วาสนาบันดาลรัก 288 หวั่นไหว

ตอนที่ 288 หวั่นไหว

เสียงเพล้งดังขึ้น เพราะชูสยาจวิ้นจู่ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน แขนเสื้อจึงปัดไปถูกถ้วยชา ถ้วยชาเบญจรงค์ชั้นดีจึงกลิ้งตกลงบนพื้นแตกละเอียด

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่มิไยดีมัน นางเพียงเลิกคิ้วเอ่ยว่า “แม่ครัวในจวนมีอยู่หลายคน มีผู้หนึ่งที่เสด็จลุงพระราชทานมาให้ เหตุใดต้องให้เซี่ยนจู่ลงครัวเองเล่า?”

 

 

บ่าวผู้นั้นเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ชูสยาจวิ้นจูเข้าใจขึ้นมาทันที นางจึงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ช่างเถิด เจ้าไปเรียนพระมารดาก่อน ให้เซี่ยนจู่เปลี่ยนอาภรณ์แล้วจะตามไป”

 

 

รอจนสาวใช้ผู้นั้นจากไป สีหน้าของชูสยาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกมีบางอย่างแปลกไปจึงเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่มองใบหน้างดงามราวดอกท้อเดือนสามก็มิปานนั้นแล้วอยากจะเอ่ยปากแต่ก็ชะงักไว้

 

 

เจินเมี่ยวผลักนางคราหนึ่ง “ระหว่างเรายังต้องมีอันใดปิดบังอีกหรือ?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ถอนหายใจ นางสั่งให้สาวใช้ไปหยิบอาภรณ์มาให้เจินเมี่ยว แล้วเอ่ยท่าทีลับๆ ล่อๆ ว่า “อ๋องสิบสามผู้นั้น ความจริงเป็นคนดีมาก แต่ แต่มีข้อเสียอยู่อย่าง…”

 

 

“ข้อเสียอันใด?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วโน้มเข้าไปใกล้ข้างหูเจินเมี่ยว “เขาชมชอบสตรีหน้าตางดงามเป็นที่สุด…”

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมองนางคราหนึ่ง

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ร้อนใจขึ้นมาจึงจ้องนางแล้วเอ่ยอีกว่า “ข้าคิดแล้วว่าถ้าพูดเช่นนี้เจ้าจักต้องขบขันข้าแน่!”

 

 

อย่างไรก็นางก็เป็นสตรีที่มิทันออกเรือน การพูดเรื่องเช่นนี้นั้นไม่ควรจริงๆ

 

 

เจินเมี่ยวกลับเข้าใจในเจตนาของชูสยาจวิ้นจู่ แต่แค่รู้สึกไม่อยากเชื่อเท่านั้น “เขาไม่กลัวมันเป็นเรื่องใหญ่หรือ?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ร้อง “หึๆ” ขึ้นคราหนึ่ง “เรื่องใหญ่อันใด อ๋องสิบสามมีฐานะอันไม่ธรรมดา ความผิดเช่นเดียวกันหากเป็นพระบิดากระทำคงถูกเสด็จลุงด่าไม่เหลือชิ้นดี แต่อ๋องสิบสามกลับไม่เป็นอันใดเลยด้วยซ้ำ”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้เสียงที่เอ่ยก็แผ่วลงเล็กน้อย “ประเดี๋ยวเจ้าก็อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้แล้วกัน”

 

 

เจินเมี่ยวมีสีหน้าประหม่าขึ้นมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอ่ยสิ่งใดดี

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาใส่นางคราหนึ่ง “ผู้ใดให้เจ้ามีรูปโฉมที่พาให้คนชมชอบเช่นนี้เล่า เจ้าอย่าได้ตำหนิพระมารดาข้าเลย คนที่อ๋องสิบสามอยากพบ อย่างไรเขาก็ต้องหาทางพบให้ได้ การพบเขาอย่างเปิดเผยนั้นดีกว่าปล่อยให้เขาทำเรื่องเหลวไหล มีพวกเราอยู่ อย่างไรก็มิยอมให้เจ้าต้องเสียเปรียบแน่”

 

 

เจินเมี่ยวเดินตามชูสยาจวิ้นจู่ไปที่ห้องครัว ทำของกินเล่นหลาย ใส่ในตะกร้าอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมพลั่กแล้วถือไปหาหย่งหวังเฟย

 

 

เมื่อพบหน้ากัน อานจวิ้นอ๋องก็มองไปที่ใบหน้าของเจินเมี่ยวพลางผลิยิ้มดั่งคาด “หากรู้แต่แรกว่าน้องเจียหมิงจะแสดงท่าทีน่าเกรงขามเช่นนั้นในงานเลี้ยงฉลองของราชวงศ์ วันนั้นข้าก็ควรจะไปชมความคึกคักสักหน่อย”

 

 

เจินเมี่ยวเพิ่งรู้ว่าที่อานจวิ้นอ๋องอยากพบนางนั้นมาจากสาเหตุนี้ด้วย

 

 

หย่งหวังเฟยรีบกระแอมไอขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจียหมิงอุตส่าห์ทำอาหารมา เรารีบกินกันก่อนเถิด”

 

 

มีสาวใช้เข้ามารับตะกร้าอาหารไปแล้วนำอาหารออกมาจัดวางจนเรียบร้อย

 

 

การทำอาหารครั้งนี้เจินเมี่ยวมิได้ตั้งใจทำเท่าใดนัก หน้าตาจึงมิได้ดูดีนัก

 

 

อานจวิ้นอ๋องกลับให้เกียรตินางอย่างยิ่ง เขาคีบกินแล้วยังชมไม่ขาดปากอีกด้วย

 

 

“น้องเจียหมิงโยนน่องไก่ได้แม่นยำถึงเพียงนี้เป็นเพราะเคยฝึกฝนมาก่อนใช่หรือไม่?”

 

 

แม้นอานจวิ้นอ๋องจะอายุใกล้สี่สิบแล้ว แต่กลับดูแลตนเองอย่างดี ดูแล้วไม่ต่างกับคนอายุสามสิบ ทั้งหน้าตาหล่อเหลา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นทั้งกลมโตทั้งกระจ่างใส ครั้นเอ่ยถามวาจาเนนี้ก็ยังแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อยผู้หนึ่งก็มิปาน อย่าพูดถึงความรู้สึกคุกคามต่อผู้อื่นเลย หากพูดกันตามจริงแล้วเกรงว่าสตรีไร้ประสบการณ์เหล่านั้นต่างหากที่อดจะมอบหัวใจให้เขาไปทันทีแค่เขาพูดเพียงสองสามประโยคเท่านั้น

 

 

เจินเมี่ยวนั้นมิเหมือนผู้อื่น นางเป็นคนชอบมองบุคคลผู้มีรูปโฉมงดงามมากที่สุด มิต้องเอ่ยถึงท่านลุงรองสกุลเจินที่รูปงามดุจเทพเซียน แค่สามีของนางที่ระยะนี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหล่อเหลาขึ้นทุกที รูปโฉมเช่นอานจวิ้นอ๋องนั้นก็แค่โดดเด่นกว่าผู้อื่นสักหน่อยเท่านั้น นางจึงเพียงเผยรอยยิ้มบางเบาอย่างสงวนท่าทีพลางเอ่ยว่า “เคยฝึกฝนอันใดกันเล่า? วันนั้นมีนางกำนัลเข้ามาเติมสุราให้แล้วบังเอิญชนข้าเข้า ข้าจึงทำมันหลุดมือ…”

 

 

อานจวิ้นอ๋องยังคงหัวเราะเหอะๆ เช่นเดิมแล้วเอ่ยว่า “น้องเจียหมิงช่างเก่งกาจนัก”

 

 

เจินเมี่ยวอดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้

 

 

คนแปลกประหลาดนี้มาจากที่ใดกัน เหลือเกินจริงๆ!

 

 

หย่งหวังเฟยทนดูต่อไปมิได้อีกแล้วจึงถลึงตาใส่หย่งอ๋องที่เอาแต่แสร้งทำเป็นนกระทาตามมุมกำแพงคราหนึ่งแล้วฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “รีบกินกันเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”

 

 

“ใช่แล้ว มิอาจให้น้ำใจของน้องเจียหมิงต้องสูญเปล่า” อานจวิ้นอ๋องหยิบตะเกียบขึ้นลงมือกินทันที

 

 

หย่งอ๋องฝืนขยับเข้ามาใกล้เพื่อพูดคนเป็นและดื่มสุราเป็นเพื่อนอานจวิ้นอ๋อง

 

 

ดีที่อานจวิ้นอ๋องมิได้พูดจาอันใดที่ทำให้คนต้องแตกตื่นอีก เขากินดื่มด้วยดีมาตลอด มีเพียงก่อนจากไปเท่านั้นที่ตั้งใจทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ “น้องเจียหมิง หากว่างก็ไปหาพี่สะใภ้สิบสามของเจ้าที่จวนจวิ้นอ๋องบ้างนะ”

 

 

ล้อเล่นอันใดกัน!

 

 

เส้นโลหิตตรงขมับเจินเมี่ยวถึงกับปูดขึ้นมา นางมิอาจอดกลั้นอาการตกตะลึงของตนได้อีกต่อไป

 

 

อานจวิ้นอ๋องกลับหัวเราะออกมาเสียงดังจากไปโดยมิหันหน้ากลับมามองสักนิด

 

 

กระทั่งเขาจากไปแล้ว หย่งหวังเฟยก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด นางบิดหูหย่งอ๋องทันที “ท่านบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเหตุใดอานจวิ้นอ๋องจึงสนใจในตัวเจียหมิงได้?”

 

 

“โอ๊ะๆๆ เบาหน่อยเถิด” หย่งอ๋องร้องโหยหวน “ก็ตอนดื่มสุรากัน ข้าเผลอพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองเทศกาลวันตรุษของราชวงศ์ขึ้น เจ้าก็รู้ว่าอานจวิ้นอ๋องเป็นคนที่อยากจะทำอันใดก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่เสด็จพี่ก็ยังทำอันใดเขามิได้”

 

 

หย่งหวังเฟยโมโหยิ่ง นางปล่อยใบหูแต่กลับหยิกริมฝีปากเขาแทน “ปากมากเสียจริง พรุ่งนี้จะเอาลามายัดปากสักตัว ดูว่าท่านยังจะปากมากได้อีกหรือไม่!”

 

 

หย่งอ๋องเจ็บจนต้องเต้นเร่าๆ แต่กลับมิกล้าผลักหย่งหวังเฟย เพียงเอ่ยขอร้องว่า “อย่าทำเช่นนี้ อย่าทำเช่นนี้เลย ชูสยากับเจียหมิงยังอยู่แท้ๆ”

 

 

หย่งหวังเฟยจึงยอมปล่อย

 

 

หย่งอ๋องนวดคลึงริมฝีปากตนแล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เจียหมิงเจ้ามิต้องกังวลใจไป ข้ารู้จักอานจวิ้นอ๋องดี เขาแค่แปลกใจจึงอยากจะพบเจ้าสักคราเท่านั้น ไม่มีทางมีความคิดเหลวไหลอันใดแน่”

 

 

“ความคิดเหลวไหลอันใดกัน!” หย่งหวังเฟยถลึงตาให้หย่งอ๋องคราหนึ่ง

 

 

หย่งอ๋องรู้ตัวว่าตนพลั้งปากไปจึงยิ้มแหย่ๆ ออกมา

 

 

กระทั่งเจินเมี่ยวจากไป หย่งฟวังเฟยจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านอย่าได้ตำหนิว่าข้าทำเกินไป หากต่อไปอานจวิ้นอ๋องเกิดสนใจในตัวเจียหมิงขึ้นมา ทั้งยังได้พบกับนางที่จวนเราอีก พวกเราจะกลายเป็นอันใดกันเล่า”

 

 

ครานี้หย่งอ๋องจึงเก็บท่าทียิ้มกริ่มไว้ทันที แล้วเอ่ยว่า “วางใจเถิด อานจวิ้นอ๋องไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”

 

 

หย่งหวังเฟยกลอกตาให้เขาคราหนึ่ง “วางใจ? แม้แต่ชูสยายังรู้ถึงความโปรดปรานของอานจวิ้นอ๋อง มิเห็นหรือว่าวันนี้ชูสยาคอยตามติดเจียหมิงไม่ห่างเลย?”

 

 

หย่งอ๋องยิ้มคราหนึ่ง “อานจวิ้นอ๋องเขารู้สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร”

 

 

หย่งหวังเฟยยังคิดจะเอ่ยสิ่งใดต่ออีก แต่เมื่อตรองดูแล้วกลับเลือกไม่พูดอันใดอีก

 

 

หลายปีมานี้อานจวิ้นอ๋องทำลายสตรีไปไม่น้อย แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ตีโพยตีพาย หลังจากเกิดเรื่องยังปกป้องอานจวิ้นอ๋องอีก อานจวิ้นอ๋องก็มิใช่ไร้น้ำใจ เมื่อพูดคุยกับฝ่ายสามีพวกนางได้แล้วยังรับสตรีเหล่านั้นไปอยู่ที่จวนด้วย

 

 

แม้นชื่อเสียงในด้านนี้ของเขาจะโด่งดังจริงแต่กลับมิเคยก่อเรื่องร้ายแรงจริงๆ สักครา

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวกลับถึงจวนก็หวนคิดถึงเรื่องวันนี้ที่ได้พบกับอานจวิ้นอ๋องก็ยิ่งรู้สึกว่าหลัวเทียนเฉิงนั้นดีเหลือเกิน

 

 

ดั่งสุภาษิตกล่าวไว้ว่าไม่กลัวคนมิรู้จักสินค้า กลัวแต่การนำสินค้ามาเปรียบเทียบกันเอง

 

 

ซื่อจื่อของนางอายุยังน้อย ทว่าตั้งแต่นางเข้าเรือนมาก็มิเคยย่างกรายไปหาสาวใช้ทงฝังที่งดงามราวบุปผาดุจหยกเหล่านั้นเลย แม้นนางจะมิได้ทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างเต็มที่ก็มิเคยเห็นเขาเหลือบมองสตรีใดแม้เพียงหางตา

 

 

เจินเมี่ยวมิใช่ก้อนหิน เมื่อลองครุ่นคิดให้ละเอียดเช่นนี้ ความรู้สึกที่คอยรัดรึงหัวใจนี้ผ่านมาเนิ่นนานเข้ากลับถักทอเป็นสายใยแห่งรักผูกมัดหัวใจที่ปิดตายตลอดมานั้นไว้เสียแน่นหนา

 

 

เจินเมี่ยวกลับมิรู้ตัวว่าการบังเอิญพบกับอานจวิ้นอ๋องจะเป็นเหตุที่ทำให้นางเริ่มหวั่นไหวกับหลัวเทียนเฉิง แค่พลันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเพียงลำพังนั้นช่างยากเย็นนักเท่านั้นเอง

 

 

นางมิได้ทำขนมกินเล่นแล้วออกไปเย้าแหย่จิ่นเหยียนอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่ละวันสำหรับนางผ่านไปอย่างเชื่องช้า ครั้นตกดึงก็นอนพลิกตัวไปมาเพราะเริ่มกังวลว่าเขาได้กินข้าวตามเวลาหรือไม่ นอนหลับสบายดีหรือไม่

 

 

เพราะมิอาจปล่อยวางได้นางจึงเอาเข็มกับด้ายพร้อมทั้งผ้าฝ้ายที่นุ่มที่สุดขึ้นมาเย็บเสื้อให้เขา

 

 

ทำอยู่สามวันเสื้อตัวนั้นก็เสร็จพอดีจึงสั่งให้ชิงไต้นำไปส่งให้เขา

 

 

หลัวเทียนเฉิงตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องแมวขาวตัวนั้น ขณะกำลังกังวลว่าเจินเมี่ยวอาจจะรับความจริงไม่ได้ ครั้นได้เห็นเสื้อเนื้อผ้าหนานุ่ม ฝีปักประณีต หัวใจดวงนั้นก็พลันอุ่นร้อนขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหวจึงเร่งรุดควบม้ากลับไปด้วยมิอาจเก็บความคิดถึงได้อีกต่อไป

 

 

เจินเมี่ยวเย็บเสื้อติดต่อกันมาหลายวันจึงรู้สึกเพลียอยู่บ้าง ขณะกับหลังเอนหลังพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวก็พลันตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น

 

 

ลมหายใจทำให้นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งจึงมิได้ลืมตาขึ้นแต่กลับซุกไซ้ตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นดุจลูกสุนัขก็มิปาน นางซุกไซ้เสียจนหลัวเทียนเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขารั้งนางเข้ามาจุมพิตอย่างดูดดื่มกระทั่งคนทั้งสองหายใจหอบถี่จึงผงะออกมาสบตาอันนิ่งนาน ทุกอย่างจึงค่อยๆ สงบลง

 

 

ผ่านไปนานหลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เหตุใดจึงเย็บเสื้อให้ข้าเล่า ข้ายังมีเสื้อผ้ามากอยู่มิใช่หรือ?”

 

 

“ว่างก็เลยทำ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นนางหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายกลีบบุปผาแช่น้ำก็มิปาน ทั้งยังดูเขินอายกว่ายามปกติมากขึ้นอีกหลายส่วน ความยินดีเบิกบานอย่างยิ่งยวดบังเกิดขึ้นในหัวใจ จึงแกล้งเอ่ยไปว่า “แต่ก่อนเจ้าก็ว่าง เหตุใดมิเห็นทำเล่า?”

 

 

เจินเมี่ยวถูกามเช่นนี้ก็พูดไม่ออกได้แต่ถลึงตาใส่เขาไม่เอ่ยวาจา

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงขยับเข้ามาจุมพิตนางอีกคราหนึ่ง “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าชอบมาก…จริงๆ”

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าความรู้สึกนี้ช่างประหลาดนัก ปกติเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็แค่เพียงเขินอายเล็กน้อยแต่ยามนี้ใจกลับเต้นแรงกระทั่งไม่กล้าสบตากับเขาด้วยซ้ำ

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับอดถามให้แน่ใจมิได้ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเล่า?”

 

 

ผ่านไปนานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่วว่า “ข้าก็ชอบมากเช่นกัน…”

 

 

ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าความรักขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

บรรยากาศเช่นนี้ทำให้คนไม่อยากจะทำลายมันยิ่ง กระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ แล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยปากบอกว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เรื่องของไป๋เสวี่ยข้าให้คนไปสืบมาแล้ว ในตัวมันมียาชนิดหนึ่งที่ทำให้แมวดุร้าย หากแมวกินเข้าไปก็จะเผลอทำร้ายคนได้ง่าย”

 

 

เจินเมี่ยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “มีคนเอายานั้นให้ไป๋เสวี่ยกินหรือ? เป็น…คนของข้า?”

 

 

นางมิใช่คนโง่ ผู้ที่สามารถเข้าใกล้จิ่นเหยียนและไป๋เสวี่ยได้นอกจากคนของเรือนชิงเฟิงแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก

 

 

หลัวเทียนเฉิงบีบมือนางคราหนึ่งเป็นการปลอบใจ “ข้าให้องครักษ์ลับไปสืบอยู่หลายวัน เบาะแสสุดท้ายที่พบคือ…”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงักไป เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจี้ยงจู”

 

 

“เจี้ยงจู?” เจินเมี่ยวพึมพำออกมา ไม่ทราบเหตุใดนางจึงเกิดความรู้ว่า ‘เป็นเจี้ยงจูจริงๆ ด้วย’ ขึ้นมา

 

 

“เจี้ยงจูเป็นสาวใช้ที่ติดตามเจ้ามาตั้งแต่ก่อนออกเรือน ภายหลังจึงถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาใช่หรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “ข้าจำได้ว่าจื่อซูเคยบอกว่าเจี้ยงจูนั้นมารับใช้สวนเฉินเซียงแทนชิงเฉ่าหลานสาวของหญิงรับใช้สกุลหลี่ที่ทำงานในโรงซักผ้า ต่อมาเสี่ยวฉานสาวใช้ขั้นสามของข้ากระทำผิด นางจึงได้ติดตามข้ามาที่จวนกั๋วกงแทนเสี่ยวฉาน หญิงรับใช้สกุลหลี่เป็นน้องสาวของยายเจี้ยงจูน นางบอกว่าที่บ้านไม่มีคนแล้วจวนเราจึงรับนางมาแทน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น “ไม่มีคนจริงๆ นั้นแล องครักษ์ลับรายงานมาว่า คนบ้านนั้นถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามจึงเหลือบุตรชายเพียงคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าเจี้ยงจูผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกันแน่!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset