วาสนาบันดาลรัก 307 วสันตฤดู

ตอนที่ 307 วสันตฤดู

“เมื่อเช้าหลังกินอาหารเช้าเสร็จพระราชนัดดาบอกว่าอยากเห็นปลาจิ๋นหลี่ แต่หากให้ผู้อื่นไปจับก็กลัวปลาจิ๋นหลี่จะตกใจจนไม่ว่ายน้ำอีกจึงให้หม่อมฉันไปที่สระปี้ปัวจับปลามาสองตัว หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไป ไม่คิดว่าพอกลับมาจะไม่พบพระราชนัดดาแล้วเพคะ” แม่นมหนิวพูดจบก็หันไปถลึงตาใส่นางกำนัลไม่กี่คนนั้น

 

 

แม่นมหรงเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “พระราชนัดดาอยากจะดื่มนมน้ำผึ้งจึงให้หม่อมฉันไปสั่งที่ห้องครัวเล็ก…”

 

 

นางยังมิทันกล่าวจบก็ถูกตัดบทขึ้นว่า “บ่าวไพร่มากมายเพียงนั้นเหตุใดต้องให้เจ้าไปให้ได้”

 

 

“พระราชนัดดาบอกว่ามีเพียงหม่อมฉันที่รู้ว่าทรงต้องการดื่มแบบใด…” แม่นมหรงคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้น มิกล้าพูดต่อไปอีก

 

 

ตั้งแต่ไปอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงและได้เห็นท่าทีที่พระราชนัดดามีต่อเจียหมิงเซี่ยนจู่ นางก็เริ่มวางแผนการในใจแล้ว

 

 

พระราชนัดดาเพิ่งสูญเสียมารดา หากได้เป็นคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจที่สุดย่อมได้รับประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องพูดถึงเจียหมิงเซี่ยนจู่ที่มีเหตุบังเอิญทำให้ผูกพันกัน หากนางใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินมากสักหน่อยให้พระราชนัดดาเคยชินกับการดูแลของนาง เมื่อวันเวลาผ่านไปความผูกพันก็ยิ่งต้องลึกซึ้งขึ้นแน่

 

 

องค์ชายสามกวาดตามองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคราหนึ่ง “ข้าจำได้ว่านอกจากพวกเจ้าสองคน จิ่งเกอยังมีสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่อีกสี่คนมิใช่หรือ”

 

 

สาวใช้ชุดสีเขียวผู้หนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นจึงเอ่ยว่า “เพคะ หลังจากแม่นมหรงออกไป พระราชนัดดาก็…”

 

 

“มันอันใดก็พูดมา!”

 

 

สาวใช้ชุดเขียวจึงกัดฟันเอ่ยว่า “เพราะรอแม่นมหนิวจนหงุดหงิดจึงไล่พวกหม่อมฉันออกมาเพคะ พวกหม่อมฉันคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูจนแม่นมหนิวกลับมาแล้วเข้าห้องไปพร้อมกันจึงพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่แต่พระราชนัดดากลับหายไป”

 

 

“พระราชนัดดาหายไปตั้งแต่หลังอาหารเช้า แต่พวกเจ้าเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ คิดว่าคงไปตามหามาแล้วกระมัง”

 

 

คนทั้งหลายตกใจจนต้องโขกศีรษะติดกันหลายครา

 

 

แม่นมหนิวรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “เพคะ พวกหม่อมฉันตามหาไปทั่วตำหนักแล้ว…”

 

 

เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว ความอดทนขององค์ชายสามก็หมดสิ้นแล้วเช่นกัน เขายกมือขึ้นสะบัด “พวกเจ้าเอามาลากตัวสาวใช้ไม่ได้ความพวกนี้ออกไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนก่อน รอให้ตามหาพระราชนัดดาพบแล้วค่อยว่ากันอีกที!”

 

 

“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต…”

 

 

คนทั้งหกต่างโขกศีรษะระรัว หลังจากนั้นไม่นานก็ยังคงถูกลากตัวออกไปอยู่ดี

 

 

ตำหนักเยี่ยนอ๋องแทบจะถูกพลิกขึ้นมา ในที่สุดก็หาจิ่งเกอพบที่หอพระธรรมที่พระชายามักไปบ่อยยามมีชีวิตอยู่

 

 

ตอนที่องค์ชายสามไปถึง จิ่งเกอกำลังขดตัวอยู่ในมุมห้องไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้

 

 

“จิ่งเกอ…” องค์ชายสามยื่นมือออกไปหา

 

 

จิ่งเกอยิ่งถอยไปด้านหลัง

 

 

องค์ชายสามจิ่งอุ้มเข้ากลับไปที่ตำหนักแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดจิ่งเกอจึงไปที่นั่น”

 

 

“ข้า…ข้าคิดถึงพระมารดา”

 

 

องค์ชายสามมีสีหน้าขรึมลง “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าพระมารดาไม่อยู่แล้ว เจ้ายังหนีบ่าวไพร่แอบออกไปอีก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะทำเช่นใด”

 

 

“หากข้าบอก พวกนางก็คงไม่ยอมให้ข้าไปหาพระมารดา” จิ่งเกอเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ

 

 

องค์ชายสามมองไปที่หน้าต่างคราหนึ่งแล้วหันมาสำรวจจิ่งเกอ “จิ่งเกอ หน้าต่างสูงเพียงนี้เจ้ากระโดดลงไปได้อย่างไร บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”

 

 

จิ่งเกอเม้มริมฝีปากไว้ไม่พูดจา

 

 

องค์ชายสามหน้าขรึมไปทันที “เป็นอันใด เจ้ายังคิดจะปิดบังพ่ออีกหรือ”

 

 

สำหรับพระบิดา…จิ่งเกอนั้นมีความกลัวอยู่บ้างมาเสมอ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้จึงมิกล้าปิดบังอีก จิ่งเกอเอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารว่า “ข้ามิได้โดดลงไป แค่เปิดหน้าต่างไว้แล้วมุดเข้าไปใต้เตียง รอให้พวกนางเข้ามาไม่เห็นข้าแล้วออกไปตามหา ข้าก็เดินออกไปทางประตู”

 

 

ประกายตาขององค์ชายสามเปล่งประกายขึ้นมาทันใด

 

 

เขาคิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอที่แม้จะขี้ขลาดไปสักหน่อยนั้นจะฉลาดเช่นนี้

 

 

เดิมเขารู้สึกหมดหวังกับจิ่งเกอไปหลายส่วนแล้ว เขายังหนุ่มแน่น ภายหน้าขึ้นครองตำแหน่งนั้นแล้วก็ยังมีบุตรชายได้อีกมากมาย หากจิ่งเกอไม่เอาไหน เขาก็แค่เลือกคนที่เก่งกว่าขึ้นเป็นรัชทายาท

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอจะฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก บุตรชายคนโตที่ปราดเปรื่องนั้นย่อมมีผลดีมากกว่า

 

 

“พระบิดา…” จิ่งเกอกระตุกแขนเสื้อองค์ชายสามอย่างขลาดๆ “ข้าไปหาพระมารดาที่หอพระธรรมแล้วก็ไม่เจอ พระมารดาถูกฝังไปในดินเหมือนปลาจิ๋นหลี่จริงๆ หรือ”

 

 

“อืม”

 

 

จิ่งเกอคิดแล้วคิดอีกจึงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นหากรอจนถึงปีหน้า จะมีพระมารดามากมายเกิดขึ้นมาจากดินหรือไม่”

 

 

“แน่นอนว่าไม่…” องค์ชายสามยังมิทันเอ่ยจบก็เห็นแววตาลังเลทั้งเสียใจนั้นของจิ่งเกอ เขาจึงเปลี่ยนใจเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นปัญหาอันใดเลย จิ่งเกอวางใจได้ รอจนถึงปีหน้าเจ้าก็จะมีพระมารดาแล้ว”

 

 

จิ่งเกอคลี่ยิ้มด้วยความยินดี “จะเหมือนกับพระมารดาทุกประการเลยหรือไม่”

 

 

โลหิตบนขมับองค์ชายสามกระตุกอยู่ตลอด บุตรชายฉลาดเกินไปย่อมมิง่ายที่จะหลอกได้

 

 

“จิ่งเกอเจ้าดูสิ ผลไม้บนต้นไม้ยังมีทั้งลูกท้อ สาลี่ แล้วคนจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า”

 

 

จิ่งเกอนิ่งเงียบไป

 

 

หลังจากผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เหมือนพระมารดา จิ่งเกอไม่ชอบ”

 

 

พูดถึงตรงนี้แล้วก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อยค่อยเอ่ยว่า “หากเหมือนท่านอาเจียหมิง จิ่งเกอถึงชอบ กลิ่นบนกายท่านอาเหมือนพระมารดาไม่มีผิด”

 

 

องค์ชายสามได้ยินเช่นนั้นก็เกิดประกายวูบขึ้นในตาคราหนึ่ง “จิ่งเกอชอบท่านอาเจียหมิงมากเลยหรือ”

 

 

จิ่งเกอพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง

 

 

“เช่นนั้น หลังจากที่จิ่งเกอเริ่มเรียนตำราก็ต้องขยัน หากเจ้าทำได้ดี พ่อจะพาเจ้าไปพบท่านอาเจียหมิงบ่อยๆ ดีหรือไม่”

 

 

“ดียิ่ง” จิ่งเกอรับปากทันที และเผยรอยยิ้มแรกในช่วงหลายวันมานี้เสียที

 

 

องค์ชายหกเห็นแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น

 

 

หากจิ่งเกอสามารถพัฒนาตนเป็นคนเก่งกาจขึ้นมาได้ ภายหน้าเขาจะยอมละเว้นชีวิตเจียหมิงแล้วรับนางเข้ามาเป็นสนมในวังอย่างเงียบๆ ก็มิใช่จะทำไม่ได้

 

 

ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นจะให้เก็บไว้ก่อนชั่วคราวได้ แต่อนาคตเขามิคิดจะให้หลัวเทียนเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

 

หลัวเทียนเฉิงควบคุมหน่วยองครักษ์ที่จักรพรรดิไว้พระทัยที่สุดนั้นเขาไม่สน แต่ในสายตาเขา ขุนนางที่เขามิเคยเห็นความต่ำต้อยในตัวคนผู้นั้นเลยเขาหยิบมาใช้งานก็ไม่มีทางสบายใจได้!

 

 

เดิมนั้นแม้แต่เจียหมิงเซี่ยนจู่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป แต่ในเมื่อจิ่งเกอชอบ ไว้ชีวิตนางผู้ซึ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งก็คงมิทำให้เกิดเหตุอันใดได้

 

 

ภาพของเจินเมี่ยวปรากฏวูบขึ้นในหัว แล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างพอใจ ทั้งเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอันยากจะบรรยายเกิดขึ้นอยู่ลึกๆ

 

 

หลังจากที่ชายาจากไป เขาก็งดเรื่องนั้นมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงลอบเข้าไปหานางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ที่ห้องตำรามาตลอดผู้นั้น

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ถึงเดือนสามที่อากาศแสนอบอุ่น บุปผานับร้อยผลิบาน ต้นหญ้าเขียวแตกยอดต้อนรับสายลม ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ

 

 

จื่อซูได้ออกเรือนไปในวันมงคลของเดือนนี้

 

 

เจินเมี่ยวให้เงินขวัญถุงแก่นางสองร้อยตำลึง ทั้งยังมอบเครื่องทองบริสุทธิ์ประดับเกศาหนึ่งชุด เครื่องเงินประดับเกศาสองชุด ผ้าชั้นดีอีกหลายพับ

 

 

สาวใช้ทั้งหลายจากเรือนอื่นๆ เห็นเขาต่างก็เกิดความอิจฉาอย่างยิ่ง

 

 

จื่อซูโขกศีรษะด้วยน้ำตาคลอก่อนออกจากประตูไป ผ่านไปสามวันก็กลับมาเยี่ยมคารวะนายตน เจินเมี่ยวเห็นมุมปากนางเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ดูน่าชิดใกล้กว่าในอดีตขึ้นมากก็วางใจ

 

 

“หลัวเป้าดีต่อเจ้า ข้าก็วางใจ พวกเจ้าเพิ่งแต่งงาน ข้าจะให้เจ้าลาพักสองเดือน หลังจากนั้นอีกสองเดือนค่อยเข้ามาเป็นแม่บ้านผู้ดูแลเรือนข้า”

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิต้องการลาพักถึงสองเดือน ให้บ่าวเริ่มทำงานตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยเย้าว่า “วางใจได้ แม้นลาพักข้าก็ยังให้เบี้ยหวัดประจำเดือนเจ้าอยู่”

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น…”

 

 

เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้ามิต้องรีบดอก แม้นหลัวเป้าจะต้องตาเจ้าก่อน แต่พวกเจ้าทั้งสองก็ยังมิเคยอยู่ด้วยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังสักที อย่างไรก็ควรอยู่ด้วยกัน เรียนรู้กันให้มากไปสักระยะ ความรักจึงจะลึกซึ้งผูกพัน”

 

 

เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ จื่อซูก็หน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน

 

 

ครั้นเห็นจื่อซูที่มักมีท่าทีเคร่งขรึมอยู่ตลอดเขินอายขึ้นมา บรรดาสาวใช้ในห้องจึงเอ่ยเย้าขึ้น

 

 

“ใช่แล้ว พี่จื่อซู แม้พวกเราจะโง่เขลาไปบ้าง แต่การปรนนิบัติต้าไหน่ไหน่ในช่วงสองสามวันมานี่กลับยังมิเคยโดนด่าเลยสักครั้ง ท่านวางใจเถิด”

 

 

“ผิดแล้ว ตอนนี้ไม่ควรเรียกว่าพี่จื่อซู ต้องเรียกว่าคนของบ้านสกุลหลัว”

 

 

จื่อซูทั้งเขินทั้งโมโห แต่สาวใช้ทั้งหลายกลับหัวเราะกันใหญ่

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมองพวกนางคราหนึ่ง “พวกเจ้าวางใจได้ หากพวกเจ้าออกเรือน ข้ารับรองว่าทุกคนจะได้หยุดพักสองเดือนเช่นเดียวกันอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”

 

 

ครานี้สาวใช้ที่อายุมากสักหน่อยหลายคนก็เริ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นมา จึงหาข้ออ้างหลบออกไป มีเพียงชิงเกอที่ยังงงงวยอยู่ “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากลาพัก หากหยุดทำงานก็คงมิได้อาหารที่ห้องครัวเล็กทำเป็นแน่เจ้าค่ะ”

 

 

ไป๋เสาที่ยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวอดยิ้มออกมามิได้ รอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวเห็นท่าทางงงงันของชิงเกอแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจแทนนาง”

 

 

“คนเขลาก็มีวาสนาของคนเขลา ว่าแต่เจ้าเถิด ไม่คิดออกเรือนจริงๆ หรือ”

 

 

ไป๋เสาหุบยิ้มแล้วพยักหน้า

 

 

“หากมีคนมิติดใจกับรอยแผลเป็นบนหน้าเจ้าเล่า?”

 

 

ความจริงเมื่อรักษาดูแลมาสองปีแล้ว แผลเป็นบนใบหน้าไป๋เสาก็เหลือเพียงรอยจางๆ เท่านั้น เจินเมี่ยวไม่รู้สึกเลยว่านางจะหาคู่ครองไม่ได้เพราะรอยแผลนี้

 

 

นิ่งเงียบอยู่นาน ไป๋เสาจึงเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า “อาจจะไม่ติดใจในชั่วเวลาหนึ่งแต่ต่อไปอาจจะติดใจขึ้นมาก็ได้ บ่าวคอยรับใช้ต้าไหน่ไหน่เช่นนี้ตลอดไปก็มีความสุขเจ้าค่ะ”

 

 

ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เข้าใจความคิดของไป๋เสาแล้ว นางแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเสียโฉมแต่มิได้ปฏิเสธการแต่งงาน เพียงแต่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวบุรุษเท่านั้น

 

 

เจินเมี่ยวจะจดจำเรื่องนี้ไว้ ต่อไปจะได้มองหาคนที่เหมาะสมกับนางได้ง่ายขึ้น

 

 

เดือนนี้เจินเหยียนเองก็คลอดบุตรเช่นกัน นางให้กำเนิดบุตรตัวอวบอ้วนน้ำหนักแปดจิน ตอนพิธีอาบน้ำทารกเจินเมี่ยวเห็นแขนขาอวบขาวราวรากบัวของหลาน และใบหน้ารูปไข่อวบอ้วนนั้นแล้วนางก็หลงรักอย่างที่สุด

 

 

นางเวินจึงเริ่มพร่ำบ่นกับต่างว่า “พี่รองของเจ้ามีที่ยืนอันมั่นคงในตระกูลสามีแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าก็แต่งออกไปหนึ่งปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีวี่แววเลย”

 

 

นี่ยังไม่พอ บรรดาสตรีที่เข้าร่วมพิธีอาบน้ำทารกนั้นต่างมีทั้งญาติใกล้ชิดและญาติห่างๆ มาร่วมด้วย จึงมีทั้งคนที่เป็นห่วงเป็นใยจริงๆ และมีคนที่อิจฉาที่เจินเมี่ยวอายุยังน้อยแต่กลับมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นนี้แล้วจึงอดพูดจาเสียดแทงสักสองสามประโยคมิได้ มีทั้งพูดตามตรงและพูดทางอ้อมถึงเรื่องที่เจินเมี่ยวยังมิตั้งครรภ์

 

 

เจินเมี่ยวหงุดหงิดอยู่ค่อนวันถึงได้กลับจวนมาพร้อมกับอาสะใภ้ทั้งหลาย

 

 

เมื่อนางเถียนกลับถึงเรือนซินหยวนก็เรียกเสวี่ยเยี่ยนมาหาเงียบๆ

 

 

เสวี่ยเยี่ยนเป็นสาวใช้ที่รูปโฉมงดงามโดดเด่นที่สุขของนางเถียน เพื่อกำราบเยียนเหนียงนางเถียนจึงยกนางให้นายท่านรองสกุลหลัว แต่น่าเสียดายที่ใจของเขามัวพะวงหาแต่เยียนเหนียง ทำให้สตรีงดงามราวบุปผาดุจหยกถูกหยิบใช้งานเพียงสองครั้งก็ทิ้งขว้างเสียแล้ว

 

 

นางเถียนกำชับนางอยู่หลายคำ

 

 

เสวี่ยเยี่ยนฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบที่ส่งมาของนางเถียน นางจึงพยักหน้าเงียบๆ

 

 

นายท่านเป็นที่พึ่งให้นางมิได้ นางคงได้แต่พึ่งฮูหยินแล้ว หากล่วงเกินฮูหยินอีก นางคงมีแต่ทางตายเช่นเดียวกับหลี่ว์เอ๋อร์

 

 

นางเถียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

 

วันหนึ่งเสวี่ยเยี่ยนไปแอบร้องไห้อยู่ใต้ซุ้มดอกไม้แต่ก็ถูกหย่วนซานที่มาเก็บดอกกไม้เห็นเข้าพอดี

 

 

พวกนางนั้นเป็นสาวใช้รุ่นเดียวกันจึงมีความผูกพันกันอยู่บ้าง ภายหลังถูกแยกไปอยู่คนละเรือน ความสัมพันธ์จึงค่อยๆ จืดจางลงเมื่อหย่วนซานได้กลายเป็นสาวใช้ทงฝังของซื่อจื่อไปเป็นเวลานานแล้วแม้เห็นเสวี่ยเยี่ยนร้องไห้อยู่แต่หย่วนซานซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นเฉินอวี๋แล้วนั้นกลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset