วาสนาบันดาลรัก 292 หญิงงามสิ้นแล้ว

ตอนที่ 292 หญิงงามสิ้นแล้ว

เวินยาฉีมองทุกคนที่อยู่ในห้องไม่พูดสิ่งใดแล้ววิ่งออกไป

 

 

เพราะเป็นเรื่องอันน่าอับอาย ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากแม่นมหวังผู้เป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ไม่มีบ่าวไพร่คนใดอีก ครั้นเห็นเวินยาฉีวิ่งออกไปเช่นนั้น บรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ที่ถูกอบรมกิริยาอยู่ในสถานที่ดีงามย่อมได้แต่ยืนเบิกตามองอย่างตกตะลึง มีเพียงเจินเมี่ยวที่นับว่าว่องไวยิ่ง นางลึกขึ้นวิ่งตามไปทันที

 

 

เมื่อวิ่งออกมาถึงด้านนอกก็เรียกไป่หลิงและชิงเกอที่อยู่ห้องด้านข้าง “ชิงเกอ เจ้าวิ่งเร็ว รีบไปตามคุณหนูเวินกลับมาเร็วเข้า!”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเกอรับคำแล้ววิ่งออกไปทันที ทั้งที่รูปร่างกลมอ้วน แต่สองขากลับมีแรงมหาศาล ฝีเท้าว่องไวคล่องแคล่วยิ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็ตามจนทันเวินยาฉีและแบกนางขึ้นบ่ากลับมา เมื่อมาถึงตรงหน้าเจินเมี่ยวก็วางนางลงดุจลงพื้นดุจปักต้นหอมกระนั้น

 

 

เจินเมี่ยวไม่มีรอยยิ้มบนหน้าแม้แต่น้อย “ญาติผู้น้อง ครานี้เจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ?”

 

 

เวินยาฉีมิเคยมีสติเท่านี้มาก่อน นางจึงรู้ดีว่าหากมิพูดให้ชัดเจนก็ไม่มีทางผ่านด่านเจินเมี่ยวไปได้จึงได้สงบอารมณ์ตนลงก่อน “ญาติผู้พี่ ข้าจะไปถามนางสารเลวเจินจิ้งดูสักหน่อย”

 

 

“เจินจิ้ง?”

 

 

“ใช่ ญาติผู้พี่ ที่ข้าเลอะเลือนในครานี้ก็เพราะนางเป็นคนทำ!”

 

 

เจินเมี่ยวพิจารณาเวินยาฉีนิ่ง เมื่อเห็นดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างและมีสติหลังผ่านความบ้าคลั่งชนิดหนึ่งมาแล้ว แต่ภายในใจกลับมิได้เกินความสงสารอันใดขึ้นสักนิด

 

 

“ญาติผู้น้อง มีวาจาหนึ่งที่กล่าวว่า แมลงวันมิตอดดมไข่ที่ไร้รอยแตก ถามจริงๆ เถิด มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าปัญหานั้นเกิดจากผู้อื่นอยู่อีกหรือ?”

 

 

เวินยาฉีมองเจินเมี่ยวอย่างไม่อยากเชื่อ “ญาติผู้พี่ ท่านไม่เชื่อข้า ท่านคิดว่านางไม่ผิดอันใด?”

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจ “นางคือนาง เจ้าคือเจ้า มันคนละเรื่องกัน”

 

 

เวินยาฉีน้ำตาไหลพรากออกมา แต่กลับกัดริมฝีปากสกัดกั้นเสียงสะอื้นไว้ นางเอ่ยด้วยร่างสั่นเทิ้มว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ความผิดนี้มิอาจเรียกคืนได้ ญาติผู้พี่ถือว่าข้าขอร้องท่านเทิด ให้ข้าไปถามนางสักครา หากได้ถามนางแล้วข้าก็จะได้สบายใจ!”

 

 

“สบายใจ?”

 

 

“ใช่ มิเช่นนั้นโทสะนี้คงฝังในใจข้าตลอดไป ข้าไม่ยินยอมเสียหรอก!”

 

 

เจินเมี่ยวปวดหัวจนต้องนวดขมับตน แล้วพยักหน้าในที่สุด “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”

 

 

นางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจินจิ้งต้องการทำอันใดกันแน่!

 

 

เมื่อพูดคุยกันอยู่นานเช่นนี้ เจินปิงและเจินอวี้จึงตามมาทัน ครั้นเห็นเจินเมี่ยวพาเจินเวินยาฉีไปหาเจินจิ้งก็รีบตามไป

 

 

ที่เรือนเซี่ยเยียนนั้นเริ่มมีสีสันของวสันต์ฤดูแล้ว บนบันไดจัดวางกระถางดอกชาไว้นับสิบกระถาง ดอกของมันก็กำลังเบ่งบานเต็มที่

 

 

เจินจิ้งสวมเสื้อคลุมกันลมผ้าแพรขลิบเงินสีขาวแซมเขียวยาวคร่อมพื้น กำลังชมบุปผาด้วยท่าทีสง่างามแต่กลับขับให้คนงดงามกว่าบุปผาเสียอีก

 

 

ครั้นได้ยินเสียงคนมานางก็ยืดตัวขึ้น แล้วหันไปชำเลืองมองด้านข้างอย่างมิใคร่ใส่ใจนัก  มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ “เหตุใดวันนี้จึงคึกคักนัก น้องสาวทั้งหลายต่างก็มากันพร้อมหน้า?”

 

 

เวินยาฉีพุ่งเข้าไปหา “เจินจิ้ง วันนี้เจ้าต้องพูดให้ชัดว่าเจ้าคิดทำร้ายข้าใช่หรือไม่?”

 

 

สาวใช้สองคนขวางเวินยาฉีไว้ “คุณหนูโปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ นายหญิงข้ากำลังตั้งครรภ์ ร่างกายล้ำค่าดุจทองคำ หากชนกระแทกเข้าคงไม่ดีแน่”

 

 

เวินยาฉีถูกขวางไว้จึงหยุดอยู่แค่นั้น แต่ก็โกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา นางเอ่ยด่าด้วยโทสะว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางสารเลวเช่นเจ้าต้องเป็นคนคิดทำร้ายข้า!”

 

 

เจินจิ้งดีดนิ้วอย่างมิใส่ใจ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ญาติผู้น้องกล่าวเช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง เจ้าเอาแต่พูดว่าข้าทำร้ายเจ้า อย่างไรก็ควรต้องมีหลักฐาน ข้าอยู่ดีๆ กลับเอาน้ำสกปรกมาสาดรดข้าเช่นนี้ ข้าคงยอมมิได้”

 

 

“เป็นเจ้า เป็นเจ้าที่บอกข้าว่าพบกันกับองค์ชายหกที่เทศกาลชีซี…”

 

 

ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงองค์ชายหก เจินจิ้งก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที “ญาติผู้น้องโปรดระวังการเอ่ยถึงเรื่องของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย ข้ากับองค์ชายหกพบกันที่เทศกาลชีซีจริง แต่มันเกี่ยวอันใดกับญาติผู้น้องเล่า? ข้าบอกให้เจ้าเลียนอย่างงั้นหรือ?”

 

 

เวินยาฉีถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไป

 

 

ไม่ถูกต้อง ตอนที่นางเอ่ยถึงเรื่องนั้น สีหน้า น้ำเสียงล้วนแฝงไปด้วยการให้กำลังใจ มิใช่เช่นนี้เสียหน่อย แต่…แต่การบอกให้เลียนอย่างนั้น นางก็มิเคยพูดจริงๆ นั้นแล!

 

 

เวินยาฉีเพียงรู้สึกอัดอั้นหาใดเปรียบ นางกัดฟันเอ่ยถามว่า “แล้วถุงหอมนั้นเล่า เจ้าสอนให้ข้าปักชื่อไว้ที่ด้านใน…”

 

 

เจินจิ้งแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ญาติผู้น้อง ปีนี้เจ้าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วกระมัง ข้าสอนเจ้าปักชื่อเจ้าก็ต้องปักงั้นหรือ? นั้นเป็นเพียงความเคยชินของข้าเท่านั้น เจ้ามาเลียนตาม แล้วเหตุใดจึงมาโทษข้าเล่า”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ชำเลืองมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากข้าสอนเจ้ากินอุจจาระ เจ้าก็จะกินงั้นหรือ?”

 

 

“เจ้า เจ้ามันหน้าหนา! เจ้าเป็นคนชักจูงให้ข้าทำเรื่องเหลวไหลนี้แท้ๆ ยามนี้กลับพูดจาไม่รับผิดชอบใดๆ เสียแล้ว!” เวินยาฉีพุ่งเข้าใส่นางอีก

 

 

เจินจิ้งกลับยืนยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยวาจา มองสาวใช้ที่ติดตามตนมายืนขวางเวินยาฉีไว้อย่างแน่นหนา แล้วชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่มีใบหน้าปั้นยากคราหนึ่ง รู้สึกสะใจจริงๆ

 

 

นางเป็นคนขององค์ชายหก ผู้ใดจะกล้าต่อว่านางอย่างเปิดเผย แต่เจินเมี่ยว…เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ยากจะรับรองได้ว่าผู้คนจะมิย้อนไปถึงสาเหตุที่นางได้แต่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง

 

 

“พี่สาม ท่านเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้จริงๆ หรือ?” เจินอวี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง

 

 

เจินจิ้งหัวเราะแหยะๆ “วาจานี้ของน้องหกช่างแปลกประหลาดนัก เรื่องของข้า พวกเจ้าก็รู้ดี แล้วเหตุใดจึงมิเห็นกระทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้บ้างเล่า?”

 

 

พูดพลางมองเจินปิงคราหนึ่งแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดายที่ญาติผู้น้องพำนักอยู่ที่จวนปั๋วแห่งนี้ ทำให้น้องสาวทั้งสองต้องพลอยลำบากไปด้วยแล้ว เฮ้อ ข้าได้ยินมาว่างานหมั้นของน้องหกถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ขอให้อย่าเป็นเช่นข้าที่จู่ๆ ก็เกิดเรื่องตกน้ำอันใดนั้นขึ้นแล้วกัน ส่วนของห้า เจ้าก็ใจเย็นสักหน่อย รอให้เรื่องนี้ผ่านไปสักปีสองปีจนคนลืมเลือนไป ข้าจะขอร้ององค์ชายหกให้ ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะช่วยหาคู่ครองที่ดีพร้อมให้กับน้องสาวได้”

 

 

ฝ่ามือเจินปิงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น นางเผยอปากขึ้นแต่ก็พูดไม่ออก ในแววตาปกคลุมไปด้วยหมอกกลุ่มหนึ่งในทันใด เจินอวี้จึงค่อยๆ กุมมือนางไว้

 

 

เจินเมี่ยวเชิดคางขึ้น “เหตุใดข้าจึงไม่ทราบว่าองค์ชายจะทรงมากังวลใจกับการแต่งงานของคนในตระกูลขุนนางเล่า?”

 

 

สีหน้าเจินจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลอบเอ่ยในใจว่านางสะเพร่าเกินไปแล้ว

 

 

ความสนิทสนมขององค์ชายกับขุนนางนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม องค์ชายหกกังวลที่สุดว่าคนจะกล่าวเช่นนี้ ต่อให้นางตั้งครรภ์ แต่หากพระองค์ทราบเข้าเกรงว่าคงโกรธเคืองนางมากแน่ เจินเมี่ยวเดิมนั้นเป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ายามนี้จะปากคอเราะรายขึ้นมาได้ ได้ยินว่าคุณชายผู้สืบทอดดีต่อนางยิ่ง หรือตอนนี้กลายเป็นที่โปรดปรานไปแล้ว?

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วแววตาอันหยิ่งยโสนั้นแล้วเอ่ยแทงใจนางไปอีกว่า “ทั้งมิได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาติอันใด!”

 

 

วาจานี้ทำให้เจินเมี่ยวเอ่ยอันใดมิออกอยู่เป็นนาน สีหน้าเปลี่ยนไปมาดั่งจานผสมสีก็มิปาน

 

 

เจินอวี้ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน นางรีบเอ่ยขึ้นด้วยปากไวว่า “พี่สามวางใจเถิด ต่อให้อนาคตของพี่ห้าจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็ต้องได้นั่งเกี้ยวแปดคนยกออกไปจากประตูจวนแน่”

 

 

เจินจิ้งหรี่ตาลงกวาดสายตาเย็นชามองเจินอวี้คราหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นเอ่ยเนิบนาบว่า “งั้นหรือ? แม้จะสามีในตระกูลที่ขายโลงศพอันใดนั้นก็ได้หรือ?”

 

 

เวินยาฉีโมโหถึงขีดสุด “เป็นเจ้าจริงๆ คนผู้นั้น คนผู้นั้นเจ้าก็เป็นคนวางแผนไว้ใช่หรือไม่?”

 

 

“ญาติผู้น้องเจ้าคิดว่าข้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าไหนเลยจะเก่งกล้าปานนั้น เรื่องนี้ มิใช่ว่าคนทั่วทั้งจวนต่างก็ทราบไปทั่วแล้วหรอกหรือ?” เจินจิ้งพูดพลางมองแม่นมที่คอยรับใช้ตนคราหนึ่ง

 

 

แม่นมผู้นั้นรีบตอบว่า “บ่าวบังเอิญได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดกันตอนที่ออกไปรับข้าวเจ้าค่ะ”

 

 

“ข้าขอสู้ตายกับเจ้า วันนี้เราต้องตายไปข้าง!” เวินยาฉีพุ่งเข้าไปสุดแรงแต่กลับถูกคนขวางไว้แน่น นางดิ้นรนจนผมเผ้าหลุดลุ่ย ปิ่นปักก็ร่วงตก สภาพอเนจอนาถยิ่ง

 

 

“พอแล้ว” เจินเมี่ยวตะโกนออกมาเสียงหนึ่ง

 

 

ทุกคนพลันหยุดชะงักไปทันที

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาเจินจิ้ง

 

 

มีแม่นมสองคนเดินเข้ามาขวางไว้ นางกวาดตามองด้วยสายตาเย็นชา “มีอันใด แค่จะพูดคุยกับพี่สาวตนเอง ข้าผู้เป็นถึงเจียหมิงเซี่ยนจู่ ทั้งยังเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงก็ต้องขออนุญาตพวกเจ้าก่อนหรือ?”

 

 

แม่นมสองคนมีสีหน้าปั้นยาแล้วมองเจินจิ้งด้วยความลังเลคราหนึ่ง

 

 

เจินจิ้งยิ้ม “พวกเจ้าหลบไป”

 

 

แล้วมือก็วางลงบนท้องน้อยอย่างไม่รู้ตัว นางมองเจินเมี่ยวเดินเข้ามาหาตนด้วยสายตานิ่ง

 

 

เจียหมิงเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร นางตั้งครรภ์เลือดเนื้อขององค์ชายหกอยู่ นางจะกล้าทำร้ายตนเชียวหรือ?

 

 

เจินเมี่ยวยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าเจินจิ้ง นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “พี่สาม คุณชายรองร้านขายโลงศพนั้นท่านได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”

 

 

หากนาแค่ยุยงให้เวินยาฉีไปที่งานเทศกาลโคมไฟ นางก็แค่ไร้ยางอาย แต่ก็ต้องโทษเวินยาฉีที่มิอาจหักห้ามความเย้ายวนนั้นได้ หากแม้แต่คนนางก็ยังตั้งใจจัดหามาเป็นพิเศษนั้นก็ช่างน่ารังเกียจอย่างที่สุดเลย

 

 

“เปล่า” เจินจิ้งเอ่ยตอบอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

 

 

“ท่านสาบาน?”

 

 

เจินจิ้งยิ้ม “น้องสี่ เจ้าช่างไร้เดียงสาจริงๆ ข้าจะสาบานไปไยกัน? ข้าบอกว่าไม่ได้ทำ เจ้าจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ช่าง มันเป็นเรื่องของเจ้า เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า? แม่นมจง ประคองข้าไปนั่งที ข้าเหนื่อยแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าโดยแรงคราหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับทันที “กลับกันเถิด”

 

 

เวินยาฉีถูกชิงเกอลากออกไปอย่างไม่ใคร่ยินยอมนัก

 

 

เจินจิ้งจ้องมองแผ่นหลังของเจินเมี่ยวนิ่งแล้วยิ้มเย็นออกมาอย่างภาคภูมิ

 

 

ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ เจินเมี่ยวก็พลันหมุนกายกลับมาแล้วเชิดคางขึ้นเอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “เจินจิ้ง เจ้าต่ำช้าเพียงนี้ องค์ชายหกทราบหรือไม่?”

 

 

กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

 

 

เจินจิ้งยังมิทันได้ตอบโต้กลับก็ไม่เห็นเจินเมี่ยวเสียแล้ว นางเตะกระถางดอกชาโดยแรงด้วยความโกรธจนกระถางล้มคว่ำ

 

 

“นายหญิง ท่านอย่าโกรธไปเลย ประเดี๋ยวจะเป็นอันตรายต่อพระราชนัดดาน้อยในครรภ์นะเจ้าคะ”

 

 

เจินจิ้งจึงเริ่มสงบลง นางลูบท้องตนเบาๆ แล้วยิ้มออกมา

 

 

ใช่แล้ว ต่อให้เจินเมี่ยวบ้าคลั่งเพียงใด นอกจากใช้จิกกัดแล้วนางยังทำอันใดได้อีก นางกล้าแตะต้องตนแม้แต่ปลายก้อยงั้นหรือ!

 

 

จะถึงกับไปฟ้ององค์ชายหกเลยหรือ? นางไม่เชื่อหรอกว่าญาติผู้น้องของตนทำเรื่องเช่นนั้นออกมาแท้ๆ แล้วนางยังมีหน้าไปพูดได้! อีกอย่าง หลักฐานเล่า จะใช้เพียงคำพูดนั้นหรือมาเอาผิดนาง?

 

 

เจินจิ้งมองดอกชาสีแดงนั้นแล้วรู้สึกขวางตายิ่งนัก จึงยกเท้าขึ้นเตะมันโดนแรงจนแตกแล้วหมุนกายเดินกลับเข้าเรือนไป

 

 

เจินเมี่ยวพาเวินยาฉีไปที่เรือนนางเวิน “ท่านแม่ ข้าจะกลับจวนก่อนจะได้ให้คนส่งสารไปให้ซื่อจื่อ ให้เขาสืบประวัติคุณชายจากร้านขายโลงศพผู้นั้นสักหน่อย”

 

 

“ก็ดีเหมือนกัน หากเขามาขอยาฉีด้วยความจริงใจก็ดียิ่ง”

 

 

“ท่านอา!” เวินยาฉีถอยหลังไปติดๆ กัน “หรือพวกท่านจะให้ข้าแต่งกับเขาให้ได้? คนผู้นั้นเขาตาเหล่นะ!”

 

 

“ยาฉี ข้าพูดคุยกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่หลายคำ แม้นตาเขาจะมีปัญหาแต่ก็มิได้ร้ายแรงอันใด หากมิจ้องมองจับผิดก็ดูไม่ค่อยออกด้วยซ้ำ หากเขาเป็นคนดีเจ้าก็แต่งไปเถิด มีอาและญาติผู้พี่ทั้งหลายของเจ้าอยู่ย่อมไม่มีทางให้เจ้าต้องเสียเปรียบแน่นอน”

 

 

“ไม่เสียเปรียบ?” เวินยาฉีทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ สุดท้ายจึงยกมือขึ้นชี้เจินเมี่ยว “ท่านอา ท่านพูดมาตามตรง หากคนที่ญาติผู้พี่ลากดึงลงน้ำในตอนนั้นเป็นเช่นเขา ท่านยังจะบอกให้นางแต่งกับเขาอยู่หรือไม่?”

 

 

“ยาฉี…” นางเวินถูกวาจานี้ทิ่มแทงจนสั่นไปทั้งร่าง สติทุกอย่างพังครืนลง

 

 

หลานสาวที่ตระกูลมารดาฝากฝังไว้กับนางได้แต่งให้กับบุรุษเช่นนี้นั้นในใจนางเองก็มิได้รู้สึกดีอันใด แต่ก็เพราะไร้หนทางอื่นแล้วมิใช่หรือ เด็กสาวผู้นี้ เด็กสาวผู้นี้ต้องการชีวิตของนางหรือไร

 

 

ใจดวงนั้นของเจินเมี่ยวก็เย็นเยือกขึ้นมาเช่นกัน นางประคองนางเวินพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าจะกลับไปสืบสาวราวเรื่องดูก่อน แล้วค่อยว่ากันเถิด”

 

 

นางกวาดตามองสาวใช้ในเรือนคราหนึ่ง “พวกเจ้าไปส่งคุณหนูเวินกลับสวนเฉินเซียง แล้วดูแลให้ดีอย่าให้คลาดสายตา”

 

 

นางเวินกลัวว่าเวินยาฉีจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกจึงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ให้ยาฉีพักอยู่ที่สวนเหอเฟิงก่อนเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวบอกลานางเวินกลับจวนกั๋วกงไป ปั้นซย่าได้รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นนางลงจากรถม้าก็ส่งจดหมายให้นางทันที “ต้าไหน่ไหน่ นี่เป็นสารที่ซื่อจื่อให้คนส่งมาขอรับ ทั้งยังบอกว่าหากถึงยามเที่ยงแล้วท่านยังไม่ตอบกลับก็ให้ส่งสารไปที่จวนปั๋วได้เลยขอรับ”

 

 

เจินเมี่ยวรับมาแล้วกลับไปที่เรือนชิงเฟิง ครั้นนางเปิดคลี่จดหมายออกอ่านได้เพียงถึงครึ่ง ไป่หลิงก็วิ่งเข้ามาภายในห้องที่ตระหนกกลัว “ต้าไหน่ไหน่ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

“มีอันใด?” เจินเมี่ยวใจหายวาบขึ้นมา

 

 

“จวนปั๋วส่งคนมาแจ้งข่าวด่วน บอกว่า คุณหนู…คุณหนูเวินแขวนคอตายเจ้าค่ะ!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset