วาสนาบันดาลรัก 405 คำเชิญของจ้าวหวงโฮ่ว

ตอนที่ 405 คำเชิญของจ้าวหวงโฮ่ว

ยามนี้จวินเฮ่าได้กลายเป็นนักดีดพิณที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงแล้ว คนไม่น้อยยอมที่จะจ่ายเงินนับพันตำลึงทองเพื่อได้ฟังเพลงบรรเลงของเขาสักบท แต่กลับไร้หนทาง หากผู้ใดได้ฟังเขาบรรเลงเพลงด้วยตนเองแม้เพียงสักบทเพลงก็มากพอจะทำให้ภาคภูมิใจยิ่งแล้ว

 

 

ทว่าเมื่อบทเพลงนี้ได้แพร่ออกไป ผู้คนก็นำไปบรรเลงตามต่อๆ กันจนกลายเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป แต่ครั้นเจินเมี่ยวได้ยินข่าวนี้ นางกลับกลัดกลุ้มจนหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

 

การยืมบทกวีในภพก่อนของตนมาใช้จนมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้คงมิถูกฟ้าผ่าตายใช่หรือไม่

 

 

หลัวเทียนเฉิงคนชั่วช้า นางเขียนจดหมายให้เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เหตุใดผู้คนถึงรู้กันไปทั่วเล่า รอให้พบกันก่อนเถิด คงได้เห็นดีกันแน่!

 

 

ฮึ ต่อไปจะไม่ส่งเนื้อวัวแห้งไปให้เขาอีกแล้ว คราวหน้าส่งแค่เต้าหู้แห้งก็พอแล้ว!

 

 

ขณะที่เจินเมี่ยวกำลังโมโหอยู่ เชวี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามารายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่ คุณหนูสามมาเจ้าค่ะ”

 

 

“อืม เชิญคุณหนูสามเข้ามา”

 

 

ไม่นานหลัวจือเจินก็เดินเข้ามา

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้นเอ่ยว่า “เพิ่งหายดีมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาถึงนี่เล่า หากเกิดไม่สบายเพราะอากาศหนาวคงไม่ดีแน่”

 

 

หลัวจือเจินถูกเชวี่ยเอ๋อร์ช่วยขึ้นมาจากน้ำอันหนาวเหน็บ ร่างกายของคุณหนูอย่างไรก็ย่อมบอบบางกว่าสาวใช้ นางจึงล้มป่วยลง รักษาตนกระทั่งยามนี้ถึงลุกขึ้นจากเตียงได้

 

 

ความจริงคนทั้งสองพบกันแล้วเมื่อตอนไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า หลายวันที่ผ่านมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวจือเจินลุกขึ้นไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าได้

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าได้ยินว่าวันนั้นท่านเป็นคนช่วยท่านย่าเอาไว้”

 

 

ตอนนั้นเจินเมี่ยวมิได้พูดอันใดมากนักกระทั่งวันนี้ที่ไปน้อมทักทาย หลัวจือเจินจึงได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องนั้น ทำให้นางรู้สึกขอบคุณเจินเมี่ยวมากขึ้นไปอีก จึงรีบมาที่นี่นั่นเอง

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่วยหรือไม่ช่วยไม่สำคัญหรอก ท่านย่าปลอดภัยย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”

 

 

“แต่ข้าก็ต้องเอ่ยขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่สักคำ ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่ไม่รู้ความ…” หลัวจือเจินย่อกายคารวะขอบคุณนางคราหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวประคองนางขึ้น “เรื่องในอดีตมิจำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ข้าเห็นว่าท่านย่าเองก็มิได้มีท่าทีจะตำหนิเจ้าเลย ความกตัญญูที่เจ้ามีต่อท่านย่า ท่านย่าย่อมเข้าใจอย่างแน่นอน ต่อไปแค่ทำใจให้สบายและกตัญญูต่อท่านย่าให้มากๆ ก็พอแล้ว”

 

 

“เจ้าค่ะ” หลัวจือเจินพยักหน้ารับ

 

 

เมื่อหลัวจือเจินไปแล้ว เจินเมี่ยวกลับได้รับราชโองการให้เข้าวัง

 

 

นางจึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วตามขันทีเข้าวังไป

 

 

“ถวายพระพรหวงโฮ่วเพคะ”

 

 

จ้าวหวงโฮ่วยิ้มอย่างเป็นกันเองยิ่ง “ลุกขึ้น รีบนั่งก่อนเถิด”

 

 

ตั้งแต่ที่เจี่ยงกุ้ยเฟยถูกลดตำแหน่งไปเพราะเจินเมี่ยว ใจของจ้าวหวงโฮ่วก็รู้สึกดีต่อเจินเมี่ยวไม่น้อย

 

 

เจินเมี่ยวนั่งลงตามคำของนาง แต่ก็ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย

 

 

จ้าวหวงโฮ่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่มีอันใดหรอก แค่ได้ยินบทกวีที่เจ้าเขียนขึ้นบทนั้นแล้วอยากจะเรียกเจ้ามาพูดคุยด้วยสักหน่อย”

 

 

คนทั้งสองพูดคุยเรื่องทั่วไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จ้าวหวงโฮ่วจะเปลี่ยนหัวข้อไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจินเมี่ยวกำลังรู้สึกมึนงงมากขึ้นทุกที “ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงฟางโหรวพอดี แต่มิได้จัดงานใหญ่โตอันใด เพียงเชิญท่านอ๋องและองค์หญิงทั้งหลายเข้าวังมาร่วมงานเท่านั้น ตอนนี้กำลังย่างเนื้อกวางกันอยู่ในอุทยาน พวกเจ้าต่างเป็นคนหนุ่มสาว ในเมื่อมาแล้วก็ไปร่วมสนุกสักหน่อยเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวกำลังคิดจะปฏิเสธ แต่จ้าวหวงโฮ่วได้เอ่ยขึ้นมาก่อนแล้วว่า “ชูเสวี่ยนำทางจยาหมิงเซี่ยนจู่ไปที”

 

 

นี่ๆ นางมิได้คุ้นเคยอันใดกับองค์หญิงฟางโหรว และที่สำคัญที่สุดคือนางยังไว้ทุกข์ให้กับนางเถียนอยู่ นางไปร่วมก็มิอาจกินเนื้อได้!

 

 

ผู้อื่นกินแล้วตนเองนั่งมองนั้นเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุดเลย!

 

 

เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าตนแล้วหันกลับไปจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ตากลับเหลือบไปเห็นชายอาภรณ์สีเหลืองหลังฉากบังลม จึงกลืนวาจาที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากลงคอไป

 

 

“มีอันใดหรือ” จ้าวหวงโฮ่วยิ้มพลางเอ่ยถาม

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มแห้งแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันเข้าวังมากะทันหันจึงมิได้เตรียมสิ่งของใดมา หากไปเช่นนี้จะมีดูเสียมารยาทหรอกหรือเพคะ”

 

 

จ้าวหวงโฮ่วโบกมือไปมา “แค่ไปร่วมสนุกกันคนในครอบครัวเท่านั้น ไหนเลยจะมีคำว่าเสียมารยาท”

 

 

นางหันหน้าไปเอ่ยว่า “หว่านซวงไปเอาต่างหูไข่มุกมาคู่หนึ่งเร็ว”

 

 

ไม่นานนางกำนัลใหญ่หว่านซวงก็ถือกล่องเล็กๆ สีแดงออกมาเปิดให้เจินเมี่ยวดู

 

 

ด้านในมีต่างหูไข่มุกรูปโคมไฟอยู่คู่หนึ่ง ไข่มุกสีม่วงอ่อนเม็ดหนึ่งถูกทองเส้นถักทอล้อมเอาไว้ เมื่อเขย่าต่างหู ไข่มุกก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายใน

 

 

เครื่องประดับเช่นนี้ งดงามน่ารัก ฝีมือการทำประณีตยิ่งแต่มิได้ดูล้ำค่าจนเกินไป การนำมันไปมอบเป็นของขวัญแก่สาวน้อยสักคนนั้นเหมาะสมยิ่ง

 

 

จ้าวหวงโฮ่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “หากจยาหมิงรู้สึกขัดเขิน ก็มอบมันเป็นของขวัญให้องค์หญิงฟางโหรวเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ผู้ที่ต้องการให้นางไปจริงๆ คงเป็นท่านผู้นั้นแน่ นางจึงมิรีรออันใดอีก เพียงเอ่ยขอบคุณออกไป “เช่นนั้นจยาหมิงขอหน้าหนาสักคราด้วยการยืมบุปผาไปถวายพระแล้วเพคะ”

 

 

ตอนที่นางไปถึง กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็ลอยมาพอดี นางได้ยินองค์หญิงฟางโหรวเอ่ยอย่างขบขันว่า “พี่สะใภ้หก ท่านย่างเนื้อไหม้หมดแล้ว ฝีมือแย่เหลือเกิน!”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย จึงกลอกตาคิดจะเอ่ยโต้กลับ แต่เห็นเจินเมี่ยวเดินมาพอดี จึงชี้ไปที่นางทันที “นี่อย่างไร ผู้มีฝีมือดีมาแล้ว”

 

 

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปมอง

 

 

องค์หญิงฟางโหรวหน้าเขียวขึ้นมาเล็กน้อย “นางมาได้อย่างไรกัน!”

 

 

เจินเมี่ยวเดินใกล้เข้ามาแล้ว ขณะที่องค์หญิงฟางโหรวคิดจะตีหน้าบึ้งใส่ องค์หญิงและพระชายาทั้งหลายต่างก็กรูเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้าระบายยิ้ม “จยาหมิง เจ้ามาแล้วหรือ เดิมคิดจะเชิญเจ้ามาด้วย แต่คิดว่าเจ้ามิใคร่สะดวกเท่าใดจึงมิได้ส่งเทียบไป”

 

 

องค์หญิงฟางโหรวเผยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปถามว่า “จยาหมิงเซี่ยนจู่มีอันใดมิสะดวกหรือ” แล้วแสดงท่าทีดั่งนึกขึ้นได้พลางเอ่ยว่า “อ้อ ใช่แล้ว จวนจยาหมิงเซี่ยนจู่มีผู้อาวุโสเพิ่งจากไปจึงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ใช่หรือไม่”

 

 

คนทั้งหลายต่างขมวดคิ้วและเอ่ยในใจว่า ฟางโหรวอายุสิบสี่แล้ว เหตุใดจึงพูดจาไร้ความคิดเช่นนี้ ภายหน้าหลัวซื่อจื่อนั้นมิได้มีแต่ความโปรดปรานของเสด็จพ่อเท่านั้น แต่ยังมีผลงานการรบอีกด้วย นางมิให้เกียรติจยาหมิงเซี่ยนจู่ไม่พอ ยังวางอำนาจความเป็นองค์หญิงอีก ช่างไม่รู้อันใดบ้างเลย

 

 

หากมิเห็นว่าแม่ทัพพยัคฆ์มังกรยังสู้รบอยู่ที่แดนเหนือ ผู้ใดจะอดทนมาร่วมกินเนื้อย่างในครานี้กันเล่า

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมององค์หญิงฟางโหรวคราหนึ่ง “หวงโฮ่วทรงรับสั่งให้ข้ามาเข้าเฝ้า ครั้นได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงพระองค์จึงให้ข้ามาร่วมงานด้วย ข้าไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดขององค์หญิง แม้แต่ของขวัญหวงโฮ่วก็เป็นผู้ช่วยจัดเตรียมให้”

 

 

หากจะพูดว่านางไม่รู้จักรักษาขนบธรรมเนียม ก็คงต้องโทษที่เชื้อพระวงศ์ไม่รักษาขนบธรรมเนียมก่อน คิดจะให้นางกล้ำกลืนแบก ‘หม้อดำ’ นี้หรือ คิดผิดแล้ว

 

 

องค์หญิงฟางโหรวหน้าดำคล้ำขึ้นมา ในใจนั้นโมโหยิ่ง

 

 

หวงโฮ่วให้นางมา เห็นชัดว่าต้องการกลั่นแกล้งตน ฮึ เห็นว่าพระมารดานางหมดอำนาจจึงคิดรังแกกันงั้นหรือ

 

 

“ที่แท้เป็นความต้องการของเสด็จแม่นี่เอง จยาหมิงเซี่ยนจู่จึงได้มาร่วมงาน” องค์หญิงฟางโหรวตั้งใจเอ่ยเน้นย้ำในแต่ละคำ

 

 

เจินเมี่ยวมีท่าทีตกใจเล็กน้อย “แค่พระประสงค์ของหวงโฮ่วก็ยังมิมากพองั้นหรือ”

 

 

เอ่ยเช่นนี้เป็นการบอกว่าองค์หญิงฟางโหรวมิเห็นความสำคัญของวาจาจ้าวหวงโฮ่ว

 

 

เดิมองค์หญิงฟางโหรวมิได้หมายความเช่นนี้ แต่เมื่อถูกเจินเมี่ยวเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางกลับหาช่องว่างโต้ตอบไม่ได้เลย จึงอดถลึงตาใส่เจินเมี่ยวด้วยโทสะมิได้

 

 

เจินเมี่ยวกระตุกมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

นางไม่รู้ว่าเจาเฟิงตี้ยืมวาจาของจ้าวหวงโฮ่วเพื่อให้ตนมาที่นี่ด้วยเหตุใด และต้องอยู่นานแค่ไหน แต่ซื่อจื่ออยู่ไกลถึงสนามรบ เวลานี้นางไม่อยากจะสร้างความไม่พอใจให้กับเจาเฟิงตี้นัก ใจกษัตริย์ยากแท้หยั่งถึง หากมีคนคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น เจาเฟิงตี้ก็อาจมีใจเอนเอียงได้ และนั่นอาจทำให้คนในสนามรบต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพิ่มมากขึ้น

 

 

“จยาหมิง มานี่เร็ว มาช่วยข้าย่างเนื้อที” เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวหันไปมอง นางยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา “ฉงสี่ ท่านก็อยู่ด้วยหรือ”

 

 

นางเดินปลีกตัวออกมาจากองค์หญิงฟางโหรวอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วไปนั่งลงข้างฉงสี่เซี่ยนจู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยความรังเกียจว่า “ท่านย่างจนไหม้หมดแล้วกระมัง”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้ากินเป็นเพียงอย่างเดียว”

 

 

เจินเมี่ยวมองนางด้วยสายตาสับสน

 

 

“เป็นอันใดหรือ”

 

 

“ข้าแค่รู้สึกว่าชอบท่านเหลือเกินเท่านั้นเอง”

 

 

มือของฉงสี่เซี่ยนจู่ชะงักทันที นางกลอกตาใส่เจินเมี่ยวคราหนึ่ง “ชอบข้ามากกว่าหลัวซื่อจื่ออีกหรือ เมื่อเกศาข้ายาวถึงเอว เรามาย่างเนื้อกินดีหรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวหัวเราะยกใหญ่

 

 

คนทั้งสองก้มหน้าก้มตาย่างเนื้อด้วยกันทั้งพูดคุยหัวเราะกันไปพลาง

 

 

เจินเมี่ยวหั่นเนื้อกวางเป็นชิ้นเล็กๆ เสียบใส่ไม้ชิ้นหนึ่งสลับกับผิงกั่วอีกชิ้น แล้วทาด้วยน้ำมัน เมื่อเสียงซู่ซ่าดังขึ้น กลิ่นหอมของเนื้อที่คลุกเคล้ากับกลิ่นผลไม้ก็ลอยมา นางย่างพลิกไปมาพลางทาน้ำจิ้มปรุงรสไปด้วย ไม่นานเนื้อกวางสีสันน่ากินก็สุกได้ที่

 

 

องค์ชายหกเดินเข้ามาเอ่ยว่า “นี่คืออันใดหรือ หอมยิ่ง”

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาดูแคลนแล้วก้มมองพื้นพลางเอ่ยว่า “เนื้อกวาง”

 

 

หากไม่มีความสามารถในการสนทนาก็มิจำเป็นต้องพูดออกมาจะดีกว่า

 

 

องค์ชายหกมิได้รู้สึกขายหน้าอันใด “จยาหมิง ย่างให้ข้าสักสองไม้เถิด”

 

 

“ต้องต่อแถวเพคะ” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยออกมาคำหนึ่ง

 

 

องค์ชายหกยิ้มพลางมองฉงสี่เซี่ยนจู่คราหนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นข้าขอต่อแถวอยู่หลังเจ้าแล้วกัน”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ยิ้มออกมาแล้วกระตุกแขนเสื้อเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “จยาหมิง ย่างให้ข้าสิบห้าไม้”

 

 

องค์ชายหก “…”

 

 

เมื่อองค์ชายหกเอ่ยขึ้นเช่นนี้ คนที่อยู่โดยรอบจึงเริ่มล้อมวงเข้ามา แม้แต่จ้าวเฟยชุ่ยก็เริ่มลังเล เมื่อเห็นเนื้อที่ย่างจนไหม้หมดแล้วของตนก็ตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมวงด้วยเงียบๆ

 

 

เหลือเพียงองค์หญิงฟางโหรวที่หาทางลงให้กับตนมิได้ นางสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห แล้วเดินไปนั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่มีอารมณ์จะกินแม้แต่เนื้อย่าง

 

 

กระมั่งเจินเมี่ยวย่างเสร็จสิบห้าไม้ ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ดึงมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยว่า “คงเมื่อยมือไปหมดแล้ว พักก่อนสักครู่เถิด”

 

 

ผู้ที่ล้อมวงเข้ามาทั้งหลาย “…”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงเหลือบสายตาขึ้นเอ่ยว่า “เนื้อพวกนี้เรามากินด้วยกันเถิด”

 

 

เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายจึงเริ่มยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น ต่างคนต่างหยิบเนื้อย่างขึ้นมากิน

 

 

เจินเมี่ยวมิอาจกินเนื้อต่อหน้าคนทั้งหลายนี้ได้ นางจึงหยิบลูกผิงกั่วขึ้นมากัดกินด้วยความแค้นเคือง แต่ก็เข้าใจดีว่าฉงสี่กำลังช่วยนางจากสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้อยู่

 

 

องค์หญิงฟางโหรวยกมือขึ้นอังหน้าผากตนแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อาจเพราะตากลมมากเกินไป เราแยกย้ายกันดีกว่า ขอบคุณเสด็จพี่ทุกพระองค์ที่มาร่วมงานครั้งนี้เพคะ”

 

 

คนทั้งหลายทราบดีว่าองค์หญิงฟางโหรวมีเรื่องในใจจึงพากันพยักหน้ารับ

 

 

เมื่อคนไปหมดแล้ว เจาเฟิงตี้ที่ซ่อนอยู่จึงเอ่ยถามคนข้างกายว่า “ตัวจริงนางเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ฝูเฟิงเจินเหรินมีสีหน้าที่คนยากจะคาดเดา “จากรูปหน้าของจยาหมิงเซี่ยนจู่นั้นเป็นคนที่มีวาสนาจริงๆ ดาวพั่วจวินอำนาจยิ่งใหญ่ หากมีนางอยู่ข้างกายย่อมต้องช่วยส่งเสริมกัน”

 

 

เจาเฟิงตี้จึงพยักหน้าอย่างคนกำลังครุ่นคิดสิ่งใด แล้วจากอุทยานหลวงไป

 

 

“ฝ่าบาท องค์หญิงฟางโหรวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ให้เข้ามา”

 

 

ไม่นานองค์หญิงฟางโหรวก็เดินเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างน่าเอ็นดูว่า “ฟางโหรวถวายพระพรเสด็จพ่อเพคะ”

 

 

“งานเลี้ยงเพิ่งเลิกแท้ๆ เหตุใดถึงมาที่นี่เล่า”

 

 

“ลูกคิดถึงเสด็จพ่ออย่างไรเล่าเพคะ”

 

 

เจาเฟิงตี้ยิ้มออกมา

 

 

บุตรสาวผู้นี้ของเขา แม้จะพูดจาเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ปากกลับหวานยิ่ง ไม่เหมือนองค์หญิงคนอื่นๆ ที่กลัวแต่จะพูดผิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

 

 

“ฟางโหรวมาเพราะต้องการของขวัญงั้นหรือ”

 

 

องค์หญิงฟางโหรวยิ้มเต็มหน้าแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อย่อมต้องเตรียมไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้รอยยิ้มนั้นก็สะดุดไป นางเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “วันนี้จยาหมิงเซี่ยนจู่มาร่วมด้วย ลูกได้ยินว่านางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่ไม่ทราบเหตุใดเสด็จแม่จึงให้นางมาร่วมงานด้วย ทั้งยังเตรียมของขวัญเป็นต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งให้นางนำมามอบ…”

 

 

นางเอ่ยยังไม่ทันจบเจาเฟิงตี้ก็หน้าบึ้งขึ้นมา “เสด็จแม่เจ้าจะทำเรื่องใด เจ้ามีสิทธิ์สงสัยด้วยหรือ ฟางโหรว เจ้าควรเรียนรู้ธรรมเนียมปฏิบัติให้มาก ขันที ไปส่งองค์หญิงฟางโหรวกลับตำหนักที!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset