วาสนาบันดาลรัก 285 คู่รักคู่แค้น

ตอนที่ 285 คู่รักคู่แค้น

ครั้นคำว่า ‘ข้าเป็นห่วง’ เอ่ยออกมา หัวใจของหลัวเทียนเฉิงก็หวานล้ำขึ้นมาดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ความงดงามอันน่าอัศจรรย์นี้กลับเป็นสิ่งที่เขามิเคยได้สัมผัสมาก่อนเลยทั้งสองชาติภพ

 

 

จึงอดปลอบประโลมนางอยู่สักหลายคำมิได้แล้วจึงก้มหน้าลงดอมดมใบหูเล็กพลางเอ่ยว่า “เจ้าห่วงผู้ใด พี่มั่วเหยียนหรือพี่เจี่ยงกันเล่า?”

 

 

เจินเมี่ยวจึงพลันเข้าใจอันบางอย่างจึงเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จิ่นหมิง ท่านหึงอันใดกัน?”

 

 

“หึงอันใดงั้นหรือ เจ้ามิใช่เอาแต่คิดถึงการกินหม้อไฟกับพี่มั่วเหยียนนั้นหรอกหรือ? ยังมีพี่เจี่ยงนั้นอีก เขาซูบผอมลงหรือไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน?”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจอีก หลายวันมานี่เขายุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นแต่ก็ยังคิดถึงแต่นาง อาภรณ์ที่สวมใส่ก็หลวมโพรกลงไปไม่น้อยแต่ก็มิเห็นนางเอ่ยถามเขาก่อนสักคำ

 

 

การพบกันของเจินเมี่ยวกับเจี่ยงเฉินนั้นเป็นเรื่องบังเอิญย่อมรู้สึกว่าตนบริสุทธิ์ใจยิ่ง แต่เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่าตนมิใคร่ใส่ใจต่อสามีสักเท่าใดนัก

 

 

เจินเมี่ยวพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

 

 

สำหรับเรื่องระหว่างชายหญิงนั้นสตรีผู้นี้ก็ไม่ต่างอันใดกับไม้ตีผ้า หากเป็นผู้รู้จักออดอ้อนหรือ อย่าว่าแต่มิได้คิดอันใดกับเจี่ยงเฉินเลยต่อให้คนทั้งสองจะมีอดีตร่วมกัน เมื่อถูกบุรุษของตนเอ่ยถามด้วยท่าทีเจ็บปวดเช่นนี้ก็ย่อมต้องปฏิเสธทันทีแล้วค่อยหยอดคำหวานตาม

 

 

แต่นางกลับเป็นคนซื่อในเรื่องเหล่านี้ทั้งก่อนหน้านี้นางเวินยังบอกว่าเจี่ยงเฉินป่วย เดิมนางก็รู้สึกห่วงใยอยู่บ้าง ครั้นเห็นเจี่ยงเฉินที่ผ่ายผอมลงไปไม่น้อยนั้นนางก็เกิดความรู้สึกห่วงใยเขาขึ้นมาจริงๆ เมื่อหลัวเทียนเฉิงถามออกมาเช่นนี้นางจึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาก็เพื่อหนึ่งอยากใช้โอกาสนี้แสดงความไม่พอใจของตนออกมา สองคืออยากฟังนางเอ่ยคำหวานให้เขาชื่นใจสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับลังเลขึ้นมาจริงๆ

 

 

ครานี้คนบางคนได้เกิดหึงหวงขึ้นมาจริงๆ แล้ว ยามนั้นเขาจึงแค่นเสียงเย็นชาพลางผลักเจินเมี่ยว ออกแล้วขยับตัวถอยไปด้านหลังทั้งเอ่ยขึ้นว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ในเมื่อเจ้าฝังใจเพียงนั้น กลับไปข้าจะเชิญพวกเขามาดื่มสุราที่จวนให้เจ้ามองให้พอจะได้วางใจเสียที!”

 

 

ภาพเหตุการณ์ในป่าไผ่นั้นเดิมก็แค่เพียงรู้สึกบาดตาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเท่าใด แต่ยามนี้กลับบาดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

เวินมั่วเหยียนนั้นช่างเถิด แต่เจี่ยงเฉิน…หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ

 

 

แม้นแผนการของเจินจิ้งนั้นจะแสนธรรมดาแต่มันกลับได้ผลเสียเหลือเกิน

 

 

บนโลกนี้ไม่ว่าบุรุษผู้ใดก็มิอาจทานทนต่อเรื่องนี้ได้

 

 

ปกนั้นหลัวซื่อจื่อดูเป็นคนเฉยชายิ่ง เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้นก็อาจจะเก็บไว้ในใจอยู่เงียบๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจเกิดเป็นความระแวงนั้นแลคือสิ่งที่นางต้องการ

 

 

แต่หากนางเลือกที่เอ่ยกับเจินเมี่ยว แล้วทั้งสองคนมีอันใดกันจริงๆ ตอนที่เจินเมี่ยวตอบคำถามก็ย่อมต้องเผยพิรุธใดออกมาแน่ เช่นนั้นความรักของพวกเขาสองก็คงต้องสิ้นสุดลง หากไม่มีอันใด สตรีคนไหนได้ฟังวาจาเช่นนี้จะไม่โกรธเคืองบ้าง สามีภรรยาทะเลาะกันอย่างไรก็ย่อมต้องบั่นทอนความรู้สึกอยู่ดีเจินจิ้งหลอกใช้เวินยาฉีเพื่อทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ก็มิได้คิดว่าจะเห็นผลอันใดเร็วๆ นี้เพียงคิดจะเฝ้ามองความสนุกนี้ในระยะยาว

 

 

นางคงคิดไม่ถึงว่าหลัวซื่อจื่อผู้สูงสง่าแสนเย็นชาในสายตาผู้อื่นนั้นจะเปลี่ยนจากความหึงหวงเล็กน้อยเป็นอภิมหาหึงขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้

 

 

พวกเขาสองคนเคยผ่านช่วงเวลาลำบากมาด้วยกันจึงมิได้เหมือนสามีภรรยาทั่วไป ยังมิทันถึงประตูจวนหลัวเทียนเฉิงก็เผยความไม่พอใจของตนออกมาจนหมด

 

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมิใช่การทะเลาะหรือเข้าใจผิดแต่เป็นการที่เจ้ากับข้าต่างเก็บทุกอย่างไว้ในใจต่างหาก เมื่อเก็บไว้นานเข้าก็ยอมเกิดเป็นปม เวลาผ่านไปปมนั้นก็จะกลายเป็นบาดแผล แค่แตะโดนก็เจ็บแต่กลับลืมถึงต้นตอที่ทำให้มันเกิดขึ้น เหลือเพียงรอยแผลเป็นที่เสียดแทงใจคน ทำให้ความรักของสามีภรรยานั้นจืดจางลง

 

 

น่าเสียดายที่แม้นนางจะคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว แต่กลับคาดผิดไปว่าหลัวเทียนเฉิงที่องค์ชายหกเอ่ยชมไม่ขาดปากนั้นมิได้สุขุมนุ่มลึกดุจมหาสมุทรอย่างที่นางเข้าใจ ส่วนเจินเมี่ยวนั้นยิ่งมิใช่สตรีที่ชอบทำสงครามเย็น หลังจากนั้นก็ทำตัวผิดเพี้ยนจากอุปนิสัยเดิมของตน

 

 

ครั้นได้ฟังวาจาอันไร้เงาไร้ขอบเขตของหลัวเทียนเฉิง นางก็ดึงมือเขาขึ้นมากัด

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่มีโทสะอัดแน่นเต็มอกจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะกัดแรงกว่านี้สักหน่อยก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็ร่างกายแข็งแรง เนื้อหนังหนา แค่นี้ทนได้อยู่แล้ว”

 

 

แม้นกัดจนเป็นรูโหว่นางก็คงมิสนใจ!

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็อดประชดขึ้นมาอีกคำมิได้ว่า “คงมิเหมือนพี่เจี่ยงของเจ้า แค่เขากระแอมไอเจ้าก็เป็นห่วงจะเป็นจะตายแล้ว!”

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็โกรธขึ้นมาอย่างที่สุด

 

 

เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้ไปคิดอกุศลอันใดอยู่กันแน่ เหตุใดจึงกัดญาติผู้พี่ผู้อ่อนแอผู้นั้นของนางไม่ปล่อยเช่นนี้!

 

 

กัดก็กัดสิ ฟันของนางจะสู้เนื้อเขาไม่ได้เชียวหรือ?

 

 

เมื่อเพลิงโทสะก่อตัวขึ้น นางจึงกัดเขาไปโดยแรง แค่ชั่วขณะก็ได้ลิ้มรสคาวของโลหิต

 

 

เจินเมี่ยวพลันมีสติขึ้นมาจึงรีบปล่อยเขาทันที นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นนัยน์ตาที่คล้ายตกลงไปในธารน้ำอันเย็นเยียบคู่นั้น นางจึงรีบก้มลงมองมือของเขา เม็ดเลือดที่ผุดขึ้นมาตามรอยฟันนั้นช่างเด่นชัดนัก

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกถึงแต่ความเหน็บหนาวในใจ แต่มิได้รู้สึกเจ็บปวดที่มือเลย เขายกมือขึ้นจ่อตรงริมฝีปากเจินเมี่ยว ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่นแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงหยุดเล่า?”

 

 

เจินเมี่ยวทั้งเสียใจทั้งอับอายจนโมโห ยิ่งไปกว่านั้นคือความรู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด เมื่อถูกเขาบีบคั้นเช่นนี้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ น้ำตานางหยดแหมะๆ ลงทันที

 

 

น้ำตาเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงดั่งเม็ดมุกร่วงกระทบกับรอยฟันนั้น ช่างเย็นเยียบยิ่ง ครานี้หลัวเทียนเฉิงกลับปวดใจขึ้นมาแทน จึงเอ่ยถามประหม่าว่า “ร้องไห้อันใด?”

 

 

เจินเมี่ยวปากแข็ง นางเบี่ยงหน้าเอ่ยตอบว่า “เนื้อท่านหนาเกินไปทำให้ข้าปวดฟัน”

 

 

นางร้องไห้เช่นนี้ ดวงตาสองข้าถูกน้ำตาชำระล้างกลับกระจ่างใสดุจผลึกดั่งคันฉ่อง ทั้งมีประกายน้ำปรากฏขึ้นอีกชั้นหนึ่งเช่นนั้น เมื่อชำเลืองมองก็ทำให้คนใจเต้นแรงดุจตีกลอง

 

 

หลัวเทียนเฉิงแอบหงุดหงิดให้ตน เมื่อครู่เขาไม่ควรบันดาลโทสะออกไปเช่นนั้นเลย ดูท่าทีของเจี๋ยวเจี่ยวสิ นางไหนเลยจะเหมือนสตรีที่คิดเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้น อย่าได้ทำเรื่องที่ว่าเมนางอาจมิได้คิดอันใดแต่ตนเองกลับไปพูดให้นางเริ่มคิดเหลวไหลขึ้นมาเอง

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าไปดึงเจินเมี่ยวเข้ามาหาตน “มีอยู่ที่หนึ่งที่จะมิทำให้เจ้าปวดฟัน”

 

 

มิรอให้นางคิดอันใดขึ้นมาได้ ริมฝีปากนั้นก็ประทับเข้ามาเสียก่อน แล้วค่อยๆ บดเบียดขบเล็มไปตามริมฝีปากดุจกลีบดอกท้อนั้น เมื่ออีกฝ่ายเผยอปากขึ้นด้วยความตกใจเขาก็สอดปลายลิ้นอันซุกซนเข้าไปควานหาความหอมหวานนั้นทันที

 

 

หลายวันมานี่แม้นทั้งสองจะชิดใกล้กันน้อยอยู่ห่างกันเสียมาก ทั้งมิเคยกระทำเรื่องเช่นสามีภรรยา แต่ความชิดใกล้เช่นนี้เมื่อยามอยู่ด้วยกันนั้นย่อมมี เจินเมี่ยวคุ้นชินกับกลิ่นกายของอีกฝ่ายแล้วจึงมิได้รู้สึกต่อต้านใดๆ เพียงแต่ยังคงโมโหกับวาจาที่เขาเพิ่งเอ่ยเมื่อครู่ นางจึงกัดลิ้นเขาไว้แน่น

 

 

หลัวเทียนเฉิงเองก็ไม่ดิ้นรนปล่อยให้นางกัดคล้ายยินยอมให้นางกระทำตนได้ตามแต่ใจ ดวงตาดำขลับคู่นั้นฉ่ำวาวใส เจินเมี่ยวพลันคิดถึงสุนัขบ้านตัวหนึ่งที่ตนเคยเลี้ยงไว้ในอีกภพหนึ่งขึ้นมาอย่างประหลาด

 

 

ในเบื้องลึกนัยน์ตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ลิ้นของเขาขยับไปมาคล้ายกำลังเร่งเร้า

 

 

เพราะลิ้นมิใช่มือ นางไหนเลยจะกล้ากัดไว้โดยแรงจริงๆ แต่อย่างไรเสียมันก็ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกดั่งขี่หลังเสือแล้วยากจะลง ดวงตาคู่นั้นจึงถลึงมองเขาด้วยความโกรธเคือง แต่ปลายลิ้นที่นางกัดไว้ไม่ยอมปล่อยนั้นกลับมิได้ขยับเขยื้อนหนีไปไหน สุดท้ายจึงคล้ายว่านางต่างหากที่เป็นผู้ลุกล้ำเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อน

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงก่ำไปหมดคล้ายแต้มด้วยสีชาดไว้ชั้นหนึ่งก็มิปาน

 

 

หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะยอมอยู่นิ่งๆ อย่างว่าง่าย เขากลับชักนำให้จูบนั้นลึกซึ้งและเร่าร้อนมากขึ้นไปอีก กระทั่งอีกฝ่ายหายใจหอบ ซบลงบนอกเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง บริเวณใดบริเวณหนึ่งแข็งขึงขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว เขากลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่จึงได้ผลักนางออก

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ข้าไหนเลยจะกล้าโกรธเคืองคุณชายผู้สืบทอด ท่านมิบันดาลโทสะส่งเดช ข้าก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว”

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงคว้ามือนางมาวางไว้บนหน้าอกตน แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ข้าเองก็ควบคุมมันไม่ได้ ทุกคราที่มันเจ็บก็มักทำเรื่องเหลวไหลอยู่ร่ำไป”

 

 

เจินเมี่ยวอ้าปากตาค้างอย่างตกตะลึง “ท่าน…เหตุผลนี้ของท่านเชื่อถือได้หรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยวข้าไม่เชื่อว่าหากข้าไปที่เรือนฝั่งตะวันตกแล้วตรงนั้นของเจ้าจะไม่เจ็บปวด”

 

 

“ข้าจะเจ็บปวดอันใด ข้ามิได้อารมณ์แปรปรวนเช่นใครบางคน”

 

 

“ไม่เจ็บปวดจริงๆ หรือ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม พลันวางมือลงไปหน้าอกที่เว้านูนขึ้นมาแล้วนั้นทั้งยังเคล้นคลึงอีกด้วย

 

 

สายตาเจินเมี่ยวเคลื่อนลงด้านล่างทันที นางจ้องมือใหญ่ที่กระทำการเหิมเกริมนั้นด้วยใบหน้าอึ้งงัน รอยเขี้ยวบนฝ่ามือนั้นคล้ายกำลังยิ้มเยาะความไม่เอาไหนของนางเมื่อครู่นี้กระนั้น

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงมีสติกลับมาแล้วปัดมือเขาออกโดยแรงพลางกัดฟันพูดว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้ารู้ว่าท่านเชื่อถือไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะ…”

 

 

“ไม่คิดว่าจะอันใด?”

 

 

“ไม่คิดว่าจะเชื่อถือไม่ได้ถึงเพียงนี้!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะหึๆ คราหนึ่ง

 

 

ครั้นๆ ได้ยินเสียง ‘หึๆ’ เจินเมี่ยวรู้สึกสังหรณ์บางอย่างขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหัวเราะอันใด?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดใจของเจ้าจึงมิเจ็บปวดเพราะข้า”

 

 

“เพราะเหตุใด?”

 

 

“เพราะมันมัวแต่เสียใจที่เหตุใดตรงนี้มันถึงไม่เติบโตขึ้นมาบ้าง มันถึงไม่มีแก่ใจไปไยดีกระมัง”

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้ามองซาลาเปาน้อยของตนคราหนึ่ง แล้วคำรามลั่นว่า “เหลวไหล เมื่อหลายวันก่อนตอนข้าอาบน้ำยังใช้มือวัดดูแล้ว เห็นชัดว่ามันใหญ่ขึ้นถึงครึ่งเล็บแล้ว!”

 

 

“จริงหรือ? ให้ข้าดูสักหน่อยสิ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงขยับเข้ามาใกล้

 

 

เจินเมี่ยวยืดอกขึ้นเล็กน้อย พลันมีคิดขึ้นได้จึงตีมือเขาไปคราหนึ่ง “เหลวไหล ไปตายอยู่ฝั่งนั้นเถิด!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับกอดนางไว้มิปล่อยมือ ศีรษะซบลงบนอกนางไม่ขยับไปไหน เพียงแอบอิงอยู่นิ่งๆ เช่นนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากต้องตายจริงๆ ก็จักต้องตายด้วยกัน”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกตื้นตันขึ้นมา แต่เมื่อครุ่นคิดให้ดีอีกคราก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

 

 

“มีอันใดไม่ถูกต้อง?” หลัวเทียนเฉิงซบอิงกับร่างอันอ่อนนุ่มพลางสูดดมกลิ่นหอมนั้น เขารู้สึกเพียงว่าอันตรายดุจพายุมีดที่ด้านนอกนั้นมินับเป็นอันใดได้

 

 

“ความรักระหว่างหนุ่มสาวในตำราละครนั้น หากต้องเผชิญเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาม บุรุษมักจะบอกว่า ‘เจ้าจักต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข ทุกอย่างเขาจะเป็นผู้แบกรับมันไว้เอง’มิใช่หรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง แล้วแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ฝันไปเถิด หากทิ้งเจ้าไว้เพียงคนเดียว เมื่อข้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นภรรยาของบุรุษอื่น แม้นข้าตายก็คงจะโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกคราเพื่อคิดบัญชีกับเจ้า ”

 

 

“แต่หากเป็นเช่นนั้น ความรักที่ว่านี้ก็มิใช่การเห็นแก่ตัวเกินไปหรอกหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลอบสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วใช้นิ้วมือดีดลงไปบนหน้าผากกลมเกลี้ยงของเจินเมี่ยว เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

 

 

“มีอันใดไม่ถูกต้อง?”

 

 

“ความรักระหว่างชายหญิงในตำราละครนั้น หากต้องเผชิญเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาม สตรีก็มักจะบอกว่า ‘ไม่ว่าจักมีอันตรายมากเท่าใด ข้าก็พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน’ มิใช่หรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวถูกพูดดักจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก คนทั้งสองสบตากันพลันหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

ยามนี้เองคู่รักคู่แค้นทั้งสองจึงนับว่าได้ถอนรากเมล็ดพันธุ์นั้นทิ้งไปได้อย่างแท้จริง หลัวเทียนเฉิงจัดทรงผมและอาภรณ์ให้เจินเมี่ยวแล้วประคองนางลงจากรถม้า

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว ข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้แล้วกัน ข้ามิอาจไม่กลับไปที่ศาลาว่าการได้จริงๆ”

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าหากบังคับให้เขากลับไปพักผ่อนที่จวน เขาก็จะทำเรื่องพวกนั้นไม่เสร็จ ถึงตอนนั้นก็จักต้องอดหลับอดนอนอีก เช่นนั้นก็มิสู้ให้เขารีบกลับไปทำให้เสร็จเสียดีกว่า นางจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยกำชับว่า “ต่อให้ยุ่งอย่างไร ท่านต้องจำไว้ว่าต้องกินอาหารตามเวลาครบสามมื้อ ทุกวันต้องนอนอย่างน้อยวันละสามชั่วยาม”

 

 

คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เกรงว่าเขาจะไม่เชื่อฟัง จึงกดเสียงต่ำแผ่วเอ่ยว่า “มิเช่นนั้นหากท่านยังกลับไปเยี่ยมท่านแม่ด้วยสภาพเช่นนี้อีก ท่านแม่ข้าคงต้องเป็นกังวลว่าท่านหมกมุ่นในเรื่องเช่นนั้นมากเกินไปอีกแน่”

 

 

กล่าวจบก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อยจึงรีบพาสาวใช้สองคนจากไปทันทีดุจสายลมหอบหนึ่งกระนั้น

 

 

ทิ้งให้หลัวเทียนเฉิงยืนอึ้งงันใบหูแดงก่ำพลางพึมพำว่า “ท่านแม่ยายพูดอันใดกันแน่?”

 

 

น่าเสียดายที่ผู้สามารถตอบเขาได้นั้นหายตัวไปนานแล้ว มีเพียงกลิ่นหอมวูบหนึ่งที่พัดโชยผ่านมาเท่านั้น

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset