เคลื่อนไหว เขาอ้าปากเพลิงสีม่วงก็พุ่งไปทางซื่อหลัว

ในวิถีทางของเพลิง มหาสมุทรถึงกับเดือดปุด

แต่เผชิญหน้ากับเพลิงนี้ ซื่อหลัวไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้เพลิงห่อหุ้มร่างเขาแทน

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หรี่ตาลง เพลิงม่วงกลืนวิญญาณทรงพลังมาก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าซื่อหลัวกล้าดีแท้

ปัง!

ทันใดนั้นเพลิงก็ระเบิดออก ร่างเงาหนึ่งพุ่งออกมา ไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงรอบตัวซื่อหลัว อีกฝ่ายอาศัยพลังกายล้วนๆ ในการต้านทานเพลิงสีม่วง

เพลิงม่วงกลืนวิญญาณกลืนกินคลื่นหลิงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่ซื่อหลัวปิดผนึกรูขุมขนไม่ได้ปล่อยพลังงานใดๆ ออกมา ดังนั้นเพลิงจึงไม่สามารถคงอยู่ได้

วาบ!

ซื่อหลัวพุ่งออกมาพลางกำจายแสงสีทอง พริบตาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

ดวงตามู่เฉินวูบไหว ผลึกคลื่นหลิงก่อตัวเป็นถุงมือ จากนั้นเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเพื่อที่จะปล่อยหมัดออกไป

เขาต้องการจะทดสอบความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย

ตึง!

หมัดสองหมัดปะทะกัน มหาสมุทรที่อยู่เบื้องล่างก็ยุบลงพร้อมกับคลื่นกระแทกยกตัวสูงนับไม่ถ้วน

ตู้ม!

ร่างทั้งสองสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้มู่เฉินอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาถลาออกไปหนึ่งพันจั้งลากรอยยาวบนมหาสมุทรใต้เท้า

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทรงพลังแท้จริง”

มู่เฉินกระทืบฝ่าเท้าเพื่อทรงตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รอยแตกปรากฏบนถุงมือผลึกใส ก่อนที่มันจะร่วงหล่นและสลายไป

หลังจากเปลี่ยนเป็นผลึกคลื่นหลิง ต่อให้มีขุมพลังเพียงขั้นหลิงระยะกลาง แต่ความหนาแน่นของคลื่นหลิงนั้นก็สามารถเทียบเคียงขั้นเซียน ทว่าตอนนี้ก็ยังถูกซัดถอยโดยซื่อหลัว

ถ้าไม่ใช่เพราะซื่อหลัวกลัวว่าผลึกคลื่นหลิงของเขาและไม่กล้าที่จะใช้พลังเต็มที่ หมัดนี้สามารถทำให้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บแน่

“ดูเหมือนข้ายั้งมือไม่ได้แล้ว…”

มู่เฉินหายใจเข้าลึกพลางวาดตราประทับ เงาร่างสองร่างก็พุ่งออกมาจากร่างเขา กลายเป็นร่างรองสองร่างของเขา

เมื่อมองไปที่ภาพเงาทั้งสอง สีหน้าของซื่อหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียด เขารู้ว่าในฐานะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์ทรงพลังเพียงใด

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ซื่อหลัวไม่กล้าออมมือ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ในขณะนี้โครงร่างเพรียวบางก็เริ่มขยายตัว

ในไม่กี่ลมหายใจเขาก็กลายเป็นยักษ์ยืนตระหง่านอยู่บนมหาสมุทร

พลังไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงระเบิดออกมาราวกับพายุจากร่างซื่อหลัว

ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนมองไปที่ภาพนี้ด้วยความตกตะลึงในใจ ทั้งสองคนกำลังจะนำความสามารถที่แท้จริงออกแล้ว…

แค่ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายในการต่อสู้ครั้งนี้

ตึง!

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดออก กลายเป็นประกายสีทองกระจายไปทั่วท้องฟ้า

อ็อก

ภาพเงาหนึ่งพุ่งออกมาลากรอยลึกไปบนพื้น เขากระอักเลือดพร้อมกับรัศมีลดลง จากนั้นก็นอนพังพาบในหลุมลึกด้วยอาการบาดเจ็บปางตาย

เมื่อจอมยุทธ์สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง เจดีย์วั้นกู่ก็จะสัมผัสได้ มิติรอบๆ ตัวเขาบิดเบี้ยว จากนั้นก็ถูกส่งออกไปด้านนอก

เมื่อเขาถูกส่งออกไปก็มีลำแสงสีม่วงทองยิงออกมาจากกลางหว่างคิ้ว

ร่างหนึ่งพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า คว้าลำแสงนั้นก่อนที่ภาพเงาขนาดยักษ์ที่อยู่ข้างหลังจะกลืนกินลงไป

เมื่อได้กลืนกินรัศมีอมตะ รัศมีของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งพร้อมกับรัศมีอมตะกลั่นตัวหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ร่างยักษ์แข็งแกร่งขึ้นไปอีก

“รัศมีอมตะดวงที่สี่…”

เงานี้ก็คือมู่เฉิน เขามองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเองที่ลึกซึ้งมากขึ้นด้วยสายตาชื่นชม จนถึงตอนนี้เขาจัดการคู่แข่งไปได้สี่คนและได้รับแก่นอมตะจากพวกเขามา

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นสองส่วนจากการกลืนกินแก่นอมตะทั้งสี่…

อย่าได้ประมาทสองส่วนที่ว่า เนื่องจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะขัดเกลาให้ดีขึ้น โดยไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มขึ้นสองส่วนในช่วงเวลาแค่หนึ่งก้านธูป

ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาสามารถชิงแก่นอมตะมาจากจอมยุทธ์ทั้งหมดได้ ความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาจะเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่น่ากลัว

เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้น

ฮึ่ม ฮึ่ม

ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงความผันผวนมิติรุนแรง ทิวทัศน์โดยรอบของเขาเริ่มเปลี่ยนไป

มู่เฉินไม่ตกใจกับภาพนี้ เขาหรี่ตาลงพึมพำ “ตกรอบไปแล้วครึ่งหนึ่งรึ? เร็วอะไรปานนี้…”

เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในเจดีย์ถูกกำจัดออกไป

หากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป เขาก็จะสามารถไปถึงชั้นที่สถิตของร่างมหาเทพนิรันดร์ได้

มิติโดยรอบบิดเบี้ยว จากนั้นค่อยๆ กลับมาชัดเจน ขณะนี้ภูมิประเทศได้เปลี่ยนเป็นแนวเทือกเขานับไม่ถ้วนแล้ว

มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาหนึ่ง เมื่อทิวทัศน์โดยรอบเสถียรขึ้น เขามองไปข้างหน้าก็เห็นร่างเงาสองร่างตรงนั้น

คนหนึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่ได้น่าสนใจนัก ดังนั้นความสนใจของมู่เฉินจึงมุ่งไปที่อีกคน

เขาเป็นชายสวมชุดสีน้ำเงินพร้อมกับดวงตาแหลมคม เพียงแค่เหลือบมองมู่เฉินก็สามารถบอกได้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยตัดสินได้จากความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัว

เมื่อมู่เฉินมองไปที่ชายชุดสีน้ำเงิน อีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นมู่เฉินก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบผู้โด่งดังอย่างประมุขตำหนักมู่ที่นี่”

“เจ้าคือ?” มู่เฉินถามโดยไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า

“ข้าชื่อฉินตงไห่ ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร ก็แค่อยู่อันดับหกรองจากเจ้า” ฉินตงไห่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว สาดสายตาพิจารณาใส่ด้วยซ้ำ

“อ้อ”

มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าสงบ

เมื่อจอมยุทธ์อีกคนเห็นทั้งสองประจันหน้ากัน เขาก็ถอยห่างออกไปเงียบๆ จากนั้นเผ่นแน่บไป

มู่เฉินเพียงแค่เหลือบ แต่ไม่ได้ไล่ตามเพราะเขารู้สึกได้ว่าฉินตงไห่เล็งเป้ามาที่เขาแล้ว

“เจ้าคิดจะต่อสู้กับข้ารึ?” มู่เฉินถาม

“ข้าต้องการทดสอบว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหนที่อยู่อันดับหน้าข้า” ฉินตงไห่ตอบกลับไม่ใส่ใจก่อนที่จะยิ้ม “ทำไม? หรือว่าเจ้ากลัว”

มู่เฉินยิ้มตอบ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะวิ่งหนีหางจุกตูดเอาน่ะสิ การได้เจอปลาตัวใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

จากการรับรู้ของเขาแก่นอมตะของฉินตงไห่หนาแน่นกว่าคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็เอาชนะคู่แข่งมาหลายรายและชิงแก่นอมตะของพวกเขา

ดังนั้นแม้ว่าฉินตงไห่จะไม่เริ่มก่อน แต่มู่เฉินก็ไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไป เพราะการเอาชนะคนผู้นี้ได้ก็หมายความว่าเขาจะได้รับแก่นอมตะเทียบได้กับจอมยุทธ์หลายคน

ขณะที่มู่เฉินและฉินตงไห่ประจันหน้ากัน ผู้ชมที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็เห็นภาพนี้ สายตาของพวกเขาถูกดึงดูดไปทันที

“อ้าว นั่นฉินตงไห่กับมู่เฉิน… ฉินตงไห่มีชื่อเสียงมานานแล้วและความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่เฉินเลย…”

“ใช่ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางบวกกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็สามารถเอาชนะผู้คนมากมายในขุมพลังเดียวกันในอดีต”

“ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?”

การสนทนาเกิดขึ้นรอบๆ เจดีย์ ในที่สุดก็มีจอมยุทธ์ในทำเนียบสองคนเผชิญหน้ากัน

การปะทะของคู่นี้น่าสนใจกว่าคู่อื่นๆ อย่างแน่นอน

“ในที่สุดไอ้หนูก็ได้เจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อมั่ง ฉินตงไห่ไม่ใช่ธรรมดา” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลงขณะมองไปที่กระจก

ชิงเหยี่ยนจิ้งอมยิ้มตอบว่า “ก็แค่ฉินตงไห่ เขายังไม่มากพอที่จะคุกคามเฉินเอ๋อได้”

ฝูถูเฉวียนเอ่ยกระแทก “เจ้ากำลังยกหางลูกตัวเอง!”

“เพราะลูกชายข้ามีคุณสมบัตินะสิ” ชิงเหยี่ยนจิ้งเบ้ปาก ไม่ได้ใส่ใจอะไร

“งั้นข้าขอดูการประลองของพวกเขาหน่อย ครั้งนี้ไม่มีค่ายกลให้เขาใช้แล้ว” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงขึ้นจมูก เขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองใจกับมู่เฉินที่แอบใช้ค่ายกลปราบปรามผู้อาวุโสสองตระกูลตอนอยู่ที่เผ่าฝูถู

 

ตู้ม!

คลื่นหลิงทรงพลังกวนตัวเป็นพายุ ขณะที่กวาดไปรอบตัวฉินตงไห่ ทำให้มิติบิดเบี้ยว รอยแตกกระจายออกไปบนภูเขาที่อยู่ใต้เท้าเขา

การระเบิดพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางสั่นสะเทือนโลกอย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อมู่เฉินมองไปที่ฉินตงไห่ก็เลิกคิ้ว การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตี้กุ่ยซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน

“แม้ว่าข้าอาจจะด้อยกว่าสี่อันดับแรก แต่ก็ไม่มีใครที่อยู่ใต้พวกเขาสามารถคุกคามข้าได้!” เสียงของฉินตงไห่ดังก้องราวกับฟ้าคำรนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

มู่เฉินคลี่รอยยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้า กระทั่งสี่คนนั่นก็ไม่สามารถหยุดข้าได้”

ฉินตงไห่หรี่ตาลงส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก คำพูดของมู่เฉินทำให้เขาดูขาดความมั่นใจไปเลย เพราะไม่กล้าสู้กับสี่อันดับแรก

“งั้นข้าจะดูว่าแกมีคุณสมบัติในการพูดคำเหล่านี้ไหม!”

แววตาของฉินตงไห่วาววับขณะสร้างตราประทับ เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด มหาสมุทรคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป ทำให้มิติพังทลาย

“ทะเลปีกตะวันออก!”

ฉินตงไห่คำราม คลื่นหลิงสีน้ำเงินเติมเต็มไปทั่วบริเวณขณะที่กดไปยังมู่เฉิน

มหาสมุทรปิดผนึกทุกเส้นทางหลบหนีและอัดแน่นด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก ซึ่งจะทำให้สูญเสียคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วหากถูกขังไว้

มู่เฉินมีท่าทางสงบพลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปิดปากขึ้น

เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ!

ฟู่ ฟู่!

พริบตาเพลิงสีม่วงร้อนระอุก็พ่นออกมา ก่อตัวเป็นวงพุ่งออกไป บนทางผ่านของเพลิงมหาสมุทรขนาดใหญ่ก็ถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉินตงไห่เห็นภาพนี้ สายตาก็เย็นเยือกลงก่อนที่จะวาดกระบวนท่า

“ทักษะมังกรทะเล!”

โฮก!

มิติฉีกออกเป็นชิ้นๆ ราวกับแม่น้ำสวรรค์ไหลลงมา ก่อตัวเป็นมังกรแปดตัวขณะที่พวกมันคำราม

“มุกบาดาล!”

มหาสมุทรเชี่ยวกรากบรรจบกันระหว่างฝ่ามือของฉินตงไห่ จากนั้นก็ถูกบีบอัดจนกลายเป็นลูกกลมสีน้ำเงินเข้มแล้วพุ่งขึ้นอย่างดุเดือดราวกับว่าบรรจุไปด้วยมหาสมุทร

ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ฉินตงไห่ได้ใช้ทักษะเทพสองกระบวนท่า การเคลื่อนไหวที่น่าตกใจนี้สามารถกวาดจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางออกไปได้เลยทีเดียว

“ไป!”

มังกรคำรามลั่นพร้อมกับลูกกลมสีน้ำเงินเข้มบินไปหาหว่างคิ้วมู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินก็ไม่เคลื่อนไหวอะไร ที่ด้านหลังรังสียุ่งเหยิงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะกวาดลงมาเบื้องหน้า

ในเส้นทางของรังสี มังกรและลูกกลมก็หายไป…

เมื่อฉินตงไห่มองที่ฉากนี้ใบหน้าเขาก็เขียวคล้ำลง เขาเผยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทว่ามู่เฉินเพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถรับการโจมตีได้

ช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคนคำว่ามหาศาลยังไม่เรียกว่าพอ

“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้!”

ฉินตงไห่ปฏิเสธที่จะเชื่อในความจริง ดังนั้นเขาจึงคำรามและเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา

เผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของมู่เฉิน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

“ในที่สุดก็ใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้วเรอะ?”

มู่เฉินยิ้มขณะที่ยื่นมือออกมาเคาะลงบนอากาศ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อปลายนิ้วของมู่เฉินแตะลง ฉินตงไห่ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจทันทีที่เห็นเจดีย์ผลึกแก้วกดลงมาพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ห่อหุ้มทั้งตัวเขาและร่างเทพสุริยะนิรันดร์…

“แปะ!”

มู่เฉินดีดนิ้วส่งเสียงสะท้อนไปมาในอากาศ

“วิชาเจดีย์แปดองค์”

ตู้ม ตู้ม!

เจดีย์ผลึกแก้วสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงป่าเถื่อน ทำให้มิติโดยรอบพังทลายลง

แรงสั่นสะเทือนคงอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ หยุดลง มู่เฉินฉายสีหน้าสงบพลางโบกมือเจดีย์ก็พุ่งกลับมา

ในมิติที่ยุบลง ร่างเงาของฉินตงไห่ก็หายไปเหลือเพียงรังสีสีม่วงทองแข็งแกร่ง

มู่เฉินยื่นมือออกมาพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ เมื่อสัมผัสถึงความหนาแน่นของรังสี ก่อนที่เขาจะหันกลับจากไป…

เมื่อมู่เฉินเอาชนะฉินตงไห่เรียบร้อย ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็ตกตะลึงกับฉากนี้ บรรยากาศเงียบกริบ

ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ที่คาดว่าจะดุเดือดจะจบลงอย่างรวดเร็วปานนี้…

แอ๊ด!

ประตูเก่าครำเปิดออก ภายในปกคลุมด้วยความมืดซึ่งให้ความรู้สึกถึงความอ้างว้างและความเก่าแก่

ทุกคนต่างตื่นเต้นขณะมองไปที่ประตูที่กำลังเปิดออกพร้อมกับความกระหายและความโลภในดวงตา หากพวกเขาไม่รู้ว่ามีเพียงคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าใส่แล้ว

เนื่องจากสิ่งล่อลวงจากร่างมหาเทพนิรันดร์ใหญ่หลวงจริงๆ

หมัวเฮอเทียนมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าซับซ้อน ความโหยหาและความโลภริบหรี่ในดวงตา

ในบรรดาห้าเผ่าโบราณ อีกสี่เผ่าก็มีร่างมหาเทพปฐมกาล เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาได้ฝึกฝนสำเร็จ ดังนั้นจึงได้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าปัจจุบันไม่มีใครในสี่เผ่าที่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ…

แต่กระนั้นทั้งสี่เผ่าก็ยังเป็นเจ้าของ ขณะที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเพียง ‘ผู้พิทักษ์’

บรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์มา ชายคนนั้นได้รับชัยชนะและฝึกฝน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ

แต่บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่เผ่าหมัวเฮอเพื่อพิทักษ์รักษาให้ปลอดภัย

อีกสี่เผ่ามีร่างมหาเทพปฐมกาลขณะที่พวกเขาเป็นเพียงผู้พิทักษ์ ดังนั้นประมุขทุกคนของเผ่าหมัวเฮอจึงได้แต่อิจฉาและไม่พอใจมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดื้อรั้นกับเรื่องนี้นัก

“เทพจักรพรรดินิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ถึงเวลาที่ท่านควรส่งมอบให้พวกเราอย่างแท้จริงแล้วมั้ง?”

“ในตอนนั้นท่านแย่งชิงร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากบรรพบุรุษของข้า ท่านก็สมควรส่งคืนให้เราในตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาขณะที่กวาดสายตามองเงานับร้อยที่อยู่ใกล้ๆ คนเหล่านี้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่

“เจดีย์วั้นกู่เปิดแล้ว แต่ข้าต้องเตือนว่าการแข่งขันนี้ดุเดือด ทุกด่านจะกำจัดพวกเจ้าออกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการไปให้ถึงปลายทางก็จงกำจัดคนอื่นๆ ออกไปซะ” เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้อง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ขณะใบหน้าพวกเขากลายเป็นเคร่งขรึม

“ครึ่งหนึ่งทุกด่าน…”

มู่เฉินขมวดคิ้ว อัตราการกำจัดนี้น่ากลัว นั่นหมายความว่าจะมีการแข่งขันที่โหดเหี้ยมรอพวกเขาอยู่ในเจดีย์วั้นกู่

นี่เป็นเหมือนห้องสำหรับเพาะเลี้ยงแมลงพิษ โดยคนสุดท้ายที่ยืนหยัดถึงจะได้เจอร่างมหาเทพนิรันดร์สินะ?

ฟิ้ว!

หลังจากเสียงของหมัวเฮอเทียนสิ้นสุด หมัวเฮอโยวก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าไปในประตูโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ

วาบ วาบ!

เยี่ยฉิง ซื่อหลัวและทั่วป๋าชางก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด…

เมื่อมีพวกเขาเป็นผู้นำ ทุกคนก็พุ่งเข้าประตูไปด้วย

“ข้าไปล่ะ”

มู่เฉินหันไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน

“ระวังด้วยนะลูก” ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยมันไป แม้ว่าร่างมหาเทพปฐมกาลร่างนี้จะทรงพลัง แต่เจ้าก็สามารถทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ของเผ่าฝูถูได้ นั่นก็เป็นหนึ่งในห้าร่างเทห์สวรรค์สุดยอดและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างมหาเทพนิรันดร์”

“แค่กๆ!”

ฝูถูเฉวียนกระแอมไอขณะที่แสดงความคิดเห็น “นังหนู แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นมาทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ได้ง่ายๆ นี่ต้องขอความเห็นจากเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูก่อน!”

ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฝูถูเฉวียนตอบว่า “ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ สามารถชี้นำได้ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูจะไม่เห็นด้วย”

“เจ้า!”

เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าเถียงกัน มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะส่ายหัวกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าประตูไป

เพียงหนึ่งนาที ร่างเงากว่าร้อยร่างก็ทะยานเข้าไปในเจดีย์ เมื่อพวกเขาเข้าไป หมัวเฮอเทียนก็โบกมือคลื่นหลิงรวมตัวกันกลายเป็นกระจกนับร้อยชิ้น แต่ละบานก็ฉายภาพเงาแต่ละคน…

 

เข้ามาในประตู

มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเชิงพื้นที่ที่รุนแรง ทว่าเขาไม่ได้ต่อต้านปล่อยให้ความผันผวนห่อหุ้มตัวเอาไว้ ไม่กี่ลมหายใจความมืดเบื้องหน้าก็ถดถอย ดินแดนรกร้างปรากฏขึ้น

มู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขารกร้าง สายตามองไปที่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า

เมื่อกระจายประสาทสัมผัสออกไป เขาสังเกตเห็นว่าสภาพของพื้นที่ตรงนี้บิดเบี้ยวราวกับว่าถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่เล็กๆ

ทว่าเขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่แพร่กระจายออกไป

“การต่อสู้เริ่มแล้วรึ…?” มู่เฉินพึมพำ

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นความผันผวนของคลื่นหลิงก็พุ่งมาจากบริเวณใกล้เคียงมีร่างแสงทะยานเข้ามา

แต่เมื่อจอมยุทธ์คนนั้นเห็นมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปจากนั้นก็หันขวับโดยไม่ลังเล

นี่เป็นชายวัยกลางคนที่มีขมุพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แต่ชัดว่าเขาจำมู่เฉินได้และรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใดแม้จะมีขุมพลังขั้นหลิงเท่านั้น

“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมต้องวิ่งหนีล่ะ?” แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป พื้นที่ก็แปรปรวนเบื้องหน้า มู่เฉินก้าวย่างออกมาด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนที่นี่เป็นคู่แข่งที่มีจุดยืนแตกต่างกัน

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว งั้นขอทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าวันนี้ซะหน่อย!”

เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ชายวัยกลางคนก็กระทืบเท้าร่างแวทสวรรค์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ

นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่คุ้นเคย—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เมื่อมองไปที่ร่างนั่นมู่เฉินก็ถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนอื่นใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

“รหัสเทพอมตะ!”

ชายวัยกลางคำราม อักขระเปล่งรัศมีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีจำนวนถึงสามร้อยลายเลยทีเดียว

“รวม!”

รหัสเทพอมตะรวมตัวกันเป็นกระบี่ที่เอิบอาบด้วยรัศมีคมชัด แม้แต่มิติก็ฉีกออกจากกัน ขณะที่เฉือนใส่มู่เฉิน

มีรอยลากยาวบนพื้นจากกระบี่

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสก็วาบในดวงตา ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายคำรามลั่นแล้วเปลี่ยนเป็นผลึกพลังงาน กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังก็สั่นกระพือ

ตราประทับวาดขึ้นในฝ่ามือ ลอนผลึกคลื่นหลิงก็กวาดออกปะทะกับกระบี่สีม่วงทอง

เคร้ง!

เมื่อพลังงานสองสายชนกัน พายุคลื่นหลิงรุนแรงก็พัดออกมากลายเป็นเกลียวแสงนับล้านห่อหุ้มกระบี่สีม่วงทองไว้

คลื่นหลิงบนกระบี่ดิ่งลงทันทีก่อนที่จะแตกสลาย

“ไป”

มู่เฉินสะบัดนิ้วเกลียวผลึกเปล่งประกายก็ทะลุผ่านมิติซัดใส่ร่างสีม่วงทอง

“พลังปิดผนึก?”

ใบหน้าของชายวัยกลางเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสถึงพลังผลึกคลื่นหลิง ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อสร้างแนวป้องกันมั่นคง

ทว่าเกลียวผลึกห่อหุ้มก็ก่อร่างเป็นรังไหมครอบคลุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้

เมื่อมู่เฉินมองไปที่รังไหม แสงก็วาบผ่านดวงตา ด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาที่ใกล้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ความแข็งแกร่งของผลึกคลื่นหลิงของเขาเทียบได้กับขอบเขตขั้นเซียนระยะต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ตาม…

ชั่วครู่มู่เฉินก็โบกมือรังไหมระเบิดเป็นประกายแสง

เมื่อรังไหมหายไปชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนร่างสีทองคำก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น

แกร็ก!

รอยแตกพล่านไปบนร่างสีม่วงทองก่อนที่จะระเบิดออกในที่สุด…

มีประกายระยิบระยับบนร่างของชายวัยกลางคน ชัดว่าคลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ถูกปิดผนึกชั่วคราว

“ชื่อเสียงของประมุขมู่สมฐานะแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” ชายวัยกลางคนยอมจำนนด้วยรอยยิ้มเหยเก

เมื่อสิ้นเสียงของเขา ลำแสงก็ส่องลงมาห่อหุ้มร่างไว้ จากนั้นก็ถูกส่งออกจากเจดีย์

“ขอบใจ”

มู่เฉินพยักหน้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ

ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะออกไป ก็มีลำแสงสีม่วงทองพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขา

มู่เฉินยื่นมือออกไปจับลำแสงนั้น ช่างเต็มไปด้วยความเป็นอมตะและรัศมีลึกลับ

“นี่คือ…รัศมีอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”

มู่เฉินคุ้นเคยกับรัศมีนี้ นี่เป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ่งรัศมีอมตะที่หนาแน่น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งทรงพลัง

“ความล้มเหลวจะทำให้รัศมีอมตะของพวกเขาถูกสกัดโดยเจดีย์วั้นกู่…”

มู่เฉินฉายสีหน้าซับซ้อน รัศมีอมตะเป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เมื่อถูกสกัดพลังออกมาร่างก็จะอ่อนแอลง

นี่คือราคาของความพ่ายแพ้

เจดีย์วั้นกู่โหดร้ายอย่างแท้จริง

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนใจอ่อน เส้นทางยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการแข่งขัน หากเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่เพียงพอนี่ก็เป็นผลลัพธ์ของเขาเช่นกัน

มู่เฉินกำมือแน่น ร่างแสงสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังพลางกลืนกินรัศมีอมตะนั้น ทันใดนั้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับมากขึ้น

มู่เฉินลืมตาขึ้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็หายไป สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้น เขาก็ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็หันกลับไปก้าวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว

แม้จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ คนอย่างมู่เฉินก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มา!

เคร้ง!

ในวันที่สอง เสียงระฆังโบราณดังก้องไปทั่วทุกมุมเมือง ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ภาพเงานับไม่ถ้วนจะทะยานออกไปราวกับฝูงตั๊กแตน ขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังใจกลางเมืองวั้นกู่

มีภูเขาหัวโล้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่มีเจดีย์โบราณองค์หนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา

เจดีย์หินนี้ก็ดูธรรมดามาก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาฉายสีหน้าเคร่งเครียดและเคารพ

เจดีย์นี้เป็นที่รู้จักกันในนามเจดีย์วั้นกู่และถูกสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์

เผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ยุคโบราณที่ช่วยมหาพันภพให้พ้นภัย ทุกคนมีแต่ความเคารพให้

“นั่นคือเจดีย์วั้นกู่รึ?”

มู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนปรากฏตัวในศาลาบนยอดเขาที่รายรอบพลางจ้องมองไปที่เจดีย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกเก็บไว้ในเจดีย์นี่เรอะ?

“เทพจักรพรรดินิรันดร์ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้เวลาผ่านไปนับหมื่นปี แต่เจดีย์หินก็ยังน่าสะพรึงมาก” ฝูถูเฉวียนกล่าวขณะสายตาจ้องไปที่เจดีย์

เผชิญหน้ากับเจดีย์นี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย

“พลังของเทพจักรพรรดินิรันดร์ดูเหมือนจะเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว…” มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าเขาจะเคยพบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงพลังเช่นนี้

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบ “เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวไปเหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริง”

“เหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” มู่เฉินตกใจในใจ ‘ระดับลึกลับนั่นถึงนับเป็นจุดสูงสุดของมหาพันภพอย่างแท้จริงหรือ?’

“ในมหาพันภพ มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมากมาย แต่มีเพียงจอมยุทธ์สองคนที่มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์” ฝูถูเฉวียนเอ่ยเสียงต่ำ

มู่เฉินถามด้วยสายตาที่สั่นไหว “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม?”

ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งหมดที่เขาพบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกยากที่จะอธิบาย พวกเขาให้ความรู้สึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไร้ขอบเขต ไม่อาจวัดได้

ฝูถูเฉวียนถอนหายใจ แม้แต่คนหัวดื้ออย่างเขายังมีร่องรอยความเคารพในน้ำเสียง “ทั้งสองมาจากพิภพเขตล่าง แต่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปถึงจุดสูงสุดเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในอนาคต”

“นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ การมียอดยุทธ์ทั้งสองคนทำให้เราไม่ต้องกลัวจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ” มู่เฉินยิ้ม

พอได้ยินคำพูดลูกชาย ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่ายหัว แม้แต่ฝูถูเฉวียนยังแสดงออกในท่าทางหนักใจ

“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปในเรื่องจักรวรรดิปีศาจ ในสมัยโบราณมหาพันภพพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจ กระทั่งตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวออกมา สถานการณ์ก็แค่คงไว้ไม่ถดถอยต่อ แต่ถึงกระนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของดินแดนในมหาพันภพก็ถูกยึดครองไป”

ชิงเหยี่ยนจิ้งถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อว่า “แทนที่จะเรียกว่าชัยชนะ น่าจะเป็นการที่พวกมันซื้อเวลามากกว่า ที่สำคัญที่สุดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันถูกผนึกไว้ด้วยชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ นี่คือสาเหตุว่าทำไมจักรวรรดิปีศาจต่างมิติถึงหยุดรุกราน…”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้นท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง จินตนาการไม่ได้เลยถึงความทุกข์ยากที่มหาพันภพเผชิญอยู่ในตอนนั้น

ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้มหาพันภพต้องตกเป็นทาสของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติได้

เขาเคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเผ่าปีศาจเข้ามายึดครองพิภพเขตล่าง สิ่งมีชีวิตที่นั่นถูกเลี้ยงคล้ายกับโรงปศุสัตว์

“เผ่าปีศาจแสดงสัญญาณการเคลื่อนไหวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกมัน หากเทพปีศาจจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความสงบสุขของมหาพันภพคงจบลงแน่” ฝูถูเฉวียนกล่าวเสริม

เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองคน มู่เฉินก็ปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปก่อน เราจะจัดการเมื่อถึงเวลา หากกองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติรุกรานอีกครั้งจริงๆ เราจะต่อสู้กับพวกมัน เทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถทำให้พวกมันล่าถอยได้ มหาพันภพในปัจจุบันก็ไม่เหมือนอดีต เราเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง”

ตึง!

ขณะที่มู่เฉินกำลังปลอบใจทั้งสองคน เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นพร้อมกับผู้คนมารวมตัวกัน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่บนแท่นสูงตระหง่านโดยมีหมัวเฮอโยวยืนอยู่ด้านหน้าสุด

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหมัวเฮอโยวเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีทอง ร่างเขากำยำกระจายแรงกดดันเข้มข้น แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงใดๆ รอบตัว แต่กระทั่งหมัวเฮอโยวยังแสดงความเคารพ แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่ายังถอยออกไปหนึ่งก้าว ไม่กล้าที่จะยืนใกล้

“นั่นคือประมุขเผ่าหมัวเฮอคนปัจจุบัน—หมัวเฮอเทียน” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ‘นี่คือคนที่ต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ? ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง’

ขณะที่มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียน อีกฝ่ายก็เหมือนจะสัมผัสได้ สายตาเลื่อนมามองที่กลุ่มมู่เฉิน

เมื่อหมัวเฮอเทียนจ้องมองมา มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่รอบตัวเขาหยุดนิ่ง เขารู้สึกราวกับถูกตรึงเอาไว้

“แค่ก!”

เมื่อมิติเริ่มแช่แข็ง เสียงไอก็ดังขึ้นทำลายความเวิ้งว้างนั่น ฝูถูเฉวียนจ้องไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นฝูถูเฉวียนอยู่ด้วย หมัวเฮอเทียนก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฝูถูเฉวียนและชิ้งเหยี่ยนจิ้งเป็นการต้อนรับ

“หึ เป็นถึงขนาดประมุขเผ่าโบราณกลับมาข่มขู่เด็ก ดูเหมือนจิตใจของเจ้าไม่ได้มีการเติบโตขึ้นเลย” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียง ไม่สนใจท่าทางของหมัวเฮอเทียน

มู่เฉินหลุดออกจากการถูกตรึงไว้ ท่าทางของเขายังคงสงบโดยไม่มีความโกรธใดๆ เพียงแค่นึกถึงความรู้สึกที่ถูกตรึงไว้นั้น ‘นั่นคือพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ? ทรงพลังแท้จริง! การจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้ข้าเคลื่อนไหวไม่ได้’

จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มให้ฝูถูเฉวียน “ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ไม่ต้องไปโกรธหรอก เพราะอีกไม่นานข้าจะไปเอาสมบัติที่พวกเขาหวงนักหนามา”

ฝูถูเฉวียนได้ยินคำพูดของเขาก็เย้าว่า “เจ้านี่หยิ่งผยองดีจริงๆ เจ้าคิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของตัวเองจริงๆ เรอะ?”

มู่เฉินยิ้มพร้อมกับสายตาวูบไหวด้วยความคมชัด

“เด็กนั่นเป็นลูกของชิงเหยี่ยนจิ้งเหรอ?” หมัวเฮอเทียนก็ถอนสายตาออกมา ขณะที่หันมายิ้มให้หมัวเฮอโยว

“ใช่” หมัวเฮอโยวพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ไอ้เด็กนั่นไม่ธรรมดา อายุเพียงนี้ก็บรรลุความสำเร็จได้มากเท่านี้แล้ว ถ้าให้เวลามันอีกสักหน่อย แม้แต่ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะได้”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์โบราณพลางเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหลือเวลาแล้ว ดังนั้นถือว่ามันไม่มีโชคชะตา”

หมัวเฮอโยวพยักหน้าและยิ้ม “แน่นอน… เพราะจากนี้ข้าจะเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์คนใหม่”

มีความมั่นใจอย่างมากในน้ำเสียง ท้ายที่สุดเขามีโอกาสสูงที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ

“หวังว่าเจ้าจะไม่พลาดนะ…”

มือของหมัวเฮอเทียนลูบสิงโตหินบนเสาขณะหลุบตาลง “แน่นอน ต่อให้เจ้าพลาดจริง ก็ไม่มีใครสามารถเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไปต่อหน้าข้าได้”

 

“นั่นน่าจะเป็นหอกอสูรเยี่ยฉิงสินะ?”

มู่เฉินหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เห็นชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว ม่านตาสีแดงเข้มสั่นไหวด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว

อากาศรอบตัวเขาเย็นเยือกจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

“ราชันทองวัชระซื่อหลัว… ดาบเทวะทั่วป๋าชาง…”

ยืนอยู่ไม่ไกลจากเยี่ยฉิงเป็นชายร่างผอมในชุดคลุมสีทองแสงสะท้อนบนศีรษะล้านโล่งทำให้ดูสะดุดตา ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นเขาช่างคล้ายกับสัตว์อสูรร้าย

บนอาคารพังพินาศก็มีชายชุดดำไร้อารมณ์พาดดาบหักไว้ที่กลางหลัง นอกจากนี้ยังมีความแหลมคมซึมออกมาจากร่างกายบั่นทอนทุกคนที่เข้าใกล้ให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ

“มาถึงกันหมดแล้ว…”

เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงทรงพลังเหล่านั้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงกระแสเลือดเดือดพล่านด้วยความกระหาย ราวกับว่ามีบางสิ่งในคนเหล่านี้ดึงดูดเขา

มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นแรงดึงดูดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ครืน!

ทันใดนั้นพื้นก็สั่นสะเทือน เสียงโบราณสะท้อนก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์โบราณด้วยดวงตาลุกโชน

ภายใต้การจ้องมองประตูของเจดีย์ก็ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความรกร้าง…

เมื่อประตูเปิดกว้างมู่เฉินก็เลื่อนสายตาขึ้นพร้อมกับประกายคมกล้าวูบวาบในดวงตา

ในที่สุดเจดีย์วั้นกู่ก็เปิดออกแล้ว!

คฤหาสน์เงียบสงบทางตะวันตกของเมืองวั้นกู่

แม้ว่าเมืองวั้นกู่จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่คฤหาสน์แห่งนี้มีแต่ความสุขสงบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

นั่นเป็นเพราะที่นี่คือที่พักของเผ่าฝูถู

เมื่อมู่เฉินมาถึงที่นี่ ผู้คุ้มกันที่จำเขาได้ก็ก้าวขึ้นมา “นายน้อยมู่เฉิน ผู้อาวุโสใหญ่รออยู่ที่คฤหาสน์แล้วขอรับ”

เนื่องจากความปั่นป่วนที่มู่เฉินสร้างขึ้นในเผ่าฝูถู ทุกคนแทบจำเขาได้หมด บวกกับการที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงผู้อาวุโสใหญ่และควบคุมอำนาจสูงสุดในเผ่า ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นบุตรชายของผู้อาวุโสใหญ่

“ขอบคุณ”

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่สนใจสถานะนายน้อยของเผ่าฝูถู แต่เขาก็ขี้เกียจแก้ไขคำพูด เขาเข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อผ่านลานบ้านก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้งที่ด้านหน้าโถง

“ท่านแม่”

มู่เฉินเร่งฝีเท้าพลางยิ้มเผล่

“เจ้าหนูน้อย เพิ่งกลับไปก็ทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตไปทั่วยุทธภพอีก” ชิงเหยี่ยนจิ้งบ่นขณะลูบศีรษะมู่เฉินอย่างรักใคร่

ท่าทางนางจะได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มู่เฉินต่อสู้กับหวงเฉวียนซวนจือและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคน

“ช่วยไม่ได้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่น่า” มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะยิ้ม “ตาแก่ไม่มาด้วยเหรอ?”

พอได้ยินคำพูดของลูกชาย สีหน้าชิงเหยี่ยนจิ้งก็เคร่งเครียดลง “ที่นี่อันตราย ข้าจะให้เขามาด้วยได้ยังไง?”

ขณะที่พูดนางก็จ้องไปที่มู่เฉิน “เฉินเอ๋อ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการต่อสู้เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์?”

ใบหน้าของมู่เฉินฉายความจริงจัง เขาพยักหน้าแน่วแน่ “ท่านแม่ ข้าทำงานหนักมาหลายปีเพื่อให้ได้ร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นข้าจะยอมแพ้กับโอกาสนี้ไม่ได้”

นี่เป็นเส้นทางสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่เขาเลือก ถ้าไม่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ความพยายามทั้งหมดก็จะสลายเป็นอากาศธาตุ เขาจะต้องใช้เวลาและพลังงานมากขึ้นในเส้นทางอนาคต

ดังนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นเส้นทางไปสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

พอมองท่าทางตั้งใจของมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้าและยิ้ม “ในเมื่อเป็นความปรารถนาของลูก แม่ก็จะสนับสนุนเต็มที่ ไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณท่านแม่”

มู่เฉินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขารู้ดีว่าการได้ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอ

เผ่าหมัวเฮอคิดไปเองแล้วว่าร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเทพจักรพรรดินิรันดร์วางเวลาเรื่องงานชุมนุมนิรันดร์เอาไว้ พวกเขาคงไม่ยอมให้ใครมาลองและคว้าเอาไป

ดังนั้นถ้าชิงเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขา ก็หมายความว่าต้องปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ ซึ่งจะทำให้เกิดศึกใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“เผ่าหมัวเฮอมีรากฐานทรงพลัง ดังนั้นข้าจึงได้เชิญผู้ช่วยมาให้เจ้าด้วย” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะที่ชี้มือไปทางหนึ่ง

พอมองตามไปมู่เฉินก็อึ้งไป ชายชรากำลังใช้จอบขุดดินทำสวน

เมื่อเห็นใบหน้าของชายชราคนนั้น เขาก็ร้องอุทานว่า “ฝูถูเฉวียน?”

ชายชราคนนี้เป็นอดีตผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู—ฝูถูเฉวียน

มู่เฉินไม่คิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเชิญเขามา

ตอนนี้ฝูถูเฉวียนเงยหน้าขึ้นเดินเข้ามาพลางกวาดสายตามองมู่เฉินก่อนจะเค้นเสียงขึ้นว่า “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์เหรอ? ข้าไม่เชื่อเลย หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิง ทั่วป๋าชางและซื่อหลัวไม่ใช่พวกจัดการได้ง่ายๆ”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มตอบว่า “ตาเฒ่านี่เป็นเรื่องของเฉินเอ๋อ เรามีหน้าที่แค่ปกป้องเขาหากร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับเขา”

ลังเลครู่หนึ่งฝูถูเฉวียนก็ตอบว่า “ข้าช่วยได้ แต่เจ้าก็รู้เงื่อนไขของข้า”

“เงื่อนไขอะไร?” มู่เฉินพูดแทรกขณะมองไปที่ฝูถูเฉวียนด้วยความระแวง ตาแก่คนนี้ทำให้เขาและมารดาต้องแยกจากกัน เขาเพิ่งจะแก้ไขปัญหานี้ได้ อย่าได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกเลย

ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบแทนว่า “เงื่อนไขก็คือให้เจ้าคารวะบรรพบุรุษและดำรงตำแหน่งประมุขเผ่า หากเจ้าได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์”

เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา มู่เฉินก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่าไม่ได้เรียกข้าว่าเป็นตัวกาลกิณีรึ? ทำไมตอนนี้กลับจะให้ข้ายอมรับตัวตนว่าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูล่ะ?”

ริมฝีปากของฝูถูเฉวียนกระตุก ใบหน้ากลายเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ทว่ามู่เฉินก็ไม่อยากแกล้งคนแก่มากไป เขาหุบรอยยิ้มเยาะเย้ย ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ข้าไม่สนใจตำแหน่งประมุขเผ่าฝูถู ให้คนอื่นเป็นแทนไปเถอะ?”

“ในเผ่าตอนนี้เจ้าเป็นคนเดียวที่มีโอกาสบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งประกาศอย่างภาคภูมิใจ

คำพูดของมารดาทำให้มู่เฉินปวดหัวจี๊ด แค่ตำหนักมู่ก็ทำให้เขาลำบากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพวกเผ่าโบราณเลย

“งั้นอย่าให้เขาช่วยเลย ข้าทำหน้าหนาส่งข่าวขอร้องท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้งให้มาช่วยแทน” มู่เฉินเบ้ริมฝีปาก

“หึ ข้ากลัวว่าคราวนี้เจ้าจะเชิญพวกเขาไม่ได้” ฝูถูเฉวียนตอกกลับ ท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง ในเผ่าตระกูลมั่วและเฉวียนโหยหาตำแหน่งประมุข แต่ไอ้เด็กบ้าคนนี้ดันปฏิเสธ

“ทำไม?” มู่เฉินถามอย่างตกใจ

กระทั่งท่าทางของชิงเหยี่ยนจิ้งยังดูเคร่งขรึมลง “มีการเคลื่อนไหวจากเผ่าปีศาจ แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ ดังนั้นทั้งสองต้องตรึงกำลังไว้”

ดวงตาของมู่เฉินเย็นเยือกลงหลายส่วน เผ่าปีศาจเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นความขัดแย้งอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเลย

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่ได้แล้ว

“เฉินเอ๋อ แม่รู้ว่าเจ้าโกรธเผ่าฝูถู แต่เจ้าปฏิเสธสายเลือดที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้เจ้ายอมทนเห็นแม่รับหน้าที่ไว้คนเดียวอย่างทุกข์ระทมเหรอ” ชิงเหยี่ยนจิ้งจับมือมู่เฉินพร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง

เมื่อเห็นการแสดงของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ทำได้เพียงยกมือยอมแพ้พร้อมกับยิ้มขมขื่น “ท่านแม่ ข้ายอมแพ้ ข้าจะยอมรับคำขอของท่าน… ถ้าข้าได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาจริงๆ ข้าเป็นประมุขเผ่าให้ก็ได้”

“เฉินเอ๋อดีที่สุด” ดวงตาแดงก่ำของชิงเหยี่ยนจิ้งหายวับไปกับตา ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้าง

มู่เฉินถอนหายใจ ‘ทักษะการแสดงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ’

ฝูถูเฉวียนพยักหน้าขณะที่ท่าทางอ่อนลง เขาก็รู้สึกช่วยไม่ได้กับการให้มู่เฉินเป็นประมุข ท้ายที่สุดแล้วพรสวรรค์ของมู่เฉินมีมากกว่าคนรุ่นใหม่ทุกคนในเผ่าและยังมีโอกาสสูงที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทุกคนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าฝูถู เหตุผลที่เผ่าหมัวเฮอขึ้นเป็นผู้นำของห้าเผ่าโบราณนั้นเป็นเพราะพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสามคน

หากมู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง พวกเขาก็จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเผ่าหมัวเฮอได้

ดังนั้นฝูถูเฉวียนเต็มใจยอมแพ้และยอมให้มู่เฉินเป็นประมุขเนื่องจากเป็นเพราะเห็นแก่เผ่าตนเอง นอกจากนี้แม้ว่าฝูถูเฉวียนจะหัวรั้นไปบ้าง แต่เขาไม่สามารถผลักจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งออกจากเผ่าได้

“การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มพรุ่งนี้ ตามข่าวมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดร้อยแปดคน” ฝูถูเฉวียนอธิบาย

“ร้อยแปดคน!”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล อดีตตัวเขาไม่เคยเห็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์มาก่อน แต่ตอนนี้กลับมีคู่แข่งถึงร้อยเจ็ดคน! ดังนั้นเขาบอกได้ว่ามหาพันภพเป็นสถานที่ที่มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนแท้จริง

“นี่คือสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ตั้งใจทำเอาไว้ เขาต้องการหาผู้สืบทอดที่ดีที่สุดสำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์” มู่เฉินครุ่นคิด ดูเหมือนว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ใช้ความคิดหนักมากในการค้นหาผู้สืบทอด

“ท่านแม่ ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เคยเลือกผู้สืบทอดมาก่อนเลยเหรอ?” มู่เฉินถาม จอมยุทธ์ที่สามารถฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ล้วนไม่ได้อ่อนแอ แต่ไม่มีใครที่ได้รับการยอมรับเลย

ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหัวพลางถอนหายใจ “เพราะนี่คือหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ดังนั้นการได้รับการยอมรับจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร”

มู่เฉินพยักหน้าท่าทางเคร่งเครียดลง เขามองไปที่ใจกลางเมือง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายโบราณที่คลุมเครือมาจากทิศทางนั้น

ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับการยอมรับในร่างมหาเทพนิรันดร์

มู่เฉินเม้มไล่ตามริมฝีปาก ดวงตาฉายความแน่วแน่ขณะที่กำหมัดแน่น

แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด คนอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้แน่…

เพราะนี่เป็นเส้นทางระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่เขาเลือกเอง

“พรุ่งนี้…มาสู้กัน!”

ทวีปหมัวเฮอเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ

ซึ่งมีดินแดนกว้างใหญ่และทรัพยากรมากมาย ชื่อของทวีปนี้ก็เลื่องลือไปทั่วหล้าด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเผ่าหมัวเฮอ

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ เผ่าหมัวเฮอยืนยงมาเป็นเวลาช้านาน แม้แต่ในสมัยโบราณเผ่าหมัวเฮอก็เป็นขั้วอำนาจทรงพลังและด้วยการสะสมในตอนนี้ก็สามารถติดอันดับต้นๆ ในมหาพันโลก …

ย้อนกลับไปเมื่อแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกำลังขยายตัวในมหาพันภพ หมัวเฮอเทียนก็พยายามที่จะกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเมื่อเขาขึ้นเป็นประมุข เพื่อเป็นการข่มผู้ที่ไม่ยอมเขาในเผ่า

ทว่าในเวลานั้นแม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็คงไม่คิดว่าเทพจักรพรรดิอัคคีที่มาจากพิภพเขตล่างจะน่าเกรงขามยิ่งนัก ในท้ายที่สุดก็ทำลายความทะเยอทะยานของหมัวเฮอเทียนจนสิ้นซาก ไม่เพียงแต่เขาจะล้มเหลวในการกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เขายังกลับมาพร้อมกับรอยด่างบนชื่อเสียงที่ทำให้สถานะและชื่อเสียงของแคว้นหวูจิ้งฮั่วมั่นคงขึ้น…

แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะเคยพ่ายแพ้ต่อเทพจักรพรรดิอัคคี แต่เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีกลายเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ความพ่ายแพ้ก็กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่ง แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะไม่ชอบในสิ่งนี้ แต่สำหรับทุกคนในมหาพันภพก็จะคิดเช่นนี้…

ท้ายที่สุดแล้วการที่สามารถต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีจนถึงระดับนั้นได้ หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้เช่นกัน

ดังนั้นชื่อเสียงของเผ่าหมัวเฮอจึงดังกึกก้องเพิ่มขึ้นและอยู่ตำแหน่งสูงในบรรดาห้าเผ่าโบราณ ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือจอมยุทธ์ พวกเขาสามารถดูแคลนเผ่าโบราณอีกสี่กลุ่มได้

 

ทวีปหมัวเฮอ เมืองวั้นกู่

เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงของทวีปหมัวเฮอ ถึงกระนั้นชื่อเสียงก็ยังสูงกว่าเผ่าหมัวเฮอ เพราะมีข่าวลือว่าสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์และเป็นสถานที่จัดงานชุมนุมนิรันดร์ในทุกครั้ง

บนยอดเขาใกล้จากเมืองวั้นกู่ มู่เฉินมองไปที่เมืองที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณ มีริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งพาดผ่านขอบฟ้า ช่างคึกคักยิ่งกว่างานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถูเสียอีก

แต่ก็ไม่แปลกเพราะงานชุมนุมสายเลือดและงานชุมนุมนิรันดร์ไม่ใช่งานประเภทเดียวกัน เหตุการณ์แรกเป็นเพียงการเชิญขั้วอำนาจที่คุ้นเคยมารับชม ส่วนเหตุการณ์หลังไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ด้วยหรือไม่ ขั้วอำนาจเกือบครึ่งหนึ่งในมหาพันภพก็จะเข้ามาร่วมงาน

ท้ายที่สุดเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์

“นี่มันงานชุมนุมยอดยุทธ์ที่แท้จริง”

มู่เฉินถอนหายใจ คนที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากขั้วอำนาจต่างๆ คนธรรมดาไม่สามารถแบกรับความกดดันตรงนี้ได้

ขณะที่เขาถอนหายใจในหัวใจ มู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในเมือง เมื่อเขากำลังเข้าใกล้เมืองสายตาก็จ้องมองไปที่ประตู เพราะสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่มีกลิ่นอายโบราณแทรกซึมมาจากทั้งเมือง

แม้ว่าความผันผวนจะเบาบาง แต่ก็ยังทำให้คลื่นหลิงในร่างกายกระเพื่อมและทำให้เขาต้องร่อนตัวลง

“คลื่นนี่…”

มู่เฉินขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นอะไรที่ลึกลับยิ่งกว่านั้น

“หรือเป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ในตอนนั้น?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเกิดการคาดเดาบางอย่าง เพราะมีเพียงระลอกคลื่นจากจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพถึงสามารถสร้างแรงกดดันน่ากลัวขนาดนี้แม้จะผ่านมาหมื่นปีแล้วก็ตาม

ทว่าความคิดนี้ก็ถูกระงับในไม่ช้า ด้วยความเคารพในใจที่มีต่อเทพจักรพรรดินิรันดร์ มู่เฉินก็เดินไปที่ประตู

ทันทีที่เข้ามาในเมือง มุมมองก็ขยายออกไปพร้อมกับภาพถนนทอดยาวสุดสายตา ทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งต่างกำจายด้วยคลื่นทรงพลัง

การปรากฏตัวของมู่เฉินดึงดูดความสนใจ บางคนถึงกับดวงตาพราวแสง เห็นได้ชัดว่าจดจำเขาได้ว่าเป็นใคร

มู่เฉินอึ้งไปครู่หนึ่งกับความสนใจเหล่านี้ก่อนที่เขาจะยิ้มขำตัวเอง เขาต้องยอมรับว่ารู้สึกยินดีที่ตนเองกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพพร้อมกับผู้คนรู้จักเขามากขึ้น

แต่ความคิดนี้ก็แค่สั่นไหวหัวใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในเมือง

เขาเดินผ่านถนนหลายสาย ก่อนที่จะเห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันเบื้องหน้า สายตาเขาก็มองตามไป

มีกำแพงผลึกแก้วขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีแสงวูบวาบอยู่

“ตารางวางเดิมพันของงานชุมนุมนิรันดร์”

มู่เฉินมองไปก็เห็นจอมยุทธ์คนแรกเป็นชายในชุดสีดำขาว แม้จะเป็นเพียงภาพ เขาก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน

มู่เฉินมองไปที่ภาพคุ้นเคยก็หรี่ตาลง เพราะนี่คือหมัวเฮอโยว ขณะนี้การเดิมพันชัยชนะของเขามีถึงสองหมื่นล้านหยดของเหลวจื้อจุน

ชัดเจนว่าหลายคนมองว่าหมัวเฮอโยวจะชนะครั้งนี้ ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาทรงพลังอย่างแท้จริงและยังเป็นคนของเผ่าหมัวเฮอซึ่งได้รับการปลูกฝังร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ดังนั้นหากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง ทุกคนก็คิดว่าหมัวเฮอโยวมีโอกาสสูงที่สุด

ถัดลงมาจากหมัวเฮอโยวก็คือหอกอสูรเยี่ยฉิง ราชันทองวัชระซื่อหลัวและดาบเทวะทั่วป๋าชาง

ภาพเยี่ยฉิงที่ฉายเป็นชายหนุ่มผมยาวถือหอกสีแดงเข้มพร้อมกับสายตาไม่แยแสแฝงไปด้วยจิตสังหาร

ซื่อหลัวสวมชุดสีทอง ศีรษะล้านเลี่ยนสะท้อนแสงดูเหมือนดวงดาว เขามีโครงร่างผอม ดูไม่เหมือนคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านพลังกายเลย

ส่วนทั่วป๋าชางสวมชุดสีดำสะพายดาบไว้ที่ด้านหลัง แม้ว่าเขาจะดูธรรมดา แต่ดวงตาแผ่ซ่านด้วยไอคมกริบที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหนังหัวด้านชา

ในตารางเดิมพันหมัวเฮอโยวอยู่อันดับหนึ่งด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนสองหมื่นล้านหยด ขณะที่สามคนอยู่ที่ประมาณห้าพันล้านหยด

จากนั้นมู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นภาพตนเองถัดลงมาจากทั้งสี่คน แต่เมื่อเทียบกับสี่อันดับแรกการเดิมพันของเขามีเพียงหนึ่งพันล้านหยดเท่านั้น…

“มิน่าคนอื่นถึงจำข้าได้” มู่เฉินส่ายหัวช้าๆ มีหน้าจอขนาดใหญ่ปานนี้ตั้งไว้ ใครบ้างจะจำเขาไม่ได้?

มู่เฉินมองไปที่ภาพทั้งสี่เขาก็ยิ้ม คนพวกนี้คือคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเรอะ?

มู่เฉินเดินเข้าไปที่กำแพงผลึกแก้วซึ่งมีสาวงามกำลังเก็บเงินเดิมพัน พวกนางมาจากเผ่าหมัวเฮอ มีเพียงเผ่าหมัวเฮอเท่านั้นที่กล้าเป็นเจ้าภาพในการวางเดิมพันระดับดังกล่าวได้

“เจ้าสนใจจะพนันหน่อยไหม?” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากด้านข้าง มู่เฉินหรี่ตาหันไปมองก็เห็นร่างคุ้นหน้าส่งยิ้มมาให้เขา นั่นก็คือหมัวเฮอโยวนั่นเอง

ในฐานะเจ้าเหนือหัวทวีปหมัวเฮอ ตำแหน่งของมู่เฉินถูกจับตาโดยเผ่าหมัวเฮอตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาแล้ว

มองไปที่หมัวเฮอโยว มู่เฉินก็ตอบอย่างเยาะเย้ย “ทำไม? ยังคิดจะลงมือที่นี่อีกเรอะ? เผ่าหมัวเฮอของเจ้าขาดความมั่นใจไปหน่อยหรือเปล่า?”

หมัวเฮอโยวส่ายหัวตอบว่า “ไม่ใช่ว่าขาดความมั่นใจหรอก เราแค่ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลนี่ก็แค่รอบคัดออก หากเจ้าไม่สามารถทนต่อปัญหาเหล่านั้นได้แสดงว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม”

มู่เฉินยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากพร้อมตอบ “งานชุมนุมนิรันดร์ที่เกิดจากเทพจักรพรรดินิรันดร์ไม่เห็นมีรอบกำจัดแบบนี้นะ ”

หมัวเฮอโยวเผยรอยยิ้มบางตอกกลับ “เผ่าหมัวเฮอของข้าปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มานาน นี่ถือเป็นสมบัติของเผ่าแล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เราจะทำอะไรเพื่อครอบครองมัน”

มู่เฉินส่ายหัวแสดงความคิดเห็น “เทพจักรพรรดินิรันดร์คงจะสงสัยในตัวเองที่เลือกพวกเจ้าเป็นผู้ดูแล”

หมัวเฮอโยวพูดเสียงราบเรียบ “ตราบใดที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ไม่สามารถเอาคืนได้”

เขามองไปที่มู่เฉินพูดต่อ “มู่เฉินถ้าเจ้ายอมสละร่างมหาเทพนิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอจะชดเชยให้”

“แต่นี่ไม่ใช่เพราะพวกข้าไม่มั่นใจ แต่ข้าแค่จะบอกเจ้าว่าเผ่าหมัวเฮอจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องร่างมหาเทพนิรันดร์ได้…”

“เจ้าว่ายังไงล่ะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหมัวเฮอโยว ดวงตาของมู่เฉินก็วูบไหวแรงกล้าขณะที่โบกมือ กำไลเฉียนคุนบินไปหาหญิงสาวที่อยู่ใต้กำแพงผลึกแก้ว “หนึ่งพันล้านหยด ข้าเดิมพันตัวเอง”

ภายใต้สายตาตะลึงโดยรอบ มู่เฉินไม่สนใจหมัวเฮอโยวสักนิดขณะเดินจากไป

หมัวเฮอโยวมองภาพเงาที่กำลังจากไปของมู่เฉินอย่างไม่แยแสก็ส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่มารดาเจ้า ข้าจะมาเสวนากับเจ้าทำไม… ช่างเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

“แต่ในเมื่อแกร้องหาความตาย ข้าก็ทำได้เพียงเติมเต็มความปรารถนาให้”

เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น

ลำแสงพร่างพราวสองสายก็พุ่งออกมาจากดวงตา ทะลุผ่านภูเขาหนาทึบยิงออกไปไกล

คลื่นหลิงที่เชี่ยวกรากกวาดหายนะไปทั่วถ้ำ ทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังจะถล่มลง

ความปั่นป่วนนี้กินเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง ความแวววาวในดวงตาของมู่เฉินก็อ่อนกำลังจนกลับมาเป็นปกติ ทว่าดวงตาของเขากลับดูลึกเกินหยั่ง

เมื่อมองไปที่กำไลเฉียนคุนทั้งสองวงมู่เฉินก็ส่ายหัว เขายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้

แม้จะมีการเตรียมการและใช้เจดีย์พุทธะ แต่ก็ยังค่อนข้างเคี่ยวกรำสำหรับเขาที่จะดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดภายในสี่เดือน

แต่โชคดีที่มันถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายทั้งหมดแล้ว ตอนนี้คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อแล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป

เมื่อไรที่หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้

“คงอีกไม่นาน”

มู่เฉินรู้สึกได้ว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นาน ทว่าเขาไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ในสมาธิเงียบสงบ เนื่องจากเขาจะพลาดงานชุมนุมนิรันดร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้

“ค่อยไปฝึกฝนระหว่างเดินทางแล้วกัน”

มู่เฉินปลอบใจตัวเองแล้วไปปรากฏตัวบนยอดเขา ก่อนที่เขาจะเห็นเงาร่างสองร่างเข้ามาในทิศทางของเขา คนแรกคือจิ่วโยว ส่วนคนที่สองเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วง เรือนผมของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าที่งดงามคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมีประกายแวววาวจางๆ ทว่านางมีสีหน้าเย็นชาและม่านตาสีทองคำคู่หนึ่งที่สะท้อนความลึกลับ

“มั่นถัวหลัว?” มู่เฉินอุทานขณะมองไปที่หญิงสาว

ในอดีตร่างของมั่นถัวหลัวเป็นเด็กสาวตัวเล็กจ้อย แต่ตอนนี้นางกลายเป็นหญิงสาวและจากความผันผวนที่อาบไล้บนตัวนาง ชัดว่านางบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จแล้ว

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินกล่าวว่า “เผ่าแมนดาลาของข้า แต่ไหนแต่ไรก็มีช่วงเวลาการเติบโตที่ยาวนาน ดังนั้นข้าจึงผ่านช่วงวัยเด็กได้หลังจากบรรลุขั้นเทียนจื้อจุน”

มู่เฉินพยักหน้า พยายามกลั้นเสียงหัวเราะไว้ “ก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าคนดูแลตำหนักมู่ของเราเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ”

“เจ้ากำลังเยาะเย้ยรูปร่างก่อนหน้าของข้าเรอะ?” มั่นถัวหลัวหรี่ตา

“ไม่กล้า ไม่กล้า” มู่เฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนกับมั่นถัวหลัว ถ้านางโมโหขึ้นมาตำหนักมู่คงจะอยู่ในความโกลาหลแน่

มั่นถัวหลัวเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับเบนหน้าเหม็นเบื่อหนีจากมู่เฉิน

“ช่วงนี้ความสนใจของมหาพันภพไปอยู่ที่เผ่าหมัวเฮอหมดแล้ว” จิ่วโยวกล่าว

มู่เฉินท่าทางเคร่งเครียดพลางพยักหน้า “เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ไง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน”

นั่นเป็นหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะให้ความสนใจ มากจนแม้แต่ความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังจดจ่ออยู่ที่สิ่งนี้

“เอ้านี่” จิ่วโยวหยิบม้วนกระดาษออกมาส่งให้มู่เฉิน “นี่คือทำเนียบยอดนิยมของผู้ท้าชิงร่างมหาเทพปฐมกาล ข่าวพวกนี้เจ้าควรรู้ไว้ จะได้เตรียมตัวถูก”

“โอ้?”

มู่เฉินเปิดม้วนกระดาษด้วยความสนใจ ชื่อคุ้นเคยผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตาเขาตั้งแต่บรรทัดแรก

อันดับหนึ่ง เผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอโยว ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดและเป็นน้องชายของประมุขหมัวเฮอเทียน นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่เขาจะบรรลุขั้นเซิ่งเป็นคนต่อไปของเผ่า…

“เจ้านั่น…” มู่เฉินหรี่ตา หมัวเฮอโยวสมกับเป็นจอมยุทธ์แท้จริง ตราบใดที่เขาไม่ได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็แทบไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ ไม่แปลกที่เขาจะอยู่อันดับหนึ่ง

แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คิดที่จะต่อสู้กับหมัวเฮอโยวก่อนที่จะไปถึงขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย

อันดับสอง หอกอสุรา—เยี่ยฉิง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย”

“เยี่ยฉิง…” เมื่อมองไปที่ชื่อนี้มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พัดมาปะทะใบหน้า

“เขาเป็นประมุขอันดับสองของหอทะเลตะว้นตก ใช้หอกอสุรากวาดล้างศัตรูที่ขวางหน้า มีข่าวลือว่าเขาผ่านการต่อสู้มาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเพื่อฝึกฝนตัวเอง เขาดุดันประหนึ่งอสูรสงคราม ชื่อเสียงโด่งดังไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัวเฮอโยวเลย” จิ่วโยวถอนหายใจ

มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่อันดับต่อไป

อันดับสาม 3 ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว ผู้พิทักษ์ใหญ่ของขุมกำลังยอดวิญญาณ ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย

ขุมกำลังยอดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพเช่นกัน ว่ากันว่าจอมยุทธ์ทุกคนที่นั่นให้ความสำคัญกับการฝึกฝนร่างกาย ดังนั้นซื่อหลัวในฐานะการเป็นผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ธรรมดาแน่

อันดับสี่ ดาบเทวะ—ทั่วป๋าชาง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย เขาท่องยุทธภพไปทั่วโดยอาศัยดาบประจำตัวและเคยล้างบางสำนักด้วยดาบของเขามาแล้ว

“ไม่มีใครธรรมดาเลย”

เมื่อดูรายชื่อทั้งสี่คน มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอยู่กี่ตัวในโลก ในสี่อันดับแรกเขาเคยได้ยินแต่ชื่อหมัวเฮอโยว อีกสามคนไม่มีข้อมูลเลย แต่ใครจะคิดว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้

เมื่อนึกถึงคู่แข่งเหล่านี้สำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดัน

ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว ดวงตาเขากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟ แม้แต่เลือดในร่างกายของเขาก็เริ่มเดือดพล่าน ในเส้นทางของยอดยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความมานะพยายามและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการต่อสู้กับคนที่ทรงพลัง…

มู่เฉินนึกคิดไปครู่ก่อนจะมองไปที่รายชื่อต่อพลางอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา

อันดับที่ห้าประมุขตำหนักมู่—มู่เฉิน ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ครั้งหนึ่งเคยไปสร้างวีรกรรมในเฝ่าฝูถู เอาชนะหวงเฉวียนจือที่สระยกเทพ ล่าสุดก็จัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนด้วยตัวคนเดียวเพื่อครอบครองทวีปเทียนหลัว

“รู้สึกหดหู่ใจไหมที่ได้อันดับห้า? ดูเหมือนหลายคนจะคิดว่าเจ้าอ่อนแอกว่าสี่อันดับแรกนะ” มั่นถัวหลัวกอดอกเอ่ยหยอกล้อ

มู่เฉินยิ้มอย่างสบายๆ “พวกเขาทั้งสี่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองมานานแล้วและทั้งหมดยังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายอีกด้วย ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงลดลงตามธรรมชาติเมื่อเทียบกันในห้าคน”

หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็พูดต่อ “แต่ใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ต้องลองมาสู้กันก่อน”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาทำงานหนักเพื่อตามหาร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าการแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้หรอก

มู่เฉินเก็บม้วนกระดาษไม่ได้สนใจมองเพิ่มเติม ในมุมมองของเขาภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก็คือสี่อันดับแรก

“ข้าจะไปแล้วนะ”

มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวัน ดังนั้นเขาต้องออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องตลกร้ายหากเขาไปไม่ทันทั้งที่รอวันนี้มานานแสนนาน

“ต้องรบกวนพวกเจ้าสองคนเรื่องตำหนักมู่ด้วย”

แม้ว่าขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวจะยอมสวามิภักดิ์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตำหนักมู่ ซึ่งนี่ทำให้เกิดการปะทะกันแน่ ดังนั้นจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจึงต้องอยู่เพื่อจัดการ

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมอบตำหนักมู่พร้อมกับควบคุมทวีปเทียนหลัวให้กับเจ้าแบบเป็นระบบสมบูรณ์เมื่อเจ้ากลับมา” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความมั่นใจ

ในเมื่อหินขวางทางที่ใหญ่ที่สุดถูกมู่เฉินเตะออกไปแล้ว มั่นถัวหลัวก็มั่นใจว่าตนเองจะแก้ไขปัญหาที่เหลือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้

มู่เฉินคลี่รอยยิ้มไม่ได้อยู่อีกต่อไป ร่างกลายเป็นริ้วแสงหายไป

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็มีร่องรอยของความกังวลบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าครั้งนี้มู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่…”

นางรับรู้เสมอว่ามู่เฉินใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์

หลังจากไตร่ตรองครู่มั่นถัวหลัวก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นี่น่าจะเป็นศึกที่ยากที่สุดในชีวิตของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถผ่านไปได้ ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ส่วนจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว”

จิ่วโยวพยักหน้าได้แต่ภาวนาในใจ แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สี่อันดับแรกก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาดุร้ายยิ่งกว่าหวงเฉวียนจือเสียอีก

 

เมื่อเวลาผ่านไป

บรรยากาศในมหาพันภพก็ร้อนระอุจากงานชุมนุมนิรันดร์ ขั้วอำนาจต่างๆ เริ่มมารวมกันที่เผ่าหมัวเฮอ เนื่องจากมีข่าวลือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ได้แสดงปฏิกิริยาจะเลือกผู้ครอบครองแล้ว

เมื่อข่าวลือสะพัดออกไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หรือว่าในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกเจ้านายหลังจากผ่านไปหมื่นปี?

หากร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านาย ก็จะมีเทพจอมยุทธ์ถือกำเนิดในมหาพันภพอีกครั้ง…

ดังนั้นภายใต้ข่าวลือที่กระจายไปทั่ว เผ่าหมัวเฮอจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน

ภายใต้บรรยากาศนี้มู่เฉินก็มาถึงเผ่าหมัวเฮอในทวีปหมัวเฮอในอีกเจ็ดวันต่อมา…

เมื่อศึกในเมืองเทียนหลัวสิ้นสุดลง

ทวีปเทียนหลัวทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน ทุกขั้วอำนาจรู้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่ก็คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปนี้ เมื่อมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมู่เฉิน ตำหนักมู่ก็มีคุณสมบัติที่จะปกครองทวีปได้แล้ว

คราวนี้ไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์ตำหนักมู่ได้อีกแล้ว

ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในทวีปเทียนหลัวจึงรีบไปที่ตำหนักมู่หลังจากการต่อสู้จบลง เพื่อแสดงความเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์และแย่งชิงผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด

ทว่าพื้นที่ของทวีปกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ ในหลายๆ พื้นที่ยังต้องให้ขั้วอำนาจเดิมรักษาเสถียรภาพไว้

 

กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล

มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาพลางมองไปที่ภูเขาที่ห่างไกลซึ่งกำลังแผ่ซ่านความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

ขณะนี้มั่นถัวหลัวปลีกตัวเข้าสมาธิบนภูเขาแห่งนั้น หลังจากได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณเพื่อพยายามที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนให้จงได้

ฟิ้ว!

เสียงลมฉีกอากาศดังก้อง ร่างของจิ่วโยวก็ปรากฏขึ้นข้างๆ มู่เฉิน นางสวมเสื้อผ้าที่ราวกับเกล็ดงูสีดำซึ่งเผยส่วนโค้งที่น่าประทับใจ

“ที่สำนักเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินหันมาและยิ้มให้จิ่วโยว

จิ่วโยวเหลือบสายตามองอย่างไม่พอใจ ช่วงนี้มั่นถัวหลัวเข้าสู่สมาธิ ส่วนมู่เฉินก็มาซ่อนตัวอยู่ในวังโบราณ ทิ้งทุกอย่างให้นางจัดการ

“ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปเทียนหลัวต่างมุ่งหน้ามาสวามิภักดิ์ เรื่องรายละเอียดในการจัดการ รอให้มั่นถัวหลัวออกมาก่อนค่อยตัดสินใจ” จิ่วโยวตอบ

มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้เนื่องจากนี่เป็นเผือกร้อน หากเขาให้อิสระกับคนเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของตำหนักมู่อ่อนแอลง ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะให้มั่นถัวหลัวเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้

“จำนวนจอมยุทธ์ที่ขอเข้าร่วมตำหนักมู่ก็เพิ่มขึ้นและคุณภาพก็ค่อนข้างดี แค่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็มีถึงหกคนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”

จอมยุทธ์ระดับนี้มักจะเป็นเสาหลักในขั้วอำนาจต่างๆ เนื่องจากพลังพวกเขาจะเกื้อหนุนสำนักหากพวกเขาบรรลุระดับเทียนยจื้อจุนได้

“ตรวจสอบภูมิหลังให้ดี” มู่เฉินบอก แม้ว่าพวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังต้องพิจารณาภูมิหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากมักมีคนที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อทรัพยากรในการฝึกฝน

จิ่วโยวพยักหน้า

“ห้าเดือนต่อจากนี้ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝน ดังนั้นต้องพึ่งพาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่” มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ เขาพาตัวองค์หญิงมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ สุดท้ายนางก็กลายเป็นเบ๊ของเขา

จิ่วโยวบึนริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางรู้ดีว่านอกจากมู่เฉินแล้วตอนนี้ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถควบคุมตำหนักมู่ได้ นอกจากนี้นางยังรู้ว่าเป้าหมายของมู่เฉินในการฝึกฝนครั้งนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการไปงานชุมนุมนิรันดร์

นี่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ ตอนนี้เขาได้พัฒนาร่างเทพสุริยะเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรัดร์ เขาสามารถเติมเต็มความฝันได้ตราบใดที่คว้าขั้นตอนสุดท้ายได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มา

ดังนั้นมู่เฉินต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุด เขารู้ดีว่าทุกคนที่สามารถฝึกฝนร่างเทหสุริยะนิรันดร์ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในมหาพันภพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่งานง่ายที่เขาจะเอาชนะพวกเขาและได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์

“ไม่ต้องกังวล เจ้าเข้าสมาธิให้เต็มที่เลย ข้าจะจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่เอง” จิ่วโยวพยักหน้า มู่เฉินเป็นเสาหลักของตำหนักมู่และสำนักจะสามารถยืนหยัดมั่นคงในมหาพันภพได้หากเขาทรงพลังยิ่งๆ ขึ้นไป

มู่เฉินพยักหน้าส่งกำไลเฉียนคุนให้กับจิ่วโยววงหนึ่ง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยด น่าจะเพียงพอสำหรับการพัฒนาในช่วงนี้”

ของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดเป็นสิ่งที่เขาไถมาจากประมุขทั้งห้า ส่วนอีกหมื่นล้านหยดมู่เฉินคิดจะใช้สำหรับการเพาะบ่มครั้งนี้ เขาตั้งใจจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายภายในห้าเดือน ดังนั้นเขาจึงต้องการของเหลวนี้จำนวนมาก มิฉะนั้นจะเป็นไปไม่ได้ต่อให้เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็ตาม

จิ่วโยวรับมาไม่อิดออด เนื่องจากตำหนักมู่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วต้องการของเหลวจื้อจุนมากจริงๆ

หลังจากสนทนากันสั้นๆ จิ่วโยวก็ออกไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องมีคนดูแลในตอนนี้

จ้องมองแผ่นหลังของจิ่วโยวที่หายลับ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนไปทางทะเลสาบสวรรค์ ซึ่งมีภาพเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากกำลังบ่มเพาะอยู่บนแท่นฝึกรอบๆ

ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาห่อหุ้มร่างเงาหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบอุทานออกมา ภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคน ภาพเงาอ่อนเยาว์นั้นก็หายไป

ชัดว่าผู้ที่มีพรสวรรค์คนนี้ถูกหอคัมภีร์เทพซ่อนเลือกไป ซึ่งเป็นโอกาสที่หายากสำหรับสมาชิกทุกคนในตำหนักมู่

เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ตำหนักมู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นเสาหลักต่อไป

เขาถอนหายใจตำหนักมู่มาไกลขนาดนี้โดยที่เขาไม่รู้…

เด็กหนุ่มที่ก้าวออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชางได้กลายเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวในตอนนี้แล้ว

มู่เฉินก้มศีรษะหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะสงบใจกลายร่างเป็นริ้วแสงร่อนลงบนภูเขาที่อยู่เบื้องล่าง มีถ้ำที่ขุดขึ้นเพื่อการฝึกฝน

มู่เฉินนั่งลงบนแท่นหินสีฟ้าอมเขียว ปลายนิ้วแตะไปที่กำไลเฉียนคุนสองวง กระแสน้ำของเหลวจื้อจุนไหลเวียนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมังกรมหึมาขดอยู่ในถ้ำ

นอกจากนี้ยังมีเส้นสายบนผนัง ซึ่งก่อเป็นค่ายกลคลุมเครือ

นี่คือค่ายกลบรรจบจิตที่มีวิธีในการบีบอัดคลื่นหลิง ดังนั้นเมื่อของเหลวจื้อจุนไหลผ่านก็ถูกกลั่นออกมาผ่านทางค่ายกลและควบแน่นมากขึ้น เหมือนจะเห็นผลึกอยู่ภายในด้วย…

ของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดเป็นจำนวนมหาศาล หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา พวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายปีในการดูดซับ ดังนั้นมู่เฉินจึงเตรียมการเพื่อเร่งอัตราการดูดกลืนของเขา

ทว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอ…

มู่เฉินวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงก็ลุกโชนขึ้นบนศีรษะเขา เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือหัวของมู่เฉิน

เพื่อดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดในห้าเดือน เจดีย์พุทธะของเขาจะมีบทบาทสำคัญเนื่องจากสามารถช่วยในกระบวนการชำระได้

หลังจากเตรียมการเรียบร้อย มู่เฉินก็ค่อยๆ หลับตาลงและแม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ช้าลงเงียบๆ เขาเหมือนกับไต้ซือเฒ่าทำสมาธิ

ฟู่ ฟู่

มวลลมกู่ร้องก้องถ้ำ ขณะที่ของเหลวจื้อจุนเทลงในเจดีย์พุทธะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เจดีย์เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นหลุมไร้ก้นบึ้งที่กลืนกินไม่รู้จบ

ในเวลาเดียวกันรัศมีก็เปล่งประกายออกมาจากฐานเจดีย์ ขณะที่เกล็ดผลึกโปรยปรายใส่มู่เฉิน แม้ว่าเกล็ดผลึกเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นคลื่นหลิงที่ได้รับการกลั่นอย่างยอดเยี่ยม…

เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมาก็ละลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับผิวหนังของมู่เฉิน

เลือดของมู่เฉินเดือดพล่านในกระบวนการนี้ ทั่วสรรพางค์กายกลืนกินเกล็ดผลึก…

พายุโหมกระหน่ำภายในถ้ำ เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมามากขึ้นผิวของมู่เฉินก็เปล่งรัศมีออกมา ทำให้ดูราวกับอัญมณี

 

ในช่วงเวลาหลายเดือนต่อมา

มู่เฉินก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ปิดกั้นข่าวสารภายนอกทั้งหมด

ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิเงียบ มหาพันภพก็เริ่มร้อนระอุกับข่าวชุมนุมนิรันดร์ที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า

นี่แตกต่างจากงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู ชุมนุมนิรันดร์เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาในมหาพันภพเนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง

ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลซึ่งอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ทุกคนรู้ดีว่าร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าไม่ได้แยกตามระดับ แต่มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงควรจัดอันดับร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามร่างมหาเทพนิรันดร์มีชื่อเสียงมากกว่า เนื่องจากได้สร้างจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ เทพจักรพรรดินิรันดร์ที่เป็นผู้ฝึกฝนสุดยอดร่างเทห์สวรรค์นี้

ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยกับพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์

ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็น้ำลายไหลกับสุดยอดร่างเช่นนี้ ทว่าตามกฎของชุมนุมนิรันดร์ระบุไว้ว่ามีเพียงผู้ที่สร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติและสามารถเข้าร่วมได้ครั้งเดียวในชีวิต

แม้ว่าข้อกำหนดจะเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางชุมนุมนิรันดร์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ เนื่องจากทุกคนต้องการรู้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกเป็นของใคร…

ดังนั้นเมื่องานชุมนุมใกล้เข้ามา ความสนใจของจอมยุทธ์ทั่วมหาพันภพก็มุ่งเน้นไปที่เผ่าหมัวเฮอ

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป

พริบตาสี่เดือนก็ผ่านไปแล้ว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวันข้างหน้า…

ทว่าเวลานี้เองกำไลเฉียนคุนทั้งสองในถ้ำก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้พลัง ชัดว่าของเหลวจื้อจุนหมดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

เคร้ง

เมื่อได้ยินเสียงกำไลตกกระทบบนพื้นดังก้อง มู่เฉินที่สัมผัสได้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เมื่อกรงเล็บสีทองปะทะกับตราประทับผี

แววไม่เชื่อก็วูบไหวในดวงตาของกุ่ยตี้พร้อมกับความหวาดผวาสุดขีด

“พลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!”

กุ่ยตี้อุทาน เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่มีอยู่ในหมัดของมู่เฉินมาถึงระดับนี้แล้ว

แม้ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะสามารถใช้วิญญาณสงครามเพื่อต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ แต่ก็เป็นรัศมีจั้นยี่ซึ่งไม่ใช่พลังของเขา ดังนั้นขุมพลังของมู่เฉินยังคงอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น

แต่ในขณะนี้หมัดของมู่เฉินมีพลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน

นี่ทำให้กุ่ยตี้รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออย่างยิ่ง เพราะในการรับรู้ของเขา มู่เฉินยังอยู่ในขั้นหลิง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด พลังของแขนข้างขวาถึงอยู่ในขั้นเซียน

ตู้ม!

อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้มากอีกแล้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเสียงคำรามรุนแรงจากจุดปะทะพร้อมกับแรงระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำให้ตราประทับผีแตกออก

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก แค่มู่เฉินที่มีขุมพลังขั้นหลิงก็ยากที่จะรับมือแล้ว หากมู่เฉินมีความแข็งแกร่งของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว

ดังนั้นเขาจึงถอยกลับโดยไม่ลังเล ตราประทับในมือเปลี่ยนไป ตราประทับผีระเบิดออกพร้อมกับความเย็นเยือกไร้ขอบเขตขณะที่กวาดใส่มู่เฉิน

โฮก!

แต่ก่อนที่รัศมีเยือกเย็นจะปกคลุมมู่เฉิน เสียงมังกรทองก็คำรามดังก้องพร้อมกับแสงสีทอง รัศมีเยือกเย็นที่สัมผัสสลายหายไปทันที

วาบ!

ปีกหงส์ฟ้าด้านหลังมู่เฉินกระพือวูบไหว เขาก็ไปปรากฏตัวเบื้องหน้ากุ่ยตี้เหวี่ยงกำปั้นออกไป มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดพุ่งเข้าไปกระแทกหน้าอกของกุ่ยตี้ ภายใต้สายตาหวาดกลัวของเขา

ตึง!

เสียงระเบิดดังก้อง กุ่ยตี้ร้องโหยหวนออกมา แสงสีทองระเบิดออกมาจากหน้าอกทำลายการป้องกันทั้งหมดลง กระทั่งร่างกายของเขาก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

เลือดตกลงมาจากท้องฟ้า กุ่ยตี้ก็คล้ายกับนกปีกหัก ร่วงหล่นลงมาก่อนที่จะกระแทกกับจัตุรัสหยก พื้นสั่นสะเทือนด้วยคลื่นกระแทกแผ่ออกทำลายจัตุรัสนี้…

ทันใดนั้นทั่วเมืองก็ตกอยู่ในความเงียบ

ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดกับฉากที่เกิดขึ้น พวกเขามองร่างเงาอ่อนเยาว์บนท้องฟ้าด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในใจ

“ทรงพลังเกินไปแล้ว…” ทุกคนถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน ขณะนี้แม้แต่พวกเขาก็ถูกข่มเต็มที่จากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา

ตัวคนเดียวสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้

แม้กระทั่งในมหาพันภพความสำเร็จนี้ก็ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือน…

ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าด้วยการดำรงอยู่ในทวีปเทียนหลัวไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์มู่เฉินและสถานะของ ตำหนักมู่ได้

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปเทียนหลัว

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประมุขมู่ที่น่าสะพรึงกลัว…

เมื่อรัศมีจั้นยี่สลายไปในท้องฟ้า นักรบมังกรดำก็พุ่งกลับไปพักในแหวนของมู่เฉิน ตัวเขาถอนปีกหงส์ฟ้าออก จากนั้นก็ก้มลงมองทุกคนที่อยู่รอบๆ ด้วยดวงตานิ่งสงบ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำหนักมู่จะปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ทุกคนจงสวามิภักดิ์ มิฉะนั้นก็ออกจากทวีปไป” เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกมา

แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบเรียบ แต่ก็มีความเผด็จการที่ไม่อาจโต้แย้งได้

เขารู้ว่าตำหนักมู่ไม่จำเป็นต้องปกปิดพลังอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือเปลี่ยนทวีปเทียนหลัวให้อยู่ใต้การปกครองของตำหนักมู่

ด้วยมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะสามารถขยายอิทธิพลได้อย่างรวดเร็วและเข้าสู่ขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพ

เสียงของมู่เฉินทำให้เกิดความปั่นป่วน ทุกคนแสดงออกอย่างซับซ้อน ตอนแรกพวกเขาดำรงตำแหน่งระดับสูงในทวีปเทียนหลัว แต่ตอนนี้มีคนที่อยู่เหนือพวกเขาแล้ว

แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามเนื่องจากทั้งห้าคนที่มีคุณสมบัติต่างพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน

ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ทุกคนก็ประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับเปล่งเสียงดังก้องไปทั่วเมือง

“คารวะท่านประมุข”

เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ก็คล้อยตามด้วยอารมณ์และความภาคภูมิใจ ภายใต้การนำของมู่เฉิน พวกเขาจะก้าวมายืนบนจุดสูงสุดของมหาพันภพในที่สุด

มู่เฉินพยักหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งห้าในจัตุรัส “เลิกมุดได้แล้ว จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ตายง่ายๆ หรอก”

พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน แสงห้าสายก็พุ่งออกมาแล้วลอยบนอากาศด้วยสภาพน่าสมเพช

ยามนี้ทั้งห้าคนร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก

พวกเขาเกิดความหวาดกลัวในดวงตาเมื่อมองไปที่มู่เฉิน แม้แต่กุ่ยตี้ก็ยังนิ่งเงียบด้วยความกลัว

พวกเขาสูญเสียความมั่นใจอย่างสิ้นเชิงในการต่อสู้ครั้งนี้

“มู่เฉิน แกชนะแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกข้าจะไม่เอามือแตะทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป” จื่อเหลยกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว

มู่เฉินยิ้ม “ถ้าเจ้าจุ่มมือลงมา ข้าจะสับมันออก”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน พวกเขาทั้งห้าก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก แต่ก็ไม่สามารถหักล้างได้ เพราะผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์เปิดปาก

“ตอนนี้มาพูดเรื่องค่าชดเชยกันหน่อยเถอะ” มู่เฉินกล่าวช้าๆ

พอได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของกุ่ยตี้ก็ดิ่งลง “แกต้องการอะไรอีก?”

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาขณะที่ตอบ “ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้าไปแบบง่ายๆ ทุกคนก็คงมาท้าทายข้าทุกครั้งที่ต้องการ คิดว่าข้าอารมณ์ดีนักเหรอ?”

จื่อเหลยกัดฟันตะเบ็งเสียง “อย่าให้เกินไป แม้แกจะชนะ แต่เราก็ไม่ได้จัดการง่ายๆ ถ้าแกบังคับกันเกินไป ถึงจะต้องตายข้าก็จะลากแกไปด้วย!”

มู่เฉินยิ้ม “ถ้าพวกเจ้ามีความกล้าเท่าลมปากก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรอก”

หากทั้งห้าทำลายตนเองกระทั่งเขาก็ถูกคุกคาม แต่ใครก็ตามที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้มักจะหวงแหนชีวิต เขาไม่เชื่อว่าทั้งห้าคนนี้กล้าหาญพอ

ใบหน้าของทั้งห้าเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายเสียงก็อ่อนลง “เจ้าต้องการอะไร?”

“ง่ายมากค่าชดเชยเป็นของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดจากแต่ละคน” มู่เฉินตอบ ตำหนักมู่เตรียมเข้าครอบครองทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเขาต้องการของเหลวจื้อจุนเป็นเงินทุน

“อะไรนะ?!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ใบหน้าทั้งห้าก็กระตุก นี่เป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเก็บบรรณาการเป็นเวลาสิบปีเลยนะ

ท้ายที่สุดถึงแต่ละคนจะผู้ใต้บังคับบัญชามาก ค่าใช้จ่ายก็มากเป็นเงาตามตัว เช่นตำหนักมู่ที่มีผลเก็บเกี่ยวของเหลวจื้อจุนมากกว่าพันล้านหยดต่อปี แต่พวกเขาจะเหลือเพียงต้อยติ่งหลังจากจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ใบหน้าของกุ่ยตี้เขียวคล้ำขณะพูดว่า “ประมุขมู่เลิกล้อเล่นเถอะ ถ้าเราเอาเงินจำนวนนั้นออกมา ผู้ใต้บังคับบัญชาคงแตกฉานซ่านเซ็นแน่”

หากปราศจากของเหลวจื้อจุน พวกเขาก็ไม่สามารถกุมหัวใจคนของตนแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ตาม

“ถ้างั้นก็ห้าพันล้าน” มู่เฉินยิ้มสายตาเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกทีละน้อย “ถ้าเจ้ายังไม่สามารถนำออกมาได้ ก็ทำลายตัวเองซะเลย”

ทั้งห้าชะงักไป ชัดว่าแทบโกรธจะเป็นบ้า

“กุ่ยตี้ไม่ต้องจ่าย…” คำพูดของมู่เฉินทำให้กุ่ยตี้เกือบร้องไชโยออกมา หรือว่าชายคนนี้ยำเกรงเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง?

“เอากระจกรวมเทพโบราณมา”

ทว่าเมื่อประโยคส่วนหลังของมู่เฉินเปล่งออกมาก็ทำให้กุ่ยตี้สะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด

“แก!” กุ่ยตี้โกรธเกรี้ยว ราคาของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดอีกนะ

“ถ้าไม่เต็มใจ ข้าจะไปล้วงคอออกมาเอง” ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่คลื่นหลิงพวยพุ่งขึ้นรอบตัว

ใบหน้าของกุ่ยตี้เปลี่ยนไม่หยุด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกลืนความโกรธ สะบัดแขนเสื้อโยนลำแสงสีเทาออกมา

เมื่อมู่เฉินรับไปก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เมื่อเห็นกุ่ยตี้ยอมแพ้ อีกสี่คนก็ไม่กล้าหืออือ สามคนโยนกำไลเฉียนคุนออกมา

เมื่อได้รับมู่เฉินก็ทำการตรวจสอบก่อนที่จะพยักหน้า จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปยังคนสุดท้าย…ตันหยาง อีกฝ่ายกำลังสวมสีหน้าขมขื่น เมื่อไม่นานมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับขั้วอำนาจของเขา เขาจึงใช้ของเหลวจื้อจุนไปไม่น้อยในการจัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจ่ายราคาจำนวนนั้นได้

เมื่อเห็นว่าตันหยางยืนทื่อมะลื่อ ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นเยือกลง

ครั้นมองไปที่สายตาคมกริบของมู่เฉิน ตันหยางก็ได้แต่ฝืนพูดขึ้นมาว่า “ข้าจ่ายเป็นสมบัติแทนได้หรือไม่?”

“สมบัติอะไร?” มู่เฉินถามโดยไม่มีความสนใจใดๆ

หลังจากลังเลชั่วครู่ตันหยางก็เอ่ยปาก “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณซึ่งอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”

ขณะที่พูดก็เหลือบมองมั่นถัวหลัว เขารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวแสดงริ้วความตื่นเต้น เนื่องจากนางติดอยู่ในคอขวดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หากนางได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน นางก็จะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้

แต่ดอกแมนดาลาโบราณหายากเหลือเกิน นางไม่เคยได้ยินข่าวใดมาก่อนเลย ไม่คิดว่าตันหยางจะมีอยู่ในครอบครอง

ทว่าตันหยางก็ยังค่อนข้างไม่แน่ใจเล็กน้อย เนื่องจากราคาที่แท้จริงของซากดอกไม้นี้อยู่ที่ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันกว่าล้านหยดเท่านั้น

แต่เขาไม่คิดว่าแววตาเย็นชาของมู่เฉินจะลดลงพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ “งั้นข้าจะรับของนี้แทนการชำระเงินของเจ้า”

เขารู้โดยธรรมชาติว่ามูลค่าของซากดอกไม้ไม่ใช่ห้าพันล้าน แต่ก็คุ้มค่าเนื่องจากมั่นถัวหลัวสามารถใช้ในการบรรลุขุมพลังได้

ตั้งแต่เขามาอยู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์มั่นถัวหลัวก็ช่วยเหลือเขามามาก มิหนำซ้ำยังช่วยเขาก่อตั้งตำหนักมู่ งานเล็กงานใหญ่ก็ทำให้ไม่ขาด ดังนั้นเขาไม่ลังเลเลยที่จะช่วยศิษย์พี่คนนี้

ตันหยางไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับง่ายขนาดนี้ เขาดีใจรีบโยนขวดหยกไปให้มู่เฉินทันที ในขวดเต็มไปด้วยของเหลวแช่ดอกไม้ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเอิบอาบไปด้วยความผันผวนที่ผิดปกติ

“ซากดอกไม้แมนดาลาโบราณจริงด้วย…”

มู่เฉินกวาดมองก่อนที่จะสะบัดมือส่งต่อไปให้มั่นถัวหลัว เมื่อนางรับไว้สายตาที่มองมู่เฉินก็มีแววอบอุ่นผุดขึ้น

“เอาล่ะจ่ายหนี้เสร็จแล้ว พวกเจ้าไปซะ” มู่เฉินตบมือพลางยิ้มตาหยีให้ทั้งห้า

ประมุขทั้งห้าถอนหายใจออกมาด้วยไม่เหลือหน้าที่จะอยู่ได้จนต้องรีบจากไป

เมื่อพวกเขาไปแล้ว ชายชุดขาวดำบนศาลาในเมืองเทียนหลัวก็มองตามไปอย่างเย็นชา ถ้ามู่เฉินเห็นคนคนนี้ก็จะจำได้ว่าเขาก็คือหมัวเฮอโยวซึ่งเคยได้พบกันในช่วงสั้นๆ ที่เผ่าฝูถู

“ไอ้ขยะห้ากองเอ้ย!”

หมัวเฮอโยวชกไปที่กำแพง รอยแตกแผ่กระจายออกไปพร้อมกับความเย็นชาในดวงตา เขาคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังประมุขทั้งห้าที่ต่อสู้กับมู่เฉิน มิหนำซ้ำยังมอบอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนให้กับกุ่ยตี้เพื่อประกันความสำเร็จ แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายทั้งห้าก็ยังแพ้ให้มู่เฉิน ที่ยิ่งกว่าคืออาวุธนั่นยังตกไปอยู่ในมือมันอีกด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไม่โกรธได้ยังไง?

“หืม?”

เมื่ออารมณ์ของหมัวเฮอโยวกำลังแปรปรวน มู่เฉินก็สัมผัสได้ สายตาเขาจับจ้องมาที่หมัวเฮอโยวทันที

“แกเองสินะที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง” ทันใดนั้นแววตาของมู่เฉินก็เย็นชา

หมัวเฮอโยวสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน คลื่นหลิงที่น่ากลัวก็พลุ่งพล่านรอบตัวเขา

“คุณชายจัดการมันเลยไหมขอรับ?” ร่างเงาสีดำสองร่างปรากฏขึ้นด้านหลังหมัวเฮอโยว กล่าวขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ

ดวงตาของหมัวเฮอโยวกะพริบสั้นๆ ก่อนที่จะดึงคลื่นหลิงกลับพลางส่ายหัว “ชิงเหยี่ยนจิ้งแล่นมาแน่ถ้าเราเคลื่อนไหว”

“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจมันแล้ว ครั้งนี้ที่วางแผนจัดการก็เพราะทางเผ่าต้องการความมั่นใจ มันอาจจะมีความสามารถ แต่ไม่เป็นภัยคุกคามในสายตาข้า ถ้ามันกล้าเข้าร่วมชุมนุมนิรันดร์ ข้าจะซัดให้มันพิการไปเลย ถึงเวลานั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยุ่งไม่ได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เงาทั้งสองก็หายไป

หมัวเฮอโยวจ้องมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาใส่กัน

หมัวเฮอโยวเหยียดมือออกไปในทิศทางของมู่เฉินจากนั้นก็กำมือแน่น รอยยิ้มเย็นชาปรากฎบนใบหน้า เสียงส่งไปยังโสตประสาทของอีกฝ่าย

“ถ้าแกกล้ามาที่งานชุมนุม ข้าจะทำให้แกง่อยไปเลย!”

หมัวเฮอโยวหายตัวไปหลังจากแสยะรอยยิ้มน่ากลัว

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวด้วยใบหน้านิ่งสงบพลางกำมือแน่น

“หมัวเฮอโยว…ไม่ต้องกังวล ข้าไปรับร่างมหาเทพนิรัดร์ถึงบ้านแกแน่นอน!”

ตู้ม!

ครั้นมังกรคำราม ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายก็วูบไหว แรงกดดันที่กำจายออกมาทำให้ทุกคนหวาดกลัว

ภายใต้สายตาหวาดกลัวเหล่านั้น มังกรก็ปะทะกับลำแสงสีเงิน…

ช่วงเวลาที่ชนกันท้องฟ้าก็เริ่มพังทลาย ความกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกไป ทำให้เกิดรอยแตกในมิติบนเส้นทาง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่จุดเกิดเหตุที่น่ากลัวก็เห็นรัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนและแสงสีเงินปะทะกัน พยายามที่จะกลืนกินกันและกัน

ก่อนหน้าลำแสงสีเงินที่รวบรวมพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าสามารถทำลายลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายได้ แต่สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อถึงระดับห้าสิบล้านลาย

ขณะที่ลวดลายจั้นเหวินกวาดออก คลื่นการทำลายล้างในแสงสีเงินก็เริ่มลดลงจนไม่สามารถขยับได้ ไม่เพียงแค่นั้นยังถูกผลักกลับด้วยเสียงมังกรคำราม…

เมื่อทั้งห้าเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ ยามนี้พวกเขามีความกลัวริบหรี่อยู่ในดวงตา

“ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย… ทำไมความสำเร็จของมู่เฉินในการเป็นจั้นเจิ้นซือถึงน่ากลัวขนาดนี้?!” พวกเขาทั้งห้าคำรามด้วยความไม่เต็มใจในใจ ต้องรู้ว่าลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้เลยทีเดียว

โฮก!

ขณะที่ทั้งห้ากำลังตกตะลึงในใจ เสียงคำรามที่ทำให้แผ่นดินพิโรธก็ดังก้องมาจากมังกร อึดใจต่อมามันก็อ้าปากกลืนแสงสีเงินลงไป

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เมื่อมันกลืนกินแสงสีเงิน การระเบิดรุนแรงก็เกิดขึ้นในร่างมังกรพร้อมกับแสงสีเงินแล่นแปลบปลาบ แต่ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายปะทุรัศมีออกมาระงับการระเบิดภายในตัวเอง…

การระเบิดดำเนินไปชั่วครู่ก่อนที่แสงสีเงินจะค่อยๆ หายไป ทว่ามังกรก็เริ่มหดตัวลง ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายลดลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันใช้พลังงานจำนวนมหาศาลในการปราบปรามลำแสงสีเงิน

ปุ!

แต่เมื่อลำแสงสีเงินอ่อนตัวลง ใบหน้าของประมุขทั้งห้าก็ซีดลง คลื่นหลิงรอบตัวพวกเขาพลุ่งพล่านรุนแรง ก่อนที่เลือดจะกระอักออกมาจากปาก ความผันผวนของคลื่นพลังรอบตัวอ่อนลงฉับพลัน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับผลกระทบ

“ไอ้หนูนี่ต่อกรยากเกินไป ไม่ง่ายที่จะจัดการเลย!” ใบหน้าของตันหยางซีดเซียวขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว เขารู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลแล้ว เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาน่ากลัวเกินไป

คนที่เหลือก็มีสีหน้าไม่น่าดู เป็นเรื่องน่าอายเกินไปที่พวกเขาทั้งห้าไม่สามารถได้เปรียบใดๆ ในการต่อสู้กับมู่เฉิน

มีเพียงกุ่ยตี้เท่านั้นที่มองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เต็มใจ

“วันนี้เราถอยไปก่อนไหม?” ตันหยางเอ่ยแนะนำ เขาได้รับบาดเจ็บและความสามารถในการต่อสู้ก็ลดลง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะประลองกับมู่เฉินอีกต่อไป

เมื่อได้ยินคำแนะนำนั้น ทุกคนก็เกิดความคิด คลื่นหลิงพุ่งขึ้นรอบตัวด้วยความตั้งใจที่จะล่าถอย

“คิดหนีเหรอ?”

ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง ไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบจากการปะทะ แต่กองทัพมังกรดำก็มีนักรบอย่างน้อยสองพันคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว

นี่ทำให้มู่เฉินโกรธในใจ แล้วเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายไปได้อย่างไร?

แสงเย็นวูบวาบในดวงตามู่เฉิน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น ขณะเดียวกันภาพเงาหนึ่งก้าวออกมาจากเบื้องหลังนั่งลงในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่แทน เร้ารัศมีสงครามเพื่อปราบปรามอีกฝ่าย

ส่วนร่างหลักมู่เฉินก็มีปีกสีทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลัง เกิดการกระพือขึ้นลงก่อนที่เขาจะหายตัวไป

“ระวัง!”

เมื่อมู่เฉินหายตัวไป กุ่ยตี้และคนอื่นๆ ก็ตะโกนด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะพวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงความเร็วของมู่เฉินได้เลย

วาบ!

ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของพวกเขา ใบหน้าของตันหยางก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขาเห็นภาพเงาก้าวออกมาประจันหน้ากับเขา

ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า เจดีย์ปรากฏในดวงตามู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงไหลผ่านแขนขาก่อนที่เขาจะผลักฝ่ามือออกเบาๆ

แม้ว่ามู่เฉินจะผลักฝ่ามือออกไปเบาๆ แต่ความเร็วนั้นก็ไม่สามารถตรวจจับได้ ยิ่งกว่านั้นตันหยางยังได้รับบาดเจ็บมาเมื่อครู่ก็ ดังนั้นทันทีที่ตันหยางเร้าคลื่นหลิงสร้างการป้องกัน ฝ่ามือของมู่เฉินซึ่งปกคลุมไปด้วยผลึกแสงก็ซัดลงบนหน้าอกแล้ว

ปัง!

การซัดนี้ทำให้หน้าอกของตันหยางยุบลง คลื่นหลิงไม่สามารถต้านทานฝ่ามือนี้ของมู่เฉินได้เลย

อ็อก!

ตันหยางกระอักเลือดกระเด็นกลับไป ในเวลาเดียวกันร่างเวทสวรรค์ใต้เท้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยร้าว จนสุดท้ายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

วาบ!

ซัดฝ่ามือเดียวใส่หน้าอกตันหยาง มู่เฉินก็ไม่ได้มองไปที่อีกฝ่ายเลย ปีกสีทองที่ด้านหลังกระพืออีกครั้งและเขาก็วาบหายตัวไป

“เร้าการป้องกันร่างเวทสวรรค์ออกมา!”

อีกสี่คนรู้สึกได้เมื่อตันหยางได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาคำรามลั่น ความเร็วของมู่เฉินเหนือกว่าพวกเขาหลายขุม แม้แต่กุ่ยตี้ก็ไม่สามารถตรวจจับมู่เฉินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้การป้องกันของร่างเวทสวรรค์เพื่อต้านการโจมตีของมู่เฉิน

โฮก!

แต่เมื่อพวกเขาคิดใช้พลังของร่างเวทสวรรค์ วิญญาณสงครามมังกรก็คำรามภายใต้การควบคุมของมู่เฉินชุดดำ ร่างมันพันธนาการเข้ากับร่างเวทสวรรค์ของทั้งสี่

“เวรเอ้ย!” ทั้งสี่คนสาปแช่งและรู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ขณะนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บและมู่เฉินได้ใช้ความเร็วที่น่ากลัวโดยตั้งใจที่จะเอาชนะพวกเขาในยามอ่อนกำลังลง

ในเวลานี้พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะถอยหนี

วาบ!

ภาพเงามู่เฉินปรากฏขึ้นข้างหลังจื่อเหลย หมัดถูกชกออกไป

“ไอ้สารเลว แกคิดว่าข้ากลัวเรอะ?!” จื่อเหลยคำราม สายฟ้าป่าเถื่อนแล่นแปลบปลาบรอบตัวเขา เขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป เมื่อสายฟ้ากวาดออกก็ดูราวกับว่าสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้

ในตอนนี้เขารู้ว่ามู่เฉินปราบเขาแน่ หากเขาแสดงความขี้ขลาดออกมา

ตู้ม!

เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน ใบหน้าของจื่อเหลยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลึกแสงแผ่กระจายออกมาจากมู่เฉิน ก่อเป็นลวดลายผิดแผกพุ่งเข้ามาในร่างกายเขา

ในเส้นทางของผลึกแสงคลื่นหลิงก็หายไปอย่างน่าประหลาด

“พลังผนึก?!” จื่อเหลยอุทานออกมา

ตึง!

ทว่าก่อนที่เสียงจะสะท้อนออกไป หมัดของมู่เฉินก็ทะลุแนวป้องกันส่งร่างเขาถลาไปพร้อมกับอักขระผลึกที่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย คลื่นหลิงไร้ขอบเขตลดลงฮวบ ชัดว่าถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราว

ฟิ้ว ฟิ้ว!

หลังจากจัดการกับจื่อเหลยแล้ว มู่เฉินก็เล็งไปที่โยวเฉวียนและไป๋หู ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน ดังนั้นเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ทั้งสองก็ถูกผนึกคลื่นหลิงเอาไว้ ร่างดิ่งพสุธาลงไปที่จัตุรัสหยก

ขณะนี้เหลือเพียงกุ่ยตี้ที่ยังยืนอยู่

การตอบโต้ของมู่เฉินดุร้ายมากจนมาถึงจุดที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นสี่คนพ่ายแพ้ทั้งหมด ขณะนี้เหล่าผู้ชมถึงได้หลุดออกจากอาการตื่นตะลึงและหายใจเข้าลึกๆ

พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจหวาดผวามองไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยความเคารพในสายตา เห็นได้ชัดว่าทุกคนตะลึงในพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน

“ตาเจ้าแล้ว”

มู่เฉินมองไปที่กุ่ยตี้โดยไม่สนใจสายตารอบข้าง

สีหน้าของกุ่ยตี้มืดครึ้มลง แต่ก็เลือกถอยกลับไป หากไม่มีอีกสี่คนช่วย เขาไม่มีทางที่จะต่อกรกับมู่เฉินได้แน่นอน ดังนั้นจึงได้แต่ถอนตัวเท่านั้น

“เจ้าคิดว่าจะวิ่งหนีได้เหรอ?”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยแสงเย็นชาขณะที่ปีกข้างหลังกระพือ เขาพุ่งผ่านมิติไปปรากฏตัวเบื้องหน้ากุ่ยตี้พร้อมกับเหวี่ยงหมัดออกไป

ผลึกแสงบนกำปั้นพร่างพราวมาก

กุ่ยตี้ปวดหัวกับความเร็วที่ปีกหงส์ฟ้าสีทองมอบให้กับมู่เฉิน ทว่าเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่สามารถถอยได้ แสงดุร้ายก็วูบไหวในดวงตาทันที

“แกจัดการพวกเขาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำแบบเดียวกับข้าได้!” กุ่ยตี้กล่าวขณะที่มือประสานกัน คลื่นหลิงเย็นเยือกไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันเบื้องหน้า ก่อร่างเป็นตราประทับพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนดังก้อง

“ตราประทับหมื่นผี!”

กุ่ยตี้แผดเสียงขณะที่กระแทกฝ่ามือใส่มู่เฉิน

ดวงตามู่เฉินกะพริบแสงวาบพร้อมกับเค้นเสียงเย็น แค่คิดเสียงคำรามรุนแรงก็ลั่นออกมาจากร่างกาย มังกรแท้จริงบิดตัวไปมาเคลื่อนไปที่แขนของเขา

แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกมาจากแขนของมู่เฉินทำให้ทั้งแขนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นกรงเล็บมังกรทอง

นี่คือกรงเล็บมังกรแท้จริง!

ตู้ม!

กรงเล็บมังกรฉีกผ่านมิติกระแทกกับตราประทับผี

ในช่วงเวลาที่ปะทะกันใบหน้าของกุ่ยตี้ก็เปลี่ยนไปรุนแรงด้วยความหวาดผวาสุดขีดขณะที่อุทานว่า

“นะ…นี่คือพลังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!”

จานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือกุ่ยตี้

จานนี้มีผิวเรียบกริบราวกับกระจก ขอบถูกสลักด้วยสัญลักษณ์โบราณที่ปลดปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวออกมาเบาบาง

เมื่อจานกระดูกนี้ปรากฏขึ้นมู่เฉินก็หดตาลง สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง “ความผันผวนนี้…อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน?”

ความผันผวนนั้นทรงพลังแม้ในหมู่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน ไม่คิดว่ากุ่ยตี้จะมีในครอบครอง… ชัดว่าสิ่งนี้ให้ความมั่นใจมากกับอีกฝ่าย

“ประมุขมู่ ข้าไม่อยากใช้วัตถุนี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้าดื้อด้านก็โทษข้าไม่ได้” ถือจานกระดูกไว้ กุ่ยตี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชา “แต่ไม่ต้องกังวลเจ้ามีภูมิหลังแข็งแกร่งปานนั้น ดังนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจ่ายราคาแพงระยับ!”

มู่เฉินตอบอย่างแผ่วเบาพร้อมกับไม่มีความแปรปรวนบนใบหน้า “เจ้ายังไม่มีพลังพอที่จะทำหรอก”

แม้ว่ากุ่ยตี้จะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง แต่ในแง่พลังการต่อสู้ยังปะทะกับหวงเฉวียนจือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะหวงเฉวียนจือสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังเหนือกว่าของตนเอง และในเมื่อเขาสามารถเอาชนะหวงเฉวียนจือได้ เขาจึงไม่กลัวกุ่ยตี้เลยสักนิด

เห็นได้ชัดว่ากุ่ยตี้ทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงรวมพลังกับประมุขอีกสี่คนเพื่อต่อสู้กับมู่เฉิน

“งั้นก็ลองดู!”

เมื่อได้ยินเสียงไม่แยแสของมู่เฉิน สีหน้าน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากุ่ยตี้ มือของเขาประสานกันอย่างรวดเร็ว จานกระดูกในมือทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขยายขนาดเป็นพันจั้ง

“รวมพลังกัน!”

กุ่ยตี้ตะโกนพลางมองไปที่ประมุขอีกสี่คน

ประมุขอีกสี่คนก็รู้ว่าจานกระดูกนี้ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้า ห้าร่างเวทสวรรค์ปลดปล่อยเสาแสงขนาดใหญ่ห้าเสาเข้าไปในจานกระดูกขนาดใหญ่นั่น

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ระลอกคลื่นพุ่งเข้าในจานกระดูก เกิดระลอกคลื่นด้านบน ความผันผวนที่อธิบายไม่ได้รวมอยู่ภายใน

มิติโดยรอบแสดงร่องรอยการยุบตัวราวกับว่าไม่สามารถทนต่อความผันผวนของคลื่นหลิงได้

เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกได้ว่าจานกระดูกนี้ได้รวบรวมพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเอาไว้

ต้องรู้ว่าทั้งห้าทรงพลัง ด้วยพลังที่มารวมกันก็จะทำให้เกิดการปฏิเสธตามธรรมชาติ ทว่าจานกระดูกนี้สามารถรวมเข้าด้วยกันได้จริง

ดังนั้นการโจมตีนี้จึงเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนอีกหน้า ซึ่งเป็นการหลอมรวมสมบูรณ์ระหว่างพลังห้าสายและเป็นสิ่งที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางได้เลยทีเดียว

ชัดว่านี่น่าจะเป็นไพ่ตายของประมุขทั้งห้า

ขั้วอำนาจอื่นโดยรอบจัตุรัสก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง

พวกเขารู้ดีว่าผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะกำหนดตัวเจ้าเหนือหัวทวีปเทียนหลัวแล้ว…

“เมื่อดูสถานการณ์นี้ ประมุขมู่กำลังตกอยู่ในอันตราย ประมุขทั้งห้าได้รวมพลังผ่านจานกระดูก ไม่ต้องพูดถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้แต่ขั้นเซียนระยะกลางก็ตายคาที่หากประมาท”

“ประมุขมู่ยังเด็กเกินไป ขณะประมุขทั้งห้าเป็นเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ถ้าพวกเขาไม่มีไม้เด็ดสักใบสองใบจะยั่วโมโหอีกฝ่ายทำไม…”

“ถ้าประมุขมู่แพ้ ตำหนักมู่ก็ต้องออกจากทวีปเทียนหลัว การทำงานหนักทั้งหมดของพวกเขาก็ละลายไปในทะเล…”

ทว่ามู่เฉินกลับเพิกเฉยต่อความวุ่นวาย ดวงตาหรี่ลงมองไปที่จานกระดูก ความผันผวนของคลื่นหลิงที่รวมตัวกันทำให้แม้แต่เขาก็ไม่สามารถประมาทได้

ครืนๆๆๆ!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในกระจกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้า มันส่องประกายและแผ่ซ่านด้วยความผันผวนของการทำลายล้าง

กุ่ยตี้ยืนอยู่ใต้กระจก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาจากคลื่นหลิง ก่อนที่เขาจะมองไปที่มู่เฉินจากนั้นโบกมือเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม

“แกลองทดสอบความสามารถของกระจกรวมเทพโบราณหน่อยเถอะ”

จานกระดูกสั่นไหวเล็งเป้าไปที่มู่เฉิน

ตู้ม!

อึดใจต่อมาคลื่นหลิงพร่างพราวก็รวมตัวกันป่าเถื่อนรอบกระจกกระดูก ก่อนที่จะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว สิบกว่าลมหายใจสั้นๆ เสาพลังหลายพันจั้งก็กลายเป็นลำแสงขนาดเท่าฝ่ามือพุ่งออกไป

แม้ว่าจะลดขนาดลง แต่ลำแสงสีเงินก็ฉีกผ่านสวรรค์และโลกทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง

เมื่อมองไปที่ลำแสงสีหน้าของมู่เฉินก็เคร่งขรึมมาก เขารู้สึกถึงไอเยือกเย็นจากเจตนาสังหารบนลำแสงนั้น

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกัน รัศมีจั้นยี่ดุเดือดก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็หลั่งไหลเข้าไปในวิญญาณสงครามมังกร

เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของรัศมีจั้นยี่ปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

สิบล้าน… สามสิบล้าน… สี่สิบล้าน…

ด้วยพลังในปัจจุบันของมู่เฉิน เขาสามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้แล้วในระดับสิบล้าน พูดโดยทั่วไประดับสิบล้านก็เทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิง

เมื่อถึงสี่สิบล้านลายก็เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!

ยามนี้มู่เฉินได้ดึงพลังทั้งหมดของกองทัพมังกรดำออกมาโดยไม่รั้งไว้แล้ว

ฟิ้ว!

จังหวะนั้นลำแสงสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือก็ยิงเข้ามา

โฮก!

รัศมีจั้นยี่มังกรปล่อยเสียงคำราม อ้าปากสูดลมหายใจ ลมหายใจมังกรมีลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายเลยทีเดียว

ตึง!

ปราณมังกรเชี่ยวกรากปะทะกับลำแสงสีเงิน แต่เมื่อเกิดการโรมรัน ปราณมังกรเชี่ยวกรากก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

ลำแสงสีเงินทำลายปราณมังกรทั้งหมดที่ขวางหน้า

“แม้ว่าลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายจะน่ากลัว แต่ก็ไร้เดียงสาเกินไปที่แกคิดว่าจะเอาชนะพวกข้าห้าคนได้!” กุ่ยตี้ยิ้มเยาะเมื่อเห็นพลังทำลายล้างของลำแสงสีเงิน

เมื่อมองไปที่ปราณมังกรที่สลายลงจากลำแสงสีเงิน มู่เฉินก็ไม่มีสีหน้าใด เขาหายใจเข้าลึกสะบัดนิ้วออก รัศมีเปล่งประกายออกมาจากแหวน

แสงกระจายออกจากเบื้องหลัง นักรบมังกรดำห้าพันคนก็ปรากฏตัวขึ้น

ตอนแรกเขาคิดจะกั๊กไว้ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทุ่มหมดหน้าตักแล้ว

“เร้ารัศมีจั้นยี่ออกมาทั้งหมด!” เสียงของมู่เฉินดังก้องในโสตประสาทของนักรบมังกรดำทุกคน ดวงตาของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงพลางตะโกนรับ

ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลำแสงหนึ่งหมื่นห้าพันสายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงทุกเส้นควบแน่นและทนทาน สุดท้ายก็พุ่งเข้าสู่รัศมีจั้นยี่มังกร

โฮก!

มังกรส่งเสียงคำรามและขยายขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน…

สี่สิบล้าน… สี่สิบห้าล้าน…

พร้อมกับความเร็วบ้าคลั่งของจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่เพิ่มมากขึ้น ความกดดันที่น่ากลัวก็แผ่กระจายทำให้ท้องฟ้ามืดลง

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าของประมุขทั้งห้าก็เปลี่ยนไป ลวดลายจั้นเหวินสี่สิบห้าล้านลายเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางยังรู้สึกหนังหัวชาหนึบ

“ไอ้เด็กนี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ!”

กุ่ยตี้ขบฟันพลางสร้างตราประทับทันที ลำแสงสีเงินเพิ่มความเร็วขึ้นขณะพุ่งเข้าหามังกร

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองมังกรด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาถึงขีดสุดในการควบคุมลวดลายจั้นเหวินแล้ว

สายตาของเขาจับจ้องไปที่มังกร ลวดลายจั้นเหวินยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของเส้นเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาเขา…

ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย…

ในที่สุดก็หยุดลงที่จำนวนนี้ เลือดไหลออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน เขาเช็ดออกพลางถอนหายใจยาวๆ

นี่เป็นขีดสุดของกองทัพมังกรดำแล้ว บางทีอาจจะด้อยกว่าสภาพพร้อมรบในอดีต แต่ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางยังไม่กล้าประมาท

สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางจะถูกสังหารทันที

“ไป”

มู่เฉินลูบขมับด้วยความเหนื่อยล้า ไอสังหารพลุ่งพล่านในดวงตาขณะที่ชี้นิ้วออกไป

โฮก!

ภายใต้สายตาตกตะลึงมากมาย พริบตามังกรก็กลายเป็นริ้วแสงสีเทาปะทะกับลำแสงสีเงิน…

เหล่านักรบยืนจังก้าข้างหลังมู่เฉิน

พวกเขาดูราวกับรูปปั้นเนื่องจากไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทว่ามีความปั่นป่วนที่น่ากลัวเดือดพล่านเหนือพวกเขา

ทุกคนตกตะลึงกับการปรากฏตัวของกองทัพนี้อย่างกะทันหัน แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั่วไปเสียอีก

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่กองทัพธรรมดา

เผชิญหน้ากับกองทัพนี้ แม้แต่ประมุขทั้งห้ายังต้องหดดวงตาเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม

“มิน่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ถึงได้มั่นใจมาก เพราะมีไพ่เด็ดแบบนี้นี่เอง”

ทว่าประมุขทั้งห้าก็ไม่กลัว ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีการมากแค่ไหน พวกเขาเป็นห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้แต่หวงเฉวียนจือก็ต้องหลีกเลี่ยงพวกเขา

พวกเขาไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้

“ประมุขมู่น่าเกรงขามจริงๆ แต่พวกข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อน อย่าทำลายอนาคตของตัวเองเลย” กุ่ยตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างชัดเจน

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขามองไปที่ด้านหน้าสุดของนักรบมังกรดำ ซึ่งมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือแม่ทัพเจียงหลง

“ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จอมพลมู่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน เจียงหลงก็ประสานมือ

เทียบกับในอดีตน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพมากขึ้น พลังของมู่เฉินที่พบเจอกันในตอนนั้นอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว

ในแง่มุมหนึ่งมู่เฉินเทียบได้กับเจ้านายคนก่อนของพวกเขาแล้ว

มู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเจียงหลงเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ หลังจากหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ถึงเวลาที่โลกจะได้ยินชื่อของกองทัพมังกรดำอีกครั้ง”

ในอดีตเขาไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพมังกรดำออกมาได้ แต่หลังจากมาถึงระดับเทียนจื้อจุนเขาก็รู้สึกมั่นใจว่าสามารถนำพลังเต็มรูปแบบของกองทัพมังกรดำออกมาได้แล้ว

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ไม่ใช่แค่เจียงหลงที่มีริ้วอารมณ์วูบวาบในดวงตา แม้แต่เหล่านักรบมังกรดำก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ในตอนนั้นพวกเขาได้สังหารปีศาจภายใต้คำสั่งของเจ้านายคนก่อน เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมปีศาจจำนวนเท่าใดที่ตายด้วยมือของพวกเขา

แต่เมื่อพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครั้งแรก มู่เฉินสามารถใช้พลังกองทัพมังกรดำได้กระจ้อยร่อยเนื่องจากขุมพลังที่ยังอ่อนแอ พวกเขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย แต่โชคดีที่ในที่สุดมู่เฉินก็มาถึงระดับที่สามารถสั่งการกองทัพทั้งหมดได้แล้ว

“ปล่อยรัศมีจั้นยี่!”

เจียงหลงคำราม เหล่านักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนก็คำรามตอบ รัศมีจั้นยี่อันดุเดือดแผ่กระจายออกไปทั่วขอบฟ้ากลายเป็นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเหนือกองทัพ

มหาสมุทรนี้ทำให้มิติสั่นสะเทือนจากลอนคลื่นเลยทีเดียว

ซ่า ซ่า

ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็กระจายคลื่นจิตออกไป เขาได้ยินเสียงสาดกระเซ็นมาจากมหาสมุทร

นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ได้รับการขัดเกลาสูงมากจนน่ากลัว

เมื่อประมุขทั้งห้ามองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากท่าทางนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินยืนยันที่จะต่อสู้กับพวกเขา

“ไอ้เด็กหยิ่งผยอง งั้นก็ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเขาเถอะ!” จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา

อีกสี่คนก็พยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห้าสายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อตัวเป็นเสาแสงเจิดจ้าห้าเสาฉีกผ่านมิติพุ่งไปยังมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่

พวกเขามีประสบการณ์และรู้ดีว่าตราบใดที่สามารถทำลายมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ได้ กองทัพนี้ก็จะล่มสลาย

การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าในเวลาเดียวกันน่าทึ่งมาก ทำให้หนังหัวคนดูเย็นวาบไปหมด หากการโจมตีนี้ซัดเข้าในเมือง อาจทำให้ทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองการโจมตีทั้งห้าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกแล้วสะบัด

ตู้ม!

มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตม้วนตัวด้วยคลื่นรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นแสงมากมายพุ่งทะยานออกไปด้านนอก

ลำแสงแต่ละสายก่อจากของเหลวรัศมีจั้นยี่ ถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นภาพมังกรตัวเล็กอยู่ภายในทุกเส้นสาย

ฮา

ลำแสงทะยานออกไปเข้าปะทะกับการโจมตีทั้งห้า พริบตาลำแสงจำนวนมากก็แตกออก ทว่าก็ยังยิงออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

ภายใต้พายุแสง เสาทั้งห้าก็ค่อยๆ อ่อนแอลงก่อนที่จะพังทลาย

มองพายุตระการตาบนท้องฟ้า ทุกคนก็ตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีจากประมุขทั้งห้าได้จริงๆ

แม้ว่าจะเป็นการหยั่งเชิง แต่มู่เฉินก็ตอบโต้ได้อย่างสบาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเลย

“ประมุขมู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงมีชื่อเสียงในมหาพันภพได้…” ผู้คนนับไม่ถ้วนถอนหายใจ ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมาย หากเขาได้รับเวลามากกว่านี้ เขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลังจากที่เขาไปถึงขั้นเซียนแล้ว

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกกุ่ยตี้ถึงกลัวเขามากและต้องการกำจัดให้สิ้นซาก เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหากพลาดโอกาสนี้ก็จะไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ทั้งห้าเผยสายตามืดมน อึดใจถัดมาก็ไม่ได้พูดให้เสียเวลา แสงหลิงรวมตัวขึ้นที่เบื้องหลัง ร่างมหึมาทั้งห้าก็ปรากฏขึ้น

พวกเขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว

จากกระบวนท่าเมื่อครู่พวกเขารู้แล้วว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด ซึ่งไม่สามารถชนะได้โดยอาศัยวิธีธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที

ร่างใหญ่โตทั้งห้ายืนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก พวกเขาปล่อยพายุที่น่ากลัวพร้อมกับแรงกดดัน

เมื่อมองไปที่ทั้งห้า มู่เฉินก็หรี่ตาพลางวาดตราประทับเร็วรี่ ไม่นานเสียงคำรามรุนแรงก็ดังขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่

ทุกคนมองเห็นมังกรขนาดมหึมากำลังบินฉวัดเฉวียนออกมาจากมหาสมุทร

นี่เป็นมังกรขนาดใหญ่ที่มีประกายแวววาวบนเกล็ด เกล็ดทุกชิ้นถูกสลักด้วยลวดลายจั้นเหวิน เมื่อปรากฏขึ้นก็กวาดความผันผวนรุนแรงออกไป

วิญญาณสงคราม!

ทว่าวิญญาณสงครามนี้ได้รับการขัดเกลามากกว่าในอดีตราวกับว่ามีชีวิต

เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของมังกร มู่เฉินก็ดูพอใจ กองทัพมังกรดำในจุดสูงสุดสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดได้เลยทีเดียวและอยู่ยงคงกระพันภายใต้อาณาจักรขั้นเซิ่งเท่านั้น

กองทัพมังกรดำมีนักรบจำนวนถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เขาเรียกมาหมื่นคน วิญญาณสงครามที่กลั่นออกมาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุด

ตู้ม!

เมื่อมังกรขนาดใหญ่ก่อร่างขึ้น ประมุขทั้งห้าก็ซัดการโจมตีโดยไม่ลังเล ร่างเวทสวรรค์เหวี่ยงหมัดกระชากผ่านมิติพุ่งเข้าหามังกรยักษ์

แม้ว่าหมัดจะดูเรียบง่าย แต่คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้

เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ท่าทางของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่มังกรคำรามกวาดหางออกไปประจัญบานกับศัตรู

ตู้ม!

มังกรกางกรงเล็บ เข้าปะทะจุดแรกกับร่างเวทสวรรค์ของตันหยาง

ตึง!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการปะทะ มิติพังทลาย แต่ที่ทำให้หลายคนตะลึงคือร่างเวทสวรรค์ของตันหยางกระเด็นออกไป

“บ้าเอ้ย!”

ตันหยางยืนอยู่บนไหล่ของร่างเวทสวรรค์ด้วยท่าทางไม่น่าดูขณะที่ตะโกน “ลงมือพร้อมกัน!”

ร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าล้อมวิญญาณสงครามและปลดปล่อยการโจมตีออกมา

ทว่ามังกรยักษ์ไม่มีหวาดเกรง มันกวัดแกว่งกรงเล็บตลอดเวลา นอกเหนือจากกุ่ยตี้ที่ยังพอต้านได้ ทุกคนถูกปราบเอาไว้

มังกรมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุดแล้ว นอกเหนือจากกุ่ยตี้ คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นเท่านั้น

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้นบนท้องฟ้าสูง ห้าร่างเวทสวรรค์คล้ายกับดวงอาทิตย์ลุกโชนที่ระเบิดด้วยพายุที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

แต่ที่น่าตกใจคือวิญญาณสงครามไม่มีอาการพ่ายแพ้แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ห้าคน ในทางตรงกันข้ามมันกลับปล่อยการโจมตีที่ดุร้าย กระแทกร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง

ผู้ชมต่างเหงื่อเย็นท่วมตัว อดีตพวกเขารู้เพียงว่าประมุขมู่แข็งแกร่ง แต่หลังจากได้เห็นวิธีการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนและไม่พ่ายแพ้ ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด…

ใบหน้าของกุ่ยตี้ดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่ดุร้าย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทรงพลัง กระทั่งความเชี่ยวชาญในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ยังน่าตื่นตะลึง

“หากยังเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้”

ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบพร้อมกับไอหนาวเย็น จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือจานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องให้เจ้าลิ้มลองสิ่งนี้แล้ว…”

เมื่อคำพูดของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส

ทั้งเมืองก็เงียบกริบลง ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มพลางกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนของพันธมิตรเทียนหลัว มู่เฉินก็ไม่แสดงอาการถอย ซ้ำยังตอกกลับอีกฝ่ายซะหน้าหงาย

ทันใดนั้นใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา

“อวดดี!”

ขณะที่ใบหน้าของทั้งห้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา รอบจัตุรัสก็มีเสียงตะโกนลั่น ทันใดนั้นร่างเงาสามร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในพันธมิตรเทียนหลัว เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินสามหาวเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้ ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ประมุขทั้งห้าสั่งไว้ เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ทั้งสามคนทดสอบพวกตำหนักมู่ก่อน

“ตำหนักมู่ที่ปวกเปียกกล้าสู้กับพันธมิตรเทียนหลัวรึ? ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามหัวเราะเยาะและเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายทะลุผ่านมิติห่อหุ้มไปในทิศทางของพวกตำหนักมู่

เผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสาม มู่เฉินไม่แม้แต่จะหันมอง สายตาเขายังคงมองไปที่ประมุขทั้งห้าด้วยความไม่แยแส

ทว่าสายตาของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นางพรูเพลิงสีดำเผาผลาญการโจมตีที่ทรงพลังทั้งสามสายในทันที

เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดว่าจิ่วโยวจะแก้ไขกระบวนท่าของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าจิ่วโยวไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายและคิดจะถอยหนี

แต่จิ่วโยวจะยอมให้พวกเขาล่าถอยได้อย่างไร? นางจะใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงพลังของตำหนักมู่ให้เป็นที่ประจักษ์

ร่างกายของนางกระตุกปีกหงส์ฟ้าที่อาบด้วยเพลิงสีดำสยายออกมาจากด้านหลัง ร่างวาบหายไป

เมื่อจิ่วโยวหายตัวไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามก็รู้สึกไม่ดีทันที ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหมุนเวียนคลื่นหลิง ร่างกายเปล่งประกายขึ้น พวกเขาเร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาทันที

วาบ!

จิ่วโยวปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับที่ด้านหลังทั้งสาม ปีกเฉือนออกมาฉีกมิติออกด้วยความคมกริบ

เสียงลมคมกริบจากเบื้องหลังทำให้จอมยุทธ์ทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งกลายเป็นเกราะป้องกันหลายชั้นบนร่างกาย

แคว๊ก!

ทว่าการป้องกันทุกอย่างก็ถูกเพลิงสีดำเผาไหม้ ทุกคนเห็นเพียงริ้วสีดำเคลื่อนผ่านจากนั้นเสียงร้องโศกเศร้าสามเสียงก็ดังก้อง

ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นร่างทั้งสามดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาเห็นบาดแผลที่น่ากลัวบนหน้าอกของจอมยุทธ์ทั้งสาม เลือดสดไหลอาบ เพลิงสีดำกำลังเผาไหม้อาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถฟื้นตัวได้

“ซี้ด”

ทุกคนสูดลมหายใจเย็น ขณะที่มองไปที่จิ่วโยวด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงของพันธมิตรเทียนหลัวสามคนจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว

หลังจากเอาชนะทั้งสาม จิ่วโยวก็ไม่หยุด ดวงตาของนางวูบไหว ร่างกลายเป็นเพลิงสีดำโดยตั้งใจที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้แบบเด็ดขาด ขณะที่พวกเขาจนหนทาง

เมื่อทั้งสามเห็นจิ่วโยวพุ่งมา พวกเขาก็หวาดผวา จากการเผชิญหน้าเมื่อครู่พวกเขารู้ว่าต่อให้รวมพลังก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว

“แกช่างกล้า!”

แต่เมื่อจิ่วโยวปรากฏตัวเบื้องหน้าทั้งสาม เสียงตะเบ็งก็ดังก้อง

เสียงกราดเกรี้ยวสะท้อนไปมา จื่อเหลยก็หายตัวมาปรากฏเบื้องหน้าจิ่วโยวพร้อมกับหมัดที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีม่วงซัดออกไป

พลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ใช่สิ่งที่ขั้นหลิงจะเทียบเคียงได้

สายฟ้าสีม่วงพล่านในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่นางจะตั้งท่าป้องกัน มู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้านาง เจดีย์เผยในดวงตาเปลี่ยนคลื่นหลิงทั้งหมดของเขาทันที

เขากำหมัดแน่น เหวี่ยงหมัดที่ห่อหุ้มด้วยถุงมืออัญมณีออกไป

ตึง!

พลังสองสายปะทะกันสายฟ้าสีม่วงพังทลายลง พริบตาหมัดของมู่เฉินก็ทะลวงมิติกระแทกเข้ากับหน้าอกของจื่อเหลย

ตู้ม!

พร้อมกับระเบิด ร่างของจื่อเหลยก็กระตุกแล้วถลาออกไปทิ้งรอยลึกสองแห่งไว้บนจัตุรัสหยก

ใบหน้าของจื่อเหลยเขียวคล้ำขณะที่ทรงตัวพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน แต่ความกลัวกลับผุดขึ้นในใจ เขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใดจากการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนหน้านี้

การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อทุกคนได้สติก็เห็นว่าจื่อเหลยถูกหมัดของมู่เฉินซัดกลับอย่างไร ความโกลาหลก็ระเบิดออกมาในทันที

แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในมหาพันภพ แต่น้อยคนที่เห็นเขาปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ดังนั้นหลังจากได้เห็นมู่เฉินเอาชนะจื่อเหลยได้ พวกเขาถึงได้รู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง

“ท่านจื่อเหลย หากเจ้าต้องการต่อสู้ก็ให้มาหาข้า รังแกผู้หญิงทำไม?” มู่เฉินถอนกำปั้นและยิ้มบางให้แก่จื่อเหลย

ทว่าจื่อเหลยไม่ได้พูดอะไรเพียงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย

ตอนนี้เองความโกลาหลก็อ่อนตัวลง เนื่องจากทุกคนเห็นประมุขอีกสี่คนบนบัลลังก์ยืนขึ้น

เมื่อพวกเขายืนขึ้น ทั้งภูมิภาคก็มืดลง

กุ่ยตี้จ้องมองไปที่มู่เฉินขณะที่เสียงดังก้อง “ประมุขมู่ เรารู้ว่าเจ้าทรงพลังและไม่มีพวกเราคนใดที่จะเอาชนะได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว”

เสียงของกุ่ยตี้ทำให้หลายคนตกตะลึง เนื่องจากกุ่ยตี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางแล้ว เมื่อเทียบกับมู่เฉินก็ห่างอยู่หลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับว่าไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ แล้วชายหนุ่มคนนี้มีพลังแค่ไหนกัน?

ทว่ามู่เฉินก็ยังคงมีสีหน้าสงบโดยไม่แสดงความพึงพอใจจากคำสรรเสริญของกุ่ยตี้

“วัตถุประสงค์ของเราชัดเจนที่เชิญเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ พันธมิตรเทียนหลัวต้องการที่จะปกครองทวีป เทียนหลัวทั้งหมด หากเจ้าสามารถตกลงพวกข้าจะชดเชยให้”

“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะสู้เพื่อชิงทวีปเทียนหลัว…”

ขณะที่พูดคำนี้แสงดุร้ายก็กะพริบในดวงตาของกุ่ยตี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง “พวกข้าทั้งห้าคนก็ขอท้าประลองกับเจ้า”

ยามนี้พันธมิตรเทียนหลัวเปิดเผยความทะเยอทะยานออกมาแล้ว

ผู้คนรอบลานต่างแสดงออกอย่างเคร่งเครียด ประมุขทั้งห้าตั้งใจรวมกลุ่มจัดการมู่เฉิน เห็นได้ว่าพวกเขากลัวมู่เฉินแค่ไหน

“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะไม่เอาหน้าเอาตากันแล้ว” จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนรุมโจมตีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปไม่ใช่เรื่องดีเลย

แต่กุ่ยตี้กลับยิ้ม “ผู้ชนะคือกฎ ข้าไม่สนวิธีการหรอก”

ม่านตาสีเทาของเขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างขึ้น “นอกจากนี้เพราะให้ความสำคัญต่อประมุขมู่ พวกข้าถึงทำเช่นนี้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อเสียงของประมุขมู่คงจะพุ่งทะยานอีกครั้ง”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินแววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “หน้าด้าน!”

มู่เฉินโบกมือขัดจังหวะจิ่วโยวพลางยิ้มให้กุ่ยตี้ “งั้นข้าต้องขอขอบคุณทั้งห้าคนที่เมตตา”

จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา “แกต้องผ่านวันนี้ให้ได้ก่อนถึงจะพูดแบบนั้นได้”

มู่เฉินกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าห้าคนมั่นใจที่จะจัดการกับข้ามากนะ?”

ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบขณะที่พูด “เจ้ารู้สึกอย่างอื่นได้ไหมล่ะ?”

พูดจบคลื่นหลิงสีเทาก็พุ่งออกมาจากร่างกายเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน ดวงตาของเขาสั่นไหวพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวปกคลุมไปทั้งเมือง

ในเวลาเดียวกันอีกสี่คนก็ทำเช่นเดียวกัน เวลานี้แรงกดดันทรงพัลงโอบล้อมไปที่มู่เฉิน

ห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน นี่เป็นฉากที่ทำให้ทั้งฟ้าดินตื่นตะลึงเลยทีเดียว

ทุกคนโดยรอบจัตุรัสมีสีหน้าเปลี่ยนไป เผชิญหน้ากับห้าจอมยุทธ์ระดับนี้แม้แต่มู่เฉินที่น่ากลัวก็ยังรู้สึกกดดันใช่ไหม?

ภายใต้สายตาของทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินค่อยๆ หุบลง ความหนาวเย็นเสียดกระดูกเข้ามาแทนที่

“ในเมื่อพวกเจ้าชอบเอาจำนวนคนมาเบ่ง งั้นข้าจะแสดงให้รู้ซึ้งถึงความหมายแท้จริงของการเบ่งด้วยจำนวน…” เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส

เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยิน พวกเขาก็ขมวดคิ้วทันที ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจตีกวนขึ้นมา

แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาปัดนิ้วไปบนแหวน อึดใจรัศมีสีดำไร้ขอบเขตก็กวาดออก

ทันใดนั้นทั้งภูมิภาคถูกปิดล้อมด้วยความเงียบ ทุกคนมองไปที่จัตุรัสด้วยความตกใจหวาดผวา กองทัพสวมชุดเกราะสีดำปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่เฉิน

เมื่อกองทัพนี้ปรากฏขึ้นก็ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกแปรปรวน ภูมิภาคสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ทวีปเทียนหลัว เมืองเทียนหลัว

เมืองใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของทวีป ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวง เนื่องจากเมืองนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้นจึงไม่เคยถูกควบคุมโดยกองกำลังใด ซึ่งเป็นสิ่งที่จัดการร่วมกันโดยขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว

แต่ตอนนี้พันธมิตรเทียนหลัวได้ก่อตั้งขึ้น รวบรวมพลังของห้าขั้วอำนาจสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกำหนดให้ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ในวันที่สองของการจัดตั้ง

ไม่มีใครกล้าออกความเห็นเกี่ยวกับการประกาศเผด็จการของพันธมิตรเทียนหลัว เนื่องจากการรวมกลุ่มของขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้านั้นสร้างความตกตะลึงให้กับพวกเขามากเกินตั้งรับแล้ว

ในอดีตขั้วอำนาจทั้งห้ามองว่าต่างเป็นคู่แข่งกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีกองทัพทรราชในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการเติบโตของตำหนักมู่ พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ดังนั้นพวกเขาจึงจับมือกันเป็นพันธมิตรใหญ่ในทวีป…

ตราบใดที่พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าในงานเลี้ยงเทียนหลัว ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ปกครองของทั้งทวีปนี้

ดังนั้นทุกความสนใจจึงพุ่งไป สองวันผ่านไปในพริบตา

เมื่อแสงแดดส่องผ่านชั้นเมฆลงมายังเมืองนี้ ทั้งเมืองก็คึกคักไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ร่างแสงนับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่าน ดูเหมือนฝูงตั๊กแตนกำลังบุกตัวเมือง

ตอนนี้เมืองเทียนหลัวกลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีปไปแล้ว ดังนั้นเกือบทุกคนจึงมารวมตัวกันที่นี่ เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะเป็นการกำหนดตัวเจ้าเหนือหัวแท้จริง…

หลายปีที่ผ่านมาตำหนักมู่ขยายตัวและสร้างชื่อเสียงมากมายภายใต้การนำของมู่เฉินที่สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนพันธมิตรเทียนหลัวก็มีภูมิหลังที่ทรงพลังเนื่องจากมีขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเข้าร่วม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพเลยทีเดียว

เมื่อสองขั้วอำนาจที่เป็นอิทธิพลหลักในทวีปเทียนหลัวปะทะกัน จะเกิดผลในการต่อสู้นี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทั้งทวีปก็จะสงบลงและยินดีต้อนรับเจ้าเหนือหัวคนใหม่

นี่เป็นข่าวใหญ่สำหรับทวีปเทียนหลัวในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา!

ขณะที่เมืองคึกคัก จัตุรัสหยกขนาดใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน…

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ภาพเงาจำนวนมากพลิ้วลงมาบนจัตุรัส ทุกคนที่สามารถมาปรากฏตัวที่นี่ล้วนเป็นขั้วอำนาจระดับต้นในทวีปเทียนหลัว

ทว่าขั้วอำนาจที่ปกติจะได้รับการยกย่องวันนี้ไม่เป็นที่สนใจแน่นอน เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเอกทั้งสองของเหตุการณ์นี้เป็นขั้วอำนาจทรงพลังทั้งสอง…

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่จัตุรัส พวกเขาเห็นบัลลังก์ทองคำห้าตัวเปล่งประกายบด้วยรัศมีสีทอง ร่างเงาห้าร่างนั่งบนนั้นมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน!

การรวมตัวนี้ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตาแม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นเมื่อวางไว้ในทวีปเทียนหลัวก็น่าทึ่งมากเลยทีเดียว

โดยปกติทั้งห้าเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังตัวแทนของตนเองในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการปรากฏตัวของมู่เฉิน จอมยุทธ์ทรงอิทธิพลเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผยตัว…

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน… ช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้ ตลอดมาข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ซ่อนอยู่ในทวีปเทียนหลัวของเรา” ทุกสายตาแสดงความเคารพมองไปที่ร่างเงาทั้งห้าพลางถอนหายใจ

“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวกับตำหนักมู่จะปะทะกันในวันนี้แน่”

“ตำหนักมู่เติบโตรวดเร็วเกินไปและประมุขก็ดุร้ายมาก ว่ากันว่าเมื่อไม่นานมานี้แม้แต่หวงเฉวียนจือจากเผ่าหงส์ฟ้ายังแพ้ในมือเขา”

“ประมุขตำหนักมู่ก็คือมู่เฉินใช่ไหม? ในอดีตเขาเป็นเพียงผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่คิดเลยว่าเขาจะก้าวกระโดดในเวลาเพียงไม่กี่ปี”

“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ครั้งนี้”

“คงเป็นพันธมิตรเทียนหลัวล่ะมั้ง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนเชียวนะ!”

“แต่มู่เฉินก็ไม่ได้เคี้ยวง่าย ความสำเร็จของเขาแต่ละอย่างนั้นไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

“ไม่ว่ายังไงงานเลี้ยงเทียนหลัวในวันนี้น่าสนใจแน่…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องไปทั่วเมือง ทุกคนบอกได้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวไม่ได้เพียงแค่เชิญตำหนักมู่มางานเลี้ยงเท่านั้น พวกเขายังตั้งใจครอบครองตำแหน่งเจ้าเหนือหัวในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย

ประมุขตำหนักมู่เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่มีความสำเร็จน่าอัศจรรย์ แล้วเขาจะเป็นคนที่ก้มหัวลงได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าชนวนจะจุดขึ้นในการเผชิญหน้าวันนี้

พร้อมกับเสียงกระซิบโดยรอบ ร่างเงาทั้งห้าบนบัลลังก์ก็ปิดตาลงโดยไม่สนใจการสนทนาใด แต่เมื่อลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราวก็จะทำให้มิติรอบๆ แปรปรวน

เวลาค่อยๆ ผ่านไปภายใต้บรรยากาศนี้ ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า…

กีด!

ทันใดนั้นเสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

วาบ!

เสียงนั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่แผ่ออกมา

มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้ายังต้องหรี่ตามอง

จุดสีดำปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าห่างไกลอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่กะพริบตาก็ขยายออกไปจนเห็นเป็นร่างหงส์ฟ้าสีดำ

หงส์ฟ้ากระพือปีกที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ พริบตาก็เข้าใกล้เมือง ทันใดนั้นแรงกดดันสายเลือดที่ทำให้ใบหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปก็แผ่ออกมา

“นี่… เทพอสูรเผ่าอะไร?!”

“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่ากลัว ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าและเผ่ามังกรเลย!”

ทุกคนในเมืองต่างประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อมองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า พวกเขารู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลงจากแรงกดดัน

ประมุขทั้งห้าถึงกับขมวดคิ้ว ขณะที่พวกเขาสบตากันด้วยความประหลาดใจ

“นั่นคือ…วิหคอมตะในตำนานหรือ?” ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้ พวกเขาก็มีความรู้จากประสบการณ์มากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงต้นกำเนิดของวิหคสีดำตัวนั้นได้ทันที ความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่จนม่านตาหดลง

พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังของวิหคอมตะมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว

“ในเมื่อประมุขมู่มาอยู่ที่นี่แล้วก็โปรดแสดงตัวด้วย” ม่านตาสีเทาของกุ่ยตี้มองไปที่วิหคสีดำ เสียงอันเยือกเย็นของเขาก็ดังก้อง

ทันใดนั้นทุกคนก็เลื่อนสายตาตามไป ก็เห็นภาพเงายืนอยู่บนหัวของวิหคสีดำตัวนั้น นี่เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ปลดปล่อยความกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุดออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของกุ่ยตี้ ร่างเงาอ่อนเยาว์ก็ยิ้มและก้าวออกมา ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นภาพเงามาปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส

จากนั้นวิหคสีดำก็ส่งเสียงร้อง ก่อนที่จะหดตัวกลายเป็นร่างเงาเพรียวบางยืนอยู่ข้างมู่เฉิน

ในเวลาเดียวกันเสียงลมหวีดหวิวก็ดังขึ้น มีคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉินและจิ่วโยว

นี่ก็คือเฉวียนเทียนและมั่นถัวหลัว เห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของตำหนักมู่มาปรากฏตัวในครั้งนี้

เมื่อพวกเขามาถึงทั้งเมืองก็เงียบกริบพร้อมกับสายตาแปลกประหลาดมากมายมารวมตัวกันที่ฝั่งตำหนักมู่

ร่างอ่อนเยาว์ยืนเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ โดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ต่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้า

“ประมุขมู่เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสามารถก้าวสู่ระดับนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” กุ่ยตี้มองไปที่มู่เฉินขณะพูด

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มู่เฉินก็ยิ้ม “ไม่ต้องสนคำทักทายธรรมดาเหล่านั้น สำหรับพันธมิตรเทียนหลัวที่เชิญข้าด้วยการรวมตัวยอดเยี่ยมเช่นนี้ คงไม่ใช่แค่งานเลี้ยงละมั้ง?”

ทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากัน ตันหยางก็หัวเราะเบาๆ “พวกข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้านิดหน่อย…”

เขาหยุดชั่วครู่สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเถรตรง “ประมุขมู่น่าจะรู้ว่าพวกข้าลงทุนลงแรงอย่างมากในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเราจึงตัดสินใจยุติการต่อสู้และหวังว่าเจ้าจะหยุดความตั้งใจที่จะปกครองทวีปเทียนหลัว”

“แน่นอนว่าพวกจะให้ค่าตอบแทนแก่เจ้า หลังจากการประชุมพวกข้าตัดสินใจที่จะมอบทวีปเทียนหมังให้กับตำหนักมู่”

เมื่อเสียงของตันหยางดังก้อง ทั่วฟ้าดินก็เงียบลง ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด พันธมิตรเทียนหลัวไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ ยื่นข้อเสนอตั้งแต่เริ่ม…

ทุกคนรู้จักทวีปเทียนหมัง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ไม่ไกลจากทวีปเทียนหลัว แต่เป็นทวีปขนาดเล็กและทรัพยากรก็จำกัดจำเขี่ย เมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวก็เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหว

ใบหน้าสมาชิกตำหนักมู่เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา การให้ยอมแพ้ต่อทวีปเทียนหลัวและมอบทวีปเทียนหมังให้ พันธมิตรเทียนหลัวคิดว่าพวกเขาสามารถคุมตำหนักมู่ได้หรือ?

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงเงียบสงบ หลังจากตันหยางพูดจบเขาก็ยิ้ม

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประมุขทั้งห้าพลางส่ายหัว เสียงยังคงนิ่งเรียบ “ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวัน ไสหัวไปจากทวีปเทียนหลัวซะ แล้วข้าจะไม่เอาเรื่องในวันนี้”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเงียบกริบทันตา แต่ละคนมือเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น แม้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะโหดไปหน่อยกับคำพูด แต่พวกเขาก็ยังคงให้หน้ามู่เฉิน ทว่ามู่เฉินกลับพูดแบบตัดบัวไม่เหลือใย…

ตอนนี้คงไม่มีการพูดคุยกันอย่างสันติแล้ว

ภายในโถง

คลื่นหลิงครางกระหึ่มดังกึกก้องทั่วชั้นบรรยากาศ

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างกายของมู่เฉิน ทำให้แม้แต่ใบหน้าของเฉวียนเทียนยังเปลี่ยนไป มู่เฉินน่ากลัวกว่าอดีตมาก ถ้าเขาสู้กับมู่เฉินตอนนี้ละก็ เขาอาจรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลงพลางเอ่ยเสียงเบา “ทำไมไอ้พวกพันธมิตรเทียนหลัวถึงเลือกท้าทายเจ้าในตอนนี้? ทั้งที่พวกเขากลัวเจ้าในอดีต”

มู่เฉินหรี่ตาลง เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ ถึงยังไงมารดาของเขาก็เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเอาชื่อมารดามาเบ่ง แต่ชัดว่าประมุขทั้งห้าก็ยังหวาดกลัว

ทว่าตอนนี้พวกเขาคิดจะจัดการกับเขา พวกเขาไม่กลัวมารดาเขาแล้วหรือ?

“ตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าต้องรู้ถึงเป้าหมายของพันธมิตรเทียนหลัว” มู่เฉินเคาะโต๊ะเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้เป็นคนบุ่มบ่าม เราต้องรู้จักศัตรูเท่ากับรู้จักตัวเองเพื่อความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบา ๆ

 

การสอบสวนได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว

วันถัดมาก็มีข้อมูลจำนวนมากมากองเบื้องหน้ามู่เฉิน เขาอ่านอย่างละเอียดไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะถอนสายตาไม่แยแสกลับ

“ก็ว่าทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงกล้าหาญชาญชัย ที่แท้มีกองหนุนนี่เอง” มู่เฉินกล่าว

“ใคร?” จิ่วโยวถาม

“ตามรายงานมีคนจากเผ่าหมัวเฮอเข้าพบขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเมื่อเดือนก่อน” แววเยือกเย็นวาบผ่านในดวงตามู่เฉิน

“เผ่าหมัวเฮอ?” เมื่อได้ยินชื่อมั่วถัวหลัว จิ่วโยวและเฉวียนเทียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเผ่าหมัวเฮอจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

“เราไม่มีเรื่องขุ่นเคืองอะไรกับเผ่าหมัวเฮอ ทำไมพวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้า?” มั่นถัวหลัวถามด้วยความสงสัย

มู่เฉินหรี่ตายิ้ม “ชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกครึ่งปี”

เมื่อได้ยินคำนั้นใบหน้าของทั้งสามก็ดูประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำหนักมู่อย่างไร

“เผ่าหมัวเฮอถือครองร่างมหาเทพนิรัดร์และการชุมนุมนี้มีไว้เพื่อหาเจ้าของ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดต่อ “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ในเผ่าหมัวเฮอเพื่อดูแล แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานอยากถือเป็นทรัพย์สินของตนเอง ดังนั้นจะยอมให้คนนอกเอาไปได้อย่างไร”

“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะตรวจสอบอัจฉริยะที่โดดเด่นนอกเผ่าที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์และใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม”

“ข้าเชื่อว่าเพราะชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของข้าในช่วงนี้ทำให้พวกเขาคิดจะขัดขวาง แต่เนื่องจากการดำรงอยู่ของท่านแม่ พวกมันเลยไม่กล้าโจมตีในที่แจ้ง ดังนั้นพวกมันจึงพยายามใช้พันธมิตรเทียนหลัวเพื่อขัดขวางข้า”

“ช่างน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดเสียงเย็นชา

วิธีของเผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจแท้จริง เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ให้พวกเขาเพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยและเปิดเผยการฝึกฝนสำหรับร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม แต่ใครจะคิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะถือว่าเป็นสมบัติของตนเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ใส่ใจในหน้าที่ผู้ดูแลเท่านั้น พวกเขายังใช้วิธีลับเพื่อขัดขวางผู้เข้าร่วมงาน

การกระทำต่างๆ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง!

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเอ่ยเยาะเย้ย “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ครั้งหนึ่งเคยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ให้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ภายใต้การล่อลวงนี้ไม่น่าแปลกใจที่เผ่าหมัวเฮอจะหันมาใช้วิธีหมาลอบกัด”

“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? ข้าว่างานเลี้ยงดูท่าจะไม่ดีเลย” แม้แต่เฉวียนเทียนยังพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

แสงคมชัดวูบวาบในดวงตาของมู่เฉินขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อพันธมิตรเทียนหลัวเชิญเราไป ถ้าเราปฏิเสธ ชื่อเสียงที่สร้างขึ้นป่นปี้แน่”

ใบหน้าเขาฉายความเย็นชา ตอนแรกเขาอยากได้ช่วงเวลาสงบสุขที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วค่อยเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้นยอมถอย แต่ในเมื่อพวกมันใจร้อน ก็โทษอะไรไม่ได้…

“ส่งข่าวไป ตำหนักมู่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกสองวันข้างหน้า”

มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเสียงเยือกเย็น ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะท้าทายกัน เขาก็ต้องหยิบแผนที่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวขึ้นมาเร็วกว่าเดิม…

 

ข่าวพันธมิตรเทียนหลัวจัดงานเลี้ยง

มีการเชิญประมุขตำหนักมู่เข้าร่วมด้วย ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว

ทุกคนบอกได้ว่าเมื่อชื่อเสียงของมู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในมหาพันภพ สถานะของตำหนักมู่ก็ได้รับแรงผลักดันเช่นกัน

เผชิญหน้ากับตำหนักมู่ที่เติบโตขึ้นทุกวัน แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่สนับสนุนตัวแทนของตัวเองในทวีปเทียนหลัวก็ยั้งใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงเกิดการก่อตั้งพันธมิตรเทียนหลัว ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะครอบครองสามในสี่ส่วนของดินแดนทวีปเพื่อกดดันตำหนักมู่

สิ่งนี้ทำให้ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่ในตอนแรกระงับความคิด เนื่องจากกลัวว่าตำหนักมู่จะเสื่อมถอยโดยพันธมิตรเทียนหลัว

ดังนั้นข่าวนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะกำหนดตัวเจ้าเหนือแห่งทวีปเทียนหลัว

นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาในทวีปเทียนหลัว เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าทวีปเทียนหลัวจะปรากฏผู้ปกครองเหนือหัวอย่างแท้จริงแล้ว

ทว่าใครจะเป็นเจ้าเหนือหัวระหว่างพันธมิตรเทียนหลัวและตำหนักมู่…ก็ต้องดูที่การปะทะแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องใหญ่ในทวีปเทียนหลัวที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ

 

เมืองเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ของพันธมิตรเทียนหลัว

วังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีโต๊ะกลมซึ่งมีร่างเงาทั้งห้านั่งล้อมรอบ แม้ว่าจะไม่มีคลื่นใดๆ ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามาทำให้มิติถึงกับผิดเพี้ยน

“มู่เฉินตำหนักมู่ตอบรับคำเชิญแล้ว…”

ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วขณะที่ลังเล “มู่เฉินเป็นขาโหด เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าได้ เราจะยั่วเขาจริงๆ หรือ?”

“ท่านตันหยาง เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน เหตุใดจึงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อยด้วย?” ชายวัยกลางคนที่มีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในดวงตาเอ่ยขึ้น

ตันหยางกวาดสายตามองก็เยาะเย้ย “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อย? งั้นท่านจื่อเหลยไปลองสู้สิ หากเจ้ารอดจากมือเขาได้โดยไม่บาดเจ็บ ข้าจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายวัยกลางคนก็ชะงักไปก่อนที่จะเค้นเสียงขึ้นจมูก มู่เฉินเอาชนะได้กระทั่งหวงเฉวียนจือ ดังนั้นสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด จื่อเหลยรู้ศักยภาพตนเองและรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน

“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกัน”

เสียงน่าขนลุกดังก้องทำให้อุณหภูมิโถงลดลงทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้นตันหยางและจื่อเหลยก็หยุดการโต้เถียงมองไปที่จุดกำเนิดของเสียงนั้น

ภายใต้รัศมีน่าขนลุกชายชุดดำที่มีใบหน้าซีดเซียวและม่านตาสีเทาเปล่งประกายความตายออกมา

ชายชุดดำคนนี้ก็คือกุ่ยตี้แห่งประตูหลิงกุ่ยที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน

กุ่ยตี้กวาดสายตามองไปที่ทั้งสี่พูดว่า “พวกเจ้าก็รู้ท่าทีของตำหนักมู่ มู่เฉินมีเป้าหมายอย่างชัดเจนกับตำแหน่งเจ้าทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหากเราไม่ทำลายความทะเยอทะยานของเขาในตอนนี้ เราก็จะไม่มีปากมีเสียงในทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“แต่มารดาของมู่เฉินเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู…” ตันหยางเอ่ย

“ไม่ต้องกังวล เผ่าหมัวเฮอบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เผ่าฝูถูยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ด้วยการสนับสนุนของเผ่าหมัวเฮอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร”

กุ่ยตี้กล่าวต่อ “นอกจากนี้เราไม่มีเจตนาที่จะฆ่ามู่เฉิน ตราบใดที่เขามา เราแค่ลงมือทำร้ายเขาให้ต้องพักฟื้นสักปีเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว หลังจากนั้นเผ่าหมัวเฮอจะช่วยเราในการปกครองทวีปเทียนหลัว”

เมื่อทั้งสี่คนได้ยินเช่นนั้นก็มีไฟลุกโชนในดวงตา พวกเขาหวังที่จะปกครองทวีปเทียนหลัวมานานแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณ พวกเขาก็จะสามารถปิดปากของขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวได้

“งั้นก็ทำกันเลย!”

พวกเขาทั้งสี่สบตากันและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ถึงยังไงพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับตำหนักมู่และมู่เฉินมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วตำหนักมู่พึ่งพาเพียงมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาสามารถงัดข้อกับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าได้!

“หึ ถ้าอยากโทษก็โทษตัวเองที่ทะเยอทะยานเกินไป ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะยึดครองได้!”

ทวีปเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ

มู่เฉินนั่งกุมขมับกับรายงานที่วางบนโต๊ะ นี่เป็นรายละเอียดบรรณาการจากกองกำลังต่างๆ ที่มาอยู่ภายใต้อาณัติตำหนักมู่

“เฮ้อ”

หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวันมู่เฉินก็รู้สึกเหนื่อยล้ามาก เขาวางรายงานลงมองไปที่มั่นถัวหลัวที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความสะใจก็ยิ้มขมขื่น “พวกนี้ไม่จำเป็นให้ข้ามานั่งอ่านเองหรอกมั้ง?”

มั่นถัวหลัวเบ้ปากตอบ “เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจรายงานที่เกี่ยวกับตำหนักมู่สิ”

มู่เฉินถอนหายใจ เขากลับมาที่ตำหนักมู่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนแรกก็คิดจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข แต่ใครจะไปคิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่พอใจเขาที่ทิ้งงานมานานจนทุ่มงานทั้งหมดคืนมาที่เขา

ครึ่งเดือนนี้เขารู้สึกเหนื่อยกว่าสู้กับหวงเฉวียนจือเสียอีก…

“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าลำบาก” มู่เฉินยกสองมือยอมแพ้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจทำแบบนี้เพื่อสอนบทเรียนให้เขา เพราะเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องงานในตำหนักมู่เลยนับตั้งแต่ก่อตั้งมา

เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นภาพนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าดาวรุ่งแห่งมหาพันภพคนใหม่ จะยอมรับความพ่ายแพ้

ศึกระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือลือไปทั่ว สิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าหวงเฉวียนจือเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางมาแล้ว…

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเผ่าหงส์ฟ้าที่ภาคภูมิ นั่นหมายความว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าหวงเฉวียนจือ

แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ซึ่งอาจแปลว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน…

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ท่าทางของมั่นถัวหลัวก็อ่อนลงก่อนที่นางจะแหววใส่เบาๆ แล้วเหยียดตัวเพื่อดึงรายงานสำคัญมา “ตำหนักมู่ได้รับของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยดในปีที่ผ่านมา”

“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยด…” มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินจำนวน อดีตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้กระทั่งของเหลวจื้อจุนถึงร้อยล้านหยดต่อปีด้วยซ้ำ

“เจ้าคิดว่ามากเรอะ?” เมื่อเห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็กลอกตา

มู่เฉินยิ้มเขินอาย “ไม่เยอะเหรอ?”

เขาไม่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเท่าไร

“จากพันเก้าร้อยล้านหยด เจ้าได้รับเจ็ดร้อยล้านหยดสำหรับการฝึกฝน ผู้อาวุโสเฉวียนเทียนใช้สี่ร้อยล้านหยดต่อปี ตอนนี้จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็ต้องได้รับสี่ร้อยล้านหยดเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเหลือเพียงสี่ร้อยล้านหยดสำหรับเรื่องอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าตำหนักมู่มีกี่ปากกี่ท้อง?” มั่นถัวหลัวเค้นสียงเย็น

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาคนเดียวก็ใช้ไปหนึ่งส่วนสามแล้ว ยิ่งตอนนี้เขามาถึงระดับเทียนจื้อจุน ยิ่งต้องการทรัพยากรจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีทรัพยากร ประสิทธิภาพในการเพาะบ่มขุมพลังก็จะลดลงอย่างมาก

นี่เป็นสาเหตุที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสร้างกองกำลังของตนเอง เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกฝน

“ข้าไม่ต้องการมากขนาดนั้น” จิ่วโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้รับการจัดสรรจำนวนนี้เมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน

มั่นถัวหลัวส่ายหัวตอบ “นี่คือกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเป็นเสาหลักของขั้วอำนาจใหญ่และถ้าตำหนักมู่ไม่แม้แต่จะรักษาเช่นนั้นได้ จะมีคนต้องการเข้าร่วมกับเราในอนาคตได้อย่างไร”

มั่นถัวหลัวหันไปหามู่เฉินเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ตำหนักมู่สามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้เพียงสามคน หากมีคนอื่นเพิ่มเติม เราจะไม่สามารถสนับสนุนพวกเขาได้”

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงกับคำพูดเหล่านั้น สิ่งนี้ส่งผลต่อการเติบโตของตำหนกมู่อย่างชัดเจน เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นรากฐานของขั้วอำนาจใดๆ และจำนวนก็แสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา

“แล้วตอนนี้เราควรทำยังไง?” มู่เฉินถาม

“รักษาสถานะนี้ไว้และค่อยๆ กลืนกินดินแดนมากขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลตำหนักมู่” มั่นถัวหลัวตอบ

“ตอนนี้ขั้วอำนาจมากมายในทวีปเทียนหลัวตั้งระวังตำหนักมู่ของเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถขยายตัวได้มากเกินไปในปีที่ผ่านมา กลัวว่าจะโดนตอบโต้”

หลังจากพิจารณาครู่หนึ่งมู่เฉินก็ถามว่า “หาข้อมูลขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสำนักเหล่านั้นในทวีปเทียนหลัวแล้วหรือยัง?”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าพลางหยิบม้วนกระดาษส่งให้มู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเปิดออกชื่อห้าชื่อก็กระแทกเข้าตา ขั้วอำนาจทั้งห้านี้มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในมหาพันภพ

ภูเขาตันหยาง—ผู้อาวุโสตันหยาง

เมืองเฉวียนยิง—เจ้าเมืองโยวเฉวียน

สำนักเซียนสายฟ้าม่วง—จอมยุทธ์จื่อเหลย

หุบเขาไป๋หู—ราชันไป๋หู

ประตูหลิงกุ่ย—ราชันกุ่ยตี้

ประมุขขั้วอำนาจสูงสุดสี่ชื่อแรก ล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนกุ่ยตี้ก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนระยะกลางแล้ว

“ทวีปเทียนหลัวสมกับเเป็นมหาทวีป มีความซับซ้อนอย่างแท้จริง ขั้วอำนาจสูงสุดในระดับนี้มีถึงห้าขั้วอำนาจ” มู่เฉินหดดวงตา

“เมื่อก่อนไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากกฎไม่ได้บัญญัติของทวีป แต่พวกเขาสนับสนุนขุมกำลังเพื่อเป็นตัวแทน ใครจะคิดว่าตำหนักมู่จะมีสัตว์ประหลาดอย่างเจ้ามาอยู่ในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็ทำลายสถานการณ์ในทวีปจนยับเยิน” มั่นถัวหลัวยิ้ม

“ช่วงแรกที่สำนักเรารวมจักรวรรดิเหนือ ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็ส่งคำเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่งในดินแดนอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัว ขณะเดียวกันก็ขัดแข้งขัดขาการขยายตัวของเราด้วย”

“แต่หลังจากข่าวการต่อสู้ของเจ้าในเผ่าฝูถูมาถึง ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็หวาดผวาหยุดขัดขวางเรา”

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าขั้วอำนาจทั้งห้ากลัวหลังจากที่รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ นอกจากนี้นางยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูอีกด้วย

ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นปัญหาแท้จริง แม้ว่าตำหนักมู่จะเต็มไปด้วยแรงผลักดัน แต่พวกเขาก็ถูกล้อมกรอบอยู่ในจักรวรรดิเหนือโดยขั้วอำนาจทั้งห้า หากพวกเขาฝ่าฝืนออกไปก็จะเป็นการบังคับให้ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าร่วมมือกันจัดการกับพวกเขา ซึ่งเป็นหายนะใหญ่ของตำหนักมู่แน่

เพราะสุดท้ายมู่เฉินก็คงไม่สามารถให้มารดาออกหน้ามาจัดการคนเหล่านั้นแทนได้… ตำหนักมู่เป็นขุมกำลังของเขา ดังนั้นเขาอยากพึ่งพาตัวเองในการพัฒนาให้แข็งแกร่ง

แต่ถ้าตำหนักมู่ต้องการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ พวกเขาจะต้องครอบครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดเพื่อได้ใช้ทรัพยากรมากขึ้น

ไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีความทะเยอทะยาน แต่เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป ต่อให้พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดก็ต้องต่อสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ตามการคาดการณ์ของเขาหากไม่ใช่เพราะชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าคงเคลื่อนไหวต่อต้านตำหนักมู่ไปนานแล้ว

ในมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นภัยคุกคามนานแล้ว

“ไม่ต้องรีบร้อน”

มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ขอแค่คงสถานการณ์ปัจจุบันของตำหนักมู่ไว้อีกช่วงหนึ่ง แล้วข้าจะทำให้พวกเขาวิ่งหางจุกตูดออกจากทวีปเทียนหลัวด้วยความหวาดกลัวเอง”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่ถ้ามีเวลาที่เพียงพอหรือ รอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้วอำนาจเหล่านั้นจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

ในขณะนั้นมู่เฉินไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเพื่อครองทวีปทั้งหมด

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่คิดจะให้เวลากับเจ้าน่ะสิ”

“เจ้าหมายถึงอะไร?” มู่เฉินหรี่ตา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมขณะอธิบายว่า “ข้าได้รับข่าวว่าไม่กี่วันก่อนขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าจับมือกันสร้างพันธมิตรเทียนหลัวแล้ว…”

“ข้ากังวลว่าเป้าหมายจะพุ่งมาที่เรา”

มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเหล่านั้นเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ ถึงขนาดสร้างพันธมิตรเพื่อขัดขวางตำหนักมู่

ขณะที่มู่เฉินเงียบลงทั้งโถงก็เงียบสนิท

ทันใดนั้นแสงสายหนึ่งก็ทะยานเข้ามา มั่นถัวหลัวคว้าเอาไว้ กวาดสายตาชั่วครู่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น

เสียงของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลง “มีข่าวว่าในสามวันข้างหน้าประมุขทั้งห้าของพันธมิตรเทียนหลัวจะจัดงานเลี้ยงในเมืองเทียนหลัวและพวกเขาส่งเทียบมาเชิญเจ้า”

“งานเลี้ยงหงเหมินล่ะสิ” เฉวียนเทียนเอ่ยเสียงต่ำ

“ทำยังไงดี?” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะมองไปที่มู่เฉิน

มือถูบนโต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงไฟคลี่ยิ้มไม่เชิงยิ้ม แสงเย็นเริ่มรวมตัวกันในม่านตาสีดำ

“พวกเขากล้าดี ตอนแรกข้าอยากจะรอสักหน่อยเพื่อที่พวกเขาจะได้ล่าถอยไปด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าพวกเขาจะใจร้อนอยากจะต่อสู้กับข้าขนาดนี้…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง”

เมื่อพูดจบรัศมีรุนแรงก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน เสื้อผ้ากระพือจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ราวกับจักรพรรดิผู้เกรี้ยวกราด

“สำเร็จ?!”

เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสต่างมองวิหคสีดำด้วยความสุขบนใบหน้า ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน

พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันสูงส่ง ซึ่งทำให้กระทั่งสายเลือดในร่างยังสั่นไหว

สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์มีริ้วสายเลือดวิหคอมตะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลุกสายเลือดได้และก็หายากยิ่งสำหรับคนที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะ

ดังนั้นเมื่อจิ่วโยววิวัฒนาการเป็นวิหคอมตะได้ ทุกคนที่นี่จึงรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายเลือดของตนเอง

“ผู้อาวุโสหลู่ จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วใช่ไหม?” เทียนฮวงถามด้วยเสียงติดตื่นเต้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบุตรสาว แต่ไม่สามารถวัดระยะที่แน่นอนได้

หลังจากสัมผัสอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าของผู้อาวุโสหลู่ก็ฉายความตกใจ “จิ่วโยวน่าจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว!”

มนุษย์และเทพอสูรไม่เหมือนกัน มนุษย์จะฝึกฝนไปทีละขั้น…ละขั้น ส่วนเทพอสูรจะไม่ก้าวหน้าขึ้นมาอีกเป็นเวลาหลายปี แต่ในช่วงเวลาที่มีพัฒนาการขึ้นพลังของพวกเขาจะทะยานไปสู่จุดสูงจนไม่อาจจินตนาการได้

นั่นหมายความว่าจิ่วโยวตอนนี้แข็งแกร่งกว่ามู่เฉินในแง่ขุมพลัง

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย!”

เทียนฮวงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ดีใจมาก ที่แล้วมาเผ่าวิหคโลกันตร์ได้แต่พึ่งพาผู้อาวุโสหลู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเพียงผู้เดียวในการแทรกเข้าสู่อันดับของเผ่าเทพอสูร ทว่าพวกเขาก็เผชิญกับความท้าทายตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสหลู่เข้าสู่วัยชรา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถก้าวหน้าในการเพาะปลูกของเขาได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของจิ่วโยวทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความคับแค้นอันสิ้นหวัง นางได้วิวัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรวิหคอมตะ ในแง่ของความแข็งแกร่งสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้

ด้วยการดำรงอยู่ของจิ่วโยว ไม่ต้องไปพูดถึงเผ่าเทพอสูรเหล่านั้น แม้แต่เผ่ามหาเทพอสูรก็ยังต้องให้ความยำเกรงเผ่าวิหคโลกันตร์ของพวกเขา

ตู้ม ต้ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมยินดี ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังก้องจากท้องฟ้า ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที “ทำไมถึงมีภัยพิบัติสายฟ้าขึ้นอีก!”

ทุกสายตามองเห็นการรวมตัวของเมฆหนาแน่นพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว

“ไม่ใช่ของจิ่วโยว!” ม่านตาผู้อาวุโสหลู่หดเกร็ง

เทียนฮวงตกตะลึงไปกับคำพูดนั่น ถ้าไม่ใช่ของจิ่วโยวแล้วเป็นของใครล่ะ? แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้รีบเบนสายตาไปยังมู่เฉินทันที ไข่ใบมหึมาสองฟองเหนือร่างมู่เฉินเอิบอาบด้วยความผันผวนที่น่ากลัว

“ไอ้ไข่แดงๆ นั่นคืออะไร? ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!” เทียนฮวงอุทานเสียงต่ำ รัศมีสายเลือดปิดกั้นการสัมผัสของพวกเขา ดังนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสหลู่ยังไม่รู้ว่าอะไรกำลังฟักอยู่ในไข่เหล่านั้น

ครืนๆๆๆ!

สายฟ้าร้องรุนแรงดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของมู่เฉินขณะที่ดวงตาเขาหดลงมองเมฆฝนสีดำพลางขมวดคิ้ว

เขาตระหนักได้ว่าพลังงานที่สร้างขึ้นในเมฆฝนฟ้าคะนองแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่โจมตีจิ่วโยวเสียอีก

แต่ไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ด้อยไปกว่าวิหคอมตะ ดังนั้นเมื่อทั้งสองก่อตัวขึ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมฆฝนฟ้าคะนองจะน่ากลัวกว่านี้

“หวังว่าจะทนไว้ได้” มู่เฉินจ้องไปที่ไข่ทั้งสองฟอง พวกมันไม่สามารถพึ่งพาปัจจัยภายนอกสำหรับภัยพิบัติสายฟ้า มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำหนาแน่นก็กวนตัวจนถึงขีดสุด ทั่วบริเวณมืดมิดลง สายฟ้าสีดำสองสายที่คล้ายกับกรงเล็บมังกรยักษ์พุ่งเข้าใส่ไข่

ตึง!

ท้องฟ้าทั้งผืนเลื่อนลั่น ขณะที่ไข่สองฟองสั่นไหว ราวกับถูกกลืนกินไปส่วนหนึ่ง

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อสายแรกไม่ได้ผล ภัยพิบัติสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงขึ้น สายฟ้าสีดำจำนวนมากฟาดลงมาจากท้องฟ้ารุนแรง ทำให้กระทั่งหนังหัวของผู้อาวุโสหลู่ยังด้านชาไปหมด

พร้อมกับการโจมตีที่รุนแรงของสายฟ้า ไข่สีแดงเข้มก็เริ่มลดขนาดลง…

มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน แก่นโลหิตชั้นยอดขนาดเท่ากำปั้นทั้งสามก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีสายเลือดรุนแรงพุ่งเข้าไปในไข่ทั้งสองใบ

ด้วยการสนับสนุนของรัศมีสายเลือดที่ไร้ขอบเขตทำให้ไข่ฟื้นตัวช้าๆ…

ครืน!

แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงชั่วคราว ไข่สีแดงเข้มยังคงลดขนาดลงเรื่อยๆ จากสายฟ้าผ่าก่อนที่จะเหลือขนาดประมาณหนึ่งพันจั้งเท่านั้น

ฉากนี้ทำให้เทียนฮวงและคนที่เหลือกังวลเล็กน้อย แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขารู้สึกว่าไข่สีแดงเข้มทั้งสองเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

แต่เมื่อเทียบกับความกังวลของคนอื่น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของสิ่งมีชีวิตจากไข่สองฟองก่อตัวขึ้นแล้ว

ขณะที่เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำยังคงบีบกด ก็ได้ก่อตัวเป็นกรวยที่มีริ้วการสั่นไหวของสายฟ้าที่รวมตัวกันเป็นเสาสายฟ้าขนาดมหึมา

เมื่อเสาพุ่งลงมาก็ฉีกออกจากกันกะทันหัน กลายเป็นมังกรสายฟ้าสีดำและหงส์ฟ้าสายฟ้าสีดำพร้อมกับพลังที่สามารถลดภูเขาทั้งหมดในรัศมีแสนลี้ได้หากตกลงมา

แต่ในขณะนี้เองไข่สีแดงเข้มสองฟองก็แตกออก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

ทันใดนั้นรัศมีแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เทียนฮวงและผู้อาวุโสพากันตกตะลึง เมื่อเห็นมังกรและหงส์ฟ้าขนาดใหญ่แผ่ร่างออกมา

มังกรมีสีทองประกอบกับแสงลึกลับวาบบนเกล็ดซึ่งมีพลังในการทำลายล้าง เกล็ดยังสลักด้วยสัญลักษณ์โบราณซึ่งดูลึกลับมาก

หงส์ฟ้าก็มีสีทองดูสูงส่งพร้อมกับลาวาสีทองหยดลงมาจากปีกทำให้มิติถึงกับบิดเบี้ยว

ความกดดันที่น่ากลัวสองสายแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

“นั่นคือ…มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเหรอ?!”

เสียงอุทานดังขึ้น เทียนฮวงและคนอื่นๆ แสดงความไม่เชื่อบนใบหน้า ในฐานะสมาชิกเผ่าเทพอสูร ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการปราบปรามจากสิ่งมีชีวิตเหนือกว่าทั้งสองได้

นอกจากนี้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงยังมีร่างเนื้อไม่ใช่ภาพลวงตา!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้อาวุโสหลู่อุทาน “มู่เฉินสร้างมังกรและหงส์ฟ้าของแท้ได้อย่างไร!”

ต้องรู้ว่าหงส์ฟ้าและมังกรเป็นจักรพรรดิในเผ่าพันธุ์ทั้งสอง มีสายเลือดสูงส่ง แม้แต่ในเผ่าพวกมันเองก็ยากที่จะเกิดมาสักคน แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับให้กำเนิดทั้งสองขึ้นมางั้นเรอะ?!

ท่ามกลางสายตาไม่อยากจะเชื่อ มหาเทพอสูรทั้งสองก็ทะยานขึ้นสูง ใช้ร่างที่ทรงพลังปะทะมังกรสายฟ้าและหงส์ฟ้าสายฟ้า

ครืน!

ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือน สายฟ้าก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า ทำให้เกิดคลื่นกระแทกกวาดออกไป มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงส่งเสียงคำราม สายฟ้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้

นอกจากนี้ความผันผวนของคลื่นหลิงจากร่างกายพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เพียงสิบกว่าลมหายใจก็ก้าวข้ามระดับไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!

“ซี้ด…”

ผู้อาวุโสหลู่สูดลมหายใจเย็นพลางอุทาน “มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้แล้ว!”

เทียนฮวงและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาตกตะลึงเกินคำบรรยาย ใครจะคิดว่ามู่เฉินไม่เพียง แต่ให้กำเนิดมังกรและหงส์ฟ้า แต่ยังสามารถยกพวกมันไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนอีกด้วย

“ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วซะงั้น…”

มู่เฉินก็ตกใจเช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ในระดับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ทว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะไปถึงระดับนี้และแข็งแกร่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม…

เขาขมวดคิ้วขณะที่มองมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่มีจิตสำนึกของตัวเอง ในระดับหนึ่งช่างคล้ายกับร่างรองที่เขาฝึกฝน

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกินไป เพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง

เขาโบกมือ มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปลดปล่อยเสียงคำรามไปทั่วขอบฟ้า ขณะที่พลิ้วลงมา มังกรแท้จริงกลายเป็นงูตัวจิ๋วฝังอยู่ในแขนเสื้อของมู่เฉิน ขณะที่หงส์ฟ้าแท้จริงกลายเป็นนกตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของมู่เฉิน

เมื่อรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่มีต่อกัน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ ในที่สุดเขาก็สามารถเลี้ยงดูพวกมันหลังจากทำงานหนักมาตลอด

ขณะนี้เองวิหคสีดำก็โผทะยานลงมากลายเป็นเงาร่างเพรียวบาง

เมื่อทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้น แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกตะลึงในสายตา

จิ่วโยวได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ ชุดสีดำแนบลำตัวพร้อมกับเรือนผมทิ้งตัวลงมา มีรัศมีลึกลับและสูงส่งบนใบหน้า ม่านตาของนางก็คล้ายกับมีเปลวไฟสีดำในก้นบึ้งที่ดูดผู้คนเข้าหา

ในอดีตจิ่วโยวเต็มไปด้วยความพยศ แต่ขณะนี้นางมีเสน่ห์ลึกลับและกลิ่นอายของสายเลือดสูงส่งที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็หันกลับมาและยิ้ม

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของนาง มู่เฉินก็ยิ้มกว้าง ดูท่าไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางก็ยังคงเป็นจิ่วโยว พี่สาวที่คอยปกป้องเขาคนเดิม…

ภูเขาด้านหลังเผ่าวิหคโลกันตร์

มู่เฉินนั่งอยู่บนหินสีฟ้าอมเขียว หลังจากออกจากเผ่าหงส์ฟ้าเขาไม่ได้กลับไปที่ตำหนักมู่ แต่มาอยู่ที่นี่กับจิ่วโยวก่อน

นั่นเป็นเพราะจิ่วโยวต้องดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งเพื่อให้วิวัฒนาการสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจมาปกป้องนาง

แน่นอนว่าเขาก็ต้องการสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดอีกหกส่วนด้วยเช่นกัน

มู่เฉินเงยหน้ามองภูเขาที่อยู่ห่างไกลซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนนั้น นี่เป็นเขาหัวโล้นพร้อมกับอุณหภูมิที่พุ่งออกมาจากภูเขา

นั่นเป็นจุดที่จิ่วโยวกำลังอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ

“จิ่วโยวเข้าสู่สมาธิแล้ว หวังว่านางจะประสบความสำเร็จ” เทียนฮวงยืนอยู่ข้างมู่เฉิน ขณะที่เขามองไปที่ภูเขาใหญ่ แม้ว่าสายตาจะดูเรียบเฉยแต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความกังวลใจที่แฝงอยู่

“ไม่ต้องกังวล นางจะประสบความสำเร็จแน่นอน” มู่เฉินเอ่ยแบบสบายใจ

เทียนฮวงพยักหน้าหันไปหามู่เฉินและยิ้ม “เจ้าสามารถเข้าสู่สมาธิได้ที่นี่ตอนนี้ ข้าออกคำสั่งว่าในรัศมีหนึ่งแสนลี้ให้เป็นพื้นที่หวงห้าม ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาได้ ดังนั้นเจ้าจะไม่ถูกรบกวน”

เมื่อตอนที่พวกมู่เฉินกลับมาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ ข่าวที่นำมาด้วยทำให้ทั้งเผ่าตื่นเต้นกันยกใหญ่ ตอนแรกพวกเขารู้สึกคับแค้นใจที่หวงเฉวียนจือต้องการสายเลือดของจิ่วโยวแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

เดิมทีพวกเขาคิดว่าจิ่วโยวจะไม่รอดพ้นจากชะตากรรมนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ มู่เฉินจะยื่นมือเข้ามาช่วย ที่น่าตกใจยิ่งกว่าอะไรก็คือ… เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือได้…

ในบรรดาเผ่าเทพอสูรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เผ่ากลางเวหา หวงเฉวียนจือมีชื่อเป็นที่โจษจัน แต่ใครจะคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน?

เมื่อข่าวส่งกลับมาที่เผ่าวิหคโลกันตร์ มู่เฉินก็กลายเป็นวีรบุรุษในหมู่เยาวชนรุ่นใหม่ ช่วงเวลาที่มู่เฉินเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน เขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

ดังนั้นพอได้ยินคำพูดของเทียนฮวง มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ “ถ้างั้นก็รบกวนท่านประมุขแล้ว”

เทียนฮวงโบกมือหันไปมองภูเขาที่จิ่วโยวกำลังเข้าสมาธิ “งั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว พวกเราจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่ ดังนั้นเจ้าสามารถแจ้งให้ทราบหากต้องการอะไร”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า

เทียนฮวงกลายเป็นริ้วแสงทะยานจากไป

เมื่อเทียนฮวงไปแล้ว ท่าทางมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ และเม็ดกลมเกลี้ยงสามเม็ดลอยออกมาจากแขนเสื้อ

มีอักขระอยู่บนเม็ดกลมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผนึกที่มู่เฉินประทับไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหล

แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะอยู่ในสถานะปิดผนึก แต่เมื่อถูกนำออกมาก็ยังทำให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างเขาอยู่ไม่สุข เสียงคำรามดังก้องออกมา

“ใจร้อนจริง…”

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่มือจะประสานเข้าหากัน ร่างกายเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะปรากฏขึ้น

ชี่!

เมื่อเงาทั้งสองออกมา พวกมันก็ทะยานออกจากร่างมู่เฉิน ขยายตัวขนาดใหญ่เป็นมังกรและหงส์ฟ้าลอยอยู่เหนือมู่เฉิน

มังกรและหงส์ฟ้ามีสีทองราวกับว่าร่างกายหลอมด้วยทองคำดูสูงส่งนัก

นี่ก็คือจิตวิญญาณเทพอสูรแท้จริง แต่ร่างกายของพวกมันยังค่อนข้างลวงตาไม่สามารถสร้างร่างแท้จริงได้ ส่วนความผันผวนของคลื่นหลิงก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น

“หวังว่าแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งนี้จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

มู่เฉินพึมพำขณะที่สะบัดนิ้ว ผนึกบนเม็ดกลมทั้งสามหายไปในทันที รัศมีสายเลือดรุนแรงพัดออกมาทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนกลายเป็นสีแดง

วิญญาณเทพอสูรทั้งสองเปล่งเสียงคำรามหิวกระหายทันที ก่อนที่จะเริ่มกลืนรัศมีสายเลือดเข้าสู่ร่างกายพวกม้น

เบื้องหน้ามังกรและหงส์ฟ้าที่กำลังกลืนกิน เม็ดกลมทั้งสามเป็นเหมือนหลุมไร้ก้นขณะที่พรั่งพรูรัศมีสายเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ปล่อยให้วิญญาณทั้งสองกลืนกินโดยรัศมีไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ชัดว่ารัศมีภายในหนาแน่นนัก

เมื่อจิตวิญญาณทั้งสองกลืนกินอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างที่พร่างพราวเริ่มลึกซึ้งขึ้น มิหนำซ้ำยังมีสัญลักษณ์โบราณแผ่ออกมาบนเกล็ดมังกรและขนนกหงส์ฟ้า…

ราวกับว่าร่างกายของพวกมันกำลังถือกำเนิดขึ้นในขณะนี้

มู่เฉินยิ้มกับภาพนี้ แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาต้องการให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีวิวัฒนาการ พวกมันก็ต้องการรัศมีสายเลือดจำนวนมาก โชคดีที่แก่นโลหิตชั้นยอดเกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งหกส่วนมีมากพอ

“ตอนนี้ก็แค่รอ…”

มู่เฉินพึมพำ จากนั้นก็หลับตาและเข้าสู่สภาวะฝึกฝน

 

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งเดือน

โดยภูเขาที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีสายเลือดรุนแรงซึ่งก่อตัวเป็นชั้นเมฆสีแดงเข้มบนท้องฟ้า ฉากนี้ช่างน่ากลัว แต่โชคดีที่เทียนฮวงได้ออกคำสั่งห้ามทุกคนเข้ามา

มู่เฉินลืมตาขึ้นเงยหน้ามองก็ไม่เห็นมังกรและหงส์ฟ้าอีกต่อไป เห็นแต่ชั้นเมฆสีแดงเข้มรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องกลายเป็นไข่สีแดงเข้มขนาดใหญ่สองฟอง ส่วนเม็ดกลมทั้งสามที่เบื้องหน้ามู่เฉินก็หดตัวลงครึ่งหนึ่ง

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นสองชนิดบ่มตัวอยู่ในไข่

เมื่อมองลงมาจากเมฆสีแดงมู่เฉินก็อึ้งไปชั่วครู่ เนื่องจากเห็นเปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาจากภูเขาหัวโล้นอย่างต่อเนื่อง

ภายใต้เปลวไฟสีดำภูเขาทั้งลูกมีร่องรอยการละลาย

ดูเหมือนจะมีบางอย่างแตกออกมาจากรังไหมที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ

“ดูท่าว่าวิวัฒนาการของจิ่วโยวจะมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว…” มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้น หากจิ่วโยววิวัฒนาการสำเร็จ นางก็จะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรในฐานะจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน

“เห็นทีข้าจะล้าหลังไม่ได้…”

ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลง รัศมีสายเลือดจากเม็ดกลมทั้งสามก็หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นมู่เฉินก็หลับตาลง

 

มู่เฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เพราะตกใจกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง เขามองไปในระยะไกลก็เห็นเมฆฝนรวมตัวกันเหนือภูเขาที่จิ่วโยวอยู่พร้อมกับสายฟ้าทำลายล้าง

“ภัยพิบัติสายฟ้า!”

ดวงตาของมู่เฉินหดลง นี่ก็เหมือนกับมนุษย์พบกับภัยพิบัติเทียนจุนเมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เหล่าเทพอสูรก็เกิดภัยพิบัติเช่นกัน

หากภัยพิบัติสายฟ้าอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าจิ่วโยวอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกเพียงก้าวเดียว

มู่เฉินมองไปที่เมฆฝนหนาแน่นก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง เมื่อเลื่อนสายตาต่อไปเขาก็เห็นเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์รวมตัวกันมองไปที่เมฆหนาทึบด้วยความกังวลใจ

ตู้ม ตู้ม!

ขณะนี้เองเมฆฝนฟ้าคะนองแตกออก เสาสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงมาจากสวรรค์ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ในชั้นบรรยากาศ

ฟู่ ฟู่!

ทว่าเมื่อเสากำลังจะปะทะกับเปลวไฟสีดำภายในภูเขา เสาเพลิงสีดำก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับเสาสายฟ้า

ตึง!

เมื่อเปลวไฟและสายฟ้าปะทะกันทั่วฟ้าดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พลังงานสองสายยึดกันเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะสลายไป

ตู้ม ตู้ม!

แต่ภัยพิบัติสายฟ้าไม่ง่ายอย่างนั้น ไม่นานจากนั้นเมฆฝนก็กลิ้งตัว พวกเทียนฮวงรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด เมื่อเห็นเสาสายฟ้าสีเงินฟาดลงมาจากท้องฟ้าพุ่งไปยังภูเขาลูกนั้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าสวรรค์พยายามทำลายสิ่งที่อยู่ภายใน

เผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงเหล่านั้น เปลวไฟสีดำเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งออกมาจากภูเขาก่อตัวเป็นกำแพงกั้น

ตึง ตึง ตึง!

พลังโจมตีของสายฟ้ารุนแรงมากขึ้น กำแพงเริ่มอ่อนลงก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุด

ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็รวมตัวกัน สายฟ้าขนาดมหึมาฟาดลงมาจากท้องฟ้ามุ่งสู่ภูเขา

ความตกใจกลัวปกคลุมใบหน้าของพวกเทียนฮวง พวกเขาเห็นภูเขาราวกับละลายและลดระดับลงบนพื้นทันที

กีด!

แต่ทันใดนั้นเสาเพลิงสีดำขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกระพือปีก ปากเปิดอ้าคล้ายกับหลุมดำกัดกินสายฟ้า

เสียงร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก

ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นวิหคสีดำปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำขณะที่แทรกซึมรัศมีโบราณและสูงส่ง

เมื่อมองไปที่วิหคสีดำ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกด้วยความชื่นชมสุดซึ้งในดวงตา

ณ เวลานี้จิ่วโยววิวัฒนาการสำเร็จแล้ว นางหลุดจากร่างเทพอสูรกลายเป็นมหาเทพอสูรอย่างแท้จริง

วิหคอมตะ!

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกยินดีกับวิวัฒนาการที่ประสบความสำเร็จของจิ่วโยว ดวงตาก็หดลงทันที เขาหันไปมองเมฆสีแดง เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งชีวิตในนั้นก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว…

“ในที่สุดก็จะออกมาแล้วเรอะ?”

ด้านนอกสระยกเทพ

ขณะที่พายุเข้าปกคลุมพื้นที่ เสียงก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่กระจก

ในกระจกร่างของหวงเฉวียนจือค่อยๆ ล้มลงโดยที่ร่างกายครึ่งหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และหมดสติไป

ในที่สุดผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็ปรากฏแล้ว…

แม้ว่าจะเหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ก็เป็นความจริงที่โหดร้าย เมื่อมองไปที่สภาพปัจจุบันของหวงเฉวียนจือก็ไม่มีใครหาข้ออ้างให้ได้

“เป็นไปได้อย่างไร…”

จอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรพึมพำพร้อมกับความหวาดหวั่นพล่านในดวงตา เพราะชื่อเสียงของหวงเฉวียนจือขจรขจายในเผ่าเทพอสูรและตัวเขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ในอดีตหลายต่อหลายคนพ่ายแพ้ให้กับหวงเฉวียนจือซึ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา

แต่ใครจะคาดคิดว่าหวงเฉวียนจือจะพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์ในวันนี้…

แม้จะมีความตกใจ แต่หลังจากที่ได้เห็นการปะทะ พวกเขาก็ต้องยอมรับว่ามู่เฉินน่ากลัวอย่างแท้จริง

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูได้…

ขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจ เผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงก็เงียบกริบ แม้แต่หวงจิงก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ ส่วนผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ตะลึงพรึงเพริด ชัดว่าไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้

อัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงแพ้?

ตอนแรกพวกเขายังหวังว่าหวงเฉวียนจือจะต่อต้านการโจมตีของมู่เฉินได้ ก่อนที่จะตอบกลับ แต่ใครจะคิดได้ว่ากระบวนท่าของมู่เฉินจะทรงพลังมากจนทำลายการป้องกันของหวงเฉวียนจือไปได้…

เมื่อเทียบกับความเงียบของเผ่าหงส์ฟ้า เทียนฮวงฉายความสุขบนใบหน้าขณะตัวสั่นเทิ้ม แม้แต่ผู้อาวุโสหลู่จากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่อยู่ข้างหลังก็ยังอึ้งตะลึงงันพลางกลืนน้ำลายลงคอ

“มู่เฉินนั้นน่ากลัวจริงๆ…” เขาพึมพำ

เอาชนะหวงเฉวียนจือที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง หากข่าวนี้กระจายออกไปก็จะทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินพุ่งทะลุฟ้าไปอีกขั้น

เพราะพลังของหวงเฉวียนจือไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูจะเทียบเคียงได้

“เป็นโชคดีที่สุดของจิ่วโยวที่ได้รู้จักกับมู่เฉิน” เทียนฮวงถอนหายใจ ตอนนั้นพวกเขาคัดค้านพันธะโลหิตระหว่างจิ่วโยวกับมู่เฉินหัวชนฝา เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินจะลากจิ่วโยวลงมาที่ต่ำ แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ลากจิ่วโยวลงมา เขายังกลายเป็นกองหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางอีกด้วย

หลังจากการศึกครั้งนี้แม้แต่สถานะของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเพิ่มขึ้นในหมู่เทพอสูร ในอดีตบรรดาคนที่หมายตาเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะปัดเป่าความคิดแตกซ่านออกไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมู่เฉิน

 

มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว

ก่อนที่เจดีย์จะกลายเป็นริ้วแสงกลับมาสถิตในร่าง แม้แต่กายาหลิงเทียนจุนก็ค่อยๆ จางหายไป

“ชายคนนี้คู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริง”

มู่เฉินพึมพำขณะมองไปที่หวงเฉวียนจือ นั่นเป็นเพราะหลังจากต่อสู้เขาก็สัมผัสว่าหวงเฉวียนจือทรงพลังเพียงใด เขาต้องใช้ทั้งวิชาสามพิสุทธิ์และวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อเอาชนะ

แม้ว่าหวงเฉวียนจือจะน่ารังเกียจ แต่ก็เป็นอัจฉริยะแท้จริง เมื่อเทียบกับชายคนนี้ จอมยุทธ์คนอื่นที่มู่เฉินพบในอดีตล้วนเทียบไม่ได้

อย่างไรก็ตามถึงหวงเฉวียนจือจะทรงพลัง แต่เขาไม่ใช่คนสุดท้ายที่ยืนหยัด…

มู่เฉินโบกมือแสงสามสายบินจากหวงเฉวียนจือเข้าสู่ฝ่ามือเขา นี่ก็คือแก่นโลหิตระดับเสมือนขั้นเซิ่งหกส่วนที่อีกฝ่ายได้มาจากพวกข่งหลิงเอ๋อ

“ได้มาสักที”

มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นเม็ดกลมทั้งสามนี้ ด้วยสิ่งนี้ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าสามารถวิวัฒนาการให้กับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างของเขาได้

ฟิ้ว!

หลังจากที่มู่เฉินรับเม็ดยาทั้งสามแล้ว จู่ๆ ร่างหวงเฉวียนจือก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองทะยานออกจากสระยกเทพไป

มู่เฉินไม่ได้หยุดอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่หวงเฉวียนจือไม่กล้าฆ่าเขา เขาก็ไม่สามารถฆ่าหวงเฉวียนจือ ได้ เนื่องจากพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นกองหนุน การต่อสู้เมื่อครู่ยังภายใต้กฎเกณฑ์ หากพวกเขาทำอะไรกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ตอนนี้มู่เฉินยังไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการหาเรื่องเดือดร้อนให้มารดา

สำหรับหวงเฉวียนจือ มู่เฉินไม่กลัว อีกฝ่ายต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่ฟื้นตัวได้ มู่เฉินก็คงบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วเรียบร้อย ในเวลานั้นก็เป็นเรื่องง่ายที่มู่เฉินจะเอาชนะเขาได้

เมื่อหวงเฉวียนจือจากไป จิ่วโยวก็เหินเข้ามาพร้อมกับมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง

“เจ้าสัตว์ประหลาด… เจ้าเอาชนะหวงเฉวียนจือได้จริงๆ…” จิ่วโยวกัดริมฝีปากมองไปที่มู่เฉินทั้งตกใจและมีความสุข

ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมายของนาง แม้ว่านางจะเชื่อใจมู่เฉิน แต่นางก็รู้สึกว่ามู่เฉินมีพลังเพียงสามารถพานางหนีไปได้หากสู้ไม่ไหว

ทว่าใครจะคิดว่ามู่เฉินไม่ได้มีเจตนาหลบหนีไปพร้อมกับนางเลย ในทางตรงกันข้ามเขาใช้วิธีที่เด็ดขาดเพื่อเอาชนะหวงเฉวียนจือ เพื่อที่อีกฝ่ายจะไม่สามารถกลืนกินสายเลือดของนางได้…

“การเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ดีเยี่ยมที่สุดเลย” มู่เฉินโยนเม็ดกลมทั้งสามพลางยิ้ม

ขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองไปในระยะไกล เห็นกลุ่มข่งหลิงเอ๋อทะยานเข้ามาด้วยความตื่นระวัง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่แก่นโลหิตในมือของมู่เฉิน

จนตอนนี้พวกเขาถึงได้ฟื้นคืนสติจากฉากที่หวงเฉวียนจือพ่ายแพ้ แต่อึดใจก็นึกถึงเรื่องแก่นโลหิต…

พี่มู่…”

ข่งหลิงเอ๋อเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“ฮ่าๆ ลาก่อน ไว้พบกันใหม่ถ้ามีโอกาส”

มู่เฉินไม่ได้ให้โอกาสนางได้พูด เขายิ้มพลางจูงมือจิ่วโยวกลายเป็นริ้วแสงบินออกจากสระยกเทพ

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกข่งหลิงเอ๋อคิดอะไรอยู่ คนเหล่านี้คิดจะขอแก่นโลหิตกลับไป

ไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลจากการชนะ ทั้งสามคนไม่ได้มีเจตนาดีตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากเขาเพื่อดึงหวงเฉวียนจือ

ในเมื่อพวกเขามีแผนการเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไร

รอยยิ้มบนใบหน้าของข่งหลิงเอ๋อแข็งค้าง นางมองการจากไปของมู่เฉินพลางขบฟัน แม้แต่หลินชางและเซียวเทียนก็ไม่เต็มใจ

ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะขัดขวางมู่เฉิน ไม่เห็นว่าแม้แต่หวงเฉวียนจือยังแพ้อีกฝ่ายหรือ? หากพวกเขาต่อสู้กับมู่เฉิน พวกเขาก็มีแต่จะแสวงหาความทุกข์ทรมาน…

ดังนั้นทั้งสามคนจึงรู้สึกหดหู่ ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินทรงพลังมากเพียงนี้จะไปคิดร้ายกับเขาได้ยังไง? พวกเขาแค่ติดตามมู่เฉิน หวงเฉวียนจือก็ไม่สามารถคว้าแก่นโลหิตจากพวกเขาได้แล้ว

น่าเสียดายสายเกินไปที่จะเสียใจ ในศึกสระยกเทพครั้งนี้ พวกเขาต้องกลับไปมือเปล่าแล้ว…

 

ปุ ปุ!

พื้นผิวของสระยกเทพแยกออกร่างเงาสองร่างก็ทะยานออกมา

เมื่อออกมามู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติทันที สายตาที่จ้องมาที่เขาดูผวานิดๆ ยิ่งเมื่อมู่เฉินมองตอบไป พวกเขาก็เลื่อนสายตาราวกับว่ามู่เฉินเป็นปีศาจ ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว

มู่เฉินส่ายหัวไปมาไม่สนใจคนอื่น เขากับจิ่วโยวเดินไปหาเทียนฮวงด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ทำให้ท่านผิดหวัง พาจิ่วโยวกลับมาได้แบบไม่บุบสลาย”

เทียนฮวงยิ้มด้วยความตื่นเต้น เขาตบไหล่มู่เฉินพลางกล่าวอย่างจริงจัง “มู่เฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าวิหคโลกันตร์ ในฐานะตัวแทนเผ่าข้าขอขอบคุณ”

เมื่อเห็นว่าเทียนฮวงกำลังจะโค้งคำนับให้ มู่เฉินก็รีบหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ท่านประมุขกำลังพูดอะไร? จิ่วโยวคอยปกป้องข้าเมื่อในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะนางวันนี้ข้าจะประสบความสำเร็จได้งั้นเหรอ? เรื่องเล็กน้อยนี้ไม่มีอะไรเลย”

เทียนฮวงยิ้มอย่างพอใจแต่ก็รู้สึกผิดทันที “สายตาของจิ่วโยวนั้นดีกว่าพวกเราทุกคนจริงๆ”

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “ศึกสระยกเทพจบแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

สายตาโดยรอบทำให้เขารู้สึกอึดอัด ดังนั้นจึงรีบจากไปเถอะในเมื่อได้รับแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งมาแล้ว

“หึ คิดจะไปเรอะ? ไม่ง่ายแบบนั้นหรอก! ทิ้งแก่นโลหิตนั่นไว้ที่นี่!” แต่ทันใดนั้นเสียงเย็นเยือกก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

มู่เฉินหรี่ตาหันไปมองผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้า “นี่เป็นความคิดเห็นของเผ่าหงส์ฟ้าหรือ?”

สายตาของผู้อาวุโสคนนั้นคมชัดขึ้นขณะที่คิดจะตอกกลับก็ถูกหวงจิงตวาด “หุบปาก!”

ผู้อาวุโสคนนั้นทำได้เพียงปิดปากโดยไม่เต็มใจ เขาสัมผัสได้ถึงสายตาเหยียดหยามจากโดยรอบ ในโลกของสัตว์อสูร กำปั้นใครใหญ่ที่สุดมีสิทธิ์พูด ในเมื่อมู่เฉินเอาชนะหวงเฉวียนจือได้แล้วแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งก็คือรางวัลของเขา ดังนั้นหากเผ่าหงส์ฟ้าคิดใช้อำนาจยับยั้งมู่เฉินก็คงจะหน้าหนามากเกินไป

แต่โชคดีที่หวงจิงไม่สูญเสียเหตุผล เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่มีอะไรที่เผ่าหงส์ฟ้าสูญเสียไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเอาชนะเฉวียนจือได้ พวกข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้”

มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อยขณะมองไปที่หวงจิงก่อนที่จะหัวเราะ ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง หวงจิงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงง่ายๆ

อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดที่จะพูดให้มากความ เขาประสานมือนำจิ่วโยวและคนอื่นๆ ออกไป

ตอนนี้เขาต้องการดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดนี้ เพื่อที่เขาจะทำให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีพัฒนาการ…

เขาตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง

เผ่าเทพอสูรที่อยู่รอบสระก็มองมู่เฉินและถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินในมหาพันภพจะเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ…

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่เจดีย์โบราณลอยคว้างอยู่ ร่างปีศาจทั้งแปดก็บินวนเวียนอยู่รอบๆ ปลดปล่อยรัศมีรุนแรงซึ่งทำให้มิติใกล้เคียงบิดเบี้ยว

“นั่นคือ…วิชาเจดีย์แปดองค์ในตำนานเรอะ?!”

เมื่อร่างปีศาจทั้งแปดปรากฏตัว ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นรอบๆ สระยกเทพ มีบางคนจดจำได้

“มู่เฉินไม่เพียงแต่ได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ แต่ยังได้ฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาได้รับสองวิชาในวิทยายุทธขั้นเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานเลยทีเดียว” หลายคนเดาะลิ้น ในมหาพันภพมีวิทยายุทธนับไม่ถ้วน แต่วิทยายุทธในตำนานมีเพียงสามสิบหกวิชา เห็นได้ว่าวิชาเหล่านี้มีค่าเพียงใด

แม้แต่คนอย่างหวงเฉวียนจือยังได้รับการฝึกฝนเพียงหนึ่งในนั้นก็คือวิชาเก้าเทพหมุนวน ทว่ามู่เฉินได้เรียนรู้ถึงสองวิชา!

นี่ไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร?

แม้แต่หวงจิงก็มองไปที่กระจกด้วยสีหน้าไม่น่าดู เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะต้านทานกระบวนท่าสูงสุดของหวงเฉวียนจือได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเริ่มปล่อยการโจมตีดุร้ายกลับมาด้วย

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงก็เปลี่ยนสีหน้า ปรากฏแววกังวลในดวงตา นั่นเป็นเพราะในขณะนี้บอกได้ว่าข้อได้เปรียบของหวงเฉวียนจือเริ่มลดลงแล้ว

ด้วยพลังของมู่เฉินตอนนี้ที่เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหวงเฉวียนจือ เมื่อบวกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปด้วยแล้วเขาจะน่ากลัวขนาดไหน?

“หวังว่าประมุขน้อยจะรับเอาไว้ได้ การเพิ่มพูนพลังของมู่เฉินมีจำกัด ตราบใดที่ทนช่วงเวลานี้ไปได้ อีกฝ่ายก็ต้องอ่อนแอลงและนั่นจะเป็นโอกาสที่ดี!”

“ถูกต้อง ตราบใดที่เขาทนช่วงนี้ได้ มู่เฉินจะต้องแพ้!”

 

ขณะที่การสนทนาเกิดขึ้นท่ามกลางผู้ชม

หวงเฉวียนจือยังคงยืนอยู่บนหงส์ฟ้าทองคำพลางมองไปที่ปีศาจทั้งแปดอย่างเย็นชา ความคิดของเขาคล้ายคลึงกับผู้อาวุโสของเผ่าอย่างไรอย่างนั้น

ตราบใดที่เขาสามารถผ่านช่วงเวลานี้ได้ มู่เฉินก็จะต้องพ่ายแพ้กลับไปที่ขุมพลังดั้งเดิมแน่นอน

“ในเมื่อแกต้องการสู้ ข้าก็จะสู้ด้วย!”

เส้นเลือดฝอยคืบคลานบนดวงตาของหวงเฉวียนจือ ในฐานะประมุขน้อยเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริง เขาก็เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ แม้ว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะทำอะไรเขาได้ ถ้าเขาป้องกันอย่างดีที่สุด

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาเย็นชาของหวงเฉวียนจือ แต่กลับมองไปที่ปีศาจทั้งแปด เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสาแสงสูงตระหง่านทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่ทำให้มหาสมุทรสั่นสะเทือน

โฮก!

เมื่อเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปีศาจทั้งแปดก็ส่งเสียงคำรามดุร้ายราวกับว่าฟื้นขึ้นมาจากนรก พวกมันอ้าปากเริ่มดูดซับเสาคลื่นหลิงขนาดใหญ่…

หลังจากกลืนกินคลื่นหลิงไร้ขอบเขต รัศมีรุนแรงรอบตัวพวกมันก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้กระทั่งผู้ชมที่อยู่นอกสระยกเทพยังรู้สึกหนาวสั่นราวกับว่าปีศาจมีชีวิตขึ้นมา

ท้ายที่สุดร่างปีศาจทั้งแปดนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากศพราชาปีศาจนับร้อย… ในมหาพันภพเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับร้อย ฟังดูน่าสยดสยองยิ่งนัก

มู่เฉินมองไปที่หวงเฉวียนจือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ มือเขาประสานเข้าหากัน

พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตราประทับ ปีศาจทั้งแปดก็สร้างตราประทับเดียวกัน ลำแสงสีแดงเข้มแปดสายเชื่อมต่อกันเป็นรูปแปดเหลี่ยมซับซ้อน

รัศมีรุนแรงพวยพุ่งออกมาจากการก่อตัว เริ่มบีบอัดตัวเองเป็นทรงกลมสีแดงเข้ม

ลูกทรงกลมถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีรุนแรง มีกลิ่นอายที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเสียการควบคุมคลื่นหลิงในร่างเลยทีเดียว

เมื่อรู้สึกถึงความผันผวน หวงเฉวียนจือก็หดดวงตา สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ฉายแววหวาดผวาในดวงตา

เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าถูกคุกคามจากลูกทรงกลมนั่น

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาได้คิด เขาหายใจเข้าลึกเสียงดังกึกก้อง

“วิชาเจดีย์แปดองค์ เจดีย์ปีศาจหยก!”

ตู้ม!

รัศมีดุร้ายเพิ่มขึ้นทั่วทั้งบริเวณนี้ เมื่อปีศาจทั้งแปดปลดปล่อยเสียงคำรามรุนแรงก็สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ในเวลาเดียวกันลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งไปยังหวงเฉวียนจือ

แกร็ก แกร็ก!

ในเส้นทางที่ลูกทรงกลมสีแดงเข้มพุ่งผ่าน มิติก็พังทลายลงรุนแรง พลังในการทำลายล้างทำให้ผู้ชมที่อยู่นอกสระต้องเบิกตากว้าง

ลึกลงไปในพื้นมหาสมุทร หวงเฉวียนจือรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ขึ้นมาจากฝ่าเท้า เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตายในขณะนี้

หากปล่อยให้ลูกทรงกลมสีแดงเข้มนั้นพุ่งกระทบเขา แม้กระทั่งตัวเขาก็ต้องตายตกอยู่ที่นี่

“นี่คือพลังอำนาจของวิชาเจดีย์แปดองค์รึ? น่ากลัวจริงๆ!”

สายตาของหวงเฉวียนจือกะพริบด้วยแสงดุร้าย ในเมื่อเขาหนีไม่ได้ เขาก็ต้องพยายามต้านให้ได้ แม้ว่าความสามารถของมู่เฉินจะน่ากลัว แต่เขาหวงเฉวียนจือก็ไม่ใช่หมาขี้แพ้!

โฮก!

หวงเฉวียนจือคำรามขณะที่สร้างตราประทับอย่างรวดเร็ว เขากัดลิ้นพร้อมกับเลือดกลั่นไหลออกมา

แก่นเลือดนี้มีสีทอง ใบหน้าของหวงเฉวียนจือซีดลงเล็กน้อย ทว่าเขาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ วงแสงสีทองเริ่มหมุนและกลืนกินแก่นเลือดของเขาไป

ตู้ม ตู้ม!

หลังจากกลืนกินแก่นเลือดวงแสงสีทองก็เริ่มขยายออกไปพร้อมกับลำแสงสีทองพุ่งออกมา

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

คราวนี้มีแสงสีทองแปดสายหมุนเวียน หวงเฉวียนจือนำทักษะเทพทั้งแปดออกมาใช้พร้อมกัน แต่หลังจากปลดปล่อยการโจมตีแปดกระบวนท่า วงแสงก็ยังไม่หยุดหมุน ขณะที่หมุนด้วยความฝืด ลำแสงสีทองสายที่เก้าก็ค่อยๆ ออกมา

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหวงเฉวียนจือ เขายังไม่สามารถใช้กระบวนท่าที่เก้าได้เต็มที่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่บีบเค้นออกมาในขณะนี้

อ็อก!

เมื่อมองไปที่ลำแสงสีทองสายที่เก้า สายตาหวงเฉวียนจือก็พล่านด้วยความดุร้าย เลือดกลั่นสีทองหลั่งไหลเข้ามาในวงแสง ครั้งนี้ในที่สุดลำแสงสีทองสายที่เก้าก็เริ่มควบแน่น…

แต่เนื่องจากเขาบีบบังคับ วงแสงจึงเริ่มแตกร้าว

สิ่งนี้ทำให้หวงเฉวียนจือรู้สึกปวดใจเนื่องจากเขารู้ว่าแม้จะชนะในวันนี้ แต่เขาก็ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่ต้องทุกข์ทน

“ให้ตายเถอะ ไอ้มู่เฉิน!”

หวงเฉวียนจือกัดฟันพร้อมกับแสงเย็นวูบวาบในดวงตา “ในเมื่อแกต้องการเอาชนะ ข้าก็จะบอกให้รู้ว่าแกมันปัญญาอ่อนแค่ไหน!

“วิชาเก้าเทพหมุนวน นิพพานที่เก้า บาตรหงส์ฟ้า!”

ทันใดนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้น กระบวนท่าทั้งเก้ารวมเข้าด้วยกันเร็วรี่ก่อนจะก่อร่างเป็นบาตรทองคำขนาดใหญ่ที่มีหงส์ฟ้าแท้จริงอยู่บนนั้นซึ่งส่งเสียงร้องและปล่อยเพลิงหงส์ฟ้าที่สามารถเผาผลาญฟ้าดินได้

ขณะที่บาตรหงส์ฟ้าหมุนคว้างก็ห่อหุ้มหวงเฉวียนจือ นี่เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของวิชาเก้าเทพหมุนวน แม้ว่าเขาจะบีบคั้นออกมา แต่ก็ไม่สามารถประเมินพลังได้

ดวงตาของหวงเฉวียนจือเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะจ้องไปที่มู่เฉิน เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินสามารถทะลวงการป้องกันของเขาได้!

ตราบใดที่เขาต่อต้านการโจมตีนี้ได้ ชีวิตของมู่เฉินก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา!

“มาเลย!”

ท่ามกลางเสียงของหวงเฉวียนจือและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้คนนอกสระยก ลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและชนกับบาตรหงส์ฟ้า…

ครืนๆๆๆ!

พริบตาพลังงานสองสายก็ปะทะกัน ทั่วบริเวณโยกคลอนพร้อมกับคลื่นมากมายยกตัวขึ้นเหนือพื้นมหาสมุทร มากจนการระเบิดทำให้เกิดพายุปกคลุมเทือกเขาทั้งหมด…

เหล่าจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอสูรใบหน้าเปลี่ยนไป พวกเขารู้ว่าสระยกเทพเป็นมิติแยกตัว แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือก็ส่งผลกระทบออกมาได้…

การเผชิญหน้านั้นน่ากลัวแค่ไหนกัน?!

ทว่าทุกคนต่างจับจ้องไปที่กระจก ตอนนี้การทำลายล้างยังคงดำเนินต่อไปสองสามนาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป

ทุกคนที่นี่รวมถึงหวงจิงและเทียนฮวงก็ยังกลั้นหายใจขณะที่มองดู

เมื่อแสงค่อยๆ หายไปทิวทัศน์ก็กระจ่างขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นทุกคนก็หดดวงตา บาตรหงส์ฟ้าวูบไหวด้วยแสง ขณะที่ลูกทรงกลมสีแดงเข้มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว…

“เขาต้านไว้ได้เหรอ?!”

เมื่อเห็นฉากนี้ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้าก็ฉายความสุขบนใบหน้าทันที พวกเขารู้สึกได้ว่าพลังของลูกทรงกลมสีแดงเข้มลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่ลมหายใจ ลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็ลดขนาดลงเหลือเท่ากับศีรษะมนุษย์

ในเวลาเดียวกันหวงเฉวียนจือก็ฉายความสุขบนใบหน้า ชัยชนะจะอยู่ในมือเขาแล้ว!

แกร็ก!

ทว่าเสียงแตกดังก้องขึ้นฉับพลัน หวงเฉวียนจือเงยหน้าขึ้นก็ต้องหดตาลง เนื่องจากเขาเห็นรอยแตกเล็กๆ บนบาตร…

แกร็ก แกร็ก!

รอยแตกนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นและเมื่อปรากฏขึ้นก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั้งบาตรในช่วงหายใจเข้า

ขณะเดียวกันลูกทรงกลมสีแดงเข้มยังมีขนาดเหลือเท่าฝ่ามือ

“แกแพ้แล้ว”

มู่เฉินกล่าวแบบไร้อารมณ์

ปัง!

พร้อมกับคำพูดของมู่เฉิน บาตรหงส์ฟ้าก็ถึงขีดจำกัดและระเบิดทันที…

หวงเฉวียนจือเผยความกลัวในดวงตา ขณะที่ปีกหงส์ฟ้าแผ่ออกไปด้านหลังทันที เขาคิดจะถอยหนี

ฟิ้ว!

แต่ทันใดนั้นลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาที่หน้าอกของเขา…

ร่างกายครึ่งหนึ่งของหวงเฉวียนจือระเบิดออก แม้แต่หงส์ฟ้าทองคำที่อยู่ใต้เท้าก็แข็งค้างก่อนที่จะแตกออกจากกัน

ร่างของหวงเฉวียนจือร่วงลงราวกับว่าวสายป่านขาด

บรรยากาศนอกสระยกเทพหยุดนิ่งไปเลยในขณะนี้

ฟู่ ฟู่!

เปลวไฟลุกโชนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ลุกลามไปจนถึงขีดสุดของสายตา อุณหภูมิที่น่ากลัวทำให้สระยกเทพถึงกับเดือดปุ

ในเวลาเดียวกันคลื่นทำลายล้างก็แพร่กระจายออกไป

ภายใต้เปลวไฟแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน

ปุ ปุ

เมื่อมองไปที่เปลวไฟในกระจกทุกคนรอบสระยกเทพก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยด้วยความกลัวในดวงตา แม้จะอยู่ห่างไกลขนาดนี้ พวกเขาก็ยังสามารถรับรู้คลื่นความร้อนได้อย่างคลุมเครือ

ยากที่จะจินตนาการถึงอุณหภูมิที่มู่เฉินต้องทนรับ

เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่ามู่เฉินจะจัดการได้อย่างไร

ใบหน้าของเทียนฮวงถอดสีขณะกำหมัดแน่นด้วยความสิ้นหวัง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานการโจมตีของหวงเฉวียนจือ

หวงจิงที่ยืนอยู่ใกล้สระยกเทพก็พยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นเพลิงสีทอง มู่เฉินมีความโดดเด่นมากพอที่จะบังคับให้หวงเฉวียนจือใช้กระบวนท่านี้ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้าย

เมื่อเทียบกับลูกชายของเขา มู่เฉินก็ยังด้อยกว่า

“ข้าหวังว่าชีวิตของไอ้หนูนี่จะทนถึก ถ้าเขาตายจริงๆ คงลำบากแน่ถ้าแม่เขามา…” หวงจิงถอนหายใจ

ผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจ เปลวไฟก็คงอยู่เป็นเวลาครึ่งก้านธูปก่อนที่จะสลายไป

สายตาของทุกคนก็พุ่งตรงไปยังจุดที่มู่เฉินอยู่

อึดใจต่อมาพวกเขาก็ตกตะลึง เมื่อเห็นดอกบัวขนาดใหญ่ลอยอยู่ในเวิ้งน้ำอย่างเงียบๆ

กลีบดอกปิดแน่นราวกับดอกตูมขณะวูบไหวด้วยรัศมีอมตะ แม้ว่าจะมีร่องรอยถูกเผาไหม้ แต่ทุกคนก็บอกได้ว่ามันไม่ได้ถูกทำลายจากเพลิงนี้…

“นั่นอะไร?! มันสามารถทนเพลิงหงส์ฟ้าได้ด้วยเหรอ!” มีคนร้องอุทานออกมา

ในขณะที่ทุกคนอุทาน ดอกบัวก็กำจายรัศมีก่อนจะแย้มบาน กลีบดอกลู่ลงร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เผยให้เห็นโดยมีมู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ!

“เป็นไปได้ยังไง?!”

เสียงอุทานหวาดหวั่นไม่เพียงแต่มาจากคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังมาจากหวงเฉวียนจือด้วย

ยามนี้หวงเฉวียนจือกำลังมองไปที่ดอกบัวด้วยความตกตะลึงไม่อยากเชื่อ เขารู้ว่าการโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวเพียงใด แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะต้านทานได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!

ดอกบัวสีม่วงทองนั้นมีความสามารถในการป้องกันที่ไม่อาจจินตนาการได้ ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้

‘ไอ้เวรนี่มีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ยังไง?!’

“ช่างเป็นพัดเพลิงหงส์ฟ้าที่ทรงพลังจริงๆ”

ขณะที่หวงเฉวียนจือรู้สึกไม่เชื่อ เสียงของมู่เฉินก็ดังขึ้น เขาต้องยอมรับว่าการโจมตีของหวงเฉวียนจือเกินความคาดหมายของเขา ถ้าเขาไม่มีดอกบัวอมตะ วันนี้เขาอาจต้องจ่ายราคาแพง

“แกนี่จัดการยากจริงๆ! มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้เกิดปัญหามากมายในเผ่าฝูถู” น้ำเสียงของหวงเฉวียนจือเย็นชาพร้อมกับท่าทางมืดมน เขาไม่อยากรับความจริงว่ามู่เฉินสามารถรับกระบวนท่าขั้นสูงสุดของเขาได้

มู่เฉินยิ้มขณะที่กำหมัด “ตาเจ้าจบแล้วก็ถึงตาข้ามั่งแล้วใช่ไหม?”

หวงเฉวียนจือหดดวงตา จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น “โอ้? แกจะทำอะไรได้? แม้ข้าจะฆ่าแกไม่ได้ แต่แกก็เหมือนกัน คิดว่ามีความสามารถจะทำอะไรกับข้าได้เรอะ?”

กลยุทธ์ของมู่เฉินเยอะจนทำให้หวงเฉวียนจือรู้สึกปวดหัว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าวันนี้ไม่มีทางจัดการมู่เฉินได้อีกแล้ว

ทว่าตัวเขาก็มีความภาคภูมิใจ แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่มู่เฉินก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน!

“มู่เฉิน เห็นแก่เจ้ามีความสามารถ ข้าจะยกแก่นโลหิตที่เกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งนี้ให้สามส่วน ถ้าเจ้ายอมมอบสายเลือดวิหคอมตะให้ข้า!” หวงเฉวียนจือพูดขณะดวงตาวูบไหว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ยิ้ม “ข้าต้องการแก่นโลหิตที่เกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งแน่นอน แต่ไม่ใช่สามส่วน ข้าจะเอาทั้งหมด! ส่วนสายเลือดวิหคอมตะบอกเลยว่า ไม่-มี-ทาง!”

“อวดดี!”

หวงเฉวียนจือหัวเราะด้วยความโกรธ ตอนแรกเขาคิดว่าน่าจะลองลดตัวลงเพื่อเจรจา ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจ ซ้ำยังพ่นคำพูดไม่ไว้หน้า ขนาดคิดเอาแก่นโลหิตชั้นยอดหกส่วนจากเขาเลยทีเดียว

“ถ้างั้นให้ข้าดูว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำแบบนั้นได้ไหม?!” หวงเฉวียนจือยิ้มเย็น ขณะที่วงแสงสีทองรวมตัวกันที่ด้านหลังศีรษะเขาอีกครั้ง

ฮา

มู่เฉินเบื่อที่จะพูด เขาหายใจเข้าลึกๆ ขณะเดียวกันมือก็ประสานเข้าด้วยกัน ร่างรองทั้งสองก็ทำแบบเดียวกันด้วย

เสียงทุ้มดังก้องจากหัวใจของมู่เฉิน “วิชาสามพิสุทธิ์ สามรวม!”

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นร่างรองทั้งสองก็กลายเป็นริ้วแสงหลอมรวมเข้ากับร่างกายของมู่เฉิน

เมื่อร่างรองทั้งสองรวมเข้ามาไว้ด้วยกัน ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายออกมาราวกับดวงดาวพราวระยับ กายาหลิงเทียนจุนก็เปลี่ยนไปมีความละเอียดอ่อนและบริสุทธิ์มากขึ้น

ในเวลาเดียวกันมังกรคลั่งแค้นนับไม่ถ้วนก็คำรามภายในร่างกายของเขา นำพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้พลังงานของมู่เฉินแปรปรวนขึ้นในทันที

แม้แต่น้ำที่อยู่รอบๆ ยังยกคลื่นขึ้นจากความปั่นป่วน

ใบหน้าของหวงเฉวียนจือเปลี่ยนไปเมื่อมองมู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงจากมู่เฉินพุ่งขึ้นสูงด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์ โดยเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายสุดแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยังคงพุ่งขึ้นและไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงขีดสุดของขั้นหลิง…

หวงเฉวียนจือตกใจเพราะนี่ไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่องก่อนที่ในที่สุดจะมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น

“บัดซบ คลื่นหลิงของมันทำไมถึงเพิ่มขึ้นได้น่ากลัวขนาดนี้?!” หวงเฉวียนจือไม่สามารถเก็บความสงบไว้ในใจได้อีกต่อไป ขณะที่สบถออกมา

ในตอนนี้มู่เฉินมาถึงระดับเดียวกับเขาแล้ว!

แสงหลิงในดวงตาพลุ่งพล่าน มู่เฉินค่อยๆ กำมือ มิติก็บิดเบี้ยวในฝ่ามือ เขารู้สึกถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวในร่างกายพร้อมกับหัวใจที่สั่นสะท้าน

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสามรวมจะเพิ่มการฝึกฝนของเขาได้มากขนาดนี้!

เขาเคยใช้ขั้นตอนนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต แต่ก็สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ทว่าตอนนี้เมื่อขุมพลังเพิ่มขึ้น เขาก็เข้าใจการผสานขั้นสามรวมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมรวมอย่างสมบูรณ์หลังจากฝึกฝนขั้นสามรวม ผลลัพธ์ช่างเกินความคาดหมายของเขานัก

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหวงเฉวียนจือพลางยิ้ม “ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นแล้ว”

“ก็แค่ชั่วคราว ผ่านช่วงนี้ไปแกก็จะกลับไปสู่ขุมพลังเดิม!” หวงเฉวียนจือพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว เขารู้ว่ามู่เฉินไม่สามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ได้ชั่วนิรันดร์หรอก ตราบใดที่เขาลากเวลามู่เฉินก็จะกลับสู่สภาพเดิม ไม่แน่อาจอ่อนแอลงเมื่อถึงจุดนั้นด้วย

“ตาแหลมดีนี่”

มู่เฉินพยักหน้าและยิ้ม ขณะที่ตวัดนิ้วก็ทำให้มิติสั่นกระเพื่อม เขาพูดอย่างใจเย็น “แต่เวลาแค่นี้ก็เกินพอที่จะจัดการกับแกได้แล้ว”

“ฝันไปเถอะ!” หวงเฉวียนจือตะเบ็งเสียงเย็นชา

มู่เฉินยิ้มจากนั้นหายใจเข้าลึก ตราประทับเปลี่ยนไปวูบไหว ทันใดนั้นแสงจำนวนมหาศาลก็ไหลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใสโบราณ

ขณะที่เจดีย์หมุนคว้างก็เกิดการสั่นสะท้านก่อนที่ร่างปีศาจทั้งแปดจะออกมาจากเจดีย์ ภายใต้สายตาตกตะลึงของหวงเฉวียนจือ

ปีศาจทั้งแปดดุร้ายเปล่งรัศมีรุนแรงพร้อมกับแรงกดดันที่ทำให้หวงเฉวียนจือรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อรู้สึกถึงพลังนี้ ใบหน้าของหวงเฉวียนจือก็กลายมืดครึ้ม เขามองไม่ออกได้อย่างไรว่าหลังจากที่โดนเขากดมานานมู่เฉินก็โกรธจัดและเผยไพ่ตายออกมาในตอนนี้แล้ว…

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากฝืนเพิ่มขุมพลังของแกจนถึงขอบเขตขั้นเซียนระยะต้นได้แล้ว แกจะสามารถเอาชนะข้าที่อยู่ในระดับนี้จริงๆ ได้!”

แสงดุร้ายวูบไหวในดวงตาของหวงเฉวียนจือ ขณะที่พูดต่อ “วันนี้ข้าจะดูสิว่าแกจะทำอะไรข้าได้บ้าง!”

เมื่อพูดจบ เกลียวแสงโบราณก็รวมตัวกันเบื้องหลังศีรษะ ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนอย่างมาก

เฝ้ามองการเผชิญหน้านี้ เปลือกตาของผู้ชมก็กระตุกด้วยสีหน้าเคร่งเครียดรุนแรง

ทุกคนสามารถบอกได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

ขณะที่ยืนอยู่บนหงส์ฟ้าทองคำ

วงแสงก็เริ่มปรากฏที่ด้านหลังหวงเฉวียนจือ มีวงแสงทั้งหมดแปดวงแต่ละวงมีความผันผวนลึกลับและเก่าแก่

ยามนี้หวงเฉวียนจือ ดูราวกับเทพภายใต้วงแสงสีทองที่ศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

แรงกดดันไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกมา กระทั่งบริเวณใกล้เคียงก็เริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย

เมื่อพวกข่งหลิงเอ๋อเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว

“นี่คือวิทยายุทธขั้นเทพในตำนานของเผ่าหงส์ฟ้า—วิชาเก้าเทพหมุนวน!” ข่งหลิงเอ๋อดูดอากาศเข้าในปากขณะที่เค้นคำพูดเหล่านั้นออกมาพร้อมกับความกลัวบนใบหน้า

วิชาเก้าเทพหมุนวนมีชื่อเสียงกระทั่งในมหาพันภพ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน

มันอยู่ในอันดับเดียวกับวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ของมู่เฉิน

ว่ากันว่าเมื่อวิชาเก้าเทพหมุนวนไปถึงนิพพานที่เก้า ผู้ฝึกฝนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าวิชานี้น่ากลัวเพียงใด แต่วิทยายุทธระดับเสินทงนี้มีเงื่อนไขในการฝึกฝนที่เข้มงวดมาก ดังนั้นในเผ่าหงส์ฟ้าจึงมีจอมยุทธ์ไม่ถึงสามคนที่สามารถฝึกฝนได้ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นทุกคนบอกได้เลยวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานทรงพลังเพียงใด

ภายใต้สายตาหวาดกลัวของทุกคน หวงเฉวียนจือก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพร้อมกับไอสังหารวูบไหวในดวงตา เนื่องจากเขาไม่คิดว่าการดวลกับมู่เฉินจะไม่เป็นตามคาดขนาดนี้

เขาคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย ที่ไหนได้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด มากจนกระทั่งเขาถูกบังคับให้นำไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา…

นี่ทำให้เขารู้สึกอับอายมาก

แค่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง เขาถึงกับต้องงัดไพ่ตายทั้งหมดออกมา แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าถ้ามู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกับเขาจะทรงพลังมากกว่าเหรอ?

ด้วยความภาคภูมิใจที่มี นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้

“ในเมื่อแกโดดเด่นนัก…งั้นข้าก็จะทำลายให้สิ้นซาก”

ใบหน้าของหวงเฉวียนจือถมึงทึง เขาค่อยๆ กางมืออกพร้อมกับเสียงเยือกเย็นสะท้อนออกมา “วิชาเก้าเทพหมุนวน นิพพานที่หนึ่ง ตราประทับทองคำวิญญาณ!”

วงแสงที่อยู่ด้านหลังเปล่งประกายออกมาก่อนที่ลำแสงสีทองจะยิงออกไป ก่อตัวเป็นตราประทับทองคำขนาดพันจั้ง

ตราประทับดูโบราณมากราวกับว่าประสบกับสงครามผันผวนครั้งใหญ่ที่ทำให้มิติสั่นสะเทือน

พลังที่อยู่เบื้องหลังตราประทับนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าปีกหงส์สุริยันจันทราที่ใช้มาก่อนหน้าเลย

“ไป!”

เสียงเยือกเย็นของหวงเฉวียนจือดังก้อง ตราประทับก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างมู่เฉิน กำจายไปด้วยพลังทำลายล้างราวกับว่าสามารถทำลายสรรพสิ่งทั้งหมดได้

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตากะพริบวาบ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ส่งเสียงคำรามลึก รหัสเทพอมตะหลายร้อยรวมตัวกันเป็นหมัดขนาดใหญ่ปะทะกับตราประทับ

ครืน!

ทั่วมหรรณพสั่นสะท้านเลื่อนลั่นจากการปะทะกัน ก่อนที่ตราประทับสีทองจะถูกส่งออกไปและกำปั้นสีม่วงทองก็สลายไปเช่นกัน

ใบหน้าหวงเฉวียนจือไม่มีระลอกคลื่น เขาสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงเยือกเย็นดังก้องอีกครั้ง “นิพพานที่สอง กระบี่หงส์ฟ้าผลาญ!”

“นิพพานที่สาม ปีกเทวะหงส์ฟ้า!”

“…”

“นิพพานที่เจ็ด ศิลาโลหิตวิญญาณหงส์ฟ้า!”

ทุกครั้งที่สิ้นเสียงของเขา วงแสงที่อยู่ข้างหลังก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมี ขณะที่แสงสีทองควบแน่นเป็นทักษะเทพที่น่าสะพรึง

นอกเหนือจากพลังอำนาจของทักษะเทพแล้ว พวกมันก็ดูราวกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแท้จริง

“เขานำกระบวนท่าทั้งเจ็ดออกมาใช้ในคราวเดียว!” ทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพมีสีหน้าเปลี่ยนไป กระบวนท่าทั้งเจ็ดนี้ล้วนทรงพลังมาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้พลังมหาศาล จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนธรรมดาสามารถปลดปล่อยได้เพียงสามกระบวนท่าในครั้งเดียวเท่านั้น แต่หวงเฉวียนจือทำได้ถึงเจ็ดกระบวนท่า!

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความลึกซึ้งของวิชาเก้าเทพหมุนวน

กระบวนท่าทั้งเจ็ดลอยอยู่เบื้องหน้าหวงเฉวียนจือ พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาทำให้มิติพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่ดุร้ายนี้…

“ลองชิมอีกครั้งสิ!”

หวงเฉวียนจือโบกมือพร้อมกับเค้นเสียง กระบวนท่าที่น่ากลัวทั้งเจ็ดก็ทะยานออกไป

นอกสระยกเทพทุกคนรู้สึกประหม่ากับฉากนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่การรับการโจมตีรวมกันทั้งเจ็ดกระบวนท่าย่อมส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

แม้แต่เทียนฮวงก็ยังกำหมัดแน่น ขณะที่สายตาจ้องไปที่กระจกโดยไม่กะพริบ

ภายใต้สายตาทุกคู่ มู่เฉินก็เงยหน้ามองการโจมตีเจ็ดกระบวนท่าที่พุ่งมาที่เขา อำนาจการโจมตีเหล่านั้นทำให้เขาต้องหดตาลง

ทว่าท่าทางของเขายังคงสงบ

“ปริมาณมาก ก็ใช่ว่าจะชนะ” มู่เฉินยิ้มบางสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงพลุ่งพล่านยุ่งเหยิงก็พวยพุ่งขึ้นด้านหลัง

“ทักษะหลิงไม่เสินทง แสงพุทธมหานวดารา!”

การระเบิดดาวฤกษ์มวลมากยิงไปที่กระบวนท่าทั้งเจ็ด

วาบ!

ในเส้นทางของลำแสงกระบวนท่าหนึ่งก็หายไป ทว่ามู่เฉินก็ไม่มีสีหน้าใด ขณะที่วาดกระบวนท่าต่อ เพียงสิบลมหายใจสั้นๆ กระบวนท่าทั้งเจ็ดก็ถูกลบล้างออกไปภายใต้ดวงตานับไม่ถ้วนที่เบิกกว้าง…

“เป็นไปได้ยังไง?!”

“นั่น… เขาใช้ทักษะเทพอะไร?!”

ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการโจมตีของหวงเฉวียนจือ แต่มู่เฉินกลับจัดการได้อย่างง่ายดายเลยรึ?

รังสีมหานวดารานั่นคือทักษะเทพอะไรกัน?

ทว่าขณะที่ทุกคนตกตะลึง หวงเฉวียนจือก็หดดวงตามองไปที่แสงพลุ่งพล่านยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินพูดเบาๆ ว่า “นี่คงเป็นทักษะหลิงไม่เสินทงเก้าชีพจรที่เจ้าแสดงในเผ่าฝูถูสินะ?”

เห็นได้ชัดว่าหวงเฉวียนจือมีข้อมูลเกี่ยวกับมู่เฉินไม่น้อย

“ทักษะหลิงไม่เสินทงเก้าชีพจรของเจ้าเกินจินตนาการข้าอย่างแท้จริง กระทั่งข้ายังรู้สึกลำบาก แต่น่าเสียดายที่คลื่นหลิงของเจ้าคงจะอ่อนกำลังลงไปมากหลังจากที่ใช้ทักษะนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวงเฉวียนจือ แววอัศจรรย์ใจก็วาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะตรวจตราข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ”

แม้ว่าหวงเฉวียนจือจะมั่นใจในตัวเองมาก แต่ก็เป็นคนระมัดระวังตัวสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมู่เฉินมากนัก แม้แต่ความสามารถในการต่อสู้ด้วยก็ตาม

แท้จริงแล้วแสงพุทธมหานวดาราแปลกประหลาดอย่างที่หวงเฉวียนจือกล่าวไว้ แสงนี้สามารถปัดเป่าการโจมตีใดๆ ได้ แต่การใช้งานทุกครั้งจะต้องใช้คลื่นหลิงจำนวนมาก ยิ่งเป็นเป้าหมายที่แข็งแกร่งก็ยิ่งเสียแรงมากเท่านั้น

หลังจากยิงออกไปเจ็ดครั้ง แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกว่าคลื่นหลิงหมดลงไปไม่น้อย

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะตั้งใจให้ข้าใช้ทักษะนี้” มู่เฉินกล่าว

หวงเฉวียนจือยิ้มพลางประสานมือเข้าด้วยกัน วงแสงที่แปดด้านหลังศีรษะเปล่งประกาย แสงสีทองพุ่งออกมาก่อนที่จะรวบรวมไว้ในฝ่ามือเขา

เมื่อแสงสีทองสลายไปก็ก่อตัวเป็นพัดขนนกสีทองคำที่มีเปลวไฟสีทองวูบไหว บางครั้งก็พวยพุ่งเป็นเกลียวไฟรูปหงส์ฟ้าแท้จริง

“นิพพานที่แปด พัดเพลิงหงส์ฟ้าแท้จริง”

หวงเฉวียนจือค่อยๆ โบกพัดทองคำด้วยน้ำเสียงไม่แยแสก่อนที่อุณหภูมิในผืนน้ำจะเดือดและระเหยไป

“ครั้งหนึ่งข้าเคยสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางและเขาก็ถูกไฟคลอกตายภายใต้พัดเพลิงของข้า” หวงเฉวียนจือมองไปที่มู่เฉินอย่างเฉยเมยพูดต่อว่า “และตอนนี้มันก็จะให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับเจ้า”

“งั้นข้าจะรอดูแล้วกัน” มู่เฉินกล่าวขณะที่จ้องมองไปที่พัดทองคำ

ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันด้วยสีหน้าสงบ แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นในบรรยากาศ

“หนีเร็ว!”

ข่งหลิงเอ๋อดึงหลินชางและเซียวเทียนถอยออกไปอย่างเร็วรี่ ทุกคนบอกได้ว่าการต่อสู้กำลังมาถึงจุดสุดยอด ทักษะที่ทั้งสองใช้ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น

สายตาของหวงเฉวียนจือจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ไม่ได้สนใจผู้อื่น เขาค่อยๆ ยกพัดในมือขึ้นโดยไร้อารมณ์ใดๆ

จากนั้นก็พัดลงฉับพลัน

ฟู่ ฟู่!

เมื่อพัดสะบัดลง เพลิงสีทองก็พุ่งออกมาทำให้มิติบิดเบี้ยวและพังทลาย ราวกับว่าอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวสามารถเผาผลาญอะไรก็ได้ แม้แต่อุณหภูมิของสระยกเทพก็พุ่งสูงขึ้น

พัดครั้งเดียวก็เดือดกลางมหาสมุทร

เพลิงสีทองพวยพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น ห่อหุ้มมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์จากทุกทิศทาง

เพลิงนี้สามารถเปลี่ยนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้เลยทีเดียว

เมื่อทุกคนเห็นไฟโหมใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกโล่งอกในใจ

“มู่เฉินแพ้แน่แล้ว”

เมื่อหงส์ฟ้าสีทองปรากฏตัว

ก็ปลดปล่อยความกดดันที่น่ากลัวซึ่งกวาดคลื่นภายในห้วงมหรรณพสีมรกต

ร่างหวงเฉวียนจือร่อนลงบนหัวของหงส์ฟ้า ม่านตาสีทองของเขาคล้ายกับเทพโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ขณะมองไปที่มู่เฉิน

หงส์ฟ้าสีทองที่อยู่ใต้เท้าเป็นร่างที่แท้จริงของเขา ดังนั้นตราบใดที่เรียกมันออกมาก็แปลว่าเขาจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังแล้ว

ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นข่งหลิงเอ๋อ จิ่วโยว หรือกระทั่งผู้ชมนอกสระยกเทพ ท่าทางแต่ละคนก็ดูเคร่งเครียดลงหลายส่วน

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหวงเฉวียนจือจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อนำร่างต้นกำเนิดออกมา

ภายใต้สภาวะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้

มู่เฉินหดดวงตาขณะมองไปที่หงส์ฟ้าสีทอง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความกดดันที่คลุมเครือ

เขาต้องยอมรับว่าแม้หวงเฉวียนจือจะหยิ่งผยอง แต่ก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นเช่นนั้นแท้จริง

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ให้หวงเฉวียนจือบรรลุผลแน่นอน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังเพียงใด นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้

‘ในเมื่อแกต้องการดวลแบบจริงจัง ข้าก็จะบอกให้รู้ว่าต่อให้แกเป็นประมุขน้อยเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังไม่มีสิทธิ์!’

แสงหลิงรวมตัวกันในดวงตาของมู่เฉิน แสงสีม่วงทองเบ่งบานจากด้านหลังพร้อมกับร่างเสมือนมีชีวิตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น รัศมีอมตะต้านแรงกดดันของหงส์ฟ้าทองคำ

มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่มีอารมณ์ใดขณะมองไปที่หวงเฉวียนจือ เขายื่นมือออกก่อนที่จะทำท่าทางยั่วยุ

“ฮ่าๆ แกนี่กล้าดี!”

เมื่อเห็นการยั่วยุของมู่เฉิน หวงเฉวียนจือก็หัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนกล้าท้าทายเขา ทั้งๆ ที่มีขุมพลังต่ำกว่า

“ดี ข้าจะทำลายความกล้าหาญของแกให้สิ้นซาก ดูสิว่าในอนาคตยังจะมีความกล้าที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไหม!”

เสียงหัวเราะของหวงเฉวียนจือกวาดออก สายตาเปลี่ยนเป็นแหลมคม หงส์ฟ้าทองคำที่อยู่ใต้เท้าก็ส่งเสียงร้อง ขณะที่สายฟ้าสีทองพุ่งออกมาทันที

“หงส์สายฟ้า!”

สายฟ้าเป็นสีทองครอบงำด้วยร่องรอยของสายเลือดหงส์ฟ้าแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แม้แต่ขั้นเซียนก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ

สายฟ้าสีทองว่องไวมากมาปรากฏเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทันทีหลังจากที่พุ่งออกจากปากหงส์ฟ้ามา

มู่เฉินหรี่ตาลง ร่างสีม่วงทองก็กำหมัดแน่น พลางเหวี่ยงใส่สายฟ้าสีทองพร้อมกับแสงสีม่วงทอง

ตึง!

ทั่วบริเวณโยกคลอน คลื่นกระแทกทำให้น้ำในทะเลสาบที่อยู่ในรัศมีหนึ่งพันจั้งกวาดพัดออก สร้างน้ำพุพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สั่นสะท้านค่อยๆ ถอนหมัดกลับ ขณะที่สายฟ้าสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ

อย่างไรก็ตามมีรอยแตกบนกำปั้นแต่ก็ได้รับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อแสงสีม่วงทองพลุ่งพล่านขึ้น

แต่ด้วยสิ่งนี้ก็เห็นได้ว่าหวงเฉวียนจือทรงพลังเพียงใด ต้องรู้ว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นก็ไม่สามารถทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์บาดเจ็บได้ ทว่าการโจมตีด้วยสายฟ้าฟาดครั้งเดียวจากหวงเฉวียนจือกลับทำให้เกิดรอยร้าวขึ้น

ชายคนนี้จัดการไม่ง่ายเลยจริง

สายตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลงหลังจากที่รู้สึกได้ถึงบางอย่าง

เมื่อเห็นว่าการโจมตีด้วยสายฟ้าไร้ประโยชน์ กระบวนท่าในมือของหวงเฉวียนจือก็เปลี่ยนไป หงส์ฟ้าทองคำกระพือปีก กำจายรัศมีสีทองที่คลุมเครือก่อเป็นรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

แรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้กวาดออก นั่นคือสัญญาณของการเร้าทักษะเทพทรงพลังออกมา

“ปีกหงส์สุริยันจันทรา!”

ข่งหลิงเอ๋อและผู้ชมนอกสระยกเทพอุทานด้วยความกลัวในน้ำเสียง นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ

ว่ากันว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนที่ต่อกรกับหวงเฉวียนจือล้วนแพ้ในกระบวนท่านี้

ครืนๆ!

ภายใต้สายตาหวาดกลัวมากมาย ทันใดนั้นรัศมีแสงสีทองก็ระเบิดออกจากปีก กลายเป็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีทอง

ขณะที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยคว้างก็ปล่อยแรงกดดันที่สามารถยับยั้งปราการทั้งหมดได้

“ลองรับกระบวนท่านี้ของข้าบ้าง!”

หวงเฉวียนจือหัวเราะขณะที่ผลักฝ่ามือออก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีทองทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นการทำลายล้างกระจายออกมา

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์อ้าปาก แสงสีทองที่ดูราวกับมังกรทองพุ่งออกมาปะทะกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทว่าแสงอมตะก็ถูกบดขยี้ทันทีเมื่อสัมผัส

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมของเผ่าหงส์ฟ้าพิเศษแท้จริง”

มู่เฉินถอนหายใจจากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นมิติด้านข้างเขาก็บิดเบี้ยว เงาร่างสองร่างเดินออกมายืนบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์

มู่เฉินนั่งอยู่บนศีรษะร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ร่างรองสองคนก็อยู่บนไหล่คนละข้าง จากนั้นทั้งสามก็เทคลื่นหลิงไร้ขอบเขตลงในร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ฮึ่ม ฮึ่ม!

พร้อมกับการเทคลื่นหลิงไร้ขอบเขตลงไป ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เปล่งประกาย ก่อตัวเป็นชั้นเกราะบนร่างกายใหญ่โต

ด้วยความช่วยเหลือของร่างรองทั้งสอง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เปิดปาก รหัสเทพอมตะหลายร้อยขดรอบตัวราวกับอสรพิษขนาดใหญ่

มีรหัสเทพอมตะทั้งหมดแปดร้อยลาย!

นี่เป็นขีดสุดในปัจจุบันของมู่เฉิน

ขณะที่รหัสเทพไหลเวียนก็ปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งทำให้มิติยุบลงกลายเป็นหลุมดำ

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยื่นมือออก รหัสเทพอมตะแปดร้อยลายก็ควบรวมกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคันธนูขนาดใหญ่และลูกศรที่ปกคลุมด้วยอักขระโบราณ

เมื่อลูกศรขึ้นสายบนคันธนู ความผันผวนที่น่ากลัวก็แผ่กระจายออกไประหว่างฟ้าดินพร้อมกับรัศมีสังหารที่ทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่ถูกลูกศรนี้จะต้องตายตกไป

สายตาของมู่เฉินไม่แยแส เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่กำลังขยายอย่างรวดเร็วก็สะบัดนิ้วเบาๆ

ฮึ่ม!

เสียงฮึ่มฮั่มดังก้องเมื่อปล่อยสายธนู ลูกศรสีม่วงทองพุ่งออกมาทำให้มิติยุบไปรอบๆ จนเกิดรอยยาว…

ปัง!

มีเพียงแสงวาบผ่าน ไม่รอให้ใครได้มองเห็นชัดลูกศรก็ปะทะกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

เคร้ง!

เหมือนมีเสียงสะท้อนก้องออกมา ลูกศรพุ่งเข้าสู่ดวงอาทิตย์สีทองก่อน รัศมีที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากดวงอาทิตย์ขณะที่พยายามทำลายลูกศร แต่คราวนี้ไม่สามารถก่อภัยคุกคามใดๆ อักขระบนลูกศรดูราวกับเป็นอมตะ

ชี่!

ลูกศรสีม่วงทองหยุดลงเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ทะลุผ่านดวงอาทิตย์สีทอง

ส่วนดวงจันทร์สีทองก็ถูกเจาะผ่านในลมหายใจเดียว

เมื่อพวกข่งหลิงเอ๋อเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป นี่ช่างเกินความคาดหมายของพวกเขา ‘วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมของหวงเฉวียนจือถูกทำลายด้วยลูกศรของมู่เฉิน?!’

ฟิ้ว!

ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ริ้วแสงสีม่วงทองก็วูบวาบ ทว่าพลังครึ่งหนึ่งของลูกศรหมดลง ทำให้มีขนาดหดลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามความเร็วไม่ได้ลดลง พริบตามันก็ไปปรากฏเบื้องหน้าหวงเฉวียนจือตั้งใจจะแทงทะลุศีรษะไป

เคร้ง!

แต่เมื่อลูกศรกำลังจะโดนหว่างคิ้วของหวงเฉวียนจือ สองนิ้วที่ดูเหมือนจะหลอมจากทองคำก็ยื่นออกมาจับลูกธนูไว้แน่น

แต่ถึงอย่างนั้นความคมของลูกศรก็ได้ทิ้งบาดแผลเล็กไว้ที่กึ่งกลางคิ้วของหวงเฉวียนจือ

โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บนใบหน้า หวงเฉวียนจือใช้กำลังนิ้วขยี้ลูกศรแตกออก

ซี้ด

ด้านนอกสระยกเทพ ทุกคนสูดอากาศเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดรุนแรง

ทั้งสองได้ดึงพลังแท้จริงออกมาในการเผชิญหน้ากัน มิหนำซ้ำยังสามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้เลย

แต่ใครจะคิดว่าการโจมตีของหวงเฉวียนจือถูกตอบโต้ได้อย่างง่ายดายโดยมู่เฉิน มากจนทิ้งบาดแผลเล็กไว้บนหน้าผากของหวงเฉวียนจือ

แม้ว่าบาดแผลนี้จะไม่ได้มีความหมายมาก แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินได้เปรียบเล็กน้อยจากกระบวนท่านี้

หลังจากได้เห็นการต่อสู้นี้ ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่ชื่อดังเป็นพลุแตกเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่ธรรมดา…

ทุกคนถอนหายใจ การดวลกันครั้งนี้กำลังจะไปถึงจุดสุดยอด

ขณะที่พวกเขาตกตะลึง หวงเฉวียนจือก็เช็ดหยดเลือดออกจากหน้าผาก ก่อนที่จะสร้างอักขระโบราณ

เมื่อตราประทับของเขาเปลี่ยนไป ทุกคนก็สามารถเห็นวงแสงโบราณค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง

ครั้นพวกเขาเห็นวงแสงนั่นก็ถึงกับสูดหายใจเข้าลึก…

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าวงแสงนี้ก็คือทักษะเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของหวงเฉวียนจือ

หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานแห่งมหาพันภพ—วิชาเก้าเทพหมุนวน!

“ในที่สุดพวกเขาสองคนก็เผชิญหน้ากัน…”

การประจันหน้าระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือ ทำให้ทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพสนใจ ดวงตาแต่ละคู่ยึดติดอยู่ที่กระจก

ทั้งสองคนถือได้ว่าเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดและนี่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างมังกรกับพยัคฆ์อย่างแท้จริง

“ไม่รู้ว่ามู่เฉินที่ก่อเรื่องในเผ่าฝูถูกับหวงเฉวียนจือจากเผ่าหงส์ฟ้าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?”

“ก็ต้องเป็นหวงเฉวียนจือสิ! เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าเขาจัดการกับพวกข่งหลิงเอ๋อสามคนได้สบายๆ”

“แน่นอน การกระทำของหวงเฉวียนจือก่อนหน้าน่าทึ่งมาก แม้ว่ากลุ่มข่งหลิงเอ๋อจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่เผ่ามหาเทพอสูร แต่พวกเขาก็ลนลานต่อหน้าหวงเฉวียนจือนัก” ทุกคนถอนหายใจ พวกเขาตกใจมากเกี่ยวกับการกระทำของหวงเฉวียนจือ แม้ว่าจะไม่มีใครประเมินเขาต่ำ แต่ก็อดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นการกระทำของเขา

ดังนั้นหลายคนจึงถือหางข้างหวงเฉวียนจือและพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะต่อกรได้

“หลังจากวันนี้ชื่อเสียงที่มู่เฉินสร้างขึ้นจะกลายเป็นขั้นบันไดของหวงเฉวียนจือและเขาจะผงาดขึ้นเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะในมหาพันภพโดยไม่มีใครโต้แย้ง”

ขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบ เทียนฮวงที่ได้ยินการสนทนาอย่างชัดเจนก็ดูกังวลเล็กน้อย แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เทียนฮวงก็ตกใจกับความแข็งแกร่งของหวงเฉวียนจือยิ่งนัก

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเผ่าหงส์ฟ้าถึงตั้งความหวังกับชายคนนี้ไว้สูง

“แต่ต่อให้มู่เฉินจะสู้กับหวงเฉวียนจือไม่ไหว เขาก็สามารถพาจิ่วโยวหลบหนีไปได้ ตราบใดที่สามารถรักษาสายเลือดวิหคอมตะไว้ การเสียแก่นโลหิตชั้นยอดไปก็เป็นเรื่องที่รับได้…” เทียนฮวงปลอบใจตัวเอง

แม้ว่าแก่นโลหิตระดับเทียนจื้อจุนที่เกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งจะน่าดึงดูด แต่ก็ไม่มีความหมายหากไม่มีสายเลือดวิหคอมตะแล้ว

 

ซ่า ซ่า ซ่า!

หวงเฉวียนจือกอดอก ร่างก็ลอยขึ้นไปช้าๆ ปีกหงส์ฟ้าสีทองแผ่ออกไปด้านหลัง ทำให้เกิดคลื่นสูงในมหรรณพนับไม่ถ้วนทุกครั้งที่เกิดการกระพือ

ในเวลาเดียวกันเขากำจายแรงกดดันทรงพลังซึ่งครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้

ภายใต้แรงกดดันนี้ ด้วยขุมพลังของจิ่วโยวก็ไม่สามารถขยับได้เลย ราวว่าภูเขากำลังกดทับร่างนางไว้

มู่เฉินโบกมือ กระแสคลื่นหลิงก็โอบล้อมจิ่วโยวออกจากขอบเขตแรงกดดันของหวงเฉวียนจือ ก่อนที่ดวงตาเขาจะเปล่งประกายอย่างเย็นชา

เสื้อคลุมของมู่เฉินพลิ้วสะบัด แสงหลิงรวมตัวกันบนร่างกาย เขาเร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาทันที ทำให้เขาดูราวกับว่าทำจากอัญมณี

แม้ว่ามู่เฉินจะเคยเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูมาได้ แต่หวงซวนจื่อก็แข็งแกร่งกว่าขุมพลังนั้นอย่างชัดเจน

เหมือนกับที่มู่เฉินสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังสูงกว่าตนเองได้ หวงเฉวียนจือก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตขั้นเซียนระยะต้น เขาก็ไม่ขาดพลังในการเอาชนะขั้นเซียนระยะกลางภายใต้เงื้อมมือเขา

ทั้งสองคนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ต่อไปจากวันนี้…

หวงเฉวียนจือยกดวงตาขึ้น แสงสีทองพวยพุ่งก่อนที่เขาจะชี้นิ้วในอึดใจถัดไป

ชี่ ชี่!

เมื่อนิ้ววาดออกไป ปีกสีทองที่อยู่ข้างหลังก็ระเบิดออกด้วยริ้วแสงสีทองก่อตัวเป็นขนนกสีทองพร้อมกับพลังการเจาะทะลุผ่านมิติ

พายุขนนกสีทองพุ่งออกมา ทำให้น้ำทะเลที่อยู่ในเส้นทางระเหยออกไป

ขณะที่พายุสีทองพัดเข้าผ่าน ท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไป มือของเขาประสานเข้าหากัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างกายกลายเป็นวงล้อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายพันจั้ง

เมื่อวงล้อหมุนก็คล้ายกับโล่ปิดกั้นพายุทองคำ

เคร้งๆๆๆ!

เสียงปะทะดังก้องไปทั่วทะเลสาบสีเขียวมรกต การชนกันทุกครั้งทำให้เกิดการระเบิดในมิติใกล้เคียงพร้อมกับรอยแตกเล็กเกิดขึ้น

เมื่อเห็นฉากนี้หวงเฉวียนจือก็ยิ้มบาง “คลื่นหลิงของเจ้ามีการควบแน่นอย่างแท้จริง สูงยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย แต่น่าเสียดายที่ยังขาดไปเมื่อเทียบกับคลื่นหลิงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”

สายตาเฉียบคมของหวงเฉวียนจือสามารถเห็นได้ว่าวงล้อกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วจากการปะทะ

เนื่องจากความหนาแน่นคลื่นหลิงของมู่เฉินด้อยกว่าของเขา

“แตกซะ!”

หวงเฉวียนจือสะบัดนิ้ว พายุสีทองก็แข็งตัวก่อนที่จะรวมตัวเป็นกระบี่ขนนกขนาดใหญ่

เมื่อกระบี่ขนนกสั่นสะเทือน เสียงแหลมก็ดังก้องออกมาทะลุผ่านมิติ

ชี่

กระบี่ขนนกสีทองปะทะกับวงล้อในพริบตา แต่คราวนี้วงล้อไม่สามารถกีดขวางได้อีก มันขาดออกจากกันทันที

กระบี่ขนนกกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเป้าไปที่หว่างคิ้วของมู่เฉิน

“คลื่นหลิงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้รับการขัดเกลามากกว่าอย่างแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่ประสานมือกัน

เจดีย์พุทธะในร่างกายสั่นสะท้าน คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาถูกเปลี่ยนเป็นผลึกคลื่นหลิงซึ่งเติมเต็มในร่างกายมู่เฉิน

ขณะนี้ม่านตาสีดำของมู่เฉินสั่นไหวด้วยผลึกแสงเหล่านั้น ความกดดันที่กระจายออกมาจากร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้น

เขาเปิดปาก ผลึกหลิงก็กวาดออกควบแน่นเป็นกระบี่ยาวทะยานออกไปปะทะกับกระบี่ขนนก

เคร้ง!

ในช่วงเวลาปะทะกันนั้นความผันผวนของคลื่นหลิงและมิติก็พังทลายลง อึดใจถัดมาพลังสองสายก็ลบล้างซึ่งกันและกันทันที

“คลื่นหลิงแข็งแกร่งขึ้นฉับพลัน?” หวงเฉวียนจือฉายแววตกตะลึงในดวงตา ขณะมองไปที่ริ้วผลึกบนร่างกายของมู่เฉิน เขาหดดวงตา ความหนาแน่นของคลื่นหลิงของมู่เฉินอยู่ในระดับใหม่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

“ลือกันว่าเจดีย์ของเผ่าฝูถูสามารถขยายคลื่นหลิงได้ ดูเหมือนว่ามู่เฉินก็ใช้ได้เช่นกัน… แต่ในเมื่อขยายได้มากขนาดนี้ นั่นหมายความว่าเจดีย์ของเขาไม่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำ”

สายตาของหวงเฉวียนจือวูบไหวพลางคิดออกทั้งหมดทันที ทว่าคนอย่างเขาไม่กลัวแต่กลับหัวเราะพึงพอใจเบาๆ “ต้องแบบนี้สิจะได้ถึงใจ”

เขาเปิดปากหายใจเข้าลึกก่อนจะพ่นเปลวไฟสีทองออกมาในลักษณะครอบงำ ทำให้น้ำทะเลที่อยู่ในเส้นทางระเหยกลายเป็นไอ

“ลองเพลิงหงส์สีทองของข้าบ้างสิ!”

ฟู่ ฟู่!

เพลิงสีทองบินออกไป กลายเป็นหงส์ฟ้าขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉิน

อุณหภูมิทำให้มิติบิดเบี้ยว ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาสัมผัสคงจะถูกแผดเผาทันที

“เจ้าก็ลองเพลิงม่วงกลืนวิญญาณของข้ามั่ง!”

มู่เฉินไม่กลัว มือประสานเข้าด้วยกันพร้อมกับเพลิงสีม่วงลุกโชนระหว่างฝ่ามือ ก่อร่างกลายเป็นมังกรปะทะกับหงส์ฟ้าที่เข้ามา

ฟู่ ฟู่!

เมื่อหงส์ฟ้าปะทะกับมังกร คลื่นความร้อนระเบิดออกมาพัดน้ำทะเลสาบในรัศมีหมื่นลี้ระเหยทันที

ขณะที่เวิ้งน้ำระเหยไป เพลิงทั้งสองชนิดก็เริ่มสลายไป ทว่าสีหน้าของหวงเฉวียนจือเคร่งเครียดลง ตอนที่เขาจัดการกับข่งหลิงเอ๋อ อีกฝ่ายไม่สามารถต้านทานเพลิงหงส์ฟ้าสีทองของเขาได้ แต่มู่เฉินสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย

เพลิงสีม่วงเหล่านั้นไม่ธรรมดา!

“ไอ้นี่มีความสามารถจริงๆ”

ดวงตาหวงเฉวียนจือกะพริบขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา ในเวลาต่อมาเขาก็กระพือปีกปล่อยภาพซ้อนออกมาหลายภาพพร้อมเพลิงสีทองบนฝ่ามือ

มู่เฉินเค้นเสียงขึ้นจมูก เพลิงสีม่วงลุกโชนบนร่างกาย ก่อนที่เขาจะทะยานออกไปในเวลาเดียวกัน ปะทะกับหวงเฉวียนจือจังใหญ่

ตึง ตึง ตึง!

ร่างเงาทั้งสองปะทะกันเบื้องบนพร้อมกับฝ่ามือและหมัดปล่อยคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัว กวาดก้นทะเลสาบเป็นลอนคลื่นขณะที่กระจายออกไป

ข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนถอยกรูดด้วยสีหน้าซีดขาว ขณะที่เฝ้าดูการเผชิญหน้าด้วยความกังวลในดวงตา

พวกเขาสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนใช้ทักษะการต่อสู้ถึงขีดสุด

นอกจากนี้ที่พวกเขาตกตะลึงที่สุดก็คือมู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจือที่ดึงพลังออกมาเต็มที่ได้โดยไม่เสียเปรียบ!

“มู่เฉินดุดันจริงๆ ไม่คิดว่าเขาจะสามารถต่อกรกับหวงเฉวียนจือได้” หลินชางรู้สึกไม่เชื่อ แม้เขาจะรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินเหนือกว่าพวกเขา แต่เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ของหวงเฉวียนจือได้

เซียวเทียนพยักหน้าด้วยความกลัวในดวงตา

ข่งหลิงเอ๋อกัดริมฝีปากพลางส่ายหัว “หวงเฉวียนจือไม่ง่ายที่จะรับมือหรอก ตอนนี้เขาแค่ลองเชิงมู่เฉินเท่านั้น พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าหวงเฉวียนจือน่ากลัวแค่ไหนเมื่อเขานำพลังเต็มที่ออกมา!”

ข่งหลิงเอ๋อมีแววหวาดกลัวบนใบหน้า ครั้งหนึ่งนางเคยเห็นหวงเฉวียนจือปล่อยพลังเต็มพิกัดซึ่งสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางเลยทีเดียว

ดังนั้นในมุมมองของนางความสมดุลของการต่อสู้ตรงหน้าจะคงอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อหวงเฉวียนจือหมดความสนใจที่จะเล่นต่อ มู่เฉินก็อาจมีจุดจบเหมือนพวกนาง…

ตู้ม!

พร้อมกับความคิดนี้เกิดขึ้นในใจนาง เสียงดังก้องแผ่ในระยะไกล คลื่นกระแทกพัดจอมยุทธ์ทั้งสองคนออกจากกัน

“ฮ่าๆ! สนุกจริง!”

หวงเฉวียนจือหัวเราะเสียงดัง แต่ไอเย็นเยือกวาบในสายตา เขามองไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “มู่เฉิน ข้าประหลาดใจกับแกจริงๆ ถ้าตอนนี้แกมีขุมพลังขั้นเซียนระยะต้นเหมือนกัน ข้าคงไม่สามารถทำอะไรแกได้!“

“แต่น่าเสียดายที่ไม่มีความยุติธรรมในโลกหรอก!

“ดังนั้นคราวนี้ข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่!”

หวงเฉวียนจือหัวเราะขณะที่แสงสีทองไร้ขอบเขตรวมตัวกันเป็นหงส์ฟ้าสีทองขนาดใหญ่ที่ข้างหลังแล้วกางปีกออก

ขณะเดียวกันแรงกดดันที่สะเทือนฟ้าดินก็เริ่มแพร่กระจายออกไป

‘พลังของหงส์ฟ้าแท้จริงไม่มีใครเทียบได้!’

ขณะที่เม็ดยาลอยอยู่เบื้องหน้า

รัศมีสายเลือดที่น่าสะพรึงก็เปล่งออกมา เพียงแค่ดมกลิ่นก็ทำให้เลือดในร่างกายเดือดพล่านได้

เมื่อมองไปที่เม็ดกลมสีดำนี้ไม่เพียงแต่สายตาของมู่เฉินที่ลุกเป็นไฟ แต่พวกข่งหลิงเอ๋อก็ด้วยเช่นกัน ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น

อารมณ์ตีกวนเป็นเวลานานก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆ ฟื้นตัว มู่เฉินยิ้ม “เราแบ่งตามสิ่งที่ตกลงกันไว้เลยเถอะ มีข้อขัดข้องไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกข่งหลิงเอ๋อก็รู้สึกปวดใจ เพราะนั่นคือสี่ส่วนเลยทีเดียว รัศมีสายเลือดที่มีอยู่ภายในสามารถทำให้พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้เลย

แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกปวดใจแต่ก็ไม่กล้าผิดข้อตกลง หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของมู่เฉิน แต่ละคนพยักหน้ารับ

เมื่อเห็นการตอบสนองของพวกเขา มู่เฉินก็ไม่ไว้มารยาท มือของเขาวาดตราประทับ วังวนคลื่นหลิงถูกสร้างขึ้น ทำให้เม็ดยากลมเกลี้ยงสั่นสะเทือนก่อนที่กระแสขนาดใหญ่จะไหลเข้าสู่วังวน

พวกข่งหลิงเอ๋อก็เคลื่อนไหวเพื่อสกัดรัศมีสายเลือดเช่นกัน

กระบวนการนี้กินเวลาไปหนึ่งก้านธูป ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ หยุดมองไปที่เม็ดยากลมตรงหน้าของตน

เพียงแต่ว่าเม็ดกลมของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าทั้งสาม

“สมกับเป็นแก่นโลหิตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง รัศมีอยู่เหนือความคาดหมายมาก” มู่เฉินมองไปที่เม็ดยากลมนี้ก็ถอนหายใจ ด้วยจำนวนสี่ส่วนของแก่นโลหิตชั้นยอดนี้ เขาสามารถรับประกันการวิวัฒนาการของจิ่วโยวได้

“ฮ่าๆ พี่มู่ ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว เราก็ขอลาไปก่อนนะ”

ข่งหลิงเอ๋อโบกมือเก็บเม็ดยาไว้ นางยิ้มให้กับมู่เฉิน ไม่ได้พูดเยอะ ร่างกลายเป็นสายแสงทะยานออกไป

หลินชางกับเซียวเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่สั่นไหวก่อนที่จะตามหลังข่งหลิงเอ๋อไปทันที

เมื่อเห็นทั้งสามจากไปอย่างรวดเร็ว จิ่วโยวก็หันไปหามู่เฉิน “ข้าว่าสามคนนั่นเจตนาไม่ดีแน่ พวกเราไปตอนนี้ด้วยเลยดีไหม?”

รอยยิ้มคลี่บนใบหน้า มู่เฉินมองทิศทางที่ทั้งสามออกไปตอบว่า “ไม่จำเป็น เราจะรอที่นี่”

“รอ?” จิ่วโยวอึ้งไป

 

ขณะที่หลินชางและเซียวเทียนตามหลังข่งหลิงเอ๋อไปอย่างใกล้ชิด

พวกเขาก็เหลือบไปทางด้านหลังและส่งเสียงพูด “เราจะปล่อยให้พวกมันได้สี่ส่วนนั่นไปจริงๆ หรือ?

ข่งหลิงเอ๋อตอบด้วยสีหน้าสงบว่า “พวกเจ้าลองมือได้เลย ถ้ามั่นใจที่จะจัดการกับเขาได้”

หลินชางและเซียวเทียนเงียบไป พวกเขาตกใจกับความสามารถของมู่เฉินมาก พวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะแย่งอาหารจากปากเขาหรอก

ทว่าพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้ส่วนแบ่งใหญ่กว่ากับมู่เฉิน

“เจ้าสองคนทั้งโง่และโลภมากเกินไป ไม่ช้าก็เร็วจะล้มลงเพราะความโลภของตัวเอง”

ข่งหลิงเอ๋อเค้นเสียงก่อนสายตาจะวูบไหว “เราจะออกจากที่นี่ก่อนแล้วข้าจะทำลายค่ายกลมิติ เมื่อถึงเวลานั้นหวงเฉวียนจือก็จะถูกปล่อยตัว เขาจะรู้สึกถึงของในมือมู่เฉินอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด เราก็รอให้ทั้งสองคนบาดเจ็บก่อนที่จะเอาคว้าของดีมา”

หลินชางและเซียวเทียนรู้สึกลิงโลด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าข่งหลิงเอ๋อจะมีกลอุบายเช่นนี้อยู่ในใจ

“นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ให้มู่เฉินและหวงเฉวียนจือสู้กันเอง ก่อนที่เราจะเคลื่อนไหวจัดการบอกให้พวกมันรู้ว่าใครกันที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย!” พวกเขาสองคนหัวเราะเสียงดัง

ข่งหลิงเอ๋อยิ้มอย่างพอใจ ‘ถึงมู่เฉินและหวงเฉวียนจือจะอัจฉริยะแท้จริงแล้วไง? พวกมันก็ต้องยังตกอยู่ในกำมือข้าอยู่ดี ‘

“แปะ แปะ!”

แต่ขณะที่นางกำลังยิ้มพราย เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเบื้องหน้า ทั้งสามตกใจเงยหน้าขึ้นก็เห็นพื้นที่บิดเบี้ยว ก่อนที่จะมีภาพเงาปรากฏขึ้น นี่ก็คือหวงเฉวียนจือที่ติดอยู่ในค่ายกล!

“แผนยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้” หวงเฉวียนจือยืนเอามือไพล่หลังมองดูทั้งสาม

“หวงเฉวียนจือ! แกหนีออกมาได้ยังไง?!” ข่งหลิงเอ๋อพูดด้วยความไม่เชื่อพลางฉายสีหน้าเขียวคล้ำ

“ข้าไม่ได้หนีออกมา ค่ายกลค่อนข้างลำบากจริงๆ ถ้าข้าตกอยู่ในนั้น” หวงเฉวียนจือยิ้มขณะพูดต่อ “แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ติดกับ นั่นเป็นเพียงร่างพิมพ์วิญญาณของข้าเท่านั้น”

“อะไรนะ?!” พวกข่งหลิงเอ๋อดวงตาหดลง คนที่พวกเขาใช้กำลังมากในการจับเป็นเพียงร่างพิมพ์วิญญาณของหวงเฉวียนจือเรอะ!

“ร่างพิมพ์วิญญาณไม่ง่ายอย่างที่พวกแกคิดหรอก มันถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดกลั่นและขนนกของข้า ดังนั้นจึงมีพลังครึ่งหนึ่งของข้าเลยทีเดียว” หวงเฉวียนจือยิ้ม สายตาที่กวาดมองอย่างไม่แยแสทำเอาพวกข่งหลิงเอ๋อสะท้านจับจิต

ทั้งสามคนหน้าซีดเผือด ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจช่องว่างระหว่างตนเองกับหวงเฉวียนจือ ทันใดนั้นพวกเขาก็ระเบิดพลังงาน ต้องการออกจากสระยกเทพให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตราบใดที่พวกเขาออกจากที่นี่ หวงเฉวียนจือก็ไม่สามารถจัดการพวกเขาได้อีกต่อไป

“ฮ่าๆ ข้ารอมาตั้งนาน จะปล่อยให้พวกแกหนีไปได้ยังไง?” หวงเฉวียนจือยิ้ม พริบตาแสงสีทองก็ระเบิดขึ้น หงส์ฟ้าสีทองขนาดใหญ่โผทะยานออกไป พุ่งเข้าหาพวกข่งหลิงเอ๋อ

 

ลึกลงไปในมหาสมุทรมรกต

คลื่นหลิงก่อร่างเป็นม่านล้อมรอบมู่เฉิน ปิดกั้นน้ำในมหาสมุทร เขานั่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรโยนเม็ดยาสีดำเล่นในมือ ขณะมองไปยังระยะไกลด้วยดวงตาวูบไหว

“เราทำอะไรที่นี่” จิ่วโยวออกจะหงอยๆ เนื่องจากมู่เฉินไม่ให้เม็ดยาแก่นาง แค่นั่งนิ่งอยู่ที่นี่เท่านั้น

“รอหวงเฉวียนจือ” มู่เฉินยืดเอว

“อ้า?” จิ่วโยวตกใจมากก่อนที่จะถามทันควัน “เขาถูกค่ายกลดักจับไว้ไม่ใช่หรือ?”

มู่เฉินยิ้ม “นั่นน่าจะเป็นร่างเสมือนของเขา เจ้านั่นเจ้าเล่ห์เกินไป เขาทำเช่นนี้เพื่อให้พวกข่งหลิงเอ๋อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแก่นโลหิต ด้วยวิธีนี้เขาจึงไม่ต้องลงมือและทำเพียงรอ”

จิ่วโยวขมวดคิ้ว นั่นหมายความว่าพวกนางตกหลุมพรางของหวงเฉวียนจือไม่ใช่เหรอ?

“ถ้าข้าเดาถูก เขาน่าจะจัดการกับพวกข่งหลิงเอ๋ออยู่น่ะ” มู่เฉินยิ้ม

“ถ้างั้นเราไม่ควรไปตอนนี้หรือ?” จิ่วโยวถาม

“ทำไมต้องไป?” มู่เฉินยิ้มขณะที่โยนเม็ดยาไปทางจิ่วโยว “เจ้าเม็ดนี้ช่วยเจ้าวิวัฒนาการได้เท่านั้น สำหรับข้าเล็งอีกหกส่วนที่เหลือ”

“หวงเฉวียนจืออยากเก็บผลกำไร ดังนั้นข้าจะคิดแบบเดียวกันไม่ได้รึไง? หลังจากที่เขาได้รับหกส่วนนั่นแล้ว เขาก็จะมาตามหาข้า”

จิ่วโยวอ้าปากกว้าง มีแต่คนคิดซ่อนตัวจากหวงเฉวียนจือ ทว่าเจ้าน้องบ้าคนนี้กลับตั้งใจให้หวงเฉวียนจือไปช่วยแย่งหกส่วนนั้น ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว…

ทว่านางต้องยอมรับว่ามู่เฉินที่สามารถรักษาความสงบต่อให้ต้องเผชิญกับการคุกคามของหวงเฉวียนจือช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอเหมือนเด็กน้อยในอดีต เขาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองไปทั่วมหาพันภพเทียบได้กับยอดอัจฉริยะเหล่านั้น

“เอาล่ะขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเราสามารถเก็บเกี่ยวหรือสูญเสียครั้งใหญ่กัน!” ริมฝีปากของจิ่วโยวโค้งขึ้น

หากพวกนางได้รับการเก็บเกี่ยวที่ดีก็จะสามารถได้รับเม็ดยาที่สมบูรณ์ ถ้าแพ้ก็ต้องส่งอีกสี่ส่วนที่เหลือและสายเลือดวิหคอมตะก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหลับตาลงราวกับว่าหลับไป

จิ่วโยวไม่ได้รบกวนเขา นางนั่งลงข้างๆ มองไปที่เม็ดยาในมือ

ความเงียบดำเนินไปหนึ่งก้านธูป ก่อนที่มู่เฉินจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้า “มาแล้ว”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ร่างกายก็เกร็งขึ้น

พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน ผืนน้ำเบื้องหน้าก็แปรปรวน เงาปรากฏขึ้นก่อนที่จะโยนร่างสามร่างออกมา

ทั้งสามคนก็คือพวกข่งหลิงเอ๋อ ทว่าใบหน้าแต่ละคนดูไม่จืด ท่าทางจะได้รับบาดเจ็บหนัก

ขว้างทั้งสามออกไปราวกับขยะ สายตาหวงเฉวียนจือก็จ้องมองไปที่มู่เฉินและยิ้ม “อย่างที่ข้าคาดไว้ เจ้าไม่ได้วิ่งหนี”

“ทำไมข้าต้องวิ่งในเมื่อมีคนเอาของกำนัลมาให้ที่นี่” มู่เฉินยืดเอว

“น่าสนใจ…” หวงเฉวียนจือหัวเราะ แต่ม่านตาสีทองไม่มีรอยยิ้มสักริ้ว “แกทำกับข้าเหมือนพวกคนส่งของงั้นเรอะ? น่าสนใจจริงๆ”

“ถ้าแกส่งไอ้เม็ดที่เหลือและให้ข้าดึงสายเลือดวิหคอมตะของนาง ข้าจะยอมให้แกออกไปโดยดี” หวงเฉวียนจือพูดขณะมองไปที่มู่เฉิน “ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงที่แกสั่งสมมาจะกลายเป็นหินรองเท้าให้ข้าเท่านั้น”

มู่เฉินยืนขึ้นยิ้มให้หวงเฉวียนจือ “พล่ามบ้าไร ข้ากลัวว่าแกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสกัดสายเลือดของจิ่วโยวต่อหน้าข้าหรอก”

หวงเฉวียนจือพยักหน้า สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นไม่แยแส แสงสีทองกะพริบในดวงตา ปีกทั้งสองกระพือ รัศมีสังหารกวาดออกทำให้เกิดคลื่นน้ำไม่ถ้วน

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้… ข้าจะอัดแกให้ง่อยไปเลย”

ด้านนอกสระยกเทพความเงียบโรยตัว

ผู้คนต่างตกตะลึงขณะเงยหน้ามองกระจกที่ฉายภาพด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้หวงเฉวียนจืออยู่ยงคงกระพันจนเกินไป

“มู่เฉินไม่น่ากลัวเกินไปหรือ?” ในที่สุดก็มีคนฟื้นสติและอดไม่ได้ที่จะเบะปาก

หวงเฉวียนจือถูกจับได้ในการเคลื่อนไหวครั้งเดียว แม้ว่าจะมีส่วนที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินแข็งแกร่งมาก

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสร้างเรื่องให้เผ่าฝูถูได้ เขามีความสามารถจริงๆ” ขณะนี้ทุกคนมองไปที่มู่เฉินในแง่มุมใหม่หลังจากที่ได้เห็นกลยุทธ์ของเขา พวกที่ได้แค่ฟังผลสำเร็จของมู่เฉินในตอนแรกก็ต้องยอมรับในความโดดเด่นของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้น

เทียนฮวงมองภาพนี้ด้วยความตกใจฉายบนใบหน้า เมื่อก่อนตอนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน ชายหนุ่มไม่เป็นแม้แต่ฝุ่นในสายตาของเขา แต่ใครจะคาดคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีหนุ่มน้อยคนนั้นจะเติบโตมากจนแม้แต่เขาก็ได้แต่แหงนดูเท่านั้น?

“นับเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตจิ่วโยวที่ได้รู้จักกับเขา ดูเหมือนว่าพวกเราจะสายตาคับแคบเมื่อในอดีตที่พยายามแยกทั้งสองคนออกจากกัน” เทียนฮวงยิ้มอย่างขมขื่น

ขณะที่บทสนทนาเกิดขึ้นรอบสระยกเทพ หวงจิงก็มองไปที่กระจกโดยไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“มู่เฉินนั่นมีความสามารถจริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลหวงหดดวงตาอยู่เบื้องหลังหวงจิง

หวงจิงพยักหน้าจ้องมองไปที่กระจกขณะที่แสดงความคิดเห็นเบาๆ “แต่เขาประเมินความสามารถของอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าต่ำไป ถ้าเขาคิดว่าสามารถจัดการกับหวงเฉวียนจือได้ในลักษณะนี้”

 

ในมวลน้ำสีมรกต

มู่เฉิน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ต่างมองไปที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีรัศมีสายเลือดพวยพุ่งออกมาจากร่าง พวกเขาอดไม่ได้ที่ลมหายใจขาดช่วง

หลังจากมองอยู่เป็นเวลานานมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “แม้ว่าแก่นโลหิตนี้จะแสดงสัญญาณของก้าวข้าม แต่กระบวนการก็ช้าเกินไป ถ้าจะรอให้มันสะสมเพียงพอคงต้องใช้เวลาหลายปี เราไม่มีเวลารอนานขนาดนั้น”

ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม “พี่มู่พูดถูก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องช่วยให้มันเติบโตแล้ว”

ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเตรียมตัวมาพร้อมนะ”

ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าไปทางหลินชางและเซียวเทียน พวกเขาโบกมือทันที แก่นโลหิตเกือบร้อยชิ้นที่มีขนาดเท่าศีรษะหมุนรอบตัวพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตเหล่านั้นถูกจับโดยพวกเขาและระดับไม่ได้ต่ำนัก เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ปลดปล่อยรัศมีสายเลือดที่หนาแน่น

“ถ้ามันดูดซับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็จะมีพัฒนาการได้” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม

เมื่อมองไปที่รัศมีสายเลือดไร้ขอบเขตมู่เฉินก็ประหลาดใจ “พวกเจ้าทำอะไรกับพวกมันเหรอ?”

มู่เฉินรู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่คลุมเครือจากแก่นโลหิตเหล่านั้น

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ข่งหลิงเอ๋อก็ตกใจ นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสาทสัมผัสไวขนาดนี้ นางผงกหัวทันที “พวกข้าได้ทำอะไรบางอย่างไว้ หลังจากที่แก่นโลหิตบรรลุเราก็จะสามารถทำให้มันบาดเจ็บและจับได้ง่ายขึ้น”

“เยี่ยม”

มู่เฉินกล่าวชื่นชม ความคิดของข่งหลิงเอ๋อช่างละเอียดถี่ถ้วน วิธีเช่นนี้ไม่ใหัโอกาสในการหลุดรอดของแก่นโลหิตเลย

แน่นอนว่าเป็นเพราะแก่นโลหิตเบื้องหน้าไม่มีสติปัญญาใดๆ ด้วย มิฉะนั้นมันจะไม่กลืนกินแก่นโลหิตเหล่านี้อย่างแน่นอน

ข่งหลิงเอ๋อส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มแล้วโบกมือ แก่นโลหิตจำนวนมหาศาลเหล่านั้นก็บินไปหาร่างขนาดมหึมา

เมื่อแก่นโลหิตจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน ก็ดึงดูดความสนใจของร่างขนาดมหึมานั่น มันส่งเสียงคำรามทันทีก่อนที่จะกลืนกินแก่นโลหิตเหล่านั้นไป

ตู้ม ตู้ม!

ภายใต้การเสริมพลัง รัศมีสายเลือดของร่างขนาดมหึมาก็เริ่มสั่นสะเทือน ส่งคลื่นกระแทกออกมา แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยว

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่ารัศมีของร่างมหึมานี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้ว

ทว่าจู่ๆ ก็เริ่มช้าลงราวกับว่าติดขัดจนไม่สามารถก้าวออกไปได้

“ไอ้บ้าเอ้ย!”

คิ้วของข่งหลิงเอ๋อขมวดเป็นปมเมื่อมองภาพนี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากจ่ายราคาแพงระยับ เจ้าตัวนี้ก็ยังขาดขั้นตอนอยู่

“ทำยังไงดี?” มู่เฉินขมวดคิ้ว พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก ดังนั้นหากสุดท้ายได้เพียงแก่นโลหิตขั้นเซียนระยะปลายสุด ก็ไม่มีความหมายอะไร

ข่งหลิงเอ๋อกัดริมฝีปากลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างเด็ดขาด “คงได้แค่ทางเลือกสุดท้าย เราจะใช้แก่นโลหิตของมหาเทพอสูรเพื่อช่วยเร่งขั้นตอนสุดท้าย”

ขณะที่นางพูด หลินชางและเซียวเทียนก็ลังเล ท้ายที่สุดการสูญเสียแก่นโลหิตเป็นราคามหาศาลสำหรับมหาเทพอสูร เนื่องจากจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว

“ทุกอย่างคุ้มค่าถ้าเราได้มา!” ข่งหลิงเอ๋อพูดเสียงขรึม

หลังจากพิจารณาชั่วครู่ หลินชางและเซียนเทียนก็พยักหน้าก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยว

หลังจากลังเลชั่วครู่มู่เฉินก็เอ่ยว่า “จิ่วโยวมีส่วนช่วยได้เพียงเล็กน้อยเพราะนางยังอ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นนี่จะเป็นอันตรายต่อรากฐานของนาง”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา นางก็พยักหน้าเห็นด้วย

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน หากจิ่วโยวให้ได้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ต้องเสียเยอะเพิ่มขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับพวกเขา ถ้ามู่เฉินไม่อยู่ที่นี่พวกเขาจะเค้นเอาสายเลือดของจิ่วโยวออกมาสักครึ่งหนึ่งเพื่อป้อนให่แก่นเลือดชั้นยอดชิ้นนี้ ทว่าตอนนี้พวกเขากลัวมู่เฉินมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถอยความคิดไป

“ถ้างั้นก็ทำตามที่พี่มู่ว่า”

เมื่อทั้งห้าคนตัดสินใจ พวกเขาก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดกลั่นไหลรินซึ่งเปล่งประกายรัศมีออกมา

สายธารเลือดทั้งสี่ไหลไปสู่แก่นโลหิตซึ่งเป็นยาบำรุงชั้นดียิ่งนัก มันฉายท่าทางเป็นสุขทันที คำรามด้วยความตื่นเต้นเมื่อกลืนกินแก่นโลหิตสดเหล่านั้น

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

หลังจากซึบซาบแก่นโลหิตแล้ว รัศมีของแก่นโลหิตนี้ก็ได้รับการยกระดับอย่างรุนแรง แม้แต่เกล็ดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนร่างกาย

นอกจากนี้ยังปลดปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งทำให้ใบหน้าของพวกมู่เฉินเปลี่ยนไป ขณะที่พวกเขามองดูร่างมหึมาอย่างกังวล

ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแสงหลิง สามารถมองทะลุร่างของแก่นโลหิตได้และเห็นร่างกายของมันเริ่มเปลี่ยนไป

โดยปกติแก่นโลหิตชั้นยอดจะอยู่ในรูปของไข่มุก แต่เจ้าสิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นลูกทรงกลมสีดำที่ดูเหมือนเม็ดยา แทรกซึมรัศมีสายเลือดที่น่าสะพรึงกลัว

มากจนพวกเขารู้สึกได้ถึงภูมิปัญญาวูบวาบในดวงตาของมัน

“เร็วเข้า! อย่าปล่อยให้มันบรรลุ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถปราบมันได้แน่!” มู่เฉินร้องตะโกนทันทีกับฉากนี้

อีกสามคนก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างมหึมา ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเลและสร้างตราประทับขึ้น

ตึง ตึง!

เมื่อพวกเขาสร้างตราประทับ ร่างมหึมาก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ความลับที่ซ่อนอยู่ในแก่นโลหิตถูกกระตุ้น

การระเบิดภายในร่างทำให้วิวัฒนาการของแก่นโลหิตชั้นยอดหยุดชะงัก มันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด แม้แต่รัศมีสายเลือดก็อ่อนแอลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก

“ระเบิดแก่นโลหิตอีก!” ข่งหลิงเอ๋อร้องอีกครั้ง

แก่นโลหิตที่พวกเขาส่งออกไปถูกซ่อนด้วยกลวิธีบางอย่าง ซึ่งแก่นโลหิตนี้ยังไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจุดชนวนได้อีกครั้ง

ตู้ม!

การระเบิดสี่ครั้งถูกกระตุ้นซึ่งดังก้องมาจากร่างมหึมา ครั้งนี้มันได้รับบาดเจ็บหนัก ร่างมหึมาลดขนาลง มันรู้สึกถูกคุกคามจนต้องการหนีให้เร็วที่สุด

“ตามมันไป!”

ข่งหลิงเอ๋อร้องลั่น ทั้งห้าก็ทะยานไล่ตามแก่นโลหิตเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ครืนๆ!

ขณะที่มันพยายามหลบหนี โดยมีทั้งห้าคนติดตามอยู่ข้างหลัง พวกเขาก็ปล่อยการโจมตีไม่ยั้ง

การไล่ล่าครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างมหึมาจะหดตัวลงสิบกว่าเท่า แม้แต่รัศมีสายเลือดที่น่ากลัวรอบๆ ตัวมันก็อ่อนแอลงจนถึงขีดสุด

เมื่อพวกมู่เฉินเห็นว่ามันไม่มีพลังที่จะหลบหนีอีกต่อไป พวกเขาก็ล้อมกรอบปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรง

ตู้ม!

ในที่สุดมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสีดำทะยานขึ้น ลูกกลมลอยอยู่เบื้องหน้าพวกมู่เฉิน…

เมื่อมองไปที่เม็ดยานี้แม้แต่มู่เฉินยังอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้

หวงเฉวียนจือเอามือไพล่หลัง

ปีกหงส์ฟ้าสีทองกระพือช้าๆ แรงกดดันทรงพลังแผ่ออก

ทะเลสาบรอบตัวหวงเฉวียนจือผันผวน ขณะที่ข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนเปิดเผยตัวออกมา พวกเขามองไปที่หวงเฉวียนจือด้วยการแสดงออกที่ไม่น่าดู

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการซุ่มโจมตีจะจับหวงเฉวียนจือได้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาทำให้อะไรหวงเฉวียนจือไม่ได้เลย

“ตอนแรกข้าว่าจะให้พวกเจ้าสักสามส่วนเพราะเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หวงเฉวียนจือยิ้มบาง ขณะมองไปที่ทั้งสามคน

“แกอยากอาหารมากเกินไป! ไม่กลัวกระเพาะแตกตายหรือไง?!” หลินชางตะคอก

“งั้นแกก็ประเมินข้าผิดไป” หวงเฉวียนจือยิ้ม

“ไม่ต้องคุยกันแล้ว ลุยเลย!” ข่งหลิงเอ๋อเป็นคนเด็ดขาด นางกังวลว่าหวงเฉวียนจืออาจกระจายการรับรู้ออกไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็จะเปิดเผยค่ายกลของพวกเขาออกมา

ตู้ม!

พร้อมกับเสียงของนาง สายรุ้งหลากสีก็กวาดออกจากร่างกายผสานเสียงร้องของนกยูง ภาพนกยูงงดงามปรากฏขึ้น ขณะที่ขนหลากสีพลิ้วไหว ความผันผวนของคลื่นหลิงน่าทึ่งก็แผ่ออกไป

เมื่อเห็นว่าข่งหลิงเอ๋อนำร่างหลักออกมา หลินชางก็เปลี่ยนร่างเป็นแร้งขนาดใหญ่ที่มีหัวเก้าหัว ดวงตาแหลมคมเปล่งแสงสีทองราวกับว่าสามารถทะลุผ่านสวรรค์ได้

เซียวเทียนก็นำร่างหลักออกมาเช่นกัน ซึ่งเป็นกระเรียนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร แม้แต่กรงเล็บก็เป็นกรงเล็บมังกรวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก

ทั้งสามรู้ว่าหวงเฉวียนจือน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นจึงนำร่างหลักออกมาด้วยไม่คิดจะให้หวงเฉวียนจือมีเวลาตั้งหลัก

กีด!

เสียงร้องแหลมดังขึ้น สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทั้งสามเริ่มโจมตี นกยูงเก้าสีปลดปล่อยลำแสงจำนวนมหาศาลออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทันทีหากถูกผูกมัดไว้

แร้งทองเก้าหัวดุร้ายกว่า กรงเล็บของมันกางออกแตกสลายมิติเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

กระเรียนมังกรฟ้าส่งเสียงร้อง ปลดปล่อยลมหายใจโจมตีด้วยด้วยความผันผวนของการทำลายล้าง

“หึๆ พวกข่งหลิงเอ๋อพยายามน่าดู การโจมตีเช่นนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว”

ขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ภายนอกสระทุกคนก็มองไปที่กระจก พวกเขาสามารถมองเห็นการปะทะกันได้อย่างชัดเจน

แม้พวกเขาจะประหลาดใจที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะร่วมมือกับมู่เฉินเพื่อต่อกรหวงเฉวียนจือ แต่เมื่อเห็นภาพเงาสิ่งมีชีวิตแก่นโลหิตที่กำลังจะบรรลุขั้นเซิ่ง พวกเขาก็เข้าใจทันที

ภายใต้สิ่งล่อใจแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่จะร่วมมือกับคนนอก

เพียงแต่ไม่รู้ว่าการร่วมมือเช่นนี้จะจัดการกับหวงเฉวียนจือได้หรือไม่…

ภายใต้สายตากังวลของทุกคน หวงเฉวียนจือก็เริ่มเคลื่อนไหว

ท่าทางหวงเฉวียนจือไม่แยแสขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เข้ามา เขาอ้าปากเปลวไฟสีทองพุ่งออกมาเผาลำแสงสีรุ้งทันที

ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมือออกไป ฝ่ามือปะทะกับกรงเล็บสีทอง

เคร้ง!

จังหวะที่ปะทะกันคลื่นกระแทกน่าสะพรึงก็พัดออกมา ทำให้ทะเลสาบเกือบแสนจั้งกระจายออกไปราวกับกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศ

หวงเฉวียนจือตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อปะทะกับกรงเล็บ กลับกันแร้งทองเก้าหัวกลับส่งเสียงร้องน่าสังเวชขณะที่กระเด็นออกไปพร้อมกับเกล็ดกรงเล็บแตกออก

หลังจากจัดการแร้งทองเก้าหัวได้ หวงเฉวียนจือก็ก้าวออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะขณะที่เงยหน้าขึ้นมองลมหายใจมังกร แสงสีทองกะพริบในดวงตาเขา รัศมีพราวสองสายพุ่งออกมา

ชี่ ชี่!

เมื่อปะทะกับลมหายใจมังกร เสียงดังฉ่าเล็ดลอดออกมา ลมหายใจมังกรพ่ายแพ้ในพริบตา การโจมตีที่เหลืออยู่ทะลุปีกกระเรียนมังกรฟ้าไป

เพียงสิบกว่าลมหายใจอัจฉริยะทั้งสามก็พ่ายแพ้ ขณะที่หวงเฉวียนจือยืนอหังการมองสงบนิ่ง

“หวงเฉวียนจือสมกับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรกลางเวหา!”

เมื่อเผ่าอื่นๆ เห็นฉากนี้ที่ด้านนอกสระยกเทพ พวกเขาก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า แม้ว่าชื่อเสียงพวกข่งหลิงเอ๋อจะโด่งดัง แต่ก็เผยให้เห็นช่องว่างพลังของพวกเขาหลังจากแลกกระบวนท่ากับหวงเฉวียนจือ

หวงเฉวียนจือสามารถแก้ไขการโจมตีทั้งสามได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

“พวกเจ้าคิดว่าร่วมมือกันแล้วจะต่อกรกับข้าได้รึ?”

มองไปที่พวกข่งหลิงเอ๋อ หวงเฉวียนจือก็กล่าวด้วยรอยยิ้มจางว่า “เห็นแก่พวกเจ้าที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเทพอสูรกลางเวหา ข้าจะไม่เอาเรื่องพวกเจ้า ไสหัวไปซะ”

“แก่นระดับเกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะเพลิดเพลินได้”

คำพูดของเขาทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อโกรธแค้นขึ้น แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ เนื่องจากถูกข่มขู่โดยพลังของหวงเฉวียนจือ

“งั้นเหรอ? ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังหวงเฉวียนจือพร้อมกับความผันผวนของมิติ

“ไอ้โง่!”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวทันทีหลังจากที่ปรากฏตัว ข่งหลิงเอ๋อก็สถบด่าในใจ หวงเฉวียนจือคือใคร? การฟื้นตัวจากความประหลาดใจเพียงชั่วครู่ มู่เฉินก็จะสูญเสียจังหวะการบุกก่อนทันที

เช่นเดียวกับที่ข่งหลิงเอ๋อคาดไว้ ท่าทางหวงเฉวียนจือเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาเมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เขาขว้างฝ่ามือออกไปทางด้านหลังทันที แสงสีทองที่น่าสะพรึงกลัวรวมตัวกันก่อตัวเป็นชั้นสีทองที่ทำให้มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา

เผชิญหน้ากับฝ่ามือนั่น มู่เฉินก็ยิ้มอย่างไม่แยแส รัศมีแสงยุ่งเหยิงแผ่กระจายออกไปด้านหลังศีรษะเขาพร้อมกับลำแสงปะทะกับหวงเฉวียนจือ

วาบ!

เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดผ่าน พวกข่งหลิงเอ๋อก็หดดวงตา เนื่องจากเห็นว่าภาพเงาของหวงเฉวียนจือหายไปภายใต้แสงยุ่งเหยิงและถูกกวาดเข้าไปในความสับสนวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน

เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดหวงเฉวียนจือเข้ามา มู่เฉินก็ก้าวไปข้างหน้าปรากฏในค่ายกลมิติก่อนที่ร่างเงาหนึ่งจะถูกโยนออกมาจากแสงยุ่งเหยิงเบื้องหลัง

“เปิดค่ายกล” ในเวลาเดียวกันเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาทมของข่งหลิงเอ๋อ

ไม่ทันจะตกตะลึงกับฉากที่มู่เฉินจับตัวหวงเฉวียนจือได้ทันควัน ข่งหลิงเอ๋อก็สร้างตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายกลขนาดใหญ่ปลดปล่อยความผันผวนถูกเปิดใช้งานทันที ขณะเดียวกันนางเหลือบมองมู่เฉินที่กำลังพยายามหลบจากวงรัศมีของค่ายกล ตราประทับก็เปลี่ยนไป ดวงตากะพริบวูบไหว ขบวนแถวค่ายกลแผ่กระจายออกด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจนเกือบที่จะกลืนกินมู่เฉินไปด้วย

แต่เมื่อค่ายกลกำลังจะห่อหุ้มมู่เฉิน ค่ายกลปกปิดที่เขาตั้งไว้ก็ระเบิดแสงออกมาขัดขวางค่ายกลมิติไว้

ในช่วงสั้นๆ นั้นเองมู่เฉินก็ปรากฏตัวห่างออกไปอีกหลายพันจั้ง

เมื่อค่ายกลมิติถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ก็เกิดการฉีกออกเปิดเส้นทางมิติรุนแรง ร่างหวงเฉวียนจือถูกดูดเข้าไป แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหวงเฉวียนจือที่สาดออกมา…

สายตานั่น ทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อหนาวเยือก มีเพียงมู่เฉินที่ยังคงยิ้มเรียบเฉย

“มู่เฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?”

เมื่อหวงเฉวียนจือหายไป ข่งหลิงเอ๋อก็กลับมามีจริตจะก้านเฉิดฉาย ทะยานเข้ามาอย่างกังวลก่อนที่จะถาม

มู่เฉินมองไปที่ข่งหลิงเอ๋อด้วยรอยยิ้มลึกล้ำพลางส่ายหน้า

หลินชางและเซียวเทียนก็เข้ามาด้วยสีหน้าซีดขาว แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉินก็ไม่มีความสงสัยใดๆ เหมือนในอดีต แววตากลับเต็มไปด้วยหวาดกลัว

พวกเขาทั้งสามไม่สามารถทำอะไรกับหวงเฉวียนจือได้ แต่มู่เฉินสามารถจับหวงเฉวียนจือได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กระบวนท่าเดียวก่อนที่จะโยนอีกฝ่ายเข้าไปในค่ายกล ความสามารถนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว

ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวหวงเฉวียนจือ เพราะตัวเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

“พี่มู่น่าเกรงขามจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป” หลินชางกล่าว

“ได้โอกาสพอดีน่ะ ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก” ทว่ามู่เฉินส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่ออย่างใจเย็น “ไปจับเหยื่อเร็ว หวงเฉวียนจือไม่ใช่ง่ายที่จะรับมือ”

พอได้ยินคำพูดเขา พวกข่งหลิงเอ๋อก็พยักหน้า พวกเขามองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยดวงตาลุกโชน…

ในเวลาเดียวกันทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพก็ตกตะลึง ความเงียบกวาดตัวไปทั่ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าหวงเฉวียนจือผู้ยิ่งใหญ่จะถูกโยนเข้าไปในค่ายกลโดยมู่เฉินในพริบตา…

‘ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!’

ร่างแสงห้าสายพุ่งผ่านน้ำสีเขียวมรกต

ผ่าเวิ้งน้ำออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งใช้เวลานานก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม

พวกเขาก็คือพวกมู่เฉินนั่นเอง

“ด้วยความเร็วนี้ เราจะไปถึงที่หมายในเวลาประมาณครึ่งก้านธูป”

เมื่อได้ยินคำพูดของข่งหลิงเอ๋อ มู่เฉินก็พยักหน้า “พวกเจ้ามีแผนจะทำอะไรหลังจากถึงที่หมาย? จะเข้าไปจับแก่นโลหิตเลยหรือไม่?”

ข่งหลิงเอ๋อส่ายหัวด้วยสีหน้าหวาดเกรงตอบว่า “แม้ว่าเราจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อขัดขวางหวงเฉวียนจือ แต่ข้ากลัวว่าเขาจะตามมาทัน หากเราไม่กำจัดภัยคุกคามนี้ก่อนก็ไม่สามารถจับแก่นโลหิตได้อย่างสบายใจ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าตัดสินใจที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือก่อนเรอะ?” มู่เฉินยิ้ม

“จัดการ?” หลินชางหัวเราะขณะที่พูดต่อ “อย่ามองว่าเรามีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน แต่เท่านี้ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือหรอก”

“ดูเหมือนว่าเขาสร้างเงาไว้ในพวกเจ้ามากเลยนะ” มู่เฉินยิ้ม

“หึ เจ้าคิดว่าชื่อของเขาในฐานะยอดอัจฉริยะกลางเวหาเป็นเรื่องโม้ขึ้นเรอะ?” เซียวเทียนเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา

“พอแล้ว อย่าทะเลาะกัน” ข่งหลิงเอ๋อเป็นผู้หย่าศึกก่อนที่นางจะหันไปหามู่เฉิน “พวกข้าไม่คิดที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือ พวกข้าเพียงแค่ต้องการดักเขาเพื่อที่จะสามารถไปจับแก่นโลหิตได้ หลังจากที่แบ่งกันเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็จะออกจากสระยกเทพอย่างรวดเร็ว เมื่อออกจากสระยกเทพ ต่อให้หวงเฉวียนจือจะไม่พอใจก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”

มู่เฉินพยักเพยิดถามว่า “พวกเจ้าคิดจะจับเขายังไง? แล้วต้องการให้ข้าทำอะไร?”

ข่งหลิงเอ๋อกำมือพร้อมกับคลี่ยิ้ม เข็มทิศสีทองก็ปรากฏขึ้น มันถูกสลักด้วยลวดลายซับซ้อนเอิบอาบความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

“เข็มทิศค่ายกล?”

มู่เฉินหรี่ตาลง เขาจำแนกได้ทันทีว่ามีค่ายกลทรงพลังสลักอยู่ในนั้น

“เข็มทิศค่ายกลนี้บรรจุด้วยค่ายกลมิติที่อยู่ในระดับต้าจงซือขั้นเซียน แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่สูง แต่ก็เหมาะที่จะดักจับศัตรู หากมีใครติดอยู่ในนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ต้องติดแหง็กในนั้นหลายวัน” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามเตรียมการมาพร้อม

มู่เฉินพยักหน้าพลางพูดอย่างใจเย็น “แม้ว่าค่ายกลจะสะดวกสบาย แต่ก็มีข้อจำกัดมากมายและสามารถสร้างได้ในสถานที่เดียวเท่านั้น ช่วงเวลาที่ก่อตัวขึ้นก็จะปล่อยความผันผวนออกมา หวงเฉวียนจือไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ก้าวไปในกับดักแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”

ตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเข็มทิศค่ายกลโดยธรรมชาติ

“พี่มู่พูดถูก” ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เหตุผลที่พวกข้าชวนเจ้าก็คือพวกเราจะซ่อนตัวและหาโอกาสที่จะซุ่มโจมตีเขา ข้าหวังว่าพี่มู่จะช่วยล่อหวงเฉวียนจือเข้าไปในค่ายกลได้”

หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหวงเฉวียนจือ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ต้องสู้อย่างเด็ดขาดที่นี่ เพราะยังไงเขาก็ไม่ไว้วางใจกลุ่มของข่งหลิงเอ๋อ

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเห็นด้วย ข่งหลิงเอ๋อก็ยิ้มและเดินทางต่อ

ตามเวลาที่บอกทั้งห้าก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของสายเลือดทรงพลังและน่ากลัวที่เบื้องหน้า

ช่างทรงพลังมากกว่าที่เขาเคยพบมาก่อน ต่อให้มีระยะห่างมากขนาดนี้ก็ทำให้รู้สึกใจสั่นเลยทีเดียว

ขณะที่ทั้งห้าคนค่อยๆ เข้าใกล้ ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดและเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จากที่ไกล

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าสีแดงผสมนกยูง แม้ว่าปีกจะพับเข้าหาตัว แต่ก็มีขนาดหลายพันจั้ง รัศมีสายเลือดขนาดใหญ่ก็ปรี่ล้นออกมา

“มันกำลังสะสมรัศมีสายเลือดเพื่อพยายามบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” มู่เฉินมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าตัวใหญ่นี่น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้วและมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อ

โชคดีที่แก่นโลหิตชั้นยอดไม่มีสติปัญญา แม้ว่าพวกมันจะมีรัศมีสายเลือดไร้ขอบเขต แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

“เรารีบจัดเตรียมค่ายกลกันเถอะ”

ข่งหลิงเอ๋อนึกได้ก่อนที่จะโยนเข็มทิศ ริ้วสีทองปลิวว่อน รัศมีสีทองพุ่งออกมาจากมวลน้ำ

ริ้วแสงนับไม่ถ้วนถักทอกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ

นอกจากนี้การสร้างค่ายกลยังทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมแปรปรวน

“วุ่นวายมากเกินไปแล้ว” หลินชางและเซียวเทียนขมวดคิ้วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าความวุ่นวายที่เกิดจากค่ายกลนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา

ข่งหลิงเอ๋อก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากนางไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ ดังนั้นจึงไม่รู้มาก่อนว่าความวุ่นวายจะมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นหวงเฉวียนจือก็จะรู้สึกและระวังตัวล่วงหน้าได้

“ไม่เป็นไร สร้างค่ายกลปกปิดไว้รอบๆ เพิ่มก็พอ” ทันใดนั้นมู่เฉินก็หัวเราะพลางโบกมือ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกไป ก่อตัวเป็นค่ายกลด้านนอกค่ายกลมิตินี้

เมื่อค่ายกลสร้างเรียบร้อย ความปั่นป่วนที่เกิดจากค่ายกลมิติก็สงบลงก่อนที่จะค่อยๆ รวมเข้ากับทะเลสาบและซ่อนตัวจากประสาทสัมผัสของทุกคน

“พี่มู่ประสบความสำเร็จสูงเกี่ยวกับค่ายกลด้วยเหรอ” ข่งหลิงเอ๋ออุทานด้วยความดีใจ

หลินชางและเซียวเทียนก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ชายคนนี้มีความสามารถสมกับชื่อเสียงในมหาพันภพจริงๆ

“ก็แค่ค่ายกลขนาดเล็ก”

มู่เฉินยิ้มสบายๆ ก่อนที่จะส่ายหัว “เราก็เตรียมตัวกันเถอะ”

ข่งหลิงเอ๋อและอีกสองคนพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวเข้าไปในน้ำ แม้แต่คลื่นหลิงก็หายไปด้วย

“จิ่วโยวไปจากตรงนี้ก่อน”

เมื่อคลื่นหลิงของพวกเขาหลอมรวมเข้าไปแล้ว มู่เฉินก็หันไปหาจิ่วโยวพลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ

จิ่วโยวไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกปิดคลื่นหลิงได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงต้องถอยห่างออกไป ไม่งั้นหวงเฉวียนจือพบตัวนางแน่

จิ่วโยวผงกหัวเอ่ยเตือน “ระวังตัวนะ”

คำพูดของนางไม่เพียงแต่เตือนมู่เฉินให้ระวังหวงเฉวียนจือแต่รวมถึงพวกข่งหลิงเอ๋อด้วย

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่นับพวกข่งหลิงเอ๋อเป็นมิตรแท้ที่ไว้ใจได้อยู่แล้ว

“เอาป้ายหยกติดตัวไปด้วย ถ้ามีอะไรข้าจะได้รู้” มู่เฉินส่งป้ายหยกให้จิ่วโยวเงียบๆ แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะสมรู้ร่วมคิดกับหวงเฉวียนจือ เพราะหวงเฉวียนจือไม่น่าทำอะไรบางอย่างที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมด้วยนิสัยหยิ่งผยอง แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางนั้น เขาก็จะสามารถสังหารทุกคนที่นี่ได้ในทันที

จิ่วโยวรับป้ายไปก็ไม่พูดมากและออกไปจากที่นี่ทันที

หลังจากมองร่างนางหายไป มู่เฉินก็ผสานตัวเข้ากับทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าพื้นที่แห่งนี้ก็สงบลงโดยมีเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึมซาบรัศมีสายเลือดที่น่ากลัว

ทว่าความเงียบก็คงอยู่ไม่นาน

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาความปั่นป่วนก็ดังก้อง ริ้วสีทองฉีกผ่านน้ำหนาแน่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจแสงสีทองก็เดินทางหลายหมื่นลี้มาปรากฏในพื้นที่แห่งนี้ ภาพปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งแผ่ออกที่เบื้องหลัง ภาพเงานั้นยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกับแสงสีทองที่กำจายกลิ่นอายสูงส่ง

นี่ก็คือหวงเฉวียนจือ!

เมื่อมาถึงสายตาเขาก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทันที ก่อนที่พุ่งตัวลงมือ

ตู้ม!

แต่ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ทันใดนั้นน้ำรอบๆ ก็ระเบิดพร้อมกับเสียงร้องแหลมดังก้องออกมา

แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างหายนะ ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าหาหวงเฉวียนจือ

การโจมตีรวมกันช่างดุร้าย อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้รับบาดเจ็บหนักได้

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่หวงเฉวียนจือก็ไม่ตื่นตระหนก ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะ เสื้อคลุมสั่นกระพือก่อนที่เขาจะกระแทกฝ่ามือออก

ตึง!

มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา รอยแตกกระจายออกด้วยพลังทำลายล้างฉีกการโจมตีทั้งสามเป็นชิ้นๆ

มวลน้ำกวนตัว ภาพเงาทั้งสามก็สั่นไหวและปรากฏตัวขึ้น นี่ก็คือข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนที่มีสีหน้าซีดขาว ความตกตะลึงผุดขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดว่าหวงเฉวียนจือจะแก้ไขการโจมตีผสานของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้งสามคน หวงเฉวียนจือก็คล้ายกับจักรพรรดิเปล่งเสียงหัวเราะดังก้อง

“ข่งหลิงเอ๋อ หลินชาง เซียวเทียน พวกเจ้าดื้อดึงจริงๆ!”

ในทะเลสาบมรกต

ร่างทั้งสามปกคลุมด้วยรัศมีไร้ขอบเขตเมื่อปรากฏตัว ครั้นแสดงตัวให้เห็นแต่ละคนก็ปล่อยคลื่นหลิงที่ทรงพลังสามสายออกมา

เมื่อเห็นทั้งสามคน ใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป จอมยุทธ์ทั้งสามนี้มีชื่อเสียงตามหลังหวงเฉวียนจือนิดเดียวเท่านั้น

ว่าแต่ทำไมทั้งสามคนถึงมาหาพวกนาง?

เมื่อเทียบกับท่าทางกังวลใจของจิ่วโยว มู่เฉินสงบนิ่งกว่ามาก มีเพียงความประหลาดใจเบาบางที่แสดงออกมา เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้เช่นกัน

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะวางข้าไว้สูงถึงได้มาด้วยกัน” มู่เฉินยิ้มบางขณะที่คลื่นหลิงไหลเวียนไปรอบๆ ตัวพร้อมกับสัญญาณของการเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน

เขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับทั้งสาม ดังนั้นการมาที่นี่บอกได้คำเดียวเป็นเจตนาร้าย

ทว่าคนอย่างมู่เฉินไม่เคยกลัว แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะไม่ได้อ่อนแอ มิหนำซ้ำยังมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว แต่พวกเขาก็ไร้เดียงสาเกินไปหากคิดว่าจะปราบเขาด้วยจำนวนคน

“ฮิๆ อย่านับศัตรูกันนักเลย เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อจัดการเจ้าเพราะหวงเฉวียนจือหรอก” ทว่าไม่เหมือนที่มู่เฉินคาดไว้ ข่งหลิงเอ๋อหัวเราะเบาๆ เสียงออดอ้อนดังก้องเพื่อตอบสนองต่อมู่เฉิน

มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นขณะมองไปที่หญิงสาวที่กำลังพูด นางช่างสะคราญโฉมอย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้ความงามยังมีรัศมีทรงเกียรติราวกับหงส์ฟ้า

นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสพันรอบเอวไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่คอเรียวระหงและไหล่บอบบางก็ยังแทรกซึมด้วยเสน่ห์

“เจ้าหมายความว่าอะไร?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของทั้งสามคน นอกจากการจะมาหาเรื่องเขา

แม้แต่จิ่วโยวก็ยืนงงอยู่ข้างๆ

ข่งหลิงเอ๋อหัวเราะเบาๆ “เรามาตามหาเจ้า เพราะอยากร่วมมือกับพี่มู่”

“ร่วมมือ?” มู่เฉินอึ้งไป ความประหลาดใจเกิดขึ้นทันที พวกเขาร่วมมือทำอะไรกันได้ในสระยกเทพนี่?

ข่งหลิงเอ๋อคลี่รอยยิ้มทรงเสน่ห์ชี้ไปที่สองคนข้างๆ “พี่มู่สองคนนี้คือหลินชางจากเผ่าแร้งทองเก้าหัวและ เซียวเทียนจากเผ่ากระเรียนมังกรฟ้า ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่มหาเทพอสูรเชียวนะ”

หลินชางและเซียวเทียนพยักหน้าให้มู่เฉินตามการแนะนำ แต่ท่าทางของพวกเขาดูภาคภูมิใจเล็กน้อย ทว่านั่นก็เป็นเรื่องปกติเนื่องจากพวกเขาสามารถมองคนอื่นอย่างหยิ่งยโสด้วยศักดิ์ศรีของตน

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่ถาม “ทำไมเราต้องร่วมมือกัน?”

เขาไม่สนใจการร่วมมือมากสักเท่าไร เนื่องจากเขาไม่ไว้วางใจทั้งสามคน ดังนั้นสถานการณ์จะมีแต่ความกังวลหากเกิดการร่วมมือกัน

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจมากนักข่งหลิงเอ๋อก็ยิ้ม “ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไหม?”

ไม่เพียงแต่จิ่วโยวเท่านั้น กระทั่งมู่เฉินยังหดดวงตาด้วยความตกตะลึง แก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?!

แก่นโลหิตระดับนั้นเกิดในสระยกเทพด้วยเรอะ?

จนถึงตอนนี้แก่นโลหิตสูงที่สุดที่พวกเขาหาได้ก็ประมาณระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นยาบำรุงดีเยี่ยมสำหรับจิ่วโยวแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับแก่นโลหิตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลย

ทว่าหากเขาสามารถคว้าส่วนหนึ่งของแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เพียงพอที่จะทำให้จิ่วโยวมีพัฒนาการได้ อาจมากจนถึงมีส่วนเหลือให้มู่เฉินใช้กับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเพื่อให้พวกมันสร้างร่างแท้จริงได้…

ความตกตะลึงพล่านในดวงตาครู่หนึ่งก่อนที่มู่เฉินจะสงบใจ “ถ้ามีแก่นโลหิตระดับนั้นจริงๆ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเลิกตามซะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจัดการได้”

แม้ว่าแก่นโลหิตชั้นยอดจะเป็นเพียงรัศมีสายเลือดที่ไม่มีทักษะในการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีอะไรธรรมดาตราบใดที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘เซิ่ง’

ด้วยพลังของพวกเขาที่มีตอนนี้ พวกเขาควรหนีเมื่อพบเจอ เป็นไปไม่ได้ที่จะโค่นล้มแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม

ข่งหลิงเอ๋อไม่ได้คัดค้านต่อคำพูดของมู่เฉิน กลับพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะถามย้อนว่า “ถ้าเป็นแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เราก็ทำได้แค่วิ่งหนีเท่านั้น แต่ถ้าเป็นแค่แก่นโลหิตชั้นยอดที่เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งล่ะ?”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะจ้องข่งหลิงเอ๋อพลางขมวดคิ้ว “ถ้าส้มหล่นแบบนั้นจริง ทำไมพวกเจ้าถึงมาหาข้า?”

หากกลุ่มของข่งหลิงเอ๋อสามารถหารับโชคใหญ่จริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาสามารถดูดซับได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่ออนาคตในการฝ่าไปยังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

มู่เฉินไม่ได้เป็นมิตรอะไรกับพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาถึงเสนอส่วนแบ่งให้?

ข่งหลิงเอ๋อแลกเปลี่ยนสายตากับหลินชางและเซียวเทียนแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะหวงเฉวียนจือก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันน่ะสิ”

มู่เฉินอึ้งไปวูบหนึ่งก่อนจะเริ่มงงงวยมากขึ้น “งั้นทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาหวงเฉวียนจือแต่มาข้าล่ะ?”

ตามหลักแล้วหวงเฉวียนจือเป็นพันธมิตรที่ดีกว่าสำหรับการทำงานร่วมกันกับพวกเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ท่าทางทั้งสามก็กระอักกระอวนเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะอธิบายว่า “เพราะหวงเฉวียนจือเอาแต่ใจเกินไป เขาบอกว่าต้องการเจ็ดส่วนและให้พวกข้าสามคนรวมกันแค่สามส่วนเท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำอธิบายมู่เฉินก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีความขัดแย้งภายในเรื่องการกระจายผลประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่เต็มใจและต้องการมองหาตัวช่วยอื่น

“พวกเจ้าสามคนแย่งกับหวงเฉวียนจือไม่ได้เรอะ?” มู่เฉินกวาดสายตามอง ทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พูดแบบจริงจังพวกเขาน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้

“หึ เจ้าไม่รู้หรอกว่าหวงเฉวียนจือแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งเป็นจักรพรรดิของสัตว์อสูรกลางเวหาทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงว่าที่เขาฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวนซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยายุทธสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ดังนั้นแม้ว่าขุมพลังของเขาจะอยู่ในขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ทว่าก็ไม่มีแม้แต่พวกระยะกลางสามารถแข่งขันกับเขาได้” หลินชางพ่นลมหายใจ

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะของเผ่า แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังขาดไปเมื่อเทียบกับหวงเฉวียนจือ

ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าพลางยิ้ม “พวกข้าสามคนไม่มั่นใจในการต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ ดังนั้นจึงต้องการกำลังเสริมที่ทรงพลัง เราได้ยินจากเรื่องฟังจิ้งว่าพี่มู่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ นั่นคือเหตุผลที่พวกข้าตามหาเจ้า”

มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดของนาง แม้ว่าข่งหลิงเอ๋อจะพูดคลุมเครือ แต่เขาก็ฟังออกว่าตอนแรกพวกเขาไม่คิดที่จะมองหาเขา บางทีพวกเขาอาจรู้สึกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่หลังจากได้ยินข่าวว่าเขาจัดการกับฟังจิ้งได้ง่ายดายขนาดไหน พวกเขาก็เริ่มมองเขาอย่างจริงจังและตามหา

“จะมีการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหวงเฉวียนจือแน่นอน หากเราร่วมมือกัน พวกข้าอาจทำให้เขาอ่อนแอลงได้ ซึ่งทำให้เจ้ามีโอกาสมากขึ้น” เซียวเทียนกล่าว

แต่เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียง เขาไม่คิดว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้กับหวงเฉวียนจือได้

มู่เฉินยิ้มพลางพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเขาก็สนใจแก่นโลหิตนั่นเช่นกัน

หากเขาหามาได้ก็จะแก้ไขปัญหาวิวัฒนาการของจิ่วโยวและอาจได้รับโชคดีๆ จากมันด้วย

พวกข่งหลิงเอ๋อเงียบลงขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างกังวล ตามการคาดการณ์หากมู่เฉินไม่สนใจที่จะร่วมมือ พวกเขาก็ไม่สามารถคว้าแก่นโลหิตสุดยอดได้ก่อนที่หวงเฉวียนจือจะเจอ

จากนั้นไม่นานมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคน “ข้าสามารถร่วมมือกับเจ้าสามคนได้”

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ความปีติยินดีก็ฉายบนใบหน้าของข่งหลิงเอ๋อทันที

“แต่เราต้องคุยรายละเอียดของส่วนแบ่งก่อน” มู่เฉินพูดต่อ

“แน่นอน” ข่งหลิงเอ๋อยิ้มขณะพูดต่อ “แต่ข้าเชื่อว่าพี่มู่คงไม่เห็นแก่ตัวเหมือนหวงเฉวียนจือใช่ไหม?”

มู่เฉินยิ้มพลางกางนิ้วสี่นิ้ว “ข้าไม่ขอมาก พวกข้ามีสองคนดังนั้นก็ขอสี่ส่วน”

คำพูดของเขาทำให้หลินชางและเซียวเทียนขมวดคิ้ว พวกเขากวาดมองจิ่วโยวก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “พวกข้าต้องการร่วมมือแค่กับเจ้า ไม่ใช่นาง”

พลังในปัจจุบันของจิ่วโยวไม่เข้าตาพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจให้นางถึงสองส่วน

มู่เฉินยิ้มบางแต่ไม่ได้ตำหนิอะไร เขาเงียบลงเพราะได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแล้ว จากการคาดการณ์ของเขาสี่ส่วนเหมาะสมและสามารถทำให้จิ่วโยวมีพัฒนาการได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

เมื่อเห็นท่าทีของมู่เฉิน ข่งหลิงเอ๋อก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะกัดฟัน “ได้ สี่ส่วน ตกลงตามนั้น!”

หลินชางและเซียวเทียนแสดงท่าทางไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นแววตาวูบไหวของข่งหลิงเอ๋อ พวกเขาก็กลืนคำพูดลงไป

มู่เฉินทำราวกับไม่ได้สังเกตเห็น เขายิ้มให้ข่งหลิงเอ๋อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะร่วมมือกัน”

“งั้นก็อย่าชักช้า รีบหน่อย เราต้องไปถึงที่นั่นก่อนเพื่อขัดขวางหวงเฉวียนจือ” ข่งหลิงเอ๋อเป็นคนเด็ดขาด นางประกาศทันที

“เชิญนำทาง” มู่เฉินพยักหน้าโดยไม่มีข้อคัดค้าน

นางพยักหน้า ทั้งสามคนก็กลายเป็นร่างแสงฉีกผ่านมวลน้ำ ทะยานไปในส่วนลึกของทะเลสาบมรกตไร้ขอบเขต

เมื่อมองไปที่พวกเขา สายตาของมู่เฉินก็สั่นไหวขณะโบกมือ คลื่นหลิงกระเพื่อมแล้วกวาดออกไปหาจิ่วโยว ทั้งสองตามหลังไปอย่างใกล้ชิด

ครืน!

เมื่อเจดีย์โบราณบีบกดลงมา มิติโดยรอบก็ราวกับถูกปิดผนึก ร่างแร้งหงส์ทองคำขนาดใหญ่ถูกครอบเอาไว้

มู่เฉินโบกมือ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาในฝ่ามือ ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบปรามฟังจิ้งแบบเบ็ดเสร็จ

วาบ!

แต่เมื่อเขากำลังจะเคลื่อนไหว ดวงตาก็ต้องหดลง เขาสังเกตเห็นการสั่นสะเทือนรุนแรงจากเจดีย์ จากนั้นแสงสีแดงเข้มก็พุ่งพรวดออกมา

“หืม?!”

มู่เฉินอุทานด้วยความประหลาดใจขณะเงยหน้าขึ้น มิติห่างออกไปหลายหมื่นจั้งฉีกออกจากกัน ร่างแร้งหงส์ทองคำบินกระท่อนกระแท่นออกไป ซึ่งก็คือฟังจิ้งนั่นเอง

ทว่าปีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายหักลงอย่างสิ้นเชิง เลือดไหลหยดลงเปื้อนทะเลสาบสีมรกตเป็นหย่อม

“ทักษะทำลายปีก?” มู่เฉินหรี่ตาหัวเราะ ฟังจิ้งเด็ดขาดใช้ได้ เลือกทำให้ตัวเองพิการเพื่อที่จะไม่ถูกปราบปราม

ฟังจิ้งเป็นแร้งหงส์ทองคำ เผ่ามหาเทพอสูรนี้มีความเร็วสูงยิ่ง ดังนั้นจึงสามารถฉีกมิติออกจากกันได้ หากจ่ายปีกเป็นค่าเสียหาย พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีจากผนึกส่วนใหญ่ได้

ทว่าราคานี้สูงมาก แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะสามารถสร้างอวัยวะใหม่ได้ แต่องคาพยบของมหาเทพอสูรเป็นความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีแก่นโลหิตอยู่ในเลือดเนื้อของพวกเขา หากจุดชนวนก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหากฟังจิ้งต้องการฟื้นฟูปีกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี

“อ้ากกก! มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยแกง่ายๆ แน่!” ฟังจิ้งหนีไปโดยไม่หันกลับมาขณะแผดเสียงด้วยรู้สึกปวดร้าวในใจ

ชัดว่าเขารู้ถึงราคาที่จ่ายออกไป

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเสียงคำรามนั่น เขาเพียงยิ้มและโบกมือเก็บเจดีย์ กระทั่งตอนที่ฟังจิ้งอยู่จุดสูงสุดเขายังสามารถปราบได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ยิ่งเสียปีกไปข้างหนึ่ง พลังลดลงมาก อีกฝ่ายก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้อีกต่อไป

พอเก็บเจดีย์เรียบร้อย มู่เฉินก็เงยหน้ามองเบื้องบนด้วยสายตาไม่แยแส เขารู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับตาดูและน่าจะเป็นคนที่เฝ้าดูจากภายนอกสระยกเทพ

ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจ เขากลับไปหาจิ่วโยว รอนางกลืนกินแก่นเลือดโลหิตให้เสร็จ

 

นอกสระยกเทพ

ขณะเดียวกันทุกคนก็ตกตะลึง ทั่วบริเวณอยู่ในความเงียบ

หลังจากนั้นนานพวกเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการตกใจ ทุกคนต่างเดาะลิ้น ความหวาดเกรงพล่านในสายตา

ใครสามารถจินตนาการว่าฟังจิ้งจะอ่อนแอขนาดนี้ต่อหน้ามู่เฉินและแพ้ง่ายดาย? สุดท้ายยังต้องหักปีกข้างหนึ่งเพื่อหนี

“มู่เฉินเหี้ยมจริงๆ”

“เขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเองนะ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง?”

“เขาไม่ธรรมดา มิน่าล่ะถึงพลิกเผ่าฝูถูกลับหัวกลับหางได้ เจ้านั่นเป็นสัตว์ประหลาด!”

“ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างหวงเฉวียนจือเท่านั้นที่ปราบเขาได้”

“…”

เสียงสนทนาสะท้อนออกมา ทุกคนที่นี่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถู แต่ไม่มีใครเห็นด้วยตาตนเอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงใด

บนภูเขาที่อยู่ใกล้กับสระยกเทพ หวงจิงมองไปที่กระจกพลางหรี่ตา “เจ้านั่นสมคำล่ำลือจริงๆ สมกับเป็นบุตรชายของชิงเหยี่ยนจิ้ง”

ผู้อาวุโสตระกูลหวงที่อยู่ข้างหลังหัวเราะเบาๆ “เจ้านั่นมีพลังก็จริง แต่ก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประมุขน้อย”

แม้ว่าฟังจิ้งจะไม่อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะสู้กับหวงเฉวียนจือ ดังนั้นจึงไม่มีการคุกคามใดๆ ต่อหวงเฉวียนจือแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะฟังจิ้งได้

“แน่นอน”

หวงจิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พรสวรรค์ของหวงเฉวียนจือเป็นที่สุดในรอบนับหมื่นปี มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวนได้ แม้ว่ามู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ยังด้อยกว่าหวงเฉวียนจือ

เมื่อไรที่เขาต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ เขาจะรู้ช่องว่างนั้นเอง

 

ประมาณครึ่งก้านธูป

จิ่วโยวดูดซับแก่นโลหิตเรียบร้อยก่อนจะหยุดลง เมื่อนางดูดซับไอเส้นสุดท้าย ไข่สีดำที่ด้านหลังก็เข้มขึ้นพร้อมกับรัศมีโบราณซึมผ่านราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางอย่าง

พอลืมตาขึ้นเปลวไฟสีม่วงในดวงตานางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ…

ฮา

เมื่อพรูลมหายใจขาวขุ่นออกจากปาก จิ่วโยวก็สัมผัสได้ถึงสายเลือดที่พลุ่งพล่านไหลเวียนผ่านเส้นเลือด ความสุขกระจายบนใบหน้า

เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตชั้นยอดซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับนาง

“น่าเสียดาย ไม่รู้ยังต้องการแก่นโลหิตชั้นยอดอีกมากแค่ไหนถึงจะพัฒนาสายเลือดได้” แต่จากนั้นจิ่วโยวก็ยิ้มขมขื่น เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าตนเองยังต้องการพลังงานสายเลือดจำนวนมหาศาล

“ค่อยเป็นค่อยไป ยังมีแก่นโลหิตอีกมากมาย พวกมันจะตอบสนองเจ้าได้แน่” มู่เฉินเผยรอยยิ้มปลอบใจ

จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย ทันใดนั้นก็นึกอะไรได้รีบมองไปรอบๆ แต่เมื่อนางไม่เห็นฟังจิ้งก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้านั่นล่ะ?”

“มันหักปีกหนีไปแล้ว” มู่เฉินยิ้ม

พอได้ยินคำพูดของเขา จิ่วโยวก็อดตาโตไม่ได้ ฟังจิ้งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เผ่าเทพอสูร ไม่คิดว่าในขณะที่นางกำลังชำระแก่นโลหิต มู่เฉินก็ซัดอีกฝ่ายหนีไปโดยต้องจ่ายราคาเป็นปีกหักๆ

‘ตอนนี้เขาทรงพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?’

“เจ้าสัตว์ประหลาด! ดูเหมือนข้าจะจับเงาของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำถ้ายังไม่รีบพัฒนาให้เร็วอีก” จิ่วโยวถอนหายใจ เมื่อก่อนนางเป็นกองหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ส่วนเขาก็เห็นนางเป็นที่พึ่งที่ทรงพลังที่สุด แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มอ่อนแอคนนั้นเติบโตขึ้นมากจนแม้แต่นางก็ก้าวตามไม่ทันแล้ว

เรื่องนี้กระทบต่อกำลังใจมากสำหรับคนชอบเอาชนะอย่างนาง

“ข้าเติบโตภายใต้ปีกของเจ้านะ ดังนั้นเจ้าควรจะภาคภูมิใจ” มู่เฉินเอ่ยล้อเลียน

จิ่วโยวกลอกตาพลางลุกขึ้นยืน รูปร่างเพรียวบางดูน่าดึงดูดอย่างยิ่ง ดวงตาหงส์กวาดไปรอบๆ ถามด้วยความคาดหวังว่า “เราจะไปที่ไหนต่อดี?”

“ก่อนหน้านี้ข้าแผ่คลื่นจิตออกไป แต่ไม่มีความผันผวนของแก่นโลหิตอยู่รอบๆ เลย” มู่เฉินส่ายหัวก่อนจะถามต่อ “แก่นโลหิตจะเกิดบริเวณไหนมากที่สุด?”

หลังจากลังเลชั่วครู่จิ่วโยวก็ชี้ไปที่ส่วนลึกของเวิ้งน้ำไร้ก้น “ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสระยกเทพก็ยิ่งมีแก่นโลหิตมากขึ้น แต่ว่าเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นจะมีการต่อสู้เข้มข้นรอเราอยู่อย่างแน่นอน”

โดยทั่วไปแล้วเผ่าเทพอสูรแบบพวกนางจะเลือกพื้นที่รอบๆ สระยกเทพ เนื่องจากพื้นที่ส่วนลึกมักถูกเผ่ามหาเทพอสูรเข้าครองแล้ว

“ถ้างั้นจะรออะไรอีกล่ะ?”

มู่เฉินยิ้มร่าไม่มีความกลัวในสายตาก่อนที่จะพูดต่อ “เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการต่อสู้อยู่แล้ว ถ้าเอาแต่หลบจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?”

จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดเขาชั่วขณะ ก่อนที่นางจะพยักหน้า ในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมความแข็งแกร่งของมู่เฉินจึงพุ่งทะยานแบบฉุดไม่อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะความกล้าหาญไร้ขอบเขตที่ผลักดันเขาออกไปแม้จะเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัสก็ตาม

ตรงข้ามกับตัวนางที่ลังเลมาตลอดนับตั้งแต่พัฒนาเป็นเทพอสูร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พัฒนาการของนางช้าไปมาก

“งั้นเราก็ไปแย่งกันเถอะ!”

ทันใดนั้นห่วงในใจก็แตกสลาย จิ่วโยวกำหมัดแน่น รอยยิ้มกลับเต็มด้วยความห้าวหาญอีกครั้ง

ครั้นรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของจิ่วโยว มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ขณะพยักหน้า ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นลำแสงทะยานไปยังส่วนลึกของสระยกเทพ

จิ่วโยวก็ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด

 

ไม่ผิดจากที่จิ่วโยวพูดไว้

ความถี่ของแก่นโลหิตชั้นยอดเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้น ขณะที่พุ่งลงมาพวกเขาก็พบกับแก่นโลหิตอย่างน้อยสิบชิ้น

แก่นโลหิตทุกชิ้นที่พบล้วนกลายเป็นอาหารของจิ่วโยว หลังจากที่พวกมันพ่ายแพ้ก็ถูกดูดซับโดยนางทันที

นอกจากนี้รอยแตกก็เริ่มปรากฏบนเปลือกไข่สีดำที่ด้านหลังนาง…

เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจิ่วโยวก็ตื่นเต้นมากขณะมองไปที่แก่นโลหิตด้วยความกระหายในดวงตา

แต่ก็เหมือนที่จิ่วโยวพูดไปก่อนหน้า ในส่วนลึกจะเป็นพื้นที่ของเหล่าอัจฉริยะจากเผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นพวกเขาจึงได้พบกับอัจฉริยะคนหนึ่งจากเผ่ามหาเทพอสูร

คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากเผ่ากระเรียนเทพซึ่งมีพลังไม่ได้อ่อนแอไปกว่าฟังจิ้ง มิหนำซ้ำยังมีชื่อเสียงในหมู่เทพอสูรอีกด้วย

เมื่อจิ่วโยวพบคนผู้นี้ นางก็กังวลและระวังตัวแจ

แต่ที่น่าตกใจคืออัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพเพียงแค่มองมู่เฉินก็เกิดความลังเลชั่วครู่ก่อนที่เขาจะล่าถอย

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ถึงผลลัพธ์ของฟังจิ้งแล้ว” เมื่อมองไปที่อัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพที่ถอยไป มู่เฉินก็ยิ้ม

การมีฟังจิ้งเป็นตัวอย่าง ทำให้เหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรไม่โง่พอที่จะยั่วยุมู่เฉิน

จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจมากขึ้นกับภาพนี้ก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสระยกเทพ ภายใต้การนำของมู่เฉินในการค้นหาร่องรอยของแก่นโลหิตชั้นยอด

ในเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเขาเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์โดยได้รับแก่นโลหิตถึงเกือบยี่สิบชิ้น โดยจิ่วโยวดูดซับไปทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็มีรอยแตกมากขึ้นที่ไข่ด้านหลังนาง…

“โน้นอีกชิ้น!”

หลังจากดูดซับเรียบร้อยจิ่วโยวก็มองไปยังทิศทางที่มีแก่นโลหิตอย่างตื่นเต้น

มู่เฉินก็เหลือบไปเห็นเช่นกัน แต่ไม่ได้เข้าใกล้ ตรงกันข้ามเขาดึงจิ่วโยวกลับมาพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา “ในเมื่อมาแล้วยังจะซ่อนตัวไปทำไม?”

“ฮิๆ ท่านประมุขมู่ประสาทสัมผัสดีเยี่ยม”

เมื่อมู่เฉินเรียกขาน มิติโดยรอบก็แปรปรวน เงาร่างสามร่างก็ก้าวออกมา

เมื่อจิ่วโยวเห็นคนทั้งสามดวงตานางก็เบิกกว้าง เสียงสะท้อนออกมาด้วยความตกใจ

“เผ่านกยูงเก้าสี—ข่งหลิงเอ๋อ?

“เผ่าแร้งทองคำเก้าหัว—หลินชาง?

“เผ่ากระเรียนมังกรฟ้า—เซียวเทียน?

ตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลแม้ว่านางจะมั่นใจในตัวมู่เฉิน เนื่องจากชื่อเสียงของทั้งสามอยู่รองจากแค่หวงเฉวียนจือ ‘ทั้งสามคิดจะร่วมมือกันจัดการมู่เฉินเรอะ?’

หลังจากผู้แข่งขันเข้าไปในสระยกเทพ

หวงจิงก็สะบัดแขนเสื้อ เสาน้ำจำนวนมากจากสระทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นกระจกโปร่งใสแสดงภาพทุกคนที่เข้าไปในสระยกเทพ…

ที่ด้านนอกสระ ทุกคนจ้องมองไปที่กระจกเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นแก่นโลหิตชั้นยอดของเทพอสูร เกิดขึ้นดวงแล้วดวงเล่าก็ต่างอุทานด้วยความอิจฉา

นั่นคือยาบำรุงที่ดีเยี่ยมสำหรับเทพอสูรทุกคน โดยปกติหาไม่ได้จากที่ไหนนอกจากในสระยกเทพเท่านั้น

“หืม?”

ขณะที่พวกเขามองดูอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นความโกลาหลก็ดังขึ้น “ฟังจิ้งประหน้ากับมู่เฉินแล้ว…”

ทุกคนมองไปที่กระจกบานนั้นทันที ก็เห็นมู่เฉินและจิ่วโยวกำลังเผชิญหน้ากับฟังจิ้งอยู่

“เฮ้ ดูเหมือนว่าฟังจิ้งตั้งใจที่จะจัดการกับมู่เฉินเพื่อเอาความชอบจากหวงเฉวียนจือนะ…” เมื่อมองไปที่ฟังจิ้งก็มีคนแอบหัวเราะในใจ

“แต่มู่เฉินก็ไม่ได้เคี้ยวง่าย อย่าดูถูกขุมพลังของเขา เขาพึ่งพาความสามารถของตัวเองที่มีในการเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูได้มาแล้ว”

“เจ้าก็ดูถูกฟังจิ้งไป เขาเป็นอัจฉริยะแท้จริงของเผ่าแร้งหงส์ทองคำและได้รับการฝึกฝนมากว่าสองร้อยปี แม้ว่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย แต่ก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ เนื่องจากเขาเป็นเทพอสูร เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ยินมาว่าฟังจิ้งต่อสู้กับมนุษย์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะออกกระบวนท่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรกับฟังจิ้งได้”

“จริงรึ? น่าสนใจๆ ข้าเคยได้ยินเรื่องที่มู่เฉินไปก่อความเสียหายในเผ่าฝูถูมาพักใหญ่แล้ว วันนี้ขอข้าเป็นพยานว่าชายคนนี้มีความสามารถจริงหรือไม่”

“ฮ่าๆ ถ้าเขาแพ้ฟังจิ้งก็เป็นเรื่องน่าตลกแล้ว พวกผู้อาวุโสเผ่าฝูถูคงได้รู้สึกอับอายขายหน้าหนักแน่”

การสนทนาทุกประเภทดังก้อง แต่ส่วนใหญ่ก็รอดูการประลองด้วยอารมณ์ขบขัน นอกจากนี้ระหว่างมนุษย์กับเทพอสูร ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะยืนอยู่ข้างฟังจิ้ง นอกจากนี้ถ้าฟังจิ้งชนะก็เป็นการแสดงให้มนุษย์ในมหาพันภพตระหนักถึงช่องว่างระหว่างมนุษย์และเทพอสูรเช่นพวกเขา

 

“สิบลมหายใจแล้ว พวกแกยังไม่ไสหัวไปอีกเรอะ?”

ขณะที่ความสนใจด้านนอกสระพุ่งมาที่กระจกบานนี้ ฟังจิ้งที่กอดอกก็จ้องมองมู่เฉินอย่างดุร้าย

“ไอ้โง่”

มู่เฉินเหลือบมองฟังจิ้งพูดออกมาก่อนจะไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเปิดปากเพลิงไฟสีม่วงก็พุ่งออกมาห่อหุ้มไปทางปลาคุนที่กำลังจะหนี

เมื่อเพลิงสีม่วงปรากฏขึ้น ก็ทำให้น้ำรอบๆ ระเหยจากอุณหภูมิที่สูงทันที

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจ ฟังจิ้งก็โกรธก่อนที่จะยื่นมือออกไป รัศมีสีทองระเบิดออก อึดใจกรงเล็บสีทองก็พุ่งเข้าไปตะปบปลาคุนตัวนั้น

มู่เฉินมองไปอย่างเย็นชาและสะบัดนิ้ว เพลิงสีม่วงที่พุ่งเป้าไปที่ปลาคุนหันกลับเปลี่ยนเป็นมังกรเพลิงพุ่งเข้าหากรงเล็บสีทอง

ชี่ ชี่!

เมื่อเพลิงสีม่วงแผ่ออกไปกรงเล็บสีทองก็ละลายอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่ลมหายใจก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

“อะไรน่ะ?!” ฟังจิ้งหดตาลงกับฉากนี้ เขาไม่เคยคิดว่าเพลิงสีม่วงของมู่เฉินจะดุดันขนาดนี้

หลังจากละลายกรงเล็บสีทองได้ มู่เฉินก็โบกมือเพลิงสีม่วงก็ห่อหุ้มปลาคุนไว้อีกครั้ง มันดิ้นรนอย่างรุนแรง แต่หลังจากสิบลมหายใจสั้นๆ มันก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นแก่นโลหิตชั้นยอดบินไปหามู่เฉิน

มู่เฉินโยนแก่นโลหิตชั้นยอดเล่นในมือก่อนที่จะโยนมันไปให้จิ่วโยว “กินซะ”

เมื่อจิ่วโยวได้รับแก่นโลหิตก็มองไปที่ฟังจิ้งด้วยความกังวลในสายตา

“ไม่ต้องกังวล เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะแย่งแก่นโลหิตชั้นยอดไปหรอก” มู่เฉินยิ้ม

จิ่วโยวโล่งใจไปเปลาะเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน นางนั่งลงโดยแก่นโลหิตลอยอยู่ระหว่างฝ่ามือ

ขณะที่นางหมุนเวียนคลื่นหลิง แก่นโลหิตก็กลายเป็นไอสีแดงเข้มพวยพุ่งเข้าไปทางนาสิกประสาทของนาง

เมื่อไอโลหิตหนาแน่นเข้าสู่ร่างกาย แสงหลิงก็พวยพุ่งขึ้นด้านหลังจิ่วโยว สีดำบนไข่ก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่จิ่วโยวกำลังกลืนกินแก่นโลหิต มู่เฉินก็ยืนอยู่ตรงหน้านางมองไปที่ฟังจิ่งที่มีใบหน้าเขียวคล้ำ

“แกช่างเรียกร้องหาความตาย!”

ฟังจิ้งคำรามด้วยเจตนาฆ่า เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่เห็นเขาในสายตาขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะเมินเฉยต่อการข่มขู่ของเขายังคว้าแก่นโลหิตชั้นยอดไปและให้จิ่วโยวกลั่นต่อหน้าต่อตาเขาอีกด้วย

“ไปเลือกวิธีที่ดีกว่านี้ซะ ถ้าอยากให้เจ้านายแกโปรดปราน อย่ามาอับอายขายหน้าตรงข้า” มู่เฉินเหลือบมองฟังจิ้งพลางพูดอย่างไม่ยี่หระ

“ฮ่าๆ!”

ฟังจิ้งรู้สึกว่าปอดจะระเบิดเพราะความโกรธขณะที่คำรามด้วยเสียงหัวเราะ อึดใจต่อมาแสงสีทองไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกจากร่างกลายเป็นนกสีทองขนาดใหญ่

นกตัวนี้แปลกประหลาด ร่างถูกปกคลุมไปด้วยขนหงส์ฟ้า แต่หัวเป็นแร้งเปล่งแสงทองเย็นเยือกในดวงตา

นี่คือร่างจริงของฟังจิ้ง—แร้งหงส์ทองคำ สัตว์อสูรชนิดนี้เป็นลูกผสมระหว่างหงส์ฟ้าและแร้ง

เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะฆ่า จึงนำร่างที่แท้จริงออกมาตั้งแต่เริ่มต้น

“ไอ้สารเลว ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาศพแกฝังในสระยกเทพนี้!” เสียงแหลมคมของแร้งหงส์ทองคำดังก้อง ขณะที่กระพือปีกสร้างพายุหมุน

“กลัวว่าแกจะไม่มีความสามารถพอน่ะสิ” มู่เฉินเค้นเสียงขึ้นจมูก

ฮึ่ม ฮึ่ม!

แต่คราวนี้แร้งหงส์ทองคำไม่ตอบกลับกระพือปีก แสงสีทองไร้ขอบเขตระเบิดออกพร้อมกับขนนกสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาปกคลุมรัศมีหลายหมื่นจั้ง

ขนนกทุกเส้นควบแน่นไปด้วยคลื่นหลิง ความคมสามารถทำลายอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงได้เลยทีเดียว

เมื่อขนสีทองพุ่งลงมา แสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน เขานำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาพร้อมแสงอมตะก่อตัวเป็นกำแพงกั้น

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

เมื่อขนนกสีทองกระทบกับกำแพงก็กระดอนออกไปไม่สามารถแทงทะลุได้

ฟังจิ้งหยุดจู่โจม หลังจากเห็นว่าการโจมตีของตนไร้ประโยชน์พร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา เขายกปีกที่ดูเหมือนทำจากโลหะสีทองที่สามารถฉีกมิติออกจากกันได้

ร่องรอยความแหลมคมที่แทรกซึมเข้ามาทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นก็ไม่กล้าที่จะประมาท

“ฟังจิ้งกำลังจะใช้ทักษะเทียนเซิงเสินทง…” ผู้ชมที่เฝ้าดูการประลองก็หดดวงตาพลางแสดงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งเครียด

มหาเทพอสูรส่วนใหญ่มีทักษะเทพทรงอำนาจน่ากลัวที่ได้มาจากชาติกำเนิด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมหาเทพอสูรถึงสามารถจัดการจอมยุทธ์มนุษย์ส่วนใหญ่ในระดับเดียวกันได้

“ไอ้สารเลว จงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ตายด้วยทักษะเทพของข้า!” แร้งหงส์ทองคำส่งเสียงร้องแหลมคม อึดใจต่อมาแสงสีทองก็กระจายบนปีก ซึ่งดูเหมือนสารปรอทก่อนที่จะเฉือนลงมา

“ทักษะเทียนเซิงเสินทง ปีกเทพสังหาร!”

เมื่อปีกสีทองเฉือนลงก็ราวกับแสงสีทองเจิดจ้าฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน กระทั่งน้ำทะเลที่เบื้องหน้าก็ถูกเฉือนเป็นริ้ว

แสงสีทองดูเหมือนสามารถทะลุผ่านทุกสรรพสิ่งด้วยความคมที่ไม่มีใครเทียบได้

เมื่อแสงสีทองพุ่งลงมาจากท้องฟ้า มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง ก่อนจะวาดตราประทับในมือ

ฮึ่ม!

แสงสีม่วงทองพวยพุ่งออกมาจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะสร้างขึ้นขดรอบตัวราวกับมังกรขนาดใหญ่

เพียงไม่กี่ลมหายใจจำนวนรหัสเทพก็มีถึงเจ็ดร้อยลาย!

ด้วยพลังในปัจจุบันบวกกับการบรรลุผลสำเร็จของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขั้นสุด ทำให้รหัสเทพอมตะที่เขาสามารถสร้างได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

ขณะที่รหัสเทพหมุนวน ทันใดนั้นพวกมันก็รวมตัวเข้าด้วยกันพร้อมกับการสะบัดนิ้วของมู่เฉิน

แสงสีม่วงทองระเบิด เหมือนจะปรากฏใบมีดสีม่วงทองที่ห่อหุ้มไปด้วยรัศมีอมตะ

มองไปที่แสงสีทองที่พุ่งลงมา มู่เฉินก็ยิ้มจางๆ “แกมีปีกเทพสังหาร ข้าก็มีดาบสังหารหงส์ฟ้า”

เมื่อพูดจบดาบสีม่วงทองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วฟาดฟัน ทันใดนั้นฟ้าดินก็มืดลงพร้อมกับแสงสีม่วงทองพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่น่ากลัว ปะทะกับแสงสีทอง

ตู้ม ตู้ม!

น้ำในรัศมีหลายแสนจั้งถูกผลักออกกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศขนาดใหญ่…

ทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพมองไปที่กระจกอย่างกังวล พวกเขาไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้เปรียบในการประลองกันครั้งนี้

เมื่อน้ำในมหาสมุทรค่อยๆ คืนสภาพ แสงก็ค่อยๆ สลายไป แร้งหงส์ทองคำก็ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหดดวงตา เนื่องจากพวกเขาสามารถเห็นรอยเลือดลึกบนปีกข้างหนึ่งของนกยักษ์ ขนรอบๆ แตกร้าว…

“เป็นไปได้ยังไง?!” พวกเขาอดอุทานออกมาไม่ได้

“เป็นไปได้ยังไง?!”

ประโยคเดียวกันเปล่งออกมาจากฟังจิ้ง ขณะมองไปที่บาดแผลบนปีกตนเองด้วยความไม่เชื่อ ถ้าปีกเทพสังหารไม่ได้ลบล้างพลังส่วนใหญ่บนใบมีด ปีกของเขาคงถูกเฉือนออกในตอนนี้แล้ว

ตัวเขาเป็นมหาเทพอสูรและร่างกายก็คล้ายกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงเลยนะ!

“สมกับชื่อเสียงในฐานะมหาเทพอสูรแท้จริง หนังแกหนาใช้ได้”

ขณะที่ฟังจิ้งตกใจ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ตอนแรกนึกว่าตนเองสามารถจัดการได้แบบเด็ดขาด แต่ไม่คิดว่าจะตัดปีกมันไม่ได้ด้วยซ้ำ

“แก! จำไว้! ข้ามาคิดบัญชีแค้นเรื่องปีกกับแกแน่นอน!”

ฟังจิ้งตกใจวูบหนึ่งขณะมองมู่เฉินด้วยความแค้น ก่อนจะโผบินหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด

เขาพบว่าจากการแลกกระบวนท่า ถึงมู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แต่ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งกว่ามหาเทพอสูรเช่นเขา

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับ

แต่ก็รู้ว่าตนเองจะตกอยู่ในเงื้อมมือมู่เฉินแน่ ถ้ายังดันทุรังต่อไป

มู่เฉินมองไปที่ฟังจิ้งอย่างเย็นชาก่อนที่จะหัวเราะเยาะ “แกคิดว่าจะไปก็ไป จะมาก็มาตามใจชอบเรอะ? จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?”

“ฮ่าๆ แกทำอะไรข้าได้ล่ะ? แม้ว่าข้าจะเอาชนะแกไม่ได้ แต่แกก็จับข้าไม่ได้!”

เสียงหัวเราะเสียดหูดังก้อง ถึงยังไงเขาเป็นสัตว์อสูรกลางเวหาและความเร็วก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นหากเขาตั้งใจที่จะหลบหนีแม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ได้แต่กินฝุ่นจากปลายเท้าของเขาเท่านั้น

“จริงเหรอ?” มู่เฉินหัวเราะเยาะ

หัวใจของฟังจิ้งสั่นสะท้าน ขณะรู้สึกไม่สบายใจก่อนที่จะกระพือปีกเร็วรี่ตั้งใจที่จะหนี

แต่เมื่อกำลังบินออกไป เขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นที่รอบๆ ตัวแข็งทื่อก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะครอบลงมาจากท้องฟ้า…

ฟังจิ้งเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวา เขาเห็นเจดีย์ขนาดมหึมาพุ่งลงมา

ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็มืดลง

ปุ!

เมื่อกระโดดลงไปในสระมู่เฉินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความผันผวนของมิติรอบตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนดำดิ่งลงไปในน้ำ…

เขากวาดสายตาไปก็เห็นเพียงจิ่วโยวที่อยู่ภายในห้วงน้ำขนาดใหญ่ที่ไร้ก้นด้วยกัน ซึ่งให้ความรู้สึกน่าขนพองสยองเกล้านัก

แสงหลิงพวยพุ่งออกจากร่างกายทั้งสอง แยกตัวพวกเขาออกจากน้ำ เมื่อมองไปที่น้ำสีมรกตรอบตัว มู่เฉินก็หดดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทุกๆ หยดบรรจุด้วยภาพสัตว์อสูรขนาดเล็ก…

“ในทะเลสาบนี้อัดแน่นด้วยพลังสายเลือดบริสุทธิ์”

มู่เฉินถอนหายใจ สถานที่ที่เรียกว่าสระยกเทพนั้นคล้ายมหาสมุทรเทพสร้างในดินแดนเสินโซ่ ทว่าที่นี่สร้างด้วยความตั้งใจของผู้คน ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามาด้วยความเต็มใจก่อนที่จะตาย ดังนั้นจึงง่ายต่อการดูดซึม

ตรงกันข้ามมหาสมุทรเทพสร้างมาจากเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เสียชีวิตในสงคราม ซึ่งแต่ละคนมีเจตจำนงที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีความรุนแรงและยากที่จะดูดซับ

“น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่บรรละดับเทียนจื้อจุน มิฉะนั้นการเพาะบ่มในมหาสมุทรเทพสร้างจะดีกว่าที่นี่มาก” มู่เฉินกล่าว

ย้อนกลับไปตอนนั้นราชันเทพอสูรทั้งสามได้มอบป้ายหยกให้แก่เขา ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้เขาเข้าไปได้อีกครั้ง แต่หลังจากใช้แล้วมหาสุมทรเทพสร้างอาจสลายหายไปในความว่างเปล่า

“มหาสมุทรเทพสร้างทรงพลัง แต่ก็อันตรายเกินไป นอกจากนี้… เจ้าเหมาะที่จะใช้โอกาสสุดท้ายนั่นมากกว่าข้า” จิ่วโยวยิ้มเรียบง่าย

มู่เฉินส่ายหัวไม่พูดต่อ แต่มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เราจะทำยังไงกันต่อล่ะ?”

“สระยกเทพนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษ สายเลือดที่นี่มีพลังมาก เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการควบแน่นกลายเป็นแก่นโลหิตชั้นยอด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเทพอสูร หากสามารถชำระได้ พวกมันก็จะช่วยปรับแต่งและพัฒนาสายเลือด”

ดวงตาของจิ่วโยวลุกเป็นไฟขณะที่มองไปรอบๆ พูดต่อว่า “แก่นโลหิตชั้นยอดทรงพลังมากและสามารถเปลี่ยนเป็นภาพเทพอสูรว่ายวนไปมาภายในสระนี้ หากพบก็ต้องพยายามจับภาพมาให้ได้”

“แต่เราต้องไม่ชักช้า แม้ว่าสระยกเทพจะดูใหญ่โต แต่แก่นโลหิตชั้นยอดมีจำกัดมาก พวกอัจฉริยะจากเผ่ามหาเทพอสูรจะต้องแย่งชิงกันด้วยความเร็วสูงสุดแน่นอน”

“สายเลือดหนาแน่นเรอะ…”

มู่เฉินครุ่นคิดก่อนที่จะหลับตาลง คลื่นหลิงของเขาก็พรั่งพรูออกมา แม้ว่าทะเลสาบนี้จะเต็มไปด้วยรัศมีสายเลือด แต่แก่นโลหิตชั้นยอดเหล่านั้นก็ควบแน่นอย่างมาก ดังนั้นหากอยู่ใกล้ๆ เขาสัมผัสได้แน่นอน

เมื่อเห็นความพยายามของมู่เฉิน จิ่วโยวก็รออยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่ได้รบกวนใดๆ

การรับรู้ของมู่เฉินเกิดขึ้นชั่วขณะก่อนที่เขาจะลืมตาโพลงมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ที่นั่นมีรัศมีสายเลือดทรงพลังอยู่!”

“ไปกันเถอะ!”

จิตใจของจิ่วโยวสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ทั้งสองคนพุ่งตัววาดเส้นลึกสองสายในน้ำสีมรกต

ตามทิศทางที่มู่เฉินบอก พวกเขาทะยานไปอยู่หลายนาทีก่อนที่จะลดความเร็วแล้วมองขึ้นไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้ พวกเขาเห็นเหยี่ยวสีทองขนาดมหึมาสยายปีกพร้อมกับรัศมีสายเลือดโหมกระหน่ำรุนแรงออกไป

คลื่นหลิงรวมกันในดวงตามู่เฉิน เขาสามารถมองเห็นไข่มุกสีแดงเข้มที่ใจกลางเหยี่ยวสีทองตัวนั้น รัศมีสายเลือดหนาแน่นจนทำให้เขาพูดไม่ออก

“แม้ว่าเหยี่ยวทองคำตัวนี้จะเป็นแก่นโลหิตชั้นยอด แต่ก็เปรียบได้กับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม” จิ่วโยวยิ้มอย่างขมขื่น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนจึงได้รับอนุญาตให้พาองครักษ์มาได้ มิฉะนั้นนางจะไม่สามารถรับอะไรไปได้ แม้ว่าจะพบแล้วก็ตาม

“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

มู่เฉินยิ้มสะบัดมือออก คลื่นหลิงขนาดใหญ่ของเขากวาดไปกลายเป็นมือมหึมาคว้าไปที่ร่างเหยี่ยวทองคำ

เหยี่ยวทองคำรับรู้ถึงมือนั่น แม้ว่ามันจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็พยายามที่จะหลบหนีตามสัญชาตญาณ

ตู้ม!

แต่เมื่อมันกางปีกออก มือก็พุ่งลงมาบดขยี้ ทำให้ร่างเหยี่ยวระเบิดออก

ขณะที่คลื่นสายเลือดพัดออกไป มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาคว้าแสงสีแดงเข้มไว้ สุดท้ายก็ลอยอยู่บนฝ่ามือ

นี่เป็นมุกโลหิตขนาดเท่ากำปั้นที่ดูแปลกใหม่มากและเปล่งรัศมีสายเลือดที่หนาแน่นออกมา

มู่เฉินมองไปที่แก่นโลหิตชั้นยอดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับความหนาแน่นของสายเลือด ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายกำลังคำรามออกมา

พวกมันกำลังกระหายอยากราวกับว่าต้องการกลืนกินแก่นโลหิตชั้นยอดนี้

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ก่อนที่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน วิญญาณเทพอสูรทั้งสองก็ช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้มาก แต่หลังจากบรรลุเทียนจื้อจุน พวกมันก็เริ่มไร้ประโยชน์ไปแล้ว

เนื่องจากพวกมันมีพลังระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นต่อให้เรียกออกมาก็ไร้ประโยชน์ มู่เฉินเคยค้นหาวิธีมากมายที่จะพยายามพัฒนาจิตวิญญาณทั้งสองให้กลายเป็นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จสักที

“ดูเหมือนสระยกเทพนี้จะเป็นโอกาสสำหรับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงของข้าด้วย” มู่เฉินครุ่นคิด หากจิตวิญญาณทั้งสองสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ พวกมันก็จะมีประโยชน์ต่อมู่เฉินอีกครั้ง

มู่เฉินระงับความคิดเหล่านั้นสะบัดนิ้วส่งแก่นโลหิตชั้นยอดไปให้จิ่วโยว

เป้าหมายของเขาในสระยกเทพก็คือเพื่อช่วยจิ่วโยวในการวิวัฒนาการ ดังนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะพิจารณาของตัวเองต่อ

“ขอบใจ!”

จิ่วโยวไม่มากมารยาท นางเปิดปากแก่นโลหิตชั้นยอดก็กลายเป็นกระแสแสงโลหิตเข้าสู่โพรงปากแล้วระเบิดด้วยคลื่นโลหิตรุนแรงในเวลาต่อมา

อักขระโลหิตปรากฏบนผิวของจิ่วโยวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในร่างกายของนาง รัศมีโลหิตที่ไร้ขอบเขตอบอวลภายใน สายเลือดวิหคอมตะที่ซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ หนาแน่นขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูป ก่อนที่นางจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับเพลิงสีม่วงเข้มลุกโชนอยู่ภายใน

“สมเป็นสระยกเทพจริงๆ”

จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ นางฝึกฝนอย่างขมขื่นในอดีตก็ยากที่จะทำให้สายเลือดหนาแน่นขึ้น ทว่าการเติบโตในสระยกเทพน่าตกใจมาก

มู่เฉินมองเห็นการเติบโตของจิ่วโยวได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่แปลกใจ การฝึกฝนของเทพอสูรไม่เหมือนกับมนุษย์ มนุษย์อ่อนแอตั้งแต่แรกเกิดและจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วยการฝึกฝน ตรงกันข้ามเทพอสูรเกิดมาพร้อมพลังแข็งแกร่ง แต่ยากที่จะพัฒนา ทว่าเมื่อมีโอกาสก็จะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว

“ไปต่อกันเถอะ”

มู่เฉินยิ้มแก่นโลหิตชั้นยอดในสระยกเทพหายากมาก ดังนั้นเขาต้องทำเวลาเพื่อคว้าให้ได้

เมื่อพูดจบเขาก็ทะยานออกไปโดยมีจิ่วโยวติดตามมาด้านหลัง

หลายชั่วโมงต่อจากนั้น พวกเขาพบสัตว์อสูรเจ็ดตัวที่สร้างขึ้นโดยแก่นโลหิตชั้นยอดด้วยการรับรู้ของมู่เฉิน ซึ่งมู่เฉินก็บดขยี้พวกมันให้กลายเป็นร่างเดิมได้อย่างง่ายดายเพื่อให้จิ่วโยวกลืนกินพวกมัน

ภายใต้อิทธิพลของแก่นโลหิตชั้นยอด รัศมีของจิ่วโยวก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น รัศมีโลหิตขนาดใหญ่ในร่างกายนางถึงขนาดซึมเข้าไปรวมกันเป็นไข่อยู่ข้างหลัง…

มู่เฉินรู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณว่าสายเลือดของจิ่วโยวกำลังพัฒนา เมื่อไข่แตกนางก็จะวิวัฒนาการเป็นวิหคอมตะ

“ในที่สุด… ก็มีโอกาสพัฒนา…” จิ่วโยวลืมตาขึ้นด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้า นางรอวันนี้มานานแล้ว

“แต่ข้ายังต้องการรัศมีสายเลือดยิ่งใหญ่กว่านี้เพื่อคว้าโอกาส…”

มู่เฉินพุ่งความสนใจไปทางซ้ายแล้วยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของจิ่วโยว “ข้ารู้สึกถึงของสุดยอด”

ขณะที่จิ่วโยวกำลังดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดที่เพิ่งได้มา เขาก็แผ่คลื่นจิตออกไปสัมผัสได้ถึงรัศมีที่แข็งแกร่งมากจากระยะไกลที่หนาแน่นกว่าที่เคยพบมาก่อนหน้านี้

รัศมีแก่นโลหิตชั้นยอดนั้นอาจเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเลยทีเดียว

“ลุยกันต่อ!”

มู่เฉินทะยานออกไปอย่างตื่นเต้นโดยมีจิ่วโยวติดตามมา

สิบกว่านาทีต่อมา มู่เฉินหยุดลงมองไปข้างหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ ส่วนที่ด้านหลังใบหน้าของจิ่วโยวก็ปกคลุมด้วยความตกตะลึง

เนื่องจากที่เบื้องหน้าทั้งสองมีปลาคุน[1] ขนาดมหึมากำลังซัดคลื่นออกมานับไม่ถ้วน

“รัศมีในแก่นโลหิตชั้นยอดนั่นเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นเลย”

มู่เฉินอุทานชื่นชม จากนั้นก็เคลื่อนไหวทันที ฝ่ามือคลื่นหลิงมหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้าสกัดเส้นทางการหลบหนีของปลาคุน แม้ว่ามันจะมีรัศมีระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น แต่ก็อ่อนแอในแง่ของการต่อสู้และไม่สามารถแข่งขันกับมู่เฉินได้

ดังนั้นการเคลื่อนไหวของมู่เฉินสามารถจับมันได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่อฝ่ามือคลื่นหลิงกำลังจะสัมผัสกับร่างปลาคุน เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นฉับพลัน ปีกขนนกสีทองทะลุผ่านมิติคล้ายกับใบมีดทำให้ฝ่ามือคลื่นหลิงแตกเป็นเสี่ยง ๆ

แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

นี่เป็นภาพเงาสีทองที่ก้าวย่างเข้ามาในท่ากอดอก เขาฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า นี่คือฟังจิ้งจากเผ่าแร้งหงส์ทองคำที่เยาะเย้ยมู่เฉินนอกสระยกเทพ!

ฟังจิ้งกอดอกฉายความดุร้ายในดวงตาขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับเสียงตะเบ็งเยือกเย็นดังก้อง

“ข้าหมายตาแก่นโลหิตชั้นยอดนี้แล้ว ให้เวลาพวกเจ้าสิบลมหายใจ ไสหัวไปซะ!”

 

[1] 鲲 อ่านว่าคุน ปลาขนาดใหญ่ในหนังสือโบราณ

ครืน!

ความผันผวนดุดันของคลื่นหลิงระเบิดไปทั่วท้องฟ้า แรงกดดันอันทรงพลังทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เมื่อพวกเขามองไปที่ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่

นี่ก็คือมู่เฉินที่เพิ่งมาถึง เขาพลิ้วตัวลงบนภูเขา ความโกรธก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเขาเห็นน้ำตาบนใบหน้าของจิ่วโยว

ตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักจิ่วโยวด้านที่ไม่ยอมใครของนางก็ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา แต่ตอนนี้หญิงสาวเข้มแข็งไม่ยอมใครง่ายๆ กำลังร้องไห้ เขานึกได้เลยว่านางต้องแบกความทุกข์ทรมานไว้แค่ไหน

“ประมุขเทียนฮวง พวกท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”

มู่เฉินมองไปที่เทียนฮวงช่วยพยุงผู้อาวุโสลู่ขึ้นก่อนจะประสานมือลุแก่โทษ “ขอโทษที่มาช้าขอรับ”

เทียนฮวงและผู้อาวุโสลู่อึ้งไปขณะมองมู่เฉิน พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะมาที่นี่จริงๆ

‘เจ้าหนูนี่กล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อจิ่วโยวจริงหรือ?’

“ไม่สาย ไม่สายหรอก…” เทียนฮวงโบกมือไปมาพูดอย่างขมขื่น “เผ่าวิหคโลกันตร์ของข้าหมดหนทางกับสถานการณ์นี้แล้ว ดังนั้นจึงต้องให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อแจ้งให้เจ้าทราบ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพูดอะไร จิ่วโยวช่วยเหลือข้ามากมายในอดีตและถ้าไม่ใช่นางตอนนี้ข้าอาจตายไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะเร่งรุดมาช่วยทันที ”

เทียนฮวงมีสีหน้าซับซ้อน คำพูดของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกผิดและพอใจผสมผเสกัน เขารู้สึกผิดที่พวกเขาสงสัยในตัวชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีที่จิ่วโยวเจอสหายร่วมเป็นร่วมตาย

หลังจากที่มู่เฉินและเทียนฮวงพูดคุยกันอารมณ์ของจิ่วโยวก็สงบลง เขาจึงพูดแหย่ว่า “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะร้องไห้ด้วย”

จิ่วโยวรีบเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าพลางถลึงตาใส่มู่เฉิน ก่อนจะเตะใส่ “ยังกล้าแกล้งข้าอีกเหรอ?!”

แต่หลังจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ควรมา”

แม้ว่าจะเอาอดีตมาเทียบเคียงกับมู่เฉินตอนนี้ไม่ได้อีกต่อไป แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้

มู่เฉินส่ายหัวมองไปที่จิ่วโยวตอบว่า “ใครกันที่ปกป้องข้าตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงแล้วพาข้าท่องยุทธภพ? เจ้าไม่เคยดูถูกว่าข้าอ่อนแอและช่วยเหลือกันมาตลอดแล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าได้อย่างไร?”

ตอนนั้นเขายังเด็กและอ่อนแอ สาเหตุที่เขาสามารถผ่านพ้นอันตรายมานักต่อนักก็มาจากความช่วยเหลือของจิ่วโยว ถ้าไม่ใช่นาง เขาคงก้าวไม่ถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเปรี้ยวขึ้นจมูกขณะที่ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาก่อนที่นางจะกลั้นไว้

“แกเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามาแส่เรื่องระหว่างเผ่าเทพอสูรกลางเวหา?”

ขณะที่พวกเขาพูดคุย เสียงสูงส่งก็ดังก้อง หวงจิงจ้องมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับจักรพรรดิหวง “ข้าชื่อมู่เฉิน ได้รับการเชิญจากเผ่าวิหคโลกันตร์ให้มาเป็นองครักษ์จิ่วโยว”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับชื่อดาวรุ่งของมหาพันภพในช่วงนี้

แม้ว่าจะคาดหวังคำตอบไว้แล้ว แต่หวงจิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หากเป็นมนุษย์คนอื่นพยายามจะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เขาคงจะไล่ตะเพิดไปแล้ว ทว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับมู่เฉินได้เนื่องจากมารดาอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม นอกจากนี้เขายังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ด้วยรัศมีรายรอบมู่เฉิน ทำให้เขาถูกข่มขู่

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่ายากจะจัดการเนื่องจากมู่เฉินมีกองหนุนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลายคน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้สถานะของตนเองเพื่อปราบปรามมู่เฉินได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นออกโรงได้ ในเวลานั้นการเผชิญหน้าระหว่างยอดยุทธ์จะเป็นปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว…”

หวงเฉวียนจือยิ้มขณะที่หวงจิงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมู่เฉิน เขาจ้องไปอีกฝ่าย “ข้าได้ยินมาเกี่ยวกับการกระทำอันยิ่งใหญ่ของประมุขมู่ในเผ่าฝูถู แต่นี่ไม่ใช่เผ่าฝูถู ไม่มีค่ายกลให้เจ้าได้ยืมใช้หรอกนะ”

แม้ว่าคำพูดจะราบเรียบ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยเนื่องจากเหตุผลที่มู่เฉินสามารถปราบผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูได้ ก็เพราะใช้ค่ายกลพิทักษ์เผ่า เพราะตัวเขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น

เหล่าอัจฉริยะที่สามารถเข้าสู่สระยกเทพน่ากลัวทั้งนั้นและมู่เฉินคงไม่สามารถทำในแบบเดียวกันกับเผ่าฝูถูได้

หวงเฉวียนจือสมกับเป็นบุตรชายของหวงจิง คำพูดของเขาลบความสำเร็จรุ่งโรจน์ของมู่เฉินจนหมดสิ้น

มู่เฉินผงกศีรษะตอบว่า “ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูเป็นปัญหาเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงต้องใช้ค่ายกล แต่ทำไมข้าต้องใช้มันกับเรื่องเล็กน้อยวันนี้”

“ฮ่าๆ ประมุขมู่โอ้อวดแท้จริง”

หวงเฉวียนจือยิ้มขณะพูดต่อช้าๆ “ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังดูถูกเผ่ามหาเทพอสูรของเรานะ”

รอยยิ้มเยาะผุดที่มุมปาก คำพูดเลวร้ายของเขาวางมู่เฉินไว้ตรงข้ามกับเผ่ามหาเทพอสูรทั้งหมด

คำพูดนี่ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูร ทั้งหมดต่างมองไปที่มู่เฉิน

มีความอยากรู้ ไม่แยแส แม้กระทั่งดูหมิ่นในสายตาเหล่านั้น…

“เฮอะ แค่มนุษย์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางกล้าโอ้อวดที่นี่ด้วยหรือ? ไม่กลัวกัดลิ้นตัวเองขาดรึไง?” เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังสะท้อนด้วยความดูถูก

ทุกคนมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นชายหน้าตาบึ้งตึงคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มที่แขวนบนริมฝีปากดูเหมือนคมมีดที่เย็นยะเยือก

รัศมีระเบิดออกจากทางด้านหลังเขากลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าผสมกับแร้งสีทอง

“นั่นอัจฉริยะแร้งหงส์ทองคำ—ฟังจิ้ง หงส์แร้งทองคำและหงส์ฟ้าแท้จริงมีสายเลือดที่สัมพันธ์กัน เรียกได้ว่าสนิทสนมกับเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงที่สุด ว่ากันว่าเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงเลยทีเดียว” เทียนฮวงอธิบายด้วยสีหน้าไม่น่าดูข้างมู่เฉิน

“ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่มีอะไรคุกคามได้” มู่เฉินยิ้ม ไม่สนใจการยั่วยุของฟังจิ้ง เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่าย

ในสายตาของเขา ฟังจิ้งเป็นเพียงตัวตลกก่อนเปิดโรงที่พยายามทำให้หวงเฉวียนจือดูดีขึ้นเท่านั้น

“ฮึ่ม หาเรื่องตาย!”

ฟังจิ้งยิ้มเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่ได้ขยับ เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไม่ต้องมาทำยั่วยุไร้ประโยชน์ที่นี่ ไม่มีใครโง่ เจ้ามาทดสอบข้าได้เองหากต้องการทราบพลังที่ข้ามี” มู่เฉินมองไปที่หวงเฉวียนจือ เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเฉย

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงเฉวียนจือหุบลงขณะที่จ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา พูดย้ำชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้า-จะ-กิน-สายเลือด-วิหคอมตะให้ได้!”

สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หวงเฉวียนจือตอบว่า “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ไม่มีวัน”

ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน ทำเอาหลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น แต่ละคนช่างดุดันอย่างแท้จริง อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าและดาวรุ่งดวงใหม่ของมหาพันภพ

แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครจะหัวเราะในตอนจบ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด สระมรกตก็กระเพื่อม แสงหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับน้ำพุร้อน

ครืน!

ทันใดนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ระเบิดออก ทำให้กระทั่งมู่เฉินยังหดตาลง เขามองเห็นภาพเงามากมายในแสงที่มีรูปแบบของเทพอสูร…

ชัดว่าร่างเหล่านั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ละสังขารในสระ

“สระนี้…ไม่ธรรมดา”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าสระแห่งนี้ดูเหมือนจะลึกเพียงหนึ่งพันจั้ง แต่จากการรับรู้ของเขาบอกได้ว่าสระนี้ไร้ขอบเขตราวกับสร้างขึ้นในอีกโลกหนึ่ง

“สระยกเทพกำลังเปิด ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงของหวงจิงดังก้อง

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด ทุกคนจ้องมองไปด้วยดวงตาที่ลุกโชน

ฮึ่ม!

อึดใจต่อมาคลื่นก็ยกตัวขึ้นในทะเลสาบสีมรกตทำลายความเงียบ ให้ความรู้สึกราวกับว่าผนึกได้ถูกปลดลงพร้อมกับแสงหลิงเชี่ยวกรากสาดส่องทั่วทั้งบริเวณ

“เข้าไปได้!”

พร้อมกับเสียงของหวงจิง แสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและดำดิ่งลงไปในทะเลสาบมรกต

เมื่อร่างแต่ละคนดำดิ่งลงไป พวกเขาก็หายตัวไปทันทีราวกับว่าก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง

อัจฉริยะเหล่านี้เข้าไปโดยลำพัง เพราะตามกฎมีเพียงจอมยุทธ์ภายใต้ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถนำองครักษ์มาช่วยต่อสู้ได้

จิ่วโยวหายใจเข้าลึกมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าจะไม่เสียใจนะ? จะมีการต่อสู้รุนแรงรออยู่ข้างในแน่นอน”

มู่เฉินคลี่รอยยิ้มบนริมฝีปากแล้วยื่นมือออกมา

“เจ้าปกป้องข้ามานาน ตอนนี้ถึงตาข้าปกป้องเจ้าแล้ว”

รอยยิ้มทรงเสน่ห์กระจายออกมาบนริมฝีปากของจิ่วโยว ก่อนที่นางจะยื่นมือออกมาจับมือของมู่เฉินเบาๆ

อึดใจสองพี่น้องก็กลายเป็นลำแสงพุ่งลงไปในทะเลสาบมรกต…

ในทวีปซันไห่

สถานที่มีเทือกเขาตัดกัน มีทะเลสาบสีมรกตที่ดูราวกับกระจกไม่มีระลอกคลื่น สะท้อนให้เห็นฟ้าดิน แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังรู้สึกกดดัน

ทว่าความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้แตกสลายลงในวันนี้ เมื่อแสงอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังดินแดนแห่งนี้ ริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งข้ามขอบฟ้า ก่อนที่จะพลิ้วลงมายังภูเขารอบสระแห่งนี้

พร้อมกับภาพเงาเหล่านี้ เสียงร้องนับไม่ถ้วนก็สะท้อนไปทั่วชั้นฟ้าราวกับเสียงร้องของวิหคมากมายมารวมตัวกัน…

สระยกเทพมีตำแหน่งพิเศษท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหา ดังนั้นแม้ว่าที่นั่งในการเข้าร่วมจะจำกัด แต่ก็ดึงดูดเทพอสูรมากมายมาชมงาน

เมื่อทุกเผ่ามารวมตัวกัน ความปั่นป่วนก็กังวานมาจากภูเขาโดยรอบ

กีด!

ทว่าพร้อมกับการมาถึงที่มากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไพเราะดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก จากนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน ทำให้ใบหน้าของเหล่าเทพอสูรมากมายเปลี่ยนไปด้วยความเคารพ

พวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายรุ้งพาดผ่านภูมิภาคนี้ พร้อมกับเงาทอดลงไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้สระมากที่สุด

เมื่อรุ้งจางก็ปรากฏเงาสองร่าง คนแรกก็คือจัประมุขตระกูลหวงของเผ่าหงส์ฟ้า-หวงจิง โดยมีหวงเฉวียนจือติดตามอยู่ข้างหลังกำจายความสูงศักดิ์ออกมา

“คารวะประมุขหวง!”

เมื่อหวงจิงปรากฏตัวจอมยุทธ์เทพอสูรที่นี่ทุกคนก็กล่าวคำทักทาย

หวงจิงมีท่วงท่าไม่ธรรมดา เขาพยักหน้าให้ทุกคนก่อนที่จะมองภาพเงาที่กำลังมาถึงและพลิ้วตัวลงบนภูเขาโดยรอบ

แรงกดดันทรงพลังแทรกซึมทั่วบริเวณ แสงหลิงรวมตัวกันเป็นร่างมหึมาอยู่เบื้องหลังพวกเขา

มีทั้งแร้งทองคำเก้าหัว สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรผสมนกกระจอก และเหยี่ยวเทพที่มีสายตาคมกริบ…

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ทุกคนต่างก็ฉายความเคร่งเครียดพร้อมกับความอิจฉาในสายตา เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของมหาเทพอสูร

แม้ว่าความแตกต่างระหว่างเทพอสูรกับมหาเทพอสูรจะมีเพียงคำเดียว แต่ก็เป็นปากอ่าวกว้างใหญ่ระหว่างฟ้าดิน

“มีเผ่ามหาเทพอสูรสิบห้าเผ่าท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหาและทั้งหมดก็มาอยู่ที่นี่…”

“ลือกันว่าเผ่ามหาเทพอสูรได้ส่งเหล่าอัจฉริยะมาเพื่อสระยกเทพเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามใช้โอกาสนี้เพื่อชำระสายเลือดและก้าวไปอีกขั้น…”

“แต่มีการจำกัดจำนวนแก่นโลหิตที่สร้างขึ้นในสระยกเทพ ท่าทางว่านี่จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว…”

“ฮ่าๆ หวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าใครจะกล้าต่อกรกับเขา? เขาคงจะได้รับประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้”

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป หวงเฉวียนจืออาจจะไม่ธรรมดา แต่หลินชางจากเผ่าแร้งทองคำเก้าหัวและข่งหลิงเอ๋อจากเผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา…”

“ถูกต้อง อัจฉริยะเหล่านี้ซ่อนตัวมานานเป็นร้อยปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งผ่านสระยกเทพนี้ การแข่งขันครั้งนี้คงรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…”

ขณะที่เสียงสนทนาดังขึ้น ผู้คนก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

“หืม? เผ่าวิหคโลกันตร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย? พวกเขามีที่เข้าสู่สระยกเทพด้วยเหรอ” มีคนสังเกตเห็นเงาบนภูเขาและจำได้ทันที

“เฮ้ มีบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ละสังขารที่สระยกเทพเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อกันที่นั่งสำหรับสมาชิก ดูเหมือนพวกเขาจะใช้แล้ว” มีคนพูดอย่างอิจฉา ท้ายที่สุดแล้วที่นั่งในสระยกเทพยากเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากหมายถึงการเสียสละของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

“หึ ดูท่าพวกเจ้ายังไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่ะ…” พวกรู้ลึกถึงกับเค้นเสียงขึ้นจมูก “เทียนจิ่วโยวแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์มีข่าวลือว่านางวิวัฒนาการเข้าสู่สายเลือดวิหคอมตะได้ แต่ตอนนี้หวงเฉวียนจือหมายตานางในฐานะผู้เสียสละครั้งสุดท้ายเพื่อวิชาหมุนวนเก้าเทพของเขา…”

“ดังนั้นเมื่อไรที่เทียนจิ่วโยวเข้าสู่สระยกเทพหวงเฉวียนจือจะเคลื่อนไหวและกลืนกินสายเลือดนาง…”

โลกของสัตว์อสูรโหดร้ายกว่าโลกของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินถึงความตั้งใจของหวงเฉวียนจือก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นสิ่งผิด

ตามคำกล่าวที่ว่าคนที่มีสมบัติจะกลายเป็นก่ออาชญากรรม นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สายเลือดที่หายากของเผ่าวิหคโลกันตร์ถูกเล็งเป็นเป้าหมาย ถ้าพวกเขาเก็บงำไว้กับตัวเองก็แล้วไป แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเปิดเผย ตอนนี้หวงเฉวียนจือกำหนดเป้าแล้ว คงไม่สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย

เมื่อรู้สึกถึงสายตาเหล่านั้น ใบหน้าของเทียนฮวงก็ดูน่าเกลียดเช่นกัน

จิ่วโยวยืนอยู่ข้างหลังบิดาสวมเสื้อผ้าสีดำพอดีตัว ซึ่งเผยรูปร่างและส่วนโค้งนูนน่าทึ่งที่หน้าอก นางเม้มริมฝีปากเข้าหากันดูดื้อดึงมากกว่าปกติ

เมื่อเทียบกับเทียนหวง สีหน้านางดูสงบกว่ามาก แต่หมัดที่กำแน่นเผยให้เห็นความไม่สบายใจในหัวใจ

“ผู้อาวุโสลู่ ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” เทียนฮวงถอนหายใจขณะหันไปหาผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีเทา นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งตอนแรกอยู่ในสมาธิ แต่เพื่อจิ่วโยว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกจนต้องเชิญเขาออกจากสมาธิ

ทว่าผู้อาวุโสคนนี้ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายเท่านั้น

ผู้อาวุโสลู่มีสีหน้าขมขื่นแต่ก็ยังพยักหน้า “ท่านประมุขวางใจเถอะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องจิ่วโยว แต่…ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงเฉวียนจือ”

เทียนฮวงตัวสั่นสะท้าน เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนนี้หวงเฉวียนจือมีขุมพลังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นแล้ว พลังในการต่อสู้เหนือล้ำแน่นอน ว่ากันว่ากระทั่งจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันยังตายในมือเขาได้ ความสำเร็จของเขาเกรียงไกรนัก

“ผู้อาวุโสลู่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ แค่พาจิ่วโยวหนีให้ไกลจากเขาในสระยกเทพ พยายามแสวงหาโอกาสที่เหมาะสมก็พอ” เทียนฮวงปลอบโยน

“ข้าจะทำให้ดีที่สุด” ผู้อาวุโสลู่ผงกศีรษะและหายใจเข้าลึกพร้อมกับการแสดงออกเด็ดขาดบนใบหน้า เขาเองก็โกรธแค้นกับการกลั่นแกล้งของเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นต่อให้ต้องสละชีวิต เขาก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของจิ่วโยวให้จงได้

ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวเอ่ยด้วยความลังเล “ยังไม่มีข่าวจากผู้อาวุโสเทียนเช่อรึ? ข้าได้ยินมาว่ามู่เฉินน่าเกรงขามนัก ถ้าเขามาที่นี่อาจจะเผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจือได้…”

เทียนฮวงขมวดคิ้วเบาๆ ตอบว่า “ยัง… เผ่าวิหคโลกันตร์ของเราไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือต่างสายพันธุ์ นอกจากนี้เขาอาจไปรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าหากมาที่นี่ ข้าคิดว่าเจ้าหนูนั่นคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียก่อน”

น้ำเสียงของเขาไม่มีแววตำหนิใดๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ในมหาพันภพไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อเผ่าวิหคโลกันตร์ เห็นได้จากเผ่าเทพอสูรที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์มาตลอดก็ยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้

“ท่านพ่อ!”

ทว่าคำพูดของเขาดึงดูดสายตาเย็นชาจากจิ่วโยวทันที

เมื่อเทียนฮวงเห็นก็ส่ายหัวอย่างขมขื่น “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่พูดแง่ร้ายเกี่ยวกับเขา”

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน จู่ๆ หวงจิงก็มองมาอย่างไม่แยแสและยิ้ม “พวกเจ้าพิจารณาเรื่องนี้หรือยัง?”

คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจรอบข้างทันที เทียนฮวงทำได้เพียงเกร็งศีรษะขึ้นถามว่า “เผ่าหงส์ฟ้า ไม่สามารถปล่อยเผ่าวิหคโลกันตร์ไปได้จริงๆ เหรอ?”

น้ำเสียงของเขาเป็นการขอร้องแล้ว ไม่มีเหลือเกียรติคุณของประมุขไว้เลย

เมื่อหวงจิงได้ยินคำตอบนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไม? ถ้าพวกเจ้าทำให้ลูกชายข้าพอใจ ข้าจะถือว่านี่เป็นบุญคุณจากเผ่าวิหคโลกันตร์และเราจะตอบแทนในอนาคตแน่ แต่เจ้ากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”

ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตาเขาขณะที่พูดต่อ “ในเมื่อยืนกรานที่จะดื้อรั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้ว”

ใบหน้าของเทียนฮวงดิ่งลงทันที

หวงเฉวียนจือกวาดสายตามองไปที่ผู้อาวุโสลู่ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “นั่นองครักษ์ของเจ้ารึ?”

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย…”

รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหวงเฉวียนจือก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ ข้าขอแนะนำให้ยอมแพ้ซะ”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมา เสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องขึ้นพร้อมกับแรงกดดันรุนแรงทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนจากแรงกดดันของเขา

แรงกดดันนั้นพุ่งไปที่ผู้อาวุโสลู่ ทำให้ร่างเขาสั่นใบหน้าซีดเซียวลง เข่าของเขาค่อยๆ งอจากแรงกดและเกือบจะคุกเข่าลงไป

เห็นได้ชัดว่าหวงเฉวียนจือพยายามข่มขู่ผู้อาวุโสลู่ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพ เมื่อถึงตอนนั้นผู้อาวุโสลู่ก็จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา

ผู้อาวุโสลู่รู้ถึงเจตนาของหวงเฉวียนจือดี ดังนั้นเขาจึงกัดฟันถึงขนาดเส้นเลือดดิ้นพล่านบนหน้าผากเลยทีเดียว ทว่าแรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนบวกกับแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงของหวงเฉวียนจือ ก็ทำเอาเข่าของผู้อาวุโสลู่งอลงอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเทียนฮวงและจิ่วโยวก็เขียวคล้ำ แต่พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูผู้อาวุโสลู่ทนทุกข์ทรมานจากแรงกดดัน

สายตาของเทียนฮวงมืดดำ มากจนจะกระอักเลือดออกมา นี่เป็นความอัปยศอดสูสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์แท้จริง

หมัดของจิ่วโยวกำแน่นโดยที่เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนเลือดหยดแหมะๆ ในตอนนี้แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้

ความรู้สึกไร้พลังลอยอวลทำให้นางได้แต่โทษตัวเอง

“พอแล้ว ถ้าเจ้าต้องการสายเลือดขนาดนั้นก็รับ…” นางเบิกตากว้างขณะที่ตะโกนใส่หวงเฉวียนจือ

แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงสายฟ้าก็ดังขึ้น ทุกคนเงยหน้ามองขอบฟ้าห่างไกล คลื่นหลิงขนาดใหญ่ถาโถมเข้ามา

ตู้ม ตู้ม

คลื่นกระแทกหลิงนี้บดขยี้แรงกดดันของหวงเฉวียนจือพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้อง

“แกไม่มีสิทธิ์จะได้รับสายเลือดของนาง!”

เสียงคำรามดังกล่าว ทำให้เสียงของจิ่วโยวถูกขัดจังหวะทันที นางเงยหน้าขึ้นทันควันก่อนที่จะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาดูเหมือนจะมีความโกรธซ่อนอยู่ภายใต้มหาสมุทรสายฟ้า ทำให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ

นางมองร่างคุ้นเคยด้วยความอึ้งทึ่ง ก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงลงจากแก้ม

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่

ที่กองบัญชาการใหญ่มีแท่นสูงด้านหลังอาคารซึ่งมีการจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ทว่าค่ายกลนี้ช่างมืดสลัวเนื่องจากเป็นสิ่งที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์

แต่วันนี้ค่ายกลกำจายรัศมีออกมาพร้อมกับความผันผวนของมิติที่รุนแรง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน

ร่างเงาหนึ่งย่างกรายออกมา

“ดูเหมือนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเชื่อมโยงสำเร็จแล้ว” ชายคนนั้นมองไปที่ค่ายกลเบื้องล่างที่เปล่งรัศมีแสงหลิง นั่นเป็นสัญญาณของการเปิดใช้งาน

เขาก็คือมู่เฉินที่เพิ่งกลับมาโดยใช้เวลาห้าวันเต็มในเส้นทางมิติกว่าที่จะมาถึง

ทว่ามู่เฉินก็พอใจกับความเร็วนี้ มิฉะนั้นถ้าเดินทางผ่านทีละทวีปเขาต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว

ฟิ้ว!

เมื่อเขาปรากฏขึ้น ก็มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา นี่คือเหล่าองครักษ์ในชุดเกราะ

“ใครบังอาจบุกกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่?!”

เหล่าองครักษ์ตะโกนพร้อมกับระเบิดพลังจับจ้องไปที่มู่เฉิน

“ตื่นตัวใช้ได้” มู่เฉินยิ้ม เขาพอใจกับองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเขาเดินออกมาก็แสดงให้เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน

“ท่านประมุข!”

“ผู้ใต้บังคับบัญชาคารวะท่านประมุข!”

พวกเขาตกใจเมื่อเห็นมู่เฉินก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ

“ลุกขึ้นเถอะ” มู่เฉินยิ้มเรียบง่ายพลางโบกมือยกร่างพวกเขาขึ้น

วาบ!

ในเวลานั้นก็มีร่างแสงสองสายพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า นี่ก็คือมั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียน

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” มั่นถัวหลัวรู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เห็นหน้ามู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะประสานมือให้เฉวียนเทียน “ขอบคุณผู้อาวุโสเฉวียนเทียนที่คุ้มครองตำหนักมู่ในช่วงนี้”

เฉวียนเทียนยิ้มชมชอบทันที “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักมู่ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องสำนักโดยธรรมชาติ”

มู่เฉินยิ้มด้วยความประหลาดใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจนัก ว่าแต่ทำไมตอนนี้ทัศนคติของเขาถึงเปลี่ยนไป?

เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ยิ้มเซื่อง “การกระทำที่น่าเกรงขามของท่านประมุขในเผ่าฝูถูเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพแล้ว”

ตอนที่เฉวียนเทียนได้ฟังข่าวนั้น เขาก็ตกใจกลัวมาก แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะสามารถพลิกเผ่าฝูถูได้จริงๆ และอาศัยพลังที่มีในการปราบปรามตระกูลเฉวียนและมั่วได้อยู่หมัด

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เฉวียนเทียนกลัวมากสุดก็คือตอนนี้มารดาของมู่เฉินดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู…

ด้วยภูมิหลังดังกล่าว มีขั้วอำนาจไม่มากสักเท่าใดในมหาพันภพที่กล้าดูถูกมู่เฉินและตำหนักมู่ ดังนั้นเฉวียนเทียนจึงตระหนักได้ว่าในอนาคตตำหนักมู่ไม่ธรรมดาแน่

สายตาของมู่เฉินวูบไหว เขารู้ความคิดของเฉวียนเทียนได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หากเขาทำให้เฉวียนเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ด้วยความเต็มใจ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตำหนักมู่มาก

ดังนั้นสายตาที่มองเฉวียนเทียนจึงอบอุ่นขึ้นมาก จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับมั่นถัวหลัว “ตำหนักมู่ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่จักรวรรดิเหนือทั้งหมด ซ้ำยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วทวีปเทียนหลัว พวกเขามีความขัดแย้งกับจอมยุทธ์หลายฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น

“ตอนแรกก็วุ่นวายอยู่ แต่หลังจากข่าวความสำเร็จของเจ้าในเผ่าฝูถูกระจายออกไป ทวีปเทียนหลัวก็เงียบเสียงลงไปเลย แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดที่อยู่เบื้องหลังก็ยังส่งสัญญาณถอย…” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ นางคาดไว้ว่าตำหนักมู่อาจจะเผชิญกับสงครามดุเดือด แต่ไม่คิดว่าความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถูจะปราบปรามทุกสิ่งได้

มู่เฉินถอนหายใจเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้กลัวเขา แต่กลัวมารดาของเขา

เขาประเมินการข่มขู่ของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่ำไปหน่อย

แต่นั่นเป็นข่าวดี หากขั้วอำนาจเหล่านั้นแสดงสัญญาณว่าจะถอยออกไป ตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัวโดยไม่มีปัญหาในอนาคต การใช้ประโยชน์จากมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะเข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำมหาพันภพ

แต่แน่นอนว่า…มู่เฉินจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีความหวังสำหรับมู่เฉินที่จะได้เห็นสิ่งนี้

“จิ่วโยวเจอปัญหาอะไร?”

มู่เฉินสงบใจลงก็ถามด้วยสายตาเย็นชา

“ให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อเล่าให้ฟังเถอะ ข้าแจ้งให้เขามาแล้ว” มั่นถัวหลัวตอบ

เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ร่างแสงก็ทะยานเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่คือผู้อาวุโสเทียนเช่อที่เคยมารับจิ่วโยวในตอนนั้น

“เทียนเช่อจากเผ่าวิหคโลกันตร์ คารวะประมุขมู่”

เทียนเช่อเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจขณะมองชายหนุ่มตรงหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ยังเป็นอาณาจักรกงเวทสวรรค์ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น

ตอนนั้นเขามีทัศนคติค้ำคอมองอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างดูถูก เพราะถึงยังไงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีรากฐานหยั่งลึกมากจนอาณาเขตกงเวทสวรรค์เทียบไม่ได้

ในเวลานั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในไม่กี่ปีอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเปลี่ยนเป็นตำหนักมู่เข้าปกครองในภูมิภาคทางเหนือ มากจนแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวยังไม่กล้าที่จะแข่งขันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนก็ได้ก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้…

ครั้งก่อนที่เขาเจอมู่เฉินก็มองอีกฝ่ายเป็นคนรุ่นหลังเท่านั้น ทว่าตอนนี้ต้องทักทายด้วยความเคารพแล้ว…

“ผู้อาวุโสเทียนเช่อไม่ต้องมากมารยาท” มู่เฉินฉายความอบอุ่นบนใบหน้าโดยปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพลางประสานมือให้เช่นกัน

เมื่อเห็นมู่เฉินยังคงอบอุ่นเหมือนในอดีต เทียนเช่อก็รู้สึกโล่งใจ เขารู้ดีว่าพวกอัจฉริยะอย่างมู่เฉินมักจะหยิ่งผยองและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากกับชายหนุ่มไว้ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ

“สายตาของจิ่วโยวดีกว่าตาแก่อย่างพวกข้าจริงๆ” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ จะไปคัดค้านพันธะโลหิตของทั้งคู่อีกซะที่ไหน

“ท่านเทียนเช่อพูดเรื่องจิ่วโยวกันเถอะ” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ท่าทางขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเทียนเช่อ “ได้โปรดช่วยจิ่วโยวและเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วย!”

ความอบอุ่นบนใบหน้าของมู่เฉินหดกลับ สายตาก็เย็นชาตาม “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเด็ดขาด”

“เรื่องเป็นแบบนี้ ตอนที่จิ่วโยวกลับไปที่เผ่าครั้งล่าสุด นางเอาแต่รบเร้าท่านประมุขเพื่อค้นหาโอกาสในการวิวัฒนาการ นางบอกว่าตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป จึงต้องการวิวัฒนาการเพื่อปลุกสายเลือดวิหคอมตะและเข้าสู่การเป็นมหาเทพอสูร” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าสาเหตุที่จิ่วโยวทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วโดยที่นางถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้อีก ดังนั้นนางจึงกลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อค้นหาหนทางวิวัฒนาการ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกซับซ้อน จิ่วโยวทำทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ

“ส่วนท่านประมุขก็ถูกรบเร้าจนไม่มีทางเลือก จึงพานางเธอไปที่เผ่าหงส์ฟ้า ที่นั่นมีสถานที่หนึ่งชื่อว่าสระยกเทพที่บรรพบุรุษของสัตว์อสูรกลางเวหาทุกตัวละสังขารไว้โดยรวมเอาแก่นโลหิตไว้ภายใน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ก่อนหน้านั้นหนึ่งในบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ได้ละสังขารไว้ ดังนั้นเผ่าของเราก็มีที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากการถกกันเราก็ตัดสินใจที่จะให้จิ่วโยว”

ยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเทียนเช่อก็ขมขื่นมากขึ้น “นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าบุตรชายประมุขตระกูลหวงจะฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งนี่เป็นวิทยายุทธขั้นสุดยอดที่ผู้ฝึกต้องกลืนกินสายเลือดของมหาเทพอสูรในแต่ละช่วงนิพพาน ปัจจุบันเขาอยู่นิพพานที่แปด ดังนั้นจึงหมายตาสายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยว”

“วิชาเก้าเทพหมุนวน?” มู่เฉินหดดวงตา นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ไม่คิดว่าบุตรชายของจักรพรรดิตระกูลหวงจะสามารถฝึกฝนได้

“ต้องรู้ว่าจิ่วโยวคือความหวังของเผ่าวิหคโลกันตร์ ถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะไป นางจะไม่สามารถมีพัฒนาการใดได้อีกในอนาคต นั่นหมายความว่าทุกอย่างในอนาคตของนางจะพังพินาศ!” เทียนเช่อกัดฟัน

“ประมุขหวงบอกว่าถ้าเราไม่เต็มใจ หวงเฉวียนจือก็จะเคลื่อนไหวเองในสระยกเทพ ถึงเวลานั้นชีวิตของจิ่วโยวก็อาจตกอยู่ในอันตรายด้วย!”

“แม้ว่าตามกฎเราจะสามารถหาองครักษ์เข้าไปในสระยกเทพได้หนึ่งคน แต่เผ่าวิหคโลกันตร์มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเพียงคนเดียว เราไม่สามารถปกป้องจิ่วโยวได้

“ช่วงนี้ทางเผ่าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชิญจอมยุทธ์ทรงอำนาจที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอดีต แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเพราะกลัวเผ่าหงส์ฟ้า!”

“เราไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ จึง…จึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากประมุขมู่ โปรดช่วยจิ่วโยวด้วยเถอะ”

พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของเทียนเช่อก็เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่คิดจะคุกเข่า

ทว่าพลังยิ่งใหญ่ทำให้เขาหยุดการกระทำลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกกังวลในใจ เพราะไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเห็นด้วยหรือไม่ แม้ว่าเขาและจิ่วโยวจะมีพันธะโลหิตต่อกัน แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาไม่กล้ารุกราน

ภายใต้การจ้องมองของเขา สีหน้าเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์

“จะเคลื่อนไหวเองเชียวเหรอ?”

มู่เฉินหันไปมองเทียนเช่อ น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านจากแรงอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ

“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ พาข้าไปเถอะ ข้าอยากเห็นว่าหวงเฉวียนจือมีความสามารถอะไรที่จะมารับสายเลือดจิ่วโยวไป…”

ภูเขาด้านหลังคฤหาสน์มู่

มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนภูเขาพร้อมแสงหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัว ร่างยักษ์สีม่วงทองขนาดใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังดูดซับคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไปในรูจมูก ส่งเสียงคำรามคลุมเครือดังก้อง

การฝึกฝนของเขาดำเนินไปหนึ่งวันเต็มก่อนจะหยุดลง เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้น เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตาฉีกฟ้าดินออกจากกัน

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลังก็ค่อยๆ สลายไปหลังจากทิ้งความผันผวนไว้ชั่วครู่

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สลายไป ดวงตาก็เป็นประกาย เขารู้สึกได้เลือนรางว่าการฝึกฝนในวิชานี้ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้ว พลังอำนาจที่มีก็เริ่มจะถึงจุดสูงสุด

ซึ่งหมายความว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาเริ่มมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากเขาต้องการเพิ่มพลังของมันก็ขึ้นอยู่กับขุมพลังของตัวเขา

“ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง มู่เฉินหันกลับไปก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังมองมาด้วยความสนใจ ขณะที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สลายไป

มู่เฉินพยักหน้า เพียงร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างเดียว เขาก็เข้าใกล้จักรพรรดิฟ้าแล้ว

“ด้วยร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะต่อสู้เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว…” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

เมื่อได้ยินคำว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ ริ้วแสงก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน นี่เป็นความฝันสูงสุดของเขานับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนร่างเทพสุริยะ เขาก็เฝ้ารอร่างเทห์สวรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดทุกเมื่อเชื่อวัน—ร่างมหาเทพนิรันดร์

“แต่ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ภายใต้ดูแลของเผ่าหมัวเฮอ ข้าว่าการได้มาจะไม่ใช่เรื่องง่าย” มู่เฉินถอนหายใจ

“เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบร่างมหาเทพนิรันดร์ให้เผ่าหมัวเฮอดูแลรักษาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ตามกฎที่เทพจักรพรรดิทิ้งไว้ เผ่าหมัวเฮอจะต้องเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมนิรันดร์ ทุกคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเพื่อให้ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านายเอง”

“แต่เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้เผ่าหมัวเฮอก็แสดงท่าทีเป็นเจ้าของเอง พยายามขัดขวางผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ เพื่อให้สมาชิกในเผ่าได้รับการยอมรับ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์เลย” ชิงเหยี่ยนจิ้งเย้ยหยัน

“พวกเขาปกป้องมานับหมื่นปี จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง” มู่เฉินยิ้ม ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาแจ่มแจ้งในใจเกี่ยวกับการล่อลวงโดยร่างมหาเทพนิรันดร์นี้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถต้านทานได้

เพราะนี่คือหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ในเวลาเดียวกันก็ช่วยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ซึ่งเป็นเทพจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ

“แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแค่ไหน ข้าก็จะไปยังเผ่าหมัวเฮอแน่นอนเมื่องานชุมนุมนิรันดร์เริ่มขึ้น ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์ต้องการหาเจ้าของที่ดีที่สุดให้ร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าก็ต้องลงชิงชัย” มู่เฉินประกาศด้วยสายตาวูบไหว

เขาเริ่มต้นฝึกจากร่างเทพสุริยะจนตอนนี้พัฒนาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ตลอดทางผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะไม่เต็มใจเท่าไร เขาก็ต้องไปลองชิงดู

ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าเขายังไม่ควรมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอก่อนที่ความแข็งแกร่งของเขาจะถึงระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไปไกลเกินกว่าอดีตแล้ว…

“ในเมื่อลูกรักของแม่มุ่งมั่นขนาดนี้ ในฐานะมารดา ข้าจะสนับสนุนเต็มที่ หากเจ้าสามารถได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าจะไม่ปล่อยเผ่าหมัวเฮอแน่ หากพวกมันคิดกล้ารังแกเจ้า” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินพลางพูดด้วยความเผด็จการ

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่”

ทันใดนั้นมือของเขาก็เคลื่อนไหว ป้ายหยกปรากฏขึ้นก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ และก่อตัวเป็นแถวคำ

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะมองไป จากนั้นสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปรุนแรง

“จิ่วโยวมีอันตราย รีบกลับเทียนหลัว!”

มู่เฉินหดดวงตากระเด้งตัวขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ป้ายนี้เป็นของที่เขาให้มั่นถัวหลัวไว้เพื่อแจ้งให้ทราบหากมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น

เห็นได้ชัดว่าจิ่วโยวต้องเจอเรื่องยุ่งยาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่มั่นถัวหลัวส่งข้อความมา

“เกิดอะไรขึ้นกับจิ่วโยว?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความดุร้าย เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับจิ่วโยว แม้จะไม่ใช่เรื่องความรัก แต่คล้ายกับสมาชิกครอบครัว

ย้อนกลับไปตอนนั้นมู่เฉินพบจิ่วโยวที่มณฑลเป่ยหลิง พวกเขาได้สร้างพันธะโลหิตต่อกัน กล่าวได้ว่าจิ่วโยวเป็นผู้นำทางในการฝึกยุทธ์ของเขา

ก่อนที่เขาจะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกด้วยตัวเองได้ นางก็คอยปกป้องเขามาตลอด ดังนั้นมู่เฉินจึงรู้สึกขอบคุณและเคารพนางในฐานะพี่สาวเสมอ

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมู่เฉินอารมณ์ขึ้นเมื่อได้รับข้อความนี้

“เกิดอะไรขึ้น?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถามเมื่อเห็นความวิตกกังวลของบุตรชาย ในสายตาของนางมู่เฉินเป็นคนที่รักษาอารมณ์ได้เรียบนิ่ง ดังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเขา

“ท่านแม่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังทวีปเทียนหลัวเสร็จหรือยัง?” มู่เฉินยื่นมือออกมาลบคำพูดก่อนที่จะมองไปชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ตอบว่า “ที่จริงยังต้องใช้เวลาอีกห้าวัน แต่ดูเจ้ารีบขนาดนี้ ข้าจะทำให้เสร็จภายในสองวัน”

พูดโดยทั่วไปแม้จะเป็นสุดยอดขั้วอำนาจก็ไม่สามารถเร่งชิ้งเยี่ยนจิ้งได้ หากให้นางช่วยสร้างค่ายกล แต่เนื่องจากนี่เป็นบุตรชายสุดที่รัก นางจึงตัดสินใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

“งั้นข้าต้องรบกวนท่านแม่แล้ว” มู่เฉินกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มอ่อนโยน “ไม่ต้องเกรงใจแบบนี้กับแม่หรอก…”

จากนั้นนางก็หยุดชั่วครู่มองไปที่มู่เฉินถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือลูก? ต้องการให้แม่ช่วยไหม?”

“เพื่อนคนสำคัญกำลังมีปัญหา แต่ข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียด ดังนั้นข้าต้องกลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน แต่ข้าจัดการได้ ไม่รบกวนท่านแม่กับท่านพ่อดีกว่า” มู่เฉินยิ้ม

“แหม เพราะเจ้าทำให้เขากลายเป็นเจ้าทวีปไป่หลิง ทุกวันนี้ก็งานล้นมือไปหมด…”

ชิงเหยี่ยนจิ้งแซวเล่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นางยิ้มให้มู่เฉิน “แต่เมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็จะไม่พูดอะไร ข่าวที่เจ้าเป็นบุตรชายของข้ากระจายไปทั่วมหาพันภพ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าทำเกินไปหรอก อย่างน้อยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่ออกโรงแน่นอน”

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยากโอ้อวดเกี่ยวกับมารดา แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกได้ ดังนั้นจึงถือเป็นการสนับสนุนเขาที่สามารถใช้เพื่อข่มขู่คู่ต่อสู้ได้

แม้ว่ามู่เฉินจะชอบพึ่งพาตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โง่

 

สองวันต่อมาหลังคฤหาสน์มู่

ค่ายกลขนาดหนึ่งพันจั้งถูกสร้างขึ้น ทำให้เกิดความผันผวนของมิติที่น่ากลัว พื้นที่โดยรอบถึงกับบิดเบี้ยว

สามารถมองเห็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับล้านๆ ได้เลือนราง โครงสร้างซับซ้อนนี้แม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ

“สมกับเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งแท้จริง…”

มู่เฉินมองไปที่ขนาดของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็อดถอนหายใจไม่ได้

ชิงเหยี่ยนจิ้ง หลิงซีและหลงเซี่ยงก็มารมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้แต่มู่เฟิงก็มาด้วย สำหรับถังเชียนเอ๋อ นางกลับไปที่สำหนักศึกษาวั่นหวงเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ไอ้หนูระวังตัวด้วย…”

มู่เฟิงรู้ว่ามู่เฉินมีเรื่องเร่งด่วนเข้ามา เขาจึงกังวลไม่น้อย มหาพันภพเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายซึ่งแตกต่างจากทวีปไป่หลิงมาก

“พ่อ ลูกชายคนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิมที่กำลังจะเดินทางออกจากมณฑลเป่ยหลิงอีกแล้วนะ” มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นที่ออกจาเกมณฑลเป่ยหลิงมู่เฟิงก็พูดด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้

“เมื่องานในทวีปไป่หลิงเข้าที่เข้าทาง ข้าจะพาพ่อเจ้าไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักมู่ในทวีปเทียนหลัว” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

“งั้นลูกจะรอต้อนรับนะ”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ พลางพยักหน้าให้ครอบครัว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในค่ายกล

เขาโบกมือคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็เทลงในค่ายกลเคลื่อนย้าย ทันใดนั้นความผันผวนของมิติก็ทวีความรุนแรงขึ้น ฟ้าดินบิดเบี้ยวก่อนที่จะถักทอสร้างอุโมงค์มิติขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ”

มู่เฉินโบกมือก่อนที่หันกลับด้วยดวงตาคมกล้า เมื่อมองไปที่อุโมงค์มิติเขาก็ก้าวเข้าไป

ขณะเดียวกันมือของเขาก็กำแน่น

“จิ่วโยวอย่าเป็นอะไรนะ…”

“ในอดีตเจ้าปกป้องน้องชายคนนี้เสมอ ดังนั้นวันนี้ถึงคราวที่ข้าจะปกป้องเจ้ามั่ง…”

ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีนับไม่ถ้วน ก่อนที่ภาพเงาของมู่เฉินจะหายไป

ทวีปซันไห่

ที่นี่เป็นทวีปที่มีชื่อเสียงอย่างมากในมหาพันภพ แน่นอนว่าชื่อเสียงนั้นไม่ได้มาจากทวีป แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่อาศัยอยู่ที่นี่

เผ่าหงส์ฟ้า

ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวบรรดาเผ่าวิหคทั้งหมดในมหาพันภพและมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเวลาเดียวกันพลังของพวกเขายังติดอันดับต้นของยุทธภพอีกด้วย

ตามชื่อแล้วทวีปแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาจำนวนมากและมหาสมุทร เทือกเขาทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภูเขาแต่ละลูกมีขนาดเป็นแสนลี้ ราวกับยักษ์ปกคลุมผืนทวีปพร้อมกับความเวิ้งว้าง

ใจกลางทวีปมีหมอกมารวมตัวกัน สามารถมองเห็นวังหรูหราได้เลือนรางพร้อมกับเสียงนกร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับแดนสวรรค์

วังขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสูงศักดิ์ เก้าอี้หินเลื่อนลงมาซึ่งมีคนนั่งอยู่บนนั้น ทุกคนกำจายด้วยแสงหลิงที่ก่อตัวเป็นสัตว์อสูรบินฉวัดเฉวียนอยู่ที่เบื้องหลัง

หากมีใครอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตกใจ เพราะทั้งหมดเป็นเทพอสูรประเภทกลางเวหาของมหาพันภพ

เผ่าเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพเลย นอกจากนี้เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเทพอสูร ทำให้ขั้วอำนาจสุดยอดธรรมดายังไม่อาจเทียบได้

ดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจึงถือว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของมหาพันภพเลยทีเดียว

มีร่างเงานั่งบนเก้าอี้หินอยู่ในวัยกลางคนกำจายความสูงศักดิ์รอบตัวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว

ในเผ่าหงส์ฟ้า ถูกปกครองร่วมกันระหว่างจักรพรรดิตระกูลเฟิ่งและจักรพรรดิตระกูลหวง พวกเขาจะแบ่งระยะเวลาในการปกครอง ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่ถืออำนาจสูงสุดก็คือจักรพรรดิแห่งตระกูลหวง—หวงจิง

“ทุกคนสระยกเทพจะเปิดในหนึ่งเดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละเผ่าว่าจะสามารถหาสายเลือดได้มากเท่าไร” หวงจิงยิ้มด้วยใบหน้าทรงเกียรติ

เมื่อเขาพูดจบ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายเผยให้เห็นความตื่นเต้น

สระยกเทพมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เผ่าหงส์ฟ้าทำร่วมกับสัตว์อสูรเผ่ากลางเวหาอื่นๆ เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของแต่ละเผ่าจะละสังขาร พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพเพื่อหลอมร่างกายและสายเลือดรวมไปกับสระน้ำ

ด้วยวิธีนี้ ลูกหลานของพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากสายเลือดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เพื่อใช้ชำระสายเลือดและวิวัฒนาการ

นั่นหมายความว่าสระยกเทพเป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเทพอสูรกลางเวหาทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง

ไม่ต้องพูดถึงเผ่าเทพอสูรอื่นๆ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ถูกล่อลวงด้วยของขวัญชิ้นนี้เช่นกัน

แต่เนื่องจากสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเผ่าต่างๆ จึงไม่มีใครผูกขาดได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเหล่าอัจฉริยชนจะได้รับไปมากแค่ไหน

ขณะที่หวงจิงมองไปที่ทุกคน เขาก็ยิ้มก่อนที่จะหันไปมองคนสองคนที่ขอบลาน

หนึ่งในนั้นสวมชุดดำ เขาก็คือประมุขเผ่าวิหคโลกันตร์—เทียนฮวง

ที่ด้านหลังมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีดำ นางมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนสัดน่าทึ่ง รูปลักษณ์สะคราญโฉมยิ่งนัก ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้คนอื่นรู้สึกถึงเจ้าพยศในใจ

นางก็คือจิ่วโยว

“ท่านเทียนฮวง แม่นางจิ่วโยว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดยังไงกับข้อเสนอก่อนหน้าขอข้า?” หวงจิงมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหวงจิง ใบหน้าของเทียนฮวงก็สลับระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่จิ่วโยวกัดริมฝีปาก

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเงียบไป หวงจิงก็ยิ้ม “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าบุตรชายของข้าฝึกฝนทักษะเก้าเทพหมุนวนในขั้นที่แปดแล้ว เหลือเพียงการนิพพานครั้งสุดท้ายก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่ง ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะเติมเต็มความปรารถนาของข้า”

ขณะที่พูดหวงจิงก็มองไปที่ชายที่นั่งเงียบอยู่ทางด้านหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สวมชุดสีทองทำให้ดูสูงส่ง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับโอรสสวรรค์ที่สูงศักดิ์

เขาก็คือบุตรชายของหวงจิงและยังเป็นประมุขน้อยตระกูลหวง—หวงเฉวียนจือ

ชายผู้นี้ได้รับการฝึกฝนทักษะเทพขั้นสูงสุดของเผ่าหงส์ฟ้าวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งการนิพพานทุกครั้งต้องใช้เวลาสิบปี เมื่อการนิพพานที่เก้าเสร็จสิ้น เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

วิชาเก้าเทพหมุนวนนี้เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีความพิเศษเพียงใด

ทว่าทักษะเทพระดับนี้ก็ยากในการฝึกฝนมาก นอกจากพรสวรรค์ผู้ฝึกต้องสูง ทุกการนิพพานยังต้องกลืนกินสายเลือดเทพอสูร เมื่อนิพพานที่แปดเสร็จสมบูรณ์ หวงเฉวียนจือก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว

พร้อมกับการสำเร็จนิพพานที่แปด ความเข้มงวดของสายเลือดที่ต้องการก็มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาสายเลือดวิหคอมตะที่อยู่ในร่างจิ่วโยว

วิหคอมตะเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าหายากยิ่งกว่าหงส์ฟ้าแท้จริง ณ ปัจจุบันในโลกนี้อาจมีเพียงจิ่วโยวคนเดียวที่ครอบครองสายเลือดวิหคอมตะอยู่ก็ได้

เผ่าอื่นๆ ก็มองภาพนี้อย่างเย็นชา ในโลกสัตว์อสูร ผู้ที่แข็งแกร่งจะล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าเป็นเผ่าเทพอสูร แต่ยังไม่ใช่เผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นการครอบครองสายเลือดวิหคอมตะจึงดึงดูดความสนใจจากพวกเขา

สายตาของเทียนฮวงกะพริบด้วยแสงมืดมน จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์คนเดียวที่สามารถปลุกสายเลือดวิหคอมตะได้ในช่วงนับหมื่นปีที่ผ่านมา นางคือความหวังของทั้งเผ่า พวกเขาหวังว่านางจะสามารถวิวัฒนาการถึงขั้นสุดท้ายได้สำเร็จในวันหนึ่ง เพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

เหตุผลที่พวกเขามายังเผ่าหงส์ฟ้าก็เพื่อสระยกเทพ ทว่าพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะดึงดูดความสนใจของหวงจิง เนื่องจากสายเลือดวิหคอมตะ…

เทียนฮวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะ การฝึกฝนของจิ่วโยวก็จะหยุดลงตลอดชีวิต…และนี่จะเป็นการระเบิดใหญ่สำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์

ทว่าเผ่าหงส์ฟ้าทรงพลังและหวงจิงที่เป็นประมุขตระกูลหวง ซ้ำยังมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่สามารถต่อกรได้ ดังนั้นถ้าปฏิเสธ อีกฝ่ายขุ่นเคืองแน่

ยามนี้เทียนฮวงหวั่นใจนัก เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “โชคดีที่บุตรสาวของข้าเข้าตาท่านได้ แต่นางดื้อรั้นนักเมื่อตอนยังเด็ก นางได้สร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ไว้ กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน…”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจไป แม้แต่หวงจิงยังขมวดคิ้ว เผ่าหงส์ฟ้ามีเกียรติและพวกเขาชอบความบริสุทธิ์ ในสายตาของพวกเขาแม้แต่มหาเทพอสูรเผ่าอื่นๆ ก็ยังหยาบคาย ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย

เมื่อเทียนฮวงเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกในใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจิ่วโยว แต่ก็ไม่มีอะไร ตราบเท่าที่เขาสามารถปกป้องบุตรสาวไว้ได้

ทว่าหวงเฉวียนจือกลับยิ้มออกมา “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา จับมนุษย์คนนั้นมา เรามีวิธีการมากมายในการละลายพันธะโลหิต โดยไม่ต้องทำร้ายแม่นางจิ่วโยว”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็ดิ่งลงเนื่องจากการสลายพันธะโลหิตจะเป็นอันตรายต่อทั้งสอง ถ้านางไม่ได้รับอันตรายนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะได้รับอันตราย

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเทียนฮวงก็หนังหัวชาหนึบตอบว่า “ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะจับนะสิ”

“ทำไม?” หวงจิงหรี่ตาลงขณะที่ยิ้มอย่างไม่แยแส “มีเพียงไม่กี่คนในมหาพันภพที่ยากสำหรับเผ่าหงส์ฟ้าของข้าที่จะจับกุม”

หลังจากลังเลชั่วครู่เทียนฮวงก็กัดฟันพูดต่อ “เพราะเขาคือประมุขตำหนักมู่ เจ้าทวีปเทียนหลัว…มู่เฉิน”

“มู่เฉิน?”

เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางสงสัย บางคนถึงกับร้องอุทาน “หรือว่าจะเป็นมู่เฉินที่ไปป่วนเผ่าฝูถูรึ?”

เทียนฮวงพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะความจริงที่เขารู้ว่ามู่เฉินมีสถานะที่แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาคงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หวงจิงก็ประหลาดใจเช่นกัน เนื่องจากชื่อนี้ดังเป็นพลุแตกในมหาพันภพช่วงนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำหนักมู่ของมู่เฉิน แต่เขากังวลเกี่ยวกับมารดาของมู่เฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถู…

ภูมิหลังเช่นนี้ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้

หวงจิงขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถจับมู่เฉินและสลายพันธะโลหิตได้ มิฉะนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่นอน

เมื่อเห็นหวงจิงตกอยู่ในความเงียบ เทียนฮวงก็ฉายความสุขบนใบหน้า

ทว่าก่อนที่เขาจะได้รับความสุขเต็มที่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาลึกซึ้งของหวงเฉวียนจือก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ยอมถอยสักก้าว ข้าไม่สนใจพันธะโลหิต เพราะมันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าอยู่ดี…”

เผ่าหงส์ฟ้ารักความบริสุทธิ์ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสายเลือดวิหคอมตะ เขาก็ยอมอดทนสักหน่อย นอกจากนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเทียนฮวงพยายามปฏิเสธ…

พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของเทียนฮวงก็จมลง

เมื่อกวาดสายตาไปหวงเฉวียนจือก็สามารถมองเห็นความคิดของเทียนฮวงได้ เขาจึงพูดต่อว่า “มู่เฉินเกาะใบบุญมารดาในการสนับสนุน เผ่าหงส์ฟ้าจึงไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ แต่ในทำนองเดียวกันอย่าคิดว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะกลัวเขา ดังนั้นข้าขอบอกเลยว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่เราจะกลัวเขา”

“ถ้าเจ้ากำลังจะบอกว่ามู่เฉินจะมาแก้แค้นแทนแม่นางจิ่วโยว ข้าหวงเฉวียนจือก็อยากเห็นว่าเขามีความสามารถแค่ไหนที่สามารถพลิกเผ่าฝูถูได้”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ใบหน้าเขียวคล้ำของเทียนฮวงและท่าทางเย็นชาของจิ่วโยวก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากนี้ข้าก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้ามาที่เผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขามา ข้าจะจับเขาและบอกให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองจะเที่ยวเดินไปทั่วมหาพันภพได้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากก่อความวุ่นวายกับเผ่าฝูถู”

แม้ว่าน้ำเสียงของหวงเฉวียนจือจะสงบ แต่ก็มีความเย่อหยิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งไม่ธรรมดาจริงๆ

หวงจิงยิ้มพลางพยักหน้า เขาพอใจในตัวบุตรชายนัก แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับบุตรชายเขา

นั่นเป็นเพราะบุตรชายเขาเป็นอัจฉริยะแท้จริง

ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เทียนฮวงและจิ่วโยวด้วยสีหน้าทรงเกียรติ ก่อนที่เสียงไม่แยแสจะดังก้อง

“ข้าตัดสินใจแล้วหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเปิดสระยกเทพขึ้นและบุตรชายข้าจะเข้านิพพานที่เก้า”

“ในเวลานั้นเมื่อเข้าไปในสระยกเทพถ้าเจ้ายังไม่เต็มใจ ลูกข้าก็คงต้องลงมือเองแล้ว”

ในที่สุดเรื่องในเมืองไป่หลิงก็จบลง

ตามที่คาดไว้เมื่อทุกคนกลับไปความวุ่นวายก็สาดซัดไปทั่วทั้งทวีป

แต่ละคนตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนเจ้าเหนือหัวหลังจากพิธีราชันจบลง…

ไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ปกครองคนใหม่ ขนาดชื่อพันธมิตรเป่ยหลิงยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงขั้วอำนาจขนาดเล็กค่อนไปทางกลางที่ไม่เคยมีใครในทวีปไป่หลิงให้ความสนใจ แต่กลับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา

แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฟิงมีกองหนุนที่น่ากลัว แม้ตัวเขาเองจะธรรมดา แต่บุตรชายและฮูหยินของเขาก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร…

มีข่าวลือว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นเผ่าโบราณที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ

ส่วนมู่เฉินเริ่มต้นจากศูนย์ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนภายในสิบปีสั้นๆ รวบรวมทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งตำหนักมู่ขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุด

กองหนุนของมู่เฟิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าราชันไป่หลิง ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉิงเป่ยเฉวียนประมุขตำหนักปลายเหนือก็ยังมอบทวีปไป่หลิงให้โดยยินยอมพร้อมใจ

ด้วยการสนับสนุนของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเป่ยหลิง ก็ไม่มีใครในทวีปไป่หลิงกล้าก่อปัญหาใดๆ ขั้วอำนาจที่ชาญฉลาดได้ส่งทูตไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน…

 

ทวีปไป่หลิง มณฑลเป่ยหลิง กองบัญชาการใหญ่พันธมิตรเป่ยหลิง

กองบัญชาการใหญ่แห่งนี้อยู่ในเขตมู่ที่มู่เฉินเติบโตขึ้นมา

สวนเงียบสงบในคฤหาสน์มู่ มู่เฉินกำลังนอนเอขกในศาลาขณะมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงด้วยความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของเขา

ในอดีตตัวเขาราวกับลูกธนูที่ขึ้นสายตั้งแต่ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงและท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เขาก็ก้าวต่อไปด้วยความห้าวหาญ

ในเวลานั้นเขารู้ว่าตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถไปได้กระทั่งตระกูลลั่วเสิน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าฝูถูเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป

ภายใต้การทำงานหนักไม่มีหยุดพัก เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในที่สุดก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาสำเร็จ…

แม้ว่าจะไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ…

“ตาแก่ ข้าทำสำเร็จเห็นไหมเล่า”

มู่เฉินยิ้มขณะมองท้องฟ้าสีครามด้วยความสุขเติมเต็มหัวใจ จะดีแค่ไหนถ้าลั่วหลีอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้

เมื่อนึกถึงหญิงคนรัก รอยยิ้มของมู่เฉินก็กว้างขึ้น เขารู้ว่าลั่วหลีขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง แม้ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะนางต้องการช่วยเขา แต่ก็มีส่วนที่นางไม่อยากแพ้ใคร

ลั่วหลีเป็นโฉมสะคราญในสายตาของเขา แต่นางก็มีความภาคภูมิใจมากและไม่ยอมแพ้ใคร

ก็เหมือนตอนสงครามเทพยุทธ์ นางไล่ล่าเขาไปหลายวันโดยไม่พักเพียงเพราะความไม่ยอมแพ้ในใจ…

ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ลั่วหลีคงจะรู้สึกกดดันเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ต้องการให้เขาปกป้อง

นางต้องการที่จะเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน เผชิญพายุที่ดาหน้าเข้ามาด้วยกัน…

“เฮ้ เหม่ออะไร!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังนึกถึงภาพเงาคนรัก มือบางก็โบกที่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเสียงสดใส

เมื่อมู่เฉินออกจากภวังค์ก็เห็นถังเชียนเอ๋อ เขาจึงยิ้มให้ “พี่เชียนเอ๋อ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”

ถังเชียนเอ๋อนั่งลงข้างๆ พลางหัวเราะเสียงพลิ้ว ขณะที่ยืดเหยียดเอวก็วาดเส้นโค้งที่สวยงามขึ้น นางมองไปรอบๆ ก็พึมพำว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย”

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นถังเชียนเอ๋อจึงคุ้นเคยกับคฤหาสน์มู่ไม่น้อย

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มถามว่า “ตอนนี้เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาวั่นหวงเรอะ?”

ถังเชียนเอ๋อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสำนักศักษาวั่นหวงเหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเจ้า แต่ก็มีเรื่องสนุกทุกวัน ได้เห็นเหล่าศิษย์เติบโตขึ้นเหมือนเราในอดีต”

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดราวกับว่าเป็นแม่แก่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยสะพรั่งที่สุดเลยนะ”

เทียบกับเมื่อก่อนถังเชียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ ทำให้นางมีรัศมีที่แตกต่างออกไป มิฉะนั้นราชันไป่หลิงคงจะไม่ถูกดึงดูดมา

“แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ?” ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจในใจขณะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ลั่วหลีล่ะ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่พานางมาให้ลุงมู่ดูตัวล่ะ”

“นางสบายดี ตอนนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ข้าจะพานางมาแน่เมื่อมีโอกาสในอนาคต” มู่เฉินยืดเอวขึ้น

มองมู่เฉินที่เหมือนบ่นไม่พอใจแต่ก็ยังยิ้ม สายตาของถังเชียนเอ๋อก็กะพริบพร้อมกับประกายแสงเบาบาง แต่ไม่นานนางก็ได้สติล้อว่า “คิดว่าเจ้ายังจีบนางไม่ได้ซะอีก นางช่างโดดเด่นมาก เจ้าจับสายตาของนางไว้ได้อย่างไร?”

มู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

“จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่เลวแล้ว” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของถังเชียนเอ๋อขณะที่พูดต่อ “ข้าจะบอกท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ หลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง พวกนางยังจำเจ้าได้แม่นเลย เพราะในศึกเบญจภาคีเจ้าแย่งบทไปหมดเลย”

มู่เฉินเกาหัวแกรกกราก พอย้อนคิด ตอนนั้นเขาบ้าบิ่นจริงๆ

“ข้าจะกลับไปที่สำนักวั่นหวงในอีกไม่กี่วันนี้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะกลับมาเมื่อไร” ถังเชียนเอ๋อกอดเข่าขณะมองไปบนท้องฟ้า

“วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศึกษาวั่นหวง” มู่เฉินปลอบใจก่อนจะดึงป้ายหยกออกมาหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง

“พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ทำลายมันหากมีอันตรายเกิดขึ้น แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าทันที”

ถังเชียนเอ๋ออึ้งไปเมื่อมองป้ายหยก ก่อนที่จะรับไว้ แม้ว่าป้ายหยกจะเย็นเมื่อสัมผัส แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นนางก็เอาเชือกแดงคล้องไว้แนบหน้าอก

“อย่างน้อยเจ้าก็มีจิตสำนึกบ้าง” นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้น

“ก่อนข้าจะไป เราหาเวลาไปเยี่ยมสำนักศึกษาเป่ยชางหน่อยเถอะ…”

“ได้”

ถังเชียนเอ๋อโบกมือก่อนที่จะพลิ้วตัวลงจากศาลาและจากไป

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของถังเชียนเอ๋อ มู่เฉินก็ยิ้มและเริ่มคิดถึงหญิงคนรักอีกครั้ง…

“นางน่ารักดีนะ เจ้ารับมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่อีกคนไหมล่ะ” เสียงหัวเราะหวานดังก้อง มู่เฉินรีบหันกลับไปก็เห็นชิ้งเหยี่ยนจิ้งมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

มู่เฉินท่าทางอึดอัดใจ แต่ก็ส่ายหัวให้

ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวมู่เฉิน “ไม่งั้นก็รีบพาลั่วหลีมาเยี่ยมบ้าน ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางน่ารักดีนะ”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเคยพบลั่วหลีมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความประทับใจอย่างมากกับคนรักของบุตรชาย

ฟังคำพูดของมารดา มู่เฉินก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“โอ้ ใช่ ท่านแม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ไหม? จะดีมากถ้าสามารถเชื่อมต่อกับกองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่” มู่เฉินถามขึ้นทันทีหลังจากนึกบางอย่างได้

อนาคตเขาไม่สามารถอยู่ในมณฑลเป่ยหลิงได้เป็นเวลานาน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงบิดา ดังนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อที่เขาจะได้ดูแลทวีปไป่หลิงได้ด้วย แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย

เนื่องจากทวีปไป่หลิงและทวีปเทียนหลัวอยู่ห่างไกลกันมาก ตัวมู่เฉินเองยังไม่สามารถสร้างได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้น

“ค่ายกลระยะไกลเชื่อมโยงไปยังทวีปเทียนหลัวเหรอ?” หลังจากไตร่ตรองชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้า “คงมีเพียงหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเท่านั้นที่ทำได้น่ะ”

มู่เฉินดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง

“แต่แม่ต้องการพิกัดพื้นที่ของอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”

มู่เฉินไม่แปลกใจกับคำพูดนี้ เขายิ้ม “ท่านแม่อย่าลืมว่าลูกชายของท่านก็เป็นหลิงเจิ้นซือด้วยนะ แล้วข้าจะไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร? ข้าเตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากตำหนักมู่แล้ว”

พูดจบผลึกแก้วสีเงินก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนของมิติที่หนาแน่น

นี่คือหินมิติซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ก้อนในมือเขาคือหินหลัก ส่วนหินรองถูกทิ้งไว้ในค่ายกลของตำหนักมู่แล้ว

เมื่อได้รับหินมิติไป ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ครึ่งเดือนถัดจากนี้ข้าก็น่าจะสร้างได้เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถเดินทางไปกลับได้โดยไม่ต้องผ่านหลายทวีปแล้ว…”

รอยยิ้มกว้างกระจายบนใบหน้าของมู่เฉินก่อนที่จะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น

“ท่านแม่สุดยอด!”

พวกฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นผุดทั่วแผ่นหลัง

ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือดลง พวกเขารู้สึกกลัวอย่างชัดเจน หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเพียงแค่คิดก็สามารถดักจับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ในโลกค่ายกลนางก็ฆ่าพวกเขาได้ในพริบตา…

นี่คือช่องว่างระหว่างขั้นเซิ่งและขั้นเซียน

คล้ายกับราชันที่ยืนอยู่ต่อหน้าจอมราชัน แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นกษัตริย์ แต่จอมราชันก็สามารถล้างเผ่าพันธุ์ได้เพียงแค่คิด…

“ผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู?”

กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงงงงวยไปขณะมองชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากความแตกต่างของระดับชั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าโบราณอย่างเผ่าฝูถูได้

ในสายตาของพวกเขาแค่ขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อยู่ไกลเกินเอื้อมแล้ว ส่วนพวกเผ่าโบราณที่อยู่บนยอดพีระมิดก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเขาจะรับรู้ได้

ทว่าแม้จะสงสัยว่าผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูคืออะไร แต่เมื่อมองไปท่าทางของพวกฉิงเป่ยเฉวียน พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามันน่ากลัวเพียงใด

เพราะแม้แต่พลังที่มู่เฉินแสดงออกมา ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งสี่ดูหวาดกลัวได้…

ดังนั้นจึงบอกได้ว่าการขู่ขวัญของชิงเหยี่ยนจิ้งขั้นสูงกว่ามู่เฉินมาก

อึก

ภาพนี้ทำให้หลายคนกลืนน้ำลาย ขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยความเคารพ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าจอมยุทธ์ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่มู่เฉิน แต่เป็นสตรีที่พวกเขาปฏิบัติเหมือนนางเป็นคนธรรมดา…

เทียบกับความดุดันของมู่เฉิน นางคล้ายกับพระโพธิสัตว์ที่ละซึ่งกิเลสแล้ว

แม้แต่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่สนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งเมื่อครู่ ยังรู้สึกว่าหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น พวกเขาพูดคุยกับคนที่น่ากลัวเช่นนี้ก่อนหน้าได้อย่างไร เมื่อนึกย้อนหัวใจของพวกเขาเต้นแรงเลยทีเดียว…

“ฮ่าๆ ดูเหมือนเมียข้าเจ๋งกว่าลูกชายนะเนี่ย” ตรงข้ามกับคนอื่น มู่เฟิงกลับเป็นคนที่สงบที่สุดขณะที่หัวเราะเยาะมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของบิดาก็กลอกตาอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านพ่อ!”

เมื่อราชันไป่หลิงมองภาพนี้ เขารู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด “ท่านพ่อต้องแก้แค้นให้ข้าสิ! ท่านปล่อยมันไปไม่ได้นะ!”

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากำลังหนุนของเขาจะไม่สามารถทำให้ครอบครัวของมู่เฉินคุกเข่าต่อหน้าได้ ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังต้องก้มลงคารวะ ทำให้เขาเสียหน้ามาก

“หุบปากไอ้ลูกโง่!”

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนเขียวคล้ำ ก่อนที่จะโบกมือตบลงบนใบหน้าของราชันไป่หลิง ทำให้ร่างเขากระเด็นไปชนกับกำแพง ฉิงเป่ยเฉวียนจ้องมองอย่างเย็นชา “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองยังสร้างปัญหาไม่พออีกรึ?!”

ยามนี้ฉิงเป่ยเฉวียนยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย หากไม่ใช่เพราะสหายสนิทเอ่ยเตือนและหากพวกเขาพุ่งไปจัดการมู่เฉินแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ความโกรธของชิงเหยี่ยนจิ้งอาจทำให้ตำหนักปลายเหนือของเขาอันตรธานเป็นอากาศธาตุ

ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเขารู้ว่าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งน่ากลัวเพียงใดและเขาก็รู้ดีถึงพลังอำนาจของเผ่าฝูถูด้วย…

เพียงแค่คิดว่าสำนักเกือบจะถูกทำลายโดยลูกชายบังเกิดเกล้า เขาก็รู้สึกทั้งกลัวและโกรธในใจ

ยามนี้ใบหน้าของราชันไป่หลิงบวมเป่ง เขามองไปที่บิดาด้วยความตกตะลึง ทว่าความเจ็บปวดบนใบหน้าทำให้สมองเขาชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นทั่วร่างก็เย็นเยือกลง

ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ว่าท่านพ่อไม่อยากแก้แค้นให้ แต่เป็นเพราะคนที่เขาท้าทายทรงพลังจนท่านพ่อยังหวาดกลัว

แม่ลูกคู่นี้เป็นอะไรที่พวกเขาไม่สามารถท้าทายได้

ยามนี้กองหนุนของราชันไป่หลิงถูกริดออกไปอย่างสิ้นเชิง เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัวและเริ่มตัวสั่นเทา

“เป่ยเฉวียน! ท่านกำลังทำบ้าอะไร?”

เมื่อหลิ่วไป่ฮวาพุ่งเข้ามาในโถง ดวงตานางก็แทบลุกเป็นไฟ เมื่อนางเห็นฉิงเป่ยเฉวียนตบบุตรชายที่นางรักดั่งแก้วตาดวงใจ

“เจ้าก็หุบปากไป!”

แต่คำพูดของนางกลับได้รับการตอบสนองด้วยสายตาเย็นชาของฉิงเป่ยเฉวียน “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาหายไป ก็ตั้งสติหน่อย!”

หลิ่วไป่ฮวาตัวสั่นขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างหวาดกลัว ในระยะดังกล่าวนางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คลุมเครือที่มาจากอีกฝ่าย

ภายใต้ความกดดันนี้นางไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป แม้ว่าจะรู้สึกไม่เต็มใจก็ตาม

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็ทอดถอนหายใจ ดูเหมือนว่าราชันไป่หลิงได้เตะกำแพงเหล็กครั้งนี้เข้าให้ แต่ใครจะคิดว่าประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงจะมีการสนับสนุนที่น่ากลัวเช่นนี้…

ภรรยาของเขาคือผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู มิหนำซ้ำบุตรชายของเขาก็ได้ปราบปรามฉินเป่ยเฉวียนด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจิตใจพังทลาย เพราะไม่ว่าพวกเขาจะมองยังไงพลังของมู่เฟิงไม่ถึงขอบเขตระดับจื้อจุนด้วยซ้ำ…

หลังจากปิดปากบุตรชายและฮูหยินของตนเองแล้ว ฉิงเป่ยเฉวียนก็หันไปหาชิงเหยี่ยนจิ้งพลางประสานมือด้วยความเคารพสีหน้าขมขื่น “เรื่องในวันนี้ลูกชายข้าสมควรได้รับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการลงโทษยังไง?”

ชิงเหยี่ยนจิ้งขมวดคิ้วไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก นางส่ายหัว “ลูกชายข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ไปถามเขาดูเถอะ”

มู่เฉินเหลือบมองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียนพูดอย่างใจเย็น “ประมุขฉิง ราชันไป่หลิงรังแกผู้คนไปทั่วเนื่องจากการสนับสนุนของพวกท่าน คนอื่นก็ทำได้แค่คิดว่าโชคร้าย แต่วันนี้เขารังแกครอบครัวข้า ก็เลยเป็นพวกท่านที่ต้องโชคร้ายแทน”

ฉิงเป่ยเฉวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นเพราะนี่ยุติธรรมแล้ว ลูกชายบังเกิดเกล้าคนนี้คุกคามผู้อื่นเหมือนเป็นทรราช แต่พวกเขาก็ปิดปากคนทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้เขาไปยั่วยุใครบางคนที่ไม่ควรทำ เขาก็ต้องได้รับบทเรียนด้วยตัวเอง

“ประมุขมู่จัดการตามที่ต้องการได้เลย” เขาก็เด็ดขาดใช้ได้ ในเมื่อไม่สามารถต่อต้านได้ก็ไปตามน้ำซะจะดีกว่า

“ท่านเป็นคนฉลาด” มู่เฉินยิ้ม ฉิงเป่ยเฉวียนเป็นคนยืดได้หดได้ สมกับเป็นประมุขสำนักใหญ่

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทวีปไป่หลิงไม่ใช่ของตำหนักปลายเหนืออีกต่อไป พันธมิตรเป่ยหลิงจะเข้ามาจัดการแทน”

คำพูดของเขาก่อให้เกิดความปั่นป่วน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปไป่หลิงต่างตกตะลึง หากเป็นเช่นนั้นเจ้าเหนือหัวของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นมู่เฟิงไม่ใช่หรือ?

พวกเขารู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพันธมิตรเป่ยหลิงถือได้ว่าเป็นขั้วอำนาจระดับกลางเท่านั้น แต่ตอนนี้ขึ้นมาเทินอยู่บนหัวของพวกเขาแล้ว

แต่ความไม่สบายใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านแทนเมื่อสายตามู่เฉินกวาดมองมา พวกเขาตระหนักได้ถึงโง่เขลาของตน ด้วยฮูหยินและบุตรชายที่ทรงพลังเช่นนี้ ใครจะกล้าดูถูกพันธมิตรเป่ยหลิงอีก?

หลังจากลังเลชั่วครู่ ฉิงเป่ยเฉวียนก็ขบฟันพยักหน้า “ได้ ตำหนักปลายเหนือของข้ายอมรับข้อเสนอเป็นการขอโทษพวกเจ้า”

แม้ว่าตำหนักปลายเหนือจะได้รับผลกระทบหนักหากไม่มีทวีปไป่หลิง แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้

“นอกจากนี้ลูกชายของท่านยังทำร้ายครอบครัวของข้าด้วยการกระทำที่เลวทราม ตอนแรกเขาควรตายด้วยซ้ำ แต่ข้าจะไว้ชีวิตเขาเพื่อเห็นแก่หน้าท่าน” มู่เฉินพูดเบาๆ

ขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกโล่งใจ เสียงของมู่เฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แม้เขาจะรอดจากความตายได้ แต่ก็ไม่รอดจากการลงโทษ”

เมื่อมู่เฉินพูดจบ เจดีย์ผลึกแก้วก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะบินไปทางราชันไป่หลิงที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด

ฮึ่ม ฮึ่ม

ผลึกแสงพุ่งลงมาและก่อตัวเป็นอักขระผลึกแก้วบนร่างราชันไป่หลิงอย่างรวดเร็ว อักขระเหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนโซ่ที่ทิ่มแทงเนื้อของราชันไป่หลิง

เมื่ออักขระผลึกแก้วถูกสร้างขึ้น ราชันไป่หลิงก็ต้องสะพรึงกลัว เมื่อพบว่าคลื่นหลิงของเขาถูกปิดผนึกทั้งหมด

“คลื่นหลิงของเขาจะถูกปิดผนึกเป็นเวลาห้าสิบปี”

เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้อง ราวกับเป็นการโจมตีหนักหน่วงไปยังราชันไป่หลิง

“แก!” เมื่อหลิ่วไป่ฮวาเห็นสิ่งนี้ นางก็กัดฟันพร้อมกับความโกรธแค้นในดวงตา

“และเจ้า!”

ทว่ายามนี้สายตาเย็นชาของมู่เฉินก็พุ่งเข้ามา “เจ้าลบหลู่ดูหมิ่นครอบครัวของข้า ไม่ควรให้อภัยเช่นกัน!”

มู่เฉินโกรธหญิงไร้เหตุผลคนนี้มาก เป็นเพราะนางราชันไป่หลิงถึงทำอะไรไม่กลัวเกรง มิหนำซ้ำนางยังดูถูกบิดาเขา ผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรได้รับการละเว้น

ฟิ้ว!

เจดีย์ผลึกแก้ววาบไปปรากฏเหนือร่างหลิ่วไป่ฮวา ผลึกแสงกระจายลงมาห่อหุ้มร่างนางไว้

หลิ่วไป่ฮวาฉายความหวาดผวาบนใบหน้า ก่อนที่จะหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อตอบโต้ แต่เมื่อคลื่นหลิงของนางสัมผัสกับผลึกแสงก็พังทลายลง เพียงสิบกว่าลมหายใจก็กลายเป็นอักขระผลึกแก้วบนร่างกายของนาง…

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายของหลิ่วไป่ฮวาก็อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

พลังในปัจจุบันของมู่เฉินยังไม่สามารถปิดผนึกคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาสามารถทำให้อ่อนแอลงได้ ยามนี้หลิ่วไป่ฮวาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น

“ผนึกนี้จะมีอายุยี่สิบปีและจะสลายไปเอง”

ใบหน้าของหลิ่วไป่ฮวาซีดขาว นางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สูงส่ง แต่ตอนนี้ถูกลดสถานะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน นี่เป็นการระเบิดนางครั้งใหญ่เลยทีเดียว

ทั้งโถงเงียบ ทุกคนตกใจกับวิธีการของมู่เฉิน การปิดผนึกคลื่นหลิงของราชันไป่หลิงและหลิ่วไป๋ฮวาได้สิ่งนี้น่ากลัวเพียงใด?

เมื่อมู่เฉินพูดจบก็หันไปหาฉิงเป่ยเฉวียนถามว่า “ประมุขฉิงมีข้อคัดค้านเกี่ยวกับการลงโทษของข้าหรือไม่?

ฉิงเป่ยเฉวียนส่ายหัวด้วยความขมขื่น เขารู้ว่ามู่เฉินผ่อนปรนมากแล้ว ในมหาพันภพความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทำลายล้างจนถึงจุดที่สามารถทำลายตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาได้ทั้งหมดเลยทีเดียว

ดังนั้นนี่ถือว่าดีกว่ามากเมื่อราชันไป่หลิงและหลิ่วไป่ฮวาแค่ถูกปิดผนึกคลื่นหลิง

“ในเมื่อเป็นเช่นนนี้ วันนี้ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ในอนาคตหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพันธมิตรเป่ยหลิงข้าจะไปเยี่ยมท่านเป็นการส่วนตัว” มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย เขาไม่สามารถอยู่ในทวีปไป่หลิงได้ตลอดไป ถ้าเขาและชิงเหยี่ยนจิ้งต้องไป พันธมิตรเป่ยหลิงก็ไม่สามารถทนต่อการแก้แค้นของฉิงเป่ยเฉวียนได้

ฉิงเป่ยเฉวียนรู้ความหมายเบื้องหลังคำพูดของมู่เฉินดี เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้งแล้ว เขาจะกล้าแก้แค้นได้อย่างไร?

“งั้นวันนี้พวกข้าขอตัวก่อน”

ฉิงเป่ยเฉวียนโบกมือคลื่นหลิงตรงไปห่อหุ้มราชันไป่หลิงและหลิ่วไป่ฮวา ก่อนที่เขาจะประสานมือไปทางมู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้งแล้วจากไป จอมยุทธ์อีกสามคนก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

พร้อมกับการไปของพวกฉิงเป่ยเฉวียน ความกดดันที่น่ากลัวที่ครอบงำพื้นที่ก็หายไป

ทว่าทุกคนรู้ดีว่าในอนาคตทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนไปครั้งใหญ่

ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ต้องรีบเตรียมของขวัญและมุ่งหน้าไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อสวามิภักดิ์แล้ว…

ทั้งโถงเงียบงันเมื่อเสียงระมัดระวังดังขึ้น

ยิ่งกว่านั้นฉิงเป่ยเฉวียนและพรรคพวกอีกสองคนก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความตกใจ

“พี่หลู่ เจ้า?!” ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนไม่น่าดู เขาไม่รู้ว่าทำไมสหายของเขาถึงมีมารยาทและหวาดกลัวต่อชายหนุ่มคนนี้

นี่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนมีสีหน้าประหลาดใจ

ผู้คนในโถงก็หันมามองหน้ากัน

มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงมู่เฉินแห่งตำหนักมู่ของทวีปเทียนหลัว นั่นก็คือข้าเอง”

หลังจากได้รับการยืนยันจากมู่เฉิน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยพร้อมกับความกลัวรวมตัวในดวงตามากขึ้นก่อนที่จะประสานมือคารวะ “ท่านประมุขสินะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง”

“พี่หลู่!” ฉิงเป่ยเฉวียนเรียกอีกครั้ง

เขาถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิงเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่มีมายาวนาน ข้าขอแนะนำให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไปซะ”

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนบิดเบี้ยวเล็กน้อย จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ตามมาอีกสองคนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถามว่า “พี่หลู่ ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”

เวลานี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มีต่อมู่เฉินถึงให้โง่แค่ไหนก็ตาม เนื่องจากกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหวาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงที่พวกเขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเลย

อีกฝ่ายถอนหายใจ “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทวีปฝูถู ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ประมุขมู่ไปเยือนเผ่าฝูถูและเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าด้วยตัวคนเดียว จนสุดท้ายผู้อาวุโสใหญ่ฝูถูเฉวียนต้องออกโรงเองเพื่อหยุดเขาไว้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เปลี่ยนไป เขารู้เกี่ยวกับสถานะของเผ่าฝูถูในมหาพันภพ นั่นเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่มีรากฐานทรงพลัง

แม้แต่ตำหนักปลายเหนือของเขาก็เทียบไม่ติดกับเผ่าโบราณ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว

ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อเขาสามารถบีบให้ฝูถูเฉวียนเคลื่อนไหวได้

“เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเองนะ” อีกสองคนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อมาก จำนวนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของเผ่าฝูถูมีมากกว่านิ้วบนสองมือ พวกเขาสามารถเป่ามู่เฉินตายได้ด้วยจำนวนเพียงอย่างเดียว

“ตอนนั้นเขาควบคุมค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูเพื่อปราบปรามผู้อาวุโสทั้งหมด แม้แต่ประมุขตระกูลเฉวียนและมั่วที่เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” อีกฝ่ายยังคงอธิบายต่อไป

เมื่อทั้งสองคนได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น มู่เฉินไม่บ้าระห่ำไปหน่อยเหรอ? เขาทำบางอย่างที่น่ากลัวขนาดนี้แล้วจะไม่ทำให้เผ่าฝูถูขุ่นเคืองเรอะ?

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนดูเคร่งขรึมลง แต่ก็รู้สึกโล่งใจลงส่วนหนึ่ง ที่แท้มู่เฉินก็แค่อาศัยค่ายกล พลังนั้นไม่ได้เป็นของเขา

“ถึงมันจะประสบความสำเร็จได้แบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นต้องกลัวมันมากขนาดนี้หรอกมั้ง? มันสร้างความระแคะระคายให้เผ่าฝูถู ยังไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแบบนี้ได้เหรอ?” ฉิงเป่ยเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม

ความสำเร็จของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องกลัวได้

อีกฝ่ายส่ายหัวตอบว่า “อย่าดูถูกที่ขุมพลังเขาต่ำไป เขาเอาชนะผู้อาวุโสระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูได้โดยอาศัยความสามารถของตนเอง”

“ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าคิดว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอันตรายแม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูแล้ว?”

คำพูดของเขาทำให้ทั้งสามคนใจสั่นทันที ตระกูลเก่าแก่แบบเผ่าฝูถูไม่ยอมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน การกระทำของมู่เฉินถือได้ว่าทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า ตามหลักเหตุผลเผ่าฝูถูไม่ควรปล่อยเขาให้มาลอยหน้าลอยตาในมหาพันภพได้ง่ายๆ แล้วทำไมเขายังสามารถทำหน้าระรื่นที่เบื้องหน้าพวกเขาได้อีก…

นั่นหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าแม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้!

“มู่เฉินมีมิตรภาพลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู หลังจากที่เขาคว่ำเผ่าฝูถูได้ ทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรสงครามก็ยังให้การสนับสนุนเขาต่อ” เสียงต่ำยังคงอธิบายต่อไป

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นยอดยุทธ์ในตำนานที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ พวกเขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก

กระนั้นมู่เฉินก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขา? มากถึงขนาดที่ว่าพวกเขายอมเป็นศัตรูกับเผ่าฝูถูให้ด้วย?

“มิน่าล่ะ…เมื่อเทพจักรพรรดิทั้งสองสนับสนุนเขา แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องเกรงกลัว” พรรคพวกสองถอนหายใจ

อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดต่อ “นั่นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมมู่เฉินถึงไปอาละวาดที่เผ่าฝูถู? เขาไปช่วยเหลือมารดา”

“บิดามารดาของเขาพบรักกันในทวีปไป่หลิง ทำให้เผ่าฝูถูโกรธแค้นและกักขังนางไว้ มู่เฉินเลยไปช่วยมารดาออกมา”

“ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน… เมื่อนางออกมาได้ก็ชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของฝูถูเฉวียนไป มิหนำซ้ำนางยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งอีกด้วย นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถูก็คือมารดาของเขา”

คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสามอ้าปากค้างพร้อมกับความตกตะลึงฉายบนใบหน้า มารดาของมู่เฉินคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูเรอะ!

ไม่น่าแปลกใจที่มู่เฉินไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแม้จะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เพราะมารดาเขาถืออำนาจสูงสุด!

จอมยุทธ์สองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเริ่มมีความคิดที่จะถอยออกมาแล้ว เนื่องจากพวกเขารู้ดีถึงผลที่ตามมาของการทำให้มู่เฉินขุ่นเคือง

ไม่เพียงแต่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าฝูถูด้วย…

ขั้วอำนาจเหล่านี้ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ สามารถทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงปลายก้อย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ได้รับความเคารพจากผู้อื่นนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็รู้ระยะห่างของตนเองเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…

ด้วยภูมิหลังแบบนี้ คงมีไม่กี่คนในมหาพันภพที่จะกล้าแหย่มู่เฉิน

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนซีดขาว ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีภูมิหลังเช่นนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว

ในขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนลังเล เขาก็เห็นสีหน้าของสหายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะอดถามออกมาไม่ได้ “มีอะไรอีก?”

ดวงตาของสหายกะพริบ สายตาเขากวาดผ่านห้องโถงมองไปที่ภาพเงาที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง ก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด “เจ้าเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม? นางดูเหมือนมารดาของมู่เฉินเลย…”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ฉิงเป่ยเฉวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตใจระเบิดด้วยความกลัว ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นบนใบหน้าของสหายอีกสองคนด้วย ตอนแรกพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับใครในห้องโถง แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามองไปอย่างระมัดระวังก็รู้สึกถึงแรงกดดันคลุมเครือปลดปล่อยมาจากนาง

“ใช่! ใช่! นางเป็นมารดาของมู่เฉินและเป็นผู้อาวุโสใหญ่ปัจจุบันของเผ่าฝูถู ชิงเหยี่ยนจิ้ง!” ในที่สุดเสียงเขาก็ยืนยันและแสดงรอยยิ้มบิดเบ้ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้

สหายอีกสองคนก็รู้สึกถึงแกนกระดูกสั่นสะท้าน พวกเขากำลังคิดจัดการลูกชายของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่อหน้านางเชียวเหรอ? พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาลงมือทำจริงๆ

จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิง เราเกือบไปเยี่ยมนรกเพราะเจ้าแล้ว”

น้ำเสียงของพวกเขาฟังเหมือนคร่ำครวญ ไม่มีปัญหาที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะเรียกพวกเขามาช่วย ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะงัดข้อกับใคร นั่นก็คล้ายกับการขุดหลุมเพื่อให้พวกเขากระโดดเข้าไป

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นความผิดของข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าไอ้ลูกโง่จะสร้างปัญหาเช่นนี้”

“เดี๋ยวข้าไปพบนางและดูว่าสามารถยุติเรื่องนี้ได้หรือไม่”

ฉิงเป่ยเฉวียนต้องการตรวจสอบและดูว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูจริงหรือไม่

พรรคพวกทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย

ดังนั้นทั้งสี่ซึ่งตอนแรกมาด้วยท่าทางดุร้ายก็พลิ้วตัวลงมาจากหลังคา

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”

ใบหน้าของราชันไป่หลิงเต็มไปด้วยความปีติยินดีขณะที่ตะโกน

ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรชาย เขาตรงมาที่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงและประสานมือให้กับชิงเหยี่ยนจิ้งที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง

“ไม่ทราบว่าใช่ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูหรือไม่?”

เสียงกังวลของฉิงเป่ยเฉวียนดังก้องภายในโถง ทำให้ความสุขบนใบหน้าราชันไป่หลิงแข็งค้าง ขณะมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อเหมือนกันผู้นำคนอื่นๆ

กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่ตอนแรกสนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรอยยิ้มก็ต่างตกใจ พวกเขามองไปที่นางพลางกลืนน้ำลายลงคอ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ถึงเข้ามาคารวะชิงเหยี่ยนจิ้ง

เมื่อมองไปที่ท่าทางเต็มไปด้วยมารยาทของพวกเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือชิงเหยี่ยนจิ้ง”

คำพูดของนางเหมือนถังน้ำเย็นที่ราดรดทำให้ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกเย็นสะท้านจับจิต

พวกเขาตาบอดจริงๆ ที่ทำเป็นลิงหลอกเจ้าต่อหน้าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…

เสียงคำรามดังก้องทั่วขอบฟ้าสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน

แรงกดดันพลังงานหลิงจากฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ดุร้ายเท่าหลิ่วไป่ฮวา แต่คล้ายกับคลื่นใต้น้ำของมหาสมุทรที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวอย่างเงียบๆ

ทุกสายตาพากันหวาดกลัวเมื่อมองไปที่ภาพเงาบนท้องฟ้า ผู้มาใหม่มีร่างกำยำสวมชุดสีฟ้าอมเขียว คลื่นหลิงในดวงตาก็ถูกปกปิดไว้ หากไม่ใช่เพราะความกดดันที่น่ากลัว ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง

ทว่าทุกคนที่นี่รู้ดีว่าคนผู้นี้มีสถานะอย่างไร…

เขาคือประมุขตำหนักปลายเหนือและยังเป็นเจ้าทวีปทั้งสี่ที่มีทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นพร้อมกับชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ

แม้แต่ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ผู้นี้ก็เป็นเจ้าเหนือหัว

“ท่านพ่อ!”

ราชันไป่หลิงรู้สึกยินดีในทันที

“เป่ยเฉวียนอย่าปล่อยให้ไอ้เวรนั่นหลุดไป!” หลิ่วไป่ฮวาฟื้นจากอาการตกใจก็กัดฟันกรอด

นางโกรธมาก ตอนแรกนางคิดว่าอย่างมากมู่เฉินก็อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกปราบได้หลังจากการแลกเปลี่ยนเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น

ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวนักทำให้นางหวาดกลัว ดังนั้นนางต้องการให้ฉิงเป่ยเฉวียน จัดการฆ่ามู่เฉินที่นี่ซะ

กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงเพิ่งรู้สึกโล่งใจที่มู่เฉินเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย พริบตาหัวใจพวกเขาก็เหมือนถูกควักพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด แม้พวกเขาจะอยู่ไกลจากระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้ช่องว่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิง

ตำหนักปลายเหนือมีอิทธิพลมากในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถครอบครองสี่ทวีปได้ สำหรับเหตุผลที่พวกเขาประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มาจากขุมพลังของฉิงเป่ยเฉวียนที่อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน

แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถือไพ่เหนือกว่าฉิงเป่ยเฉวียนได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฉิงเป่ยเฉวียนยังนำผู้ช่วยสามคนมาในครั้งนี้ด้วย

ดังนั้นเท่ากับว่าอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคน นี่เป็นการรวมตัวที่น่าทึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนหนังหัวชาหนึบได้เลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินกลับไม่มีการแสดงออกบนใบหน้า เขามองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียนอย่างใจเย็น “เจ้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือ— ฉิงเป่ยเฉวียนเรอะ?”

“ข้าเอง” ฉิงเป่ยเฉวียนตอบเบาๆ

“แล้วเจ้ารู้สถานการณ์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในวันนี้หรือไม่?”

ท่าทางของฉิงเป่ยเฉวียนไม่แยแส เขาได้รับข้อมูลจากผู้อาวุโสหลู่ที่ไปหาแล้ว “ลูกชายข้าเป็นฝ่ายผิดก็จริง แต่เจ้าตัดแขนของเขาสองข้างไม่เกินไปเรอะ”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินยิ้มขณะตั้งคำถาม “ถ้าข้ามาช้าอีกก้าวเดียว บิดาข้าคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บแล้ว สหายข้าก็อาจต้องอับอาย เจ้าคิดว่าลูกชายตัวเองสูงส่งกว่าบิดาและสหายของข้ารึไง?”

ถึงแม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ไอ้เวร ลูกชายข้าเกิดมาพร้อมเกียรติยศศักดิ์ศรี เขาสูงส่งกว่าพวกแกโดยธรรมชาติ!” หลิ่วไป่ฮวาหัวเราะเยาะ ในเมื่อฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ที่นี่แล้วความมั่นใจของนางก็เพิ่มขึ้นคับฟ้า

เมื่อมู่เฉินได้ฟังสายตาก็วูบไหว “หยุดสาระแน! แกคิดว่าสิ่งนี้สามารถปกป้องตัวเองได้จริงๆ หรือ?”

ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ ทันใดนั้นเพลิงม่วงบนกระดองเต่าฟ้าก็ระเบิดขึ้น เปลวไฟพุ่งเข้าใส่กระดองเต่าอีกครั้ง

ตู้ม!

ด้วยพลังเต็มพิกัดของเพลิงม่วง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงก็แผ่ออก ทำให้พื้นโดยรอบละลายพร้อมกับเกิดเสียงร้องโหยหวน

เห็นได้ชัดว่าเต่าฟ้าตัวนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง แต่ก็ยังไม่สามารถทนต่อเพลิงม่วงที่ครอบงำได้ ใต้กองไฟกระดองเต่าก็มีร่องรอยของการหลอมละลาย

ตึง!

เพลิงม่วงทำให้ความสามารถในการป้องกันของกระดองเต่าลดลงพร้อมกับพลังมหาศาลทุบกระดองเต่าลงกับพื้น ก่อนที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

หลุมอุกกาบาตขนาดหมื่นจั้งปรากฏภายในเมือง ร่างหลิ่วไป่ฮวาไหม้เป็นตอตะโก แม้แต่เรือนผมก็ถูกไฟไหม้จนหมด กระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวก็สลัวลง หากไม่ใช่เพราะกระดองเต่ารับแรงส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกำปั้น คงจะทำให้กายาหลิงเทียนจุนของหลิ่วไป่ฮวาป่นปี้ไปหมดแล้ว

แต่กระนั้นนางก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ความไม่เชื่อกระจายบนใบหน้า นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะ กล้าทำร้ายนางต่อหน้าฉิงเป่ยเฉวียน

“อ๊ายๆๆๆ!”

หลิ่วไป่ฮวาแผดร้องด้วยความโกรธก่อนที่จะตะโกนลั่น “เป่ยเฉวียน เร็ว ฆ่ามัน!”

แม้แต่ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็ดูน่าเกลียดไปในตอนนี้ การกระทำของมู่เฉินไม่มองเขาอยู่ในสายตาเลย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธ เสียงแผดดังก้อง “ในเมื่อแกกล้ามาก ข้าก็จะจับแกมาจัดการในวันนี้!”

พูดจบกระดองเต่าสีฟ้าที่ปกป้องหลิ่วไป่ฮวาก็เริ่มขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดหลายหมื่นจั้ง

เต่าสีฟ้าโผล่ออกมาด้วยท่าทางน่ากลัว ขณะที่อ้าปากพ่นสายธารสีฟ้าที่ทุกหยดหนาแน่นราวกับภูเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินเอาไว้ภายใน

“ฮ่าๆ ตอนนี้เต่าทะเลเหนือของพี่ฉิงทรงพลังมาก ภายใต้สายธารไม่มีจอมยุทธ์คนใดที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนสามารถต้านได้” หนึ่งในสามจอมยุทธ์ที่มาพร้อมกับฉิงเป่ยเฉวียนพูดด้วยรอยยิ้ม

อีกสองคนก็พยักหน้า พวกเขารู้เกี่ยวกับสายธารสีฟ้าเช่นกัน เส้นทางตอนที่ฉิงเป่ยเฉวียนก่อตั้งตำหนักปลายเหนือ เต่าทะเลเหนือตัวนี้ก็ติดตามฉิงเป่ยเฉวียนเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่รู้กี่คน

เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิงชายหนุ่มก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับฉิงเป่ยเฉวียน

“เต่าทะเลเหนือเรอะ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเต่า เต่าทะเลเหนือตัวนี้เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เมื่อโตเต็มที่ ฉิงเป่ยเฉวียนคงได้รับแก่นโลหิตและนำไปกลั่นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง

โดยปกติแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นบวกกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง จะสามารถจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้ แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้ธรรมดาแบบนั้น

“ดูเหมือนการพูดด้วยเหตุผลกับครอบครัวแกจะไร้ประโยชน์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คุยด้วยหมัดละกัน”

มู่เฉินส่ายหัวด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว ทันใดนั้นลวดลายแพรวพราวทั้งเก้าก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา

ในเวลาเดียวกันแสงยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้นด้านหลังมู่เฉินซึ่งดูลึกซึ้งไม่น่าเชื่อ นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ามิติและเวลา

“แสงเทพปฐมกาล”

มู่เฉินเปล่งเสียงเย็นชาในใจ ลำแสงก็พุ่งผ่านสายธารสีฟ้าไป

วาบ!

เมื่อลำแสงส่องเข้ามาสายธารสีฟ้าก็หายไปทันที เพิ่มร่องรอยสีฟ้าในกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะของมู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ กลุ่มแสงยุ่งเหยิงยิงออกมาอีกครั้ง ทะลุผ่านมิติบินไปหาเต่าสีฟ้า

วาบ!

เมื่อลำแสงพุ่งไป เต่าสีฟ้าก็หายไปก่อนที่เต่าสีฟ้าขนาดเท่าฝ่ามือจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะมู่เฉิน

ราวกับว่ากลุ่มแสงยุ่งเหยิงนี้สามารถยับยั้งทุกสรรพสิ่งได้…

“อะไรน่ะ?!” ภาพนี้ทำให้ม่านตาของฉิงเป่ยเฉวียนหดลง จอมยุทธ์ทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เปลี่ยนสีหน้าด้วยความไม่เชื่อ

พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเต่าทะเลเหนือของฉิงเป่ยเฉวียนจะเปราะบางขนาดนี้ในมือของชายหนุ่ม

“วิชาเทพที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั่นคืออะไรกัน? ทำไมถึงครอบงำนัก?!” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดด้วยความตกตะลึง

ทุกคนในโถงใบหน้าแข็งค้าง ฉากนี้เกินจินตนาการของพวกเขาไปไกลแล้ว

ยามนี้กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกใจจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าอะไรดี

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เคร่งเครียดอย่างแท้จริง เขามองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินด้วยความกลัว ก่อนที่เขาจะหันกลับและประสานมือ “สหาย ข้าเกรงว่าต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนในครั้งนี้แล้ว”

ตอนนี้ฉิงเป่ยเฉวียนไม่คิดกับมู่เฉินเหมือนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาอีกต่อไป ความสามารถในการต่อสู้ที่น่าตกใจของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจชื่อเสียงที่มีและขอความช่วยเหลือจากสหายเพราะกลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้

เมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเป่ยเฉวียน จอมยุทธ์สองคนก็ลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า แม้ว่ามู่เฉินจะน่ากลัว แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน มู่เฉินไม่สามารถสู้กับคนทั้งหมดได้หรอก

ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย เพราะชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น หากเขายอมช่วย มู่เฉินคงถึงคราวแม้ว่าจะมีทักษะมากมายก็ตาม

ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจที่เพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้ให้คำมั่น ตรงกันข้ามอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินราวกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง

“พี่หลู่?”

ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปด้วยสายตางุนงง เขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสหายคนนี้และพวกเขามักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหตุใดอีกฝ่ายจึงลังเลเพียงแค่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง?

อีกฝ่ายไม่ตอบสนองฉิงเป่ยเฉวียน แต่มองไปที่มู่เฉินพักใหญ่ก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่สนสายตาของสหายทั้งสาม ประสานมือให้มู่เฉินด้วยความระมัดระวัง “ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าคือประมุขมู่เฉินแห่งทวีปเทียนหลัวใช่หรือไม่”

ตู้ม!

หลังคาโถงถูกฉีกออกจากกันด้วยมือที่มองไม่เห็น แสงแดดส่องลงมากระทบร่างทุกคนที่นี่ แต่ทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของดวงตะวันเลย ตรงกันข้ามพวกเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่น่ากลัว

นั่นเป็นเพราะที่สาดส่องลงมาพร้อมแสงตะวันก็คือไอสังหารเย็นเยือก

ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ตัวสั่นงันงกเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในหมู่เมฆพร้อมกับสตรีสวมชุดชาววัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและเจตนาฆ่าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดในดวงตา จนพวกเขาไม่กล้ามองนาง

แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังกำจายออกมาจากร่างของนางอย่างต่อเนื่อง ล้อมรอบเมืองไป่หลิงทั้งหมดไว้ ทำให้ทุกคนตัวสั่นเทิ้มจากการบีบคั้นของระดับเทียนจื้อจุน

เมื่อมองไปที่สตรีคนนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ พวกเขาจำได้ชัดเจนว่านางเป็นมารดาของราชันไป่หลิง ประมุขสำนักร้อยบุปผา—หลิ่วไป่ฮวา มิหนำซ้ำยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงอีกด้วย

“ท่านแม่! ท่านแม่! เร็ว ช่วยข้าด้วย!”

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลิ่วไป่ฮวา ราชันไป่หลิงก็คำรามรุนแรง อารมณ์ที่อัดอั้นระเบิดออกเต็มที่ “ไอ้บ้านั่นตัดแขนข้าสองข้าง ท่านอย่าปล่อยมันไปนะ!”

เมื่อเห็นร่างบุตรชายโชกเลือกซ้ำยังไม่มีแขน หลิ่วไป่ฮวาก็รู้สึกว่าปอดกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ นางถนอมบุตรชายราวกับของแก้วล้ำค่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางจึงยอมให้เขามาปกครองทวีปและกลายเป็นราชัน

ดังนั้นเมื่อเห็นลูกรักถูกตัดแขน ความโกรธของนางก็ระเบิดตูม

“ไม่ต้องกังวล พ่อเจ้ากำลังเร่งรุดมากับพรรคพวก วันนี้ข้าจะดูว่าไอ้หน้าโง่คนไหนกล้าทำร้ายลูกชายของข้าในทวีปไป่หลิงนี้!” เสียงเยือกเย็นของหลิ่วไป่ฮวาดังสะท้อนโดยปราศจากความอบอุ่นใดๆ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นพวกมู่เฟิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะไปตีรังผึ้งในครั้งนี้ ฟังจากคำพูดของนาง ประมุขตำหนักปลายเหนือไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มีผู้ช่วยมาด้วย

สายตาเย็นชาของหลิ่วไป่ฮวากวาดไปทั่วห้องโถง ก่อนที่เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “ใครเป็นคนทำ?”

ทุกสายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินที่ตอนนี้กำลังคลึงถ้วยในมือเล่นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลิ่วไป่ฮวา “ดูท่าว่าเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอโทษนะ?”

พอได้ยินคำพูดของเขา หลิ่วไป่ฮวาก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “ขอโทษรึ? สมองแกเน่าไปแล้วมั้ง!”

มู่เฉินพูดต่อ “พวกเจ้าปล่อยให้ไอ้โง่นี้ทำตามอำเภอในในทวีปไป่หลิง ทำร้ายบิดาข้าและพยายามบังคับให้เพื่อนรักของข้าแต่งให้มัน ในเมื่อพวกเจ้าไม่สั่งสอน ข้าก็เลยจะจัดการให้เอง”

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!” หลิ่วไป่ฮวารู้สึกแค้นเคืองกับคำพูดของมู่เฉินก่อนที่นางจะพูดต่อ “ทวีปไป่หลิงเป็นของสามีข้ามอบให้บุตรชาย เขาเป็นผู้ปกครองที่นี่ ถึงเขาจะทำเรื่องที่แกว่ามาแล้วจะยังไง”

“ดูเหมือนว่าตัวแม่ก็เป็นหญิงโง่ไม่มีเหตุผล”

มู่เฉินขมวดคิ้วพูดต่อ “งั้นตั้งแต่วินาทีนี้ทวีปไป่หลิงเป็นของข้าแล้ว”

“สามหาว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

หลิ่วไป่ฮวาก้าวออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อนางกลายเป็นพายุดอกไม้ห่อหุ้มไปที่ร่างมู่เฉิน

“ต้องการยึดทวีปไป่หลิงเรอะ? แกยังไม่มีความสามารถพอ!”

พายุดอกไม้ส่งเสียงหวีดหวิว แวววาวราวกับอัญมณี ดอกไม้ทุกดอกมีพลังหลิงที่ควบแน่นมากซึ่งสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย ด้วยการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ตราบใดที่หลิ่วไป่ฮวาต้องการ นางก็สามารถทำให้ทั้งเมืองไป่หลิงอาบไปด้วยเลือดทันที

ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ก็ไม่มีแม้แต่คลื่นกระเพื่อมในดวงตา เขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในขั้นหลิงระยะต้น ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุระยะกลางแล้ว หลิ่วไป่ฮวาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นก็ไม่มีอะไรอยู่ในสายตาเขา

ดังนั้นเขาจึงเปิดปากพ่นพายุคลื่นหลิงไปปะทะกับพายุดอกไม้ ลบล้างออกไปอย่างสมบูรณ์

ฉากนี้ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถแก้ไขการโจมตีของหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดายแบบนี้

“แกมีความสามารถพอตัว มิน่าล่ะถึงกล้าอวดดีขนาดนี้!” หลิ่วไป่ฮวาหดตาลง ใบหน้าก็เย็นเยือกลง นางไม่รั้งรออีกต่อไป แสงหลิงพร่างพราวออกมาจากร่างกาย ตอนนี้นางเปิดใช้คลื่นหลิงเต็มกำลังแล้ว

“ทักษะหลิงไม่เสินทง ร้อยบุปผาสังหาร!”

หลิ่วไป่ฮวาชี้ไปทางมู่เฉินจากระยะไกลด้วยสายตาเย็นชา

ฮึ่ม!

ทันทีที่หลิ่วไป่ฮวาชี้นิ้วลง ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดอกไม้สีแดงเข้มแปลกประหลาดงอกออกมารอบตัวมู่เฉิน ก่อนที่จะกลืนกินร่างมู่เฉินเข้าไป

“หึ ไอ้หนู คิดว่าบรรลุเทียนจื้อจุนแล้วจะอวดดีได้เรอะ ทักษะหลิงไม่เสินทงของข้าผิดแผก ตราบใดที่ถูกกลืนกิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ต้องสูญสลาย!” เมื่อหลิ่วไป่ฮวาเห็นมู่เฉินถูกดอกไม้สีแดงเขมือบ นางก็เค้นเสียงเยาะเย้ยใส่

เมื่อมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ส่วนชิงเหยี่ยนจิ้งยังมีสีหน้าสงบนิ่งพลางตบหลังมือมู่เฟิงเบาๆ เป็นการปลอบใจ

ผู้นำขั้วอำนาจอื่นๆ ต่างส่ายหัว ดูท่าหลิ่วไป่ฮวาจะมีไหวพริบในการเผชิญหน้ามากกว่า

“ฮ่าๆๆๆ!” ราชันไป่หลิงหัวเราะร่วน จากนั้นก็มองไปที่มู่เฟิง ถังเชียนเอ๋อและคนอื่นๆ ด้วยสายตาโหดเหี้ยม

“ก็แค่ทักษะหลิงไม่เสินทงจากเส้นหลิงขั้นเทียน ทรงพลังอย่างที่เจ้าพูดซะที่ไหน…”

ทว่าในขณะที่ราชันไป่หลิงหัวเราะสาแก่ใจ เสียงหนึ่งก็ดังก้องออกมาจากดอกไม้สีแดงเข้ม พริบตาทุกคนก็มองเห็นเพลิงสีม่วงลุกขึ้นจากภายในดอกไม้ ก่อนที่จะสลายดอกไม้สีแดงเข้มที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้

หลิ่วไป่ฮวาตกตะลึงกับภาพนี้ นางรู้ชัดเกี่ยวกับทักษะหลิงไม่เสินทงของตนเองดี หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่ในระดับเดียวกันตกอยู่ในนั้น ต่อให้มีความสามารถก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะหลุดพ้น แต่ตอนนี้แค่ไม่กี่อึดใจยังยับยั้งมู่เฉินไว้ไม่ได้?

“ดูเหมือนจะพูดดีๆ กับผู้หญิงไร้สมองอย่างเจ้าไม่ได้แล้ว…” มู่เฉินเงยหน้ามองหลิ่วไป่ฮวาอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็คุยด้วยกำปั้นแล้วกัน”

เมื่อพูดจบเขาก็เปิดปากเพลิงสีม่วงลุกโชติช่วงกวาดออกมาในพริบตา กลายเป็นมังกรเพลิงสีม่วงพุ่งเข้าหาหลิ่วไป่ฮวา

มังกรม่วงทะยานเข้าไป หลิ่วไป่ฮวาก็หดดวงตา เนื่องจากนางได้เห็นว่าเปลวไฟสีม่วงทรงพลังเพียงใด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าประมาท ฝ่ามือประสานกันทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกกลายเป็นกำแพงดอกไม้

แม้กำแพงจะดูอ่อนแอ แต่ก็เป็นการป้องกันทรงพลังที่สามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้อย่างเต็มที่

แต่เมื่อเปลวไฟสีม่วงสัมผัส กำแพงก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ลุกไหม้และพังทลายลงในพริบตา

ในที่สุดหลิ่วไป่ฮวาก็ฉายความหวาดผวาบนใบหน้า เนื่องจากกระทั่งการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของนางก็ไม่สามารถต้านทานการเคลื่อนที่ของเปลวไฟสีม่วงได้ ยามนี้นางตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับมู่เฉินแล้ว

“ให้ตายเถอะ ประเมินเจ้าเด็กนั่นต่ำไป ข้าต้องถอยก่อนแล้วรอให้ตาแก่กับพรรคพวกมาจัดการกับเจ้าเด็กนี่!” หลิ่วไป่ฮวากัดฟัน ภาพเงากลายเป็นลำแสงถอยหนีออกไป

แต่เมื่อนางถอยออกไป ทุกคนก็สูดลมหายใจเย็น ไม่มีใครคิดว่าเจ้าสำนักร้อยบุปผาจะตกอยู่ในสถานะมีปัญหา หลังจากที่แลกกระบวนท่ากับมู่เฉินเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น

ทันใดนั้นทุกสายตาก็ฉายความกลัวและเคารพ ขณะมองไปที่มู่เฉิน พลังที่แสดงออกมาของชายหนุ่มเหนือกว่าหลิ่วไป่ฮวาหลายขุม

แม้แต่ราชันไป่หลิงก็ยังหุบปากด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

“ในเมื่อมาแล้ว คิดจะไปง่ายๆ เรอะ?”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจใคร เขามองไปที่หลิ่วไป่ฮวา เค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นมังกรเพลิงม่วงก็ระเบิดขึ้น มือเพลิงม่วงซัดใส่ร่างของหลิ่วไป่ฮวา

ปัง!

หลิ่วไป่ฮวารับความทุกข์ทรมานหนักหน่วง ร่างทรุดลงทำให้เกิดปากปล่องบนพื้นขนาดใหญ่ รอยแตกพล่านออกไป ดูน่าอนาถยิ่งนัก

ตู้ม!

ทว่ามู่เฉินก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าให้นาง มือเพลิงม่วงขนาดใหญ่กำเป็นหมัดซัดลงไป แม้ว่าหลิ่วไป่ฮวาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่กายาหลิงเทียนจุนของนางก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แน่หากถูกโจมตี

ใบหน้าของหลิ่วไป่ฮวาซีดลงด้วยความกลัว นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะโหดเหี้ยมขนาดนี้

ฟิ้ว!

หมัดชกลงมาท่ามกลางสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน เมืองไป่หลิงทั้งเมืองก็แผ่นดินพิโรธรุนแรง…

ควันพวยพุ่ง ทุกคนมองไปในพื้นที่นั้น ในใจก็สั่นไหว ‘อย่าบอกนะว่าหลิ่วไป่ฮวาถูกฆ่าด้วยหมัดของมู่เฉินแล้ว?’

มู่เฉินก็มองไปพลางหรี่ตาลง

เมื่อควันค่อยๆ สลายไป กำปั้นก็ยังคงท่าที่ชกลง แต่กลับมีกระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นเบื้องบนปกป้องหลิ่วไป่ฮวาไว้

เมื่อมู่เฉินเห็นกระดองนั่น เขาก็เหยียดเอวโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา สายตามองไปที่ระยะไกลก็เห็นร่างเงาสี่ร่าง

แรงกดดันมหาศาลปลดปล่อยจากร่างกายพวกเขา

ในบรรดาทั้งสี่คน ชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่มีสายตาแหลมคมกำลังมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะตะเบ็งเสียงดังก้อง

“รังแกลูกเมียข้า แกไม่เห็นข้าฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ในสายตาแล้วมั้ง?!”

ถ้วยแตกกระจายบนพื้น

มู่เฟิงมองภาพเงาที่เยื้องย่างเข้ามาด้วยความไม่อยากเชื่อ ภาพเงานั้นตราตรึงอยู่ในหัวใจทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะแยกจากกันไปเนิ่นนาน

ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือใบหน้าบึ้งตึงของภาพเงานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสะท้านไหว…

ย้อนไปในอดีตเพื่อปกป้องลูกน้อย ชิงเหยี่ยนจิ้งตัดใจจากลาไป ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่ามู่เฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้านหนึ่งคือฮูหยินที่รักสุดหัวใจ อีกด้านหนึ่งก็คือลูกน้อยของเราสองคน

ยี่สิบกว่าปีที่เลี้ยงดูมู่เฉิน เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก เขาคิดถึงร่างที่สถิตในดวงใจแทบตลอดเวลา ทว่าเขารู้ถึงความยากที่เราสองคนจะได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงอารมณ์เหล่านั้นต่อหน้ามู่เฉิน แม้ว่าจะปรารถนาในใจก็ตาม…

ตอนที่มู่เฉินออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาเคยสัญญาว่าจะพาชิงเหยี่ยนจิ้งกลับมา แต่ในเวลานั้นมู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่จะบรรลุ

ดังนั้นเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะพานางกลับมาจริงๆ…

“ชิง…”

เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้นเสียงของมู่เฟิงก็เริ่มสั่นเครือ

ภาพเงานั้นยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิงมองใบหน้าที่สูงวัยยิ่งกว่าในอดีต แม้แต่ดวงตานางก็อดคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้

ตอนนั้นนางหลงทางจนมาถึงมณฑลเป่ยหลิง เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้แทบจะกลายเป็นคนที่ไร้พลังใดๆ ถึงแม้จะมีขุมพลังของนางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เพนสะอาการบาดเจ็บ ทำให้คลื่นหลิงที่กระจายออกจากร่างกายควบคุมไม่ได้เหมือนคนไร้พลัง ทำให้ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าคิดจะกินนางเป็นอาหาร…

ตอนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังนางได้พบกับมู่เฟิง ชายคนนี้อ่อนแอในสายตานางนัก แต่กลับแบกนางขึ้นบนหลังโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นพานางรอดพ้นจากการถูกห้อมล้อมของสัตว์อสูร

แม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เขาก็ไม่คิดปล่อยนางลง…

แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูบ้าและโง่ในสายตาของนาง แต่ก็สร้างความประทับใจตราตรึงยิ่งนัก นางเคยได้พบกับอัจฉริยะมากมาย แต่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พวกเขาที่จะทิ้งเพื่อนร่วมทางและหลบหนีเมื่อตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะเห็นคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคนที่พวกเขาพบเป็นครั้งแรก…

“เจ้าเริ่มแก่แล้ว” มือชิงเหยี่ยนจิ้งแตะเบาๆ ที่แก้มของมู่เฟิงที่เต็มไปด้วยตอเคราสั้นๆ

มู่เฟิงเกาหัว “แต่เจ้ายังงดงามเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”

“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่สนข้าไม่ใช่เหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม แม้แต่หญิงสาวอ่อนโยนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการต่อหน้าคนรัก

ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ปวดหัวจี๊ดพลางถลึงตาใส่มู่เฉินที่ยิ้มดูอยู่ข้างๆ “เป็นความผิดของไอ้ลูกคนนี้!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะ นางรู้ว่ามู่เฟิงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้จริงๆ นางเอื้อมไปจับมือหยาบกระด้างของมู่เฟิงตอบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเอ๋อ ข้าคงยังกลับมาไม่ได้”

“เจ้าเลี้ยงลูกของเราได้ดีเหลือเกิน ไม่ได้ทำให้ความไว้วางใจของข้าพังทลายลง”

มู่เฟิงถอนหายใจ เขายังรู้สึกอึ้งที่ลูกชายตนเองมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้กับภรรยาได้ จึงกระแอมไอแก้เขิน “แม้ว่าข้าจะสอนดี แต่ไอ้หนูนี่ก็มีความสามารถ ไม่ได้ทำให้คำสอนของข้าไร้ประโยชน์”

ที่ด้านข้างมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน

ทว่าตอนนี้เองมู่เฟิงก็ออกจากอารมณ์ดีใจเพราะนี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม ทุกคนพากันจ้องมองมาที่พวกเขา

ใบหน้าของมู่เฟิงเห่อแดงจากสายตาที่จ้องมองมา เขาพูดกับชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างขมขื่น “เฮ้อ ชิงน้อย เจ้าเด็กนี่อยู่นิ่งไม่ได้เลย สร้างปัญหาไปทั่ว”

แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา? พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? หากสถานการณ์ดูท่าไม่ดี ดูเหมือนว่าเขาจะต้องให้มู่เฉินพาชิงเหยี่ยนจิ้งหลบหนีไป

ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เถอะ”

หลังจากที่พูดนางก็หันไปหาถังเชียนเอ๋อและยิ้ม “เจ้าคือเชียนเอ๋อใช่ไหม?”

ดวงตาของถังเชียนเอ๋อเบิกกว้างเมื่อมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง นางไม่เคยพบมารดาของมู่เฉิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถาม นางก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย

จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรียกมารดาเขาอย่างไร

“แม่ข้าชื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง” มู่เฉินยิ้ม

“ท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อเรียกอย่างเชื่อฟัง

รอยยิ้มอ่อนโยนกระจายออกมาบนริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับเฉินเอ๋อโตมาด้วยกัน ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าป้าจิ้ง งั้นข้าจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”

ขณะที่พูดก็หยิบจี้ผลึกแก้วใสที่มีเข็มทิศหกเหลี่ยมสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง

“ขอบคุณท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อรับไปด้วยความสุขบนใบหน้า

ทว่าตัวนางเพียงรู้สึกเพียงว่าจี้นี้สวยงามดี มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่สัมผัสได้ว่ามีค่ายกลระดับจงซือผนึกอยู่ภายใน ในเวลาอันตรายจะสามารถป้องกันการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว

นี่เป็นยันต์ป้องกันชัดเจน

ตอนนั้นเองหลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตามเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อหลงเซี่ยงเข้ามาหลายคนก็หันมามองทันที

แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบอกระดับของมู่เฉินได้ แต่พวกเขาสัมผัสแรงกดดันของหลงเซี่ยงได้ว่านี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้คุ้มกันสองคนของราชันไป่หลิงเลย

“นี่หลิงซี นางติดตามข้าตั้งแต่เด็ก ข้านับนางเป็นลูกสาวคนหนึ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งดึงหลิงซีเข้ามาหาแนะนำให้มู่เฟิง

หลิงซีรู้สึกทำตัวไม่ถูกขณะมองไปที่มู่เฟิงและทำตามอย่างเชื่อฟัง “หลิงซีทักทายท่านน้ามู่”

ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หัวเราะเบาๆ ขณะมองหลิงซีด้วยสายตาอ่อนโยน “ดี ดี ลูกสาวดีกว่าไอ้เด็กบ้านี่ที่ชอบรอดูเรื่องตลกของพ่อ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหลิงซีก็ยิ้ม

“นายท่าน ข้าเป็นผู้คุ้มกันของนายหญิง หลงเซี่ยงขอรับ” หลงเซี่ยงโค้งคำนับต่อมู่เฟิงด้วยมารยาท

เมื่อมู่เฟิงเห็นสิ่งนี้ ก็รีบตอบกลับหลงเซี่ยงด้วยมารยาททันที นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้แต่ในทวีปไป่หลิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แม้แต่ราชันไป่หลิงยังต้องไว้หน้า ดังนั้นเขาจึงประหม่าเมื่อจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวแสดงความเคารพต่อเขา

เพื่อเบี่ยงเบนบรรยากาศที่น่าอึดอัด มู่เฟิงแนะนำสหายพันธมิตรเป่ยหลิงให้ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้จักทันที ซึ่งนางก็ยิ้มตอบกับทุกคน

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็แอบยิ้มไม่ได้ ถ้าคนเหล่านี้รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง พวกเขาคงไม่มีความกล้าแม้แต่จะเปิดปากพูดกับนาง…

ในขณะที่มู่เฉินและพรรคพวกกำลังสนุกกับการสนทนากัน ทุกคนในห้องโถงก็ยังคงเงียบ ไม่มีใครกล้ารบกวน ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาทักทายพวกเขา

เพราะเมื่อไรที่บิดามารดาของราชันไป่หลิงมาถึงก็จะเกิดการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนั้นถ้ามู่เฉินไม่สามารถเผชิญหน้าได้ วันนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม…

แล้วใครจะกล้าพูดคุยกับพันธมิตรเป่ยหลิงตอนนี้กันล่ะ?

ราชันไป่หลิงมองไปมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยมและคำรามในใจ ‘สนุกกันให้พอเถอะ เมื่อไรที่พ่อแม่ข้ามาถึง พวกแกจะไม่มีเวลากระทั่งร้องไห้!’

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาร้ายกาจนั่น ที่เขาให้ไปเรียกคนมาช่วยของราชันไป่หลิงมาก็เพราะต้องการจัดการกับเรื่องนี้ทีเดียวในวันนี้

การรวมมณฑลเป่ยหลิงเป็นงานหนักของมู่เฟิง แม้ว่าจะไม่มีอะไรในสายตาของมู่เฉิน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบิดาของเขา

ดังนั้นเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเพื่อความสงบสุขของมู่เฟิงและพันธมิตรเป่ยหลิง…

ไม่ว่าจะเป็นราชันไป่หลิงหรือประมุขตำหนักปลายเหนือ พวกเขาล้วนเป็นตัวอันตราย หากเขาไม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม

ด้วยความคิดนี้มู่เฉินจึงนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบๆ และรอ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนเริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขารู้สึกว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว

เมื่อตะวันเลื่อนตกลง แสงสีแดงเข้มก็ส่องไปทั่วทั้งเมืองไป่หลิง…

ฮึ่ม

ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา

พริบตาคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดล้างออกไปทั่วภูมิภาค ทุกคนในเมืองไป่หลิงตัวสั่นสะท้านจากแรงกดดัน

เมื่อความกดดันปรากฏขึ้น ห้วงมิติก็บิดตัวบนท้องฟ้าของวังแห่งนี้

ตู้ม!

ห้องโถงสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงเมื่อเห็นหลังคาของโถงถูกพัดออกไปขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวบีบลง ในเวลาเดียวกันเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารก็ดังก้อง

“ไอ้โง่หน้าไหนกล้าตัดแขนลูกข้า! ไสหัวออกมา!”

เสียงหัวเราะของมู่เฉินดังก้องไปทั่ววัง

แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกเลย ทุกคนตัวสั่นเทิ้ม ต่างแอบบ่นอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะมองพลาดไป ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ใช่ลูกวัวแต่เป็นพยัคฆ์ร้าย

ดูจากการที่มู่เฉินสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มร่อแร่ได้ ต่อให้โง่กว่านี้พวกเขาก็เดาได้ว่ามู่เฉินจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้มาก่อน!

‘เทพเจ้าสู้กัน แต่เป็นชาวโลกที่เสียหาย’ พวกเขาไม่กล้าที่จะออกเสียงแม้แต่น้อย ไม่ว่ามู่เฉินหรือภูมิหลังที่น่ากลัวของราชันไป่หลิงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้ ทั้งสองคล้ายกับเทพเซียนที่กำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาได้แต่หลบหนีด้วยความกลัวเมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน

ขณะที่ทุกคนที่นี่กำลังหวาดกลัว คนจากพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ มากจนกระทั่งถังเชียนเอ๋อก็ยังอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเหมือนตุ๊กตาในมือของมู่เฉิน

จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็คือเหล่าเจ้าเขตต่างๆ ในมณฑลเป่ยหลิง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับมู่เฉินดี ย้อนกลับไปมู่เฉินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ตอนที่จากไป แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะไปไกลเกินเอื้อมเมื่อกลับมาครั้งนี้?

ราชันไป่หลิงสีหน้าเขียวคล้ำลงในความเงียบนี้พร้อมกับความตกใจในดวงตา ทว่าเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตูมเหมือนคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตามบิดามารดาของเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธมากที่มู่เฉินดูถูก เขาเค้นเสียงโต้ “ช่างยิ่งใหญ่จริง! เจ้าทำร้ายผู้คุ้มกันข้าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือ เจ้าคิดท้าทายตำหนักปลายเหนือเรอะ?”

มู่เฉินยิ้มอ่อน “ตำหนักปลายเหนือ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”

ราชันไป่หลิงเยาะเย้ย “บิดาข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!”

ขณะที่เขาพูดในประโยคก็มีร่องรอยความภาคภูมิใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของมู่เฉิน แต่เขาก็เดาได้ว่าไอ้บ้าคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น

แม้ว่าราชันไป่หลิงจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่ห่างจากยอดยุทธ์ของมหาพันภพ แต่เขาก็รู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนถูกแยกขั้นจากพลังของบิดามารดา เบื้องหน้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกขั้นหลิงก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไร

ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้กลัว

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทรงพลังจริง” มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “แต่แกก็ยังคงเป็นขยะบูดอยู่ดี”

ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของราชันไป่หลิงก็แข็งค้าง พนักเก้าอี้ก็ถูกบีบจนแตก เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะผยอง แม้จะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีลดราวาศอก

ผู้อาวุโสในชุดดำอีกคนก็ก้าวออกมาอยู่ข้างราชันไป่หลิงพลางประสานมือให้ “ท่านจอมยุทธ์ เจ้าทำให้ผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือหมดสภาพก็น่าจะได้ว่าระบายความโกรธแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องไม่พอใจกับตำหนักปลายเหนือด้วย?”

“ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตำหนักปลายเหนือจะไม่ติดตามเอาผิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักปลายเหนือ เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะมีการสนับสนุนที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็คงตายที่นี่หากไปยั่วยุอีกฝ่าย

ดังนั้นแม้ว่าบิดาของราชันไป่หลิงจะมาแก้แค้นให้ พวกเขาก็ลงไปปรโลกแล้วในตอนนั้น

“หึ ผู้อาวุโสหลู่ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน! ข้าจะดูว่ามันกล้าทำยังไงกับข้าในวันนี้ แม้ว่ามันจะฆ่าข้า แต่ท่านพ่อก็จะทำให้มันตายตกตามกันไป การที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสังเวยชีวิตตามข้าไปยมโลก ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว!”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลู่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ สงบลง ราชันไป่หลิงก็เยาะเย้ยขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้ายพลางท้าทายด้วยสายตา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าต่อต้านเขาเพราะมีบิดามารดาให้ท้าย ทว่าเขากลับถูกกล่าวว่าเป็นขยะในวันนี้ ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่กลัวที่มู่เฉินจะฆ่าเขา

“ดูเหมือนแกจะไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าแกจริงๆ” มู่เฉินโยนถ้วยเล่นพลางยิ้มไม่แยแส

น้ำเสียงบรรจุเจตนาฆ่าหนาวเหน็บซึ่งทำให้ทั้งวังตกลงไปในจุดเยือกแข็ง ทุกคนตัวสั่นจากความหนาวเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ‘ชายคนนี้คงไม่ฆ่าราชันไป่หลิงจริงๆ ใช่ไหม?’

หากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่จริงๆ ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาอาจเอาเลือดล้างทั้งทวีปไป่หลิงก็ได้!

“ไอ้หนู”

มู่เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น เขาไม่กลัวราชันไป่หลิง แต่เขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะฆ่าอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนั้นบิดามารดาของราชันไป่หลิงคงตามแก้แค้นมู่เฉินแน่

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร

ดังนั้นเขาจึงยอมถอยไม่อยากให้มู่เฉินไปเสี่ยง

จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เมื่อดำเนินมาถึงขั้นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขารู้ดีว่าหากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่ มณฑลเป่ยหลิงอาจต้องจมลงในความโกรธของผู้ปกครองของราชันลูกแง่คนนี้

แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็คงไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสองคนหรอกมั้ง? นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนในตำนานอีกด้วย

“มู่เฉิน” ถังเชียนเอ๋อดึงแขนเสื้อมู่เฉิน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะน่ารังเกียจแต่ก็มีภูมิหลังที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงไม่ดีที่จะฉีกหน้ากันอย่างเต็มที่

เมื่อมู่เฉินเห็นก็หันไปยิ้มให้พวกเขา “เชื่อข้า ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน มู่เฟิงก็ไม่พูดอีกต่อไป เขาเข้าใจลูกชายดี มู่เฉินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามและต้องมั่นใจในการทำเช่นนี้

แม้แต่ถังเชียนเอ๋อก็ยังผงกหัวหลังจากลังเลชั่วครู่

ราชันไป่หลิงสังเกตเห็นมู่เฉินปลอบใจมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อ ความลังเลของมู่เฟิงและถังเฉียนเอ๋อทำให้เขาเข้าใจว่าการคุกคามของตนมีประโยชน์ รอยยิ้มของเขากลายเป็นหยิ่งผยองทันที

‘ต่อให้แกเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนแล้วยังไง? ต่อหน้าพ่อแม่ข้า แกก็ต้องก้มหน้าให้!’

“ดูเหมือนแกจะเชื่อมั่นพ่อแม่มากนะ”

เสียงมู่เฉินดังก้องขณะที่ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเรียกพ่อแม่มาที่นี่… ข้าอยากเห็นว่าใครสามารถช่วยเจ้าได้ในวันนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ม่านตาของราชันไป่หลิงก็เย็นเยือกลงขณะมองไปที่มู่เฉิน

“ท่านจอมยุทธ์!” ผู้อาวุโสหลู่ร้องลั่น

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำเรียกนั่น เขาหันมาหา “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งวัน ไปหาคนที่ช่วยมันได้มาให้หมด”

ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดลงก่อนที่จะเหยียดนิ้วชี้ไปยังราชันไป่หลิง

ปัง!

แขนของราชันไป่หลิงถูกเฉือนออกพร้อมกับเลือดสดสาดกระเซ็น มู่เฉินไม่สนใจเสียงกรีดร้องของราชันไป่หลิงพลางโบกมือส่งแขนข้างนั้นไปให้ผู้อาวุโสหลู่

“เอาติดตัวไปด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าข้าล้อเล่น”

มองไปที่ราชันไป่หลิงที่กุมไหล่ไร้แขนขณะส่งเสียงกรีดร้อง ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฉีกหน้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงจริงๆ

ผู้อาวุโสหลู่ตกใจขณะรับแขนนั้นไว้

“ผู้อาวุโสหลู่รีบไป! ไป! ตามท่านพ่อท่านแม่มา ข้าต้องการให้ไอ้สวะนี่ทรมาน! ข้าจะฆ่ามันทั้งโคตรให้ได้!” ราชันไป่หลิงจับบาดแผลไว้แล้วคำรามด้วยสายตาดุร้าย

มู่เฉินขมวดคิ้วชี้นิ้วออกไป แขนอีกข้างหนึ่งของราชันไป่หลิงก็ระเบิดออก

“งั้นเอาไปสองข้างเลย” มู่เฉินโยนแขนอีกข้างให้ผู้อาวุโสหลู่พร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั่นทำให้อีกฝ่ายขนลุกชันไปหมด

ผู้อาวุโสในชุดดำจับแขนสองข้างกัดฟันพูดกับมู่เฉินว่า “เจ้ามีปัญหาแน่! แล้วเจ้าจะเสียใจ!”

ขณะพูดจบก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย

เมื่อผู้อาวุโสหลู่จากไปบรรยากาศในโถงก็เริ่มอึดอัด แม้ว่าราชันไป่หลิงจะถูกตัดไปสองแขน แต่เขาก็ยังคงมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย ชัดว่ากำลังรอการมาถึงของบิดามารดา

ในเวลานั้นเขาจะฉีกแขนขาทั้งครอบครัวของมู่เฉินต่อหน้าและปล่อยให้พวกมันทรมานจนตาย

แม้บรรยากาศในโถงจะอึดอัด มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาหันไปหามู่เฟิงยิ้มเผล่ “ท่านพ่อข้าพาบางคนมาหาแน่ะ”

ตอนนี้มู่เฟิงคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบกลับอย่างไม่พอใจ “จะพาใครมาข้าก็ไม่สนใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นท่าทางของมู่เฉินก็แปลกไปราวกับว่ากำลังเยาะเย้ย

ขณะที่มู่เฟิงกำลังสงสัยเกี่ยวกับท่าทางของมู่เฉิน เสียงพลิ้วหวานก็ดังก้องก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “โอ้? ไม่สนใจแม้กระทั่งข้าเหรอ?”

เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมองทางประตู มองเห็นร่างเงาย่างกรายตรงไปยังมู่เฟิง

เพล้ง

เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น ดวงตาของมู่เฟิงก็เบิกกว้าง ถ้วยชาในมือหลุดตกลงไปบนพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ

ภายในวัง

เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงขณะที่ทุกคนเบิกตากว้าง กระทั่งการหายใจของพวกเขาก็อ่อนลง พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าพูดคำเช่นนี้ต่อหน้าราชันไป่หลิง…

ชายผู้นี้เป็นผู้ปกครองทวีปไป่หลิง คำพูดของเขาสามารถทำลายขั้วอำนาจน้อยใหญ่ได้ ราชันไป่หลิงมีพลังอำนาจที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว

แต่ตอนนี้…มีคนเรียกเขาว่าขยะ?

เมื่อนึกถึงความโกรธของราชันไป่หลิง ทุกคนก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าโถงจะนองไปด้วยเลือดในวันนี้แน่…

ท่ามกลางความเงียบทุกคนก็มองไปที่ข้างหลังถังเชียนเอ๋อราวกับกำลังมองคนตาย

ถังเชียนเอ๋อสะดุ้งเมื่อริมฝีปากถูกปิดไว้ นางแทบจะถ่องศอกออกไปเพื่อตอบโต้ แต่เมื่อได้ยินคำเรียกขานนั่นกระแสเลือดก็ถึงกับแข็งตัว

นี่เป็นเสียงที่นางคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก

นางค่อยๆ หันหน้ากลับมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาปรากฏในครรลองสายตา เทียบกับในอดีตใบหน้านี้ไม่มีความอ่อนเยาว์อีกต่อไป ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทำให้รู้สึกปลอดภัย

“มู่…มู่เฉิน?!”

ถังเชียนเอ๋อตะลึงงันขณะที่พูดตะกุกตะกัก นางรู้สึกเหมือนว่ากำลังฝันไปจึงยื่นมือออกเพื่อสัมผัสใบหน้านั้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ดวงตานางก็เบิกกว้างด้วยความตกใจอุทานว่า “นี่เจ้าจริงๆ เหรอ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?!”

มู่เฉินยิ้ม “มาเยี่ยมญาตินะสิ”

เขาเลื่อนมือถังเชียนเอ๋อออกจากใบหน้าตนเองพลางก้าวย่างพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ขณะมองไปที่มู่เฟิง “ท่านพ่อมองจนเอ๋อไปแล้วเหรอ?”

มู่เฟิงเบิกตากว้างขณะมองไปที่บุตรชาย เขาไม่สามารถฟื้นจากความตกใจเนื่องจากมู่เฉินออกจากบ้านไปนานเหลือเกิน เขาคิดถึงบุตรชายทุกวัน ดังนั้นเมื่อมู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าจริงๆ เขาก็รู้สึกไม่อยากเชื่อ

“ไอ้ลูกบ้าในที่สุดเจ้าก็กลับบ้านเป็นแล้วเรอะ?!”

พักใหญ่เมื่อได้สติมู่เฟิงก็ตำหนิเป็นประโยคแรก

มู่เฉินยิ้มตาหยีนั่งลงข้างมู่เฟิงพลางตบหลัง เอ่ยพลางยิ้ม “ท่านพ่อใจเย็นๆ”

สายตาเขากวาดผ่านรอยเลือดบนริมฝีปากของมู่เฟิง แม้รอยยิ้มบนใบหน้ายังสดใส แต่ก็ปรากฏแววเย็นชาในดวงตา

เมื่อมองไปที่ใบหน้าโตเต็มวัย มู่เฟิงก็รู้สึกซับซ้อน แต่ไม่ช้าเขาก็นึกบางอย่าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปจากนั้นก็ประสานมือให้ราชันไป่หลิง “โปรดอภัย ลูกชายข้าไม่ค่อยรู้เรื่องราว ไม่ได้คิดจะหยาบคาย…”

มู่เฟิงได้ยินคำพูดของมู่เฉินเต็มสองหู ดังนั้นเมื่อคิดถึงก็รู้สึกว่าร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น ราชันไป่หลิงเป็นคนใจแคบและไร้ปรานี ดังนั้นคำพูดดูถูกของมู่เฉินต้องสร้างความโกรธแค้นในใจอีกฝ่ายแน่นอน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ราชันไป่หลิงหัวเราะก่อนที่มู่เฟิงจะพูดจบ เสียงหัวเราะดังก้องในโถง แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารเข้มข้น

ใบหน้าของมู่เฟิงเปลี่ยนไปแขนกางออกเพื่อปกป้องลูกรัก เขาตัดสินใจแล้วว่าแม้จะต้องตายก็ต้องปกป้องมู่เฉิน

ถังเชียนเอ๋อก็ก้าวออกไปเพื่อปกป้องมู่เฉิน ขณะมองไปที่ราชันไป่หลิงด้วยความตื่นตัว

ผู้นำคนอื่นๆ มองไปที่กลุ่มมู่เฟิงอย่างสงสาร ความโกรธแค้นของราชันไป่หลิงในวันนี้อาจจะทำให้ทุกคนจากพันธมิตรเป่ยหลิงรอดชีวิตกลับไปไม่ได้

“เจ้าหนุ่มนั่นก่อปัญหาแล้ว พันธมิตรเป่ยหลิงต้องทนทุกข์จากการนองเลือด…” บางคนพึมพำออกมาเบาๆ แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะดูมากกว่า หากพันธมิตรเป่ยหลิงถูกทำลาย พวกเขาก็จะสามารถแทรกแซงเข้าในมณฑลเป่ยหลิง

เสียงหัวเราะของราชันไป่หลิงยังคงดำเนินต่อไปชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบลง เขาป้ายน้ำตาออกจากมุมตา “มีคนเรียกข้าว่าขยะ…”

เขาส่ายหัว จากนั้นก็โบกมือแววโหดเหี้ยมผุดขึ้นที่มุมปาก “หักแขนขามันแล้วโยนออกไป”

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างเย็นชาและก้าวออกไปขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาชั่วร้าย

เมื่อมู่เฟิงเห็นภาพนี้หัวใจก็เย็นเยือกพร้อมกับความวิตกกังวลพล่านในดวงตา

ถังเชียนเอ๋อกัดฟัน หินหงส์ฟ้าปรากฏอยู่ในมือ ถ้านางบดขยี้ก็จะสามารถพาทุกคนหลบหนีไปได้

เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกระทั่งนางยังรู้สึกกดดันอย่างมาก

แต่เมื่อนางกำลังจะบดขยี้ มือมู่เฉินก็ยื่นเข้ามาหยุดไว้ ถังเชียนเอ๋อหันหน้ามองไปที่มู่เฉินอย่างรีบร้อน “มู่เฉินอย่าโง่ คนฉลาดย่อมรู้ดีว่าจะไม่ทำอะไรเสียเปรียบตรงหน้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสู้กับมัน”

นางคิดว่ามู่เฉินยังคึกคะนองแบบเด็กหนุ่ม ไม่เต็มใจที่จะกลืนเรื่องนี้

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัว “พี่เชียนเอ๋อไม่ต้องกังวล ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”

เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสชุดดำที่เดินเข้ามา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตของอีกฝ่ายเติมเต็มทุกตารางนิ้วของวัง อีกฝ่ายเข้ามาพร้อมกับความคิดที่จะทรมานเขาเพื่อสร้างความกลัวให้กับคนอื่นๆ

“แกเป็นคนทำให้พ่อข้าบาดเจ็บเหรอ?” มู่เฉินขมวดคิ้วมองไปที่อีกฝ่าย

ฝีเท้าผู้อาวุโสชุดดำหยุดลงชั่วคราว เขารู้สึกว่าคำถามของมู่เฉินเป็นเรื่องน่าหัวเราะ รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏบนใบหน้าเขาขณะตอบว่า “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะทำให้ทั้งแกและพ่อแกได้ลิ้มรสถึงชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย”

มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดนั่น แต่ไม่มีแววเป็นมิตรในดวงตาเลย จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาขยี้ไปที่ผู้อาวุโสชุดดำ

ตู้ม!

ราวกับว่ามือที่มองไม่เห็นกดร่างผู้อาวุโสชุดดำลงก่อนที่คลื่นหลิงมหาศาลโดยรอบจะระเบิด ก่อนที่ผู้อาวุโสชุดดำจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลจับตัวทุ่มเขาลงไปกองกับพื้น

ครืน!

โถงสั่นสะเทือนพร้อมกับทุกคนตกตะลึง นั่นเป็นเพราะผู้อาวุโสชุดดำที่ดูเหมือนจะควบคุมความเป็นตายก่อนหน้านี้คุกเข่าลงต่อหน้ามู่เฟิง แม้แต่พื้นใต้เข่าก็แตกละเอียด…

“นี่…นี่…”

ทุกคนรู้สึกราวกับเห็นผี ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงคุกเข่าต่อหน้ามู่เฟิง

บางคนที่มีสายตาแหลมคมก็สังเกตเห็นความกลัวบนใบหน้าผู้อาวุโสชุดดำ เขาพยายามดิ้นรนรุนแรง ทว่าพลังมหาศาลทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

ถังเชียนเอ๋อ มู่เฟิงและถังซันตกตะลึงกับฉากนี้ พวกเขาดึงสติกลับมาไม่ได้

“ในเมื่อแกเป็นคนทำ งั้นก็จงขอโทษซะ”

มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสชุดดำอย่างไม่แยแส เขาโบกมือ ศีรษะของผู้อาวุโสชุดดำก็กระแทกกับพื้น ทำให้พื้นทรุดลง

“อ้าก!”

ผู้อาวุโสชุดดำร้องลั่นขณะเลือดอาบหัว เขาดิ้นรนรุนแรง

“ยังไม่ขอโทษอีกเรอะ?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแล้วโบกลงไปอีกครั้ง

ปัง! ปัง! ปัง!

ทุกคนในโถงต่างก็ตกตะลึงกับมู่เฉินที่ทำเหมือนกำลังเล่นกับตุ๊กตา พร้อมกับมือโบกลงศีรษะของผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำก็จะกระแทกลงบนพื้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแตกกระจายไปทั่วพื้นด้านล่าง…

ทั้งโถงไร้สรรพเสียงโดยมีเพียงเสียงศีรษะของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโขกลงกับพื้น ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกเหงื่อเย็นแตกเต็มแผ่นหลัง

พวกเขามองมู่เฉินที่สามารถเล่นกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้แบบนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงใด…

ปัง!

หน้าผากของผู้อาวุโสในชุดดำเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆ สำหรับเขานี่ช่างบางจางเมื่อเทียบกับความกลัวในใจ

นั่นเป็นเพราะในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เขาเป็นแค่มด…

ยามนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน?

วันนี้เขาเตะกำแพงเหล็กเข้าให้แล้ว

“นายท่าน นายท่าน! ข้าผิด ข้าผิด! ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!”

ตอนนี้เขาจะยังหยิ่งยโสได้ยังไง? เขารู้ดีว่าแค่พลิกมือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็สามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต่อต้านอีกต่อไป เสียงสะท้อนด้วยความกลัวหนาแน่น

พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสชุดดำ มู่เฉินก็หยุดลงพูดอย่างไม่แยแส “รีบขอโทษแต่แรกก็ดีแล้ว ไสหัวไปซะ”

ขณะที่พูดมู่เฉินก็เหวี่ยงหมัดออก ทันใดนั้นอากาศก็ระเบิดในมิติเบื้องหน้า ผู้อาวุโสชุดดำราวกับโดนโจมตีรุนแรง หน้าอกทั้งหมดยุบลงขณะที่ร่างกระเด็นไปด้านหลังทิ้งรอยยาวบนพื้น ก่อนที่จะปะทะเข้ากับเสาสลบเหมือดลงทันที

เขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายแตกสลายไปหมดภายใต้หมัดของมู่เฉิน แม้แต่เส้นลมปราณก็แตกสลาย แม้ว่ามู่เฉินจะไว้ชีวิต แต่การฝึกฝนทั้งชีวิตที่ผ่านมาจบสิ้นลงแล้ว

ทั้งโถงเงียบกริบแม้กระทั่งลมหายใจก็หยุดลง ทุกคนตัวสั่น นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มนะ! ในทวีปไป่หลิงเป็นการดำรงอยู่ที่ของราชันเลยทีเดียว! แต่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้กลับไร้พลังราวกับหุ่นเชิด…

ผู้นำหลายคนร้องโหยหวนอย่างขมขื่นในใจ ‘ชายหนุ่มคนนั้นเป็นลูกชายของมู่เฟิงจริงหรือ?’

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่พวกอวดดี แต่ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวไปได้!

หลังจากจัดการกับผู้อาวุโสชุดดำ สายตาราบเรียบของมู่เฉินก็มองไปที่ราชันไป่หลิงที่มีใบหน้าเขียวคล้ำ เขายิ้มก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในสายตาข้า แกมันขยะบูดของแท้”

ตอนนี้อารมณ์ของถังเชียนเอ๋อบูดสนิท

หลังจากที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง นางก็เลือกที่จะอยู่ในสำนักศึกษาต่อ ด้วยการทำงานหนักและความสามารถที่มี นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดและยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง

หลังจากได้เลื่อนตำแหน่ง นางก็ขอวันหยุดสั้นๆ เพื่อกลับมาเยี่ยมบิดาในมณฑลเป่ยหลิง แต่ตอนที่กลับมาถึงก็ได้ข่าวพิธีราชัน เนื่องจากถังซันบิดาของนางต้องติดตามมู่เฟิง นางจึงติดสอยห้อยตามมาเนื่องจากเป็นคนชอบงานครื้นเครงอยู่แล้ว

แต่ปัญหาดันเกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันที่ก่อนนางติดตามพวกมู่เฟิงเข้าพบราชันไป่หลิง อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาระยับระยับและบอกใบ้บางอย่าง ทว่าทั้งหมดก็ถูกนางปฏิเสธไป

เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ราชันไป่หลิงไม่พอใจและยังจำกัดเสรีภาพของพวกนาง โดยตั้งใจที่จะข่มขู่ให้นางยอมจำนน

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของนางแย่สุดๆ

“เฮ้อ ลูกรัก…”

ถังซันยิ้มขมขื่นอยู่ข้างหลังมู่เฟิง เขามองไปที่ถังเชียนเอ๋อที่แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ก็กำมือแน่นเป็นครั้งคราว เขารู้ดีว่านางรู้สึกแย่มาก ดังนั้นจึงเริ่มโทษตัวเอง “นี่เป็นความผิดของพ่อเองที่ให้เจ้ามาด้วย”

ถังซันทะนุถนอมบุตรสาวราวกับสมบัติล้ำค่า ย้อนไปตอนนั้นที่เขาส่งนางไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาวั่นหวง เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะมีความสามารถมากขนาดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของคนที่อยู่ในมณฑลเป่ยหลิง

นอกจากนี้ถังเชียนเอ๋อยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่ ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฟิงซึ่งเป็นประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงยังเทียบไม่ติด

ตอนแรกเขารู้สึกมีความสุขกับความโดดเด่นของบุตรสาว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเพราะความโดดเด่นนี้…

ด้วยสถานะราชันไป่หลิง น่าจะได้พบเห็นสาวงามมามากมาย แต่เมื่อได้พบหน้ากับถังเชียนเอ๋อซึ่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดและข่มขู่

มู่เฟิงตบไหล่ถังซันแล้วหันไปหาถังเชียนเอ๋อ “เชียนเอ๋อพยายามหาโอกาสไปซะ ราชันไป่หลิงคงไม่ทำอะไรเราด้วยสถานะที่ค้ำคอ อย่างมากก็แค่สลายพันธมิตรเป่ยหลิงไป…”

เขาเฝ้ามองถังเชียนเอ๋อเติบโตไปพร้อมกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นนางต้องทนทุกข์

ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจ นางได้ยินมาว่าราชันไป่หลิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นถ้านางจากไปละก็ เขาจะต้องเอาเรื่องถังซันและมู่เฟิงแน่

“ข้าจะปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับมู่เฉินอย่างไรในอนาคต?”

ถังเชียนเอ๋อกำมือแน่น สายตาวูบไหวพลางตัดสินในใจ นางวางแผนจะหาโอกาสหนีไปพร้อมทุกคน ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง นางมีวิธีการบางอย่างเพื่อหลบหนีและสลัดราชันไป่หลิงให้พ้นทาง

แต่ถ้านางทำเช่นนั้น พันธมิตรเป่ยหลิงที่มู่เฟิงและถังซันใช้ความพยายามสร้างอยู่หลายปีก็จะสูญสลายไป รวมทั้งตัวนางคงจะไม่สามารถกลับไปยังมณฑลเป่ยหลิงได้อีก

เมื่อนึกถึงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะนางมีความทรงจำมากมายที่นั่น

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ บรรยากาศในห้องโถงก็พลุ่งพล่านพร้อมกับทุกคนยืนขึ้นมองไปยังบัลลังก์ด้วยความเคารพ

ภายใต้ขบวนแถวสาวงาม ร่างเงาร่างหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมสีทองมีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ดวงตาเรียวยาวทำให้ดูคล้ายกับอิสตรีอยู่หลายส่วน

ขณะที่เดินเขาก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งบอกว่ามาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว

ที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นผู้อาวุโสชุดดำสองคนที่ราวกับวิญญาณ

“คารวะราชันไป่หลิง!”

เมื่อชายคนนั้นปรากฏขึ้นทุกคนก็เอ่ยทักทายพร้อมเพรียง

ราชันไป่หลิงยิ้มนั่งลงบนบัลลงก์แล้วสะบัดมือลง “ทุกคนนั่งลงเถอะ”

ทุกคนแสดงความขอบคุณทันทีก่อนที่จะนั่งลง ท่าทางเต็มไปด้วยเคารพนี้ทำให้ริมฝีปากของราชันไป่หลิงโค้งขึ้น

เขากวาดมองโถงประหนึ่งจักรพรรดิก่อนที่สายตาจะหยุดที่ร่างเงาหนึ่งของพันธมิตรเป่ยหลิง

“ฮ่าๆ แม่นางเชียนเอ๋อ เจ้าพอใจกับเมืองไป่หลิงของข้าหรือไม่?” ราชันไป่หลิงยิ้มโดยไม่สนใจคนที่เหลือและพูดเพียงกับถังเชียนเอ๋อ

ถังเชียนเอ๋อเผยสีหน้าสงบตอบว่า “ข้าได้เห็นแล้วว่าเมืองไป่หลิงเฟื่องฟูขนาดไหน แต่ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ได้นานเพราะมีหลายสิ่งต้องไปจัดการ”

นางปฏิเสธอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็นำสำนักศึกษาวั่นหวงมาช่วยออกหน้าด้วยความหวังว่าราชันไป่หลิงจะลดระดับลงบ้าง

ราชันไป่หลิงหัวเราะเบาๆ ทำเหมือนจะไม่ได้ยินความหมายในคำพูดของถังเชียนเอ๋อ เขายกถ้วยหยกตรงหน้าพลางหัวเราะ “ข้าไม่ทุบตีรอบพุ่มไม้ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพและหวังว่าแม่นางเชียนเอ๋อจะอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลทวีปไป่หลิงกับข้า”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายในโถง ทุกคนหันมามองที่ถังเชียนเอ๋อด้วยความอิจฉา ในสายตาของพวกเขานี่เป็นการก้าวสู่สวรรค์เลยทีเดียว

ทว่าถังเชียนเอ๋ออดกำกำปั้นด้วยความโกรธที่มีต่อราชันไป่หลิงไม่ได้ แต่นางไม่ใช่สาวน้อยที่กล้าได้กล้าเสียเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นางหายใจเข้าลึกตอบว่า “ข้าขอขอบคุณราชันไป่หลิงสำหรับความรู้สึกที่มีให้ แต่ข้าชอบจัดการงานในสำนักศึกษาวั่นหวงมากกว่า เห็นแก่หน้าสำนักศึกษา ท่านให้เรื่องนี้ผ่านไปเถอะ”

ราชันไป่หลิงยิ้มขณะเล่นถ้วยหยกในมือ “แม้ว่าสำนักศึกษาวั่นหวงจะมีชื่อเสียง แต่กลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะระงับข้าได้…”

“ท่านพ่อข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนมารดาก็เป็นเจ้าสำนักร้อยบุปผาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น”

ราชันไป่หลิงกล่าวขณะที่ยิ้มให้ถังเชียนเอ๋อ “เจ้าคิดว่าราชันอย่างข้าจะกลัวสำนักศึกษาวั่นหวงกระจ้อยร่อยเหรอ?”

แม้ว่าน้ำเสียงจะกลั้วเสียงหัวเราะ แต่บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบลงจนผู้คนตัวสั่น ถึงพวกเขาจะรู้ภูมิหลังของราชันไป่หลิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันและตกใจเมื่อได้ยิน

ตำหนักปลายเหนือมีชื่อเสียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ ขั้วอำนาจนี้ปกครองสี่ทวีป ซึ่งทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ตำหนักปลายเหนือจึงถือได้ว่าเป็นเจ้าเหนือหัวโดยไม่มีการโต้แย้งในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้

ส่วนสำนักร้อยบุปผาแม้จะไม่ทรงพลังเท่าตำหนักปลายเหนือ แต่ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนซึ้งถือได้ว่าครอบงำมาก เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นผู้นำทั้งหมดที่นี่คือมดปลวก

อีกฝ่ายสามารถสลายพวกเขาเป็นฝุ่นได้ด้วยการเป่าเบาๆ

นี่เป็นสาเหตุที่ราชันไป่หลิงสามารถควบคุมทวีปไป่หลิงโดยมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังบางคนยังต้องยอมก้มหัวให้เขา

นั่นเป็นเพราะราชันไป่หลิงมีภูมิหลังที่น่ากลัว!

สีหน้าของถังเชียนเอ๋อเปลี่ยนไปขณะความกดดันกวนตัว ในแง่ของความแข็งแกร่งสำนักศึกษาวั่นหวงเอามาเทียบไม่ได้เลย

ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักศึกษาวั่นหวงเป็นผู้อ่อนแอ เนื่องจากในฐานะสำนักศึกษา สิ่งที่แข็งแกร่งไม่ใช่พลัง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มี

ดังนั้นหากตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาต้องการทำลายสำนักศึกษาวั่นหวง นางเชื่อว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการขัดขวางไม่น้อย

ถังเชียนเอ๋อกำมือตอบว่า “ราชันไป่หลิงต้องการบังคับข้าแบบนี้จริงหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของถังเชียนเอ๋อ รอยยิ้มของราชันไป่หลิงก็จางหายไปพร้อมกับประกายอันตรายวาบในดวงตา

ทั้งโถงเงียบกริบ ทุกคนรู้สึกว่าแผ่นหลังเหงื่อไหลโชก พวกเขาทั้งหมดสาปแช่งถังเชียนเอ๋อที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากนางทำให้ราชันไป่หลิงขุ่นเคืองใจ เรื่องนี้จบไม่ดีแน่

สายตาของมู่เฟิงเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ตกอยู่บนตัวถังเชียนเอ๋อ เขากัดฟันยืนขึ้นคารวะราชันไป่หลิงพร้อมกับรอยยิ้ม “ราชันอย่าโกรธเคืองเลย เชียนเอ๋อแค่ไม่รู้ แต่นางเป็นเพื่อนรักวัยเด็กของบุตรชายข้า ท่านเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ทำไมต้องมีปัญหากับผู้หญิงคนเดียว…”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ราชันไป่หลิงก็มองมาอย่างเย็นชา ผู้อาวุโสในชุดดำก็มองตามและก้าวออกไป “แกมีคุณสมบัติพอที่จะพูดที่นี่เรอะ?!”

คำพูดของเขาราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง ทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือน คำพูดของมู่เฟิงหยุดลงขณะผลกระทบซัดใส่ ใบหน้าของเขาซีดลง ร่างกายซวนเซพร้อมกับรอยเลือดไหลที่มุมปาก

แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นจากผู้อาวุโสชุดดำทำให้ผู้นำขั้วอำนาจอื่นสั่นสะท้าน “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”

พวกเขาอุทานในใจ ราชันไป่หลิงช่างมีการสนับสนุนที่น่ากลัวแท้จริง แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็มีผู้คุ้มกันสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ราชันไป่หลิงคลึงถ้วยหยกเล่นไม่ได้มองไปที่มู่เฟิงขณะพูดอย่างไม่แยแส “ข้าไม่อนุญาตให้พูด เจ้ากล้าพูดแทรกได้ยังไง? แกเป็นใคร? แล้วลูกแกเป็นใครอีก? เขากล้าแย่งผู้หญิงกับข้าเรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฟิงสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะที่กำหมัดแน่น

“ลุงมู่เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ?” ถังเชียนเอ๋อรีบเข้ามาประคองมู่เฟิงพลางถาม

มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นแล้วถอนหายใจ “ลุงไร้ประโยชน์”

ถังเชียนเอ๋อกัดฟันกรอด ดวงตาวูบไหว นางรู้ว่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางคงต้องทำเป็นเอาใจราชันไป่หลิงไปก่อน แล้วหาโอกาสเหมาะพาทุกคนหนีไป

ด้วยความคิดนี้ นางลุกขึ้นมองไปยังราชันไป่หลิงก่อนที่จะกัดฟัน “ได้ ข้าสัญญา…”

แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังปิดปากนางไว้

ในเวลาเดียวกันเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับความหนาวเหน็บสาดซัดในโถง

“พี่เชียนเอ๋ออย่าบุ่มบ่ามพูดอย่างนั้น ขยะอย่างเขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด…”

โถงใหญ่เผ่าฝูถู

“หลังจากที่ข้าไปแล้ว ผู้อาวุโสชิงเทียนจะเข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ แทนข้าชั่วคราว อย่างไรก็ตามข้าจะทิ้งร่างดวงจิตไว้ให้จะได้ติดต่อได้หากมีเหตุฉุกเฉินและข้าจะได้รีบกลับทันที”

เหล่าผู้อาวุโสของสภามารวมตัวกันที่นี่ ชิงเหยี่ยนจิ้งมองหน้าทีละคน จากนั้นสายตาก็กวาดไปที่เฉวียนกวางและมั่วถง ก่อนจะพูดเบาๆ “หวังว่าจะไม่มีอะไรที่ข้าไม่อยากเห็นเกิดขึ้นในเผ่าขณะที่ข้าไม่อยู่ มิฉะนั้นข้าจะลงโทษสถานหนักแน่”

หัวใจของเฉวียนกวางและมั่วถงสั่นสะท้านเมื่อเห็นสายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก่อนจะพยักหน้า พวกเขารู้สึกได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของนาง ถ้าพวกเขาคิดตุกติกขณะที่นางไม่อยู่ เมื่อนางกลับมางานนี้ทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ถูกทวงจนอ่วมแน่

มู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่เหล่าผู้อาวุโสด้วยสีหน้านิ่งเฉย คนตำแหน่งสูงพวกนี้ราวกับฝูงแกะเมื่ออยู่เบื้องหน้าชิงเหยี่ยนจิ้ง

เขายังเห็นเฉวียนหลัวและมั่วซินยืนอยู่ข้างหลังบิดาของพวกเขา ทว่าทั้งสองคนต่างซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าสบตากับมู่เฉิน

พวกเขามีมุมมองชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ รู้ว่ามู่เฉินมาถึงจุดสูงสุดที่ไม่สามารถปีนเกลียวได้สำหรับพวกเขา ในอดีตพวกเขายังใช้สถานะของตนเพื่อกดมู่เฉินในฐานะตัวกาลกิณีได้ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ไม่กลัว เนื่องจากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่า

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป… เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้เบื้องหลังมู่เฉินบดขยี้พวกเขาได้ไม่เหลือซาก…

ดังนั้นเมื่อทุกอย่างต่างไปจากเดิม พวกเขาก็ทำได้เพียงซ่อนและไม่แสดงการยั่วยุใดๆ ต่อมู่เฉิน

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่จะไปนานแค่ไหน? ท่านเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่ง ข้ากลัวว่าจะไปนานไม่ได้นักนะ” ชิงเทียนเดินออกมาและถามอย่างระมัดระวัง

ผู้อาวุโสตระกูลชิงทุกคนมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวว่านางจะจากไปนานเหมือนในอดีต โยนเผ่าฝูถูไว้เบื้องหลัง

หากเป็นเช่นนั้นตระกูลเฉวียนและมั่วอาจทำให้เกิดปัญหา

ชิงเหยี่ยนจิ้งมองเห็นความคิดของชิงเทียนจึงยิ้มให้ “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ว่าต้องทำอะไร ข้าจะคอยติดตามข่าวสารของเผ่าแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำรับรอง ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อเทียบกับในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งอดทนอดกลั้นมากขึ้นและไม่ทำตามอำเภอใจอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงอยากจะร้องไห้ในตอนนี้จริงๆ

“งั้นพวกเราอวยพรให้ผู้อาวุโสใหญ่เดินทางราบรื่นปลอดภัย” ผู้อาวุโสทั้งหมดโค้งคำนับ

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าพลางโบกมือ แสงหลิงห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ จากนั้นทั้งสองก็หายไป

ที่ด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายของเผ่าฝูถู ชิงหยานจิ้งและมู่เฉินก็ปรากฏขึ้น

“น้าจิ้ง” หลิงซีมารออยู่ที่นี่แล้ว นางคล้องแขนชิงเหยี่ยนจิ้ง แม้แต่สีหน้าเย็นชาเป็นนิจก็มีรอยยิ้มน่ารักและไร้เดียงสาเผยออกมา

“นายหญิง” หลงเซี่ยงทักทายด้วยความเคารพ

ชิงเหยี่ยนจิ้งจับมือของหลิงซีพลางแซวเล่นว่า “ยังทำตัวเหมือนเด็กอีก…”

จากนั้นนางก็หันไปหาหลงเซี่ยงและยิ้ม “เราสนิทสนมกันดี ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้”

ทว่าหลงเซี่ยงก็ส่ายหัวอย่างดื้อดึง เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่พูดมาก มองไปที่มู่เฉิน “ตอนที่เจ้าเข้าสมาธิข้าให้หลงเซี่ยงรวบรวมข้อมูล ทวีปไป่หลิงกำลังจะมีพิธีราชันเร็วๆ นี้และขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปจะมุ่งหน้าไปยังเมืองไป่หลิง ข้าว่ามู่เฟิงก็น่าจะไปที่นั่น ดังนั้นเราไปที่นั่นเพื่อหาเขาเลยดีกว่า”

มณฑลเป่ยหลิง แคว้นไป่หลิงเทียนอยู่ในทวีปไป่หลิง ตอนที่มู่เฉินจากมามู่เฟิงได้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิง ซึ่งเป็นขั้วอำนาจที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กของทวีปไป่หลิง ดังนั้นพวกเขาจะต้องเข้าร่วมพิธีราชันด้วยแน่นอน

มู่เฉินผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มเร่งทุกคน “งั้นไปกันเถอะ”

 

ทวีปไป่หลิงอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ

ที่นี่ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นพิเศษอะไร เมื่อเทียบกับมหาทวีปอื่นๆ แล้วก็มองไม่เห็นชั้นการเปรียบเลย

ส่วนทวีปฝูถูของเผ่าฝูถูตั้งอยู่ห่างไกลจากทวีปไป่หลิงมาก แต่เดิมด้วยพลังของชิงเหยี่ยนจิ้ง นางสามารถเดินทางผ่านมิติได้โดยตรง หากใครสักคนในทวีปไป่หลิงมาบดขยี้สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่นางสร้างขึ้น แต่ชัดว่าตอนนางจากไปไม่ได้เตรียมการเช่นนี้ไว้

ทว่าการเดินทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับชิงเหยี่ยนจิ้ง นางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายจึงเป็นอะไรที่ทำได้เพียงพลิกฝ่ามือ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้หยุดเพื่อค้นหาค่ายกลที่จะข้ามทวีป ชิงเหยี่ยนจิ้งสร้างค่ายกลจากที่ห่างไกลเพื่อมุ่งหน้าไปยังอีกทวีปหนึ่งได้เลย…

ดังนั้นพวกเขาเดินทางผ่านนับร้อยทวีปในเวลาเพียงสิบวัน ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ เข้าใกล้ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ

ความเร็วของพวกเขารวดเร็วมาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการบรรลุเป้าหมาย

ทั้งสี่กำลังยืนเหนือผิวน้ำมหาสมุทรขนาดใหญ่ขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งโบกมือไปมา สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงสร้างเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย

“เคลื่อนย้ายอีกครั้ง เราก็จะถึงทวีปไป่หลิงแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากในที่สุดก็ไปถึงจุดหมายเสียที

เมื่อทั้งสี่ก้าวเข้าสู่ค่ายกล รัศมีก็ระเบิดออก มิติโดยรอบบิดเบี้ยวรุนแรง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรพวกมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาคือเทือกเขาแห่งหนึ่ง บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขามาถึงอีกทวีปแล้ว

มือเรียวกดลง การบิดเบือนของมิติโดยรอบก็ถูกระงับลง ชิงเหยี่ยนจิ้งหวนรำลึกถึงอดีตเมื่อมองทวีปนี้พร้อมกับความคาดหวัง

‘ไม่รู้ว่า… ตานั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว…’

“ไปที่เมืองไป่หลิงกันเถอะ”

ชิงเหยี่ยนจิ้งระงับอารมณ์ ยิ้มให้กับมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยง ก่อนที่จะสะบัดมือ พวกเขากลายเป็นร่างแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

“คิกๆ ข้าแทบไม่เคยเห็นน้าจิ้งรีบร้อนขนาดนี้เลย” หลิงซีปิดปากและยิ้ม

“ข้าก็อยากจะพบกับนายท่านที่สง่าผ่าเผยที่สามารถกุมหัวใจของนายหญิงได้ขนาดนี้” หลงเซี่ยงพูดด้วยความคาดหวัง

มุมปากของมู่เฉินกระตุก แม้ว่าเขาจะไม่อยากขายบิดาตนเอง แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าสง่าผ่าเผยเลยนะ…

เขาส่ายหัวกลายเป็นร่างแสงตามมารดาไป

 

เมืองไป่หลิง

ในฐานะเมืองศูนย์กลางของทวีปไป่หลิง เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปพร้อมกับความนิยมยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เมืองไป่หลิงได้กลายเป็นศูนย์รวมสายตาของทั้งหมด

เนื่องจากพิธีราชันกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่

ที่เรียกว่าพิธีราชันมีขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ปกครองทวีปไป่หลิง—ราชันไป่หลิง

ในฐานะผู้ปกครองทวีปนี้ ชัดว่าราชันไป่หลิงดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของทวีปโดยมีขั้วอำนาจน้อยใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจำเป็นต้องมาแสดงความเคารพต่อราชันเป็นครั้งคราวและส่งบรรณาการมาให้

ดังนั้นเมืองไป่หลิงจะคึกคักมากทุกครั้งที่มีพิธีราชัน ขั้วอำนาจทั้งหมดจะมุ่งหน้ามาที่นี่

 

ใจกลางเมืองไป่หลิง วังไป่หลิง

วังหลวงหรูหราแห่งนี้กำลังอยู่ในวุ่นวายพร้อมกับการแสดงของหญิงสาวร้องเล่นเต้นรำภายในวังโอ่อ่า โดยมีผู้นำจากขั้วอำนาจทั้งหมดนั่งกับหญิงงามที่คอยบริการ

ทุกคนที่นั่งอยู่เป็นผู้นำจากขั้วอำนาจต่างๆ ของทวีปไป่หลิง ที่นั่งนี้จัดระดับความสูงต่ำเช่นกัน

โดยทั่วไปคนที่นั่งด้านหน้าจะทรงพลัง ส่วนยิ่งคนที่อยู่ด้านหลังก็จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ…

มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านหลัง เมื่อเทียบกับคนอื่นที่สนุกสนาน สายตาของพวกเขาค่อนข้างไม่สบายใจ

ผู้นำคือชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ซึ่งมู่เฉินมีความคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ชายคนนี้ก็คือบิดาของมู่เฉิน—มู่เฟิง

ขณะนี้เขากำลังขมวดคิ้วพลางถอนหายใจในใจขณะมองไปที่หญิงสาวที่นั่งคุกเข่าท่าเทพธิดาอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้นมีรูปลักษณ์งดงาม เสื้อผ้าสีดำขับเน้นรูปร่างนาง ผมที่เกล้ารวบเป็นหางม้าทำให้ดูมีชีวิตชีวา

เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นนางก็เป็นภาพที่ดึงดูดสายตาหลายๆ คนมา

ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ เขาจะต้องตกใจเพราะนางคือถังเชียนเอ๋อที่เขาไม่ได้พบอีกเลยตั้งแต่จบจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…

ภายในเจดีย์บรรพบุรุษ

ดูเหมือนจะมีมิติมากมายภายในเจดีย์และมู่เฉินก็นั่งอยู่หนึ่งในนั้น เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สั่นไหว เขาสามารถมองเห็นเงาโบราณวูบวาบภายในความว่างเปล่า พื้นที่นี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยรัศมีประสบการณ์

“เจดีย์บรรพบุรุษนี้เป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าฝูถูซึ่งได้รับการสืบทอดมาหลายแสนปี ก่อนที่ผู้อาวุโสใหญ่ทุกคนจะสิ้นอายุขัย พวกเขาจะมาที่นี่และกระจายคลื่นหลิงออกไปเพื่อหลอมรวมกับเจดีย์บรรพบุรุษ ซึ่งนี่ทำให้เจดีย์บรรพบุรุษได้รับพลังอันไร้ขอบเขตเช่นนี้เมื่อเวลาผ่านไป”

ชิงเหยี่ยนจิ้งนั่งข้างมู่เฉินใบหน้านางดูเคร่งขรึมขณะที่กล่าวขึ้น “หากพลังอันเต็มเปี่ยมของเจดีย์บรรพบุรุษถูกปลดปล่อยออกมา สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้เลยทีเดียว”

“อดีตตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในมหาพันภพ พวกมันก็โจมตีเผ่าฝูถู เหล่าบรรพบุรุษได้ใช้พลังของเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อสังหารจอมปีศาจระดับเทียนสามคน”

เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ฉายความขนพองสยองเกล้าบนใบหน้า จอมปีศาจระดับเทียนถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่คิดว่าพวกมันจะถูกสังหารโดยเจดีย์บรรพบุรุษ ดังนั้นบอกได้เลยว่าเจดีย์บรรพบุรุษน่ากลัวเพียงใด

“ที่จริงแล้วสรุปง่ายๆ ก็คือเจดีย์บรรพบุรุษถือว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม มิหนำซ้ำยังอยู่ในแถวหน้าของชั้นเซิ่งอีกด้วย”

มู่เฉินพยักหน้า เขาเคยเห็นบาตรแก้วแปดเทวลิขิตที่เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งที่ได้รับการปรับแต่งโดยเทพจักรพรรดิสงครามและมันก็แค่ปลิวออกไปหลังจากรับการโจมตีของฝูถูเฉวียน แต่กระนั้นก็ไม่มีร่องรอยการแตกหักใดๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ว่าสุดยอดอาวุธเทพนี้ทรงพลังเพียงใด

เห็นได้ชัดว่าเจดีย์บรรพบุรุษทรงพลังยิ่งกว่าบาตรแก้วแปดเทวลิขิต ตามการคาดการณ์ของเขานี่อาจเป็นหนึ่งในอาวุธมหสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ

“อีกครู่ข้าจะเร้ารัศมีบรรพบุรุษออกมา เจ้าก็รีบดูดซับซะ แม้ว่าเจดีย์พุทธะของเจ้าจะได้รับการพิจารณาให้เป็นอันดับต้นของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมธรรมดา แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าหวังว่าระดับของเจดีย์พุทธะของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยสิ่งนี้” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

หัวใจของมู่เฉินถูกล่อลวงเมื่อได้ยิน เขารู้ถึงผลของเจดีย์พุทธะดี ไม่เพียงแต่สามารถผนึกได้ ยังสามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงของเขาให้เป็นผลึกคลื่นบริสุทธิ์ ซึ่งมอบความมั่นใจให้กับเขาที่จะต่อกรจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้

มิฉะนั้นเพียงแค่คลื่นหลิงของเขาเพียงอย่างเดียว อาจถูกปราบปรามโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นข่าวดีหากเขาสามารถยกระดับเจดีย์พุทธะได้อีกครั้ง

“ตกลง”

มู่เฉินพยักหน้าด้วยความคาดหวัง

ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นนางก็วาดตราประทับ ทันใดนั้นมิติก็ผันผวนพร้อมกับเสียงกระหึ่มเก่าแก่ดังผ่านมิติที่ไม่มีที่สิ้นสุด

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเห็นรัศมีโบราณที่ไหลลงมา

เมื่อรัศมีโบราณปรากฏขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงเจดีย์พุทธะภายในร่างกายสั่นไหวรุนแรงราวกับว่าได้เจออาหารอันโอชะ

มากจนก่อนที่มู่เฉินจะเรียกออกมา เจดีย์พุทธะก็ผุดขึ้นมาเหนือศีรษะและขยายออกไปอย่างรวดเร็ว มีขนาดหมื่นจั้งภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจ

เจดีย์พุทธะแผ่รัศมี ดูดเกลียวรัศมีโบราณเข้าไปในเจดีย์

พร้อมกับการดูดซับรัศมีโบราณ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็พวยพุ่งขึ้นบนเจดีย์ ดูลึกลับและบริสุทธิ์ยิ่งนัก

ในเวลาเดียวกันเจดีย์พุทธะขนาดใหญ่ก็ราวกับได้ขับสิ่งสกปรกออกไป ค่อยๆ ลดขนาดลง

ขณะที่หดตัวรัศมีศักดิ์สิทธิ์จากเจดีย์พุทธะก็บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ภายนอกเจดีย์ก็มีรัศมีโบราณไหลเวียนอยู่

เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจดีย์พุทธะ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงเข้าสู่สมาธิลึกซึ้ง เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นภาพนี้ก็ยิ้มก่อนจะหายตัวไปอย่างช้าๆ

 

มู่เฉินฝึกฝนตลอดทั้งเดือน

หลังจากหนึ่งเดือนผ่าน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ปรากฏตัวในมิติอีกครั้งพร้อมกับความตกใจและดีใจบนใบหน้าเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า

ยามนี้มู่เฉินยังคงนั่งนิ่ง ทว่าเจดีย์พุทธะได้หดตัวลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือขณะที่ลอยอยู่เหนือมู่เฉิน ดูดซับรัศมีโบราณอย่างต่อเนื่อง

ขนาดไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว แต่แม้กระทั่งรัศมีก็ยังมีร่องรอยของกลิ่นอายโบราณเข้มข้น

ขณะนี้เจดีย์พุทธะดูเหมือนจะไม่ได้ถูกสร้างจากคลื่นหลิง แต่ได้รับการขัดเกลาจนถึงขีดสุด ราวกับเป็นเจดีย์ผลึกแก้วของจริงที่ล่องลอยอยู่ในความลึกซึ้ง

นอกจากนี้ยังมีความผันผวนคลื่นหลิงทรงพลังที่เปล่งออกมาราวกับว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้

ตามการคาดการณ์ของชิงเหยี่ยนจิ้ง เจดีย์พุทธะน่าจะมีคุณภาพเทียบเท่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงแล้ว

ทว่านั่นยังไม่ใช่ขีดจำกัด

นางสัมผัสได้ว่าเจดีย์พุทธะยังสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา กำจายความตะกละตะกลามขณะที่ดูดซับรัศมีโบราณราวกับว่าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

ทว่ารัศมีโบราณที่พุ่งลงมาไม่ได้เข้มข้นมาก ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพจึงช้าลง

“ในเมื่อเฉินเอ๋อมีความสามารถเช่นนี้ ในฐานะมารดาข้าต้องช่วยเขาหน่อยแล้ว”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มถ้าเป็นผู้อาวุโสทั่วไป นางก็ไม่สนใจแน่นอน เนื่องจากรัศมีโบราณในเจดีย์บรรพบุรุษล้ำค่ามาก ดังนั้นเว้นแต่จะเป็นคนที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะได้รับแน่

ทว่าคนอย่างชิงเหยี่ยนจิ้งไม่เล่นตามกฎอยู่แล้ว ในมุมมองของนางรัศมีบรรพบุรุษอาจมีค่า แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะลอยอยู่แค่ที่นี่ ดังนั้นใช้ประโยชน์มอบคุณค่าให้ซะจะดีกว่า

นางเคาะนิ้วมิติก็สั่นไหว รัศมีโบราณเริ่มหนาแน่นขึ้นและเทลงไปในเจดีย์พุทธะ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อรัศมีโบราณจำนวนมหาศาลหลั่งไหลลงมา เจดีย์พุทธะก็สั่นสะท้านรุนแรง เปล่งประกายราวกับว่าสามารถยับยั้งสรรพสิ่งในโลกได้

ชิงเหยี่ยนจิ้งยังสามารถเห็นลวดลายโบราณเริ่มปรากฏบนพื้นผิวของเจดีย์ซึ่งดูโบราณและลึกซึ้ง

ตู้ม!

เมื่อลวดลายโบราณปกคลุมทั้งเจดีย์ เจดีย์ผลึกแก้วนี้ก็สั่นสะท้าน แสงที่เปล่งออกมาทำให้กระทั่งชิงเหยี่ยนจิ้งยังต้องหรี่ตาลง

แสงคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป

เจดีย์พุทธะลอยอยู่เหนือศีรษะมู่เฉิน แสงเริ่มหดตัวลงกลายเป็นภาพโบราณที่มีลวดลายอยู่บนตัว ซึ่งทำให้มิติโดยรอบแปรปรวน

ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เจดีย์พุทธะที่ลอยอยู่เหนือศีรษะก็พลิ้วลงมาที่ฝ่ามือ

มู่เฉินจ้องมองไปที่เจดีย์และสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าตกใจนั่น

ตามการคาดการณ์ของเขาเจดีย์พุทธะนี้อาจไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่เกล็ดจักรพรรดิเลย

ในอดีตกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา แต่ตอนนี้แม้ว่าเจดีย์พุทธะจะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่อยู่ในจุดสูงสุด แต่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

ที่สำคัญที่สุดยังมีคลื่นหลิงมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากเจดีย์พุทธะกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกครั้งทะลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางแล้ว

“สมกับเป็นเจดีย์พุทธะ สามารถพัฒนาในระดับนี้ได้ด้วยรัศมีโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งถอนหายใจ

ตอนนี้เจดีย์พุทธะมาถึงจุดสูงสุดของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนแล้ว

อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่มีในครอบครอง มากจนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งบางคนที่เพิ่งบรรลุก็ใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมในชั้นนี้ ดังนั้นจึงมองเห็นมูลค่าได้

ด้วยอาวุธมหสวรรค์ระดับนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้

“ขอบคุณท่านแม่”

มู่เฉินยิ้ม เขารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะมารดาควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อให้รัศมีโบราณทรงคุณค่าเพิ่ม คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่เขาจะไปถึงจุดนี้ได้

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม “รัศมีโบราณไม่มีประโยชน์ถ้าทิ้งไว้ที่นี่หรอก ในเมื่อเจ้ามีความสามารถก็เอาไปเถอะ แต่นี่คือสิ่งที่เป็นของเผ่าฝูถู แม่หวังว่าหากอนาคตเผ่าฝูถูตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะลงมือช่วยเหลือนะลูกรัก”

ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้ว่ามู่เฉินไม่มีความรู้สึกดีกับเผ่าฝูถูด้วยมีม่านกั้นอยู่ในใจเขา แต่นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อยากเห็น ดังนั้นนางจึงอยากใช้สิ่งนี้ปัดเป่าความขุ่นเคืองในใจของบุตรชายไปบ้าง

มู่เฉินรู้ความคิดของชิงเหยี่ยนจิ้งดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าหลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ “ตราบใดที่ท่านแม่สบายดี ก็ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างข้ากับเผ่าฝูถู”

“ทักษะการฝึกฝนและสายเลือดของข้าแม้จะมาจากท่านแม่ แต่ท่านก็มาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นหากเผ่ามีปัญหาในอนาคตข้าจะต้องช่วยเหลือแน่”

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าด้วยความพอใจพลางลูบศีรษะมู่เฉินด้วยความรักก่อนที่จะยิ้ม “ในเมื่อเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมออกเดินทางกันเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นความปีติยินดีก็ฉายบนใบหน้าของมู่เฉิน

“ได้เลย!”

เมื่อเห็นความสุขของบุตรชาย ชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกยินดีตามไปด้วย นางยิ้มด้วยความปรารถนาข้นคลั่กในดวงตา

งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูสิ้นสุดลง ความสงบสุขหวนกลับคืน

เมื่องานชุมนุมจบลง ความผันผวนในเผ่าฝูถูก็ค่อยๆ เบาบางลงเช่นกัน แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่ง แต่ศักดิ์ศรีและพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่งนัก ดังนั้นนอกเหนือจากการสั่นสะเทือนบางอย่างของตระกูลมั่วและเฉวียนแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ก็ยอมรับความเป็นจริงนี้ได้

แขกที่มาชมงานในเผ่าฝูถูก็อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก่อนที่จะลากลับไป สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากที่พวกเขากลับไปเรื่องราวต่างๆ ในเผ่าฝูถูจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ เวลานั้นชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายออกไป

เพราะแม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นคนมาปิดเหตุการณ์ในเผ่าฝูถู แต่ในระหว่างทางฝีมือของมู่เฉินก็น่าตกใจอย่างยิ่ง

เขาไม่เพียงแต่เอาชนะผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนหลายคนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น เขายังอาศัยพลังของค่ายกลพิทักษ์เพื่อปราบปรามผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดส่วนของเผ่า บังคับให้ฝูถูเฉวียนต้องเคลื่อนไหว…

ความสำเร็จนี้สร้างความตกตะลึงแท้จริงและทำให้ทุกคนพูดไม่ออก

 

บนภูเขาลูกหนึ่งในเผ่าฝูถู

มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมเก๋งหินและภูเขาเทียมที่ตกแต่งสวนที่นี่ได้อย่างงดงาม

ที่นี่เป็นที่พักที่ดีที่สุดของเผ่าฝูถูเพื่อใช้รับรองแขก ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของมู่เฉิน

เมื่องานชุมนุมสายเลือดสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสทุกคนต่างต้องการให้มู่เฉินย้ายออกจากที่พักรูหนูพร้อมกับยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอายที่จะปฏิเสธ…

เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากชิงเหยี่ยนจิ้งในฐานะผู้อาวุโสใหญ่

หากเป็นในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้เป็นตัวกาลกิณี แต่สถานะของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นคงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้รับความสำคัญใดๆ จากทางเผ่า แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งหลุดพ้นข้อหา มิหนำซ้ำยังขึ้นดำรงผู้มีอำนาจสูงสุดของเผ่าฝูถู จึงไม่มีใครกล้าละเลย มู่เฉินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง แต่ละคนทำเสมือนเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว

ทว่ามู่ฉินก็ยังคงสงบนิ่งระหว่างการปฏิบัตินี้ ในเมื่อพวกเขายืนยันที่จะมอบให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสุภาพ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้อะไรเขาก็ไม่สำคัญเช่นกัน

แม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า แต่เขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อเผ่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะใช้บารมีไปโอ้อวดอะไร

เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตธรรมดามาตลอด แม้ว่าจะไม่มีเผ่าฝูถู เขาก็ยังมีชีวิตที่ดีได้

 

“สหายน้อยงานชุมนุมสายเลือดจบแล้ว ถึงเวลาพวกข้าต้องกลับสักที เรามาที่นี่เพื่ออำลา”

เย่าเฉินและหลินเตียว พาเซียวเซียวและหลินจิ้งมาถึงคฤหาสน์ใหญ่

การเดินทางมาเผ่าฝูถูครั้งนี้ก็เพื่อช่วยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินสบายดี พวกเขาก็ถึงเวลาจากลาแล้ว

มู่เฉินประสามมือด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ นอกจากนี้โปรดส่งข้อความจากข้าถึงท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้ง คราวนี้มู่เฉินเป็นหนี้ทั้งสองท่านแล้ว”

เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ว่าเหตุผลที่เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความสำคัญกับมู่เฉินก็เป็นการลงทุน พวกเขามีสายเฉียบแหลมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของชายหนุ่มและรู้สึกว่าเขาจะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพในวันหนึ่งแน่นอน

หลังจากเรื่องในเผ่าฝูถู เย่าเฉินและหลินเตียวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ด้วยศักยภาพของมู่เฉินมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงจุดสูงสุดในอนาคต

ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่สามารถติดหนี้บุญคุณเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามในมหาพันภพ ทว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติดังกล่าว

“ตอนแรกพวกเขาต้องการมาด้วยตัวเอง แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหว แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่สามารถประมาทได้” เย่าเฉินและหลินเตียวกล่าว

เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็หดลง จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ ตัวเขาก็เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจด้วยตัวเขาเอง ตอนที่ไปในพิภพเขตล่าง

“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามน่าชื่นชมอย่างแท้จริง”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่ข้างมู่เฉินเพื่อมาส่งพวกเขา นางกล่าวว่า “ฝากบอกเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามว่าเผ่าฝูถูก็อยากสร้างสัมพันธไมตรี ภายภาคหน้าเราอาจจะได้ร่วมมือกัน หากจักรวรรดิปีศาจมิติเคลื่อนไหว ส่งข่าวบอกเผ่าฝูถูด้วย”

เมื่อหลินเตียวและเย่าเฉินได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าก็เคร่งขรึมลง นี่ไม่เหมือนกับมู่เฉิน คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นตัวแทนของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ดังนั้นแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เต็มใจที่จะต้อนรับความสัมพันธ์ดังกล่าว

“เราจะนำคำพูดของเจ้าไปบอกอย่างแน่นอน” หลินเตียวและเย่าเฉินตอบกลับ

“เฮ้ มู่เฉิน! อย่าลืมไปเยี่ยมกันที่แคว้นหวูนะ ครั้งต่อไปที่เราพบกันข้าจะบุกเข้าระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกัน!” หลินจิ้งกำหนัดแน่นพลางพูดกับมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้ม “เจ้าทำได้แน่นอน”

ความสามารถของหลินจิ้งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย เพียงแต่นิสัยติดเล่นเกินไปและนางไม่เคยสัมผัสกับความเป็นตายเช่นเดียวกับเขา ไม่อย่างนั้นนางเหนือกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินอย่างแน่นอน

“ตอนแรกเห็นเจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ข้ายังตั้งใจจะประลองกับเจ้าสักหน่อย แต่หลังจากได้เห็นการแสดงฝีมือของเจ้าระหว่างงานชุมนุมสายเลือด ข้าก็ไม่อยากทำให้ตัวเองอับอาย ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงมองเจ้าสูงนัก นั่นเพราะเจ้าก็เหมือนกับเขา เป็นสัตว์ประหลาดด้วยกันทั้งคู่” เซียวเซียวจ้องไปที่มู่เฉินและพูดอย่างจริงจัง

ทันใดนั้นเส้นสีดำก็ปกคลุมหน้าผากของมู่เฉินทันที ‘เรียกพ่อตัวเองว่าสัตว์ประหลาด มันดีเหรอ?’

เย่าเฉินและหลินเตียวส่งยิ้มให้กัน แต่ก็ไม่คิดอยู่ต่อ หลังจากร่ำลามู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้ง พวกเขาก็โบกมือพาเซียวเซียวและหลินจิ้งไป ขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

“สหายน้อยไว้พบกันใหม่”

เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกเขาหายไป

มู่เฉินยืนนิ่งเฝ้าดูพวกเขาจากไป

“เฉินเอ๋อ เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นวีรบุรุษ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากพิภพเขตล่าง แต่พรสวรรค์ของพวกเขาก็พิเศษเหนือกว่าทุกคนในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเฉียบแหลมมาก ในมหาพันภพมีผู้คนไม่มากที่จับตาพวกเขาได้ ข้ารู้สึกภูมิใจที่เจ้าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองคนได้” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินเบา ๆ ขณะที่หัวเราะ

“ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง” มู่เฉินเห็นด้วย หลังจากได้พบปะพวกเขาสองคน เขาก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของทั้งสองคน

“แต่เฉินเอ๋อของแม่ก็ไม่เลว ในอนาคตเจ้าจะสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าว

“ขออวยพรให้เป็นจริง”

มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็พูดต่อ “ท่านแม่ เราจะกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงเมื่อไร? ท่านพ่อรอวันนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว…”

แม้ว่าจะไม่มีใครในเผ่าฝูถูกล้าท้าทาย ทุกคนให้ความเคารพเขา แต่มู่เฉินก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน

สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดตอนนี้คือกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงพร้อมกับชิงเหยี่ยนจิ้ง

แม้ว่าที่นั่นจะกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวหรือเผ่าฝูถู แต่ก็เป็นบ้านในหัวใจของมู่เฉิน

เขาเติบโตที่นั่นและได้รับความมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่มหาพันภพจากบ้านอันอบอุ่น…

ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมคำสัญญาที่มีให้ต่อบิดา…

แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นเพียงเจ้าเขตมู่เล็กๆ แต่เขาก็เลี้ยงดูปกป้องมู่เฉินจนเติบใหญ่ ดังนั้นภาพของบิดาคือวีรบุรุษในใจของมู่เฉินเสมอ

สายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งเหม่อลอยไปเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะฉายแววตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงสามี “เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวังที่เลี้ยงดูบุตรชายได้ดีพร้อมขนาดนี้”

ในเวลาเดียวกันน้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนาเข้มข้น

“หลังจากแม่จัดการเรื่องต่างๆ ในเผ่าฝูถูเรียบร้อย ก็น่าจะเดินทางกลับพร้อมลูกได้”

รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง ขณะนางมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีของขวัญเล็กๆ สำหรับเจ้าด้วย”

ก่อนที่มู่เฉินจะตอบ นางก็คว้าแขนบุตรชายพร้อมกับคลื่นหลิงโอบทั้งสองคนไว้

เมื่อแสงหายไปมู่เฉินก็เห็นทิวทัศน์ใหม่ ที่นี่เป็นสถานที่เก่าแก่มีเจดีย์หินสูงตระหง่านโบราณ

มู่เฉินคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ตอนที่เขาปรับแต่งเจดีย์พุทธะก็ได้มายังสถานที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาเกือบถูกฝูถูเฉวียนจับได้ด้วย

“ท่านแม่?”

ชัดว่าเขาไม่รู้ทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงพาเขามาที่นี่

“ในเผ่าฝูถูเมื่อจอมยุทธ์บรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็จะมีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่และดูดซับรัศมีบรรพบุรุษเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเจดีย์ของพวกเขาเป็นครั้งที่สอง” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว “คงไม่เหมาะสมล่ะมั้งขอรับ?”

แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะพูดแบบสบายๆ แต่มู่เฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหนได้อย่างไร? มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่จะได้รับสิ่งนี้ นอกจากนี้พูดแบบตรงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ตอบว่า “ตอนนี้แม่เป็นผู้อาวุโสใหญ่และถ้าข้าบอกว่าเจ้ามีคุณสมบัติคุณก็คือมีคุณสมบัติ นอกจากนี้นี่ยังเป็นสิ่งที่เผ่าฝูถูเป็นหนี้เจ้า ตอนนั้นพวกเขาละเลยเจ้า ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการขอโทษ”

เมื่อเห็นด้านเผด็จการของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้ารับ

“งั้นข้าก็ขอบคุณท่านแม่”

เขารู้ดีว่าโอกาสที่เจดีย์ของเขาจะพัฒนาเป็นครั้งที่สองนั้นหายากเพียงใด ในเมื่อตอนนี้ส่งมาถึงตรงหน้า ก็น่าเสียดายที่จะต้องสละสิทธิ์ไป

ทุกคนต่างตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา…

ตระกูลเฉวียนและมั่วแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตระกูลก็ไม่สามารถทำเบ่งได้อีกต่อไป

มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉวียนและมั่วยังถูกมู่เฉินปราบปรามอยู่ใต้ภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งเสียงคัดค้านใดๆ สักแอะและไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นด้วย

ส่วนตระกูลย่อยอื่นๆ แม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมรับได้มากกว่า เนื่องจากชิงเหยี่ยนจิ้งมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่จากพลังที่นางมี บวกกับความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

สมาชิกตระกูลชิงต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี แม้ว่าการดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะหมายความว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องออกจากตระกูลเพื่อรักษาความยุติธรรมและการตัดสินใจอย่างยุติธรรม แต่นี่ก็ยังคงเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งจากตระกูลเฉวียนและมั่ว

“น่าสนใจ…”

เย่าเฉินและหลินเตียวก็อึ้งไปกับฉากนี้ก่อนที่ทั้งสองคนจะยิ้ม ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะดำเนินมาในลักษณะนี้? ตอนแรกพวกเขาคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องทนทุกข์จากเจดีย์บรรพบุรุษ แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรนางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูแล้ว

พวกเขารู้ว่าเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ก็ถือว่าจบลงแล้ว ชิงเหยี่ยนจิ้งสามารถระงับเสียงทั้งหมดในเผ่าได้ด้วยพลังของนาง

“หึ ช่างเป็นไอ้แก่ที่ไร้ประโยชน์”

หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วและสาปแช่ง ตอนแรกเขาหวังว่าจะเกิดการต่อสู้ล้างเลือดระหว่างฝูถูเฉวียนและชิงเหยี่ยนจิ้ง ใครจะไปคิดได้ว่าสุดท้ายจะเกิดผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนไม่เพียงแต่ไม่โต้กลับเพื่อได้มา แต่ยังยอมรับโดยสดุดี

มู่เฉินก็ตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ท่าทางเขาประหลาดไปหลายส่วน ตอนแรกเขาตั้งใจจะมารับมารดาแล้วพากันออกจากเผ่าโบราณงี่เง่านี้ แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าแทน…

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เนี่ย…?” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง แววตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นฝูถูเฉวียนลงจากตำแหน่งผู้อาวุโสให้อย่างไม่ยึดติด

หากฝูถูเฉวียนเพิกเฉยต่อกฎและตอบโต้ นางอาจต้องใช้เจดีย์บรรพบุรุษและขังเขาไว้ให้สำนึก แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดผลกระทบใหญ่ต่อเผ่าฝูถู

นอกจากนี้ก็เทียบเท่ากับการสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้ทุกคนเป็นเสาหลักของเผ่าและการสูญเสียคนใดคนหนึ่งก็จะทำให้รากฐานของเผ่าเสียหาย

นี่เป็นสาเหตุที่ฝูถูเฉวียนและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่กล้าบังคับนางมาก แม้ว่านางจะถูกจองจำก็ตาม

“อย่างน้อยท่านก็ไม่โง่” แม้ว่าท่าทางนางจะผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา นางรู้สึกโกรธที่ฝูถูเฉวียนพยายามจับมู่เฉินในอดีต

ขณะที่พูดค่ายกลรอบตัวนางก็ผันผวนและหายไปกลายเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายก่อนที่จะพุ่งกลับมาสถิตในแขนเสื้อของนาง

“กฎคือกฎ ไม่งั้นข้าไม่จบเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรอก” ฝูถูเฉวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมใครพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง

ทว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เมื่อเหลือบมองสภาพอนาถบนพิ้นดินก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องจัดการเรื่องยุ่งทั้งหมดนี่เอง ข้าไม่เกี่ยวด้วยแล้วนะ”

จากนั้นสายตาเขาก็กวาดไปที่มู่เฉิน ซึ่งชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาซับซ้อนของฝูถูเฉวียน

“หวังว่าลูกชายเจ้าจะไม่ทำให้เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรสูญเปล่าซะละ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่งเสียงเข้ม “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ลูกชายข้าก้าวเดินเพียงลำพังโดยไม่มีทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถูและมาไกลได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะเกินกว่าจอมยุทธ์ทุกคนในเผ่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

ฝูถูเฉวียนอยากยิ้มเยาะต่อคำพูดนางสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จของมู่เฉินที่เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากอบทุกอย่างจากความว่างเปล่าด้วยตัวเองพร้อมกับพรสวรรค์ที่มีอย่างแท้จริง

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพ่นลมหายใจทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของมิติแล้วหายไปในพริบตา

เมื่อฝูถูเฉวียนจากไปแล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดก็บรรเทาลง

“ทักทายผู้อาวุโสใหญ่!”

เมื่อบรรยากาศคลายลง สมาชิกตระกูลชิงก็เปล่งเสียง จากนั้นตระกูลสาขาแม้แต่ตระกูลเฉวียนและมั่วก็ตามมา

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นการทักทายของพวกเขา นางก็โบกมือให้

“ผู้อาวุโสใหญ่… ไม่ทราบว่าสามารถปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลเราทั้งสองออกมาก่อนได้ไหม?” หลังจากลังเลสมาชิกตระกูลของเฉวียนและมั่วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

เมื่อมองภูเขาที่อยู่บนพื้นดินทันใดนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด งานแรกของการเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็เริ่มไม่ง่ายแท้จริงแล้ว

ทว่านางจะทำเมินปล่อยให้ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลถูกปราบปรามไม่ได้ ใครบางคนอาจคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงโบกมือภูเขาเหล่านั้นก็ยกขึ้นก่อนที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อภูเขาลอยออกไป เงาสิบกว่าร่างก็ทะยานออกมาทันที

“มู่เฉิน วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยแกไปแน่นอน!” เฉวียนกวางที่เป็นอิสระผมรกรุงรังไปหมด สายตามองไปที่มู่เฉินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

แต่หลังจากนั้นเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ถึงความเงียบงัน ก่อนที่เขาจะเห็นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลเฉวียนพยายามส่งสัญญาณทางสายตาให้

ดังนั้นเขาจึงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงเย็นดังมาจากท้องฟ้า “โอ้? เจ้าจะทำอะไรลูกชายข้ารึ”

เฉวียนกวางเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้ง หัวใจเขาสั่นสะท้านอุทานออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!”

มั่วถงก็รู้สึกงงงวยพร้อมกับแววหวาดเกรง ในเวลาเดียวกันสายตาเขาก็ค้นหาร่างเงาของฝูถูเฉวียน อย่างต่อเนื่อง โดยคิดถามเหตุผลว่าทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงอยู่ที่นี่

ชิงเหยี่ยนจิ้งกวาดสายตาเย็นชาประกาศว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ฝูถูเฉวียนเลือกที่จะเข้าสู่สันโดษแล้ว”

เฉวียนกวางและมั่วถงตกตะลึงทันที ความไม่เชื่อพล่านในสายตาของพวกเขา ขณะที่พวกเขาพูดติดอ่าง “นะ นี่…เป็นไปได้ยังไง?! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!”

พวกเขาถูกระงับเพียงช่วงสั้นๆ ทำไมสถานการณ์ทั้งหมดถึงเปลี่ยนไป?

พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วที่สวมสีหน้าขมขื่น แต่ไม่มีใครหักล้างคำพูดของนาง

เมื่อเฉวียนกวางและมั่วถงได้สติ พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะก้าวหน้าไปในลักษณะนี้ ตอนนี้ชิงเหยี่ยนนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่และกุมอำนาจของเผ่าฝูถูไว้แล้ว จากนี้ไปพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เว้นแต่พวกเขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่มาจากชิงเหยี่ยนจิ้ง

ทว่าแม้พวกเขาจะอยู่ในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด ห่างจากขั้นเซิ่งเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่อาจเป็นก้าวที่ไม่สามารถก้าวไปได้ตลอดชั่วชีวิต

เมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งตระกูลชิงในอดีตและทัศนคติของพวกเขาที่ต่อต้านชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉินแม้แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็อดรู้สึกวิงเวียนไม่ได้

พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเฉวียนและมั่วจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีในอนาคต

แม้จะมีความยุ่งเหยิงในใจทั้งสองคนก็ยังเป็นประมุขตระกูล ดังนั้นจึงได้แต่ระงับอารมณ์และฝืนยิ้มให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง “ถ้างั้นพวกเราขอทักทายผู้อาวุโสใหญ่”

ชิงเหยี่ยนจิ้งฉายท่าทางเย็นชาก่อนจะพยักหน้าส่งๆ นางทั้งเกลียดและขยะแขยงเฉวียนกวางและมั่วถง แต่ทั้งสองเป็นประมุขตระกูล หากนางจัดการกับพวกเขาก็จะนำปัญหามาสู่เผ่า ดังนั้นนางไม่สามารถทำอะไรเร่งรีบในขณะนี้ได้ ตราบใดที่นางดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็มีโอกาสมากมายที่จะปราบปรามทั้งสองตระกูลในอนาคตเพื่อลดความได้เปรียบลง

“กลับไปที่ตัวเองซะ”

เมื่อได้ยินเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้ง เฉวียนกวางและมั่วถงก็พยักหน้าอย่างขมขื่นก่อนที่จะพาผู้อาวุโสที่อยู่ใต้อาณัติกลับไปที่ภูเขาต่างๆ

เมื่อมองไปที่แขกผู้ทรงเกียรติ ความเย็นชาในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ค่อยๆ ลดลงและกลับมาเป็นอบอุ่นอ่อนหวาน

“ข้าให้ทุกคนดูเรื่องตลกในวันนี้แล้ว งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูจะสิ้นสุดลงในวันนี้ ขอเชิญทุกท่านอยู่ที่เผ่าฝูถูต่ออีกสองสามวันเพื่อให้ทางเราจะได้ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพ”

น้ำเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้งอบอุ่น แต่เนื่องจากทุกคนได้เห็นความเด็ดขาดของนางเมื่อครู่ พวกเขาจึงได้แต่แสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว

เมื่อสายตานางหันไปทางเย่าเฉินและหลินเตียวสีหน้าก็อบอุ่นขึ้นอีกหลายส่วน “ขอบคุณมากสำหรับท่านสองที่ช่วยดูแลเฉินเอ๋อ หากมีโอกาสในวันหน้าข้าจะเดินทางไปยังแค้วนหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเป็นการส่วนตัว เพื่อเยี่ยมคารวะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

พบปะกับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่เย่าเฉินแลหลินเตียวยังต้องแสดงความเคารพ พวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจ ตอนแรกพวกเขาเพียงแค่มาชมงานชุมนุมสายเลือด แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะได้ชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าฝูถูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…

สำหรับมู่เฉิน… ชื่อของเขาจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ บวกกับการที่มารดาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าท้าทายอีกแล้ว…

“ขออัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!”

เมื่อน้ำเสียงที่เยือกเย็นของฝูถูเฉวียนดังก้อง เหล่าผู้ชมก็ยังคงนิ่งเฉย แต่สมาชิกเผ่าฝูถูอดไม่ได้ที่จะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไป

“แย่แล้ว ผู้อาวุโสใหญ่อัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!” ชิงเซวียนร้องออกมาอย่างกังวล

ท่าทางของชิงเทียนก็ไม่น่าดู เจดีย์บรรพบุรุษเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าฝูถูและเพราะเจดีย์บรรพบุรุษทำให้เผ่าฝูถูสามารถยืนหยัดมั่นคงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณโดยไม่ตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น

เจดีย์บรรพบุรุษนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว ย้อนกลับไปตอนที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งต่อสู้กับผู้อาวุโสใหญ่ เขาก็อัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษออกมาเพื่อปราบปรามนาง

ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่รู้ชัดเจนว่าสามารถพึ่งพาเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อปราบปรามชิงเหยียนจิ้งได้เท่านั้น

“เฮ้ เขาถูกบีบให้เรียกเจดีย์บรรพบุรุษเลยเหรอ” เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นภาพนี้ก็ยิ้ม เขายินดีที่จะเห็นการห้ำหั่นของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถู จะดีมากถ้าทั้งสองคนล้มลง เผ่าฝูถูจะตกจากที่นั่งการเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณด้วยเหตุผลฆ่าฟันกันเอง

ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับชิ้งเหยี่ยนจิ้งสักนิด ย้อนไปตอนนั้นที่เผ่าฝูถูต้องการสร้างสัมพันธ์กับเผ่าหมัวเฮอโดยการผ่านการแต่งงานกับหมัวเฮอเทียนพี่ชายของเขา แต่สุดท้ายชิ้งเหยี่ยนจิ้งก็ดื้อดึงหนีงานแต่ง สำหรับหมัวเฮอโยวนี่เป็นเรื่องสร้างความน่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับเผ่าของพวกเขา

“ข้าจะขอดูว่าชิ้งเหยี่ยนจิ้งจะต้านทานสิ่งนี้อย่างไร รากฐานของเผ่าโบราณไม่ใช่สิ่งที่จะสั่นคลอนได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งคนเดียวหรอกนะ” หมัวเฮอโยวกอดอกพลางเค้นเสียง

หากชิ้งเหยี่ยนจิ้งถูกปราบปรามภายในเจดีย์บรรพบุรุษ มู่เฉินก็ไม่รอดพ้นในการถูกจองจำแน่นอน

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงสายตาอื่นๆ ก็ขมวดคิ้ว ถ้าฝูถูเฉวียนจะพึ่งพาเจดีย์บรรพบุรุษจริงๆ เขาคงต้องขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรก็ตาม วันนี้เขาต้องพามารดาไปให้ได้!

“ฝูถูเฉวียน มีวิธีการแค่นี้เองเหรอ?” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งกล่าวเสียงเย็นขณะมองไปที่ฝูถูเฉวียน

ใบหน้าของฝูถูเฉวียนมืดครึ้ม “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองแม่ลูกท้าทายอำนาจเผ่าของข้าตลอดเวลา ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งสาดสายตาเย็นชาและกล่าวเสียงเยียบเย็น “ได้ ในเมื่อยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ ก็มาลองดูกัน!”

“หึ ยังจะปากกล้าอีก?!”

ฝูถูเฉวียนตะคอกพลางประสานมือ ทันใดนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามิติฝูถูสั่นสะเทือน บนท้องฟ้าสูงโลกเหมือนถูกฉีกออกจากกัน เจดีย์หินที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกลิ่นอายโบราณ

เมื่อเจดีย์หินเคลื่อนลงมา ทุกคนก็สัมผัสถึงแรงกดดันที่น่ากลัว นี่เป็นสิ่งที่ทำให้จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นตัวสั่นสะท้าน แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้เพื่อปกป้องตัวเอง

ทุกคนฉายสีหน้าตกใจหวาดผวา พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าหากเจดีย์บรรพบุรุษพุ่งมาในทิศทางของพวกเขา งานนี้หลบหนีไม่ได้อย่างแน่นอน

“เผ่าฝูถูสมกับชื่อเสียงแท้จริง มีไพ่ตายที่น่ากลัวเช่นนี้” เหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังถึงกับถอนหายใจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ทำได้เพียงหลบหนี ขณะเผชิญหน้ากับเจดีย์เก่าแก่นี่

ดูเหมือนฝูถูเฉวียนจะโกรธมากในครั้งนี้

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเจดีย์พลิ้วลงมาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงสู่โลกค่ายกลที่สร้างโดยชิ้งเหยี่ยนจิ้ง ค่ายกลไม่สามารถต้านทานเจดีย์ ปล่อยให้มันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

“ชิ้งเหยี่ยนจิ้งตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะไตร่ตรองถึงความผิดพลาดหลังจากผ่านมาหลายปี แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตัวเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะขังเจ้าไว้จนกว่าจะรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง!” ฝูถูเฉวียนตะเบ็งเสียง

“ดันทุรัง”

ชิ้งเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียง “ฝูถูเฉวียน ท่านไม่เหมาะที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ ดูสิว่าภายใต้การดูแลของท่าน ตำแหน่งประมุขว่างเว้น ไม่มีผู้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ตระกูลเฉวียนและมั่วก็กอบโกยทรัพยากรทั้งหมดของเผ่าและไม่สนใจตระกูลอื่นที่มีความสามารถ ทำให้เผ่าฝูถูเสื่อมทรามกลายเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดในห้าเผ่าโบราณ ทั้งหมดนี้เกิดจากความดันทุรังของท่าน!”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ฝูถูเฉวียนก็คำรามด้วยความโกรธ “ไร้สาระ!

“ไปสำนึกผิดในเจดีย์บรรพบุรุษซะ!”

ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง เจดีย์ก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างชิ้งเหยี่ยนจิ้งในทันที แม้ว่าจะเคลื่อนช้า แต่ก็ลงไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งอย่างต่อเนื่อง

เจดีย์เก่าแก่ช่างแปลกประหลาด ราวกับว่าได้กำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์

ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเผชิญหน้ากับเจดีย์ นางมองไปที่ฝูถูเฉวียนด้วยแววตาผิดหวัง

“ท่านต่างหากที่ควรสงบสติอารมณ์”

ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือออกค่อยๆ ผลักไปที่เจดีย์บรรพบุรุษที่พุ่งลงมา จากนั้นผู้คนก็ต้องตกตะลึง เจดีย์บรรพบุรุษหยุดนิ่งอยู่เหนือร่างชิงเหยี่ยนจิ้ง

“อะไรน่ะ?!”

สมาชิกเผ่าฝูถูตกตะลึงราวกับเห็นผี แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็มีใบหน้าตกใจกลัว

พวกเขาเห็นอะไรน่ะ? ชิงเหยี่ยนจิ้งควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษได้หรือเนี่ย?!

ต้องรู้ว่ามีเพียงประมุขและผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่สามารถควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษได้ แล้วชิงเหยี่ยนจิ้งจะสั่งการได้อย่างไร?

“จะ…เจ้า!”

ฝูถูเฉวียนตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง นิ้วมือสั่นระริกชี้ไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง เขาพูดไม่ออกจากความตกใจ

“เจ้าสั่งเจดีย์บรรพบุรุษได้ยังไง?!”

พักใหญ่ฝูถูเฉวียนก็หาเสียงเจอในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยความยากลำบาก

ชิงเหยี่ยนจิ้งเหลือบมองไปที่เขาตอบว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะได้สั่งการเจดีย์บรรพบุรุษแล้ว”

ใบหน้าของฝูถูเฉวียนเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนตราประทับเพื่อควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษ แต่คราวนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรเจดีย์ก็หยุดนิ่งอยู่เหนือชิงเหยี่ยนจิ้งเงียบๆ โดยไม่ขยับและไม่สนใจคำสั่งของเขา

สีหน้าของฝูถูเฉวียนเปลี่ยนไปมาก เขาก้าวถอยหลังอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?”

ทว่าดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งไม่มีความผันผวนใดขณะอธิบาย “เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหลายของเผ่าฝูถูสัมผัสได้ถึงอายุขัยที่กำลังจะสิ้น พวกเขาก็จะเข้าไปในเจดีย์บรรพบุรุษและปล่อยให้คลื่นจิตถูกรักษาไว้ภายใน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เจดีย์บรรพบุรุษทรงพลังมาก

“นั่นหมายความว่าเจตจำนงของท่านบรรพบุรุษทั้งหลายยังไหลเวียนอยู่ภายใน เจดีย์บรรพบุรุษก็ค่อยๆ สร้างจิตสำนึกของตัวเองขึ้น…”

“สิ่งที่ข้าทำก็คือรายงานการกระทำของท่านในช่วงที่ข้าถูกจองจำ สรุปสั้นๆ ก็คือไปฟ้องไงล่ะ”

“เจดีย์บรรพบุรุษมีไว้เพื่อเผ่าฝูถู ท่านบรรพบุรุษปรารถนาให้เผ่าเข้มแข็ง ดังนั้นพวกเขาจึงตอบสนองข้า…”

ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา “พวกเขาไม่พอใจท่านมาก ตาแก่”

ฝูถูเฉวียนราวกับว่าถูกโจมตีหนักหน่วง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการจัดการของเขาจะทำให้บรรพบุรุษไม่เป็นสุข นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาผิดเรอะ?

ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อด้วยสีหน้าสงบ “ตามกฎของเผ่าผู้ใดที่สามารถสั่งการเจดีย์บรรพบุรุษได้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่!”

คำพูดของนางทำให้เกิดคลื่นในเผ่าฝูถูทันที พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเพียงไม่กี่นาทีผู้อาวุโสใหญ่ก็เปลี่ยนคนแล้ว!

ตระกูลเฉวียนและมั่วหน้าซีดเผือด เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีเวลาที่เสวยสุขอีกแล้ว

ในทางตรงกันข้ามตระกูลชิงส่งเสียงโห่ร้อง แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็แสดงความยินดี ในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งเกลียดเรื่องประเภทนี้มาก ไม่งั้นป่านนี้นางคงเป็นประมุขหญิงของเผ่าฝูถูไปแล้ว

แต่ตอนนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่คาดคิดคือชิงเหยี่ยนจิ้งยอมรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่

ท่าทางของฝูถูเฉวียนเศร้าสลด เขายังไม่หลุดจากความคิดที่ว่าท่านบรรพบุรุษทั้งหลายไม่พอใจในตัวเขา พักใหญ่เขาถึงได้ดึงสติกลับ ดูเหมือนแก่ลงมากเลยทีเดียว

ฝูถูเฉวียนมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่แต่แรกก็เป็นของเจ้า ข้าแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเอาไปเอง”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียงเย็น “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกข้า ไม่งั้นใครจะอยากเป็นผู้อาวุโสใหญ่คร่ำครึกัน?”

“ตอนนี้ท่านจะลงจากตำแหน่งหรือยัง?”

ทุกคนมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างใจจดใจจ่อ หากเขาไม่เต็มใจการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็จะอุบัติขึ้นในเผ่าฝูถู ท้ายที่สุดก็มีโอกาสที่ยอดยุทธ์ทั้งสองจะล้มลง ทำให้เผ่าล่มสลาย หากเป็นเช่นนั้นก็จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงกับเผ่าฝูถู

หลังจากเงียบไปนานฝูถูเฉวียนก็ถอนหายใจยาวๆ คลี่รอยยิ้มขมขื่น “เจ้าบอกว่าข้าดื้อรั้นไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อข้าปฏิบัติตามกฎเผ่าราวกับกฎสวรรค์ ข้าจะต่อต้านพวกเขาได้อย่างไร?”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเก็บตัวเข้าสมาธิ หากเผ่าสามารถพัฒนาได้ดีขึ้นในมือเจ้า งั้น…ก็อาจเป็นข้าที่ผิดล่ะมั้ง”

“และเจ้า…ก็จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถู”

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งพูดจบ

สายตาก็จ้องมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา

“ผู้อาวุโสใหญ่ช่างน่าประทับใจรังแกแม้กระทั่งลูกหลาน” เสียงเย็นเยือกของชิงเหยี่ยนจิ้งดังก้อง

ฝูถูเฉวียนแสดงออกเย็นชาพลางตะคอก “ลูกหลาน? เผ่าฝูถูของข้าไม่มีลูกหลานหยิ่งผยองเช่นนี้ ถ้าข้าไม่ออกโรงเองวันนี้ ข้ากลัวว่าลูกชายเจ้าจะพลิกทั้งเผ่าจนไม่เหลือซาก!”

ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งก็แสดงสีหน้าเย็นชาใส่เช่นกัน “คิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนยังไงเรอะ? ที่เฉินเอ๋อทำเช่นนี้ก็เพราะถูกบีบบังคับจากพวกเจ้านั่นแหละ”

เมื่อฝูถูเฉวียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธตะคอกออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง เจ้ากล้าดียังไง! ไสหัวไปซะ ข้าจะจับและสำเร็จโทษไอ้กาลกิณีเพราะกล้าเข้ายุ่งในเผ่าฝูถูของข้า!”

“ที่ผ่านมาข้าอดทนอดกลั้นเพื่อปกป้องเฉินเอ๋อ ตอนนี้พวกท่านท้าทายจุดเดือดของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วข้าจะยอมให้แตะต้องลูกชายต่อหน้าข้าได้อย่างไร!” ชิงเหยี่ยนจิ้งขมวดคิ้วขณะคำราม

ตอนนี้นางไม่ได้มีรูปลักษณ์อบอุ่นอีกแล้ว ท่าทางถูกแทนที่ด้วยไอเยือกเย็นทำให้หลายคนในเผ่าฝูถูรู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นชิงเหยี่ยนจิ้งเกรี้ยวกราดโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้หญิงอ่อนโยนที่สุดก็ยังกลายเป็นเสือร้ายเพื่อลูก

“ชิงเหยี่ยนจิ้ง!”

ฝูถูเฉวียนแผดเสียงลั่น เขาไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ยอมแพ้ นางไม่แม้กระทั่งไว้หน้าเขา

“ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะรั้นต่อ ข้าก็จะจับทั้งแม่ลูกไปด้วยกันเลย!”

ฝูถูเฉวียนตะเบ็งเสียงลั่น ในฐานะผู้มีอำนาจในเผ่าฝูถู เขาถือว่ากฎเผ่าเปรียบดังกฎสวรรค์ ทว่าการกระทำของชิงเหยี่ยนจิ้งกลับไม่สนใจกฎใดๆ แล้วเขาจะทนได้อย่างไร?

ตู้ม!

พร้อมกับเสียง รัศมีก็ระเบิดออกมาก่อร่างเป็นกงล้อสีดำขาวขนาดใหญ่ แผ่ซ่านด้วยพลังทำลายล้างขณะที่หมุนคว้าง

ในขณะนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ปลดปล่อยพลังโดยไม่รั้งรอแล้ว

แรงกดดันจากความโกรธของเขาห่อหุ้มสวรรค์และโลกในทันที ทำให้จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนบางคนรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบจากแรงกดดัน ประหนึ่งภูเขากดทับร่างกายของพวกเขาทำให้หนักอึ้ง

“หึ ข้าก็อดทนกับเรื่องนี้มามากพอแล้ว วันนี้ข้าขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่เป็นการส่วนตัวหน่อย!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ถอยจากความโกรธเกรี้ยวของฝูถูเฉวียน แต่กลับก้าวออกไป นางก้าวเท้าออกจากขอบเขตของค่ายกลพิทักษ์ทันที เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดเกี่ยวกับการยืมพลังของค่ายกลพิทักษ์

ในขณะที่นางก้าวออกไปทั้งมิติก็มืดลง สัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากวูบวาบราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า

ครืน!

ฝูถูเฉวียนกระทืบเท้าทำให้พื้นสั่นสะเทือน กงล้อสีดำขาวที่อยู่ใต้เท้าก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่สีที่ควบแน่นบนกงล้อก็น่าสะพรึงกลัวนัก มากจนกระทั่งแสงน้อยนิดยังสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดารู้สึกหวาดกลัวเลยทีเดียว

วาบ!

เขาโบกมือกงล้อสีดำขาวก็พุ่งออกมา เมื่อหมุนไปรอยแตกก็ปรากฏขึ้นในมิติโดยรอบ ความคมชัดเป็นสิ่งที่แม้แต่มังกรก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า

ชิงเหยี่ยนจิ้งวาดตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมา ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เชื่อมต่อกลายเป็นค่ายกลนับพันระหว่างสวรรค์และโลก

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อกงล้อสีดำขาวเข้าสู่ค่ายกลเหล่านี้ก็ฉีกทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นเมื่อพุ่งผ่านค่ายกลนับพันพลังก็หมดลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไป

แม้ว่าการเผชิญหน้าของพวกเขาจะดูน่าตื่นตา แต่ความผันผวนที่คลุมเครือซึ่งเล็ดลอดออกมาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสั่นสะท้าน หากการดวลนี้เกิดขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทั้งสองอาจจะทำลายมิติฝูถูทั้งหมดก็เป็นได้…

“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่ที่ช่วยข้าให้บรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งได้ ดังนั้นวันนี้ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนทดสอบพลังค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งของข้าซะหน่อย!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเปล่งเสียงเย็นชา อึดใจต่อมาสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากก็หลอมรวมกันในมิติ ค่ายกลเริ่มกระจายออกไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ห่อหุ้มทั้งสวรรค์และโลกไว้ทั้งหมด

แม้ว่าค่ายกลจะมีขอบเขตกว้าง แต่ก็ห่อหุ้มฝูถูเฉวียนไว้เท่านั้น แม้ว่าส่วนที่เหลือจะอยู่ภายในขอบเขตด้วย แต่พวกเขาก็เหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่งภายในค่ายกล

ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ดูเหมือนเป็นโลกขนาดมหึมา ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้เว้นแต่ค่ายกลจะแตกสลาย

ทุกคนเบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ค่ายกล เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งออกโรง ส่วนหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งก็หาดูยากยิ่งกว่าอีก

วันนี้การเดินทางของพวกเขาไม่สูญเปล่าที่จะได้เห็นยอดยุทธ์สองคนประลองกัน

ฝูถูเฉวียนยืนอยู่ในค่ายกลมีท่าทางเคร่งขรึมลงหลายส่วน กระทั่งคนอย่างเขายังไม่กล้าดูถูกค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งเลย

ฮึ่ม ฮึ่ม

ขณะที่ดวงตาฝูถูเฉวียนตั้งมั่น รัศมีก็ระเบิดออกจากภายในโลกของค่ายกล ดวงอาทิตย์เก้าดวงก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

ดูเหมือนว่าจะมีอีกาทองคำโบราณเก้าตัวอยู่ในดวงอาทิตย์ พวกมันเปล่งเสียงร้องและพ่นไฟออกจากปากทำให้อุณหภูมิพุ่งสูง โลกค่ายกลก็ละลายจากอุณหภูมินี้ ความร้อนนี้สามารถทำให้ร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงละลายได้เลยทีเดียว

กีด!

ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นจากดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวง เกลียวไฟพล่านเข้าหาฝูถูเฉวียน

ท่าทางฝูถูเฉวียนเคร่งเครียดรุนแรงหลายส่วน ก่อนที่จะประสานมือเข้าหากัน รัศมีสีดำขาวแผ่ออกมาจากแขนเสื้อ กลายเป็นมังกรดำและมังกรขาวคำรามก้อง ขณะที่ปลดปล่อยลำแสงสองสีที่แตกต่างกันพุ่งใส่เปลวไฟ

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่ปะทะกันโลกค่ายกลก็เริ่มสั่นสะเทือนพร้อมกับความผันผวนของการทำลายล้างกวาดออกไป มากเสียจนผู้ชมที่อยู่ภายนอกยังรู้สึกถึงอุณหภูมิกระแทกกับร่างกายของพวกเขา ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด

ยากที่จะจินตนาการว่าภายในค่ายกลจะน่ากลัวเพียงใด

ชิ้งเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่บนท้องฟ้า เสื้อคลุมพลิ้วไหวขณะมองไปที่มังกรสองตัวที่ฝูถูเฉวียนสร้างขึ้นก่อนที่มือจะประสานเข้าด้วยกัน “โลกกลั่นเก้าตะวัน!”

กีด!

อีกาทองคำทั้งเก้าเปล่งเสียงพุ่งลงไปบินฉวัดเฉวียนรอบตัวฝูถูเฉวียน ขณะที่เปลวไฟลุกโชนดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็ค่อยๆ หายไปแทนที่ด้วยหม้อกลั่นสีทองขนาดใหญ่

พร้อมกับเพลิงเชี่ยวกราก หม้อกลั่นก็ขังฝูถูเฉวียนเอาไว้

ฟู่ ฟู่!

เพลิงสีทองรวมตัวกันรุนแรงในหม้อกลั่น อุณหภูมิสูงในโลกกลับค่อยๆ ลดลง ราวกับหดตัวไปทั้งหมด

เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้แม้แต่ฝูถูเฉวียนยังมีสีหน้ารุนแรง

ปลายสุดของเพลิงสีทองหายไป ถูกแทนที่ด้วยลาวาสีทองเก้าหยดที่ลอยอย่างเงียบๆ แม้ว่าพวกมันจะดูไม่เป็นอันตราย แต่ฝูถูเฉวียนรู้ว่าหากหยดลาวาเก้าหยดตกลงบนพิภพเขตล่างใดๆ โลกใบนั้นก็จะไหม้เป็นเถ้าถ่าน

“ไป”

ชิ้งเหยี่ยนจิ้งชี้นิ้วออก ลาวาเก้าหยดพุ่งไปที่ฝูถูเฉวียน

ขณะที่ฝูถูเฉวียนถอยกลับก็โบกมือ มังกรดำและขาวไขว้พันกัน อึดใจเสียงตะโกนก็เปล่งว่า

“ถ้ำพุทธะ!”

รัศมีสีดำขาวไหลเวียนอย่างรุนแรง ก่อร่างเป็นหลุมดำขาว

ปุ ปุ!

เมื่อลาวาเก้าหยดพุ่งเข้าไปในถ้ำ ท่าทางฝูถูเฉวียนก็เปลี่ยนไปรุนแรง นั่นเป็นเพราะหลุมดำขาวสั่นสะเทือนบ้าคลั่งก่อนที่จะระเบิดออก

ระเบิดสีทองขนาดใหญ่ราวกับดอกเห็ดพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกสีทองก็กวาดออกนำพาความพินาศมาสู่โลก

ตู้ม ตู้ม!

ค่ายกลสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับใบหน้าผู้ชมซีดเซียวขณะที่เฝ้าดูคลื่นกระแทกจากภายนอก พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ถ้าค่ายกลแตกเป็นเสี่ยงๆ และคลื่นกระแทกกระจายออกไปคนส่วนใหญ่ก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่โชคดีเมื่อคลื่นกระแทกมาถึงขอบโลกค่ายกลก็สลายไป ทุกคนหันไปมองก็เห็นเคราของฝูถูเฉวียนถูกไฟไหม้ ไม่เพียงแค่นั้นเลือดเนื้อของเขายังไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ อีกด้วย

ภาพนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง ต้องรู้ว่าร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแข็งแกร่งน่ากลัวเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นฝูถูเฉวียนก็ถูกทำให้อยู่ในสภาพน่าสังเวชนัก

“ค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งน่ากลัวจริงๆ…” หลายคนอุทานออกมา เบื้องหน้าค่ายกลระดับนี้ใครก็ตามที่ต่ำกว่าขั้นเซิ่งตกอยู่ภายในก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น

ภายใต้ความสนใจของทุกคนใบหน้าของฝูถูเฉวียนก็น่ากลัวลงหลายส่วน เขามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งเอ่ยตำหนิ “ชิงเหยี่ยนจิ้งคิดจะดื้อแบบนี้จริงๆ หรือ?!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านรังแกลูกข้า จะให้ข้าปล่อยผ่านไปเรอะ?”

ใบหน้าของฝูถูเฉวียนเขียวคล้ำเมื่อได้ยินคำพูดของนาง จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “ดี ดี! ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะดื้อด้านเองก็อย่าโทษข้าละกัน”

ฝูถูเฉวียนหายใจเข้าลึก เสียงดังก้องไปทั่วมิติฝูถู

“ขออัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!”

ตู้ม ตู้ม!

เสียงกัมปนาทดังก้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ฝูถูเฉวียนยืนอยู่บนอากาศพร้อมกับมือไพล่หลัง ขณะที่กงล้อสีดำขาวยังคงหมุนรอบตัว ทำให้รังสีหลิงแตกเป็นเสี่ยงๆ

ขณะนี้เขากำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ค่ายกล ไม่ว่ามู่เฉินจะควบคุมค่ายกลอย่างไรก็ไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวของฝูถูเฉวียนได้

ผู้ชมฉายความเสียดายในสายตา พลังอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้มู่เฉินยืมพลังค่ายกลในการเอาชนะผู้อาวุโสสิบกว่าคนในเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาก็ถูกฝูถูเฉวียนบีบให้ไปอยู่ในจุดที่ต้องซ่อนตัวในค่ายกล

เมื่อหลิงซี หลงเซี่ยงและชิงซวงเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับความวิตกกังวลพล่านในดวงตา

อย่างไรก็ตามพวกเขารู้ว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เพื่อช่วยในสถานการณ์นี้ คงได้แต่ภาวนาให้มู่เฉินยันเอาไว้ได้

“ทำยังไงดี?” ชิงเซวียนมองไปที่ชิงเทียนอย่างกังวล ถ้าสถานการณ์แบบนี้ยังดำเนินต่อไป อีกไม่นานมู่เฉินก็จะพ่ายแพ้

ชิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหัว “ผู้อาวุโสใหญ่โกรธมาก ไม่มีอะไรที่เราช่วยได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมาก ต่อให้จับมู่เฉินได้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ทำโทษโหดเหี้ยมหรอก”

ชิงเซวียนกัดฟัน “ต่อให้ไม่ลงโทษโหดเหี้ยม แต่ถ้ามู่เฉินถูกคุมขัง จะไม่เป็นการขัดขวางการพัฒนาของเขาเหรอ?”

ด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉินและเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาควรจะต้องพุ่งไปที่จุดสุดยอด ถ้าเขาถูกคุมขังก็จะสูญเสียปีที่ดีที่สุดไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีโอกาสในอนาคตก็ต้องใช้เวลามากขึ้นและราคาที่มากขึ้นตาม

ชิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นและถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราจะหาวิธีแอบปล่อยเขา แม้จะต้องโดนลงโทษจากผู้อาวุโสใหญ่…”

ชิงเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พวกนางทำได้

บนภูเขาที่นั่งเผ่าหมัวเฮอ หมัวเฮอโยวฉายรอยยิ้มบนใบหน้า “การเดินทางมายังเผ่าฝูถูครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆ ได้เห็นการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ”

จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของเผ่าหมัวเฮอก็พยักหน้า ในฐานะที่เป็นคนจากเผ่าหมัวเฮอการเห็นเผ่าฝูถูตกอยู่ในความวุ่นวายและมู่เฉินพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าทั้งหมดก็เป็นผลประโยชน์ของพวกเขา

“แต่มู่เฉินไร้เดียงสาไปจริงๆ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเขาสามารถควบคุมค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถูได้อย่างไรแต่เขาก็สามารถควบคุมพลังได้เพียงสามถึงสี่ส่วนเท่านั้น เขาไร้เดียงสาเกินไปที่คิดว่าตัวเองจะสามารถเผชิญหน้ากับฝูถูเฉวียนได้ด้วยสิ่งนั้น”

หมัวเฮอโยวเอ่ยเยาะ “ยังไงก็ตามเป็นการดีที่มู่เฉินจะถูกจับไว้ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องจัดการกับมันในงานชุมนุมนิรันดร์”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินถึงคราวหายนะในวันนี้แล้ว

 

ฝูถูเฉวียนเคลื่อนตัวไปยังค่ายกล

สายตาจ้องไปที่มู่เฉินที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเย็นชาตะโกนว่า “ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังคิดจะต่อต้านในเวลานี้อีกรึ!”

ยามนี้มู่เฉินลืมตาขึ้นมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร แต่มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นค่ายกลก็หมุนคว้าง ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องภูเขาขนาดมหึมาก็ถูกสร้างขึ้นกดเข้าหาฝูถูเฉวียนพร้อมกับเงาขนาดใหญ่

เมื่อฝูถูเฉวียนเห็นสิ่งนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นด้วยความโกรธ มือทั้งสองข้างประสานกัน กงล้อสีดำขาวก็ขยายกว้างออกไปหลายหมื่นจั้ง

เมื่อกงล้อสีดำขาวหมุนก็ปล่อยพลังทำลายล้างที่ทำให้มิติพังทลายจากการหมุน

ตู้ม!

กงล้อสีดำขาวปะทะกับภูเขา รัศมีสีดำขาวก็เบ่งบาน ภูเขาที่สามารถปราบปรามเฉวียนกวางและมั่วถงได้อย่างง่ายดายพังทลายลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ กงล้อสีดำขาวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ภูเขาลดทอนลงกลายเป็นฝุ่นละอองฟุ้งลงมาราวกับสายฝนอันงดงาม

มู่เฉินหดดวงตากับภาพนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งน่ากลัวอย่างแท้จริง แม้เขาจะผลักดันตัวเองไปถึงขีดสุดก็ยังไม่สามารถต้านทานฝูถูเฉวียนได้

ครืนๆๆๆ

ขณะที่กงล้อสีดำขาวเข้าใกล้ค่ายกลก็ระเบิดรัศมีออก ก่อร่างกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าค่ายกลเอาไว้

แกร็ก!

เมื่อมือขนาดใหญ่ตบลงบนค่ายกล พลังที่น่ากลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมา มือค่อยๆ ควานเข้าไปในค่ายกลทำท่าทางคว้าไปในทิศทางของมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าฝูถูเฉวียนพยายามที่จะดึงมู่เฉินออกจากค่ายกล เพื่อยึดการควบคุมของอีกฝ่าย

“ไอ้หนู เจ้าช่างยโสไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ในเมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สั่งสอน ข้าจะสอนให้เป็นการส่วนตัวและบอกให้เจ้ารู้ความหมายของลำดับชั้นอาวุโส!” ฝูถูเฉวียนคำรามอย่างเย็นชา มือก็ห่อหุ้มพื้นที่รอบๆ มู่เฉินไว้ไม่ให้หนีไปได้

ผู้ชมส่ายหัวไปมา ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะเสร็จแน่แล้ว

“อาเตียวด่วนเลย! เรียกท่านพ่อมา!” เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางเขย่าแขนของหลินเตียวพูดอย่างรีบร้อน

เซียวเซียวก็หันไปมองเย่าเฉินด้วยความวิตกกังวลในดวงตาไม่แพ้กัน

หลินเตียวและเย่าเฉินขมวดคิ้วก่อนที่จะสบตากันพลางพยักหน้า เตรียมที่จะเรียกหลินต้งแลเซียวเหยียนมาที่นี่

แต่เมื่อพวกเขากำลังจะขยับตัว ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง การกระทำของพวกเขาชะงักไป ขณะมองไปเบื้องหลังมู่เฉินด้วยความสงสัย จังหวะนั้นมิติก็ฉีกออก ร่างเงาร่างหนึ่งเยื้องย่างออกมา

ในเวลาเดียวกันเสียงเย็นเยียบเกรี้ยวกราดของสตรีก็ดังขึ้น “ฝูถูเฉวียน เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนลูกชายของข้า—ชิงเหยี่ยนจิ้ง!”

เมื่อเสียงของสตรีผู้นี้ดังขึ้น ทันใดนั้นค่ายกลก็กระจายออกมาเหนือร่างมู่เฉิน ราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวก่อตัวเป็นโลกลึกลับซับซ้อน

มือที่ทะยานเข้าไปก็ถูกดูดเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่ความผันผวนจะถูกปลดปล่อยออกมา จากนั้นมือขนาดใหญ่และค่ายกลก็สลายหายไปพร้อมกัน

การเผชิญหน้าที่น่ากลัวกะทันหันทำให้ใบหน้าของผู้ชมซีดเผือด พวกเขานึกไม่ถึงว่าการโจมตีของฝูถูเฉวียนจะถูกจัดการได้ง่ายขนาดนี้

ความตะลึงงันทั้งหมดพุ่งไปข้างหลังมู่เฉินด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นผู้หญิงชุดขาวก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าอ่อนโยน นอกจากนี้ยังมองเห็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายบินฉวัดเฉวียนรอบตัวนาง โดยทุกๆ สัญลักษณ์จะรวมกันเป็นค่ายกล

“สวรรค์ นั่นคือหลิงเจิ้นต้าจงซือ!”

“ยิ่งกว่านั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งรอบตัวนางได้ก่อเป็นโลกเอกลักษณ์! นั่นคือหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง!”

“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…นี่น่ากลัวเกินไป!”

“เมื่อกี้นางพูดอะไรนะ? มู่เฉินเป็นลูกของนาง? ถ้าอย่างนั้นนางก็คือมารดาของมู่เฉินนะสิ?!”

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง สมาชิกเผ่าฝูถูก็ตกใจเมื่อเห็นร่างเงาสะคราญโฉมนั่น คนอื่นอาจไม่รู้จักตัวตนของนาง แต่พวกเขารู้จักดี

นั่นเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เป็นมารดาของมู่เฉิน—ชิงเหยี่ยนจิ้ง!

หลินเตียวและเย่าเฉินตะลึงงันไปเมื่อมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและพูดว่า “ไม่คิดว่ามารดาของมู่เฉินจะเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…”

ในมหาพันภพจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมีจำนวนน้อย แต่คนที่สามารถประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลจนถึงระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งนั้นมีน้อยยิ่งกว่า!

“ฮ่าๆ ในเมื่อมารดามู่เฉินมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่พวกเราต้องเข้าไปแทรกอีกต่อไป” หลินเตียวและเย่าเฉินสบตากันและยิ้ม

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง มู่เฉินก็ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างหลัง ร่างกายเขาสั่นสะท้านก่อนที่จะค่อยๆ หันหลังด้วยความยากลำบาก มองไปที่ภาพเงานั้น

สายตาของสตรีก็มองมาที่เขาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งรอบตัวนางผันผวน แสดงให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมที่รุนแรงในใจ

“ท่านแม่…”

มู่เฉินพึมพำ

ย้อนกลับไปตอนที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาเคยพบมารดามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ตอนนี้เขากำลังมองตัวจริงของนาง

เขาปรารถนาภาพนี้ทุกวันทุกคืนนับตั้งแต่เดินทางออกจากมณฑลเป่ยหลิง ผ่านความทุกข์ยากนับไม่ถ้วน ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป แต่ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง…

ผู้หญิงที่เบื้องหน้าดูไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเขาเห็นนางก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ลึกลงไปในสายเลือด

นั่นเป็นเพราะตอนที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจากไปเขายังเป็นเด็กน้อย แต่ตลอดเส้นทางที่เขาก้าวเดินก็สัมผัสได้ว่านางทำอะไรเพื่อเขาบ้าง

เพื่อปกป้องเขา นางยอมกลับมาที่เผ่าฝูถู ต้องทนทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวเพื่อที่เขาจะได้เติบโตอย่างสงบสุข

เพื่อปกป้องเขา นางต้องเจ็บปวดจากการแยกร่างเนื้อและฝังเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรเข้าในร่างกายของเขา

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังอดดวงตาแดงก่ำขึ้นไม่ได้

เมื่อมองไปที่ดวงตาที่แดงขึ้นของมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกราวกับหัวใจโดนทุบอย่างหนัก ความเย็นชาที่ใช้เผชิญหน้ากับฝูถูเฉวียนก่อนหน้านี้หายไป นางเดินเข้าไปจับใบหน้าของบุตรชายไว้

“เฉินเอ๋อ เจ้าโตขึ้นแล้ว…”

เสียงแหบพร่าแต่อ่อนโยนของชิงเหยี่ยนจิ้งดังก้อง ย้อนกลับไปตอนที่นางจากมามู่เฉินยังเป็นทารก ก่อนที่นางจะรู้ตัวเขาก็เติบโตมาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้

รูปลักษณ์ของเขาคล้ายกับบิดา แต่ช่วงหว่างคิ้วคล้ายกับนางมากกว่า

สายสัมพันธ์แม่ลูกทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่สามารถละสายตาได้

เมื่อสัมผัสได้ถึงมือเย็นเยียบและสั่นสะท้านบนใบหน้า กระทั่งมู่เฉินที่เก็บอารมณ์เก่งก็ยังดวงตาชื้นขึ้น “ท่านแม่ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว”

สำหรับวันนี้เขาใช้ความพยายามมากเหลือเกิน

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็อดไหลออกมาไม่ได้ นางรู้สึกปวดใจ นางรู้ดีว่ามู่เฉินต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดเพื่อที่จะมาถึงเผ่าฝูถู บางทีถ้าเกิดความผิดพลาดบนเส้นทางนั้น พวกนางแม่ลูกคงจะถูกแยกจากกันชั่วนิรันดร์…

นางเหมือนสามารถเห็นภาพเด็กหนุ่มอ่อนโยนออกจากมณฑลเป่ยหลิงเพื่อท่องยุทธภพและเติบโตอย่างแข็งแกร่งผ่านความยากลำบาก…

แค่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งปวดใจ ราวกับว่าหัวใจถูกกรีดแทง

“ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่”

ดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาขณะที่มือเรียวยกขึ้นเช็ดน้ำตาของมู่เฉิน ท่าทางระทมทุกข์ไม่มีลักษณะของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งผู้ยิ่งใหญ่ นางเป็นเพียงมารดาที่สงสารลูกรักจับใจ

มู่เฉินจับมือของชิงเหยี่ยนจิ้งเบาๆ รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าเขา “ไม่เลย ข้าสัญญากับท่านพ่อว่าจะพาท่านแม่กลับบ้านเรา เพื่อพวกเราจะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าหนักแน่นและสงบสติอารมณ์ จากนั้นลูบหัวมู่เฉินก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสาดสายตาเย็นชา

“แต่ก่อนหน้านั้นข้าจะเอาความทุกข์ทั้งหมดที่เจ้าเคยรู้สึกมาตลอดให้พวกมันรู้ซึ้ง!!!”

เมื่อเสียงเย็นชาของมู่เฉินดังก้องทุกคนก็เงียบไป

พวกเขาตกใจกับวิธีที่มู่เฉินปราบผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วด้วยตัวคนเดียว

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะสามารถบังคับให้เผ่าฝูถูมาถึงจุดนี้ได้ ทุกคนรู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินจะดังสะท้อนไปทั่วมหาพันภพ…

สายตาทั้งหมดพุ่งตรงไปยังฝูถูเฉวียน พวกเขาเห็นบาตรแก้วแล่นแปลบปลาบด้วยแสง พลังงานหลายประเภทถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไร้ขอบเขต

ใบหน้าแก่ชราของฝูถูเฉวียนที่กำลังนั่งอยู่เย็นชาลง เขามองไปที่มู่เฉินโดยปลดปล่อยความกดดันน่ากลัวออกมา

แม้จะนั่งอยู่ที่นั่น ความกดดันที่เกิดขึ้นจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดารู้สึกบีบคั้น

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแบบเจ้าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ สมกับเป็นบุตรชายชิงเหยี่ยนจิ้งจริงๆ” ฝูถูเฉวียนเอ่ยเสียงต่ำ

“แต่ข้าบอกเจ้าไปนานแล้วว่ากฎก็คือกฎและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ก็ไม่มีวันปล่อยแม่เจ้าไป!

“และเจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีของเผ่าตลอดกาล!”

แสงน่ากลัววูบไหวในดวงตาของฝูถูเฉวียน เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนภูเขากำลังกดทับ รัศมีน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ

“ตอนแรกข้าไม่ต้องการทำให้เรื่องยุ่งยากเพราะเห็นแก่ชิงเหยี่ยนจิ้ง แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามาที่เผ่าฝูถูเพื่อสร้างปัญหา วันนี้ข้าก็จะขอสอนเจ้าสักหน่อย!”

ครืน!

เมื่อสิ้นเสียงของฝูถูเฉวียน ก็ทำให้เมฆบนท้องฟ้าม้วนตัวพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง ราวกับว่าวันพิพากษาโลกมาถึงแล้ว

ความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทำลายสวรรค์และโลกได้เลยทีเดียว

ขณะที่ผู้ชมรู้สึกกดดันก็แสดงความเคารพบนใบหน้าไปด้วย จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่บนยอดพีระมิดของมหาพันภพ เห็นได้ชัดว่าพลังของยอดยุทธ์น่าสะพรึงกลัวนัก

คราวนี้แม้แต่เย่าเฉินและหลินเตียวก็ยังฉายสีหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าพลังของฝูถูเฉวียนจะด้อยกว่าเซียวเหยียนและหลินต้ง แต่ถึงยังไงก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่แท้จริง ดังนั้นจึงไม่สามารถมองข้ามไปได้

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นบาตรแก้วก็เริ่มสั่น องค์ประกอบที่อยู่บนนั้นส่งเสียงหวีดหวิวก่อนที่จะกลายเป็นมังกรแปดตัวคำรามใส่ฝูถูเฉวียน

“เขากำลังจะเคลื่อนไหว!” ดวงตาของเย่าเฉินและหลินเตียวหดลง ก่อนที่ทั้งสองจะเทพลังงานลงในบาตรแก้วทันที

“หึ ถ้าเป็นเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ที่นี่เอง ข้าคงไม่สามารถหลุดพ้นได้ แต่เจ้าสองคนเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด แล้วจะนำพลังที่แท้จริงของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งออกมาได้อย่างไร?”

เสียงสั่นพร่าของฝูถูเฉวียนสะท้อนก้องในบาตร เสื้อผ้าเริ่มกระพือขึ้นลงพร้อมกับรัศมียิ่งใหญ่กลั่นตัวอยู่บนฝ่ามือ

ตู้ม!

พริบตาต่อมาความสว่างไร้ขอบเขตก็พรั่งพรูออกมาจากฝ่ามือเขา กลายเป็นกงล้อสีดำขาวขนาดใหญ่โดยมีสองสีไขว้พันกัน ปลดปล่อยความผันผวนของการทำลายล้างออกมา

ฝูถูเฉวียนคำราม กงล้อก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกกับบาตรจังใหญ่

“โฮก!”

มังกรทั้งแปดธาตุก็รู้สึกว่าถูกคุกคาม ปล่อยลมปราณรุนแรงขององค์ประกอบต่างๆ มิติบิดเบือนปะทะกับกงล้อ

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เมื่อพลังสองสายปะทะกัน พื้นดินก็สั่นสะเทือน มิติยุบลงกลายเป็นกระแสน้ำวนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ก้อนหินก็กลิ้งลงมาจากภูเขาจากแรงสั่นสะเทือน

แต่ไม่ว่ามังกรทั้งแปดจะพยายามโจมตีอย่างไร ก็แตกสลายทันทีเมื่อสัมผัสกับกงล้อดำขาว

“ลอยขึ้น!”

ฝูถูเฉวียนเปล่งเสียงตะโกน กงล้อก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากนั้นก็ชนกับบาตร

เคร้ง!

เสียงดังสนั่น ผู้ชมที่มีขุมพลังอ่อนด้อยก็กระอักเลือดออกมากบปาก ร่างร่วงนอนพังพาบลงบนพื้น มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้นที่สามารถลบล้างพลังของคลื่นเสียงได้

ทุกคนจับจ้องไปที่บาตร ก็เห็นอาการสั่นรุนแรงราวกับมีพลังมหาศาลสอดแทรก จากนั้นมันก็กระเด็นกลับไปพร้อมกับระเบิด

เมื่อบาตรเคลื่อนหลุด ฝูถูเฉวียนก็กลายเป็นลำแสงทะยานออกมา

หลินเตียวและเย่าเฉินขมวดคิ้วกับฉากนี้ จากนั้นก็เตรียมควบคุมบาตรแปดเทวลิขิตอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสไม่ต้องลงมือแล้ว ให้ข้าจัดการส่วนที่เหลือเองเถอะ” ทันใดนั้นเสียงของมู่เฉินก็ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าหลินเตียวและเย่าเฉินจะใช้บาตรแก้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถต่อกรกับฝูถูเฉวียนได้ หากฝืนสู้พวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่เต็มใจที่จะเห็น

เย่าเฉินและหลินเตียวสบตากัน พวกเขาเข้าใจความคิดของมู่เฉินแต่ละคนผงกหัวหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่

“มู่เฉิน หากสถานการณ์ไม่ดีก็ถอยเลย ถ้าพวกเขาคิดจะข่มเจ้าด้วยความอาวุโส ลูกศิษย์ข้าคงจะมาขอคำชี้แนะเอง” เย่าเฉินตอบอย่างไม่เร่งรีบ

“แคว้นหวูก็เหมือนกัน” หลินเตียวกล่าวอย่างเย็นชา

คำพูดของพวกเขาทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาหดดวงตาแม้แต่สมาชิกเผ่าฝูถูด้วย ถ้าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่จริงๆ ละก็ วันนี้คงจะหนักหน่วงอย่างมากแม้กระทั่งเผ่าฝูถูก็ตาม

บนท้องฟ้าแม้ว่าฝูถูเฉวียนจะยังคงเฉยเมย แต่ม่านตาก็กระเพื่อมเล็กน้อย ไม่ช้าก็สงบลง เขาจะไม่ได้ยินคำเตือนในคำพูดของเย่าเฉินและหลินเตียวได้อย่างไร? แต่ในฐานะคนยอมหักไม่ยอมงอ ไม่เพียงแต่เขาไม่ขวางยังเค้นเสียงใส่ด้วย “ข้าได้ยินมานานเกี่ยวกับชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ยังไงก็ตามไม่มีใครสามารถขัดขวางเผ่าฝูถูในการจัดการกับไอ้หนูนี่!”

เมื่อพูดจบ สายตาคมของเขาก็พุ่งตรงไปที่มู่เฉิน “ถ้าเจ้าคิดว่าจะสู้กับข้าได้หลังจากควบคุมค่ายกลพิทักษ์ ก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำพูดของฝูถูเฉวียน กลับสร้างตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายกลขนาดใหญ่บนท้องฟ้าก็เริ่มหมุน รังสีไร้ขอบเขตพุ่งไปที่ฝูถูเฉวียน

“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะมอบความปรารถนาให้เอง!”

ฝูถูเฉวียนทะยานออกมาด้วยความโกรธพลางสะบัดมือ กงล้อสีดำขาวอีกวงก็ถูกสร้างขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้าปะทะกับรังสีเหล่านั้น สลายการโจมตีทันที

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หดตาลง จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ด้วยค่ายกลนี้เขาสามารถเอาชนะเฉวียนกวางและมั่วถงได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่สามารถทำอะไรกับฝูถูเฉวียนได้เลย

ฟิ้ว!

เมื่อกงล้อสีดำขาวทำลายรังสีได้ก็บินเข้าหามู่เฉินด้วยแรงเคลื่อนที่น่ากลัว ราวกับว่าสามารถบดทำลายทุกสิ่งในโลกได้

มู่เฉินสายตาสั่นไหว ไม่คิดจะปะทะกับกงล้อสีดำขาวซึ่งหน้า วูบเดียวเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ จากนั้นก็ควบคุมค่ายกลโจมตีกงล้อสีดำขาวอย่างต่อเนื่อง

ครืนๆ!

ทันใดนั้นชุดเสียงสั่นสะเทือนก็สะท้อนออกมาพร้อมกับผลกระทบที่น่ากลัว ทำให้ภูเขาสูงยุบลง…ยุบลงไปบนพื้นต่อเนื่อง…

ทว่าทุกคนบอกได้ว่าค่ายกลพิทักษ์กำลังค่อยๆ อ่อนแอลงเนื่องจากกงล้อสีดำขาวเข้าใกล้มาทุกที

“สุดท้ายมู่เฉินก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น แม้จะมีค่ายกลพิทักษ์ก็ไม่มีทางที่จะต่อสู้กับฝูถูเฉวียนได้” ผู้เชี่ยวชาญหลายคนถอนหายใจอย่างเสียดายเมื่อเห็นฉากนี้

“ค่ายกลพิทักษ์พิเศษมาก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด มิฉะนั้นฝูถูเฉวียนก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้”

“ดูเหมือนว่าเขาจะยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้อง ทุกคนเห็นแนวโน้มพ่ายแพ้ของมู่เฉิน

มู่เฉินยังคงแสดงออกอย่างสงบ ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่พร้อมกับสายตาวูบไหว จากนั้นเขาก็หลับตาลง

ตั้งแต่เริ่มต้นเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถต่อกรกับฝูถูเฉวียนด้วยค่ายกลได้ ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เหนือจินตนาการ ไม่ใช่สิ่งที่จะสู้ได้ด้วยพลังภายนอก

ดังนั้นเหตุผลที่เขาควบคุมค่ายกลพิทักษ์ไม่ใช่เพื่อเผชิญหน้ากับฝูถูเฉวียนแต่ด้วยเหตุผลอื่น

ฮา

เขาพ่นลมหายใจสีขาวขุ่นออกมา ประสาทสัมผัสก็แพร่กระจายไปทั่วค่ายกลทันที ครอบคลุมมิติฝูถูทั้งหมด

บางส่วนของค่ายกลทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและใกล้ชิด เขารู้ว่านั่นคือจุดที่แม่ของเขาเสริมเข้ามา ตราบเท่าที่เขาติดตามไปก็จะสามารถพบสถานที่ที่เขากำลังมองหา

ครืนๆๆๆ!

เขาตัดสิ่งรบกวนจากภายนอกออกไปมุ่งเน้นที่การรับรู้ในทุกๆ ตารางนิ้วของเผ่าฝูถู ท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคย

ดังนั้นเมื่อกระแสจิตของเขาทะลุผ่านมิติ เขาก็เห็นเจดีย์โบราณตรงหน้า เจดีย์นี้เขาเคยเห็นมาก่อน เป็นสถานที่ที่เขามาเพื่อปรับแต่งเจดีย์พุทธะนั่นเอง

เมื่อกระแสจิตเข้าใกล้เจดีย์ก็ไม่ได้ถูกขัดขวาง เนื่องจากถูกถ่ายทอดจากค่ายกลทำให้เขาสามารถผ่านไปได้…

ไม่ช้ากระแสจิตก็หยุดลงในสถานที่หนึ่ง ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านเพราะสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงของสายเลือด

ดังนั้นกระแสจิตจึงเริ่มพึมพำเสียงสะท้อน

“ท่านแม่…ข้ามารับท่านกลับบ้านแล้ว”

ในพื้นที่แห่งนั้น จู่ๆ สตรีในชุดขาวก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่มุมหนึ่งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

นางเช็ดน้ำตาบนแก้มเบาๆ แล้วยิ้ม จากนั้นรัศมีอ่อนโยนรอบตัวนางก็ค่อยๆ หดกลับแทนที่ด้วยรัศทีที่เยือกเย็นและดุร้าย

ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ก่อนที่จะค่อยๆ หายไป ทิ้งเสียงที่ดังก้องไว้เบื้องหลังความว่างเปล่า

“ลูกรัก จากวันนี้ไปจะไม่มีใครมารังแกเจ้าได้อีก…”

ครืน!

ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวพุ่งลงมาพร้อมกับค่ายกลขนาดมหึมา ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเปลี่ยนไป

ทุกคนมีสีหน้าหวาดผวา ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวค่ายกลมหึมาบนท้องฟ้าเลย

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไป พวกเขาอุทานด้วยความกลัว “ค่ายกลพิทักษ์?!”

ทั้งสองคนฉายสีหน้าตกใจกลัว พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้าดี นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู ซึ่งเป็นโครงสร้างพิถีพิถันที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องสมาชิกเผ่าทั้งหมดเอาไว้ มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถทำลายได้

ทว่าค่ายกลพิทักษ์ที่เป็นเกราะป้องกันของพวกเขากลับถูกเปิดใช้งานโดยไม่มีคำสั่งจากพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่กลัวได้อย่างไร?

“ใครเป็นคนกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์?!”

เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากตอนนี้มีการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างอีกฝ่ายกับค่ายกล

“เป็นไปได้ยังไง?!” ทั้งสองคนตะลึงพรึงเพริดกับภาพนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถควบคุมค่ายกลของเผ่าได้

“นี่…นี่…”

ชิงเทียนและสมาชิกตระกูลชิงก็ฉายความตกใจบนใบหน้า แม้แต่ท่าทางของชิงเซวียนก็เปลี่ยนไปเนื่องจากนางเป็นคนที่วางแถบหยกที่มีแก่นแท้เลือดของมู่เฉินไว้ในค่ายกล แต่นางไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้

“อย่างนี้นี่เอง…”

เย่าเฉินหัวเราะร่วน เขาเข้าใจที่มาของความมั่นใจมู่เฉินแล้ว ที่แท้ชายหนุ่มสามารถเข้าควบคุมค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถูได้โดยไม่มีใครรู้

ด้วยค่ายกลนี้ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมู่เฉิน ได้

“ไม่เลว รู้จักวางแผนก่อนเคลื่อนไหว ซ่อนไม้เด็ดทรงพลังโดยไม่มีใครรู้” หลินเตียวเอ่ยชื่นชม

หลินจิ้งเบิกตากว้างขณะที่หัวเราะเบาๆ “ใช้ค่ายกลเผ่าฝูถูจัดการกับพวกมันเอง มู่เฉินนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

เซียวเซียวพยักหน้า การเดินทางมายังเผ่าฝูถูของมู่เฉินก็เพื่อช่วยมารดา การทำเช่นนี้ช่วยคลายความโกรธแค้นได้ดีจริงๆ

ครืน!

ขณะที่ทุกคนตกใจ มู่เฉินก็กวาดสายตาเย็นชามองลง มือข้างหนึ่งวาดตราประทับเร็วรี่ ทันใดนั้นค่ายกลมหึมาก็เริ่มหมุนคว้าง รังสีแสงขนาดหมื่นจั้งสิบกว่าสายก็ยิงลงมา

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อรังสีพุ่งลงมาก็ทำลายการโจมตีของเหล่าผู้อาวุโสอย่างง่ายดาย สมกับเป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าโบราณจริงๆ

พอเห็นการโจมตีสลายไปอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลก็อดไม่ได้ที่จะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไป แต่ละคนอยากจะถอยหนีจริงๆ เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ควบคุมค่ายกล พวกเขาไม่ได้เปรียบใดๆ ทั้งสิ้น

“คิดหนีเหรอ?”

แต่ความคิดของพวกเขาถูกมองผ่านโดยมู่เฉิน ชายหนุ่มเค้นเสียงเย็น ผีแก่ที่มั่นใจมากเมื่อครู่ด้วยความคิดว่าสามารถจัดการกับเขาได้ กำลังพยายามจะหนีออกไป จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?

เมื่อนึกถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือของมู่เฉินก็ประสานเข้าด้วยกันและเชื่อมต่อกับค่ายกล ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันในค่ายกล ได้ยินเสียงอื้ออึงดังสนั่นก่อนที่ภูเขาขนาดใหญ่สิบกว่าลูกที่สร้างจากคลื่นหลิงจะถูกก่อตัวขึ้น ภูเขาเหล่านั้นดูแวววาว หนักราวล้านตัน เมื่อพวกมันปรากฏแม้แต่มิติก็รับน้ำหนักไม่ไหวและพังทลายลง

ตู้ม!

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ ภูเขาเหล่านั้นก็กดลง ก่อนที่จะตกใส่ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูล

เมื่อผู้อาวุโสเหล่านั้นเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็หมดสีสัน พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังน่ากลัวจากภูเขาเหล่านั้น

ด้วยพลังของค่ายกลพิทักษ์ มู่เฉินกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในขณะนี้ เขาสามารถทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหนังหัวชาหนึบ

“ถอยเร็ว!”

เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งความเร็วไม่กี่ลมหายใจก็ปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยลี้

ครืน!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหลบหนีอย่างไร ภูเขาเหล่านั้นก็มาปรากฏขึ้นราวกับว่าทะลุผ่านมิติกระแทกลงมาทำให้แต่ละคนถูกทับเป็นกล้วยปิ้ง

ผู้ชมอ้าปากตาค้างเมื่อมองไปที่ภูเขาที่กำลังปราบปรามผู้อาวุโสเผ่าฝูถู

“ซี้ด!”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็น ใครจะคิดได้ว่าเพียงสิบกว่าลมหายใจผู้อาวุโสที่ปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนเหยื่อจะถูกระงับอย่างไร้ประโยชน์

สมาชิกในเผ่าฝูถูก็พูดไม่ออก ทั้งเฉวียนหลัว มั่วซินและพรรคพวกก็ตกตะลึง ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะไม่สามารถหลบหนีได้ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถควบคุมค่ายกลและปราบปรามผู้อาวุโสของเผ่าได้ในพริบตา

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเขียวคล้ำ วันนี้ตระกูลของตนได้รับความอับอายอย่างที่สุด จอมยุทธ์ทั้งสองตระกูลออกโรง ไม่เพียงแต่จะจับมู่เฉินไม่สำเร็จ แต่กลับยังถูกปราบปรามแทน

“มู่เฉิน เวลานี้ยังคิดจะต่อต้านอยู่รึ? แกคิดว่าเผ่าฝูถูไม่สามารถทำอะไรแกได้ใช่ไหม?!” เฉวียนกวางแผดเสียงตะโกน

พอได้ยินเสียงเห่านั่น มู่เฉินก็กวาดสายตาไปมองอย่างไม่แยแส มือวาดตราประทับ ทันใดนั้นค่ายกลก็เริ่มหมุนคว้าง ก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่ตบลงมายังทิศของเฉวียนกวาง

ฝ่ามือทำให้มิติแตกสลาย เทือกเขาลดระดับถึงพื้นกลายเป็นปากปล่องภูเขาไฟดูราวกับเหวนรก

“อวดดี!”

เฉวียนกวางตะโกนลั่น ร่างกำจายรัศมีหลิงขณะที่เงาร่างใหญ่โตก่อตัวขึ้นราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวโคจร

เฉวียนกวางเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมา

ร่างเงาขนาดใหญ่ผลักมือขึ้นปะทะกับมือที่พุ่งลงมา

ครืนๆ!

เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ ทำให้แก้วหูแทบแตก หลายคนก็ตกใจเมื่อเห็นร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่ถูกทุบลงมาจากท้องฟ้า ทำให้พื้นดินพังทลาย

เฉวียนกวางยืนอยู่บนไหล่ร่างเวทสวรรค์ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบในการต่อสู้กับมู่เฉิน

“มั่วถงลงมือพร้อมกัน! ค่ายกลพิทักษ์ต้องใช้พลังมหาศาล ไอ้เด็กนั่นอยู่ได้ไม่นานหรอก!” หมดเวลาที่เฉวียนกวางจะกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียง เขาต้องการร่วมมือกับมั่วถงเพื่อจัดการกับมู่เฉิน

“ตกลง!”

มั่วถงตัดสินใจเด็ดขาดพลางพยักหน้า ตอนนี้มู่เฉินควบคุมค่ายกลพิทักษ์ พวกเขาต้องพ่ายแพ้แน่หากไม่ร่วมมือกัน

ตู้ม ตู้ม!

ดังนั้นเมื่อมีการเร้าร่างเวทสวรรค์ใหญ่โตสองร่าง แรงกดดันของของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็กวาดไปหามู่เฉิน

ทว่าเผชิญหน้ากับความร่วมมือของพวกเขา ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัวยังเค้นเสียงใส่ ขณะที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงไปมา ค่ายกลเริ่มหมุนคว้าง มือขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุด ช่างดูราวกับมือเทพ ทุกสรรพสิ่งต้องแตกสลายภายใต้การโจมตีนี้

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้สะเทือนโลกากวาดข้ามขอบฟ้า ทำให้หัวใจของผู้คนกระเด้งกระดอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าเฉวียนกวางและมั่วถงเริ่มตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ

ค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูทรงพลังมากเกินไป ถึงยังไงค่ายกลนี่เผ่าฝูถูโบราณก็พึ่งพาในช่วงวิกฤตมิหนำซ้ำยังสามารถต้านจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่สามารถนำพลังที่แท้จริงออกมาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ทั้งสองนี้

“ดูเหมือนเฉวียนกวางและมั่วถงจะถูกปราบแล้ว” หลินจิ้งยิ้มให้กับฉากนี้

“ไม่แยแสอัจฉริยะปล่อยไปตามยถากรรม เผ่าฝูถูดื้อรั้นอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงค่อยๆ กลายเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาห้าเผ่าโบราณ” เซียวเซียวส่ายหน้าพลางเอ่ย

หลินเตียวและเย่าเฉินพยักหน้าและถอนหายใจ ใครจะคิดว่ามู่เฉินสามารถพลิกเผ่าฝูถูคว่ำลงด้วยตัวคนเดียว?

ขณะนี้เองมู่เฉินก็สังเกตเห็นเฉวียนกวางและมั่วถงเริ่มหมดแรง เขาจึงเค้นเสียง ตราประทับเปลี่ยนแปลง ภูเขาขนาดใหญ่สองลูกก็ตกลงมาจากท้องฟ้า

ภูเขาทั้งสองลูกบดบังแสงของดวงอาทิตย์ ราวกับดวงดาว พลังที่แผ่ซ่านออกมาน่ากลัวกว่าที่เคยใช้ในการปราบปรามผู้อาวุโสคนอื่น

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขารีบเร้าร่างเวทสวรรค์อย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านภูเขา

ตู้ม!

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประเมินขอบเขตค่ายกลพิทักษ์ต่ำเกินไป เมื่อภูเขาบีบเข้ามา ร่างเวทสวรรค์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

อ็อก

ทันใดนั้นใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงก็ซีดลง พวกเขากระอักเลือดออกมาพร้อมกับแววสยดสยองพล่านในดวงตา

ตู้ม!

แต่ก่อนที่พวกเขาจะหลบหนีได้ ภูเขาก็กระแทกอย่างหนักหน่วงกดร่างพวกเขาลงไปกับพื้นดิน

ตึง ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาวาวแสงสองลูกตั้งตระหง่าน ภายใต้ภูเขาใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงก็ไร้สีเลือด พวกเขากระอักเลือดจากการปราบปรามของภูเขา

คลื่นหลิงค่อยๆ สงบลง ทว่าความเงียบงันกลับปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกคนตกตะลึงมองไปที่ร่างอ่อนเยาว์ด้วยความหวาดหวั่น

ร่างนั้นเหยียดตรงเปล่งรัศมีคมชัด

สมาชิกเผ่าฝูถูต่างกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็ยังตกใจกับความสำเร็จของมู่เฉิน

“สวรรค์ สัตว์ประหลาดนั่น…”

บางคนพึมพำออกมา ใครจะจินตนาการได้ว่าชายหนุ่มอ่อนเยาว์จะจัดการผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วด้วยตัวคนเดียว

เขาเผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูทั้งหมดด้วยตัวเองอย่างแท้จริง!

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาเหล่านั้น แต่จ้องมองไปที่ฝูถูเฉวียนก่อนเสียงเย็นชาของเขาจะดังขึ้น

“ฝูถูเฉวียน วันนี้แกจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?!”

“เจ้าสองคนจะทำอะไร?”

เสียงของฝูถูเฉวียนทำให้บรรยากาศตกลงสู่จุดเยือกแข็ง หลายคนรู้สึกว่ากระดูกสันหลังสั่นไหวเลยทีเดียว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นการเผชิญหน้าที่ดุร้ายในการเดินทางมาครั้งนี้

ถ้าเผ่าฝูถูรบกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู อาจทำให้ทั่วมหาพันภพเกิดการสะเทือน

ภายใต้การจ้องมองของฝูถูเฉวียน สายตาของเย่าเฉินและหลินเตียวก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ้าผู้อาวุโสใหญ่ยืนยันที่จะทำ พวกเราก็ทำได้แค่ขอโทษล่วงหน้าและปกป้องความปลอดภัยของมู่เฉินเท่านั้น”

คำพูดของพวกเขาทำให้ทุกคนใจสั่นทันที แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน? แม้จะต้องจ่ายราคาในการละเมิดเผ่าฝูถูนะเหรอ?

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงบิดเบ้จนน่าเกลียด พวกเขารู้สึกไม่น่าเชื่อ ต้องรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูต้องการท้าทายพวกเขาเพื่อมู่เฉินคนเดียวหรือ?

ไอ้กาลกิณีนี่มีดีอะไร?

แต่เนื่องจากสถานการณ์ดำเนินไปถึงขั้นนี้ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าจะพูด ได้แต่มองไปที่ฝูถูเฉวียนเพื่อรอการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

ฝูถูเฉวียนตบพนักเก้าอี้เบาๆ พลางมองไปที่มู่เฉิน “ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าไปจริงๆ ในเวลาเพียงสองทศวรรษที่ผ่านมา เจ้ามาถึงจุดสูงสุดในการฝึกฝน ซ้ำยังสร้างความสัมพันธ์กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูอีกด้วย”

ขณะที่พูดไอเย็นเยือกก็วูบวาบในดวงตาพร้อมกับพูดต่อ “แต่เผ่าฝูถูของข้าดำรงอยู่ในมหาพันภพมาเนิ่นนานเพราะเราปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าคิดว่าการเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูสามารถช่วยแก้ไขตัวตนของเจ้าในฐานะตัวกาลกิณี เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป”

เมื่อพูดจบเขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉิน แต่หันไปหาเย่าเฉินและหลินเตียว “สำหรับพวกเจ้าสองคนจงให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาพูดคำเหล่านั้นเอง! เจ้าสองคนยังไม่มีสิทธิ์!”

ฝูถูเฉวียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้ว่าเย่าเฉินและหลินเตียวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย แต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา ดังนั้นฝูถูเฉวียนจึงไม่คิดแลทั้งสองเลยสักนิด

ฝูถูเฉวียนเหยียนนิ้วชี้ไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “เฉวียนกวาง มั่วถง พวกเจ้ายืนรออะไรอยู่? จับเจ้ากาลกิณีนั่นซะ!”

“รับทราบ!”

เฉวียนกวางและมั่วถงรับคำสั่ง นำเหล่าผู้อาวุโสออกไปล้อมรอบตัวมู่เฉินเพื่อจับกุม

เมื่อเย่าเฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ส่วนหลินเตียวก็ก้าวเท้าออกไปเอ่ยเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่หน่อยเถอะ”

เมื่อเขาพูดจบบาตรแก้วก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งมีสัญลักษณ์โบราณแปดลายอยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า ไฟ น้ำแข็งและองค์ประกอบอื่นๆ หมุนเวียนอยู่บนบาตรแก้ว

เมื่อบาตรแก้วปรากฏขึ้นก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้กวาดออกมา

สัมผัสได้ถึงความผันผวน ฝูถูเฉวียนก็หดดวงตาขณะที่จ้องไปที่บาตรแก้วในมือหลินเตียว “ลือกันว่าเทพจักรพรรดิสงครามได้ปรับแต่งตราประทับเทวลิขิตโบราณทั้งแปดให้กลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งที่เรียกว่าบาตรแก้วแปดเทวลิขิต ถ้าข้าเดาถูกก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าใช่ไหม?”

เมื่อเสียงของฝูถูเฉวียนดังก้องก็ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด ทุกสายตามองไปที่บาตรแก้วในมือของหลินเตียวด้วยความตกใจและหวาดกลัว เนื่องจากอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมถูกจัดชั้นเป็น หลิง-เซียน-เซิ่งอีกด้วย

อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งหายากแม้แต่ในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมสามารถทำลายโลกได้เลยทีเดียว

“ถูกต้อง…”

หลินเตียวขานรับพลางแลกเปลี่ยนสายตากับเย่าเฉิน ทั้งสองคนชี้ไปที่บาตรแก้ว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็หลั่งไหลเข้าไปอย่างรุนแรง

หากพวกเขาต้องการที่จะเปิดใช้งานอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ยังพบว่ายากมาก ดังนั้นเย่าเฉินและหลินเตียวจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเปิดใช้

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่หลินเตียวและเย่าเฉินเทพลังลงไป บาตรแก้วก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม รัศมีแปดสายกำจายออกมา อึดใจบาตรแก้วก็หายไปจากมือของหลินเตียว

ในช่วงเวลาต่อมาทุกคนก็เห็นบาตรสีทองโปร่งใสพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าผ่านเวลาและมิติ ตราบใดที่บีบลงมาได้ ก็ขังบางคนไว้โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ครืน!

บาตรแก้วครอบร่างฝูถูเฉวียนไว้ข้างใน ทำเอาภูเขาใหญ่ถึงกับสั่นสะเทือน

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลินเตียวและเย่าเฉินจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยมู่เฉิน แต่พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจับตัวฝูถูเฉวียนไว้แทน

แต่การทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะจัดการมู่เฉินด้วยตัวเองอยู่แล้ว แค่เฉวียนกวางกับมั่วถงก็ทำได้เกินพอดีแล้ว

ฝูถูเฉวียนอึ้งไปเช่นกัน ก่อนที่จะเค้นเสียงเย็นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เหมือนจะหลับตาลงแต่ก็ไม่ได้หลับ ทว่ามีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากในบาตรแก้วว่า

“จัดการต่อ”

เฉวียนกวางและมั่วถงไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานออกพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งสู่ขอบฟ้า โอบล้อมมู่เฉินไว้

“เฮ้ ท่านอาเตียว โจมตีผิดเป้าหมายรึเปล่า?!”

เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ นางก็ตะลึงก่อนจะดึงแขนเสื้อของหลินเตียวไปเขย่า “เป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะต่อสู้กับมู่เฉินอยู่แล้ว แต่พลังที่เขามีก็ไม่สามารถต้านผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูได้นะ”

เซียวเซียวก็งงกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงมองไปที่เย่าเฉินและหลินเตียว

ขณะที่หลินจิ้งเขย่าหลินเตียวไม่หยุด เขาก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าเย็นชาและยิ้มอย่างขมขื่น “นังตัวน้อยของข้าเลิกเขย่าได้แล้ว นี่เป็นแผนการของมู่เฉิน เขาบอกให้เราหยุดฝูถูเฉวียนไว้ก็พอ ที่เหลือเขาจัดการเองได้”

เย่าเฉินพยักหน้าและยิ้ม “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้กระทั่งข้ายังสงสัยว่ามู่เฉินมีความมั่นใจที่จะจัดการกับผู้อาวุโสเผ่าฝูถูทั้งหมดด้วยตัวเองมาจากไหน”

หลินจิ้งอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับเซียวเซียวเมื่อได้ยิน แม้ว่านางจะรับรู้ถึงความไม่ธรรมดาในการต่อสู้ของมู่เฉิน แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจัดการได้ด้วยตัวเอง

ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดอ้าง ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้เขาต้องมีวิธีการบางอย่าง…

“งั้น…ก็ดูกันไปก่อน ถ้ามู่เฉินทำไม่ได้พวกท่านต้องช่วยเขานะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความลังเลสั้นๆ

หลินเตียวพยักหน้าตอบว่า “วางใจเถอะ ในเมื่อพ่อของเจ้าฝากไว้แล้ว พวกเราก็ต้องปกป้องให้เขาปลอดภัย”

ขณะที่กลุ่มหลินจิ้งกำลังสนทนากัน เหล่าผู้ชมก็พากันงงงวย พวกเขามองมู่เฉินที่ถูกล้อมก็ส่ายหัว ไม่ต้องพูดถึงขุมพลังของมู่เฉินที่มี ต่อให้เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็คงไม่สามารถต้านผู้อาวุโสจำนวนมากของเผ่าฝูถูได้

“ดูเหมือนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับเผ่าฝูถูเพื่อมู่เฉิน จึงทำให้พวกเขาแค่จับฝูถูเฉวียนไว้และไม่สนใจผู้อาวุโสคนอื่นๆ”

ขณะที่พวกเขากำลังงงงวยก็มีคนมโนเหตุผล ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ใครๆ ก็สามารถชั่งน้ำหนักความสำคัญของมู่เฉินและเผ่าฝูถูได้

ผู้อาวุโสตระกูลชิงใบหน้าซีดเผือด ผู้อาวุโสใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าตระกูลชิงต้องการปกป้องมู่เฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“ชิงเซวียน เดี๋ยวเราก็มองหาโอกาสลงมือเพื่อช่วยให้มู่เฉินหลบหนีไป” ชิงเทียนกล่าวขณะที่กัดฟัน

หากพวกเขาปล่อยให้มู่เฉินถูกจับได้ ชิงเหยี่ยนจิ้งคงตัดสัมพันธ์กับตระกูลชิงครั้งนี้แน่

เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

 

“มู่เฉินเลิกขัดขืน! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูด้วยกำลังที่มีรึ?”

ขณะที่ผู้ชมกำลังถอนหายใจ ตาข่ายก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสิบกว่าคนจากตระกูลเฉวียนและมั่ว เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ราวกับว่าพวกเขากำลังมองเหยื่อในกับดัก

“มู่เฉิน อย่าทำผิดพลาดมากกว่านี้ ยอมถูกจับซะดีๆ มิฉะนั้นถ้าปะทะกันแล้วพวกข้าควบคุมแรงไว้ไม่ดี อาจทำให้เจ้าพิการ นี่เป็นการสูญเปล่าสำหรับเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร” มั่วถงกล่าวอย่างไม่แยแส

เมื่อพวกเขาพล่าม มู่เฉินก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใด เขาค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับมือไพล่หลัง พายุดันเสื้อผ้าของเขาลอยขึ้น

“ไอ้ดื้อด้าน จัดการ!”

รอไปสิบกว่าลมหายใจ เมื่อไม่เห็นมีการตอบสนองอะไรเฉวียนกวางก็เค้นเสียงและสะบัดมือลง

วาบ!

ร่างเงาสิบกว่าร่างพุ่งออกมาข้างหลัง คลื่นหลิงกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉิน นี่เป็นความปั่นป่วนที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังหวาดกลัว

ด้วยพลังที่มู่เฉินมี เขาได้รับบาดเจ็บหนักทันทีแน่

ทุกคนส่ายหัวด้วยความสงสาร เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรจะสิ้นชีพวันนี้แล้วหรือ?

ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขามองไปที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูพร้อมกับรอยยิ้มเย็นบนริมฝีปาก

“พวกแกทำให้เราแม่ลูกต้องพรากจากกันหลายสิบปี ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องสะสางหนี้นี้!”

เมื่อเขาพูดจบ แสงนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกัน ก่อตัวเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ลึกลับจำนวนมาก

ครืน

ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏบนท้องฟ้า ทุกคนในมิติฝูถูก็สามารถสัมผัสได้โดยเฉพาะเฉวียนกวางและคนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้น เมื่อมองไปที่ค่ายกล ต่อให้เป็นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาทันที

นั่นเป็นเพราะค่ายกลที่ปรากฏนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าของพวกเขา!

เมื่อเสียงของมู่เฉินดังออกมา

ทุกคนก็เงียบลงขณะดูฉากตรงหน้าด้วยความอึ้งทึ่ง พักใหญ่ถึงคืนสติได้ว่ามู่เฉินชนะแล้ว…

เขาปะทะกับตระกูลเฉวียนด้วยตัวคนเดียวและคว้าตำแหน่งกลับคืนมาจากหนึ่งในสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าฝูถู

“ช่างดุดันจริงๆ…”

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดเสียงทอดถอนหายใจ ผู้นำหลายคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคร่งเครียดและความกลัว

ชัดว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมาน่าตกใจแท้จริง

ต้องรู้ว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นเท่านั้น แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็แพ้ให้เขา หากในอนาคตเขาบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหรือ?

“เผ่าฝูถูช่างน่าหัวเราะจริงๆ ที่ปฏิบัติต่อสุดยอดอัจฉริยะราวกับคนบาป นี่คือยอดยุทธ์ที่มุ่งมั่นจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ถ้าเป็นขั้วอำนาจอื่น เขาจะถูกเลี้ยงดูในฐานะเสาหลักแล้ว”

“หึๆ พวกเผ่าโบราณบ้าบอเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของสายเลือดอยู่ตลอด” ผู้ชมหลายคนกระซิบกระซาบขณะพึงพอใจกับฉากนี้

เมื่อสมาชิกเผ่าฝูถูได้ยิน ใบหน้าแต่ละคนก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะหักล้างได้ เพราะยังไงมู่เฉินก็ได้ชื่อว่าตัวกาลกิณีของเผ่าอย่างแท้จริง

ใบหน้าของเฉวียนกวางเคร่งขรึมลง หมัดกำแน่นในแขนเสื้อ วันนี้ตระกูลเฉวียนของเขาได้รับความอับอายจากมู่เฉินยิ่งนัก

“ไอ้เด็กสารเลว กล้าทำลายแผนการของตระกูลเฉวียนข้า!” เขาสบถกับตัวเอง

เฉวียนกวางโกรธมาก เขาวางแผนเรื่องนี้มานานแล้ว ทั้งๆ ที่แผนกำลังจะประสบความสำเร็จ แต่มู่เฉินก็ดันทำให้ทุกอย่างพังพินาศลง

แต่ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เนื่องจากตระกูลเฉวียนแพ้ทั้งสี่ยก ดังนั้นพวกเขาต้องส่งตำแหน่งคืนให้

หลังจากนั้นดวงตาเขาก็กะพริบสั้นๆ เฉวียนกวางหันไปหาฝูถูเฉวียนพูดว่า “ตระกูลเฉวียนยอมรับความพ่ายแพ้และขอส่งตำแหน่งคืน แต่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็เป็นตัวกาลกิณี ซึ่งผิดกฎที่เขาจะเป็นประมุขตระกูลชิง ข้าต้องการเปิดสภาเพื่อกันเขาออกจากสถานะนั้น”

ตอนนี้มู่เฉินมีตัวตนเป็นประมุขตระกูลชิง จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะจัดการ แต่ถ้าเขาขาดคุณสมบัติ พวกเขาก็จะมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะจัดการในฐานะตัวกาลกิณี

“ตระกูลชิงของข้าปฏิเสธ!” ชิงเทียนร้องตะโกนด้วยรู้ถึงความตั้งใจของเฉวียนกวาง

“ตระกูลมั่วเห็นด้วย” มั่วถงพูดหลังจากไตร่ตรองสั้นๆ เขาลงเรือลำเดียวกันตระกูลเฉวียนเพื่อบีบตระกูลชิงออกไป ดังนั้นเขาไม่ต้องการเห็นมู่เฉินทำลายกฎเกณฑ์ นอกจากนี้เขายังกลัวศักยภาพที่มู่เฉินแสดงออกมา จึงเป็นการดีที่สุดที่พวกเขาจะกำจัดเด็กเหลือขอในวันนี้

เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่ตระกูลย่อย ผู้อาวุโสทั้งสามก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากแรงกดดันที่ได้รับ

เมื่อฝูถูเฉวียนเห็นสิ่งนี้ คิ้วก็ขมวดก่อนที่จะพยักหน้า “เนื่องจากผู้อาวุโสกว่าเจ็ดส่วนเห็นด้วยก็สามารถเปิดสภาผู้อาวุโสได้ตามกฎ”

เมื่อเฉวียนกวางได้ยิน รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก

มู่เฉินมองภาพเบื้องหน้าอย่างเย็นชาและยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องจัดให้ตัวเองลำบาก ข้าไม่สนใจตำแหน่งประมุขตระกูลชิงนักหรอก เหตุผลที่ข้ามาก็คือเพื่อเก็บดอกเบี้ยจากตระกูลเฉวียน”

เมื่อพูดจบ เขาก็โบกมือ ป้ายประจำตระกูลพุ่งกลับไปที่ชิงเทียน

เมื่อชิงเทียนรับไว้ก็มีสีหน้าซับซ้อน เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่สนใจในตำแหน่งนี้เลย แม้ว่าจะไม่มีความเกลียดชังต่อพวกเขา แต่ก็ห่างเหิน

การกระทำของมู่เฉินทำให้เฉวียนกวางอึ้งไปก่อนจะเค้นเสียง เพราะนี่ช่วยลดปัญหาไปพอสมควรเลยทีเดียว

“ผู้อาวุโสใหญ่ มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณี ตามกฎแล้วเราควรจับเขาและ…”

“ไม่จำเป็น เหตุผลที่ข้ามาเผ่าฝูถูก็เพื่อพามารดาออกจากที่นี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราแม่ลูกจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถูอีก” ก่อนที่เฉวียนกวางจะพูดจบ เสียงไม่แยแสของมู่เฉินก็ดังขัดจังหวะ

คำพูดของเขาทำให้ทั่วบริเวณเงียบไปอีกครั้ง ใบหน้าผู้คนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนไป ถ้าเมื่อครู่ที่มู่เฉินท้าทายตระกูลเฉวียนยังเป็นไปตามกฎ งั้นตอนนี้เขากำลังท้าทายเผ่าฝูถูทั้งหมด

“ไอ้หนูนั้นห้าวเกินไปแล้ว กล้าพูดจาสามหาวแบบนี้ได้ยังไง?”

หลายคนแลกเปลี่ยนสายตา ขณะที่พวกเขารู้สึกไม่เอยากเชื่อและตกใจ พวกเขาตะหงิดในใจว่าเรื่องหลักวันนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

การต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงจานเรียกน้ำย่อยและนี่คือจานหลัก

ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะไม่หยุดพัก เว้นแต่เขาจะพลิกเผ่าฝูถูกลับหัวกลับหาง

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความมั่นใจของมู่เฉินมาจากไหน ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น ถ้าเขาท้าทายเผ่าฝูถูก็จะคล้ายกับการวิ่งเข้าอุโมงค์ความตาย

เฉวียนกวางรู้สึกตะลึงกับการเคลื่อนไหวไม่คาดคิดของมู่เฉิน แต่จากนั้นเขาก็ฟื้นคืนสติเกิดความสุขขึ้นในใจ มู่เฉินยังเด็กและบ้าบิ่นพูดคำที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ คราวนี้ผู้อาวุโสใหญ่นั่งไม่ติดแน่

เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าฝูถูเฉวียนดิ่งลงตามคาด

“บังอาจ!”

เสียงตะโกนของฝูถูเฉวียนดังก้องด้วยความเกรี้ยวกราด ทำให้สวรรค์และโลกเงียบงันในทันที พลังอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งถูกปลดปล่อยออกมาเต็มที่

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความโกรธเกรี้ยวของฝูถูเฉวียน แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว

“เจ้ากาลกิณี เจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถแล้วจะทำอะไรก็ได้เรอะ คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน?” ฝูถูเฉวียนคำรามในขณะที่พูดต่อ “ชิงเหยี่ยนจิ้งละเมิดกฎเป็นนักโทษ ข้าจะยอมให้เจ้าพานางไปได้ยังไง?”

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเย็นชากล่าวว่า “ตาแก่ ข้าไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นหนึ่งในเผ่าฝูถู ดังนั้นเก็บขี้ไว้กับตัวเองเหอะ”

มู่เฉินเกลียดคนแก่โง่เง่าดื้อรั้นคนนี้นัก ถ้าไม่ใช่เพราะตาแก่นี่ เขาก็คงไม่ต้องแยกจากมารดาหลายปี ดังนั้นเขาจึงไม่คิดไว้หน้าชายชราสักนิด

สมาชิกเผ่าฝูถูต่างตกตะลึง ผู้อาวุโสใหญ่ดำรงตำแหน่งสูงในเผ่ามีบารมียิ่งใหญ่ แม้แต่ประมุขตระกูลต่างๆ ยังไม่กล้าที่จะทำให้อีกฝ่ายโกรธ แต่มู่เฉินกลับเรียกเขาว่าตาแก่ ช่างกล้าเหลือเกิน

“จองหอง เจ้าเป็นเด็กป่าเถื่อนไม่มีมารยาทจริงๆ!” ใบหน้าของฝูถูเฉวียนมืดครึ้มขณะที่อารมณ์โกรธลั่นเปรียะ “ทุกคนจับมัน! ข้าจะดูว่ามันมีสิทธิ์อะไรที่จะมารับชิงเหยี่ยนจิ้งออกจากเผ่าฝูถู!”

“รับทราบ!”

เฉวียนกวางและมั่วถงดีใจ พวกเขาลุกขึ้นยืนเตรียมนำผู้เชี่ยวชาญไปจับตัวมู่เฉิน

“มู่เฉินหยิ่งเกินไป ตอนนี้ก็ทำให้ฝูถูเฉวียนโกรธแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าฝูถูทั้งหมดได้อย่างไร?” ผู้ชมต่างพากันส่ายหวือกับเหตุการณ์นี้

แต่เมื่อจอมยุทธ์ตระกูลเฉวียนและมั่วกำลังจะเคลื่อนไหวเสียงหัวเราะก็ดังก้อง “มู่เฉินเป็นสหายของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูของเรา ดังนั้นหากเผ่าฝูถูต้องการกลั่นแกล้งเขา เราคงยอมรับไม่ได้”

เสียงนั้นดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที พวกเขามองไปตามเสียงก็เห็นชายชราและชายทรงเสน่ห์เข้าสู่ครรลองสายตา

เมื่อพวกเขาเห็นทั้งสองคนแม้แต่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูก็เปลี่ยนสีหน้าและหยุดเคลื่อนไหว

ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นทั่วบริเวณ

“นั่นคือท่านเย่าเฉิน เขาคืออาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคี…”

“นอกจากนั้นยังมีหลินเตียว เขาเป็นประมุขรองของแคว้นหวูและเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเทพจักรพรรดิสงคราม”

“หือ! ไม่แปลกใจที่มู่เฉินไม่เกรงกลัวเผ่าฝูถู เขาขอยืมพลังนั่นเอง เก่งจริงๆ แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ใครๆ ก็เชิญได้!”

“ใช่ ความสามารถอะไรเนี่ย มู่เฉินน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”

ทุกคนตกตะลึง แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูชื่อเสียงขจรขจายทั่วมหาพันภพ ทั้งสองเป็นขุมกำลังสุดยอดที่ไม่อ่อนแอไปกว่าห้าเผ่าโบราณเลย

เฉวียนกวางและมั่วถงตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและคว้นหวูจะออกตัวช่วยมู่เฉิน แม้จะต้องเป็นศัตรูกับเผ่าฝูถู

“บัดซบ ไอ้หนูนั่นเติบโตถึงขนาดที่แม้แต่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็พุ่งเข้ามาช่วยเขาเรอะ?!” พวกเขาสองคนรู้สึกเสียใจในใจ หากพวกเขารู้เรื่องนี้คงจะจัดการกับมู่เฉินให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นจนถึงจุดที่แม้พวกเขาก็ยังหวาดกลัว

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้อาวุโสใหญ่สามารถอดกลั้นต่อการแทรกแซงจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูได้หรือไม่

ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปที่ฝูถูเฉวียน ซึ่งสามารถเห็นท่าทางน่ากลัวของอีกฝ่าย สายตาเฉียบคมนั้นพุ่งไปที่เย่าเฉินและหลินเตียว

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตานั่น เย่าเฉินและหลินเตียวก็ยังฉายท่าทางสงบนิ่ง

“แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูคิดจะทำให้เผ่าฝูถูลำบากเพื่อตัวกาลกิณีนั่นรึ?” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้อง แต่ไม่มีใครรับรู้อารมณ์ใดของเขา

เย่าเฉินยิ้มบาง “มู่เฉินเป็นสหายน้อยของศิษย์ข้า เราหวังว่าเผ่าฝูถูจะละเว้นจากการกลั่นแกล้งในเรื่องนี้ได้”

แม้ว่าหลินเตียวจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ท่าทีชัดเจนมาก

ทั่วบริเวณเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าอ้าปากพูดออกมาแม้แต่คำเดียว หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการจัดการอย่าวงดี อาจส่งผลให้เกิดสงครามระหว่างสามขั้วอำนาจสุดยอด ทั่วทั้งมหาพันภพต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

ภายใต้ความเงียบที่อัดแน่นด้วยความกดดัน ดวงตาของฝูถูเฉวียนถมึงทึงขณะมองไปที่เย่าเฉินและหลินเตียว จากนั้นครู่หนึ่งเสียงไม่แยแสก็ดังขึ้น

“แล้วพวกเจ้าสองคนจะทำอะไร ถ้าข้ายืนยันจะจับเจ้าเด็กนั่น?”

บนร่างกายของมู่เฉิน

ลวดลายวุ่นวายอันเวิ้งว้างทั้งเก้าปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะถูกสลักลึกลงไปในร่างกายตั้งแต่กำเนิดและเต็มไปด้วยสัมผัสแห่งสวรรค์และโลก

ฝูถูเฉวียนผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่สามารถรักษาอาการได้อีกต่อไป ความไม่เชื่อฉายบนใบหน้าเมื่อมองลวดลายโบราณทั้งเก้าบนร่างกายของมู่เฉิน

เขารู้ว่านี่เป็นตัวแทนของอะไร

นี่คือเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรในตำนาน!

“เป็นไปได้ยังไง? เจ้าเด็กกาลกิณีครอบครองเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรได้อย่างไร?!” ฝูถูเฉวียนอุทาน เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรเป็นตำนานแม้กระทั่งในเผ่าฝูถู ตั้งแต่โบราณกาลมีสามครั้งที่เส้นหลิงในตำนานปรากฏขึ้นในเผ่า ซึ่งทั้งหมดเป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของพวกเขา

บรรพบุรุษทั้งสามนี้ก่อตั้งเผ่าฝูถู หลังจากนั้นเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพรก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย แม้ว่าเส้นหลิงนี้จะไม่ได้แสดงอะไรที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็แสดงถึงความบริสุทธิ์ของสายเลือดในระดับหนึ่ง

ดังนั้นสายเลือดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเผ่าโบราณ

นี่เป็นสาเหตุที่การแต่งงานของชิงเหยี่ยนจิ้งสร้างความโกรธแค้น พวกเขาหวังในตัวนางมาก ทว่านางกลับทำให้สายเลือดต้องแปดเปื้อน

แต่เมื่อมองในตอนนี้ ฝูถูเฉวียนรู้สึกอยากจะกระอักเลือด สายเลือดของมู่เฉินไม่เพียงแต่ไม่แปดเปื้อน แต่ยังมีกระทั่งเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรอีกด้วย นั่นไม่ได้หมายความว่าในแง่ของความบริสุทธิ์สายเลือดของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าทุกคนในเผ่าหรือ?

ความตกใจเผยบนใบหน้าของฝูถูเฉวียนเป็นเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ สงบลงและมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน

หลังจากที่ฝูถูเฉวียนสังเกตเห็นไม่นาน คนทั้งเผ่าและผู้ชมก็เห็นลวดลายโบราณเก้าลายบนร่างกายของมู่เฉิน ทำเอาพวกเขาตกตะลึงไป

ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอด ก่อนที่ความปั่นป่วนจะระเบิดขึ้น

“สวรรค์ ข้าเห็นอะไรกัน? นั่นคืออะไร?!”

“ข้าเห็นเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรในตำนานหรือเนี่ย?!”

“มู่เฉินมีเส้นหลิงสองเส้นได้ยังไง? นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นเก้าชีพจร? เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า!”

“เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร… มิน่าล่ะเจ้านี่ถึงร้ายกาจมาก ที่แท้ก็ครอบครองเส้นหลิงสุดยอดในตำนานนี่เอง!”

ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว ตระกูลเฉวียนที่เคยเยาะเย้ยก็อ้าปากค้าง ตอนนี้พวกเขามองร่างเงาพร่างพราวบนท้องฟ้าแล้วตาพร่าอยากเป็นลม

เฉวียนหลัวถึงกับกระอักเลือดออกมาจากปาก ใบหน้าเขียวคล้ำแม้แต่ร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้าน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากความตกใจหรือความกลัว หากเขายังคงรักษาหัวใจไว้ได้อย่างเข้มแข็งจากเส้นหลิงแปดชีพจร ยามนี้หัวใจของเขากระเด้งกระดอนเมื่อเห็นเส้นหลิงเก้าชีพจรนี่

เฉวียนกวางก็มองไปที่มู่เฉินอย่างอึ้งทึ่ง ขณะนี้แม้แต่เขายังไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป ท่าทางที่เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดูน่าขนลุกนัก

เขารู้สึกอยากจะฆ่ามู่เฉินในตอนนี้

มิฉะนั้นหากมู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในอนาคต เมื่อถึงเวลานั้นมันกับมารดาก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคน งานนี้แม้แต่คนทั้งเผ่าก็ไม่สามารถปราบปรามสองแม่ลูกนี้ได้

และหากสองแม่ลูกนี่แก้แค้น ตระกูลเฉวียนจะเป็นตระกูลแรกที่ถูกโจมตีอย่างแน่นอน!

ทว่าเฉวียนกวางก็ได้แต่ระงับจิตสังหารในใจ เนื่องจากเขารู้ดีว่าหากเขาเคลื่อนไหว ผู้อาวุโสใหญ่จะหยุดเขาทันที ตาแก่นั่นหัวรั้นเป็นพิเศษและทำตามกฎของเผ่าประหนึ่งอาญาสิทธิ์สวรรค์

นี่เป็นสาเหตุที่ชิงเหยี่ยนจิ้งถูกจองจำเมื่อละเมิดกฎ แม้แต่เฉวียนกวางก็ไม่ได้รับการยกเว้น

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง ในที่สุดใบหน้าของหมัวเฮอโยวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขามองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินด้วยระลอกความกลัวตีกวน

“เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร…” ในฐานะสมาชิกเผ่าหมัวเฮอ เขารู้ความหมายสิ่งนี้ ด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉินมีโอกาสสูงที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในอนาคต!

นั่นหมายความว่าในอนาคตจำนวนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่เป็นประจักษ์ของเผ่าฝูถูจะมีถึงสามคน!

“เจ้านั่นเป็นปัญหาแท้จริง!”

สายตาของหมัวเฮอโยวน่ากลัวลงเมื่อมองไปที่มู่เฉินด้วยไอสังหารในดวงตา

 

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง

เฉวียนจุนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขามองไปที่ลวดลายโบราณทั้งเก้าบนร่างกายของมู่เฉินก่อนจะกระชากเสียง “ตอแหล คิดจะทำให้ข้าหมดความมั่นใจแล้วฉวยโอกาสเรอะ?!”

เฉวียนจุนไม่คิดจะเชื่อว่ามู่เฉินครอบครองเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร นอกจากนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองเชื่อได้ในตอนนี้ เพราะจะทำให้เขาเผยช่องโหว่ให้มู่เฉินซัดกลับได้

ดังนั้นไม่ว่ามู่เฉินจะครอบครองเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรหรือไม่ เขาก็ต้องเอาชนะมู่เฉินให้ได้

“ตาย!”

เฉวียนจุนตะเบ็งเสียงพลางสะบัดแขนเสื้อ ความปั่นป่วนของแม่น้ำสีดำทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้นขณะที่โอบล้อมมู่เฉินราวกับมังกร

ทุกคนรวมความสนใจไปในที่เดียว พวกเขาอยากรู้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรของมู่เฉินเป็นของจริงหรือไม่…

และการพิสูจน์จะเกิดขึ้นในระหว่างการปะทะของทักษะหลิงไม่เสินทง

มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า เขามองไปที่แม่น้ำจากนั้นก็วาดตราประทับในมืออึดใจต่อมาเสียงเขาก็ดังก้องขึ้น

“ทักษะหลิงไม่เสินทง เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร… แสงเทพปฐมกาล”

เมื่อเสียงสิ้นสุดลง แสงสีขาวก็พุ่งขึ้นจากด้านหลังร่างมู่เฉินกลายเป็นการระเบิดของมหานวดาราทำให้ทุกคนตาลายไปหมด

เมื่อกลุ่มแสงไร้ระเบียบพุ่งทะยานขึ้น มู่เฉินก็โบกมือซัดไปยังแม่น้ำสีดำที่เคลื่อนลงมา

วาบ!

ฉากที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้น แม่น้ำสีดำหายไปทันทีเมื่อกลุ่มแสงไร้ระเบียบพุ่งผ่าน ทำให้แสงส่องลงมายังพื้นที่นี้อีกครั้ง

ฉากนี้ทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้าง

แม่น้ำสีดำที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหวาดกลัวกลับถูกมู่เฉินทำลายได้อย่างง่ายดายเรอะ?!

ทุกคนมองกลุ่มแสงไร้ระเบียบที่เพิ่มขึ้นด้านหลังมู่เฉินด้วยความหวาดผวา เมื่อพวกเขามองเข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีเส้นสีดำบางๆ อยู่ในนั้น ซึ่งก็คือแม่น้ำสีดำ

“ทักษะหลิงไม่เสินทงนี้คืออะไร? ครอบงำเหลือเกิน!” มีคนร้องอุทาน พวกเขารู้สึกหวาดกลัวกับทักษะนี้ยิ่งนัก

เฉวียนจุนก็ตกตะลึงกับฉากนี้ ก่อนที่จะถอยกลับพร้อมกับความกลัวพล่านในดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขากลัวมู่เฉินมาก

“แกคิดจะหนีไปไหน?”

มู่เฉินเค้นเสียง กลุ่มแสงไร้ระเบียบพุ่งใส่เฉวียนจุน

ใบหน้าของเฉวียนจุนฉาบด้วยความสยดสยอง ขณะที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาเพื่อปกป้อง

ทว่าสิ่งนี้ก็ไร้ผล เมื่อกลุ่มแสงไร้ระเบียบกวาดลง เฉวียนจุนก็รู้สึกว่าตัวเขาถูกกักขังอยู่ในมิติอื่นโดยปราศจากแนวคิดเรื่องพื้นที่และเวลา ทุกสรรพสิ่งถูกแช่แข็ง

ดังนั้นเมื่อกลุ่มแสงไร้ระเบียบกวาดผ่าน ร่างเฉวียนจุนก็หายไป ส่วนกลุ่มแสงด้านหลังมู่เฉินก็ปรากฏให้เห็นใบหน้าตื่นตระหนกของเฉวียนจุน

ชัดว่าเขาถูกขังในกลุ่มแสงไร้ระเบียบลึกลับแล้ว

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบด้วยความตกใจกับฉากนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่สามารถต้านทานกลุ่มแสงไร้ระเบียบได้? มิหนำซ้ำยังถูกคุมขังในกระบวนท่าเดียวด้วย?

ช่างเป็นทักษะหลิงไม่เสินทงที่น่ากลัวนัก!

ทุกคนตกตะลึง ทักษะหลิงไม่เสินทงนี้อาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าของมหาพันภพเลยทีเดียว!

“นี่คือทักษะหลิงไม่เสินทงของเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรหรือ? ทรงพลังอย่างแท้จริงและยากที่จะป้องกันได้!” บางคนถอนหายใจ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น แต่เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนด้วยความสามารถของเส้นหลิงนี้

สมาชิกเผ่าฝูถูต่างตกตะลึง แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉวียนจุนแพ้หรือ?

ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลชิงก็ตั้งตัวไม่ทัน พวกเขามองหน้ากัน ไม่คิดว่าชัยชนะจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะมู่เฉินตกอยู่ในสถานะอันตรายเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้า แต่ไม่นานก็กลับตาลปัตร เฉวียนจุนที่อยู่เหนือถูกขัง

“ทรงพลังเหลือเกิน”

ดวงตาชิงหลิงเป็นประกาย ขณะมองไปที่มู่เฉิน แม้แต่ใบหน้าของนางก็ยังเห่อแดง มู่เฉินแสดงพลังต่อหน้าเผ่าฝูถูให้เป็นที่ประจักษ์ โดยไม่มีใครสามารถปฏิเสธความแข็งแกร่งของเขาได้

สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลชิงก็รู้สึกภาคภูมิใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าตัวตนของมู่เฉินเป็นอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้เขาคือประมุขตระกูล ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกแห่งชัยชนะได้

ตระกูลเฉวียนอยู่ในความเงียบงัน ส่วนตระกูลมั่วฉายท่าทางเคร่งเครียดรุนแรงพร้อมกับความกลัวในดวงตา

เฉวียนกวางมองไปที่มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่าย

มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังขณะที่มหานวดาราที่เบื้องหลังเปล่งรัศมีงดงามออกมา เขาก้มศีรษะลงมองไปที่ตระกูลเฉวียน เสียงของเขาสะท้อนออกมาโดยไม่มีใครหักล้างได้

“พวกเจ้าแพ้แล้ว คืนตำแหน่งมาซะ”

ซ่าๆๆ!

เมื่อเสียงของเฉวียนจุนดังก้อง เสียงน้ำกระเซ็นก็สะท้อนออกมา จากนั้นผู้คนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแม่น้ำสีดำขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากร่างเฉวียนจุนปกคลุมขอบฟ้าครึ่งหนึ่งทันที

แม้ว่าน้ำเหล่านั้นจะดูเบาบาง แต่กลับให้ความรู้สึกหนาแน่นราวกับภูเขาพร้อมกับรัศมีเย็นยะเยือกที่ทำให้ความชื้นในชั้นบรรยากาศกลายเป็นน้ำแข็ง กลั่นตัวเป็นเกล็ดหิมะลงมา

เฉวียนจุนยืนอยู่บนร่างเทพโลกันตร์ยิ่งใหญ่ มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพร้อมกับมวลน้ำสีดำม้วนตัวอยู่โดยรอบ ดูราวกับมังกรตัวมหึมาที่เอิบอาบไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว

เส้นหลิงขั้นเสินของเฉวียนจุนดึงพลังทั้งหมดออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังเกรงกลัว

ยามนี้ทุกคนบอกได้เลยว่าเฉวียนจุนคลั่งแล้ว

“แพะแก่ตัวนี้มีเส้นหลิงขั้นเสินเหมือนกันเรอะ?” สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะมองไปที่แม่น้ำ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ภายใน

“ไป!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังจดจ่อ เฉวียนจุนก็ไม่พูดพล่ามทำเพียงชี้นิ้วลงไป

ซ่าๆๆ!

แม่น้ำสายใหญ่ม้วนตัวขึ้นแล้วบีบกดลงมาจากท้องฟ้าพุ่งใส่มู่เฉิน ทันใดนั้นมิติก็ยุบลง ความแข็งแกร่งของมันสามารถบดขยี้กายาหลิงเทียนจุนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้ในทันที

หลายคนปาดเหงื่อขณะดูการโจมตีนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากมาย แต่ถ้าไม่สามารถต้านทานแม่น้ำสายนี้ได้ แม้แต่วิชาสามพิสุทธิ์ก็จะถูกยับยั้งได้

ภายใต้สายตาของทุกคน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองแม่น้ำที่ลดระดับลงมาพลางหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่ลวดลายโบราณสีม่วงจะเริ่มโชติช่วงขึ้นบนร่างกายของเขา

หนึ่ง สอง สาม… รวมทั้งหมดแปด!

เมื่อลวดลายสีม่วงแปดลายสว่างขึ้น เพลิงสีม่วงก็รวมตัวกันในปากของมู่เฉิน เขาพ่นออกไปยังแม่น้ำสีดำ

ฟู่ ฟู่!

สายเพลิงสีม่วงสายหนึ่งพ่นออกจากปากมู่เฉิน ราวกับเป็นมังกรเพลิงสีม่วงปล่อยเสียงคำรามขณะปะทะเข้ากับแม่น้ำสีดำ

ชี่ ชี่!

เมื่อเปลวไฟและแม่น้ำปะทะกัน เสียงฉ่าก็ดังขึ้นพร้อมกับควันพวยพุ่งไปทางดวงอาทิตย์

ทว่าทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับเปลวไฟสีม่วง เนื่องจากไม่ว่าแม่น้ำสีดำจะพยายามเทลงมาอย่างไรก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

“ไม่น่าแปลกใจที่เพลิงสีม่วงครอบงำขนาดนั้น เพราะนั่นคือเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรของมู่เฉิน!”

ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจที่มาของเปลวไฟสีม่วงเหล่านั้น เนื่องจากก่อนหน้ามู่เฉินใช้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเห็นเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรของมู่เฉินได้ แต่ภายใต้อำนาจเต็มมันก็ถูกเปิดเผยออกมา

เมื่อตระกูลเฉวียนเห็นเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรของมู่เฉิน พวกเขาต่างก็แสดงออกอย่างน่ากลัวโดยเฉพาะเฉวียนกวาง เนื่องจากในช่วงหลายปีภายในเผ่าฝูถูมีเพียงชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้นที่มีเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร แต่ตอนนี้ดันมาปรากฏขึ้นที่มู่เฉินเป็นคนที่สอง

นั่นไม่ได้หมายความว่าความบริสุทธิ์ของสายเลือดของชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉินแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าฝูถูหรือ?

เมื่อเทียบกับความอิจฉาริษยาของตระกูลเฉวียน ตระกูลชิงก็ส่งเสียงโห่ร้องโดยเฉพาะผู้อาวุโส พวกเขาทั้งหมดรู้สึกโล่งใจมู่เฉินสมกับเป็นลูกของชิงเหยี่ยนจิ้ง เขามีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

ขณะที่ตระกูลต่างๆ ของเผ่าฝูถูมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน ฝูถูเฉวียนก็จ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาคมกริบ สายตาของเขาจ้องไปที่ลวดลายสีม่วงของมู่เฉิน เพียงชั่วครู่ก่เขาก็เค้นสียงออกมาด้วยความโกรธ “หึ เส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรอะไรกัน นี่เป็นของชิงเหยี่ยนจิ้ง นางสกัดออกมาจากตัวตอนที่ตั้งครรภ์และฝังลงในตัวบุตรชาย”

ฝูถูเฉวียนสมกับเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง และเข้าใจชิงเหยี่ยนจิ้งดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงมองเห็นเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างเมื่อมู่เฉินใช้ออกมา

ทุกคนตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั่น หลายคนรู้สึกอิจฉา “เป็นแม่ที่ดีจริงๆ!”

เฉวียนหลัวก็รู้สึกอิจฉา แต่กลับพูดออกมาว่า “มิน่าพรสวรรค์ของมู่เฉินถึงน่าตกใจมาก ที่แท้ก็เป็นเพราะเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรที่ชิงเหยี่ยนจิ้งมอบให้เขา”

“ถ้าไม่มีเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร ไอ้กาลกิณีจะแข่งขันกับเราได้อย่างไร?”

พรรคพวกรอบๆ พยักหน้า ตอนแรกพวกเขายังคิดว่ามู่เฉินพึ่งพาตัวเองในการเติบโต แต่เมื่อพิจารณาจากที่เห็นในตอนนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งวางรากฐานไว้ให้เขาตั้งแต่เกิดแล้ว

ถึงแม้จะไม่ได้หมายความว่าการครอบครองเส้นหลิงขั้นเส้นแปดชีพจรจะประสบความสำเร็จอย่างน่าตกใจ แต่อย่างน้อยก็สามารถเพิ่มโอกาส เส้นทางการฝึกของพวกเขาจะทิ้งห่างเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

การมีอคติต่อมู่เฉิน ทำให้พวกเขาชี้ชัดว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จเพราะเส้นหลิงที่ชิงเหยี่ยนจิ้งปลูกฝังไว้ให้

มู่เฉินก็ได้ยินเสียงของฝูถูเฉวียนเช่นกัน ทว่าสายตาไม่ได้มีความผันผวนแต่อย่างใด เขามุ่งเน้นไปที่การเผชิญหน้าระหว่างเพลิงม่วงและแม่น้ำสีดำ

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะตกอยู่ในภาวะสูสี แต่มู่เฉินกลับหรี่ตาลง เนื่องจากสัมผัสได้ว่าแม่น้ำสีดำยังคงมีพลังซ่อนอยู่และยังไม่ระเบิดออกมา

เขากวาดสายตามองไปที่เฉวียนจุนก็เห็นความเฉยเมยบนใบหน้าโดยไม่มีความโกรธใดๆ กับสถานการณ์นี้

เมื่อรู้สึกถึงสายตาอีกฝ่าย เฉวียนจุนก็มองมาพลางยิ้มอย่างไม่แยแสก่อนที่จะเอ่ยเยาะ “เส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรของชิงเหยี่ยนจิ้งน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ตอบสนองอะไร ราวกับว่าไม่ได้ยิน

เฉวียนจุนยืนเอามือไพล่หลัง “เพลิงสีม่วงของเจ้าไม่ง่ายเลยที่จะต้านทานแม่น้ำใต้พิภพของข้าได้ ถ้าเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับข้า แม่น้ำของข้าคงไม่สามารถต้านทานได้”

แม้ว่าแม่น้ำนี่จะเป็นทักษะของเส้นหลิงขั้นเสินเจ็ดชีพจร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีช่องว่างระหว่างขุมพลังของพวกเขาอยู่

“แต่น่าเสียดายโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมแท้จริง ในเมื่อแกท้าทายตระกูลเฉวียนของข้า ดังนั้นก็ต้องเตรียมใจรับความล้มเหลวไป”

เฉวียนจุนส่ายหัวก่อนที่จะหายใจเข้าลึก เลือดกลั่นพรมลงบนแม่น้ำสีดำ

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ทันใดนั้นแม่น้ำสีดำก็เริ่มหมุนคว้างแล้วหดตัวลงอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังมีริ้วสีแดงเข้มปรากฏในแม่น้ำสีดำ

ชี่ ชี่!

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เปลวไฟสีม่วงที่ตอนแรกสามารถต้านไว้ได้ก็ระเบิดควันขาวขึ้นทันที เปลวไฟสลายหายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การกัดกร่อนของแม่น้ำสีดำ

ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในบริเวณโดยรอบ ขณะที่สมาชิกตระกูลชิงมีการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกรุนแรง

ทุกคนบอกได้ว่าความได้เปรียบของเฉวียนจุนเริ่มเพิ่มขึ้น ขณะที่มู่เฉินกำลังทนทุกข์จากขุมพลังที่ด้อยกว่า แม้แต่เส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรก็ไม่สามารถชดเชยช่องว่างได้

แม่น้ำสีดำส่งเสียงลั่น ผลักเปลวไฟสีม่วงกลับมาอย่างต่อเนื่อง

“มู่เฉินแพ้แล้ว”

หลายคนส่ายหัวด้วยความเสียดายกับฉากนี้ ความได้เปรียบตกอยู่ในมือของเฉวียนจุนแล้ว ตราบใดที่ปราบปรามได้มู่เฉินก็ต้องแพ้อย่างแน่นอน

เหล่าผู้อาวุโสตระกูลชิงก็มีสีหน้าซีดเซียว พวกเขาไม่คิดว่าเส้นทางของมู่เฉินจะหยุดลงตรงนี้

แต่พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินได้ทำเต็มที่แล้ว การสู้ถึงระดับนี้ด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ธรรมดาเพียงใด

“จากวันนี้ไปตระกูลชิงจะต้องปกป้องมู่เฉินด้วยทั้งหมดที่มี” ชิงเทียนประกาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ว่าตระกูลเฉวียนจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ให้สงบลงได้ ดังนั้นตระกูลชิงก็ไม่สามารถนั่งมองเฉยๆ ได้อีกต่อไป

ชิงเซวียนและชิงหยุนพยักหน้า

“ผลลัพธ์ถูกกำหนดแล้ว” เฉวียนกวางรู้สึกโล่งใจ ก่อนที่แสงเย็นจะฉายในดวงตา ในเมื่อมู่เฉินไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ หลังจากนี้เมื่อตระกูลเฉวียนและมั่วเข้าควบคุมสภาผู้อาวุโส พวกเขาจะให้ไอ้เด็กนี่ชดใช้จนกระอักตาย!

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อเปลวไฟสีม่วงสลายไป เฉวียนจุนก็มองไปที่มู่เฉิน เสียงไม่แยแสดังสะท้อนออกมาว่า “เจ้าแพ้แล้ว”

“ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้เปรียบอย่างแท้จริง”

มู่เฉินไม่ได้สนใจเขา หากพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน เขามั่นใจว่าจะสามารถทำลายแม่น้ำใต้พิภพคร่าชีวิตได้ด้วยเพลิงม่วงของเขา

เมื่อเฉวียนจุนเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวในสายตา เขาก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจพลางคิดว่าชายหนุ่มคงจะทำตัวเป็นเข้มแข็ง ดังนั้นเขาจึงสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับเค้นเสียงขึ้นจมูก

ตู้ม!

แม่น้ำสีดำไหลลงมาและดับเปลวไฟสีม่วงก่อนที่จะห่อหุ้มมู่เฉิน

“ข้าจะขังเจ้าไว้ ให้เจ้าคร่ำครวญถึงความโง่เขลาของตัวเอง!”

ซ่าๆๆๆ!

แม่น้ำสีดำโอบล้อมมู่เฉินภายใต้ความสนใจทั้งหมด เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์มู่เฉินหมดท่าแล้ว

หลายคนส่ายหัว ช่างน่าเสียดายเนื่องจากเขาอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าก็ถูกยับยั้ง ตระกูลเฉวียนสมกับเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งในเผ่าฝูถูอย่างแท้จริง

แม่น้ำสีดำสะท้อนในม่านตา ทว่าเผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวังมู่เฉินก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ พลางพึมพำ “ในเมื่อเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรยังไม่สามารถชดเชยช่องว่างได้… งั้นก็ปลี่ยนเป็นอีกขั้นแล้วกัน”

มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่ร่างกายจะเปล่งรัศมีกระจ่างใส

ในเวลาเดียวกันลวดลายสีม่วงทั้งแปดก็กลายเป็นสีแรกเริ่ม ลวดลายที่เก้าค่อยๆ ก่อตัวขึ้น…

เมื่อลวดลายที่เก้าถูกสร้างขึ้น แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็มีท่าทางเปลี่ยนแปลง เขาลุกขึ้นทันทีพลางมองร่างที่ไกลออกไปบนท้องฟ้าจากยอดเขาด้วยความไม่เชื่อ

รัศมีพร่างพราวแผ่ออกมาจากร่างเฉวียนจุน

ปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้มิติแปรปรวนเมฆม้วนตัว ทั่วฟ้าดินโยกคลอนจากพลังของเขา

ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนด้อยกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในมหาพันภพเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าจอมยุทธ์เหล่านี้อยู่ในระดับสูงสุดก็ว่าได้

ไม่ว่าจะขั้วอำนาจน้อยใหญ่ใดก็ตาม แม้กระทั่งเผ่าฝูถูจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างแท้จริงที่ได้เห็นจอมยุทธ์ระดับนี้ปลดปล่อยพลังออกแบบไม่ยั้ง

ผู้นำหลายคนในหมู่ผู้ชมต่างแสดงสีหน้าหนักใจ ขณะที่พวกเขาถอนหายใจจากพลังจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ในเวลานี้แต่ละคนมองไปทางมู่เฉินด้วยความใคร่รู้ พวกเขาสงสัยว่าชายหนุ่มจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้ได้อย่างไร

ภายใต้สายตาโดยรอบ มู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของเขาจะสูง แต่เขาก็ไม่สามารถดูถูกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแท้จริง

ฮา

ขณะที่เขาพรูลมหายใจออกมายาว ควันขาวขุ่นพ่นออกมาจากปาก อึดใจรัศมีแวววาวก็เปล่งประกายออกมาจากร่างกาย คลื่นหลิงมหาศาลจากกายาหลิงเทียนจุนทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ตอนนี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ แม้ว่าเขาจะชนะมาสามรอบแล้ว แต่การจะได้ชัยชนะแท้จริงก็ต่อเมื่อเขาชนะยกสุดท้ายนี้ มิฉะนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะลอยไปกับสายน้ำ

นอกจากนี้ในเมื่อเฉวียนกวางยอมรับว่ามีส่วนในการคุมขังชิงเหยี่ยนจิ้ง ดังนั้นมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไร วันนี้เขาต้องยึดตำแหน่งสภาผู้อาวุโสจากตระกูลเฉวียนมาให้ได้

ถือว่าเป็นการเก็บดอกเบี้ย

ตู้ม!

เฉวียนจุนมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเขาไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ เขากระทืบเท้าฉีกผ่านมิติพุ่งใส่มู่เฉินราวกับอุกกาบาต

หมัดไม่มีกลยุทธ์แฝงเบื้องหลัง นี่เป็นพลังเต็มรูปแบบที่อยู่เบื้องหลังกายาหลิงเซียนจุนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แม้ว่ากายาหลิงเทียนจุนจะแข็งแกร่งก็ตาม

มู่เฉินมองไปที่หมัดนั้นก็หดดวงตาลงแต่ไม่ได้ถอยหนี ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนในดวงตา เขาต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนซึ่งๆ หน้าเลย!

มู่เฉินหัวเราะร่ากำหมัดขึ้นพร้อมกับรัศมีจะเปล่งประกาย จากนั้นเขาก็ซัดหมัดปะทะกับหมัดของเฉวียนจุน

ตู้ม!

เสียงกัมปนาทแสบแก้วหูมาพร้อมกับผลกระทบที่น่ากลัว แท่นที่อยู่ใต้เท้าไม่ได้พังทลายลง กลับเป็นยอดเขาลูกนี้ที่ยุบตัวลงเป็นหน้ากลอง

ตึง!

ร่างมู่เฉินปลิวออกไป หลังจากการปะทะนี้ เท้าลากรอยยาวลงบนพื้น อุณหภูมิสูงจากแรงเสียดทานทำให้เขารู้สึกว่าฝ่าเท้ากำลังไหม้ไปหมดแล้ว

“โอหัง”

เฉวียนจุนไม่ได้ขยับพลางยิ้มขำในใจ ขณะสายตาเยือกเย็นมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินกล้าที่จะปะทะซึ่งหน้ากับพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะจริง

มู่เฉินมองไปที่กำปั้นก็เห็นรอยแตกบนกำปั้นอัญมณีจากผลกระทบ

“กายาหลิงเซียนจุนทรงพลังมากจริงๆ” สายตาของเขากะพริบวูบไหว เขาได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งนี่แล้ว ซึ่งแข็งแกร่งกว่าระดับของเขาหลายเท่า

มิน่าล่ะคนส่วนใหญ่ถึงไม่มองในทางที่ดีเกี่ยวกับเขาที่ท้าทายอำนาจจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ที่แท้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเพียงกายาหลิงเซียนจุนก็สามารถปราบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้แล้ว

“ไอ้เด็กเวร เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ แต่การมีสายตาคับแคบก็รังแต่ทำลายตัวเอง!” เฉวียนจุนเค้นเสียงพร้อมกับความดุร้ายในดวงตา ก่อนที่ร่างเขาจะพุ่งออกไป กายาหลิงเซียนจุนดั่งอัญมณีราวกับเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่สุดในโลก พุ่งไปที่มู่เฉินโดยไม่มีกลยุทธ์ใดเลย

เฉวียนจุนมุ่งมั่น เขารู้ว่าสามารถพึ่งพาความได้เปรียบของตนในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเพื่อปะทะกับมู่เฉินโดยไม่ต้องใช้ทักษะเสินทงใดๆ

เมื่อเห็นเฉวียนจุนพุ่งใส่อย่างดุร้าย แสงเย็นก็กะพริบในดวงตาของมู่เฉิน “ไอ้เต้าล้านปีอย่าพยายามเอาอายุมาเบ่ง เดี๋ยวก็ได้ม้วนหางกลับไปหรอก!”

เขาวาดตราประทับขึ้นในมือโดยไม่มีอาการหลบหลีกการเคลื่อนไหวนั้น เมื่อคลื่นพลังกำลังจะชน มิติก็แปรปรวนที่ด้านข้าง เงาสีดำและสีขาวปรากฏขึ้น

ร่างทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นพลังกายภาพระดับเทียนจื้อจุน จากนั้นหมัดทั้งสามก็พุ่งเข้าใส่เฉวียนจุนด้วยการรวมพลังอย่างแท้จริง

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

การปะทะกันครั้งนี้น่าตกใจยิ่งกว่า มิติพังทลายลง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือเฉวียนจุนไม่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่าจากที่เคยเป็นมาก่อน ตรงกันข้ามร่างกายของเขาสั่นสะท้าน กระเด็นกลับไป ทำให้พื้นที่ใต้เท้าแตกเป็นเสี่ยง

อีกด้านหนึ่งมู่เฉินทั้งสามก็ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว

เฉวียนจุนมีสีหน้าน่ากลัวขณะทรงตัว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นม่านตาก็หดลง เนื่องจากเขาเห็นร่างรองสองร่างที่คล้ายกับมู่เฉินอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นคือ… วิชาสามพิสุทธิ์?!” ด้วยสายตาที่แหลมคมของเฉวียนจุน ทำให้เขาจำได้ทันทีว่านี่คือวิชาอะไร

ด้วยทักษะเทพนี้ มู่เฉินสามารถแบ่งเป็นสามคน นอกจากนี้ยังมีการประสานงานยอดเยี่ยม ดังนั้นพลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีจะแข็งแกร่งขึ้นและก็ไม่ใช่เหมือนกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคนผนึกกำลังกัน

มู่เฉินไม่สามารถเอาชนะเขาได้โดยร่างเดียว แต่การโจมตีร่วมกันจากร่างรองอีกสองร่างเป็นสิ่งที่แม้แต่เฉวียนจุนยังไม่สามารถสร้างความเหนือกว่าได้

ความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่วบริเวณ หลายคนดวงตาแดงก่ำขณะมองไปที่มู่เฉิน มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเท่านั้นที่เป็นเพชรยอดคทาของมหาพันภพ บ่งบอกได้ว่ามันเป็นของหายากเพียงใด แต่มู่เฉินมีครอบครองถึงสองวิชา

‘เจ้านี่สวรรค์ประทานพรแบบไหนกัน?’

สายตาของเฉวียนกวางมืดครึ้มลง เขาคิดว่าเฉวียนจุนจะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย แต่เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังเหลือไพ่ตายเอาไว้อีก

“เฉวียนจุนไม่ต้องออมมือ จัดการมันซะ” เสียงเคร่งขรึมของเฉวียนกวางส่งไปยังโสตประสาทของเฉวียนจุน

เฉวียนจุนพยักหน้าหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะมีร่างสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลัง

ร่างใหญ่โตราวกับเป็นมังกรดำที่ขดตัว ทำให้เกิดพายุปกคลุมทั่วทั้งสวรรค์และโลก

“นั่นคือ…ร่างเทพโลกันตร์?”

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ เขาจำได้ว่านี่เป็นร่างเทห์สวรรค์อันดับยี่สิบสามบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง

“ในที่สุดก็ดึงพลังแท้จริงออกมาแล้วรึ?”

มู่เฉินวาดตราประทับวูบไหว เกลียวแสงระเบิดออกจากนัยน์ตา กลายเป็นเจดีย์กดทับเข้าที่ร่างเทพโลกันตร์

การเผชิญหน้ากับร่างเวทสวรรค์โดยใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิธีที่มีประโยชน์มากที่สุด

“หึ แกไร้เดียงสาเกินไปที่คิดจะใช้เจดีย์เพื่อจัดการกับข้า” เฉวียนจุนมองไปที่เจดีย์ โดยไม่มีความกลัวบนใบหน้าพลางเค้นเสียงเย็น เขาสั่นศีรษะลำแสงพุ่งออกมา เจดีย์สีดำปะทะกับเจดีย์ของมู่เฉิน เกิดความผันผวนจากการปะทะ

มู่เฉินขมวดคิ้ว ตาแก่คนนี้ไม่ง่ายที่จะรับมือ มิหนำซ้ำมีความรู้เกี่ยวกับวิชาเจดีย์แปดองค์ แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะใช้วิชาเจดีย์แปดองค์นอกเจดีย์ได้ แต่ก็ไม่ได้มีพลังมากเท่ากับเมื่ออยู่ภายในเจดีย์

อีกฝ่ายก็มีเจดีย์ฝูถูเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับตาแก่เข้าไปในเจดีย์ เพื่อกักขังเอาไว้ภายใน พลังอำนาจของวิชาเจดีย์แปดองค์ก็ถูกจำกัด

“ไอ้เด็กเวร อย่าคิดว่ามีวิชาเจดีย์แปดองค์แล้วจะไม่ต้องกลัวอะไรเลย!”

เฉวียนจุนเค้นเสียงเย็นพลางกระทืบเท้า ทันใดนั้นร่างเทพโลกันตร์ก็ระเบิดออกมาพร้อมกับของเหลวสีดำไร้ขอบเขตห่อหุ้มไปทางมู่เฉิน

รัศมีสีม่วงทองปลดปล่อยออกมาที่ด้านหลังมู่เฉิน เขาเร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา รหัสเทพอมตะควบแน่นก่อตัวเป็นม่านแสงปิดกั้นของเหลวไว้

การเผชิญหน้านี้ทำให้เกิดความผันผวนทั่วบริเวณ โดยการโจมตีของทั้งสองฝ่ายไม่แสดงความผ่อนปรนใดๆ

เมื่อเห็นการเผชิญหน้านี้ หลายคนก็กลั้นหายใจ สายตาพุ่งไปมองโดยไม่กล้าพลาดแม้แต่ฉากเดียว

“มู่เฉินนั้นเคี้ยวไม่ง่ายเลย เขาสามารถสู้กับเฉวียนจุนได้จนถึงระดับนี้” เสียงหลายเสียงดังก้องพร้อมกับถอนหายใจ นั่นเป็นเพราะตัดสินจากการต่อสู้ครั้งนี้ มู่เฉินเริ่มตั้งหลักได้อย่างชัดเจนและความได้เปรียบของเฉวียนจุนก็ไม่ปรากฏเหมือนตอนเริ่มอีกต่อไป

เมื่อผู้อาวุโสตระกูลชิงเห็นฉากนี้ พวกเขารู้สึกโล่งใจ ความสุขกระจายบนใบหน้า

ในทางตรงกันข้ามฝั่งตระกูลเฉวียนกัดฟันจากภาพนี้ พวกเขาหวังว่ามู่เฉินจะถูกเฉวียนจุนฉีกออกจากกันเป็นชิ้นๆ ในวินาทีต่อไป

ตู้ม!

การปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าเฉวียนจุนจะได้เปรียบเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ไม่น่าดูเนื่องจากข้อได้เปรียบแค่นี้ไม่เพียงพอสำหรับชัยชนะ

“ประเมินไอ้เด็กนี่ต่ำไป”

สายตาของเฉวียนจุนเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวพร้อมกับความดุร้ายเผยออกมา ร่างของเขาค่อยๆ ลอยไปบนท้องฟ้า ลวดลายสีดำปรากฏขึ้นบนร่างเป็นเลขเจ็ด

“เส้นหลิงเจ็ดชีพจร… เฉวียนจุนครอบครองเส้นหลิงขั้นเสิน… ดูเหมือนเขาจะนำทักษะของเส้นหลิงออกมาใช้แล้ว” ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากฉากนี้

“เจ้าจงภาคภูมิใจที่บังคับให้ข้าต้องใช้ทักษะหลิงไม่เสินทงออกมาเพื่อปราบเจ้า!”

เสียงของเฉวียนจุนดังสะท้อน จากนั้นเขาก็ดันมือขึ้น พริบตาแม่น้ำสีดำสนิทก็หลั่งไหลออกมาจากร่างกายปกคลุมไปทั่วฟ้าดินราวกับจะแช่แข็งทั้งหมด

ขณะเดียวกันเสียงเยือกเย็นของเฉวียนจุนก็ดังก้อง

“ทักษะหลิงไม่เสินทงเจ็ดชีพจร แม่น้ำใต้พิภพคร่าชีวิต!”

ยามนี้เฉวียนจุนเผยเขี้ยวเล็บแล้ว

“อีกรอบเดียว”

เมื่อเสียงเรียบเฉยของมู่เฉินดังก้อง ก็ทำให้เกิดประกายแสงในดวงตาของหลายคน ตอนนี้สายตาที่มองมาไม่มีความเยาะเย้ยที่เคยมีมาก่อนแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยเคร่งเครียดและหวาดหวั่น

การเอาชนะอย่างเด็ดขาดกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาด้วยขั้นหลิงระยะต้นเพียงพอที่ทุกคนจะตกตะลึง

“มู่เฉินเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง เขาอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นแท้ๆ แต่กลับทรงพลังแบบนี้ ไม่แน่ชายคนนี้อาจมีความสามารถในการท้าทายที่อยู่อีกขั้นอย่างแท้จริง”

“น่าเกรงขามจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงหยิ่งผยอง ดูเหมือนว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะท้าทายตระกูลเฉวียนทั้งหมดด้วยตัวเอง”

“เขาชนะไปสามยกแล้ว ถ้าเขาชนะอีกครั้งเดียวตระกูลเฉวียนต้องคายตำแหน่งในสภาผู้อาโสที่เพิ่งฮุบไปคืนมา”

“เฮ้ พวกเจ้าประเมินเขาสูงเกินไปเปล่า เขาเผยไพ่ตายทั้งหมดในระหว่างการต่อสู้สามยกแล้วมั้ง ดังนั้นไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนหรอก”

“ก่อนหน้าเจ้าก็พูดแบบนี้เหมือนกัน…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้อง ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนหลายคนมีสีหน้าเขียวคล้ำพลางจ้องมู่เฉินราวกับว่าต้องการจะขบหัวแล้วเคี้ยวให้แหลก

ไม่มีใครคิดว่าตระกูลเฉวียนจะถูกบีบให้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชโดยจอมยุทธ์รุ่นใหม่

เฉวียนหลัวและคนอื่นๆ มีสีหน้าดำคล้ำ ตอนแรกพวกเขาเชื่อว่ามู่เฉินจะต้องแพ้แน่นอน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกตบหน้าจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด

ท่าทางของเฉวียนกวางดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ช้าก็ระงับความโกรธในใจลงได้ เขามองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสพูดช้าๆ “ไม่คิดว่าครั้งนี้จะตัดสินใจผิดพลาด ลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ธรรมดาจริงๆ”

“ชมเกินไปแล้ว” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็น

เฉวียนกวางหลุบตาลงตอบเสียงเบา “เจ้าได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองแล้วว่ามาได้ไกลขนาดนี้ แต่การประลองยกที่สี่จะไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองให้ดี”

มู่เฉินยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความห่วงใย แต่ข้าคิดว่ายังไปไหวนะ”

เวลานี้เขาฉีกหน้าตระกูลเฉวียนไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพอแค่นี้

เฉวียนกวางมองมู่เฉินเขม็งพร้อมกับริ้วความเย็นชาในส่วนลึกของดวงตาก่อนที่จะส่ายหัว “ดื้อจริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นตระกูลเฉวียนของข้าก็รอการท้าทายต่อไป”

“ตอนนี้มีพวกข้าสี่คน เจ้าสามารถเลือกใครก็ได้ที่ต้องการ แน่นอนว่ามาหาข้าก็ได้ถ้าเจ้ากล้าพอ เพราะยังไงข้าก็มีส่วนในการขังมารดาเจ้าเอาไว้”

ขณะที่พูด เสียงเค้นเย็นที่ริมฝีปากก็แฝงแววเยาะเย้ย

ม่านตามู่เฉินหดลง สายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่มองไปที่เฉวียนกวางจากนั้นก็พยักหน้า “ท่านแม่และข้าจะจำสิ่งที่เจ้าทำ แต่ตอนนี้ข้าต้องการตำแหน่งของตระกูลเฉวียนเท่านั้น หากในอนาคตมีโอกาสข้าจะมาขอคำชี้แนะแน่นอน”

เฉวียนกวางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คำพูดของเขาตั้งใจที่จะยั่วยุให้มู่เฉินหัวร้อนซะหน่อย ถ้ามู่เฉินท้าทายเขาจริงๆ เขาก็จะให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าต่อหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ไม่ว่าเขาจะมีไพ่ตายเช่นไรก็ไม่มีประโยชน์

แต่เขาประเมินสภาพจิตใจของมู่เฉินต่ำไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะกระตุ้นไอสังหารที่จะฆ่ามู่เฉิน แต่อีกฝ่ายก็ไม่สูญเสียเหตุผลตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม

“งั้นข้าก็จะดูว่าเจ้ามีกลอะไรเล่นอีก” เฉวียนกวางเหลือบมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา

“ข้าเชื่อว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

มู่เฉินยิ้มอ่อน จากนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเฉวียนกวางอีกต่อไปเขาปรากฏตัวบนแท่นต่อไป สายตามองไปที่ชายแก่หงำเหงือก

เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ชายชราก็จับจ้องเขาด้วยแววคมที่ซ่อนอยู่ในดวงตาที่ขุ่นมัว

มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสคนนี้ ท่าทางก็ดูเคร่งขรึมลง ชายชราคนนี้ชื่อเฉวียนจุนซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นที่กุมอำนาจสูงในเผ่าฝูถู

อย่าประเมินต่ำว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น แต่มู่เฉินรู้ดีว่ามีช่องว่างระหว่างขั้นหลิงกับขั้นเซียนมากเพียงใด เนื่องจากจอมยุทธ์ขั้นหลิงต้องสะสมพลังเป็นเวลานานเพื่อที่จะไปถึงอีกขั้น

แม้สามยกก่อนหน้าเขาจะชนะแบบเด็ดขาด เขาก็รู้ดีว่ายกนี่เป็นการประลองที่สำคัญที่สุด

ถ้าเขาชนะรอบนี้ก็คือชี้ขาด มิฉะนั้นชัยชนะสามครั้งที่ผ่านมาจะสลายเป็นควัน

“ผู้อาวุโสเฉวียนจุน ในเมื่อมีคนพยายามท้าทายตระกูลเฉวียนของเราไม่จำเป็นต้องยั้งมือ ข้าจะรับผลที่ตามมาทั้งหมดเอง” เสียงของเฉวียนกวางดังก้องอย่างเย็นชา

เฉวียนจุนโค้งคำนับกล่าวเสียงเย็น “รับทราบ”

สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่มูเฉิน แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของคลื่นหลิงทรงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย

ครืน

แม้แต่แท่นก็สั่นสะเทือนรุนแรงจากแรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลัง

เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีจากเฉวียนจุน หลายคนก็แสดงออกรุนแรง เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน เฉวียนจุนอยู่ในระดับใหม่เลยทีเดียว

“การประลองครั้งนี้ถึงเรียกได้ว่าน่าดู”

เย่าเฉินและหลินเตียวยิ้ม มู่เฉินทรงพลังมาก ดังนั้นผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนสามคนก่อนหน้า รวมถึงเฮยกวางที่อยู่ในขั้นหลิงระยะปลายก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้ มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนที่จะบีบให้มู่เฉินใช้พลังที่แท้จริงออกมาได้

พวกเขาก็อยากเห็นว่ามู่เฉินจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือไม่เมื่อประลองกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน

“มู่เฉินจะไม่แพ้แน่นอน” หลินจิ้งกล่าวโดยไม่ลังเล ความมั่นใจของนางที่มีต่อเขา อาจแข็งแกร่งกว่าความมั่นใจในตัวเองของมู่เฉินซะอีก

เซียวเซียวยิ้มให้กับคำพูดนั่น เมื่อเย่าเฉินและหลินเตียวได้เห็นปฏิกิริยาของสองสาวน้อย พวกเขาก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าความเชื่อมั่นของพวกนางที่มีต่อมู่เฉินมาจากไหน

ส่วนชิงเทียน ชิงเซวียนและชิงหยุนไม่ได้มองในแง่ดี พวกเขาฉายความกังวลบนใบหน้า เพราะพวกเขารู้ช่องว่างระหว่างขุมพลังเป็นสิ่งที่มู่เฉินก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แม้ว่าจะใช้วิธีที่น่าตกใจเหล่านั้น

“ผลตัดสินของตระกูลชิงอยู่ที่การประลองยกนี้” ชิงเทียนถอนหายใจ

สมาชิกตระกูลชิงก็ฉายความกังวลและความหวังบนใบหน้า หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ไม่เหมาะสม พวกเขาคงตะโกนให้กำลังใจมู่เฉินไปแล้ว

“ในที่สุดเจ้านั่นก็ยั่วยุจอมยุทธ์ทรงพลังจนได้ มาดูสิว่าเขาจะทุกข์ทรมานแค่ไหน” หมัวเฮอโยวกอดอกมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาสนุกสนาน

 

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ธรรมดาจริงๆ…”

มู่เฉินไม่ได้สนใจสายตารอบข้าง ความสนใจทั้งหมดของเขาจดจ่อไปที่ชายชราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ความกดดันที่มาจากเฉวียนจุนมากกว่าสามคนก่อนหน้า ในการประลองครั้งนี้เขาจะต้องใช้พลังเต็มที่แล้ว

ด้วยความคิดนี้ก็ไม่มีความกลัวใดๆ ในสายตาของมู่เฉิน แต่เป็นความตื่นเต้นสุดขีด ตอนนี้เขาแทบจะอยู่ยงคงกระพันท่ามกลางระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิง มีเพียงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้นที่สามารถปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาและให้เขาได้ขัดเกลาตนเอง

เฉวียนจุนประสานมือเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ ทันใดนั้นร่างเขาก็ยืดตัวขึ้น ผมหงอกก็เปลี่ยนเป็นสีดำและรูปลักษณ์แก่หงำก็ถูกแทนที่ด้วยวัยกลางคนที่ดุดัน

“ฮึ่ม!”

ในเวลาเดียวกันรัศมีไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกจากร่างเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุนทันที

เมื่อเทียบกับกายาหลิงเทียนจุนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ร่างนี้ได้รับการขัดเกลามากกว่า มองจากระยะไกลก็ดูราวกับอัญมณี ไม่อาจทำลายลงได้

ร่างกายนี้ถูกสลักด้วยลวดลายสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนซึ่งดูราวกับหยดน้ำ แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกหนักแน่นเหมือนภูเขา

กายาหลิงเทียนจุนนี้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดตอนนี้ ภายใต้พลังเต็มเปี่ยมเฉวียนจุนก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเฉียบคมพร้อมกับเสียงสะท้อนออกมา

“ต้องการได้ตำแหน่งจากมือข้า ก็มาดูซิว่าเจ้ามีความสามารถเพียงพอหรือไม่!”

มู่เฉินมองไปที่เฉวียนจุนพลางหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุนพร้อมกับไฟในการต่อสู้พลุ่งพล่าน

ขณะเดียวกันน้ำเสียงเย็นชาก็ดังก้อง

“ตำแหน่งนี้ ข้าเอาไปแน่ วันนี้ตระกูลเฉวียนจะให้ก็ต้องให้ ไม่ให้ก็ต้องให้!”

“วาจาสามหาว รนหาที่ตายแล้ว!”

ไอสังหารพล่านออกมาจากดวงตาของเฉวียนจุน เพียงเขาก้าวเท้าออกไปก้าวเดียวก็ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ

ยามนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนตระกูลเฉวียนเคลื่อนไหวแล้ว!

ครืนๆๆๆ!

ดวงดาวปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของมู่เฉินไว้หมด การปะทะกันของคลื่นหลิงที่รุนแรงทำให้เกิดพลังทำลายล้างกระจายออกไป ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็จะประสบปัญหากับการเผชิญหน้าสิ่งนี้

ทักษะลับที่เฮยกวางใช้ด้วยการทำร้ายตัวเองนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

ทุกคนฉายสีหน้าเคร่งเครียดกับฉากนี้ แม้ว่าวิธีของมู่เฉินจะน่ากลัว แต่การตอบโต้ของเฮยกวางก็ไร้ความปรานีเช่นกัน

หากมู่เฉินประมาทเพียงเล็กน้อย ชัยชนะที่แล้วมาก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

เมื่อสมาชิกตระกูลชิงเห็นการไหลของดวงดาวที่เข้าปกคลุมดวงอาทิตย์ พวกเขาก็ฉายความกังวลบนใบหน้า แม้แต่ชิงเทียน ชิงเซวียนและชิงหยุนก็ขมวดคิ้วแน่น

“เยี่ยม เยี่ยมยอด! ผู้อาวุโสเฮยกวางเด็ดขาดนัก ยังไงมู่เฉินก็สู้ตามลำพัง แม้จะต้องจ่ายราคาแพงเพื่อขัดขวาง แต่ก็ทำให้เป้าหมายในวันนี้ของมันไม่ประสบผลสำเร็จ!” เฉวียนหลัวปรบมือฉาดพลางหัวเราะเยาะ

สมาชิกตระกูลเฉวียนก็ส่งเสียงประสาน การโจมตีของเฮยกวางน่ากลัวมาก ต่อให้เป็นมู่เฉินก็คงไม่สามารถรับได้อย่างง่ายดายหรอก

ฟู่ ฟู่!

ภายใต้การเฝ้ามองโดยไม่กะพริบตาของผู้คน การโจมตีก็ครอบร่างทั้งหมดของมู่เฉินไว้ภายใน

ทั่วพื้นดินพังทลายลงจากการโจมตีที่รุนแรง…

เมื่อเฮยกวางเห็นฉากนี้ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ร่างเวทสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเขาสลายลงแล้ว เห็นชัดว่าได้รับความเสียหายรุนแรง

ทว่าสิ่งนี้ก็คุ้มค่า ตอนนี้มู่เฉินไม่สามารถหลบหนีได้ ไม่ว่าจะมีอาวุธลับมากมายแค่ไหน ก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อมันได้รับบาดเจ็บก็จะไม่สามารถเอาชนะในยกสี่ได้แน่นอน ดังนั้นนี่หมายความว่าการช่วยตระกูลชิงคว้าตำแหน่งคืนก็เท่ากับล้มเหลว

“หึ ใครบอกให้แกได้ใจ? ตอนนี้ข้าจะให้แกลิ้มรสความรู้สึกเหมือนถูกถีบลงมาจากสวรรค์” เฮยกวางหัวเราะเยาะ

สายตาจำนวนมากมุ่งไปที่ทิศทางที่มิติพังทลาย ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นสูญพันธุ์ไปเลยทีเดียว

ดวงดาวสร้างความหายนะทั่วบริเวณเป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มสลายลง

“คราวนี้มู่เฉินบาดเจ็บหนักแน่!” ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนพากันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เมื่อมู่เฉินสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายก็ทำให้พวกเขาอับอายนัก ในที่สุดพวกเขาก็คว้าหนึ่งยกมาได้จากการต่อสู้ครั้งนี้

จอมยุทธ์หลายคนถอนหายใจด้วยความเสียดาย ความกล้าหาญของมู่เฉินทำให้ผู้คนชื่นชม นอกจากนี้ตระกูลเฉวียนยังทรงพลัง ไม่ว่าผู้คนจะมีความคิดอย่างไรก็ต่างหวังว่ามู่เฉินจะแสดงปาฏิหาริย์ แต่เมื่อดูสถานการณ์ในตอนนี้โอกาสที่จะเกิดขึ้นไม่สูงนัก แต่ด้วยความสำเร็จที่ทำได้เพียงนี้ชื่อของมู่เฉินก็จะขจรขจายไปทั่วมหาพันภพแน่นอน

บนท้องฟ้า ในที่สุดความหายนะก็ค่อยๆ หายไป ทันใดนั้นทุกคนก็หดดวงตาก่อนที่จะอุทาน

“นั่นมันอะไรกัน?!”

ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนก็เปลี่ยนไปพลางเงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นดอกบัวสีม่วงทองปิดสนิทราวกับว่าไม่มีอะไรผ่านเข้าไปได้

ทันใดนั้นรอยแตกก็พล่านออกมาบนกลีบดอก ดูราวกับได้รับการล้างบาปจากพายุเฮอริเคน

แต่ถึงแม้ว่ามันจะใกล้พังทลาย แต่ดอกบัวสีม่วงทองก็ยังคงอดทนต่อไปจนถึงวินาทีสุดท้าย

ท่ามกลางดวงตาตกตะลึงของผู้คนมากมาย ดอกบัวก็ค่อยๆ เปิดขึ้น ร่างขนาดใหญ่ปรากฏในครรลองสายตาของทุกคน

ร่างสีม่วงทองยืนอยู่บนดอกบัวพร้อมรัศมีความเป็นอมตะแผ่ซ่านออกไป

“นั่นคือร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินรึ?!” เมื่อเห็นร่างสีม่วงทองความวุ่นวายก็กวนตัวระหว่างสวรรค์และโลก จากรัศมีอมตะทุกคนสามารถบอกได้ว่าร่างเวทสวรรค์นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

บนยอดเขาที่ใกล้ที่สุดชายคนหนึ่งที่มีม่านตาสีดำขาวกำลังยืนในเก๋งหินโดยเอามือไพล่หลัง เขาคือหมัวเฮอโยวแห่งเผ่าหมัวเฮอ!

เมื่อเขาเห็นร่างขนาดยักษ์ก็หรี่ตาลงพลางเอ่ยอย่างไม่แยแส “เจ้านั่นฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จริงๆ”

จอมยุทธ์เผ่าหมัวเฮอก็เผยให้เห็นแววตาประหลาดใจกล่าวว่า “เมื่อครู่เขาน่าจะใช้ดอกบัวอมตะ ถึงสกัดกั้นการโจมตีของเฮยกวางได้”

ในมหาพันภพเผ่าหมัวเฮอเข้าใจเกี่ยวกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์มากที่สุด เนื่องจากจอมยุทธ์ชั้นสูงทุกรุ่นต้องฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้และดูว่าพวกเขาจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์หรือไม่!

แต่น่าเสียดายที่มีคนฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครสามารถบรรลุจนถึงร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เลย

ดังนั้นเผ่าหมัวเฮอจึงรู้ถึงกระบวนท่าการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นสามารถเรียกดอกบัวอมตะได้ เขาต้องมีความสำเร็จสูงแน่”

เมื่อหมัวเฮอโยวได้ยินเช่นนั้นก็ตอบอย่างคลุมเครือ “เขาเป็นแค่พวกกาฝาก แต่กระนั้นก็ไปได้ไกลแค่นี้แล้ว หากเขาต้องการก้าวไปอีกขั้นเพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นเพียงฝันกลางวันเท่านั้น”

จอมยุทธ์เผ่าหมัวเฮอพยักหน้า เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์เอาไว้ แม้ว่าจะอ้างว่าปกป้อง แต่เมื่อผ่านมานานพวกเขาก็ถือว่านี่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำเผ่า แล้วจะปล่อยให้คนนอกเอาไปจากพวกเขาได้อย่างไร?

“ผู้อาวุโสใหญ่บอกข้าว่าร่างมหาเทพนิรันดร์แสดงสัญญาณในช่วงปีสองปีนี้ คงถึงช่วงเวลาที่จะเลือกผู้รับแล้ว ถ้าข้าเดาถูกมันจะเลือกผู้สืบทอดในชุมนุมเทพนิรันดร์ครั้งนี้”

ขณะที่พูดความโลภก็สั่นไหวในดวงตาของหมัวเฮอโยวขณะที่หมัดกำแน่น “ถ้าข้าสามารถฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ ข้าอาจจะสามารถใช้ประโยชน์นี้บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!”

“มีไม่กี่คนในเผ่าที่ประสบความสำเร็จเช่นท่านชาย ดูเหมือนว่ามีโอกาสสูงที่ท่านจะได้รับ” จอมยุทธ์เผ่าหมัวเฮอตอบอย่างประจบประแจง

“แต่มักมีคนนอกเข้ามามีส่วนร่วมทุกครั้งซึ่งน่ารำคาญ ไม่รู้จริงๆ ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์คิดอะไรอยู่ เขามอบร่างมหาเทพนิรันดร์ให้เราพิทักษ์ไว้แล้ว แต่ทำไมยังทิ้งทักษะการฝึกฝนไว้ที่โลกภายนอกด้วย?” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ

หมัวเฮอโยวยิ้มบาง “ชุมนุมเทพนิรันดร์ถูกสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ ทุกคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถเข้าร่วมได้ แต่นั่นไม่สำคัญทักษะที่เผยแพร่สู่สาธารณะไม่สมบูรณ์ ไม่มีอะไรต้องกลัวเกี่ยวกับพวกกาฝากเหล่านี้ หลังจากการชุมนุมครั้งนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของเราโดยสมบูรณ์ แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ไม่สามารถนำกลับไปได้ แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพก็ตาม!”

ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยิน

 

ขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์

มู่เฉินก็ปรากฏตัวบนไหล่ของร่างใหญ่โตสีม่วงทองอร่าม

เมื่อจอมยุทธ์ตระกูลเฉวียนเห็นภาพเงาของมู่เฉิน ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เนื่องจากพวกเขาไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บบนตัวอีกฝ่ายสักนิด แม้แต่คลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวเขาก็ไร้ขอบเขตเช่นเดิม

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเฮยกวางเหลวเป๋ว

“เป็นไปได้ยังไง?!”

ใบหน้าของเฮยกวางเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดขณะอุทานด้วยความสิ้นหวัง

มู่เฉินมองไปที่เฮยกวางอย่างไม่แยแสก่อนที่จะขยับ ร่างเขากลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาเฮยกวาง

เมื่อเห็นความดุดันของมู่เฉิน ใบหน้าของเฮยกวางก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาได้รับบาดเจ็บหนักในตอนนี้แล้วจะปะทะกับมู่เฉินได้อย่างไร?

“หยุด!”

เฉวียนกวางก็สังเกตเห็นความตั้งใจของมู่เฉินจึงรีบตะโกนลั่น

วาบ!

ทว่ามู่เฉินไม่สนใจกับการตะโกนนั่น ร่างเขาไปปรากฏเบื้องหน้าเฮยกวาง ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดอย่างไม่แยแส หมัดทำให้มิติถึงกับพังทลาย

ตู้ม!

หมัดของมู่เฉินที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกระแทกกับหน้าอกของเฮยกวาง หมัดเดียวนี้ทำให้หน้าอกของเฮยกวางยุบลงทันที ร่างเขาถลากลับไปพร้อมกับเลือดพ่นออกมาจากปาก

วาบ!

แต่ขณะที่ยังไม่ตกลงพื้น มู่เฉินก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างหลังอย่างลึกลับก็วาดลูกเตะซัดใส่ ทำให้เฮยกวางมุดเข้าไปในแท่นประลองราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่

ปัง ปัง ปัง!

ต่อจากนั้นมู่เฉินก็ปล่อยชุดการโจมตีเฮยกวางไม่หยุด เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเหล่านั้น เฮยกวางได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จนสุดท้ายก็พังพาบลงไปกับพื้นเหมือนกองขี้โคลน

ทุกสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น การจะกระหน่ำใส่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายเหมือนกระสอบทรายได้ไม่ใช่เรื่องที่หาดูได้ง่าย

ฮา

ในที่สุดมู่เฉินก็หยุดลง ตอนนี้เฮยกวางอยู่ในสภาพขาดรุ่งริ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะพลังทรงประสิทธิภาพของขุมพลังที่มีตอนนี้เขาคงตายคาที่ไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าต้องการฟื้นตัว ก็ต้องฝึกหนักหลายปี มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้

เมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เฉินโหดแค่ไหน พวกเขาก็สูดลมหายใจเย็นอัดปอด มู่เฉินไม่ใช่คนที่เคี้ยวง่ายอย่างแท้จริง เขาทำให้เฮยกวางร่อแร่โดยไม่สนใจหน้าตาของตระกูลเฉวียนเลย

สายตาบางส่วนมองไปที่ตระกูลเฉวียน ก็เห็นใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสดำมืดเป็นก้นกระทะ

เตะเฮยกวางที่หมดสติออกไป มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ และมองไปที่เฉวียนกวาง “ก็ยังขยะเหมือนเดิม”

“ไอ้หนู แกมันโหดจริงๆ” ท่าทางของเฉวียนกวางดูน่ากลัวนัก

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเหยียดนิ้วกระดิกออก ท่าทีดูถูกของเขาทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากของผู้อาวุโสทุกคนเต้นตุบๆ

“อีกรอบเดียว”

ขณะที่มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนแท่นของเฮยกวาง

ทุกคนยังคงนิ่งเงียบไปด้วยความตกตะลึงกับฉากเมื่อครู่

ความเงียบกินเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะพึมพำ “นั่นคือ…วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า—วิชาเจดีย์แปดองค์ใช่ไหม?”

จอมยุทธ์ขั้วอำนาจต่างๆ ล้วนมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มจดจำวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่มู่เฉินใช้ได้

ความสามารถในการทำลายล้างของลำแสงสีดำเหล่านั้นทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนรู้สึกหนังหัวชาวาบไปหมด ด้วยพลังนี้จะมีอะไรอีกนอกเหนือจากการเป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าได้?

“ไม่คิดว่าเขาจะฝึกสำเร็จได้จริงๆ” ผู้อาวุโสเผ่าฝูถู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จากตระกูลเฉวียนและมั่วก็พากันดวงตาแดงก่ำขึ้น ขณะมองไปที่มู่เฉิน แววตาแต่ละคนดูเหมือนมีความต้องการที่จะฉกมาเป็นของตัวเอง

ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขารู้ว่าหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าหมายถึงอะไร หากพวกเขาได้ครอบครอง พวกเขาก็จะอยู่ยงคงกระพันท่ามกลางจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน

ลองคิดดูสิว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกี่คนในมหาพันภพ? ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานมีเพียงสามสิบหกกระบวนท่า แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใด

แม้เผ่าฝูถูจะมีรากฐานหยั่งลึก พวกเขาก็ไม่มีทักษะอะไรที่สามารถเทียบเคียงกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าได้

ชิงซวงเอามือปิดปากแน่น จ้องมองด้วยอารมณ์หลากหลาย นางไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป

ตอนแรกพวกนางคิดว่าตระกูลชิงคงสิ้นท่า แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวและเหมือนจะพลิกสถานการณ์ได้

“มู่เฉิน สู้ๆนะ!” ชิงซวงพึมพำ

หลิงซีตบไหล่นางเบาๆ ทำให้รู้สึกเก้อเขินและสงบลง

“พี่ใหญ่หลิงซี มู่เฉินจะชนะไหม?” ชิงซวงถามด้วยความคาดหวัง นางรู้ดีแม้ว่ามู่เฉินจะชนะไปได้สองยก แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น

หลิงซียิ้มพูดแบบไม่ปิดบัง “ไม่ต้องกังวล ในเมื่อมู่เฉินเลือกที่จะออกโรง นั่นหมายความว่าเขามั่นใจ เรารอดูเหตุการณ์ทั้งหมดเท่านั้น”

ชิงซวงพยักหน้าพลางมองไปที่ร่างสูงโปร่งด้วยดวงตางดงาม

หลินจิ้งปรบมือหัวเราะร่า “มู่เฉินชนะได้เยี่ยมจริงๆ!”

มู่เฉินไม่มีความคิดหยั่งเชิงระหว่างการประลองสองยกก่อนหน้า เขาดึงพลังทั้งหมดออกมา ยอมเสี่ยงแม้กระทั่งเปิดเผยไพ่ตาย นี่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ เขาชนะอย่างสง่างามด้วยสองกระบวนท่า ซึ่งทำให้เลือดในกายทุกคนลุกเป็นไฟ

เซียวเซียวพยักหน้าด้วยความชื่นชมในดวงตา

“ดูเหมือนมู่เฉินจะไม่พอใจมากกับเผ่าฝูถูนะเนี่ย” เย่าเฉินหัวเราะเบาๆ เขาสามารถบอกได้เลยว่ามู่เฉินทำอย่างนั้นแบบตั้งใจ การเดินทางมาเยือนที่นี่ของเขาก็เพื่อระบายความโกรธที่ฝังแน่นอยู่ในใจมานานกว่ายี่สิบปี เพราะบิดามารดาของเขาต้องแยกจาก โดยที่บิดาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนมารดาก็ถูกคุมขัง ดังนั้นต้องคว้าชัยชนะอย่างงดงามให้ได้

ซึ่งนั่นหมายความว่าตระกูลเฉวียนจะต้องอับอายขายขี้หน้า

“แต่การต่อสู้ประเภทนี้ต้องมีความมั่นใจเต็มที่ หากทั้งสองฝ่ายมีพลังเท่ากันการเปิดเผยไพ่ตายก่อนจะทำให้เสียประโยชน์” หลินเตียวพยักหน้าและประเมินผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เผยความชื่นชมบนใบหน้า ในเมื่อมู่เฉินเลือกวิธีการต่อสู้แบบนี้ก็หมายความว่ามีความมั่นใจ

นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นจากหลินต้ง

 

ใบหน้าของเฮยกวางเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว

เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มที่เยื้องย่างเข้ามา ก็เกิดความกลัวลึกๆ ในดวงตา

ไม่ว่าจะด้วยเพลิงสีม่วงหรือวิชาเจดีย์แปดองค์ ก็ทำให้เฮยกวางรู้สึกขนพองสยองเกล้า

แม้ว่าขุมพลังของเขาจะเหนือกว่าเฉวียนไห่และเฉวียนเฟิง แต่ถึงจะอยู่ในขั้นหลิงระยะปลายเขาก็ยังไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉิน

“ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนี่ทรงพลังขนาดนี้ได้ยังไง!”

เฮยกวงสาปแช่งในใจด้วยความเสียใจ เขาไม่ได้เสียใจที่ยั่วยุมู่เฉินในอดีต แต่รู้สึกเสียใจที่ไม่เด็ดขาดพอจะฆ่ามู่เฉินตอนที่ยังมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ต่อให้จะไม่ได้ฆ่ามู่เฉิน แต่อย่างน้อยก็ควรทำให้พิการได้ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเช่นวันนี้

“แกกำลังคิดว่าทำไมถึงไม่ฆ่าข้าตอนนั้นใช่ไหม?” ขณะที่ดวงตาเฮยกวางวูบไหว มู่เฉินก็จ้องมองเขาพลางยิ้ม

เฮยกวางตัวสั่นสะท้าน แม้มู่เฉินจะยิ้ม แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและเจตนาฆ่าในน้ำเสียงได้

ทว่ายังไงเขาก็เป็นผู้อาวุโสเผ่าฝูถูที่มีตำแหน่งสูงล้ำ ดังนั้นไม่ช้าเขาก็สงบตัวเองลงพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างน่ากลัว “มู่เฉินอย่าได้ใจนัก เป็นการดีสำหรับชายหนุ่มที่จะมีความทะเยอทะยาน แต่ความทะเยอทะยานที่เร่งเกินไปจะสะดุดได้นะ”

“ถ้าตระกูลเฉวียนมีความสามารถเพียงพอก็พิสูจน์ให้เห็นสิ” มู่เฉินตอบอย่างไม่เร่งรีบ

“แก!”

เฮยกวงหัวร้อนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ แต่ก็ยังหวาดกลัวสายตาเย็นชาของมู่เฉินอยู่

“ไง ไม่สู้เหรอ?” มู่เฉินมองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงไม่แยแส เขายื่นมือออกมาแสงหลิงแล่นแปลบปลาบบนนิ้ว “ถ้าเจ้าไม่โจมตี งั้นข้าเริ่มละนะ”

เฮยกวางกัดฟัน ทว่าเมื่อเขากำลังจะหมุนเวียนคลื่นหลิง เสียงหนึ่งก็ถูกส่งมาที่โสตประสาท “เฮยกวาง ใช้ทักษะลับซะ แม้ว่าจะไม่สามารถชนะได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาหมดกำลังใจ จะมีคนจัดการกับเขาภายหลังเอง”

เมื่อเฮยกวางได้ยินคำพูดนั่น สายตาก็วูบไหวก่อนจะเหลือบมองไปที่เฉวียนกวาง ชัดว่าเป็นเสียงอีกฝ่าย

“ทักษะลับ?” เฮยกวงลังเล เขารู้ว่าตนเองจะต้องอ่อนแอลงอย่างน้อยครึ่งปีถ้าทำเช่นนั้น

แต่เขารู้ถึงความตั้งใจของเฉวียนกวางเช่นกัน ตอนนี้มู่เฉินฮึกเหิมเกินไป แม้ว่าในท้ายที่สุดจะไม่ได้รับชัยชนะสี่ครั้ง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตระกูลเฉวียนอับอายขายหน้า

ท่ามกลางธารกำนัลตระกูลเฉวียนต้องอับอายจากตัวกาลกิณี

ดังนั้นเฮยกวางไม่ยอมให้มู่เฉินได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายหรอก

เขาต้องขัดขวางมู่เฉินเพื่อให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนจัดการกับเขาได้อย่างง่ายดาย

“ได้!”

แม้จะลังเลเฮยกวางก็กัดฟัน เขารู้ว่าตนเองไม่มั่นใจในการเผชิญหน้ากับมู่เฉิน แล้วทำไมไม่เสี่ยงล่ะ?!

‘ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าจะแสดงความหมายของการถูกตัดขาดเอง!’

เฮยกวางยิ้มเยาะในใจ จากนั้นก็ถอยพลางเย้ยหยัน “มู่เฉินอย่าได้ใจ ลองรับหนึ่งกระบวนท่าของข้ามั่ง!”

ตู้ม!

พูดจบ เกลียวแสงนับไม่ถ้วนถักทอที่ด้านหลังเฮยกวาง ร่างเวทสวรรค์ปรากฏขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยพายุระหว่างสวรรค์และโลกออกมา

เมื่อร่างเวทสวรรค์ถูกเร้า เฮยกวางก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสร้างตราประทับแปลกประหลาดขึ้น

ในเวลาเดียวกันร่างเวทสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังก็สร้างตราประทับตามด้วย

เมื่อชิงเทียน ชิงเซวียนและชิงหยุนเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็หดลงขณะที่ตะโกนลั่น “ไร้ยางอาย! มันคิดจะใช้ทักษะลับ!”

เฮยกวางเผยรอยยิ้มน่าสยดสยองขณะพูดอย่างน่าขนลุก “ในเมื่อแกคิดบีบข้า ดังนั้นอย่าโทษว่าข้าโหดเหี้ยม!”

สิ้นเสียงพูดท้องของเขาก็บวมขึ้น ท้องของร่างเวทสวรรค์ก็บวมขึ้นเช่นกัน อึดใจเขาก็อ้าปากพ่นลมหายใจออกทันที

ดวงดาวพรั่งพรูออกมาจากปากของร่างเวทสวรรค์ ด้วยการเคลื่อนไหวก็ราวกับว่าสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้

เมื่อดวงดาวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ร่างเฮยกวางก็แห้งตอบลงอย่างรวดเร็ว ร่างเวทสวรรค์จางลง พวกเขาเทพลังทั้งหมดลงในดวงดาวนับไม่ถ้วนนี้

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปพลางอุทานลั่น “เฮยกวางบ้าไปแล้ว! เขาจะสลายร่างเวทสวรรค์ด้วยเหรอเนี่ย?!”

ร่างเวทสวรรค์เป็นหนึ่งในทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าสลายก็ต้องใช้เวลาและพลังงานมากในการสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังอาจมีผลสะท้อนกลับมาอีกด้วย!

ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครใช้วิธีนี้ มันเป็นการทำร้ายตัวเองในทางปฏิบัติก่อนที่จะทำร้ายศัตรู ซึ่งเหมือนกับการฆ่าตัวตาย

ฟู่ ฟู่!

ดวงดาวส่งเสียงหวีดหวิวโอบล้อมมู่เฉิน การเคลื่อนที่ทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันสามารถทำลายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้

ผู้คนฉายสีหน้าเคร่งเครียด มู่เฉินยโสเกินไปซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเฮยกวางถึงยอมทำเช่นนี้เพื่อรักษาหน้าตระกูลเฉวียน

“เฮยกวางเหี้ยมจริงๆ ตอนนี้มู่เฉินมีปัญหาแล้ว”

“ขยะจริงๆ คนต่อไป”

เมื่อเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังขึ้น ทั่วบริเวณก็เงียบกริบลง มีเพียงเสียงโหยหวนของเฉวียนไห่เท่านั้นที่สะท้อนออกมา

สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะมองไปยังภาพเงาอ่อนเยาว์

ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะจัดการกับเฉวียนไห่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นั่นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ! แม้จะอยู่ในขั้นหลิง แต่ก็มีฐานะเป็นราชันที่ใดก็ได้ในมหาพันภพ แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้หลังจากการโจมตีกระบวนท่าเดียวจากมู่เฉิน

พ่ายแพ้ยับเยิน

“นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ!” หลายคนเปล่งคำพูดออกจากลำคออย่างยากลำบาก

“เป็นไปได้ยังไง?!” เฉวียนหมัวและมั่วซินเขียนความตกใจไว้บนใบหน้าราวกับเห็นผี เมื่อครู่พวกเขาต้องการดูว่ามู่เฉินจะทำตัวโง่ๆ ออกมาอย่างไร แต่พริบตากลายเป็นพวกเขาที่โง่เอง

สมาชิกตระกูลเฉวียนและมั่วฉายอาการตกตะลึงบนใบหน้า แต่ละคนกลืนน้ำลายไม่หยุดมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว

ส่วนสมาชิกตระกูลชิงพากันแลกเปลี่ยนสายตา เหงื่อเม็ดเป้งผุดบนหน้าผากเต็มไปหมดพลางพึมพำ “น่ากลัวเหลือเกิน…”

ดวงตาของชิงหลิงระยิบระยับขณะจ้องมองภาพเงาอ่อนเยาว์ นางรู้สึกว่าหัวใจตนเองเป็นลอนคลื่น เมื่อเทียบกับชายคนนั้น พวกที่โอ่ตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะของเผ่าฝูถูเทียบกันไม่ได้เลย

“เปลวไฟนั่นไม่ธรรมดา”

ชิงเทียนก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าเปลวไฟสีม่วงครอบงำอย่างไร ซึ่งนั่นทำให้เฉวียนไห่สูญเสียพลังไปในทันที

“สมกับเป็นบุตรชายของท่านหญิงจิ้งแท้จริง” ชิงหยุนถอนหายใจ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามู่เฉินช่างบ้าบิ่น แต่ดูตอนนี้อีกฝ่ายจะทำสิ่งนี้ได้จริง

กำปั้นของชิงเซวียนคลายออกด้วยรู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่ไม่นานสายตาของนางก็เปลี่ยนไปเป็นกังวล นางรู้ว่านี่เป็นเพียงยกแรก ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของตระกูลเฉวียน มู่เฉินจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป

ความเงียบระหว่างสวรรค์และโลกคงอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงกระซิบกระซาบจะดังขึ้น หลายคนจ้องมองเปลวไฟสีม่วงบนร่างเฉวียนไห่ด้วยความกลัวในดวงตา

กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นก็ต้านไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าเปลวไฟสีม่วงครอบงำอย่างไร

เมื่อฝูถูเฉวียนเฝ้ามองฉากนี้คิ้วก็ขมวดขึ้นก่อนที่จะโบกมือ มือล่องหนเคลื่อนลงมาดึงเปลวไฟสีม่วงออกไปจากร่างเฉวียนไห่ แล้วก่อตัวเป็นหลุมดำดักจับเปลวไฟเอาไว้

คลื่นหลิงของฝูถูเฉวียนมีความสามารถในการปิดผนึกที่ทรงพลัง ซึ่งทำให้แม้แต่เพลิงม่วงกลืนวิญญาณของมู่เฉินก็ไม่สามารถกลืนกินได้ ดังนั้นเพลิงจึงค่อยๆ สลายตัวไป

ฉากนี้ทำให้หลายคนหดดวงตา แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อดับเปลวไฟนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นปัญหาเพียงใด

เมื่อเปลวไฟสลายลง ร่างเฉวียนไห่ก็เผยให้เห็น ทั่วร่างดำไหม้เกรียม แม้แต่เนื้อก็ละลายจนเผยให้เห็นกระดูก

ขณะนี้สภาพของเฉวียนไห่ดูไม่จืด เขาได้รับบาดเจ็บหนักอย่างชัดเจน

ต้องรู้ว่าหลังจากจอมยุทธ์ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ร่างกายของผู้ฝึกจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานหลิงที่ทรงพลังแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้นเฉวียนไห่ยังถูกทำให้อยู่ในสภาพเช่นนี้โดยเปลวเพลิง

“ไอ้หนู แกนี่เหี้ยมจริงๆ!”

ใบหน้าของเฉวียนกวางเขียวคล้ำ การกระทำของมู่เฉินทำให้ตระกูลเฉวียนราวกับถูกตบหน้าเลยทีเดียว

“ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ในเมื่อผู้อาวุโสเฉวียนไห่ใช้ทักษะหลิงไม่เสินทง ข้าก็แค่ให้กลับคืนเท่านั้น” มู่เฉินไม่สนใจเฉวียนกวาง พูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเฉย

“นั่นคือทักษะหลิงไม่เสินทง! แต่ดูจากพลังก็ต้องถึงขั้นเสินแน่! แค่ไม่รู้ว่านี่คือเจ็ดหรือแปดชีพจรกัน” สายตาของหลายคนวูบไหว ระยะชีพจรไม่ต่ำแน่เนื่องจากดูได้จากพลัง

เฉวียนกวางจ้องไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้มพลางตะเบ็งเสียงออกมา ก่อนที่จะหันไปหาผู้อาวุโสอีกคน “เฉวียนเฟิง ต่อไปตาเจ้า อย่าสัมผัสร่างมัน”

สายตาเฉวียนกวางเฉียบแหลม เขาสามารถบอกได้ว่าแม้ว่าเปลวไฟสีม่วงของมู่เฉินจะครอบงำ แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วและสามารถหลีกเลี่ยงได้

เฉวียนเฟิงพยักหน้า เขาไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำอีกต่อไป สายตาแหลมคมของเขาจ้องมองไปที่อีกฝ่ายพูดว่า “งั้นข้าขอลิ้มรสพลังเจ้าหน่อย”

มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พุ่งไปที่แท่นของเฉวียนเฟิง ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางและเป็นคนต่อไปที่เขาคิดจะจัดการ

ตู้ม!

เมื่อเฉวียนเฟิงเห็นมู่เฉินมาถึงก็ไม่พูดอะไร แต่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เขาเร้าพลังกายขึ้นมาทันที ทันใดนั้นรัศมีก็ระเบิดออก ร่างเวทสวรรค์ขนาดหลายหมื่นจั้งก็ก่อตัวขึ้น

เรียนรู้จากความผิดพลาดของเฉวียนไห่ เฉวียนเฟิงก็นำร่างเวทสวรรค์ออกมาทันทีตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวแม้ว่าจะปะทะกัน

เฉวียนเฟิงมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่งกว่าเฉวียนไห่

เมื่อร่างเวทสวรรค์สะท้อนอยู่ในดวงตาของมู่เฉินก็เรียกรอยยิ้มเย็นชาบนริมฝีปาก เขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะรักษาหน้าอีกฝ่าย

ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะสู้ เขาก็ต้องดึงพลังทั้งหมดออกมาและเหยียบตระกูลเฉวียนให้จมดิน

ขณะเดียวกันเขาก็จะระบายความอัดอั้นที่มีมาตลอดยี่สิบกว่าปี!

“มู่เฉินเข้ามาเลย! ให้ข้าดูสิว่าแกทำอะไรได้บ้าง!” ด้วยการปกป้องร่างเวทสวรรค์ เฉวียนเฟิงก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นขณะส่งเสียงร้อง

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฉวียนเฟิงจากนั้นก็เค้นเสียงเย็น “แกคิดว่าร่างเวทสวรรค์สามารถปกป้องได้ หรือ?”

สายตาของเฉวียนเฟิงเย็นเยือกขณะสบถด่า “อวดดี! แกก็ลองดูสิ…หืม?!”

ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบท่าทางก็เปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นเจดีย์ผลึกใสปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของตนเอง

“นั่นมัน…เจดีย์พุทธะ?!”

เมื่อเจดีย์ผลึกใสปรากฏขึ้นก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในเผ่าฝูถูทันที พวกเขารู้ว่ามีเพียงผู้ที่ได้ฝึกวิชามหาเจดีย์โบราณเท่านั้นที่สามารถสร้างเจดีย์ได้และมีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้ครอบครองเจดีย์พุทธะ

แม้แต่ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าฝูถูก็มีเพียงเฉวียนหลัวเท่านั้นที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อมองจากความกระจ่างใสเฉวียนหลัวด้อยกว่ามู่เฉินหลายส่วนเลยทีเดียว

ตู้ม!

เจดีย์พุทธะบีบกดลงมากะทันหัน บดลงที่ร่างเวทสวรรค์ของเฉวียนเฟิง

เฉวียนเฟิงหดดวงตาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะคำรามลั่น พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวสิบลูกพุ่งออกมาซัดเจดีย์พุทธะเพื่อขัดขวางเอาไว้

ในเวลาเดียวกันพายุสีฟ้าอมเขียวแหลมคมก็กวาดออกทำให้เกิดประกายไฟบนพื้นผิวของเจดีย์สั่นสะเทือนไปพร้อมกัน

“หึ แกคิดว่าจะปราบข้าด้วยเจดีย์พุทธะหรือ? ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!” เฉวียนเฟิงรู้สึกโล่งใจหลังจากหยุดเจดีย์พุทธะได้ก่อนที่จะเค้นเสียงเย็น

ทว่าบนใบหน้าของมู่เฉินกลับมีรอยยิ้มแปลกประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น

ในเวลาเดียวกันเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ระวัง! ไอ้เด็กสารเลวนี่ฝึกฝนวิชาเจดีย์แปด…”

ตู้ม!

แต่ก่อนที่เขาจะจบประโยค เจดีย์พุทธะก็สั่นสะท้าน เกลียวแสงสีดำแปดสายแผ่ออกมาจากเจดีย์ก่อร่างเป็นร่างปีศาจแปดร่าง

เมื่อปีศาจปรากฏตัว พวกมันก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวพลางเหยียดนิ้วชี้ลงไปที่ร่างเวทสวรรค์ของเฉวียนเฟิง

ชี่!

ลำแสงที่น่ากลัวทั้งแปดรวมตัวกันและพุ่งลงมา

ตู้ม ตู้ม!

พายุทอร์นาโดสิบลูกแตกสลายไปโดยลำแสง ใบหน้าของเฉวียนเฟิงเปลี่ยนไปรุนแรงเมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่างกายเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลอมรวมเข้ากับร่างเวทสวรรค์

ตู้ม!

แต่ลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวราวกับดัชนีทำลายล้าง ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ พุ่งเข้าใส่ร่างเวทสวรรค์อย่างจัง

ปัง ปัง ปัง!

ความปั่นป่วนที่น่ากลัวกระจายออก ทุกคนตกใจเมื่อเห็นว่าลำแสงสีดำทะลุผ่านร่างเวทสวรรค์ ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ

ตึง!

ร่างเวทสวรรค์ระเบิด คลื่นกระแทกพัดออกไปหลายแสนลี้ ทำให้ภูเขาที่อยู่ใกล้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หากไม่ใช่การปกป้องของจอมยุทธ์จำนวนมาก พื้นที่นี้ทั้งหมดคงจะยุบตัวไปถึงปากทางนรกแล้ว

ทว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับเรื่องนี้ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่จุดกำเนิดคลื่นกระแทก ร่างเวทสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆ เงาร่างหนึ่งดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า

สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่กระโจนออกไป ฝ่าเท้าเหยียบลงบนร่างที่ดิ่งลงมา พวกเขาเหมือนอุกกาบาตสองลูกตกลงบนแท่น

ตู้ม!

ทั้งแท่นพังทลาย

มู่เฉินยืนเหยียบกลางอกเฉวียนเฟิงที่ยุบลงพร้อมกับเลือดไหลนอง แม้แต่คลื่นหลิงก็ลดน้อยลง สะท้อนให้เห็นถึงการบาดเจ็บหนักของเขา

ทันใดนั้นทุกคนก็สูดอากาศเย็นลึกสุดปอด กระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!

แค่กระบวนท่าเดียว เขาเอาชนะเฉวียนเฟิงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้!

มู่เฉินคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

“นั่นคือ…วิชาเจดีย์แปดองค์!”

มีเพียงผู้อาวุโสของเผ่าฝูถูที่สีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อพวกเขาจดจำได้ว่ามู่เฉินใช้หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเผ่าฝูถู—วิชาเจดีย์แปดองค์!

มู่เฉินยกเท้าออกอย่างไม่แยแสและไม่พูดอะไร ภายใต้สายตาตะลึงกลัวนับไม่ถ้วน เขาก็ทะยานขึ้นไปยังอีกแท่นหนึ่ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่าย นี่ก็คือเฮยกวางที่เคยพบกันมาก่อน

นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ยุยงให้เฉวียนเทียนมาจัดการกับเขา

ทว่าขณะนี้เฮยกวางกำลังมองมาที่เขาด้วยความกลัว ชัดว่านึกไม่ถึงที่เมื่อสองปีก่อนมู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะกลับมาพร้อมความน่ากลัวขนาดนี้

สายตาเย็นเยือกของมู่เฉินมองไปที่เฮยกวาง ตอนนั้นในแดนเซิ่งยวนชายผู้นี้ใช้ประโยชน์จากขุมพลังที่มีกลั่นแกล้งเขา ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะชำระหนี้แค้นแล้ว

“ถึงตาแกแล้ว วันนี้มาชำระหนี้เก่าและใหม่ไปพร้อมกันเลย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1000 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

Options

not work with dark mode
Reset