สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 678 เปิดเผย

บทที่ 678 เปิดเผย

บทที่ 678 เปิดเผย

กู้เจียวกลับมาถึงเมืองชั้นนอกในยามบ่าย จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่หอเทียนเซียงเพื่อทำแผลให้กู้เฉิงเฟิง กว่าจะได้กลับบ้านฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

เพิ่งจะเดินมาถึงถนนที่ตัดไปยังตรอกบ้านของตัวเอง ก็เห็นราชาม้ากับท่านอาวุโสเมิ่ง

ราชาม้าไม่เหมือนกับม้าอีกตัวในบ้าน มันต้องออกไปเดินเล่นทุกวัน ไม่เช่นนั้นมันจะอาละวาดรังแกม้าอีกตัวที่อยู่ท้ายเรือน

ราชาม้าเห็นกู้เจียวก็ตัดสินใจไม่พาตาเฒ่าเดินเล่นต่อแล้ว

มันคาบบังเหียนวิ่งกุบกับมาหยุดตรงหน้ากู้เจียว แล้วยื่นบังเหียนมาตรงหน้านาง

มันจะพากู้เจียวไปเดินเล่นแทน

ก่อนที่ฝนจะโปรยลงมายังเมืองชั้นใน เมืองชั้นนอกก็ชุ่มฉ่ำตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ฝนกระหน่ำหนักทีเดียว กู้เจียวกับท่านอาวุโสเมิ่งหาหอสุราที่มีคอกม้าหลบฝนกัน

พอได้หลบก็หลบยาวถึงหนึ่งชั่วยามเศษ จนฟ้ามืดไปแล้ว

“ฝนหยุดแล้ว” กู้เจียวมองไปนอกหน้าต่างพลางเอ่ย

ท่านอาวุโสเมิ่งลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นก็รีบกลับกันเถิด อีกเดี๋ยวจะตกมาอีกระลอก”

กู้เจียวส่งเสียงอืมคำหนึ่ง “ข้าไปจูงม้าก่อน”

คอกม้าอยู่ข้างลานหลังหอสุรา กู้เจียวจูงม้าออกมา

เสียงเกือกม้าลอยมาจากถนนไกลๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้เจียวไม่ได้สนใจ เพราะถนนกว้างขวางมาก ไม่ต้องหลีกทางให้ใคร

แต่ในขณะที่กู้เจียวจูงราชาม้ามาถึงหน้าหอสุรานั้น จู่ๆ ด้านในก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมา

เมื่อเห็นว่าเขาจะวิ่งไปถึงใต้เกือกม้าแล้ว กู้เจียวทะยานไปอุ้มเด็กคนนั้นกลิ้งมาอีกฝั่งของถนน

เกือกม้าย่ำลงอย่างแรงบริเวณที่กู้เจียวช่วยเด็กออกมา น้ำกระเด็นกระดอนไปหมด!

คนผู้นั้นเห็นว่าเด็กวิ่งออกมาแล้วเช่นกัน เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดึงบังเหียนไว้ เพียงแต่วิ่งมาเร็วเกินไป หากไม่ได้กู้เจียวโผมา เด็กคนนั้นได้ตายคาเกือกม้าของเขาเป็นแน่

เขาทอดสายตามองเด็กหนุ่มกับเด็กที่เปียกชุ่มทั้งตัวอย่างเย็นชา ก่อนเอ่ยเสียงอันเหี้ยมโหด “คราวหน้าอย่ามารนหาที่ตายอีก!”

พวกสหายของเขาไล่ตามมาถึง หนึ่งในนั้นเอ่ย “เอาละ รีบไปกันเถิด อย่าชักช้าเสียเวลาเลย”

“เหอะ!” เขาคว้าบังเหียน ฟาดแส้ใส่ม้า ม้าวิ่งทะยานไม่ทิ้งฝุ่น

“ลูกแม่! ลูกแม่!”

หญิงนางหนึ่งวิ่งโซเซออกมาจากหอสุรา

กู้เจียวส่งเด็กให้นาง

ตอนที่กลิ้งอยู่ในน้ำกู้เจียวใช้ร่างกายปกป้องเขาไว้ นอกจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นอะไร

“ขอบคุณท่านชายน้อยยิ่งนัก! ขอบคุณท่านชายน้อยยิ่งนัก!” นางอุ้มลูกขอบคุณไม่หยุด โนเวลพีดีเอฟ

กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร สีหน้าเรียบนิ่งเดินข้ามถนนไปหยุดตรงหน้าท่านอาวุโสเมิ่ง “ไปกันเถอะ”

ท่านอาวุโสเมิ่งทอดสายตามองเงาร่างที่ค่อยๆ หายไปจากสุดหัวถนนอย่างประหลาดใจ “แปลกจริง ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คนของจวนไท่จื่อจะทำการใดกัน ทางนั้นมันประตูเมืองฝั่งใต้ของเมืองชั้นนอกมิใช่หรือ พวกเขาจะออกจากเซิ่งตูกันรึ”

กู้เจียวเอ่ย “พวกเมื่อครู่นี้เป็นคนของไท่จื่ออย่างนั้นรึ”

ท่านอาวุโสเมิ่งพยักหน้า “เป็นองครักษ์เสื้อแพรของจวนไท่จื่อ”

แม้ว่าจะไม่ได้สวมเครื่องแบบขององครักษ์เสื้อแพร แต่หนึ่งในนั้นเขาเคยเห็นที่จวนไท่จื่อมาก่อน

กู้เจียวชะงักพลางเอ่ย “แววตาพวกเขามีไอสังหาร คงไปฆ่าคน”

ชาติก่อนนางเป็นมือสังหาร จึงคุ้นเคยกับคนลักษณะเช่นนี้ดี

“ฆ่าคนรึ” ท่านอาวุโสเมิ่งขมวดคิ้ว ทอดมองไปยังทางที่พวกเขาจากไปอีกหน ความเร็วของพวกเขารวดเร็วสุดขีด บนถนนไร้เงาของพวกเขาไปแล้ว

“ทางนั้นเหมือนจะเป็น…”

สุสานกษัตริย์

วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใส

กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนที่สำนักบัณฑิต

ชนะการแข่งขันอีกนัดมาได้ กู้เจียวสัมผัสถึงไมตรีของเหล่านักเรียนในสำนักบัณฑิตอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ที่นางเข้าประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตมา ก็รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางดอกไม้

“ลิ่วหลัง!”

“ลิ่วหลัง!”

“ลิ่วหลัง! ลิ่วหลัง! เท่ระเบิดไปเลย!”

กู้เจียวมองผู้คนที่ออกมาต้อนรับ

…ไม่เห็นต้องถึงขนาดนี้เลย

อาจารย์อู่เห็นอกเห็นใจทุกคนที่ลำบากในการแข่งขัน วันนี้จึงไม่ได้ให้พวกเขารั้งอยู่ฝึกซ้อมกัน กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นจึงกลับบ้านกันไว

เพิ่งจะถึงหน้าบ้าน ก้อนข้าวเหนียวน้อยก็โผออกมาหา

“เจียวเจียว!”

กู้เจียวรับตัวเขาไว้ด้วยมือเดียว “จิ้งคง เอ๋ เร็วขึ้นอีกแล้วนี่นา”

เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “นั่นเป็นเพราะว่าข้าตั้งใจฝึกฝนอยู่ทุกวันน่ะสิ!”

จากนั้นเขาก็ทักทายกู้เสี่ยวซุ่น “พี่เสี่ยวซุ่น!”

กู้เสี่ยวซุ่นบีบแก้มเขา

กู้เจียวจูงมือน้อยๆ ของเขาเข้าไปข้างใน เดินไปพลาง มองไปทางห้องโถงไปพลาง

“ไม่ต้องมองแล้ว เซียวเหิงไม่ได้มา”

เสียงคุ้นหูลอยขึ้นพร้อมกับกู้เฉิงเฟิงที่เดินอาดๆ ออกมาจากด้านใน

เขามองเสี่ยวจิ้งคงที่กระโดดโลดเต้นโดนกู้เจียวจูงไว้แวบหนึ่ง เอ่ย “ข้าเป็นคนไปรับเขาออกมาจากเมืองชั้นในเอง”

เสี่ยวจิ้งคงรีบเอ่ยอย่างจริงจัง “เจียวเจียววันนี้ข้าไม่มีเรียน! ข้าไม่ได้โดดเรียนนะ!”

“อื้ม” กู้เจียวเชื่อเขาจึงพยักหน้าให้

มีเซียวเหิงอยู่ ก็คงไม่มีทางให้เจ้าโดดเรียนหรอก

“แผลเจ้าหายดีแล้วรึ” กู้เจียวถามกู้เฉิงเฟิง

“เจียวเจียว ข้าไปหาเสี่ยวสืออีนะ!” เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะเอ่ยขึ้น

กู้เจียวลูบศีระษะน้อยๆ ของเขา “ไปสิ”

เสี่ยวจิ้งคงแกว่งแขนป้อมวิ่งตึงตังออกไป “เสี่ยวสืออี! ข้ามาแล้ว!”

ราชาม้าที่กำลังกินหญ้าอยู่เรือนท้ายพลันขนลุกชัน สะดุ้งโหยง!

รีบมาหยุดหน้าเครื่องโม่ทันที

มันจะลากเครื่องโม่!

บทสนทนาของทั้งคู่ยังคงดำเนินต่อไป

กู้เฉิงเฟิงเลิกคิ้วเอ่ย “แผลข้าหายตั้งนานแล้ว เมื่อวานเจ้าก็เห็นแล้วมิใช่รึ”

ถูกต้อง เมื่อวานตอนที่กู้เจียวไปเปลี่ยนยาให้กู้เฉิงเฟิงก็พบว่าเขาฟื้นตัวได้พอสมควรแล้ว

กู้เจียวเอ่ย “เจ้ามาได้พอดีเลย อีกเดี๋ยวจะได้ตัดไหมพอดี”

กู้เฉิงเฟิง “…”

กู้เฉิงเฟิงถูกลากเข้าไปในห้อง แล้วถูกกู้เจียวตัดไหมให้โดยไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน

ตลอดปีมานี้อันที่จริงวรยุทธ์ของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับความเร็วในการก้าวหน้าของเด็กสาวนางนี้แล้วกลับไม่น่าพอใจเลยสักนิด

เด็กคนนี้มัวทำอะไรอยู่ ฝีมือไม่กระเตื้องไปไหนเลย

กู้เจียววางกรรไกรลง เริ่มเก็บข้าวเก็บของ

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าไม่ถามหน่อยรึว่าข้าเข้าเมืองชั้นในได้อย่างไร”

รีบชมข้าเก่งสิ รีบชมเร็วเข้า!

กู้เจียวเอ่ย “อ๋อ เฟยซวงจอมโจรอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ขโมยเด็กสักคนออกมาคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรกระมัง”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยในใจ ขโมยเด็กสักคนออกมามันหมายความว่าอย่างไร! เขาเป็นคนแบบนั้นรึ!

แต่หากว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว การเข้าแคว้นเยี่ยนนั้นยากที่สุด แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ในการแอบแฝงตัวเข้าไปเลย ด่านเมืองชั้นนอกของเซิ่งตูก็เข้มงวดมาก แต่เหมือนว่าตราบใดที่เข้าไปได้แล้ว ก็แทบจะไม่โดนตรวจอีกเลยไม่ว่าจะที่ไหนเวลาใด

อย่างไรเสีย สิ่งที่ควรขวางก็ขวางไว้นอกเมืองหมดแล้ว

กู้เฉิงเฟิงรู้สึกว่าใช้วาทศิลป์กับกู้เจียวแล้วไม่ให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จเลยสักนิด เพราะกู้เจียวไม่มีทางรับไม้ที่คนอื่นโยนให้ นางมันเจ้าแห่งความกร่อย เจ้าแห่งการจบบทสนทนา

“สวี่เฟิ่งเซียนสร้างตัวตนใหม่ให้กับข้า แล้วก็ตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในด้วย” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย

กู้เจียวสีหน้าฉงน นึกไม่ถึงว่ากู้เฉิงเฟิงจะมีตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในด้วย

“ข้าก็อยากได้” นางบอก

“เช่นนั้นเจ้าเล่นงิ้วเป็นหรือไม่”

ไม่เป็น

“เจ้าเล่านิทานเป็นหรือไม่”

ก็ไม่เป็น

“แล้วดีดพิณร้องขับกลอนเป็นหรือไม่”

อันนี้นางทำเป็น

“กับบุรุษหน้าเหม็นสายตาหื่นกามทั้งกลุ่ม และห้ามต่อยคนด้วยนะ”

กู้เจียว “…”

นางจะต่อย

กู้เฉิงเฟิงรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เขาโบกมือไปมาพลางเอ่ย “เอาละ เอาละ วันนี้ข้ามาคุยธุระกับเจ้า”

“ว่ามา” กู้เจียวใส่สำลีที่ใช้แล้วลงในตะกร้าที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเหมือนไม่แยแส “ข้าอยู่ที่หอเทียนเซียงหลายวันมานี้ บังเอิญได้ข่าวบางอย่างมาโดยไม่ได้ตั้งใจ”

บังเอิญคือคำถ่อมตัว เห็นได้ชัดว่าเขาเค้นสมองหาวิธีและความสามารถทั้งตัวออกมา ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตเพื่อสืบข่าว

“ข้าฟังอยู่” กู้เจียวเอาผ้าพันแผลใช้แล้วใส่ลงในตะกร้าเดียวกันอีกหน ของพวกนี้อีกเดี๋ยวก็ต้องเผาทำลาย

กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “คราก่อนคนที่ไปลอบสังหารเซียวเหิงที่แคว้นเจาเป็นคนของตระกูลหนานกงกระมัง”

“อืม เจ้ารู้อยู่แล้วมิใช่หรือ” เรื่องนี้กู้เจียวไม่ได้ปิดบังเขา

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยต่อ “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลหนานกงกับจวนไท่จื่อสนิทสนมกัน หนานกงลี่เป็นคนสนิทของไท่จื่อ”

ในสมองกู้เจียวมีบทสนทนาของหนานกงลี่กับผู้ดูแลร้านที่นางได้ยินในโรงรับจำนำวันนั้นผุดขึ้นมา…

‘ฝ่าบาททรงกริ้วมาก บอกว่าเหตุใดเรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้’

‘นี่มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะ! แขนข้าขาดไปข้างหนึ่งเชียวนะ!’

ดังนั้น ‘ฝ่าบาท’ ที่ผู้ดูแลหมายถึงก็คือไท่จื่อแคว้นเยี่ยนอย่างนั้นรึ

ไท่จื่อแคว้นเยี่ยนต้องการจะเอาชีวิตเซียวเหิงรึ

เหตุใดไท่จื่อแคว้นเยี่ยนต้องทำเช่นนี้ด้วย

เซียวเหิงมีความสัมพันธ์อะไรกับราชวงศ์แคว้นเยี่ยนกันแน่

กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “ตระกูลหนานกงกับตระกูลหันล้วนเป็นตระกูลฝ่ายไท่จื่อ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้ไม่ค่อยลงรอยกันนัก”

เขาลำบากลำบนเพราะเงื้อมือคนตระกูลหัน ตอนสืบข่าวจึงยากที่จะเลี่ยงในการสืบความตระกูลหันมาด้วย

เขาเล่าต่อ “ข้าได้ยินว่าบุตรชายสายตรงสองคนของตระกูลหันโดนคนต่อยมาติดๆ กันเลย จะเป็นฝีมือของตระกูลหนานกงหรือไม่”

กู้เจียวเอ่ย “ไม่ใช่”

กู้เฉิงเฟิงถามอย่างแปลกใจ “เจ้ามั่นอกมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ตระกูลหนานกง”

กู้เจียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยไปตามตรง “เพราะเป็นฝีมือข้าเอง”

กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุกยิกๆ สมกับที่เด็กสาวนางนี้ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ…

“ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่” กู้เจียวถาม

กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้าเอ่ย “ตอนนี้เหมือนจะไม่มีข่าวที่มีประโยชน์อะไรแล้ว”

ข่าวที่เขาสืบมาจากหอเทียนเซียงมีน้อย เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นข่าวซุบซิบของตระกูลขุนนางมากกว่า เอามาสนทนาหลังมื้ออาหารในโรงน้ำชาพอได้ แต่ไม่ได้มีค่าอะไร

“อ๋อ เดี๋ยวก่อน”

เขาพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเหมือนคิดบางอะไรอย่างอยู่ “ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่อง องค์หญิงจะกลับมาแล้ว ว่ากันว่าฮ่องเต้อนุญาตให้นางกลับมา”

“ฮ่องเต้… องค์หญิง…” มือที่จัดกระเป๋ายาของกู้เจียวชะงักไป

กู้เฉิงเฟิงเห็นนางชะงักไปจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรไป”

กู้เจียวเอ่ย “องค์หญิงอาจจะไม่ได้กลับมาง่ายๆ ”

กู้เฉิงเฟิงถาม “เพราะอะไรรึ”

กู้เจียวมองยาในกล่องใบน้อย ก่อนเอ่ย “เมื่อคืนข้าเจอพวกมือสังหารของจวนไท่จื่อ หากองค์หญิงจะกลับมา เช่นนั้นก็คงจะต้องไปสังหารนางนี่ล่ะ”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset