วาสนาบันดาลรัก 290 ทำตนเองทั้งสิ้น

ตอนที่ 290 ทำตนเองทั้งสิ้น

 

 

ครั้นเจินเมี่ยวได้ยินว่าเวินยาฉีหายไปก็เกิดลางสังหรณ์อันไม่ดีขึ้น ต่างก็ทราบกันดีว่าเจินจิ้งเองก็ได้พบกับองค์ชายหกเพราะงานเทศกาลชีซี เวินยาฉีคงมิคิดเลียนอย่างนางกระมัง?

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ วันนั้นที่นางเอ่ยเตือนก็เห็นว่าดูยินยอมเชื่อฟังด้วยดี เหตุใดจึงก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้เล่า?

 

 

“จิ่นหมิง ท่านช่วยไปตามหาญาติผู้น้องอีกแรงเถิด” อารมณ์อันดียิ่งของเจินเมี่ยวมลายหายไปสิ้นเหลือเพียงความร้อนรนและโทสะเริ่มปะทุขึ้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงอารมณ์เสียอย่างยิ่ง

 

 

เขาอุตส่าห์หาเวลาว่างทั้งที่ยุ่งมากเพื่อมาเดินเล่นชมโคมไฟกับภรรยา เพราะอยากจะให้ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาได้ก้าวไปอีกขั้น ผู้ใดจะทราบว่าญาติผู้น้องอันใดนั้นกลับทำลายมันไปเสียสิ้น ยามนี้จึงเริ่มรู้สึกชังน้ำหน้าเวินยาฉีขึ้นมา แต่จะให้เขาปล่อยปละไม่สนใจก็มิได้จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบของบางอย่างออกมา มิเห็นเขาทำอันใดกับมันด้วยมันก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว

 

 

เสียงแผ่วเบานั้นถูกกลืนเข้าไปในท่ามกลางเสียงอันอึกทึกนั้น แต่บนท้องฟ้ากลับปรากฏดอกไม้งดงามเจิดจ้าช่อหนึ่งขึ้น

 

 

ไม่นานก็มีคนหน้าตาธรรมดาสวมชุดอย่างคนทั่วไปจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าหลัวเทียนเฉิงอย่างเงียบๆ

 

 

“ญาติผู้น้องแต่งกายเช่นไร?” หลัวเทียนเฉิงมองไปยังเจินปิง เจินอวี้

 

 

เจินปิงเอ่ยว่า “ใส่เสื้อคลุมมีขนปักลายดอกหมู่ตานสีแดงสด กระโปรงจีบรอบสีน้ำเงินลายมัจฉาแหวกว่ายในทะเลสาหร่าย”

 

 

“ใช่แล้ว นางปักปิ่นทองระย้าพวงไข่มุกด้วย” เจินอวี้เม้มริมฝีปากเอ่ยขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความประชดประชัน

 

 

คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ยังมิเข้าพิธีปักปิ่นเช่นพวกนางนั้นย่อมต้องมีเครื่องประดับอย่างปิ่นปักระย้าไว้ในลิ้นชักอย่างแน่นอน แต่ก็น้อยนักจะใส่ออกมาข้างนอก หากอ้างถึงวาจาผู้อาวุโส ท่านคงจะบอกว่าคุณหนูน้อยก็ควรแต่งกายอย่างคุณหนูน้อย มิจำเป็นต้องใส่ปิ่นปักมุกอันใดให้เต็มศีรษะ นั้นเป็นลักษณะของผู้ที่เพิ่งร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหันมักกระทำมากกว่า

 

 

“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไปตามหาคนตามที่คุณหนูทั้งสองบรรยายลักษณะมาเถิด เราจะไปรอที่ร้านน้ำชาข้างหน้า” หลัวเทียนเฉิงชี้ไปที่ร้านน้ำชาที่แห่งหนึ่ง

 

 

คนเหล่านั้นยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพแล้วกลมกลืนหายไปในฝูงชนทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองเจินปิง เจิ้นอวี้แล้วเอ่ยว่า “น้องห้า น้องหกพาบ่าวไพร่ไปรอที่ร้านน้ำชาด้วยกันเถิด”

 

 

เจินปิงลังเลครู่หนึ่ง “พี่เขยสี่ ให้บ่าวไพร่พวกนี้ไปตามหากด้วยเถิด คนมากก็ย่อมตามหาได้เร็วขึ้น”

 

 

“มิจำเป็น พวกเจ้าสองคนเองก็ต้องการคนคุ้มครอง” หลัวเทียนเฉิงปฏิเสธความเห็นของเจินปิง แล้วเดินจูงมือเจินเมี่ยวเดินตรงไปที่ร้านน้ำชาก่อน

 

 

แม้นท่าทีของเขาจะอ่อนโยน แต่อาจเพราะตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับในยามนี้จึงทำให้เขามีท่าทีน่าเกรงขามเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว เจินปิงและเจินอวี้ต่างไม่กล้าพูดอันใดให้มากความได้แต่เดินตามไปเท่านั้น

 

 

ร้านน้ำชาที่ตั้งขึ้นริมทางนั้นมิได้สะอาดเท่าใดันัก หลัวเทียนเฉิงจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเก้าอี้คราหนึ่งจึงจูงเจินเมี่ยวไปนั่ง

 

 

เจินปิง เจินอวี้ล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาจึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย ในใจก็เอ่ยว่าหากสามีในอนาคตของพวกนางเป็นเช่นพี่เขยสี่คงจะดียิ่ง

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ยกชาเข้ามาให้ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

 

 

น้ำชาเป็นสีขุ่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นชาธรรมดาทั่วไป พวกเขาจึงมิได้ดื่มเพียงยกขึ้นมากุมไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่มือ และรอด้วยความร้อนใจต่อไป

 

 

แม้นสีหน้าของหลัวเทียนเฉิงจะสงบนิ่งอย่างยิ่ง แต่ในใจก็ทราบว่าการตามหาคนนั้นมิใช่เรื่องที่ทำได้ภายในเวลาเพียงชั่วครู่

 

 

อย่างไรเสียองครักษ์ลับก็มิใช่เทพเซียน เทศกาลโคมไฟคนมากมายดุจหุบเขาดั่งทะเลกว้าง การตามหาแม่นางน้อยผู้หนึ่งไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น

 

 

“หนาวหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวเห็นหลัวเทียนเฉิงถามตนก็อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่หนาว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงคว้ามือนางมาจับไว้เมื่อเห็นว่ามือฝ่ามือนางอุ่นร้อนดีจึงได้วางใจ แล้วเอ่ยต่อว่า “รอสักครึ่งชั่วยาม หากยังไม่พบพวกเจ้าก็กลับไปก่อน”

 

 

เจินเมี่ยวและคุณหนูทั้งสองพยักหน้า ครั้นคิดถึงเรื่องของเวินยาฉีแล้วต่างก็เงียบงันกันขึ้นมาทั้งหมด

 

 

เคราะห์ดีที่ผ่านไปเพียงสองเค่อก็มีบุรุษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแล้วพยักหน้าให้แก่หลัวเทียนเฉิงเป็นการส่งสัญญาณ

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นทันใด “ไป”

 

 

พวกเขาเดินตามคนผู้นั้นไปยังที่ลับตาคนจึงพบว่ามีบุรุษหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วย ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว สตรีผู้หนึ่งก็หันหน้าโผล่ออกมาจากเงาตะคุ่มนั้น หากมิใช่เวินยาฉีจะเป็นผู้ใดเล่า

 

 

เวินยาฉีหน้าซีดเผือดไปทันทีเมื่อเห็นเจินเมี่ยวจึงกัดริมฝีปากตนเอ่ยขึ้นด้วยยังอยู่ในอาการตกใจ “ญาติ…ญาติผู้พี่ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน “หากมิอยู่ที่นี่แล้วจะตามหาญาติผู้น้องพบได้รวดเร็วปานนี้หรือ”

 

 

เจินอวี้เอ่ยถามขึ้นอย่างมิอาจอดกลั้นได้ว่า “เวินยาฉี เจ้าไปที่ไหนมา รู้หรือไม่ว่าทำให้พวกเราร้อนใจเพียงใด?”

 

 

เวินยาฉีห่อตัวคราหนึ่งแล้วเอ่ยแล้วเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ข้ามัวแต่มองโคมฉางเอ๋อร์ หันมาอีกทีก็ไม่เห็นพวกเจ้าแล้ว”

 

 

พูดพลางมองบุรุษสองคนนั้นคราหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ต่อมาก็ถูกพวกเขาลากมาที่นี่ ข้ากลัวแทบตาย”

 

 

“มัวแต่มองโคมไฟงั้นหรือ?” เจินอวี้แค่นหัวเราะ ขณะกำลังจะพูดอันใดขึ้นมาอีกก็ถูกเจินปิงสะกิดเสียก่อน

 

 

ไม่ว่าอย่างไรข้ออ้างนี้ก็ย่อมดีกว่าการลอบมาพบกับบุรุษมากมายยิ่งนัก ถือเสียว่ามันไปเคยเกิดขึ้นแล้วกัน

 

 

เจินปิงเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี แล้วมีหรือเจินเมี่ยวจะไม่เข้าใจ นางมองเวินยาฉีอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พบกับเรื่องน่าตกใจมามากพอแล้ว ญาติผู้น้องรีบตามน้องห้ากับน้องหกกลับไปเถิด”

 

 

ทว่าในใจกลับคิดว่าพรุ่งนี้จักต้องเขียนจดหมายไปถึงนางเวินให้สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวคราหนึ่ง

 

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ญาติผู้พี่ต้องยุ่งยากแล้ว” เวินยาฉีกลับแสดงท่าทีว่าง่ายแต่ในใจกลับอดสงสัยมิได้

 

 

นางบังเอิญพบกับบุรุษผู้นั้นในเทศกาลงานโคมไฟนี้ถึงสามครา

 

 

ครั้งแรกคือตอนที่ลงมาจากรถม้านางบังเอิญเหลือบไปเห็นเขากระโดดลงมาจากหลังม้า คนทั้งสองสบตากัน เขาพลันผลิยิ้มออกมา

 

 

ครั้งที่สองคือตอนที่คุณหนูห้ากับคุณหนูหกกำลังเลือกโคมไฟอยู่ นางได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จึงหันไปมองก็เห็นเขาถอดหน้ากากเสือออกแล้วทำหน้าบิดเบี้ยวใส่เด็กน้อย

 

 

ครั้งที่สามคือตอนที่ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้น นางมิได้อยากจะดูสักนิด ในใจพลันปรากฏใบหน้ายิ้มแย้มของบุรุษผู้นั้นขึ้นจึงเดินไปยังบริเวณที่โคมถูกห้อยไว้เต็มนั้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ วุ่นวายในหัวใจก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง ครั้นกำลังจะเอ่ยปากต่อว่ากลับเห็นใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจยิ่งของอีกฝ่าย

 

 

ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกดั่งมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นตรงหน้า สว่างเจิดจ้า งดงามหาใดเปรียบ

 

 

นางลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนเอ่ยพูดขึ้นก่อน รู้สึกตัวอีกทีก็ยืนอยู่กับเขาใต้ต้นไม้สูงนั้นแล้ว ทั้งสองสบตากัน คำหวานต่างๆ พรั่งพรูออกมาอย่างไม่จบสิ้น

 

 

เขาบอกว่าเขาเป็นคุณชายรองของตระกูลฉังถิงปั๋ว ภายหน้าก็ต้องแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวจึงเอ่ยถามว่านางถือสาหรือไม่

 

 

นางมีอันใดจะไปถือสาเล่า เขามีฐานะสูงส่ง รูปโฉม ท่าทีล้วนต้องใจนางทุกสิ่ง หากแต่งให้บุรุษเช่นนี้ อย่างไรก็ย่อมดีกว่าแต่งกับบุรุษไร้ภรรยาที่ญาติผู้พี่หาให้

 

 

ที่น่ายินดียิ่งคือเขามิได้ถือสาที่นางเป็นเพียงญาติห่างๆ ของจวนเจี้ยนอานปั๋วทั้งยังเอาหยกห้อยเอวของตนมอบให้นางอีก

 

 

หยกนั้นงดงามแวววาว แค่มองก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดา แต่นางกลับไม่มีอันใดที่จะมอบให้เขาจึงถุงหอมอันประณีตงดงามที่นางเพิ่งปักเสร็จใหม่ๆ ส่งให้เขาไป

 

 

กระทั่งถึงจวนมุมปากของเวินยาฉีก็ยังคงเคลือบด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม เมื่อคิดถึงวาจาที่เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมาขอนางก็รู้สึกหวั่นไหวและหวานล้ำ

 

 

เจินปิงกับเจินอวี้มิได้ตรงกลับไปที่สวนฟางเฟยทันทีแต่ไปที่เรือนหนิงโซ่วก่อน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าพักผ่อนแล้วแต่เมื่อได้ยินว่าหลานสาวสองคนมารออยู่ด้านนอกก็ใจหายวาบคราหนึ่งแล้วรีบสวมอาภรณ์ทั้งอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาหาได้

 

 

เมื่อได้ยินว่าเวินยาฉีหายตัวไประยะหนึ่งก่อนตามเจอ สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย แล้วบอกให้แม่นมหวังไปเรียกนางเวินมาหา

 

 

นางเวินได้ฟังก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที นางตรงไปที่สวนเฉิงเซียงทันทีโดยมิสนว่ามืดค่ำเพียงใดแล้ว นางสอบถามเวินยาฉีอยู่นาน แต่นางกลับเอาแต่บอกว่ามัวแต่ชื่นชมโคมไฟจนทำให้พลัดหลงจากเจินปิง เจินอวี้

 

 

เวินยาฉีคิดว่าหากคนผู้นั้นมาสู่ขอนางจริงย่อมต้องเป็นโชคและวาสนาของนาง หากเขาไม่มา เมื่อนางมิได้เอ่ยถึงสักนิดก็ย่อมมิขายหน้า

 

 

นางเวินเห็นเวินยาฉียืนยันหนักแน่น สอบถามอยู่นานก็มิได้คำตอบอื่น นางจึงเลิกถามแล้วกลับเรือนตนไป อย่างไรเสียหลานสาวแท้ๆ พูดถึงเพียงนี้แล้ว หากนางผู้เป็นอามิเชื่อถือ เอาแต่บีบบังคับถามให้นางบอกว่ามีบุรุษมาข่มเหง นั้นก็คงมิใช่เรื่องที่ดีนัก

 

 

ด้านเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิง เมื่อกลับถึงเรือนชิงเฟิงก็อาบน้ำล้างหน้า กระทั่งเหลือเพียงสองสามีภรรยา หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เกรงว่าญาติผู้น้องผู้นั้นของเจ้าคงจะพบกับผู้อื่นอีกเป็นแน่”

 

 

“ท่านก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ หากเป็นผู้อื่นนางอาจจะเชื่อ แต่เรื่องราวก่อนหน้าที่เวินยาฉีทำและการใกล้ชิดกับเจินจิ้งในระยะนี้ทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “สตรีแน่งน้อยเอ่ยวาจาไม่ตรงกับใจไหนเลยจะมิเผยพิรุธได้”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของเจินเมี่ยว จึงลูบหน้านางพลางเอ่ยว่า “เป็นอันใด เจ้าห่วงญาติผู้น้องเจ้าเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวจึงตอบว่า “ความผูกพันของเรามิอาจพูดได้ว่าลึกซึ้งอันใด แต่นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านแม่ ตอนที่ท่านป้าสะใภ้มาเมืองหลวงก็ได้อื่นฝากฝังนางไว้กับท่านแม่ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นย่อมต้องกระทบกระเทือนจิตใจท่านแม่แน่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ฟังก็ทอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้ากังวลว่าจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็กลับไปเยี่ยมจวนเจี้ยนอานปั๋วสักคราเถิด แล้วหลอกนางว่าข้าได้สั่งให้องครักษ์ลับไปสืบเรื่องคนผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว หากคนผู้นั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมก็จัดการเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยก็ไม่เลว หากมิเหมาะสมกัน แค่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครเราก็สามารถแก้ไขความยุ่งยากที่จะตามมาได้ทันท่วงที”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

คนทั้งสองจึงตระกองกอดกันเข้านอน วันถัดมาหลัวเทียนเฉิงก็กลับไปที่ศาลาว่าการ นางเองก็จัดการแต่งตัวอย่างรีบร้อนแล้วนั่งรถม้าไปที่จวนเจี้ยนอานปั๋ว

 

 

แต่น่าเสียดายที่ความรีบร้อนของนางก็ยังนับว่าช้าอยู่หนึ่งก้าว เมื่อถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็เห็นว่ามีคนมากมายมายืนชี้ไม้ชี้มืออยู่มากมาย

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ลอบเอ่ยในใจว่าแย่แล้ว จึงรีบร้อนไปที่เรือนหนิงโซ่ว

 

 

ภายในเรือนหนิงโซ่วนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเรือนต่างๆ ล้วนอยู่กันคร นอกจากนี้ยังมีเจินปิง เจินอวี้และเวินยาฉีอีกด้วย

 

 

ตอนที่เจินเมี่ยวเดินเข้าไปก็ได้ยินเวินยาฉีเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าไหนเลยจะรู้จักกับคุณชายรองร้านขายโลงศพได้! ท่านอา ท่านต้องช่วยหลานนะเจ้าค่ะ นี่ต้องเป็นแผนของคนชั่วช้าที่คิดจะเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ แต่ก็มิกล้าลงมือกับคุณหนูจวนปั๋วโดยตรงถึงได้มาลงที่หลาน!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเวินยาฉีที่ร้องห่มร้องไห้โวยวายอยู่นั้นด้วยใบหน้าขมวดเกร็งแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงชำเลืองมองไปที่นางเวินอย่างเฉยชาคราหนึ่ง

 

 

นางเจี่ยงลอบส่ายหน้า ในใจก็กล่าวว่านางเวินช่างโชคไม่ดีนัก บุตรสาวสองคนล้วนแต่งกับคุณชายตระกูลใหญ่แต่หลานสาวกลับสร้างแต่เรื่องให้ต้องกังวลใจ

 

 

นางหลี่ลอบเบ้ปากตน สองปีที่ผ่านมานี่ในที่สุดนางก็มีเรื่องให้เบิกบานใจเสียบ้าง

 

 

นางเวินหน้าเขียวคล้ำไปหมด นางหยิบถุงหอมขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาแล้วโยนทิ้งไป “ยาฉี นี่เป็นสิ่งที่ค้นพบในห้องของเจ้า เจ้าจำได้หรือไม่?”

 

 

“เป็นของที่หลานหัดทำเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

“ด้านในของถุงหอมใบนี้ปักอักษร ‘ฉี’ ไว้มุมขวาด้านล่างของถุงหอมใช่หรือไม่ ในมือของบุรุษผู้ที่รอเจ้าอยู่ห้องด้านข้างนี่ก็มีถุงหอมที่ปักได้ประณีตงดงามกว่านี้อยู่ แต่รูปแบบการเย็บเหมือนกันและมีอักษร ‘ฉี’ ปักไว้ในตำแหน่งเดียวกันอีกด้วย!”

 

 

ใบหน้าของเวินยาฉีพลันซีดเผือดลง นางร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นที่ข้าพบเมื่อวาน เขาบอกว่าเป็นคุณชายรองจากตระกูลฉังถิงปั๋วชัดๆ !”

 

 

นัยน์ตาฮูหยินผู้เฒ่าพลันส่องประกายวาบขึ้นมา แล้วเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก “ผู้เฒ่าอย่างข้ามีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีกลับมิเคยได้ยินชื่อจวนฉังถิงปั๋วเลยสักครา”

 

 

เวินยาฉีพลันรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ นางมอบไปโดยรอบอย่างไร้หนทาง

 

 

พลันได้ยินแม่นมหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวกลับทราบมาว่าที่ถนนชิงเชวี่ยมีร้านขายโลงศพร้านหนึ่งชื่อร้านโลงศพฉังถิง”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset