วาสนาบันดาลรัก 260 ประจันหน้า

ตอนที่ 260 ประจันหน้า

นางชีก็พินิจนางหูเช่นกัน

 

 

หลายวันมานี่นางเฝ้าครุ่นคิดมาตลอดว่าสตรีที่เป็นตัวแทนของนางมาหลายปีผู้นี้นั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร?

 

 

ใบหน้าไข่ห่าน มีลักยิ้มที่แม้นมิยิ้มก็มีไม่ยิ้มก็ยังมองเห็นอยู่รำไร แค่มองรู้สึกว่าน่ารักน่าชิดใกล้ เป็นสตรีที่ไม่เหมือนนางเลยแม้แต่น้อย

 

 

นางชีรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ แต่สุดท้ายก็กดข่มมันไว้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนแทน “น้องสาวเดินทางลำบากมาตลอดทาง รีบนั่งลงเถิด”

 

 

พูดพลางมองไปที่จังเกอซึ่งอาเถาอุ้มเอาไว้ “นี่คงเป็นจังเกอกระมัง มา ให้ข้าอุ้มดูสักหน่อยเถิด”

 

 

อาเถามองนางหูคราหนึ่ง

 

 

นางหูรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาตามร่างกาย แต่นางก็ได้แต่กดข่มไว้มิแสดงมันออกมาทางสีหน้าแม้เพียงนิด แล้วพยักหน้าเบาๆ

 

 

อาเถาอุ้มจังเกอไปหานางชี

 

 

นางชีมองจังเกอด้วยสายตาอันอ่อนโยนแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ช่างเป็นเด็กที่งดงามจริงๆ”

 

 

นางหันกลับไปกำชับสาวใช้ว่า “ไปเรียกคุณชายหกมา ให้พวกเขาพี่น้องได้พบหน้ากันสักหน่อย”

 

 

ตามด้วยสั่งให้สาวใช้ไปน้ำผึ้งมาให้จังเกอดื่ม

 

 

นางหูอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสาวใช้งดงามยกน้ำผึ้งจอกหนึ่งเข้ามา แล้วป้อนจังเกอด้วยความอ่อนโยน

 

 

จังเกอที่ปกติช่างเลือกยิ่งกลับดื่มน้ำผึ้งนั้นอย่างออกรสออกชาติ จึงได้แต่เก็บคำพูดที่จะเอ่ยออกไปนั้นเอาไว้ แล้วหลุบม่านตาลงปิดบังความกังวลและความภาคภูมิใจนั้นไว้

 

 

ไม่นานก็เห็นเด็กชายอายุห้าหกปีเดินเข้ามา เขามิเหมือนเด็กน้อยในวัยเดียวกันที่ให้สาวใช้คอยอุ้มคอยจูง แต่กลับเดินนำหน้าสาวใช้ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ใบหน้าเคร่งขรึม สาวใช้ได้แต่ก้มหน้าเดินตาม

 

 

อายุยังน้อยแต่กลับมีท่าทีอย่างเจ้าคนนายคนแล้ว

 

 

นางหูได้แต่ตกตะลึงอยู่ในใจ

 

 

หรือนี่จะเป็นบุตรชายคนโตของท่านพี่?

 

 

เมื่อมองดูจังเกอที่อ่อนแอดุจแมวน้อยซึ่งคอยให้สาวใช้อุ้มทั้งป้อนน้ำผึ้งให้แล้ว ใจนางพลันหายวาบขึ้นมาทันที

 

 

“คารวะท่านแม่” คุณชายหกทำความเคารพอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมคราหนึ่ง

 

 

ระยะหลังมานี้ท่านแม่สอนเขาเขียนอักษรไปไม่น้อย ท่านพ่อก็กำลังหาอาจารย์ให้เขา ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

 

นางชีเห็นคุณชายหก รอยยิ้มก็เปิดกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางกวักมือเรียกคุณชายหก “เจ้าหก นี่คือหูอี๋เหนียง”

 

 

คุณชายหกได้รับการอบรมมาจากนางชีแล้ว เขารู้ว่าหูอี๋เหนียงนับเป็นผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งทั้งยังเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องชายเขา หากมิให้ความเคารพสักนิด ไม่เพียงท่านพ่อจะไม่พอใจแล้ว ตัวเขาเองก็นับว่าทำตัวไร้มารยาท จึงได้โค้งคารวะพอเป็นพิธี “หูอี๋เหนียง”

 

 

เขาอายุแค่ห้าปีกว่า เมื่อทำความเคารพก็ออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ยังคงตั้งใจทำอย่างจริงจังนั้น ทำให้คนเห็นแล้วทั้งรักทั้งเอ็นดู

 

 

เพียงแต่นางหูกลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชมสิ่งนี้นัก เพราะได้ถูกคำว่า ‘หูอี๋เหนียง’ ทิ่มแทงจนเจ็บปวดไปทั่วกายแล้ว ในใจได้แต่ท่องคำว่า ‘นางชี’ อยู่นับพันนับร้อยครั้ง

 

 

สตรีผู้นี้ เห็นชัดว่านางใช้เพียงคำพูดธรรมดาๆ ทั้งยังเกรงใจ ใส่ใจ ทว่าทุกวาจาที่เอ่ยกลับคล้ายมีดที่ทิ่มแทงลงในใจนางก็มิปาน!

 

 

“ท่านแม่ นี่คือน้องชายหรือ?” คุณชายหกยกมือขึ้นไพล่หลัง หยุดยืนมองจังเกอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

จังเกอยังเล็กทั้งร่างกายอ่อนแอ เมื่อเห็นคนตัวน้อยที่ตัวโตกว่าเขาไม่มากเท่าใดมองเขาด้วยสีหน้าไร้รอยยิ้ม ก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาจึงหันไปหานางหูตามสัญชาตญาณ แล้วผลักสาวใช้ที่ป้อนน้ำผึ้งให้เขาออก วิ่งไปหานางหูทันที

 

 

“ท่านแม่…” จังเกอชี้นิ้วไปที่คุณชายหก “เขาเป็นใคร?”

 

 

นางหูลังเลครู่หนึ่ง

 

 

จังเกอยังเด็กจึงมิเข้าใจฐานะที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของตนนัก นางเพียงบอกเขาว่าเมื่อถึงจวนกั๋วกงแล้วอย่าได้ดื้อซนเอาแต่ใจ เมื่อเห็นบิดาก็ให้บอกว่าคิดถึงเขามาก หากมีคนมารังแกก็ต้องบอกบิดา แต่มิเคยเอ่ยถึงสองแม่ลูกนี้เลย

 

 

นางคิดไปว่า แม้นจังเกอจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรคนหนึ่งของนางชี แต่ต่อไปก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับนางมิจำเป็นต้องไปสมาคมกับสองแม่ลูกนั้นให้มากนัก ทุกคนจักได้มิต้องขุ่นมัวอันใดต่อกัน

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์ที่เด็กน้อยทั้งสองมีท่าทีตอบสนองแตกต่างกันจนทำให้จังเกอของนางดูมิรู้ความเท่ากับเด็กคนนั้นไปเสียทันที

 

 

ในขณะที่นางหูกำลังลังเลอยู่นั้น คุณชายสามก็เดินเข้าไปจับมือจังเกอไว้อย่างไม่ลังเล แล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้าเป็นพี่หกของเจ้า จังเกอ เจ้าชี้หน้าข้าเช่นนี้ไม่ถูกต้อง อาจารย์จะด่าเอาได้”

 

 

แม้นจังเกออายุยังน้อยแต่ก็พูดคุยรู้เรื่องแล้ว เมื่อได้ยินคุณชายหกบอกว่าเขาผิด ก็คิดจะโต้เถียงอย่างไม่พอใจ ทว่ากลับถูกประโยคสุดท้ายของเขาดึงดูดความสนใจไป “อาจารย์?”

 

 

คุณชายหกพยักหน้า “ใช่แล้ว อาจารย์จะสอนความรู้ให้เรา สอนเขียนอักษร และสอนคุณธรรมของคน”

 

 

“เจ้ามีอาจารย์หรือ?” จังเกอพลันรู้สึกว่าเด็กชายตรงหน้าโตกว่าเขามากยิ่ง

 

 

คุณชายหกหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อกำลังหาอาจารย์ให้เราอยู่ แต่ตอนนี้ข้าก็เริ่มคัดอักษรแล้ว เจ้าอยากดูหรือไม่?”

 

 

จังเกอหันไปมองนางหูคราหนึ่ง

 

 

นางหูกำลังจะเอ่ยปากห้าม คุณชายหกกลับจูงมือจังเกอไปที่ห้องหน่วนเก๋อเสียแล้ว “สตรีเขาคุยกัน เราอย่าไปรบกวนเลย เช่นนั้นดูเสียมารยาทมากทีเดียวเชียว”

 

 

จังเกอที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดทางกลับถูกเด็กน้อยที่โตกว่าสองปีปลอบเสียอยู่หมัดจึงได้เดินตามเขาไปอย่างเหม่อลอย

 

 

นางหูร้อนใจขึ้นมายกใหญ่ “จังเกอ รีบมาหาแม่เดี๋ยวนี้”

 

 

เมื่อนางเอ่ยออกไปเช่นนี้ บ่าวไพร่ทั้งหลายในห้องต่างก็หันมามอง ในแววตามีความตกใจและไม่ยี่หระ

 

 

เด็กชายสองคนพูดคุยเล่นกันเท่านั้น แม้นอายุยังน้อย แต่อี๋เหนียงผู้หนึ่งจะร้อนใจดุจไฟลนไปไยกัน?

 

 

มิต้องกล่าวถึงฮูหยินด้วยซ้ำ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวการกระทำเรื่องใดๆ ของเหล่าคุณชายต่อหน้าบ่าวไพร่เต็มห้องเช่นนี้เลยสักครา

 

 

หากเป็นฮูหยินผู้เฒ่าคงกล่าวว่าหากเราไปดูแลจัดการให้บุตรชายเสียหมด ต่อไปก็กลายเป็นบุตรสาวไปหมด

 

 

นางหูถูกสายตาเหล่านั้นทิ่มแทงจนรู้สึกอึดอัด นางทั้งโกรธทั้งเคือง จึงฝืนยิ้มเอ่ยกับนางชีว่า “จังเกอร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก เกรงว่าจะเอาไอเจ็บไข้ไปติดคุณชายหก”

 

 

“น้องสาวอย่าได้พูดเช่นนั้น ร่างกายอ่อนแอมิใช่โรคภัย แค่บำรุงสักหน่อยก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”

 

 

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นจังเกอก็ร้องว่าเจ็บขึ้นมาเสียงหนึ่ง เขากุมท้องตัวงอ ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นโชยออกมา

 

 

คุณชายอึ้งงันไป แต่ยังคงอดกลั้นต่อกลิ่นเหม็นคุกเข่าลงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “จังเกอ เจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าห้องปลดทุกข์อยู่ไหน? เจ้าควรถามข้า ข้าเป็นพี่หกของเจ้า”

 

 

นางหูปากสั่นระริก อยากจะคุกเข่าให้คุณชายหกเหลือเกิน

 

 

นางวิ่งเข้าไปประคองจังเกอ “จังเกอ บอกแม่มาเจ้าเจ็บที่ตรงใด?”

 

 

คุณชายหกขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “จังเกอกุมมือไว้ที่ท้อง เขาปวดท้อง”

 

 

นางหู “…”

 

 

“ยังมัวยืนอึ้งอันใด รีบมาอุ้มเขาขึ้นมาเร็ว”

 

 

เวลานี้ท่าทีต่ำต้อยที่นางฝืนแสดงออกมาได้หายไปหมดสิ้นแล้ว ท่าทีอย่างเจ้านายกลับปรากฏขึ้นมาแทน สาวใช้ที่ติดตามนางมาต่างก็กรูเข้าไปทันที

 

 

ขณะที่นางหูกำลังจะเข้าไปประคองจังเกอไว้ เขากลับเหลือกตาขึ้นแล้วสลบไปทันที

 

 

“จังเกอ…” นางหูร้องดังหัวใจถูกฉีกทิ้ง

 

 

สาวใช้เรือนอวี้หยวนต่างหันมองไปที่นางชี

 

 

นายท่านที่กรีดร้องเสียงดังเพียงนี้พวกนางมิเคยเห็นเลย มิใช่สิ อี๋เหนียงที่กรีดร้องเสียงดังปานนี้พวกนางมิเคยเห็นเลย

 

 

เมื่อใจคิดไปถึงเรื่องนี้ ก็พลันคดได้อีกเรื่อง

 

 

จวนกั๋วกงยามนี้ก็มีเพียงอี๋เหนียงผู้นี้คนเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ โถ่ ถึงว่าอย่างไรอี๋เหนียงกับฮูหยินย่อมต้องแตกต่างกัน

 

 

“หันจู รีบไปเชิญท่านหมอจวนเรามาดูอาการจังเกอเร็ว” นางชีเดินเข้าไปส่งสัญญาณให้สาวใช้ผู้หนึ่งพาคุณชายหกออกไป เมื่อดูอาการของจังเกอแล้วก็เอ่ยกับสาวใช้อีกคนว่า “เจ้าไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าว่าจังเกอเดินทางเหน็ดเหนื่อยจนไม่สบาย ให้เชิญท่านหมอที่เชี่ยวชาญโรคเด็กมาตรวจดูสักหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” หันหลุ่ยรีบไปทันที

 

 

นางหูได้ฟังวาจาของนางชีก็รู้สึกสับสนขึ้นมาในใจ

 

 

จังเกอกระเพาะไม่แข็งแรง หากดื่มน้ำผึ้งบางคราก็อาจท้องเดิน เรื่องนี้แม้แต่ท่านพี่ที่มัวแต่ยุ่งการค้าก็มิทราบ

 

 

แต่น้ำผึ้งที่นางชียกมาให้จังเกอดื่มนั้นนางมิได้ห้ามไว้เพราะคิดจะหาเรื่องยุ่งยากให้นางชีสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจังเกอจะถึงกลับเป็นลมไป

 

 

นางหูรู้สึกเสียใจไม่น้อย นางย่อมต้องรักบุตรตนอยู่แล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงนี้ หรือเพราะระหว่างทางรถโคลงเคลงเกินไป?

 

 

นางหูรู้สึกทั้งแค้นใจทั้งเสียใจ ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้นมา

 

 

“น้องสาวอย่าเพิ่งกังวลเกินไป ในจวนเรามีหมอ ประเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปแล้วเอ่ยต่อว่า “เพราะคาดว่าน้องสาวคงอาจมาถึงในวันสองวันนี้ จึงได้เขียนจดหมายถึงท่านพี่ไปแล้ว เขาอาจจะมาถึงวันนี้ก็เป็นได้”

 

 

“ขอบคุณฮูหยินมาก”

 

 

หันจูนั้นไปเรียนต่อนางเถียนว่า “ฮูหยินรอง คุณชายที่เพิ่งมาถึงมิใคร่สบาย ฮูหยินจึงให้มาเชิญท่านหมอเฝิงไปตรวจดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ”

 

 

นางเถียนดูแลเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบส่งสาวใช้ไปเชิญท่านหมอเฝิงทันที

 

 

ไม่นานท่านหมอเฝิงก็ถือกล่องยาตามหันจูไป

 

 

“ท่านหมอ บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มิรอให้นางชีเอ่ยปาก นางหูก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าวิตก

 

 

ท่านหมอเฝิงลูบเคราตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท้องเดิน ทั้งหมดสติ ดูท่าคงกินอาหารที่ไม่ค่อยสะอาดเข้าไป”

 

 

“อาหารไม่สะอาดหรือ?” นางหูร้องเสียงสูง “ทว่าบุตรชายข้ามิได้กินอันใดเป็นเรื่องเป็นราวมาตลอดทาง”

 

 

“ในเมื่อเกิดท้องเดินกะทันหันเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่กินเข้าไปได้ไม่นาน พวกท่านลองคิดดูให้ดี?”

 

 

นางหูขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันคล้ายจะคิดอันใดออก นางจึงปิดปากมองนางชี เหมือนจะพูดแต่ก็มิเอ่ยสิ่งใด

 

 

นางชีกลับเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผยว่า “เมื่อครู่จังเกอดื่มน้ำผึ้งไปจอกหนึ่ง หรือว่าเกิดจากน้ำผึ้ง?”

 

 

ท่านหมอเฝิงส่ายหน้า “น้ำผึ้งมิได้มีผลต่อกระเพาะ ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการท้องเดินรุนแรงเช่นนี้ได้”

 

 

นางหูเม้มริมฝีปากแน่น

 

 

วาจานี้ของท่านหมอกลับเป็นการช่วยนางไปโดยปริยาย แต่ก็แปลกยิ่ง ปกติเด็กน้อยที่อายุเท่านี้ ดื่มน้ำผึ้งแค่เพียงไม่กี่คำจะส่งผลรุนแรงเพียงนี้ได้อย่างไร

 

 

มิได้เกิดจากน้ำผึ้ง แต่หากน้ำผึ้งไปปนผสมเข้ากับสิ่งใดเข้าเล่า?

 

 

นางหูร่ำไห้กระซิก

 

 

เวลานี้เองคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นสภาพการณ์ภายในห้องก็มุ่นหัวคิ้วถามว่า “ซีเหนียง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูดังขึ้น นางหูและนางชีก็หันไปมองพร้อมกัน

 

 

สายตาของนายท่านสี่สกุลหลัวทอดมองไปที่นางชีครู่หนึ่งจึงหันมามองนางหู เมื่อเห็นนางขอบตาแดงก่ำก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จังเกอไม่สบายหรือ?” พูดพลางเดินก้าวใหญ่เข้าไปหา

 

 

นางหูโผเข้าหาเขาทันที “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว จังเกอไม่ทราบเป็นอันใดจู่ๆ ก็สงบไป!”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวประคองมือนางไว้แล้วตบเบาๆ “อย่าเพิ่งวิตกเกินไปเลย”

 

 

แล้วก้าวเท้าไปหานางชี “ซีเหนียง ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

 

 

นางหูยังมิดึงมือออกด้วยซ้ำแต่กลับรู้สึกว่าใจโหวงเหวงว่างเปล่ายิ่ง

 

 

นางชียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม “ท่านหมอเฝิงไปจัดเทียบยา ประเดี๋ยวเขากลับมา ท่านก็ถามดูด้วยตนเองเถิด”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset