สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 857 เรื่องเริ่มเปิดเผย

บทที่ 857 เรื่องเริ่มเปิดเผย

บทที่ 857 เรื่องเริ่มเปิดเผย

บทที่ 857 เรื่องเริ่มเปิดเผย

หลังจากว่าราชกิจช่วงเช้า ลู่จื่ออวิ๋นอาเจียนตัวโยนจนหมดแรงอยู่อย่างนั้น

ติงเซียงลูบหลังนาง ส่วนไป๋จื่อเตรียมน้ำไว้ให้

เมื่อลู่จื่ออวิ๋นหยุดอาเจียนแล้ว ไป๋จื่อก็ยกน้ำอุ่นเข้ามาให้นางบ้วนปาก

“ฮองเฮา ว่าราชกิจช่วงเช้าเมื่อครู่นี้ทรงอดกลั้นเกินไปแล้วกระมังเพคะ?”

“ตอนที่ท่านแม่ตั้งครรภ์ ข้าอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา เห็นอาการของคนตั้งครรภ์มาหมดแล้ว ดังนั้นจึงเตรียมใจไว้ตั้งแต่เนิ่น เมื่อครู่นี้กินลูกพลัมแห้งที่จือเหยียนเตรียมไว้ให้ ระงับอาการแล้ว ไม่ได้ไม่สบายตัวถึงเพียงนั้น…” ลู่จื่ออวิ๋นลูบท้องแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ซุกซนจริง ๆ รอเขาเกิดมาแล้ว ดูสิว่าข้าจะตีเขาอย่างไร”

“ฮองเฮาตอนนี้ยังทักทายเช่นนี้ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะตัดใจตีเขาไม่ลงนะเพคะ” ติงเซียงเอ่ย “วันนี้ไม่มีอะไรสำคัญ ฮองเฮาหยุดพักสักวันเถิดเพคะ!”

“เหตุใดจะไม่มี? มังกรโลกพลิกกาย กระทั่งแผ่นศิลาที่กล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจยังโผล่ออกมา หากข้าไม่จัดการให้ดี เกรงว่าฝ่าบาทไม่ทันได้กลับมาก็จะมีคนก่อกบฏก่อนแล้ว”

หลายวันต่อมาก็มีข่าวล่าสุดจากทางหนานโจว กล่าวว่าผู้ประสบภัยทำร้ายเซี่ยชิงโจวผู้ที่กำลังตรากตำเพื่อบรรเทาทุกข์จนได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ทหารยังทำให้ราษฎรไม่น้อยได้รับบาดเจ็บอีกเช่นกัน ที่นั่นจึงวุ่นวายโกลาหลขึ้นมา

ซื่อจื่ออันกั๋วกงนำเงินไปซื้อเสบียงและสิ่งของบรรเทาทุกข์แต่กลับพบโจรปล้นระหว่างทาง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ลูกน้องที่เขาพาไปเสียชีวิตแทบทั้งหมด มีผู้เหลือรอดเพียงไม่กี่คน

ในท้องพระโรง ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารล้วนโมโหเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่าผู้ประสบภัยเหล่านี้ไม่คู่ควรกับการช่วยชีวิต บอกว่าหนานโจวเป็นดินแดนป่าเถื่อน ควรเข้าควบคุมพวกเขาด้วยกำลัง

“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปจัดการเรื่องบรรเทาทุกข์หนานโจวด้วยตนเอง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย

“ฮองเฮา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ คนป่าเถื่อนเหล่านั้นโหดร้ายกับขุนนางที่ไปช่วยบรรเทาทุกข์ หากฮองเฮาไปแล้ว เกรงว่าจะเป็นอันตราย หากพวกเขาใช้พระองค์เป็นเครื่องต่อรองกับราชสำนัก เช่นนั้นพวกเรายิ่งจะเป็นฝ่ายถูกกระทำนะพ่ะย่ะค่ะ”

“หนานโจวห่างจากเราเพียงสิบวันเท่านั้น อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หากหนานโจวเป็นเมืองป่าเถื่อน เช่นนั้นพวกเรานับเป็นอะไร?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวต่อไป “บัดนี้พวกเราเพียงแค่ได้ยินข่าว สถานการณ์แท้จริงเป็นอย่างไรยังต้องตรวจสอบกันต่อ ถ้าใต้เท้าทุกท่านจะให้คำพูดเพียงไม่กี่คำที่ส่งกลับมายืนยันว่าหนานโจวกำลังจะกบฏ พวกท่านมีเพียงสองริมฝีปากเผยอขึ้นลง ดังนั้นถ้อยคำที่กล่าวออกมาจะต้องรับผิดชอบให้ได้”

“ฮองเฮาเสด็จไปหนานโจวเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเฟิ่งกล่าว “เรื่องในราชสำนักกระหม่อมจะหารือกับใต้เท้าทุกท่าน หากมีอะไรตัดสินไม่ได้จะส่งม้าเร็วแปดร้อยลี้ไปยังหนานโจวเพื่อให้พระนางตัดสินใจ”

ใต้เท้าจิ้นและใต้เท้าหยางเห็นด้วย

ทั้งสามคนนี้เป็นผู้ที่เซี่ยเฉิงจิ่นแต่งตั้งมาจึงล้วนมีใจภักดี แน่นอนว่าบางครั้งวิธีการจัดการของพวกเขาออกจะทะนงตนบ้างเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีไหวพริบเพียงพอ

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ องค์หญิงใหญ่และอู่อันอ๋องจะกลับเข้ามาในราชสักนัก ใต้เท้าทุกท่านสามารถหารือกับทั้งสองท่านได้” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางทั้งหลายต่างมองหน้ากัน

ราชวงศ์อาณาจักรเฟิ่งหลินมีปัญหาเรื่องมีผู้สืบสันตติวงศ์ยาก องค์หญิงใหญ่ซ่างกวนหมิงเสียจึงเติบโตมาในห้องทรงพระอักษรเช่นเดียวกันกับเหล่าองค์ชาย อย่างไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่ล้วนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก จึงไม่มีผู้ใดเห็นนางเป็นจริงเป็นจัง

ส่วนอู่อันอ๋อง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรฮุ่ย เป็นที่รู้จักในเรื่องรูปร่างหน้าตาและความสง่างามดุจภาพศิลป์มาโดยตลอด เมื่อทั้งสองคนกลับมายังราชสำนักก็เพียงแค่มีตำแหน่งเพิ่มขึ้นมาสองตำแหน่งเท่านั้น คงไม่ได้มีบทบาทใหญ่โตอะไร

เมื่อลู่จื่ออวิ๋นเสร็จจากว่าราชกิจช่วงเช้าก็สั่งให้คนของนางเก็บสัมภาระ นางต้องเร่งเดินทางไปยังหนานโจวทันที

“ฮองเฮา พระวรกายของท่าน…”

“สุขภาพของข้าแข็งแรงดี” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เจ้าไปตามจือเหยียนมา พานางไปด้วย”

หมิงจือเหยียนเดินถือล่วมยาเข้ามา “ไม่ต้องตามหาข้า ข้ามาด้วยตัวเองแล้ว”

“จือเหยียน เดินทางครานี้ลำบากเจ้าแล้ว”

“หากฮองเฮาไม่เกรงกลัวความลำบาก ข้ามีอะไรให้กลัวเล่าเพคะ?” หมิงจือเหยียนเอ่ย “หนานโจวเกิดภัยธรรมชาติ ที่นั่นยิ่งมีราษฎรที่ต้องการข้ามากมาย ติดตามฮองเฮาไปครานี้ก็ดีเช่นกัน ข้าจะได้สร้างประโยชน์ให้ได้มากยิ่งขึ้น”

ซ่างกวนหมิงเสียและอู่อันอ๋องเข้ามาในวังหลวง พร่ำบอกให้ลู่จื่ออวิ๋นระมัดระวังตัวตลอดทาง พวกเขาถามว่านางพาคนไปกี่มากน้อย มีองครักษ์ลับคอยปกป้องนางมากพอหรือไม่

ลู่จื่ออวิ๋นพาคนไปไม่น้อย แน่นอนว่าย่อมมากพอแล้ว ทว่าข้าวของที่อยู่กับซื่อจื่ออันกั๋วกงถูกปล้นไป นางจึงต้องตระเตรียมเสบียงและข้าวของชุดใหม่ส่งไปที่นั่น อย่างไรก็ตาม สิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในคลังนั้นต้องรักษาไว้เพื่อหนุนทหารที่ชายแดน ไม่อาจใช้ได้ตามใจต้องการ

นางทำได้เพียงเรียกพ่อค้าวาณิชเข้ามาในวัง ทำสัญญากับพวกเขา แสดงความจำนงในการหยิบยืมเสบียงจากพวกเขาโดยละเว้นภาษีให้เป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากเรื่องในหนานโจวสิ้นสุดลงแล้ว นางจึงจะส่งคืนของทั้งหมดให้

ร้านสาขาสกุลลู่ก็มีทรัพยากรทางการเงินจำนวนมากอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน นี่เป็นทางรอดที่มู่ซืออวี่ทิ้งไว้ให้ลูกสาว ขอเพียงแค่นางเอ่ยปากก็สามารถใช้ได้มากเท่าที่ต้องการ ถึงแม้ลู่จื่ออวิ๋นจะเป็นฮองเฮาของอาณาจักร อย่างไรเสียก็เป็นบุตรสาวของสกุลลู่ด้วยเช่นกัน นางย่อมไม่ปล่อยให้มารดาตนเองต้องลำบาก ดังนั้นเมื่อสาขาสกุลลู่สามารถจัดหาข้าวของเสบียงให้ได้ พวกเขาจึงได้รับการยกเว้นภาษีเช่นกัน เพียงแต่เนื่องจากสกุลลู่จัดหาเสบียงให้มากที่สุดจึงได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาสามปี

“ฮองเฮา ท้องพระคลังไม่มีเงินคืนให้มากมายเพียงนั้น หลายปีที่ผ่านมา ทุกหนทุกแห่งล้วนต้องใช้เงิน ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงทิ้งความยุ่งเหยิงเอาไว้ เพื่อพัฒนาอาณาจักรให้เข้มแข็งขึ้นมา ฝ่าบาทและพระนางทรงทุ่มเทไปไม่น้อย”

“ซื่อจื่ออันกั๋วกงไม่ได้กล่าวว่าเงินบรรเทาทุกข์ถูกโจรขโมยไปหรือ?”

“ใช่แล้วเพคะ!

“เช่นนั้นก็ไปปราบโจร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทหารที่รั้งอยู่ในเมืองหลวงเกียจคร้านและเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็มอบหมายงานสักอย่างให้พวกเขาทำเถิด ในเมื่อซื่อจื่ออันกั๋วกงกล่าวว่าของบรรเทาทุกข์ถูกโจรขโมยไป พวกเราก็แค่ตรวจสอบและตามหาโจรเหล่านั้นที่ขโมยเงินบรรเทาทุกข์ เอาเงินกลับคืนมา มิเช่นนั้นจะปล่อยให้สูญเปล่าไปเช่นนี้หรือ นั่นไม่เท่ากับการตบหน้าราชสำนักของพวกเราหรือไร?”

“กล่าวเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยพวกกลุ่มที่ก่อความวุ่นวาย หากพวกเรากำจัดพวกมันให้หมด ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาภัยพิบัติในท้องที่ แต่ยังแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทองได้ด้วย”

“อันที่จริงผ้าแพรไหมของพวกเราได้ส่งออกไปขายยังอาณาจักรต่าง ๆ แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาจึงจะได้ทุนคืน อีกทั้งเพราะสงคราม อาณาจักรเหลียงจึงไม่อาจรับสินค้าเราอีกต่อไป นี่ก็ส่งผลกระทบต่อการค้าขายด้วยเช่นกัน” ติงเซียงเอ่ย

“ไม่รีบร้อน อาณาจักรเฟิ่งหลินเพิ่งเริ่มต้น ยังต้องใช้เวลาในการเติบโต เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ”

ก่อนที่จะออกเดินทาง ลู่จื่ออวิ๋นได้เรียกแม่ทัพทั้งหมดเข้ามาในวังหลวง แม่ทัพส่วนหนึ่งสั่งให้ทหารเคลื่อนพลออกจากเมืองในทันที ส่วนไปที่ใดนั้นไม่มีผู้ใดรู้ มีเพียงลู่จื่ออวิ๋นเท่านั้นที่กระจ่างแจ้ง

แม่ทัพที่เหลือต้องรั้งอยู่ในเมืองหลวงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเมือง เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร หากเกิดความวุ่นวายที่นี่ ทั่วทั้งแผ่นดินย่อมโกลาหล ดังนั้นอำนาจทางการทหารที่นี่จึงมีความสำคัญมาก

ลู่จื่ออวิ๋นนำคนนับร้อยชีวิตออกเดินทางพร้อมกับเสบียงบรรเทาทุกข์จำนวนมาก หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เปลี่ยนเป็นเส้นทางน้ำแล้วค่อยเปลี่ยนกลับเป็นเส้นทางบก ท้ายที่สุดจึงมาถึงหนานโจวได้

“สวรรค์ ที่นี่ไม่มีแม้กระทั่งที่ให้เหยียบเท้าลงไป” ติงเซียงมองสภาพเละเทะวุ่นวายตรงหน้าแล้วบังลู่จื่ออวิ๋นไว้ด้านหลัง

“ที่นี่เป็นศูนย์กลางของหนานโจว จวนผู้ตรวจการก็อยู่ที่นี่ หากภัยพิบัติที่นี่ยังร้ายแรงเพียงนี้ ที่อื่นจะไม่ยิ่งเลวร้ายกว่าหรือ” ไป๋จื่อเอ่ย “ฮองเฮา จากนี้พวกเราจะไปที่ใดเพคะ?”

เหล่าผู้ประสบภัยมองดู ‘ปลาตัวใหญ่’ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

ไม่ผิด! สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นปลาตัวใหญ่

ในห่อเล็กห่อใหญ่เหล่านั้นจะต้องมีสิ่งของเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีคนมากเกินไป อีกทั้งแต่ละคนล้วนมีอาวุธครบมือ ถึงแม้ว่าพวกเขาคิดจะฉกฉวยมาก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนอยู่ดี

——————————————

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Score 10
Status: Completed
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

Options

not work with dark mode
Reset