วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 15-13

ตอนที่ 15-13

รยูฮาหลบสายตาของเหล่าข้าราชบริพารและหยิกแขนฮอนอย่างแรง แต่นั่นก็หลังจากที่ผู้จดบันทึกผู้ซื่อสัตย์ได้จดบันทึกทุกอย่างลงไปตามที่ตนได้เห็นและได้ยินเรียบร้อยแล้ว วันนี้ที่รยูฮามาหาก่อนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์สำหรับฮอนถูกบันทึกลงในบันทึกประจำวันตามความประสงค์ของเขา อีกทั้งยังสามารถส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้เป็นพันปี รยูฮายิ้มกว้างและจับมือฮอนออกไปจากห้องทรงงานอันน่าอึดอัด แล้วจึงเดินตรงไปยังศาลาที่เตรียมโต๊ะชงชาไว้ก่อนแล้ว  

 

 

หิมะเกล็ดใหญ่ช่างงดงาม หิมะสีขาวกองทับถมกันทั้งบนสระน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งและบนกิ่งไม้ที่ใบไม้ร่วงโรยไปหมดแล้ว บ้างก็ร่วงหล่นลงพื้นเพราะไม่สามารถแบกรับน้ำหนักไว้ได้ แม้อากาศจะหนาว แต่ฮอนกับรยูฮาซึ่งห่มผ้าขนสัตว์ผืนเดียวกันตรงหน้าเตาไฟที่ร้อนระอุไม่รู้สึกถึงความหนาวใดๆ รยูฮามองดูนิ้วยาวของฮอนที่ขยับเคลื่อนไหวและรินชาได้อย่างคล่องแคล่วไม่น้อย ก่อนจะพึมพำออกมา  

 

 

“…ดูรึบ[1]”  

 

 

“ว่าอย่างไรนะ”  

 

 

“ดูรึบ”  

 

 

“ดูรึบ?”  

 

 

ฮอนถามย้ำอีกหลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินเมื่อสักครู่ถูกต้อง จู่ๆ ก็พูดถึงดูรึบในขณะที่นั่งผิงไฟชมหิมะในช่วงกลางฤดูหนาวเนี่ยนะ  

 

 

“อยากกินดูรึบเพคะ”  

 

 

เขาไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบกลับไปอย่างไร ฮอนวางถ้วยชาที่มีควันพวยพุ่งตรงหน้ารยูฮา จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางอื่นราวกับตั้งใจจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ รยูฮาจึงทำเสียงเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย  

 

 

“หม่อมฉันบอกว่าอยากกินดูรึบเพคะฝ่าบาท”  

 

 

ฮอนรู้ว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป รยูฮาไม่เคยขออะไรมากมายจากเขา แต่เมื่อขอแล้ว เขาจะต้องฟังอย่างเดียวเท่านั้น  

 

 

“รออีกสักสองสามเดือนไม่ได้หรือ อย่างที่เจ้าเห็น…ตอนนี้มันฤดูหนาวนะ”  

 

 

รยูฮาก็รู้อยู่แล้วว่าที่ฮอนพูดนั้นถูกต้อง มันจะมีอะไรที่เป็นฤดูหนาวได้มากกว่านี้อีก หิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมาบนสระน้ำที่เป็นน้ำแข็ง ไฟในเตาผิงที่ลุกโชนและไอสีขาวที่ลอยออกมาจากปากทุกครั้งที่หายใจ อย่างไรก็ตามนางก็อยากกินดูรึบ เป็นอารมณ์ที่ถ้าไม่ใช่อันนั้นก็ไม่อยากกิน  

 

 

“หม่อมฉัน…อยากกินดูรึบจริงๆ นะเพคะ”  

 

 

ทั้งที่เป็นช่วงฤดูหนาว ทั้งที่หิมะตก ทำไมถึงอยากกินดูรึบกันนะ มันคือผักที่พบได้เกลื่อนกลาดทั่วไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากกินดูรึบในช่วงกลางฤดูหนาวแบบนี้ รยูฮาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็อยากกินอยู่ดี หลังจากนู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ สุดท้ายนางจึงเริ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ฮอนก็เริ่มทำตัวไม่ถูกพลางดึงไหล่ของนางเข้ามากอดแล้วตบเบาๆ  

 

 

“มีของอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย ข้าไปเอาลูกพลับแห้งมาให้ดีหรือไม่ เจ้าชอบมากมิใช่หรือ”  

 

 

“ดูรึบ แต่หม่อมฉันอยากกินดูรึบเพคะ”  

 

 

“แล้วจะไปเอาดูรึบที่หาไม่ได้มาจากไหนกันเล่า หืม?”  

 

 

“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็อยากกินเพคะ”  

 

 

“อดทนรออีกไม่นานนะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาดูรึบที่ขึ้นเป็นอันแรกสุดมาให้เลย”  

 

 

“อยากกินตอนนี้เพคะ หม่อมฉันอยากกินดูรึบตอนนี้เพคะ”  

 

 

แม้ว่านางจะดื้อ แต่ก็ไม่เคยดื้อแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกไม่คุ้นชินกับรยูฮาที่พยายามร้องหาดูรึบด้วยความดื้อดึงเหมือนกับเด็กน้อยแต่ก็น่ารักดี ทว่าหลังจากเป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลง เนื่องจากว่าฮอนก็เป็นมนุษย์เช่นกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเริ่มขมวดคิ้วทีละนิด สุดท้ายเขาก็พูดเสียงดังปนหงุดหงิดเล็กน้อยขึ้นมา  

 

 

“เจ้าต้องขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิ! หิมะตกแบบนี้จะไปหาดูรึบมาจากไหนเล่า!”  

 

 

โอ๊ะ เขารีบปิดปากอย่างรวดเร็วแต่มันก็สายไปแล้ว ดวงตาของรยูฮาที่เบิกโตกว่าปกติจ้องเขาเขม็งประหนึ่งสัตว์ที่มีบาดแผล  

 

 

“ตอนนี้…ทรงขึ้นเสียงใส่หม่อมฉันหรือเพคะ”  

 

 

“ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้ขึ้นเสียงใส่เจ้า”  

 

 

“ทรงขึ้นเสียงเพคะ เมื่อสักครู่นี้เลยเพคะ”  

 

 

“เสียงมันดังขึ้นไปเองโดยที่ข้าก็ไม่รู้ตัวน่ะ เสียงมัน…”  

 

 

“ทรงขึ้นเสียงใส่หม่อมฉันเพียงเพราะหาดูรึบมาให้ไม่ได้หรือเพคะ”  

 

 

รยูฮาจ้องมองฮอนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นจึงโยนผ้าขนสัตว์ที่ห่มอยู่ออกไปด้านนอกราวกั้นเต็มแรง ผ้าขนสัตว์สีขาวเต้นระบำอยู่ระหว่างหิมะที่กำลังตกแล้วจึงร่วงลงมาพร้อมกัน เหล่าข้าราชบริพารที่ตื่นตระหนกตกใจครึ่งหนึ่งหมอบกราบ ส่วนอีกครึ่งวิ่งไปเก็บผ้าขนสัตว์  

 

 

“ขอโทษ ขะ ข้าขอโทษนะ พระมเหสี”  

 

 

“หม่อมฉันรู้สึกไม่ดี คงจะต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อนเพคะ และวันนี้ห้ามเสด็จมาที่วังจานยองด้วยเพคะ!”  

 

 

รยูฮาปัดมือของฮอนที่พยายามคว้าตัวนางไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายลับตาไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีเรื่องที่ตัวเองทำผิดสักนิด คนที่ผิดก็คือรยูฮาแต่ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงกลายเป็นคนที่โดนต่อว่าเสียอย่างนั้น แต่พอมองไปรอบๆ ก็เห็นสายตาของเหล่าข้าราชบริพารที่มองลงด้านล่างราวกับกำลังตำหนิฮอนอยู่อย่างชัดเจน  

 

 

ให้ตายสิ ขึ้นเสียงใส่พระมเหสีเพียงเพราะบอกว่าอยากกินดูรึบอย่างนั้นหรือ แม้ว่าความจริงจะไม่มีใครพูดอย่างนั้น แต่สำหรับฮอนแล้วเสียงนั้นมันชัดเจนเหมือนกับดังออกมา ฮอนกุมหัวและโขกหน้าผากกับโต๊ะ ในพระราชวังแห่งนี้มีใครที่จะเข้าข้างเขาบ้างสักครั้งไหม  

 

 

 

 

 

* * *  

 

 

 

 

 

“พระมเหสี ถึงเวลาเสด็จไปวังจางชุนแล้วเพคะ”  

 

 

“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ส่งข่าวไปยังวังจางชุนด้วย”  

 

 

“แต่ฝ่าบาททรงรออยู่ด้านนอกแล้วเพคะ…”  

 

 

“ข้าบอกแล้วไงว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”  

 

 

แม้ว่าจะชวนให้มาปรับความเข้าใจกันหลายรอบ แต่รยูฮาก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน แถมยังไม่ให้ฮอนเข้ามาข้างในอีกด้วย หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สวนด้านหน้าวังจานยองด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ในท้ายที่สุดฮอนก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องไปที่วังจางชุน นกกระจอกที่ลืมเรื่องความหนาวตื่นตกใจบินขึ้นไปเกาะบนหลังคาเพราะฝีเท้าของเขา  

 

 

“ทำไมถึงเสด็จมาคนเดียวหรือฝ่าบาท”  

 

 

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พระมเหสีทรงประชวร กระหม่อมจึงเสด็จมาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“คงจะเป็นเพราะช่วงนี้อากาศเย็นลงสินะ เห็นทีน่าจะต้องส่งคนไปดูเสียหน่อย”  

 

 

“เรื่องนั้น”  

 

 

คำตอบของเสด็จย่าที่เข้าทางเขาพอดี ทำให้คำพูดที่เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวังนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ  

 

 

“กระหม่อมได้ปลอบใจนางอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมบอกไปว่ารออีกแค่สองเดือน แล้วเดี๋ยวไปเอาดูรึบที่ขึ้นเป็นต้นแรกมาให้เลย”  

 

 

“ทรงทำได้ดีแล้วเพคะ”  

 

 

“แต่นางบอกว่าจะต้องกินตอนนี้ให้ได้พ่ะย่ะค่ะ แถมยังน้ำคาคลอแล้วบอกว่าจะกินตอนนี้ ดังนั้นกระหม่อมจึงขึ้นเสียงไปนิดหน่อยว่าขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“พระมเหสีน้ำตาคลออย่างนั้นหรือ”  

 

 

พอได้ฟัง พระพันปีก็เอียงคอด้วยความสงสัย พระมเหสีกับน้ำตา ช่างเป็นการจับคู่ที่ไม่เข้ากันเสียเลย ยิ่งเป็นเพราะไม่ได้กินดูรึบอีกด้วย  

 

 

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า จากนั้นนางก็กลับไปที่วังจานยองทันทีแล้วไม่ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ซังกุงบอกนางไม่เสวยอาหารเช้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ พอจะส่งหมอหลวงเข้าไปดูก็ตอบกลับมาว่าไม่อยากเจอใครพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“ดูรึบอย่างนั้นหรือ”  

 

 

มีบางอย่างแปลกๆ อาหารที่พระพันปีชื่นชอบในขณะที่ตั้งท้องอดีตพระราชาผู้ล่วงลับไปแล้วก็คือดูรึบ ดวงตาของพระพันปีที่หยุดความคิดลงตรงนั้นเบิกโตขึ้น อย่าบอกนะว่า ไม่สิ ใช่แล้ว  

 

 

“ฝ่าบาท ไปเรียกหมอหลวงมา แล้วไปที่วังจานยองกันเถอะ”  

 

 

“แต่ว่าพระมเหสี…”  

 

 

“ย่าคนนี้จะเป็นคนเปิดประตูเอง นางคงไม่กล้าไล่ย่าออกไปหรอก”  

 

 

พูดอีกก็ถูกอีก ฮอนที่มีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อยลุกพรวดขึ้นและตะโกนสั่งให้นำรถม้ามา จากนั้นไม่นานรยูฮาซึ่งยังคงมีใบหน้าโศกเศร้าก็ต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ซังกุงบอกว่าพระพันปีเสด็จมา ซึ่งนางได้ตั้งใจไว้แล้วว่าเสร็จจากนี้ไป นางจะฟาดฮอนซึ่งกำลังยิ้มแย้มอยู่ด้านหลังเสด็จย่าทันที  

 

 

“เสด็จย่าเสด็จมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ”  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]  ดูรึบ  ต้นไม้ชนิดหนึ่งในวงศ์เล็บครุฑ  

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


มิใช่เพียงเพราะสัญญาองค์ชายรัชทายาทฮอน จำเป็นต้องอภิเษกสมรสกับซอรยูฮา ให้นางอยู่ในฐานะพระชายาเอก เพราะต้องการพาหญิงสาวชาวบ้านผู้เป็นคนรักเข้ามาเป็นพระสนม แต่ซอรยูฮา หญิงสาวที่องค์ชายรัชทายาทเข้าพิธีอภิเษกสมรสด้วยนั้น แทนที่จะเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวานดั่งที่ใครต่อใครคิด แต่เมื่อเจอตัวจริงพระองค์ถึงกับให้คำจำกัดความนางว่า ‘ไร้สติ ละเอียดรอบคอบ ฉลาดหลักแหลม เก่งกาจ และไม่มีผู้ใดเหมือน’

ซอรยูฮาคอยคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ภายในพระราชวังให้เป็นไปในทางที่ดี เวลาผ่านไปองค์ชายรัชทายาทฮอนในฐานะพระสวามีที่ไม่เคยเหลียวแลและมอบความรักให้แก่พระชายาของตนเองเลยนั้น กลับค่อยๆ ให้ความสนใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงเวลาเขาต้องเลือกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ตนเองมีใจให้นั้นคือชายาที่ตนเคยตั้งแง่รังเกียจหรือพระสนม คนรักของตนกันแน่!

Options

not work with dark mode
Reset