วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 12-6

ตอนที่ 12-6

ความเงียบไหล่ผ่านระหว่างฮอนกับโฮจินที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน แววตาที่ตึงเครียดซึ่งปะทะกันกลางอากาศดูจะไม่ยอมลดละกันทั้งคู่ เขามาที่นี่เพราะท่านมหาเสนาบดีไล่ให้มา แต่หากไม่ใช่เพราะท่านมหาเสนาบดีล่ะก็โฮจินก็คงจะไม่เข้ามาในวัง แม้จะมีคำสั่งของพระราชาก็ตาม ยิ่งรู้ว่าพระราชาจะตรัสว่าอะไรยิ่งแล้วใหญ่ 

 

 

“ข้าจะพูดตรงๆ นะ” 

 

 

“กระหม่อมก็จะพูดตรงๆ พ่ะย่ะค่ะ ไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้าจะย้ายตำแหน่งท่านมหาเสนาบดี” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะหนีไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ปรับท่านั่งให้ดูเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอียงตัวทำท่าทางหยิ่งผยองเหมือนเดิมโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างไรฮอนก็ต้องการเขา 

 

 

“เจ้ากรมกลาโหม ท่านมหาเสนาบดีจะนั่งอยู่ในตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหมทั้งๆ ที่มีอายุมากกว่าเจ้า การได้เข้ามารับตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในกรมกลาโหมในช่วงอายุของเจ้า ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว” 

 

 

“กระหม่อมบอกแล้วไงพ่ะย่ะค่ะว่าไม่ กระหม่อมมีทั้งเงิน ทั้งภรรยาแสนสวย ยังขาดอะไรอีกจึงต้องไปรับตำแหน่งขุนนางกัน ทรงลองคิดดูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้นแล้วเรื่องสถานภาพล่ะพ่ะย่ะค่ะ มีใครรู้ไหมว่ากระหม่อมเป็นบุตรของพ่อซึ่งเป็นฆาตกรและแม่ซึ่งเป็นโสเภณี” 

 

 

“เรื่องนั้นก็เข้ามาในฐานะบุตรชายบุญธรรมของตระกูลซอก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีพ่อเป็นฆาตกรและแม่เป็นโสเภณี แต่เจ้าก็มีคุณงามความดีในการช่วยชีวิตข้าไว้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครพูดเรื่องนี้ได้หรอก” 

 

 

“ใครว่าช่วยพ่ะย่ะค่ะ ใจจริงแล้วกระหม่อมตั้งใจจะฆ่าต่างหากล่ะ หากในตอนนั้นทรงไม่ยกแชยอนให้ล่ะก็คงจะทรงสวรรคตก่อนอายุขัยไปแล้ว” 

 

 

“ข้ายกให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าต่างหากที่เข้ามาแย่งไปเหมือนกับโจร” 

 

 

การถกเถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ ทำให้ฮอนรู้สึกปวดหัวตุบๆ แม้จะได้ราชบัลลังก์กลับคืนมาอย่างค่อนข้างง่ายดาย แต่ให้พูดกันตามตรง นั่นไม่ใช่พลังอำนาจของฮอน แต่เป็นพลังอำนาจของตระกูลท่านมหาเสนาบดีและรยูฮาต่างหาก ท้องพระโรงของแผ่นดินซึ่งทรุดโทรมลงเนื่องจากอำนาจที่ตกต่ำมาเป็นเวลายาวนานต้องการเลือดของคนรุ่นใหม่ ซึ่งศิลปะการต่อสู้และอุปนิสัยของโฮจินที่ผลักดันความเชื่อมั่นของตนเองและไม่เอนเอียงไปทางอำนาจและทรัพย์สินฝั่งใดฝั่งหนึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับกรมกลาโหม แต่ปัญหาคือดูเหมือนว่าโฮจินจะไม่มีความคิดที่จะเข้ารับตำแหน่งนั้นแม้แต่นิดเดียว 

 

 

“ลองเปลี่ยนมุมมองดูสิพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงอยู่ด้านบนสุดและทรงมีเงินไว้กินไว้ใช้ตลอดชีวิต ทั้งยังอภิเษกสมรสแล้วและเรื่องน่าปวดหัวก็ถูกแก้ไขหมดแล้วด้วย ทรงจะปกครองประเทศหรือจะจับมือพระมเหสีไปเที่ยวเล่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แน่นอนว่าต้องไปเที่ยวเล่นสิ ฮอนคิดเช่นนั้นภายในใจ แต่กลับถอนหายใจออกมายาวเหยียดแทนคำตอบ ที่รยูฮาบอกว่าจะเลี้ยงดูเมื่อวานเย็นก็ฟังดูน่าสนใจดี จริงๆ แล้วถ้าหากรยูฮาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวกลางภูเขาหลังนั้น ฮอนก็คงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นั่นอย่างที่นางพูดแทนที่จะกลับลงมายังพระราชวัง 

 

 

“หากตรัสเสร็จแล้ว กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็มีงานยุ่งเช่นกัน…” 

 

 

“…ที่ฮเยกุก แชยอนอยู่ที่นั่นคนเดียวใช่หรือไม่” 

 

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้วิธีใจร้ายแบบนี้ เท้าของโฮจินที่กำลังจะลุกออกไปหยุดชะงัก 

 

 

“พระราชาของที่นั่นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับข้านะ หากขอให้เขาช่วยจับตัวสนมที่หลบหนีออกไปยังฮเยกุกเพราะถูกผู้ชายหลอกล่ะก็…” 

 

 

“เฮอะ เวรเอ๊ย” 

 

 

สุดท้ายโฮจินก็ใช้เท้าถีบเก้าอี้อย่างแรงและสบถคำหยาบคายออกมา เมื่อใดที่มีโอกาสก็ต้องโดนปาดคอเสมอ ไอ้ลูกหมาที่ไม่ได้ชอบอยู่แล้วตั้งแต่แรก 

 

 

“ที่จริงแล้วเจ้าติดหนี้ข้ามากมายเลยไม่ใช่หรือ เยอะเป็นพิเศษจนไม่สามารถตอบแทนได้ด้วยแค่คำขอบใจ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นเลยหรือ” 

 

 

“กรมกลาโหมเหรอ ได้สิ แม่งเอ๊ย” 

 

 

ใบหน้าที่มีเสน่ห์ขมวดคิ้วจนดูน่ากลัว และในที่สุดคำตอบที่ฮอนต้องการก็ออกมา ถึงหยาบคายไปสักหน่อยก็ตาม 

 

 

“มาเลย แต่คอยดูแล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะว่ากระหม่อมจะทำพังได้ขนาดไหน ภายในสามเดือนนี้กระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาททรงนึกเสียดายเลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โฮจินก่นด่าออกมาไม่หยุดหย่อน และมีลมหนาวพัดผ่านไปทั่วตรงบริเวณที่เขาออกไป ในตอนนั้นเองใบหน้าของฮอนจึงปรากฏรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจขึ้นมาอย่างเต็มปรี่ หลังจากจบปัญหาใหญ่ไปได้หนึ่ง เขาก็พลิกหนังสือเก่าที่เอาออกมาจากหน้าอกไปมา แล้วจึงเริ่มจดจ่ออยู่กับการคัดเลือกคนที่จะต้องกำจัดและคนที่จะต้องเก็บเอาไว้ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ข้ามีเรื่องอยากจะถามพวกท่าน” 

 

 

เสียงของพระราชาหนุ่มซึ่งปกคลุมไปทั่วท้องพระโรงไม่มีความนุ่มนวลเหมือนกับสมัยยังเป็นองค์รัชทายาท เหล่าเสนาบดีสูงวัยโน้มตัวลงในระนาบเดียวกันและเงี่ยหูฟังเพื่อไม่ให้พลาดสิ่งที่เขาพูด 

 

 

“เหตุผลที่พวกท่านมาอยู่ตรงนี้คืออะไร” 

 

 

“เพื่อคอยดูแลรับใช้ฝ่าบาท ณ เบื้องบน และเพื่อคอยดูแลประชาชน ณ เบื้องล่างพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ตอบได้ดีนี่ คำตอบที่ใครบางคนพูดออกมาทำให้ฮอนยิ้มออกมาเล็กน้อย 

 

 

“ถ้าเช่นนั้น เหตุผลที่มีพู่กันอยู่บนโต๊ะคืออะไร” 

 

 

คำตอบที่ดูลังเลดังออกมาจากท่ามกลางเหล่าเสนาบดีที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเพราะเป็นคำถามที่ฟังดูไร้สาระอีกครั้ง 

 

 

“เพื่อเขียน…หนังสือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ใช่แล้ว เพื่อเขียนหนังสือ แล้วถ้าหากมีหนูแทะพู่กันอันนั้นจนไม่สามารถใช้เขียนได้ต่อ จะต้องทำอย่างไร” 

 

 

ใบหน้าของเสนาบดีจำนวนหนึ่งเริ่มถอดสี เพราะเห็นได้ชัดว่าพระราชาใหม่คนนี้ซึ่งไร้ความเกรงกลัวใดๆ กำลังจะถอนรากที่เน่าเสียออก 

 

 

“ต้องทิ้งและหาพู่กันอันใหม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

มหาเสนาบดีซึ่งปิดปากสนิทและคอยดูอยู่เฉยๆ ไม่ว่าพระราชาจะพูดอะไรก็ตามนั้นเริ่มพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ต้องปิดปากเงียบเหมือนตามปกติสิ ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้ด้วย แม้จะถูกสายตาขุ่นเคืองเพ่งมอง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจและทำเพียงแค่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง 

 

 

“สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ หากไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ตรงนั้นแล้วก็ควรที่จะต้องทิ้งไปและหาอันใหม่มาแทน ซึ่งข้าได้รับสิ่งของที่น่าสนใจเป็นอย่างมากมาในสมัยที่ยังเป็นองค์รัชทายาท” 

 

 

หนังสือเก่าเล่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงปลายนิ้วของฮอนซึ่งหยิบมันออกมาจากหน้าอก มันเป็นหนังสือที่ไม่มีอะไรถูกเขียนไว้เลยบนหน้าปกซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ซึ่งก็คือสมุดบัญชีที่เจ้าเมืองซึ่งโกงกินภาษีที่เขตชายแดนและติดสินบนส่งต่อให้พร้อมกับร้องขอให้ไว้ชีวิตลูกชายนั่นเอง ฮอนรู้สึกเพลิดเพลินกับการมองดูพวกคนแก่ที่สายตาว่องไวซึ่งตกอยู่ในความมึนงง พร้อมกับเปิดไปหน้าหนึ่งตามที่มือเปิดไปได้ 

 

 

“เจ้ากรมการคลัง?” 

 

 

หัวใจของจอนจูฮโยร่วงตกลงไปที่ตาตุ่ม เขาพยายามควบคุมสีหน้า ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและโค้งคำนับ 

 

 

“พระราชาองค์ก่อนทรงเชื่อใจเจ้าให้รับหน้าที่ที่สำคัญยิ่งในการจัดการดูแลภาษีและจัดทำรายชื่อราษฎร” 

 

 

“ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

“ท่านเป็นคนตระหนี่ และแน่นอนว่านั่นก็ทำให้สภาพเศรษฐกิจของประเทศตระหนี่ไปด้วย” 

 

 

แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังรู้ได้ว่าประโยคนั้นไม่ใช่คำชม การถากถางของฮอนทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเอาตัวรอดได้ หากพูดแก้ตัวและถูกจับได้ทีหลังว่าแอบซุกซ่อนทรัพย์สมบัติของพระพันปีก็คงจะต้องจบลงด้วยการถูกปลดออกจากตำแหน่ง หรือไม่ก็ถูกลงโทษโดยการส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมกระทำความที่ผิดสมควรแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ เจ้าทำความผิดอะไรงั้นหรือ” 

 

 

รอยยิ้มเล็กๆ จางหายไปจากใบหน้าของฮอน 

 

 

“ไหนลองบอกความผิดด้วยปากของท่านหน่อยเถิด หากไม่เหมือนกับที่ข้ารู้มา ข้าก็เกรงว่ามันจะไม่จบลงเพียงแค่การลดตำแหน่งหรอกนะ” 

 

 

“กระหม่อมปลอมแปลง…การจัดทำรายชื่อราษฎรเพื่อทำให้ภาษีเพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แล้วเงินภาษีที่เก็บซ่อนไว้ ท่านเอาไปใช้ที่ใดกัน” 

 

 

จอนจูฮโยซึ่งปิดปากสนิทไม่กล้าตอบเห็นชายเสื้อคลุมมังกรทองอยู่ตรงหน้ารางๆ ฮอนลงมาจากราชบัลลังก์ด้วยตัวเองและจับมือเขาไปวางไว้บนกระดาษที่กางอยู่ มติที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษตรงกันเป๊ะจนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ 

 

 

“โอ๊ย!” 

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


มิใช่เพียงเพราะสัญญาองค์ชายรัชทายาทฮอน จำเป็นต้องอภิเษกสมรสกับซอรยูฮา ให้นางอยู่ในฐานะพระชายาเอก เพราะต้องการพาหญิงสาวชาวบ้านผู้เป็นคนรักเข้ามาเป็นพระสนม แต่ซอรยูฮา หญิงสาวที่องค์ชายรัชทายาทเข้าพิธีอภิเษกสมรสด้วยนั้น แทนที่จะเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวานดั่งที่ใครต่อใครคิด แต่เมื่อเจอตัวจริงพระองค์ถึงกับให้คำจำกัดความนางว่า ‘ไร้สติ ละเอียดรอบคอบ ฉลาดหลักแหลม เก่งกาจ และไม่มีผู้ใดเหมือน’

ซอรยูฮาคอยคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ภายในพระราชวังให้เป็นไปในทางที่ดี เวลาผ่านไปองค์ชายรัชทายาทฮอนในฐานะพระสวามีที่ไม่เคยเหลียวแลและมอบความรักให้แก่พระชายาของตนเองเลยนั้น กลับค่อยๆ ให้ความสนใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงเวลาเขาต้องเลือกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ตนเองมีใจให้นั้นคือชายาที่ตนเคยตั้งแง่รังเกียจหรือพระสนม คนรักของตนกันแน่!

Options

not work with dark mode
Reset