วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 14-5

ตอนที่ 14-5

“โอ๊ยยย เจ็บนะเจ้าค่ะ ท่านสามี” 

 

 

โฮจินลากแชยอนเข้ามาในห้องนอนและตะโกนสั่งให้ไปเอาน้ำมาทันที จากนั้นจุ่มข้อมือแชนยอนลงไปในน้ำและเริ่มถูอย่างแรงราวกับว่าพระราชาแพร่เชื้อโรคใส่ 

 

 

“ขอโทษนะขอรับ” 

 

 

แม้ปากจะบอกขอโทษ แต่แรงที่ถูผิวก็ยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่คลายแรงที่จับข้อมืออยู่ลงเท่านั้น โฮจินใช้ผ้าแห้งเช็ดข้อมือแชยอน ในตอนนั้นแขนเสื้อของทั้งสองเปียกโชกและผิวน้ำบริเวณที่ขัดถูก็กลายเป็นสีแดง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอใจ 

 

 

“ฝ่าบาท พระมเหสีทรงเรียกหาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ให้ตายเถอะ บอกแล้วไงอย่าเรียกข้าเช่นนั้น” 

 

 

โฮจินบ่นด้วยความปลงพลางสะบัดชุดที่เปียกโชกแล้วลุกขึ้น เหล่านางในนำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน แต่เขาไม่สนใจและให้แชยอนเปลี่ยนเพียงคนเดียว เขาสั่งไว้ว่าอย่าตามมาและออกไปยังที่พักของรยูฮาด้วยกันกับแชยอน ถึงไม่เรียกก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้ว 

 

 

“พระมเหสี องค์ชายเสด็จเพคะ” 

 

 

คำขานบอกของนางในที่ยืนอยู่ด้านหน้าทำให้หน้าผากของโฮจินย่นเข้าหากัน แต่เขาก็ไม่ได้ตะโกนใส่พวกนางในเหมือนตอนอยู่ที่พักของตนเอง และเพียงแค่เข้าไปข้างในประตูที่เปิดอยู่แล้วนั่งลงอย่างสำรวมข้างๆ แชยอน 

 

 

“ขอดูมือหน่อยสิ ท่านเจ้ากรมกลาโหม” 

 

 

“มือกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โฮจินรู้สึกทะแม่งแปลกๆ มือที่ยื่นออกไปถูกรยูฮาคว้าไว้แน่น ในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกว่ามีคนกำลังตรงมาทางนี้จากข้างนอก โฮจินจึงตั้งใจจะลุกพรวดขึ้น แต่รยูฮาไม่ยอมปล่อยมือ ในไม่ช้าพระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งถือบางอย่างอยู่ในมือก็เดินเข้ามาในประตูที่เปิดอยู่ ใบหน้าโฮจินบิดเบี้ยว แต่ไม่สามารถโมโหใส่รยูฮาต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลายได้ เพราะที่นี่คือพระราชวังของประเทศอื่น 

 

 

“พระมเหสี กระหม่อมคิดว่าทรงอยู่ข้างเดียวกับกระหม่อมเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เสียงที่กดต่ำลงพุ่งตรงไปยังรยูฮาอย่างหดหู่ 

 

 

“หม่อมฉันแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเพคะ หม่อมฉันคือน้องสาวของท่านไม่ใช่หรือ” 

 

 

พระราชาโบกมือไล่ให้พวกข้าราชบริพารถอยออกไปไกลๆ แต่รยูฮาก็ยังคงจับโฮจินไว้แน่นโดยไม่ปล่อย 

 

 

“จิน” 

 

 

“จินตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเลิกตามหาเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปที่แทซากุก” 

 

 

“คืนนั้น เจ้าจำได้ไหมว่าออกไปจากวังได้อย่างไร” 

 

 

“หยุดตรัสอะไรไร้สาระเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พอโฮจินส่งเสียงคำราม พระราชาจึงหยุดนิ่ง แต่ในไม่ช้าก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดแล้วพูดต่อ 

 

 

“ประตูบานนั้นที่เจ้าออกไป ข้าเป็นคนเปิดเอง พวกทหารเฝ้าประตูที่มอบกุญแจให้ข้าโดนลงโทษทันทีหลังจากที่เจ้าหลบหนีไป ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่เพราะว่าข้าต้องช่วยเจ้าจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” 

 

 

“บอกแล้วไงว่าไม่อยากฟัง” 

 

 

“ข้าแอบส่งทหารคุ้มกันไปอย่างลับๆ แต่ช้าเกินไป พวกเขาเจอแค่จินชอนซึ่งลมหายใจรวยรินและเสื้อผ้าของเจ้าเท่านั้น” 

 

 

พระราชาแก้มัดของที่ถือในมือออกมา มันคือเสื้อผ้าและรองเท้าของเด็กซึ่งถูกห่อไว้ด้วยผ้าไหม แม้จะเลอะเทอะไปด้วยดินและรอยเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีดำเป็นหย่อมๆ แต่โฮจินก็รู้ว่านั่นคือเสื้อผ้าของตน ถึงแม้ตั้งใจจะไม่มองใบหน้านั้น แต่ในตอนนั้นเองโฮจินก็หันมาจ้องหน้ากับพระราชา หลังจากใช้อีกมือซึ่งไม่ถูกจับดันสิ่งนั้นออกไป 

 

 

“ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงฆ่าหรือจะทรงช่วยชีวิต กระหม่อมก็เกลียดประเทศนี้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะให้เป็นองค์รัชทายาทที่นี่ สู้ไปเป็นข้าหลวงที่แทซากุกยังดีเสียกว่า” 

 

 

“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะตามหาเจ้าเจอในประเทศอันกว้างใหญ่เช่นนี้” 

 

 

แม่งเอ๊ย แชยอนค่อยๆ วางมือบนขาของโฮจินซึ่งสบถออกมาเบาๆ อย่างระมัดระวัง 

 

 

“แทซากุกเป็นผู้ส่งเจ้ามา แน่นอนว่าคนที่ส่งเจ้ามาก็คือพ่อบุญธรรมของเจ้า ท่านมหาเสนาบดี” 

 

 

ความเงียบคืบคลานเข้ามาราวกับความมืดมิด รยูฮาคลายแรงในมือที่จับเขาอย่างช้าๆ ไม่รู้ทำไมแต่คิดว่าควรจะต้องทำเช่นนั้น แต่โฮจินกลับคว้ามือรยูฮาที่กำลังจะผละออกไว้แน่นอีกครั้ง 

 

 

“อยากให้ข้าเชื่ออย่างนั้นรึ” 

 

 

“ไม่ว่าจะชนชั้นวรรณะใด การฆาตกรรมก็คือความผิดอันใหญ่หลวง นอกจากนั้นแล้ว…” 

 

 

พระราชาเบนสายตาไปแวบหนึ่ง ซึ่งปลายสายตานั้นคือแชยอนซึ่งหน้าซีดเซียวด้วยความกลัว 

 

 

“ยังพานางสนมขององค์รัชทายาทหนีไปอีก ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเสียจริง หากสถานการณ์ทั้งหมดถูกเปิดเผยล่ะก็ ฝ่ายที่จะตกที่นั่งลำบากที่สุดก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลของท่านมหาเสนาบดีที่เก็บเจ้ามาไม่ใช่รึ เพราะรอบๆ อำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมมีบรรดาสิงสาราสัตว์ที่คอยเพ่งเล็งอยู่ทุกเมื่อ” 

 

 

ใบหน้าของท่านอาจารย์ซึ่งไม่สนประเทศอื่นๆ และบีบบังคับส่งเขามายังฮเยกุกยังคงติดตรึงใจ ที่บอกว่าเป็นอันตราย ให้ทิ้งแชยอนไว้แล้วกลับมาก็เพราะอย่างนั้นหรือ ท่านอาจารย์เป็นถึงผู้ที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนตนมาเป็นเวลายาวนาน คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าหากส่งตนมาที่ฮเยกุก แล้วสั่งให้กลับไปดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทสุ่มสี่สุ่มห้า ตนจะต้องหนีไปยังที่ไกลๆ อย่างแน่นอน 

 

 

‘ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน’ 

 

 

‘โฮจิน นี่คือชื่อของเจ้า’ 

 

 

ในคืนนั้นหากไม่ใช่ท่านอาจารย์ ชีวิตเขาคงสูญสิ้นไปแล้ว โฮจินค่อยๆ ปล่อยมือรยูฮาลงอย่างช้าๆ ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่จะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นแล้วสินะ 

 

 

“เงื่อนไข” 

 

 

โฮจินส่ายหัวไปมาพลางหัวขมวดคิ้ว ซึ่งเป็นนิสัยที่เขามักจะทำเมื่อไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

“หากมีทายาทสืบสกุลให้ฝ่าบาท ทรงจะต้องปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาททันทีและแต่งตั้งองค์ชายองค์นั้นให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน รวมถึงจะต้องยอมรับชนชั้นกับอดีตของแชยอนและแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท” 

 

 

“ข้าสัญญา” 

 

 

 

 

 

หลังจากวันนั้น รยูฮาก็พักอยู่ที่พระราชวังแห่งฮเยกุกต่ออีกสามวัน โฮจินซึ่งไม่พูดอะไรเลยในวันแรกพูดทักทายรยูฮาในวันที่สอง และพูดหยอกล้อในวันที่สาม และในวันที่เข้าสู่วันที่สี่ เขาขอคุ้มกันขบวนรถม้าที่พระมเหสีทรงนั่งด้วยตัวเอง ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า 

 

 

“พระมเหสี” 

 

 

ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้วหรือเนี่ย เสียงโฮจินทะลุม่านหนาเข้ามา 

 

 

“ว่ามา” 

 

 

“กระหม่อมคิดว่าควรจะเขียนจดหมายดีไหม แต่มันไม่เหมาะกับนิสัยของกระหม่อมเอาเสียเลย ทรงช่วยถ่ายทอดคำพูดนี้ไปให้ท่านอาจารย์ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ได้อยู่แล้วสิ” 

 

 

มีเพียงแค่เสียงเกือกม้าดังกุบกับ รยูฮาไม่เร่งรัดและไม่แม้กระทั่งมองหน้าโฮจินอีกด้วย 

 

 

“ขอบพระคุณ…ที่เป็นพ่อให้ข้า” 

 

 

“แล้วไม่มีคำพูดอะไรถึงน้องสาวเลยหรือเพคะ” 

 

 

รยูฮาเปิดม่านขึ้นเล็กน้อยมองโฮจินจากข้างใน แม้จะเคยคิดว่าเขาไม่เหมาะกับชุดจอมยุทธเป็นอย่างยิ่งถึงแม้จะเป็นจอมยุทธก็ตาม แต่พอได้เห็นเขาในชุดผ้าไหมและผูกผ้าโพกหัวแบบนี้แล้วก็พอดูได้เหมือนกัน 

 

 

“เพราะเจ้า ข้าเลยลำบากมาเยอะเลยนะ น้องสาว” 

 

 

รยูฮาขำคิกคักพลางเปิดม่านขึ้นมาสุดและเท้าคางตรงกรอบหน้าต่าง เพราะเป็นเรื่องจริงที่นางทำให้เขาลำบากมามากจึงไม่มีอะไรจะพูด ตอนยังเด็กก็ทุบตีไม่ยั้งและใช้ให้เขาทำตามคำสั่ง พอโตขึ้นมาหน่อยก็ใช้ให้เขาแอบเอาเหล้าเข้ามา จนพอโตขึ้นมาอีกนิดก็ลากไปบ่อนพนันด้วยกันและปล่อยเงินกู้ นอกจากนั้นยังสั่งให้เข้ามาในวังเพื่อให้คุ้มกันแม้กระทั่งหลังคาของตำหนักนางสนมอีกด้วย 

 

 

พอมาลองคิดๆ ดูแล้วแม้ว่าเขาจะบ่นและประชดประชันอยู่เป็นประจำ แต่ก็ทำตามทุกอย่างที่นางต้องการทั้งสิ้น หากไม่ต้องไปคุ้มกันตำหนักของนางสนม บางทีโฮจินอาจจะได้อยู่อย่างสุขสบายที่แทซากุกเฉกเช่นเดิม 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่” 

 

 

“ไม่เป็นไร” 

 

 

โฮจินยิ้มกว้างแล้วจึงเอื้อมมือออกไปเอาม่านลงเหมือนเดิม บทสนทนาในวันนี้จบลงเพียงเท่านั้น แต่ทั้งสองคนได้แบ่งปันเรื่องราวร่วมกันมากมายกว่าที่เคยในระยะเวลาหลายวันที่เดินทางไปจนถึงชายแดน และในที่สุดก็มาถึงเขตชายแดน โฮจินทิ้งคำพูดไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมที่แทซากุกภายในปีนี้ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังพระราชวังอีกครั้ง หลังจากโค้งคำนับให้พระมเหสีของแผ่นดินอื่นในฐานะองค์รัชทายาทอย่างนอบน้อม 

 

 

 

 

 

* * * 

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


มิใช่เพียงเพราะสัญญาองค์ชายรัชทายาทฮอน จำเป็นต้องอภิเษกสมรสกับซอรยูฮา ให้นางอยู่ในฐานะพระชายาเอก เพราะต้องการพาหญิงสาวชาวบ้านผู้เป็นคนรักเข้ามาเป็นพระสนม แต่ซอรยูฮา หญิงสาวที่องค์ชายรัชทายาทเข้าพิธีอภิเษกสมรสด้วยนั้น แทนที่จะเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวานดั่งที่ใครต่อใครคิด แต่เมื่อเจอตัวจริงพระองค์ถึงกับให้คำจำกัดความนางว่า ‘ไร้สติ ละเอียดรอบคอบ ฉลาดหลักแหลม เก่งกาจ และไม่มีผู้ใดเหมือน’

ซอรยูฮาคอยคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ภายในพระราชวังให้เป็นไปในทางที่ดี เวลาผ่านไปองค์ชายรัชทายาทฮอนในฐานะพระสวามีที่ไม่เคยเหลียวแลและมอบความรักให้แก่พระชายาของตนเองเลยนั้น กลับค่อยๆ ให้ความสนใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงเวลาเขาต้องเลือกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ตนเองมีใจให้นั้นคือชายาที่ตนเคยตั้งแง่รังเกียจหรือพระสนม คนรักของตนกันแน่!

Options

not work with dark mode
Reset